14 : ฟ้าก่อนฝน
ผมนั่งเหม่อลอย มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย กระทั่งตอนที่เคย์เลี้ยวรถเข้ามาในลานจอดรถของหอพัก ใจผมยังคงหยุดอยู่ที่โต๊ะอาหารนั่นอยู่เลย
‘วิปริต!’
น่าสมเพชเสียจริง ตลอดมาที่เขาคุยกับผม หรือตอนที่เขานัดผมมาเจอกัน สิ่งที่เขาคิดมีแค่ความวิปริตของผมแค่นั้นหรือ
“ไปกัน” ผมเดินตามแรงฉุดดึงของคนตัวใหญ่ เคย์พาผมที่ยังเหม่อไม่เลิกมาถึงบนห้องได้ในที่สุด
ผมฉุดเขาให้มานั่งบนพื้นด้วยกัน เอนหัวพิงกับไหล่เขาอย่างเหนื่อยอ่อน
“ขอโทษนะที่สะบัดมือทิ้งตอนนั้น…”
“ไม่เป็นไร” เสียงเคย์ยังคงนุ่มอ่อนโยนเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
ผมหลุบตาลง เรื่องราวมากมายในหัวยังคงกระจัดกระจายไม่เป็นรูปเป็นร่างจนไม่รู้จะบอกกับเขายังไงดี
“มี…เรื่องเกิดขึ้น กูอยากจะเล่า แต่ตอนนี้ไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหนดี”
“อือ งั้นก็ยังไม่ต้องเล่า”
“แต่ถ้าไม่ได้พูดออกไปกูต้องหัวระเบิดแน่ๆ อึดอัดเหี้ยๆ”
“งั้นกูจะนั่งรอจนกว่ามึงจะคิดออกนะ”
ชุดกระโปรงน่ารักๆ ในตู้เสื้อผ้า เครื่องสำอางค์สีสันสดใสบนโต๊ะกับวิกผมที่อยู่ในตู้ ของพวกนั้นยังเป็นของที่ผมชอบที่สุด แต่เวลานี้ หากผมต้องหยิบมันออกมาอีกรอบ เสียงของพ่อก็จะดังขึ้นในหัว
วิปริต!
“เอา…กระโปรงออกมาให้กูหน่อย”
เคย์ไม่ตั้งคำถามกับเรื่องที่ผมสั่งไปอย่างกะทันหัน เขาเพียงลุกขึ้นยืน เดินไปที่ตู้แล้วหยิบกระโปรงตัวนึงออกมา มันเป็นกระโปรงเทนนิสสีชมพูที่ผมมักสวมกับถุงน่องตาข่ายสีเดียวกัน
น่ารัก
ผมพอใจกับตัวเองภายใต้เสื้อผ้าพวกนี้ ชอบเหมือนกับที่คนอื่นชอบ
เป็นผู้หญิงหรือผู้ชายแล้วอย่างไร ของพรรค์นั้นมันเกี่ยวกับสิ่งที่ชอบตรงไหนกัน
ไม่ว่าใครก็ควรจะมีสิทธิทำสิ่งที่ตัวเองชอบโดยไร้สายตาจากสังคมคอยตัดสินหากมันไม่ใช่เรื่องผิดศีลธรรม
เพราะงั้นผมไม่ได้ผิดเสียหน่อย
คนที่ควรอับอายต้องไม่ใช่ผม
คิดได้แบบนั้นผมก็สลัดกางเกงที่สวมอยู่ออก แล้วดึงกระโปรงใส่ขึ้นมา จากนั้นก็รูดซิบข้างๆ จนได้ยินเสียงดังฟืด
ภาพที่ปรากฎบนกระจกทำให้รู้สึกขัดแย้งอย่างบอกไม่ถูก กระนั้นผมก็ยังจ้องมันแล้วถามเคย์ว่า
“น่ารักมั้ย?”
ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหลังโคลงศีรษะ แม้ใบหน้าไร้รอยยิ้มแต่ดวงตาเขากลับเป็นประกาย
“อือ ใส่กระโปรงตัวนี้แล้วดูดีมากเลยล่ะ”
หัวใจผมพลันฟู่ฟ่องเพราะคำชมนั่น
แค่นี้ก็พอแล้ว
ต้องการแค่คำชม ไม่ต้องเข้าใจความรู้สึกของผม ไม่ต้องเข้าใจว่าทำไมถึงชอบ ไม่ขอให้เข้าใจ
เพียงแค่ยอมรับอย่างที่ผมเป็น
“เอาล่ะ นั่งลง กูรู้แล้วว่าจะเริ่มต้นเล่ายังไง”
เคย์นั่งฟังเรื่องราวเงียบๆ โดยไม่แย้งอะไรเวลาผมพูดด้วยความโมโห หรือกระทั่งตอนที่น้ำตาคลอเบ้าเพราะความเจ็บใจ
จวบจนกระทั่งเล่าทุกอย่างจบลง เขาจึงถามขึ้น
“แล้วเป็นยังไง”
ผมมองหน้าเขาอย่างมีคำถาม เคย์จึงขยายความ
“ตอนนี้คิดยังไง รู้สึกยังไง”
“ตอนนี้เหรอ…” ผมทบทวนความรู้สึกในหัวตัวเอง ก่อนจะพบบางอย่างที่สำคัญ “เพิ่งรู้ตัวว่าโดนพ่อปั่นจนเสียความมั่นใจ หงุดหงิดชะมัด ตาแก่นั่นพูดเรื่องที่ทำให้คนใจฟ่อ กูตั้งใจไว้ตั้งนานแล้วว่าไม่ว่าคนจะพูดถึงงานอดิเรกเรื่องแต่งหญิงยังไงก็จะไม่ยอมถอยเด็ดขาด เพราะกูชอบมัน และเพราะมีคนเข้าใจกูเยอะแยะและกูจะสนแค่คนพวกนั้น ส่วนเรื่องที่เราจะเป็นสถานะอะไรก็ตามในอนาคต…ก็ลองกันสักตั้งสิวะ สู้กับสังคมมันสักตั้ง ไม่ใช่พวกเรากลุ่มเดียวสักหน่อยที่กำลังพยายามอยู่”
“เก่งมาก กูรู้อยู่แล้วว่ามึงต้องคิดแบบนี้” เคย์เอื้อมมือมาโยกหัวผมไปมา
“…”
“แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ไม่หลุดคำว่าแฟนออกมาสักหน่อยล่ะ สถานะอะไรก็ตามเหรอ งั้นข้ามขั้นเป็นผัวเมียเลยได้ป่ะ”
“พูดแบบนี้อยากเอาเลือดหัวออกนักใช่มั้ย” ผมยืนค้ำหัวคนที่ยิ้มเผล่ ไฟลุกโชนอยู่ข้างหลังเป็นแบกกราวน์
แต่เจ้าหมาโง่ดูเหมือนจะไม่รู้ถึงความคิดมุ่งร้ายเอาเสียเลย มันลุกขึ้นพรวดหิ้วผมขึ้นเตียงไปนอน
“ยังไม่ได้อาบน้ำเลย ปล่อยสิเจ้าหมาสกปรก!”
“ช่างมัน ค่อยอาบพรุ่งนี้สิ เจอเรื่องเหนื่อยๆ แล้ว นอนกันดีกว่า”
“ถ้าจะทำตัวเป็นหมาขี้เรื้อนก็เป็นไปคนเดียวสิ!!”
