#คนที่นอนข้างกันในวันอาทิตย์ : Epilogue: อาทิตย์สุดท้าย (08/05/19)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: #คนที่นอนข้างกันในวันอาทิตย์ : Epilogue: อาทิตย์สุดท้าย (08/05/19)  (อ่าน 71530 ครั้ง)

ออฟไลน์ TheWanFah

  • ความใกล้ชิด บางครั้ง ทำให้เราเผลอคิดไปเอง
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
ใจพังทั้งสองคน
ใจคนอ่านก็พัง
คุณกฤติทำไมทำแบบนี้

ออฟไลน์ PoPoe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ฮืออออ หน่วงมากๆ
ขอให้ทั้งสองคน หาทางออกที่ดี และลงตัวได้ทีเถ้อะ :hao5:
คนอ่านก็หน่วง สงสารทั้งสองคน แงงงง น้องนิ้ง หนูไปฟังใครพูดอะไรมารึป่าวละลูก

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
โอ้ย จะร้องอ่า รักกัน แต่คบกันไม่ได้ แง้

ออฟไลน์ babybaphomet

  • Baby Baphomet
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1
    • Twitter
14th Sunday
#คนที่นอนข้างกันในวันอาทิตย์






นับตั้งแต่วันนั้นจนถึงปัจจุบันเป็นเวลาร่วมสองสัปดาห์   




ในช่วงสองสามวันแรก นรินทร์รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนบ้า เขารู้สึกเหมือนกับตัวเองทิ้งหัวใจเอาไว้ในห้องของหัวหน้า เขาเพียงแค่กอบโกยร่างกายเปล่าๆ เดินจากออกมา ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากลับมาถึงบ้านได้อย่างไร ตัวเองต้องทำอะไรต่อไปบ้าง เขาเพียงแต่นั่งจ้องเตียงนอนของตัวเองอย่างเฉยเมย




ผ้าปูที่นอนสีสดอีกหลายผืนที่อยู่ที่บ้านถูกชายหนุ่มเก็บเข้าไปไว้ในตู้

 


มันคือวันอาทิตย์ที่บัดซบ เขาพูดกับตัวเองเป็นรอบที่ร้อยเมื่อนึกได้ว่าตัวเองอกหักเป็นครั้งแรกของชีวิต ความเป็นหนุ่มหน้าตาดีไม่ได้ทำให้เขาเผชิญการผิดหวังทางความรักบ่อยมากนัก ซึ่งเมื่อมันเกิดขึ้น ชายหนุ่มจึงไม่รู้ว่าตัวเองควรจะรับมืออย่างไร




มันไม่ใช่ความรู้สึกเสียใจจนน้ำตาไหลริน เขาไม่ได้อยากออกไปนอกบ้านเพื่อแหกปากโวยวายกลางสายฝนอย่างที่เห็นในโทรทัศน์ หรือเมาหัวราน้ำแบบตอนที่ไม่สบายใจปกติ




นรินทร์เพียงแค่นิ่ง


นิ่งจนกว่าจะรู้ตัว เขาก็นั่งจ้องผนังเสียจนมันเป็นเช้าวันใหม่แล้ว




ทั้งสัปดาห์ผ่านไปอย่างยาวนานในความคิดของชายหนุ่ม เขาทำงาน ทำงาน แล้วก็ทำงาน ไม่ได้สนใจว่าตัวเองจะต้องกินข้าวตอนไหน ยิ้มรับกับซุกซนที่ถามไถ่ว่าเขาเป็นอะไรทำไมถึงได้ดูจดจ่อกับงานขนาดนี้ หรือแม้กระทั่งบอกปฏิเสธแทนใจที่จะขโมยเยลลี่ซุกซนมาให้เขากินเพราะไม่เห็นว่าชายหนุ่มมีอาหารตกถึงท้อง




เมื่อมีคนถามว่าทำไมเขาถึงต้องวุ่นวายกับงานขนาดนี้ นรินทร์เพียงแค่ยิ้มแล้วตอบไปว่าเขายังต้องเรียนรู้อีกเยอะสำหรับหน้าที่ใหม่




ความจริงภายใต้ข้ออ้างทั้งหมด นรินทร์เพียงแค่ไม่อยากอยู่กับตัวเองมากเกินไป 


เขาไม่สามารถบังคับตัวเองไม่ให้คิดถึงกฤติได้เลยจริงๆ   




หลายวันในตอนที่เลิกงาน นรินทร์มักจะเผลอขับรถมาที่คอนโดของอีกคน จอดรถทิ้งไว้อยู่แบบนั้นทั้งที่ตัวเองมีคีย์การ์ด มีเบอร์เจ้าของห้อง มีทุกอย่างที่สามารถพาตัวเองเข้าไปในห้องอีกคนได้ 




แต่นรินทร์ทำไม่ไหว




เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะเสนอหน้าเข้าไปในห้องนั้นด้วยฐานะอะไร เขากลัวว่าเมื่อตัวเองเห็นหน้าของกฤติแม้เพียงปลายผม ความคิดถึงมันคงโอบรัดจนเขาเป็นบ้า เขากลัวว่าตัวเองจะร้องไห้ออกมา หรือแม้กระทั่งทำอะไรบ้าๆ อย่างกักขังอีกคนเอาไว้ในอ้อมกอดตลอดไป




สิ่งเดียวที่ยึดสติของนรินทร์ คือคำบอกรักอันเจ็บปวดจากปากของกฤติ


ชายหนุ่มยกยิ้มเยาะเย้ยกับใบหน้าของตัวเองในกระจกมองหลังบนรถ คำว่า ‘รักกันมันไม่พอ’ เขาเพิ่งจะเคยรู้สึกถึงมันเป็นครั้งแรก


แถมเป็นบทเรียนรวบรัดที่เจ็บปวดชะมัด



.

.

.



“คุณพ่อไม่สบายเหรอคะ?”




นรินทร์กะพริบตามองลูกสาวที่เอ่ยปากถามอย่างสงสัย หลังจากที่ทำท่าอึกอักคล้ายกับอยากจะพูดอะไรกับชายหนุ่มมาตั้งแต่เช้า




วันนี้เป็นวันแรกที่เขาได้เจอลูกหลังจากที่ไปรับมาทานข้าวพร้อมกฤติเมื่อครึ่งเดือนก่อน เผลอแป๊บเดียววันเวลาของนรินทร์ไหลผ่านไปรวดเร็วราวกับกดลงชักโครก ทุกอย่างมันว่างเปล่า เขามีเพียงงาน งาน แล้วก็งาน




นอกจากงานแล้ว ก็คงเป็นบทบาทคุณพ่อ




เขาใช้ชีวิตคล้ายกับสัตว์เซลล์เดียวที่ปฏิบัติตามคำสั่งจากไขสันหลัง จนกระทั่งวันนี้ที่เนตรโทรมาบอกให้ไปรับลูกมาดูแลในสุดสัปดาห์ เพราะว่าน้องนิ้งใกล้จะเปิดเทอมขึ้นภาคเรียนใหม่ ประจวบเหมาะกับหญิงสาวมีบินพอดีกับที่คุณเอิร์ธจะไม่อยู่บ้าน เขาเลยต้องทำหน้าที่พ่ออีกครั้ง




“เปล่าค่ะ”




นรินทร์ฉีกยิ้มให้ลูกสาว มันคงเป็นยิ้มที่ดูแห้งเหือดที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้คาดหวังให้เด็กน้อยเชื่อในคำโกหกโง่เง่านั่นอยู่แล้ว 




“แต่คุณพ่อดู…”

“ดูอะไรเหรอคะ?”

“ไม่ปกติ”

“...”

“คุณพ่อเหมือนพระอาทิตย์ที่กำลังร้องไห้เลยค่ะ หนูไม่เคยเห็นหรอกนะคะ แต่คิดว่าถ้าเกิดขึ้นได้ต้องเหมือนคุณพ่อแน่ๆ”




รอยยิ้มของชายหนุ่มค่อยๆ คลายลง แววตาที่มักทอประกายขี้เล่นอยู่เสมอหม่นแสงลงอย่างเห็นได้ชัด




“คุณพ่อเจ็บหัวใจค่ะ”

“...”




เด็กหญิงเงียบไปเมื่อได้ยินคำตอบ เธอกำลังคิดโยงไปถึงวิทยาศาสตร์เมื่อวันอังคารที่เรียนเรื่องอวัยวะภายใน




“คุณพ่อเจ็บหัวใจห้องไหนคะ?”

“เจ็บทุกห้องเลยค่ะ”

“แล้วทำไมถึงไม่ไปหาหมอล่ะคะ? รีบไปหาหมอเร็วสิ นิ้งพาไปก็ได้ค่ะ”

“หมอรักษาคุณพ่อไม่ได้หรอกค่ะ”

“แต่…”

“พ่อเจ็บหัวใจเพราะอากฤติเขาจะไม่มาหาคุณพ่อแล้วค่ะ”

“แล้วอากฤติไปไหนเหรอคะ?”




เด็กหญิงถามออกไปทันที ใบหน้าน่ารักยังคงมีร่องรอยของความไม่เข้าใจปรากฏอยู่




“อากฤติหนีไปในที่ที่คุณพ่อเอื้อมไม่ถึงอีกแล้วค่ะ”





ไวกว่าที่เธอจะรู้ตัว เด็กสาวพลั้งปากถามออกไป




“อากฤติหนีคุณพ่อไปเพราะนิ้งเหรอคะ?”





คุณพ่อของเธอนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนที่จะเผยรอยยิ้มบางบนใบหน้า




“อย่าพูดแบบนั้นสิคะ…”




บ่ายที่ไม่สดใส เด็กหญิงเพิ่งรู้สึกเป็นครั้งแรกว่าตัวเองเป็นต้นเหตุที่พระอาทิตย์ร้องไห้ออกมา



.

.

.



