พิมพ์หน้านี้ - ไพรพิศวง : [ตอนที่ 32 : ยังไม่จบ(อวสานภาค1)] 02/06/2563

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: libra82 ที่ 09-09-2019 21:54:51

หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 32 : ยังไม่จบ(อวสานภาค1)] 02/06/2563
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 09-09-2019 21:54:51
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


บทนำ


    โบราณว่าเข้าป่าให้ระวังเสือ หากแต่ว่าในป่าไม่ได้มีแค่เสือ แต่มีอีกหลายอย่างที่คนเมืองไม่รู้

    “ไอ้จอม! นี่มึงโดนจับเป็นรอบที่เท่าไรแล้ววะ ทำไมไม่รู้จักเข็ดจักหลาบบ้าง”

    จอม หรือจ้าวจอม เด็กหนุ่มวัยใกล้สิบแปดปี ใช้ปลายนิ้วก้อยแหย่ใบหูข้างขวาตัวเองเล่น ขณะที่ร้อยทำหน้าซังกะตายใส่ ตัวเองก็จำไม่ได้หรอกว่าโดนจับข้อหา ‘บุกรุกป่า’ เป็นครั้งที่เท่าไร แต่ก็คงจะมาครั้งอยู่พี่หมู่ร้อยเวรถึงถอนหายใจเฮือกๆ แบบนี้

   “ก็ของมันขายได้เงินอ่ะ” จอมตอบแบบกำปั้นทุบเดิน โสมป่าหายากยิ่งกว่าทอง กิโลหนึ่งเป็นหมื่นๆ ได้แค่ขีดสองขีดก็อยู่ได้เป็นเดือนแล้ว

   “แต่นั่นมันป่าสงวน! ถึงมันจะติดหลังบ้านมึงก็เถอะ” พี่หมู่ร้อยเวรถลึงตาใส่ จนน่ากลัวว่าตาจะหลุดจากเบ้า แต่ก็ไม่ได้ทำรุนแรงไปมากกว่านั้น เพราะอย่างที่บอก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่จ้าวจอมถูกจับ หากแต่นับครั้งไม่ถ้วนแล้วต่างหาก

   “โคตรเหง้าผมมาอยู่ก่อนที่พวกพี่จะยกฐานะให้มันเป็นป่าสงวนอ่ะ” จอมแย้งหน้าตาย ปู่เคยเล่าให้ฟังว่าเมื่อห้าสิบปีก่อน ผืนป่าแห่งนี้เปรียบเสมือนขุมทองของชาวบ้าน แต่เมื่อรัฐเข้ามากันพื้นที่แล้วยกฐานะให้เห็นเขตป่าสงวน เพื่อนบ้านก็พากันย้ายลงไปอยู่ในเมืองเพราะหาของป่าไม่ได้ ไม่มีเงินมาจุนเจือครอบครัว คงมีแต่บ้านของจอมเท่านั้นที่ยังยืนหยัดอยู่ที่เดิม เพราะนี่คือที่ดินที่ปู่กับย่าลงแรงเอาไว้ และสั่งเสียก่อนที่จะท่านจะจากไปว่าห้ามขายและห้ามย้ายไปอยู่ที่อื่นเด็ดขาด

    “ไอ้นี่! ทำไมเถียงคำไม่ตกฟากอย่างนี้วะ เดี๋ยวพ่อก็จับเข้าคุกจริงๆ หรอก”

    แต่เด็กจอมไม่มีทีท่าจะกริ่งเกรงกันแม้แต่น้อย ใบหน้าขาวแบบหนุ่มเหนือเอียงไปเอียงมาทำเหมือนไม่ได้ยินคำขู่ นายตำรวจหนุ่มได้แต่ถอนใจ ไม่ได้นึกอยากจะเอาเรื่องนักหรอกเพราะอย่างไรก็คนไดเดียวกันซ้ำข้อได้หา ‘หาของป่า’ ก็ไม่ได้รุนแรงถึงขนาดต้องจับขังคุก

   ส่วนคนที่มาแจ้งความก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คนหาของป่าบ้านใกล้ๆ กัน ไม่ใช่เพราะกลัวว่าพื้นที่ป่าสงวนจะถูกทำลายแต่เพราะอิจฉาในความสามารถปนดวงดีของจ้าวจอมมากกว่า

   แต่จะให้ปล่อยไปง่ายๆ มันก็กระไรอยู่ เลยจำต้องถ่วงเวลาให้ไอ้เด็กหัวแข็งอยู่โรงพักสักสองชั่วโมงก่อนแล้วค่อยปล่อยไป

    “ช่วยด้วยค่ะ! ลูกชายฉันหายเข้าไปในป่าสี่วันแล้ว”
   
    เสียงเอะอะโวยวายเรียกความสนใจจากสองหนุ่มต่างวัยได้เป็นอย่างดี นายตำรวจหนุ่มหันสายตาไปยังร่างของเจ้าของเสียง หญิงวัยกลางคนรูปร่างผอมบาง ถึงจะมีอายุแล้วแต่ความสวยเมื่อสมัยสาวๆ ยังมีให้เห็น ทว่านั่นไม่น่าสนใจเท่ากับความร้อนรนบนใบหน้า

   หล่อนถลาเข้ามาหาร้อยเวรที่รับเรื่องด้วยความตื่นตระหนก ดวงตาแดงเรื่อแสดงความกระวนกระวายออกมาอย่างเห็นได้ชัด มือทั้งสองข้างสั่นเทาจับขอบโต๊ะเกร็งแน่นจนเส้นเลือดบนหลังมือปูดขึ้น

    “ใจเย็นๆ นะครับคุณป้า มีอะไรไหนลองเล่าให้ผมฟังหน่อย”

    หญิงร่างผอมบางไม่ได้นั่งลงตามที่ร้อยเวรบอก และรีบแจ้งในสิ่งที่กำลังเดือดร้อนให้ฟัง “ลูกชายฉัน! พะ...พันนา หายเข้าไปในป่า สะ สี่วันแล้ว ฉันติดต่อไม่ได้เลย โทรไปก็ไม่มีสัญญาณ ฉันกลัวว่าเขาจะมีอันตราย”

    “แล้วคุณป้าแจ้งเจ้าหน้าที่หรือยังครับ” ร้อยเวรที่รับเรื่องใจเย็นต่างกับผู้หญิงคนนั้นลิบลับ

    “แจ้งแล้ว แต่เขาบอกว่าต้องรอให้สว่างก่อน เพราะเข้าไปตอนนี้มันอันตราย” หล่อนบอกปากคอสั่นไปหมด

   “ก็ต้องทำตามที่เขาบอกนั่นแหล่ะครับ เราเข้าไปตอนนี้ไม่ได้หรอก มันมืดแล้ว ผมว่าคุณป้ารอให้สว่างตามที่เจ้าหน้าที่บอกจะดีกว่า”
 
   “คุณจะบ้าหรือไง! นั่นลูกชายฉันนะ ขืนรอต่อไป เขาได้ตายจริงๆ พอดี สองวันแล้วนะที่เขาหายไป ฉันจะขาดใจตายอยู่แล้ว ฮือ! ตาพัน! ตาพันลูกแม่!”

    สิบเอกบันลือหันกลับมามองหน้าเด็กดื้อประจำตำบล คิ้วที่เริ่มจะแซมด้วยสีขาวเลิกสูง ส่วนเจ้าตัวดียิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก ไม่ได้ยี่หระกับปัญหาของผู้หญิงคนนั้น ปลายนิ้วเคาะเบาๆ ที่โต๊ะอยู่สามครั้งก่อนจะดีดตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้

   “ให้ผมช่วยไหมล่ะ”

หัวข้อ: ตอนที่ 1 เปิดป่า
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 09-09-2019 22:01:03
บทที่ 1 เปิดป่า

    ป่าสำหรับจ้าวจอมแล้วแทบจะเรียกได้ว่าเป็นบ้านหลังที่สามด้วยซ้ำต่อจากโรงเรียน แม้หลังๆ จะไม่ค่อยได้เข้าไปเพราะมีกฎหมายห้าม แต่ก็ยังลักลอบเข้าไปเรื่อยๆ ถ้าหากว่าได้ค่าตอบแทนงาม เหมือนคราวนี้

    ตาสั่งห้ามไม่ให้เข้าป่าตอนกลางคืนเพราะอันตรายมาก ถึงจะมีคาถาอาคมมากแค่ไหนก็ห้ามทำเด็ดขาด ที่เจ้าหน้าที่ป่าไม้ห้ามเอาไว้คือสิ่งที่ถูกต้องแล้ว

   ทว่าหัวใจของคนเป็นแม่กำลังจะสลาย หลังจากให้เวลาหล่อนได้สงบสติอารมณ์อยู่ร่วมสิบนาที จ้าวจอมก็ได้ข้อมูลคร่าวๆ มาว่า ลูกของหล่อนที่ชื่อพันนาหายเข้าไปในป่าพร้อมกับเพื่อนอีกสี่คนและพรานป่าที่ทำหน้าที่นำทางอีกคนสอบถามชื่อถึงได้รู้ว่าคือ ‘พรานกล้า’ ตามจริงกำหนดระยะเวลาจะต้องกลับออกมาตั้งแต่เย็นเมื่อวานซืน แต่เกินเวลามาสองวันแล้ว ซ้ำยังติดต่อไม่ได้ แม้แต่พรานกล้าก็หายไปด้วย ญาติพี่น้องก็ติดต่อไม่ได้ จะเข้าไปตามก็ถูกห้ามเพราะมันอันตรายเกินไป

    จ้าวจอมพยักหน้ารับรู้ นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับคนต่างถิ่น ป่าแถบนี้ค่อนข้างสมบูรณ์ซ้ำยังติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน เคยได้ยินลุงทหารพรานปลดเกษียณเล่าให้ฟังว่ามันเป็นเส้นทางขนยาเสพติดเข้ามาในประเทศด้วย พวกขนส่งถูกจับหลายครั้ง แต่หัวหน้าใหญ่ที่สั่งการอยู่อีกประเทศยังลอยนวล ปัญหายาเสพติดเลยไม่เคยหายไปจากบ้านนี้เมืองนี้

   แต่พรานกล้านี่สิทำไมถึงได้หายตัวไปกับเด็กพวกนั้นด้วย แน่นอนว่าจ้าวจอมรู้จักพรานกล้าดี แต่ไม่ค่อยจะถูกชะตากันเท่าไรนัก เพราะพรานกล้านี่แหล่ะที่ชอบเอาเรื่องที่เขาเข้าป่าไปเอาโสมป่ามาชายไปแจ้งตำรวจ เลยกลายเป็นไม้เบื่อไม้เมากับเขามานานหลายปี

    หมูปิ้งไม้ที่สามพร้อมกับข้าวเหนียวถูกจับใส่ปาก อาหารเย็นราคาไม่กี่สิบบาทก็ทำให้อิ่มท้องได้เหมือนกันแต่มันก็ยังสู้รสมือแม่นุชไม่ได้อยู่ดี

   “ละ แล้วเธอจะช่วยฉันยังไง”

    คำถามจากผู้หญิงตรงหน้าทำให้จ้าวจอมปัดผัดเผ็ดหูเห่าฝีมือแม่นุชออกจากสมองไปชั่วขณะ “หนูยังพาป้าเข้าป่าตอนนี้ไม่ได้หรอก มันอันตรายอย่างที่เขาว่าจริงๆ แต่หนูจะไปตอนเช้าตรู่ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น”

    “ถะ ถ้าอย่างนั้นฉันจะให้เธอช่วยทำไม! ฉันรอไปพร้อมกับเจ้าหน้าที่ไม่ดีกว่าเรอะ!” หล่อนทำเสียงดัง ใช้หลังมือปาดน้ำตาลวกๆ

   จ้าวจอมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ยกน้ำโพลาลิสขวดละห้าบาทขึ้นดื่มแก้ติดต่อแล้วค่อยอธิบายต่อ “เจ้าหน้าที่ของป่าทำงานแปดโมงครึ่ง แต่หนูทำงานตีห้า งานเลิกตอนเจอลูกชายป้า แล้วป้าก็ไม่ต้องไปกับหนูด้วย หนูไปเองได้”

   หล่อนนิ่งไปชั่วอึดใจ ก่อนจะพยักหน้าตอบตกลง “ฉันจะให้เงินมัดจำเธอก่อนครึ่งหนึ่ง แล้วจะจ่ายทั้งหมดตอนที่เธอพาลูกชายฉันกลับมาครบ 32”

   จ้าวจอมยักไหล่ก่อนหน้านี้ไม่กี่นาที เขาขอวันเดือนปีเกิดพันนาลูกชายหล่อนมาดู จับยามสามตาเรียงร้อยตัวเลขตามแบบที่ตาเคยสอน ดวงชะตาของพันนายังไม่ขาด แต่กำลังตกอยู่ในอันตรายภายใน 3 วัน 7 วันนี้ หากไม่ได้รับการช่วยเหลือก็อาจจะไม่รอด

    ยังพอมีเวลา

    จ้าวจอมหอบเงินหนึ่งหมื่นบาทกลับบ้าน ไม่ได้หนักใจแม้แต่น้อยกับภาระที่รับมา เพราะคนที่ทำหน้าที่นี้ไม่ใช่แค่เขาคนเดียว…



    กระต๊อบหลังเก่าที่สร้างจากใบจากกับไม้ไผ่ผ่าซีก ดูจากภายนอกแล้วมันพร้อมจะพังได้ทุกเมื่อ แค่ลมพายุแรงๆ หอบใส่แค่สองทีก็คงจะพันครืนลงมา

    ไฟดวงน้อยที่ห้อยลงมาจากหลังคาใบจากแกว่งไหวตามแรงลมในยามราตรี แสงสว่างวูบวาบเคลื่อนไหวไปมาสะท้อนเงารูปร่างประหลาดชวนให้ขนลุก

     แต่น้อยคนนักจะรู้ว่ากระต๊อบเก่าๆ หลังนี้ มันแข็งแรงมากแค่ไหน อายุการใช้งานมากกว่าเจ้าของด้วยซ้ำ น้ำฝนสักหยดก็ไม่เคยไหลผ่านใบจากตับเก่าๆ เข้าไปได้ ซึ่งก็มีไม่กี่คนหรอกที่จะรู้ว่าทำไม และหนึ่งในนั้นก็คือจ้าวจอม

    จ้าวจอมยืนเท้าสะเอวมองบ้านหลังเก่า พร้อมกับโทรศัพท์หาใครบางคน ไม่กี่อึดใจประตูบ้านไม้ไผ่ผ่าซีกก็เปิดออก ก่อนที่ร่างใหญ่โตของชายหนุ่มวัยฉกรรจ์จะเดินออกมา

   “โทรมาทำอะไรวะ คนกำลังจะนอน”

   พี่โหร ผู้ที่มีชื่อเล่นและชื่อจริงว่าโหร ชายหนุ่มวัย 25 ปี ผิวเข้มออกไปทางคล้ำผิดกับเชื้อสายที่เป็นคนภาคเหนือ 100% คิ้วหนาขมวดมุ่นอย่างคนหัวเสีย ท่อนบนเปลือยเปล่า สวมแค่กางเกงผ้าเนื้อลื่นๆ สีเข้มกับผ้าขาวม้าพาดบ่าอีกผืน

    “มีงานมาให้อ่ะพี่ คนหายเข้าไปในป่าอีกแล้ว”

   โหรทำหน้ายุ่ง ยกมือขึ้นเกาเส้นผมสั้นเกรียนอย่างหงุดหงิด ก่อนจะกวักมือเรียกเจ้าเด็กจอมยุ่งให้ขึ้นมาบนบ้านหลังน้อยของตัวเอง

    บ้านของโหรเป็นสมบัติตกทอดมาจากปู่ ปู่เป็นพรานหาของป่ามาขายให้คนเมืองและยึดอาชีพนี้จนสิ้นอายุขัย แต่กว่าปู่จะละโลกนี้ไปก็เกือบจะ 80 แล้ว ส่วนพ่อ เกลียดความลำบาก เกลียดกลิ่นชื้นในป่าเลยหนีเข้าไปทำงานที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่เป็นหนุ่ม วันดีคืนดีก็เอาโหรมาทิ้งไว้ให้ บอกว่าได้กับแม่ของโหรที่กรุงเทพฯ หลังคลอดโหรแม่ก็หนีไป พร้อมกับจดหมายขอโทษอีกหนึ่งฉบับ พ่อที่ไม่มีความรู้ด้านการเลี้ยงเด็กเลยเอาโหรมาทิ้งไว้กับปู่ นานทีปีหนถึงจะกลับมาเยี่ยมเยียนกันสักครั้ง

    แต่โหรไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กกำพร้า ปู่เลี้ยงดูโหรอย่างดี ให้กินของดีๆ ที่ได้มาจากป่า โหรเป็นเด็กแข็งและฉลาด อายุแค่ 10 ขวบก็เข้าป่าคนเดียวได้ และกลับออกมาพร้อมกับของป่าราคาแพง วิชาความรู้สามารถจากปู่ถ่ายทอดมาที่โหรเต็มที่ โหรทำตามที่ปู่สอนทุกอย่าง จนได้อายุ 15 มีโอกาสได้บวชเรียนกับพระครูที่ดังด้วยเรื่องคาถาอาคม อันที่จริงท่านเลิกรับลูกศิษย์ลูกหาแล้ว แต่เพราะสิทธิของการเป็นเพื่อนสมัยเด็กกับปู่เหม โหรเลยได้เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของท่าน วิชาความรู้ ถูกถ่ายทอดให้แทบหมด รวมทั้งคำสอนทางศาสนาที่ต้องควบคู่กันไป

   โหรศึกษาพระธรรมอยู่สามปี พระครูก็ละสังขารด้วยโรคชรา หลังเสร็จสิ้นพิธีโหรก็ลาสิขาบถด้วยวัย 18 ปี แม้วิชาความรู้ทางด้านคาถาอาคมจะเต็มเปี่ยม แต่ในทางโลกโหรมีวุฒิการศึกษาแค่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่สามเท่านั้น เพราะไม่อยากถูกมองว่าเป็นคนด้อยการศึกษาเลยยอมเสียเวลาเรียนการศึกษานอกโรงเรียนอยู่ 2 ปี ได้วุฒิมัธยมปลายมานำไปศึกษาต่อระดับปริญญาตรี ในมหาวิทยาลัยของจังหวัด

    ด้วยเพราะเป็นห่วงปู่ โหรเลยไม่ไปเรียนที่อื่น ระหว่างที่เรียนก็ช่วยปู่ทำหน้าที่พรานไปด้วย ความชำนาญในพื้นที่อาจจะไม่เท่ากับปู่ แต่เรื่องสมุนไพรโหรไม่เป็นสองรองใคร ไม่นานชื่อเสียงของพรานสมัครเล่นที่ชื่อว่าพรานโหรเลยถ่ายทอดจากปากต่อปาก ซ้ำยาสมุนไพรของโหรยังได้รับความนิยมชมชอบไม่น้อย

   ไม่เพียงแต่เป็นพรานป่า แต่โหรยังรักษาโรคต่างๆ ได้ด้วย ไม่ใช่ด้วยเวทมนต์หากแต่เป็นสมุนไพรจากป่า ชาวบ้านแถวนี้เรียกโหรว่าหมอ หมอโหรเก่งกว่าหมอในโรงพยาบาลเสียอีก แถมไม่ต้องต่อแถวนั่งรอคิวเป็นวันๆ แค่บอกอากาศ หมอโหรก็จะเลือกสมุนไพรมาให้ ค่ารักษาก็ไม่กี่บาท

    “มีงานอะไรก็เล่ามา เสียเวลานอนกูจริงๆ”

   โหรถามเสียงห้วน หน้าตาถมึงทึงเพราะถูกขัดจังหวะการพักผ่อน ภายในกระต๊อบหลังเล็กแทบจะไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่ออำนวยความสะดวกใดๆ มีแค่หลอดนีออนหลอดเดียว วิทยุทรานซิสเตอร์รุ่นเก่า และหม้อหุงข้าวอีกใบ จ้าวจอมเคยถามโหรหลายครั้งว่าทำไมไม่เอาเงินไปซื้อบ้านหลังใหม่ แต่โหรส่ายหน้าปฏิเสธบอกสั้นแค่ว่า ‘ที่นี่เป็นบ้านของปู่กู’

    “ลูกคุณนายในเมืองหลงป่าอ่ะ หายไปกับเพื่อนอีกสี่คน แล้วก็น้ากล้า” จ้าวจอมบอกสั้นๆ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนหลงป่า เพราะความคะนองของพวกคนเมืองเลยมีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง

    “พี่กล้า?” โหรเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ “กี่วันแล้ว”

   “สี่” จ้าวจอมกางนิ้วทั้งสี่ออก

   “เหลืออีกสามคืน” โหรบอก “งานนี้ได้เท่าไร”

   “สามหมื่น ป้าแกให้มัดจำมาก่อนหมื่นห้า” จ้าวจอมล้วงเอาเงินปึกใหญ่ออกมาจากระเป๋าสะพายส่งให้โหรดู “รับเงินเขามาแล้วอ่ะพี่ ไม่ทำก็ไม่ได้”

    “ไอ้เลว! มึงรับเอง เข้าไปคนเดียวเลย” โหรก่นด่า ผลักศีรษะทุยจนแทบจะหงายหลัง จ้าวจอมบุ้ยปาก

   “ไม่เอาอ่ะ เหนื่อย ไม่รู้เดินไปถึงฝั่งโน้นหรือยัง”

   “ไอ้ห่านี่รับงานไม่รู้เรื่อง” โหรบ่น แต่ก็รับเงินพลางใช้นิ้วกรีดไปตามแบงค์สีเทา “ตื่นให้ไวนะมึง ถ้าสายกูไม่ให้แม้แต่บาทเดียว”




    เสียงไก่ฟ้าดังอยู่ไกลๆ มันขันแข่งกับไอ้แจ้ แก่โต้งประจำบ้านหมอโหร จ้าวจอมเปิดปากหาววอดๆ อยู่หลายหน จนหางตาปริ่มน้ำ ถึงจะรู้ว่าต้องเข้าป่าตอนตีห้า แต่ความง่วงที่โดนปลุกตั้งแต่ก่อนตีสี่ครึ่งทำให้อาการง่วงเหงาหาวนอนยังไม่หายไปง่ายๆ สองเท้าก้าวผิดก้าวถูก เดินโซเซตามหลังลูกพี่โดยอาศัยแต่แสงไฟจากกระบองไฟฉายช่วยนำทาง

   ป่าผืนนี้ทั้งโหรและจ้าวจอมรู้จักเป็นอย่างดี แต่จ้าวจอมดูจะห่างชั้นจากโหรสักหน่อยเพราะจ้าวจอมมักจะเดินเส้นทางเดิมที่พ่อเคยพาไป ส่วนโหรเดินตามปู่เข้าป่าตั้งแต่ 5 ขวบ รู้ดีว่าจุดไหนอันตราย จุดไหนมนุษย์อาศัยอยู่ได้
 
   สำนักงานป่าไม้ตั้งอยู่ตีนเขา ห่างจากบ้านหมอโหรไม่กี่กิโลเมตร โหรกับเจ้าหน้าที่รู้จักมักจี่กันดี เพราะหลายครั้งที่ต้องทำร่วมงานกัน อย่างเช่นคนหาย ลำพังเจ้าหน้าที่อย่างเดียวคงไม่สามารถตามหามนุษย์ตัวเล็กๆ ในป่าที่กว้างนับร้อยนับพันไร่นี้ได้ ต้องอาศัยผู้รู้ทางอย่างพรานป่า และพรานที่มีอยู่ก็เหลือแค่ไม่กี่คน หนึ่งในนั้นก็คือโหร ส่วนอีกคนคือทิดสิงห์ พ่อของจ้าวจอม แต่รายหลังพักฝีมือไปหลายปีแล้วเพราะมีปัญหาเรื่องสุขภาพ

   สิ่งที่หมอโหรกับจ้าวจอมนำติดตัวไปอาหารกระป๋องนิดหน่อย ของแห้งที่ปิ้งย่างกินได้ เพราะไม่อยากไปเบียดเบียนชีวิตใครในป่า ข้าวเหนียวอีกคนละกระติบแค่นี้ก็อยู่รอดได้เป็นสองสามวัน

   มีดหมอลงอาคมสมบัติตกทอดจากปู่เหน็บอยู่ข้างเอว กระเป๋าคาดเอวเก่าๆ บรรจุสมุนไพรรักษาโรค ยาดม ยาหม่องเผื่อโดนแมลงมีพิษกัดต่อย โหรไม่ห่วงตัวเอง แต่ห่วงไอ้เด็กที่เดินตามหลังมากกว่า ด้วยความที่อ่อนวัยทำให้ไม่ค่อยจะระวังตัวสักเท่าไร โดนหนามเกี่ยวบ้าง โดนผึ้งหรือต่อแตนต่อยบ้าง เดือดร้อนยาหม่องสูตรพิเศษของหมอใหญ่ประจำหมู่บ้านทุกที

    อากาศในป่าเย็นและค่อนข้างชื้น ถึงช่วงนี้จะยังเป็นฤดูร้อน แต่ป่าที่อุดมไปด้วยต้นไม้ใหญ่อากาศในยามไร้แสงอาทิตย์จะเย็นกว่าด้านนอกหลายองศานัก เสียงหรีดหริ่งเรไรยังคงขับขานแม้ว่าอีกไม่ถึงชั่วโมงพระอาทิตย์ก็จะจับขอบฟ้าแล้วก็ตาม
 
   เดินกันมาสักพักหมอโหรก็หยุดลง ใต้ต้นไม้ใหญ่มีศาลเก่าๆ พังๆ ตั้งอยู่ หากไม่สังเกตดีๆ ก็อาจจะมองไม่เห็น ผ้าสามสีเก่าเสียจนกลายเป็นสีน้ำตาลคล้ำทั้งสามผืน แต่ตุ๊กตาตัวเล็กๆ ด้านในยังตั้งอยู่ที่เดิม ไม่ได้เก่าตามตัวศาลราวกับว่าไม่มีอะไรทำอะไรมันได้

    โหรนั่งลงพร้อมกับดึงธูปออกมาจุดเก้าดอก ปากพึมพำภาวนาบางอย่างก่อนจะเอามีดทิ่มดินแล้วก็พลิกดินขึ้นมา 3 ครั้ง พร้อมจับใบไม้ที่ทั้งสดและแห้งที่ตกอยู่แถวนั้นพลิกหงายขึ้น

   “ไปได้”

   จ้าวจอมพยักหน้าหงึกหงัก ไม่ได้สงสัยในพิธีกรรมของหมอโหรเพราะตนเองก็เคยทำ ถึงคาถาอาคมจะมีแค่หางอึ่ง แต่การ ‘เปิดป่า’ มันจำเป็นมากสำหรับคนจะเข้าป่า ดังนั้นการเข้าป่าจึงจำเป็นต้องผู้รู้เป็นคนนำทาง ไม่อย่างนั้นอาจจะไม่ได้กลับออกมา หรือไอ้หนุ่มคนเมืองทั้งห้าคนนั่นก็ได้

    หมอโหรก้าวเดินฉับๆ เหมือนตอนกลางวัน ทางเล็กๆ แค่พอคนเดินขรุขระ เพราะมันไม่ใช่ทางที่เปิดให้นักท่องเที่ยวขึ้น แต่มันเป็นทางลัดที่จะทำให้ไปถึงจุดสำคัญได้เร็วกว่าปกติเป็นเท่าตัว

    ตั้งแต่จำความได้ ปู่ก็พาโหรเข้าป่า เริ่มจากพาขึ้นห้างส่องสัตว์ป่าที่หาดูไม่ได้ในสวนสัตว์ โหรทำตามที่ปู่สอนทุกอย่าง โหรเลยได้เห็นช้างป่าตั้งแต่ยังไม่เข้า ป.1 พอเอาไปอวดเพื่อนที่โรงเรียนก็โดนล้อว่าขี้โม้ จากนั้นโหรก็ไม่เคยเล่าประสบการณ์ตื่นตาตื่นใจให้ใครฟังอีก ยกเว้นไอ้เด็กที่เดินตามหลัง

   ชีวิตของโหรกับจ้าวจอมไม่ค่อยต่างกันเท่าไรนัก พอโหรอายุ 7 ขวบ จ้าวจอมก็ลืมตาดูโลก ปู่ของโหรกับตาของจ้าวจอมเป็นเพื่อนร่วมอาชีพกัน แต่ตาของจ้าวจอมวางมือไปก่อนเพราะลูกชายขอร้อง ส่วนปู่ของโหรทำอาชีพนี้จนวาระสุดท้ายของชีวิต ดังนั้นโหรเลยมีประสบการณ์มากกว่าจ้าวจอมอยู่มากนัก

   น้อยคนนักจะรู้ว่าหมอโหรพรานป่าคนนี้จบการศึกษาถึงระดับปริญญาตรี แถมยังเลือกเรียนทรัพยากรตามอาชีพที่เลือกอีกด้วย โหรหัวดี ฉลาด รักไม่ยุ่งมุ่งแต่เรียน แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยมีคนรัก เพราะแฟนสาวคนล่าสุดเพิ่งเลิกรากันไปก่อนที่โหรจะเรียนจบ

   เจ้าหล่อนเลือกที่จะไปใช้ชีวิตอยู่ในเมืองกรุง และพยายามชักชวนโหรทุกทาง แต่โหรปฏิเสธเด็ดขาด ดังนั้นเจ้าหล่อนก็เลยเลือกที่จะทิ้งโหรแล้วไปวิ่งตามความฝัน แน่นอนว่าคนอย่างโหรย่อมไม่เสียน้ำตาให้กับอาการที่เรียกว่า ‘อกหัก’ โหรใช้เวลาพักใหญ่ในการทำใจ บาดแผลจากความรักมันหนักหนายิ่งกว่าถูกรถยนต์เสียอีก แผลทางใจย่อมสาหัสกว่าแผลทางกาย กินเหล้าหัวราน้ำอยู่หลายวันกว่าจะทำใจได้ หลังจากนั้นก็เข้าป่าไปเดินอยู่สามวัน กลับออกมาเรื่องของผู้หญิงคนนั้นก็กลายเป็นเพียงแค่หนึ่งความทรงจำเท่านั้น

   พ่อของโหรเคยขอให้โหรไปทำงานด้วยกันที่กรุงเทพฯ แต่โหรก็ปฏิเสธเช่นกัน ยอมรับตามตรงว่าโหรรักปู่มากกว่าพ่อ พ่อที่แทบจะจำหน้าไม่ได้ ปีหนึ่งเจอกันไม่กี่ครั้ง เงินก็ส่งมาบ้างไม่ส่งบ้าง ได้ข่าวว่าพ่อมีครอบครัวใหม่แล้ว ท่าทางอบอุ่นดี เลยไม่มีเหตุผลอะไรให้โหรต้องทิ้งปู่และอาชีพพรานป่าไป

    ในวันที่ปู่ทิ้งโลกนี้ไป ปีนั้นโหรอายุได้ 21 ปี โหรทำเรื่องกับมหาวิทยาลัยเพื่อขอลาบวช 1 เดือน ทดแทนบุญคุณของปู่ หลังจากนั้นพอศึกออกมา ก็ได้เวลาจับใบดำใบแดงพอดี โหรโชคดีที่ไม่ต้องรับใช้ชาติ เลยได้กลับมาศึกษาต่อและได้ปริญญาบัตรไว้ครอบครอง ซึ่งจนถึงตอนนี้มันก็ยังอยู่ในซองสีน้ำตาล ไม่เคยไปยื่นให้บริษัทที่ไหนดู เพราะอาชีพของโหรไม่จำเป็นต้องใช้ใบปริญญา

    หลังจากถูกทิ้งโหรก็ไม่เคยให้ผู้หญิงคนไหนเข้ามากล้ำกรายในชีวิตได้อีก ปู่เคยสอนไว้ว่าหากจะมีคนรักผู้หญิงคนนั้นต้องดีพร้อมที่จะเป็นแม่ของลูกด้วย โหรไม่เคยเห็นย่าตัวเป็นๆ เพราะย่าตายไปก่อนโหรจะเกินหลายปี แต่ปู่บอกเสมอว่ารักย่า ย่าเป็นผู้หญิงที่พร้อมทุกด้าน เข้าป่าตามปู่ไปได้โดยไม่บ่น แถมงานบ้านงานเรือนก็ไม่เคยบกพร่อง เสียดายที่ย่าอายุสั้นเพราะโรคประจำตัว

   พระอาทิตย์เริ่มจับขอบฟ้า แต่ในป่าไม่ได้สว่างตามไปด้วย ยังคงมืดและเงียบสนิท นานๆ ทีจะได้ยินเสียงไก่ป่าดังมาบ้าง แทรกด้วยเสียงหรีดหริ่งเรไร แถวนี้ยังไม่มีร่อยรอยของสัตว์ป่าให้เห็น เพราะยังเป็นตีนเขา ต้องเดินเข้าไปอีกหลายกิโลกว่าจะถึงในส่วนที่ทางการห้ามไม่ให้เข้าไป เว้นเสียแต่จะได้รับอนุญาต แน่นอนว่าระดับโหรกับจ้าวจอมไม่จำเป็นต้องทำเรื่องขอให้เสียเวลา แค่ใช้ทางลัดนิดหน่อยก็เข้าไปได้แล้ว แถมยังไม่เคยโดนจับได้อีกด้วย

    เสียงหาวของจ้าวจอมยังมีให้ได้ยิน เจ้าเด็กคนนี้ขี้เซานัก เคยเข้าป่าไปนั่งห้างด้วยกัน ไอ้เด็กคนนี้หลับยันเช้า ไม่ได้สะทกสะท้านกับเสียงของสัตว์กลางคืนสักนิด ถ้าหากว่าตกห้างแล้วโดนเสือคาบไปก็คงไม่แปลก

   โหรเดินไปเงียบๆ เสียงเท้าที่เหยียบใบไม้เงียบไม่ต่างจากแมวเดิน สายตามุ่งตรงไปข้างหน้า ระยะการมองเห็นไปได้ไกลกว่าแสงไฟฉายเสียอีก กิ่งไม้ที่เกี่ยวผ่านแทบไม่ทำให้ผิวระคาย ทางเดินเล็กๆ ไม่ราบเรียบ ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเดินสักนิด
 
   เกือบเจ็ดโมง แสงแดดเริ่มลอดผ่านกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่ พอให้เห็นทางเล็กๆ ขรุขระบ้างโดยไม่ต้องเพ่งมอง กลิ่นไอแห่งความผิดปกติเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งเข้าสู่ช่วงตีนเขาพระอาทิตย์ก็โผล่ขึ้นเต็มดวง

   “พี่ว่าไอ้เด็กพวกนั้นมันไปอยู่ตรงไหน” จ้าวจอมทำลายความเงียบขณะที่ก้าวยาวๆ เพื่อให้ทันคนข้างหน้า

   “ไม่น่าจะถึงยอดเขาหรอก” โหรออกความเห็น “อย่างดีก็แค่ห้างส่องสัตว์ ถ้าไม่ตายซะก่อน”

    “ตายเลยเหรอ ไม่ได้นะ เดี๋ยวถูกลดค่าจ้าง”

   “ไอ้งกเอ๊ย”

    โหรส่ายหัวเบาๆ ให้กับความขี้งกของเด็กจอม เท่าที่รู้ฐานะทางบ้านของจ้าวจอมไม่ได้แย่อะไร ถึงไม่ใช่เศรษฐีระดับจังหวัด แต่ก็มีกินมีใช้ เรียกได้ว่าส่งให้จ้าวจอมเรียนจนจบมหาวิทยาลัยได้สบายๆ แต่จ้าวจอมมันรั้น ชอบหนีเข้าป่าหาของป่ามาขาย มันบอกสนุกกว่าเรียนหนังสือในห้องสี่เหลี่ยมเป็นไหนๆ ซึ่งเขาก็เห็นด้วย

    “พี่โหร ที่เขาลือกันว่าพี่สักอสิสัตติจริงไหมอ่ะ”

   โหรไม่ตอบ เพราะเห็นว่าไม่ใช่คำถามสำคัญ เจ้าเด็กพูดมากเลยถามต่อ “ฉันเคยได้ยินแม่ค้าในตลาดเล่าด้วยว่าเคยเห็นรอยสักอิติปิโสแปดทิศด้วย”

   “ไร้สาระ” โหรตัดบท

   “โธ่พี่ ฉันอยากสักบ้าง พี่สักให้ฉันไม่ได้เหรอ” จ้าวจอมอ้อน “ฉันเองก็อยากฟันแทงไม่เข้าเหมือนกัน”

   “ปู่กูสัก แต่ก็ตายอยู่ดี” โหรดับฝัน จ้าวจอมถึงกับร้องครวญ    

    แล้วทั้งคู่ก็สนทนากันไปเรื่อยๆ ด้วยสรรเพเหระ เพื่อไม่ให้การเดินทางน่าเบื่อจนเกินไป อีกไม่นานเจ้าหน้าที่ป่าไม้คงจะเริ่มออกตามหาเด็กที่หลงป่าเหมือนกัน พวกเราต้องรีบหน่อย ถ้าหากหาตัวเจอก่อน จะสามารถเรียกค่าแรงได้อีก

   โหรไม่คิดว่ามันเป็นการเอารัดเอาเปรียบ หากแต่คนพวกนี้หาเรื่องเดือดร้อนเอง เงินแค่หลักหมื่นมันน้อยไปด้วยซ้ำถ้าเทียบกับวิชาของเขา

    พลันจมูกก็รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง หากแต่มองด้วยสายตาไม่อาจหาแหล่งที่มาได้ ใช้เพียงแค่ความรู้สึกเท่านั้น เสียงร้องของสิ่งมีชีวิตดังก้องในหู หันไปมองเด็กอีกคนก็เห็นมันนิ่งเฉย ไม่ได้ผิดปกติแต่อย่างใด

   โหรหยุดเดิน ทำเอาคนเดินตามชนหลังดังกึก

   “อ้าว! พี่โหร หยุดเดินทำไมอ่ะ” จ้าวจอมถาม คลำจมูกป้อยๆ เพราะชนกับแผ่นหลังกว้างเต็มรัก

   “กูได้ยินเสียงร้อง”

   “เสียงร้อง? เสียงอะไรอ่ะ”

   “มันไม่ชัด แต่เหมือน...คน” โหรบอกไปตามความรู้สึก คิ้วหนาขมวดเข้าหากันอย่างใช้ความคิด

   “คนเหรอ คนที่ไหนอ่ะ” จ้าวจอมยังสงสัยไม่เลิก หันมองไปรอบกายเผื่อว่าจะเจอที่มาของเสียง

   “เขาโกรธ” โหรบอกสั้นๆ เสียงที่ดังในหูนั้นแม้จะไม่ชัดมาก แต่สัมผัสได้ถึงความเคียดแค้น

   “นี่อย่าบอกนะว่าไอ้เด็กพวกนั้น...” จ้าวจอมหยุดพูดแค่นั้น หัวใจเต้นรัวด้วยความคิดที่ผุดขึ้นในสมอง “ไอ้พวกบ้าเอ๊ย! ตายห่ายกทีมแล้วมั้ง”

   จ้าวจอมสบถ ไอ้พวกเด็กในเมืองนั่นคงทำให้เจ้าป่าเจ้าเขาโกรธ ไม่รู้ว่ามันทำอะไร แต่คงจะหนักหนาไม่น้อย โหรถึงได้ยินเสียงแห่งความโกรธแค้น

   “กูว่าเรารีบกันหน่อยดีกว่า ก่อนที่พวกมันจะตายห่ากันหมดจริงๆ”
    
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 1 : เปิดป่า] 09/09/2562
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 10-09-2019 00:03:28
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 1 : เปิดป่า] 09/09/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 10-09-2019 11:43:18
 :pig2: :pig2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 1 : เปิดป่า] 09/09/2562
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 10-09-2019 14:11:50
แอบขนลุก ตื่นเต้น ๆ รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 1 : เปิดป่า] 09/09/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 11-09-2019 00:33:09
 แนวลึกลับเนี่ยชอบเลย
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 2 : เดินป่า] 11/09/2562
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 11-09-2019 21:09:30
ตอนที่ 2 เดินป่า


    ‘กุมภ์’ จำไม่ได้ว่านอนอยู่ตรงนี้นานเท่าไรแล้ว เรี่ยวแรงมันถดถอยลงเรื่อยๆ พอๆ กับสัญญาณชีวิตหากย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะไม่ยอมตกปากรับคำมากับคนพวกนี้แน่นอน

   ด้วยความที่เป็นคนกรุงเทพฯ ทำให้กุมภ์แสวงหาธรรมชาติ อยากจะดื่มด่ำกับบรรยากาศที่สดชื่น เหมือนที่เคยเห็นในภาพถ่าย จะเรียกว่า ‘โชค’ หรือ ‘คราวเคราะห์’ ก็ไม่อาจบอกได้ บังเอิญเหลือเกินว่า ‘พันนา’ เพื่อนสนิทของกุมภ์มีบ้านอยู่กาญจนบุรี แค่เจ้าตัวเอ่ยปากชวนให้มาเที่ยวบ้านระหว่างปิดเทอมกุมภ์ก็ตอบรับทันทีแทบจะไม่เสียเวลาคิดด้วยซ้ำ

    “กูว่าจะขอพ่อเข้าไปถ่ายรูปในป่า” พันนา เพื่อนสนิทของกุมภ์เอ่ยขึ้น “พวกมึงจะไปกับกูไหม”

    “ไปบ้านมึงแล้วทั้งที จะไม่ไปกับมึงได้ยังไงวะ” ชาร์ล หนุ่มลูกครึ่งอิตาลีเปรยขึ้นระหว่างที่กำลังเก็บของลงกระเป๋าเตรียมพร้อมเดินทาง

   “เออว่ะ น่าสนุกดี” รชต เพื่อนร่วมแก็งค์อีกคนเห็นด้วย พลางยกกระป๋องเบียร์ขึ้นจิบ “ปิดเทอมทั้งทีต้องหาอะไรทำเจ๋งๆ สิวะ”

    “มึงรู้หรือเปล่าว่าในป่ามีอะไรบ้าง” พันนาเอ่ยถาม

   กุมภ์ส่ายหัว ยอมรับว่าไม่มีความรู้อะไรเลย แค่อยากไป อยากเห็นสักครั้งเท่านั้น

   “ก็มีเสือ มีช้าง มีลิงไง” ชาร์ลตอบ “เหมือนทุ่งสะวันนาไง เมื่อปีก่อนพ่อพากูไป โคตรร้อน”

   “ไม่เหมือน ที่นี่มันป่าเมืองไทย แถมเขาไม่ได้เปิดให้มึงเข้าไปเดินเล่นง่ายๆ ด้วย”

   “จะป่าที่ไหนก็เหมือนกันแหล่ะมั้ง” คะนิ้ง แฟนสาวคนสวยของชาร์ลออกความเห็นบ้าง เธอไม่ได้ปฏิเสธตอนที่ชาร์ลบอกว่าจะไปกาญจนบุรี แถมยังขอติดตามไปด้วย

    “ไม่เหมือนหรอก” พันนาบอกสั้นๆ แล้วไม่ยอมอธิบายอะไรเพิ่มแม้ว่ากุมภ์กับคนอื่นๆ จะคะยั้นคะยอสักแค่ไหนก็ตาม…




    บ้านของพันนาหลังใหญ่สมกับเป็นเศรษฐีประจำจังหวัด พื้นที่อาณาบริเวณคะเนด้วยสายตาน่าจะเกือบห้าไร่ มีรั้วรอบขอบชิดและเป็นส่วนตัว ถนนใหญ่ตัดผ่านหน้าบ้าน ใช้เวลาเดินทางไม่กี่นาทีก็ถึงตัวเมือง รอบๆ มีบ้านหลังใหญ่ขนาดใกล้เคียงกัน พันนาบอกว่าเป็นบ้านของพวกนายทหารใหญ่หลายนาย

   กุมภ์ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นกับบ้านหลังใหญ่ของเพื่อนสนิท หากแต่จดจ่ออยู่กับการเดินป่าครั้งแรกในชีวิตมากกว่า พันนาอธิบายคร่าวๆ ว่า ป่าที่จะไปเดินกันนั้นเป็นป่าสงวน ต้องทำเรื่องขออนุญาตเสียก่อนถึงจะเข้าได้ ซึ่งพันนาให้บิดาที่เป็นข้าราชการระดับสูงในกระทรวงหนึ่งบอกกับเจ้าหน้าที่ไว้ก่อนแล้ว โดยมีข้อแม้ว่าทุกคนจะต้องปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัดและห้ามทำอะไรพิเรนทร์เด็ดขาด

    ทุกคนพยักหน้าหงึกหงักรับรู้ตอนที่พันนาบอกกฎที่ต้องปฏิบัติ มีเพียงแค่ชาร์ลเท่านั้นที่ฟังไปหาวไปคงเพราะเพลียจากการเดินทาง

   ครอบครัวของพันนาให้การต้อนรับเป็นอย่างดี เลี้ยงดูปูเสื่อประหนึ่งแขกคนสำคัญ ห้องพักก็จัดให้อย่างดิบดีไม่ต่างจากโรงแรมระดับห้าดาว ทุกคนได้พักผ่อนกันที่บ้านใหญ่ก่อนสองคืน แล้วเริ่มออกเดินทางผจญภัยในป่ากว้างกันในวันรุ่งขึ้นของวันที่สาม

    กุมภ์ตื่นเต้นกับการเดินครั้งนี้มากกว่าใคร ผิดกับพันนาที่เงียบขรึมผิดปกติ ถึงแม้ว่าพันนาจะไม่ใช่พวกพูดมากเป็นต่อยหอยเหมือนชาร์ลหรือรชต แต่คราวนี้พันนาเงียบกว่าที่เคยเห็นจนกุมภ์รู้สึกได้ ทว่ากุมภ์ก็ตื่นเต้นกับการเดินป่าเสียจนจะถามไถ่อาการของเพื่อนสนิท

    กำหนดการผจญภัยคือเจ็ดโมงเช้า มีพรานป่าซึ่งเป็นคนในพื้นที่นั่นเองเป็นผู้นำทาง คราแรกพวกเราปฏิเสธไม่ต้องการให้คนอื่นไปด้วย แต่พ่อกับแม่ของพันนายืนกรานว่าจำเป็นจะต้องมีคนนำทางไม่เช่นนั้นจะหลงป่าได้ กุมภ์ไม่คัดค้านเช่นเดียวกับคนอื่นๆ มีแต่ชาร์ลเท่านั้นที่ยังบ่นให้ได้ยินว่าพรานป่าคนนั้นมีแต่จะทำให้เกะกะเปล่า

   ทุกคนมาถึงที่ทางเข้าอุทยานตอนเกือบเจ็ดโมงเช้า พรานป่าที่เป็นคนนำทางอายุค่อนไปทางสี่สิบตอนปลาย ผิวเข้มคล้ำ หน้าตาดุดัน แต่งตัวไม่ต่างจากคนอื่นๆ แต่มีสร้อยปะคำห้อยอยู่ที่คอ พรานกล้าไม่พูดอะไรมาก แค่บอกให้ทำตามที่บอก ห้ามเดินออกนอกเส้นทาง เพราะถ้าหากถูกสัตว์ป่าทำร้ายพรานกล้าจะไม่รับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้นเพราะถือว่าได้เตือนแล้ว

   พรานกล้ามองมาที่คะนิ้ง เอ่ยเตือนด้วยเสียงเรียบนิ่ง “เป็นประจำเดือนหรือเปล่า”

    คะนิ้งหน้าแดงเรื่อ แววตากรุ่นโกรธ ก่อนจะสะบัดหน้าแรงๆ “เปล่าค่ะ!”

    พรานกล้าไม่พูดอะไร กระชับบางอย่างที่คาดอยู่แถวเข็มขัดแล้วก้าวยาวๆ เดินนำหน้าไป

   ที่จริงแล้วอุทยานแห่งนี้มีจุดกลางเต็นท์สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไป แต่มันตื่นเต้นโจรทะยานมากพอสำหรับวัยหนุ่มสาวที่เต็มไปด้วยพลังงานเช่นนี้ ก่อนหน้าที่จะมากุมภ์ได้ศึกษาพื้นที่ป่าแห่งนี้มาบ้าง พบว่ามันจุดที่น่าสนใจอยู่มากทีเดียว นั่นคือการนั่งห้างส่องสัตว์ เพราะถ้าหากโชคดีอาจจะได้เห็นเสือตัวเป็นๆ หรือสัตว์ป่าหายากก็เป็นได้ พอเสนอกับเพื่อนๆ ไปว่าอยากจะส่องสัตว์ ทุกคนเห็นดีเห็นงาม ดังนั้นพ่อแม่ของพันนาเลยต้องจ้างพรานป่าเพราะถ้าหากพวกเราไปส่องสัตว์กันเองนอกจากจะไม่ได้เห็นสัตว์แล้ว อาจจะเกิดอันตรายได้อีกด้วย

   ‘อันตรายอะไรเหรอครับ’ ชาร์ลถาม สีหน้าระแวงสงสัยตามประสาหนุ่มลูกครึ่งที่ไม่มีความเชื่อในสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้

    ‘สัตว์ป่าน่ะ ไม่เหมือนสัตว์เลี้ยงนะ หากไม่มีวิชาคาถาอาคมมันจะทำร้ายเรา’ พ่อของพันนาบอกเรียบๆ พลางกันไปทางบุตรชาย ‘ระวังตัวให้มากนะลูก รู้ใช่ไหมว่าในป่ามันอันตราย’    

   พันนาพยักหน้ารับเพียงครั้งเดียว และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้การเดินทางครั้งนี้จำเป็นต้องมีพรานกล้ามาด้วย

    การเดินทางในช่วงแรกไม่ได้เหนื่อยมากนัก อาจเป็นเพราะอยู่ตีนเขาไม่ต้องใช้กำลังขามาก หากแต่เดินไปได้อีกสักสองชั่วโมงร่างกายก็เริ่มเหนื่อยล้า แสงแดดในยามสายร้อนจัด แม้จะมีต้นไม้ให้ร่มเงา แต่ไม่มีลมพัดให้ชื่นใจเลยแม้แต่น้อย พันนายกกล้องคู่ใจถ่ายรูปเก็บภาพไปเรื่อยๆ แต่ที่อยากได้ที่สุดคือรูปสัตว์ เพราะฝันว่าครั้งหนึ่งในชีวิตอยากจะมาส่องสัตว์ และมีรูปเก็บไว้เพื่อเป็นหลักฐานแห่งความประทับใจ

    คะนิ้งเริ่มบ่นอิดออดว่าร้อนบ้าง เมื่อยบ้าง อยากพัก อยากกินโน่นกินนี่ แต่พรานกล้าไม่อนุญาตให้พักเพราะต้องเดินให้ถึงจุดหมายก่อนจะมืด คะนิ้งกระฟัดกระเฟียดทำท่าจะไม่เดินต่อเดือดร้อนถึงชาร์ลที่ต้องเอากระเป๋าแบรนด์เนมดังมาล่อ เจ้าหล่อนถึงมีแรงเดินต่อ

   จนเกือบเที่ยงพรานกล้าถึงบอกให้พักกินข้าว ระหว่างที่จัดแจงดึงเสบียงมาจากกระเป๋าเป้ใบใหญ่ พรานกล้าก็หาใบไม้แถวนั้นมารอง ก่อนจะแบ่งข้าวเหนียวและหมูทอดเกรียมๆ วางบนใบไม้ ทำปากขมุบขมิบ แล้วจัดการกินมื้อเที่ยงที่เหลือของตน ทิ้งให้กุมภ์กับคนอื่นๆ อยู่กับความแปลกใจ แต่ก็ไม่มีใครถามอะไร เพราะท้องร้องหิวจนไส้แทบขาด

   กินข้าวอิ่มก็ออกเดินทางต่อ การเดินป่าไม่ได้สนุกเหมือนที่จินตนาการไว้ มันเหนื่อยและร้อนจนอยากจะหันหลังกลับ แต่ก็เดินมาไกลจนกว่าจะกลับไปได้แล้ว คะนิ้งบ่นหนักขึ้น จนพรานกล้าหันมาตำหนิด้วยสายตา เจ้าหล่อนชักสีหน้าไม่พอใจ ฟ้องชาร์ลชุดใหญ่ แต่ชาร์ลก็เหนื่อยอ่อนเกินกว่าจะเอาเรื่องพรานกล้า อีกอย่างก็นึกรำคาญความงี่เง่าของคนรักตัวเองอยู่เหมือนกัน
   ล่วงเข้าบ่ายคล้อย ทั้งหมดก็ขึ้นมาถึงเกือบกลางเขา พรานกล้าบอกว่าเลยจุดสำหรับให้นักท่องเที่ยวกางเต็นท์นอนแล้ว คงเพราะเดินมาในเส้นทางลัดเลยไม่รู้ทิศทางที่ชัดเจน

   กุมภ์ยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่หลังหน้าผาก อากาศร้อนและอบอ้าวกว่าที่คิดไว้เยอะทีเดียว เขาหันไปมองเพื่อนร่วมขบวน แต่ละคนมีสภาพไม่ต่างกันนัก แต่คะนิ้งดูจะแย่กว่าใคร ใบหน้าเธอซีดเซียว เหมือนคนใกล้จะเป็นลมเต็มที

   “คืนนี้พักแถวนี้ก็แล้วกัน” พรานกล้าบอกสั้นๆ แล้วลงมือรื้อข้าวของออกจากกระเป๋าเป้ของตัวเอง

   คะนิ้งร้องไชโยด้วยความดีใจ เสียงของเธอดังก้องไปทั้งป่า พรานกล้าหันมาใช้สายตาตำหนิในการกระทำที่ไม่สมควรของเธอ แต่คะนิ้งไม่สนใจทิ้งตัวลงนั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ เหยียดขายาวเพื่อคลายความเมื่อยล้า ปากก็พร่ำบ่นไม่หยุด ขณะที่คนอื่นๆ เริ่มลงมือการเต็นท์ง่ายๆ เพื่อใช้สำหรับการพักผ่อนในคืนนี้

   กองไฟถูกก่อขึ้นง่ายๆ ด้วยเศษไม้แห้งแถวนั้น แสงสว่างจากกองไฟช่วยทำให้รอบๆ บริเวณไม่น่ากลัวจนเกินไปนัก ชาร์ลถามหาถึงห้างที่ใช้ส่องสัตว์ ได้คำตอบจากพรานกล้าว่าอยู่ห่างไปอีกหลายกิโล อาจจะถึงพรุ่งนี้ตอนบ่าย คะนิ้งบ่นอีกรอบ เพราะเธอไม่ได้อาบน้ำ เหนียวตัวไปหมด ใช้แค่ทิชชู่เปียกทำความสะอาดเนื้อตัวเท่านั้น มื้อเย็นเป็นอาหารกระป๋องที่พกกันมากับขนมปัง ส่วนของพรานกล้ายังเป็นข้าวเหนียวกับหมูทอดอีกตามเคย

   พรานกล้าทำเหมือนเมื่อตอนกลางวันคือนำอาหารเล็กน้อยวางบนใบไม้ ปากขยับพึมพำบางอย่างแล้ววางมันไว้ข้างๆ ตัว

   “ทำแบบนั้นทำไมเหรอ” รชตถาม ขณะที่ใช้ขนมปังจิ้มปลากระป๋อง

   “แบ่งให้เจ้าที่เจ้าทาง” พรานกล้าตอบสั้นๆ แต่รชตกลับหัวเราะในคอ

   “ของกินมีจำกัด ยังจะแบ่งให้ผีให้สางอีก” รชตออกความเห็น

   “ถ้าไม่รู้อะไรก็อย่าพูดมาก” พรานกล้าเตือน ทว่าเด็กที่โตมากับแสงสีอย่างรชตยังไม่หยุด

   “ผมไม่รู้จริงๆ นั่นแหล่ะ แต่แค่เสียดายอาหารที่ต้องสละให้กับอะไรก็ไม่รู้” รชตสายหน้า เลิกสนใจพรานกล้าก่อนจะยกกระป๋องเบียร์ขึ้นจิบ

   พรานกล้าไม่ต่อล้อต่อเถียง แต่กุมภ์สัมผัสได้ถึงความไม่พอใจ

   เมื่อจัดการมื้อเย็นเสร็จ แสงแดดก็หายไปหมดแล้ว ความมืดของยามค่ำคืนเข้ามาแทนที่ ทั่วทั้งป่าเงียบสงบ มีเพียงแต่เสียงแมลงกลางคืนเท่านั้น พรานกล้าสั่งให้ทุกคนเข้านอน หากมีเสียงผิดปกติก็ไม่ต้องลุกออกมาจากเต็นท์ ส่วนตนจะทำหน้าที่เฝ้ายามให้ ไม่มีใครคิดแย่งหน้าที่นี้กับพรานกล้า เพราะทุกคนเหนื่อยล้าจากการเดินป่าวันแรก

   กุมภ์นอนเต็นท์เดียวกับรชตและพันนา ส่วนชาร์ลกับคะนิ้งนอนด้วยกันที่เต็นท์ข้างๆ ในป่าไม่มีสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ทำให้หมดสิทธิ์เล่นโซเชี่ยว แสงจากกองไฟสว่างวาบสะท้อนกับเต็นท์เกิดเงารูปร่างแปลกๆ กุมภ์จ้องมองอยู่นานและผล็อยหลับไป กระทั่งมารู้สึกตัวตื่นอีกทีตอนที่มีบางอย่างมาเขย่าที่หัวไหล่

   “กุมภ์ๆ ออกไปฉี่เป็นเพื่อนหน่อยสิ”

   “ไม่เอา ง่วง ปลุกให้พันสิ” กุมภ์โยนภาระให้เพื่อนอีกคนหน้าตาเฉย เขาเหนื่อยและเพลียมาก

   “ไอ้เพื่อนเลวเอ๊ย!”

    กุมภ์ได้ยินเสียงรชตสบถเบาๆ จับใจความได้ว่าเจ้าเพื่อนคนนี้ต่อว่าเขากับพันนาที่เอาแต่นอนไม่สนใจตัวเอง จากนั้นกุมภ์ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีก เพราะถูกความง่วงงุนเข้าครอบงำ

    กุมภ์สะดุ้งตื่นอีกทีตอนได้ยินเสียงร้องเรียกของพรานกล้า เปลือกตาหนักอึ้งบวกกับเมื่อยล้าที่เกาะกุมร่างกายทำให้ไม่อยากจะตื่น แต่ก็ไม่อาจทำอย่างนั้นได้เลยจำต้องฝืนสังขารลุกออกจากเต็นท์นอน …




   พรานกล้าต้อนรับวันใหม่บางอย่างที่กำลังเสียบไม้ปิ้งเหนือกองไฟ กุมภ์แปลกใจเล็กน้อยที่ไม่ได้เห็นความเหนื่อยล้าบนสีหน้าของพรานกล้าเลย กลับดูกระฉับกระเฉงมากกว่าพวกเขาที่นอนกันมาทั้งคืนเสียอีก พรานกล้าส่งของปิ้งให้คนละไม้ คะนิ้งเบ้หน้าจนพรานกล้าต้องบอกว่ามันคือเนื้อหมูแห้งที่พกมา เธอถึงยอมกิน

   นอกจากจะมีเนื้อหมูแห้งย่างแล้ว พรานกล้ายังมีกาแฟดำที่ต้มด้วยกระป๋องเก่าๆ ให้อีกคนละแก้ว รสชาติของมันเข้มข้นเสียจนคะนิ้งยอมแพ้ แต่กุมภ์กลับชอบเพราะมันช่วยกระตุ้นให้ตื่นเต็มตัว พรานกล้าให้เวลาเก็บเต็นท์ครึ่งชั่วโมงแล้วจะออกเดินทางทันที เพราะถ้าหากสายแดดจะร้อนพวกเราจะหมดแรงก่อนที่ถึงห้างส่องสัตว์เสียก่อน

   คะนิ้งอิดออดอ้างว่านอนไม่ค่อยหลับ เวียนหัว แต่พอคนรักของเธอยื่นข้อเสนอเป็นบุฟเฟต์เค้กในร้านเบเกอรี่ชื่อดังเธอก็ยอมลุกขึ้นไปเก็บข้าวของเตรียมออกเดินทาง

   อากาศในวันที่สองของการเดินป่าไม่ได้ร้อนอบอ้าวแบบเมื่อวาน แต่กลับมีเมฆฝนตั้งแต่เช้า ก้อนเมฆสีเทาจับตัวเป็นก้อนในเวลาอันรวดเร็ว พรานกล้าให้พวกเราเร่งฝีเท้าเพราะไม่อย่างนั้นจะติดฝน ความลำบากจะทวีขึ้นเป็นเท่าตัว

   เสียงจักจั่นร้องดังระงมป่า เมฆก็คล้อยต่ำลงเรื่อยๆ แม้ว่ามันจะทำให้เดินทางสบาย แต่ถ้าหากฝนตกลงมาจริงๆ ต้องเดือดร้อนแน่นอน ร้ายสุดอาจมีน้ำป่า กุมภ์ชักใจคอไม่ดีพยายามเดินให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ปริปากบ่นสักคำเช่นเดียวกับพันนา
   กุมภ์เพิ่งสังเกตว่าพันนาเงียบผิดปกติ ถึงจะไม่ใช่พวกชอบคุย แต่ก็ไม่เคยเงียบขนาดนี้ หลายครั้งที่พันนาขมวดคิ้วคล้ายมีบางอย่างอยู่ในใจ แต่กุมก์ก็ไม่กล้าถามเพราะรู้ดีว่าเพื่อนสนิทคนนี้จะไม่ยอมเปิดปากพูดอะไรจนกว่าจะถึงเวลา

   ขณะที่กุมภ์ พันนาและพรานกล้ารีบเดินเพื่อหวังว่าจะหนีฝนพ้น แต่อีกสามคนกลับไม่รู้สึกรู้สาอะไร คะนิ้งคุยเจื้อยแจ้ว เล่าเรื่องเพื่อนที่คณะ และอริที่ไม่เคยลงรอยกัน โดยมีสองหนุ่มรับฟังเงียบๆ กุมภ์หันไปมองเพื่อนสองคน รู้สึกว่ารชตพูดน้อยกว่าทุกวัน และมักจะหันไปมองข้างหลังเป็นระยะ

    “กูว่าไอ้ชตมันแปลกๆ” กุมภ์กระซิบกับพันนา

   “มันแปลกตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว” พันนาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เบาไม่ต่างกัน

   “ยังไงวะ”

   “กูได้ยินมันละเมอ” พันนาบอกพลางหันกลับไปมองรชต “มันทำท่าผลักอากาศ”

    “คงแค่ฝันร้ายละมั้ง เดินมาทั้งวันแถมยังต้องมานอนในป่าอีก” กุมภ์ออกความเห็น พันนาทำท่าเหมือนจะพูดบางอย่างแต่ก็เงียบไป

    เดินมาได้อีกสักพักฝนก็เริ่มจะหยดเม็ด พรานกล้าเร่งให้เดินเร็วขึ้นกว่าเดิม เพราะห่างจากจุดนี้ไปไม่ไกลมีเพิงไม้ที่พวกนายพรานสร้างไว้บังแดดบังฝน

    ทั้งหมดเร่งฝีเท้าจนเกือบจะวิ่งเพราะฝนตกแรงขึ้นเรื่อยๆ แม้จะไม่มีลมพายุพัดโหม แต่เมื่ออยู่ในป่าที่มีต้นไม้ใหญ่ปกคลุมรอบด้านความหวาดหวั่นเลยมีมากกว่าปกติ

   กุมภ์หอบแฮก รู้สึกเหมือนใกล้จะขาดใจ ตอนที่หยุดพักก้มหน้าลงหอบหายใจก็ได้ยินเสียงพรานกล้าแข่งกับเม็ดฝนว่าถึงเพิงที่พักแล้ว

    เพิงไม้ง่ายๆ ถูกสร้างด้วยไม้ไผ่และใบจากช่วยกันแดดกันฝน สภาพมันเหมือนไม่แข็งแร แต่ไม่น่าเชื่อว่าไม่มีฝนสักเม็ดผ่านใบจากเก่าๆ มาได้ แคร่ไม้ไผ่เก่าๆ จุคนนั่งได้สี่ถึงห้าคน พวกเราเข้าไปนั่งเบียดกันในนั้นโดยมีพรานกล้าเสียสละนั่งหมิ่นๆ เปียกฝนไปครึ่งตัว ไม่รู้ว่าแม่ของพันนาจ้างพรานกล้ามาเท่าไร แต่นายพรานพูดน้อยคนนี้ทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยมทีเดียว

    “ไอ้พัน กูรู้สึกแปลกๆ ว่ะ เหมือนมีคนเดินตาม” รชตกระซิบกับพันนา แต่เสียงดังจนกุมภ์ได้ยินที่นั่งข้างๆ พันนาได้ยิน

   “มึงคิดมาก” พันนาบอกเรียบๆ นั่งมองสายฝนที่ตกลงมาหนาเม็ดกว่าเดิม

   “จริงๆ นะโว้ย ตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว กูลองหยุดเดินเสียงมันก็เงียบไป แต่พอกูเดินเสียงมันก็ดังขึ้นอีก”

    พันนาไม่ถามหรือมีข้อคิดเห็นอะไร พอเห็นปฏิกิริยาของเพื่อนรชตก็เงียบไปอีกคน ก้มหน้าต่ำเหมือนไม่อยากสนทนากับใคร

   เสียงเม็ดฝนกระทบกับหลังคาตับจากดังทุ้มต่ำกว่าที่เคยได้ยิน ลมพัดมาเป็นระยะ ด้วยความที่อยู่ในป่าทำให้อากาศหนาวลงกว่าปกติ รอบข้างมืดครึ้มทั้งที่ยังไม่ถึงเที่ยง กุมภ์ดึงขนมปังแห้งๆ ขึ้นมากินรองท้อง พาลคิดถึงสเต็กหรือไม่ก็พัดกระเพราซักจาน ไม่คิดว่าในป่าจะลำบากขนาดนี้

   กุมภ์หันไปมองคะนิ้ง รายนี้ยิ่งหนักกว่าเพระเป็นผู้หญิง ใบหน้าของเธอซีดเซียวเพราะไร้เครื่องสำอาง ดวงตาแสดงความเหนื่อยล้าออกมาให้เห็น ศีรษะทุยสวยเอนซบกับหัวไหล่กว้างของชาร์ล เสียงพูดคุยเงียบหายไปพักใหญ่แล้ว ดูเหมือนว่าทุกคนกำลังตั้งใจฟังเสียงฝน ทว่าความจริงแล้วต่างคนต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเองต่างหาก

    “รอฝนหยุดแล้วค่อยออกเดินต่อ อีกไม่ไกลก็ถึงแล้วล่ะ” พรานกล้าบอบเรียบๆ เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเดินทางอีกรอบ

   ฝนเริ่มซาเม็ดลง ถึงจะไม่ใช่พายุฟ้าคะนองจนมีน้ำป่า แต่มันก็สร้างความลำบากให้ไม่น้อย พรานกล้าสั่งให้ดึงกางเกงขายาวลงมาคลุมขาให้มิดชิด เพราะตัวทากจะเกาะดูดเลือดได้ คะนิ้งวี๊ดว๊ากรีบดึงขากางเกงที่พับไว้ลงมาถึงตาตุ่ม เท่านั้นไม่พอเธอยังดึงถุงเท้าให้สูงขึ้นอีก ตรวจสอบหลายรอบกว่าจะแน่ใจว่าอาภรณ์ที่สวมใส่มิดชิดดีแล้ว ส่วนกุมภ์กับผู้ชายคนอื่นๆ ใส่กางเกงขายาวกับรองเท้าหนังหุ้มข้อพร้อมถุงเท้าสูงกันอยู่แล้ว ถึงจะไม่ค่อยรู้ว่าป่าแถบนี้มีสัตว์ดูดเลือดเร้นกายอยู่หรือไม่ แต่สัตว์เลื้อยคลานจำพวกงูต้องมีแน่นอน กันไว้ดีกว่าแก้

    ตัวทากที่พรานกล้าพูดถึงกระโดดขึ้นจากพื้นดินชื้นแฉะขึ้นเกาะขากางเกงอย่างน่าขยะแขยง โชคดีที่พันนามีสเปรย์ไล่ทากติดมาด้วย เลยไม่ต้องอาศัยยาเส้นของพรานกล้ายามที่ได้เจ้าตัวดูดเลือดลอดผ่านกางเกงเข้าไป

   พื้นดินและใบไม้แห้งอุ้งน้ำทำให้การเดินทางยากลำบากมากกว่าเดิม เป้ที่สะพายอยู่ด้านหลังหนักขึ้นเหมือนมีของเพิ่มหลายชิ้น แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นเพราะความเหนื่อยล้าต่างหากที่ทำให้รู้สึกว่าเป้มันหนักขึ้น

   “เมื่อไรจะถึง ฉันเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว” คะนิ้งบ่นเสียงดัง จากนั้นก็พร่ำพูดไม่หยุดว่าไม่ควรตกปากรับคำชวนของรชตเลย หากตนปฏิเสธป่านนี้คงได้เดินชอปปิ้งตากแอร์อยู่ในกรุงเทพฯ แล้ว

   โดยปกติแล้วหากโดนต่อว่าเช่นนี้รชตจะต้องโต้กลับ หากแต่คราวนี้รชตกลับเก็บปากเก็บคำ เอาแต่ก้มหน้าเดิม มีบ้างที่หันไปมองข้างหลัง แต่น้อยกว่าเมื่อตอนเช้า

   จนล่วงเข้าสู่ตอนเที่ยงพรานกล้าบอกว่าจุดหมายปลายทางใกล้จะถึงแล้ว เลยขอให้ทั้งหมดเก็บท้องไว้กินที่ห้าง ไม่มีใครคัดค้านแม้แต่คะนิ้ง คงเพราะอยากจะพักยาวๆ ทีเดียว

   เกือบจะบ่ายสองคณะเดินทางก็ถึงห้างส่องสัตว์ ลักษณะของมันคล้ายกับกระต๊อบที่ก่อสร้างง่ายๆ ด้วยเศษไม้ และมีหลังคาตับจาก คล้ายกับจุดพักที่เพิ่งผ่านมาเพียงแต่มันถูกสร้างอยู่บนต้นไม้ที่ทั้งสูงใหญ่และแข็งแรง มีแผ่นไม้ตอกเรียงขึ้นไป เว้นระยะห่างพอให้ปีนขึ้นได้

   ทุกคนเงยหน้าขึ้นมอง ความเหนื่อยล้าจางหายไปจากใบหน้า ดวงตาเป็นประกาย ราวกับได้พบขุมทรัพย์สำคัญ
 
   “เดี๋ยวเราจะขึ้นไปอยู่บนนั้น พวกคุณสามคนอยู่หลังนั้น ส่วนผมกับคุณไปอีกหลัง” พรานกล้าบอก พลางชี้นิ้วไปที่กุมภ์และพันนา
 
   ห้างส่องสัตว์มีสองหลัง ปลูกอยู่บนต้นไม้ใกล้ๆ กัน ลักษณะเหมือนกันแทบจะทุกประการ พันนาปีนขึ้นไปบนห้างที่พรานกล้าพูด ด้วยรูปร่างที่สูงใหญ่ทำให้ใช้เวลาไม่ถึงนาทีก็ถึงบนห้าง กุมภ์ตามเพื่อนไปติดๆ ระหว่างที่กำลังปีนก็ก้มลงไปมองที่พื้น เห็นรชตกำลังจดๆ จ้องๆ อยู่ที่บันไดขั้นแรก เขาส่ายหัวนึกขำในความขลาดกลัวของเพื่อน แต่จังหวะที่กำลังจะหันหน้ากลับมาที่เดิม หางตาคล้ายกับจะเห็นเงาร่างของใครบางคน

    แม้จะไม่ชัดเจนแต่พอจะมองออกว่าเป็นผู้หญิง กุมภ์ค่อนข้างแน่ใจว่าไม่ใช่คะนิ้งเพราะชุดที่สวมใส่ต่างกันมาก ภาพที่เห็นคือเธอสวมผ้าซิ่นสีมอๆ แต่พอเขาหันไปมองอีกครั้งก็พบแต่ความว่างเปล่า กุมภ์สะบัดหัวเบาๆ เขาคงจะเก็บเรื่องที่รชตเล่าให้ฟังมาคิดมากเกินไป เลยสร้างภาพขึ้นเองเป็นตุเป็นตะแบบนี้

   บนห้างไม่ได้เลวร้ายนัก เหมือนบ้านพักตามชนบทเก่าๆ หลังเล็ก และขาดการดูแลมาพักใหญ่ พื้นไม้มีฝุ่นเกาะจนเป็นสีขาว รอยเท้าของพันนาชัดเจนจนน่าขำ พันนาวางกระเป๋าเป้ นั่งไปบนพื้นโดยไม่สนใจฝุ่นละออง คงเป็นเพราะกะทันหันเกินไปเลยไม่มีใครมาขัดห้างให้

   “โคตรเหนื่อย” พันนาบ่นสั้นๆ

   กุมภ์พยักหน้าเห็นด้วย ตั้งแต่เกิดมาจนอายุ 21 ปียังไม่เคยพบพานกับความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าขนาดนี้ ค่าของคนเมืองทำให้ไม่เคยต้องลำบากอะไร ฐานะทางครอบครัวก็จัดอยู่ขั้นดี เหนื่อยที่สุดก็แค่กิจกรรมรับน้องตอนปีหนึ่งแต่มันเทียบไม่ได้เลยกับการเดินป่าส่องสัตว์ครั้งนี้

    ไม่นานนักพรานกล้าก็ขึ้นมาสมทบ บอกว่าเดี๋ยวจะทำปลาปิ้งให้กิน แค่ได้ยินว่าจะได้กินของสดเราก็หูผึ่ง รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที

   กุมภ์ขอตามพรานกล้าไปด้วย ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้คัดค้าน ส่วนพันนาอาสาก่อกองไฟรอ กุมภ์ตะโกนถามอีกสามคนที่อยู่บนห้างอีกหลัง แต่ทั้งหมดปฏิเสธโดยอ้างว่าเหนื่อยแล้วขอรอกินอย่างเดียวดีกว่า

    พรานกล้าเดินผ่านต้นไม้ใหญ่ไปหลายสิบเมตรจนถึงพงหญ้ารกที่สูงเกือบเท่าศีรษะ กุมภ์หวั่นใจอยู่บ้างเพราะไม่รู้ว่าเบื้องหน้าจะมีอะไร แต่เมื่อผ่านพงหญ้ารกก็พบกับแม่นำสายหนึ่ง

   กุมภ์มองอย่างตื่นตะลึงเพราะคิดไม่ถึงว่าแถวนี้จะมีลำธารอยู่ด้วย ถึงมันจะไม่ได้ใหญ่แต่คงสภาพความเป็นธรรมชาติอยู่มากทีเดียว สายน้ำไหลเอื่อย ไม่ได้ขุ่นมัวทั้งที่ฝนเพิ่งจะหยุดตกได้ไม่นาน บริเวณนี้เย็นสบาย เสียงน้ำไหลเอื่อยๆ รื่นหู ทำให้จิตใจสงบได้อย่างไม่น่าเชื่อ

   พรานกล้าเตรียมการตกปลาอย่างเงียบๆ กุมภ์เห็นริมฝีปากสีเข้มขยับเล็กน้อย ก่อนจะเดินลงไปในน้ำ ค้อมตัวลง ใช้ผ้าขาวม้าผืนเก่าๆ หย่อนลงในน้ำ กางมันออกกว้างไม่นานก็มีปลาไหลเข้ามาติด พรานกล้าใช้มือข้างเดียวคว้าลำตัวของมันไว้ แล้วโยนขึ้นมาบนบก

   กุมภ์รีบตะครุบเจ้าปลาดวงกุด ปลาตัวใหญ่ที่ไม่รู้สายพันธุ์พยายามดิ้นรนกระเสือกกระสนลงหาสายน้ำ แต่มือของกุมภ์เหนียวพอๆ กับปลาหมึก จับมันแน่น แล้วแทบไม่น่าเชื่อ เพียงไม่กี่วินาทีเจ้าปลาก็หยุดดิ้น สิ้นใจในมือของเขา

   แต่กุมภ์ไม่มีเวลาให้สงสัยมากนักเพราะพรานกล้าโยนปลาตัวที่สองและสามตามมาติดๆ แล้วมันก็เหมือนเจ้าปลาตัวแรก แค่กุมภ์จับตัว มันก็ตายทันที ไม่ถึงสิบนาทีพรานกล้าก็หาปลาได้หกตัว พอดีกับจำนวนคนพอดี กุมภ์ทึ่งในความสามารถของพรานกล้า ไม่รู้ว่าใช้ฝีมือหรือคาถาเรียกปลา แต่มันก็ทำให้ตื่นตาตื่นใจไม่น้อย

    “คุณทำปลาเป็นไหม” พรานกล้าถาม กุมภ์ส่ายหัวดิก ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยจับปลาเป็นๆ ด้วยมือเปล่าเลยด้วยซ้ำ แต่วันนี้ที่ทำได้เพราะไม่อยากให้พรานกล้ารู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระ

   พรานกล้าไม่ได้ต่อว่าในความไม่ประสาของกุมภ์ เดินขึ้นมาจากน้ำ ดึงมีดพกสั้นที่เหน็บไว้ข้างเดียว ขอดเกล็ด ดึงไส้ปลาอย่างชำนาญ แกว่งปลาลงในสายน้ำ เลือดสีแดงไหลไปตามแรงพัดของน้ำ กลิ่นคาวลอยคลุ้งในอากาศ กุมภ์รู้สึกพะอึดพะอมเพราะกลิ่นคาวของมัน

    พรานกล้าใช้กิ่งไม้ไผ่ที่เหลาเป็นตอกด้วยมีดเล่มเดิมร้อยปลาทั้งหกตัวไว้ด้วยกัน พยักหน้าส่งสัญญาณบอกให้รู้ว่าการหาปลาเสร็จสิ้นลงแล้ว ทั้งคู่เดินกลับทางเดิมพร้อมกับมื้อกลางวันชุดใหญ่

    ทันที่ที่เห็นปลา อีกสี่คนที่ลงจากห้างมานั่งรอบกองไฟต่างก็อุทานด้วยความแปลกใจแกมยินดี ปลาที่พรานกล้าหามาได้ตัวใหญ่มากจริงๆ ชาร์ลถึงกับลุกขึ้นมาดูใกล้ๆ

   “ไปแป๊บเดียวเอง ทำไมหามาได้เยอะนักล่ะ” ชาร์ลถาม

   “พรานกล้าเก่งมากเลยล่ะ แค่ใช้ผ้าขาวม้าผืนเดียวก็จับปลาได้แล้ว” กุมภ์คุยโวราวกับเป็นคนจับปลากพวกนี้ด้วยตัวเอง

   “ผมมีข้าวสารมาด้วย มื้อนี้เราจะหุงกินกัน บนห้างมีหม้ออยู่” พรานกล้าบอก “พวกคุณไปเอาน้ำมาที”

   พวกคุณที่พรานกล้าว่าคือ รชต ชาร์ลและคะนิ้ง รายสุดท้ายแสดงปฏิกิริยาต่างไปจากทุกที เพราะปกติแล้วเธอจะหงุดหงิดหรือปฏิเสธ แต่คราวนี้กลับทำท่าดีใจ

   “มีลำธารอยู่ใกล้ๆ คุณเดินไปตามหญ้าที่ผมแหวกเอาไว้” พรานกล้าแนะ

    ไม่มีใครปฏิเสธ ทั้งสามปีนกลับขึ้นไปบนห้าง นำหม้อที่พรานกล้าบอกแล้วเดินไปตามทาง กุมภ์เห็นคะนิ้งเอากระเป๋าเป้ใบเล็กไปด้วย เดาว่าเธอคงจะอาบน้ำหรือล้างหน้าล้างตาเพราะไม่ได้เจอน้ำมาสองวันแล้ว

    พันนาช่วยพรานกล้าเหลาไม้ไผ่ที่หาได้จากแถวนั้น เหลาเป็นก้านยาวๆ แล้วแทงเข้าไปตามความยาวของตัวปลา แล้วปิ้งปลาบนกองไฟ พลิกไปพลิกมาเพื่อให้ปลาสุกทั่ว

   กุมภ์ขึ้นไปเอาอาหารกระป๋องลงมาเพิ่ม กลิ่นหอมของปลาที่เริ่มจะสุกกระตุ้นความหิวให้มากกว่าเดิม เผลอกลืนน้ำลายลงคออยู่หลายหน จนพันนาหันมาทำหน้าสมเพชใส่

    “ทำไมพวกนั้นหายไปนานจัง” กุมภ์ถามด้วยความสงสัย

   “อาบน้ำกันละมั้ง” พันนาออกความเห็น

   “ก็คงจะอย่างนั้น”

   แต่ทั้งสามคนหายไปนานผิดปกติจริงๆ เวลาที่ออกไปกันราวๆ บ่ายโมง แต่นี่รวมจะบ่ายสองโมงแล้วก็ยังไม่กลับมา พรานกล้าเองก็รู้สึกอย่างนั้น

   พรานป่าหนุ่มใหญ่ลุกขึ้นจากกองไฟ ส่งปลาที่ปิ้งจนสุกแล้วให้กุมภ์ บอกสั้นๆ ว่าจะไปตามพวกนั้นเพราะรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาเหมือนกัน…

*เรื่องนี้แต่งขึ้นจากจินตนาการ เหนือธรรมชาติ ข้อมูลไม่ได้แน่นมากนัก ขออภัยมา ณ ที่นี้ค่ะ**

หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 2 : เดินป่า] 11/09/2562
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 11-09-2019 21:30:12
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 2 : เดินป่า] 11/09/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 12-09-2019 01:20:27
รอตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 2 : เดินป่า] 11/09/2562
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 12-09-2019 08:15:40
 o13
 :3123:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 2 : เดินป่า] 11/09/2562
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 12-09-2019 09:07:39
 :katai5: :katai5: รออออออ  น่าสนุกมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 2 : เดินป่า] 11/09/2562
เริ่มหัวข้อโดย: koikoi ที่ 12-09-2019 14:41:05
สนุกมากรอตอนต่อไป
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 3 : ป่าพิโรธ] 17/09/2562
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 17-09-2019 19:50:59
ตอนที่ 3 ป่าพิโรธ


    แม้จะเป็นแค่ลำธารเล็กๆ แต่สายน้ำใสสะอาดจนมองเห็นปลาที่ว่ายผ่านไป คะนิ้งตื่นตาตื่นใจอย่างบอกไม่ถูก มือบางกวักลงในน้ำ มันเย็นชื่นใจจนอยากจะเอาตัวลงไปแช่ ร่วมสองวันแล้วที่เธอไม่ได้อาบน้ำ ร่างกายเหนียวหนับไปหมด ทั้งเหงื่อไคลและเม็ดฝนที่ตกมาในช่วงสาย

   นึกแล้วก็อดหงุดหงิดไม่ได้ นี่ถ้าเธอไม่บ้าจี้ตามผู้ชายพวกนี้มาป่านนี้เธอคงได้เดินเล่นอยู่ในห้างชอปปิ้งเพลินไปแล้ว

   ไหนจะอาหารการกินที่มีจำกัด เธอคิดถึงสเต๊กนุ่มๆ มักกะโรนีชุ่มซอส แต่ถ้าตอนนี้มีแค่หมูปิ้งสักไม้เธอก็ยินดีเหลือล้นแล้ว

   “ชาร์ล คะนิ้งอยากอาบน้ำ” เธอบอกกับคนรักที่กำลังหย่อนเท้าลงในน้ำ

   “เอาสิ เดี๋ยวเรารอ”   

   “แต่เราต้องเอาน้ำไปหุงข้าวนะ” รชตแย้ง

   “ไม่เป็นไรหรอก แค่แป๊บเดียวเอง อีกอย่างกูก็อยากลองจับปลาแบบพรานกล้าดูบ้าง มึงดูสิ ปลาเต็มไปหมด” ชาร์ลบอก ตาแววระยับจ้องมองฝูงปลาที่แหวกว่ายอยู่ในสายน้ำ

   รชตส่ายหัว อยากจะห้ามปรามเพื่อนแต่รู้นิสัยของชาร์ลดี ด้วยความเป็นลูกครึ่ง นับถืออีกศาสนา และไม่เคยเชื่อสิ่งเหนือธรรมชาติ ทำให้ชาร์ลมั่นใจในตัวเอง ติดหัวดื้อด้วยซ้ำ

   คะนิ้งเลือกที่จะเดินห่างจากสองหนุ่ม เลือกจุดที่มีพุ่มไม้กำบัง พลางกำชับไม่ให้ใครหันมามอง เธอปลดเสื้อผ้าน่ารำคาญออกจากตัว จนเหลือแต่กายเปลือยเปล่า ปล่อยเส้นผมให้สยายออก อาศัยโขดหินเล็กๆ นั่งทรงกาย กวักน้ำเย็นชำระล้างคราบไคลที่สะสมมาร่วมสองวัน น้ำใสเย็นชวนให้สดชื่น สบู่ก้อนเล็กๆ ที่พกติดตัวมาด้วย ถูจนเป็นฟองนุ่ม ก่อนจะใช้มันปาดป้ายไปทั่วใบหน้าและผิวกาย พอเนื้อตัวสะอาดก็จัดการสระผมที่เริ่มมีกลิ่นไม่พึงประสงค์

    “แฟนมึงเอาสบู่มาด้วยเหรอวะ” รชตถามขณะที่ชาร์ลกำลังตั้งหน้าตั้งตาจับปลาด้วยมือเปล่า พลางฟองสบู่ไหลมาตามน้ำ

   “เออ” ชาร์ลตอบสั้นๆ

   โชคดีที่รชตตักน้ำใส่หม้อและกระบอกน้ำที่พกติดตัวมาด้วยไว้ก่อนแล้ว ไม่อย่างนั้นพวกเขาต้องกินน้ำที่เจือคราบไคลและฟองสบู่ของคะนิ้งแน่

   “ทำไมจับไม่ได้วะ กูไม่เห็นไอ้พรานนั่นเอาอะไรไปเลย แต่จับได้ตั้งห้าหกตัว” ชาร์ลบ่น เพราะเจ้าปลาที่ว่าเยอะแยะนั่น ต่างก็พากันว่ายรอดผ่านมือชาร์ลไปหมด

   “มึงไม่ลองโยนหินใส่มันล่ะ ดักมันไว้” รชตเสนอ เขาเองก็อยากไปจากที่นี่เต็มแก่ ขืนรอใหชาร์ลจับปากด้วยมือเปล่าคงได้กลับไปที่ห้างเย็นค่ำแน่

    ชาร์ลไม่คัดค้าน จับก้อนหินขนาดเท่าลูกฟุตบอลทุ่มลงไปในฝูงปลา เสียงตูมของน้ำดังไปทั่วบริเวณ แต่เพียงแค่อึดใจเดียวก็เงียบเป็นปกติ ซ้ำยังได้ผล เพราะมีปลาตัวหนึ่งดิ้นพลาดๆ อยู่ใต้ก้อนหิน เลือดสีแดงไหลไปตามสายน้ำ

    “ได้แล้วโว๊ย!!” ชาร์ลร้องตะโกนด้วยความยินดี ยกก้อนหินออกจากเจ้าปลาโชคร้าย แล้วรับจับปลาชูขึ้นเหนือศีรษะ รชตเองก็พลอยดีใจไปด้วย รับปลากที่ชาร์ลส่งให้ “เดี๋ยวกูจะจับอีกสักสองสามตัว เผื่อจะได้กินอิ่มไปถึงพรุ่งนี้เช้าเลย”

   ชาร์ลลิงโลด ใช้วิธีเดิมจับปลาได้อีกหลายตัว โดยหารู้ไม่ว่าเรื่องที่ตนก่อจะนำผลร้ายแรงถึงชีวิตมาให้…




    พรานกล้าเดินตามรอยเดิมมาถึงลำธาร ขมวดคิ้วเพ่งมองฟองสีขาวที่ลอยอยู่เหนือผืนน้ำ มองปราดเดียวก็รู้ว่ามันคือฟองของสบู่ เด็กบ้าพวกนั้นอาบน้ำในลำธาร สารเคมีพวกนั้นอาจะทำให้ปลาเจ็บป่วยจนถึงตายได้

   คนแถวนี้รู้กันดีว่าผืนป่าแห่งนี้ยังคงความสมบูรณ์ของธรรมชาติเอาไว้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ชาวบ้านมีน้ำสะอาดใช้ก็เพราะภูเขาลูกนี้ ไม่เคยมีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาทำลายระบบนิเวศ นี่ถ้าหากว่าคนที่มาขอร้องไม่ใช่เพราะพิเดช พ่อของพันนาขอร้องเขาคงไม่รับหน้าที่พรานป่านำทางให้แน่ ใครก็รู้ว่าพวกคนเมืองคะนองแค่ไหน โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่น หากว่าไม่เป็นห่วงความเป็นอยู่ของครอบครัวและเงินอีกสามหมื่นบาท เขาจะปฏิเสธงานนี้ทันที

    “เฮ้ยๆ ดูสิได้ชตกูจับปลาได้อีกแล้ว ตัวนี้ใหญ่กว่าของไอ้พรานกล้าอีก เห็นแล้วอยากกินแกงส้มแป๊ะซะเลย”

    เสียงตะโกนโหวกเหวกที่อยู่ห่างจากจุดที่พรานกล้ายืนไม่ถึงสิบเมตร ทำให้ต้องหันไปมองด้วยความแปลกใจ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นความโมโหจนได้ยินเสียงหวีดหวิวในหู

   พรานกล้าก้าวยาวๆ ไม่กี่ครั้งก็ถึงตัวคนก่อเรื่อง เด็กหนุ่มลูกครึ่งกำลังเริงร่าอยู่กับการจับปลา ในมือมีปลาตัวใหญ่เขื่องที่กำลังดิ้นพลาดๆ ด้วยความทรมาน เลือดสดหยดจากตัวมันลงสายน้ำ กวาดสายตาไล่มองก็สะดุดกับก้อนหินขนาดใหญ่ที่ลักษณะเหมือนถูกจับพลิกขึ้นมา เดาได้ไม่ยากว่าเด็กคนนี้ใช้วิธีอะไรจับปลา

    “พวกคุณทำบ้าอะไรกัน!”

   ทั้งหมดหยุดชะงัก ทั้งเด็กหนุ่มลูกครึ่งที่กำลังจับปลาและกองเชียร์อีกสองคนที่อยู่บนบก ต่างหันมามองเป็นตาเดียว

   “นี่ๆ พราน ดูสิผมจับปลาได้ด้วยล่ะ ผมเก่งไหมล่ะ” คนจับปลาคุยโว ชูปลาในมือขึ้น เดินลุยน้ำเข้ามาหา

   พรานกล้าปัดมือเด็กหนุ่มทิ้ง จนปลากระเด็นหลุดจากมือ ในอกเดือดดาลเหมือนกาต้มน้ำ “แล้วใช้วิธีไหนตับมัน”

   “ก็เอาหินโยนใส่มันสิ แป๊บเดียวได้เพียบ”

   “แล้วคุณได้ขอเขาหรือเปล่า”

   “ขอใคร” เด็กหนุ่มเอียงคอมอง ดวงตาสีน้ำเงินฉงนสงสัย

   “เจ้าป่าเจ้าเขา!” พรานกล้าตะคอกใส่ หากแต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะเสียงดัง

   “ไหนล่ะเจ้าป่าเจ้าเขา ถ้าเห็นก็ขอแล้วสิ” ชาร์ลยักไหล่ “ปลาอยู่ในน้ำ ไม่ได้อยู่ในบ่อของใคร ไม่มีเจ้าของ ใครๆ ก็กินได้”

    “ผมให้คุณมาตักน้ำ แต่พวกคุณเล่นมาจับปลาแบบไม่ได้ขอ แถมยังให้...” พรานกล้ากันไปทางคะนิ้ง เนื้อตัวของเธอสะอาดจากที่เคยเห็น ผมเปียกชื้นแถมยังเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ “ผู้หญิงอาบน้ำอีก!”

    “ทำไมฉันถึงอาบน้ำไม่ได้” คะนิ้งถามกลับ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “ป้ายก็ไม่มีห้าม ฉันแค่อาบน้ำน่ะ ไม่ได้ฆ่าใครตาย!”

    พรานกล้ามองทั้งสามคนเขม็ง ทั้งโกรธทั้งหวาดหวั่น รู้สึกได้ทันทีว่าเรื่องไม่ดีกำลังจะเกิดขึ้น พรานหนุ่มใหญ่นับหนึ่งถึงสิบข่มอารมณ์ให้สงบ

   “ปลาที่จับมา คุณต้องกินให้หมด อย่าเหลือทิ้งเด็ดขาด”

    พรานกล้าบอกสั้นๆ แล้วเดินจากมา ได้แต่ภาวนาขออย่าให้เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นเลย...





     พรานกล้าพาเด็กหนุ่มสาวทั้งสามกลับมาที่ห้าง ปลาทั้งหกตัวก็เกือบสุกแล้ว พันนากับกุมภ์ทำหน้าที่ได้ดี กลิ่นหอมอบอวลไปทั่วบริเวณ กุมจัดแจงหาใบตองมารองปลาเพิ่มความหอมได้อีกนิดหน่อย ทั้งสองหนุ่มทำหน้าแปลกใจเมื่อเห็นชาร์ลหิ้วห่วงไม้ไผ่ที่มีปลาร้อยเรียงรายอยู่ร่วมสิบตัว แต่สภาพของพวกมันไม่ได้น่ากินเท่ากับปลาที่พรานกล้าหามา ทว่ากลับดูเละเทะเหมือนถูกบางอย่างทับมา บางตัวปากแตกขาดวิ่น บางตัวหางขาด ตัวแหว่ง แม้จะผ่านการแหวกเอาไส้ออกหมดแล้วก็ยังไม่น่ากินอยู่ดี
 
    “จับปลามาอีกทำไมเยอะแยะ เดี๋ยวก็กินไม่หมดหรอก” กุมภ์ถาม เพราะปริมาณปลามีมากเกินจำนวนคนกิน หากแต่ชาร์ลไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระ

    “ก็ย่างให้สุก เอาใส่ใบตองห่อไว้กินมื้ออื่นสิ”

   กุมภ์เหลือบมองพรานกล้าที่ตอนนี้สีหน้าไม่ค่อยดีสักเท่าไร กุมภ์คิดเอาเองว่าพรานกล้าคงไม่ชอบใจนักเรื่องที่ชาร์ลหาปลามาเพิ่ม

   พรานกล้าไม่พูดอะไร ลงมือหุงข้าวเงียบๆ ระหว่างนั้นชาร์ล รชตและคะนิ้งก็ช่วยกันย่างปลาที่เหลือ ทั้งสามพูดคุยสนุกสนาน ย่างปลาไปก็แกะกินไปด้วย ส่วนไหนไม่น่ากินก็โยนทิ้ง พันนาหันหน้ามามองกุมภ์บ่อยครั้ง คิ้วขมวดเข้าหากันทำท่าเหมือนจะพูดบางอย่าง แต่ก็ไม่ยอมขยับปาก

   ใช้เวลาพักใหญ่ข้าวถึงสุกดี ข้าวเม็ดขาวสุกหอมหุงด้วยวิธีโบราณด้วยฝีมือของพรานกล้า ถึงแม้ว่าเม็ดข้าวจะหักไม่สวยเหมือนที่เคยกิน แต่ในยามนี้มันกลับน่ากินที่สุด คะนิ้งตาโตเพราะไม่เคยเห็นกรรมวิธีที่พรานกล้าทำมาก่อน ตั้งแต่เอาข้าวใส่หม้อที่มีน้ำ ตั้งบนกองไฟ พอเดือดก็ใช้ไม้ขัดฝาหม้อยกหม้อขึ้นเขย่า ที่จริงแล้วมันไม่ก็ต่างจากการหุงข้าวโดยหม้อหุงข้าว เพียงแต่ต้องคอยยกหม้อข้าวตลอดเวลาไม่อย่างนั้นข้าวก้นหม้อจะไหม้

    มื้อบ่ายจนเกือบเย็นนี้มีทั้งข้าวสวยร้อนๆ ปลาย่าง อาหารกระป๋อง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป นับว่าเป็นมื้อที่สมบูรณ์ที่สุดตั้งแต่เข้าป่ามา บนห้างมีช้อน ชามให้ไว้ แต่เก่าเขรอะขระจากการใช้งาน ทว่าไม่มีใครรังเกียจเพราะหิวจนเกินกว่าจะเรียกร้องหาสิ่งที่ดีกว่านี้

   ปลาในลำธารเนื้อหวานรสดี ตอนย่างพันนาโรยเกลือไปนิดหน่อยเพื่อเพิ่มรสชาติ กุมภ์อารมณ์ดีเป็นพิเศษ เพราะอาหารรสเยี่ยมมันคุ้มความกับเหนื่อยล้า ระหว่างมื้อ พรานกล้าบอกให้ทุกคนไปล้างเนื้อล้างตัวที่ลำธารได้ แต่ห้ามให้เย็นจนเกินไปเพราะถ้าพระอาทิตย์ตกเดินพวกสัตว์จะออกมาหาน้ำกิน อาจจะทำร้ายมนุษย์ได้ สัตว์ป่าน่ากลัวกว่าที่คิด แม้แต่พรานป่าที่ชำนาญทางยังถูกสัตว์ป่าทำร้าย

    กว่าจะจบมื้อนี้ก็เกือบจะสี่โมงแล้ว ท้องฟ้ามืดลงอย่างรวดเร็ว คงเป็นเพราะวันนี้ฝนตกแต่เช้า เมฆสีเทายังลอยอยู่บนฟ้า บดบังแสงอาทิตย์ ยิ่งอยู่ในป่าด้วยแล้ว มันเลยยิ่งทำให้ดูมืดกว่าปกติ ทั้งห้าคนเดินกลับไปที่ลำธาร ชำระเนื้อตัวเท่าที่จะทำได้ กุมภ์ดีใจที่อย่างน้อยก็ได้ล้างหน้าล้างตามันทำให้สดชื่นได้ขึ้นมาบ้าง พรุ่งนี้พวกเขาก็จะกลับแล้ว หากคืนนี้โชคดีอาจจะได้เห็นเสือหรือหมูป่าสักตัวก็ยังดี

    “เออ ไอ้ชาร์ล มึงกินปลาไม่หมดนี่ ห่อใส่ใบตองไว้แล้วหรือยัง” กุมภ์ เพราะจำได้ว่าปลาที่ชาร์ลหามานั้นเหลืออีกหลายตัวทีเดียว

   “ใส่แล้ว” ชาร์ลตอบ แต่เหมือนจะตอบส่งๆ มากกว่า ก่อนจะกวักน้ำล้างหน้า

   กุมภ์พยักหน้าหงึกหงัก ปลากพวกนั้นถ้าไม่ย่างเลยมีแต่จะเน่าส่งกลิ่นเหม็น ถ้าอย่างแล้วห่อเป็นไว้ในใบตอง พรุ่งนี้เช้าเอามาอุ่นเสียหน่อยก็จะได้กินปลาอีกมื้อ

   ทั้งหมดเดินกลับไปที่ห้างตอนเกือบจะสี่โมงครึ่ง พรานกล้านั่งอยู่ข้างกองไฟ สีหน้าเคร่งเครียด บอกสั้นๆ ให้ทุกคนกลับไปขึ้นบนห้าง กำชับเสียงหนักแน่นว่า หากได้ยินเสียงอะไร หรือใครเรียกห้ามลงมาเด็ดขาด คาดว่าเหตุการณ์คืนนี้คงไม่ปกติ แต่เมื่อถามหาเหตุผล พรานกล้าก็ไม่บอก ได้แต่สั่งให้ทุกคนทำตามที่สั่นเท่านั้น

    กุมภ์กับพันนาปีนกลับขึ้นมาบนห้าง จัดแจงแบ่งปันที่นอน พอหนังท้องตึงหนังตาก็หย่อน แต่เอนกายลงนอน ก็เข้าสู่ห้วงนิทราแทบจะทันที

   เวลาผ่านไปนานแค่ไหนไม่รู้ กุมภ์สะดุ้งตื่นตอนที่มีบางอย่างสะกิดที่หัวไหล่ กุมภ์ขยับเปลือกตาหนักอึ้ง ภาพที่เห็นพร่ามัวและมืดไปหมด ใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะปรับสภาพสายตาได้

   “มึงๆ ตื่นมาดูหมูป่าเร็ว” พันนากระซิบบอกผ่านความมืด

    กุมภ์งัวเงียขยับตัวออกมาหน้าห้าง เพิ่งรู้ว่าพรานกล้าดับกองไฟไปแล้ว ทั้งป่าเลยมืดสนิทไม่แสงใดๆ มาช่วยในการมองเห็น อาศัยแค่สายตาของตัวเองเท่านั้น

   กุมภ์ชะโงกหน้าลงไปมองเบื้องล่าง เห็นเงาตะคุ่มๆ ลักษณะคล้ายกับหมูกำลังขยับไปมา เพ่งมองอยู่สักพักถึงได้เห็นว่าหมูป่าที่พันนาว่ามันกำลังเอาจมูกดุนบางอย่างอยู่บนพื้นดิน

   “มันหาดินโป่งกิน” พรานกล้าบอก เสียงเบาคล้ายกับกำลังกระซิบ

    “ดินโป่ง?” กุมภ์สงสัย ไม่รู้จริงๆ ว่าดินโป่งคืออะไร

   “ดินโป่ง เป็นดินชนิดหนึ่ง มีแร่ธาตุอยู่ พวกสัตว์ป่ามันชอบมาหากิน ก็คล้ายๆ กับอาหารเสริมอะไรทำนองนั้นนั่นแหล่ะ” พันนาเป็นคนตอบคำถาม

    กุมภ์พยักหน้าหงึกหงัก รู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก แม้ว่าจะเคยเห็นหมูป่าในสวนสัตว์มาก่อน แต่ไม่เคยเห็นหมูป่าที่อยู่ในป่าจริงๆ ตัวมันใหญ่กว่าที่เคยเห็น เสียดายที่เขาไม่ได้เห็นเขี้ยวของมัน

   พันนาพกกล้องมาด้วย สองมือประคองกล้องหาจุดโฟกัสแล้วกดชัตเตอร์เก็บภาพหมูป่าตัวใหญ่ที่กำลังกินดินโป่ง พรานกล้าได้เตือนแล้วว่าห้ามส่งเสียงดัง โชคดีที่กล้องของพันนาไม่มีเสียง เลยเก็บภาพได้เต็มที่ แต่แสงสว่างวูบวาบจากแฟลชก็ทำให้น่าหวั่นใจไม่น้อย

   “พอได้แล้ว” พรานกล้าเตือน พันนายอมเก็บกล้องแต่โดยดีแม้จะเสียดายอยู่ไม่น้อย

    หมูป่าจากไปหลังจากนั้นไม่ถึงสิบนาที พรานกล้าบอกว่าดินโป่งบริเวณนี้มีไม่เยอะ นานๆ ครั้งจะมีสัตว์ป่ามาหากิน แล้วทั้งป่าก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง กุมภ์หาวแล้วหาวอีกก็ไม่มีวี่แววว่าจะมีสัตว์ป่าตัวไหนออกมาให้เห็นอีก ขณะเดียวกันกุมภ์ก็รู้สึกถึงความเงียบผิดปกติ ทั้งที่ตอนที่เห็นหมูป่ายังได้ยินเสียงแมลงและนกที่ออกหากินในเวลากลางคืนอยู่เลย

   พรานกล้าบอกให้กุมภ์กับพันนากลับเข้าไปนอน ถ้าหากมีตัวอะไรออกมาอีกจะปลุก กุมภ์พยักหน้ารับแต่โดยดีเพราะง่วงเหลือเกิน ส่วนพันนาก็เก็บกล้องแล้วเดินกลับเข้าไปด้านในเงียบๆ ก่อนที่ทั้งคู่จะเข้าสู่ห้วงแห่งความฝันอีกรอบ…




    รชตกำลังเดินอยู่ในป่า น่าแปลกที่มันไม่ได้น่ากลัวทั้งที่เป็นเวลากลางคืน พยายามกวาดตามองหาเพื่อนรักทั้งสี่คนรวมถึงพรานกล้า แต่กลับไม่เห็นใครเลย สองเท้าก้าวเดินไปเรื่อยๆ ผ่านต้นไม้น้อยใหญ่จนถึงริมลำธาร ผิวน้ำสะท้อนกับแสงจันทร์จนเป็นประกายระยิบระยับ รชตมองไปที่กลางลำธาร พลันสายตาก็เป็นร่างหนึ่งยืนนิ่งอยู่ในนั้น

   แม้จะมีแค่แสงจันทร์เป็นแค่แสงสว่าง แต่เขากลับเห็นหญิงสาวใบหน้าสะสวยอย่างชัดเจน เธอหันหน้ามาทางเขา พลางกวักมือเรียก เส้นผมของเธอเป็นสีดำสนิท ปล่อยยาวสยายจนถึงบั้นเอว ชุดที่เธอสวมใส่เหมือนชุดชาวบ้านตามชนบทที่เคยเห็น แต่ความสวยของเธอไม่ธรรมดาเลยทีเดียว ชนิดที่คะนิ้งเห็นจะต้องอิจฉาแน่นอน

   รชตเดินเข้าไปหาเธอ ไม่สนใจสายน้ำที่สูงถึงบั้นเอว ความสวยของเธอสะกดนิ่งจนทำให้เขาหลงลืมทุกอย่าง เมื่อเข้าใกล้ ความสวยของเธอยิ่งเจนกว่าเดิม ทว่าดวงตาของเธอดูน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก แล้วทันทีที่เธอเปล่งคำพูด รชตก็ตกใจแทบสิ้นสติ

    “พวกมึงลบหลู่กู! กูจะเอาพวกมึงไปทุกคน!”

    พูดจบริมฝีปากสวยก็ฉีกกว้างแทบจะถึงหู เลือดสีแดงสดไหลลงเปื้อนชุด ดวงตากลายเป็นสีขาว ชี้นิ้วมือตรงมาที่เขาอย่างอาฆาตแค้น

   “อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก!!”


(มีต่อ)
    
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 3 : ป่าพิโรธ] 17/09/2562
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 17-09-2019 19:51:49
        รชตสะดุ้งตื่น เหงื่อกาฬไหลเต็มตัว หัวใจเต้นแรง ภาพที่เห็นเมื่อครู่ยังติดอยู่ในความทรงจำ มันชัดเจนและน่ากลัวจนแทบแยกไม่ออกว่าสิ่งไหนจริง สิ่งไหนคือความฝัน ขนในกายลุกชูชัน กว่าจะตั้งสติได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นแค่ความฝัน ก็ผ่านไปนานหลายนาที

   ชาร์ลงัวเงียตื่นขึ้น ชะโงกตัวขึ้นถามด้วยความสงสัย รชตได้แต่ส่ายหน้าบอกแค่ว่าตัวเองฝันไป ชาร์ลเลยล้มตัวลงไปนอนแต่

    แต่ถึงจะรู้ว่ามันเป็นแค่ความฝัน ทำไมเขาถึงได้กลัวจนตัวสั่นแบบนี้ รชตยกแขนขึ้นกอดตัวเอง รู้สึกได้ถึงความสั่นเทาที่มีไปทั่วสรรพางค์ ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกัน และต้องการอะไรจากเขา คำว่า ‘จะเอาพวกเขาไป’ มันหมายความว่าอย่างไร เขาคิดหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ และจะไปถามจากใครก็ไม่ได้

    รชตล้มตัวลงนอนอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันที่จะได้ปิดตา ก็ได้ยินเสียงเรียก...มันเป็นชื่อของเขา

    “..ระ..ชต...ร..ชต”

    เสียงหวานของผู้หญิงเหมือนดังมาตามสายลม เสียงของเธอเพราะเหมือนนกร้อง รชตยันกายขึ้น เกิดความสงสัยครามครัน ใครกันมาเรียกเขา หรืออาจจะเป็นคะนิ้ง

    เมื่อคิดได้ดังนั้นก็ชะโงกหน้ามองหาร่างของคะนิ้ง แต่ข้างกายชาร์ลว่างเปล่า ถึงจะอาศัยแสงสว่างจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือส่องไปรอบๆ ห้าง เขาก็ไม่เห็นคะนิ้ง หมายความว่าคนที่เรียกเขาคงจะเป็นคะนิ้งจริงๆ บางทีเธอคงจะลงไปทำธุระแล้วไม่กล้าปีนขึ้นมา

   รชตถอนหายใจเล็กน้อย ถึงจะแปลกใจว่าทำไมคะนิ้งถึงไม่ยอมเรียกชาร์ลที่เป็นคนรักของตัวเอง แต่กลับเรียกหาเขาแทน

   ชายหนุ่มเดินไปนอกห้าง แสงจันทร์ส่องสว่างไปทั่วบริเวณทำให้มองเห็นรอบด้านได้ชัดกว่าในห้าง พระจันทร์ดวงใหญ่ลอยอยู่กลางท้องฟ้า รํศมีสีนวลของมันแผ่ขยายเป็นวงกว้าง รชตก้มหน้าลงไปเบื้องล่างก็พบกับร่างระหงของคะนิ้ง แต่ก็ต้องตกตะลึง เพราะร่างกายของเธอเปลือยเปล่า ไร้อาภรณ์ห่อหุ้มร่างกาย

   “คะนิ้ง! ลงไปทำอะไรข้างล่าง แล้วทำไมถึงไมใส่เสื้อผ้า” รชตร้องถาม พยายามบังคับสายตาไม่ให้มองไปที่ปทุมคู่ยวนใจ

   “ฉัน...ลงไปอาบน้ำ...แต่พอขึ้นมา...เสื้อผ้าก็หายไปแล้ว...รชต..ฉันหนาวมากเลย” คะนิ้งบอก น้ำเสียงของเธอแผ่วเบาและเยือกเย็นกว่าที่เคย ทว่าเรือนร่างอรชรของเธอมันทำให้รชตไม่ได้คิดเอะใจ

   “เอ่อ...แล้วทำไมเธอไม่ปีนขึ้นมาล่ะ”

   “ฉัน..ไม่..มี..แรง...รชตลงมาหาฉัน...หน่อยสิ...ฉันหนาว” คะนิ้งยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ใบหน้าน่ารักระดับเดือนคณะ เงยขึ้นมา ผิวกายใต้แสงจันทร์ดุนวลผ่องไปหมด ทั่วทั้งสรรพางค์ไร้ตำหนิ หน้าอกอวบขนาดน่าจับต้อง เอวคอดกิ่ว สะโพกผายกำลังดี ท่อนขาเปล่าเปลือยแม้แต่ปลายเท้าก็ยังน่ามอง

    “ดะ ได้ รอเดี๋ยวนะ”

   รชตทำท่าจะปีนลงไปหาคะนิ้ง ทว่าเสียงหนึ่งก็ดึงขึ้น หยุดฝีเท้าที่กำลังจะก้าวลง

   “อย่าลงไป!”

    “พรานกล้า!” รชตอุทานด้วยความตกใจ ถึงจะยังไม่เห็นอีกฝ่าย แต่แค่น้ำเสียงก็จำได้แล้ว

   พรานกล้าอยู่บนห้างอีกฝั่ง ใบหน้าสีเข้มแทบจะกลืนไปกับผืนราตรี ในมือมีปืนอยู่ด้วยซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าพรานกล้าเอามาจากที่ไหน รชตนึกหงุดหงิดที่พรานกล้าสั่งห้าม ผู้หญิงร่างเปลือยเปล่าอยู่ข้างล่าง ซ้ำอากาศคืนนี้ยังหนาวเหน็บ ขืนช้ากว่านี้คะนิ้งคงได้เป็นปอดบวมกันพอดี

   “จะห้ามผมทำไม นั่นมันเพื่อนผมนะ”

   “บอกแล้วไงว่าได้ยินอะไรก็ห้ามลงมา” พรานกล้าเตือนเสียงเข้ม ถึงจะอยู่ห่างกันหลายเมตร แต่รชตก็เห็นแววตาขุ่นมัวของอีกฝ่ายชัดเจนดี

    “แต่นั่นมันเพื่อนของผม!” รชตแย้งอย่างไม่ยอมแพ้ พยายามจะปีนลงห้าง แต่พรานกล้าตะโกนลั่น

   “แหกตาดูให้ดีซิว่ามันใช่เพื่อนของคุณหรือเปล่า!”

    รชตเกือบจะโต้กลับไปแล้วหากสายตาไม่หลุบลงไปด้านล่าง พลันหัวใจก็เต้นระรัว เหงื่อที่เพิ่งแห้งไปผุดขึ้นอีกรอบ ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตื่นตระหนก ร่างอรชยวนตาของคะนิ้งกลับกลายเป็นเสือตัวใหญ่ เดินป้วนเปี้ยนอยู่บนพื้นดิน เสียงคำรามของมันน่ากลัวกว่าที่เคยเห็นในสารคดีเสียอีก รชตสับสนงงงวยไปหมด ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน

   ดวงตาของเสือตัวนั้นเป็นสีเหลืองวาววับน่ากลัว มันแยกเขี้ยวอ้าปากราวกับกำลังรอคอยเหยื่ออันโอชะ รชตกลัวจนตัวนั่น กระถดตัวกลับเข้าไปในห้าง ปลายนิ้วกระทบกับร่างของใครบางคน เมื่อหันไปมองก็เห็นคะนิ้งนอนอยู่ในอ้อมแขนของชาร์ล

   แล้วคะนิ้งที่เขาเห็นนั่นคือใคร? ไม่สิ นั่นมันตัวอะไร?

   “มึงกลับไปเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นกูจะยิงมึงด้วยปืนในมือกู!”

    เสียงของพรานกล้าดังชัดเจน แม้แต่รชตที่กำลังตื่นกลัวยังได้ยิน รชตพยายามปลุกเพื่อนทั้งสอง แต่ก็ไม่มีใครตื่น ทิ้งให้เขาเผชิญกับเรื่องเหนือจินตนาการแต่เพียงผู้เดียว

    พรานกล้าเล็งปืนในมือไปยังร่างใหญ่โตของเสือสมิง ใช่! ไอ้เสือตัวนั้นมันคือเสือสมิง ซึ่งหาได้ยากนักในยุคสมัยที่เต็มไปด้วยแสงสี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันหายไป เสือตัวใหญ่เบนหน้ามาทางห้างที่พรานกล้าอยู่ มันแยกเขี้ยวคำรามขู่อย่างไม่กลัวเกรง พรานกล้าไม่กลัวเสือสมิง เพราะเคยเห็นมันมาหลายครั้งตั้งแต่เริ่มเข้าป่า คาถาอาคมฝังแน่นอยู่ในสมอง พรานหนุ่มใหญ่หลับตา พนมมือทั้งที่ยังถือปืนอยู่ บริกรรมคาถาที่เคยร่ำเรียนมาอยู่ชั่วอึดใจร่างเสือสมิงก็กลายเป็นชายชรา หัวขาวโพลน หนวดเครารุงรัง สวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง หลังงองุ้ม

   “หวา! อะไรน่ะ!”

    เสียงร้องอุทานด้วยความตื่นกลัวทำให้พรานกล้าหลุดจากสมาธิ หันไปมองต้นเสียงที่กำลังเบิกตากว้าง แม้แสงจันทร์จะไม่สว่างเท่าแสงไฟ แต่กลับเห็นใบหน้าขาวซีดเหมือนกระดาษชัดเจน

   “ตื่นมาทำอะไร” พรานกล้าถาม น้ำเสียงติดหงุดหงิดเล็กน้อย

   “ผะ ผมได้ยินเสียงคนคุยกัน ก็เลยตื่นขึ้นมาดู” กุมภ์ตอบ น้ำเสียงสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว

    “อยู่เฉยๆ นะ แล้วก็อย่ากวนผมถ้าไม่อยากตายกันหมด” พรานกล้าสั่ง กุมภ์พยักหน้าหงึกหงัก ปากคอสั่นไปหมด

   พรานกล้าหันหน้ากลับไปที่เบื้องล่าง ชายชราใบหน้าเหี่ยวย่นน่าเกลียด ส่งสายตาอาฆาตเกลียดชัง ชี้นิ้วมาทางพรานกล้า

    “ไอ้ระยำ มึงมาขวางกูทำไม!”

    “นึกว่าใคร ที่แท้ก็ตาเวกนี่เอง เห็นหายไปเป็นสิบๆ ปี นึกว่าตายแล้ว” พรานกล้าทำเสียงเยาะ

    ตาเวกคือพรานป่ารุ่นปู่ อายุอานามมากโข ช่วงแรกพรานเวกเป็นที่เลื่องลือเรื่องความสามารถ วิชาคาถาอาคม ว่ากันว่าแม้แต่เสือก็โค่นได้ แต่ระยะหลังมานี่ พรานเวกเริ่มทำตัวผิดแปลก ไม่ออกล่าสัตว์ ซ้ำยังปิดบ้านเงียบ เคยมีคนเดินผ่านไปบ้านแกแล้วได้ยินเสียงเหมือนเสือคำราม ข่าวลือต่างๆ นานา บ้างก็ว่าแกถูกวิญญาณเสือที่แกฆ่ามาตามล้างแค้น บ้างก็ว่าแกถูกเสือฆ่าตายไปแล้ว แต่ก็ไม่มีใครรู้ความจริง ไม่นานกระต๊อบของแกก็กลายเป็นบ้านร้าง ไม่เคยมีใครเห็นสิ่งมีชีวิตเข้าออกบ้านแกอีกเลย ชาวบ้านเลยลงความเห็นว่าแกตายเพราะถูกเสือฆ่าไปแล้วจริงๆ

     “เออ กูยังไม่ตาย”

    “แต่ก็ไม่ใช่คน” พรานกล้าทำเสียงเย้ย นึกไม่ถึงว่าพรานป่า เก่งกาจ มากวิชาอาคมจะมีสภาพครึ่งคนครึ่งปิศาจแบบนี้

    “เรื่องของกู” พรานเฒ่าตะคอกกลับ “มึงอย่ามาเสือกเรื่องของกู ส่งไอ้เด็กนั่นมาให้กูซะดีๆ”

    “ไม่ได้ ฉันต้องดูแลเด็กพวกนี้” พรานกล้าบอก กระชับปืนในมือให้แน่นขึ้น จ้องร่างงองุ้มของชายชราเขม็ง

    “มึงจะไปดูแลมันทำไม ถึงไม่มีกู พวกมันก็ต้องตายอยู่ดี” พรานชราหัวเราะเสียงต่ำ ฟังแล้วน่าขนลุกพิกล

   “กลับไปซะ ถ้าไม่อยากตายอีกรอบ” พรานกล้าไม่ยอม เล็งปืนในมือไปยังร่างเหี่ยวย่น “ลุงก็รู้นี่ว่าผมมีลูกกระสุนลงคาถา”

   “กูไม่กลัว!”

    พูดจบร่างชายชราก็เปลี่ยนเป็นเสือร้ายตัวใหญ่ ส่งเสียงคำรามก้องป่า คราวนี้ไม่ใช่แค่กุมภ์ที่ตื่นขึ้นมาดูเหตุการณ์ด้วยใจระทึก พันนาก็ด้วยอีกคน ความฝันที่ไม่ปะติดปะต่อเมื่อครู่หายไปสิ้น ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ ร่างสูงใหญ่ผุดลุกขึ้นนั่ง เพ่งมองฝ่าความมืดไปเบื้องหน้าพลางถามเพื่อนสนิท

   “เกิดอะไรขึ้นวะ”

    “สะ เสือ ไม่ใช่ คนกลายเป็นเสือ หรือว่าเสือกลายเป็นคนวะ” กุมภ์พูดวกไปวนมา ตาจ้องเขม็งไปเบื้องล่าง

    พันนาขยับตัวเข้าไปใกล้เพื่อนสนิท ชะโงกหน้าลงไปด้านล่าง ความตกใจทับทวีเมื่อเห็นร่างของเสือโคร่งตัวใหญ่ มันกำลังคำรามก้อง เขี้ยวยาวขาวน่ากลัว มันเดินวนไปมาอยู่ที่เดิม บางครั้งก็ทำท่าจะกระโดดปีนขึ้นมา เล็บของมันวาววับเห็นชัดแม้จะเป็นเวลากลางคืน พันนาตกใจจนขนในกายลุกชัน ตั้งแต่เกิดมาเคยเห็นแค่เสือในสวนสัตว์ซึ่งมันไม่ได้ดุร้ายเช่นนี้ ท่าทางของมันเหมือนจะขย้ำจับคนกิน แต่ในความตกใจเขาก็ยังสังเกตเห็นว่าดวงตาของมันเป็นสีแดงเหมือนเลือด ไม่ได้เป็นสีเหลืองเหมือนสัตว์ที่ออกหากินเวลากลางคืน

   “ตะ ตัวอะไรเหรอครับพรานกล้า” พันนาถามเสียงสั่น มือเลื่อนไปที่กล้องโดยอัตโนมัติ

   “เสือสมิง” พรานกล้าตอบ “มันชื่อไอ้เวก เมื่อก่อนก็เป็นพรานป่าเหมือนกันนี่แหล่ะ แต่ไม่รู้อีท่าไหนถึงได้กลายเป็นเสือสมิงไปได้ สงสัยของจะเข้าตัว”

    เสือสมิงที่เคยได้ยินแต่ในนิยาย ทั้งพันนาและกุมภ์ต่างไม่เคยคิดว่ามันมีอยู่จริง ทว่าบัดนี้ทั้งคู่ได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง พันนาสะดุ้งโหยงตอนที่เสือปิศาจกระโจนใส่ลำต้นไม้ ห้างสั่นคลอนไปทั้งหลัง พรานกล้ากระชับปืนแน่น ปากขมุบขมิบบางอย่าง แล้วเล็งปืนไปยังร่างของสัตว์ร้าย

   เปรี้ยง!

   ลูกกระสุนสีเงินวาววับแหวกผ่านอากาศตรงไปยังร่างของเสือสมิงพร้อมกับแสงสว่างวาบจากสิ่งที่อยู่ในมือของพันนา ความแม่นยำระดับนักกีฬายิงปืนระดับชาติทำให้ลูกกระสุนเจาะไปที่ต้นขาหน้าซ้าย เสือโคร่งร้องลั่นป่าด้วยความเจ็บปวด ร่างของมันกระเด็นถอยไปด้านหลังหลายหลา แล้วล้มคลุกฝุ่นตลบ เพียงพริบตาเดียวร่างของเสือก็พลันเปลี่ยนเป็นสตรีงดงามนอนขดอยู่บนพื้นดิน ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด

    “โอ๊ย! พันนา ฉันเจ็บเหลือเกิน พันนาด้วยฉันด้วย”

   เสือสมิงในร่างของคะนิ้งเนื้อตัวเปลือยเปล่า แต่ที่ต้นแขนซ้ายมีเลือดไหลเป็นทาง พันนานิ่งอึ้งตะลึงงัน ไม่เคยพบเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน มันเป็นเรื่องเหนือจินตนาการหรือมีอยู่แค่ในนิทานเท่านั้น เจ้าเสือดุร้ายกลายเป็นเพื่อนของเขา กำลังนอนร้องครวญคราง อย่างน่าเวทนา

   “รีบไปซะ ก่อนที่กูจะฆ่ามันจริงๆ” พรานกล้าตะโกนบอก ปืนเล็งไปยังเสือร้ายในร่างของคะนิ้ง

    ดวงตากลมโตดุดัน สีแดงเรืองรองจ้องมองมาอย่างอาฆาตมาดร้าย มันยันกายขึ้นจากพื้นดิน กัดฟันกรอดขู่คำราม ลมหายใจฟืดฟาด ชั่วพริบตาก็เปลี่ยนกลับไปเป็นร่างของเสือร้าย แล้ววิ่งทะยานหายเข้าไปในความมืดพร้อมกับหยดเลือดที่ไหลไปตามทาง

    “น่า น่ากลัวจังเลย” กุมภ์ยกมือขึ้นกุมหัวใจ มันเต้นรัวเหมือนกลองชุด ลมหายใจกระชั้นถี่ เหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า จนถึงตอนนี้ยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่จะเป็นเรื่องจริง

   “พวกคุณไปนอนได้แล้ว เดี๋ยวผมจะอยู่ยามให้เอง แล้วพรุ่งนี้เราจะกลับกันแต่เช้า”

   กุมภ์กับพันนาพยักหน้ารับทันที ถึงว่าการได้เห็นหมูป่าจะน่าตื่นตาตื่นใจไม่น้อย แต่เสือสมิงตัวเมื่อครู่มันน่าหวาดกลัวมากกว่าหลายเท่า ทว่าไม่มีใครรู้ว่ายังมีบางสิ่งที่น่ากลัวกว่าเสือสมิงกำลังรออยู่...


*หากเจอคำผิดต้องขอโทษด้วยค่ะ ตาลาย 5555*
**เป็นเรื่องที่แต่งยากมากค่ะ หากไม่สมจริง หรือเหนือจินตนการไปบ้าง ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ**

หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 3 : ป่าพิโรธ] 17/09/2562
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 17-09-2019 20:57:19
ตื่นเต้น รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 3 : ป่าพิโรธ] 17/09/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 18-09-2019 06:38:54
พวกนี้ตายก็ไม่แปลก  ดูนิสัยแต่ละคนสิ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 3 : ป่าพิโรธ] 17/09/2562
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 18-09-2019 21:10:06
สนุกจริงๆ เป็นแนวที่ รอคอยเลยกระว่าได้ ขอบคุณผู้แต่งมากๆ จร้า ติดตามๆ รออัฟตอนต่อไป ^^
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 3 : ป่าพิโรธ] 17/09/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 19-09-2019 13:54:05
รชตแอบทำอะไรลบหล่ป่า ทำไมถึงตามมาจะเอาตัวไป
คะนิ้งกับชาล์ลอันนี้รู้ ทีคดีเรื่องปลากับน้ำ ชะตาคู่แฟนไม่น่าจะดี จะได้ออกจากป่ามั้ย
ปริศนาคือพันนา รอบที่แล้วเคยเข้ามาแล้วมีอะไร ทำไมครั้งนี้ถึงอยากกลับมาอีก

กดไลค์ด้วยบวกรัวๆ พี่โหรมาช่วยเร็วๆ


หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 4 : ผู้รอด] 24/09/2562
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 24-09-2019 20:49:24
ตอนที่ 4 ผู้รอด


    รชตตื่นนอนตอนได้ยินเสียงไก่ขัน ตาลืมโพลงคล้ายกับตกใจ เมื่อคืนนี้เขาเผลอหลับไปตอนที่ทุกอย่างกลับมาสงบเงียบอีกครั้ง มันเงียบเสียจนไม่ได้ยินอะไรแม้แต่เสียงแมลง ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนยังชัดเจน ตอนที่พรานกล้าใช้ปืนยิงเสือตัวนั้นเขาก็เห็นเต็มสองตา แต่ซ่อนตัวอยู่ในห้างไม่กล้าออกไปมองโดยตรง เพราะกลัวว่าจะถูกทำร้าย แต่ที่น่าแปลกอีกอย่าง ทั้งเสียงปืนดังก้องป่าขนาดนั้น ชาร์ลกับคะนิ้งก็ยังไม่ตื่น ทั้งคู่หลับสนิท

   ไม่ใช่แค่เพื่อนของเขาที่เงียบ ป่าทั้งผืนก็เงียบผิดปกติเช่นกัน คืนแรกที่นอนเขายังเสียงสัตว์กลางคืนบ้าง แต่เมื่อคืนนี้มันเงียบสนิท ราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ ในป่านอกจากพวกเขา

   รชตยันกายขึ้นจากพื้นไม้แข็งๆ หันมองรอบกายก็รู้ว่าเริ่มจะมีแสงสว่างจากพระอาทิตย์บ้างแล้ว เขาพาตัวเองออกมานอกห้าง ก้มลงมองด้านล่างเห็นพรานกล้า กุมภ์และพันนากำลังล้อมวงจิบกาแฟ ก่อไฟที่มอดไปตั้งแต่เมื่อคืนกลับมามาชีวิตอีกครั้ง

   หมอกจางๆ ลอยเหนือพื้นดิน น้ำค้างเกาะบนยอดหญ้าดูชุ่มฉ่ำไปหมด เสียงนกร้องออกหากินในตอนเช้าทำให้ใจชื้นขึ้นมาได้บ้าง รชตค่อยๆ ปีนลงจากห้าง รู้สึกปวดหัวนิดหน่อยคงเพราะเมื่อคืนเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ซ้ำภาพผู้หญิงคนนั้นยังติดตา ทำให้เขารู้สึกเหมือนนอนไม่พอ

   “อ้าว ตื่นแล้วเหรอ” กุมภ์ร้องทัก พลางกวักมือเรียก “มาๆ กินกาแฟ หน้าตาดูไม่จืดเลยนี่”

   รชตไม่อิดออด ตอนที่พรานกล้ารินกาแฟสีดำสนิทใส่แก้วสังกะสีเก่าๆ ให้ เขารับแก้วแล้วนั่งลงข้างๆ พรานกล้า ใช้ความอุ่นจากแก้วช่วยลดความหนาวเย็นของอากาศในยามเช้า กลิ่นไหม้ของกาแฟทำให้รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง รสขมจัดช่วยกระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัวดี

    “เมื่อคืนมึงเห็นเสือสมิงหรือเปล่าวะ”

    กุมภ์ถาม ดวงตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น รชตพยักหน้ารับ “กูเห็นมันเป็นคะนิ้ง เกือบจะลงไปหาแล้วถ้าพรานกล้าไม่ห้ามเอาไว้”
   พรานกล้าถอนหายใจเบาๆ “มันยังไม่ตายหรอกนะ แต่โดนกระสุนลงคาถาไปคงจะเจ็บไปอีกหลายวัน ที่จริงมันไม่ได้เป็นเสือหรอก มันเป็นคน แต่คงจะเล่นของมากเกินไปก็เลยเข้าตัว”

    “พรานรู้จักมันด้วยเหรอ” พันนาถาม ขณะยกกล้องคู่ใจถ่ายรูปป่าในยามเช้า รูปหมูป่าเมื่อคืนชัดเจนดี เสียดายที่ตอนเสือสมิงปรากฏตัวไม่เหลือสติจับกล้องขึ้นมาถ่ายเลยไม่มีหลักฐานหากไปเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง

   “รู้” พรานกล้าพยักหน้า “มันชื่อเวก เป็นพรานรุ่นปู่ อายุมากโข เกือบร้อยแล้วละมั้ง หลังๆ ไม่มีคนตาเวก ก็คิดว่าตายไปแล้ว”

   ทุกคนรับฟังเรื่องราวของตาเวกเงียบๆ ไม่มีใครโต้แย้งเพราะได้เห็นอิทธิฤทธิ์ของอดีตพรานด้วยตาตัวเอง

   “ไอ้ชาร์ลกับคะนิ้งยังไม่ตื่นอีกเหรอ” กุมภ์ถาม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปบนห้าง

   “ยัง ไม่รู้ว่าหลับหรือตาย ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เสียงปืนดังขนาดนั้นมันก็ยังไม่ตื่น” รชตบอก

   “ผมว่ามันแปลกๆ นะ คุณขึ้นไปปลุกเพื่อนคุณดีกว่า” พรานกล้าแนะ

   รชตพยักหน้า ปีนกลับขึ้นไปบนห้างอีกครั้ง คะนิ้งตื่นแล้ว สีหน้าของเธอไม่ค่อยดีสักเท่าไรนัก ใบหน้าขาวซีดเซียว ทั้งที่นอนหลับสนิทตลอดทั้งคืน แต่ท่าทางเหมือนคนไม่ได้นอน ส่วนชาร์ลยังหลับสนิทในท่าเดิม แผ่นอกที่สะท้อนขึ้นลงตามจังหวะการหายใจทำให้รู้ว่าชาร์ลแค่หลับ ไม่ได้ตายตามที่เขาบอกกับเพื่อนๆ

   “ชาร์ลยังไม่ตื่นเหรอ”

   “ยัง” คะนิ้งตอบสั้นๆ “ฉันปลุกแล้ว แต่ไม่ตื่น นายลองปลุกดูซิ”

    รชตออกแรงเขย่าเพื่อนลูกครึ่งตัวใหญ่ ทว่าชาร์ลก็ยังนิ่งเฉย นี่ถ้าหากว่าเนื้อตัวเย็นเฉียบหรือแผ่นอกไม่สะท้อนขึ้นตามจังหวะการหายใจเขาต้องคิดว่าชาร์ลไหลตายไปแล้ว

   “ไอ้ชาร์ล! ไอ้ชาร์ล! ไอ้ห่าชาร์ล!!!” รชตตะโกนสุดเสียง

   ชาร์ลสะดุ้งตื่น ร่างหนาเด้งลุกขึ้นนั่งเหมือนตกใจ ดวงตาคมสีอ่อนเบิกโพลง หันหน้ามองเลิกลัก ท่าทางไม่เหมือนคนที่เพิ่งตื่น นานเกือบชั่วอึดใจชาร์ลถึงได้สติ

   “ตื่นแล้วเหรอไอ้ขี้เซา รู้จักกันมาสองปีกูเพิ่งรู้ว่ามึงขี้เซาขนาดนี้” รชตแซว เบาใจขึ้นมาหน่อยที่ชาร์ลตื่นขึ้น

   “กู...ฝันไม่ค่อยดีว่ะ” ชาร์ลยกมือขึ้นลูบหน้าแรงๆ “หิวด้วย ปลากูอยู่ไหนวะ”

    “ตื่นมาก็หิวเลยนะ โน่น ยังอยู่ที่เดิม” รชตชี้ไปที่มุมห้าง ปลาย่างที่เหลือเมื่อวานห่ออย่างดีในใบตอง มดเริ่มดำเริ่มไต่ตอม

   ชาร์ลไม่พูดอะไร ลุกขึ้นไปคว้าห่อปลาย่างของตัวเองแล้วปีนลงไปด้านล่าง โดยไม่รอใคร

   สีหน้าชาร์ลย่ำแย่ไม่ต่างจากคะนิ้ง ทั้งสองรับกาแฟจากพรานกล้าอย่างไม่อิดออด คะนิ้งไม่บ่นตอนที่ลิ้นได้รสขมจัด มือจับประคองแก้วเอาไว้ เธอปฏิเสธปลาที่ชาร์ลส่งให้ ขณะที่คนอื่นๆ เริ่มกินมื้อเช้า ที่มีแค่ขนมปังกับปลากระป๋อง

   “ฉันฝันไม่ค่อยดี” คะนิ้งเอ่ยขึ้น มือจับแก้วกาแฟแน่นกว่าเดิม “ฉันฝันเห็นผู้หญิง ผู้ชาย มายืนล้อมฉัน ไม่มีใครพูดกับฉัน แต่พวกเขามองฉันเหมือนโกรธจัด บางคนเอามือชี้หน้าฉันด้วย”

   ทุกคนนิ่งเงียบไปเกือบชั่วลมหายใจ แล้วก็เป็นกุมภ์ที่เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ “ไม่มีอะไรหรอก  เมื่อวานแกกินอิ่มเกินไปน่ะซิ เลยคิดมาก”

   “กูก็ฝันเหมือนกัน” คราวนี้เป็นชาร์ลที่พูดขึ้น สีหน้าของหนุ่มลูกครึ่งเคร่งเครียดกว่าเดิม “กูฝันว่ามีผู้หญิงชวนกูไปบ้านเขา ในฝันกูเดินตามเขาไป เขาบอกว่าเขาอยู่ที่นี่มานานแล้ว เดินไปสักพักก็ถึงบ้านเขา มันเป็นกระต๊อบเก่าๆ พอจะเปิดประตูเขาก็หันมามองหน้ากู แต่หน้าเขาดุมาก เขาตวาดใส่กู ชี้หน้าด่ากูว่ากูฆ่าพวกเขา แล้วเขาก็จะเอากูไปอยู่ด้วย กูตกใจก็เลยวิ่งหนี แต่เขาก็วิ่งตาม แถมยังหัวเราะไล่หลัง กูกลัวเขามาก ตอนที่เขากำลังจะเอื้อมมือมาแตะที่ไหล่ กูก็สะดุ้งตื่น เพราะไอ้ชตปลุก ตอนนี้เสียงหัวเราะผู้หญิงคนนั้นยังดังในหูกูอยู่เลย”

    ความเงียบเกิดขึ้นอีกครั้ง ไม่มีใครพูดอะไร เพราะทุกคนคิดเหมือนกันว่าบางทีมันไม่ใช่ความฝัน ในป่าแห่งนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ เหมือนเสือสมิงเมื่อคืน กุมภ์เหลือบมองพรานกล้า ที่มีสีหน้าเงียบขรึม หัวคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างคนใช้ความคิด

   รชตใจสั่นรุนแรง ความฝันของทั้งคะนิ้งและชาร์ลคล้ายกับของเขามาก ภาพน่ากลัวของผู้หญิงคนนั้นยังติดตรึงอยู่ในความทรงจำ ไหนจะเหตุการณ์ประหลาดที่เขาพบเจอเมื่อวานนี้เอง

   คืนก่อน เขาปวดปัสสาวะกลางดึก ปลุกใครก็ไม่มีใครลุกขึ้นไปเป็นเพื่อน เลยจำต้องออกจากเต็นท์ไปคนเดียว โชคดีที่กองไฟยังไม่มอด แต่ไม่ได้สว่างเท่าเดิม พรานกล้านอนในเปลที่ผูกขึ้นง่ายๆ เพราะความกลัวเขาเลยเดินห่างออกมาจากจุดตั้งเต็นท์เพียงนิดเดียว หลังจากปัสสาวะเสร็จ ก็กลับเข้าไปนอน และหลับไปทันที ทว่าไม่นานนักก็รู้สึกเหมือนถูกเบียน เลยขยับหนี เพราะคิดว่าพันนานอนดิ้น แต่ร่างนั้นก็เบียดเข้ามาอีก จนตัวเขาเกือบจะติดกับกุมภ์

   เขาผงกหัวขึ้นหวังจะเตือนให้พันนาขยับห่างออกไป แต่กลับพบพื้นที่ว่างเปล่าเกือบเท่าตัวคน ส่วนร่างของพันนาอยู่เกือบชิดเต็นท์ ถ้าไม่ใช่พันนา แล้วใครกันที่นอนเบียดเขา ตอนนั้นเขารีบห้ามความคิดตัวเอง ล้มตัวลงนอนตามเดิมพยายามท่องบทสวดมนต์แบบงูๆ ปลาๆ แล้วก็หลับไป

   ระหว่างเดินทางในวันที่สอง เขาก็รู้สึกเหมือนมีคนเดินตาม เสียงฝีเท้าเป็นจังหวะเดียวกับเขา เมื่อเขาหยุด เสียงนั้นก็จะหยุดตามไปด้วย แต่พอหันไปมองก็ไม่เจอใคร มันเป็นอย่างนั้นตลอดทั้งวันจนเขาชักจะเสียประสาท

   แล้วไหนจะความฝันน่ากลัวเมื่อคืนนั่นอีก นี่ยังไม่รับรวมเสือผีที่แปลงร่างได้อีก

   ป่าแห่งนี้ประหลาดเกินไปแล้ว!

    “ผมว่าเรารีบกลับกันดีกว่า ผมไม่อยากให้อยู่ค้างอีกคืน” พรานกล้าบอก พลางเริ่มดับกองไฟ “พวกคุณรีบไปล้างหน้าตาเก็บของได้แล้ว อ้อ คุณชาร์ล”

   ชาร์ลเงยหน้าขึ้นมองพรานกล้า “มีอะไร”

   “คุณไปขอขมาปลาพวกนั้นเถอะ”

   “ขอขมาทำไม เรื่องที่ผมกินพวกมันไม่หมดน่ะเหรอ” ปลาที่ชาร์ลหามายังอยู่ในใบตอง ไม่มีใครอยากจะกินมันอีกหลังจากได้ยินคะนิ้งและชาร์ลเล่าถึงความฝันเมื่อคืน

   “ใช่ แล้วก็...เรื่องที่คุณฆ่าพวกเขา” พรานกล้าพยักหน้าจริงจัง แต่ชาร์ลปฏิเสธ

   “ไร้สาระ ไปคะนิ้งไปล้างหน้ากันจะได้ออกไปจากไอ้ป่านี่ซะที ผมเบื่อจะตายอยู่แล้ว”

   พรานกล้าถอนหายใจ สีหน้ายังไม่คลายจากความเคร่งเครียด “ผมเตือนคุณแล้วนะ ถ้าเกิดว่าสายเกินไปผมอาจจะช่วยคุณไม่ได้”
    “ชาร์ลกูว่า...”

   “พอเลยไอ้ชต! มึงก็รู้ว่ากูเป็นคริสต์” ชาร์ลห้ามเพื่อน สีหน้าหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม ก่อนจะลุกขึ้นเดินตึงตังกลับไปบนห้างเพื่อเก็บของ…





   ฟ้าฝนตั้งเค้ามาตั้งแต่เช้า น่าหวั่นใจว่าอาจจะมีพายุเหมือนเมื่อวาน นั่นหมายความว่าพวกเขาอาจจะต้องค้างในป่าอีกคืน พันนาหมดอารมณ์เก็บภาพไปตั้งแต่เห็นเสือสมิงเมื่อคืนแล้ว ถึงมันน่าจะตื่นเต้นสักแค่ไหน แต่มันไม่คุ้มที่จะเอาชีวิตมาเสี่ยง รู้ดีว่าหากไม่มีพรานกล้า พวกเขาอาจจะถูกเสือผีตัวนั้นฆ่าตายกลายเป็นผีเฝ้าป่าไปแล้วก็ได้

    พรานกล้าบอกให้ทุกคนเร่งฝีเท้าให้เร็วกว่าเดิมเป็นเท่าตัว อย่างน้อยที่สุดให้ถึงตีนเขาในช่วงเย็น เพราะบริเวณนั้นปลอดภัยกว่ากลางป่าแน่นอน ถ้าจำเป็นต้องค้างอีกคืน

   ขามากับขากลับ บรรยากาศต่างกันลิบลับ ไม่มีเสียงพูดคุยหยอกล้อ หรือแม้แต่ตัวพันนาเองที่ชื่นชอบการถ่ายภาพยังไม่อยากหยิบกล้องขึ้นมาเก็บภาพความงามของธรรมชาติเลยสักนิด เขารู้สึกถึงฝีเท้าที่เหยียบย่ำตาม ไม่ใช่เสียงเดียวแต่เหมือนมากันเป็นกลุ่ม แต่เมื่อหยุดเดินเสียงนั่นก็จะหายไป เหมือนหูแว่ว แต่เขารู้ว่ามันไม่ใช่

    ความกระวนกระวายใจก่อตัวขึ้นเงียบๆ แม้จะเคยฟังพ่อเล่าเรื่องในป่าให้ฟังมานักต่อนัก แต่การประสบด้วยตัวเองมันน่ากลัวกว่าเยอะนัก

   ในป่ายังมีเรื่องราวอีกมากมายที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้

    พันนาล้วงเอาโทรศัพท์มือถือออกมาดู แบตเหลือไม่ถึงครึ่ง ส่วนพาวเวอร์แบงก์ที่พกมาคงพึ่งพาได้อีกแค่ครั้งเดียว เขาลองกดเบอร์แม่ หวังว่าเสียงของแม่จะช่วยทำให้จิตใจสงบลง แต่ในป่าผืนนี้แทบหาสัญญาณโทรศัพท์มือถือไม่ได้เลย ถึงแม้เครือข่ายที่ใช้อยู่จะเป็นเจ้าใหญ่ที่สุดในประเทศก็ตาม

    “แถวนี้ไม่มีสัญญาณหรอก ต้องไปแถวบ้านเจ้าหน้าที่” พรานกล้าบอกเรียบๆ

   “อีกไกลไหมครับ” กุมภ์ถาม

   “ก็ตีนเขานั่นแหล่ะ รีบหน่อยเถอะ ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไร”

    ไม่มีใครคัดค้านพรานกล้า แม้แต่คะนิ้งที่อิดออดในตอนแรก ทว่าเวลานี้เธอก้าวเดินฉับๆ ไม่กลัวเปื้อน ไม่กลัวล้ม

    พวกเขาพักกินข้าวกันตอนเที่ยง แต่ก็แค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ถึงจะเหนื่อยแทบขาดใจ แต่ชีวิตสำคัญกว่า ฝนตั้งเค้าแต่ยังไม่ตก ทว่าเมฆสีเทามันบดบังแสงอาทิตย์ อากาศเย็นชื้นยิ่งทำให้เสียวสันหลังอย่างบอกไม่ถูก ในป่ามืดครึ้มเหมือนตอนเย็นทั้งที่เพิ่งจะบ่ายโมงนิดๆ เท่านั้นเอง พันนาหวั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกอย่างดูผิดปกติไปหมด นี่มันฤดูร้อน ทำไมฝนถึงได้ตกทุกวันแบบนี้

    ไม่มีใครพูดอะไร ในป่าก็เงียบสนิท คงมีแต่เสียงฝีเท้าที่เหยียบย่ำไปบนใบไม้แห้ง กระทั่งสี่โมงเย็น ป่าก็มืดเหมือนช่วงหัวค่ำ พรานกล้าส่งสัญญาณมือให้ทุกคนหยุดเดิน

   “เกือบถึงตีนเขาแล้ว แต่มันมืดเกินไป เราต้องค้างอีกคืน”

   “ค้างอีกคืน! ไม่ได้นะ ฉันทนอยู่ในป่านี้ไม่ไหวแล้ว” คะนิ้งค้านทันที สีหน้าเธอประหวั่นพรั่นพรึง “เดินต่อเถอะ ฉันมีไฟฉาย อีกไม่ไกลไม่ใช่หรือไง”

   “ถึงมีไฟฉายก็อันตราย ผมไม่ได้กลัวความมืด แต่ผมกลัวสิ่งที่ไฟฉายของคุณก็ส่องไม่เห็นต่างหาก”

      พรานกล้าก่อกองไฟให้ไออุ่น ทุกคนภาวนาไม่ให้ฝนตกลงมาไม่อย่างนั้นอาจจะป่วยกันได้ เต็นท์หลังเล็กไม่แข็งแรงพอที่จะต้านทานพายุฝนได้ อาหารกระป๋องชุดสุดท้ายถูกนำมาประกอบอาหารกันจนหมด ไม่มีใครสนใจมื้อเช้า เพราะตั้งใจว่าหากพระอาทิตย์ขึ้นเมื่อไรจะรีบออกเดินทางทันที ตอนนี้ชีวิตสำคัญมากกว่าปากท้อง

    กุมภ์เล่าเรื่องเสือสมิงให้หนุ่มสาวคู่รักฟัง เพราะทั้งคู่หลับสนิทไม่ได้ตื่นขึ้นมาดูเหตุการณ์น่าตื่นเต้น ชาร์ลทำหน้าเหมือนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็ไม่ได้แสดงความคิดเห็นออกมา ส่วนคะนิ้งยิ่งหวาดกลัวลนลานกว่าเดิม ใบหน้าขาวเผือดกอดท่อนแขนคนรักแน่น

   “พวกคุณนอนกันเถอะ ผมจะอยู่เฝ้าให้เอง” พรานกล้าอาสาอย่างเคย แต่แปลกที่คืนนี้พรานกล้าไม่ได้แค่ปลุกเปลนอนเฉยๆ ทว่าเดินไปรอบๆ จุดตั้งเต็นท์ ปากพึมพำบางอย่างอยู่นานสองนาน ในมือโรยบางอย่างที่ไม่มีใครเดาออกว่าเป็นอะไร

    กุมภ์อยากจะถาม แต่ก็ปากหนักเกินกว่าจะเค้นคำออกมาได้ เขาล้มตัวลงนอนข้างๆ พันนา คืนนี้รชตขอนอนริม เขาเลยต้องมานอนตรงกลางแทน หลากหลายคำพูดอัดแน่นอยู่ในอก มันอึดอัดไปหมด

   “กู...รู้สึกแปลกๆ” กุมภ์พูดขึ้นเบาๆ แสงวูบวาบจากกองไฟด้านนอกสร้างเงารูปร่างประหลาด บางครั้งมันก็เป็นรูปเสือ บางครั้งก็เป็นรูปคน

   “ยังไง” พันนาถามสั้นๆ พลิกตัวนอนตะแคงหันหน้าเข้าหา

   “กู...อึดอัด เหมือนมีคนมองตลอดเวลา”

   “...กูก็รู้สึก” พันนาตอบกลับมาเงียบๆ “กูคงจะประสาทแดกเหมือนไอ้ชตไปแล้ว”

   “งั้นพวกเราก็คงเหมือนกัน” กุมภ์พยักหน้าเบาๆ แล้วความเหนื่อยล้าก็พรากเอาสติให้หลุดลอยไปอยู่ในความฝัน…




    “ชาร์ล...ชาร์ล...ออกมาหาแม่หน่อยสิ”

    เสียงเรียกแสนคุ้นเคยดังอยู่ใกล้ๆ ชาร์ลลืมตาขึ้นในความมืด แสงจากกองไฟริบหรี่ลงจนเกือบจะดับ หนุ่มลูกครึ่งกวาดตามองไปรอบๆ ก็เห็นเงาร่างท้วมของผู้หญิงยืนอยู่นอกเต็นท์ เขาจำได้ในทันทีว่าเป็นเงาของใคร

   “แม่!”

    ชาร์ลลุกพรวด อารามดีใจทำให้หลงลืมไปว่าที่นี่เป็นป่าลึก เหตุใดมารดาของตนถึงมายืนหน้าเต็นท์ได้ มือหนารูดซิปขึ้นสุดความยาว มุดพาตัวออกมา เขารีบเดินเข้าไปหาเงานั้นที่อยู่ห่างจากจุดตั้งเต็นท์ราวห้าเมตร เป็นแม่ของเขาจริงๆ ท่านสวมชุดอยู่บ้านสบายๆ ไม่เหมือนมาเดินป่าสักนิด ใบหน้าใจดีและรอยยิ้มอบอุ่นซ่อนอยู่ในเงามืดของยามราตรี

    “แม่! แม่จริงๆ แม่มาได้ยังไงครับ” ชาร์ลร้องถามด้วยความยินดี ฉวยมืออิ่มมากุมไว้ ทว่ามันเย็นเฉียบเหมือนถูกแช่ในน้ำแข็ง “ทำไมมือแม่เย็นจัง”

   “ก็เพราะกูไม่ใช่แม่มึงไง!”

    ชั่วพริบตาเดียวสตรีที่เขาคิดว่าเป็นแม่ก็เปลี่ยนเป็นผู้หญิงหน้าตาดุดัน ดวงตาสีดำสนิทราวกับไม่มีแก้วตา จมูกกลืนหายเข้าไปในใบหน้าเหลือแค่รูเล็กๆ ที่กำลังเพยิบขึ้นลง ริมฝีปากฉีกกว้างแทบจะถึงใบหู ฟันซี่แหลมเรียงซ้อนกัน คล้ายกับปลา แต่มันน่ากลัวว่าเป็นล้านเท่า มือที่กุมเมื่อครู่ เหนียวเหนอะหนะ ช่องว่างระหว่างนิ้วมีพังพืดเกาะติด เมือกสีขาวซึมผุดออกมาจากผิวหนัง เส้นผมหลุดร่วงแล้วเปลี่ยนเป็นครีบสีดำขึ้นมาแทน

   “มึงฆ่าพวกกู! มึงจะต้องชดใช้!” ปิศาจตัวนั้นตวาดลั่น ดวงตาสีดำด้านจ้องเขม็ง

    ฝัน! นี่ต้องเป็นความฝันแน่ๆ มันไม่ใช่ความจริง!

   มือเหนียวด้วยเมือกจับกุมเอาไว้แน่น บีบเค้นจนถึงเจ็บถึงกระดูก ใบหน้ายาวแหลมเอียงพับไปทางขวาอย่างผิดรูป กระทั่งซีกหน้าซบลงกับหัวไหล่ กระดูกขากรรไกรทิ่มทะลุผิวหน้าออกมา เลือกสีแดงสดไหลเป็นทางยาว รอยแผลน่าเกลียดเหมือนถูกของแข็งทุบ

   “มึงดูแผลนี่สิ! มันเป็นแผลที่มึงทำกับพวกกู!”

    ปิศาจตนนั้นตะคอกใส่ เลือดข้นเหนียวไหลออกจากปากเปรอะเปื้อนเสื้อผ้าเก่าขาดรุ่งริ่ง ดวงตาสีดำแม้จะไร้แววแต่กลับน่ากลัวจนขนลุกไปทั่วกาย

   ชาร์ลพยายามสั่งให้ตัวเองตื่น เพราะหลงคิดว่าภาพที่เห็นเป็นแค่ความฝันเหมือนดั่งเช่นเมื่อคืน แต่กลิ่นคาวจัดที่พัดโชยเข้าจมูกมันทำให้เขาขวัญเสียกว่าเดิม

   ถ้าหากเป็นแค่ความฝัน ทำไมถึงได้กลิ่นล่ะ

   แรงบีบที่ข้อมือมีมากขึ้น มันเจ็บจนต้องเบ้หน้า ชาร์ลพยายามสะบัดตัวหนี แต่เรี่ยวแรงคล้ายกับจะหลงเหลือ เขาได้แต่ยืนจ้องหน้าปิศาจตนนั้น อย่างไร้ปัญญาที่จะตอบโต้ คงมีเพียงแค่ความหวาดกลัวเท่านั้นที่อาบไล้ทั่วร่าง ขนในกายลุกชัน เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นเต็มแผ่นหลัง ดวงตาน้ำเงินเข้มสั่นระริก ริมฝีปากอ้าค้าง แต่กลับไม่มีเสียงใดเปล่งออกมาได้

    “กูจะฆ่ามึง! กูจะเอามึงไปอยู่กับกู!!!”

    เสียงกรีดร้องโหยหวนดังก้อง ชาร์ลรู้สึกถึงความกลัวที่ไหลเวียนเข้ามาในกระแสเลือด ภาพปลาที่ตนทำร้ายเมื่อวานแทรกเข้ามาในความคิด ปลาตัวแล้วตัวเล่าที่ถูกก้อนหินโยนใส่ บางตัวปากแตก บางตัวเหงือกทะลัก เนื้อขาดวิ่นไปก็มี นาทีนั้นเขามีความสุขที่จับปลาได้ แต่ตอนนี้เขากลับอยากร้องไห้

   มือเหนียวเปียกเมือกลื่นสีขาวขยับขึ้นมาที่ต้นแขน ทว่าแรงบีบยังคงหนักหนาไม่ต่างจากเดิม ใบหน้าเอียงพับยกขึ้นกลับมาที่เดิม แต่เลือดสีเข้มยังไหลไม่หยุด ตอนนี้ชาร์ลสังเกตเห็นว่าผิวกายของปิศาจตนนี้เต็มไปด้วยบาดแผล ชาร์ลอยากวิ่งหนี อยากจะร้องเรียกใครสักคน ทว่าร่างกายคล้ายกับถูกสาป ไม่มีส่วนไหนขยับได้เลย เว้นเสียแต่ดวงตาที่เบิกกว้าง

   “กูจะเอามึงไปอยู่กับกู!” ริมฝีปากเบะกว้างอวดฟันซี่แหลมน่าเกลียด

   เล็บแหลมคมกรีดไปบนผิวกายจนได้เลือด มือน่าเกลียดขยับสูงมาที่ลำคอแล้วกดบีบรุนแรง ชาร์ลดิ้นพราดๆ ดูเหมือนว่าเรี่ยวแรงจะกลับมาในตอนนั้น เขาตะปบมือเปียกลื่นเอาไว้พยายามง้างออก แต่มันกลับไม่ขยับเลย อากาศในปอดลดลงอย่างรวดเร็ว แรงบีบที่คอมีมากเสียจนทำให้เท้าลอยขึ้นเหนือพื้นดินได้ ภาพใบหน้าน่าเกลียดนั่นพร่าเลือนขึ้นเรื่อยๆ ปลายเท้าถีบเร่าๆ หมายจะหาที่ยึดเพื่อต่อลมหายใจ ทว่ามันมีแต่ความว่างเปล่า ลำคอถูกบีบรัดแน่นขึ้น ลมหายใจถูกคั่น แม้จะพยายามอ้าปากหายใจแต่ก็ไร้ผล ปอดเจ็บปวดเหมือนจะฉีกขาดเสียให้ได้ ดวงตาเหลือกกลับขึ้นไปข้างบน การมองเห็นเสียหาย ลิ้นค้างระหว่างฟัน มือและเท้าหงิกงอเพราะอาการเกร็ง

   แต่ก่อนที่ลมหายใจสุดท้ายจะถูกพรากไป เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

   “เฮ้ย! ทำอะไรวะ”

   พรานกล้าร้องลั่นด้วยความตกใจ รีบถลาเข้าไปหาร่างสูงใหญ่ของเด็กหนุ่มลูกครึ่งที่เกร็งกระตุกอยู่ใต้ต้นไม้ โดยมีเชือกไนล่อนพันอยู่รอบลำคอ

    พรานหนุ่มใหญ่ใช้พร้าที่พกมาตัดฉับที่เชือก กิ่งไม้หักพร้อมกับร่างใหญ่ที่หล่นลงมาบนพื้น ชั่วจังหวะหนึ่งหางตาเหลือบเห็นชายผ้าสีขาวสะบัดหายเข้าไปในความมืด แต่พอหันไปมองก็ไม่พบกับสิ่งใด

   ชาร์ลนอนแน่นิ่ง ใบหน้าเริ่มซีดขาวเพราะขาดอากาศ แต่แผ่นอกยังสะท้อนขึ้นลงแสดงถึงการมีชีวิต พรานกล้ารีบปลดเอาเชือกไนล่อนออกจากลำคอ ก่อนจะตบแก้มของเด็กหนุ่มแรงๆ สองครั้ง ไม่นานเปลือกตาก็เปิดขึ้นพร้อมกับอาการลนลานหวาดกลัว

   “ผมขอโทษ! ผมขอโทษ ผมกลัวแล้ว ผมขอโทษ!” ชาร์ลพนมมือ พูดแทบไม่เป็นภาษา กระเสือกกระสนดิ้นหนีจนพรานกล้าต้องจับยึดหัวไหล่เอาไว้

   “ผมเอง! นี่ผมเอง ตั้งสติไว้”

    ชาร์ลเบิกตามองพรานกล้า แก้วตาสีน้ำเงินเข้มดูเหมือนจะไร้เงาอยู่ชั่วประเดี๋ยว ก่อนจะกลับมาเป็นปกติภายในไม่กี่วินาที ชาร์ลหยุดดิ้นแต่มือยังพนมค้าง

   “พราน...พรานกล้า”

   “ใช่ผมเอง” พรานกล้าพยักหน้า “เกิดอะไรขึ้น คุณผูกคอตัวเองทำไม”

   “ผมเปล่า” ชาร์ลส่ายหน้า น้ำตาไหลเปื้อนอาบแก้ม ไม่ปิดซ่อนความหวาดกลัว “แม่มาเรียกผม ไม่ใช่สิ มันเป็นผี ผีปลาที่ผมฆ่า มันหลอกให้ผมไปหา แล้วมันก็บีบคอผม มันจะฆ่าผม”

   “ผีปลา?”

    อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด ชาร์ลทำเรื่องหนักหนาเอาไว้ ให้ไปขอขมาก็ไม่ยอม ปลาพวกนั้นโกรธแค้นที่ถูกฆ่าตายทั้งที่ยังไม่หมดอายุขัย ในป่า ทุกชีวิตมีผู้คุ้มครอง หากไม่เอ่ยขอก็ไม่มีสิทธิ์นำเอาไปได้ และต้องเป็นพวกที่หมดอายุขัยเท่านั้น แต่ชาร์ลทำผิดประเพณี ซ้ำร้ายยังท้าทาย อีกพรานกล้าถอนหายใจหนักๆ คาถาที่ร่ายป้อยกันรอบจุดตั้งเต็นท์มันปกป้องไม่ให้ดวงวิญญาณร้ายเข้ามา ทว่าชาร์ลกลับเดินออกไปหามันเอง

   ท่าทางดวงวิญญาณพวกนี้จะแกร่งกล้ากว่าที่คิดไว้

    “รีบกลับเข้าไปในเต็นท์ แล้วก็อย่าออกมาอีก” พรานกล้ากำชับ ชาร์ลพยักหน้ารับ อาการสั่นเทายังไม่หายดี สองขาอ่อนเปลี้ยไปหมด เดินล้มเหมือนเด็กหัดเดินอยู่หลายรอบกว่าจะถึงเต็นท์ 

    ชาร์ลคลำรอยรอบลำคอ อาการปวดตุบๆ เป็นระยะช่วยย้ำเตือนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความฝัน ชาร์ลประจักษ์แจ้งด้วยตัวเองแล้วว่ายังมีอีกหลายอย่างที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้…


*จินตนาการสำคัญกว่าเรียนรู้ ฮาาาาาาา*

**โปรดติดตามตอนต่อไป**
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 3 : ป่าพิโรธ] 17/09/2562
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 24-09-2019 23:16:00
สนุกมากกก พี่โหรมาเร็วๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 4 : ผู้รอด] 24/09/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 25-09-2019 01:46:54
มันมีคนแบบนี้จริงๆนะ เข้าป่าส่งเสียงดัง เจอดีทุกราย  ลุ้นๆๆ รอติดตามจ้า
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 4 : ผู้รอด] 24/09/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Janemera ที่ 25-09-2019 04:02:17
 :ling3: :ling3: :ling3: :ling3:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 4 : ผู้รอด] 24/09/2562
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 25-09-2019 06:42:37
กันไว้ดีกว่าแก้ เข้าป่าต้องสำรวม จะทำอะไรต้องขอ
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 4 : ผู้รอด] 24/09/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 25-09-2019 11:12:29
รู้เหตุของรชตล่ะ แต่ยังไม่รู้ผลการกระทำ
ส่วนชาล์กรรมติดจรวด มาเร็วเคลมเร็วทันใจ เหลือรอลุ้นว่าจะเอาชีวิตรอดจากป่านี้ได้มั้ย
คะนิ้งเหมือนระเบิดเวลา รอวันเบาๆ ของนางมา ชาวป่าได้กระเจิงแน่งานนี้
เอาใจช่วยกุมภ์ น่าจะมีบุญรักษาพอช่วยเหลือจุนเจือเพื่อนๆ ในกลุ่มได้บ้างเนาะ

กดบวกติดสินบนส่งพี่โหรมาสมทบเร็วๆ
 :mew6:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 4 : ผู้รอด] 24/09/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Pawana ที่ 27-09-2019 00:35:20
ใครจะเป็นรายต่อไป เจ้าที่แรงสมาก. รอๆค่า สนุกดี
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 4 : ผู้รอด] 24/09/2562
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 30-09-2019 13:07:53
 :hao7:


 :3123: :pig4: :pig4: :pig4: :3123:

 o13
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 4 : ผู้รอด] 24/09/2562
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 30-09-2019 13:54:35
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 4 : ผู้รอด] 24/09/2562
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 01-10-2019 12:04:12
ลุ้น
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 4 : ผู้รอด] 24/09/2562
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 01-10-2019 17:20:14
ระทึกหัวใจ รอลุ้นตอนต่อไปจร้า
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 4 : ผู้รอด] 24/09/2562
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 02-10-2019 08:19:30
 :katai5: :katai5: รอ
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 5 : หวนคืน] 08/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 08-10-2019 22:00:57
ตอนที่ 5 หวนคืน


   ล่วงเข้าสู่ตีสอง ป่าที่เคยสงบเงียบกลับมีเสียงการเคลื่อนไหว พรานกล้าสะดุ้งตื่นลืมตาโพรง ชะโงกหน้าออกจากเปลนอน กวาดตามองรอบๆ คราแรกคิดว่าหูแว่วไปเอง แต่เสียงกรอบแกรบคล้ายกับการย่ำเท้า พร้อมกับเสียงกิ่งไม้โยกไหวมันดังชัดเกินไป

     นี่มันไม่ใช่เหตุการณ์ปกติ เสียงสรรพสัตว์ไม่มีให้ได้ยิน แต่กลับมีเสียงฝีเท้า ที่แม้แต่พรานที่มากด้วยประสบการณ์ร่วมสามสิบปีอย่างพรานกล้าก็ยังฟังไม่ออกว่าเป็นเสียงของสัตว์หรือคน

    พรานกล้าลุกจากเปล กระชับปืนสั้นและมีดหมอที่เหน็บข้างเอว เตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ได้แต่หวังว่าคาถาที่ร่ายป้องกันไว้จะช่วยได้ ดวงตาเพ่งมองผ่านความมืด แสงจากกองไฟช่วยอะไรไม่มากนัก ซ้ำคืนนี้ยังเป็นคืนเดือนมืด ป่ามืดจนน่าหวั่นใจ พรานกล้าเห็นเงาตะคุ่มที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ แต่มองไม่ออกว่าเป็นอะไร เงาร่างคล้ายคน

    แล้วคนที่ไหนจะออกมาอยู่กลางป่าตอนเที่ยงคืน ถึงแถวนี้เป็นตีนเขา แต่คงไม่มีใครอุตริออกมาเดินเล่นเป็นแน่

    “อะไรน่ะพราน”

    พรานกล้าสะดุ้งโหยง หันกลับไปมองต้นเสียงก็พบกับร่างของเด็กหนุ่มที่ชื่อว่ากุมภ์ พรานหนุ่มใหญ่ถอนหายใจพลางส่งสัญญาณให้หยุดเสียง กุมภ์ทำหน้าเลิกลัก แววตาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก

    “ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน” พรานกล้ากระซิบตอบ “คุณออกมานอกเต็นท์ทำไม”

    “ผมได้ยินเสียงคนเดิน ก็เลยออกมาดู” กุมภ์บอก เสียงไม่ได้ดังไปกว่ากัน

    “ผมว่า..ไม่น่าจะใช่คน” น้ำเสียงของพรานกล้าเครียดกว่าที่ผ่านมา เมื่อคราวเสือสมิงยังรู้วิธีปรามบ ทว่าคราวนี้มันต่างออกไป เพราะไม่รู้ว่ากำลังเผชิญอยู่กับอะไร

    กุมภ์รู้สึกกลัวยิ่งกว่าเดิม เมื่อห้านาทีก่อนเขาสะดุ้งตื่นเพราะได้ยินเสียงคนเดินรอบเต็นท์ พยายามเพ่งตามองอยู่นานก็ไม่เห็นใคร พันนากับรชตหลับสนิท เขาลองสะกิดดูแล้วแต่ก็ไม่มีใครตื่น เลยตัดสินใจออกมาข้างนอก ถึงได้เห็นพรานกล้ายืนจังก้าอยู่หน้ากองไฟ ที่ทำให้ขวัญเสียคือความเคร่งเครียดของพรานกล้า เขาไม่เคยเห็นพรานกล้ามีอาการแบบนี้มาก่อน มันหมายความว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นพรานกล้าจะรับมือไม่ไหวเหมือนไที่ผ่านมา

    “ผีเหรอครับ”

    พรานกล้าส่ายหน้า “ผมไม่รู้”

    กุมภ์หวาดหวั่นมากขึ้น ขยับเข้าไปใกล้พรานกล้า ยิ่งนานวันป่าแห่งนี้ยิ่งน่ากลัว คำเตือนของคนโบราณไม่ใช่เรื่องปั้นแต่ง เพราะได้พิสูจน์เรื่องนี้กับตัว

    “แล้วเราจะทำยังไงกันดีล่ะครับ ให้ผมไปปลุกเพื่อนๆ ไหม” กุมภ์เสนอ

    “กูตื่นแล้ว”

    กุมภ์ผวา หันมองต้นเสียงทันที ดวงตาเบิกกว้างอย่างตื่นตระหนก แล้วก็ต้องถอนหายใจเสียงดังเมื่อเห็นร่างคุ้นตาของเพื่อนสนิท

    “โธ่! ไอ้พัน ตื่นแล้วก็ไม่บอก” พันนาบอก “กูได้ยินเสียงคนเดิน”

    “กูก็ได้ยิน” กุมภ์สำทับ “แล้วไอ้ชตล่ะ”

    “ยังไม่ตื่น...เกิดอะไรขึ้นหรือครับพราน” ประโยคหลังพันนาถามกับพรานกล้า แต่ก็ได้รับคำตอบไม่ต่างจากเดิม

    พรานกล้าส่งสัญญาณมือให้ทุกคนเงียบเสียง พลางเงี่ยฟังการเคลื่อนไหวที่ราวกับจะกระจายอยู่รอบจุดตั้งเต็นท์ เงารูปร่างคล้ายมนุษย์โผล่วูบวาบไปทั่วพื้นที่ พรานกล้าพยายามจับตามองพวกมัน แต่เพียงกระพริบตามันก็หายไปปรากฏอยู่ที่มุมอื่น

    กุมภ์ขยับเข้าไปใกล้พันนา เผลอจับมือเพื่อนสนิทเอาไว้ด้วยความหวาดหวั่น พันนาจับกลับมา ฝ่ามือที่ใหญ่และกร้านกว่าตนชื้นเหงื่อไปหมด ปลายนิ้วบีบแน่นไม่ต่างกัน ทั้งสองกวาดตามองต้นตอของเสียงประหลาด แต่นอกจากเงาคล้ายมนุษย์ก็ไม่เห็นสิ่งใดอีก

    ทว่าอึดใจต่อมา เสียงการเหยียบย่ำก็หายไป พันนากับกุมภ์หันมองหน้ากันด้วยความสงสัย แม้แต่พรานกล้าเองก็ยังอดประหลาดใจไม่ได้ แต่ยังไม่ทันได้คลายความหวาดหวั่น ต้นไม้ทุกต้นก็ถูกเขย่ารุนแรง แสงสีแดงคล้ายกับดวงตาสัตว์ส่องมาจากรอบทิศทาง มันไม่ได้อยู่บนดิน ทว่าอยู่บนต้นไม้แทน

    “ตัวอะไรวะ!” กุมภ์ร้องถาม ความน่ากลัวทบทวี เสียงต้นไม้เขย่าสั่นประสาทยิ่งกว่าเสียงเดินเมื่อครู่เสียอีก

    “กูก็ไม่รู้!” พันนาตอบกลับ คราวนี้ไม่มีใครเก็บเสียงอีกแล้ว ต่างฝ่ายต่างตื่นตกใจจนเกินควบคุม

ต้นไม้ขย่มจากทุกทิศทุกทาง ไม่มีเสียงกรีดร้อง มีแต่แสงแดงวาววับที่ส่องมาจากในพุ่มไม้ พรานกล้าผู้มีสติที่สุด เพ่งมองอยู่นานแต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าสิ่งที่โจมตีอยู่นี่มันเรียกว่าอะไร โชคดีที่คาถาป้องกันได้ผลพวกมันเลยเข้ามาไม่ได้

    “เกิดอะไรขึ้นวะ!”

    เพราะเสียงเขย่าตนไม้มันดังกว่าเสียงฝีเท้าเมื่อครู่ ทำให้ทุกคนตื่นขึ้นแล้วพากันออกมายืนรวมกันที่ข้างกองไฟโดยมีพรานกล้ายืนคุมเชิงอยู่ด้านหน้า

    “นี่มันอะไรกันคะชาร์ล?” คะนิ้งถามอย่างเสียขวัญ สองมือกอดท่อนแขนคนรักแน่น

    ชาร์ลตื่นตกใจไม่ต่างกัน เขาเพิ่งผ่านเหตุการณ์เสี่ยงชีวิตไปได้ไม่กี่ชั่วโมง ต้องมาพบกับเรื่องเขย่าประสาทอีก ดวงตาสีดำแดงที่ส่องออกมาจากพุ่มไม้น่ากลัวจนขนในกายลุกชัน หนุ่มลูกครึ่งผู้ไม่เคยเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติยกมือขึ้นพนม ร้องขอชีวิต ผีปลาพวกนั้นไม่ให้อภัยเขาแน่นอน

    ดวงตาสีแดงสาดส่องมาจากพุ่มไม้ราวกับเป็นลิงเป็นค่างป่ายปีนอยู่บนต้นไม้ที่เขย่าขย่มส่งเสียงดังรอบทิศ ทั้งสี่ชีวิตต่างหันมองต้นตอของเสียง ทว่ารูปร่างของพวกมันไม่ชัดเจน แม้แต่พรานกล้าก็ยังไม่อาจเดาได้ว่ามันเป็นตัวอะไร ผีหรือว่าสัตว์ร้ายผ่านอาคมของใคร

   มันน่ากลัวกว่าเสือสมิง

    “ไอ้ชตเป็นอะไรวะ? ทำไมมันยังไม่ตื่น” พันนาถาม แต่ก็ไม่มีใครหาคำตอบได้

    กุมภ์ผลุบกลับเข้าไปในเต็นท์ หมายจะปลุกเพื่อนให้ตื่น ทว่าภายในเต็นท์ว่างเปล่าไร้เงาร่างของรชต กุมภ์พรวดพราดออกมาข้างนอกร้องบอกทุกคนว่ารชตหายไป

   “จะไปไหนวะ เราก็อยู่ข้างนอกกันทุกคน ไม่เห็นมันเลย” พันนาออกความเห็น สาบานได้ว่าตั้งแต่ตื่นมายังไม่เห็นรชตเลย และยังค่อนข้างแน่ใจว่าก่อนออกมาตนยังเห็นรชตนอนหลับอยู่เลย

   “เราไปช่วยกันออกตามหาดีไหม” กุมภ์เสนอ แต่พรานกล้าไม่เห็นด้วย

   “อย่าออกไปจากเขตอาคม อันตราย”

   “แต่...” กุมภ์อยากจะค้านเพราะเป็นห่วงเพื่อน

    “เชื่อพราน! กูเคยออกไปแล้วเกือบตาย” ชาร์ลบอกเสียงสั่น รอยที่รอบลำคอกลายเป็นสีม่วงคล้ำน่ากลัว เหตุการณ์สยองเกล้าเมื่อครู่ใหญ่ยังติดตรึงในความทรงจำ

    ชั่วขณะนั้นเอง จู่ๆ ลมพายุก็พัดโหมกระหน่ำทั้งที่ไม่มีเค้าฝน ใบไม้แห้งหมุนคว้างกลางอากาศ ฝุ่นละอองคละคลุ้งทำให้การมองเห็นสะดุดลง กุมภ์หลับตาป้องกันไม่ให้เศษฝุ่นเข้าตาเช่นเดียวกับคนอื่นๆ เสียงลมหวีดหวิวคล้ายคมมีดผ่านอากาศ หูแว่วได้ยินเสียงหัวเราะแหลมสูง แต่พอตั้งใจฟังกลับไม่ได้ยิน กลิ่นเหม็นสาปปะปนมาในกระแสลม มันเหม็นจนแทบอาเจียน เหมือนซากศพที่ผุเน่าเป็นเวลานาน กุมภ์พยายามลืมตาขึ้นมอง แล้วสิ่งที่เห็นก็ทำให้เกือบสิ้นสติ

    กองทัพผี ไม่ใช่สิ! ต้องเรียกว่าปิศาจถึงจะถูก จำนวนของพวกมันมีมากกว่าสิบตัว แต่ละตัวมีสภาพไม่ต่างจากซากศพเดินได้ ใบหน้าผอมซูบ หนังเหี่ยวย่นดำไหม้ บางจุดขาดวิ่นจนมองเห็นกระดูกขาวๆ เส้นผมเหลือติดหนังศีรษะไม่กี่เส้น ดวงตากลวงโบ๋ จมูกเป็นรูโหว่ไม่มีชิ้นเนื้อปกปิด ริมฝีปากขาดแหว่งจนมองเห็นไรฟัน บางตัวปากฉีกไปถึงกลางแก้ม เสื้อผ้าเก่าขาดรุ่งริ่ง แทบแยกไม่ออกว่าเป็นเพศอะไร พวกมันยกมือขึ้นมาทางพวกเขาคล้ายกับจะกวักมือเรียก นิ้วมือผอมแห้งดำเหมือนหนังไหม้กระดิกเบาๆ

    กุมภ์รู้แล้วว่า กลิ่นเหม็นเน่านั่นมาจากอะไร

    “นะ...นี่มันอะไรกัน!!”

    “โหงพราย” พรานกล้าตอบชาร์ล ดวงตาที่เคยนิ่งสงบกลับไหวระริกแสดงความหวาดหวั่นออกมาให้เห็นเป็นครั้งแรก

    “แล้วมันมาจากไหนล่ะ” คะนิ้งถาม กอดท่อนแขนคนรักแน่น ทั้งกลัวทั้งขยะแขยง

    “ผมก็ไม่รู้” พรานกล้าส่ายหน้า จะว่าเป็นโหงพรายของไอ้พรานแก่ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะเมื่อวานตนเล่นงานมันไป จนบาดเจ็บไม่น้อย ไม่น่าจะฟื้นฟูกำลังมาต่อกรได้เร็วขนาดนี้ ที่สำคัญการที่จะสร้างกองทัพโหงพรายได้มากขนาดนี้ต้องเป็นพวกมีวิชาอาคมมากทีเดียว ซึ่งพรานเฒ่าไม่น่าจะเก่งกาจมากถึงขนาดนี้

    “ละ..แล้วพวกเราจะทำยังไงกันดี” กุมภ์ถามเสียงสั่น มือประสานกับพันนาแน่น นาทีนี้เขาไม่สนใจว่าใครจะมองว่าอย่างไร เพราะความกลัวมันมีมากกว่าสิ่งใด

    “อย่าออกไปนอกเขตอาคมก็พอ” พรานกล้าบอก แต่ก็ต้องตกใจเมื่อสำเนียกได้ว่าลมที่พัดแรงราวพายุเมื่อครู่มันพัดเอาเขตอาคมที่ร่ายไว้กระเจิงไปหมดแล้ว

    “เอายังไงดี ไอ้ชตก็หายไป ไหนจะไอ้ผีซอมบี้พวกนี้อีก” ชาร์ลแทบไม่กล้ามองกองทัพโหงพราย ถึงพวกมันจะยังไม่เคลื่อนไหว แต่แค่สภาพเหมือนลุกขึ้นมาจากหลุมศพของพวกมันเขาก็กลัวแทบจะฉี่ราดอยู่แล้ว “พราน ไม่มีคาถาอื่นแล้วเรอะ!”

    พรานกล้ารวบรวมสติ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเผชิญหน้ากับโหงพรายจำนวนมากขนาดนี้มาก่อน แค่ตัวเดียวยังพอจะใช้คาถาไล่ไปได้ แต่นี่มันมีมากกว่าสิบตัว กลัวว่าวิชาความรู้ที่มีจะสู้พวกมันไม่ได้ พรานหนุ่มใหญ่หลับตาลง ระลึกถึงคุณครูบาอาจารย์ที่เคยสั่งสอน พระเดชพระคุณของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพนับถือ เพียงชั่วประเดี๋ยวเดียว พายุก็สงบลง  เสียงเขย่าต้นไม้ก็พลันหายไปด้วย แสงสีแดงจากพุ่มไม้หายไปตั้งแต่พายุพัด ทว่าลมพายุที่หายไปมันกลับพัดรวมเป็นก้อนเดียวค่อยๆ หมุนเหมือนก้นหอยแล้วปรากฎร่างของมนุษย์

    ร่างของคนที่พรานกล้าคิดว่ามันไร้น้ำยา

    “พรานเวก!”

    “เออกูเอง” อดีตพรานเฒ่าตะโกนตอบ ร่างผ่ายผอมเดินขึ้นมาอยู่เบื้องหน้ากองทัพโหงพราย ใบหน้าเหี่ยวย่นแสยะยิ้ม นิ้วมือผอมเกร็งชี้ตรงมา “ส่งพวกมันให้มาเป็นบริวารกู แล้วกูจะปล่อยมึงไป”

    “ไม่มีทาง มึงมันบ้า หมกมุ่นจนเดรฉานวิชาขึ้นหัว” พรานกล้าปฏิเสธเสียงลั่น เพิ่งสังเกตเห็นว่าโหงพรายพวกนี้คุ้นตาชอบกล ใช้เวลาอยู่ชั่วอึดใจก็มั่นใจว่าโหงพรายพวกนี้คือคนหนุ่มในหมู่บ้านที่ตายอย่างไม่มีสาเหตุเมื่อหลายปีก่อน

    ตอนนั้นทุกคนลงความเห็นว่าเป็นฝีมือของผีแม่หม้ายตามความเชื่อของคนโบราณ ไม่มีใครเอะใจว่าจะเป็นฝีมือของพรานแก่มากประสบการณ์คนนี้

    “ไม่ต้องเสือก! ส่งไอ้ฝรั่งนั่นมา แล้วกูจะปล่อยคนที่เหลือไป”

    “ไม่นะพราน! พรานอย่าให้มันมาเอาตัวผมไปนะ” ชาร์ลร้องลั่น หวาดกลัวจนปากคอสั่น วิ่งเข้าไปหลบหลังพรานกล้าอย่างคนเสียขวัญ

    “ชาร์ล...”

    เสียงหนึ่งแทรกขึ้น ก่อนที่เจ้าของร่างสันทัดจะปรากฏขึ้น ทุกคนเบิกตากว้างด้วยความตกใจที่ทบทวี

    “ไอ้ชต!”

    รชตก้าวออกมายืนข้างร่างผอมเกร็งของอดีตพรานเฒ่า ใบหน้าขาวซีดกว่าที่เคยเห็น ดวงตาเลื่อนลอยคล้ายกับไร้ความรู้สึก แต่ไม่ได้อยู่สภาพน่ากลัวเหมือนโหงพรายตนอื่นๆ

   “มึงไปอยู่กับมันทำไมไอ้ชต!” กุมภ์ร้องเรียกเพื่อน คิดไม่ออกเลยว่ารชตไปอยู่กับพรานเสือสมิงได้อย่างไร

    “...มาอยู่กับกู” รชตไม่ตอบคำถาม แต่กวักมือเรียกกลุ่มเพื่อน ข้างๆ กันนั้นมีเงาร่างของผู้หญิงแต่มันเลือนรางเกินกว่าจะระบุหน้าตาได้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสิ่งที่อยู่กับรชตไม่ใช่มนุษย์!

    “นี่มึงเลี้ยงผีด้วยเรอะ!” พรานกล้าตวาดถาม นอกจากจะหมกมุ่นเสียจนแทบไม่เหลือสภาพของมนุษย์แล้ว พรานเวกยังใช้เดระฉานวิชาเลี้ยงผีอีกด้วย

   “ฮะ ฮะ ใช่ อีกไม่นานนี้หรอก กูจะยึดทั้งป่านี้เป็นของกู!” พรานเวกหัวเราะเสียงแหบแห้งเท่าที่สังขารวัยร่วมร้อยปีจะอำนวย

    พรานกล้ารวบรวมสติ วงล้อมคาถาที่ร่ายไว้ก็กระจายหายเพราะแรงพายุเมื่อครู่ กองทัพโหงพรายของพรานเวกแข็งแกร่งเกินกว่าพรานที่ช่ำชองเรื่องสัตว์ป่าอย่างตนจะรับมือไหว วิชาคาถาที่มีก็ไม่แกร่งมากพอจะรับมือกับอมุนษย์พวกนี้ พรานหนุ่มใหญ่กระชากสายสิญจน์เก่าคร่ำคร่าที่ข้อมือแล้วรูดสายเล็กๆ ที่พันกันไว้ให้คลายออก ก่อนจะส่งให้กับกลุ่มเด็กวัยรุ่น

   “เอาใส่ไว้ที่ข้อมือ อย่าให้หลุดหายเด็ดขาด พยายามอยู่ให้ถึงรุ่งเช้าแล้วพวกคุณจะรอด” พรานกล้าบอก กลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ “ผมช่วยพวกคุณได้เท่านี้”

    พรานกล้าไม่รอให้ใครได้ถามอะไร ก็กระโจนร่างเข้าใส่กลุ่มโหงพราย ตะลุมบอนเข้าใส่ เหวี่ยงทั้งหมัด กำปั้น ระดมใส่ร่างไร้วิญญาณราวกับพวกมันเป็นกระสอบทราย ทว่ามนุษย์เพียงหนึ่งเดียวหรือจะสู้กับอมุนษย์ไร้ความรู้สึกได้ ไม่กี่นาทีเรี่ยวแรงของพรานกล้าก็ถดถอย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังตะโกนไล่พวกที่เหลือให้หนีเอาชีวิตรอด

    “กูบอกให้ไปไง! อยากจะตายกันหมดหรือไง!”

    กุมภ์กำสายสิญจน์ที่พรานกล้าให้แน่น อยากจะเข้าไปช่วยแทบขาดใจ แต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร วิชาคาถาอาคมอะไรก็ไม่มี ที่สำคัญพวกมันไม่ใช่คน แม้ว่าหนึ่งในนั้นจะเป็นเพื่อนสนิทของตนก็ตาม ทว่าเวลานี้ก็ไม่อาจไว้ใจได้ว่าเป็นคนหรือไม่ใช่

   “ไปกันเถอะ! ฉันยังไม่อยากตาย” คะนิ้งบอกปากคอสั่น แย่งสายสิญจน์จากมือกุมภ์ไปหนึ่งเส้นแล้วรีบพันข้อมือตัวเองเอาไว้

   “แต่..” กุมภ์ลังเล ใจหนึ่งก็อยากหนีไปเสียให้พ้นๆ แต่อีกใจก็เป็นห่วงพรานกล้า หัวใจเต้นโครมครามมองภาพการต่อสู้ระหว่างคนกับอนุษย์กลุ่มใหญ่ มันน่ากลัวยิ่งกว่าในหนังเสียอีก

    “ถ้ามึงไม่ไปก็เชิญตายอยู่ที่นี่เถอะ!” ชาร์ลกระชากสายสิญจน์ออกจากมือ พันลวกๆ ใส่ข้อมือตัวเองแล้วฉวยมือคนรักวิ่งห่างออกไปโดยไม่หันกลับมามอง

    “ไอ้เหี้ยชาร์ล! ไอ้คนเห็นแก่ตัว” กุมภ์ตะโกนบริภาส ก่อนจะหันไปมองพันนาที่อยู่ในสภาพไม่ต่างกัน “มึงล่ะจะหนีไหม”

   “กูเป็นห่วงไอ้ชต...มึงเชื่อใจกูไหม” พันนาหันมาถาม กุมภ์ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพยักหน้ารับ

   พันนาประสานมือกับกุมภ์แน่น ออกแรงดึงแล้ววิ่งเข้าไปในวงล้อมอมุนษย์ ฉวยโอกาสตอนที่มันพวกมันรุมพรานกล้าคว้าข้อมือรชตที่ยืนนิ่งเหมือนตกอยู่ในภวังค์ แล้วพากันวิ่งฝ่าความวุ่นวายหายเข้าไปในความมืดโดยไร้จุดหมายและทิศทาง

    เหลือพรานกล้าเพียงผู้เดียว มือเหี่ยวแห้งน่าเกลียดยื่นเข้าบีบลำคอ พรานกล้ารวบรวมสติบริกรรมคาถาใส่มัน ร่างไร้ชีวิตกระเด็นห่างออกไปเปลวไฟเผาร่างจนดำไหม้ ไม่กี่อึดใจก็กลายเป็นเถ้าถ่านหายไปในอากาศ แต่พวกมันมีเยอะเกินว่าที่คาถาจะเอาอยู่รวมทั้งดวงวิญญาณผู้หญิงตนนั้น รอบด้านถูกรายล้อมด้วยซากศพไร้ชีวิต เสียงหัวเราะแหบห้าวของพรานเวกดังก้อง

    “มึงหาเรื่องตายเองนะไอ้กล้า”

    “กูไม่ยอมตายง่ายๆ หรอก” พรานกล้ากระเสือกกระสนดิ้นรนจากวงล้อมโหงพราย กลิ่นเหม็นสาบคลุ้งไปทั่วจนแทบจะอาเจียน “พรุ่งนี้เช้าจะมีคนมาช่วยกู!”

    “ฮะ ฮะ มึงไม่มีทางอยู่ได้ถึงเช้าหรอก ไอ้กล้า”


    
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 5 : หวนคืน] 08/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 08-10-2019 22:01:33
        ในป่ามืดมิด เสียงกรีดร้องดังห่างออกไปเรื่อยๆ แต่หัวใจยังเต้นรัวเหมือนกลองเพล เหงื่อกาฬไหลอาบร่างแม้ว่าอากาศจะเย็นชื้น กลิ่นเหม็นสาบน่าสะอิดสะเอียดไม่มีอีกแล้ว มีแต่กลิ่นอับของใบไม้ที่ทับถม ไม่มีสัตว์ใหญ่ให้ต้องหวั่นใจ จะมีแค่สัตว์เลื้อยคลานน่าเกลียดที่อาศัยอยู่ในกองใบไม้

   ไม่มีใครรู้ว่าวิ่งห่างออกมาไกลเท่าไร รู้แค่ว่าต้องหนีเอาชีวิตรอด ภาพที่เห็นยังติดตาเสี้ยวหนึ่งในความคิดยังแย้งว่าไม่ใช่ความจริง แต่อาการปวดตุบในหน้าอกและความเจ็บปวดจากการถูกกิ่งไม้เกี่ยวรวมทั้งรอยเลือดไหลซิบมันฟ้องว่าสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้มันคือความจริงไม่ใช่ความฝัน

    พันนาวิ่งห้อเหมือนม้าศึก ไม่สนใจว่าเบื้องหน้าจะเป็นอะไร หลบเลี้ยงต้นไม้ใหญ่ราวกับมองเห็นทั้งที่ทั้งผืนป่ามืดสนิท กิ่งไม้เกี่ยวดีดใส่ใบหน้าก็ไม่สนใจ มือทั้งสองข้างกำข้อมือของเพื่อนสนิทเอาไว้ ด้วยเพราะตนตัวใหญ่กว่ากำลังวังชาก็มีมากกว่าเลยยอมเป็นที่พึ่งให้ อีกอย่าง ถ้าหากเขาไม่เอ่ยปากชวนคนอื่นๆ ก็คงไม่ต้องมาเจอเรื่องเลวร้ายอย่างนี้

   หน้าอกเจ็บเสียดเพราะปอดทำงานหนัก ลมหายใจหอบกระชั้น เหงื่อไหลเต็มกาย มือสั่นเพราะความเหนื่อยล้า เรี่ยวแรงลดลงอย่างเห็นได้ชัด ที่สุดสมองก็สั่งให้ร่างกายหยุดทำงาน เขาผ่อนฝีเท้าลงและเลือกที่จะหยุดในพุ่มไม้รกทึบ หูเงี่ยฟังเสียงผิดปกติ แต่หัวใจก็เต้นแรงเสียจนต้องน่ารำคาญ กว่าจะตั้งสติแยกแยะเสียงได้ก็ผ่านไปชั่วอึดใจใหญ่เลยทีเดียว

   “พักตรงนี้ก่อนเถอะ กูไปต่อไม่ไหวแล้ว” พันนาบอกเพื่อนสนิททั้งสอง เห็นกุมภ์พยักหน้ารัวเห็นด้วย สภาพเหนื่อยอ่อนไม่ต่างกัน อาจจะมากกว่าเขาด้วยซ้ำ เม็ดเหงื่อบนใบหน้าสะท้อนเป็นเงาในความมืด แผ่นอกสะท้อนขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ

    ไม่มีใครพูดอะไร ได้แต่นั่งซ่อนกายอยู่ในพุ่มไม้ ภาวนาให้อมนุษย์เหล่านั้นมองไม่เห็นตัวเอง ผ่านไปพักใหญ่อาการเหนื่อยหอบก็ทุเลาลง สติกลับคืนอีกครั้ง พันนาหลุบตามองสายสิญจน์บนข้อมือ ด้ายสีขาวเด่นชัดในความมืด เช่นเดียวกับบนข้อมือของกุมภ์ แต่ข้อมือของรชตกลับว่างเปล่า ที่น่าแปลกกว่านั้นคือเขาไม่เห็นอาการเหนื่อยหอบของรชตเลย ทั้งที่วิ่งเต็มฝีเท้าและไกลหลายกิโลเมตร ใบหน้ายังคงนิ่งเฉย ไร้เม็ดเหงื่อ ดวงตานิ่งเรียบ

    “ไอ้กุมภ์ มึงไม่ได้ให้สายสิญจน์ไอ้ชตเหรอ” พันนากระซิบถาม

   “กูลืม” กุมภ์สารภาพ รีบแกสาญสิญจน์ที่ข้อมือตัวเองแล้วคลี่ออกส่งให้ด้ายเส้นเล็กให้กับรชต

   รชตหลุบตามองสายสิญจน์ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมอง ริมฝีปากแสยะยิ้มประหลาด “กูไม่จำเป็นต้องใส่หรอก พวกนั้นไม่ทำอะไรกู”

     “จะทำหรือไม่ทำก็ใส่ไปก่อนเถอะ กันไว้ดีกว่าแก้” กุมภ์บอก ทำท่าจะพันสายสิญจน์ให้ แต่รชตกลับชักมือหนี สีหน้าดุดันขึ้นทันที

    “กูบอกว่าไม่ต้องไง!” รชตตวาดลั่น กุมภ์หน้าเสีย หันไปขอความเห็นจากพันนา ได้คำตอบเป็นแค่การถอนหายใจหนักๆ กุมภ์เลยยอมรามือ

    ทั้งสามนั่งซ่อนกายในพุ่มไม้ ในป่าเงียบเหมือนไม่มีสิ่งชีวิตใดๆ ใบไม้ไม่ไหวกระดิก มันเงียบสงบเสียใจน่าหวาดหวั่น กุมภ์มือเย็นเฉียบ รู้สึกใจคอไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก ดวงตาสอดส่องมองผ่าความมืดแต่กลับภาวนาขออย่าให้เจอสิ่งผิดปกติใดๆ เพราะเท่าที่พบมาก็น่ากลัวจนแทบไม่น่าเชื่อว่ามันจะเป็นความจริง

   สาบานว่าหากรอดไปจากป่านี้ได้ เขาจะไม่มีทางเข้าไปเหยียบป่าที่ไหนอีก

    เขากลัว เขาอยากกลับบ้าน อยากจะกลับไปมีชีวิตเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นธรรมดาอีกครั้ง คิดถึงพ่อกับแม่ วันนั้นเขากล่าวคำลากับพวกท่าน แม่ขอให้เขากลับมาอย่างปลอดภัย ส่วนพ่อแค่ดึงเขาเข้าไปกอดเท่านั้น เขาหัวเราะให้ยิ้มให้กับทุกคน โดยไม่รู้เลยว่าจะต้องพบเจอกับเหตุการณ์ประหลาดเช่นนี้

    หากย้อนเวลากลับไปได้เขาจะไม่มีทางมาที่นี่เด็ดขาด

    “มาแล้วเหรอ” เสียงกระซิบจากคนที่นั่งข้าง ฉุดให้กุมภ์หลุดจากภวังค์ หันไปมองคนพูด

    รชตดวงตาเลื่อนลอย แก้วตาสีดำกลอกขึ้นไปข้างบน รอยยิ้มน่ากลัวผุดขึ้นบนใบหน้าขาวซีด กุมภ์มองตามชั่วฉับพลันนั้นเลือดในกายก็เย็นเฉียบ ลมหายใจคล้ายกับจะหายไป ดวงตาเบิกกว้าง ริมฝีปากอ้าค้าง

    ร่างโปร่งแสงของผู้หญิงสวมเสื้อสีขาวขาดรุ่งริ่งลอยอยู่ในอากาศ ความสูงห่างจากพวกเขาไปแค่ไม่กี่เมตรเท่านั้น ดวงตาของเธอเป็นสีขาว ริมฝีปากฉีกกว้างและไม่มีรูจมูก เส้นผมสีดำยุ่งเหยิงราวกับจะปลิวไปตามแรงลมทั้งที่ไม่มีลมพัด ดวงตาสีขาวคู่นั้นจ้องมาที่เขาก่อนจะเปล่งเสียงกรีดร้องราวกับจะยินดี

    “ไอ้กุมภ์! วิ่ง!”




