*มาแล้วจ้า ยังไม่ตายแค่บาดเจ็บที่หัวเข่านิดหน่อย 5555*
ตอนที่ 14 กระสุนนัดสุดท้าย
โฮก!
กระสุนทั้งสองนัดพุ่งเจาะที่กลางลำตัวเข้าอย่างจัง ไอ้บอดเสียหลักล้มกลิ้งไม่เป็นท่า ส่วนกุมภ์วิ่งไปก็ปิดหูไป ปากก็ร้องด้วยความหวาดกลัว ถึงจะเป็นเวลากลางคืนและอยู่ในระยะไกลร่วมห้าสิบเมตร แต่ก็ยังเห็นว่ากุมภ์ทั้งเหนื่อยและหวาดกลัวมากแค่ไหน
บ้าเอ๊ย! กลัวขนาดนั้นจะแล้วกลับมาทำไม!
โหรลดระดับปืนลง เท้าเกาะเกี่ยวกิ่งไม้เหนียวแน่น หวังใจว่ากระสุนอาคมสองนัดนั้นจะหยุดไอ้บอดได้ แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ร่างของครึ่งเสือครึ่งผีกระเสือกกระสนดิ้นรนบ้าคลั่งจนต้นไม้ใบหญ้าแถวนั้นราบไปหมด เสียงร้องของมันที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดทรมานดังก้องป่า ฟังแล้วน่าขนลุกพิลึก โหรสาบานว่าชั่ววูบหนึ่งมีเสียงร้องคล้ายมนุษย์ปะปนมาด้วย เลือดสีแดงเข้มไหลนอง กลิ่นคาวจัดโชยมาถึงบนยอดไม้ ไม่นานร่างของไอ้บอดก็ค่อยๆ สงบ จนกลายเป็นแน่นิ่งในที่สุด
โหรแทบจะถอนหายใจ แล้วรีบปีนลงจากต้นไม้ทันที สองเท้าเปลือยก้าวไปเบื้องหน้า ไม่กี่ก้าวก็หยุดอยู่ข้างไอ้บอด เขายกกระบอกปืนในระดับเตรียมยิงอีกครั้ง มองหาจุดผิดสังเกต หากมันกระดิกตัวเพียงสักนิดเขาจะซ้ำทันที แต่ที่ยังไม่เหนี่ยวไกในตอนนี้เพราะกระสุนนัดสุดท้ายนี้มีค่านัด เขาไม่อยากเสียมันไปโดยไม่จำเป็น
“ตะ...ตายแล้วเหรอ”
กุมภ์ถามเสียงสั่น โหรเหลือบตามอง โดยที่ปืนยังไม่ได้ลดระดับลง แต่เพียงแค่นั้นก็เห็นใบหน้าขาวซีดไม่ต่างจากระดาษ เหงื่อผุดพรายเต็มหน้า ร่างติดผอมหอบโยน เขาไม่ได้ให้คำตอบเพราะยังไม่แน่ใจว่ามันตายหรือยัง
ทั้งคู่เงียบสนิท เฝ้ามองอากัปกิริยาของไอ้บอดอยู่นานหลายนาที แต่ร่างของมันสงบนิ่งไม่มีวี่แววว่าจะเคลื่อนไหว แม้แต่จังหวะการหายใจก็นิ่งสนิท โหรใช้เท้าเตะไปที่ลำตัวของมัน ก็ไม่เคลื่อนไหว กล้ามเนื้อดูเหมือนจะหดเกร็ง แต่ยังอุ่นซ่านเพราะเพิ่งจะผ่านไปแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น
“ผมว่ามันตายแล้วล่ะ” กุมภ์ออกความเห็นพลางยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผาก อาการเหนื่อยหอบลดลงไปมาก ใบหน้าขาวสะอาดกลับมามีสีเลือดอีกครั้ง “คุณยิงแม่นจัง”
โหรไม่ได้กระหยิ่มกับคำชม แต่ก็เบาใจลงไปมาก ไอ้บอดสิ้นฤทธิ์เสียที เขาลดปืนลงรู้สึกเหมือนเพิ่งถูกรถสิบล้อทับมาไม่มีผิด แขนขาดูเหมือนจะอ่อนเปลี้ยลงในพริบตา คาถาลิงลมที่เรียกใช้จางลง เลือดร้อนผ่าวเมื่อครู่ลดระดับจนกลายเป็นปกติ เช่นเดียวกับจังหวะหัวใจ โหรหันหน้ากลับไปมองอีกคนที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัว ทั้งที่ควรจะอยู่กับกลุ่มเพื่อนๆ
“กลับมาทำไม” โหรถามเสียงเครียด สีหน้าของกุมภ์ดูสลดลงอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะตอบกลับมาเสียงอ่อย
“ผม...เป็นห่วงคุณ”
ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหัวใจ ทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘เป็นห่วง’ มันก็เหมือนพองฟูขึ้นเหมือนลูกโป่ง แสงจันทร์น้อยนิดแต่ก็มากพอที่จะเห็นริ้วแดงบนแก้มขาวของหนุ่มเมืองกรุง โหรตีหน้าขรึม บ่นให้ได้ยินว่าไม่เข้าเรื่อง
นานจนพอจะวางใจได้ โหรเลยลงความเห็นว่าไอ้บอดน่าจะตายแล้วจริงๆ กุมภ์เดินวนไปรอบๆ ร่างนิ่งสงบของเสือกึ่งผี มันยังคงรักษารูปร่างของเสือเอาไว้ ขนหยาบลายพาดกลอน หนวดสีขาวยาว ใบหูของมันใหญ่เกือบเท่าฝ่ามือ กุมภ์อุทานอยู่หลายคำ พึมพำว่าจะถลกหนังมันไปขายให้กับพวกนักการเมืองน่าจะได้เงินไม่น้อย โหรแอบขำกับความคิดนั้น และก็เชื่อเหลือเกินว่าถ้าปู่ยังอยู่คงติดไม่ต่างจากกุมภ์ แต่ไม่ใช่สำหรับเขา เขาฆ่าไอ้บอดเพราะมันอันตราย อีกอย่างค่าจ้างที่ได้รับในครั้งนี้ก็มากพอที่จะดำรงชีพได้นานอีกหลายเดือน
โหรชวนกุมภ์ออกจากบริเวณนี้ ถามไถ่ถึงที่ซ่อนตัวรชต จ้าวจอมทำหน้าที่ได้สมกับความไว้วางใจ ใช้เวลาไม่กี่นาทีก็หาตัวรชตเจอ น่าแปลกตรงที่ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ก็มาสำรวจแถวนั้นแต่ไม่พบอะไรเลย คงเป็นเพราะคราวนี้ผีพิกุลเปิดทาง เปิดตาให้ด้วยกระมัง
“ไอ้ชตหิวโซเลยล่ะ ผอม ตาลึกโบ๋ มันบอกว่ากลัวมาก ทุกอย่างรอบตัวมืดไปหมด แล้วมันก็ได้เห็นภาพในอดีตด้วยล่ะ แต่ผมไม่ทันฟัง พอได้ยินเสียงปืน ผมก็วิ่งมาเลย” กุมภ์คุยจ้อ ท่าทางผ่อนคลายมากที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา “ผมคิดว่าตรงนั้นปลอดภัยแล้ว แต่คุณยัง” เสียงของกุมภ์หายไปในลำคอ “ไม่รู้ทำไมผมถึงได้เป็นห่วงคุณขึ้นมา เฮ้ย!”
กุมภ์อุทานเสียงดัง เป็นจังหวะเดียวกับที่โหรหันไปด้านหลังพอดี ร่างดำมึนของสัตว์ป่าตัวใหญ่พุ่งเข้าใส่ โหรล้มหงายหลัง ขาทั้งสี่ย่ำอยู่บนตัว น้ำลายเหนียวยืดเหม็นคลุ้งหยดใส่ใบหน้า ปืนในมือกระเด็นหล่นไม่รู้ทิศรู้ทาง
กรร!
ไอ้บอดคล้ายกับแสยะยิ้ม โหรเห็นใบหน้าของตาเวกซ้อนทับแม้จะเพียงเศษเสี้ยววินาทีก็ตาม โหรพยายามควบคุมจังหวะหัวใจ เรียกสติที่กระเจิงหายให้กลับคืน เจ็บแปลบที่มือทั้งสองข้างเพราะกรงเล็บของมันจิกทับเอาไว้ เชื่อเหลือเกินว่าถ้าไอ้บอดโจมตีเขาคงต้องตายใต้ร่างของมันเป็นแน่
“ไอ้บอด!”
“ไอ้บอด! ไอ้เสือผี มึงอย่าทำอะไรคุณโหรนะโว๊ย!”
เสียงเรียกของกุมภ์ที่ตะโกนลั่นไม่ได้ดึงความสนใจของไอ้บอดสักนิด จนคำสุดท้ายหัวอันใหญ่โตของมันถึงได้ผินหันไป
“ตาเวก! ไอ้แก่หนังเหี่ยวเอ๊ย”
โฮก!
ไอ้บอดขู่คำถามราวกับกำลังหงุดหงิดที่ถูกขัดจังหวะ หินก้อนไม่เล็กถูกปามาจากอีกฝั่ง บางก้อนกระทบกับลำตัวใหญ่หนาของเสือครึ่งผี บางก้อนก็ตกลงพื้น ขนาดของก้อนหินใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนโหรยังต้องหดคอหลบ ไอ้บอดดูหงุดหงิดขึ้นทุกที มันส่ายหัวเบาๆ จมูกพ่นลมหายใจเหม็นสาบแรงๆ อยู่หลายครั้ง จนหินก้อนสุดท้ายตกใส่กลางศีรษะของมันพอดี
โฮก โฮก!
เสียงคำรามดังขึ้นถึงสองครั้ง ก่อนที่มันจะเอี้ยวตัวกลับไปหากุมภ์ มันแยกเขี้ยวคำรามใส่ กุมภ์กลัวจนตัวสั่น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่วิ่งหนีไปไหน ทั้งที่ทำได้
โหรกัดฟันแน่น ปลายเล็บแหลมไม่ต่างจากใบมีดกรีดลงบนผิวเนื้อ เขาพยายามดึงข้อมือออกเพราะการเอี้ยวตัวของไอ้บอดทำให้กรงเล็บของมันเคลื่อนไปเล็กน้อย โหรรู้สึกถึงเนื้อที่ฉีกขาดของตัวเองพร้อมกับอิสระที่ได้รับ ชายหนุ่มอาศัยจังหวะเพียงน้อยนิดหันศีรษะมองหาปืนคู่ใจ มันตกอยู่ไม่ไกลปลายนิ้วนัก แต่เขาไม่อาจขยับตัวได้เพราะนั่นจะทำให้ไอ้บอดฆ่าเขาเร็วขึ้น
โหรแทบจะกลั้นใจขยับยืดมือให้ได้ไกลที่สุด ปลายนิ้วค่อยๆ แตะไปบนพื้นชื้นแฉะ กระทั่งสัมผัสได้ถึงวัตถุเย็นเยียบ
โฮก!
ไอ้บอดส่งเสียงคำราม มันเลิกสนใจการก่อกวนของกุมภ์ ริมฝีปากใหญ่อ้ากว้าง เขี้ยวขาววาวับอยู่ห่างไม่ถึงฟุต โหรหลับตาแน่น หัวใจเต้นโครมคราม
ไม่เหลือโอกาสให้อีกแล้ว
ปัง!
กระสุนอาคมนัดสุดท้ายพุ่งใส่ไปอย่างไร้ทิศทาง ควันสีขาวลอยโขมง กลิ่นเหม็นไหม้อยู่ใต้จมูก โหรหลับตาแน่น เสียงดินปืนระเบิดแตกในแก้วหู เขาได้ยินแค่เสียงวิ้ง แล้วก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีก กลายเป็นคนหูหนวกทันที ภาพเบื้องหน้าพร่าเลือน ขณะที่หัวใจเต้นระรัวราวกับจะทะลุออกมานอกอกเสียให้ได้ มือทั้งสองเปียกชุ่มแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ปล่อยให้ไรเฟิลให้หลุดไป
นานชั่วอึดใจ โหรถึงได้เปิดตาขึ้น ร่างของไอ้บอดล้มหงายไปด้านหลัง ร่างมันกระตุกอยู่สองสามครั้งและแน่นิ่งไป โหรยันกายขึ้นจากพื้นอย่างทุลักทุเล การได้ยินยังไม่ทำงาน ร่างสูงใหญ่เดินโซเซไปยังศัตรู ลูกกระสุนนัดสุดท้ายพุ่งเข้าไปในปากของมัน ทะลุไปลำคอด้านหลัง เลือดสีแดงข้นไหลทะลักราวกับเขื่อนแตก ดวงตาของไอ้บอดเหลือกค้าง อ้าปาก ลิ้นห้อยตกลงมา อีกอึดใจต่อมา ร่างของเสือก็กลับกลายเป็นชายชรา ร่างผอมเกร็ง เส้นผมขาวโพลน เนื้อตัวเปลือยเปล่า สภาพไม่น่าชมสักเท่าไร
“ตะ..ตาเวก” เสียงที่หลุดออกมาไม่ใช่ของโหร หากแต่เป็นของกุมภ์ เด็กหนุ่มเมืองกรุงตัวสั่นเทา ก้าวมาหยุดข้างๆ โหร มือยกเกาะท่อนแขนของโหรคล้ายไม่รู้ตัว “มะ มันตายแล้วจริงๆ ใช่ไหม”
“ใช่...สำหรับไอ้บอด” โหรบอก การได้ยินกลับคืนมาทีละน้อย จากประสบการณ์ทำให้ไม่อาจเชื่อได้ว่าตาเวกตายแล้วจริงๆ เพราะร่างกายยังคงสมบูรณ์ไม่แห้งเหี่ยวหรือเน่าสลาย เขาค่อนข้างมั่นใจว่าตาเวกไม่ใช่ผู้อยู่ยงคงกระพัน หากแต่ผีร้ายในร่างมนุษย์แล้วต่างหาก แล้วก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ ไม่กี่วินาทีหลังตั้งข้อสงสัย ดวงตาน่าเกลียดก็เปิดขึ้น
ร่างผอมเกร็งของชายชราทำท่าจะยันกายลุก แต่โหรใช้เท้าเหยียบหัวไหล่เอาไว้ ปลายกระบอกปืนจ่อชี้ไปที่ใบหน้าเหี่ยวย่น ริมฝีปากดำคล้ำแสยะยิ้ม
“กู ไม่มีวันตาย”
“จริงเหรอ” โหรถามกลับ กดน้ำหนักเท้าให้มากกว่าเดิม
“กระสุนมึงหมดแล้วไอ้เด็กเมื่อวานซืน” ตาเวกหัวเราะหึๆ ในคอ ฟังแล้วขนลุกพิกล
กุมภ์รู้สึกขนในกายที่ลุกชัน ถึงจะฆ่าไอ้บอดตายไปแล้ว แต่ตาเวกกลับยังอยู่ คิดไม่ออกเลยว่าจะจัดการกับตาแก่น่าเกลียดนี้ได้อย่างไร
โหรโยนปืนทิ้ง ก่อนจะดึงมีดคู่ใจออกมาจากกระเป๋ากางเกง ตาเวกยิ่งหัวเราะดังกว่าเดิม “ฮ่า ฮ่า มึงคิดว่ามีดกระจอกของไอ้เหมจะทำอะไรกูได้อย่างนั้นเหรอ”
เท้าใหญ่เปลือยเปื้อนคราบโคลนกดย้ำแน่นที่หัวไหล่ของชายชรามากอาคม รู้ดีว่าลำพังมีดพกติดตัวอันเป็นอีกหนึ่งสมบัติที่ปู่เหมให้ไว้อาจจะทำอะไรตาเวกได้ไม่มากนัก
แต่ของต่ำ ต้องแก้ด้วยของต่ำ!
โหรโน้มตัวลง ปักมีดลงแขนข้างซ้ายที่แห้งแบนไม่ต่างจากไม้กระดาน ตาเวกส่งเสียงร้อยโหยหวน น่าแปลกที่มีดจมลงไปจนถึงดิน แต่กลับไม่มีเลือดไหลออกมาสักหยด แล้วอีกไม่กี่วินาทีต่อมาตาเวกก็หยุดร้องเปลี่ยนมาหัวเราะเย้ยหยันแทน
“ฮ่า ฮ่า มีดกระจอกของไอ้พรานกระจอก ถึงจะแทงกูอีกสักกี่พันครั้ง กูก็ไม่ตายหรอก!”
“พิกุล! ช่วยที”
กุมภ์ทำหน้าเหลอหลาเมื่อจู่ๆ โหรก็ตะโกนเรียกผีสาว เช่นเดียวกับตาเวกที่ดวงตาลึกโบ๋มีแววแปลกใจ โหรไม่ให้คำตอบแก่ใครทั้งนั้น ซ้ำยังเคลื่อนฝ่าเท้าห่างออกไป คราวนี้กุมภ์หน้าเสียด้วยเกรงว่าตาเวกจะลุกขึ้นมาทำร้ายใครได้อีก กำลังจะอ้าปากท้วงอยู่รอมร่อ ลมเย็นวูบก็พัดผ่านร่างไป ขนในกายลุกเกรียว มันไม่สายลมหลังฝนตก แต่มันสะท้านยะเยือกมากกว่านั้น
“อีพิกุล!”
ตาเวกอุทาน ร่างผอมแห้งยังนอนบนพื้นดินชื้นแฉะ ร่องรอยกระสุนทั้งห้านัดที่โหรฝากไว้ปรากฏตามร่างกาย หากแต่มันเป็นแค่หลุมเล็ก ไม่มีเลือดหรือแผลเหวอะหวะ ไม่ต่างจากมีดที่โหรฝากไว้
พิกุลมาตามเสียงเรียกของโหร ร่างโปร่งแสงในชุดสีขาวสกปรก เคลื่อนลงหยุดข้างกายของโหร ทั้งสองมองหน้ากันเพียงชั่วประเดี๋ยว โหรขอความช่วยเหลืออีกครั้งโดยไม่จำเป็นต้องอธิบายวิธีการ ใบหน้าที่บัดนี้กลับคืนสู่สภาพของมนุษย์ยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะก้าวขาคร่อมร่างของตาเวก ตำแหน่งของชายกระโปรงอยู่ตรงหน้าตาเวกพอดี
“อีพิกุล! อีผีจัญไร! ออกไปให้พันกูเดี๋ยวนี้!”
“หึหึ” ผีสาวหัวเราะในคอ กุมภ์ถึงกับขนลุกรอบที่สอง เสียงของเธอบาดลึกเข้าไปถึงโสตประสาทชวนให้ขวัญเสีย
ตาเวกพยายามดิ้นรนจะยันกายลุกขึ้น แต่เพราะถูกมีดของโหรปักที่แขนเอาไว้เลยไม่อาจขยับได้ดังใจ ผีพิกุลแสยะยิ้มจนริมฝีปากฉีกกว้างยาวจนเกือบถึงหู ดวงตากลมโตกลายเป็นสีดำสนิท แล้วหล่อนก็หย่อนตัวลง กระโปรงสกปรกครอบใบหน้าของตาเวกไว้จนมิด
ผีพิกุลเงยหน้าหัวเราะเสียงแหลมสูงจนสาแก่ใจ ถึงได้ถอยร่างออกห่างจากใบหน้าของตาเวก หล่อนหันมายิ้มให้โหรอีกครั้ง ก่อนจะหายไปในความมืด
กุมภ์เห็นตาเวกนอนตาเหลือก เลือดสีดำคล้ำไหลออกจากปากและตามบาดแผลที่ได้มาจากกระสุนอาคม กลิ่นคาวของเลือดเคล้ากับกลิ่นเหม็นเน่าเหมือนซากศพชวนให้สะอิดสะเอียน กุมภ์รีบยกมือขึ้นปิดจมูก ก้าวถอยหลังห่างออกมาหลายเมตร ไม่นานร่างของตาเวกก็ค่อยๆ ย่อยสลายเหมือนถูกแบททีเรียรุมกินภายในเวลาไม่กี่นาที จนสุดท้ายก็เหลือแค่กองกระดูกเท่านั้น
“ตายจริงๆ แล้วล่ะ”
โหรบอก รู้สึกถึงอาการหนักอึ้งในอกที่เบาบางลง แสงแรกของวันเริ่มจับที่ขอบฟ้า เป็นจังหวะเดียวกันกับอะไรบางอย่างคล้ายกับเศษผ้าสีขาวลอยหายลับตาไป...