“คุณพ่อคะ”




นรินทร์ที่กำลังเตรียมจะเข้านอนหันมาตามเสียงเรียกของลูกสาว โดยปกติแล้วพวกเขาจะแยกห้องกันนอน น้องนิ้งมีห้องเป็นของตัวเองตั้งแต่ตอนที่เริ่มขึ้นชั้นประถมหนึ่งเพราะน้องนิ้งร้องขอ ตัวคุณพ่อกับแม่เองก็โอเค แต่หลายครั้งที่เด็กน้อยมานอนกับพ่อแม่ อย่างเช่นตอนวันเกิด ตอนฝันร้าย




หรือแม้กระทั่งตอนที่มีเรื่องไม่สบายใจอย่างเช่นครั้งนี้




“ว่าไงคะ?”




น้ำเสียงของชายหนุ่มยังคงความใจดีเอาไว้เหมือนทุกครั้งที่พูดกับลูกสาว ถึงแม้ใบหน้าจะอิดโรยคล้ายกับคนที่ไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่มาเป็นปีก็ตาม




“นิ้ง…” เด็กหญิงกัดริมฝีปาก เธอทบทวนเรื่องนี้มาตั้งแต่บ่าย จนถึงตอนนี้เธอตัดสินใจแล้ว ใบหน้าน่ารักมีร่องรอยของความเสียใจปรากฏให้เห็น “นิ้งขอโทษค่ะ”

“ขอโทษอะไรคะ?”

“นิ้ง… นิ้งไม่ได้อยากให้อากฤติหายไปจากชีวิตของคุณพ่อแบบนี้ค่ะ ฮึก…”




น้อยครั้งมากที่เด็กน้อยจะร้อไห้ให้นรินทร์เห็น วินาทีแรกชายหนุ่มตกใจ พอวินาทีต่อมาสัญชาตญาณก็สั่งให้เขาอุ้มเด็กสาวเอาไว้แนบอก ซึ่งลูกสาวก็สะอึกสะอื้นเสียจนนรินทร์รู้สึกได้ว่าคอเสื้อของเขาเริ่มชื้น




“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่เป็นไรนะคะน้องนิ้ง ไม่ต้องร้องนะคะคนเก่ง”




คุณพ่อตัวสูงยังคงกอดปลอบลูกสาวอยู่แบบนั้นจนกระทั่งเธอเริ่มสงบลงเหลือเพียงแค่เสียงสะอื้นเบาๆ โน้ตจึงคลายอ้อมกอดแล้วเช็ดหน้าเช็ดตาเด็กน้อย ใบหน้าน่ารักตอนนี้แดงเถือก หน้าตายังคงบู้บี้จากการร้องไห้




“นิ้งขอโทษค่ะ”

“พอแล้วลูก พ่อไม่เคยโกรธหนูเลยนะคะ”




ฝ่ามืออบอุ่นของคุณพ่อที่ใจดีทำให้เด็กหญิงรู้สึกคล้ายกับอยากจะร้องไห้อีกครั้ง ตั้งแต่เกิดมาจนถึงตอนนี้คุณพ่อกับแม่เป็นทุกอย่างของเธอ แล้วทำไมเธอถึงได้ทำให้คุณพ่อเจ็บหัวใจได้ลงกัน




“นิ้ง… นิ้งไม่ได้ไม่ชอบอากฤตินะ นิ้งแค่...”

“...”




น้องนิ้งตัดสินใจกลืนความกังวลในจิตใจลงไป ถึงแม้ว่าจะโดนเพื่อนล้อหรือว่าโลกจะหันหลังให้ เธอก็ไม่สนใจแล้ว




ขอแค่คุณพ่อกับคุณแม่มีความสุข อะไรก็ได้ทั้งนั้น



“นิ้งรักคุณพ่อเวลาที่มีอากฤติอยู่ด้วยนะคะ”




คุณพ่อคนเก่งยิ้มกว้างเป็นครั้งแรกในรอบสิบกว่าวัน เขาลูบหัวเด็กในอ้อมแขนแผ่วเบา ในหัวกำลังครุ่นคิดถึงสาเหตุที่เด็กหญิงมีความคิดต่อต้านกฤติในครั้งนั้น




ถึงแม้นรินทร์กับเนตรจะต่างกันหลายอย่าง แต่สิ่งที่มีร่วมกันคือการให้เวลาอีกคนในการตกตะกอนความคิดตัวเองเมื่อมีปัญหา พออารมณ์หายไปแล้วจึงค่อยมาหันหน้าคุยกัน




ครั้งนี้นรินทร์เองก็จะใช้วิธีนั้น




“น้องนิ้งคะ” เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นมองพ่อของเธอ แววตาใสซื่อมีความกังวลเล็กน้อยให้เห็น “น้องนิ้งจำวันที่เราเจออากฤติครั้งสุดท้ายได้มั้ยคะ? ที่เราไปทานข้าวด้วยกันสามคน”




เด็กหญิงพยักหน้าเล็กน้อยเป็นการตอบรับ ใบหน้าน่ารักสลดลงเมื่อนึกว่าตัวเองพูดอะไรออกไปในตอนนั้น




“ตอนแรกพ่อก็เห็นว่าหนูก็ดูจะชอบอากฤติเหมือนกัน แล้วทำไมอยู่ดีๆ หนูถึงได้พูดกับอากฤติเขาแบบนั้นคะ?” 

“...”




“น้องนิ้งบอกคุณพ่อได้มั้ยคะว่าเพราะอะไร?”




เด็กหญิงเงียบลงอีกครั้ง ทั้งสองคนนิ่งอยู่แบบนั้น เมื่อน้องนิ้งยังไม่เปิดปากนรินทร์เองก็ไม่ได้บังคับ เรื่องแบบนี้มันอาจจะหนักกว่าที่เด็กวัยเพิ่งพ้นอนุบาลจะรับได้ภายในวันเดียว เด็กหญิงยังคงเงียบ จนเมื่อมองหน้าคุณพ่อแล้วเห็นว่าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพูดเท่านั้น




สุดท้ายแล้ว นิ้งก็ยอมพูดมันออกมา



“อาเอิร์ธบอกมาค่ะ”




------- Sunday In Bed -------




ต่อข้างล่างนะคะ

ออฟไลน์ babybaphomet

  • Baby Baphomet
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1
    • Twitter
ต่อจ้า



“อาเอิร์ธบอกว่าผู้ชายต้องคู่กับผู้หญิง คุณแม่ต้องมีอาเอิร์ธ คุณพ่อต้องมีคนอื่นที่ไม่ใช่อากฤติ”

“...”

“อากฤติจะทำให้คุณพ่อไม่ปกติ ผู้ชายรักกันไม่ปกติ”

“...”

“อาเอิร์ธบอกว่าถ้าคุณพ่อกับอากฤติรักกันครอบครัวเราต้องเป็นพวกวิกลจริต อาเอิร์ธบอกว่ามันแย่มากๆ ถ้าเป็นแบบนั้น คุณพ่อจะไม่มีใครเข้าใกล้ ทุกคนเกลียด แล้วหนูก็จะโดนเกลียดไปด้วย”

“หนูไม่อยากให้คุณพ่อโดนเกลียดค่ะ หนูก็ไม่อยากโดนเหมือนกัน”



ไอ้เหี้ยอาเอิร์ธ!




นรินทร์รู้สึกว่าตัวเองโกรธจนสามารถพังโลกใบนี้ได้ด้วยมือเปล่า เขาโกรธจนรู้สึกว่าตัวเองตัวสั่นอย่างแทบจะควบคุมไม่ได้ ถึงตอนที่ได้รับรู้ความจริงจากลูกสาว เขาจะกล่อมน้องนิ้งให้หลับแล้วตัวเองออกไปเตะกระถางต้นไม้หน้าบ้านล้มจนต้องเรียกคนมาเก็บกวาดในตอนเช้าก็ตาม




เขาโกรธมาก



โชคดีที่วันนี้เป็นวันอาทิตย์ หลังจากคุยกับน้องนิ้งเมื่อวาน จนถึงตอนนี้นรินทร์ยังคงนิ่ง ใบหน้าหล่อฉาบด้วยรอยยิ้มอย่างทุกครั้งเมื่อลูกสาวเรียก มือใหญ่ที่ลูบหัวเด็กน้อยยังคงเบาเหมือนเคย ในขณะที่หัวสมองก็คิดถึงวิธีที่จะจัดการกับคนที่มาป้อนความคิดสารเลวแบบนี้ใส่ลูกสาวเขาไปด้วย




นรินทร์รอจนกระทั่งน้องนิ้งอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย เขาจะเอาลูกสาวไปฝากไว้ที่บ้านพ่อแม่ในอีกฝั่งของกรุงเทพ แล้วเหยียบไปบ้านของแฟนใหม่เนตรอย่างไร้คำบอกกล่าว




เขายังคงนิ่งตอนที่ทิ้งข้อความบอกเนตรไว้ว่าจะเข้าไปหา ไม่ได้ตอบหญิงสาวไปว่าทำไม จนกระทั่งมาถึงหน้าบ้านจัดสรรที่มาเมื่อช่วงหลายเดือนที่แล้ว นรินทร์ยังคงนิ่งเมื่อกดกริ่งหน้าบ้านแล้วบอกให้แม่บ้านไปตามเอิร์ธออกมา




“อ้าว คุณโน้ต ลมอะไร…”




‘ผลั้วะ!’




ไม่เสียเวลาพูดพร่ำทำเพลง นรินทร์ปล่อยหมัดลุนๆ ออกไปทันทีที่เห็นหน้าไอ้ชาติชั่วแฟนใหม่เนตร ในหูอื้ออึงไปหมด ไปสนใจเสียงหวีดร้องของแม่บ้านที่เห็นเหตุการณ์ หรือแม้กระทั่งหลังจากนี้เขาจะโดนแจ้งความข้อหาทำร้ายร่างกายหรือไม่




ชั่งใจสำหรับไอ้เหี้ยนี่ไม่ได้ ต้องช่างแม่งเท่านั้น!




“มึง! ไอ้เหี้ยเอิร์ธ มึงเป่าหูอะไรลูกกู!”




