สวัสดีครับ
ตามมาเป็นกำลังใจให้ครับ สำหรับเรื่องของคนพิเศษ ของคุณ
ถ้ามีเรื่องให้ช่วยก็บอกนะครับ
ปล. ยังไม่ได้มาอ่าน เรื่องเลย แล้วจะแวะมาอ่านนะครับ
ปล.2 ขอบคุณที่ยังอยู่เป็นเพื่อนกันยามเหงา
หมอนัฐนี่ มากระตุ้นต่อมเศร้าผมอีกแล้วนะนี่
คือผมเคยมีญาติเป็นมะเร็งปอดน่ะครับแล้วก็เสียไปแล้ว พอคนที่เรามีความรู้สึกดีๆด้วยเป็นนี่ ก็เลยอดคิดภาพเก่าๆไม่ได้ ต่อหน้าเราก็ทำตัวเป็นปกตินะทำตัวสนุกสนาน บอกเค้าว่ามันหายได้ พอลับหลังกลับมานั่งร้องไห้ไม่ให้เค้าเห็น เอาเถอะ ก็ต้องดูแลเป็นกำลังใจให้กันไป เสียดายว่าทำไมไม่ได้ใกล้ชิดกันให้มากกว่านี้
หมอไม่ต้องรีบอ่านก็ได้นะ รู้ว่าหมอไม่ค่อยว่าง เอาเวลาว่างไปเขียนเรื่องของหมอให้ผมอ่านดีกว่า คิคิคิคิ
หมดเรื่องเศร้ามาต่อเรื่องรักๆของคนอื่นดีกว่า
รู้สึกตัวอีกทีโพสมาถึงตอนที่ 22 แล้วอ่า แสดงว่าอีกแปดตอนก็จบแล้วสิ แง๊ๆๆๆๆๆ กะว่าจะไม่มาโพสทุกวันแล้วนะนี่(ไม่นับเสาร์ - อาทิตย์) แต่ด้วยความขึ้นชื่อว่า "นิยาย" ไม่ใช่ "เรื่องเล่า" และมันก็เขียนจบไปแล้วด้วยทำไงได้อ่า ก็ต้องโพสให้จบตามปกติ(หรือมันจะไม่จบ???) ปีใหม่ ผมก็ลาไปบ้าน หลังปีใหม่เริ่มงานเต็มตัวอีกแล้ว คงหาเวลาว่างยากขึ้น ถ้าโชคดีเนื้อเรื่องหลักจะจบก่อนปีใหม่นะครับ (โพสได้รวดเร็วมากๆ)
ผมส่งผลโหวตให้ไอ้นายเส้นฯแล้วนะ มันบอกผมว่า "ไม่เล่าได้ไหม อายเค้า...
" ผมก็บอกว่า "ไม่ได้ มึงสัญญากะคนอื่นเค้าไว้แต่ต้นแล้ว
" มันก็บอกอีกว่า "งั้น ต้องใช้เวลารื้อฟื้นหน่อยนะ" ผมบอกต่อว่า "งั้นมึงก็ไปรื้อฟื้นเสียคืนนี้เลยสิ
" มันเลย
ผมทาง MSN แล้วก็หายไปเลย... ท่าทางจะไปรื้อฟื้นอยู่
ขอบคุณที่ติดตามมาเสมอครับ
ตอนที่ 22
หลังจากที่ฤดูหนาวนี้กำลังจะจากไปก็ก้าวเข้าสู่ปีใหม่แล้ว แน่นอนว่าผมเองกลับไปฉลองปีใหม่กับครอบครัว คนอื่นๆก็เหมือนกันครับ ช่วงสิ้นปีที่ผ่านมาเกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย ทั้งเรื่องผมรับปริญญา (แน่นอนมีฉลองกันเล็กๆกับไอ้ตี๋โปร ก่อนเพราะตามผมไปที่บ้านไม่ได้ติดเรียน) พอมาถึงบ้านผมยังโทรไปหาโปรด้วยความเป็นห่วงอยู่เสมอ ยิ่งช่วงคืนสิ้นปีมีแต่เรื่องน่ากลัวที่กรุงทเพฯ แต่ก็ได้คำตอบว่าตอนนี้ไม่ได้อยู่ในจุดๆที่เป็นอันตรายอะไร ผมเองก็เบาใจได้หลายอย่าง อย่างไรเสียโปรก็อยู่กับครอบครัวเขา คงไม่ไปไหนมาไหนคนเดียวแน่ๆ
“เวลาจะไปไหนอย่าออกไปคนเดียวนะ” เสียงผมบอกไปทางโทรศัพท์
“คร๊าบ ผมไม่ออกไปไหนหรอกน่า”
“ช่วงนี้อย่าขับรถเองด้วยนะ”
“แหม่ๆ มีแฟนเหมือนมีแม่อีกคนเลยวุ้ย”
“นี่โปร!!”
