11th Sunday #คนที่นอนข้างกันในวันอาทิตย์
วันอาทิตย์ควรจะเป็นวันที่เราได้พักอย่างเต็มที่ กลายเป็นว่าต้องเปิดประตูมาเจอนายนรินทร์ยืนยิ้มแป้นแบบนี้ มันใช้ไม่ได้เลย!
กฤติรู้สึกเหมือนตัวเองจะปวดหัวจี๊ดขึ้นมาตอนที่เห็นหน้าตาไม่ทุกข์ร้อนของนรินทร์ที่ยืนยิ้มอยู่ตรงประตูห้อง เขาคงจะด่าหยาบคายออกไปหากไม่บังเอิญเหลือบตาไปเห็นเด็กหญิงตัวเล็กที่ยืนเกาะขาคุณพ่อของเธออยู่เสียก่อน ใบหน้าที่เมื่อครู่หงุดหงิดก็คลายออกทันที
“อากฤติสวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับน้องนิ้ง”
หัวหน้าแผนกคนเก่งพูดกับเด็กน้อยที่ติดมาด้วย โดยมีนรินทร์ยืนยิ้มแห้งอยู่ใกล้ๆ ไอ้การที่ลูกสาวสนิทกับคนที่เขากำลังจะจีบมันถือว่าเป็นเรื่องดี แต่ในขณะเดียวกัน การที่ทั้งสองคนคุยกะหนุงกะหนิงแล้วพากันเดินเข้าห้องโดยไม่สนใจยอดชายนายนรินทร์แบบนี้มันก็ออกจะชอกช้ำอยู่เล็กน้อย
หลังกลับจากเอ้าท์ติ้งมาจนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาร่วมเดือนแล้ว คู่เมฆกับแทนใจก็จีบกันจนคบกันไปเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่นรินทร์ซึ่งตามเต๊าะกฤติมาตั้งแต่วันนั้น จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้าทางสถานะ
“อากฤติอยากดูฉลามใช่มั้ยคะ?”
ยังไม่ทันที่หัวหน้าหนุ่มจะได้เอาเลือดหัวผู้มาเยือนโดยไม่บอกกล่าว เขากลับต้องถลึงตากับคำพูดซื่อๆ ของเด็กประถมอีกครั้ง
“คุณพ่อบอกว่าอากฤติอยากดูฉลาม หนูเลยมาด้วยเพราะหนูเคยไปแล้วค่ะ จะได้อยู่เป็นเพื่อนอากฤติเวลาที่อากฤติกลัวค่ะ”
กฤติหันไปมองนายนรินทร์ที่กำลังยืนล้วงกระเป๋าทำตัวไม่รู้ไม่ชี้แล้วนึกอยากหยิกอีกคนให้เนื้อเขียว มีอย่างที่ไหนไปหลอกลูกแบบนี้ ต่อให้นิ้งจะฉลาดเฉลียวแค่ไหน แต่ก็ยังคงเป็นเด็กประถม เล่ห์เหลี่ยมยังไม่ทันตัวพ่อที่ใช้ชีวิตมาหลายสิบปีแน่นอน
“ครับ” กฤติรับคำ เขาเห็นแล้วว่าแผนวันนี้ของเขาจะเปลี่ยนแบบหน้ามือไปหลังเท้าขนาดไหน “น้องนิ้งชอบฉลามเหรอคะ?”
