ต่อจ้า ------- Sunday In Bed -------
ไม่น่ายอมมันเลยจริงๆ
กฤติคิดกับตัวเองเมื่อนรินทร์พาเขานั่งรถขับมาในถนนเส้นที่รถติดขนาดที่พูดชื่อไปใครๆ ก็เบ้หน้า มันทำให้กฤติหงุดหงิดกับการเสียเวลาโดยใช่เหตุ เขาควรที่จะนั่งทำงานหรือไม่ก็นอนอยู่บนเตียง ไม่ใช่มานั่งติดแห่งกอยู่บนถนนไม่ใช่หรือไงกัน?
คิดไปแบบนั้นก็ไม่เกิดประโยชน์ ท้ายที่สุดแล้ว กฤติก็ต้องเป็นตุ๊กตาหน้ารถอีกคนมาจนถึงที่หมาย คนที่ใช้เวลาเกือบทั้งหมดบนรถก้มลงตอบอีเมลในโทรศัพท์มือถือเลิกคิ้วสงสัยทันทีเมื่อพวกเขามาถึงที่หมาย พวกเขามาจอดรถกันที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง
สงสัยคงแค่พามาเดินเล่น แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจะขับรถมาตั้งไกลทำไม ในบริเวณถนนเส้นออฟฟิศพวกเขา มีห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ ตั้งสองแห่ง
หัวหน้าหนุ่มเก็บความสงสัยไว้กับตัวเอง เขายอมลงรถแล้วเดินตามอีกคนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งพวกเขาเดินออกมานอกอาคาร แต่คุณพ่อลูกหนึ่งยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเดินแต่อย่างใด จนกฤติกำลังจะเอ่ยปากถาม ป้ายใหญ่โตข้างหน้าทางเข้าซอยขนาดใหญ่ที่เริ่มมีคนพลุกพล่านให้เห็นก็เตะตาเข้าเสียก่อน
‘ตลาดนัดรถไฟ’
ตอนนี้หัวหน้าแผนกเซลล์เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงได้พลุกพล่านและจอแจ สถานที่แห่งนี้คือตลาดนัดกลางคืนชื่อดังที่เขาเคยได้ยินมาบ้าง แต่ไม่เคยได้มีโอกาสมาเลยสักครั้ง
ซึ่งกฤติก็ไม่แปลกใจว่าทำไม
สีสันของแสงไฟและเสียงเพลงจากร้านรวงต่างๆ ทำให้รู้สึกถึงความมีชีวิตชีวา นักท่องเที่ยวเดินกันวุ่นวายไปหมดทั้งที่เป็นคืนวันธรรมดาที่ร้านรวงต่างๆ ไม่ได้เปิดครบถ้วน กฤติไม่อยากจะคิดเลยว่าหากเป็นวันสุดสัปดาห์ที่ทุกร้านพร้อมรับแขกนั้น คนจะมหาศาลขนาดไหน
ตลาดแห่งนี้เหมือนกับตลาดทั่วๆ ไป มีการแบ่งโซนเป็นซอยที่มีร้านขายของตั้งกันอยู่มากมายหลายสิบร้าน ช่วงซอยแรกๆ จะเป็นร้านที่ขายอาหาร ซอยหลังๆ จะเป็นเสื้อผ้าและของใช้ต่างๆ ซึ่งตอนที่พวกเขามาถึงนั้น เขาจอดรถไว้ที่ห้างสรรพสินค้าข้างๆ แล้วเดินมากัน โดยที่คุณพ่อลูกหนึ่งโดนฟาดหลังไปทีเมื่อกฤติเห็นว่าที่ตลาดก็มีลานจอดรถ
ข้ออ้าง ‘ผมอยากเดินกับคุณนานๆ’ มันใช้ได้ที่ไหนกัน
และเมื่อถามว่าทำไมถถึงได้พามาที่นี่ อีกคนส่งยิ้มแห้งๆ แล้วพูดกับเขา
“ผมไม่รู้ว่าจะพาไปไหน เลยพาคนที่ชอบ มาที่ๆ ผมชอบ”
สิ้นคิด!