“คร๊าบ ไม่ให้เชื่อแฟนแล้วจะให้ไปเชื่อใคร”
โปรก็เล่าเรื่องหมอพจน์ประมาณว่าช่วงนี้มีคนโทรหาทุกชั่วโมง ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นไอ้รินหรือเปล่า ผมเองล่ะลองมาคิดดูดีดีก็คิดว่าไม่น่าแนะนำให้รู้จักกับไอ้รินเลย มันคนวอกนัก (ประมาณคนชอบหลอกๆ) แต่ก็ไม่ได้มีพิษภัยอะไรหรอกครับสำหรับน้องผมคนนี้ จะว่าไปแล้วเมื่อตอนที่ผม โปร พวกโจ มาเที่ยวบ้านผมเองแล้วไปเจอโอ๊ตที่ถนนคนเดินนั้นผมก็เพิ่งรู้ว่าที่โอ๊ตมาดักรอที่ถนนคนเดินได้นั้นเพราะไอ้รินเป็นคนบอกครับ ว่าพวกผมจะไปเดินที่ถนนคนเดินพอดีกับที่ชมรมเก่าผมจะจัดแสดงหาเงินเข้าชมรมพอดี เลยเข้าทางโอ๊ตเข้า (โอ๊ตกับผมอยู่ชมรมนี้ด้วยกันครับ) ผมเลยต้องบอกกลับไอ้รินไปว่า ทีหลังจะบอกอะไรโอ๊ตให้มาถามผมก่อน
“พี่หนึ่ง ฝากสวัสดีแม่ยายผมด้วยนะ”
“เออนะ พูดงี้”
“หรือว่าไม่จริง”
ไอ้โปรก็ยังไม่วายหยอดคำกวนๆก่อนที่จะวางสายไป จะว่าไปแล้วตอนนี้ก็ใกล้สอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ยิ่งเข้าใกล้เดือนเมษายนโปรเองก็เหมือนจะวุ่นมากกว่าผมเสียอีก ผมมานึกย้อนตัวเองตอนที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยเองผมก็วุ่นๆอย่างนี้ล่ะครับ ไหนจะเรียนพิเศษ ไหนจะอ่านหนังสือ ไหนจะดูว่าจะเข้าเรียนที่ไหน คณะอะไรดี ชั่งเป็นช่วงจุดเปลี่ยนที่สำคัญจริงๆ แต่ผมดูๆโปรแล้วเหมือนจะร่าเริงอยู่เสมอไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมนะถึงได้วางใจขนาดนั้น
ผมกลับมาบ้านก็เหมือนจะเจอโอ๊ตอยู่เรื่อยๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าเขารู้ได้ไงว่าผมจะไปไหนมาไหน ถามไอ้รินมันก็สาบานว่าไม่ได้บอก ถามเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยก็ดี เพื่อนทั้งหลายก็บอกว่าไม่ได้มีใครบอกอะไรเลย แต่ทำไมผมไปวัด หรือไปที่ไหนก็เจอโอ๊ตตลอดก็ไม่รู้ บางทีเขาก็มากับอาร์ทน้องของเขาน่ะครับ (แน่นอนช่วงนี้ปิดยาวอาร์ทก็มาเที่ยวหาพี่เขา) แต่ทุกครั้งที่เจอโอ๊ตก็จะเข้ามาบอกผมว่า
