สวัสดีครับ
ความหมายของผมคือว่า ในการโพสแต่ละครั้งนี้ จะจำกัดจำนวนอักษร หรือบรรทัดในการโพสไหม เพราะตอนท้ายๆ ไอ้นายเส้นฯ มันเขียนไว้มากกว่าห้าหน้ากระดาษ A4 น่ะครับ ถ้าไม่จำกัด ก็จะได้โพสแบบสบายใจหน่อย ไม่ต้องตัดต่อ
ขอบคุณครับ
ปล.ผมใช้ไฟล์ฟ็อกครับ
ตอนที่ 4
เช้าวันใหม่เริ่มขึ้น อะไรเดิมก็กำลังจะไม่เหมือนเดิม ผมตื่นขึ้นมาด้วยเสียงรูมเมทของผมปิดประตูห้องน้ำดัง’ปัง’ เฮ้อ เริ่มวันใหม่อีกแล้ว วันนี้จะมีอะไรดีดีเหมือนเมื่อวานไหมนะ ผมคิด แต่วันนี้อาจไม่ใช่วันที่โชคดีของผมก็ได้ ที่ป้ายรถเมล์ไม่มีเงาของเด็กนักเรียน ม.ปลายที่ชื่อ “โปร” เลยเค้าคงไปเรียนต่อเช้าแล้ว รถเมล์สายประจำผมขับผ่านหน้าโรงเรียนของโปร ผมก็มองเข้าไปข้างในเห็นเด็กนักเรียนกำลังเดินเข้าห้องเรียนเพื่อเรียนคาบแรกของวัน ผมก็ยังคิดไม่ตกอยู่ดีถึงคำพูดที่โปรบอกผมทางโทรศัพท์ที่หาว่าผมกับรูมเมทเป็นแฟนนั้นมันยังไงกันแน่ ที่ผมกลัวไม่ใช่กลัวโปรเข้าใจผิด แต่ที่ผมกลัวคือถ้าโปรยังดูออกว่าผมเป็น แล้วคนอื่นจะดูผมออกอีกหรือไม่?? ตรงนี้น่าคิดกว่านะครับ
เมื่อถึงที่ทำงาน ผมก็เริ่มงานตามปกติเจ้าโจก็ยังกวนผมได้เรื่อยๆ ไม่รู้มันไปกินอะไรมาถึงได้คึกถึงได้แซวผมได้ตลอด ตั้งแต่เรื่องเอกสารบนโต๊ะผมที่มันค่อนข้างรก (ยั่งกะของมันไม่รกนักน่ะ) จนงานที่หัวหน้ามอบหมายให้ มันก็ยังกล้าแซวผมต่อหน้าเจ้านาย
“นี่ นายโจ ฉันจ้างให้แกมาทำงานนะไม่ใช่ให้มากัดกับเพื่อนร่วมงาน ดูสิไอ้หนึ่งมันยังไม่ตอบโต้แกสักคำ”
“โห พี่จิ๊บ ก็ดูไอ้หนึ่งสิ มันเม่อทั้งวันเลยวันนี้ อาการแบบนี้คนกำลังมีความรัก”
“งั้นเหรอ จริงป่าวฮะหนึ่ง”
เอากับเค้าสิเจ้านายผม พี่จิ๊บเป็นหัวหน้าแผนกของผม พี่แกเป็นสาววัยแรกรุ่น (รุ่นแย้มฝาโลง) แต่พี่จิ๊บเป็นคนเอาการเอางานมาก ทำงานเก่ง รักลูกน้อง หลายหนที่ผมคิดจะออกจากงานนี้ไปทำที่อื่น แต่ด้วยเพราะพี่จิ๊บที่รู้จักที่จะมัดใจลูกน้องทำให้ผมไม่สามารถไปไหนได้เลยเพราะด้วยความเกรงใจ
“ไม่ใช่หรอกครับพี่ ไอ้โจต่างหาก มันคงทะเลาะกับแฟนมันมาเลยมาลงกับผม”