    แดดอ่อนทอแสงเริ่มจับที่ขอบฟ้า การมองเห็นเริ่มชัดเจนมากขึ้น ร่องรอยเยือนผืนไพรของกลุ่มคนก่อนหน้าก็ชัดเจนขึ้นเช่นกัน อะไรบางอย่างบอกกับโหรว่าเขาต้องเร่งฝีเท้าให้เร็วกว่านี้ หัวใจเต้นเร็วคล้ายกับมีเรื่องสำคัญรออยู่ กระทงใบตองเก่าๆ ทิ้งอยู่ข้างกองไฟเก่า จากประสบการณ์บอกได้ว่าไฟกองนี้น่าจะถูกจุดเมื่อสามวันก่อน เถ้าถ่านกับเศษไม้เหลือไม่เยอะนัก ผืนหญ้าที่เรียบไปส่วนหนึ่งบอกได้ดีว่ากลุ่มคนพวกนั้นมากางเต็นท์นอนตรงนี้ ส่วนกระทงนั่นน่าจะเป็นของพรานกล้า พวกคนเมืองไม่นิยมใช้กระทง ผิดกับพวกเขาที่คิดว่าวัสดุจากธรรมชาติพวกนี้เหมาะแก่การพวกมาในป่า เพราะมันย่อยสลายได้ ดีกว่าถุงพลาสติกหรือกระป๋องอลูมิเนียมเป็นไหนๆ

   แต่สิ่งที่ทำให้โหรสะดุดคือ เศษผ้าสีขาวเก่าๆ ที่เกาะติดกิ่งไม้แห้ง โหรก้มลงเก็บมันขึ้นมาพิจารณา กลิ่นสาปโชยจากเศษผ้า

    มันไม่ใช่กลิ่นของมนุษย์

    “อะไรอ่ะพี่โหร” เจ้าเด็กตัวเล็กถาม เอียงคอมองเศษผ้าด้วยความสนใจ แต่เพียงแค่ได้กลิ่นโชยจากผ้าก็เบ้หน้า “แหวะ โคตรเหม็น ผ้าห่อศพหรือเปล่าวะ”

    “ไม่ใช่ผ้าห่อศพ แต่เป็นชุดของศพ” โหรบอก เขายัดเศษผ้าลงในกระเป๋าย่ามคู่ใจ แล้วออกเดินทางต่อ

   รอยเท้าที่กลุ่มคนนั้นทิ้งไว้ มุ่งหน้าตรงไปที่ห้างส่องสัตว์ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกเพราะนักเดินไพรส่วนใหญ่มีจุดหมายคือการส่องสัตว์ หากไม่พึ่งเจ้าหน้าที่ก็พึ่งพรานป่าที่ชำนาญพื้น แต่เขาไม่คิดว่าคนพวกนั้นจะยังอยู่ที่ห้าง ชั่วแวบหนึ่งกลับปรากฏภาพชายผ้าสีขาวปลิวไหวไปอีกทาง แต่เพียงชั่วประเดี๋ยวภาพนั้นก็หายไปจากความคิด

   “ไปที่ตีนเขากัน” เขาเอ่ยปากชวนจ้าวจอม เจ้าเด็กช่างสงสัยเอ่ยปากถามทันที

   “ทำไมอ่ะ พวกนั้นไม่ได้อยู่กลางเขาหรอกเหรอ”

    “อยู่ที่ตีนเขานั่นแหล่ะ แต่อีกฝากหนึ่ง”

    “พี่รู้ได้ยังไง” เจ้าเด็กมากปัญหายังสงสัยไม่เลิก แต่โหรเลือกที่จะเงียบเฉยแล้วเปลี่ยนทิศทางเบนหน้าสู่ตีนเขาที่อยู่อีกฝาก

    โหรใช้เส้นทางลัด เพราะถ้าหากเดินตามทางหลักกว่าจะเจอพวกนั้นคงเย็นพอดี หัวใจเต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ แทบจะทุกจังหวะการก้าวเดินด้วยซ้ำ สองขาก้าวไปเบื้องหน้าโดยไม่สนใจว่าจะถูกกิ่งไม้หรือหนามคมเกี่ยวถูกใบหน้าจนได้เลือด กลิ่นคาวเลือดชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ขนในกายลุกชันตลอดเวลา มันคือสัญญาณไม่สู้ดีนัก

   “เร่งหน่อย กูรู้สึกไม่ดี” เขาหันไปบอกจ้าวจอม อีกฝ่ายบ่นอุบว่าปวดขาแต่ก็ไม่ได้แสดงความงี่เง่าออกมามากกว่านั้น

    น้ำค้างบนใบไม้ดีดใส่กายยามก้าวผ่านมันจนเนื้อตัวเปียกชุ่ม อีกไม่นานพระอาทิตย์จะฉายแสงเต็มที่ ความรู้สึกพิเศษหรือที่คนเมืองเรียกกันว่าเซนส์บอกกับเขาว่า สัญญาณชีวิตมันลดอ่อนลง

    โหนเร่งฝีเท้าผ่านป่าทึบหนา มีแค่เส้นทางเล็กๆ ที่พวกพรานใช้ลัดลงเขา หากไม่ใช่คนชำนาญจะไม่รู้จักเส้นทางนี้ จ้าวจอมก้าวตามไม่ลดละ จะทางเนินทางลาดก็ก้าวไม่พลาดคงเพราะติดตามผู้เป็นตาเข้าป่ามาตั้งแต่เด็ก เรื่องวิชาติดตัวก็พอมีบ้างแต่อาจจะไม่เท่ากับเขา

    อะไรบางอย่างบอกกับเขาว่าจะรอให้พระอาทิตย์ขึ้นเต็มที่ไม่ได้ มันอาจช้าเกินไป โหรเพ่งสมาธิจับหาทิศทางของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ สรรพเสียงรอบข้างเงียบลงภายในชั่วอึดใจ หูแว่วได้ยินเสียงหอบหายใจทว่ามันแผ่วบางเหลือเกิน ขนที่ต้นคอลุกชัน เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว

    “ไปทางนี้”

   เขาบอกเจ้าเด็กที่เดินตามหลัง เลี้ยวไปตามทางน้ำเล็กๆ ผ่านป่าไผ่สูงทึบ เนื้อตัวเปียกชื้นจากหยดน้ำค้าง จนเกือบจะสุดเขตป่าไผ่ หางตาก็พลันสะดุดกับเค้าโครงร่างคล้ายกับมนุษย์

    โหรถลันเข้าไปหาทันที ร่างนั้นเป็นร่างของมนุษย์ผู้ชาย นอนขดกายบนพื้นดิน ตัวสั่นราวกับจับไข้ เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนด้วยคราบดิน ผมเผ้ายุ่งเหยิงมีเศษดินเศษหญ้าติดเต็มไปหมด แต่มองจากเครื่องแต่งกายก็รู้ว่าไม่ใช่คนในพื้นที่แน่นอน ที่ข้อมือมีสายสิญจน์เปรอะๆ พันอยู่

   โหรจับร่างนั้นพลิกกลับมา แล้วก็ต้องตกใจเมื่อดวงตากลับกลอกขึ้นไปด้านบน แทบไม่เห็นตาดำ ริมฝีปากแห้งแตกพึมพำบางอย่างที่จับใจความไม่ได้ ใบหน้าขาวโพลนเหมือนแผ่นกระดาษ มือเท้าหงิกงอบิดเกร็ง โหรใช้นิ้วแตะที่ต้นคอตรวจเช็คเส้นชีพจรก็พบว่ามันเต้นตัวเร็ว แถมตัวยังเย็นเฉียบเหมือนถูกแช่เย็นอีกด้วย

   “มึงถอยออกไปก่อน” โหรบอกจ้าวจอมที่นั่งยองอยู่ข้างๆ กัน จ้าวจอมจิ๊ปากด้วยขัดใจแต่ก็ยอมถอยห่างออกไปแต่โดยดี

    โหรหลบตาพึมพำภาวนาถึงสิ่งศักดิ์สิทธ์และครูบาอาจารย์ที่เคารพ พลางล้วงเอาลูกกลอนที่ปั้นจากสมุนไพรเก้าอย่างพร้อมลงบทสวดมนต์ที่ต้องสวดทุกวันก่อนเพราะอาทิตย์ตกหนึ่งชั่วโมงเป็นเวลาเจ็ดวัน ลูกกลอนสีดำสนิทถูกยัดเข้าไปในริมฝีปากที่เปิดอ้า โหรใช้มือจับศีรษะชายคนนั้น โดยที่นิ้วโป้งคลึงที่กลางหน้าผาก ปากก็บริกรรมคาถาที่ถ่ายทอดมา ไม่กี่อึดใจอาการบิดเกร็งก็ผ่อนลง ลูกตาที่กลอกขึ้นด้านบนก็เลื่อนกลับลง ลมหายใจผ่อนช้าจนเป็นปกติ

    โหรพ่นลมผ่านริมฝีปากไปยังศีรษะของชายหนุ่ม ร่างนั้นสะดุ้งเฮือกคล้ายกับจะได้สติกลับคืน

    “...คุณ”

    “คนอื่นๆ อยู่ไหน” โหรถามเสียงเครียด ในป่านี้มีมนุษย์ติดอยู่หกชีวิต พบแล้วหนึ่งยังเหลืออีกห้า ซ้ำท่าทางยังน่าเป็นห่วงมากอีกด้วย

    ดวงตาสีเชียวอมฟ้าไหวระริก ใบหน้าที่กระเดียดไปทางชาติตะวันตกมากกว่าเอเชียเต็มไปด้วยความหวาดกลัว มือกำเศษดินแน่น

   “ผะ..ผมไม่รู้ ผมวิ่งหนีมา ตะ..ตอนแรกผมวิ่งมากับ...คะ..คะนิ้ง...แต่ผม...เจอผู้หญิงใส่ชุดขาว...ไม่ใช่...ไม่ใช่ผู้หญิงแต่เป็นผีต่างหาก...มันลอยมาตรงหน้า...ผมสติแตก....แล้วก็วิ่ง...วิ่ง...ละ...แล้วผมก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย...”

    คำพูดติดๆ ขัดๆ บวกกับน้ำเสียงแหบพร่าทำให้ต้องใช้ความตั้งใจมากเป็นพิเศษ โหรจับใจความได้ว่าหนุ่มลูกครึ่งคนนี้ผลัดหลงกับผู้หญิงที่ชื่อคะนิ้ง

   “รีบไปกันเถอะ ก่อนที่จะไม่ทัน”





*โปรดติดตามตอนต่อไป*

**เนื่องจากเพิ่งเป็นการเขียนแนวสยองขวัญลึกลับและผจญภัยเป็นครั้งแรก อาจมีความผิดพลาดเกิดขึ้น จึงขออภัยมา ณ ที่นี้**

***ขอบคุณสำหรับการอ่านและคอมเมมน์ค่ะ***
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 5 : หวนคืน] 08/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: koikoi ที่ 08-10-2019 22:59:34
สนุกมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 5 : หวนคืน] 08/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: ppch ที่ 08-10-2019 23:05:51
โหยยย อ่านไปก็กลั้นหายใจไปกลัวนะแต่ก็สนุก แต่งได้ดีมากค่ะภาษาลื่นไหลมีคำผิดบ้างแต่ก็แค่นิดหน่อย ติดตามตอนต่อไปนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 5 : หวนคืน] 08/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 09-10-2019 00:33:55
สนุก
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 5 : หวนคืน] 08/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 09-10-2019 06:26:27
จะมีใครเหลือรอดบ้างเนี่ย รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 5 : หวนคืน] 08/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 09-10-2019 09:39:30
อ้าวๆๆ รชตแปรพักตร์
พี่โหรมาเร็วๆ เดอะแก๊งแย่แล้ว
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 5 : หวนคืน] 08/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 09-10-2019 13:38:15
พรานกล้าลุกจากเปล กระชับปืนสั้นและ    (((มืดหมด(มีดหมอ))))   ที่เหน็บข้างเอว เตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ได้แต่หวังว่าคาถาที่ร่ายป้องกันไว้จะช่วยได้ ....


 :hao7:


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 5 : หวนคืน] 08/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 09-10-2019 14:55:40
หลอนๆๆดีนะ  เป็นเรื่องที่ไม่กล้าอ่านตอนกลางคืนเลย
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 5 : หวนคืน] 08/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าอ้วงงง ที่ 10-10-2019 08:43:46
กรี๊ดดดดด แนวนี้ไม่เคยอ่าน มาให้กำลังใจค่ะ ตื่นเต้นๆๆๆๆ  :ling1:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 5 : หวนคืน] 08/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Eeveevery ที่ 10-10-2019 10:35:19
 :hao5: แง สนุกมากเลยค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 5 : หวนคืน] 08/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 11-10-2019 10:04:06
 :katai5: :katai5: สนุกมากกก
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 5 : หวนคืน] 08/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: sawangpong ที่ 11-10-2019 11:15:32
สนุกมาก​ เล่าได้ดีเหมือนตัวเราหลุดเข้าไปอยู่ในป่าพิศวง​ จริงๆเลย​ ตอน​ 6  มาเร็วๆนะ​ มันค้างคาใจมาก
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 5 : หวนคืน] 08/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: nizxx ที่ 11-10-2019 11:17:12
สนุกมากค่ะ อ่านไปลุ้นไป อ่านไปกลั้นหายใจไป เหงื่อออกทั้งที่ตัวเย็นเฉียบ มี2คู่รึเปล่าคะ จริงๆพันกับกุมภ์ไม่ได้ทำอะไรเลยนะ แต่ว่าบาปเพราะเพื่อน สงสารพรานกล้าอะ ทำสุดฝีมือแล้วแต่พรานกล้าหนักทางสายขาว ไม่เน้นผีสางเน้นพวกสัตว์ป่า แต่โอ่ย ใจคอไม่ดีเลย มาเจอคนที่ดูท่าจะหนักสุดคนแรก เป็นห่วงชตจังเลย เป็นสมุนผีไปแล้วรึเปล่าก็ไม่รู้
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 5 : หวนคืน] 08/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: night-nnc ที่ 11-10-2019 16:56:45
สนุกมากค่ะ ระทึกมากกกก
ติดตามต่อเลยจร้า
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 5 : หวนคืน] 08/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 11-10-2019 18:27:09
 :pig2: :pig4: :pig4:ต :L1: :L1: :3123:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 5 : หวนคืน] 08/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: ง่วงนอน ที่ 12-10-2019 21:31:56
ลุ้นมาก จะรอดมั้ย
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 5 : หวนคืน] 08/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: nrbtst1997 ที่ 13-10-2019 22:54:58
 :mew4:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 5 : หวนคืน] 08/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: แก้มกลม ที่ 14-10-2019 20:12:33
สนุกมาก ลุ้นตลอดเลย
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 5 : หวนคืน] 08/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 14-10-2019 20:35:53
น่ากลัวมากและชอบมากค่ะ ให้ฟีลอ่านล่องไพรกับเพชรพระอุมาเลย แนวป่าๆลึกลับแบบี้ รอตอนต่อไปนะคะ  :impress2:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 5 : หวนคืน] 08/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 14-10-2019 23:25:46
 o22 o22 o22 o22   ลุ้นมากๆ เรื่องตื่นเต้นน่าติดตามมากครับ
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 6 : ผู้ช่วยเหลือ] 15/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 15-10-2019 20:53:58
ตอนที่ 6 ผู้ช่วยเหลือ



    พระอาทิตย์สาดแสงลงมาในผืนป่าที่เย็นชื้น น้ำค้างเหือดแห้ง ความร้อนเข้ามาแทนที่ เหงื่อผุดออกตามร่างกาย แต่สองเท้ายังย่ำไปเบื้องหน้า ตามรอยล้มของหญ้าและรอยรองเท้าผ้าใบที่น่าจะเป็นของผู้หญิง จากทิศทางเดาได้ไม่ยากว่ามันตรงไปที่ไหน

   ผ่านป่าไผ่ก็ใกล้ตีนเขาเต็มที แถวนั้นมีลำธารเล็กๆ ที่ไหลลงมาจากยอดเขา ชาวบ้านแถวนี้ใช้ลำธารสายน้ำดำรงชีวิต ทั้งกินทั้งใช้ ดังนั้นแม่น้ำสายเล็กๆ สายนี้เปรียบเสมือนชีวิต ในทุกๆ ปีจะมีการจัดพิธีขอขมาเจ้าป่าเจ้าเขา หมูเห็ดเป็ดไก่พร้อมพูนเพื่อตอบแทนบุญคุณธรรมชาติ ซึ่งมีแต่คนที่อาศัยอยู่ใกล้ป่าเท่านั้นที่เข้าใจ

    ดินที่เหยียบย่ำเริ่มกลายเป็นดินโคลน จังหวะการก้าวเดินยากขึ้น โคลนดูดดึงรองเท้าจนเปื้อนมาถึงตาตุ่ม บางครั้งก็จมลงไปเกือบถึงหัวเข่า แต่ก็ไม่มีใครปริปากบ่น แต่ดูเหมือนว่ารอยเท้าจะหายไปดื้อๆ คล้ายกับเจ้าหล่อนจะหยุดเดิน ไม่มีรอยหญ้าล้มทั้งที่แถวนี้หญ้าสูงเกือบถึงเอว

    “หายไปไหนวะพี่” จ้าวจอมถาม ใช้มือเกาะหัวไหล่อย่างสนิทสนม แต่อันที่จริงคือใช้ร่างกายที่สูงใหญ่แข็งแรงของโหรแทนไม้พยุงตัว ดินเลนดินโคลนแถวนี้เหมือนมีตัวดูดที่พร้อมจะทำให้เสียการทรงตัวได้ทุกเมื่อ

   “กูจะรู้ไหม” โหรตอบเสียงห้วน กวาดตามองไปรอบๆ อีกแค่ไม่กี่ก้าวก็จะถึงริมธารแล้ว เสียงปลาโดดฮุบเหยื่อดังจ๋อม แมลงปอบินโฉบแมลงน้ำ เป็นภาพที่อิ่มตาไม่น้อย แต่ในสถานการณ์แบบนี้ไม่มีใครมีกะจิตกะใจจะมาชื่นชมความงามของธรรมชาติ อีกห้าชีวิตที่เหลือสำคัญกว่า

    โขดหินน้อยใหญ่กองไม่เป็นระเบียบทั้งอยู่ริมและกลางลำธาร สีของมันขมุกขมัวด้วยตะไคร่น้ำ ทว่ามีหินก้อนใหญ่กองอยู่ข้างลำธารแต่ลักษณะมันไม่เหมือนกับก้อนอื่น สีเทาขมุกขมัวไม่ใช่สีเขียวแกมดำ โหรเพ่งตามองถึงได้รู้ว่าที่เห็นไม่ใช่ก้อนหินแต่เป็นแผ่นหลังของมนุษย์ต่างหาก

    “นั่น!”

    โหรตะโกน ชี้นิ้วไปยังแผ่นหลังสีเทา ดูจากขนาดน่าจะเป็นของผู้หญิง ผู้ชายที่ตนเพิ่งช่วยชีวิตไว้ชั่วโมงก่อนและเพิ่งรู้ว่าชื่อชาร์ลรีบวิ่งถลาเข้าไปก่อน เพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงร่างนั้น สองมือเขย่าเพื่อเรียกหาสติปากก็พร่ำเรียกชื่อ

   “คะนิ้ง! คะนิ้ง! ตื่นสิ! ตื่น”

    ไร้สัญญาณตอบรับจากผู้หญิงที่ชื่อคะนิ้ง โหรเดินตามไปติดๆ เมื่อเห็นใกล้ๆ ถึงได้ประจักษ์ว่าสีเทาที่เห็นไม่ใช่เสื้อผ้าที่สวมใส่ หากแต่เป็นร่างกายเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์ แต่เพราะเปรอะเปื้อนดินโคลนแทบทั้งร่างบวกกับผิวขาวซีดทำให้เห็นเป็นสีเทาขมุกขมัว ชาร์ลรีบถอดเสื้อกันลมสีดำของตัวเองห่อร่างเปลือยของหญิงสาวเอาไว้ ก่อนจะสอดมือประคองร่างไร้สติไว้ในอ้อมแขน

   “ช่วยคะนิ้งด้วย! ช่วยแฟนผมด้วย”

    ชาร์ลระล่ำระลักบอก โหรนั่งลงจับข้อมืออ่อนปวกเปียกเย็นเฉียบมาตรวจจับชีพจร สัญญาณชีพยังทำงานอยู่แต่แผ่วอ่อนเต็มที ทว่าที่น่าเป็นห่วงมากกว่านั้น เขาไม่อาจรับรู้ถึงกายละเอียดหรือที่เรียกว่าวิญญาณได้เลย

   “ยังไม่ตาย แต่วิญญาณไม่อยู่กับร่าง” โหรบอก อาการของผู้หญิงคนน่าเป็นห่วงไม่น้อย ถึงหัวใจจะทำงานแต่หากไร้วิญญาณก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

   “ละ...แล้วต้องทำยังไง” ชาร์ถาม น้ำตาไหลพรูอาบหน้า “หมอต้องช่วยเธอนะ! อย่าให้เธอตาย”

    “ใจเย็นๆ หน่อยสิ หาเรื่องกันเองแท้ๆ” จ้าวจอมเอ็ด พลางส่ายหน้า “พาขึ้นไปข้างบนก่อนเถอะ อยู่ตรงนี้นานๆ ประเดี๋ยวก็ได้เป็นปอดบวมตายจริงๆ หรอก ไปทำอีท่าไหนวะถึงได้มานอนแก้ผ้าแบบนี้”

    “คงไปทำอะไรในน้ำน่ะสิ” โหรเดา ก่อนจะหันไปมองชาร์ล “ถูกไหม”

    ชาร์ลพยักหน้า “เมื่อวันก่อนคะนิ้งลงไปอาบน้ำ พรานกล้าเตือนว่าไม่ควรทำแบบนั้น”

    “แล้วทำไมไม่เชื่อ”

   “ผม...ผมไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องบ้าๆ พวกนี้”

    จ้าวจอมส่ายหน้า พวกคนเมืองมักจะมีความคิดแบบนี้ ไม่เชื่อไม่ว่าดันลบหลู่อีก

    ชาร์ลอุ้มร่างคนรักมาวางบนพื้นดินแห้งที่อยู่ห่างจากลำธารร่วมสิบเมตร ร่างกายเปลือยเปล่าเนื้อตัวมอมแมมแทบไม่เหลือเค้าโครงสาวเมืองให้เห็น ตามเนื้อตัวมีรอยบาดข่วนจากหนามไม่น้อย เลือดไหลซิบ บางส่วนแห้งกรัง ใบหน้าขาวซีดยิ่งกว่าผิวกายเสียอีก ดวงตาปิดสนิท ลมหายใจแผ่วบาง อย่างที่โหรบอกถึงจะมีลมหายใจแต่ดวงวิญญาณหลุดลอยไปที่อื่น

    “ผู้หญิงคนนี้ชื่ออะไร”

   “คะนิ้ง...คณิตา สุดเกษม”

    โหรพยักหน้ารับรู้ พลางดึงธูปออกจากย่ามคู่ใจหนึ่งดอก ใช้ไฟแช็คจุดปลาย กลิ่นหอมกำยานโชยตามควันเส้นเล็กสีขาว ชายหนุ่มหลับตานึกถึงบุญคุณของครูบาอาจารย์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกป้องผืนป่าแห่งนี้ เผื่อเปิดทางให้คาถาที่ร่ำเรียนมาสำฤทธิ์ผล ก่อนจะปักธูปลงบนดิน

    “อยู่ที่นี่ เรียกชื่อแฟนของคุณเอาไว้ แล้วก็คอยระวังอย่าให้รูปดับจนกว่ามันจะหมดดอกเอง ขอให้โชคดี”

    โหรยันกายลุกขึ้น เหลืออีกสี่ชีวิตที่ต้องตามหาภารกิจครั้งนี้ดูเหมือนจะหนักหนาเกินกว่าค่าจ้าง เห็นทีคงต้องขอขึ้นค่าแรงอีกสักหน่อย

    “แล้วคุณจะไปไหน” ชาร์ลร้องเรียก แทบจะผวาลุกตามโหร

   “ผมจะไปตามเพื่อนคุณ อยู่ที่นี่แหล่ะ ไม่มีอะไรทำร้ายคุณได้แล้วล่ะ สายสิญจน์เส้นนั้นน่ะ ดูแลให้ดี”

    ชาร์ลก้มลงมองสายสิญจน์ที่ข้อมือตัวเอง มันเปื้อนดินจนกลายเป็นสีอื่นไปแล้ว ทว่าที่ข้อมือของคะนิ้งกลับว่างเปล่า เขาจำได้ว่าเมื่อคืนยัดใส่มือให้เธอไปแล้ว แต่ตอนนี้กลับไม่เห็น คาดว่าคงจะหลุดหายระหว่างที่วิ่งหนีผีพวกนั้นแน่ เขาเงยหน้าหมายจะขอคำตอบในข้อสงสัยเรื่องธูป แต่ร่างของชายสองคนก็หายไปเสียแล้ว...





    โหรได้ข้อมูลระหว่างที่ตามหาคะนิ้งจากชาร์ลว่า คณะเดินทางผู้โชคร้ายนี้ประกอบไปด้วย ชาร์ล คะนิ้งที่เป็นผู้หญิงเพียงหนึ่งเดียว และเพื่อนผู้ชายอีกสามคนคือ รชต กุมภ์ และพันนา รายหลังนี่จ้าวจอมแจ้งว่าเป็นลูกชายของผู้ว่าจ้าง และเป็นคนสำคัญที่สุด หากพันนาไร้ชีวิตเงินค่าจ้างจะถูกลด ไม่คุ้มกับความเหนื่อยในครั้งนี้

   แน่นอนว่ากลุ่มเด็กเมืองพวกนี้ไม่ได้เดินทางมากันเอง มีพรานกล้าเป็นผู้นำทาง ชาร์ลเล่าให้ฟังว่าเมื่อคืนเกิดเหตุสยองขวัญขึ้น ตัวชาร์ลเองถูกผีปลาหมายจะเอาชีวิต จากนั้นไม่นานกองทัพผีดิบก็บุกโจมตี โดยมีหมอผีที่ชื่อเวกเป็นผู้นำ โหรคุ้นหูเวกพิกลเลยถามถึงลักษณะกายภาพ จากที่ชาร์ลบอก สรุปได้ว่าหมอผีที่ชื่อเวก คือพรานเวก พรานเฒ่าที่เขารู้จักค่อนข้างดี เพราะพรานเวกคือหนึ่งในเพื่อนสนิทของปู่

   แต่พรานเวกหายตัวไปอย่างลึกลับมานานนับสิบปีแล้ว บางข่าวก็บอกว่าพรานเวกตายเพราะถูกเสือกัด บ้างก็ว่าเป็นบ้าอยู่ในป่า เขาไม่ได้สนใจนัก เพราะเคยเห็นหน้าแค่ไม่กี่ครั้ง แต่รู้สึกว่าพรานชราผู้นี้น่ากลัวเกินไป ทั้งในตอนนั้นตนยังเยาว์วัย ไม่ใคร่จะสนใจเรื่องอื่นนัก นอกจากคาถาอาคมที่ปู่สอนเท่านั้น

    มีความเป็นได้ว่าวิชาของพรานเวกอาจจะมากพอถึงขนาดเลี้ยงกองทัพผีได้ แต่ทำไมพรานเวกถึงต้องมาอยู่ในป่า ซ้ำยังคอยทำร้ายผู้คนอีกด้วย โหรหนักใจเล็กน้อยเพราะเท่าที่ฟังชาร์ลเล่า พรานเวกท่าทางจะมีวิชาอาคมไม่น้อย ขนาดพรานกล้าที่ว่าเก่งๆ ยังสู้ไม่ได้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพรานกล้าจะยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า

   “พี่ว่าน้ากล้าจะรอดไหม”    

   คอรบครัวของจ้าวจอมกับพรานกล้าไม่ค่อยจะลงรอยกันเท่าไรนัก เหตุเพราะแย่งพื้นที่ทำกินกันบ่อยครั้ง อย่างล่าสุดที่จ้าวจอมโดนตำรวจจับก็น่าจะเป็นฝีมือคนในบ้านของพรานกล้านั่นแหล่ะ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครใช้วิธีสกปรก หรือมนต์ดำคาถามเล่นงานกัน จะมีก็แค่กระทบกระทั่งกันทางวาจาก็เท่านั้น ได้ลับฝีปากสักหน่อยก็แยกย้าย

    “ไม่รู้ กูไม่มั่นใจ”

    เขาไม่ได้โกหก สัญญาณชีวิตของพรานกล้าไม่หลงเข้ามาในความรู้สึกพิเศษเลย แต่เขาได้กลิ่นสาปสางคล้ายกับเศษผ้าสีขาวที่เก็บได้ มันลอยมาตามลม ทว่ากลิ่นไม่ชัดเจนบางช่วงก็หายไป บางช่วงก็ฉุนกึก
 
   โหรพาจ้าวจอมเดินขึ้นย้อนลำธาร ต้นกกขึ้นข้างลำธารจนรกทึบ เสียงกบร้องดังออกมาจากในนั้น โหรเร่งฝีเท้าตามกลิ่นสาปเต็มที่ ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าของกลิ่นเป็นใคร แต่มันต้องนำให้เขาไปพบใครสักคนแน่นอน

    “พี่ทางนี้มัน...”

    จ้าวจอมหยุดพูด อีกไม่กี่ร้อยเมตรก็จะถึงดงช้างร้อง ใบเท่าฝ่ามือแต่เต็มไปด้วยพิษ ทั้งลำต้นแบละใบ หากสัมผัสเข้ากับผิวกาย ขนเล็กๆ ของมันจะทำให้ปวดแสบปวดร้อน ทรมานเกินบรรยาย ที่จ้าวจอมกลัวเพราะละแวกนี้มีต้นช้างร้องขึ้นเต็มไปหมดถึงได้เรียกว่าดงช้างร้อง แน่นอนว่าระดับหมอโหรต้องมีวิธีรักษาแน่นอน แต่เลี่ยงห่างน่าจะดีที่สุด

   “มึงก็เดินห่างๆ มันหน่อย”

   จ้าวจอมทำหน้าง้ำ ดึงขากางเกงให้คลุมตาตุ่ม ซุกมือในลงในกระเป๋ากางเกง บ่นอุบให้ได้ยินว่าจะขอค่าเสี่ยงเพิ่มอีกห้าพัน

   ต้นช้างร้องขึ้นถี่ ใบของมันเขียวสดใสท่ามกลางแสงแดดจ้าในยามสาย ด้วยความที่เป็นพืชมีพิษทำให้ไม่มีแมลงตัวไหนกล้าเข้าใกล้ แม้แต่ใยแมงมุมยังไม่มี จ้าวจอมเดินด้วยความหวาดระแวง ปากบ่นถึงคนที่เหลือว่าหาที่ซ่อนได้ชั่วช้าที่สุด

    กลิ่นสาปคล้ายศพตากซากฉุนมากขึ้นเรื่อยๆ และคงมีแค่โหรเท่านั้นที่ได้กลิ่น ชายหนุ่มเดินไปตามทิศทางของกลิ่น ขณะเดียวกันก็ต้องเลี่ยงระวังต้นช้างร้องไปด้วย กระทั่งหางตาสะดุดกับกลุ่มควันบางเบา มันลอยอยู่ในอากาศ ห่างออกไปอีกราวร้อยเมตร

   โหรก้าวยาว ผ่านดงช้างร้องมาอย่างปลอดภัยเช่นเดียวกันกับคู่หู ทั้งคู่ยืนใต้ต้นมะขามเทศยักษ์ ที่มีแต่ใบไร้ฝักให้กิน ห่างไปไม่กี่เมตรคือกองไฟเล็กๆ และร่างของมนุษย์สองคน คนหนึ่งกำลังนั่งทำอะไรบางอย่าง ส่วนอีกคนนอนบนพื้นดิน ดูเหมือนจะไม่ได้สติ

    ผู้ชายที่นั่งอยู่ผุดลุกขึ้นยืนทันที เสื้อผ้ามอมแมมไม่ต่างจากชาร์ลเท่าไรนัก เนื้อตัวเปรอะเปื้อนมอมแมม ใบหน้ามีรอยบาดคล้ายกับถูกหนาวเกี่ยว

   “พวกคุณ...”

    “รชต กุมภ์ หรือพันนาล่ะ” โหรถาม เขาไม่รู้จักเด็กหนุ่มพวกนี้ เลยต้องเดาส่ง

   “ผะ..ผมชื่อพันนา ส่วนนี่” พันนาชี้ไปที่อีกร่าง “กุมภ์...เพื่อนผมเอง”

    “แล้วทำไมนอนอยู่อย่างนั้นล่ะ” จ้าวจอมถาม สาวเท้าเดินตามผู้นำ พลางสังเกตผู้ชายที่ชื่อพันนา เพราะนี่คือคนสำคัญที่ตนกับโหรจะต้องนำกลับออกไปจากป่านี้อย่างครบสามสิบสอง ไม่อย่างนั้นจะอดค่าแรงที่เหลือ แต่ที่แน่ๆ เขาได้เจอพันนาก่อนพวกเจ้าหน้าที่ เหลือแค่รักษาชีวิตไอ้หมอนี่เอาไว้ เขากับโหรก็จะได้ค่าจ้างเต็มราคา ดีไม่ดีจะขออัพค่าตัวด้วย เพราะงานนี้ไม่หมูเลย

    “ผมว่าเขาน่าจะแพ้ใบอะไรสักอย่าง จู่ๆ ก็บอกว่าคัน แล้วก็เกาไม่หยุด ผื่นขึ้นเต็มตัวเลย ร้องดิ้นทุรนทุรายอยู่เป็นชั่วโมงๆ นี่เพิ่งจะหลับไป”

    “ใบช้างร้องแน่นอน” จ้าวจอมออกความเห็น

    โหรไม่พูดอะไร มือล้วงเอาบางอย่างในกระเป๋าย่ามออกมา มันคือขี้ผึ้งลงคาถาร้อยแปด ปู่ถ่ายทอดวิชานี้ไว้ให้ เผื่อเจอพิษสัตว์หรือพืชในป่า ทำจากว่านหนึ่งร้อยแปดชนิด เป็นวิชาโบราณที่แทบจะหาไม่ได้แล้วในยุคนี้สมัยนี้

    เด็กหนุ่มผู้โชคร้ายนอนหายใจโรยริน ใบหน้าเล็กขาวซีด แต่มีรอยแดงจากผื่นคันขึ้นเต็มไปหมด โหรยกมือขึ้นแดะหน้าผาก แต่ก็ต้องชะงักเมื่อถูกอีกมือผลักออก

   “พวกคุณเป็นใคร พวกเดียวกับไอ้พรานเวกเหรอ” พันนาถาม แววตาดุดันขึ้น

    “ไร้สาระ ตาเวกตายห่าไปชาติหนึ่งแล้วมั้ง” จ้าวจอมถอนหายใจเสียงดัง “นี่พี่โหร ส่วนฉันชื่อจ้าวจอม เป็นคนที่แม่คุณจ้างมา”

   “จ้างมา?”

    “ไว้อธิบายทีหลัง ผมต้องช่วยชีวิตเพื่อนคุณก่อน” โหรตัดบท ใช้หลังมือสัมผัสหน้าผากเด็กหนุ่มที่ชื่อกุมภ์

   กุมภ์มีไข้ ซึ่งก็ไม่แปลกนักเพราะพิษของช้างร้องหนักหนาเอาการ บอกให้พันนาช่วยถอดเสื้อของกุมภ์ออก ผื่นแดงขึ้นเต็มตัวจนผิวกายกลายเป็นสีแดง โหรนำว่านร้อยแปดที่แปรสภาพเป็นขี้ผึ้งลูบไปบนท่อนแขน เรื่อยไปถึงแผ่นบอกค่อนข้างบาง กุมภ์เป็นเด็กหนุ่มรูปร่างผอม ผิวพรรณเนียนละเอียดตามแบบลูกคนมีเงิน ถึงจะมีผื่นแดงแต่ก็รับรู้ได้ถึงความนุ่มลื่นของผิวหนัง โหรทายาให้ไปถึงใบหน้า ก่อนจะสั่งให้พันนาถอดกางเกงของกุมภ์ออกด้วย

   “ต้องถอดด้วยเหรอครับ”

   “ไม่ถอดแล้วผมจะทายาให้เพื่อนคุณยังไง” โหรถามกลับเสียงเรียบ หากไม่ทายาให้ทั่วผื่นก็จะหายไม่หมด พันนาไม่ถามอะไรจัดการปลดกางเกงผ้าเนื้อหนาออกจากท่อนขาของกุมภ์จนเหลือแต่ชั้นในสีขาวตัวเดียว

    ด้วยความที่เป็นผู้ชายเหมือนกันทำให้ไม่หลงเหลือความอาย แต่พันนากลับเบือนหน้าไปทางอื่น โหนกแก้มแดงขึ้นนิดหน่อย
   “บ้าหรือเปล่าวะ” จ้าวจอมพึมพำพร้อมยิ้มเยาะ หนุ่มเมืองกรุงนี่ก็แปลก ผู้ชายเหมือนกันมีอะไรๆ เหมือนกันแต่ดันมาเขินอาย ผิดกับตนที่ถึงจะอายุสิบแปดแล้วก็ยังแก้ผ้ากระโดดน้ำเล่นกับเพื่อนได้

   “พวกนายเข้ามาในป่านี่ได้ยังไง” พันนาชวนคุย บอกตัวเองให้เลิกสนใจผู้ชายตัวใหญ่ผิวเข้มที่กำลังทายาให้กับกุมภ์

    “เดินมา” จ้าวจอมตอบแบบกำปั้นทุบดิน จนคนถามต้องถอนหายใจในความกวนประสาท

   “หมายถึงเข้ามาถึงที่นี่ได้ยังไง แล้วเจอใครบ้างไหม”

   “ก็เดินมานั่นแหล่ะ ฉันกับพี่โหรชินกับทางในป่านี้ดี” จ้าวจอมโกยดินเข้ากองไฟ แล้วก็เหลือบไปเห็นใบไม้เขียวๆ ช้ำๆ บนหินก้อนเท่ากำปั้น “เจอเพื่อนคุณมั้ง คนที่ชื่อชาร์ลกับคะนิ้ง....แล้วนั่นมันอะไร” ประโยคหลังจ้าวจอมชี้ไปที่ก้อนหิน

   “ใบตำลึงน่ะ” พันนาเกาท้ายทอยแก้อาย “ตอนเด็กๆ ฉันเคยเป็นเหมือนกุมภ์แม่เอาใบตำลึงมาตำๆ ผสมกับเหล้าขาวแล้วทาให้มันก็หาย แต่ฉันไม่มีเหล้าขาวเลยใช้แค่ใบตำลึงแทน”

    “บ้าชะมัด” จ้าวจอมส่ายหัว “นั่นมันต้นช้างร้องนะโว๊ย ช้างโดนยังร้อง แค่ใบตำลึงจะหายได้ยังไง”

   “ใครจะไปรู้ล่ะ” พันนาพึมพำ “แล้วเพื่อนฉันเป็นยังไงบ้าง”

    “คนชื่อชาร์ลปลอดภัยดี แต่คะนิ้ง สุดแต่เวรแต่กรรมที่ทำมา” จ้าวจอมบอก กลิ่นยาที่โหรใช้ลอยอวลในอากาศ กองไฟค่อยๆ มอดลงเพราะดินที่โยนเข้าไป

   “หมายความว่ายังไง”

   “ยัยผู้หญิงคนนั้นไม่มีสายสิญจน์ เลยโดนเล่นงานหนัก”

   “สายสิญจน์?” พันนาเลิกคิ้วสงสัย พลางยกข้อมือของตัวเองขึ้นดู

   “สายสิญจน์ของพี่กล้าใช่ไหม”

   พันนาหันไปมองคนถามเพราะไม่ใช่เด็กหนุ่มจอมอวดดีที่สนทนาด้วย เขาพยักหน้าแทนคำตอบ

    “พรานกล้าส่งให้ก่อนจะให้พวกเราหนีมา”

   โหรปัดเอาเศษยาออกจากมือ แล้วล้วงลงไปในย่ามอีกครั้ง ดันยาลูกกลอนเม็ดเดียวกับที่ให้ชาร์ลกินใส่ปากเด็กหนุ่มที่ชื่อกุมภ์ ก่อนจะลุกขึ้นเต็มความสูงที่มีมากกว่าหกฟุต “ใส่เสื้อผ้าให้เพื่อนคุณซะ อีกพักก็ฟื้นก็ดีขึ้น”

   พันนาทำตามที่โหรบอกทันที ระหว่างนั้นก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้โหรกับจ้าวจอมฟัง เหตุการณ์แทบจะเหมือนกับที่ชาร์ลเล่า แต่หนีกันมาคนละทาง

   “แล้วคนที่ชื่อชตหายไปไหน” โหรถาม

   “ผมไม่รู้” พันนาส่ายหน้า “ตอนที่เราซ่อนตัว จู่ๆ ชตมันก็พูดขึ้นมาแล้วเหรอ แล้วมันก็เงยหน้าหัวเราะ พวกผมมองตามมันก็เห็นผู้หญิงใส่ชุดสีขาวเก่าๆ ลอยอยู่ในอากาศ แล้วไอ้ชตก็หายไป”

    ดวงตาของพันนาแสดงถึงความหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด เพราะไม่เคยลืมเลยว่าผู้หญิงคนนั้นน่ากลัวขนาด จะได้ด้วยว่าเป็นผู้หญิงคนเดียวกับที่ยืนข้างๆ รชตตอนที่กลุ่มผีดิบพวกนั้นพยายามจะทำร้ายพวกตน

   “สีขาวแบบนี้ใช่ไหม” โหรเอาเศษผ้าที่เก็บได้ให้พันนาดู พันนาตาเหลือกด้วยความตกใจ

   “ชะ...ใช่ๆ แบบนี้เลย”

   “ตัวอะไรวะพี่” จ้าวจอมถาม ก่อนจะเบ้หน้าเพราะกลิ่นเหม็นสาบของผ้า

   “ผี” โหรตอบสั้นๆ “เพื่อนคุณพูดถึงพรานเวกด้วย”

   “ครับ..พรานกล้าบอกว่าทั้งหมดนี่เป็นฝีมือของพรานเวก” พันนาให้คำตอบ “เขาเป็นเสือสมิง”

   “เสือสมิง?” จ้าวจอมทวนคำด้วยความแคลงใจ “สมัยนี้ยังมีอยู่อีกเหรอวะ”

   “มีสิ พวกที่มีวิชามากๆ บวกกับความโลภที่เยอะเกินไป ทำให้กลายเป็นคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิง” โหรอธิบายสั้นๆ “ผมจับสัญญาณชีวิตเพื่อนคุณที่ชื่อรชตไม่ได้เลย อาจจะต้องบอกว่าความหวังน้อยมาก”

   “นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมผมต้องมาเจอเรื่องบ้าๆ แบบนี้ด้วย” พันนากุมขมับ สีหน้าเจ็บปวด “มันเป็นความผิดของผมเอง ผมเป็นคนชวนเพื่อนๆ เข้ามาในป่านรกนี่”

    “ป่าไม่เคยทำร้ายใคร หากมีเจตนาดี” โหรบอก ก่อนจะรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของร่างบนพื้นดิน “ท่าทางจะรู้สึกตัวแล้วล่ะ”

    จริงอย่างที่โหรว่า กุมภ์ขยับเขยื้อน เปลือกตาค่อยๆ ยกเปิดขึ้นอย่างเหนื่อยล้า ตาแรงเรื่อ ริมฝีปากแห้งผาก พยายามจะยันตัวขึ้นจากพื้นโดยมีพันนาช่วยประคอง

   “กะ...เกิดอะไรขึ้นวะ” เสียงของกุมภ์แหบแห้ง รอยผื่นแดงหายไปแล้วราวกับปาฏิหาริย์ เช่นเดียวกับอาการปวดแสบปวดร้อนเจียนตาย แต่ที่โคนลิ้นมีรสประหลาดติดอยู่ มันคล้ายกับยาแก้เจ็บคอที่เคยกินสมัยเด็ก

   “คนพวกนี้มาช่วยเรา เขาเอายาทาให้มึงแล้วก็เอาให้กินด้วย”

    กุมภ์เบือนหน้ามองบุรุษผู้มาใหม่ทั้งสอง คนหนึ่งสูงใหญ่อย่างชายไทยยุคโบราณ ผิวเข้มจนเกือบคล้ำ ใบหน้าคมคาย เส้นผมดำเป็นเงา หวีเสียไปด้านหลังเปิดให้เห็นโครงหน้าชัดเจน ดวงตาคมดุ จมูกโด่งเป็นสันตรง ริมฝีปากหยักได้รูปสีเข้ม แต่งตัวเหมือนนักเดินป่าตัวเอง แต่สภาพของเนื้อผ้าเก่าจนแทบเปื่อย ที่บ่าสะพายย่ามใบเขื่อง อายุคงเกินยี่สิบห้าปีไปแล้ว ส่วนอีกคนเป็นเด็กหนุ่มอายุไม่น่าเกินสิบแปดปี ผิวขาว เค้าโครงใบหน้าคล้ายกับผู้หญิง ดวงตากลมโต จมูกโด่งรั้น ริมฝีปากสีสด ส่วนสูงคงไม่เกินหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้า สวมใส่เสื้อผ้าทะมัดทะแมงและทันสมัยอยู่มาก

    จ้าวจอมแนะนำตัวเองคร่าวๆ พร้อมกับแจ้งเจตนาในการมาครั้งนี้ กุมภ์ดีใจหนักจนเกือบหลุดเสียง เมื่อคืนนี้เขาแทบเอาชีวิตไม่รอด ไม่ใช่จากภูตผีปิศาจ แต่กับต้นไม้มันก็อยากจะเอาชีวิตเขาด้วยเช่นกัน

   หลังจากที่เงยหน้ามองตามรชต เขาก็เห็นร่างของผู้หญิงลอยอยู่ในอากาศ เหนือศีรษะเขาแค่ไม่กี่เมตรเท่านั้น ใกล้มากจนจดจำรายละเอียดของเธอได้เกือบทั้งหมด ใบหน้าขาวซีดไร้สีเลือด ดวงตาสีขาว ริมฝีปากฉีกอ้าราวกับกำลังยิ้มเย้ยหยัน กลิ่นเหม็นสาบจนฉุนจมูก ตอนนั้นเขาตกใจแทบสิ้นสติ เลือดในกายเย็นเยียบไปหมด มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ถูกแรงบางอย่างกระชากไปเบื้องหน้า เป็นพันนานั่นเอง เขาทั้งสองวิ่งตะบอนไปอย่างไร้จุดหมาย ชั่วอึดใจหนึ่งเขาตัดสินใจหันหลังกลับไปมอง ด้วยความเป็นห่วงเพื่อนสนิท แต่รชตก็หายไปเสียแล้ว มีแค่เสียงกรีดร้องโหยหวนของผีสาวตนนั้นที่ดังลั่นป่า

    เพราะเป็นคืนเดือนมืด มองไม่เห็นสิ่งกีดขวางทำให้เขาวิ่งไปชนกับพุ่มไม้ เพียงประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นอาการปวดแสบปวดร้อนเกินบรรยายก็เล่นงาน มันลามไปทั่วทุกพื้นที่ของผิว ความทรมานเหมือนจะลงไปถึงใต้ชั้นผิวหนัง เขาขอร้องให้พันนาหยุดวิ่งเพราะทนกับความคันและปวดแสบไม่ไหว เขาเกาจนหนังแทบจะหลุดติดเนื้อ แต่ก็ไม่ดีขึ้น สุดท้ายก็ผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย ได้ยินคนที่โหรบอกว่าพุ่มไม้ที่เขาวิ่งไปโดนมันคือต้นช้างร้อง ต้นไม้ที่มีพิษอันตรายตั้งแต่ลำต้นจนถึงใบ แต่อาหารที่แทบจะฆ่าชีวิตเขามันหายไปแล้วเพราะยาสมุนไพรของโหร เพิ่งรู้ด้วยซ้ำว่าเขามีไข้ด้วยระหว่างที่นอนหลับไม่ได้สติ

    “เหลือพรานกล้าใช่ไหม” โหรถามเสียงต่ำ “จำได้ไหมว่าเกิดเรื่องที่ไหน”

    “จำได้” พันนาพยักหน้า “เดี๋ยวเราจะพาคุณไปเอง”



    
    
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 6 : ผู้ช่วยเหลือ] 15/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 15-10-2019 20:54:23
     สถานที่แห่งความโหดร้าย อยู่ฝั่งตรงข้ามกับที่พันนาและกุมภ์วิ่งหนีมา ใช้เวลาเดินเท้าไม่กี่นาทีก็ถึง พันนาหันมองหน้ากุมภ์ ทั้งคู่จำได้ว่าวิ่งจนหัวใจแทบจะหลุดทะลุหน้าอก หน้าขายังปวดตุบ เหงื่อไหลโทรมกาย แต่พวกเขาอยู่ห่างจากจุดตั้งเต็นท์ไม่ถึงห้าร้อยเมตรด้วยซ้ำ รอยหญ้าล้มเป็นลักษณะคล้ายวงกลม นั่นหมายความว่าพวกเขาวิ่งวนอยู่ที่เดิมนานนับชั่วโมง

   สภาพเต็นท์ล้มหงายไม่เป็นเท่า กองไฟมอดดับไปนานแล้ว เศษเถ้าถ่านปลิวอยู่ในอากาศ กลิ่นอายแห่งความเสียหายยังเด่นชัด หญ้าล้มเป็นแปลงกว้าง ร่องรอยต่อสู้เอาตัวรอดมีให้เห็น รองเท้าข้างหนึ่งของพรานกล้าตกอยู่ เมื่อพลิกเต็นท์ผ้าใบขึ้นก็พบกับกระเป๋าที่พรานกล้าเอาติดตัวมาด้วย นอกเหนือจากนั้นก็ไม่พบสิ่งมีชีวิตใดอีก

    “ตายหรือเปล่าวะพี่” จ้าวจอมตั้งข้อสงสัย “ฝีมือตาเวกจริงๆ เหรอวะ”

    “กูว่าคนพวกนี้ไม่โกหก” โหรหันไปสบตากับกุมภ์สาวครึ่งวินาทีแล้วพูดต่อ “เมื่อก่อนตาเวกชอบล่าเสือ เห็นว่ามีวิชาดี แต่จู่ๆ ก็หายตัวอย่างลึกลับ ปู่เคยเล่าให้ฟังว่า สมัยหนุ่มๆ ตาเวกแกฆ่าเสือตัวหนึ่ง ตัวมันใหญ่มาก น้องๆ ช้างเลย แล้วตาเวกก็ถลกหนังมันเอาปูนอน”

   “โรคจิตว่ะ” จ้าวจอมพึมพำ “แล้วทีนี้เอายังไงต่อ”

   “พี่กล้ายังไม่ตาย กูรู้สึกได้”

   “ไม่ตายแล้วอยู่ไหนอ่ะ”

    “กูไม่รู้” โหรส่ายหัว

    ตาเวกฝีมือร้ายกาจกว่าที่คิด ถึงขนาดสร้างกองทัพผีดิบได้ แถมยังมีบริวารเป็นผีสาวอีกด้วย ที่ร้ายไปกว่านั้นเขาเชื่อเหลือเกินว่าผู้ชายที่ชื่อรชตต้องอยู่ในภายใต้อาคมของตาเวกแล้วแน่นอน ส่วนพรานกล้าอาจจะอยู่ที่ใดที่หนึ่งที่ไม่น่าจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

   โหรสั่งให้ทุกคนถอยห่างออกไป ดึงธูปออกมาจุดห้าดอก ตั้งจิตอธิษฐานเหมือนที่เคยทำแล้วปักลงดิ้น หลับตาเพ่งกระแสจิตมองหาพร้อมกับเรียกชื่อพรานกล้าในสมาธิ

   ภาพในดวงจิตพร่าเลือนไม่ชัดเจนเหมือนตามอง ต้นไม้ใบหญ้าก็ต่างออกไป ทุกอย่างเป็นสีเทา แล้วเงาร่างบิดเบี้ยวก็ปรากฏขึ้น
 
   การมองผ่านดวงจิตจะไม่ได้เห็นแค่สิ่งปกติธรรมดา แต่ยังสามารถมองเห็นสิ่งที่ดวงตามองไม่เห็นได้อีกด้วย วิญญาณเร่ร่อนทั้งหลายเดินโซเซซ่อนเร้นกายอยู่ตามต้นไม้ บ้างก็ป่ายปีนขย่มพุ่มไม้เล่น วิญญาณที่ติดอยู่ในป่าเพราะไม่มีใครเรียกกลับ หิวโหยและทรมาน แต่ไม่อาจทำร้ายใครได้เพราะป่าผืนนี้มีเจ้าป่าคุ้มครอง เว้นเสียแต่ว่าผู้มารุกรานไม่ปฏิบัติตามธรรมเนียม ดูหมิ่น เหยียดหยาม

   โหรไม่สนใจวิญญาณเร่ร่อนที่พยายามเข้ามารบกวน กระแสจิตเพ่งหาแค่พรานกล้าเท่านั้น แล้วเขาก็พบกับร่างหนึ่ง แสงสว่างเรืองรองห่อหุ้มร่างนั้น เป็นสัญญาณบอกว่าที่เขาเห็นไม่ใช่ดวงวิญญาณแต่เป็นมนุษย์

   พรานกล้า!

    โหรจดจำรายละเอียดของสถานที่ มันคือต้นไทรขนาดใหญ่ เส้นสายเถาวัลย์ระโยงรยางค์ห้อยร้อยเต็มไปด้วย โหรสวดมนต์ขอเปิดทางจากอะไรก็ตามที่สร้างม่านบังตาไว้ ก่อนจะดึงจิตกลับแล้วพาทุกคนไปยังต้นไทรต้นนั้น

    พรานกล้าอยู่ที่นั่นจริงๆ แต่ร่างกายบอบช้ำอย่างหนัก ร่องรอยบาดแผลเต็มตัวไปหมด ใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด เลือดสดๆ ยังไหลจากปากแผลที่เปิดกว้างบริเวณช่วงท้อง มองปราดเดียวก็รู้ว่ามันรอยตะปบของสัตว์ใหญ่ รอยแผลเหวอะหวะ อยู่รอดมาได้ถึงป่านนี้นับว่าเป็นบุญหนักหนา

   “น้ากล้า!”

    จ้าวจอมอุทาน ดวงตาสั่นไหว ถึงจะไม่ค่อยลงรอยกัน ปะทะฝีปากอยู่หลายครั้งแต่ไม่เคยเลยที่จะแช่งชักหักกระดูกให้ตายโหงตายห่า สภาพของพรานกล้าตอนนี้ตายเสียดีกว่าอยู่ เลือดไหลลงมากองนองพื้น มือที่กุมบาดแผลชุ่มโชกไปด้วยเลือดสีแดงข้น กลิ่นคาวคุ้งจนหนุ่มเมืองกรุงต้องยกมือขึ้นปิดจมูก มีดเก่าคร่ำคร่าหักเป็นสองท่อน คาดเดาได้ว่าพรานกล้าคงใช้มีดเล่มนี้ป้องกันตัวเอง แต่มันคงไม่สำเร็จ

   “เอานี่ไปพันแผลให้พี่กล้าก่อน” โหรสั่ง พลางกระชายชายเสื้อตัวเองให้ขาดเป็นริ้วยาว จ้าวจอมรับมันแล้วร้องให้หนุ่มเมืองกรุงทั้งสองคนช่วยกันประคองพรานกล้าขึ้น

   ชายเสื้อของโหรไม่ได้ช่วยห้ามเลือดได้ แต่แค่ป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าไปสืบพันธุ์มากกว่าเดิมเท่านั้น ดูจากสถานการณ์ตอนนี้พวกเขาไม่มีปัญญาพาพรานกล้าลงเขาไปได้แน่ คงต้องติดต่อกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ให้นำเครื่องไม้เครื่องมือมาช่วยเสียแล้ว ตอนนี้แปดโมงกว่าเจ้าหน้าที่คงเริ่มทำงานกันแล้ว แม่ของพันนาไม่มีทางรีรอนานกว่านี้หรอก

   “ไอ้จอมมึงรีบลงเขาไปดักเจ้าหน้าที่ บอกกับเขามีคนเจ็บหนักให้เอาฮอล์ขึ้นมา กูจะพาพี่กล้าไปลานหิน” โหรคะเนสถานการณ์ ไม่ใช่แค่พรานกล้า แต่ยังคะนิ้งด้วย ไม่แน่ว่าเจ้าหล่อนอาจจะไม่รอดด้วยเช่นกัน รวมไปถึงรชตที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

   ฝีมือของตาเวกร้ายกาจนัก

    “ได้พี่!” จ้าวจอมรับปาก สีหน้ามุ่งมั่นอย่างที่พบเห็นได้ไม่บ่อยนัก คุ้นชินเส้นทางในป่านี้ดี อีกอย่างนี่ก็ใกล้ตีนเขามากแล้ว เดินไปอีกไม่เท่าไรก็เจอกับสำนักงานของเจ้าหน้าที่

   จ้าวจอมวิ่งปรื๋อเหมือนม้าฮ้อ ชีวิตของพรานกล้าอยู่ที่ฝีเท้าของเขาแล้ว…




    ลานหินที่โหรว่า คือลานกว้างขนาดหลายสิบไร่ ไม่มีต้นไม้หรือหญ้าขึ้นเพราะเนินหินกินพื้นแน่นขนัดจนทำให้วัชพืชขึ้นแซมแทบไม่ได้ และยังเป็นสถานที่ที่ใช้ในการจอดเฮลิคอปเตอร์ขนาดเล็กอีกด้วยเมื่อมีเหตุจำเป็น

   พันนาและกุมภ์ช่วยกันทำแปลสนามแบบง่ายๆ โดยหารใช้ท่อนไม้ยาวแข็งแรงสองท่อน และผ้าใบจากเต็นท์ ทำแปลหามพรานกล้าไปยังลานหิน ทั้งสองช่วยกันอุ้มร่างของพรานกล้าลงนอนในเปลอย่างทุลักทุเลเพราะกุมภ์ผอมบางเรี่ยวแรงไม่มีเยอะนัก ส่วนโหรเดินย้อนกลับจุดที่พบกับคะนิ้ง เพราะมีเรื่องสำคัญให้ต้องจัดการ

   นั่นคือการตรวจสอบวิญญาณของคะนิ้ง ป่านนี้ธูปคงหมดดอกแล้ว ถ้าคะนิ้งยังไม่รู้สึกตัว คณะเดินทางจะต้องเสียงเธอไปอีกคน
 
   แต่ลำพังกำลังของเด็กหนุ่มผู้ด้อยประสบการณ์ทั้งสองคงไม่เพียงพอต่อการแบกหามชายร่างสันทัน ที่ไร้สติได้ พรานกล้ายังไม่ฟื้น ดีหน่อยที่ได้ยาร้อยแปดของโหรเลือดเลยหยุดไหล แต่บาดแผลเหวอะหวะจำเป็นต้องพึ่งมือหมอสมัยใหม่ไม่อย่างนั้นอาจจะติดเชื้อในกระแสเลือดได้ พรานกล้ามีไข้อ่อนๆ ด้วยเพราะการอักเสบของแผล เลือดชุ่มโลกเต็มเสื้อ กลิ่นคาวคลุ้ง ผิวกายสีเข้มซีดอ่อน คงจะเสียเลือดไปไม่น้อย

   ทั้งคู่จำต้องพวกโหรก่อน ได้แต่ภาวนาให้คะนิ้งกลับมาอย่างปลอดภัย เพียงแค่นี้พวกเขายังไม่รู้ว่าจะจัดการอารมณ์ของตัวเองอย่างไร มันหนักหนาเกินกว่าเด็กหนุ่มวัยยี่สิบเอ็ดปีจะรับไหว

    นานจนเริ่มกระวนกระวายใจ แดดทอแสงจ้าขึ้น ทั้งสองช่วยกันหามแปลสนามหนักอึ้งเพราะร่างของพรานกล้าขยับเข้าไปในร่ม กุมภ์นึกเกลียดรูปร่างผอมโปร่งของตัวเองนัก เรี่ยวแรงพละกำลังมันน้อยนัก ถ้าหากตัวใหญ่ล่ำสันมากกว่าเขากับพันนาอาจจะช่วยกันหามพรานกล้าไปที่ลานหินได้ แต่ก็อีกนั่นแหล่ะพวกเขาไม่รู้ว่าลานหินอยู่ตรงไหนของป่า ถึงโหรจะบอกว่าอยู่ไม่ห่างจากที่นี่ไม่มากนักก็ตาม

   พรานกล้าส่งเสียงครางในคอเบาๆ คล้ายกับคนละเมอ แต่ที่แท้มันคืออาการเพ้อ หมายความว่าอาการของพรานกล้ากำลังทรุดหนัก พันนาทนรอไม่ไหว ตั้งใจจะไปตามโหร แต่ยังไม่ทันได้ขยับเท้าโหรก็เดินโผล่มาจากพุ่มไม้หนา

   “คุณโหร!” กุมภ์ร้องด้วยความยินดี ไม่รู้ทำไมแค่เห็นใบหน้าเคร่งขรึมของโหรความหนักอึ้งในอกมันถึงได้เบาลง ถึงจะเพิ่งรู้จักกันไม่ถึงสองชั่วโมง

   โหรพยักหน้ารับเบาๆ เสื้อตัวเปื้อนมอมแมมกว่าตอนที่เจอกันครั้งแรกนิดหน่อย แต่โดยรวมแล้วยังหล่อเหลาตามแบบฉบับหนุ่มไทยแท้

   “ชาร์ลกับคะนิ้งล่ะ” ประโยคนนี้พันนาเป็นคนถาม พลางกวาดสายตาหาเพื่อนรักทั้งสอง

    แทนคำตอบของโหร ร่างสูงใหญ่ผิวขาวจัดแต่สกปรกด้วยคราบดินโคลนก็ปรากฏตัวขึ้น ในอ้อมแขนมีร่างบอบบางของคะนิ้งที่เดินอ่อนระโหยอยู่ข้างๆ ใบหน้าที่เคยสวยสดชนิดที่ต้องหันมองเหลียวหลังซีดเซียว อ่อนแรง แต่ริมฝีปากกับยกยิ้มยินดี ดวงตาเป็นประกาย ที่น่าแปลกอีกอย่างเธอสวมแค่เสื้อคลุมเปรอะๆ ของชาร์ลเพียงตัวเดียวเท่านั้น

   “คะนิ้ง!!”

    กุมภ์ตะโกนร้องด้วยความยินดี วิ่งถลาไปหาเพื่อนรักทั้งสอง โดยไม่ลืมยิ้มขอบคุณโหร ดวงตาใหญ่คมสบตอบกลับมา กุมภ์รู้สึกถึงหัวใจที่พองขึ้น ความปลอดภัยที่โอบกอดรอบตัว ถึงจะเพิ่งรู้จักกันไม่ถึงสองชั่วโมงแต่เหมือนมันนานเหลือเกิน

    “เป็นยังไงบ้าง”

    คะนิ้งยิ้มอ่อนระโหยกลับมา ยอมให้กุมภ์ยกแขนอีกข้างพาดหัวไหล่ที่ไม่ค่อยกว้างนัก โอนถ่ายน้ำหนักไปทางกุมภ์ช่วยชาร์ลผ่อนแรง “เดี๋ยวเล่าให้ฟังนะ”

    กุมภ์ไม่ตื้อถาม แล้วเล่าเหตุการณ์ที่ตนเจอเมื่อคืนให้ฟัง คะนิ้งกับชาร์ลรับฟังเงียบๆ แล้วก็ส่ายหัวเมื่อกุมภ์ถามถึงรชต ไม่มีใครเห็นรชต แม้จะอยากออกตามหามากแค่ไหนแต่ก็ทำไม่ได้ เพราะชีวิตของพรานกล้าก็แขวนอยู่บนเส้นด้ายเช่นกัน

    โหรกับพันนารับหน้าที่แบกร่างของพรานกล้าด้วยเพราะพละกำลังเต็มเปี่ยมมากกว่าใคร โหรเดินหน้าเพราะต้องนำทาง ชาร์ลกับกุมภ์ช่วยกันประคองคะนิ้ง ทางที่จะไปลานหินอยู่ห่างออกไปหลายกิโลเมตร ยิ่งอยู่ในป่าที่มีทั้งเนินลาดชัน ทางต่ำ หินขรุขระยิ่งทำให้การเดินยากลำบากมากกว่าเดิม แต่โหรกลับเดินอย่างคล่องแคล่วราวกับมีใครทำลานคอนกรีตให้ ผิดกับอีกสี่ชีวิตที่เดินอย่างทุลักทุเล โดยเฉพาะพันนาที่สะดุดหลุมเล็กหลุมน้อยอยู่หลายครั้ง อีกทั้งยังต้องก้าวขาให้ทันโหรอีกด้วย

    โหรไม่ได้แนะนำตัวอะไรเพิ่ม เพราะคิดว่ามันไม่จำเป็น หากตามหาเด็กที่ชื่อรชตเจอก็จะหมดหน้าที่ แต่เขาเองก็ไม่มั่นใจว่าจะหาเจอหรือไม่ เขาตรวจจับสัญญาณชีวิตไม่ได้เลย หากเดาไม่ผิด ตาเวกต้องเอาตัวรชตไปแน่นอน

   ที่เขาต้องทำคือ ตามหาตัวตาเวก

    พรานกล้าเริ่มเพ้อด้วยพิษของแผลใหญ่ รอยตะปบที่หน้าท้องใหญ่ไม่น้อย มองปราดเดียวก็รู้ว่ามันรอยเท้าของเสือ และเป็นเสือตัวใหญ่ด้วย เขาเชื่อเรื่องที่พวกกุมภ์เล่า ตาเวกคือเสือสมิง ดังนั้นตาเวกที่เขาต้องตามหาคงไม่ใช่คนอีกต่อไปแล้ว

    โหรกระชับเปลไม้ไผ่ให้มั่นคงขึ้น มือกำแน่นที่ท่อนไม้ เหงื่อไหลอาบใบหน้า เริ่มปวดล้าที่ท่อนแขน แสงแดดในยามสายจัดแผดเผาต้นคอจนแสบร้อน แผ่นหลังชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ เช่นเดียวกับเด็กเมืองกรุงทั้งสี่ เขาเหลือบมองเด็กหนุ่มที่ชื่อกุมภ์อีกครั้ง รู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกันที่เด็กท่าทางสำอางผอมบางจะออกมาเดินป่าเสี่ยงอันตรายได้ แต่จะว่าไปแล้วเด็กพวกนี้คงไม่ได้ชื่นชอบการผจญภัยในป่ากว้างนัก คงแค่อยากจะหากิจกรรมยามว่างทำ โดยที่ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาก่อนว่าจะได้พบเจอกับเรื่องอันตราย

   ทว่าที่จริงแล้วป่าผืนนี้ไม่ได้น่ากลัวเหมือนที่เด็กเมืองกรุงพวกนี้เจอ เพราะทุกครั้งที่เขาเข้าป่าตั้งแต่เล็กด้วยซ้ำ สิ่งที่เขาพบเจอคือสิ่งน่าอัศจรรย์ของธรรมชาติ วิถีชีวิตของสัตว์ป่า พวกสิ่งเหนือธรรมชาติแทบไม่เคยพบ แต่ปู่ก็เตือนเสมอว่าเรื่องพรรค์นี้มีอยู่จริง ขอเราอย่าลบหลู่หรือท้าทาย ซึ่งเขาก็ทำตามมาโดยตลอด

    มนุษย์ต่างหากที่น่ากลัว เรื่องราว เหตุการณ์เหลือเชื่อต่างๆ เกิดจากฝีมือของตาเวก และไม่เคารพกฎของป่า

   เสียงลมหายใจเหนื่อยหอบดังขึ้นเป็นระยะ การเดินไปลานหินกินเวลานานกว่าปกติเพราะต้องหากร่างของพรานกล้าไปด้วย กว่าจะถึงจุดนัดหมายก็เกือบเที่ยง

   ลานหินกว้างไร้พืชขึ้นเวิ้งว้างเดียวดาย ทั้งสายลมและแสงแดดทำงานเต็มที่ ท้องฟ้าสดใสสว่างจ้าไร้วี่แววของเครื่องเฮลิคอปเตอร์ มีแต่เสียงจิ้งหรีดร้องเท่านั้น

   “เด็กคนนั้นจะทำสำเร็จไหม” พันนาเอ่ยถาม ยกคอเสื้อขึ้นเช็ดเม็ดเหงื่อหลังจากวางพรานกล้าลง ท่อนปวดล้าไปหมด

   “จอมไม่เคยทำอะไรพลาด” โหรบอกสั้นๆ มั่นใจในฝีมือและฝีเท้าของเด็กแห่งพงไพรคนนี้...




*ตอนนี้ยาวมากเลย*

**หากพบเจอคำผิด ต้องขออภัย**

***ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนท์***

****เจอกันตอนหน้าค่ะ****
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 6 : ผู้ช่วยเหลือ] 15/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 15-10-2019 21:18:02
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 6 : ผู้ช่วยเหลือ] 15/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 15-10-2019 22:05:37
ลุ้นทุกตอน จอมเอ๊ย เอาฮ.มาให้ได้นะ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 6 : ผู้ช่วยเหลือ] 15/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 15-10-2019 22:13:05
สนุกมากๆ ชอบๆ นึกว่าดูหนังอยู่เลย
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 6 : ผู้ช่วยเหลือ] 15/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 15-10-2019 22:59:50
ขอให้จอมลงเขาได้อย่างปลอดภัย
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 6 : ผู้ช่วยเหลือ] 15/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: .B.F.I.R.S.T. ที่ 15-10-2019 23:40:47
ลุ้นนน ว่าแต่ใครเป็นพระนายกันละเนี่ยย


Sent from my iPad using Tapatalk
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 6 : ผู้ช่วยเหลือ] 15/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 16-10-2019 06:52:10
ลุ้น ขอให้ชต ยังมีชีวิตรอดด้วยเถอะ ประสบการณ์ ที่ได้เจอ ไปบอกต่อ กับคนภายนอกได้
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 6 : ผู้ช่วยเหลือ] 15/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: tpxqrz_taro ที่ 16-10-2019 07:29:51
สนุกมากค่ะ ลุ้นทุกตอน รอๆ :mew1:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 6 : ผู้ช่วยเหลือ] 15/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: tpxqrz_taro ที่ 16-10-2019 07:30:53
ลุ้นๆ :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 6 : ผู้ช่วยเหลือ] 15/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 16-10-2019 08:00:26
 o13 :pig4: o13
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 6 : ผู้ช่วยเหลือ] 15/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: ง่วงนอน ที่ 16-10-2019 10:01:58
สนุกมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 6 : ผู้ช่วยเหลือ] 15/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 16-10-2019 10:52:30
เครล่ะ พันนาคิดกับเพื่อนกุมภ์มากเกินเพื่อนธรรมดา
 :mew3:
แต่ ๆๆๆ อย่าโกรธนะ คือ ทะแม่งๆ คิดระแวงพันนาไม่หยุดจริงๆ
นี่คิดไปไกลว่าครั้งก่อนที่พันนาเข้าป่ามา น่าจะเคยเจอตาเวกแล้ว
ไม่แน่ว่า ตาเวกกับพันนาอาจเป็นเครือญาติกัน
หรือไม่เกี่ยวข้องกันหรอก แต่ตาเวกอาจจะยื่นข้อเสนอที่พันนาอยากได้
เลยพาเพื่อนๆ คนเป็นๆ มาเซ่นตาเวกซะเลยงี้

เชียร์พันนาเป็นพระเอกคู่กุมภ์อยู่นะ ถึงจะแบดในความคิดเราไปบ้าง แต่พันนาน่าจะหล่อและเท่น่าดู อิ๊ววววววว

งานนี้พี่โหร น้องจอม พรานกล้า ต้องจับมือกันต่อกรกับเสือสมิงเวกแอนด์ทีมเดะโกสต์แล้น สนุกแน่ๆ
 :hao7:
โอยยยยยยย อยากอ่านต่อ
กดบวกขอบคุณรัวๆ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 6 : ผู้ช่วยเหลือ] 15/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: nizxx ที่ 16-10-2019 14:26:08
โอย อ่านไปลุ้นไป กว่าจะเจอก็งานหินแล้ว แต่พอเจอแล้วนี่สิ ดันเจอไม่ครบ ไม่พอยังเจอแล้วไม่รู้จะเอาชีวิตรอดกลับไปได้เท่าที่ทำได้ไหม ทำไมรู้สึกพลิกโพแปลกๆนะ เข้าป่าครั้งนึงคือจดจำไปจดวันตายเลยอะ พฤติกรรมคือเปลี่ยนไปเลยตลอดชีวิต พันนาต้องโทษตัวเองอยู่แล้วแน่ๆ พี่โหรคือเท่มาก หล่อมาก แบบมันอุ่กอั่กๆ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 6 : ผู้ช่วยเหลือ] 15/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: sawangpong ที่ 17-10-2019 00:01:36
 อ่านไปลุ้นไปจริงๆ​ ขอบคุณมากๆกับนิยายดีๆ​
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 6 : ผู้ช่วยเหลือ] 15/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 17-10-2019 11:14:03
 :o8: :o8: รอค่ะ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 6 : ผู้ช่วยเหลือ] 15/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 17-10-2019 20:53:12
รอเหมียนเดิมมมม^^
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 6 : ผู้ช่วยเหลือ] 15/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 18-10-2019 22:15:06
น้องกุมภ์ก็คือปลื้มพี่โหรแล้ว บอกเลยไม่ใช่แค่คนในเรื่องอุ่นใจ เราก็อุ่นใจด้วยพอมีพระเอก(?)อยู่
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 6 : ผู้ช่วยเหลือ] 15/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวลูกไก่ ที่ 19-10-2019 17:46:44
ภาวนาให้ถึงมืหมอไวๆนะคะ พี่โหรนี่เหมือนแสงสว่างเลยอ่ะ พี่โหรน้องกุมภ์ใช่มั้ยคะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 6 : ผู้ช่วยเหลือ] 15/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: night-nnc ที่ 20-10-2019 12:29:14
สนุกกกก จอมสู้ๆๆๆๆ
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 6 : ผู้ช่วยเหลือ] 15/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 20-10-2019 20:46:50
โอ๊ยสนุก ให้บรรยากาศแบบเพชรพระอุมา รออ่านอย่างใจจดใจจ่อนะคะ
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 7 : มิตรใหม่] 23/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 23-10-2019 20:10:07
ตอนที่ 7 มิตรใหม่


    อาการของพรานกล้าสาหัสไม่น้อย เสียเลือดมาก บาดแผลเหวอะหวะ และมีอาการติดเชื้อ แต่โชคดีที่ถูกส่งตัวเข้ารักษาได้ทันเวลา แม้ว่าตอนนี้พรานหนุ่มใหญ่จะยังไม่ฟื้น แต่คุณหมอเจ้าของไข้ยืนยันว่าพรานกล้าปลอดภัยแล้ว

     คะนิ้งอีกคนที่มีอาการน่าเป็นห่วง เพราะเธอนอนแช่อยู่ในน้ำมานาน ผิวหนังเหี่ยวย่น มีภาวะขาดน้ำ ใบหน้าเหลืองซูบซีด ต้องนอนโรงพยาบาลหลายคืนเพื่อรอดูอาการ ส่วนคนอื่นๆ คุณหมออนุญาตให้กลับไปพักผ่อนที่บ้านได้หลังจากได้รับน้ำเกลือไปคนละกระปุก

   พันนาและคนอื่นๆ ถูกตำรวจเชิญตัวไปให้ปากคำ ทุกคนลงความเห็นกันก่อนแล้วว่าจะไม่เล่าเรื่องที่เกิดในป่าให้ใครฟัง เพราะไม่อยากถูกมองว่าเป็นคนเสียสติ และเชื่อเหลือเกินว่าคงไม่มีใครเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง เลยให้การกับเจ้าหน้าที่ไปว่า ระหว่างที่จะเดินทางกลับ พวกเขาถูกเสือตัวใหญ่เล่นงาน แต่โชคดีที่โหรและจ้าวจอมมาช่วยเอาไว้ได้ ไม่มีใครสงสัยในคำให้การและเร่งระดมกันตามหารชตที่ยังหลงอยู่ในป่า

   พ่อแม่ของรชตเดินทางมาจากรุงเทพฯ เช่นเดียวกันกับพ่อแม่ของคนอื่นๆ เว้นเสียแต่บิดาของชาร์ลที่ยังอยู่ในอเมริกาเพราะมีงานล้นมือ พ่อแม่ของรชตขวัญเสียมาก ร้องไห้เป็นลมเสียหลายรอบเมื่อรู้ว่าลูกชายไม่ได้กลับออกมาจากป่า

    โหรและจ้าวจอมได้ค่าแรงครบถ้วน แถมยังได้ทิปพิเศษมาอีกก้อนใหญ่จากครอบครัวเพื่อนๆ ของพันนา เว้นจากครอบครัวของรชต เจ้าหน้าที่ป่าไม้ระดมคนค้นหารชต ใช้แม้แต่สุนัขดมกลิ่น ทว่ายังไร้เงาของรชต

    “พี่ว่าไอ้คนที่ชื่อชตนั่นไปอยู่ที่ไหน” จ้าวจอมเอ่ยถามคนโตกว่า ขณะที่กัดข้าวโพดต้มสีเหลืองทองอุ่นๆ เข้าปาก

   “อยู่กับตาเวก”

    “แต่...แต่ตาเวกอะไรนั่นไม่ใช่คนนะครับ” คนที่ยังไม่ใช่จ้าวจอมหากแต่เป็นหนุ่มเมืองกรุงที่ชื่อกุมภ์

    กุมภ์เป็นเด็กหนุ่มผิวขาวจัด ดวงตากลมใสเป็นประกาย จมูกโด่งเป็นธรรมชาติ คิ้วสีเข้มตัดกับสีผิว ริมฝีปากสดระเรื่อ รูปร่างติดผอมบาง แต่สูงกว่าจ้าวจอมอยู่หลายเซนทีเดียว

   “จะตัวอะไรก็ช่าง แต่มันก็เอาตัวเพื่อนคุณไปแล้ว” โหรสรุปความ ยอมรับอย่างลูกผู้ชายเลยว่างานนี้หนักหนาสาหัสทีเดียว ที่เคยปะมือมาก็มีแค่โรคร้ายที่มาจากสิ่งเหนือธรรมชาติ หรือสัตว์ป่าดุร้าย ยังไม่เคยปะทะกับอมุษย์หรือภูตผีปิศาจจังๆ สักครั้ง

    ตอนเด็กๆ ปู่ชอบเล่าเรื่องปีให้ฟัง ทั้งผีป่า ผีบ้าน มีอยู่ครั้งหนึ่ง เมื่อครั้งยังเยาว์วัยอ่อนเดียงสา อายุคงราวประถมสาม ตอนนั้นเขานอนเล่นที่ชานบ้าน เห็นคนแก่น่าจะเป็นผู้หญิง สวมชุดพื้นเมืองสีดำ ผมขาวทั้งหัวมายืนด้อมๆ มองๆ หน้าบ้าน พอเขาเอ่ยทัก หญิงชรานั่นก็ทำท่าเหมือนจะยิ้มให้ แล้วก็เดินหนีไป ตกกลางดึก เขาได้ยินเสียงคนเดินขึ้นบันไดแล้วมาหยุดที่ปลายมุ้งนอน พอลืมตามองก็เจอกับเงาร่างคล้ายคนแก่ ทว่ามวยผมที่เกล้าไว้ มันทำให้เขารู้ทันทีว่าร่างนั้นคือร่างของหญิงชราที่เห็นเมื่อกลางวัน เขาร้องเรียกปู่ เพียงแค่อึดใจเดียวปู่ก็ปรากฏตัวขึ้น สอบถามพอได้ความ ท่านก็ทำสายสิญจน์คล้องคอให้ กำชับไม่ให้เขาออกนอกรั้วบ้านถึงสามวันสามคืน พอเข้าวันที่สี่ก็มีข่าวว่ายายบัวไหล ที่อาศัยอยู่ท้ายหมู่บ้านตายกะทันหัน แถมสภาพศพยังแปลกประหลาด ทั้งที่เพิ่งตายได้แป๊บเดียว แต่ศพกลับเหี่ยวแห้ง กลิ่นเหม็นสาบคลุ้งไปทั่ว ปู่กลับมาเล่าให้ฟังว่า หญิงชราที่เขาเห็นก็คือยายบัวไหลนั่นเอง แกถูกผีปอบสิง ผีปอบในที่นี้ไม่ใช่ผีที่เที่ยวจกตับ จกไส้คนกินเหมือนในหนังในละครหลังข่าว หากแต่เป็นผู้ที่มีวิชาอาคม และไม่อาจควบคุมได้ วิชานั่นเลยปลายเป็นผีร้ายทำลายตัวเจ้าของเสียอีก วันที่ยายบัวไหลมาที่บ้าน ก็เพราะต้องการใครสักคนสืบถอดวิชา เนื่องจากแกไม่มีลูกหลานหลงเหลือแล้ว และเขาก็มีจิตวิญญาณที่ผีปอบในร่างยายบัวไหลต้องการ โชคดีที่ปู่จัดการได้ก่อนที่เขาจะกลายเป็นทายาทปอบไป

   แต่นั่นก็ไม่ใช่การปะทะฝีมือ แค่พบเจอมาเท่านั้นเอง ส่วนวิชาทางด้านนี้ที่ปู่สอนไว้ ก็ยังไม่เคยเอาออกมาใช้อย่างจริงจังสักที

    “แล้วเราจะทำยังไง ผมไม่อยากเสียเพื่อนไป”

    กุมภ์ถอนหายใจเสียงดัง ดวงตาเศร้าหมองหดหู่ จนถึงตอนนี้ยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นเรื่องจริง ทั้งสัตว์ป่าดุร้าย ภูตผี วิญญาณ มันเป็นเรื่องเหนือจินตนาการทั้งสิ้น เขาไม่กล้าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังแม้แต่คนในครอบครัว ตอนที่ตำรวจมาสอบปากคำ เขาได้แต่กล่าวถึงเสือตัวใหญ่ แต่ไม่ได้พูดถึงผีดิบ หรือวิญญาณผู้หญิงตนนั้น

   “พี่โหร..” จ้าวจอมกระแซะตัวเบียด “เราหารายได้เพิ่มกันดีไหม”

   โหรมองดวงตากราวระยับอย่างคนเจ้าเล่ห์ของจ้าวจอม รู้ได้ทันทีว่าไอ้เจ้าเด็กตัวแสบนี่คิดอะไรอยู่ “ไม่เอา กูไม่เก่งพอจะสู้กับตาเวกหรอก”

    “เอ้า! ไม่ลองจะรู้เหรอ” จ้าวจอมไม่ยอมแพ้ “เท่าที่ฟังๆ มา ตาแก่นั่นก็เก่งแค่เลี้ยงผีกับแปลงร่างเป็นเสือ แต่พี่โหรเก่งสารพัดด้าน ปู่เหมต้องสอนวิชาพี่โหรเอาไว้สู้กับพวกนี้บ้างแหล่ะ”

    “กูเหนื่อย กูอยากพัก” โหรปฏิเสธอีกครั้ง เหลือบมองใบหน้าของเด็กหนุ่มเมืองกรุงอีกครั้ง “คุณเองก็กลับบ้านไปเถอะ แล้วอย่ากลับมาที่นี่อีก”

    “ทำไมล่ะ” กุมภ์ถาม

   “เพราะมันไม่เหมาะกับคุณ”

   กุมภ์มองตามแผ่นหลังกว้างของ ‘หมอโหร’ เพิ่งรู้จากปากของจ้าวจอมมาว่าโหร คือ หมอโหร ของคนในหมู่บ้านนี้ ถึงจะถูกเรียกว่าหมอ แต่ลักษณะภายนอกไม่เหมือนหมอสักนิด รูปร่างสูงใหญ่ ผิวเข้มคร้ามแดด ร่างกายแข็งแกร่ง ใบหน้าเรียกได้ว่าหล่อเหลา รอยเคราจางๆ รอบลูกคางยิ่งเพิ่มความดิบเถื่อนกลบคำว่าหมอหมดสิ้น จ้าวจอมเลยอธิบายคำว่าหมอให้ลงลึกขึ้น หมอโหรของชาวบ้านมีหน้าที่รักษาโรคที่เกิดจากมนต์ดำ ไสยศาสตร์ แบบที่การแพทย์สมัยใหม่รักษาไม่ได้ โหรมีคาถาอาคม ยาสมุนไพร ตำราโบราณที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากปู่ ที่สำคัญโหรยังเดินป่าเก่ง ป่าแถวนี้เดินคล่องปรื๋อเหมือนเดินชมสวน รู้ว่าจุดไหนอันตราย และจุดไหนปลอดภัย ดีแล้วที่โหรไม่ได้ยึดอาชีพพรานป่า ไม่อย่างนั้นพรานละแวกนี้ตกงานกันหมด

    จ้าวจอมถอนหายใจเสียงดังหลายรอบด้วยท่าทางขัดใจ ข้าวโพดที่ซื้อติดมือมาจากหน้าโรงพยาบาลหมดไปแล้วสองฝัก สำหรับเด็กวัยเจริญเติบโต กินแค่นี้มันจะไปอิ่มท้องอะไร จ้าวจอมเลยจัดการกล้วยทอดเจ้าประจำไปอีกสองชิ้นติด ปากมันวาวเหมือนทาลิปบาล์ม

    “คุณอยากตามหาเพื่อนไหม” จ้าวจอมถามขณะที่ปากยังเคี้ยวกล้วยทอด

    “อยากสิ” กุมภ์ตอบทันควัน ถึงจะโดนโหรไล่กลับบ้านแต่ก็ไม่คิดจะกลับจริงๆ จนกว่าเรื่องที่ค้างคาใจจะจบลง

    สองวันแล้วที่ได้ออกมาจากป่าอันตราย เพราะความช่วยเหลือจากโหรและจ้าวจอม รายหลังเก่งเกินตัวจริงๆ ตัวเล็ก แต่รวดเร็ว คล่องแคล่ว ทั้งเดินทั้งวิ่งฝ่าต้นไม้หนา ไม่หลงทิศหลงทาง ด้วยความชำนาญทำให้ไปเจอกับเจ้าหน้าที่นายหนึ่งที่เพิ่งจะออกตามหากลุ่มของพันนาตามคำขอร้องของครอบครัว ไม่ถึงชั่วโมงหลังจากเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง เฮลิคอปเตอร์ก็ลงจอดที่ลานหิน ร่างของพรานกล้าถูกส่งตัวขึ้นไปพร้อมกับคะนิ้งและชาร์ล ส่วนคนที่เหลือมีเรี่ยวแรงพอจะกลับเองได้

     ทันทีที่พวกเขาปรากฏตัว คนในครอบครัวที่มารอฟังข่าวก็โผเข้ากอดด้วยความเห็นห่วง กุมภ์ยังจำดวงตาที่เอ่อท้นด้วยน้ำตาของคุณมาลัย มารดาของรชตได้ติดตา ท่านร้องไห้หนักจนเป็นลมไปสองรอบเมื่อรู้ว่าหาตัวบุตรชายเพียงคนเดียวไม่เจอ แม้เจ้าหน้าที่จะปลอบใจว่าไม่พบศพ อาจจะหมายความว่ารชตยังมีชีวิตอยู่ แต่ท่านก็ยังไม่ดีขึ้น

    ส่วนพันนา ถูกบิดาตำหนิชุดใหญ่ ภาพถ่ายที่พันนาเก็บได้อยู่ในเมมโมรี่การ์ดอย่างปลอดภัย แต่กล้องคู่ใจพังชนิดที่ซ่อมไม่ได้ เพราะถูกกองทัพผีดิบของพรานเวกเล่นงาน ทว่าคำให้การกับตำรวจกลายเป็นถูกเสือใหญ่เล่นงานจนเต็นท์พังพินาศเป็นแถบ

    ครอบครัวของพรานกล้าแห่กันมาเยี่ยม ค่าใช้จ่ายในการรักษาและค่าทำขวัญอีกสองหมื่นบาทเป็นสิ่งที่บิดาของพันนาขอรับผิดชอบ ไม่มีใครกล่าวโทษพวกเขา แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้นสักนิด

   “ไปอ้อนพี่โหรสิ”

   “อ้อน?” กุมภ์หันไปมองเด็กหนุ่มหน้าตาดี ปากมันวาวเพราะกล้วยทอด

   “อือ” จ้าวจอมพยักหน้า “ลองดู พี่โหรน่ะใจดี แต่ติดปากแข็งไปหน่อย”

   “แล้วทำไมนายไปทำเองล่ะ”

   “ก็ผมไม่ได้เป็นคนจ้างนี่” จ้าวจอมยักคิ้ว “พวกคุณมีเงินไม่ใช่เหรอ เสนอราคาไป แต่บอกไว้ก่อนนะว่าห้ามต่อรองเพราะงานช้าง”

   “แล้วเขาจะยอมเหรอ ขนาดนายเขายังปฏิเสธ” กุมภ์ไม่แน่ใจ เรื่องเงินไม่มีปัญหา แต่เขาไม่ได้สนิทกับโหรมากถึงขนาดจะไป ‘อ้อน’ อย่างที่จ้าวจอมแนะนำ

    “ไม่ลองจะรู้เหรอ” จ้าวจอมยังยุต่อ “พี่โหรน่ะโคตรเก่ง แค่พรานแก่ๆ ประสาทกลับทำไมจะสู้ไม่ได้”



    
    จ้าวจอมกลับจากโรงพยาบาล หลังจากได้รับข่าวจากพี่พยาบาลคนสวยกว่าอาการของพรานกล้าดีขึ้นมาก แผลไม่มีเลือดออกมาแล้ว ส่วนคะนิ้งและชาร์ล หมออนุญาตให้กลับบ้านในวันพรุ่งนี้

   เสียงเพลงในหูทำให้คิดถึงตัวเลขในสมุดบัญชี ถึงงานจะหนักเสียหน่อย แต่ค่าตอบแทนงามสมความเหนื่อยยาก แต่ถ้าพี่โหรรับงานออกตามหาคนที่ชื่อรชตอะไรนั่นอีกงาน เงินในบัญชีจะทะยานขึ้นสู่หลักแสนเลยทีเดียว

   จ้าวจอมขยับหูฟังให้แน่นขึ้น มือล้วงในกางเกง เพลงลูกทุ่งสมัยคุณตาหนุ่มๆ เพราะหูอย่างบอกไม่ถูก ถึงเขาจะเกิดมาบนโลกได้เกือบ 18 ปี แต่กลับชอบฟังเพลงเมื่อ 30 ปีที่แล้ว มันมีมนต์ขลัง ท่วงทำนองเพราะเสนาะหู ชวนให้ผ่อนคลาย ไม่เหมือนเพลงสมัยนี้ ที่เนื้อเพลงขาดความอ่อนหวานของตัวอักษร ทำนองก็ขัดหู นักร้องบางคนเอาดีทางการเต้นแทนการร้อง ใส่สั้นเสมอหู เต้นส่ายเอว ส่ายสะโพก แต่เพลงกลับห่วยบรม

   เกือบจะห้าโมงเย็นแล้ว เขาแยกกับกุมภ์เมื่อครู่ใหญ่ๆ นี่เอง รายนั้นดูเหมือนจะคิดหนักไม่น้อยเมื่อเขาเสนอให้ไปอ้อนพี่โหรเรื่องตามหาตัวรชต แต่อะไรบางอย่างบอกกับเขาว่าอีกไม่กี่วันนี้จะได้เดินทางเข้าป่าอีกครั้งเป็นแน่ จ้าวจอมเดินเข้าร้านสะดวกซื้อ แต่ก่อนจะเลี้ยวเข้าผ่านบานประตูหางตาก็เหลือบเห็นการเคลื่อนไหวบางอย่าง

    จ้าวจอมไม่ยอมรับว่าตัวเองเสียมารยาทที่หันไปมอง ภาพของชายหญิงคู่หนึ่งที่กำลังออดอ้อนกัน ฝ่ายหญิงแต่งตัวอย่างผู้หญิงเมืองทันสมัย กระโปรงสั้นแค่หัวเข่า สายเสื้อเล็กเส้นเดียวเกี่ยวหัวไหล่ หน้าอกอิ่มล้นขอบเสื้อตัวบาง เส้นผมสีอ่อนดัดเป็นลอนคลื่น ริมฝีปากสีชมพูรูปกระจับขยับตามคำพูด มือทั้งสองข้างยกคล้องคอฝ่ายชาย

   ใช่ว่าไม่เคยเห็นภาพพลอดรักทำนองนี้  ถ้าหากหนึ่งในนั้นเป็นคนที่เขารู้จัก

   พันนา

    ลูกชายอันเป็นที่รักของคุณหญิงภิรมย์ กับคุณชาตรีผู้ครองตำแหน่งใหญ่ในกระทรวงใดกระทรวงหนึ่งที่เขาไม่ค่อยสนใจนัก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจังหวัดเล็กๆ แบบนี้จะมีคนใหญ่โตอยู่ด้วย แต่เพราะเป็นนายจ้าง เขาเลยได้รู้ว่าพันนาเป็นถึงลูกชายคนดังในแวดวงการเมือง มิน่าเล่าคุณหญิงภิรมย์ถึงได้ทำท่าจะเป็นจะตายตอนที่ตำรวจไม่ยอมรับเรื่องตอนที่พันนาหายตัวไป

    จ้าวจอมเบะปาก ตอนแรกเขาคิดว่าพันนาเป็นพวกลูกคุณหนู ไม่ค่อยประสาอะไร ที่ไหนได้กลับกลายเป็นเพลย์บอยเจ้าชู้เสียนี่ อย่างว่าหนุ่มเมือง มือไวใจเร็ว แถมมีเงินถุงเงินถัง สาวๆ ที่ไหนก็วิ่งเข้าใส่ อยู่อย่างเขาสิ เข้าป่าหาของมาขาย รายได้น้อยหอยสังข์ผู้หญิงที่ไหนจะชายตามอง จ้าวจอมนึกสงสารตัวเอง อายุก็ตั้งสิบแปดปีแล้วแต่ยังไม่มีแฟนไว้ให้อ้อนสักคน

   เด็กหนุ่มถอนหายใจทิ้งเรี่ยราด แล้วเดินผ่านบานประตูเลื่อนได้ของร้านสะดวกซื้อเข้าไปด้านใน

    แม่น้องสาวตัวอ้วน บ่นอุบว่าเบื่อเนื้อกวางตากแห้งแล้ว เขาเลยเลือกซื้อไส้กรอกรมควัน ไส้ชีส แบบเผ็ด และอีกสารพัดไปเอาใจ ไหนจะขนมปัง ขนมคบเคี้ยวอีกหลายห่อ เพราะหมู่บ้านที่อยู่ไม่มีร้านสะดวกซื้อแบบนี้ อย่างดีก็ร้านชำป้าสมหมาย ขนมปังแห้งๆ ไร้คุณภาพ กับขนมแบบหนีบแม็กใส่แผงกระดาษห่อละห้าบาท มันอร่อยเสียที่ไหน

    จ้าวจอมหอบขนมที่ขนซื้อมาวางลงบนเคาน์เตอร์ พนักงานคนสวย ผมยาวดำขลับ ส่งยิ้มหวานให้ เขาเต็มใจจะส่งยิ้มตอบ เธอหยิบแต่ละชิ้นคิดเงิน พวกไส้กรอกก็ถามว่าเวฟไหม เขาพยักหน้าหงึกหงัก เพราะที่บ้านไม่มีไมโครเวฟ กำลังจะควักเงินจ่าย แต่เสียงของใครบางคนก็ดังขึ้นแถวเหนือศีรษะเสียก่อน

   “คิดรวมเลยครับ”

   แผงหมากฝรั่งถูกยื่นแทรกเข้ามาอย่างเสียมารยาท จ้าวจอมเอี้ยวตัวหันไปมองก็เจอกับแผงอกค่อนข้างกว้าง เงยหน้ามองขึ้นไปเรื่อยๆ ก็พบกับลูกคางสะอาด ปลายจมูกโด่งและดวงตาที่หลุบมองมา

   พันนา?

หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 7 : มิตรใหม่] 23/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 23-10-2019 20:11:09
“ไม่ต้อง คิดแยกครับ” เขาปฏิเสธน้ำใจอีกฝ่าย ผลักแผงหมากฝรั่งให้ออกห่างถุงขนมของตัวเอง

   พนักงานคนสวยมองจ้าวจอมกับพันนาสลับกันไปมา ถามย้ำว่าให้คิดเงินอย่างไร จ้าวจอมยืนยันว่าจะจ่ายเอง แต่พันนากลับแตะบัตรสมาชิกของร้านแทน แล้วยกเลิกไม่ขอซื้อหมากฝรั่งของตัวเอง เท่ากับว่าสินค้าเกินสิบรายการ คิดเป็นเงินร่วมห้าร้อยบาทพันนาเป็นคนจ่ายทั้งหมด

   เพราะต้องรอไส้กรอกที่กำลังอุ่นร้อนอยู่ในเครื่องไมโครเวฟ ทำให้จ้าวจอมต้องทนอยู่กับพันนา ทั้งที่เบื่อหน้าแทบแย่ แม้จะเพิ่งเจอกันไม่กี่ครั้งก็ตาม

   “ยุ่งอะไรวะเนี่ย” จ้าวจอมบ่น หน้าย่นยู่ยี่

   “ยุ่งอะไร?”

   “จ่ายให้ทำไม ไม่ได้ขอสักหน่อย”

   ทั้งคู่ขยับออกห่างจากเคาน์เตอร์คิดเงิน เพราะมีคิวต่อ พันนาขยับเท้าตามเมื่อจ้าวจอมสาวเท้าก้าวเข้าไปด้านในตัวร้านเพื่อรอไส้กรอกหอมกรุ่นของตัวเอง

   “จะกลับแล้วเหรอ” พันนาชวนคุย “แล้วกลับยังไงอ่ะ”

    “ยุ่งอีกละ ตกลงชื่อพันนาหรือชื่อยุ่งวะ” จ้าวจอมทำเสียงหงุดหงิดใส่

   “ก็อยากคุยด้วย” พันนาบอกตรงๆ “กลับด้วยกันสิ เดี๋ยวไปส่ง”

    จ้าวจอมลังเล ก้มมองนาฬิกาสายพลาสติก ราคาร้อยเก้าสิบเก้าของตัวเอง อีกไม่กี่นาทีก็จะห้าโมงเย็นแล้ว รถสองแถวที่จะเข้าบ้านหมดตอนห้าโมงเย็นพอดี ถ้าพลาดเที่ยวนี้ก็ต้องเช่ารถมอเตอร์ไซค์เข้าไป จากแค่ยี่สิบบาทต้องกลายเป็นสองร้อยบาททันที ไร้กรอกก็ยังไม่เสร็จ หลังจากจ้องมองไมโครเวฟอยู่ร่วมครึ่งนาทีก็ตัดสินใจพยักหน้ารับ ดีเหมือนกันประหยัดค่ารถไปอีกหลายบาท

   จ้าวจอมหิ้วถุงขนมเต็มสองมือจนพันนาแอบขำ แต่พอเหลือบเห็นตาเขียวๆ ที่มองมาก็ต้องหุบยิ้ม แล้วเดินนำไปที่รถยนต์ญี่ปุ่นสีดำของตัวเอง

   “แล้วแฟนไปไหนอ่ะ” ถามเสร็จ จ้าวจอมก็หุบปากฉับ เพิ่งนึกได้ว่าตัวเองเพิ่งจะสารภาพความสอดรู้สอดเห็นของตัวเองออกไป

    “เห็นเหรอ?” พันนาเลิกคิ้วถาม แต่จ้าวจอมแกล้งนิ่งเฉย ทำเหมือนไม่เคยพูดอะไรออกไป คนโตกว่าส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มติดมุมปาก “เคยคบกันก่อนจะไปเรียนที่กรุงเทพฯน่ะ”

    “ใครอยากรู้วะ” จ้าวจอมกลอกตามองฟ้า “จะไปได้หรือยัง บ้านอยู่ไกลนะ”
    


    บ้านของจ้าวจอมอยู่ห่างจากอำเภอเมืองร่วมห้าสิบกิโลเมตร มีรถโดยสารประจำทางวิ่งวันละแค่สองเที่ยว ขาไปสอง ขากลับอีกสอง แต่จะมีรถรอบพิเศษตอนห้าโมงเย็น เป็นรถสองแถวที่บรรทุกของป่ามาขาย ตั้งแต่เช้าตรู่และกลับตอนห้าโมงเย็น หากพลาดรถเที่ยวนี้ก็จะต้องเหมารถมอเตอร์ไซค์รับจ้างกลับเอง ราคาก็ขึ้นอยู่จะต่อรอง สำหรับจ้าวจอมได้ในราคาถูกสุดสองร้อยบาท แต่มันก็ยังแพงมากอยู่ดีหากเทียบกับค่ารถสองแถว

   วันนี้โชคดีที่ไม่ต้องเสียค่ารถ แถมยังมีคนเลี้ยงขนมอีก จ้าวจอมแกะห่อมันฝรั่งทอดกินรองท้องก่อนจะถึงมื้อเย็น วันนี้แม่ทำแกงเผ็ดกวาง จำไม่ได้แล้วว่าเป็นมื้อที่เท่าไรสำหรับเจ้ากวางตัวใหญ่ที่พ่อได้มาเมื่อสัปดาห์ก่อน แต่ก็กินมันจนเบื่อแล้ว พวกคนเมืองยกย่องให้เนื้อกวางเป็นหนึ่งในสุดยอดเมนูอาหารป่า แต่คนที่หาของป่าอย่างพวกเขา มันจำเจพอๆ กับกินหมูกินไก่เลยทีเดียว

    พวกเนื้อสัตว์ที่อยู่ในป่าได้ราคาไม่ดีเท่าโสมป่าที่หายากเทียบเท่ากับรังนก กิโลหนึ่งหลายพันบาท สรรพคุณมากหลาย คนจีนชอบมากเห็นว่าช่วยบำรุงสุขภาพเป็นเคล็ดลับอายุยืน ดังนั้นแทบจะทุกครั้งของการเข้าป่าจ้าวจอมจะมีจุดประสงค์หลักๆ คือหาโสมป่า ส่วนพวกกวาง หรือไก่ป่าเป็นแค่ผลพลอยได้

    รถยนต์คนหรูติดแอร์เย็นเฉียบ วิ่งไปบนถนนลูกรังหักหลบหลุมบ่อเป็นระยะ คนขับดูจะตั้งใจเป็นพิเศษเพราะไม่ค่อยจะชินกับเส้นทางนัก จ้าวจอมเหลือบมองใบหน้าด้านข้างของพันนาเป็นระยะ ไม่อยากจะยอมรับหรอกว่าพันนาหน้าตาดี แต่หลักฐานค่อนข้างชัดเจน ทั้งตา จมูก ปาก หรือผิวพรรณ ดูต่างจากคนท้องถิ่นมากทีเดียว ไม่ใช่แค่พันนา แต่เพื่อนๆ ของอีกฝ่ายด้วย ยิ่งคนที่ชื่อชาร์ล มีเชื้อฝรั่ง รูปร่างสูงใหญ่ ผิวขาวอมชมพู ตาเป็นสีเขียว เหมือนพระเอกในละครหลังข่าวที่น้องสาวชอบดู

    “อยากคุยอะไร ก็รีบพูดมา” จ้าวจอมเร่ง ตั้งแต่นั่งรถมาร่วมสิบกิโล พันนายังไม่พูดอะไรสักคำ ทั้งที่บอกว่ามีเรื่องอยากจะคุยด้วย

   “เดี๋ยวก่อน คนกำลังใช้สมาธิ” พันนาปฏิเสธ ตาจ้องเขม็งไปยังถนนเบื้องหน้า “ทำไมไม่ลาดยางหรือเทคอนกรีตวะ มีแต่หลุม”

   “ถามพ่อคุณดูสิ เป็นถึงคนใหญ่คนโตแต่แค่ถนนบ้านเกิดตัวเองยังทำให้ดีไม่ได้”

   พันนารู้สึกจุกไม่ยอกกับคำพูดเหน็บแนมของเด็กหนุ่มที่ยังไม่พันวัยมัธยม แต่ก็เถียงไม่ออกเพราะมันคือความจริง จังหวัดนี้มีหลายส่วนยังไม่ได้รับการพัฒนา ความเจริญไปกระจุกแค่สถานที่ท่องเที่ยว แต่ชาวบ้านหลายตำบลยังต้องใช้ถนนลูกรังฝุ่นแดงอยู่

    “ที่บ้านมีใครอยู่บ้าง” พันนาเปลี่ยนเรื่องคุย ก่อนที่พ่อของตนจะโดนเด็กถอนหงอกไปมากกว่านี้

   “พ่อ แม่แล้วก็น้อง จะอยากรู้ไปทำไม” จ้าวจอมถามกลับ

   “มีน้องด้วยเหรอ” พันนานึกสงสัย ท่าทางจ้าวจอมไม่เหมือนคนเป็นพี่สักเท่าไร “กี่ขวบแล้วล่ะ”

    “13” จ้าวจอมตอบห้วนๆ ดูดนิ้วมือที่เปื้อนคราบมันฝรั่ง “อย่าบอกนะว่าเรื่องที่อยากคุยมีแค่นี้”

    “เปล่า....ยังไงดี ฉันไม่รู้จะเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาใคร” พันนาอึกอัก มือกำพวงมาลัยแน่นกว่าเดิม

   “ทำไม”

   “เพราะเขาจะคิดว่าฉันเป็นคนบ้าน่ะสิ”

   “แล้วคุยกับเด็กอย่างฉันจะได้เรื่องอะไร” จ้าวจอมส่ายหัว กินมันฝรั่งต่อ

   “เพราะนายกับโหรเท่านั้นที่รู้ว่าฉันเจออะไรมาบ้าง”

   เพราะสุขภาพที่ค่อนข้างแข็งแรง ทำให้เขานอนให้น้ำเกลือเพราะขาดน้ำอยู่แค่คืนเดียว วันรุ่งขึ้นก็ได้กลับบ้านพร้อมกับกุมภ์ที่ดูจะบาดเจ็บน้อยที่สุด อาการแพ้พิษต้นช้างร้องไม่เหลือให้เห็นเพราะยาของโหร แต่พวกเขากลับไม่มีความสุขเลย เพราะยังตามหาตัวรชตไม่เจอ อีกทั้งเขายังฝันร้าย ฝันว่ารชตมาขอความช่วยเหลือบอกว่าตนยังติดอยู่ในป่า หาทางออกไม่ได้ แน่นอนว่าเรื่องนี้นี้ไม่อาจเล่าให้ใครฟังได้ ยกเว้นพรรคพวกที่ร่วมชะตากรรม แต่เขายังไม่ได้เล่าให้ใครฟัง ไม่รู้ทำไมเหมือนกันที่จู่ๆ ก็นึกถึงสองหนุ่มที่บุกเข้าไปช่วยถึงในป่า

   “เพื่อนคุณเป็นยังไงบ้าง ผู้หญิงคนนั้นอ่ะ”

   พันนารู้ดีว่าจ้าวจอมหมายถึงคะนิ้ง “ปลอดภัยดีแล้วล่ะ เพิ่งฟื้นเมื่อวาน”

   คะนิ้งได้สติเมื่อเย็นวันก่อน ใบหน้าขาวเผือดเริ่มมีสีสันมากขึ้นเมื่อลืมตาตื่น ชาร์ลเฝ้าคนรักไม่ห่าง ทำหน้าที่ได้ดีกว่าพ่อและแม่แท้ๆ ของคะนิ้งเสียอีก นี่กระมังที่เรียกว่าความลำบากจะพิสูจน์รักแท้ แต่นอกเหนือจากความโล่งใจที่ได้เห็นคะนิ้งฟื้นคืนสติ แต่ทุกคนยังอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอในคืนนั้น

    คะนิ้งใช้เวลาหลายนาทีทีเดียวกว่าจะเรียบเรียงเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ เธอเล่าว่าคืนนั้นหลังจากที่ผลัดหลงกับชาร์ล เธอก็วิ่งเตลิดไปอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้ กระทั่งไปถึงริมลำธาร เธอก็เห็นชาร์ลกวักมือเรียกอยู่บนโขดหิน อารามดีใจเธอพุ่งกระโจนไปหาโดยลืมคำนึงไปว่าสิ่งที่เธอกำลังเหยียบย่ำอยู่นั้นคือสายน้ำ ก้าวแรก ก้าวสองไม่ลึกเท่าไร แต่ก้าวที่สี่ห้าดินโคลนใต้ฝ่าเท้ามันดูดจมลึกไปถึงหัวเข่า เธอดิ้นรนเอาตัวรอดท่ามกลางสายน้ำเย็นเยียบ เพียงชั่วอึดใจเดียวชาร์ลก็กลายร่างเปลี่ยนเป็นอมนุษย์น่าเกลียด หัวเป็นปลา เท้าเป็นคน พวกมันปรากฏตัวขึ้นรอบกาย พากันฉีกทึ้งเสื้อผ้าของเธอ พลางก่นด่าทำร้ายรื่องที่เธอทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยของพวกมัน เธอกรีดร้องลั่น ชั่วขณะนั้นอะไรบางอย่างก็พุ่งเข้ามาในคอ มันยาวเลื่อนเต็มไปด้วยเมือก กลิ่นคาวจัดเหมือนปลา ร่างกายเธอสั่นเหมือนถูกเขย่า หวาดกลัวจนแทบสิ้นสติ แล้วเธอก็หมดสติไปจริงๆ

   ‘ฉันฝัน...ฝันว่าตัวเองเป็นปลา กำลังว่ายน้ำอยู่ แล้วจู่ๆ น้ำก็ร้อนขึ้น เหมือนน้ำร้อนเลย มันเผาร่างกายของฉัน เนื้อตัวฉันไหม้ ผิวหลุดลอก เจ็บจนทนไม่ไหว’

    คะนิ้งเล่าไปร้องไห้ไป หลังจากที่ฝันว่าตัวเองเป็นปลาแล้ว เธอก็ถูกใครบางคนเรียก เธอเห็นอีกฝ่ายไม่ชัด ภาพมันเลือนรางเหมือนมีหมอกปกคลุม เธอรู้แค่ว่าน้ำเสียงของใครคนนั้นมันอ่อนโยน ผ่อนคลายความเจ็บปวดที่ได้รับ แล้วร่างกายที่เป็นปลาก็กลับมาเป็นคนปกติ สองเท้าเดินย่ำไปบนผืนหญ้านุ่ม กลิ่นหอมเหมือนดอกไม้ทำให้เคลิ้มฝัน เธอไม่รู้ว่าสถานที่ที่เธอยู่นั้นมันคือที่ไหน แต่มันสวยงามยิ่งกว่าภาพวาด แสงแดดรำไรรอดผ่านกิ่งไม้ ดอกไม้เบ่งบานงดงาม แล้วจู่ๆ เธอก็ได้ยินเสียงของชาร์ล

    ‘เสียงของชาร์ล ดังมาจากอีกทาง ตอนนั้นฉันลังเลว่าควรจะไปทางไหน เพราะฉันมองไม่เห็นชาร์ลเลย แต่ฉันเห็นแสงประหลาดมันส่องมาตรงหน้าแล้วเหมือนจะพาไปที่ไหนสักแห่ง แล้วฉันก็เดินตามมันไป เสียงชาร์ลชัดขึ้นเรื่อยๆ แล้วฉันก็ฟื้น’

    ไม่มีใครคิดว่าคะนิ้งแต่งเรื่องหลอก หรือเพ้อเจ้อเพราะอาการเจ็บป่วย ทุกคนเชื่อว่ามันคือเรื่องจริง คะนิ้งโชคดีที่โหรมาช่วยทัน เช่นเดียวกับคนอื่นๆ เหลือแค่รชตเท่านั้น ที่ไม่รู้ว่าโชคดีจะเหลือสักเท่าไร

    “อืม ดีแล้วล่ะ” จ้าวจอมรับคำในคอ ได้ยินเรื่องมาจากโหรว่าพบผู้หญิงคนนี้นอนเปลือยกายอยู่ข้างก้อนหิน เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล เสื้อผ้าหายหมดไม่เหลือสักชิ้น โหรเดาว่าเธอคงทำอะไรบางอย่างให้สิ่งที่อยู่ในลำน้ำไม่พอใจ แต่ดวงยังไม่ถึงฆาตเลยมีชีวิตรอดกลับมา

    ถนนลูกรังขรุขระ เปลี่ยนเป็นทางเท้าเล็กๆ มีที่รอยล้อรถยนต์เล่นไว้ ตรงกลางมีน้ำขัง หญ้าขึ้นสูงรกชัฏ ต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นสลับไปในระยะที่ห่างไปราวสิบเมตร แสงแดดจากธรรมชาติหมดแล้ว ซ้ำยังไม่มีแสงจากเสาไฟฟ้าข้างถนนอีก ทำให้แถวนี้มืดสนิทเหมือนอยู่ในป่าไม่มีผิด พันนาเพ่งมองไปยังทางเล็กๆ ใช้สมาธิมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว เพราะกลัวว่าหากหักพวงมาลัยผิดจังหวะอาจจะตกลงไปในหลุมพวกนั้น

   “ทำไมบ้านอยู่ไกลจัง” พันนาบ่นเบาๆ

   “ไม่คุ้นบ้างหรือไง” จ้าวจอมถามกลับ มองออกไปนอกหน้าต่าง ทิวทัศน์ด้านนอกมืดสนิท แต่พอมองเห็นเงาตะคุ่มที่อยู่ห่างออกไป “ฉันมันเด็กหน้าเขา หลังบ้านก็ป่าที่พวกคุณหลงนั่นแหล่ะ”

    พันนาหันมามองเด็กหนุ่มแวบหนึ่ง มิน่าเล่าเด็กคนนี้ถึงได้เชี่ยวชาญเดินป่านัก ยิ่งเมื่อวันที่ต้องไปตามคณะเจ้าหน้าที่ จ้าวจอมไวทายาทไม่รู้ว่าใช้ความเร็วเท่าไร เฮลิคอปเตอร์ถึงได้มาทันเวลาก่อนที่จะเสียพรานกล้าไป

     “แล้วอยู่กันยังไง เหมือนจะไม่มีไฟฟ้าด้วย”

   จ้าวจอมไม่ตอบ แต่คำตอบถูกเฉลยหลังจากนั้นอีกราวสิบห้านาที

    บ้านไม้สองชั้นหลังใหญ่ ตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นที่ร่วมสองไร่ บริเวณโดยรอบถูกล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่ รั้วบ้านเป็นปีกไม้ที่ถูกตีขึ้นง่ายๆ แต่ท่าทางแข็งแรง ต้นชมพูพันทิปเลื้อยพันรอบรั้วไม้ มีป้ายไม้แผ่นใหญ่ระบุบ้านเลขที่ เสียงหมาเห่าขรมตอนที่พันนาเคลื่อนรถเข้าไปจอดในตัวบ้าน ก่อนที่พวกมันจะกระดิกหางต้อนรับเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้าของ

   “พอๆ ไม่ได้ซื้อไก่มาฝากโว้ย แค่ของไอ้จ๋อมกูก็หมดตูดละ”

   พันนานึกขำ ขนมในถุงใหญ่เป็นเงินของเขาทั้งสิ้นแต่จ้าวจอมกลับไม่เอ่ยถึง เขาออกมายืนอยู่ข้างรถยนต์ มองบ้านไม้ด้วยอดทึ่งไม่ได้ เพราะเมื่อมาอยู่ใกล้ๆ แล้วถึงได้รู้ว่าทั้งเรือนปลูกด้วยไม้สักแท้ ถึงรูปทรงจะไม่ได้สวยเหมือนบ้านพักตากอากาศของพวกเศรษฐีแต่มันก็แข็งแรงและดูคลาสสิคไม่น้อย ที่ชั้นสองมีระเบียงที่ยื่นออกมาพร้อมกับม้านั่งตัวยาว บนนั้นมีเด็กสาวตัวอ้วนกลมกำลังชะโงกหน้าออกมามอง ใบหน้ากลมเต็มไปด้วยแป้งสีขาว ไม่บอกก็รู้ว่าเพิ่งอาบน้ำเสร็จได้ไม่นาน

   “พาใครมาด้วยอ่ะพี่จอม”

   “คนที่ช่วยไว้เมื่อวันก่อน” จ้าวจอมตอบสั้นๆ แต่กลับเรียกความสนใจจากคนอื่นๆ ได้ ทั้งจากเด็กสาวตัวกลมและผู้สูงวัยอีกสองคน

   “ลูกคุณชาตรีน่ะหรือ?” ผู้ที่เอ่ยถามเยี่ยมหน้าออกมาจากประตูชั้นล่าง ใบหน้าขาวโพลนด้วยแป้งกระป๋องเช่นกัน เรือนผมสีดำสนิทรวบเป็นหางม้าง่ายๆ สวมเสื้อคอกระเช้าสีตุ่น กับผ้าถุง เดาจากอายุคงจะไล่เลี่ยกับมารดาของเขา ข้างๆ กันนั้นคือชายวัยเลยห้าสิบปี รูปร่างผอมสูงท่าทางแข็งแรง ใส่เสื้อคอกลมกับกางเกงผ้าสีมอๆ

   “ใช่จ้ะแม่”

   จ้าวจอมเดินเข้าไปหาหญิงวัยกลางคน เธอยกมือลูบศีรษะทุยของบุตรชาย พลางละสายตาทางเขา พันนากระพุ่มมือไหว้ผู้หญิงทั้งสอง แนะนำตัวพอเป็นพิธี ดูท่าว่าทั้งสองคงรู้จักพ่อกับแม่ของเขาในระดับหนึ่ง ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะพวกท่านเป็นบุคคลมีชื่อเสียงของจังหวัด

    “ไปไงมาไงละนี่” พ่อของจ้าวจอมถาม ก่อนจะเอ่ยเชื้อเชิญเข้ามาในบ้าน

    ชั้นล่างเป็นใต้ถุงสูง แต่มีห้องครัวและห้องน้ำ รวมถึงเป็นที่เก็บอุปกรณ์เดินป่าของพรานน้าเอื้อ ซึ่งเป็นพ่อของจ้าวจอม แต่ตอนนี้ปลดระวางแล้วหันมาทำไร่ไถนาแทน เพราะป่าเริ่มหาของยาก สัตว์ป่าห้ามจับเนื่องจากเหลือน้อยเต็มที ส่วนนุชแม่ของจ้าวจอมไม่มีงานทำ ได้แต่ช่วยเหลืองานในไร่เท่าที่ทำได้ แต่ผลิตผลทางการเกษตรจากไร่ของพรานน้าเอื้อขายดีไม่น้อย เพราะใช้คำลงท้ายว่าอินทรีย์ คือไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ที่เป็นสารพิษ และใช้วิธีพึ่งพาธรรมชาติแทน

   “ผมมีเรื่องอยากให้จอมช่วยน่ะครับ” พันนาไม่อ้อมค้อม รู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเพราะต้องตกเป็นเป้าสายตาของทุกคน แม้แต่เด็กสาวตัวอ้วนที่เพิ่งรู้ว่าชื่อจ๋อมยังมองมาด้วยวามสนใจใคร่รู้

   “เรื่องเพื่อนที่ยังตามหาตัวไม่เจอใช่ไหม” อดีตพรานเอ่ยถาม “งานนี้มันยากไป ไอ้จอมทำไม่ได้หรอก อย่างมันก็ดีแต่ยิงกระรอกเอามาหลอกขายเด็กประถม” น้าเอื้อพูดติดตลก เลยได้ใบหน้าง้ำขอของบุตรชายมาเป็นของรางวัล “พวกเราไม่ได้เก่งขนาดนั้น วิชาความรู้ก็มีแค่หาสัตว์ แต่ตามหาคนหายต้องใช้คนเก่งจริงๆ”

   “พี่โหรไง” จ๋อมออกความเห็น ขณะที่กำลังแหวกถุงขนมจากเซเว่น แล้วก็ต้องตาโตเมื่อพบกับไส้กรอกสารพัดชนิด

   “จ๋อมอย่าเพิ่งกิน จะกินข้าวแล้ว” นุชเตือนลูกสาวคนเล็ก แล้วเอ่ยชวนให้พันนาอยู่กินข้าวเย็นด้วยกัน “กินข้าวด้วยกันนะคุณ”

   น้ำใจของคนต่างจังหวัดมีมากกว่าคนกรุงเทพฯ กับข้าวง่ายๆ แค่ไม่กี่อย่างแต่กลับน่ากินได้อย่างไม่น่าเชื่อ น้ำพริกกะปิ ปลานิลทอดตัวโต ดอกโสนผัดน้ำมัน ไข่เจียวจานใหญ่ และต้มยำไก่บ้านพริกทุบทำเอาหนุ่มที่เสพติดการกินอาหารจานเดียวต้องเผลอกลืนน้ำลาย นึกอิจฉาจ้าวจอมที่ได้กินอาหารครบห้าหมู่อย่างนี้ทุกวัน ที่เพิ่มมาอีกอย่างก็คงจะเป็นไส้กรอกจากเซเว่นของฝากที่จ้าวจอมซื้อมาให้น้องสาว

   “ผมอยากรู้ว่าเพื่อนของผมยังมีชีวิตอยู่ไหม” พันนาถามในสิ่งที่อยากรู้ ขณะที่ตักข้าวพร้อมต้มยำไก่เข้าปาก

   อดีตพรานมากประสบการณ์วางช้อนข้าวลง สีหน้าเคร่งเครียด “บอกยาก ถ้ามันเป็นไปตามที่ไอ้จอมว่า เพื่อนคุณมีสิทธิ์ที่จะตกเป็นบริวารไอ้เวกสูง”

   “แล้วทาสมันเป็นยังไงเหรอครับ”

   “ก็เป็นครึ่งผีครึ่งคนไง” จ้าวจอมตอบแทน “อยู่ก็ไม่ได้ ตายนรกก็ไม่รับ”

   พันนาทำหน้าสงสัย น้าเอื้อเลยขยายความต่อ “เมื่อหลายปีก่อน คนหนุ่มในหมู่บ้านเราหายไปหลายคน บ้างก็ว่าถูกผีแม่หม้ายเอาตัวไป เพราะลักษณะการตายคล้ายกัน แค่นอนหลับแล้วก็ตายไปเลย แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่รู้ว่าคนหนุ่มพวกนั้นตายได้ยังไง แม้แต่พระในวัดยังหาสาเหตุไม่ได้ แต่เท่าที่ฟังไอ้จอมเล่า ผมคิดว่าคนพวกนั้นน่าจะถูกไอ้เวกเอาตัวไปทำบริวาร”

   “ก็กองทัพผีดิบที่คุณเห็นไงล่ะ” จ้าวจอมบอก ก่อนจะตักน้ำต้มยำสูดเสียงดัง เลยโดนแม่ตีไหล่ดังเพี๊ยะ

   “แล้วผมจะทำยังไงดี” พันนาร้อนใจ ภาพในฝันราวกับจะบอกว่ารชตยังไม่ตาย แต่ถ้าหากชักช้ากว่านี้เขาอาจจะเสียเพื่อนสนิทไปจริงๆ

   “ถ้าเพื่อนคุณอ้อนวอนพี่โหรสำเร็จ คุณก็อาจจะได้เพื่อนคืน”

   “อ้อนวอน?”

    “ใช่” จ้าวจอมยักคิ้วให้ “แต่ค่าจ้างน่าจะสูงโข เพราะไอ้ตาเวกนี่น่ากลัวยิ่งกว่าผี เป็นผีเป็นคนหรือเป็นเสือยังไม่รู้เลย”


*พักเบรกความสะพรึงแป๊บ*

**พยายามจะแต่งให้คู่นี้ออกมาดี ได้แค่นี้เอง แง**

***โปรดติดตาม และรอความช่วยเหลือจากพี่โหร***
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 7 : มิตรใหม่] 23/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 23-10-2019 20:56:25
สรุปเป็น พี่โหรกับกุมภ์ พันนากับจอมสินะ รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 7 : มิตรใหม่] 23/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 23-10-2019 21:14:28
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 7 : มิตรใหม่] 23/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 23-10-2019 21:26:01
ขนลุกทุกครั้งที่อ่านเรื่องนี้ ถ้ามีโอกาสเข้าป่า สัญญาเลยว่าจะใช้ความสุภาพสุดๆ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 7 : มิตรใหม่] 23/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 23-10-2019 22:03:00
ทำไมชอบคู่นี้มาก ดูคืบหน้ากว่าฝั่งหมอโหรอีกค่ะ ตื่นเต้น คิดว่าต้องได้เข้าป่าอีกรอบแน่นอน ถ้าคุณพี่โหรเจอลูกอ้อนไป  :hao5:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 7 : มิตรใหม่] 23/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวลูกไก่ ที่ 23-10-2019 22:32:58
น้องเจ้าจอมมมม คู่นี้ก็ดีค่ะ ออกเป็นแนวคู่กัดกันถึงน้องจะเป็นคนตีฝั่งเดียวก็เถอะ อยากเห็นพี่โหรตอนโดนอ้อนแน้วว อิพี่จะเสียอาการมั้ยนะ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 7 : มิตรใหม่] 23/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 23-10-2019 23:01:40
โหร-กุมภ์  พันนา-จัาวจอม. สองคู่
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 7 : มิตรใหม่] 23/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 24-10-2019 00:46:43
รอตอนต่อไปนะครัช
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 7 : มิตรใหม่] 23/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: .B.F.I.R.S.T. ที่ 24-10-2019 01:27:37
อ้าว เรือล่มเฉยเลย5555 นึกว่าจะเป็นโหรจอม
แต่พันนาจอมก็น่ารักดีค่ะ ไม่ค่อยอินกับโหรกุมเท่าไหร่เลยแหะ


Sent from my iPad using Tapatalk
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 7 : มิตรใหม่] 23/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 24-10-2019 01:33:10
มีคู่กันครบแล้ว
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 7 : มิตรใหม่] 23/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 24-10-2019 11:07:27
อยากรู้ น้องกุมภ์จะอ้อนพี่โหรยังงายยยยยยย
 :mew3:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 7 : มิตรใหม่] 23/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: sawangpong ที่ 24-10-2019 12:37:35
รออ่านตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ​
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 7 : มิตรใหม่] 23/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 24-10-2019 12:47:31
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 7 : มิตรใหม่] 23/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 24-10-2019 19:56:36
โอ้ย มาสั้นจาง เอาอีกๆ เอาเยอะๆ อิอิ ตั้งหน้าตั้งตา ถ่างตา รอออ แล้ว ก็ รอ ขอบคุณ ผู้แต่ง มาก  เนื้อเรื้อง ดำเนิน ได้ ลื่นใหล ภาษา  ก็เลิศ ติดตาม และตามติด  มาอัฟ บ่อยๆ ด้วย เลิฟฟฟ ^^
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 7 : มิตรใหม่] 23/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 24-10-2019 21:28:50
ชอบคู่พันนากับเจ้าจอมอ่ะ
มันดูละมุนน่ารักยังไงบอกไม่ถูก
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 7 : มิตรใหม่] 23/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 27-10-2019 21:41:10
 :katai5: :katai2-1:
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 8 : คำขอจากแม่] 29/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 29-10-2019 21:52:28
ตอนที่ 8 คำขอจากแม่



    คืนนี้ดาวเต็มฟ้า ยิ่งอยู่ใกล้ป่า ยิ่งเห็นดาวชัดขึ้น ลมเย็นพัดผ่านร่าง เสียงแมลงกลางคืนดังระงมจากรอบทิศทาง บางครั้งก็ได้ยินเสียงไก่ขันดังมาจากชายป่า กลิ่นแป้งเย็นตรางูกับกลิ่นดอกไม้กลางคืนชวนให้ผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก รถยนต์จอดเทียบชายคาบ้างข้างๆ กับรถไถนาเก่าคร่ำคร่า แต่เจ้าของยืนยันว่าเครื่องยนต์ยังฟิตแน่นชนิดที่ลากรถสิบล้อก็ยังไหว

    พันนาไม่ได้กลับไปนอนบ้าน เพราะพรานน้าเอื้อและนุชขอร้องเอาไว้ ที่นี่การเดินทางตอนกลางคืนอันตราย แม้แต่คนในพื้นที่ยังไม่กล้าออกไปไหนหลังสองทุ่ม ถึงจะมีรถยนต์แต่ไม่มีใครรับรองความปลอดภัย เพราะแถวนี้อยู่ใกล้ป่า วันดีคืนดีช้างป่าก็ออกมาหาพืชผลของชาวไร่กิน แต่ไม่มีใครทำร้ายช้าง เพราะมนุษย์ไปแย่งพื้นที่หากินของมันก่อน ดังนั้นพันนาเลยได้นอนค้างที่บ้านไม้สักหนึ่งคืน

   “เมื่อไรจะนอน ง่วงแล้ว!”

    เสียงสั้นห้วนดังมาจากด้านหลัง พันนาเอี้ยวตัวหันมามอง ใบหน้าผ่องใสของเด็กหนุ่มวัยสิบแปดปีง้ำงอ ชายมุ้งเปิดขึ้นมาพอให้ศีรษะทุยลอดผ่านมาได้ “ปิดหน้าต่างด้วย เดี๋ยวยุงกิน”

    พันนาทำตามที่เจ้าของห้องต้องการ มือหนาเอื้อมไปดึงหน้าต่างไม้ปิดพร้อมลงกลอนให้ ก่อนจะเดินกลับมาที่เตียงนอนขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ พอนอนได้สองคนพอดี แต่อาจจะสั้นเกินไปสักหน่อยสำหรับคนที่สูงเกินหกฟุตอย่างเขา นิ้วมือเลิกชายมุ้งที่ถูกฟูกนอนหนาทับไว้ขึ้น สอดตัวผ่านเข้าไปด้านใน กลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายดอกมะลิโชยมาจากด้านใน น่าจะเป็นกลิ่นแป้งที่จ้าวจอมใช้ ที่นอนถูกคั่นกลางด้วยหมอนข้างสีชมพูอ่อนจัดจนเกือบจะเป็นสีขาว ขณะที่เจ้าของเตียงกระเถิบนอนติดอีกฝาก

   “นอนหรือยัง จะปิดไฟแล้ว”

   ไฟที่จ้าวจอมบอก คือโคมไฟเล็กๆ ข้างเตียงนอน จ้าวจอมลอดมือผ่านมุ้ง กดปิดสวิตซ์ไฟโดยไม่รอคำตอบรับ ภายในห้องมืดสนิท ต้องใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะปรับสายตาได้

   ชายหนุ่มล้มตัวลงนอนบนที่ว่าง ฟูกไม่ได้นุ่มเท่ากับเตียงนอนติดสปริงที่บ้าน ไม่มีความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ หรือแม้แต่โทรศัพท์มือถือก็ไม่อาจเปิดใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ เพราะสัญญาณมีเพียงแค่ขีดเดียว ต่อให้เป็นเครือข่ายโทรศัพท์มือถือเจ้าใหญ่ที่อวดอ้างว่าสัญญาณแรงกว่าใคร ก็เหลือแค่ขีดเดียว จนเขานึกสงสัยว่าเด็กหนุ่มที่เกิดในยุค 2000 อย่างจ้าวจอมทำไมถึงหลุดรอดจากโลกโซเชี่ยวเน็ตเวิร์กได้

    เขาวางโทรศัพท์ไว้ใกล้ๆ กับหมอน สูดเอากลิ่นมะลิไว้ในปอด พลิกตัวนอนหงายขึ้นมองหลังคามุ้ง อยากจะข่มตาหลับแต่มันเพิ่งจะสามทุ่มเท่านั้น ผิดวิสัยคนเมืองอย่างเขา ที่เข้านอนอย่างน้อยก็เที่ยงคืน

   “นายได้เรียนหนังสือไหม” พันนาชวนคุย เพราะรู้ดีว่าจ้าวจอมยังไม่หลับ

   “เรียน! ทำไม หน้าฉันมันดูโง่มากหรือไง” จ้าวจอมตอบอย่างมีน้ำโห

   “เปล่า แค่สงสัยว่าทำไมนายไม่ไปโรงเรียน” พันนาเผลอยกมือเกาหัวแก้เก้อ

   “ปิดเทอมไง รู้จักไหม ปิดเทอมน่ะ!” จ้าวจอมกระแทกเสียงตอบ เสียงอู้อี้นิดหน่อยคล้ายกับเจ้าตัวฝังหน้าลงกับหมอน “นอนได้แล้ว!”

   “อืม” พันนาขานรับในคอ ทั้งที่ยังไม่รู้สึกง่วงสักนิด อยากจะชวนคนข้างๆ คุยต่อ แต่ไม่กี่นาทีก็ได้ยินเสียงลมหายใจดังสม่ำเสมอ แสดงว่าจ้าวจอมคงไปเข้าเฝ้าพระอินทร์รอบดึกเสียแล้ว

    คราแรกพันนาคิดเอาเองว่าตนคงนอนไม่หลับเพราะไม่คุ้นชินกับพื้นที่ ซ้ำยังหัวค่ำเกินกว่าจะข่มตาหลับได้ แต่ที่ไหนได้ หลังจากจ้าวจอมหลับไปไม่นาน เปลือกตาก็หนักอึ้ง ความง่วงเข้าครอบงำทันที...



    หมอนข้างขยับได้?

    มันเป็นความแปลกประหลาดที่ไม่เคยรับรู้มาก่อน พอลองขยับอ้อมแขนดูเจ้าหมอนข้างก็ยิ่งมีปฏิกิริยา ซ้ำยังคล้ายกับจะได้ยินเสียงมันร้องประท้วงด้วย

   “โอ๊ยไอ้บ้า! ปล่อยนะโว้ย!”

    นอกจากจะขยับได้ ยังพูดได้ด้วย?

   พิลึกพิลั่นไปกันใหญ่

   ปึก!

    คราวนี้ไม่ใช่แค่ขยับ หรือเสียงพูด แต่เจ้าหมอนข้างมันยังทำร้ายเขาได้อีกด้วย

   พันนาลืมตาขึ้นทันที ดูเหมือนว่าสิ่งที่อยู่ในอ้อมกอดคงจะไม่ใช่หมอนข้างเสียแล้ว   

    ดวงกลมโตเหมือนลูกกวางเบิกกว้าง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ริมฝีปากสีระเรื่อธรรมชาติ เม้มแน่น จมูกโด่งรั้นพะเยิบพะยาบตามจังหวะการหายใจ บ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังอารมณ์ไม่ดีอย่างหนัก พันนาใช้เวลาอีกชั่วอึดใจถึงจะสำเหนียกได้ว่าตนอยู่ที่ไหนและกำลังทำอะไร

   อ้อมแขนที่รัดหมอนข้างมีชีวิตคลายออกทันที ใบหน้าร้อนผ่าวด้วยเก้อเขินกะทันหัน ไม่รู้เมื่อคืนฝันถึงอะไรเขาถึงได้เผลอกอดเจ้าเด็กตัวแสบนี้ได้

   “อึดอัดฉิบหาย!” จ้าวจอมสบถ ดีดตัวลุกขึ้นนั่ง เส้นผมสีเข้มยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง เจ้าของเกาหัวแรงๆ ด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะกระโดดลงเตียงแล้ววิ่งหายผ่านบานประตูไม้ไป...




    กุมภ์เงยหน้ามองกระท่อมไม้สองชั้นเก่าคร่ำคร่าจวนเจียนจะพังเต็มที ตัวเรือนโยกโย้ไปทางซ้ายคงเพราะถูกลมพายุพัด แปลกใจที่แม้มันจะเก่าหนักแต่ไม่ยักจะมีรอยปลวกแทะกินเนื้อไม้ ที่น่าแปลกกว่านั้นก็คือเสาไม้ทั้งหกต้นเงาวาววับเหมือนเพิ่งจะลงดินไม่นาน และเป็นสิ่งที่น่าจะแข็งแรงที่สุดในบ้านหลังนี้ รอบบ้านเป็นต้นไม้สูง ทั้งมะม่วงพันธุ์โบราณ ต้นกระจง มะขามเทศ รั้วไม้ที่เป็นไม้ไผ่ปักดินง่ายๆ มีเถาตำลึงพันรอบ ชูยอดอ่อนเขียวพรืดเต็มไปหมด โดยรวมแล้วบ้านหลังนี้ไม่เหมาะกับผู้ชายตัวใหญ่อย่างโหรสักนิด

    กุมภ์จดๆ จ้องๆ ยังไม่กล้าร้องเรียกเจ้าของบ้าน สมองพยายามเรียบเรียงคำพูดที่คิดว่าสมเหตุสมผลพอที่จะโน้มน้าวให้โหรยอมตกลงช่วยรชต อะไรบางอย่างบอกกับเขาว่ารชตยังไม่ตาย หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าคิดเข้าข้างตัวเองว่ารชตยังมีชีวิตอยู่

    เขาอยากให้โหรช่วยจริงๆ เพราะไม่รู้ว่าจะพึ่งใครได้แล้ว พรานกล้าก็เจ็บหนักยังนอนรักษาตัวอยู่โรงพยาบาล พวกเจ้าหน้าที่ ทั้งจากป่าไหม้และตำรวจไม่ต้องพูดถึง ผ่านมาสามวันแล้วยังไม่ได้ข่าวคราวคืบหน้าเลย รชตหายตัวไปเหมือนนินจา ไม่มีแม้แต่รอยเท้าที่สืบเสาะ รอยเท้าล่าสุดดูเหมือนจะปะปนอยู่กับพวกเขาในแถวดงช้างร้อง แล้วก็หายเสียดื้อๆ ราวกับลอยขึ้นไปบนอากาศ

   กุมภ์รวบรวมลมหายใจแล้วสูดเข้าปอดให้ลึกที่สุด อ้าปากร้องเรียกเจ้าของบ้าน แม้จะยังไม่แน่ใจว่าถ้อยคำที่เตรียมไว้จะโน้มน้าวโหรได้หรือเปล่า แต่มันก็ยังดีกว่ายืนแตกแดดเป็นปลาเค็มแห้งอยู่ตรงนี้

    ผ่านไปพักใหญ่ ประตูไม้ไผ่ที่ถูกตีขึ้นง่ายๆ ก็ขยับเปิด ร่างสูงใหญ่ของหมอโหรผ่านบานประตูออกมา ด้วยความสูงทำให้โหรต้องก้มตัวต่ำเพื่อมองผ่านหลังคาลงมาด้านล่าง คิ้วหน้าเลิกขึ้นเล็กน้อยคล้ายกับจะแปลกใจเมื่อเห็นผู้มาเยือน

   กุมภ์ยิ้มกว้างจนเห็นไรฟัน เป็นการเปิดสัมพันธ์ที่ดีที่สุด แต่ก็ต้องเจื่อนลงเพราะอีกฝ่ายไม่ได้ยิ้มตอบกลับมา ถึงกระนั้นกุมภ์ก็ยังทำใจดีสู้เสือ ถึงโหรจะดูน่ากลัวไปเสียหน่อย แต่ก็น้อยกว่ากองทัพผีดิบหรือไอ้เสือผีตัวนั้นเป็นร้อยเท่า

   “สวัสดีครับคุณโหร” กุมภ์เป็นฝ่ายทักทายก่อน แต่ยังไม่กล้าขยับเท้าเข้าไปใกล้กระท่อมน้อยไปมากกว่าเดิม เพราะเจ้าของบ้านยังไม่อนุญาต

   “มาทำไม?” โหรถามนิ่งเรียบ ไม่มีทีท่าว่าจะเชื้อเชิญขึ้นบ้าน

    “ผะ...ผมมาหาคุณ” กำลังใจห่อเหี่ยวลงอย่างเห็นได้ชัด ลู่ทางที่จะช่วยรชตตีบตันลงเรื่อยๆ “...อยากให้คุณช่วยเพื่อ...”

    “ขึ้นมาก่อน” โหรสั่งเสียงห้วน แล้วเดินหนีเข้าตัวบ้านดื้อๆ

   กุมภ์รู้สึกตัวเองเป็นลูกโป่ง ที่เพิ่งถูกปล่อยลมแล้วเติมเข้าไปใหม่ สองขาแทบจะวิ่งขึ้นไปบนบันไดไม้เล็กๆ ถ้าไม่ติดว่ากลัวมันจะพังครืนลงมาเสียก่อน

    ด้านในของกระท่อมหลังน้อยแตกต่างจากข้างนอกนิดหน่อย แค่มันไม่เก่าเท่า และสะอาดมากโข พื้นเป็นไม้สักขัดเงาไร้เสี้ยน เฟอร์นิเจอร์มีเท่าที่จำเป็น แม้จะเล็กและคับแคบแต่โหรก็แบ่งสัดส่วนการใช้งานได้ลงตัว ด้านในสุดมีหิ้งพระขนาดย่อมอยู่ด้วย บนหิ้งมีทั้งพระและอีกของขลังอีกหลายชิ้น ใต้หิ้งมีหนังสือกองโตอยู่ด้วย กุมภ์ถือวิสาสะสำรวจรอบบ้านไปด้วย แล้วก็พลันสะดุดกับใบประกาศวุฒิการศึกษา

   โหรจบปริญญา!

    “ผมจบเกษตร” คล้ายกับจะรู้ว่ากุมภ์สงสัย โหรเลยไขข้อข้องใจให้

   กุมภ์ยิ้มแหยๆ ย่อตัวลงนั่งบนพื้นไม้แข็งแต่เย็นเยียบ ได้กลิ่นควันอ่อนๆ ที่น่าจะมาจากใต้ถุน ภายใต้กลิ่นควันคือกลิ่นคล้ายกับสมุนไพร มันไม่ได้เหม็นเขียวแต่ชวนให้ผ่อนคลายมากกว่า

    “ทำไมถึงคิดว่าผมจะช่วยคุณ” โหรเปิดประเด็นพลางหย่อนตัวลงนั่งไม่ห่างกันนัก ก่อนจะหยิบกาน้ำแบบโบราณ ก้นดำสนิทผิดกับด้านบนที่ยังวาววับ น้ำสีน้ำตาลอ่อนๆ ค่อยๆ ไหลลงแก้วใบเล็กลายใบไม้สีฟ้า แล้วยกขึ้นดื่มโดยไม่คิดจะชวนแขกสักนิด

    “เพราะผมมีเงิน”

   โหรแค่นยิ้ม วางแก้วน้ำชาลง คิ้วหนาเลิกสูง “แค่มีเงินก็จะทำให้ผมช่วยคุณอย่างนั้นเหรอ”

    “ผม...ไม่รู้สิ” กุมภ์ส่ายหัว จู่ๆ คำพูดที่เตรียมไว้ก็หายไปหมด ก้มหน้ามองพื้นไม้ขัดมันอย่างไร้ปัญญา “...ผมมีแค่ค่าจ้างให้คุณ ส่วนเหตุผล ผมว่าคุณน่าจะรู้ว่าทำไมผมถึงอยากให้คุณช่วย”

    โหรนิ่งไปพักใหญ่ ขณะที่กุมภ์เลือกที่จะมองควันสีขาวที่ลอยขึ้นเหนือแก้วน้ำชา เดาไม่ออกเลยว่าโหรจะตัดสินใจยอมให้ความช่วยเหลือได้อย่างไร เพราะไม่มีเหตุผลหรือแรงจูงใจที่ดีเลยสักนิด ที่ร้ายคือข้อเสนอที่เป็นตัวเงิน มันเหมือนดูหมิ่นน้ำใจของโหร แต่ก็นั่นแหล่ะ เขาไม่ใช่คนพูดเก่งซ้ำคำพูดที่เตรียมมาทั้งคืนก็หายไปตั้งแต่โหรเรียกให้ขึ้นบ้านแล้ว

    “มันยาก...” โหรพูดขึ้นหลังจากเงียบไปนานหลายนาที ลมหายใจถูกผ่อนออกมาเหยียดยาว ดวงตาคมจ้องมองมาราวกับจะหยั่งความรู้สึกกัน “รู้หรือเปล่าความมันแทบจะไม่มีความหวังเลย ตอนที่ผมไปช่วยพวกคุณ ผมจับพลังชีวิตของเขาไม่ได้เลย”

    “ผมรู้” กุมภ์พยักหน้าน้อยๆ “แต่ผมก็อยากให้ความหวังตัวเอง อีกอย่าง...ผมอยากทำให้เต็มที่ อย่างน้อยถ้าชตไม่อยู่จริงๆ แล้ว ผมจะได้ไม่ต้องมาเสียใจว่าผมไม่ได้ทำอะไรเลย”

    โหรถอนหายใจหนักๆ อีกครั้ง ดวงตาคมดำสนิทจนแทบจะไร้เงา มือท้าวลงที่หัวเข่าโน้มตัวมาด้านหน้า สายตาไม่ได้คลาดเคลื่อนไปที่อื่น “นอกจากจะเสี่ยงแล้ว ผมยังไม่รับรองผลอีกด้วย คุณยังอยากจะจ้างผมอีกหรือเปล่า”

    “จ้าง” กุมภ์ยืนกราน

    คิ้วหนาเลิกสูงอีกครั้ง ดวงตาคมหรี่ลงราวกับกำลังประเมินบางอย่าง “ผมเรียกดุนะ คุณพร้อมจะจ่ายไหม”

   “ดุแค่ไหนล่ะ” กุมภ์ลองหยั่งเชิง ถ้าจะพูดเรื่องการเงิน ครอบครัวของเขาไม่เดือดร้อน โหรคงเรียกร้องจนล้มละลายหรอกกระมัง
   “หนึ่งแสนบาท ไม่รับรองผลด้วยว่าจะเจอตัวเพื่อนคุณหรือเปล่า” โหรบอก ใบหน้าคมนิ่งเรียบ ไม่มีแววล้อเล่น

   กุมภ์นิ่งไปชั่วอึดใจ เงินหนึ่งแสนบาทแลกกับชีวิตของเพื่อนรักหรือแค่ความล้มเหลว เขาก้มหน้าลง สมองใช้ความคิดอีกรอบ พยายามหาเหตุและผลมาหักล้าง ในที่สุดก็พยักหน้าตอบตกลง มันอาจจะได้คุ้มเสีย หรืออาจจะไม่คุ้มเลยก็ได้ แต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย

   “ผมจะจ่ายให้คุณก่อนห้าหมื่นบาท และจะจ่ายให้อีกส่วนหลังงานเสร็จสิ้น ไม่ว่าจะได้ตัวชตคืนกลับมาหรือไม่ก็ตาม”

   “ตกลง...แต่ผมมีข้อแม้ที่คุณต้องทำตาม หากคุณไม่ทำตามที่ผมบอก ผมจะหันหลังกลับทันทีและไม่คืนเงินให้ อีกอย่าง ถ้าคุณหรือใครก็ตามที่ติดตามผมไป เกิดอุบัติเหตุหรือมีอะไรมากกว่านั้น จะถึงตายหรือแค่บาดเจ็บ ผมไม่รับผิดชอบอะไรทั้งนั้น”

   เป็นข้อตกลงที่โง่เง่าสิ้นดี แต่เขาไม่มีทางเลือก กุมภ์พยักหน้ารับหนักแน่น พลางนึกขอบคุณจ้าวจอม โหรไม่ใช่คนน่ากลัว หากแต่น่าเกรงขาม ที่สำคัญเรื่องที่เกิดขึ้นในป่าสอนให้เขารู้ว่าหากไม่ปฏิบัติตามกฎ จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แม้จะไม่อยากลับเข้าไปอีก แต่ชีวิตของรชตสำคัญกว่า...

(มีต่อ)
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 8 : คำขอจากแม่] 29/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 29-10-2019 21:56:11
        “จริงเหรอวะ!  แล้วนี่มึงไปคุยกับเขาอีท่าไหน เขาถึงยอมช่วย”

         ‘ไม่มีท่าหรอก แค่บอกว่ากูมีเงินให้ ก็เท่านั้น’

         พันนาอมยิ้มกับประโยคตอบกลับมาจากปลายสาย ดวงตาทอดมองไปยังเบื้องหน้า ทุ่งหน้ากว้างสลับกับต้นไม้หนาทึบ เสียงนกร้องช่วยเพิ่มความเป็นธรรมชาติให้น่าอภิรมย์มากขึ้นไปอีก

        “แล้วเขาเอาค่าจ้างเท่าไร” ถามไปก็พลางจิ้มมะม่วงรสหวานเข้าปาก มะม่วงพันธุ์เชียวเสวยที่เจ้าบ้านลุงทุนสอยมาให้ชิมตั้งแต่เช้าตรู่

         ‘แสนนึง ห้ามต่อ ไม่รับรองความปลอดภัย ทั้งของไอ้ชตและผู้ติดตาม’

         “โหดว่ะ” ปากอย่างว่าอย่างนั้นแต่กลับอมยิ้มมุมปาก หลุบตามองร่างโปร่งของเด็กหนุ่มที่กำลังโรยข้าวเปลือกลงในสุ่มไก่ ชั่ววินาทีหนึ่งที่อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้น ประสานสายตา และเป็นอีกฝ่ายที่ทำหน้าบึ้งใส่แล้วก้มลงให้อาหารไก่ต่อ

         ‘ก็โหดอยู่ แต่กูว่าคุ้ม จ่ายก่อนครึ่งหนึ่ง งานสำเร็จค่อยจ่ายอีกครึ่ง’

         “แล้วไปเมื่อไร” เขาถามต่อ รู้สึกสบายใจขึ้นมาอีกหน่อย ถึงจะยังไม่เจอตัวรชต แต่แค่รู้ว่าโหรยอมให้ความช่วยเหลือความหวังก็เพิ่มมากขึ้น

        ‘อีกสองวัน โหรขอเวลาเตรียมตัวก่อน ทั้งของเขาและของเรา’

         “ของเรา?” คิ้วหนาเลิกสูง “หมายความว่ายังไงวะ”

         ‘คราวนี้เราไม่ได้เข้าป่าไปถ่ายรูปสัตว์ แต่เราไปตามหาคน งานนี้กูว่าจะไปกับมึงแค่สองคน เพราะกูคิดว่าชาร์ลกับคะนิ้งน่าจะเข็ดการเข้าป่าไปอีกนาน อีกอย่างคุณโหรบอกว่าไม่อยากให้ไปกันเยอะ ต้องการคนแข็งแรงและไม่เรื่องมาก’

         “แข็งแรง? มึงอ่ะนะ” พันนากับหลุดขำพรืด ก็ปลายสายเป็นผู้ชายตัวผอม อาจจะสูงกว่าเจ้าเด็กที่กำลังให้อาหารไก่อยู่นิดหน่อยก็จริง แต่ยังห่างคำว่าแข็งแรง

         ‘เออ! อย่างน้อยกูก็ไม่เป็นลมระหว่างทางก็แล้วกัน’ กุมภ์พูดเสียงดัง จนเสียงลอดออกมาจากโทรศัพท์ พันนาหัวเราะหึ พอจะนึกหน้าอีกฝ่ายออก ‘ก็เตรียมพวกของแห้งไป ใช้เวลาไม่กินสามวัน ถ้าสามวันหาไม่เจอสรุปได้เลยว่าไอ้ชตตายแล้วแน่นอน ซึ่งกูหวังว่ามันจะไม่ใช่แบบนั้น ออกเดินทางตอนเจ็ดโมงเช้าที่บ้านของคุณโหร’

         “เออ แล้วเจอกัน”

         พันนาวางสาย ความกลัดกลุ้มคลายไปบ้าง ฝันร้ายไม่ได้มาเยี่ยมเยือนทั้งที่นอนผิดที่ผิดทาง ซ้ำยังหลับลึกชนิดที่นอนกอดเจ้าของห้องไปโดยไม่รู้ตัวอีกด้วย และนั่นคงเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กดื้อที่ชื่อจ้าวจอมหน้าง้ำหน้างอไม่ยอมหาย

       อากาศในชนบทโดยเฉพาะบริเวณใกล้ป่า ไม่ได้เย็นหรือร่มรื่นเหมือนที่คิดไว้ ออกจะอบอ้าวด้วยซ้ำ แต่ด้วยความที่มีต้นไม้สูงและหนา ทำให้ไอร้อนที่เคยได้รับตอนอยู่ในเมืองมันลดลงไปได้เยอะ หากอยู่ในที่สูงหน่อยก็ได้รับสายลมเย็นเอื่อยๆ เหมือนในตอนนี้ บ้านไม้สองชั้นมันดีอย่างนี้นี่เอง น้าเอื้อบอกว่าเสาเรือนทำจากไม้สักต้นใหญ่ เลยทำให้ตัวบ้านสูงกว่าปกติ ตอนร้อนๆ ออกมานอนรับลมเย็นสบายไม่ต้องเปิดพัดลมให้เปลืองค่าไฟ แต่ถ้าฤดูหนาวจะหนาวเหน็บจับใจเลยทีเดียว ไม่ใช่แค่จะได้รับลมแบบเต็มๆ แต่เพราะบ้านที่ทำจากไม้จะยิ่งทำให้รู้สึกหนาวกว่าบ้านปูน

         กำหนดการกลับบ้านถูกเลื่อนออกไปเล็กน้อย หลังจากยอมตกปากรับคำกินมื้อเช้า และรอของฝากจากไร่ของน้าเอื้อ นอกจากมะม่วงเขียวเสวยแล้ว ยังมีผักปลอดสารอีกหลากพันธุ์ แต่ต้องรอเจ้าของไปเก็บ คงอีกพักใหญ่ๆ เขาเลยมีเวลาสำรวจบ้านของจ้าวจอมต่ออีกสักหน่อย

         จะว่าไปแล้ว บ้านที่สร้างจากไม้สักทั้งหลังไม่ใช่คนทั่วไปจะปลูกได้ ต้องมีฐานะในระดับหนึ่งเลยทีเดียว น้าเอื้อเล่าให้ฟังว่า เรือนไม้สักหลังนี้เป็นสมบัติตกทอดมาจากรุ่นปู่ สมัยก่อนไม้สักหาได้ง่ายราคาไม่แพงเหมือนสมัยนี้ พ่อของน้าเอื้อเป็นพรานมืออาชีพ ชำนาญเรื่องการเดินป่า ล่าสัตว์ส่งให้นายทุนต่างประเทศ ใครที่ไหนก็จ้าง เลยมีเงินเก็บก้อนใหญ่ปลูกบ้านไม้สักให้ลูกหลานได้อยู่อาศัย และด้วยความที่เป็นคนต่างจังหวัด มีที่ทางเป็นของตัวเองเลยไม่จำเป็นต้องดิ้นรนไปหางานทำในเมือง น้าเอื้อเลยสานต่ออาชีพพรานป่าต่อจากพ่อ น่าเสียดายที่วิชาความรู้ของปู่ไม่ได้ถูกถ่ายทอดมาทั้งหมด ท่านเสียชีวิตเพราะพลาดท่าให้กับเสือตัวใหญ่ ที่พรานตั้งชื่อให้มันว่าไอ้บอด

        “ตามันเป็นสีเทาข้างหนึ่ง เหมือนคนแก่ที่ตาเป็นต้อ พวกพรานเลยเรียกมันว่าไอ้บอด” น้าเอื้อบอก ระหว่างมื้อเช้า

         เรื่องราวในป่าอันน่าตื่นเต้นถูกเล่าผ่านปากพรานป่ามาประสบการณ์ มันสนุกเร้าใจ ต่างจากที่เขาไปพบปะมาเมื่อไม่กี่วันก่อน

        “น้าว่าเสือตัวที่พวกผมเจอจะเป็นตัวเดียวกับไอ้บอดหรือเปล่า”

        “ไม่น่าจะใช่หรอก เพราะผ่านมาตั้งหลายสิบปีแล้ว ถ้ามันยังมีชีวิตอยู่จริงก็น่าจะแก่มากแล้ว ออกมาฆ่าใครไม่ได้หรอก ฟันฟางคงหักหมดปากแล้วล่ะ” น้าเอื้อพูดติดตลก “อีกอย่างที่พวกคุณเห็นมันไม่ใช่เสือหรอก แต่เป็นพรานที่งมงามกับมนต์ดำมากเกินไปจนของมันตีกลับ”

         น้าเอื้อกับพรานกล้าพูดตรงกัน ตาเวกคืออดีตพรานที่เล่นของจนของตีกลับ ตอนนี้จะคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิง แต่ฝีมือร้ายกาจขนาดพรานกล้ายังเสียทีจนเกือบตาย ถ้าหากไม่ได้เจ้าเด็กดื้อไปตามเจ้าหน้าที่ให้ ป่านนี้พรานกล้าอาจจะสิ้นชื่อไปแล้วก็ได้ เขายังได้รู้อีกอย่างว่า ความจริงจ้าวจอมกับพรานกล้าไม่ค่อยจะลงรอยกันเท่าไรนัก ปะทะฝีปากกันอยู่เรื่อย แต่ถึงเวลาคอขาดบาดตายจ้าวจอมกลับให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ลืมเรื่องบาดหมางไปชั่วคราว

         “ยอมให้ก่อนหรอก หายเมื่อไรค่อยว่ากัน” เด็กดื้อว่าไว้อย่างนั้น

    พูดถึงเสือ มันทำให้นึกถึงกล้องถ่ายรูปขึ้นมาได้ ตั้งแต่ออกจากป่ามันก็ถูกทิ้งไว้ในห้องอย่างไร้ความหมาย เขาไม่ได้ติดใจรูปที่ถ่ายว่ามันจะสวยถูกใจแค่ไหน แต่เอะใจมากกว่า น้าเอื้อบอกว่าเสือตัวที่ฆ่าพรานเวกตาเป็นสีเทาข้างหนึ่ง คืนนั้นมันมืดมาก เขาเองก็มัวแต่ตกใจจนไม่ทันสังเกต ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าถ่ายรูปไว้หรือเปล่า

    ผ่านไปเกือบชั่วโมงน้าเอื้อกับน้านุชก็กลับมาพร้อมกับพืชผลทางการเกษตร แถมด้วย ‘โสมป่า’ สมุนไพรชั้นเลิศคุณภาพระดับประเทศไปฝากพ่อของเขาอีกสองมัด น้านุชกระซิบบอกสรรพคุณของมัน และราคาแพงระยับ ที่น่าทึ้งกว่านั้นก็คือ โสมป่าสองมัดคือฝีมือการหาของเด็กดื้อที่ชื่อว่าจ้าวจอม

    “จอมมันเก่ง เดินป่าตามตาตั้งแต่เด็กๆ” น้าเอื้อคุยโว พลางใช้หมวกสานสีเหลืองโบกสะบัดให้ความเย็น

   “แล้วตาของจอมไปไหนซะล่ะครับ” พันนาถาม

   “บวชไม่ยอมศึกตั้งแต่ยายตาย” น้าเอื้อพูดยิ้มๆ “สี่ห้าปีแล้วมั้ง จอมมันไปเยี่ยมตามันทุกวันพระ พรุ่งนี้ก็วันพระแล้ว”

    พันนาพยักหน้ารับรู้ เหลือบตามองไปยังร่างโปร่งของเด็กหนุ่มที่กำลังช่วยแม่ล้างผักสำหรับประกอบมื้อเย็น แน่นอนว่าเขาคงไม่ได้ร่วมโต๊ะอีกแล้ว อดเสียดายหน่อยๆ ไม่ได้ ฝีมือน้านุชอร่อยระดับร้านอาหารดังๆ เลยทีเดียว และคงได้วัตถุดิบดีด้วยกระมัง รสชาติอาหารถึงได้หวานละมุนลิ้น เมื่อเช้าเขาได้กินไข่เป็ดต้มยางมะตูม น้ำพริก ผักสด และผัดผักง่ายๆ แต่มันอร่อยจนต้องขอเติมข้าว

    เขากล่าวล่ำลาพร้อมกับขอบคุณร่วมสิบครั้งสำหรับน้ำใจที่น้าเอื้อหยิบยื่นให้ ก่อนจะจากไป ไม่วายชำเลืองมองเด็กดื้อตาใส จ้าวจอมยังคงง่วนอยู่กับการล้างหัวมัน จนขากางเกงเปียก น้านุชโบกมือไล่ลูกชายคนโตให้ออกมาส่งแขก จ้าวจอมกระฟัดกระเฟียดตามประสาเด็กดื้อ แต่ก็ยอมลุกขึ้น ก้าวเท้ายาวๆ มาหยุดตรงหน้า ห่างไปราวสองช่วงตัว

   “กลับไปได้แล้ว! เปลืองของ!”

    “ไอ้จอม! ไปพูดอย่างนั้นกับคุณพันได้ยังไง!” น้าเอื้อดุขรมดังมาจากบนบ้าน จ้าวจอมทำหน้ายู่ ยกมือขึ้นไล่

   “ไปได้แล้ว ต้องเตรียมตัวไม่ใช่หรือไง”

   “เตรียมตัว? นายรู้ได้ยังไง” พันนาเลิกคิ้วถาม แน่ใจว่าไม่ได้เล่าเรื่องที่จะเข้าป่าให้ใครฟัง

    จ้าวจอมกระหยิ่มยิ้ม “เพื่อนคุณนี่เก่งนะ อ้อนพี่โหรจนได้”

   นั่นไม่ได้ทำให้ความสงสัยลดน้อยลงไปเลย จ้าวจอมรู้ได้อย่างไรว่าโหรยอมตกลงให้ความช่วยเหลือ แต่อีกฝ่ายก็ไม่รอให้ถามอะไรต่อ รีบหมุนตัวเดินกลับไปช่วยมารดาเช่นเดิม…




    เข้าป่าคราวนี้ต้องเตรียมตัวมากกว่าคราวก่อน เพราะรู้อยู่เต็มอกว่ามีอันตรายรอยยู่ พรานเวกอะไรนั่นไม่มีทางปล่อยให้รชตออกมาเดินเฉิดฉายแน่นอน นอกจากจะตามหาตัวรชตแล้ว ยังจะต้องเตรียมพร้อมรับมือกับพรานเวกอีกด้วย พันนาเล่าเรื่องที่โหรจะเข้าไปช่วยตามหารชตให้บิดาและมารดาฟัง พวกท่านไม่เห็นด้วยที่เขากับกุมภ์จะเข้าไปในป่าอีกครั้ง แต่เขายืนกรานว่าเขาจะต้องไป เพราะเขาเป็นคนเอ่ยปากชวนเพื่อนๆ ให้มารับกรรมกัน ส่วนของฝากที่น้าเอื้อยัดเยียดมาให้ส่งถึงมือพวกท่านอย่างครบถ้วน โดยเฉพาะโสมป่า ที่บิดาถูกใจเป็นพิเศษ พูดซ้ำๆ ว่าต้องหาโอกาสนำบรั่นดีชั้นเอกไปแบ่งปันน้าเอื้อบ้าง

    “ไม่ไปไม่ได้เหรอลูก แม่เป็นห่วง” มารดาพยายามเกลี่ยกล่อม มืออ่อนนุ่มลูบอยู่บนศีรษะแผ่วเบา สีหน้าเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มแกมห่วงใย “แม่กลัว”

    “ผมไปกับโหร ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอกครับ” พันนาบอก เอนศีรษะซบกับอกอุ่นที่ซุกซบมาตั้งแต่เกิด “ผมจะต้องเอาคืนไอ้ครึ่งผีครึ่งคนนั่นให้ได้”

    “ครึ่งผีครึ่งคน?” ท่านทำเสียงแปลกใจ พลางจับยกศีรษะออกจากอก “ลูกพูดอะไร?”

    พันนาอึกอัก นึกโกรธตัวเองที่เผลอหลุดปากออกไป แต่ครั้นจะโกหกอีกก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผลเพราะมารดาของเขาจับผิดเก่งยิ่งกว่าสายสืบเสียอีก

    “ขอโทษนะครับที่ผมไม่ได้เล่าความจริงให้ฟัง” พันนาสารภาพผิด “ความจริงพวกผมไม่ได้ถูกเสือทำร้ายหรอกครับ”

   “ลูกหมายความว่ายังไง” ท่านทำหน้าตกใจ

   “ผมถูกผีหลอก”

   “ว่าไงนะ!”

    พันนายิ้มเจื่อน ก่อนจะเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในป่าให้มารดาฟังทั้งหมด ท่านทำท่าจะค้านอยู่หลายครั้ง แต่เมื่อเล่าจบท่านก็เงียบไปพักใหญ่ นานหลายนาทีเลยทีเดียว ใบหน้าซีดเผือดจนแทบไร้สีเลือด หลังจากตั้งสติได้ก็ยื่นมือชื้นเหงื่อมาจับมือของเขาเอาไว้

   “ลูกจำหลวงพ่อที่แม่พาไปทำบุญได้ไหม” ท่านถามเสียงสั่น พันนาพยักหน้ารับ “ท่านทักว่าลูกกำลังมีเคราะห์ ต้องบวชถึงจะดีขึ้น”

    พันนาถอนหายใจ “แต่คนที่เคราะห์หนักกว่าผมคือไอ้ชตครับแม่ เป็นตายยังไงไม่มีใครรู้ ขนาดผมไม่เจ็บไม่ปวดตรงไหนแม่ยังห่วงผมขนาดนี้ แล้วพ่อกับแม่ของไอ้ชตล่ะครับ จะปวดร้าวแค่ไหน”

    “แต่แม่กลัว ฟังดูแล้วพรานเวกอะไรนั่นน่ากลัวเหลือเกิน” มือท่านสั่น “ไม่ไปได้ไหม แม่ขอ”

     “แม่ครับ” พันนาทอดเสียงอ่อน จับมือท่านกลับ “เท่าที่ผมพอรู้มา โหรเก่งไม่น้อยเลย ถึงจะยังไม่เห็นฝีไม้ลายมือ แต่เขาก็พาผมกลับออกมาได้”

    ท่านนิ่งไปชั่วอึดใจ สีหน้ายังไม่คลายกังวล “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แต่แม่ก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้ ขนาดเจ้าหน้าที่ยังตามหาตัวชตไม่เจอเลย แล้วพวกลูกที่ไม่เคยเดินป่า ไม่มีประสบการณ์อะไรเลย จะตามหาตัวชตเจอได้ยังไง”

   “แม่ลืมไปแล้วเหรอครับว่าคณะเดินทางมีเด็กที่ชื่อจ้าวจอมด้วย” พันนายิ้มบางเบา ใบหน้าดื้อติดซนของจ้าวจอมผุดเข้ามาในความคิด “ตัวแค่นั้น แต่เดินป่าเก่งพอๆ กับพรานมากประสบการณ์ ถ้าไม่ได้จ้าวจอมพรานกล้าอาจจะไม่รอดก็ได้”

    “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ” ผู้เป็นมารดาทอดถอนใจ “แม่ก็ยังอดห่วงไม่ได้อยู่ดี”

    พันนาไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดหรือรำคาญใจที่มารดาแสดงความเป็นห่วงมากเกินไป ในป่านั่นน่ากลัวจริงๆ ไม่ใช่แค่อันตรายจากสัตว์ป่า แต่อันตรายจากอมนุษย์นั่นที่น่ากลัวกว่าหลายเท่า

    เรื่องที่มารดาเป็นห่วง เขารู้ซึ้งดี ตอนที่อยู่ในป่าเขาก็คิดถึงบุพการีทั้งสองแทบจะทุกช่วงลมหายใจ อยากมีชีวิตรอดออกไปกอดพวกท่าน ในยามที่ตกอยู่ในอันตราย สิ่งที่แรกที่คิดถึงคือคนที่รัก สำหรับเขานั้นคือบิดาและมารดา ผู้ที่ให้กำเนิด ผู้ที่ให้ลมหายใจและชีวิต เขาอยากจะทำหน้าที่ลูกให้ดีที่สุด แต่ในขณะเดียวกันก็อยากให้รชตได้กลับออกมาทำหน้าที่ลูกเหมือนกัน พระองค์นั้นบอกว่าเขาต้องบวชถึงจะหมดเคราะห์ แต่เขาจะทำได้อย่างไรในเมื่อเพื่อนรักยังอยู่ในชะตากรรมลำบาก ไม่ใช่ไม่อยากอาศัยในร่มเงาพระศาสนา ลูกผู้ชายทุกคนควรต้องบวชเพื่อทดแทนบุญคุณบิดามารดา ความเชื่อโบราณบอกไว้ว่าการที่พวกท่านได้เกาะชายผ้าเหลืองเท่ากับได้ขึ้นสวรรค์ เขาพร้อมจะทำ แต่ต้องหลังจากเรื่องทุกอย่างคลี่คลายแล้ว

    “ผมสัญญาว่า ถ้าผมพาไอ้ชตออกมาได้ ผมจะบวชครับ” พันนาให้คำมั่น

   มารดานิ่งงันไปนานร่วมนาที ก่อนจะพยักหน้าพร้อมด้วยดวงตาสั่นคลอน…




*พักหายใจอีกตอน*

**รชตจะรอดไหมต้องลุ้นกัน**

***โปรดติดตามตอนต่อไป***
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 8 : คำขอจากแม่] 29/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 29-10-2019 22:32:15
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 8 : คำขอจากแม่] 29/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 30-10-2019 00:30:41
ลุ้นมากกกกก  เข้าป่ารอบนี้จะเกิดอะไรขึ้น
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 8 : คำขอจากแม่] 29/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 30-10-2019 05:17:54
ลุ้นมาก​ ขอให้รอดทุกคน
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 8 : คำขอจากแม่] 29/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวลูกไก่ ที่ 30-10-2019 08:31:22
ต้องได้กลับมาบวชนะ ขอให้พาเพื้อนกลับมาอย่างปลอดภัยทุกคนเลย
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 8 : คำขอจากแม่] 29/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Fuzz ที่ 30-10-2019 11:06:16
สนุกมากก  :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 8 : คำขอจากแม่] 29/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: valenna yy ที่ 30-10-2019 12:30:07
สนุกมากกกกก อ่านเพลินภาษาลื่นมาก รอตอนต่อไปนะคะ
//ตอนแรกจับผิดคู่เพราะดูเหมือนพันนากะกุมจะมีซัมติง5555.
  พันจอนน่ารักมากเลยค่ะ เคมีดีเลิศ อิอิ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 8 : คำขอจากแม่] 29/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 30-10-2019 13:59:25
กลับมาบวชให้แม่ให้จงได้นะพันนา
เอาชายซิ่นแม่ไป จะได้แคล้วคลาด
พายเรือเชียร์เจอมกับพันนา เย้ววววววววววว
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 8 : คำขอจากแม่] 29/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: anterosz ที่ 30-10-2019 14:21:21
สนุกและลุ้นมากครับ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 8 : คำขอจากแม่] 29/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 30-10-2019 15:10:41
 :hao7:



 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 8 : คำขอจากแม่] 29/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 30-10-2019 18:57:08
ตั้งตารอต่อไป ^^
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 8 : คำขอจากแม่] 29/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 30-10-2019 19:15:43
รออออ :katai5:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 8 : คำขอจากแม่] 29/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: nizxx ที่ 30-10-2019 20:21:09
พลิกโพไปเลยอะ ไม่ค่อยแปลกใจแต่ก็อือนั่นแหละ คนแบบพันนาก็ไม่ใช่คนที่แย่อะไรขนาดนั้นอะเนอะ อย่าเพิ่งมองมุมเดียว ชอบความเจ้าจอมแนะให้ไปหาพี่โหรอะ ไปแกล้งๆอ้อนดู พาร์ทเข้าป่าช่วงแรกว่าระทึกใจแล้วคิดว่าเรื่องคงมีแค่นั้นอะ ถ้ามีอีกก็คือหลอนไปอีก ระทึกใจไปอีกแน่ อุแง กลัวผีตาเวก
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 8 : คำขอจากแม่] 29/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 30-10-2019 22:18:05
หลอนเลย ในป่าคือน่ากลัวมากแน่  :ling3:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 8 : คำขอจากแม่] 29/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 30-10-2019 23:13:52
ขอให้ชต รอดชีวิต เจ้าจอมโปรยเสน่ห์ใส่พันนาซะแล้ว
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 8 : คำขอจากแม่] 29/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 31-10-2019 00:49:40
ขอให้รอดทุกคนด้วยเถอะน้าาาา
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 8 : คำขอจากแม่] 29/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: KizzllKizz ที่ 31-10-2019 22:36:45
ลุ้นมาก ชตเป็นไงมั่งล่ะเนี่ย
 :hao4:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 8 : คำขอจากแม่] 29/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Pe_no ที่ 02-11-2019 15:48:50
ลุ้นต่อไปค่ะ :mew2:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 8 : คำขอจากแม่] 29/10/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Philosophy ที่ 04-11-2019 19:52:55
หลอนมากแม่ เหมือนเข้าไปอยู่ในป่าด้วยเลย
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 9 : เรื่องของไอ้บอด] 5/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 05-11-2019 21:26:00
ตอนที่ 9 เรื่องของไอ้บอด



    เมมโมรี่การ์ดถูกสอดเข้าไปในช่องอ่านไดร์ฟของเครื่องคอมพิวเตอร์ นิ้วเรียวดับเบิ้ลคลิกเปิดโฟลเดอร์ที่จัดเก็บไฟล์รูปภาพไว้ นึกดีใจที่ความตื่นตกใจไม่ได้ทำให้กล้องเสียหายจนใช้งานไม่ได้ แค่มีรอยขีดข่วนนิดหน่อย สมกับราคาหลายหมื่นบาทของมัน รูปภาพที่บันทึกไว้ทยอยปรากฏบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ตั้งแต่ดอกเห็ดเล็กๆ ที่ผุดขึ้นกลางใบไม้แห้ง จนถึงกล้วยไม้พันธุ์หายากที่คนเมืองไม่สามารถนำออกไปปลูกขายได้ ธรรมชาติงดงามเสียจนต้องนิ่งมอง ทว่าเพียงแค่นิ้วกดคลิกเคลื่อนผ่านเข้าสู่รูปในยามราตรี ความรู้สึกบางอย่างก็ก่อขึ้นในอก ช่องท้องเสียววาบ ใจหายโหวงเหวง

   ภาพเบื้องสูงที่จำได้ว่าถ่ายตอนที่ขึ้นบนห้างแรกๆ เป็นแค่ภาพธรรมชาติเมื่อไร้แสงสว่าง ต้องใช้เทคนิคกันเล็กน้อยถึงได้ภาพสวยถูกใจ กระทั่งผ่านไปพักใหญ่ก็ได้รูปหมูป่าตัวเขื่องดุนจมูกหาดินโป่งกิน พรานกล้าไม่ได้บอกถึงพิษสงของเจ้าหมูป่าให้ได้ฟัง แต่เขาเคยอ่านเจอในหนังสือสมัยเรียนมัธยม หมูป่าแท้ๆ ไม่มีเชื้อหมูบ้าน จะดุสูสีกับเสือเลยทีเดียว ร่างกายแข็งแรงกำยำพุ่งชนได้ดุดันราวกับกระทิง เขียวสองข้างของมันบวกพลกำยำเกินรูปร่างสามารถฆ่าคนตายได้ แต่ในคืนนั้นเจ้าหมูตัวอ้วน ดุนจมูกไถกับดินท่าทางไร้พิษภัย มองแล้วหมูทั่วไป หาไม่นับรวมเขี้ยวแหลมของพวกมัน

    นิ้วไล่กดมาถึงรูปก่อนจะสุดท้าย เขาเพ่งหาสิ่งที่ต้องการ ไม่กี่อึดใจมันก็ปรากฏขึ้น

   เสือผีตัวนั้น!

     แสงแฟลชสว่างวาบในความมืด ดวงตาของมันวาวเรืองชัดเจน เขาเพิ่งมองอยู่นานว่ามีสิ่งผิดปกติใดๆ บนใบหน้าของมันหรือไม่ แต่ก็ไม่พบสิ่งใด มองเผินๆ มันก็เหมือนกับเสือทั่วไป แค่ดวงตาแดงฉานของมันเท่านั้น

   สีแดง?

   พันนายื่นหน้าเข้าใกล้หน้าจอคอมพิวเตอร์มากขึ้น ปลายนิ้วกดเมาส์ซูมขยายจนภาพกว้างขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งได้พบกับความผิดปกติบางอย่าง

   ตาของได้เสือตัวนั้นไม่ได้เป็นสีแดงทั้งสองข้าง ตาข้างซ้ายของมันเป็นสีส้มอ่อนจนเกือบเหลือง แต่เพราะมันสะท้อนกับแสงแฟลชและความมืดเลยทำให้มองเห็นเป็นสีแดงทั้งสองข้าง

   ไอ้บอด!

    พันนาถอยหลังกลับมานั่งที่เดิม มองเสือตัวนั้นอีกอึดใจถึงได้ปิดคอมพิวเตอร์ หน้าจอกลายเป็นสีดำแล้ว แต่ภาพดวงตาคนละสีของเสือผีตัวนั้นยังติดอยู่ในความทรงจำ...




   ‘โทรมาทำไมวะ คนจะนอน’
    น้ำเสียงหงุดหงิดจากปลายสายโทรศัพท์ไม่ได้ทำให้คนฟังรู้สึกโกรธแต่อย่างใด ตรงกันข้ามนึกอยากจะแย่ให้อีกฝ่ายหัวเสียมากกว่าเดิม ชายหนุ่มกดยิ้มที่มุมปาก ขี้บุหรี่ที่ปลายนิ้วร่วงลงผืนหญ้าเบื้องล่าง กลุ่มควันสีขาวลอยล่องในอากาศพักเดียวก็จางหาย ละอองน้ำค้างเป็นไอเย็นจางๆ ในอากาศ ดาวดวงน้อยใหญ่กระจายตัวเต็มท้องฟ้าสีดำ กลิ่นดอกไม้กลางคืนพัดผ่านมาให้ชื่นใจเป็นระยะ

   เขาสูบบุหรี่ แต่ไม่บ่อยนัก ถ้าหากไม่ใช่ช่วงที่เครียดจัด ก็เป็นช่วงที่อารมณ์ดีเหมือนอย่างในตอนนี้

   “อยากคุยด้วย”

    ‘ไม่อยากคุย จะนอน ง่วง’
    อีกฝ่ายตอนกลับมาอย่างไม่รักษาน้ำใจ พร้อมกับเสียงฮึดฮัดตามประสาเด็กหัวร้อน

   “มีเรื่องอยากถาม ก่อนจะไปผจญภัย”

    ‘เรื่องอะไร!’

    “รู้จักไอ้บอดไหม เล่าให้ฟังหน่อยสิ” พันนาชวนคุย ไม่รู้ทำไมเสียงสั้นห้วนของอีกสายถึงได้น่าฟังนัก ยิ่งคิดถึงใบหน้าบึ้งตึงง้ำงอของเจ้าของเสียงยิ่งอยากจะฟังไปนานๆ

   ‘ไม่รู้จัก’

    “โกหก” พันนาต่อปากต่อคำ เลยได้เสียงพ่นลมหายใจสั้นๆ หนักๆ มาเป็นรางวัล “เล่ามาเถอะ จะได้รีบนอนไง”

   ‘เออๆ เล่าก็ได้ เล่าเสร็จก็เชิญองค์ชายบรรทมเลยนะพะย่ะค่ะเพราะหม่อนฉันเองก็ต้องการสลีพเหมือนกัน’

    พันนาเกือบหลุดขำในคำพูดทั้งราชาศัพท์และภาษาอังกฤษ เขาตั้งใจเอาหูแนบกับโทรศัพท์พร้อมฟังเรื่องราวของ ‘ไอ้บอด’ จากจ้าวจอม

    ‘ไอ้บอดเป็นเสือตัวใหญ่ อยู่ในป่านี้นี่แหล่ะ ตาเคยเล่าให้ฟังว่ามันป้วนเปี้ยนหาแถวริมน้ำเกือบยอดเขาโน่น เพราะชอบมีพวกกวางมากินน้ำ ที่ตามันบอดเพราะครั้งหนึ่งมันเคยสู้กับกวาง แล้วพลาดท่าโดนเขากวางเสียบเข้าที่ตา แต่กวางตัวนั้นก็ถูกมันฆ่าตาย ตาบอกว่ามันดุยิ่งกว่าเดิมอีก จากที่เคยฆ่าแค่สัตว์มันอาละวาดฆ่าพรานด้วย เพื่อนของตาเคยเกือบถูกมันฆ่าตาย ดีที่รอดมาได้เพราะปีนขึ้นต้นไม้ทัน แต่มันก็รออยู่ใต้ต้นไม้อย่างนั้นนะ เป็นวันเลยล่ะ โชคดีซ้ำสองที่มีโขลงช้างผ่านมาใกล้ๆ เพื่อนตาเห็นแล้วเพราะอยู่บนต้นไม้ แกไม่กล้าขยับเขยื้อนตัวแข็งทื่อเป็นหิน ช้างน่ะน่ากลัวว่าเสืออีกนะคุณ ตัวใหญ่แข็งแรง ฟาดงวงฟาดงาตาห่ากันเกลื่อน ไอ้บอดก็กลัวเหมือนกัน มันกระโจนหนีโขลงช้างเข้าป่า ส่วนช้างโขลงนั้นไม่ได้เข้ามาใกล้เพื่อนตาหรอก มันแค่จะไปหาน้ำกินเท่านั้น เพื่อนตาเลยรอดตายกลับมาเล่าเรื่องระทึกขวัญให้ฟัง’

    “มีใครจัดการมันได้ไหม” พันนาเอ่ยถาม บุหรี่หมดมวนแล้ว แต่อรรถรสในการเล่าเรื่องของจ้าวจอมยังเข้มข้น

    ‘เกือบมี’ จ้าวจอมตอบแบบไว้ที ‘ปู่ของพี่โหร ชื่อปู่เหม ปู่เหมเป็นพรานที่โคตรเก่ง เก่งกว่าตาเป็นสิบเท่า คาถาอาคมแกรอบตัว วิชาเขมรมีติดตัว วิชาไทยก็มีติดกาย แต่แกเป็นคนดีคนเก่งไม่เคยทำร้ายใคร ยึดอาชีพพราน ล่าสัตว์ป่า หาของป่ามาขาย พี่เหมเคยเล่าว่าสมัยก่อนปู่เหมแกเคยล่าสัตว์ส่งฝรั่ง แบบตัวเป็นๆ นะคุณ ส่งไปอยู่ในสวนสัตว์ แต่พอมีกฎหมายห้ามล่าสัตว์ แกก็เปลี่ยนมาหาของป่าแทน พร้อมกับรักษาคนไปด้วย’

    “รักษาคน แบบไหนล่ะ เป็นพรานไม่ใช่หรือไง” พันนาถามต่อ ไม่ได้จะกวนโมโห แต่สงสัยจริงๆ ในเมื่อเป็นพรานล่าสัตว์แล้วจะเอาวิชาความรู้ที่ไหนมารักษาคน

    ‘บ๊ะ ก็บอกไปแล้วไงว่าปู่เหมแกมีวิชา พี่โหรถึงได้เก่งไงล่ะ วิชาความรู้ของปู่เหมอยู่ที่พี่โหรเกือบหมด’

   พันนาพยักหน้าคนเดียว พยายามนึกภาพของโหร และสร้างปู่เหมในจินตนาการ ลักษณะคงไม่ต่างกันเท่าไรเพราะเหมจัดว่าเป็นผู้ชายที่คงลักษณะความเป็นคนยุคก่อนเอาไว้เกือบครบ ทั้งรูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ

   “แล้วปู่เหมจัดการไอ้บอดยังไง”

   ‘ว่ากันว่า วันหนึ่งปู่เหมจะเข้าไปเอากระทิงให้นายฝรั่ง แต่ดันไปเจอไอ้บอดเข้า ลูกหาบที่ไปกับปู่เหมโดนมันเล่นงานไปสองคน คนหนึ่งตาย คนหนึ่งเจ็บหนัก สภาพพอๆ กับน้ากล้านั่นแหล่ะ ปู่เหมแกแม่นปืน ใช้ลูกซองจัดการมัน แต่ปืนไม่แรงพอ ลูกกระสุนเจาะเข้าที่ขาซ้ายมัน มันเสียหลักแต่สัตว์ป่าน่ะ ยิ่งเจ็บมันยิ่งสู้ จนกว่ามันหรือเราจะตาย มันกระโจนเข้าใส่ปู่เหม ปู่เหมตั้งใจจะอัดกระสุนใส่มันอีกรอบ แต่ปืนของพวกนายฝรั่งที่ตามมาด้วยมันแรงกว่า ไรเฟิลพุ่งเข้าที่ซอกคอ มันล้มตึงหงายท้อง นอนร้องเสียงก้องป่า หายใจรวยรินอยู่สักพักก็หยุดดิ้น ทุกคนคิดว่ามันตายแล้วแน่ๆ เลยกลับไปที่แค้มป์หมายจะให้คนมาช่วยกันถลกหนัง แต่ที่ไหนพอกลับมา มันก็หายตัวไปแล้ว สรุปว่าตอนนั้นไม่มีใครรู้ว่ามันถูกสัตว์อื่นคาบไปกินหรือแกล้งตายแน่ พอจะกลับไปตามหาความจริงทางการก็ประกาศกฎหมายห้ามล่าสัตว์พอดี’

    “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพรานเวกล่ะ” พันนาสงสัยไม่เลิก รู้สึกว่าเรื่องราวในป่ามันสนใจมากจริงๆ

   ‘เรื่องตาเวก ผมเองไม่มีข้อมูลนักหรอก รู้แค่ว่าแกเป็นพรานรุ่นราวคราวเดียวกับปู่เหมนั่นแหล่ะ แต่แกไม่มีลูกเมียหรือญาติพี่น้อง ฝีมือสูสีกับปู่เหมเลยล่ะ แต่แกศึกษามนต์ดำมากเกินไป หลงใหลจนถึงขั้นเลิกล่าสัตว์ หมกตัวอยู่ในกระต๊อบของแก แต่แกมีฝีมือเรื่องล่าเสือมาก ถ้าหากนายฝรั่งอยากได้เสือเมื่อไร ปู่เหมต้องชวนตาเวกไปด้วยทุกครั้ง ว่ากันว่าแกมีคาถาดี กำราบเสืออยู่หมัดทุกตัว บางตัวเชื่องเป็นแมว แต่พอไปถึงเมืองนอกอาละวาดหนักร้องคำถามจนสวนสัตว์แทบแตก ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตาเวกเคยเจอกับไอ้บอดหรือเปล่า แต่ถ้าจะให้เดาทั้งไอ้บอดและตาเวกคงต้องเกี่ยวข้องกันแน่นอน’


    “หรือว่าทีจริงแล้วไอ้บอดต่างหากที่ควบคุมตาเวก” พันนาออกความเห็น ภาพดวงตาต่างสีผุดขึ้นมาในความคิด

    ‘ใครจะไปรู้ล่ะ ว่าแต่ทำไมถึงอยากรู้เรื่องไอ้บอดขึ้นมา’

    “บางที...เสือผีตัวนั้นอาจจะเป็นไอ้บอดก็ได้”

   ‘จริงหรือมั่ว ชัวร์หรือไม่’

    พันนาอมยิ้มอีกปลายสายเล่นคำ “พอดีถ่ายรูปมันมาได้รูปหนึ่ง ดูเหมือนว่าตามันจะเป็นคนละสี”

    ‘ถ้างั้นงานนี้ก็เหนื่อยหน่อยนะ แต่ถ้าเหนื่อยมากก็อาจจะเรียกค่าแรงเพิ่ม’

    “หน้าเลือดจัง” พันนาต่อว่าไม่จริงจัง น่าแปลกที่ความหวาดหวั่นในตัวเสือผีตัวนั้นมัดลดน้อยลงไปมาก ทั้งที่วีรกรรมความน่ากลัวของมันขนพองสยองเกล้า

   อีกสายต่อว่าพอให้จั๊กจี้หัวใจก่อนจะบอกปัดและตัดสายทิ้งไปแบบไม่ใยดี ไม่วายกำชับให้เขารีบเข้านอนเพราะยังมีเรื่องตื่นเต้นเหนือจินตนาการรออยู่...

(มีต่อ)
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 9 : เรื่องของไอ้บอด] 5/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 05-11-2019 21:34:06
เมื่อถึงกำหนดเดินทาง ทุกคนดูเคร่งเครียดกว่าครั้งแรกนัก สถานที่นัดพบคือบ้านของโหรตอนก่อนรุ่ง ข่าวคราวของรชตยังไม่คืบหน้าเช่นเดิม เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานกันอย่างเต็มที่ก็จริง แต่เรี่ยวแรงถดถอยลงทุกวัน วันก่อนพันนาไปถามหาข่าวความคืบหน้าเลยได้พบกับสีหน้าอ่อนล้าของเจ้าหน้าที่สามสี่ราย เพราะต้องตื่นแต่เช้าเข้าป่ากันทั้งวันกลับมาพร้อมกับความว่างเปล่า ทำให้หมดเรี่ยวหมดแรงไปตามกัน พ่อแม่ของรชตใช้วิธีสายไสยศาสตร์เข้าช่วย หมอดูทรงเจ้าให้ทำอะไรก็ทำหมด มารดาของรชตถึงกับยอมบวชชีพรหมให้เจ้ากรรมนายเวร ตามคำบอกของหมอดูชื่อดังของจังหวัด

   เขากับกุมภ์มาถึงหน้ากระท่อมของโหรตอนก่อนหกโมงเช้า ตะเกียงดวงน้อยส่องสว่างเป็นไฟดวงเล็กๆ อยู่ด้านใน คาดว่าเจ้าของบ้านคงตื่นแล้ว ทั้งคู่ได้ยินเสียงสวดมนต์แผ่วเบาดังมาจากด้านใน ยังไม่มันได้ร้องเรียกร่างเล็กของเด็กหนุ่มที่เขาคุ้นหน้าเป็นอย่างดีก็ปรากฏที่ชานบ้าน 

   สองขาแยกจากกันน้อยๆ มือทั้งสองข้างยกขึ้นท้าวเอว มองเผินๆ คล้ายกุมารทองไม่มีผิด

    จ้าวจอมกวักมือเรียกโดยไร้เสียง ทั้งสองก้าวขาพร้อมกันอัตโนมัติ ไฟในบ้านก็สว่างขึ้นทันทีเหมือนกัน

   โหรนั่งขัดสมาธินั่งสวดมนต์อยู่หน้าหิ้งพระที่กินพื้นที่เกือบครึ่งบ้านหลังเล็กของตัวเอง พันนากับกุมภ์นั่งเคียงกัน ไม่กล้าถามอะไรทั้งที่สงสัย ร่วมห้านาทีโหรถึงหมุนร่างกลับมา ใบหน้าคมเข้มเคร่งขรึมกว่าที่เคยเห็น ดวงตาสีดำดูลึกลับน่ากลัว

   “ผมมีเวลาแค่สามวันเท่านั้น ถ้าหาตัวเพื่อนคุณไม่เจอหมายความว่าเขาตายไปแล้ว”

   “ครับ” พันนาพยักหน้า

   “สิ่งที่ผมบอก พวกคุณต้องปฏิบัติตามทุกอย่าง เราไม่ได้ไปเที่ยวเล่น แต่ไปตามหาคน และอาจจะเสี่ยงกับความตายได้ ดังนั้นหากคุณนอกลู่นอกทาง จนเกิดพลาดท่าตายขึ้นมาผมไม่ขอรับผิดชอบอะไรทั้งนั้น”

   “โหดจัง” กุมภ์พึมพำ แต่ก็ดังพอที่จะทำให้คู่สนทนาได้ยิน

   “สิ่งที่คุณอาจจะได้เจอ มันโหดร้ายกว่านี้อีก” โหรบอกสั้นๆ แต่กลับสร้างความหวาดหวั่นให้ไม่น้อย “หรือว่าคุณจะทอดใจก็ได้นะ”

   “ไม่ ผมจะตามหาเพื่อนผม” กุมภ์ยืนกราน มาถึงขั้นนี้แล้วจะยอมถอยหลังถอดใจได้อย่างไร

    “อย่างที่บอกไปเมื่อคราวก่อนว่าผมจับคลื่นชีวิตเพื่อนคุณไม่ได้เลย เป็นไปได้ว่าอาจจะถูกบางอย่างบังตาไว้ เข้าป่าคราวนี้พวกคุณต้องหูไวตาไว ระวังตัวทุกฝีก้าว อย่าได้ประมาทเด็ดขาด” โหรกำชับ ก่อนจะส่งสายสิญจน์ให้กับคณะเดินทาง “รักษามันไว้ให้ดี ใส่ข้อมือไว้อย่าให้ขาด ผีซ้ำด้ามพลอยอย่างไรมันจะช่วยคุณได้”

   พันนากับกุมภ์รับสายสิญจน์มาพันข้อมือไว้อีกเส้นคู่กับเส้นเก่าที่พรานกล้าให้ ส่วนจ้าวจอมมีห้อยคออยู่แล้วสองเส้น

   ก่อนออกเดินทางโหรสั่งเอาทิ้งของไม่จำเป็นเอาไว้เสียที่นี่ เพราะไม่อยากให้ต้องแบกของหนักเข้าป่า แล้วทั้งสี่ก็ออกเดินทางทันที ก่อนที่พระอาทิตย์จะได้ขึ้นแตะขอบฟ้า

   “เอาของที่ผมสั่งไว้มาหรือเปล่า”

   โหรถามพันนาขณะที่เดินผ่านทิวไม้หนา หยาดน้ำค้างในเวลาเช้าตรู่หล่นใส่กายจนเปียกชื้น พันนาพยักหน้าพลางส่งไรเฟิล 150GR ให้โหร

   ปืนกระบอกนี้พันนาลงทุนไปยืนบิดามาให้ บิดาชื่นชอบและสะสมปืนมาตั้งแต่วัยหนุ่มเลยมีปืนแทบจะทุกรุ่น และถูกกฎหมายทุกกระบอกอีกด้วย พอรู้ว่าพันนาจะเข้าป่ามาตามหาเพื่อนท่านก็ส่งปืนกระบอกนี้ให้พร้อมกับลูกกระสุนอีกกล่อง แต่หวังว่าจะไม่มีการลั่นไก

   เดินป่าครั้งนี้จำเป็นต้องมีปืนติดตัวไปด้วย และต้องเป็นปืนที่ทรงประสิทธิภาพไม่น้อย เพราะถ้าหากอีกฝ่ายคือเสือผีจริงๆ ลำพังวิชาอาคมอย่างเดียวคงไม่พอ วิทยาการทางอาวุธน่าจะช่วยได้อีกแรง

   ลูกกระสุนถูกส่งถือมือโหรก่อนหน้าจะเดินป่าหนึ่งคืนโดยฝีมือของจ้าวจอม เด็กหนุ่มเข้าเมืองไปรับลูกกระสุนจากพันนามาให้โหร ส่วนปืนไม่อาจพ่วงกระเตงเอามาด้วยได้ พันนาเลยอาสาเอามาเอง โหรจำเป็นต้องปลุกเสกคาถาลงไป ตามคำบอกเล่าของจ้าวจอมที่ได้ยินมาจากพันนาเมื่อคืนก่อนว่าบางทีเสือผีตัวนั้นอาจจะเป็นไอ้บอด โหรเลยจำเป็นต้องขุดรื้อความทรงจำของของไอ้บอดขึ้นมาอีกครั้ง

    ปู่เหมเคยถ่ายทอดเรื่องของไอ้บอดให้ฟังเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น สมัยที่ปู่ยังต้องล่าสัตว์ส่งนายฝรั่ง มันเคยเกือบฆ่าปู่แล้ว ดีที่นายฝรั่งยิงมันได้ แต่ข่าวร้ายคือไม่มีใครได้ศพมันกลับมายืนยันว่ามันตายจริงๆ ลึกๆ ในใจแล้วปู่เชื่อว่ามันยังไม่ตาย มันแค่หลบซ่อนตัวเพื่อรักษาบาดแผลของมันเท่านั้น

   ทว่าเรื่องนั้นผ่านมาหลายสิบปีแล้ว ก่อนที่โหรจะเกิดด้วยซ้ำ ไอ้บอดไม่น่าจะอายุยืนยาวได้ขนาดนั้น มันอาจจะแก่ตายไปตามอายุขัย หรือถ้าไม่ตาย มันก็ไม่มีสภาพที่เรียกว่าสัตว์ป่าได้อีกแล้ว

   โหรค่อนข้างแน่ใจว่าสิ่งที่ต้องประมือในคราวนี้เรียกว่าอมนุษย์ เรื่องราวที่ได้ยินมาจากผู้สบภัยทั้งห้าคือหลักฐานหนักแน่นชิ้นหนึ่ง ไหนจะอาการบาดเจ็บสาหัสของพรานกล้าอีก ถึงจะเป็นรอยเล็บเสือ แต่ป่าผืนนี้ไม่มีเสือออกมาอาละวาดนานหลายปีแล้ว พวกมันเหลือแค่ไม่กี่ตัว หากินแบบสงบเงียบ แม้แต่คนพื้นที่เองยังไม่เคยเห็นพวกมันมานานมากแล้ว อีกอย่างสถานที่ที่พบพรานกล้ามันอยู่ห่างจากหมู่บ้านไม่มากนัก เกือบจะถึงตีนเขาอยู่รอมร่อ ไม่มีเสือตัวไหนลงมาล่าเหยื่อใกล้ถิ่นมนุษย์ขนาดนี้หรอก นอกเสียจากว่ามันไม่ใช่เสือจริงๆ

    ไรเฟิลกับกระสุนลงอาคมไม่สำคัญเท่าสมาธิ จิตต้องตั้งมั่น เพราะถ้าหากขาดสิ่งนี้ไปต่อให้อาวุธทรงอานุภาพแค่ไหนก็ไม่อาจช่วยอะไร

    ป่าในยามเช้าไม่ต่างจากครั้งก่อน เสียงไก่ป่าดังมาจากไกลๆ ก่อนจะก้าวเข้าป่าเต็มตัวโหรและคณะทำการสักการะเจ้าป่าเจ้าเขาเหมือนอย่างเคย ธูปปักลงดิน กลิ่นหอมกำยานอันแสนคุ้นเคยแทรกกับกลิ่นชื้นอับของป่า แมลงน้อยใหญ่เลื้อยหนีฝ่าเท้าที่ก้าวย่างผ่านพวกมัน

    ไม่มีใครพูดอะไร ได้แต่เดินตามกันไปเงียบๆ นานครั้งโหรถึงจะส่งสัญญาณให้หยุดเดินแล้วเงี่ยหูฟัง แต่พอสิ้นเสียงฝีเท้าก็ไร้สรรพเสียงใดตามมา

   “เสียงสะท้อนมั้งพี่” จ้าวจอมออกความเห็น ซึ่งก็ไม่มีใครขัด แต่โหรไม่เชื่ออย่างนั้น มีบางอย่างตามพวกเขามาเงียบๆ เงียบมากแม้แต่เสียงลมหายใจยังกลบเสียงมันได้

   โหรทำเป็นไม่สนใจ ทว่าจิตหนึ่งคอยจำความผิดปกติเอาไว้ บางอย่างบอกว่าสิ่งนั้นมันเคลื่อนไหวไม่ห่าง เหมือนจับตามองหรือรอคอยโอกาสที่เหมาะสม

    ล่วงเข้าสู่ช่วงสายพวกเขาผ่านจุดที่เจ้าหน้าที่กรุยทางไว้ระหว่าตามหารชต หญ้าล้ม สีเขียวสลับน้ำตาล รอยเท้าปรากฏให้เห็นชัดเจนไปทั่วบริเวณ โหรและจ้าวจอมเดินอย่างชำนาญ ผ่านดงพงไพรได้อย่างไร้รอยขีดข่วน ผิดกับอีกสองคนที่ได้แผลคนละนิดละหน่อยจากการถูกกิ่งไม้หรือหนามเกี่ยว

   โหรเลือกที่จะไปจุดตั้งเต็นท์ในคืนที่เกิดเรื่อง ร่องรอยการพักอาศัยชั่วคราวยังมีให้เห็น แม้เจ้าหน้าที่จะเก็บไปเกือบหมดแล้วก็ตาม รอยตอกหมุดปัก หญ้าที่ราบไป กิ่งไม้หักหลายจุด แต่ไม่มีปรากฏรอยเท้ากองทัพผีดิบอย่างที่เด็กหนุ่มพวกนี้พูดถึง

   จ้าวจอมเดินสำรวจหาจุดสังเกต ขณะที่โหรสอบถามข้อมูลจากผู้อยู่ในเหตุการณ์ก่อนที่รชตจะหายตัวไป

    “คุณบอกว่าพวกคุณพาเขาไปทางไหนนะ”

   กุมภ์หันซ้ายหันขวา มองพื้นสลับกับต้นไม้ ก่อนจะก้าวช้าๆ ห่างจากจุดที่เต็นท์ตั้งไม่กี่เมตร สีหน้ามึนงงแกมสงสัย “ตรงนี้ ผมจำได้ว่าพวกมันมากันเป็นสิบตัว แหวกต้นไม้มาจนพังราบ ลมพัดแรงมากเหมือนมีพายุเลย แต่ทำไมมันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีแค่กิ่งไม้หักเอง”

   พันนาพยักหน้าเห็นด้วย ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันติดตรึงราวกับอยู่ใต้เปลือกตานี่เอง ขนาดใบหน้าครึ่งผีครึ่งคนของไอ้อมนุษย์พวกนั้นเขายังจำได้ กลิ่นเหม็นสาบคล้ายกบจะติดอยู่ที่ปลายจมูกด้วยซ้ำ

   “หลังจากที่พรานกล้าไล่พวกเราไป ผมกับกุมภ์ก็พากันดึงไอ้ชตให้วิ่งตามกันออกไป เราวิ่งกันไม่รู้จักเหนื่อย จนรู้เหมือนปอดจะฉีกก็เลยหยุดวิ่ง แล้วจู่ๆ ไอ้ชตมันก็หัวเราะลั่น มันเงยหน้ามองไปข้างบน พวกเราก็เลยมองตาม แล้วก็เห็น....” พันนาหยุดพูด ภาพในความทรงจำผุดขึ้นเป็นฉากๆ “ผู้หญิง...”

   “ใส่ชุดสีขาวเก่าๆ ใช่ไหม” โหรแทรกขึ้น

   พันนาและกุมภ์หันหน้ามองโหรพร้อมกัน กุมภ์กระพริบตาปริบๆ ผงกศีรษะตอบรับช้าๆ

   “พี่รู้ได้ไงอ่ะ” จ้าวจอมที่เลิกสงสัยต้นไม้เดินมาสมทบพลางเอ่ยถาม

   “กูเก็บเศษผ้าได้ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามา” โหรบอก “ผ้าสีขาวเก่าๆ กลิ่นเหม็นเหมือนซากศพ”

   “อ๋อ เศษผ้าที่ให้ผมดม” จ้าวจอมพยักหน้าหงึกๆ พร้อมกับทำหน้าเบ้เพราะจำกลิ่นเหม็นของมันได้ดี “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคนที่ชื่อชตด้วยอ่ะ”

    คิ้วหน้าของโหรคล้ายจะขมวดเข้าหากัน ดวงตาคมดำมองไปยังเด็กหนุ่มทั้งสอง “ตอนที่เขาเข้ามาในป่ามีอาการแปลกๆ บ้างหรือเปล่า”

   พันนาส่ายหัว เพราะเขามัวแต่สนใจถ่ายรูปดอกไม้ใบหญ้าหรือแม้แต่เห็ดต้นเล็กๆ เลยไม่ได้สนใจอากัปกิริยาของใคร แต่จำได้ว่านอกจากอาการงี่เง่าของคะนิ้งคนอื่นๆ ก็ดูปกติดีทุกอย่าง

   ไม่ใช่...มีบางอย่างผิดปกติไป

   เขาเห็นรชตละเมอทำท่าเหมือนผลักใครในอากาศ ซ้ำในวันต่อมายังรู้สึกคล้ายกับมีคนเดินตาม แต่หันไปมองหลายครั้งก็พบแค่ความว่างเปล่า มีบ้างที่เห็นใบไม้แห้งคล้ายกับจะเคลื่อนไหวเบาๆ พยายามบอกกับตัวเองว่าเป็นอาการหูแว่วไปเอง แต่มันเป็นอย่างนั้นตลอดจนถึงตอนขึ้นห้าง หลังจากนั้นเขาก็เจอกับเรื่องเหนือจินตนาการจนลืมเรื่องมีคนเดินตามไป

    “ผมจำได้ว่าวันนั้นท่าทางไอ้ชตมันแปลกๆ” กุมภ์พูดขึ้น “มันคอยแต่จะหันไปมองข้างหลัง ผมเองก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนมีคนเดินตาม แล้วตอนที่ปีนขึ้นห้าง ผมเห็นเงาของผู้หญิงคนหนึ่งด้วย”

    “ไม่เห็นมึงเล่าให้ฟัง” พันนาหันมาถาม

   “ก็...กูไม่อยากให้พวกมึงไม่สบายใจ” กุมภ์บอกเสียงอ่อย “แต่มันแค่แป๊บเดียว แค่กระพริบตาเธอก็หายไปแล้ว”

    “แสดงว่ามันตามเพื่อนคุณตั้งแต่แรก”

   โหรออกความเห็น ถึงจะยังไม่รู้ต้นสายปลายเหตุว่าทำวิญญาณตนนั้นถึงได้ตามรชต แต่ทุกอย่างมันต้องมีมูลเหตุ

   “คืนนั้นน่ะ ไอ้ชตมันหายตัวไป แล้วจู่ๆ ก็ไปโผล่อยู่ในกลุ่มผีดิบ มีผีผู้หญิงอยู่ข้างๆ ด้วย” กุมภ์เล่าต่อ “ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ไอ้ชตมันเหมือนคนไม่มีสติ”

   “ผมว่าเราไปที่ห้างกันดีกว่า ตรงนี้ใกล้แหล่งชุมชนเกินไป”
    
   กว่าจะถึงห้างก็เกือบเย็น จ้าวจอมชำนาญพื้นที่พอๆ กับพรานกล้าอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะสามารถย่นระยะทางให้เหลือเพียงแค่วันเดียวได้ จากที่ต้องเดินเท้าถึงสองวันกว่าถึงห้าง กุมภ์กับพันนาเหนื่อยล้าไม่น้อย อากาศร้อนจัด แดดจ้า ถึงจะอยู่ในป่า แต่ใช่ว่าจะมีต้นไม้ตลอดทาง บางช่วงเป็นทุ่งโล่งมีแต่ต้นหญ้า แดดร้อนจนแสบผิว มีเวลาให้พักกินข้าวดื่มน้ำแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น โหรต้องการไปถึงห้างก่อนพระอาทิตย์ตกดิน เพราะมันจะลดความเสี่ยงต่อการเป็นเป้าล่อได้มากทีเดียว
    ที่ห้างทุกอย่างยังปกติ แต่ร่องรอยของเสือผีตัวนั้นไม่มีปรากฏให้เห็นอีกแล้ว

   โหรเลือกห้างหลังที่ชาร์ลกับคะนิ้งเคยอยู่ พันนาลังเลว่าควรจะปีนขึ้นตามไปหรือไม่ ดูจากขนาดตัวแล้ว หากไปเบียดกันอยู่ทั้งสี่คน มีหวังห้างคงได้ถล่มลงมาก่อนแน่ ในที่สุดก็เลือกที่จะปีนไปหลังเดิม เขาได้ยินเสียงคนปีนตามมา คงเป็นกุมภ์ที่เลือกห้างหลังเดียวกัน แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อขึ้นมายืนบนห้างแล้วเห็นเด็กหนุ่มหน้าแฉล้ม ดวงตายียวน

   พันนาหันไปมองห้างอีกหลัง เห็นกุมภ์ยืนทำหน้างงข้างๆ โหร

   “ปล่อยให้อยู่ด้วยกันมีหวังโดนเสืองาบไปทั้งคู่” จ้าวจอมช่วยขยายข้อข้องใจ

    จ้าวจอมหาที่นั่งพร้อมจะจัดการมื้อเย็น ป่าในตอนเย็นมืดเร็วเหมือนอย่างเคย ท้องฟ้าเริ่มกลายเป็นสีเทา แสงอาทิตย์หายไปตั้งแต่สี่โมงเย็น อากาศร้อนในช่วงเช้ากลายเป็นหนาวเย็นเมื่อไม่มีแสง เด็กหนุ่มดึงข้าวเหนียวเนื้อย่างออกมาจากในกระเป๋าเป้สีดำ พร้อมกับน้ำอีกขวด นั่งกินตุ้ยๆ โดยไม่คิดจะเรียกใคร พันนามองริมฝีปากที่ขยับเร็วๆ แล้วก็ชักจะหิวบ้าง เขามีข้าวกระป๋อง เนื้อย่างที่แม่ของจ้าวจอมทำมาเผื่อ และอาหารกระป๋องอีกหลายอย่าง แต่คงไม่น่าอร่อยเท่ากับที่จ้าวจอมกิน

    “เคยเห็นผีไหม” พันนาชวนอีกคนคุย ขณะที่เปิดข้าวอัดกระป๋องกิน “ตอนเข้าป่าน่ะ”

   จ้าวจอมหันมามองพลางสั่นหัว “ไม่เคย เพราะไม่เคยทำผิดกฎป่า”

   “กฎป่า? มีอะไรบ้างล่ะ” พันนาถามต่อ

   “ก็กฎง่ายๆ ที่แม้แต่เด็กสามขวบก็ยังทำได้” จ้าวจอมดูดนิ้วเปื้อนเสียงดังจ๊วบ “ก่อนเข้าป่าก็ต้องขอเจ้าป่าเจ้าเขา ไม่ฉี่ไม่ขี้ไปทั่ว ก่อนจะทำอะไรต้องขอก่อน แม้แต่ตอนกินก็ต้องแบ่งให้เจ้าป่าเจ้าเขาเจ้าที่เจ้าทางด้วย เหมือนอยู่ในห้องเรียนนั่นแหล่ะ จะทำอะไรก็ต้องขออนุญาตคุณครู”

    “แบ่งอาหารเหรอ?” พันนาทวนคำ พลันเหตุการณ์บางช่วงบางตอนก็หวนคืนสู่ความทรงจำ

   คืนนั้นดูเหมือนว่าพรานกล้าจะแบ่งอาหารในส่วนของตัวเองใส่ใบตองแล้ววางบนพื้น แต่รชตกลับท้วงอย่างคนอวดดี นั่นหรือเปล่าอาจจะเป็นชนวนเหตุทำให้ต้องเจอกับเรื่องเลวร้ายที่ตามมา

   “ใช่ แต่หน้าที่นี้พี่โหรทำแล้ว” จ้าวจอมยักไหล่ ก่อนจะเอ่ยเตือน “คืนนี้ระวังตัวให้ดีล่ะ พวกมันน่าจะเฝ้ามองเรามาพักใหญ่แล้ว”

   พันนาหันหน้ากวาดตามองไปรอบๆ ทันที รู้สึกอยากอาหารน้อยลงไปด้วย คำว่า ‘พวกมัน’ ย่อมหมายความว่าไม่ได้มีแค่ไอ้เสือผีตัวนั้นแค่ตัวเดียว มันอาจจะหมายรวมไปถึงกองทัพผีดิบพวกนั้นด้วย

    เมื่อจัดการมื้อเย็นเสร็จ จ้าวจอมก็นั่งขัดสมาธินิ่ง ดวงตากลมใส กวาดมองรอบๆ ความมืดโรยตัวเกือบจะคลอบคลุมทั้งผืนป่าทั้งที่ยังไม่หกโมงเย็นดี อุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็ว

   “ทำไมมันมืดเร็วจัง” พันนาพึมพำ “หนาวด้วย”

   จ้าวจอมไม่ได้ให้คำตอบ เป็นครั้งแรกที่พันนาเห็นว่าเด็กหนุ่มนิ่งขรึมขนาดนี้ ห้างข้างๆ ก็เช่นกัน เงียบสนิทไร้เสียง พันนาเพิ่งสังเกตอีกอย่าง แมลงกลางคืนยังไม่ส่งเสียงร้องทั้งที่พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าแล้ว

    พันนาเผลอหลับไป เพราะความมืด ความเงียบและอากาศที่เย็นลง บวกกับความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งวัน รู้สึกตัวอีกทีตอนที่มีบางอย่างสะกิดที่หัวไหล่

   ชายหนุ่มสะดุ้งตื่น มึนงงในวินาทีแรก แต่เพียงประเดี๋ยวเดียวสติก็หวนคืน กระซิบถามอีกคน “มีอะไรเหรอ”

    จ้าวจอมไม่ได้พูดอะไร แต่ชี้มือไปยังเบื้องล่าง พันนาเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ เมื่อเห็นบางอย่างเคลื่อนไหวในความมืด แม้จะไม่ชัดเจนแต่ก็มองออกว่ามันเป็นตัวอะไร

   “งูหลามเหรอ?”

    คราวนี้จ้าวจอมพยักหน้า งูหลามตัวใหญ่เลื้อยเชื่องช้าอยู่บนพื้น ลำตัวของมันพอๆ กับต้นขาเลยทีเดียว ยาวร่วมห้าเมตรได้ เป็นงูตัวใหญ่ที่สุดในชีวิตที่เคยเห็นมา

   “งูผีหรือเปล่า” พันนาถามด้วยอดหวั่นใจไม่ได้ แต่จ้าวจอมส่ายหน้าปฏิเสธ

   “งูธรรมดาเนี่ยแหล่ะ มันมาหานกหาหนูกิน คุณอยากทำบุญหรือเปล่าล่ะ” จ้าวจอมถาม ดวงตากลมโตเป็นประกายเจ้าเล่ห์ “ลงไปอุทิศตัวให้มันกินสิ ได้บุญบานโขแน่นอน”

   “เด็กบ้า”

   เด็กบ้าของพันนาไม่ได้ถือสาอะไร กลับหัวเราะเบาๆ นั่งกอดเข่าเพ่งมองงูหลามที่ค่อยๆ เลื้อยผ่านหน้าห้างไป

   “กี่โมงแล้ว”

   “เกือบสี่ทุ่มแล้วละมั้ง” เจ้าถิ่นบอก แม้ไม่มีนาฬิกาก็พอจะเดาเวลาได้จากท้องฟ้าและความเคยชิน

   “ไม่ง่วงเหรอ”

   “ก็มีบ้าง แต่ไม่อยากทิ้งพี่โหรไว้คนเดียว” จ้าวจอมเหลือบไปยังอีกห้าง เห็นไฟดวงเล็กๆ สว่างวาบเป็นระยะ และกลิ่นยาสูบจางๆ ในอากาศ “จะนอนก็ได้นะ”

   “ตื่นเต็มตาแล้วล่ะ” พันนาขยับนั่งขัดสมาธิ คลำหา .357 ของตัวเอง มันยังอยู่ดี ถึงจะเป็นปืนที่ไม่ได้มีอานุภาพเท่ากับไรเฟิลที่ยกให้โหรไป แต่ยามฉุกเฉินมันก็น่าจะช่วยได้ “มีอะไรผิดสังเกตบ้างไหม”

    “ตอนหัวค่ำ เหมือนจะเห็นเงาผู้หญิงแต่แค่กระพริบตาก็หายไปแล้ว” จ้าวจอมบอกเรียบๆ “ไอ้ลุงเวกมันคงส่งสนุมมาแอบส่อง”

   “นายว่าลุงเวกอยู่ตรงไหนของป่า”

   “ไม่รู้สิ” จ้าวจอมตอบ “ถึงจะเคยเดินแทบจะทุกซอกทุกมุมแล้วก็เหอะ แต่ก็มีบางจุดที่ไม่กล้าเข้าไปเหมือนกัน ตาเคยบอกว่าแถวนั้นเสือชุม ถึงจะนานแล้วแต่ก็ยังไม่กล้าไปอยู่ดี แบบว่าฝังใจอ่ะนะ”

    พันนาพยักหน้ารับ เขาเองก็เหมือนกัน ถ้าหากไม่จำเป็นก็จะไม่มาเยือนป่านี้อีกเป็นอันขาด...




*สารภาพว่าแต่งเรื่องนี้ด้วยความยากเย็น ไม่เคยไปผจญภัยที่ไหนเลย อาศัยฟังจากรายการบ้าง อ่านเพชรพระอุมาบ้าง (ซึ่งก็ยังอ่านไม่จบ หมั่นไส้นางเอกซะก่อน 5555) ดังนั้นข้อมูลบางอย่างมันอาจจะไม่แม่นยำนัก อ่านเอาสนุกเนาะ แถมดันแต่งเป็นวายการหาฉากให้จิ้นกันมันยากมาก (นึกออกไหม เราต้องแต่งเรื่องลี้ลับสลับกับหาการจิ้น ยากจุง)*

**รชต อ่านว่า ระ-ชต สารภาพอีกรอบว่าไม่รู้จะหาชื่อเล่นอะไรให้ดี เลยเอาชตละกัน สรุปเลยต้องให้ชื่อ ร-ชต ไป ฮ่าาา**

***เรื่องแต่งจบแล้วนะคะ ส่งให้ สนพ แล้วเรียบร้อย เอาไว้ได้ปกเมื่อไรจะเอามาอวด***

****โปรดติดตามต่อไป****
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 9 : เรื่องของไอ้บอด] 5/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 05-11-2019 22:53:28
ให้อารมณ์เพชรพระอุมา มากๆค่ะ
ลองทนนางเอกไปสักพัก สนุกนะคะ นางก็ดีแหละ แค่จริตหญิงเยอะไปหน่อย

รอลุ้น พันนา จอม โหร กุมภ์ สองคู่ชู้ชื่น ธีมผจญผีดิบนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 9 : เรื่องของไอ้บอด] 5/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 05-11-2019 23:20:26
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 9 : เรื่องของไอ้บอด] 5/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: valenna yy ที่ 06-11-2019 09:37:24
ลุ้นมาก กลัวผีโผล่555
แต่งดีมากเลยค่ะ เราชอบภาษานะ ลื่นไหลดี บรรยายแล้วคิดภาพตามได้
จิ้นก้พอน่ารักกรุบๆ กำลังดีกับโทนเรื่อง
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 9 : เรื่องของไอ้บอด] 5/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Philosophy ที่ 06-11-2019 10:33:30
 :hao4: :hao4:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 9 : เรื่องของไอ้บอด] 5/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 06-11-2019 10:57:20
ผีมาทั้งฝูงอีกแน่ๆ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 9 : เรื่องของไอ้บอด] 5/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 06-11-2019 15:37:53
 :hao7:



 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 9 : เรื่องของไอ้บอด] 5/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 06-11-2019 18:28:25
ถ้าบอดเป็นฝ่ายควบคุมตาเวกจริงนี่มันส์เลยนะงานนี้
ลงเรือพันนาเจ้าจอม เย้ๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 9 : เรื่องของไอ้บอด] 5/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 06-11-2019 19:46:22
รอลุ้นระทึกต่อ ขอบคุณผู้แต่ง ^^
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 9 : เรื่องของไอ้บอด] 5/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวลูกไก่ ที่ 06-11-2019 21:05:55
อ่านพี่โหรแล้วก็คิดถึงพรานรพินทร์เหมือนกันค่ะ คนอะไรทั้งเก่งทั้งหล่อ อาวุธก็เก่งคาถาอาคมก็เก่ง จะว่าไปขอโมเมนต์พี่โหรกับน้องกุมภ์บ้างได้มั้ยค้าา เลิฟคู่นั้นมั่กๆเลย  :mew1:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 9 : เรื่องของไอ้บอด] 5/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: smmikie ที่ 07-11-2019 01:33:59
คือดีมากอ่า
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 9 : เรื่องของไอ้บอด] 5/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: tpxqrz_taro ที่ 10-11-2019 23:20:53
สนุกมากๆเลยค่ะ ตื่นเต้น ระทึกขวัญ ต้องห่มผ้าก่อนถึงจะอ่านได้ :katai1:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 9 : เรื่องของไอ้บอด] 5/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 11-11-2019 12:44:58
อ่านยาวๆรวดตั้งแต่ตอนแรกยันล่าสุดเลยค่ะ สนุกมากค่ะ เรื่องแนวนี้อ่านเพลินมากๆเลย แต่งเก่งจัง อ่านแล้วนึกภาพตามได้เลยค่ะ
เราเคยฟังเรื่องผีในรายการวิทยุ เรื่องเล่าที่เกี่ยวกับป่าอารมณ์ประมาณนี้เลยค่ะ ฟังแล้วตื่นเต้นดี

คิดไว้ไม่มีผิดว่า จอมต้องคู่กับพันนา และพี่โหรกับกุม ดูยังไงโหรกับจอมก็ฟิลพี่น้อง ถ้าจะคิดมากกว่านั้นเขาคงคิดกันไปนานแล้ว
ป.ล.เราชอบกุมภ์ตั้งแต่พาร์ทแรกๆที่เข้าป่า เพราะดูเป็นคนไม่มีพิษภัย ดีใจที่ได้คู่กับพี่โหรคนเก่ง
ส่วนน้องจอมนี่แก่นแก้วจริงๆ น่าเอ็นดู พันนาจะเอาอยู่มั้ยย 555
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 9 : เรื่องของไอ้บอด] 5/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: akashita ที่ 11-11-2019 14:28:16
อ่านไปแล้ว 3 ตอน คือชอบมากค่ะ  :impress2:

แบบว่าเราฟังเรื่องเกี่ยวกับสิ่งลี้ลับในป่าบ่อยมากกกกกก ตามชาแนลเล่าเรื่องผี
เลยค่อนข้างจะอิน ๆ  หน่อย 5555555555+
เพราะบางอย่างก็ตรงกับที่เราฟังมาเลย ตอนที่เขาเข้าป่ากัน
สงสัยคนแต่งต้องเคยฟังเหมือนเราแน่เลย อิอิ

ยังไงก็เป็นกำลังใจให้นะคะ ขอตัวอ่านตอนที่เหลือก่อนนนน  :mew3:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 9 : เรื่องของไอ้บอด] 5/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Pawana ที่ 12-11-2019 19:06:44
คำว่าเสือสมิงนี่มันต้องร้ายกาจชนิดจับตัวยากเชียวนะ ถ้ามีการเร้าเพิ่ม. รวมบรรดาซอมบี้. และผี(เค้าเรียกอะไรน๊าที่สิงกับต้นไม้อะค่ะ) มันคงตื่นเต้น มันจะระทึกอ่านแบบอุ้ป ปิดปาก แล้ว อือออ เรารุ้จักเรื่องเพชรพระอุมานะ. แต่เราไม่เคยอ่านค่ะ. มารอลุ้นเรื่องนี้แทนค่า. สนุก ชอบค่ะ 
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 9 : เรื่องของไอ้บอด] 5/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: fon270640 ที่ 12-11-2019 21:12:22
พึ่งมาอ่าน เรื่องนี้คือสนุกมาก ใครไม่อ่านนี่พลาดเลย
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 9 : เรื่องของไอ้บอด] 5/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 12-11-2019 22:29:27
หนุกมากกกกกกก แบบมากๆๆๆๆ บางตอนนี่ขนลุกตาม ไม่ไหวแล๊วแม่
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 9 : เรื่องของไอ้บอด] 5/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 13-11-2019 20:05:49
ตื่นเต้นในทุกตอนค่ะ น่ากลัวมาก ไม่รู้จะโผล่มาเมื่อไหร่  :hao5:
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 10 : ดงเสือ] 13/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 13-11-2019 20:59:07
ตอนที่ 10 ดงเสือ



    กลิ่นยาฉุนไหม้ลอยในอากาศ แสงไฟเล็กๆ สว่างวาบเป็นระยะ น่าแปลกที่กลิ่นไหม้ไม่ได้ทำให้รู้สึกมึนงงแต่อย่างใด ทั้งที่ก่อนหน้านี้กุมภ์แพ้ควันบุหรี่ ได้กลิ่นทีไรมีอันต้องไอโขลกทุกที

   อาการง่วงนอนเมื่อตอนหัวค่ำดีขึ้นมานิดหน่อยหลังจากที่โหรอนุญาตให้งีบหลับได้ เขาได้นอนไปราวสองชั่วโมง มาตื่นตอนที่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวแกรกกรากที่ด้านล่าง คราแรกคิดว่าเสือผีบุกโจมตี แต่เมื่อเพ่งมองฝ่าความมืดไปถึงได้เห็นงูหลามตัวใหญ่ เขาคว้าปืนกระบอกเล็กที่ได้มาจากพันนาทันที แต่โหรบอกว่ามันเป็นเพียงแค่งูหลามธรรมดาไม่ใช่งูผีหรือบริวารของพรานเวกแต่อย่างใด

    ยิ่งดึกอากาศยิ่งหนาว กุมภ์กระชับเสื้อกันลมแน่นขึ้น บิดตัวไปมาไล่ความเมื่อยขบ จำได้ว่าเมื่อคราวก่อนมีหมูป่าตัวอ้วนมาหาดินโป่งกิน พรานกล้าเคยบอกว่าที่มีดินโป่งอันตราย แต่ใต้ห้างมีดินโป่งแค่นิดเดียว สัตว์เลยไม่ได้ชุกชุมเท่าไรนัก อีกสถานที่ที่อันตรายก็คือแถวริมน้ำ สัตว์จะออกมาหากินตอนกลางคืน ยิ่งริมน้ำยิ่งเยอะ สัตว์เล็กไม่เท่าไร แต่พวกหมูป่า เสือ หรือช้าง อันตรายถึงชีวิตเลยทีเดียว

    “มีอะไรผิดปกติบ้างไหมครับ” กุมภ์กระซิบถาม ขยับตัวเข้าใกล้อีกคนจนได้ไออุ่นจากเรือนกายใหญ่โต

   “ตาเฒ่าเวกให้บริวารมันมาจับตาดูเรา” โหรตอบเสียงเบา “ตั้งแต่เข้าป่าแล้ว”

    กุมภ์ทำตาโต เมื่อคราวที่มากับพรานกล้าเขายังรู้สึกถึงความผิดปกติ แต่วันนี้เขากลับไม่รู้สึกอะไรเลย

   เพราะเขาวางใจโหรเกินไปหรือเปล่า?

    “มันส่งวิญญาณผู้หญิงตามเรามา น่าจะเป็นตัวเดียวกับที่เอาตัวเพื่อนคุณไป”

   กุมภ์พยักหน้ารับรู้ ขนแขนลุกตั้ง เสียวสันหลังอย่างบอกไม่ถูก

    “มีอีกอย่างที่ผมอยากจะเตือนคุณไว้ ถ้ามีใครเรียกอย่าได้ลงจากห้างเด็ดขาด”

   “ทำไมล่ะครับ”

   “ผมบอกแล้วว่า ให้ทำตามที่ผมบอก ไม่ใช่ให้มาถามเซ้าซี้” โหรเอ็ดเสียงดุ ก่อนจะสูดเอายาสูบเข้าปอดเป็นครั้งสุดท้าย…





   “ไอ้พัน ลงมาข้างล่าง เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”

   เสียงเรียกของเพื่อนสนิทปลุกให้พันนาสะดุ้งตื่นอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปอีกครั้งตั้งแต่เมื่อไร เขาสะบัดไล่อาการง่วงงุน เงี่ยหูฟังอีกครั้งเพราะคิดว่าคงจะหูฝาดไป

    “ไอ้พัน! กูเอง ลงมาหากูหน่อย มีเรื่องแล้ว!”

    “ไอ้กุมภ์!” พันนาทะลึ่งพรวด ตั้งท่าจะลงไปหาเพื่อนรัก หากแต่ถูกบางอย่างสกัดเอาไว้ก่อน

   “จะไปไหน” เด็กหนุ่มที่นั่งสู้กับความง่วงยื่นแขนมาขวางหน้าเอาไว้

   พันนาดันแขนเรียวให้ออกห่าง ร้อนรนด้วยความเป็นห่วงเพื่อน “หลีกไปสิ ไอ้กุมภ์มันเรียกไม่ได้ยินหรือไง”

    จ้าวจอมส่ายหน้า พลางถอนหายใจเหนื่อยหน่าย “มีสมองก็คิดดูซะบ้างสิว่าเพื่อนคุณจะเรียกคุณจากข้างล่างทำไม ห้างก็อยู่ห่างกันแค่นี้ เอากิ่งไม้ปามาก็ได้ อีกอย่างคุณคิดเหรอว่าพี่โหรจะยอมปล่อยเพื่อนคุณลงมาเดินเล่นตอนตีหนึ่งน่ะ”

   พันนาดูเหมือนจะฉุกคิดได้ ชะโงกหน้าลงไปเบื้องล่างเห็นร่างของเพื่อนสนิทยืนอยู่ท่ามกลางความมืด ร่างที่เห็นเหมือนกุมภ์ทุกประการ ท่าทางเร่งร้อนคล้ายมีเรื่อง

   “แต่มันอาจจะเกิดเรื่องจริงๆ ก็ได้” พันนาแย้ง แม้ที่จ้าวจอมพูดจะมีเหตุผล แต่ถ้าหากคนข้างล่างคือกุมภ์จริงๆ เขาจะอยู่เฉยได้อย่างไร

   “งี่เง่าว่ะ” จ้าวจอมบ่น “ฉันนั่งมาค่อนคืนละ มีแค่ไอ้ตัวนั้นนั่นแหล่ะที่กำลังจะสร้างเรื่อง”

   “ไอ้ตัวนั้น?” พันนางงเป็นไก่ตาแตก ลืมเรื่องเมื่อคราวก่อนไปเสียสนิท

   “นี่ยังไม่รู้อีกเหรอว่ามันไม่ใช่เพื่อนคุณ” จ้าวจอมทำเสียงหงุดหงิด “ถ้าไม่เชื่อจะลงไปให้มันแดกก็ได้นะ เบื่อจะห้ามแล้ว”

    พันนาเพ่งสายตามองอีกครั้ง บุคคลเบื้องล่างลักษณะท่าทาง หน้าตาคือกุมภ์เพื่อนของเขาไม่ผิดแน่ ทว่าบางอย่างมันผิดไป...สายตา กุมภ์ไม่เคยมีสายตาน่ากลัวแบบนั้น แก้วตาที่คล้ายกับจะไร้แวว เหมือนเป็นแค่ก้อนหินสีดำ จ้องเขม็งมาที่เขา แม้จะรอบตัวจะเป็นสีดำแต่ก็ไม่อาจกลบความน่ากลัวน่าได้

   “ละ แล้วมันคือตัวอะไร” พันนาถามเสียงสั่น ขนในกายลุกชันอย่างเกินควบคุม

   “น่าจะเป็นบริวารของไอ้พรานแก่นั่น” จ้าวจอมบอกเสียงขรึม เด็กหนุ่มดึงสายตามาที่เขา “มันเริ่มเล่นงานเราแล้ว”

   “แล้วจะทำยังไงดี” ความกลัวจับกุมหัวใจ พันนาเผลอขยับตัวเข้าประชิดเด็กหนุ่ม

   “พี่โหรน่าจะรู้แล้วล่ะ”





   เป็นอย่างที่จ้าวจอมคาดการณ์ โหรสังเกตเห็นเงาร่างนั่นตั้งแต่เดินฝ่าหมอกจางๆ ลอยเหนือพื้นดินเล็กน้อยมาแล้ว คราแรกเขาเดาว่ามันอาจจะแปลงร่างเป็นเสือเหมือนครั้งก่อน แต่มันกลับกลายเป็นร่างของกุมภ์ ทุกอิริยาบถเหมือนกุมภ์จนน่าทึ่ง เพียงแต่ว่าตัวจริงอยู่กับเขาต่างหาก มันเดินไปหยุดที่หน้าห้างข้างๆ กัน ตะโกนร้องเรียกพันนาอยู่สองสามครั้ง พันนาทำท่าจะปีนลงไปหา แต่จ้าวจอมคงจะห้ามไว้ก่อน กุมภ์ตัวปลอมเลยหัวเสียอยู่ข้างล่าง

   “ทำไมไม่ลงมาล่ะ! อยากให้กูตายรึไง!” กุมภ์ตัวปลอมตวาดลั่น

   “คะ คุณโหร”

   กุมภ์ตัวจริงผวาเกาะหัวไหล่ของเขาแน่น หายใจแรงจนโหรสัมผัสได้ถึงไอร้อน

   “ถ้าเพื่อนของคุณไม่ลงไป มันก็ขึ้นมาไม่ได้หรอก”

    “ทะ ทำไมล่ะครับ” กุมภ์สงสัย โหรเหลือบมอง นึกขำใบหน้าเลิ่กลัก ที่มองร่างซ้อนของตัวเองสลับกับเขา

    โหรไม่ตอบ แต่ลุกขึ้นจากไม้ไผ่ขัดที่ทำเป็นพื้นห้าง ค้อมตัวเล็กน้อยลอดออกจากตัวห้าง แล้วยืนจังก้าพร้อมกับบางอย่างในมือ

   “พ่อมึงไปไหนซะล่ะ ทำไมถึงให้ผีไม่มีน้ำยาอย่างมึงมาหลอกพวกกู” โหรตะโกนถาม ร่างนั้นเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาสีดำเหมือนก้อนหินพลันเปลี่ยนเป็นสีแดง

   กรรรรรรร

   ร่างนั้นทำเสียงคำรามในคอ ฟังคล้ายกับเสียงของสัตว์ในยามโกรธ แต่โหรกลับไม่ยี่หระ มือกระชับบางอย่างในมือแน่นขึ้น

   “ไปบอกพ่อมึงว่าให้ส่งรชตคืนมา ไม่อย่างนั้นกูจะส่งมันลงนรก!”

   กรรรรรร

   ไม่มีเสียงตอบ มีแต่เสียงคำรามน่ากลัว ร่างจำแลงของกุมภ์ทำท่าจะกระโจนขึ้นมาบนห้าง แต่โหรสะบัดมือได้ทัน เพียงแค่พริบตาเดียวเสียงร้องโหยหวนดังก้องป่า ร่างนั้นกลายเป็นกลุ่มควันสีขาวก่อตัวเป็นร่างของผู้หญิงแต่บางเบาและเลือนราง อีกชั่วอึดใจกลุ่มควันนั้นก็จางหายไป

   “ไปไหนแล้วล่ะ” กุมภ์ร้องถาม พยายามกวาดสายตามองไปรอบๆ แต่ก็ไม่พบกับสิ่งใด

    “มันกลับไปหาพ่อมัน” โหรตอบสั้น

   “แล้วคุณปาอะไรใส่ มันถึงได้ร้องขนาดนั้น” กุมภ์ถามต่อ

   “มีด”

   โลหะสีเงินพุ่งเข้าใส่ได้อย่างแม่นยำ ปลายมีดคมกริบผ่านแหวกร่างนั้นเหมือนผ่าอากาศ แต่เพราะเป็นมีดลงอาคม วิญญาณดวงนั้นเลยได้รับบาดเจ็บไปไม่น้อย ตอนนี้มีดลงอาคมของโหรปักอยู่บนดิน เงาคมของมันสะท้อนอยู่ในความมืด

   กุมภ์ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ถึงเหตุการณ์เมื่อครู่จะน่ากลัวน้อยกว่าตอนที่เจอเสือผี แต่ก็ทำให้ใจสั่นได้ เขามองร่างโคลนนิ่งของตัวเองด้วยความประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่ามันจะเลือกแปลงเป็นเขาเพื่อไปหลอกพันนา คงเหมือนเมื่อคราวที่ปลอมเป็นคะนิ้งมาหลอกพวกเขา ดีที่มีโหรอยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นเขากับพันนาคงได้กลายเป็นบริวารพรานเวกไปแล้ว

    “นอนต่อเถอะ คืนนี้คงไม่มีอะไรแล้วล่ะ พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางกันแต่เช้า เราต้องเร่งหน่อยแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นเพื่อนคุณหรือแม้แต่พวกเราเองอาจจะถูกมันฆ่าเอา”

(มีต่อ)

หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 10 : ดงเสือ] 13/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 13-11-2019 21:05:27
ทุกคนตื่นตั้งแต่ตีห้า เริ่มออกเดินทางตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางดี เสียงไก่ป่าร้องพอให้ใจชื้นขึ้นมาได้บ้าง เช้านี้โหรพาทุกคนเดินเข้าดงช้างร้อง เพราะเป็นเส้นทางลัด โหรเป็นผู้นำทางโดยให้อีกสามคนที่เหลือเกาะชายเสื้อเดินตาม ด้วยประสบการณ์ทั้งจากการท่องไพรและวิชาการเรียนรู้สมุนไพรทำให้รู้ว่าต้นช้างร้องอยู่ตรงไหนแม้ว่าพระอาทิตย์จะยังไม่ขึ้นก็ตาม

   กุมภ์จับชายเสื้อของโหรแน่น ยังจำรสชาติอันแสนทรมานของต้นไม้มีพิษชนิดนี้ได้ดี เขาเกือบจะต้องตายเพราะมัน ถ้าหากตอนนั้นโหรมาไม่ทัน คงที่โชคร้ายคงไม่ใช่แค่รชตคนเดียว

   จู่ๆ หัวใจก็เต้นโครมครามอย่างน่าประหลาด กุมภ์เงยหน้ามองแผ่นหลังกว้างของชายฉกรรจ์วัยยี่สิบห้าปี เขาได้รู้ประวัติคร่าวๆ ของโหรมาบ้าง แปลกใจนิดหน่อยตรงที่โหรเพิ่งจะอายุยี่สิบห้าปี แก่กว่าเขาห้าปี แต่โหรกลับเป็นหนุ่มเต็มตัว ดูเป็นผู้ใหญ่ น่าเชื่อถือ มีความรู้ความสามารถรอบตัว รูปร่างสูงใหญ่ยิ่งทำให้รู้สึกปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูก ในใจลึกๆ บอกกับเขาว่าไม่ว่าอันตรายแค่ไหนจะรออยู่ แต่ถ้าหากมีโหรเขาจะปลอดภัย

   “เดินดีๆ ได้ไหม ไม่ต้องจับแน่นขนาดนั้นก็ได้หรอก เป็นเด็กประถมหรือไง”

   เสียงบ่นไม่เบานักดังมาจากด้านหลัง กุมภ์เอี้ยวตัวหันไปมอง ยามนี้แสงแรกของวันเริ่มจะจับขอบฟ้าบ้างแล้วทำให้มองเห็นความหงุดหงิดของจ้าวจอมที่เดินตามเขามาติดๆ กุมภ์เผลอยกยิ้ม เพราะคนที่ถูกจ้าวจอมเอ็ดคือพันนา

   “ก็มันมืดนี่” พันนาโต้กลับมา มือจับชายเสื้อของจ้าวจอมแน่น แถมยังเยอะมากจนบางครั้งเสื้อก็เลิกจนถึงหน้าท้อง

    พันนาเดินรั้งท้ายขบวน จังหวะการก้าวออกจะประหลาดไปสักหน่อยเพราะเจ้าตัวหวาดกลัวต้นช้างร้องจนเกินพอดี แต่คิดอีกแง่ พันนาเองก็เห็นถึงพิษสงของมัน เลยกลัวว่าตัวเองจะถูกมันเล่นงานอีกคน

   “พี่จะไปไหนอ่ะ” จ้าวจอมร้องถามคนนำหน้า ไม่มีเบาะแสของรชต พวกเขาในตอนนี้ไม่ต่างจากคนตาบอดเดินคลำทาง

   “เดี๋ยวก็รู้” โหรบอกสั้นๆ อีกตามเคย จ้าวจอมร้องเหอะ แต่ก็ไม่ได้แผลงฤทธิ์อะไร กระทั่งแสงอาทิตย์ฉายไปทั่วป่าพวกเขาก็หลุดออกจากดงช้างร้องและแวะกินข้าวเช้ากันที่หินก้อนใหญ่ใกล้ลำธาร

    “ไอ้พันมึงดูสิ รอยเท้าสัตว์เต็มเลย” กุมภ์ชี้รอยเท้าของสัตว์ป่าที่เดินเหยียบย่ำดินโคลนแถมริมตลิ่ง มันมากมายเสียจนมองไม่ออกว่าเป็นรอยของสัตว์อะไร

    “รอยตัวอะไรวะ ดูไม่ออก เสือ?”

   “หมูป่า! เสือที่ไหนมันจะมาเป็นฝูง” จ้าวจอมถอนหายใจเสียงดัง “มีทั้งหมูป่า กวาง ช้าง ตะกวดด้วย อยากลองกินตะกวดย่างไหมล่ะ ยาโด๊บปชั้นดีเลยนะ”

   คนพูดยักคิ้วไวๆ ก่อนจะกัดเสื้อย่างที่เช้าวันนี้แข็งเท่ากับท่อนไม้เข้าปาก

   “รู้ได้ยังไวว่ามันเป็นยาโด๊ป” พันนาถาม “เคยลองเหรอ”

   จ้าวจอมหรี่ตามอง แก้มระเรื่อขึ้นเล็กน้อย “ไม่เคยโว้ย แต่พวกจีนมันชอบ ให้ราคาดี มันบอกว่ากินแล้วดีกับไอ้ตรงนั้น” เด็กหนุ่มหลุบตามองเป้าคนถาม “แต่อย่างคุณคงไม่ต้องแล้วละมั้ง แค่นี้สาวก็เดินตามเป็นพรวน”

   พันนาหัวเราะหึ ไม่ได้นึกโกรธกับคำเหน็บแนมของไอ้เจ้าเด็กดื้ออย่างไร

   “แล้วตกลงเราจะไปที่ไหนกันล่ะพี่โหร” จ้าวจอมเปลี่ยนเรื่อง สังหรณ์พิกล

   “ดงเสือ” โหรตอบสั้นๆ แต่เล่นเอาคนถามขนลุกชัน รู้สึกอิ่มขึ้นมาเสียดื้อๆ

   “พี่ว่ามันอยู่แถวนั้นเหรอ”

   “อืม” โหรพยักหน้า ไม่มีอะไรพิสูจน์หรือยืนยันข้อสันนิษฐานของโหร แต่ก็บริเวณที่เรียกว่า ‘ดงเสือ’ คือจุดที่น่าสงสัยที่สุด

   ดงเสือ คือป่าที่เป็นมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นหนาแน่นมากที่สุดของภูเขาลูกนี้ และอยู่ติดกับเขตแนวประเทศเพื่อนบ้าน สมัยก่อนเคยใช้เป็นเส้นทางขนยาเสพติด เพราะมีเสืออยู่ค่อนข้างเยอะ เลยไม่ค่อยมีคนเสี่ยงเข้าไปเสียเท่าไร แต่ระยะหลังมานี่พวกเศรษฐีมีเงินทั้งไทย จีน ฝรั่ง  อยากจะได้เสือตัวเป็นบ้างๆ หัว หรือหนังเอาไว้ประดับบ้าน เสือที่ว่าเยอะเลยลดลงไปมากโขทีเดียว หากไม่ประกาศให้ป่าผืนนี้เป็นป่าสงวนประเทศไทยคงเหลือเสือให้ดูแค่ไม่กี่ตัวเท่านั้น

    แต่ถึงจำนวนจะลดลงไปมากสักแค่ไหน คนในพื้นที่ที่ยังยำเกรงแต่ป่าก็ยังไม่กล้าเข้าไปเฉียด มีข่าวว่าไอ้บอดมันเคยอาศัยอยู่ในดงเสือนี่แหล่ะ แถมไม่มีหลักฐานที่ไหนมายืนยันได้ว่าไอ้เสือตาบอดข้างหนึ่งมันตายไปแล้ว อีกอย่างแถวนั้นคงไม่ได้มีเสือแค่ตัวเดียวแน่ๆ

   จัดการมื้อเช้าเสร็จก็ออกเดินทางทันที อาศัยเดินเลียบริมธาร ที่ไหลผ่านภูเขาและมีต้นน้ำอยู่ที่ภูเขาใหญ่อีกลูกที่อยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน โหรเร่งฝีเท้าเพราะไม่อยากจะเสียเวลาไปมากกว่านี้ หากโชคดีก็จะถึงดงเสือก่อนฟ้าจะมืด แต่ถ้าฟ้าฝนไม่เป็นใจ พวกเขาจะต้องเสี่ยงต่อการถูกโจมตีทั้งจากสัตว์ป่าและเหล่าอมนุษย์

   พันนาคอยลูกคลำปืนลูกโม่ .357 ที่เสียบอยู่ข้างเอวเรื่อยๆ คร่าวก่อนพวกเขาไม่มีอาวุธใดๆ ไว้ป้องกันกายเว้นเสียแต่วิชาติดตัวของพรานกล้า คราวนี้เขาเลยขอยืมปืนมาจากบิดา ไม่ใช่แค่ไรเฟิลที่โหรใช้ แต่เขากับกุมภ์ยังมี.357 คนละกระบอก โชคดีที่เคยเรียนยิงปืนมาบ้างเลยไม่ต้องเสียเวลาศึกษาการใช้งาน ส่วนจ้าวจอมขอปฏิเสธ เพราะถนัดใช้มีดมากกว่า

   พูดถึงมีด มีดเล่มที่โหรใช้จัดการอมนุษย์ตัวเมื่อคืนมันปักอยู่บนดินจนถึงเช้าโหรถึงได้เก็บมันเข้าฝัก พันนามีโอกาสได้เห็นมันเพียงชั่วประเดี๋ยว แต่ก็พอที่จะรู้ว่ามันคือมีดเก่าโบราณและไม่ใช่มีดทั่วไป

    พออาวุธติดกายก็ใจชื้นมากกว่าครั้งก่อน ถึงจะไม่รู้ว่าปืนที่เอามาด้วยจะช่วยอะไรได้แต่ก็ยังดีกว่ามามือเปล่า แต่ปืนไรเฟิลของโหรมีกระสุนพิเศษ ทว่าต้องใช้แบบจำกัดจะยิ่งพร่ำเพรื่อไม่ได้ ดังนั้นถ้าหากถูกเสือหรือสัตว์ป่าที่ไม่ใช่เสือตัวนั้นทำร้าย พวกเขาต้องใช้ปืนที่พกมานี่แหล่ะป้องกันตัวเอง

   บ่ายคล้อยพวกเขาก็เดินผ่านทุ่งโล่ง ไร้ต้นไม้ อากาศร้อนจัด เหงื่อออกจนตัวเหนียว ต้องยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อบนหน้าผากหลายครั้ง หนุ่มเมืองไม่เคยเดินป่ามาก่อนเลยไม่รู้ว่าในป่าจะมีพื้นที่แบบนี้อยู่ด้วย ไม่มีต้นไม้ให้ร่มเงา มีแต่หญ้าแห้งๆ กับตอไม้ตายๆ พวกเขาต้องเดินผ่านทุ่งโล่งนี้เพื่อเข้าสู่เขตพื้นที่ที่เรียกว่าดงเสือ

    กุมภ์หอบแฮกเพราะอากาศที่ร้อนจัด แดดเลียแผ่นหลังจนแสบผิวแม้จะมีสวมเสื้อแขนยาว รีบก้าวยาวๆ ตามโหรไป ขณะที่อีกฝ่ายไม่มีมีท่าว่าจะเหนื่อยเลย ทั้งที่เหงื่อชุ่มแผ่นหลัง

   “ร้อนแบบนี้น่ากลัวฝนจะตกตอนเย็น” จ้าวจอมออกความเห็น ซึ่งก็ไม่ได้ไกลความจริงเท่าไรนัก เพราะเริ่มเห็นเมฆสีเทาลอยอยู่บนฟ้าบ้างแล้ว

    กระทั่งเกือบสี่โมงเย็นทุกคนก็เข้ามาอยู่ในป่าที่เต็มไปด้วยต้นไม้อีกครั้ง ต้นไม้แถบนี้ล้วนลำต้นหนาใหญ่ บอกถึงอายุของพวกมัน กิ่งก้านใบแผ่กว้างเบียดแน่นจนแทบไม่มีแสงแดดส่องผ่านเข้ามา ต่างจากทุ่งโล่งที่เพิ่งเดินผ่านมานัก กุมภ์ได้ยินเสียงนกร้องสลับกับเสียงชะนีที่ร้องอยู่ไกลๆ

    เสียงฟ้าร้องครืนๆ จากอีกฝากของภูเขา โหรเร่งฝีเท้าเดินผ่าโพรงหญ้าสูง ไม่มีอะไรบอกว่าพรานเวกจะพำนักอยู่แถวนี้ มีแค่สัญชาตญาณของโหรเท่านั้น

   ยิ่งเดินเข้าไปลึก เสียงร้องของนกหรือชะนีค่างที่เคยได้ยินกลับเงียบหายไป แทนที่จะได้ยินชัดขึ้น หัวใจของเด็กหนุ่มเมืองกรุงเต้นโครมคราม รับรู้ถึงอันตรายที่โอบล้อมรอบด้าน ทุกคนรู้ดีว่าความเงียบสงบนี้มันซ่อนความน่ากลัวเอาไว้

   ดงเสือ ไม่ได้มีเสือเดินเผ่นผ่านตามชื่อ หากแต่มีร่องรอยแห่งความโหดร้ายของสัตว์ป่าเอาไว้ให้เห็น ทั้งซากกวางที่ตายมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งเดือน หรือแม้แต่ซากหมีตัวเขื่อง ที่ตอนนี้เหลือแค่หนังแห้งๆ กับกลิ่นเหม็นสาบโชยคลุ้ง

    กุมภ์เผลอสาวเท้าเข้าใกล้โหรมากขึ้นจะเรียกว่าเดินประชิดตัวเลยก็ว่าได้ ความเงียบ กลิ่นเหม็นสาบ กระตุ้นความกลัวให้ทำงานโดยไม่ต้องขู่ หัวใจเต้นโครมครามกองทัพผีดิบยังไม่น่าขนลุกเท่ากับสถานการณ์ตอนนี้เลย

    “พี่โหร ตาเวกจะอยู่แถวนี้จริงๆ เหรอวะ มันเหมือนไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ อยู่รอดได้เลยนะ”

   “อยู่ได้ ถ้ามันไม่ใช่คน” โหรตอบสั้นๆ แต่ได้ใจความตามเคย

   ยิ่งเดินลึกเข้าไปเท่าไรแสงสว่างยิ่งลดน้อยลงเรื่อยๆ ความเงียบ วังเวง ชวนชนลุกมีทั่วอยู่ทุกพื้นที่ ต้นไม้ใหญ่ลำต้นขนาดสองคนโอบแน่นขนัด ใบและกิ่งแผ่กว้าง เสียงฝีเท้าของคนทั้งสี่ดังชัดเจน ซ้ำยังสะท้อนกลับคล้ายกับมีคนเดินตามอีกด้วย

    พรึ่บ!

    การเคลื่อนไหวรวดเร็วราวกับลิงลมผ่านหน้าทุกคนไป ไม่มีใครมองเห็นว่ามันคือตัวอะไร ทิ้งไว้แค่ใบไม้แห้งที่ลอยเหนือพื้นและการโยกไหวของกิ่งไม้

    “อะ อะไรน่ะ!” กุมภ์ร้องถาม ผวาเข้าจับชายเสื้อของโหรโดยอัตโนมัติ

   ยังไม่ทันจะได้รับคำตอบ เสียงกิ่งไม้ไหวก็ดังขึ้นจากอีกฝั่ง ทุกสายตาเบนหันไปมองแต่ก็ยังไม่อาจหาที่มาได้ เจ้าตัวนั้นเคลื่อนไหวรวดเร็วเสียจนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

   “โอ๊ย!”

    กุมภ์ร้องเสียงหลง บางอย่างแหลมคมเหมือนปลาบเล็บข่วนใบหน้าซีกซ้าย เลือดไหลซิบตามรอยแผล ชายหนุ่มเบิกตากว้างยกมือขึ้นกุมใบหน้ากระถดตัวชิดแผ่นหลังกว้างของโหร

   “เป็นอะไรมากหรือเปล่า ทุกคนระวังตัวด้วย” โหรถาม น้ำเสียงเคร่งเครียดจนคนฟังรู้สึกได้ เลื่อนมือลงไปในกระเป๋าย่ามคู่ใจ ปลายนิ้วกำด้ามมีดเอาไว้

    กุมภ์ส่ายหน้าปฏิเสธ แม้ว่าที่จริงแล้วจะเจ็บเหมือนถูกมีดกรีดหน้าก็ตาม แต่แผลคงไม่ลึกมากเพราะเลือดไม่ได้ไหลหยด แค่ซึมๆ เท่านั้น

   “ตัวอะไรวะพี่” จ้าวจอมถาม ตอนนี้ทั้งสี่หันหลังชนกันแล้ว ช่วยกันกวาดตามองหาเจ้าตัวนั้น
 
   “ไม่รู้” โหรตอบตามความจริง มันเคลื่อนไหวเร็วเสียจนมองไม่ออก ส่งสัญญาณห้ามเมื่อพันนาทำท่าจะดึงปืนออกมาจากใช้ คงไม่ดีนักหากจะทำให้ป่าตื่นในเวลานี้

   สิ่งไม้ไหวรอบด้าน ใบไม้แห้งลอยเหนือพื้น กลิ่นเหม็นสาบสางฉุนจนแสบจมูก โหรพยายามตั้งสติ จับการเคลื่อนไหวของมัน ไม่ใช่การมอง หากแต่เป็นการฟังต่างหาก

    ดวงตาคมปิดลง ใช้การฟังแทนการมองเห็น เสียงที่ได้ยินชัดเจนเมื่อไร้ภาพขึ้นตามสัญชาตญาณ โหรตั้งสติ จับจุดการเคลื่อนไหวของมัน เริ่มจากเสียงลมที่มันวิ่งผ่าน เพียงแค่อึดใจเดียวก็รู้ว่ามันเคลื่อนไหวเป็นวงกลม เริ่มจากทางซ้าย ไม่ถึงชั่วลมหายใจมันก็วิ่งรอบ ฝีเท้าของมันเบาหวิวราวกับเหาะได้ แต่ไม่ใช่หรอก มันวิ่งด้วยสองเท้าเหมือนกับมนุษย์

   มันวิ่งถอยห่างออกไป ทางฝั่งของจ้าวจอม โหรรู้ว่ามันกำลังจะกระโจนเข้าทำร้าย หมอหนุ่มหมุนตัวไปทางทิศทางนั้นรวดเร็วไม่แพ้กัน ก่อนจะสะบัดมือไปทางนั้น!

    ฟึ่บ!

    “อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก!!”

    เสียงร้องแผดก้องป่า ก่อนที่ร่างนั้นจะล้มลงดิ้นพราดๆ บนพื้น มีดหมอลงอาคมของโหรปักเข้าที่หน้าท้องพอดี เลือดสีแดงเข้มไหลทะลักออกตามบาดแผล

   “ตัวอะไรวะ!”

    ใครคนหนึ่งร้องถามขณะที่พากันไปรุมล้อมมันเอาไว้ กุมภ์เบ้หน้าเพราะกลิ่นเหม็นสะอิดสะเอียนของมัน

   “ใช่พี่สนหรือเปล่าวะ” จ้าวจอมถาม พลางสังเกตใบหน้าที่บิดเบี้ยวของมันไปด้วย

   พี่สนของจ้าวจอมมีสภาพกึ่งมนุษย์ หรือจะเรียกว่าอมนุษย์ก็คงไม่ผิดนัก ใบหน้าซูบตอบ ดวงตาลึกจนแทบจะจมหายเข้าไปในเบ้ากะโหลก เส้นผมสีดำยุ่งเหยิง ซ้ำยังหายเป็นกระหย่อม เสื้อผ้าเก่าเลอะเทอะมอมแมมฉีกขาด ผิวกายดำกระด่าง กลิ่นเหม็นเหมือนสัตว์ป่านอนคลุกศพ แต่ที่น่าตกใจก็คือมือและเท้าของมันมีเล็บยาวงอกออกมา มันยาวเกินว่าจะเป็นเล็บคนปกติทั่วไป

   จ้าวจอมคลับคล้ายคลับคลา เพราะเมื่อปลายปีก่อน พี่สนหายตัวไประหว่างไปทำไร่ ไม่มีใครหาเจอ หลายคนคิดว่าพี่สนคงถูกฆ่าตายไปแล้ว แต่พ่อแม่พี่สนปักใจเชื่อว่าลูกชายตัวยังไม่ตาย ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่าพี่สนไม่เคยมาเข้าฝันมาขอให้ทำบุญไปให้ แต่เท่าที่เห็นตอนนี้สภาพของพี่สนก็ไม่ต่างจากผีเท่าไรนัก ยกเว้นแต่เลือดสีแดงที่ไหลออกมา

   “ไอ้แก่เวกใช้มึงมาใช่ไหม” โหรถามเสียงเครียด ก่อนจะใช้เท้าเหยียบไปบนหน้าท้องของมัน ใกล้กับบาดแผลฉกรรจ์ มันร้องเสียงแหลม พยายามจะทำร้ายโหรกลับ แต่จ้าวจอมกับพันนาช่วยกันจับมือมันไว้ได้ทัน

    “พวกมึงต้องตายทุกคน!”

    โหรไม่ได้ยี่หระต่อคำขู่ แต่กลิ่นที่อยู่ภายในปากของมันทำเอาทุกต้องหันหน้าหนี กลิ่นเหม็นเน่ารุนแรงเสียยิ่งกว่ากลิ่นกายด้านนอก เหมือนเครื่องในปลาเน่าๆ

   “เอาไงดีพี่” จ้าวจอมถาม กดท่อนแขนของมันด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมด ทั้งยังต้องคอยหลบกรงเล็บน่าเกลียดไปด้วย

   โหรไม่ตอบ ก้มลงดึงมีดออกจากหน้าท้องของมัน เลือดสีแดงข้นพุ่งเหมือนน้ำก๊อก กลิ่นคาวน่าสะอิดสะเอียนคลุ้งไปทั่ว มันร้องโอดโอย ดิ้นเร่าๆ ทั้งที่ยังถูกจับแขน โหรใช้เท้าขยี้ซ้ำไปที่บาดแผล ยกมือขึ้นพนมพร้อมกับมีดในมือปากพึมพำบางอย่างที่คล้ายกับบทสวด แล้วอีกอึดใจต่อมามีดด้ามเดิมก็ปักลงที่หน้าอกด้านซ้ายอันเป็นตำแหน่งของหัวใจ

   มันดินพลาดเหมือนปลาโดนทุบหัว ดวงตาเบิกโพลง แต่เพียงเสี้ยววินาทีร่างนั้นก็หยุดนิ่ง จ้าวจอมและพันนาถอยห่างออกมา แล้วร่างของมันก็กลายเป็นผงฝุ่นธุลีเหมือนเถ้าถ่านปลิวหายไปในอากาศ

   “พี่ว่าใช่พี่สนหรือเปล่า” จ้าวจอมยังไม่หายสงสัย “ถ้าเป็นพี่สนจริงคงได้กลับไปบอกตาปิงกับยายไพรแล้วล่ะว่าให้ทำบุญให้ที”

   ไม่มีใครให้คำตอบได้ แต่ถ้ามันเป็นเรื่องจริงมันก็น่าสลดหดหู่ไม่น้อย สนยังหนุ่มยังแน่น เป็นกำลังของครอบครัวที่ผ่านมาตาปิงและยายไพรพ่อแม่ของสนให้ความหวังตัวเองว่าลูกชายคนโตของบ้านยังไม่ตาย คิดแล้วก็อดสงสารไม่ได้

   “ระวังตัวให้มากขึ้น ยิ่งเข้าใกล้มันยิ่งจ้องเล่นงานเรา” โหรหันกลับไปทางกุมภ์ ใช้นิ้วจับคางสะอาดพลิกซ้ายพลิกขวา ดวงตาจับจ้องไปที่รอยแผลยาวบนแก้มด้านซ้าย “เหมือนจะไม่มีอะไรนะ แต่ป้องกันเอาไว้ก่อนก็ดี”

    กุมภ์กระพริบตาปริบๆ ร้าวผ่าวที่ใบหน้าแทนที่จะเป็นแถวบาดแผล อาการปวดตุบเมื่อครู่ไม่หลงเหลืออีกแล้ว ปลายนิ้วยาวแต่ด้านสากผละออกไปก่อนจะกลับมาพร้อมกับบางอย่าง มันเป็นสีดำเหมือนขี้ผึ้ง กลิ่นคล้ายน้ำมันมะพร้าว โหรไม่ได้อธิบายอะไรตอนที่ป้ายขี้ผึ้งบนรอยแผล “แผลคุณจะหายเร็วขึ้น”

   กุมภ์ขอบคุณเบาๆ รู้สึกกระดากกระเดื่องอย่างบอกไม่ถูก

    ทั้งหมดเดินลึกเข้าไปในป่าใหญ่ กลิ่นเหม็นสาบแทนที่ด้วยกลิ่นอับของใบไม้ที่ร่วงทับถมกันเป็นเวลานาน ต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นแน่นขนัดจนโหรกับจ้าวจอมช่วยกันตัดเบิกทาง เสียงฟ้าร้องขึ้นเหนือศีรษะ ความมืดกลืนกินผืนป่าอย่างรวดเร็ว และก่อนที่ฝนจะกลั่นตัว จ้าวจอมก็พบกับบางอย่างเมื่อกิ่งไม้สุดท้ายที่ฟันลงไปร่วงลงพื้น

   “ถ้ำเหรอ?”

    เบื้องหน้าคือปากทางเข้าถ้ำแต่มันถูกปกคลุมด้วยเถาวัลย์และกิ่งไม้จนมองเห็นเป็นโพรงเล็ก คนที่มีมืดช่วยกันถากถางจนมองเห็นทางเข้าถ้ำขนาดใหญ่ กลิ่นอับชื้นแซมด้วยกลิ่นเหม็นเน่าโชยออกมาจากด้านใน จ้าวจอมหันมองหน้าโหร แม้ไม่มีคำตอบให้แต่ทั้งหมดก็เดินเข้าไปโดยไม่ต้องเอ่ยปากชักชวน

   แสงสว่างจากกระบอกไฟฉายขนาดแปดท่อนของพันนาถูกนำออกมาใช้ มันสาดผ่านความมืดเข้าไปจนมองเห็นหินก้อนน้อยใหญ่ขึ้นสลับกันไร้ระเบียบ ผนังถ้ำมีตะไคร้ขึ้นจนเป็นสีเขียวคล้ำ พื้นที่เดินขรุขระด้วยกรวดหิน ถึงตอนนี้จะถอยหลังกลับก็ไม่อาจทำได้แล้วเพราะฝนตกกระหน่ำ จนน้ำบางส่วนเริ่มไหลเข้ามาในถ้ำ

    ในถ้ำทั้งมืดและเงียบ เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจของคนข้างๆ กุมภ์หายใจไม่ทั่วท้อง รับรู้ถึงอันตรายที่กำลังรออยู่เบื้องหน้า รองเท้าผ้าใบฉ่ำไปด้วยน้ำที่ไหลเอื่อยๆ แทรกปะปนอยู่กับก้อนหินน้อยใหญ่ หลายครั้งต้องสะดุ้งตกใจเพราะเสียงร้องจากบางสิ่งบางอย่าง พอพันนาหันกระบอกไฟฉายไปถึงได้รู้ว่ามันคือค้างคาวกระพือปีก หรือไม่ก็นกตัวเล็กๆ ที่อาศัยอยู่ในถ้ำ

   พวกเขาเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ แม้จะไม่รู้ว่าจุดหมายอยู่ที่ใด แต่โหรก็ยังสาวเท้าไม่หยุด กระทั่งได้ยินเสียงบางอย่าง โหรถึงได้ยกมือส่งสัญญาณทุกคนหยุดเดิน

   กรร!!!

   มันคล้ายกับเสียงคู่ของเสือ กลิ่นเหม็นสาบปะทะกับใบหน้ารุนแรง พันนาพยายามหันกระบอกไฟฉายไปรอบๆ แต่กลับไม่พบกับสิ่งใดนอกจากความมืด แต่แล้วก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อหมุนกระบอกไฟฉายมาที่เดิมอีกครั้ง และสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าก็คือ!!





*ดีใจที่ได้อ่านคอมเมนท์ของทุกคน รู้สึกได้กำลังใจเยอะมากเลย คอมเมนท์ของนักอ่านเหมือนน้ำทิพย์รดรินใจ*

**หลายคนทำไมรู้ว่าเราฟังเรื่องผีในยูทูปมา ฮาาาา**

***ตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะให้โหรกับจ้าวจอมคู่กัน แต่กลัวโหรเป็นความดันซะก่อน เลยจัดกุมภ์ให้เฮียเค้า***

****ตอนนี้กำลังปวดหัวกับการออกแบบปก เป็นเครียด นิยายวายแต่ดันมาแนวผจญภัยในป่า****

*****คาดว่าช่วงงานสัปดาห์หนังสือปีหน้า คงจะได้อ่านแบบรูปเล่มกัน*****

******โปรดติดตามตอนต่อไป******

หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 10 : ดงเสือ] 13/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 13-11-2019 22:12:30
 :hao7:


 :L2: :pig4: :L2:

 o13
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 10 : ดงเสือ] 13/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 13-11-2019 22:33:48
สนุกสุดๆ :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 10 : ดงเสือ] 13/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 14-11-2019 05:11:25
ลุ้นจนหัวใจจะวาย​ ขอให้ทุกคนปลอดภัย
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 10 : ดงเสือ] 13/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 14-11-2019 08:20:07
สนุกมากกกกกกก
คนกรุงนี่เกาะติดคนป่าแจเลยนะ
ถึงจะเป็นตอนที่ลุ้นๆ น่ากลัว
แต่จ้าวจอมและกุมภ์ก็ยังน่ารัก
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 10 : ดงเสือ] 13/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: valenna yy ที่ 14-11-2019 09:29:51
ลุ้นมากกกก
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 10 : ดงเสือ] 13/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: smmikie ที่ 14-11-2019 10:00:20
ฮืออออ ทำไมตัดกำลัง ทำร้ายกันแบบนี้
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 10 : ดงเสือ] 13/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: sawangpong ที่ 14-11-2019 11:18:13
กำลังลุ้นตัวเกร็ง..... จะตัดจบแบบนี้ไม่ได้นะมันค้างรู้ไหม555
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 10 : ดงเสือ] 13/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 14-11-2019 11:40:20
ลุ้นจนเกร็ง สนุกมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 10 : ดงเสือ] 13/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 14-11-2019 12:57:12
อ้างถึง
และสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าก็คือ!!
กดบวกรัวๆ อยากอ่านต่ออออออออออออ
 :z13:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 10 : ดงเสือ] 13/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 14-11-2019 16:29:33
ลุ้นจนเยี่ยวเหนียวแล้ววววว
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 10 : ดงเสือ] 13/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 14-11-2019 17:33:33
มัน ลุ้น จน หัวใจ เต้น ตุ๊บๆ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 10 : ดงเสือ] 13/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 14-11-2019 19:15:26
เจอตาเวกเลยไหมคะเนี่ยยยย  :ling3:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 10 : ดงเสือ] 13/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 14-11-2019 22:34:34
มาต่อเร็วๆน้าา อารมณ์ค้างอย่างแรง
แอบขำพันนาอ่ะโดนน้องจอมดุตลอด 5555 พี่โหรมีความละมุนน  :z1:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 10 : ดงเสือ] 13/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 16-11-2019 09:10:34
 :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 10 : ดงเสือ] 13/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 16-11-2019 14:54:17
ลุ้นมากมายเลยนะ มาต่อเร็วๆ เถิด
 :m29: :m29:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 10 : ดงเสือ] 13/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 16-11-2019 15:18:38
ตามลุ้น รอตลอด ตื่นเต้น เอามากๆ อยากให้เนิ้อเรื่อง ยาวๆ ไม่อยากไห้ จบเร็ว นัก ^^
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 11: พิกุล 50%] 17/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 17-11-2019 20:42:20
ตอนที่ 11 พิกุล

            “ตาเวก!”

                ชายชรารูปร่างผอมไม่ตากจากต้นไม้ตายซาก ใบหน้าซูบตอบ ดวงตาลึกจนแทบมองไม่เห็นลูกนัยน์ตา ริมฝีปากเป็นสีดำคล้ำแตกแห้ง ผิวหนังเยี่ยวย่นแห้งหุ้มกระดูก เส้นผมสีขาวหล่นร่วงเป็นบางกลุ่ม เสื้อผ้าขาดเก่ารุ่งริ่ง มองแล้วไม่เหมือนชายชราผู้มากด้วยวิชาอาคมสักนิด

                “พวกมึงมาทำไม!”

                ตาเวกถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้งเยี่ยงคนชรา ทว่าชวนให้เสียวสันหลัง กลิ่นเหม็นสาบคล้ายสัตว์ป่าโชยระคนกลิ่นอับชื้นในถ้ำ

                “ส่งเด็กที่ชื่อรชตมา แล้วผมจะไม่ยุ่งกับตา” โหรบอกเจตนาด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้ความหวาดหวั่น

                “หึ หึ ฝันไปละมั้งได้โหร” ตาเวกหัวเราะในคอ ดวงตาสีดำเป็นประกายในความมืด หากสังเกตให้ดี ดวงตาข้างซ้ายมันเป็นสีเทาไม่ได้ดำด้านเหมือนอีกข้าง ร่างที่อยู่สุดแสงกระบอกไฟฉาย ขยับเข้ามา แสยะยิ้มน่าเกลียด “ป่านนี้อีพิกุลมันกินไปหมดแล้ว ฮ่า ฮ่า”

                ไม่มีใครรู้จัก ‘อีพิกุล’ ที่เวกกล่าวถึง แต่น่าจะเป็นหนึ่งในบริวารของอดีตพรานชราตนนี้

                “ตาอย่างสร้างเวรสร้างกรรมอีกเลย แค่นี้สภาพของตาก็ไม่ต่างอะไรกับผีแล้ว”

                “ไอ้โหร! ไอ้เด็กเมื่อวานซืน! อวดดีเหมือนปู่มึงไม่มีผิด!” ดวงตาลึกโบ๋คล้ายกับจะถลึงกว้าง “ปู่มึงมันอวดเก่งอวดดี คิดว่าเก่งที่สุด แต่เปล่าเลย มันก็แค่ไอ้พรานแก่อวดดีแต่ไร้น้ำยา แค่เสือตาบอดยังฆ่าไม่ได้” พรานเวกเย้ยหยัน ยิ่งได้รู้ว่าไอ้เหม อดีตคู่แข่งเมื่อครั้งยังหนุ่มชิงแก่ตายไปเสียก่อนก็ยิ่งสะใจ ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ต่อให้เก่งแค่ไหนก็แพ้สังขาร แพ้โรคภัยอยู่ดี

                “ผมไม่อยากทะเลาะกับตา” โหรต่อรอง ไม่ได้โกรธที่ถูกปรามาส “ผมแค่อยากได้เด็กคนนั้นคืน”

                “ไปคุยกับอีพิกุลเอาเอง!” ตาเวกตะคอกกลับ ปลายเสียงฟังคล้ายกับเสียงขู่ของเสือ

                “แล้วอีพิกุลนี่ใครอ่ะ”

                จ้าวจอมแทรกเข้ามา ยื่นใบหน้าผ่านหัวไหล่ของโหร ถึงจะกลัวพรานแก่มากอาคมนี่แค่ไหน แต่ความอยากรู้มันมากกว่า

                “อีพิกุลน่ะเหรอ” ตาเวกเคียงคอไปเอียงคอมา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปด้านบน “อยู่บนหัวพวกมึงยังไงล่ะ”

                พันนาสาดไฟฉายขึ้นเหนือศีรษะทันที ภาพที่เห็นเล่นทำเอาเลือดในกายเย็นเยียบลงอีกรอบ ผ้าสีขาวตุ่น มีคราบสกปรกลอยอยู่ในอากาศ พร้อมกับเท้าเปลือยเปล่าแต่เปื้อนเปรอะคล้ายดินโคลน เล็บเท้าเปิดเป็นแผลแห้งๆ บางแห่งมีแผลผุพอง กลิ่นสาปเหม็นเหียนคลุ้งไปทั่ว กวาดไล่สายตาจนถึงใบหน้า แม้จะไม่ได้เน่าเละเหมือนในหนังผี แต่สีขาวโพลนไร้เลือด ดวงตาเป็นฝ้าขาวไร้แก้วตาดำ ริมฝีปากฉีกกว้างจนแทบจะถึงใบหู คราบสีดำคล้ายกับเลือดแห้งกรังติดไปทั่วตัว เส้นผมสีดำยุ่งเหยิงสกปรก พันนาเบิกตากว้างเช่นเดียวกันกับกุมภ์ ทั้งคู่จำได้ดีว่าเคยเจอหล่อนที่ไหน คราวนี้หล่อนน่ากลัวกว่าเดิมเสียอีก

                หล่อนแสยะยิ้ม อวดไรฟันสีดำน่าเกลียด ร่างที่ลอยอยู่ในอากาศค่อยๆ ลดลงมาบนพื้น ศีรษะเอียงจนใบหูแทบจะแนบกับหัวไหล่ แขนขาบิดเบี้ยวราวกับถูกหักให้ผิดรูป

                พันนาเผลอยกปืนขึ้น ชั่วขณะนั้นลืมไปว่าสิ่งที่เห็นไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่จะพ่ายแพ้ให้กับลูกกระสุนอีกแล้ว

                “อีพิกุลไม่ใช่บริวารกู แต่มันเป็นเจ้ากรรมนายเวรของไอ้เด็กนั่น” ตาเวกบอกด้วยเสียงแหบแห้ง แต่เต็มไปด้วยความสาแก่ใจ “มันเฝ้ารอเวลาให้ไอ้เด็กนั่นดวงตกจนถึงที่สุด ตอนแรกน่ะ อีพิกุลมันไม่มีพลังมากขนาดนี้ แต่มันบอกว่ายินดีจะเป็นทาสกู ก็เลยช่วยให้มันจัดการไอ้เด็กนั่นง่ายขึ้น”

                พันนาใจหายวูบ มันเหมือนกับที่แม่ของรชตบอก สิ่งที่กำลังจะเอารชตไปคือเจ้ากรรมนายเวรจริงๆ แต่มันไม่ยุติธรรม เรื่องของชาติที่แล้วใครจะจำได้ เกิดมาก็มีชีวิตใหม่ ความทรงจำกับความเลวร้ายในอดีตชาติไม่มีใครจำได้ ผีสาวตนนี้ผูกใจเจ็บมากเกินไป มิน่าเล่าถึงไม่ได้ไปผุดไปเกิดเสียที

                ‘มันฆ่ากู! อีชบา! คิดว่าเกิดมาเป็นผู้ชายแล้วจะหนีกูพ้นอย่างนั้นรึ! กูเฝ้ารอยคอยมันมาเป็นสิบปี กูยอมเป็นผีมากบาปไม่ยอมไปผุดเกิดเพื่อจะแก้แค้นมัน!’

                พันนาตาเหลือก เสียงที่ได้ยินคล้ายกับจะดังก้องในหู ชายหนุ่มเงยหน้ามองวิญญาณร้ายเลิกลัก ขณะที่คนอื่นๆ ยังสงบนิ่งไม่มีทีท่าจะได้ยินเหมือนกับเขา

                “ทะ ทำไมล่ะ”

                “มึงเป็นอะไร” กุมภ์กระซิบถาม ปลายเสียงสั่นเทาจนรู้สึกได้

                “กะ กูได้ยินเสียงผู้หญิงคนนี้” พันนาตอบ เสียงสั่นไม่แพ้กัน “มันเหมือนดังอยู่ในหู”

                สิ้นคำตอบภาพตรงหน้าก็พลันเปลี่ยน สภาพแวดล้อมรอบกายไม่ใช่ถ้ำมืดมิด หากแต่เป็นป่าทึบที่ไหนสักแห่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

                พันนารู้สึกเหมือนขาถูกตรึงอยู่กับที่ ดวงตาเบิกกว้างมองไปยังเบื้องหน้า มือที่ถือทั้งปืนและกระบอกไฟค้างบนอากาศ

                หญิงสาวคู่หนึ่งจูงมือกันวิ่งฝ่าความรกทึบของพงหญ้ามาทางเขา ทั้งคู่สวมใส่เสื้อผ้าเหมือนที่เคยเห็นในหนังย้อนยุค คนหนึ่งใส่สีขาวส่วนอีกคนเป็นสีชมพู ชายกระโปรงยาวแค่หน้าแข้งเปื้อนคราบดินและสีเขียวของหญ้า ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยหอบไม่อาจซ่อนความน่ามองเอาไว้ได้ ผู้หญิงที่สวมชุดกระโปรงสีชาวถักผมยาวเป็นหางม้า ที่ปลายผมมีโบว์สีเดียวกับชุดผูกไว้ด้วย ดวงตากลมโต พวงแก้มเป็นสีชมพูเพราะเลือดลมที่สูบฉีด ในมือมีกระเป๋าหวายสานใบใหญ่ ขณะที่ผู้หญิงชุดสีชมพูถักผมเปียหน้าตาหมดจดหากแต่สู้อีกคนไม่ได้ หิ้วกระเป๋าหวายสานมาด้วยเหมือนกัน

                ‘เร็วเข้าเถอะชบา ประเดี๋ยวมันก็ตามกันกันพอดี’

                ‘นี่ฉันก็เร่งมากแล้ว ปวดขาไปหมดแล้วด้วย’

                ผู้หญิงผู้ถักเปียหางม้าเอี้ยวตัวหันไปมองด้านหลัง เท้าทั้งสองวิ่งตะบอนมาข้างหน้าไม่ลดละ เหงื่อผุดพรายทั่วใบหน้างดงาม ‘เธอว่าเราหนีพวกมันรอดหรือยัง’

                ‘ออกมาตั้งไกลขนาดนี้ ก็น่าจะรอดแล้วล่ะ’ หญิงสาวผมเปียสองข้างบอก เสียงลมหายใจหอบเหนื่อยปนมากับคำพูด ‘แล้วนี่เธอนัดพี่แผนกี่โมงกัน ถ้าเรือพี่แผนมาไม่ทันเราได้ตายจริงๆ แน่’

                ‘นัดแล้ว พี่แผนจะมาตอนสี่โมงพอดี’

                ‘ถ้าอย่างนั้นก็เร่งกันเถอะ’

                หญิงสาวผมเปียหางม้าจูงมือสตรีอีกคน ทั้งสองกำมือกันแน่นเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น พันนามองตามไปเรื่อยๆ น่าแปลกที่เขาไม่ได้วิ่งตามพวกเธอไปแต่กลับเห็นทุกการเคลื่อนไหวได้อย่างชัดเจน แม้แต่สีหน้าท่าทางของพวกเธอเขาก็เห็นชัดเหมือนกำลังดูหนังสามมิติอยู่ไม่มีผิด

                พวกเธอเหมือนกำลังหนีใครบางคน ทั้งสองวิ่งไปเรื่อยๆ จนถึงท่าน้ำเล็กๆ ข้างคลองใหญ่ เรือลำเล็กจอดเทียบท่า พร้อมกับฝีพายอีกหนึ่งคน หมวกใบใหญ่คล้ายงอบปกคลุมใบหน้าคนบนเรือเอาไว้ แต่เห็นเพียงแค่ท่อนแขนก็มองออกว่าเป็นผู้ชายรูปร่างกำยำผิวดำคล้ำ

                ‘เอ๊ะ! ไม่ใช่พี่แผนนี่ พี่แผนไม่ได้คล้ำขนาดนี้’

                ‘อาจจะเป็นเพื่อนพี่แผนก็ได้ เธอรีบลงเรือเถอะ’ หญิงสาวผมเปียเร่งเร้า ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ยอมก้าวเท้า

                ‘ไม่ใช่พี่แผน! นี่มันไอ้พร้าว!’

                ผู้ทำหน้าที่ฝีพายในเรือลุกพรวดขึ้นเต็มความสูง ตัวเรือโคลงเคลงคล้ายกับจะล้ม ทว่าเจ้าตัวไม่สนใจก้าวพรวดเดียวขึ้นมายืนบนท่าเรือที่ทำจากไม้ไผ่เล็กๆ ต่อเรียงกัน

                ชายผู้นั้นยืนจังก้า หมวกใบใหญ่ถูกเหวี่ยงตกน้ำ เผยใบหน้าโหดเหี้ยมให้เห็น ‘ฮ่า ฮ่า อีพิกุล! มึงจะหนีกูไปไหน’

                ‘ไอ้พร้าว! นี่มึงมาได้ยังไง’

                ‘กูก็มารับมึงไปสวรรค์ไง อีโง่! จะได้แต่งงานกับลูกเศรษฐีมีตังค์ไม่เอา เสือกจะมาเอาไอ้กระจอกเมืองกรุง’ พร้าวหัวเราะในคอ ดวงตาลึกดุดันน่ากลัว หญิงสาวทั้งสองกุมมือกันแน่น เดินห่างจากท่าน้ำลงไปยังพื้นดิน โดยเฉพาะผู้หญิงที่ชื่อพิกุลใบหน้าของเธอซีดเผือด ริมฝีปากสั่นระริก

                ‘ไม่! ฉันไม่กลับ จะให้ฉันกลับไปแต่งงานกับคนแก่คราวพ่อได้ยังไง พี่พร้าว ปล่อยฉันไปเถอะนะ นี่แน่ะฉันมีเงินอยู่บ้าง ฉันยกให้พี่หมดเลยก็ได้’ พิกุลอ้อนวอน แต่ขาทั้งสองก็ไม่หยุดก้าวถอยหนี ขณะที่พร้าวสืบเท้าตาม

                ‘เงินที่เสี่ยเจิมให้กู เยอะกว่าเงินเก็บมึงเยอะแยะ’ พร้าวแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียม ‘กลับไปกับกูดีๆ อย่าให้ต้องเสียเลือดเสียเนื้อ’

                ‘ไม่!’ พิกุลปฏิเสธลั่น ‘ฉันเป็นเมียพี่แผนแล้ว! ฉันรักพี่แผนคนเดียว!’

                ‘อีระยำเอ๊ย!’

                สิ้นเสียงบริภาษ ร่างของพิกุลก็ร่วงลงไปนอนบนพื้น หญิงสาวยกมือกุมข้างแก้ม ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตื่นตะลึง เพราะผู้ที่เหวี่ยงมือทำร้ายไม่ใช่ใครที่ไหนหากแต่เป็นคนที่วิ่งมาด้วยกัน

                ‘มึงมันร่าน! เจอผู้ชายเมืองกรุงแค่ไม่กี่วันก็ยกตัวให้เขา ทั้งที่จะแต่งงานอยู่รอมร่อ’ ชบาโยนกระเป๋าหวายทิ้ง ก้าวขาคร่อมร่างของพิกุลเอาไว้ ดวงตาของเธอเบิกโพลง ในนั้นอัดแน่นด้วยโทสะ และก่อนที่พิกุลจะได้ทันได้พูดอะไรฝ่ามือก็เหวี่ยงใส่ใบหน้าอีกฝั่งเต็มแรงจนเกิดเสียงเพี๊ยะดังลั่นแก้วหู

                พิกุลค่อยๆ เบือนหน้ากลับมา เลือดไหลซึมจากริมฝีปากทั้งสองข้าง ผิวแก้มปรากฏรอยนิ้วมือชัดเจน พยายามจะยันกายลุกขึ้น แต่ชบากลับใช้เท้าเหยียบยันหน้าอกเอาไว้

                ‘ทะ ทำไม’

                ‘นี่มึงไม่รู้จริงๆ หรือว่าทำไม’ ชบาแสยะยิ้ม ที่น่าประหลาดคือใบหน้าหมดจดของเธอกลับดูน่าเกลียดพอๆ กับพร้าวเมื่อมีรอยยิ้มเช่นนี้บนใบหน้า ‘กูเกลียดมึงยังไงล่ะ! เกลียดยิ่งกว่าขี้ ทั้งที่โง่ งานฝีมือก็ไม่มี งานบ้านงานเรือนก็ไม่จับต้อง แต่เสือกมีคนมารักมาชอบจนหัวบันไดไม่แห้ง แต่กูนี่!’ ชบาชี้นิ้วที่หน้าอกตัวเอง ‘งานฝีมือกูเลื่องลือไปสองคุ้งน้ำ ฝีมือทำกับข้าวเทียบเท่าในวัง แต่กลับไม่มีคนมาสนใจ ตั้งแต่เล็กจนโต มึงใช้หน้าตาออดอ้อน ประจบประแจงไม่กี่ทีก็ได้ของ กูร้องไห้จนคอแห้งแต่ไม่เคยได้อะไร มึงไม่ต้องพยายาม แต่กูต้องตะเกียกตะกายเอาเอง แค่นี่ก็น่าจะพอแล้วสำหรับความเกลียดที่กูมีให้มึง’

                ‘ตะ แต่พี่ผ่านมา ฉันคิดว่าแกเป็นเพื่อน...’ เสียงของพิกุลขาดหาย นาทีนี้ความผิดหวังมีมากกว่าหวาดกลัว

                ‘แต่กูไม่เคยคิด! กูเกลียดมึง และอีกอย่าง...’ ชบาแสยะยิ้มมุมปาก ‘กูชอบพี่แผน..คราวนี้กูจะไม่ยอมมึงอีกแล้วอีพิกุล! เชิญมึงไปขึ้นสวรรค์กับไอ้เสี่ยเจิมเถอะมึง!’

                ‘ไม่!’

                พิกุลตะกายตัวเสือกไถลดิ้นร้นให้หลุดพ้นจากฝ่าเท้าของชบา จนชบาเสียหลักล้มหงายหลัง พิกุลอาศัยจังหวะนั้นรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งหนีเต็มกำลัง พร้าวสบถหัวเสียวิ่งตามพิกุลไป กำลังหญิงหรือจะสู้ชายฉกรรจ์ได้ เพียงไม่กี่อึดใจร่างของพิกุลก็ตกอยู่ในอ้อมแขนของพร้าว ร่างบางลอยหวือตามแรงกระชาก เธอหวีดร้องเสียงดังลั่น แต่อนิจจาท่าน้ำแห่งนี้มันเปลี่ยวร้างผู้คนนัก เสียงของเธอหายไปกับผิวน้ำ

                ‘อีสันดาน! เล่นเอาหลังกูเกือบยอก’ ชบาตามมาสมทบ ถ่มน้ำลายใส่หน้าผู้เพลี่ยงพล้ำ

                ฉาด!

                ใบหน้าของพิกุลสะบัดไปด้านข้าง แต่แค่พริบตาเดียวพิกุลก็หันหน้ากลับมา ดวงตาคู่สวยถลึงกว้าง ‘อีชบา! เสียดายที่กูรักมึงเหมือนพี่เหมือนน้องคลานตามกัน มึงมันเลวยิ่งกว่าหมา อีระยำ โอ๊ย!’

                พิกุลโดนฝ่ามือลงทัณฑ์อีกหลายฉาดจนพร้าวต้องห้ามไว้เพราะกลัวว่าพิกุลจะช้ำตายก่อนถึงมือเสี่ยเจิม ชบาหอบฮักทั้งเหนื่อยทั้งโกรธจนเลือดขึ้นหน้า

                ‘เอามันไปให้ไอ้เสี่ยนั่นสักที! แล้วเอาเงินมาให้ฉันด้วย ฉันจะไปกับพี่แผน’ ชบาบอก พร้าวยิ้มเย้ย ใช้มือข้างเดียวล็อคร่างเล็กของพิกุลเอาไว้แล้วใช้มืออีกข้างล้วงลงในกระเป๋ากางเกง โยนถุงผ้าเก่าๆ ให้ ‘กูไปล่ะ ขอให้มึงโชคดีนะอีพิกุล โอ๊ย!’

                ไม่ทันสิ้นประโยคดี ร่างของชบาก็ถลาล้มไปบนพื้นอีกรอบเพราะแรงถีบจากพิกุล เจ้าตัวรีบลุกขึ้นเดือดดาลมากกว่าเดิม คราวนี้ไม่สนใจคำห้ามของพร้าว สองมือกระชากเส้นผมของพิกุลจนเต็มฝ่ามือ เท้ายกยันถีบไม่สนเป้าหมาย แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมเช่นกัน มือไม้ยกใส่กันพัลวัน ผู้หญิงเวลาโกรธน่ากลัวยิ่งกว่าเสือแม้แต่พร้าวก็ยังเข้าไปห้ามไม่ได้

                ไม่มีเสียงร้องโอดครวญจากความเจ็บปวด มีแต่คำด่าทอที่ออกมาจากความเจ็บช้ำน้ำใจ ทั้งคู่ใส่มือใส่เท้ากันนัวเนีย ฉุดกระชากลากถูจากลานดินเข้าใกล้ท่าน้ำ แล้วชั่วจังหวะหนึ่งที่ชบาออกแรงถีบไปที่ท้องของพิกุล ร่างของพิกุลที่สะบักสะบอมไม่น้อยก็เซถลาหงายหลังเสียหลักล้ม ชบาที่ตอนนี้ได้เปรียบกว่าคว้าท่อนไม้ไผ่ที่หลุดร่อนจากท่าน้ำฟาดใส่ร่างของพิกุลเต็มแรง เพราะโทสะทำให้ชบาขาดสติฟาดท่อนไม้ในมือไม่ยั้ง เลือดสีแดงกระอักออกจากปากของพิกุล พร้าวร้องลั่นพยายามดึงร่างของชบาให้ออกห่าง เพราะเหตุการณ์มันลุกลามบานปลายใหญ่โตเกินไปแล้ว

                ‘พอแล้วอีชบา! ประเดี๋ยวมันก็ตายห่าหรอก!’

                ‘กูจะฆ่ามัน! อีสันดาน! ไม่ต้องไปอยู่กับไอ้เสี่ยเจิม ไปอยู่กับผีในนรกเถอะมึง’

                สิ้นเสียงก่นด่า ชบาก็ยันร่างอ่อนเปลี้ยใกล้ไร้สติเต็มทีของพิกุลลงไปในน้ำ พร้าวตาเหลือกพยายามจะคว้าร่างของพิกุลเอาไว้ แต่เสียงที่ดังแว่วมาตามคุ้งน้ำทำให้ทั้งคู่ชะงักกึก ชบาโยนไม้ทิ้งลงน้ำตามร่างของพิกุลไป และก่อนจะหันร่างวิ่งหนี ดวงตาเหลือบเห็นสายตาโกรธแค้นของพิกุลที่จ้องเขม็งมา ชบาไม่ได้ยี่หระกลับมองร่างของคนที่ตนเกลียดชังค่อยๆ จมลงไปในน้ำ

                “ไม่มีใครรู้ว่าอีชบามันฆ่ากูตาย! พี่แผนมาเจอตอนที่กูหมดลมหายใจใต้ก้นคลองแล้ว ส่วนอีชบามันก็กลายเป็นเมียไอ้เสี่ยเจิมแทนกู ชีวิตของมันสุขสบาย ไม่ทุกข์ร้อนอะไร มันไม่เคยคิดถึงกู ไม่เคยขอขมากู ไม่เคยทำบุญให้กู กระทั่งลมหายใจสุดท้ายในชาติที่แล้วของมัน!”

                ประโยคสุดท้ายดังมาจากดวงวิญญาณที่เต็มไปด้วยความพยาบาทของพิกุล พันนาเหมือนหลุดจากภวังค์ ภาพที่เห็นเมื่อครู่กลายเป็นผนังถ้ำอีกครั้ง ชายหนุ่มกระพริบตารัวถี่หลายครั้ง

                นี่มันจะไปกันใหญ่แล้ว แค่ลำพังเสือสมิงตาเวกก็ไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไรแล้ว นี่ยังมีผีอาฆาตอีก!




*เนื่องจากบรีฟปกได้แล้ว เลยอัพนิยายให่อ่านก่อนครึ่งหนึ่ง*

**ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนท์นะคะ**

***โปรดติดตามที่เหลือ****
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 11: พิกุล 50%] 17/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 17-11-2019 23:21:11
ทุกตัวละครมีที่มาที่ไปนี่เอง
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 11: พิกุล 50%] 17/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 18-11-2019 00:35:49
 :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 11: พิกุล 50%] 17/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 18-11-2019 05:08:31
น่ากลัว​ แล้วแบบนี้รชตจะรอดมั้ย
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 11: พิกุล 50%] 17/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 18-11-2019 08:29:12
หูย..น่ากลัวนะ ความอาฆาตฝังแน่น
 :katai1:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 11: พิกุล 50%] 17/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 18-11-2019 11:16:04
เครล่ะ รชตคือชบากลับชาติมาเกิด
พิกุลรอมานานแสนนานจึงได้เวลาแก้แค้น
แล้วๆๆๆๆ
อย่าบอกนะว่า พันนาคือพี่แผนกลับชาติมาเกิดอีกคน
โงยยยยยย ต่ออีกครึ่งเถอะ
อยากอ่านต่อๆๆๆๆๆ
 :hao5:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 11: พิกุล 50%] 17/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 18-11-2019 18:29:45
อย่าบอกว่าพันนาคือพี่แผนนะ
แต่มันจริงอ่ะ ทำไมคนเราต้องมารับกรรมในสื่งที่เราจำไมได้ ฮือออออ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 11: พิกุล 50%] 17/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 18-11-2019 20:38:47
ค้างอย่างแรงง กำลังมันส์เลย อย่าผูกใจเจ็บกันเลย เขามาเกิดใหม่แล้วเขาจะไปรู้ได้ไงว่าตัวเองเป็นอย่างไรในชาติที่แล้ว :z3:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 11: พิกุล 50%] 17/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: sawangpong ที่ 19-11-2019 10:01:06
สนุกลุ้นระทึก​ทุกตอนจริงๆ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 11: พิกุล 50%] 17/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: JanTi ที่ 19-11-2019 14:34:42
กำลังสนุกเลย :ling1:
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 11: พิกุล 100%] 19/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 19-11-2019 21:52:35
(ต่อ)
 

50%

.
.
.
                “มึงเป็นอะไร” กุมภ์กระซิบถาม เสียงยังสั่นไม่หาย

                “เดี๋ยวเล่าให้ฟัง” พันนากระซิบตอบ

                “ยังไงล่ะไอ้โหร มึงยังอยากจะช่วยไอ้เด็กนั่นอีกหรือเปล่า” ตาเวกถามเสียงแหบแห้ง แสยะยิ้มน่าเกลียด “มึงจะโกรธจะแค้นกูไม่ได้หรอกนะ เพราะกูไม่ได้ทำอะไรมัน ทางที่ดีมึงออกไปจากที่นี่ซะ ก่อนที่กูจะเอาพวกมึงมาเป็นบริวารกู”

                “มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกตาเวก” โหรตอบกลับ ดวงตาจ้องเขม็งไปยังชายชราร่างผอมเกร็ง “ผีตัวนี้ไม่ได้ยอมสงบให้ตาง่ายๆ หรอกใช่ไหม รอยที่คอนั่นก็ไม่ได้เกิดจากโดนฆ่าตายด้วย”

                ร่างที่ลอยอยู่เหนือศีรษะชะงักลงเล็กน้อย

                “ตาเวกสะกดมันไว้ด้วยอาคมเหมือนที่ทำกับวิญญาณดวงอื่นใช่ไหมล่ะ”

                “มึงอย่ามาเสือก! ไอ้เด็กเมื่อวานซืน”

                โหรส่ายหัวเบาๆ ไม่ได้ยี่หระกับดวงวิญญาณของผีร้ายที่ลอยอยู่ใกล้ๆ จะมีก็แค่กลิ่นสาปเหมือนศพแห้งเท่านั้นที่ทำให้โพรงจมูกเริ่มจะแสบหน่อยๆ “ผมไม่ได้เสือก แต่ผมรับเงินเขามาแล้ว”

                “หึหึ มึงก็เห็นแก่เงินเหมือนปู่ของมึง” ตาเวกยิ้มเย้ยหยัน “เห็นเงินตาวาว ฆ่าหมดทั้งแต่มดยันเสือ แต่น่าเสียดาย..” ตาเวกลากเสียงยาว “ที่ปู่มึงฆ่าไอ้บอดไม่ได้”

                “ไอ้บอดยังไม่ตายจริงๆ สินะ” จ้าวจอมพึมพำ ขนในกายลุกชันยิ่งกว่าเดิม รู้สึกราวกับว่าถ้ำแห่งนี้จะกลายเป็นหลุมฝังศพตัวเอง

                “ที่ฆ่าไม่ได้เพราะมันไม่ใช่เสือปกติน่ะสิ” โหรแย้งกลับ “ตาเวก ปล่อยวางซะทีเถอะ อย่าสร้างบาปสร้างกรรมอีกต่อไปเลย”

                “แล้วก็ไปอยู่ในนรกเหมือนกับปู่มึงน่ะเหรอ”

                โหรสะอึก ที่ตาเวกปรามาสไม่ผิดนัก เมื่อครั้งยังหนุ่มปู่ของตนเป็นพรานมือฉมัง ล่าสัตว์ ทั้งตายและเป็น ขายให้นายทุน ปู่ถึงจำเป็นต้องมีวิชาคาถาอาคม มีความรู้รอบด้าน แต่เมื่อถึงบั้นปลายของชีวิต ปู่ก็ไม่อาจต่อต้านโรคร้าย หรือที่เรียกว่าโรคเวรโรคกรรมได้ หลายครั้งที่เคยได้ยินปู่ละเมอถึงสัตว์ที่เคยฆ่า พร่ำขอโทษถึงสิ่งที่ทำไป กว่าปู่จะสิ้นลม ท่านทรมานไม่น้อย บางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่าวาระสุดท้ายของท่านเหมือนกับสัตว์ที่กำลังเจ็บสาหัส

                เวรกรรมมันมีจริง

                “กูไม่ยอมให้นรกเอากูไปหรอก” ตาเวกแสยะยิ้มน่าเกลียดน่าเกลียดอวด ฟันเหลืองสลับดำ “พวกมึงมันรู้มากเกินไป”

                “พี่โหร ทำยังไงดี ยิงเลยไหม ปืนก็มีนี่”

                จ้าวจอมเสียงสั่น สะกิดหัวไหล่ลูกพี่ระรัว โหรจิ๊ปากคล้ายหงุดหงิดด้วยถูกกวนสมาธิ

                “อย่าเพิ่งกวนกู” โหรเอ็ด

                “ตะ..แต่ พะ พี่” จ้าวจอมยังไม่หยุด เสียงสั่นยิ่งกว่าเดิม

                “อะไรของมึง!” โหรตวาด จังหวะที่หันกลับหลังหมายจะบ่นลูกไล่ ก็ต้องตกใจกับกองทัพมนุษย์ ไม่สิ ต้องเรียกว่า เคยเป็นมนุษย์มากกว่า

                จำนวนของพวกมันมีมากจนนับไม่หมด เขาไม่อาจคาดเดาได้ว่ามาโผล่มาตั้งแต่เมื่อไร แต่ตอนนี้พวกมันล้อมรอบพวกเขาเข้ามาเรื่อยๆ กลิ่นสาปคล้ายซากศพเหม็นคลุ้งน่าคลื่นเหียน

                “มะ มันมาอีกแล้ว” กุมภ์พูด มือกระชับปืนกระบอกสั้นที่พกติดตัวมาแน่น

                “ยิงมันเลยไหม” พันนาถาม

                “ไม่ต้อง! ยิงไปก็เปลืองกระสุนเปล่า พวกมันตายไปแล้ว” เหวี่ยงไรเฟิล 150GR ไปด้านหลัง

                “แล้วพี่จะทำ...” จ้าวจอมยังถามไม่ทันจบประโยค โหรก็หลับตานิ่ง มือล้วงลงในย่ามคู่ใจ ไม่มีใครรู้ว่าในมือของโหรคืออะไร แต่อึดใจต่อมาสิ่งที่นั้นก็ถูกปาไปด้านหน้า

                ทั้งจ้าวจอม พันนา และกุมภ์ต่างเพ่งมองสิ่งที่โหรปาออกไป ทว่ามันว่างเปล่า มีเพียงแค่เงาวูบวาบเคลื่อนไหวไปมารวดเร็วไม่ต่างจากลมพายุ

                แต่สิ่งที่คาดคิดก็เกิดขึ้น กองทัพผีดิบล้มระเนระนาดไม่เป็นท่า เหมือนถูกบางอย่างวิ่งชน เสียงฟึดฟาดคล้ายเสียงลมหายใจของสัตว์ใหญ่ดังรอบทิศทาง หากสังเกตให้ดี มันดังตามการเคลื่อนไหวของเงาวูบวาบ ร่างแห้งกรังเหมือนซากศพเดินได้ล้มกอง บางตัวแขนขาหลุดเหมือนถูกกระชาก เลือดสีแดงคล้ำพุ่งจากร่าง ส่งกลิ่นเหม็นสะอิดสะเอียนยิ่งกว่าเดิม บ้างก็ลำตัวฉีกขาดราวกับถูกของแหลมคมเกี่ยว เพียงไม่กี่นาทีกองทัพผีดิบก็กลายเป็นกองทับถมของซากศพ

                “ไอ้โหร! นี่มึงใช้ควายธนูเราะ!” ตาเวกตะโกนถาม โหรไม่ให้คำตอบเพียงแต่ยิ้มบางเบาที่มุมปาก “ไอ้เด็กเวร! มึงมันเจ้าเล่ห์เหมือนปู่มึงไม่มีผิด”

                ผู้ที่ไม่เคยพบเคยเห็นควายธนูมาก่อน แม้แต่จ้าวจอมที่เป็นลูกไล่คนสนิทของโหรยังงงเป็นไก่ตาแตก ตลอดเวลาที่เกิดการต่อสู้ ไม่มีใครเห็นสิ่งมีชีวิตที่ใกล้เคียงกับ ‘ควาย’ สักตัว จะมีก็แค่เสียงลมหายใจที่เหมือนสัตว์ใหญ่เท่านั้น ทว่าสภาพของไอ้ผีดิบพวกนั้นก็ไม่เหมือนถูกควายหรือกระทิงเปลี่ยวขวิดไม่น้อย

                “หมดลูกไม้แล้วเหรอ” โหรถามเสียงเยาะ เหลือบตามองผลงานของ ‘ควายธนู’ ด้วยความพึงพอใจ ถึงจะไม่ค่อยได้ใช้งาน ‘เจ้านิล’ แต่ฝีไม้ลายมือยังเก๋าสมกับคำเยินยอที่ปู่ให้ไว้

                จ้าวจอมขมวดคิ้วมุ่น ขยับเข้าใกล้ลูกพี่ กระซิบรอดไรฟัน “กลับไปเล่าให้ฟังด้วยนะ”

                โหรไม่รับปาก สมาธิยังตั้งมั่นอยู่กับศัตรูคราวปู่ เพราะเชื่อเหลือเกินว่าคนครึ่งผีอย่างตาเวกต้องมีลูกไม้ไว้จัดการเขาอีกแน่

                “อีพิกุล! จัดการ!”

                สิ้นคำสั่ง ร่างที่คล้ายกับจะโปร่งแสงก็ร่อนลงมาที่พื้น เท้าสกปรกไม่ได้แตะบนหินหยาบ ราวกับหล่อนกำลังทรงตัวอยู่ในอากาศ เส้นผมหยาบกระด้างยุ่งเหยิงพัดไหวทั้งที่ในถ้ำแทบจะไม่มีอากาศถ่ายเทด้วยซ้ำ ทว่าหากสังเกตให้ดี ไม่ใช่แค่ผม แต่ยังชุดที่หล่อนสวมใส่อยู่ด้วยมันลอยพลิ้วไหวกระเพื่อม จังหวะการเคลื่อนไหวไม่เหมือนถูกลมพัด แต่เหมือนอยู่ในสายน้ำมากกว่า

                คงเป็นสภาพตอนที่หล่อนสิ้นใจนั่นเอง

                ไม่ใช่แค่พันนาหรอกที่เห็นนิมิตภาพในอดีตนั้น โหรก็เห็นเหมือนกัน ผีสาวพิกุลโกรธแค้นรชตในอดีตชาติตามจนมาถึงชาตินี้ หากเป็นเรื่องเจ้ากรรมนายเวรเขาคงช่วยอะไรไม่ได้มาก

                “กูจะฆ่าพวกมึง!”

                ริมฝีปากดำคล้ำเปิดอ้า โคลนสีดำไหลออกจากปาก ฟันสี่แหลมราวกับถูกสนิมกัดกร่อน ดวงตาสีขาวถลึงกว้างจนมันแทบจะหลุดจากเบ้า ผีพิกุลพุ่งใส่ร่างโหรด้วยความเร็วสูง ชายหนุ่มเซไปด้านหลังเพราะไม่ทันตั้งตัว และก่อนที่จะได้ตอบโต้พิกุลก็กระโดดขึ้นคร่อมร่างของโหรเอาไว้ เพียงเสี้ยววินาทีร่างน่าเกลียดน่ากลัวก็พลันเปลี่ยนกลายเป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวย

                ใบหน้ารูปไข่ ผิวขาวเหมือนหยวกกล้วย เส้นผมดำสลวยถักง่ายๆ เป็นเปียกลางหลังมัดปลายด้วยโบว์สีขาว ชุดกระโปรงสะอาดตา กลิ่นหอมคล้ายมะลิชวนชื่นใจ ริมฝีปากสีชมพูกลีบกุหลาบแย้มน้อยๆ ดวงตากลมโตเป็นประกาย

                “พี่จ๊ะ ไปอยู่กับฉันไหม” หล่อนถามพลางยิ้มน่ารัก “ฉันทำอาหารเก่งนะ ฝีมือฉันเลื่องลือไปสองคุ้งน้ำเลยล่ะ”

                โหรไม่ตอบ แต่ก็ต้องยอมรับว่าในสมัยที่ยังมีชีวิตพิกุลสวยถูกใจมากทีเดียว เสียดายที่เธออายุสั้นนักซ้ำยังกลายเป็นดวงวิญญาณมากแค้นอีกด้วย

                “ทำไมล่ะ ฉันไม่สวยเหรอ” หล่อนก้มหน้าให้ชิดโหรมากขึ้น มือขาววางทาบแผ่นอกหนา ขาทั้งสองข้างกางคร่อมร่างของโหร ชายกระโปร่งร่นจนถึงต้นขาขาว หล่อนจงใจก้มตัวต่ำจนคอเสื้อเปิดให้เห็นร่องอกอวบ “ใครๆ ก็ชมว่าฉันสวยทั้งนั้น”

                ไม่พูดเปล่าแต่พิกุลยังใช้ปลายนิ้วเรียวลูกไล้แผ่นอกกว้าง เล็บคมกรีดเบาๆ ราวกับจะหยอกล้อ ริมฝีปากรูปกระจับยิ้มยั่ว ดวงตาพราวพร่างเสน่ห์ กระดุมเสื้อเม็ดแรกถูกปลดออกง่ายดาย โดยที่โหรไม่ได้ต่อต้านขัดขืน พิกุลยิ้มหวานอีกครั้งก่อนจะก้มหน้าลงจนปลายจมูกชนกัน หล่อนเอียงหน้าเล็กน้อยแล้วประทับริมฝีปากลงบนกลีบปากหยักของโหร

                พลั่ก!

                ร่างของผีสาวหายวับไปในอากาศ โหรกระพริบตาปริบๆ มึนงงกับเหตุการณ์และเสียงเมื่อครู่ไม่น้อย กระทั่งเป็นฝ่าเท้าของใครบางคนที่ยังค้างอยู่ในอากาศ

                กุมภ์!

                แม้จะยังไม่หายประหลาดใจดีแต่ก็อดขำไม่ได้ ผีพิกุลคงมิได้ทันตั้งตัวตอนที่เท้าข้างขวาจะประทับมาที่ร่างของตน โหรรีบลุกขึ้นนั่งปัดเศษดินพอเป็นพิธี ที่จริงแล้วเขาไม่ได้เผลอไผลไปกับภาพลวงตาที่ผีสาวสร้างขึ้น จิตสำนึกและสติย้ำให้เขารู้ว่าถึงจะสวยถูกใจแค่ไหนแต่หล่อนคือผี

                “โดนตีนไปทีเดียว หายไปเลยรึ” จ้าวจอมถามติดตลก ภาพที่กุมภ์ยกเท้ายันร่างของผีตัวนั้นปรากฏชัด ขณะที่ทุกคนตกใจ รับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ถูก มีกุมภ์เพียงคนเดียวที่มีสติช่วยเหลือโหรเอาไว้ได้ แม้วิธีการจะตลกไปสักหน่อยก็เถอะ แต่ก็ได้ผลดีไม่น้อย

                กุมภ์ชักเท้ากลับที่เดิม รู้สึกหน้าร้อนวูบวาบแปลกประหลาด ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เขายกเท้ายันร่างของผีตนนั้น รู้แค่ว่าทนมองภาพการพลอดรักระหว่างผีกับคนไม่ไหว จะเรียกว่าอุจาดก็ได้…

 
*ตอนนี้สั้นไปเปล่าหว่า ฮาาาา*

**ทั้งผี ทั้งเสือ เป็นยากมากจ้า**

***พี่แผนไม่ใช่พี่พันนาจ้า เดี๋ยวเราจะงงกว่าเดิม 5555***

****โปรดติดตามตอนต่อไป****
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 11: พิกุล 100%] 19/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 19-11-2019 22:08:44
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 11: พิกุล 100%] 19/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 19-11-2019 22:14:43
 :hao7:



 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 11: พิกุล 100%] 19/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 19-11-2019 22:18:27
กุมภ์ ที่ไปถีบผีเนี่ย เนื่องจากหึงพี่โหรโดยไม่รู้ตัวหรือเปล่า จิตสำนึกข้างในสั่งทำแน่ๆ
ถ้าเป็นคนปกติทั่วไป คงไม่กล้าไปแหยมกับผีแน่ๆ
 :really2: :really2:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 11: พิกุล 100%] 19/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 19-11-2019 23:16:37
กุมภ์สุดยอดมากจ้าแม่
ยกตีนถีบผีนี่คิดได้ไง55555
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 11: พิกุล 100%] 19/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: smmikie ที่ 19-11-2019 23:41:13
ทำไมตัดบททำร้ายกันแบบนี้
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 11: พิกุล 100%] 19/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 20-11-2019 00:04:04
หึงหรือเปล่าจ๊ะกุมภ์ ชอบเขาหรือยัง 555555
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 11: พิกุล 100%] 19/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 20-11-2019 00:37:16
ลุ้นกันต่อไป
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 11: พิกุล 100%] 19/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 20-11-2019 01:09:57
กุมภ์ ถีบผีได้ อิอิ ผีจะข่มเหงโหร
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 11: พิกุล 100%] 19/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 20-11-2019 05:12:05
กุมภ์ทำอะไรลงไป​ ความกลัวหายไปไหนหมด​
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 11: พิกุล 100%] 19/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: valenna yy ที่ 20-11-2019 05:49:44
ถถถถถถถถ แบบนี้เค้าน่าจะเรียกว่าหึงนะจ้ะ 555
//ถ้าเป็นเจ้ากรรมนายเวรก็ยุ่งแหละ ถ้าพิกุลไม่ปล่อยวางทำอะไรมากคงไม่ได้
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 11: พิกุล 100%] 19/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 20-11-2019 11:14:25
หึงแน่
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 11: พิกุล 100%] 19/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 20-11-2019 11:24:56
ตอนแรกๆ ก็กลัวผี
แต่พอเจอบาทาน้องกุมภ์เข้าไป ลั่นเลย 555
กดไลค์ด้วยบวกให้น้องกุมภ์รัวๆ
ถ้าพันนาไม่ใช่พี่แผน งี้พิกุลก็มีสิทธิ์ใจอ่อนกับชบาชาตินี้ได้ดิ
อย่าสร้างเวรสร้างกรรมเลยนะพิกุล
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 11: พิกุล 100%] 19/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: cho_co_late ที่ 20-11-2019 12:23:34
หึงเขาไม่รู้ตัวน่ะซี่ถีบผีเลย เรื่องเจ้ากรรมนายเวรนี่ช่วยไม่ได้เลยนะ
เป็นเรื่องของคนคนนั้นเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 11: พิกุล 100%] 19/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 20-11-2019 17:26:48
ติดตามจ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 11: พิกุล 100%] 19/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 20-11-2019 23:32:52
กุมภ์ทีนไว 555555 ผีก็ผีเถอะจังหวะนี้ใครจะไปยอมกันเนาะ มีแววหึงโหดนะน้องกุมภ์เนี่ย555  :laugh: :z6:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 11: พิกุล 100%] 19/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Philosophy ที่ 21-11-2019 20:07:20
หึง!!
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 11: พิกุล 100%] 19/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 22-11-2019 09:46:16
 :m20: :m20:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 11: พิกุล 100%] 19/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: akashita ที่ 22-11-2019 11:07:32
พันนาต้องมีเซ้นต์แน่เลย ถึงได้เห็นอดีตกะเขาด้วย

ว่าแต่... น้องกุมภ์คะ หนูหึงพี่โหรเค้าใช่มั้ยลูกกกก อิอิ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 11: พิกุล 100%] 19/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Pithchayoot ที่ 22-11-2019 14:47:07
นังดอก    พิกุล
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 11: พิกุล 100%] 19/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: yamapong ที่ 24-11-2019 08:20:52
แงงงงงง สนุกมากกกกกกก อ่านรวดเดียวเลยค่ะคุ๊นนนน แต่ดีใจเดาคู่ถูกแต่แรกๆเลย 5555 ว่าแล้วนะสองคู่นี้
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 11: พิกุล 100%] 19/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: JanTi ที่ 24-11-2019 17:09:36
ที่ถีบนี่แอบหึงรึเปล่าจ้ะ :hao7:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 11: พิกุล 100%] 19/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: u_cosmos ที่ 30-11-2019 01:33:31
ติดตามค่ะ
สมกับที่เป็นคู่พี่โหร มีฝ่ายันต์เป็นอาวุธประจำกายด้วย ><
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 11: พิกุล 100%] 19/11/2562
เริ่มหัวข้อโดย: smmikie ที่ 01-12-2019 00:07:47
มาต่อเร้วๆ คนรอใจจะขาดแล้วจ้า
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 12: วิญญาณอาฆาต] 01/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 01-12-2019 19:02:23
ตอนที่ 12 วิญญาณอาฆาต



                โหรเหลือบมองเด็กหนุ่มร่างโปร่ง วูบหนึ่งในอกรู้สึกเหมือนมีไฟดวงเล็กๆ ปะทุขึ้น แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น

                “กูจะเอาพวกมึงไปให้หมด!”

                เสียงปริศนาดังก้องถ้ำ จู่ๆ อากาศก็ลดลงอย่างรวดเร็ว โหรพยายามสูดลมหายใจเข้าออกให้ยาวกว่าปกติ หลับตาภาวนาเรียกเจ้านิลให้ทำหน้าที่ พลางร้องบอกคนอื่นๆ ให้ถอยห่างออกไป

                เจ้านิลเคลื่อนไหวรวดเร็วไม่ต่างจากสายลม เงาดำวูบวาบไปทางโน้นทีทางนี้ที แบบที่ตาเปล่าแทบไม่มองไม่เห็น ยิ่งในถ้ำที่มืดเช่นนี้

                พลั่ก!

                พันนารีบหันกระบอกไฟฉายไปทางต้นเสียง แต่ก็พบกับความว่างเปล่า ฝุ่นผงเล็กๆ กระจายคลุ้ง เสียงควบห้อคลายฝีเท้าของสัตว์สี่เท้าดังไปทั่วบริเวณ หาทิศทางที่แน่ชัดไม่ได้ พวกเขาสามคนถอยห่างออกมาตามที่โหรบอก คงเหลือแต่โหรเท่านั้นที่ยืนอยู่ตรงกลางวงล้อมของฝุ่นผงที่ตอนนี้กำลังจับกลุ่มเป็นวงกลม จ้าวจอมพยายามจะเข้าไปช่วยโหร แต่เขาคว้าตัวไว้ สถานการณ์ตอนนี้ค่อนข้างอันตรายโดยเฉพาะกับคนที่ไร้วิชาคาถาอาคมอย่างพวกเขา

                “ปล่อยสิวะ! พี่โหรอยู่คนเดียวไม่เห็นหรือไง” จ้าวจอมดิ้น แต่พันนาจับหัวไหล่เล็กเอาไว้แน่น สายไฟจากไฟฉายตวัดไปมา

                “เข้าไปก็ช่วยไม่ได้หรอก แล้วพี่โหรของนายก็ไม่ได้สู้อยู่คนเดียว” พันนาบอก เพ่งตามองฝ่าเศษผงไปยังร่างหนึ่งที่เห็นมาได้สักพักแล้ว

                ควายตัวนั้นเคลื่อนไหวรวดเร็วมาก ตัวมันใหญ่เขื่อง ใหญ่กว่าที่เคยเห็นมาทั้งชีวิต กีบเท้าควบห้อตะบึง เขายาวมันวับเช่นเดียวกับขนของมัน เขายาวเกี่ยวเอาร่างของซากศพเดินได้พวกนั้นตวัดไปมาในอากาศ ก่อนจะใช้เท้าเหยียบและดึงทึ้งจนอวัยวะฉีกขาด เป็นภาพที่น่ากลัวพอๆ กับสะอิดสะเอียน และไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกันที่ทำให้เขาเห็นภาพพวกนั้น รวมไปถึงอดีตชาติของรชตและพิกุลด้วย

                เป็นจริงอย่างที่พระท่านบอก รชตกับผีสาวตนนั้นมีกรรมเวรร่วมกัน

                ร่างโปร่งแสงลอยในอากาศ ชายผ้าสกปรกฉวัดเฉวียนเหนือศีรษะของโหรอย่างท้าทาย เสียงแหลมสูงหวีดร้องก้องถ้ำ จนต้องยกมือขึ้นอุดหู เสียงโหยหวนเจือความเจ็บปวดจนรู้สึกได้ โหรไม่ได้ยี่หระต่อการรบกวนของหล่อน ร่างสูงใหญ่ยืนจังก้าอยู่กลางฝุ่นผงที่ก่อตัวกลายเป็นพายุหมุน ดวงตาคู่คมปิดสนิท ริมฝีปากขยับเพียงเล็กน้อย มือทั้งสองประนมอยู่ที่อก สติตั้งมั่นอยู่กับบทสวด

                มิใช่การทำร้าย หากแต่เป็นคำสอน

            บทสวดกรณียเมตตสูตร พระคาถาแห่งการให้อภัยและอโหสิกรรม
                “กูไม่ให้อภัยมัน! มันฆ่ากูตาย” เสียงของผีพิกุลดังเข้ามาในความคิด

                ดวงวิญญาณของพิกุลผูกอาฆาตนัก จะต้องตายตกไปตามกันเท่านั้นเจ้าหล่อนถึงจะพึงพอใจ แต่นั่นคือการเพิ่มกรรมให้กับตัวหล่อนเอง แทนที่จะชดใช้กรรมเท่าที่เคยก่อสมัยเมื่อครั้งยังมีชีวิต เจ้าหล่อนต้องชดใช้กรรมที่ฆ่ามนุษย์เพิ่มขึ้นอีก

                “มึงไม่ต้องมาสวด! กูไม่ฟัง”

                โหรไม่ตอบโต้ ยังคงสวดมนต์บทกรณียเมตตสูตรต่อไป แม้จะไม่ได้ได้ขยับริมฝีปากมากนัก แต่น้ำเสียงที่ออกมากลับก้องกังวาน จนสามารถกลับเสียงหวีดร้องของผีพิกุลได้

                “เสียงสวดมนต์นี่นา”

                กุมภ์พูดขึ้น ยกมือขึ้นป้องเพ่งมองผ่านลำแสงจากกระบอกไฟฉายแปดท่อนของพันนา ร่างสูงใหญ่ของโหรยืนอยู่ที่เดิมด้วยท่าทางสงบนิ่งราวกับรูปปั้น การเคลื่อนไหววูบวาบจากเงาดำของสิ่งมีชีวิตคล้ายกับสัตว์สี่เท้ายังไม่หยุดนิ่งเช่นเดียวกับผีสาวพิกุลที่แผดเสียงกรีดร้องไม่หยุด

                “คุณโหรกำลังสวดบทกรณียเมตตสูตร”

                “หมายความว่ายังไงวะไอ้กุมภ์”

                จ้าวจอมหันมองหนุ่มเมืองกรุงผู้ไร้ซึ่งความรู้ ก่อนจะเป็นคนตอบคำถามแทน “บทสวดมนต์ที่สอนให้รู้ว่าการเมตตาน่ะสิ”

                กะระณียะมัตถะกุสะเลนะ

            ยันตัง สันตัง ปะทัง อะภิสะเมจจะ

            สักโก อุชู จะ สุหุชู จะ

            สุวะโจ จัสสะ มุทุ อะนะติมานี

            กิจที่คนฉลาดในสิ่งที่มีประโยชน์ และมุ่งหมายจะบรรลุทางสงบ จะพึงทำก็คือ เป็นคนกล้า, เป็นคนซื่อ, เป็นคนตรง, ว่าง่าย, อ่อนโยน, ไม่เย่อหยิ่ง

            สันตุสสะโก จะ สุภะโร จะ

            อัปปะกิจโจ จะ สัลละหุกะวุตติ

            สันตินท์ริโย จะ นิปะโก จะ

            อัปปะคัพโภ กุเลสุ อะนะนุคิทโธ

            เป็นผู้สันโดษ, เลี้ยงง่าย, มีภาระกิจน้อย, คล่องตัว, ระมัดระวังการแสดงออก, รู้ตัว, ไม่คะนอง, ไม่คลุกคลีในตระกูลทั้งหลาย

            นะ จะ ขุททัง สะมาจะเร กิญจิ

            เยนะ วิญญู ปะเร อุปะวะเทยยุง

            สุขิโน วา เขมิโน โหนตุ

            สัพเพ สัตตา ภะวันตุ สุขิตัตตา

            ไม่ประพฤติสิ่งที่วิญญูชนตำหนิติเตียนได้, พึงแผ่เมตตาจิตว่า ขอสัตว์ทั้งปวง จงมีความสุขกายสบายใจ มีความเกษมสำราญเถิด

            เย เกจิ ปาณะภูตัตถิ

            ตะสา วา ถาวะรา วา อะนะวะเสสา

            ทีฆา วา เย มะหันตา วา

            มัชฌิมา รัสสะกา อะณุกะถูลา

            ขอสัตว์ทั้งหลายบรรดามี ที่เป็นสัตว์ตัวอ่อน หรือตัวแข็งก็ตาม เป็นสัตว์มีลำตัวยาว หรือลำตัวใหญ่ก็ตาม มีลำตัวปานกลาง หรือตัวสั้นก็ตาม ตัวเล็กหรือตัวโตก็ตาม

            ทิฏฐา วา เย จะ อะทิฏฐา

            เย จะ ทูเร วะสันติ อะวิทูเร

            ภูตา วา สัมภะเวสี วา

            สัพเพ สัตตา ภะวันตุ สุขิตัตตา

            ที่มองเห็นหรือมองไม่เห็นก็ตาม ที่อยู่ไกลหรืออยู่ใกล้ก็ตาม ที่เกิดแล้ว หรือกำลังหาที่เกิดอยู่ก็ตาม ขอสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงนั้นจงสุขกายสบายใจเถิด

            นะ ปะโร ปะรัง นิกุพเพถะ

            นาติมัญเญถะ กัตถะจิ นัง กิญจิ

            พะยาโรสะนา ปะฏีฆะสัญญา

            นาญญะมัญญัสสะ ทุกขะมิจเฉยยะ

            บุคคลไม่พึงหลอกลวงผู้อื่น ไม่ควรดูหมิ่นเหยียดหยามใคร ๆ ไม่ควรมุ่งร้ายต่อกันและกัน เพราะมีความขุ่นเคือง โกรธแค้นกัน

            มาตา ยะถา นิยัง ปุตตัง

            อายุสา เอกะปุตตะมะนุรักเข

            เอวัมปิ สัพพะภูเตสุ

            มานะสัมภาวะเย อะปะริมาณัง

            คนเราพึงแผ่ความรักความเมตตา ไปยังสัตว์ทั้งหลายหาประมาณมิได้ ดุจดังมารดาถนอม และปกป้องบุตรสุดที่รักคนเดียวด้วยชีวิตฉันนั้น

            เมตตัญจะ สัพพะโลกัส์มิง

            มานะสัมภาวะเย อะปะริมาณัง

            อุทธัง อะโธ จะ ติริยัญจะ

            อะสัมพาธัง อะเวรัง อะสะปัตตัง

            พึงแผ่เมตตาจิต ไม่มีขอบเขต ไม่คิดผูกเวร ไม่เป็นศัตรู อันหาประมาณไม่ได้ ไปยังสัตว์โลกทั้งปวงทั่วทุกสารทิศ

            ติฏฐัญจะรัง นิสินโน วา

            สะยาโน วา ยาวะตัสสะ วิคะตะมิทโธ

            เอตัง สะติง อะธิฏเฐยยะ

            พรัหมะเมตัง วิหารัง อิธะมาหุ

            ผู้เจริญเมตตาจิตนั้น จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน ตลอดเวลาที่ตนยังตื่นอยู่ พึงตั้งสติ อันประกอบด้วยเมตตานี้ให้มั่นไว้ บัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่า การอยู่ด้วยเมตตานี้ เป็นพรหมวิหาร

            ทิฏฐิญจะ อะนุปะคัมมะ สีละวา

            ทัสสะเนนะ สัมปันโน

            กาเมสุ วิเนยยะ เคธัง

            นะ หิ ชาตุ คัพภะเสยยัง ปุนะเรตีติ

            ท่านผู้เจริญเมตตาจิต ที่ละความเห็นผิดแล้ว มีศีล มีความเห็นชอบ ขจัดความใคร่ในกามได้ ก็จะไม่กลับมาเกิดอีกเป็นแน่แท้

                โหรยังคงพนมมือยืนสวดมนต์ท่ามกลางเสียงกรีดร้องโหยหวน เจ้านิลทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยม เจ้าควายตัวสีดำสนิทขนสั้นเหี้ยนเป็นเงาปลาบ กีบเท้าทั้งสี่วิ่งห้อตะบึงพร้อมกับตวัดเขาแหลมคมโค้งงอราวกับดาบไปมาเพื่อป้องกันไม่ให้ผีพิกุลเข้ามาทำร้ายผู้เป็นนาย ความเร็วของมันผิดกับรูปร่างยิ่งนัก หลายครั้งที่พิกุลพลาดท่าถูกปลายเขาแหลมทิ่มแทงไปในร่าง ถึงแม้จะไม่มีกายเนื้อ ทว่าเจ้านิลคือควายธนูที่ปลูกเสกด้วยอาคมชั้นสูงซึ่งพระอาจารย์ท่านมอบให้ก่อนที่จะละสังขาร ฤทธิ์เดชของมันสามารถทำร้ายภูตผีปิศาจได้ เสียงหวีดร้องที่ได้ยินคือความเจ็บปวดที่ผีพิกุลได้รับ

                “มึงช่วยมันทำไม! มันเป็นเรื่องของมันกับกู” ผีพิกุลแผดเสียงลั่น ก่อนจะกรีดเสียงร้องโหยหวยเพราะถูกเจ้านิลวิ่งเข้าใส่ ร่างโปร่งแสงกระเด็นไปไกล ดวงตาไร้แววจ้องมาที่โหรอย่างเจ็บแค้น “มันฆ่ากู! มันทำให้กูต้องตาย!”

                โหรลืมตาขึ้น เป็นจังหวะเดียวกับที่ผีพิกุลลอยขึ้นในอากาศพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วราวกับลูกกระสุนเพื่อหมายจะทำร้าย แต่ก็ยังช้าไปกว่าเจ้านิล เขาแหลมตวัดใส่ร่างของผีพิกุลลอยหวือไปไกล

                “นิลพอก่อน” เจ้านิลหยุดนิ่งตามคำสั่งของผู้เป็นนาย แต่เท้าคู่หลังยังตะกุยดินเตรียมพร้อม ลมแรงสงบลงพร้อมกับพลังอำนาจของผีพิกุล “พิกุล พอเถอะ ฉันไม่อยากทำให้เธอเจ็บไปมากกว่านี้”

                กายเนื้อของพิกุลเริ่มชัดเจนไม่ได้โปร่งแสงเช่นเดิม ร่องรอยความบาดเจ็บปรากฏให้เห็น ผิวกายขาวซีดเต็มไปด้วยบาดแผล ถึงจะไม่มีเลือดแต่ก็มองออกว่าผีพิกุลกำลังได้รับบาดเจ็บสาหัส

                “กูเกลียดมัน! กูโกรธมัน! กูจะฆ่ามัน!” ผีพิกุลตะเบ็งเสียงลั่น แม้ว่าร่างจะหมอบติดกับพื้นผิวถ้ำ แสงจากระบอกไฟฉายของพันนาทำให้เห็นชัดว่าหล่อนไม่ต่างจากผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่ใกล้จะจากโลกนี้ไปเต็มที ใบหน้าผงกยกขึ้น ขณะที่มือแนบอยู่กับพื้นถ้ำ

                “ตลอดเวลาสิ่งเหล่านั้นมันทำให้เธอมีความสุขหรือเปล่า” โหรถาม ก้าวเท้าเข้าใกล้ร่างของผีสาว เจ้านิลตามผู้เป็นนายไม่ห่าง เสียงฟึดฟาดของลมหายใจดังเป็นระยะ “เพียงแค่เธอละสิ่งนั้น ดวงวิญญาณของเธอก็จะสงบ”

                “กูไม่ยอม!” ผีพิกุลส่ายหน้า ดวงตาที่กลับมาเป็นดวงตาของมนุษย์สั่นไหว “กูโกรธ กูเจ็บปวด กูทรมาน พวกมึงไม่รู้หรอกว่าตอนที่จมน้ำกูทรมานแค่ไหน”

                หยดน้ำไหลจากขอบตาของผีสาว ความทุกข์ทรมานถูกถ่ายทอดผ่านใบหน้าเจ็บปวดของหล่อน

                “ทำไมเธอถึงปล่อยให้ความอาฆาตแค้นลบเลือนความดีไปได้ล่ะ” โหรถาม ร่างสูงย่อลงจนอยู่ในระดับเดียวกัน ไม่ได้นึกกลัวดวงวิญญาณอาฆาตดวงนี้ แต่กลับรู้สึกสงสารเสียมากกว่า “เธอไม่ใช่คนเลวโดยสันดานนะพิกุล”

                โหรย้ำเตือน เรื่องราวในอดีตของผีสาวตนนี้หลั่งไหลเข้ามาห้วงมโนจิต

                “กูทรมาน! แต่มันกลับไม่เคยคิดถึงกูเลย มันทิ้งศพกูไว้เหมือนหมูเหมือนหมา!” ผีพิกุลตะคอก ดวงตาแดงก่ำด้วยอาฆาตยิ่ง “กูไม่ยอมไปเกิด เพื่อรอแก้แค้นมัน!”

                ความทุกข์ทรมานบวกกับความเคียดแค้นก่อให้เกิดเป็นความอาฆาต ยอมเป็นวิญญาณเร่ร่อนเที่ยวหลอกผู้คนในคุ้งน้ำ ตามหาชบาเพื่อแก้แค้น แต่ในภพชาติก่อน ดวงชะตาของชบาแข็งแกร่งยิ่งนัก ซ้ำยังมีของดีติดตัวเพื่อป้องกันกาย พิกุลเลยไม่อาจแก้แค้นให้สมใจได้ในชาติที่แล้ว ทว่าดวงจิตอาฆาตพยาบาทมันข้ามชาติได้

                พิกุลกลายเป็นวิญญาณร้ายที่ไม่ได้อาศัยอยู่แค่ในคุ้งน้ำแล้ว หล่อนเฝ้าดูชบาในลมหายใจสุดท้าย และเฝ้าติดตามจนกลายเป็นเจ้ากรรมนายเวร รู้ว่าชบาได้กลับชาติมาเกิดเป็นบุตรชายของผู้มั่งมีคนหนึ่งชื่อว่ารชต นิสัยติดตัวเมื่อครั้งยังเป็นชบาไม่มีแล้ว กลายเป็นเด็กหนุ่มผู้ไม่เคยก่อกรรมกับใครในชาตินี้โดยไม่รู้เลยว่าเมื่อชาติที่แล้วเคยฆ่าคนตาย

                พิกุลเฝ้ามองการเติบโตของเด็กหนุ่มรชตอย่างใจเย็น พร้อมทั้งคอยหลบซ่อนพ่อมดหมอผีที่จ้องจะจับดวงวิญญาณของตนไปเป็นบริวาร จนกระทั่งวันหนึ่งขณะที่กำลังเฝ้ารอโอกาสอยู่ในคุ้งน้ำที่เคยเสียชีวิต ชายชราผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น ยื่นข้อเสนอให้

                ‘มาอยู่กับกู กูจะช่วยมึงแก้แค้น’

                ชายชราผู้นี้ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา หากแต่เป็นผู้มากคาถาอาคม ดวงวิญญาณหลายดวงที่เร่ร่อนไร้ที่อยู่และยังไม่ถึงเวลาไปเกิดถูกเรียกมาเป็นผู้รับใช้ แม้แต่มนุษย์ที่ยังไม่ถึงฆาตก็ด้วยเช่นกัน ทั้งหมดกลายเป็นทาสของชายชราผู้นั้นอย่างจำยอม เช่นเดียวกับพิกุล เพราะลังเลกับข้อเสมอเลยทำให้ถูกบ่วงอาคมรัดคอบีบบังคับให้กลายเป็นทาส หากปฏิเสธคำสั่ง บ่วงอาคมจะรัดคอ ไม่เจ็บปวดทรมานเสียยิ่งกว่าตอนจมน้ำตายเสียอีก

                ความแค้นที่มีต่อตัวชบาในอดีตชาติยิ่งทบทวี กล่าวโทษชบาว่าถ้าหากไม่ทำให้ตนกลายเป็นผีเร่ร่อนคงไม่ต้องมาเป็นทาสของพรานเวกผู้นี้!

                ดังนั้นทาสเดียวที่จะดับเพลิงแค้นในใจนี้ได้คือการฆ่า! ต้องฆ่าให้ตายตกไปตามกันเท่านั้นถึงจะสาสมใจ!

                ความคับแค้นยิ่งมากเท่าไร บาปก็หนักหนามากขึ้นเท่านั้น

                “ถ้าฆ่ารชตแล้วจะหายทรมานเหรอ” โหรถาม นึกเวทนาในความแค้นของผีสาวตนนี้นัก “เธอคิดเหรอว่าตาเวกจะปล่อยเธอไปหลังจากฆ่ารชตแล้ว”

                ผีพิกุลไม่ตอบ แววตาแห้งกระด้างกระตุกไหว เค้าโครงความงามของผีสาวชัดขึ้นเมื่ออยู่ในร่างมนุษย์ แต่ก็ซีดเซียวเหมือนไร้เลือดเนื้อ

                “เธออยากจะเป็นวิญญาณทาสไปตลอดหรืออยากจะกลับไปเกิดเฉกเช่นดวงวิญญาณอื่น เชื่อฉันเถอะแค่เธอรู้จักให้อภัย ทุกข์ของเธอก็เบาบางลง”

                “ไม่!” พิกุลตวาดลั่น ตัวสั่นระริก ปลายเล็บสกปรกจกลงกับพื้นถ้ำ เส้นเลือดสีเขียวปูนขึ้น ผิวขาวซีดยิ่งทำให้ดูน่ากลัว “กูจะเอาไปมันอยู่กับกู!”

                สิ้นคำผีพิกุลในร่างมนุษย์ก็กระโจนหมายจะคร่าชีวิตของโหร ทว่ายังช้าเกินไป เขาแหลมของเจ้านิลตวัดใส่ร่างนั้นเต็มแรงจนลอยหวือไปกระแทกกับผนังถ้ำ

                 พันนาหันทิศทางของกระบอกไฟฉายได้ทันท่วงทีตามสัญชาตญาณของช่างภาพสมัครเล่น เด็กหนุ่มทั้งสามมองภาพเหตุการณ์ด้วยใจเต้นระทึกแม้จะไม่มีใครเห็นควายธนูตัวใหญ่นอกจากพันนาก็ตาม

                ผีพิกุลกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด เลือดสีดำเหม็นคาวเหมือนปลาเน่าไหลออกจากปาก มือกุมท้องที่มีเลือดคล้ำไหลออกมา แผลจากเขาควายเหวอะหวะน่าเกลียด หากเป็นมนุษย์ปกติคงสิ้นใจตายไปแล้ว ฤทธิ์เดชที่เคยมีลดน้อยลงไปมาก แม้แต่แรงพยุงกายให้ลุกขึ้นหรือจำแลงกลับไปเป็นดวงวิญญาณที่เหาะเหินเดินอากาศยังทำไม่ได้


(มีต่อ)               
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 12: วิญญาณอาฆาต] 01/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 01-12-2019 19:03:26
 “เมตตัญจะ สัพพะโลกัส์มิง มานะสัมภาวะเย อะปะริมาณัง อุทธัง อะโธ จะ ติริยัญจะ อะสัมพาธัง อะเวรัง อะสะปัตตัง           พึงแผ่เมตตาจิต ไม่มีขอบเขต ไม่คิดผูกเวร ไม่เป็นศัตรู อันหาประมาณไม่ได้ ไปยังสัตว์โลกทั้งปวงทั่วทุกสารทิศ” โหรสวดพระคาถา “ติฏฐัญจะรัง นิสินโน วา สะยาโน วา ยาวะตัสสะ วิคะตะมิทโธ เอตัง สะติง อะธิฏเฐยยะ พรัหมะเมตัง วิหารัง อิธะมาหุ ผู้เจริญเมตตาจิตนั้น จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน ตลอดเวลาที่ตนยังตื่นอยู่ พึงตั้งสติ อันประกอบด้วยเมตตานี้ให้มั่นไว้ บัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่า การอยู่ด้วยเมตตานี้ เป็นพรหมวิหาร”

                “กู...ทำ ไม่ได้” ผีพิกุลพูดด้วยเสียงแหบแห้ง

                “เพราะเธอผูกใจกับความแค้น ความเกลียดชัง” โหรบอก เวทยาผีพิกุลยิ่งนัก หล่อนจมอยู่กับความแค้นไม่ต่างจากตกนรกทั้งที่ยังไม่ได้ชดใช้กรรม “แค่เธอรู้จักคำว่าอภัย ความทรมานที่มันทำร้ายเธอก็จะทุเลาลง แม้แต่บ่วงที่คอก็ทำอะไรเธอไม่ได้”

                “กูไม่เชื่อ!”

                “ถ้าหากเธอให้อภัย บุญกุศลก็เพิ่มขึ้น ลดทอนบาปที่เธอเคยกระทำไว้ แต่ถ้ามันยังไม่พอ เราจะให้รชตบำเพ็ญบุญแทนเธอเอง” ผีพิกุลนิ่งไป โหรเลยขยายความต่อ “บุญที่ได้จาการบวช บำเพ็ญตน สวดภาวนามันจะทำให้เธอพ้นทุกข์ แต่เธอไม่อาจทำได้ด้วยไม่ได้อยู่ในร่างของมนุษย์ เราจะให้รชตทำให้ จนกว่าบุญนั้นจะมากพอส่งไปเธอยังที่เธอควรไป”

                “ผมก็จะทำด้วย!” เสียงหนึ่งแทรกขึ้นมา โหรหันไปก็พบกับแสงไฟจากกระบอกไฟฉาย ผู้ที่ถือมันอยู่นั่นเองเป็นเจ้าของเสียง “ผมจะบวชกับไอ้ชต”

                โหรไมได้ติติงที่พันนากล่าวเช่นนั้น ใบหน้าคมสันเบือนกลับมาที่ผีพิกุลอีกครั้ง “ฉันจะช่วยให้เธอหลุดรอดจากพันธนาการของตาเวก เธอจะเป็นอิสระไม่ต้องเป็นทาสใคร แต่เธอต้องปล่อยตัวรชต”

                ผีพิกุลเพ่งพิศชายหนุ่มตรงหน้า ดวงตาคมคู่นี้ช่างเหมือนกับคนรักในอดีตชาติ หากแต่หล่อนรู้ว่าชายผู้นี้ไม่ใช่พี่แผนของตน ใบหน้านิ่งขรึมแฝงด้วยเมตตาจิต บทสวดมนต์ใช่ว่าจะไม่แทรกซึมเข้ามาให้สำนึก เพราะหลายครั้งที่อยากจะเลิกเกลียดเลิกแค้น ทว่าเมื่อหวนนึกถึงความทรมานที่ได้รับก่อนจะตาย บวกกับชบาคือเพื่อนรักเพื่อนสนิทเพลิงแค้นเลยโหรกระพือ

                ปลายนิ้วสกปรกยกขึ้นแตะรอบคอ หล่อนไม่เคยลืมรสชาติความเจ็บปวดในยามที่บ่วงคาถารัดรอบคอ มันปวดแสบปวดร้อนทรมานราวกับถูกสายไฟเปลือยที่เต็มไปด้วยกระแสไฟฟ้าฟาดใส่ร่าง คล้ายว่าหัวจะหลุดจากร่างเสียให้ได้ ไม่เคยคิดเลยว่าแม้จะเป็นแค่ดวงวิญญาณก็จะเจ็บปวดทรมานได้ขนาดนี้ ลำพังทุกข์จากการเคียดแค้นฝังใจก็ทำให้ไม่อาจหลุดจากหลุมกรรมแล้ว ยังต้องมาถูกขุมขังให้ต้องเป็นวิญญาณทาสอีก

                พึงแผ่เมตตาจิต ไม่มีขอบเขต ไม่คิดผูกเวร ไม่เป็นศัตรู อันหาประมาณไม่ได้ ไปยังสัตว์โลกทั้งปวงทั่วทุกสารทิศ

                ตั้งแต่เกิดเป็นมนุษย์จนกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อน ไม่เคยหยั่งลึกถึงคำว่าเมตตาเลยสักครั้ง เคยเข้าวัดทำบุญอยู่ไม่กี่ครั้ง คำสอนของพระก็ไม่เคยซึมลึกลงในจิตใจ ด้วยทระนงว่าตนนั้นสวย งามพร้อม ใครๆ ก็ต่างชื่นชม เลยไม่เคยคิดจะทำบุญสะสมไว้ แต่อนิจจาอายุได้เพียงแค่ 22 ปีก็ต้องมีอันต้องจากโลกนี้ไป บุญมีเพียงน้อยนิด ซ้ำยังผูกใจเจ็บอาฆาต เมตตาก็ไม่รู้จัก

                แรงเกลียดชังที่มีต่อชบาในชาติที่แล้วยังไม่ลดน้อยลง แต่ก็อยากจะหลุดพ้นจากบ่วงทรมานนี้ไม่น้อย จริงอย่างที่ผู้ชายคนนี้พูด ถ้าหากชบาตายตกไปตามกันแล้ว ตาเฒ่านั่นก็ไม่มีทางปล่อยให้ตนเป็นอิสระเป็นแน่ เช่นเดียวกับวิญญาณดวงอื่นที่เป็นทาสนานชั่วกัปชั่วกัลป์

                “อยู่บ้านเก่าของตาเวก”

                โหรแทบจะถอนหายใจ ริมฝีปากหยักสีเข้มยกยิ้มพอใจ แต่ยังไม่ทันได้ยินดี ผีพิกุลก็กรีดร้องโหยโหน ร่างบอบช้ำดิ้นพล่าน กระเสือกระสนทุรนทุราย ดวงตาเหลือกโพลงแทบจะหลุดจากเบ้า

                ด้ายสีแดงเส้นเล็กปรากฏรอบลำคอและดึงรัดด้วยอาการคล้ายกับถูกมือที่มองไม่เห็นกระชาก ผีพิกุลพยายามใช้มือแกะเส้นด้ายออก แต่ยิ่งดิ้นก็ยิ่งรัดแน่น จนเสียงร้องเริ่มขาดห้วง โหรยืนมองด้วยตะลึงงัน พบเห็นกับเรื่องอัศจรรย์มาก็มาก แต่ไม่เคยเห็นผีทรมานเหมือนคนกำลังจะตายเช่นนี้มาก่อน ชายหนุ่มรีบตั้งสติ เพียงเสี้ยววินาทีก็สำเหนียกได้ว่าด้ายเส้นนี้มาจากที่ใด ดวงตาเหลือกลานของพิกุลคล้ายกับจะขอความช่วยเหลือแทนน้ำเสียงที่แทบไม่เหลือแล้ว

                โหรหมุนกายกลับไปด้านหลัง และราวกับนัดกันไว้ กระบอกไฟฉายก็หันไปยังร่างของตาเฒ่าครึ่งผีครึ่งคนด้วย ตาเวกยิ้มเหี้ยมเกรียม

                “อีผีทรยศ! มึงต้องทรมานอยู่อย่างนี้ไม่ได้ผุดได้เกิด”

                “บ๊ะ! ไอ้แก่นี่! คนก็จะฆ่า ผีก็จะฆ่า มันจะมากไปแล้วนะโว๊ย!” จ้าวจอมตะโกนด่า ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ผีก็น่ากลัวอยู่หรอกแต่ตอนนี้น่าสงสารมากกว่า ลำพังตายเป็นผีไม่ได้ไปเกิดก็แย่พออยู่แล้วยังถูกทรมานอีก มันเกินไปแล้วจริงๆ

                เด็กหนุ่มทำท่าเหยงๆ จะเข้าไปเอาเรื่องอดีตพรานเฒ่ามากอาคม แต่กลับถูกมือแกร่งของผู้มากวัยกว้าคว้าแขนเอาไว้ “ซ่าให้น้อยหน่อยเถอะ”

                “ปล่อยนะโว๊ย! พ่อจะเข้าไปถอนหงอกมันให้หมดหัวเลย จะผีจะคนกูไม่สนแล้ว” จ้าวจอมไม่ยอมแพ้พยายามสะบัดแขนออก ร้อนถึงกุมภ์ที่ต้องเข้ามาช่วยจับไว้อีกแรง

                “พอได้จอม กูจัดการเอง”

                โหรพูดสั้นๆ แต่ได้ผลชะงักนัก จ้าวจอมเลิกซ่า หยุดนิ่งแต่ยังไม่วายฮึดฮัด เพื่อนร่วมชะตากรรมอีกสองคนถึงกับถอนหายใจด้วยโล่งอก ทว่าลึกลงในใจก็อดสงสารผีสาวตนนั้นไม่ได้ ทุกเหตุการณ์ตั้งแต่โหรเริ่มสวดมนต์และร่างของผีสาวที่ถูกเหวี่ยงไปมาในอากาศ จนกระทั่งหล่อนกลับกลายร่างเป็นมนุษย์ ได้ยินบทสนทนาต่อรองและคำสอนของโหร ลุ้นให้หล่อนยอมใจอ่อนผ่อนกรรมให้กับรชต กระทั่งหล่อนยอมอ่อนให้เพราะบอบช้ำเหลือทน แต่กลับต้องเจ็บซ้ำเพราะถูกหมอผีใจร้ายทรมาน ด้วยเหตุเพราะหล่อนทรยศ

                โหรมองตาเวกอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะหันตัวกลับไปหาผีพิกุลที่ยังดิ้นทุรนทุรายแต่ก็เรี่ยวแรงเหลือน้อยเต็มที เลือดสีดำคล้ำไหลเปื้อนชุดสีขาวสกปรก สภาพน่าสังเวชชวนหดหู่ หล่อนเงยหน้ามอง ดวงตาแดงจัดคลอด้วยหยาดน้ำตา อ้อนวอนขอความช่วยเหลือตามคำสัญญาที่เคยให้ไว้

                ไม่มีคาถา ไม่มีอาคม ไม่มีเครื่องป้องกันใดๆ โหรยื่นมือที่ไปที่บ่วงด้ายสีแดง คว้ามันไว้ ทันทีที่สัมผัสแทบอยากจะปล่อยมือทิ้ง มันทั้งร้อน ทั้งแสบ คล้ายกับเหล็กที่ถูกไฟเผา โหรกลั้นใจกำมันไว้ให้แน่นกว่าเดิม กัดฟันอดทนต่อความเจ็บปวด กระชากเต็มแรงกระทั่งด้ายสีแดงขาดจากกัน

                มือที่จับเส้นด้ายอาคมเกิดแผลพลุพอง กลิ่นเหม็นไหม้ของเนื้อสดคลุ้งไปทั่ว ไม่มีเลือดสักหยด แต่ผิวเนื้อไหม้ดำเป็นรอยด้าย

                กุมภ์ยืนนิ่งอึ้ง ไม่คิดว่าโหรจะกล้าบ้าบิ่นขนาดนี้ ควันสีขาวลอยในอากาศ กลิ่นเหม็นของเนื้อไหม้มาจากฝ่ามือของโหรที่ถูกด้ายเส้นนั้นเผา เขาเห็นเส้นเลือดที่ขมับของโหรปูนโปน เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดพรายเต็มหน้า เสื้อชุ่มโชก แผ่นหลังกว้างสะท้อนขึ้นลงหนักๆ แต่ไม่กี่ครั้งก็กลับมาเป็นปกติ

                บ้าเกินไปแล้ว!

                “มึงจะไปไหน” พันนาคว้าหัวไหล่ของเพื่อนสนิทที่ทำท่าจะวิ่งเข้าไปหาโหร กุมภ์หันหน้ามามองคล้ายจะถามว่าห้ามตนทำไม พันนาส่ายหน้าปราม “เข้าไปก็มีแต่จะเกะกะเปล่าๆ ยืนห่างๆ ดีกว่า”

                จริงอย่างที่พันนาว่า หากผลีผลามเข้าไปนอกจากจะช่วยอะไรไม่ได้แล้วยังกลายเป็นภาระ กุมภ์จำใจต้องถอยกลับ ได้แต่ใช้สายตาเข้าไปช่วยเท่านั้น

                เมื่อไร้บ่วงพันธนาการ ร่างของพิกุลก็หายวับ โหรถอนหายใจโล่งอก ซ่อนมือที่เจ็บปวดไว้ด้านหลัง กำมันแน่นระงับความเจ็บปวดด้วยความอดทน ไม่มีเวทมนต์คาถาใดหรอกที่จะช่วยดับความเจ็บปวดได้ นอกเสียจากการข่มจิตของตัวเอง โหรสูดหายใจเข้าปอดหนักๆ อยู่ไม่กี่ครั้ง ความเจ็บที่ฝ่ามือก็ทุเลาลง แต่ต้องยอมรับว่าบ่วงด้ายแดงของตาเวกทำให้เจ็บหนักไม่น้อย

                “จอม! เอ็งพาพวกนี้ไปบ้านตาเวก ตามหารชต แล้วรีบพาออกไปจากป่านี่ซะ!”

                “แล้วพี่ล่ะ” จ้าวจอมถาม “ฉันไม่ปล่อยพี่ไว้คนเดียวหรอก”

                “รีบไป! เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว ไปที่แถวลำธารนะ!” โหรบอก เขาจับสัญญาณชีวิตของรชตได้หลังจากที่ผีพิกุลหายไป แต่มันอ่อนเต็มที หากไปช้ากว่านี้รชตอาจจะตายจริงๆ ก็ได้

                “แล้วพี่ล่ะ” จ้าวจอมถามซ้ำ ละล้าละลัง อยากจะไปช่วยผู้ชายคนนั้นตามคำสั่งแต่ก็เป็นห่วงลูกพี่จับใจ

                “กูจัดการได้ รีบไปสิ!”

                โหรตะโกนไล่ จ้าวจอมรู้จักบ้านตาเวกดี เช่นเดียวกับคนแถวนี้ ไม่มีใครไม่รู้จักบ้านพรานเฒ่ามือฉมัง เพียงแต่ไม่มีใครย่างกรายเข้าไปนานแล้วนับตั้งแต่มีคนลือว่าตาเวกตายเพราะถูกเสือฆ่า

                “แต่ฉัน...”

                “พันนา! รีบไป คุณต้องบวชให้พิกุล เพื่อนคุณด้วย รีบออกไปทำตามสัญญาซะ”

                พันนาลังเลใจอยู่ชั่วประเดี๋ยว แต่เมื่อเห็นดวงตามุ่งมั่นของโหร เลยตัดสินใจฉวยข้อมือของจ้าวจอมเอาไว้ “ผมจะทำตามสัญญา ระวังตัวด้วย”





 *ขออภัยในความล่าช้า งานเยอะมากค่ะ เหนื่อยหมดสภาพน็อคทุกวันเลย*

**ได้เห็นร่างหน้าปกแบบคร่าวๆ แล้ว แต่ยังเอาอวดไม่ได้ เพราะพี่โหรยังหล่อไม่พอ 55555**

***โปรดติดตามตอนต่อไป***
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 12: วิญญาณอาฆาต] 01/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 01-12-2019 19:52:10
โหรอย่าเป็นอะไรไปะ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 12: วิญญาณอาฆาต] 01/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: JanTi ที่ 01-12-2019 20:03:14
โอ้กำลังสนุกเลย :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 12: วิญญาณอาฆาต] 01/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 01-12-2019 20:06:27
ตาเฒ่าเวกนี่มัน เหี้ย-ม จริง ๆ    o12


ทำไมมีความรู้สึกว่านุ้งกุมภ์ต้องไม่ยอมทิ้งพี่โหรไปแน่ ๆ   :impress:


รอตอนต่อไป    o9
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 12: วิญญาณอาฆาต] 01/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 01-12-2019 20:07:46
แอบสงสารพิกุลเลย สงสัยจังว่าทำไมพันนาถึงเห็นนะ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 12: วิญญาณอาฆาต] 01/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 01-12-2019 21:19:56
 :hao7:



 :katai2-1: :pig4: :katai2-1:


 o13
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 12: วิญญาณอาฆาต] 01/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 01-12-2019 23:27:35
โหร สู้ๆ นะ / สงสารพิกุลเหมือนกัน จมในความแค้น
ขอให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีด้วยนะ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 12: วิญญาณอาฆาต] 01/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 01-12-2019 23:47:28
เข้มข้น :ling1:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 12: วิญญาณอาฆาต] 01/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 02-12-2019 00:05:46
มันจริงๆ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 12: วิญญาณอาฆาต] 01/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: akashita ที่ 02-12-2019 09:02:44
โอ๊ยยย สนุกมากค่ะ อ่านไปลุ้นไป

นี่แอบคิดว่าน้องกุมภ์น่าจะไม่ยอมตามพันนาไปแน่เลย
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 12: วิญญาณอาฆาต] 01/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 02-12-2019 10:13:31
 :z3:
โอยยยยยยย อยากอ่านต่อ
ลุ้นพี่โหรอย่างแรง
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 12: วิญญาณอาฆาต] 01/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 02-12-2019 11:22:37
 :katai1: โหรสู้ๆๆ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 12: วิญญาณอาฆาต] 01/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวลูกไก่ ที่ 02-12-2019 12:04:09
ขอให้พี่โหรปลอดภัยนะคะ น้องกุมภ์หึงขนาดนั้นแล้ว คิดอะไรกับพี่เค้าแล้วล่ะสิ แต่ทางฝั่งพี่โหรเราดูไม่ออกเลยค่ะว่ามีใจให้น้องหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 12: วิญญาณอาฆาต] 01/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 02-12-2019 23:22:38
ต้องลุ้นอีกกี่ยก ถึงจะหมดเวร กับผีเวกตายโหง
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 12: วิญญาณอาฆาต] 01/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 02-12-2019 23:35:48
ตาเวกนี่ก็นะ แก่ขนาดนี้ยังไม่ปลงอีก คิดว่าตัวเองจะอยู่ค้ำฟ้าหรือไง พี่โหรสู้ๆ  :hao5:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 12: วิญญาณอาฆาต] 01/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: sawangpong ที่ 03-12-2019 00:21:19
จบแบบค้างอีกแล้วววววว :katai1:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 12: วิญญาณอาฆาต] 01/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 03-12-2019 21:47:16
พักเหนื่อย แล้ามาอัฟ ต่อ นาจร้า รอ ยุ และ ขอบคุณ ^^
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 12: วิญญาณอาฆาต] 01/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: nizxx ที่ 06-12-2019 20:46:10
ก่อนนี้พรานกล้าก็พูดแบบนี้อะ ให้หนีไปก่องเดี๋ยวที่เหลือจัดการเองผลคือเกือบไม่รอด ชอบห่วงหลัวอะ ถีบผีกระเด็นม่างเลย 555555555555 เอาดีๆพารากราฟสุดท้ายนึกถึงเพลงปายุดอะ แง เกี๊ยดลุง หลอนหู
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 13: เสือตาบอด] 07/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 07-12-2019 20:58:11
ตอนที่ 13 เสือตาบอด

                เด็กหนุ่มทั้งสามวิ่งออกจากถ้ำพร้อมกับไฟฉายแปดท่อน แสงไฟหายห่างไปเรื่อยๆ จนเหลือเพียงจุดเล็กๆ ที่กำลังเคลื่อนหายไปกับความมืด แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เสียงห้อตะลึงของสัตว์สี่เท้าดังอึกทึกจากด้านหลัง พร้อมกับเงาร่างใหญ่ที่เบียดบังพื้นที่ในถ้ำไปเกือบครึ่ง กลิ่นเหม็นสาบของขนสัตว์คลุ้งจนแสบจมูก เจ้านิลตะกุยดินส่งเสียงฟืดฟาด ไม่ถึงเสี้ยววินาที เงาร่างสัตว์ใหญ่ก็พุ่งผ่านร่างไป มันกระโจนไปตามดวงไฟที่กำลังจะผ่านปากถ้ำ

                “วิ่ง!” โหรตะโกนร้อง ไฟดวงนั้นหยุดกึก ก่อนจะเร่งความเร็ว ทว่าก็ยังช้าเมื่อเทียบกับฝีเท้าของเสือตัวใหญ่เขื่อง “นิล! จัดการที”

                เจ้านิลไม่รอให้สั่งซ้ำสอง ควายอาคมที่ได้รับมาจากผู้เป็นปู่ วิ่งทะยานไปด้านหน้าด้วยกีบเท้า ถึงมันจะตัวใหญ่ ดูคล้ายจะอุ้ยอ้ายเฉกเช่นควายอ้วน แต่มันกลับต่างจากควายธรรมทั่วไป ขึ้นชื่อว่าควายธนูมันย่อมเต็มไปด้วยคาถาอาคม ดุร้าย และเชื่อฟังคำสั่งของผู้เป็นนาย มันวิ่งเร็วปรื๋อ หายใจดัง ส่งเสียงขู่ผ่านซี่ฟัน เขาคู่ใหญ่พุ่งตรงรี่ ไม่ถึงอึดใจก็ทันเจ้าเสือใหญ่ เขาแหลมขนที่ต้นขามันอย่างจัง เจ้าลายพาดกลอนล้มครืดด้วยไม่ทันตั้งตัว ทว่าเพียงเสี้ยวนาทีมันก็ตั้งหลักได้ รีบตะกุยลุกขึ้นเบนหน้ากลับมาหาศัตรูที่มีสี่เท้าเหมือนกัน

                “ไอ้บอด”

                โหรอุทาน เมื่อได้เห็นดวงตาของเสือตัวนั้น ตาข้างหนึ่งของมันแดงฉานผิดแผกสัตว์ป่าทั่วไป แต่ตาอีกข้างกลับเป็นสีขาวขุ่นมัว ไม่ผิดแน่ ไอ้เสือตัวนี้คือไอ้บอด เสือผีที่ใครๆ ก็หวาดกลัว และแน่นอนว่าเสือตัวใหญ่ยิ่งกว่าควายตัวนี้ไม่มีทางซุกซ่อนอยู่ในถ้ำแคบๆ ได้ นอกเสียจากว่ามันจะหายตัวได้

                เสือหายตัวได้ไม่มีหรอก!

                เมื่อไอ้บอดปรากฏตัว ตาเวกก็หายไป จริงดังคำสันนิษฐาน ตาเวกกับไอ้บอดรวมร่างกันแล้ว ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ผี แต่เป็นปิศาจ มันน่ากลัวยิ่งกว่าหลายเท่านัก

                ไอ้บอดจ้องมองเจ้านิลเขม็ง ดวงตาข้างเดียวของแดงเหมือนสีเลือด มันอ้าปากขู่กรรโชก ฟันแหลมคมเป็นเงาวับในความมืด เพราะอยู่ใกล้ปากถ้ำแสงสว่างจากด้านนอกเลยสาดส่องเข้ามาได้ เงาร่างของไอ้บอดเลยดำทะมึน ใหญ่จนเหมือนภูเขาลูกย่อมๆ

                เจ้านิลไม่หวาดเกรง แม้รูปร่างจะเล็กกว่า กีบเท้าหน้าข้างซ้ายตะกุยดินพร้อมสู้ หัวแกร่งไปมาราวกับกำลังท้าทายเสือใหญ่ อีกวินาทีต่อมา ไอ้บอดก็วิ่งเข้าใส่ อุ้งเท้าใหญ่ก็ตวัดใส่ร่างของควายอาคมด้วยความเร็ว เจ้านิลเอี้ยวตัวหลบทัน ใช้เขาขวิดสวนกลับไป แต่ไอ้บอดก็หลบได้เช่นกัน ทว่าอีกแค่ลมหายใจถัดมา อุ้งเท้าอีกข้างก็ตะปบใสร่างควายธนู แม้จะไม่ได้โดนเต็มที่ หากแต่เล็บแหลมคมก็ตวัดเฉี่ยวเกี่ยวเอาเนื้อสีดำหลุดติด เลือดสีแดงไหลอาบลำตัวอวบใหญ่

                เจ้านิลร้องคำรามด้วยความเจ็บปวด แม้แต่โหรเองก็ยังอดใจหายไม่ได้

                เมื่อเห็นว่าฝ่ายควายกำลังเสียท่า เสือผีก็กระโจนเข้าใส่ อุ้งเท้าพร้อมเล็บคมราวกับมีดแหลมวาดตะปบมาทางอีกข้างของลำตัว เจ้านิลใช้ประสบการณ์หลบหลีกได้อย่างฉิวเฉียด กลิ่นเลือดระคนสาปสัตว์คลุ้งไปทั่วบริเวณ ควายอาคมไม่ยอมแพ้ต่อบาดแผลฉิวหนัง มันหมุนตัวตั้งหลัก กีบเท้าฝังลงดิน หัวก้มต่ำ ดวงตาดำคู่ใหญ่เป็นประกายวับ มันรู้ดีว่ากำลังสู้อยู่กับอะไร

                ศึกคราวนี้มีแค่ความตายเท่านั้นเป็นจุดสิ้นสุด

                เขาแหลมคมใหญ่โค้งราวกับวงดาบ ตวัดใส่ร่างของเสือใหญ่ เฉี่ยวไปเฉี่ยวมา พลาดเป้าเสียหลายครั้งเพราะเจ้าเสือผีมันเคลื่อนไหวได้รวดเร็วเหมือนหนู แต่แรงมหาศาลยิ่งกว่าช้าง เจ้านิลไม่ลดละความพยายาม มันถอยหลังไปตั้งหลักแล้ววิ่งเต็มฝีเท้า หมายจะพุ่งชนลำตัวเสือผีให้ล้มหงาย แต่ไอ้บอดไวยิ่งกว่าลมกรด มันเอี้ยวตัวอ้าปากกว้างใช้ฟันคมงับเข้าที่ลำคออวบใหญ่ของเจ้านิล

                ควายธนูร้องลั่นด้วยเจ็บปวด เลือดสีแดงสดไหลอาบขนสั้นเหี้ยนสีดำสนิท ร่างล้มตึงจนผืนใต้ฝ่าเท้าสะเทือน ไอ้บอดย้ำเขี้ยวบดขย้ำที่แผลเดิม เลือดยิ่งไหลโชก เจ้านิลพยายามดิ้นตะเกียกตะกาย ขาทั้งสี่ตะกุยในอากาศ หัวใหญ่เงยไปด้านหลัง ดวงตากลมใหญ่เบิกโพลง ชั่วอึดใจเดียวร่างของควายธนูก็หยุดนิ่ง แล้วหายวับไปกลายเป็นตุ๊กตารูปปั้นควายตัวเท่าฝ่ามือ

                ไอ้บอดเงยหน้าขึ้น ดวงตาสีแดงข้างเดียวของมันคล้ายกับจะเย้ยหยัน มันอ้าปากส่งเสียงร้องก้องด้วยยินดี หางใหญ่ยาวสะบัดสูงกว่าลำตัว

                โหรหลับตานิ่ง ปัดสายสะพายไรเฟิลไปด้านหลัง ยกมือขึ้นพนม ปากพึมพำพระคาถาที่ร่ำเรียนมา ทั้งจากปู่และพระครูที่เลื่อมใส ขึ้นชื่อว่าคาถาอาคมมีทั้งดำและขาว โหรรู้จักมันดีแต่เลือกที่จะศึกษาแค่สายขาวเท่านั้น ไม่เคยทำร้ายใคร มีไว้แค่ช่วยเหลือ ไม่นานเลือดในกายก็พลันอุ่น บางอย่างวิ่งพล่านไปตามตัวอักขระบนร่างกาย

                ใต้เสื้อเชิ้ตราคาถูก บนผิวหนังสีเข้มคร้ามแดดคืออักขระอาคมที่พระครูลงเข็มไว้ให้เมื่อสิบปีก่อน มันเป็นภาษาที่น้อยคนนักจะอ่านออก เรื่องอยู่ยงคงกระพัน ฟันแทงไม่เข้า ไม่มีจริง เพราะแม้แต่ปู่เหมที่สักตัวลาย ห้อยหลวงพ่อดังทั่วประเทศยังพ่ายแพ้ให้กับเวรกรรม พระครูสอนโหรเอาไว้ว่าให้เชื่อเรื่องทำดี แล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะคุ้มครอง

                โหรแทบไม่เคยใช้คาถาปลุกรอยสักยันต์ของตัวเอง แต่เวลานี้มันจำเป็น ยิ่งอีกฝ่ายคือครึ่งผีครึ่งคน เป็นคุณไสยสีดำ จึงจำเป็นต้องใช้วิธีที่เท่าเทียมกัน

                อักขระที่หน้าอกร้อนวาบราวกับถูกไฟนาบ มือข้างที่บาดเจ็บกลับไม่รู้สึกถึงอาการอีกเลย กล้ามเนื้อทุกสัดส่วนเครียดเขม็งจนเห็นเส้นเลือดเส้นเอ็นที่ปูดโปน ก่อนที่เปลือกตาจะเปิดขึ้น อักขระตัวเล็กๆ เรืองแสงออกมาแต่เพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวมันก็หายไป

                คนโบราณเรียกว่าสักน้ำมัน ไม่มีร่องรอย จะปรากฏต่อเมื่อเจ้าของต้องการ

                ทุกเข็มที่ลงลายลักษณ์อักษรบนร่างมาจากมือของพระครูที่ขึ้นชื่อเรื่องคาถาอาคม และโหรคือศิษย์คนสุดท้ายก่อนที่ท่าจะละจากโลกนี้ไป ดังนั้นวิชาความรู้ที่มีเลยถ่ายทอดให้กับลูกศิษย์คนนี้อย่างเต็มที่
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 13: เสือตาบอด] 07/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 07-12-2019 21:00:09
(ต่อ)
 เสือร้ายครึ่งสัตว์ครึ่งปิศาจแยกเขี้ยวขาว มันกระโจนเข้าใส่ร่างของโหรอย่างไม่ยำเกรง อุ้งเท้าใหญ่เท่ากับกะละมังเฉียดหน้าไปเพียงเสี้ยวอากาศ โหรเอี้ยวตัวหลบ แล้วแทรกตัวผ่านช่องเล็กระหว่างลำตัวใหญ่กับผนังถ้ำ หากสู้ในนี้มีแต่จะเสียเปรียบ ทั้งแคบและมืด แสงน้อยนิดจากด้านนอกไม่พอให้จับการเคลื่อนไหวของมัน โชคดีที่ฝนซาเม็ดลง พระจันทร์ดวงโตกำลังลอยขึ้นแทนพระอาทิตย์ คืนนี้ขึ้นสิบห้าค่ำพระจันทร์เต็มดวง เมฆสีเทาก้อนใหญ่ค่อยๆ เคลื่อนห่างจากแผ่นฟ้า

                ที่นอกถ้ำคือพื้นดินชื้นแฉะอุ้มน้ำ แต่มันดีกว่าพื้นหิน อย่างน้อยถ้าล้มแผลก็น้อยกว่า โหรตั้งรับรอเสือผี อักขระบนตัวราวกับจะเต้นได้ พระคาถาที่พระครูสอนไว้เต็มหัวเช่นเดียวกับวิธีการต่อสู่กับเสือตามคำสอนของปู่เหม สู้ด้วยมือเปล่าไม่มีทางชนะแน่

                ต้องเป็นปืนเท่านั้น!

                และสำหรับไอ้บอดแค่ไรเฟิล 150GR ไม่พอ ต้องกระสุนลงอาคมด้วยถึงจะปลิดชีพมันได้

                แต่ปัญหาอยู่ที่เขาต้องเล็งให้แม่นไม่เพียงให้ตรงเป้า แต่ยังต้องได้จังหวะ ถ้าประชิดตัวมากเกินไปเขาเองก็อาจจะได้รับอันตรายด้วย หรือถ้าพลาดไม่ถูกจุดสำคัญมันต้องเล่นงานเขาซ้ำแน่ รู้กันว่าสัตว์ป่าถ้าหากไม่ตายมันจะทำร้ายศัตรูจนกว่ามันจะตาย

                ไอ้บอดวิ่งตามออกมาอย่างทันใจ เสือตัวใหญ่ยืนจังก้า สี่เท้าจมหายใจไปดินอุ้มน้ำ แยกเขี้ยวขู่คำรามก้องป่า นกกลางคืนบินแตกฮือออกจากพุ่มไม้ สัตว์น้อยใหญ่วิ่งหนีไม่รู้ทิศทาง

                โหรจ้องมองมันคลาดสายตา ถึงมันจะมีตาข้างเดียว แต่เสือเป็นสัตว์ที่ออกหากินตอนกลางคืน สายตาของมันคมเฉียบ เขาจะประมาทไม่ได้ ถึงจะเป็นครึ่งเสือครึ่งปิศาจ แต่สัญชาตญาณนักล่าของมันยังมีเต็มเปี่ยม มันพร้อมจะกัดกินร่างของเขาและส่งมอบดวงวิญญาณให้กับเฒ่าเวก

                ชายหนุ่มเลื่อนมือไปด้านหลัง ตบกระเป๋ากางเกง กระสุนห้านัดบรรจุอยู่ในกล่องยังอยู่ครบ นั่นหมายความว่าเขามีโอกาสแค่ห้าครั้งเท่านั้น

                นานแล้วที่ไม่ได้จับปืน ล่าสุดที่เหนี่ยวไกก็เมื่อห้าปีที่แล้ว ตอนนั้นเขาใช้มันยิงหมูป่าถึงไม่ใช่เขี้ยวตันแต่ถ้าโดนมันขวิดเข้าก็เจ็บหนักไม่น้อย ก่อนมันตาย มันดิ้นทุรนทุราย จนต้นไม้ใบหญ้าแถวนั้นล้มเป็นแนวราบ เลือดไหลนองพื้น ดวงตาเหลือกโพลง ติดตาเขาไปนานหลายเดือนทีเดียว จากนั้นก็เลิกฆ่าสัตว์เด็ดขาด หันมาเอาดีทางหาสมุนไพร เลยไม่จำเป็นต้องใช้ปืนอีก

                ปืนไรเฟิลเหมาะสำหรับฆ่าสัตว์ ปืนกระบอกเก่าเป็นแบบ .375 H & H เป็นสมบัติตกทอดที่ได้จากปู่ แต่เพราะไม่มั่นใจประสิทธิภาพของมันเลยจำต้องยืมปืนจากพันนา ที่จริงเคยลองใช้ไรเฟิลของเพื่อนร่วมอาชีพมาบ้าง รุ่นนี้สะบัดไม่แรงเหมือนรุ่น 180 GR พวกนักท่องไพรนิยมมากทีเดียว

                โหรประสานสายตากับเสือผีนิ่ง แก้วตาสีแดงฉานเพียงข้างเดียวของมันราวกับจะสะท้อนอีกร่างที่แฝงอยู่ในนั้น เขาไม่เคยเห็นไอ้บอดมาก่อน แต่ท่าทางของมันองอาจ หยิ่งผยองสมกับเป็นเสือนักล่า ริ้วรอย บาดแผลที่ปรากฎทั่วร่างยืนยันได้ดีว่ามันเคยเป็นเสือใหญ่ประจำป่าแห่งนี้ เคยได้ยินมาว่านอกจากมันจะล่าเหยื่ออย่างโหดเหี้ยมแล้ว มันยังฉลาดเกินสัตว์ป่าทั่วไปอีกด้วย น่าแปลกที่มันดันกลายเป็นทาสของตาเวกได้

                ในป่าเงียบกริบ ไม่มีแม้แต่เสียงแมลงกลางคืน พระจันทร์ดวงใหญ่ลอยขึ้นกลางท้องฟ้า เมฆสีเทาเลือนหายไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่มันเป็นเรื่องดีสำหรับโหร เพราะมันทำให้มองเห็นอะไรๆ ชัดเจนขึ้น ไอ้บอดแยกเขี้ยวขู่ น้ำลายไหลยืดจากปากใหญ่ของมัน ท่าทางเหมือนหิวกระหาย และเขาคือเหยื่ออันโอชะของมัน

                โหรกระโดดลงจากหินก้อนใหญ่หลบการจู่โจมกะทันหันของมัน เล็บคมตวัดถูกก้อนหินจนเกิดประกายไฟวูบวาบ ไอ้บอดคำรามด้วยความหงุดหงิด โหรตั้งหลักได้ดึงมีดอาคมจากเข็มขัดหนัง โลหะคมปลาบเป็นเงาวับเช่นเดียวกับเขี้ยวแหลมคมของไอ้บอด เขารีบหมุนกายหันมกลับมาตั้งรับ ดวงตาคมจ้องเขม็งโดยมีแค่แสงจันทร์ในคืนขึ้นสิบห้าค่ำ ไอ้บอดอยู่ห่างไม่ถึงห้าเมตร มันใกล้มากเพียงแค่มันพุ่งใส่ก็ถึงตัวเขา หัวใหญ่โตเกือบจะเท่ากับกะละมังซักผ้า หนวดขาวยาวกระตุกหงึก แยกเขี้ยวขู่คำราม โหรแทบจะกลั้นหายใจ ตาไม่กระพริบเพราะกลัวจะพลาดจังหวะ ไอ้บอดไม่รอให้เขายืนนาน มันพุ่งเข้าใส่อย่างบ้าคลั่ง โหรเบิกตากว้าง ถึงจะเตรียมพร้อมแค่ไหนแต่การที่ต้องสู้กับเสือเพียงลำพังก็น่าหวาดสะพรึงไม่น้อย ยิ่งไอ้เสือตัวนี้ไม่ใช่สัตว์ป่าทั่วไป แต่มันครึ่งผีครึ่งสัตว์ครึ่งคน วุ่นวายไปหมด

                โหรเอนตัวคล้ายจะนอนหงาย ไถลไปกับพื้นดินชื้นแฉะ เป็นจังหวะเดียวกับที่มันถึงตัวพอดี โหรลื่นเท้าลงไปใต้ลำตัวใหญ่หนาของมัน จ้วงมีดอาคมไปที่หน้าท้องจนมิดแล้วชัดออกทันที ไอ้บอดร้องคำรามด้วยความเจ็บปวด ร่างของมันพลิกล้มหงายไปกับพื้น โหรรีบพลิกตัวหลบได้ทันก่อนที่มันจะกลิ้งมาทับ

                เลือดสีแดงฉานไหลออกจากบาดแผล แผลจากมีดสั้นอาจไม่ลึกถึงอวัยวะสำคัญพอที่จะปลิดชีวิตมันได้ แต่ก็สามารถหยุดความเร็วของมันได้

                โหรหอบแฮ่ก นี่เป็นครั้งแรกที่ต้องสู้สัตว์ป่า ก่อนหน้านี้เขาคือผู้ล่า ทว่าเวลานี้เขาคือศัตรูของมัน ร้ายกว่านั้นอาจจะกลายเป็นเหยื่อเลยก็ได้ มือที่กำมีดสั้นยังสั่นระริก เขากำมันแน่นหอบหายใจจนตัวโยน เสื้อตัวมอมแมมด้วยคราบโคลน อักขระบนตัววูบวาบไปหมด เลือดในกายว่าร้อนแล้ว อักขระพวกนั้นยิ่งกว่า

                เขาหาจังหวะที่จะใช้ไรเฟิลจัดการมัน แต่ยังไม่ทันจะได้หยิบลูกกระสุน ไอ้บอดก็ลุกขึ้นมายืนได้สำเร็จ เลือดยังไหลไม่หยุด ด้วยเพราะเป็นมีดอาคม ฤทธิ์ของมันเลยมากกว่าจะทำให้เป็นแผล แต่เจ็บร้าวลึกไปถึงขั้วหัวใจ หากเป็นสัตว์ชนิดอื่น แค่โดนปลายบาดก็ตายแล้ว

                ขาทั้งสี่ของมันตั้งมั่น แผลจากมีดคงทำให้เจ็บไม่น้อย ขณะเดียวกันก็สร้างความโกรธแค้นให้มากกว่าเดิม โหรกลืนน้ำลายลงคอ เขาไม่ใช่พรานป่ามืออาชีพที่ล่าสัตว์ออกขาย เคยติดตามปู่ไปเมื่อครั้งยังเด็ก สัตว์ใหญ่ที่สุดที่เคยเจอคือช้างแต่อย่างที่รู้กัน ช้างไม่ใช่สัตว์ที่มนุษย์จะต่อกรด้วย โดยเฉพาะช้างป่า งาสีขาวขุ่นของมันยาวจนต้องตาค้าง พวกมหาเศรษฐีชอบนัก เอาไว้ประดับบารมี แต่ปู่ไม่นิยมฆ่าช้างเอางา เพราะถ้าจะเอางาก็ต้องฆ่าช้าง หนึ่งชีวิตแลกกับงาแค่คู่เดียวมันไม่คุ้มกัน ที่ปู่ถนัดคือจับส่งพวกฝรั่งที่จะเอาสัตว์หายากไปไว้ในสวนสัตว์ หรือไม่ก็เสือ เก้ง กว้าง ถลกหนังเอาไปขาย เนื้อตากแดดเก็บไว้กิน เรียกได้ว่าทุกชิ้นส่วนถูกนำไปใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด ไม่ได้ไล่ฆ่าเพื่อความสนุก

                หากเทียบความชำนาญในการล่าสัตว์ ฝีมือของเขาต่างกับปู่ลิบลับ ไม่เคยประจันหน้ากับเสือเลยสักครั้ง เชื่อเหลือเกินว่าหากเป็นปู่เหม จะไอ้บอดหรือตาเวกก็ไม่คณามือปู่ ทว่าความเก่งกาจก็ไม่อาจชนะเวรกรรมได้ ปู่จากไปเพราะเวรกรรมที่สะสม วิชา หรือคาถามอาคมที่ไหนก็ช่วยไม่ได้

                ไอ้บอดเบิกตาข้างเดียวของมันกว้างใหญ่เกือบเท่าลูกเทนนิส แสงแดงแวววาวสะท้อนเด่นชัด ข้างที่บอดเป็นสีเทาและรอยแผลต่างๆ บนตัวของมันเพิ่มความน่ากลัวและประสบการณ์ชีวิตที่มากกว่าเขา โหรกำมีดแน่นแม้จะรู้ดีว่าการตอบโต้ด้วยมีดอีกครั้งคงไม่ได้ผลอีกแล้ว โหรสบตากับไอ้บอด การประสานสายตากับคู่ต่อสู้นอกจากจะประกาศว่าไม่เกรงกลัวแล้ว ยังจับการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายได้อีกด้วย สติต้องตั้งมั่นเตรียมพร้อมที่จะรับการจู่โจม โหรภาวนาพระคาภาของพระครูที่เคยสอน ปลุกอักขระบนตัวให้ทำงาน หวังว่าคาถาของพระครูจะต้านทานกรงเล็บของไอ้บอดได้

                เสือผีตัวใหญ่เขื่องกระโดนโผนเข้าใส่อย่างบ้าคลั่ง โหรเบี่ยงหลบ มันก็เอี้ยวตัวกลับมาจู่โจมต่อเนื่อง มันเคลื่อนไหวรวดเร็วแทบไม่ต่างจากเดิมด้วยซ้ำ มีดอาคมทำให้มันเจ็บก็จริง แต่ด้วยสัญชาตญาณของสัตว์ป่าทำให้โจมตีคู่ต่อสู้ดุเดือดและหนักหน่วง กรงเล็บคมปลาบไม่ต่างจากใบมีดโกน ตวัดเฉี่ยวต้นแขนในจังหวะหนึ่งที่โหรหมุนตัวไปด้านซ้าย ความเจ็บวิ่งปราดไปถึงหัวใจ เลือดไหลหยดเป็นทาง เสื้อขาดวิ่นเป็นรอยเล็บ

                สู้ด้วยกำลังอย่างเดียวไม่มีทางชนะแน่...มันต้องใช้สมองเข้าร่วมกัน

                มีดฆ่ามันไม่ได้ ต้องไรเฟิลกระบอกนี้และกระสุนลงอาคม แต่ถ้าหากยังหาโอกาสไม่ได้เขาอาจจะหมดแรงเสียก่อนจะได้เหนี่ยวไกปืน

                เหงื่อกาฬไหลโทรมกายจนเสื้อเปียกชุ่ม โหรหอบหายใจแรงข้างปากทางเข้าถ้ำ ต้นไม้น้อยใหญ่แถวนั้นล้มระเนระนาดด้วยแรงจู่โจมของไอ้บอด เสือไม่เพียงแต่สายตายอดเยี่ยม หากแต่จมูกของมันก็ดีไม่ต่างกัน ทิศทางตอนนี้ไอ้บอดยืนเอียงตัวมาทางขวา ซึ่งเป็นทิศทางที่เดียวกันกับดวงตาข้างปกติของมัน ดังนั้นเขาต้องอยู่ฝั่งซ้ายเพื่อจำกัดการมองเห็น และต้องอยู่เหนือลมเพื่อไม่ให้มันได้กลิ่น

                เรี่ยวแรงลดลงเกินครึ่งแล้ว โหรมองหาจุดยุทธศาสตร์ โอกาสมีแค่ครั้งเดียวเท่านั้น หากพลาดเท่ากับตาย

                เขารีบจับทิศทางลม หลังฝนตกลมนิ่งสงบแทบจะไม่พัดไหว แต่ก็ไม่นิ่งสงบเสียทีเดียว เพียงเสี้ยวลมหายใจที่สายลมแผ่วเบาปะทะที่ผิวแก้มพร้อมกับลกิ่นบางอย่าง โหรรวบรวมกำลัง วิ่งไปทางขวาสุดฝีเท้าแล้วพุ่งเข้าไปซ่อนกายในพุ่มไม้ใหญ่ ข้างเท้าคือเห็ดปลาหมึกกำลังจะบานหลายดอก ที่กำลังส่งกลิ่นเหม็นคล้ายกับปลาหมึกเน่า แม้จะไม่ใช่เห็ดพิษ แต่กลิ่นของมันรุนแรง กระทั่งสัตว์ก็ไม่อยากเฉียดเข้าใกล้

                โหรรีบโกยอากาศเข้าปอดให้ได้มากที่สุด ทำตัวเงียบเชียบเหมือนเสือเฝ้าเหยื่อ ดวงตามองผ่านช่องว่างระหว่างใบไม้ ทิศนี้อยู่เหนือลมและกลิ่นของต้น333ก็ช่วยกลบกลิ่นมนุษย์ของเขาได้ชะงักนัก เขาดึงสายไรเฟิลเลื่อนมาด้านหน้าเชื่องช้า บรรจุกระสุนด้วยมือสั่นเทา หลายครั้งที่เกือบทำมันหล่นลงพื้น หัวใจเต้นรัว ตาก็จ้องมองไอ้บอดที่เดินพล่านเป็นเสือติดจั่น มันวิ่งไปทั่วทุกทางเพื่อตามหาเขา หนวดยาวกระตุกเป็นระยะ จมูกใหญ่ของมันเพยิบขึ้นลง มันคอยดมกลิ่นของเขานั่นเอง

                กระสุนเม็ดที่ห้าบรรจุลงในรู โหรดันมันกลับเข้าปล้องด้วยเสียงเงียบกริบ ยกปืนประทับเข้าตำแหน่ง เล็งเป้าหมายผ่านศูนย์ลำกล้องยกตรงไปเบื้องหน้าในระยะ 20 เมตร นิ้วมือเหนี่ยวที่ไก แต่เป้าไม่หยุดนิ่ง มันเดินเพ่นพ่าน ร้องคำรามก้องป่าทำให้หาจุดสำคัญของมันไม่ได้ แล้วก็เหมือนฟ้าไม่เป็นใจ กิ่งไม้เล็กๆ ที่รองรับน้ำหนักปลายกระบอกปืนดันเกิดหักกะทันหัน เสียงเป๊าะ      ไอ้บอดหันขวับมาทางเขาทันที มันไม่รอช้าพุ่งเข้าใส่เต็มกำลัง

                ปัง!

                โหรเหนี่ยวไกในโดยไม่รอเช้า กระสุนวิ่งพุ่งจากกระบอกปืน ควันและกลิ่นเหม็นไหม้ลอยคลุ้งในอากาศ โหรเซไปด้านหลังเล็กน้อยเพราะเสียการทรงตัวจาการโจมตีของไอ้บอด วิถีกระสุนวิ่งไปยังเบื้องหน้า โหรเบิกตากว้าง กลิ่นคาวของเลือดปนกับกลิ่นเหม็นเน่าของเห็ดปลาหมึก ภาวนาให้กระสุนเจาะโดนจุดสำคัญ

                ไอ้บอดคำรามลั่นป่า เลือดสีแดงหยดลงพื้น ทว่าร่างของมันยังยืนมั่นคง

                “สัตว์เอ๊ย!” โหรสบถหยาบคาย กระสุนเม็ดแรงของเขาทำได้แค่เพียงถากต้นขาข้างขวาของมันเท่านั้น สำหรับไอ้เสือครึ่งผีตัวนี้ก็ไม่ต่างจากรอยถลอก

                เหลือกระสุนอีกสี่ นั่นหมายความว่าโอกาสของเขามีอีกแค่สี่ครั้งเท่านั้น

                โหรรีบวิ่งถอยห่างออกมาซ่อนกายอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ แนบแผ่นหลังกับลำต้นหนา หอบหายใจหนักๆ หลายครั้ง หัวใจเต้นเร็วจนปวดหน้าอก ใช้เวลาหลายวินาทีกว่าที่ระดับลมหายใจจะกลับมาเป็นปกติ ทว่าเพียงแค่เสี้ยววินาทีที่หันกลับมาก็ต้องพบกับเงาดำพร้อมและลมเย็นวูบใหญ่ผ่านใบหน้ารวดเร็ว โหรเสียววาบที่หัวไหล่ขวา

                “ระยำ!”

                ชายหนุ่มคำรามในคอ พลิกตัวหมุนห่างจากต้นไม้ ไอ้บอดไม่ได้โง่ เมื่อครั้งเป็นเสือสติปัญญาก็ดีกว่าสัตว์ทั่วไป เวลานี้มีอีกดวงจิตช่วยสนับสนุน ความเก่งกาจเลยยิ่งเพิ่มทวี โหรกระชับปืนแน่น คงใช้วิธีเดิมไม่ได้อีกแล้ว เห็ดปลาหมึกแบนราบตามรอยย้ำของไอ้บอด พุ่มไม้ที่ใช้ซ่อนกายแทบจะกลายเป็นผืนหญ้า เลือดไหลลงมาตามแขน โหรกัดฟันแน่นระงับความเจ็บปวดที่จู่โจมรวดเร็ว

                ไอ้บอดมันเอาคืน!

                โหรมองหาทางถอยไปตั้งหลัก ยังเหลือโอกาสอีกสี่ครั้ง กระสุนลงอาคมก็จริงแต่ถ้าหากไม่ถูกจุดสำคัญมันก็เปล่าประโยชน์

                นอกจากจะอยู่เหนือลมแล้ว ยังจะต้องอยู่ในจุดที่มองการเคลื่อนไหวของมันได้ชัดเจนอีกด้วย

                ไอ้บอดก้าวช้าๆ  ขณะที่โหรก็หมุนตัวเดินวนรอบต้นไม้ อาศัยลำต้นใหญ่หนาพอที่จะบดบังร่างกาย ตอนนี้พวกเขาเหมือนเล่นเกมแมวไล่หนู

                เสือครึ่งผีคล้ายกำลังต้อนเหยื่อ อาการสงบของมันน่ากลัวเกินกว่าจะประมาณการจู่โจมได้ หากว่าตาเวกควบคุมไอ้บอดได้จริง ความฉลาดของมันก็เทียบเท่ากับมนุษย์ โหรสูดหายใจเข้าปอด ความเจ็บปวดที่ต้นแขนทวีมากขึ้นเรื่อยๆ พยายามเรียกสติให้ตั้งมั่น คาถาที่พระอาจารย์สอนไว้ไหวเวียนอยู่ในสมองเมื่อความตื่นตระหนกลดลง ชายหนุ่มหยุดเดิน ลมหายใจกลับมาเป็นปกติ ดวงตาปิดลง ปล่อยให้อักขระบนร่างกายทำหน้าที่ของมัน

                เลือดจากแผลกรงเล็บเสือหยุดไหล ปากแผลเหวอะหวะกลับมาสมานกัน แม้จะไม่ได้ราบเรียบกลับมาเป็นผิวหนังดังเดิม แต่มันก็ช่วยทุเลาความเจ็บปวดได้ไม่น้อย

                กรร!