กฤติพูดกับตัวเองโดยพยายามสุดความสามารถไม่ให้เปลี่ยนสีหน้าเพราะท่าทางที่ดูไม่มั่นใจนั่น มองไปมองมานรินทร์เหมือนสิงโตตัวผู้ ที่ดูเหมือนกับว่าจะเป็นเจ้าป่าที่น่าเกรงขาม แต่แท้จริงแล้วทำอะไรไม่ได้นอกจากวิ่งไล่งับหางตัวเอง
“คุณเคยมาตลาดรถไฟหรือเปล่า?”
นรินทร์ถามอีกคนขึ้นมา ตอนนี้พวกเขาสองคนกำลังเดินดูของอย่างไม่รีบร้อน นรินทร์มีความสุขกับการมองคนข้างๆ ทำหน้าเหมือนเบื่อโลก แต่เมื่อเห็นของน่าสนใจ ก็จะเหลือบสายตาไปมองอย่างมีมาด
ทั้งที่อยากจะเดินเข้าไปดูแท้ๆ แต่กลับทำตัวนิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ไม่ครับ”
“งั้นนี่ก็เป็นครั้งแรกของคุณใช่มั้ย?”
“ใช่ครับ”
“ผมเป็นรักแรกของคุณด้วยใช่มั้ย?”
กฤติมองอีกคนด้วยสีหน้าเหมือนกับที่มองขยะมูลฝอย ซึ่งนรินทร์ที่ไม่เคยสะทกสะท้านอะไรก็ยิ้มรับหน้าบาน พลางเป็นฝ่ายเปลี่ยนเรื่องเอง
“คุณหิวหรือเปล่า?”
“ไม่ครับ”
กฤติตอบ ตามปกติแล้วเขาไม่ใช่คนทานเยอะ ยิ่งมื้อเย็นด้วยแล้ว แทบจะนับวันที่กินได้เลย บางทีก็ทำงานเสียจนไม่ได้สนใจอาหารด้วยซ้ำ
“แต่ผมหิว เราไปหาร้านก๋วยเตี๋ยวนั่งกันเถอะ”
กฤติกลอกตาอย่างไม่รักษาอาการ ถ้าตัวเองหิวแล้วจะมาถามเขาเพื่อ!
เดินไม่เท่าไหร่ นรินทร์ก็พาหัวหน้าแผนกเข้ามานั่งในร้านอาหารธรรมดาแต่คนเยอะเหมือนกับว่าแจกฟรี จนกฤติแอบนึกในใจว่ามันคงจะอร่อยมาก หรือไม่ทุกคนที่เดินอยู่ตรงนี้ก็คงจะหิวมากจนต้องแย่งกันเข้าร้านอาหารอะไรก็ได้สักร้านหนึ่ง
มันออกจะเป็นภาพที่ประหลาดเล็กน้อย ร้านอาหารที่ตกแต่งด้วยภาพสไตล์วินเทจ กับอากาศอบอ้าว และคนที่เดินพลุกพล่านอยู่ด้านนอกร้านนั้น ช่างขัดกับกฤติที่ใส่ชุดสูท ผูกเนกไท และนรินทร์ที่ยังอยู่ในชุดทำงานอย่างเสื้อเชิ้ตกางเกงสแลค และรองเท้าหนังอย่างดี
ในขณะที่กฤติรู้สึกไม่เข้าพวก นรินทร์กลับมองหน้าเขาอย่างสนใจคล้ายกับว่าตัวเองเป็นเด็กสองขวบที่เพิ่งจะได้ขนมที่โปรดปรานอย่างไรอย่างนั้น
“สั่งอาหารเลยมั้ยคะ?”