เมื่ออีกคนทำท่าเหมือนจะลุกขึ้นมาได้ นรินทร์ก็ตรงเข้าไปกระชากคอเสื้อแล้วตะคอกใส่ด้วยแรงโทสะ ก่อนจะปล่อยหมัดใส่หน้าอีกฝ่ายอย่างจังเป็นครั้งที่สอง




‘ผลั้วะ!’


“ผมไปทำอะไรให้วะ?”




เอิร์ธถามอย่างไม่เข้าใจ ใบหน้าของชายวัยกลางคนเต็มไปด้วยรอยช้ำ ซึ่งนั่นยังไม่สาแกใจของคุณพ่อลูกหนึ่ง นรินทร์ไม่ตอบคำถาม แต่ชกอีกฝ่ายจนล้มอีกครั้ง ก่อนจะเข้าไปนั่งคร่อมเพื่อรัวหมัดลงไปที่ท้องของอีกคน




ถ้าวันนี้มันไม่ตายคาตีนล่ะก็ กูไม่กลับบ้านแน่บอกเลย!


ก่อนที่นรินทร์จะได้กระทืบอีกคนให้เละสมความตั้งใจ เสียงหญิงสาวที่คุ้นเคยก็เรียกไว้เสียก่อน


“โน้ต! ทำบ้าอะไร หยุด!”


เนตรที่วิ่งกระหืดกระหอบออกมาจากในบ้านทั้งรองเท้าสลิปเปอร์พูดหน้าตาตื่น ดูก็รู้ว่าคงจะรีบร้อนออกมาทั้งที่ยังไม่ได้เตรียมตัวพร้อม นรินทร์ทำเป็นไม่ได้ยิน เขายังคงใช้เท้าเตะผู้ชายตรงหน้าอีกครั้ง




“บอกให้หยุดไงคุณโน้ต! ผีบ้าอะไรเนี่ย!”




ชายหนุ่มยอมหยุดแต่โดยดี แต่ไม่วายเตะอัดเข้าท้องเจ้าของบ้านเต็มแรงอีกครั้งจนได้ยินเสียงดัง ‘อั่ก’ ออกมาจากร่างที่นอนขดอยู่




“อยู่ดีๆ คุณมาต่อยเอิร์ธทำไม? เป็นบ้าอะไรอีกเนี่ย”




เนตรเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาเมื่อพาทุกคนเข้ามาในบ้านแล้ว หญิงสาวกับแฟนเก่าของเธอนั่งกันอยู่ที่โซฟาสำหรับแขก โดยมีเอิร์ธนั่งหน้าเขียวอยู่บนโซฟาห่างไปไม่ไกล ใบหน้ายังคงเต็มไปด้วยร่องรอยของความเจ็บปวด มือถือถุงน้ำแข็งที่แม่บ้านนำมาให้ แต่ปฏิเสธไม่ไปโรงพยาบาลเพราะเจ้าตัวก็อยากรู้ว่าทำไมอีกคนถึงได้มาทำพฤติกรรมป่าเถื่อนถึงที่เขาแบบนี้




ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเนตรเคยคบกับคนไร้อารยะอย่างโน้ต




“ก็มันพูดเหี้ยอะไรกับลูกไว้ล่ะ!”

“คุณโน้ต!”




หญิงสาวเหวเสียงเขียวเมื่อพ่อของลูกเธอพูดจาหยาบคายตรงนี้ทั้งที่ตามปกติไม่เป็น ถึงแม้โน้ตจะดูบ้าบอไปบ้าง แต่โดยปกติแล้ว เจ้าตัวก็มีมารยาทมากพอที่จะไม่พูดคำหยาบต่อหน้าคนแปลกหน้า หรือแม้กระทั่งกับเธอเอง โน้ตยังไม่เคยพูดหยาบคายด้วยเลย




“ผม?”



เอิร์ธชี้หน้าตัวเองอย่างไม่เข้าใจ




“เออ มึงนั่นแหละ!” นรินทร์ตวาดด้วยความโมโห “ไม่ใช่มึงแล้วจะเป็นหมาที่ไหน”

“โน้ต!”

เนตรเหวอีกครั้งด้วยความหงุดหงิด ตอนนี้เธอเริ่มโกรธบ้างแล้ว ตามปกติโน้ตที่เธอรู้จักไม่ใช่คนป่าเถื่อนเช่นนี้ ถึงแม้จะไร้มารยาทในบางครั้งก็ตามที

“บางทีคุณโน้ตอาจจะหึงผมกับคุณ” เอิร์ธเป็นฝ่ายพูดบ้าง

“ไม่ใช่” โน้ตกับเนตรพูดแทรกขึ้นมาทันที เนตรถอนหายใจในขณะที่นรินทร์ทำหน้าไม่สบอารมณ์

“ตกลงคุณเป็นบ้าอะไรขึ้นมา? ถึงได้ทำอะไรไร้เหตุผลแบบนี้!”




“แฟนใหม่คุณ ไปเป่าหูน้องนิ้งว่ากฤติเป็นคนวิกลจริต ไปบอกลูกว่าความรักของพวกผมมันผิดปกติ จนลูกไล่กฤติออกไป เขาไม่ยอมคบกับผมแล้ว แบบนี้ผมมีเหตุผลพอจะอัดมันหรือยัง!”




ทั้งวงเงียบลงทันทีหลังจากที่นรินทร์พูดจบ




เนตรเบิกตามองไปทางเอิร์ธอย่างตั้งคำถาม ซึ่งอีกคนก็มองกลับมาด้วยสายตางงงวย


“อ่าว ก็เขาวิกลจริตไม่ใช่หรือไงครับ?”



“...”

“มันประหลาดออก คุณคิดว่าผู้ชายสองคนจะรักได้จริงเหรอครับ? ผมว่าไม่มีทาง”

“มีไอ้สัด! กูนี่ไง”

“โน้ต!”




เนตรปรามแฟนเก่าอีกครั้ง นี่มันวันอะไร ทำไมแฟนเก่ากับแฟนใหม่ของเธอถึงได้มาทะเลาะกันอยู่ตรงหน้าด้วยเรื่องของคนอื่นแบบนี้เนี่ย




“ผมพูดผิดตรงไหน?”




เอิร์ธถามขึ้นมากลางปล้องด้วยความสับสน พร้อมทั้งอารมณ์ขุ่นมัว เขามั่นใจว่าตัวเองพูดถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ คนปกติทางจิตที่ไหนเขาจะพิศวาสเพศเดียวกับตัวเอง ไม่มีแน่นอน




“ผมคุยกับน้องนิ้งแล้วน้องนิ้งดูชอบกฤติเขามากเลย คุณจะยอมให้น้องนิ้งไปอยู่ร่วมบ้านกับคนแบบนี้น่ะเหรอเนตร? เขาไม่สมประกอบนะ คนเป็นตุ๊ดเป็นแต๋วจะมาเลี้ยงลูกได้ยังไง”

“...”

“ถึงแม้ผมจะมีลูกให้คุณไม่ได้ แต่ผมมั่นใจว่าครอบครัวที่มีพ่อแม่ลูกแบบเราสองคนสามารถทำให้น้องนิ้งโตมาเป็นเด็กที่ดีได้นะเนตร”

“แนวคิดเหี้ยอะไรของคุณวะเนี่ย?”

“โน้ต เงียบก่อน”




คนที่พูดแทรกขึ้นมาเมื่อครู่ยอมเงียบลงเมื่อเนตรขอ หญิงสาวกอดอกมองไปทางเอิร์ธที่ยังคงพูดความในใจของตัวเองออกมาต่อ


“หรือคุณจะบอกว่าผมพูดผิด? คนมีความคิดมันก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าพวกพ่อแม่เกย์ทำให้ลูกเป็นคนมีปัญหาทางจิต แล้วก็เป็นปัญหาสังคมไง เหมือนกับพวกขี้ยา--”

“คุณเกลียดเกย์เหรอคะ?”

เนตรพูดแทรกอย่างที่ปกติไม่ทำเพราะมันเป็นเรื่องไร้มารยาท


“ไม่ ผมไม่ได้เกลียดพวกนั้น” เอิรธปฏิเสธออกมา พร้อมกับส่ายหน้า “แต่ผมรับไม่ได้หากคนในครอบครัวผมจะเป็นพวกผิดปกติ”

“คนที่ผิดปกตินั่นมันคุณต่างหาก! นรินทร์พูดตอบกลับด้วยความฉุนเฉียว

“ผมเป็นผู้ชายปกติ! คนที่ผิดปกติน่ะคือคุณกับแฟนประเทืองของคุณ---”
“พอ!”

หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวพูดเมื่อรู้สึกว่าเธอไม่สามารถทนฟังได้อีกต่อไป เนตรถอนหายใจออกมาอย่างหนักอก เธอไม่เคยรู้เลยว่าผู้ชายที่เธอวางแผนจะแต่งงานด้วยในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าจะมีทัศนคติแบบนี้




เนตรมองหน้าแฟนคนปัจจุบันของเธอด้วยสายตาครุ่นคิด พวกเธอไม่ใช่เด็กๆ กันแล้ว เรื่องอื่นก็เข้ากันได้ดีทั้งหน้าที่การงานและความสนใจ มีเพียงเรื่องนี้เท่านั้นที่อาจจะมีทัศนคติไม่ตรงกัน




หญิงสาวถอนหายใจ ก่อนที่จะพูดกับคนรักออกมา


“คุณไปทำแผลเถอะค่ะ ปล่อยไว้มันจะแย่”

“แล้วคุณ?”

“ฉันขอคุณกับโน้ตก่อน เดี๋ยวจะตามไป”

“ผมรอคุณมาทำแผลนะ”

“ทำเองเถอะค่ะ มือคุณไม่ได้เจ็บ”

“...”