                ไอ้บอดขู่คำราม ลมหายใจของมันเป่ารดใส่แผ่นหลังแม้จะมีต้นไม้บังไว้ก็ตาม โหรกลืนน้ำลายลงคือ เคลื่อนไหวกายเงียบเชียบ ฝีเท้าเบากริบไม่ต่างจากแมวย่อง ก่อนจะวิ่งเร่งไปยังต้นไม้ใหญ่อีกต้น ไอ้บอดก็ไวทายาทวิ่งกวดมาติดๆ ห่างกันแค่ไม่กี่เมตร มันพยายามหาจังหวะใช้กรงเล็บหน้าไล่ตะปบ แต่โหรเอี้ยวตัวหลบได้ทัน ลมวืดเย็นพัดผ่านแผ่นหลังหลายครั้ง

                ลิงลมทำงาน!

                โหรร้องสั่งในใจ ชั่วฉับพลันนั้น ร่างกายก็เคลื่อนไหวรวดเร็ว รอยสักรูปลิงที่ต้นแขนซ้ายร้อนผ่าว ปวดแสบเหมือนถูกไฟจี้ แต่ชั่วประเดี๋ยวเดียวมันก็กลับมาเป็นปกติ เลือดในกายคล้ายกับมีอะไรหมุนเวียนอยู่ในนั้น ขาทั้งสองควบตะบึง ดวงตากวาดหาพิกัดที่จะมองศัตรูได้ถนัดถนี่ โหรเบิกตากว้าง ห่างออกไปทางขวามือไม่เกินยี่สิบเมตรคือต้นมะค่าแต้ ลำตันแข็งแรง เป็นไม้เนื้อแข็งน่าจะทนต่อกรงเล็บของไอ้บอดได้ กิ่งก้านของมันก็เหนียวแน่นดี พอให้ยึดเกาะได้ โหรเพิ่มฝีเท้า กระโดดเกาะลำต้น แล้วปีนขึ้นด้วยมือและเท้าท่าทางคล้ายลิง ร่างสูงใหญ่โหนขึ้นไปบนกิ่งไม้ได้รวดเร็วผิดกับรูปร่าง จนแม้แต่เจ้าตัวเองยังแปลกใจ รองเท้ากลายเป็นสิ่งเกะกะ จนต้องถอดโยนทิ้ง

                โหรเลือกกิ่งไม้ใหญ่ที่อยู่ในตำแหน่งที่สูงพอหลบกรงเล็บอันตรายของไอ้บอดได้ ไรเฟิลกลับมาเตรียมพร้อม หัวใจเต้นรัว ความตื่นเต้นแกมหวาดหวั่นอาบรดร่าง ดวงตาคมเพ่งมองผ่านศูนย์ลำกล้องในระยะห่างยี่สิบเมตร ไอ้บอดอยู่ใต้ต้นไม้พอดี ท่ามันหงุดหงิดงุ่นง่านไม่น้อยเพราะไม่อาจปีนขึ้นมาบนต้นไม้ได้ มันใช้ตบกรงเล็บใส่ลำต้นหนาเพื่อหวังว่าเขาจะตกลงมา แน่นอนว่าลิงลมบนรอยสักยังทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยม ไม่เพียงแต่มือที่เหนียวเหมือนกาว แต่เท้าก็ยังยึดเกาะติดได้ดี ทว่าแรงสั่นสะเทือนมีผลต่อการยิงปืน เป้าที่เล็งไว้คลาดออกจากตำแหน่งจนอดหัวเสียไม่ได้

                กร๊อบ!

                ขณะที่กำลังใจจดจ่ออยู่กับเล็งปืน เสียงคล้ายกิ่งไม้หักก็ดังขึ้นในอีกฝาก ทั้งไอ้บอดและโหรหยุดลงชั่วขณะ ด้วยความที่อยู่บนที่สูงเลยสามารถมองเห็นผู้มาเยือนได้ชัดเจน

                กุมภ์!

                เด็กหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง อยู่ในชุดเดิม แต่ขะมุกขะมอมกว่าที่เคยเห็นอยู่มากโข ในมือมีกระบอกไฟฉายแบบแปดท่อน ลำแสงจ้าส่องเป็นเส้นไปทางไอ้บอด ดวงตาข้างหนึ่งของมันเป็นสีแดง ส่วนอีกข้างเป็นสีเทา ทว่าสะท้อนกับแสงไฟเรืองรอง ดูน่าขนลุกพิกล

                ไอ้บอดเปลี่ยนเป้าหมาย จากโหรที่กำลังเกาะเกี่ยวอยู่บนกิ่งไม้ เป็นร่างของเด็กหนุ่มผู้มาใหม่ทันที มันแยกเขี้ยวคำรามลั่นป่า กุมภ์ยืนหน้าซีดตัวสั่น ร่างแข็งทื่อราวกับถูกแช่แข็ง ปากขยับราวกับจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับเปล่งเสียงออกมาไม่ได้

                โหรเห็นท่าไม่ดี เพราะกุมภ์คงไม่อาจหลบหนีการโจมตีของไอ้บอดได้ ชายหน่มกัดฟันกรอด ดวงตาเพ่งมองผ่านลำปล้องที่ต้องปรับให้เป็นห้าสิบเมตรเช่น สี่เท้าใหญ่โตของมันฮ้อตะบึงไปยังจุดที่กุมภ์ยืนอยู่ เหลืออีกไม่ถึงสิบเมตร กรงเล็บคู่หน้าก็จะถึงร่างของกุมภ์แล้ว!

                ปัง!

                กระสุนนัดที่สองพุ่งออกจากกระบอกไรเฟิล ในระยะห่างห้าสิบเมตร ความคลาดเคลื่อนมีอยู่ไม่น้อย แล้วก็เป็นดังคาด กระสุนลงอาคมทำได้เพียงแค่ถากลำตัวมันไปเท่านั้น แต่ก็มากพอที่จะหยุดการโจมตีได้ในชั่วเวลาหนึ่ง

                กรร!

                โหรรีบปรับตั้งลำปล้อง เมื่อเห็นว่าไอ้บอดเอี้ยวตัวกลับมาทางตน ดวงตาข้างสีเทาของมันน่ากลัวกว่าเดิม แม้จะมองไม่เห็นแต่หากจ้องให้ดีจะเห็นความอาฆาตมาดร้ายที่ซุกซ่อนอยู่ในนั้น และข้างที่เป็นสีแดงก็วาวเรืองชวนขนพองสยองเกล้าเช่นกัน

                “กุมภ์! หนีไป” โหรตะโกนลั่น ซึ่งก็ไม่ได้ผลสักเท่าไรนัก กุมภ์ยังยืนนิ่ง ดวงตาเบิกกว้าง ลำแสงจากไฟฉายขนาด แปดท่อน สั่นไหวตามมือของผู้ถือ

                โหรจิ๊ปากด้วยขัดใจ ไอ้บอดชะงักอยู่กับที่เพียงชั่วประเดี๋ยว ราวกำลังลังเลว่าควรจะไปทางไหนดี แล้วมันก็ตัดสินใจวิ่งไปทางเดิม ซึ่งเป็นขณะเดียวกันกับที่กุมภ์ได้สติพอดี

                “ฉิบหายแล้ว” กุมภ์ร้องลั่น ถอยหลังไปสองก้าวแล้วหันหลังวิ่งแบบไม่คิดชีวิตทันที

                “เวรเอ๊ย!” โหรสบถ ก่อนจะร้องตะโกนบอกไอ้เด็กเมืองจอมดื้อ “วิ่งเป็นทางตรง อย่างซิกแซ็ก”

ไม่รู้ว่ากุมภ์ได้ยินหรือไม่ แต่ร่างโปร่งติดผอมนั่นวิ่งเป็นทางตรงจริงๆ ปากก็ร้องด้วยความหวาดกลัว โหรใช้โอกาสนั้นเองตั้งลำปล้องปืนใหม่ แม้ระยะจะห่างออกไปเรื่อยๆ ทว่าเป้าหมายยังไม่ได้เคลื่อนจากจุดเล็ง ชั่วจังหวะหนึ่งที่ปรับโฟกัสได้ โหรเหนี่ยวไกปืนเป็นครั้งที่สามและสี่ตามไปติด

                ปัง ปัง!

*ตอนแต่ง แต่งยากมากกกก ตอนอัพทำไมไวจัง ฮาาาาา*

**แต่งยากมากจริงๆ ค่ะ ในหัวมีภาพมากมายยากต่อการบรรยายมาก ถ้าจะงงๆ หน่อยก็อย่าว่ากันเน้อ**

***ตอนนี้ร่างปกออกมาแล้วบางส่วนนะคะ แต่ยังไม่สมบูรณ์ ไว้จะเอามาอวดนะคะ***

****เจอกันตอนหน้าจ้า****
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 13: เสือตาบอด] 07/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 07-12-2019 21:37:34
 :hao7:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 13: เสือตาบอด] 07/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 07-12-2019 21:37:49
ลุ้นมากกกก
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 13: เสือตาบอด] 07/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 07-12-2019 22:12:42
 :z3: กุมภ์กลับมาทำม้าย
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 13: เสือตาบอด] 07/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: smmikie ที่ 07-12-2019 23:54:26
อ่านทีต้องหยุดหายใจ อ่านทีละตัวทีละคำ ลุ้นมากๆ เหมือนดูละคร ดูหนังเลยอ่า แต่กุมเอ้ยกุมลูก กลับมาทำไม!!! เพิ่มความยุ่งยากและห่วงให้คนเขาอีกลูก เฮ้ออออออ

อยากมาให้ต่อแล้ว ค้างมากๆๆ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 13: เสือตาบอด] 07/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 07-12-2019 23:55:23
มันส์จริงๆค่ะ  และจบตอนได้ค้างสุดๆ อารมณ์แบบยังลุ้นอยู่เลยย :ling1:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 13: เสือตาบอด] 07/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 08-12-2019 04:21:56
โอ๊ย ซื้อไม่ถูกแต่หวย!

ว่าแล้วนุ้งกุมภ์ต้องไม่ทิ้งพี่โหร    :sad5:


แอ๊คชั่นมันหยดพะยะค่ะ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 13: เสือตาบอด] 07/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: JanTi ที่ 08-12-2019 12:18:35
โอ้ยลุ้นทุกตอนจริงๆ o13
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 13: เสือตาบอด] 07/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: u_cosmos ที่ 08-12-2019 13:22:34
สนุกมากค่ะ ตื่นเต้นตามเลย
นี่อ่านทุกตัวอักษรเพราะลุ้นไปกับพี่โหร
จัดการตาเวกให้ได้เถอะ คนใจร้ายแบบนี้
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 13: เสือตาบอด] 07/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 08-12-2019 13:51:05
กุมภ์เด็กดื้อ รอดจากงานนี้ ให้โหรลงโทษอย่างหนักหน่วงเลยนะ
 :m16: :m16:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 13: เสือตาบอด] 07/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: akashita ที่ 08-12-2019 14:20:31
ลุ้นมากอะค่ะ
น้องกุมภ์หนูกลับมาหาพี่เขาทำไมลูกกกกก ไดแต่หวังว่ากระสุนที่ยิงไปจะโดนจุดสำคัญมั่ง

รอเลยค่า รอทั้งตอนต่อไป และรอทั้งรูปเล่ม พร้อมเปย์ บอกเลย อิอิ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 13: เสือตาบอด] 07/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: yaoigirl ที่ 08-12-2019 16:07:14
โอ๊ยยย มาห่วงอะไรตอนนี้กุมภ์ หนีปายหนีปายย ออกจากป่าก่อนค่อยห่วงงง
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 13: เสือตาบอด] 07/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Philosophy ที่ 08-12-2019 16:44:07
กุมภ์หนีป๊ายยยย
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 13: เสือตาบอด] 07/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 08-12-2019 18:00:13
หัวใจจะวายกะตอนนี้​ ลุ้นจนเกร็งไปหมดแล้ว
พี่โหรเราสุดยอดมาก​ เก่งสุดๆ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 13: เสือตาบอด] 07/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 08-12-2019 22:45:50
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 13: เสือตาบอด] 07/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 08-12-2019 22:50:59
กุมภ์มาทำไมเนี่ย กรี๊ดด ลุ้นมากค่ะ ฉากบู๊อย่างกับในหนัง
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 13: เสือตาบอด] 07/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 09-12-2019 13:07:50
ตัดจบได้ร้องโอย อยากอ่านต่ออีกแล้ว
ลุ้นพี่โหรอย่างแรง
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 13: เสือตาบอด] 07/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 09-12-2019 18:32:38
ยอมกุมภ์เลย กลับมาช่วยโหรอีก
ตอนนี้สนุกมากค่ะ พะบู๊สุด
เอาใจช่วยโหรให้รอดเท้อออ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 13: เสือตาบอด] 07/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 09-12-2019 19:15:10
โอ้ย ใจเต้น ตุ่บตั่บ ลุ้น มาก รอ จ้า ^^
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 13: เสือตาบอด] 07/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 09-12-2019 22:19:20
คนดี ถึงจะเคยทำพลาดแต่ก็ไม่ทำอีก
หวังว่า สองนัดหลังจะช่วยโหรกับกุมภ์ได้นะคะ

เราลุ้นมาก ใจเต้นตลอดเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 13: เสือตาบอด] 07/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: valenna yy ที่ 09-12-2019 22:53:05
ลุ้นมาก ใจตุ้มๆต่อมๆตลอดเลย
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 13: เสือตาบอด] 07/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: sawangpong ที่ 10-12-2019 01:57:30
ตอนอ่านถึงตอนกุมภ์โผล่มานี่แทบอยากจะกระชากนางออกมาตบสั่งสอนว่ากลับมาทำไม​ แต่พออ่านถึงตอนจบที่โหรบอกให้กุมภ์วิ่งตรงๆก็ค่อยหายอยากตบนางหน่อยเพราะอย่างน้อยก็มีประโยชน์มาเป็นเหยื่อล่อเสือให้ยิงปืนง่ายขึ้น

หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 13: เสือตาบอด] 07/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 10-12-2019 08:02:51
ลุ้นทุกตัวอักษร อ่านแล้ว กลัวจบตอน จบจริงด้วย รู้สึกอยากอ่านต่อแว้ววว
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 13: เสือตาบอด] 07/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 10-12-2019 10:08:40
อ่านแล้วลุ้นตัวโก่งเลย มาต่อเร็วๆนะ :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 13: เสือตาบอด] 07/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 13-12-2019 13:59:53
กุมภ์มาทำอะไรเนี่ย :m16: :m31: สนุกมากๆเลยค่ะ ลุ้นมากๆ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 13: เสือตาบอด] 07/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: u_cosmos ที่ 13-12-2019 23:12:46
ถึงจะยังไม่นานแต่ก็มารอพี่โหรช่วยน้องกุมภ์นะคะ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 13: เสือตาบอด] 07/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: smmikie ที่ 14-12-2019 21:29:57
อยากอ่านใจจะขาดแล้วจ้าาา
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 14: กระสุนนัดสุดท้าย] 15/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 15-12-2019 18:42:48
*มาแล้วจ้า ยังไม่ตายแค่บาดเจ็บที่หัวเข่านิดหน่อย 5555*


ตอนที่ 14 กระสุนนัดสุดท้าย

            โฮก!

                กระสุนทั้งสองนัดพุ่งเจาะที่กลางลำตัวเข้าอย่างจัง ไอ้บอดเสียหลักล้มกลิ้งไม่เป็นท่า ส่วนกุมภ์วิ่งไปก็ปิดหูไป ปากก็ร้องด้วยความหวาดกลัว ถึงจะเป็นเวลากลางคืนและอยู่ในระยะไกลร่วมห้าสิบเมตร แต่ก็ยังเห็นว่ากุมภ์ทั้งเหนื่อยและหวาดกลัวมากแค่ไหน

                บ้าเอ๊ย! กลัวขนาดนั้นจะแล้วกลับมาทำไม!

                โหรลดระดับปืนลง เท้าเกาะเกี่ยวกิ่งไม้เหนียวแน่น หวังใจว่ากระสุนอาคมสองนัดนั้นจะหยุดไอ้บอดได้ แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ร่างของครึ่งเสือครึ่งผีกระเสือกกระสนดิ้นรนบ้าคลั่งจนต้นไม้ใบหญ้าแถวนั้นราบไปหมด เสียงร้องของมันที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดทรมานดังก้องป่า ฟังแล้วน่าขนลุกพิลึก โหรสาบานว่าชั่ววูบหนึ่งมีเสียงร้องคล้ายมนุษย์ปะปนมาด้วย เลือดสีแดงเข้มไหลนอง กลิ่นคาวจัดโชยมาถึงบนยอดไม้ ไม่นานร่างของไอ้บอดก็ค่อยๆ สงบ จนกลายเป็นแน่นิ่งในที่สุด

                โหรแทบจะถอนหายใจ แล้วรีบปีนลงจากต้นไม้ทันที สองเท้าเปลือยก้าวไปเบื้องหน้า ไม่กี่ก้าวก็หยุดอยู่ข้างไอ้บอด เขายกกระบอกปืนในระดับเตรียมยิงอีกครั้ง มองหาจุดผิดสังเกต หากมันกระดิกตัวเพียงสักนิดเขาจะซ้ำทันที แต่ที่ยังไม่เหนี่ยวไกในตอนนี้เพราะกระสุนนัดสุดท้ายนี้มีค่านัด เขาไม่อยากเสียมันไปโดยไม่จำเป็น

                “ตะ...ตายแล้วเหรอ”

                กุมภ์ถามเสียงสั่น โหรเหลือบตามอง โดยที่ปืนยังไม่ได้ลดระดับลง แต่เพียงแค่นั้นก็เห็นใบหน้าขาวซีดไม่ต่างจากระดาษ เหงื่อผุดพรายเต็มหน้า ร่างติดผอมหอบโยน เขาไม่ได้ให้คำตอบเพราะยังไม่แน่ใจว่ามันตายหรือยัง

                ทั้งคู่เงียบสนิท เฝ้ามองอากัปกิริยาของไอ้บอดอยู่นานหลายนาที แต่ร่างของมันสงบนิ่งไม่มีวี่แววว่าจะเคลื่อนไหว แม้แต่จังหวะการหายใจก็นิ่งสนิท โหรใช้เท้าเตะไปที่ลำตัวของมัน ก็ไม่เคลื่อนไหว กล้ามเนื้อดูเหมือนจะหดเกร็ง แต่ยังอุ่นซ่านเพราะเพิ่งจะผ่านไปแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น

                “ผมว่ามันตายแล้วล่ะ” กุมภ์ออกความเห็นพลางยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผาก อาการเหนื่อยหอบลดลงไปมาก ใบหน้าขาวสะอาดกลับมามีสีเลือดอีกครั้ง “คุณยิงแม่นจัง”

                โหรไม่ได้กระหยิ่มกับคำชม แต่ก็เบาใจลงไปมาก ไอ้บอดสิ้นฤทธิ์เสียที เขาลดปืนลงรู้สึกเหมือนเพิ่งถูกรถสิบล้อทับมาไม่มีผิด แขนขาดูเหมือนจะอ่อนเปลี้ยลงในพริบตา คาถาลิงลมที่เรียกใช้จางลง เลือดร้อนผ่าวเมื่อครู่ลดระดับจนกลายเป็นปกติ เช่นเดียวกับจังหวะหัวใจ โหรหันหน้ากลับไปมองอีกคนที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัว ทั้งที่ควรจะอยู่กับกลุ่มเพื่อนๆ

                “กลับมาทำไม” โหรถามเสียงเครียด สีหน้าของกุมภ์ดูสลดลงอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะตอบกลับมาเสียงอ่อย

                “ผม...เป็นห่วงคุณ”

                ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหัวใจ ทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘เป็นห่วง’ มันก็เหมือนพองฟูขึ้นเหมือนลูกโป่ง แสงจันทร์น้อยนิดแต่ก็มากพอที่จะเห็นริ้วแดงบนแก้มขาวของหนุ่มเมืองกรุง โหรตีหน้าขรึม บ่นให้ได้ยินว่าไม่เข้าเรื่อง

                นานจนพอจะวางใจได้ โหรเลยลงความเห็นว่าไอ้บอดน่าจะตายแล้วจริงๆ กุมภ์เดินวนไปรอบๆ ร่างนิ่งสงบของเสือกึ่งผี มันยังคงรักษารูปร่างของเสือเอาไว้ ขนหยาบลายพาดกลอน หนวดสีขาวยาว ใบหูของมันใหญ่เกือบเท่าฝ่ามือ กุมภ์อุทานอยู่หลายคำ พึมพำว่าจะถลกหนังมันไปขายให้กับพวกนักการเมืองน่าจะได้เงินไม่น้อย โหรแอบขำกับความคิดนั้น และก็เชื่อเหลือเกินว่าถ้าปู่ยังอยู่คงติดไม่ต่างจากกุมภ์ แต่ไม่ใช่สำหรับเขา เขาฆ่าไอ้บอดเพราะมันอันตราย อีกอย่างค่าจ้างที่ได้รับในครั้งนี้ก็มากพอที่จะดำรงชีพได้นานอีกหลายเดือน

                โหรชวนกุมภ์ออกจากบริเวณนี้ ถามไถ่ถึงที่ซ่อนตัวรชต จ้าวจอมทำหน้าที่ได้สมกับความไว้วางใจ ใช้เวลาไม่กี่นาทีก็หาตัวรชตเจอ น่าแปลกตรงที่ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ก็มาสำรวจแถวนั้นแต่ไม่พบอะไรเลย คงเป็นเพราะคราวนี้ผีพิกุลเปิดทาง เปิดตาให้ด้วยกระมัง

                “ไอ้ชตหิวโซเลยล่ะ ผอม ตาลึกโบ๋ มันบอกว่ากลัวมาก ทุกอย่างรอบตัวมืดไปหมด แล้วมันก็ได้เห็นภาพในอดีตด้วยล่ะ แต่ผมไม่ทันฟัง พอได้ยินเสียงปืน ผมก็วิ่งมาเลย” กุมภ์คุยจ้อ ท่าทางผ่อนคลายมากที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา “ผมคิดว่าตรงนั้นปลอดภัยแล้ว แต่คุณยัง” เสียงของกุมภ์หายไปในลำคอ “ไม่รู้ทำไมผมถึงได้เป็นห่วงคุณขึ้นมา เฮ้ย!”

                กุมภ์อุทานเสียงดัง เป็นจังหวะเดียวกับที่โหรหันไปด้านหลังพอดี ร่างดำมึนของสัตว์ป่าตัวใหญ่พุ่งเข้าใส่ โหรล้มหงายหลัง ขาทั้งสี่ย่ำอยู่บนตัว น้ำลายเหนียวยืดเหม็นคลุ้งหยดใส่ใบหน้า ปืนในมือกระเด็นหล่นไม่รู้ทิศรู้ทาง

                กรร!

                ไอ้บอดคล้ายกับแสยะยิ้ม โหรเห็นใบหน้าของตาเวกซ้อนทับแม้จะเพียงเศษเสี้ยววินาทีก็ตาม โหรพยายามควบคุมจังหวะหัวใจ เรียกสติที่กระเจิงหายให้กลับคืน เจ็บแปลบที่มือทั้งสองข้างเพราะกรงเล็บของมันจิกทับเอาไว้ เชื่อเหลือเกินว่าถ้าไอ้บอดโจมตีเขาคงต้องตายใต้ร่างของมันเป็นแน่

                “ไอ้บอด!”

                “ไอ้บอด! ไอ้เสือผี มึงอย่าทำอะไรคุณโหรนะโว๊ย!”

                เสียงเรียกของกุมภ์ที่ตะโกนลั่นไม่ได้ดึงความสนใจของไอ้บอดสักนิด จนคำสุดท้ายหัวอันใหญ่โตของมันถึงได้ผินหันไป

                “ตาเวก! ไอ้แก่หนังเหี่ยวเอ๊ย”

                โฮก!

                ไอ้บอดขู่คำถามราวกับกำลังหงุดหงิดที่ถูกขัดจังหวะ หินก้อนไม่เล็กถูกปามาจากอีกฝั่ง บางก้อนกระทบกับลำตัวใหญ่หนาของเสือครึ่งผี บางก้อนก็ตกลงพื้น ขนาดของก้อนหินใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนโหรยังต้องหดคอหลบ ไอ้บอดดูหงุดหงิดขึ้นทุกที มันส่ายหัวเบาๆ จมูกพ่นลมหายใจเหม็นสาบแรงๆ อยู่หลายครั้ง จนหินก้อนสุดท้ายตกใส่กลางศีรษะของมันพอดี

                โฮก โฮก!

                เสียงคำรามดังขึ้นถึงสองครั้ง ก่อนที่มันจะเอี้ยวตัวกลับไปหากุมภ์ มันแยกเขี้ยวคำรามใส่ กุมภ์กลัวจนตัวสั่น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่วิ่งหนีไปไหน ทั้งที่ทำได้

                โหรกัดฟันแน่น ปลายเล็บแหลมไม่ต่างจากใบมีดกรีดลงบนผิวเนื้อ เขาพยายามดึงข้อมือออกเพราะการเอี้ยวตัวของไอ้บอดทำให้กรงเล็บของมันเคลื่อนไปเล็กน้อย โหรรู้สึกถึงเนื้อที่ฉีกขาดของตัวเองพร้อมกับอิสระที่ได้รับ ชายหนุ่มอาศัยจังหวะเพียงน้อยนิดหันศีรษะมองหาปืนคู่ใจ มันตกอยู่ไม่ไกลปลายนิ้วนัก แต่เขาไม่อาจขยับตัวได้เพราะนั่นจะทำให้ไอ้บอดฆ่าเขาเร็วขึ้น

                โหรแทบจะกลั้นใจขยับยืดมือให้ได้ไกลที่สุด ปลายนิ้วค่อยๆ แตะไปบนพื้นชื้นแฉะ กระทั่งสัมผัสได้ถึงวัตถุเย็นเยียบ

                โฮก!

                ไอ้บอดส่งเสียงคำราม มันเลิกสนใจการก่อกวนของกุมภ์ ริมฝีปากใหญ่อ้ากว้าง เขี้ยวขาววาวับอยู่ห่างไม่ถึงฟุต โหรหลับตาแน่น หัวใจเต้นโครมคราม

                ไม่เหลือโอกาสให้อีกแล้ว

                ปัง!

                กระสุนอาคมนัดสุดท้ายพุ่งใส่ไปอย่างไร้ทิศทาง ควันสีขาวลอยโขมง กลิ่นเหม็นไหม้อยู่ใต้จมูก โหรหลับตาแน่น เสียงดินปืนระเบิดแตกในแก้วหู เขาได้ยินแค่เสียงวิ้ง แล้วก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีก กลายเป็นคนหูหนวกทันที ภาพเบื้องหน้าพร่าเลือน ขณะที่หัวใจเต้นระรัวราวกับจะทะลุออกมานอกอกเสียให้ได้ มือทั้งสองเปียกชุ่มแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ปล่อยให้ไรเฟิลให้หลุดไป

                นานชั่วอึดใจ โหรถึงได้เปิดตาขึ้น ร่างของไอ้บอดล้มหงายไปด้านหลัง ร่างมันกระตุกอยู่สองสามครั้งและแน่นิ่งไป โหรยันกายขึ้นจากพื้นอย่างทุลักทุเล การได้ยินยังไม่ทำงาน ร่างสูงใหญ่เดินโซเซไปยังศัตรู ลูกกระสุนนัดสุดท้ายพุ่งเข้าไปในปากของมัน ทะลุไปลำคอด้านหลัง เลือดสีแดงข้นไหลทะลักราวกับเขื่อนแตก ดวงตาของไอ้บอดเหลือกค้าง อ้าปาก ลิ้นห้อยตกลงมา อีกอึดใจต่อมา ร่างของเสือก็กลับกลายเป็นชายชรา ร่างผอมเกร็ง เส้นผมขาวโพลน เนื้อตัวเปลือยเปล่า สภาพไม่น่าชมสักเท่าไร

                “ตะ..ตาเวก” เสียงที่หลุดออกมาไม่ใช่ของโหร หากแต่เป็นของกุมภ์ เด็กหนุ่มเมืองกรุงตัวสั่นเทา ก้าวมาหยุดข้างๆ โหร มือยกเกาะท่อนแขนของโหรคล้ายไม่รู้ตัว “มะ มันตายแล้วจริงๆ ใช่ไหม”

                “ใช่...สำหรับไอ้บอด” โหรบอก การได้ยินกลับคืนมาทีละน้อย จากประสบการณ์ทำให้ไม่อาจเชื่อได้ว่าตาเวกตายแล้วจริงๆ เพราะร่างกายยังคงสมบูรณ์ไม่แห้งเหี่ยวหรือเน่าสลาย เขาค่อนข้างมั่นใจว่าตาเวกไม่ใช่ผู้อยู่ยงคงกระพัน หากแต่ผีร้ายในร่างมนุษย์แล้วต่างหาก แล้วก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ ไม่กี่วินาทีหลังตั้งข้อสงสัย ดวงตาน่าเกลียดก็เปิดขึ้น

                ร่างผอมเกร็งของชายชราทำท่าจะยันกายลุก แต่โหรใช้เท้าเหยียบหัวไหล่เอาไว้ ปลายกระบอกปืนจ่อชี้ไปที่ใบหน้าเหี่ยวย่น ริมฝีปากดำคล้ำแสยะยิ้ม

                “กู ไม่มีวันตาย”

                “จริงเหรอ” โหรถามกลับ กดน้ำหนักเท้าให้มากกว่าเดิม

                “กระสุนมึงหมดแล้วไอ้เด็กเมื่อวานซืน” ตาเวกหัวเราะหึๆ ในคอ ฟังแล้วขนลุกพิกล

                กุมภ์รู้สึกขนในกายที่ลุกชัน ถึงจะฆ่าไอ้บอดตายไปแล้ว แต่ตาเวกกลับยังอยู่ คิดไม่ออกเลยว่าจะจัดการกับตาแก่น่าเกลียดนี้ได้อย่างไร

                โหรโยนปืนทิ้ง ก่อนจะดึงมีดคู่ใจออกมาจากกระเป๋ากางเกง ตาเวกยิ่งหัวเราะดังกว่าเดิม “ฮ่า ฮ่า มึงคิดว่ามีดกระจอกของไอ้เหมจะทำอะไรกูได้อย่างนั้นเหรอ”

                เท้าใหญ่เปลือยเปื้อนคราบโคลนกดย้ำแน่นที่หัวไหล่ของชายชรามากอาคม รู้ดีว่าลำพังมีดพกติดตัวอันเป็นอีกหนึ่งสมบัติที่ปู่เหมให้ไว้อาจจะทำอะไรตาเวกได้ไม่มากนัก

                แต่ของต่ำ ต้องแก้ด้วยของต่ำ!

                โหรโน้มตัวลง ปักมีดลงแขนข้างซ้ายที่แห้งแบนไม่ต่างจากไม้กระดาน ตาเวกส่งเสียงร้อยโหยหวน น่าแปลกที่มีดจมลงไปจนถึงดิน แต่กลับไม่มีเลือดไหลออกมาสักหยด แล้วอีกไม่กี่วินาทีต่อมาตาเวกก็หยุดร้องเปลี่ยนมาหัวเราะเย้ยหยันแทน

                “ฮ่า ฮ่า มีดกระจอกของไอ้พรานกระจอก ถึงจะแทงกูอีกสักกี่พันครั้ง กูก็ไม่ตายหรอก!”

                “พิกุล! ช่วยที”

                กุมภ์ทำหน้าเหลอหลาเมื่อจู่ๆ โหรก็ตะโกนเรียกผีสาว เช่นเดียวกับตาเวกที่ดวงตาลึกโบ๋มีแววแปลกใจ โหรไม่ให้คำตอบแก่ใครทั้งนั้น ซ้ำยังเคลื่อนฝ่าเท้าห่างออกไป คราวนี้กุมภ์หน้าเสียด้วยเกรงว่าตาเวกจะลุกขึ้นมาทำร้ายใครได้อีก กำลังจะอ้าปากท้วงอยู่รอมร่อ ลมเย็นวูบก็พัดผ่านร่างไป ขนในกายลุกเกรียว มันไม่สายลมหลังฝนตก แต่มันสะท้านยะเยือกมากกว่านั้น

                “อีพิกุล!”

                ตาเวกอุทาน ร่างผอมแห้งยังนอนบนพื้นดินชื้นแฉะ ร่องรอยกระสุนทั้งห้านัดที่โหรฝากไว้ปรากฏตามร่างกาย หากแต่มันเป็นแค่หลุมเล็ก ไม่มีเลือดหรือแผลเหวอะหวะ ไม่ต่างจากมีดที่โหรฝากไว้

                พิกุลมาตามเสียงเรียกของโหร ร่างโปร่งแสงในชุดสีขาวสกปรก เคลื่อนลงหยุดข้างกายของโหร ทั้งสองมองหน้ากันเพียงชั่วประเดี๋ยว โหรขอความช่วยเหลืออีกครั้งโดยไม่จำเป็นต้องอธิบายวิธีการ ใบหน้าที่บัดนี้กลับคืนสู่สภาพของมนุษย์ยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะก้าวขาคร่อมร่างของตาเวก ตำแหน่งของชายกระโปรงอยู่ตรงหน้าตาเวกพอดี

                “อีพิกุล! อีผีจัญไร! ออกไปให้พันกูเดี๋ยวนี้!”

                “หึหึ” ผีสาวหัวเราะในคอ กุมภ์ถึงกับขนลุกรอบที่สอง เสียงของเธอบาดลึกเข้าไปถึงโสตประสาทชวนให้ขวัญเสีย

                ตาเวกพยายามดิ้นรนจะยันกายลุกขึ้น แต่เพราะถูกมีดของโหรปักที่แขนเอาไว้เลยไม่อาจขยับได้ดังใจ ผีพิกุลแสยะยิ้มจนริมฝีปากฉีกกว้างยาวจนเกือบถึงหู ดวงตากลมโตกลายเป็นสีดำสนิท แล้วหล่อนก็หย่อนตัวลง กระโปรงสกปรกครอบใบหน้าของตาเวกไว้จนมิด

                ผีพิกุลเงยหน้าหัวเราะเสียงแหลมสูงจนสาแก่ใจ ถึงได้ถอยร่างออกห่างจากใบหน้าของตาเวก หล่อนหันมายิ้มให้โหรอีกครั้ง ก่อนจะหายไปในความมืด

                กุมภ์เห็นตาเวกนอนตาเหลือก เลือดสีดำคล้ำไหลออกจากปากและตามบาดแผลที่ได้มาจากกระสุนอาคม กลิ่นคาวของเลือดเคล้ากับกลิ่นเหม็นเน่าเหมือนซากศพชวนให้สะอิดสะเอียน กุมภ์รีบยกมือขึ้นปิดจมูก ก้าวถอยหลังห่างออกมาหลายเมตร ไม่นานร่างของตาเวกก็ค่อยๆ ย่อยสลายเหมือนถูกแบททีเรียรุมกินภายในเวลาไม่กี่นาที จนสุดท้ายก็เหลือแค่กองกระดูกเท่านั้น

                “ตายจริงๆ แล้วล่ะ”

                โหรบอก รู้สึกถึงอาการหนักอึ้งในอกที่เบาบางลง แสงแรกของวันเริ่มจับที่ขอบฟ้า เป็นจังหวะเดียวกันกับอะไรบางอย่างคล้ายกับเศษผ้าสีขาวลอยหายลับตาไป...
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 14: กระสุนนัดสุดท้าย] 15/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 15-12-2019 18:47:11


                รชตถูกพบตัวอยู่ริมลำธารจริงๆ ดังคำของโหร แต่ถูกรายล้อมด้วยกองเศษไม้จนแทบมองไม่เห็น สภาพอิดโรย ใกล้ตายเต็มที เนื้อตัวมอมแมมและเต็มไปด้วยบาดแผล รชตนอนรักษาตัวอยู่ในห้องปลอดเชื้ออยู่หลายวัน โดยมีครอบครัวเฝ้าอยู่ไม่ห่าง มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้ฟังเรื่องราวอันน่าพิลึกพิลั่นจากปากรชต ก่อนที่เจ้าตัวจะถูกส่งตัวมารักษาในโรงพยาบาล

                โหรทำหน้าที่ได้เกินค่าจ้างด้วยซ้ำ เงินรางวัลได้ครบหลังจากทั้งห้าชีวิตกลับมาออกมาจากป่าได้สำเร็จ และคนที่บาดแผลมากที่สุดก็คือโหรนั่นเอง ถึงจะมีวิชาอาคมแต่ศึกครั้งนี้หนักหนาเอาการด้วยอีกฝ่ายคืออมุษย์ผู้มากด้วยอวิชา ทั้งรอยกรงเล็บจากไอ้บอด ทั้งรอยไหม้จากการช่วยเหลือพิกุล แผลพวกนี้ไม่ทำร้ายให้สาหัสได้ก็จริง แต่ก็ต้องรักษาอยู่พักใหญ่เลยเดียวกว่าจะหาย

                เกือบสองอาทิตย์แล้วที่เกิดเรื่องราวเลวร้าย กลุ่มเด็กเมืองกรุงยังไม่กลับบ้าน เพราะยังไม่หมดภาระหน้าที่ พันนาจะต้องทำตามที่รับปากไว้กับพิกุล นั่นคือการบวชอุทิศบุญกุศลให้กับหล่อน พ่อและแม่ของพันนาไม่คัดค้านเรื่องนี้ แถมยังช่วยหาฤกษ์ยามให้ด้วย พันนาต้องบวชเป็นเวลาหนึ่งเดือน และแน่นอนว่ารชตเองก็ต้องบวชด้วยเช่นกัน

                “กูจำอะไรไม่ได้เลย หลังจากที่กูเดินออกมานอกเต็นท์” รชตเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้กับเพื่อนสนิทฟังอีกครั้ง ใบหน้าขาวสะอาดเริ่มจะมีสีเลือดขึ้นมาบ้าง “กูทำผิดกับเขามากจริงๆ”

                “เรื่องของชาติที่แล้วก็ช่างมันเถอะ ชาตินี้มึงก็ทำบุญให้เขา เขาจะได้ไปผุดไปเกิดสักที” พันนาตบหัวไหล่รชตเบาๆ อย่างให้กำลังใจ “แม่กูได้ฤกษ์แล้วนะ วันที่ 2 เดือนหน้า”

                รชตพยักหน้ารับรู้ เรื่องที่เพื่อนของตนไปผจญมามันยิ่งกว่าเหลือเชื่อ แต่ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะไม่เชื่อ เพราะหาไม่ได้คนพวกนี้ตนคงไม่รอดกลับออกมาจากป่าแน่

                “อยากถือหมอนให้จัง” คะนิ้งพูดพลางยิ้มหวาน “แต่พ่อแม่ชาร์ลจะมารับไปเยอรมัน”

                “ไม่เป็นไรหรอก แค่ส่งเงินมาช่วยก็พอ สักแสนน่าไหว” รชตพูดติดตลก ก่อนจะผินหน้าไปทางพันนาและกุมภ์ “ขอบใจพวกมึงมากนะ”

                “ขอบใจทำไม มึงเพื่อนกู อีกอย่างกูเป็นคนชวนพวกมึงเข้าไปเจอเรื่องบัดสบนั่นเอง” พันนากล่าวด้วยความรู้สึกผิด หากแต่ไม่มีใครคิดเช่นนั้น

                “พวกกูอยากไปเอง ถ้าไม่อยากไป ต่อให้มึงเอาปืนมาขู่กูก็ไม่ไปหรอก” กุมภ์ว่า ซึ่งคนอื่นๆ ก็พยักหน้าเห็นด้วย ไม่มีใครกล่าวโทษว่าเป็นความผิดของพันนา

                “เออ แล้วพี่โหรเป็นยังไงบ้าง ได้ไปเยี่ยมพี่เขาบ้างไหม” รชตถาม นึกเสียดายที่ยังไม่ได้ไปขอบคุณโหรด้วยตัวเอง

                “ถามไอ้กุมภ์เอาเองเถอะ มันไปแทบจะทุกวัน”

                จู่ๆ คนที่ถูกพาดพิงก็หน้าร้อนผ่าว ใบหน้าขาวมีริ้วแดงพาดยาวไปถึงใบหู “อะ อะไรเล่า! กูก็แค่ไปเยี่ยมเขา”

                “ก็ไม่ผิดไง แล้วมึงจะหน้าแดงทำไมวะ” พันนาหัวเราะ “แล้วนี่มึงจะไปอีกเมื่อไร”

                “เย็นนี้”

 

                ยังไม่ทันจะห้าโมงเย็นดีร่างของกุมภ์ก็มาอยู่ในบ้านของโหรเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างในบ้านยังคงจัดเรียงเหมือนเดิม หิ้งพระ และข้าวของเครื่องใช้อีกไม่กี่ชิ้นถูกวางอย่างเป็นระเบียบ หน้าต่างเปิดกว้างรับอากาศเย็นธรรมชาติ สายลมอ่อนๆ พัดผ่านพอชื่นใจ นอกหน้าต่างคือภูเขาที่เรียงซ้อนกันยาวสุดลูกหูลูกตา ก้อนเมฆลอยละทิวเขา นกน้อยส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้ว นานๆ ครั้งหากตั้งใจฟังจะได้ยินเสียงลิง ค่าง ชะนี หลุดมาให้ได้ยินด้วย แต่ที่กุมภ์ชอบมากที่สุดคือเสียงของไก่ป่า เสียงของมันเพราะกว่าไก่โต้งที่โก่งคอขันกว่าหลายเท่า กุมภ์เคยเห็นมันวิ่งหลุดมาแถวนี้เมื่อสามวันก่อน แต่เจ้าของบ้านไม่คิดจะเก็บมันไว้เป็นสมบัติส่วนตัว ได้แต่ปล่อยให้มันคุ้ยหาอาหาร สักครึ่งชั่วโมงมันก็วิ่งกลับเข้าป่าไป กุมภ์เลยได้ภาพของมันหนำใจเลยทีเดียว

                อาการของโหรดีขึ้นมาก แผลจากกรงเล็บของไอ้บอดตกสะเก็ดจางๆ ตอนที่ช่วยเช็ดแผลกุมภ์ถึงได้เห็นว่าโหรมีรอยสักเยอะแค่ไหน ตอนแรกคิดว่ามีแค่แถวหัวไหล่เท่านั้น เพราะตอนที่เกิดเรื่องเสื้อของโหรขาดทำให้เห็นรอยสักเพียงเล็กน้อย แต่ไม่คิดว่าโหรจะสักรูปลิง และอักขระแปลกๆ อีกหลายคำ ที่ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็อ่านไม่ออก ทว่ากุมภ์ก็ไม่กล้าถามถึงที่มาที่ไป โหรไม่ใช่คนที่จะตอบคำถามใครง่ายๆ แค่พูดยังกลัวดอกพิกุลจะหลุดจากปาก

                เจ้าของบ้านนั่งขัดสมาธิอยู่หน้าโต๊ะหมู่ แผ่นหลังกว้างเหยียดตรง มือยกพนมอยู่หน้าอก ริมฝีปากขยับเล็กน้อยแต่ต่อเนื่อง กุมภ์ไม่รู้ว่าโหรท่องบทสวดมนต์หรือคาถาอะไร และไม่คิดจะถาม หน้าที่ของเขาคือดูแลไม่ใช่ถามซอกแซก ไม่อย่างนั้นจะถูกเชิญกลับบ้าน

                หลังจากพารชตส่งโรงพยาบาล กุมภ์ก็กลับมาที่บ้านโหรในวันรุ่งขึ้นทันที ไม่เพียงแค่นำเงินส่วนที่เหลือมาให้ แต่ยังขอทำหน้าที่พยาบาลชั่วคราวให้ ถึงโหรจะไม่ได้เอ่ยปากบอกให้ช่วยก็ตาม แผลที่ข้อมือรุนแรงกว่าที่ต้นแขน มีเศษเนื้อหลุดไปด้วย โหรดื้อไม่ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล และใช้ยาสมุนไพรของตัวเองในการรักษา คราแรกกุมภ์เป็นห่วงกลัวว่าจะติดเชื้อ เพราะแผลเหวอหวะไม่น้อย แต่ไม่น่าเชื้อว่าไม่ถึงสองวัน แผลน่ากลับค่อยๆ สมานเข้าหากัน สมุนไพรของโหรได้ผลดีกว่ายาปฏิชีวนะเสียอีก

                ในสามวันแรกกุมภ์ต้องทนกลิ่นสมุนไพรไม่รู้จักชื่อ แถมบ้านยังร้อนกว่าปกติเพราะโหรปิดหน้าต่างไว้หมด ควันสีขาวลอยคลุ้งในบ้าน หลายครั้งกุมภ์เห็นโหรไอออกมาเป็นเลือด ใบหน้าซีดเซียว เหงื่อไหลโทรมกาย แต่กุมภ์ไม่อาจทำอะไรได้มากกว่าการเอากระโถนเลือดไปทิ้งและเติมน้ำใส่ถังต้มสมุนไพร จนช่วงเย็นของวันที่สี่ อาการของโหรดีขึ้นอย่างรวดเร็ว หน้าตาผ่องใส ดวงตาเป็นประกาย เหลือแค่รอยแผลจางๆ จ้าวจอมมาเยี่ยมแทบจะทุกวันเหมือนกัน รายนั้นมักจะมีเรื่องโน้นเรื่องนี้มาเล่าให้โหรฟัง แถมยังเคยบอกกับเขาว่า ความจริงแล้วรอยอักขระบนตัวโหรนั้นคือคาถาชั้นดี ทั้งป้องกันภัย หนังเหนียว หรือแม้แต่เคลื่อนไหวรวดเร็วได้เหมือนลิง อีกอย่างถ้าหากไม่ใช่โหร ป่านนี้คงตายคาอุ้งตีนไอ้บอดไปแล้ว

                “วันที่ 2 พันนากับชตจะบวชแล้วนะ” กุมภ์บอก ขณะที่กำลังใช้สำลีทำความสะอาดแผลตกสะเก็ดให้เจ้าของบ้าน

                “ดีแล้ว” โหรพยักหน้ารับเล็กน้อย “ไม่ต้องติดพลาสเตอร์ แผลมันแห้งแล้ว”

                แผลที่มือแห้งแล้วจริงๆ แต่ก็ยังมองเห็นรอยหลุดแหว่งของชิ้นเนื้อ ส่วนอีกข้างมีรอยไหม้จางๆ ที่ได้มาจากการกระชากด้ายแดงช่วยพิกุล ไหนจะที่ต้นแขนอีก เห็นจ้าวจอมคุยโวว่าแผลนี้หากไม่ใช่เพราะรอยสักแผลติดเชื้อจนต้องตัดทิ้งไปแล้วก็ได้

                เงินค่าจ้างมันคุ้มกับที่ต้องเสี่ยงชีวิตขนาดนี้หรือ?

                ‘ไม่คุ้มหรอก’ จ้าวจอมโบกมือในอากาศ ‘พี่โหรน่ะ ปากร้ายแต่ใจดี ช่วยเหลือคนตลอดแหล่ะ บางคนไม่มีเงินมาสักบาท พี่โหรก็ไม่คิดเงิน คุณลองคิดดูสิว่าเงินก้อนนี้หากเอาไปจ้างคนอื่นสู้กับทั้งเสือทั้งผี ใครจะรับ’

                กุมภ์ไม่คิดเถียง จากที่เห็น ที่ได้ประสบ มันเหลือเชื่อทั้งสิ้น ในยุคที่เทคโนโลยีเข้าครองครอบสังคม แต่ยังมีเรื่องลึกลับซุกซ่อนอยู่

                “พี่พิกุลเป็นยังไงบ้าง” กุมภ์ชวนคุย เพราะโหรขึ้นชื่อเรื่องปากหนัก หากไม่ชวนคุยก็จะเงียบจนน่าอึดอัด

                “สบายดี ทำไม? อยากไปหาเหรอ” โหรยกยิ้มยียวน กุมภ์พึมพำแผ่วๆ ว่าใครจะบ้าคิดอย่างนั้น

                พิกุลไม่ได้ออกมาทำร้ายใครอีก เช่นเดียวกับดวงวิญญาณอื่นที่ถูกตาเวกจองจำ จนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครให้คำตอบได้ว่าแท้ที่จริงแล้วตาเวกเป็นอะไรกันแน่ ไม่ใช่ทั้งคน ผี หรือเสือ จ้าวจอมบอกว่าตาที่บวชอยู่เรียกอมนุษย์ และเชื่อว่าตาโหรยังคงอยู่ในร่างของมนุษย์ หากดวงจิตถูกผีร้ายครอบงำ วิชาคาถาด้านมืดเข้าครอบงำจนสูญสิ้นความเป็นคน ส่วนเรื่องว่าทำไมตาเวกถึงไปอยู่ในร่างของบอดได้ ยังไม่มีใครให้คำตอบที่ชัดแจ้ง รู้เพียงแค่ว่าทั้งตาเวกและไอ้บอดได้หายไปจากโลกนี้แล้วจริงๆ

                “เขายังไม่ได้ไปไหนหรอก แค่จิตอาฆาตมันทุเลาลง ดวงวิญญาณก็เลยสงบ แต่ถ้าหากเพื่อนของคุณไม่ทำตามที่บอก ก็คงจะออกฤทธิ์ออกเดชอีกรอบ” โหรว่ายิ้มๆ ด้วยนึกขำใบหน้าเหลอหลาของคนฟัง

                “ล้อเล่นใช่ไหม” กุมภ์ถามย้ำ ลูกกระเดือกเล็กๆ ขยับ คล้ายกำลังกลืนน้ำลาย

                “ไม่ได้ล้อเล่น ได้แต่หวังว่าเพื่อนคุณจะรักษาสัญญาลูกผู้ชาย”

                กุมภ์พึมพำว่ารักษาอยู่แล้ว พสาสเตอร์อันสุดท้ายก็แปะลงบนแผลเสร็จพอดี

                “แล้วพวกคุณจะกลับกรุงเทพฯ กันเมื่อไร”

                “ทำไมล่ะ?”

                แต่ดูเหมือนว่าโหรจะหูไม่ได้นัก ใบหน้าหล่อคมสันเอียงไปด้านข้างเล็กน้อย “ว่าอะไรนะ ผมได้ยินไม่ถนัด”

                “ปะ เปล่า ผะ..ผมว่า รอให้พันกับชตบวชก่อน” กุมภ์ตอบอ้อมแอ้ม ใบหน้าเห่อร้อนกับความลืมตัวเมื่อครู่

                โหรพยักหน้ารับรู้ “แล้วคุณล่ะ ไม่คิดจะบวชบ้างเหรอ”

                กุมภ์ส่ายหน้าดิก บอกว่ารอให้เรียนจบก่อนจะดีกว่า “เอ่อ...ผมขอถามคำถามคุณจะได้ไหม”

                โหรเอียงคอมองหน้าอีกฝ่าย ใช้สายตาประเมินอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะผงกศีรษะเป็นเชิงอนุญาต ก

                “คุณได้รอยสักพวกนี้มาได้ยังไง จอมบอกว่ามันไม่ใช่รอยสักธรรมดา”

                คิ้วหนาของโหรเลิกสูง ริมฝีปากหยักลึกคล้ายจะยกยิ้ม “ทำไมถึงอยากรู้เรื่องนี้ขึ้นมา”

                “จริงๆ ผมมีเรื่องสงสัยมากมาย แต่เอาที่เห็นด้วยตาตัวเองก่อน” กุมภ์พูดยิ้มๆ รู้สึกถึงไอร้อนที่กลับมาเยือนผิวแก้มอีกครั้ง

                โหรถอนหายใจครั้งหนึ่ง แล้วค่อยให้คำตอบ “ผมสักตั้งแต่อายุ 15 – 16 มีพระองค์หนึ่งท่านสักให้ มันเป็นรอยสักที่ค่อนข้างพิเศษ ไม่ใช่เพื่อความสวยงาม แต่เพื่อให้คุณต่อผู้สัก รอยที่ต้นแขนคือลิงลม ช่วยเรื่องว่องไว ที่หน้าอกช่วยเรื่องอยู่ยงคงกระพัน ฟันแทงไม่เข้า แต่อย่างที่คุณเห็น ผมเองก็เกือบตายเพราะกรงเล็บไอ้บอดเหมือนกัน นั่นหมายความว่าคาถาอาคมช่วยไม่ได้ทุกเรื่อง ช่วยทางด้านจิตใจเสียมากกว่า”

                กุมภ์ตั้งใจฟังจนตาแป๋วจนดูคล้ายกับลูกหมาตัวน้อย “แล้วอะไรที่ทำร้ายพิกุล พันนาบอกว่าเห็นเป็นควายตัวใหญ่ แต่ผมไม่เห็นอะไรเลย”

                “ผมค่อนข้างแปลกใจที่เพื่อนคุณเห็นเจ้านิล” โหรเหลือบไปทางโต๊ะหมู่ที่มีรูปปั้นควายสีดำตัวเท่ากำมือ “เจ้านิลเป็นควายธนูที่ปู่ของผมท่านยกให้ เป็นควายอาคม เก่งกาจ ว่องไว แถมยังฉลาดเป็นกรด”

                กุมภ์หันมองไปตามสายตาของโหร ก็พบกับรูปปั้นควายสีดำสนิท รู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก “ละ แล้วทำไมกระสุนอาคมของคุณถึงฆ่าไอ้บอดไม่ได้ล่ะ ผมเคยดูหนัง นัดเดียวก็จอดแล้ว”

                “นั่นมันในหนัง” โหรส่ายหัวเบาๆ “หากไม่ได้จังหวะ หรือจุดที่เหมาะสม มันก็ทำอะไรไม่ได้ อย่าลืมสิว่าไอ้บอดไม่ใช่เสือทั่วไป มันครึ่งผีครึ่งเสือ แกร่งและเก่งเกินกว่าสัตว์ป่าทั่วไป ผมเองก็ไม่ใช่นักแม่นปืน ไม่ถนัดเรื่องใช้กำลังสักเท่าไร”

                กุมภ์หลุดขำพรืด ข้อสงสัยต่างๆ กระจ่างขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังติดค้างอยู่อีก “แล้วทำไมตาเวกถึงไม่จัดการพวกผมตั้งแต่ตอนอยู่ในป่าครั้งแรก ปล่อยให้ผมหลุดออกมาได้ยังไง”         

                “ดวงพวกคุณยังไม่ถึงฆาต และพรานกล้าก็ช่วยเอาไว้ เท่าที่รู้พรานกล้ามีวิชาติดตัวไม่น้อย แต่ก็ถูกตาเวกเล่นงานเสียจนสะบักสะบอม ดีแค่ไหนที่คุณมีพรานกล้าไปด้วย ถ้าหากไปกันเองป่านนี้คงได้อยู่รับใช้ตาเวกแล้วล่ะ” โหรพูดติดตลกร้าย กุมภ์ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าหากไม่มีพรานกล้าพวกเขาจะมีสภาพน่าอดสูเพียงใด   

                “ละ แล้วตอนนี้พรานกล้าเป็นยังไงบ้างครับ”

                “ดีขึ้นเยอะแล้วล่ะ ไอ้จอมมันแอบไปเยี่ยมบ่อยๆ แถมยังขโมยยาผมไปอีกด้วย”

                กุมภ์พอจะรู้อยู่บ้างว่าจ้าวจอมไม่ค่อยจะถูกกับพรานกล้านัก เหตุเพราะชอบแย่งพื้นที่ในการทำมาหากินกัน แต่ใช่ว่าจะโกรธจริงจังถึงขั้นฆ่าแกง ดูอย่างตอนนี้พอพรานกล้าป่วยจ้าวจอมก็ไปเยี่ยมซ้ำยังขโมยสมุนไพรของโหรที่ขึ้นชื่อด้านสรรพคุณไปให้อีก

                “ผมยังสงสัยอีกอย่าง” รอให้โหรส่งสัญญาณอนุญาตถึงได้ถามต่อ “ทำไมตาเวกถึงเป็นอย่างนั้นไปได้”

                คราวนี้โหรถอนหายใจยาว ดวงตาคมทอดนิ่งมองเล่นเอาคนถูกมองหน้าร้อนอย่างไม่มีสาเหตุ “ตาเวกกับปู่ของผมเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อน” โหรระลึกความหลังย้อนไปนานหลายสิบปี “ทั้งคู่เป็นพรานเหมือนกัน แต่ตาเวกเก่งกว่าปู่ของผม ว่ากันว่าแกมีคาถาดีจัดการเสือได้อยู่หมัด นานวันก็ยิ่งได้ใจ แกศึกษาวิชาจากทุกสาย ทั้งดำทั้งขาว แต่ความโลภในจิตใจคนมันชนะทุกอย่างนั่นแหล่ะ หากไม่รู้จิตตน ก็ไม่มีอะไรควบคุมได้ ผมเองก็แน่ใจนักหรอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับแก จู่ๆ วันหนึ่งแกก็หายตัวไป แต่บางคนก็เคยเห็นแกอยู่ในป่า เป็นเวลาเดียวกับที่ข่าวเรื่องไอ้บอดหายไปเหมือนกัน”

                “ไอ้บอด...คุณหมายถึงไอ้บอดที่จะฆ่าพวกเราเหรอ”

                โหรพยักหน้า “มันเป็นเสือที่ดุร้ายมาก ขนาดปู่ผมที่ขึ้นชื่อเรื่องฝีมือการล่าสัตว์ยังเกือบถูกมันจัดการ ได้ยินมาว่าไอ้บอดกับตาเวกเคยปะทะกัน ไม่รู้ใครแพ้ใครชนะ เพราะไม่นานจากนั้นตาเวกก็หายตัวไป ไอ้บอดก็เหมือนกัน ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับทั้งคู่ แต่จะให้เดา ตาเวกคงใช้คุณไสยเล่นงานไอ้บอด ส่วนตัวเองก็ถวายวิญญาณให้กับผีห่าซาตานจนกลายเป็นแบบนั้น”

                กุมภ์ถอนหายใจบ้าง ถึงตอนนี้ยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสิ่งที่ได้พบได้เจอมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในโลกที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์

                โหรเอียงคอมองใบหน้าขาวจัดของเด็กหนุ่มเมืองกรุง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรถึงไม่เคยนึกรำคาญกุมภ์เลย คงเป็นเพราะกุมภ์ไม่เหมือนกับจ้าวจอม รายนั้นดื้อ ซน กวนอย่าบอกใคร แต่กุมภ์ไม่ใช่คนพูดมาก คงมีแค่วันนี้นี่แหล่ะที่ช่างซักมากเป็นพิเศษ

                โหรรู้ตัวว่าความรู้สึกผิดแปลกที่เกิดกับกุมภ์มันเริ่มชัดเจนตั้งแต่ตอนที่เห็นกุมภ์วิ่งเข้าหาอันตรายเพื่อมาช่วยเขา ทั้งที่จะเอาตัวรอดไปเสียก็ได้ โหรแน่ใจว่ามันไม่ใช่ความแค่ความซาบซึ้งในน้ำใจ

                ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ได้รู้จักกับคำว่ารักครั้งแรก ด้วยความที่เป็นหนุ่มรุ่นวัยกระทง บวกกับรูปร่างหน้าตาสะดุดตาทำให้โหรเป็นที่นิยมชมชอบในกลุ่มสาวๆ ไม่น้อย ทั้งในมหาวิทยาลัยและละแวกบ้าน แต่โหรถูกใจอยู่แค่คนเดียว โหรจำวันที่ได้พบกับเธอได้ ‘น้ำค้าง’ สวยหวาน รูปร่างผอมโปร่งอรชร ผิวสีน้ำผึ้งนวลเนียน ดวงตากลมเป็นประกาย เรือนผมสีดำสนิทถูกรวบเป็นหางม้าง่ายๆ ที่กลางหลัง ชุดนักศึกษาถูกระเบียบเป๊ะ ใบหน้าอ่อนใสไร้เครื่องสำอาง เขาได้รู้จักกับเธอในวันปฐมนิเทศ แอบไปด้อมๆ มองๆ แถวคณะที่เธอเรียน ก่อนจะตามจีบเธอด้วยมุกง่ายๆ อย่างพวกส่งขนมและดอกไม้ ไม่นานหลังจากนั้น เขากับเธอก็ตกลงคบหากัน

                ความรักในช่วงแรกราบรื่นดี น้ำค้างเป็นผู้หญิงน่ารัก ไม่งี่เง่าเอาแต่ใจ ไม่เคยโทรตามหรือถามซอกแซก ผ่านไปสามปี เขามั่นใจแล้วว่าเธอคือคู่ชีวิต ทว่าทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่วาดฝันไว้ เมื่อน้ำค้างไม่อยากเป็นแค่เกษตรเหมือนกับเขา ความฝันของเธอไปไกลมากกว่านั้น เธอเรียนบริหารและอยากจะไปทำงานในบริษัทใหญ่ในกรุงเทพฯ แล้วฝันของเธอก็เป็นจริง พอขึ้นปีสี่เทอมแรก เธอได้ไปฝึกงานในบริษัทใหญ่แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ส่วนเขา เป็นนักศึกษาฝึกงานอยู่ในกรมปศุสัตว์ของจังหวัด

                ระยะทาง ความห่างไกลทำให้ใจคนเปลี่ยนมันเป็นเรื่องจริง เขาได้ยินข่าวลือว่ามีพนักงานในบริษัทจีบน้ำค้าง คราแรกคิดว่าเป็นแค่ตลกร้าย แต่ไม่นานเขาก็รู้ว่ามันคือเรื่องจริง เมื่อน้ำค้างมาสารภาพกับเขาว่าเธอแอบคบหากับรุ่นพี่ในบริษัทจริงๆ แถมยังมีตำแหน่งเป็นถึงรองผู้จัดการ เขายอมปล่อยมือจากเธอ เพราะรู้ดีว่าคนหมดใจรั้งไว้ก็ไม่มีประโยชน์ เขากับน้ำค้างจากกันด้วยดี แต่กว่าจะทำใจได้ก็เล่นเอาเสียผู้เสียคนไปเป็นอาทิตย์เหมือนกัน สุดท้ายก็มีไอ้เจ้าเด็กจอมจุ้นอย่างจ้าวจอมนี่แหล่ะที่ช่วยฉุดให้เขาหลุดจากภวังค์ของคนอกหัก วิธีก็แสนง่ายคือเดินเข้าป่า แค่สามวันเขาก็แทบจะลืมเรื่องของน้ำค้างได้

                จบจากน้ำค้างเขาก็ไม่อยากจะรักใครอีกเลย

                โหรเพ่งพิศกุมภ์อีกครั้ง ผิวที่ออกจะขาวเกินไปหน่อยสำหรับเพศชาย ซ้ำยังเรียบเนียน ไฝฝ้าสักเม็ดก็มองไม่เห็น ถึงจะบอกว่าเป็นหนุ่มเมืองกรุงฯ ไม่ค่อยได้ต้องลมต้องแดดสักเท่าไรก็ตาม มันก็ไม่น่าจะหมดจดขนาดนี้ เทียบกับเด็กที่ชื่อชาร์ลอะไรนั่น ที่เป็นคนในเมืองเหมือนกัน รายนั้นคล้ำกว่า รอยกะ กระจายเต็มหน้า ผิวก็ไม่ได้เนียนเท่าด้วยซ้ำ         

                ลักษณะของกุมภ์คล้ายกับเพื่อนร่วมคณะของเขาคนหนึ่ง หมอนั่นเป็นเกย์ แต่ท่าทางไม่ได้กระตุ้งกระติ้ง ไม่ได้มีจริตจกร้านแบบผู้หญิงหรือสาวประเภทสอง ทว่าผิวพรรณผุดผาด เนื้อตัวสะอาดสะอ้าน ที่สำคัญมีแฟนเป็นผู้ชายอยู่ต่างคณะ ซ้ำร้ายหยังหล่อจัดชนิดที่สาวๆ ต้อง้พากันร้องไห้ด้วยความเสียดาย

                “คุณ...ไม่ได้ชอบผู้หญิงใช่ไหม”

                มันเป็นคำถามที่แสนจะทำร้ายจิตใจของคนถูกถาม ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ กุมภ์มองมาที่เขาด้วยดวงตาที่เบิกค้างเหมือนถูกทุบด้วยของแข็ง นานราวครึ่งนาทีเขาก็เป็นริ้วแดงเปื้อนบนแก้มทั้งสองข้างของกุมภ์ ดวงตาหรี่ลงกลับมาเป็นปกติ เจ้าตัวก้มหน้าลงพร้อมกับเสียงพรูลมหายใจ

                “คุณรู้ได้ยังไง” กุมภ์ถามกลับ น้ำเสียงสั่นเครือจนรู้สึกได้

                “ผมเคยมีเพื่อนเป็นแบบคุณ”

                “...คุณรังเกียจคนแบบผมสินะ” กุมภ์บอก เสียงดังอยู่ในแค่ในลำคอ ยังคงก้มหน้าอยู่อย่างเดิม “ใช่แล้วล่ะ ผมเป็นเกย์ คุณเก่งนะ แม้แต่เพื่อนสนิทของผมยังไม่รู้เลย”

                กุมภ์เงยหน้ามองคู่สนทนา ใจหายวูบเหมือนถูกดึงออกจากอกลงมาอยู่ที่ตาตุ่ม มั่นใจเหลือเกินว่าไม่เคยแสดงท่าทางหรืออาการชอบใครออกนอกหน้า ความรู้สึกผิดปกติผิดเพศนี้มันมาชัดเจนตอนขึ้นมัธยมปลาย เขาแอบชอบรุ่นพี่คนหนึ่งที่เป็นผู้ชาย แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะอีกฝ่ายชอบผู้หญิง ร้ายไปกว่านั้นยังทำแฟนสาวท้องซะอีก รักครั้งแรกอกหักยับเยินไม่เป็นท่า และเพราะไม่อยากถูกรังเกียจเลยพยายามเก็บซ่อนตัวตนเอาไว้ และไม่เคยอยากจะชอบใครอีกเลย

                เขาเดาไม่ออกว่าโหรรู้ได้อย่างไรเรื่องที่เขาเป็นเกย์ แม้แต่พันนา รชต ชาร์ล ยังไม่มีใครเอะใจเลย แน่นอนว่าเขาไม่เคยแสดงอาการหรือพูดอะไรให้พวกนั้นจับได้ กับโหรก็เช่นกัน แม้จะเก็บซ่อนความเป็นห่วงเอาไว้ไม่ได้ก็ตาม

                หัวใจพลันปวดหน่วงเหมือนถูกสัตว์มีพิษต่อย

                หากคิดไม่ผิด โหรคงจะรังเกียจคนประเภทเขาเป็นแน่ วิปริต ผิดเพศ มีใจให้กับเพศเดียวกัน ถึงจะไม่เคยมีคนรักเป็นตัวเป็นตน รสนิยมแบบนี้แม้แต่คนในครอบครัวก็ยังรับไม่ได้ พ่อกับแม่ไม่เคยรู้ ไม่มีใครรู้ ยกเว้นโหร

                “อย่าเพิ่งคิดไปเองสิ ผมแค่หาคำตอบให้ตัวเองเท่านั้นเอง” โหรพูดเรียบๆ “อย่างที่บอก ผมเคยมีเพื่อนแบบคุณ เขาเป็นคนดี ผมไม่เคยมองว่าเขาแปลก หรือผิดปกติอะไร”

                กุมภ์กระพริบตาปริบๆ อาการปวดหน่วงในอกลดน้อยลง แต่ก็ใช่ว่าจะรู้สึกดีขึ้น พยายามฝืนยิ้มยันตัวลุกขึ้นจากพื้นไม้ขัด “ขอบคุณที่ไม่รังเกียจคนอย่างผม...หวังว่าวันที่สองจะได้เจอกันนะ”

                                                                           ******
*จบบทผจญภัยแล้วจ้า จากนี้จะเป็นบทรักแบบแปลกๆ 55555 ตอนแต่งคืองงตัวเองมาก มันจะเข้ากันเหรอวะ แต่ก็พยายามจะดึงมาให้ได้แหล่ะ อย่าติมากนะ เดี๋ยวเราร้องไห้ 555*

**ร่างปกเสร็จแล้วจ้า เอามาอวดกันเล็กน้อย พอกรุบกริบ**

***ถ้าพรุ่งนี้ถูกหวยจะเอาลงให้อ่านอีกตอนนึง สาธุ***
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 14: กระสุนนัดสุดท้าย] 15/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 15-12-2019 20:15:59
 :katai2-1: o13 :katai2-1:


 :3123: :pig4: :3123:


หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 14: กระสุนนัดสุดท้าย] 15/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 15-12-2019 20:36:21
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 14: กระสุนนัดสุดท้าย] 15/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 15-12-2019 20:58:39
ก่อนอื่นพรุ่งนี้ขอให้ไรท์ถูกหวยก่อนเลย อิอิอิ
สนุกมากเลยนะ ลุ้นสู้ไอ้บอดไปพร้อมๆ กับกุมภ์ ที่ไม่รู้ตัวเองว่าทำอะไรลงไป
เรื่องรักแปลกๆ เราคนอ่านก็แปลกอยู่แล้วคงไม่เป็นไร เขียนตามแบบที่ตั้งใจนะ
 :L2: :กอด1: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 14: กระสุนนัดสุดท้าย] 15/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 15-12-2019 21:13:43
หมดเคราะห์หมดโศกกันสักที  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 14: กระสุนนัดสุดท้าย] 15/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Brithday ที่ 15-12-2019 21:36:02
สนุกมาก!!! อ่านไปก็กลัวไป แล้วก็ชอบอ่านตอนกลางคืนด้วยนะ :bye2:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 14: กระสุนนัดสุดท้าย] 15/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 15-12-2019 21:53:39
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 14: กระสุนนัดสุดท้าย] 15/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 15-12-2019 23:40:37
รออ่านบทรักแบบแปลก ๆ ของพี่โหรกับนุ้งกุมภ์    :m13:


ภาพปกคือดจีย์!!    :m1:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 14: กระสุนนัดสุดท้าย] 15/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: u_cosmos ที่ 16-12-2019 01:01:01
จบสิ้นกันทีกับตาเวกและไอ้บอด หลังจากที่ทำเราลุ้นมาหลายตอน
แบบนี้เดาไม่ถูกเลยว่าใครจะรุกจีบก่อน
รออ่านบทหวานมุ้งมิ้ง?ของเขาสองคนนะคะ ><
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 14: กระสุนนัดสุดท้าย] 15/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 16-12-2019 08:27:18
โหรหล่อมากค่าาา เอาใจหนูไปเลยค่า :mew1: ยังนึกภาพไม่ออกว่ากุมภ์กับโหรจะอยู่ด้วยกันยังไง เจ้าจอมคือไปหาพรานกล้าจนเราจิ้นแล้วนะ5555  :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 14: กระสุนนัดสุดท้าย] 15/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 16-12-2019 17:11:18
ว่าเรืองหวยละเหนิ้อย ฮืออๆๆ มีไครถูก บ้าง
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 14: กระสุนนัดสุดท้าย] 15/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 16-12-2019 23:07:33
ใช่แย้วววว รอรักแปลกๆ จากนักเขียน เพราะคนอ่านก็แปลกๆ คลุกเคล้ากันดี
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 14: กระสุนนัดสุดท้าย] 15/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 17-12-2019 00:14:54
กุมภ์แอบเสียความมั่นใจเลยแหะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 14: กระสุนนัดสุดท้าย] 15/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 18-12-2019 10:12:10
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 14: กระสุนนัดสุดท้าย] 15/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 18-12-2019 23:40:57
ลุ้นมากค่ะ ใช้จนหยดสุดท้ายจริงๆ เลย
สาปสูญสักทีทั้งเสือทั้งคนไม่เต็มคน
ไม่ต้องมีใครเดือดร้อนอีกแล้ว

โหรเป็นคนฉลาดและจิตแข็งพอตัวเลยค่ะ โชคดีมาก
เคยทำไม่ดีไว้ และคิดได้ ก็ไม่คิดทำบาปอีก

กุมภ์เอ้ยย ห่วงออกอาการขนาดนี้ คนไม่คิดยังไงไหว
แต่อย่านอยด์ไปเลยนะ พันนาแซ็วแบบนั้น คิดว่าไม่รู้หรอ

เจ้าจอมคือจอมซน จอมดื้อตัวจริงค่ะ

พันนากับรชต เตรียมบวชแล้ว ดีที่รชตปลอดภัย
ได้มาปลดปล่อยและอโหสิกรรมต่อกัน
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 14: กระสุนนัดสุดท้าย] 15/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 19-12-2019 11:56:32
หูยยยย  รูปปกพี่โหรหล่อมากอ่าาาา
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 14: กระสุนนัดสุดท้าย] 15/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: spy_2003 ที่ 22-12-2019 08:25:35
รออยุ่น้าาาาาาาาาาาาาาา :hao4:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 14: กระสุนนัดสุดท้าย] 15/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: yaoigirl ที่ 22-12-2019 22:27:13
ไรต์ค่ะ หวยไม่ถูกก็มาต่อเถอะนะ เรารออยู่จ้า คิดถึงพี่โหร
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 15: ขอบใจ] 27/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 27-12-2019 21:18:53
ตอนที่ 15 ขอบใจ



            จ้าวจอมบอกกับตัวเองเป็นร้อยรอบพันรอบว่าไม่ชอบความวุ่นวายของตัวเมืองเอาเสียเลย ถึงแม้จะเป็นแหล่งเงินชั้นดีก็ตาม พวกในเมือง โดยเฉพาะอาเสี่ย อาเฮีย ทั้งแหล่ะนี่แหล่ะคือลูกค้าวีไอพี ให้เงินสูงยิ่งกว่าพ่อค้าแม่ค้าเสียอีก โสมป่าราคาแพงหากส่งถึงมืออาเสี่ย อาเฮีย เขาจะได้เงินจนตุงกระเป๋า เพราะมันคือยาบำรุงชั้นดีที่หายากมากขึ้นเรื่อยๆ  นั่นเอง

                เหงื่อออกจนหน้าผากเริ่มจะชื้นเหงื่อ แดดเมืองไทยแรงไม่แพ้ชาติใดในโลก อาการหงุดหงิดยิ่งทบทวีเมื่อมีคนมาเบียดเบียนสถานที่บังแดด แต่จะก่นด่าใครก็ไม่ได้เพราะตรงนี้คือป้ายรถโดยสารประจำทาง ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะโดยสารเพื่อไปยังจุดหมายปลายทาง

                จ้าวจอมกระชับกระเป๋าเป้ใบที่อยู่ด้านหลัง จมูกคันยุบยิบเพราะมีกลิ่นบุหรี่โชยมารบกวนเป็นระยะ สองเท้าเขย่งมองฝ่าเปลวแดดไปเบื้องหน้าเผื่อว่าจะเป็นเที่ยวรถของตน แต่ก็ต้องดึงคอกลับเพราะนอกจากรถมอเตอร์ไซค์ที่วิ่งปาดรถกระบะ อีกไม่กี่นาทีก็จะสี่โมงเย็นแล้ว แถมยังต้องใช้เวลาร่วมชั่วโมงกว่าจะถึงบ้าน ซ้ำร้ายท้องยังร้องจ๊อกเพราะใกล้เวลามื้อเย็น บวกกับกิจกรรมในวันเปิดเทอมวันแรก มันพรากเอามื้อกลางวันไปตั้งแต่บ่ายสามโมงแล้ว อันที่จริงจะซื้อน้ำอัดลมใส่ถุงกับลูกชิ้นกินสักสองไม้ก็ได้ เพราะร้านค้าแผงลอยมีเกลื่อนเต็มหน้ารั้วโรงเรียน แต่มันอร่อยถูกใจ สู้รสมือของแม่ไม่ได้ เลยจำต้องอดเปรี้ยวไว้กินหวาน

                ปลายนิ้วเรียวยกขึ้นปาดเหงื่อที่ต้นคอเลยไปถึงท้ายทอย นึกเสียดายเส้นผมที่ถูกไถไปเศษสามส่วนสี่ของศีรษะ ถึงจะไม่ใช่ทรงสามด้านเกรียน แต่มันก็สั้นไม่เท่ห์เอาเสียเลย

                ถึงแม้จะมีอาชีพหาของป่ามาขาย แต่จ้าวจอมเป็นยังเป็นเยาวชน ศึกษาอยู่ชั้นมัธยมปลาย ครอบครัวไม่เคยให้จ้าวจอมยกเลิกการเรียน ด้วยหวังอยากให้ลูกชายมีอนาคตที่ดีกว่าการเป็นพรานป่า จ้าวจอมไม่เคยขัดใจพวกท่าน เพราะลึกๆ แล้วก็รู้ดีว่าอาชีพพรานป่าไม่อาจอยู่รอดได้ในยุคนี้สมัยนี้

                จ้าวจอมกับจ๋อมไม่ได้เรียนโรงเรียนเดียวกัน จ๋อมยังเรียนชั้น ม.ต้น อยู่ใกล้บ้าน แต่ถ้าเรียนจบเมื่อไรก็ต้องมาเรียนในตัวเมืองเหมือนกัน จ้าวจอมบ่นอิจฉาน้องสาวบ่อยๆ ที่ไม่ต้องทนนั่งรถสองแถวดมกลิ่นควันรถเป็นชั่วโมงกว่าจะถึงบ้าน ตำบลที่เขาอยู่ก็กันดาลเหลือใจ แค่รถเมล์ยังไม่วิ่งผ่าน ต้องอาศัยรถสองแถวเก่าๆ ที่วันหนึ่งวิ่งไม่กี่เที่ยวเท่านั้น

                ขณะที่ความหงุดหงิดเพิ่มสูงขึ้นทุกที จู่ๆ รถยนต์สีดำเงาปลาบก็มาจอดเทียบฟุตบาท จ้าวจอมไม่นึกสงสัยอะไร เพราะอาจจะมีผู้ปกครองของเด็กสักคน แต่เมื่อกระจกเลื่อนลงก็ต้องแปลกใจ เพราะคนที่ยื่นหน้าออกมาไม่ใช่ผู้ปกครอง แต่เป็นใครบางคนที่หายไปจากความคิดได้สักระยะแล้ว

                “ไอ้...พัน” จ้าวจอมอุทาน สับสนงงงวยไปหมด แต่ยังไม่ได้ถามอะไรอีกฝ่ายก็กวักมือพร้อมร้องเรียก

                “ขึ้นมาเร็ว เดี๋ยวพี่โดนด่า”

                จ้าวจอมยืนงงอยู่ราวสิบห้าวิ ก็ตัดสินใจเปิดประตูรถแล้วแทรกตัวลงนั่งบนเบาะหนังแสนนุ่ม

                รถญี่ปุ่นคันละร่วมล้านทะยานออกสู่ท้องถนน ทิ้งไว้แค่ไอเสียที่ลอยห่างออกไปทุกที...

               

                ทางไปบ้านของจ้าวจอมยังคงทุรกันดารเช่นเดิม ลูกลังสีแดงเปื้อนตัวรถสีดำ ฝุ่นลอยคลุ้งในอากาศ พระอาทิตย์ทอแสงอ่อนลงทุกที อีกไม่ถึงชั่วโมงมันก็จะลาลับขอบฟ้าไป พันนาเหลือบมองเด็กหนุ่มหัวเกือบเกรียนข้างๆ เสื้อสีขาวกับกางเกงสีน้ำเงินไม่คุ้นตาเอาเสียเลย ถึงจะเจ้าตัวจะเคยเล่าว่าตนยังเป็นนักเรียนมัธยม แต่เขาชอบชุดผ้าพื้นเมืองแบบเดิมมากกว่า พอใส่ชุดนักเรียนยิ่งทำให้จ้าวจอมเด็กยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

                “ตัดผมตั้งแต่เมื่อไร” พันนาเอ่ยถาม ดูเหมือนว่าจะตัดออกไปไม่น้อยเพราะมองเห็นหนังหัวขาวๆ และท้ายทอยที่เปิดโล่ง

                “เมื่อวาน” จ้าวจอมตอบ พลางยกมือขึ้นลูกส่วนท้ายของศีรษะที่สั้นเตียน “คุณมาทำอะไรหน้าโรงเรียนผม”

                พันนานิ่งไปชั่วอึดใจ จะกล้าบอกได้อย่างไรว่าอยากจะมารับกลับบ้าน ขืนหลุดปากบอกไปมีหวังโดนไอ้เจ้าเด็กปากปีจอล้อตาย “เอ่อ พอดีผ่านมาน่ะ”

                “ผ่านมา?” จ้าวจอมเอียงคอมอง ด้วยยังไม่หายสงสัย พันนากลืนน้ำลายลงคอพลางหาคำตอบที่พอจะเอาตัวรอดไปได้

                “ไปดูหนังกับเพื่อน แล้วผ่านทางนี้พอดี”

                จ้าวจอมพยักหน้าหงึกหงัก “ผู้หญิงคนนั้นสินะ”

                พันนาขมวดคิ้ว “คนไหน?”

                “ก็คนที่เคยเจอเมื่อคราวก่อนที่เจอหน้าเซเว่น คนขาวๆ นมใหญ่ๆ อ่ะ” จ้าวจอมตอบตรงเป็นกำปั้นทุบดิน

                พันนาหัวเราะในคอ ผู้หญิงที่จ้าวจอมพูดถึงคือ หนูนา อดีตคนรักที่เคยคบหากันก่อนที่เขาจะไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ เขาไม่ปฏิเสธหรอกว่าหนูนารูปร่างหน้าตาเป็นไปตามที่จ้าวจอมพูดจริงๆ สัดส่วนยวนใจ โดยเฉพาะหน้าอกมันใหญ่ล้นเกินฝ่ามือผู้ชายตัวใหญ่ๆ อย่างเขาเลยล่ะวันที่ได้เจอกับเธอเขายังชื่นชนในความน่ารักน่ามองของเธออยู่ คำพูดช่างออดอ้อน แต่ปัญหาที่ได้เจอในตอนนั้นมันหนักหนาเกินกว่าจะสนใจเรื่องใต้สะดือ ยิ่งตอนนี้ไม่ต้องพูดถึง เขาเลิกสนใจหนูนาไปแล้ว จะเรียกว่าหายไปจากความคิดก็ไม่ผิดนัก

                “เพื่อนจริงๆ ไอ้ชาร์ลกับคะนิ้ง มันจะกลับกรุงเทพฯ ก่อน”

                จ้าวจอมร้องอ๋อ “แล้วไม่อยู่รอจนถึงงานบวชคุณเหรอ”

                “เลิกเรียกคุณ แล้วเรียกพี่แทนได้ไหมล่ะ เหมือนที่เรียกโหรน่ะ”

                จ้าวจอมทำเสียงจิ๊จ๊ะในคอ แต่ก็ยอมเปลี่ยนสรรพนามตามที่ขอ “เออ ก็ได้วะ แล้วเพื่อน...พี่ไม่อยู่จนถึงงานบวชหรือไง”

                “พ่อกับแม่ไอ้ชาร์ลมารับ พ่อไอ้ชาร์ลเป็นคนเยอรมัน เขาไม่เชื่อเรื่องพรรค์นี้หรอก เห็นว่าจะพากลับไปเยอรมันเลย คะนิ้งเลยตามกลับไปด้วย”

                เจ้าเด็กช่างซักเลิกสงสัย เรื่องเหนือธรรมชาติหากไม่เจอกับตัวก็ยากที่จะยอมรับว่ามันมีอยู่จริง แม้ว่าชาร์ลกับคะนิ้งจะเกือบตายมาแล้วก็ตาม แต่ก็ป่วยการหากจะอธิบายให้คนที่ไม่เชื่อฟัง

                ภายในรถกลับมาเงียบอีกครั้ง พันนาเลยเอื้อมมือไปเปิดเพลงสากลที่ชอบฟัง ปรับเสียงให้ดังพอดี ดวงตาเพ่งมองไปยังถนนลูกรัง สองข้างทางคือนาข้าว ข้าวออกรวงสุกเหลืองเรืองรอง ด้านหลังไกลๆ คือภูเขาลูกใหญ่เรียงตัวกันทอดยาวสุดลูกหูลูกตา เป็นทิวทัศน์ที่สวยเหมือนภาพถ่าย

                คนข้างๆ เองก็เงียบเสียงไปเช่นกัน พันนาหันไปมองก็เห็นว่าศีรษะของจ้าวจอมเอียงพับไปด้นข้าง

                 พันนาเผลอยิ้มไม่รู้ตัว จ้าวจอมในยามนี้คือหนุ่มน้อยวัยมัธยมปลายจริงๆ ถึงจะดื้อ ซน และเก่งแค่ไหนก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ายังเป็นแค่เด็กวัยุร่นคนหนึ่งเท่านั้น เขายังจำช่วงเวลาในวัยนี้ได้ดี รู้ด้วยว่าหลังเลิกเรียนเหนื่อยและหิวแค่ไหน แต่เขาดีกว่าจ้าวจอมมาก เพราะบ้านอยู่ไม่ห่างจากโรงเรียนมากนัก แถมมีเงินซื้อของกินเหลือเฝือ มีมากพอซื้อเผื่อเพื่อนฝูงด้วยซ้ำไป

                รถยนต์สีดำที่ตอนนี้ขมุกขมัวด้วยฝุ่นลูกรังมาจอดหน้าบ้านไม้สองชั้นตอนที่พระอาทิตย์เจียนตกดินเต็มที หมาพันธุ์ไทยแท้สองสามตัวเห่าต้อนรับ เด็กสาวหุ่นเจ้าเนื้อผิดกับพี่ชายเดินออกมาต้อนรับ ในมือมีลูกชิ้นปิ้งไม้ละห้าบาทอยู่ด้วย พันนาหันไปสะกิดจ้าวจอมที่ยังหลับไม่รู้เรื่อง ท่าทางจะหลับลึกจริงๆ เพราะรถจอดดับเครื่องแล้วก็ยังไม่รู้สึกตัว

                “ไอ้เด็กดื้อ ถึงบ้านแล้ว” พันนาบอกเสียงทุ้ม นึกเอ็นดูท่าทางในตอนนี้ของจ้าวจอมนัก คอเอียงจนน่ากลัวจะเคล็ดค่อยๆ ยกขึ้น ดวงตาปรือปรอยแดงเรื่อ ริมฝีปากเล็กอ้าปากหาวหวอด แขนกยกเหยียดคลายความเมื่อยเพราะขณะที่หลับก็กอดกระเป๋าเป้คู่ใจไม่ปล่อย นานราวครึ่งนาทีเจ้าตัวถึงได้รู้ว่าเผลอหลับไป ดวงตากลมโตกระพริบรัวสองสามครั้งเพื่อตั้งสติ

                “ถึง บ้านแล้วเหรอ”

                “อืม จ๋อมออกมารับแล้ว” พันนาพยักเพยิดไปทางเด็กสาวที่จัดการลูกไม้หมดไม้พอดี

                “ขะ ขอบคุณนะพี่” จ้าวจอมยกมือไหว้ปะลก เปิดประตูก้าวออกไปโดยไม่ลืมเหวี่ยงปิดเสียงดังปัง พันนาไม่ได้ถือสากับความมารยาทของเด็กดื้อสักเท่าไรนัก เขาดึงกุญแจออก ก้าวลงตามไปอีกคน

                “อ้าวพี่ หนูนึกว่าพี่จะกลับเลย”

                จ้าวจอมหันกลับมาด้านหลัง ดวงตามีแววแปลกใจ กำลังจะอ้าปากถาม พันนาก็ชิงตอบซะก่อน

                “พี่ว่าจะขอฝากท้องสักมื้อ จ๋อมไม่ว่าใช่ไหม” ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก เด็กสาวส่ายหน้าน้อยๆ

                “ไม่อยู่แล้ว วันนี้แม่ทำแกงเลียงเห็ดของโปรดพี่จอมด้วย พี่กินเป็นไหมอ่ะ”

                “กินเป็นสิ” พันนาตอบ ก้าวยาวๆ ไปยืนข้างเด็กชายชุดนักเรียน

                จ้าวจอมเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาเต็มไปด้วยคำถามแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา

 

                สาเหตุที่หาเรื่องมารอรับเด็กดื้อชื่อจ้าวจอมก็เพราะอยากจะมาบอกเรื่องบวชกับน้าเอื้อและน้านุชด้วยตัวเอง  อันที่จริงงานบวชของเขากับรชตไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร เชิญก็แต่ญาติและเพื่อนสนิทเท่านั้น ส่วนน้าเอื้อและน้านุชรวมถึงพรานกล้าคือกรณีพิเศษ เขาไม่เคยลืมบุญคุณของพรานกล้า ผู้เสียสละปกป้องพวกเขาจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด เคยไปเยี่ยมอยู่แค่ครั้งเดียวหลังจากหมดเรื่อง พรานกล้าแข็งดีเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ บาดแผลต่างๆ กลายเป็นแผลเป็นที่สร้างรอยจารึกว่าครั้งหนึ่งเคยได้ปะทะกับครึ่งผีครึ่งเสือ เชื่อเหลือเกินว่าวีรกรรมของพรานกล้าจะต้องไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลานและรุ่นต่อๆ ไปอย่างแน่นอน

                เช่นเดียวกับโหร รายนั้นทำเอาเขาอึ้งได้หลายอย่าง ทั้งควายธนู (ที่เขามั่นใจว่าเห็นคนเดียว) ไหนจะความสามารถในการสื่อสารกับดวงวิญญาณ ภาพที่โหรกระชากเส้นด้ายสีแดงที่พันธนาการรอบลำคอของผีพิกุลยังติดตาเขาอยู่เลย นี่ไม่นับรวมการรับมือกับไอ้บอด เสือผีแสนร้ายกาจ และอีกอย่างที่ลืมไม่ได้ นั่นคือฝีมือการยิงปืน จากที่ฟังกุมภ์เล่า โหรมีฝีมือไม่น้อยสมกับเป็นหลานพรานป่าอันเลื่องลือ

                พูดถึงกุมภ์ จนป่านนี้เขายังเค้นเอาเหตุผลตอนที่เจ้าเพื่อนสนิทวิ่งฝ่าความมืดกลับไปหาโหรไม่ได้เลย ทั้งเขาและจ้าวจอมห้ามไม่ฟัง ครั้นจะตามไปก็เป็นห่วงรชต จ้าวจอมเชื่อมั่นว่ากุมภ์จะปลอดภัยตราบใดที่โหรยังมีชีวิตอยู่ แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ถึงทั้งคู่จะมีสภาพอ่อนระโหยโรยแรงมากก็ตาม

                พันนาพาตัวเองขึ้นมาอยู่บนชั้นสองของบ้านไม้ตามคำเชื้อเชิญของเจ้าบ้าน น้าเอื้อและน้านุชยังคงให้การต้อนรับเขาอย่างดี พอรู้ว่าเขาเป็นคนรักจ้าวจอมมากจากโรงเรียนก็ขอบคุณเป็นการใหญ่ นอกจาจะชวนเขากินมื้อเย็นด้วยกันแล้วยังชวนให้นอนค้างสักคืนด้วย และแน่นอนว่าเขาตอบรับในทันที

                เสียงแมลงกลางคืนดังระงม สลับกับเสียงเคาะกระทะเป็นระยะของน้านุช เพราะมีสมาชิกมาเพิ่มน้านุชเลยใจดีเจียวไข่เพิ่มให้ พ่วงด้วยข้าวโพดหวานต้มที่เพิ่งหักมาใหม่ๆ จากไร่หลังบ้าน พันนารู้สึกว่าชีวิตในชนบทมันเรียบง่ายแต่สบายใจยิ่งนัก ชักจะไม่อยากกลับไปเมืองกรุงเสียแล้วซี

                “ทำไมพี่ชอบมาบ้านเราจัง”

                คนถามนั่งตัวกลมอยู่ข้างๆ ถ้าหากว่าจ๋อมผอมลงกว่านี้สักสิบกิโลคงจะเป็นเด็กสาวที่หน้าตาน่ารักไม่น้อย ผิวขาวเหมือนหยวกกล้วย ผมสีดำสนิทตัดสั้นจนมองเห็นติ่งหู ดวงตากลมโตเป็นประกาย จมูกโด่งพอดี ริมฝีปากบางเล็ก องค์ประกอบโดยรวมคล้ายจ้าวจอมอยู่เหมือน แต่น่าเอ็นดูมากกว่า

                “ทำไมล่ะ ไม่ชอบพี่เหรอ” เขาถามกลับ จ๋อมส่ายหน้าปฏิเสธ

                “เปล่า แค่สงสัยน่ะ เพราะไม่เห็นว่าพี่กับพี่จอมจะสนิทกันสักเท่าไร”

                จริงอย่างที่จ๋อมว่า เขากับจ้าวจอมยังไม่สนิทกัน ถึงจะได้ผจญภัยเฉียดตายร่วมกัน แต่ความสนิทสนมมีแค่ระดับหนึ่งเท่านั้น ระยะเวลาในการรู้จักไม่ถึงเดือนดีด้วยซ้ำ แต่อะไรบางอย่างในตัวจ้าวจอมมันดึงดูดให้เขาเข้าหา อยากเป็นมิตร หรือไม่ก็ชวนทะเลาะ พันนาหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่ามันเรียกว่าอะไร แต่การที่ได้ปะทะฝีปากกับจ้าวจอมมันสนุกพอๆ กับการถ่ายรูปเลยทีเดียว

                “พี่ก็อยากจะสนิทอยู่นะ แต่พี่ชายเราเล่นตัวเหลือเกิน” เขาพูดยิ้มๆ

                “พี่พูดเหมือนจะจีบพี่จอมเลยอ่ะ” จ๋อมถูกตรง และมันก็พุ่งตรงมาที่หัวใจของเขาด้วยเช่นกัน

                จีบ อย่างนั้นหรือ? จะเป็นไปได้อย่างไร เขาเป็นผู้ชาย และจ้าวจอมเป็นผู้ชายถึงอีกฝ่ายจะน่ารักมากกว่าก็เถอะ

                แค่คิดก็ขนลุกแล้ว

                “บ้าแล้ว พี่จะไปคิดอย่างนั้นได้ยังไง ผู้ชายกับผู้ชายเนี่ยนะ” พันนาส่ายหน้าดิก รู้สึกขนลุกขึ้นมาจริงๆ หากแต่คนฟังกลับทำหน้าเหม็นเบื่อ

                “ทำเป็นพูดดี ถ้าพี่จอมมีแฟนขึ้นเมื่อไรจะมาบ่นเสียดายไม่ได้นะ”

                พูดจบเด็กอ้วนก็สะบัดหน้าเดินลงไปชั้นล่าง ทิ้งให้เขามึนอยู่กับประโยคนั้นนานสองนาน

 

                “คุณจะบวชวันที่ 2 เหรอ ก็อีกไม่กี่วันแล้วสิ วัดไหนล่ะ”

                น้านุชถามถึงวัดที่จะบวช ซึ่งพอบอกชื่อวัดทุกคนก็รู้จักเป็นอย่างดี เพราะเป็นวัดที่ตาของจ้าวจอมบวชอยู่ กำหนดบวชคือหนึ่งเดือน และจำเป็นจะต้องอยู่สถานที่สงบจริงๆ ไม่เช่นนั้นการปฏิบัติธรรมจะไม่ได้ผล มารดาของเขาเล่าว่าเจ้าอาวาสเคร่งมาก ท่านฉันแค่มื้อเดียวแถมยังเป็นมังสะวิรัติเสียด้วย

                “ทำไมเลือกวัดนี้ล่ะ” น้าเอื้อถาม

                “พี่โหรแนะนำครับ บอกว่าวัดนี้ปฏิบัติเคร่ง”

                “จะทำได้เร้อ”

                บนโต๊ะอาหารดูเหมือนจะเงียบไปชั่วประเดี๋ยว และก็ถูกทำลายด้วยเสียงช้อนครูดก้นจานไข่เจียวของจ๋อม น้านุชส่งสายตาตำหนิยังไปบุตรชายคนโต ซึ่งเจ้าตัวก็ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน กินแกงเลียงเห็ดต่อซ้ำยังซูดน้ำเสียดังอีกด้วย

                สรุปก็คือเขาอยากจะมาเชิญทั้งท่านสองไปงานบวชด้วยตัวเอง เขารู้สึกว่าน้าเอื้อและน้านุชเหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง

                มื้อเย็นจบลงอย่างเรียบง่าย น้านุขแจกจ่ายข้าวโพดคนละฝักสองฝัก จ้าวจอมคว้าข้าวโพดแล้วหยุดที่หน้าจอทีวีเช่นเดียวกับจ๋อม แต่รายหลังมีสมุดการบ้านกางอยู่คนโต๊ะไม้ขัดมันด้วย

                “พี่พัน สอนการบ้านหน่อยสิ หนูก่อนอังกฤษ” จ๋อมเอ่ยปาก โดยไม่ต้องมีอรัมภบทให้เสียเวลา

                “ทำไมไมให้พี่ชายสอนล่ะ”

                พี่ชาย ของจ๋อมเงยหน้ามอง แล้วเบือนสายตากลับไปยังละครตอนเย็นตามเดิม พันนาเลือกนั่งบนโซฟาไม้เนื้อหนาสีน้ำตาลเข้ม ตัวเดียวกับที่จ้าวจอมนั่ง โดยมีเด็กสาวตัวอ้วนนั่งบนพื้นคั่นกลาง มืออวบกลมวางทับหน้าแบบฝึกหัดภาษาอังกฤษสำหรับเด็กมอต้น พันนาก้มมองด้วยความสนใจ เพิ่งจะอยู่มอหนึ่งแท้ๆ แต่แบบฝึกหัดยากอยู่เหมือนกัน น่าจะยากกว่าสมัยที่เขาเรียนด้วยซ้ำ

                “พี่จอมโง่อิงค์ยิ่งกว่าหนูอีก” จ๋อมค่อนขอดพี่ชาย ผลก็คือได้มะเหงกไปกลางศีรษะเต็มๆ

                พันนาหัวเราะหึในคอ เลยพลอยโดนสายตาอาฆาตไปด้วย เขารับแบบฝึกหัดของจ๋อมมา ทำความเข้าใจกับโจทย์อยู่สักพักก็เริ่มสอนในแบบฉบับของตัวเอง ไม่แน่ใจนักหรอกว่าจ๋อมจะเข้าใจหรือเปล่า แต่จากการที่เธอถามเป็นระยะ ผงกหัวรับ และท่าทางตั้งใจในการตอบคำถามมันทำให้เขารู้สึกเอ็นดูไม่ได้

                เพราะเป็นลูกโทนคนเดียว เลยเพิ่งรู้สึกว่าการมีพี่น้องมันมีความสุขอย่างนี้นี่เอง น้องสาวก็ดี แต่น้องชายน่าจะดีกว่า ได้เล่นอะไรแผลงๆ ด้วยกัน แอบคุยเรื่องลามกลับหลังพ่อแม่ คงน่าตื่นเต้นไม่น้อย

                ราวครึ่งชั่วโมงการบ้านของจ๋อมก็เสร็จ เจ้าตัวยิ้มกว้างพร้อมกับถอนหายใจเสียงดัง ข้าวโพดต้มที่หยิบมาสองฟักกลายเป็นหมันเพราะมัวแต่ยุ่งอยู่กับการบ้านของตัวเอง ส่วนจ้าวจอมยังไม่มีการบ้าน แต่มีรายงานเยอะยิ่งกว่าหนังสือเรียนแทน

                เกือบสามทุ่มพ่อกับแม่ของจ้าวจอมเข้านอนแล้ว มันเป็นเรื่องปกติของชนบท ตื่นตั้งแต่ก่อนไก่โห่ แล้วเข้านอนตั้งแต่หัววัน ไม่มีโลกโซเชี่ยวให้ท่องเที่ยว ถึงตอนนี้เขาเพิ่งสำเหนียกได้ว่าห่างจากโลกแห่งโทรศัพท์มานานแค่ไหน

                จ๋อมหันมาขอบคุณเขาที่ช่วยสอนการบ้านให้ เด็กสาวตัวอ้วนเดินหอบเอาการบ้านภาษาอังกฤษและข้าวโพดที่เย็นชืดแล้วกลับขึ้นไปยังห้องพักส่วนตัว เหลือแค่เขากับจ้าวจอมที่ยังนั่งดูละครหลังข่าวด้วยกันบนโซฟาไม้เนื้อแข็ง ข้าวโพดของจ้าวจอมหมดไปนานแล้ว ส่วนซังก็ไปอยู่ในถังขยะเรียบร้อยแล้วเหมือนกัน ไม่มีบทสนทนาอะไร มีแค่เสียงจากโทรทัศน์เท่านั้น น่าแปลกที่มันไม่ได้อึดอัด แต่กลับรู้สึกผ่อนคลายมากกว่า

                กระทั่งละครตอนนั้นจบ จ้าวจอมก็ลุกขึ้น บิดขี้เกียจน้อยๆ ชายเสื้อนักเรียนออกจากขอบกางเกงมาพักใหญ่แล้ว เสื้อสีขาวค่อนข้างไปทางเหลืองหน่อยๆ บอกถึงอายุการใช้งาน แต่ก็สะอาดดี บางครั้งเขาก็ได้กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มราคาไม่กี่บาทด้วย นึกสงสัยนิดหน่อยว่าทำไมมันถึงยังติดทนอยู่ทั้งที่ผ่านการใช้งานมานานหลายชั่วโมงแล้ว

                “จะนอนแล้วเหรอ” เขาเป็นฝ่ายถามก่อน

                “อาบน้ำ เหนียวตัวแล้ว” จ้าวจอมตอบ แล้วถามกลับ “ถ้าจะนอนที่นี่จริงๆ ก็เอาเสื้อผ้าผมไปเปลี่ยนก่อน พอจะมีตัวใหญ่ๆ  อยู่บ้าง”

                เรื่องนอนค้างเป็นเรื่องจริงอยู่แล้ว ใครจะบ้าขับรถฝ่าความมืดกลับออกไป ถนนลูกรังนี่ยาวหลายสิบกิโลเมตร ไฟข้างทางก็ห่างเหลือทน ถ้าไม่ชินเส้นทางจริงมีหวังได้ลงไปชื่นชมต้นข้าวในนากันบ้าง ส่วนเรื่องที่หลับที่นอนคงต้องอาศัยห้องของจ้าวจอมอีกตามเคย ผู้ชายเหมือนกันไม่มีอะไรเสียหาย

(มีต่อ)
               
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 15: ขอบใจ] 27/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 27-12-2019 21:19:28
(ต่อ)

เขาเดินเอื่อยๆ ขึ้นไปยังชั้นสองของ ตามเจ้าของบ้านไปไม่ห่างนัก ไม่รู้ว่าสายตาไปหยุดที่น่องของจ้าวจอมตั้งแต่เมื่อไร ซ้ำร้ายยังพิจารณาอีกด้วยว่า จ้าวจอมไม่มีจนหน้าแข้งเส้นใหญ่ เหมือนผู้ชายทั่วไป พอถึงบันไดขั้นบนสุด ถึงเพิ่งรู้ตัวว่าเขาเผลอคิดแบบนั้นไปได้อย่างไร จ้าวจอมหยุดกลางห้อง ไปรื้อๆ ค้นๆ ในตู้เสื้อผ้า ก่อนจะหันมาโยนเสื้อทีมฟุตบอลกับกางเกงเก่าๆ ให้ เขาคลี่ดู เสื้อตัวใหญ่กว่าจ้าวจอมจริงๆ แต่มันพอดีสำหรับเขา ส่วนกางเกงยางที่เอวยืดจนแทบจะย้วย รูโหว่มีกระจายไปทั่ว ส่วนชั้นในไมต้องพูดถึง คืนนี้เขาโนอันเดอร์แวร์อยู่แล้ว

                จ้าวจอมหอบชุดนอนหายออกจากห้องไป คาดว่าคงจะไปอาบน้ำ เขาเองก็ต้องอาบด้วยเหมือนกัน ถึงวันนี้จะไม่ได้เหงื่อเท่าไรเพราะอยู่กับแอร์แทบจะทั้งวัน แต่จะให้ซักแห้งก็เกินไป

                ไม่ถึงสิบนาทีจ้าวจอมก็กลับมาพร้อมกับกลิ่นสบู่หอมอ่อนๆ เส้นผมสั้นเกือบเกรียนเปียกชื้นเล็กน้อย เจ้าตัวพยักพเยิดให้เขาไปลงอาบน้ำบ้าง นี่เป็นสิ่งเดียวที่เขาไม่ชอบในบ้านหลังนี้ คือห้องน้ำแยกจากตัวบ้าน แถมอยู่ห่างไปหลายสิบเมตรอีกด้วย ดีที่คราวก่อนเขาไม่เกิดปวดฉี่กลางดึก ไม่อย่างนั้นคงได้มีหลอนกันบ้าง แต่ก็ใช่ว่าวันนี้จะไม่รู้สึกเสียวสันหลัง

                ถึงบ้านของจ้าวจอมจะหลังใหญ่ มีไฟให้แสงสว่าง แต่ก็ใช่ว่ามันจะมากพอสำหรับพื้นที่อันเหลือเฟือ รอบด้านโอบล้อมด้วยภูเขาและต้นไม้สูง หลังห้องน้ำคือดงต้นกล้วย มันคือดงจริงๆ เพราะไม่อาจนับเป็นต้นได้ มันขึ้นแน่นเบียดเสียดกัน บางต้นก็ออกลูก บางต้นเริ่มมีหัวหลีโผล่ออกมา ใบตองสีเขียวเข้มสลับอ่อนซ้อนกันหนาชั้น พันนาสั่งตัวเองไม่ให้มองเข้าไปในดงต้นกล้วย ถึงจะผ่านเรื่องลึกลับมาแล้ว แต่จินตนาการของมนุษย์มันน่ากลัวนัก

                พันนาเอื้อมมือไปที่ประตูห้องน้ำ กำลังจะดึงมันเปิดออก แต่แล้วหางตาก็เห็นบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ทางซ้ายมือของตัวเอง ไม่ใช่แค่ลมพัดใบตอง แต่มันเหมือนรูปร่างของคน!

                หัวใจเขาเต้นแรง รู้สึกหนาวเย็นที่ไม่ได้เกิดจากลม เขาตั้งสติอยู่นานชั่วอึดใจก่อนจะหันหน้าไปมองให้เต็มทั้งสองตา แต่ก็โล่งใจเมื่อสิ่งที่เห็นเป็นแค่เงาของต้นกล้วยเท่านั้น

                “สงสัยจะบ้ามั้งกู” พันนาหัวเราะในความขี้กลัวของตัวเอง เขาเอื้อมมือไปที่ประตูอีกครั้งพร้อมกับไอเย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็งที่ทาบมาบนหลังมือ

                ชายหนุ่มเบิกตากว้าง รู้สึกวูบโหวงเหมือนหัวใจมันตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม มือขาวซีดทาบบนหลังมือ มันเคลื่อนไหวตามเขาราวกับอวัยวะอีกชิ้น แต่มันไม่ใช่มือของเขา               

                นิ้วเรียวผอมยาว จนเห็นเป็นกระดูกโปนออกมา เล็บสีเหลืองขุ่นมัว พันนากลั้นใจมองไปตามข้อแขนผอมขาวโปร่งบาง เส้นเลือดที่แทนจะเป็นสีแดงกลับเป็นสีเขียวคล้ำแทน ยิ่งเพิ่มความน่ากลัวให้ทบทวี พอสายตาสะดุดกับแขนเสื้อสีขาวตุ่นขมุกขมัว เขาก็รู้ได้ทันทีว่าเจ้าของมือนั่นคือใคร

                พิกุล!

                ‘ดีใจที่คุณยังไม่ลืมฉัน’

                พันนากลืนน้ำลายลงคอ คล้ายกับว่าลมหายใจจะหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ผีพิกุลอยู่ห่างออกไปถึงไม่ฟุต เธอหันหน้าทางเขาพร้อมกับรอยยิ้มเย็นยะเยือกชนิดที่หนาวลึกไปถึงกระดูก เขาค่อยๆ ดึงมือกลับ ตั้งสติให้ตั้งมั่น อย่างน้อยที่สุดเธอก็ไม่ใช่ผีอื่นที่น่าขวัญหนียิ่งนี้

                ‘ฉันชอบคุณ’ พิกุลบอก เสียงของเธอเหมือนดังอยู่ในหู ริมฝีปากของเธอยังอมยิ้มอยู่อย่างนั้นไม่ได้ขยับตามรูปคำ ‘คุณหน้าเหมือนพี่แผน’

                รอยยิ้มของเธอน่ากลัวกว่าเดิมอีกเป็นเท่าตัว แก้วตาสีดำใหญ่เกินมนุษย์ทั่วไปมืดสนิทไร้แวว ริมฝีปากสีคล้ำคล้ายกับจะฉีกขึ้นที่แถวมุมปาก พันนารู้สึกถึงน้ำลายที่เหนียวหนืดขึ้น ขนอ่อนที่ต้นคอลุกชัน เขาก้าวถอยหลัง แต่ได้แค่สองก้าวเธอก็กล่าวขึ้นอีก

                ‘บางทีบรรพบุรุษของคุณอาจจะเกี่ยวข้องกับพี่แผนก็ได้ เขาหล่อ หุ่นดี ผิวสีแทนอ่อน ดวงตาเป็นประกาย’ น้ำเสียงของเธอไม่ได้ยานคางเหมือนที่เคยได้ยินในหนัง แต่ก็ไม่ได้เร็วกระชับเหมือนคนทั่วไป พันนาอยากจะวิ่งหนีให้สุดฝีเท้า แต่ก็ไม่อาจทำได้เหมือนมีตะปูมาตอกทับเท้าเอาไว้ ‘ฉันรู้ว่าคุณเห็นอดีตชาติของฉันกับชบ...รชต’

                พันนาพยักหน้าเพียงครั้งเดียว ชั่วจังหวะหนึ่งที่เขาเผลอมองประสานสายตากับเธอ ท้องไส้ก็ปั่นป่วน โลกใต้ฝ่าเท้ามันโคลงเคลงเหมือนเรือกลางมหาสมุทร ที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้คือวิญญาณ หรือเรียกสั้นๆ ว่าผี ซ้ำตอนนี้เธอยังสนทนากับเขาผ่านทางจิตอีกด้วย แม้จะเคยพบปะกันหลายครั้ง แต่ใครกันล่ะจะชินกับการพูดกับผี

                ‘กลัวฉันรึ?...’ ร่างของเธอเคลื่อนแผ่วช้า อยู่ห่างจากเขาแค่ฝ่ามือ เขาขยับถอยหนีอัตโนมัติ จนแผ่นหลังชนกับประตูห้องน้ำ พิกุลเอียงคอน้อยๆ ขยับตัวเข้าหาอีกครั้ง คราวนี้เขาหนีเธอไปไหนไม่ได้อีกแล้ว พันนาหลับตาเพราะไม่อาจประจันหน้ากับเธอในระยะนี้ได้จริงๆ

                ‘หึหึ’ พิกุลหัวเราะเสียงเย็น ‘ไม่ต้องกลัวฉันหรอก ฉันแค่จะมาขอบคุณเท่านั้น’

                “มะ ไม่เป็นไรหรอกครับ...ผะ..ผมเต็มใจ” พันนาบอก เสียงตะกุกตะกักจนน่าขำและตาที่ยังปิดสนิท

                ‘ขอบใจมาก’         

                เสียงของเธอเย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็งก็จริง หากแต่สัมผัสได้ถึงความซาบซึ้งที่ส่งมาให้จริงๆ พันนายังไม่กล้าลืมตา แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อไอเย็นเหมือนน้ำแข็งแตะมาที่กรอบหน้า เขาเดาว่านั่นคือปลายนิ้วของเธอ มันเกลี่ยไล้ไปตามสันกรามเรื่อยลงมาที่คอและหยุดที่กระดุมเสื้อเม็ดแรก

                ไม่มีเสียงลมหายใจ แต่มีกลิ่นหอมเหมือนดอกพิกุลลอยอยู่ใต้จมูกแทน

                พันนากลัวจับใจ ถึงจะรู้ว่าเธอไม่ได้ทำร้ายเขา แต่เธอคือผี มันน่ากลัวเกินกว่าจะทำใจรับได้!

                “ทำไมยังไม่อาบน้ำอีกอ่ะ”

                ชายหนุ่มลืมตาขึ้นทันที เขาจำได้ว่านั่นเป็นเสียงของจ้าวจอม ดูเหมือนว่าช่วงอกของเขาจะพองโตเหมือนถูกอัดแก็ส ไม่เพียงแค่นั้นผีพิกุลยังหายไปแล้วด้วย

                พันนาแทบจะทรุดตัวลงไปนั่งบนพื้นหญ้าชื้นๆ แข้งขาอ่อนแรงไปหมด ถึงจะได้พบเจอกับเรื่องลี้ลับมามากแค่ไหนก็ยังทำใจให้ชินไม่ได้อยู่ดี

                จ้าวจอมเดินเช้ามาหา ใบหน้าขาวคล้ายกับจะนวลกว่าเดิม คงเพราะแป้งเด็กกระป๋องสีฟ้าที่ตั้งอยู่แถวตู้เสื้อผ้า สาบานได้ว่ากลิ่นมันหอมกว่าดอกพิกุลเป็นร้อยเท่า

                “เพิ่งเคยเห็นผีขี้อ่อย” จ้าวจอมพูดลอย แต่คนฟังตาโตเท่าไข่ห่าน

                “เห็นด้วยเหรอ”

                เด็กหนุ่มพยักหน้า “มาทันตอนที่กำลังจะปลดกระดุมเสื้อพี่พอดี ผีอะไรวะโคตรขี้อ่อย คราวก่อนก็จะทำท่าจะปล้ำพี่โหร สมควรแล้วล่ะที่โดนฝ่าตีนพี่กุมภ์ไปน่ะ”

                พันนาอมยิ้ม ภาพที่กุมภ์ยกเท้าถีบร่างของพิกุลปรากฏขึ้นในความทรงจำทันที ใครจะไปคิดว่าคนขี้กลัวอย่างกุมภ์จะกล้าถีบผี

                “รีบๆ ไปอาบน้ำได้แล้ว จะเฝ้าให้ เผื่อว่าเจ๊พิกุลจะโผล่มาปล้ำพี่”

               

                ผีพิกุลไม่มาอีก เธอคงมาแค่ขอบคุณจริงๆ พันนาล้มตัวลงนอนบนเตียงเล็กของจ้าวจอม หมอนมีกลิ่นอับเล็กน้อยเพราะน้านุชเพิ่งดึงออกมาจากตู้ ผ้าห่มวางอยู่ใต้ส้นเท้า คืนนี้อากาศไม่ได้หนาวมากเลยไม่จำเป็นต้องพึ่งผ้าห่ม พัดลมขนาดใบพัดสิบหกนิ้วหมุนซ้ายขวาสลับกันช้าๆ ไฟกลางห้องปิดลงเมื่อครู่นี้เอง เจ้าของห้องเดินกลับมายังตำแหน่งนอนของตัวเอง เตียงนอนยวบลงเล็กน้อยพร้อมกับกลิ่นแป้งเด็ก

                นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ต้องนอนร่วมเตียงกับผู้ชาย เขากับกุมภ์ ชาร์ล หรือรขต เคยนอนด้วยกันอยู่บ่อยครั้ง แต่เพราะความสนิทสนมเลยไม่รู้สึกแปลกประหลาด เขาสามารถฟังเสียงกรนของชาร์ลได้ หรือแม้แต่คราบน้ำลายที่มุมปากของรชต เท่าที่สังเกตคงมีแค่กุมภ์กระมังที่ตื่นมาแล้วสภาพไม่แย่นัก แค่ผมยุ่งเหมือนรังนกเท่านั้น

                พันนานอนเอามือวางบนเอก ดวงตาเสมองไปด้านข้าง เห็นเงาตะคุ่มของจ้าวจอม พอสายตาปรับกับความมืดได้ถึงได้รู้ว่าจ้าวจอมนอนหันหลังให้เขา

                “ทำไมไม่กลัวผีล่ะ” พันนาชวนคุย เพิ่งจะสามทุ่มกว่า สำหรับหนุ่มเมืองเวลานี้มันไม่ใช่เวลาหลับใหล จึงไม่แปลกที่เขายังตาสว่างอยู่อย่างนี้

                “ทำไมต้องกลัวล่ะ” จ้าวจอมตอบกลับอย่างเหนือความคาดหมาย“ผีอย่างเจ๊พิกุลไม่น่ากลัวหรอก ถ้าครึ่งผีครึ่งคนอย่างตาเวกสิน่ากลัว”

                “เคยเจอผีมาก่อนหรือเปล่า” พันนาชวนคุยต่อ

                จ้าวจอมเงียบไป จนพันนาคิดว่าคู่สนทนาคงหลับไปแล้ว แต่จ้าวจอมก็ตอบกลับ “ยายผม...ตอนป.ห้า”

                “เล่าให้ฟังหน่อยสิ” จู่ๆ พันนาก็สนใจเรื่องผีขึ้นมา ทั้งที่ควรจะกลัว เขาเห็นแผ่นหลังเล็กยกสูงและผ่อนลง จ้าวจอมพลิกตัวหันมาทางเขา ดวงตาคู่กลมเป็นประกายในยามมืด ถึงไม่เห็นสีหน้า แต่ก็พอรู้ว่าจ้าวจอมเบื่อหน่ายแค่ไหนที่ต้องมาเล่าเรื่องผีตอนเกือบสี่ทุ่มแบบนี้

                เรื่องผีที่จ้าวจอมเล่าไม่ได้สลับซับซ้อนอะไร ซ้ำยังเป็นผียายตัวเอง เพราะหลังจากเสียไปได้แค่สามวันยายก็กลับมาหาทุกคน ตอนนั้นจ้าวจอมเพิ่มอยู่ประถมห้า ยายมาบอกลาทุกคนไม่ได้น่ากลัวเหมือนในหนัง จ้าวตอมรู้ตัวว่าไม่ไดฝันไปเพราะตอนนั้นยังไม่หลับ วันรุ่งขึ้นจ้าวจอมบวชหน้าไฟให้ยาย ศึกษาพระธรรมกับตาอยู่เจ็ดวัน คำสอนในพระพุทธศาสนาช่วยให้จ้าวจอมกลัวผีน้อยลง หลวงตาสอนว่าวิญญาณก็เหมือนมนุษย์ หากดวงจิตสุดท้ายผูกพันอยู่ที่ใด วิญญาณก็ยังวนเวียนอยู่ตรงนั้นจนกว่าจะถึงเวลา

                พันนาอดทึ่งในความกล้าหาญของจ้าวจอมไม่ได้ เด็กกว่าเขาตั้งหลายปีแต่กลับไม่นึกกลัวเรื่องเร้นลับแถมยังมองว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาด้วยซ้ำ

                “ถ้าเขาไม่ได้มาทำร้ายเรา ก็ไม่เห็นต้องกลัวอะไร” คนเล่าเปิดปากหาว “นอนได้แล้ว อ้อ ไม่ต้องกลัวเจ๊พิกุลหรอกนะ ยายผมไม่ให้เข้ามาบ้านหรอก”

                                                                                          ......................


*หายไปนานเลย ต้องขอโทษทีค่ะ งานเยอะ + ลืม 5555*

**การผจญภัยหมดแล้วนะคะ จะเข้าสู่โหมดความรัก? แบบงงๆ กันแล้ว**

***สุขสันต์วันปีใหม่ล่วงหน้านะคะ ใครไปเที่ยวก็ขอให้เดินทางปลอดภัยนะคะ***
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 15: ขอบใจ] 27/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 27-12-2019 22:38:19
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 15: ขอบใจ] 27/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 28-12-2019 00:01:21
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 15: ขอบใจ] 27/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 28-12-2019 00:17:39
พูดถึงดงกล้วย เราดันนึกถึงบทกลอนสมัยประถม สองเกลอเจอผี อะไรนั่น 55555 คู่นี้มันจะรักกันยังไงเนี่ย พันนามีแววว่าจะหลงน้องอยู่นะ แต่จอมตัวป่วนนี่นึกภาพหวานๆไม่ออกเลย 55555
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 15: ขอบใจ] 27/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 28-12-2019 00:23:18
เจ๊พิกุล!!!!
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 15: ขอบใจ] 27/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: u_cosmos ที่ 28-12-2019 01:26:01
แอบหวั่นใจตอนพิกุลมาหา
แต่พอน้องจอมเรียกเท่านั้นแหละ ก็ใจชื้นเป็นเพื่อนจอมทันที
แต่น้องทิ้งท้ายว่ายาย/ม่ให้เข้านี่ก็ยังแอบหลอนนะ
หรือว่ายายยังอยู่
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 15: ขอบใจ] 27/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 28-12-2019 07:40:02
คู่หลักคือพันนา+จอมเหรอ​ คิดถึงพี่โหรอ่ะ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 15: ขอบใจ] 27/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 28-12-2019 10:59:31
พันนา ตอนหลับอย่าเผลอไปกอดเจ้าจอมเข้าละ เดี๋ยวโดยยายเจ้าจอมเขม่นแน่ ๆ
คิดถึงทุกคน ยกเว้นตาเวก อิอิอิอิ
สุขสันต์วันหยุดใกล้ปีใหม่นะ ไรท์
 :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 15: ขอบใจ] 27/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Gimlongdeep ที่ 29-12-2019 13:41:00
เราจะรอหมวดความรักแบบงงๆค่ะ55555. เรื่องสนุกมากเลยยยเราเป็นกำลังใจในการแต่งให้ค่ะ สนุกมากกกเราชอบ โดยเฉพาะตอนปะทะกัน โหวววชอบมากกกกกก รอนุ้งกุมภ์นะฮะะ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 15: ขอบใจ] 27/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวลูกไก่ ที่ 29-12-2019 16:06:56
พี่โหรหล่อมากเลยค่ะ แต่คนหล่อจะมีใจให้น้องกุมภ์ของเราบ้างมั้ยน้าาา
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 15: ขอบใจ] 27/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 29-12-2019 23:30:51
เลิ้บเอเนอร์จี้ขี้เต๊าะของพิกุล ถ้าอยู่ต่อมีหวังฮาแน่นอน
พันนาเริ่มแปลกๆ กับเจ้าจอมแล้วล่ะสิ
บอกตรง ๆ ว่าเราไม่เห็นทางให้เจ้าจอมหวั่นไหวกับพันนาเลย 55555555
แต่ยังไงชอบคู่นี้มากค่า เอาใจช่วย  :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 15: ขอบใจ] 27/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 31-12-2019 09:36:45
 :mew1: :mew1:  สวัสดีปีใหม่ค่ะ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 15: ขอบใจ] 27/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 01-01-2020 16:39:30
เอิ่มไม่ต้องกลัวพิกุล


แต่จะต้องกลัวยายแทน


ใหมเจ้าจอมงือ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 15: ขอบใจ] 27/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 01-01-2020 21:45:38
ตลกตรงพันนาหน้าคล้ายพี่แผนนี่แหล่ะค่ะ ดูท่าจะชอบน้องเขาแบบไม่รู้ตัวด้วยแหล่ะ อิอิ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 15: ขอบใจ] 27/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 06-01-2020 22:56:47
ผีขี้อ่อย อยากอ่าน ความรัก แบบ งงๆ แล้ว
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 15: ขอบใจ] 27/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 07-01-2020 19:46:51
นั่นแน่ พันนาชอบจ้าวจอมแต่ไม่รู้ตัวและไม่ยอมรับ
ขนาดจ๋อม เจ้าเด็กตัวกลมยังรู้เลย 5555

จ๋อมคือเด็กเกรียนเบาๆ น่ะ เอ็นดู

จ้าวจอมก็มีเซนส์ไปอีกจ้า แต่จะไม่กลัวเหมือนกัน
ทำไม่ได้นะ ก็ต้องมีคิดบ้างไรบ้าง
 
เป็นพันนาก็ควรหลอนค่ะ มาประชิดขนาดนี้
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 15: ขอบใจ] 27/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 07-01-2020 22:46:46
แวะมารออ คิดถึงน้อนกุมภ์  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 15: ขอบใจ] 27/12/2562
เริ่มหัวข้อโดย: smmikie ที่ 08-01-2020 10:11:58
อยากอ่านต่อแล้วววววววว เมื่อไรจะมาน้าาาา

 :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 16: การล่ำลาของพิกุล] 10/01/2563
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 10-01-2020 20:26:26
ตอนที่ 16 การล่ำลาของพิกุล       

            ไม่รู้ว่าเพราะอากาศที่หนาวกว่าปกติ หรือเพราะยายของจ้าวจอมกันแน่ พอลืมตาตื่นขึ้นมา พันนาก็เบียดชิดกับเจ้าของห้องเสียแนบแน่น ไม่เพียงเท่านั้น มือยังพาดไปบนเอวเล็กเสียอีกด้วย ชายหนุ่มหดมือกลับแทบไม่ทันตอนที่จ้าวจอมพลิกตัวหันกลับมา พันนารีบหลับตาแสร้งทำเป็นหลับต่อ แต่ก็เกือบสะดุ้งตอนที่ท่อนขายกพาดมาบนตัว หัวเข่าแหลมอยู่ห่างจากหน้าขาไม่ถึงคืบด้วยซ้ำ เสียงลมหายใจที่ดังสม่ำเสมอบอกว่าจ้าวจอมยังไม่ตื่น

                พันนาลอบถอนหายใจ เปิดตาขึ้นอีกครั้ง ด้านนอกเริ่มมีแสงรำไรพอให้มองเห็นบ้างแล้ว เสียงไก่ขันดังเป็นระยะสลับกับเสียงตะหลิวของน้านุช เขาหลุบตามองหน้าอก ไม่แปลกใจนักที่เห็นกลุ่มผมสีดำที่เกือบจะสั้นเตียน พันนายกยิ้มมุมปาก เขาเป็นลูกคนเดียว ไม่มีพี่น้อง เลยรู้สึกเอ็นดูไอ้เจ้าเด็กพูดมาก ชอบทำหน้ากวนประสาทคนนี้นัก

                แค่เอ็นดู...ไม่มีอะไรมากกว่านั้น

                ชายหนุ่มนึกย้ำในใจ

                อย่างที่เคยบอกไปกับจ๋อมว่า ผู้ชายกับผู้ชาย...มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ อีกอย่างเขาเองก็เคยมีแฟนเป็นผู้หญิงถึงจะเลิกรากันไปได้หลายเดือนแล้วก็ตาม

                พันนานอนนิ่งไม่ขยับเพราะยังไม่อยากกวนเจ้าเด็กขี้เซา แต่พอเหลือบไปเป็นนาฬิกาแขวนผนังก็เปลี่ยนใจ มันหกโมงกว่าแล้ว จ้าวจอมต้องตื่นไปโรงเรียน

                “ตื่นได้แล้ว เดี๋ยวก็ไปโรงเรียนสายหรอก”

                เขามั่นใจว่าเสียงที่ใช้ปลุกไม่ได้ดังเท่ากับเสียงไก่ขัน แต่ศีรษะที่ฟุบบนอกเคลื่อนไหวรวดเร็ว มันยกขึ้นแทบจะทันที สีหน้างงงวยของเด็กหนุ่มชวนขำ

                จ้าวจอมกวาดตามองไปรอบๆ อย่างงงๆ แต่ไม่กี่วินาทีก็รู้ตัวว่ากำลังนอนกอดเขาอยู่

                “เฮ้ย!”

                พันนาเกือบหลุดหัวเราะตอนที่ไอ้เจ้าเด็กดื้อไถลตัวไปอีกฝากของเตียงจนต้องตกใจอีกรอบเพราะก้นเฉียดหล่นขอบเตียงไปนิดเดียว ผิวหน้าขาวมีริ้วแดงปรากฏขึ้นแล้วมันก็ลามไปที่ใบหูรวดเร็ว จ้าวจอมลุกขึ้นกระโดดพรวดเดียวไปถึงตู้เสื้อผ้า คว้าผ้าขนหนูที่พาดบนขอบพนักพิงเก้าอี้ใกล้ตู้แล้ววิ่งออกจากห้องไปทันที

                “หึ หึ ไอ้เด็กบ๊อง”

               

                รถญี่ปุ่นสีดำจอดเทียบฟุตบาทหน้าโรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัดตอนเจ็ดโมงครึ่ง เด็กหนุ่มเร่งร้อนปลดสายเซฟตี้เบลล์แต่ดูเหมือนอะไรๆ จะไม่เป็นใจสักเท่าไร เพราะกดจนนิ้วแดงมันก็ยังไม่ยอมปลดล็อก ร้อนถึงเจ้าของรถที่ต้องเอื้อมตัวมาช่วย

                “ไม่ต้องๆ ผมปลอดเอง” จ้าวจอมปฏิเสธ พยายามเบี่ยงตัวหนี

                “อยู่เฉยๆ เถอะน่า ดิ้นเป็นไส้เดือนโดนขี้เถ้าแบบนี้เมื่อไรจะปลดได้” พันนาเอ็ด ใบหน้าก้มต่ำลงอยู่แถวหน้าอก อดไม่ได้ที่เหลือบดูแทบชื่อที่ปักด้วยด้ายสีน้ำเงิน นายจ้าวจอม อุดมสุข ม.6/2 “เอ้า เสร็จแล้ว”

                “ขะ...ขอบใจ”

                หลังขอบคุณเสร็จ นายจ้าวจอมก็เปิดประตูออกมายืนบนฟุตบาท ทำท่าพนมมือไหว้ขอบคุณ ก่อนจะเดินห่างออกไป แต่แค่ไม่กี่ก้าวคนในรถก็เห็นว่ามีเด็กผู้ชายสามสี่คนเข้ามากอดคอพูดคุยหยอกล้อกับจ้าวจอม มันเป็นเรื่องปกติของเด็กในวัยนี้ แม้แต่นักศึกษามหาวิทยาลัยแบบเขายังเดินกอดคอกับเพื่อนฝูงเลย แต่ไม่รู้ทำไมถึงมองไม่ยอมละสายตาแบบนี้ กระทั่งแผ่นหลังเล็กหายเข้าไปในรั้วโรงเรียนถึงได้รู้สึกปวดเปลือกตา

                เพราะคิดว่าจ้าวจอมเป็นน้องชาย?

                ก็เลยเป็นห่วง?

                เป็นห่วง?

                ทำไมต้องเป็นห่วง

                หลากหลายคำถามผุดขึ้น ซึ่งแต่ละคำถามพันนาก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เหมือนกัน

                แต่ที่งงไปมากกว่านั้นคือทำไมเขาต้องมาจอดที่หน้าโรงเรียนเดิมตอนบ่ายสามสี่สิบห้าด้วย...พันนาสับสนกับตัวเองนัก

                พอส่งจ้าวจอมเสร็จ เขาก็กลับบ้าน คุยเล่นอยู่กับพ่อแม่ได้สักพักก็ขับรถไปหารชตที่ยังพักอยู่โรงแรมกับครอบครัว พวกเขาปรึกษากันเรื่องงานบวช โดยที่พันนาไม่วายเล่าเรื่องที่พิกุลมาหาด้วย รชตทำหน้าตกใจนิดหน่อย แล้วบอกว่าพิกุลก็มาหาตนเหมือนกัน

                ‘เขาไม่ได้น่ากลัว แต่กูก็ยังกลัวเขาอยู่ดี เขาบอกว่าถ้ากูปฏิบัติตนดี เขาจะยอมยกโทษให้ และหวังว่าชาติหน้าจะได้เกิดเป็นเพื่อนกันจริงๆ’

                รชตน้ำตาคลอ เพราะรชตเองก็รู้อดีตชาติของตนเหมือนกัน บาปกรรมที่ก่อไว้กับพิกุลหนักหนาไม่น้อย

                จากนั้นเขาก็นั่งกินกาแฟในร้านดัง ตาก็คอยมองนาฬิกาจนเข็มสั้นมาถึงที่เลขสาม เข็มยาวอยู่ที่เลขเก้า เขาก็ขับรถมาที่โรงเรียนนี้ รออยู่ไม่กี่นาทีก็เห็นร่างของเด็กหนุ่มคุ้นตาเดินปะปนมากับเหล่าเด็กนักเรียนที่สวมเครื่องแบบเหมือนกันอีกหลายร้อยคน

                คิ้วหนาขมวดเข้าหากันโดยอัตโนมัติ เมื่อเช้าเขาไม่เห็นเด็กผู้หญิงเข้ามาใกล้ชิดกับจ้าวจอม แต่เย็นนี้เขาเห็นเด็กผู้หญิงผมบ๊อบสั้น หน้าตาน่ารักเดินเคียงข้างมากับจ้าวจอม เธอหัวเราะเบาๆ ขณะที่จ้าวจอมยิ้มบางๆ เด็กสาวสะพายกระเป๋าเป้สีดำใบใหญ่ สวมเครื่องแบบนักเรียนผู้หญิง ไม่ห่างกันคือกลุ่มเด็กผู้ชายที่หัวเราะหยอกล้อกับจ้าวจอม

                จู่ๆ ลมหายใจก็เปลี่ยนไป มันสั้นและถี่ขึ้น อารมณ์ไม่คงที่ ความมึนงงกลายเป็น...หงุดหงิด

                เขาเห็นจ้าวจอมโบกมือลาเด็กสาวคนนั้น เธอยิ้มกว้างโบกมือกลับเร็ว แล้วก้าวขึ้นรถยนต์สีขาวไป จ้าวจอมหันมาคุยกับเพื่อนๆ โดยไม่สังเกตเห็นรถยนต์สีดำที่จอดอยู่ห่างจากแผงขายลูกชิ้นไปแค่เมตรเดียวสักนิด ความหงุดหงิดอย่างที่หาสาเหตุไม่ได้ดูเหมือนว่าจะมีมากขึ้นกว่าเดิม รู้สึกร้อนในอกแปลกๆ

                พันนาถอนหายใจหนักๆ สั้นๆ กดฝ่ามือไปที่ปุ่มแปร ได้ผล เพราะนอกจากจ้าวจอมแล้ว เด็กที่อยู่บนฟุตบาทก็หันมามองรถตนเป็นตาเดียว

                ใบหน้าขาวมีแววแปลกใจ ดวงตาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปอำลาเพื่อนผู้ชายแล้วก้าวยาวๆ มาที่รถ

                กระจกรถยนต์ไขลงช้า พันนาส่งสายตาให้จ้าวจอมเข้ามานั่ง แม้จะยังไม่หายแปลกใจแต่จ้าวจอมก็ยอมเปิดประตูเข้ามานั่ง ทันทีที่ก้นสัมผัสกับเบาะนุ่ม ใบหน้าปะทะกับลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศคำถามก็เกิดขึ้น

                “พี่มาทำอะไรอีกอ่ะ”

                พันนาไม่มีคำตอบให้ เพราะเขาก็งงกับตัวเองเหมือนกัน แทนที่จะนอนตากแอร์อยู่ในบ้านหลังใหญ่ กลับทำตัวเอื่อยเฉื่อยเหมือนคุณพ่อรอรับลูกเสียนี่

                “เอ่อ...ไปหาอะไรกินกัน” แทนคำตอบกลับเป็นการชวนแทน แม้จะสับสนงงงวยแต่จ้าวจอมย่อมเห็นแก่ของฟรีมากกว่าคำตอบอยู่แล้ว

(มีต่อ)
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 16: การล่ำลาของพิกุล] 10/01/2563
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 10-01-2020 20:28:51
               จังหวัดนี้ไม่ได้มีห้างใหญ่กลางเมือง แต่ร้านอาหารบรรยากาศดีๆ มีเกลื่อนไปหมด บรรดาหนุ่มสาวทั้งวัยทำงานและนักเรียนเลือกจับจองร้านที่ได้รับการรีวิวว่าดีระดับห้าดาว แถมด้วยแอร์เย็นฉ่ำจนเกือบเต็ม โชคดีที่บารมีข้าราชการของบิดาทำให้พันนาได้โต๊ะตัวที่ดีที่สุดเบื้องหน้า หลังกระจกแผ่นใหญ่คือแม่น้ำสายประวัติศาสตร์

                จ้าวจอมไม่ค่อยได้มีโอกาสได้เข้าร้านแบบนี้นัก ทั้งเวลาและเงินในกระเป๋าไม่อำนวยสักเท่าไร เด็กหนุ่มทำตัวลีบ ค่อยๆ ลากเก้าอี้ออกมานั่ง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยากกินอะไร ตอนที่พันนาเลื่อนเมนูมาให้

                “อยากกินอะไรก็สั่งเอา พี่เลี้ยง”

                คำว่า ‘พี่เลี้ยง’ กระตุ้นมือขยับไปหยิบเมนูขึ้นมาเปิด ขณะที่พันนาเริ่มสั่งอาหารที่ตัวเองอยากกินกับพนักงานสาวใส่เสื้อลายสีดำขาวกระโปรงสั้นสีขาวสั้นแค่คืบ

                “ตกลงอยากกินอะไร”

                จ้าวจอมเหลือบมองคนถามนิดหน่อย แล้วก้มลงอ่านชื่อเมนูพร้อมรูปประกอบ หน้าตามันก็สวยดีอยู่หรอกแต่ชื่ออ่านอยากแถมยังไม่เคยลิ้มรสเลยไม่รู้ว่าอร่อยหรือไม่ เสียเวลาเปิดพลิกอยู่หลายหน้า สุดท้ายเลยถอดใจบอกไปว่าเอาเมนูเดียวกับที่พันนาสั่ง พนักงานสาวที่มีเข็มกลัดติดหน้าอกบอกชื่อตัวเองว่า ‘ติ๊ก’ คลายรอยยิ้มที่มีให้พันนาเล็กน้อย ชั่ววูบหนึ่งคล้ายกับจะแสดงความไม่พอใจทางสายตา จากนั้นก็ขยับมือไปบนสมุดเล่มเล็กและบอกให้รอสักครู่

                จ้าวจอมมองออกไปนอกกระจก แดดในยามบ่ายแก่ๆ ยังส่งแสงกล้า ส่องกระทบกับผืนน้ำจนเป็นประกายระยิบระยับ อีกฝากหนึ่งของแม่น้ำคือผู้คนที่ใช้ชีวิตประจำวัน ดูแล้วเพลินตา จ้าวจอมดึงโทรศัพท์ในกระเป๋าออกมากดเล่น เปิดอ่านข้อความกลุ่มไลน์ของห้อง ม.6/2 แล้วก็หลุดขำเมื่อเพื่อนตัวแสบประจำห้องส่งคลิปโป๊มาในกลุ่มที่มีจำนวนสมาชิกร่วมสี่สิบคน คาดว่าน่าจะเป็นการส่งผิดกลุ่ม หลังจากอ่านข้อความประณามเจ้าของคลิป เขาก็เปิดอ่านไลน์จากเพื่อนคนอื่นที่ส่งมาให้แบบส่วนตัว หนึ่งในนั้นคือ ‘น้ำหวาน’

                ‘ถึงบ้านหรือยัง’

                ข้อความสั้นๆ พร้อมกับสติ๊กเกอร์รูปหมีถือหัวใจ ทำให้เขาต้องอมยิ้มอีกรอบ น้ำหวานเป็นเพื่อนร่วมห้อง แถมยังเป็นมือคทาของโรงเรียนอีกด้วย เธอหน้าตาน่ารัก ดวงตากลมใสเหมือนลูกกวาง ผมสั้นแค่คอ ตัวเล็กแต่มีสัดส่วนน่ามอง ผิวพรรณผุดผาด ไม่แปลกเลยที่เธอจะได้รับคัดเลือกให้เป็นคนถือคทาของโรงเรียน

                แต่แน่นอนว่าเธอกับเขายังคงเป็นแค่เพื่อนร่วมชั้นกันเท่านั้น

                “ยิ้มอะไรอยู่ อาหารมาแล้ว”

                เสียงจากคนเบื้องหน้าดังขึ้น ดึงความสนใจให้หลุดจากโทรศัพท์มือถือได้ จ้าวจอมเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกง เอียงคอมองเมนูอาหารที่ตนสั่งไป

                “อะไรอ่ะ”

                พันนาถอนหายใจ “คาปูปั่น กับทีรามิสุ”

                จ้าวจอมพยักหน้า ไอ้เจ้าคาปูปั่น มันชื่อเดียวกับน้ำปั่นรถเข็นที่หน้าโรงเรียน แต่หน้าตาต่างกันลิบลับ คาปูชิโนปั่นแก้วนี้ ดูสวยหรู ด้านหน้ามีฟองนมและโรยด้วยผงกาแฟ ไอเย็นเกาะรอบแก้ว ส่วนทีรามิสุที่ว่าคือเค้กสีน้ำตาล มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นเมนูขนมสำหรับคนโต และที่สำคัญเขายังไม่เคยกิน

                จ้าวจอมลองชิมคาปูชิโนปั่นก่อน รสชาติของมันดีเยี่ยมสมกับที่อยู่ในร้านบรรยากาศดี หวานไม่มากแต่เข้มข้นดี ทว่าถ้าเทียบความอร่อยชื่นใจก็ไม่ต่างจากน้ำปั่นแก้วละสิบบาทหน้าโรงเรียนนัก พอได้น้ำหวานๆ ขมๆ ลงไปลองกระเพาะก็ชักอยากจะกินขนมเค้กขึ้นมา จ้าวจอมลอบสังเกตพันนาก่อน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายค่อยๆ ละเมียดกินแล้วไม่มีปฏิกิริยาน่ากลัวก็ใช้ช้อนคันเล็กลงไปในเค้กสีน้ำตาลของตัวเองดูบ้าง

                รสหวานกำลังดี หอมไปด้วยกลิ่นกาแฟมันละมุนลิ้นได้อย่างอัศจรรย์ จ้าวจอมสาบานว่ามันเป็นขนมอร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมา เด็กหนุ่มตาโต ความหวานเจือด้วยรสขมนิดๆ มันกระตุ้นให้มือตักคำต่อไปเข้าปาก เขาไม่ได้ค่อยๆ ละเมียดตักกินเหมือนพันนาแต่กลับจ้วงเอาๆ รู้ตัวอีกทีจานก็ว่างเปล่าเสียแล้ว

                ลิ้นสีชมพูกวาดตวัดไปรอบริมฝีปาก ด้วยนึกเสียดายครีมหวานๆ หอมๆ ที่อาจจะติดอยู่รอบปาก

                “อร่อยเหรอ” พันนาถาม นึกขำท่าทางอร่อยเกินจริงของเด็กหนุ่มตรงหน้า แต่กลับรู้สึกแปลกๆ ที่เห็นลิ้นเล็กตวัดเลียครีมตามมุมปาก ช่วงท้องวูบวาบจนต้องแอบสูดหายใจยาวอยู่หลายครั้ง

                “ครับ” ศีรษะกลมผงกรับ ตาวาวเป็นประกาย หากแต่ไม่ได้จ้องมาที่เขา มันไปหยุดที่ทีรามิสุของเขาต่างหาก

                พันนาถอนหายใจ พลางชื่นจานเค้กให้ “เอาไปสิ”

                จ้าวจอมไม่ได้กล่าวขอบคุณอย่างที่ควรจะทำ หากแต่เขาก็ไม่ถือสา แค่เห็นเจ้าเด็กดื้อตรงหน้ากินอย่างมีความสุขเขาก็พอใจแล้ว

                คงเป็นเพราะการไม่มีน้องชายทำให้เขาเอ็นดูจ้าวจอมกระมัง อยากแกล้ง อยากแหย่ และอยากจะเอาใจ

                “พี่ไอ้ขนมนี่มีขายแค่ร้านนี้เหรอ” จ้าวจอมเงยหน้าถาม หลังจากตักเค้กคำใหญ่เข้าปาก

                “มีหลายร้าน แต่ร้านนี้อร่อยที่สุด อ่านรีวิวมาน่ะ” พันนาบอกตามความจริง ถึงจะเกิดในจังหวัดนี้แต่ไปเรียนที่กรุงเทพฯ เสียหลายปี เลยต้องศึกษาหาข้อมูลมาก่อน

                “อืม อืม” เด็กหนุ่มพยักหน้า “เอาไว้ให้แม่นุชทำให้กินบ้างดีกว่า”

                พันนาส่ายหัว เจ้าเด็กคนนี้คงไม่รู้ว่าส่วนประกอบและวิธีการทำทีรามิสุมันยุ่งยากแค่ไหน

                ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่าสายตาจับจ้องเด็กตรงหน้านานแค่ไหน หัวสมองว่างเปล่าไร้ความคิดไปชั่วขณะ ริมฝีปากสีสดขยับน้อยๆ ตามจังหวะการเคี้ยว มันเปื้อนคราบครีมสีอ่อน

                “กินยังไงให้เลอะขนาดนี้”

                ปลายนิ้วยื่นไปเช็ดคราบครีมที่ติดกลีบปาก หัวแม่มือสัมผัสกับเนื้ออ่อนหากแต่นุ่มหยุ่นเหมือนเยลลี่ พันนาดังมือกลับ เขาไม่รู้ตัวสักนิดว่าเผลอเอาครีมบนนิ้วเข้าปากไปแล้ว

                ตากลมกระพริบปริบๆ ริ้วแดงกระจายจากจุดเล็กกลางแก้มทั้งสองข้างลามไปถึงใบหู “พะ พี่ทำอะไรอ่ะ”

                พันนาเองก็มีอาการไม่ต่างกัน เขาไม่รู้ตัวว่าตัวเองทำท่าทางประหลาดแบบนั้นไปได้อย่างไร ใช้เวลาร่วมครึ่งนาทีกว่าจะหาคำตอบได้

                “เห็นมันเลอะน่ะ”

                “ก็บอกกันดีๆ สิ ไม่เห็นต้องเช็ดให้เลย” จ้าวจอมบ่นอุบอิบ ริ้วแดงจางลงจากผิวแก้ม แต่ใบหูยังแดงโร่ นี่แหล่ะข้อเสียของคนที่มีผิวขาวเกินไป เขินนิดเขินหน่อยหูก็แดงแล้ว

                ก่อนที่เค้กทีรามิสุคำสุดท้ายจะเข้าปากก็นึกขึ้นมาได้ว่าควรจะอวดกับเพื่อนๆ ว่าตนได้มาเยือนร้านนี้แล้ว จ้าวจอมดึงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง ถ่ายรูปวิว รูปร้าน และรูปขนมเค้กที่เหลืออีกแค่คำเดียว ไม่กี่วินาทีที่รูปลงไปในไลน์กลุ่ม ข้อความแสดงความอิจฉาก็ตามมา จ้าวจอมเผลออมยิ้มให้กับความโชคดีของตัวเอง

                ‘เค้กน่ากินจังเลย วันหลังพาเราไปบ้างนะ’

                น้ำหวาน

                ‘ได้สิ’

                จ้าวจอมกดพิมพ์ข้อความโต้ตอบกลับไป สัญญาว่าจะหาโอกาสพาเพื่อนๆ มากินบ้าง รวมทั้งน้ำหวานด้วย แล้วก็หัวเราะคิกคักกับความทะลึ่งตึงตังของเพื่อนในกลุ่มไลน์

                “เหลืออีกคำเดียว ทำไมไม่กินสักทีล่ะ เย็นแล้ว”

                จ้าวจอมเงยหน้ามองคนพูด ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แค่หัวคิ้วเข้มคล้ายกับจะขมวดนิดๆ มุมปากที่มักจะยกขึ้นน้อยๆ เรียบเป็นเส้นตรง จ้าวจอมรีบตักขนมเค้กคำสุดท้ายเข้าปาก เคี้ยวเร็วๆ แล้วยกแก้วกาแฟปั่นขึ้นดูด

                “เสร็จแล้ว”

                พันนาไม่ได้พูดอะไรต่อ กวักมือเรียกพนักงานมาคิดเงิน หลังจากได้รับเงินทอนแล้วก็ลุกขึ้นออกจากเก้าอี้ทันทีโดยไม่คิดจะบอกอีกคน

                จ้าวจอมยกมือขึ้นเกาหัวเกือบเกรียนของตัวเอง ถึงจะไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย แต่ก็พอมองออกว่าพันนากำลังไม่พอใจ ทว่าจะเรื่องอะไรก็ยากที่จะหาคำตอบ...

 

                ร่างใหญ่นอนพลิกตัวเป็นครั้งที่สาม เกือบจะเที่ยงคืนแล้ว แถมพรุ่งนี้ต้องตื่นไปงานบวชแต่เช้า ทว่าเปลือกตายังแข็งทื่อ สมองเต็มไปด้วยความคิดวนเวียนถึงใครบางคน

                หลายวันแล้วที่เขาไม่ได้เห็นใบหน้าขาวราวกับไม่เคยถูกแดด กับดวงตากลมใสเหมือนลูกกวาง ครั้งสุดท้ายที่ได้สนทนากัน แม้จะไม่มีความขัดแย้งใดๆ แต่รอยยิ้มที่เหมือนจะฝืนออกมา มันทำให้หงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก

                เขาไม่ได้รังเกียจเกย์ นั่นคือความสัตย์จริง

                เขาไม่ได้รังเกียจกุมภ์ ภาพที่เจ้าตัววิ่งฝ่าความมืดมากับไฟฉายหนึ่งกระบอก ไม่มีเวทมนต์ หรือความสามารถในด้านใดที่จะช่วยเหลือเขาได้ นอกจากฝีเท้าที่และความกล้าหาญ มันยังคงติดอยู่ในความทรงจำ มีไม่กี่คนหรอกที่จะบ้าบิ่นได้เท่ากับกุมภ์ แม้แต่ไอ้จอมตัวแสบมันยังไม่กล้าเผชิญหน้ากับเสือเลย

                ที่สุดก็ทนหงุดหงิดกับอาการจี๊ดๆ ในอกข้างซ้ายไม่ไหว จำต้องลุกขึ้นมายืนเกาะขอบหน้าต่าง ทอดสายตามองความมืด เงาดำตะคุ่มของต้นไม้สร้างจินตนาการหลอกมนุษย์ขวัญอ่อนได้ดีนัก ชายหนุ่มถอนหายใจยาว เพราะอะไรกันที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนทำอะไรผิดจนนอนไม่หลับมาหลายคืนติดแบบนี้

                ดาวบนท้องฟ้ากระจายเกลื่อน กลุ่มดาวลูกไก่ที่ปู่เคยสอนเด่นที่สุด มันสดใสเป็นประกายเหมือนแก้วตาของใครบางคน

                กุมภ์

                ลมหายใจสะดุดลงเมื่อเผลอคิดถึงกุมภ์อีกจนได้ ร่างหนาใหญ่หมุนกลับเข้าไปในบ้าน มวนยาสูบที่ทำจากกลีบดอกบัว กรรมวิธียุ่งยากแทบจะหาซื้อไม่ได้ โชคดีที่ยายช้อยทำเอามาฝาก รสชาติของมันดีเยี่ยมกว่ายาสูบในตลาดเป็นไหนๆ ไม่ฝาดเฝื่อนหากแต่หอมละมุนชวนผ่อนคลาย ไฟแช็กราคาถูกสว่างวาบในความมืด ปลายไฟลามเลียมวนยา ควันสีขาวลอยขึ้นช้าๆ โหรสูดเอากลิ่นหอมของยาสูบกลีบบัวไว้ในปอด แล้วผ่อนออกมาเป็นควันขาวผ่อนริมฝีปาก วางข้อศอกไว้บนขอบหน้าต่าง นิ้วมือคีบมวนยาสูบ ปล่อยขี้เถ้าตกลงพื้นดินเบื้องล่าง

                ขณะปลดปล่อยอารมณ์ไปกับกลิ่นหอมของยาสูบ หางตาก็เห็นการเคลื่อนไหวผิดปกติของบางอย่าง

                ชายผ้าสีขาวตุ่น ลอยเรี่ยเหนือผืนดิน

                พิกุล

                ‘สมัยนี้ยังมีคนสูบยาสูบจากกลีบบัวอยู่อีกหรือ?’

                น้ำเสียงเย็นเยียบชวนขนหัวลุกดังขึ้น ไม่ได้มาจากทิศทางไหน หากแต่มันดังอยู่ในหัวของเขาเอง พิกุลสื่อสารผ่านทางจิต

                “ก็ยากแล้วล่ะ แล้วเธอมีธุระอะไร” โหรเอ่ยถาม ร่างของพิกุลมาอยู่ตรงหน้าพอดี ใบหน้าของเธอยังคงขาวซีดไร้สีเลือด เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ยังสกปรกไม่ต่างจากเดิม ทว่าโหรสัมผัสได้ถึงแรงแค้นในจิตของเธอที่อ่อนกำลังลงมาก ดวงตาสีดำใหญ่มองมาที่เขา ก่อนที่ริมฝีปากจะแย้มน้อยๆ

                ‘คิดถึง คุณเหมือนพี่แผนมากจริงๆ ฉันอดคิดถึงอดีตไม่ได้’

                โหรถอนหายใจ ตอนที่ได้เห็นภาพในอดีตของเธอ เขาไม่ได้สังเกตว่าคนที่ชื่อแผนรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ถ้านิสัยคงต่างจากเขาลิบลับ

                “ผมไม่ได้สืบทอดเชื้อสายมาจากพี่แผนอะไรนั่น”

                ‘ฉันรู้ เขาไปอยู่บางกอก ฉันเคยไปตามเขาด้วยนะ แต่เขาไม่เห็นฉัน แล้วเขาก็แต่งงานใหม่กับผู้หญิงบางกอก’

                “คุณไม่โกรธเขาเหรอ”

                ‘โกรธสิ แต่เขามีของดีคุ้มครอง พระเก่าแก่น่ะ ฉันเลยเข้าถึงตัวเขาไม่ได้ ฉันได้แต่ทนมองภาพเขาแต่งงานไปกับผู้หญิงอื่นที่ไม่ใช่ทั้งฉันหรือชบา’ ดวงตาสีดำคู่ใหญ่คล้ายมีแววโศกเศร้า ‘ความเจ็บปวดจากความรักที่ไม่สมหวังมันทรมานมาก ขนาดฉันตายไปแล้ว น่าจะไร้ความรู้สึกแต่ฉันกลับเจ็บปวดเหมือนหัวใจถูกฉีกทึ้ง ฉันกรีดร้องอยู่นานแต่ไม่มีใครได้ยิน’

                “นี่มาเพื่อจะมาเล่าอดีตให้ฟังหรือไง” โหรถาม เขาไม่อยากได้ยินอดีตของใคร พลางส่งยาสูบเข้าปาก หากใครมาเห็นการสนทนาของเขากับผีพิกุลคงได้หัวใจวายกันบ้าง มนุษย์คืนคุยกับผีสาวบนชั้นสองของบ้าน แถมยังสูบยาอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวอีกด้วย

                ‘เปล่า ฉันจะมาลา’

                “อะไรกัน ยังไม่ได้บุญเลย จะลาแล้วหรือ?” คิ้วหนาเลิกสูง

                ‘ฉันคงไม่ได้หาคุณอีกแล้ว เลยอยากจะขอบคุณที่คุณช่วยเหลือฉันจากไอ้เวก’ พิกุลยิ้มเศร้า ‘ถ้าไม่ได้คุณฉันคงจะวนเวียนอยู่กับความแค้นไปอีกนาน คำสอนของคุณช่วยฉันได้มาก น่าเสียดายที่ตอนเป็นคนฉันไม่เคยศึกษามันเลย’

                “พรุ่งนี้ก็ไปที่วัดสิ พระท่านจะเทศน์ให้ฟัง”

                ‘ฉันเป็นผีนะ เข้าวัดไม่ได้’ พิกุลยิ้มบาง เส้นผมยาวดูเหมือนจะสลวยขึ้นกว่าครั้งล่าสุดที่ได้เจอปลิวไปตามแรงลมอ่อนในยามค่ำคืน พิกุลเป็นคนสวย โดยแทบไม่ต้องปรุงแต่งเหมือนสาวๆ สมัยนี้ น่าเสียดายที่เธออายุสั้นนัก แต่ก็อย่างว่า อดีตกลับไปแก้ไขไม่ได้

                “ทำไมจะเข้าไม่ได้ล่ะ เขาบวชให้คุณ”

                ‘...นั่นสินะ’ ผีสาวเอียงคอ ดวงตาสีดำของเธอราวกับจะเจาะลึกเข้ามาในความคิด ‘ไปขอโทษเขาสิ’

                โหรเลิกคิ้ว “ขอโทษใคร?”

                ‘ก็คนที่ทำให้คุณต้องมายืนสูบยาอยู่นี่ไง’ พิกุลยิ้มอีกแล้วแต่คราวนี้เขารู้สึกว่าเธอเจ้าเล่ห์และ...รู้ทัน ‘เด็กคนนั้นเป็นคนดีนะ ฉันเห็นตอนที่เขาวิ่งไปหาคุณ’

                “อย่ามาเจาะความคิดผมจะได้ไหม” โหรปรามสุภาพ “ผมไม่ได้ทำผิดอะไร”

                ‘…สุดแต่ใจของคุณเถอะ อย่าเอากฎบ้าๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้นมากีดกันตัวเองเลย แค่ทำไปตามความรู้สึกก็พอ’ พิกุลยิ้มเรี่ยราด จนคนมองชักจะหงุดหงิดแม่ผียิ้มเก่ง ‘ฉันไปล่ะ พรุ่งนี้จะไปฟังพระเทศน์’

                โหรถอนหายใจ เป็นผีนี่ดีจริงไม่ต้องเดินให้เมื่อย ไม่ต้องใช้รถให้เปลืองน้ำมัน อยากจะไปไหนก็ไปได้ ยาสูบหมดไปเกือบครึ่งทั้งที่เพิ่งสูบไปแค่สามที โหรปล่อยมันตกลงพื้น น้ำค้างดับเปลวไฟให้ดับลงเหลือแค่ควันสีขาวลอยบางเบาแล้วจางหายไปในอากาศ

                แค่ทำไปตามความรู้สึกอย่างนั้นหรือ....เป็นผีที่รู้มากเสียจริง

                โหรส่ายหัวให้กับคำพูดเชิงปรัชญาของผีสาว...แต่ก็น่าแปลกที่ก้อนเล็กๆ ที่ถ่วงในอกมันเหมือนจะหายไป...

               

                งานบวชของพันนาและรชตไม่ได้ใหญ่โต มีแค่ญาติบางคนกับเพื่อนสนิทเท่านั้นที่ถูกเชิญให้มาร่วมงาน เมื่อวันก่อน พันนากับรชตต้องสวมชุดขาว ศึกษาบทสวดต่างๆ ไม่มีทำขวัญนาคเหมือนงานบวชทั่วไป หากแต่ใช้การปลงผมในวันที่ทั้งสองจะบวชโดยมีหลวงตาอิ่ม ตาของจ้าวจอมเป็นผู้ขลิบปลายผม จากนั้นก็พ่อแม่พี่น้อง และญาติๆ

                พิธีเรียบง่ายไม่ยุ่งยาก ไม่มีเพลงเสียงดัง ไม่มีเหล้ายาปาร์ตี้ หากแต่ผู้มาร่วมงานต่างก็อิ่มใจที่ได้เห็นทั้งสองอยู่ในผ้าเหลือง กำหนดการบวชมีระยะเวลานานถึงหนึ่งเดือน หลังจากใส่บาตรพระสงฆ์ใหม่แล้ว หลวงตาอิ่มก็เทศน์สอนพระธรรมบนศาลา โดยมีพระทั้งสองรูป และผู้ร่วมงานอีกไม่กี่คนที่อยู่ร่วมฟัง หนึ่งในนั้นคือโหร

                โหรมาร่วมงานตั้งแต่เช้า ได้ปลงผมนาคด้วย เขาเคยผ่านพิธีนี้มาแล้ว แต่ญาติพี่น้องมีแค่ไม่กี่คนนับนิ้วมือยังเหลือด้วยซ้ำ เขาเลือกที่นั่งอยู่บริเวณหลังศาลา ถึงจะอยู่ห่างจากหลวงตาอิ่ม แต่เสียงแหบของท่านก็ดังชัดเจนดี ศาลาหลังขนาดกลาง พื้นไม้สักโบราณขัดเงาจนเป็นสีน้ำตาลเข้ม หลังคาเพิ่งจะถูกเปลี่ยนจากสังกะสีเป็นกระเบื้องแข็งแรงได้ไม่กี่ปี เสาก็เป็นไม้ต้นใหญ่เงาวับ หลวงพ่อนั่งบนโต๊ะไม้ที่สูงอย่าพื้นศาลาเล็กน้อย ดวงตานิ่งสงบมองมายังพระใหม่ทั้งสอง เพียงชั่วประเดี๋ยวก็มองเลยมาทางเขา

                แต่ท่านไม่ได้มองเขา

                และเขารู้ดีว่าท่านมองใคร

                เสียงคำสอนของหลวงอิ่มดังสม่ำเสมอ ถึงไม่มีเครื่องเสียงเพราะวัดนี้ไร้ไฟฟ้า แต่ทุกคนก็ตั้งใจฟังดี โดยเฉพาะพระใหม่ทั้งสองรูป โหรกวาดไล่สายตาไปเรื่อยๆ กระทั่งมาอยู่ที่แผ่นหลังไม่กว้างไม่เล็กของใครบางคน

                ใครบางคนที่ทำให้เขานอนหลับไม่สนิทอยู่หลายคืน

                กุมภ์สวมเสื้อยืดสีขาวกับกางผ้าสีอ่อน นั่งอยู่เบื้องหน้าของเขาพอดี แต่ห่างกันหลายช่วงตัว เขาเห็นกุมภ์ทักทายทุกคนด้วยรอยยิ้มสดใส แม้แต่กับเขาเอง กุมภ์ก็ยังกล่าวสวัสดีด้วยท่าทางที่ปกติ แล้วหลังจากนั้นเจ้าตัวก็ไปอยู่กับครอบครัว ไม่ได้หันมามองเขาสักนิด

                น่าหงุดหงิดชะมัด เขาทำอะไรผิด ทำไมต้องเมินกันด้วย

                หัวคิ้วข้างขวากระตุก เมื่อจู่ๆ คำว่า ‘เมิน’ ก็ผุดขึ้นมา

                หลายครั้งแล้วที่เขาพยายามกำจัดความรู้สึกบ้าๆ นี่ออกไป มันรบกวนจนเขาเกือบจะสวดมนต์ไม่ได้ ถึงคำแนะนำของพิกุลจะคลายอาการหน่วงในอกลงได้ แต่กลับขจัดเรื่องของกุมภ์ไม่ได้

                กระทั่งหลวงตาอิ่มเทศน์จบ ทุกคนทยอยเดินออกจากศาลา ส่วนพระใหม่ต้องอยู่ปฏิบัติธรรม โดยที่ญาติห้ามมาเยี่ยม ทำได้แค่เพียงรอตักบาตรในตอนเช้าเท่านั้น พันนาและรชตดูผ่องใสในผ้าเหลือง ซึ่งนั่นคือเรื่องดี

                โหรเดินออกมาเงียบๆ และหยุดนั่งที่ใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่ เก่ามากเสียจนทางการลืมสำรวจ ต้องใช้เงินจากชาวบ้านมาช่วยกันทำนุบำรุง ต้นไม้ใหญ่เก่าแก่ยังคงให้ร่มเงาภายใต้อาณาเขตอภัยทานแห่งนี้ พระสงฆ์มีไม่ถึงสิบรูป กุฏิก็อยู่ห่างกัน ป่าช้าอยู่หลังวัด หลุมศพแบบที่คนสมัยก่อนใช้ฝังคนตายยังมีให้เห็น รวมถึงเชิงตะกอน และวัดนี้ไม่มีเมรุ

                คนอื่นๆ ออกไปจากวัดบ้างแล้ว เสียงล้อรถยนต์บดกับดินกรวด ส่วนเขาคงจะต้องพึ่งสองเท้า เพราะวัดกับบ้านห่างกันแค่สามกิโล ยังไม่ทันได้เหงื่อก็ถึงบ้านแล้ว

                “ยังไม่กลับเหรอครับ”

                เสียงทุ้มดังเบาๆ เหนือศีรษะ โหรเงยหน้าขึ้นมอง แปลกใจเล็กน้อยที่เห็นกุมภ์ เขาคิดว่าเจ้าตัวกลับไปพร้อมกับครอบครัวแล้ว

                “กำลัง แล้วคุณล่ะทำไมยังไม่กลับ” โหรถามกลับบ้าง

                “กลับด้วยกันไหม”

                ไม่มีเหตุผลที่ต้องปฏิเสธ ม่านความรู้สึกเลื่อนออกช้าๆ โหรเดินตามร่างกึ่งโปร่งไปยังรถยนต์สีขาวสะอาด ซึ่งก็ดูเหมาะกับเจ้าของดี

                ในชีวิตไม่ค่อยได้สัมผัสกับยานพาหนะประเภทนี้นัก อย่างดีก็รถกระบะแบบแค็บ กินฝุ่นกินควันกันไป กุมภ์เข้าไปในรถเปิดเครื่องยนต์และแอร์ให้ความเย็น กลิ่นหอมจากน้ำยาปรับอากาศเย็นสดชื่น แต่โหรไม่ถูกกับไอเย็นแบบนี้นัก มันมักจะทำให้หลับก่อนจะถึงจุดหมายทุกที

                กุมภ์ขับรถไปตามทางลูกรังขรุขระ รถยนต์เอียงซ้ายทีขวาทีเพราะต้องคอยหลบหลุมที่ถูกน้ำขังจนเป็นแอ่งเล็กๆ สองข้างทางคือนาข้าวที่กำลังจะเป็นสีเหลือง แดดในยามสายจัดเจิดจ้าจนแสบตา แต่ชาวบ้านหลายคนยังคงตากแดดตากลมอยู่กลางไร่กลางนาทำมาหากิน

                “ให้ผมไปส่งที่บ้านเลยไหม หรือคุณจะแวะทำธุระที่อื่น?”

                “ผมไม่เคยมีธุระที่อื่นหรอก” โหรบอก “กลับบ้านเลย”

                ระยะทางแค่สามกิโล แต่กลับใช้การเดินทางร่วมครึ่งชั่วโมงเพราะถนนไม่อำนวยกับรถยนต์ราคาแพงเสียเท่าไร ความเร็วเลยถูกจำกัดไว้แค่ 20-30 กิโลเมตรเท่านั้น

                บ้านสองชั้นค่อนข้างเก่าตั้งอยู่บนพื้นที่ไร่กว่าๆ รายล้อมด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ ที่ถูกไม่ค่อยจะเป็นระเบียบนัก ว่านหรือสมุนไพรต่างๆ ถูกปลูกไว้หน้าบ้าน ส่วนไม้ใหญ่อยู่หลังบ้าน ที่แปลกตาไม่เข้าพวกคงจะเป็นกอดาวกระจายที่ขึ้นเหลืองอร่ามอยู่ใกล้ๆ กับเสาบ้าน

                “ขอบคุณนะครับ” โหรกล่าวขอบคุณผู้มากน้ำใจ กุมภ์ไม่พูดอะไรได้แค่พยักหน้ารับเท่านั้น มือหนายังจับอยู่ที่บานประตูแม้จะเท้าจะลงมาสัมผัสกับพื้นแล้วก็ตาม ในคออึกอักคล้ายกับจะอยากพูดอะไรบางอย่าง

                แค่ทำตามไปตามความรู้สึก

                “อยู่คุยกันหน่อยได้หรือเปล่า”


 :ling3:
*อย่าตีเลา เลาแก่แล้ว*
 
**ขออภัยที่หายไปนานจ้า มันเหนื่อยๆ ล้าๆ ทั้งที่ปีใหม่ก็ไม่ได้ไปไหน แต่เหนื่อยอย่างบอกไม่ถูก 55555**

***ดีใจที่เห็นมีคนเอาไปรีวิวในทวิตเตอร์ กราบงามๆ เลยค่า***

****ถ้าหากบทพระ-นาย ไม่ดี หรือการโยงเรื่องความรักไม่ดี อย่าโกรธกันเด้อ****

*****โปรดติดตามตอนต่อไป*****
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 16: การล่ำลาของพิกุล] 10/01/2563
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 10-01-2020 21:22:20
ทั้งตอนนี้ยกให้พิกุลเลย
ทุกคนที่หล่อล้วนหน้าตาเหมือนพี่แผน5555555
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 16: การล่ำลาของพิกุล] 10/01/2563
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 10-01-2020 22:38:02
เรื่องร้ายๆ จะได้จบลงสักที ยกเว้นเรื่องของหัวใจ
ยายพิกุลผีบ้า แอบไปอ่านความคิดคนอื่นอยู่ได้
พูดแล้วก็เขิน อิอิอิ แต่ก็ดีที่ทำให้โหรเปิดใจ

ขอคุณที่มาต่อ ถึงจะรอนานไปหน่อยก็ไม่ว่า
ถ้ามาลงบ่อยๆ ตรุษจีนนี้ขอให้ไรท์ได้แต๊ะเอียซองใหญ่ๆ
 :z2: :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 16: การล่ำลาของพิกุล] 10/01/2563
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 10-01-2020 22:43:42
อ๊ายยย ค้างเลยย. พิกุลน่ารัก 555555
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 16: การล่ำลาของพิกุล] 10/01/2563
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 10-01-2020 22:45:20
โหรลุยเลย
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 16: การล่ำลาของพิกุล] 10/01/2563
เริ่มหัวข้อโดย: yaoigirl ที่ 11-01-2020 08:31:49
ต่อไปก็เป็นช่วงเคลียร์ปัญหาหัวใจแล้ว
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 16: การล่ำลาของพิกุล] 10/01/2563
เริ่มหัวข้อโดย: valenna yy ที่ 11-01-2020 15:12:16
พี่โหรอย่าดุสิ~
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 16: การล่ำลาของพิกุล] 10/01/2563
เริ่มหัวข้อโดย: Gimlongdeep ที่ 11-01-2020 21:23:08
ดีใจที่พิกุลปลงได้น่าสงสารนาง รออ่านคู่โหรมากๆเลยค่ะ รออ่านอยู่นะคะเป็นกำลังใจให้ค่ะ อยากฟังเขาคุยกันจังเลยยย555555 :hao3:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 16: การล่ำลาของพิกุล] 10/01/2563
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 11-01-2020 21:42:24
รีบๆเปิดใจกันสักที
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 16: การล่ำลาของพิกุล] 10/01/2563
เริ่มหัวข้อโดย: cho_co_late ที่ 11-01-2020 22:47:19
หลังจากลาออกจากการเป็นผีร้ายก็กลายมาเป็นผีแม่สื่อสินะพิกุล ฮ่าาาๆ
พี่โหรกระสักระส่ายขนาดนี้ ต้องพัฒนาความสัมพันธ์หน่อยนะพี่
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 16: การล่ำลาของพิกุล] 10/01/2563
เริ่มหัวข้อโดย: u_cosmos ที่ 11-01-2020 23:35:09
พิกุลตอนเป็นคนนอกจากหน้าตาดีแล้วนิสัยก็น่าจะดีระดับนึงเลย
ขอให้ได้ไปดีไวๆ
พี่โหรรุกน้องไปเลยเถอะ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 16: การล่ำลาของพิกุล] 10/01/2563
เริ่มหัวข้อโดย: BojunyiXiao ที่ 11-01-2020 23:39:19
ไรท์ทำให้เราต้องสมัครเข้ามาเพื่อคอมเม้นมน์เลย555555
คือนิยายสนุกมากๆเลยค่ะ ลุ้นจริงๆ แล้วก็เดาไม่ได้ด้วย
เราอยากอ่านอะไรแบบนี้มานานมาก แต่ไม่ค่อยเจอเลยค่ะ โดยเฉพาะวาย^^
ปล.เป็นกำลังใจในการเขียนนิยายให้ไรท์น้าาา จุ๊บเหม่งๆ ขอบคุณมากๆค่ะ
 
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 16: การล่ำลาของพิกุล] 10/01/2563
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 12-01-2020 05:32:17
พิกุลมารับบุญแล้ว อาจจะยังไม่ได้ไปเกิดใหม่
แต่ก็สะสมไว้ จะได้เกิดใหม่ไวๆ นะ
ขนาดเป็นพิกุลก็ยังไม่เว้นมาแหย่โหร

โหรก็นิ่งมากจ้า มีเถียงและดุไปอีก
ก็ใช่ตามพิกุลบอกนะ ทำตามความรู้สึก
แล้วตอนนี้พี่ก็จะเริ่มเคลียร์ใจแล้วใช่ไหม
ถึงชวนน้องขึ้นบ้าน อย่าเผลอไปทำไรน้องล่ะ

เอ็นดูกุมภ์ อยากอยู่ด้วย เลยมาชวนใช่ไหม

ตลกพันนา เคลียร์ตัวเองก่อนเนาะ ค่อยมารู้สึกกับจ้าวจอม
ตั้งใจบวช ศึกษาธรรมให้ดีนะคะ

จ้าวจอมก็งงพี่ไปเถอะ แต่อย่าพึ่งมีใครนะ รอพี่รู้ใจตัวเองก่อน

รชตก็จะได้พ้นกรรมที่ก่อต่อกัน และพิกุลก็อโหสิแล้ว

หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 16: การล่ำลาของพิกุล] 10/01/2563
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 12-01-2020 07:31:01
ลุ้นมากจะเป็นยังไงต่อ ชอบคู่โหรกับกุมภ์มากๆ :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 16: การล่ำลาของพิกุล] 10/01/2563
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 12-01-2020 09:58:20
เก่งทุกอย่างแต่พี่โหรมาตกม้าตายเพราะเรื่องของหัวใจ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 16: การล่ำลาของพิกุล] 10/01/2563
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 12-01-2020 11:48:58
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 16: การล่ำลาของพิกุล] 10/01/2563
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 12-01-2020 21:58:52
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 16: การล่ำลาของพิกุล] 10/01/2563
เริ่มหัวข้อโดย: Rateesiri ที่ 14-01-2020 22:04:30
แต่งได้สนุกจริงๆ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 16: การล่ำลาของพิกุล] 10/01/2563
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 15-01-2020 07:46:59
ผีพิกุล จะล้ำยุค ยุให้โหร รักกุมภ์ ม่ายได้ ม่ายได้ อิอิ เคลิ้ม กับพระพันนา หลงน้องจอมซะแล้ว มีงอลโด้ย
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 16: การล่ำลาของพิกุล] 10/01/2563
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 17-01-2020 01:34:36
สนุกตื่นเต้นมาก
แต่มีพิมพ์ผิดหลายจุดเลยนะ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 16: การล่ำลาของพิกุล] 10/01/2563
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 19-01-2020 16:43:41
รวดเดียวจบ ดีมากชอบบบบบ
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 17: คำถามที่ไร้คำตอบ] 24/01/2563
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 24-01-2020 21:11:21
ตอนที่ 17 คำถามที่ไร้คำตอบ

            โหรเลือกใช้น้ำชาเป็นของต้อนรับแขก ไม่มีขนมแนม เพราะไม่นิยม แขกที่เขาเอ่ยปากชวนก็ไม่ได้เรื่องความต้องการอะไรนอกจากแปลกใจกับคำชวนของเขา

                ทั้งคู่ไม่ได้นั่งอยู่บนชั้นสองของตัวบ้านเหมือนอย่างเคย แต่กลับเลือกที่จะนั่งบนแค่ไม้ไผ่ใต้ต้นขนุนแทน ขนุนบางลูกเริ่มสุก ส่งกลิ่นหอม ลมอ่อนๆ พัดเย็นให้ชื่นใจ ดีกว่าเครื่องปรับอากาศเป็นไหนๆ

                “คุณโหรอยากคุยอะไรกับผมหรือครับ” กุมภ์ถาม น้ำเสียงเป็นทางการผิดกับที่ผ่านมา

                โหรถอนหายใจเบาๆ ผายมือเชิญให้แขกจิบน้ำชาสักหน่อย กุมภ์ไม่ปฏิเสธ รู้จักกับชารสฝาดเฝื่อนแต่หอมประหลาดนี้ดี

                “ผมรู้สึกเหมือนทำอะไรผิดต่อคุณ” โหรเอ่ย “แต่ผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร”

                กุมภ์เงยหน้ามองคนตัวสูงกว่า ดวงคมมองสบมาพอดี “คุณไม่ได้ทำอะไรผิดเลยครับ ผมยืนยันได้”

                “เหรอ” โหรรับคำ ถึงเจ้าตัวจะบอกเองว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี “...เรื่องที่คุณเป็นเกย์”

                “ครับ ผมเป็นเกย์” กุมภ์เน้นย้ำ ชั่วประเดี๋ยวในดวงตาไหววูบคล้ายเจ็บปวด แต่เพียงกระพริบตามันก็หายไป

                “ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น...คือยังไงดีล่ะ” โหรยกมือขึ้นเกาหัว จู่ๆ ก็เกิดอึกอักขึ้นมา สารภาพตามตรงว่าไม่ได้เตรียมใจมาก่อนสำหรับการพูดคุยครั้งนี้...เขาก็แค่ทำไปตามความรู้สึกเท่านั้น

                “ช่างเถอะครับ ผมไม่ได้คิดอะไร ผมเองก็บอกเรื่องนี้กับพ่อแม่เหมือนกัน” กุมภ์ยิ้ม “คุณไม่ต้องขอโทษผมหรอก เพราะคุณไม่ได้ทำอะไรผิด ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”

                กุมภ์ลุกขึ้นยืน แต่กลับถูกคว้าข้อมือเอาไว้ คิ้วเรียงตัวสวยไม่หนาไม่บางยกสูงด้วยแปลกใจ “ครับ?”

                โหรถอนหายใจยาว “ผมไม่ได้รังเกียจคุณ...แต่ผมไม่อยากให้คุณรู้สึกไม่ดี”

                กุมภ์ปลดมือออกอย่างสุภาพ “ผมไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นเลย จริงๆ นะ” ริมฝีปากสีอ่อนยกยิ้มบางเบา “ผมกลับก่อนนะครับ...เออ เกือบลืมไป ยืมโทรศัพท์หน่อยสิ”

                โหรทำหน้างงแต่ก็ยอมส่งโทรศัพท์ให้ นิ้วเรียวกดหมายเลขสิบหลักแล้วกดโทรออก เสียงเพลงดังจากอีกครั้งซึ่งคาดว่าน่าจะอยู่ในกระเป๋ากางเกงของกุมภ์ “นี่เบอร์ผมนะ เซฟไว้ เผื่อว่าพระพันกับพระชตต้องการอะไร”

                จริงอยู่ที่พระใหม่ทั้งสองรูปไม่สามารถใช้โทรศัพท์มือถือได้ เพื่อจะได้ศึกษาพระธรรมได้เต็มที่ แต่ทำไมต้องไหว้วานเขาทั้งที่พ่อแม่ของทั้งคู่ยังอาศัยอยู่ในจังหวัดนี้ แถมครอบครัวของพันนายังใหญ่โตกว้างขวางญาติพี่น้องมีอยู่ทั่วจังหวัด อีกอย่างเจ้าตัวเองก็น่าจะมาเยี่ยมเยือนเพื่อนบ้าง

                “ผมกลับก่อนนะครับ” กุมภ์กล่าวลาเป็นครั้งที่สอง ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากใต้ต้นขนุนไป

 

                โหรเพิ่งมาเข้าใจเอาหลังจากผ่านไปสามวัน ว่าทำไมกุมภ์ถึงต้องทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้ให้ เขาได้ข่าวมาจากไอ้เด็กแสบจ้าวจอม มันตวัดลิ้นเลียไอศกรีมอันละไม่กี่บาทไปพลางเล่าไปพลาง

                “โอ๊ยพี่กุมภ์อ่ะกลับไปตั้งแต่เย็นวันที่พระบวชแล้ว เขากลับไปกับพ่อแม่”

                “มึงรู้ได้ยังไง” โหรถามเสียงเครียด ไอ้ความผิดในใจมันเหมือนเสี้ยนตำ ที่เจ็บจี๊ดๆ ไม่ยอมหาย ไหนว่าทำไปตามความรู้สึกแล้วจะดีขึ้น

                สงสัยเขาจะโดนผีหลอกจริงๆ

                “ก็พี่กุมภ์บอก เขาให้เบอร์ไว้ บอกว่าถ้ามีอะไรให้โทรหา เพราะเขาจะกลับกรุงเทพฯ”

                “แล้วทำไมมึงเพิ่งบอกกู!”

                “อ้าว ก็พี่ไม่ถามเองอ่ะ” จ้าวจอมย้อน ตอนที่ไอศกรีมแท่งนั้นหมดพอดี ลิ้นและปากเป็นสีสมเหมือนถูกย้อม “แล้วทำไมพี่ตะคอกด้วย”

                “เรื่องของกู! ไม่มีอะไร ไม่ต้องถาม กูจะไปสวดมนต์!”

                จ้าวจอมเกาหัวแกรก ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด ดวงตากลมใสแจ๋วของเด็กหนุ่มวัยร่วมสิบแปดปี มองตามแผ่นหลังกว้างของลูกพี่ใหญ่ที่หายขึ้นไปยังชั้นสองของตัวบ้าน แต่ผ่านไปนานสองนานกลับไม่มีเสียงสวดมนต์ออกมาสักบท เด็กหนุ่มยักไหล่ เที่ยงกว่าแล้ว พระใหม่น่าจะฉันเพลแล้ว ร่างโปร่งกระโดดจากแคร่หน้าบ้านใกล้พุ่มดาวกระจาย คว้าจักรยานคู่ใจปั่นไปยังทางเล็กๆ ที่ทอดยาวไปยังวัดป่า ทิ้งให้คนหัวเสียนั่งหงุดหงิดอยู่บนบ้านแต่เพียงลำพัง

                จะกลับกรุงเทพฯ ก็ไม่บอกไม่กล่าวกัน แค่ทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้ให้ คิดแล้วมันน่าโมโหนัก

                ไหนว่าไม่ได้โกรธ ทำไมถึงทำแบบนี้

                โหรเดินวนไปวนมาอยู่ในบ้านตัวเอง ไม่ได้มีสมาธิมากพอที่จะสวดมนต์หรอก ตราบใดที่ยังหยุดคิดเรื่องของกุมภ์ไม่ได้ แต่ก็น่าแปลกอยู่เหมือนกัน ทั้งที่เพิ่งรู้จักกัน ไม่ใช่เพื่อน เป็นแค่นายจ้าง-ลูกจ้าง ด้วยซ้ำ แต่ทำไมถึงเขาถึงรู้สึกกับกุมภ์มากกว่าคนอื่น ทั้งที่สถานะนี้มีอยู่เยอะไป สาวๆ สวยๆ ก็มี ทว่าเขาไม่เคยมีเสี้ยนทิ่มหัวใจเหมือนอย่างนี้เลย

                เพราะอะไรกัน?

                ชายหนุ่มถอนหายใจทิ้งเฮือกใหญ่ ทรุดตัวลงนั่งใกล้บานหน้าต่าง ตามองฝ่าแสงแดดระยิบ เห็นไอ้เจ้าตัวแสบปั่นจักรยานห่างออกไป พอจะเดาได้ว่ามันไปที่ไหน เพราะทางที่มันไปไม่ใช่ทางกลับบ้าน โหรรวบรวมสมาธิ คิดหาเหตุผลที่ทำให้ฟุ้งซ่าน เผื่อว่าจะหาทางแก้ได้

                หนึ่งกุมภ์เป็นคนดี ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อมาช่วยเหลือเขา สองกุมภ์ทำให้เขารู้สึกสบายใจ ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากมาย แค่อยู่ด้วยกันเงียบๆ ก็พอแล้ว และสามเขารู้ว่า...กุมภ์คิดอย่างไรกับเขา

                ไม่ใช่ว่าหลงตัวเอง แต่เขาเคยเห็นสายตาแบบนี้มานักต่อนัก ทว่าไม่เคยมีมาจากผู้ชายคนไหนมาก่อน กุมภ์คือคนแรก มันออกจะแปลกไปสักหน่อยที่ผู้ชายจะมองผู้ชายด้ายสายตาแบบนี้ ชื่นชม ยกย่องกึ่งเขินอาย นั่นทำให้เขารู้ว่ากุมภ์เป็นเกย์ ถ้าหากกุมภ์ชอบเขาจริง...เขาควรจะรู้สึกอย่างไร

                รังเกียจ เฉยๆ หรือดีใจ

                โหรถามตัวเองวนเวียนซ้ำไปซ้ำมา แน่นอนว่ามันไม่ใช่ความยินดีปรีดา เขายังคงต้องการภรรยาที่เป็นผู้หญิง มีลูก มีครอบครัวที่สมบูรณ์ หากแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาไม่อยากเสียมิตรที่ดีอย่างกุมภ์ไป

                เมื่อย้อนกลับมาถามตัวเองว่าเหตุใดทำไมถึงอยากมีครอบครัวที่สมบูรณ์ คงเป็นเพราะลึกๆ แล้วเขายังฝังใจกับการเป็นเด็กกำพร้า เลยอยากจะสร้างครอบครัวที่อบอุ่น เลี้ยงดูภรรยาและลูก โดยไม่ทิ้งภาระให้ใคร เหมือนที่พ่อเคยทำ

                “หงุดหงิดโว๊ย!”

                โหรยกมือขยี้ผมจนยุ่ง ถอนหายใจแรงเสียจนไหล่สะท้าน สู้กับผี กับเสือ ยังพอไหว แต่สู้กับความรู้สึกของตัวเองทำไมมันยากขนาดนี้

                ‘มั่นใจหรือว่าถ้ามีเมีย มีลูกแล้วจะมีความสุขน่ะ’

                เสียงหนึ่งดังแทรกมาในความคิด โหรขมวดคิ้วทั้งประหลาดใจ ทั้งนึกโกรธ

                “เดี๋ยวนี้เก่งถึงขนาดมาตอนกลางวันได้แล้วรึ”

                ‘ฮะ ฮะ ฉันได้บุญไง พลังเลยเยอะขึ้น’ เสียงนั้นตอบกลับมา เพียงอึดใจเดียว ร่างโปร่งแสงก็ปรากฏกายขึ้น บุญกุศลที่พระใหม่ทั้งสองอุทิศให้ส่งผลให้ดวงวิญญาณของผีสาวอยู่ในภาพที่ดีขึ้นกว่าคราวก่อน เสื้อผ้าที่สวมใส่สะอาดตา ไม่เก่าตุ่นขาดวิ่น ใบหน้าอิ่มเอิบ แต่ยังคงไร้ชีวิตชีวาเช่นเดิม       

                “ไหนบอกว่าจะไม่มาแล้วไง”

                ‘ก็เสียงความคิดของคุณมันดังไปถึงในวัดโน่น รบกวนความสุขของฉัน’ พิกุลตอบ เธอนั่งพับเพียบเรียบร้อย มือเท้าบนพื้นไม้ท่าทางเหมือนมนุษย์เสียจนหน้าหมั่นไส้ ‘ฉันบอกไปแล้วไง ว่าให้ทำตามความรู้สึก’

                “ก็ทำแล้ว ไม่เห็นว่ามันจะดีขึ้นเลย” โหรตอบเสียงห้วน “เป็นผีจะเที่ยวหลอกคนไปทั่วไม่ได้หรอกนะ รู้นี่ว่ามันบาป”

                พิกุลส่ายหน้า ‘ฉันไม่ได้หลอกคุณ แต่คุณใช้ความรู้สึกไม่หมดต่างหาก’

                พิกุลเดาความคิดได้ถูกเผง ริมฝีปากของเธอยกสูง ทำท่าเหมือนผ่านโลกมามาก ซึ่งก็จริง เพราะหากนับรวมอายุจริงกับอายุที่ต้องอยู่ในสภาพของดวงวิญญาณก็ร่วมร้อยปี ‘คุณถามตัวเองมากี่ครั้งกันแล้วล่ะ ว่ารู้สึกอย่างไรกับกุมภ์ ถ้าคุณคิดว่าเขาเป็นแค่เพื่อนที่ดีคนหนึ่ง ทำไมคุณถึงไม่โทรไปหาเขาอย่างเพื่อนล่ะ ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบมันก็ไม่แปลกอะไรไม่ใช่หรือ’ พิกุลมองหน้าโหรนิ่ง ‘หรือว่าคุณไม่ได้คิดกับเขาแค่เพื่อน?’

                “เขาเป็น...แค่เพื่อน” โหรปฏิเสธ สำหรับผู้ชายเป็นได้แค่เพื่อนเท่านั้น

                คราวนี้เป็นพิกุลถอนหายใจบ้างถึงจะไม่มีลมหายใจออกมาก็เถอะ ‘ทำไมมนุษย์ถึงได้โง่ในเรื่องของตัวเองนะ’

                คำถามของเธอไม่ต่างจากตำหนิ “อธิบายให้ละเอียดหน่อยเถอะ ถึงผมจะเป็นมนุษย์แต่ก็เป็นผู้ชายไม่ละเอียดอ่อนเท่าผู้หญิงหรอก”

                ‘ฉันจะขอบอกคุณในฐานะที่คุณเป็นผู้มีพระคุณของฉัน และฉันก็ผ่านโลกมากมายกว่าคุณหลายสิบปี’ พิกุลว่าเสียงเครียด ‘ลึกๆ แล้วคุณรู้สึกกับกุมภ์มากกว่าเพื่อน แต่คุณไม่ยอมรับความรู้สึกนั้น ฉันถึงได้บอกว่าคุณไม่ได้ทำตามความรู้สึกทั้งหมด’

                “ผมไม่ได้คิดกับเขาแบบนั้น” โหรยืนกราน หากแต่เปลือกตากระพริบเร็วผิดปกติ และแน่นอนว่าผีสาวย่อมจับพฤติกรรมนั้นได้

                ‘เอาเถอะ สุดแล้วแต่คุณก็แล้วกัน ฉันไปล่ะ’

                พูดจบ ร่างของผีสาวก็ค่อยๆ จางหายไปในอากาศ เหลือไว้แค่มนุษย์หนุ่มที่ยังจมอยู่กับความคิดและความรู้สึกที่ยังค้างคา...

 

                ขณะที่โหรกำลังสับสนอยู่กับความรู้สึกของตัวเอง ลูกน้องตัวแสบก็ปั่นจักรยานเข้าใกล้อาณาบริเวณวัดป่าแล้ว เพราะคุ้นชินเส้นทางเป็นอย่างดี ทุกวันพระก็ปั่นเจ้าสองล้อคู่ใจเอาปิ่นโตมาทำบุญกับหลวงตา ดังนั้นหินทุกก้อน หรือหลุมบ่อบนถนนลูกรังไม่อาจทำให้ความเร็วของจักรยานลดลงได้

                แดดตอนเที่ยงร้อนจนแสบหลัง เสื้อแขนยาวกับหมวกช่วยไม่ได้มากเท่าไรนัก ดีที่สองข้างทางมีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาพอบรรเทาความร้อนได้บ้าง จ้าวจอมฮัมเพลงโปรด กระทั่งสองล้อผ่านเข้ามาในวัดและหยุดลงที่หน้ากุฏิแสนโทรมหลังหนึ่ง เท้าตวัดเอาขาตั้งลงอย่างชำนิชำนาญ หูกวางต้นใหญ่ทิ้งใบลงมาอีกแล้ว พื้นดินว่างเปล่าเลยมีใบสีเหลืองอมน้ำตาลตกอยู่เกลื่อน

                “หลวงพี่ๆ ฉันเพลเสร็จหรือยัง”

                ทั้งที่รู้ว่าเลยเวลาฉันเพลแล้ว แต่ก็ยังตะโกนถามตามมารยาท ที่วัดป่าพระทุกองค์ต้องขึ้นไปฉันเพลที่ศาลา ไม่อนุญาตให้ฉันในกุฏิ อาหารอย่างอื่นนอกจากประเภทเครื่องดื่มห้ามเก็บไว้ในกุฏิเด็ดขาด

                ถามเสร็จไม่ถึงนาที เจ้าของกุฏิก็ผลักบานประตูไม้เก่าแก่ออก ร่างของพระภิกษุที่เพิ่งบวชได้สามวัน ก้าวข้ามธรณีประตูมาหยุดบนระเบียงแคบที่พอนั่งแค่สองคนเท่านั้น

                “ไม่ไปเรียนหรือไง” พระพันนาเอ่ยถาม

                “วันนี้วันเสาร์ เพิ่งบวชได้สามวันลืมวันลืมคืนแล้วเหรอ” จ้าวจอมเล่นลิ้น ก่อนจะอนุญาตตัวเองเดินขึ้นบันไดไม้เตี้ยๆ ขึ้นมายืนบนกุฏิ แล้วค่อยนั่งลงข้างๆ พระพันนา “โดนผีหลอกอีกหรือเปล่า”

                “ผีที่ไหนล่ะ” พระพันนาถามกลับ พลางย่อกายลงนั่งด้วยท่าทางสุภาพสมสมรรณเพศ

                “ในป่าช้าไง หลังกุฏิหลวงพี่น่ะ หลุมฝังศพทั้งนั้น สมัยก่อนเขานิยมฝัง เพิ่งจะมาเผาแบบเชิงตะกอนเมื่อไม่นานมานี้เอง” จ้าวจอมคุยโวราวกับอายุของตัวเองเท่ากับวัดป่าแห่งนี้

                “เกิดทันหรือไง”

                “ไม่ทัน” จ้าวจอมตอบหน้าตาย มองดูหลวงพี่ยกกาน้ำชาเทลงถ้วยดินเผาใบเล็ก ถึงจะเป็นรูปทรงแบบโบราณแต่ใหม่เอี่ยม ควันสีขาวลอยขึ้นเหนือน้ำชาสีอ่อนกลิ่นหอม

                “แล้วรู้ได้ยังไง”

                “จริงๆ ก็ไม่เชิงหรอกนะ ผมเคยเห็นสมัยเด็กๆ น่าจะเป็นศพสุดท้าย หลวงตาเล่าว่าก่อนจะเอาศพไปฝังต้องทำพิธีของนายป่าช้าก่อนด้วยนะ ไม่งั้นศพจะเฮี้ยน แต่ผมก็ไม่เคยเจอผีตัวเป็นหรอก นอกจากยาย” จ้าวจอมหยุดพูด ยกกาขึ้นเทใส่ถ้วยบ้าง ถึงชอบน้ำอัดลมมากกว่า แต่พอเห็นหลวงพี่ฉันก็อยากจะลองชิมบ้าง น้ำอุ่นแกมฝาดไม่ได้แย่นัก ทว่ามันคงไม่เหมาะกับวัยรุ่นอย่างตนเท่าไรนัก “สรุปว่าหลวงพี่เจอผีไหม เจ๊พิกุลอะไรนั่นด้วย”

                “ไม่เจอ” พระพันนาปฏิเสธ ซึ่งก็เป็นความสัตย์จริง ทุกวันตนถือศีล สวดมนต์อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับพิกุล รวมทั้งดวงวิญญาณอื่น แม้แต่ตาเวก ถึงจะเพิ่งศึกษาพระธรรมได้แค่สามวัน แต่จิตใจสงบลงมาก ถึงจะมีตัวกวนเป็นเจ้าเด็กตรงหน้าก็ตาม

                “ถามจิ๊ง” จ้าวจอมแสร้งทำเสียงสูง “มีอะไรขาดเหลือไหม บอกได้นะ เดี๋ยวผมจัดการให้”

                หลวงพี่ทำหน้าสงสัย “ทำไมล่ะ”

                “ก็เพื่อนพี่ฝากให้ผมดูแลหลวงพี่”

                “เพื่อน? กุมภ์น่ะหรือ”

                “ใช่” จ้าวจอมพยักหน้า “เขากลับไปกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่หลวงพี่บวชนั่นแหล่ะ”

                “กลับแล้วหรือ ไม่เห็นบอกกันเลย” พระพันนาพึมพำ แต่ไม่ได้คิดจะโกรธเพื่อนสนิท

                “หลวงพี่พูดเหมือนพี่โหรเลย” จ้าวจอมนึกย้อนเมื่อก่อนหน้านี้ โหรก็พูดทำนองนี้เหมือนกัน แต่รายนั้นดูเหมือนจะโกรธ ที่กุมภ์กลับกรุงเทพฯ โดยไม่ล่ำลา

                “เอาเถอะ เดี๋ยวถ้ามีอะไรขาดเหลืออาตมาจะบอกเอง แต่เท่าที่มีตอนนี้ก็เหลือเฟือแล้ว” ที่พระพันนาพูดเป็นความจริง เพราะกลัวว่าจะขาดเหลืออุปกรณ์เครื่องใช้ โยมพ่อโยมแม่เลยขนเอามาให้เสียจนล้นกุฏิ เลยต้องนำไปแบ่งปันรูปอื่นบ้าง

                ถึงจะเป็นการบวชเพื่ออุทิศส่วนกุศลตามที่รับปากไว้ แต่พระพันนาก็มีพระพี่เลี้ยงด้วยเหมือนกัน ชื่อหลวงพี่แรม หลวงพี่แรมอายุมากกว่าพระพันนาเกือบรอบ ผิวเข้ม รูปร่างกำยำอย่างคนที่เคยออกำลังกายมาก่อน หลวงพี่แรมเคร่งเรื่องพระวินัยไม่ต่างจากหลวงตาอิ่ม ที่ตอนนี้ครองตำแหน่งเจ้าอาวาส และหลวงพี่แรมก็คือรองเจ้าอาวาส ส่วนพระพี่เลี้ยงของพระรชต คือหลวงพี่นัย อายุไม่ห่างจากหลวงพี่แรมนัก พระวัดนี้เป็นนักปฏิบัติ ถือศีลเคร่ง ไม่มีการพูดจาเพ้อเจ้อไร้สาระ จะมีก็แค่คำสอนพระธรรมและข้อแนะนำบางอย่างเท่านั้น

                “เฮ้อ ผมกลับล่ะ พรุ่งนี้จะทำแก่งไก่ใส่มะเขือใส่บาตรนะ ไปล่ะ”

                จ้าวจอมคลานเข่า ด้วยท่าทางสุภาพผิดปกติ แถมยังดูเก้กังฝืดขัดพิกล ไม่ถึงนาทีจักรยานกลางเก่ากลางใหม่ก็วิ่งหายไปจากประตูวัด...