“ชอบค่ะ หนูว่าฉลามน่ารัก”
กฤติกะพริบตาเล็กน้อยเมื่อไม่แน่ใจว่าตัวเองฟังถูกหรือเปล่า
“ฉลามน่ารักเหมือนอากฤติเลยค่ะ”
รอบนี้เขาถลึงตาอย่างไม่ปิดบัง ในขณะที่ตัวพ่อของน้องนิ้งยืนระเบิดเสียงหัวเราะออกมาจากอีกมุม คล้ายกับว่าเจ้าตัวเพิ่งจะได้ฟังเรื่องตลกที่สุดในชีวิตอย่างไรอย่างนั้น
“… ขอบคุณครับ”
กฤติเอ่ยตอบเด็กน้อยในที่สุด ชายหนุ่มเพิ่งสังเกตว่าวันนี้น้องนิ้งแต่งตัวน่ารักกว่าที่เจอครั้งก่อน เด็กตัวเล็กอยู่ในชุดเสื้อสีอ่อนและกางเกงยีนขายาว ผมถูกปล่อยสยายโดยมีกิ๊บติดเอาไว้ด้านบน ข้างหลังสะพายกระเป๋าเป้ลายการ์ตูนใบเล็กที่เหมือนจะไม่สามารถบรรจุอะไรลงไปในนั้นได้เลยสักนิด
ในที่สุด คนที่ตั้งใจว่าจะใช้เวลาวันอาทิตย์ทำงานที่คั่งค้าง พับแผนของตัวเองลงกระเป๋า แล้วหันไปพูดกับเด็กน้อยเป็นคำสุดท้าย ก่อนจะเดินหายตัวเข้าไปในห้องน้ำ
“ขอเวลาอากฤติเตรียมตัวสักสิบนาทีนะครับ แล้วเดี๋ยวเราไปดูฉลามกัน”
------- Sunday In Bed ------
[/b]
“อากฤติเคยไปดูฉลามที่สยามมั้ยคะ?”
“ไม่เคยเลยครับ น้องนิ้งมาบ่อยหรือเปล่าครับ?”
“ไม่บ่อยค่ะ ปกติหนูมาตอนที่คุณพ่อกับคุณแม่ว่างทั้งคู่ แต่ช่วงหลังๆ ทุกพ่อกับคุณแม่งานเยอะมาก หนูเลยนั่งดูคุณฉลามทางทีวีแทนค่ะ”
นรินทร์ที่ตอนนี้กลายเป็นคนขับรถจำเป็นนั่งฟังเสียงลูกสาวคุยงุ้งงิ้งกับเจ้านายตนเองอย่างปลงงตก เดิมทีเวลาอยู่กับน้องนิ้งเขาก็แทบจะยอมให้ลูกสาวทุกอย่างอยู่แล้ว ส่วนอีกคนนี่ไม่ต้องพูดถึง สำหรับคนที่เขากำลังพยายามจีบทุกครั้งที่มีโอกาสอย่างหัวหน้าแผนกนั้น เรียกว่ายิ่งกว่าตามใจเลยดีกว่า
คุณพ่อคนเก่งเหลือบตามองอีกคน ใบหน้าเรียบนิ่งนั้นดูใจดีเมื่อคุยกับน้องนิ้ง ทั้งที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่กฤติกลับมีเสน่ห์บางอย่างที่เขาไม่สามารถละสายตาออกไปได้
ยิ่งมองก็ยิ่งหลง
เมื่อคนที่เขามองหน้าสลับกับมองถนนรู้ตัวว่าตกเป็นเป้าให้จ้อง ชั่วขณะที่กฤติมองมาทางนรินทร์นั้น หัวหน้าหนุ่มเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่าเขามีอะไร ในขณะที่นรินทร์เพียงแค่ขยิบตาหล่อๆ กลับไปเท่านั้น ซึ่งได้รับการถลึงตากลับมาด้วยความรัก
น้องนิ้งเป็นเด็กที่นอนง่าย ขึ้นรถมาคุยไม่ทันไรก็นอนหลับปุ๋ยไปเสียแล้ว เหลือเพียงนรินทร์ที่กำลังขับรถ และกฤติที่นั่งมองกระจกอยู่ ซึ่งกฤตินั้นนั่งที่ข้างคนขับรถด้วยความจำยอม เมื่อเดินมาถึงรถแล้วน้องนิ้งกระโดดเข้าไปที่เบาะหลังโดยอ้างว่าตนจะนอน หัวหน้าหนุ่มเลยต้องนั่งข้างคนขับรถโรคจิตอย่างช่วยไม่ได้