“เสร็จแล้วเดี๋ยวเราค่อยคุยกันนะคะ ตอนนี้ไปก่อนเถอะค่ะ”




โชคดีที่เอิร์ธไม่ใช่คนเรื่องมาก ชายหนุ่มวัยกลางคนยอมลุกออกไปแต่โดยดี ทิ้งไว้เพียงแค่พ่อและแม่ของนิ้งเพียงลำพัง




“ฉันขอโทษแทนเอิร์ธด้วยนะคะที่ไปพูดอะไรแบบนั้นกับลูก”




เนตรเปิดประเด็นขึ้นมาเป็นคนแรก เธอรู้ดีว่าเอิร์ธกังวลเรื่องลูกแค่ไหน แฟนของเธอเอาแต่พูดว่าอยากรับน้องนิ้งมาเลี้ยงดู ตอนแรกเธอนึกว่าเอิร์ธจะชอบพอน้องนิ้งอยากได้เป็นครอบครัวเดียวกัน เธอเพิ่งจะมารู้เมื่อกี้ว่าความต้องการลึกๆ ของชายหนุ่มอาจจะเป็นเพียงแค่อยากได้ครอบครัวที่สมบูรณ์แบบเท่านั้น




“คุณไม่ได้เป็นคนพูดสักหน่อย จะไปขอโทษแทนมันทำไม?”

“เอิร์ธเขามีลูกไม่ได้” เนตรเป็นฝ่ายพูดขึ้น “ฉันคิดว่าเขาคงอยากจะได้น้องนิ้งมาเป็นลูก เขาค่อนข้างอยากได้ครอบครัวที่มีพ่อแม่ลูก แต่เขามีเองไม่ได้ก็เลยอยากได้น้องนิ้งมาเป็นลูกน่ะค่ะ” 

“ตรรกะผีๆ คนบ้าเท่านั้นที่จะคิดอะไรอย่างงี้ได้ เดนนรกเอ๊ย!”

“คุณ… ฉันเองก็ไม่ได้เห็นด้วยหรอกนะ แต่คุณห้ามความคิดคนไม่ได้หรอก” เนตรพูดออกมาพร้อมกับถอนหายใจ เธอไม่เคยคิดว่ามันจะมาถึงจุดนี้ได้ ยังไงหลังจากนี้เธอกับเอิร์ธต้องคุยกันยาวๆ แน่นอน

“ฉันเองก็ผิดที่ปล่อยลูกอยู่กับเขาโดยไม่ได้ไปดู”

“ผมไม่ได้โทษคุณเลยนะ”

“ฉันก็เป็นผู้ปกครองคนหนึ่งเหมือนคุณ ยังไงก็ผิด”

“ไม่หรอกคุณ มัน… ช่างเถอะ”

“คุณใจเย็นลงก่อน อย่างน้อยก็ระบายอารมณ์ไปแล้วนี่คะ”

“แม่ง… อย่าให้ผมเจอมันยัดอะไรบ้าๆ ใส่หัวน้องนิ้งอีกนะ” นรินทร์พูดด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์ พร้อมกับกอดอกนั่งชันขา หญิงสาวมองด้วยความขัดใจ

“เอาขาลง”

“โอ้ยคุณ!”

“เอาขาลงค่ะ” เนตรพูดอีกครั้ง “แล้วอย่าเดาะลิ้นด้วย! คุณโน้ต นี่คุณทำแบบนี้ตลอดเวลาที่อยู่กับลูกเหรอ? ถ้าน้องนิ้งติดเดาะลิ้นแบบคุณนะ…”

“พอก่อนคุณ ใจเย็นก่อน นี่เรามาคุยเรื่องอื่นไม่ใช่เรื่องที่ผมชันขาหรือเดาะลิ้นป่าววะ”

“อย่า ‘วะ’ ให้ลูกได้ยินนะคะ”

“โอ้ยคุณ!”




นรินทร์โอดครวญอย่างหงุดหงิด เนตรเป็นคนเจ้าระเบียบมากถึงมากที่สุด ขนาดวันสุดท้ายที่พวกเขาเจอหน้ากัน และได้ทานข้าวร่วมกันกับเอิร์ธกับกฤตินั้น เนตรยังเรียกเขาไปคุยส่วนตัวเรื่องมารยาทบนโต๊ะอาหารอยู่เลย




ตอนเป็นแฟนกันก็โดนบ่นจะแย่ นี่ขนาดเลิกกันไปแล้วเนตรยังไม่ยอมให้เขาเคี้ยวข้าวเสียงดังต่อหน้าลูกเลย บ้าหรือเปล่า! กินข้าวเบาๆ มันอร่อยตรงไหนกัน!




“เดี๋ยวคุณกฤติก็ต้องบ่นคุณแบบนี้นั่นแหละ ฉันบอกไปแล้วไงคะ”




หญิงสาวพูดขึ้นมาซึ่งทำให้นรินทร์ยอมนั่งเงียบลง เนตรมองแว๊บแรกก็รู้แล้วว่าโน้ตกับกฤตินั้นมีอะไรมากกว่าแค่ ‘เพื่อนร่วมงาน’ อย่างที่เจ้าตัวบอกกลางโต๊ะอาหาร คนมันเคยคบกันมาตั้งเป็นสิบปี มองเพียงแค่ปราดเดียวก็รู้แล้ว




อีกอย่าง จากที่เธอสังเกตเมื่อตอนเจอกัน กฤติเป็นคนที่มีมารยาทบนโต๊ะอาหารดีมาก อย่างที่เธออยากให้นรินทร์เป็นได้สักครึ่งหนึ่งของกฤติ ซึ่งถ้าเป็นคนประเภทเดียวกับเธอล่ะก็ ไม่มีทางรับได้แน่นอนที่แฟนจะเคี้ยวข้าวไม่ปิดปากอย่างนี้


เธอคิดแบบนั้นถึงได้เรียกนรินทร์ไปคุยด้วย นอกจากจะบ่นเรื่องมารยาทแล้ว เธอก็ยังคุยเรื่องกฤติเช่นเดียวกัน บทสนทนาในค่ำคืนนั้นยังคงติดแน่นอยู่ในหัวของหญิงสาวราวกับมันเกิดขึ้นเมื่อวาน

‘ระวังคุณกฤติเขาเลิกกับคุณเพราะเคี้ยวข้าวเสียงดังนะคะ’

‘ใครจะไปเหมือนคุณวะ’


นรินทร์พูดด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองเคยโดนอีกคนดุเรื่องมารยาทตอนเคี้ยวข้าวอ้าปากนี่หว่า


‘อย่า ‘วะ’ ให้ลูกได้ยินนะคุณโน้ต!’

‘รู้แล้วน่า คุณบอกผมตั้งแต่ตรวจเจอว่าตั้งท้องแล้วมั้ง’

‘แล้วคุณทำได้มั้ยล่ะ?’

‘โถ่คุณ’




เนตรถอนหายใจเมื่อเห็นว่านรินทร์คงเลิกเคี้ยวข้าวเสียงดังไม่ได้แน่นอน เอาเถอะ อย่าให้รู้ว่าถ่ายทอดอะไรไม่ดีให้ลูกละกัน ไม่อย่างนั้นเธอจะเอาน้องนิ้งมาเลี้ยงคนเดียว หรืออย่างน้อยก็ต้องมั่นใจว่าน้องนิ้งจะไม่ซึมซับพฤติกรรมประหลาดจากพ่อมา




อย่างน้อยคงไม่ถึงขนาดถอดกางเกงในเป็นเลขแปดเอาไว้กลางห้องแบบที่นรินทร์ทำ แค่นั้นเธอก็เบาใจไปได้เยอะแล้ว



“คุณกฤติเขาไม่มีปัญหาหรอก เพราะเขารักผม”


ชายหนุ่มพูดออกมาด้วยน้ำเสียงมั่นใจ หากแต่แววตากลับสั่นไหวเล็กน้อย คำบอกรักในความทรงจำปรากฏขึ้นมาแทบจะทันที หัวใจของเขาเองก็ยินดีและร้องไห้ในเวลาเดียวกัน




รักกันแต่คบกันไม่ได้


โลกแม่งจะต้องยากขนาดนี้ไปเพื่ออะไรกัน!




“มีอะไรหรือเปล่า?”




เนตรถามเมื่อเห็นว่าแฟนเก่าของเธอทำท่าทางเหมือนไม่สบายใจ ถึงแม้จะไม่ได้รักกันแล้วแต่พวกเขาก็รู้จักกันมานานมากพอที่จะรับรู้ความผิดปกติของกันและกันได้เหมือนอย่างเคย




“เรามีปัญหากันนิดหน่อย” โน้ตยอมรับออกมา พร้อมถอนหายใจ “ช่างเถอะ ผมจัดการได้ ไม่ต้องถึงมือคุณหรอก”

“ถ้ามีอะไรปรึกษาได้นะคะ”

“ขอบคุณครับ”

“ไม่ใช่เรื่องเคี้ยวข้าวเสียงดังใช่มั้ย?”

“โอ้ย คุณ! พอเถอะว่ะ”

“อย่า ‘ว่ะ’ กับลูก!”



บทสนทนาจบลงแค่นั้น เรื่องที่ทำร้ายร่างกายเอิร์ธไปนั้นนรินทร์เข้าใจหากอีกฝ่ายจะแจ้งความหรือต้องการให้เขาชดใช้ค่าเสียหายอะไร ยังไงก็พร้อมจ่าย ขอแค่ได้ชกมันสักหมัดก็พอ



เมื่อจบเรื่องแล้วนรินทร์ก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะอยู่ที่นี่ทำไม ชายหนุ่มย้ายตัวเองเข้าไปในรถ จ้องมองโทรศัพท์ที่ปกติมักจะทักไปกวนอีกคน บัดนี้ในห้องแชทไลน์ของเขากับกฤตินั้นมีเพียงข้อความเมื่อเดือนก่อนเท่านั้น




โน้ตถอนหายใจพร้อมกับขับรถของตัวเองกลับบ้าน ในหัวยังคงนึกถึงคนที่ปฏิเสธความรักของเขาอย่างใจร้าย ทั้งที่ผ่านมาหลายสัปดาห์แล้ว เขาก็ยังเลิกคิดถึงอีกคนไม่ได้




หากเอิร์ธไม่ไปใส่ความคิดประหลาดให้น้องนิ้ง ป่านนี้พวกเขาจะมีความสุขกันแค่ไหน?


