พิมพ์หน้านี้ - [เรื่องสั้น] Cosplayer ชุดสาวน้อยเวทมนตร์ P.14 จบ[3/08]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => เรื่องสั้น => ข้อความที่เริ่มโดย: MeiHT ที่ 06-09-2018 19:19:47

หัวข้อ: [เรื่องสั้น] Cosplayer ชุดสาวน้อยเวทมนตร์ P.14 จบ[3/08]
เริ่มหัวข้อโดย: MeiHT ที่ 06-09-2018 19:19:47
 :jul3:***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer
เริ่มหัวข้อโดย: MeiHT ที่ 06-09-2018 20:15:32
“ขอบคุณครับ”

ผมยกกล่องพัสดุจากเจ้าหน้าที่ใต้หอ ก่อนจะเดินเข้าลิฟต์ บอกหมายเลขชั้นเบาๆและกล่าวขอบคุณหญิงสาวตัวเล็กน่ารักที่กดปุ่มชั้นให้ผม

เมื่อถึงชั้นแล้วผมก็ก้าวออกมา เดินตรงไปที่ห้องอย่างรวดเร็ว คว้ากุญแจขึ้นมาไขและรีบผลักประตูให้เปิดออก แทรกตัวเข้าไปในช่องว่างอย่างรวดเร็วและรีบปิดประตู จากนั้นผมก็จ้องมองกล่องพัสดุในมืออย่างตื่นเต้น

หลังจากเปิดกล่องออกแล้ว ผมก็มองของที่อยู่ในนั้น หยิบออกมาสำรวจที่ละชิ้น

ข้างในประกอบไปด้วยเสื้อนักเรียนกะลาสีสีขาว โบสีน้ำเงิน กระโปรงสั้นโคตรๆสีกรมท่ากับผ้าปิดปากสีดำ
ใช่แล้วครับ

ผมเป็นคอสเพลเยอร์

ผมสำรวจตัวเองในกระจก ภาพในกระจกสะท้อนให้เห็นผู้ชายผิวขาวร่างเล็กในชุดนัดเรียนกะลาสี ขาเรียวโผล่พ้นออกมาจากชายกระโปรง และถุงน่องสีดำที่ใส่ยาวเลยเข่า เพียงแค่บิดตัวเล็กน้อยก็แทบเห็นกางเกงใน ผมที่เคยเป็นสีน้ำตาลซอยสั้นก็ถูกสวมวิกเปลี่ยนเป็นผมบลอนด์ยาวดัดเป็นลอนถึงกลางหลัง ผมหมุนตัวไปมาเพื่อมองตัวเองในกระจก ก่อนจะหยิบผ้าปิดปากมาใส่แล้วโพสท่าอย่างชำนาญ

เมื่อผมได้รูปที่ต้องการ จึงเปิดแอพพลิเคชั่นยอดฮิตอย่างทวิตเตอร์แล้วโพสรูปลงไป เพียงแค่ไม่กี่นาที
จำนวนรีทวีตก็พุ่งขึ้นหลายร้อย ผมยิ้มกริ่ม

สมกับเป็นคอสเพลเยอร์สายแทรปอันดับหนึ่ง

แกร๊ก

เสียงเปิดประตูดังขึ้น ผมหันไปมองก่อนจะเห็นร่างสูงใหญ่ที่เป็นรูมเมตของตัวเองเดินเข้ามา อีกฝ่ายเหงื่อซก คาดว่าคงเพิ่งเล่นบาสที่เป็นกีฬาโปรดก่อนจะกลับมา

“จิน ซื้อพิซซ่าเปปเปอโรนีมาด้---” เสียงทุ้มหยุดเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นผม เขาลนลานรีบปิดประตูล็อกลงกลอน

“เป็นไง” ผมถามนิ่งๆ “ของพึ่งมาส่งเมื่อเช้า”

ผมหมุนตัวอวดอีกฝ่าย ก่อนจะพบว่าคนตัวใหญ่นิ่งไปแล้ว

กวาดตามองขึ้นลงก็พบสาเหตุของความนิ่งอีกฝ่าย

“อาบน้ำก่อน กูไม่เอากับคนสกปรกตัวเหม็นเหงื่อหรอกน่ะ” ผมกล่าวเสียงเรียบ เดินเข้าไปหยิบกล่องพิซซ่าจากมืออีกฝ่ายมาวางไว้บนโต๊ะ

“กูเปล่า!” อีกคนปฏิเสธเสียงแข็ง ผมเลยยกนิ้วชี้ไปที่เป้ากางเกงของอีกฝ่าย คนตัวใหญ่ไล่สายตามองก่อนจะหน้าเปลี่ยนสีเมื่อเห็นบางอย่างดุนดันกางเกงบาสตัวเองจนนูน

สุดท้ายคนตัวใหญ่ก็รีบจ้ำเข้าห้องน้ำ ได้ยินเสียงน้ำกระทบพื้น ตัวผมเองก็เดินไปหยิบกล้องออกมา เปิดเช็คและวางไว้ตรงโต๊ะที่น่าจะเห็นมุมที่ดีที่สุด

เมื่อกี้ที่เดินเข้าห้องน้ำไปชื่อว่าเคย์ เป็นเดือนคณะนิติศาสตร์ เผินๆมองแล้วจะดูเพอร์เฟ็คกายในสายตาสาวๆเพราะหุ่นดีๆมีซิกแพ็ค ชอบเล่นบาสแถมยังหน้าตาดี แต่ถ้าถามผม

หมอนั่นน่ะลูซเซอร์ดีๆคนหนึ่งนั่นแหละ

เป็นหมาโง่ที่ชอบอนิเมะและหนังmcuชนิดเข้าขั้นคลั่งไคล้ ถึงเจ้าตัวจะเก็บกันพลาไว้ที่บ้านแต่ผมเคยเห็นรูปจากในแกลอรี่มาหมดแล้ว แถมยังชอบคลุกอยู่กับการคุยกับพวกโอตาคุคนอื่นๆในเน็ต สร้างทฤษฎีเรื่องราวในหนังเป็นตุเป็นตะ ความสุขของเจ้าหมาโง่ตัวนี้คือการนั่งดูหนังตอนวันหยุด แต่ก็กลัวคนจะรู้ว่าเป็นคุเลยปกปิดตัวตนเวลาออกไปข้างนอก

… แล้วหมอนี่ก็ยังมีอารมณ์กับรูมเมทที่แต่งคอสเพลย์อีก

โคตรพ่อโคตรแม่ลูซเซอร์แห่งปี

ผมนั่งคิดอะไรไปเรื่อยจนไม่สังเกตว่าเสียงน้ำได้หยุดลงแล้ว เคย์เปิดประตูห้องน้ำแล้วเดินออกมามีเพียงผ้าขนหนูปิดกาย

“ลูซเซอร์ชะมัด…” ผมพึมพำ

“อะไรน่ะ” หมาโง่หันหน้ามามองผมก่อนจะขมวดคิ้วใส่เหมือนไม่ได้ยินที่ผมพูด

“ไม่มีไร” ผมโบกมือเบาๆเป็นเชิงหยุดบทสนทนา ก่อนจะกวักมือให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้ๆ เคย์เดินเข้ามาอย่างเชื่อฟัง สมกับเป็นหมาโง่

ร่างสูงใหญ่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผมที่นั่งเก้าอี้อยู่ จากตรงนี้ระดับสายตาผมอยู่ที่ซิกแพ๊คแน่นๆนั้นพอดี ผมเลื่อนมือตัวเองไปจับที่ผ้าจนหนูสีขาว ก่อนจะดึงมันลงมาให้ไปกองอยู่กับพื้น มีบางอย่างดีดผึงออกมาจนแทบชนหน้าผม ของที่ว่านั่นคือแก่นกายที่ขยายใหญ่จนแข็งโป๊กของอีกฝ่าย

ผมจับเจ้าของใหญ่นั้นก่อนจะเริ่มชักรูดมันด้วยสีหน้าเรียบเฉย ท่อนใหญ่ในมือร้อนแถมขยายจนเห็นเส้นเลือด และพอผมขยับมือขึ้นลงได้สักพัก หัวของมันก็เริ่มปริ่มน้ำใสๆ

“โรคจิต สมกับเป็นโรคจิตจริงๆ” ผมว่า เริ่มรูดแก่นกายให้เร็วขึ้น “แค่เห็นรูมเมตตัวเองแต่งคอสเพลย์ก็ตั้งขนาดนี้แล้ว ใช่ไม่ได้เลยเจ้าหมาโง่”

คนตัวใหญ่เริ่มหายใจฟืดฟาด หลังจากที่ผมขยี้ปลายหัวบานๆของอีกฝ่าย เคย์ก็หยุดมือผมไว้ แขนแข็งแรงช้อนตัวผมอุ้มขึ้นก่อนจะเหวี่ยงผมลงเตียงอย่างแรง

“อึก! ทำอะไร! มันเจ็บน่ะ” ผมโวยวายแต่อีกฝ่ายไม่สนใจ ร่างใหญ่ก้าวมาทาบทับตัวผมก่อนจะจับแก่นกายตัวเองถูไปมากับต้นขาของผมส่วนที่โผล่พ้นกระโปรง แต่เหมือนแค่นั้นจะไม่พอใจ เพราะเคย์จับตัวผมพลิกให้หันคว่ำ ในขณะที่ผมหันไปเตรียมจะด่า เขาก็จับแขนทั้งสองข้างของผมก่อนจะรั้งตัวผมขึ้น กลายเป็นว่าตอนนี้ผมอยู่ในท่าคุกเข่าแล้วเรียบร้อย

“หุบขา” เสียงทุ้มพร่าของเคย์กระซิบข้างหูผม ทำเอาผมเริ่มมีอารมณ์

“เรื่องสิ” ผมเอาลิ้นดุนปากกวนตีนใส่ แต่ก็หุบขาตามคำสั่งเจ้าหมาโง่ที่ตอนนี้เริ่มทำตัวน่ากลัวผิดปกติแล้วเรียบร้อย

อีกฝ่ายหัวเราะแผ่วเบา ก่อนจะสอดแก่นกายของตัวเองเข้ามาระหว่างขาที่หนีบกันของผมแล้วสาวเข้าสาวออกอย่างรวดเร็ว

ถึงตอนนี้ผมชักมีอารมณ์บ้างเสียแล้ว บ้าชะมัด! ผมไม่เคยรู้ตัวมาก่อนว่าชอบมีอะไรยัดก้นจนกระทั่งหมอนี่หน้ามืดปล้ำผมตอนผมเผลอแต่งคอสเพลย์ในห้อง พวกเรามีความสัมพันธ์แบบ sex buddyมารวมปีแล้ว

“ฮึ่ม…” เสียงคำรามเบาๆดังมาจากข้างหลัง ผมยังรู้สึกถึงแท่งร้อนๆที่ผลุบเข้าออกตรงต้นขาของผม เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังลั่นทั่วห้อง มือใหญ่ๆฟ้อนเฟ้นบริเวณเอวคอดของผม

ผมอยากถูกเติมเต็มชะมัด

“ไม่เข้า…มา…อึก…รึไง” ผมถูกแรงข้างหลังกระแทกจนพูดออกมาอย่างกระท่อนกระแท่น มือที่กำลังจะลงไปปลอบลูกชายกลับถูกรั้งไว้โดยร่างสูง

“ขอร้องสิ” เคย์กระซิบสั่ง “ไม่งั้นกูไม่ช่วยน่ะบอกไว้ก่อน”

ผมตวัดตาไปมองโกรธๆ แขนก็ถูกดึงไว้แถมคนตัวสูงยังไม่ยอมช่วยปลดปล่อยให้ผมอีก

พั่บ พั่บ พั่บ

เสียงเนื้อกระทบเนื้อยังดังอย่างต่อเนื่องภายในห้องแคบๆ เข่าของผมถูไถไปกับเตียงจนเตียงเกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าดน่าอาย

ไม่…ไม่ไหวแล้ว

อยากให้เข้ามาเดี๋ยวนี้เลย

“เข้ามา…เข้ามาหน่อย” ผมกระซิบเสียงเบาเป็นการขอร้อง ซึ่งเคย์ก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีด้วยการหยุดถูไถกลางกายกับซอกขาของผม ผมโดนผลักให้นอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียง ได้ยินเสียงตลบกระโปรงขึ้นก่อนที่แพนตี้ของผมจะถูกดึงลงมาและก้นผมจะสัมผัสอากาศเย็น ผมได้ยินเสียงเปิดขวดที่หน้าจะเป็นเจลหล่อลื่น และปากทางเข้าของผมรู้สึกถึงของเหลวเย็นๆที่ไหลลงมาชโลมจนชุ่ม

ผมหันหน้าจะไปมองสิ่งที่เกิดขึ้นแต่มือใหญ่ๆของอีกฝ่ายกดหัวผมจนแทบจมลงกับเตียง ก่อนที่ผมจะครางออกมาอย่างสุดเสียงเมื่อมีบางอย่างแทรกตัวเข้ามาในร่างกาย

อะไรที่ว่านั่นร้อนและใหญ่จนผมรู้ว่ามันไม่ใช่นิ้วที่เข้ามาเบิกทางแน่นอน

“อ่า…อึก…เจ็บ”

“หุบปาก” ไม่ว่าเปล่า เคย์เอานิ้วเกี่ยวผ้าปิดปากของผมออกก่อนจะส่งนิ้วเข้ามาในปากผม นิ้วของอีกฝ่ายกวาดไปทั่วโพรงปาก ผมไล่เลี้ยนิ้วของเคย์จนชุ่ม ทั้งข้างหลังและปากถูกรุกรานด้วยตัวตนของเคย์อย่างรุนแรงจนผมแทบปลดปล่อย

เคย์แช่ตัวไว้สักพักก่อนจะเริ่มขยับเข้าออกอย่างรุนแรงจนผมร้องลั่นไม่เป็นภาษา อีกฝ่ายใส่เข้ามาจนสุดปลายลำแล้วสาวเข้าสาวออกอย่างรวดเร็วจนผมเสียวชนิดที่ปลายเท้าจิกเกร็ง

ถึงเวลาปกติจะเป็นหมาโง่ แต่ตอนมีเซ็กส์ เคย์มักมีเซ็กส์ที่รุนแรงเสมอ

พั่บ พั่บ พั่บ พั่บ

คราวนี้เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังกว่าเก่า พวงไข่ของอีกฝ่ายกระทบก้นของผมอย่างรุนแรง ตัวผมไถไปกับเตียงนอน เข่าผมที่มีถุงน่องสีดำสวมทับไว้แสบเพราะการกระแทกของคนข้างหลังที่ใส่มาไม่ยั้ง

“อ่า…อ่าาาาา” ผมครางลั่นเมื่อท่อนลำใหญ่ของอีกฝ่ายโดนจุดนั้นพอดี พอรู้อย่างนั้นเคย์ก็ขยับไปโดนจุดนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนสมองผมว่างเปล่า มีเพียงความรู้สึกเสียวที่เสียดแทงเข้ามาในโสตประสาท

“อุก…อึกก…เบาหน่อย” ผมร้องขอเมื่อรู้สึกจุก แต่อีกฝ่ายไม่สนใจ

“มึงนี่ บ่นว่ากูเป็นหมาโง่ เป็นขี้แพ้ แต่ก็มีอารมณ์เพราะไอ้ขี้แพ้คนนี้เนี่ยน่ะ” เสียงทุ้มราวกับเสียงกระซิบของปีศาจ “โดนของไอ้ขี้แพ้เข้าไป เป็นยังไงบ้างล่ะ”

ปั่ก! ปั่ก! ปั่ก!

