จังหวัดนี้ไม่ได้มีห้างใหญ่กลางเมือง แต่ร้านอาหารบรรยากาศดีๆ มีเกลื่อนไปหมด บรรดาหนุ่มสาวทั้งวัยทำงานและนักเรียนเลือกจับจองร้านที่ได้รับการรีวิวว่าดีระดับห้าดาว แถมด้วยแอร์เย็นฉ่ำจนเกือบเต็ม โชคดีที่บารมีข้าราชการของบิดาทำให้พันนาได้โต๊ะตัวที่ดีที่สุดเบื้องหน้า หลังกระจกแผ่นใหญ่คือแม่น้ำสายประวัติศาสตร์
จ้าวจอมไม่ค่อยได้มีโอกาสได้เข้าร้านแบบนี้นัก ทั้งเวลาและเงินในกระเป๋าไม่อำนวยสักเท่าไร เด็กหนุ่มทำตัวลีบ ค่อยๆ ลากเก้าอี้ออกมานั่ง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยากกินอะไร ตอนที่พันนาเลื่อนเมนูมาให้
“อยากกินอะไรก็สั่งเอา พี่เลี้ยง”
คำว่า ‘พี่เลี้ยง’ กระตุ้นมือขยับไปหยิบเมนูขึ้นมาเปิด ขณะที่พันนาเริ่มสั่งอาหารที่ตัวเองอยากกินกับพนักงานสาวใส่เสื้อลายสีดำขาวกระโปรงสั้นสีขาวสั้นแค่คืบ
“ตกลงอยากกินอะไร”
จ้าวจอมเหลือบมองคนถามนิดหน่อย แล้วก้มลงอ่านชื่อเมนูพร้อมรูปประกอบ หน้าตามันก็สวยดีอยู่หรอกแต่ชื่ออ่านอยากแถมยังไม่เคยลิ้มรสเลยไม่รู้ว่าอร่อยหรือไม่ เสียเวลาเปิดพลิกอยู่หลายหน้า สุดท้ายเลยถอดใจบอกไปว่าเอาเมนูเดียวกับที่พันนาสั่ง พนักงานสาวที่มีเข็มกลัดติดหน้าอกบอกชื่อตัวเองว่า ‘ติ๊ก’ คลายรอยยิ้มที่มีให้พันนาเล็กน้อย ชั่ววูบหนึ่งคล้ายกับจะแสดงความไม่พอใจทางสายตา จากนั้นก็ขยับมือไปบนสมุดเล่มเล็กและบอกให้รอสักครู่
จ้าวจอมมองออกไปนอกกระจก แดดในยามบ่ายแก่ๆ ยังส่งแสงกล้า ส่องกระทบกับผืนน้ำจนเป็นประกายระยิบระยับ อีกฝากหนึ่งของแม่น้ำคือผู้คนที่ใช้ชีวิตประจำวัน ดูแล้วเพลินตา จ้าวจอมดึงโทรศัพท์ในกระเป๋าออกมากดเล่น เปิดอ่านข้อความกลุ่มไลน์ของห้อง ม.6/2 แล้วก็หลุดขำเมื่อเพื่อนตัวแสบประจำห้องส่งคลิปโป๊มาในกลุ่มที่มีจำนวนสมาชิกร่วมสี่สิบคน คาดว่าน่าจะเป็นการส่งผิดกลุ่ม หลังจากอ่านข้อความประณามเจ้าของคลิป เขาก็เปิดอ่านไลน์จากเพื่อนคนอื่นที่ส่งมาให้แบบส่วนตัว หนึ่งในนั้นคือ ‘น้ำหวาน’
‘ถึงบ้านหรือยัง’
ข้อความสั้นๆ พร้อมกับสติ๊กเกอร์รูปหมีถือหัวใจ ทำให้เขาต้องอมยิ้มอีกรอบ น้ำหวานเป็นเพื่อนร่วมห้อง แถมยังเป็นมือคทาของโรงเรียนอีกด้วย เธอหน้าตาน่ารัก ดวงตากลมใสเหมือนลูกกวาง ผมสั้นแค่คอ ตัวเล็กแต่มีสัดส่วนน่ามอง ผิวพรรณผุดผาด ไม่แปลกเลยที่เธอจะได้รับคัดเลือกให้เป็นคนถือคทาของโรงเรียน
แต่แน่นอนว่าเธอกับเขายังคงเป็นแค่เพื่อนร่วมชั้นกันเท่านั้น
“ยิ้มอะไรอยู่ อาหารมาแล้ว”