แม่งเอ๊ย คิดแล้วอยากเตะไอ้เหี้ยเอิร์ธอีกสักที




การจราจรในกรุงเทพฯวันอาทิตย์เย็นยังคงติดเหมือนเคย ชายหนุ่มนั่งเหม่อมองถนนด้วยสายตาว่างเปล่า ถึงแม้จะรู้ว่าใครทำอะไรให้พังแบบนี้ แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะได้หัวใจกฤติมาไว้ข้างๆ




ยิ่งต้องนั่งบนรถนานๆ เขาก็คิดถึงช่วงเวลาที่เคยใช้ด้วยกัน รอยจูบของอีกคนยังคงรู้สึกได้ เขาคิดถึงคนที่นั่งข้างๆ คิดถึงเสียงเรียบๆ ที่คอยบอกให้เขาสนใจทางข้างหน้ามากกว่าตัวเอง คิดถึงหูที่แดงแต่ใบหน้านิ่งๆ นั่นตอนที่เขาแกล้งแหย่




ให้ตาย เขาคิดถึงกฤติชะมัด




ไวกว่าความคิด มือใหญ่คว้าโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมากดข้อความที่สมองสั่งออกมา




นรินทร์: ผมคิดถึงคุณ คิดถึงจนจะเป็นบ้า อยากกอดคุณ อยากจูบคุณ หรือแค่นั่งมองคุณเฉยๆ ก็ได้




โน้ตจ้องมันอยู่แบบนั้นครู่หนึ่ง ก่อนที่จะตัดสินใจกดลบออกไป เหมือนกับทุกครั้งที่เขาควบคุมตัวเองไม่ได้เวลาที่หัวใจคิดถึงอีกคน




ความคิดถึงที่ไม่ได้บอกออกไป มันล้นทะลักอยู่ข้างในจนไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรแล้ว







------- TBC --------








รอนานมั้ยคะ? ไม่มีสต็อกมันจะช้าแบบนี้ แง

จะกลายเป็นนิยายรายปักษ์แล้วแม่ TT


ไม่มีอะไรจะพูดนอกจาก … อย่าวะกับเรา  อิ______อิ

ถ้าชอบหรืออยากบ่นอะไร ลงใน #คนที่นอนข้างกันในวันอาทิตย์ ได้นะแก รออ่านอยู่จ้า <3

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ขำคุณแม่ สถานการณ์จะดุเดือดแค่ไหนก็ยังมีความเนี้ยบ
รอคุณพ่อไปปรับความเข้าใจกับอากฤตินะคะ

ออฟไลน์ Nooonun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ดีจังที่เนตรเป็นคนมีเหตุผลและไม่ทัศนคติติดลบแบบว่าที่สามีคนใหม่ ชอบความสัมพันธ์ของโน้ตกับเนตรตอนนี้นะแบบถึงเลิกกันไปแล้วแต่คือยังเชื่อมโยงติดต่อกันเพราะเอาลูกเป็นศูนย์กลางและดูทั้งสองก็แคร์และรักลูกไม่น้อยไปกว่ากันเลย แต่นี่รอดูเนตรเลยค่ะ ว่าจะคุยกับว่าที่สามียังไง คือถ้ายังมีทัศนคติแบบนี้คงไม่ไหวหรอกนะ ส่วนคุณโน้ตคิดถึงคุณกฤติ แบบใจจะขาดเลยสินะคะ ไปเลยค่ะ ไปหาเค้าเลยค่ะ ถ้าไม่กล้า ก็เอาลูกไปช่วยด้วยนะคะ

ออฟไลน์ pan19891990

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เป็นตอนที่ยังคงหน่วงเหลือเกินค่ะ หน่วงกว่าตอนที่แล้วที่คุณกฤติตัดเยื่อใยซะอีก ความคิดถึงมันทำร้ายคนได้จริงๆ
แถมยังอยากจะร้องไห้ไปกับน้องนิ้งกับคนพ่อคนเก่งด้วย สงสารนายนรินทร์ที่สุดเลยค่ะ  :mew4: คุณคนเขียนเอาคุณกฤติมาคืนนายนรินทร์เขาเถอะค่ะ เราเองก็ใจสลายตามไปด้วยแล้ว อยากอ่านมุมมองคุณกฤติบ้าง แต่คิดว่าคงเจ็บไม่ต่างกัน ขอติด#ทวงคืนคุมกฤติให้นายนรินทร์ ค่ะ 5555
รอติดตามตอนต่อไปนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ

ออฟไลน์ Moonfang

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อุทานไอ้เหี้ยอาเอิร์ธตามคุณโน้ตเลยค่ะ อะไรกัน คนแบบนี้นี่!!  :fire:
ความน่าหงุดหงิดกว่าการที่เขามีทัศนคติแบบนี้ ก็คือการที่เห็นว่าเขาแสดงทัศนคติแบบนี้ออกมาอย่างเป็นธรรมชาติจากเบื้องลึกของจิตใจใช้ไขสันหลังตอบแบบไม่ผ่านสมองเลยนี่ล่ะค่ะ สิ้นหวังจริงๆ

ได้เห็นมุมนี้ของคุณเนตรแล้วก็รู้สึกว่าเขาน่ารักผิดคาดนะคะ 5555 ปกติจะเห็นเฉพาะตอนมีปากเสียงกับคุณโน้ต (ที่จริงในตอนนี้ก็ยังมีดุใส่บ้างอะไรบ้าง...) แต่พอได้เห็นมุมเป็นที่ปรึกษา รับฟัง แถมยังเปิดใจแบบนี้แล้ว ก็แอบกังวลแทนนะคะที่คนที่กำลังจะแต่งงานด้วยมีความคิดแบบนี้ อ่า...ถ้าคุณเนตรไปคุยแล้วโอเคก็ดีไป แต่ถ้าไม่ก็ทบทวนอนาคตดีๆเน้อ

คิดถึงคุณกฤติจังค่ะ คิดถึงเหมือนที่คุณโน้ตคิดถึงเลยแงงงงงง ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างแล้วเนี่ย QAQ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 694
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
เนตรกับเอิร์ธจะอยู่กันได้นานมั้ยละเนี่ย  :call:

ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 682
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ดีใจที่คุณเนตรใส่ใจลูกมากกว่าแฟนใหม่ ชอบความดุคุณโน้ต ไม่อยากให้หนูนิ้งมาอยู่บ้านแฟนใหม่เนตรเลย กลัวจะเอาอะไรแย่ๆใส่เด็กอีก ขอให้คุณโน้ตง้อคุณกฤติได้นะคะ :)

ออฟไลน์ Pa'veaw

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1305
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +98/-1
โอ้ย ไอ้เหี้ยอาเอิร์ธ อะไรของมึง

ทำให้โน็ตเข้าโหมดเรื่องนอกจากโหมดหื่นได้ไง

ออฟไลน์ minenat

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1661
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-3
ดีหน่อยที่คุณเนตรยังดี แต่อีคุณเอิร์ธไม่ได้เลย!!

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ถถถถถถถ โธ่ เอิร์ธ  ........ คิดได้แค่เนี้ย .....   :angry2:
แต่ทำความเดือดร้อนให้คนอื่นมากกกกกกกกกกกกก   :z3: :z3: :z3:

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
อื้อหือออ สมองป่วยมาก สมควรอยู่คนเดียว ดีแล้วที่มีลูกไม่ได้ สงสารลูกเลยถ้ามีพ่อความคิดงี้

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
โอ้ยแบบชอบคุณเนตรมากเลยค่ะ ข้องนิ้งคือเหมือนแม่มากด้วย สงสารตอนน้องร้องไห้มาก มาช่วยคุมพ่อหน่อยเร็วลูกกก

ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter
น้องนิ้งเป็นเด็กที่รู้ความมาก คือไม่ได้โตจนแก่แดด ยังมีความเป็นเด็กที่รับฟัง น่ารักกกกมากกก
ชอบคุณเนตรจนอยากบอกว่าเลิกกับผู้ชายคนนั้นไปซะ แต่ไม่อยากยุยงให้คนเลิกกัน ขอให้คุณเนตรคิดดีๆ (อิอิ)
คนจะอยู่ด้วยกันทัศนคติมันต้องไปกันได้ จริงมั้ย ตอนหน้าคุณโน้ตไปง้อให้สำเร็จน้า

ออฟไลน์ weedear

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4
อือออออออออ รอลุ้นยนนนย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ nisaday

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
อยากต่อยปากอิเอิร์ธอีกคน
ไปสอนเด็กแบบนั้นใช้ได้ที่ไหน
แล้วอยากยุให้แม่น้องนิ้งเลิกๆกับมันไปเลย
แค่อยากมีครอบครัวที่สมบูรณ์ เหอะ
ดีแล้วที่คนแบบเอิร์ธมีลูกไม่ได้

ฝั่งคุณกฤตจะเป็นยังไงบ้างไม่รู้
ทางนี้พี่โน๊ตเฮิร์ตมากมาย
เอาน้องนิ้งไปง้อเร้วววว

ออฟไลน์ i.am.wee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
โน้ตอย่าบื้อนาน รีบไปง้อสิ อย่าลิมสิว่าตัวเองหน้ามึนแค่ไหน ตอนแรกๆยังเจ้าเล่ห์หาข้ออ้างโน้นนี่นั้นมาเล่นกับกฤติอยู่เลย

ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

ออฟไลน์ Jiraapp

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 380
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
น้องนิ้งน่ารักมากไม่อยากเห็นคุณพ่อเสียใจ เด็กดี :mew1:

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
เอิร์ธนี่เป็นตัวแทนคนที่บอกว่าไม่เหยียดแต่เหยียดชิบหายอ่ะ

น่ารำคาญขั้นสุด

ออฟไลน์ PoPoe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
สงสารน้องนิ้ง รู้สึกผิดแย่เลย
อ่านจบแล้วอยากตามไปซัดอาเอิร์ทด้วยจริงๆค่ะ  :z6:

ออฟไลน์ Majariga

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เนี่ยๆคนอย่างเอิร์ธมันมีจริงๆ นี่โคตรไม่ชอบเลยเวลาพูดด้วยกับคนประเภทนี้อยากจะบ้าตาย :katai1:

ตอนนี้คุณกฤติของเราจะเป็นยังไงเนี่ยยย :o12:

ออฟไลน์ babybaphomet

  • Baby Baphomet
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1
    • Twitter
15th Sunday
#คนที่นอนข้างกันในวันอาทิตย์


แผนกการขายไม่เคยเงียบขนาดนี้มาก่อน   


ทั้งที่ยอดขายถึงเป้าตามที่วางไว้ แต่หัวหน้าแผนกเซลส์กลับเงียบขรึมจนเหมือนกับ งานที่ทำมีความผิดพลาดใหญ่หลวง  ไม่ว่าใครจะถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงแค่ไหน กฤติเพียงแค่รับคำขอบคุณเอาไว้ แต่ไม่ได้ให้เหตุผลอะไรไปมากกว่า ‘งานเยอะ’





นั่นเป็นเพียงความจริงส่วนเดียว





กฤติรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงกล่องเปล่าๆ เขาทำงานไปตามที่สมองสั่ง ไม่ได้สนใจอะไรมากมายนัก ทำงาน ไม่ต้องรู้สึกอะไร ไม่ต้องยิ้มไม่ต้องรำคาญใจเรื่องใด





ใช้ชีวิตเหมือนกับที่เคยใช้





แต่





ทำไมมันถึงได้ยากขนาดนี้





ทุกครั้งที่เห็นชื่อในอีเมลของผู้ชายคนนั้น หัวใจที่ควรจะเต้นเพื่อให้มีชีวิตอยู่กลับกลายเป็นสิ่งที่ขวางทางการทำงาน มันเต้นรัวแรงเกินไป เขารู้สึกเจ็บทุกครั้งที่แค่เห็นชื่อนรินทร์





มันยาก มันควบคุมไม่ได้





กฤติต้องใช้ความพยายามอย่างหนักที่จะไม่ให้ตัวเองนึกถึงจูบร้องแรงทุกครั้งที่คุยงานกัน อาจจะถือเป็นเรื่องดีที่เดือนนี้เขายุ่งมากกับการพบปะลูกค้าจนแทบจะไม่ได้อยู่ติดออฟฟิศและเจอหน้าใครเท่าไหร่ และถึงแม้จะเข้าออฟฟิศกี่ครั้ง เขามักจะหลบหน้าเลขาคนสนิทที่จำเป็นต้องคุยงานด้วยเสมอ





กฤติกลัว





เปล่าเลย เขาไม่ได้กลัวว่านรินทร์จะทำตัวน่ารำคาญจนเขาระอา ชายหนุ่มกลัวใจตัวเอง หากนรินทร์ยืนยันตามความต้องการของตัวเองอีกครั้งเขาอาจจะไม่สามารถใจแข็งปฏิเสธอีกคนอย่างที่เคยทำได้





แต่ละวันผ่านไปอย่างทรมาน



แม้กระทั่งตอนที่อยู่คนเดียวก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน





ผ้าปูที่นอนลายคิตตี้ที่นรินทร์นึกคึกเอามาปูไว้ยังคงอยู่บนเตียง เขานึกว่าตัวเองจะเกลียดผ้าปูทุกผืนที่อีกคนซื้อมา แต่ว่าตอนนี้เขากลับไม่ยอมใช้ผ้าปูอื่นนอกจากพวกลายการ์ตูนเหล่านั้น







เสี้ยวเล็กๆ ในจิตใจ ที่พื้นที่ของตัวเอง กฤติอยากเก็บนรินทร์เอาไว้



ถึงแม้ว่าเขาจะทำได้เพียงแค่หลับตาลงบนผ้าปูที่นอนที่อีกคนซื้อให้ก็ตาม






.

.

.

 





“เราไม่ชอบแบบนี้เลยอ่ะ”

“กูด้วย”

“ซุกซนไปบอกคุณกฤติสิว่าโลกนี้มีแซลม่อนนะ ถึงเราจะมีวันที่เลวร้ายแค่ไหน แต่เรายังมีแซลม่อนให้กินนะ”

“มึงเงียบปากไปเลยไอ้อ๊อง”

“อุ๊กอนอ่าแอ้ง!” (*ซุกซนอย่าแกล้ง*)





เมฆมองแฟนหนุ่มของตัวเองที่ตอนนี้โดนกับเพื่อนร่วมแผนกดึงแก้มเหมือนกับทุกวัน ตอนนี้เขาว่างพอที่จะมานั่งอู้งานเฝ้าแฟนเฉยๆ ในออฟฟิศ ชายหนุ่มปล่อยให้เด็กประถมสองคนตีบ้งเบ้งกันไป ในขณะที่ตัวเองกำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องที่เพิ่งได้ยินมา





ไวกว่าความคิด เมฆลุกขึ้นเดินไปที่ห้องของคนที่เขาสนิทแต่เกลียดขี้หน้า





‘ก๊อกๆ’





“ครับ”

“หน้ายับยู่ยี่เชียว โดนใครหักอกมาเหรอครับ?”





คำทักทายกวนประสาทของผู้มาใหม่ทำให้กฤติเงยหน้าขึ้นจากแฟ้มเซ็นอนุมัติซื้ออุปกรณ์ให้กับคนในทีมเงยห้าขึ้นมา เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็ถอนหายใจ





“ไม่มีงานมีการทำหรือไงครับ?”

“ปากดีเหมือนเดิม”





เมฆไม่ได้ถือสาเอาความเมื่อคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามขมวดคิ้วใส่พร้อมส่งสายตาที่เต็มไปด้วยคำด่ามาให้ ผู้มาใหม่ถือวิสาสะเอาตัวเองนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามของกฤติที่ถอนหายใจอย่างรำคาญ





คนในบริษัทนี้มันเป็นอะไรกัน ทำไมไล่ไม่เคยไปเลยสักคน





“คุยได้ใช่มั้ย?”

“ไม่ได้แล้วยังไง?”

“จะนั่งจนกว่าจะคุยได้”

“มีอะไร”





กฤติปิดแฟ้มแล้วนั่งมองหน้าอีกคน ดีที่ประตูปิดไปตั้งแต่อีกคนเดินเข้ามา ดูก็รู้แล้วว่าไม่ได้พูดเรื่องงานแน่นอน





“ทะเลาะอะไรกัน?”





ถึงแม้เมฆไม่ได้ขยาย เขาก็รู้ดีกว่าอีกฝ่ายกำลังจะพูดอะไร





“เปล่า”

“เชื่อ”





เมฆยักไหล่อย่างกวนประสาท พวกเขานั่งเงียบกันอยู่แบบนั้น กฤติมองไปที่แฟ้มหน้าตัวเองอีกครั้ง ในขณะที่เมฆก็มองหน้ากฤติไปด้วย





“ถามจริง ทะเลาะอะไรกัน”

“ไม่ได้ทะเลาะ” กฤติพูดเสียงเรียบ “ไม่ได้มีอะไรทั้งนั้นแหละ”

“ไปหลอกแทนใจ น้องมันยังไม่เชื่อเลย”

“...”

“คนนึงก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ตลอดเวลา อีกคนทำตัวเหมือนนอกจากทำงานทั้งวันชีวิตไม่คิดจะกินข้าวแล้ว แบบนี้มันสภาพปกติตรงไหน?”

“...”

“ถึงขนาดที่แทนใจมาบ่นให้ผมฟัง คุณคิดเอาละกัน”





เมฆพูดเรียบๆ เขาไม่ได้โกหกเลยแม้แต่น้อย น้องแทนใจมาง๊องแง๊งใส่เขาว่าคุณกฤติดูอึมครึมแถมทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ตลอดเวลา จนเมื่อเมฆได้มาดูด้วยตาตัวเอง มันก็ไม่เกินจริงเท่าไหร่นัก





“อยู่มาตั้งกี่คนกว่าจะเจอคนที่รักมากขนาดนี จะปล่อยให้เขาหลุดมือไปหรือไง?”





ทั้งที่กฤติยังคงไม่ได้พูดอะไร ผู้ที่นั่งจ้องหน้าเขาก็พูดขึ้นมาก่อน หัวหน้าแผนกขมวดคิ้วลงคล้ายไม่พอใจ แต่เมฆก็ไม่ได้สนใจ เจ้าตัวยังคงพูดต่อไป





“คุณอาจจะคิดด่าผม หรือต่อต้านอะไรในใจ แต่คุณโกหกตัวเองไม่ได้หรอกว่าเมื่อช่วงเดือนก่อนกับตอนนี้ คุณต่างกันราวกับคนละคน”

“... บางครั้ง ชีวิตมันก็ไม่ได้ง่ายแบบนั้น”





กฤติตอบกลับเสียงแห้งคล้ายพูดกับตัวเอง แต่ห้องทำงานที่แม้แต่เครื่องปรับอากาศที่กำลังทำงานยังได้ยิน นับประสาอะไรกับเสียงกระซิบนั่น





“แล้วทำไมต้องทำให้มันยาก?”





เมฆถามกลับ กฤติถอนหายใจอย่างไม่สบอารมณ์ คนสมองกลวงนี่มันทำอะไรหยาบกระด้างได้ทุกเรื่องเสียจริง





“มันไม่ใช่เรื่องของตัวเองคุณเลยพูดอะไรก็ได้”

“เพราะมันใช่เรื่องของตัวเองไงเลยพูดได้ เวลาเป็นเรื่องของตัวเองทุกคนกลัวหมดแหละ แต่พอเป็นเรื่องของคนอื่นเรามองจากมุมนอก พูดอะไรได้มากกว่า เพราะว่ามองได้กว้างกว่าไม่ใช่หรือไง?”