อีกฝ่ายเพิ่มความรุนแรงด้วยการสาวเข้าสาวออกจนสุด ผมรู้สึกได้ว่าช่องทางว่างเปล่าเพราะอีกฝ่ายเอาแก่นกายออกไปก่อนจะเสือกมันเข้ามาอีกครั้ง คราวนี้แรงจนผมจุกท้อง

เคย์จับเอวของผมแน่นก่อนจะควงสะโพกตัวเองไปมา ตัวตนของเคย์เติมเต็มข้างในของผมเสียจนไม่มีที่ว่าง ผมเสียวจนต้องจับผ้าปูที่นอนระบายความรู้สึก ร่างท่อนบนของผมแนบไปกับที่นอน ในขณะที่เอวของผมถูกจับให้คุกเข่าเพื่อสอดรับกับตัวตนของคนข้างบน

คนตัวใหญ่แทบไม่เล่นกับส่วนบนของผมด้วยซ้ำ แต่ผมก็รู้สึกเสียวจนแทบเสร็จแล้ว

เพี๊ยะ!

ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่ออีกฝ่ายตีก้นผม ความเสียวพุ่งขึ้นสูงอีกเมื่อรู้สึกว่ากำลังถูกสำเร็จโทษจนผมปลดปล่อยน้ำสีขาวขุ่นออกมา

“อ่า…จิน กูจะเสร็จแล้ว” เสียงทุ้มนั่นแหบพร่า คนตัวใหญ่จับเอวผมไว้แน่นก่อนจะดันตัวตนของตัวเองเข้ามาจนสุดและปล่อยน้ำเข้ามาในตัวผม
 
เคย์ดันเข้าออกเบาๆอีกสองสามครั้ง ก่อนจะแช่ตัวตนค้างไว้ เขาเอื้อมมือไปหยิบกล้องที่โต๊ะข้างเตียงก่อนจะไล่ถ่ายตั้งแต่ก้นผมที่ยังมีแก่นกายของเขาสอดใส่อยู่ ผมยังใส่ชุดคอสเพลย์ของตัวเองครบ กระโปรงสีกรมท่านั้นถูกตลบขึ้นไปแล้วเรียบร้อย แต่เสื้อปกกะลาสียับยู่ยี่นั้นยังไม่ถูกถอด ผมรีบดึงผ้าปิดปากมาปิดอย่างรวดเร็วเมื่อกล้องไล่มาจนถึงใบหน้าชุ่มน้ำตาของผม

คนตัวใหญ่ค่อยๆถอดตัวตนออก เขาจับกล้องไปโฟกัสอยู่ที่ก้นของผมซึ่งมีน้ำขาวขุ่นของเขาไหลลงมาตามขาเรียวขาวของผม ก่อนที่เขาจะปิดกล้องแล้ววางไว้บนเตียง
ผมเองเมื่อเสร็จกิจแล้วก็เหนื่อยจนต้องปิดเปลือกตาลง และหลับไปในที่สุด


ตื่นขึ้นมาอีกทีผมก็ถูกเปลี่ยนชุดอยู่ในชุดบาสตัวใหญ่ของอีกฝ่าย ทั้งตัวผมยังคงโล่งโจ้ง มีเพียงชุดบาสใหญ่ๆของหมาโง่เท่านั้น ผมกวาดตามองหน้าโง่ๆของคนตัวโต แต่ก็ไม่เจอจนทำให้ใจฝ่อ

แกร๊ก

ประตูห้องน้ำเปิดออกโดยฝีมือเคย์ เขาใส่เพียงกางเกงนอนขาสั้นสีเทา ผมรู้สึกหงุดหงิดและโล่งใจไปพร้อมๆกันจนอดปากเสียขึ้นมาอีกไม่ได้

“กล้าอาบน้ำก่อนฉันเหรอเจ้าหมาโง่”

เคย์เลิกคิ้วก่อนจะเอ่ยปากบอก

“เช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้จินก่อน ถึงค่อยมาอาบน้ำเนี่ย”

อีกฝ่ายเดินไปหยิบกล้องมาให้ผม

“เช็คเอาเองน่ะ”

ผมสังเกตตัวเองก่อนจะพบว่าตัวผมสะอาดแล้วจริงๆ แม้กระทั่งอะไรๆที่อีกฝ่ายปล่อยในตัวผมยังถูกเอาออกเสียเกลี้ยง แต่ผมไม่ได้พูดขอบคุณหรืออะไรไป ผมเปิดกล้อง เล่นวิดีโอล่าสุดก่อนจะลดเสียงลงเมื่อหมาโง่ทำหน้าไม่ถูก ผมอัพโหลดวิดีโอนั้นลงคอมก่อนจะตัดบางส่วนที่ไม่เห็นหน้าเราทั้งคู่

“อ่า วิกกูหลุดตอนไหน” ผมว่าหงุดหงิดเมื่อระหว่างมีอะไรกัน วิกผมสีบลอนด์ก็กระเด็นไปอยู่บนพื้นแล้วเรียบร้อย แต่ผมคิดเสียว่าคงไม่มีใครรู้จักผมจากทรงผมโง่ๆนี่หรอก จึงอัพโหลดคลิปสั้นๆนั้นลงไปในแอคทวิตอีกทวิต คราวนี้ไลค์พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาไม่ถึงนาที

ผมหันไปมองเคย์ เขายังทำตัวไม่ถูกเหมือนเคยเมื่อเราต้องตั้งกล้องจับภาพตอนเอากัน

“เออ กินพิซซ่ามั้ย” คนตัวใหญ่จับหลังคอตัวเองก่อนจะพูดขึ้นมาเบาๆ

“ไม่อ่ะ ไดเอต” ผมตอบ หุ่นไม่สวยก็คอสไม่สวย

“ช่างหัวไดเอตนั้นไปเถอะน่า ตอนนี้จินผอมจะตายอยู่แล้ว” เสียงเคย์หงุดหงิดขึ้นทันทีเมื่อผมบอกอย่างนั้น

“ทำไม เป็นห่วง?” ผมเย้าก่อนที่จะได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้าจากคนตัวสูง

“ก็ต้องห่วงสิ แฟนทั้งคน”

หือ

แฟน

ว้อทเดอะฟัค

“เราเป็นแฟนกันตอนไหน” ผมหรี่ตาทำเสียงหงุดหงิด แต่ได้รับสายตางุนงงจากหมาโง่พันธุ์ใหญ่

“ก็ตั้งแต่วันที่มีอะไรกันไง”

อ่า เจ้าหมาเวอร์จิ้นนี่!

ผมอยากเอาอะไรทุบหัวมันจริง

“เราไม่ใช่แฟนกัน!” ผมเถียงก่อนจะได้รับรอยยิ้มโง่ของหมาโคตรโง่

“ครับๆ ไม่ใช่แฟน ไปเร็ว กินพิซซ่ากัน หิวแล้ว” ผมส่งเสียงประท้วง แต่สองเท้าก็เดินเตาะแตะตามคนตัวสูงไปนั่งที่โต๊ะ อีกฝ่ายจัดเตรียมจานช้อนส้อม ทำทุกอย่างเสร็จสรรพให้ผมจนเหลือแค่หยิบพิซซ่าเข้าปากนั่นแหละ

เอาเถอะ

อย่างน้อยก็ได้หมาโง่มาไว้ใช้งานตัวหนึ่ง


-จบ-
แต่ยังไม่ท้ายสุดหรอกน่ะ!!
ครั้งหน้าเอาชุดเมดดีมั้ยน้า
สุดท้าย...
ลืมลงกฎจริงๆด้วย กำลังนั่งนึกอยู่เลยว่าลืมอะไรไปน้า :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 06-09-2018 20:34:25
ขอสักร้อยชุดเลยค่ะ อย่าเพิ่งรีบจบบบบ นี่คือพล็อตที่ตามหาแง ขอบคุณมากๆเลยค่ะ ตื่นเต้นจนขนลุกไปหมดตอนอ่าน รอชุดเมดนะคะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer
เริ่มหัวข้อโดย: Kx0806 ที่ 06-09-2018 20:46:30
ฮือออ แซ่บๆ  :pighaun: เอาอีกกก อยากให้เจ้าหมาโง่ปราบพยศคุณเค้าให้เข็ด //ครั้งหน้าขอชุดเมด หรือจะคอสเป็นน้องแมวก็ได้นะคะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer
เริ่มหัวข้อโดย: mybear_sr ที่ 06-09-2018 20:50:02
ขออีกหลายๆชุดเลยนะคะ เฝ้าบอร์ด
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer
เริ่มหัวข้อโดย: drasil ที่ 06-09-2018 21:00:26
แซ่บพริกยกสวนที่แท้ทรู
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer
เริ่มหัวข้อโดย: yunnutjae ที่ 06-09-2018 21:22:24
น่องจินคนซึน กับหมาโง่ของเขา.... โอ้ย มันได้!  :z1:
ต้องมาต่อนะคะะะะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer
เริ่มหัวข้อโดย: SoSweetCB ที่ 06-09-2018 22:07:09
จินรู้กกกกกกกกก ตัวเองปากเสียชอบเรียกเขาหมาโง่แต่ตัวเองก็ยอมทำตามใจเขาเหมือนกันนะแหมมม
มาอีกๆๆๆๆ ค่ะ ชุดเมด ชุดอะไรจัดมาให้หมด 555555 รออ่านน้า
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer
เริ่มหัวข้อโดย: Quatree ที่ 06-09-2018 22:24:56
ดีงามมม :z1: รอติดตาม :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer
เริ่มหัวข้อโดย: allwaytime28 ที่ 06-09-2018 22:31:56
 :sad4: :sad4: :jul1: :jul1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 06-09-2018 23:08:28
 :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer
เริ่มหัวข้อโดย: momonuke ที่ 06-09-2018 23:47:49
แซบเว่อออออออออ  :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer
เริ่มหัวข้อโดย: grimace ที่ 07-09-2018 00:08:57
มาเลยค่าาา อย่าเพิ่งจบ  :hao7:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer
เริ่มหัวข้อโดย: TheWanFah ที่ 07-09-2018 00:22:12
ดุดันมาก ชอบบบ
อยากเห็นหมาโง่หึงจิน
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer
เริ่มหัวข้อโดย: manami1155 ที่ 07-09-2018 00:42:48
อือฮือออออออออ
แบบนี้ละที่รอมานานนนนน
เคะแซ่บๆ บดๆ กับเมะดุๆแบบนี้
ตอนหน้าเป็นชุดเมท
ตอนถัดไปขอชุดนอนไม่ได้นอนได้ไหมคะ
แบบผ้าซาติน ลื่นๆมือ 5555
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer
เริ่มหัวข้อโดย: lalun ที่ 07-09-2018 16:13:03
 :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 07-09-2018 17:19:12
นี่ก็ร้อนแรงกันอีกแล้วววววววววววววว ฮื่อ ขออีกหลายๆชุดเลยค่า
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer
เริ่มหัวข้อโดย: maddy_moody ที่ 08-09-2018 08:31:36
ฮรุกกกกกก​  :hao6: น้องจินเสียท่าเจ้าหมาโง่เต็มนะเนี่ยยยย​ คราวหน้าขอชุดพละด้วยได้รึมั้ยยย​ เอ้าดอร์ดีรึป่าวววว​
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer ชุดพละ
เริ่มหัวข้อโดย: MeiHT ที่ 08-09-2018 09:13:23
“ฮึก…อึก” ผมกลอกตา มองเจ้าหมาโง่ที่น้ำตาตกหลังจากเดินออกมาจากโรงหนัง infinity war

“ไม่อายใครรึไง” ผมอุบอิบ เอื้อมมือไปตบหลังปลอบคนที่กำลังเศร้าเพราะตัวละครสุดที่รักสลายเป็นทราย

“…ทำไงดีอ่ะจิน ภาคหน้าน่าจะเศร้ากว่าเดิมอีก จินมาดูด้วยกันได้มั้ย ต้องร้องไห้อีกแน่ๆเลย” คนตัวโตเสียงสั่น เดินกระแซะเข้ามาตัวติดกับผมแบบอ้อนๆ

หา? ใครจะมากับนายอีกวะ

เฮ้อ! ช่วยไม่ได้ เห็นแก่ที่อุตส่าห์ขอร้อง

“เออๆ เดี๋ยวครั้งหน้ามาดู หยุดร้องไห้ได้แล้ว”


ผมนั่งเท้าคางมองดูเคย์ที่กำลังวิ่งวุ่นทั่วสนามบาส ร่างแข็งแรงสับเท้าหลอกคู่ต่อสู้ว่าจะเคลื่อนที่ไปยังพื้นที่ใต้แป้นแต่กลับส่งลูกต่อให้กับเพื่อนร่วมทีม เสียงกรี๊ดกร๊าดจากกองเชียร์ดังทันทีที่ทีมเคย์ทำแต้ม น่ารำคาญชะมัด

นี่ถ้าหมอนั่นไม่มาขอร้องเขา จะมีหรือที่เขาต้องมานั่งติดแหงกอยู่ตรงนี้

แล้วผมก็รู้สึกเบื่อจนเดินออกมาจากที่นั่ง ตรงข้างๆตึกมีตู้ขายน้ำอยู่ ผมจึงกดโค้กออกมาสองกระป๋อง ในขณะที่กำลังเดินกลับเข้าไป ก็มีเด็กสาวในชุดมหาลัยสองคนเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าผม

“เออ นี่จินใช่หรือเปล่าคะ”

ผมเลิกคิ้วก่อนจะตอบ

“อ่าครับ จินเองครับ”

เด็กสาวสองคนบิดตัวไปมาเหมือนกับเขิน ก่อนจะยื่นกล่องของขวัญในมือมาให้ผม

“จินเป็นรูมเมตห้องเดียวกันกับเคย์ใช่มั้ยคะ? ฝากเอานี่ไปให้เคย์หน่อยได้หรือเปล่า”

ผมนิ่งงัน พิจารณากล่องของขวัญประหลาดที่ถูกยื่นมาตรงหน้าก่อนจะรับมันมาถือในมือ พยักหน้าก่อนจะยิ้มกลับไปให้

“ได้อยู่แล้ว”


ตุบ!

กล่องของขวัญสีชมพูกล่องนั้นถูกโยนทิ้งลงไปในถังขยะห้องน้ำชาย ผมยกยิ้มมุมปากขณะมองของที่ผมรับปากว่าจะเอาไปให้เคย์ถูกทิ้งไว้รวมกับเศษกระดาษชำระ

เคย์น่ะไม่ชอบสีชมพู แล้วก็น่ะ…

ก่อนจะมาฝากของให้หมาของใครก็ช่วยดูเจ้าของมันหน่อยสิ!

เขายังไม่อนุญาต ใครก็ห้ามมาเป็นแฟนกับเจ้าหมาโง่ของเขาทั้งนั้น

ผมที่เสร็จธุระกับของฝากแล้วก็เดินไปล้างมือ ก่อนจะหยิบกระป๋องโค้กออกมาแล้วเดินออกจากห้องน้ำทันที พอออกมาก็พบว่าทีมเคย์ได้แข็งเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมเดินตรงเข้าไปหาร่างสูงที่ยืนอยู่ในหมู่เพื่อนๆที่ก็สูงพอๆกันกับเขา อ่า…หงุดหงิดชะมัด พอเทียบกับพวกชมรมบาสแล้วผมเหมือนยืนอยู่ท่ามกลางเหล่าไททันเลย

“อ่า จินมาแล้ว กูไปก่อนน่ะ” เคย์หันไปโบกมือลาเพื่อนๆก่อนจะกอดคอผมเดินออกมา

“เหม็นเหงื่อ” ผมเอาย่นจมูก มือหยิบกระป๋องโค้กส่งให้เขา

“โอ๊ะ ขอบคุณมากน่ะ” เคย์รับกระป๋องเย็นๆนั้นไปแล้วเปิดกระดกอย่างรวดเร็ว

“อ้อ คอมิคมาร์เวลเล่มใหม่มึงมาส่งที่หอแล้วน่ะ” ผมบอก ระหว่างที่ไปรับชุดใหม่ได้เห็นกล่องนั้นด้วยพอดีเลยหยิบติดมือขึ้นมา

หมาโง่ข้างตัวผมหางกระดิกขึ้นมาทันที

“งั้น กลับหอ! กลับหอกัน!” ว่าแล้วเจ้าตัวก็แทบอุ้มผมวิ่งกลับหอ เกือบลืมไปแล้วเสียด้วยซ้ำว่าขับรถมาที่นี่

ไอ้โอตาคุมาร์เวลนี่!!