 
(มีต่อ)
               
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 17: คำถามที่ไร้คำตอบ] 24/01/2563
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 24-01-2020 21:14:48
เกือบสองอาทิตย์แล้วที่กุมภ์กลับมาใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงเทพฯ ความวุ่นวายของเมืองใหญ่ชวนให้คิดถึงบรรยากาศสงบเงียบเหลือเกิน พ่อกับแม่ยิ่งกว่ายินดีตอนที่ได้ยินว่าเขาจะกลับกรุงเทพฯ มาพร้อมกับพวกท่าน จัดการรับขวัญที่เกือบจะตายในป่าด้วยการพาไปทำบุญเก้าวัดที่อยุธยา พรมน้ำมนต์ สะเดาะเคราะห์ต่อชะตา สารพัดที่จะทำ ได้ข่าวว่าพ่อแม่ของคะนิ้งก็ทำให้ลูกสาวก่อนที่บินไปเยอรมันกับชาร์ล

                คะนิ้งเล่าให้ฟังผ่านเฟสไทม์ว่า พระท่านทักมาว่าเธอทำผิดต่อสิ่งที่มองไม่เห็น ซึ่งมันก็เป็นความจริง ท่านก็เลยทำพิธีให้เธอได้ขอขมาและมีข้อแม้ว่าเธอจะต้องงดกินปลาน้ำจืดไปตลอดชีวิต ส่วนชาร์ล ถึงแม้ทางครอบครัวจะไม่มีความเชื่อทางด้านนี้ แต่ชาร์ลไม่คิดอย่างนั้น คะนิ้งเลยขอพระท่านนั้นดูดวงของชาร์ลด้วย ปรากฏว่าชาร์ลเองก็ไม่ต่างกัน แต่หนักกว่าตรงที่ต้องห้ามกินเนื้อสัตว์ทุกชนิดไปตลอดชีวิต ตอนนี้ทั้งคู่เลยต้องกลายเป็นมังสะวิรัด ซึ่งก็ไม่มีใครอิดออดที่จะทำ เขาดีใจที่ทั้งสองคนปลอดภัยดี อีกไม่กี่วันก็จะเปิดเทอม กลุ่มแก็งเพื่อนของเขาก็จะกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง

                กุมภ์หยิบอัลบั้มรูปที่เพิ่งได้มาเมื่อตอนกลางวันขึ้นมา แล้วเปิดดูรูปข้างใน เมื่อวานซืนจ้าวจอมโทรมาบอกว่า พระพันนาอยากให้เอารูปในกล้องไปล้างให้ที เพราะจ้าวจอมอยากเห็นรูปไอ้บอดที่ถ่ายเอาไว้ นั่นหมายความว่าเขาต้องส่งรูปพวกนี้ไปให้จ้าวจอมทางไปรษณีย์ด้วย

                ฝีมือการถ่ายรูปของพระพันนาไม่ตกลงสักนิด แสงและเงาสวยงามไปหมด แม้แต่เห็ดหรือดอกไม้ป่าเล็กๆ ก็ยังน่าหลงใหล กุมภ์เปิดอัลบั้มรูปไปเรื่อยๆ เพิ่งรู้เหมือนกันว่าพระพันนาเก็บภาพได้เยอะทีเดียว นึกดีใจที่เพื่อนรักถ่ายรูปหมูป่าตอนกินดินโป่งไว้ได้ทัน จากนั้นก็เป็นภาพของไอ้บอด แม้จะมีไม่กี่รูปและเห็นดวงตาข้างที่บอดของมันไม่ชัด แต่เขาก็รู้ได้ทันว่ามันคือเสือผี

                กุมภ์รีบปิดอัลบั้มรูป ไม่อยากนึกถึงเรื่องราวน่ากลัวแบบนี้อีก เขาจับอัลบั้มรูปลงกล่องพัสดุ จัดการห่อและเขียนชื่อที่อยู่ส่งให้จ้าวจอม

                อีกเกินสามสัปดาห์ก็เปิดเทอมแล้ว แต่เขากลับไม่ได้คิดถึงเรื่องการเรียนเลย จิตใจยังคงพะวงถึงใครบางคน

                ไม่รู้ว่าโหรจะโกรธหรือเปล่าที่เขาเล่นกลับมากรุงเทพฯ โดยไม่บอกกล่าว แต่จากที่ฟังจ้าวจอมฝอย ก็ไม่มีชื่อของโหรหลุดออกมาเลย เดาได้ว่าอีกฝ่ายคงเลิกสนใจเขาไปแล้ว หรืออาจจะไม่เคยใส่ใจตั้งแต่แรกเลยก็ได้

                “เฮ้อ”

                “ถอนหายใจเสียงดังขนาดนี้ มีเรื่องกลุ้มใจอะไรหรือลูก”

                กุมภ์สะดุ้งเล็กน้อย หันไปมองต้นเสียงก็พบกับร่างผอมบางของผู้เป็นแม่ กุมภ์ส่ายหน้า รีบสอดมือรอบเอวเล็ก ย่อตัวลงซบหน้ากับอกอุ่น “เปล่าครับ แค่เบื่อๆ นิดหน่อย”

                “จริงสินะ เพื่อนๆ ก็อยู่ที่อื่นกันหมด” ท่านยิ้ม พลางยกมือขึ้นลูบศีรษะ “ถ้าเบื่อ ไปเที่ยวกับแม่เอาไหมล่ะ แม่นัดคุณเปรมเอาไว้ มีร้านกาแฟเปิดใหม่ใกล้ๆ นี่เอง ไปด้วยกันนะจ๊ะ”

                “...เอาอย่างนั้นก็ได้ครับแม่” กุมภ์เอ่ยตอบรับอย่างเสียไม่ได้ การได้ไปนั่งฟังผู้ใหญ่คุยกัน อาจจะดีกว่าอยู่บ้านแล้วถอนหายใจทิ้งไปวันๆ...

 

                ร้านกาแฟเปิดใหม่อยู่ห่างจากบ้านของเขาไปไม่กี่กิโลเมตร ภายในร้านตกแต่งสไตล์โมเดิร์น เรียบง่ายแต่คลาสสิค เปิดเพลงแบบใช้แผ่นให้ความรู้สึกเหมือนย้อนยุคไปเมื่อร้อยปีก่อน มีลูกค้ามาอุดหนุนไม่น้อย คงเพราะในร้านมีทั้งกาแฟและขนมให้เลือกหลายชนิด ซ้ำยังไม่จำกัดเวลาในการนั่งอีกด้วย

                คุณเปรมคือเพื่อนสนิทของแม่ มักไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ เขาเคยพบท่านไม่กี่ครั้งในงานเลี้ยงอะไรสักอย่าง ท่านคุยจ้อด้วยสารพัดเรื่องที่จะหยิบยกขึ้นมา ส่วนคุณแม่ของเขาเป็นเพียงนักฟังที่ดี เขากับแม่มีนิสัยเหมือนกันอยู่อย่างคือ ชอบฟังมากกว่าพูด

                คุณเปรมทำทีเป็นขยับเก้าอี้เมื่อเห็นเราสองคนแม่ลูก มือขาวอวบตามรูปร่างยกขึ้นกวักเรียกกลางอากาศ แม่ยิ้มรับพลางพยักหน้าส่งสัญญาณให้เขาเดินตามไป

                “มาๆ กัญญา ฉันสั่งชาร้อนกับเค้กชาไทยของโปรดเธอไว้ให้แล้วล่ะ” คุณเปรมพูดพร้อมยิ้มกว้าง ดวงตาเรียวหันมาทางเขา “สวัสดีจ้ะกุมภ์”

                “สวัสดีครับคุณป้า” คุณเปรมยกมือรับไหว้ ก่อนจะผายมือให้เขานั่งบนเก้าอี้ฝั่งเดียวกับมารดา “คุณป้าสบายดีนะครับ”

                “ยิ่งกว่าสบายอีกจ้ะ ดูหุ่นป้าสิ” คุณเปรมพูดติดตลก “ได้ข่าวว่าไปเที่ยวป่ามา สนุกไหมลูก สมัยสาวๆ นะ ป้าละอยากไปนั่งห้างส่องสัตว์บ้าง แต่สามีป้าไม่ยอม กลัวป้าจะทำป่าแตก”

                เขาไม่แปลกใจเลยที่แม่จะชอบสนทนากับคุณเปรม ท่านเป็นผู้หญิงวัยห้าสิบตอนต้นที่อารมณ์ดีและพูดเก่ง แถมอัธยาศัยดีมากอีกด้วย

                “ก็...สนุกครับ” เขาตอบ เลี่ยงความจริงอันน่ากลัวให้มากที่สุด ซึ่งคิดว่าแม่คงเห็นด้วย เพราะท่านไม่ได้ท้วงอะไร

                “เหรอๆ ถ้าอย่างนั้นคราวหน้าเอาปรางค์ไปด้วยสิ รายนั้นเขาก็อยากจะลองเดินป่าบ้างเหมือนกัน”

                “ปรางค์?” กุมภ์เลิกคิ้วสงสัย หันไปทางมารดาเพื่อขอคำตอบ

                “หนูปรางค์ ลูกป้าเปรมไงล่ะลูก”

                กุมภ์พยักหน้า แต่ก็ยังนึกไม่ออกว่าผู้หญิงที่ชื่อปรางค์หน้าตาเป็นอย่างไร จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยเห็นเธอมาก่อน ระหว่างที่ความสงสัยกำลังทำงาน เสียงหวานใสก็ดังขึ้นพร้อมกับกลิ่นหอมของชา

                “ชาได้แล้วค่ะแม่”

                กุมภ์เงยหน้าขึ้นมองต้นเสียง นี่กระมังปรางค์ที่คุณเปรมพูดถึง

                “อ้าว มาพอดี นี่ปรางค์ลูกสาวป้าเอง” ป้าเปรมแนะนำ “ปรางค์ นี่กุมภ์ลูกน้ากัญญาจ้ะ”

                “สวัสดีค่ะ น้ากัญญา” ปรางค์กระพุ่มมือไหว้ผู้ใหญ่ และลดมือลงเมื่อทักทายเขา “สวัสดีจ้ะกุมภ์ จำเราไม่ได้ใช่ไหมล่ะ”

                กุมภ์ส่ายหน้าทันที ใครจะไปจำได้กัน เคยเจอกันหรือเปล่ายังไม่แน่ใจด้วยซ้ำ ถึงแม้ว่าปรางค์จะสวยมากก็ตาม อาจจะสวยกว่าคะนิ้งด้วยซ้ำ

                “อย่างนี้แหล่ะค่ะ เจอกันตั้งแต่สมัยประถม ตอนนั้นกุมภ์ยังผอมเป็นถั่วงอกอยู่เลย” แม่พูดยิ้มๆ ก่อนจะยกชาขึ้นจิบ ชมเบาๆ ว่าหอมชื่นใจ

                “ตอนนี้ก็ผอมนะ ป้าว่ากุมภ์ต้องเข้าฟิตเนสบ้างแล้วล่ะ สมัยนี้สาวๆ เขาชอบผู้ชายมีกล้ามกัน” ป้าเปรมว่า แต่ปรางค์ไม่เห็นด้วย

                “แบบนี้ดีแล้วค่ะ เหมาะกับกุมภ์ดี” ปรางค์พูดยิ้มๆ “กุมภ์กินกาแฟใช่ไหม มีหลายเมนูเลย ไปดูกันไหม”

                กุมภ์ไม่ปฏิเสธ เขาเดินตามปรางค์ไปที่หน้าเคาน์เตอร์ ปรางค์ชี้ชวนให้ดูเมนูที่แปะอยู่ด้านใน เขาเลือกคาปูชิโน่ไม่หวาน ส่วนเธอลาเต้เข้มข้น พร้อมเค้กมะพร้าวอ่อนอีกชิ้น ร้านนี้ไม่มีพนักงานเสิร์ฟ ลูกค้าต้องรอและนำไปทานเองที่โต๊ะ

                “กุมภ์เรียนนิติเหรอ”

                “อืม แล้วปรางค์ล่ะ”

                “เราเรียนบัญชีน่ะ โคตรยากเลยล่ะ ปวดหัวกับตัวเลขชะมัด แถมไอ้เจ้าปอนด์ก็กำลังจะขึ้น ม.4 เราต้องช่วยติวให้ ปอนด์บ่นว่าแค่เรียนพิเศษไม่พอ มันกลัวไม่ได้เข้าโรงเรียนเดียวกับเพื่อน” เธอทำปากยู่เมื่อพูดถึงการเรียนและน้องชายวัย 15 ปีของตัวเอง ปลายนิ้วเรียวเกี่ยวเส้นผมขึ้นทัดหลังใบหู ทุกท่าทางการเคลื่อนไหวเป็นไปตามธรรมชาติและน่ามอง “แม่บอกว่ากุมภ์ไปเที่ยวป่ามาเหรอ เป็นยังไงบ้างสนุกไหม เราอยากไปมากเลยแต่ไม่มีเพื่อนไป”

                “ก็...สนุกดี” เขาบอก ท่าทางปรางค์จะได้เชื้อคุณเปรมมาไม่น้อย ช่างคุยเหมือนกันไม่มีผิด

                “สนุกเหรอ แต่ท่าทางกุมภ์เหมือนไม่สนุกเลยอ่ะ” เธอเอียงคอมอง มือวางท้าวบนเคาน์เตอร์ ปลายนิ้วเคาะเบาๆ อย่างไรจังหวะ

                “มันก็สนุกแหล่ะ แต่ในป่ามันน่ากลัวกว่าที่คิด” กุมภ์ว่าสั้นๆ

                “เพราะอย่างนั้น เราถึงอยากไปลองเดินป่าดูบ้าง เราว่ามันน่าตื่นเต้นดี”

                ตื่นเต้นอย่างนั้นหรือ? ถ้าปรางค์ได้เจอเหตุการณ์เหมือนเขา ปรางค์จะเข็ดขยาดป่าไปตลอดชีวิตเลยล่ะ

                หลังจากได้กาแฟทั้งคู่ก็เดินกลับมาที่โต๊ะ บทสนทนาที่เป็นกันเอง เรียบง่ายแต่สนุกสนานดำเนินไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่เขากับแม่คือผู้ฟังที่ดี คอยตอบคำถามบ้าง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าความช่างพูดของป้าเปรมกับปรางค์จะน่ารำคาญแต่อย่างไร...

               

                 เหลืออีกไม่กี่วันพระพันนาและพระรชตก็จะครบกำหนดลาสิขาบถแล้ว จ้าวจอมโทรมาเล่าว่าทั้งคู่ได้ปักกลดในป่าช้าด้วยเพื่อฝึกสมาธิเป็นเวลาสามคืน ทั้งคู่ทำได้ดี สมาธิแน่วแน่ แม้จะอยู่กลางป่าช้าเก่าที่ยังมีเนินดินให้เห็นอยู่ เขานึกชื่นชมเพื่อนสนิททั้งสองที่เคร่งครัดในพระวินัย ไม่เคยคิดเลยว่าเด็กหนุ่มที่วันๆ มีแต่เรื่องสนุกจะหันหน้าเข้าหาพระธรรมได้ แม้จะเป็นการบวชเพื่ออุทิศส่วนกุศลตามที่สัญญาไว้ก็ตาม

                กุมภ์ก้มลงอ่านข้อความในโทรศัพท์ที่ปรางค์ส่งมาให้ เขากับปรางค์สนิทกันอย่างรวดเร็ว คงเป็นเพราะอายุรุ่นราวเดียวกัน ปรางค์ช่างคุยแต่ไม่น่ารำคาญ เธอไม่ใช่แค่นักพูดที่ดีแต่ยังเป็นนักฟังที่ดีด้วย เสียแต่ว่าเขาไม่ใช่คนพูดเก่งสักเท่าไรปรางค์เรียนอยู่มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยของเขาไม่น้อย เธอมักจะบ่นถึงความยากในวิชาที่เรียน และการเดินทางที่เดินเวลาเกินชั่วโมงเพราะบ้านของเธออยู่ไกลจากมหาวิทยาลัย และป้าเปรมก็ไม่ยอมให้เธออยู่หอพักหรือคอนโด ด้วยห่วงลูกสาวเพียงคนเดียว ซึ่งเขาก็เห็นด้วย

                ‘พรุ่งนี้ว่างไหม ไปเป็นเพื่อนเราเลือกของขวัญหน่อยสิ’

                ‘ได้สิ สักสิบโมงแล้วกันนะ เราไปรับที่บ้าน’

                ปรางค์อ่านข้อความอย่างรวดเร็ว ส่งสติ๊กเกอร์ขอบคุณพร้อมทั้งรับปากว่าจะเลี้ยงกาแฟเป็นค่าตอบแทน จากนั้นบทสนทนาเป็นคล้ายๆ กับทุกวันที่ผ่านมา และจบตรงที่กล่าวราตรีสวัสดิ์

                กุมภ์วางโทรศัพท์ไว้ข้างหมอน แล้วเดินลงไปชั้นล่าง เกือบจะห้าทุ่มแล้วแต่เขายังไม่ง่วงนอน ที่ชั้นล่างไฟยังไม่ปิด เขาได้ยินเสียงกุกกักดังมาจากในครัว พอเท้าแตะบันไดขั้นสุดท้ายถึงได้เห็นร่างผอมบางของมารดาที่อยู่ในชุดนอนเรียบร้อยแล้ว ท่านกำลังก้มๆ เงยๆ อยู่หน้าตู้เย็น

                “ทำอะไรอยู่หรือครับแม่” กุมภ์เอ่ยทักมารดา ท่านสะดุ้งรีบหันกลับมาหาเขา มือทั้งสองซ่อนไว้ด้านหลังเหมือนกำลังซุกบางอย่าง

                “อ้าว กุมภ์เองเหรอ แม่ตกใจหมด” ท่านถอนหายใจยาว สีหน้าผ่อนคลายลง พลางเลื่อนมือมาด้านหน้า “แม่หิวน่ะ เลยออกมาหาอะไรกิน แต่พ่อเราห้ามแม่ไว้ไม่ให้กินอะไรหลังสองทุ่ม กลัวน้ำตาลจะขึ้น”

                “กินเถอะครับ ผมไม่ฟ้องพ่อหรอก” กุมภ์พูดยิ้ม เอื้อมมือคว้าขวดนมยกขึ้นดื่ม

                “หมู่นี้ดูสนิทกับปรางค์จังเลยนะ” ท่านชวนคุย ดวงตาหรี่ลงราวกับกำลังจับผิด

                กุมภ์หัวเราะเบาๆ “ครับ เราเป็นเพื่อนกัน”

                “จะเพื่อนหรือมากกว่าเพื่อนแม่ก็ไม่ว่าอะไรหรอกจ้ะ” ท่านยิ้มละไม พลางเอื้อมมือลูบทีศีรษะแผ่วเบา “มีแฟนสักทีก็ดีเหมือนกันนะ แม่ยังไม่เคยเห็นลูกพาสาวมาเปิดตัวเลย”

                หัวใจคนฟังกระตุกวูบ เรื่องที่เขาเป็นเกย์ไม่เคยรั่วไหลไปถึงหูใคร แม้แต่เพื่อนสนิทก็ยังไม่รู้ แน่นอนว่าคนในครอบครัวก็ไม่มีใครรู้เช่นกัน ยกเว้นโหร

                “เอ่อ...ผมยังไม่เจอคนถูกใจน่ะครับ” กุมภ์แก้ตัว จริงๆ ก็มีแล้วล่ะคนที่ถูกใจ แต่บังเอิญว่าอีกฝ่ายไม่ได้รู้สึกอย่างเดียวกัน

                “อย่างนั้นเหรอ” ท่านพยักหน้ารับรู้ “หนูปรางค์เป็นไง ลองศึกษาดูไปเรื่อยๆ เผื่อว่าจะถูกใจ แต่แม่ถูกใจหนูปรางค์นี่แหล่ะ เหมาะกับลูกดี”

                ท่านพูดทิ้งท้ายก่อนจะหักช็อกโกแลตเข้าปาก แล้วเดินออกจากห้องครัวไป

                กุมภ์ผ่อนลมหายใจ ทั้งโล่งอกและอึดอัดใจ เขาไม่ได้ชอบผู้หญิงขณะเดียวกันผู้ชายคนนั้นก็ไม่มีวันหันมาชอบเขาเช่นกัน...

.........................
หน้าปกมาแล้วจ้า

*ขออภัยในคำผิด เนื่องจากมือกับสมองไม่สัมพันธ์กัน 555555555555*

**จะพยายามอัพให้ไวกว่านี้นะจ๊ะ**

***โปรดติดตามตอนต่อไป***
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 17: คำถามที่ไร้คำตอบ] 24/01/2563
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 24-01-2020 22:39:44
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 17: คำถามที่ไร้คำตอบ] 24/01/2563
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 24-01-2020 22:49:29
เห้อ ยากอีกแล้วสิน้า
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 17: คำถามที่ไร้คำตอบ] 24/01/2563
เริ่มหัวข้อโดย: cho_co_late ที่ 25-01-2020 00:52:06
โหยยยยยตาคนพี่ก็คิดหนัก นี่ถึงขนาดพี่มาชี้แนะให้แล้วยังหัวดื้ออยู่อี๊ก
น้องกุมภ์ก็โดนแม่จับคู่ซะแล้วว ถึงจะผิดรสนิยมลูกไปหน่อยเถอะ พ่อแม่จะช็อคมั้ยนี่ 55555555
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 17: คำถามที่ไร้คำตอบ] 24/01/2563
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 25-01-2020 02:24:10
ดีเลยที่มีปรางโผล่มากุ๊กกิ๊กกับกุมภ์ คราวนี้แหละพี่โหรจะได้รู้ใจตัวเองชัดขึ้น  :laugh: อยากเห็นคนหึงจังเลยยย  :z1:
ปกสวยจังเลยค่ะ พี่โหรล้อหล่ออ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 17: คำถามที่ไร้คำตอบ] 24/01/2563
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 25-01-2020 05:02:24
พี่โหรถ้ายังช้ากุมภ์เปลี่ยนใจจะมานั่งน้ำตาตกนะ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 17: คำถามที่ไร้คำตอบ] 24/01/2563
เริ่มหัวข้อโดย: valenna yy ที่ 25-01-2020 09:56:29
โธ่ พี่โหร ผีก้ให้คำแนะนะขนาดนี้แล้วนะ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 17: คำถามที่ไร้คำตอบ] 24/01/2563
เริ่มหัวข้อโดย: Rateesiri ที่ 25-01-2020 10:21:16
รอ e book ค่า
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 17: คำถามที่ไร้คำตอบ] 24/01/2563
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 25-01-2020 12:51:46
น้องปรางค์ น่ารักอีกแย้ววว คงจะเป็นตัวแปร ให้พี่โหร เปิดใจซะที
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 17: คำถามที่ไร้คำตอบ] 24/01/2563
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 25-01-2020 22:05:10
โหรคิดหนัก กุมภ์เองก็เช่นกัน
ทั้งคู่การดำเนินชีวิตที่ต่างกัน ให้โหรไปอยู่ในที่เจริญคงไม่ใช่
นอกจากกุมภ์ มาทำงานที่นี่ แล้วทำงานในตัวเมืองคงได้นะ
คิดไปโน่นเลยเรา อิอิอิ
สู้ๆ นะทั้ง 2 คน
 :L1:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 17: คำถามที่ไร้คำตอบ] 24/01/2563
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 27-01-2020 08:40:21
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 17: คำถามที่ไร้คำตอบ] 24/01/2563
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 27-01-2020 09:29:14
 :กอด1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 17: คำถามที่ไร้คำตอบ] 24/01/2563
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 28-01-2020 20:59:35
โหรจะนอยด์ก็ไม่แปลก แต่ถ้ายังยอมรับใจตัวเองไม่ได้
ก็อย่าพึ่งติดต่อน้องเลย อย่าพึ่งทำให้สับสนจนต้องเจ็บกันไป
แต่ถ้ายังไม่รีบรู้ใจ ก็อาจมีคนมาแทรกแซงนะ บอกไว้เลย

กุมภ์ก็ปล่อยเบอร์ให้ขนาดนี้ ดูสิ พี่ไม่คืบหน้าเลย
รอแล้วรอเล่า จ้าวจอมโทรคุยบ่อยกว่าไปอีก
ดีที่กุมภ์รู้ตัวเอง ถึงจะคุ้นเคยกับปรางค์ ก็ให้ใจไม่ได้

เอ็นดูจ้าวจอม คืออะไรไปป่วนพระ แต่ดีนะที่พระเคร่งศีล

พิกุลยังรู้เลยว่าอะไรเป็นอะไร โหรก็ซื่อบื้อไปเถอะ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 17: คำถามที่ไร้คำตอบ] 24/01/2563
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 29-01-2020 10:14:45
ชอบคิดกันไปเองงงง :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 17: คำถามที่ไร้คำตอบ] 24/01/2563
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 31-01-2020 09:40:25
จะได้เจอกันอีกไหมคะเนี่ย คนนึงก็เป็นท้อ อีกคนก็ไม่รู้ใจตัวเอง  :hao5:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 17: คำถามที่ไร้คำตอบ] 24/01/2563
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 01-02-2020 00:44:19
เพิ่งได้มาอ่าน สนุกๆ ไม่ค่อยได้เจอใครแต่งแนวประมาณนี้เลย

แต่ขอทักท้วงอย่างนึงน้า ตอนโหรสู้กับไอ้บอดอ่ะ ตรงต้นลมต้องเปลี่ยนเป็นท้ายลมรึเปล่า  ถ้าซ่อนอยู่ต้นลมยังไงกลิ่นก็พัดลงไปท้ายลมอยู่ดี มันแอบไม่ได้หรอกเด้อ :z13:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 17: คำถามที่ไร้คำตอบ] 24/01/2563
เริ่มหัวข้อโดย: ZMOA ที่ 09-02-2020 22:46:12
รอนะครับเข้ามาเช็คทุกวันเลย  :m15:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 17: คำถามที่ไร้คำตอบ] 24/01/2563
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 10-02-2020 00:25:29
รอพี่โหรร :3123:
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 18 : ไม่รู้ใจตัวเอง] 12/02/2563
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 12-02-2020 21:31:44
ตอนที่ 18 ไม่รู้ใจตัวเอง

                “โอ้โห กาแฟที่กรุงเทพฯ โคตรน่ากิน ร้านในเมืองยังสู้ไม่ได้เลย”

                โหรเหลือบมองเจ้าของเสียงที่ฟังแล้วออกจะเกินจริงอยู่สักหน่อย ถึงจะไม่พวกชอบกินกาแฟแต่กินทีไรรสชาติมันก็ไม่ได้ต่างกัน ชายหนุ่มส่ายหัวพลางใช้พลั่วแทงดินแห้งๆ ข้างกอข่า ใกล้หมดฤดูฝนแล้ว เม็ดฝนห่างขึ้น ตอนเช้าสัมผัสได้ถึงลมหนาว แต่ก็ชั่วเดี๋ยวเดียวพอแดดออกก็ร้อนแสบผิวเหมือนเดิม

                “เค้กก็น่ากิน มันต้องอร่อยกว่าร้านนั้นแน่ๆ เลย เนี่ยๆ พี่โหรดูสิ” คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน ไม่ได้สนใจอยากดูรูปกาแฟหรือเค้กอะไรนั่น หากจ้าวจอมไม่พูดถึงชื่อใครบางคนในประโยคถัดมา “พี่กุมภ์ไปกับใครวะ มือขาวๆ เล็กๆ ผู้หญิงแน่นอน แฟนหรือเปล่าวะ”

                โหรชะงักมือ ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าสายตามันเหลือบไปมองโทรศัพท์ทั้งแต่เมื่อไร ภาพที่ปรากฏบนหน้าจอกว้าง คือแก้วกาแฟเย็นจัดมีกระดาษทิชชู่สีน้ำตาลพันรอบ ข้างๆ กันคือจานเค้กรูปร่างน่ากิน ถัดออกไปไม่มากเห็นอยู่ที่มุมหน้าจอคือนิ้วมือขาวเรียวเล็ก มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นผู้หญิง

                ...ไหนว่าเป็นเกย์ไงวะ...

                “มึงไปได้รูปนี้มาได้ยังไง” โหรถาม เพิ่งจะรู้ตัวว่าหลุดคำถามงี่เง่าออกมา

                “พี่กุมภ์ส่งมาให้ดู”

                “แล้วเขาส่งมาให้มึงได้ยังไง” โหรถามต่อ เขาไม่ได้โง่ถึงกับไม่รู้หรอกว่าแอพพลิชั่นที่จ้าวจอมกับกุมภ์ใช้สนทนากันมันเรียกว่าไลน์ แต่ที่ถามเพราะไม่อยากให้จ้าวจอมสงสัย

                “ไลน์ไงพี่ ผมก็บอกให้พี่เปลี่ยนโทรศัพท์สักที เงินทองก็มีเยอะแยะ โทรศัพท์เครื่องเดียวไม่ทำให้เสาเรือนสะเทือนหรอก” จ้าวจอมพูดกวน

                “ไม่เอา รำคาญ” โหรปฏิเสธ เขาเคยเล่นแอพพลิเคชั่นพวกนี้อยู่เหมือนกัน แต่ก็รำคาญจนต้องเลิกเล่นแล้วหันมาใช้รุ่นปาหัวหมาแตกแทน

                “โอ๊ะๆ นี่ไง มีรูปผู้หญิงด้วย สวยชะมัด เหมือนดาราเลย แฟนกันแน่นอน หมอจอมฟันธง!”

                จ้าวจอมยื่นโทรศัพท์ให้ดู ในใจของโหรกระตุกวูบเหมือนถูกแย่งของเล่นไปจากมือเมื่อเห็นภาพหนุ่มสาวเอียงหน้าชิดกัน ผู้หญิงคนนั้นสวยจัดอย่างที่จ้าวจอมว่าจริงๆ ผมยาวดำสนิท คิ้วสวยเรียงตัว ดวงตากลมโตเป็นประกาย จมูกโด่งกำลังดี ริมฝีปากสดสีชมพูอ่อนคลี่ยิ้มหวาน ส่วนอีกคนคือกุมภ์ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกล้องหรือเปล่าทำให้กุมภ์ดูขาวขึ้น ใบหน้าขาวสะอาด กุมภ์ยิ้มและน่าจะเป็นคนถือกล้องเพราะองศาของรูปมันทางกุมภ์มากกว่า ทั้งคู่ดูเหมาะสมที่จะเป็นคู่รักกันจริงๆ

                “มึงเอาห่าอะไรให้กูดู”

                “ห่าที่ไหน รูปพี่กุมภ์กับแฟนเขาไง” จ้าวจอมยักคิ้วทะเล้น “ผมถามไปว่าไปเที่ยวกับใคร เขาก็เลยส่งรูปมาให้ดู อ๊ะๆ นี่ไงบอกชื่อแล้ว ชื่อปรางค์ซะด้วย”

                กุมภ์ปรางค์ หึ แม้แต่เชื่อยังฟังดูเหมาะกันเลย

                “มึงไม่ถามเขาไปเลยล่ะว่าเป็นแฟนกันหรือเปล่า” โหรประชด กระแทกพลั่วจนมันเกือบจมลงดินแข็งๆ ไปเกินครึ่ง ในอกร้อนเหมือนกินน้ำร้อนลงไปสักกา

                “ถามแล้ว” จ้าวจอมตอบหน้าตาเฉย ก่อนจะหลิ่วตาเจ้าเล่ห์ “พี่เขาว่าเป็นแค่เพื่อนกัน”

                ถึงได้เป็นคำถามที่ประชด และได้รับคำตอบมาแล้วกลับไม่ได้ทำให้ความรู้สึกของคนฟังดีขึ้นเลยสักนิด โหรกระแทกพลั่วลงดินหนักๆ จนจ้าวจอมแซวว่าจะพรวนดินหรือขุดบ่อกันแน่

                ร่วมเดือนแล้วที่กุมภ์กลับกรุงเทพฯ ไปแล้วไม่ได้ติดต่อมาทางเขา เช่นเดียวกันที่เขาเองก็ไม่ได้ติดต่อไปเหมือนกัน ทั้งที่กุมภ์ให้เบอร์โทรศัพท์ไว้แล้ว หลายครั้งที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู พิจารณาอยู่หลายเที่ยว แต่ก็ได้กดโทรออก เพราะหาเหตุผลที่จะโทรไปไม่ได้ ถ้าจะยกเรื่องพระพันนากับพระรชตมาเป็นข้ออ้างมันก็ไม่ได้ผลนัก เพราะจ้าวจอมรายงานหมดทุกเม็ดอยู่แล้ว

                เมื่อหลายวันก่อนจ้าวจอมมันดีใจวิ่งมาหาพร้อมกับกล่องพัสดุในมือ บอกว่ากุมภ์ส่งอัลบั้มรูปที่พระพันนาถ่ายเอาไว้ตอนติดอยู่ในป่า ถึงเขาจะไม่มีความรู้เรื่องกล้องหรือภาพถ่าย แต่ยอมรับว่าฝีมือของพระพันนาดีมากจริงๆ แม้แต่รูปเห็ดที่ชูต้นเหนือใบไม้แห้งยังดูดี จ้าวจอมเปิดให้ดูไปเรื่อยๆ จนถึงรูปของไอ้บอด ที่ตอนนี้เหลือแค่ชื่อเท่านั้น เขาเลิกสนใจอัลบั้มรูปไปพักใหญ่แล้ว แต่จ้าวจอมยังคงชื่นชมฝีมือของพระพันนาไม่เลิก ได้ยินว่ามันจะขอบางรูปไว้ด้วย ไม่รู้ว่าประทับใจอะไรนักหนา ส่วนตัวเขากลับจดจ่ออยู่กับลายมือเรียบร้อยบนกล่องกระดาษแทน

                ‘นายกุมภา  เกียรติรักษ์วงศ์’

                เขาเพิ่งรู้ว่ากุมภ์ มีชื่อจริงว่ากุมภา อาจจะตั้งตามเดือนเกิดของเจ้าตัว ส่วนเขาชื่อโหร คำเดียวสั้นๆ ทั้งชื่อจริงและชื่อเล่น ไม่ได้มีความหมายหรือที่มาที่ไปซับซ้อน แค่ตั้งให้สอดคล้องกับของปู่เหม พ่อหาญ เท่านั้น

                โหรถอนหายใจ ยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผาก อาการร้อนรุ่มในอกมันไม่เคยลดลงเลย นานวันยิ่งรุนแรงขึ้น แม้จะยืนยันหนักแน่นสักแค่ไหนว่าไม่ได้คิดเกินเลยกับกุมภ์ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับความรู้สึกของตนมันไม่เคยลดน้อยลงเลย

                เป็นไปไม่ได้หรอกที่แค่การช่วยเหลือโดยไม่คิดถึงชีวิตตัวเองจะทำให้เขาเปลี่ยนรสนิยมได้

                แล้วไอ้ที่เป็นอยู่ตอนนี้มันเรียกว่าอะไร?

                หงุดหงิดโว๊ย!

                “โอ๊ย!”

                โหรสะดุ้ง ชายหนุ่มเบิกตากว้างมองหาต้นตอ แล้วก็ต้องตกใจยิ่งกว่าเดิมเมื่อเห็นของเหลวสีแดงข้นจากฝ่าเท้าของจ้าวจอม

                “เฮ้ย!” โหรอุทาน ทิ้งพลั่วในมือทันที

                “พี่มัวแต่เหม่ออะไรอ่ะ โอ๊ย โคตรเจ็บเลย จะเป็นบาดทะยักหรือเปล่าวะเนี่ย”

                แผลของจ้าวจอมไม่ได้ลึกมากเพราะพลั่วไม่คม โชคดีอีกอย่างที่จ้าวจอมฉีดยาบาดทะยักเอาไว้แล้ว โหรเอ่ยขอโทษไปแค่ครั้งเดียว แต่ก็รับผิดชอบทุกอย่าง ทั้งพามาทำแผลที่อนามัย และพาไปส่งที่บ้าน โดยรถยนต์ตอนครึ่งคันเก่าสีน้ำเงินที่นาทีปีหนจะออกใช้งานสักที จ้าวจอมบ่นไม่หยุดปากเพราะเจ็บแผล

                “พี่กุมภ์เป็นห่วงใหญ่เลย ผมบอกด้วยแหล่ะว่าพี่โหรทำ” จ้าวจอมฟ้อง มือยังกดโทรศัพท์ไม่หยุด โหรเพิ่งรู้ว่าไอ้เด็กแสบนี่มันติดโทรศัพท์เหมือนกัน

                “ไปบอกเขาทำไม” โหรดุ สาบานว่าถ้าไม่ใช่เพราะตัวเขาเองที่เผลอเอาพลั่วทิ่มลงไปบนหลังเท้า คงจะตบกะโหลกไปสักป้าบแล้วล่ะ

                “ทำไมจะบอกไม่ได้ล่ะ แผลใหญ่นะเนี่ย”

                “ใหญ่มะเหงกนี่! แค่ล้างแผล ไม่ได้เย็บสักเข็ม เดี๋ยวกูเอายามาให้กิน ไม่ถึงอาทิตย์ก็หายแล้ว” โหรส่ายหัว กับความเล่นใหญ่เกินจริงของจ้าวจอม “กูกลับล่ะ ฝากบอกพี่กุมภ์ของมึงด้วยว่ากูรับผิดชอบเต็มที่”

                “ทำไมต้องฝากบอก” จ้าวจอมขมวดคิ้ว “บอกเองก็ได้นี่ เบอร์โทรก็มี”

                “กูไม่โทร!”

                จ้าวจอมถอนหายใจ มองตามแผ่นหลังกว้างของลูกพี่ใหญ่ไป ไม่เข้าใจว่าทำไมโหรต้องหงุดหงิดแค่เขาบอกให้โทรศัพท์ไปหากุมภ์ ไหนจะท่าทางสนอกสนใจตอนที่ยื่นรูปในโทรศัพท์ให้ดู นี่ไม่นับรวมอาการเหม่อลอยจนทำให้เขาได้แผลอีก

                แต่มีอีกอย่างที่โหรยังไม่รู้ คือกุมภ์มักจะส่งข้อความมาถามว่าโหรเป็นอย่างไรบ้าง มันดูคล้ายกับเป็นการถามไถ่ทั่วไป ทว่าข้อความทำนองนี้ถูกส่งมาทุกวัน จนแม้แต่คนไม่ประสาอย่างจ้าวจอมยังอดแปลกใจไม่ได้

                “ทำเป็นปากแข็งไปเถอะ เดี๋ยวเขามีแฟนจริงๆ ตัวเองจะน้ำตาเช็ดหัวเข่า” จ้าวจอมส่ายหน้าเบาๆ สายตายังจับอยู่ที่กลุ่มควันสีดำของรถยนต์รุ่นเก่าที่แล่นห่างออกไปเรื่อยๆ...

 

                ‘อีก 2 วัน หลวงพี่ก็จะศึกแล้ว พี่จะมาไหม’

                กุมภ์อ่านข้อความที่จ้าวจอมส่งมาอยู่หลายรอบ แต่ยังไม่อาจให้คำตอบได้ นิ้วมือยกค้างอยู่อย่างนั้น จนสุดท้ายก็เลื่อนไปกดปุ่มล็อคหน้าจอแทน

                วันเวลาผ่านไปเร็วเหมือนติดจรวด เผลอแป๊บเดียวพระพันนาและพระรชตก็ครบกำหนดบวชแล้ว จ้าวจอมเล่าเรื่องที่โน่นให้ฟังทุกวัน โดยเฉพาะเรื่องของคนที่ถามถึง

                ท่าทางโหรจะสบายดี แม้จะทำให้จ้าวจอมได้รับบาดเจ็บที่เท้าก็ตาม ตอนที่จ้าวจอมส่งรูปแผลมาให้ดูเขาตกใจไม่น้อย รีบถามว่าเกิดอะไรขึ้น ได้รับคำตอบกลับมาว่าโหรทิ่มพลั่วใส่หลังเท้าจ้าวจอม โชคดีที่แผลไม่ลึกและหายไว ส่วนโหรรับผิดชอบด้วยการเอายาสมุนไพรมาให้ บางวันก็ไปรับที่โรงเรียนด้วยรถยนต์

                เขาเผลอยิ้มเมื่อนึกถึงภาพใบหน้าบูดบึ้งของโหรตอนที่ขับรถยนต์ไปรับจ้าวจอมที่โรงเรียน

                กุมภ์ถอนหายใจ ทิ้งตัวลงบนที่นอนนุ่ม ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศทำให้สบายตัว แต่เขากลับคิดถึงลมเย็นๆ และกลิ่นแดดอ่อนๆ ในยามเช้ามากกว่าที่บ้านหลังเล็กมากกว่า เกือบเดือนแล้วที่เขาไม่ได้ติดต่อกับโหรเลย ได้แค่ข้อความจากจ้าวจอม ไม่รู้ว่าจ้าวจอมจะเดาออกไหมว่าทำไมเขาจึงถามถึงโหรทุกวัน ดีไม่ดีโหรอาจจะเล่าให้จ้าวจอมฟังเรื่องที่เขาเป็นเกย์แล้วก็ได้

                นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ทำให้เขาหนักใจ คนในครอบครัวยังไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นเกย์ แถมดูเหมือนว่าแม่ของเขากับป้าเปรมกำลังจะจับคู่เขากับปรางค์อีกด้วย ถึงปรางค์จะเป็นผู้หญิงน่ารัก ทั้งรูปร่างหน้าตา แต่เขาไม่ได้ชอบผู้หญิง ถึงจะสนิทกันแค่ไหน เธอก็ยังเป็นแค่เพื่อนเท่านั้น

                พรุ่งนี้ปรางค์ชวนให้เขาไปดูหนังเป็นเพื่อน เพราะเธอชวนคนอื่นแล้วแต่ไม่มีใครว่าง กุมภ์ถอนหายใจทิ้งอีกครั้ง นอกจากแม่กับป้าเปรมจะสร้างความกดดันให้แล้ว ปรางค์เองก็ทำให้เขาหนักใจไม่น้อย

                เขารู้ว่าปรางค์เองก็มีใจให้ ถึงเธอจะไม่พูดแต่การกระทำของเธอค่อนข้างชัดเจน ทั้งชวนไปกินข้าว ดูหนัง หรือแม้แต่เลือกซื้อหนังสือ แม่เลยยิ่งเข้าใจว่าเขากับปรางค์กำลังคบหาดูใจกันจริงๆ มีครั้งหนึ่งเขาเคยได้ยินท่านเปรยกับพ่อว่ากำลังจะได้ลูกสะใภ้ เขาอึดอัด กลุ้มใจ แต่ไม่อาจจะระบายเรื่องนี้ให้ใครฟังได้

กุมภ์พลิกตัวลงนอนตะแคง ปิดเปลือกตาที่แสนเมื่อยล้าลง บางทีการเป็นเกย์มันอาจจะผิดจริงๆ เพราะยิ่งนานวันก็ยิ่งทรมาน

                ‘เพิ่งรู้ว่าพวกผู้ชายงี่เง่าเป็นเหมือนกัน’

                กุมภ์ลืมตาโพลงด้วยความตกใจ เมื่อครู่นี้เขาได้ยินเสียงผู้หญิง ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบห้อง แล้วก็ต้องสะดุ้งจนเกือบตกเตียงเมื่อพบกับร่างหนึ่งที่กำลังนั่งอยู่ปลายเตียงที่เขานอน

                “พิกุล!”

                ‘นึกว่าจะจำกันไม่ได้เสียแล้ว ฉันน่ะจำตอนที่โดนเธอถีบได้ดีเชียวล่ะ’

                น้ำเสียงของเธอเยือกเย็นไร้ความรู้สึก ขนในกายลุกชัน เพราะริมฝีปากของเธอไม่ได้ขยับแม้แต่น้อย ทว่าเสียงของเธอกลับดังชัดเจนเหมือนแทรกเข้ามาในความคิด กุมภ์เบิกตากว้างอยู่อย่างนั้น ไม่กล้าแม้แต่จะดึงเท้าหนีด้วยซ้ำ พิกุลค่อยๆ เอียงหน้าหันมอง ดวงตาของเธอดำใหญ่ไร้เงา ใบหน้าขาวซีดเช่นเดียวกับริมฝีปาก ทว่าเสื้อผ้าที่สวมใส่ไม่ได้ขาดวิ่นเหมือนที่เคยเห็น แต่ขาวสะอาดเหมือนชุดใหม่ ผิวกายก็ไม่ได้สกปรกมอมแมม เส้นผมสีดำสนิทเรียบตรงทิ้งตัวที่แผ่นหลังบางเล็ก ถ้าหากเธอยังมีชีวิตคงสวยจับใจเป็นแน่

                “คะ คุณคงไม่ได้จะมา...มา...แก้แค้น...” กุมภ์ถามเสียงสั่น กลัวแทบขาดใจแต่กลับขยับตัวไม่ได้

                ‘เปล่าหรอก’ พิกุลตอบกลับมาด้วยเสียงที่ดังในความคิด ‘ฉันจะมาตอบแทนต่างหาก’

                “ตอบแทน?” กุมภ์เลิกคิ้วสูง จากที่หวาดกลัวเป็นแปลกใจแทน

                ‘อืม’ ผีสาวพยักหน้า ดวงตาไร้เงาของเธอนิ่งไม่ไหวติง ‘ฉันกำลังจะไปในภพภูมิของฉันแล้ว ความแค้นของฉันหมดลงแล้ว แต่ยังมีเรื่องติดค้างอยู่อีก...นิดหน่อย’

                กุมภ์ตั้งใจฟัง นึกดีใจที่ความแค้นที่พิกุลมีต่อรชตไม่มีเหลืออยู่อีกแล้ว หากแต่สิ่งที่เธอบอกว่ายังติดค้างเขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร ชายหนุ่มค่อยๆ หดขาเข้ามาหาลำตัว เปลี่ยนท่าเป็นนั่งขัดสมาธิ ความกลัวลดลงไปมากทีเดียว อย่างน้อยก็จนกว่าเธอจะแปลงกายให้น่ากลัว

                ‘โหรเขาไม่ได้รังเกียจเธอหรอกนะ...แต่ตาทึ่มนั่นไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไงกับเธอกันแน่’

                กุมภ์เกือบหัวเราะคำว่าตาทึ่ม ถึงลักษณะของโหรไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่าทึ่มเท่าไรนัก แต่ในประโยคสุดท้ายหัวใจเขาก็เต้นผิดจังหวะ

                “รู้สึก...กับผม?” กุมภ์ใช้นิ้วชี้มาที่ตัวเอง ใบหน้าสวยงามแต่ไร้ซึ่งความรู้สึกพยักช้าๆ เพียงแค่ครั้งเดียว

                ‘เขาทึ่มอย่างที่ฉันบอกนั่นแหล่ะ วิชาความรู้ เวทมนต์ยากกว่านี้ตั้งเยอะกลับศึกษาได้ แค่ความรู้สึกของตัวเองกลับไม่รู้ เส้นผมบังภูเขาแท้ๆ’ พิกุลพูดเหมือนตำหนิ

                “เขาไม่ได้รังเกียจผม...แต่เขาก็รับไม่ได้ที่ผมเป็นแบบนี้” กุมภ์บอกพร้อมฝืนยิ้ม

                ‘ในยุคสมัยฉัน คนแบบเธอก็มีอยู่บ้าง แต่ไม่มาก’ พิกุลเล่าถึงอดีต ‘ฉันว่าพวกเขาน่าสงสารนะที่ไม่อาจฝืนความรู้สึกได้ อยากจะรัก จะชอบใครสักคนก็ยังทำลำบาก ยิ่งคู่รักยิ่งไม่ต้องพูดถึง ต้องหลบๆ ซ่อนๆ เพราะไม่อยากถูกสังคมประณามหยามเหยียด บางคนถึงกับต้องฆ่าตัวตายเพราะไม่อาจทนต่อกระแสต่อต้านได้ เธอโชคดีมากนะที่เกิดในยุคนี้...ดังนั้นเธอไม่ควรปล่อยให้ความโชคดีนี้หลุดมือไปนะ’

                “ผมทำไม่ได้หรอก” กุมภ์ส่ายหน้า “ถ้าเขาไม่ได้รู้สึกดีกับผม แล้วถ้าผมรุกเข้าหาเขามากๆ เขาอาจจะรังเกียจผมจริงๆ ก็ได้”

                พิกุลทำเสียงคล้ายกับจะถอนหายใจ ซึ่งกุมภ์ไม่รู้ว่าดวงวิญญาณทำได้หรือเปล่า เขามองใบหน้าเรียบเฉยของเธออยู่เพียงวินาทีแล้วก็ก้มต่ำ เพราะรู้สึกเหมือนกำลังถูกดุอยู่

                ‘ทึ่มพอกัน...เธอชอบเขาไม่ใช่หรือไง ฉันรู้ดีว่าความรักที่ไม่สมหวังมันทรมานแค่ไหน และฉันก็อยากตอบแทนให้กับคนที่ช่วยเหลือฉันเพราะฉันไม่อยากติดค้างอะไรกับใครอีก’

                “แต่ผมไม่ได้ช่วยคุณ ผม...ถีบคุณด้วย”

                ‘ฉันไม่ได้หมายถึงเธอ...ตาทึ่มโหรต่างหาก’ พิกุลตอบ ‘เธอเป็นคนดี ฉันอยากให้โหรมีความสุขจริงๆ ไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดว่ามันเป็นความสุข’

                “สิ่งที่เขาคิด?” กุมภ์ขมวดคิ้ว ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ โหรเป็นผู้ชายปกติ ย่อมอยากจะมีครอบครัวที่สมบูรณ์ พ่อแม่และลูก “เขาอาจจะคิดถูกก็ได้ครับ”

                ‘ไม่หรอก...ถ้าเขามีเมียเป็นผู้หญิงจะไม่มีพบกับความสุขไปตลอดชีวิต เขาจะต้องพบกับความผิดหวังไปจนกว่าหมดลมหายใจ’

                “จริงเหรอครับ” กุมภ์ถาม ถึงไม่ได้รับคำตอบที่แน่ชัด แต่อาการนิ่งเงียบของพิกุลน่าจะเป็นเครื่องยืนยันได้ “แต่ผมคงช่วยเขาไม่ได้หรอก เขาไม่ได้ชอบผม”

                ‘เขาเองยังไม่รู้ใจตัวเองเลย แล้วเธอจะไปรู้ดีกว่าใจเขาได้อย่างไร’ พิกุลย้อน ‘เอาเถอะ อย่ามัวแต่ถือทิฐิอยู่เลย ฉันรู้ว่าเธอเป็นคนดี เธอจะทำให้เขาพบกับความสุขที่แท้จริง....ฉันไปล่ะ’ ร่างโปร่งบางลุกขึ้นจากเตียง หันหลังทำท่าคล้ายกับจะจากไปจริงๆ แต่เธอเอี้ยวตัวหันมาเสียก่อน ราวกับเพิ่งนึกบางอย่างขึ้นได้ ‘อ้อ วันที่พระศึกน่ะ เอาเพื่อนที่ชื่อปรางค์ไปด้วยก็ดีนะ’

(มีต่อ)
             

หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 18 : ไม่รู้ใจตัวเอง] 12/02/2563
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 12-02-2020 21:34:27
(ต่อ)
  กุมภ์เฝ้าบอกกับตัวเองว่าคำพูดของพิกุลเชื่อถือไม่ได้ แต่สุดท้ายเขาก็ชวนปรางค์มาเป็นเพื่อนในวันที่พระพันนากับพระรชตลาสิกขาบถ โชคดีที่ปรางค์ไม่ได้ถามอะไร เธอดูตื่นเต้นด้วยซ้ำเพราะนี่เป็นการมาต่างจังหวัดครั้งแรกโดยไม่มีแม่คอยควบคุม แต่พวกเขาไม่ได้เดินทางตามลำพัง มีชาร์ลและคะนิ้งที่กลับมาจากเยอรมันมาด้วย ครั้งแรกที่ชาร์ลและคะนิ้งเห็นปรางค์ ทั้งคู่แทบจะปักใจเชื่อทันทีว่าปรางค์คือคนรักของเขา ปรางค์แบ่งรับแบ่งสู้ แก้มของเธอแดงเหมือนลูกมะเขือเทศ ขณะที่เขาได้แต่ส่ายหัวไปมา แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธไปตรงๆ เพราะกลัวจะทำให้ปรางค์เสียใจ ถึงเธอจะไม่มีวันได้เป็นคนรัก แต่เขาก็รักเธอแบบเพื่อนสนิทกันคนหนึ่ง

                พวกเขามาถึงวัดป่าในช่วงสาย ที่วัดครอบครัวของรชตกับพันนามาพร้อมหน้าแล้ว ที่จริงพวกเขามาถึงตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็น และเข้าพักในโรงแรมกลางจังหวัด ปรางค์ตื่นเต้นมากกว่าใคร วันนี้เธอสวมชุดกระโปรงสีขาวสะอาดตา กับรองเท้าผ้าใบสบายๆ เส้นผมยาวสีดำรวบเป็นหางม้าง่ายๆ แต่งแต้มเครื่องสำอางเล็กน้อย เพียงแค่นี้เธอก็น่ารักเหมือนตุ๊กตาแล้ว ส่วนตัวเขาเองสวมเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงสีอ่อนไม่ได้หรูหราหากแต่สุภาพเหมาะกับสถานที่ ชาร์ลกับคะนิ้งแซวใหญ่ว่าเขากับปรางค์แต่งตัวเหมือนคู่รักไม่มีผิด

                การลาสิกขาบถของพันนาและรชตเรียบง่าย ทั้งคู่อยู่ในชุดขาวที่ครอบครัวเตรียมให้ ตอนก้มกราบลาเจ้าอาวาสเขาเห็นดวงตาของท่านเปี่ยมไปด้วยความเมตตา ท่านเทศคำสอนของพระพุทธเจ้าให้ฟัง แม้จะวัยเลยแปดสิบแล้วแต่เสียงของท่านยังชัดก้องกังวานศาลาไม้ การเทศไม่สะดุด ไหลลื่นและน่าฟัง จนปรางค์ต้องเอ่ยชมอยู่หลายครั้ง ไม่น่าเชื่อเลยว่าเจ้าอาวาสที่เปี่ยมไปด้วยบุญกุศลท่านนี้จะเป็นตาของจ้าวจอม เด็กแสบประจำตำบล

                ทั้งหมดเดินออกมาจากศาลา รวมทั้งพันนาและรชต ออกจะแปลกตาไปสักหน่อยเพราะผมยังไม่ขึ้น ขนคิ้วก็ไม่มี แต่ก็ดูอิ่มเอิบคงเป็นเพราะผลพลอยได้จากการฝึกสมาธิ รชตท่าทางสงบขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด พันนาเองก็ด้วย อาจจะไม่ชัดเท่าเพราะก่อนหน้าพันนาก็สุขุมอยู่แล้ว

                กุมภ์โผเข้ากอดเพื่อนสนิททั้งสอง พร้อมกับชาร์ล เพื่อนรักทั้งสี่กอดกันกลม เหตุการณ์ที่ร่วมผจญมาด้วยกันพิสูจน์ความเป็นเพื่อนได้ดี

                “มึงอ้วนขึ้นปะเนี่ย” ชาร์ลแซว ทั้งที่ตัวเองก็เจ้าเนื้อขึ้นเหมือนกัน อาหารที่เยอรมันคงจะถูกปากไม่น้อย

                “นิดหน่อย” พันนาตอบยิ้มๆ ก่อนจะมองไปทางปรางค์ “แฟนเหรอวะกุมภ์”

                กุมภ์ส่ายหน้า “เพื่อนกันน่ะ ชื่อปรางค์ เขาอยากมาเที่ยวเลยชวนมาด้วย”

                ปรางค์ยิ้มทักทายเพื่อนของเธอ แก้มเธอแดงเรื่ออีกครั้ง ดวงตาเป็นประกายสดใส กระซิบบอกกับเขาว่าเพื่อนของเขาน่ารักทุกคน ซึ่งเขาก็เห็นด้วย ถึงนิสัยจะแตกต่างกัน แต่มันคือความลงตัว

                “ขา...ไปทำอะไรมา”

                กุมภ์หันไปมองพันนา แต่สายตาของคนพูดจับจ้องไปยังร่างโปร่งบางของเด็กชายตัวแสบที่กำลังเดินกระย่องกระแย่งเข้ามา ที่เท้ามีผ้าพันแผลสีขาวขุ่นที่คล้ายกับจะเปื้อนฝุ่นอยู่ด้วย คงมีเขาคนเดียวในทีนี้กระมังที่รู้ว่าแผลที่เท้าของจ้าวจอมเกิดจากอะไร

                “อุบัติเหตุนิดหน่อย” เด็กแสบยิ้มกว้าง เท้าข้างที่เจ็บมีรองเท้าแตะสวมอยู่แต่ก็จวนจะหลุดจากเท้าเต็มที

                “แผลยังไม่หายอีกเหรอ ตัวแสบ” กุมภ์เอ่ยทัก จ้าวจอมทำตาโตเดินกระโผลกกระเผลกเข้ามา “หวัดดีครับพี่กุมภ์ พี่คนนี้ชื่อปรางค์ใช่ไหม ตัวจริงสวยกว่าในรูปอีกอ่ะ”

                ปรางค์ยิ้มแหย รู้ได้ทันทีว่าเธอกำลังอาย อีกอย่างเธอไม่รู้ว่าเขากับจ้าวจอมรู้จักกัน ซ้ำเขายังส่งรูปที่เคยถ่ายคู่กับเธอให้จ้าวจอมดูอีกด้วย

                “หวัดดีครับพี่ปรางค์” จ้าวจอมยิ้มเรี่ยราด ก่อนจะหันมายกมือสวัสดีทุกคน

                “โตขึ้นหรือเปล่าเรา” คะนิ้งเอ่ยทัก ดูเหมือนว่าจ้าวจอมจะสูงขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย

                เจ้าเด็กแสบทำท่ายืดอก เรียกเสียงหัวเราะจากพี่ๆ แต่จังหวะหนึ่งที่เจ้าตัวก้าวถอยหลังเพราะเท้าที่ยังรองรับน้ำหนักไม่ได้ทำให้เสียการทรงตัว ร่างเซไปด้านหลังและเกือบจะล้มก้นกระแทกพื้นแล้วหากไม่ได้ใครบางคนช่วยรับเอาไว้

                “ระวังหน่อยสิ”

                ข้อมือแข็งแรงยึดต้นแขนของจ้าวจอมเอาไว้ ก่อนจะเลื่อนไปประคองแผ่นหลังให้กลับมายืนทรงตัวตามเดิม จ้าวจอมหัวเราะแหะๆ ก่อนจะยกมือไหว้ขอบคุณ

                “ขอบคุณครับหลวงพี่ เอ๊ย พี่”

                พันนาส่ายหัว ปล่อยมือจากเด็กแสบ “อย่าซ่าส์ให้มากนัก แล้วได้ล้างแผลบ้างหรือเปล่า ทำไมผ้าพันแผลถึงสกปรกนัก”

                “ทำน่าพี่ ที่มันเลอะๆ เพราะยาของพี่โหรมันสีน้ำตาลอ่ะ”

                ชื่อของโหรทำเอาหัวใจของกุมภ์กระตุกวูบ อันที่จริงอาการนี้มันกำเริบตั้งแต่เข้ามาในเขตวัดแล้วไม่เห็นโหรแล้ว แม้จะรู้สึกโล่งใจแต่ขณะเดียวกันก็อดผิดหวังไม่ได้ บางทีโหรอาจคิดว่าพวกเขาเป็นแค่ลูกค้า ไม่ได้มีความหมายไปมากกว่านั้น

                “เออ พูดถึงพี่โหร ทำไมกูไม่เห็นพี่เขาเลยวะ” ชาร์ลถาม
                “พี่โหรเขาอยู่กุฏิหลวงตาโน่น” จ้าวจอมชี้นิ้วไปทางกุฏิหลังเก่าที่สุด อยู่ติดชายป่ารก ที่ไม่บอกก็รู้ว่านั่นคือป่าช้า

                สายตาไวเท่าความคิด กุมภ์หันไปตามนิ้วของจ้าวจอม เห็นแผ่นหลังกว้างคุ้นตาแม้จะเล็กเท่าหัวไม้ขีดเขาก็จำได้ หัวใจพลันเต้นรัวจนต้องสูดหายใจเข้าปอดลึกอยู่หลายครั้ง

                “ไปหาพี่โหรกันเถอะ กูอยากขอบคุณเขาจริงๆ จังๆ สักที”

                ที่กุฏิหลวงตาอิ่มไม่ได้มีแค่โหร แต่พ่อแม่ของพันนาและรชตก็อยู่ด้วย หลวงตากำลังหลับตาสวดมนต์เบื้องหน้ามีบาตรใบเก่าบุบๆ และเทียนทำน้ำมนต์อยู่ด้วย โหรนั่งพับเพียบอยู่ด้านในมือยกขึ้นพนม แต่ไม่ได้หลับตาเช่นเดียวกับผู้ใหญ่อีกสี่คน ไม่ถึงนาทีหลวงตาก็ลืมตาขึ้น ใช้ตอกเก่าจุ่มลงไปในบาตร แล้วสะบัดมาทางฆราวาส กุมภ์กับคนอื่นๆ ย่อตัวลงนั่งหลังส้นเท้าตั้งแต่มาถึงกุฏิ เว้นแต่จ้าวจอมที่ยังนั่งไม่ถนัด เลยยืนติดกับเสากุฏิ แต่ก็ยกมือไหม้ก้มศีรษะรับน้ำมนต์ที่หลวงตาพรมให้

                “อาตมาบอกไม่ได้หรอกว่าหมดเคราะห์หมดโศกกันหรือยัง แต่ขอให้โยมอยู่ในศีลในธรรม บุญจะคุ้มครองพวกโยมให้อยู่รอดปลอดภัย”

                ทุกคนกล่าวสาธุพร้อมกันเบาๆ แล้วทยอยออกจากกุฏิของหลวงพ่อ โหรลุกขึ้นยืนแต่ไม่ได้เต็มความสูงเพราะหลังคากุฏิไม่ได้สูงพอสำหรับส่วนสูงเกินหกฟุตของตน ชั่วจังหวะหนึ่งที่กุมภ์ลุกขึ้นยืน เขาเผลอเหลือบมองไปยังร่างสูงใหญ่ ลมหายใจหยุดชะงักไปชั่ววินาทีเมื่อประสายกับดวงตาคมดุ

                “โอ๊ย”

                กุมภ์หันไปตามสัญชาตญาณ แล้วรีบใช้มือประกองร่างของปรางค์เอาไว้ก่อนที่เธอจะล้มไปนั่งบนพื้นดิน ปรางค์หันมายิ้มแหยพลางกล่าวขอบคุณ”

                “ขอบใจจะกุมภ์ เราเป็นเหน็บน่ะ สงสัยจะนั่งนานเกินไป”

                เขาไม่ได้ถือสาอะไร ช่วยพยุงให้เธอยืนขึ้น ปรางค์สะบัดเท้าเบาๆ ไม่น่าเกลียดเพื่อไล่อาการเหน็บชา

                “ดูแลดีจังว่ะ ไหนบอกแค่เพื่อนไงวะ” ชาร์ลยิ้มกรุ้มกริ่ม

                “ใช่ ดูแลดีกว่าชาร์ลดูแลเราอีก” คะนิ้งสัมทับ ก่อนจะหันไปค้อนใส่คนรัก

                ปรางค์ยิ้มเขินๆ แก้มแดงอีกครั้ง เธอยกมือขึ้นเก็บปอยผมเล็กๆ เหน็บหลังใบหู “เราแค่เป็นเหน็บน่ะ แล้วกุมภ์ก็.!..”

                “ไอ้จอมกลับกันได้แล้ว”

                เสียงใหญ่แทรกขึ้นก่อนที่ปรางค์จะพูดจบประโยค ดึงเอาความสนใจจากทุกคนไปหมด กุมภ์รู้สึกถึงไออุ่นประหลาดแถวแผ่นหลัง เงาดำทาบทับลงมาเหมือนเมฆเคลื่อนบังพระอาทิตย์ แต่เขารู้ว่ามันไม่ใช่เงาของเมฆ

                “พี่โหร หวัดดีครับ”

                พันนา รชต ชาร์ล คะนิ้ง หรือแม้แต่ปรางค์ยกมือขึ้นกระพุ่มไหว้ผู้มีอายุมากกว่า กุมภ์ค่อยๆ หมุนร่างไปด้านหลัง สายตาปะทะกับแผ่นอกกว้าง เขาไล่ตาขึ้นมองจนได้เห็นลูกคางได้รูป ริมฝีปากหยักลึก สันจมูกโด่งและดวงตาคู่ดุ ที่ไม่ได้มองมาทางเขาแม้แต่น้อย กุมภ์ก้าวถอยหลังเล็กน้อยแล้วยกมือขึ้นไหว้เหมือนคนอื่นๆ

                “สวัสดี” โหรรับไหว้พร้อมกล่าวตอบรับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

                “ผมอยากจะขอบคุณพี่”

                “ที่นี่คงไม่เหมาะ ไปบ้านผมน่าจะดีกว่า”

                                                                           *****************
*ลืมจ้า ที่ลงช้าเพราะลืมจ้า ขอโทษษษษษษษ*

**คำตกหล่นคำผิดมีเยอะจริงจ้า ตอนกอง บก ส่งมาถามนี่ยังงงตัวเอง แต่ในเล่มได้รับการแก้ไขแล้วนะคะ กราบขออภัยนักอ่านด้วยนะคะ**

***มีแพลนจะแต่งรุ่นลูกค่ะ แต่ต้องลุ้นเอาเนาะว่าลูกใคร***

****ช่วงนี้โดนคู่ ซซ (ซีเซ้นต์ จาก เพราะรักใช่เปล่า) ตกอยู่ ที่หายไป ที่ลืมลงนิยายเพราะเอาแต่หวีดคู่นี้อยู่จ้า****

*****ขอบคุณสำหรับคำติชมนะคะ ไว้เจอกันตอนหน้าถ้าเราไม่ลืม ฮาาาาา*****
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 18 : ไม่รู้ใจตัวเอง] 12/02/2563
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 12-02-2020 21:56:06
รออยู่เสมอนะคะ สนุกมากๆแต่เมื่อไหร่โหรจะรู้ใจตัวเองซักที อยากเห็นตอนรักกันแล้วอ่ะจะเป็นยังไง :mew3: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 18 : ไม่รู้ใจตัวเอง] 12/02/2563
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 12-02-2020 22:00:40
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 18 : ไม่รู้ใจตัวเอง] 12/02/2563
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 12-02-2020 22:13:08
โหรเรียกจอมกลับเสียงดัง คงไม่รูตัวว่าแอบหึงคนเขาประคองกันละสิ หุหุหุ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 18 : ไม่รู้ใจตัวเอง] 12/02/2563
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 12-02-2020 22:31:55
แหม พี่โหรร
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 18 : ไม่รู้ใจตัวเอง] 12/02/2563
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 13-02-2020 00:04:45
แหนะ ชวนไปบ้านนน
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 18 : ไม่รู้ใจตัวเอง] 12/02/2563
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 13-02-2020 00:21:13
คู่นี้ ลุ้นจนหืดขึ้นคอละ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 18 : ไม่รู้ใจตัวเอง] 12/02/2563
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 13-02-2020 05:02:24
ถ้ารักผู้หญิงแล้วจะไม่มีความสุขก็รักกุมภ์ไปเลย
กุมภ์รักจริงขนาดไม่กลัวตายพี่โหรอย่าลังเลเลย
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 18 : ไม่รู้ใจตัวเอง] 12/02/2563
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 13-02-2020 09:54:20
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 18 : ไม่รู้ใจตัวเอง] 12/02/2563
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 13-02-2020 10:28:57
 :เฮ้อ: เมื่อไหร่จะหายทึ่ม  :ling1:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 18 : ไม่รู้ใจตัวเอง] 12/02/2563
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 13-02-2020 21:46:41
หึงแล้วยังไม่รู้เรืื่องอีกนะ โหร
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 18 : ไม่รู้ใจตัวเอง] 12/02/2563
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 14-02-2020 01:50:41
รอน๊าาา
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 18 : ไม่รู้ใจตัวเอง] 12/02/2563
เริ่มหัวข้อโดย: smmikie ที่ 14-02-2020 09:12:33
ชอบผีพิกุลอ่าาาาา ฉลาด 555'

โหร ลูก โหร คิคิ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 18 : ไม่รู้ใจตัวเอง] 12/02/2563
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 20-02-2020 08:36:44
คิดถึงจังเลยค่า อยากอ่านต่อแล้ว :impress:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 18 : ไม่รู้ใจตัวเอง] 12/02/2563
เริ่มหัวข้อโดย: Rateesiri ที่ 21-02-2020 00:06:28
หนังสือลง e book ด้วยนะคะ please
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 18 : ไม่รู้ใจตัวเอง] 12/02/2563
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 22-02-2020 03:32:06
รอน้าาาาา
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 18 : ไม่รู้ใจตัวเอง] 12/02/2563
เริ่มหัวข้อโดย: smmikie ที่ 22-02-2020 17:20:17
เขารออยู่น้าาาาา
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 18 : ไม่รู้ใจตัวเอง] 12/02/2563
เริ่มหัวข้อโดย: cho_co_late ที่ 22-02-2020 22:10:02
ต้องให้ผีมาช่วยชงให้รักกันแล้วนะเบอร์นี้
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 18 : ไม่รู้ใจตัวเอง] 12/02/2563
เริ่มหัวข้อโดย: chompoo1997 ที่ 25-02-2020 15:22:42
ลุ้นมากกกเมื่อไรจะรู้ใจกันสักที
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 19 : อาการของคนปากแข็ง] 27/02/2563
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 27-02-2020 21:07:50
ตอนที่ 19 อาการของคนปากแข็ง

            บ้านหลังเล็กสองชั้นที่ด้านล่างเรียกว่าใต้ถุน มีตุ่มน้ำเล็กๆ วางอยู่ข้างบันไดไม้ที่เชื่อมไปยังชั้นสอง พืชผัก สมุนไพร และดอกไม้ที่เจ้าของบ้านปลูกไว้อย่างเป็นระเบียบสร้างความตื่นเต้นให้กับปรางค์ไม่น้อย ดวงตาเป็นประกายเหมือนเด็กเห็นของเล่นถูกใจ แม้แต่แคร่ไม้ใต้ต้นขนุนที่กำลังนั่งอยู่เธอยังชื่นชม

                “บ้านของพี่โหรน่าอยู่ดีนะคะ ร่มรื่นดี แถมอยู่ใกล้ป่าด้วย ป่านี่ใช่ไหมคะที่กุมภ์เล่าให้เราฟัง” ประโยคหลังเธอหันมาถามกุมภ์ที่นั่งอยู่ข้างๆ กัน

                กุมภ์พยักหน้าเบาๆ นึกโล่งใจที่ไม่มีใครตำหนิเขาทางสายตา...ไม่มีใครนอกจากเจ้าของบ้าน กุมภ์ถอนหายใจเบาๆ สงสัยงานนี้เขาจะโดนผีหลอกจริงๆ การเอาปรางค์มาด้วยอาจจะทำให้โหรเกลียดขี้หน้าเขามากขึ้นก็ได้

                “บวชเป็นยังไงบ้าง” โหรเอ่ยถามพันนาและรชต

                ทั้งคู่นั่งอยู่ริมแคร่ใกล้กัน ใบหน้าไร้คิ้วบางครั้งก็ดูตลกอยู่เหมือนกัน คงอีกพักใหญ่ทีเดียวกว่าคิ้วจะขึ้นเต็ม

                “ตอนแรกก็ลำบากอยู่นิดหน่อยครับ แต่สักสองสามวันก็เริ่มปรับตัวได้” รชตว่า “ผมเคยกลัวผี แต่พอเจอพิกุลกับตาเวก ป่าช้าหลังกุฏิแทบไม่น่ากลัวเลย”

                “พิกุล? ใครเหรอ” ปรางค์กระซิบถาม แต่ยังไม่ทันที่กุมภ์จะให้คำตอบ รชตก็พูดต่อ

                “ผมได้ไปสมาธิวิปัสสนาในป่าช้าด้วย น่ากลัวนิดหน่อยแต่พอจิตสงบก็ไม่ได้รู้สึกกลัวอะไร....พิกุลมาหาผมด้วย” ถึงตรงนี้ทุกคนหันมองคนเล่า ตั้งใจฟังมากกว่าเดิม แม้แต่ปรางค์ก็ยังสนใจ “เขาไม่ได้มาทำอะไรหรอก แค่มานั่งอยู่หน้ากลดทั้งคืน”

                “แต่ผมไม่เจออะไรนะ มีเสียงกอกแกกเหมือนคนเดินรอบกลดสักพักก็เงียบเสียงไป” พันนาเสริม หากเทียบกับสิ่งที่ได้เจอมา การฝึกจิตในป่าช้ามันแทบไม่น่ากลัวเลย

                “ขออนุญาตนะคะ” ปรางค์แทรกขึ้น “คือ...พิกุลนี่คือใครเหรอคะ”

                “...เพื่อน...ของไอ้ชตน่ะ” กุมภ์ตอบ ยิ้มบางๆ ให้กับเธอ “แต่เขาไม่อยู่แล้วล่ะ”

                ปรางค์ยังไม่คลายสงสัย เธอขมวดคิ้วน้อยๆ แต่ไม่ได้ถามอะไรต่อ

                “ปรางค์กับไอ้กุมภ์สนิทกันตั้งแต่เมื่อไรเหรอ เราเป็นเพื่อนมันมาตั้งหลายปีไม่เคยเห็นปรางค์เลย” พันนาเป็นฝ่ายถามบ้าง ทั้งอยากแหย่กุมภ์และอยากรู้ไปพร้อมกัน

                “ก็...” ปรางค์ใช้นิ้วชี้เกาแก้ม คล้ายกับจะเขินอาย “จริงๆ ก็รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กแล้วล่ะ แต่ห่างกันไปพักใหญ่ กุมภ์ยังจำเราไม่ได้เลยตอนที่เจอกัน”

                “ก็มันนานแล้วนี่นา ใครจะไปจำได้” กุมภ์แย้ง รู้สึกหน้าร้อนขึ้นมานิดๆ

                “แต่เราจำกุมภ์ได้นะ หน้ากุมภ์แทบไม่เปลี่ยนเลย” ปรางค์ว่า แก้มเธอแดงเรื่อ ชั่วจังหวะหนึ่งเธอช้อนตามองชายหนุ่มข้างกาย แววตาส่อความหมายที่เกินกว่าคำว่าเพื่อน ทุกคนเห็น รวมไปถึงผู้ชายที่ยืนนิ่งอยู่ใต้ต้นขนุนด้วย

                “พี่โหรครับ” ชาร์ลเอ่ยขึ้น พลางหันไปทางร่างสูงใหญ่ใต้ต้นขนุน “ผมอยากจะขอบคุณพี่”

                “เรื่องอะไร” โหรตอบกลับมา น้ำเสียงนิ่งเรียบเสียจนจับความรู้สึกไม่ได้

                “ถ้าไม่ได้พี่กับจ้าวจอม พวกผมคงตายไปแล้ว” ชาร์ลพูดพร้อมยิ้มเศร้า “ผมไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้เลย แถมยังทำที่พรานกล้าห้ามด้วย”

                “ถ้าอย่างนั้นคุณควรไปขอบคุณพี่กล้า” โหรว่า

                “ผมไปมาแล้ว ก่อนที่ผมจะกลับเยอรมัน ผมไปหาพรานกล้าที่บ้าน อาการของเขาหนักกว่าพวกผมมาก” ใบหน้าของหนุ่มลูกครึ่งสลดลง “ที่ผมทำได้คือขอบคุณ และจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้”

                “อืม...เท่านั้นก็ดีแล้วล่ะ”

                โหรพยักหน้า เรื่องพรานกล้าถือเป็นคราวเคราะห์ โดยมีกรรมเป็นตัวลิขิต โชคดีนักที่พรานกล้าไม่ได้เจ็บหนักจนถึงขั้นพิการ แต่คงจะขยาดไม่เข้าป่าไปอีกพักใหญ่ จ้าวจอมเองก็พลอยเหงาปากไปด้วยเพราะคู่ปรับเจ็บหนัก

                “เออ มีอีกเรื่องนะครับ” พันนาเอ่ยขึ้น “พ่อกับแม่เพิ่งบอกผมเมื่อตอนสายนี่เอง พวกท่านอยากจะจัดงานเลี้ยงเล็กๆ ขอบคุณทุกคน ไม่มีใครหรอกครับ มีแต่คนกันเอง”

                “เห็นทีจะต้องขอตัว ไม่ถนัดงานเลี้ยงสักเท่าไร” โหรปฏิเสธ แต่พันนาไม่ยอม

                “พี่โหรน่ะคือแขกคนสำคัญเลยล่ะครับ ไม่ไปไม่ได้ ถ้าไม่สะดวกเรื่องเดินทางเดี๋ยวผมอาสาเอง”

                “อย่าลำบากเลย” โหรบอกเสียงเรียบ ทว่าชั่วจังหวะหนึ่ง ดวงตาคู่คมดุมองมายังร่างของใครบางคนที่นั่งนิ่งอยู่บนแคร่ ข้างๆ นั้นคือสตรีรูปงามที่หาได้ยากนักในบ้านนี้ตำบลนี้ “...ผมไปเองดีกว่า”

                พันนายิ้มกว้างด้วยความยินดี บอกเส้นทางไปบ้านตัวเองให้กับโหรฟัง เพียงแค่รอบเดียวโหรก็จำได้ จนจ้าวจอมยังแปลกใจ

                “โห พี่โหร ทำไมจำได้อ่ะ ขนาดผมไปเรียนทุกวันยังไม่รู้เลยว่าบ้านพี่เขาอยู่ตรงไหน”

                “มึงคงลืมไป ว่ากูเรียนมหาวิทยาลัยมาก่อน” โหรบอกสั้นๆ ไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงใบปริญญาที่ยังอยู่ในซองสีน้ำตาล “เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมกับจ้าวจอมจะไปกันเอง”

                พันนาพยักหน้ารับ นี่เป็นงานเลี้ยงขอบคุณโหรกับจ้าวจอมจริงๆ หากไม่ได้สองคนนี้บางทีพวกเขาอาจจะไม่มีชีวิตรอดมายืนอยู่ตรงนี้ก็ได้...

 

                บ้านของพันนาใหญ่โตสมกับเป็นคนใหญ่คนโตของจังหวัด อาณาบริเวณที่อยู่ภายในรั้วกำแพงมีร่วมห้าไร่ แบ่งเป็นสัดส่วนชัดเชน ตัวบ้านหลังใหญ่สองชั้น สนามหน้าบ้าน แปลงดอกไม้ สระว่ายน้ำ ต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาที่กระจายอยู่ทั่วพื้นที่ หรือแม้แต่เรือนเพาะกล้วยไม้ก็ยังมี จ้าวจอมดูตื่นเต้นไม่น้อยเพราะไม่เคยไปเหยียบบ้านใครที่หลังใหญ่ขนาดนี้มาก่อน

                โหรขับรถพาจ้าวจอมมาถึงตอนเกือบหกโมงเย็น เด็กหนุ่มวัยสิบแปดปีสวมกางเกงขาสั้นสีอ่อนกับเสื้อยืดพอดีตัว ขณะที่โหรสวมกางเกงยีนส์สีเข้มและเสื้อยืดสีขาว จะเรียกว่าดีที่สุดในตู้เสื้อผ้าแล้วก็ได้ ไม่ใช่ว่าไม่มีเงินซื้อ แต่เพราะหาความจำเป็นที่ต้องใส่เสื้อผ้าหรูๆ ไม่ได้ ในเมื่อเขาไม่จำเป็นต้องตัวไปอวดใคร

                แผลของจ้าวจอมดีขึ้นมากแล้ว แทบจะหายเป็นปกติเลยก็ว่าได้ แต่เพราะอยากจะออเซาะแม่และใครต่อใครเลยหน้าทนพันผ้าพันแผลอยู่อย่างนั้น แถมยังทำท่าเดินกระเผลกเพื่อความสมจริง ด้วยการแสดงที่สมควรแก่รางวัลเลยทำให้เกือบทุกคนคิดว่าแผลของจ้าวจอมยังไม่หาย ยกเว้นแค่โหรคนเดียวเพราะยาที่ให้ไปไม่เกินสามวันแผลก็ปิดสนิทแล้ว

                จ้าวจอมเดินลากรองเท้าแตะคู่ละร้อยเก้าสิบเก้าเดินไปบนทางเดินคอนกรีต แสงไฟสว่างไสวชัดเจนอยู่แถวสระว่ายน้ำ เสียงเพลงดังคลอเบาๆ พอสร้างบรรยากาศ

                พ่อแม่ของพันนาออกมาต้อนรับ พวกท่านยกมือไหว้จนโหรรับไหว้แทบไม่ทัน กล่าวขอบคุณเขายกใหญ่ โดยเฉพาะคุณมะลิผู้เป็นแม่ของพันนา หล่อนเท้าความไปถึงวันที่รู้ว่าลูกชายติดในป่าแล้วเจอกับจ้าวจอมที่โรงพัก หล่อนหันมาขอบใจจ้าวจอมด้วย เพราะถ้าหากจ้าวจอมไม่ยื่นข้อเสนอป่านนี้พันนากับเพื่อนคงกลายเป็นอาหารของเสือไปแล้ว

                “ไม่ต้องขอบคุณหรอกครับ พวกเราทำเพราะเงิน” โหรตอบตามความจริง คุณมะลิหน้าเสียไปนิดหน่อย แต่ผู้ชายสูงวัยที่ยืนใกล้ๆ กันหัวเราะเสียงดัง

                “สมกับเป็นหลานของตาเหมจริงๆ ขวานผ่าซากของแท้”

                โหรหันไปมองผู้สูงวัยด้วยแววตาแปลกใจ “ท่านรู้จักปู่ของผมด้วยหรือครับ”

                “รู้จักสิ” ท่านพูดยิ้มๆ “ตอนเด็กๆ ฉันเคยตามพ่อไปนั่งห้างส่องสัตว์ ก็มีน้าเหมนี่แหล่ะที่นำทางให้ ฝีมือเก่งกาจ ปากหนัก แต่พูดทีสะดุ้งกันทั้งคณะ”

                โหรยิ้มบาง จริงอย่างที่ท่านว่า ปู่ของเขาพูดน้อยต่อยหนักจริงๆ

                “ไปตรงนั้นสิ เด็กๆ รออยู่”

                “แล้วลุงไม่เข้าไปเหรอ” จ้าวจอมถาม สรรพนามที่ใช้เรียกก็สนิทเหมือนรู้จักกันมานาน แต่ไม่มีใครถือสา

                “เรียกฉันว่าลุงพงษ์ก็ได้” ท่านเอ่ยปากอนุญาต จ้าวจอมพนักหน้าหงึกๆ ถึงจะเจอกันหลายครั้งแต่ไม่เคยได้คุยกันแบบจริงจังซักที ตอนแรกที่เห็นหน้านึกว่าผู้ชายสูงวัยคนนี้จะดุ น่ากลัว แต่พอได้สนทนาแม้จะแค่เล็กน้อยก็สัมผัสได้ถึงความเมตตา “ไม่ล่ะ งานวัยรุ่นลุงไม่ถนัด เต็มที่เลยนะ ลุงขอตัวก่อนดีกว่า นั่งประชุมทั้งวัน ปวดเนื้อปวดตัวไปหมด”

                พูดจบลุงพงษ์ของจ้าวจอมหรือท่านรัตนพงษ์ก็หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในบ้าน เหลือแค่คุณมะลิมารดาของพันนาที่ยังทำหน้าเจ้าภาพและเจ้าบ้านได้ดีเยี่ยม

                “ฉันต้องขอบคุณอีกครั้งนะ ถึงก่อนหน้านั้นฉันไม่เชื่อว่าเด็กอย่างเธอจะช่วยเหลือพันนาได้” คุณมะลิหันมองจ้าวจอม “ตอนนั้นน่ะ เธอเหมือนเด็กที่ชอบหลอกเอาเงินคนมากกว่า”

                โหรอมยิ้มจนเห็นลักยิ้มที่แก้มซ้าย ส่วนจ้าวจอมถึงไหล่ห่อในคำชมของคุณมะลิ

                “ผมไม่เคยหลอกเอาเงินใครนะป้า”

                “รู้แล้วล่ะจ้ะ” คุณมะลิยิ้มกว้าง “เงินที่เสียไปมันยิ่งกว่าคุ้มเสียอีก”

                จ้าวจอมเหมือนมีปุ่มเปิดปิดอารมณ์ ใบหน้าตูมงอพลันเปลี่ยนเป็นร่าเริงขึ้นมาภายในเวลาไม่ถึงสองนาที ก่อนจะหันมายักคิ้วให้โหร

                “พวกผมแค่ทำตามหน้าที่ คุณเองก็จ่ายเงิน ผมก็ทำงานของผม” โหรบอก

                “ถึงยังไงฉันก็อยากจะขอบคุณคุณอยู่ดี” ดวงตาของคุณมะลิแดงเรื่อขึ้น พลางใช้กระดาษทิชชู่ในมือซับน้ำตาที่รื้นขึ้น “นอกจากพันนาจะรอดชีวิตแล้ว เขายังได้บวชด้วย”

                “กรรมลิขิตไว้แล้วครับ ไม่ใช่เพราะผมหรอก”

                “นั่นสินะ แต่ฉันไม่เชื่อว่าเป็นกรรมหรอก ต้องเรียกว่าบุญหนุนนำมากกว่า” คุณมะลิเช็ดน้ำตา “เข้าไปสนุกกันเถอะ เดี๋ยวฉันขอตัวไปดูในครัวก่อน วันนี้ต้องระวังเรื่องอาการ เห็นว่าชาร์ลกับคะนิ้งกินเนื้อสัตว์ไม่ได้”

                จากรอยน้ำตาแห่งความปีติกลายเป็นรอยยิ้มอบอุ่น คุณมะลิผละเดินกลับไปในตัวบ้านเช่นเดียวกับสามี โหรพยักหน้าส่งสัญญาณให้จ้าวจอม เด็กแสบประจำตำบลเดินกระโผลกกระเผลกนำหน้าไป บางจังหวะก็ลืมว่าตัวเองมีแผลที่เท้าก็เดินซะไวปรื๋อ

                กลุ่มหนุ่มสาววัยมหาวิทยาลัย กำลังพูดคุยกันเบาๆ มีเสียงหัวเราะแทรกมาเป็นระยะๆ มองจากระยะนี้ ดูเหมือนว่าชาร์ลจะโดดเด่นกว่าใคร เพราะรูปร่างที่สูงใหญ่ตามเชื้อชาติที่อยู่ในกายครึ่งหนึ่ง ขณะที่ความสวยของเด็กสาวทั้งสองคนก็สูสี ดูดีไม่แพ้กัน ทว่าสายตาของเขากลับจับจ้องไปที่เด็กสาวที่ชื่อว่าปรางค์

                ปรางค์สวยจริงๆ สวยกว่าแฟนเก่าของเขาด้วยซ้ำ รูปร่างหน้าตาผิวพรรณบอกถึงวงศ์ตระกูล ไหนจะคำพูดคำจาที่ได้รับการอบรมมาอย่างดี และเหมาะที่จะเป็นคนรักของผู้ชายดีๆ สักคน

                โหรตั้งใจจะเข้าไปร่วมงานเงียบๆ ทว่าสายตาของใครบางคนหันมาปะทะกับเขาเข้าเสียก่อน ดวงตาคู่นั้นกลมวาวเหมือนกวาง เสียงเรียกชื่อของเขาเบาๆ ทำให้คนอื่นหยุดสนทนาแล้วหันมาสนใจเขากับจ้าวจอมแทน พันนายกมือขึ้นโบกในอากาศ ศีรษะที่ยังโล้นเตียนกับใบหน้าที่ปราศจากคิ้วทำให้ดูตลกไปบ้างแต่ไม่ได้แย่นัก จ้าวจอมวิ่งเหยาะๆ เข้าไปสมทบ ได้การต้อนรับเป็นน้ำอัดลมในแก้วพลาสติก เจ้าเด็กตะกละไม่ปฏิเสธแถมยังขอขนมเพิ่มอีกด้วย

                “หิวหรือยังครับ กินขนมรองท้องก่อนครับ เดี๋ยวอาหารก็เสร็จแล้ว” พันนาบอก ก่อนจะหันมองจ้าวจอมที่กำลังเขมือบเค้กก้อนเล็กในถ้วยกระดาษแบบคำเดียวหมด

                “ผมขอน้ำซักแก้วก็แล้วกันครับ” โหรบอกเรียบๆ เขาแทบไม่รู้ตัวว่าสายตายังไม่ได้คลาดจากดวงตากลมของใครบางคน

                กุมภ์สวมชุดลำลองแบบที่เคยเห็น ถึงจะเป็นแค่ชุดธรรมดาแต่มองปราดเดียวก็รู้ว่าราคาของมันแพงกว่าเสื้อผ้าที่เขาสวมหลายเท่านัก แค่เสื้อเชิ้ตลายใบไม้สีเขียวพื้นสีดำก็แพงกว่าทั้งชุดของเขาแล้ว ไม่ต้องรวมกับกางเกงยีนกับรองเท้าผ้าใบยี่ห้อดัง นานร่วมครึ่งนาทีที่ประสานสายตา เขาไม่อยากแปลความหมายจากดวงตาคู่นั้น แล้วกุมภ์ก็เป็นฝ่ายเบือนหน้าหลบไป ไม่สิ ต้องบอกมีใครมาดึงความสนใจของกุมภ์ไปต่างหาก

                ปรางค์

                “น้ำครับพี่โหร” พันนาส่งแก้วน้ำอัดลมให้ เขายกมันขึ้นจิบแก้กระหาย ปลายนิ้วจับแก้วเย็นเฉียบเอาไว้

                “น้ากล้า! นึกว่าไส้ไหลจนเดินไม่ได้แล้วเนี่ย”

                เสียงของจ้าวจอมทำให้เขาต้องหันไปมอง ร่างของพรานกล้าที่ปรากฏอยู่ใกล้กับโต๊ะวางเครื่องดื่มทำให้อดแปลกใจไม่ได้ พรานกล้าสีหน้าสดใส แค่ผอมลงนิดหน่อยมีเด็กหญิงผมแกละสวมกระโปรงสีชมพูอยู่ด้วย เด็กคนนั้นชื่อชานม หลานของพรานกล้า ชานมไม่ได้ออกไปวิ่งเล่นแต่กลับเกาะขาพร้านกล้าแน่น สีหน้าดูแวดระแวงแม้แต่กับคะนิ้งที่พยายามจะผูกมิตรด้วย

                “ปากดีไอ้จอม อีกเดือนกูก็ไปล่าหมูป่าได้แล้ว” พรานกล้าบอกยิ้มๆ ขณะที่ดันหลังหลานสาวให้เข้าไปเล่นกับคะนิ้ง แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผลสักเท่าไรนัก

                จ้าวจอมหัวเราะร่า ย่อตัวลงจนระดับความสูงไล่เลี่ยกับชานม เด็กหญิงเอียงคอมอง ทำหน้าเหมือนอยากจะยิ้มแต่ก็ไม่กล้า จ้าวจอมเอ่ยชมชุดชานมใส่ ชวนคุยถึงตัวการ์ตูนที่อยู่ในชุด ไม่ถึงนาทีชานมก็ยิ้มหวานยอมส่งมือน้อยๆ ให้จ้าวจอมได้จับ

                “อะไรอ่ะ พี่ชวนคุยตั้งนาน” คะนิ้งทำหน้างอใส่จ้าวจอม แต่ก็หันไปยิ้มให้เด็กหญิงชานมอย่างเอาใจ

                “ฝีมืออ่ะ” จ้าวจอมยักคิ้วไวๆ ให้คะนิ้ง จับมือเล็กๆ ของชานมเอาไว้

                “พามันไปหาอะไรกินที มายืนอยู่กับตาตั้งมาถึงละ อะไรก็ไม่ยอมกิน” น้ากล้าว่า

                จ้าวจอมไหวไหล่ จูงชานมไปที่โต๊ะวางขนม ทั้งน่าเอ็นดูและน่าขันไปพร้อมกัน เพราะพี่เลี้ยงของชานมมีผ้าพันแผลอันเบ้อเริ่ม เดินโขยกเขยกมองแล้วเหมือนชานมเป็นคนจูงจ้าวจอมมากกว่า

                “แผลยังไม่หายอีกหรือไง”

                โหรได้ยินพันนาถามจ้าวจอม ไอ้เด็กตัวแสบผงกหัวเร็ว แล้วพันนาก็เชื่อ คงมีแค่เขาคนเดียวกระมังที่รู้ว่าจ้าวจอมกำลัง ‘แสดง’ เหอะ แผลน่ะหายแทบจะสนิทแล้ว ปากแผลปิด โดยไม่ต้องไปล้างแผลที่อนามัยด้วยซ้ำ

                “ไม่คิดว่าเอ็งจะมางานแบบนี้ได้”

                เสียงทักดังมาจากพรานกล้า หนุ่มใหญ่วัยเลยสี่สิบ ใบหน้าคล้ำจากการตากแดดตากลมมาทั้งชีวิตซูบตอบคงเพราะเพิ่งออกจากโรงพยาบาล พรานกล้าผอมลงไปมากจากครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกัน

                “ผมน่ะไม่เท่าไรหรอก น้ากล้าสิ ทำไมถึงได้หลงมาอยู่ที่นี่ได้ แถมยังเอาหลานมาด้วย”

                พรานกล้าหันไปมองชานม หลานสาวตัวน้อยวัยแค่สามขวบ ที่กำลังอ้าปากรับขนมเค้กจากจ้าวจอมและคะนิ้งที่ผลัดกันป้อน ก่อนจะเบนสายตามาทางคู่สนทนา

                “นายพงษ์ไปรับถึงบ้าน จะให้ปฏิเสธยังไง บอกว่าอยากจะขอบคุณที่ช่วยเหลือลูกของเขา”

                โหรพยักหน้า เขาเองก็ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกัน การขอบคุณที่ไม่ใช่เงินทองไม่ต่างจากไมตรีที่มีให้กัน

                “ไอ้บอดมันคือตาเวกจริงๆ เหรอวะ” พรานกล้าถาม สีหน้าเคร่งเครียดขึ้น

                “ใช่” โหรผงกศีรษะครั้งหนึ่ง

                “ใครๆ ก็พากันคิดว่าตาเวกตายไปแล้ว...แต่แกก็ตายจริงๆ นั่นแหล่ะ ตายจากความเป็นคนสู่ปิศาจ” พรานกล้าก้มหน้าต่ำ ราวกับจะหลบซ่อนสายตา “กูเคยเคารพแกมาก ตอนเด็กๆ กูไปเล่นบ้านเขา ให้เขาสอนวิชาเดินป่าให้ตั้งมาก ตอนนั้นแกใจดีมีฝีมือ ใครๆ ก็ชื่นชม ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าแกจะหลงผิดไปได้ขนาดนี้”

                โหรวางมือบนบ่าพรานกล้า “มนต์ดำมันน่าหลงใหล หากไม่รู้จักตน ก็จะไม่มีวันหลับตัวได้ แล้วตอนนี้ตาเวกก็ไปรับกรรมแล้วล่ะ” ‘เหมือนปู่เหม’ ประโยคหลังเขาพูดกับตัวเอง

                “อืม...แล้วผีผู้หญิงตัวนั้นล่ะ คนที่เอาเด็กที่ชื่อรชตไป มันเป็นใคร สมุนของตาเวกเหรอ”

                “ชื่อพิกุล เป็นเจ้ากรรมนายเวรของรชต แต่ก็ถูกตาเวกหลอกใช้อีกที” โหรสรุปสั้นๆ พูดถึงพิกุล ตั้งแต่คราวนั้นเขาก็ไม่ได้เจอเธออีกด้วย ไม่ใช่ว่าคิดถึง แต่เขาหวังว่าเธอจะได้ไปอยู่ในภพภูมิที่เหมาะที่ควรเสียที

                “ประจวบเหมาะกันไปหมด” พรานกล้าพึมพำ ใบหน้าซูบผอมเงยขึ้น เสี้ยววินาทีหนึ่งที่หางตาเห็นใครบางคนที่ห่างออกไปไม่กี่เมตร “กูไปหานายพงษ์ดีกว่า ตรงนี้ไม่เหมาะกับคนวัยกูแล้ว ฝากชานมด้วย”

                โหรไม่ได้คัดค้านอะไร และคิดว่าจ้าวจอมกับคะนิ้งคงพอจะรับมือเด็กหญิงชานมได้

 (มีต่อ)
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 19 : อาการของคนปากแข็ง] 27/02/2563
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 27-02-2020 21:09:07
“คุณโหรคะ”

                เสียงใสร้องเรียกจากด้านหลัง โหรหมุนกายอัตโนมัติ ก็พบกับร่างอรชรของเด็กสาวที่ชื่อปรางค์ ยิ่งมองระยะนี้เธอยิ่งสวยจับใจ เส้นผมสีดำขับใบหน้าให้ผ่องขาวขึ้น ดวงตากลมโตล้อมด้วยขนตายาว คิ้วเรียวเรียงตัวสวย ริมฝีปากอิ่มรูปกระจับสีชมพูอ่อน เธอคลี่ยิ้มหวาน ท่าทางคล้ายประหม่าเล็กน้อย

                “ครับ?”

                “ชื่อปรางค์นะคะ กุมภ์เล่าเรื่องที่คุณพาไปเที่ยวในป่าให้ฟังด้วยค่ะ” ปรางค์ยิ้มอย่างเป็นกันเอง น้ำเสียงของเธอน่าฟัง เหมือนคุณครูอนุบาล “ปรางค์อยากลองไปเดินป่าบ้างจังเลยค่ะ แต่คุณพ่อไม่ยอม”

                โหรฟังเธอคุย แต่สายตากลับเลื่อนเลยร่างของเด็กสาวไป กุมภ์ยืนอยู่ด้านหลังของปรางค์ ดวงตากลมมองมาที่เขาเช่นกัน ทว่าเพียงแค่เสี้ยววินาทีที่ประสานสายตา กุมภ์ก็เบือนหน้าหนีไปทางอื่น

                “พ่อของคุณคิดถูกแล้วล่ะครับ ในป่ามันอันตราย”

                “แต่ปรางค์อยากจะลองไปสักครั้ง ถ้าคุณพ่ออนุญาตเมื่อไร คุณโหรพาปรางค์เดินป่าได้ไหมคะ” เด็กสาวต่อรอง

                “ผมไม่ใช่พรานนำทางครับ เป็นแค่หมอยาบ้านๆ เท่านั้นเอง แต่ถ้าคุณอยากลองเดินป่า ผมแนะนำให้ไปติดต่อกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ดูนะครับ”

                “ว้า” ปรางค์ทำเสียงเสียดาย “ไม่เป็นไรค่ะ แต่ปรางค์ไม่ยอมแพ้หรอกนะคะ เดี๋ยวจะให้กุมภ์มาช่วยอ้อนอีกแรง”

                พูดจบเธอก็หันไปด้านหลัง กุมภ์ทำหน้าเหลอหรา แล้วก็ส่งยิ้มแหยๆ ให้

                “ปรางค์ ไปช่วยคุณป้าในครัวกันไหม พาชานมไปหาอะไรกินด้วย บ่นหิวใหญ่เลย”

                ปรางค์หันไปทางต้นเสียง คะนิ้งที่ตอนนี้ผูกมิตรกับชานมได้สำเร็จกำลังจูงมือเด็กหญิงวัยสามขวบเอาไว้ ปรางค์พยักหน้ารับ ก่อนจะช่วยจูงชานมไปทางห้องครัว

                ส่วนพี่เลี้ยงจำเป็นอย่างจ้าวจอมถูกบังคับให้นั่งบนเก้าอี้ใกล้ๆ กับพันนา คงจะโดนเอ็ดเรื่องที่เป็นแผลแต่ทำเป็นเก่ง โดยหารู้ไม่ว่าไอ้เด็กตัวแสบมันกำลังหลอกว่าตัวเองเจ็บอยู่

                โหรยังยืนอยู่ที่เดิม เบื้องหน้าห่างออกไปไม่กี่ก้าวคือร่างของคนที่เข้ามาก่อกวนความคิดอยู่นานร่วมเดือน แม้กระทั่งตอนนี้เขาก็ยังหยุดคิดเรื่องของกุมภ์ไม่ได้ แม้จะบอกตัวเองไปเป็นพันๆ รอบ ว่าเขาแค่กลัวเสียเพื่อนไป ทว่าเสียงหนึ่งในใจมันแทรกเข้ามาว่าไม่ใช่

                แล้วอะไรกันล่ะ อะไรที่ทำให้เขาทั้งหงุดหงิดและฟุ้งซ่านแบบนี้

                “คุณโหร...สบายดีนะครับ” กุมภ์เอ่ยถามเสียงเบา แต่ก็มากพอที่จะได้ยิน

                โหรพยักหน้า “คุณล่ะ...คงจะสบายดีกว่าผมสินะ”

                พูดจบก็แทบอยากจะตบปากตัวเอง ไม่รู้อะไรดลใจให้หลุดปากไปแบบนั้น

                “ครับ...สบายดี” กุมภ์ตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้ดังไปกว่าเดิมนัก “ผมขอตัวก่อนนะครับ”

                ร่างโปร่งบางก้าวช้าๆ กำลังจะผ่านเขาไป และคงจะเป็นแบบนั้นถ้าหากเขาไม่ใช้มือรั้งต้นแขนของอีกฝ่ายเอาไว้ นิ้วมือสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิที่สูงกว่าปกติ “คุยกันหน่อยได้ไหม”

                “ครับ?”

                โหรถอนหายใจ ปล่อยมือจากต้นแขนของกุมภ์ พลางก้าวห่างออกมาพอประมาณ รู้สึกเหมือนสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจมันกำลังจะระเบิดออกมา “ผมไม่ได้รังเกียจคุณ...แล้วผมก็บอกไปแล้ว”

                “ผมทราบ” กุมภ์รับคำ “ขอบคุณมากที่คุณไม่ได้รังเกียจคนอย่างผม”

                โหรขมวดคิ้ว แทนที่จะโล่งใจกลับหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม “ทำไมต้องประชด ผมพูดจริงๆ”

                “ผมไม่ได้ประชดคุณ” กุมภ์ตอบ เงยหน้าขึ้นมอง ด้วยระยะที่ห่างราวไม้บรรทัดทำให้เห็นแก้วตาสีน้ำตาลเข้ม และขนที่ล้อมรอบรูปดวงตา “ผมก็พูดจริงๆ เหมือนกัน”

                “แล้วทำไม....ว้าโว้ย” โหรยกมือขึ้นเกาหัวจนผมยุ่ง “...ทำไม...ถึงต้องทำตัวห่างเหินแบบนี้ด้วยวะ!”

                กุมภ์กระพริบตาปริบๆ คำพูดที่คล้ายกับจะตะคอกใส่ไม่ได้ทำตกใจเท่าแปลกใจ โหรขมวดคิ้ว สีหน้ากึ่งหงุดหงิดกึ่งไม่พอใจ นานร่วมครึ่งนาทีกว่าจะตั้งสติได้

                เขาน่ะหรือที่ทำตัวห่างเหิน

                ไม่ใช่ห่างเหินหรอก แต่เขากลัวถูกโหรเกลียดต่างหาก พวกรักร่วมเพศจะหาคนเข้าใจและยอมรับได้จริงๆ สักกี่คนกัน

                กุมภ์สูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ อยากจะเห็นดวงตาคมดุอีกสักครั้งแต่เจ้าตัวก็เบือนหันหนีไปทางอื่นเสียแล้ว

                “ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้น...แต่คิดว่าถ้ายังอยู่ที่นี่คุณอาจจะเกลียดผมจริงๆ ก็ได้”

                “แล้วทำไมผมต้องเกลียดคุณล่ะ” โหรตอบกลับทันที คิ้วยังไม่คลายออก “ก็บอกอยู่ไงว่าไม่ได้รังเกียจ เพื่อนผมก็เป็นเหมือนคุณ”

                “แต่คุณก็รู้ว่าผมไม่ได้คิดกับคุณแค่....เพื่อน” เสียงตอนปลายแผ่วลง ในอกวูบโหวงเหมือนใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม

                ยิ่งโหรเงียบ ก็ยิ่งใจเสีย จนนึกเสียใจที่หลุดปากพูดไปแบบนั้น ก้อนความรู้สึกตีขึ้นมาในลำคอ ตีบตันไปหมดพูดอะไรไม่ออก มือเท้าเย็นเยียบขึ้นเรื่อยๆ

                ทั้งที่ไม่ได้หวัง แต่กลับผิดหวัง

                ความเงียบเข้าปกคลุม แม้ว่าจะมีเสียงเพลงและพูดคุยดังรอบตัว กุมภ์ได้ยินเสียงหัวใจของตัวเอง คราแรกมันกระหน่ำเต้นเร็วจนปวดหน้าอก แต่ผ่านไปแค่อึดใจเดียวมันก็เบาลง

                เสียงถอนหายใจดังแทรกขึ้นในความเงียบ กุมภ์เงยหน้ามองคนฝั่งตรงข้าม สีหน้าของโหรไม่ได้ดีกว่าเดิม ซ้ำยังดูเคร่งขรึมมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ

                “ผมชอบ...ผู้หญิง และยังอยากได้แม่ของลูก” โหรพูด โดยไม่รู้ว่าทุกคำพูดมันกัดกร่อนเนื้อหัวใจของคนฟังไม่ต่างจากถูกน้ำกรดรด กุมภ์ผงกหัวน้อยๆ เขาสูดอากาศเย็นเข้าปอดให้ลึกที่สุดเพื่อระงับอาการสะอื้นในอก

                “ครับ...ถ้าอย่างนั้นผม...”

                “แต่ไม่รู้ทำไม ผมถึงไม่ชอบที่คุณทำท่าทางแบบนั้น” ปลายเสียงคนพูดเหมือนจะหัวเสียงขึ้นมาอีก

                “ผม...ขอโทษ” กุมภ์ไม่ได้มองหน้าอีกฝ่าย เพราะกลัวจะทนเก็บความรู้สึกไม่ไหว “ขอตัวก่อน อ๊ะ!”

                ชั่วจังหวะที่หมุนตัว มือแข็งคว้าที่ต้นแขนอีกครั้ง แต่คราวนี้แรงกระชากมันมีมากกว่าจนเสียหลักหัวไหล่กระแทกกับแผ่นอกแข็ง กุมภ์รีบขืนตัวทันที แต่โหรไม่ปล่อยมือซ้ำยังกระชับแน่นจนเจ็บอีกด้วย

                “ฟังให้จบก่อนสิ! ทำไมชอบหนีนัก” โหรเอ็ด กุมภ์เงยหน้ามองอัตโนมัติ ไม่ได้เห็นใบหน้าคมดุ เห็นแค่ลูกคางแข็งแรงเท่านั้น “ผมสับสน ไม่รู้สิ ผมไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกกับคุณยังไงกันแน่ คุณเป็นคนดี และคุณอาจจะชอบผม แต่คุณเป็นเกย์ ผม...ผม”

                “พอเถอะครับ” กุมภ์พยายามปลดมือแข็งออกจากต้นแขนตัวเอง หัวใจปวดหนึบมากขึ้นทุกที เขาไม่ควรกลับมาที่นี่อีกจริงๆ

                “ผมไม่ได้รังเกียจคุณ แต่ผม...ชอบคุณแบบนั้นไม่ได้ มันไม่ถูก...”

                “ปล่อยผมเถอะครับ” กุมภ์บอก น้ำเสียงสั่นเครือจนคิดว่าอีกไม่นานคงจะควบคุมมันไม่ได้ ทุกคำพูดของโหรไม่ต่างจากการตบหัวแล้วลูบหลัง ทั้งเจ็บและจุก

                “ไม่ๆ เรายังคุยกันไม่รู้เรื่อง ผมไม่รู้จะบอกกับคุณยังไงดี ผมไม่อยากเสียเพื่อนดีๆ แบบคุณไป”

                “พอสักทีสิโว้ย!” กุมภ์ตะโกนลั่น เป็นจังหวะเดียวกับเพลงหยุดพอดี “แล้วก็ปล่อยได้แล้ว! มันเจ็บไม่รู้หรือไง”

                โหรปล่อยมือจากต้นแขนแทบจะทันที กุมภ์หอบหายใจแรง หมุนร่างเดินห่างออกมาทันทีโดยไม่หันกลับไปมองด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายจะตกใจแค่ไหน…

 

                “มีอะไรกันเหรอวะ”

                พันนาเข้ามากระซิบถาม หลังจากกุมภ์เดินเลี่ยงมาอยู่ข้างริมสระน้ำ ได้สักพัก พันนาไม่เคยเห็นเพื่อนสนิทมีท่าทางแบบนี้มาก่อน ตั้งแต่รู้จักกันมา กุมภ์ไม่เคยตะคอกใส่ใคร มีบ่นบ้าง แต่ถึงขั้นขึ้นเสียงแทบจะนับครั้งได้ ยิ่งกับโหรยิ่งไม่น่าเป็นไปได้ใหญ่ กุมภ์ให้ความเคารพและเกรงใจโหรอยู่ไม่น้อย เดาไม่ออกเลยว่าเพราะอะไรกุมภ์ถึงได้กล้าตะโกนใส่หน้าโหรแบบนั้น

                กุมภ์ถอนหายใจ เงยหน้าขึ้นมอง หัวคิ้วขมวดน้อยๆ “ไม่มีอะไร”

                “ทำหน้าแบบนี้ใครจะเชื่อวะ”

                “เออ ไม่มีอะไรหรอก กูก็แค่...หงุดหงิดนิดหน่อย” กุมภ์ตอบเสียงเบา พร้อมกับสายตาที่เสไปทางอื่นอย่างคนที่กำลังปกปิดบางอย่าง

                “มึงเนี่ยนะหงุดหงิด” ร้อยไม่เชื่อพันไม่เชื่อ “เล่ามาเถอะน่า นั่นพี่โหรนะโว้ย คนที่ช่วยเราออกมาจากป่าไง”

                “กูรู้ ไม่ต้องย้ำ” กุมภ์สูดหายใจแรง “คือกูกับเขาทะเลาะกันนิดหน่อย”

                “ทะเลาะกัน?” พันนาเลิกคิ้วสูง “เรื่องอะไรวะ”

                “เอ่อ...คือ...”

                “กุมภ์”

                ขณะที่กุมภ์กำลังอึกอัก ปรางค์ก็ร้องเรียกชื่อ เธอถือถาดอาหารมาด้วย ท่าทางจะหนักไม่น้อย รชตกุลีกุจอไปช่วย เช่นเดียวกับชาร์ลที่เข้าไปช่วยคะนิ้งยกถาดผลไม้ ส่วนชานมเดินไปวิ่งไปโดยมีน่องไก่ทอดอยู่ในมือปากมันแผล็บ คงจะจัดการไก่ทอดก่อนเจ้าภาพไปแล้วเรียบร้อย

                “มีอะไรกันเหรอ หน้าเครียดเชียว” ปรางค์ถามเสียงใส

                “ไม่มีอะไรหรอก” กุมภ์ส่ายหน้าปฏิเสธ “แล้วนี่ไปทำอะไรมา เหงื่อซึมเลย”

                ปฏิกิริยาร่างกายมันเคลื่อนไหวไปก่อนความคิดเสียอีก กุมภ์ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเม็ดเหงื่อแถวไรผมให้ปรางค์ ลืมไปด้วยซ้ำว่าตรงนั้นไม่ได้อยู่กันแค่สองคน พันนากระพริบตาปริบๆ รู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นธาตุอากาศไปแล้ว

                ผิวแก้มของปรางค์ระเรื่อขึ้นตอนที่กุมภ์ดึงมือกลับ หญิงสาวก้มหน้าแก้เขิน เป็นท่าทางน่ารักเสียจนพันนายังนึกเอ็นดู ถ้าสองคนนี้จะคบหาดูใจกันจริงๆ คงจะน่ารักไม่น้อย ลืมไปเลยว่าเมื่อครู่นี้กุมภ์เพิ่งจะตะโกนใส่หน้าโหร

                “กูว่ากูไปดีกว่า” พันนาว่ายิ้มๆ

                คล้อยหลังพันนา ปรางค์ถึงได้กล้าเงยหน้ามองชายหนุ่มตรงหน้า หัวใจยังเต้นแรงไม่หาย กุมภ์ไม่รู้หรอกว่าทุกการกระทำของกุมภ์มันทำให้หัวใจของเธอหวั่นไหวแค่ไหน หากจะบอกว่ากุมภ์คือรักแรกก็คงไม่ผิดนัก ดวงตากลมและรอยยิ้มอ่อนโยนมันเกาะกุมใจเธอตั้งแต่ประถม ตอนที่ต้องแยกกันเธอเสียใจ นอนร้องไห้อยู่หลายคืนกว่าจะทำใจได้ คอยเฝ้าติดตามข่าวคราวจากมารดาเสมอ และเฝ้ารอว่าสักวันจะได้กับกุมภ์อีกครั้ง กุมภ์ในวัย 20 ปี แทบจะไม่เปลี่ยนไปเลยนอกจากรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลากว่าเดิมหลายเท่าตัว แต่ดวงตายังไม่คลายความอ่อนโยนสักนิด ความอบอุ่นที่เผื่อแพร่มายังคนรอบข้างทำให้กุมภ์เป็นผู้ชายที่เหมาะแก่การเป็นคนรักมากคนหนึ่ง

                “ขะ..ขอบใจนะ” ปรางค์เอ่ยขอบคุณ นึกตำหนิในเสียงที่ขาดหายของตัวเอง แต่จะทำอย่างไรได้ เพราะความตื่นเต้นยินดีมันมีมากจนเกินควบคุม

                “ไปช่วยยกของกันเถอะ”

                “อืม” ปรางค์พยักหน้าหงึก เดินตามร่างสูงโปร่งของกุมภ์ไปด้วยหัวใจที่พองโต

                คำว่า ‘แฟน’ คงอีกไม่ไกลแล้วกระมัง...

* 15 วันอัพที นานไปไหมอ่า 55555*

**ปรางค์นางไม่ได้ร้ายนะ นางก็มีเหตุผลของนางแหล่ะ**

***สังเกตดีๆ คู่ของรชตมาแว้ววววว***

****โปรดติดตามตอนต่อไปจ้า****
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 19 : อาการของคนปากแข็ง] 27/02/2563
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 27-02-2020 21:51:13
รอนานแต่ก็เต็มใจรอนะ ขอบคุณที่ไม่ทิ้งหายไป อิอิอิ
เราเข้าใจทุกคนนะ
โหร คงสับสนให้คำตอบตัวเองยังไม่ได้ และไม่มั่นใจว่าความรู้สึกนั้นคือความรักจริงๆ ใช่ไหม
กุมภ์ รู้ตัวเองว่าชอบโหร แต่ก็เก็บไว้ในใจไม่ให้เพื่อนรู้ แต่ละคำที่คุยกับโหร เหมือนเพิ่มความเจ็บช้ำให้ตัวเอง
ปรางค์ ชอบกุมภ์มาแต่่เล็กๆ และรอคอยมาตลอด เธอก็เหมือนหญิงสาวคนหนึ่งที่ได้รักใครสักคน
รชต อาจเป็นเนื้อคู่ของปรางค์ในภพนี้ คิดว่างั้นนะ
พันนา ก็ดึงเจ้าจอมให้ไปอยู่ใกล้ๆ
เจ้าจอม ตัวแสบ คงไม่รู้ตัวว่าไปทำให้คนอื่นหวั่นไหว
คนเขียน อย่าทิ้งไว้นานนะ มาเร็วๆ ด้วยคิดถึง
 :z2: :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 19 : อาการของคนปากแข็ง] 27/02/2563
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 27-02-2020 21:54:35
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 19 : อาการของคนปากแข็ง] 27/02/2563
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 27-02-2020 23:14:32
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 19 : อาการของคนปากแข็ง] 27/02/2563
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 27-02-2020 23:23:05
จับพี่โหรไปโบยสัก10ทีค่ะ น่าหงุดหงิดจริงๆ สงสารน้องกุมภ์ยิ่งฟังยิ่งเจ็บ ฟิวขาดเลย อุตส่าห์เหมือนจะได้เคลียร์กันแล้ว คราวนี้หนักกว่าเดิมอีก  :hao5:
ฮาเด็กแสบกับความแอ๊บเจ็บของนาง  :laugh:

มาต่อไวๆน้า สนุกทุกตอน อ่านแล้วค้างมากๆค่ะอยากอ่านต่อยาวๆเลย
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 19 : อาการของคนปากแข็ง] 27/02/2563
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 28-02-2020 05:18:39
ไปทำความเข้าใจตัวเองและก็ยอมรับความจริงให้ได้ก่อนค่อยมาคุยกันดีกว่าไหมพี่โหร​ คราวนี้ทำกุมภ์เจ็บกว่าเดิมอีก
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 19 : อาการของคนปากแข็ง] 27/02/2563
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 28-02-2020 20:56:23
บางคนไม่เคย ก็ไม่กล้านะ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 19 : อาการของคนปากแข็ง] 27/02/2563
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 28-02-2020 21:00:14
หึหึ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 19 : อาการของคนปากแข็ง] 27/02/2563
เริ่มหัวข้อโดย: u_cosmos ที่ 29-02-2020 00:12:24
นี่อ่านแล้วก็ยังอึดอัดแทนเลย จะเอายังไงกันแน่
ไม่ชอบผู้ชาย แต่ชอบน้อง แต่ก็ยังยอมรับไม่ได้
แบบนี้ก็ไม่ไหวอ่ะ น้องมันก็มีความรู้สึกนะ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 19 : อาการของคนปากแข็ง] 27/02/2563
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 08-03-2020 19:08:38
จ๊ะ หวงเค้าแล้วยังไง ถ้าโหรยังไม่ชัดเจน ต่อให้ความรู้สึกบอกว่าใช่
ก็ไม่ได้ช่วยอะไร ถ้าโหรยังยึดติดอยู่ แล้วยังรั้งกุมภ์ คนที่เสียใจสุด
จะไม่ใช่แค่ตัวเองนะ กุมภ์ด้วย และคนรอบข้างด้วย

กุมภ์เอ้ย น่าเอ็นดูจังเลย ชอบนะ อยากให้พี่เข้าใจมากกว่านี้
แต่ตอนนี้ ไม่รู้พี่จะรีบง้อไหม ยังไง

ปรางคะ ใจเย็นนะ เพื่อนก็คือเพื่อนค่ะ อย่าพยายาม
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 19 : อาการของคนปากแข็ง] 27/02/2563
เริ่มหัวข้อโดย: smmikie ที่ 08-03-2020 21:06:33
อยากอ่านแล้ว
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 19 : อาการของคนปากแข็ง] 27/02/2563
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 09-03-2020 22:12:50
อดใจรออ่านต่อไม่ไหวแล้วว. พลีสส มาต่อเถอะน้า ช่วงนี้หานิยายที่ถูกใจอ่านไม่ค่อยได้เลย
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 19 : อาการของคนปากแข็ง] 27/02/2563
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 11-03-2020 00:41:45
ปากแข็งดีจริงๆ เมื่อไรจะสมหวังกันล่ะเนี่ยยย ลุ้นๆๆๆๆ
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 20 : สารภาพ] 18/03/2563
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 18-03-2020 19:19:03
ตอนที่ 20 สารภาพ

            เด็กหญิงตัวเล็กในชุดกระโปรงชมพูฟูฟ่องใช้มือทั้งสองหยิบอาหารในจานใส่ปากไม่หยุด ไม่มีคำพูดติชมใดๆ มีแต่เสียงเคี้ยวอาหารที่ดังติดกันมาเกินห้านาทีแล้ว ริมฝีปากเล็กสีอ่อนเป็นมันวาว รอยเปื้อนยาวไปถึงข้างแก้ม สำหรับบางคนอาจจะมองว่าสกปรกหรือน่ารังเกียจ แต่ไม่ใช่สำหรับจ้าวจอม

                จ้าวจอมมีน้องสาว ปีนี้อายุ 13 ปีแล้ว ด้วยวัยที่ห่างกันแค่ 5 ปี ทำให้จ้าวจอมจำไม่ได้ว่าตอนเด็กๆ จ๋อมน่าเอ็นดูเหมือนชานมหรือเปล่า แต่ความเป็นไปได้น่ามีมากโขทีเดียว เพราะจ๋อมตัวอ้วนกลมมาตั้งแต่เด็กยันโต

                “กินยังไงถึงได้เปรอะไปทั้งหน้าแบบนี้อ่ะ” จ้าวจอมบ่น แต่ปากยิ้ม ใช้กระดาษทิชชู่ในมือเช็ดคราบมันๆ บนแก้มนุ่มนิ่มให้ ชานมไม่ได้สนใจอะไรนอกจากไก่ทอด ข้าวผัดไข่ กุ้งเผา และอีกสารพัดที่เจ้าภาพทำไว้ให้ โดยไม่ลืมแยกสำหรับคนที่ต้องกินมังสะวิรัดด้วย

                “หลานพรานกล้าเหรอ”

                เสียงทักดังขึ้นไม่ห่างนัก จ้าวจอมเงยหน้าขึ้นก็พบกับพันนา ใบหน้าที่ยังไร้คิ้วไม่ได้แปลกตาสำหรับเขานัก เพราะตลอดเวลาหนึ่งเดือนก็เห็นมาโดยตลอด ถึงจะไม่ได้อยู่ในผ้าเหลืองก็ตาม

                “เออ” จ้าวจอมตอบรับง่ายๆ แล้วก็ต้องเบ้หน้าเมื่อมีบางอย่างมาเคาะที่ศีรษะ “อ้าวพี่! มาตบหัวผมทำไมล่ะ”

                “พูดไม่เพราะ” พันนาว่า ก่อนจะหันไปคุยกับเด็กหญิงตัวน้อย “หนูอย่าพูดไม่เพราะนะคะ ไม่อย่างนั้นจะถูกเคาะหัวแบบนี้”

                ชานมมองพันนาตาแป๋ว ชั่วอึดใจก็พยักหน้ารับแบบขอไปที แล้วหันไปสนใจอาหารที่จ้าวจอมตักมาให้ตามเดิม

                “ไม่ยักรู้ว่าพรานกล้ามีหลานด้วย”

                “มีลูกก็ต้องมีหลานสิ” จ้าวจอมบอก พลางตักข้าวผัดไข่เข้าปากคำใหญ่

                พันนาลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ ชานม นึกเอ็นดูเด็กหญิงในชุดสีชมพูอย่างบอกไม่ถูก คงเพราะตนเป็นลูกคนเดียวเลยอยากจะมีน้องสาวขึ้นมาบ้าง แก้มกลมขยับตามจังหวะการเคี้ยว ผมเส้นเล็กๆ ติดตามดวงหน้าเล็ก เห็นแล้วรำคาญแทนจนต้องช่วยเกลี่ยออกให้ เพ่งมองเด็กหญิงตัวน้อยอยู่นานสองนานก็ยังนึกไม่ออกว่ามีส่วนไหนคล้ายพรานกล้า

                “ชานมมันเหมือนแม่มัน แม่เป็นคนเหนือ เลยขาวเหมือนแม่” จ้าวจอมบอกราวกับอ่านความคิดได้

                “น่ารักดี” พันนาชมเบาๆ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย “พี่โหรกับกุมภ์ทะเลาะอะไรกัน พอจะรู้ไหม”

                “ทะเลาะ?” จ้าวจอมเลิกคิ้วสูง “ตอนไหนไม่เห็นจะรู้เรื่อง”

                “เมื่อกี้” พันนาชำเลืองไปทางโหร ที่ยังยืนอยู่ที่เดิม “ไอ้กุมภ์ตะโกนใส่พี่โหรซะเสียงดัง ทุกคนตกใจกันหมด”

                “พี่กุมภ์อะนะตะโกนใส่คนเป็นด้วย” จ้าวจอมถามย้ำ ท่าทางไม่เชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์

                “ฉันเพิ่งจะสึกมานะ จะโกหกทำไม”

                “อืม....” จ้าวจอมหรี่ตามองไปทางโหรบ้าง สมองเริ่มทำงานรีดเค้นความคิดและความสงสัยมาปะติดปะต่อกัน “จริงๆ มันก็ประเด็นอยู่เหมือนกัน”

                “ยังไง” พันนาถามกลับทันที ท้าวศอกยื่นหน้าข้ามชานมไป ชักอยากรู้ว่าระหว่างที่บวชอยู่มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง โดยเฉพาะเรื่องของโหรกับกุมภ์

                “พี่โหรเหมือนจะเคืองๆ เรื่องที่พี่กุมภ์กลับกรุงเทพฯ ไปโดยไม่ยอมบอก แถมไอ้แผลนี่” จ้าวจอมยกเท้าขึ้น “พี่โหรก็เป็นคนทำ”

                “ทำอะไร”

                “วันนั้นผมเอารูปพี่ปรางค์ให้พี่โหรดู เท่านั้นแหล่ะพี่โหรก็แทงพลั่วมั่วไปหมดแล้วก็ทิ่มมาบนหลังตีนพอดี”

                พันนาขมวดคิ้วมุ่น ยังคงเรียบเรียงเรื่องราวที่จ้าวจอมพูดไม่ถูก แค่กุมภ์กลับกรุงเทพฯ ทำไมต้องเคือง แล้วไหนจะเรื่องปรางค์อีก มันน่ายินดีไม่ใช่หรือหากว่ากุมภ์จะได้ผู้หญิงน่ารักอย่างปรางค์เป็นแฟน

                เว้นเสียแต่ว่า

                “พี่โหรชอบไอ้กุมภ์....เหรอ?”

                “พูดอะไรออกมา!” จ้าวจอมเผลอเสียงดัง พอเห็นชานมชะงักถึงเพิ่งรู้ตัว “พี่โหรไม่ได้เป็นเกย์ เคยมีแฟนเป็นผู้หญิงด้วย”

                “ก็แค่สันนิษฐานน่ะ” พันนาว่า “ฉันก็เดาไปตามที่นายเล่ามา แล้วนี่แผลยังไม่หายอีกเหรอ มันตั้งหลายวันแล้วนี่นา”

                จ้าวจอมยักไหล่ หลุบตาดูแผลอุปโลกน์ของตัวเอง “ยัง ที่จริงแผลมันก็แห้งแล้วล่ะ แต่ยังน้ำหนักเต็มที่ไม่ได้ มันจะเสียวแปลบๆ”

                “อย่างนี้ก็เข้าไปขโมยของป่าเอาออกมาขายไม่ได้น่ะสิ” พันนาแหย่ กิตติศัพท์ของจ้าวจอมดังใช่ยอก แม่เคยเล่าว่าตอนที่เจอจ้าวจอมครั้งแรก็แถวโรงพักนั่นแหล่ะ พอมาสืบสาวราวเรื่องจากพรานกล้าอีกทีถึงได้รู้ว่าจ้าวจอมเข้า-ออกโรงพักเป็นว่าเล่นเพราะชอบแอบขโมยของป่ามาขาย แถมลูกค้ายังรายใหญ่อีกด้วย

                “ใครขโมย” จ้าวจอมทำหน้ายุ่ง “ไม่มีใครเป็นเจ้าของสักหน่อย ของแบบนี้เขาเรียกใครดีใครได้ต่างหาก”

                “ระวังเถอะ ตำรวจจะจับจริงๆ ไม่มีใครไปประกันจะยุ่งเอา” พันนาเตือน ถึงจะเก่งแค่ไหน แต่การกระทำของจ้าวจอมก็ผิดกฎหมายอยู่ดี

                “พี่เรียนนิติไม่ใช่เหรอ” จ้าวจอมถามกลับ พลางยกแก้วน้ำป้อนชานม “ถ้าผมติดคุกพี่ก็ไปช่วยผมสิ”

                “หึหึ” พันนาหัวเราะในความฉลาดเกินคาดของจ้าวจอม แปลกใจอยู่เหมือนกันที่เด็กแสบรู้ว่าเขาเรียนอะไร “ใครบอกว่าพี่เรียนนิติ”

                “ไม่บอก” จ้าวจอมส่ายหัว ใช้ช้อนที่ตัวเองกินข้าวผัดตักป้อนชานมที่ยังกินไม่หยุด

                “หึ แอบสืบเหรอ” พันนาแหย่ จ้าวจอมย่นจมูกพึมพำเบาๆ ว่าหลงตัวเอง

                เด็กแสบที่เคยคิดว่าคงดีแต่ดื้อไปวันๆ กำลังช่วยเช็ดมือเช็ดปากให้กับเด็กหญิงตัวเล็ก ท่าทางอ่อนโยนได้อย่างไม่น่าเชื่อ เขาแทบจะลืมคำพูดคำจาแสบสันที่เคยได้ยิน ไหนจะรอยยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากนั่นเอง คงเพราะมีน้องสาวจ้าวจอมถึงได้ดูแลเด็กได้ดี ถึงแม้ว่าน้องสาวแท้ๆ ของจ้าวจอมจะโตแล้วก็ตาม

                ตั้งแต่ได้ศึกษาพระธรรมทำให้เข้าใจโลกและตัวเองมากขึ้น รัก โลภ โกรธ หลง ล้วนเป็นสิ่งที่จิตปรุงแต่ง หากวางใจให้เป็นกลางไม่ค่อนไปทางใดก็จะพบความสุขที่แท้จริง เช่นเดียวกับตอนนี้ เขาตัดปัจจัยเรื่องเพศ ครอบเขตสังคม หรือเส้นอะไรก็ตามที่ขีดกำจัดเอาไว้ ถึงได้รู้ว่าความสุขกับความสบายใจมันไม่ต่างกันเลย…

 

                เสียงไก่ร้องปลุกให้คนที่เพิ่งหลับไปได้ไม่กี่ชั่วโมงต้องลืมตาตื่น ร่างหนายันกายขึ้นนั่ง มองไปทางหน้าต่างก็พบกับแสงรำไรของวันใหม่ เมื่อคืนกว่าจะหลับก็เลยตีสามแล้ว เท่ากับว่าเขานอนไปไม่ถึงสามชั่วโมงด้วยซ้ำ ไม่ค่อยครั้งนักหรอกที่เขาจะนอนไม่หลับ นอกจากสมัยเรียน ช่วงใกล้สอบทีไรต้องอ่านหนังสือเกือบย่ำรุ่งเสียทุกเทอม พอเรียนจบก็แทบจะนับครั้งได้ที่นอนตาค้าง รวมถึงครั้งนี้ด้วย

                มันก็เรื่องเดิมๆ ที่รบกวนความคิดจนข่มตาให้หลับไม่ได้ หัวค่ำเมื่อวานเขาได้ไปงานเลี้ยงขอบคุณที่ครอบครัวของพันนาจัดให้ งานเรียบง่าย อาหารการกินสมบูรณ์ ร้องเพลงและเด็กพวกนั้นก็ผลัดกันกล่าวขอบคุณเขา รวมถึงคนที่เข้ามาปั่นป่วนความคิดด้วย

                ‘ผมขอบคุณทุกการช่วยเหลือ แม้ว่าจะเป็นการจ้าง แต่ทั้งที่รู้ว่าสิ่งที่คุณต้องไปเจอมันอันตรายแค่ไหน คุณก็ยังตอบตกลง ผมไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องของเงินทอง แต่มันเป็นน้ำใจต่างหาก เงินจำนวนนั้นที่เสียไปมันเทียบไม่ได้เลยกับชีวิตของพวกเรา’

            คำพูดของกุมภ์เหมือนเป็นตัวแทนของทุกคน สำหรับเขาแล้วเงินสองแสนมันคุ้มค่าทีเดียว แต่ถ้าเทียบกับทุกชีวิตที่เขาได้ช่วยเหลือไว้ มันประเมินค่าไม่ได้ ทว่าเขาไม่เคยตีค่าชีวิตเป็นจำนวนเงินอยู่แล้ว คนไม่มีเงินสักบาทเขาก็ยินดีช่วยเหลือ

                เมื่อไม่อาจฝืนให้นอนต่อได้ เลยจำใจตั้งแต่ไก่โห่ ลุกขึ้นเปิดไฟพอสว่างแล้วมานั่งขัดสมาธิหน้าหิ้งพระ ยกมือขึ้นพนม สวดมนต์บทประจำ หวังว่าความฟุ้งซ่านจะลดลงไปได้บ้าง แต่เมื่อสวดจบ ภาพของกุมภ์ที่ตะโกนใส่หน้าก็ยังไม่หายไปไหน

                เขายอมรับว่าการโต้เถียงกันเล็กๆ น้อยๆ เมื่อวานมันทำให้เขานอนไม่หลับ นี่ไม่นับรวมการปฏิบัติของกุมภ์ที่มีต่อปรางค์อีก ถึงแม้ว่ากุมภ์จะบอกว่าตนเป็นเกย์ แต่ก็ต้องยอมรับว่ากุมภ์กับปรางค์เหมาะสมกันจริงๆ แบบนี้กระมังที่เรียกว่ากิ่งทองใบหยก

                โหรลุกขึ้นจากหน้าหิ้งพระ จัดการงานบ้านตามประสาชายโสด การอยู่คนเดียวมันก็ดีอยู่หรอก แต่เรื่องงานบ้านมันสมควรจะมีใครสักคนมาช่วยดูแล

                หรือว่าเขาควรจะเลิกสนใจเรื่องกุมภ์แล้วหันมาหาเมียจริงจังสักที

                โหรส่ายหน้าให้กับความคิดบ้าๆ ของตัวเอง ยังจำรสชาติจากรักครั้งแรกได้ดี รักแค่ไหนแต่ถ้าอีกฝ่ายหมดใจ รักก็ไม่ช่วยอะไร

                กว่าจะเสร็จงานบ้านก็ล่วงเข้าสู่ช่วงสาย โหรเดินไปปิดก๊อกน้ำ พอใจที่ได้เห็นดอกไม้ ต้นไม้ยังเขียวชอุ่มถึงแม้ว่าฝนจะลาเม็ดไปพักใหญ่แล้วก็ตาม ท้องเริ่มร้องขออาหาร กับข้าวง่ายๆ ปรุงเสร็จพักใหญ่แล้วแต่อยากจะทำงานให้เสร็จก่อน สองเท้าย่ำขึ้นบันไดไม้ไปยังชั้นสองของตัวบ้าน เปิดตู้กับข้าว กำลังจะเปิดฝาหม้อหุงข้าว โทรศัพท์รุ่นเก่าโบราณก็ดังขึ้นขัดเสียก่อน

                คิ้วหนาขมวดน้อยๆ เมื่อเห็นชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอ แต่ก็ยอมกดรับสาย

                “เออ ว่าไง แล้วมึงโทรมาได้ยังไง ไปโรงเรียนไม่ใช่หรือไง”

                ‘พี่โหร พี่กุมภ์ป่วยอ่ะ อยู่โรงพยาบาล’ ปลายสายละล่ำละลักบอก

                คราวนี้โหรขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม ความหิวดูเหมือนจะหายไปดื้อๆ “เป็นอะไรวะ?”

                ‘อ้าวก็เพิ่งบอกไปว่าป่วย อยู่โรงพยาบาลในจังหวัดอ่ะ แค่นี้แหล่ะ จะเรียนแล้ว’

                จ้าวจอมตัดสายทิ้งไปเสียเฉยๆ แผ่นอกสะท้อนแรงตามการหายใจ มือกำโทรศัพท์แน่นราวกลัวว่ามันจะตกหาย ร่างสูงใหญ่หมุนตัวรวดเร็ว แทบจะกระโดดลงบันไดตอนที่วิ่งไปที่รถยนต์คนเก่าของตัวเอง...

 

                กว่าจะรู้ว่ากุมภ์พักอยู่ห้องอะไรก็เสียเวลาเดินหาเสียหลายนาที พอไปถึงก็พบกับปรางค์ พันนาและรชต ส่วนคนป่วยนอนหลับอยู่บนเตียง โดยมีเข็มน้ำเกลือปักอยู่ที่หลังมือ ใบหน้าขาวซีดเซียวเหมือนแผ่นกระดาษ หน้าอกขยับน้อยๆ แต่สม่ำเสมอ ถึงจะรู้ว่าปลอดภัยเพราะอยู่ในมือหมอสมัยใหม่แล้ว ทว่าเขากลับไม่ได้รู้สึกโล่งใจเลยสักนิด

                “พี่โหร สวัสดีครับ” สองหนุ่มยกมือไหว้พร้อมกัน

                โหรรับไหว้ พลางถามกลับด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “เป็นอะไร ถึงขนาดต้องนอนโรงพยาบาลเลยเหรอ”

                “เป็นไข้วัดใหญ่ครับ” พันนาตอบ

                “ไข้หวัดใหญ่?” โหรเลิกคิ้วสูง “เมื่อคืนก็ปกติดีนี่”

                “กุมภ์บ่นว่ามึนหัวตั้งแต่เข้าไปช่วยปรางค์ยกของแล้วล่ะค่ะ” ปรางค์แทรกขึ้น ดวงตาคู่สวยเต็มไปด้วยความห่วงใยทอดมองไปยังร่างของคนป่วยบนเตียง “ปรางค์ผิดเองที่ไม่เอะใจ ถ้าเมื่อคืนพันนาไม่ได้ยินเสียงร้องไห้ล่ะก็ กุมภ์คงอาการหนักกว่านี้แน่เลย” ปลายเสียงของเธอสั่นเครือ

                “ร้องไห้...นี่มันเรื่องอะไรกัน ตอนผมกลับ เขาก็ปกติดีทุกอย่าง”

                “ใช่ค่ะ เขาปกติทุกอย่างเลย คุย หัวเราะ แถมยังช่วยเก็บของด้วย ทำไมปรางค์ถึงไม่สังเกตเห็นนะ” ปรางค์ยังคงโทษตัวเอง ซึ่งมันทำให้โหรรู้สึกอย่างนั้นไปด้วย

                “จ้าวจอมโทรบอกพี่เหรอครับ” รชตถาม หลังจากเงียบอยู่นาน โหรพยักหน้ารับ “เพิ่งโทรเมื่อตอนเกือบแปดโมงนี่เอง แล้วเขาเข้าโรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อไรเหรอ”

                “ตีสี่ครับ” พันนาเป็นคนตอบ “ผมนอนกับกุมภ์ ได้ยินเสียงไอตอนเที่ยงคืนแต่ไม่ได้คิดอะไร พอสักตีสามผมก็ได้ยินเสียงเขาร้องไห้ ผมเลยลุกขึ้นดู กุมภ์เหมือนคนละเมอ ดิ้นไปดิ้นมา ผมเขย่าตัวเขาถึงได้รู้ว่าเขาตัวร้อนมาก หมอบอกว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ นอนพักสักสามสี่วันก็น่าจะดีขึ้น ฉิวเฉียดกับเปิดเทอมพอดี”

                “พี่มาก็ดีเหมือนกัน ผมเฝ้ามาตั้งแต่ตีสี่ ยังไม่ได้นอนเลย โคตรง่วง ผมฝากดูมันสัก 2-3 ชั่วโมงได้ไหม” รชตว่า พร้อมเปิดปากหาว สีหน้าอิดโรย ไม่ต่างจากพันนาและปรางค์

                “ชตกลับไปกับพันนาเลย เดี๋ยวเราอยู่เฝ้าเอง ไม่ต้องรบกวนพี่โหรหรอก” ปรางค์ออกตัว แต่รชตไม่เห็นด้วย

                “กลับไปพร้อมกันเถอะ ปรางค์เองก็ยังไม่ได้นอนเหมือนกัน อีกอย่าง...” รชตเว้นวรรค พลางเหลือบไปมองทางคนป่วย “กุมภ์มันเป็นผู้ชาย มันจะดูไม่ดี”

                “แต่...” ปรางค์ลังเล ถ้าหากเลือกได้เธอก็อยากจะอยู่เผ้ากุมภ์เอง แต่อย่างที่รชตว่า เธอเป็นผู้หญิงการอยู่เฝ้าผู้ชายแต่เพียงลำพังมันคงดูไม่ดีนัก ยิ่งตอนนี้สถานะของเธอกับกุมภ์ยังเป็นแค่เพื่อนสนิทอีกด้วย

                หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวยอมพยักหน้าตอบตกลง แม้จะเป็นห่วงคนป่วยสุดใจแค่ไหนก็ตาม ทั้งสามฝากฝังให้โหรอยู่เป็นเพื่อนกุมภ์ก่อน แล้วจะให้ชาร์ลกับคะนิ้งมาผลัดเปลี่ยน

                “มึงพาปรางค์ไปรอที่รถก่อน กูขอคุยกับพี่โหรแป๊บหนึ่ง” พันนาบอกรชต แล้วหันมาพยักพเยิดให้โหรเดินตามกันออกไปที่ระเบียงนอกห้องพัก

                “มีอะไรต้องคุยกันแค่สองคน?” ปรางค์สงสัย มองตาแผ่นหลังกว้างของคนทั้งคู่ออกไป

                “ไม่มีอะไรหรอก ไปกันเถอะ เราอยากกินกาแฟสักแก้วก่อนกลับบ้าน” รชตเอ่ยชวน การที่ได้นอนเกือบเที่ยงคืนแล้วต้องตีสี่มันทรมานไม่น้อยเลย ตอนนี้เขาล่วงเสียจนแทบจะยกเปลือกตาไม่ขึ้น ถ้าคาเฟอีนเข้มๆ สักแก้วน่าจะช่วยได้เยอะทีเดียว

                “แต่ปรางค์...”

                “ไม่ต้องห่วงไอ้กุมภ์หรอก หมอให้ยาไปคงหลับไปอีกยาวแหล่ะ”

                ปรางค์ผงกศีรษะรับ ถึงจะห่วงกุมภ์แค่ไหน ก็ต้องเว้นระยะห่าง ถึงอย่างไรเสียตอนนี้เธอกับกุมภ์ยังไม่เป็นคนรักกัน แต่หลังจากนี้เธอจะไม่ยอมเสียกุมภ์ไปอีกครั้งแน่...

 

                ถึงในห้องพักจะเย็นฉ่ำด้วยเครื่องปรับอากาศ แต่คนที่คุ้นชินกับธรรมชาติกลับชอบลมเอื่อยๆ ที่ระเบียงมากกว่า ญาติผู้ป่วยกระจายอยู่ตามจุดต่างๆ กลิ่นบุหรี่แทรกมาในอากาศ เพราะไม่อนุญาตให้สูบในอาหาร โหรทอดสายตามองไปเบื้องหน้า ที่มีเพียงแค่สนามหญ้า ต้นไม้ และคนเจ็บป่วยที่ยังคงทยอยมารักษาตัว มันไม่ได้เจริญหูเจริญตานักหรอก

                พันนายืนอีกฝากของระเบียงแคบๆ สีหน้าดูเคร่งเครียดกว่าตอนที่อยู่ในห้อง โหนกคิ้วมีรอยนูน ขณะที่ใต้ตาดำคล้ำจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ

                “ผมขอถามอะไรสักหน่อยได้ไหมครับ” พันนาพูดขึ้น รอจนเขาพยักหน้าอนุญาตถึงได้พูดต่อ “เมื่อคืนพี่โหรกับกุมภ์ทะเลาะกันเรื่องอะไร ผมไม่เคยเห็นกุมภ์ตะโกนใส่หน้าใครมาก่อน ถามเจ้าตัวแล้วก็บอกว่าไม่มีอะไร”

                โหรนิ่ง เมื่อคืนหลังจากมีปากเสียงกับกุมภ์ เขาก็แทบจะไม่สนใจสิ่งใดอีก นอกจากคำกล่าวขอบคุณที่กุมภ์มอบให้ และก็ไม่มีใครเข้ามาสืบสาวราวเรื่องกับเขาเหมือนกัน

                “เรามี...ปากเสียงกันนิดหน่อย” โหรบอก

                “ปากเสียง? กับพี่เนี่ยนะ” สีหน้าของพันนาเต็มไปด้วยความแปลกใจ “ไอ้กุมภ์มันเคารพพี่จะตาย”

                “..เรื่องไม่เป็นเรื่องน่ะ ผมเองที่งี่เง่า”

                “งี่เง่า?” พันนาทำตาโต เหมือนเห็นผีพิกุลโผล่มาข้างๆ “พี่เนี่ยนะงี่เง่า”

                โหรถอนหายใจ “เอาเถอะๆ ไว้เขาตื่นผมจะขอโทษเขาเอง ไปได้แล้ว”

                สีหน้าของพันนายังไม่คลายสงสัย แต่เพราะรู้ว่าขืนตื๊อถามต่อก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยจำต้องยอมล่าถอย ทว่าลึกๆ เชื่อว่าระหว่างโหรกับกุมภ์มีความลับบางอย่างที่บอกกับเขาไม่ได้ พันนาถอนหายใจตามบ้างพลางยกมือขึ้นบีบหัวไหล่คนโตกว่า

                “ผมจะไม่ถามเซ้าซี้หรอกนะ แต่ผมไม่เคยเห็นกุมภ์เป็นแบบนี้มาก่อน...ฝากเพื่อนผมด้วย เดี๋ยวผมกลับมา”

                โหรพยักหน้ารับ ถึงไม่ฝากฝังเขาก็ต้องดูแลกุมภ์อยู่แล้ว พันนามองหน้านิ่งอยู่ราวครึ่งนาทีก่อนจะขอตัวกลับไปพักผ่อนบ้าง และอีกพักใหญ่ชาร์ลกับคะนิ้งมาผลัดเปลี่ยนให้

(มีต่อ)
               
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 20 : สารภาพ] 18/03/2563
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 18-03-2020 19:19:27
(ต่อ)
 ร่างสูงใหญ่ผลักบานประตูกลับเข้ามาในห้องพักพิเศษอีกครั้ง ใบหน้าขาวซีดเซียวหลับนิ่งสงบ แผ่นอกขยับขึ้นลงเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ผ้าห่มสีฟ้าจางคลี่มาถึงหน้าอก มือข้างหนึ่งวางทาบบนอก อีกข้างอยู่ข้างลำตัวเข็มน้ำเกลือปักบนหลังมือ รอยช้ำจางๆ รอบเข็มอันเล็ก ริมฝีปากที่เคยระเรื่อซีดจางจนน่าใจหาย

                โหรทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียง ภายในห้องเงียบสนิท มีแค่เสียงเครื่องปรับอากาศและเข็มนาฬิกาที่หมุนไปเรื่อยๆ เขารู้สึกว่าแต่ละวินาทีมันยาวนานเป็นเท่าตัว ถึงจะรักษาคนมามาก อาการหนักแบบปางตาย แต่ยังไม่เคยเห็นใครป่วยได้น่าสงสารเท่านี้มาก่อน

                “ขี้โรคจังวะ” โหรพึมพำกับคนป่วย อยู่ดีๆ ก็ป่วยเสียได้ แถมดันเป็นไข้หวัดใหญ่เสียอีก ตัวก็ผอมอยู่แล้ว กว่าจะหายน้ำหนักลงไปอีกหลายกิโล

                โหรนั่งมองกุมภ์นิ่ง ความคิดมากมายหมุนวนอยู่ในสมอง น่าแปลกโรคฟุ้งซ่านที่รบกวนอยู่นานมันหายไปง่ายๆ เหมือนถูกลมพัด สมาธิกลับคืน อย่างที่เขาว่า สมาธิมาปัญญาเกิด แล้วมันก็เช่นนั้นจริงๆ

                กุมภ์เป็นเกย์...นั่นคือความจริง

                กุมภ์ชอบเขา...นั่นก็น่าจะเป็นความจริงอีกเช่นกัน

                กุมภ์ชัดเจน...แล้วเขาล่ะ

                มีอะไรที่ชัดเจนบ้าง แม้แต่ความรู้สึกก็ยังครึ่งๆ กลางๆ บอกกับตัวเองว่าอยากได้ครอบครัวที่อบอุ่น อยากมีเมีย มีลูก แต่เขากลับไม่ได้รู้สึกพิเศษกับผู้หญิงมานานหลายปีแล้ว ไม่เคยห่วงใย หรือแคร์ความรู้สึกของใครตั้งแต่เสียรักครั้งไป แรกๆ เขาคิดว่าเป็นเพราะว่ากลัวความรัก ทว่าตอนนี้เขาคิดว่าไม่ใช่ทั้งหมด

                ที่ไม่ได้รู้สึกพิเศษกับใคร เพราะยังไม่เจอคนที่ใช่ต่างหาก

                แต่เมื่อมันเกิดขึ้น เขากลับตั้งแง่อะไรมากมาย เพียงแค่ไม่ใช่ผู้หญิง ไม่อาจมีลูก ไม่อาจเป็นครอบครัวอบอุ่นพ่อแม่ลูก เท่านั้นเองหรือ?

                แท้จริงแล้วความรักคืออะไร?

                สมัยที่มีรักครั้งแรก ตอนนั้นมันหวือหวาวาบหวามไปหมด หัวใจฟองพู กระตือรือร้นอยากจะเจอ หรือแค่ได้ยินเสียงก็ยังดี เขายอมทำทุกอย่างเพื่อให้เธอมีความสุข แต่ผลที่ได้รับคือความเจ็บปวดและผิดหวัง

                ความเสียใจเล่นงานจนเสียผู้เสียคนไปพักใหญ่ เหล้ายาหรือแม้แต่นอนกับผู้หญิงก็ทำมาหมด แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะไปสงบจิตใจในป่า กลับออกมาเขาก็กลายเป็นคนเฉยชากับความรักไปแล้ว

                มีอยู่หลายครั้งที่เคยตั้งปณิธานว่าจะไม่เลือกคู่ชีวิตแค่เปลือกนอกอีก หล่อนต้องเป็นคนทีสมบูรณ์มีความเป็นแม่บ้านแม่เรือนและแม่ของลูก ทว่าเขาก็ยังหาไม่เจอสักคน พลุไฟเล็กๆ ที่เคยทำงานมันดับไปนานแล้ว ไม่มีวี่แววว่าจะถูกจุดอีกครั้ง

                กระทั่งวันนั้น...วันที่เขาร่างโปร่งบางวิ่งฝ่าความมืดเข้ามาพร้อมกับความกลัวจับใจ แต่เหนือความกลัวคือความบ้าบิ่น...บ้าที่จะมาช่วยเขา ทั้งที่ตัวเองไม่มีอะไรเลย

                ประกายไฟเล็กๆ เหมือนจะส่องแสงวูบวาบในหัวใจที่มืดมน

                ที่จริงแล้วเขาสะดุดตากุมภ์ตั้งแต่แรกเห็น เพราะไม่คิดว่าผู้ชายที่เหมือนลูกคุณหนูจะโลดโผนมาผจญภัยในป่า หากเทียบกันระหว่างเพื่อนทั้งสี่คน กุมภ์ตัวเล็กที่สุด ไม่ได้เตี้ยแคระ หากแต่ผอมโปร่งมากกว่าใคร ผิวพรรณขาวสะอาดราวกับไม่เคยต้องแดด

                เรื่องที่บอกว่าไม่เคยคิดรังเกียจเพศที่สามมันคือความจริง ยุคนี้สมัยนี้ เพศสภาพไม่ได้เป็นตัวบงชี้ความดี หรือแม้แต่ความรัก

                โหรถอนหายใจยาว ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยคิดหนักเท่านี้มาก่อน สู้กับอะไรก็สู้ได้ แต่สู้กับความรู้สึกของตัวเองมันเกินจะต่อการจริงๆ ตอนนี้สมองของเขากำลังแบ่งออกเป็นสองฝั่ง หนึ่งคือศีลธรรมและสังคม อีกฝั่งคือความรู้สึกที่แท้จริง มันพยายามหาเหตุผลมาหักล้างกันจนเขาสับสนไปหมด ไม่รู้ว่าควรจะเลือกอยู่ฝั่งไหนดี

                “อือ...”

                เสียงครางเบาๆ ดึงให้หลุดจากภวังค์ คิ้วได้รูปของคนป่วยขมวดน้อยๆ ลมหายใจผ่อนหนักและยาว ท่าทางเหมือนกำลังฝันร้าย...บางทีอาจจะฝันถึงเขาก็ได้

                ไม่กี่วินาทีกุมภ์ก็กลับไปหลับตามเดิม สีหน้าผ่อนคลายลงแต่ยังคงซูบซีด ดูน่าสงสารอย่างบอกไม่ถูก โหรขยับปลายนิ้วมือ ตอนนั้นเองถึงได้รู้ว่าเขาเลื่อนมือไปวางทับอีกมือที่เล็กกว่าเสียแล้ว

                ผิวเนื้อเย็นเยียบที่ผ้าห่มคลุมไม่ถึงมันทำให้อดใจหายไม่ได้ เมื่อวานเขาก็เผลอทำแบบนี้ไป แต่ตอนนั้นผิวของกุมภ์อุ่นผ่าว และถ้าหากเขามีสติเอะใจสักนิดถึงรู้สึกถึงความผิดปกติ นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยไล้ไปบนหลังมือขาว อยากจะส่งผ่านไออุ่นไปให้อีกคน อยากให้ตื่นมาคุยกัน หรืออย่างน้อยก็แค่ลืมตาสักนิดก็ยังดี

                ความผิดอบรดร่าง ถึงจะไม่มีใครกล่าวโทษก็ตาม

                “....ผม ขอโทษนะ”

                โหรพูดกับคนป่วย น้ำเสียงแหบพร่าจนน่าสมเพช ปลายนิ้วสอดลอดผ่านช่องว่างเล็กๆ ระหว่างนิ้ว ก่อนจะบีบกระชับเบาๆ หวังว่าคำขอโทษมันจะดังไปถึงหัวใจอีกคนได้

                พยาบาลเข้ามาวัดความดันทุกชั่วโมง จนถึงตอนนี้ก็สามรอบแล้ว อาการของกุมภ์ยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจ หมอเวรเข้ามาตรวจในชั่วโมงที่สองของการเฝ้าไข้ หมอบอกคร่าวๆ ว่ากุมภ์มีอาการของไข้หวัดใหญ่ ตอนนี้ไข้ลดลงแล้ว แต่ยังต้องดูอาการไปอีก 2-3 วัน โหรรับฟังเงียบๆ ทั้งที่ในใจห่วงแทบจะบ้า

                จนเกือบเที่ยง คะนิ้งกับชาร์ลก็มาถึง ทั้งคู่ขอโทษขอโพยยกใหญ่เพราะหิวเลยแวะหาอะไรกินกันมาก่อนเลยทำให้มาช้า โหรไม่ได้ถือสา ดีเสียอีกมันมีเวลาให้เขาได้ทบทวนตัวเอง

                ชาร์ลซื้อข้าวกล่อง ของว่างและน้ำมาฝาก พอได้กลิ่นอาหารถึงได้รู้ว่าเขาหิวแค่ไหน โหรถือกล่องข้าวที่ชาร์ลยัดใส่มือให้ หมายจะออกไปนั่งกินข้างนอก แต่ชาร์ลรั้งไว้ก่อน

                “กินในนี้ก็ได้พี่ เราไม่ถือ” ชาร์ลว่ายิ้มๆ ทว่าโหรส่ายหน้าไม่เห็นด้วย

                “ไม่รบกวนพวกคุณ แต่มันจะรบกวนคนป่วย” พอได้ยินประโยคนั้น คะนิ้งที่ถือแก้วกาแฟเย็นอยู่ก็ชะงักไปชั่วประเดี๋ยว แล้วเดินเอาแก้วกาแฟไปแช่ในตู้เย็น เช่นเดียวกับของกินที่หิ้วติดมือมา

                โหรเดินเลี่ยงออกมาที่นอกระเบียง ด้วยความที่รูปร่างสูงใหญ่ทำให้ต้องนั่งขัดสมาธิติดกับกำแพงหลบแดดที่ส่งตรงหัวพอดี หันหลังให้กับประตูห้อง โหรลงมือกินข้าวผัดง่ายๆ เงียบๆ หัวโล่งปลอดโปร่ง เพราะก่อนหน้าที่สองคนนั้นจะมาถึงเขาตัดสินใจบางอย่างได้แล้ว

                ประตูถูกเคาะเบาๆ สองสามครั้ง โหรเอียงคอเงยหน้าขึ้นมองเห็นว่าชาร์ลแสดงจำนงว่าอยากจะออกมา เขาเลยขยับตัวให้พอเปิดประตูได้ หนุ่มลูกครึ่งมีแก้วกาแฟเย็นร้านดังมาด้วย

                “แคบไปสำหรับเราสองคนนะ พี่ว่าไหม”

                ข้อนี้โหรเห็นด้วยเพราะรูปร่างของตนกับชาร์ลเดินมาตรฐานชายไทย ส่วนสูงเกิน 180 ทั้งคู่ ไหนจะความกว้างของช่วงไหล่ ซ้ำที่ระเบียงยังมีคอมเพรสเซอร์อีก ทำให้สถานที่เล็กๆ ตรงนี้ยิ่งคับแคบไปกันใหญ่

                “เมื่อคืนผมก็เห็นนะว่าพี่กับกุมภ์ทะเลาะกัน” ชาร์ลเปิดบทสนทนา ก่อนจะดูดกาแฟเย็นเฉียบไปอึกใหญ่

                “เราไม่ได้ทะเลาะกัน แค่มีปากเสียงกัน...นิดหน่อย” โหรตอบเรียบๆ นึกหน่ายใจเหมือนกันที่ต้องพูดประโยคเดิมซ้ำๆ

                “ไอ้พันว่า มันร้องไห้เมื่อคืน เหมือนจะเพ้อด้วยมั้ง แต่ไอ้พันฟังไม่ถนัด” ชาร์ลเล่าต่อ “ผมไม่รู้ว่าพี่กับมันขัดใจกันเรื่องอะไร แต่พี่อย่าโกรธเพื่อนผมได้ไหม ไอ้กุมภ์มันเป็นคนดี”

                โหรเก็บช้อนพลาสติกลงในกล่องข้าว หลังจากข้าวคำสุดท้ายอยู่ในปาก รอเคี้ยวหมดคำแล้วค่อยพูด “ผมไม่ได้โกรธเพื่อนคุณ...เพื่อนคุณต่างหากที่โกรธผม”

                “โกรธ? ไอ้กุมภ์โกรธคนเป็นด้วยเหรอ ตั้งแต่รู้จักกันมาผมไม่เคยเห็นมันโกรธใครสักที ขนาดผมเอารองเท้ามันไปซ่อน ต้องเดินตีนเปล่าหาอยู่ตั้งนานมันยังไม่โกรธผมเลย”

                โหรอมยิ้มเมื่อลองจินตนาการภาพกุมภ์ที่เดินตามหารองเท้าตัวเอง เท้าขาวคงจะเปื้อนน่าดูชม

                “แล้วเพื่อนผมโกรธพี่เรื่องอะไร เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม”

                ชาร์ลนิสัยไม่เหมือนพันนา กุมภ์ หรือรชต รายนี้มุทะลุ และตรงไปตรงมากว่า คงเพราะถูกเลี้ยงดูมาตามวัฒนธรรมของบิดา ซึ่งเขาคิดว่ามันก็ดีเหมือนกัน ไม่ต้องเสียเวลาปั้นแต่ง

                “เพื่อนคุณเข้าใจผมผิด...พักใหญ่แล้วล่ะ”

                “เข้าใจผิด? หึหึ ดูเหมือนว่าพี่กับไอ้กุมภ์จะมีความลับกับพวกผมนะ” คิ้วหนาเข้มเลิกสูง ริมฝีปากเหยียดออกเล็กน้อย

                “ก็อาจจะใช่” โหรตอบ “แต่ผมพูดไม่ได้ รอให้เขาเล่าเองจะดีกว่า เอาเป็นว่า ถ้าเพื่อนคุณหายเมื่อไรผมจะขอโทษเขาอีกที”

                “เอาอย่างนั้นก็ได้” ชาร์ลยักไหล่ “แต่ผมว่ารีบหน่อยก็ดีเหมือนกัน ท่าทางปรางค์จริงจังเสียด้วย”

                พูดจบร่างใหญ่ของชาร์ลก็หมุนกลับเข้าไปในห้องพัก โหรแทบลืมหายใจกับประโยคทิ้งท้าย น้ำเสียงของชาร์ลเหมือนจะรู้อะไร บางทีอาจจะรู้มากกว่าตัวเขาเองด้วยซ้ำ...

 

                โหรยังไม่ได้กลับบ้าน เขาเพิ่งรู้ว่าตัวเองควรจะเปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่เสียที มันก็จริงอยู่ว่าการไม่ได้ใช้โซเชี่ยวเนตเวิร์กมันทำให้ชีวิตไม่วุ่นวาย แต่มันทำให้เขาพลาดอะไรหลายๆ อย่างไป เช่นการสื่อสารกับกุมภ์ ถึงจะมีเบอร์โทรศัพท์แล้ว แต่เขาก็ยังอยากรู้ อยากเห็นอะไรมากกว่านั้น ยอมรับว่าการที่ได้เห็นกุมภ์พูดคุยกับจ้าวจอม มันทำให้เขา ‘อิจฉา’ ไม่น้อย

                ดังนั้นเงินในบัญชีเกินสามหมื่นเลยต้องกลายมาเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ เครื่องใหญ่พอดีฝ่ามือ ก่อนจะออกมาจากร้าน เจ้าของแนะนำวิธีการใช้มาเยอะจนจำไม่ไหว สุดท้ายเลยตัดสินใจว่าคงต้องพึ่งจ้าวจอมถึงจะใช้งานเป็น แต่ก่อนออกมาเจ้าของร้านจัดการเอาซิมใส่ให้ ตั้งค่าเครื่องอะไรอีกเยอะแยะ รวมทั้งโหลดแอพพลิเคชั่นรูปสีเขียวที่ชื่อภาษาอังกฤษว่า ‘LINE’ ให้ด้วย

                ‘รายชื่อที่พี่เซฟไว้ มันจะขึ้นในรายชื่อผู้ติดต่อนะคะ ทีนี้พี่อยากคุยกับใครก็คุยได้เลย อ้อ หนูสมัครแพ็คเก็ตอินเตอร์เน็ตให้ด้วยนะคะ เดือนละ 499 เล่นเน็ตฟรี ไม่ลดสปีด แต่ถ้าโทรก็นาทีละสองบาท ทุกวันที่ 3 พี่ต้องเติมเงินเข้าโทรศัพท์สัก 550 นะคะ ไม่อย่างนั้นมันตัดเน็ตพี่’

                แม่คุณเล่นสมัครใช้งานอินเตอร์เน็ตให้เขาเสร็จสรรพ เพราะตรวจดูแล้วว่าเงินมีเหลือเฟือ เขาได้แต่พยักหน้ารับ เพราะถ้าใช้สมาร์ทโฟนก็จำเป็นต้องมีอินเตอร์เน็ตด้วยเหมือนกัน

                โหรดูนาฬิกา อีกไม่กี่นาทีก็จะสามโมงครึ่ง ใกล้เวลาเลิกเรียนของไอ้ตัวแสบ เขาตั้งใจจะพามันไปเยี่ยมกุมภ์พร้อมกับให้มันสอนใช้โทรศัพท์  แต่ยังไม่ทันที่จะถึงหน้าโรงเรียนดี สายตาก็สะดุดกับรถเก๋งคุ้นตา เพ่งมองจนเห็นหมายเลขทะเบียนก็ยิ่งแน่ใจว่าเป็นรถยนต์ของพันนา

                มาทำอะไรที่โรงเรียนเด็กมัธยม แถมยังใกล้เวลาเลิกเรียนแล้วด้วย

                โหรดับเครื่องยนต์ มือทั้งสองข้างเกาะพวงมาลัย ชะโงกหน้ามอง รู้สึกว่าตัวเองกำลัง ‘เสือก’ เรื่องของชาวบ้านอยู่ไม่มีผิด

                แล้วข้อสงสัยก็ถูกเฉลย เมื่อร่างคุ้นตาในชุดนักเรียนเดินปะปนมาเด็กจำนวนมหาศาล

                จ้าวจอมเดินแกมวิ่ง พูดคุยหัวเราะกับเพื่อน ไม่ถึงนาทีไอ้ตัวแสบก็เห็นรถยนต์ของพันนา กระจกรถยนต์ไขลงและคงมีบทสนทนาเล็กน้อย ก่อนที่จ้าวจอมจะเปิดประตูเข้าไปนั่งด้านหน้าคู่กับพันนา

                “มารับไอ้แสบเหรอวะ” โหรถามตัวเอง ขณะที่มือขยับเกียร์กระปุกรถกระบะแสนเก่าของตัวเองตามออกไป …

 

                พันนาพาจ้าวจอมมาโรงพยาบาล แต่มาถึงทีหลังโหร พอเห็นแก้วกาแฟกับขนมในมือของจ้าวจอมก็พอจะเดาได้ว่าพันนาคงจะพาจ้าวจอมแวะเติมพลังก่อน กุมภ์เพิ่งจะหลับไปครู่ใหญ่ก่อนหน้าโหรจะมาถึงไม่กี่นาที ตอนที่ตื่นขึ้นมาเหมือนยังมีสติไม่เต็มร้อยเท่าไร ร้องขอน้ำกิน พูดคุยแบบไม่ค่อยรู้เรื่องนัก แล้วก็หลับไปต่อ ดูเหมือนว่าสีหน้าของกุมภ์จะดีขึ้นนิดหน่อย ไม่ได้ซีดเผือดเหมือนเมื่อเช้า เย็นนี้ค่อนข้างคึกคัก เพราะนอกจากชาร์ลกับคะนิ้งที่รับช่วงต่อตั้งแต่หลังเที่ยง ยังมีรชต ปรางค์ พันนา จ้าวจอมและโหร ทำให้ห้องพักฟื้นแบบพิเศษดูคับแคบไปถนัดตา

                “พี่กุมภ์เป็นยังไงบ้างอ่ะ” จ้าวจอมถาม พลางกัดพายสับปะรดคำโตเข้าปาก

                “ดีชึ้นแล้วล่ะ ถ้าไม่มีไข้ อีกสักสองสามวันก็ได้กลับบ้านแล้วล่ะ” ชาร์ลตอบ “หายไวๆ ก็ดีเหมือนกัน อาทิตย์หน้าจะเปิดเทอมแล้ว กูยังไม่ได้เตรียมอะไรสักอย่าง”

                “แล้วมีคนโทรบอกพ่อกับแม่ของกุมภ์หรือยัง” คะนิ้งถาม ซึ่งน่าจะเป็นคำถามที่ดีที่สุด

                “โทรแล้ว โทรตั้งแต่เมื่อเช้า” พันนาตอบ หย่อนสะโพกลงนั่งบนโซฟาหนังสีดำโดยดึงแขนเด็กมอหกลงไปนั่งข้างๆ กัน “แต่แค่บอกว่าเป็นไข้หวัดธรรมดา ไม่อยากให้พวกท่านตกใจ ขับรถมาไกลๆ มันอันตราย”

                ทุกคนเห็นด้วย แม้แต่ปรางค์เองก็ไม่ได้บอกกับมารดาของตัวเองเหมือนกันเพราะเกรงว่าจะเป็นเรื่องใหญ่โต อีกอย่างตอนนี้อาการของกุมภ์ก็ดีขึ้นตามลำดับแล้วด้วย

                ปรางค์ขยับเก้าอี้ให้ชิดเตียงมากขึ้น เพราะปริมาณคนในห้องที่มีเยอะกว่าเดิม สายตาของเธอไม่ได้คลาดเคลื่อนจากใบหน้าของคนป่วยมานานหลายสิบนาทีแล้ว จะมีขยับบ้างตอนที่เห็นว่าผ้าห่มเคลื่อนเลื่อนลง ตอนที่กุมภ์ตื่นเธอก็อยู่ด้วย เธอยิ้มกว้างดีใจอย่างบอกไม่ถูก รีบถลาเข้าไปหาถามไถ่อาการทันที แล้วก็เป็นคนกระวีกระวาดหาน้ำให้กุมภ์ดื่ม เสียดายเล็กน้อยที่กุมภ์หลับต่ออย่างรวดเร็ว โดยที่คุยกับเธอแค่ไม่กี่คำเท่านั้นเอง

                “พี่โหรกินอะไรหรือยัง พวกผมว่าจะออกไปหาอะไรกินกัน...พี่ไปกับพวกเราไหม” รชตชวน แต่โหรส่ายหน้าปฏิเสธ ซึ่งทุกคนเข้าใจว่าโหรคงจะกลับบ้านเพราะเย็นมากแล้ว

                “แล้วคืนนี้ใครเฝ้าพี่กุมภ์อ่ะ” จ้าวจอมถาม กาแฟหมดไปครึ่งแก้วแล้ว ขณะที่ขนมราคาครึ่งร้อยหมดภายในไม่กี่คำ

                “พี่เอง” พันนาว่า “คืนนี้กูอยู่เฝ้ามันเอง พวกมึงกลับไปนอนเถอะ”

                ไม่มีใครคัดค้าน เพราะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ปรางค์หันมามองทางพันนา ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ถอนหายใจแล้วผินหน้ากลับ

                ท่าทางแบบนั้นใครก็รู้ว่าปรางค์อยากเป็นคนเฝ้ากุมภ์เสียเอง

                “ผมฝากจ้าวจอมกลับบ้านด้วยนะพี่” โหรยังไม่ได้รับคำ ชำเลืองไปยังไอ้เด็กแสบที่หมู่นี้ความแสบจะลดน้อยลงไปไม่น้อย

                “ไอ้จอม มึงมานี่ซิ”

                จ้าวจอมเงยหน้าจากโทรศัพท์มือถือ โหรกวักมือพลางส่งสายตาให้ออกไปนอกห้องพร้อมกัน จ้าวจอมไม่ขัดแม้จะแปลกใจอยู่บ้าง ทั้งสองเดินตามกันออกไปเงียบๆ...

***********

 *มาแล้วจ้า ขอโทษด้วยนะคะที่หายไปนาน ติดอบรมจ้า ยาวเลย*

**ทุกคนรักษาตัวให้ปลอดภัยจากทั้งโรคภัยและโรคเมืองด้วยนะคะ เป็นห่วงมากเลย**

***ล้างมือให้สะอาด ใช้ผ้าปิดปากในที่ชุมชน รักทุกมากๆ นะคะ***

****สัญญาว่าวันอาทิตย์นี้จะมาอัพให้อีกตอนจ้า****
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 20 : สารภาพ] 18/03/2563
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 18-03-2020 19:47:36
สาวๆเดี๋ยวนี้เขาชัดเจน รุกเร็ว ไม่มีรีรอกันแล้ว
พี่โหรระวังตามไม่ทันนะ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 20 : สารภาพ] 18/03/2563
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 18-03-2020 20:22:17
พี่โหรลงทุนซื้อมือถือใหม่เลยนะเนี่ยย เริ่มรู้ใจตัวเองแล้วสินะ น้องปรางค์พักก่อนน
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 20 : สารภาพ] 18/03/2563
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 18-03-2020 21:26:02
โอ๊ยย พี่โหรมีความลงทุนซื้อโทรศัพท์ใหม่ อิอิอิ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 20 : สารภาพ] 18/03/2563
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 18-03-2020 22:05:45
ตอนนี้คือหมั่นไส้ปรางค์มากๆ ไม่ไหวแล้วววว
เอาเค้าออกไปที พิกุลช่วยด้วยยยยยยยยยยยยยยย :m31: :m31: :m31:
แต่ก็แอบดีใจที่พี่โหรยอมรับตัวเองสักที
กุมภ์รีบตื่นมาเร็วๆ รอบนี้พี่โหรน่าจะใช้จ้าวจอมเอาพันนากลับบ้านแหงๆ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 20 : สารภาพ] 18/03/2563
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 18-03-2020 22:41:24
หุหุหุ พี่โหรโดนฝรั่งแหย่ให้แล้วไหมละ ช้า เสร็จปรางค์แน่ๆ
เอาใจช่วยนะพี่โหร
 :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 20 : สารภาพ] 18/03/2563
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 18-03-2020 23:37:02
make a move พี่โหร :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 20 : สารภาพ] 18/03/2563
เริ่มหัวข้อโดย: cho_co_late ที่ 19-03-2020 01:43:56
เอาแล้วพี่โหร จังหวะนี้พี่ต้องเผยความในใจได้แล้วนะ หาจังหวะอยู่กันสองต่อสองตอนน้องตื่นไม่ได้เลยดิ แง้
อยากให้เคลียร์กันเร็วๆ ฝั่งปรางค์ก็ถือว่ายังมีลิมิตอยู่นะว่าตัวเองเป็นเพื่อนสนิท แต่น้องจ๋าทำใจเถอะลูก
ตอนนี้ขอมอบแต้มให้พี่โหร 10 แต้ม เนื่องจากแอบจับมือน้องได้มุ้งมิ้ง และยอมเสียเงินซื้อโทรศัพท์เอาไว้คุยกับน้องในอนาคต
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 20 : สารภาพ] 18/03/2563
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 19-03-2020 19:37:36
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 20 : สารภาพ] 18/03/2563
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 19-03-2020 21:56:51
จ้ะ สู้เค้านะ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 20 : สารภาพ] 18/03/2563
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 21-03-2020 09:50:37
พี่โหรรู้ใจตัวเองแล้ว ดีใจจัง :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 20 : สารภาพ] 18/03/2563
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 22-03-2020 17:09:43
อ๊ะ วันนี้วันอาทิตย์ ปู่เสื่อรอพี่โหรเคลียร์ปัญหาหัวใจจ
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 21 : คนเฝ้าไข้] 22/03/2563
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 22-03-2020 19:04:09
ตอนที่ 21 คนเฝ้าไข้

            “มีอะไรอะพี่”

                จ้าวจอมถาม ทั้งคู่นั่งอยู่บนม้านั่งหินอ่อนตัวเก่า ที่มุมแตกจนเห็นเหล็กเส้นด้านใน โรงพยาบาลในตอนเย็นเต็มไปด้วยญาติของผู้ป่วยที่เดินกันว่อนเหมือนมีตลาดนัด วุ่นวาย แต่ไม่มีความสุข

                “สอนกูเล่นโทรศัพท์หน่อย” โหรเอ่ยปาก หน้าร้อนวูบวาบเพราะจำต้องกลืนน้ำลายตัวเอง ที่เคยประกาศว่าจะไม่มีวันแตะต้องโทรศัพท์แบบสมาร์ทโฟนเด็ดขาด แต่สุดท้ายเขาก็ต้องพึ่งพามันจนได้ ถูกแล้วล่ะ มันคือการพึ่งพา ไม่ใช่เสพติด

                “ห๊ะ! พี่ซื้อไอโฟนเลยเหรอวะ” จ้าวจอมตาโต ตอนที่เห็นเขาดึงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง “สีทองด้วย แพงสัตว์รัสเซีย”

                “ภาษาอะไรของมึงวะ” โหรส่ายหัว “แต่ก็แพงอยู่สามหมื่นกว่าบาท...กูยังใช้มันไม่ค่อยเป็น สอนกูที เออ ที่ร้านเขาสมัครอินเตอร์เน็ตให้แล้ว”

                จ้าวจอมยิ้มกริ่ม รับสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดมา กดโน่นกดนี่อย่างชำนาญ ถึงตัวเองจะใช้แค่แอนดรอยผลิตจากเกาหลีราคาครึ่งหมื่น แต่ก็พอจะคุ้นชินกับมือถือรุ่นนี้อยู่บ้าง เพราะเพื่อนในห้องหลายคนก็ใช้กัน

                ทั้งสองนั่งตัวแทบจะติดกัน จ้าวจอมสอนวิธีการใช้งานอย่างใจเย็นที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่เพราะห่างเหินจากเทคโนโลยีมานานทำให้คนฉลาดอย่างโหรตามไม่ทัน จ้าวจอมใช้นิ้วเกาหัวเตียนๆ ของตัวเองแรงๆ กว่าที่โหรจะใช้งานเป็นก็เล่นเอาหนังหัวแทบถลอก

                “ตอนนี้พี่มีไลน์ของผม แล้วก็ของพวกพี่พัน อยากจะคุยกับใครก็กดเข้าไปได้เลย มันส่งสติ๊กเกอร์ได้ด้วยนะพี่ แบบที่ผมสอนตะกี้จำได้ใช่ไหม”

                โหรพยักหน้าเหมือนเด็ก รายชื่อที่ปรากฏขึ้นในลิสต์ในผู้ติดต่อ แต่ละคนตั้งชื่อแปลกๆ และส่วนใหญ่จะเป็นภาษาอังกฤษ แต่คนที่เขาสนใจมากที่สุดคือ ‘กุมภ์’ ภาษาไทยง่ายๆ แน่นอนว่ามันเป็นชื่อที่เด้งมาจากโทรศัพท์ที่เขาบันทึกไว้

                กุมภ์เลือกใช้รูปที่ถ่ายในชุดนิสิตแบบครึ่งตัว เสื้อขาวกับกางเกงแสล็คสีดำ ดูเหมาะกับเจ้าตัวดี ใบหน้าขาวเปื้อนรอยยิ้มกว้าง มือสองข้างยกขึ้นกอดอก เขาเผลอจ้องรูปอยู่นานจนไอ้เด็กข้างๆ สะกิด

                “พี่ เปลี่ยนรูปโปรไฟล์หน่อยสิ”

                “ยังไงวะ”

                “เอาโทรศัพท์มา”

                โหรส่งโทรศัพท์ให้ง่ายดาย ไม่รู้ว่าไอ้เด็กแสบมันจะทำอะไร กระทั่งมันยกโทรศัพท์มาทางเขาพร้อมสั่งให้ทำหน้าหล่อ พอเขาขมวดคิ้วมันก็รีบบอก

                “มันก็ต้องเอารูปหล่อสิวะพี่ จะเอารูปหน้าเหมือนตูดลงหรือไง หน้านิ่งแม่งอย่างโหด ลองยิ้มมุมปากหน่อยซิ” จ้าวจอมสั่งเสร็จสรรพ

                คนโตกว่าได้แต่ถอนหายใจ ตั้งแต่เกิดมาถ่ายรูปไม่ถึงสิบครั้งกระมัง แต่ละรูปหน้าโหดอย่างที่จ้าวจอมว่าจริงๆ พยายามจะกระตุกยิ้ม ทว่ามันเหมือนกำลังแสยะยิ้มมากกว่า เสียเวลาอยู่ร่วมสิบนาทีกว่าจะได้รูปสมใจจ้าวจอม

                “เอารูปนี้ละกัน โหดน้อยสุดละ...อะเสร็จแล้ว”

                โทรศัพท์ถูกส่งคืน รูปที่ปรากฏในวงกลมเล็กๆ คือใบหน้าของผู้ชายผิวเข้ม ตาไม่ได้มองกล้องเพราะจังหวะนั้นเขาก้มหน้าลงพอดี มุมปากไม่ได้ยกขึ้นตามที่จ้าวจอมสั่งไว้แต่แรก ถึงจะไม่หล่อเท่าพันนาหรือชาร์ล แต่ก็น่าจะดูดีที่สุดแล้วสำหรับเขา 

                “พี่กุมภ์หน้าตาดีเนาะ” จ้าวจอมว่า พอหันไปมองก็เห็นสายตาพราวระยับ โหรหน้าร้อนวูบวาบรู้สึกเหมือนเด็กถูกจับไต๋ได้ไม่มีผิด

                “ก็หน้าตาดีกันทั้งกลุ่ม” โหรไม่ได้พูดเกินจริง กลุ่มเพื่อนห้าคนรวมทั้งคะนิ้ง จัดว่าเป็นเด็กหน้าตาดีทั้งนั้น ผิวพรรณดีอย่างคนที่ไม่เคยทำงานกรำแดด ผิดกับเขาที่ผิวกร้าน หน้าตาดุดันอย่างที่เจ้าวจอมว่า

                “พี่ปรางค์ก็สวย หวานเหมือนน้ำผึ้งเดือนห้า”

                “มึงเคยเลียเขาหรือไง ถึงได้รู้ดีนัก” โหรประชด เขาไม่ได้เกลียดหรือรังเกียจปรางค์ เพราะเธอสวย กิริยามารยาทก็น่ารัก ไม่ได้เรียบร้อยจนดูประดิษฐ์ หรือกระด้างกระเดื่องแบบเด็กสมัยใหม่ หากวัดกันตามความเหมาะสม ปรางค์กับกุมภ์ก็เหมาะสมกันจริงๆ ทั้งรูปร่างหน้าตา ฐานะและการศึกษา เขาแค่รู้สึกว่าเธอคือ...เส้นขนาน

                เส้นขนานคู่กับเขา โดยมีกุมภ์อยู่ตรงกลาง

                “พูดอะไรวะพี่ โคตรทะลึ่ง” จ้าวจอมทำหน้ารังเกียจ “อันนี้ไลน์พี่พันนะ รูปโคตรหลอกตา ตัวจริงไม่เห็นจะหล่อขนาดนี้เลย”

                จ้าวจอมจิ้มนิ้วไปที่ไลน์ที่ใช้ชื่อ ‘P’N_Pan’ ถ้าไม่เห็นรูปเขาคงไม่รู้ว่าเป็นพันนา แน่นอนว่ารายชื่อพวกนี้จ้าวจอมเป็นคนจัดการให้ทั้งหมด แล้วไอ้ตัวแสบก็แย่งโทรศัพท์ไป กดโน่นกดนี่อย่างชำนาญ ไม่กี่วินาที ข้อความก็ปรากฏในหน้าจอโทรศัพท์ อีกฝ่ายก็เร็วเหลือใจส่งสติ๊กเกอร์หมีสีน้ำตาลทำหน้างงกลับมา

                ‘พี่โหรใช้ไลน์นี้นะ’ จ้าวจอมพิมพ์ตอบกลับไป

                “ไอ้เสือก!” โหรด่าไอ้เด็กจอมสอด แย่งโทรศัพท์กลับไป เสียงแจ้งเตือนดังขึ้นอีกครั้งคราวนี้มีข้อความจากพันนาบอกว่าโอเค

                “เสือกอะไรล่ะ คนอุตส่าห์ช่วย” จ้าวจอมบอก ทำจากยื่นเกือบถึงจมูก           

                “ช่วยอะไร เรื่องนี้กูไม่ได้ขอ”

                “อยากจะคุยอะไรกับพี่พันา ก็คุยซะ นี่ก็จะมืดแล้วด้วย”

                “คุยอะไร...” เขาเกือบหลุดปากด่ามันไป แต่บางอย่างในดวงตาของจ้าวจอมราวกับรู้ถึงความต้องการลึกๆ ของเขา โหรถอนหายใจ กดนิ้วไปที่รูปโทรศัพท์ จำได้ว่าไอ้แอพพลิเคชั่นนี้มันโทรได้ รอไม่อึดใจพันนาก็รับสาย

                ‘ครับพี่โหร มีไลน์ตั้งแต่เมื่อไร ทำไมผมเพิ่งเห็น’

                ‘ไอ้เด็กขี้เสือกแถวนี้มันทำให้’ โหรเหลือบไปมองจ้าวจอมที่กำลังเล่นโทรศัพท์ของตัวเองอยู่ ‘ผมจะไม่อ้อมค้อมนะ คืนนี้ผมขออาสาเฝ้ากุมภ์เอง’

                ‘ครับ?...เดี๋ยวกูมานะ’ เดาว่าประโยคหลังพันนาคงพูดกับเพื่อนตัวเองมากกว่า หลังจากนั้นถึงครึ่งนาทีเสียงของพันนาก็ดึงขึ้นอีกรอบ ‘ทำไมพี่ถึงอยากจะเฝ้าไอ้กุมภ์เองล่ะ’

                ‘…ผมอยากขอโทษเขา’

                พันนาเงียบไปพักใหญ่ โหรรู้ว่าอีกฝ่ายคงเต็มไปด้วยคำถาม แต่เลือกที่จะเงียบและเฝ้ารอจังหวะและโอกาสที่เหมาะสม สุดท้ายก็มีเสียงตอบรับกลับมาเบาๆ ว่าโอเค

                โหรเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋า มือถือเครื่องละสามหมื่นกว่าบาทมีประโยชน์ก็ตอนนี้เอง

                “ขอบคุณผมเลย” จ้าวจอมทวง ยักคิ้วกวนเบื้องล่าง

                “เรื่องอะไรวะ” โหรแสร้งไม่เข้าใจ ทั้งที่ผิวแก้มร้อนแผ่ว ไม่รู้ว่าเผลออะไรไปไอ้เด็กแสบนี้ถึงจับได้

                “ช่างเถอะ” จ้าวจอมโบกมือในอากาศ “เอาไว้ให้กำจัดเสี้ยน เอ๊ย เคลียร์ทุกอย่างได้ แล้วค่อยมาขอบคุณก็ไม่สายไปหรอก เอาเป็นยารักษาไตสัก 4-5 ชุด ก็พอแล้ว...น่าจะได้สักสองสามหมื่นปะวะ” ประโยคหลังพึมพำกับตัวเอง

                “ไอ้โลภ”

                โหรบ่นใส่ แต่ไม่จริงจังนัก แล้วการเรียนรู้วิธีการใช้งานสมาร์ทโฟนก็จบลงภายในเวลาร่วมยี่สิบนาที...