เมฆพูดต่อทันที ไม่รอให้กฤติตอบอะไร ชายหนุ่มก็พูดเพิ่ม





“เพราะคุณมัวแต่คิดว่า ถ้าหากคุณทำอย่างนั้น ถ้าคุณตัดสินใจแบบนี้ คุณมัวแต่คิดแทนคนอื่นไง เลยมองไม่เห็นทางออกง่ายๆ ที่อยู่ตรงหน้า”

“...”

“ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณเจออะไรมา แต่...”





‘ก๊อกๆ’ 





ทั้งสองคนหยุดกลางคันเมื่อมีเสียงเคาะประตูแทก กฤติมองหน้าเมฆนิดหน่อย ซึ่งอีกคนก็รู้ดี การที่เขาเข้ามานั่งพูดนั่นพูดนี่ในเวลางานนั้นหากอีกฝ่ายว่างก็คงไม่เป็นไร แต่เมื่ออีกคนมีแขก ยังไงก็ไม่เหมาะสม





“เชิญครับ”





เมื่อประตูเปิดออก ชายที่อยู่ในบทสนทนาก็เดินเข้ามาในห้อง ใบหน้าของนรินทร์มองเจ้านายของตัวเองสลับกับเมฆที่ยังนั่งอยู่ในห้อง





เมื่อเห็นว่าอีกคนเข้ามาเรื่องงาน แฟนแทนใจก็ลุกขึ้นยืน





“พวกคุณคุยกันไปละกัน ผมขอตัวก่อน”





เมฆพูดทิ้งเอาไว้ แล้วเดินออกไปทั้งอย่างนั้น ทิ้งไว้เพียงแค่กฤติและนรินทร์เท่านั้น





บรรยากาศห้องตอนนี้เงียบลงทันที นรินทร์ส่งยิ้มบางเบาให้หัวหน้าแผนก หลายต่อหลายวันที่แทบจะไม่ได้เจอหน้ากันทำให้เขาคิดถึงอีกฝ่ายแทบบ้า แต่เมื่อเห็นหน้าแล้วเรื่องราวของวันนั้นก็ไหลกลับมาทันทีราวกับมีใครเอาเทปมาเปิดให้ดู





“คุณมีอะไร?”





กฤติถามอีกฝ่ายด้วยเสียงติดจะแห้งเล็กน้อย เขาพยายามทำตัวให้เป็นปกติทั้งที่ระหว่างพวกเขาสองคนไม่มีอะไรที่เป็นเหมือนเดิม นรินทร์โทรมลงอย่างเห็นได้ชัด นัยน์ตาคมกริบที่เคยทำให้เขาใจเต้นตอนที่มองมานั้นเลื่อนลอย หนวดที่โกนไม่เกลี้ยงทำให้นึกหงุดหงิดอีกคนทั้งที่ไม่มีสิทธิ์





ทำไมถึงไม่ดูแลตัวเอง ทำไมปล่อยให้โทรมลงได้ขนาดนี้





“ผม”





คิดถึง





“จะมาถามคุณเรื่องการไปอบรมระบบใหม่เดือนหน้าครับ”





หัวหน้าหนุ่มพยักหน้าแล้วผายมือไปทางเก้าอี้ตรงหน้าเป็นเชิงให้อีกฝ่ายนั่งลง ซึ่งนรินทร์ก็ทำตามแต่โดยดี ยิ่งพอมานั่งมองหน้ากฤติชัดๆ แบบนี้ความรู้สึกที่กักเก็บเอาไว้ร่วมเดือนก็เหมือนจะปะทุออกมาได้ทุกเมื่อ





คุณพ่อลูกหนึ่งพูดถึงกำหนดการอย่างคล่องแคล่ว ถึงแม้ว่าจะเพิ่งเคยทำตำแหน่งผู้ช่วย แต่ดูเหมือนว่าเขาจะทำมันออกมาได้ดีในระดับที่กฤติยอมรับได้ หัวหน้าหนุ่มพยักหน้าตามข้อมูลทีได้รับการถ่ายทอด อันที่จริงเขาได้รับอีเมลกำหนดการเทรนนิ่งประจำปีมาตั้งแต่เมื่อช่วงต้นเดือน แต่เขายุ่งเกินกว่าที่จะได้ดูอย่างละเอียด





เท่าที่ฟังจากเลขาคนเก่ง หลักๆ มันคือการประชุมที่เขาไปทุกปี ซึ่งในทุกครั้งจะกินเวลาประมาณ 3 - 5 วันรวมเวลาบินแล้วแต่ตาราง แต่ครั้งนี้ทางสำนักงานใหญ่ที่เยอรมันมีการขยายพื้นที่ ตารางเลยกินเวลาไปเป็นสัปดาห์





“คุณจะพักร้อนต่อมั้ย?”

“คงไม่ครับ” กฤติตอบปฎิเสธทันทีที่นรินทร์พูดถึงกำหนดการจบ “ผมไปถึงแค่วันที่ 8 พอลงเครื่องแล้วจะมาทำงานตอนบ่ายเลย แค่นี้ผมก็ทำงานไม่ทันแล้วครับ”

“ผมว่าคุณควรพักบ้าง”





หัวใจของกฤติกระตุกไปชั่วขณะ





“ผมคิดว่าการที่คุณลงเครื่องจากเยอรมันไฟล์ทเช้าแล้วจะเข้ามาทำงานตอนบ่ายมันออกจะเกินไปหน่อย”





นรินทร์พูดจบแล้วชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเพิ่งรู้สึกตัวว่าพูดอะไรออกไป เลขาหนุ่มนิ่งไปชั่วครู่ เขามองสบตาของหัวหน้า ความสั่นไหวข้างในนั้นเป็นเรื่องแปลกตาแต่ให้ความรู้สึกเจ็บปวดในขณะเดียวกัน





“ผม… ขอโทษที่ก้าวก่ายครับ”





กฤติเงียบลงทันที ระหว่างพวกเขามีความเงียบที่น่าอึดอัดวนล้อมอยู่รอบกาย ทั้งที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันแต่เหมือนไกลห่าง ตั้งแต่ทำงานมาจนถึงตอนนี้ กฤติสามารถบอกได้เลยว่าวินาทีนี้ทรมานที่สุด





“ไม่เป็นไรครับ”





เป็นกฤติที่ตอบออกไป พวกเขานิ่งงันอยู่แบบนั้น นรินทร์ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลานานเท่าไหร่ ที่เขาปล่อยให้ความเงียบอันน่าอึดอัดแทรกกลางระหว่างพวกเขาทั้งสองคน





กฤติไม่เข้าใจตัวเองมากนัก แต่ถึงแม้จะทรมาน เขาก็ยังอยากจะมีอีกคนอยู่ใกล้





“งั้นผมจองขากลับเป็นวันที่ 8 คุณจะได้มาทำงานตอนบ่ายต่อได้”

“ครับ”

“งั้นผมไปทำงานต่อนะครับ”

“ครับ”





กฤติเลือกที่จะก้มหน้ามองเอกสารบนโต๊ะ ด้วยเหตุผลที่ไม่อยากจะเข้าใจ แต่เขาไม่อยากมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายตอนที่กำลังจะเดินออกไป มันทำให้เขานึกถึงวันนั้น






‘ปัง’





เสียงประตูปิดลง



โดยที่พวกเขาไม่ได้ขยับเข้าใกล้กันเลยแม้แต่น้อย




.

.

.





ทริปเยอรมันมาถึงเร็วกว่าที่คิดไว้มาก





กฤติเม้มปากจนเกือบจะเป็นเส้นตรงเมื่อคิดถึงเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงที่เขาจะต้องติดอยู่บนเครื่องกับเลขาเป็นสิบชั่วโมงในที่นั่งข้างกัน หากเป็นปกติเขาคงนั่งบิสซิเนสคลาสอย่างที่เคย แต่เมื่อยอดขายของบริษัทปีนี้ไม่ถึงเป้า ตั๋วเครื่องบินของเขาก็ถูกลดระดับลงมาเหลือเป็นที่นั่งชั้นอีโคโนมี่ธรรมดา





หัวหน้าหนุ่มไม่ได้มีปัญหาอะไรกับตั๋วชั้นประหยัด เขามีปัญหากับคนที่ต้องนั่งข้างๆ ต่างหาก





ตามปกติเขามักจะทำอะไรคนเดียว โดยที่คอยให้เลขาช่วยซัพพอร์ตเรื่องที่ยุ่งยากกับการทำงาน อย่างเช่นการเคลมคืนค่าทางด่วน เอาเอกสารมาให้ หรือการจองห้องประชุม เลื่อนนัดหมายต่างๆ





แต่ครั้งนี้เป็นการเทรนนิ่ง ซึ่งเขาจำเป็นต้องให้เลขามาด้วย





หากนับแค่เรื่องงาน การพกผู้ช่วยมาด้วยนั้นไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไรนัก อย่างน้อยก็มีคนมาคอยช่วยจัดการเรื่องราวต่างๆ ให้เข้าที่เข้าทางได้





แต่เมื่อมีเรื่องส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง กฤติกลับไม่สามารถยืนยันคำเดิมได้อย่างเต็มปาก



ความคิดถึงมันก็มี แต่ความอึดอัดใจยังคงไม่จางหายไป





กฤติรู้สึกเหมือนตัวเองใกล้บ้าเข้าไปทุกทีที่นาฬิกานับถอยหลัง เขาจำเป็นต้องรอนรินทร์ที่สนามบินเพื่อเช็กอินพร้อมกัน ตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มกว่า พวกเขานัดกันอย่างเร่งรีบเมื่อสองวันก่อนว่าเจอช่วงประมาณสี่ทุ่มที่หน้าเกต และตอนนี้กฤติกำลังนั่งหลังตรง บังคับตัวเองไม่ให้มองหาคุณพ่อลูกหนึ่งคนนั้น





เขาควรจะต้องทำหน้าอย่างไร?



ควรจะชวนคุยเรื่องงานดีหรือไม่?



น้องนิ้งเป็นไงมั่ง? ยังโกรธเขาอยู่หรือเปล่า?