ร่างสูงนอนแผ่กายอยู่บนเตียง ในมือถือคอมิคมาร์เวลเล่มใหม่ที่ลงทุนสั่งจากคิโนะ เขามุ่งมั่นกับการอ่านให้จบจนไม่สนอะไรด้วยซ้ำ แต่ผมเองก็มีธุระของผมเช่นกัน หลังจากเปลี่ยนชุดคอสชุดใหม่ออกมาจากห้องน้ำแล้วเขาก็มาโพสท่าหน้ากระจกอย่างเคย

อืม ถ้าจะถามความเห็นเขา กางเกงสีน้ำเงินขาสั้นนี่โคตรเน้นก้นเขาเลย เพราะงั้นเขาเลยไม่ใส่แพนตี้เพราะมันจะมีรอยแพนตี้นูนออกมา แถมไอ้กางเกงนี่ก็สั้นกว่าที่คิด น่าจะเพราะตอนสั่งมาเขาเห็นรูปพรีวิวผู้หญิงรึเปล่าน่ะ แต่ไม่น่าเกี่ยวนี่นา ส่วนตัวเสื้อก็ไม่ได้มีอะไรใหม่มากครับ แค่เป็นเสื้อสีขาวที่บางจนเห็นรูปร่างข้างในก็เท่านั้น

หืม พวกคุณคงกำลังสงสัยว่าผมใส่อะไรอยู่

ไอ้นี่คือชุดพละนักเรียนญี่ปุ่นเวอร์ชั่นใส่ออกไปข้างนอกแล้วคงโดนฉุดไปย่ำยีแหงๆ

ผมเดินไปคุ้ยตู้เสื้อผ้า ก้มตัวลงหาถุงน่องสีดำมาใส่คู่กับชุดอันนี้ เมื่อหาได้แล้วผมก็หมุนตัวกลับมา ทันเห็นสายตาของเคย์พอดี

“อะไร ชอบเหรอ” ผมว่า ก่อนจะหัวเราะคิกเมื่อคนตัวโตหลบตาหน้าแดงใส่

อ้อ หรือว่าหมอนี่…

“จริงๆแล้วชอบก้นกูละสิ” ผมเย้าเมื่อเข้าใจท่าทางของคนตรงหน้า เคย์สะดุ้ง ซ่อนหน้าครึ่งล่างไว้ภายใต้หนังสือ ดวงตาเรียวดุดูประหม่ายามจ้องผม

ผมยิ้มยั่ว ก่อนจะเดินไปนั่งบนเตียง ผมหันหน้าไปหาเขา แลบลิ้นเลียริมฝีปากแล้วเอนตัวท่อนบนลงนอน ผมยกขาขึ้น มือค่อยๆดึงถุงน่องขึ้นมาตามเรียวขาสวย

กางเกงนี่มันรัดชะมัด

เดาได้เลยว่าตอนนี้นอกจากขาผมแล้วเคย์ต้องเห็นแก้มก้นผมด้วยแน่ๆ

ผมได้ยินเสียงหอบหายใจมาจากร่างสูง หลังจากใส่ถุงน่องเสร็จแล้วทั้งสองข้าง ข้อเท้าผมก็ถูกมือใหญ่จับหมับแล้วลากเข้าไปหาตัวอย่างรวดเร็ว

“เฮ้ย!?” ผมตกใจเมื่อตัวเองถูกลากเข้าไป อีกฝ่ายยันตัวลุกมาคร่อมตัวผม สองขาของผมพาดบ่าของเคย์ ดวงตาเรียวดุของคนตรงหน้ามีความปรารถนาออกมาอย่างไม่ปิดบัง

มือสากๆของเคย์ทาบทับตรงเอวผม แล้วค่อยๆสอดมือเข้าไปในเสื้อสีขาวตัวบาง เขาฟ้อนเฟ้นเนื้อผมก่อนจะบ่น

“เดี๋ยวนี้ผอมใหญ่แล้ว” เคย์ดูไม่พอใจ “เสร็จแล้วไปหาชาบูกินกัน”

หมอนี่ไม่เคยลดความพยายามที่จะขุนผมเลยจริงๆ

ผมกำลังจะโต้ตอบอะไรกลับไปแต่คนตัวโตกลับเอานิ้วมาสะกิดหัวนมผมเสียก่อน

“อ๊ะ…” ผมเกร็งตัวด้วยความเสียวซ่านเมื่อนิ้วโป้งของเคย์ค่อยๆกดๆวนๆบริเวณหัวนมของผม ผมยกมือขึ้นมาปิดหน้าเมื่อรู้สึกร้อนๆยามเห็นคนตัวโตมองมาด้วยสายตาหวานเชื่อม

“อือ!...อึก” ผมรู้สึกได้ถึงสัมผัสที่เปลี่ยนไป และพบว่าเคย์กำลังงับหัวนมผมผ่านเสื้อสีขาวตัวบางอยู่ เขาตวัดลิ้นเลียตุ่มไตนั้นไปมาในขณะที่มองหน้าผมอย่างไม่วางตา

“เลิก…มอง…” ผมพูดกระท่อนกระแท่น

“เลิกมองไม่ได้ ก็จินน่ารัก”

หน้าผมเหมือนจะระเบิดออกมาจริงๆแล้ว

ร่างสูงละมือจากส่วนบนของผม เขาค่อยๆเกี่ยวกางเกงสีน้ำเงินตัวเล็กนั้นออกมา ตอนนี้ร่างกายผมเหลือเพียงเสื้อสีขาวกับถุงน่องสีดำเท่านั้น

เขาเลื่อนมือไปกอบกุมตัวตนของผม มือร้อนๆชักรูดมันอย่างรวดเร็ว ผมหอบหายใจเมื่อคนตรงหน้าขยี้มือกับส่วนหัวของผม

เคย์ก้มลงจูบผม ลิ้นเราตวัดกันไปมา มีเสียงน่าอายดังทั้งยังทำให้คนตัวโตเร่งมือให้เร็วขึ้นอีก

จุ๊บ!

เขาผละออกมาจูบข้างแก้มผม สายตาที่เต็มไปด้วยความรักนั่น กริยาอ่อนโยนเหล่านั้น นั่นทำให้ผมปลดปล่อยออกมาอย่างรวดเร็ว

“อือ!” ผมจิกปลายเท้าเมื่อรู้สึกถึงจุดนั้น หอบหายใจมองคนที่กำลังถอดเสื้อออกเผยให้เห็นซิกแพ๊คที่เจ้าตัวเพียรพยายามสร้างอย่างเต็มที่

“เหมือนกับ…ครูพละเลย” ผมหอบไปหัวเราะไป

“ครูพละกับเด็กนักเรียนใจแตก” เคย์เลิกคิ้วพร้อมกับโต้กลับ

“ถ้าผมทำดีจะได้เกรด4มั้ยครับคุณครู” พยายามทำให้ผมอายหรือ เลเวลผมมันไกลกว่านาย เจ้าหมาโง่!

“ลองดูก่อนแล้วถึงจะให้เกรดนะครับนักเรียน” เขาว่าก่อนจะเอนตัวพิงหัวเตียงนอน ผมกลอกตา คลานเข่าเข้าไปหยุดตรงหว่างขาอีกฝ่าย เขาคงคิดว่าผมคงจะใช้มือชักรูดให้เขา

ผิดแล้ว

ผมยื่นขาออกไป ใช้ปลายนิ้วเท้าไล่ขึ้นลงตามแก่นกายของเขาซึ่งซุกตัวอยู่ในกางเกง เคย์เกร็งตัว มองเรียวขาผมซึ่งซ่อนอยู่ในถุงน่อง

ผมค่อยๆใช้ฝ่าเท้าถูที่กลางกายเขาเบาๆ ขาอีกข้างยกขึ้นลูบไล่สีข้างอีกฝ่าย เมื่อรู้สึกว่าได้ที่แล้ว ผมจึงใช้ปลายเท้าเกี่ยวกางเกงนอนตัวนั้นลงมา แก่นกายเขาดีดผึง เตรียมเผด็จศึกเต็มที่

เหมือนอะไรบางอย่างในตัวคนร่างสูงถูกปลดล็อค เขาลุกขึ้นนั่งคุกเข่าอย่างรวดเร็วจนผมสะดุ้ง เคย์จับตัวผมพลิกให้นอนคว่ำ เขาสอดหมอนไว้ใต้สะโพกของผม เขาหยิบเจลหล่อลื่นที่อยู่ในลิ้นชักหัวเตียงมาเทใส่ก้นผมทันที

เพี๊ยะ!

“อือ!” เขาตีก้นผมเสียงดังเสียจนผมแสบ

เพี๊ยะ!

และอีกครั้ง ซ้ำไปซ้ำมาจนผมรู้สึกได้ว่าก้นผมต้องแดงเหมือนลูกพีชแล้วแน่ๆ

“เด็กไม่ดีๆ” เขาพึมพำ ผมรู้สึกได้ว่าเขาจับเข้าที่ก้นผมก่อนบางสิ่งจะชำแรกเข้ามาในกาย

“อะ…อืออ เจ็บ ค่อยๆหน่อยสิ” ผมประท้วงเมื่อคนที่ซ้อนอยู่ข้างหลังขยับเข้ามาเร็วกว่าที่คิด

“อยากได้เกรดสี่ก็นอนนิ่งๆครับ” เคย์ตอบอย่างไม่ยี่หระ เจ้าตัวใส่เข้ามาจนสุดแล้วแช่ค้างไว้ เสียงหอบหายใจเหมือนเสียงคำรามของสัตว์ร้าย

“…อือ…ถ้าครูใหญ่…รู้ว่านักเรียน…อ่า….โดนครูพละ…ย่ำยี….จะทำหน้ายัง…อึก…ไงน่ะ” ผมพูดกระท่อนกระแท่นเมื่อคนข้างหลังค่อยๆขยับตัวเข้าออก

“อึก…แบล็กเมล์ซะดีมั้ยเด็กนี่” เคย์เอื้อมมือไปหยิบกล้อง เปิดมันแล้วโฟกัสมาที่ร่างกายของผม ตัวผมไถไปมากับที่นอนเมื่อคนข้างบนโยกเข้าออกเร็วขึ้น แต่ละครั้งโดนจุดเสียวของผมจนอะไรๆที่สงบเริ่มกลับมามีอารมณ์อีกครั้ง

“อ๊ะ…ซี๊ด” ผมจิกผ้าปูที่นอนแน่นเมื่อเคย์ขยับเข้าออกอย่างรุนแรง เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังทั่วห้อง

พั่บ! พั่บ! พั่บ!

ขาผมสั่นระริกเมื่อโดนแรงกระแทกซ้ำๆ บวกกับความเสียวซ่านทุกครั้งที่คนตัวใหญ่ชำแรกกายเข้ามา ตาผมฉ่ำปรือด้วยแรงอารมณ์ แต่แล้วเคย์ก็หยุด ถอนตัวตนออกแล้วสั่งกับผม

“อ่า…เด็กดี เอาหน้าเข้ามาหน่อย”

ผมขดตัวนั่ง ร่างสูงลุกขึ้นยืนเอากลางกายตัวเองถูเข้ากับแก้มผม น้ำใสๆจากปลายหัวนั้นติดที่แก้มจนเป็นคราบ เขาหยิบตัวตนของตัวเองมาจ่อตรงปากผมเหมือนกับเป็นไมค์

“เอ้า แนะนำตัวหน่อยนักเรียน”

ผมไม่ตอบเขา แต่จับของของเคย์มาถูกับริมฝีปาก แล้วส่งมันเข้าปากผม ในทุกจังหวะผมมองหน้าเคย์ตลอด เขาสูดปาก พึมพำว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน แล้วปล่อยให้ผมใช้ปลายลิ้นไล่เลียกลางกายของเขา

สักพักเหมือนว่าคนร่างสูงจะทนไม่ไหว เขาใช้มือจับหมับเข้าที่หัวของผมแล้วโยกสะโพกเข้าออกอย่างรุนแรง อีกมือหนึ่งของเขายังคงใช้กล้องวิดีโอบันทึก ไฟสีแดงกระพริบเป็นสัญญาณของการอัด

ตอนนี้ผมเองก็ไม่ไหวเช่นกัน จึงใช้มือปลอบประโลมของตัวเองจนปลดปล่อยออกมารอบที่สอง

“อึก…อือออ” ผมประท้วงเมื่อตัวตนของเขาแทบล้วงลึกเข้าไปในคอผมพร้อมกับปล่อยน้ำสีขาวขุ่นเข้ามาในโพรงปาก

“อ่า โทษที” เขาว่าก่อนจะถอนตัวออกไป ผมจับที่กลางกายของเขา อมทั้งท่อนลำนั้นแล้วใช้ริมฝีปากไล่เลียคราบต่างๆเป็นการทำความสะอาด ในจังหวะสุดท้ายก่อนที่จะปล่อย ผมจูบเข้าที่ปลายท่อนเขาเบาๆ

“จิน!” เคย์ทำหน้าตกใจพอๆกับเขินอาย

สัตว์ร้ายที่ตอนนี้เป็นแค่หมาตัวโตซ่อนหน้าในหมอน เสียงร้องอ๊ากมาพร้อมกับคำว่า

“น่ารักโว้ยๆ”

ผมไม่สนใจคนตัวโต หยิบกล้องที่อัดขึ้นมาบันทึกวิดีโอ คิดในใจว่าคลิปนี้ไม่น่าหาตัดลงได้เพราะทั้งคลิปแทบจะเห็นหน้าผมหมดเลย เฮ้อ บ้าชะมัด


หลังการออกกำลังกายในร่มอันเหนื่อยอ่อน ผมถูกเคย์ลากออกมากินชาบูตรงใต้หอ ผมถอนหายใจ เขี่ยกุ้งในจานไปมา

“กินหน่อย กินไม่หมดไม่ให้กลับห้องน่ะ” เขาดุ

“ทำไมดุจังครับคุณครู” ผมเย้าก่อนที่คนตัวโตหน้าบางจะสำลักแค่กพร้อมกับหน้าที่แดงเป็นลูกตำลึงสุก

เขางุ่นง่าน ยกมือมาบีบแก้มผม

“เก่งจริงน่ะตัวแค่นี้”

ผมยิ้มเผล่ก่อนจะงับหมูชิ้นโตที่อีกฝ่ายคีบมาให้

เฮ้อ ชีวิตวันๆของผมกับหมาโง่ก็ประมาณนี้แหละครับ


------------------------------------------------------------------------------
สารภาพผิดค่ะ ตอนแรกจะลงชุดเมดแล้ว แต่มันแบบ Dirty wordเยอะมากกก
และดุมาก 55555555555555555555555555555555555555555555
ลงไปจะมีคนตกใจมั้ย ฮืออออออออออออออ
เราชอบแนวดุอ่ะ แบบที่กระซิบอะไรลามกๆเยอะๆงี้
เอาใสๆไปก่อนแล้วกันค่า
หรือจะเอาชีวิตประจำวันของหมาจินกับน้องมาคั่นก่อนดี
เอ๋ แต่งจนควรกลายเป็นเรื่องยาวได้แล้วนะ55555555555555
ปล.ขอบคุณคุณหมีที่พูดถึงนิยายเรานะคะ แอบตามอยู่เงียบๆ พอเห็นทวิตคุณหมีเข้ามาในไทม์ไลน์แล้วตกใจมาก เขินสุดๆ
ถ้ารับโรลเพลย์ชุดเมดดุๆกันได้จะเอามาลงให้นะคะ ด้วยรักกก
ปล.2 มีพล็อตใดๆสามารถปาเข้ามาได้นะคะ พล็อตโรลเพย์ หรือชีวิตประจำวัน หรือตั่งต่าง ปามาเลยยย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชุดพละ UP
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 08-09-2018 09:46:23
 :pighaun: :haun4: :jul1: :m25:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชุดพละ UP
เริ่มหัวข้อโดย: Aeflizm ที่ 08-09-2018 10:52:33
อยากได้แนวชุดนักศึกษาธรรมดาแต่นอกสถานที่ค่ะ หุหุ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชุดพละ UP
เริ่มหัวข้อโดย: yunnutjae ที่ 08-09-2018 11:46:31
ชอบคนดุค่ัะ 'เอวดุ!' อะค่ะ กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดกด รู้เลยว่าเป็นคนยังไง  :haun4: ชอบอะะะะะ อยากให้แต่งเป็นเรื่องยาว ชีวิตประจำวันที่มหาวิทยาลัย ความรัก...แบบจริงจังเลย ไม่ใช่หมาโง่กับเจ้าของ(ราชินี) แบบนี้  :ling1: รอตอนต่อไปนะคะ  :hao7:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชุดพละ UP
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 08-09-2018 14:27:29
อยากอ่านชุดเมด เอามาลงเต๊อะ ยิ่งดุยิ่งชอบ 555555  :impress2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชุดพละ UP
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 08-09-2018 14:55:24
กรี๊ดดดดดดดดดด​ คูมคูพละกับนักเรียน
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชีวิตหนึ่งวันของหมาโง่กับน้องจิน UP
เริ่มหัวข้อโดย: MeiHT ที่ 08-09-2018 21:27:44
เคย์เป็นคนแคร์สังคม ในขณะที่ผมไม่แคร์หน้าไหนทั้งนั้น