คุณพ่อลูกหนึ่งส่งยิ้มมารยาทให้กับบริกรสาวที่มายืนรับออเดอร์ ก่อนจะพยักพเยิดหน้ามาทางเขาคล้ายกับว่าให้สั่งก่อน เพราะตัวเองกำลังเลือกเมนูอยู่ ทั้งที่ร้านก๋วยเตี๋ยวที่พวกเขามานั่งนั้น ไม่ได้มีรายชื่อออาหารพิสดารไปมากกว่าร้านก๋วยเตี๋ยวที่กฤติเคยทานมาทั้งชีวิตเลย
“เกาเหลาหมูตุ๋นไม่ใส่ถั่วงอกที่นึงครับ”
“ส่วนของผม…” นรินทร์ทำท่าคิด เมื่อบริกรหันมารับออเดอร์จากตัวเองแล้ว “ขอเป็นเส้นเล็กเล็กน้ำตกหมูตุ๋นถั่วงอกเยอะๆ สาม ขอเกี๊ยวเพิ่มด้วย แล้วก็แคบหมูสองถุงที่โต๊ะนี่ไม่พอหรอก ขออีกถุงนะครับ น้ำเปล่าหนึ่งน้ำแข็งสอง อ่อ ขอผักแยกต่างหากด้วยนะครับ”
กฤติมองตามคนที่สั่งอย่างกับจะไม่มีวันพรุ่งนี้ให้ได้กินข้าวอีกแล้ว ทั้งที่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามากินข้าวกับนรินทร์ แต่ไม่ว่าเมื่อไหร่ ก็ไม่ชินกับการกินล้างผลาญของอีกคนเลยจริงๆ
“ปกติคุณกินข้าวกับใคร?”
“ถามทำไมครับ”
หัวหน้าหนุ่มถามกลับ พลางก้มหน้ามองโทรศัพท์มือถือของตัวเอง ทุกอย่างในตอนนี้น่าสนใจกว่านายนริทร์ทั้งนั้น
“ก็คุณอาจจะกินกับไอ้หน้าเหี้ยนั่น”
ไม่ต้องขอให้อีกคนขยายหัวหน้าหนุ่มก็เข้าใจว่านรินทร์หมายถึงใคร ‘ไอ้หน้าเหี้ยนั่น’ คือภูภูมิอย่างแน่นอน
“ทำไมผมต้องกินกับเขา?”
“ก็ดูสนิทกัน”
“ตรงไหน?”
“ก็คุณเคยนอนกับเขา”
“นอนด้วยกันครั้งเดียวนี่ต้องสนิทกันด้วยเหรอครับ?” กฤติถามอีกคนด้วยใบหน้านิ่งๆ
“อ้าว แค่ครั้งเดียวเองเหรอ?” นรินทร์ถามกลับด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนจะไม่แน่ใจ “ก็คุณพูดเหมือนว่านอนกับเขาเยอะมาก…”
“ผมพูดไปงั้นแหละ”
“อ้าว”
“ก็ผมรำคาญคุณ”
“เอ้า!!”
กฤติพูดด้วยใบหน้าเรียบนิ่งตามสไตล์
อันที่จริงแล้ว ระหว่างกฤติกับผู้ชายคนนั้นมันไม่มีอะไรมากกว่าเซ็กส์เพียงครั้งเดียว ความเผลอไผลด้วยบรรยากาศและหน้าตาอีกฝ่ายที่ตรงสเปค ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกพลั้งพลาด ถ้าถามหาเหตุผลสวยงามสักข้อ กฤติคงจะตอบว่ารสนิยมไม่ตรงกัน หากว่าจะเอาความเป็นจริงละก็ เซ็กส์ของภูภูมิห่วยเกินกว่าจะเสียเวลาซ้ำ ทั้งเซ็กส์ที่ไร้น้ำยา ตัวภูภูมินั้นก็ไม่ได้น่าคบหาอะไร ดังนั้นนอกเหนือจากเรื่องงานแล้วกฤติขอไม่ยุ่งด้วยจะดีกว่า
“ผมแม่งโคตรหวงคุณเลย” นรินทร์พูดต่อด้วยใบหน้ายิ้มๆ ถึงแม้มุมปากจะไม่ได้ดูยิ้มไปด้วย “ แค่คิดว่าคุณเคยใช้ปากให้มัน ผมก็…”
“ใช้ปาก?” กฤติทวนคำ พลางเงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์ “ผมไม่เคยใช้ปากให้ใคร”
“เอ้า วันนั้นคุณยังเล่นกับลิตเติ้ลโน้ตอยู่เลย”
“นั่นครั้งแรกที่ผมทำให้คนอื่น”
นรินทร์ไม่รู้ว่าตัวเองจะสามารถยิ้มกว้างกว่านี้ได้อีกหรือไม่ ถึงแม้อีกคนจะพูดพร้อมกับทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเพราะกำลังสนใจเรื่องภูภูมิอยู่ แต่เขาโอเคแล้ว
ให้ตาย ลิตเติ้ลโน้ตเป็นอาหารจานแรกที่หัวหน้าของเขาเคยทาน ความรู้สึกแบบนี้มันดีจนแน่นอก อยากจะจับอีกคนมาจูบซ้ำๆ แต่หากทำแบบนั้น เขาคงเป็นศพอยู่แถวนี้แน่นอน
ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง นรินทร์จึงเลือกที่จะย้ายหัวข้อบทสนทนาไปเรื่องอื่นแทน
“คุณชอบกินก๋วยเตี๋ยวมั้ย?”