 

                ด้วยการทำข้อตกลงกับพันนาทำให้โหรได้กลายเป็นคนเฝ้าไข้ชั่วคราวให้กับกุมภ์ เขาไม่ได้คิดว่ามันเป็นความลำบากเรื่องที่อยู่ที่กินหรือแม้แต่เสื้อผ้าที่ไม่ได้เตรียมมาผลัดเปลี่ยน พันนาให้ยืมชุดที่เตรียมมา ดีหน่อยตรงที่รูปร่างของพันนากับเขาใกล้เคียงกันเลยใช้ร่วมกันได้ ดังนั้นหลังอาบน้ำก็จัดการซักเสื้อผ้าที่มีติดตัวมาชุดเดียวรวมทั้งชั้นใน แล้วเอาไปตากหน้าคอมเพลสเซอร์แอร์ ความสะดวกสบายของห้องพักแบบพิเศษมันดีตรงที่ มีทั้งผงซักฟอก ไม้แขวนเสื้อ รวมไปถึงที่หนีบผ้า

                โหรกลับมายืนในห้องพักอีกครั้ง ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศบวกกับเพิ่งอาบน้ำเสร็จทำให้รู้สึกหนาวเย็นกว่าปกติ กุมภ์ยังหลับสนิท มีพลิกตัวบ้างแต่ก็นานๆ ครั้ง ก่อนเขาจะเข้าไปอาบน้ำ นางพยาบาลเพิ่งเข้ามาตรวจเช็ค ทุกอย่างอยู่ในระดับปกติ รวมถึงอาการไข้ที่ทุเลาลงมากทีเดียว แต่ที่ยังนอนหลับอยู่เพราะฤทธิ์ยาที่ได้รับเข้าไป โหรใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมที่เปียกชื้น ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาตัวยาว เบื้อหน้าคือจอทีวีขนาด 32 นิ้ว ซีรี่ย์ฝรั่งเนื้อหาเข้มข้นน่าสนใจ แต่น้อยกว่าคนบนเตียง

                ปรางค์บอกว่ากุมภ์ฟื้นขึ้นมาแล้วรอบหนึ่ง แต่ยังไม่ได้สติดีนัก แล้วก็หลับต่อ จากที่เล่าจนถึงตอนนี้ก็เกือบห้าชั่วโมงแล้ว โหรเบือนหน้าไปทางคนป่วย แผ่นอกผ่อนเข้าออกสม่ำเสมอ กระปุกน้ำเกลือลดไปเกินครึ่งแล้ว รอยช้ำบนหลังมือเห็นชัดกว่าเมื่อเช้า แต่ใบหน้าไม่ได้ขาวซีดจนน่าเป็นห่วงอีกแล้ว

                อาหารเย็นที่พวกพันนาซื้อมาให้ถูกตุนอยู่ในตู้เย็น ห้องนี้มีไมโครเวฟ กระติกน้ำร้อน เอาไว้ให้บริการด้วย โหรเงยหน้ามองนาฬิกาบนผนัง อีกยี่สิบนาทีจะสองทุ่ม เขายังไม่ได้กินข้าวเย็น ท้องร้องทันทีเมื่อคิดขึ้นได้ว่าเลยมื้อเย็นมาหลายชั่วโมงแล้ว ปกติอยู่บ้านสวนเขากินข้าวเย็นก่อนหกโมงเย็นด้วยซ้ำ

                โหรลุกขึ้นไปเปิดตู้เย็น เลือกเอายำวุ้นเส้นกับผัดไทกับน้ำเปล่าอีกขวดออกมากิน ไม่ได้เอาเข้าไมโครเวฟให้ยุ่งยาก สำหรับเขาแค่กินพออิ่มไม่สนใจเรื่องความเย็นความร้อนหรือแม้แต่รสชาติอยู่แล้ว ซีรี่ย์ในจอฉายไปเรื่อย ถึงไม่เคยดูก็รู้สึกว่ามันสนุกดีเหมือนกัน บรรยากาศในตอนนี้ทำให้คิดถึงสมัยเรียนมหาวิทยาลัยไม่ได้ เพราะบ้านอยู่ไกลเลยต้องไปอยู่หอแน่น ทั้งเล็ก ทั้งแคบแถมโคตรวุ่นวาย ยิ่งช่วงใกล้สอบยิ่งไม่ต้องพูดถึง แทบไม่มีใครได้นอน ติวหนังสือกันค่อนรุ่ง แต่คะแนนสอบก็ออกมาไม่ได้สมใจนึกสักเท่าไร

                กี่ปีแล้วนะที่พ้นรั้วมหาวิทยาลัย เพื่อนร่วมรุ่นแทบจะไม่ได้ติดต่อกันเลย คงเพราะเขาตัดขาดจากโลกโซเชี่ยวเลยไม่ได้เห็นความเห็นไปของแต่ละคน จำได้ว่าจ้าวจอมสอนให้เล่น เฟสบุ๊คด้วย ไม่ใช่แค่ไลน์อย่างเดียว ซ้ำไอ้แอพพลิเคชั่นสีน้ำเงินที่มีตัว f อยู่ตรงกลาง มันยังมีอะไรให้น่าสนใจกว่าไลน์อีกด้วย มือไวเท่าความคิด โหรคว้าโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะตัวเล็กไปขึ้นมาดู ปลดรหัสล็อคกแล้วกดนิ้วไปที่ตัว f ทันที

                แน่นอนว่าไอ้เจ้าตัวแสบมันจัดการสมัครให้เขาเสร็จสรรพ ภายในเวลาไม่กี่นาที ซ้ำยังใช้ชื่อเป็นภาษาอังกฤษเสียด้วย ‘Hor hansa’

                “โหร หรรษา ไอ้ห่าเอ๊ย!” พอเห็นชื่อเฟสบุ๊คของตัวเองก็แทบจะลุกไปเตะไอ้ตัวแสบถึงที่ แต่ก็นึกขึ้นมาได้ว่าป่วยการที่จะไปเอาเรื่องกับเด็กทะลึ่งตึงตังกวนบาทาอย่างนั้น นอกจากจ้าวจอมจะตั้งชื่อให้แล้ว ยังเพิ่มเพื่อนให้อีกด้วย เขามีเพื่อนใน เฟสบุ๊คอยู่สามสิบคน แต่ละคนพอจะคุ้นหน้าอยู่บ้าง ดีที่จ้าวจอมไม่ได้ใช้รูปของเขาเป็นโปรไฟล์ แต่เลือกที่ใช้รูปดอกไม้สวยๆ แทน

                นิ้วมือเลื่อนไปดูฟีดข่าว กระทั่งเห็นข้อความของพันนาที่ใช้ชื่อ Pan_Panna แท็กไปถึง KumPa แค่ชื่อเขาก็รู้แล้วว่าเป็นใคร และรูปที่ใช้จะมองแค่ชุดนักศึกษาเขาก็จำได้

                “กุมภ์” โหรพึมพำ ขณะที่นิ้วกดไปที่รูปของกุมภ์

                กุมภ์ยังไมได้รับเขาเป็นเพื่อน เพราะเจ้าตัวยังนอนป่วยอยู่ แต่เขาสามารถเข้าไปดูการเคลื่อนไหวของกุมภ์ได้

                เฟสบุ๊คของกุมภ์ไม่ได้มีอะไรหวือหวาเลย แต่กลับมีผู้ติดตามเป็นหมื่นคน ไม่ใช่แค่กุมภ์ แต่ทั้งพันนา รชต และชาร์ล ต่างก็ฮอตฮิตไม่แพ้กัน เขาสไลน์หน้าจอ เลื่อนดูรูปที่กุมภ์ลง ทั้งเดี่ยวและกับพวกพ้อง เขาชอบรอยยิ้มของกุมภ์มันสดใสและจริงใจ แล้วสายตาก็สะดุดกับรูปถ่ายคู่กับสาวสวยที่เขารู้จักเป็นอย่างดี ‘ปรางค์’ พื้นหลังคล้ายกับร้านกาแฟ แต่ใหญ่และหรูหรากว่าร้านที่เขาเคยไปนั่งมาก ทั้งคู่นั่งแนบชิด ใบหน้ายื่นมาจนเกือบจะติดกัน ไม่มีคำบรรยายใต้ภาพ แต่ความคิดเห็นมีร่วมสองร้อย พอเลื่อนอ่านทุกความคิดเห็นไปในทางเดียวกันคือกุมภ์และปรางค์เหมาะที่จะเป็นคนรักกัน

                และอีกรูปที่ดึงความสนใจของเขา คือรูปของกุมภ์กับครอบครัว กุมภ์เป็นลูกคนเดียว เลยมีแค่พ่อกับแม่ เขาจำทั้งคู่ได้ ถึงจะเคยเห็นแค่ครั้งเดียวในวันที่พันนาและรชตบวช กุมภ์มีส่วนคล้ายมารดาอยู่มากโดยเฉพาะดวงตาและจมูก หากว่ากุมภ์เป็นผู้หญิงคงจะสวยสูสีกับมารดาทีเดียว

                โหรถอนหายใจทิ้ง จู่ๆ ก็รู้สึกอิ่มตื้อขึ้นมาดื้อๆ ทั้งที่เพิ่งกินผัดไทไปได้แค่ครึ่งเดียวและยำอีกไม่กี่คำ นอกจากเรื่องความรู้สึกของตัวเองแล้ว เขายังต้องจัดการอีก สารพัดปัญหาอีก หนักที่สุดคือฐานะทางสังคม ไม่บอกก็รู้ว่าครอบครัวของกุมภ์มั่งคั่งขนาดไหน แล้วเขาล่ะเป็นอะไร หมอก็ไม่ใช่ พรานป่าก็ไม่เชิง ไม่มีอาชีพที่แน่นอน นี่เป็นอีกข้อจำกัดยิ่งเสียกว่าความรู้สึกตัวเองเสียอีก

                เมื่อลิ้นไม่รู้รสความอร่อยเสียแล้ว จึงจำเป็นต้องของที่เหลือกลับไปแช่ตามเดิม ร่างสูงใหญ่กลับมาทิ้งตัวบนโซฟา เพิ่งสำเหนียกได้ว่ายังไม่ได้สวดมนต์ ในห้องมีพระเครื่ององค์เล็กตั้งอยู่ด้วย คงเป็นพันนาหรือไม่ก็รชตนำมาไว้ โหรเลือกนั่งบนพื้น ไม่ห่างจากเตียงคนป่วยนัก มือทั้งสองยกประนมแนบอก ตาปิดลงแล้วตั้งจิตให้นิ่ง ก่อนจะเริ่มสวดมนต์โดยไร้เสียง มีเพียงแต่ริมฝีปากเท่านั้นที่ขยับเล็กน้อย…

               

                เปลือกตาหนักอึ้งราวกับถูกทับด้วยหินก้อนใหญ่ ลำคอแห้งผาก แขนและขาปวดร้าวไปหมด แต่ถึงจะทรมานแค่ไหน หูกลับได้ยินเสียงแผ่วเบา มันเหมือนบทสวดสักอย่างที่ไม่เคยได้ยิน จิตใต้สำนึกบอกให้ลืมตา แต่สมองกลับสั่งให้นอนต่อ ทว่าสุดท้ายแล้วอย่างหลังก็พ่ายแพ้ เขาฝืนความเจ็บปวดทั้งหมดยกเปลือกตาให้เปิดขึ้น

                เสียงสวดมนต์ยังไม่หายไปไหน คราแรกเขาคิดว่ามันเป็นแค่ความฝัน อาการปวดร้าวตามร่างกายไม่ได้หายไปไหน ตอกย้ำให้รู้ว่าบทสวดมนต์ที่ได้ยินมันคือความจริง

                “อือ…” เขาพยายามจะส่งเสียง แต่ลำคอมันแห้งเป็นผง อยากจะลุกขึ้นนั่งแต่ทั้งร่างก็หนักอึ้งไปหมด ดวงตาก็แสบร้อนซ้ำยังพร่าเลือนไปหมด ลมหายใจที่ออกมาร้อนผ่าว อาการแบบนี้ต่อให้เป็นเด็กประถมก็รู้ว่าเขากำลังเป็นไข้ แค่ไม่มีอาการปวดหัวหรือวิงเวียนจนอยากจะอาเจียนเท่านั้น

                กุมภ์หลุบตามองที่หลังมือซ้าย เพราะรู้สึกปวดหนึบมากกว่าส่วนอื่น เขาเห็นเข็มขนาดเท่าหลอดนมปักอยู่และสายยางใสกลมโยงขึ้นไปด้านบน มันคือสายของน้ำเกลือจริงๆ ถึงขนาดต้องให้น้ำเกลือแสดงว่าเขาไม่ได้อยู่ที่บ้านของพันนา กุมภ์หลับตา ทบทวนความทรงจำสุดท้าย เขาเข้านอนหลังเที่ยงคืนก่อนพันนาด้วยซ้ำ แล้วก็หลับไปทันที แล้วทำไมเขาถึงมาอยู่โรงพยาบาลได้ แล้วจะเสียงสดมนต์ปริศนาอีก หรือว่าผีพิกุลแกล้งเขาอีกแล้ว ทว่าเวลานี้เขาไม่ได้กลัวผีสางนางไม้ที่ไหน แต่เขากลับรู้สึกหิวน้ำอย่างรุนแรง กุมภ์รวบรวมกำลังที่เหลือเอื้อมมือไปใกล้หัวเตียง เอียงหน้ามองวัตถุทรงรีสีอ่อน อีกเพียงนิดเดียวปลายนิ้วก็จะคว้าได้อยู่แล้ว แต่เขาเสียการทรงตัวด้วยเรี่ยวแรงที่มีน้อยเกินไป มือเลยพลาดตกลงฟาดขอบเตียงเต็มแรง

                “โอ๊ย”

                เสียงสวดมนต์หายไปพร้อมกับเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด แล้วร่างสูงใหญ่ของใครบางคนก็ปรากฏตัวขึ้น

                โหร

                นี่มันต้องเป็นความฝันแน่ๆ…โหรไม่มีทางมาอยู่ที่นี่ได้ ไม่มีความจำเป็นใดๆ เลย ทว่าอาการเจ็บที่สันมือและความปวดร้าวทั่วร่างมันก็ไม่อาจเกิดขึ้นในความฝันได้เช่นกัน แล้วถ้าอย่างนั้นภาพของโหรที่เขาเห็นในตอนนี้เรียกว่าอะไร

                ภาพลวงตา หรือสิ่งที่เขาสร้างขึ้นเองจากจิตใต้สำนึก

                “คุณ…ฟื้นแล้วเหรอ”

                โหรถาม สีหน้าของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความอ่อนโยนอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่เพียงเท่านั้นภาพลวงตาของโหรยังขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิมได้อีกด้วย ที่ร้ายยิ่งกว่าถูกผีพิกุลหลอก คือตอนนี้ฝ่ามือกร้านกำลังกำมือข้างที่เจ็บของเขาเอาไว้

                “ตื่นมาก็หาเรื่องเจ็บตัวเลยนะ คุณยังไม่หายไข้ดี จะเอาอะไรก็เรียกผมสิ”

                นาทีนี้เขาแทบจะลือความเจ็บที่มือและอาการป่วยไปเสียสนิท หัวใจเต้นโครมคราม ไออุ่นจากฝ่ามือของโหรส่งมาถึงหัวใจ ถึงจะเคยอยู่ด้วยกันตามลำพังบ้าง แต่ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่โหรจะจับมือเขาด้วยความอ่อนโยนขนาดนี้

                “แล้วคุณจะเอาอะไร น้ำเหรอ หิวน้ำใช่ไหม”

                กุมภ์พยักหน้าเบาๆ โหรละมือออกไป หมุนตัวไปที่โต๊ะตัวเล็กข้างเตียงที่มีเหยือกใส่น้ำของทางโรงพยาบาลจัดเตรียมไว้ให้ โหรรินน้ำใส่แก้วอย่างชำนาญ ระวังไม่ให้มากเกินไปนัก แล้วค่อยหันมากดปุ่มระดับเตียงนอนเพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องยกตัวขึ้นนั่ง

                “ค่อยๆ กินนะ เดี๋ยวสำลัก”

                ฝ่ามือทั้งหนาและกร้านกว่าเขาสอดเข้ามาใต้แผ่นหลังยกประคองขึ้น มืออีกข้างยกแก้วน้ำมาจ่อที่ริมฝีปาก ความกระหายน้ำทำให้เขาเกือบลืมคำเตือนของโหร จนอีกฝ่ายต้องบอกซ้ำๆ ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่กินไปได้ไม่ถึงครึ่งแก้ว โหรก็ดึงแก้วน้ำออก เขาเงยหน้ามองด้วยความสงสัยแกมขัดใจ

(มีต่อ)               
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 21 : คนเฝ้าไข้] 22/03/2563
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 22-03-2020 19:06:14
(ต่อ)

               “คุณเพิ่งฟื้น อย่าเพิ่งกินเยอะจะดีกว่า”

                ถึงจะไม่เห็นด้วย แต่เขาก็ไม่กล้าขัด โหรปล่อยมือจากแผ่นหลัง ประคองให้เขานอนลงตามเดิม ทำท่าจะกดปุ่มข้างเตียงเพื่อปรับเตียงให้เท่าเดิม แต่เขาเอื้อมมือไปห้ามไว้ก่อน

                “ผมอยาก…นั่งอย่างนี้สักพัก” กุมภ์บอก พอได้น้ำ ลำคอก็ชุ่มชื้นขึ้นมาบ้าง แต่อาการปวดล้าตามร่างกายยังไม่ทุเลาลงสักเท่าไร

                โหรไม่ว่าอะไร เขาลากเก้าอี้ไร้พนักมาใกล้เตียงแล้วนั่งลง ใบหน้าของเขาคงเต็มไปด้วยคำถามกระมัง โหรเลยเริ่มเล่าในสิ่งที่เขาอยากรู้

                “คุณสงสัยใช่ไหมว่าทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่” โหรยิ้มบางที่มุมปาก ซึ่งน้อยครั้งนักที่จะเห็นจากผู้ชายหน้าดุคนนี้ “คุณป่วย จ้าวจอมโทรไปบอกผม ผมก็มาทันที แล้วผมก็เป็นคนอาสาเฝ้าคุณเอง อันที่จริงต้องบอกว่าผมขอพันนาเป็นคนเฝ้าคุณต่างหาก…ตอนแรกต้องเป็นพันนา แต่ผมขอ เขาก็เลยยอม แต่ต้องรอให้คนอื่นๆ กลับไปก่อน เราถึงเปลี่ยนกัน”

                “คน…อื่นๆ?”

                “ครับ ก็รชต ชาร์ล คะนิ้งแล้วก็ปรางค์ ส่วนพ่อแม่ของคุณ พวกท่านไม่ได้มาหรอก พันนาบอกแค่คุณเป็นไข้ธรรมดา ผมเห็นด้วยนะ ทางมันค่อนข้างไกล ถ้าต้องขับรถมาอันตราย”

                กุมภ์พยักหน้าเห็นด้วย เขาเองก็ไม่อยากให้พ่อกับแม่เป็นห่วงเหมือนกัน “แล้วทำไม…คุณถึงอาสาล่ะ”

                โหรมองตรงมา ฉวยมือข้างที่เจ็บเอาไว้ วินาทีนั้นหัวใจเขากระตุกวูบเหมือนถูกไฟฟ้าช็อต แต่ครั้นจะดึงมือออกเรี่ยวแรงมันก็พลันหายลงไปเสียดื้อๆ

                “ผมอยากจะขอโทษคุณ” โหรว่าน้ำเสียงแผ่วเบาแต่ยังคงความหนักแน่นเช่นเดิม “แต่ผมต้องบอกกับคุณอีกรอบว่าผมไม่ได้รังเกียจเพศที่สาม เพียงแต่ว่ามันยากที่จะยอมรับ…ใจตัวเอง”

                “ใจตัวเอง?” กุมภ์แทรกขึ้น เพราะแปลกใจจนห้ามไม่ไหว

                “ครับ ใจตัวเอง” โหรย้ำคำตอบ “ที่ผ่านมาผมไม่เคยยอมรับว่าตัวเองรู้สึกพิเศษกับคุณ ผมทึกทักไปเองว่ามันคือมิตรภาพระหว่างเพื่อน ทั้งที่พิกุลก็คอยเตือนผมมาตลอด คงเพราะเฝ้าฝันครอบครัวที่อบอุ่นแม้ว่าจะเคยถูกผู้หญิงทิ้งมาแล้วก็ตาม”

                “คุณ...หมะ หมายความว่ายังไง” เสียงกลับมาแหบอีกครั้ง บางทีเขาคงป่วยจนหูฝาดไป โหรไม่มีทางพูดแบบนี้กับเขาเป็นแน่ อาการป่วยของเขาคงจะหนักหนาเอาการถึงได้ยินโหรพูดแบบนี้

                “คุณไม่ได้ฝันหรอก” โหรใช้นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยรอยแดงจางๆ ที่เกิดจากการฟาดขอบเตียง “ผมขอโทษที่ทำให้คุณคิดมากนะ”

                น้ำเสียงของโหรทุ้มต่ำเหมือนดังอยู่แค่ในลำคอ แต่กลับอบอุ่นน่าฟัง กุมภ์รู้สึกถึงแรงกระตุ้นในหน้าอกซ้าย ผิวแก้มร้อนผ่าว ยอมรับอย่างหน้าไม่อายเลยว่าชอบสัมผัสจากนิ้วมือกร้านของโหร

                “หน้าคุณแดงๆ นะ ผมว่าคุณนอนต่ออีกหน่อยดีกว่า เดี๋ยวตอนสี่ทุ่มพยาบาลจะเข้ามาวัดไข้อีกรอบ” โหรบอก พลางกดปุ่มเตียงให้เป็นแนวราบ ปรับหมอนให้พองฟูพอดีสำหรับการนอน “ไม่ต้องห่วงนะ คืนนี้ผมจะอยู่เป็นเพื่อนคุณเอง”

                “คะ...ครับ” กุมภ์พยักหน้างงๆ ถึงจะยังสับสนจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่อาการหัวใจเต้นแรงแบบนี้มันทำให้เขารู้สึกดีเหลือเกิน...

 

                เกือบหกโมงเช้า พระอาทิตย์เริ่มจับขอบฟ้า โหรนอนแทบไม่หลับเพราะพยาบาลเดินเข้าออกตลอดทั้งคืน เขาไม่ได้นึกโกรธเคือง เพราะมันเป็นหน้าที่ หากคนไข้รายใดรายหนึ่งเกิดผิดปกติขึ้นมาจะได้รับการรักษาได้อย่างทันท่วงที แต่ไม่ใช่กับกุมภ์

                อาการของกุมภ์ดีขึ้นกว่าเมื่อวานมาก ไม่มีไข้ อุณหภูมิในร่างกายอยู่ในเกณฑ์ปกติ ใบหน้าสดใส และหลับสนิท ไม่มีเพ้อหรือละเมอ เขาเฝ้ามองกุมภ์ด้วยความเป็นห่วงเพราะกลัวว่าเจ้าตัวจะสะดุ้งตื่นกลางดึก แต่กุมภ์หลับลึกตั้งแต่บทสนทนาสุดท้าย

                ย้อนกลับไปเมื่อหลายชั่วโมงก่อน กุมภ์ตื่นกะทันหัน ต้องเรียกว่ากะทันหันจริงๆ เพราะคนป่วยตื่นระหว่างที่เขากำลังสวดมนต์ ยังไม่ทันจะจบบทดีด้วยซ้ำ แต่ที่เขารู้ว่ากุมภ์ตื่นเพราะเสียงฟาดบางอย่างต่างหาก พอหลุดจากภวังค์ถึงได้เห็นว่าคนป่วยทำท่าจะเงื้อมือไปหัวเตียง ท่าทางมึนงงสับสนของกุมภ์น่าเอ็นดูพิกล แล้วก็ทำหน้าอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งหลับไป เขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ากุมภ์จะเข้าใจในสิ่งที่เขาพูดหรือเปล่า

                ใช่...เขาขอโทษกับกุมภ์ไป แถมยังสารภาพอีกหลายเรื่องทั้งที่เจ้าตัวยังไม่หายเมายาดี เขาเชื่อเหลือเกินว่ากุมภ์จำไม่ได้ว่าเขาพูดอะไรไปบ้าง หากตื่นขึ้นมารอบนี้ต้องคิดว่าตัวเองฝันไปแน่ๆ

                แต่มันทำให้เขาโล่งอก ก้อนหินหนักอึ้งที่กดทับหน้าอกอยู่นานเป็นเดือนหายไปแล้ว พอเลิกสนใจข้อจำกัดไป อะไรๆ มันก็ง่ายขึ้น แม้แต่การเอ่ยถ้อยคำที่ไม่เคยพูดมาก่อน คิดแล้วก็ขำ ถ้าหากไอ้จ้าวจอมมาไอ้ยินคงล้อยันลูกมันบวชแน่นอน กับแฟนคนแรกเขายังไม่เคยพูดแบบนั้นกับเธอเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าใครหรืออะไรดลใจให้เขากล้าทำอย่างนั้น บางทีผีพิกุลคงเสี้ยมเขามาเกินไป

                เสื้อผ้าของเขาปลิวไปตามแรงพัดของคอมเพลสเซอร์แอร์ คิดว่าสายหน่อยแดดคงช่วยให้มันแห้งสนิท ผู้คนที่เจ็บป่วยหรือญาติของคนเจ็บเริ่มทยอยเข้ามาโรงพยาบาล โหรเบือนหน้าจากทิวทัศน์นอกประตูหลังกลับมาที่คนป่วย แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นว่าคนป่วยนอนลืมตาแป๋วอยู่บนเตียงแล้ว

                “อ้าว ตื่นแล้วเหรอ”

                โหรเอ่ยทักกุมภ์ที่มองตรงมาที่เขา ท่าทางไม่เหมือนคนเพิ่งตื่นสักเท่าไร ดวงตาใสแจ๋ว สีหน้าสดใสด้วยเลือดที่เริ่มจะฝาดขึ้นมาบ้าง ติดตรงที่ริมฝีปากแห้งไปเสียหน่อย กุมภ์พยักหน้าหงึกหงักบนหมอนใบโต เพียงเสี้ยววินาทีที่ได้ประสานสายตากัน กุมภ์ก็หลุบตาหลบ ริ้วแดงปรากฏชัดบนใบหน้าขาวจัด เขาเพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้เองว่า ผู้ชายก็น่ารักน่าเอ็นดูได้เหมือนกัน

                “หิวไหม อีกเดี๋ยวแม่บ้านก็เอามื้อเช้ามาให้แล้วล่ะ”

                กุมภ์พยักหน้าอีกครั้ง จะหิวก็ไม่แปลกหรอก กุมภ์ไม่ได้กินอะไรเลยมาเป็นวันแล้ว โหรเดินกลับมานั่งบนเก้าอี้ตัวเดิม มองมือข้างที่ฟาดขอบเตียง มันเขียวช้ำแต่ไม่ได้บวมจนน่าเป็นห่วง ยอมรับอย่างน่าไม่อายเลยว่าแค่กุมภ์เป็นไข้หวัดใหญ่เขาเป็นห่วงมากกว่าพรานกล้าที่ถูกไอ้บอดทำร้ายสาหัสเสียอีก

                ความลำเอียงมันอยู่จริง

                “กินน้ำก่อนก็แล้วกันนะ เดี๋ยวค่อยเช็ดตัว คุณยังอาบน้ำไม่ได้ไปอีกหลายวัน...ดูทีวีไหม”

                ยังไม่ทันที่คนป่วยจะตอบอะไร เขาก็ยื่นมือไปหยิบรีโมทกดเปิดทีวีช่องหลายสี แน่นอนว่าเช้าขนาดนี้มีแค่รายการข่าวเท่านั้น เสียงนักข่าวสาวช่วยทำให้บรรยากาศแปลกๆ ระหว่างคนทั้งคู่ลดน้อยลง โหดปรับเตียงนอนให้หนุนร่างของกุมภ์ขึ้นมานั่งโดยไม่ต้องขยับตัวมากนัก ใบหน้าของคนป่วยบวมเล็กน้อยคงเพราะนอนมากเกินไป แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้ความดูดีบั่นทอนลงแต่อย่างใด ผมของกุมภ์ยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง สังเกตเห็นอีกอย่าง นอกจากหน้าที่บวมๆ กลมๆ แล้ว ใต้ตาก็บวมด้วยเหมือนกัน

                “มองอะไร?” กุมภ์ถาม หน้างอหน่อยๆ คงเพราะเขาเผลอหลุดยิ้มไป “คนเพิ่งตื่น หน้ามันก็บวมอย่างนี้แหล่ะ”

                “กินน้ำหน่อยไหม” โหรถาม คนงอนผงกหัวรับ เขาเลยเทน้ำในเหยือกใส่แก้ว กุมภ์ยื่นมือข้างที่เจ็บมารับแก้วเพราะอีกข้างติดสายน้ำเกลือ เอื้อมไม่ถึง แต่เขาไม่ส่งให้ และยกแก้วน้ำจ่อที่ริมฝีปากสีอ่อนให้แทน

                กุมภ์ช้อนตามองด้วยความแปลกใจ แต่ก็อ้าปากยอมให้เขาป้อนน้ำให้ ค่อยๆ จิบน้ำตามที่เขาบอกเบาๆ ไม่นานน้ำก็หมดแก้ว กุมภ์ถอนหายใจยาวสีหน้าผ่อนคลายลงมาก 

                “หิวข้าวแล้ว”

                “รอก่อน แม่บ้านยังไม่เอาข้าวมาให้ เกือบเจ็ดโมงนั่นแหล่ะ คุณอย่างอื่นรองท้องก่อนไหม หรือจะล้างหน้าล้างตาเช็ดตัวก่อนดี”

                “ล้างหน้าก่อนก็ได้...แต่ไม่เช็ดตัวนะ”

                “ทำไมล่ะ” โหรถาม ทั้งที่พอจะรู้คำตอบอยู่แล้ว

                “...ผมหนาว” ตอบเสร็จก็ก้มหน้า เล่นเกมหลบตากับเขาเสียอย่างนั้น

                “เดินไหวไหม หรือจะให้ผมแปรงสีฟันมาที่เตียง”

                “ไหวครับ...”

คนป่วยค่อยๆ เหวี่ยงขาลงจากเตียงอย่างระมัดระวัง เพราะมือข้างซ้ายผูกติดกับเสาน้ำเกลือ โหรช่วยเลื่อนเสาน้ำเกลือให้ แต่พอเท้าเหยียบพื้น ร่างโปร่งบางก็เซเจียนจะล้มดีที่โหรสอดมือรัดเอวเอาไว้เสียก่อน

                กุมภ์เงยหน้ามองกระพริบตาปริบๆ ริ้วแดงปรากฏชัดกว่าเมื่อครู่ แล้วเจ้าตัวก็เบือนหน้าหนี พึมพำขอบคุณเบาๆ

                โหรไม่ยอมปล่อยให้กุมภ์เดินเอง แม้ระยะทางจากเตียงไปห้องน้ำจะแค่ไม่กี่เมตร มือใหญ่โอบรอบเอว อีกมือก็ช่วยลากเสาน้ำเกลือ โดยไม่รู้สักนิดว่าอีกคนใจเต้นแรงจนหัวใจจะทะลุออกนอกอยู่แล้ว

                ห้องน้ำขนาดเล็กยิ่งคับแคบกว่าเดิมเมื่อมีผู้ชายมายืนเบียดกัน โหรไม่ยอมขยับไปไหนขณะที่กุมภ์ไม่กล้าทำอะไร ที่จริงแล้ว กุมภ์ไม่ได้อยากแค่ล้างหน้าแปรงฟัน แต่อยากจะปลดเบาด้วย ทว่าโหรก็ยังยืนนิ่งแม้ว่าเขาจะยืนยันแล้วว่าเขาสามารถล้างหน้าได้เอง

                กุมภ์ประสานสายตากับคนตัวโตที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังด้วยความหนักใจแกมตื่นเต้น ถึงนี่จะไม่ใช่ครั้งแรกในการใช้ห้องน้ำร่วมกับผู้ชาย แต่ทุกคนคือเพื่อน และเขาก็ไม่เคยคิดเกินกับใคร ยกเว้นแต่ผู้ชายหน้ามึนที่ยืนอยู่ข้างหลัง คิ้วหนาเข้มเข้ากับเครื่องหน้าอย่างคนไทยแท้เลิกสูงคล้ายสงสัยว่าทำไมเขายังยืนบื้ออยู่กับที่

                “เอ่อ...คุณออกไปก่อนก็ได้ครับ ผมทำเองได้”

                “ผมเป็นห่วงคุณ แค่เดินเองยังเดินไม่ไหว”

                ท้องน้อยปวดหน่วงมากขึ้นทุกทีสวนทางกับความอดทน เขานอนมาทั้งวันไม่ได้ลุกเข้าห้องน้ำเลย ถึงได้ปวดหนักขนาดนี้ กุมภ์เลิกลั่ก ทางเลือกเขามีแค่สองใหญ่คือไล่โหรออกจากห้องน้ำให้ได้ กับทนหน้าด้านฉี่ต่อหน้าโหร ซึ่งดูเหมือนว่าอย่างหลังจะง่ายกว่า

                “ปวดฉี่เหรอ...หันมาทางหนี้สิ”

                โหรคงจะอ่านท่าทางของเขาออก ร่างสูงใหญ่ขยับเปิดทางเล็กน้อยเพื่อให้เขาเบี่ยงตัว กุมภ์ถอนหายใจยาว หน้าร้อนวูบวาบจนคิดว่าไข้จะกลับ แต่อาการปวดท้องน้อยมันก็มากจนทนไม่ไหว สุดท้ายก็จำต้องเบี่ยงปลายเท้าไปทางที่โหรเปิดให้ มือกำเสาน้ำเกลือออกแรงลากให้มันเคลื่อนตามกัน แค่สองก้าวก็ถึงชักโครกแล้ว

                “ปลดกางเกงถนัดไหม เดี๋ยวผมช่วย”

                “ไม่ต้อง!” กุมภ์ปฏิเสธเสียงแข็ง แต่อีกฝ่ายยอมฟังเสียที่ไหน มือหน้ายื่นมาแถวเอวกางเกงที่แสนจะหลวม กุมภ์ตกใจตาโตพยายามดันมือที่ใหญ่และหนากว่าตัวเองออก ปากก็พร่ำบอกว่าตัวเองทำเองได้ ทว่าสุดท้ายเรี่ยวแรงของคนที่เพิ่งฟื้นไข้ต้องพ่ายแพ้ให้กับผู้ชายตัวใหญ่เท่าตึก

                กางเกงผู้ป่วยสีเขียวอ่อนซีด ถูกปลดลงมาถึงสะโพกด้วยมือใหญ่ โหรก้มตัวจนศีรษะอยู่แถวต้นแขน ท่าทางตั้งใจจนน่าโมโห กุมภ์หน้าแดงจัดไปถึงใบหู ส่วนนั้นกำลังขยายตัวเพราะปวดหนัก มือที่ไม่มีเข็มน้ำเกลือเจาะจับของตัวเองไว้ กุมภ์หลับตาแน่นตอนที่น้ำที่อัดอั้นปล่อยออกมา บอกไม่ถูกว่ารู้สึกสบายตัวหรือเจ็บใจมากกว่า

                “หมดแล้วเหรอ” เสียงทุ้มใหญ่ดังขึ้นใกล้ๆ กุมภ์ลืมตาขึ้นด้วยความจำใจ แล้วก็ต้องอยากจะเอาหน้ามุดชักโครกหนีเมื่อดวงตาคมอยู่ห่างไปแค่คืบเดียวเท่านั้น

                “หมดแล้ว!”

                กุมภ์กระชากเสียงตอบ ยื้อขอบกางเกงขึ้น แต่โหรไม่ยอม “ไม่เช็ดก่อนเหรอ เดี๋ยวอับชื้น มันจะไม่ดีนะ”

                “โว๊ย! หยุดยุ่งกับผมสักที ไม่รู้หรือไงว่าอายจะตายอยู่แล้ว” กุมภ์โผล่งเสียงดัง ทั้งอายทั้งโกรธ หน้าดำหน้าแดงไปหมด

                “ฮ่า ฮ่า ฮ่า” แทนที่จะโกรธโหรกลับระเบิดหัวเราะออกมา ร่างสูงดึงกระดาษทิชชู่มาแล้วส่งให้ ก่อนจะยกมือยอมแพ้ กางเกงเกือบจะหลุดลงไปกองพื้นดีที่คว้าไว้ทัน แล้วโหรก็ถอยห่างออกไป...แค่ก้าวเดียว

                กุมภ์รับกระดาษทิชชู่รีบเช็ดแล้วรีบดึงกางเกงขึ้น เข็มน้ำเกลือทำให้การผูกกางเกงยากกว่าที่คิด เพราะไม่ใช่ขอบยางยืด จำต้องเอาขอบมาผูกกัน ครั้นจะขอความช่วยเหลือจากคนหน้ามึนก็ทำไม่ได้เพราะแค่นี้ก็อายที่สุดในชีวิตแล้ว ใช้เวลากับความหงุดหงิดไปพักหนึ่งถึงจะถูกเอวกางกางได้

                โหรใช้เวลาที่เขาจัดการกับกางเกงบีบยาสีฟันไว้คอยท่า ส่งให้เขาอย่างรู้หน้าที่แม้ว่าจะไม่ได้เอ่ยปากขอ มืออีกครั้งก็จับเสาน้ำเกลือแทน โหรขยับตัวจนแผ่นหลังชิดผนัง ยืนมองเขาล้างหน้าแปรงฟัน ด้วยสภาพที่ค่อนข้างทุลักทุเล เพราะการเคลื่อนไหวที่ไม่สะดวก และยังไม่ชินกับเสาน้ำเกลือ

                “ล้างหน้ายังไงผมเปียกไปหมด เดี๋ยวก็ไข้กลับหรอก”

                กุมภ์มองหน้าตัวเองในกระจก ผมด้านหน้าเปียกอย่างที่โหรว่าจริงๆ แต่ยังไม่ทันที่จะได้ทำอะไร มือใหญ่ก็วาดโอบรอบตัว หัวไหล่เกยกับอกกว้าง กว่าจะรู้ตัวเขาก็ถูกพาออกจากห้องน้ำเสียแล้ว

                “นั่งก่อน เดี๋ยวเช็ดผมให้”

                “มะ ไม่ต้อง ผมเช็ดเองได้” เป็นอีกครั้งที่ปฏิเสธ และก็เป็นอีกครั้งที่โหรไม่ฟังกัน

                ผ้าขนหนูผืนเล็กที่พับเก็บในลิ้นชัก ถูกนำออกมาเช็ดผมที่เปียกชื้นให้ กุมภ์รู้สึกหวิวไหวในอก ตั้งแต่เกิดมาก็มีแค่แม่คนเดียวที่เคยช่วยเช็ดผมให้ แต่ก็นานหลายปีแล้ว ตั้งแต่ขึ้น ม.ปลายกระมัง ที่เขาแทบไม่ให้พ่อแม่เข้ามายุ่งเรื่องส่วนตัว แรงขยี้เบาๆ อ่อนโยนได้อย่างคาดไม่ถึง คนที่มือทั้งใหญ่ทั้งกร้านแต่กลับนุ่มนวลได้ขนาดนี้ กุมภ์หมดคำโต้แย้งปล่อยให้คนตัวโตกว่าช่วยเช็ดผมให้จนมันหายเปียก หยาดน้ำที่เกาะตามใบหน้าก็พลอยแห้งไปด้วย

                “จะไม่เช็ดตัวจริงๆ เหรอ คุณใส่ชุดนี้มาเป็นวันแล้วนะ”

                “ไม่! เหงื่อไม่ได้ออก ผมทนได้”

                โหรไหวไหล่ไม่ได้ดื้อดึง ซึ่งกุมภ์ว่ามันเป็นเรื่องดี แค่ต้องฉี่ต่อหน้าคนอื่นก็แย่พอแล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งอาย...



*อัพเร็วแล้วจ้า*

**อย่าเพิ่งเบื่อเด้อ หมดเรื่องตื่นเต้นแล้ววววว จากนี้ไปคือเรื่องราวของหัวใจจ้า**

***เจอกันวันศุกร์จ้า***
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 21 : คนเฝ้าไข้] 22/03/2563
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 22-03-2020 19:40:46
พี่โหรรร ได้ทีเอาใหญ่เลยนะ  :z1:ขำจ้าวจอมนี่มันตัวแสบจริงๆ ถ้าจ้าวจอมคู่กับพี่โหร พี่โหรคงต้องอัดพาราทั้งกระปุกทุกวันแน่ๆ55555
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 21 : คนเฝ้าไข้] 22/03/2563
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 22-03-2020 21:01:16
ยอมเปลี่ยนตัวเองเพื่อเค้าขนาดนี้สารภาพว่ารักไปเลยพี่โหร
โหรโหมดอ่อนโยนมันกระชากใจมากบอกเลย
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 21 : คนเฝ้าไข้] 22/03/2563
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 22-03-2020 23:51:53
โอ๊ยยย กุมภ์จะเอาไปไว้ไหนอะ เขินแทน 5555
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 21 : คนเฝ้าไข้] 22/03/2563
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 23-03-2020 00:00:36
โห รุกเร็วมากพ่อ เริ่ด
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 21 : คนเฝ้าไข้] 22/03/2563
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 23-03-2020 20:17:20
โหยยย มาเร็วโดยไม่รู้ตัว มาพร้อมกับความหวานแหววเลยนะพี่โหร
เราเป็นกุมภ์ ก็คงอายอะนะ ไม่ใช่เพื่อน และเป็นคนแอบชอบด้วย
ว๊ายๆๆๆ พูดไม่ออก อิอิอิ โหรก็ไม่รู้บางเลยว่าคนเขาอายแล้วใจเต้นแรงด้วย
น่ารักมากจ๊ะตอนนี้
มีความสุขที่ได้อ่านจ๊ะ
 :z2: :z2: :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 21 : คนเฝ้าไข้] 22/03/2563
เริ่มหัวข้อโดย: Rateesiri ที่ 23-03-2020 23:31:12
รอๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 21 : คนเฝ้าไข้] 22/03/2563
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 24-03-2020 10:52:44
จริาาาา
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 21 : คนเฝ้าไข้] 22/03/2563
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 24-03-2020 13:20:08
รุกใหญ่เลยเด้อทีนี้
พี่โหรสู้น้าาาา
กุมภ์ตั้งรับให้ทันจ้า  :heaven :heaven
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 21 : คนเฝ้าไข้] 22/03/2563
เริ่มหัวข้อโดย: u_cosmos ที่ 24-03-2020 23:02:08
คอมโบมาเลย พี่โหรน่ะนะ
สงสารน้อง หน้าแดงทั้งวี่วันแบบนี้ท่าทางจะได้ออกจากโรงพยาบาลยากกก
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 21 : คนเฝ้าไข้] 22/03/2563
เริ่มหัวข้อโดย: nizxx ที่ 25-03-2020 16:19:35
เจ้าตัวไม่รู้ แต่คนใกล้ตัวเค้ารู้น้า กุมใจมาก เจ้ากุมภ์น่ารักมากกกกกกก พี่โหรดูขี้แกล้งแฟนอะ มันคันใจใช่มั้ยคะพิพัน เห็นเด็กเราไปใกล้สาวเนี่ย ปะทับใจความบุพผีสันนิวาส55555555 พิกุลถือช่วยเอาบุญหรอกนะ ดีนะพิโหรไม่ใจอ่อน พิกุลน่ะลวนลามพันนามาล้าว55555
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 21 : คนเฝ้าไข้] 22/03/2563
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 27-03-2020 01:57:48
ดูแลดีจริงๆตั้งแต่ยอมรับเนี่ย
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 22 : เพื่อนสนิท] 27/03/2563
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 27-03-2020 20:18:56
ตอนที่ 22 เพื่อนสนิท

            “ดีใจที่กุมภ์หายแล้ว รู้ไหมปรางค์เป็นห่วงแค่ไหน อ่ะ กินนี่สิ มันดีกับคนป่วยนะ แม่เราบอกมา”

            เสียงเจื้อยแจ้วของปรางค์ดังต่อเนื่องไม่หยุดตั้งแต่มาถึง หญิงสาวมาชุดเดรสแค่เข่าสีสันสดใส แขนตุ๊กตายิ่งทำให้เธอดูบอบบางและสมเป็นผู้หญิง เส้นผมสีดำสนิทหวียาวตรงกลางหลัง มีกิ๊บรูปโบว์ติดอยู่ข้างหูทั้งสอง ผมหน้าม้าที่ไม่หนาเกินไปปรกหน้าผากนูน ดวงตากลมใสเป็นประกายยามจับจ้องคนบนเตียง นิ้วเรียวสวยบรรจงแกะส้มพันธุ์ดีราคาหลายร้อยบาทที่เจ้าตัวซื้อมาจากซุปเปอร์มาร์เก็ตใหญ่ที่สุดในจังหวัด

                กุมภ์รับส้มจากนิ้วเรียว เขากระดากใจเกินกว่าจะให้เธอป้อนถึงปาก เพราะในห้องไม่ได้มีแค่พวกเขาสองคน แต่ทั้งพันนา รชต ชาร์ล คะนิ้งมากันครบ ส่วนโหรของตัวกลับบ้านตั้งแต่ล้อรถยนต์ของพันนามาถึง

                พันนามาถึงโรงพยาบาลตอนเจ็ดโมงเช้าพร้อมกับจ้าวจอม เสื้อผ้าที่ใส่ดูประหลาดพิกลไม่เหมือนของเจ้าตัวสักเท่าไร เสื้อม่อฮ่อมคอกลมแบบสวมคอ กางเกงแบบเดียวกัน เท่าที่คบกันมาพันนาไม่เคยแต่งตัวแบบนี้มาก่อน ส่วนจ้าวจอมอยู่ในชุดนักเรียน ปากเคี้ยวข้าวเหนียวหมูปิ้งตุ้ยๆ จนคนที่ต้องจำทนกินข้าวต้มหมูสับจืดๆ ต้องแอบกลืนน้ำลายหลายหน

                ‘พี่กลับไปก่อน เดี๋ยวไอ้พวกนั้นสงสัย ผมวานไปส่งที่โรงเรียนให้ทีนะ’

                โหรไม่พูดอะไร แค่พยักหน้ารับ มองหน้าเขานานร่วมครึ่งหน้าทีก่อนจะส่งสัญญาณให้จ้าวจอมเดินออกไปพร้อมกัน

                หลังจากพันนามาถึงราวชั่วโมง ชาร์ลก็พาคนอื่นๆ มา เพื่อป้องกันไม่ให้มีข้อสงสัย เสื้อผ้าที่โหรใส่เมื่อคืนกลับมาอยู่บนร่างของโหร ส่วนชุดม่อฮ่อมถูกส่งคืนให้กลับโหร มันการส่งไม้ต่อแบบที่มีเพียงไม่กี่คนที่เข้าใจ ซึ่งกุมภ์รู้ดีว่าทำไมพันนากับโหรถึงต้องแบบนี้ 

                ‘…ตอนแรกต้องเป็นพันนา แต่ผมขอ เขาก็เลยยอม แต่ต้องรอให้คนอื่นๆ กลับไปก่อน เราถึงเปลี่ยนกัน’

                ทุกคำพูดของโหรยังติดในความทรงจำ มันอาจจะเหมือนฝันก็จริง แต่ตอนนั้นเขาตื่นอยู่ และมั่นใจด้วยว่าไม่ใช่ภาพหลอนเพราะพิษไข้

                เมื่อคืนกลางดึก...โหรเอ่ยขอโทษเขา ทั้งยังพูดมาอีกหลายประโยคที่ชวนให้ใจเต้นแรง เขาจำมันได้หมดทุกคำ แม้จะมึนงงสับสนทว่ามันรู้สึกดีเหลือเกิน ความเจ็บหน่วงในอกที่รบกวนหัวใจมานานเป็นเดือนหายเป็นปลิดทิ้ง

                “อร่อยใช่ไหม ยิ้มหวานเชียว นี่เราเลือกเองเลยนะ ไม่คิดว่าที่นี่จะมีขาย”

                เสียงของปรางค์ทำให้เขาเพิ่งรู้ตัวว่ากำลังยิ้มอยู่ กุมภ์ผงกหัวเบาๆ แม้ว่าที่จริงแล้วลิ้นยังไม่ค่อยจะรับรสชาติอาหารสักเท่าไร คงเพราะเขายังไม่หายดี ลิ้นยังเค็มๆ ขมๆ อยู่

                “เมื่อกี้กูไปคุยกับหมอมา เขาบอกว่าถ้าวันนี้มึงไม่มีไข้ พรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้แล้ว” พันนาบอก “กูว่าจะกลับกรุงเทพฯ เลย เพราะอีกแค่สองวันคณะเราก็เปิดแล้ว”

                “ทำไมคณะพันเปิดเร็วจัง” ปรางค์สงสัย “มหา’ ลัยเราเปิดวันจันทร์หน้า”

                “ต้องเข้าไปช่วยรุ่นพี่เตรียมงานคณะ อีกอย่างไอ้นี่” พันนาชี้ไปที่ชาร์ล “มันต้องกลับไปหาพ่อมัน พ่อมันมาจากเยอรมันเมื่อคืน”

                “งานอะไรเหรอ น่าสนุกจัง” ปรางค์พูดยิ้มๆ “แล้วกุมภ์ล่ะ ต้องไปทำอะไรแบบนั้นไหม แต่ปรางค์ว่ากุมภ์อย่าเพิ่งทำอะไรเลยนะ ไปเรียนวันจันทร์ทีเดียวเลยดีกว่า เดี๋ยวไข้กลับ”

                กุมภ์ยิ้มแห้ง มันก็ดีอยู่หรอกที่มีคนเป็นห่วง แต่เขาคิดว่าปรางค์แสดงออกมามากเกินไปหน่อย “คณะเราจะมีโอเพ่นเฮาส์สัปดาห์เปิดเรียนนั่นแหล่ะ ไอ้พันมันสายกิจกรรมต้องไปช่วยพี่ๆ จัดงาน”

                “ไว้เราจะไปเที่ยวนะ อยากเห็นกุมภ์ใส่ชุดนักศึกษาด้วย คงจะหล่อน่าดู”

                กุมภ์ยิ้มรับหน้าร้อนผ่าว ไม่เชิงว่าเขินแค่รู้สึกแปลกๆ ที่ถูกชมซึ่งๆ หน้าแบบนี้ แถมสายตาไอ้พวกเพื่อนๆ ตัวดีก็ทำเหมือนจะแซวกัน แม้แต่คะนิ้งเองก็ด้วย

                เขาอยากบอกเหลือเกินว่า ปรางค์เป็นแค่เพื่อนสนิท แต่เชื่อเหลือเกินว่าไม่มีใครเชื่อหรอก

                “เอ้า โทรศัพท์มึง กูชาร์จแบตให้แล้วด้วย เปิดดูสิ เผื่อพ่อกับแม่ไลน์มาถาม” ชาร์ลบอก พลางโยนโทรศัพท์ใส่ตักคนป่วย

                ทันทีที่โทรศัพท์เปิดใช้ทำงาน ข้อความต่างๆ ก็เด้งขึ้นมาเต็มไปหมด ทั้งไลน์ เฟสบุ๊คหรือแม้แต่สายโทรเข้าจากพ่อกับแม่ที่นับรวมๆ กันก็เกือบสิบสาย แต่ที่ทำให้เขาแปลกใจจนต้องเพ่งหน้าจอโทรศัพท์เพื่อความแน่ใจ เพราะมันมีการแจ้งเตือนว่ามีผู้ใช้ชื่อ เฟสบุ๊คว่า ‘Hor hansa’ มาขอเป็นเพื่อน

                ชื่อตลกจนไม่คิดว่าเจ้าของจะเป็นนายโหร หน้ามึน ถ้าหากรูปโปรไฟล์ไม่ใช่ใบหน้าที่ก้มต่ำจนมองเห็นแพขนตายาวและหนา ปลายจมูกแหลมคม

                โหรไม่ได้อัพเดทอะไร มีแค่รูปโปรไฟล์กับรูปทิวเขาไกลๆ แถมมีเพื่อนอยู่ไม่ถึง 20 คนด้วยซ้ำ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าโหรเพิ่งจะสมัคร เฟสบุ๊คเมื่อวานนี้ เขากดยืนยันการขอเป็นเพื่อนทันที จากนั้นก็เข้าไปในไลน์ มีข้อความที่ยังไม่ได้อ่านเป็นร้อย ยิ่งในกลุ่ม ‘นิติไม่ได้มีดีแค่หน้าตา’ ที่มีเกินสองร้อยข้อความ ส่วนกลุ่มครอบครัว ‘เกียรติรักษ์วงศ์’ ที่มีสมาชิกไม่ถึงสิบคน ต่างส่งข้อความแสดงความห่วงใยมาให้

                แต่ที่ทำให้หัวใจเต้นเร็วคือข้อความจาก ‘โหร’ ที่ส่งมาแค่สามประโยคเท่านั้น กุมภ์ไม่อาจบังคับแก้มไม่ให้ยกสูงได้ โหรเลือกรูปเดียวกับใน เฟสบุ๊คแถมยังส่งสติ๊กเกอร์หมีบราวน์มาทักทายก่อนอีกด้วย

                “เด็กชะมัด”

                “หืม...กุมภ์ว่าอะไรนะ” ปรางค์ที่อยู่ใกล้ๆ ถาม

                “เปล่าๆ ไม่มีอะไร”

                บทจะดีก็เล่นใหญ่เสียจนตั้งรับไม่ทัน ผีเข้าผีออกยิ่งกว่าตาเวกเสียอีก

                หลังจากสตีกเกอร์หมีบราวน์ก็มีข้อความ ผมขอโทษ และ ตอนหลับคุณหน้าเด็กมากเลยนะ แถมด้วยรูปเขาตอนนอนหลับบนเตียงแนบมาให้ด้วย

                ‘เล่นอะไรเนี่ย ผมฟ้องคุณได้นะ ถ่ายรูปผมโดยไม่รับอนุญาตน่ะ’

                โหรไม่ได้ตอบกลับมาในทันที ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติเพราะโหรไม่ใช่คนที่จะโซเชี่ยวอยู่แล้ว เรียกว่าไม่เคยแตะต้องเลยด้วยซ้ำ

                หลังจากส่งข้อความไปหาโหร เขาก็โทรศัพท์ไปหาพ่อแม่ บอกให้พวกท่านคลายกังวล ถูกกลุ่มเพื่อนๆ ดึงออกมาจากจอโทรศัพท์มือถือ ด้วยสารพัดเรื่อง ทั้งเรื่องเรียน ครอบครัว โดยมีธรรมะจากทิดรชตและทิดพันนาอีกนิดหน่อย คะนิ้งกลายเป็นนางงามมิตรภาพไปโดยปริยายเพราะปรางค์ไม่ได้สนิทกับใครจากเขา คะนิ้งเลยชวนปรางค์คุย ได้ยินว่าพวกเธอคุยกันเรื่องแฟชั่น ทรงผม เครื่องสำอางแบบที่ผู้ชายอย่างเขาเข้าไม่ถึง

                จนล่วงถึงช่วงบ่าย ชาร์ลกับคะนิ้งก็ขอตัวกลับ เพราะคะนิ้งอยากได้ของไปฝากที่บ้าน เขาโบกมือไล่พวกที่เหลือให้กลับไปได้แล้วเพราะหายป่วยจนแทบไม่เหลืออาการ แล้วก็คุยนานจนชักจะเพลียอยากจะนอนพักสักหน่อย รชตกับพันนาไม่คัดค้านอะไรเพราะคงเห็นสีหน้าของเขาออก ยกเว้นปรางค์

                “ให้เราอยู่เป็นเพื่อนเถอะนะ เราเป็นห่วงกุมภ์ เนี่ย พอแม่รู้ว่ากุมภ์ป่วย ท่านสั่งให้เราดูแลกุมภ์ด้วย น้ากัญญาก็กำชับเรามาเหมือนกัน”

                พอยกแม่มาอ้าง กุมภ์ก็ปฏิเสธไม่ออก รชตกับพันนามองหน้ากันก่อนจะปล่อยให้เขาจัดการปัญหานี้เอง แล้วก็ขอตัวกลับ โดยพันนาอาสาที่จะเฝ้าเขาอีกคืน และช่วงหัวค่ำจะมารับปรางค์กลับบ้าน

                “กุมภ์นอนได้เลยนะ ไม่ต้องห่วงเรา เราแค่ไม่กวนหรอก แค่อยากเห็นว่ากุมภ์ปลอดภัยดี รู้ไหมตอนที่เห็นพันอุ้มกุมภ์ออกมา เราตกใจมากแค่ไหน”

                “...ขอโทษนะ”

                “อย่าป่วยอีกนะกุมภ์ เราใจคอไม่ดีเลย” ปรางค์ว่า ประกายความเศร้าฉายวูบเพียงครู่เดียวแล้วก็จางหายไปเมื่อเจ้าตัวคลี่ยิ้ม “แต่ตอนนี้กุมภ์หายแล้ว เราสบายใจแล้วล่ะ”

                กุมภ์ยิ้มรับความให้กับความห่วงใยของปรางค์ เขาไม่ค่อยมีเพื่อนผู้หญิงนัก เพื่อนร่วมชั้นก็มีไม่กี่คนแถมไม่ได้สนิทกันด้วย ส่วนคะนิ้ง เธอเป็นคนรักของชาร์ลจะเรียกว่ารู้จักแค่ผิวเผินก็คงไม่ผิดนัก เขาแย่ตรงที่ไม่รู้ว่าต้องปฏิบัติตัวอย่างไรถึงจะเหมาะสม จะทิ้งระยะห่างมากเกินก็กลัวว่าปรางค์จะคิดมาก ครั้นจะให้ความสนิทเท่ากับพวกพันนาก็เกรงว่าคนอื่นจะเข้าใจผิด เพราะสำหรับเขาแล้วปรางค์เป็นอะไรไม่ได้นอกจากเพื่อนสนิทเท่านั้น...

 

                กุมภ์หลับไปแล้วหลังจากคุยกันอีกไม่กี่ประโยค ท่าทางอ่อนเพลียกว่าตอนเช้าคงเพราะต้องลุกขึ้นมาต้อนรับคนเยี่ยม แต่สีหน้าสดใสกว่าเมื่อวานขึ้นเป็นเท่าตัว ไม่ได้ซีดเซียวซูบซีดอีกแล้ว แผ่นอกไม่หนาไม่บางสะท้อนขึ้นลงตามจังหวะหายใจ ปรางค์คลี่ผ้าห่มขึ้นคลุมจนถึงช่วงอก สายตาสะดุดกับรอยช้ำที่ข้างฝ่ามือขวา เหมือนไปกระแทกโดนอะไรมา คิ้วเรียวขมวดเข้าหันเล็กน้อย เมื่อวานยังไม่มีเลย พันนาเฝ้าไข้ประสาอะไรกันกุมภ์ถึงเจ็บตัวได้

                ปรางค์โทษคนเฝ้าไข้เมื่อคืนที่ดูแลกุมภ์ไม่ดี ลำพังแค่ป่วยเธอก็กลุ้มใจจนแทบบ้า ต้องโทรไปปรึกษาแม่ว่าต้องทำอย่างไรกุมภ์ถึงจะป่วยไว พอรู้ว่าต้องกินผลไม้ที่มีวิตามินซีเยอะๆ เธอก็ขอให้รชตพาไปซุปเปอร์มาร์เก็ตเพื่อเลือกซื้อส้มพันธุ์ที่ดีที่สุดและผลไม้อีกสองสามอย่าง ใจจริงเธออยากจะปรุงอาหารให้กุมภ์เองด้วยซ้ำ แต่เกรงว่าหมอจะไม่อนุญาตเพราะกุมภ์ยังต้องอยู่ในการดูแลของหมอ หากมีภาวะแทรกซ้อนจากอาหารที่เธอทำไปให้จะเดือดร้อนไปกันใหญ่ ดีไม่ดีกุมภ์อาจจะโกรธเธอด้วยซ้ำ

                ใบหน้าในยามหลับใหลของกุมภ์ดูอ่อนเยาว์เหมือนเด็กหนุ่มที่วัยไม่ถึงยี่สิบปีด้วยซ้ำ ในสายตาเธอกุมภ์จัดว่าเป็นผู้ชายหน้าตาดีมากคนหนึ่งเลยทีเดียว เครื่องหน้ารับกันไปหมด โดยเฉพาะดวงตาที่กลมใสเหมือนกวาง กุมภ์มีส่วนคล้ายน้ากัญญามากทีเดียว ไหนจะรูปร่างสูงโปร่งไม่ได้ใหญ่หนาเทอะทะ เธอเองก็ไม่ใช่พวกคลั่งไคล้หนุ่มกล้ามปูเสียด้วย ไม่ผิดนักหากจะบอกว่ากุมภ์คือสเปคของเธอ

                ปลายนิ้วเรียวเกลี่ยเส้นผมสีดำออกจากหน้าผาก ปรางค์อมยิ้มน้อยๆ ความพึงพอใจของเธอเกิดขึ้นง่ายดายแม้จะเพียงแค่เห็นคนที่ชอบนอนหลับก็ตาม

                ใช่...เธอชอบกุมภ์ ผู้ชายที่เป็นรักแรก และหวังจะให้เป็นรักสุดท้าย

                เสียงเตือนจากไลน์ดึงความสนใจจากกุมภ์ได้ชั่วขณะ เธอถือวิสาสะหยิบโทรศัพท์มือถือของกุมภ์ขึ้นดู จะบอกว่าอยากรู้ก็คงจะไม่ผิดนัก เพราะทุกเรื่องที่เกี่ยวกับกุมภ์เธอก็สนใจทั้งหมด เสียดายที่เธอไม่รู้รหัสปลดล็อค แต่ก็รู้ว่าเป็นข้อความจากโหร

                ปรางค์ขมวดคิ้ว เธอชื่นชมโหรในด้านความสามารถ และอยากจะลองเดินป่ากับกุมภ์โดยมีโหรเป็นคนนำทางสักครั้ง ทว่าเวลานี้เธอกลับรู้สึกไม่ชอบโหรขึ้นมาเสียดื้อๆ

                เมื่อวานโหรอยู่กับกุมภ์แทบจะตลอดวัน ทั้งที่ไม่จำเป็นด้วยซ้ำ ญาติก็ไม่ใช่ เพื่อนก็ไม่เชิงแค่คนรู้จักกัน แต่โหรทำท่าเหมือนสนิทกับกุมภ์มาก เธออ่านมันได้จากสายตาที่โหรมองกุมภ์

                มันไม่ต่างจากเธอเลย

                แววตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใย แบบที่แค่คนรู้จักกันไม่น่าจะมี

                มือที่จับโทรศัพท์สั่นเทาเล็กน้อย เมื่อเห็นข้อความที่โหรส่งมา ถึงจะไม่เต็มประโยคแต่ก็พอจะเดาความหมายได้

                ‘สงสัยจะโดนข้อหาถ่ายรูปคนน่ารัก….’

                เล่นส่งมาหากุมภ์แบบนี้คงไม่ใช่รูปคนอื่นแล้วล่ะ ปรางค์หายใจแรง ในอกสั่นไหวและหวาดหวั่นอย่างบอกไม่ถูก ความรู้สึกบางอย่างบอกกับเธอว่ากุมภ์กับโหรอาจจะไม่ใช่แค่คนที่รู้จักอย่างที่เธอเข้าใจ

                ทว่าอีกเสียงหนึ่งก็แย้งขึ้น มันจะเป็นไปได้อย่างไร กุมภ์ไม่ใช่เกย์...โหรยิ่งแล้วใหญ่ ท่าทางอย่างนั้นจะเป็นเกย์ได้อย่างไร

                เธอไม่ได้รังเกียจหรือเหยียดเพศที่สาม เพราะเพื่อนที่คณะก็มีเยอะแยะ แต่มันต้องไม่ใช่กับกุมภ์

                ปรางค์ข่มความรู้สึกไม่พอใจไว้ให้ลึกที่สุด วางโทรศัพท์ลงที่เดิม เธอไม่อยากเกลียดโหร...อย่างน้อยก็ในตอนนี้

 

                โหรมองโทรศัพท์ที่ยังไร้การตอบกลับ คิดแล้วก็สมเพชตัวเอง ไม่รู้ว่ากล้าพิมพ์ข้อความเสี่ยวๆ อย่างนั้นไปได้อย่างไร แต่ใครมันจะทนไหว เล่นเอากฎหมายมาข่มกัน ก็ต้องตอบโต้ไปบ้าง ช่วยไม่ได้ใครใช้ให้หลับลึกแถมยาวขนาดนั้น ไอ้เขาก็อยากจะลองเล่นโทรศัพท์เครื่องใหม่ เลยทดสอบกล้องด้วยการถ่ายรูปกุมภ์ตอนหลับ ไม่ใช่แค่รูปเดียวแต่ร่วมสิบรูปเลยล่ะ

                รถยนต์คันเก่าแต่เครื่องยนต์ยังดีเยี่ยมทำงานทันทีหลังจากบิดกุญแจ คืนนี้เขารับอาสาแทนพันนาอีกครั้ง และอาจจะได้เป็นคืนสุดท้ายที่ได้ทำหน้าที่นี้ เพราะพันนาบอกว่าอาการของกุมภ์ดีขึ้นมาก พรุ่งนี้อาจจะได้ออกจากโรงพยาบาล แล้วทั้งหมดก็กลับกรุงเทพฯ ทันที โอกาสของเขาเหลืออีกไม่มากแล้ว

                เพิ่งจะบ่ายสามโมงเย็น หลังจากนอนหลับเอาแรงอยู่หลายชั่วโมงเขาก็ตื่นมาพร้อมกับคำว่า ‘คิดถึง’ และพบกับข้อความที่กุมภ์ตอบกลับมาในไลน์ แถมด้วยการยืนยันคำขอเป็นเพื่อนใน เฟสบุ๊คอีกด้วย กุมภ์ไม่รู้หรอกว่าระหว่างที่รอให้กุมภ์กดยืนยัน เขาก็เข้าไปดู หรือจะเรียกว่า ‘ส่อง’ การเคลื่อนไหวของกุมภ์ตั้งแต่แรกจนถึงวันที่กุมภ์จะเข้าโรงพยาบาล กุมภ์ไม่ใช่พวกชอบอวด ไม่ใช่คนตัดพ้อ หรือโพสต์ส่อเสียดว่าใคร รูปล่าสุดที่ลงคือเมื่อวันที่เขาทำให้จ้าวจอมได้แผลนั่นแหล่ะ รูปถ่ายคู่กับปรางค์ใบหน้าเกือบชิดติดกัน และเป็นรูปเดียวกับที่จ้าวจอมเอาให้เขาดู หลายๆ ความคิดเห็นใต้ข้อความเป็นการหยอกล้อ พูดแซว และคิดว่าปรางค์คือว่าที่แฟนของกุมภ์ ซึ่งถ้าหากเขาไม่รู้ว่ากุมภ์เป็นเกย์เขาก็คงจะคิดเช่นนั้นเหมือนกัน

                กุมภ์กับปรางค์เหมาะสมกันอย่างปฏิเสธไม่ได้ คนหนึ่งหล่อ คนหนึ่งก็สวย ไม่ต้องพูดถึงฐานะ ชาติตระกูล การศึกษาที่เขาไม่อาจเทียบได้

                แต่ก็ใช่ว่าเขาจะถอดใจ ความรู้สึกที่มีต่อกุมภ์มันชัดเจนขึ้นหลังจากที่กุมภ์กลับไปกรุงเทพฯ เขาหงุดหงิดง่าย และคิดถึงเรื่องของกุมภ์อยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ตอนนั้นเขาเขลาเกินกว่าจะเข้าใจความรู้สึกของตัวเอง แม้ว่าพิกุลจะมาเตือนหลายรอบแล้วก็ตาม กระทั่งเห็นกุมภ์ป่วย กำแพงที่ก่อไว้ก็ทลายลง เขารู้ตัวแล้วว่าเขาเป็นห่วงกุมภ์มากแค่ไหน เขาจะไม่ยอมให้เรื่องความเหมาะสมบ้าบออะไรนั่นมาเป็นข้อจำกัดกีดกันตัวเองได้อีก

                ในเมื่อเขาทำลายข้อบัญญัติทางสังคมว่าผู้ชายต้องคู่กับผู้หญิงได้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรอีก

                รถยนต์คันเก่าวิ่งไปบนถนนลูกรังด้วยความเร็วที่กฎหมายกำหนด ทิ้งฝุ่นสีแดงและควันสีขาวไว้เบื้องหลัง จนเกือบจะห้าโมงเย็น เจ้ากระบะอิซูซุกระดำกระด่างก็มาอยู่ในลานจอดรถของโรงพยาบาล เขามองหารถคันอื่นที่พอจะคุ้นตา แต่ก็ไม่เจอ ระหว่างขับรถมาพันนาไลน์มาบอกว่าจะไปรับไอ้แสบแล้วคงพามันไปหาอะไรกินอีกตามเคย

                ‘ปรางค์เฝ้าอยู่นะพี่ จะทำอะไรก็ระวังด้วย’     

                แล้วก็เป็นจริงอย่างที่พันนาบอกไว้ หลังจากเคาะประตูห้องตามมารยาท ปรางค์ก็เป็นคนมาเปิดประตูให้ บางทีเขาอาจจะคิดมากไป แต่แววตาที่ปรางค์มองเขามันต่างจากวันก่อน ทว่าเขาไม่ใส่ใจกับเรื่องจุกจิกของพวกผู้หญิงอยู่แล้ว ผู้ชายทั้งโลกรู้ว่าผู้หญิงเป็นเพศคิดเยอะ คิดเล็กคิดน้อยและคิดไปเองอยู่แล้ว

                “สวัสดีค่ะพี่โหร”

                ปรางค์กระพุ่มมือไหว้ ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง และเป็นตัวเดียวกับที่เขานั่ง เขายกมือไว้รับ ก่อนจะหันไปมองคนป่วยที่นั่งตาแป๋วบนเตียง ช่วงแก้มบวมเล็กน้อย เดาว่าเจ้าตัวคงเพิ่งจะตื่นก่อนหน้าที่เขาจะไม่ถึงไม่นานนัก

                “พี่โหรนี่เป็นห่วงกุมภ์ดีจังนะคะ อยู่ตั้งไกลอุตส่าห์มา”

                “อืม...พอดีว่างน่ะ” โหรตอบกลับ ไม่สนใจสายตาเย็นชาจากคนพูด แต่เขาเป็นห่วงคนบนเตียงมากกว่า “หน้าตาสดใสขึ้นเยอะเลยนะครับ พรุ่งนี้คงได้กลับบ้านจริงๆ”

(มีต่อ)               
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 22 : เพื่อนสนิท] 27/03/2563
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 27-03-2020 20:21:05
(ต่อ)
                 กุมภ์เงยหน้ามอง จุดแดงเล็กๆ กลางแก้มลามไปถึงข้างหู ก่อนที่ศีรษะทุยจะผงกรับ

                “ค่ะ พวกเราจะกลับกันเลย นี่เห็นว่าพันจะให้รถตู้ไปส่งด้วยค่ะ” ปรางค์แทรกขึ้น “ที่จริงปรางค์จะให้รถที่บ้านมารับ แต่ลุงพงศ์ไม่อยากรบกวน”

                “ครับ...” โหรพยักหน้า รับรู้ได้ถึงสัญญาณไม่พอใจจากผู้หญิงเพียงหนึ่งเดียว “เช็ดตัวหรือยัง คุณไม่ได้โดนน้ำมาสองวันแล้วนะ”

                “เอ่อ...ผมเข้าห้องน้ำไปสองสามรอบแล้ว” กุมภ์ตอบไม่ตรงคำถาม

                “ปรางค์จะเช็ดให้ แต่กุมภ์ไม่ยอมค่ะ สงสัยจะอาย” ปรางค์แทรกขึ้น “ที่จริงกุมภ์ไม่ต้องอายก็ได้นะ ลืมไปแล้วหรือไงว่าเรามีน้องชาย ตอนเจ้าปอนด์ป่วย เราก็เป็นคนเช็ดตัวให้”

                “โธ่ปรางค์...น้องชายปรางค์กับเรา...ไม่เหมือนกันนะ” กุมภ์ครวญ หน้าแดงยิ่งกว่าเดิม “ปอนด์เป็นน้องชาย ส่วนเราเป็น...เพื่อน”

                “โอเคๆ เรารู้ว่ากุมภ์อาย” ปรางค์ยิ้มหวาน นิ้วมือเกลี่ยเก็บปอยผมทัดหลังใบหูขาว “กุมภ์อย่าเพิ่งไปช่วยกิจกรรมที่คณะนะ ร่างกายยังไม่แข็งแรงดี”

                “ปรางค์ เราหายแล้ว ส่วนเรื่องกิจกรรมน่ะ ไม่ใช่งานถนัดของเราหรอก งานของไอ้พันมัน รายนั้นทั้งต้องช่วยรุ่นพี่ที่คณะ แล้วไหนจะต้องถ่ายรูปให้ชมรมถ่ายภาพของมันอีก แต่รูปที่มันถ่ายสวยมากนะ ปรางค์เคยเห็นหรือยัง”

                “เคยแล้วๆ” ปรางค์พยักหน้าเร็วๆ “เราเห็นในเฟซน่ะ สวยจริงๆ ถ้าไม่รู้ว่าเรียนนิติเราต้องคิดว่าพันเรียนนิเทศแน่ บางรูปสวยเหมือนช่างภาพมืออาชีพเลย”

                โหรยืนฝั่งตรงข้ามกับปรางค์ เขาไม่ได้มองเธอตรงๆ แต่ก็เห็นท่าทางวิธีการพูดของเธอที่ดูเป็นธรรมชาติ ไม่เย็นชาเหมือนตอนที่คุยกับเขา รอยยิ้มอ่อนหวานของเธอราวกับจะมีให้แค่กับกุมภ์คนเดียวเท่านั้น ไหนจะบทสนทนาที่เกี่ยวกับชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย ชนิดที่คนเรียนจบมาหลายปีอย่างเขาหมดสิทธ์จะมีส่วนร่วมได้

                เมื่อรู้ว่าคงหมดโอกาสที่จะได้อยู่ใกล้ชิดกันมากกว่านี้ โหรเลยถอยห่างจากเตียง แล้วก็เหมือนมีระฆังช่วยเพราะสีสายเรียกเข้ามาพอดี มือล้วงโทรศัพท์เครื่องใหม่เอี่ยมออกมาจากกระเป๋ากางเกงก่อนจะเดินเลี่ยงออกมาแถวระเบียงทางเดิม

                “ว่าไง”

                ‘ปรางค์ยังอยู่ใช่ไหม’ ปลายสายถาม

                “อืม..” โหรตอบกลับไป อยากจะขอบคุณพันนาสักล้านครั้งที่ทำให้เขาหลุดจากสถานการณ์ชวนอึดอัดได้อย่างไม่เสียฟอร์มนัก

                ‘เดี๋ยวผมจะให้รชตพาปรางค์กลับ แล้วผมจะขับรถพี่กลับไปพร้อมกับไอ้แสบ’ ไอ้แสบของพันนาคงหมายถึงจ้าวจอม

                “ทำไมถึงต้องเป็นรถผมล่ะ แล้วคุณขับได้เหรอ”

                ‘ก็ถ้าไม่อยากให้ปรางค์สงสัย ก็ต้องทำให้เนียน’ พันนาว่า ซึ่งเขาคิดว่าคงไม่ทันเสียแล้ว ปรางค์คงสงสัยและชังน้ำหน้าเขาเข้าให้แล้ว

                “เอาอย่างนั้นก็ได้ แล้วตอนนี้อยู่ถึงไหนกันแล้ว”

                ‘อีกสิบนาทีถึง ไอ้ชตน่าจะไปถึงก่อน เพราะผมแวบออกมารับเด็ก’

                โหรส่งเสียงรับในคอ แล้วก็วางสาย ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าปอดแล้วถอนทิ้งยาวเหยียด รับมือกับผู้หญิงนี่ยากเสียยิ่งกว่าสู้กับตาเวกอีก กับผีเขายังรู้ว่าควรจะใช้อะไรปราบ แต่กับผู้หญิงเขาไม่รู้เลยว่าจะจัดการเธอได้อย่างไร

                “พี่โหร”

                เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้เขาต้องเอี้ยวตัวกลับไปมอง ไม่แปลกใจนักที่เห็นร่างของรชต เพราะพันนาเพิ่งบอกเมื่อครู่ว่ารชตคงมาถึงก่อน แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

                “มาถึงเร็วดี” โหรทักทาย “มีอะไรเหรอ ทำไมไม่เข้าไปหากุมภ์ล่ะ”

                “ก็ผมเจอพี่ก่อน” รชตบอก

                โหรเห็นความลำบากใจบนใบหน้าของอีกฝ่าย “มีอะไรก็บอกมาเถอะ ถ้าช่วยได้ก็จะช่วย”

                “คือ...ผมว่าเราไปหาที่เงียบๆ คุยกันดีไหมครับ”

               

                ที่เงียบๆ ที่รชตว่าคือใต้ต้นหูกวางหลังตึกพักฟื้น มันเป็นลานกว้างที่มีญาติของผู้ป่วยและบุคลากรของโรงพยาบาลมักจะมานั่งพัก บ้างก็ซื้ออาหารมานั่งรับประทาน แต่สำหรับโหรกับรชตมีแค่กาแฟแก้วละ 30 บาท จากร้านใกล้ๆ เท่านั้น รชตนั่งบนปูนที่ก่อและฉาบให้เป็นที่นั่งรอบลำต้นหูกวาง แดดในยามเย็นจัดพัดอ่อนๆ สัมผัสได้ถึงไอหนาวที่ปะปนมา อีกไม่นานฤดูหนาวก็จะมาเยือนอย่างเป็นทางการ

                มือขาวสะอาดจับแก้วกาแฟเอาไว้ ท่าทางลำบากใจที่โหรเห็นยังคงมีอยู่ จนโหรต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน

                “คุณมีเรื่องไม่สบายใจใช่ไหม” โหรถามพลางดูดโอเลี้ยงเย็นของตัวเอง รสชาติถือว่าดีทีเดียวในราคาเท่านี้

                “ก็ไม่เชิงหรอกครับ” รชตบอก ก่อนจะถอนหายใจยาว “คือ...มันเกี่ยวกับพิกุล”

                โหรเลิกคิ้วสูง “พิกุล? ยังไม่ไปรับกรรมอีกเหรอ ไหนบอกกับผมว่าจะไปแล้ว”

                รชตส่ายหน้า “เขาไปแล้วล่ะครับ แต่เขาสั่งผมเอาไว้ก่อนที่เขาจะไป และถ้าหากผมทำไม่ได้ เขาจะมาเอาผมไปอยู่ด้วย”

                โหรทำเสียงขึ้นจมูก พิกุลร้ายน่าดู สมัยตอนยังมีชีวิตคงจะแสบสันไม่น้อยหรอก รชตในชาติที่แล้วถึงได้ชังน้ำหน้าทั้งที่เป็นเพื่อนสนิทกัน

                “เขาสั่งอะไรคุณ”

                “ก็....เฮ้อ ผมไม่รู้ว่าจริงไหม หรือผมจะโดนผีหลอกเอาจริงๆ แต่กุมภ์กับ....คุณ โอ๊ย! ทำไงดีวะ!” รชตยกมือข้างหนึ่งเกาหัวเตียนๆ ของตัวเองจนหนังศีรษะเริ่มจะแดง

                พิกุลยังคงทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม นอกจากระรานเขาแล้วยังลามไปถึงอดีตเพื่อนแค้นแสนรักอีกด้วย และท่าทางจะขู่อาฆาตหนักเสียด้วย ไม่เช่นนั้นรชตคงไม่กังวลมากขนาดนี้

                “เขาบอกอะไรคุณ”

                “เขาสั่งให้ผม...ช่วยให้พี่รักกับ...กุมภ์” ปลายเสียงของรชตแผ่วลง จนเหมือนดังอยู่ในแค่ลำคอเท่านั้น สีหน้าเหมือนถูกบังคับให้กินยาขมไม่มีผิด

                ร้ายจริงๆ พิกุล

                โหรถอนหายใจ เหยียดขาไปตามความยาว ดวงตาทอดมองภาพเด็กชายตัวเล็กวัยไม่เกินสองขวบ วิ่งเตาะแตะไล่จับแมวจรจัดโดยมีพ่อกับแม่วัยกลางคนช่วยกันไล่จับลูกชายตัวน้อยอีกที

                ก่อนหน้านี้เขาเองก็ฝันอยากจะมีครอบครัวที่อบอุ่นแบบนี้เหมือนกัน อยากมีลูกสักสองคน มีภรรยาที่ทั้งสวยและเป็นแม่ศรีเรือน เขาจะไม่ให้เธอทำงานหนัก พร้อมที่จะเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี แต่ความผิดหวังในอดีตก็ทำให้เขาขลาดกลัวเกินกว่าจะหาคู่ชีวิตจริงๆ จังเสียที อีกอย่างลึกๆ แล้วเขารู้ดีว่าแค่ความรักอย่างเดียวมันไม่พอสำหรับชีวิตคู่ แต่ปัจจัยหลักคือทรัพย์สิน และความมั่นคง จะมีผู้หญิงสักกี่คนที่ยอมอยู่บ้านหลังเก่าๆ กับสามีที่ไม่มีแม้แต่อาชีพ

                “ผมเคยคิดอยากจะมีเมียแล้วก็ลูกน่ารักๆ สักคนสองคน อยากจะทำหน้าที่พ่อ อยากเป็นปู่ที่ดี” โหรเปรย ตายังมองเด็กชายตัวอ้วนที่ตอนนี้ล้มเผละไปแล้ว โดยที่แม่รับไว้ไม่ทัน แล้วก็อย่างที่คิด เสียงร้องแผดจ้า ผู้เป็นพ่อย่อตัวช้อนตัวลูกชายเอาไว้ในอ้อมแขน โยกตัวเบาๆ เพื่อปลอบขวัญ “แต่กุมภ์...ทำให้ผมลังเล”

                เขาไม่ถือสากับสีหน้าประหลาดของรชต ใครได้ยินก็ต้องรู้สึกแบบนี้ทั้งนั้น

                “วันที่พันนาไปช่วยคุณ กุมภ์วิ่งกลับมาหาผมใช่ไหม” รชตพยักหน้า โหรเลยพูดต่อ “เขาวิ่งทะเล่อทะล่าเข้ามา ตอนที่ผมกำลังจะเสียท่าให้ไอ้บอดพอดี แล้วก็วิ่งหนีแทบตายเพราะไอ้บอดหันไปเล่นงานเขาแทน แต่นั่นทำให้ผมตั้งหลักสู้ได้อีกครั้ง ถ้าจะบอกว่าผมเป็นหนี้บุญคุณกุมภ์ก็คงจะไม่ผิด”

                “แค่นี้เหรอครับพี่ทำให้พี่ลังเล”

                “แค่ส่วนหนึ่ง...ที่จริงๆ ผมสะดุดตาเขาตั้งแต่แรกที่เจอกันแล้ว เขาค่อนข้างแตกต่างกับพวกคุณ แต่ก็กล้าหาญเกินตัว ตอนแรกผมก็ไม่อยากยอมรับหรอกว่าผมรู้สึกกับกุมภ์มากกว่าใคร มันประหลาดเกินสำหรับผู้ชายที่เคยมีแฟนเป็นผู้หญิง แต่ผมหยุดคิดถึงเรื่องกุมภ์ไม่ได้เลย คิดมากจนหงุดหงิดไปหมด พิกุลมาบอกผมหลายหนเหมือนกัน เธอบอกให้ผมทำตามความรู้สึกตัวเอง แต่มันไม่ง่ายเลย เพราะผมไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไงกับกุมภ์กันแน่...จนผมเห็นเขานอนให้น้ำเกลือนั่นแหล่ะ ถึงได้รู้ว่าผมเป็นห่วงเขามากแค่ไหน และมันก็ไม่ใช่ความห่วงใยแบบเพื่อนหรือพี่น้อง...ผมชอบกุมภ์”

                รชตหันมองหน้าเขา คิ้วขมวดแน่น ดวงตานิ่งค้าง แต่เพียงแค่ชั่วอึดใจเดียวคิ้วก็คลายออก สีหน้าผ่อนคลายลงมากจนเกือบเป็นปกติ

                “เฮ้อ...นี่ผมคงกรรมหนาจริงๆ ถึงไม่เคยรู้เลยว่าพี่ชอบไอ้กุมภ์”

                “ไม่แปลกหรอก เพราะผมไม่เคยบอกใคร”

                “แล้วทำไมพิกุลรู้ล่ะ” รชตถาม “ยัยนั่นน่ะ ทำเหมือนรู้ทุกอย่างในโลกนี้”

                “เขาอยู่รอคุณมานาน จำไม่ได้หรือไง เขาผ่านอะไรมามากมาย ได้เห็นรูปแบบความรักมาเยอะแยะ”

                “พี่รู้ใช่ไหมว่ากุมภ์เป็น...เกย์”

                คราวนี้เป็นโหรที่ประหลาดใจ ยกคิ้วสูงมองเด็กหนุ่มคู่สนทนาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง รชตไหวไหล่เล็กน้อย “ไอ้กุมภ์ไม่เคยบอกผมหรอกว่าเป็นเกย์...แต่ผมพอจะรู้ ผมเรียนโรงเรียนชายล้วนน่ะพี่ มีเพื่อนแบบนี้เยอะเหมือนกัน ถึงกุมภ์จะไม่ได้ตุ้งติ้ง แต่สัญชาตญาณมันบอก”

                “แล้วคุณ...ไม่รังเกียจ”

                “รังเกียจทำไมล่ะ กุมภ์มันเป็นคนดี ดีที่สุดในกลุ่มด้วยซ้ำ” รชตว่า “ยังไงก็ขอบคุณพี่มากนะที่กล้าพูดตรงๆ กับผม ผมโล่งอกขึ้นเยอะ อย่างน้อยผมก็ไม่ต้องถูกพี่ต่อย”

                “ถูกผมต่อย?”

                “ก็ยัยพิกุลขู่เอาไว้น่ะสิ ถ้าผมไม่ช่วยพี่เธอจะมาเอาผมไปอยู่ด้วย แต่ผมก็กลัวว่าถ้าพี่ไม่ได้ชอบกุมภ์ แล้วผมดันสอดเข้าไปช่วยพี่จะต่อยหน้าผม” รชตทำหน้าขยาด “ก็ดูตัวพี่สิ ต่อยผมทีคงฟันหักทั้งแผง”

                โหรหลุดขำกับท่าทางของรชต “คุณไม่กลัวหรอก ผมไม่ต่อยหน้าใครง่ายๆ อย่างนั้นหรอก อีกอย่าง...คุณแค่ชวนปรางค์คุยมากหน่อยก็พอ”

                “พี่รู้อะไรไหม...พี่กับไอ้พันพูดเหมือนกันเลย”

 :กอด1: :pig4:

*ยัยปรางค์ตัวร้ายกับนายโหรทื่อมะลื่อ 55555*

**แปลกใจกันไหมที่กุมภ์เป็นเกย์ ก็ไม่ได้ปิดบัง แต่ก็ไม่จำเป็นต้องบอกใครนี่เนาะ**

***รักษาตัวให้อยู่รอดปลอดภัยกันเด้อทุกคน***

****เจอกันวันจันทร์จ้า****
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 22 : เพื่อนสนิท] 27/03/2563
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 27-03-2020 20:44:20
ปรางค์แอบแรง
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 22 : เพื่อนสนิท] 27/03/2563
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 27-03-2020 21:12:22
เอาน้อนปรางค์ไปเก็บที 5555 แทนที่พี่โหรจะได้มีเวลากับกุมภ์มากกว่านี้ ดูสิว่าวันจันทร์นางจะยังอยู่เป็นกขคอยู่มั้ยย
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 22 : เพื่อนสนิท] 27/03/2563
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 27-03-2020 21:17:03
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 22 : เพื่อนสนิท] 27/03/2563
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 27-03-2020 21:17:13
ขอบคุณ ที่มาให้หายเรื่องเครียดโควิด-19 ไปหน่อยนะจ๊ะ
อ่านไป ก็ยิ้มไป ที่ได้รับรู้บางอย่างของเรื่องนี่ว่าที่จริงแล้ว
พิกุล ชักใยอยู่เบื้องหลังนี่เอง หุหุหุ
วันหยุดพักผ่อนให้มากนะจ๊ะ ออกไปไหนไม่ได้กลัวโควิดดดดดด
 :hao3: :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 22 : เพื่อนสนิท] 27/03/2563
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 27-03-2020 22:48:28
นังปราง !!
ร้ายนัก ถ้าไม่ติดว่าพิกุลต้องไปรับกรรม
หล่อยต้องเจอดีแน่  :beat: :beat:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 22 : เพื่อนสนิท] 27/03/2563
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 28-03-2020 20:13:22
ตัวช่วยพี่โหรเยอะแยะเลยทั้งคนทั้งผี ความสำเร็จในการเป็นแฟนน่าจะอยู่ไม่ไกลแล้วนะ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 22 : เพื่อนสนิท] 27/03/2563
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 28-03-2020 23:13:29
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 22 : เพื่อนสนิท] 27/03/2563
เริ่มหัวข้อโดย: Rateesiri ที่ 28-03-2020 23:24:45
อยากอ่านจนจบอ่ะ ลง e book ด้วยได้มั้ย
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 22 : เพื่อนสนิท] 27/03/2563
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 29-03-2020 00:13:41
พี่โหรต้องรีบหน่อยแล้วล่ะ พันนาก็รุกเยอะๆ
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 23 : โอกาส] 30/03/2563
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 30-03-2020 20:46:26
ตอนที่ 23 โอกาส

                โหรหายไปพักใหญ่แล้ว หลายต่อหลายครั้งที่เขาเผลอไปที่บานประตูที่คิดไปเองว่ามันอาจจะผลักเข้ามา ตามด้วยร่างสูงใหญ่ของโหรที่เดินกลับเข้ามาในห้อง แต่มันก็ยังปิดสนิทเหมือนเดิมมาเกินครึ่งชั่วโมง ปรางค์ยังชวนคุยเรื่อยๆ เธอบ่นเรื่องอาหารของโรงพยาบาลที่หน้าตาไม่ชวนกินเอาเสียแล้ว ซึ่งเรื่องนี้เขาเห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์เพราะนอกจะไม่น่ากินแล้ว รสชาติยังแย่มากอีกด้วย แต่เพราะเขายังต้องอยู่ในการดูแลของโรงพยาบาล อย่างน้อยก็อีกหนึ่งคืน เลยจำเป็นต้องกิน

                “แม่ไลน์มาบอกว่า มีร้านอาหารเกาหลีมาเปิดใหม่ อยู่ใกล้กับมหา’ลัยของกุมภ์เลย เอาไว้เราไปลองกินกันดูบ้างไหม”

                “อืม” กุมภ์พยักหน้ารับ ทั้งที่จับใจความประโยคที่เธอพูดได้ไม่หมดนัก ต้องโทษความพะวักพะวงของเขาเอง โหรก็หายไปนานเหลือเกิน หรือบางทีอาจจะกลับบ้านไปแล้วก็ได้

                จิตใจมันพาลห่อเหี่ยวไปหมด โอกาสที่จะได้อยู่ด้วยกันตามลำพังก็ไม่ได้เยอะนัก แถมพรุ่งนี้เขาต้องกลับกรุงเทพฯ แล้ว ถ้าโหรกลับไปแล้วจริงๆ นั่นหมายความว่าเขาจะไม่ได้เจอโหรอีกพักใหญ่เลย

                “รอพี่โหรเหรอ”

                “ห๊ะ?”

                “เราถามว่ารอพี่โหรเหรอ”

                กุมภ์หันมองหน้าปรางค์ ใบหน้าน่ารักที่มักจะเปื้อนด้วยรอยยิ้มเรียบเฉยอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน วินาทีนั้นเขารู้เหมือนไม่เคยรู้จักผู้หญิงคนนี้มาก่อน ทว่าเพียงประเดี๋ยวเดียวเธอก็กลับมายิ้มเป็นปกติ

                “เราถามว่ากุมภ์รอพี่โหรเหรอ เห็นมองไปทางประตูบ่อยๆ”

                “เอ่อ...เปล่าหรอก รอไอ้พันน่ะ เราฝากมันซื้อของนิดหน่อย” กุมภ์แก้ตัว รู้สึกว่าผิวแก้มันวูบเหมือนทำผิดแล้วถูกจับได้ เขาไม่กล้ามองตาเธอด้วยซ้ำ

                “ซื้ออะไรเหอ”

                “เอ่อ...”

                “พี่กุมภ์ ได้ข่าวว่าพรุ่งนี้กลับบ้านได้แล้วเหรอ”

                เหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก เมื่อประตูถูกผลักเข้ามาพร้อมกับเสียงเจื้อยแจ้วของจ้าวจอม กุมภ์แอบถอนหายใจ เลื่อนตัวนั่งตัวตรงหลังพิงหมอน เขาไม่ได้หันไปมองปรางค์ เลยไม่เห็นสีหน้าของเธอ

                จ้าวจอมยังอยู่ในชุดนักเรียน แต่ชายเสื้อไม่ได้สอดลงขอบกางเกง เส้นผมสั้นเกรียนถูกระเบียบ มือมีแก้วกาแฟปั่นเย็นเฉียบ กับวัฟเฟิลหอมกรุ่นในถุงกระดาษ โดยมีพันนาเดินตามหลังมาไม่ห่างนัก รายนั้นก็มีแก้วกาแฟจากร้านเดียวกัน

                “อ้าว ไอ้ชตยังมาไม่ถึงอีกเหรอวะ ก็ออกมาพร้อมกันเนี่ย” พันนาถามถึงเพื่อนสนิท ซึ่งทั้งกุมภ์และปรางค์ต่างก็ส่ายหน้า

                “หายไปไหนของมันวะ...เออ ไอ้ชาร์ลกับคะนิ้งไม่ได้มานะ เห็นว่าจะพากันไปดูของฝากเพิ่ม พ่อไอ้ชาร์ลอยากได้ของเก่าเอาไว้ประดับบ้าน”

                กุมภ์พยักหน้า เขาไม่ได้โกรธที่ชาร์ลกับคะนิ้งไม่ได้มาเยี่ยม หรือสงสัยการหายตัวไปของรชต แต่เป็นห่วงโหรที่หายตัวไปพักใหญ่แล้ว

                แล้วร่างของคนที่เขาเป็นห่วงก็มาพร้อมกับรชต ทั้งคู่ตามหลังพันนาไม่ถึงห้านาที รชตท่าทางสดชื่นต่างจากทุกๆ วัน แถมยังชวนโหรคุย พอจับใจความได้ว่าทำไมโหรถึงมีวิชาแปลกๆ อย่างที่ไม่มีสอนในบทเรียน ไม่ใช่แค่รชตที่สนใจ แต่ทั้งจ้าวจอมกับพันนาก็ด้วย ทั้งหมดนั่งกระจุกรวมกันอยู่แถวโซฟาไม่ห่างจากเตียงนอนของเขานัก คงมีแค่ปรางค์เท่านั้นที่ไม่ได้เข้าไปร่วมวงสนทนา

                ถึงจะบังคับตัวเองไม่ให้สนใจเรื่องที่โหรกำลังเล่านัก พยายามตั้งจิตให้จดจออยู่กับเรื่องการหัดทำขนมของปรางค์ แต่หลายครั้งเหลือเกินที่หูมันมักจะไปได้ยินว่าโหรเคยบวชตั้งแต่เด็ก ร่ำเรียนวิชามาจากพระอาจารย์และบางส่วนก็มาจากปู่ที่เคยเห็นอดีตพรานใหญ่ โดยมีจ้าวจอมคอยเสริมเรื่อยๆ

                “กุมภ์ชอบกินอะไรระหว่างชูครีมกับโมจิ”

                “..............”

                “ว่าไงกุมภ์”

                “..............”

                “กุมภ์!”

                กุมภ์สะดุ้งเล็กน้อย เพราะทั้งเสียงที่ดังใกล้กว่าปกติและแรงดึงที่ข้อมือ ใบหน้าไร้ที่ติของปรางค์อยู่ห่างแค่คืบ มืออ่อมนุ่มของเธอกุมรอบข้อมือของเขา ดวงตากลมโตมีแววไม่พอใจเล็กน้อย

                “อะ อะไรเหรอ?”

                “เราเรียกกุมภ์ทั้งหลายครั้งแล้ว” ปรางค์ตัดพ้อ เธอลดระดับใบหน้าให้ออกห่างแต่ยังไม่ปล่อยมือ “กุมภ์ไม่ได้ฟังที่เราพูดเลยเหรอ”

                “ปะ เปล่า เราแค่คิดว่าพรุ่งนี้จะได้กลับบ้านแล้ว” กุมภ์พยายามปั้นยิ้ม รู้สึกผิดไม่น้อยที่ไม่ค่อยได้ฟังปรางค์พูดนัก ชั่วจังหวะหนึ่งเขาเผลอไปยังกลุ่มคนบนโซฟา แล้วดวงตาคู่หนึ่งก็มองกลับมา แค่เพียงเสี้ยววินาทีเดียวหัวใจก็เต้นไม่เป็นส่ำเสียแล้ว “ปรางค์ถามว่าอะไรนะ”

                “เราถามว่าระหว่าชูครีมกับโมจิ กุมภ์ชอบกินอะไรมากกว่า” ปรางค์ถามคำถามเดิม ทว่าใบหน้าบึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด

                “ถ้าปรางค์ทำ เรากินได้หมด” กุมภ์ตอบ หากจะบอกว่าเป็นคำตอบที่เอาใจก็ไม่แปลกนัก แล้วมันก็ได้ผลรอยยิ้มสดใสกลับมาอย่างง่ายดายพร้อมกับริ้วแดงจางๆ บนแก้มขาว
                “งั้นกลับไปกรุงเทพฯ เราจะหัดทำชูครีมก่อน แล้วจะเอามากุมภ์ชิมเป็นคนแรก” ปรางค์ยิ้มหวาน ปลายนิ้วแตะแผ่วเบาบนข้อมือแล้วละออกไป

                ถึงจะไม่เคยมีคนรัก แต่กิริยาท่าทางของปรางค์มันทำให้เขารู้ว่าเธอมีใจให้เขา ทว่าเขาไม่ได้มีใจปฏิพัทธ์กับเพศเดียวกันเสียแล้ว อีกอย่างคนที่เขาป่วนหัวใจก็อยู่ห่างกันแค่นี้           

                “ผมว่าเรากลับกันดีกว่า เย็นมากแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยมารับคุณชายกุมภ์พร้อมกัน” รชตเดินมาปลายเตียงป่วย คำว่า ‘เรา’ ในทีนี้คงหมายถึงปรางค์กับรชต ปรางค์หันไปมองคนพูดแต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น ก่อนที่เธอเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

                “เรายังไม่อยากกลับ อยากจะอยู่เป็นเพื่อนกุมภ์อีกหน่อย”

                “แต่มันดึกแล้วนะ สองทุ่มกว่าแล้วแถมบ้านไอ้พันก็ใช่ว่าจะใกล้” รชตว่า “ผมไม่ค่อยชินเส้นทางนัก ถ้าดึกมากกวานี้กลัวว่าจะมีอันตราย”

                “เออ จริงด้วย เมื่อวันก่อน เพื่อนผมมันเล่าให้ฟังว่าพ่อมันถูกหินปาใส่รถ แถวซอยบ้านพี่พันนั่นแหล่ะ ดีนะก้อนหินมันไม่ใหญ่ เลยไม่เป็นอะไร...แต่แถวนั้นมีชิงรถกันบ่อยนะพี่ เพราะเป็นซอยคนรวย” จ้าวจอมแทรกขึ้น ไม่รู้ว่าเรื่องจริงหรือแต่งขึ้นเอง แต่มันก็ทำให้ปรางค์ลังเลได้

                “มึงเอาปืนติดไปด้วยก็ได้นะ ใช้เป็นหรือเปล่า กูมี .357 ที่ไอ้กุมภ์เอาเข้าป่าเมื่อคราวก่อนอยู่ในรถ เดี๋ยวเอาออกมาให้” พันนาสำทับอีกแรง คราวนี้ปรางค์หันขวับไปทางพันนาทันที

                “นี่ขนาดต้องพกปืนกันเลยเหรอ”

                “กันไว้ดีกว่าแก้” พันนาบอก “รีบไปเถอะ เดี๋ยวเราลงไปส่งที่รถ จะได้เอาปืนให้ไอ้ชตด้วย”

                ปรางค์หันมองทางกุมภ์ที รชตที ดวงตาหวั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด เธอคงทั้งเป็นห่วงกุมภ์ขณะเดียวกันก็กลัวว่าจะเกิดเหตุร้ายอย่างที่จ้าวจอมเล่า หลังจากทนกดดันอยู่ได้ไม่ถึงครึ่งนาทีเธอก็ตัดสินใจหันมาลากับคนบนเตียง

                “เรากลับก่อนนะ แล้วพรุ่งนี้จะรับแต่เช้าเลย เราจะทำโจ้กให้ด้วย ลืมครัวแม่ของพันนาไว้แล้วล่ะ กุมภ์อย่าลืมเช็ดตัวนะ เอาน้ำลูบๆ ตัวหน่อยก็ดี”

                กุมภ์พยักหน้าหงึกหงัก หน้าร้อนอีกรอบเพราะตัวเขายังไม่ได้โดนน้ำเลย ตั้งแต่เมื่อวาน ทั้งไม่ยอมทำเองให้ไม่คนอื่นทำไม ปรางค์โบกมือลา แล้วก้าวตามสองหนุ่มออกไป           

                จ้าวจอมทำท่าจะตามไปด้วยแต่โหรคว้าแขนเอาไว้ก่อน สัญญาณบางอย่างในสายตาของโหรทำให้จ้าวจอมไหวไหล่แล้วซักเรื่องรอยสักที่ต้นแขนของโหรต่อ

                “พี่สักตั้งแต่ 15 จริงๆ เหรอวะ โคตรเจ๊ง” จ้าวจอมว่า “สักให้หน่อยสิ อยากมีวิชาติดตัวบ้าง”

                “ไม่ได้กูไม่มีวิชา แล้วคนสักให้กูท่านก็ปลงสิขาไปแล้ว”

                “เซ็งว่ะ” จ้าวจอมย่นจมูก แล้วดูดกาแฟปั่นของตัวเองต่อ โหรส่ายหัวให้กับความคิดของไอ้ตัวแสบ

                โหรลุกขึ้นยืน รู้สึกเบาใจไม่น้อยที่รชตพาปรางค์กลับบ้าน ไม่ใช่เพราะแค่เธอคือ ‘คู่แข่งหมายเลขหนึ่ง’ แต่เขาเป็นห่วง ที่จ้าวจอมเล่าไม่ใช่เรื่องโกหก แถวบ้านของพันนามีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง เพราะรู้กันดีว่าบริเวณนั้นเป็นแหล่งที่อยู่ของคนมีฐานะอันดับต้นๆ ของจังหวัด ถึงจะมีการป้องกันมากแค่ไหนแต่ก็ได้แค่ชั่วประเดี๋ยว ไม่ถึงสองเดือนก็มีเหตุเกิดอีก

                ท่อนขายาวก้าวไม่กี่ทีก็ถึงเตียง วันนี้หัวของกุมภ์ยุ่งกว่าเดิมเสียอีก แต่เขากลับนึกเอ็นดู แถมยังคิดว่ามันน่ามองกว่ารูปถ่ายหล่อๆ ใน เฟสบุ๊คเสียอีก

                “ทำไมยังไม่เช็ดตัว เดินสะดวกแล้วไม่ใช่เหรอ” โหรถาม หลุบตามองมือข้าวที่ฟาดกับขอบเตียง และเป็นข้างเดียวกับที่ปรางค์จับ ใช่ เขาเห็นกิริยาของปรางค์ทุกอย่าง  ทั้งยังได้ยินเรื่องที่เธอคุยกับกุมภ์อีกด้วย ปรางค์กำลังหัดทำขนม ถามว่ากุมภ์ชอบกินชูครีมหรือโมจิมากกว่านั้น เขาไม่รู้จักไอ้ชูครีมอะไรนั่น แต่เคยกินโมจิของฝากนครสวรรค์ที่ลูกค้ารายหนึ่งนำมาฝากเพราะเขาช่วยให้ลูกชายป่วยด้วยสมุนไพร

                “ผะ...ผมทำแล้ว” กุมภ์ตอบ

                “ทั่วหรือเปล่า”

                “ก็...ทั่วละมั้ง ช่างมั่นเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าค่อยอาบทีเดียว”

                “เพิ่งสร้างไข้ ใครเขาอาบน้ำกัน” โหรโคลงหัว เขาชอบมองหน้าแดงๆ ของกุมภ์               แล้วก็เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่ามีของติดตัวมาด้วย ชายหนุ่มสอดมือลงในกระเป๋ากางเกงดึงเอาตลับพลาสติกกลมสีขาวออกมา “มือยังไม่หายเขียว ทายาหน่อยนะ”

                โหรบิดหมุนเปิดฝาแล้วใช้ปลายนิ้วแต้มยาเนื้อสีน้ำตาลอ่อน แล้วป้ายไปบนหลังมือขาว กลิ่นเย็นคล้ายเมนทอลอ่อนๆ ลอยในอากาศ กุมภ์ไม่ได้ชักมือหนี เนื้อยาเย็นๆ ไม่ได้ทำให้ไออุ่นจากปลายนิ้วของโหรลดลงเลย หรือบางทีเขาอาจจะจดจ่ออยู่กับโหรมากเกินไปก็ได้

                “อะแฮ่ม ผมยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้นะคร้าบ จะทำอะไรก็เกรงใจกันบ้างซี่” จ้าวจอมทำเสียงยานคาง “ไปดีกว่า พี่พันไลน์มาตามแล้ว กลับก่อนนะพี่กุมภ์ พรุ่งนี้ไม่ได้ไปส่งนะ ผมต้องไปเรียน แล้วจะไลน์ไปหา”

                พูดจบเด็กแสบก็ยกมือขึ้นกระพุ่มไหว้แล้วโบกลา กุมภ์กำลังจะยกมือตอบกลับแต่โหรกุมเอาไว้

                “รีบไปได้แล้ว” โหรไล่ จ้าวจอมทำปากคว่ำ ส่งสายตาล้อเลียนก่อนจะผลักประตูออกไป

                “ทำไมถึงไล่จอมแบบนั้นล่ะครับ”

                โหรเอียงหน้ามอง ขณะที่ปลายนิ้วยังลูบแผ่วบนหลังมือ ยาซึมเข้าผิวไปแล้วแต่เขายังไม่อยากละมือออก “มันพูดมาก รำคาญ”

                “แต่ผมว่าจอมน่ารักดีนะครับ ถ้ามีน้องชายก็อยากได้แบบนี้แหล่ะ บ้านจะได้ไม่เหงา”

                “แก้วหูจะแตกซะมากกว่า พูดมากเกินใคร” โหรส่ายหัว เลื่อนนิ้วจากหลังมือเขาลงไปใต้ฝ่ามือ สัมผัสกับความอ่อนนุ่มอย่างคนที่ไม่เคยแตะต้องงานหนัก “มือนุ่มจัง”

                กุมภ์ทำตาโต ชักมือกลับทันที นิ้วแดงเมื่อครู่กลายเป็นปื้นแดงและกระจายทั่วหน้าในพริบตา โหรกลั้นยิ้มไม่อยู่ไม่ค่อยได้เห็นผู้ชายอายนัก...มันก็น่ารักดีเหมือนกัน

                “เออ...ใครใช้ให้คุณแอบถ่ายรูปผม” พอคลายความอาย เจ้าตัวก็ถามเสียงขุ่น

(มีต่อ)               
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 23 : โอกาส] 30/03/2563
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 30-03-2020 20:47:57
(ต่อ)
                โหรถอยกลับไปนั่งเก้าอี้ตัวที่ปรางค์ครองมาทั้งวัน ขายกขึ้นไขว้กันสบายๆ ก่อนจะล้วงโทรศัพท์เครื่องใหม่เอี่ยมออกมาจากกระเป๋ากางเกง เลื่อนนิ้วคล่องแคล่วต่างจากเมื่อวาน แล้วยื่นให้คนบนเตียงดู “ไม่ใช่รูปเดียว เยอะจนแทบจะสร้างเป็นอัลบั้มได้เลยล่ะ”

                กุมภ์ถลึงตาใส่ ดึงโทรศัพท์จากมือ เลื่อนนิ้วดูรูปตัวเองในโทรศัพท์คนอื่น “รูปในเฟสบุ๊คผมนี่!”

                โหรไม่ปฏิเสธหรอกว่าเขาแอบเซฟรูปของกุมภ์มาจากเฟสบุ๊คไม่ใช่แค่รูปสองรูป แต่ร่วมยี่สิบรูปเลยล่ะ ทั้งจากเฟสบุ๊คส่วนตัว และที่เพื่อนๆ แท็กมาให้ ช่วยไม่ได้ใครใช้ให้น่ารักถูกใจเขากันล่ะ

                น่ารัก...นี่เขาใช้คำนี้กับกุมภ์มากี่ครั้งกันแล้ว

                “โรคจิต” กุมภ์พึมพำตอนที่ส่งโทรศัพท์คืนให้

                “เอารูปไปสิ จะได้หายกัน”

                “ไม่เอาหรอก หน้าโหดขนาดนี้ เดี๋ยวเขาจะหาผมเซฟรูปโจร”           

                โหรหัวเราะหึในคอ เรื่องหน้าดุนี่ไม่ปฏิเสธ เพราะมันคือพันธุกรรม ถึงจะได้เชื้อสายของแม่มาช่วยบ้างแต่เขาก็เหมือนปู่อยู่ดี นั่นเล่นเกมซ่อนตากันอยู่สักประเดี๋ยวพันนาก็โทรเข้ามา บอกว่ากำลังจะไปส่งไอ้แสบ แล้วพรุ่งนี้จะรีบมาก่อนเจ็ดโมง เขาตอบกลับไปสั้นๆ ก่อนจะวางสาย

                คนบนเตียงทำท่าอึกอัก คล้ายอยากจะพูดอะไรบางอย่าง โหรเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม เจ้าตัวถึงได้ยอมเอ่ยปาก

                “เอ่อ พัน...รู้เรื่องของเราไหม”

                “ไม่รู้เหมือนกัน...เขาไม่เคยบอกผม” โหรไม่ได้ปด พันนาไม่เคยเล่าหรือพูดอะไร มีเพียงแค่การกระทำเท่านั้นที่แสดงออกกลายๆ ว่ากำลังช่วยเขาอยู่? พันนาไม่ใช่พวกพูดมากเหมือนจ้าวจอมเสียด้วย แต่รายหลังก็สงบปากสงบได้ดีเกินคาดทั้งที่คงสงสัยว่าระหว่างเขากับกุมภ์มีอะไรซ่อนอยู่กันแน่

                “แล้วเขารู้ไหมว่า...เป็นเกย์”

                “ผมไม่ได้บอกใคร...แล้วผมก็มั่นใจว่า เพื่อนของคุณรวมทั้งครอบครัวจะไม่มีวันรังเกียจคุณ”

                มันไม่ใช่คำปลอบ หากแต่คือความจริง ที่กุมภ์เลือกจะปิดบังเพราะกลัวว่าจะถูกรังเกียจ ทว่ากุมภ์คงลืมไปว่ารอบตัวล้วนแต่มีที่รักและหวังดีกับกุมภ์ทั้งนั้น รวมทั้งครอบครัวที่อบอุ่น เขาเชื่อว่าหากกุมภ์ยอมเปิดใจ ไม่มีใครผลักไสกุมภ์ เพียงแต่บางคนคงใช้เวลาเสียหน่อย โดยเฉพาะกับปรางค์

                พอคิดถึงปรางค์ บางอย่างก็สะกิดขึ้นมาในใจอย่างอดไม่ได้ คนทั้งโลกดูออกว่าปรางค์มีใจให้กับกุมภ์ และเขาก็มั่นใจว่ากุมภ์ก็รู้ ถึงกุมภ์จะเป็นเกย์ แต่มันช่วยไม่ได้เลยที่เขาจะรู้สึกว่าปรางค์คือคู่แข่ง...ตัวเบ้งเสียด้วย

                “คุณกับปรางค์...”

                กุมภ์เลิกคิ้ว “กับปรางค์...ทำไมหรือครับ”

                “พวกคุณ”

                “เราเป็นเพื่อนกัน” กุมภ์ชิงตอบก่อนที่เขาจะถามจบด้วยซ้ำ “แต่ปรางค์ไม่รู้ว่าผมเป็นเกย์...ผมไม่กล้าบอกเธอ พอๆ กับไม่กล้าบอกกับคนอื่นนั่นแหล่ะ”

                โหรยิ้มบาง เอื้อมมือบีบที่หัวไหล่เล็กกว่าเบาๆ เป็นเชิงให้กำลังใจ “ผมรู้ว่ามันไม่ง่าย แต่ผมเชื่อว่าคุณทำได้ อีกอย่าง ถ้าคุณไม่ได้รู้สึกกับปรางค์เกินกว่าคำว่าเพื่อน คุณก็ควรจะรีบบอกเธอตั้งแต่เนิ่นๆ อย่าปล่อยให้เธอคิดไปไกล ไม่อย่างนั้นคุณจะเสียเพื่อนดีๆ ไป”

                กุมภ์ถอนหายใจดวงตาที่ทั้งคมทั้งสวยมีแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด “กลับไปผมจะบอกกับแม่ก่อน มันน่าจะง่ายกว่าคุยกับพ่อ”

                “เอาอย่างนั้นก็ได้” โหรเห็นด้วย “ทีนี้ก็มาถึงเรื่องของเรา”

                “เรื่องของเรา?”

                “ใช่” โหรพยักหน้า เลื่อนมือลงมากุมหลังมือขาวหลวมๆ “นอกจากผมจะขอโทษคุณแล้ว ผมยังอยากจะรู้จักคุณมากกว่านี้ อยากรู้ว่าคุณชอบอะไร เกลียดอะไร หรือกลัวอะไร ผมอยากให้เราเรียนรู้กันและกันไปพร้อมๆ กัน”

                กุมภ์กระพริบตารัว รู้สึกถึงไอร้อนที่แผ่ซ่านไปทั่วผิวหน้าลามไปถึงใบหู เขาแทบจะไม่ได้ยินคำพูดของโหรด้วยซ้ำ ได้ยินแต่เสียงอื้ออึงที่คล้ายกับจะดังมาจากในอก ตาก็พร่ามองเห็นอะไรไม่ชัด ทุกอย่างมันเร็วไปหมด เมื่อเดือนก่อนเขายังน้ำตาตกในเพราะคิดว่าโหรจะรังเกียจ แล้วสองวันมานี้มันเกิดอะไรขึ้น นอกจากโหรจะขอโทษแล้ว ยังทำเหมือนจะ ‘จีบ’ เขาอีกด้วย

                ทุกอย่างมันเร็วเกินไป เขาไม่เคยถูกใครจีบ หรือแม้แต่จะจีบใคร เพราะรสนิยมเลยจำเป็นต้องเก็บงำความรู้สึกเอาไว้

                ถึงตอนนี้เขายังไม่รู้เลยว่าเพราะอะไรถึงได้สนใจโหรมากกว่า ผู้ชายหน้าตาที่มีเกลื่อนกลาดในมหาวิทยาลัย อาจจะหล่อน้อยกว่ารุ่นพี่ที่เคยแอบชอบด้วยซ้ำ แต่อะไรบางอย่างในตัวโหรมันดึงดูดให้เขาเข้าหา นอกเหนือจากความสามารถในด้านที่น้อยคนนักจะทำได้

                คงเพราะ...ความห่วงใยที่ซ่อนอยู่ในดวงตาดุๆ นั่นล่ะมั้ง

                กุมภ์หายใจยาวกว่าปกติ เพื่อระงับอาการ ‘ใจเต้นแรง’ เพิ่งรู้ว่าการถูกคนที่ชอบจีบ มันรู้สึกแบบนี้นี่เอง จั๊กจี้หน่อยๆ แต่ก็ห้ามปากไม่ให้ยกยิ้มไม่ได้

                ทว่า...ยังมีอีกสิ่งที่คิดค้าง

                “ทำ...ทำไมคุณถึง ทำเหมือน...ชอบผมล่ะ”

                โหรเลิกคิ้วพลางเอียงคอมอง มือที่กุมอยู่บีบแน่นขึ้นกว่าเดิม “ผมเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน มันสบายใจมั้งที่ได้ทำแบบนี้ พอได้เลิกคิดว่าคุณเป็นเพศอะไร อะไรๆ มันก็ง่ายขึ้น ผมไม่ได้รู้สึกเหมือนตอนที่จีบ แพร...เอ่อ แฟนเก่าผมน่ะ ตอนนั้นผมเพิ่งจะ 18-19 ไม่เคยมีแฟน มันตื่นเต้นเชียวล่ะ ผมอยากจะเห็นหน้าเขาทุกวัน อารมณ์แบบแค่เป็นปลายผมก็ยังดี รักวัยรุ่นมันร้อนแรงเสมอ แต่กับคุณมันต่างออกไป...คุณไม่ได้ทำให้ผมตื่นเต้น แต่แค่คุณยิ้มได้ ไม่เจ็บ ไม่ป่วย ผมก็สบายใจ มันไม่หวือหวาแต่อบอุ่น...ในนี้”

                โหรจับมือไปทาบที่หน้าอกข้างซ้าย แผ่นอกกว้างสะท้อนตามจังหวะการเต้นของหัวใจ ริมฝีปากหยักสีเข้มคลี่ยิ้มบางเบา ดวงตาคมดุมีแววอ่อนโยนอย่างที่น้อยครั้งจะได้เห็น

                “ผมไม่รู้ว่ามันเรียกว่าชอบได้หรือเปล่า แต่คุณพิเศษกว่าคนอื่น”

                ถึงตอนนี้จะยังไม่ชัดเจน...แต่ก็ดีกว่าไม่มีโอกาส

                กุมภ์บอกกับตัวเองแบบนั้น…

 

                ไม่มีที่ไหนปลอดภัยมากกว่าบ้านของตัวเอง นั่นคือเรื่องจริง อ้อมกอดของพ่อและแม่อบอุ่นเสียยิ่งกว่าผ้าห่มร้อยผืนเสียอีก กุมภ์ซุกหน้าลงกับอกอุ่นของมารดา เพิ่งรู้ว่าคิดถึงท่านมากแค่ไหนก็ตอนนี้นี่เอง มืออ่อนนุ่มของท่านลูบแผ่วเบาที่ศีรษะ โดยมีบิดายืนอยู่ไม่ห่าง ไม่มีคำต่อว่าต่อขานเรื่องที่เขาไม่ดูแลตัวเองจนป่วยนอนหยอดน้ำเกลือเสียสองวัน

                ต้องขอบคุณความละเอียดอ่อนของปรางค์ เธอโทรมาถามเขาก่อนจะออกจากโรงพยาบาลว่าอยากจะได้อะไรมาฝากพ่อกับแม่ไหม เขาเลือกไม่เป็น เลยยกหน้าที่นี้ให้ปรางค์ เธอเก่งในเรื่องนี้อย่างที่คิดไว้ ทั้งขนมขึ้นชื่อ อัญมณี และสมุนไพรอีกหลายอย่าง

                “ไหนซื้ออะไรมาฝากแม่ เยอะแยะเลย” แม่ถาม พลางฉุดมือให้ลงไปนั่งด้วยกันบนโซฟานุ่มตัวใหญ่

                “ผมไม่ได้ซื้อเองหรอกครับ ปรางค์จัดการให้” เขายกความดีความชอบนี้ให้ปรางค์แต่เพียงผู้เดียว

                “หนูปรางค์นี่น่ารักจริง ตอนที่กุมภ์นอนโรงพยาบาล ปรางค์โทรมาหาแม่ทุกวัน เล่าให้ฟังว่าอาการของกุมภ์เป็นยังไง”

                “ครับ” กุมภ์ยิ้มรับ ปรางค์ก็เล่าเรื่องนี้ให้เขาฟังเหมือนกันระหว่างเดินทางกลับ แต่เขาไม่เหลือสติไม่มากพอที่จะฟังทุกเรื่องที่เธอเล่า ส่วนใหญ่เขาจะหลับและแอบตอบไลน์ใครบางคนมากกว่า

                หลังจากปลอบขวัญกันอยู่พักใหญ่ พ่อกับแม่ก็ปล่อยให้เขาได้พักผ่อน กระเป๋าเป้ถูกเด็กในบ้านยกขึ้นมาวางบนห้องพักเรียบร้อยแล้ว กุมภ์ทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มอบอุ่นที่หายห่างจากมันเสียหลายคืน ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่ถูกเปิดไว้คอยท่าช่วยทำให้ผ่อนคลายมากขึ้น ถึงจะสู้ลมจากธรรมชาติไม่ได้ก็ตามที

                สามชั่วโมง...ไม่ขาดไม่เกินจากนี้ที่เขาไม่ได้ติดต่อกับคนทางไกล แค่คิดถึงหน้าดุๆ โหดๆ ริมฝีปากก็ยกยิ้มอย่างห้ามไม่ได้เสียแล้ว

                แม้จะคิดถึง แต่เขาไม่อยากรบกวนอีกคน ตอนนี้หกโมงกว่าแล้ว คนๆ นั้นกำลังสวดมนต์อยู่หน้าหิ้งพระ พักใหญ่นั่นแหล่ะกว่าจะเสร็จสิ้นธุระ

                ข้อความสุดท้ายที่โหรพิมพ์ไว้คืออวยพรให้เขาผ่านพ้นเรื่องต่างๆ ไปด้วยดี

                กุมภ์ถอนหายใจ ปล่อยมือจากโทรศัพท์ เรื่องต่างๆ ที่โหรว่าคือ การยอมรับตัวตนและเปิดเผยให้คนที่รักรู้ มันไม่ง่ายแต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถ ขอเพียงแค่กล้าพอเท่านั้น เปลือกตาเหนื่อยล้าปิดลงภาพเหตุการณ์เมื่อคืนไหลย้อนอยู่ในความคิด

                เตียงนอนผู้ป่วยคับแคบเกินไปสำหรับผู้ชายสองคน ดังนั้นโหรเลยเลือกที่นอนพื้นข้างๆ แทนโซฟา โหรใช้แค่ผ้าห่มผืนบางปูนอนกับหมอนอีกใบ โดยมีแค่ปลายนิ้วที่เกาะเกี่ยวกันไว้แทบจะทั้งคืน แบ่งปันเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ซึ่งส่วนใหญ่ เรื่องของโหรสนุกและน่าสนใจกว่าเขานัก แต่โหรก็ตั้งใจฟัง ถามแทรกเป็นระยะ จนสุดท้ายก็มีคำถามที่เขารู้ตัวว่าเป็นเกย์ตั้งแต่เมื่อไร เขาตอบไปตามความเป็นจริงแถมยังเล่าเรื่องที่เขาเคยแอบชอบรุ่นพี่คนหนึ่งด้วย แต่สุดท้ายก็อกหักเพราะอีกฝ่ายมีแฟนเป็นผู้หญิงแถมยังท้องก่อนแต่งอีก

                โหรนิ่งไปชั่วอึดใจก่อนจะถามถึงรูปร่างของรุ่นพี่คนนั้น เขาไมโกหกหรอกว่ารักแรกของเขาหล่อเหลาเอาการไม่หยอกแบบหนุ่มในเมือง เขาได้ยินเสียงโหรหัวเราะในคอเบาๆ แต่ก็ไม่ได้พูดแทรกอะไร และกลายเป็นฝ่ายเขาที่ถามถึงรักครั้งแรกของโหรบ้าง

                แฟนคนแรกของโหรชื่อ ‘แพร’ เธอเป็นผู้หญิงสวย หน้าตาคมคาย ผิวพรรณขาวสะอาด เป็นผู้หญิงที่ผู้ชายเกือบทั้งมหาวิทยาลัยปรารถนาจะได้ครอบครอง แล้วเธอก็เลือกโหร โหรจริงจังกับผู้หญิงคนนี้มากเพราะไม่เคยรักใครมาก่อน ถึงกับวางแผนแต่งงานสร้างครอบครัว แต่ก็ไม่รอดเพราะรักแท้แพ้ความสุขสบาย โหรเล่าว่าประวัติศาสตร์ความรักของตนกับพ่อเหมือนกันไม่มีผิด คือถูกทิ้ง

                ‘ผมได้ข่าวว่าเธอแต่งงานกับนักธุรกิจต่างชาติไปแล้วเมื่อสามปีก่อน ตอนนี้คงสุขสบายอยู่กองเงินกองทอง’

                นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่โหรพูดถึงแพร

                แวบแรกที่ได้ยินโหรเล่าเรื่องคนรัก เขาแอบอิจฉาเธอ น้อยคนนักจะรู้ว่าโหรเป็นผู้ชายอบอุ่นและอ่อนโยน แม้ว่าภายนอกจะดูกระด้างกระเดื่อง ซ้ำยังหน้ายังโหด ตาดุเหมือนเสือ คิดไม่ออกเลยว่าตอนมีแฟนโหรปฏิบัติตัวต่อเธออย่างไร

                ความสัมพันธ์ของพวกเขาในตอนนี้ยังห่างไกลคำว่า ‘คนรัก’ หรือ ‘แฟน’ แต่เขานิยามมันว่า ‘ความรู้สึกดีที่มีให้กัน’ เขาอบอุ่นหัวใจและปลอดภัยเมื่อได้อยู่ใกล้โหร ขณะที่โหรก็พูดคุยอย่างเป็นกันเองมากกว่าเดิมหลายเท่า เขาได้เห็นหลายมุมที่ไม่เคยได้เห็น แม้จะเพียงแค่ข้ามคืนก็เถอะ พวกเขานอนแตะปลายนิ้วกันแล้วก็หลับไป ทุกอย่างเหมือนความฝัน แต่สิ่งที่อิ่มเอมอยู่ในใจมันยืนยันว่าคือเรื่องจริง

                แต่ยังมีสิ่งที่เขาจะต้องทำ และจำเป็นมาก

 :mew3:

*พอมันหวานก็จะแปลกๆ เนาะ มี nc ด้วยนะ แต่ต้องรอนิดนุง*

**รักษาสุขภาพกันด้วยเด้อ**

***เจอกันวันศุกร์หรือไม่ก็เสาร์นะจ๊ะ***
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 23 : โอกาส] 30/03/2563
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 30-03-2020 21:22:44
ระวังความมุ่งมั่นของผู้หญิง บางครั้งก็ก่อเรื่องร้ายๆได้

มีตัวอย่างเห็นๆ เนอะ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 23 : โอกาส] 30/03/2563
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 30-03-2020 21:27:14
กุมภ์ต้องไปเคลียร์กับปรางค์ให้ชัดเจนเลยนะ
แพ้พี่โหรเวอร์ชั่นอบอุ่นนี้จัง เขินน :o8:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 23 : โอกาส] 30/03/2563
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 30-03-2020 22:38:37
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 23 : โอกาส] 30/03/2563
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 30-03-2020 23:14:05
ต้องผ่านไปได้ด้วยดีแน่นอน เอาใจช่วยนะทั้งสองคน
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 23 : โอกาส] 30/03/2563
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 31-03-2020 16:29:26
 :กอด1: :กอด1:
โหมดนี้ โหรน่ารักมากเลยนะ อย่างว่านะเหมาะกับภุมภ์มาก
เอาใจช่วยกุมภ์เรื่องพ่อแม่ และปรางค์ ขอให้ผ่านไปด้วยดี
สู้ๆ น้าาา
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 23 : โอกาส] 30/03/2563
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 31-03-2020 20:07:00
อยากเห็นพี่โหรจีบน้อง อยากรู้ว่าจะน่ารักขนาดไหน
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 23 : โอกาส] 30/03/2563
เริ่มหัวข้อโดย: Rateesiri ที่ 31-03-2020 23:19:43
รอ nC  เลยจ้า
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 23 : โอกาส] 30/03/2563
เริ่มหัวข้อโดย: tuek ที่ 03-04-2020 17:32:32
เพิ่งเข้ามาอ่านเรื่องนี้สนุกมากๆ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 23 : โอกาส] 30/03/2563
เริ่มหัวข้อโดย: nizxx ที่ 04-04-2020 13:48:38
ชอบเวลาเขาอยู่ด้วยกันมาก มันอุ่นๆเหมือนอยู่ร้านกาแฟอะ แต่ปรางนิสัยแย่นะ ไปเผือกแ่านของคนอื่น อยากรุ้ไปเสียหมด ทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของแต่เขาไม่มองผู้หญิงจ้า ทุกคนล้วนจับคู่ให้รชต เออ เราว่าไปกันได้นะ5555555
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 23 : โอกาส] 30/03/2563
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 04-04-2020 20:11:40
เข้ามารอออ  :-[
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 24 : เรื่องที่ไม่ง่าย] 05/04/2563
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 05-04-2020 18:43:06
ตอนที่ 24 เรื่องที่ไม่ง่าย

                ก๊อก ก๊อก

                เสียงเคาะประตูหน้าห้องดังตอนเกือบสี่ทุ่ม สามียังสวดมนต์อยู่ในห้องพระ อีกครึ่งชั่วโมงถึงจะกลับเข้ามานอน เป็นกิจวัตรทียงยศทำตั้งแต่วัยหนุ่ม แม้ว่าตอนนี้จะร่วมหกสิบปีก็ยังปฏิบัติมาต่อเนื่อง คราแรกที่รู้จักกันเธอแทบไม่เชื่อเลยว่าผู้ชายท่าทางห่ามจัดอย่างยงยศจะสวดมนต์เป็น แต่เมื่อได้มาแต่งงานร่วมหอลงโลงด้วยกันแล้ว ถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วยงยศเป็นคนธรรมะธรรมโมมากพอดู

                ร่างที่ยังผอมบางแม้วัยจะใกล้ปลดเกษียณเต็มทีลุกขึ้นจากเตียงนอน วางหนังสือเล่มโปรดไว้กับโต๊ะตัวเล็ก พอเปิดประตูออกก็พบกับร่างสูงโปร่งของบุตรชาย

                “อ้าวกุมภ์ ยังไม่นอนอีกเหรอลูก เข้ามาก่อนสิ”

                กัญญาแปลกใจที่เห็นร่างสูงโปร่งของบุตรชาย หลายปีแล้วที่กุมภ์ไม่ได้เคาะเรียกกลางดึกตั้งแต่หายกลัวฟ้าผ่า หรืออาจจะช่วงที่กุมภ์เริ่มเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ความขี้อ้อนเลยพลอยหายไปด้วย มาถึงตรงนี้เธอเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าความใกล้ชิดที่เคยมีมันห่างหายไป ไม่รู้ว่าเพราะเธอกับสามียุ่งอยู่กับงานหรือเพราะกุมภ์โตเกินกว่าจะอ้อนพ่อแม่แล้ว

                “พ่อยังสวดมนต์ไม่เสร็จหรือครับ”

                “ยังหรอกจ้ะ คงอีกพักใหญ่ๆ กุมภ์มีอะไรหรือเปล่า?”

                กุมภ์ยังไม่ตอบคำถาม ส่งสายตาขออนุญาตเข้ามาในห้อง เธอเบี่ยงตัวหลบให้ลูกชาย รอกระทั่งกุมภ์เลือกที่นั่งให้ตัวเองถึงได้ปิดประตูก่อนจะเดินตามเข้าไป

                กุมภ์ในวัยยี่สิบปีสวมชุดนอนสีอ่อน นั่งอยู่บนขอบเตียง ชวนให้นึกถึงเด็กชายกุมภ์เมื่อสิบปีก่อน แม้รูปร่างจะเปลี่ยนไป แต่โครงหน้าที่ยังซ่อนความอ่อนเยาว์ให้เห็นมันชวนให้คนเป็นแม่อดยิ้มด้วยความเอ็นดูไม่ได้ กัญญายกมือขึ้นลูบเส้นผมชื้น ถึงจะโตแค่ไหนแต่กุมภ์ก็หลงลืมดูแลตัวเอง เพิ่งจะฟื้นไข้แต่อาบน้ำผมเปียกไม่ยอมเป่าให้แห้ง

                “ทำไมไม่เช็ดผมให้แห้งล่ะลูก เดี๋ยวก็ป่วยอีก แม่เป็นห่วงนะ ไม่รู้หรือไง” เธอเอ็ดลูกชายเบาๆ หันไปคว้าผ้าขนหนูมาเช็ดผมให้ กุมภ์นั่งนิ่งเหมือนเด็กห้าขวบ ใบหน้าหล่อเหลาเงยหน้าขึ้นมอง แก้วตาใสมีแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด

                “แม่ครับ”

                “ว่าไง”

                กุมภ์จับมือที่กำลังช่วยเช็ดผม แล้วดึงมากุมไว้ พลางผ่อนลมหายใจเข้าออกยาวๆ หลายครั้งจนความสงสัยก่อตัว กัญญาเอียงคอมองบุตรชาย รู้ได้ทันทีว่ากุมภ์มีเรื่องไม่สบายใจ แต่ก็ยังไม่กล้าพอที่จะเอ่ยปาก

                “กุมภ์...มีอะไรบอกแม่ได้นะ เห็นลูกทำหน้าแบบนี้แล้วแม่ไม่สบายใจ”

                “คือ...กุมภ์มีบางอย่างอยากจะบอกแม่” กุมภ์ก้มหน้าลง มือที่กุมบีบแน่นขึ้น สำหรับคนเป็นแม่ย่อมรู้ดีว่าลูกมีเรื่องทุกข์อยู่ในใจอย่างแน่นอน “กุมภ์อยากบอกแม่ก่อน...แล้วค่อยบอกพ่อทีหลัง” กุมภ์เงียบไปอีกพักใหญ่ ปลายนิ้วสั่นจนรู้สึกได้ กัญญาเลื่อนมือจากเส้นผมไปที่แผ่นหลัง ลูบขึ้นลงเบาๆ รู้สึกถึงแรงสั่นสะท้านจากจังหวะหายใจ “แม่...กุมภ์เป็น...เกย์”

                นอกจากคำสารภาพแล้วกุมภ์ยังรู้สึกเหมือนมีบางอย่างหลุดออกมาจากลำคอด้วย ทุกอย่างมันโล่งไปหมด รวมทั้งหัวสมองด้วย เขากลายเป็นคนไร้ความคิดไปชั่วขณะ หูอื้อ ตาลายไปหมด แต่กลับตัวสั่นอย่างห้ามไม่อยู่ เขาพูดมันออกไปแล้ว สิ่งที่ปิดบังมานาน รสนิยมที่น้อยคนจะรับได้ ยิ่งเป็นผู้ให้กำเนิด เขาไม่แปลกใจหากท่านจะตบตีหรือด่าว่าเพราะเขาเป็นลูกชายเพียงคนเดียว เป็นความหวังของวงศ์ตระกูล ไหนจะการเลี้ยงดูที่ไม่เคยมีจุดไหนที่จะทำให้เขากลายเป็นคนผิดเพศ...ทุกอย่างมันเกิดจากตัวเขาเอง

                แม่ไม่พูดอะไร มือที่ลูบหลังก็หยุดชะงักไปด้วย เขาไม่กล้าเงยหน้ามองแม่เลย เพียงแค่อาการหยุดนิ่งของท่านก็เหมือนกับมีใครเอาน้ำแข็งมาสาดใส่หน้าแล้ว มันชาจนปวดหนึบไปหมด มันไม่ง่ายเลยกับการยอมรับ น่าแปลกใจที่ทำไมโหรถึงยอมรับเขาได้

                กุมภ์ปล่อยมือจากแม่ แต่ก่อนที่ปลายนิ้วจะหลุดออกจากกัน ฝ่ามือเล็กแต่อบอุ่นก็บีบเอาไว้เสียก่อน กุมภ์เงยหน้าผู้หญิงที่รักมากที่สุดในชีวิต ดวงตาของท่านมองตรงมา มันไม่ได้มีแววตัดพ้อ ด่าทอเหมือนเกรี้ยวกราดเหมือนอย่างที่คิดไว้ หากแต่สั่นไหวจนเขายิ่งใจเสีย

                “แม่...ครับ”

                “จริงหรือลูก?” น้ำเสียงของท่านสั่นเครือ “ไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม”

                “ครับ...เป็นเรื่องจริง” และเป็นความจริงที่แสนเจ็บปวด ตนตัวของเขามันน่ารังเกียจเกินไป ซ้ำยังทำให้บุพการีต้องเสียใจ

                “กุมภ์....”

                “ผมขอโทษครับแม่ ที่ทำให้แม่ผิดหวัง” กุมภ์ก้มหน้าลง ในโพรงจมูกแสบร้อนไปหมด บีบมือมารดาแน่น ช่องท้องปั่นป่วนจนอยากจะอาเจียน การมองเห็นพร่ามัวไม่ชัดเจน ความอ่อนแอกำลังปะทุขึ้นมาอย่างเกินควบคุม

                “แม่...กุมภ์กลับห้องไปก่อนนะลูก...พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”

                กุมภ์ไม่คัดค้านตอนที่ท่านปล่อยมือ เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าลุกขึ้นยืนแล้วเดินกลับมาที่ห้องของตัวเองตั้งแต่เมื่อไร สมองเหมือนถูกคว้านออกจากกะโหลก กระบอกตาร้อนผ่าวไปหมด แต่ร่างกายกลับชาวูบ ตอนแรกเขาคิดว่าตัวเองจะร้องไห้ต่อหน้าแม่ แต่เอาเข้าจริงๆ เขากลับไม่มีน้ำตาสักหยด รู้สึกจุกแน่นไปหมด ลำคอตีบตัน อึดอัดจนผะอืดผะอม ความเครียดก่อตัวเป็นพายุลูกใหญ่ส่งผลให้ร่างกายที่เพิ่งฟื้นจากพิษไข้อ่อนล้ากว่าเดิม กระเพาะบิดตัวรุนแรงจนสุดท้ายก็ต้องวิ่งพรวดพราดเข้าไปในห้องน้ำ กระเพาะขย้อนเอาของเก่าออกมาอยู่หลายรอบ กุมภ์หายใจแรงจนตัวโยน ก่อนจะไถลร่างลงกับพื้น

                ทำไมคนในครอบครัวถึงยอมรับตัวตนของเขาไม่ได้

                เขามันน่ารังเกียจจริงๆ...

 

                กุมภ์ออกจากบ้านตั้งแต่ก่อนหกโมงเช้า ทั้งที่วันนี้มีเรียนตอนเก้าโมง มาถึงมหาวิทยาลัยยังไม่เจ็ดโมงด้วยซ้ำ ร่วมอาทิตย์แล้วที่เขาได้พบกับบรรยากาศสงบ ผู้คนบางตา มีนักศึกษาไม่กี่คนที่มาเรียนแต่เช้าเหมือนเขา โต๊ะหินอ่อนใต้อาคารเรียนโล่งจนน่าใจหาย อันที่จริงเขาสามารถเลือกหลบอยู่ในร้านกาแฟดังข้างมหาวิทยาลัยก็ได้ แต่เขาชอบสัมผัสธรรมชาติมากกว่า คงเพราะความรู้สึกบางอย่างมันติดตัวนับตั้งแต่การผจญภัยครั้งนั้น

                มื้อเช้าง่ายหาได้จากร้านสะดวกซื้อ เขาไม่ใช่พวกกินยาก ถึงแม้ว่าตอนเด็กๆ แม่จะบ่นว่าเขาชอบอมข้าวก็เถอะ

                พูดถึงแม่ ห้าหรือหกวันแล้วที่เขาหลบหน้าท่าน ไม่ใช่แค่แม่ แต่กับพ่อก็ด้วย เขาขี้ขลาดเกินกว่าจะเจอหน้าใคร ถ้อยคำและแววตาของท่านยังติดอยู่ในความทรงจำ ถึงจะไม่ใช่ความโกรธเคืองแต่ก็ไม่ใช่ยินดี

                โทรศัพท์มือถือสั่นเบาๆ ในกระเป๋ากางเกง ใครบางคนยังตรงเวลาเสมอ เจ็ดโมงตรงจะต้องส่งสติ๊กเกอร์ทักทายพร้อมทั้งชวนพูดคุย พักหลังโหรใช้โทรศัพท์คล่องขึ้น พิมพ์ตอบโต้ได้เร็วซ้ำยังรู้จักหาแค็ปชั่นมาทำให้เขาลืมเรื่องทุกข์ใจได้

                สติ๊กเกอร์โคนี่ตัวขาวโบกมือทักทาย หลังจากนั้นก็เป็นการถามไถ่ โหรรู้ว่าเขาบอกกับแม่ไปแล้วว่าเป็นเกย์ และท่านทำท่าเหมือนจะรับไม่ได้ โหรให้กำลังใจ เชื่อว่าสักวันความรักที่แม่มีให้ลูกจะทำให้แม่ยอมรับเขาได้ แถมยังกำชับให้เขาเป็นเด็กดี ตั้งใจเรียน อย่าทำให้แม่ต้องเสียใจอีก แค่พูดมันก็ง่ายอยู่หรอก แต่เอาเข้าจริงแค่มองหน้าพวกท่านเขายังทำใจไม่ได้เลย

                คุยกันไม่นาน ไลน์ในกลุ่มก็ดังตามมา รชตเป็นคนเปิดจากนั้นคนอื่นๆ ก็ตามมาสมทบ เขาเปิดอ่านไปพร้อมกับกัดแซนด์วิชอบเข้าปาก พลัดกับดูดกาแฟแก้วละไม่กี่สิบบาท ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยกลับเข้าที่อีกครั้ง ความกระตือรือร้น ความวุ่นวายถามหาตั้งแต่วันแรกที่เปิดเรียนด้วยซ้ำ กิจกรรมโอเพ่นเฮาส์จะเริ่มในเดือนหน้า แต่ต้องมีการเตรียมตัวแต่เนิ่นๆ แน่นอนว่ารุ่นพี่ปีสองอย่างพันนาต้องเข้าไปช่วยทั้งรุ่นน้องและรุ่นพี่ เหมือนตัวเชื่อม หน้าที่เลยมากกว่าใคร ส่วนเขาได้แต่ช่วยห่างๆ เพราะไม่ถนัดกิจกรรมสักเท่าไร อย่างมากก็คงช่วยจัดบอร์ดหรือไม่ก็แจกใบปลิวประชาสัมพันธ์คณะ

                แต่คนที่น่าจะเรียกความสนใจได้มากกว่าใครคงจะเป็นชาร์ล หนุ่มลูกครึ่งรูปหล่อที่เกือบจะได้เป็นเดือนคณะเมื่อปีก่อน แต่เจ้าตัวสละสิทธิ์ตำแหน่งนี้เลยตกเป็นคน ‘อิฐ’ หนุ่มหล่ออีกคน

                คณะของพวกเขาค่อนข้างตึงเครียด กิจกรรมสนุกสนานอย่างพวกนิเทศฯ หรือสถาปัตย์ฯ ไม่ค่อยจะมีนัก ดังนั้นพอมีกิจกรรมทีเลยตื่นเต้นกันใหญ่ พันนากลับบ้านดึกแทบทุกวัน บ่นปวดหลังให้ฟังตลอด ร้อนถึงเด็กแสบต้องขโมยยาจากโหรส่งไปรษณีย์มาให้

                ไม่ใช่โหรที่รู้ความเป็นไปของพวกเขา จ้าวจอมก็ด้วย และดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของพันนากับโหรจะพัฒนาไปด้วยเช่นกัน เขาไม่รู้ว่าสองคนนั้นสนิทกันมากแค่ไหน แต่อะไรบางอย่างบอกกับเขาว่าไม่ใช่พี่กับน้องแน่นอน

                “ไอ้กุมภ์ ทำไมหมู่นี้มึงมาเร็วนักวะ ปกติกูเห็นฉิวเฉียดทุกที”

                แรงกอดที่หัวไหล่พร้อมกับคำทักทายที่แสนจะเป็นกันเองดึงให้เขาหลุดจากโลกของโทรศัพท์มือถือ รชตนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่อยู่ข้างๆ กัน พลางวางแก้วกาแฟจากร้านดังมีชื่อเจ้าของแก้วเขียนเอาไว้ด้วย

                “มึงก็มาเร็ว เดี๋ยวตื่นเร็วนะ ตั้งแต่ไปบวชมาเนี่ย” เขาแซว แต่ก่อนรชตจะเป็นคนสายที่สุดในกลุ่ม ทำอะไรเชื่องช้า ทว่าการได้บวชเรียนแม้จะเพียงแค่เดือนเดียวก็เปลี่ยนรชตได้ นอกจากจะตื่นเร็วยังมีสติมากขึ้นอีกด้วย

                “เคยชินว่ะ ถึงจะไม่มีเสียงไก่ขันก็เถอะ บางคืนกูก็ผวาตื่นกลัวพิกุลมาหา” รชตพูดติดตลก คิดว่าเรื่องของพิกุลจะอยู่ในความทรงจำของรชตตลอดไป

                “ว่าแต่มึงเถอะ รู้หรือเปล่าว่าพี่โหรจะมากรุงเทพฯ”

                “อะไรนะ? แค่ก แค่ก” กุมภ์เลักกาแฟ ต้องไอออกมาสองสามครั้งถึงดีขึ้น

                “อะไรวะ คุยกันทุกวันดันไม่ยอมบอก” รชตเลิกคิ้วสูง “พี่โหรไลน์ถามกูว่าคิวรถตู้มันจอดที่ไหน กูเลยบอกให้เขามาลงที่หมอชิตเลยเดี๋ยวกูไปรับ”

                “แล้วเขาจะมากรุงเทพฯ ทำไม” แม้จะเคืองที่โหรไม่เคยบอกว่าจะมากรุงเทพฯ แต่ความอยากรู้มันมีมากกว่า

                “มาหาพ่อมั้ง ก็เพิ่งรู้ว่าพ่อพี่โหรอยู่กรุงเทพฯ” รชตพูดเรียบๆ ก่อนจะดูดกาแฟของตัวเอง แล้วด่ำดิ่งกับโทรศัพท์มือถือ ทิ้งให้เขาอยู่กับความข้องใจเล็กๆ และเรื่องพ่อของโหร...

 

                กุมภ์พยายามถ่วงเวลากลับบ้านทุกวัน เขาจะเข้าบ้านหลังทุ่มตรงไปแล้ว บางวันก็เดินเรื่อยเปื่อยในห้างจนเกือบสองทุ่ม เพื่อที่จะไม่ได้ต้องเจอหน้าพ่อกับแม่ เป็นวิธีที่แย่และขี้ขลาด แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่นจริงๆ เขาไม่อยากเห็นแววตาแบบนั้นจากแม่หรือพ่ออีก มันเจ็บเหมือนโดนหนามทิ่มลงในหัวใจ โหรเคยบอกว่าต้องเรื่องแบบนี้ต้องใช้เวลา ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่ามันจะนานแค่ไหน แต่ยิ่งนับวันความอึดอัด ความเครียดก็ยิ่งถาโถม แค่เข้าไปในบ้านเขาก็รู้สึกเหมือนถูกรัดด้วยเชือกที่มองไม่เห็น

                ไม่มีใครรู้ว่าเขาอาเจียนทุกคืน และหลับไปพร้อมกับอาการปวดร้าวรอบศีรษะ

                กุมภ์เดินตัดจากที่จอดรถไปยังหลังบ้าน ทางเดินเล็กและมืดไม่ใช่ปัญหาเพราะเขารู้จักบ้านหลังนี้ตั้งแต่เกิด ประตูบานเล็กแง้มเอาไว้ เพราะป้าจิ๋วยังไม่นอน เขามักจะเจอป้าจิ๋วง่วนอยู่กับการเก็บทำความสะอาดจานชามพร้อมกับพี่สวย สาวชาวพม่าที่มาทำงานได้หลายปีแล้ว

                “อ้าวน้องกุมภ์ กลับมาแล้วเหรอคะ กินอะไรหรือยัง เดี๋ยวพี่อุ่นพะโล้ให้เอาไหมคะ” พี่สวยที่หันมาเห็นเขาพอดีเอ่ยทัก พี่สวยอยู่ประเทศไทยมาเกือบยี่สิบปีแล้ว ทั้งสำเนียงและคำพูดเลยชัดชนิดที่ถ้าไม่บอกเชื้อชาติไม่มีทางรู้เลยว่าไมใช่คนไทย

                กุมภ์ส่ายหัว เขาแวะกินก๋วยเตี๋ยวข้างทางมาแล้ว “ขอบคุณครับพี่สวย ผมไปก่อนนะครับ”

                พี่สวยไม่ได้ตื้อถาม เช่นเดียวกับป้าจิ๋ว ทั้งคู่ยิ้มให้เขาแล้วหันกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ

                พ่อกับแม่นั่งอยู่บนโซฟาเบื้องหน้าคือจอทีวีขนาดใหญ่ เสียงรายการประกวดร้องเพลงดังมากพอที่จะกลบเสียงฝีเท้าของเขาได้ กุมภ์งับประตูปิดเบาๆ ก่อนจะทิ้งทั้งกระเป๋าและตัวเองลงบนเตียงนอน มันอึดอัดเสียจนหายใจแทบไม่ได้ ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไปเขาคงขาดใจตายเสียก่อน บางทีเขาอาจจะขอย้ายออกไปอยู่หอพักใกล้มหาวิทยาลัย หรืออาจจะเป็นคอนโดเดียวกับที่ชาร์ลอยู่

                โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงสั่นน้อยๆ กุมภ์ยกยิ้มอัตโนมัติ หนึ่งทุ่มครึ่งจะมีไลน์มารายงานว่าวันนี้กินอะไรเป็นมื้อเย็น กุมภ์เลื่อนเปิดอ่านข้อความ วันนี้โหรมีผัดกระเพราเนื้อที่ท่าทางจะเผ็ดน่าดู หมู่นี้โหรถ่ายรูปเก่งขึ้น แค่กระเพราราดข้าวยังดูสวยเหมือนอยู่ในร้านดัง นี่ถ้าไม่บอกคงคิดว่าโหรเรียนถ่ายรูปมาแน่ หรือไม่เจ้าตัวคงไปขอเทคนิคมาจากพันนา รายนั้นถ่ายรูปสวยยิ่งกว่าช่างภาพเสียอีก

                เขาเกือบจะพิมพ์ตอบกลับไปว่าน่ากิน ทว่านึกขึ้นมาได้ โหรยังไม่ได้บอกเขาเรื่องมากรุงเทพฯ แถมวันนี้เขาเรียนหนักจนเพิ่งมีเวลาจับโทรศัพท์ แต่ก่อนที่จะพิมพ์ถามไป เสียงเคาะประตูก็ดึงขึ้นเสียก่อน

                “กุมภ์...แม่เอง”

                ช่วงเวลาที่น่าอึดอัดจนชวนอาเจียนวนลูปซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่คราวนี้มันยิ่งกว่าเป็นร้อยเท่า เบื้องหน้าของเขาคือร่างของผู้ให้กำเนิด ภายในห้องเงียบจนได้ยินเสียงหัวใจตัวเอง มันไม่ได้เต้นเร็วหากแต่เชื่องช้าและแผ่วเบาอย่างผิดปกติ เขาเตรียมใจเอาไว้แล้ว ไม่ว่าจะคำด่าทอ ต่อว่าหรือแม้แต่การไล่ส่งเขาก็ยินดีรับมัน

                กุมภ์นั่งบนพื้นพรมขณะที่แม่นั่งบนเตียง หลายปีแล้วที่แม่ไม่ได้เข้ามาหาถึงห้อง คงตั้งแต่เขาเลิกกลัวเสียงฟ้าร้องกระมัง เท้าของแม่เล็กแต่เขารู้ว่าแม่ผ่านอะไรมาบ้าง รูปร่างที่ยังคงผอมบางไม่เปลี่ยน แม่ของเขาเป็นคนสวย สมเป็นลูกสาวผู้ดีเก่า คุณทวดเคยเห็นข้ารับใช้ในวัง ได้แต่งงานกับนายทหารใหญ่ ตอนแต่งงานเลยได้ที่ดินผืนใหญ่เป็นสินสมรส และกลายเป็นบ้านหลังนี้ในที่สุด

                ไม่ใช่แค่ความสวย แต่ความงดงามทางมารยาทแม่ยังได้รับการถ่ายทอดมาจากคุณทวดอีกด้วย แต่คุณทวดจากไปก่อนที่เขาจะเกิด เลยมีโอกาสได้เห็นแค่รูปถ่ายในห้องพระเท่านั้น

                กุมภ์กล้ามองแค่เท้าของแม่เท่านั้น เวลาผ่านไปนานจนขาเริ่มปวดหนึบจากท่านั่งที่ไม่สบายนัก แต่เพียงแค่เขาขยับตัว แม่ก็พูดขึ้น

                “ขึ้นมานั่งกับแม่สิ ไปนั่งบนพื้นทำไม”

                น้ำเสียงของท่านอ่อนโยนไม่เปลี่ยน แต่นั่นยิ่งทำให้รู้สึกแย่ กุมภ์ยืดตัวลุกขึ้นมานั่งบนเตียงข้างมารดา ฝืนใจเงยหน้ามองท่าน นึกดีใจที่อย่างน้อยก็ไม่ได้เห็นดวงตาสั่นคลอนเหมือนวันก่อน

                “ผอมลงหรือเปล่า” ท่านถาม ฝ่ามืออบอุ่นลูบลงไปที่แผ่นหลัง “แม่เป็นห่วงรู้ไหม”

                “ผมขอโทษครับ” กุมภ์พึมพำ

                “กุมภ์” เสียงของแม่แผ่วเบา มือเล็กลูบเลยขึ้นมาบนศีรษะ “ทำไมเพิ่งมาบอกแม่”

                “ครับ?”

                “ทำไมเพิ่งมาบอกแม่ว่าเป็น...เกย์”

                กุมภ์ถอนหายใจ เรื่องอย่างนี้มันง่ายเสียที่ไหนกัน จริงๆ แล้วเขาไม่อยากบอกใครเลยด้วยซ้ำ ตั้งใจจะเก็บมันเป็นความลับไปตลอดชีวิต แต่กลับปิดโหรไม่ได้ รายนั้นแค่มีเพื่อนเป็นเกย์ก็รู้เสียแล้ว

                “ผมไม่รู้จะบอกยังไง แล้วผมก็ไม่อยากถูกพ่อกับแม่รังเกียจ” กุมภ์บอก กระบอกตาร้อนผ่าว โพรงจมูกแสบร้อน ลำคอตีบตัน ท้องไส้ปั่นป่วนไปหมด และอยากจะอาเจียน อาการเหมือนคืนนั้นไม่มีผิด เป็นความทรมานที่คงไม่มีวันหาย

                “แล้วทำไมแม่ต้องรังเกียจลูกตัวเอง” ปลายนิ้วที่ลูบเส้นผมเลื่อนลงมาที่ใบหน้า ฝ่ามืออบอุ่นประคองสองแก้มเอาไว้ ดวงตาของผู้เป็นแม่เต็มไปด้วยความห่วงใย “แม่ขอโทษที่ทำให้ลูกเสียใจ คืนนั้นแม่แค่ตกใจ...แล้วที่ถามก็เพราะว่าลูกบอกแม่ช้าไป แม่น่ะคิดว่าลูกกับหนูปรางค์...”

                “ปรางค์เป็นเพื่อนที่ดีครับ” กุมภ์แทรกขึ้นก่อนที่ท่านจะพูดจบ เอียงหน้าซบลงกับฝ่ามืออุ่น

                “กุมภ์...แม่รักลูกนะ ถึงกุมภ์จะ...ชอบผู้ชาย” ปลายเสียงของท่านแผ่วเบาและสั่นเครือ คล้ายกำลังกลั้นสะอื้น “...แม่ก็รับได้”

                “แม่...ครับ”

                กุมภ์สอดมือรัดรอบเอวบางซุกหน้าลงกับอกอุ่น น้ำตาไหลผ่านแก้มง่ายดาย อคติขุ่นข้องทั้งหลายถูกทำลายลงเพียงแค่คำว่ายอมรับจากคนที่รักที่สุด อาการคลื่นไส้หายราวกับได้รับยาวิเศษ มือเล็กๆ ที่เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เกิดโอบกอดกลับ ไม่มีถ้อยคำหวานซึ้งระหว่างแม่ลูก คงมีแค่สายใยและความเข้าใจที่สื่อถึงกัน

                ถึงไม่ง่าย แต่มันก็ไม่ได้ยาก แค่ต้องใช้เวลาและกำลังใจเท่านั้นเอง...

 

                “อือ แม่ยอมรับเรื่องที่ผมเป็นเกย์แล้ว แต่ผมไม่ได้เล่าเรื่องพี่หรอกนะ”

                ‘ไม่เป็นไร เอาไว้พร้อมแล้วค่อยบอกก็ได้’

                “พี่ไม่โกรธนะ”

                ‘ผมโตพอที่จะรู้ถึงความสำคัญของเวลา แค่ยอมรับได้ แม่คุณก็เก่งมากแล้ว ให้เวลาท่านอีกสักหน่อยจะดีกว่า’

                กุมภ์พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของอีกฝ่าย แค่นี้แม่ก็เก่งมากแล้ว ผู้หญิงเป็นเพศที่เข้มแข็งผิดกับรูปลักษณ์ภายนอก รอยยิ้มไม่ได้จางหายไปจากใบหน้าแม้ว่าจะผ่านช่วงเวลาแห่งความทรงจำไปพักใหญ่แล้ว แม่ได้คาดคั้นถามถึงเหตุผลว่าทำไมเขาถึงเป็นเกย์ ที่จริงแล้วต้องบอกว่าแม่ไม่ได้ถามอะไรเลย ท่านแค่กอดเขาไว้และช่วยเช็ดน้ำตา แค่รอยยิ้มอ่อนโยนและอ้อมกอดที่อบอุ่นแค่นี้ก็มากเกินพอแล้ว

                ‘แล้วคุณจะบอกกับพ่อเมื่อไร’

                กุมภ์กำลังจะให้คำตอบ เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าโหรยังไม่ได้เล่าเรื่องที่จะเข้ากรุงเทพฯ มาหาพ่อ เขาไถลตัวลงมานอนหนุนหมอนหลังจากกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่หลายนาที ที่มุมเล็กๆ บนหน้าจอโทรศัพท์ มีภาพใบหน้าของผู้ชายที่เขาคิดถึง ดวงตาคมใหญ่ดูเหมือนจะเด่นที่สุด                 ถึงภาพการเคลื่อนไหวจะติดๆ ขัดๆ ไปบ้าง แต่มันก็ช่วยให้ความคิดถึงคลายลงไปได้ไม่น้อย ทว่าเหนือความคิดถึงคืออาการคาใจที่ติดค้างมาตั้งแต่เช้า นี่ถ้าหากรชตไม่บอกเขาก็ไม่มีทางรู้

                “พี่จะมากรุงเทพฯ เหรอ”

                คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อย ความแปลกใจปรากฏใบบนหน้าแต่เพียงแค่ชั่วลมหายใจเดียวก็กลับมาเป็นปกติ ‘ชตบอกเหรอ’

                “ใช่ ไม่คิดจะบอกกันเลยเหรอ” จู่ๆ เขาก็เกิดน้อยใจขึ้นมา ความดีใจเมื่อครู่ลดลงรวดเร็ว

                ‘ผมเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร’

                “มาหาพ่อ ไม่ใหญ่เลยเหรอ” กุมภ์อดประชดไม่ได้ ทีกับรชตกลับเล่าให้ฟัง แถมยังจะไปรับกันด้วย แต่กับเขาแค่บอกสักคำยังไม่มี “แต่ถ้าพี่ไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร”

                ‘น้อยใจเหรอเด็กน้อย’

                “ใครเด็กน้อย!” กุมภ์เผลอขึ้นเสียง ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังทำหน้างอใส่อีกคน “ผมจะยี่สิบแล้ว ไม่ใช่เด็ก!”

                ‘เออจริงสิ วันเกิดคุณเดือนกุมภาฯ นี่นา ปีหน้าก็ยี่สิบเต็ม’ โหรพูดไปยิ้มไป ‘ถ้าอย่างนั้นผู้ใหญ่อายุยี่สิบฟังผมนะ ที่ไม่ได้บอกเพราะไม่อยากให้วุ่นวาย แค่เรื่องที่บ้านคุณก็คิดมากพอแล้ว’

                “ไม่ได้วุ่นวาย ผมไปรับพี่ได้” กุมภ์บอก ไม่ใช่แค่น้อยใจตอนนี้ยังอยากเอาแต่ใจตัวเองด้วย “ให้ผมไปรับพี่นะ”

 (มีต่อ)               
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 24 : เรื่องที่ไม่ง่าย] 05/04/2563
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 05-04-2020 18:47:14
(ต่อ)
                โหรส่ายหัว ‘ไม่ต้องหรอก ผมไปเองได้ ถามชตแล้วว่าต้องขึ้นรถที่ไหน’

                “ผมมีรถ ไปรับสะดวกกว่า ขึ้นรถไฟฟ้าต้องต่อหลายสาย เหนื่อยตาย” กุมภ์ต่อรอง ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงอยากจะทำหน้าที่สารถีขึ้นมา ทว่าโหรยังคงปฏิเสธ

                ‘คุณไปเรียนเถอะ ผมไม่อยากรบกวน’

                อาการน้อยใจพุ่งพรวด กุมภ์กดปุ่มยุติการสนทนา และไม่ยอมรับสายจากอีกฝ่ายด้วย รู้อยู่เต็มอกว่าที่ทำมันงี่เง่าสิ้นดี แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ มันผิดมากหรือไงที่อยากจะเทคแคร์คนที่รักบ้าง…

 

                อาการงี่เง่าเอาแต่ใจลามมาอีกหลายวัน โหรยังทำตัวเหมือนปกติ ส่งข้อความทักทายตามเวลาแม้ว่ากุมภ์จะไม่ตอบข้อความเลยก็ตาม

                แม่ยังไม่ได้บอกพ่อเรื่องที่เขาเป็นเกย์ มื้อเช้าและเย็นบนโต๊ะอาหารยังดำเนินเป็นไปตามปกติเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน คงต้องขอบคุณแม่ที่ชวนคุยโน่นคุยนี่จนพ่อลืมเรื่องที่เขาหลบหน้าไปร่วมอาทิตย์ แต่เขาเชื่อว่าลึกๆ แล้วพ่อคงมีคำถามอยู่หลายข้อ เพียงแค่รอเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น เขาเองก็เช่นกัน

                เมื่อวานรชตบอกว่าโหรจะมากรุงเทพฯ วันนี้ และโหรก็ยังเหมือนเดิม ข้อความที่ทักทายมาไม่มีการบอกอะไรใดๆ เขาอาจจะเป็นเกย์ที่งี่เง่าที่สุดในโลกไปแล้วก็ได้ แต่การกระทำของโหรมันทำให้อดน้อยใจไม่ได้ เขาอยากจะไปรับโหร อยากดูแลบ้าง มันผิดมากหรือไง เขาไม่ใช่สาวน้อยที่ต้องถูกเอาใจตลอดเวลา โหรอาจจะลืมไปว่าเขาเป็นผู้ชาย ความอยากเทคแคร์เอาใจคนที่รักมันย่อมมีอยู่เต็มเปี่ยม

                กุมภ์นั่งถอนหายใจทิ้งเรื่อยเปื่อย ถึงจะไม่ต้องคอยหลบหน้าพ่อแม่แล้ว แต่เขาก็ยังมาถึงมหาวิทยาลัยเช้ากว่าคนอื่นอยู่ดี เสียงพูดคุยของเพื่อนนักศึกษาหนาหูขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งโต๊ะหินห่อนที่ประจำเต็มไปด้วยเพื่อนสนิท วันนี้คะนิ้งตามชาร์ลมาสมทบด้วย

                ตั้งแต่เกิดเรื่องชาร์ลกับคะนิ้งเปลี่ยนไปมากทีเดียว ชาร์ลสงบเสงี่ยมมากขึ้นขณะที่คะนิ้งก็สนใจธรรมมะ เคยได้ยินรชตพูดว่าคะนิ้งชวนไปทำบุญที่อยุธยา ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินคำพูดทำนองนี้จากเธอเลย ซึ่งเขานับว่าเป็นเรื่องที่ดี

                พันนายังคงบ่นถึงกิจกรรมโอเพ่นเฮาส์ที่ใกล้เข้ามาทุกที รายนี้เรียนรองกิจกรรมต้องเด่น เป็นรุ่นน้องที่รุ่นพี่ให้ความไว้วางใจ และเป็นรุ่นพี่ปีสองที่ฮอตฮิตของน้องๆ ปีหนึ่ง หากจะถามว่าในกลุ่มนี้ใครป๊อปปูล่าสุดก็คงจะเป็นต้องพันนา นอกจากจะหน้าตาดีมากแล้ว ฝีมือในการถ่ายรูปยังยอดเยี่ยมจนเขานึกอยากจะเชียร์ให้มันไปเรียนถ่ายรูปให้เป็นเรื่องเป็นราวไปเลย

                กุมภ์เลื่อนมือปลดล็อคหน้าจอโทรศัพท์มือถือ หวังลึกๆ ว่าใครบางคนจะส่งข้อความมาบอกกันว่ากำลังขึ้นรถ หรืออยู่ในรถเรียบร้อยแล้ว แต่มันก็ว่างเปล่า ตั้งแต่เจ็ดโมงเช้ามีเพียงแค่สติ๊กเกอร์โบกมือทั้งทักทายแค่ครั้งเดียวเท่านั้น คนทางนั้นรู้ว่าเขาน้อยใจ แต่ก็ไม่เคยง้อ ทว่ายังทำตัวปกติ คงมีแค่เขาคนเดียวที่คิดเล็กคิดน้อย

                เพิ่งรู้ว่าอาการน้อยใจ มันทำให้หงุดหงิดขนาดนี้นี่เอง

                “เป็นอะไรวะ ทำหน้าเหมือนแฟนไม่โทรหามาสามวัน”

                กุมภ์เงยหน้ามองคนแซว จำได้ว่าเมื่อสองนาทีก่อนหน้านี้ไอ้เพื่อนตากล้องมันยังบ่นเรื่องที่ถูกใช้งานเยี่ยงทาสอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับทำหน้าทะเล้นเสียแล้ว

                “ไม่ได้เป็นอะไร” กุมภ์ตอบแบบขอไปที แต่ก็ต้องยอมรับว่าอารมณ์มันขุ่นมัวเกินกว่าจะควบคุมจริงๆ ก็มันสะสมมาสามวันแล้ว จะให้หายง่ายๆ ได้อย่างไร

                “ไม่เนียน ไปเรียนมาใหม่” รชตช่วยสมทบอีกแรง เขาได้แต่ส่ายหน้า ยืนยันความปกติ? ของตัวเอง

                “มีอะไรกันเหรอ กุมภ์เป็นอะไร ทะเลาะกับปรางค์เหรอ” คะนิ้งถามเก็บโทรศัพท์มือถือลงในกระเป๋าใบหรู ดูเหมือนจะสนใจเรื่องของเขาขึ้นมากะทันหัน

                “ถ้าทะเลาะกับปรางค์ มันไม่มานั่งทำหน้าเบื่อโลกแบบนี้หรอก” พันนายกคิ้วไวๆ ท่าทางอวดรู้จนน่าหมั่นไส้

                เอาเถอะ ไม่ทะเลาะกับจ้าวจอมบ้างก็แล้วไป!

                “ตกลงกุมภ์คบกับปรางค์หรือเปล่า” คะนิ้งถาม สีหน้าดูตื่นเต้นไม่น้อย “ปรางค์น่ารักนะ นิสัยก็ดี”

                “รู้ได้ไงว่าปรางค์นิสัยดี” ชาร์ลหันหน้าถามคนรัก

                “ก็...สัญชาตญาณผู้หญิงละมั้ง” คะนิ้งว่ายิ้มๆ “ตกลงได้คบกันไหม”

                “ไม่ได้คบ!”

                ไม่มีใครตกใจการปฏิเสธทันควันของกุมภ์ได้เท่ากับอีกเสียงที่แทรกเข้ามา ทุกคนหันไปมองต้นเสียงที่สอง เจ้าตัวเลิ่กลั่กก้มหน้าซ่อนความผิดปกติทั้งที่ไม่ทันการณ์เสียแล้ว

                “ไอ้ชต! มึงไปรู้เรื่องเขาได้ยังไงวะ” ชาร์ลถาม สีหน้าเต็มไปด้วยความอยากรู้ไม่ต่างจากคนอื่นๆ

                “กะ..กูเดาเอา” รชตอึกอัก

                “เดาซะพร้อมเจ้าตัวเลยนะมึง” พันนาพูดพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ราวกับรู้อะไรบางอย่าง “เออ งานโอเพ่นเฮาส์กรุณาช่วยกูแจกใบปลิว แล้วก็ลงทะเบียนด้วย โดยเฉพาะมึงไอ้ชาร์ล ใช้ความหล่อให้เป็นประโยชน์หน่อย ส่วนมึงไอ้ชต ซ้อมโปรโมทคณะไว้เลยกูจะให้มึงช่วยพี่เขาประชาสัมพันธ์”

                “ไม่เอา! กูไม่ชอบพูดในที่ชุมชน ทำไมมึงให้ไม่ให้ไอ้กุมภ์ทำล่ะ”

                รชตโวยวาย แต่เขากลับเห็นด้วยกับพันนา เพราะถึงเป็นพวกไม่ค่อยชอบพูด แต่รชตมีหลักการและเหตุผล ยิ่งทางวิชาการสามารโต้ตอบได้ถึงพริกถึงขิง เขามองออกเลยว่าหากเรียนจบและรชตเอาดีทางการว่าความ ต้องไปได้ไกลแน่นอน ส่วนเขาเป็นพวกสมยอม ใครพูดอะไรก็เออออไม่ค่อยจะมีปากมีเสียงเสียเท่าไร ถนัดเป็นผู้ฟังมากกว่า งานที่เหมาะกับเขาที่สุดคงไม่หนีไม่พ้นแจกใบปลิวหรือไม่ก็รับลงทะเบียน

                เรื่องของเขา ปรางค์ และรชตถูกลืมไปโดยปริยายเมื่อมีหัวข้อกิจกรรมของคณะขึ้นมา ชีวิตวัยเรียนกลับมาอย่างเต็มรูปแบบแล้ว ทว่าส่วนหนึ่งในความทรงจำไม่มีใครลืมเรื่องในป่ากว้างได้เลยจริงๆ...

                สามทุ่มตรง เขานั่งมองโทรศัพท์ที่ยังนิ่งสนิทมาตั้งแต่เย็นแล้ว หลังจากแยกย้ายกับเพื่อนตอนเที่ยง เขาก็เดินเตร็ดเตร่อยู่ที่ห้างกับชาร์ลและคะนิ้ง ขณะที่รชตมีธุระกลับไปก่อน ส่วนพันนาต้องไปช่วยกิจกรรมคณะเหมือนทุกวัน พอเย็นก็กลับบ้าน กินมื้อเย็นคนเดียวเพราะวันนี้พ่อกับแม่ไปงานเลี้ยงวันเกิดเพื่อนร่วมรุ่น ความน้อยใจผสมหงุดหงิดกลายเป็นงุ่นง่าน นี่โหรคิดจะเล่นสงครามเย็นกับเขาหรือไง รู้ทั้งรู้ว่าเขาโกรธ แต่กลับไม่คิดจะง้อกันสักนิด หรือว่ากำลังทดสองความอดทนของเขาอยู่

                แน่นอนว่าสิ่งที่โหรอาจจะคิดทดสอบมันใกล้จะเกินลิมิตเต็มที ทั้งอยากรู้ ทั้งคิดถึง...ใช่ เขาคิดถึงโหร ลำพังแค่ไม่ได้เห็นหน้ามาร่วมเดือน ซ้ำยังไม่ได้คุยกันยิ่งทำให้ความคิดถึงทบทวี กุมภ์ปาโทรศัพท์ลงบนเตียงก่อนจะทิ้งตัวตามไป ใบหน้าฟุบอยู่กับเตียงอุ่น ส่งเสียงอู้อี้ในคอเหมือนเด็กที่ถูกขัดใจ แล้วก็พลิกตัวกลับมานอนหงาย ตอนนี้ทิฐิกับความคิดถึงกลับสู้รบกันอย่างดุเดือด

                กุมภ์ขมวดคิ้วมุ่น เขาควรจะทำอย่างไรดี เปลือกตาเหนื่อยล้าจนต้องปิดลง เพียงไม่นานหลังการมองเห็นมีแค่ความมืด เสียงหัวใจมันก็ชัดเจนขึ้น

                เขาคิดถึงโหรมากจริงๆ

                ในที่สุดความคิดถึงก็ชนะทิฐิ กุมภ์ลืมตาควานโทรศัพท์ต่อสายถึงคนที่โคตรคิดถึงทันที...

 :o8:

*ขออภัยในความล่าช้า ตบตีกับการ edit นิยายจีน ตอนนี้จบแล้ว ดีใจมากทีเดียวเชียว*

**อย่างที่บอกจ้า มีแพลนจะแต่งรุ่นลูกแต่ต้องลุ้นว่าลูกใครนะจุ๊**

       
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 24 : เรื่องที่ไม่ง่าย] 05/04/2563
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 05-04-2020 20:54:27
พี่โหรก็ใจร้ายเกินปล่อยให้กุมภ์รู้จากคนอื่น หรือว่าจะมีอะไรมาเซอร์ไพร์สกุมภ์รึเปล่าน๊า
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 24 : เรื่องที่ไม่ง่าย] 05/04/2563
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 05-04-2020 21:03:22
กุมภ์นี่ ขี้น้อยใจมากเลย เราเข้าใจนะเคยผ่านช่วงนั้นมาแล้ว เคยโทรหาคนที่คิดถึงทุกครึ่ง ชม.
พอผ่านมาแล้วตอนนี้ ย้อนกลับไปคิดถึงตอนนั้นช่างงี่เง่าจริงๆ ว่าแต่พ่อพี่โหรเป็นใครเหรอ อยากรู้แล้วละ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 24 : เรื่องที่ไม่ง่าย] 05/04/2563
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 05-04-2020 21:40:56
งอนเก่งนะหนูกุมภ์
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 24 : เรื่องที่ไม่ง่าย] 05/04/2563
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 05-04-2020 22:19:31
ไม่มีอะไรง่าย จริงๆ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 24 : เรื่องที่ไม่ง่าย] 05/04/2563
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 05-04-2020 22:27:55
พี่โหรมีเซอไพรส์รึเปล่าาา
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 24 : เรื่องที่ไม่ง่าย] 05/04/2563
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 05-04-2020 23:49:21
เราเข้าใจกุมภ์แหละ แอบชอบเค้าก่อน
แล้วโหรก็นิ่งๆ ถึงหลังๆจะดีแล้วก็เถอะ
กุมภ์อาจจะกังวลไปสะระตะ
แต่จ้าวจอม มาน้อยแต่พูดถึงนะ มีการส่งยาแก้ปวดหลังไปให้พันนาด้วย
ฮืออออออออออ แอบฟิน
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 24 : เรื่องที่ไม่ง่าย] 05/04/2563
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 06-04-2020 02:15:48
ทำไมคู่รองมาแบบห่วงอยู่ห่างๆน๊า
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 24 : เรื่องที่ไม่ง่าย] 05/04/2563
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 08-04-2020 00:32:00
จิาาาา
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 24 : เรื่องที่ไม่ง่าย] 05/04/2563
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 08-04-2020 03:34:33
คู่หลักหายไปเลยอ่าาา
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 24 : เรื่องที่ไม่ง่าย] 05/04/2563
เริ่มหัวข้อโดย: tuek ที่ 12-04-2020 08:13:27
โหรนิ่งซะจนน่าหงุดหงิด
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 24 : เรื่องที่ไม่ง่าย] 05/04/2563
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 12-04-2020 08:20:29
5555 โหรทำกุมภ์เสียศูนย์มาก เป็นเอ็นดูกุมภ์
มีความงอแง และมีความอยากให้ง้อ

โหรรู้ใจตัวเอง และเปิดใจแล้ว โหรก็พัฒนานะ
เอาใจช่วยกุมภ์นะคะ เชื่อว่าพ่อจะเข้าใจนะ

ตลกรชตกับพันนา เป็นกองหนุนที่ดี
จ้าวจอมคือตัวแสบที่ป่วนมาก 5555

ว้าววว มีรุ่นลูกอีกหรอคะ เป็นลูกใครล่ะ
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 25 : บันได] 14/04/2563
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 14-04-2020 20:06:52
ตอนที่ 25 บันได

                โหรเหลือบมองหน้าจอโทรศัพท์ ด้วยหวังว่าจะมีข้อความสั้นๆ หรืออย่างน้อยก็สติกเกอร์โง่ๆ สักอันก็ยังดี แต่ก็ยังเงียบเฉย สามวันแล้วที่กุมภ์มึนตึงใส่ เหตุเพราะเขาไม่ยอมบอกจะเข้ากรุงเทพฯ แถมยังปฏิเสธคำขอของกุมภ์อีกด้วย ไม่ใช่แค่ไม่อยากรบกวน แต่เพราะเขาปากหนักเกินกว่าจะความช่วยเหลือจากคนพิเศษ

                ใช่...ตอนนี้เขากล้าพูดได้เต็มปากแล้วว่ากุมภ์คือคนพิเศษ มากกว่าเพื่อน มากกว่าน้องชาย และอาจจะมากถึงคำว่า ‘แฟน’ แต่คงยังไม่ใช่เร็วๆ นี้

                สำหรับเขาแล้ว แฟนคือคู่ชีวิตไม่ใช่แค่คู่นอน ดังนั้นเขาต้องให้มั่นใจเสียก่อนว่าเขาเหมาะกับกุมภ์แล้วจริงๆ ทว่าเวลานี้เขายังไม่มีอะไรเทียบเคียงกับกุมภ์ได้เลย

                กุมภ์เกิดในตระกูลเก่าแก่ เงินทองทรัพย์สมบัติมากมาย ขณะที่เขาเป็นแค่ พ่อมด หมอผี แม้แต่อาชีพก็ยังไม่มี จริงอยู่ความรักมันขึ้นอยู่กับความพึงพอใจ แต่ในวัยของเขา องค์ประกอบอย่างอื่นก็สำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะครอบครัว นี่เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เขาต้องมาหาพ่อถึงกรุงเทพฯ

                หลังจากจัดการปลาดิบหมด รชตก็เลี้ยงกาแฟยี่ห้อดังอีกแก้ว เขาไม่ได้ถามถึงกุมภ์ แต่รชตก็ยิ่งกว่าเต็มใจเสียอีกตอนที่เล่าเรื่องของกุมภ์และปรางค์

                สองสามวันมานี้กุมภ์ดูหัวเสียไม่น้อย รชตเดาสาเหตุได้อย่างแม่นยำ แต่ดูเหมือนว่าเรื่องของกุมภ์จะดึงความสนใจของกุมภ์ได้น้อยกว่าปรางค์ ถึงแม้จะถูกพิกุลขู่เอาไว้ แต่รชตก็ทำหน้าที่ได้เยี่ยม แบบที่ไม่ขาดตกบกพร่องด้วยซ้ำ ทุกๆ วันรชตจะโทรมารายงานความคืบหน้าการ ‘จีบ’ ปรางค์ ซึ่งเท่าที่ฟังมันยังไม่ก้าวหน้าสักเท่าไร เพราะทั้งเขาและรชตเองต่างก็รู้ว่าปรางค์ชอบกุมภ์ และแน่นอนว่าเรื่องที่กุมภ์เป็นเกย์ก็ยังคงเป็นความลับต่อไป

                ‘ผมว่า ผมคงชอบปรางค์จริงๆ แล้วล่ะ’

                รชตสารภาพ ไม่แปลกเลยที่รชตจะชอบเธอ ปรางค์เป็นคนสวย สมบูรณ์พร้อมที่จะเป็นคนรักของใครสักคน เขาไม่ได้ให้คำแนะนำอะไรไป เพราะไม่รู้เหมือนกันว่าต้องใช้วิธีไหนรชตถึงจะพิชิตใจของปรางค์ได้ มีแค่คำอวยพรให้เท่านั้น

                เขามาถึงบ้านของพ่อตอนเกือบห้าโมงเย็น เวลาสี่ชั่วโมงในกรุงเทพฯ มันแค่ชั่วประเดี๋ยวเดียว คงเพราะครึ่งหนึ่งหมดไปกับการเดินทาง

                บ้านของพ่ออยู่ในหมู่บ้านจัดสรรขนาดกลาง ไม่ได้แออัดแต่ก็มีพื้นที่ไม่มากนัก หลังคาสีน้ำตาลจางบอกอายุการใช้งาน รถยนต์ญี่ปุ่นกลางเก่ากลางใหม่จอดอยู่ในรั้ว เขาโบกมือไล่ให้รชตกลับไปแล้วตัวเองก็มายืนกดกริ่งเรียกเจ้าของบ้านแต่เพียงลำพัง

                เด็กหนุ่มวัยไล่เลี่ยกับจ้าวจอมเป็นออกมาเปิดประตูบ้าน เด็กคนนั้นเอียงคอมองเขาด้วยความสงสัย เขาบอกไปเพียงสั้นๆ ว่ามาพบพ่อหาญ

                ‘พี่มาหาพ่อทำไมอ่ะ’

                เด็กคนนั้นถามกลับ ยังไม่ยอมเปิดประตูรั้วให้ เขาถอนหายใจยาว รู้สึกไม่ชอบหน้าไอ้เด็กนี่ขึ้นมาตงิดๆ แต่ก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร ยืนมองหน้ากันอยู่ร่วมห้านาที พ่อหาญ ก็เดินออกมาจากบ้าน

                ไม่มีคำทักทาย มีแค่ประตูรั้วที่เลื่อนเปิดเชื่องช้า เสียงล้อบดกับร่องเหล็กครางอิดออด ราวกับไม่อยากจะต้อนรับแขกไม่ได้รับเชิญอย่างเขา

                บ้านของพ่อหลังไม่ใหญ่ก็จริง แต่ภายในตกแต่งหรูหราน่าอยู่พอใช้ ทั้งชุดโซฟา ผ้าม่าน ทีวีติดผนัง เครื่องปรับอากาศ แม้แต่ตู้โชว์ที่เต็มไปด้วยโมเดลการ์ตูน แสดงถึงฐานะทางการเงินที่ดีไม่น้อย พ่อหาญผายมือให้เขานั่งลงบนโซฟาหนังสีเข้ม แต่ยังไม่ที่ก้นจะแตะกับเบาะ เสียงเห่าของสัตว์สี่เท้าก็ดังขึ้น หมาตัวใหญ่สีเทาดำกระโดนมาถึงตัวรวดเร็ว ใบหน้าที่ขาวเฉพาะส่วนปากยื่นมาใกล้จนเกือบจะติดกับใบหน้า ขาหน้าสองข้างวางบนตักได้เหมาะเหม็ง ลิ้นสีแดงแลบยาว น้ำลายยืดไหลหยดเปื้อนกางเกง ดวงตาของมันเป็นสีฟ้าอมเทาข้างหนึ่ง อีกข้างเป็นสีดำสดใส ถ้าจำไม่ผิด หมาพันธุ์นี้เรียกว่า ฮัสกี้

                เจ้าบ้านที่น่าจะอายุน้อยที่สุดดุหมาจอมดื้อตัวเองเสียงดัง เรียกชื่อมันว่า ข้าวเหนียว ก่อนจะใช้มือดึงปลอกคอลากมันออกไป

                ถึงจะไม่ได้เกลียดสัตว์หน้าขนนัก แต่เขาก็ไม่ใช่พวกรักเด็กหรือสัตว์แบบนางงาม ยอมรับว่าไม่ถูกกับกลิ่นของพวกมันสักเท่าไร

                พ่อหายเข้าไปในครัวและออกมาพร้อมกับน้ำเย็นหนึ่งแก้ว ท่านไม่ได้พูดอะไร แต่กลับสร้างความอึดอัดให้ไม่น้อย เขาไม่ได้ดื่มน้ำที่พ่อเอามาให้ จุดประสงค์ของเขาไม่ได้จะมารบกวนแค่อยากจะมาบอกเรื่องสำคัญเท่านั้น ทว่าพอจะอ้าปากบอก พ่อก็แทรกขึ้นเสียก่อน

                ‘ไม่เจอกันเป็นสิบปีเลยนะ โตเป็นหนุ่มแล้ว ปีนี้ยี่สิบห้าแล้วใช่ไหม’

                น่าดีใจอยู่หรอกที่พ่ออุตส่าห์จำได้ว่าปีนี้เขาอายุยี่สิบห้าแล้ว เขาได้แต่พยักหน้ารับ มองหน้าพ่อเล็กน้อยแล้วส่งสายตามองหาคนอื่นๆ ซึ่งก็ได้รับคำตอบจากพ่อว่า ไอ้เด็กกวนเบื้องล่างนั่นชื่อ ‘ราม’ น้องชายคนละแม่ของเขานั่นเอง รามถูกเรียกตัวมาหลังจากแนะนำเสร็จ เด็กหนุ่มหัวเกรียนบอกถึงวัยว่ากำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยม เพิ่งสังเกตว่ารามหน้าตาดีไม่น้อย ผิวขาว เครื่องหน้าคมคาย และมีส่วนคล้ายเขาอยู่บ้าง ส่วนสูงที่สามารถเพิ่มขึ้นได้อีกหลายเซนกว่าจะอายุสิบแปด ปีนี้รามอายุ 16 ปี เพิ่งจะอยู่ชั้นมอสี่ อายุน้อยกว่าจ้าวจอมด้วยซ้ำ แต่รูปร่างแซงหน้าไอ้ตัวแสบไปแล้ว

                รามเป็นลูกของพ่อกับเมียใหม่ เขาไม่เคยเห็นหน้าแม่เลี้ยงตัวเองด้วยซ้ำ เพราะพ่อไม่เคยพาเธอไปหา อย่าว่าแต่แม่เลี้ยงเลย แม้แต่แม่แท้ๆ เขาก็ไม่เคยเห็น คิดแล้วก็อดสมเพชตัวเองไม่ได้ เกิดมาแม่ทิ้งไม่พอ พ่อยังมีครอบครัวใหม่อีก ทิ้งให้เขาอยู่กับปู่แต่เพียงลำพัง หากแต่ในทางกลับกัน ถ้าเขาไม่ได้อยู่กับปู่ เขาคงไม่ได้รับคำสอนดีๆ มากมายจากท่าน

                รามนั่งหน้าบึ้งอยู่ห่างจากเขาราววากว่า พ่อบอกว่าเขาเป็นพี่ชายที่เกิดจากแม่อีกคน รามไม่ได้ตกใจนักคิดว่าพ่อคงเล่าถึงเขาอยู่บ้าง เขาไม่ได้สนใจว่ารามจะยินดีหรือรังเกียจที่มีเขาเป็นพี่ อย่างที่บอกเขาแค่จะมาแจ้งเรื่องสำคัญเท่านั้น

                ‘ผมมีเรื่องจะบอกพ่อ...ผมชอบผู้ชาย’

                ดูเหมือนว่าทุกสิ่งรอบตัวจะหยุดเคลื่อนไหวไปพักใหญ่ พ่อมองเขานิ่ง เช่นเดียวกับรามขณะที่ไอ้เจ้าข้าวเหนียวก็พลอยหยุดยิ่งไล่แมลงนอกบ้านไปด้วย เกือบห้านาทีกระมังที่ภายในบ้านไร้เสียงสนทนา จากนั้นสีหน้าของพ่อก็เต็มไปด้วยความสับสนงงงวย ก่อนจะถามเขาด้วยเสียงแหบเหมือนเป็ดว่าเขาเป็นเกย์หรือ

                แน่นอนว่าคำตอบคือไม่ใช่ เขาไม่ได้ชอบผู้ชายทุกคน และผู้เพียงคนเดียวที่เขารู้สึกดีด้วยคือกุมภ์ ถึงจะยังเรียก ‘แฟน’ หรือ ‘เมีย’ ไม่ได้ แต่เขาก็ยังอยากจะเดินหน้าต่อ

                เขาไม่ได้ต้องการการยอมรับเหมือนกุมภ์ เขาแค่อยากบอกให้ญาติที่เหลือเพียงคนเดียว ไม่สิ ตอนนี้เป็นสองคนแล้วได้รับรู้ หากจะรังเกียจเขาก็ยินดี เพราะเขาไม่ได้หวังให้ใครมาชื่นชมยกย่องอยู่แล้ว เขาไม่ได้อึดอัด ไม่เสียใจ เขาแค่มาทำหน้าที่ตามที่ตั้งใจไว้เท่านั้น

                เขาหันไปมองน้องชาย ที่ยังอ้าปากค้าง ดวงตาที่มีส่วนคล้ายเขามากที่สุดเบิกกว้างเล็กน้อย แต่พอเห็นว่าเขามองก็หลุบตาลง เขายกยิ้ม ไอ้เด็กนี่ต่างจากเขาลิบลับ ตอนเขาอายุสิบหกยังบวชเรียนที่วัดอยู่เลย ไม่มีโอกาสได้มาวิ่งไล่จับหมาแบบนี้หรอก       

                ‘ผมกลับล่ะ ขอให้โชคดีนะครับ’

                อย่างที่บอก เขาไม่ได้ต้องการมารบกวนแม้แต่เรื่องที่หลับที่นอน ก่อนหน้านี้เขาให้รชตช่วยหาห้องพักให้ ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากที่นี่นัก แต่พอจะขยับตัวลุก พ่อก็เรียกเอาไว้

                ‘ที่ถามไม่ใช่ว่าพ่อรังเกียจ แต่พ่อตกใจ...แล้วคนที่ลูกชอบเป็นใครล่ะ’

                ‘สักวัน...ผมจะพาเขามาหาพ่อ’

                นั่นเป็นประโยคทิ้งท้าย ก่อนที่เขาจะกดเรียกใช้บริการแก็ปตามคำแนะนำของรชต แล้วรถยนต์คันหรูเกินค่าบริการก็พาเขามาถึงที่พักตอนเกือบทุ่มกว่า กว่าจะได้เข้าพักก็จวนจะสองทุ่ม ท้องร้องจนทนไหวเพราะปลาดิบเมื่อตอนกลางวันฝืนกินไปได้ไม่กี่คำเท่านั้น ดังนั้นมื้อเย็นเขาเลยต้องลงมาหาข้าวกระเพราข้างโรงแรมกิน กรุงเทพฯ ยังเป็นเมืองที่อุดมไปด้วยความวุ่นวาย ในความเจริญ ความสิวิลัยมันแฝงไปความน่าพิสมัยหลายอย่าง นี่เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่เขาไม่ค่อยอยากจะมาเยือนมหานครแห่งนี้นัก ทั้งอากาศ และอัธยาศัยของผู้คน

                ใกล้สามทุ่มถึงได้กลับมาบนห้องอีกครั้ง พอเห็นเตียงร่างกายก็พลันอ่อนล้าขึ้นมาทันที เขาเพิ่งสำเหนียกได้ว่าตลอดทั้งวันยังไม่ได้พักผ่อนจริงจังสักที ตั้งแต่หกโมงเช้าจนถึงตอนนี้ กินเวลาเกินสิบสองชั่วโมงไปแล้ว แต่อย่างน้อยภารกิจสำคัญก็เสร็จสิ้นไปหนึ่งอย่าง ถึงพ่อจะตกใจ น้องชายจะรับไม่ได้ ทว่าอากัปกิริยาแบบนั้นไม่ใช่จุดประสงค์ที่เขาต้องการ

                หากแต่ภารกิจของเขายังไม่หมด ไม่อย่างนั้นเขาคงจองห้องแค่คืนเดียว พรุ่งนี้ก็ขึ้นรถกลับบ้านได้แล้ว ทว่าหน้าที่อีกอย่างคือการดันตัวเองให้ดีพอที่จะยืนเคียงข้างกับกุมภ์ให้ได้ แม้จะยากจนถึงขึ้นหิน แต่ถ้าหากไม่ลงมือทำ คงไม่มีวันสำเร็จ

                โหรทิ้งตัวลงบนเตียงพร้อมกับความอ่อนเพลียที่ถาโถม อาจจะเกินจริงไปสักหน่อยถ้าหากจะบอกว่าการเดินทางในวันนี้เหนื่อยไม่ต่างจากสู้กับไอ้บอดเลย คงเป็นเพราะเขาเกลียดการนั่งรถนานๆ และอากาศชวนอึดอัดของเมืองหลวงกระมัง

                โทรศัพท์กลายเป็นแค่อุปกรณ์ถ่วงกระเป๋าเท่านั้นเมื่อไม่ได้รับการติดต่อจากใคร แม้แต่ไอ้ตัวแสบอย่างจ้าวจอม ได้ข่าวช่วงนี้มันใกล้สอบเลยต้องห่างจากโทรศัพท์ เพราะไม่อย่างนั้นคะแนนอาจจะน้อยจนแอดมิชชั่นเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกับพันนาไม่ได้

                เขาพอจะระแคะระคายความสัมพันธ์ของคู่นี้ พอๆ กับที่พันนาและจ้าวจอมรู้ว่ากุมภ์คือคนพิเศษ เพียงแต่ไม่เคยคุยกันอย่างเป็นทางการเสียที

                ส่วนกุมภ์ หลังจากที่รู้ว่าเขาจะมากรุงเทพฯ แล้วเขาปฏิเสธความช่วยเหลือ เจ้าตัวก็มึนตึงใส่ แม้จะไม่มีคำพูดใดๆ แต่ความนิ่งเฉยในไลน์คือหลักฐานชั้นดี สมัยก่อนตอนที่เป็นแฟนกับแพร เธอก็งอนเขาบ่อยครั้งเพราะเขามันแข็งกระด้าง เอาใจไม่เก่ง แต่ก็จบด้วยการซื้อของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ให้ ทว่ากับกุมภ์ เขาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรให้เจ้าตัวหาย ‘งอน’ แถมสองสามวันมานี่เขาก็ยุ่งจนเกินกว่าจะคิดแผนการง้อผู้ชายเสียด้วย

                โหรหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู มีข้อความจากพันนาและรชตเข้ามาถามไถ่ รายแรกที่ดูเหมือนว่าจะกิจกรรมรัดตัวตามคำบ่นของจ้าวจอม แต่ก็ยังมีกะใจชวนเขาไปทานข้าวด้วยกันสักมื้อ เขายังไม่ได้ตอบรับเพราะไม่แน่ใจว่าธุระอีกอย่างจะเสร็จสิ้นเมื่อไร เอาไว้ลงตัวแล้วคงจะส่งวันเวลาที่ชัดเจนไปให้อีกครั้ง

                เขาเลื่อนนิ้วมือไปยังรายชื่อของคนที่กำลังงอน ถึงจะไม่รู้ว่าควรจะใช้วิธีไหนในการง้อ แต่แค่ได้ยินเสียงก็น่าจะทำให้ใจชื้นขึ้นมาได้บ้าง ทว่ายังไม่ทันจะได้ทำตามที่ใจคิด โทรศัพท์ก็แผดเสียงลั่น ผู้ที่โทรเข้ามาคือ กุมภ์!