“จิน มารับหน่อยสิ รู้สึกว่ากลับห้องไม่ไหวอ่ะ” เสียงทุ้มติดอ้อนของอีกคนดังมาตามสายในมือถือ ผมตอบรับอือไปสั้นๆก่อนที่จะฉวยกุญแจห้องบนโต๊ะแล้วเดินออกจากที่พักของเราอย่างรวดเร็ว

ผมเดินไปยังพื้นที่หลังหอที่เป็นที่สิงสถิตของร้านเหล้าต่างๆ ผ่านร้านโน้นร้านนี้ก็ยังไม่เคยคนตัวสูง จนกระทั่งมาถึงร้านเกือบสุดท้ายที่ข้างบนเปิดเพลงเสียงดังลั่น ผมจึงได้เห็นกลุ่มคนตัวสูงๆที่น่าจะเป็นเพื่อนเคย์ ผมเดินเข้าไปสะกิดหนึ่งในนั้น

“มารับเคย์”

เขาพยักหน้า กุลีกุจอพาคนตัวใหญ่ที่สภาพแย่น่าดูออกมาหาผม

“ให้ช่วยมั้ย?” เขาถามอย่างหวังดีแต่ผมส่ายหน้าพร้อมกับค่อยๆประคองคนตัวหนักออกมา

เรามาถึงที่พักกันในเวลาชั่วโมงถัดมา ระยะทางมันไม่ได้ไกลเลยครับแต่ผมหิ้วคนเกือบไร้สติมาไม่ไหวจริงๆ จึงได้แต่ประคองกันมาเรื่อยๆจนกินเวลาไปนาน

“จินนนนน” คนเมาร้องเรียกหาผมดังลั่นเมื่อผมทิ้งเขาไว้ที่พื้น

“รำคาญ!” ผมบอกอย่างหงุดหงิด ก้มดมเสื้อตัวเองก็พบว่าติดกลิ่นบุหรี่มาจากรูมเมตตัวดี

“นี่สูบมาเหรอ ปกติไม่สูบไม่ใช่รึไง” ผมเผลอติดเสียงเหวี่ยงๆใส่ ทำเอาคนที่นอนแผ่บนพื้นน้ำตารื่น

“ไม่อร่อยเลยอ่ะจิน” คนเมาพูดเรื่อยเปื่อย กระพริบตาปริบๆไล่น้ำตา “เหล้าไม่อร่อยเลย ทำไมต้องกินด้วย กินแล้วก็ร้อน โคตรขมเลย บุหรี่ก็เหม็น จะสำลักควันตายอยู่แล้ว”

“แล้วกินทำไม โง่รึเปล่า”

“ก็ถ้าไม่ทำเดี๋ยวโดนเพื่อนทิ้ง”

“ใครจะมาทิ้งเพราะเรื่องแค่นี้ โตๆกันแล้ว”

เคย์ยู่ปาก พึมพำว่าจินไม่รู้หรอกซ้ำไปซ้ำมา ผมถอนหายใจ ทิ้งคนงอแงไว้แล้วลงไปซื้อน้ำหวานมาล้างปากให้คนเกลียดแอลกอฮอลล์

กลับขึ้นมาอีกทีก็พบว่ารูมเมตของผมเปลี่ยนเสื้อเรียบร้อยแล้ว แถมยังเอาเสื้อตัวใหม่มาวางให้ผมเปลียนด้วยอีกต่างหาก พอผมกลับเข้ามาพร้อมกับชานมในมือ ตาเขาก็เป็นประกาย ถ้ามีหางคงกระดิกไปมาแล้วแหงๆ

“จิบๆเอาน่ะ อย่ากินเยอะล่ะ” ผมเตือนก่อนที่เคย์จะคว้าไปดูดอย่างรวดเร็ว ผมเดินไปเปลี่ยนเสื้อ ทิ้งตัวลงนอนบนเตียง เดือนคณะนิติคนดังยังคงนอนอยู่ที่พื้น เขาจ้องมองเพดานก่อนเอ่ยคุยกับผม

“คนที่สูบบุหรี่กับกินเหล้าดูเท่เนอะ เหมือนผ่านอะไรมาเยอะ” หยุดนิ่งไปสักพักก่อนจะเสริม “อยากดูเท่ๆคูลๆมั้ง”

“ทำไมกินเหล้าสูบบุหรี่คือมีประสบการณ์ ทำไมมองว่ามันคูลล่ะ” ผมถามกลับ

“ไม่รู้ดิ…ดูโตเป็นผู้ใหญ่อ่ะ ผู้ใหญ่เขาไม่นั่งดูอนิเมะหรือนั่งอ่านการ์ตูน หมกตัวในห้องทั้งวันแบบเราหรอก”

โอเค เรื่องที่เขารู้เกี่ยวกับรูมเมตเรื่องที่ 201 : เมาแล้วพูดจาสุภาพ ยังไม่หลุดกูมึงให้ได้ยินสักแอะ

“ไม่เห็นเกี่ยว ผู้ใหญ่ก็ดูการ์ตูนได้”

“ผู้ใหญ่ดูการ์ตูนน่าอายจะตาย”

ผมกลอกตา

“ทำไมอ่ะ งานอดิเรกป่ะ ชอบของพวกนี้แล้วผิดตรงไหนอ่ะ เป็นผู้ใหญ่ไม่ได้หมายถึงไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตสักหน่อย ใครใคร่เข้าผับก็เข้า ใครชอบหมกตัวอยู่บ้านก็ทำไปดิ ตราบใดที่คนคนนั้นยังรับผิดชอบชีวิตตัวเอง ตั้งใจเรียนตั้งใจทำงานให้เต็มที่ ก็เป็นผู้ใหญ่ป่ะ”

“…”

“แล้วเป็นไงอ่ะ ไปเที่ยวผับ”

“เหล้าขม ไม่ชอบบุหรี่ หนวกหู เสียงเพลงดังมาก อยากกลับห้อง”

“งั้นคราวหน้าเพื่อนชวนก็ไม่ต้องไป”

“…อือ” เสียงคนตัวโตยังตอบรับเบาๆแบบแบ่งรับแบ่งสู้เหมือนไม่มั่นใจ

“ถ้าจะมานอนก็รีบนอน จะปิดไฟแล้ว” ผมบอก เคย์ลุกขึ้นโซซัดโซเซมานอนบนเตียง หลังจากสอดตัวลงไปในผ้านวมและผมปิดไฟเสร็จเรียบร้อยแล้วเราก็ขยับหามุมที่ดีที่สุดเพื่อหลับ

พวกเราหันหน้าเข้าหากันตอนหลับเสมอ เคย์มักจะเอามือมาพาดเอวผมไว้ หรือถึงไม่ทำอย่างนั้น ตอนตื่นเช้ามาเรามักจะมีส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายแตะกันอยู่ราวกับเป็นความเคยชิน

ดวงตาของเคย์เป็นประกายในความมืด เขายิ้มนิดๆเผยรอยเขี้ยวข้างเดียวอันเป็นเอกลักษณ์

“อือ อยากกลับห้องมานอนข้างๆกันแบบนี้มากกว่า”

ผมหน้าร้อนๆกับความหน้าไม่อายของเจ้าหมาโง่

“หลับไปซะ รำคาญ”


วันนี้ผมต้องมารอรูมเมตหน้าโง่ที่คณะนิติ เพราะเรามีนัดดูหนังเรื่องAnt manกัน คนคนนั้นตื่นเต้นน่าดูจนถึงขั้นไลน์มาตามผมให้ไปหาเร็วๆ

ผมเดินเข้ามาใต้ตึกคณะ พร้อมๆกับที่เจอกลุ่มเพื่อนของเคย์กับคนตัวสูงที่นั่งกอดกระเป๋าตัวเอง พยายามปัดป้องสาวสวยคนหนึ่งไม่ให้เอาไปได้

“น่า เคย์ มีไรซ่อนในกระเป๋าเหรอ ถึงไม่อยากให้ดูอ่ะ” เธอฉวยเอาเป้มาในขณะที่ชายหนุ่มผ่อนแรง หล่อนเปิดสำรวจภายในโดยมีสายตากังวลจากเคย์

“เคย์อ่านการ์ตูนไรแบบนี้ด้วยเหรอ” ยัยผู้หญิงคนนั้นกล่าวกลั้วหัวเราะ โบกการ์ตูนโชเน็นแนวกีฬาเล่มหนึ่งไปมา เพื่อนในโต๊ะร่วมวงหัวเราะกันไปด้วย หมาโง่ของผมก้มหน้า อยู่ตรงนี้ยังรู้เลยว่าเจ้าตัวน่าจะกำลังอับอายไม่ก็คิดมากหรืออะไรสักอย่าง

ผมก้าวเท้าเข้าไปหยิบการ์ตูนในมือหล่อน

“ของเราเองแหละ ฝากเคย์ไว้ตั้งแต่เช้า ทำไม? อยากอ่านเหรอ เดี๋ยวเอามาให้ยืม มีตั้งแต่เล่มหนึ่ง” ผมเหวี่ยงไปเต็มที่ หน้าแบบresting bitch face ยังทำหน้าที่ของมันอย่างทุกที เพื่อนเคย์สะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นผมทำหน้าน่ากลัวใส่

“เออ เปล่าๆ โทษที เราแค่เห็นว่าอ่านการ์ตูนแปลกๆอ่ะ” หล่อนพยายามหัวเราะกลบเกลื่อน

“อ้อ ไม่เป็นไรๆ คราวหน้าอยากดูไรก็ขอได้น่ะ แค่ขอเราก็ให้แล้ว” ผมยิ้มให้ไปรอบหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเป็นรอยยิ้มประดิษฐ์

“เออ ขอตัวเคย์ไปก่อนน่ะ มีนัดดูหนังละ บาย” ผมฉุดคนตัวโตให้ลุกขึ้น ลากออกไปจากคณะนิติทันที

เจ้าหมาโง่นี่ก็สมกับเป็นหมา ไหล่กว้างๆลู่ลง ดูตัวเล็กลงไปอีกสามพันเท่า

“เห็นมั้ย มันไม่เท่จริงๆด้วย” เขาว่าน้ำเสียงหดหู่

“สนเพื่อ คนแค่คนเดียว ที่เหลือก็หัวเราะเป็นลูกคู่สร้างบรรยากาศ พวกไม่มีจุดยืนในตัวเองทั้งนั้น” ผมพ่นลมหายใจ “ถ้าคิดได้เป็นผู้ใหญ่จริงๆไม่มีใครมานั่งหัวเราะความชอบของใครหรอก มันเสือกไสกับชีวิตคนอื่นมากไป”

หมาโง่ยังคงอับอายกับวิถีชีวิตตัวเองต่อไป


“จิน วันนี้ไปกินเหล้า กลับดึกน่ะ นอนได้เลย” เสียงปลายสายโทรมาบอกผม แล้วรีบวางไปก่อนผมจะเทศนาอะไรได้ ผมเบ้ปาก มองโทรศัพท์ตัวเองแล้วตัดสินใจกดเบอร์ที่พึ่งขโมยมาจากเครื่องของหมาโง่

“กันต์รึเปล่า เออๆ นี่เพื่อนเคย์ รูมเมตอ่ะ ชื่อจิน” ผมแนะนำตัวไปสั้นๆ อีกฝ่ายตอบรับมาก่อนจะถามว่ามีอะไร “เคย์มันไม่ชอบกินเหล้าอ่ะ แต่ไม่กล้าบอกเพื่อน เกรงใจพวกนาย เออๆ เห็นแล้วอึดอัดแทน อ่า ฝากด้วยแล้วกัน ไม่ต้องบอกมันน่ะว่าเราโทรมาอ่ะ เค แต้งกิ้ว”

ในเวลาสามทุ่มเจ้าหมาโง่ของผมเปิดประตูเข้ามาด้วยสีหน้าสดชื่น

“ไม่กินเหล้าแล้วเหรอ”

“ไม่อ่ะ” คนตัวโตเดินเข้ามาซุกผม “เพื่อนบอกว่าไม่ชอบก็ไม่ต้องกิน มันเข้าใจ มันบอกว่าไม่ซี ดีซะอีกไม่กินเหล้าก็รวย ไม่โดนทิ้งจริงๆด้วย เป็นเพื่อนมหาลัยมันก็ไม่อะไรขนาดนั้นแหละ”

“ก็ดีแล้ว” ผมตอบนิ่งๆ

“…”

“…”

“ขอบคุณน่ะ”

บ้าเอ๊ย กันต์! บอกแล้วไงว่าที่ผมโทรไปบอกนั้นเป็นความลับ


ในขณะที่เคย์กลัวสายตาคนรอบข้าง ผมกลัวอนาคต

พวกเรากำลังนั่งอ่านสอบสำหรับมิดเทอมกันอย่างขะมักเขม้น ความเงียบในห้องราวกับจะบีบอัดเป็นมวล กดทับผมเสียจนหายใจไม่ออก

“อึก…ฮึก” ตาผมเริ่มมีน้ำใสๆไหลออกมา เคย์หันหน้ามาดูผมอย่างตกใจ

เออ! คนร้องไห้! กูเนี่ยแหละร้องไห้! มีปัญหามากมั้ยวะ!!!

รูมเมตผมหันรีหันขวาง ไม่บ่อยนักที่ผมเสียน้ำตา แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรก เขาจึงรับมือได้แบบไม่เก้ๆกังๆเท่าครั้งแรก คนตัวโตอุ้มผมขึ้นมากอด พาไปนั่งบนเตียง จากนั้นจึงหยิบชีทของพวกเราทั้งคู่ไปวางไว้บนเตียงด้วย

เขาดึงผมไปนั่งบนตัก กอดโอ๋ผมเบาๆ มือผมคว้าชีทขึ้นมาอ่านแม้ตาจะเต็มไปด้วยน้ำตาก็ตาม

“ร้องไห้ทำไม เครียดเหรอ คะแนนควิซไม่ดี?”

ผมส่ายหน้า

“งั้นเครียดทำไม” เคย์หัวเราะ

“เครียดสิ! วิชานี้ยากจะตาย อึก รุ่นพี่บอกเขาแจกC อ่านไม่รู้เรื่องเลยสักบท ฮึก” ผมบอกไปสะอึกสะอื้นไป โคตรกลัวการได้เกรดแย่เลย ผมอยากเข้าทำงานที่ดีๆ มีโปรไฟล์ดีๆ เกรดที่ทำไว้ก็ดีไม่อยากให้เทอมนี้มันฉุดลง ผมกลัวตัวเองจะผิดหวัง กลัวตัวเองจะยอมแพ้

“จินคนเก่ง ไม่เอาไม่ร้อง” หมาโง่กอดผมจนจมอก ผมรู้สึกอุ่นขึ้นมานิดหนึ่งเมื่อถูกกอดราวกับเป็นของที่ถูกทะนุถนอมอยู่ “กลัวเหรอ เพราะรุ่นพี่บอกมาเหรอ งั้นมันก็เป็นเรื่องของอนาคตนะสิ”

“ก็เขาบอก!”