ถ้าไม่นับการที่นรินทร์คอยแต่จะส่งสายตาเจ้าชู้มาให้ มันก็ไม่แย่เท่าไหร่นัก
ตั้งแต่วันนั้นจนถึงตอนนี้เป็นเวลาร่วมเดือน จนแทนใจคบกับเมฆไปเรียบร้อย ทั้งคู่ดูรักกันดีถึงแม้ว่ากฤติจะเสียดายกระต่ายของตัวเองก็ตาม นรินทร์เองก็คงจะรับรู้ได้ว่าเขาเอ็นดูแทนใจอยู่มาก ผู้ชายคนนี้เคยเอ่ยปากถามชายหนุ่มครั้งหนึ่งตอนที่พวกเขาทานข้าวด้วยกัน
‘คุณไม่หึงแทนใจเหรอที่ไปคบกับเมฆ ลองเป็นผมนะ หากคุณไปคบกับคนอื่นผมคงต้องเป็นบ้าแน่ๆ’
กฤติเพียงแค่อธิบายไปว่าเขาไม่ได้ชอบแทนใจเชิงชู้สาว เพียงแค่มองอีกฝ่ายเป็นกระต่ายที่วิ่งไปวิ่งมาในออฟฟิศเท่านั้น แต่ถ้าให้ ‘ขึ้นครู’ น้องแทนใจ เขาก็ไม่ปฏิเสธ
ส่วนประโยคที่พูดถึงเขาของนายนรินทร์ กฤติก็ทำเป็นไม่ได้ยินเหมือนเคย
ใช้เวลานานกว่าที่คิดกว่าจะมาถึงจุดหมาย เมื่อจอดรถเรียบร้อยแล้ว กฤติที่ยืนอยู่ด้านนนอกมองนรินทร์ที่ก้มลงไปในรถเพื่อปลุกลูกสาวด้วยสายตานิ่งๆ หากแต่ในหัวของชายหนุ่มเต็มไปด้วยเสียงนุ่มของคุณพ่อ
“น้องนิ้งคะ ถึงแล้วนะคะ”
“...ค่ะ”
“ลงมากับคุณพ่อได้แล้วนะคะคนเก่ง”
“โอเคค่ะ”
เมื่อพูดจบ นรินทร์กดจูบที่กระหม่อมลูกน้อยก่อนที่จะผละออกมาให้เด็กน้อยลุกขึ้นเอง ความอ่อนโยนในมุมที่กฤติไม่ค่อยได้เห็นจากนรินทร์นั้นทำให้เขาหยุดมองไม่ได้
ชั่วขณะ กฤติมีความคิดว่าน้องนิ้งช่างโชคดีที่มีผู้ชายคนนี้เป็นพ่อ
เป้าหมายของพวกเขาในวันนี้คือสยามโอเชียนเวิลด์ (ที่เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น ซีไลฟ์ แบงคอก โอเชี่ยน เวิลด์ ซึ่งกฤติไม่ได้สนใจมากนัก) เขาจูงมือน้องนิ้งเอาไว้ ในขณะที่คนพ่อเดินไปจัดการเรื่องบัตรเข้าชม
การดูฉลามกับคุณพ่อและคุณลูกไม่ได้น่าเบื่อเท่าไหร่นัก กฤติรู้สึกว่าตัวเองสนุกกับการมองสัตว์น้ำในอุโมงค์กระจกมากกว่าที่คิด ที่สำคัญไปกว่านั้น เขาได้คุ้นเคยกับน้องนิ้งมากขึ้นไปอีก อาจจะเพราะกฤติรู้สึกถูกชะตากับเด็กหญิงอยู่แล้ว ตัวน้องก็เหมือนจะชื่นชอบเขาอยู่ไม่มากก็น้อย
ทริปนี้เลยกลายเป็นเหมือนเด็กหญิงจะอยู่กับเขามากกว่าพ่อของเธออีก
หลังจากการดูสัตว์น้ำจบลลง น้องนิ้งก็เกิดอาการอยากเข้าห้องน้ำ พวกเขาทั้งหมดจึงเข้าห้องน้ำก่อนที่จะคิดกันว่าจะทำอะไรต่อ
“น้อยใจนะ”
“อะไรครับ?”