               

                ตั้งแต่เรียนจบ โหรไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันนี้ วันที่เขาได้ทำงานและสามารถเรียกมันว่าอาชีพได้เต็มภาคภูมิ แดดร้อนจัดไม่ใช่ปัญหาสำหรับคนไร่คนสวนอย่างเขา น้ำสีคล้ำกระเด็นจากบ่อปูนขนาดใหญ่เปื้อนใบหน้าอยู่หลายหน กลิ่นคาวจัดไม่ได้ทำให้สะอิดสะเอือน เขาเอื้อมมือเปล่าลงไปในบ่อ คว้าปลาตัวเขื่องที่กำลังฟาดหางแสดงฤทธิ์เดชมากที่สุดได้อย่างแม่นยำ

                “โอ้โห น้องเก่งจังเลยค่ะ คว้าทีเดียวอยู่ ตัวมันใหญ่กว่าแขนน้องอีกนะคะ แถมคนเลี้ยงยังบอกว่าโคตรดุ”

                โหรยิ้มรับเล็กน้อยกับคำชม จับปลาตัวใหญ่ลงในกระป๋องเตรียมย้าย ที่มันหงุดหงิดเพราะอีกไม่นานจะคลอดเอาลูกปลาตัวน้อยออกมา ดังนั้นเพื่อการรักษาและพัฒนาสายพันธุ์จึงจำเป็นต้องแยกบ่อ

                อาชีพที่เขาเลือกคือการเป็นนักวิชาการเกษตร แต่หน้าที่ไม่ใช่แค่คอยพัฒนาคุณภาพของเกษตรกรหรือดูแลพืชพันธุ์ หากแต่ยังรวมไปถึงงานเล็กๆ น้อยๆ ในศูนย์การเกษตรแห่งนี้ด้วย เช่นการแยกปลาท้องออกจากบ่อปูน

                ด้วยความเป็นน้องใหม่เพิ่งบรรจุได้ไม่ถึงเดือนทำให้เขาไม่อาจปฏิเสธคำขอได้ ทุกวันจะมีชาวบ้านมาร้อนเรียนเรื่องผลิตผลการเกษตร ไหนจะเพลี้ยลงไร่มันสำปะหลัง หรือราคายางพาราที่ตกต่ำ แม้แต่วัวไม่ยอมคลอดลูกเขายังต้องช่วยตามปศุสัตว์ให้ นับว่าเป็นงานที่แฟนตาซีไม่น้อย

                งานเข้าแปดโมงครึ่งเลิกสี่โมงครึ่ง แต่ไม่เคยมีวันไหนเลยที่จะได้กลับตรงเวลา เงินเดือนได้แค่หมื่นปลายๆ แต่เพิ่งเป็นจุดเริ่มต้น ถ้าหากเขาขยันและเก่งพอที่จะสอบเลื่อนขั้นได้เงินเดือนก็จะเพิ่มตาม แน่นอนว่ามันง่ายกว่าตอนที่สอบเป็นเข้าขิงตำแหน่งนี้มากนัก เขาต้องต่อสู้กับคู่แข่งนับร้อยคนเพื่อคำว่า ‘ราชการ’ เพราะมันคือบันไดขั้นแรกของฐานของความเหมาะสม

                มีไม่กี่คนหรอกที่รู้ว่าเขาทิ้งอุดมการณ์แล้วมาสอบบรรจุเป็นข้าราชการยอมได้รับเงินเดือนน้อยนิด เพื่อที่สักวันจะกลายเป็นคนรักที่เหมาะสมกับกุมภ์

                แน่นอนว่ามันไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถ เหมือนที่เคยพูดกับกุมภ์ กุมภ์กล้าหาญพอที่จะบอกพ่อแม่ว่าตัวเองเป็นเกย์ เขาเองก็ต้องทำบางอย่างเพื่อให้กุมภ์ภูมิใจ

                เป็นการแลกเปลี่ยนที่ไม่ค่อยจะสมน้ำสมเนื้อเท่าไร...กุมภ์เสียเปรียบอยู่หลายขุมทีเดียว

                จ้าวจอมล้อเขาอยู่หลายวันทีเดียวพอได้รู้ว่าเขาไปสอบบรรจุเป็นข้าราชการ แต่วันที่เขาสวมชุดกากี มันก็ยิ้มจนตาหยี ชมว่าเขาหล่อยกใหญ่ วันแรกก็เขินอยู่หรอก แต่พอต้องใส่ชุดกากีไปขนขี้วัวมาทำปุ๋ยหมักก็เลิกเขิน และวันต่อมาก็เขาก็เปลี่ยนเป็นกางเกงสแล็คกับเสื้อเชิ้ตสีเข้มแทน  กางเกงตัวนี้กลายเป็นกางเกงตัวเก่ง เพราะมันคือของขวัญที่กุมภ์ซื้อให้หลังจากที่รู้ว่าเขาสอบบรรจุได้ เจ้าตัวดีใจกว่าเขาเสียอีก นอกจากจะทำหน้าที่ไปส่งและอยู่เป็นเพื่อนในวันสอบแล้ว ยังเสียไข่ต้มหนึ่งร้อยเก้าสิบเก้าฟองเพื่อแก้บนให้เขาอีกด้วย

                ‘ก็ผมกลัวพี่สอบไม่ได้นี่’

            ได้ข่าวว่ากลุ่มเพื่อนสนิทของกุมภ์ได้กินไข่ต้มกันถ้วนหน้า รวมถึงเขาด้วย

                อะไรหลายอย่างๆ เริ่มเข้าที่เข้ามากขึ้น แม้จะไม่คุ้นชินกับงานเอกสารนักและถนัดไปทางใช้กำลังมากกว่า แต่ก็พอจะไปได้ ที่หนักหน่อยคงจะเป็นการรื้อฟื้นการใช้คอมพิวเตอร์ เขาไม่ได้แตะมันเลยตั้งแต่เรียนจบ ต้องไปถอนเงินในบัญชีมาซื้อโน้ตบุ๊กแล้วให้จ้าวจอมสอน ยอมให้มันหลอกด่าว่าโง่อยู่หลายรอบกว่าใช้งานคล่อง

                งานราชการไม่ได้แย่ แม้เงินเดือนจะไม่สูงแต่มั่นคง หากปฏิบัติตัวดี ขยันขันแข็ง หาความรู้ใส่ตัวตลอดก็มีสิทธิ์จะเลื่อนขั้นไปเรื่อยๆ เขาไม่ได้หวังให้ตัวเองครองตำแหน่งอธิบดี แต่ขอให้มียศติดบ่าเผื่อว่าว่าที่พ่อตาแม่ยายจะรังเกียจน้อยลง ถึงเรื่องที่กุมภ์กับเขากำลังศึกษากันอยู่จะยังไม่ถึงหูพวกท่านก็ตาม

                “โหร เย็นนี้ไปกินขนมร้านปลายฝนกันไหม เห็นว่าเป็นร้านของลูกสาวผู้ว่า พวกเด็กวัยรุ่นชอบไปกินกัน”

                เสียงหวานของ ‘พี่ใจ’ รุ่นพี่สาวที่อายุมากกว่า 2-3 ปีเอ่ยชวน โหรยังไม่ตอบรับเพราะกำลังหงุดหงิดอยู่กับรอยดำจากน้ำคลำเพราะการย้ายปลา มันติดเสื้อเชิ้ตสีอ่อนจนดูน่าเกลียด ลองใช้น้ำวนๆ ถูๆ แต่ไม่ได้ผลสักเท่าไร คงต้องถอดซักนั่นแหล่ะถึงจะสะอาด

                “วันนี้หรือครับ...ขอโทษทีนะครับพี่ ผมมีนัดแล้ว

                “ว้า..ใครกันนะนัดโหรตัดหน้าพี่เสียได้” พี่ใจแสร้งทำหน้าง้ำ กอดอกเอียงคอมองเขาที่กำลังใช้ปลายนิ้วถูรอยดำบนเสื้อ

                “น้องชายน่ะครับ” เขาตอบ โดยไม่ขยายความเพิ่มเติม พี่ใจไม่ได้ติดใจอะไร เธอชวนเขาคุยอีกนิดหน่อยก่อนจะขอตัวกลับไปทำงานต่อ

                น้องชายที่ว่าชื่อจ้าวจอม เขาขับรถกระบะรุ่นบุโรทั่งไปรับไอ้ตัวแสบถึงหน้าโรงเรียนตอนเกือบสี่โมงเย็น แต่ก่อนจะออกมาได้ต้องขออนุญาตหัวหน้ากลับก่อนเพราะมีธุระต้องไปทำ และธุระที่ว่าก็เกี่ยวกับจ้าวจอมด้วย

                ไอ้ตัวแสบกระโดดขึ้นรถพร้อมกับบ่นว่าร้อนไม่ขาดปาก ยื่นมือเร่งแอร์โดยไม่ถามเขาสักคำ เขาโยนขนมปังกับนมที่ซื้อมาจากเซเว่นให้ ถือเป็นศีลบนที่ชวนมันไปทำธุระด้วยกัน จ้าวจอมฉีกซองกินทันที แล้วก็บ่นเรื่องเรียนให้ฟัง หมู่นี้จ้าวจอมตั้งใจเรียนเป็นพิเศษ เพราะอยากจะเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกับพวกพันนาแถมคณะเดียวกันอีกด้วย โดยให้เหตุผลว่าจะเอามาช่วยญาติพี่น้องเผื่อว่าวันไหนเผลอหลุดเข้าไปเอาของป่ามาขาย

                ใช้เวลาไม่นานรถกระบะคู่ใจก็เลี้ยวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยที่เขาเคยเรียนอยู่ถึงสี่ปี อันที่จริงเขารู้จักมันแทบจะทุกซอกทุกมุม ต้นไม้ทุกต้นของคณะเขาจำได้หมด บรรยากาศมหาวิทยาลัยในยามบ่ายจัดคึกคัก เหมือนเมื่อครั้งที่ยังศึกษาอยู่ไม่เปลี่ยน เจ้ากระบะคันเก่าจอดที่หน้าตึกอำนวยการ จ้าวจอมถือซองเอกสารสีน้ำตาลแล้วลงรถ เดินตามเขาเข้าไปในตัวอาคาร กลิ่นอายแห่งวัยเรียนมาเยือนอีกครั้ง มันชวนให้กระปรี้กระเปร่าไม่น้อย

                “ค่าเทอมแพงว่ะ ตั้งห้าหมื่น” จ้าวจอมบ่น

                “ตังค์กูไหมล่ะ”

                ไอ้เด็กแสบไหวไหล่ ส่งซองเอกสารให้ แล้วพาตัวเองไปนั่งบนเก้าอี้สีฟ้า

                ใบปริญญาที่เกือบจะลืมมันไปแล้วถูกนำมาใช้บ่อยครั้งในช่วงนี้ เอกสารที่จ้าวจอมเตรียมให้ถูกกรอกอย่างครบถ้วน เจ้าหน้าที่วัยกลางคนส่งยิ้มให้เขาอย่างเป็นกันเอง พร้อมกับส่งใบรายละเอียดการเรียนให้ดู

                “จ่ายเงินค่าเทอมภายในสิ้นเดือนนี้นะคะ แล้ววันที่ 1 ก็มาเรียนได้เลย...สะดวกเรียนอาทิตย์ละสามวันเหรอคะ แต่มันเลิกดึกนะคะ”

                “ครับ” โหรพยักหน้ารับ

                “ถ้าอย่างนั้นก็เรียบร้อยแล้วค่ะ ยินดีต้อนรับว่าที่นักศึกษาปริญญาโทนะคะ”

               

                “แหม ว่าที่นักศึกษาปริญญาโท โก้ไม่เบาเลยนะพ่อหนุ่ม โอ๊ย”

                สิ้นประโยคเขาก็ยกมือโบกไปที่กะโหลกกลมๆ ของไอ้เด็กตัวแสบจอมพูดมากไปหนึ่งที มันคลำหัวตัวเอง แต่ไม่มีทีท่าว่าจะเจ็บสักนิด แถมยังตักเอาเค้กชิ้นสวยเข้าปากคำใหญ่ คิดแล้วก็อดเสียดายไม่ได้ ไม่ใช่ราคาแต่เพราะหน้าตาของเค้กที่เจ้าของร้านอุตส่าห์จัดแต่งสวยงาม แต่จ้าวจอมกลับตักกินคำใหญ่เหมือนกินข้าว

                ร้านปลายฝน คนเยอะอย่างที่พี่ใจคุยไว้จริงๆ เขาไม่ได้พิสมัยรสหวานของขนมนัก แต่ไอ้ตัวแสบนี่มันร่ำร้องอยากจะกิน ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าจ้าวจอมชอบกินขนม แต่ก็ดีกว่ากินเหล้ากินเบียร์เสียสุขภาพ

                “คิดยังไงถึงอยากจะเรียนปริญญาโทขึ้นมาล่ะ จะว่าไปฉันก็แปลกใจตั้งแต่พี่ไปสมัครสอบแล้ว” จ้าวจอมว่า แล้วตวัดลิ้นเสียครีมที่ติดรอบริมฝีปากส่งเสียงแจ็บๆ ไม่รู้ว่าพันนาเอ็นดูไปได้อย่างไร

                “กูอยากมีอาชีพ”

                “อ้าว แล้วที่ทำอยู่ไม่เรียกอาชีพเหรอ”

                “มึงนับว่าหมอผีเป็นอาชีพหรือเปล่าล่ะ” เขาถามกลับ ไอ้ตัวแสบสั่นหน้าดิก ถึงการรักษาผู้คนด้วยยาสมุนไพรจะถูกยกย่องจนบางคนเรียกว่าหมอ แต่ในความเป็นจริงมันไร้ความน่าเชื่อถือ ไม่มั่นคงและงมงาย

                “ก็ถ้าได้เป็นข้าราชการแล้ว ทำไมถึงต้องมาเรียนปริญญาโทต่ออีกละ” ไอ้ตัวแสบยังไม่เลิกสงสัย

                “กูเป็นคนโลภ ได้คืบแล้วต้องได้ศอก”

                ใช่ เขาเป็นคนโลภ แค่ข้าราชการไม่พอ หากจะได้บันไดอีกขึ้นเขาต้องมานะให้มากขึ้น เขาเลื่อนจานเค้กให้ไอ้จอมตะกละ ยกแก้วกาแฟร้อนขึ้นจิบ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคืนนี้จะได้นอนกี่โมงเพราะจะหกโมงเย็นแล้วยังจะรับคาเฟอีนเข้าร่างกายอีก

                พอจ้าวจอมหมดคำถาม เขาก็ดึงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง เขาไม่ได้ติดโซเชียลเน็ตเวิร์ค แต่เขาติดกุมภ์ต่างหาก ทุกวันต้องได้พูดคุย ทั้งแบบเห็นหน้าและไม่เห็นหน้า เขาชอบเทคโนโลยีก็ตรงนี้ ห่างกันค่อนโลกก็ยังเห็นหน้ากันได้ เขารายงานความคืบหน้าในการสมัครเรียนปริญญาโทให้กุมภ์รู้ คราวก่อนที่ไม่ได้บอกเรื่องเข้ากรุงเทพฯ เล่นเอาเด็กแอบดื้องอนไปสามวัน ดีที่ ‘ความคิดถึง’ มันช่วยเอาไว้

                วันนั้นกุมภ์เป็นฝ่ายโทรมาหาเขาก่อน ขอโทษที่ตัวเองงี่เง่า เสียงสั่นๆ กับเสียงสูดน้ำมูกมันหลอมหัวใจให้เหลวยิ่งกว่าขี้ผึ้งลนไฟเสียอีก เขาฟังเสียงอีกคนเพลิน จนลืมเหนื่อยไปเลยด้วยซ้ำ พอกุมภ์ขอโทษเสร็จก็เล่าเรื่องที่เขาไปพบพ่อและแผนการสมัครสอบเป็นข้าราชการ กุมภ์อาสาพาเขาไปส่งที่สนามสอบและขออยู่จนกว่าจะสอบเสร็จ ซึ่งยิ่งกว่าเต็มใจที่จะตอบรับ

                หลังจากส่งรูปตารางเรียนไปให้กุมภ์ก็ส่งข้อความตอบกลับมาทันที เขาอ่านไปอมยิ้มไป รู้สึกว่าการทำอะไรเพื่อใครหรือสิ่งที่กำลังรออยู่มันรู้สึกดีอย่างนี้นี่เอง แต่ข้อความถัดมาทำเอาโทรศัพท์แทบตกจากมือ

                ‘ผมจะบอกพ่อ ว่าผมเป็นเกย์ แล้วอาจจะบอกเรื่องของเราด้วย’

                ผู้ชายคนหนึ่งที่ว่าก็เป็นเขานั่นแหล่ะ เขาไม่ได้กลัวพ่อของกุมภ์เอาปืนมายิงถึงบันไดบ้าน แต่กลัวว่ากุมภ์จะรับไม่ไหว ลูกชายคนเดียวเป็นเกย์จะมีพ่อกี่คนกันที่รับได้ แม้แต่พ่อของเขาเองยังอึ้งจนพูดอะไรไม่ออกเลย

                ‘รอพี่ก่อน พี่จะไปบอกกับท่านเอง’

            ‘ไม่ ผมจะบอกเอง’

                แล้วกุมภ์ก็หายไป เขาส่งสติ๊กเกอร์ไปหลายครั้งก็ยังเงียบเฉย ในใจพาลเป็นห่วง นึกกังวลไปหมด บางทีกุมภ์ก็ดื้อจนเขาอยากจะจับตีเสียให้เข็ด

                “ตะกี้ยังยิ้มหน้าบานอยู่เลย ทำไมตอนนี้ถึงหน้าเครียดเหมือนถูกหวยแดกเลยอ่ะ”

                เขาเกือบลืมไปว่าไอ้ตัวแสบตรงหน้ามันสอดรู้เก่งแค่ไหน ขนาดไม่เคยเล่าว่าเขากับกุมภ์เป็นอะไรกันมันยังรู้จนได้ “ไม่ต้องมายุ่งเรื่องของกูหรอก ห่วงตัวเองเถอะ ไอ้นาฬิกาสวยดีนี่”

                นาฬิกายี่ห้อดังสีดำพาดอยู่บนข้อมือของจ้าวจอม เพิ่งจะมาปรากฏให้เห็นเมื่อพักใหญ่ๆ นี่เอง น่าจะหลังจากที่จ้าวจอมไปงานโอเพ่นเฮาส์ของมหาวิทยาลัยที่พวกพันนาเรียน           

                “ขี้เสือกว่ะ” จ้าวจอมว่า ริ้วแดงกระจายไปทั่วหน้า “ก็เหมือนกับเสื้อกับกางเกงพี่นั่นแหล่ะ”

                โหรหัวเราะหึ ยกกาแฟขึ้นดื่มเป็นอึกสุดท้าย แบบนี้แหล่ะที่เขาเรียกว่าศีลเสมอกัน...

 
(มีต่อ)
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 25 : บันได] 14/04/2563
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 14-04-2020 20:09:00
(ต่อ)

                สิ่งที่ยากยิ่งกว่าการเปิดอกพูดกับพ่อ คือสิ่งที่เขากำลังจะทำ ร้านกาแฟร้านเดิมที่เขาเคยได้เจอกับปรางค์เมื่อหลายเดือนก่อน คือสถานที่นัดแนะในวันนี้

                เขายังคงสถานะเพื่อนสนิทให้กับปรางค์ แม้ว่าเธอจะพยายามก้าวข้ามมาหลายครั้งแล้วก็ตาม

                เขาไม่เคยบอกปรางค์ว่าเป็นเกย์ ปรางค์เองก็ไม่เคยถาม

                พวกเขายังไปไหนมาไหนด้วยกัน เท่าที่สถานการณ์จะอำนวย ซึ่งโหรเข้าใจเรื่องนี้ดี เขาไม่เคยปิดบังหากมีนัดกับปรางค์ น่าแปลกนิดหน่อยตรงที่บ่อยครั้งเขามักจะได้พบกับรชต ทั้งที่ไม่เคยบอกว่าเขาจะไปไหนกับปรางค์

                บางทีเขาก็ลืมไปว่า ความบังเอิญมันไม่มีจริง

                กุมภ์มาถึงก่อนเวลานัด เขาเลือกที่นั่งด้านในสุด มุมนี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ด้านนอกได้ถนัด แมวตัวอ้วนลายสีส้มเดินบนกำแพง แดดอ่อนๆ ส่องผ่านใบของต้นมะม่วง กล้วยไม้ที่เจ้าของร้านปลูกไว้ออกดอกแข่งกัน สวยเสียจนนึกอยากจะถ่ายรูปเอาไว้อวดโหร ผีเสื้อตัวเล็กๆ กระพือปีกหยอกล้อบนกลีบดอกสีสด ในเมืองกรุงก็มีมุมสวยๆ แบบนี้อยู่เหมือนกัน

                กาแฟที่สั่งไว้วางกลางโต๊ะ รสขมปนหวานทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาได้บ้าง อาการง่วงงุนเพราะนอนไม่ค่อยหลับดูเหมือนจะทุเลาลงไปเล็กน้อย

                เมื่อคืนเขาเข้าไปหาพ่อ มันยากกว่าตอนที่คุยกับแม่ก็จริง แต่เขาไม่ถอยหลังไม่ได้แล้ว อีกอย่าง มันไม่มีประโยชน์อะไรหากจะดึงเวลาต่อไป

                ดูเหมือนสถานการณ์จะเป็นใจเหลือเกิน พ่อสวดมนต์เสร็จเร็วกว่าปกติ ท่านนั่งอยู่บนเตียงกับแม่ ดวงตาที่มองมาตอนที่เขาเปิดประตูเข้าไปไม่ได้แสดงความสงสัยอะไร คล้ายกำลังรอบางอย่าง...จากเขา

                การเปิดอกพูดไม่ได้อึดอัดเท่ากับคราวก่อน อาจะเป็นเพราะเขาเตรียมใจไว้นานแล้วบวกกับแรงใจจากโหร...แรงใจที่ปราศจากคำพูดหากแต่เป็นการกระทำ โหรยอมสอบข้าราชการทั้งที่ไม่เคยคิดจะทำ ยอมเรียนปริญญาโทต่อ เขารู้ว่าทั้งหมดนั้นโหรไม่ได้ทำแค่เพื่อตัวเอง ดังนั้นเขาจะไม่ยอมให้โหรเดินขั้นบันไดแต่เพียงลำพัง เขาจะต้องไปด้วย

                พ่อมองเขาอยู่ชั่วอึดใจ และเขาก็บอกกับท่านไปว่าเขาเป็นเกย์ ไม่มีอาการตกใจให้เห็น มีแค่สีหน้าเรียบเฉย แม่ที่นั่งอยู่ข้างๆ บีบมือพ่อเอาไว้ ก่อนจะละมาลูบศีรษะเขาแผ่วเบา เขายกมือขึ้นประนมแล้วก้มลงกราบแนบเท้าท่านทั้งสอง สำนึกในพระคุณและสำนึกในบาปที่ทำให้พวกท่านผิดหวัง พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นแม่ยกมือขึ้นปาดน้ำตาลวกๆ ส่วนพ่อยังคงนิ่งเฉย ไม่มีคำพูดหรือการกระทำใดๆ ที่ชัดเจน คงเป็นปัญหาให้เขาไปคิดเอาเองว่าท่านคิดอย่างไร และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงได้มีสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่นมาจนถึงตอนนี้

                กาแฟหมดไปครึ่งแก้วปรางค์ก็มาคือพอดี เธอยิ้มหวานเป็นการทักทายก่อนจะเลื่อนเก้าอี้นั่งลงฝั่งตรงข้าม

                “สั่งอะไรหรือยัง ให้เราไปสั่งให้ไหม”

                “สั่งแล้วล่ะ วันนี้อยากกินชาเขียว” ปรางค์บอก “แล้วนี่นัดเรามาทำไมเหรอ อย่าบอกนะว่าจะให้เราติวบัญชีให้ ได้ข่าวว่าเรียนนิติไม่มีบัญชีนี่นา”

                กุมภ์ส่ายหัว นึกเอ็นดูใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มของปรางค์ นี่ถ้าหากเขาเป็นชายแท้คงรุกจีบเธอไปแล้ว “เปล่าหรอก ช่วงนี้ป้าเปรมเป็นยังไงบ้าง ไม่ได้เจอท่านเลย”

                “สบายดี กำลังเห่อไปทำบุญแถวราชบุรี ลงทุนตื่นตีสองตีสามเพื่อไปทำบุญ” ปรางค์พูดขำๆ “แล้วน้ากัญญาล่ะ สบายดีไหม พูดแล้วก็คิดถึง เอาไว้วันหลังเราทำคุกกี้ไปฝากดีกว่า นี่เราทำคุกกี้เก่งแล้วนะ มีคนชมด้วยล่ะ”

                นอกจากจะเรียนเก่งแล้ว ปรางค์ยังมีฝีมือด้านการทำเบอเกอร์รี่อีกด้วย เขาเคยได้ชิมคุกกี้อยู่ครั้งสองครั้ง รสชาติใช้ได้ หวานหอมกำลังดี

                “อืม ถ้าเปิดร้านเมื่อไรเราจะไปอุดหนุนบ่อยๆ นะ”

                “แล้วสรุป กุมภ์มีอะไรจะคุยกับเราเหรอ”

                “เราเป็นเกย์” กุมภ์ไม่อิดออดให้เสียเวลา เขาผ่านช่วงเวลาที่ยากที่สุดมาแล้ว อย่างที่เขาว่าหากมีครั้งแรกก็จะมีครั้งต่อไป และมันจะง่ายขึ้น

                ปรางค์นิ่งอึ้ง ซึ่งไม่ต่างจากปฏิกิริยาของพ่อกับแม่ ดวงตาของเธอค้างหยุดกระพริบไปพักใหญ่ ความเงียบปกคลุมพวกเขาไปชั่วขณะ เขายื่นมือไปแตะหัวไหล่เล็ก แต่เธอปัดออกแทบจะทันทีเหมือนโดนของร้อน ปรางค์ได้สติในตอนนั้น

                “อะ..ไรนะ”

                “เราเป็นเกย์ แล้วเราก็คิดว่าปรางค์คงเดามาได้สักพักแล้ว...ใช่ไหมล่ะ” เขาบอก ริมฝีปากคลี่ยิ้ม ไม่ใช่การฝืนทำหากแต่เป็นไปโดยอัตโนมัติ รอยยิ้มแห่งการยอมรับ “เราไม่โกรธหรอกนะถ้าปรางค์จะรังเกียจหรือเลิกคบกับเรา”

                “...เพราะโหรใช่ไหม”

                คราวนี้เป็นกุมภ์เสียเองที่แปลกใจ ชายหนุ่มเลิกคิ้วมองสตรีตรงหน้า “พี่โหรเหรอ?”

                “เราเห็น...ไลน์ วันที่กุมภ์นอนโรงพยาบาล” สีหน้าของปรางค์นิ่งเรียบ แต่ที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนไม่เคยรู้จักผู้หญิงคนนี้มาก่อนคือแววตาโกรธขึงของเธอ “เพราะโหรใช่ไหมที่ทำให้กุมภ์เป็นเกย์”

                กุมภ์ไม่ได้โกรธที่เธอเสียมารยาทแอบอ่านข้อความส่วนตัวของเขา แต่เขาโกรธที่เธอโทษโหร กุมภ์นับหนึ่งถึงสิบ พยายามนึกถึงเรื่องราวดีๆ ที่เคยมีให้กัน ผ่อนลมหายใจเข้าออกให้ลึกพอที่จะดับความร้อนในอกได้

                “เราเป็นเกย์ก่อนที่จะเจอพี่โหร”

                “ไม่จริง! เราไม่เคยเห็นกุมภ์มีแฟน...”

                “เราเคยแอบชอบรุ่นพี่ผู้ชายสมัยเรียนมัธยม” กุมภ์แทรกก่อนที่ปรางค์จะพูดจบ ไม่นำพากับความโกรธที่เพิ่มมากขึ้นทุกทีของเธอ “อย่าโทษพี่โหร เราแค่รู้สึกดีต่อกัน แต่เขาไม่ได้ทำให้เราเป็นเกย์”

                “วิปริต” ปรางค์ว่า เสียงของเธอไม่ดังนักแต่หนักแน่นและเต็มไปด้วยความเกลียดชังจนเขารู้สึกได้ ใบหน้าน่ารัก บัดนี้ถูกโทสะครอบงำเสียจนดูน่ากลัวไม่ต่างจากนางร้ายในละคร “เราจะบอกเรื่องนี้กับน้ากัญญา”

                “แม่เรารู้แล้ว” กุมภ์ส่ายหน้า เขารู้ซึ้งจริงๆ ว่าการต่อปากต่อคำกับคนโกรธมันไร้ประโยชน์จริงๆ “ปรางค์จะเอาไปบอกใครก็ได้ว่าเราเป็นเกย์ เราไม่โกรธ เพราะคนที่เรารักที่สุดรู้แล้ว...รวมทั้งปรางค์ด้วย”

                ปรางค์มองหน้าเขานิ่ง หยาดน้ำคลอขอบตา ความโกรธดูเหมือนจะผ่อนลง ปลายจมูกของเธอเรื่อง หัวไหล่เล็กสั่นไหวแล้วไม่นานน้ำตาก็ไหลผ่านแก้ม ไม่รู้ว่าเธอเสียใจหรือโกรธเขาจนร้องไห้กันแน่

                “...ทำไมล่ะ ฮึก ทำไม กุมภ์ ฮือ ไม่ชอบเรา ฮึก ทั้งที่เรา ชอบกุมภ์มาก ชอบมาตั้งแต่แรกเลย” ปรางค์พูดพร้อมปาดน้ำตา ผู้หญิงที่สวยจนแทบหาที่ติไม่ได้ กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นต่อหน้าเขาอย่างไม่สนใจสายตาคนอื่น “เรา ฮึก ชอบกุมภ์ ฮึก กุมภ์คือรักแรกของเรา เรารอกุมภ์มาตลอดเลยนะ”

                คำพูดของเธอทำให้เขาสะท้อนใจ ความผิดอาบรดร่าง จำไม่ได้หรอกว่าสมัยที่ยังเป็นเด็กเขาเคยไปให้ความหวังเธอหรือเปล่า แต่ที่ผ่านมาเขาไม่เคยแสดงออกเลยว่าคิดกับเธอเกินเพื่อน

                กุมภ์ก้มหน้า รู้สึกแย่ยิ่งกว่าตอนสารภาพกับพ่อเสียอีก ไหนใครว่าการทำอะไรซ้ำๆ จะทำให้ชินชา แต่ที่เขากำลังเผชิญอยู่นี่มันไม่เหมือนกันสักครั้ง

                ครั้งแรกกับแม่ อึดอัดจนอยากจะหายไปดื้อๆ

                ครั้งที่สองกับพ่อ เบาหวิวและไร้ความชัดเจน

                ครั้งที่สาม รู้สึกผิด

                ครั้งสุดท้ายที่แหล่ะที่ทำให้เขาคิดว่าตัวตนของเขามันทำร้ายปรางค์

                “ขอโทษนะปรางค์...แต่เราคิดกับปรางค์แค่เพื่อนจริงๆ”

                ไม่มีคำตอบรับ มีแต่เสียงสะอื้น กุมภ์ยกมือขึ้นบีบหัวไหล่ของปรางค์ นอกจากคำขอโทกับคำว่าเพื่อนเขาก็ไม่มีอะไรให้เธอแล้วจริงๆ ...

 :hao7:

*มาช้าแต่มานะ*

**ปรางค์ไม่ร้ายหร๊อกกกก ปรางค์ก็แค่ฉันก็รักของฉันเข้าใจบ้างไหม**

***เหมือน สนพ. อยากจะได้คู่น้องจอมเพิ่ม เดี๋ยวต้องไปคิดพล็อตก่อง***

****ใกล้จบแล้วจ้ะ เหลืออีกไม่กี่ตอน****

*****โปรดติดตามตอนต่อไป*****
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 25 : บันได] 14/04/2563
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 14-04-2020 20:48:41
ทำไมคู่จอมมาแรงจัง พี่โหรทุ่มเทมากๆ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 25 : บันได] 14/04/2563
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 14-04-2020 21:20:06
โหร นี่พอมีความรัก ก็ทำการใหญ่เลยนะ กลัวคนรักลำบาก ว่าแต่แบบโหรมีเหลือสักคนไหม พันนาเจ้าจอมก็จองไปแล้ว อิอิอิ
เข้าใจปรางค์นะ รักแรกและรอคอยมาตลอด ถึงแม้จะแอบรู้ว่ามีคุยกับโหร แต่ใจทีรักกุมภ์มากเลยมองข้ามสิ่งนี้ไป
แต่ไม่เป็นไรนะ มีรชต คอยปลอบใจอยู่ข้างๆ
ใกล้่จบแล้วหรือ อ่านกำลังเพลินๆ เลยนะ คิดถึงทุกคน
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 25 : บันได] 14/04/2563
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 14-04-2020 22:24:24
 :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 25 : บันได] 14/04/2563
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 15-04-2020 00:30:43
 :L2: :pig4: :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 25 : บันได] 14/04/2563
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 15-04-2020 00:50:36
จะจบแล้วหรอเนี่ย ยังไม่อยากให้จบเลยค่ะ อ่านเพลิน  พี่โหรเป็นผู้ใหญ่มากๆ ความคิดและการกระทำ อิจฉากุมภ์เลย 555
น้องรามออกมาฉากเดียวแต่กลับรู้สึกว่า ดาเมจเมะกระจาย ไม่รู้ว่าอนาคตจะมีเรื่องของน้องด้วยมั้ยน้าา ดูน่าจะแสบไม่น้อยไปกว่าจ้าวจอมเลย
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 25 : บันได] 14/04/2563
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 15-04-2020 10:36:50
 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 25 : บันได] 14/04/2563
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 15-04-2020 21:52:56
โอ้โห พี่โหรนายแน่มาก เยี่ยมจริงๆ เยี่ยมจริงๆ เยี่ยมจริงๆ บทจะจริงจังก็ทุ่มเทเต็มที่เลย นับถือๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 25 : บันได] 14/04/2563
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 16-04-2020 01:23:07
ใกล้ล้าาาา
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 25 : บันได] 14/04/2563
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 20-04-2020 22:35:11
ดูท่าแล้ว ปรางค์น่าจะร้ายได้อีกนะเนี่ย
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 26 : เข้าถ้ำเสือ] 27/04/2563
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 27-04-2020 20:39:57
ตอนที่ 26 เข้าถ้ำเสือ

            โหรขีดฆ่าตัวเลขในปฏิทิน สามเดือนแล้วกับการบรรจุเป็นข้าราชการ และอีกหนึ่งเดือนสำหรับการเป็นนักศึกษาปริญญาโท ต้องยอมรับว่าตั้งแต่เรียนจบมา ช่วงเวลานี้นับว่าวุ่นวายที่สุด ไหนจะต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปให้ทันเข้างาน เลิกงานก็ต้องไปเรียนต่อ เลิกเรียนก็สามสี่ทุ่ม กว่าจะถึงบ้านเขาก็แทบจะหมดแรง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เคยลืมสวดมนต์ เหมือนที่เคยทำมานับสิบปี เพราะเขาระลึกเสมอว่าการสวดมนต์มันทำให้เขาดำรงด้วยสติและสมาธิ

                และอีกสิ่งที่ทำไม่เคยขาดแม้จะเหนื่อยมากแค่ไหนก็ตาม นั่นคือการส่งข้อความหาคนไกล เพียงแค่ได้เห็นตัวอักษรสักตัวหรือสติ๊กเกอร์เขาก็แทบจะหายเหนื่อยแล้ว

                แบบนี้เรียกว่า ‘ชอบ’ ได้แล้วกระมัง

                สุดสัปดาห์นี้เป็นวันหยุดยาว เป็นวันสำคัญทางศาสนา แน่นอนว่าข้าราชการอย่างเขาและนักศึกษามีวันหยุดตรงกัน เขาวางแผนว่าจะไปหากุมภ์ที่กรุงเทพฯ และคราวนี้มีการนัดหมายกันแน่ชัด เพราะเขาไม่อยากให้กุมภ์งอนอีก มันทรมาน

                มือหนาละจากปฏิทิน ทิ้งตัวลงนอนบนฟูก มือควานหาโทรศัพท์ด้วยความเคยชิน วันนี้เขาไม่มีเรียนเลยได้กลับบ้านเร็ว ต้องยอมรับว่าการห่างกายไปจากบทเรียนมาหลายปีทำให้ต่อติดยากสักหน่อย โชคดีที่เขามีเพื่อนร่วมคลาสดีรวมไปถึงอาจารย์ประจำวิชา หลังจากผ่านมาสามเดือน เขาก็เริ่มชอบการเรียนขึ้นมาอีกครั้ง

                นิ้วมือขยับขึ้นลงบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ เขาโดนแซวจากจ้าวจอมว่าใช้โทรศัพท์เก่งเสียยิ่งกว่าวัยรุ่น โต้ตตอบได้เร็ว แถมยังใช้แอพพลิเคชั่นต่างๆ ได้คล่องทั้งที่จ้าวจอมสอนไปแค่ครั้งเดียว แน่นอนว่าเขาไม่ใช่พวกหัวทึบ เพียงแต่ไม่ค่อยชอบมันเท่าไรนัก จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้พิสมัยมัน ทว่าก็ขาดมันไม่ได้เพราะมันทำให้เขาคลายความคิดถึงกุมภ์ลงไปได้มากโข หากเป็นสมัยก่อนอย่างดีที่สุดคงได้แค่โทรศัพท์ฟังเสียงเท่านั้น

                เพิ่งจะสองทุ่ม กุมภ์น่าจะถึงบ้านแล้ว ช่วงนี้กุมภ์มีกิจกรรมที่คณะเห็นว่าจะมีงานกีฬามหาวิทยาลัย ถึงกุมภ์จะไม่ใช่นักกีฬา แต่ก็ต้องช่วยรุ่นพี่ ส่วนพันนากลายเป็นช่างภาพประจำคณะไปโดยปริยาย

                เมื่อสองเดือนก่อนกุมภ์ทำในสิ่งที่คิดไม่ถึง ไม่ใช่แค่บอกกับพ่อว่าตัวเองเป็นเกย์ แต่กับปรางค์ก็ด้วย

                กุมภ์เปิดเผยตัวตนกับปรางค์ เขารู้ว่ามันเป็นสิ่งที่กระทบกระเทือนจิตใจเธอมากที่สุด ใครๆ ก็มองออกว่าปรางค์คิดอย่างไรกับกุมภ์

                เขามั่นใจว่ากุมภ์เองก็รู้ แต่เจ้าตัวเลือกที่จะปิดหูปิดตาตัวเอง และให้คำจำกัดไว้แค่คำว่าเพื่อน ทว่าความรู้สึกของผู้หญิงกับผู้ชายมันต่างกัน ผู้หญิงเป็นเพศละเอียดอ่อนและคิดนำความจริง ดังนั้นเขาจึงไม่แปลกใจเลยตอนที่กุมภ์บอกว่าปรางค์ร้องไห้หนัก และไม่พูดกับตนอีกเลย

                สำหรับปรางค์ถ้าหากเธอคิดได้ว่ากุมภ์จะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่งของเธอ สักวันความสัมพันธ์คงจะกลับมาเหมือนเดิมแต่ถ้าหากเธอใช้ทิฐิและความโมหะเป็นตัวนำ เธอก็อาจจะเสียเพื่อนดีๆ อย่างกุมภ์ไปตลอดชีวิต

                น้ำตาของปรางค์ทำให้กุมภ์รู้สึกผิดที่ตัวเองเป็นเกย์ แต่เขาไม่เห็นด้วย ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง ผู้ชาย เกย์ ทอมหรือเพศอื่น ไม่ใช่ความผิด เรื่องของความรู้สึกหรือความรัก มันไม่มีถูกมีผิด ปรางค์ไม่ผิดที่รักกุมภ์ กุมภ์ไม่ผิดที่เป็นเกย์ ถ้าจะผิดก็คงเป็นเขากระมัง ที่ดันส่งข้อความไปให้กุมภ์อย่างไม่รู้เวล่ำเวลา

                กุมภ์เล่าว่าปรางค์โทษว่าเป็นเพราะเขาเลยทำให้กุมภ์เป็นเกย์ เธอเห็นข้อความที่เขาส่งไปให้กุมภ์ แม้จะไม่เห็นทั้งหมดแต่ก็จับทางได้ ซึ่งเธอก็เก่งเสียด้วย เซ้นส์ของผู้หญิงแม่นยำจนน่ากลัวทีเดียว และเชื่อหมูกินได้เลยว่าเธอเกลียดเขามากกว่ากุมภ์แน่นอน

                ได้แต่หวังว่ารชตจะทำหน้าที่ตัวสมานความสัมพันธ์ได้สำเร็จ

                เขาตัดเรื่องที่ผ่านมาทิ้ง ก่อนจะต่อสายถึงคนที่คิดถึง รอไม่ถึงอึดใจปลายสายก็ตอบรับ แค่ได้ยินเสียงทุ้มต่ำสบายหู ริมฝีปากก็ยกยิ้มเสียแล้ว

                ‘วันนี้ไม่มีเรียนเหรอครับ’

                “จำไม่ได้สักที พี่ลงเรียนพุธ พฤหัสฯ ศุกร์ไง” เขาบอกไม่ได้นึกโกรธหรอกที่อีกคนจำวันเรียนของเขาไม่ได้

                ‘เออ มันลืมไง แล้ววันนี้เหนื่อยไหม ต้องทำอะไรบ้าง’

                หน้าที่ของเขาคือเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในแต่ละวันให้กับกุมภ์ฟัง งานราชการมันก็สนุกไปอีกแบบ มีเรื่องให้ตื่นเต้นได้ทุกวัน เพลี้ยเข้าไร่มันสำปะหลังบ้าง วัวหายบ้าง หรือไม่ก็แย่งพื้นที่ทำกินกัน ดังนั้นงานของเขาเลยไม่ค่อยจะซ้ำกันสักเท่าไร ที่ร่ำเรียนมาก็ได้ใช้บ้างแต่มันไม่สนุกเท่ากับการที่ต้องแก้ปัญหาด้วยตัวเอง อย่างวันนี้ก็ต้องไปช่วยชาวบ้านทำปุ๋ยหมักแบบอินทรีย์ เนื้อตัวเปื้อนขี้วัวแห้ง คันไปทั้งตัว ด้วยจำนวนเจ้าหน้าที่น้อยงานเลยค่อนข้างหนัก หากเทียบกับหน่วยงานอื่น

                กุมภ์ฟังเขาแล้วไปพลางถามแทรกเป็นระยะ รายนั้นมักจะหัวเราะกับกิจกรรมเลอะเทอะเปรอะเปื้อนของเขา ทั้งโกยขี้หัว หรือบางวันก็ต้องไปทำน้ำหมักชีวภาพเอาไว้แจกประชาชน ซึ่งทั้งหมดเป็นงานที่เขาไม่เคยคิดฝันมาก่อนเลยว่าจะได้ทำ กุมภ์เคยเปรยๆ ให้ฟังว่าอยากจะลองมาช่วยเขาโกยขี้วัวหรือไม่ก็ปลูกต้นไม้บ้าง แต่ก็หาโอกาสยากเต็มที

                ในเมื่อกุมภ์มาหาเขาไม่ได้...เขาก็แค่ไปหากุมภ์

                เขาไม่ปฏิเสธหรอกว่าสามเดือนที่ผ่านมาความรู้สึกพิเศษที่มีต่อกุมภ์มันพัฒนาขึ้นมากทีเดียว จากแค่รู้สึกดีบัดนี้มันคือความชอบ และคงอีกไม่นานเขาจะเรียกมันว่า ‘รัก’ ได้เต็มปาก เขายังไม่อยากเร่งรัดความสัมพันธ์ อยากจะศึกษากันไปเรื่อยๆ เขาไม่ใช่วัยรุ่นใจร้อนริลองรักอีกต่อไปแล้ว หากแต่กำลังจะก้าวเข้าสู่วัยกลางคน ทุกความคิด ทุกการกระทำต้องรอบคอบและมั่นคงมากขึ้น โดยเฉพาะถ้าหากจะจีบลูกหลานผู้ดีเก่าเขาจะทำตัวดิบห่ามแบบเมื่อก่อนไม่ได้

                คำสัญญาว่าอีกสองวันจะได้เจอกันดังเตือนในสมองเป็นรอบที่ร้อย ที่ต้องขีดฆ่าบนปฏิทินมันคือการนับวันรอ สามเดือนที่ไม่ได้เจอกัน โคตรคิดถึงเลย

                กุมภ์วางสายไปตอนเกือบสี่ทุ่ม พวกเขาจะใช้เวลาเป็นชั่วโมงในการคุยกันเพื่อบรรเทาความคิดถึงที่มีล้นอก คิดแล้วก็อดสมเพชตัวเองไม่ได้ อายุก็ตั้งยี่สิบห้าแล้วยังติดคุยโทรศัพท์เป็นเด็กๆ สงสัยเขาคงจะสนิทกับจ้าวจอมมากเกินไปกระมัง...

 

                จำนวนรถยนต์ในกรุงเทพฯ ไม่เคยลดลงซ้ำมีแต่จะเพิ่มขึ้นทุกวัน แม้ทางการจะสร้างถนนเพิ่มเพื่อแก้ไขปัญหาจราจร แต่ก็ยังไม่ช่วยอะไร เพราะมนุษย์ยังคงยึดติดอยู่กับสะดวกสบาย โหรก้าวลงจากรถตู้ที่วิ่งได้ฉวัดเฉวียนชวนเวียนหัว พอเท้าถึงพื้นก็ต้องสะบัดหน้าแรงๆ ไล่คลื่นเหียน ความคิดที่ว่าอีกสองปีจะซื้อรถยนต์คันใหม่ เห็นทีต้องล้มเลิก แล้วขยับมาเป็นปีนี้แทน ถึงจะเป็นการเพิ่มการจราจรให้เมืองหลวง แต่ถ้าหากต้องนั่งรถตู้บ่อยๆ เขาคงจะตายเข้าสักวัน

                อากาศในตอนเที่ยงร้อนเสียจนขนลุก แดดแรงยิ่งกว่าที่บ้านหลายเท่านัก แม้จะไม่พวกผิวบางออกจะกระด้างหยาบด้วยซ้ำ ก็ยังไม่ทนไม่ไหว รีบวิ่งเข้าไปหลบแดดใต้ต้นไม้ พลางชะเง้อหาใครบางคนที่รับปากหนักแน่นว่าจะมารับ แต่เพราะแดดมันจ้าแสบตามากเกินไป เลยมองไม่เห็นใครที่คุ้นตาเลย โหรถอนหายใจ ทำท่าจะล้วงเอาโทรศัพท์ออกมาโทรหาใครคนนั้น ทว่าที่หัวไหล่กลับรับรู้ถึงแรงสัมผัสเสียก่อน

                แค่เห็นนิ้วมือเขาก็รู้แล้วว่าเป็นใคร ใบหน้าขาวสะอาด ดวงตากลมเป็นประกาย เส้นผมสีดำตัดกับสีผิว จมูกโด่งรับกับริมฝีปากแดงระเรื่อ โหรไม่อาจห้ามรอยยิ้มได้ รู้สึกว่าความเหนื่อยล้าจากการเดินทางมันหายไปในนาทีนั้น

                “สวัสดี”

                เสียงพูดที่เคยได้ยินผ่านลำโพงโทรศัพท์มานานหลายเดือน วันนี้มันเพราะกว่าเป็นร้อยเท่า ริมฝีปากขยับคำว่า ‘คิดถึง’ อย่างควบคุมไม่ได้

                โหรไม่รู้ว่าหันหน้าไปมองสารถีหนุ่มบ่อยครั้งแค่ไหน รู้อีกทีสายตามันก็หยุดนิ่งอยู่ที่มุมเดิมๆ เสียงเพลงสากลดังแผ่วในรถ เนื้อเพลงกล่าวถึงความรักที่เกินควบคุมและหยุดไม่ได้ หัวใจมันมักจะเต้นเร็วยามเมื่อได้สัมผัสกัน และไม่มีอะไรหยุดความรักครั้งนี้ได้ โหรนึกแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกันที่สามารถแปลความหมายของเพลงนี้ได้ คงเป็นเพราะหลักสูตรปริญญาโทกระมังที่ทำเขาต้องเร่งฝึกฝนภาษาอังกฤษ ทว่าเหนือสิ่งอื่นใด เพลงที่กุมภ์เปิดมันตรงกับความรู้สึกของเขาในตอนนี้ได้อย่างไม่น่าเชื่อ

                ใครจะไปคิดล่ะว่า ชายแท้อย่างเขาจะคิดถึงผู้ชายอีกคนได้ตลอดเวลา

                และเพราะไอ้ความคิดถึงนี่แหล่ะที่ผลักให้เขาต้องมากรุงเทพฯ

                เขาใช้เวลาในรถพิจารณาความเปลี่ยนแปลงของกุมภ์ สามเดือนที่ไม่ได้เห็นหน้ากันแบบจริงๆ กุมภ์เปลี่ยนไปเล็กน้อย ผิวขาวขึ้นคงเพราะไม่ค่อยได้โดนแดด อ้วนขึ้นเพราะแก้มกลมกว่าคราวก่อนที่เจอกัน ผมตัดเล็มเป็นทรงแบบที่ได้เห็นตามดาราวัยรุ่นในทีวี วันนี้กุมภ์อยู่ในชุดธรรมดา เสื้อยืดตัวใหญ่สีขาวสะอาดสกรีนลายตรงหน้าอก กางเกงยีนพอดีตัวสีดำขาดหัวเข่า มีสร้อยคอสีขาวห้อยยาวออกมานอกคอเสื้อ บนนิ้วมือมีแหวนที่น่าจะทำมาจากทองคำขาวสวมที่นิ้วชี้ เขาก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่ากุมภ์แต่งตัวเก่งเอาการ ขณะที่เขาสวมเสื้อยืดสีขาวไม่มีลายกับกางเกงยีนสีเข้มคู่ใจ เครื่องประดับมีแค่หวานพระที่ปู่ให้ติดตัวไว้เท่านั้น

                เขาเพิ่งกระจ่างว่ากุมภ์หล่อมากแค่ไหน

                “จะมองอีกนานไหน เดี๋ยวผมก็เลี้ยวลงข้างทางหรอก” สารถีรูปหล่อพูดยิ้มๆ แม้จะเห็นจากด้านข้างแต่หัวใจคนมองก็พาลเต้นแรง มันเหมือนในเพลงไม่มีผิด แค่อยู่ใกล้กันหัวใจก็ทำงานผิดปกติเสียแล้ว

                “มองคนหล่อ”

                “ผู้ชายที่ไหนเขาชมผู้ชายหล่อกัน”

                “ก็ผู้ชายอย่างพี่ไง” นานแค่ไหนกันที่ไม่ได้เรียกตัวว่าเองพี่กับใคร ไม่รู้ทำไมกับกุมภ์เขาถึงอยากจะใช้คำที่เป็นกันเองแบบนี้

                “แต่ก็ดีกว่าชมว่าน่ารัก” กุมภ์ว่า ผิวแก้มระเรื่อขึ้น

                พวกเขาไม่มีแผนว่าจะไปที่อื่น การมากรุงเทพฯ ครั้งนี้ของโหร ไม่ใช่แค่คลายคิดถึงให้น้อยลง แต่เขายังต้องการแสดงตัวตนให้พ่อแม่ของโหรได้รับรู้อีกด้วย ถ้าไม่เข้าถ้ำเสือจะได้ลูกเสือได้อย่างไร

                บ้านของกุมภ์ใหญ่กว่าที่เคยเห็นในเฟสบุ๊คเสียอีก กะด้วยสายตาคร่าวๆ น่าจะเกินสามไร่ ซึ่งนับว่ากว้างมากเพราะที่นี่คือกรุงเทพฯ ซ้ำยังเป็นย่านที่รายล้อมด้วยความศิวิไลทุกรูปแบบ ที่สำคัญไม่ใช่บ้านจัดสรรหากแต่เป็นบ้านที่ถูกสร้างขึ้นมาก่อนที่ความเจริญจะมาถึง เป็นที่ดินเก่าแก่ที่ราคาสูงลิบ ถึงจะไม่พวกนายหน้าค้าที่ดินแค่นี้เขาก็ดูออก

                นี่มันดอกฟ้ากับหมาวัดชัดๆ

                ประตูรั้วอัลลอยค่อยๆ เคลื่อนเปิดด้วยฝีมือของผู้ชายตัวใหญ่วัยกลางคน ผิวเข้มคล้ำ ก่อนที่รถจะเข้าสู่ตัวบ้านชายคนนั้นผงกหัวเป็นเชิงให้ความเคารพกับกุมภ์ก่อน โหรแอบใจฝ่อ นี่เขาจะเด็ดดอกฟ้าได้จริงๆ หรือ?

                “เป็นอะไร หน้าเครียดเชียว”

                เจ้าของบ้านเอ่ยถามหลังจากลงมายืนบนพื้นเรียบร้อย เขาคงแสดงความเครียดออกทางสีหน้ามากเกินไป โหรถอนหายใจ ยอมรับว่าประหม่าและกดดันกว่าที่คิดไว้

                “เครียดสิ ตอนแรกคิดว่าแค่เข้าถ้ำเสือ แต่นี่มันคฤหาสน์เสือชัดๆ”

                กุมภ์หัวเราะเบาๆ ยกมือขึ้นจับบ่าบีบเบาๆ คล้ายจะให้กำลังใจ “พ่อแม่ผมไม่ได้ดุขนาดไอ้บอดหรอก แถมแปลงร่างไม่ได้ด้วย”

                โหรส่ายหัวให้กับคำพูดปลอบใจ ผีสางน่ะไม่น่ากลัวเท่าใจคนหรอก

                มองจากภายนอกว่าใหญ่โตโอ่อ่าแล้ว ภายในยิ่งกว่า แค่ห้องโถงก็ไม่อาจประเมินค่าได้ เฟอร์นิเจอร์เครื่องใช้แทบทุกชิ้นล้วนงดงาม และเป็นงานฝีมือ ลวดลายวิจิตรจนโหรหยุดนิ่งไปชั่วอึดใจ ไม่บอกก็รู้ว่าอายุของพวกมันร่วมร้อยปีแน่นอน แต่กลับยังใหม่เอี่ยมสะอาดสะอ้าน กุมภ์แตะแผ่นหลังเป็นเชิงดันให้เดินต่อ

                ในห้องโถงไม่มีใครมันทำให้เขาผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่เขาได้ยินเสียงคล้ายคนคุยกันดังมาจากที่ไหนสักแห่ง เมื่อตั้งใจฟังจะรู้ว่าเป็นเสียงของผู้หญิงที่มากกว่าสองคน แน่นอนว่าไม่ใช่ผี น่าจะเป็นมารดาของกุมภ์เขาจำเสียงของท่านได้

                “นั่งก่อน เดี๋ยวขาก็แข็งพอดี” กุมภ์ว่ายิ้มๆ กดไหล่ให้เขานั่งบนโซฟาโบราณสีน้ำตาลเข้มเงาปลาบ เบาะมันนุ่มเหมือนได้นั่งในรถหรูๆ เลยทีเดียว

                กุมภ์บอกให้เขารอแล้วเดินหายไปไปยังอีกฝากของห้องโถง ไม่ถึงสองนาทีก็กลับเข้ามาพร้อมกับถาดสีเงินที่มีเหยือกน้ำ แก้วและโถกระเบื้อง

                “น้ำกระเจี๊ยบแม่ทำเอง กินกับคุกกี้ขิงอร่อยดีนะ”

                น้ำสีแดงเข้มสวยไหลลงแก้วน้ำด้วยฝีมือของกุมภ์ คุกกี้ขิงสีน้ำตาลอ่อนส่งกลิ่นหอมตามแบบของว่างฝรั่ง เขายังไม่เห็นคนอื่นๆ นอกจากกุมภ์คนเดียว เลยไม่ได้สนใจของว่างสักเท่าไร หลายครั้งที่ชะเง้อไปทางเดียวกับที่กุมภ์เดินออกมา

                “เดี๋ยวแม่ก็มา ใจเย็น” กุมภ์บอก พลางทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตัวเดียวกัน คว้าคุกกี้ขิงเคี้ยวตุ้ยๆ สลับกับยกแก้วน้ำกระเจี๊ยบขึ้นจิบ ท่าทางผ่อนคลายเสียจนอดหมั่นไส้ไม่ได้

                ใช่สิ! เขาต้องมาชิงลูกเสือที่กำลังลอยหน้าลอยตากินขนม โดยที่ไม่มีทางรู้เลยว่าพ่อแม่เสือเตรียมอะไรไว้ต้อนรับเขาบ้าง แต่ได้หวังว่าลิงลมที่สักไว้จะช่วยให้เขาวิ่งหลบลูกกระสุนได้ทัน

                ไม่นานเกินรอ คนที่เขาคอยชะเง้อมองก็ปรากฏตัวขึ้น ผู้หญิงวัยไม่เกินหกสิบปี สวมชุดเสื้อผ้าสบายๆ แต่มองปราดเดียวก็รู้ว่าราคาค่างวดของมันแพงกว่าเงินเดือนราชการชั้นล่างอย่างเขาเสียอีก เธอก้าวเดินจังหวะธรรมดาไม่ได้ช้าหรือเร็วเกินไป สีหน้าผ่อนคลายไม่ต่างจากบุตรชาย และเป็นฝ่ายส่งยิ้มทักทายเขาก่อนด้วยซ้ำ จนเขาต้องรีบยกมือไหว้ก่อนจะทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดว่ากำลังเสียมารยาท

                “สวัสดีจ้ะ ไม่เจอกันนานเลย” คุณกัญญาไหว้รับ ตอนที่เดินมาถึงโซฟา

                กุมภ์รีบขยับตัวนั่งให้เรียบร้อยขึ้น เว้นระยะห่างจากเขาราวช่วงแขน คุณกัญญาเลือกที่จะนั่งบนโซฟาตัวเล็กที่อยู่ข้างกัน ดวงตาเป็นมิตรมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ส่วนหนึ่งเพราะเขาคือคนที่เคยช่วยเหลือลูกชายเอาไว้ แต่ก็ไม่ได้ฟรีเงินสองแสนยังอยู่ดีในธนาคาร

                “คุณกัญญาสบายดีหรือครับ” แม้จะเป็นคำกล่าวทักทายที่แสนโบราณ แต่มันน่าจะเหมาะสมกับสถานการณ์ตอนนี้ที่สุด อาการเกร็งประหม่าผ่อนลงเล็กน้อย

                “สบายดี แล้วคุณโหรล่ะ เป็นยังไงบ้าง เห็นว่าได้รับบรรจุเป็นข้าราชการแล้วใช่ไหม ตอนกุมภ์เล่า ฉันแปลกใจมาก ไม่คิดว่าคุณจะมาทางนี้”

                โหรเหลือบมองคนช่างจ้อ แต่เจ้าตัวก็ทำเป็นไม่สนใจนิ้วมือกดรัวอยู่ที่โทรศัพท์มือถือ ไม่ใช่กำลังตอบแชทใครหรอกแต่เล่นเกมอยู่ต่างหาก เห็นว่าพวกพันนาก็บ้าเกมนี้ด้วยเหมือนกัน

                “ครับ...ผมไม่อยากลำบากตอนแก่”

                คุณกัญญาหัวเราะน้อยๆ “ฉันเห็นด้วย เสียดายที่เงินเดือนข้าราชการน้อยไปหน่อย”

                ช่างเป็นคำพูดที่แทงใจดำนัก เงินเดือนแค่หลักหมื่น หากอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ คงหมดตั้งแต่กลางเดือน โชคดีที่เขาเป็นข้าราชการบ้านนอก ค่าครองชีพไม่ได้แพง บางวันเสียแค่ค่าน้ำมันมาทำงานเท่านั้น เพราะได้ข้าวฟรีจากชาวบ้านที่นำมาฝาก แต่ที่ทำให้เขามองข้ามเรื่องเงินเดือนไปก็คือเกียรติ เป็นข้าราชการก็ดีกว่าเป็นหมอ(ผี) ทว่าคุณกัญญาคงไม่คิดเช่นนั้น หล่อนคงคิดว่าเงินเดือนน้อยนิดพรรค์นั้นจะไปเทียบเท่ากับเงินค่าเช่าตึกในย่านธุรกิจได้อย่างไร

                โหรก้มหน้ายอมรับว่าละอายไม่น้อยที่ไม่มีมุมไหนทัดเทียมกับกุมภ์ได้เลย

                “ฉันไม่ได้ความอย่างที่คุณคิดนะ ฉันหมายความว่าเงินมันน้อยเกินไปหากเทียบกับงานที่ต้องทำ” คุณกัญญาบอก

                โหรเงยหน้าขึ้นก็พบกับใบหน้าขาวสะอาดของกุมภ์ที่มองมาทางตน เช่นเดียวกับคุณกัญญา แววตาของหล่อนแสดงความเสียใจกับคำพูดนั้น โหรส่ายหน้า เขาไม่ได้โกรธใคร และถ้าหากคุณกัญญาคิดเช่นนั้นจริงๆ มันก็ไม่ผิด

                “ครับ ผมทราบดี”

                “เออ แล้วได้เอาปุ๋ยมาฝากด้วยไหม เห็นกุมภ์เล่าว่าคุณทำปุ๋ยหมักกับชาวบ้าน”

                คุณกัญญาเปลี่ยนเรื่องได้เร็ว ผ่อนความเครียดให้คลายลง และดูเหมือนว่ากุมภ์จะช่างจ้อกว่าที่คิดไว้เยอะทีเดียว ท่าทางจะเล่าทุกอย่างที่คุยกับเขาให้แม่ฟัง เขาไม่ได้เคืองที่กุมภ์ทำแบบนั้น ตรงกันข้ามกลับรู้สึกดีเพราะนั่นหมายความว่ากุมภ์ไม่ได้ปิดบังมารดาว่ากำลังคุยกับเขา

                “ครับ กุมภ์บอกว่าคุณกัญญากำลังจะลองปลูกผักไว้กินเอง”

                “ใช่จ้ะ ผักในตลาดมีแต่ยาฆ่าแมลง ก็เลยอยากจะลองปลูกผักเอาไว้กินเอง แต่ติดตรงที่ไม่มีความรู้อะไรเลย เคยปลูกผักบ้าง แต่พอกินได้แค่กระทะเดียว” ท่านพูดติดตลก และมันก็สามารถความกดดันลงได้ “ไหนขอดูหน่อยซิ สมราคาคุยหรือเปล่า”

                จากนั้นบทสนทนาก็กลายเป็นการแนะนำขั้นตอนการทำปุ๋ยหมัก คุณกัญญาท่าทางสนใจไม่น้อย สอบถามเป็นระยะ บางครั้งดวงตาก็เป็นประกาย มุมนี้ท่านคล้ายกับกุมภ์มากทีเดียว กว่าจะอธิบายเสร็จก็กินเวลาไปร่วมครึ่งชั่วโมงเพราะไม่ใช่แค่เรื่องปุ๋ยหมัก คุณกัญญายังชอบให้เขาเล่าเรื่องชาวบ้านให้ฟังอีกด้วย

                “มันทำให้ฉันนึกถึงตอนเด็กๆ น่ะ” คุณกัญญาบอก “สมัยนั้นฉันติดคุณตามาก ฉันเคยเข้าป่าด้วยนะรู้ไหม”


(มีต่อ)     

               
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 26 : เข้าถ้ำเสือ] 27/04/2563
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 27-04-2020 20:40:32
(ต่อ)
 “จริงหรือครับ” โหรเลิกคิ้ว เป็นข้อมูลใหม่ที่เขาไม่เคยรู้เลยจริงๆ แม้แต่กุมภ์เองก็ยังแปลกใจ

                “จริงสิ สักสิบขวบกระมัง ท่านพาไปนั่งห้างส่องสัตว์ สมัยนั้นนะป่าน่ากลัวไปทุกส่วน แต่ก็น่าตื่นเต้น แค่ได้เห็นนกเงือกฉันก็ดีใจแล้ว”

                “ไม่เห็นเคยเล่าให้ผมฟังเลย” กุมภ์ตัดพ้อ แต่ก็เลิกสนใจโทรศัพท์ไปโดยปริยาย “แล้วแม่เจอเสืออย่างผมไหม”

                คุณกัญญามองบุตรชายนิดหน่อยแล้วเล่าต่อ “เจอ ตอนนั้นนะหัวใจแทบหยุดเต้นเลยล่ะ เกือบจะร้องไห้แล้ว ดีนะที่ลุงพรานปิดปากทัน”

                “มีพรานนำทางด้วยเหรอครับ” กุมภ์ถามต่อ

                “มีสิ ป่าสมัยก่อนน่ากลัวจะตาย แต่คุณตาท่านชอบเดินป่ามาก บางครั้งก็มีเสือกลับมาด้วย ไม่ได้เลี้ยงเองหรอก ส่งไปให้เพื่อนที่ต่างประเทศน่ะ ยุคโน้น การล่าสัตว์ยังไม่ผิดกฎหมาย รู้หรือเปล่าสวนสัตว์เมืองนอกน่ะมีสัตว์จากบ้านเราเยอะแยะไปหมด ส่วนใหญ่จะขนส่งทางเรือ คุณตาเองก็เคยได้เงินก้อนโตเพราะขายเสือ ขายกระทิงนี่แหล่ะ”

                โหรตั้งใจฟัง มันคลับคล้ายคลับคลาชอบกล หัวใจก็เต้นแปลกๆ ลางสังหรณ์เริ่มทำงาน หวังว่าโลกมันจะไม่แคบอย่างที่คิด

                “ลุงพรานที่นำทางพวกเราใจดีมาก น่าแปลกที่พอฉันเห็นคุณ ฉันก็อดคิดถึงลุงพรานไม่ได้” คุณกัญญาหันมาทางโหร “ท่าทางเขาเหมือนคุณเลยล่ะ แต่หน้าดุกว่ามาก”

                “เอ่อ...พรานคนนั้นชื่ออะไรเหรอครับ” โหรกลั้นใจถาม หวังว่าชื่อนั้นจะไม่ตรงกับคนที่คิดไว้

                “ชื่อลุงเหม”

 

                ไอ้ทฤษฎีโลกแคบกว่าที่คิดมันคือเรื่องจริง ใครจะไปคิดว่าพรานที่เคยนำทางให้กับคุณกัญญาจะเป็นปู่เหม โหรเองก็จำไม่ค่อยได้นักว่านายของปู่เหมมีใครบ้างเพราะปู่ไม่ชอบเอ่ยถึงนายไทยนัก ส่วนใหญ่จะเป็นนายฝรั่ง คุณกัญญาบอกว่าตอนที่ไปรับกุมภ์ก็นึกคุ้นเคยสถานที่อยู่เหมือนกัน แต่เพราะสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปมาก ภาพความทรงจำในวัยเยาว์ก็ลางเลือนมาก บวกกับผ่านมาร่วมสี่สิบปีแล้ว เลยจำไม่ได้ว่าป่าผืนนี้นี่แหล่ะที่ตนเคยมาเยือนครั้งหนึ่งกับคุณตา แต่กลับจำพรานเหมได้ดี เพราะใบหน้าดุดัน พูดน้อย แต่ไม่เคยเอ็ดตนเลยสักครั้ง

                หลังจากต้องแปลกใจกับความบังเอิญกันพักใหญ่ คุณกัญญาก็ขอให้โหรช่วยลงแปลงปลูกผัก โดยมีกุมภ์ยืนดูไม่ห่าง โหรยกร่องแปลงผักคล่องแคล่ว สอนให้คุณกัญญาใช้ปุ๋ยที่นำมาในปริมาณที่เหมาะสม เพราะถ้าหากมากไปจะทำให้ดินเค็ม และผักอาจจะตายได้ คุณกัญญาพยักหน้ารับฟังโดยตลอด จนบ่ายคล้อยล่วงไปเย็นแปลงผักหลายร่องก็เสร็จสิ้น เนื้อตัวแต่ละคนเปรอะเปื้อนคราบดิน คราบปุ๋ย ยกเว้นแต่กุมภ์ที่ไม่ได้หยิบจับอะไร เพราะตนบอกแล้วว่าจะมาดูเฉยๆ

                โหรไม่ได้ถามถึงบิดาของกุมภ์ เพราะไม่มีจังหวะและเห็นว่ายังไม่เหมาะสักเท่าไร แต่พอรู้อยู่ว่าบิดาของกุมภ์เป็นช้าราชการระดับสูงในกระทรวงหนึ่ง นี่เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เขานึกอยากจะรับราชการขึ้นมา คุณกัญญาไล่เขาไปอาบน้ำเพราะเนื้อตัวมอมแมมเกินไป ส่วนห้องพักที่เตรียมไว้ให้ เป็นห้องรับรองแขก ถัดจากห้องที่กุมภ์พักไปหนึ่งห้อง โดยมีพื้นที่ว่างสำหรับอ่านหนังสือคั่นกลาง แม้จะอดเสียดายลึกๆ ไม่ได้ แต่ก็ดีเหมือนกัน ถ้าหากพักห้องเดียวกันมีหวังเขาตบะแตกเพราะคิดถึงมากเกินไป

                พอเห็นเตียงนอนเขาก็สำเหนียกได้ว่าเหนื่อยล้าแค่ไหน ออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ นั่งรถชวนอ้วกและทำแปลงผักจนเย็นย่ำ ถ้าเทียบกับเดินป่ามันสู้กันไม่ได้เลย แต่เขากลับอ่อนเพลียกว่าอย่างเห็นได้ชัด โหรทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่ม แม้แต่เตียงที่นอนก็ยังดูดีกว่าในกระต๊อบเก่าแก่ของเขาอีก นอกจากจะวางแผนซื้อรถยนต์ใหม่ เขาคงต้องรีโนเวทกระต๊อบเหมือนกัน

                พักเอาแรงสักประเดี๋ยวก็ลุกไปเข้าห้องน้ำ เหงื่อไคลไหลเต็มตัวมันเหนียวเหนอะไปหมด แค่ผลักบานประตูเข้าไปเขาก็พบกับห้องน้ำที่หรูหราพอๆ กับโรงแรมเลยทีเดียว มีอ่างขนาดกลาง ฝักบัว ที่ทำน้ำอุ่น เคาน์เตอร์วางของและกระจกขนาดครึ่งตัว โหรเลือกที่จะอาบน้ำแบบฝักบัวและไมใช่เครื่องทำน้ำอุ่น น้ำเย็นๆ นี่แหล่ะที่จะเรียกเอาจิตวิญญาณและพลังงานกลับคืนมา อีกอย่างเขาจำเป็นต้องมีทั้งแรงกายแรงใจในการพบกับพ่อของลูกเสือ

                เรื่องแรงใจต้องยอมรับว่ามันดีขึ้นมากทีเดียว เพราะคุณกัญญาให้การต้อนรับเขาเป็นอย่างดี ไม่มีทีท่ารังเกียจ เขาสันนิษฐานว่าท่านทำใจไว้แล้วระดับหนึ่ง และสองท่านคิดว่าเขาคือคนที่ช่วยเหลือกุมภ์ ส่วนคุณเจริญบิดาของกุมภ์นั้นเขายังไม่เคยพบท่านจริงๆ สักครั้ง แต่ฟังคร่าวๆ จากกุมภ์ ท่านไม่ใช่คนดุสักเท่าไร ตรงกันข้ามกลับใจเย็นเพราะชอบสวดมนต์ไหว้พระ แต่ก็อีกนั่นแหล่ะไม่มีอะไรรับประกันว่าคนที่ชอบทำบุญ สวดมนต์ จะโกรธไม่เป็น ยิ่งรู้ว่าเขาคือคนที่อยากได้ลูกเสือ ยิ่งต้องระวังตัวให้ดี

                โหรลงมาข้างล่างตอนเกือบห้าโมงเย็น พบกุมภ์ที่นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่หน้าจอทีวี กุมภ์เงยหน้ามาทางเขานิดหน่อยแล้วก้มลงสนใจโทรศัพท์ตามเดิม เขานึกมันเขี้ยวเพิ่งจะได้เจอกันในรอบสามเดือนแท้ๆ แต่กลับเอาแต่สนใจโทรศัพท์มากกว่าเขา โหรทิ้งตัวลงนั่งในที่ว่างข้างๆ จงใจไม่เว้นระยะห่าง หัวไหล่สัมผัสกัน เด็กเมืองกรุงฯ สะดุ้งน้อยๆ หันหน้ามามองพร้อมทำหน้ามุ่ย

                “อะไรเล่า ทำไมต้องมานั่งติดขนาดนี้ ที่นั่งก็มีเยอะแยะ”

                “คุยอะไร กับใคร”

                กุมภ์ตีมึนไม่ยอมตอบคำถามจนเขาอดใจไม่ได้ต้องดึงแก้มไปที เจ้าตัวหันขวับตวัดตาใส่คลำแก้มตัวเองเบาๆ

                “เจ็บนะ”

                “ก็บอกมาก่อนสิว่าคุยกับใคร” โหรไม่ยอมแพ้ แต่สายตาไม่ได้มองไปที่โทรศัพท์หรอกเพราะแก้มแดงๆ ของคนข้างๆ มันน่าสนใจกว่าเยอะ

                เพิ่งรู้ว่าแก้มผู้ชายมันนุ่มได้ขนาดนี้

                “กับพ่อ!”

                กุมภ์กระแทกเสียงตอบ แต่นั่นไม่น่าตกใจเท่ากับร่างของบุคคลที่สามที่เดินเข้ามาในห้องโถงพอดี และอาจจะได้เห็นภาพไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไรนัก

                โหรเผลอกลืนน้ำลายลงคอ เขาลวนลามลูกชายต่อหน้าพ่อ งานนี้คงได้กลับบ้านไปแบบไม่ครบสามสิบสองแน่นอน...



 :hao7:

*วันศุกร์มาอัพให้อีกจ้า ไม่มีดราม่าแน่นอน สบายใจด้ายยยยยย*

**รักทุกคนนะคะ ปลอดภัยจากโควิทเด้อ**
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 26 : เข้าถ้ำเสือ] 27/04/2563
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 27-04-2020 23:13:03
 :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 26 : เข้าถ้ำเสือ] 27/04/2563
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 28-04-2020 01:04:09
พ่อดันมาได้จังหวะไปอีกก 55555555 พี่โหรสู้ๆ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 26 : เข้าถ้ำเสือ] 27/04/2563
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 28-04-2020 09:11:36
หูย อะไรจะแจ๊คพ๊อตขนาดนี้นะ เหมือนเวลาทำงานเลย ทำงานทั้งวันสุดเหนื่อย แต่พอนั่งพักสายตาเท่านั้นแหละเจ้านายไม่รู้มาจากไหน แอบมองเหล่ๆ อิอิอิอิ ความรู้สึกเดียวกันเลยอ่ะ รีบมาต่อให้ไวเลยนะไรท์ อยากอ่านแล้ว
 :z2: :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 26 : เข้าถ้ำเสือ] 27/04/2563
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 28-04-2020 18:33:23
ใจคนน่ากลัวกว่าผีก็จริงนะแต่เชื่อว่าความดีของพี่โหรจะชนะทุกสิ่ง ถ้าเราเป็นพ่อแม่จะยอมยกลูกให้ตั้งแต่สอบเป็นราชการแล้ว โหรมุ่งมั่นและตั้งใจจะสร้างอนาคตมากๆ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 26 : เข้าถ้ำเสือ] 27/04/2563
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 28-04-2020 20:23:44
พี่โหรสู้ๆๆๆๆๆๆ :ped149: :ped149: :ped149:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 26 : เข้าถ้ำเสือ] 27/04/2563
เริ่มหัวข้อโดย: loveaaa_somsak ที่ 28-04-2020 21:08:54
เข้ามาส่องเรื่องนี้ทุกวันในเล้า
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 26 : เข้าถ้ำเสือ] 27/04/2563
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 30-04-2020 00:07:44
โชคดีนะคุณโหร5555
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 26 : เข้าถ้ำเสือ] 27/04/2563
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 02-05-2020 00:33:47
รออยู่น้าาาา
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 26 : เข้าถ้ำเสือ] 27/04/2563
เริ่มหัวข้อโดย: Gimlongdeep ที่ 02-05-2020 16:10:12
ความจะเจอพ่อเสืออะเนอะ55558585. แง้พี่โหรคะ พี่ช่างเท่ห์
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 26 : เข้าถ้ำเสือ] 27/04/2563
เริ่มหัวข้อโดย: Rateesiri ที่ 02-05-2020 16:30:25
ปูเสื่อรอเลย
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 27 : บันไดขั้นที่สอง] 04/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 04-05-2020 19:24:32
ตอนที่ 27 บันไดขั้นที่สอง

            บรรยากาศบนโต๊ะอาหารดูอึมครึมสำหรับอาคันตุกะ หากแต่พ่อแม่ลูกกำลังพูดคุยกันอย่างออกรส คุณกัญญาฟุ้งเรื่องทำแปลงผัก ท่าทางจะติดใจวิธีการทำปุ๋ยหมักของโหรไม่น้อย เหลือแค่รอเวลาว่าประสิทธิภาพของมันจะสมกับที่โหรโม้ไว้หรือเปล่า

                โหรใช้ส้อมจิ้มไก่ในจานข้าวตัวเองซ้ำๆ แต่กลับไม่ยกมันเข้าปาก เขารู้สึกอิ่มตื้อตั้งแต่คุณเจริญเข้ามาแล้ว และค่อนข้างมั่นใจว่าท่านต้องเห็นช็อตที่เขาดึงแก้มกุมภ์แน่นอน แค่ความประทับใจแรกเขาก็ทำไม่ได้เสียแล้ว อย่าหวังเลยว่าทุกอย่างจะง่าย

                เท่าที่สังเกตคุณเจริญไม่ได้ช่างคุยเหมือนคุณกัญญา เป็นแค่นักฟังที่ดี รูปร่างสูงคล้ายกับกุมภ์ ท่านดูภูมิฐานสมกับที่ทำงานในตำแหน่งใหญ่ ใบหน้ามีริ้วรอยตามวัยเส้นผมเริ่มมีสีดอกเลาแซม ดวงตามีแววเมตตา บางครั้งท่านก็เหลือบหันทางเขา ราวกับจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าก็ไม่มีอะไรหลุดรอดผ่านริมฝีปากออกมา แต่เขารู้ได้ด้วยตัวเองว่าจะต้องได้พูดคุยกับท่านชนิดตัวต่อตัวในอีกไม่กี่อึดใจนี่แหล่ะ

                ทว่าในความกดดันเขารับรู้ได้ถึงความอบอุ่นของครอบครัวนี้ ไม่ใช่แค่เพียงฐานะที่น่าอิจฉา แต่สายสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูกยังน่าอิจฉาอีกด้วย กุมภ์เติบโตมาในครอบครัวที่ดีอย่างนี้นี่เองถึงได้เป็นคนอยู่ใกล้แล้วรู้สึกมีความสุข รวมถึงเขาด้วย

                มื้อเย็นผ่านพ้นไปด้วยดี แต่โหรไม่ค่อยจะเจริญอาหารสักเท่าไร ไม่ใช่เพราะฝีมือคุณกัญญาไม่เข้าขั้น ตรงกันข้ามอร่อยมากชนิดที่เปิดร้านได้สบายๆ แต่ที่กินไม่ค่อยจะได้เพราะอาการกดดันที่อัดแน่นอยู่ในท้องต่างหาก คุณกัญญาชวนทั้งหมดมานั่งรวมกันที่ห้องนั่งเล่นติดกับห้องโถง นอกจากบ้านช่องจะหลังใหญ่โตยังแบ่งสัดส่วนพื้นที่ใช้สอยได้ดีเยี่ยมอีกด้วย ห้องนั่งเล่นที่ว่าเป็นห้องเดียวกับที่กุมภ์นั่งดูทีวีเมื่อครู่ และเป็นสถานที่เดียวกับที่คุณเจริญเห็นโหรจับแก้มกุมภ์ โหรแอบกลืนน้ำลายลงคอ ตอนที่คุณเจริญกับคุณกัญญานั่งบนโซฟาตัวนุ่มหน้าจอทีวี เพราะมันเป็นที่เดียวกับที่เขาและกุมภ์หยอกล้อกัน

                ในห้องนั่งเล่นตกแต่งแบบง่ายๆ แต่หรูหราตามประสาผู้มีฐานะ ตู้ไม้ทรงสูงมีของสะสมที่น่าจะเป็นของคุณเจริญวางเรียงเป็นระเบียบ มันคือเหรียญในยุคสมัยต่างๆ มีทั้งของไทยและต่างประเทศ ตั้งเรียงรายน่าสนใจพอๆ กับพิพิธภัณฑ์เลยทีเดียว ส่วนอื่นๆ ก็จะมีหมอน ตุ๊กตา ชั้นหนังสือ แต่ที่เด่นที่สุดก็คือจอทีวีแบบติดผนังขนาดห้าสิบนิ้ว ที่ตอนนี้กำลังรายงานข่าวประจำวัน

                เด็กในบ้านยกจานผลไม้มาวางบนโต๊ะตัวยาวหน้าจอทีวี เด็กคนนั้นมองมาที่โหรแวบหนึ่ง แต่ก็เร็วพอที่จับสังเกตในดวงตาได้

                ใครวะ?

                ความหมายนัยน์มันแปลได้อย่างนั้น

                คุณกัญญากวักมือเรียกให้เขาเข้าไปนั่ง แน่นอนว่าไม่ใช่บนโซฟาที่เดียวกับที่ท่านกับคุณเจริญนั่งอยู่ หากแต่เป็นบนพื้นที่ปูด้วยพรมและหมอนรองนั่งลายสวยอีกใบ โดยมีกุมภ์ลงไปนั่งรออยู่ก่อนแล้ว โหรค่อยๆ หย่อนสะโพกลงนั่ง ห่างจากกุมภ์ราวหนึ่งช่วงแขน อยู่ใกล้กับคุณเจริญชนิดที่ว่าสามารถยกเท้าขึ้นเตะได้ถ้าหากเขาทำไม่ถูกใจ ซึ่งก็มีโอกาสสูงมากเช่นกัน

                คุณกัญญาแกะส้มส่งให้กับสามีและบุตรชาย กุมภ์บิดส้มใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ เหมือนหนูแฮมสเตอร์กำลังเคี้ยวถั่วไม่มีผิด แก้มป่องกลม ริมฝีปากสีสดขยับไวๆ ขณะที่เขากำลังมองเพลิน บางอย่างก็ถูกส่งมาตรงหน้า เมื่อมองก็พบกับส้มที่ปลอกเปือกจนหมดกระทั่งใยขาวๆ ก็ไม่มี คุณกัญญาพยักพเยิดให้เขารับไป

                รสหวานแกมเปรี้ยวช่วยสร้างความกระปรี้กระเปร่าได้ดีไม่น้อย ความเครียดลดลงไปบ้างเมื่อทุกคนจดจ่ออยู่ที่หน้าจอทีวี แม้แต่กุมภ์ที่ค่อนข้างจะติดโทรศัพท์ยังมองข่าวตาแป๋ว บรรยากาศเหมือนครอบครัวจริงๆ แบบที่เขาเองก็เป็นส่วนหนึ่งของคำว่าครอบครัวเหมือนกัน

                โหรผ่อนลมหายใจแผ่นหลังตึงคลายลง ความสนใจถูกเนื้อหาข่าว ที่ส่วนใหญ่จะถูกนำเสนอผ่านโลกโซเชียวมาแล้ว เกือบครึ่งชั่วโมงกระมังที่โหรซึมซับความสบาย กระทั่งเสียงของคุณเจริญดังขึ้น

                “โหร ไปห้องพระกันหน่อยสิ”

 

                ห้องพระ เกียรติรักษ์วงศ์ ใหญ่โตกว่าหิ้งพระที่บ้านเป็นเท่าตัว พระพุทธรูปโบราณที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าอายุคงร่วมร้อยปีตั้งวางเรียงตามลำดับ คุณเจริญจัดหิ้งพระแบบหมู่ห้า แต่อัดแน่นไปด้วยพระพุทธรูปชื่อดังทางด้านต่างๆ หนังสือธรรมะนับร้อยเล่มวางเป็นระเบียบในชั้นหนังสือ มีหมอนปักลายพิงอยู่มุมห้อง คุณเจริญคงใช้ห้องนี้เป็นที่พักผ่อนอีกแห่ง

                ความกดดันที่หายไปกลับมาอีกหน แต่มันน้อยลงกว่าเดิม คงเพราะคุณเจริญไม่ได้ตั้งป้อมรังเกียจ แต่เขาก็ยังไม่อยากให้ความหวังตัวเองมากเกินไป พร้อมคิดหาแผนสำรองเผื่อเอาไว้ ถ้าหากคุณเจริญเกิดโมโหจนควบคุมสติไมได้แล้วใช้สิ่งใดสิ่งหนึ่งขว้างใส่หัวเขา

                โหรเลือกนั่งอยู่ใกล้ประตู ส่วนเจ้าของบ้านนั่งหน้าหิ้งพระพอดี พรมสีเข้มเป็นเบาะรองชั้นดี กลิ่นธูปเจือจางในอากาศแต่เบาบางมากคิดว่ามันคงจะติดอยู่บนพรมที่เขานั่งอยู่ โหรมองหน้าผู้สูงวัยกว่า เท่าที่สังเกตคุณเจริญคงจะเด็กกว่าพ่อของเขาไม่กี่ปี ริ้วรอยบนใบหน้ามีปริมาณพอกัน แต่คุณเจริญดูดีมากกว่าคงเพราะท่านไม่ได้ตรากตรำทำงานหนักเท่ากับพ่อของเขาถึงตอนนี้พ่อจะกินดีอยู่ดีขึ้นมากแล้วก็ตาม

                ดวงตาของคุณเจริญไม่มีแววโกรธเคือง ซึ่งเขามั่นใจว่าท่านรู้เรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างเขากับกุมภ์มาก่อนหน้าแล้ว กระนั้นความกดดันยังคงเท่าเดิม คงเพราะสีหน้าราบเรียบของท่านที่ทำให้เขาเดาอารมณ์ของท่านไม่ได้ นาทีนี้วิชาความรู้ของปู่มันช่วยอะไรไม่ได้เลย

                “ผมเพิ่งเคยเห็นคุณครั้งแรก แต่ได้ยินเรื่องของคุณมาพักใหญ่แล้วล่ะ ตั้งแต่ตอนที่กุมภ์หลงป่าโน่น” คุณเจริญพูดก่อน น้ำเสียงผ่อนคลายก็จริงแต่ยังไม่รู้สึกถึงความเป็นกันเอง โหรผงกศีรษะรับ ทั้งกุมภ์และคุณกัญญาคงถ่ายทอดเรื่องราวของเขาให้คุณเจริญฟังมาไม่น้อย “คุณเป็นหมอผีหรือพรานป่ากันแน่”

                มันเป็นคำถามที่ไม่ได้เหนือไปจากการคาดเดานัก โหรสูดเอากลิ่นธูปที่แสนคุ้นเคยเข้าปอด เงยหน้ามองผู้สูงวัยกว่า

                “ไม่ได้เป็นทั้งสองอย่างครับ ผมไม่เคยไล่ผี แล้วก็ไม่เคยล่าสัตว์ด้วย” โหรตอบ “ผมหากินด้วยการทำสมุนไพรขาย คนแถวนั้นเลยเรียกผมว่าหมอ”

                “ยาสมุนไพร? ไม่เคยเห็นกุมภ์พูดถึง” คุณเจริญเลิกคิ้ว สีหน้าแสดงความแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด

                “ครับ บ้านผมมีพื้นทีพอที่จะปลูกสมุนไพรบางตัว แต่บางตัวก็ต้องเข้าป่าไปหา คนบ้านนอกอย่างพวกเรายังเชื่อว่าสมุนไพรบางชนิดก็ดีกว่ายาแผนปัจจุบัน”

                คุณเจริญนิ่งไป คงเป็นอีกหนึ่งข้อมูลที่เพิ่งได้รับมาใหม่ เดาว่าก่อนหน้านี้กุมภ์คงเล่าว่าเขาเป็นพ่อมดหมอผีกระมัง

                “ผมคิดว่าคุณเป็นนายพราน ฟังจากที่กุมภ์เล่า ท่าทางคุณมีประสบการณ์เดินป่ามากทีเดียว”

                “ผมเคยเดินป่ากับปู่ตั้งแต่เด็กๆ ครับ แต่พ่อปู่ตายผมก็ไม่ค่อยได้เข้าไปลึกเท่าไร คราวที่ถูกเสือเล่นงานนั่นคือการเดินป่าลึกในสอบสิบปีเลยล่ะครับ”

                คุณเจริญพยักหน้ารับรู้ แต่ยังคงมีคำถามต่อ “แล้วคุณไปเรียนวิชาพวกนี้มาจากไหน แม้แต่คนรุ่นผมเองยังไม่เคยเห็น”

                “ปู่ของผม แล้วก็พระครูที่ผมเคยบวชเรียนด้วย แต่ตอนนี้พวกท่านเสียแล้วทั้งคู่” โหรตอบตามความจริง

                “เห็นกุมภ์เล่าว่าคุณมีรอยสักด้วยอย่างนั้นหรือ?”

                ดวงตาสีสนิมที่ผ่านโลกมาร่วมยี่สิบปีกวาดมองรอบๆ ตัว แน่นอนว่าไม่พบรอยสัก เพราะมันอยู่ในเสื้อ โหรผงกศีรษะรับอีกรอบ

                “ครับ ผมสักสองที่ ท่านพระครูสักให้ ไม่ใช่สักเล่นแบบสมัยนิยมหรอกครับ”

                “กุมภ์เล่าว่าคุณวิ่งเร็วเหมือนลิงตอนที่หนีเสือ จริงหรือเปล่า”

                บางทีเขาอาจจะคิดไปเอง ดวงตาของคุณเจริญเป็นประกายขึ้นเล็กน้อย แต่เพียงเสี้ยวนาทีมันก็กลับมาเป็นปกติ         “ครับ ผมสักหนุมาน ต้องมีคาถาถึงจะปลุกได้”

                “พระครูที่คุณว่าท่านชื่ออะไร”

                “พระครู...”

                ทันทีที่เอ่ยชื่อ ที่ว่าคิดไปเองมันก็เป็นจริง คุณเจริญแสดงทีท่าสนใจอย่างเห็นได้ชัด ท่านรู้จักพระครูของเขา เพราะเคยได้ยินชื่อมาบ้าง เนื่องจากพระครูมีชื่อเสียงด้านการสักและไสยเวชขาวสะอาด มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย บางคนเป็นถึงนักการเมืองดัง ซึ่งเรื่องนี้เขาเองก็พอรู้ เพราะเคยเห็นคนใส่สูทหน้าตาขึงขังมาพระครู แต่ก็นานทีปีหน เขาเล่าถึงชีวิตตอนบวชให้คุณเจริญฟังรวมถึงวิชาความรู้ที่เรียนมา เขาเป็นลูกศิษย์คนสุดท้าย โดยไม่เคยลืมสิ่งสำคัญที่ท่านสอนนั่นคือการเป็นคนดี

                จากนั้นท่านก็สอบถามถึงวิชาพรานป่าของปู่เหม เขาเดาว่าคุณเจริญคงไม่เคยรู้ว่าคุณกัญญาเคยไปเดินป่ากับปู่เหมมาก่อนเมื่อครั้งยังเยาว์วัย เขาเล่าว่าแท้ที่จริงอาชีพพรานป่าของปู่เหมไม่ใช่เพียงแค่ล่าสัตว์เอามากิน หรือขายได้เงินมาประทังท้องไปวันๆ แต่ปู่เหมมีนายเป็นฝรั่งหาสัตว์ไปไว้ตามสวนสัตว์ต่างประเทศอีกด้วย รายได้ครั้งหนึ่งเรียกได้ว่าอยู่ได้เป็นปีๆ สมัยนั้นไม่มีกฎหมายห้ามล่าสัตว์ป่า แต่ความดุร้ายของสัตว์และความโหดของธรรมชาติเป็นสิ่งที่คนเดินป่าต้องเผชิญ ถ้าหากไม่เชี่ยวชาญชำนาญมากพออาจจะเหลือแค่ชื่อกับร่างทิ้งไว้ในป่า แต่เพราะปู่มีวิชาความรู้ที่ได้รับการถ่ายทอดมา ท่านเลยพาคณะเดินทางกลับมาอย่างปลอดภัย ได้เงินเป็นกอบเป็นกำนับเป็นพรานป่าที่มีรายได้มหาศาลเลยทีเดียว เดิมทีปู่เคยเป็นทหารมาก่อน แต่เพราะไปขัดแข้งขัดขากับนายใหญ่เลยถูกปลดกลางอากาศเสียดื้อๆ เลยต้องมาทำอาชีพพรานป่า อาศัยที่เคยลาดตระเวนมาก่อนบวกกับฝีมือแม่นปืนเลยทำให้ชื่อเสียงของปู่โด่งดังภายในไม่กี่ปี

                “แล้วคุณไม่คิดจะทำแบบปู่คุณบ้างหรือ ท่าทางจะรายได้ดีนะ”

                “ไม่ครับ” โหรส่ายศีรษะปฏิเสธ “ผมไม่ชอบฆ่าสัตว์หากไม่จำเป็น พระครูท่านสอนไม่ให้ผมเบียดเบียนชีวิตใคร อีกอย่าง ผมไม่อยากทรมานเหมือนปู่”

                “ทรมาน? ยังไงหรือ?”

                “ก่อนจะตาย ปู่ทุรนทุรายอยู่หลายวัน เหมือนกับสัตว์ตอนที่มันถูกยิง ถูกกับดัก ผมเชื่อเรื่องเวรเรื่องกรรมครับ ต่อให้เก่งแค่ไหนก็หนีเวรกรรมไม่พ้น”

                คุณเจริญพยักหน้าเห็นด้วยโดยไร้ข้อแม้ “คุณสอบติดราชการแล้วใช่ไหม งานที่ทำอยู่ดีหรือเปล่า”

                “ครับ สนุกดี ได้ใช้ความรู้ที่เรียนมาจริงจังสักที” โหรตอบ ความคิดที่ไม่เคยคิดจะรับใช้แผ่นดินมันเปลี่ยนไปหมด เพียงเพราะใครบางคน งานราชการแม้เงินจะน้อยแต่ก็สนุกดี ได้เจอสารพัดปัญหานอกเหนือจากอาการเจ็บป่วยหรือเรื่องเหนือธรรมชาติ ถ้าถามว่าเวลานี้เขาชอบอะไรมากกว่ากันระหว่างเป็นหมออย่างที่ชาวบ้านเรียกกับเป็นคนรับใช้แผ่นดิน คงต้องตอบว่าอย่างหลัง เขารู้สึกว่ามันคืองานจริงๆ ถึงจะเหนื่อยจะหนักแต่ก็อิ่มใจ

                “อืม ตอนผมรับราชการแรกๆ ก็เหนื่อยเหมือนกัน ปรับตัวไม่ค่อยถูก แต่อยู่มาสักพักก็เริ่มเบื่อ งานของผมมันอยู่แต่ในสำนักงาน อ่านแล้วก็เซ็นเอกสาร จนตอนนี้อยากจะเร่งวันเร่งคืนให้เกษียณสักที นี่กำลังปรึกษากับกัญญาอยู่ว่าอาจจะเออรี่ เพราะอิ่มตัวมาพักใหญ่แล้ว”

                โหรรับฟังท่านด้วยความเข้าใจ หากงานที่ทำจำเจ นานวันเข้าก็จะเริ่มเบื่อและอิ่มตัว คิดว่าคุณเจริญคงเจอกับอาการนี้มานานนับสิบปี แต่จนแล้วจนรอดพวกเขาก็ยังไม่ได้สนทนาถึงประเด็นสำคัญสักที โหรสูดหายใจเข้าปอดรวบรวมกำลังใจให้ตัวเอง

                “เรื่องกุมภ์...”

                “ผมรู้ ไม่ได้จะขัดขวางอะไร” คุณเจริญแทรกขึ้นก่อนที่จะพูดจบประโยค เล่นเอาคนฟังกระพริบตาปริบๆ ผู้สูงวัยกว่าระบายยิ้มบาง ผ่อนลมหายใจและแผ่นหลัง อาการตึงเครียดระหว่างคนทั้งคู่คลายลงมากทีเดียว “ผมยอมรับว่าตอนที่กุมภ์บอกว่าเป็นเกย์ตกใจไม่น้อย เพราะเขาไม่เคยมีท่าทางกระตุ้งกระติ้งให้เห็นเลย คนวัยผมรู้จักแต่กระเทยหรือตุ๊ด ไม่รู้จักเกย์สักเท่าไร ผมเลยไปค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตถึงได้รู้ว่าผู้ชายเป็นเกย์เยอะแยะแค่ไหน หัวอกคนเป็นพ่อมันยากจะทำใจยอมรับได้ ผมไม่เก่งเหมือนกัญญารายนั้นใช้เวลาไม่กี่วันก็ทำใจได้ แต่ผมนานเป็นอาทิตย์เลยล่ะ ผมตั้งความหวังกับกุมภ์ไว้มาก เพราะเขาเป็นลูกคนเดียว ผมอยากให้เขามีงานที่ดี มั่นคง มีหลานให้ผมกับกัญญาเลี้ยง แล้วก็ได้กัญญานั่นแหล่ะที่เข้ามาเตือนสติ ถึงกุมภ์จะเป็นเกย์ แต่เขาเป็นลูกผม เขาสามารถมีงานที่ดี มีอนาคตที่สดใสได้ แค่มีหลานให้ผมอุ้มไม่ได้เท่านั้นเอง แต่คิดอีกทาง ถึงเขาจะไม่มีหลาน แต่เขาก็หาลูกชายมาเพิ่มให้ผมได้อีกคน แล้วผมก็ดีใจที่เป็นคุณ”

                เป็นประโยคยาวที่สุดเท่าที่ได้สนทนากัน สีหน้าของคุณเจริญไม่ได้เปลี่ยนไปเลย น้ำเสียงก็สบายๆ ไม่ชวนให้หนักใจ ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะไม่ได้เลวร้ายเหมือนอย่างที่คิดไว้ โหรก้มหน้าลงพลางประนมมือบนอก ขอบคุณในโอกาสที่ท่านมอบให้

                “ผมอาจไม่ใช่คนดี แต่กุมภ์ดีที่สุดสำหรับผม ผมจะสัญญาว่าจะดูแลเขาให้ดีเท่าที่จะทำได้”

                คำสัญญาที่ไร้การค้ำประกัน มันไม่น่าเชื่อถือสักนิด มีแค่ความไว้เนื้อเชื่อใจเท่านั้น แต่คุณเจริญกลับพยักหน้าน้อย ดวงตาอ่อนแสงลง

                “ฝากด้วยนะ”

 

 (มีต่อ)               
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 27 : บันไดขั้นที่สอง] 04/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 04-05-2020 19:25:08
(ต่อ)
กุมภ์พลิกตัวกลับไปมาหลายตลบบนเตียง จะเที่ยงคืนแล้วแต่ยังข่มตาให้หลับไม่ได้ ในอกมันร้อนรุ่มแปลกๆ ตาแข็ง สมองทำงานแล่นฉิวเหมือนได้รับคาเฟอีนมาเกินขนาด ที่สุดก็ทนไม่ไหว สะบัดผ้าห่มออกแล้วลุกขึ้นนั่ง ขยี้ผมจนยุ่งยิ่งกว่าเดิม ขมวดคิ้วมุ่นค้นหาสาเหตุว่าทำไมเขาถึงนอนไม่หลับ ใช้เวลาแค่เสี้ยวนาทีก็รู้ว่าเพราะอะไร

                โหร

                แม้จะดีใจที่โหรมาอยู่ที่บ้าน ได้พูดคุยกันแบบตัวเป็นๆ หลังจากต้องสนทนาผ่านคลื่นโทรศัพท์อยู่หลายเดือน ได้เห็นตาดุๆ กับหน้าโหดๆ แต่เขารู้ว่ามันยังไม่พอ!

                ความคิดถึงมันทำให้กลายเป็นคนโลภไปเสียแล้ว

                ยอมรับอย่างหน้าไม่อายเลยว่าเขาคิดถึงโหร รอยสัมผัสที่แก้มเมื่อตอนเย็นเหมือนมันยังไม่จางไปไหน แม้จะผ่านมานานหลายชั่วโมงแล้วก็ตาม นั่นแทบจะเป็นครั้งแรกเลยกระมังที่พวกเขาแตะเนื้อต้องตัวกัน ปลายนิ้วอุ่นสากเล็กน้อยหยิกมาที่แก้มแบบไม่แรงนักแต่มันทำให้หัวใจเต้นโครมคราม จนต้องทำโมโหเพื่อกลบเกลื่อน ทว่าลึกๆ แล้วเขารู้สึกตื่นเต้นและเขินที่สุด

                กุมภ์ถอนหายใจแรงๆ ลุกขึ้นจากเตียง เปิดประตูหลังห้องออกไปที่ระเบียง อากาศด้านนอกเย็นกว่าในห้องที่เปิดเครื่องปรับอากาศไว้เสียอีก กรมอุตุรายงานไว้ว่าลมหนาวระบอกสุดท้ายมาเยือนแล้ว อีกไม่กี่วันก็จะเข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเต็มที่ กุมภ์ยกมือขึ้นกอดตัวเองใช้มือลูบแขนให้ไออุ่น ท้องฟ้าสีดำไม่ได้น่ากลัวเพราะมีดาวดวงน้อยๆ ประทับเต็มไปหมด มองไปเบื้องหน้าลิบๆ นั่นคือความวุ่นวายในเมืองหลวงที่ยังมีให้เห็นแม้จะล่วงเข้าสู่วันใหม่มาหลายนาทีแล้วก็ตาม บ้านของเขาตั้งอยู่ในเขตความเจริญ แต่แม่กับพ่อไม่ยอมให้โลกสิวิลัยเข้ามาครอบครองพื้นที่ส่วนตัวเหมือนที่บรรพบุรุษเคยหวงแหนเอาไว้ คุณทวดคงมองเห็นว่าความเจริญจะต้องกลืนกินความสงบอย่างแน่นอน ท่านเลยสร้างกำแพงสูงล้อมรอบพื้นที่เอาไว้ ปลูกต้นไม้เต็มไปหมด คุณตากับคุณแม่เลยสืบทอดความคิดของท่านเอาไว้ เขาภูมิใจที่แม่ไม่ได้หลงไปกับเงินทองจนขายที่ดินผืนนี้ไป แม้ว่าเคยมีนายหน้ามาเสนอราคาให้หลายสิบล้านก็ตาม แม่บอกว่าทรัพย์สินที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้มันประเมินเป็นตัวเงินไม่ได้ ซึ่งเขาก็เห็นด้วย แล้วก็ดีใจที่ยังได้อยู่บ้านหลังนี้แทนคอนโดหรูกลางเมืองหรือหมู่บ้านจัดสรร

                ลมเย็นพัดแรงกว่าในตอนแรก ทำให้หนาวกว่าเดิม ตอนที่คิดจะกลับไปเอาเสื้อมาสวมทับ เสียงเคลื่อนไหวที่อยู่ห่างไปราวห้าเมตรทางขวามือก็ดังขึ้น ก่อนที่ร่างสูงใหญ่ของแขกรับเชิญก็ปรากฏขึ้น

                “พี่โหร?”

                เจ้าของชื่อเบนหน้าตามที่เขาเรียก ใบหน้าคมสันที่ดูลึกลับเพราะเงาดำตกกระทบใบหน้าเสียเป็นส่วนใหญ่ ดวงตาคมดุเป็นประกายชัดเจนแม้จะอยู่ในที่มืด ไม่มีวี่แววของคนเพิ่งตื่นนอนสักนิด แต่กลับชวนให้คิดว่าอีกฝ่ายอยู่ตกอยู่ในสภาพเดียวกับเขา...นอนไม่หลับเหมือนกัน

                “นอนไม่หลับเหรอ” อาคันตุกะหน้าดุถาม สองมือวางอยู่บนขอบปูนกั้นที่สูงระดับเอว

                กุมภ์พยักหน้ารับ “พี่ล่ะ ทำไมยังไม่นอน”

                “แปลกที่ละมั้ง” โหรว่า “แล้วทำไมกุมภ์ถึงนอนไม่หลับล่ะ”

                คนถูกถามนิ่งไปชั่วอึดใจ ไม่รู้ตัวว่าเผลอสำรวจโหรในชุดนอน เพราะน้อยครั้งนักที่จะได้เห็น เสื้อยืดสีขาวธรรมดา กางเกงฟุตบอลสีเข้ม เป็นชุดที่เบสิกที่สุดชนิดที่เด็กประถมก็ใส่กัน แต่เมื่อมาอยู่บนร่างชายหนุ่มรูปร่างบึกบึนมันกลับดูดีขึ้นเป็นร้อยเท่า เส้นผมยุ่งไม่เป็นทรง เดาว่าคงจะพลิกกลับไปกลับมาหลายท่าแต่ก็นอนไม่หลับเหมือนกัน

                กุมภ์หันร่างไปทางคนถาม ไม่น่าเชื่อว่าระยะทางห่างแค่ไม่กี่เมตรแต่เขากลับสัมผัสกันไม่ได้ ที่น่าหงุดหงิดก็คือแม้จะได้เห็นหน้ากันแล้ว ความคิดถึงมันกลับไม่ลดทอนลงเลย ซ้ำยังทวีมากกว่าเดิมอีกด้วย หัวใจเต้นแรงขึ้น ความต้องการมีมากขึ้น เหมือนคนโลภที่ไม่รู้จักพอ

                “...คิดถึง”

                “หืม ว่าอะไรนะ?”

                คำว่าคิดถึงที่ผ่านรอดริมฝีปากมันคงแผ่วเบาเกินไป อีกคนเลยไม่ได้ยิน หรือว่าที่จริงก็รู้อยู่เต็มอกแต่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

                “คิดถึง โคตรคิดถึงเลยเนี่ย!”

                เขาไม่ได้เผลอตัวพูด แต่มันคือตั้งใจเลยต่างหาก ป่วยการที่จะเก็บไว้ในใจให้ทรมาน แม้ว่าตอนที่พูดหน้าจะร้อนจนแทบไหม้ก็ตาม

                “หึ หึ หึ”

                เสียงหัวเราะแผ่วดังมาจากอีกคน กุมภ์หันไปมองก็เห็นริมฝีปากหยักยกยิ้ม คล้ายกำลังกลั้นขำ หัวไหล่หนาสั่นน้อยๆ

                “หัวเราะอะไร!” กุมภ์ถามเสียงห้วน คนอุตส่าห์คิดถึงแทบตายดันมาหัวเราะเยาะกันเสียนี่ อายโว้ย!

                “...พี่ก็คิดถึง”

                คำพูดที่ผ่านรอดริมฝีปากที่ยกยิ้มนั่นยิ่งทำให้ใจสั่น ซ้ำความเขินอายก็ยิ่งมีมากกว่าเดิม กุมภ์ก้มหน้าซ่อนรอยยิ้มที่บอกไม่ถูกว่ามันมาจากความดีใจหรือเขินอายกันแน่ แต่มันรู้สึกดีจนแทบเก็บอาการไม่อยู่ทีเดียวล่ะ

                ทั้งคู่ยืนมองทิวทัศน์เบื้องหน้า สูดเอากลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้กลางคืนไว้ในปอด ปล่อยให้สายลมเย็นพัดผ่านร่างกาย ก่อนหน้านี้ที่เคยหนาวแต่เพียงได้ยินคำว่าคิดถึงจากกันและกัน หัวใจก็พลันอบอุ่นขึ้นมาทันที

                “กุมภ์”

                “หืม?” เจ้าของชื่อเบือนหน้าทางเสียงเรียก เอียงคอน้อยๆ รอฟังคำพูดถัดมา รู้สึกสมองจะเบลอไปบ้างคงเพราะปล่อยความคิดหลุดลอยนานเกินไป

                “ขอนอนด้วยได้ไหม ห้องมันกว้างไป...ไม่ชิน”

                กุมภ์เลิกคิ้ว ข้ออ้างอะไรติ๊งต๊องสิ้นดี แต่แทนที่จะปฏิเสธเขากลับทำแค่กระพริบตาเร็วๆ สองสามครั้งแล้วผงกศีรษะให้

                สงสัยผีเจ๊พิกุลจะสั่งให้เขาตอบรับคำขอนั่นแน่ๆ

                เตียงนอนขนาดคิงไซส์ดูเหมือนจะเล็กลงไปถนัดตาเมื่อมีผู้ชายสองคนมานอนเคียงกัน แม้ความหนาใหญ่จะต่างกันอยู่บ้าง แต่ส่วนสูงห่างกันแค่ไม่กี่เซนติเมตรเท่านั้น เจ้าของเตียงสูงร่วมหนึ่งร้อยแปดสิบ ขณะที่อีกคนสูงกว่านิดหน่อย

                กุมภ์กำขอบผ้าห่มแน่นกว่าปกติ หัวใจเต้นผิดจังหวะมานานหลายนาทีแล้ว คงตั้งแต่ตอนที่ไปเปิดประตูห้องกระมัง อาการง่วงงุนที่ควรจะมีเพราะล่วงเข้าวันใหม่มาเกือบชั่วโมงแล้วยังไม่มีให้รู้สึก หลายครั้งที่แอบชำเลืองไปทางซ้ายมือของตัวเอง เพื่อมองเพื่อนร่วมเตียง

                ถึงจะเป็นเตียงแบบคิงไซส์ที่ทั้งกว้างและนุ่ม แต่หัวไหล่ของเขากับโหรห่างกันแค่ครึ่งคืบเท่านั้น ด้วยระยะนี้ทำให้เขารู้สึกได้ถึงไออุ่นจากเรือนกายอีกฝ่าย เครื่องปรับอากาศดูเหมือนจะทำงานด้อยประสิทธิภาพลงหรือบางทีคงเป็นเพราะเลือดลมมันสูบฉีดมากเกินไปเลยทำให้ร่างกายมันอุ่นขึ้น นอกจากจะนอนไม่หลับแล้วยังกระสับกระส่ายอีกต่างหาก ที่สุดก็อดรนทนไม่ไหว ต้องพลิกตัวนอนตะแคง แล้วก็เลือกที่จะเอาแต่ใจตัวเองด้วยการพลิกไปทางเพื่อนร่วมเตียง

                โหรนอนหงาย มือทาบบนอก แผ่นอกกว้างสะท้อนเป็นจังหวะการหายใจ ใบหน้าเรียบเฉยแม้จะเห็นแค่เงาเลือนรางในความมืด แต่ความคมเข้มก็ยังเห็นชัดเจน ที่เด่นที่สุดคงจะเป็นจมูกโด่งจัด โหรไม่ใช่ผู้ชายรูปหล่อชนิดที่ผู้หญิงจะต้องเหลียวหันมอง หากแต่เต็มไปด้วยเสน่ห์แบบผู้ชายแท้ๆ เขาเพิ่งสังเกตว่าโหรไม่เคยสูบบุหรี่หรือกินเหล้าเลย แม้ผิวพรรณจะไม่ได้ขาวสว่าง ทว่าผิวสีแทนคร้ามแดดก็สะอาดดูดี เส้นผมตัดเป็นรองทรงธรรมดารับกับรูปหน้าค่อนข้างเรียว จอนยาวข้างแก้มเน้นให้เห็นสันกรามชัดเจน

                ถ้าใครบอกว่าโหรไม่หล่อ เขาเถียงขาดใจเลยล่ะ!

                กุมภ์แทบไม่รู้ตัวว่าเผลออมยิ้มทั้งที่นอนตะแคงมือกุมผ้าห่มอยู่อย่างนั้น ไม่เคยคิดมาก่อนว่าเกิดมาจะต้องมาชมเพศเดียวกันว่าหล่อ หรือแอบมองผู้ชายตอนนอนแบบนี้

                “มองแบบนี้ พี่ก็นอนไม่หลับกันพอดี” จู่ๆ คนที่คิดว่าหลับไปแล้วก็พูดขึ้น ซ้ำยังไม่ลืมตาอีกด้วย ก่อนจะตั้งตัวได้คนพูดก็พลิกตัวหันตะแคงมาทางเดียวกัน เปลือกตาสีเข้มเปิดขึ้น กุมภ์กระพริบตาปริบๆ รู้สึกเหมือนโดนจับได้ว่าแอบขโมยกินขนมตอนเจ้าของขนมหลับ

                “พี่ไม่ได้หลับไปแล้วหรอกเหรอ”

                “ก็เกือบจะหลับ แต่ดันถูกเด็กแถวนี้แอบมองเหมือนจะลักหลับกันซะก่อน”

                คนฟังคงไม่เขินจนแก้มร้อนแทบระเบิดแบบนี้หรอกถ้าหากคนพูดไม่แฝงสองแง่สามง่ามแบบนี้ กุมภ์รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นคนทะลึ่งไปเสียแล้ว

                “เปล่าสักหน่อย! ผมไม่ได้คิดจะลักหลับพี่นะ!”

                “คิดได้ ไม่คิดตังค์” โหรพูดยิ้มๆ ด้วยโครงหน้าที่ค่อนข้างสมบูรณ์ ถึงแม้จะนอนตะแคงแบบนี้ก็ไม่ได้ดูตลกแต่อย่างใด

                “จ้างก็ไม่คิดหรอก!” กุมภ์ว่า สาบานต่อหน้าหลอดไฟข้างทางเลยว่าไม่เคยคิดอย่างที่ถูกกล่าวหา และจะว่ากันตามความจริง เขาแทบไม่เคยคิดไปถึงขั้นนั้นกับโหรเลย

                “หึหึ” อีกคนหัวเราะในคอ เสียงทุ้มติดเจ้าเล่ห์ชวนน่าหมั่นไส้พิกล “ง่วงก็นอนเถอะ หนาวหรือเปล่า”

                “ไม่หนาว...เท่าไร”

                “ไม่หนาวแล้วทำไมกอดผ้าห่มแน่นขนาดนั้นล่ะ” โหรถามอย่างจับผิด ตาดีแม้จะอยู่ในความมืด เหมือนนกฮูกไม่มีผิด นึกสงสัยว่าพระอาจารย์ท่านเคยสอนวิชานกฮูกให้บ้างหรือเปล่า

                “พี่ล่ะ ไม่หนาวเหรอ” เขาถามกลับบ้าง

                “หนาวสิ ไม่ชินกับแอร์เท่าไร อยู่บ้านก็มีแค่แอร์ธรรมชาติ” โหรว่า พลางกระเถิบเข้ามาใกล้กว่าเดิม จนระยะห่างเหลือแค่ฝ่ามือเดียวเท่านั้น ใกล้เสียจนรู้สึกถึงลมหายใจของอีกคน “กอดได้ไหม ในฐานะคนขี้หนาวก็ได้”

                “บะ..บ้าหรือไง” กุมภ์รูสึกเหมือนหัวใจจะเต้นออกมานอกอกเสียให้ได้ ยอมรับตามตรงว่าไม่กล้ามองตาอีกฝ่าย มันเป็นประกายระยิบระยับชวนให้อายยิ่งกว่าเดิม และถึงจะต่อว่าแต่หัวใจกลับเรียกร้องให้ตอบรับคำขอ แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะว่าหนาว “...อื้ม”

                “อะไรนะ” โหรถามเสียงต่ำและแผ่วเบา

                “อื้ม!” กุมภ์กระแทกเสียงย้ำ อายจนอยากจะแทรกผ้าห่มหนี แต่ทำได้แค่ขยับผ้าขึ้นมาถึงบนคางเท่านั้น

                ไม่มีคำถามอะไรอีก โหรขยับตัวเข้ามาใกล้กว่าเดิมสอดมือเข้ามาซอกคอ ออกแรงดึงเพียงเล็กน้อยศีรษะก็เข้าไปเกยแถวอกแกร่ง กลิ่นตัวหอมเหมือนลูกอมรสมินต์ไม่ได้แค่แตะปลายจมูกอีกแล้ว มันเหมือนโอบรอบตัวเขาเลยทีเดียวล่ะ เช่นเดียวกับวงแขนแข็งแรงที่ไม่ใช่อยู่แค่ที่คอ เพราะมืออีกข้างมันเกาะเกี่ยวอยู่แถวช่วงเอวแล้ว

                มันจะเป็นเรื่องแปลกหรือเปล่าที่เขาตื่นเต้นเพราะถูกเพศเดียวกันกอด ไม่ใช่ว่าไม่เคยกอดกับใคร แต่ทุกคนคือเพื่อน คือพี่น้อง ไม่ใช่สถานะคนพิเศษแบบนี้ และแทนที่จะอึดอัดที่ถูกกอดไว้แบบนี้เขากลับรู้สึกอบอุ่นแทน ไม่ใช่อุ่นกายแต่ลึกลงไปถึงหัวใจเลยทีเดียว อย่างที่คิด อ้อมกอดของโหรปลอดภัยที่สุด

                “ทำไมใจเต้นแรงจัง”

                แต่ไม่วายจะแซวให้อายยิ่งกว่าเดิม กุมภ์ใช้กำปั้นข้างที่ถนัดทุบไปบนหน้าอกที่แข็งเหมือนก้อนหิน ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเจ็บหรือเปล่า แต่เขาเจ็บมือใช้ได้เลยล่ะ

                “นอนเถอะ พรุ่งนี้จะได้ตื่นใส่บาตร”

                กุมภ์ไม่ได้หลับตาตามที่โหรบอก แต่กลับช้อนตามองโหรแทน ถึงจะเห็นแค่ลูกคางที่เงามืดก็ยังดีใจ เวลาสามเดือนที่ไม่ได้เจอกันมันอาจจะไม่นานสำหรับคนอื่น แต่มันมากสำหรับเขา กุมภ์สอดแขนกอดตอบกลับไปบ้าง เนื้อตัวที่ไม่ได้นุ่มนิ่ม ออกจะแข็งเสียด้วยซ้ำ ทว่ามันทำให้รู้สึกได้ว่าผู้ชายคนนี้พร้อมจะปกป้องได้ทุกคนไม่ใช่แค่เขา

                แบบที่เขาเรียกกันว่า ผู้นำล่ะมั้ง

                ความคิดเกี่ยวกับโหรล่องลอยเรื่อยเปื่อย ย้อนกลับไปตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอกัน เรื่องมหัศจรรย์ที่วันหนึ่งมันจะกลายเป็นแค่นิทานเล่าให้ลูกหลานฟัง จนถึงอ้อมกอดนี้ ความจริงแล้วเขาอยากจะคิดถึงอนาคตอยู่บ้าง เช่น แปลงผักของแม่จะโตหรือตายหลังจากได้ปุ๋ยของโหรไป ทว่าเปลือกตามันทนไม่ไหวเสียแล้ว ก่อนที่จะเดาว่าผักของแม่จะโตภายในกี่วันสติก็ดับวูบเหมือนกดปิดสวิซต์...


 :mew2:

ใดๆ คือเราลืมมมมมมม ขอโทษนะ ฮืออออออ เพื่อเป็นการแก้ตัว เดี๋ยววันพุธอัพให้อีกตอนนึงเด้อ

มีคนขอให้แต่งคู่จ้าวจอมกับพันนาต่อ รับไว้พิจารณาจ้า เพราะ บ.ก. ก็รีเควสมาเหมือนกัน แต่ขอเวลาคิดพล็อตเรื่องหน่อยเน้อ อยากจะให้มีผีอีก ชักจะติดใจ ฮาาาาาา

เจอกันวันพุธจ้า
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 27 : บันไดขั้นที่สอง] 04/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: Philosophy ที่ 04-05-2020 19:43:19
พัฒนานะจ้ะ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 27 : บันไดขั้นที่สอง] 04/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 04-05-2020 20:53:34
เราก็รอแล้วรอเล่า เมื่อไหร่จะมาเสียที แต่พอมาก็ทำให้หายคิดถึง ไม่โกรธหรอก กลัวไม่ได้อ่านตอนต่อไป อิอิอิ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 27 : บันไดขั้นที่สอง] 04/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: Austin ที่ 04-05-2020 21:09:01
คู่พันนาต้องผีคุณยายของเจ้าจอม :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 27 : บันไดขั้นที่สอง] 04/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 04-05-2020 21:41:20
โอ๊ยยย นอนพี่โหร ทำไมหยุดแค่นั้นอะ เสียดายยยย คริคริ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 27 : บันไดขั้นที่สอง] 04/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: nizxx ที่ 04-05-2020 21:51:06
เขินมาก นึกหน้าน้องกุมภ์เป็นเมธวินนนน เจ้าคนน่ารักของแม่ ฮือ พิโหรอบอุ่นมาก ยังกับไมโครเวฟ ฮือ เขินจังเลย พิโหรน่ารักมากกกกก มีความกลัวพ่อเสือ ฮือ พิกุมภ์นุบนิบมาก ไอ่ต้าวความร้าก
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 27 : บันไดขั้นที่สอง] 04/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 04-05-2020 23:22:00
งุ้ยย เขินพี่โหร  :-[
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 27 : บันไดขั้นที่สอง] 04/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: sawangpong ที่ 05-05-2020 00:27:07
แอบคิดนะหลังจากนิทานพันดาวมีแพลนจะทำซีรีย์ปีนี้ถือเป็นการฉีกกฎว่าซีรีย์​วายต้องอยู่แค่ในมหาลัย​แล้ว​ ก็แอบลุ้นถ้าไพรพิศวงถูกเอาไปทำเป็นซีรีย์​มันจะต้องหฤหรรษ์​และก็สนุกมากแน่ๆและน่าจะเป็นการเปิดโลกซีรีย์yในแบบที่เราไม่เคยเห็นแน่ๆ​
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 28 : อารมณ์] 06/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 06-05-2020 19:36:06
ตอนที่ 28 อารมณ์

                โหรเหลือบมองหน้าคนที่ยืนห่างออกไปหนึ่งคนคั่น ใบหน้าขาวสะอาดดูบวมกว่าปกติเล็กน้อย แต่ที่เด่นที่สุดคงจะเป็นถุงใต้ตากับทรงผมที่ยุ่งไม่ต่างจากรังนก ซ้ำเจ้าตัวยังเปิดปากหาวอย่างไม่เกรงใจหลวงตาที่กำลังให้พร ไม่นานหลวงตากับเด็กวัดก็เดินห่างออกไป บุคคลทั้งสี่ก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกัน คราวนี้คนหัวยุ่งหาวเสียงดังเต็มที่แทบไม่เหลือเค้าคุณหนูหลานชายคุณทวดสักนิด

                “ปกติแม่เห็นตื่นมานั่งตาแป๋วตั้งแต่หกโมง วันนี้ทำไมตื่นสายซะได้” คุณกัญญาเอ็ดบุตรชายที่ยืนอยู่ข้างๆ กัน โดยที่แขกอย่างโหรยืนอยู่อีกฝั่ง และข้างกันนั้นคือคุณเจริญที่อยู่ในชุดพร้อมทำงานแล้ว

                “ก็...นอนดึก”

                “ทำไมนอนดึก ช่วงนี้ไม่มีสอบไม่ใช่หรือไง” คุณกัญญายังจี้ไม่เลือก พลางส่งถาดเปล่าให้กุมภ์

                “เล่นเกมไง แม่อ่ะถามเซ้าซี้จริง” กุมภ์ทำหน้างอ แต่ก่อนที่เจ้าตัวจะหมุนกลับไปเข้าไปในรั้วบ้าน เขาเห็นริ้วแดงแถวแก้มขาว

                “ไปคุณโหร ไปกินข้าวกัน ฉันตื่นมาทำแกงเขียวหวานตั้งแต่ตีห้าเลยนะ” คุณกัญญาชวน ทั้งสามเดินกลับเข้ามาในตัวบ้าน เสียงไก่ขันมาจากที่ไหนสักแห่ง ในความวุ่นวายของเมืองหลวงยังมีความสุขเล็กๆ แบบนี้ซ่อนอยู่ด้วยเหมือนกัน

                มื้อเช้าเป็นไปอย่างเรียบง่าย บรรยากาศผ่อนคลายมากกว่าเมื่อคืนมากทีเดียว คุณกัญญาโชว์ฝีมือแกงเขียวหวานไก่ ผัดผักรวมและไข่เจียวกุ้ง เมนูง่ายๆ แต่อร่อยชนิดที่แม่ค้าต้องอาย ไม่รู้ว่าเพราะหิวหรือฝีมือคุณกัญญาดีเขาถึงได้ขอเติมข้าวถึงสองรอบ คุณกัญญายิ้มแก้มแทบปริ ถึงไม่มีคำชมรื่นหู แต่แค่เห็นคนกินจนแทบเกลี้ยงหม้อก็พอใจแล้ว นอกจากจะมีเมนูของคาวแล้วยังมีข้าวเหนียวเปียกลำไยเป็นของหวานล้างปากให้อีกด้วย ทว่าคุณเจริญปฏิเสธเพราะกลัวว่าน้ำตาลจะขึ้น เลยขอรับแค่กาแฟดำไม่ใส่น้ำตาลแทน แล้วท่านก็ออกจากบ้านไปตอนร่วมเจ็ดโมงครึ่ง ขณะที่บุตรชายคนเดียวของบ้านยังนั่งกินข้าวเหนียวเปียกเอื้อระเหย ไม่ยี่หระต่อเวลา น้ำท่ายังไม่ได้อาบ จะบอกว่ากินข้าวพร้อมทั้งขี้ฟันก็คงจะไม่ผิดนัก

                “กุมภ์ มีเรียนเช้าไม่ใช่หรือไง”

                “พันไลน์มาบอกว่าอาจารย์ยกเลิกคลาสแรก เรียนอีกทีก็บ่ายเลย” กุมภ์ตอบเนือยๆ พลางละเลียดชิมรสข้าวเหนียวหวานฉ่ำ

                “เหรอ ถ้าอย่างนั้นแม่ขอตัวก่อนนะ ว่าจะไปดูแปลงผักสักหน่อย” คุณกัญญาว่าอย่างอารมณ์ดี เดินคล่องแคล่วหายไปทางหลังบ้าน

                โหรละสายตาจากแผ่นหลังเล็กของคุณกัญญากลับมายังพ่อตัวดี ผมของกุมภ์ยังยุ่งจนน่าขัน แต่หน้ากับใต้ตาเลิกบวมแล้ว ผิวพรรณสดใสเปล่งปลั่งแม้ว่าจะยังไม่ได้อาบน้ำก็ตาม ปลายจมูกแดงกว่าปกติเล็กน้อย นิ้วเรียวขาวจับช้อนขนมส่งใส่ปากเป็นระยะ ริมฝีปากขยับตามจังหวะการเคี้ยว ดวงตาคู่กลมเหมือนลูกกวางมองไปเบื้องหน้าซึ่งก็คือหน้าจอทีวี เขาเผลอมองอีกฝ่ายกระทั่งลิ้นสีสดตวัดรอบริมฝีปาก ความรู้สึกบางอย่างก็หวิวโหวงอยู่แถวช่องท้อง ซ้ำร้ายมันทำท่าจะวิ่งลงต่ำไปมากกว่าเดิม

                บ้าชะมัด!

                ไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่ามันคือความรู้สึกแบบไหน แต่มันไม่เหมาะ ไม่ควร บ้าเอ๊ย!

                เขามีอารมณ์!

                “วันนี้ไปม.กับผมไหม โม้กับไอ้พันไว้ว่าพี่มา พวกมันมีเรื่องอยากจะคุยกับพี่เยอะแยะเลย”

                กุมภ์หันมาถาม พอเขาเหลือบไปมองก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ลิ้นเล็กสีสดแตะมุมปากพอดี อาการที่เป็นอยู่มันกำเริบขึ้นอีก จิตอกุศลเกิดขึ้นตั้งแต่หัววัน โหรรีบเบือนหน้าหนีจากภาพกระตุ้นความคิดไม่ดี นึกถึงคำสอนของพระครู แต่มันก็เลือนรางขาดๆ หายๆ ซ้ำร้ายใบหน้าของคนข้างๆ แทรกเข้ามาเป็นระยะอีกด้วย ยังไม่ทันที่จะตั้งสติได้ ที่หัวไหล่ก็รับรู้ถึงแรงเขย่าก่อกวนสมาธิ

                “พี่! ตกลงจะไปไหม หรือจะอยู่ช่วยคุณนายกัญญาทำปุ๋ย ท่าทางจะติดใจ เมื่อวานได้ยินว่าจะไปหาซื้อขี้วัวแล้ว”

                โหรกระพริบตาอยู่สองสามครั้ง สติฟื้นคืนก็จริงแต่อาการปวดหน่วงที่ท้องน้อยยังมีอยู่ เขาสลัดหัวเบาๆ พยายามไม่จินตนาการถึงผิวหนังใต้ชุดนอนของอีกคน ยอมรับว่ากุมภ์ทำให้เขากลับไปเป็นหนุ่มอายุสิบเก้าอีกครั้ง ความรู้สึกมันคล้ายกับตอนที่จีบแพรใหม่ๆ ตื่นเต้นและคิดเรื่องอย่างว่าตลอดเวลา

                ผิดกันตรงที่ตอนนี้คนที่เขามีใจให้ดันเป็นผู้ชาย มันน่าเหลือเชื่อตรงที่เขารู้สึกกับกุมภ์เหมือนที่รู้สึกกับผู้หญิง นึกอยากจะได้ตำราที่อธิบายเกี่ยวกับความรู้สึกของมนุษย์สักเล่ม เผื่อว่าจะเข้าใจว่าทำไมอาการแบบนี้มันถึงเกิดขึ้นกับเขาที่เป็นผู้ชายแท้ๆ ได้

                “...อืม”

               

                โหรอาบน้ำแล้ว แต่คนที่เอ่ยปากชวนไปมหาวิทยาลัยเข้าไปในห้องน้ำพักใหญ่แล้ว เพิ่งรู้เหมือนกันว่าผู้ชายก็อาบน้ำนานเหมือนกัน เข็มนาฬิกาหมุนจนครบครึ่งชั่วโมงแล้ว เขาได้ยินเสียงน้ำไหลสลับกับเสียงหัวเราะ เสียงคุยเป็นระยะ เดาว่าที่กุมภ์อาบน้ำช้าขนาดนี้เป็นเพราะเล่นโทรศัพท์อยู่แน่นอน

                โหรทิ้งตัวลงนอนไปกับเตียงนุ่มที่เมื่อคืนได้มาอาศัยนอนอยู่ครึ่งค่อนคืน แถมยังได้กอดเจ้าของเตียงแบบไม่โดนถีบอีกด้วย เขาจำความรู้สึกตอนที่กอดกุมภ์ได้ดี เนื้อตัวของกุมภ์ไม่ได้อ่อนนุ่มเหมือนผู้หญิง ไม่มีส่วนเว้าส่วนโค้งชวนคิดลึก แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกแย่ ตรงกันข้ามเขากลับประหลาดใจแทน

                กุมภ์ไม่ใช่ผู้ชายผอมบางหรืออรชร แต่เป็นคนรูปร่างสูงโปร่ง มีกล้ามเนื้อพอประมาณ หากสวมเสื้อผ้าก็จะเหมือนผู้ชายทั่วไป ทว่าเมื่อคืนหลังจากที่กอดแบบเต็มอ้อมแขนไปแล้วถึงรู้ว่ากุมภ์ตัวเล็กกว่าที่คิด ผิวกายเลื่อนเนียนมือ กอดแล้วมันเขี้ยวอยากจะกอดให้แน่นจนจมอก แขนและขายาวๆ นั่นไม่ทำให้รู้สึกเกะกะแต่อย่างใด สรุปคือเขาชอบการกอดกุมภ์มาก แถมยังเป็นครั้งแรกที่อยากจะกอดผู้ชายอีกด้วย

                คิดอะไรเรื่อยเปื่อย ประตูห้องน้ำก็เปิดออกพร้อมกับคนที่อยู่ในความคิด สายตาเบนไปหาอัตโนมัติ ร่างของกุมภ์ที่มีผ้าขนหนูพันท่อนล่างเอาไว้ ท่อนบนเปลือยเปล่า มีหยดน้ำเกาะพราว ผิวขาว ไม่สิ ต้องเรียกว่าชมพูเนียนละเอียดเหมือนผิวเด็กทารก เส้นผมเปียกชื้นจนมีน้ำหยดเจ้าตัวใช้ผ้าขนหนูสีขาวผืนเล็กขยี้เส้นผมเบาๆ ใบหน้าใสสะอาดจนนึกสงสัยว่าเคยมีสิวเม็ดไหนขึ้นไปกล้ำกลายบ้างหรือเปล่า

                จู่ๆ ลำคอก็แห้งผากขึ้นมากะทันหัน สายตาไม่ยอมละภาพตรงหน้าเลย เฝ้ามองทุกการเคลื่อนไหวอย่างไร้มารยาท ราวกับถูกสะกด กุมภ์ไปหยุดที่หน้าตู้เสื้อผ้าที่มีกระจกบานใหญ่ ขยี้เช็ดผมอยู่ราวครึ่งนาที ก่อนจะใช้ผ้าผืนเดิมเช็ดไปบนท่อนแขนขาวของตัวเอง โหรไม่อาจห้ามจินตนาการของตัวเองที่กำลังสร้างภาพมือของตัวเองแทนผ้าผืนนั้น กุมภ์ดึงเอากางเกงสแล็คสีดำออกมาจากตู้ สอดขาลงไปด้วยท่าทางธรรมชาติอย่างที่ผู้ชายทำ แต่สายตาของเขากลับไม่ยอมคลาดเคลื่อนไปที่อื่นได้เลย     

                “มองอะไร?”

                โหรสะดุ้ง ไม่รู้ว่าถูกจับได้ว่าเป็นโรคจิตถ้ำมองได้อย่างไร หลังจากตั้งสติได้ก็สำเหนียกได้ว่าสายตาของตนหยุดอยู่ระหว่างกลางแผ่นอกราบเรียบและหน้าท้องที่มีลอนกล้ามเล็กน้อย พลันไอร้อนก็พุ่งสูงขึ้นมาที่หน้า รู้สึกเหมือนขโมยที่ยังไม่ทันจะได้หยิบจับอะไรแต่ถูกจับได้เสียก่อน

                “เปล่า”

                โหรรีบตีสีหน้าเรียบเฉย แม้ในใจจะยังเต้นโครมครามไม่หาย เขานี่ท่าจะบ้า ตรงหน้าก็ผู้ชาย อะไรๆ ก็เหมือนกัน ต่างกันก็แค่รูปร่างและผิวพรรณ อีกฝ่ายลูกผู้ดี ไม่เคยเจอแดดเจอฝน ส่วนเขาหลานนายพรานผจญมาทุกรูปแบบ

                นี่กระมังที่เรียกว่าความแตกต่างที่ลงตัว

                “แล้ว...ทำไมไม่รีบแต่งตัวสักที ตัวซีดหมดแล้ว”

                แทนที่จะทำตามที่บอก ไอ้เจ้าเด็กดื้อกลับเดินมาที่เตียงทั้งสวมแค่กางเกงนักศึกษาไม่ติดตะขอ รูปซิปก็ครึ่งๆ กลางๆ ไม่รู้จะขี้อวดไปถึงไหน แต่ก็อย่างว่ากุมภ์หุ่นดีใช่เล่น กล้ามเนื้อกำลังดี ผิวขาวจัดตัดกับกางเกงแสล็คสีดำ เอวคอดเล็กน้อยรับกันดีกับสะโพกสอบ ไล่สายตาขึ้นมาด้านบน หน้าอกขาวมีเม็ดทับทิมเล็กๆ สีส้มจางสองข้าง กระดูกไหปลาร้า ลำคอยาวขาวสะอาด เส้นผมที่ยังไม่แห้งดี ลูกคางเรียงจนถึงริมฝีปากอิ่มสีสด

                เขาใช้คำว่าอิ่มและสีสดได้จริงๆ อย่างไม่นึกละอายปาก ไม่ต้องไปเทียบกับใคร แค่ก็กับเขาก็ได้ ปากของกุมภ์เป็นสีส้มอมชมพู รูปปากไม่ได้บางจัดหรือหนาเกินไป ฉ่ำวาวหน่อยๆ อย่างคนที่กินน้ำวันละแปดแก้ว ขณะที่เขาปากแห้ง สีเข้มตามสีผิวรูปปากค่อนข้างบาง

                โหรละจากริมฝีปากสวยขึ้นไปยังจมูกโด่งรั้น จมูกแบบนี้คนโบราณว่าเป็นพวกหัวดื้อ เอาแต่ใจ เขาไม่เคยเห็นกุมภ์เอาแต่ใจสักครั้งเหมือนกัน ดวงตากลมใส ไม่ได้คมเข้มเพราะเชื้อชาติที่อยู่ในกายไม่ใช่ไทยแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ขนตายาวเรียงต่อกันไม่หนาไม่บาง คิ้วสีเข้มทว่าไม่ได้รกหนา โดยรวมแล้วกุมภ์เป็นผู้ชายที่สาวๆ สมัยนี้เรียกว่าหล่อใสสไตล์เกาหลี

                “ยังจะมาบอกว่าเปล่าอีก มองจนจะท้องแล้วเนี่ย”

                เขาถลึงตาใส่คนพูด ไม่ได้อยากจะจ้องผู้ชายเหมือนกันสักหน่อย แต่ไม่รู้ทำไมห้ามสายตาตัวเองไม่ได้ ซ้ำร้ายตอนนี้กุมภ์ยังอยู่ห่างแค่เอื้อมมือถึงเท่านั้น กลิ่นหอมเย็นสะอาดของสบู่เจือจางในอากาศ ผิวขาวที่น่าจะเย็นเฉียบมันชวนให้ตบะแตกชะมัด

                กุมภ์เลิกคิ้วมอง นัยน์ตาคล้ายกับจะท้าทาย แต่จะเรื่องอะไรนั้นเขาก็ขี้เกียจจะเดา รู้แค่ว่ามือมันเอื้อมไปตวัดเอวคอดเข้าให้เสียแล้ว ชั่ววินาทีเดียวร่างของเด็กดื้อก็หล่นตุบมาอยู่บนตักเรียบร้อยแล้ว

                “ทำอะไรวะพี่ ตกใจหมด”

                กุมภ์แหว คิ้วขมวดน้อยๆ มือวางบนหัวไหล่ได้พอดิบพอดี ใบหน้าขาวสะอาดอยู่ห่างแค่ครึ่งคืบเท่านั้น กลิ่นหอมของสบู่อยู่ใต้จมูก ผิวกายของกุมภ์เย็นอย่างที่คิดจริงๆ ทว่ามันเนียนเรียบแถมยังลื่นอีกต่างหาก เหมือนกำลังได้สัมผัสกับผ้าแพรชั้นดีเลยทีเดียว กุมภ์ดิ้นขลุกขลักเบาๆ แต่เขารัดเอวแน่นไม่ยอมแปล่อย ไม่นานก็เลิกดิ้น เงยหน้ามองตาเขียวพร้อมเอาเรื่อง เจ้าตัวคงคิดว่าดุพอๆ กับไอ้บอด แต่ในความจริงมันเหมือนแมวมากกว่า

                “ทำไมขี้ยั่วนัก”

                “ยั่วอะไรวะ อื้อ! ไม่เอา”

                สาบานได้ว่าไม่รู้ตัวเลยตอนที่เอาจมูกไปชนกับแก้มนุ่ม แถมยังสูดเอากลิ่นสบู่ที่ล่อใจมาพักใหญ่เสียฟอดใหญ่ ให้ตายเถอะ เกิดมายี่สิบห้าปีไม่เคยคิดเลยว่าแก้มผู้ชายมันจะหอมและนุ่มได้ขนาดนี้

                กุมภ์ตอบแทนค่าโดนขโมยหอมแก้มไปหนึ่งอึกที่หัวไหล่ เขาเลยเอียงหน้าหอมอีกแก้มอย่างไม่ยอมลดให้ อีกฝ่ายก็ใช่ว่าจะยอมง่ายๆ เขาหอมไปกี่ทีก็โดนทุบคืนเท่ากัน แต่มันโคตรคุ้มเพราะแก้มกุมภ์นุ่มและหอมจนปอดของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นสบู่

                “ทำอะไรวะ! ไอ้พี่บ้า เจ็บแก้มนะโว้ย”

                กุมภ์โวยวาย นอกจะไม่เคยได้ยินกุมภ์พูดวะพูดโว้ยแล้ว ยังได้เห็นแก้มแดง หูแดง ลามลงไปที่คออีกต่างหาก กุมภ์ก้มหน้าหนีเพราะกลัวว่าจะถูกขโมยหอมแก้มอีก มีแค่ดวงตาที่มองกันอย่างเอาเรื่องเท่านั้น เขาไม่ได้ยี่หระสักเท่าไร กระชับแขนให้แน่นขึ้น กุมภ์ไม่ได้เนื้อตัวนุ่มนิ่มแบบผู้หญิงก็จริง แต่กอดแล้วเต็มอ้อมแขน ยิ่งกอดก็ยิ่งมันเขี้ยวอยากจะรัดแน่นๆ แต่ก็กลัวจะโดนฆ่าตายด้วยสายตาเสียก่อน...

(มีต่อ)
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 28 : อารมณ์] 06/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 06-05-2020 19:37:27
(ต่อ)
บรรยากาศมหาวิทยาลัยที่กุมภ์เรียน ต่างจากที่เคยเรียนนิดหน่อย ตรงที่คณะนี้เงียบกว่า และต้นไม้น้อยกว่า มหาวิทยาลัยของเขาเต็มไปด้วยต้นไม้เพราะอยู่ต่างจังหวัด แต่ในทุกๆ วันใต้คณะจะเต็มไปด้วยเสียงคุยบางวันก็หนักหน่อยถ้าหากมีใครอุตริเอาสัตว์เลี้ยงมาด้วย สำหรับคณะเกษตรไม่แปลกนักหรอก เพราะนอกจากจะมีคนแล้วยังมีสัตว์อีกด้วย ทั้งเล้าเป็ด เล้าไก่ กระทั่งคอกวัวก็ยังมี

                แต่สำหรับคณะนิติศาสตร์มันเงียบและสงบกว่ามาก เสียงพูดคุยกันมีบ้างแต่ไม่ดังนัก นักศึกษาจับเป็นกลุ่มๆ ส่วนใหญ่จะนั่งอ่านหนังสือกัน เสียงเปิดกระดาษสลับกับคุย กุมภ์บอกว่าช่วงนี้ใกล้สอบนักศึกษาเลยอ่านหนังสือหนักขึ้น แต่เขายังไม่เห็นคนที่บอกว่าใกล้สอบจะหยิบหนังสือมาอ่านสักเล่ม

                กุมภ์มานั่งบนเก้าอี้หินอ่อนตัวเก่า ตรงนั้นมีนักศึกษาชายนั่งอยู่ก่อนแล้วสองคน แค่เห็นแผ่นหลังเขาก็จำได้ว่าเป็นใคร

                “อ้าวมาแล้วเหรอ พี่โหร สวัสดีครับ”

                ยังไม่ทันจะได้นั่ง หนึ่งในสองก็หันมาเห็นเสียก่อน เอยทักพร้อมยกมือขึ้นไหว้ทักทาย เขารับไหว้แทบไม่ทัน นึกดีใจที่ได้เห็นสีหน้าสดใสของอีกฝ่าย แสดงว่าผีแม่พิกุลคงไปใช้กรรมแล้วจริงๆ ไม่ได้มากวนใครอีกแล้ว

                “สวัสดี สบายดีนะ” เขาทักทายกลับ ซึ่งรชตก็พยักหน้ารัว

                “สบายดีพี่ ไม่เจอกันนานเลย หล่อขึ้นปะเนี่ย”

                เขาอมยิ้ม ไม่รู้ว่าหล่อขึ้นจริงๆ หรือแค่ให้กำลังใจเท่านั้น

                กุมภ์เลือกนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับรชต ซ้ายมือคือพันนาที่กำลังง่วนอยู่กับการโทรศัพท์ ไม่ได้จะคิดแอบฟังแต่คำว่า ‘ไอ้ดื้อ’ มันชวนให้สนใจใช่ยอก และเดาว่าไอ้ดื้อที่พันนาเรียกคือจ้าวจอม ไอ้แสบประจำตำบลแน่นอน พันนาเหลือบมามองที่เขาแล้วรีบกระพุ่มมือไหว้ ยิ้มให้เล็กน้อย ท่าทางจะคุยติดพันถึงขนาดไม่ยอมวางสาย ซึ่งเขาก็ไม่ถือสา พอจะระแคะระคายบ้างอยู่แล้วว่าสองหน่อนี่ไม่ใช่พี่น้องหรือคนรู้จักทั่วไป อาจจะไม่เปิดเผยเท่ากับเขา แต่เชื่อขนมกินได้เลยว่าเกินพี่น้อง

                “มาไม่บอกกันเลย ไอ้นี่ก็เก็บเงียบ” รชตต่อว่า แต่ไม่จริงจังนัก

                “กูบอกแล้วไหมล่ะ” กุมภ์แย้ง

                “เพิ่งบอกตอนแปดโมงเนี่ยนะ” คำประชดของเพื่อนสนิทไม่ได้ทำให้คนถูกว่ายี่หระสักเท่าไร ตรงกันข้ามกลับยกแก้วกาแฟเย็นเฉียบแก้วละร้อยกว่าบาทขึ้นดูดหน้าตาเฉย

                กาแฟแก้วนี้ได้มาก่อนจะเดินมาที่คณะ กุมภ์แวะซื้อให้ตัวเองแก้วหนึ่งของเขาอีกแก้ว แค่ยี่ห้อรูปดาวก็รู้แล้วว่ามันแพงแค่ไหน แต่รสชาติก็สมกับราคาของมัน

                “ได้ข่าวว่าพี่รับราชการแล้วเหรอ ตอนแรกที่ได้ยินไอ้กุมภ์บอก ผมยังนึกภาพใส่ชุดกากีไม่ออกเลย แต่พอวันนี้เห็นพี่หล่อขึ้นเลยพอจะเห็นภาพบ้างแล้วล่ะ จริงๆ แต่งตัวแบบนี้ก็ดีนะ เหมือนพระเอกหนังสมัยก่อน”

                ทำไมเขาถึงไม่ได้รู้สึกดีใจกับคำชมของรชต เพราะมันคล้ายกับว่าเขาเป็นคนยุคโบราณ พอก้มมองเสื้อเชิ้ตสีเข้มสวมทับเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนและรองเท้าผ้าใบ บางทีแฟชั่นของเขามันคงจะตกยุคไปแล้ว

                “พูดอะไรของมึงวะ พระเอกหนังสมัยก่อน” พันนาส่ายหัว พลางสอดโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกง “แต่พี่หล่อขึ้นนะ ราศีจับแล้ว”

                เขาส่ายหัวให้กับคำวิจารณ์ของแต่ละคน ร่วมครึ่งปีแล้วกระมังที่ทุกคนผ่านเหตุการณ์เลวร้ายเกือบเอาชีวิตไม่รอดมา แต่ตอนนี้ร่องรอยพวกนั้นแทบไม่มีให้เห็น กลายเป็นนักศึกษาธรรมดา แต่เขากลับรู้สึกดีมากกว่าที่ได้เห็นทุกคนได้กลับมาใช้ชีวิตตามปกติอีกครั้ง

                “แล้วนี่ชาร์ลกับคะนิ้งไปไหนซะล่ะ”

                “เดี๋ยวก็มาพี่ เออ แล้วนี่พี่จะมาอยู่กี่วัน ไปกินข้าวด้วยกันสักมื้อไหม ผมยังไม่เคยตอบแทนพี่จริงๆ จังๆ สักที” รชตเอ่ยปากชวน

                “มะรืนก็กลับแล้วล่ะ ลางานได้ไม่กี่วัน”

                “งั้นเย็นนี้ไปกินข้าวบ้านผมกัน เอาไอ้กุมภ์ไปด้วยก็ได้นะ” รชตพูดเองเออเองเสร็จสรรพ แต่ไม่มีใครค้าน ยกเว้นแค่พันนา

                “เออ กูไปไม่ได้ว่ะ เย็นนี้มีประชุมสงสัยพี่เก๋ใช้ให้กูดูเรื่องภาพงานกีฬาสีอีก ใช้ยันลูกบวชอ่ะกูว่า” พันนาบ่นพลางส่ายหัวคล้ายกับจะระอาเต็มที

                พันนามีกิจกรรมและความสามารถพิเศษที่ค่อนข้างจะขัดแย้งกับการเรียน นั่นคือการถ่ายภาพ แม้จะไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรพันนาถึงได้ชอบ แต่ฝีมือที่เคยเห็นเกือบจะเทียบเท่ามืออาชีพได้เลย ไม่แปลกถ้าหากจะถูกเรียกใช้เป็นประจำ

                “ไม่เป็นไร ไม่มีมึงกูกินอิ่มขึ้นอีกเท่าตัว” รชตพูดยิ้มๆ

                ไม่นานชาร์ลกับคะนิ้งก็มาถึง ทุกคนดูดีใจที่ได้เจอเขา แล้วสารพัดคำถามก็ระดมใส่ การพูดคุยเป็นไปอย่างเป็นกันเองและผ่อนคลาย ยิ่งได้มาเห็นเด็กพวกนี้ได้กลับมาใช้ชีวิตปกติอีกครั้งเขาก็ยิ่งดีใจที่วันนั้นติดสินใจรับงานเสี่ยงตาย มิตรภาพและชีวิตมันมีคุณค่ามากอย่างที่เราคิดไม่ถึง…

 

                พันนาถอนหายใจยาวหลังจากรุ่นพี่ปล่อยออกจากห้องประชุม แขน ขาและคอปวดร้าวไปหมด ไม่น่าเชื่อเลยว่าการเป็นแค่ช่างภาพประจำคณะจะเหนื่อยขนาดนี้ ถึงจะมีทั้งรุ่นพี่อีกสี่ห้าคนที่ชอบถ่ายรูปเหมือนกันมาช่วย แต่ต้องยอมรับว่างานหนักมันอยู่ที่เขาทั้งหมด ทว่ามันคือความชอบ เขาไม่เคยบ่น เขารักที่จะถือกล้องตัวใหญ่ไปไหนต่อไหน แม้จะเรียนนิติศาสตร์ก็ตาม

                ท้องฟ้านอกห้องประชุมกลายเป็นสีดำไปเสียแล้ว เพื่อนร่วมก๊วนหนีกลับบ้านไปตั้งแต่หมดคาบเรียนเพราะต้องพาโหรไปกินข้าวเย็นกันที่บ้านรชต เหลือแค่เขานี่แหล่ะที่ต้องเข้าร่วมประชุมกับรุ่นพี่เพราะใกล้งานกีฬาแล้ว

                กิจกรรมโอเพ่นเฮาส์คราวก่อน ได้ผลตอบรับดีมากทีเดียว เขาไม่อยากจะยกเครดิตให้ชาร์ลสักเท่าไร แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเพราะหน้าตาโดดเด่นของมันนี่แหล่ะที่ดึงดูดสาวๆ วัยมัธยมได้ และอีกหนึ่งคนที่เขาคิดไม่ถึงว่าจะเรียกคนได้คือกุมภ์

                ถึงกุมภ์จะไม่ได้หล่อเข้ม สูงใหญ่ เหมือนชาร์ล แต่ก็มีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง รูปร่างสูงโปร่ง ผิวพรรณขาวสะอาด หน้าตาเป็นมิตรดูเป็นกันเอง ชวนให้เข้าถึงง่ายเสียยิ่งกว่าชาร์ลเสียอีก ดังนั้นหลังจากจบกิจกรรม รูปของกุมภ์ก็ไปปรากฏในเพจคนดังของมหาวิทยาลัยและหนึ่งในนั้นคือฝีมือการถ่ายของเขาเอง

                พันนาเดินหมุนคอไล่อาการเมื่อยขบ โชคดีที่พ่อกับแม่ยอมซื้อรถยนต์เอาไว้ให้ใช้ ไม่อย่างนั้นเขาต้องแบกสังขารกลับห้องพักโดยรถไฟฟ้ายิ่งเพิ่มความเหนื่อยมากขึ้นไปอีก และไม่รู้ว่ามหาวิทยาลัยจะประหยัดงบไปถึงไหน ไฟถึงสว่างไม่ทั่วถึงแบบนี้ ยิ่งที่จอดรถยิ่งมืดกว่าบริเวณอื่น แถมตอนนี้มีรถจอดอยู่แค่ไม่กี่คันเท่านั้น เขาไม่ได้กลัวเรื่องผีสางนางไม้ ยอมรับเลยว่าตั้งแต่เจอพิกุล เขาแทบไม่กังวลว่าจะเจอผีอีกแล้ว แต่ที่กลัวคือคนมากกว่า แถมเขายังไม่รู้อีกว่าเผลอไปสร้างศัตรูที่ไหนบ้างหรือเปล่า ตั้งแต่ปฏิเสธสาวๆ ที่เข้ามาสารภาพรักไปหลายราย ทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่คละกัน

                เขาไม่อยากยอมรับหรอกว่า ความรู้สึกที่มีต่อความรักมันเปลี่ยนไป บอกไม่ได้เหมือนกันว่าตั้งแต่เมื่อไร แต่ไอ้ที่เรียกว่าดอกไม้ไฟในหัวใจตอนที่เห็นสาวๆ สวยๆ หุ่นสะบึมมันไม่มีอีกแล้ว มั่นใจว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์มาจากการได้ศึกษาพระธรรม และอีกห้าสิบเปอร์เซ็นต์จากไอ้เด็กตัวแสบวัยหัวเกรียน

                ความกวน ยียวน แต่จริงใจของจ้าวจอมทำให้เขาเลิกคิดเรื่องมีแฟนไปโดยปริยาย ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้หญิงที่เคยควงกันเมื่อเทอมก่อน ดีกรีถึงดาวคณะเขาก็ยังไม่อาจตอบรับคำขอของเธอได้ แค่เห็นหน้าเธอใบหน้าขาวสะอาดพร้อมกับหัวเกรียนๆ ของจ้าวจอมก็แทรกทับเสียแล้ว นี่เห็นเหตุผลที่เขากลายเป็นคนโสดตั้งแต่ต้นเทอม ออกจะผิดปกติไปสักหน่อยแต่ก็สบายใจดีเหมือนกัน

                พันนาเกือบถอนหายใจเมื่อมาถึงรถได้อย่างปลอดภัย ตอนนี้เขาหิวจนแทบจะกินหมูได้ทั้งตัวอยู่แล้ว คิดแล้วก็เสียดาย ถ้าหากอยู่บ้านป่านนี้แม่คงจะทำของโปรดไว้คอยท่า แต่เขาอยู่คนเดียวอาหารการกินเลยจำเป็นต้องพึ่งร้านอาหาร ครั้นจะทำเองก็กลัวว่าจะทำไฟไหม้ห้อง ดังนั้นมื้อเย็นวันนี้เขาคงต้องไปฝากท้องที่ร้านป้าใกล้คอนโดอีกตามเคย

                ทว่าเพียงแค่ไขกุญแจบางอย่างก็แตะที่ข้อมือ พันนาใจหายวาบชายหนุ่มหันหน้ากลับไปมองทันที วูบแรกเขาคิดว่าผีพิกุล แต่สัมผัสอุ่นเต็มไปด้วยเลือดเนื้อทำให้เขาฉุกคิดขึ้นได้ว่าสิ่งที่กำลังรบกวนเขาอยู่เป็นคน แต่ความมืดทำให้ไม่อาจระบุได้ว่าเป็นใคร กระทั่งเสียงแผ่วเบาเอ่ยขึ้น

                “พัน...เราเอง”

                “ปรางค์!”

               

                พันนามองหน้าผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าน่ารักมากขึ้นหนึ่ง ปรางค์เป็นเพื่อนสนิทของกุมภ์ ซึ่งเขาก็เพิ่งรู้เมื่อไม่กี่เดือนมานี่เอง คราแรกเขาก็คิดเหมือนคนอื่นๆ ว่าปรางค์อาจจะเป็นมากกว่าเพื่อน แต่หลังจากที่กุมภ์ป่วยเขาก็รู้ว่าปรางค์ไม่มีทางก้าวผ่านคำว่าเพื่อนไปได้ ชายหนุ่มใช้หลอดคนแก้วนมเย็นที่เริ่มจะละลายของตัวเอง ความหิวที่โจมตีเมื่อครู่ใหญ่ๆ กลายเป็นก้อนกดดันอยู่ในท้องแทนรู้สึกอิ่มทิพย์ขึ้นมาทันที

                เขาแทบไม่ได้เจอปรางค์อีกเลยหลังจากกลับมากรุงเทพฯ คงเพราะมัวแต่วุ่นๆ อยู่กับการเรียนและกิจกรรมของคณะ แต่ก็ได้ยินข่าวคราวของเธอบ้างจากรชต ฟังไม่ผิดหรอก รชตนั่นแหล่ะ เขายังไม่รู้แน่ชัดว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองเป็นอย่างไร แต่น่าจะสนิทกันในระดับหนึ่งเลยทีเดียว และคงเพราะไม่ได้ค่อยได้เจอกันเขาเลยทึกทักไปเองว่า ปรางค์ผอมและซูบซีดลง แต่ถึงอย่างนั้นความน่ารักของเธอยังคงมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม เธอไม่ได้แตะเครื่องดื่มที่สั่งมาเลยแม้แต่น้อย เอาแต่ท้าวคางเหม่อมองออกไปนอกร้าน จนเขาแปลกใจว่าได้ยินผิดไปหรือเปล่าตอนที่เธอบอกว่ามีเรื่องอยากจะคุยด้วย ก่อนที่เขาและเธอจะมาอยู่ในร้านกาแฟในห้างใกล้มหาวิทยาลัย

                ที่สุดก็เป็นฝ่ายทนไม่ไหวเสียเอง เขาเอ่ยถามปากก่อนที่จะอึดอัดไปกว่านี้

                “ปรางค์...มีธุระอะไรกับเราเหรอ แล้วทำไมถึงไปรอเราตรงนั้น มันอันตรายรู้ไหม”

                ปรางค์ค่อยๆ เบือนหน้ากลับ ดวงตาของเธอแดงเรื่อง ใต้ขอบดำมีรอยช้ำอย่างเห็นได้ชัด เธอมองเขานิ่งอยู่ชั่วอึดใจถึงได้ตอบคำถาม

                “เรามารอตั้งแต่เย็น ไม่คิดว่าพันจะเลิกเรียนช้า” เธอบอก เขาเห็นรอยแดงตามแขนที่อยู่นอกชุดนักศึกษาต่างสถาบันกับเขา ไม่แน่ใจว่าปรางค์มาได้อย่างไร แต่ที่แน่ๆ คงไม่ได้ขับรถยนต์มาไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ทิ้งรถแล้วมากับเขาแบบนี้

                “แล้วธุระของปรางค์....”

                “พันรู้ใช่ไหมว่ากุมภ์เป็นเกย์”

                พันนากระพริบตาปริบๆ คำถามของเธอมันอยู่เหนือความคาดหมาย...ไปนิดหน่อย ใช้เวลาตั้งสติอยู่สักพักถึงได้ยอมพยักหน้าตอบคำถามของเธอ แต่ก็ตกใจอีกรอบเมื่อหัวไหล่เธอสั่นไหวหยาดน้ำคลอใต้รอบดวงตา

                “ปะ ปรางค์ เป็นอะไร?” เขาไม่ค่อยชินกับน้ำตาผู้หญิงนัก แถมหมู่นี้ห่างหายจากการมีแฟนเลยไม่ได้พกผ้าเช็ดหน้า หันรีหันขวางอยู่หลายวินาทีถึงได้ดึงกระดาษทิชชู่ในกล่องบนโต๊ะส่งให้

                ปรางค์รับกระดาษทิชชู่ไป ใช้ซับน้ำตาที่ไหลผ่านแก้มหยดแล้วหยดเล่าจนมันเปียก ถึงตอนนี้เขาพอจะเดาได้แล้วว่าทำไมปรางค์ถึงร้องไห้ มันเกี่ยวกับกุมภ์ร้อยเปอร์เซ็นต์อย่างไม่ต้องสงสัย

                นานหลายนาทีกว่าน้ำตาเธอจะแห้ง เขาแทบจะถอนหายใจ บอกตามตรงว่าเขาจนปัญญากับน้ำตาผู้หญิงจริงๆ ใช้เวลาอีกพักเธอถึงจะพูดกับเขาต่อ

                “รู้แล้วทำไมไม่บอกเรา” ปรางค์ต่อว่า แต่เธอน่าสงสารเกินกว่าที่เขาจะโกรธได้

                “มันเองก็ไม่เคยบอกใคร” เขาบอกไปตามความจริง เรื่องที่กุมภ์เป็นเกย์ เจ้าตัวไม่เคยบอกกับใคร แต่เขาก็โตพอที่จะรู้ได้เองโดยไม่ต้องรอให้ใครบอก

                “แต่เราชอบกุมภ์!” ปรางค์กระแทกเสียง ดวงตาเหมือนโกรธแค้นใครสักคน “ถ้าไม่มีไอ้บ้านนอกนั่น กุมภ์คงไมเป็นแบบนี้!”

                “ไอ้บ้านนอก?” พันนาเลิกคิ้ว

                “ใช่! ไอ้โหรไง มันทำให้กุมภ์เป็นเกย์!”

                ที่ตกใจไม่ใช่เรื่องที่ปรางค์กล่าวหาโหร แต่เป็นสรรพนามที่เธอใช้เรียกโหรต่างหาก เขาไม่คิดเลยว่าผู้หญิงที่ดูเพียบพร้อมไปทุกด้านจะมีวาจาก้าวร้าวเช่นนี้เพียงเพราะเข้าใจผิดจนขาดสติ

                เขามั่นใจว่าโหรไม่ได้ทำให้กุมภ์เป็นเกย์ หากแต่เป็นความพึงพอใจที่ต่างฝ่ายมีให้กันต่างหาก สำหรับเขาแล้วคำว่าความรักมันไม่เลือกหรอกว่าอีกฝ่ายจะเป็นเพศอะไร ข้อจำกัดที่บอกว่าผู้ชายต้องคู่กับผู้หญิงเท่านั้นมันไม่มีจริง

                เหมือนกับเขาในตอนนี้

                พันนาใช้เวลารวบรวมความคิด ก่อนจะอธิบายให้เธอเข้าใจ “พี่โหรไม่ได้ทำให้ใครเป็นเกย์ ปรางค์เข้าใจผิดแล้ว”

                “เราไม่ได้เข้าใจผิด เราเห็นไอ้บ้านนอกนั่นส่งข้อความมาหากุมภ์ วันที่กุมภ์ป่วย” เธอพูด น้ำเสียงแข็งกร้าวไม่ลื่นหู ทั้งสีหน้ายังดูน่ากลัว จนเขานึกอยากจะถอนคำพูดที่เคยชมว่าเธอน่ารัก

                “เราไม่รู้หรอกว่าสองคนคุยอะไรกันบ้าง แต่ก็พอรู้ว่ากุมภ์ชอบ...พี่โหร” ถึงจะรู้สึกผิดที่พูดออกไป แต่มันคงดีกว่าปล่อยให้ปรางค์เข้าใจผิดแบบนี้               

                “ไม่จริง! กุมภ์ได้ชอบไอ้บ้านนอกนั่น ต้องไม่ใช่กุมภ์” ปรางค์ส่ายหน้า น้ำตาไหลอาบแก้มอีกครั้ง แต่คราวนี้พันนาเลือกที่จะเมินเฉย ไม่ได้ช่วยส่งกระดาษทิชชู่ให้เหมือนในครั้งแรก

                พันนาถอนหายใจ ไม่ว่าจะใครในยามโกรธมักจะหน้ามืด ปิดหูปิดตาไม่รับฟังสิ่งใดนอกจากตัวเอง เขาเองก็เช่นกัน ก่อนที่จะได้ศึกษาพระธรรมก็ใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง แต่หลังจากได้ซึมซับคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอารมณ์ต่างๆ ก็ลดลง โดยเฉพาะความโกรธ เขาเรียนรู้ที่จะข่มมันไว้ด้วยคำว่าสติ

                “เราว่าคงป่วยการเปล่าถ้าหากปรางค์ยังโกรธอยู่อย่างนี้ เอาไว้ให้ปรางค์เย็นลงสักหน่อยแล้วเราค่อยคุยกันดีกว่า”

                “เราไม่ได้โกรธกุมภ์” ปรางค์บอก ดวงตาแดงก่ำ แต่น้ำตาแห้งไปแล้ว “แต่เราเกลียดไอ้บ้านนอกนั่น มันไม่มีอะไรคู่ควรกับกุมภ์สักอย่าง”

                พันนาได้แต่ส่ายหน้า เขาไม่รู้ว่าปรางค์เอาอะไรมาวัดมาตรฐานของคำว่าคู่ควร คงจะเป็นฐานะ เงินทอง หรือวงศ์ตระกูลกระมัง ทว่าความจริงแล้วสิ่งเหล่านั้นเป็นแค่องค์ประกอบภายนอกต่างหาก

                “เชื่อเถอะว่าพี่โหรน่ะเหมาะกับกุมภ์ที่สุดแล้ว”

                “พอกัน! สมกับเป็นเพื่อนกันจริงๆ เข้าข้างกันทุกคน!” ปรางค์ตะคอก เธอผุดลุกขึ้นยืนพลางคว้ากระเป๋าขึ้นสะพาย “เราไม่เชื่อหรอกว่าไอ้บ้านนอกนั่นจะชนะใจน้าดมกับน้ากัญญาได้!”

                พูดจบเธอก็สะบัดหน้าก้าวฉับๆ ออกจากร้านไป พันนาได้ถอนหายใจรู้สึกเหนื่อยกว่าเดิมเป็นร้อยเท่า ถึงจะมีแฟนมาหลายคน แต่ไม่มีใครทั้งน่าสงสารและน่ากลัวได้เท่ากับปรางค์สักคน

                พันนาล้วงมือลงในกระเป๋ากางเกง กดไล่หาเบอร์โทรศัพท์ของหนึ่งในเพื่อนสนิท ไม่ถึงครึ่งนาทีมันก็รับสาย

                “มึงออกมารับปรางค์ที แถวห้างหน้ามหาลัย เออ รีบมา เดี๋ยวเตลิดไปกันใหญ่”

 

                พอเสร็จสิ้นธุระกับปรางค์ เรี่ยวแรงก็แทบจะไม่เหลือ การคุยกับผู้หญิงที่กำลังโกรธมันเหนื่อยยิ่งกว่าวิ่งถ่ายรูปงานโอเพ่นเฮาส์สามวันติดเสียอีก นมเย็นแก้วนั้นเขาดูดไปแค่ไม่กี่ที ต้องยอมรับว่าปรางค์ทำให้เขาหายหิวได้ชั่วขณะ กว่าจะนึกขึ้นว่ายังไม่ได้กินอะไรแถมลืมซื้อติดมืดมาด้วยก็ถึงห้องเสียแล้ว

                พันนาโยนกระเป๋าลงบนโซฟาหน้าจอทีวี ทิ้งตัวลงนั่งพักสักประเดี๋ยวท้องก็ร้องขออาหาร เขาจำใจต้องฝืนความเหนื่อยล้าไปที่ตู้เย็น เจอแค่ไข่ห้าฟอง กับข้าวหอมมะลิบรรจุกระอับที่ซื้อมาจากเซเว่นเมื่อวันก่อน แฮม ไส้กรอกอย่างนะนิดหน่อย จริงๆ ถ้าแค่เอาไปเข้าไมโครเวฟก็พอจะกินได้ แต่เขาอยากได้มากกว่านั้น ทว่าความสามารถด้านอาหารติดลบ อย่างดีที่สุดก็แค่ต้มบะหมี่

                มองจากวัตถุดิบก็พอจะทำข้าวผัดโง่ๆ ได้สักจาน แต่ปัญหาอยู่ที่เขาทำไม่เป็น จึงจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากคนคุ้นเคย

                จ้าวจอม

                ใครจะไปเชื่อล่ะว่าเด็กอายุสิบแปดปี ปากร้าย เถียงเก่ง จะทำกับข้าวเก่งเกินวัย แต่พอได้ฟังเหตุผลก็พอจะเข้าใจได้บ้าง เพราะจ้าวจอมต้องไปค้างอ้างแรมในป่าตั้งแต่เด็ก ดังนั้นเลยซึมซับวิธีปรุงอาหารแบบง่ายๆ ไปจนถึงเมนูที่มีส่วนประกอบหลายอย่าง เขาเคยได้ฟังไอ้เด็กแสบโม้ว่าได้ลองทำผัดพริกงูเห่าด้วย แต่เขายังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

                ใช้เวลาไม่นานจ้าวจอมก็รับสาย ใบหน้าขาวสะอาดปรากฏเต็มหน้าจอกรอบสี่เหลี่ยมเล็กๆ หัวคิ้วขมวดน้อยๆ คล้ายกับว่าเขาโทรไปรบกวน

                “มีไร คนกำลังทำการบ้าน”

                “สอนทำข้าวผัดหน่อยสิ หิวจะตายแล้ว” เขาบอก เอาโทรศัพท์ไปวางบนเคาน์เตอร์ทำอาหารใกล้กลับซิงค์ล้างจาน

                “หิวทำไมไม่ไปซื้อกินล่ะ เดี๋ยวไฟก็ไหม้ห้อง” อีกคนต่อว่า “แล้วมีอะไรบ้าง จะทำข้าวผัดกินน่ะ”

                พันนาเผลอยิ้ม ปากก็บ่นไปตามประสาคนพูดมากทว่าก็ยอมใจอ่อนในตอนท้าย หลังจากจาระไนไปว่ามีอะไรบ้าง จ้าวจอมก็สอนให้เขาทำข้าวผัดทีละขั้นตอน สลับกับก้มหน้าทำการบ้าน เขานึกอยากจะลูบหัวเกรียนๆ นั่นชะมัด ครั้งสุดท้ายที่ได้ทำอย่างนั้นก็งานโอเพ่นเฮาส์ ไม่ต้องถามว่าเขาดีใจมากแค่ไหนที่ได้เห็นเด็กมัธยมคนหนึ่งเดินปะปนมากับเด็กคนอื่นๆ ร่วมพันคน และแน่นอนว่าในกล้องของเขามีรูปเด็กคนนั้นเกินร้อยรูป

                หลังจากรบรากับข้าว ไข่ ไส้ กรอกและแฮม เขาก็ได้ข้าวผัดหน้าตาประหลาดมากินจนได้ ควันสีขาวลอยเหนือข้าวสีน้ำตาลทอง ไส้กรอกที่ถูกหั่นแบบขอไปที แฮมชิ้นใหญ่บ้างเล็กล้าง และไข่ที่บางด้านก็ไหม้ บางด้านก็สีสวย แต่ถึงมันจะไม่ได้น่ากินนัก ทว่ารสชาติมันดีกว่ายิ่งกว่าข้าวผัดร้านไหนๆ เพราะมันถูกปากเขาที่สุด แถมด้วยไข่ดาวแบบไม่สุกโปะด้านบน เพิ่มความเจริญอาหารให้มากขึ้นอีก

                พันนาเอาจานข้าวพัดวางตรงหน้า เหยาะซอสมะเขือเทศใส่บนไข่ดาวแล้วหันกล้องให้จ้าวจอมดู

                “เป็นไง ฝีมือการทำครั้งแรก”

                “แย่ ถ้าทำให้คนอื่นกินโดนด่าแน่นอน”

                พันนาหัวเราะร่วน ไม่ได้โกรธกับคำสบประมาทจากไอ้เด็กหัวเกรียน เพราะมันก็คือความจริง หน้าตาข้าวผัดของเขามันไม่ชวนกินหรอก แต่รสชาติเขายกให้มันอร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมา พันนาตั้งโทรศัพท์ให้ตรงกับใบหน้าของตัวเองพลางก้มกินข้าวผัด สลับกับฟังจ้าวจอมบ่นเรื่องความยากของการบ้าน บางจังหวะเขาก็สอนจ้าวจอมคำนวณกลับไปบ้าง เขาอมยิ้มตอนที่เห็นศีรษะกลมทุยผงกรับแล้วก้มหน้าก้มตาขยับปากกา ปากก็ท่องไปด้วย จนกินข้าวหมดจ้าวจอมก็ทำการบ้านเสร็จพอดี

                “การบ้านเสร็จแล้ว เดี๋ยวจะอ่านหนังสือต่อ” จ้าวจอมบอก เขาเป็นกระดาษสีน้ำตาลอ่อนพลิกไปมาอยู่ริมกรอบสี่เหลี่ยมเล็กๆ

                เห็นแล้วก็อดภูมิใจไม่ได้ จ้าวจอมอยากจะเรียนนิติแถมยังมหาวิทยาลัยเดียวกับเขา ถามหาเหตุผลก็ได้คำตอบมาแบบกวนๆ ว่าอยากจะเอาไว้ช่วยญาติตัวเองเผื่อว่าจะโดนตำรวจจับเพราะแอบไปขโมยโสมป่ามาขาย แต่พอถามจี้ว่าทำไมต้องเป็นมหาวิทยาลัยเดียวกับเขาเจ้าตัวก็ตีมึน ไม่ตอบเสียเฉยๆ แต่ก็ดีเหมือนกัน ปีหน้าเขาจะมีรุ่นน้องตัวแสบที่ชื่อจ้าวจอมมาป่วนแน่นอน

                หลังจากนั้นเขาก็พูดคุยกันอีกนิดหน่อย แล้วก็ปล่อยให้จ้าวจอมไปอ่านหนังสือต่อ เขารู้ว่าวิธีผ่อนคลายความเหนื่อยล้าคือการได้คุยกับไอ้เจ้าเด็กหัวเกรียน มันอิ่มเอม สบายใจ รู้สึกดีเสียยิ่งกว่าตอนที่มีแฟนเสียอีก...

 :ruready
เล้าใจร้ายจัง แอบขายหนังสือก็ไม่ได้ ฮาาาาาาา

อัพจบแน่นอนจ้า แค่ไม่ได้อัพตอนพิเศษแค่นั้นเอง

เจอกันตอนหน้าเน้อ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 28 : อารมณ์] 06/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 06-05-2020 21:15:02
 :z1: :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 28 : อารมณ์] 06/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: valenna yy ที่ 06-05-2020 21:25:00
 :-[
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 28 : อารมณ์] 06/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 06-05-2020 21:32:45
กุมภ์ เดี๋ยวนี้กลายเป็นดาวยั่วไปแล้วเหรอ ทำให้พี่โหรเตลิดเปิดเปิงไปได้นะ
พี่โหร กลายเป็นสุดหล่อแบบโบราณไปซะแล้ว แต่ก็ช่างเหอะถือว่าหล่อละกัน
ปรางค์ ก็เข้าใจนะ ปรางค์รักของปรางค์มาแต่ไหนแต่ไร จู่ๆ ก็ถูกแย่งของรักไป อันนี้โทษที่กุมภ์ไม่ชัดเจน ส่วนปรางค์ก็รักมากจนไม่คิดมองกุมภ์เป็นอย่างอื่น
สุดท้าย พันนา เดี๋ยวนี้มีลูกอ้อนตอนเหงา ระวังเด็กเกรียนถอนหงอกละกันนะ อิอิอิ
 :really2: :really2: :really2:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 28 : อารมณ์] 06/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 06-05-2020 21:36:47
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 28 : อารมณ์] 06/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 06-05-2020 22:54:23
ปรางไม่น่าเป็นขนาดนี้เลย รู้ว่าผิดหวัง
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 28 : อารมณ์] 06/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 07-05-2020 18:13:56
พี่โหรตบะแตก :haun4:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 28 : อารมณ์] 06/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 08-05-2020 01:16:18
จริงอย่างที่พันนาบอกล่ะนะ
เวลาโกรธ พูดอะไรก็ไม่เข้าใจ เห็นแต่ความคิดตัวเองเป็นใหญ่
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 28 : อารมณ์] 06/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 10-05-2020 23:35:22
รออออ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 28 : อารมณ์] 06/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 11-05-2020 01:57:17
ชอบชื่อตอนล่าสุด คนนึงมีอารมณ์ทางเพศ คนนึงมีอารมณ์ริษยา ผิดหวัง โกรธแค้น หลากอารมณ์ 55555
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 29 : อารมณ์พาไป] 11/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 11-05-2020 19:54:27
ตอนที่ 29 อารมณ์พาไป

            กุมภ์อ่านข้อความที่พันนาส่งมาบอกว่าได้เจอกับปรางค์เมื่อช่วงหัวค่ำ ปรางค์โกรธและรู้เรื่องที่เขาเป็นเกย์ ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะเขาเป็นฝ่ายบอกกับเธอเอง แต่เขาผิดตรงที่ชะล่าใจไม่คิดว่าการเงียบหายไปของปรางจะเป็นการเติมเชื้อเพลิงแห่งความเกลียดชัง พันนาบอกด้วยว่าปรางท่าทางจะเกลียดโหรมากทีเดียวและโยนความคิดทุกอย่างไปที่โหร อันที่จริงแล้วโหรไม่ผิด คนผิดคือเขาต่างหาก เขาเป็นเกย์ โหรเป็นผู้ชาย แล้วอย่างนี้ใครเป็นฝ่ายผิดล่ะ

                กุมภ์ถอนหายใจ สอดโทรศัพท์มือถือเก็บลงในกระเป๋ากางเกง ปาร์ตี้เลี้ยงขอบคุณโหรก็แกร่วลง เพราะไม่ใช่แค่เรื่องของปรางมากวนใจหรอก แต่รชตเจ้าภาพของงานก็หายตัวไปด้วยหลังจากรับสายจากพันนา จู่ๆ ก็หุนหันออกไปบอกแค่ว่าให้กินต่อไม่ต้องรอ

                โหรเหมือนจะถูกพ่อและแม่ของรชตผูกตัวเอาไว้ นี่ก็เป็นพรสวรรค์อีกข้อของโหร พวกผู้ใหญ่มักจะถูกชะตากับโหรทั้งที่หน้าดุเหมือนเสือ คงเป็นเพราะกิริยามารยาทท่าทางที่สุภาพอ่อนน้อมกระมังที่พิชิตใจผู้ใหญ่ได้ อย่าว่าแต่พ่อของรชตเลย พ่อแม่ของเขาเองก็ด้วย นอกจากจะไม่โกรธที่โหรคือว่าที่แฟนของเขาแล้วยังให้การต้อนรับอีกด้วย

                โหรกับพ่อและแม่ของรชตนั่งอยู่บนชุดเก้าอี้ไม้ริมสระน้ำใกล้กับต้นลีลาวดีสีขาวอมเหลือง กลีบดอกของมันร่วงหล่นพื้น บางกลีบก็ตกลงไปในสระ ดูสวยงามเหมือนภาพวาด บ้านของรชตไม่ได้มีพื้นที่อาณาบริเวณกว้างเท่ากับบ้านของเขาก็จริง แต่บ้านเดี่ยวสองชั้นที่มีรั้วรอบขอบชิด ปลูกสไตล์โมเดิร์นก็บอกถึงฐานะได้เหมือนกัน

                ชาร์ลกับคะนิ้งก็มาด้วย ทั้งคู่ต้องงดกินเนื้อสัตว์เจ้าภาพในดีก็แยกอาหารไว้ให้อย่างรู้ใจ ทั้งคู่กล่าวทักทายโหรพอให้หายคิดถึง ใจจริงก็อยากคุยให้นานกว่านี้แต่พ่อกับแม่รชตดึงตัวโหรไปเสียก่อน เลยกลายเป็นพวกเขาที่ต้องนั่งคุยกันเอง ทั้งที่ก็คุยกันทุกวันอยู่แล้ว

                ชาร์ลบอกว่าถ้าเรียนจบเมื่อไรจะพาคะนิ้งไปเรียนต่อปริญญาโทที่เยอรมัน อันที่จริงจะทำเรื่องเปลี่ยนที่เรียนตั้งแต่เกิดเรื่องด้วยซ้ำ แต่ชาร์ลขอไว้เพราะไม่อยากยุ่งยาก

                “แล้วมึงล่ะ จบแล้วจะทำงานเลยไหม หรือเรียนต่อ” ชาร์ลถาม

                “กูอยากทำงาน เบื่อเรียนแล้ว” กุมภ์ตอบ เขาอยากจะมีรายได้หาเลี้ยงชีพได้ด้วยตัวเองสักที ยิ่งเห็นโหรพยายามเขาเองก็อยากจะพยายามเหมือนกัน อย่างน้อยก็สักครึ่งหนึ่งก็ยังดี

                “เป็นทนายเหรอวะ แค่คิดภาพพวกเราว่าความในศาลก็ตลกแล้ว” ชาร์ลพูดขำๆ ยกแก้วน้ำอัดลมขึ้นจิบ

                “แล้วมึงล่ะ จะแต่งกับคะนิ้งเมื่อไร”

                คะนิ้งช้อนตามองเขาแวบหนึ่งก่อนจะหันไปทางคนรัก แก้มเธอแดงระเรื่อดูน่ารักดีเหมือนกัน หลังเกิดเรื่องคะนิ้งก็เปลี่ยนไปมากทีเดียว ไม่คุยโวข่มใคร ไม่ชอปปิ้งใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย แถมยังชอบทำบุญมากขึ้น บางครั้งก็ลากชาร์ลที่นับถือศาสนาคริสต์ไปวัดด้วย

                “ยังไงกูก็แต่งแน่ ของมึงเถอะ จะเปิดตัวเลยหรือเปล่า” ชาร์ลถามพลางยักคิ้วให้

                “ยังไง เปิดตัวอะไร ทำไมเราไม่เห็นรู้เรื่อง”

                กุมภ์ไหวไหล่ ไหนใครว่าผู้หญิงเซนส์แรง ข้อสันนิษฐานนี้คงใช้ไม่ได้กับทุกคน แต่ไอ้เพื่อนตัวดีทั้งสามกลับทำท่ารู้เสียอย่างนั้น

                “มึงก็รู้แล้วนี่ ไม่เห็นต้องเปิดตัวเลย”

                “แต่แฟนกูไม่รู้” ชาร์ลแย้ง นั่นยิ่งทำให้คะนิ้งเร่งเร้ามากขึ้น

                “อะไรอ่ะ เราไม่รู้อะไรเลยจริงๆ นะ กุมภ์มีแฟนแล้วใช่ไหม ใช่ปรางหรือเปล่า น่ารักดีนะ สมกับกุมภ์ดี นิสัยก็ดี คุยเก่ง...”

                “พี่โหรน่ะ”

                คะนิ้งหยุดพูดเมื่อเขาแทรกขึ้น หน้าเหมือนกำลังจะสำลักน้ำลายตัวเอง ดวงตาเบิกกว้างแต่เพียงชั่วประเดี๋ยวมันก็กลับมาเป็นปกติ ทว่าเธอกลัวรัวคำถามใส่เขาไม่หยุด

                “ทำไมเป็นพี่โหร นี่มันเกิดอะไรขึ้น เราตกข่าวขนาดนี้เลยเหรอ ตายๆๆๆ ไม่ได้ๆ ทำไมเราไม่รู้เลยว่าพี่โหรเป็นเกย์ ไม่เห็นเหมือนเลย”

                “เราต่างหากที่เป็นเกย์”

                สาวน้อยเพียงหนึ่งเดียวนิ่งเงียบไปรอบ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคะนิ้งตกใจมากแค่ไหน เวลาสองปีที่รู้จักกันมาเขาไม่เคยแสดงทีท่าว่าจะสนใจผู้ชายที่ไหนหรือออกอาการตุ้งติ้ง แต่ถ้าสังเกตเขาก็ไม่เคยสนใจผู้หญิงเช่นกัน

                ร่วมนาทีคะนิ้งถึงตั้งสติได้ สีหน้าคลายความตกใจจนเกือบเป็นปกติ ผิดกับชาร์ลที่ยังเพลินอยู่กับมันฝรั่งทอดและคุกกี้ ไม่แสดงความแปลกใจสักนิด คะนิ้งถอนหายใจเบาๆ

                “ยอมรับว่าตกใจ แต่ก็ดีใจที่กุมภ์ไม่ได้ปิดบังเรา” คะนิ้งยิ้มบางๆ “เราเอ่อ...ถามได้ไหมว่ากุมภ์...”

                “เป็นเกย์ตั้งแต่เมื่อไรน่ะเหรอ” เขาถามกลับ “ตั้งแต่ขึ้น ม.4 มั้ง ตอนนั้นเราแอบชอบรุ่นพี่ด้วยล่ะ...”

                จากนั้นบทสนทนาที่ย้อนกลับไปเมื่อห้าหกปีที่แล้วก็ถูกขุดขึ้นมา คะนิ้งสนใจรักครั้งแรกของเขายิ่งกว่าเรื่องที่เขาเป็นเกย์เสียอีก เธอแอบหลุดกรี๊ดตอนที่เขาเล่าให้ฟังว่าแอบรักรุ่นพี่แล้วต้องอกหักเพราะอีกฝ่ายชอบผู้หญิง แม้จะแปลกใจกับท่าทางและดวงตาเป็นประกายแปลกๆ ของเธอ แต่ก็โล่งอกที่เธอไม่ได้แสดงสีหน้ารังเกียจ อาจจะเป็นคนแรกเลยด้วยซ้ำที่พอรู้ว่าเขาเป็นเกย์แล้วมีปฏิกิริยาตอบสนองแบบนี้

                ไม่น่าเชื่อว่าเวลาร่วมครึ่งชั่วโมงที่ได้คุยกับคะนิ้งเขาไม่รู้สึกอึดอัดเลยแม้แต่น้อย เขาเหมือนได้คุยกับเพื่อนสนิทที่ไม่มีคำว่าเพศเข้ามาเกี่ยว เธอแทรกคำถามเป็นระยะไม่ได้สอดหรือแทรกให้เสียจังหวะ เขาเพิ่งได้พูดคุยจริงจังแบบนี้กับคะนิ้งเป็นครั้งแรก เพราะก่อนหน้านี้ถึงคะนิ้งจะเป็นคนรักของชาร์ลแต่พวกเขาไม่ค่อยจะได้สนทนากันเท่าไรนัก

                “แล้วนี่...ไปทำอีท่าไหนกับพี่โหรล่ะ” คะนิ้งหลิ่วตาไปทางคนที่เอ่ยถึง

                “อืม...ยังไงดีล่ะ” จู่ๆ หน้าก็ร้อนวูบวาบ เขินจนไม่กล้ามองตาคู่สนทนา นึกแปลกใจที่เมื่อครู่ตอนที่เล่าถึงรักครั้งแรกไม่ยักจะรู้สึกแบบนี้ “เรารู้สึกแปลกๆ ตั้งแต่ตอนที่เจอกับพี่โหรครั้งแรก อืม ประมาณว่าฮีโร่ล่ะมั้ง”

                “พี่โหรเป็นฮีโร่ของกุมภ์สินะ” คะนิ้งยิ้มกริ่ม หน้าตาเจ้าเล่ห์กว่าเดิม “แล้วทำยังไงถึงเป็นแฟนกันได้ล่ะ ฝ่ายนั้นไม่เหมือนเกย์เลยนะ”

                “พี่โหรไม่ได้เป็นเกย์ เคยมีแฟนด้วยนะ แต่เลิกกันไปนานแล้ว” เขาว่า “พี่โหรจับได้ว่าเราเป็นเกย์ ตอนแรกเราก็ไม่ได้หวังอะไรแล้วล่ะ เพราะคิดว่ายังไงเขาคงรังเกียจเกย์อย่างเรา นานเป็นเดือนเลยล่ะที่เราอกหัก” กุมภ์พูดยิ้มๆ ถึงแม้ว่าช่วงนั้นจะเรียกว่าอกกลัดหนองก็ตาม “จนวันที่พันกับชตศึกนั่นแหล่ะ เราป่วย พี่โหรก็เลยมาเฝ้าไข้ จากนั้นก็นะ...”

                เขาเลือกที่จะไม่พูดต่อใหคะนิ้งคิดถึงความสัมพันธ์ต่อจากนั้นเอาเอง ซึ่งก็ไม่ได้ยากนัก

                “ถ้ากุมภ์กับพี่โหรเป็นแฟนกัน แล้วปรางล่ะ” คะนิ้งตั้งข้อสงสัย

                “ปรางเป็นเพื่อน เหมือนคะนิ้งนั่นแหล่ะ” กุมภ์บอก

                “แต่เราว่าปรางไม่ได้คิดกับกุมภ์แค่เพื่อนนะ” คิ้วเรียวเลิกขึ้นด้วยยังไม่หายสงสัย “เซ้นส์ผู้หญิงมันบอก

                เซ้นส์ผู้หญิงมันแรง ใครก็ว่ากันแบบนั้น ซึ่งมันก็จริงบ้างไม่จริงบ้าง ทว่าในกรณีนี้เขาเห็นด้วยกับคะนิ้ง ปรางรู้ก่อนที่เขาจะบอกกับเธอด้วยซ้ำว่าเขาเป็นเกย์

                “เรารู้ แต่สำหรับเราปรางเป็นแค่เพื่อนเท่านั้น”

                คะนิ้งมองหน้าเขา นานร่วมครึ่งนาทีแล้วยิ้มบางๆ ยกมือขึ้นจับที่หัวไหล่ ปลายนิ้วบีบลงมาเบาๆ “ถ้าไม่ได้คิดอะไรก็อย่าให้ความหวังนะ เล่นกับความรู้สึกคนน่ากลัวกว่าท้าทายผีสางซะอีก”

(มีต่อ)

               
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 29 : อารมณ์พาไป] 11/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 11-05-2020 19:55:27
(ต่อ)
รถยนต์สีดำแล่นเข้าสู่รั้วบ้านหลังใหญ่กลางกรุงในตอนเกือบตีหนึ่ง แม้จะไม่แอลกอฮอล์หากแต่การคุยติดลมทำให้งานเลี้ยงล่วงเข้าสู่วันใหม่ กระทั่งเจ้าของบ้านเปิดปากหาวเพราะเกินเวลานอน แขกเหรื่อถึงได้เอ่ยขอตัวกลับ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่เห็นวี่แววของรชตที่หายออกไปกะทันหันจะกลับมา

                กุมภ์ดับเครื่องยนต์ดึงกุญแจและก้าวลงจากรถพร้อมๆ กับใครอีกคน ออกเดินแค่ไม่กี่ก้าวฝ่ามือก็ถูกอีกมือที่หยาบกระด้างทว่าอบอุ่นสอดประสานเข้ามา กุมภ์หลุบตามองโดยอัตโนมัติ จู่ๆ ก็เกิดรู้สึกเสียดายเวลาที่มีร่วมกัน มันน้อยเกินไปจริงๆ

                ระหว่างทางเดินเข้าสู่ตัวบ้าน ไม่มีใครพูดอะไร กุมภ์ยังปล่อยให้คนโตกว่ากุมมือไว้ และเขาเองก็บีบตอบกลับไปเหมือนกัน

                ในบ้านเหลือไฟแค่ไม่กี่ดวง พ่อกับแม่ของกุมภ์คงเข้านอนไปแล้ว ทั้งคู่เดินขึ้นชั้นสองโดยไร้เสียงพูดคุย กระทั่งถึงห้องพักของกุมภ์ โหรก็ทำท่าจะปล่อยมือ แต่กุมภ์กลับยื้อเอาไว้

                “นอน...ด้วยกันไหม”

                โหรกระพริบตาสองสามครั้ง เหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง กระทั่งกุมภ์กระตุกข้อมือให้เข้าห้องไปพร้อมกันถึงได้รู้ว่าหูตัวเองใช้การได้อยู่

                ห้องของกุมภ์ค่อนข้างอุ่นเพราะไม่ได้เปิดเครื่องปรับอากาศเอาไว้ เจ้าของห้องปล่อยมือแล้วเดินไปกดเปิดรีโมท ไอเย็นพุ่งออกมาระลอกแรก จากนั้นมันก็กระจายไปทั่วห้อง ใช้เวลาไม่กี่นาทีอากาศเย็นก็แทนที่ไออุ่น โหรยืนเป็นคนโง่กลางห้อง มองข้าวของเครื่องใช้ที่จัดวางเป็นระเบียบ เฟอร์นิเจอร์แค่ไม่กี่ชิ้นราคาก็มากว่าทั้งบ้านของเขาเสียอีก ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็คุณชาย ส่วนเขาคือไอ้กระจอกบ้านอกคอกนา

                ให้ตายเถอะ นี่มันสวรรค์แกล้งหรือผีผลักกันแน่ที่ทำให้เขาสนใจคนๆ นี้ ทั้งที่ต่างกันราวฟ้ากับเหวเช่นนี้

                “อาบน้ำก่อนไหม”

                โหรผงกศีรษะครั้งเดียว รับผ้าขนหนูกับเสื้อยืดสีขาวและกางเกงขาสั้นที่สีของมันบอกถึงระยะเวลาใช้งานแต่กลิ่นหอมละมุนและเนื้อผ้านุ่มมือ เขาเดินเข้าไปในห้องน้ำ จัดการชำระล้างคราบไคลอยู่ไม่ถึงสิบนาที แอบรู้สึกดีเล็กๆ ที่ได้ใช้สบู่ก้อนเดียวกับกุมภ์

                เมื่อเขาออกมาจากห้องน้ำกุมภ์ก็พร้อมจะใช้ห้องน้ำต่อ ผ้าขนหนูสีขาวผืนใหญ่พันสะโพกเอาไว้ และมันเป็นอาภรณ์เพียงชิ้นเดียวที่ห่อหุ้มร่างกายสมส่วนนี้เอาไว้ ผิวของกุมภ์ขาวละเอียดอมชมพูด หากจะบรรยายให้เห็นภาพก็คงเหมือนผิวเด็กทารกกระมัง โครงสร้างร่างกายที่รับกันอย่างเหมาะเจาะ หัวไหล่กว้างกำลังดี แผ่นอกที่ไม่ได้หนานูนเท่ากับของเขา เอวคอดค่อนข้างบาง เหนือผ้าขนหนูคือกระดูกเชิงกรานและกล้ามเนื้อเล็กๆ พอมองเห็นเห็นร่อง สะโพกสอบและท่อนขายาวที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าขนหนู

                จู่ๆ เขาก็นึกอยากจะเป็นผ้าขนหนูขึ้นมา

                โหรสะดุ้งเล็กๆ กับความคิดลามกของตัวเอง เขาเสตามองไปที่เตียงนอน แล้วปล่อยให้กุมภ์เข้าห้องน้ำไป นานเกือบครึ่งชั่วโมงกว่ากุมภ์จะออกจากห้องน้ำ เป็นจังหวะเดียวกับที่บทสวดมนต์สุดท้ายของโหรจบลง กลิ่นหอมของสบู่ก้อนเดียวโชยมาจากร่างของคนเพิ่งอาบน้ำเสร็จ โหรห้ามใจตัวเองไม่ให้หันไปมองไม่ได้

                จู่ๆ หัวใจก็เต้นแรงขึ้นมาเพียงเพราะได้เห็นร่างกึ่งเปลือยของกุมภ์ หยดน้ำเกาะพราวไปทั่วร่าง เส้นผมเปียกจนแนบลู่ใบหน้า ยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง แต่ไม่ได้ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาดูหล่อน้อยลงแม้แต่น้อย กลับรู้สึกเหมือนอายุลดลง กุมภ์ในยามนี้เหมือนเด็กหนุ่มอายุสิบต้นๆ ใบหน้าเนียนใส ไม่ต่างจากผิวขาวอมชมพูนิดๆ แต่ในขณะที่คนมองอย่างเขาเริ่มจะคลั่งทว่าเจ้าของร่างสมส่วนกลับไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย ซ้ำยังเดินเอื่อยๆ ไปหยุดหน้าตู้เสื้อผ้า ทำทุกอย่างเชื่องช้าราวกับในห้องไม่มีเขาอยู่

                โหรเฝ้าดูทุกอิริยาบถด้วยจังหวะหัวใจที่ผิดเพี้ยนไปจากเดิม ภาพเหตุการณ์เมื่อเช้าเหมือนวนลูปกลับมาที่เดิม เขารู้สึกกับรูปร่างผู้ชาย โหรลองจินตนาการเป็นคนอื่น ทั้งพันนา รชต หรือแม้แต่จ้าวจอม แต่ไม่มีใครที่ทำให้เขาเสียอาการได้เท่ากับกุมภ์

                ความรู้สึกที่เกิดได้แค่กับคนๆ เดียว

                กุมภ์เลือกเสื้อผ้าจากตู้ เป็นเสื้อยืดสียาวเนื้อบางกับกางเกงวอร์มขายาวสีดำ ถึงจะเก่าแต่ยี่ห้อแนวสปอร์ตชื่อดังบอกว่าราคาของมันไม่ใช่ธรรมดาเลย กุมภ์ไม่ได้แต่งกายในทันที แต่บำรุงผิวกายด้วยโลชั่นกลิ่นละมุนสองรอบ และผิวหน้าอีกสามรอบ โดยที่มีแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันสะโพกเอาไว้ โหรแทบไม่ละสายตาไปทางอื่น เขาสนใจกุมภ์มากกว่าเรื่องราวต่างๆ ในโซเชียว ไลน์กลุ่มที่สำนักงานมีข้อความแจ้งเตือนเกือบร้อย แต่เขาไม่คิดจะเปิดอ่านในตอนนี้ ราวกับสมองถูกกลิ่นหอมของโลชั่นที่กุมภ์ใช้ทำลายไปแล้ว

                “จะวนลูปเหรอ”

                เสียงทุ้มดังมาจากหน้ากระจก ปลุกให้คนที่หลงอยู่ในภวังค์สะดุ้งเล็กน้อย โหรกระพริบตาสองสามครั้งถึงตั้งสติได้

                “วนลูปอะไร”

                “พี่จ้องผมเหมือนเมื่อเช้าเปี๊ยบ” กุมภ์ว่า พลางหันตัวกลับมาเผชิญหน้า ทั้งที่ร่างกายมีแค่ผ้าขนหนูผืนเดียว

                ผู้ชายเหมือนกัน...โหรบอกตัวเองแบบนั้น แต่ทำไมสายตายังไม่ยอมละจากผิวกายขาวผ่อง รูปร่างสูงเพรียว และกลิ่นหอมอ่อนๆ ได้เลย ซ้ำร้ายไอ้ลูกตาเจ้ากรรมมันดันจ้องมองจุกเล็กๆ สีส้มอ่อนที่หน้าอกอีกด้วย

                “ว่าไง”

                โหรแทบไม่ได้ประโยคถัดมาที่กุมภ์พูด ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากุมภ์มาหยุดตรงหน้าตั้งแต่เมื่อไร มือเย็นจับที่หัวไหล่ ก่อนที่หัวเข่าขาวจะยกวางระหว่างขาทั้งสองข้าง เขาไม่อาจห้ามสายตาให้มองตามรอยแยกของผ้าขนหนูได้แต่ก็รีบตวัดตาช้อนขึ้นก่อนที่ได้เห็นอะไรไปมากกว่านั้น กลิ่นหอมอย่างที่นึกชอบลอยอบอวลรอบตัว ใบหน้าหล่อเหลาแบบที่สาวๆ คลั่งไคล้อยู่ใกล้แค่คืบเท่านั้นเอง

                “อะ...อะไร”

                กุมภ์ก้มหน้าต่ำลงกว่าเดิม มือที่เคยอยู่หัวไหล่เลื่อนเข้ามาโอบรอบลำคอ ตัวโน้มเข้าใกล้จนการมองเห็นพร่าเลือน โหรพยายามห้ามมือไม่ให้ยกขึ้นคล้องเอวเปลือย กุมภ์ในยามนี้ร้ายกว่าผีตัวไหนๆ ที่เคยเจอ ร่ายมนต์สะกดใส่เขาจนเขาต้องหยุดนิ่งและตกอยู่ในภวังค์ที่คนผู้นี้สร้างขึ้น

                “จูบกันไหม”

                “หืม?”

                เขาไม่รู้ว่ากุมภ์พูดประโยคได้อย่างไรโดยไม่เขิน ตากลมจ้องนิ่งไม่มีแววล้อเล่น คำชวนง่ายๆ ที่เขารู้ว่ามันจะไม่จบลงง่ายๆ ถึงอีกฝ่ายจะเป็นผู้ชาย แต่ในภาวะอารมณ์เช่นนี้เขาไม่อาจรู้ได้เลยว่ามันจะหยุดแค่จูบหรือเปล่า

                กุมภ์ไม่ถามซ้ำหากแต่ก้มหน้าต่ำจนปลายจมูกชนกัน กลิ่นเมนทอลหอมเย็นจากยาสีฟันระเหยมาตามลมหายใจ กุมภ์ปัดป่ายปลายจมูกโด่งอยู่สองสามครั้งก่อนจะเอียงหน้าเพื่อให้ริมฝีปากชนกัน

                โหรรู้สึกถึงประกายไฟที่แล่นปราบจากริมฝีปากแล้วกระจายไปทั่วร่างคล้ายกับไฟช็อต แน่นอนว่านี่ไม่ใช่จูบแรกของเขาหากแต่นี่คือจูบแรกระหว่างพวกเขา กลีบปากของกุมภ์นุ่มกว่าที่คิด ความโลภบังเกิดขึ้นในตอนนั้นเขาอยากรู้ว่ามันจะนุ่มได้มากกว่านี้อีกไหม โหรบดเบียดริมฝีปากของตัวเองให้แนบชิดขึ้น บางจังหวะดูดกลืนกลีบปากล่างแล้วก็ค้นพบว่ามันนุ่มหยุ่นเหมอนเจลลี่ที่เคยซื้อกินสมัยเด็กๆ เขาหรี่ตามองอีกคน เห็นว่าเปลือกตาขาวปิดสนิทจนมองเห็นแพขนตาค่อนข้างยาว กลิ่นหอมเย็นของยาสีฟันเคล้ากลับกลิ่นครีมอาบน้ำ เขาเลื่อนมือโอบรัดรอบเอวแน่นกว่าเดิม กุมภ์เองก็เอนตัวเข้าหาริมฝีปากเผยอเล็กน้อยราวกับจะเปิดโอกาสให้จูบครั้งนี้ล้ำลึกกว่าเดิม

                แน่นอนว่าโหรจะไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไป เขาสอดลิ้นเข้าไปในโพรงปากเล็ก เกี่ยวกระหวัดลิ้นหลอกล้อกับเพดานสลับไรฟัน กลิ่นยาสีฟันชัดเจนกว่าเดิมดูเหมือนว่ามันจะปะปนมากับน้ำลายของเขาเสียแล้ว เสียงครางของใครบาคนดังอยู่ในลำคอ เสียงชื้นแฉะจากของเหลวดังสะท้อนในแก้วหู ขนอ่อนหลังใบหูลุกชันเมื่อลิ้นเล็กทำแบบเดียวกับที่เขาทำ

                กุมภ์ไม่ใช่หนุ่มน้อยด้อยประสบการณ์ ลีลาการจูบถึงจะไม่ชำนาญเท่าแต่ก็ไม่ได้อ่อนเดียงสาถึงจะขนาดไม่รู้วิธีตอบกลับ ลิ้นเล็กกวาดไล้ที่เพดานพาลเอาท้องน้อยเสียววูบ กลางลำตัวมีปฏิกิริยาแบบเฉียบพลันจนปวดหนึบ โหรถอนหายใจหนักหน่วง กอดกระชับรั้งร่างเล็กกว่าให้ลงมานับบนหน้าขา ก้นกลมทาบทับกับโหรน้อยได้อย่างพอดี

                “อืม...”