“นอนๆ นอนครับ”
ขาใหญ่ๆ ก่ายรัดตัวผมจนขยับไปไหนไม่ได้ ผมจึงเอาหัวโหม่งหน้าอกอีกฝ่ายแต่ดันรู้สึกเจ็บหัวแทน
น่าหงุดหงิดจริงๆ เลย
แต่ก็เอาเถอะ
ผมหวังให้เวลาแห่งความสุขแบบนี้อยู่ไปนานๆ
มีเวลาพักกันอยู่ไม่นาน เคย์ซึ่งมีตำแหน่งเดือนคณะนิติพ่วงก็ต้องเริ่มทำงานอีกครั้ง เพราะงานกีฬามหาลัยยังไม่จบ ที่แข่งไปเป็นเพียงการแข่งเพื่อเอาผลก่อนวันจริงซึ่งต้องมีการมอบรางวัลและแน่นอนว่าต้องมีการเดินขบวนซึ่งได้ชื่อว่ารวมหนุ่มหล่อสาวสวยของมหาลัยมากมาย
ตัวผมเองเพราะไม่ใช่เดือนของโต๊ะดังนั้นจึงได้เป็นผู้ชมอย่างสบายใจ
เรื่องอะไรจะหาเหาใส่หัวล่ะ
ร้อนก็ร้อน เหนื่อยก็เหนื่อย ขืนผิวผมเสียขึ้นมาก็แย่น่ะสิ
ชายหนุ่มไม่ได้กลับห้องหลายครั้งเพราะจำเป็นต้องไปซ้อมละครเปิดตัวของหลีดซัมติงของคณะเขา แถมยังต้องไปนั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อกับเพื่อนๆ ซึ่งเป็นงานเป็นการจนเจ้าตัวไลน์มาบ่นใหญ่ว่าจะเอาเขาเข้ามาคุยด้วยทำไมนะ
ผมยิ้มขำ ขนาดเรื่องงบของชุดยังต้องเอาเจ้าหมานั่นไปนั่งฟังด้วยเลยเหรอ ตลกเกินไปแล้ว
ผมซึ่งกำลังนั่งดูเพื่อนในโต๊ะกำลังซ้อมการแสดงของชาวบัญชียกโทรศัพท์ขึ้นกด รอยยิ้มประดับอยู่มุมปากค่อยๆ ขยายกว้างขึ้นเมื่ออีกฝ่ายส่งภาพมารายงานตัว
K : อยู่ในห้องประชุมครับ น่าเบื่อจัง
พร้อมกับแนบภาพตัวเองกำลังนั่งเท้าคางอยู่ ข้างๆ มีแขนของเพื่อนเข้ามาในเฟรม หน้าหล่อๆ ของอีกฝ่ายเบะปากเหมือนกับเด็กเวลาเซ็ง
น่ารักเป็นบ้า
“ยิ้มอะไรอ่ะ คุยกับใครรร” เพื่อนผมวิ่งเข้ามาชาร์ตทันทีที่เห็นผมกดมือถือต๊อกแต๊กๆ จนผมต้องรีบล็อคหน้าจอ
“ยุ่ง!”
เหล่าสาวๆ วี๊ดว้ายเมื่อผมแยกเขี้ยวใส่ พวกเธอแกล้งเดินหนีแต่จริงๆ แล้วคือไปซื้อของกินเล่น ผมตะโกนบอกให้ซื้อชานมมาเผื่อด้วยก่อนจะได้รับคำตอบเป็นนิ้วกลาง
เดี๋ยวนี้ผู้หญิงหยาบคายเป็นบ้า
“จะซื้อชานมเหรอ เดี๋ยวไปด้วยเอามั้ย” เสียงกระด้างอย่างผู้ชายดังขึ้นข้างๆ ตัวพร้อมกับที่เขานั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ ผม ผมหันหน้ามามองเขาก่อนจะพบว่าเขาคือผู้ชายที่เป็นเดือนโต๊ะของผมเอง
ซึ่งเดือนโต๊ะไม่ใช่เดือนคณะนะ อย่าเข้าใจผิด เดือนโต๊ะจะต้องเอามารวมกันเพื่อคัดเป็นเดือนคณะอีกทีต่างหาก
อย่างเดือนโต๊ะผมคนนี้ชื่อไม้ที ท่ามกลางโต๊ะที่มีแต่สาวๆ กับผู้ชายจำนวนหยิบมือซึ่งไม่สนใจอะไรกระทั่งกิจกรรมก็ไม่มาเข้าร่วม เขาจึงได้รับโหวตเป็นเดือนโต๊ะไปโดยปริยาย
“เออ…เอาสิ” ผมตกลง
พวกเราเดินข้างๆ กันไปยังตึกอีกฝั่งเพื่อซื้อชานมจากร้านโปรดของผม บรรยากาศค่อนข้างอึดอัดนิดหน่อยเพราะผมไม่ค่อยชินกับการเดินกับผู้ชายซึ่งแผ่ความเป็นผู้ชายออกมามากขนาดนี้
ในหัวผมปรากฎภาพอีกคนซึ่งเคยมีบรรยากาศคล้ายๆ แบบนี้เช่นกัน
แต่เจ้าหมานั่น…ผมโคตรชินกับการมีเขาอยู่ด้วยเลย
ผมเหลือบมองคนสูงข้างตัวซึ่งเดินอกผายไหล่ผึ่ง ไหล่กว้างเรียบตึงทำให้เขาดูตัวใหญ่สมกับเป็นผู้ชายมากขึ้นไปอีก
แต่แล้วเขาก็สังเกตเห็นถึงสายตาของผมแล้วก้มหน้าลงสบตาด้วย
“มองทำไมเหรอ”
น่าแปลกที่สายตาแพรวพราวจากดวงตาซึ่งดูอ่อนโยนกลับทำให้ผมขนลุกมากกว่าตาคมดุจากรูมเมทผมเสียอีก
“อ๊ะ…เปล่า ไม่ได้มอง” ผมเบือนหน้ามามองตรง ใบหน้าร้อนผ่าวด้วยความอายเมื่อโดนจับได้ว่าแอบมองคนข้างกาย
ผมได้ยินเสียงเขาหัวเราะในลำคอเล็กน้อย และมันทำให้ผมอับอายปนหงุดหงิดจนอยากจะตั๊นหน้าเข้าให้สักที
โคตรต่างจากตอนที่เคย์ล้อผมแบบนี้เลย ต่อให้เจ้านั่นจะหัวเราะในลำคอแล้วมองผมอย่างเอ็นดู มันก็ทำให้ผมรู้สึกแค่อยากมุดหน้าอกล่ำๆ นั่นให้ตัวเองขาดใจตายจะได้เลิกเขินก็เท่านั้น
แล้วนี่ผมเป็นบ้าอะไรถึงเอาทุกอย่างไปเทียบกับรูมเมทตัวเองวะ
“น่ารักนะเรา”
เหี้ย!
ผมขนลุกจนไม่กล้าหันไปมองอีกฝ่าย ถึงแม้ว่าจะหน้าตาดีหรือเสียงจะนุ่มนวลชวนฝันขนาดไหน แต่ขอเถอะ
ผมโคตรขนลุกเลยจริงๆ
ด้วยบรรยากาศที่โคตรกระอักกระอ่วน ผมตัดสินใจแกล้งตายทำเป็นไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
ไม่รับรู้ ไม่รับรู้
ผมเดินนำหน้าเขาไปเมื่อเห็นร้านขายชานมอยู่เบื้องหน้า แต่สายตาจากข้างหลังซึ่งแผดเผามาก็ทำให้ผมอดขนลุกซู่อีกจนไม่ได้
ไม้ทีเดินมาขนาบข้างผมอีกครั้งตอนที่ผมรับชานมแล้วเดินออกมาจากร้าน ผมทำเป็นมองนกมองไม้มองพื้นและมองทุกอย่างแต่ก็ยังรับรู้อยู่ดีว่ามีสายตายังจับจ้องผมอยู่
“จิน จริงๆ ก็รู้ตัวแล้วใช่มั้ยว่าเราชอบ”
พรวด!
ผมสำลักน้ำเพราะกลืนผิดจังหวะจากประโยคนั้นจนไอค่อกแค่ก ซึ่งอีกฝ่ายก็ใจดีพอจะลูบหลังช่วย
รู้เว้ย! แต่เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต้องพูดก็ได้มั้ย!