“หนึ่ง ผมไม่ได้มาทำอะไรนะครับ ผมรู้สถานะของเราดีครับ”
“แล้วทำไมถึงเหมือนคุณจะตามผม ตลอดเลยล่ะ”
“ก็แค่มีคนฝากให้ผมดูแลคุณตอนที่ไม่ได้อยู่ด้วยเท่านั้นล่ะครับ”
“อะไรนะ”
“อ่อ เปล่า ไม่มีอะไรหรอกครับ”
แต่มันก็ไม่มีอะไรจริงๆครับ จนผมจะขึ้นรถกลับกรุงเทพฯก็ยังเจอโอ๊ตมาส่ง แต่ไม่รู้ว่ามาส่งน้องเขาหรือว่ามาส่งผมนะครับ แต่ก็แปลกที่อาร์ทเองก็ขึ้นรถคันเดียวรอบเดียวกับผม แต่นั่งคนละที่เท่านั้น เพราะผมนั่งกับรูมเมทผมครับ มันก็กลับบ้านมันเหมืนกัน มันไม่ได้ไปหาแฟนครับ
“เฮ้ยหนึ่ง ทำไมไอ้โอ๊ตมาที่อาเขตได้วะ”
“มาส่งน้องเค้าล่ะมั้ง”
“เหรอ นึกว่ามาส่งแก”
“บ้าดิ”
“กูไปถามเพื่อนๆมา เห็นเค้าว่ามันอยากรีเทรินหามึงจะตาย สงเคราะห์มันหน่อยดิวะ”
“ไม่ได้หรอก”
“ไมวะ”
“เออ ไม่ได้คือไม่ได้”
“หรือว่ามึงมีแฟนละ”
“เหรอ ไม่รู้นะนี่”
“อ้าวเวง ไม่รู้ตัวเองอีกเออ กูรู้แล้วว้ามึงน่ะมี จนป่านนี้แล้ว จะมาปิดอะไรอีกวะ”
“อ้าวเหรอ ขอโทษๆ”
“ใครวะ”
“ใคร?”
“แฟน”
“ก็ อยู่แถวๆหอแหละ”
“เหรอ ว่างๆเอามาแนะนำหน่อยสิ”
“เออ ถ้าเค้ายอมนะ”
เราคุยกันหลายเรื่องบนรถเมล์ เวลาเดินทางกว่าสิบชั่วโมงแต่ผมรู้สึกว่ามันผ่านไปเร็วจริงๆหรือเพราะว่าผมมัวแต่คุยกับเพื่อนผมก็ไม่รู้ จนกระทั่งรถได้มาถึงที่สถานีขนส่งสายเหนือ ผมและเพื่อนกำลังจะเดินไปเพื่อโบกแท็กซี่เพื่อกลับหอ แต่ไม่ทันจะโบกเสียงโทรศัพท์มือถือผมก็ดังเสียก่อน
“เพ่หนึ่ง ออกมาด้านหน้าหน่อย ผมมาจอดรับนานแล้วนะ”
“อ้าว มารับพี่เหรอ ทำไมไม่บอกก่อน”
“หรือไม่อยากมา ผมจะได้กลับ”
“อ่ะ อ่ะ เดี๋ยวไปๆ รอก่อนนะ”
ผมวางหูแล้วก็บอกให้รูมเมทผมไปด้านหน้าของสถานี เพราะโปรจอดรถไว้ที่นั่นน่ะครับ เพื่อนผมมันก็งงๆถามว่าใครมารับ ผมก็บอกแค่ว่า น้อง น่ะครับ ไม่ได้บอกอะไรอีก จนเรามาถึงโปรจอดรถอยู่
“ดีคับพี่” โปรหันไปทางรูมเมทผมครับ
“ดีครับ อ้าวน้องคนที่เคยช่วยหนึ่งใช่ไหม”
“ใช่แล้วคับ”
“อ่อ อย่างนี้นี่เอง”
“อย่างนี้อะไรเหรอ” ผมถาม
“เออ กูไม่ได้โง่นะมึง”
“ค๊าบ พี่คิดถูกแล้วล่ะคับ” โปรพูดสอดเข้ามาครับ