กฤติถามขึ้นมาเมื่อพวกเขายืนอยู่หน้าห้องน้ำหญิงกับตัวคุณพ่อเพียงสองคน มันออกจะน่าประหลาดใจไปสักหน่อย แต่เวลาที่อยู่ในโอเชี่ยนเวิลด์นั้น ไหลไปเร็วกว่าที่กฤติคิดไว้มากโข กว่าจะรู้ตัวอีกที พวกเขาก็หิวกันเสียแล้ว
ตลอดเวลาที่อยู่ในนั้น น้องนิ้งคว้ามือเขาไปจับแล้วจูงดูนั่นดูนี่ตามแบบเด็กที่ร่าเริงทั่วไป โดยมีนรินทร์คอยเดินตามอยู่ข้างหลัง ซึ่งกฤติเองก็ไม่นึกรำคาญอะไร ชายหนุ่มเองก็เพลิดเพลินกับการเดินดูสัตว์น้ำเช่นเดียวกัน
“คุณอยู่แต่กับลูก ไม่สนใจพ่อเลย น้อยใจมากๆ แล้วเนี่ย”
หัวหน้าแผนกพยายามบังคับตัวเองไม่ให้กลอกตาด้วยความหมั่นไส้ แต่เหมือนนรินทร์จะไม่รับรู้ ชายหนุ่มยังคงดัดเสียงสองพูดกับกฤติต่อ
“จูงมือคุณพ่อมั่งสิครับ”
นรินทร์ยังคงยิ้มหน้าบาน แม้กฤติจะทำหน้าเหมือนกับว่าถูกบังคับให้ยืนเต้นไก่ย่างถูกเผาที่สยามก็ตาม
“...”
“นะคุณแม่ จูงมือคุณพ่อหน่อย”
คุณแม่กะผี… กฤติด่าในใจ หากแต่เลือกตอบอย่างอื่นออกไป
“ถ้าจูงไปลาออกน่ะ ได้ครับ”
“โหย ใจร้าย”
กฤติเบ้หน้าตอนที่นรินทร์ดัดเสียงเล็กเสียงน้อยอยู่ข้างๆ เขาอยากจะเอาอะไรบางอย่างใส่ปากอีกคนให้เงียบๆ ไป อย่างน้อยไม่ต้องพูดไปเลย เขาจะได้ไม่ต้องฟุ้งซ่านด้วยเรื่องไร้สาระอีก
คนที่มัวแต่พยายามเอาเรื่องไร้ประโยชน์ออกจากหัว ไม่ได้มองเห็นผู้ชายข้างๆ ที่เลียริมฝีปาก ก่อนที่จะค่อยๆ ขยับเข้าไปชิดกับหัวหน้าตัวเอง มือที่เคยเปลี่ยนผ้าปูที่นอนอยู่สม่ำเสมอสั่นเล็กน้อยอย่างหวั่นว่าจะโดนอีกฝ่ายฟาดหากรู้ว่าเขากำลังจะทำอะไร
นิ้วก้อยของคุณพ่อลูกหนึ่ง พยายามจะเกี่ยวเข้ากับนิ้วก้อยของอีกคนเอาไว้เหมือนเด็กมัธยมที่ไม่กล้าจับมือผู้หญิง ซึ่งนี่ก็ไม่ต่างกันนัก เพราะคนที่เขากำลังจะอาจหาญแตะต้องนั้นคือหัวหน้าแผนก
นอนด้วยกันมาแล้ว แต่พอจะจับมือจริงๆ แล้ว มันออกจะยากเล็กน้อย
ยิ่งการที่กฤติเพียงแค่ปรายตามองมาที่มือพวกเขาเฉยๆ ไม่ได้สะบัดหนีแต่อย่างไร ทำให้นรินทร์ย่ามใจ หมายจะคว้ามืออีกคนมาจับ ซึ่งในใจมีภาพตัวเองขยำอีกคนเสียจนมีแต่ร่องรอยของเขาไปหมดทุกซอกทุกมุม นรินทร์สาบานเลยว่าหากกฤติทำตัวน่ารักอีกครั้ง เขาจะ…
“คุณพ่ออย่าทำตัวน่ากลัวใส่อากฤตินะคะ!”
