สวัสดีครับ
ครายจะกดกรูไม่ทราบไอ้คุณโฟล์ค (เต่า) แต่ถ้าน่ารักก็จะให้กด
ก๊ากกกกๆๆๆๆ
แต่โหวต 1 น่ะ เมิงไปนับไอ้ที่กรูเคยเปิดโหวตไว้ตอนแรกๆของกระทู้แสะ แล้วจะได้รู้ว่าโวตกี่คะแนน
หมอนัฎนะใครจะไปนอกใจที่รักของผมได้ลงคอล่ะครับ แหม่ๆๆๆ เว้นแต่ที่รักจะทิ้งผมไปหาคุงนัทเท่านั้นล่ะ
กลับมาจากสอบแล้วครับพี่น้อง ทำไปกุมขมับไป... จนแล้วจนรอด ปวดฉี่ชิบ...ตอนอยู่ในห้องก็ต้องรีบออกมาและ...
ในที่สุด.........
ตอนสุดท้าย......
ก็มาถึงแล้วครับพี่น้องคร๊าบบบบบ......
ขอบคุณที่ติดตามมาตลอดครับที่รักของผมทุกๆคน รักทุกๆคนจังเลย
ปล.น่าจะมีตอนพิเศษให้นะครับ
ปล.2 พี่ๆโมฯ หรือ ท่านแอดมิน จะเปลี่ยนเอาไปหัวข้อเรื่องที่จบแล้วก็ได้ครับ แต่แจ้งล่วงหน้าสามวันทำการก่อนจักเป็นพระคุณยิ่งแล้วครับ
ตอนที่ 30
หลังจากที่ผมจบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยต่างจังหวัด ผมก็ได้เข้าทำงานบริษัทแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ แล้วจากนั้นผมก็ลาออกมาทำงานอยู่อีกที่หนึ่ง แน่นอนครับว่ามีการเปลี่ยนแปลงเข้ามาในชีวิตมากมาย แต่ผมก็ต้องปรับตัวให้ได้ ผมเริ่มตื่นเองแทนที่จะมีคนมาปลุกเหมือนก่อน แต่มันแปลกตรงที่ต้องเปลี่ยนไปเป็นผมเป็นฝ่ายปลุกคนอื่นแทน ผมต้องตื่นเช้าเหมือนมันต้องเป็นไปโดยอัตโนมัติ เพื่อไปเซ็นต์ชื่อเข้างานให้ทัน แต่นี่ก็เป็นเวลาสองปีแล้วที่ผมใช้ชีวิตในเมืองอันวุ่นวายอย่างนี้
‘เช้าวันจันทร์อีกแล้วสินี่’ ผมตื่นขึ้นมาเองโดยไม่ต้องได้ยินเสียงอาบน้ำของรูมเมทของผมอีกต่อไปเหมือนเคย แต่ต้องตื่นมาด้วยเสียงนาฬิกาปลุกแทน ด้วยหัวสมองของผมตอนนั้นมึนๆเพราะเพิ่งตื่นแล้วก็เอาหัวไปซุกที่หมอนอีกครั้ง แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า ‘เอาน่างานคือเงิน เงินคืองาน’ ก็ต้องลุกขึ้นมาอีกครั้งเพื่อไปหยิบผ้าเช็ดตัวรอใครบางคนออกจากห้องน้ำ ทั้งที่ปกติผมต้องปลุกเขาหลังผมอาบน้ำเสร็จ แต่วันนี้เขาตื่นก่อนผมเสียได้ โดยรวมแล้วเช้าวันนี้ก็เหมือนปกติของทุก
เฮ้อ...ชีวิต