“เขาบอกว่านั่น เขาบอกว่านี่ ยังไม่รู้เลยจะเป็นจริงๆหรือเปล่า กลัวจัง กลัวไปหมด พอกลัวก็เครียด ยึดติดกับอะไรที่มองไม่เห็น ทั้งๆที่จินทำเต็มที่มากๆในวันนี้แท้ๆ และถ้าไม่ร้องไห้ก็จะทำได้เต็มที่ยิ่งกว่านี้อีก” เขาพูดเรียบเรื่อยราวกับเป็นความจริง “คำว่าอาจจะเนี่ยเป็นคำที่ไม่แน่นอน พอเราพูดว่า’อาจจะ’ นั่นหมายถึงมันไม่เกิดขึ้นจริง แล้วทำไมเราต้องกังวลกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงด้วยละ”

“มันห้าม…ฮึก ไม่ได้นี่”

“รู้แล้วครับ รู้แล้ว” มือใหญ่ๆลูบหัวผมเบาๆ “แต่ก็อยากให้คิดไว้น่ะว่าเราไม่จำเป็นต้องมองอดีตหรืออนาคต เราแก้ไขอดีตไม่ได้พอๆกับที่ไม่รู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นก็ปล่อยให้มันเป็นไป เราทำวันนี้ให้ดีที่สุดก็พอแล้ว เนอะ?”

ผมสูดจมูก เคย์หยิบทิชชู่มาให้ผม แล้วพวกเราก็นั่งอ่านชีทกันอย่างนั้นทั้งคืนจนคนตัวโตบ่นว่าเหน็บกินในตอนเช้า

สมน้ำหน้า อยากทำตัวเป็นนักปรัชญาดีนัก

แต่สุดท้ายจะด้วยอะไรก็แล้วแต่ ชีทที่อ่านตอนนั่งอยู่ในอ้อมกอดของเคย์เป็นเนื้อหาที่อาจารย์ออกสอบพอดี แล้วผมก็ดันจำได้ทุกตัวอักษร ทุกสไลด์เสียด้วย

--------------------------------------------------------
มากันรัวๆจ้า อัพเรื่องชีวิตประจำวันคุณเขาบ้างดีกว่าเนอะ
คงไม่สามารถเป็นเรื่องยาวได้ เรื่องนี้ไม่มีพล็อตเลยค่า55555555 เอาเป็นว่าจะลงเรื่อยๆ เหนื่อยเมื่อไรก็หยุดแต่ง
ฝากหมาโง่กับน้องจินด้วยเด้อ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชีวิตประจำวันของหมาโง่กับน้องจิน UP
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 08-09-2018 21:50:00
รอชุดต่อๆ ไป ส่วนชุดเมดมาเลยค่ะ เราชอบดุๆ หลาบๆโลนๆ พูดคำลามกเวลาเอ็นซีคือพล็อตที่ตามหา ขอบคุณที่สานฝันนะคะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชีวิตประจำวันของหมาโง่กับน้องจิน UP
เริ่มหัวข้อโดย: กวังกีเมย์บี ที่ 08-09-2018 21:52:18
ยอมมากกกกกกก เป็นเป็นตอนๆสั้นไ แต่มสเรื่อยๆน้าาาาา ฟ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชีวิตประจำวันของหมาโง่กับน้องจิน UP
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 08-09-2018 21:56:26
ปรับอารมณ์แทบไม่ทัน...คาดหวังอะไรอยู่ อุอุ  :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชีวิตประจำวันของหมาโง่กับน้องจิน UP
เริ่มหัวข้อโดย: grimace ที่ 08-09-2018 23:09:04
ชีวิตประจำวันก็น่ารักกกกกกก เค้าโอ้กันเบอร์แรงมากแม่จ๋าา ฮือออ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชีวิตประจำวันของหมาโง่กับน้องจิน UP
เริ่มหัวข้อโดย: hyukkiemai ที่ 08-09-2018 23:50:22
 :hao7: งานดี นี้มันเหมือนในการ์ตูนเรื่องหนึ่ง55 แต่อันนี้เป็นเคะราชินีมากจ้าา~~
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชีวิตประจำวันของหมาโง่กับน้องจิน UP
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 09-09-2018 00:17:22
มาเรื่อยๆนะคะ อยากเห็นหมาดุอีกค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชีวิตประจำวันของหมาโง่กับน้องจิน UP
เริ่มหัวข้อโดย: manami1155 ที่ 09-09-2018 00:20:51
ชุดพละว่าแซ่บแล้ว
ถ้าชุดเมดมาจะแซ่บคูณสิบไปอีกใช่ไหมคะ
เราชอบเวลาบนเตียงแล้วพูดเดอตี้ทอร์กอะ
แบบดิบๆมันได้อารมณ์ดี
รอชุดเมดนะคะ ❤❤❤
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชีวิตประจำวันของหมาโง่กับน้องจิน UP
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 09-09-2018 00:21:00
สนุกมากกกกกก   o13 o13
อยากอ่านอีกเยอะๆ
เราชอบแบบดุๆนะ ลงเลย เต็มที่  :hao6: :hao6:
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชีวิตประจำวันของหมาโง่กับน้องจิน UP
เริ่มหัวข้อโดย: Zestful ที่ 09-09-2018 01:06:57
แงงงงงง มันฮอตมากเลยค่ะะะะ ฮืออออออ ดีงามมากกกกกก แต่ขอติเรื่อง น่ะ นะ หน่อยน้าาา คือใช้เหมือนกับ ค่ะ คะ เลยนะคะ นอกจากเรื่องนี่แล้ว ก็ไม่มีไรให้ติแล้วค่าาา สนุกมากกกกก :กอด1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชีวิตประจำวันของหมาโง่กับน้องจิน UP
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 09-09-2018 01:14:31
อยากอ่านตอนครั้งแรกของทั้งคู่ค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชีวิตประจำวันของหมาโง่กับน้องจิน UP
เริ่มหัวข้อโดย: Kx0806 ที่ 09-09-2018 02:55:32
น่ารักทั้งคู่เลย คนนึงก็แอบห่วงอยู่ห่างๆ อีกคนนึงทำตัวเป็นหมาไซบีเรียนเลย หน้าหล่อ ตัวใหญ่ แต่ใจมุ้งมิ้ง
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชีวิตประจำวันของหมาโง่กับน้องจิน UP
เริ่มหัวข้อโดย: sukaz ที่ 09-09-2018 09:44:17
หมดแล้ววววววว เลือดหมดตัวแล้ววววววววว :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชีวิตประจำวันของหมาโง่กับน้องจิน UP
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 09-09-2018 12:54:17
เขียนเก่งมากจ้า เคยเขียนเรื่องอื่นบ้างไหม อยากตามอ่านนนน
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชีวิตประจำวันของหมาโง่กับน้องจิน UP
เริ่มหัวข้อโดย: yunnutjae ที่ 09-09-2018 17:09:54
อุ้ยๆๆ น้องจินก็มีมุมน่ารักๆนะ นึกว่าจะซึนๆ ปากแข็งกว่านี้.....ง่อววววว รูมเมทที่แปลว่าแฟนรึเปล่าอะ  :hao7: โอยยยยยยยยยย ชอบ มาน้อยๆแต่ฟินมากกกกกกกๆๆ  :mew1: รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชีวิตประจำวันของหมาโง่กับน้องจิน UP
เริ่มหัวข้อโดย: Tequila ที่ 10-09-2018 00:01:21
ชอบๆๆๆๆ ติดตามเลยจ้าาา
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชีวิตประจำวันของหมาโง่กับน้องจิน UP
เริ่มหัวข้อโดย: Punmile09 ที่ 10-09-2018 10:54:00
กี๊ดดดดดด ชอบความสมมติสถานะการณ์คุณครูกับนักเรียน แซ่บมากกกกกก
รอตอนต่อไปนะคะะะ  :jul1: :haun4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 10-09-2018 12:36:12
เหิกกก  :m25: สุดยอดมากค่ะ

ส่วนนี่คำผิดนะคะ จะต้องเป็นน่า ที่ไม่ใช่หน้าตาอะค่ะ

ผมได้ยินเสียงเปิดขวดที่หน้าจะเป็นเจลหล่อลื่น
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชีวิตประจำวันของหมาโง่กับน้องจิน UP
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 10-09-2018 12:36:30
สองคนนี้ทำไมน่ารักโอ๊ยๆๆๆตายแล้วเราใจจดจ่อกับชุดเมดมากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer ชุดพละ
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 10-09-2018 12:46:34
ไม่ไหวค่ะ  :jul1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชีวิตประจำวันของหมาโง่กับน้องจิน UP
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 10-09-2018 12:56:44
ถถถถถ จินเอ้ยก็ว่าแต่เคย์นะ เราก็เหมือนกัน
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชีวิตประจำวันของหมาโง่กับน้องจิน UP
เริ่มหัวข้อโดย: TheWanFah ที่ 10-09-2018 17:19:44
เราชอบดุๆ ขอชุดเมดทีค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชีวิตประจำวันของหมาโง่กับน้องจิน UP
เริ่มหัวข้อโดย: apisaraa ที่ 12-09-2018 18:11:48
เหมือนเค้าเติมเต็มกันและกันอะ ชอบความคิดน้องจิน โตมากเลย เป็นตัวของตัวเอง ส่วนเจ้าหมาคือน่าร้ากกกก

รอชุดเมดอย่างใจจดใจจ่อเลยค่ะ :o8:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชีวิตประจำวันของหมาโง่กับน้องจิน UP
เริ่มหัวข้อโดย: MeiHT ที่ 12-09-2018 23:57:36
ขออนุญาตลบค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Maid
เริ่มหัวข้อโดย: apisaraa ที่ 13-09-2018 00:21:50
ฮือออออออ น้องมากก  :katai4:
หมาโง่ร้ายเงียบอะ แซ่บๆๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Maid
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 13-09-2018 01:13:09
 o13 o13
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Maid
เริ่มหัวข้อโดย: Kx0806 ที่ 13-09-2018 08:34:24
อื้อหือออออ เคย์ไม่ใช่หมานี่เสือร้ายชัดๆ กลายร่างเป็นแด๊ดดี้ลงโทษน้อง ไฟลุกไปเลยจ้าาา
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Maid
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวโจร500 ที่ 13-09-2018 09:08:46
เคย์ชอบท่าข้างหลังหรอ เข้าข้างหลังตลอด
รีเควสนอนจ้องหน้าค่ะ :z1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Maid
เริ่มหัวข้อโดย: 05th_of_06th ที่ 13-09-2018 14:47:53
ฮืออออ เคย์ไม่ใช่หมาโง่อ่ะนี่หมาป่าชัดๆ จินตามไม่ทันหรอกกก  :o8:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Maid
เริ่มหัวข้อโดย: benceii ที่ 13-09-2018 16:02:13
 :pighaun:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Maid
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 13-09-2018 17:16:37
สมกับที่รอคอย..รอชุดแมวเหมียว  :catrun:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Maid
เริ่มหัวข้อโดย: yunnutjae ที่ 13-09-2018 18:46:49
นี่มันหมาป่าแล้ววววว หมาโง่อะไรกัน!  :z3:
5555555555555555555555555555
รอผ้ากันเปื้อนเพียวๆไม่มีอะไรผสมเรยค่ะ  :hao7:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Maid
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 13-09-2018 20:09:15
จะเป็นลมกับฉากเช็ดโต๊ะ กรี๊ดดดดด  :hao7:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Maid
เริ่มหัวข้อโดย: grimace ที่ 13-09-2018 21:09:06
แทบวูบบบ ฮอตเหลือเกินพี่จ๋าา แงแงแง เขินเขิน :sad4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Maid
เริ่มหัวข้อโดย: Stmmltww ที่ 13-09-2018 21:15:46
ร้อนแรงเหลือเกินนนเขินแรงมากค่า เลือดหมดตัวแล้ว5555
ขอบคุณมากค่า คราวหน้าขอนอกสถานที่ได้มั้ยคะ :impress2: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Maid
เริ่มหัวข้อโดย: mybear_sr ที่ 13-09-2018 21:18:52
นี่หรอหมาโง่ โอ้โหหหหหหห นี่มันหมาป่าชัดๆ ฮือ กร้าวใจมาก อยากอ่านตอนที่พวกเขา...กันครั้งแรกจังเลยค่ะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Maid
เริ่มหัวข้อโดย: チイ ที่ 14-09-2018 00:00:23
เข้ามาเจอชุดเมดพอดีประทับใจ
รอบหน้าเคย์อยากได้อะไรนะ
หูแมวหรอพิ่ขอเพิ่มหางด้วยได้ป่าว :z6:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Maid
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 14-09-2018 00:16:18
หมาร้ายมากค่ะ น้องจินหลงกลแล้ววว
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Maid
เริ่มหัวข้อโดย: chaoyui ที่ 14-09-2018 00:51:00
หมาโง่อะไรกันนนน หมาป่าชัดๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Maid
เริ่มหัวข้อโดย: Pin_12442 ที่ 14-09-2018 17:35:15
เจ้าหมา(ไม่)โง่วววววววววววว
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Maid
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 14-09-2018 19:17:48
กรี้ดดดดด เคย์! ทำไมร้าย ที่แท้ก็เพราะอยากให้จินครอสเมด
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Maid
เริ่มหัวข้อโดย: purplepeach ที่ 14-09-2018 21:20:49
สู้ๆกับมิดเทอมนะคะ เราก็จะสอบเหมือนกัน ฮืออออออ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Maid
เริ่มหัวข้อโดย: BloodyBlue ที่ 15-09-2018 16:07:22
 :-[ :pighaun:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Maid
เริ่มหัวข้อโดย: manami1155 ที่ 15-09-2018 18:53:05
หมาไม่โง่แล้วค่ะ
หมาร้ายมากกกกกกก
น้องจินโดนล่อลวงแล้วลูกกกก
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Maid
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 15-09-2018 23:37:11
โอ้โหวววว เจ้าหมาร้ายมากเลย
แต่จริงๆแล้วก็ซื้อชุดมาให้เลยก็ได้นะ คนปากแข็งก็คงพูดโน่นนี่แต่ยอมใส่อยู่ดีนั่นล่ะ โฮะๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Maid
เริ่มหัวข้อโดย: drasil ที่ 16-09-2018 14:22:46
เจ้าหมามันร้ายยยย

//โชคดีกะการสอบมิดเทอมน้าาา สู้ๆค่า
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Maid
เริ่มหัวข้อโดย: 19august ที่ 16-09-2018 18:15:52
นี่ไม่ใช่หมาโง่ นี่มันหมาป่าชัดๆๆ
กรี๊ดดดแซ่บๆๆๆ :hao7:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Maid
เริ่มหัวข้อโดย: yunjae123 ที่ 16-09-2018 21:37:19
แซ่บ ซี๊ด กำเดาพุ่งมากกกกก
น้องทำไมน่ารัก><
หมาโง่ก็จัดเต็ม จัดแรงตลอด
อร๊ายยยย ชอบๆๆๆๆๆ
รอหูแมวนะคะ  :hao7:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Maid
เริ่มหัวข้อโดย: whistle ที่ 20-09-2018 15:57:06
รอชุดแมวเหมียว.......
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Maid
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 21-09-2018 07:37:26
หมาป่าในคราบหมาโง่ชัดๆ ชอบบบบบบ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Maid
เริ่มหัวข้อโดย: Ti0590 ที่ 24-09-2018 01:44:52
ตามมาจากในทวีต กรี๊ดมากกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Maid
เริ่มหัวข้อโดย: tn ที่ 30-09-2018 19:58:16
แซ่บไป
กริ้สสสสสสสสสสส
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Maid
เริ่มหัวข้อโดย: skies ที่ 01-10-2018 16:17:15
อย่าให้เจ้าหมาโง่กลายร่างเชียว
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Qipao
เริ่มหัวข้อโดย: MeiHT ที่ 05-10-2018 21:46:45
Qipao
เคย์ part

เช้าวันเสาร์อันสดใส ผมกำลังยืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าของตัวเอง เพ่งหาเสื้อผ้าที่เหมาะกับการใส่ออกไปงานอีเว้นต์วันนี้

ใช่แล้วครับ

วันนี้ผมจะตามไปดูจินคอสเพลย์

คือถึงผมจะเป็นคุตัวพ่อ แต่สารภาพว่าผมไม่เคยไปงานอีเว้นต์อนิเมที่ไหนมาก่อนเลย สาเหตุเป็นเพราะผมเปลี่ยนแปลงตัวเองตอนขึ้นม.ปลายและสาบานว่าจะปกปิดตัวตนให้เงียบเชียบที่สุด ทำให้ตัวผมไม่มีเพื่อนคนไหนที่มีความชื่นชอบเหมือนกันพอจะพากันไปงานอีเว้นต์แบบนี้ได้ ตัวผมเองก็เขินเกินกว่าจะไปเดินเองคนเดียว เพื่อนทั้งหมดที่เคยคุยก็อยู่ในอินเตอร์เน็ต อยู่คนละจังหวัดไปเลยงี้

แต่วันนี้เป็นวันพิเศษ

เพราะจินเอาโฟโต้บุ๊คไปขาย!!!