จากนั้นรูมเมทผมก็สัมภาษณ์โปรกับผมใหญ่ว่าไปเจอกันยังไง คบกันนานรึยัง และยังกังวลแทนผมด้วยถึงความยังเป็นเด็กๆของโปร
“หนึ่ง เล่นกับเด็กสร้างบ้าน ระวังให้ดีนะ”
“ผมไม่สร้างหรอกครับบ้านน่ะ ผมจะสร้างรักกับพี่หนึ่ง”
“ฮานิไค่ฮาก” (กูนี้อยากอ้วก)
“ฮากอะไรเหรอ” โปรถามครับ แต่ผมก็ได้แต่หัวเราะไม่พูดอะไรต่อ
“เอ้อ พี่หนึ่ง ต่อไปนี้ตอนเย็นผมไปรับไม่ได้นะครับ ที่โรงเรียนมีติวให้ติวเสร็จผมก็ไปเรียนพิเศษต่อไม่ต้องรอผมนะครับ”
“อ่าเหรอ อืมๆ ไม่เป็นไร”
“แล้วจะโทรไปแทนนะ อย่าแอบไปนอกใจผมล่ะ พี่ก็ช่วยดูแลแฟนผมด้วยนะครับ”
“เออ ก็ดูอยู่ทุกวัน นอนกอดกันทุกวันเนี่ย”
“เฮ้ย!!! เพ่เป็นครายมากอดแฟนผม ผมยังไม่ได้กอดเลยนะ ผมหวงของผม”
“ก็เป็นคนที่นอนด้วยกันทุกคืนอ่ะดิ ถามได้”
“ก็ชอบแย่งหมอนข้างพี่ไปกอดเรื่อยแหละ เพื่อนพี่น่ะ” ผมตอบ
“เง้อ แกล้งแฟนผมอีก”
แล้วเราก็หัวเราะกันครับจนในที่สุดก็ถึงหอ โปรส่งผมกับรูมเมทเสร็จก็กลับบ้าน ก่อนกลับก็ยังบอกว่าทุกเช้ายังเหมือนเดิม คือมารับผมที่หน้าหอ ผมก็รับคำครับ ผมเองก็เข้าใจดีว่าช่วงนี้เองก็เป็นช่วงสำคัญของโปรจะให้มาอยู่กับผมตลอดคงจะไม่ได้
จากนั้นทุกๆวันโปรก็มารับผมทุกเข้า ตอนเย็นผมก็กลับรถเมล์เอง ตอนโปรกลับจากเรียนพิเศษถ้าไม่แวะมาหาผมก็จะกลับบ้านแต่จะโทรมาหาผมแทน บางวันที่โปรมารับผมตอนเช้า ผมสังเกตได้ถึงอาการเพลียๆของโปร แต่โปรก็จะท่าว่าสบายดีให้ผมเห็นเสมอ จนเช้าวันหนึ่งผมออกมาที่หน้าหอเห็นรถโปรจอดอยู่ ผมเดินไปเปิดรถปรากฎว่ารถล็อคประตูอยู่ ผมส่องไปดูในรถเห็นโปรหลับคาเบาะคนขับเลยครับจนผมต้องเคาะกระจกเรียกโปรถึงเปิดล็อคประตูให้
“โปร ไหวหรือเปล่า”
“หา อะไรนะพี่”
“ไหวหรือเปล่า ช่วงนี้ดูเพลียๆนะ”
“อ่อ ไม่มีอะไรหรอก”
“อ่านหนังสือดึกเหรอ”
“ไม่เท่าไหร่หรอก”
ผมถามอะไรโปรหลายอย่างด้วยความเป็นห่วง แต่โปรก็ตอบผมไม่กี่คำเช่น ‘คับ’ ‘ไม่เป็นไรคับ’ ‘สบายมากคับ’ แค่นั้นเองจริงๆ ผมเจอแบบนี้หลายครั้งตอนเช้า จนผมต้องบอกให้โปรหยุดเอารถมารับผมตอนเช้า เพราะขืนเกิดหลับในล่ะก็ จะแย่ทั้งโปรและผม