เดี๋ยวนี้ผมสบายมากขึ้นในเรื่องชุดทำงานเพราะใส่เสื้อเหลืองตราสัญลักษณ์ฯไปทำงานทุกวัน ผมจัดการตัวเองเรียบร้อย รีบออกจากห้องพักไปยังป้ายรถเมล์ ที่จริงแล้ววันนี้ผมต้องรอใครสักคนเพื่อจะไปด้วยกัน รถเมล์จากป้ายไปถึงที่ทำงานผมมีหลายสายครับ ทว่าคนจะขึ้นกันเยอะมาก ผมมองดูนาฬิกาข้อมือก็เห็นว่าสายมากแล้ว นี่รอตั้งนานละนะก็ไม่เห็นแม้แต่เงา ผมเลยตัดสินใจที่จะไม่รอวันนี้มีงานต้องเคลียร์แต่เช้าเสียด้วยสิ วันนี้ผมโชคดีที่รถเมล์สายที่ผมขึ้น ขึ้นไปก็เจอที่นั่งว่างสองเบาะ ผมก็นั่งเบาะในตามมารยาท เมื่อรถจะออกผมได้ยินเสียงเหมือนใครบางคนนอกรถตะโกนของผู้ชายบอกให้หยุด ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรจนกระทั่งรถได้หยุดรับเรียบร้อยแล้วจึงออกตัวไป ตอนนี้ผมเพิ่งได้สังเกตคนที่เพิ่งขึ้นมาบนรถเป็นเด็กนิสิตมหาวิทยาลัยที่สายรถเมล์ที่ผมขึ้นผ่าน เค้ามองดูรอบรถสักพักแล้วก็ตัดสินใจมานั่งเบาะข้างๆผม ผมก็มองเค้าสักพักแล้วยิ้มให้แล้วก็หันออกไปที่หน้าต่างรถดูผู้คนที่กำลังเดินไปมาริมถนน
จู่ๆเขาก็เอาหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่ง ชื่อประมาณว่าวิชาเศรษฐศาสตร์เบื้องต้น เขาอ่านมันได้สักพักแล้วก็บ่นออกมาเบาๆ
“แล้วไอ้ความยืดหยุ่นนี่มันหาไงวะเนี่ย”
เสียงบ่นออกมาจากปากของเขา นั่นทำให้ผมสะดุดใจนิดนึง เพราะผมเองเรียนจบทางเศรษฐศาสตร์มา ก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าคำตอบที่เค้าต้องการมีอะไรบ้าง เขาพยายามเอาสมุดเลคเชอร์ในกระเป๋าขึ้นมาดูแต่ดูเหมือนยิ่งอ่านก็ยิ่งยอมจำนนต่อคำถามที่ว่าเมื่อสักครู่
“เอ่อ น้องครับน้อง...” ผมเริ่มที่จะพูด
“ครับ?”
“แล้วใครบอกให้น้องเลือกเรียนวิชานี้เป็นเลือกเสรีล่ะครับ”
“ก็นะ ไหนๆก็มีแฟนจบเศรษฐศาสตร์แล้ว ก็อาจให้ผมได้เอไงคับ” เป็นงั้นไป ไอ้ตี๋ตัวดี
“แล้วนี่รถเรียบร้อยแล้วเหรอ”
“อืม เย็นนี้คงเอาได้อ่า”
“ให้กุญแจพี่ยามไป เชื่อใจได้แน่นะ”
“เชื่อได้ดิ ก็พี่ยามคนเดิมไง ไม่ใช่คนอื่น พี่แกบอกว่าจะเอาไปให้ช่างที่รู้จักกะแกดูให้ก่อน”
“พี่ก็ว่าเราหายไปไหนแต่เช้า ที่แท้ก็เอากุญแจรถไปฝากพี่ยาม”
“ช่าย”
“งั้นก็แล้วไป แล้วนี่พี่บอกแล้วว่าให้เอารถเข้าศูนย์บ้างก็ไม่เชื่อ”
“แหม่ ก็มันไม่มีเวลานินา”
สรุปแล้วผมยังคงอยู่กับโปร เงินเดือนผมแม้น้อยแต่ก็พอใช้ครับ ผมไม่ค่อยอยากจะทำตัวเป็นภาระของใครเท่าไหร่ ที่จริงแล้วผมก็เพิ่งมารู้เรื่องที่บ้านโปรจริงๆเมื่อตอนมาอยู่กับโปรแล้วนี่เอง ผมเพิ่งรู้นะนี่ว่ามีแฟนเป็นเจ้าสัวน้อยๆ (ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ) ที่บ้านโปรบางทีก็มาที่คอนโดเราบ้างน่ะครับ โปรก็บอกว่าผมเป็นแฟน บอกไปตรงๆ ผมละตกใจมากกว่า