ผมยังไม่เคยเห็นเลยน่ะเว้ย!!!!!!! โฟโต้บุ๊คอะไรนั่นนะ!!

ถ่ายตอนไหนผมยังไม่รู้เลย มีรูปอะไรบ้าง เห็นส่วนไหนของร่างกายจินบ้าง ผมแม่งโคตรกังวลเลยว่ะ ถ้าแม่งเป็นโฟโต้บุ๊ครวมเล่มแล้วมีขาอ่อนขาวๆนั่นผมจะแทงทุกคนที่แม่งซื้อของของแฟนผมไปอ่ะบอกเลย

ว่าแล้วก็เกียมมีดใส่กระเป๋าแปบ

แค่ก! ไม่ใช่

คือผมก็มีทวิตเตอร์เล่นเหมือนกัน ถึงจะไม่เคยบอกเขาก็เถอะ มีอยู่สองแอคที่ผมฟอลเท่านั้นแหละ คือแอคที่ลงรูปกับแอคลั--- แค่ก!

เอาเป็นว่าไม่ค่อยได้เปิดเพราะเปิดทีไรก็เจอคลิปที่ทำให้หน้าร้อนๆทุกที ไม่ค่อยชอบดูเท่าไรแต่ต้องยอมรับว่าจินตั้งกล้องได้มุมดีสุดๆ โคตรอีโรติคขนาดไม่ค่อยเห็นอะไรมากแถมคลิปสั้นๆแค่นาทีเดียวอีกต่างหาก เห็นแค่ชุดกั---

พอ!

สรุปคือผมเปิดทวิตเตอร์ตามปกติ และเห็นว่าแอคคอสเพลย์ของจินลงไว้ว่าจะไปขายโฟโต้บุ๊คในวันนี้ มีพรีวิวมานิดหน่อย อันนั้นยังพอรับได้…แต่ที่กลัวคือในเล่มที่ไม่มีพรีวิวให้คนเห็นนี่สิ

ผมหยิบเสื้อฮู้ดสีดำธรรมดาๆออกมา ก่อนจะส่ายหน้าแล้วเก็บมันกลับเข้าไปในตู้

งานนี้ผมต้องกลมกลืนกับคนอื่น!

มือผมสั่นขณะเอื้อมมือไปยังจุดที่ลึกสุดของตู้เสื้อผ้าใบใหญ่ หยิบเอาชุดที่น่าจะทำให้ผมพรางตัวไปกับอีเว้นต์แบบนั้นได้มากที่สุด

เสื้อที่มาพร้อมกับการพรีบลูเรย์มาโด* (เซ็นเซอร์เผื่อติดลิขสิทธิ์ ผมไม่มีตังจ่าย)

ผมใส่เสื้อสีขาวที่สกรีนลายเด็กผู้หญิงลงไปอย่างมั่นใจ ไปเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม!

แต่เมื่อเดินไปหยุดที่หน้ากระจก ผมก็แทบหน้าเหี่ยว ร่างควายๆในเสื้อไซส์ใหญ่ที่มีลายเด็กผู้หญิงสกรีนติดไว้นี่มัน…

ภัยสังคมครับ ภัยสังคมชัดๆเลย

ผมหยิบหมวกสีดำมาปิดหน้า ยัดเสื้อฮู้ดใส่กระเป๋าเป๋เผื่อไปเปลี่ยนในกรณีที่ทนความอับอายไม่ไหว พกกระเป๋าเงินกับโทรศัพท์รวมถึงมี--- ไม่ใช่!

เอาเป็นว่าตอนนี้น่าจะพร้อมแล้ว ผมเปิดประตูห้องด้วยความฮึกเหิม แต่ทันทีที่ก้าวเท้าออกมาก็พบว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งออกมาจากห้องของเธอเช่นกัน เธอกวาดตามองผมก่อนจะเดินผ่านไป แต่ผมรู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาทันทีเพราะการแต่งตัวที่โคตรแสดงออกว่าเป็นคุ

ปับ

ผมก้าวเข้าห้อง ปิดประตูห้องลงเบาๆ

ค่อยออกไปตอนที่ไม่มีคนอยู่ก็ได้ว่ะ


ถึงจะใช้ความกล้าชนิดที่ขุดเอาความหน้าด้านทั้งหมดในชีวิตออกมา แต่พอมายืนอยู่บนรถไฟฟ้า ผมก็เหงื่อแตกพลั่กทันที ตัวผมลีบจนแทบชิดสนิทเป็นเนื้อเดียวกับผนังรถ รู้สึกกังวลกับสายตาคนโน่นคนนี้แบบบอกไม่ถูก

ผมพยายามทำไม่สนใจ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไถ ประตูรถไฟฟ้าเปิดออกเมื่อถึงสถานีและครอบครัวหนึ่งที่ประกอบไปด้วยคุณแม่และลูกสาวอีกสองคนก้าวขึ้นมาบนรถไฟฟ้า เด็กน้อยเดินเข้ามาจะมาพิงตัวข้างๆผม แต่แม่ของเธอจับแขนเธอไว้พร้อมกับสาดสายตามาทางผมทันที

ผมที่แกล้งไถมือถือนิ่งๆได้แต่เหงื่อตก

คุณแม่ครับ! ผมไม่ใช่ภัยสังคม

นี่น่ะ! ถึงจะเป็นตัวการ์ตูนเด็กผู้หญิงแต่เนื้อเรื่องมันโคตรดาร์กเลยครับ! คุณมามิของผมโดนเชือดแบบไม่ทันตั้งตัวด้วยซ้ำ!

ผมดึงหมวกให้ลงมาปิดหน้าอีกนิดหนึ่งพร้อมกับบ่นตัดพ้อโชคชะตาภาวนาให้รถไฟฟ้าไปถึงจุดหมายเร็วขึ้นอีกนาทีก็ยังดี


มาถึงงานอีเว้นต์เรียบร้อย ผมซื้อบัตรเข้างาน สาดสายตามองซ้ายมองขวาหาร่างเล็กๆของแฟนผม แทบอยากต่อยตัวเองเมื่อมาแล้วเห็นว่าก็มีคนแต่งตัวธรรมดาๆมางานเหมือนกัน

แล้วโอตาคุตัวพ่อแต่ใหม่ในวงการอีเว้นต์ก็ออกเดินสำรวจงานทันที

บูธแต่ละบูธมีทั้งโดหลากหลายแบบขาย เหมือนว่าจะจัดเป็นโซนๆ คราวนี้สิ่งที่ผมต้องหาคือโซนคอสเพลย์ที่ขายโฟโต้บุ๊ค ผมเดินไปเรื่อยจนสังเกตเห็นบูธที่มีคิวยาวพอสมควรกับคนตัวเล็กที่มองทันทีก็รู้ว่าเป็นแฟนผม

ทันทีที่ผมเห็นจิน ผมนี่วิ่งสี่คูณร้อยเข้าไปหาทันที

เพราะอะไรน่ะหรือครับ?

เพราะ-จิน-ใส่-ชุด-กี่เพ้า-ไง!

เว้ย! อะไรว่ะ! ชุดนั่นมาถึงเมื่อไร ผมยังไม่เคยเห็นเลยเหอะ!

ละชุดก็โคตรของโคตรแหวกขา ขาขาวๆนั่นออกมาทักทายคนเต็มไปหมดแล้ว แหวกแม่งถึงต้นขา อะไรว่ะ!!!

ผมแทรกตัวเข้าไปหาแฟนผมได้อย่างรวดเร็ว ใช้ร่างใหญ่ๆบังเขาจากสายตาโลมเลียนั่นแล้วอุ้มเขาแนบอกไปยังห้องน้ำชายทันที

ปฏิบัติการลักพาตัวแฟนใช้เวลาเพียงเสี้ยววิ ทิ้งไว้เพียงความงงงันของคนรอบข้าง


“มาได้ยังไง” คนตัวเล็กขู่ฟ่อ กอดอกมองผมตาขวาง แต่มัน..

น่ารักมากๆ! น่ารักโคตร! ใจสั่นไปหมดแล้วบอกตรงๆ!

ผมแทบกุมจมูกไม่ให้เลือดกำเดาไหล กี่เพ้าสีดำนั่นตัดกับผิวขาวผ่องของเขา ตัวผ้าเปิดเปลือยด้านหลังแถมยังแหวกข้างหลังจนลึกขึ้นมาถึงก้น เวลาก้าวขาหรือขยับตัวทีผ้าขาวๆนั่นจะบังสัดส่วนได้รูปและในขณะเดียวกันก็เปิดเผยจนอยากกระโจนเข้าไปฉีกทึ้งเพื่อดูความสวยงามภายใต้พื้นผ้าให้เต็มตา โบว์สีดำใหญ่ๆที่ผูกเอวไว้นั่นยิ่งทำให้ร่างเล็กๆดูเหมือนตุ๊กตามากขึ้นไปอีก ไหนจะแต่งตาเฉี่ยวๆที่ทำให้โคตรมาดราชินี

คือเหลือเพียงกายหยาบแล้วบอกตรงๆ

แต่ดีน่ะที่จินใส่กางเกงขาสั้นสีดำข้างในไว้แล้วเรียบร้อย ไม่งั้นผมคงสติหลุดอุ้มเขากลับบ้าน

ไม่สิ ตอนนี้เอาจริงๆก็สติหลุดแหละ ผมโคตรๆไม่พอใจความเปิดนู่นนั่นนี่เลยวะ

แต่ผมไม่อยากเป็นแฟนที่มานั่งคอนโทรลชีวิตแฟนจนเขารู้สึกอึดอัด จะแต่งตัวอะไรมันก็สิทธิ์ของเขา ถ้าเขาพอใจ

แต่ผมไม่พอใจอ่ะ!

โคตรอยากงอแงให้คนตรงหน้ารู้ อยากจะบอกให้กลับบ้านไปเลย เลิกขายโฟโต้บุ๊คซะ! เลิกเดินไปมาในชุดแบบนี้ด้วย!

แต่แม่งไม่อยากเป็นคนงี่เง่าในสายตาจินเลย

ผมทำหน้าหงอยจนคนตัวเล็กต้องเอือมมือมาแปะๆหัวผมสองสามที ก่อนทีจินจะดันร่างผมเข้าไปในห้องน้ำอย่างแรง

“เหวอ!” ผมเซจนนั่งแปะลงบนฝาชักโครก เออ ใครปิดไว้ว่ะ จังหวะโคตรได้

ผมกำลังจะเงยหน้าขึ้นถามเขา แต่ผมก็ได้เห็นรอยยิ้มยั่วเย้าของปีศาจพร้อมกับมือที่ลงกลอนห้องน้ำปิดล็อกสนิท ร่างขาวๆนั่นเดินเข้ามานั่งบนตักผม ยกแขนโอบรอบคอผม ขยับยิ้มซุกซนพร้อมขยับหน้าเข้ามาใกล้จนรู้สึกได้ถึงลมร้อนๆ

ผมหลุบตาลงต่ำ ก่อนจะรู้สึกว่าคิดผิดเมื่อได้เห็นขาขาวๆที่โผล่พ้นเนื้อผ้าออกมาตามรอยแหวก และเพราะเขานั่งบนตักผม ผมจึงต้องรีบประคองเขาทันที แต่ตอนจับหมับที่ก้นจินถึงได้ระลึกว่าเนื้อผ้ามันแหวกลึกถึงก้น ทำให้ตอนนี้ผมวางมือแปะลงบนก้นลูกพีชนั้นเต็มๆถึงแม้ว่าจะมีกางเกงขาสั้นแนบเนื้อสีดำขวางกั้นอยู่ก็ตาม

แต่คือแบบ

โคตรนุ่มเลยวะ

เฮ้ย! ไม่ได้ เดี๋ยวโดนข้อหาอนาจารในที่สาธารณะพอดี

ผมกำลังจะอ้าปากเตือนจินตอนที่เขาตัดสินใจจูบผม

แม่ง ขี้ยั่ว

ผมสบถในใจก่อนจะจูบตอบเขาอย่างร้อนแรง มือเริ่มฟ้อนเฟ้นเนื้ออิ่มๆนั้นอย่างแรง

ก็รู้อยู่ว่าตอนมีอะไรกันผมยั้งตัวเองไม่ค่อยจะอยู่ แต่ก็ขี้ยั่วกันซะเหลือเกิน

“ไม่ชอบให้มึงใส่แบบนี้ให้คนอื่นเห็นเลย” ผมตัดพ้อเมื่อเราหยุดการจูบ มือชักจะซุกซนจนไล่ไปทั่วร่างเล็กๆเท่าที่เนื้อผ้าจะสามารถแหวกให้ผมสอดนิ้วเข้าไปได้

“กูชอบคอสแบบนี้มึงก็รู้” จินยักไหล่ก่อนจะกระซิบชิดริมฝีปากผมจนสัมผัสได้ถึงความนุ่มยามเขาพูดถ้อยคำเหล่านั้นออกมา

“คนพวกนั้นได้แค่มอง แต่มึง…ได้เอากูในชุดแบบนี้เลยน่ะ ไม่ดีหรือ”

ตึกตัก!

คือจะพูดแบบภัยสังคมก็ได้แต่ลูกชายผมแม่งตั้งแรงพอๆกับเสียงหัวใจเลยอ่ะ

แค่จินตนาการถึงภาพจินในชุดกี่เพ้าแหวกก้น นั่งรอผมเป็นเด็กดีอยู่บนเตียง ยิ้มให้ผมตอนที่ผมสาวเท้าเข้าไปหาเขา

คอสเพลเยอร์ที่โด่งดังในด้านสายแทรปจนเป็นอันดับหนึ่งในทวิตเตอร์นั่นเป็นของผม วิดีโอลามกทั้งหมดนั่น คนที่ฟอลก็ได้แค่ดูรูปร่างเขาในชุดตัวสวยกำลังถูกย่ำยีโดยผม

แต่ผมได้เห็นทั้งหมด ได้สัมผัสความอ่อนนุ่ม ผิวที่ขึ้นสีระเรื่อยามชื้นเหงื่อ ใบหน้าบิดเหยเกเพราะความเสียว ปากเล็กๆที่พร่ำอ้อนวอนผม

นั่นเป็นของผมทั้งหมด

ผมเกือบจะทำอะไรๆต่อตอนนี้เสียงเคาะประตูห้องน้ำดังสนั่น

ปัง! ปัง!

“ออกมานะเว้ยไอ้ภัยสังคม!” คนข้างนอกตะโกนเสียงดัง แถมยังถีบประตูดังโครมๆอีกต่างหาก ผมรีบปล่อยจินให้เขาลุกขึ้นยืน ก่อนจะแทรกตัวไปเปิดประตูชนคนที่อยู่ข้างหน้าพอดี

“โอ๊ย!” ร่างท้วมๆล้มลงกับพื้น แต่ยังไม่วายกระโจนขึ้นมาใส่ผม ผมจัดการเหวี่ยงคนคนนั้นไปอีกทางทันที

“เชี่ยไรวะ” ผมสบถ สวรรค์อยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆ!