เสียงน้องนิ้งที่ผ่าอากาศขึ้นมาทำให้ผู้ใหญ่สองคนที่กำลังจีบกันสะดุ้ง กฤติรีบปัดมืออีกคนออกจากนิ้วของตัวเองอย่างรวดเร็วคล้ายกับสัมผัสจากนรินทร์คือเชื้อโรค ถึงแม้ว่าตัวเองจะหูแดงและในหัวมีแต่คำว่า ‘นี่มันไร้สาระ!' ก็ตาม
ในส่วนของคุณพ่อคนเก่งที่ยืนชะงักค้าง นัยน์ตาคมมองลูกสาววิ่งไปกอดเอวอีกคนอย่างทำอะไรไม่ได้ ในขณะที่น้องนิ้งเงยหน้ามองอากฤติของเธอ พร้อมฟ้องในสิ่งที่เห็นมา
“เมื่อกี้คุณพ่อมองอากฤติเหมือนจะกินลงไปเลยนะคะ เหมือนเวลาที่มองก๋วยเตี๋ยวเรือเส้นใหญ่ใส่ถั่วงอกเยอะๆ เลยค่ะ!”
เธอไม่ได้โกหก ตอนที่ออกจากห้องน้ำ พร้อมล้างมือและเช็ดทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว เด็กหญิงเห็นอากฤติยืนหูแดงเหมือนกับคนที่โดนแกล้ง ในขณะที่คุณพ่อมองอากฤติเหมือนเห็นของกินที่อร่อย คุณพ่อกินอากฤติไม่ได้อากฤติไม่ใช่ลูกอมนะ!
ทำไมโตเป็นผู้ใหญ่แล้วถึงไม่รู้ว่าคนอื่นไม่ใช่ของกินล่ะ!
คุณพ่อนี่ใช้ไม่ได้เลย
“อ๋อ… คุณพ่อหิวน่ะค่ะ”
“หิวก็ไปทานอาหารสิคะ ไม่ใช่ทานอากฤติ!”
“แต่คุณพ่ออยากทานอากฤตินี่คะ”
“อากฤติไม่ใช่ของกินนะคะ ถ้าทานแล้วหนูจะเอาอากฤติที่ไหนมาล่ะ หนูชอบอากฤติ คุณพ่อห้ามกินค่ะ!”
กฤติไม่รู้ว่าสองพ่อลูกเถียงกันเรื่องแบบนี้ไปเพื่ออะไร แต่คนที่ตกเป็นประเด็นในการพูดคุยนั้นยืนทำหน้าไม่ถูกแล้ว ชายหนุ่มขยับตัวอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรในสถานการณ์นี้ ความคิดประหลาดปรากฏอยู่ในหัว
สองคนนี้สมกับเป็นพ่อลูกกันจริงๆ
.
.
.
แผนกินข้าวของพวกเขาล่มเพราะใกล้เวลาที่น้องนิ้งจะต้องกลับบ้าน
กฤติเดินนำสองพ่อลูกมาที่รถ บางทีมันก็ตลกเหมือนกันที่น้องนิ้งและนรินทร์เหมือนพ่อลูกมากกว่าที่เขาคิด ทั้งสองคนชอบกินขนมหวานเหมือนกัน ชอบดูสัตว์น้ำเหมือนกัน แล้วก็ตื่นเต้นกับโซนของเล่นเด็กกับกีฬาเหมือนกันทั้งคู่ อีกทั้งยังทำหน้าแหยงเมื่อเห็นกฤติเดินเข้าไปในมุมหนังสืออีก
ถึงแม้ว่าพ่อลูกจะตีกันมาตลอดทางเลยก็ตาม
“คุณ…”
เสียงของคนขับเรียกให้กฤติหันไปมอง มือของนรินทร์กำลังเคาะพวงมาลัยเหมือนกับตกอยู่ในความคิดอะไรบางอย่าง ถนนข้างหน้ายังมีรถหนาแน่นสมกับเป็นการจราจรในกรุงเทพ เพราะคนขับไม่ได้เปิดเพลงอะไร
น้องนิ้งก็หลับปุ๋ยอยู่ด้านหลังตั้งแต่ขึ้นรถ
“ครับ?”