“เฉยๆ ครับ ไม่ได้ชอบ แต่ก็ไม่ได้เกลียด”
“ส่วนผมชอบมากเลย”
ยังไม่ได้ถาม
กฤติคิดในใจ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกไปเพราะว่ารู้สึกเหมือนกับตัวเองเปิดปากไม่ออก อาจจะเพราะอากาศร้อนมากเกินไป เขาเลยรู้สึกเหมือนกับจะนั่งไม่ติดเก้าอี้
มันต้องเป็นเพราะอากาศร้อน ไม่ใช่เพราะสายตาของนรินทร์แน่นอน
ผ่านไปหลายวินาที ความเงียบยังคงโอบล้อมรอบตัวพวกเขาทั้งคู่ ถ้ามันเป็นเรื่องแค่นั้นอาจจะไม่เท่าไหร่ แต่สายตาเหมือนของนรินทร์ที่มองเขาเหมือนเป็นอาหารที่รอลงมือรับประทานนั่นต่างหาก ที่ทำให้กฤติรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ
จนในที่สุด ชายหนุ่มที่ทนไม่ไหวก็เอ่ยปากถามออกไป
“มองอะไรครับ?”
“มองคนที่ชอบครับ”
ไร้สาระ!
กฤติคิดว่าตัวเองคงทำสีหน้าประหลาดเพราะคำพูดไร้สาระเมื่อกี้ เพราะอีกฝ่ายนั่นยิ่งจ้องมองเขาจนเหมือนตาจะหลุด แถมยังส่งยิ้มกว้างที่น่าเอาผ้าปูที่นอนของเจ้าตัวไปคลุมเอาไว้
ให้ตายเถอะ เขายอมประชุมทั้งวันดีกว่าต้องรับมือกับคนอย่างนรินทร์
ในขณะที่กฤติกำลังเกรี้ยวกราดกลบเกลื่อนความไม่ปกติที่เกิดขึ้นกับตัวเองนั้น ทางด้านโน้ตที่กินน้ำเปล่าไป มองหน้าคนตรงข้ามเป็นกับแกล้มแคบหมูที่เอามากินรอก๋วยเตี๋ยวอยู่นั้น กลับมีความคิดตรงกันข้ามกับอีกคนราวฟ้ากับเหว
คุ้มชะมัด
นรินทร์คิดกับตัวเองเมื่อกฤติทำหน้าเหมือนเห็นผี ใบหน้าของหัวหน้าแผนกซีดลง แล้วก็เปลี่ยนเป็นใบหน้าคล้ายกับจะไม่แน่ใจ เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น ก่อนที่ใบหูกฤติจะแดงแปร๊ดขึ้นมา พร้อมๆ กับการที่เจ้าตัวถลึงตาใส่เขาพร้อมกับหักตะเกียบไปด้วยนี่มันน่าแกล้งโคตรๆ
“คุณ”
“อะไรอีก?”
กฤติถลึงตาใส่อีกคน แต่นรินทร์ปัดตกเพราะไม่น่ากลัว
“ผมจริงจังนะ”
“...”