ทั้งๆที่ตอนแรกตกลงบอกว่าเป็นรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยเรียนจบแล้วแต่มาอยู่ช่วยจ่ายค่าเช่าให้โปรเสียอีก ผมไม่กล้าสบตาใครเลยครับทั้งคุณแม่ (ม๊า) ของโปร น้องชายหรือคนอื่นๆ แต่สุดท้ายผมก็เพิ่งทราบอีกเหมือนกันว่าที่บ้านโปรรู้มาตลอด (เรื่องของโปร) แต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้เจอผมสักที โปรเองเคยถามผมว่าทำไมไม่บอกกับคุณพ่อคุณแม่ผมไปสักทีว่าโปรเป็นแฟนผม ผมบอกโปรไปว่า ผมทราบดีครับว่าคุณพ่อคุณแม่ผมคงจะทำใจไม่ได้แน่ ผมเลยไม่ขอบอกดีกว่า บางทีท่านอาจจะรู้กลายๆแล้วก็ได้ แต่ท่านคงไม่อยากจะพูดอะไรเพราะลูกชายคนนี้คงจะไม่เป็นอย่างที่กลัวๆไว้ ผมคิดว่าอย่างนั้นนะครับ
ทุกวันแม้จะต่างที่ แต่ก็มีกิจวัตรไม่ต่างไปจากเดิมเท่าไหร่ โปรก็ไปส่งผมตลอด (ผมเองก็ยังขับรถไม่เป็นเหมือนเดิม) จากเดิมที่ว่าไปทางเดียวกันกับที่ทำงานผม แต่ด้วยการที่เราย้ายมาอยู่ที่คอนโดของโปร ทำให้ที่ทำงานผมมันอยู่เลยมหาวิทยาลัยของโปรไปอีกน่ะครับ ผมก็บอกหลายทีแล้วนะว่าจะขึ้นรถเมล์ไปเอง แต่เจ้าตี๋โปรก็ไม่ยอมน่ะครับ ก็ดีให้ตื่นเช้าๆทุกวันเป็นเพื่อนผม (ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ) เพราะในบางวันโปรมีเรียนสายน่ะครับ ตอนเย็นนี่ถ้าหากว่าไม่ติดอะไรโปรก็ยังมารับผมเป็นปกติ
ถ้าถามว่ามีอะไรที่ต้องทะเลาะกันบ้างไหม มีครับเรื่องปกติ ผมเคยทะเลาะกับโปรเรื่องของกินบ้าง เรื่องรถบ้าง เรื่องที่โปรขับรถ โอย..... เยอะนะครับ แต่สุดท้ายผมก็รู้ว่าโปรต้องยอมผม เอะ หรือว่าผมต้องยอมโปรนะ เคยมีอยู่ตอนหนึ่งที่โอ๊ตโทรมาหาผมตอนค่ำๆครับ ตอนนั้นผมเองก็เพิ่งเสร็จงานใหญ่มา ก็ค่อนข้างเหนื่อยและไม่สบอารมณ์กับอะไรเท่าไหร่อยู่แล้วด้วยน่ะครับ
“ใครโทรมาเหรอ”
“เพื่อนพี่น่ะ ทำไมเหรอ”
“เพื่อนหรอ”
“อ้าวก็เพื่อนอ่าสิ”
ว่าแล้วเจ้าตี๋โปรก็เอามือถือผมไปดูเฉยเลยว่าใครโทรมา
“โหยๆ ยังคุยกะพี่หมอฟันอีก”
“นะ ก็เพื่อนพี่นิ”
“ไม่ใช่จะหนีไปอีกนะ”
“นะ พูดงี้เดี๋ยวไปจริงเลยนิ” ผมเริ่มงอนๆบ้างแล้วนะ
“ไปเลยๆ ถ้าไม่รักผมก็ไปเยยยยย”
“งั้นไปละนะ”
แล้วผมก็เดินไปที่ห้องนอน เอากระเป๋าเสื้อผ้าออกมา แล้วก็เปิดตู้ แล้วเอาเสื้อผ้าของผมออกมาสองสามชุด ไม่ทันไรโปรก็เดินตามเข้ามา
“หนึ่งอ๊า ล้อเล่น”
“พี่ไม่เล่นด้วยนะ”
“อ้าว ไม่เล่นก็ไม่เล่น ไม่สนด้วยละ”