เสียงจากคนเบื้องหน้าดังขึ้น ดึงความสนใจให้หลุดจากโทรศัพท์มือถือได้ จ้าวจอมเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกง เอียงคอมองเมนูอาหารที่ตนสั่งไป
“อะไรอ่ะ”
พันนาถอนหายใจ “คาปูปั่น กับทีรามิสุ”
จ้าวจอมพยักหน้า ไอ้เจ้าคาปูปั่น มันชื่อเดียวกับน้ำปั่นรถเข็นที่หน้าโรงเรียน แต่หน้าตาต่างกันลิบลับ คาปูชิโนปั่นแก้วนี้ ดูสวยหรู ด้านหน้ามีฟองนมและโรยด้วยผงกาแฟ ไอเย็นเกาะรอบแก้ว ส่วนทีรามิสุที่ว่าคือเค้กสีน้ำตาล มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นเมนูขนมสำหรับคนโต และที่สำคัญเขายังไม่เคยกิน
จ้าวจอมลองชิมคาปูชิโนปั่นก่อน รสชาติของมันดีเยี่ยมสมกับที่อยู่ในร้านบรรยากาศดี หวานไม่มากแต่เข้มข้นดี ทว่าถ้าเทียบความอร่อยชื่นใจก็ไม่ต่างจากน้ำปั่นแก้วละสิบบาทหน้าโรงเรียนนัก พอได้น้ำหวานๆ ขมๆ ลงไปลองกระเพาะก็ชักอยากจะกินขนมเค้กขึ้นมา จ้าวจอมลอบสังเกตพันนาก่อน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายค่อยๆ ละเมียดกินแล้วไม่มีปฏิกิริยาน่ากลัวก็ใช้ช้อนคันเล็กลงไปในเค้กสีน้ำตาลของตัวเองดูบ้าง
รสหวานกำลังดี หอมไปด้วยกลิ่นกาแฟมันละมุนลิ้นได้อย่างอัศจรรย์ จ้าวจอมสาบานว่ามันเป็นขนมอร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมา เด็กหนุ่มตาโต ความหวานเจือด้วยรสขมนิดๆ มันกระตุ้นให้มือตักคำต่อไปเข้าปาก เขาไม่ได้ค่อยๆ ละเมียดตักกินเหมือนพันนาแต่กลับจ้วงเอาๆ รู้ตัวอีกทีจานก็ว่างเปล่าเสียแล้ว
ลิ้นสีชมพูกวาดตวัดไปรอบริมฝีปาก ด้วยนึกเสียดายครีมหวานๆ หอมๆ ที่อาจจะติดอยู่รอบปาก
“อร่อยเหรอ” พันนาถาม นึกขำท่าทางอร่อยเกินจริงของเด็กหนุ่มตรงหน้า แต่กลับรู้สึกแปลกๆ ที่เห็นลิ้นเล็กตวัดเลียครีมตามมุมปาก ช่วงท้องวูบวาบจนต้องแอบสูดหายใจยาวอยู่หลายครั้ง
“ครับ” ศีรษะกลมผงกรับ ตาวาวเป็นประกาย หากแต่ไม่ได้จ้องมาที่เขา มันไปหยุดที่ทีรามิสุของเขาต่างหาก
พันนาถอนหายใจ พลางชื่นจานเค้กให้ “เอาไปสิ”
จ้าวจอมไม่ได้กล่าวขอบคุณอย่างที่ควรจะทำ หากแต่เขาก็ไม่ถือสา แค่เห็นเจ้าเด็กดื้อตรงหน้ากินอย่างมีความสุขเขาก็พอใจแล้ว
คงเป็นเพราะการไม่มีน้องชายทำให้เขาเอ็นดูจ้าวจอมกระมัง อยากแกล้ง อยากแหย่ และอยากจะเอาใจ
“พี่ไอ้ขนมนี่มีขายแค่ร้านนี้เหรอ” จ้าวจอมเงยหน้าถาม หลังจากตักเค้กคำใหญ่เข้าปาก
“มีหลายร้าน แต่ร้านนี้อร่อยที่สุด อ่านรีวิวมาน่ะ” พันนาบอกตามความจริง ถึงจะเกิดในจังหวัดนี้แต่ไปเรียนที่กรุงเทพฯ เสียหลายปี เลยต้องศึกษาหาข้อมูลมาก่อน