                มือขาวทุบที่หัวไหล่เบาๆ ราวกับจะเตือนว่าอากาศในปอดเหลือน้อยแล้ว โหรผ่อนจังหวะการจูบให้ช้าลงแต่ยังไม่วายล้อเล่นกับปลายลิ้นเล็ก ก่อนจะปล่อยให้กุมภ์ได้พักหายใจ ทว่าไม่ใช่สำหรับเขา

                โหรเคลื่อนใบหน้าต่ำลงมาที่ซอกคอขาว มันหอมละมุนแบบที่บรรยายเป็นคำพูดไม่ได้ ดูดเม้มเนื้ออ่อน สูดเอากลิ่นหอมไว้ในปอด และไม่ว่าจะส่วนไหนมันก็หอมไปเสียหมด อดไม่ได้ที่จะทิ้งรอยแห่งความเป็นเจ้าของเอาไว้ แล้วก็นึกโล่งใจที่ไม่ได้โดนกระชากผมเพราะไม่ขออนุญาตเจ้าของ

                ถึงตอนนี้โหรไม่รู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างชายหญิงสักนิด ตรงกันข้ามกลับคิดว่าร่างกายของกุมภ์มันน่าสนใจนัก ไม่ใช่แค่ขาวละเอียดแต่ยังเรียบเนียนลื่นมือ เขาเลื่อนริมฝีปากปัดป่ายแถวแนวกระดูกไหปลาร้า ความยับยั้งชั่งใจแทบไม่หลงเหลือ ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าหน้าก้มต่ำจนถึงแผ่นอกขาวเสียแล้ว

                แน่นอนว่าหน้าอกผู้ชายไม่ได้อวบอิ่ม เต็มไม้เต็มมือเหมือนผู้หญิง ไม่มีก้อนเนื้อนุ่มหยุ่นอย่างที่เคยสัมผัส ทว่ามันกลับเย้ายวนใจได้อย่างประหลาด แต่ที่น่าแปลกยิ่งกว่าคือเขาไม่ได้รู้สึกรังเกียจร่างกายนี้เลยแม้ว่าอวัยวะทุกส่วนล้วนเหมือนกันเพราะพวกเขาต่างก็เป็นผู้ชาย โหรลองลูบคลำแผ่นอกราบ กุมภ์สะดุ้งน้อยๆ มือที่เล็กขาวและนุ่มกว่ายกเกาะที่ต้นคอ ปลายนิ้วสอดเข้าไปในกลุ่มผม จังหวะการหายใจสะท้อนถี่ขึ้น ตุ่มเล็กดันกลางฝ่ามือส่งสัญญาณให้รู้ว่าเจ้าตัวกำลังพึงพอใจ

                โหรเปลี่ยนจากมือเป็นปากและจมูกของตัวเองแทน ริมฝีปากเข้าครอบครองตุ่มเล็กที่หน้าอกซ้าย ตวัดลิ้นกลาดชิมรสอย่างที่เคยทำ ค้นพบว่ามันไม่ต่างกันนัก ซ้ำปฏิกิริยายังไม่ต่างกันด้วย กุมภ์ครางในคอแผ่วเบาก็จริงแต่เขาก็ได้ยิน มือรั้งเส้นผมหนักเบาสลับกัน เขายิ่งได้ใจราวกับรู้แล้วว่านี่คือจุดอ่อนของกุมภ์ เลือดในกายอุ่นซ่านไปหมด ทั้งตื่นเต้น ทั้งเสียวเสียดที่ท้องน้อยแม้ว่าจะยังไม่ได้แตะต้องส่วนนั้นเลย

                โหรเปลี่ยนจากอกซ้ายไปขวา ทิ้งรอยน้ำเปียกชื้นและจ้ำแดงแสดงความเป็นเจ้าของ กุมภ์เอนตัวไปด้านหลัง แต่แนบหน้าอกให้ชิดกับเขามากขึ้น โหรขยับมือจากเอวผอมไปด้านหลัง ปลายนิ้วยาวเลยไปถึงเนินบั้นท้ายที่ไม่ได้ผายใหญ่แบบผู้หญิง แต่ก็นุ่มมือไม่น้อย แม้แต่เนื้อผ้าก็ยังไม่อาจห้ามความนุ่มหยุ่นได้ เขาลองขยำมือกับก้อนกลมทั้งสอง ยิ่งบีบก็ยิ่งมันเขี้ยว ซ้ำกุมภ์ยังไม่ได้ห้ามเขาเลยยิ่งย่ามใจ ทั้งบีบทั้งขยำ

                “อา....”

                เสียงของกุมภ์หลุดผ่านลำคอออกมา หายใจถี่รัว หน้าอกเจ็บจี๊ดเพราะโหรดูดเอาๆ เหมือนอยากจะให้มีน้ำนมออกมาเสียให้ได้ ไหนจะมือใหญ่หยาบที่ลวนลามบั้นท้าย มิหนำซ้ำตอนนี้นิ้วยาวมันสอดหายเข้าไปในขอบกางเกงเรียบร้อยแล้ว โดยไม่ขออนุญาตด้วยซ้ำ ขนในกายลุกชันเมื่อสัมผัสกับเนื้อหยาบของฝ่ามือ บางจังหวะปลายนิ้วยังลองเชิงด้วยการสอดหายเข้าไปในรอยต่อของก้อนเนื้ออีกด้วย กุมภ์หายใจสะท้านขยำมือกับเส้นผมดำหนาพลางเบียดร่างเข้าหาอย่างลืมอาย

                “อืม...อย่าขยำแรง เจ็บ” กุมภ์เตือนเพราะดูเหมือนว่าโหรจะมันมือเกินไปหน่อยแล้ว

                โหรเงยหน้ามอง ดวงตาคมสีดำแวววับเป็นประกายอย่างที่ไม่ค่อยครั้งนักจะแสดงออกมาให้เห็น กุมภ์อายวูบกะทันหันใบหน้าเห่อร้อน ใครจะไปคิดว่าคนทื่อมะลื่อมีหิ้งพระใหญ่เท่าบ้านจะมีสายตาเจ้าชู้แบบนี้ด้วย

                “ไม่ไหว ขอหน่อยก็แล้วกันนะ”

                โหรไม่รอคำตอบ ใช้กำลังที่มีมากกว่าจับพลิกร่างลงไปนอนบนเตียง กุมภ์หน้าเหวอเพราะยังตั้งตัวไม่ทัน ร่างใหญ่หนาขึ้นคร่อม กำข้อมือเป็นเชิงบังคับ ริมฝีปากหยักสีเข้มฉกวูบลงมา โหรป้อนจูบดุดันไม่ได้ละมุนแผ่วเบาเหมือนตอนแรง บางส่วนกลางลำตัวดันจนถึงหน้าขา ถึงไม่เห็นด้วยตาก็รู้มันไม่เล็กเลย ลิ้นร้อนกวาดไล้ไล่ตอนไปทั่วทั้งปาก ครูดเพดานจนเสียววูบไปถึงปลายเท้า เสียงน้ำลายดังก้องในหู เนื้อตัวร้อนผ่าวไปหมดด้วยอารมณ์ที่ถูกระตุ้นต่อเนื่อง

                ไม่ใช่แค่โหรหรอกที่อดรนทนไม่ไหวเขาเองก็เช่นกัน ถึงโหรจะเป็นผู้ชายคนแรกที่ได้สัมผัสแนบชิดขนาดนี้ แต่เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มอ่อนเดียงสาที่จะไม่รู้เรื่องทางนี้เลย ศึกษามาบ้างจากอินเทอร์เน็ต หรือหนังอย่างว่า แต่มันก็ไม่รู้สึกดีเท่าที่โหรอยู่ตอนนี้ จูบระหว่างพวกเขามันร้อนแรงซาบซ่าน เหมือนมีไฟฟ้าวิ่งวนไปทั่วร่าง กุมภ์บิดตัวไม่ใช่เพื่อให้หลุดจากพันธนาการหากแต่เป็นเพราะมันเสียวเสียดจนเริ่มจะทนไม่ไหว

                ชั่วจังหวะหนึ่งโหรเงยหน้าปล่อยริมฝีปากให้เป็นอิสระ น้ำใสไหลยืดยาวและเปื้อนมุมปาก กุมภ์หอบหายใจแรง ฝืนข้อมือให้หลุดจากการจับกุม ยกขึ้นลูบไล้แผ่นอกหนาใต้เสื้อยืด สบประสานสายตาราวกับจะท้าทาย โหรกัดฟันจนได้ยินเสียงกรอดๆ แล้วใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มก็ก้มซุกที่ซอกคอ ฟันคมงับเข้าที่คอไม่แรงนักแต่ก็รู้ว่ามันต้องเป็นรอยฟันแน่นอน

                “ยั่วเก่งนักนะ”

                “เปล่า” กุมภ์ปฏิเสธ จำไม่ได้ว่าไปยั่วอดีตนักพฤตตั้งแต่เมื่อไร แค่อยากจะรู้ว่าหน้าอกของโหรจะหนาและแข็งแค่ไหนเท่านั้นเอง

                โหรไม่ได้ต่อว่าอะไรอีก แต่สอดมือเข้าไปหลอกล้อกับยอดอก ดูท่าจะชอบใจมากตอนที่บิดคับปลายถันแล้วได้ยินเสียงคราง ดวงตาคมฉายแววเจ้าเล่ห์ให้เห็นอีกครั้ง ก่อนจะขยับนิ้วมือลงไปที่หน้าท้องผ่านหลุมสะดือและสอดเข้ากางเกง ใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีแล้วกระชากกางเกงและชั้นในออกพร้อมกัน กุมภ์ขมวดคิ้วน้อยๆ เพราะโหรใจร้อนกว่าที่คิดไว้

                อุ้งมืออุ่นเข้ากอบกุมส่วนกลางลำตัว รูดรั้งแค่ไม่กี่ทีมันก็ขยับขยาย กุมภ์สะท้านไปทั่วสรรพางค์ ร้องครางเหมือนลูกแมว พยายามจะกระถดตัวหนีแต่โหรไม่ยอม ตาคมหลุบต่ำมองสลับกับมองหน้าเป็นระยะ นั่นยิ่งทำให้กุมภ์แทบคลั่งตาย สะโพกลอยสูงไม่ติดที่นอน ท้องน้อยปวดหนึบรู้สึกเหมือนบางอย่างกำลังจะทะลักออกสู่ภายนอก แต่ก่อนที่จะถึงจุดแตกดับ เขาก็คว้าข้อมือใหญ่เอาไว้ก่อน

                “อย่า...อย่าเพิ่ง”

                กุมภ์ห้าม แล้วเลื่อนมือไปที่กลางลำตัวของโหรบ้าง ตกใจไม่น้อยเมื่อสัมผัสถึงไอร้อนที่ผ่านเนื้อผ้าออกมา ไหนจะขนาดของมันที่ไม่บอกก็รู้ว่าน้องๆ ฝรั่งแน่นอน  กางเกงขาสั้นที่บริจาคให้หลุดหล่นไปอย่างรวดเร็วเพราะความร่วมมือจากโหร ท่อนเนื้อผงาดออกมาชนกับฝ่ามือโดยไม่ต้องร้องขอ กุมภ์เผลอกลืนน้ำลายทั้งหวาดหวั่นและตื่นเต้นไปพร้อมกัน ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นของผู้ชายมาก่อนเพราะของตัวเองก็เห็นทุกวัน ทว่าตอนนี้ ห้วงอารมณ์นี้มันต่างกัน

                โหรรวบทั้งสองไว้ด้วยฝ่ามือเดียว รูดรั้งไปพร้อมกัน กุมภ์หลับตาเลือดในกายอุ่นซ่านไปหมด ท้องน้อยบิดเป็นเกลียวสะโพกยกลอยไม่ติดพื้น ปลายเท้าเหยียดเกร็ง มือยกขึ้นวางบนหัวไหล่แกร่งลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังกว้างสัมผัสกับมัดกล้ามเนื้อที่แข็งแรง ขณะที่โหรเชิดหน้าขึ้นส่งเสียงครางหนักๆ ในคอ ท่าทางดุดันเหมือนสัตว์ป่า แม้จะน่ากลัวแต่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์แบบดิบเถื่อน

                ส่วนนั้นขยายขนาดแข่งกันส่วนปลายปล่อยน้ำใสไม่หยุดจนเปียกชื้นไปหมด โหรสูดปากครางสลับกับก้มหน้ามองสิ่งที่อยู่ในมือ มันรู้สึกดีจนไม่อาจบรรยายออกมาได้ ยิ่งเร่งเร้ามือให้เร็วมากขึ้นเท่าไรอุณหภูมิในร่างกายก็พุ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น เสื้อยืดของกุมภ์ถกร่นมาเหนือหน้าอกเปิดเผยยอดอกเม็กเล็กสีอ่อนกำลังแข็งชันด้วยแรงอารมณ์ โหรก้มหน้าลงชิมรสหวานที่ชักจะติดใจ กุมภ์ครางกระเส่า อารมณ์พุ่งทะยาน ไม่กี่วินาทีจากนั้นบางอย่างก็ล้นทะลักออกจากร่างกาย

                “อา...”

                ร่างของกุมภ์เกร็งกระตุกเป็นระยะ ของเหลวขาวข้นไหลเลอะฝ่ามือ บางส่วนพุ่งมาถึงหน้าท้อง แผ่นอกสะท้อนขึ้นลงหนักๆ ตามจังหวะการหายใจ ไม่นานท่อนอีกท่อนที่ใหญ่กว่าก็มีอาการเดียวกัน เช่นเดียวกับร่างหนาที่อยู่ด้านบน

                โหรเกร็งตัวอยู่พักใหญ่ ใบหน้าคมสันยกห่างจากยอดอกเม็ดเล็ก เส้นเลือดที่คอนูนขึ้น คำรามรอดไรฟัน ขนในกายลุกชัน ลาวาร้อนไหลเปื้อนไปทั้งฝ่ามือ ยอมรับอย่างน่าไม่อายเลยว่านี่เป็นการช่วยตัวเองครั้งแรกที่ทำให้รู้สึกดีเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ชั้นเจ็ด

                นานจนลมหายใจกลับมาเป็นปกติ ร่างหนาใหญ่ก็ทาบทับลงมาด้วยอ่อนแรง จมูกโด่งซุกกับซอกคอขาว สูดเอากลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์เข้าไว้ในปอด

                “ยอด..เยี่ยมที่สุด”

 :-[

ก่อมคือ เลิฟซีนขัดกับต้นเรื่องจิ๊ง แต่ก็ชื่อตอน อารมณ์พาไป ฮาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 29 : อารมณ์พาไป] 11/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 11-05-2020 21:20:36
 :hao6: :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 29 : อารมณ์พาไป] 11/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 11-05-2020 21:32:25
กุมภ์ร้ายยย  :pighaun:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 29 : อารมณ์พาไป] 11/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 11-05-2020 23:53:19
 :haun4: :haun4: :haun4:
ไม่เม้นท์ดีกว่าตอนนี้
 :jul1: :jul1:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 29 : อารมณ์พาไป] 11/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 12-05-2020 00:41:49
จร้าาาา
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 29 : อารมณ์พาไป] 11/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 12-05-2020 05:18:03
กลับไปบ้านคราวนี้พี่โหรคงไม่เป็นอันกินอันนอน
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 29 : อารมณ์พาไป] 11/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: Pe_no ที่ 13-05-2020 04:54:57
ร้อนแรง  :mew2:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 29 : อารมณ์พาไป] 11/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: Rateesiri ที่ 13-05-2020 22:34:30
 :pighaun:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 29 : อารมณ์พาไป] 11/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 14-05-2020 11:46:11
 :haun4: :haun4:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 29 : อารมณ์พาไป] 11/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: Gimlongdeep ที่ 14-05-2020 16:04:25
 :katai1:  :ling1: แง้ๆๆๆ กุมภ์์์์์์์คนเปล่ายั่ว55555555. พี่โหรโซเดมฮอตมากค่ะะ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 29 : อารมณ์พาไป] 11/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: cho_co_late ที่ 15-05-2020 17:00:10
กุมภ์เปล่ายั่วเลยจ่ะ แค่อยากจับกล้ามพี่โหรร
นี่ขนาดแค่นี้ยังโซฮอต ถ้าไปขั้นสุดเมื่อไหร่คง freaking hot 55555

ตอนนี้ฟีลกู้ดจัง อยากให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อยยยๆ ขอให้ปรางค์ตัดใจได้ไวๆ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 29 : อารมณ์พาไป] 11/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 17-05-2020 01:18:01
ติดตามจ้า สนุกมากเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 29 : อารมณ์พาไป] 11/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 17-05-2020 16:26:26
 :3123:
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 29 : อารมณ์พาไป] 11/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: arm20436 ที่ 19-05-2020 19:44:19
 :impress2: ไม่ได้เข้าเล้ามานานมาก เห็นในทวิตเตอร์มีริวิวไว้เลยตามมาอ่าน เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนนะครับ :mew1: รีบมาต่อน้าาา :z13:
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 30 : คบเด็กสร้างบ้าน] 19/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 19-05-2020 20:06:21
ตอนที่ 30 คบเด็กสร้างบ้าน

            โหรกลับบ้านไปได้หลายวันแล้ว โดยมีคนรักหนุ่มไปส่งถึงคิวรถตู้ ใจจริงกุมภ์อยากจะไปขับรถไปส่งให้ถึงบ้าน แต่ติดตรงที่มีเรียนเลยต้องหักใจแล้วมานั่งทำหน้าเป็นหมาหงอยในห้องเรียนแทน

                เรื่องที่กุมภ์กับโหรคบหากันไม่ใช่ความลับ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศให้ใครรู้ ในกลุ่มของพวกเขาไม่มีใครรังเกียจความรักระหว่างเพศเดียวกันอยู่แล้วแม้แต่คะนิ้งอดีตสาวสังคม ที่ตอนนี้ผันตัวเป็นสาวน้อยจิตอาสาไปเสียแล้ว คงเหลือแค่ปรางที่ตอนนี้ไม่รู้ว่าทำใจยอมรับได้หรือยังว่าผู้ชายที่ตัวเองชอบดันไปชอบผู้ชายคนอื่นเสียแล้ว แต่พอก็จะเดาได้ว่าสถานการณ์คงจะดีขึ้นมานิดหน่อยเพราะเขาไม่เห็นเธอมาปรากฏตัวอีกเลยนับตั้งแต่คืนนั้น

                พันนาหมุนปากกาในมือเล่น ขณะที่อาจารย์ทำหน้าที่อยู่หน้าห้อง คำบรรยายเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวา แต่อาการของเขายังดีกว่าไอ้กุมภ์เยอะ

                ไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์ของโหรกับกุมภ์หรอกที่กำลังพัฒนา เขาเองก็เช่นกันมิหนำซ้ำยังเกิดกับเพศเดียวกันอีกด้วย คิดแล้วก็น่าขำ ชีวิตนายพันนาที่มีแฟนเป็นผู้หญิงมาตั้งแต่มัธยมต้นกำลังรู้สึกดีกับเด็กผู้ชายหัวเกรียนแถมนิสัยยังเกรียนผมกับเส้นผม

                จริงอยู่ที่เขาไม่เคยปิดกั้นเรื่องของเพศที่สาม แต่ก็ไม่เคยมีใจให้ผู้ชายคนไหน แม้จะมีสาวเทียมมาจีบบ้างทว่าก็ไม่ได้สนใจ แล้วจู่ๆ ความรู้สึกก็ดันไปเกิดขึ้นกับเด็กดื้อที่ชื่อว่าจ้าวจอม

                จ้าวจอมเป็นเด็กหัวเกรียนอายุเพิ่งจะ 18 ปี เรียนมัธยมปลายต่างจังหวัด นิสัยไม่ต้องพูดถึง เป็นผู้ชายเต็มร้อย ซนยิ่งกว่าลิง คำพูดคำจาบางครั้งก็หมั่นไส้จนอยากจะดีดกะโหลกเกรียนๆ สักทีสองที แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกันเขาถึงได้สนใจเด็กคนนี้ขึ้นมา รู้ตัวอีกทีก็หยุดคิดถึงไม่ได้แล้ว

                พันนาเผลอยิ้มมุมปากเมื่อนึกถึงบทสนทนาล่าสุด จ้าวจอมบ่นว่าช่วงนี้เรียนหนักเพราะต้องการจะมาเรียนที่เดียวกับเขา แถมยังคณะเดียวกันอีกด้วย คงอยากจะความรู้ด้านกฎหมายมาช่วยชาวบ้านที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ ซึ่งเขาก็เห็นด้วย ถึงทนายความจะตัวเล็กไปหน่อยก็เถอะ จ้าวจอมไม่ใช่คนตัวสูง เพราะอายุ 18 แล้ว มีโอกาสพัฒนาความสูงได้อีกไม่แค่กี่เซนติเมตร ถึงอย่างนั้นก็ไม่คงถึง 175 ดีหน่อยที่ได้เตี้ยถึงขนาดต้องสอยมะเขือกิน

                ครั้งล่าสุดที่เจอกัน ดูเหมือนว่าจะสูงขึ้นมานิดหน่อยแต่ก็แค่นิดเดียว หัวเกรียนๆ ยังถึงแค่ครึ่งใบหูของเขาอยู่เลย จ้าวจอมมากับรถบัสคันใหญ่ที่ทางโรงเรียนจัดให้ สวมเครื่องแบบนักเรียน สะพายกระเป๋าเป้สีดำเดินมาพร้อมกับเพื่อนๆ น่าแปลกที่เขาสามารถหาจ้าวจอมเจอภายในเวลาอันรวดเร็วถึงแม้จะมีเด็กร่วมพันคน และแน่นอนว่าเขาเก็บภาพจ้าวจอมไว้มากกว่าใคร น่าเสียดายที่ได้เจอกันแค่วันเดียว แถมยังไม่ได้พาเด็กหัวเกรียนไปกินบิงซูตามที่เจ้าตัวบ่นว่าอยากกินเลย เมื่อคืนเขาลองนับนิ้วดูเล่นๆ อีกไม่กี่เดือนจ้าวจอมก็จะจบชั้นมัธยม และถ้าโชคดีก็อาจจะได้เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเดียวกันกับเขา และได้เป็นพี่น้องคณะเดียวกัน แค่คิดว่าจะมีรุ่นน้องแสบซนอย่างจ้าวจอมก็สนุกจนแทบรอไม่ไหวเสียแล้ว

                “ยิ้มอะไรวะ”

                ข้อศอกแหลมของรชตกระทุ้งเข้าที่สีข้างแบบไม่จริงจังนักแต่ก็ทำให้สะดุ้งได้ เขาหันไปมองพลางส่ายหน้าปฏิเสธ ใครยิ้ม...ใครจะไปยิ้มคนเดียวได้นอกจากคนบ้าเท่านั้นแหล่ะ

                “กูว่าหมู่นี้มึงแปลกๆ นะ เหมือนคนมีแฟน” รชตยังไม่เลิก กระซิบถามพร้อมกับสายตาจับพิรุธ

                “ห่วงตัวเองเถอะมึงอ่ะ” เขากระซิบกลับ พอจะรู้อยู่บ้างว่าตอนนี้รชตปรางค์ไม่ใช่แค่คนรู้จักกันทั่วไป ไม่ใช่เพราะสัมผัสที่หกอย่างเมื่อคราวผีพิกุล แต่เรียกว่าเซนส์ของผู้ชายต่างหาก

                “อะไรวะ” รชตหรี่ตามองด้วยความสงสัย

                “คืนนั้นมึงหายไปกับปรางค์ไม่ใช่เหรอวะ”  พันนากระซิบตอบ ขณะที่สายตาจับจ้องไปเบื้องหน้าทำทีเป็นสนใจบทเรียนที่อาจารย์กำลังบรรยาย

                “คะ..คืนไหน”

                พันนาอยากจะขำให้ฟันหัก เมื่อกี้ยังไล่บี้เขาอยู่เลยพอถูกสวนกลับบ้างทำมาเป็นอึกอัก “มึงเป็นเพื่อนกูนะ ทำไมต้องปิดบัง”

                “ปิด..ปิดบังอะไร ไม่มี๊!”

                เพราะเสียงปฏิเสธที่สูงผิดปกติแถมยังดังแทรกกับอาจารย์ทำให้ทั้งห้องหันมามอง รวมทั้งอาจารย์ด้วย รชตเบิกตากว้างหน้าตาเลิกลั่กรีบกล่าวขอโทษอาจารย์และคนอื่นๆ ก่อนจะหันมาใช้สายตาขู่อาฆาตใส่

                พันนาส่ายหน้าไม่ได้นึกกลัวเลยสักนิด พลางยกมือขึ้นลูบศีรษะตัวเองด้วยความเคยชิน ช่วงสามสี่เดือนมานี้เขาเริ่มจะชอบการจับเส้นผมตัวเองเล่น เหมือนเป็นการสำรวจไปด้วยว่ามันยาวแค่ไหนแล้ว จำได้ว่าเปิดเทอมวันแรกเขากับรชตถูกถามชุดใหญ่ว่าไปทำอะไรมาผมกับคิ้วถึงได้โล้นเตียนขนาดนี้ เขาไม่เคยเล่าอะไรให้ใคร ได้แต่บอกไปว่าอยากบวชสงบจิตใจ หลายคนทำหน้าไม่เชื่อเพราะก่อนหน้านี้ทั้งเขาและรชตไม่เหมือนพวกสนใจในธรรมะเลยสักนิด แต่จู่ๆ เกิดหันหน้าเข้าหาพระธรรมถึงขนาดโกนหัวบวช แต่ก็ยอมรับว่าระยะเวลาเพียงสั้นๆ ที่ได้อยู่ในร่มกาสาวพัสตร์ จิตที่เคยฟุ้งซ่านมันสงบขึ้นมาก ยกเว้นตอนนี้

                เขาปล่อยให้เด็กสิบแปดเข้ามามีอิทธิทั้งความคิดและการกระทำตั้งแต่เมื่อไรกัน อันนี้ก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ รู้ตัวอีกเขาเอาแต่คิดถึงหัวเกรียนกับเสียงกวนๆ ของจ้าวจอมเสียแล้ว ใครจะไปคิดว่ายอดชายอย่างนายพันนาจะมานั่งคิดถึงเด็กวัยสิบแปด แถมยังเป็นผู้ชายอีกด้วย หากไปเล่าให้ใครฟังก็คงจะพากันขำ หรือบางคนอาจจะเบือนหน้าหนีคิดว่าเขาเป็นพวกผิดเพศ

                ผิดเพศ?

                คำนี้เหมือนเข็มเล็กๆ ทิ่มใจเหมือนกัน เขาไม่เคยคบเพศเดียวกันเป็นแฟน ตลอดเวลาก็คบกับผู้หญิงมาโดยตลอด ไม่รู้ว่าอะไรดลใจทำให้เขาเกิดสนใจจ้าวจอมขึ้นมาได้ หากความสัมพันธ์จะพัฒนาไปถึงขั้นที่เรียกว่าคนรัก เชื่อเหลือเกินว่าต้องเจอกับภูเขาลูกใหญ่ที่เรียกว่าปัญหาแน่นอน

                พอคิดมาถึงจุดนี้ก็นึกชื่นชมพี่โหรกับกุมภ์ขึ้นมาทันที สองคนนี้ก้าวผ่านปัญหานั้นมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ ครอบครัวของกุมภ์ยอมรับ ขณะที่พี่โหรเองก็ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเอง ยอมทำงานรับราชการเพื่อทำให้พ่อแม่ของกุมภ์มั่นใจว่าจะดูแลกุมภ์ได้ แต่เขาเชื่อว่าถึงพี่โหรไม่ได้รับราชการก็สามารถดูแลกุมภ์ได้ อีกอย่างกุมภ์เองก็ไม่ได้บอบบางถึงขนาดต้องพึ่งพาใคร

                แล้วเขาล่ะ พ่อกับแม่ด้วย จะยอมรับความสัมพันธ์ของเขากับจ้าวจอมได้ไหม ถึงพ่อจะพอเอ็นดูจ้าวจอมอยู่บ้างแต่คงไม่มากถึงขนาดรับเป็นลูกสะใภ้ได้ง่ายๆ

                ลูกสะใภ้? ไอ้บ้าเอ๊ย! นี่คิดไปถึงไหนกัน

                พันนาขยี้ผมตัวเองแรงๆ รู้สึกว่าตอนนี้มันจะยาวเกือบจะเท่าปกติ ส่วนคิ้วเขาเลิกห่วงนานแล้วเพราะมันขึ้นเต็มตั้งแต่เดือนแรก ก่อนที่จะถึงพ่อกับแม่เขาต้องจัดการกับความคิดถึงนี้ให้ได้เสียก่อน...

 

                ความคิดถึงห้ามกันไม่ได้ มันคือเรื่องจริง

                เขาพลิกตัวกลับไปกลับมากระสับกระส่ายมาเกือบชั่วโมงแล้ว ทั้งทีร่างกายอ่อนล้าเพราะงานของคณะรุมเร้าทุกวัน แต่พอหัวถึงหมอนแทนที่จะหลับ มันกลับเอาแค่คิดถึงจ้าวจอม

                เด็กนี่ก็เหมือนแกล้งกัน ปกติแล้วจะต้องโทรมากวนบาทาเขาทุกคืนก่อนนอน แต่วันนี้กลับเงียบสนิท เขาส่งข้อความไปก็ไม่มีวี่แววว่าจะเปิดอ่าน ครั้นจะโทรไปก็เกรงใจเพราะตอนนี้มันใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว จ้าวจอมต้องนอนไม่เกินสี่ทุ่ม เนื่องจากบ้านอยู่ไกลโรงเรียน ต้องตื่นให้ทันรถสองแถวที่มีเพียงแค่สองเที่ยวต่อวัน เที่ยวแรกคือตีห้าครึ่ง เที่ยวที่สองคือห้าโมงเย็น หากสายกว่านั้นต้องหารถไปเอง เขาเคยถามว่าทำไมจ้าวจอมไม่ซื้อมอเตอร์ไซค์สักคันเหมือนที่เด็กวัยรุ่นทั่วไปใช้กัน ได้คำตอบมาสั้นๆ ง่ายๆ เข้าใจได้ว่า ‘เปลือง’

                จริงๆ แล้วฐานะทางบ้านของจ้าวจอมก็ไม่ได้ย่ำแย่อะไรนัก อาชีพเกษตรไม่ได้เลวร้ายนัก พอมีกินมีใช้และมีเก็บ ไหนจะรายได้พิเศษที่จ้าวจอมหามาอีก เคยได้ยินมากว่างวดหนึ่งๆ ร่วมหมื่นบาท หรือเกินกว่านั้นด้วยซ้ำ แต่จ้าวจอมก็ไม่เคยใช้จ่ายเงินสิ้นเปลือง คงเป็นเพราะการสั่งสอนของครอบครัวเลยทำให้จ้าวจอมใช้เงินเป็น หรือจะเรียกให้ถูก ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ใช้

                หลังจากทนความฟุ้งซ่านกระวนกระวายใจไม่ไหวก็ต้องลุกขึ้นมาเปิดไฟที่หัวเตียง คว้าโทรศัพท์มือถือมาดู ไลน์ยังคงเงียบเหมือนเดิมเลยตัดสินใจไปที่อีกแอพพลิเคชั่น

                เฟซบุ๊กของจ้าวจอมไร้การเคลื่อนไหว ล่าสุดคือเมื่อวานนี้เป็นรูปที่เจ้าตัวถ่ายกับเพื่อนสนิทอีกสองคน แต่รูปถ่ายที่มีคนแท็กมาให้ต่างหากที่ทำให้รู้ว่าตอนนี้จ้าวจอมกำลังทำอะไรและอยู่กับใคร

                ‘บิงซูอร่อยมากเลย ไว้มากันอีกนะ’ เมื่อ 2 ชั่วโมงที่แล้ว

                ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มของเด็กสาวผมสั้นแค่คอ ดวงตากลมเป็นประกาย ริมฝีปากสีสวย เกือบจะติดกับใบหน้าของใครอีกคน

                มือที่จับโทรศัพท์มือถือบีบแน่นขึ้น จากไม่ง่วงยิ่งตาสว่างกว่าเดิม ไหนจะบรรดาคอมเมนท์ร่วมร้อยที่บอกไปในทางว่าสองคนนี้ไม่ใช่แค่เพื่อนหรือคนรู้จัก เด็กผู้หญิงคนนั้นตอบแทบจะทุกคอมเมนท์แต่จ้าวจอมไม่ตอบเลยเพียงแค่กดถูกใจรูปเท่านั้น

                เด็กผู้หญิงชื่อน้ำหวาน เคยเห็นเข้ามาเมนท์เฟซบุ๊กของจ้าวจอมบ้างเหมือนกัน ตอนแรกเขาไม่ได้สนใจแต่ตอนนี้เขานึกหงุดหงิดยัยเด็กที่ชื่อน้ำหวานตงิดๆ แล้ว

                หัวคิ้วค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน ความไม่พอใจก่อตัวเงียบๆ ในอก อยากจะโทรไปถามว่าทำไมต้องถ่ายรูปใกล้กันขนาดนี้ ไหนจะข้อความจากเพื่อนๆ เป็นเชิงเย้าแหย่ว่าทั้งคู่กำลังจีบกัน

                พันนาวางโทรศัพท์ลง ใช้ธรรมมะที่ศึกษามาข่มความร้อนในอก นานเกือบห้านาทีกว่าความรู้สึกจะสงบลง สติมาปัญญาก็เกิด เขาไม่ควรโทรไปโวยวายใส่จ้าวจอม เพราะตอนนี้สถานะของพวกเขายังไม่ชัดเจน ดีไม่ดีอาจจะมีแค่เขาคนเดียวที่คิดเกินเลย ยอมรับว่าบางครั้งเขาก็หลงลืมไปว่าจ้าวจอมเป็นเด็กผู้ชาย เขาเองก็ผ่านช่วงเวลานั้นมาแล้ว วัยรุ่น วัยที่ฮอร์โมนพุ่งพล่าน ความต้องการมันมีมากไปหมด บางทีจ้าวจอมอาจจะอยากมีแฟนเป็นผู้หญิงก็ได้

                “เฮ้อ”

                พันนาถอนหายใจทิ้งหนักๆ เอื้อมมือไปปิดไฟหัวเตียง ล้มตัวลงนอนอีกครั้ง ระลึกถึงธรรมมะแล้วข่มตาให้หลับ ซึ่งกว่าจะหลับจริงๆ ก็เกือบจะตีสองแล้ว…

 

                เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นปลุกให้คนที่หลับใหลสะดุ้งตื่น มือหนาควานหาโทรศัพท์โดยอัตโนมัติ เพราะสติที่ยังไม่เต็มร้อยทำให้ไม่ทันได้คิดว่ามันเป็นเสียงของโทรศัพท์บ้านไม่ใช่มือถือ กว่าจะคลำหากระบอกโทรศัพท์เจอก็เล่นเอาแทบจะหายมึน

                “ครับ...”

                “คุณพันครับ มีเด็ก...เอ่อ ผู้ชายมาหาครับ”

                “เด็กผู้ชาย....”

                พันนาใช้เวลาตั้งสติอยู่สองสามวินาที ถึงจะจำได้ว่าคนที่โทรมานั้นคือยามหน้าคอนโด ส่วนเด็กผู้ชายที่ว่าเขาคิดไม่ออกจริงๆ เพราะไม่มีญาติที่อยู่ในวัยที่เรียกว่าเด็ก ซ้ำยังไม่เคยมีญาติคนไหนบุกมาหาถึงคอนโดในกรุงเทพฯ มาก่อนอีกด้วย

                “ครับ...เอ็งชื่ออะไรนะ” ประโยคหลังดูเหมือนว่าพี่ยามจะหันไปถามเด็กคนนั้น เขาถือกระบอกโทรศัพท์พร้อมปิดตาลงเพราะความง่วงเริ่มจะครอบงำอีกแล้ว “...ชื่อจ้าวจอมครับคุณพัน”

 

                เด็กผู้ชายชื่อจ้าวจอมตอนนี้กำลังนั่งอยู่บนโซฟาหน้าทีวี ดวงตากลมใสต้องมองภาพในนั้นขณะที่มือหยิบมันฝรั่งทอดยี่ห้อดังเข้าปากสลับกับดูดน้ำอัดลมสีดำ เส้นผมที่เคยเห็นเมื่อหลายเดือนก่อนตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะยาวขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ย้ำว่าเล็กน้อย แค่ไม่ได้สั้นเตียนติดหนังหัว แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้ความน่ารักลดน้อยลง

                น่ารัก? ตลกชะมัด เขากล้าใช้คำนี้กับเด็กผู้ชายได้อย่างไรกัน

                ตั้งแต่บุกมาหาแบบไม่บอกไม่กล่าว จนถึงตอนนี้จ้าวจอมยังไม่บอกเลยว่ามาหาเขาทำไม คงไม่ใช่แค่มานั่งดูซีรีส์ถึงกรุงเทพฯ หรอกกระมัง

                พันนาถอนหายใจ ความคิดถึงที่ท้วมท้นลดลงไปบ้างก็จริงได้แค่ความหงุดหงิดที่มีตั้งแต่เมื่อคืนมันดันเกิดขึ้นอีกรอบ คันปากอยากจะถามเหลือเกินว่าเด็กที่ชื่อน้ำหวานนั่นเป็นใคร มีความสัมพันธ์ถึงขั้นไหนกันแล้ว แต่คำว่า ‘เส้น’ มันกั้นเอาไว้

                เขากับจ้าวจอมยังไม่ได้เป็นอะไรกัน มีเส้นที่มองไม่เห็นกั้นเอาไว้ เขายังไม่อาจข้ามเส้นนั้นไปได้ จนกว่าทุกอย่างจะชัดเจนกว่านี้

                “อย่าบอกนะว่าที่ลงทุนมาถึงกรุงเทพฯ แค่อยากจะมาดูซีรีส์น่ะ”

                จ้าวจอมเบือนหน้าจากจอทีวีมาทางเขานิดหน่อย ไหวหัวไหล่เล็กน้อย “เปล่า”

                “พ่อกับแม่รู้หรือเปล่า”

                “รู้สิ ไม่รู้จะยอมให้มาเหรอ” จ้าวจอมบอก พลางยกห่อมันฝรั่งทอดเทใส่ปาก ห่อแรกหมดไปภายในเวลาแค่ห้านาที มือขาวยื่นไปดึงมาอีกถุง แต่ก่อนที่จะหยิบเข้าปากเขาคว้าข้อมือเล็กกว่าเอาไว้ จ้าวจอมหันมามองขมวดคิ้วไม่พอใจ “จะกินขนม”

                “หิวก็กินข้าว กินแบบนี้เมื่อไรจะอิ่ม”

                “ก็....ไปไม่ถูก” ริมฝีปากเล็กมันวาวเพราะขนมขยับน้อยๆ ผิวขาวแถวโหนกแก้มแดงเรื่อขึ้นเล็กน้อย

                พันนาหัวเราะหึๆ “หิวก็บอกว่าหิว เดี๋ยวพาไปกิน รอแป๊บขออาบน้ำก่อน”

                จ้าวจอมพยักหน้าหงึกหงัก เก็บซองขนมลงในถุงพลาสติกใบใหญ่ที่เดาว่าน่าจะซื้อมาจากเซเว่นหน้าคอนโด

                พันนาใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวไม่ถึงสิบห้านาที นับว่าเร็วที่สุดตั้งแต่จำความได้ เหลือบดูนาฬิกาสีดำบนข้อมือที่เพิ่งคาดเสร็จ เกือบจะสิบโมงครึ่งแล้ว จ้าวจอมมาถึงคอนโดใกล้สิบโมง มีเป้มาหนึ่งใบและถุงขนม ตอนที่ลงไปรับหน้าป้อมยามเขายังไม่อยากจะเชื่อว่าจ้าวจอมจะมาหาถึงกรุงเทพฯ ไอ้ดีใจก็ดีใจอยู่หรอก แต่แปลกใจมากกว่า

                พอออกมาจากห้องจ้าวจอมก็นอนคุดคู้บนโซฟาแล้ว เขาก้มหน้ามองไอ้เด็กดื้อที่เข้ามารบกวนความคิดอยู่นานหลายเดือน ใบหน้าขาวสะอาดค่อนข้างใส ผิวแก้มเนียนเหมือนผู้หญิง เปลือกตาบางปิดดวงตากลมขนตายาวพอประมาณ คิ้วเรียงสวยไม่หนาไม่เข้มเกินไป จมูกโด่งแต่รั้น เคยได้ยินมาว่าคนจมูกแบบนี้จะดื้อซึ่งเขาเห็นด้วย ริมฝีปากอิ่มสีสด ถ้าหากจับแต่งตัวหล่อๆ ตัดผมเท่ห์ๆ รับรองว่าจ้าวจอมหล่อเป็นนายแบบวัยรุ่นได้ทีเดียว แต่ผมเกรียนๆ อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน ความน่ารักมันจะได้ไม่มากไปกว่านี้

                เขาสะกดหัวไหล่จ้าวจอมเบาๆ แค่สองทีเด็กดื้อก็ลุกพรวดขึ้น กระพริบตารัวๆ ใบหน้ามึนงงดูน่าแกล้งน่าหยิกพิกุล แต่เชื่อเถอะถ้าเขาหยิกไปจริงๆ มีหวังโดนไอ้เด็กนี่กัดหูแน่นอน

                “ไปกินข้าวกัน”

 (มีต่อ)               
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 30 : คบเด็กสร้างบ้าน] 19/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 19-05-2020 20:08:06
(ต่อ)
จ้าวจอมไม่คัดค้าน ล้วงเอาโทรศัพท์มือถือกับกระเป๋าเงินแล้วเดินตามมาออกมา เขาเพิ่งสังเกตว่าจ้าวจอมท่าทางอ่อนเพลียอยู่ไม่น้อย ซึ่งพอมาคิดทบทวนให้ดี จ้าวจอมมาถึงคอนโดตอนใกล้สิบโมง น่าจะออกเดินทางตั้งแต่ตีห้ากว่ามาถึงกรุงเทพฯ เขาพาจ้าวจอมออกมารอลิฟต์เพราะถึงจะแข็งแรงแค่ไหน แต่จะให้เดินลงบันไดยี่สิบชั้นคงไม่ไหว เพื่อนร่วมชั้นออกมารอลิฟต์กันหลายคน จ้าวจอมเปิดปากหาวยังไม่รักษาความน่ารัก เขาส่ายหน้าทั้งเอือมทั้งเอ็นดู อยากจะยกมือขยี้ผมสั้นๆ เกรียนๆ แต่ก็เกรงสายตาคนอื่น ที่สำคัญเขากลัวว่าไอ้ตัวแสบมันกระโดดบีบคอเอา พอลิฟต์เปิดเขาก็เดินเข้าไปก่อน แต่ชั่วจังหวะหนึ่งจ้าวจอมถูกผู้หญิงเบียดจนเซ ดีที่เขาคว้าแขนไว้ได้ทัน เธอหันมาขอโทษขอโพยยกใหญ่ จำได้ว่าเป็นผู้หญิงที่อาศัยอยู่ห้องถัดไป แถมยังเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน จ้าวจอมส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าตัวเองไม่เป็นอะไร ก่อนจะก้มมองมือที่จับต้นแขนอยู่

                “ปล่อยได้แล้วน่า ไม่เป็นอะไรสักหน่อย”

                พันนาเกือบจะปล่อยตามที่จ้าวจอมบอก แต่เลื่อนมากุมมือเล็กกว่าเอาไว้แทน จ้าวจอมทำท่าจะดึงมือออก แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรจู่ๆ ก็ยอมอยู่เฉยๆ แถมยังขยับมาใกล้จนหัวไหล่เบียดกันอีกด้วย

                พันนารอให้คนออกจากลิฟต์ไปก่อนแล้วค่อยจูงมือจ้าวจอมออกมา ตลอดทางเดินจนถึงเข้าไปในรถมือทั้งคู่ไม่ได้คลายออกจากกันเลย พันนาได้รู้ว่ามือของจ้าวจอมไม่ได้นุ่มเหมือนผู้หญิง เป็นมือที่ผ่านการทำงานมาสารพัดแต่ก็ไม่ได้สากกระด้างเหมือนไม้กระดาน ทว่าอบอุ่นและแข็งแรงไปพร้อมกัน ก็คงเหมือนกับจ้าวจอม ตัวเล็ก แต่ไม่ได้อ่อนแอบอบบาง เขาเชื่อเด็กคนนี้สามารถดูแลตัวเองได้ เอาตัวรอดเก่ง แถมยังฉลาดเป็นกรด

                จ้าวจอมคาดเบลล์อย่างรู้หน้าที่ ซ้ำยังจัดการเปิดเพลงเสร็จสรรพ เพลงไทยสมัยนิยม จังหวะฟังง่ายๆ สบายๆ จากนั้นก็ปรับเบาะให้ต่ำลงเอนตัวพร้อมนอน เขาหัวเราะเบาๆ อย่างที่เดาไม่ผิด จ้าวจอมง่วงจริงๆ เพราะเพลงเล่นไปได้แค่ครึ่งเดียวเด็กหัวเกรียนก็หลับเสียแล้ว สังเกตได้จากจังหวะลมหายใจที่สม่ำเสมอและริมฝีปากที่เผยอขึ้นเล็กน้อย

                ร้านที่เขาจะพาจ้าวจอมไปกินอยู่ในห้างดัง ใช้เวลาเกือบชั่วโมงกว่าจะถึง ซึ่งก็น่าพอสำหรับการงีบหลับ การจราจรไม่ติดขัดมากนัก แต่ทุกครั้งที่ติดไฟแดงเขาจะหันมองคนหลับเสมอ บางครั้งก็แอบใช้นิ้วเขี่ยจมูกเล็กเล่น

                 การปลุกจ้าวจอมไม่ใช่เรื่องยาก แค่กระซิบเบาๆ ว่ากินข้าว เด็กหัวเกรียนก็สะดุ้งตื่นแล้ว แต่น่าแปลกตรงที่เขาแอบเขี่ยจมูกเล่นไปตั้งหลายหนกลับไม่รู้สึกตัว

                จ้าวจอมลืมตามองทำหน้างงนิดหน่อยก่อนจะบิดขี้เกียจพร้อมเปิดปากหาว หางตาฉ่ำรื้นขึ้นเล็กน้อย “ถึงแล้วเหรอ”

                “อืม”

                จ้าวจอมไม่ถามอะไรอีก ดูเหมือนว่าวันนี้จะพูดน้อยผิดวิสัย ทั้งที่ความจริงแล้วจะช่างจ้อน้ำไหลไฟดับ

                “พี่พาผมมาร้านอะไรเนี่ย”

                จ้าวจอมถามหลังจากที่เข้ามาในร้านอาหารเกาหลีชื่อดัง จำได้ว่าจ้าวจอมเคยบ่นๆ ว่าอยากจะลองกินหมูย่างเกาหลีดูสักครั้ง ถึงการกินปิ้งย่างตอนก่อนเที่ยงจะแปลกไปหน่อยก็เถอะ เขาไม่ได้ตอบคำถามแต่เลือกเมนูแล้วส่งให้พนักงาน ไม่ถึงห้านาทีเมนูที่สั่งไปก็มาเสิร์ฟ เตาแบบดูดควันได้เปิดใช้งาน เขาจัดการนำเนื้อที่ทำการหมักแล้ววางบนตระแกรง พลางพยักพเยิดให้จ้าวจอมทำตาม

                ถึงจะยังไม่หายงง แต่จ้าวจอมก็พอจะรู้ว่าตัวเองต้องทำอะไร อันที่จริงแล้วหมูย่างเกาหลีก็ไม่ได้ต่างจากหมูกระทะไทยเท่าไรนัก เพียงแต่เครื่องเคียงเยอะแยะไปหมด เขาสั่งบิบิมบับหรือข้าวยำเกาหลีให้ด้วย

                “ไอ้นี่กินยังไง” จ้าวจอมใช้ตะเกียบชี้ไปที่ถ้วยบิบิมบับ หน้าตาดูไม่ค่อยจะเชื่อสักเท่าไรว่าเมนูนี้จะกินได้

                “เอาช้อนคนๆ ก็กินได้แล้ว กินกับกิมจิอร่อยมาก”

                จ้าวจอมเลิกคิ้วสูง ทำเหมือนไม่อยากกิน แต่พอเขาพยักหน้ายืนยันมันกินได้จริงๆ ก็เอาช้อนคนๆ ให้ส่วนประกอบมันเข้ากัน ก่อนจะตักเข้าปาก

                “ร้อนๆ”

                เขาส่ายหน้าบอกให้เป่าก่อน เพราะมันร้อน จ้าวจอมทำหน้ามุ่ยแล้วพลางเคี้ยวข้าวในปากหยับๆ ไม่นานสีหน้าก็คลายลง แล้วคำที่สองและสามก็ตามมา

                ระหว่างที่จ้าวจอมดื่มด่ำกับข้าวยำเกาหลี หมูบนตระแกรงก็สุกได้ทีพอดี เขาใช้กรรไกรตัดเป็นชิ้นพอดีคำวางในถ้วยให้ พร้อมกับสอนการกิน จ้าวจอมวางช้อนข้าวคว้าผักและเครื่องเคียงต่างๆ พร้อมหมูลงในผักม้วนเป็นก้อนแล้วยัดเข้าปากคำใหญ่ หลังจากนั้นทั้งข้าวยำและหมูย่างก็สลับกันเข้าปากชนิดไม่มีจังหวะให้หยุดพักกันเลยทีเดียว

                จ้าวจอมกินเก่ง กินจุ ได้ผิดรูปร่างนัก หมูย่างหายวับเหมือนล่องหนจนแทบจะย่างไม่ทัน ไม่มีคำชมว่าอร่อย แต่ก็กินไม่หยุด น้ำอัดลมหมดไปแล้วสองแก้วแต่จ้าวจอมก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะอิ่ม สุดท้ายเขาก็กลายเป็นคนทำให้หมดทุกอย่าง กินไปแค่ข้าวยำถ้วยเดียวกับหมูย่างอีกไม่กี่คำ จบเมนูคาว จ้าวจอมกวักมือเรียกพนักงานสั่งของหวานทันที แล้วก็ไม่พ้นบิงซูเมล่อนที่เจ้าตัวชื่นชอบ แถมด้วยโกโก้ปั่นอีกแก้ว

                ตัวเล็กแค่นี้กินเอาไปไว้ที่ไหนกัน

                บิงซูเมล่อน โกโกปั่นและชาเขียวร้อนของเขาถูกนำมาเสิร์ฟหลังจากทิ้งระยะห่างจากหมูย่างไม่ถึงห้านาที จ้าวจอมกำลังจะตักเมล่อนลูกกลมเล็กเข้าปาก แต่ก็ชะงักค้างแล้วเงยหน้าขึ้นมองเขา

                “พี่เลี้ยงใช่ปะ ไม่ได้หารครึ่งใช่ปะ”

                “อืม พี่เลี้ยง”

                “เออ ค่อยสบายใจ”

                พอรู้ว่าตัวเองไม่ต้องควักสักแดงเดียวก็จ้วงเอาๆ ไอ้เด็กขี้เหนียวเอ๊ย! กินเก่งหยั่งกับปล้น แต่กลับขี้งกอย่าบอกใคร

                จบจากมื้อเที่ยงจ้าวจอมก็ตื่นเต็มตา เขาพาเด็กดื้อไปร้านรองเท้า กระเป๋าแบบที่เด็กวัยรุ่นชอบกัน แต่จ้าวจอมที่หวงเงินพอๆ กับจงอางหวงไข่ กลับทำเป็นไม่สนใจอะไรแม้แทบละสายตาจากรองเท้ายี่ห้อดังไม่ได้เลยก็ตาม

                “ไม่อยากได้เหรอ สวยดีนะ” เขาถาม แต่จ้าวจอมส่ายหน้าบอกว่าแพงเกินไป ก่อนจะหมุนตัวเดินหนีออกจากร้านไป

                พันนาถอนหายใจ แม้แต่เด็กอนุบาลยังรู้เลยว่าจ้าวจอมชอบรองเท้าคู่นี้ เขามองรองเท้าคู่ที่จ้าวจอมสวมอยู่ สีขาวตุ่นๆ บอกถึงอายุการใช้งาน ถึงจะไม่ได้เก่าจนพื้นเปิด แต่หากมีไว้ผลัดเปลี่ยนอีกสักคู่ก็ไม่เสียหายอะไร

                จ้าวจอมเดินเร็วได้อย่างไม่น่าเชื่อ เขาทำธุระไม่ถึงห้านาทีก็ไม่เจอจ้าวจอมเสียแล้ว กำลังจะกดโทรศัพท์โทรหา แต่ก็เห็นเด็กหัวเรียนไวๆ แถวร้านเครื่องสำอางผู้หญิง แถมไม่ได้อยู่คนเดียวเสียด้วย

                “อ้าวไอ้พัน กูกำลังถามถึงมึงกับจอมพอดี”

                โลกนี้มันแคบนัก ห้างในกรุงเทพฯ มีร้อย แต่เขากับรชตดันเลือกมาที่นี่ ที่สำคัญรชตไม่ได้มาคนเดียว แต่มากับปรางค์ ยิ่งตอกย้ำข้อสงสัยของเขาว่ามันมีมูลความจริง

                “เออ แล้วมึงกับ....ปรางค์มาทำอะไรกันล่ะ” เขาหรี่ตามองรชตอย่างจับผิด ไอ้ชตคนซื่อที่แทบไม่น่าเชื่อว่าเมื่อชาติที่แล้วมันจะร้ายกาจถึงขนาดฆ่าคนได้ทำหน้าเหรอหรา หันมองปรางค์ทีเขาที หาคำตอบไม่ได้ อึกอักจนอึดอัดแทน

                “เราเบื่อๆ น่ะ ชตก็เลยพามาเที่ยว” เป็นปรางค์ที่ให้คำตอบแทน สีหน้าและท่าทางของเธอดูดีกว่าครั้งล่าสุดที่เจอกัน บางทีอาจจะทำใจเรื่องของกุมภ์ได้แล้ว...เขาหวังให้เป็นอย่างนั้น

                “อืม แต่เราว่าอยู่กับไอ้ชตน่าเบื่อกว่าอีก”

                “อ้าว ไอ้เพื่อนสารเลว” รชตถลึงตาใส่ แต่หาความน่ากลัวไม่ได้เลยสักนิด ขณะที่ปรางค์อมยิ้มขำๆ “กูไม่คุยกับมึงแล้ว...จอมล่ะ เป็นไงมาไงถึงมากับไอ้นี่ได้” ประโยคหลังรชตถามจ้าวจอม

                “นั่งรถมา” จ้าวจอมตอบแบบกำปั้นทุบดิน

                รชตแยกเขี้ยวใส่ “รู้แล้วเว้ย หมายถึงทำไมมากรุงเทพฯ ได้”

                “นั่งรถตู้มา” จ้าวจอมยังกวนไม่เลิก สมกับเป็นตัวแสบประจำตำบลจริงๆ

                “โอ๊ย กูละปวดหัวกับพวกมึง” รชตเกาหัวจนผมยุ่ง ปรางค์ที่อมยิ้มกลายเป็นหัวเราะเบาๆ แล้ว

                “ก็...เบื่อๆ เหมือนกัน อยากจะมาเที่ยวกรุงเทพฯ บ้าง”

                “ก็แค่นี้” รชตว่า “แล้วนี่พวกมึงจะไปไหนกัน กูกับ...ปรางค์กำลังจะไปหาอะไรกิน ไปด้วยกันไหม”

                “ไม่ไหวแล้ว ท้องจะแตก” พูดจบจ้าวจอมก็ลูบหน้าท้องที่นูนขึ้นมาหน่อยๆ ของตัวเองให้ดู “พี่ไปเถอะ ผมอยากจะเดินย่อยสักหน่อย”

                จ้าวจอมสรุปบทตัดความโดยไม่ถามความเห็นของเขาสักคำ แต่เขาก็เห็นด้วย ท่าทางรชตอยากจะอยู่กันตามลำพังกับปรางค์ ที่เอ่ยชวนก็แค่ตามมารยาทเท่านั้น

                พันนาถือโอกาสยกมือขึ้นกอดคอเด็กหัวเกรียน เจ้าตัวหันมาทำหน้ายุ่งใส่แต่ก็ไม่ได้ปัดมือทิ้ง “เออ กูกินกันมาแล้ว มึงไปเถอะ เดี๋ยวจะพาเด็กป่าเที่ยวเมืองสักหน่อย”

                รชตไม่ได้ดึงดันอะไร พวกเขาเอ่ยคำลากันเล็กน้อย แล้วรชตก็พาปรางค์เดินแยกไปทางร้านอาหารญี่ปุ่น ถึงตอนนี้จะไม่มีใครบอกว่าทั้งคู่คบหากัน แต่เขาแอบมั่นใจว่ารชตกับปรางค์ต้องเป็นมากกว่าคนรู้จักแน่นอน...

 :hao7:

ใกล้จบแล้วทุกคน

ตอนนี้แต่งน้องจอมอยู่ ไม่ได้หวานๆ เด้อ ยังคงความน่ากลัวเอาไว้อยู่ แต่จะตื่นเต้นเท่านี้ไหม ไม่แน่ใจเหมือนกัน

ไว้รออ่านกันเด้อ อย่าลืมไปอุดหนุนพี่โหรกันนะคะ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 30 : คบเด็กสร้างบ้าน] 19/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 19-05-2020 21:10:04
โถ่พี่พันนาหลงเด็กอีกคนซะแล้ววว จอมมาไกลจังลูก
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 30 : คบเด็กสร้างบ้าน] 19/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 19-05-2020 21:14:51
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 30 : คบเด็กสร้างบ้าน] 19/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: Rateesiri ที่ 20-05-2020 01:54:25
ไม่รู้ใครหลงใครแล้วละ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 30 : คบเด็กสร้างบ้าน] 19/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 20-05-2020 04:14:50
ชอบเด็กก็รีบบอก
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 30 : คบเด็กสร้างบ้าน] 19/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 20-05-2020 11:26:43
ชอบกันแหละดูออก
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 30 : คบเด็กสร้างบ้าน] 19/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: valenna yy ที่ 20-05-2020 22:22:43
พันนาเอ๊ย หลงก็คือหลงอะเนอะคนเรา
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 30 : คบเด็กสร้างบ้าน] 19/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 26-05-2020 01:47:20
หลงเด็กแสบซะแล้วพี่พันนา
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 30 : คบเด็กสร้างบ้าน] 19/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 26-05-2020 02:21:33
ให้มันเดินต่อไปแบบอะเครๆ
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 31 : เพราะคิดถึง] 26/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 26-05-2020 22:14:34

ตอนที่ 31 เพราะคิดถึง

            เด็กป่าสนใจห้องสมุดมหาวิทยาลัยคณะนิติฯ เป็นพิเศษ เมื่อคราวที่มางานโอเพ่นเฮาส์ก็ป้วนเปี้ยนอยู่ที่นี่นานที่สุด แต่เพราะเวลาที่มีจำกัดเลยไม่ได้เข้ามาสำรวจ วันนี้มีเวลาเขาเลยพามาเที่ยว?

                ห้องสมุดในวันเสาร์เงียบกว่าวันธรรมดา ถึงจะมีนักศึกษามาหาความรู้อยู่บ้าง แต่ก็บางตา จ้าวจอมเดินไปตามชั้นหนังสือ กวาดสายตาไล่ไปตามสันหนังสือที่เรียงกันแน่น โซนนี้เป็นหนังสือสำหรับวิชากฎหมาย เขาเคยมายืมไปอ่านหลายเล่มอยู่เหมือนกัน บางเล่มก็เก่าจนปกซีดจาง แต่เพราะการเก็บรักษาที่ค่อนข้างดีทำให้มันยังอยู่ในสภาพแข็งแรงและพร้อมจะทำหน้าที่ให้ความรู้กับว่าที่ทนายความหรือนักกฎหมายรุ่นต่อไป

                จ้าวจอมตั้งใจจะเรียนนิติฯ เหมือนกับเขา หลายครั้งที่เคยขอคำปรึกษาเรื่องวิชาเรียน ผลการเรียนของจ้าวจอมอยู่ในเกณฑ์ดี สมกับความฉลาดแกมโกง ดวงตากลมโตที่ฉายแววเจ้าเล่ห์ในบางครั้งคราวมันเหมาะกับสิ่งที่เจ้าตัวเลือกดีเหมือนกัน

                เขามองแผ่นหลังไม่กว้างไม่เล็กเกินไปของจ้าวจอมเพลินตา ศีรษะกลมหมุนไปมาตามความสนใจ มือขาวไต่ไปตามสันหนังสือ บางคราวก็เกี่ยวเอาหนังสือออกมาเปิดดูผ่านๆ แสงอ่อนๆ ในห้องสมุดทำให้ทุกอย่างดูละมุนตาไปหมดจนอดใจไม่ไหวต้องดึงโทรศัพท์มือถือออกมาเก็บภาพเอาไว้ แต่เขาจงใจไม่ให้เห็นหมดทั้งตัว มีแค่ช่วงหัวไหล่จนถึงเท้าเท่านั้น จากนั้นก็อัพรูปลงในอินสตาร์แกรมส่วนตัว ใส่แค็ปชันง่ายๆ ว่า

                ‘บ่ายวันเสาร์’

                พันนาเดินตามร่างของเด็กหนุ่มไปเรื่อยๆ จดจำทุกรายละเอียดเอาไว้ให้ได้มากที่สุด ตั้งใจจะเก็บช่วงเวลาตอนนี้เอาไว้เพื่อทดแทนความคิด การมาของจ้าวจอมมันทำให้ความคิดถึงลดลงไปบ้าง ทว่าส่วนลึกมันกลับโหยหาบางอย่าง ที่แม้แต่เขาก็ให้คำตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกัน

                ที่จริงแล้วจ้าวจอมไม่ได้สนใจแค่ห้องสมุดคณะของเขา แต่ยังรวมไปถึงห้องเรียน โรงอาหารหรือแม้แต่หอพัก จ้าวจอมคอยถามเป็นระยะ เพราะนักศึกษาปีแรกจะต้องเข้าพักที่หอใน อยู่ร่วมกับรูมเมท จำเป็นต้องมีการปรับตัว เขากับเพื่อนๆ ก็เคยอยู่หอในมาก่อน รับรู้ถึงความลำบากไม่ค่อยจะสะดวกสบายเท่าไรนัก แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือมิตรภาพและการใช้ชีวิตอิสระ

                “ร้านข้าวร้านไหนอร่อยที่สุด”

                จ้าวจอมถามต่อ ขณะที่มาหยุดริมบานหน้าต่าง จากมุมนี้ทำให้เกือบจะมองเห็นทิวทัศน์ของมหาวิทยาลัยได้ทั้งหมด ยกเว้นคณะบริหารที่อยู่หลังตึกคณะนิติฯ

                พันนาชี้นิ้วไปโรงอาหารที่วันนี้เปิดขายแค่ร้านเดียว แต่ร้านที่เขาฝากท้องตั้งแต่เข้าปีหนึ่งปิดเหลือป้ายร้านที่แขวนอยู่ “ร้านเจ๊วิไล ขายข้าวราดแกง อร่อยมาก ไม่แพงให้เยอะ แต่ปากเจ๊แกจะจัดสักหน่อย เข้าตำราปากร้ายแต่ใจดี”

                “เหรอ” จ้าวจอมมองไปทิศเดียวกับนิ้วมือ อีกไม่กี่เดือน หากโชคดีจ้าวจอมก็อาจจะได้เป็นนิสิตคณะนี้ ซึ่งเขาก็ภาวนาเอาใจช่วย เพราะอยากจะมีรุ่นน้องกวนๆ เกรียนๆ แบบนี้เหลือเกิน “ผมต้องอยู่หอในด้วยใช่ไหม”

                “ใช่ ถ้าหิวมีเซเว่นอยู่หน้าหอ”

                “พี่ว่าผมจะได้เรียนที่นี่ไหม”

                พันนาเลิ่กคิ้วมอง ใบหน้าด้านข้างของจ้าวจอมดูอ่อนเยาว์กว่าเด็กวัยสิบแปดเสียอีก แก้มที่ค่อนข้างกลม จมูกโด่ง ปลายรั้นเชิดขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากบาง จ้าวจอมยังไม่มีหนวด ไม่รู้ว่าฮอร์โมนเพศชายยังทำงานไม่เต็มที่ หรือไม่มีเลยกันแน่ ส่วนสูงแตะที่ร้อยเจ็ดสิบต้นๆ ดวงตากลมข่อนข้างโต มองไปด้านหน้า ถึงจะไม่ได้เห็นทั้งหมดแต่เขาก็สัมผัสได้ถึงความมุ่งมั่นตั้งใจ

                “พี่ว่าได้...แต่ถ้าไม่มั่นใจก็บนสิ พี่เองก็บนเหมือนกัน เหมาไข่แทบจะหมดเล้า”

                นี่คือเรื่องจริง ทว่าคนที่บนไม่ใช่เขา แต่เป็นแม่ต่างหาก ท่านบนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชื่อดังประจำหวัดด้วยไข่ต้ม 4,999 ฟอง ต้องแจกจ่ายกันเกือบทั้งอำเภอกว่าจะหมด

                “ไม่รู้จะบนกับใคร”

                “...กับพี่ไหมล่ะ”

                พูดจบก็แทบจะกัดลิ้นตัวเอง ไม่รู้อะไรดลใจให้พูดไปแบบนั้น แต่กำลังจะบอกว่าล้อเล่น จ้าวจอมก็ชิงพูดเสียก่อน

                “บนยังไง” ใบหน้าขาวสะอาดเอียงมอง ดวงตาฉายแววสงสัยแกมอยากรู้อยากลอง

                พันนากลืนน้ำลายลงคอ บางอย่างที่ซุกซ่อนอยู่ในความรู้สึกพุ่งพรวดขึ้นมา ลมหายใจแรงพอๆ กับจังหวะการเต้นของหัวใจ ในห้องสมุดเงียบมาก แถวนี้ไม่มีใครเลย ลมจากด้านนอกพัดเข้ามาทางบานหน้าต่างเพราะไม่ได้เปิดแอร์ เขาขยับเท้าเข้าไปใกล้ ก้มศีรษะลงจนจมูกเกือบจะชนกัน จ้าวจอมเองก็ไม่ได้ถอยหนี ริมฝีปากเผยอน้อยๆ คงแปลกใจว่าเขากำลังจะทำอะไร

                “ถ้าสอบได้ ค่อยมาจูบพี่คืนนะ”

                ริมฝีปากแตะบนกลีบปากสีสดแผ่วเบาเหมือนผีเสื้อหยอกล้อกับดอกไม้ แต่ความนุ่มหยุ่นของมันกระตุ้นความโลภให้ทำงาน เขาเพิ่มน้ำหนักลงอีกนิด เลาะเล็มเนื้อหยุ่นเหมือนเจลลี่ ใช้ลิ้นเลียเบาๆ จ้าวจอมไม่ได้เบือนหน้าหนี ซึ่งเขาก็เดาไม่ออกแล้วว่าทำไม แต่ยกมือเกาะมาที่ช่วงเอว เอนร่างไปด้านหลังเล็กน้อย เขาก้มหน้าให้แนบชิดกว่าเดิม ริมฝีปากบดเบียดมากขึ้น จูบแผ่วเบากลายเป็นดูดดื่มมากขึ้น เขาสอดมือรอบเอวบางรวบร่างเล็กกว่าเข้ามาชิดเสียงเสียดสีของเสื้อผ้าดังเข้ามาในหู ขณะที่หัวใจโครมครามด้วยความตื่นเต้น

                เขาแหย่ลิ้นไปที่รอยแยกของริมฝีปาก จ้าวจอมเปิดรับอย่างไม่อิดออด ลิ้นสอดเข้าไปในโพรงปากอุ่น เลาะไปตามไรฟันราวกับนักสำรวจก่อนจะเกี่ยวหยอกล้อกับลิ้นเล็ก จ้าวจอมตัวสั่นจนรู้สึกได้ ส่งเสียงครางเบาๆ ในคอ มือกำเสื้อของเขาแน่นกว่าเดิม เสียงของเหลวเคลื่อนไหว เขากวาดไล้ไล่ต้อนเก็บเกี่ยวน้ำลายใสเอาไว้แต่บางส่วนก็ไหลผ่านมุมปากไหลไปตามคางเรียวของจ้าวจอม กระทั่งแผ่นอกบางกระเพื่อมหนักๆ ส่งสัญญาณกลายๆ ว่า เด็กหัวเกรียนกำลังหายใจไม่ทัน เขาถึงได้ยอมปล่อยกลีบปากนุ่มให้เป็นอิสระทั้งที่เสียดายแทบขาดใจ

                จ้าวจอมหอบหายใจ ใบหน้าแดงก่ำลามไปถึงหู ดวงตาฉ่ำรื้น ริมฝีปากเห่อบวมขึ้นเล็กน้อย น้ำลายเปื้อนมุมปาก เขาใช้ปลายนิ้วช่วยเช็ดให้ ไอ้เจ้าเด็กดื้อเงยหน้ามองกึ่งโกรธกึ่งอาย แต่ก็ไม่ได้ทำอะไร เพราะยังอยู่ในอ้อมแขนของเขา นานจนลมหายใจกลับมาเป็นปกติถึงได้กระซิบบอก

                “ปล่อยได้แล้ว เดี๋ยวมีคนเห็น”

                ไม่ใช่แค่จ้าวจอมหรอกที่เพิ่งได้สติ เขาเองก็เหมือนกัน ความโหยหามันมีพลานุภาพสูงเสียจนทำให้เขาหลงลืมไปว่าที่นี่คือห้องสมุด ไม่ใช่ห้องพักส่วนตัว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาหลงลืมตัวได้ขนาดนี้

                “..สอบให้ติดนะ รู้ไหม” เขาบอก ก่อนจะกระชับมือเล็กเอาไว้ ปลายนิ้วบีบกลับมาคล้ายจะตอบรับสิ่งที่เขาพูด...

 

                หลังจากกลับจากห้องสมุดของคณะฯ พวกเขาก็แวะซื้อมื้อเย็นมาปรุงเองง่ายๆ เขาไม่เก่งเรื่องทำอาหาร แต่ไม่ใช่สำหรับจ้าวจอม รายนี้มีแค่ปลากระป๋องกับไข่ก็เนรมิตได้หลายเมนูแล้ว ดังนั้นเย็นนี้เขาเลยได้กินฝีมือของจ้าวจอมแบบจริงๆ เสียที เพราะเคยได้ยินแต่เจ้าตัวคุยโว

                จ้าวจอมทำผัดกระเพราหมู ไข่เจียวหมูสับ ต้มยำมาม่าปลากระป๋อง ผัดผักกุ้ง ตอนที่ได้กลิ่นกับข้าวท้องเขาก็ร้องจ๊อกขึ้นมาทันที และพอได้ชิมฝีมือพ่อครัวหัวเกรียนก็ต้องยกนิ้วให้ รสเด็ดขาดจริงๆ สมแล้วที่อวดอ้างสรรพคุณเอาไว้ สรุปแล้วเย็นนี้เขากินข้าวไปสามจาน ตบท้ายด้วยไอศกรีมที่จ้าวจอมแอบซื้อติดมือมาด้วยอีกถ้วย กินข้าวอิ่มเขาก็นอนเอนหลังดูทีวีปล่อยให้ผู้มาเยือนอาบน้ำอาบท่าชำระล้างร่างกาย

                พันนานั่งมองเด็กหัวเกรียนที่ตอนนี้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว เชื่อหรือไม่ว่าผ่านเกือบวันแล้วแต่จ้าวจอมยังไม่ยอกบอกว่าทำไมถึงมาหาเขาถึงกรุงเทพฯ ไหนจะเรื่องคาใจที่เขาเองก็ยังไม่กล้าถาม ขณะที่กำลังไตร่ตรองกว่าควรจะถามดีหรือไม่ จ้าวจอมก็ดึงเอาโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นทั้งที่ก่อนหน้านี้แทบจะไม่ได้จับมันเลย

                รอยยิ้มเล็กๆ ที่ผุดขึ้นขณะที่นิ้วเรียวกดอยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์กระตุ้นความสงสัยให้รุนแรงกว่าเดิม ภาพคู่กับเด็กที่ชื่อน้ำหวานนั่นคล้ายกับน้ำมันที่สาดเข้ากองไฟ ความกล้าไม่รู้มาจากไหนสั่งให้ปากขยับพูด

                “เด็กคนนั้นน่ารักดีนะ ที่ชื่อน้ำหวานน่ะ”

                จ้าวจอมหันหน้ามอง คิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อย “พี่เห็นด้วยเหรอ”

                “เห็นสิ...ไม่เห็นก็แปลกแล้ว”

                จ้าวจอมเงียบไปพักใหญ่ วางโทรศัพท์มือถือไว้ข้างตัว แล้วเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้จนได้ไออุ่นและกลิ่นหอมของครีมอาบน้ำที่เขาใช้ทุกวัน แต่ไม่รู้ทำไมพอมันมาอยู่บนตัวจ้าวจอมถึงได้หอมชื่นใจกว่าเดิม

                “ไม่มีอะไร..เพื่อนกัน” จ้าวจอมบอกเรียบๆ น้ำเสียงไม่ได้ร้อนรนหรือรู้สึกผิด แต่กลายเป็นเขาเสียอีกที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นสาวน้อยขี้งอน เขาถอนหายใจควบคุมอารมณ์และใช้สติให้มากขึ้น

                “ไม่มีอะไร พี่ก็แค่เห็นว่าน่ารักดี” เขาบอก หันไปมองเด็กหัวเกรียนที่ตอนนี้อยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ

                “ใคร...น่ารัก” เสียงของจ้าวจอมเบาลงคล้ายกระซิบ

                “ก็...” พันนามองดวงตากลมใสที่ช้อนมองอย่างรอคอยคำตอบ เขายังจำความรู้สึกเมื่อช่วงบ่ายได้ดี กลิ่นหอมอ่อนๆ รสชาติหวานล้ำอย่างที่หาคำเปรียบไม่ได้ เรือนกายอบอุ่น เสียงครางแผ่วเบา ไม่น่าเชื่อเลยว่าทั้งหมดจะเกิดกับเพศเดียวกัน เขากลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบาก เกิดมาก็เพิ่งจะเคยเป็นแบบนี้

                ไอ้เด็กหัวเกรียนนี่น่ารักชะมัด!

                “ว่าไงใครที่น่ารัก”

                “ก็...ทั้งคู่นั่นแหล่ะ” เขาตัดบท ใครจะกล้าบอกกันล่ะว่าเขาเห็นเด็กผู้ชายหัวเกรียนๆ กวนๆ น่ารักกว่าเด็กสาวหน้าตาบ้องแบ๊วได้ล่ะ               

                “เหรอ...” จ้าวจอมพูดแค่นั้น ก่อนจะหันกลับไปสนใจโทรศัพท์มือถือของตัวเองต่อ

                จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าบรรยากาศมันอึดอัดพิกล อะไรบางอย่างยังคงตกค้างอยู่ในหัวใจ ไหนจะท่าทางที่ผิดไปของจ้าวจอม ใครๆ ต่างก็รู้ว่าเจ้าเด็กนี่คุยเก่งยิ่งกว่าอะไร แต่วันนี้กลับพูดน้อยผิดไปจากทุกที แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะจูบที่ห้องสมุดแน่นอน

                พันนาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่ชอบความรู้สึกในตอนนี้เลยมันเหมือนถูกห่อด้วยถุงพลาสติก แถมเขาเองก็ไม่ใช่พวกทนกับความอึดอัดเก่งเสียด้วย อีกอย่างขืนรอให้จ้าวจอมพูดเองมีหวังได้อกแตกตายก่อนพอดี

                “กับน้ำหวาน...มีอะไรกันหรือเปล่า”

                จ้าวจอมละมือกับสายตาจากโทรศัพท์มือถือ หันมามองทางเขา เป็นจังหวะที่เขาเองก็เบือนหน้าไปหาพอดี จ้าวจอมทำตาขวางมุมปากตกลง คิ้วดูเหมือนว่าจะโก่งขึ้นเล็กน้อยด้วย มองปราดดูก็รู้ว่ากำลังไม่พอใจ

                “เป็นเพื่อนกันไง...หรืออยากให้เป็นอะไร”

                “เปล่า” พันนาส่ายหน้า “พี่แค่อยากรู้”

                จ้าวจอมทำเสียงหึในคอ ทำท่าจะหันไปเล่นโทรศัพท์อีก แต่เขาแย่งมันมาถือไว้เอง ไอ้เด็กดื้อจะยื้อเอาคืน แต่ช่วงแขนสั้นกว่าเลยไม่เป็นตามหวัง เขาอาศัยจังหวะที่จ้าวจอมโถมตัวใส่ใช้มืออีกข้างที่ว่างโอบเอวเอาไว้ ร่างเล็กเลยจมอยู่ในอกไปโดยปริยาย

                “เล่นอะไรวะ!” เสียงของจ้าวจอมเต็มไปด้วยความหงุดหงิดก็จริง แต่แก้มกับแดงเรื่อ ริมฝีปากจิ้มลิ้มเม้มเป็นเส้นตรง ยิ่งทำให้อยากแกล้งมากกว่าเดิม

                “คิดยังไงถึงมาหาพี่”

                “ไม่ได้คิด!” จ้าวจอมตอบเสียงห้วน แต่ไม่ยอมเงยหน้ามาสบตากัน พันนาวางโทรศัพท์ในซอกของโซฟา แล้วจัดการกอดร่างของเด็กดื้อด้วยสองอ้อมแขน ออกแรงรั้งให้ขึ้นมานั่งเกยบนตัก ถึงจ้าวจอมจะไม่ได้ตัวเล็กเหมือนเด็กน้อยแต่ก็น่ากอดเหมือนตุ๊กตา หัวเกรียนๆ มันชวนให้ขบเล่น แล้วเขาก็ทำจริงๆ เพราะอดมันเขี้ยวไม่ได้ จ้าวจอมร้องโอ๊ย ยกมือทุบที่อกแรงๆ มันก็เจ็บอยู่หรอก แต่คิดแล้วมันคุ้มดี

                “ปล่อยสิวะ! หายใจไม่ออก!”

                “บอกมาก่อนแล้วจะปล่อย”

                จ้าวจอมดิ้นอึกอักอยู่ไม่กี่ครั้งก็ยอมหยุดนิ่ง สูดหายใจเสียงดัง ก้มหน้างุดติดกับอก เขารู้สึกได้ถึงจมูกที่ดุนๆ อยู่แถวหน้าอกซ้าย นานร่วมครึ่งนาทีกระมัง เจ้าเด็กดื้อถึงได้ยอมเปิดปากบอกความจริง

                “ก็...ไม่ได้เจอกันนาน....คิด...ถ” ท้ายประโยคแผ่วจนเหมือนกระซิบ

                “อะไรนะ ได้ยินไม่ชัด”

                “.....”

                เมื่อได้รับคำตอบเขาก็แกล้งกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น กดจมูกลงกับหัวเกรียนๆ กลิ่นแชมพูอ่อนๆ ผนมกับสบู่มันหอมชื่นใจไม่หยอก

                “โว๊ย! อย่าหอมสิ มันจั้กจี้”

                “ก็พูดให้มันดังๆ ชัดๆ สิ” เขาเร่ง

                ฟอด

                คราวนี้ไม่ใช่บนหัวเกรียนๆ แต่เป็นแก้มนิ่มๆ ต่างหาก ยอมรับตรงนี้เลยว่าแก้มเด็กผู้ชายมันนิ่มไม่แพ้ผู้หญิงเลย จ้าวจอมหน้าแดงแจ๋ ตาขวางจัด แต่พอเขาทำท่าจะก้มลงหอมแก้มอีก เจ้าตัวก็รีบตะโกนเสียงดัง

                “คิดถึง!”

                “ก็เท่านั้นแหล่ะ ทำเป็นปากแข็งอยู่ได้”

 

                ช่วงเวลาสองวันที่ได้อยู่ด้วยกัน พวกเขาแทบไม่ได้ทำอะไรเลยนอกเล่นเกม นอนดูหนังด้วยกัน จ้าวจอมชอบดูหนังตลกตามประสาเด็กวัยรุ่น แต่พันนาชอบดูหนังสืบสวนสอบสวน ตอนแรกจ้าวจอมบ่นอุบว่าดูไม่รู้เรื่อง แต่พอเรื่องที่สามก็เริ่มจะติดใจ อาหารก็ทำกินกันเองง่ายๆ เพราะต่างก็ไม่ใช่คนเรื่องมาก ส่วนการนอนเขากับจ้าวจอมนอนเตียงเดียวกัน สาบานให้มดกันตาย แค่นอนกอดกันเท่านั้น ตอนแรกก็แปลกๆ หน่อย เพราะเขาไม่เคยมีเพื่อนร่วมเตียงถึงขนาดนอนกอดกัน แถมยังเป็นผู้ชายอีกด้วย เพื่อนสนิทอย่างกุมภ์ยังไม่เคยทำ แต่เขากลับรู้สึกอุ่นใจเมื่อได้กอดไอ้เด็กดื้อ

                ทว่าช่วงเวลาแห่งความสุขมันสั้นนัก รุ่งขึ้นเขาต้องไปส่งจ้าวจอมขึ้นรถตู้กลับบ้านตั้งแต่เช้าตรู่ จ้าวจอมเองก็อิดออดไม่อยากกลับบ้าน เขาเองก็ไม่อยากใกล้จ้าวจอมกลับเช่นกัน แต่ในความเป็นจริงมันไม่อาจทำตามที่ใจต้องการได้ เลยจำต้องยอมขัดความรู้สึกตัวเองดันเด็กดื้อให้ขึ้นรถกลับบ้าน สีหน้าเศร้าสร้อยแกมตัดพ้อทำเอาเขาแทบอยากจะหักรถกลับไปหา แต่มันก็เป็นได้แค่ความคิดเท่านั้น

                เขาเลือกจอดรถห่างจากจุดที่จ้าวจอมขึ้นรถไปไม่ถึงห้าร้อยเมตร เฝ้ามองทุกอิริยาบถของเด็กผู้ชายผิวขาว ตัวไม่เล็กไม่ใหญ่ ทรงผมสามด้านเกรียน หน้ามุ่ย นั่งกอดกระเป๋าเป้ไว้ที่อก ใจหนึ่งก็นึกอยากจะส่งข้อความไปหา แต่ถ้าทำอย่างนั้นเขานั่นแหล่ะจะเป็นฝ่ายตัดใจไม่ได้ และเพราะในรถมันเงียบเกินไปเขาเลยเลื่อนมือไปเปิดเพลงฟัง เพลงป๊อบฟังง่ายๆ สบายหู เป็นเพลงของนักร้องผู้หญิงวัยรุ่นคนหนึ่งที่ผ่านเวทีประกวดมาแล้ว จำได้ว่าตอนนั้นเขาก็แอบเชียร์เธอเหมือนกัน เลยตั้งใจฟังเพลงบวกกับเฝ้ามองจ้าวจอมไปด้วย

                ไม่รู้ว่าบังเอิญหรืออะไรดลใจ จ้าวจอมเสียบหูฟังใส่ ไม่นานใบหน้าบึ้งตึงก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง เขาโน้มตัวลงกับพวงมาลัย แขนทั้งสองข้างกางคร่อมมันเอาไว้ เอียงหน้ามองจ้าวจอม ปลายนิ้วเกาะไปตามจังหวะเพลง และทำอยู่อย่างนั้นกระทั่งจ้าวจอมขึ้นรถและหายไปจนลับสายตา

                พันนาถอยตัวกลับมานั่งพิงเบาะรถ รู้สึกใจหายและเสียดายที่จะไม่ได้เจอหน้าเด็กหัวเกรียนอีกพักใหญ่ๆ อย่างนานที่สุดก็จนกว่าจะได้มาเป็นรุ่นน้องร่วมสถาบันเดียวกัน เวลาสองวันที่ได้อยู่ด้วยกันมันสั้นเกินไปถ้าเทียบกับความคิดถึง แต่มันก็ทำให้เขารู้ว่า การอดทนรอคอยมันคุ้มค่ามากขนาดไหน ที่สำคัญเขายังได้รู้ว่าไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่ทรมานเพราะความคิดถึง...

 

                จากอดีต ‘หมอ’ จำเป็นประจำหมู่บ้าน ตอนนี้โหรกลายเป็นหมอโหรแล้วจริงๆ หากแต่ไม่ใช่หมอสายคุณไสยหรือหมอยาอย่างเคย ทว่าเป็นหมอดิน หมอป่า และหมอสมุนไพรต่างหาก

                ความรู้ที่เคยได้ร่ำเรียนมาตามตำราคำสอนของอาจารย์ถูกนำมาใช้และประยุกต์ร่วมกับความรู้ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นได้ทุกวัน ความรู้ที่ได้รับจากชาวบ้าน จากเพื่อนร่วมงาน และจากการลองผิดลองถูก ไม่นานเขาก็รู้จักวิธีพลิกฟื้นหน้าดิน เปลี่ยนให้ดินลูกรังไร้ประโยชน์ปลูกผัก ปลูกต้นไม้ได้ จากนั้นก็พัฒนาต่อยอดไปได้เรื่อยๆ กระทั่งเขาได้งบประมาณก่อสร้างศูนย์การเรียนรู้แนวทางเศรษฐกิจพอเพียง และได้เป็นวิทยากรประจำศูนย์ ได้รับรางวัลมากมายพร้อมๆ กับได้ต้อนรับคณะศึกษาดูงาน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ผ่านมาหลายเดือนไม่ใช่แค่งานที่ขยับขยายไปในทางที่ดีขึ้น แต่ยังรวมไปถึงความสัมพันธ์ของเขากับกุมภ์อีกด้วย

                ถึงตัวจะห่างแต่ใจไม่เคยห่าง คำนี้ยังใช้ได้เสมอ

                ต้องขอบคุณเทคโนโลยีสมัยนี้ที่ทำให้พวกเขาไม่ขาดการติดต่อ ซ้ำยังหาเวลาหรือโอกาสเหมาะสมมาพบเจอกันในบางครั้ง ถึงตอนนี้เขากล้าเรียกกุมภ์ว่า ‘แฟน’ ได้เต็มภาคภูมิแล้ว

                เขาไม่เคยปิดบังเรื่องความสัมพันธ์ แต่ก็มีแค่ไม่กี่คนที่รู้ว่านายโหรคนนี้มีคนรักเป็นผู้ชาย หนึ่งในนั้นคือพี่ใจ ที่เคยมาชม้ายชายตา ที่เธอรู้เพราะกุมภ์เคยมาหาเขาถึงที่ทำงาน แล้วบังเอิญเห็นตอนที่เขาแอบขโมยหอมแก้มกุมภ์พอดี แต่พี่ใจก็ไม่ได้เอาไปป่าวประกาศบอกใคร และเลือกที่จะมาถามเขาด้วยตัวเอง พอได้คำตอบเธอก็ทำตาเหลือกเหมือนเห็นผี เพราะท่าทางเขาไม่เหมือนเกย์สักเท่าไร เขาไม่ได้เล่าอะไรให้เธอฟัง แค่บอกว่าเขาชอบกุมภ์เท่านั้น เธอไม่ได้ซักถามอะไรน่าเกลียดแค่พยักเข้าใจแกมยอมรับความสัมพันธ์ของเขากับกุมภ์ แถมยังไม่ได้เอาไปเล่าให้ใครฟังเพราะกลัวว่าจะกระทบกับองค์กร

                โหรก้มหน้ามองนาฬิกาข้อมือเรือนละร่วมหมื่นบาท นี่แทบจะเป็นเครื่องประดับที่แพงที่สุดรองจากทองคำเส้น เหตุที่ซื้อมาเพราะคราวก่อนที่กุมภ์มาเยี่ยม เจ้าตัวคะยั้นคะยอให้เขาซื้อเพราะมันเหมาะกับเขา หลายๆ คนก็ชมอย่างนั้นเหมือนกัน เหลืออีกไม่กี่นาทีจะห้าโมงเย็นแล้ว กุมภ์ออกจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่เช้า โดยปกติแล้วต้องมาถึงราวบ่ายสามโมง นี่เลยมาสองชั่วโมงแล้วก็ยังไม่เห็น โทรไปแล้วก็ไม่ได้รับ เส้นความอดทนใกล้จะขาดเต็มที โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น

                แค่เห็นชื่อที่ปรากฏที่หน้าจอโทรศัพท์ใจเขาก็ชื้นขึ้นเป็นกอง

                “อยู่ไหน ทำไมยังไม่ถึงอีก” โหรถามเสียงเครียด ลุกขึ้นยืนอัตโนมัติ กวาดตามองรอบๆ เพื่อหาร่างคนรัก แต่ก็พบ

                “ใจเย็นๆ สิพี่ชาย ผมอยู่โรงพยาบาล”

                “อะไรนะ!” โหรตะโกนเสียงดังด้วยลืมตัว ใจที่ชื้นเมื่อครู่หล่นไปอยู่ตาตุ่ม ท้องไส้บิดเกลียวไปหมด “เกิดอะไรขึ้น ไปโรงพยาบาลทำไม!”

                “พูดเบาๆ หน่อยสิ แก้วหูดับแล้ว” กุมภ์บ่น น้ำเสียงไม่มีวี่แววของความเจ็บป่วยอย่างที่กังวล แต่ก็ยังวางใจไม่ได้อยู่ดี

                “แล้วไปทำอะไรที่โรงพยาบาล บอกชื่อโรงพยาบาลมาเดี๋ยวนี้เลย เร็วๆ”

                กุมภ์เล่าให้ฟังคร่าวๆ ว่าเกิดอุบัติเหตุก่อนถึงตัวจังหวัดนิดหน่อย ส่วนรายละเอียดจะเล่าให้ฟังอีกทีพร้อมแจ้งชื่อของโรงพยาบาลให้รู้ โหรรีบเหยียบคันเร่งด้วยใจร้อนรน เพื่อให้ถึงโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด ถึงจะบอกว่าไม่มีอะไร แต่เพราะว่าเป็นกุมภ์ก็ไม่มีอะไรวางใจได้ ใช้เวลาร่วมชั่วโมงกว่าถึงจะที่หมาย พอเจอหน้าเขาก็กระชากร่างคนรักมากอดทันทีโดยไม่สนใจสายตาผู้คนที่อยู่บริเวณนั้น

                “ทำอะไรเนี่ย! คนเยอะแยะเลยไม่เห็นหรือไง”

                กุมภ์ขืนตัวออกจากอ้อมแขนได้สำเร็จเงยหน้ามอง ผิวแก้มแดงจัด ขณะที่โหรแทบจะตีอกชกลมเมื่อเห็นผ้าพันแผลที่หน้าผากของกุมภ์ ไหนจะรอยถลอกที่แขนอีก

                “ไหนว่าอุบัติเหตุเล็กน้อยไง ทำไมถึงได้มีแผลเต็มตัวไปหมดแบบนี้”

                โหรจับใบหน้าขาวเอียงซ้ายเอียงขวา กวาดตาไล่มองหารอยแผล นอกจากที่หน้าผากแล้ว ยังมีที่แก้มอีกสองรอย ที่แขนเป็นจ้ำเขียว เสื้อผ้าเปื้อนหลายจุด

                “ใจเย็นสิ แผลแค่นิดเดียวเอง สองสามวันก็หายแล้ว” ขณะที่โหรเป็นห่วงแทบบ้า แต่กุมภ์กลับมีท่าทางสบายๆ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

                “มีอะไรทำไมไม่บอกตั้งแต่แรก ถ้ามันเป็นเยอะกว่านี้จะทำยังไง!”

                “ก็มันไม่มีอะไรไง อุบัติแค่นิดเดียวเอง ก็แค่....รถตกข้างทาง”

                “อะไรนะ!” โหรตะโกนลั่น จนคนหันมามอง กุมภ์ต้องรีบฉุดลากรั้งร่างใหญ่ให้ออกมาจากตรงนั้น แล้วไปสงบสติอารมณ์ในร้านกาแฟแทน

                โหรโกรธอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ปกติโหรจะใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ แต่คราวนี้โหรกลับควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ยิ่งได้เห็นบาดแผลบนร่างของคนรักก็ยิ่งโกรธ

                “พี่โหร โกรธผมเหรอ” กุมภ์ถาม พลางลื่นกาแฟให้ก่อนจะวางปลายนิ้วลงบนหลังมือหนา แต่โหรดึงมือออกแล้วยกมันขึ้นกอดอก ดวงตาจ้องเขม็ง

                “ใช่ พี่โกรธ พี่มันไม่สำคัญเลยใช่ไหม รถตกข้างทาง ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ นะ” โหรดุเสียงเข้ม

                “ผมรู้” กุมภ์พยักหน้า แววตาสลดลง “ฝนมันตกไง ถนนเลยลื่น ผมไม่ชินทาง ก็เลยเสียหลักนิดหน่อย”

                “ที่บ้านคุณเรียกว่านิดหน่อยอย่างนั้นเหรอ?”

                สรรพนามที่เปลี่ยนไปยิ่งเล่นเอาหัวใจคนฟังหล่นวูบ กุมภ์ก้มหน้างุดด้วยสำนึกผิด “...ผมขอโทษ”

                โหรเอนหลังพิงกับเบาะเก้าอี้ อยากจะจับว่าที่ทนายความตีก้นเสียให้หลาบจำ เขาต้องใช้หลักคำสอนของพระอาจารย์ขึ้นมาข่มความโกรธ นานร่วมครึ่งนาทีไฟในอกถึงได้ลดลง พอได้เห็นสีหน้าของกุมภ์ความโกรธก็แทบจะไม่เหลือแล้ว ถึงตอนนี้เขาตระหนักได้ว่าที่โกรธเพราะเป็นห่วงมากเกินไปนั่นเอง

                “แล้วรถเป็นยังไงบ้าง พังเยอะหรือเปล่า”

                “เยอะครับ อยู่ที่อู่แล้ว”

                “มีรูปไหม ขอดูหน่อย”

                กุมภ์ช้อนตามองอยู่ชั่วประเดี๋ยวก็ส่งโทรศัพท์ให้ เขาเลื่อนนิ้วกดรหัสล็อคอย่างคล่องแคล่ว เปิดหาดูความเสียหายที่กุมภ์ถ่ายเอาไว้ พอได้เห็นใจก็กระตุกอีกรอบ รถยนต์สุดหรูพังยับแทบจะทั้งคัน ด้านหน้ายุบไปถึงเบาะนั่งดูเหมือนว่าจะชนกับต้นไม้ใหญ่เข้าเต็มแรง นี่ไม่ใช่แค่ตกข้างแล้ว! เขากำโทรศัพท์แน่น เงยหน้ามองเจ้าของรถหรูที่ตอนนี้เกือบจะเป็นเศษเหล็กไปแล้ว ไม่รู้ว่าประกันจะยอมจ่ายค่าซ่อมให้หรือเปล่า เขากำลังจะอ้าปากต่อว่า แต่กุมภ์ชิงพูดขึ้นก่อน

                “ตอนนั้นผมก็คิดว่าแย่แล้วเหมือนกัน แต่มันเหมือนมีอะไรกระชากผมออกจากรถ” กุมภ์ว่า “ผมออกจากรถได้ก่อนที่จะชนกับต้นไม้ ส่วนแผลที่หน้าผากเป็นเพราะผมกลิ้งไปชนกับก้อนหิน”

                “กระชาก? ยังไง?” โหรสงสัย กุมภ์ได้สักยันต์ป้องกันภัยเหมือนเขา ดังนั้นไม่น่าจะมีอะไรคอยช่วยเหลือในยามที่ตกอยู่ในอันตราย

                “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันแต่...” กุมภ์เว้นวรรค เม้มริมฝีปากอย่างใช้ความคิด แต่สายตามีแววลังเล “...ถ้าผมไม่ได้ตกใจจนตาฝาดไป เหมือนผมจะเห็นชายผ้าสีขาว เหมือนกระโปรงผู้หญิง”

                “กระโปรงผู้หญิง?”

                โหรทบทวนคำพูดของกุมภ์ กระโปรงสีขาวอย่างนั้นหรือ? มีเพียงคนเดียวที่เขาคิดออก

                พิกุล!

                “พิกุลหรือเปล่า” กุมภ์สันนิษฐาน ซึ่งก็ตรงกับความคิดของโหรพอดี

                “จะอะไรก็ช่างเถอะ คราวหน้าต้องระวังมากกว่านี้นะรู้ไหม ที่โกรธเพราะพี่เป็นห่วง” โหรถอนหายใจ ความโกรธถูกแทนที่ด้วยความห่วงใย ถึงน้ำเสียงจะฟังดูกระด้างไปหน่อยก็เถอะ

                “ครับ” กุมภ์จ๋องไปเยอะทีเดียว

                แผลที่หน้าผากเย็บไปเจ็ดเข็ม ส่วนรอยตามตัวไม่กี่วันก็หายแล้ว กุมภ์แจ้งเรื่องกับที่บ้าน ไม่แปลกที่จะถูกมารดาเอ็ดชุดใหญ่ และกำชับให้ขากลับนั่งรถโดยสารกลับไม่อย่างนั้นก็ให้โหรมาส่งแทน ซึ่งประการหลังโหรเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง อันที่จริงแล้วโหรตั้งใจจะไปรับกุมภ์อยู่แล้ว แต่เจ้าตัวปฏิเสธ อ้างสารพัด อยากชมวิวบ้างล่ะ ไม่อยากให้ลำบากบ้างล่ะ กลัวเหนื่อยบ้างล่ะ สุดท้ายโหรอ่อนใจยอมให้กุมภ์ขับรถมาเอง เลยประสบอุบัติเหตุ โชคดีที่ไม่เป็นอะไรมาก แม้แต่คนที่อยู่ละแวกนั้นยังแปลกใจที่กุมภ์ออกมาจากรถได้ก่อนที่จะชนกับต้นไม้…

 
(มีต่อ)           
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 31 : เพราะคิดถึง] 26/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 26-05-2020 22:16:28
(ต่อ)
หลังจากปรับความเข้าใจกันเขาก็ชวนกุมภ์กลับบ้าน ตอนที่มาถึงจ้าวจอมก็ยิ้มเผล่พร้อมกับต้มยำไก่บ้านถุงใหญ่พอดี ไม่รู้ว่ามีญาณทิพย์มาจากไหนถึงได้รู้ว่ากุมภ์จะมา แต่พอเห็นแผลก็ตกใจตาโต ถามไถ่ที่มาที่ไปทุกซอกทุกมุมเสียยิ่งกว่าเจ้าพนักงานสอบสวน เขาตัดรำคาญไล่มันไปเจียวไข่เพิ่ม และให้กุมภ์ไปอาบน้ำ ส่วนตัวเองก็จัดการหุงข้าวหุงปลา เพราะเย็นมากจนแทบจะหมดแสงสุดท้ายของวันแล้ว

                “ได้ยินมาว่าตรงนั้นมีอุบัติเหตุบ่อยด้วยล่ะ”

                หนุ่มต่างถิ่นเงยหน้ามองคนพูด มือที่กำลังตักต้มยำกุ้งชะงัก ต้องถามต่อทันทีด้วยความสงสัย “ยังไงเหรอ”

                “ผมเคยได้ยินว่าตรงนั้นมีตัวตายตัวแทน” เด็กหัวเกรียนว่า “คนตายหลายรายแล้ว เพื่อนผมมันเคยเล่า ตอนกลางคืนมีคนออกมายืนโบกรถ วิ่งตัดหน้ารถบ้าง หรือไม่ก็กระโดดขึ้นรถมาด้วยก็มี”

                “มึงมันขี้โม้” ผู้อาวุโสสุดขัดขึ้น ตัดไข่เจียวใส่จานคนรัก “อย่าไปฟังมันมาก ไม่มีอะไรหรอก”

                “ไม่มีอะไรที่ไหน โรงเรียนผมอยู่แถวนั้น จะไม่เคยได้ยินได้ยังไง” เด็กจอมกวนย่นจมูกใส่ ก่อนจะตัดไข่เจียวไปทีเดียวครึ่งจาน ข้อหาหมั่นไส้

                “น่ากลัว” กุมภ์ลูบขนที่แขน หากที่จ้าวจอมเล่าเป็นเรื่องจริง เขาโชคดีมากจริงๆ ที่ไม่ได้ไปเป็นตัวตายตัวแทนของใคร

                “ดีแล้วที่พี่ไม่เป็นอะไร ว่ากันว่าปีหนึ่งจะต้องหาคนไปบูชาเจ้าป่า 19 ศพ ด้วยล่ะ”

                “ไอ้เพ้อเจ้อ! ขืนพูดอะไรให้แฟนกูกลัวอีก กูจะสั่งให้ไอ้ลายตะปบมึง”

                “เชอะ! พวกบ้าอำนาจ แค่ฆ่าไอ้บอดได้ก็ทำมาเป็นเบ่ง ไอ้ลายพี่อ่ะ ผมเอาหนังสติ๊กยิงสองทีก็วิ่งหางจุกตูดแล้ว” จ้าวจอมแลบลิ้นใส่ ไม่มีทีท่าจะกลัวคำขู่สักนิด

                โหรส่ายหน้าด้วยระอาใจความกวนบาทาของไอ้เด็กหัวเกรียน มันดื้อตาใส ใช้หน้าตาที่กระเดียดไปทางจิ้มลิ้มมากกว่าจะหล่อเหลาหลอกให้คนเชื่อว่ามันเป็นเด็กนิสัยน่ารัก แท้จริงแล้ว ทั้งกวน ทั้งพูดมากอย่าบอกใคร

                “เออ แล้วนี่พี่จะมาอยู่กี่วันแล้ว....ทำไมไม่ชวนเพื่อน เอ่อ เพื่อนๆ พี่มาด้วยล่ะ” จ้าวจอมเปลี่ยนเรื่อง ชั่วจังหวะหนึ่งที่แก้มใสซับสีเลือด แต่แค่พริบตาเดียวก็กลับมาเป็นปกติ

                “ไม่มีใครว่างน่ะสิ ชาร์ลกับคะนิ้งไปทำบุญแถวภาคเหนือ ส่วนรชตเห็นว่าต้องช่วยปรางค์ดูเรื่องร้าน ปรางค์กำลังจะเปิดร้านเค้กน่ะ แล้วก็ไอ้พัน” กุมภ์จงใจเว้นระยะ เพราะอยากจะแกล้งเด็กแถวนี้เล่น “มันติดไปช่วยรุ่นพี่ถ่ายรูปที่นครนายกน่ะ เข้าป่าอีกแล้ว แต่ได้ข่าวว่าได้ของดีไปจากเราแล้วไม่ใช่เหรอ”

                “ไม่มีอะไรเลย แค่คาถาบทสองบท เผื่อเจอไอ้ลาย”

                ไอ้ลายที่ว่าคือเสือ พันนาไม่ได้กลัวหรอก แต่จ้าวจอมไม่ไว้ใจ ขึ้นชื่อว่าป่าไม่ว่าที่ไหนก็อันตรายทั้งนั้น เลยมาขอคาถาป้องกันตัวจากโหรไปให้ใช้คุ้มครองตัว เมื่อตอนเย็นก็เพิ่งจะไลน์มาบอกว่าขึ้นมาอยู่บนห้างแล้ว ดีที่คราวนี้มีเจ้าหน้าที่ไปด้วย เลยไม่ต้องกลัวมากนัก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังจะออดอ้อนขอกำลังใจอยู่ดี

                ใครใช้ให้ไปกัน ทำเป็นหน้าใหญ่อาสาไปทั่ว!

                “อิ่มแล้ว กลับดีกว่า เดี๋ยวแม่เป็นห่วง” จ้าวจอมลุกขึ้นหลังจากจัดการข้าวหมดจาน แล้วเผ่นลงเรือนไปทันที ราวกับจะกลัวเรียกให้กลับมาล้างจาน

                โหรส่ายหน้าอีกรอบ ถึงมันจะกวนไปสักหน่อย แต่เพราะจ้าวจอมนี่แหล่ะที่ทำให้ชีวิตไม่เงียบเหงาเกินไป

                “กินเยอะๆ เดี๋ยวกินยา”

                เจ้าของบ้านบอกคนเจ็บ ถึงจะเป็นแผลไม่เยอะ แต่คืนนี้ต้องอักเสบแน่นอน กุมภ์พยักหน้าหงึก รู้สึกเจริญอาหารมากเป็นพิเศษ ถึงแม้จะมีแค่ต้มยำกับไข่เจียวก็ตาม เรือนหลังเก่าที่ได้รับการรีโนเวทเสียจนใหญ่โตกว่าเดิมเป็นเท่าตัว แข็งแรงขึ้นเป็นสิบเท่า ดูน่าอยู่น่านอนกว่าเดิมเป็นไหนๆ ตำหนักครูบาอาจารย์ถูกจัดให้อยู่ในห้องหับเรียบร้อย ตัวบ้านไม่ใช่แค่ไม้เก่าคร่ำคร่าอีกต่อไปแล้ว กลายเป็นครึ่งไม้ครึ่งปูน มีที่จอดรถ มีระเบียงยื่นออกไปรับลม มีสวนสำหรับปลูกสมุนไพร แต่ถ้าจะถามหาดอกไม้ก็คงจะผิดหวัง เพราะเจ้าของบ้านไม่นิยมของสวยๆ งามๆ จะมีก็แค่ดอกของต้นสมุนไพรต่างๆ ที่ปลูกไว้

                ถึงตอนนี้จะรับราชการมีหน้าที่การงานมั่นคงแล้ว แต่โหรก็ยังชอบปลูกสมุนไพร ใช้หัวใช้ใบบดเป็นยาเอาไว้แจกชาวบ้านยามที่มีคนเจ็บป่วย โหรยังคงเป็นหมอไร้ปริญญารับรองของชาวบ้านอยู่เหมือนเดิม

                “อ้วนขึ้นหรือเปล่าอ่ะ” กุมภ์ทัก รู้สึกว่าหมอโหรจะตัวใหญ่กว่าเดิม ถึงจะไม่มีพุงยื่นออกมาให้เห็นก็ตาม

                “ไหน ใครอ้วน ตัวเองหรือเปล่าเถอะ แก้มจะแตกอยู่แล้ว”

                กุมภ์ยกมือขึ้นจับแก้มตัวเองทันทีที่โดนทักกลับ จริงด้วยสิ เพราะปรางค์กำลังจะเปิดร้านเค้ก เขาเลยได้กลายเป็นลูกค้าวีไอพีก่อนร้านจะเปิดอย่างเป็นทางการ ไหนจะคุกกี้ ขนมปังไส้ต่างๆ นี่ยังไม่นับรวมชา กาแฟ อีกหลายแก้ว

                อ้วนแล้วไงล่ะ!

                เชอะ!

                กุมภ์เชิดหน้าไม่สนใจ ตักข้าวกินต่อ เคี้ยวหยับๆ แม้จะขุ่นเคืองใจไม่หายที่โดนทักว่าอ้วนกลับมาบ้าง

                โหรไม่ได้ใส่ใจกับท่าทางแบบนั้น เขากินข้าวต่อจนอิ่ม เรียกว่าข้าวที่หุงไว้หมดเกลี้ยงไม่เหลือสักเม็ด น้ำต้มยำแห้งขอด ไข่เจียวก็ไม่เหลือซาก ตบท้ายด้วยเงาะและมังคุดที่ซื้อติดมือมา กุมภ์อาสาล้างจานแต่เขาห้ามและกำชับให้กินยา จากนั้นก็ยกสำรับทั้งหมดไปล้างในครัว

                ระเบียงหน้าบ้านเป็นสิ่งที่น่าสนใจสำหรับกุมภ์ในยามนี้ แสงไฟจากหลอดนีออนสว่างไสวไปทั่วบริเวณ โหรให้คนรู้จักช่วยรีโนเวทบ้านเสียจนแทบไม่เหลือเค้ากระท่อมเก่าๆ อย่างที่เคยเห็น ลมอ่อนๆ พัดเอากลิ่นหอมของดอกอะไรสักอย่างที่โหรปลุกไว้ชวนให้ชื่นใจ ดาวดวงน้อยค่อยๆ เปล่งแสงเมื่อฟ้ามืดลง กุมภ์นั่งลงบนโต๊ะไม้ตัวอย่างที่ตอกติดกับระเบียง ห้อยข้าลงไปด้านล่าง ปล่อยเท้าแกว่งไปมาเหมือนนั่งชิงช้า ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเวลาไม่ถึงปี หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไปมาก แม้แต่กับตัวเขาเอง

                เมื่อหลายเดือนก่อน เขายังเป็นแค่นักศึกษาธรรมดาที่เอาแต่เก็บความลับเรื่องที่เป็นเกย์เอาไว้ ชีวิตไร้สีสัน กระทั่งได้มาเที่ยวบ้านของพันนาที่จังหวัดนี้ เขาก็ได้พบเจอเรื่องราวอัศจรรย์พันลึกมากมาย ทั้งภูตผี ปิศาจ อมุษย์ หรือแม้แต่เสือสมิง มันน่าเหลือเชื่อเกินไป หากไม่ประสบด้วยตัวเองเขาก็จะไม่มีวันเชื่อโดยเด็ดขาด

                เขาไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง นอกจากพ่อแม่ กลัวจะถูกกล่าวหาว่าเพี้ยน เจ้าหน้าที่ที่เช้ามาช่วยเหลือหลังจากออกมาจากป่าได้แล้วก็ยังไม่มีใครกล่าวถึง ราวกับทุกคนรู้ดีว่าแท้จริงแล้วลึกลงไปในป่ามีอะไรที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้

                กุมภ์คิดย้อนกลับไปเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวัน ที่เล่าให้โหรฟังว่ารถเสียหลักตกข้างทางนั้น ที่จริงแล้วเขาเห็นเงาดำไร้รูปร่างวิ่งผ่านหน้ารถ เลยหักพวงมาลัยหลบ แต่กลับกลายเป็นว่ารถเขาตกไล่ทางพุ่งเข้าชนกับต้นไม้ โชคยังดีที่อะไรบางอย่างกระชากเขาออกมาจากรถได้ทัน ดังนั้นเขาเลยค่อนข้างตกใจและหวาดกลัวไม่น้อยตอนที่ได้ยินจ้าวจอมเล่าเรื่องถนนเส้นนั้นให้ฟัง ส่วนรถอยู่ในอู่เรียบร้อยแล้ว เมื่อกี้ก่อนจะกินมื้อเย็นลองโทรไปถามช่างแล้ว อีกสองอาทิตย์กว่าจะเสร็จ ประเมินค่าใช้จ่ายก็ร่วมแสนบาท ดีหน่อยที่ทำประกันชั้นหนึ่งเอาไว้

                พ่อกับแม่ไม่ได้โทรถามอะไรอีกหลังจากบ่นยาวเหยียด แค่สั่งไม่ให้เขาขับรถกลับบ้าน คิดๆ แล้วตัวเองโชคดีหลายชั้นเหลือเกิน เจออะไรมากมาย เสี่ยงต่อชีวิตหลายครั้งแต่ก็รอดได้ทุกครั้ง ใครจะว่าเขางมงายก็ได้ แต่พรุ่งนี้เขาจะชวนโหรไปทำบุญให้พิกุล

                “คิดอะไรอยู่” เสียงห้าวดังขึ้นข้างๆ เขาหันหน้าไปทางคนถาม ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าหมู่นี้โหรดูดีขึ้น กล้ามเนื้อแน่นกว่าเดิมที่บอกว่าอ้วนคงเพราะเป็นมัดกล้ามที่ใหญ่และแข็งขึ้น

                ส่วนเขาไขมันล้วนๆ!

                “พรุ่งนี้ไปทำบุญให้พิกุลกัน” เขาชวน “วัดที่พันเคยบวชน่ะ”

                “เช้าคงไม่ทัน เดี๋ยวค่อยไปถวายข้าวเพลหลวงตาก็แล้วกัน”

                กุมภ์พยักหน้าเห็นด้วย กะทันหันเกินไปหน่อยเลยไม่ได้เตรียมอะไร แถมแถวนี้ก็ไม่มีตลาดเสียด้วยต้องขับรถเข้าเมืองไปหลายกิโลกว่าจะมีร้านขายของ

                “บ้านใหม่สวยดี” เขาชม ยื่นหน้ารับลมเย็นๆ มันสบายยิ่งกว่าเครื่องปรับอากาศในห้องนอนเสียอีก

                “ค่าจ้างช่างโคตรแพง ลองออกมาไม่ดีสิ พ่อจะให้ไอ้นิลไปเล่นงานให้บ้านพัง”

                นิลคือควายธนูที่เคยช่วยชีวิตพวกเขาเมื่อคราวที่ต้องปะทะกับตาเวก เขาไม่ได้ติดใจเรื่องนิลหากแต่เป็นค่าจ้างที่ว่าแพงต่างหาก “เสียเงินไปเท่าไรเหรอ ถ้ารู้สึกว่ามันเกินไป ผมหาทางฟ้องร้องให้ได้นะ”

                “หึ ไม่ขนาดนั้นร๊อกครับคุณทนาย” โหรแซว ว่าที่ทนายเลยหันมาค้อนใส่ “แค่ต้มยาแก้ล่มปากอ่าวให้มันไปเท่านั้นเอง”

                “ทะลึ่งว่ะ” กุมภ์ว่าขณะที่หน้าร้อนผ่าว เพิ่งรู้ว่าหมอโหรมีตำรายาแบบนี้อยู่ด้วยเหมือนกัน

                “อยากจะลองดูไหมล่ะ แต่อย่างเราสองคนอ่ะ ไม่จำเป็นต้องใช้ตัวช่วยหรอก” โหรยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่ชวนเสียวสันหลังชอบกล...

 :hao7:

รายงานความคืบหน้า "ไพรพิศวง 2 รักเธอจนตาย"

เป็นคู่ของจ้าวจอมกับพันนาเดินเรื่องนะคะ วางพล็อตแล้ว เรื่องย่อก็จัดการเรียบร้อย และกำลังแต่งบทนำค่ะ

รอสักหน่อยเด้อ เพราะงานประจำพรากเอาพลังงานไปเยอะเหลือเกิน

รักทุกคนนะคะ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 31 : เพราะคิดถึง] 26/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 26-05-2020 22:30:27
โหรจะปราบผีได้ไหม
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 31 : เพราะคิดถึง] 26/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 26-05-2020 23:16:37
 o13
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 31 : เพราะคิดถึง] 26/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 26-05-2020 23:29:52
พิกุลมาช่วยกุมภ์ไว้ด้วย  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 31 : เพราะคิดถึง] 26/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 27-05-2020 01:31:42
มียาดีอยู่แล้วพี่โหร รู้แล้วว่าคิดถึง
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 31 : เพราะคิดถึง] 26/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 27-05-2020 02:31:24
หึหึ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 31 : เพราะคิดถึง] 26/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: psychological ที่ 27-05-2020 02:50:54
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 31 : เพราะคิดถึง] 26/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 27-05-2020 09:28:34
กุมภ์น่าจะบอกโหรเรื่องเงาดำ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 31 : เพราะคิดถึง] 26/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 27-05-2020 13:57:20
พันนา โดนเด็กเกรียนวางยาเสียแล้ว หึงเขาไปเรื่อยนะ พอเจอตัวก็ห้ามใจตัวเองไม่อยู่
เจ้าจอม ก็คงคิดถึงพันนาทนไม่ไหวแหละ ถึงได้เดินทางมาหาโดยไม่บอก น่ารักจัง
กุมภ์ ดีใจด้วยที่ปลอดภัยนะ ดีใจที่ไม่เป็นอะไรมาก โหรรู้ข่าวถึงกับตั้งสติไม่อยู่ ดีที่ขับรถไปหา ไม่ไปชนใคร
โหร  ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากรู้สูตรยาแก้ล่มปากอ่าวเท่านั้น คนเขียนบอกได้ป่ะ อย่าเก็บเงียบไว้นะ อิอิอิ
 :z2: :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 31 : เพราะคิดถึง] 26/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: Austin ที่ 27-05-2020 16:12:34
เจ้าจอมมันร้ายจริงๆ :hao6:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 31 : เพราะคิดถึง] 26/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: valenna yy ที่ 27-05-2020 21:21:49
ทำไมไม่เล่าให้โหรฟังให้หมดดดดดด
พันนาเสียอาการมาก ดูออก อิอิ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 31 : เพราะคิดถึง] 26/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 28-05-2020 19:49:25
มีเรื่องน่าตื่นเต้นอีกแล้ว เงาดำนั่นน
จบตอนอบอุ่นดีจัง นึกถึงบรรยากาศบ้านพี่โหรแล้วน่าจะร่มรื่น และเย็นสบายแน่ๆเลย
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 31 : เพราะคิดถึง] 26/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 29-05-2020 20:58:59
 o13
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 31 : เพราะคิดถึง] 26/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: Gimlongdeep ที่ 30-05-2020 09:15:26
อ่านไปมันก้อดที่จะขนลุกไม่ได้เลยอ่ะเนอะะ แฮร่ มองหลังแวบๆค่ะ ว่าแต่ทำไมชื่อเรื่องของพันนามันแปลก5555557หรือเราคิดเองคนเดียวเหมือนมันไม่ใช่รักใสๆอย่างเดียว
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 31 : เพราะคิดถึง] 26/05/2563
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 30-05-2020 09:25:19
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 32 : ยังไม่จบ(อวสานภาค1)] 02/06/2563
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 02-06-2020 20:56:52
ตอนที่ 32 ยังไม่จบ

                กุมภ์นั่งบนเตียงกว้าง หลังจากพูดคุยกันนิดหน่อยก็ชักจะง่วงนอน ยาคงเริ่มออกฤทธิ์แล้ว เขาอ้าปากหาวอยู่หลายครั้งจนโหรต้องไล่ให้มานอนก่อน ที่นอนห้องหับไม่ได้จัดเตรียมเอาไว้ให้ เลยต้องนอนห้องเดียวกัน ความง่วงงุนแทบจะหายไปเมื่อเห็นหมอนสองใบวางติดกัน จู่ๆ แก้มก็อุ่นขึ้น ถึงแม้พวกเขาจะคบหาดูใจกันในฐานะคนรักมานานหลายเดือนแล้ว แต่ความสัมพันธ์ทางร่างกายแทบจะไม่ขยับไปไหนเลย มากที่สุดก็คราวก่อน ตอนที่โหรไปหาเขาที่บ้าน

                ทว่าภาพและความรู้สึกในตอนนั้นมันยังชัดเจนราวกับเพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน สัมผัสจากฝ่ามือกร้าน เสียงหอบหายใจ สำหรับเขาแล้วมันคือครั้งแรก เช่นเดียวกันกับโหรที่เพิ่งจะทำแบบนี้กับเพศเดียวกัน ลึกๆ แล้วเขาอดโล่งใจไม่ได้ที่โหรไม่ได้ขยะแขยงจนไม่กล้าแตะต้องเขา

                กุมภ์ก่นด่าในความคิดลามกของตัวเอง ก่อนจะคลานขึ้นไปนอนบนเตียง เลือกฝั่งซ้ายมือที่ติดกับหน้าต่าง โหรอาบน้ำอยู่ข้างล่าง ที่นี่มีห้องอาบน้ำเพียงห้องเดียวซึ่งอยู่ชั้นล่าง ติดกับครัว ถึงจะไม่ไดสะดวกสบายเท่าที่บ้านแต่ก็สะอาดใช้ได้

                โหรไม่ใช่พวกนิยมวัตถุ ไม่ตกแต่งบ้านด้วยเฟอร์นิเจอร์หรือสิ่งอื่นที่ไม่จำเป็น แค่มีเครื่องใช้ไม้สอยที่พอจะอำนวยความสะดวกให้ตามประสาหนุ่มโสดที่อยู่บ้านคนเดียว แต่ไม่ลืมที่จะติดรูปบรรพบุรุษและพระอาจารย์ที่เคยให้ความรู้มา ที่น่าแปลกนิดหน่อยคือไม่มีรูปพ่อกับแม่ และนี่ก็เป็นอีกเรื่องที่โหรไม่อยากจะเล่าให้เขาฟังสักเท่าไร เคยเพียรถามอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่ได้รับคำตอบแน่ชัดสักเท่าไร เขาเลยขี้เกียจถามอีก

                ลมเย็นๆ จากพัดลมเพดานช่วยคลายความร้อนลงไปได้บ้าง แผลที่หน้าผากปวดตุบๆ ตามที่คาดการณ์ไว้ ส่วนแผลถลอกแทบจะไม่รู้สึกอะไรเลย กลิ่นเจ้าของห้องยังติดอยู่ที่หมอนและผ้าปูเตียง ยาออกฤทธิ์อีกครั้ง เปลือกตาชักจะหนักมากขึ้นทุกที สติพร่าเลือนมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก่อนที่จะจมสู่โลกแห่งความฝัน เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นเสียก่อน ถึงแม้ว่ามันจะเบามากก็ตาม กุมภ์ขยับตัวเล็กน้อย เสียงเสียดสีของเสื้อผ้าทำให้คนที่เพิ่งเข้ามาเอ่ยทัก     

                “ยังไม่นอนอีกเหรอ เดี๋ยวก็ปวดแผลหรอก”

                “กำลังจะหลับ” กุมภ์ว่า “สวดมนต์แล้วเหรอ”

                “อืม สวดแล้ว”

                โหรตอบด้วยระดับน้ำเสียงที่เบากว่าปกติ กลิ่นสบู่ก้อนละสิบเจ็ดบาทลอยในอากาศ มันหอมเย็นชื่นใจชวนให้ผ่อนคลาย น่าแปลกแทนที่จะง่วงเขากลับตาสว่าง เฝ้ามองอิริยาบถของอีกคนคล้ายกับถูกสะกด

                โหรสวมเสื้อกล้ามกับกางเกงผ้าขายาวเนื้อบาง กล้ามเนื้อที่เขาสันนิษฐานไว้ว่ามันใหญ่กว่าขึ้นนั้นมันเป็นจริง ผิวสีแทนละเอียด เส้นผมสีดำเปียกลู่และถูกหวีเสยไปด้านหลัง ท่าทางงานราชการจะไม่ได้ทำแค่ในห้องแอร์ แต่น่าจะอยู่นอกห้องเสียมากกว่า เพราะเขาคิดว่าผิวของโหรเข้มขึ้นด้วย

                เจ้าของห้องยังไม่ได้มาที่เตียง เดินสำรวจโน่นนี่ตามประสาคนรอบคอบ ก่อนจะหยุดมองหน้าเขาเล็กน้อย เอ็ดเบาๆ เรื่องที่เขายังไม่นอน ก่อนปิดไฟกลางห้องลง ความมืดปกคลุมในทันทีทำให้การมองเห็นถูกปิดกั้นไปชั่วขณะแม้จะไม่ได้หลับตา ที่นอนข้างๆ ก็ยวบลง ไออุ่นจากเรือนกายใหญ่โตแผ่มาถึงแม้จะไม่ได้นอนใกล้ชิดติดกันนัก โหรขยับตัวคล้ายกับจะพลิกตัวนอนตะแคง สายตาของคนเจ็บค่อยๆ ปรับกับความมืดได้ถึงได้เห็นเงาร่างของโหรที่อยู่ห่างออกไปราวครึ่งฟุต โหรนอนตะแคงจริงๆ แถมยังตะแคงมาทางเขาอีกด้วย

                “ทำไมยังไม่นอน” เจ้าของบ้านถามเสียงดุ ดวงตาคมเหมือนเสือเพ่งมองมาคล้ายจะตำหนิ

                “ดื้อยามั้ง” กุมภ์ตอบกำกวม “แม่ฝากของมาด้วยล่ะ แต่อยู่ในกระเป๋า”

                “หืม?” โหรรับคำในคอ

                “ยาชูกำลัง เห็นว่าได้มาจากเมืองจีน”

                มันอยู่ในกระเป๋าจริงๆ มัวแต่ยุ่งๆ แถมยังเพลียเลยไม่ได้เอาออกมาให้ แม่ได้มาจากเมืองจีนตอนที่ไปเที่ยวกับกรุ๊ปแชร์เมื่อเดือนก่อน แม่มีของมาฝากโหรแต่ไม่มีมาเผื่อถึงเขา วันๆ ก็เอาพูดถึงแต่โหร บอกว่าวิธีทำปุ๋ยของโหรดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ สมุนไพรที่โหรแนะนำก็ดีเหลือเกิน เพื่อนๆ ชื่นชอบกันยกใหญ่ จนเขาชักไม่แน่ใจแล้วว่าใครเป็นลูกกันแน่

                “ระดับนี้แล้วไม่ต้องชูอะไรแล้วล่ะ แต่ยังไงก็ชอบใจแม่มากนะ” โหรบอกเสียงต่ำและแหบผิดปกติ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า เสียงลมหายใจของโหรมันกระชั้นแปลกๆ พิกล “นอนเถอะ มืดแล้ว พรุ่งนี้ต้องไปซื้อของทำบุญแต่เช้า”

                “อืม”

                กุมภ์รับคำ ปิดตาลงอีกครั้ง ยาออกฤทธิ์เต็มที่แล้ว แผลบนหน้าผากไม่ค่อยปวดเท่าไร ความง่วงงุนเข้าครอบครอง ความคิดเชื่องช้าลง ในที่สุดก็หลุดเข้าไปในห้วงนิทรา

                โหรยังไม่หลับ ดวงตาปรับรับกับความมืดได้อย่างรวดเร็วเพราะเคยชิน สมัยก่อนตอนที่อยู่กับพระอาจารย์ที่วัดป่าไม่ได้มีไฟฟ้าใช้สะดวกสบายเหมือนสมัยนี้ อย่างดีก็แค่ตะเกียงเจ้าพายุคนละอันเท่านั้น เขาเฝ้ามองคนรักที่เพิ่งจะหลับไปเมื่อครู่นี่เอง ลมหายใจผ่อนเข้าออกสม่ำเสมอ ดวงตาปิดสนิท สีหน้าดูเหนื่อยอ่อนอย่างเห็นได้ชัด คิดแล้วก็นึกโกรธตัวเองที่เมื่อตอนเย็นเผลอโมโหใส่ทั้งที่กุมภ์เจ็บหนักขนาดนี้

                โหรยื่นมือไปปัดเส้นผมที่ปรกหน้าผากเหนือแผลออก ปลายนิ้วแตะโดนกับแก้มนุ่ม กุมภ์อ้วนขึ้นจริงๆ นั่นแหล่ะ แต่ไม่ได้มากมายอะไร ไขมันส่วนใหญ่น่าจะมาอยู่ที่แก้ม โหมอมยิ้ม แก้มกุมภ์นุ่มเหมือนเด็ก ผิวเนียนละเอียดยิ่งกว่าผู้หญิงเสียอีก อยู่ใกล้ทีไรรู้สึกเหมือนจะควบคุมตัวเองไม่ได้เสียเรื่อย คงเหมือนแม่เหล็กต่างขั้นที่มักดึงดูดเข้าหากันเสมอ เขาขยับตัวแผ่วเบาเข้าใกล้อีกนิด กระทั่งสัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย ริมฝีปากอิ่มเผยอขึ้นน้อยๆ เปลือกตาทับแก้วตากลมใส ขนตาไม่หนาไม่บาง จมูกโด่งรั้น ยิ่งพิศก็ยิ่งน่าหลงใหล เขารู้ว่ากุมภ์เป็นผู้ชายหน้าตาดี จัดว่าหล่อเลยด้วยซ้ำ แต่บางมุมก็น่ารักไม่น้อย

                ท่อนแขนเรียวมีรอยเขียวจ้ำเพราะอุบัติเหตุวางแนบกับเตียง ผ้าห่มคลุมอยู่แถวสะโพก ปกปิดท่อนขายาว กุมภ์ไม่ใช่ผู้ชายตัวเล็ก ส่วนสูงสูสีกับเขา แต่เรื่องความหนาของกล้ามเนื้อห่างกันหลายขุม รายนี้คงไม่ได้ชอบออกกำลังกายนัก รชตเคยส่งข่าวมาว่าปรางค์กำลังจะเปิดร้านเค้กเลยมักจะทำเค้กสูตรใหม่ๆ มาให้กุมภ์ชิม นี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้แก้มของกุมภ์มกลมมากกว่าเดิม

                โหรอมยิ้ม เกลี่ยปลายนิ้วกับแก้มกลมเล่น หนทางความรักของเขากับกุมภ์คงไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบตลอดไป ถึงตอนนี้พ่อแม่ของกุมภ์ยอมรับเขาได้แล้ว ทว่ายังมีสังคมรอบข้างอีกอย่างที่เป็นอุปสรรค ที่สำคัญ พ่อของเขา ถึงจะไม่ได้สนิทสนมชิดเชื้อเหมือนพ่อลูกทั่วไป แต่สักวันเขาต้องพากุมภ์ไปแนะนำในฐานะคนรักอยู่ดี แต่คนที่น่าจะลำบากกว่าคือกุมภ์ สังคมความเป็นอยู่ของกุมภ์กว้างกว่าเขามากนัก อีกไม่เกินสองปีกุมภ์ก็อาจจะได้เป็นทนายความ หรือที่ปรึกษาชั้นยอดของบริษัทใหญ่ที่ไหนสักแห่ง ไหนจะฐานะทางบ้านที่จัดอยู่ในระดับไม่ธรรมดา จะมีสักกี่คนที่ยอมรับในตัวตนของพวกเขา นี่เป็นสาเหตุหลักที่ทำไมเขาถึงยอมทำงานไม่คุ้มเงิน เพราะอย่างน้อยๆ กุมภ์จะได้ไม่อายใครเมื่อต้องแนะนำว่าเขาคือคนรัก

                โหรถอนหายใจแผ่วเบา ลืมตาดูโลกมายี่สิบกว่าปีเพิ่งจะมาคิดถึงอนาคตก็ตอนนี้ ก่อนหน้าที่จะเจอกุมภ์ เขาตั้งใจจะเป็นหมอสมุนไพรไปจนตาย ถึงจะไม่ได้มีตำแหน่งแต่ก็มีเงินไปจนตาย ทว่าเมื่อได้มาเจอกับกุมภ์ แผนการดำเนินชีวิตก็ต้องเปลี่ยนไปหมด เขาจำต้องมีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่ง มีความรู้ที่สูงกว่านี้ มีฐานะที่มั่นคงกว่านี้ และนี่คงเป็นสิ่งเดียวที่เขาทำเพื่อกุมภ์ได้

                ชายหนุ่มเลื่อนมือไปที่เอวของคนรัก ออกแรงรั้งร่างให้ขยับมาชิดจนศีรษะเกยที่ลูกคาง เขาก้มลงกดจมูกกับกลุ่มผมนุ่ม สูดเอากลิ่นแชมพูไว้ในปอด ก่อนจะปิดตาลงข่มความคิดและพาตัวเองเข้าสู่โลกแห่งนิทรา...

 

                เสียงไก่ขันที่คล้ายๆ กับจะดังมาจากที่ไกลๆ ปลุกให้หลุดจากโลกแห่งความฝัน เปลือกตาหนักขึ้นขยับอย่างเกียจคร้าน และสุดท้ายก็จำต้องยอมแพ้ปิดมันลงไปอีกครั้ง พร้อมกับขยับกายเข้าหาไออุ่นแสนสบายจากหมอนข้าง มือเคลื่อนคว้ามันไว้หมายจะดึงให้เข้ามาใกล้กว่านี้ ทว่าหมอนข้างใบนี้มันใหญ่นัก โอบเท่าไรก็ยังไม่มิด ซ้ำมันยังแข็งกว่าที่เคยรู้สึกอีกด้วย

                หมอนข้างใบนี้แปลกจัง

                พอคิดได้ก็ฝืนลืมตาขึ้นมอง ภาพการมองเห็นพร่าเลือนในคราแรก มือไม้คลำสะเปะสะปะช่วยอีกทาง ยิ่งสัมผัสก็ยิ่งแปลก และมั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ ว่านี่ไม่ใช่หมอนข้างในห้องนอนของตนแน่นอน กระทั่งสายตามองเห็นได้ตามปกติถึงได้สำเหนียกได้ว่าสิ่งที่ตนคิดว่าเป็นหมอนข้างนั้นแท้จริงมันคือร่างกายของมนุษย์!

                พี่โหร!

                กุมภ์อุทานในใจ หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง มือทั้งสองข้างเกาะเกี่ยวเอวของโหรไว้ไม่ต่างจากลูกลิง ขาก็ก่ายเกย ศีรษะวางพาดบนหน้าอกแข็งและกว้าง จำได้ว่าตอนนอนก็หนุนหมอนปกติ แต่เหตุใดตื่นมาถึงได้มาหนุนอกโหรแทนเสียได้ และคงแสดงสีหน้ามากเกินไปแผลที่หน้าผากเลยเจ็บจี๊ดขึ้นมา ขณะที่กำลังจะยกมือขึ้นคลำแผล อะไรบางอย่างก็รวบเข้าที่เอวเสียก่อน

                หมอนข้างใบนี้ร้ายกาจและเจ้าเล่ห์นัก แขนกอดหนุบหนับแต่ตาทำเป็นปิดสนิท คนอย่างโหรไม่มีทางนอนจนไม่รู้สึกตัวหรอกว่ามีคนเคลื่อนไหวอยู่ใกล้ๆ

                “ตื่นแล้วก็อย่ามาทำฟอร์ม”  เขาพูดขึ้น แต่อีกคนก็ยังแกล้งหลับต่อไป

                กุมภ์หมั่นไส้เลยหยิกที่พุงไปเต็มรัก คราวนี้ได้ผลคนขี้แกล้งร้องโอยลืมตาตื่นทันที

                “ซาดิสก์เหรอเราน่ะ” โหรว่า ดวงตาของคนเพิ่งตื่นไม่มีแววง่วงเหงาเลยสักนิด ก่อนจะรวบมือที่ทำร้ายตัวเองเอาไว้ “เมื่อคืนนอนหนุน นอนกอดทั้งคืน พี่แค่กอดเอวหน่อยเดียวเอง”

                “ก็...ก็มันไม่รู้ตัวนี่” กุมภ์เถียง แก้มร้อนผ่าวในทันที พยายามจะขืนตัวออกอีกครั้ง แต่โหรก็ยังไม่ให้ความร่วมมืออยู่ดี “ปล่อย...ต้องไปซื้อของที่ตลาดไม่ใช่เหรอ”

                “เพิ่งจะตีห้าครึ่งเอง พอมีเวลา”

                “เวลา?” กุมภ์เลิกคิ้วสงสัย แล้วก็นึกขึ้นได้

                ผู้ชายทุกคนต้องเป็น...เมื่อตื่นนอน เขาเองก็เช่นกัน

                ส่วนกลางลำตัวปวดหนึบกะทันหัน ที่ดีนอนตะแคงไม่อย่างนั้นได้อายแทรกแผ่นดินหนีแน่ๆ

                แต่ถ้าเขารู้สึก โหรเองก็น่าจะเหมือนกัน คิดได้อย่างนั้นก็หันหลังกลับไปมอง มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ กางเกงบอลตัวเก่าเนื้อผ้าบางเบามีบางอย่างโป่งพองขึ้นมา อวดรูปร่างใหญ่โตชัดเจน

                “ทะลึ่งว่ะ” กุมภ์ทุบปักลงไปบนหน้าท้องแข็งเหมือนแผ่นเหล็ก โหรร้องโอยเบาๆ ฟังก็รู้ว่าแกล้งเจ็บ ตัวแข็งขนาดนี้กำปั้นของเขาไม่ต่างจากนุ่นไปตีหรอก

                “ทำไมล่ะ มันเป็นปกติของผู้ชาย ของเราก็เหมือนกัน” โหรว่า ยิ้มมุมปาก พลางทำท่าจะพลิกตัวกุมภ์ให้นอนหงาย

                “ผมไม่ได้ทะลึ่งเหมือนพี่นะ ปล่อยเลย” กุมภ์ไม่ยอม อย่างน้อยก็ขอยื้อเวลาจนกว่าส่วนนั้นจะสงบลง แต่มันไม่ง่ายเลยกำลังของโหรมีมากกว่าเขาเป็นเท่าตัว ถึงความสูงจะไม่ห่างกันนัก แต่ความกำยำล่ำสันโหรเป็นต่ออยู่มากทีเดียว

                หลังจากยื้อยุดกันอยู่ครึ่งนาที ร่างของกุมภ์ก็ลงมานอนแผ่หลาข้างใต้ โดยมีโหรคร่อมอยู่ด้านบน กุมภ์หอบหายใจด้วยเหนื่อยหอบนิดหน่อย แต่โหรกลับยิ้มกรุ้มกริ่ม ดวงตาคมใหญ่ฉายแววเจ้าเล่ห์เหมือนเสือหยอกเหยื่อ

                “กุมภ์...” โหรเรียก พลางหลุบตาต่ำไปกลางลำตัว “พี่อยากว่ะ”

                “ไอ้พี่โหร! ลามกนัก ลุกออกไปเดี๋ยวนี้เลย!” กุมภ์ตวาด ยกมือขึ้นผลักหัวไหล่หนา แต่ก็อีกนั่นแหล่ะ ไม่ขยับเขยื้อนสักนิด สายตาที่แฝงไปด้วยความต้องการมองตรงมาเล่นเอาใจสั่น โหรไม่ใช่คนเจ้าชู้ ออกจะนิ่งๆ เสียด้วยซ้ำ ทว่าเวลาเช่นนี้กลับรู้สึกว่าเสน่ห์ของเสือมันแพรวพราวไปหมด

                “พี่ก็ลามกกับกุมภ์แค่คนเดียวนั่นแหล่ะ”

                “ไม่ได้! อื้อ”

                โหรไม่รอให้กุมภ์ได้ต่อว่าต่อขานอะไรอีก ริมฝีปากหยักฉกวูบลงมาประกบกับกลีบปากอิ่มสีสด ดูดดึงเอาแต่ใจ เสียงประท้วงอยู่ในคอของคนเสียเปรียบ โหรขยับปากเม้มไปเรื่อยจนกุมภ์โอนอ่อนยอมเผยอปากให้ลิ้นชื้นสอดเข้ามาในโพรงปาก เกี่ยวกระหวัดหยอกล้อ บางครั้งก็ดูดกลืนราวกับหิวกระหาย

                กุมภ์รู้สึกถึงหัวใจที่เต้นโครมครามของตัวเอง มือที่กำหมายจะทุบอกหนาผ่อนลงและกลายเป็นยกเลื่อนไปโอบรอบลำคอแกร่ง รสจูบหวานซาบซ่านเหมือนน้ำอัดลมผสมน้ำแดง เสียงของเหลวดังก้องในหูแข่งกับเสียงเต้นของหัวใจ ร่างกายร้อนผ่าวทั้งที่อากาศในย่ำรุ่งแสนสบาย ร่างกายท่อนล่างแนบชิดจนรู้สัมผัสได้ถึงบางอย่างที่โป่งพอง โหรขยับสะโพกอย่างหยาบโลน เสียดสีสิ่งนั้นไปมาบอกถึงความต้องการที่มีมากกว่าจูบ

                “อืม อืม”

                เสียงของใครบางคนดังขึ้น พร้อมกับมือของโหรที่สอดเข้ามาในเสื้อยืด ปลายนิ้วแข็งแตะกับยอดถันได้ตรงตำแหน่ง กุมภ์ผวาเฮือกตัวสั่น ถึงจะไม่ได้มีหน้าอกหน้าใหญ่อวบล้นมือเหมือนผู้หญิง แต่ยอดอกก็เป็นหนึ่งในส่วนอ่อนไหวเหมือนกัน โหรใช้นิ้วชี้หยอกเอินพร้อมกับปลุกเร้า กุมภ์เหยียดหลังจนเอวแอ่น บิดตัวคล้ายกับจะหนีสัมผัสวาบหวาม อึดใจต่อมาชายเสื้อก็เลิกขึ้นจนถึงคอ

                โหรผละริมฝีปากอิ่มให้ได้อิสระลิ้นหยาดน้ำใสไว้ที่มุมปาก ก่อนจะเคลื่อนปากร้ายกาจลงมาที่ลำคอขาว ดูดเม้มสร้างร่องรอยแห่งความเป็นเจ้าของเอาไว้หลายจุด กุมภ์คิดจะห้ามแต่เรี่ยวแรงมันแทบไม่เหลือ ไม่นานสัมผัสเปียกชื้นก็มาถึงแผ่นอก ลิ้นอุ่นไล้เลียปลายถันสีอ่อนดูดกลืนราวกับตัวเองเป็นทารก ศีรษะทุยซุกซบกับหน้าอกขาว มือกร้านเลื่อนลงมาเกาะกุมช่วงเอวบาง อาศัยจังหวะที่กุมภ์กำลังระทดระทวยใช้ปลายนิ้วเกี่ยวเอากางเกงวอร์มหลุดจากสะโพกลงมาถึงหน้าขา กุมภ์ไม่ได้ใส่ชั้นในนอน ซึ่งก็เหมือนกับผู้ชายทั่วไป ดีไม่ดีบางคนแก้ผ้านอนด้วยซ้ำ

                ฝ่ามือกร้านกอบกุมส่วนหน้าราวกับเป็นเจ้าของ กุมภ์สะดุ้งเฮือกบิดสะโพกหนีไม่ทัน ความเสียวกระสันโจมตีรุนแรง อ้าปากหายใจหนักๆ ไหนหน้าอกที่ถูกลิ้นร้ายไล่เลีย ไหนจะส่วนนั้นที่กระตุ้นเร้า โหรรูดรั้งไปตามความยาว เพียงไม่กี่ครั้งมันขยับขยายแทบจะเต็มกำลัง กุมภ์สูดปากอย่างควบคุมไม่ได้ ความต้องการเอ่อล้นจนแทบจะทะลัก และคงเป็นอย่างนั้นจริงๆ หากโหรไม่ละมือไป ถึงจะเสียดายแทบขาดใจ แต่ก็ดีกว่าปล่อยออกมาทั้งที่เพิ่งจะถูกกระตุ้นได้แค่ไม่กี่ที

                อ่อนหัดชะมัด!

                แต่โล่งใจได้ไม่นานเมื่อโหรลากลิ้นต่ำลงไปที่สะดือ ก่อนที่ส่วนนั้นจะถูกครอบครองด้วยโพรงปากอุ่นชื้น

                “อ๊ะ ไม่เอา...อื้อ”

                เสียงห้ามไม่ต่างจากการกระซิบ มันแผ่วเบาและไร้กำลังเหลือเกิน กุมภ์เกาะเกี่ยวหัวไหล่หนา บางคราก็ผลักออก ความเสียวเสียดรุนแรงจนร่างกายร้อนไปหมด สะโพกยกสูงพยายามจะหนีแต่กลายเป็นตอบรับกับการกระตุ้น ลิ้นหนากวาดไล่ไปตามความยาวเน้นหนักๆ ที่ส่วนปลายโดยไม่นึกรังเกียจหยาดน้ำที่หลั่งไหลออกมาเรื่อยๆ ปลายเท้าเหยียดเกร็งจิกกับเตียงจนยับย่น ยิ่งเห็นปฏิกิริยาของกุมภ์ โหรก็ยิ่งได้ใจ มือข้างหนึ่งเลื่อนไปขยำบั้นท้ายขาวเนียน และโดยไม่คาดคิด มือหนาจับพลิกร่างของกุมภ์ให้นอนคว่ำ รั้งสะโพกกลมให้สูงขึ้น ขณะที่ใบหน้าของกุมภ์แนบกับหมอน ส่วนหน้าเสียดสีกับเตียงหยาดน้ำไหลเปียกเป็นหย่อม

                “อา”

                กุมภ์ร้องครวญ รับรู้ถึงฝ่ามือกร้านที่เคลื่อนไหวที่บั้นท้ายตัวเอง ก่อนที่มันจะแหวกรอยแยกออก กุมภ์ใจหายวูบเผลอเกร็งตัวกะทันหัน บางอย่างแตะที่รอยพับจีบปิดสนิท ตอนแรกคิดว่าเป็นนิ้ว ทว่ามันเย็นและชื้นกว่านั้น

                ลิ้น!

                โหรเลียตรงนั้นของเขา!

                “ยะ...อย่า มันสกปรก”

                ไร้คำตอบโต้เพราะลิ้นขยับเคลื่อนไหวอยู่บนรอยจีบที่ปิดสนิท กุมภ์เกร็งไปทั้งร่าง เสียววูบวาบแปลกๆ คล้ายมีกระแสไฟฟ้าวิ่งไหลอยู่ในกาย มือขยำผ้าปูเตียงจนมันยับย่น

                สำหรับโหรแล้วไม่มีส่วนไหนของกุมภ์ที่เรียกว่าสกปรก ผิวของกุมภ์ขาวเหมือนหยวกกล้วยเนียนละเอียดไม่ต่างจากผ้าแพรชั้นดี ก้อนเนื้อบั้นท้ายหนั่นแน่น ต้นขาขาวเรียวสวยไม่มีเส้นขนเกะกะลูกตา เขาแยงลิ้นทักทายกับรอยจีบสีสด กุมภ์สะดุ้งไหวเป็นระยะพร้อมกับเสียงครวญคราง แผ่นหลังไหวระรอก เมื่อกล้ามเนื้อตรงนั้นอ่อนนุ่มลงเขาก็เปลี่ยนเป็นใช้สิ่งที่ใหญ่กว่าลิ้นขึ้นมาหน่อย นี่ไม่ใช่ช่องทางที่ถูกสร้างมาเพื่อรองรับบทรัก ดังนั้นหากไม่เตรียมความพร้อมกุมภ์จะต้องเจ็บมากแน่นอน ดีไม่ดีอาจจะต้องถึงมือหมอมือพยาบาลด้วยซ้ำ ซึ่งเขาไม่มีทางให้คนอื่นเห็นส่วนสำคัญของกุมภ์เป็นอันขาด

                นิ้วชี้สอดเข้าไปในโพรงแคบคับร้อนจัด มันเป็นสัมผัสที่เขาไม่คุ้นเคยมาก่อนแต่กลับรู้สึกตื่นเต้นไปหมด กุมภ์แอ่นสะโพกสูงขึ้นหอบหายใจหนักหน่วง เขาหมุนควานเพื่อขยายช่องทางให้กว้างมากพอ ก็ไม่อยากจะอวดอ้างแต่โหรน้อยไม่ได้น้อยตามชื่อหรอก อาจจะใหญ่เกินมาตรฐานชายไทยเสียด้วยซ้ำ จากหนึ่งนิ้วเพิ่มเป็นสอง มันคับแน่นฝืดเคืองจนต้องใช้น้ำลายช่วย กุมภ์ร้องอืออา เสียงแหบต่ำน่าฟังอย่างบอกไม่ถูก เขาไม่เร่งรีบแม้โหรน้อยจะปวดหนึบจนแทบทนไม่ไหว มันดันกางเกงเสียจนตึงไปหมด แต่ถ้าหากบุ่มบ่ามเอาแต่ใจกุมภ์ก็จะเจ็บตัว

                โหรวนเวียนอยู่กับด้านหลังของกุมภ์ นิ้วมือเพิ่มเป็นนิ้วที่สาม ขยับเข้าออกไปเคลื่อนไหวเชื่องช้า ทว่าความฝืดเคืองคับแน่นลดน้อยลงเรื่อยๆ ขณะที่เสียงครางผะแผ่วของกุมภ์ก็ดังต่อเนื่องไม่หยุด ยิ่งกระตุ้นความต้องการให้มีมากขึ้นทุกที คราแรกเขาแค่อยากจะมอร์นิ่งคิสแบบฝรั่ง แต่ความต้องการของเพศชายมันห้ามได้เสียที่ไหน โดยเฉพาะเมื่อได้อยู่กับคนรัก

                เมื่อคิดว่าด้านหลังของกุมภ์ลดความคับแน่นลงจนพอที่จะรับโหรน้อยได้แล้ว เขาก็จัดการดึงกางเกงลง ท่อนเนื้อแข็งจัดดีดเด้งออกมา มันขยายตัวเต็มที่โดยไม่ได้แตะต้องด้วยซ้ำ โหรจับส่วนปลายจดจ่อกับปากทางที่เผยอน้อยๆ หัวใจหนุ่มวัยฉกรรจ์เต้นแรง ตื่นเต้นและเสียวกระสันไปทั้งตัวเหมือนเด็กหนุ่มที่เพิ่งเจอกับเรื่องเพศครั้งแรก

                “อื้อ!”

                 กุมภ์ร้องเบาๆ เมื่อเขาพยายามจะดันโหรน้อยเข้าไป แต่ช่องทางที่เบิกขยายเอาไว้มันยังเล็กกว่าของเขาอยู่ไม่น้อย ไม่ใช่แค่กุมภ์หรอกที่เจ็บ เขาเองก็ทรมานไม่ต่างกัน

                “ชู่ว อดทนหน่อยนะคนดี” ไม่พูดเปล่า เขายังก้มลงจูบบนแผ่นหลังบางเพื่อปลอบประโลมอีกด้วย แต่กุมภ์ยังคงเกร็งจนขาสั่นระริก เขาเกือบจะถอดใจเพราะความสงสาร ทว่าความต้องการของผู้ชายมันไม่หยุดกันได้ง่ายๆ เสียที่ไหน

                เสียงไก่ร้องดังมาจากท้ายหมู่บ้าน ส่งสัญญาณการเข้าสู่วันใหม่ แต่ภายในห้องสี่เหลี่ยมขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก สองร่างกึ่งเปลือยคร่อมทับคลอเคลียไม่ห่าง โหรพรมจูบไปทั่วแผ่นหลังบาง พยายามถึงความสนใจเพื่อหวังว่ากุมภ์จะลืมความเจ็บปวดไปได้บ้าง กุมภ์สั่นสะท้านเมื่อเขากดแก่นกายให้ลึกเข้าไปอีกหน่อย ส่วนปลายจมหายทีละน้อยพร้อมกับความคับแน่นที่บีบรัดราวกับจะแตกหัก กุมภ์ครางเบาหวิวเหมือนลูกแมว เขาใช้มือข้างหนึ่งเลื่อนไปด้านหน้าช่วยรูดรั้งสัดส่วนที่เริ่มจะอ่อนตัวลงให้กลับมาแข็งขึ้นอีกครั้ง

                “ฮือ เจ็บ อึก พอก่อนได้ไหม”

                กุมภ์ร้องขอในเรื่องที่เขาให้ไม่ได้ ถึงขนาดนี้แล้วเขาไม่อาจล้มเลิกกลางคันได้ “อย่าเกร็งคนดี หายใจช้าๆ”

                “แต่มันเจ็บ” กุมภ์โต้ เสียงสั่นเล็กน้อย ท่าทางจะเจ็บมากจริงๆ นั่นแหล่ะ

                ก็นะ...โหรน้อยของเขามันไม่ธรรมดาเสียด้วยซี่

                โหรกัดฟันดังกรอด กดสะโพกเข้าไปเรื่อยๆ จนเกือบครึ่งได้หยุดเพราะกุมภ์รัดแน่นเกินกว่าจะฝืนไหว เขาแช่ตัวอยู่อย่างนั้น เหงื่อกาฬเม็ดใหญ่ผุดพราย โน้มตัวรั้งร่างบางกว่าขึ้นมา กุมภ์ตัวอ่อนไปหมด หายใจกระเส่า กุมภ์เอียงหน้าเข้าหาดวงตาปรือปรอย เขาเห็นแววฉ่ำรื้นแถวหางตา

                “ทนหน่อยนะ เกือบจะหมดแล้ว” โหรกระซิบชิดใบหูเล็ก ใช้ฟันงับไปเบาๆ ด้วยอดมันเขี้ยวไม่ได้

                “อือ...”

                กุมภ์ไม่ได้ตอบอะไร แต่แนบบั้นท้ายติดกับหน้าขาของเขา ศีรษะเอนซบกับซอกคอ โหรโอบมือผ่านเอวคอดไปที่หน้าท้อง ขณะที่อีกมือขยับรูดรั้งส่วนหน้าไปด้วย นานจนเกือบทนไม่ไหว ช่องทางด้านหลังก็คล้ายกับคลายตัวลง โหรขบกรามแน่นดันส่วนที่เหลือเข้าไปจนสุด ความอบอุ่นเกือบร้อนโอบอุ้ม บางจังหวะคล้ายกับจะดูดกลืนให้เข้าไปลึกกว่าเดิม โหรสูดปากด้วยความเสียวกระสันแบบที่ไม่เคยพบพานมาก่อน ขนในกายลุกชัน เหงื่อไหลอาบน้ำ ต้นขาเกร็งแน่น มือกดแน่นที่หน้าท้องแบนราบของกุมภ์ ก่อนจะก้มหน้ากับหัวไหล่ที่เล็กกว่าตัวเอง กุมภ์ตัวสั่นครางกระเส่าไม่หยุด ขณะที่ช่องทางด้านหลังตอดขมิบไม่หยุด

                “แน่น ชะมัด” โหรกระซิบบอกไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าเซ็กซ์กับผู้ชายมันจะรุนแรงขนาดนี้

 (มีต่อ)               

หัวข้อ: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 32 : ยังไม่จบ(อวสานภาค1)] 02/06/2563
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 02-06-2020 20:58:39
เขาอดทนรอจนกุมภ์ผ่อนคลายลง ความฉ่ำชื้นด้านในช่วยให้ขยับตัวได้ง่ายขึ้นเล็กน้อย เขาถอนตัวออกมาเชื่องช้า แล้วดันกลับเข้าไปใหม่ กุมภ์ส่งเสียงแหบพร่าทำท่าจะล้มลงไปนอนหลายรอบหากเขาไม่เกี่ยวเอวเอาไว้ โหรทำซ้ำในอีกหลายครั้งกระทั่งการเคลื่อนไหวมันราบลื่นขึ้น เสียงบั้นท้ายกระทบกับต้นขาดังขึ้นเรื่อยๆ แทรกด้วยเสียงครางของกุมภ์

                “พี่ ผม อื้อ ไม่ไหว”

                กุมภ์บอกเสียงกับตัวสั่นพอกัน เขาจับแผ่นหลังขาวให้ต่ำลง กุมภ์ซุกหน้าลงกับหมอนใบเดิม หลังแอ่นโค้งสะโพกลอยเด่นน่ามอง โหรขยำมือกับก้อนเนื้อขาว กางเกงวอร์มยังคาอยู่ที่หัวเข่า เสื้อเลิกเลยหน้าอกขึ้นมาเล็กน้อย พวกเขาร่วมรักกันทั้งที่เสื้อผ้ายังอยู่ครบทุกชิ้น

                โหรสาวตัวออกมาจนเกือบสุด มองดูท่อนเนื้อเงาปลาบเคลือบด้วยหยาดน้ำด้านในของกุมภ์ที่ดันผนังเนื้อจนบวมเปล่ง ปางทางแดงจัดถึงจะสงสาร หากแต่ก็น่ามองยิ่งนัก เขาพาตัวเองกลับเข้าไปจนสุด กุมภ์สะดุ้งเล็กน้อยพร้อมกับส่งเสียงครางไม่หยุด โหรหมุนวนบดเบียดแนบชิด จังหวะหนึ่งคล้ายกับจะชนกับบางอย่างซึ่งเขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นส่วนไหน แต่มันทำให้กุมภ์ครางลั่น ตัวสั่นกว่าเดิม มือจิกกับผ้าปูเตียงจนเกือบจะขาด มันไม่ใช่อาการที่บ่งบอกถึงความเจ็บอย่างที่ผ่านมาแต่เขาเดาว่ามันคือความเสียวกระสันรัญจวน

                โหรคล้ายจะย่ามใจขึ้น กดย้ำในจุดนั้นซ้ำๆ โดนบ้างพลาดบ้างแต่กุมภ์ก็ครางไม่หยุด น้ำเสียงแหบแห้งน่าสงสาร ไม่ใช่แค่กุมภ์หรอกที่เสียวแทบขาดใจเขาเองก็เช่นกัน

                ชายหนุ่มพลิกตัวกุมภ์ขึ้นโดยที่ส่วนสำคัญยังเชื่อมติดกันอยู่ โหรกระชากกางเกงของกุมภ์ออก แล้วจับท่อนขาเรียวพาดขึ้นมาบนต้นขาตัวเอง โน้มตัวไปข้างหน้ากระแทกโหรน้อยเข้าสู่โพรงคับแคบต่อเนื่องด้วยจังหวะที่หนักหน่วงกว่าเดิม ร่างเล็กกว่าเลื่อนไปด้านหน้าจนต้องจับรั้งเอาไว้ เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังก้อง เหงื่อไหลเต็มกายแต่โหรไม่สนใจ กล้ามเนื้อน้อยๆ ภายในกายบีบรัดแน่น ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยรู้สึกถึงอาการตอดรัดรัวถี่ขนาดนี้มาก่อน ไหนจะเสียงครางแหบต่ำสลับหวีดสูงของกุมภ์อีก ทุกอย่างหลอมรวมกลายเป็นบทรักอันยอดเยี่ยม โหรจ้วงกายเข้าออกอย่างหลงลืมตัว ท่อนเนื้อใหญ่เคลือบด้วยหยาดน้ำผลุบเข้าออกในโพรงสีสด แก่นกายเสียดสีกับผนังเนื้อนุ่ม ส่วนหัวชนกับจุดอ่อนไหวของกุมภ์หลายต่อหลายครั้งเลยได้ยินเสียงหวีดร้องเป็นระยะ เขารู้ว่าอีกไม่นานความต้องการก็จะระเบิดออก แต่เขายังไม่อยากหยุด

                โหรจับท่อนขาขาวเรียวยกขึ้นพาดหัวไหล่ตัวเอง ท่านี้ทำให้ส่วนที่เชื่อมต่อยิ่งล้ำลึกกว่าเดิม กุมภ์เบิกตากว้าง ก่อนจะเบ้หน้าด้วยความเสียวซ่าน มือยกยันหน้าอกของเขาเอาไว้ ริมฝีปากอิ่มบวมเห่อเล็กน้อย เสื้อยืดหล่นปิดหน้าอกเอาไว้ โหรไม่พอใจจับมันเลิกขึ้นอีก แล้วใช้นิ้วมือบดขยี้กับยอดอกสีอ่อนจนมันแข็งเป็นไต กุมภ์บิดตัวไม่เป็นท่า แรงกระแทกทำให้ตัวสั่นคลอนไปหมด ส่วนหน้าตั้งตรงแม้ไม่ได้รับการแตะต้อง ปลายยอดหลั่งน้ำใสอาบรดไปทั้งแท่ง

                “อื้อ เร็วหน่อย ไม่ไหวแล้ว”

                กุมภ์เร่งเร้าดูเหมือนจะว่าลืมความเจ็บปวดไปแล้ว โหรใจดีจัดให้ตามคำขอ โหมกระหน่ำเข้าออกเต็มกำลัง สะโพกสอบเคลื่อนไหวจนไม่อาจจับจังหวะได้ กุมภ์หวีดร้องลั่น ละมือจากแผ่นอกกว้างลงมาที่ส่วนกลางของตัวเอง รูดรั้งจนน้ำขาวขุ่นพุ่งทะลักออกมา โหรยิ่งความเร็วเพราะเขาเองก็ทรมานแทบขาดใจอยู่แล้ว ขบฟันกรอดจนมันแทบหัก จากนั้นไม่ถึงนาทีสิ่งที่กักเก็บมานานหลายเดือนก็พุ่งพรวดเข้าสู่โพรงคับแคบ แรงอัดฉีดเล่นเอาอีกคนสะดุ้งพร้อมหวีดร้องเสียงดัง

                โหรล้มฟุบทับอีกร่างทั้งที่ส่วนนั้นยังไม่หลุดออก สูดเอากลิ่นเหงื่อผสมกับกลิ่นเนื้อจางๆ ของกุมภ์ไว้ในปอด นานร่วมห้านาทีจังหวะการหายใจถึงได้ค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ พร้อมกับส่วนนั้นที่อ่อนตัวลงและเลื่อนไหวหลุดจากช่องทางเล็ก

                “ดีชะมัดเลยว่ะ”

 

                เกือบเจ็ดโมงกว่าที่โหรจะพากุมภ์มาตลาดเพื่อซื้อของไปทำบุญให้กับพิกุลได้ อันที่จริงกุมภ์แทบจะเดินไม่ไหว แต่ก็ต้องกัดฟันทนเพราะไม่อยากเสียคำพูด ช่องทางด้านหลังบวมและเจ็บไม่น้อยดีที่เคยศึกษามาบ้างว่าหลังจากมีเซ็กซ์เขาต้องทำอะไรบ้าง ที่น่าหงุดหงิดก็คือโหรไม่ยอมใส่ถุงยางซ้ำยังปล่อยในตัวเขาอีก เลยต้องเสียเวลาทำความสะอาดอยู่นาน โหรอาสาจะช่วยแต่เขาปฏิเสธเสียงแข็ง สุดท้ายพอได้เอาอะไรต่อมิอะไรออกก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง แต่ยังมีอาการปวดตุบๆ ที่ตรงนั้นเป็นระยะ คงจะต้องเว้นช่วงการร่วมรักไปอีกสักพักอย่างน้อยก็จนกว่าจะหายบวม

                โหรจะช่วยประคองอยู่หลายครั้งเพราะเห็นว่าเขาเดินลำบาก แต่เขาก็เบี่ยงตัวหนี ในตลาดคนเยอะแยะแต่โหรทำตัวประเจิดประเจ้อไม่ระวัง เลยได้เห็นหมอโหรทำหน้าบึ้งใส่ อันที่จริงมันน่าขำมากกว่าน่ากลัว

                กุมภ์ซื้อของแห้งหลายอย่างตั้งใจจะทำสังฆทาน พร้อมสั่งกับข้าวแบบใส่ถุงอีกสองสามอย่าง ขนมหวาน ผลไม้ และน้ำเปล่า พร้อมยารักษาโรค เมื่อได้ของครบแล้วโหรก็นำเอาไปเก็บที่รถ และพาเขาไปกินมื้อเช้าที่ร้านประจำ ที่อยู่กลางตลาดพอดี คนในร้านหนาตากลิ่นกับข้าวกระตุ้นความหิวได้ดีนัก โหรตะโกนสั่งกระเพราะไข่ดาวให้ตัวเอง และหมูกระเทียมให้เขา โดยให้เหตุผลว่าช่วงนี้เขาควรงดกินเผ็ด เขาเลยยกมือฟาดต้นแขนใหญ่ไปสองที ทั้งคู่กินข้าวอิ่มก็แปดโมงพอดี

                เส้นทางไปวัดป่ายังคงขรุขระทุรกันดารเหมือนเดิม ทางนี้ผ่านบ้านของจ้าวจอมด้วย กุมภ์เห็นเด็กแสบหัวเกรียนกระโดดเย้วๆ อยู่แถวหน้าบ้าน ถามโหรว่าจ้าวจอมทำอะไร โหรบอกว่าจ้าวจอมกำลังช่วยพ่อตากสมุนไพรชั้นดีที่ได้มาจากป่า แต่ที่กระโดดเป็นจิงโจ้นั้นเป็นเพราะเห็นรถเขาแล่นผ่านเลยโบกมือทักทาย

จนเกือบเก้าโมงทั้งคู่ถึงวัดป่า ภายในวันเงียบเชียบสมเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม ไม้ใหญ่ยืนต้นขึ้นแน่นและสูงเกินกว่าที่แหงนหน้ามอง ร่มเย็นสบาย โหรเดินตรงไปยังกุฏิของเจ้าอาวาสซึ่งมีศักดิ์เป็นตาของจ้าวจอม กุฏิไม้หลังเก่าสภาพทรุดโทรมหากแต่สะอาดแม้แต่ใบไม้สักใบก็ยังไม่มีให้เห็น โหรเรียกชื่อท่านเบาๆ เพียงครั้งเดียว ไม่นานประตูไม้ก็เปิดออก แล้วร่างของเจ้าอาวาสวัยชราก็ค่อยๆ ก้าวออกมา ท่านไม่ได้แสดงสีหน้าแปลกใจที่เห็นเขากับโหร

                “มาเสียสาย อาตมาเกือบจะจำวัดแล้ว” ท่านบอกยิ้มๆ “นั่งก่อนสิโยม”

                กุมภ์ขยับอยู่หลายทีกว่าจะหาที่นั่งเหมาะๆ ได้ โหรหันไปมองด้วยความเป็นห่วง คันปากอยากจะเอ่ยยืมเบาะรองนั่งกับหลวงตา แต่โดนสายตากำราบจากกุมภ์เสียก่อน

                “มีอะไรหรือโยม” ท่านถาม น้ำเสียงอ่อนโยนหากแต่ฟังให้ดีจะสัมผัสได้ถึงความเข้มแข็ง

                “เอ่อ ผมอยากจะมาทำให้บุญให้ญาติน่ะครับ” กุมภ์บอก พลางยกมือขึ้นประนม

                “อ้อ แม่พิกุลน่ะหรือ” ท่านว่า ซึ่งก็ตรงราวกับตาเห็น

                “ครับ” กุมภ์พยักหน้า ก่อนจะเล่าเรื่องที่เพิ่งจะเจอมาให้ท่านฟัง

                “อาตมาไม่ได้มีเนตรที่จะมองเห็นวิญญาณได้ แต่ถ้าหากมันช่วยให้โยมสบายใจขึ้นได้ อาตมาก็ยินดี”

                กุมภ์กับโหรพนมมือขึ้นเมื่อท่านสวดมนต์ เป็นบทสวดสำหรับอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับดวงวิญญาณของพิกุล กุมภ์เองก็ไม่ต่างจากเจ้าอาวาส ไม่ได้มีตาทิพย์มองเห็นสิ่งผิดปกติ แต่เขารู้สึกโล่งปลอดโปร่ง คงเพราะอิ่มเอมใจกระมัง

                “จำเอาไว้นะโยม ไม่มีกุศลใดช่วยโยมได้นอกจากสติ พวกโยมต้องดำเนินชีวิตด้วยสติ ศีลและปัญญา แล้วโยมก็จะแคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง อีกอย่าง...” ท่านหยุดพูดก่อนจะยกแก้วน้ำชาขึ้นจิบ แล้วพูดต่อ “คู่ชีวิตไม่จำเป็นต้องต่างเพศ อาตมาขออวยพรให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข รู้จักให้อภัย และอย่าปล่อยมือกัน”

                กุมภ์มองเจ้าอาวาสสลับกับโหร รู้สึกแก้มร้อนขึ้นมานิดหน่อย เพราะไม่คิดว่าท่าจะอวยพรให้พวกเขา แต่ก็ประนมมือขึ้นรับพรนั้นด้วยความเต็มใจ

                จริงอย่างที่ท่านบอก หากดำรงชีวิตด้วยสติ ศีลและปัญญา อันตรายใดๆ ก็ทำร้ายเราไม่ได้

                โหรชวนกุมภ์ไปปล่อยปลาที่ต่อ กุมภ์หลับสนิทตลอดระยะทางเกือบห้าสิบกิโลเมตร ตื่นมาอีกทีก็เห็นตลาดแล้ว เป็นตลาดสดที่มีของขายตลอดทั้งวัน แม้ลูกค้าที่มาจับจ่ายใช้สอยจะบางตาแต่แม่ค้าก็ยังอยู่ครบ โหรพากุมภ์ไปเลือกซื้อปลาหลายตัวจนเกือบเต็มถุง ก่อนพากันไปยังแม่น้ำใหญ่ประจำจังหวัด

                แสงแดดในยามเที่ยงแผดจ้าเสียจนตาพร่า กุมภ์เดินเซอยู่หลายรอบเพราะไม่ชินกับแดดแรงเท่าไรนัก จนโหรต้องสอดมือเข้ามาประสานบีบกระชับแน่น แล้วเดินเลียบริมแม่น้ำหาจุดที่เหมาะสมเพื่อคืนชีวิตให้ปลา ก่อนจะปล่อยทั้งคู่ยกถุงขึ้นเหนือศีรษะอธิฐานขออโหสิกรรมต่อเจ้านายเวรทั้งหลายรวมไปถึงพิกุลด้วย

                ปลาหลายตัวไหลหลุดจากถุงลงสู่แม่น้ำใหญ่ มันแหวกว่ายดีใจด้วยเพราะได้รับอิสรภาพ กุมภ์นั่งมองอยู่สักพักโหรก็ชวนไปดูรถที่ยังอยู่ในอู่

                อู่อยู่ห่างจากแม่น้ำร่วมสิบกิโลเมตร กุมภ์ใช้โอกาสนี้แอบงีบอีกรอบ ปกติแล้วไม่ใช่คนขี้เซาอะไรนัก แต่เพราะเมื่อเช้ามีกิจกรรมหนักแถมมันยังพรากเอาพลังงานไปไม่น้อย เลยอ่อนเพลียมากกว่าทุกวัน

                กุมภ์หลับไปพักใหญ่ ตื่นมาอีกทีเมื่อรถจอดสนิท ทว่าที่เห็นไม่ใช่อู่ซ่อมรถ หากแต่เป็นริมแม่น้ำที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน เขาขยี้ตาไล่อาการงัวเงีย รู้สึกปวดเมื่อยเนื้อตัวโดยเฉพาะที่สะโพก เมื่อหันมองอีกคนก็เห็นแผ่นหลังกว้างอยู่ห่างออกไปราวสองเมตรใกล้ริมแม่น้ำ ข้างๆ กันนั้นคือผู้ชายอีกคนที่เขาไม่รู้จัก แต่มองจากมุมนี้ก็รู้ว่ามีอายุไม่น้อยแล้ว สังเกตได้จากเส้นผมที่เริ่มมีสีดอกเลาแซม กุมภ์หายง่วงเป็นปลิดทิ้งพอจะเดาได้ว่าผู้ชายคนนี้น่าจะเป็นคนสำคัญของโหร ถึงทั้งคู่จะนั่งเงียบๆ โดยไร้บทสนทนาก็ตาม

                กุมภ์จรดปลายเท้าเงียบเชียบ รับรู้ถึงบรรยากาศอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ก่อนจะถึงตัวคนทั้งคู่ โหรก็หันมาเห็นพอดี มือใหญ่กวักเรียกให้มานั่งข้างๆ กัน

                “หิวไหม กินรองท้องไปก่อน เดี๋ยวกลับไปกินยา ตัวรุมๆ นะ” โหรถามพลางยกมือขึ้นอังหน้าผาก จากนั้นก็ส่งขนมปังให้หนึ่งห่อพร้อมกับนมอีกขวด

                “ขอบคุณ เอ่อ นี่ใครเหรอ” กุมภ์กระซิบถาม ไม่ได้ชะโงกหน้าไปมองตรงๆ เพราะกลัวจะเสียมารยาทมากเกินไป

                “พ่อพี่เอง” โหรตอบเรียบๆ ธรรมดาราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่สำหรับกุมภ์แล้วนี่มันเรื่องใหญ่ระดับชาติเลยทีเดียว

                ที่ผ่านมาเขารับรู้มาตลอดว่าโหรมีพ่อ แต่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน อาการเกร็งประหม่ามาเยือนทันที เขารู้แล้วว่าโหรรู้สึกอย่างไรตอนที่ไปเจอพ่อกับแม่ของเขา ทั้งยังหวาดวิตกไปหมด อย่าถามเลยว่ารับเขาได้ไหม แม้แต่ชื่อเขาก็ยังรู้จักท่าน

                “สะ..สวัสดีครับ” กุมภ์กระพุ่มมือไหว้เก้ๆ กังๆ น้ำเสียงแหบพร่าติดขัดอย่างน่าขำ

                “ไหว้พระเถอะ ลุงชื่อหาญ เป็นพ่อของโหร”

                กุมภ์พยักหน้ารัว แอบมองลุงหาญผ่านลำตัวกว้างของโหร แต่ถึงจะไม่ชัดนักก็พอจะรู้ว่าโหรได้รูปร่างสูงใหญ่มาจากท่าน “เอ่อ คุณลุง...สะ สบายดีไหมครับ”

                “สบายดี กุมภ์ล่ะ หายดีหรือยัง ได้ข่าวว่าเมื่อวานมีอุบัติเหตุ”

                “เอ่อ ดีขึ้นแล้วครับ อีกสองวันหมอนัดให้ไปตัดไหมที่หน้าผากครับ” ถ้าลุงหาญไม่พูดถึงอุบัติเหตุเขาคงลืมไปแล้ว

                “อืม ดูแลตัวเองเยอะๆ นะ”

                “ครับ” กุมภ์รับคำ ยังจับต้นชนปลายไม่ได้ แต่รู้สึกว่าท่านไม่ได้น่ากลัวเท่าที่คิด

                “ก็อย่างที่ผมบอกนั่นแหล่ะ ผมกับกุมภ์คบกัน ผมไม่โกรธหรอกถ้าพ่อจะรับไม่ได้ ผมแค่อยากบอกให้รู้” โหรพูดเรียบๆ ตามเดิม มือทั้งสองที่เคยประสานบนตักคลายออก แล้วดึงอีกมือมากุมไว้ “นี่คือคู่ชีวิตของผมครับ ขอโทษด้วยที่มีทายาทให้พ่อไม่ได้”

                กุมภ์เบิกตาโพลง อดหวั่นใจไม่ได้ว่าท่านอาจจะลุกขึ้นแล้วเอาไม้ฟาดหัวเขากับโหร หรือไม่ก็อาจจะเป็นแค่เขาคนเดียว

                ความเงียบที่ขัดกับบริเวณรอบข้างเกิดขึ้นอีกครั้ง ผู้คนเดินผ่านไปมา พ่อแม่จูงลูก คู่รักชายหญิงพูดคุยหยอกล้อ กุมภ์มองภาพนั้นแล้วก็อดสะท้อนใจไม่ได้ จริงอยู่ที่เขากับโหรรักกัน ความรักมันไม่มีเพศ ไม่มีคำจำกัดความใดๆ ทว่าคำว่าครอบครัวก็สำคัญ มันจะสมบูรณ์เมื่อมีลูกอันเป็นโซ่ทองคล้องใจ เขาเลิกคิดเรื่องนี้มาตั้งแต่รู้ตัวว่าชอบอะไร แต่โหรเขาไม่แน่ใจ โหรไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ ไม่รู้ว่าไม่อยากพูดถึงหรือไม่เคยคิดถึงเลย กระทั่งตอนนี้

                “คือ...ผม” กุมภ์อึกอัก แน่นหน้าอก คำพูดที่ควรจะอธิบายไม่อาจเปล่งออกมาได้ รู้สึกผิด หวาดวิตกและกังวลไปหมด

                “เราคุยกันแล้ว” โหรว่า กระชับมือให้แน่นขึ้น “นานแล้วด้วย”

                “หืม?” จำไม่ได้แล้วว่าตกใจเป็นรอบที่เท่าไร

                “คิดเหรอว่าพี่จะปิด ขนาดที่ทำงานยังรู้เลยว่าพี่มีแฟนเป็นผู้ชาย” โหรพูดยิ้มๆ ช่วยทำให้บรรยากาศตึงเครียดผ่อนคลายลงได้บ้าง แต่คนฟังหน้าร้อนผ่าว บางทีโหรก็หน้าหนาเกินไป เขาเองยังไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลยว่ามีแฟนเป็นผู้ชายแถมมีอาชีพเสริมเป็นหมอไล่ผีได้ด้วย

                “พ่อไม่ได้จะมาขัดขวางอะไร แต่จู่ๆ ก็ฝันถึงแม่เขา” บิดาของโหรพูดขึ้น น้ำเสียงของท่านคล้ายจะแผ่วลง “พ่อไม่ได้เจอแม่อีกเลย แล้วพ่อก็คิดถึงโหร”

                กุมภ์รับฟังเงียบๆ คำพูดของท่านราวกับจะบอกว่ามารดาของโหรไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว

                “พ่อโทรนัดโหรมาเจอกัน ใจจริงก็อยากไปหาที่บ้าน แต่มันไกล กลัวว่าจะดึก รู้ไหมโหรบอกกับลุงว่าวันหนึ่งจะพากุมภ์ไปหาลุง ไม่คิดว่าจะเจอกุมภ์ที่นี่ กุมภ์หน้าตาดีกว่าที่ลุงคิดไว้มาก ที่ลุงอยากจะบอกก็คือ ลุงไม่มีสิทธิ์คัดค้านอะไร เพราะถึงลุงจะเป็นพ่อของโหร แต่ลุงไม่เคยทำหน้าที่พ่อเลย ดังนั้นทุกสิ่งที่โหรเลือกมันย่อมดีที่สุดอยู่แล้ว ลุงไม่เคยคิดอยากจะอุ้มหลาน ลุงแค่อยากลูกของลุงอยู่กับคนที่รักเท่านั้น”

                คนที่รักเท่านั้น คำนี้ฟังดูดีไม่น้อยเลย ทว่าไม่มีอะไรมาการันตีว่าคำนี้จะคงอยู่ไปตลอด...นอกจากพวกเขาสองคน

                “ก็ตามนี้แหล่ะ ไม่ต้องคิดมากเรื่องหลานหรอก พ่อยังมีรามอีกคน” ลุงหาญว่า ก่อนจะลุกขึ้นเต็มไปความสูง กุมภ์เพิ่งเห็นว่าท่านรูปร่างสูงใหญ่และยังคงดูดีทั้งที่วัยใกล้จะหกสิบแล้วก็ตาม “ไปก่อนนะ รามรอกินข้าวอยู่ โม้ไว้ว่ามีร้านอร่อยติดแม่น้ำ”

                ท่านโบกมือลา ชั่วจังหวะหนึ่งก่อนที่ท่านจะหันหลังให้ ดวงตาสีสนิมเหลือบมามองทางกุมภ์แม้จะสั้นแค่เสี้ยววินาทีเขาก็สัมผัสได้ถึงความโล่งใจ

                ร่วมห้านาทีหลังจากลุงหาญไป กุมภ์ถึงได้คลายความกังวลลง ถึงจะได้พูดกันสั้นๆ แต่ชัดเจนดี ลุงหาญมีส่วนคล้ายโหรไม่น้อยไม่ใช่แค่รูปร่างหน้าตาหากแต่เป็นบางส่วนของนิสัย ไม่ได้ซับซ้อน เข้าใจง่าย และซื่อตรง

                “งงไหม” โหรถามหลังจากเงียบไปพักใหญ่ กุมภ์พยักหน้าแล้วก็ส่ายหน้า “อ้าว ตกลงงงไหม”

                “งงว่าทำไมไม่ได้อยู่ที่อู่ซ่อมรถ”

                “ก็ขี้เกียจปลุก รถยังไม่ได้ซ่อมรอคิวอยู่ ประเมินคร่าวๆ ก็หลายตังค์อยู่”

                “มีประกันจะกลัวอะไรล่ะ....แล้วพ่อพี่มาได้ยังไง”

                โหรยังไม่ตอบในทันที ใบหน้าคมสันหันมองพร้อมกระชับมือให้แน่นกว่าเดิม “พ่อเพิ่งโทรมาตอนกุมภ์หลับ เขามากับครอบครัวใหม่ เห็นว่าจะมาพักผ่อนกันด้วย เลยแวะมาหาพี่ แล้วก็พาหลานมากราบปู่เหมด้วย พี่เคยคุยเรื่องของเรามาสักพักหนึ่งแล้วล่ะ ตอนที่กุมภ์หลับ เราก็คุยกันเรื่องนี้แหล่ะ พ่อไม่ได้ว่าอะไร เพราะเคารพในการตัดสินใจของพี่ อีกอย่างพี่บวชเรียนแล้ว รู้ว่าอะไรถูกผิด เห็นว่าญาติทางเมียใหม่ก็มีแบบนี้เหมือนกัน แถมแต่งงานไปอยู่ต่างประเทศเรียบร้อยแล้วด้วย”

                โหรสรุปความแบบกระชับและได้ใจความ เพราะมันไม่ได้มีอะไรยุ่งยากซับซ้อนจริงๆ แค่เปิดอกคุยกัน ทำใจได้ก็ยอมรับได้ ถ้าทำใจไม่ได้ก็ให้เสียว่าไม่มีตัวตน โชคดีที่บิดารับได้ทุกอย่างเลยง่ายขึ้น ก็คงคล้ายกับครอบครัวของกุมภ์ ที่มองเห็นความสุขของกุมภ์มากกว่าเพศสภาพ

                ไม่มีใครพูดอะไร มีเพียงแค่มือที่จับประสานกันไว้ กุมภ์ค่อยๆ เอียงศีรษะซบกับหัวไหล่แกร่ง คิดแล้วก็เหมือนตลกร้าย ใครจะไปคิดล่ะว่าชีวิตนักศึกษาธรรมดาจะได้พบเจอเรื่องแปลกประหลาดมากมายและได้มีคนรักเป็นหมอผี...แต่หมอผีหน้าดุคนนี้นี่แหล่ะที่ช่วยชีวิตเขาไว้

                ไม่มีใครรู้หรอกว่าหนทางที่รออยู่จะเป็นอย่างไร แต่เชื่อเหลือเกินว่าหากมีมือคู่นี้อยู่ เขาจะปลอดภัย เขารู้ตั้งแต่วันที่ได้สบตากันแล้วล่ะ
                “ผมรักพี่นะ รักมากจริงๆ” กุมภ์กระซิบแผ่วเบา หัวใจเต็มตื้นไปหมด เพิ่งรู้ว่าความรักมันอิ่มเอมขนาดนี้นี่เอง

                “อืม...พี่ก็รักกุมภ์เหมือนกัน”

                คำบอกรักที่ได้ยินกันแค่สองคน แม้จะมันจะถูกสายลมพัดผ่านไป แต่มันกลับฝังรากลงในจิตใจของผู้ฟัง...

                                                                         .......จบ.......
 :-[

ผ่านไปไวเหมือนโกหก

แป๊บเดียวจบแล้ว ตั้ง 32 ตอนเชียว

ดีใจที่ได้นำพี่โหรมาเจอทุกคน หวังว่าทุกคนจะรักพี่โหรนะคะ

แล้วเจอกันภาค 2 "รักเธอจนตาย" นะคะ

ถึงจะเป็นคู่ของจ้าวจอมกับพันนา แต่พี่โหรกับน้องกุมภ์จะยังอยู่แน่นอนค่ะ

รักทุกคนนะคะ อย่าลืมไปอุดหนุนแบบรูปเล่มกันนะคะ

จุ๊บๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 32 : ยังไม่จบ(อวสานภาค1)] 02/06/2563
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 02-06-2020 22:29:13
ชื่อเรื่องภาค 2 ดูมีความตื่นเต้นไม่แพ้กันเลยย ตามต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 32 : ยังไม่จบ(อวสานภาค1)] 02/06/2563
เริ่มหัวข้อโดย: อิ๊อ๊ะชะเอิงเอย ที่ 03-06-2020 00:42:55
สนุกอะรอภาค2เลยค่า :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 32 : ยังไม่จบ(อวสานภาค1)] 02/06/2563
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 03-06-2020 01:01:31
รักกันนานๆนะ ทั้งสองคน รอภาคสองจ้า
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 32 : ยังไม่จบ(อวสานภาค1)] 02/06/2563
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 03-06-2020 01:20:33
 :L2: :3123: :L1:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 32 : ยังไม่จบ(อวสานภาค1)] 02/06/2563
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 03-06-2020 12:22:50
 o13
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 32 : ยังไม่จบ(อวสานภาค1)] 02/06/2563
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 03-06-2020 15:50:13
น่ารักมาก
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 32 : ยังไม่จบ(อวสานภาค1)] 02/06/2563
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 03-06-2020 16:48:36
ภาคสองชื่อโหดมาห 55555555555
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 32 : ยังไม่จบ(อวสานภาค1)] 02/06/2563
เริ่มหัวข้อโดย: Areya ที่ 03-06-2020 21:21:08
ขอบคุณคนแต่งมากมายนะคะสำหรับเรื่องราวที่สนุก ครบรส ทั้งสุข ซึ้ง ตื่นเต้น ระทึกขวัญ เศร้า เสียใจ มาให้ร่วมอ่านร่วมลุ้นไปด้วยกันกับทุกตัวละคร โดยเฉพาะตัวเอกทั้ง4ตลอดมานะคะ รออ่านภาค2อยู่นะคะ ขอบคุณอีกครั้งค่ะ  :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 32 : ยังไม่จบ(อวสานภาค1)] 02/06/2563
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 04-06-2020 00:44:43
หวานไปอีก มันดีต่อใจ สนุกกกมากกก กว่าจะยอมรับใจตัวเองนะโหรแต่พอได้รักได้ชอบยอมรับแล้ว ไม่ค่อยจะหื่นเลย ซ่อนความเป็นเสือร้อนแรงไว้ดีๆนี่เอง  :oo1: 55555 ตามกันมาแต่เข้าป่าจนถึงวันนี้ ดีใจกับทั้งคู่จริงๆที่ทุกคนครอบครัวทั้งสองยอมรับ คบกันนานๆนะ แต่งเก่งอะ ขอบคุณนะคะที่แต่งนิยายสนุกๆมาให้อ่าน รอตามงานหน้าเลยจ้า  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 32 : ยังไม่จบ(อวสานภาค1)] 02/06/2563
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 06-06-2020 09:05:03
เป็นปลื้มมาก เค้ารักกันดีส่งท้ายให้เราตาร้อนค่ะ
ทุกอย่างลงตัว ค่อยๆ ก้าวไปจะ ต่างคนต่างเติบโต
กุมภ์คือคนมากุมใจโหรจริงๆ ค่ะ

พอได้รักกันแล้ว หลงกันหนัก 5555

เอ็นดูจ้าวจอม แหมมม ทำเข้ม ทำเนียนกับพี่นะคะ รออ่านเลยจ้า
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 32 : ยังไม่จบ(อวสานภาค1)] 02/06/2563
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 06-06-2020 09:25:41
จบแล้ว สนุกมากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 32 : ยังไม่จบ(อวสานภาค1)] 02/06/2563
เริ่มหัวข้อโดย: npsp2555 ที่ 06-06-2020 20:25:25
สนุกมาก ไม่ค่อยได้อ่านนิยายแนวนี้เลย ชอบมากๆเลย รอภาค2นะคะ  :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 32 : ยังไม่จบ(อวสานภาค1)] 02/06/2563
เริ่มหัวข้อโดย: BM_CBC ที่ 07-06-2020 19:42:05
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 32 : ยังไม่จบ(อวสานภาค1)] 02/06/2563
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 09-06-2020 15:08:03
ตื่นเต้น เร้าใจ ทุกตอนสนุกค่ะ ขอให้พี่โหนกับน้องภุมภ์รักกันนานๆนะคะ รอตอน2ของพี่พันนากับไอ้ดื้อจ้าวจอมค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 32 : ยังไม่จบ(อวสานภาค1)] 02/06/2563
เริ่มหัวข้อโดย: Gimlongdeep ที่ 10-06-2020 20:51:51
 :mc4:กย พี่โหรจบแล้ววววววว  :heavenสนุกมากกกกกกกค่ะ รอติดตามเรื่องเจ้าจอมตัวแสบต่อเล้ยยย
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 32 : ยังไม่จบ(อวสานภาค1)] 02/06/2563
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 13-06-2020 11:37:07
 :L2: :L2:
จบได้สมบูรณ์ ไม่มีปมค้างคาใจ ขอบคุณคนเขียนมากมายจ๊ะ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 32 : ยังไม่จบ(อวสานภาค1)] 02/06/2563
เริ่มหัวข้อโดย: Austin ที่ 24-06-2020 15:53:46
พันนาอยู่ไหนนนนนน
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 32 : ยังไม่จบ(อวสานภาค1)] 02/06/2563
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกกุญแจ ที่ 06-07-2020 00:50:33
ขอบคุณมากๆจ้า
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 32 : ยังไม่จบ(อวสานภาค1)] 02/06/2563
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 11-07-2020 10:06:20
รอภาค2เลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 32 : ยังไม่จบ(อวสานภาค1)] 02/06/2563
เริ่มหัวข้อโดย: valenna yy ที่ 08-08-2020 18:57:58
รอนะคะ  :o8:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 32 : ยังไม่จบ(อวสานภาค1)] 02/06/2563
เริ่มหัวข้อโดย: JirxnunT ที่ 19-09-2020 07:10:56
เราดีใจมากๆที่ได้เจอนิยายเรื่องนี้ และเราดีใจที่ได้อ่านนิยายเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ ที่ผ่านมาเราไม่เคย comment นิยายเรื่องไหนเลย แต่นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายเรื่องแรกที่ทำให้เราอยากที่จะสมัครบัญชีมาเพื่อแสดงความยินดีในตอนจบ เราชอบนิยายเรื่องนี้มาก มันแปลกใหม่และน่าสนใจ เราอยากขอบคุณนักเขียนที่สามารถผลิตนิยายดีๆเนื้อหาสนุกมาให้เราได้อ่าน ขอบคุณจริงๆ และสัญญาอย่างแน่นอนว่าเราจะติดตามนิยายในเรื่องต่อๆไปของคุณ  :mew1: :mew1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 32 : ยังไม่จบ(อวสานภาค1)] 02/06/2563
เริ่มหัวข้อโดย: noy ที่ 24-09-2020 13:39:36
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 32 : ยังไม่จบ(อวสานภาค1)] 02/06/2563
เริ่มหัวข้อโดย: Monnee ที่ 01-10-2020 21:58:25
 :katai1:โอ๊ยยยยย.. ก็มีน้ำใจอ่ะนะน้องกุภที่จะกลับมาช่วยพี่เค้าอ่ะ... แต่ดูเหตุการณ์​ด้วย.. วิชาก็ไม่มี.มาเป็นภาระล้วนๆอ่ะ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 32 : ยังไม่จบ(อวสานภาค1)] 02/06/2563
เริ่มหัวข้อโดย: Monnee ที่ 04-10-2020 09:38:51
 :katai2-1:happyดี๊ด๊ากันไป... พี่โหรถึงจะดูเถื่อน.. แต่บทจะหวานนี่ทำเอาอึ้งเหมือนกันนะจ๊ะ.. มีความคิดถึงอนาคตและจิตใจน้อง.. น่ารักจริงๆ... แต่ยัยปรางแิบร้่ยมากอ่ะ.. เข้าใจว่าผิดหวังแต่หบุดพูดจาแย่ๆใส่.. นี่เกือบนึกว่าจะมีบทผีเข้าสิงแล้วนะเนี่ย.. นึกว่าหล่อนอกแตกตายไปแล้วตอนมาหาพันนาอ่ะ.. บรื๊อออ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 32 : ยังไม่จบ(อวสานภาค1)] 02/06/2563
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 05-06-2021 01:11:44
สนุกและน่าติดตามมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 32 : ยังไม่จบ(อวสานภาค1)] 02/06/2563
เริ่มหัวข้อโดย: Vergintomza ที่ 08-06-2021 19:05:07
ดีอ่ะ ครบรส ขอบคุณมากครับ
หัวข้อ: Re: ไพรพิศวง : [ตอนที่ 32 : ยังไม่จบ(อวสานภาค1)] 02/06/2563
เริ่มหัวข้อโดย: sarawutcom ที่ 25-03-2024 19:55:32
ดีแทค ระบบเติมเงิน โปรเน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว (ราคารวมภาษี 7% แล้ว)
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 803บ./90วัน กด *104*591*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 1,284บ./180วัน กด *104*592*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 1,926บ./365วัน กด *104*593*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 1,069บ./90วัน กด *104*594*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 1,498บ./180วัน กด *104*595*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 2,675บ./365วัน กด *104*596*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 236บ./7วัน กด *104*388*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 696บ./30วัน กด *104*389*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 1,711บ./90วัน กด *104*598*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 2,139บ./180วัน กด *104*578*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 3,745บ./365วัน กด *104*579*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 354บ./7วัน กด *104*398*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 1,188บ./30วัน กด *104*597*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 139บ./7วัน กด *104*77*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 535บ./30วัน กด *104*97*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 246บ./7วัน กด *104*78*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 696บ./30วัน กด *104*98*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 375บ./7วัน กด *104*79*8488034#
เน็ตดีแทค 8 Mbps(เม็ก) 95บ./8วัน กด *104*897*8488034#
เน็ตดีแทค 8 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 42บ./1วัน กด *104*68*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 482บ./30วัน กด *104*798*8488034#
เน็ตดีแทค 2 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 380บ./30วัน กด *104*237*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 470บ./30วัน กด *104*236*8488034#
เน็ตดีแทค 12 Mbps(เม็ก) 193บ./7วัน กด *104*841*8488034#
เน็ตดีแทค 12 Mbps(เม็ก) 482บ./30วัน กด *104*842*8488034#
ยกเลิกเน็ต  กด  *103*0# โทรออก
ดีแทค  เช็คเน็ต คงเหลือ กด *101*1# โทรออก
เช็คเบอร์ตัวเอง กด *102# โทรออก
ยกเลิก SMS กินเงิน กด *137 โทรออก
เช็คเงิน คงเหลือ กด *101# โทรออก 
ติดต่อ คอลเซ็นเตอร์ กด 1678 โทรออก
เน็ตไม่อั้น ไม่ลดสปีด  โปรรวม
สมัครง่ายๆ กดตามได้เลยค่ะ
#โปรเน็ตสุดฮิต  DTAC
โปรที่คุ้มที่สุดของการใช้เน็ต
#โปรเสริมเน็ตวันนี้ #โปรเน็ตสุดฮิต #เน็ตไม่อั้นไม่ลดสปีด #โปรเน็ตดีแทค #เน็ตดีแทคเติมเงิน #โปรดีแทครายสัปดาห์ #โปรดีแทครายวัน #โปรแทครายเดือน #โปรเน็ตDTAC #เน็ตไม่จำกัด #เน็ตไม่ลดสปีด #โปรเน็ตไม่อั้นรายวัน #โปรเน็ตไม่อั้นรายสัปดาห์ #โปรเน็ตไม่อั้นรายเดือน #DTAC #สมัครเน็ต #โปรเน็ตดีดี #โปรเสริมDTAC #โปรเสริมดีแทค
https://www.facebook.com/media/set/?vanity=sarawutcomputer&set=a.1735376596730368 (https://www.facebook.com/media/set/?vanity=sarawutcomputer&set=a.1735376596730368)


เน็ต เปิดเบอร์ใหม่ ย้ายค่าย เบอร์เก่า ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=U8gZx3BTz_I (https://www.youtube.com/watch?v=U8gZx3BTz_I)


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว  dtac  ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=xgJOI7_4_vg (https://www.youtube.com/watch?v=xgJOI7_4_vg)


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว  dtac  ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.facebook.com/share/p/sTA3Vv6dxR4GnW6x/?mibextid=qi2Omg (https://www.facebook.com/share/p/sTA3Vv6dxR4GnW6x/?mibextid=qi2Omg)


ดีแทค ระบบเติมเงิน Dtac เน็ตไม่อั้น เร็ว 12 Mbps เม็ก หมดเขต 30 เมษายน 2567
https://www.youtube.com/watch?v=-u5Ua409XKc (https://www.youtube.com/watch?v=-u5Ua409XKc)


ดีแทค ระบบเติมเงิน เน็ตไม่อั้น เร็ว 30 Mbps(เม็ก) นาน 30 วัน ราคา 350 บาท แถมโทรฟรีทุกค่าย
https://www.youtube.com/watch?v=9ATbQS3gVwA (https://www.youtube.com/watch?v=9ATbQS3gVwA)