แน่นอนว่าประโยคนั้นผมไม่ได้พูดออกไปหรอก
แล้วก็แกล้งตายไม่ตอบแล้วไม่ได้ด้วย
“อือ ก็พอรู้อ่ะนะ” ผมยิ้มแหยๆ ให้ ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มนุ่มๆ ตอบกลับมา
“เหมือนจินจะไม่ชอบเรานะ”
เขาเรียกว่าแขยงต่างหาก
“เปล่าหรอก คือเรารู้สึกแปลกๆ มากกว่า เออ คือ…แบบว่าเข้าใจใช่มั้ย”
“หรือว่าไม่แน่ใจในตัวเรา”
ผมกลอกตา ประโยคตัดพ้อเหมือนสาวน้อยนั่นมันอะไรกันน่ะ
“คือ…”
“ถึงจะเห็นเราชอบจีบสาวๆ แต่เราก็ชอบได้ทั้งผู้หญิงผู้ชายนั่นแหละ เพราะงั้นเราชอบจินจริงๆ นะ เปิดโอกาสให้หน่อยได้มั้ย”
ทั้งๆ ที่เป็นประโยคคล้ายๆ กับที่เคย์เคยพูด แต่ผมไม่ได้รู้สึกใจเต้นอะไรเลยด้วยซ้ำ มีแต่ความอึดอัดถ่วงไปหมด
“คือ…เรามีคนที่คุยๆ ด้วยอยู่แล้ว” ผมตอบปฏิเสธไป ยิ้มแหยๆ เป็นเชิงว่าไม่มีทางซะละมั้งเอ็ง
มีคนเดียวเท่านั้นที่ผมจะชอบ
และมันไม่ใช่แกโว้ย!
“ว้า ก็คิดๆ ไว้อยู่แล้วล่ะ จินชอบผู้ชายใช่มั้ย แย่ชะมัด ดูเหมือนว่าเราจะช้าไปหน่อย”
ผมสาวเท้าให้เร็วขึ้นอีกนิดเผื่อว่าระยะทางมันจะสั้นลงไปบ้าง
“ยังไงก็เอาไปคิดหน่อยเถอะ เราชอบจินจริงๆ นะ โดยเฉพาะด้านลูกแมวที่ระวังตัวเวลาคนไม่สนิทอยู่ด้วยแต่เวลาตอนอยู่กับคนที่ไว้ใจกลับนอนหงายพุงแบบนี้ โคตรน่ารักเลย”
ประโยคสุดท้ายไม้ทีก้มลงมากระซิบข้างหูผมพร้อมเป่าลมเบาๆ ที่ทำเอาผมเด้งตัวออกมาอย่างตกใจ
เวรๆ ๆ
มันคิดว่ามันทำอะไรอยู่!!
ผมโกรธจนหน้าดำหน้าแดง เดินกลับไปรวมกลุ่มกับสาวๆ เพื่อนร่วมโต๊ะที่ส่งเสียงวี้ดว้ายเพราะเหตุการณ์ชวนจิ้นเมื่อกี้
ผมถูหูตัวเองอย่างหงุดหงิด
กลับห้องไปจะเอาแอลกอฮออล์เช็ดจนกว่าจะสะอาดเลยคอยดู!!
“หันมา”
คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามยังคงกอดอกทำหน้ามุ่ย ทำเมินเสียงของผม
โธ่เว้ย
คิดว่าคนตัวควายๆ มาทำอย่างนั้นแล้วมันน่ารักน่าชังมากรึไงเล่า เจ้าโง่เอ๊ย!