“อืม อืม” เด็กหนุ่มพยักหน้า “เอาไว้ให้แม่นุชทำให้กินบ้างดีกว่า”
พันนาส่ายหัว เจ้าเด็กคนนี้คงไม่รู้ว่าส่วนประกอบและวิธีการทำทีรามิสุมันยุ่งยากแค่ไหน
ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่าสายตาจับจ้องเด็กตรงหน้านานแค่ไหน หัวสมองว่างเปล่าไร้ความคิดไปชั่วขณะ ริมฝีปากสีสดขยับน้อยๆ ตามจังหวะการเคี้ยว มันเปื้อนคราบครีมสีอ่อน
“กินยังไงให้เลอะขนาดนี้”
ปลายนิ้วยื่นไปเช็ดคราบครีมที่ติดกลีบปาก หัวแม่มือสัมผัสกับเนื้ออ่อนหากแต่นุ่มหยุ่นเหมือนเยลลี่ พันนาดังมือกลับ เขาไม่รู้ตัวสักนิดว่าเผลอเอาครีมบนนิ้วเข้าปากไปแล้ว
ตากลมกระพริบปริบๆ ริ้วแดงกระจายจากจุดเล็กกลางแก้มทั้งสองข้างลามไปถึงใบหู “พะ พี่ทำอะไรอ่ะ”
พันนาเองก็มีอาการไม่ต่างกัน เขาไม่รู้ตัวว่าตัวเองทำท่าทางประหลาดแบบนั้นไปได้อย่างไร ใช้เวลาร่วมครึ่งนาทีกว่าจะหาคำตอบได้
“เห็นมันเลอะน่ะ”
“ก็บอกกันดีๆ สิ ไม่เห็นต้องเช็ดให้เลย” จ้าวจอมบ่นอุบอิบ ริ้วแดงจางลงจากผิวแก้ม แต่ใบหูยังแดงโร่ นี่แหล่ะข้อเสียของคนที่มีผิวขาวเกินไป เขินนิดเขินหน่อยหูก็แดงแล้ว
ก่อนที่เค้กทีรามิสุคำสุดท้ายจะเข้าปากก็นึกขึ้นมาได้ว่าควรจะอวดกับเพื่อนๆ ว่าตนได้มาเยือนร้านนี้แล้ว จ้าวจอมดึงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง ถ่ายรูปวิว รูปร้าน และรูปขนมเค้กที่เหลืออีกแค่คำเดียว ไม่กี่วินาทีที่รูปลงไปในไลน์กลุ่ม ข้อความแสดงความอิจฉาก็ตามมา จ้าวจอมเผลออมยิ้มให้กับความโชคดีของตัวเอง
‘เค้กน่ากินจังเลย วันหลังพาเราไปบ้างนะ’
น้ำหวาน
‘ได้สิ’
จ้าวจอมกดพิมพ์ข้อความโต้ตอบกลับไป สัญญาว่าจะหาโอกาสพาเพื่อนๆ มากินบ้าง รวมทั้งน้ำหวานด้วย แล้วก็หัวเราะคิกคักกับความทะลึ่งตึงตังของเพื่อนในกลุ่มไลน์
“เหลืออีกคำเดียว ทำไมไม่กินสักทีล่ะ เย็นแล้ว”
จ้าวจอมเงยหน้ามองคนพูด ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แค่หัวคิ้วเข้มคล้ายกับจะขมวดนิดๆ มุมปากที่มักจะยกขึ้นน้อยๆ เรียบเป็นเส้นตรง จ้าวจอมรีบตักขนมเค้กคำสุดท้ายเข้าปาก เคี้ยวเร็วๆ แล้วยกแก้วกาแฟปั่นขึ้นดูด
“เสร็จแล้ว”
พันนาไม่ได้พูดอะไรต่อ กวักมือเรียกพนักงานมาคิดเงิน หลังจากได้รับเงินทอนแล้วก็ลุกขึ้นออกจากเก้าอี้ทันทีโดยไม่คิดจะบอกอีกคน
จ้าวจอมยกมือขึ้นเกาหัวเกือบเกรียนของตัวเอง ถึงจะไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย แต่ก็พอมองออกว่าพันนากำลังไม่พอใจ ทว่าจะเรื่องอะไรก็ยากที่จะหาคำตอบ...