“วันนี้เหนื่อยมั้ยครับ?”
กฤติหันมองคนข้างๆ เพื่อพบว่าคุณพ่อของน้องนิ้งกำลังยิ้มให้กระจกอยู่ แน่นอนว่ากฤติทำเป็นไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
“ไม่ครับ สนุกดี” หัวหน้าตอบอย่างง่ายๆ และเขาหมายความอย่างที่พูดออกไปจริงๆ
“วันนี้เราเหมือนครอบครัวเลยเนอะ”
มาถึงตอนนี้ กฤติเริ่มรู้สึกว่าตัวเขาตอบไม่ถูกแล้ว
“ถ้าครั้งหน้ามากับพวกผมแบบนี้อีกได้มั้ยครับ?”
“...”
“ไม่สิ มาเติมเต็มครอบครัวของผมได้มั้ยครับ?”
มันเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุนไปชั่วขณะ กฤติไม่กล้ามองไปทางคนข้างๆ เขารู้สึกถึงสายตาของอีกคนที่จ้องมองมาทางนี้ ชายหนุ่มเม้มปาก พยายามไม่สนใจว่าใบหูตัวเองเริ่มร้อนขึ้นมาอีกแล้ว
ชั่วอึดใจที่นานนับปี
จนในที่สุด หัวหน้าหนุ่มก็พูดเสียงเรียบตอบกลับไป
“ถ้าว่าง… จะมาช่วยดูน้องนิ้งด้วยก็ได้ ผมไม่มีปัญหาอะไร”
ทั้งที่กฤติพูดตอบพร้อมกับหันหน้าไปมองกระจกข้างๆ แถมยังพึมพำเสียงเบาราวกับว่าจะให้ตัวเองฟังเท่านั้น แต่นรินทร์กลับได้ยินชัดเจนคล้ายอีกคนมากระซิบข้างริมฝีปาก อีกทั้งใบหูแดงของอีกฝ่าย เป็นหลักฐานชั้นดีที่บ่งบอกว่ากฤติเขินเขาแค่ไหน
น่ารัก
น่ารักจนอยากจะครอบครองเอาไว้คนเดียว
“จะมองมั้ยครับทางน่ะ?”
กฤติเหน็บทั้งที่ไม่ได้ละสายตาออกจากกระจกด้านข้าง เงาสะท้อนของอีกคนมันชัดเจนจนเขานึกอยากจะหาอะไรมาคลุมหน้านรินทร์เอาไว้
“เขินก็ยอมรับเถอะครับคุณ”
“...”
“ยอมรับออกมาเถอะนะ นะนะน่ะน่อว์”
น่อว์ที่หน้า
กฤติได้แต่คิดในใจแต่ไม่ได้พูดออกไป เขาไม่น่ารู้สึกว่าอีกคนมีมุมหล่อเลยจริงๆ … สุดท้าย ยังไงนรินทร์ก็คือนรินทร์คนไร้ประโยชน์อยู่ดี ให้ตายเถอะ!