แล้วโปรก็เดินออกไปเลย ผมก็ไม่สนใจเก็บกระเป๋าเสร็จแล้วก็หิ้วมันออกไปนอกห้องเลย ถามว่าตอนนั้นผมจะไปไหนเหรอ บอกตรงๆผมเองก็ไม่รู้เลยน่ะครับ ตอนลงไปข้างล่างคอนโดก็นึกๆอยู่ว่าจะไปไหนดี (ผมมาคิดๆดูแล้วเรื่องไม่เป็นเรื่องมากเลย) แล้วผมก็เดินไปที่ป้ายรถเมล์ใกล้ๆ กะว่าไปหาโจดีกว่าผมเลยโทรไปหาโจว่าคืนนี้อาจจะไปขอนอนด้วย ผมเลยวางกระเป๋าเสื้อผ้าไว้ข้างๆ แล้วก็หยังโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหาโจ
“เดๆ หนึ่ง” เสียโจรับสายครับ
“เออหวัดดีโจ คืนนี้ว่าจะขอ...”
“ไม่ให้มา”
“เฮ้ย ...ว่าอะไรนะ”
“ก็บอกว่าไม่ให้มา”
“ไม่ให้มาอะไร”
“ไม่ให้มานอนด้วยอ่าสิวะ”
โจพูดเสร็จแล้วก็หัวเราะ ผมละงงเลย รู้ได้ไงว่าผมจะไปนอนด้วย
“รู้ได้ไง”
“เด็กแกโทรมาบอก”
“เวร”
“เออน่า แกก็ไปงอนมัน สงสารเด็ก”
“เดี๋ยวนี้เห็นใจกันแล้วเหรอ ทีเมื่อก่อนกัดกันอย่างอะไรดี”
“ก็ คนหัวอกเดียวกัน มีแฟนขี้งอน”
“เออนะ”
แล้วผมก็บ่นๆๆ เรื่องงานบ้าง เรื่องโปรบ้าง สารพัดเรื่องให้โจฟัง นี่แป็นครั้งแรกมั้งครับที่ผมบ่นให้โจมันฟังเพราะทุกทีโจจะเป็นฝ่ายที่บ่นให้ผมฟังมากกว่า
“เออ เอาน่าๆ มันก็เด็กนะแก”
“นี่ก็โตแล้วนะ ใช่ว่าอายุมันจะห่างขนาดนั้นนิ 4 ปีเอง”
แล้วผมก็หันไปที่กระเป๋าที่ผมวางอยู่ ผมไม่เห็นมันอยู่ตรงที่ผมวางแล้วครับ ผมล่ะใจหายวาบเลยบอกโจว่าวางหูก่อน แล้วผมก็มองไปรอบๆ แล้วก็เจอเจ้าตี๋โปรยืนกอดกระเป๋าของผมอยู่
“กระเป๋า” ผมพูดแล้วยื่นมือไปที่โปร
“ม่ายให้”
“เอามา”
“ม่ายให้”
“เอามาน๊า”
แล้วผมก็วิ่งจะไปแย่งกระเป๋ามา โปรก็วิ่งหนีผมไปทางคอนโด โปรยังมีหน้ามาวิ่งไปหัวเราะไปอีกนะครับผมก็วิ่งตามไป โปรวิ่งกลับไปทางคอนโดครับ ผมก็ตามไปจนผมเริ่มรู้ตัวแล้วว่าทำอะไรอยู่ก็เลยไม่วิ่งตามแล้ว (ที่จริงก็เหนื่อยด้วย) ผมก็กลับเข้าไปในคอนโดตรงโซฟาที่เค้าจัดให้นั่งรอตรงล็อบบี้ ผมนั่งพักสักพักโปรก็มานั่งโซฟาตรงข้ามผม
ผมก็ทำหน้าไม่พอใจให้โปร แต่โปรเหรอครับ กลับมายักคิ้วทำหน้ากวนๆใส่ซะงั้น
“แก่แล้วนะคั๊บ วิ่งมากเดี๋ยวกระดูกกระเดี้ยวหักเอานะ”
“เออ แก่ แก่มาก”
“ก็แก่กว่าไหมล่ะ”
“แก่กว่าแล้วจะเอาเป็นแฟนทำไม”
“ก็ผมรักของผมนิ”
แค่คำพูดเดียวสั้นๆ ทำให้ผมกลับยิ้มได้อย่างประหลาด
“แน่ หายงอนละเหรอ”
“ใครงอน”
“คนแก่ขี้งอน”
“เออ”
“ล้อเล่นคับ อย่านะๆ อย่างอนอีก ผมขี้เกียดวิ่งหนี”
ผมก็นึกมันมีที่ไหนวะ คนงอนวิ่งไล่คนถูกงอนเนี่ย
“นี่ เรื่องโอ๊ตน่ะนะ...”