ร่างใหญ่นอนพลิกตัวเป็นครั้งที่สาม เกือบจะเที่ยงคืนแล้ว แถมพรุ่งนี้ต้องตื่นไปงานบวชแต่เช้า ทว่าเปลือกตายังแข็งทื่อ สมองเต็มไปด้วยความคิดวนเวียนถึงใครบางคน
หลายวันแล้วที่เขาไม่ได้เห็นใบหน้าขาวราวกับไม่เคยถูกแดด กับดวงตากลมใสเหมือนลูกกวาง ครั้งสุดท้ายที่ได้สนทนากัน แม้จะไม่มีความขัดแย้งใดๆ แต่รอยยิ้มที่เหมือนจะฝืนออกมา มันทำให้หงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก
เขาไม่ได้รังเกียจเกย์ นั่นคือความสัตย์จริง
เขาไม่ได้รังเกียจกุมภ์ ภาพที่เจ้าตัววิ่งฝ่าความมืดมากับไฟฉายหนึ่งกระบอก ไม่มีเวทมนต์ หรือความสามารถในด้านใดที่จะช่วยเหลือเขาได้ นอกจากฝีเท้าที่และความกล้าหาญ มันยังคงติดอยู่ในความทรงจำ มีไม่กี่คนหรอกที่จะบ้าบิ่นได้เท่ากับกุมภ์ แม้แต่ไอ้จอมตัวแสบมันยังไม่กล้าเผชิญหน้ากับเสือเลย
ที่สุดก็ทนหงุดหงิดกับอาการจี๊ดๆ ในอกข้างซ้ายไม่ไหว จำต้องลุกขึ้นมายืนเกาะขอบหน้าต่าง ทอดสายตามองความมืด เงาดำตะคุ่มของต้นไม้สร้างจินตนาการหลอกมนุษย์ขวัญอ่อนได้ดีนัก ชายหนุ่มถอนหายใจยาว เพราะอะไรกันที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนทำอะไรผิดจนนอนไม่หลับมาหลายคืนติดแบบนี้
ดาวบนท้องฟ้ากระจายเกลื่อน กลุ่มดาวลูกไก่ที่ปู่เคยสอนเด่นที่สุด มันสดใสเป็นประกายเหมือนแก้วตาของใครบางคน
กุมภ์
ลมหายใจสะดุดลงเมื่อเผลอคิดถึงกุมภ์อีกจนได้ ร่างหนาใหญ่หมุนกลับเข้าไปในบ้าน มวนยาสูบที่ทำจากกลีบดอกบัว กรรมวิธียุ่งยากแทบจะหาซื้อไม่ได้ โชคดีที่ยายช้อยทำเอามาฝาก รสชาติของมันดีเยี่ยมกว่ายาสูบในตลาดเป็นไหนๆ ไม่ฝาดเฝื่อนหากแต่หอมละมุนชวนผ่อนคลาย ไฟแช็กราคาถูกสว่างวาบในความมืด ปลายไฟลามเลียมวนยา ควันสีขาวลอยขึ้นช้าๆ โหรสูดเอากลิ่นหอมของยาสูบกลีบบัวไว้ในปอด แล้วผ่อนออกมาเป็นควันขาวผ่อนริมฝีปาก วางข้อศอกไว้บนขอบหน้าต่าง นิ้วมือคีบมวนยาสูบ ปล่อยขี้เถ้าตกลงพื้นดินเบื้องล่าง
ขณะปลดปล่อยอารมณ์ไปกับกลิ่นหอมของยาสูบ หางตาก็เห็นการเคลื่อนไหวผิดปกติของบางอย่าง
ชายผ้าสีขาวตุ่น ลอยเรี่ยเหนือผืนดิน
พิกุล
‘สมัยนี้ยังมีคนสูบยาสูบจากกลีบบัวอยู่อีกหรือ?’
น้ำเสียงเย็นเยียบชวนขนหัวลุกดังขึ้น ไม่ได้มาจากทิศทางไหน หากแต่มันดังอยู่ในหัวของเขาเอง พิกุลสื่อสารผ่านทางจิต
“ก็ยากแล้วล่ะ แล้วเธอมีธุระอะไร” โหรเอ่ยถาม ร่างของพิกุลมาอยู่ตรงหน้าพอดี ใบหน้าของเธอยังคงขาวซีดไร้สีเลือด เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ยังสกปรกไม่ต่างจากเดิม ทว่าโหรสัมผัสได้ถึงแรงแค้นในจิตของเธอที่อ่อนกำลังลงมาก ดวงตาสีดำใหญ่มองมาที่เขา ก่อนที่ริมฝีปากจะแย้มน้อยๆ
‘คิดถึง คุณเหมือนพี่แผนมากจริงๆ ฉันอดคิดถึงอดีตไม่ได้’
โหรถอนหายใจ ตอนที่ได้เห็นภาพในอดีตของเธอ เขาไม่ได้สังเกตว่าคนที่ชื่อแผนรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ถ้านิสัยคงต่างจากเขาลิบลับ
“ผมไม่ได้สืบทอดเชื้อสายมาจากพี่แผนอะไรนั่น”
‘ฉันรู้ เขาไปอยู่บางกอก ฉันเคยไปตามเขาด้วยนะ แต่เขาไม่เห็นฉัน แล้วเขาก็แต่งงานใหม่กับผู้หญิงบางกอก’
“คุณไม่โกรธเขาเหรอ”
‘โกรธสิ แต่เขามีของดีคุ้มครอง พระเก่าแก่น่ะ ฉันเลยเข้าถึงตัวเขาไม่ได้ ฉันได้แต่ทนมองภาพเขาแต่งงานไปกับผู้หญิงอื่นที่ไม่ใช่ทั้งฉันหรือชบา’ ดวงตาสีดำคู่ใหญ่คล้ายมีแววโศกเศร้า ‘ความเจ็บปวดจากความรักที่ไม่สมหวังมันทรมานมาก ขนาดฉันตายไปแล้ว น่าจะไร้ความรู้สึกแต่ฉันกลับเจ็บปวดเหมือนหัวใจถูกฉีกทึ้ง ฉันกรีดร้องอยู่นานแต่ไม่มีใครได้ยิน’
“นี่มาเพื่อจะมาเล่าอดีตให้ฟังหรือไง” โหรถาม เขาไม่อยากได้ยินอดีตของใคร พลางส่งยาสูบเข้าปาก หากใครมาเห็นการสนทนาของเขากับผีพิกุลคงได้หัวใจวายกันบ้าง มนุษย์คืนคุยกับผีสาวบนชั้นสองของบ้าน แถมยังสูบยาอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวอีกด้วย
‘เปล่า ฉันจะมาลา’
“อะไรกัน ยังไม่ได้บุญเลย จะลาแล้วหรือ?” คิ้วหนาเลิกสูง
‘ฉันคงไม่ได้หาคุณอีกแล้ว เลยอยากจะขอบคุณที่คุณช่วยเหลือฉันจากไอ้เวก’ พิกุลยิ้มเศร้า ‘ถ้าไม่ได้คุณฉันคงจะวนเวียนอยู่กับความแค้นไปอีกนาน คำสอนของคุณช่วยฉันได้มาก น่าเสียดายที่ตอนเป็นคนฉันไม่เคยศึกษามันเลย’
“พรุ่งนี้ก็ไปที่วัดสิ พระท่านจะเทศน์ให้ฟัง”
‘ฉันเป็นผีนะ เข้าวัดไม่ได้’ พิกุลยิ้มบาง เส้นผมยาวดูเหมือนจะสลวยขึ้นกว่าครั้งล่าสุดที่ได้เจอปลิวไปตามแรงลมอ่อนในยามค่ำคืน พิกุลเป็นคนสวย โดยแทบไม่ต้องปรุงแต่งเหมือนสาวๆ สมัยนี้ น่าเสียดายที่เธออายุสั้นนัก แต่ก็อย่างว่า อดีตกลับไปแก้ไขไม่ได้
“ทำไมจะเข้าไม่ได้ล่ะ เขาบวชให้คุณ”
‘...นั่นสินะ’ ผีสาวเอียงคอ ดวงตาสีดำของเธอราวกับจะเจาะลึกเข้ามาในความคิด ‘ไปขอโทษเขาสิ’
โหรเลิกคิ้ว “ขอโทษใคร?”
‘ก็คนที่ทำให้คุณต้องมายืนสูบยาอยู่นี่ไง’ พิกุลยิ้มอีกแล้วแต่คราวนี้เขารู้สึกว่าเธอเจ้าเล่ห์และ...รู้ทัน ‘เด็กคนนั้นเป็นคนดีนะ ฉันเห็นตอนที่เขาวิ่งไปหาคุณ’
“อย่ามาเจาะความคิดผมจะได้ไหม” โหรปรามสุภาพ “ผมไม่ได้ทำผิดอะไร”
‘…สุดแต่ใจของคุณเถอะ อย่าเอากฎบ้าๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้นมากีดกันตัวเองเลย แค่ทำไปตามความรู้สึกก็พอ’ พิกุลยิ้มเรี่ยราด จนคนมองชักจะหงุดหงิดแม่ผียิ้มเก่ง ‘ฉันไปล่ะ พรุ่งนี้จะไปฟังพระเทศน์’
โหรถอนหายใจ เป็นผีนี่ดีจริงไม่ต้องเดินให้เมื่อย ไม่ต้องใช้รถให้เปลืองน้ำมัน อยากจะไปไหนก็ไปได้ ยาสูบหมดไปเกือบครึ่งทั้งที่เพิ่งสูบไปแค่สามที โหรปล่อยมันตกลงพื้น น้ำค้างดับเปลวไฟให้ดับลงเหลือแค่ควันสีขาวลอยบางเบาแล้วจางหายไปในอากาศ
แค่ทำไปตามความรู้สึกอย่างนั้นหรือ....เป็นผีที่รู้มากเสียจริง
โหรส่ายหัวให้กับคำพูดเชิงปรัชญาของผีสาว...แต่ก็น่าแปลกที่ก้อนเล็กๆ ที่ถ่วงในอกมันเหมือนจะหายไป...
งานบวชของพันนาและรชตไม่ได้ใหญ่โต มีแค่ญาติบางคนกับเพื่อนสนิทเท่านั้นที่ถูกเชิญให้มาร่วมงาน เมื่อวันก่อน พันนากับรชตต้องสวมชุดขาว ศึกษาบทสวดต่างๆ ไม่มีทำขวัญนาคเหมือนงานบวชทั่วไป หากแต่ใช้การปลงผมในวันที่ทั้งสองจะบวชโดยมีหลวงตาอิ่ม ตาของจ้าวจอมเป็นผู้ขลิบปลายผม จากนั้นก็พ่อแม่พี่น้อง และญาติๆ
พิธีเรียบง่ายไม่ยุ่งยาก ไม่มีเพลงเสียงดัง ไม่มีเหล้ายาปาร์ตี้ หากแต่ผู้มาร่วมงานต่างก็อิ่มใจที่ได้เห็นทั้งสองอยู่ในผ้าเหลือง กำหนดการบวชมีระยะเวลานานถึงหนึ่งเดือน หลังจากใส่บาตรพระสงฆ์ใหม่แล้ว หลวงตาอิ่มก็เทศน์สอนพระธรรมบนศาลา โดยมีพระทั้งสองรูป และผู้ร่วมงานอีกไม่กี่คนที่อยู่ร่วมฟัง หนึ่งในนั้นคือโหร
โหรมาร่วมงานตั้งแต่เช้า ได้ปลงผมนาคด้วย เขาเคยผ่านพิธีนี้มาแล้ว แต่ญาติพี่น้องมีแค่ไม่กี่คนนับนิ้วมือยังเหลือด้วยซ้ำ เขาเลือกที่นั่งอยู่บริเวณหลังศาลา ถึงจะอยู่ห่างจากหลวงตาอิ่ม แต่เสียงแหบของท่านก็ดังชัดเจนดี ศาลาหลังขนาดกลาง พื้นไม้สักโบราณขัดเงาจนเป็นสีน้ำตาลเข้ม หลังคาเพิ่งจะถูกเปลี่ยนจากสังกะสีเป็นกระเบื้องแข็งแรงได้ไม่กี่ปี เสาก็เป็นไม้ต้นใหญ่เงาวับ หลวงพ่อนั่งบนโต๊ะไม้ที่สูงอย่าพื้นศาลาเล็กน้อย ดวงตานิ่งสงบมองมายังพระใหม่ทั้งสอง เพียงชั่วประเดี๋ยวก็มองเลยมาทางเขา
แต่ท่านไม่ได้มองเขา
และเขารู้ดีว่าท่านมองใคร
เสียงคำสอนของหลวงอิ่มดังสม่ำเสมอ ถึงไม่มีเครื่องเสียงเพราะวัดนี้ไร้ไฟฟ้า แต่ทุกคนก็ตั้งใจฟังดี โดยเฉพาะพระใหม่ทั้งสองรูป โหรกวาดไล่สายตาไปเรื่อยๆ กระทั่งมาอยู่ที่แผ่นหลังไม่กว้างไม่เล็กของใครบางคน
ใครบางคนที่ทำให้เขานอนหลับไม่สนิทอยู่หลายคืน
กุมภ์สวมเสื้อยืดสีขาวกับกางผ้าสีอ่อน นั่งอยู่เบื้องหน้าของเขาพอดี แต่ห่างกันหลายช่วงตัว เขาเห็นกุมภ์ทักทายทุกคนด้วยรอยยิ้มสดใส แม้แต่กับเขาเอง กุมภ์ก็ยังกล่าวสวัสดีด้วยท่าทางที่ปกติ แล้วหลังจากนั้นเจ้าตัวก็ไปอยู่กับครอบครัว ไม่ได้หันมามองเขาสักนิด
น่าหงุดหงิดชะมัด เขาทำอะไรผิด ทำไมต้องเมินกันด้วย
หัวคิ้วข้างขวากระตุก เมื่อจู่ๆ คำว่า ‘เมิน’ ก็ผุดขึ้นมา
หลายครั้งแล้วที่เขาพยายามกำจัดความรู้สึกบ้าๆ นี่ออกไป มันรบกวนจนเขาเกือบจะสวดมนต์ไม่ได้ ถึงคำแนะนำของพิกุลจะคลายอาการหน่วงในอกลงได้ แต่กลับขจัดเรื่องของกุมภ์ไม่ได้
กระทั่งหลวงตาอิ่มเทศน์จบ ทุกคนทยอยเดินออกจากศาลา ส่วนพระใหม่ต้องอยู่ปฏิบัติธรรม โดยที่ญาติห้ามมาเยี่ยม ทำได้แค่เพียงรอตักบาตรในตอนเช้าเท่านั้น พันนาและรชตดูผ่องใสในผ้าเหลือง ซึ่งนั่นคือเรื่องดี
โหรเดินออกมาเงียบๆ และหยุดนั่งที่ใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่ เก่ามากเสียจนทางการลืมสำรวจ ต้องใช้เงินจากชาวบ้านมาช่วยกันทำนุบำรุง ต้นไม้ใหญ่เก่าแก่ยังคงให้ร่มเงาภายใต้อาณาเขตอภัยทานแห่งนี้ พระสงฆ์มีไม่ถึงสิบรูป กุฏิก็อยู่ห่างกัน ป่าช้าอยู่หลังวัด หลุมศพแบบที่คนสมัยก่อนใช้ฝังคนตายยังมีให้เห็น รวมถึงเชิงตะกอน และวัดนี้ไม่มีเมรุ
คนอื่นๆ ออกไปจากวัดบ้างแล้ว เสียงล้อรถยนต์บดกับดินกรวด ส่วนเขาคงจะต้องพึ่งสองเท้า เพราะวัดกับบ้านห่างกันแค่สามกิโล ยังไม่ทันได้เหงื่อก็ถึงบ้านแล้ว
“ยังไม่กลับเหรอครับ”
เสียงทุ้มดังเบาๆ เหนือศีรษะ โหรเงยหน้าขึ้นมอง แปลกใจเล็กน้อยที่เห็นกุมภ์ เขาคิดว่าเจ้าตัวกลับไปพร้อมกับครอบครัวแล้ว
“กำลัง แล้วคุณล่ะทำไมยังไม่กลับ” โหรถามกลับบ้าง
“กลับด้วยกันไหม”
ไม่มีเหตุผลที่ต้องปฏิเสธ ม่านความรู้สึกเลื่อนออกช้าๆ โหรเดินตามร่างกึ่งโปร่งไปยังรถยนต์สีขาวสะอาด ซึ่งก็ดูเหมาะกับเจ้าของดี
ในชีวิตไม่ค่อยได้สัมผัสกับยานพาหนะประเภทนี้นัก อย่างดีก็รถกระบะแบบแค็บ กินฝุ่นกินควันกันไป กุมภ์เข้าไปในรถเปิดเครื่องยนต์และแอร์ให้ความเย็น กลิ่นหอมจากน้ำยาปรับอากาศเย็นสดชื่น แต่โหรไม่ถูกกับไอเย็นแบบนี้นัก มันมักจะทำให้หลับก่อนจะถึงจุดหมายทุกที
กุมภ์ขับรถไปตามทางลูกรังขรุขระ รถยนต์เอียงซ้ายทีขวาทีเพราะต้องคอยหลบหลุมที่ถูกน้ำขังจนเป็นแอ่งเล็กๆ สองข้างทางคือนาข้าวที่กำลังจะเป็นสีเหลือง แดดในยามสายจัดเจิดจ้าจนแสบตา แต่ชาวบ้านหลายคนยังคงตากแดดตากลมอยู่กลางไร่กลางนาทำมาหากิน
“ให้ผมไปส่งที่บ้านเลยไหม หรือคุณจะแวะทำธุระที่อื่น?”
“ผมไม่เคยมีธุระที่อื่นหรอก” โหรบอก “กลับบ้านเลย”
ระยะทางแค่สามกิโล แต่กลับใช้การเดินทางร่วมครึ่งชั่วโมงเพราะถนนไม่อำนวยกับรถยนต์ราคาแพงเสียเท่าไร ความเร็วเลยถูกจำกัดไว้แค่ 20-30 กิโลเมตรเท่านั้น
บ้านสองชั้นค่อนข้างเก่าตั้งอยู่บนพื้นที่ไร่กว่าๆ รายล้อมด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ ที่ถูกไม่ค่อยจะเป็นระเบียบนัก ว่านหรือสมุนไพรต่างๆ ถูกปลูกไว้หน้าบ้าน ส่วนไม้ใหญ่อยู่หลังบ้าน ที่แปลกตาไม่เข้าพวกคงจะเป็นกอดาวกระจายที่ขึ้นเหลืองอร่ามอยู่ใกล้ๆ กับเสาบ้าน
“ขอบคุณนะครับ” โหรกล่าวขอบคุณผู้มากน้ำใจ กุมภ์ไม่พูดอะไรได้แค่พยักหน้ารับเท่านั้น มือหนายังจับอยู่ที่บานประตูแม้จะเท้าจะลงมาสัมผัสกับพื้นแล้วก็ตาม ในคออึกอักคล้ายกับจะอยากพูดอะไรบางอย่าง
แค่ทำตามไปตามความรู้สึก
“อยู่คุยกันหน่อยได้หรือเปล่า”
*อย่าตีเลา เลาแก่แล้ว*
**ขออภัยที่หายไปนานจ้า มันเหนื่อยๆ ล้าๆ ทั้งที่ปีใหม่ก็ไม่ได้ไปไหน แต่เหนื่อยอย่างบอกไม่ถูก 55555**
***ดีใจที่เห็นมีคนเอาไปรีวิวในทวิตเตอร์ กราบงามๆ เลยค่า***
****ถ้าหากบทพระ-นาย ไม่ดี หรือการโยงเรื่องความรักไม่ดี อย่าโกรธกันเด้อ****
*****โปรดติดตามตอนต่อไป*****