ทั้งที่เป็นแค่นรินทร์คนไร้สาระแท้ๆ
แต่ทำให้เขากลั้นยิ้มจนเมื่อยแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหนกัน
------- Sunday In Bed -------
เวลาเกือบชั่วโมงผ่านไป พวกเขาก็มาถึงที่หมาย
บ้านที่พวกเขามาส่งน้องนิ้งนั้นคือบ้านของแฟนใหม่แม่เด็กน้อย ซึ่งอยู่ในหมู่บ้านจัดสรรขนาดใหญ่ในพื้นที่ย่านพลุกพล่าน ซึ่งอยู่คนละฝั่งกับที่อยู่ของกฤติและนรินทร์ พวกเขาขับเข้ามาข้างใน ใช้เวลาไม่นานรถของคุณพ่อคนเก่งก็มาจอดอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่งที่เนตรส่งให้ในแอปพลิเคชันแชท
บ้านของเอิร์ธ
‘ครืดดดดดด’
เสียงประตูรั้วอัตโนมัติเปิดออกแทบจะทันทีที่รถพวกเขาจอด ผู้ใหญ่สองคนในรถหันไปมองทางตัวบ้านพร้อมกัน ผู้ชายคนหนึ่งเดินออกมาพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้า
นั่นคงเป็นเจ้าของบ้าน
กฤติคิดกับตัวเองตอนที่นรินทร์ลงจากรถไปทักทายอีกคน ท่าทางดูภูมิฐานทั้งที่อยู่ในชุดสบายๆ หัวหน้าหนุ่มลังเลเล็กน้อยว่าเขาควรจะปลุกเด็กน้อยเลยหรือไม่ แต่สุดท้ายแล้ว เขาก็ปล่อยให้น้องนิ้งนอนไปก่อน รอนรินทร์คุยเสร็จแล้วค่อยเรียกน่าจะยังทัน
คุยอะไรกัน นานขนาดนี้
หัวหน้าหนุ่มตั้งคำถามกับตัวเองเมื่อผ่านไปหลายนาทีแต่นรินทร์ก็ยังไม่ขึ้นมา จนเมื่ออดรนทนไม่ไหว กฤติจึงเปิดประตูลงไปด้วย
“... มากับเพื่อนน่ะครับ”
“… สวัสดีครับ”
ประโยคแรกนรินทร์พูดกับชายหนุ่มแปลกหน้า ส่วนประโยคหลังเป็นของชายแปลกหน้าที่หันมาพูดกับกฤติ โดยพูดพร้อมกับยกมือไหว้กฤติไปด้วย ซึ่งเขาก็รับไหว้ทันทีทั้งที่อีกฝ่ายดูคล้ายกับจะอายุมากกว่า
“คุณคงเป็นคุณกฤติ เพื่อนของคุณโน้ต” ชายแปลกหน้าพูดขึ้นมาก่อน ซึ่งกฤติเพียงแค่ยิ้มมารยาทรับไว้เท่านั้น “ผมกับเนตรกำลังจะทานข้าวเย็นกันพอดี เลยอยากจะเชิญทั้งคุณกฤติและคุณโน้ตมาร่วมโต๊ะด้วยน่ะครับ”
“ครับ”
กฤติรับคำเพียงสั้นๆ เขากำลังสังเกตนรินทร์ที่ยืนอยู่ด้านข้าง ลูกน้องคนอารมณ์ดีตอนนี้มีสีหน้าฝืน คล้ายกับไม่มั่นใจว่าตัวเองควรจะอยู่ตรงนี้หรือเปล่า
ใจหนึ่งกฤติเองก็ไม่อยากรบกวนเวลาครอบครัวคนอื่น แต่หากตามนิสัยนรินทร์แล้ว เขาคิดว่าเจ้าตัวคงยังไม่ไว้ใจแฟนใหม่ของคุณแม่น้องนิ้งมากขนาดนั้น ตลอดทางที่มาที่นี่ หากไม่หยอดเขา นรินทร์ก็จะเคาะพวงมาลัยรถคล้ายกับว่ากำลังคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา
ซึ่งนั่นเป็นพฤติกรรมปกติเวลาที่เจ้าตัวคิดถึงเรื่องครอบครัว
ระยะเวลาเกือบปีที่ผ่านมานั้นมากพอที่กฤติจะรู้จักนรินทร์ในหลายแง่มุมมากยิ่งขึ้น นอกเหนือจากพวกนิสัยสัปดนที่มักจะแสดงออกเวลาอยู่กันตามลำพังแล้วนั้น เมื่อเป็นเรื่องของครอบครัวแล้ว นรินทร์มักจะเกร็งตัวโดยอัตโนมัติ เวลาพูดเสียงจะสูงขึ้นเล็กน้อยคล้ายคนประหม่า แถมยังคิดช้ากว่าปกติ
ตอนนี้ นรินทร์คนนั้น กำลังไม่สบายใจ
ในขณะที่กฤติกำลังตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองนั้น คุณพ่อลูกหนึ่งยิ้มแห้งให้แฟนใหม่เนตร พร้อมกับบอกปฏิเสธคำเชื้อเชิญออกไป
“ยังไงถ้าไม่รีบกลับอะไร อยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนนะครับ ผมคิดว่าน้องนิ้งต้องอยากทานข้าวกับพวกคุณด้วยแน่นอน”
เอิร์ธพูดเชิญชวนอีกครั้ง ด้วยรอยยิ้มมารยาทประดับใบหน้า พอมีชื่อลูกปรากฏในประโยคนั้น นรินทร์ก็นิ่งไปเหมือนกำลังคิด
“พอดี… ผมต้องไปส่ง...”