“เรื่องที่ผม…”
“เล็กตุ๋นตกสามกับเกาเหลาได้แล้วค่ะ”
กฤติแทบจะให้โบนัสสามเดือนกับพนักงานเสิร์ฟที่เดินหน้าบูดเข้ามาวางอาหารที่พวกเขาสั่งไปไว้ที่โต๊ะ แล้วเดินออกไปอย่างไม่ใส่ใจ
“ผมกินก่อนนะ”
“คุณ เมื่อกี้…”
“เวลากินไม่พูดนะครับ มารยาทนิดนึง”
หัวหน้าหนุ่มพูดดักคออีกคนเอาไว้ แล้วรีบคว้าตะเกียบคีบผักเข้าปากทั้งที่ไม่ได้มีความหิวเลยสักนิด ตอนนี้เขาขออะไรก็ได้ที่ไม่ใช่นรินทร์ มันไร้สาระ ไม่อยากฟัง
เขาไม่อยากร้อนหูตอนนี้ มันทำตัวไม่ถูก
เป็นแค่เพื่อนเล่นบนเตียงอะไรนั่นก็ดีอยู่แล้วแท้ๆ
.
.
.
หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จด้วยความทุลักทุเลของกฤติที่ไม่หิว และนรินทร์ที่กินทุกอย่างหมดก่อนคนไม่หิว พวกเขาสองคนก็มาเดินเล่นตามซอกซอยต่างๆ
มันไม่ได้มีอะไรพิเศษ เพียงแค่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันท่ามกลางคนรอบตัวเท่านั้น
นรินทร์มองคนที่ขมวดคิ้วเหมือนกับกำลังอยู่ในที่ประชุมข้างๆ เขาแทบจะกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่เมื่อเห็นว่าอีกคนมองอะไร
มันเป็นร้านขายกางเกงชั้นในร้านหนึ่ง หน้าร้านเป็นหุ่นโชว์บ็อกเซอร์ลายหมูสีชมพู ที่มีถุงข้างหน้ายื่นออกมาเป็นรูปจมูกหมู เอาไว้เก็บลูกชายน้อย ส่วนข้างหลังเป็นเชือกสีขาวเส้นเล็กๆ ม้วนขดเป็นรูปทรงหางหมู
“อยากได้เหรอคุณ?”
สายตากฤติที่มองมานั้น ทำให้นรินทร์รู้สึกคล้ายขยะเปียก แต่ชายหนุ่มไม่ได้สนใจเพราะชินแล้ว
“ผมซื้อให้ได้นะ”
“ผมแค่มองเพราะมันตลกครับ ไม่ได้จะเอา”
กฤติพูดออกมาในที่สุด ซึ่งมันไม่เกินจริงนัก ดูก็รู้ว่าบ็อกเซอร์แบบนี้ทำไว้เพื่อเอาฮาเฉยๆ ไม่ได้เอาการใช้งานจริงใดๆ
“โถ่ ผมก็นึกว่าคุณอยากได้ ผมซื้อให้ได้นะ นี่โน้ตสายเปย์”
“...”
“เฮ้ย รอเดี๋ยว คุณ!”
นรินทร์ที่กำลังพูดนั่นพูดนี่ต้องหยุดแล้ววิ่งตามอีกคนที่เดินหนีหายไปอีกซอยโดยไม่บอกอะไร กฤติไม่ใช่คนตัวเล็กขาสั้น ดังนั้นแต่ละก้าวมันจึงยาวมากจนเขาเองก็ต้องรีบก้าวเร็วๆ เพื่อให้ตามอีกคนทัน ซึ่งไม่นานหลังจากนั้นนรินทร์ก็มาถึงตัวอีกฝ่าย ไม่ใช่เพราะกฤติชะลอความเร็วหรืออะไร แต่เพราะหัวหน้าเขาหยุดอยู่หน้าร้านหนึ่งต่างหาก
ร้านน้ำมะพร้าว
“อยากกินเหรอคุณ?”
นรินทร์ถามเมื่อเห็นอีกคนหนึ่งไม่พูดอะไร เพียงแค่หยุดดูป้ายเท่านั้น ชายหนุ่มนิ่งคิดสักครู่ ก่อนที่จะหันไปสั่งกับชายหนึ่งในสองที่มองหน้าเขาพร้อมยิ้มคล้ายกับกำลังรอรับออเดอร์อยู่
“น้ำมะพร้าวปั่นใส่นมสองแก้วครับ”
“...”