“หวงไม่ได้เหรอ” ไอ้ตี๋โปรพูดสอดขึ้นมา
“นะ มันก็..ได้ แต่นี่เพื่อนพี่นะ”
“แต่เพื่อนไม่คิดแค่เพื่อนอ่าดิ จ้องจะแย่งไปตลอดเลย”
“เค้าโทรมาบอกว่าเค้าคิดว่าจะมีแฟนใหม่แล้ว..”
“เจงดิ งี้ศัตรูก็หมดไปอีกคน”
“มันมีเยอะเหรอ ไอ้ศัตรูเนี่ย”
“ช่าย พวกขัดขวางความสุขของเราสองคน”
“มีที่ไหนกัน เราแหละมีแต่คนมาชอบ”
“แหม่ๆ ผมก็บอกแล้วไงครับว่าผมไม่โสด เค้าก็มาชอบผมเองอ่า ช่วยไม่ได้คนมันน่าตาดี
ศัตรูก็พวกที่ชอบมาขัดขวางตอนที่ผมอยู่กะหนึ่งไง เช่นหมาเพื่อนหนึ่ง”
แล้วผมก็หัวเราะครับทั้งๆที่บอกว่าศัตรูแต่ก็ไปขอความร่วมมือให้ช่วยนะนี่ ผมเดินไปยืนหน้าโปร
“ไป กลับห้องกันเถอะ”
“ฮั่นแน่ หายงอนแล้วใช่ไหม”
“ใครบอก ยังไม่หาย”
“อ๊า...”
“ถ้าไม่ถือกระเป๋าแล้วเอาไปเก็บให้ จะไม่หายนะ”
“คร๊าบบบ”
เรื่องมันก็จบลงด้วยดีน่ะครับ แต่ในบางเรื่องก็เกือยแย่เหมือนกันนะครับ แต่ท้ายที่สุดก็ผ่านไปด้วยดีเพราะคนที่ โปรเรียกว่าศัตรูทั้งหลายนี่ล่ะ
กลับมาบนรถเมล์ครับ ตอนเช้านี่รถติดเป็นปกติ ยิ่งหน้ามหาวิทยาลัยของโปรแล้วยิ่งติดหนักมาก
“เอ้อนี่พี่เอาหนมปังมาป่าว”
“อ่ะ” แล้วผมก็เอาขนมปังที่เก็บไว้ในกระเป๋ากับนมออกมา
“ไม่มีไส้ครีมเหรอ”
“ไม่มี”
“อ๊า จากินไส้ครีมอ่า”
“ก็ใครล่ะกินคนเดียวหมด”
“หนึ่งอ๊า” เดี๋ยวนี้บางทีโปรก็เรียกชื่อผมเฉยๆแล้วล่ะครับ
“นี่ โปร โตแล้วนะเ รียนก็มหาลัยแล้ว ทำตัวเป็นเด็กไปได้”
“หนึ่งแหละ ทำตัวแก่อยู่ได้”
“ไอ้โปร....”