ชายหนุ่มคิดวนอยู่กับตัวเองจนท้ายที่สุดแล้วเขาก็ถอนหายใจ นี่มันไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย หนึ่งในสิ่งที่เขาทั้งรักและไม่ชอบในตัวของนรินทร์ คือการที่อีกฝ่ายทำให้ในหัวสมองของเขาอัดแน่นไปด้วยเรื่องของนรินทร์ ขนาดไม่ได้คุยกันเท่าเมื่อก่อนแล้ว กฤติก็ยังคงกังวลแต่เรื่องของนรินทร์





มันน่าหงุดหงิด และน่ารำคาญใจในเวลาเดียวกัน





“คุณกฤติครับ”





คุณพ่อลูกหนึ่งในเสื้อเชิ้ตที่มีสเวตเตอร์ทับอยู่เดินมาอยู่ตรงหน้าในขณะที่กฤติกำลังเหม่อ นรินทร์ยังคงดูหล่อเหมือนกับทุกวันที่เห็น วันนี้เองก็เช่นเดียวกัน ผมของอีกฝ่ายยาวขึ้นเล็กน้อย และไม่เป็นทรงคล้ายกับเพิ่งออกมาจากที่นอน





“ครับ ไปต่อแถวเลยละกัน”





หัวหน้าหนุ่มพูดกับคนที่มายืนอยู่ตรงหน้าสั้นๆ ก่อนจะเดินนำไปต่อแถวหน้าเกตสายการบินที่เขากำลังจะต้องขึ้นเครื่องในอีกไม่นาน สายการบินสีม่วงที่คนเยอะตลอดเวลาไม่ได้ทำให้กฤติประหลาดใจนัก ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงกว่าพวกเขาทั้งสองคนจะเช็กอินและรับตั๋วเครื่องบินเสร็จเรียบร้อยพร้อมขึ้นเครื่อง





เมื่อได้รับตั๋วคืนจากพนักงานเขาจึงบอกอีกคนให้ใช้เวลาตามสบาย ในขณะที่ตัวเองรีบเข้าเกตเพื่อหาร้านกาแฟนั่ง รอเวลาขึ้นเครื่อง และเพื่อสลัดเรื่องกวนใจออกไปจากหัวให้ได้มากที่สุด





เขาทำไม่ได้





กฤติถอนหายใจแล้วปิดคอมพิวเตอร์ลง เขาไม่สามารถสลัดความรู้สึกประหลาดทุกครั้งที่ได้เห็นหน้าของเลขาตัวเองออกจากใจได้ ทั้งที่ผ่านมาร่วมเดือนแล้ว แต่ทุกครั้งที่เห็นหน้าอีกฝ่าย เหตุการณ์วันนั้นก็ไหลเข้ามาในหัวราวกับเปิดก๊อก ทุกความทรงจำ ความรู้สึก ทุกอย่างมันยังคงเหมือนเดิม





เขายังคงรักนรินทร์เหมือนเดิม





ชายหนุ่มนั่งถอนหายใจทิ้งจนชามะนาวหมดแก้วกว่าจะถึงเวลาที่สามารถขึ้นเครื่องได้ เพราะไม่ใช่คนที่สนใจที่นั่งมากนัก เมื่อมาดูตั๋วเครื่องบินชายหนุ่มเพิ่งรู้ว่าที่นั่งของตัวเองเป็นตรงกลางระหว่างที่นั่งริมหน้าต่าง และที่นั่งติดริมทางเดิน กฤติสบถในใจเล็กน้อยแต่ก็นั่งลงไปก่อน ทำไมเขาไม่ได้บินคนเดียวในที่นั่งคนเดียวทั้งแถวกันนะ





“เอ่อ…”





เสียงทุ้มจากด้านขวาเรียกให้กฤติหันไปมอง เลขาของกฤติยืนทำหน้าประหลาดอยู่ตรงริมทางเดิน บนแขนชายหนุ่มมีเสื้อกันหนาวกับผ้าพันคอพาดอยู่ ซึ่งอีกคนน่าจะพกไว้เพื่อใส่หลังจากลงเครื่อง แต่นั่นไม่ใช่เรื่องของเขา





“ผมนั่งริมหน้าต่าง”

“ครับ”





กฤติพูดออกมาแค่นั้นก่อนที่จะลุกออกจากที่นั่งเพื่อให้อีกคนสามารถเข้าไปในที่ของตัวเองได้ ตอนนี้ชายหนุ่มได้แต่ภวนาให้ที่นั่งอีกข้างไม่มา เขาจะได้เขยิบไปนั่งริมทางเดินแล้วเนียนหลับตลอดสิบเอ็ดชั่วโมงจนกว่าจะแลนดิ้ง





“ไฟล์ทนี้คนน้อยดีนะครับ”



นรินทร์ชวนคนข้างๆ คุย ซึ่งสิ่งที่ได้ตอบกลับมามีเพียงแค่การรับคำสั้นๆ





“ครับ”





เครื่องบินขึ้นมาสักพัก ตอนนี้กฤติเขยิบออกมานั่งริมทางเดินเพราะไม่มีใครมานั่งตรงนั้น ปล่อยให้เก้าอี้ตรงกลางเอาไว้วางพวกหมอนและผ้าห่ม ซึ่งนรินทร์เองก็เอาเสื้อโค้ทมาวางไว้เก้าอี้กลางเช่นเดียวกัน





“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?”





กฤติมองไปทางด้านข้าง นรินทร์ที่ควรจะเอนหัวพิงกับกระจกแล้วหลับๆ ไปจนกระทั่งถึงเยอรมันดันถามขึ้นมา สีหน้าของอีกฝ่ายแสดงความเป็นห่วงอย่างปิดไม่มิด ซึ่งกฤติไม่ชอบอะไรแบบนี้เลยสักนิด ทำไมถึงไม่ต่างคนต่างแยกย้ายกันทำธุระของตัวเองไป?



“ไม่ครับ”

“เอาที่รองคอมั้ย?”





นรินทร์ยื่นหมอนรองคอสีชมพูมาให้ทั้งที่ตัวเองมีแค่อันเดียวเท่านั้น ซึ่งกฤติส่ายหัวปฏิเสธทันที





“ไม่ล่ะ ขอบคุณครับ”

“คุณเอาหมอนผมไปได้จริงๆ นะ”

“ไม่เป็นไรครับ”

“แต่ว่าผมให้คุณได้จริงๆ นะ” นรินทร์พูดด้วยใบหน้าจริงจัง นัยน์ตาคมเข้มนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์มากมายไหลวนอยู่



“ผมให้คุณได้ทุกอย่าง ผมให้คุณได้ทั้งหมด”





บรรยากาศรอบตัวพวกเขาเงียบไปครู่หนึ่ง





“ขอบคุณ แต่ผมยังไม่ต้องการครับ”





นรินทร์อึ้งไปเล็กน้อยกับคำตอบนั้น สุดท้ายแล้วชายหนุ่มก็เลือกที่จะกอดหมอนของตัวเอง แล้วหันหน้ามองหน้าต่างเงียบๆ





พวกเขานั่งเงียบกันสักพักจนกระทั่งเครื่องบินเลยประเทศไทยไป กฤติมองหน้าจอตรงหน้าอย่างเบื่อๆ เขาไม่ชอบการที่ไม่สามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้ เพราะนั่นหมายถึงเขาทำงานไม่ได้ และเขารีบเกินกว่าที่จะถือหนังสือดีๆ สักเล่มเพื่อมาอ่านในเวลาทีไร้ประโยชน์นี้







“คุณหนาวมั้ย?”





เป็นอีกครั้งที่กฤติหันไปมองไปด้านข้าง คุณพ่อลูกหนึ่งยังคงหันมามองเขาด้วยใบหน้าที่เจือความเป็นห่วงชัดเจนอยู่ในนั้น





“ไม่ครับ”

“อ่อ”





บรรยากาศระหว่างพวกเขากลับมากระอั่กกระอ่วนอีกครั้ง กฤตินั่งมองจอด้วยใบหน้านิ่งเรียบ ในขณะนรินทร์กำลังเอามือเกาหัวด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ ชายหนุ่มทำท่าเหมือนกับอยากจะพูดอะไรบางอย่าง





“คุณ…”

“ครับ?”





กฤติขานรับอีกฝ่ายทันทีโดยที่ไม่ได้หันไปมองหน้า เขายังคงจ้องมองจอที่แสดงภาพกราฟฟิกเครื่องบินเหลือเวลาอีกสิบกว่าชั่วโมงจนกว่าจะถึงที่หมาย





“ผมมีเรื่องอยากคุยด้วย”

“ครับ คุยเลย”

“เรื่องของน้องนิ้ง”





ชายหนุ่มเกร็งตัวขึ้นเมื่อรู้ว่าอีกคนพยายามจะทำอะไร ทั้งที่หัวใจเต้นแรงขึ้น แต่สมองคล้ายกับจะทำงานช้าลง ถึงแม้ว่าในเสี้ยวเล็กๆ กฤติจะอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กน้อย แต่เขากลับตอบอีกฝ่ายไปว่า





“ถ้าไม่ใช่เรื่องงาน ผมขอยังไม่คุยนะครับ”





เป็นการปฏิเสธที่ชัดเจนและหนักแน่น





นรินทร์นิ่งเงียบแล้วหันออกไปมองหน้าต่างหลังจากที่เขาพูดจบ กฤติเองก็จ้องจอตรงหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า

เพราะกฤติยังไม่พร้อมที่จะให้เรื่องไร้สาระเข้ามาควบคุมความรู้สึกของเขา เหมือนกับที่ความรักของนรินทร์มักจะทำแบบนั้นได้เป็นอย่างดีเสมอมา







และอาจจะเป็นคนเดียวที่สามารถทำให้เขาเป็นแบบนี้ได้… เสมอไป











------- TBC --------








เราเคยพูดในทวิตเตอร์ว่าจะให้ไปเยอรมัน ไปจริงค่ะ 55555555

สุขสันต์วันสงกรานต์นะคะ XD


#คนที่นอนข้างกันในวันอาทิตย์

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด