“จริงเหรอวะ! แล้วนี่มึงไปคุยกับเขาอีท่าไหน เขาถึงยอมช่วย”
‘ไม่มีท่าหรอก แค่บอกว่ากูมีเงินให้ ก็เท่านั้น’
พันนาอมยิ้มกับประโยคตอบกลับมาจากปลายสาย ดวงตาทอดมองไปยังเบื้องหน้า ทุ่งหน้ากว้างสลับกับต้นไม้หนาทึบ เสียงนกร้องช่วยเพิ่มความเป็นธรรมชาติให้น่าอภิรมย์มากขึ้นไปอีก
“แล้วเขาเอาค่าจ้างเท่าไร” ถามไปก็พลางจิ้มมะม่วงรสหวานเข้าปาก มะม่วงพันธุ์เชียวเสวยที่เจ้าบ้านลุงทุนสอยมาให้ชิมตั้งแต่เช้าตรู่
‘แสนนึง ห้ามต่อ ไม่รับรองความปลอดภัย ทั้งของไอ้ชตและผู้ติดตาม’
“โหดว่ะ” ปากอย่างว่าอย่างนั้นแต่กลับอมยิ้มมุมปาก หลุบตามองร่างโปร่งของเด็กหนุ่มที่กำลังโรยข้าวเปลือกลงในสุ่มไก่ ชั่ววินาทีหนึ่งที่อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้น ประสานสายตา และเป็นอีกฝ่ายที่ทำหน้าบึ้งใส่แล้วก้มลงให้อาหารไก่ต่อ
‘ก็โหดอยู่ แต่กูว่าคุ้ม จ่ายก่อนครึ่งหนึ่ง งานสำเร็จค่อยจ่ายอีกครึ่ง’
“แล้วไปเมื่อไร” เขาถามต่อ รู้สึกสบายใจขึ้นมาอีกหน่อย ถึงจะยังไม่เจอตัวรชต แต่แค่รู้ว่าโหรยอมให้ความช่วยเหลือความหวังก็เพิ่มมากขึ้น
‘อีกสองวัน โหรขอเวลาเตรียมตัวก่อน ทั้งของเขาและของเรา’
“ของเรา?” คิ้วหนาเลิกสูง “หมายความว่ายังไงวะ”
‘คราวนี้เราไม่ได้เข้าป่าไปถ่ายรูปสัตว์ แต่เราไปตามหาคน งานนี้กูว่าจะไปกับมึงแค่สองคน เพราะกูคิดว่าชาร์ลกับคะนิ้งน่าจะเข็ดการเข้าป่าไปอีกนาน อีกอย่างคุณโหรบอกว่าไม่อยากให้ไปกันเยอะ ต้องการคนแข็งแรงและไม่เรื่องมาก’
“แข็งแรง? มึงอ่ะนะ” พันนากับหลุดขำพรืด ก็ปลายสายเป็นผู้ชายตัวผอม อาจจะสูงกว่าเจ้าเด็กที่กำลังให้อาหารไก่อยู่นิดหน่อยก็จริง แต่ยังห่างคำว่าแข็งแรง
‘เออ! อย่างน้อยกูก็ไม่เป็นลมระหว่างทางก็แล้วกัน’ กุมภ์พูดเสียงดัง จนเสียงลอดออกมาจากโทรศัพท์ พันนาหัวเราะหึ พอจะนึกหน้าอีกฝ่ายออก ‘ก็เตรียมพวกของแห้งไป ใช้เวลาไม่กินสามวัน ถ้าสามวันหาไม่เจอสรุปได้เลยว่าไอ้ชตตายแล้วแน่นอน ซึ่งกูหวังว่ามันจะไม่ใช่แบบนั้น ออกเดินทางตอนเจ็ดโมงเช้าที่บ้านของคุณโหร’
“เออ แล้วเจอกัน”
พันนาวางสาย ความกลัดกลุ้มคลายไปบ้าง ฝันร้ายไม่ได้มาเยี่ยมเยือนทั้งที่นอนผิดที่ผิดทาง ซ้ำยังหลับลึกชนิดที่นอนกอดเจ้าของห้องไปโดยไม่รู้ตัวอีกด้วย และนั่นคงเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กดื้อที่ชื่อจ้าวจอมหน้าง้ำหน้างอไม่ยอมหาย
อากาศในชนบทโดยเฉพาะบริเวณใกล้ป่า ไม่ได้เย็นหรือร่มรื่นเหมือนที่คิดไว้ ออกจะอบอ้าวด้วยซ้ำ แต่ด้วยความที่มีต้นไม้สูงและหนา ทำให้ไอร้อนที่เคยได้รับตอนอยู่ในเมืองมันลดลงไปได้เยอะ หากอยู่ในที่สูงหน่อยก็ได้รับสายลมเย็นเอื่อยๆ เหมือนในตอนนี้ บ้านไม้สองชั้นมันดีอย่างนี้นี่เอง น้าเอื้อบอกว่าเสาเรือนทำจากไม้สักต้นใหญ่ เลยทำให้ตัวบ้านสูงกว่าปกติ ตอนร้อนๆ ออกมานอนรับลมเย็นสบายไม่ต้องเปิดพัดลมให้เปลืองค่าไฟ แต่ถ้าฤดูหนาวจะหนาวเหน็บจับใจเลยทีเดียว ไม่ใช่แค่จะได้รับลมแบบเต็มๆ แต่เพราะบ้านที่ทำจากไม้จะยิ่งทำให้รู้สึกหนาวกว่าบ้านปูน
กำหนดการกลับบ้านถูกเลื่อนออกไปเล็กน้อย หลังจากยอมตกปากรับคำกินมื้อเช้า และรอของฝากจากไร่ของน้าเอื้อ นอกจากมะม่วงเขียวเสวยแล้ว ยังมีผักปลอดสารอีกหลากพันธุ์ แต่ต้องรอเจ้าของไปเก็บ คงอีกพักใหญ่ๆ เขาเลยมีเวลาสำรวจบ้านของจ้าวจอมต่ออีกสักหน่อย
จะว่าไปแล้ว บ้านที่สร้างจากไม้สักทั้งหลังไม่ใช่คนทั่วไปจะปลูกได้ ต้องมีฐานะในระดับหนึ่งเลยทีเดียว น้าเอื้อเล่าให้ฟังว่า เรือนไม้สักหลังนี้เป็นสมบัติตกทอดมาจากรุ่นปู่ สมัยก่อนไม้สักหาได้ง่ายราคาไม่แพงเหมือนสมัยนี้ พ่อของน้าเอื้อเป็นพรานมืออาชีพ ชำนาญเรื่องการเดินป่า ล่าสัตว์ส่งให้นายทุนต่างประเทศ ใครที่ไหนก็จ้าง เลยมีเงินเก็บก้อนใหญ่ปลูกบ้านไม้สักให้ลูกหลานได้อยู่อาศัย และด้วยความที่เป็นคนต่างจังหวัด มีที่ทางเป็นของตัวเองเลยไม่จำเป็นต้องดิ้นรนไปหางานทำในเมือง น้าเอื้อเลยสานต่ออาชีพพรานป่าต่อจากพ่อ น่าเสียดายที่วิชาความรู้ของปู่ไม่ได้ถูกถ่ายทอดมาทั้งหมด ท่านเสียชีวิตเพราะพลาดท่าให้กับเสือตัวใหญ่ ที่พรานตั้งชื่อให้มันว่าไอ้บอด
“ตามันเป็นสีเทาข้างหนึ่ง เหมือนคนแก่ที่ตาเป็นต้อ พวกพรานเลยเรียกมันว่าไอ้บอด” น้าเอื้อบอก ระหว่างมื้อเช้า
เรื่องราวในป่าอันน่าตื่นเต้นถูกเล่าผ่านปากพรานป่ามาประสบการณ์ มันสนุกเร้าใจ ต่างจากที่เขาไปพบปะมาเมื่อไม่กี่วันก่อน
“น้าว่าเสือตัวที่พวกผมเจอจะเป็นตัวเดียวกับไอ้บอดหรือเปล่า”
“ไม่น่าจะใช่หรอก เพราะผ่านมาตั้งหลายสิบปีแล้ว ถ้ามันยังมีชีวิตอยู่จริงก็น่าจะแก่มากแล้ว ออกมาฆ่าใครไม่ได้หรอก ฟันฟางคงหักหมดปากแล้วล่ะ” น้าเอื้อพูดติดตลก “อีกอย่างที่พวกคุณเห็นมันไม่ใช่เสือหรอก แต่เป็นพรานที่งมงามกับมนต์ดำมากเกินไปจนของมันตีกลับ”
น้าเอื้อกับพรานกล้าพูดตรงกัน ตาเวกคืออดีตพรานที่เล่นของจนของตีกลับ ตอนนี้จะคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิง แต่ฝีมือร้ายกาจขนาดพรานกล้ายังเสียทีจนเกือบตาย ถ้าหากไม่ได้เจ้าเด็กดื้อไปตามเจ้าหน้าที่ให้ ป่านนี้พรานกล้าอาจจะสิ้นชื่อไปแล้วก็ได้ เขายังได้รู้อีกอย่างว่า ความจริงจ้าวจอมกับพรานกล้าไม่ค่อยจะลงรอยกันเท่าไรนัก ปะทะฝีปากกันอยู่เรื่อย แต่ถึงเวลาคอขาดบาดตายจ้าวจอมกลับให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ลืมเรื่องบาดหมางไปชั่วคราว
“ยอมให้ก่อนหรอก หายเมื่อไรค่อยว่ากัน” เด็กดื้อว่าไว้อย่างนั้น
พูดถึงเสือ มันทำให้นึกถึงกล้องถ่ายรูปขึ้นมาได้ ตั้งแต่ออกจากป่ามันก็ถูกทิ้งไว้ในห้องอย่างไร้ความหมาย เขาไม่ได้ติดใจรูปที่ถ่ายว่ามันจะสวยถูกใจแค่ไหน แต่เอะใจมากกว่า น้าเอื้อบอกว่าเสือตัวที่ฆ่าพรานเวกตาเป็นสีเทาข้างหนึ่ง คืนนั้นมันมืดมาก เขาเองก็มัวแต่ตกใจจนไม่ทันสังเกต ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าถ่ายรูปไว้หรือเปล่า
ผ่านไปเกือบชั่วโมงน้าเอื้อกับน้านุชก็กลับมาพร้อมกับพืชผลทางการเกษตร แถมด้วย ‘โสมป่า’ สมุนไพรชั้นเลิศคุณภาพระดับประเทศไปฝากพ่อของเขาอีกสองมัด น้านุชกระซิบบอกสรรพคุณของมัน และราคาแพงระยับ ที่น่าทึ้งกว่านั้นก็คือ โสมป่าสองมัดคือฝีมือการหาของเด็กดื้อที่ชื่อว่าจ้าวจอม
“จอมมันเก่ง เดินป่าตามตาตั้งแต่เด็กๆ” น้าเอื้อคุยโว พลางใช้หมวกสานสีเหลืองโบกสะบัดให้ความเย็น
“แล้วตาของจอมไปไหนซะล่ะครับ” พันนาถาม
“บวชไม่ยอมศึกตั้งแต่ยายตาย” น้าเอื้อพูดยิ้มๆ “สี่ห้าปีแล้วมั้ง จอมมันไปเยี่ยมตามันทุกวันพระ พรุ่งนี้ก็วันพระแล้ว”
พันนาพยักหน้ารับรู้ เหลือบตามองไปยังร่างโปร่งของเด็กหนุ่มที่กำลังช่วยแม่ล้างผักสำหรับประกอบมื้อเย็น แน่นอนว่าเขาคงไม่ได้ร่วมโต๊ะอีกแล้ว อดเสียดายหน่อยๆ ไม่ได้ ฝีมือน้านุชอร่อยระดับร้านอาหารดังๆ เลยทีเดียว และคงได้วัตถุดิบดีด้วยกระมัง รสชาติอาหารถึงได้หวานละมุนลิ้น เมื่อเช้าเขาได้กินไข่เป็ดต้มยางมะตูม น้ำพริก ผักสด และผัดผักง่ายๆ แต่มันอร่อยจนต้องขอเติมข้าว
เขากล่าวล่ำลาพร้อมกับขอบคุณร่วมสิบครั้งสำหรับน้ำใจที่น้าเอื้อหยิบยื่นให้ ก่อนจะจากไป ไม่วายชำเลืองมองเด็กดื้อตาใส จ้าวจอมยังคงง่วนอยู่กับการล้างหัวมัน จนขากางเกงเปียก น้านุชโบกมือไล่ลูกชายคนโตให้ออกมาส่งแขก จ้าวจอมกระฟัดกระเฟียดตามประสาเด็กดื้อ แต่ก็ยอมลุกขึ้น ก้าวเท้ายาวๆ มาหยุดตรงหน้า ห่างไปราวสองช่วงตัว
“กลับไปได้แล้ว! เปลืองของ!”
“ไอ้จอม! ไปพูดอย่างนั้นกับคุณพันได้ยังไง!” น้าเอื้อดุขรมดังมาจากบนบ้าน จ้าวจอมทำหน้ายู่ ยกมือขึ้นไล่
“ไปได้แล้ว ต้องเตรียมตัวไม่ใช่หรือไง”
“เตรียมตัว? นายรู้ได้ยังไง” พันนาเลิกคิ้วถาม แน่ใจว่าไม่ได้เล่าเรื่องที่จะเข้าป่าให้ใครฟัง
จ้าวจอมกระหยิ่มยิ้ม “เพื่อนคุณนี่เก่งนะ อ้อนพี่โหรจนได้”
นั่นไม่ได้ทำให้ความสงสัยลดน้อยลงไปเลย จ้าวจอมรู้ได้อย่างไรว่าโหรยอมตกลงให้ความช่วยเหลือ แต่อีกฝ่ายก็ไม่รอให้ถามอะไรต่อ รีบหมุนตัวเดินกลับไปช่วยมารดาเช่นเดิม…
เข้าป่าคราวนี้ต้องเตรียมตัวมากกว่าคราวก่อน เพราะรู้อยู่เต็มอกว่ามีอันตรายรอยยู่ พรานเวกอะไรนั่นไม่มีทางปล่อยให้รชตออกมาเดินเฉิดฉายแน่นอน นอกจากจะตามหาตัวรชตแล้ว ยังจะต้องเตรียมพร้อมรับมือกับพรานเวกอีกด้วย พันนาเล่าเรื่องที่โหรจะเข้าไปช่วยตามหารชตให้บิดาและมารดาฟัง พวกท่านไม่เห็นด้วยที่เขากับกุมภ์จะเข้าไปในป่าอีกครั้ง แต่เขายืนกรานว่าเขาจะต้องไป เพราะเขาเป็นคนเอ่ยปากชวนเพื่อนๆ ให้มารับกรรมกัน ส่วนของฝากที่น้าเอื้อยัดเยียดมาให้ส่งถึงมือพวกท่านอย่างครบถ้วน โดยเฉพาะโสมป่า ที่บิดาถูกใจเป็นพิเศษ พูดซ้ำๆ ว่าต้องหาโอกาสนำบรั่นดีชั้นเอกไปแบ่งปันน้าเอื้อบ้าง
“ไม่ไปไม่ได้เหรอลูก แม่เป็นห่วง” มารดาพยายามเกลี่ยกล่อม มืออ่อนนุ่มลูบอยู่บนศีรษะแผ่วเบา สีหน้าเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มแกมห่วงใย “แม่กลัว”
“ผมไปกับโหร ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอกครับ” พันนาบอก เอนศีรษะซบกับอกอุ่นที่ซุกซบมาตั้งแต่เกิด “ผมจะต้องเอาคืนไอ้ครึ่งผีครึ่งคนนั่นให้ได้”
“ครึ่งผีครึ่งคน?” ท่านทำเสียงแปลกใจ พลางจับยกศีรษะออกจากอก “ลูกพูดอะไร?”
พันนาอึกอัก นึกโกรธตัวเองที่เผลอหลุดปากออกไป แต่ครั้นจะโกหกอีกก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผลเพราะมารดาของเขาจับผิดเก่งยิ่งกว่าสายสืบเสียอีก
“ขอโทษนะครับที่ผมไม่ได้เล่าความจริงให้ฟัง” พันนาสารภาพผิด “ความจริงพวกผมไม่ได้ถูกเสือทำร้ายหรอกครับ”
“ลูกหมายความว่ายังไง” ท่านทำหน้าตกใจ
“ผมถูกผีหลอก”
“ว่าไงนะ!”
พันนายิ้มเจื่อน ก่อนจะเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในป่าให้มารดาฟังทั้งหมด ท่านทำท่าจะค้านอยู่หลายครั้ง แต่เมื่อเล่าจบท่านก็เงียบไปพักใหญ่ นานหลายนาทีเลยทีเดียว ใบหน้าซีดเผือดจนแทบไร้สีเลือด หลังจากตั้งสติได้ก็ยื่นมือชื้นเหงื่อมาจับมือของเขาเอาไว้
“ลูกจำหลวงพ่อที่แม่พาไปทำบุญได้ไหม” ท่านถามเสียงสั่น พันนาพยักหน้ารับ “ท่านทักว่าลูกกำลังมีเคราะห์ ต้องบวชถึงจะดีขึ้น”
พันนาถอนหายใจ “แต่คนที่เคราะห์หนักกว่าผมคือไอ้ชตครับแม่ เป็นตายยังไงไม่มีใครรู้ ขนาดผมไม่เจ็บไม่ปวดตรงไหนแม่ยังห่วงผมขนาดนี้ แล้วพ่อกับแม่ของไอ้ชตล่ะครับ จะปวดร้าวแค่ไหน”
“แต่แม่กลัว ฟังดูแล้วพรานเวกอะไรนั่นน่ากลัวเหลือเกิน” มือท่านสั่น “ไม่ไปได้ไหม แม่ขอ”
“แม่ครับ” พันนาทอดเสียงอ่อน จับมือท่านกลับ “เท่าที่ผมพอรู้มา โหรเก่งไม่น้อยเลย ถึงจะยังไม่เห็นฝีไม้ลายมือ แต่เขาก็พาผมกลับออกมาได้”
ท่านนิ่งไปชั่วอึดใจ สีหน้ายังไม่คลายกังวล “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แต่แม่ก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้ ขนาดเจ้าหน้าที่ยังตามหาตัวชตไม่เจอเลย แล้วพวกลูกที่ไม่เคยเดินป่า ไม่มีประสบการณ์อะไรเลย จะตามหาตัวชตเจอได้ยังไง”
“แม่ลืมไปแล้วเหรอครับว่าคณะเดินทางมีเด็กที่ชื่อจ้าวจอมด้วย” พันนายิ้มบางเบา ใบหน้าดื้อติดซนของจ้าวจอมผุดเข้ามาในความคิด “ตัวแค่นั้น แต่เดินป่าเก่งพอๆ กับพรานมากประสบการณ์ ถ้าไม่ได้จ้าวจอมพรานกล้าอาจจะไม่รอดก็ได้”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ” ผู้เป็นมารดาทอดถอนใจ “แม่ก็ยังอดห่วงไม่ได้อยู่ดี”
พันนาไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดหรือรำคาญใจที่มารดาแสดงความเป็นห่วงมากเกินไป ในป่านั่นน่ากลัวจริงๆ ไม่ใช่แค่อันตรายจากสัตว์ป่า แต่อันตรายจากอมนุษย์นั่นที่น่ากลัวกว่าหลายเท่า
เรื่องที่มารดาเป็นห่วง เขารู้ซึ้งดี ตอนที่อยู่ในป่าเขาก็คิดถึงบุพการีทั้งสองแทบจะทุกช่วงลมหายใจ อยากมีชีวิตรอดออกไปกอดพวกท่าน ในยามที่ตกอยู่ในอันตราย สิ่งที่แรกที่คิดถึงคือคนที่รัก สำหรับเขานั้นคือบิดาและมารดา ผู้ที่ให้กำเนิด ผู้ที่ให้ลมหายใจและชีวิต เขาอยากจะทำหน้าที่ลูกให้ดีที่สุด แต่ในขณะเดียวกันก็อยากให้รชตได้กลับออกมาทำหน้าที่ลูกเหมือนกัน พระองค์นั้นบอกว่าเขาต้องบวชถึงจะหมดเคราะห์ แต่เขาจะทำได้อย่างไรในเมื่อเพื่อนรักยังอยู่ในชะตากรรมลำบาก ไม่ใช่ไม่อยากอาศัยในร่มเงาพระศาสนา ลูกผู้ชายทุกคนควรต้องบวชเพื่อทดแทนบุญคุณบิดามารดา ความเชื่อโบราณบอกไว้ว่าการที่พวกท่านได้เกาะชายผ้าเหลืองเท่ากับได้ขึ้นสวรรค์ เขาพร้อมจะทำ แต่ต้องหลังจากเรื่องทุกอย่างคลี่คลายแล้ว
“ผมสัญญาว่า ถ้าผมพาไอ้ชตออกมาได้ ผมจะบวชครับ” พันนาให้คำมั่น
มารดานิ่งงันไปนานร่วมนาที ก่อนจะพยักหน้าพร้อมด้วยดวงตาสั่นคลอน…
*พักหายใจอีกตอน*
**รชตจะรอดไหมต้องลุ้นกัน**
***โปรดติดตามตอนต่อไป***