“ขอโทษคร๊าบบบบ” แล้วเจ้าตี๋โปรก็ยอมทานขนมปังที่ผมเอามาให้
“นี่เดี๋ยวป้ายหน้าถึงมหาวิทยาลัยแล้วนะ”
“อ่ะ” โปรพูดอะไรมากไม่ได้ครับเพราะขนมปังเต็มปาก
“หนึ่ง เย็นนี้เล่นบาสกะเพื่อนนะ แต่ก็จะกลับมากินข้าวด้วยนะ”
“เล่นจนเค้าไล่ออกจากทีมแล้วนี่น่ะเหรอ”
“แหม่ๆ พวกมันมองไม่เห็นฝีมือผมเองนินา”
“อืม ก็ไม่เห็นเหมือนกัน”
“หนึ่งงงง...อ๊า.....”
“ล้อเล่น
อืม...เย็นนี้จะกินอะไรดี”
“เอาก๋วยเตี๋ยวลุยสวนที่แล้วกัน และก็หนมปังไส้สังขยาสดนะ”
“อืมๆ ได้ๆ”
“อ่ะ ถึงป้ายละ ไปก่อนนะ แล้วเจอกันนะครับ.....
ที่รัก....”
“อืมๆ เจอกันครับ”
ในวันนี้ผมต้องนั่งรถเมล์กลับเองคนเดียวครับ เพราะรถเสียอยู่โปรเลยไม่ได้มารับ ผมกลับถึงห้องก็ไม่เย็นมากนักเท่าไหร่ จัดของที่ซื้อมาจากที่ทำงานใส่จานแล้วก็เปิดทีวีดูตามปกติรอเวลาโปรกลับมาแล้วจะได้ทานข้าวด้วยกันครับ จนเวลาเริ่มนานเข้าๆผมก็เริ่มเป็นห่วงโปรเหมือนกันนะเลยโทรหา แต่โทรแล้วก็ไม่มีคนรับสายครับ สงสัยว่าคงเล่น บาสอยู่มั้ง ผมเดินออกไปที่ระเบียง วิวบนชั้นนี้มันอยู่สูงครับเลยมองเห็นอะไรทั่ว เวลาผมอยู่คนเดียวก็ชอบมามองอะไรเพลินๆที่ระเบียงเสมอ
แล้วจู่ๆก็มีใครบางคนมากอดผมทางด้านหลัง ไม่บอกก็คงรู้ครับว่าเป็นใคร
“เฮ้ออออ เหนื่อยจางเลยยยย”
“ก็เล่นบาสมานิ แล้วนี่ ตัวมีแต่เหงื่อนะ”
“ม่ายสนก็อยากกอดนิ แล้วทำไมหนึ่งชอบมายืนตรงนี้นะ”
“ก็วิวสวยดี”
“เห็นก็เหมือนกันทุกวันไม่ไม่เบื่อบ้างเหรอ”
“ม่าย”
“แล้วเบื่อผมบ้างไหมคั๊บ”
“เบื่อละ”
“อ๊า..... หนี่งอ่า”
“เบื่อที่ไม่รู้จักโตสักที”
“อ่านะ โตแล้วๆ ก็เห็นอยู่นิ หรืออยากจะพิสูจน์คับ”
“เออนะ โตแต่ตัวอ่าสิ”
“โหย แฟนผม ไม่หวานบ้างเล๊ย”
“อยากหวานก็ใส่น้ำตาลสิ”
“เอาเข้าไป แฟนโผมมมม”
เดี๋ยวนี้ผมเริ่มติดพวกคำกวนๆจากโปรมาแล้วนะครับนี่ แย่จัง
“พี่หนึ่ง....” เอาละ ตอนจะหวานถึงเรียกพี่
“ฮือ??”