“โปร พรุ่งนี้เราไปรถเมล์กันเถอะ”
“ทำไม ไม่อยากไปกับผมแล้วหรอ”
“เปล่าๆ ก็ไปด้วยกันไง ขึ้นรถเมล์ดีกว่า ถึงช้าหน่อยแต่ปลอดภัยนะ”
“ม่าย มีรถสะดวกดี”
“ถ้าเราหลับในขึ้นมาจะว่าไง”
“ม่ายมีทางๆ”
“โปร”
“คับ??”
“รักพี่ไหม”
“รักสิคับ”
“ถ้ารักพี่ก็อยากให้เชื่อพี่ พรุ่งนี้ไม่ต้องเอารถมา”
“อืม....คับ อยากรู้จังพี่ชอบบังคับพี่หมอฟันอย่างงี้ด้วยป่าวหว่า”
“ไอ้โปร....” ผมพูดเสียงแข็ง
“คร๊าบ น้อมรับคำสั่งทุกประการ”
จากนั้นเหมือนทุกอย่างจะกลับมาเหมือนตอนที่เราเจอกันครั้งแรกครับที่ผมกับโปรไปรอรถเมล์ที่ป้ายรถเมล์ แล้วผมก็กลับหอด้วยรถเมล์เช่นเดียวกัน เพียงแต่ขากลับไม่ได้มีโปรกลับด้วยเท่านั้นเอง โปรว่าขากลับจะอาศัยเพื่อนที่มีรถไปด้วยน่ะครับ
แต่จะว่าไปยิ่งใกล้เดือนเมษายนเท่าไหร่ เวลาที่อยู่ด้วยกันระหว่างผมกับโปรก็น้อยลงเดี่ยวนี้ตอนเช้าโปรจะถือหนังสือข้อสอบเอนท์ทรานปีเก่าๆขึ้นมาถามผมบนรถ บางทีผมก็ตอบไม่ได้ บางทีผมก็ตอบได้ ที่ตอบไม่ได้เพราะมันเหมือนมีหลายข้อที่ถูก ผมเองก็ไม่กล้าฟังธงไปว่าข้อไหนถูก ไม่ก็วิชาพวกวิทยาศาสตร์ที่ผมเองก็ไม่ได้เรียนไปนานแล้ว ตอนนี้เราไม่ค่อยได้พูดความเป็นไปของตัวเองกันเท่าไหร่ ไม่พูดเรื่องสอบก็เรื่องเรียน เสาร์อาทิตย์ก็อย่าหวังเลยว่าผมจะได้เจอกับโปร จนกระทั่งปิดเทอม โปรจบ ม.6 แล้วแต่ก็ยิ่งไม่มีเวลาว่างเสียอย่างนั้นเพราะยังไม่สอบเข้ามหาวิทยาลัยแต่ผมก็จะส่ง SMS ไปถึงเสมอให้กำลังใจบ้าง แสดงความห่วงบ้าง แล้วแต่กันไป ช่วงนี้ผมก็รู้สึกว่าเหงาๆนะครับมันไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่จะไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด ตอนเช้าผมก็ไปขึ้นรถเมล์คนเดียวเพราะโปรไม่ได้ไปโรงเรียนแล้ว
จนเย็นวันหนึ่งปลายเดือนมีนาคม ผมกำลังมารอรถที่หน้าที่ทำงานผมตามปกติ เสียงโทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้นซึ่งเบอร์นี้ผมไม่คุ้นเลย
“สวัสดีครับ”
“หนึ่ง เป็นไงบ้างครับ ช่วงนี้เหงาหน่อยนะ”
“โอ๊ต ทำไม..”