กฤติเลิกคิ้วมองหน้าอีกคน เขากำลังจะสั่ง แต่กำลังพยายามอ่านป้ายสีสดกับตัวหนังสือขนาดเล็กอยู่ กฤติมีปัญหาสายตามาตั้งแต่เด็ก และตอนนี้เหมือนกับว่าสายตาเขาน่าจะสั้นลงไปอีก
สั่งให้อย่างนั้นเหรอ?
“ผมสั่งกินเอง ไม่ได้เผื่อคุณนะ”
“...”
นิสัย
สีหน้าของเขามันคงน่าขบขันเสียจนอีกคนหัวเราะออกมา ตอนนั้นเองกฤติถึงได้เพิ่งรู้ว่าตัวเองโดนแกล้ง เพราะเมื่อตอนที่เขากำลังจะสั่ง อีกฝ่ายดันเอามือมาปิดปากเขาไว้เสียก่อน แถมไม่ได้สะทกสะท้านเมื่อเขาตวัดตาไปมองอย่างมีน้ำโห ยังคงส่งยิ้มระรื่นมาให้อีก
“โหยคุณ ผมล้อเล่น สองแก้วเมื่อกี้ผมให้คุณหมดเลยกะ-- โอ๊ย!”
กฤติยังคงทำหน้าเฉยเมื่อตัวเองจิกเอวอีกคนจมเล็บ ขนาดที่เสื้อเชิ้ตเนื้อดียังป้องกันไว้ไม่ได้ เขายังคงไม่เปลี่ยนสีหน้าเมื่อพนักงานสองคนที่ขายน้ำมะพร้าวมองมาเหมือนเห็นผี
“เท่าไหร่ครับ?”
“สะ… สองแก้วเจ็ดสิบครับ”
หัวหน้แผนกพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะยื่นเงินจ่ายไปเพื่อรับน้ำมะพร้าวกลับมา แล้วก้มลงดูดโดยไม่สนใจคนที่ยืนทำหน้าไม่ถูกอยู่ข้างๆ
“คุณ…”
นรินทร์เอ่ยเรียกคนที่ออกเดินไปไม่รอเขาแล้วเดือดร้อนให้ ต้องรีบก้าวตามอีกคนให้ทัน แต่ยังไม่ทันจะได้ไปไหน กฤติก็หันกลับมาหา พร้อมกับยื่นแก้วให้
“นี่ของคุณครับ”
“ขอบคุณครับ… เฮ้ย ไม่ใช่สิ ผมกะจะเป็นป๋าพาคุณมาเลี้ยงสักหน่อย โหย ไม่เท่เลยแบบนี้”
กฤติไม่ได้สนใจร้านรวงมากนัก ถึงแม้ว่ามันจะประดับไปด้วยไฟหลากหลายสีและมีของมากมายที่เขาไม่ค่อยได้พบเจอในชีวิตประจำวัน สิ่งที่อยู่ในหัวของชายหนุ่มตอนนี้คือเคสของลูกค้าที่จะต้องตาม Follow-up ต่อเพราะเป็น key customer
ดังนั้น ชายหนุ่มจึงตอบอีกคนไปอย่างที่คิด
“ไร้สาระครับ”
“ไม่นะคุณ” นรินทร์ที่ตอนนี้เอาตัวเองมาเดินข้างๆ กับหัวหน้าได้แล้วพูดขึ้น ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มกว้าง หากแต่นัยน์ตานั้นเด็ดเดี่ยวและเต็มไปด้วยความจริงจัง
“ใครๆ ก็อยากดูดีในสายตาคนที่ชอบทั้งนั้นนั่นแหละ”
ความเงียบอันน่าประหลาดโรยตัวเข้าปกคลุมพวกเขาเอาไว้
กฤติขมวดคิ้วอีกครั้ง เขารู้สึกหงุดหงิดรำคาญกับความคิดฟุ้งซ่านไร้สาระที่เขาไม่เห็นประโยชน์ในหัว ซึ่งมันเป็นมานานมากเกินไปแล้ว ตอนนี้อาจจะเป็นเวลาที่เขาควรที่จะคุยให้กับอีกฝ่ายเพื่อเอามันออกไปจากหัวเสียที
“คุณชอบผมหรือเซ็กส์ผม?”