ตอนนี้ผมกำลังนั่งหน้าเครียดมองเจ้าเด็กขี้งอนไม่รู้จักโตที่อีกฟากของโต๊ะอาหาร ทั้งๆ ที่เป็นครั้งแรกที่ได้กินข้าวเย็นด้วยกันในรอบสองสัปดาห์แต่เจ้าบ้านั่นกลับงอนด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง
และเหตุผลที่ผมต้องมานั่งง้องแง้งกับเคย์ในร้านอาหารตามสั่ง มันเพราะรูปที่ไม้ทีก้มลงมากระซิบข้างหูผม ซึ่งตัวดีที่ปล่อยรูปก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เพื่อนผู้หญิงในโต๊ะผมที่อยากเรียกกระแสกับงานกีฬานั่นเอง
เวรเอ๊ย ยัยนั่น
เร็วขนาดนั้นก็ยังถ่ายได้
“หันมาคุยกันก่อน” ผมยังคงย้ำคำเดิมซ้ำๆ เพื่อง้อเจ้าหมายักษ์ข้างหน้า
“…”
เฮ้อ เอากับเขาสิ ให้ตาย ต้องเอาไม้ตายออกมาแล้วมั้ย
ผมถอนหายใจก่อนจะทำเสียงหวานใส่
“อุตส่าห์ได้มากินข้าวด้วยกันทั้งที จะไม่คุยกันจริงๆ เหรอ”
อ๊ะ นั่น ตาแอบกระตุก
ผมแทบจะเห็นภาพหูหมากระดิกมาทางนี้กับหางฟูๆ ที่สั่นพั่บๆ ของเจ้าตัวถึงแม้จะยังเมินไม่มองมาทางนี้ก็เถอะ
ผู้ชายน่ะ…ร้อยทั้งร้อยก็อยากให้แฟนเอาใจเวลาตัวเองงอนทั้งนั้นแหละ
และถึงผมจะไม่ใช่คนผิดก็เหอะนะ แต่นานๆ ทีถอยให้ก่อนก็ไม่เลวเหมือนกัน
“วันนี้นึกว่าจะได้ทำอะไรด้วยกันเยอะๆ อีก กินข้าวด้วยกัน คุยกัน แล้วสุดท้าย….” ผมลดเสียงตอนท้ายประโยคลงจนได้ยินกันแค่สองคน “จะได้อาบน้ำด้วยกันไง”
ฟึ่บ!
เจ้าหมาหื่นกามหันหน้ามา ตาเป็นประกายวิ้งวับ
ผมแอบแลบลิ้น
หึ หลอกง่ายจริงๆ เจ้าหมาโง่
“น่าเสียดายจัง ไม่อยากคุยก็ไม่เป็นไร กูว่ามึงก็คงไม่อยากอาบน้ำ--”
“อาบครับอาบ คุยแล้วๆ” เขานั่งหันหลังตรง สายตาคาดหวังที่มองมารู้เลยว่าคิดอะไรอยู่
“ลามกวะ” ผมปรามาส
เขายกยิ้มเหมือนไม่สำนึก
“มันก็นานแล้วนะจากครั้งสุดท้าย…”
ขาที่ไขว้ห้างอยู่ใต้โต๊ะค่อยๆ ยกขึ้นเพื่อสัมผัสกับขาของอีกฝ่าย ผมใช้ปลายเท้าไล่ตามแนวกล้ามเนื้อของเขาจนรู้สึกถึงความแข็งของกล้ามที่เกร็งเพราะความรู้สึก
“ขี้ยั่ววะ”
“ก็…ยั่วแค่คนเดียวล่ะนะ” ผมเอียงคอ ยกยิ้มที่คิดว่าน่าจะสวยที่สุดไปให้ในขณะที่ปลายเท้าก็ไล่ขึ้นต้นขาใกล้จุดอันตรายของอีกฝ่ายเข้าไปทุกที
“ข้าวได้แล้วค่า”
การเสิร์ฟข้าวจากลูกสาวป้ายุ้มทำเอาวงแตก ผมสะดุ้งนั่งหลังตรงพอๆ กับคนตรงข้ามที่ทำหน้าเลิ่กลั่ก
จวบจนเจ้าหล่อนเดินกระแทกเท้าฉับๆ จากไปเพราะโดนป้าจอมโหดซึ่งโขกสับราคาอาหารตามสั่งตอนหมูแพงแล้วเสือกไม่ลดราคาตอนราคาหมูตก ผมกับเคย์ก็มองหน้ากันแล้วหัวเราะออกมาอย่างหยุดไม่ได้
ให้ตายสิ อยู่กับเขานี่มันสนุกสุดๆ ไปเลย
v
v
v
ต่อข้างล่างค่ะ