“ขอกอดจนถึงเช้านะ”
“ไม่เมื่อยก่อนก็ลองดูสิ”
“อย่าท้าเชียวนะ”
“แต่พี่เหม็นโปรอ่า”
“ง่ะ หนึ่งงงงงงง”
แล้วโปรก็กอดผมอยู่อย่างนั้น ผมก็มองไปบนฟ้า แม้ว่าแถวนี้จะมีแสงไฟมากมายจนบังแสงดาวหมด แต่คืนนี้สำหรับผม มันเหมือนมีดาวระยิบระยับอยู่เต็มไปหมด ดาวพวกนี้มันอยู่ในใจของผม และก็จะยังอยู่ต่อไปตราบเท่าที่คนสองคนยังคงรู้จักที่จะ “ให้” กันและกันอยู่เสมอครับ
โจ ขอบคุณมากๆที่ทำให้ผมกับโปรได้คบกันมาถึงตอนนี้ โจเป็นเพื่อนคนแรกที่ผมมาอยู่กรุงเทพฯ แม้จะชอบมีเรื่องทะเลาะกับน้องต้อมมาให้ผมช่วยแก้บ้าง แต่ผมก็ยินดีเสมอครับ
น้องต้อม รักโจให้มากๆนะ เอาใจช่วย
หมอพจน์ พี่ยังรักเราอยู่เสมอ เราเป็นน้องที่ดีที่สุดของพี่ ถึงแม้ระยะทางของเรากับแฟนเรามันจะไกล และเวลาก็ไม่ค่อยมีให้กัน แต่พี่เชื่อว่าต่างคนต่างเข้าใจซึ่งกันและกัน มันย่อมมีทางออกเสมอ
น้องอาร์ท (น้องของโอ๊ต) ได้ข่าวว่าตอนนี้ก็ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเก่าของพี่แล้ว รู้สึกจะเป็นรุ่นน้องคณะเสียด้วย ไม่ยากนะ ตั้งใจๆ เมื่อเราชอบมัน มันก็จะชอบเราด้วย
โอ๊ต อืม...เราไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่ แต่ตอนที่ผมกลับบ้านทุกที โอ๊ตจะมาบริการพาผมไปที่ต่างๆตลอด แม้ตอนนี้จะมี โปรพ่วงไปด้วยแต่โอ๊ตก็ยังคงบริการพวกเราเหมือนเดิม บางทีผมก็เกรงใจเพราะโอ๊ตจะเลื่อนเครสให้ว่างเสมอตอนที่ผมกลับบ้าน จนแล้วจนรอดก็คงจะมีแฟนสักทีนะ
รูมเมทผม ตอนนี้เห็นว่าเก็บเงินแต่งงานอยู่ เอาใจช่วยนะเว้ยเพื่อน ไงซองงานมึงเราใส่ยี่สิบได้ป่ะ หักจากหนี้เก่าที่มึงเคยติดเรา ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ
คุณพ่อคุณแม่ของผม ผมขอโทษด้วยครับที่ไม่อาจบอกได้ว่าผมนั้นเป็นอะไร หลายครั้งที่ท่านถามผมว่าเมื่อไหร่จะมีแฟน หรือเมื่อไหร่จะคิดแต่งงาน ผมก็บ่ายเบี่ยงตลอด ส่วนโปรเองผมก็ดีใจครับที่โปรเข้ากับครอบครัวเราได้ดี
เพื่อนๆที่ผมไม่ได้เอ่ยถึงทุกๆคน ขอบคุณมากๆที่มาช่วยแก้ปัญหาให้มนุษย์เจ้าปัญหาอย่างผม
สุดท้าย โปร ก็ยังคงเห็นแก่กิน ชอบเล่นบาส(แม้ไม่เก่ง) เรียนดี กวนทุกคนได้ตลอดตรงข้ามกับผลการเรียน ทุกสิ่งเหล่านี้รวมกันเป็นโปร เป็นมือโปรในชีวิตผมอยู่ตลอดมาและตลอดไป ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่ผมก็ขอยืนยันคำเดิมผมจะทำทุกนาทีที่เราได้มีโอกาสใช้ชีวิตด้วยกัน ให้ดีที่สุดครับ
เรื่องของผมมันเริ่มขึ้นที่รถเมล์ครับ แล้วมันจะยังคงดำเนินต่อไปที่รถเมล์ ถึงมันยังไม่จบลงอย่างบริบูรณ์ แต่ผมก็จะทำใจรับกับสิ่งต่างๆที่จะเกิดขึ้นไม่ว่ามันจะเป็นอย่างไรก็ตาม ตราบเท่าที่เรานั้นยังคงเชื่อใจกันและกันอยู่ ชีวิตคู่มันก็ยังคงดำเนินต่อไปตามทางของมันครับ