หากเป็นตัวเขาตอนสมัยมัธยมต้นนั้น โน้ตคงมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าอีกคนพูดเพื่อตัดพ้อ แต่เพราะนี่คือเขาวัยสามสิบเอ็ด ผู้ที่ทำงานกับชายตรงหน้ามาร่วมปี เขารู้จักกฤติมากพอๆ กับที่เขารู้จักทุกซอกทุกมุมในออฟฟิศ
ผู้ชายคนนี้หมายความตามที่พูด
นรินทร์กลืนน้ำลายลงคอเล็กน้อย เขามั่นใจในความรู้สึกตัวเองมากพอที่จะก้าวข้ามเศษซากความสัมพันธ์เก่ามาเพื่อเดินหน้ากับอีกคน แต่เหมือนมันอาจจะยังไม่ชัดเจนพอ
“ผมชอบคุณ”
เขาย้ำอีกครั้งพร้อมมองตาคนตรงหน้าไปด้วย ทั้งที่รอบข้างพวกเขาเป็นร้านขายขนมหวานกลิ่นยั่วยวน และมีชาวต่างชาติและเด็กวัยรุ่นเดินสวนกันไปมาขวักไขว่ หากแต่พวกเขาสองคนกลับถูกตรึงไว้ตรงนี้
ตรงที่มีเพียงความไม่มั่นใจเป็นกาวเชื่อมความสัมพันธ์
“ผมยังชัดเจนไม่พอเหรอ?”
นรินทร์ถามในสิ่งแรกที่แว๊บเข้ามาในสมอง ใบหน้าหล่อยังคงมีรอยยิ้มประดับ หากแต่มันเป็นรอยยิ้มที่เจื่อนเสียจนกฤติถึงกับหัวหน้าหนีไปอีกทางเพราะไม่อยากมอง
“ผมไม่รู้ว่าชัดเจนของคุณหมายความว่าอะไร”
หัวหน้าหนุ่มพูดต่อด้วยน้ำเสียงธรรมดา แก้วน้ำมะพร้าวที่เหลือมากกว่าครึ่งถูกกำแน่นขึ้นเล็กน้อย “นี่อาจจะเป็นการเล่นซื่อบื้อของคุณอีกหรือเปล่า หรือมันเป็นความอยากทำกับผมทุกวันในหลายๆ ท่างั้นเหรอ?”
“มากกว่านั้น”
โน้ตตอบด้วยเสียงหนักแน่นพร้อมมองหน้าอีกคน เขาพยายามจะสื่อความรู้สึกของตัวเองผ่านสายตา ทว่ากฤติไม่เปิดโอกาสให้เป็นแบบนั้น ชายหนุ่มยังคงมองขนมหวานบูธใกล้ๆ อยู่แบบนั้น คล้ายกับว่ามันน่าสนใจมากกว่าคู่สนทนาเป็นไหนๆ
“ผมอาจจะเคยแต่งงานมาก็จริง แต่นั่นมันเป็นอดีตไปแล้ว ผมแม่งลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่านอกจากน้องนิ้งผมจะต้องทำอะไรเพื่อใคร…”
กฤติอยากจะหยิกตัวเองที่เผลอกลั้นหายใจรอให้อีกฝ่ายพูดจบประโยค
“ตอนนี้ทุกอย่างแม่งเปลี่ยนไปหมดเลย นอกจากลูกแล้ว ผมมีแต่คุณ อยากอยู่แต่กับคุณ อยากกอดคุณ อยากจูบคุณ อยากพาคุณไปกินของที่ชอบ อยากเจอหน้าคุณทุกวัน… ความคิดของผมตอนนี้มีแต่คุณ”
“...”
“ผมยังชัดเจนกับความรู้สึกรักของตัวเองไม่พออีกเหรอครับ?”
ความเงียบที่น่าอึดอัดครอบงำพวกเขาอยู่หลายวินาที สำหรับนรินทร์นั้นมันคล้ายกับมีคนมัดมือมัดเท้าแล้วโยนลงไปในสระน้ำ เรื่องที่น่าตลกคือ หากคนทำแบบนั้นเป็นกฤติละก็ เขาคงยอมจมอยู่ในนั้นอย่างไม่มีเงื่อนไข
“ถ้า…”
กฤติเปิดปากอันแห้งผากของตัวเองออกมา ทั้งที่ยังไม่มองหน้าอีกคน และทำเป็นเหมือนกับว่าหูของตัวเองไม่ได้ร้อนจนรู้สึกเหมือนจะไหม้
“ถ้าคุณเข้าบริษัท คุณก็เจอผมทุกวันแหละครับ”
หากเป็นคนอื่นนรินทร์คงด่าว่า ‘เป็นเหี้ยอะไร?’ แต่เมื่อเป็นกฤติ เขาอยากถามว่า ‘เป็นแฟนกันมั้ย?’ มากกว่า
ถึงแม้จะรู้ว่าอีกคนเบี่ยงประเด็นด้วยความขลาดเขิน ถึงแบบนั้นเขาก็อดพูดกับอีกคนด้วยน้ำเสียงที่ติดจะตัดพ้อเล็กน้อยไม่ได้อยู่ดี
“... เราไม่พูดเรื่องงานในเวลาแบบนี้ได้มั้ย?”
“...”
นอกจากคำสั่งจากบริษัทแม่แล้วนั้น กฤติเพิ่งจะค้นพบวันนี้เองว่า เสียงออดอ้อนของนรินทร์นั้น เป็นอีกสิ่งในโลกที่เขาไม่สามารถต้านทานได้ และนรินทร์เหมือนจะรู้ทัน ชายหนุ่มคว้าเอามือของเขาไปจับไว้ ใบหน้าหล่อลอบยิ้มเมื่อเห็นท่าทางการสะดุ้งเล็กน้อยของเขา
“ผมอยากอยู่ในชีวิตคุณนะ”
“...”
“มาเป็นครอบครัวของผมนะครับ”
นี่มันเกินไป
เสียงจ้อกแจ้กจอแจข้างนอกเข้าไม่ถึงหัวหน้าแผนกเซลล์เลยแม้แต่น้อย ร่างกายของกฤติสั่นน้อยๆ อย่างห้ามไม่ได้ หูของเขาได้ยินเพียงแค่เสียงอะไรบางอย่างที่น่ารำคาญ มันดังไปหมด ดังจนเขาไม่สามารถคิดอะไรได้
ความน่ารำคาญที่ควรจะจางหาย กลับกลายเป็นบ่วงล้อมรอบตัวของกฤติเอาไว้อย่างหนาแน่น เขาไม่สามารถหันหนีอีกคนได้ ไม่ว่าจะเป็นตัวตนของนรินทร์ที่อยู่ตรงหน้า หรือแม้กระทั่งเสียงบอกความรู้สึกที่ยังดังก้องอยู่ในหัวใจ
เมื่อทนสีหน้าเว้าวอนของอีกคนไม่ไหว กฤติจึงตอบอีกคนออกไป
“จะทำอะไรก็ทำเถอะ”
นี่มันไม่ถูกต้อง
นี่มันไม่ถูกต้องเลยจริงๆ
------- TBC -------
สารภาพเลยว่าเป็นตอนที่เขียนยากมากกกก
แก้แล้วแก้อีก ต้องการความสมจริงเลเวลไลน์หาเพื่อนให้พาไปตลาดรถไฟที จะเขียนนิยาย 5555555
(ขอบคุณเพื่อนมา ณ ที่นี้นะคะ เป็นหนี้บุญคถญมาก เจอกันครั้งหน้าจะเลี้ยงน้ำมะพร้าวนะ อิ--อิ)
เจอกันตอนหน้านะคะ สวัสดีปีหมูจ้า XD
ถ้าอยากพูดคุย ติชม หรือแก้คำผิดอะไร สามารถคอมเม้นต์ตรงนี้ หรือไม่ก็คุยกันใน #คนที่นอนข้างกันในวันอาทิตย์ ได้นะคะ ขอบคุณมากค่า <333