“อ่อ ผมโทรมาถามความเป็นไปเท่านั้นน่ะครับ เห็นว่าน้องเค้าช่วงนี้ยุ่งๆ ผมเองก็ขอโทษด้วยที่ไม่ได้ไปดูแลคุณ”
“ทำไมต้องมาดูแลด้วยล่ะ?”
“ผมก็ยังเป็นห่วงคุณนี่ครับ”
ก่อนที่ผมจะตอบอะไรออกไป ก็มีคนมาดึงโทรศัพท์มือถือผมออกจากมือ ผมตกใจนึกว่าขโมยจะมาวิ่งราวมือถือผมเสียอีก ผมมองไปที่คนดึงมือถือผมไปทันที
“โปร!!”
“ฮัลโหล เพ่หมอฟันหรอ ไม่ต้องมาห่วงอะไรแล้วนะ ผมมารับหน้าที่เหมือนเดิมแล้ว ขอบคุณที่ช่วยเป็นห่วงนะ”
ว่าไม่ทันไรโปรก็วางหูไปครับ ผมเพิ่งสังเกตว่าวันนี้โปรใส่ชุดนักเรียนแต่ผมโปรเริ่มยาวมากกว่าเดิมกว่าตอนก่อนหน้าที่เจอกัน
“โปร มานี่ได้ไง แล้วทำไมใส่ชุดนักเรียน”
“ก็ไปสอบมา วันนี้วันสุดท้ายแล้ว”
“อ้าว สอบอะไร”
“ก็สอบเอฯงาย”
“ไหนว่าสอบเดือนหน้า”
“หรอ ครายบอกเพ่ล่ะ โดนโกหกแล้วม้าง”
“เรานั่นแหละ บอกพี่ว่าประมาณเมษา”
“หรอคับ” โปรพูดแล้วก็ทำตากลอกไปมา โปรคนเดิมของผมกลับมาแล้วครับ
“เพ่หนึ่ง มาเร็วๆขึ้นรถ รถผมมันคิดถึงพี่แย่แล้วนะ มันว่าเหงามากที่ไม่ได้บริการพี่”
“เออนะ จริงๆเล้ย”
แล้วผมก็เอามือไปขยี้ผมโปรด้วยความหมันไส้ โปรก็วิ่งๆหนีผมขึ้นรถ ผมก็ตามขึ้นไปครับ แล้วเราก็ขับรถออกจากตรงนั้นไปยังห้างแห่งเดิมที่ผมเคยมาทานข้าวกับโปรบ่อยๆเมื่อตอนที่ผมต้องมารอโปรเรียนพิเศษ เพื่อเป็นการเลี้ยงฉลองสอบเสร็จครับ ต่อจากนี้โปรไม่ต้องไปเรียนพิเศษอีก ไม่ต้องตื่นเช้ามากอีก ไม่ต้องปวดหัวอีกสารพัด ต่อไปนี้อะไรคงจะดีขึ้นแน่ๆครับ ผมแน่ใจว่าอย่างนั้นครับหรือว่าจะให้เป็นอย่างอื่นดีล่ะครับ