“เอะ ไอ้นี่ ปากดี”
ที่ผมชอบแซวโจเรื่องมันทะเลาะกับแฟน เพราะมันชอบเล่าเรื่องแฟนมันให้ผมฟังครับ เวลามันทะเลาะกับแฟนมันก็มาปรึกษาผมเสมอ ด้วยความเป็นผมล่ะมั้งครับเลยเป็นที่ปรึกษาที่ดีเสมอ แต่ผมก็ไม่เคยเจอแฟนโจสักที มันก็บอกแต่ว่าพร้อมเมื่อไหร่จะเอามาแนะนำให้รู้จัก
“ใครจะเป็นหญิงผู้โชคร้ายที่เจ้าหนึ่งไปแอบชอบนะเนี่ย พี่ล่ะอยากรู้จริงๆ”
“พี่จิ๊บ ไปเชื่อมัน ไม่มีหรอกครับ”
“จ้าๆ พี่จะคอยดู เอาล่ะเลิกๆๆ ไปทำงานได้ละ เดี๋ยวพวก HR มาเห็น ชั้นไม่รู้กับพวกแกด้วยนะ”
“คร๊าบบ เจ้านาย”
เมื่อต่างคนต่างแยกย้ายไปทำงาน ผมเองก็ยังคิดดูอยู่ผมเองก็ไม่ได้แสดงออกขนาดให้คนทั่วไปรู้ มันก็แปลกอยู่ที่โปรจะทักผมแบบนั้น เอ..หรือผมคิดมากไปเอง
เมื่อถึงเวลาเลิกงานผมกลับรถเมล์สายประจำของผมเช่นเดิม คราวนี้เมื่อจอดที่หน้าโรงเรียนของโปร ผมก็อดไม่ได้ที่จะมองดูคนที่ขึ้นรถมาว่าจะมีโปรขึ้นมาด้วยไหม เพราะเบาะข้างๆผมก็ยังคงว่างอยู่เหมือนเดิม แต่วันนี้คนที่ขึ้นรถที่ป้ายหน้าโรงเรียนของโปรนั้นเยอะเป็นพิเศษทำให้ผมมองไม่เห็นโปรเลย สงสัยว่าคงกลับบ้านไปก่อนแล้ว ตอนนี้เบาะข้างๆผมมีผู้หญิงสูงอายุคนหนึ่งมานั่งแทน ผมก็ได้แต่เม่อไปนอกหน้าต่างคิดถึงวันวานที่ผ่านมาว่าเคยผ่านอะไรมาบ้าง ทั้งสุขทุกข์ สิ่งเลวร้ายที่เคยเจอ ย่อมเป็นสิ่งที่เตือนใจผมได้ดีก่อนที่จะคิดตัดสินใจทำอะไรหรือเลือกอะไรลงไป ‘ครั้งนี้ก็คงเหมือนครั้งก่อนๆ จะหวังให้มากไปทำไมนะ’ ผมคิดหลายสิ่งที่ผ่านมาสอนให้ผมเป็นคนคิดในแง่ร้ายเสมอเรื่องความรัก เมื่อถึงป้ายรถเมล์หน้าปากซอยเข้าหอผม ผมก็ลงตามปกติ ก่อนที่ผมจะเดินเข้าซอยไปนั้น สายตาผมได้ไปสะสุดที่เด็กผู้ชายใส่เสื้อนักเรียนคนหนึ่ง ผมมองหน้าเค้าแล้วเค้าก็ยิ้มให้
“ผมมารถคันที่ติดรถพี่นี่ล่ะครับ พอดีผมขึ้นรถคันของพี่ไม่ทัน”
“อ้าว.. แล้วนี่ตามพี่มาเหรอ”
“ก็พอดีผมเห็นพี่นั่งริมหน้าต่าง ผมคุยกับเพื่อนอยู่ เลยไม่ทันขึ้นน่ะครับ พอดีรถคันต่อไปมาพอดีเลยขึ้น
แล้วนี่พี่ตกลงจะติวให้ผมใช่ไหมครับ”
“เอ่อ... อืม”
“โอเคนะครับ งั้นเริ่มศุกร์นี้เลยนะ”
“ศุกร์นี้เลยเหรอ เริ่มเร็วจัง”
“ที่จริงอยากเริ่มตั้งแต่วันนี้น่ะครับ แต่พี่คงไม่เอาด้วยงั้นผมขอมัดจำค่าเรียนไว้ก่อนนะครับ เพื่อให้แน่ใจว่าพี่จะสอนให้ผม”
“เฮ้ยมัดจำอะไร ไม่ต้อง พี่สอนให้ฟรี พี่จะได้ทวนความรู้ไปด้วย เผื่อจะสอบต่อ ป.โท”
“เอาน่าพี่ ตามผมมาๆ”
ผมงงๆนิดๆ ไม่รู้ว่าโปรจะพาผมไปไหน ถ้าเค้าคิดจะทำอะไรไม่ดีล่ะก็ ผมคงไม่ยอมแน่ ไม่งั้นเสียผู้ใหญ่แย่ แล้วโปรก็พาผมไปที่ร้านไอศกรีมใกล้ๆซอยหอผม
“วันนี้ผมอยากกิน พี่ต้องกินเป็นเพื่อนผมนะ”
“อ่าว ทำไมล่ะ”
“ก็ผมไม่มีเพื่อนกินด้วยนิ เอาน่าพี่ ผมเลี้ยง”
“เฮ้ย ไม่ได้ๆ เราเป็นน้องเลี้ยงพี่ได้ไง”
“ให้เป็นค่าเรียนของผมแล้วกันนะพี่ พี่กินแล้วต้องมาสอนผมนั้นไม่งั้นจะฟ้องเรียกค่าเสียหาย”
“โห ถ้าพี่ไม่กินล่ะ”
“ก็จะฟ้อง ฐานปล่อยทอดทิ้งให้เด็กอย่างผมกินไอติมคนเดียว”
‘มันเกี่ยวตรงไหนวะเนี่ย’ ผมล่ะงงกับคำพูดของเด็กมือโปรนี่จริงๆเชียว แต่ที่ผมกลัวคือถ้าเค้าจะจีบผมจริง ถือว่าเป็นก้าวที่ไวมากๆจนเกรงว่าต่อไปจะเป็นอย่างไรนะ
ผมกินไอติมไปโปรก็คุยกับผมไป ผมว่าผมพูดมากแล้วนะนี่ โปรออกจะพูดเก่งกว่าผมอีกชวนคุยได้ทุกเรื่อง
“พี่หนึ่ง ไอติมติดริมปาก”
“อ้าวเหรอ”
ผมกำลังจะหากระดาษทิชชู่มาเพื่อจะเช็ด แต่ไม่ทันเสียแล้ว เจ้าโปรเอาทิชชู่มาเช็ดให้ผมเรียบร้อย ด้วยมือของเค้าเอง ตอนนั้นเองผมอายอย่างมาก อาจเป็นเพราะเพิ่งรู้จักกัน แล้วก็ผมแก่กว่าเค้า แต่เค้าทำตัวเป็นผู้ใหญ่เช้ดปากให้ผมเสียอีก
“เฮ้ย บ้าป่ะ เช็ดเองได้” ผมตกใจเหมือนกันกับสิ่งที่โปรทำ
“ก็เห็นแล้วรำคาญ”
พูดแบบหน้าตาเฉยมากๆ แล้วผมก็เอามือตีหัวเจ้าโปรเบาๆ แล้วบอกว่าทำแบบนี้คนอื่นเห็นเดี๋ยวเค้าเข้าใจผิด เจ้าโปรมองไปรอบๆแล้วทำตากลิ้งไปมา บอกว่าไม่มีใครเห็นหรอก ถึงเห็นก็ไม่สน อ้าวเวร แบบนี้คนที่เสียทั้งขึ้นทั้งล่องคือผมคนเดียวเลยนะนี่ จากนั้นผมก็อายจนไม่รู้จะพูดอะไรอีก ชีวิตไม่เคยเจอคนมาจีบแบบรวดเร็วขนาดนี้นิครับทำไงได้ เอะหรือผมจะคิดไปเองว่าเค้าจีบผมอยู่??