“ถ้าอย่างนั้น รบกวนด้วยนะครับ”
กฤติเป็นฝ่ายพูดดักขึ้นมาก่อนที่นรินทร์จะพูดจบ ซึ่งนั่นเรียกสีหน้ายินดีของเจ้าบ้าน และการเลิกคิ้วมองอย่างตกใจของคนด้านข้างในเวลาเดียวกัน
หลังจากนั้นเอิร์ธก็เชื้อเชิญพวกเขาเข้าบ้านโดยที่นรินทร์กับกฤตินั้นกลับเข้ามาในรถเพื่อขับไปจอดในบริเวณด้านใน ความจริงกฤติจะยืนรอโน้ตอยู่ด้านนอกก็ได้ แต่เขาอยากจะมาเช็กว่าอีกฝ่ายโอเคอย่างแท้จริง
“คุณอยากอยู่มั้ย?” นรินทร์เป็นฝ่ายถามเมื่อพวกเขากลับเข้ามาในรถ “ถ้าคุณไม่อยาก เรากลับเลยก็ได้นะ”
“คุณล่ะ อยากมั้ย?”
กฤติถามกลับทันที นัยน์ตาคมมองผ่านแว่นอย่างต้องการคำตอบ โน้ตมีท่าทีอึดอัดในช่วงแรก แต่เมื่อผ่านไปเสี้ยววินาที ชายหนุ่มก็ยอมรับออกมาตามตรง
“ผมเองก็อยากคุยกับเขาเหมือนกัน อยากจะรู้ว่าเวลาน้องนิ้งอยู่กับเขาแล้วจะเป็นยังไง”
“คุณไม่เคยเห็น?”
“ไม่ครับ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเจอแฟนใหม่ของเนตร”
กฤติยังคงนิ่งกับข้อมูลที่ตนเพิ่งจะรับรู้มา ถึงแม้นรินทร์จะยิ้มให้เขาเหมือนทุกทีแต่กฤติรู้สึกถึงบรรยากาศที่แปลกไป มือของนรินทร์ที่ค้างอยู่บนพวงมาลัยทั้งที่รถดับไปแล้ว ใบหน้าหล่อมองตรงไปข้างหน้าทั้งที่ไม่มีอะไรน่าสนใจ
โน้ตกำลังอึดอัด
ไวกว่าความคิด กฤติเอามือของตัวประสานไปบนมือของอีกคนแล้วส่งแรงบีบเบาๆ เขาปลอบคนไม่เก่ง สิ่งเดียวที่ทำได้คือเผชิญหน้ากับปัญหาไปกับอีกคนด้วยเท่านั้น
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว กฤติก็พูดตอบชายหนุ่มออกมา
“ไปสิ ก็ลองเข้าไปดูด้วยกันทั้งคุณทั้งผมนั่นแหละ”
.
.
.
ต่อข้างล่างนะคะ