มันเงยหน้าขึ้นมองผมด้วยความคับแค้นใจ

“มึงอย่าคิดมาลวนลามท่านฮิเมะของกูนะเว้ย!” มันตั้งตัวลุกขึ้นมาได้ในที่สุด มือของเขาขยับแว่นบนหน้าให้ได้องศา พอได้เพ่งมองดูดีๆผมจึงค้นพบว่าไอ้คนตรงหน้า…แม่งโคตรคุ้นเลยว่ะ

“ไอ้ชาญ!!”

ไอ้ชาญชัยคู่หูคู่ยากตอนมัธยมต้นผู้พาผมเข้าวงการโอตาคุครับ ก่อนที่แม่งจะย้ายออกจากโรงเรียนทิ้งผมให้อยู่คนเดียวจนต้องปฏิวัติตัวเองมาเป็นคนใหม่ ผมยังคุยกับมันผ่านบอร์ดรวมคนรักอนิเมบ้างบางครั้งแต่ไม่เคยนัดพบกันเป็นเรื่องเป็นราว

“มึงเป็นใคร! รู้จักกูได้ยังไง! อย่าคิดนะเว้ยว่ากูไม่รู้ มึงพยายามจะล่อลวงฮิเมะซามะ!!”

เหี้ยยย คุยกันไม่รู้เรื่องแล้วมั้ง!!

“กูเคย์ไงวะ จำไม่ได้เหรอ” ผมตบอกตัวเองปุๆ

ร่างท้วมๆหรี่ตาลง จ้องมองผมก่อนจะต่อยเข้ามาเต็มแรง ดีที่ผมปัดป้องได้

“ไอ้เหี้ยเคย์ มึง!! บังอาจทรยศสายเลือดของเราเหรอวะ”

ดูเหมือนมันจะไม่ชอบที่ผมตัวใหญ่กล้ามใหญ่ มันเคยประกาศไว้อย่างแน่วแน่ว่ามันอยากเป็นสายนีท! อยู่บ้านเฉยๆไม่ต้องทำอะไร เจ้าพวกที่ไหลตามกระแสสังคม อยากทำตัวแมสน่ะคือพวกหลงระเริง

ใช่แล้ว ขอโทษนะพวก แต่ฉันสลัดคราบคนเก่าทิ้งแบบโคตรหมดจด

“ถ้ากูปล่อยให้ฮิเมะซามะของกูถูกดูแลโดยคุอย่างมึง กูยอมเอามีดแทงตัวเองดีกว่า”

ผมถลึงตาใส่ทันที

มึงไม่คุเลย! พูดไม่ดูตัวเองเลยว่ะเพื่อน เกรงใจลายอิ*ยาที่อยู่บนเสื้อมึงด้วยเว้ย!!

แล้วมาบังอาจบอกว่าผมละทิ้งสายคุได้ยังไงวะ วันนี้อุตส่าห์เอามาโดกะออกจากตู้เสื้อผ้าทั้งๆที่เก็บไว้โคตรดีเลยนะเว้ย!

ผมกอดคอมัน กระซิบเสียงเหี้ยม

“กูกับมึงมีเรื่องต้องคุยกันหน่อยแล้ววะ”


ผมกำชับให้ชาญรอผมอยู่ข้างหน้า ในขณะที่หันกลับมาจัดการร่างเล็กข้างหลังให้เรียบร้อย ผมดึงชุดกี่เพ้าที่ยับย่นให้คืนรูป

ถอนหายใจพลางหยิบเข้มกับด้ายออกมาจากกระเป๋าแล้วจัดการจับจินหันหลัง ผมสอดด้ายเข้ารูแล้วเย็บข้างหลังไปแบบชั่วคราว เอาแค่ให้ปิดก้นน่ารักๆนี่ก็พอ

“ขอละ ไม่อยากเป็นแฟนจู้จี้ แต่ขอปิดไว้เท่านี้ได้มั้ย” ผมทำหน้าจริงจัง แต่คนที่ยืนกอดอกทำหน้ามุ่ยไม่ตอบ ไม่รู้ว่าอารมณ์เสียเพราะโดนขัดจังหวะหรือเพราะผมไปยุ่งกับชุดของเขากันแน่

“เหลือโฟโต้บุ๊คไว้ให้กูเล่มนึงด้วยอย่าลืมล่ะ” สั่งเสร็จก็พาคนตัวเล็กไปส่งคืนที่โต๊ะก่อนจะหันหน้าเหี้ยมๆมาหาเพื่อนที่ขัดการไปสวรรค์ของผม


แต่จริงๆก็หวิดข้อหาอนาจารในที่สาธารณะไปจริงๆนั่นแหละ

ผมส่ายหน้ายามสนทนาเรื่อยเปื่อยกับชาญชัย สองตายังคงจับจ้องจินที่คุยกับแฟนๆด้วยรอยยิ้ม

“ถ้าไม่เพราะว่าฮิเมะซามะบอกว่าไม่โดนมึงทำอะไร กูไม่อยู่เฉยอย่างนี้หรอก” มันขู่ฟ่อ

ผมเบ้ปาก

“นั่นแฟนกูอย่ายุ่ง”

“ไหนบอกไม่ชอบสาวซึน ชอบสาวไทป์หัวดำไง?” มันยกคิ้วแซะ “เป็นไงละ เคยบอกว่าชอบสี่เทพสาวซึนไปได้ยังไง ไอ้ห่า ตอนนี้หลงจนโงหัวไม่ขึ้น”

ผมยกมือไหว้

“ขอโทษครับท่านปรมาจารย์”

เข้าใจแล้วว่าคนปากไม่ตรงกับใจแม่งโคตรๆน่ารักเลย ยิ่งตอนพูดประโยคร้ายๆด้วยหน้าแดงแปร๊ดแบบนั้น ยิ่งทำให้ผมอยากแกล้ง

แถมตอนได้เห็นคนปากแข็งน้ำตาซึม อ้อนวอนขอร้องผม ใจผมนี่โคตรฟู

แค่ก! ทำไมหัวข้อสนทนามันติดเรทอีกแล้วว่ะ

กำลังจะโฟกัสกับโค้กในมือ จินก็โบกมือเรียกผม ร่างใหญ่ๆนี่พุ่งเข้าไปอย่างเชื่อฟังทันที

“ครับ มีอะไรครับ”

“หมดแล้ว อ่ะ อันสุดท้าย ให้” เขายื่นโฟโต้บุ๊คมาให้ผม ใบหน้าหวานเสไปด้านข้างไม่มองผมสักเสี้ยว แต่ใจนี่คันยิบๆด้วยความน่ารักจนส่งยิ้มตายีไปให้พร้อมรับเล่มในมือนั้นมา

“จินจะอยู่ต่อมั้ย เดี๋ยวรออยู่ตรงโน้น” ผมเสนอ

ใบหน้าเขาขึ้นสีเรื่อนิดๆตอนตอบผมว่า

“ขายเสร็จแล้ว จะสละเวลาไปเดินงานด้วยแล้วกัน”

ไม่ทันจะจบประโยคดีเขาก็เดินหนีผมไปแล้ว ผมส่ายหางดุ๊กดิ๊กวิ่งตามเจ้าของไปอย่างไว


จิน part

จบงานเสียที โคตรเหนื่อย แต่ก็โคตรๆมีความสุข ได้เจอแฟนๆเยอะแยะ มีแฟนที่บินมาจากสิงคโปร์เพื่อมาเอาโฟโต้บุ๊คของผมและพูดคุยกัน ทั้งๆที่จะรอชิปปิ้งก็ได้เพราะผมส่งทั่วโลกอยู่แล้ว

ใจอิ่มสุดๆ

ตอนนี้ทั้งผมกับเคย์ยืนอยู่บนรถไฟฟ้า ตัวผมใส่เสื้อฮูดดำของเคย์เพราะกระเป๋าเสื้อผ้าผมโดนขโมย หรือไม่ก็หาย งงๆเหมือนกันเพราะหายังไงก็หาใม่เจอ ดีที่ของมีค่าในกระเป๋าทั้งหมดยกให้เคย์ถือไปเรียบร้อยแล้ว เสียดายก็แต่เครื่องสำอางในนั้นนั่นแหละ

อยู่ดีๆเคย์ก็ก้าวเข้ามาประชิดตัวผม เขาหรี่ตาลงมองหนุ่มออฟฟิศคนหนึ่งซึ่งจ้องเขม็งมาทางนี้ เขาเอาตัวมาบังผมไว้ในมิดชิด เข้าใจว่าคงหวงขาขาวๆที่โผล่พ้นเสื้อฮู้ดออกมานั่นแหละ

เพราะกระเป๋าเสื้อโดนขโมยไป ทำให่ไม่มีชุดเปลี่ยน ตอนนี้นอกจากชั้นในต่างๆแล้วไม่มีอะไรภายใต้เสื้อฮู้ดตัวนี้เลยสักนิด

จ้องกันไปกันมาสักพัก หนุ่มออฟฟิศก็เดินเข้ามากระชากแขนเคย์

“ขอโทษนะครับ แต่ผมไม่คิดว่าการลวนลามผู้หญิงเป็นเรื่องดี” เขากล่าวเสียงจริงจังจนผมกับเคย์ทำหน้าเหรอหรา

“หะ ลวนลาม” มันน่าจะช็อคจนหูตั้งไปหมด ผมพิจารณา อาจจะเพราะว่าตัวโตๆแบบหมีควายที่ถ้าใส่เสื้อปกติจะดูเท่มากๆ แต่พอใส่เสื้อที่สกรีนรูปเด็กผู้หญิงแล้วมัน

ผมพอจะเข้าใจหนุ่มออฟฟิศน่ะ

ดูยังไงก็ภัยสังคมชัดๆ

ผมส่ายหน้าก่อนจะบอกฮีโร่คนนั้นอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“ขอบคุณนะคะที่เป็นห่วง แต่คนนี้เป็นแฟนเราเองค่ะ” ว่าจบก็โปรยยิ้ม ดีน่ะที่วันนี้ดัดเสียงทั้งวันจนชินปาก หนุ่มออฟฟิศคนนั้นหน้าม้านหนีไปโบกี้อื่น ผมรู้สึกผิดไม่น้อย คนที่กล้าเข้ามาช่วยเหลือคนอื่นแบบฮีโร่คงโดนตัดหน้า ไม่รู้ว่าจะยังกล้าทำแบบนี้อีกมั้ย

แต่ร่างใหญ่ๆที่ก้มหน้าห่อไหล่ทำตัวลีบๆจนน่าสมเพชนั้นน่าเป็นห่วงมากกว่า

ผมเลื่อนมือเข้าไปกุมมือเคย์ ส่งยิ้มให้เล็กน้อยจนเห็นหางกระดิกแล้วค่อยก้มลงเล่นโทรศัพท์โต้ตอบกับแฟนๆในวันนี้

เคย์ที่กลัวคนอื่นรู้ว่าเป็นโอตาคุ หลีกเลี่ยงงานพวกนี้ตลอด ใส่ใจสายตาคนอื่นยิ่งกว่าใคร วันนี้ถึงกับยอมใส่เสื้อตัวนั้นบุกมาถึงงานอีเว้นต์เพื่อมาเฝ้าผมที่คอสเพลย์

จะไม่บอกใครหรอกว่ากลั้นยิ้มจนปวดหน้าแล้ว




หยอดไว้สำหรับตอนหน้า

ร่างใหญ่ๆของเคย์กำลังทำท่าทางที่น่าขันมากๆ เขาเกร็งมือจนเห็นเส้นเลือด เหมือนอยากจะฉีกโฟโต้บุ๊คผมทิ้งแต่ในขณะเดียวกันก็อยากทะนุถนอมมันไว้

แสดงว่าเห็นคอลเลคชั่นในนั้นแล้วละสิ

“จิน…” เขามือสั่น “ให้ใครถ่ายรูปพวกนี้ให้นะ”

“คนรู้จัก” ผมตอบอ้อมๆ และสะดุ้งเมื่อเห็นสีหน้าถมึงทึงของเจ้าหมาโง่

“แปลกดีเนอะที่ไม่เคยเห็นชุดพวกนี้เลย” เขายิ้มโชว์เขี้ยวขณะโบกโฟโต้บุ๊คของผมไปมา “อยากเห็นจัง กูเป็นแฟนนัมเบอร์วันของมึงเลยน่ะจิน”

“…” ผมเหงื่อตกเมื่อเห็นหางฟูๆของโกลเด้นเปลี่ยนเป็นหางหมาป่า

“เอาชุดทั้งหมดออกมาสิ เดี๋ยวกูจะ’ใส่’และ’ถอด’ให้มึงด้วยตัวเองเลย ให้เกียรติแฟนนัมเบอร์วันคนนี้หน่อยน่ะครับ”
 


------------------------------------------------------------------------------
รู้น่ะว่าอยากอ่านฉากอะไรกัน  :hao3: :hao3: :hao3: :hao3:
ถ้าเดาชื่อตัวละครได้ รู้ว่าคุณมามิเป็นใคร สี่เทพสาวซึนเป็นใคร
ยืนดีด้วยค่ะ คุณเป็นคนประเภทเดียวกับเจ้าหมาโง่ :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Qipao [5/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 05-10-2018 22:01:28
ใจ่ร้าย..ยยยยยยยยยยยยยยยยยย   :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Qipao [5/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 05-10-2018 23:16:58
 :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Qipao [5/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Quatree ที่ 05-10-2018 23:42:50
 :pig4: รอให้ถึงตอนหน้าไม่ไวละ :z1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Qipao [5/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: skies ที่ 06-10-2018 08:44:10
ชาญชัย นายเจอเสียงก่นด่าสาปแช่งไปเท่าไหร่แล้ว...
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Qipao [5/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Loammy ที่ 06-10-2018 08:53:19
5555 เราคิดว่าเราเป็นพวกเดียวกับหมาโง่แหละ แถมชอบคุณมามิเหมือนกันอีกตังหาก  :-[
ชอบตอนนี้ ชอบที่เคย์หวงเนื้อหวงตัวจิน  o13
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Qipao [5/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Stmmltww ที่ 06-10-2018 19:06:54
โอ้ยยยย ใจน้องงงงง
อยากเห็นจินโดนหมาป่าลงโทษแล้วค่าาาาาา :hao7: :hao6: :heaven
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Qipao [5/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: yunnutjae ที่ 06-10-2018 23:06:22
ปูเสื้อรอตอนหน้า แค่--  :z1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Qipao [5/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Kx0806 ที่ 06-10-2018 23:29:54
ใจร้ายมากกกก ฮรือออ รอตอนหน้าไม่ไหวแล้ว :hao7: :katai1: :z3: :o12: :ling3: :serius2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Qipao [5/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Ti0590 ที่ 07-10-2018 08:43:32
ฮืออออ ใจร้ายยยยยย รอต่อไม่ไหวแล้วนะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Qipao [5/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 07-10-2018 10:29:22
 :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Qipao [5/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 07-10-2018 14:48:26
เอาชุดทั้งหมดออกมา น้องงงงง !!!  :serius2:  :ling1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Qipao [5/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: แม่น้องเปา ที่ 07-10-2018 17:17:34
อดใจรอตอนหน้าจะไม่ไหวล๊าววว :hao6:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Qipao [5/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: 19august ที่ 07-10-2018 17:27:02
หูยยย อดใจรอไม่ไหวววว
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Qipao [5/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: rcbpdr ที่ 07-10-2018 18:18:49
โดนตีแน่เลยน้องจิน555555555 เจ้าหมามันตีแน่ๆๆๆๆ น้องงงงงงง
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Qipao [5/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 07-10-2018 18:39:52
เตรียมทิชชู่รอเลยค่ะ  :z1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Qipao [5/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 07-10-2018 19:14:57
ชอบบบบบ  สนุกกกกกก   :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

เติมเต็มกันนะสองคนนี้  น่ารักดี   :impress2:
พออยู่ด้วยกันลงตัวกันดี
เข้มแข็งกันไปคนละแบบ
อ่อนแอกันไปคนละอย่าง
ปากจินว่าไม่ใช่แฟน แต่หวงเคย์  :z3:
สาวๆฝากของให้ก็โยนลงถังขยะ   :really2: :really2: :really2:

เคย์  จิน   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Qipao [5/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: drasil ที่ 07-10-2018 20:19:35
งือออ ตอนนี้น่าร้ากกกก ชอบความไปเฝ้าแฟนของหมาโง่ๆมั่กๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Qipao [5/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: manami1155 ที่ 07-10-2018 22:32:56
ไม่รอดแน่ๆ
ตอนหน้าสงสัยต้องเตรียมเลือดสำรอง
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Qipao [5/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: チイ ที่ 08-10-2018 00:22:12
เจ้าหมาน่าสงสารตอนต้องออกไปเผชิญโลกกว้างนอกอนาเขตนั่น
แต่พอคืนสูป่าเท่านั้นแล่ะโอ้โหวววเขี้ยวโพล่แล้วจินเตรียมรับมือ
ให้ดีนะทีาทางจะหวงเจ้าของมาก
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Qipao [5/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 09-10-2018 07:46:54
หมาโง่น่ารักจังงง ชอบๆๆ :katai3:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Qipao [5/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Morgen ที่ 12-10-2018 20:26:46
เจ้าหมาโง่ของน้อง เปลี่ยนเป็นเจ้าป่าพร้อมขย่ำน้องแล้วเด้อ ชุดทัเงหมดอยู่ไหนลูก รีบเอาออกมาใส่ดูเร็ว :hao7:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Qipao [5/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: TheWanFah ที่ 13-10-2018 00:18:34
รอตอนหน้า
หมาโง่จะจัดการจินยังไง
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Qipao [5/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Hananijinji ที่ 13-10-2018 14:23:55
เป็นหมาที่โง่ แต่กุมใจเจ้าของอยู่หมัดเลยนาาาาา
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Qipao [5/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Piima ที่ 16-10-2018 15:08:31
ทำไมอีหมาโง่ ต้องหลอกล่อน้องด้วยยย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : Qipao [5/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: MeiHT ที่ 17-10-2018 02:05:56
-ขออนุญาตลบเพราะไม่สอดคล้องกับเรื่องยาวค่า-
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชุดที่1 [17/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 17-10-2018 05:55:52
ตอนนี้หวานๆ ว่าแต่ไม่เอาดราม่าไม่ได้หรา  :hao5:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชุดที่1 [17/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Psycho ที่ 17-10-2018 08:53:54
 :pighaun:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชุดที่1 [17/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 17-10-2018 09:54:05
(http://) เลือดพุ่งงงง
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชุดที่1 [17/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CLShunny ที่ 17-10-2018 10:07:32
ร้อนแรงดังไฟนรก5555555. ไฟบาปมากๆๆๆค้พเทอออออออ  งื้อออฟินนน :hao6:  :mew4: :mew3:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชุดที่1 [17/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Lostmapb ที่ 17-10-2018 11:18:53
 :jul1: :jul1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชุดที่1 [17/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: TheWanFah ที่ 17-10-2018 15:02:20
ให้จินไปเจอครอบครัวของเคย์ก่อน
เลือดพุ่งอีกแล้วตอนนี้
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชุดที่1 [17/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: doubleu ที่ 17-10-2018 15:27:47
ทีมหมาโง่ จับน้องจินใส่ให้ครบทุกชุดในโฟโต้บุ๊คไปเลย  :impress2: :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชุดที่1 [17/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Piima ที่ 17-10-2018 20:38:25
แค่กๆๆ สำลักความสุขแทนคนทั้งคู่ค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชุดที่1 [17/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 17-10-2018 20:43:17
เราไม่เคยเบื่อน้องงงงง อยากแต่ตัวชุดต่อไปแล้ววว  :hao5:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชุดที่1 [17/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: mybear_sr ที่ 17-10-2018 20:52:28
อื้อหื้อ ใส่แล้วค่อยๆถอด... ขอเลือดค่าาาาา
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชุดที่1 [17/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 17-10-2018 21:19:35
แงๆๆไม่เอาดราม่านะคะนะๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชุดที่1 [17/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Quatree ที่ 17-10-2018 21:54:55
รอค้าาาาา :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชุดที่1 [17/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: manami1155 ที่ 17-10-2018 23:55:50
เปนแฟนกันแล้ววววฝ
ทีนี้ก้แซ่บๆบดๆเต็มทีเลยลูก
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชุดที่1 [17/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: กวังกีเมย์บี ที่ 23-10-2018 03:11:10
ดราม่าได้ต่อย่าเยอะน้าาาา
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชุดที่1 [17/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: MeiHT ที่ 25-10-2018 22:51:55
ขออนุญาตลบเพราะขัดกับเนื้อเรื่องหลักค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชุดที่2 [25/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: TheWanFah ที่ 25-10-2018 23:09:29
หมาโง่เจอดีแล้ว
ตามหาไอ้โรคจิตกันเถอะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชุดที่2 [25/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: didididia ที่ 26-10-2018 02:15:27
แซ่บทุกตอนเลยค่ะเลือดจะหมดตัวแล้ว

เจ้าหมาป่าในร่างโกลเด้นนี่ช่างดุเหลือเกิน :jul1:

ไอโรคจิตมันเป็นใคร!เรามาช่วยกันตามจับโรคจิตกันเถอะ//เกียมมีด
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชุดที่2 [25/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Janemera ที่ 26-10-2018 02:39:15
ต้องจัดการไอ้โรคจิตตตตต :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชุดที่2 [25/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 26-10-2018 13:53:54
เกิดอะไรขึ้น!!!
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชุดที่2 [25/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 26-10-2018 14:01:31
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชุดที่2 [25/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: MinorMa ที่ 27-10-2018 07:00:26
พระเอกโดนหมายหัวแล้ว​ น่ากลัวว
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชุดที่2 [25/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: yunnutjae ที่ 27-10-2018 09:14:38
ตัดฉับอารมณ์ด้วยโรคจิตเลยอะะะ  :katai1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชุดที่2 [25/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 27-10-2018 23:48:00
หมาโง่โดนเล่นแล้ว น้องจินไม่ปลอดภัยยยย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชุดที่2 [25/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 28-10-2018 21:48:08
 :z3: งานเข้าทั้งคู่เลย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชุดที่2 [25/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: MeiHT ที่ 29-10-2018 00:46:32
ขออนุญาตลบเพราะขัดกับเรื่องหลักค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชุดที่3 [29/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 29-10-2018 02:49:10
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชุดที่3 [29/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Janemera ที่ 29-10-2018 03:03:09
จับมันนนให้ได้บังอาจจจมาทำเจ้าหมาโง่ของน้องจินนนนน :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชุดที่3 [29/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 29-10-2018 07:51:18
เราว่าเราสงสัยกันต์อะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชุดที่3 [29/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 29-10-2018 13:41:56
 :katai1: :katai1: :katai1:
ใครทำเคย์

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชุดที่3 [29/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 29-10-2018 14:08:26
หืมมม  :katai1: อาจหนึ่งใน 3 คนนั้น หรือกันต์ หรือชัย.. แต่ไม่ๆ

ชัยน่าจะตัดออกได้เลย แต่ว่าใครกันนะ โรคจิต!
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชุดที่3 [29/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 29-10-2018 16:03:07
ลุ้น..นนนนนนน  :katai1: :katai1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชุดที่3 [29/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ongard25 ที่ 29-10-2018 18:53:33
เครียดแทนเลย มันคือใคร!! :fire: :fire:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชุดที่3 [29/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวโจร500 ที่ 29-10-2018 22:54:45
ทำไมฉันระแวงตากันต์เพื่อนน้องเคย์
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชุดที่3 [29/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Quatree ที่ 29-10-2018 23:02:22
ใครทำน้องงงง :m31:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชุดที่3 [29/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: yunnutjae ที่ 29-10-2018 23:14:23
กลัวจะเป็นคนใกล้ๆตัวอะ  :z3:
ลุ้นก็ลุ้นนะ แต่ก็ไม่อยากให้จบเลยยยยย  :ling1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชุดที่3 [29/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 30-10-2018 15:02:52
ลุ้นๆๆๆๆๆ เจ้าหมาโง่อย่าเปนไรน้าาาา รับกลับมาแฮ่กหนูจินเร้ววว
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชุดที่3 [29/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 30-10-2018 19:50:02
เราสงสัยว่าคนนั้นจะเป็นกันต์  :z3:
ไม่อยากให้น้องจบเลยค่ะ ใครจะมาแต่งตัวให้เราดูอีกกก  :hao5:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชุดที่3 [29/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Ti0590 ที่ 30-10-2018 21:39:19
คิดว่าน่าจะเป็นกันต์เนี่ยแหล่ะ​  - *-
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชุดที่3 [29/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: manami1155 ที่ 30-10-2018 23:01:13
ลูกหมาโดนลอบกัดแล้ว
หนูจินไปดูใจเร็วเข้า
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชุดที่3 [29/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 31-10-2018 02:46:52
แอบสงสัยกันต์แหะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชุดที่3 [29/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CLShunny ที่ 31-10-2018 09:50:56
กันรึป่าวววววววววววววววววว
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชุดที่3 [29/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: whistle ที่ 31-10-2018 10:55:33
คงไม่ใช่กันต์นะ.......
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ชุดที่3 [29/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: MeiHT ที่ 01-11-2018 16:32:35
Special : Halloween

ผมหยิบการ์ดเชิญสีดำลายฟักทองกับผีโยนใส่คนที่นอนดูอนิเมอยู่บนเตียง

“งานฮัลโลวีนของคนคอสเพลย์ มึงได้รับเชิญด้วยน่ะ ที่ไปช่วยจัดคิววันนั้นน่ะ” ผมพูดถึงวันที่ตัวผมไปขายโฟโต้บุ๊ค งานฮัลโลวีนที่พวกสตาฟจัดขึ้นจริงๆถึงจะบอกว่าเป็นงานแต้งกิ้วปาร์ตี้ แต่จริงๆแล้วคือมีตติ้งขำขันกันนั่นแหละ

“…ต้องไปด้วยเหรอ” มันทำหน้ายู่ “กลัวอึดอัดอ่ะ กูไม่ได้รู้จักใครสักหน่อย”

“เพื่อนๆกูเขารบเร้าให้ชวนมึงมาด้วย” ผมมองเพดานก่อนจะบอกออกมาลอยๆ “แล้วกูก็จะแต่งตัวเข้าธีมฮัลโลวีนด้วยน่ะ”

“ไป! ไปด้วยคน!”

เสียงตอบตกลงดังทันควันมาตามคาดทำให้ผมถอนหายใจ หลับตาลง

นี่ผมคิดผิดหรือเปล่าที่ตอบตกลงเป็นแฟนกับคนอย่างนี้


เคย์ part

พวกเรามาถึงที่งานก่อนเวลาหนึ่งทุ่ม จินหายไปในห้องแต่งตัว ทิ้งผมอยู่กับกลุ่มคนที่ไม่รู้จัก ก่อนที่ใครสักคนที่ผมจำได้ว่าเห็นในงานคอสเพลย์จะเดินมาลากตัวผม

“เราขาดคนอยู่พอดี เออ คืองานเราจัดกิจกรรมด้วยน่ะ แฟนจินใช่มั้ย ฝากไปเฝ้าห้องโบสถ์ที” ข้อมูลไหลจากปากเธออย่างรวดเร็วจนผมงง

“เออ…อะไรน่ะครับ”

“อ่า โทษที คืองานเรามีรางวัลใหญ่สำหรับคนที่ตามหาลูกอมฟักทองกับคำใบ้แล้วเอามาตอบคำถามได้อ่ะ ที่เธอต้องทำคือเฝ้าห้องห้องหนึ่ง สวมบทบาทเป็นบาทหลวงและถ้าใครผ่านก็ให้คำใบ้กับเขาไป”

ผมตกใจ แหงล่ะ มางานอยู่ดีๆกะจะกินให้พุงกาง อยู่ดีๆก็มีคนมาลากไปทำโน้นทำนี่ทั้งๆที่ไม่รู้จักใครเลย จะไม่ให้ตกใจได้ยังไงล่ะ

“เออ ผมคงทำไม่ได้หรอกครับ” ผมปฏิเสธ ขืนตัวจากการจับกุมของแม่คุณ ก่อนที่คุณเธอจะหมุนตัวกลับมาน้ำตาคลอเบ้า

“ช่วยฉันหน่อยเถอะน่ะ สตาฟมันไม่พอจริงๆ”

อึก…บ้าเอ๊ย ผมโคตรแพ้น้ำตาเลย

สุดท้ายผมก็พยักหน้าอย่างฝืนๆก่อนที่คุณเธอจะร่าเริงเหมือนไม่เคยมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นมาก่อน และลากผมไปยังห้องที่ตกแต่งคล้ายโบถส์

ผมกวาดสายตามองรอบห้อง ตอนนี้ผมเปลี่ยนชุดเป็นชุดบาทหลวงเรียบร้อยแล้วครับ แถมยังโดนเสยผมขึ้น ใช้เจลแต่งผมจนผมแข็งไปหมด แต่ดีน่ะที่มันเป็นบาทหลวงแบบโมเดิร์น เป็นเสื้อเชิ้ตกางเกงแสลคสีดำ ซึ่งตัวเสื้อมีคอปกตั้งๆแบบบาทหลวงที่เห็นกันในหนัง และที่คอผมมีผ้าสีม่วงพาด

เหมือนในหนังสุดๆ

ผมมองภาพตัวเองในกระจกด้วยความตื่นเต้น อดเข้าใจความรู้สึกของจินไม่ได้ เวลาได้เห็นตัวเองแต่งตัวแปลกๆแล้วมันชวนให้ตื่นเต้นจริงๆแหะ

อ่า…พูดถึงจิน…อยากเห็นชุดที่แต่งมากเลย

ผมกัดฟันอย่างเจ็บปวด

อุตส่าห์ถ่อมาถึงที่นี่เพื่อจะมองแฟนในธีมฮัลโลวีนให้เต็มสองตาแท้ๆ อยากรู้ชะมัดว่าจะแต่งตัวแบบไหน จะเป็นแม่มดน้อยหรือมัมมี่ที่มีเพียงผ้าคาดตามตัวกันน่ะ อ่า…ถ้าเป็นอย่างนั้นผมหิ้วเขากลับบ้านแน่ แต่ถ้าเป็นชุดหมาป่าก็ไม่เลว ใช่แล้วๆ มีหางน้องหมานี่คงสุดยอดไปเลย หรือจะเป็นชุดแคทวูแมน อยากโดนจินใส่ส้นสูงแล้วเหยียบผมชะมัด

เจ้าภัยสังคมเอ๊ย

ผมเขกกะโหลกตัวเองครั้งนึง เอาตัวเองกลับมาอยู่ปัจจุบัน มีคนคอสเพลย์ชุดต่างๆเข้ามาเรื่อยๆ มาขอคำใบ้จากผม และเนื่องจากไกด์คู่มือที่คุณสตาฟให้มาบอกให้ผมให้คำใบ้ยากๆ ผมเลยบอกให้สวดอิติปิโสสิบจบแล้วผมค่อยเฉลย

แต่อดทึ่งกับความเล่นใหญ่ของสตาฟงานนี้ไม่ได้ แต่งห้องเสียเหมือนยังไม่พอ ยังมีตู้สารภาพบาปตั้งไว้อีกต่างหาก ช่างลงทุนเสียจริง

กางหนังสือคู่มือไกด์แก้เบื่อได้ไม่นาน ประตูห้องก็ถูกเปิดอีกครั้ง ผมยิ้มอ่อนโยน(ตามที่คู่มือคุณไกด์บอก)ก่อนจะกล่าวทักทาย(ด้วยประโยคเลี่ยนๆที่เขียนไว้ในคู่มืออีกเช่นกัน)

“เชิญเข้ามาเลยเหล่าลูกแกะหลงทาง”

ก่อนที่จะชะงักค้างเมื่อเห็นคนที่เข้ามาใหม่ คนตัวเล็กที่เดินเข้ามาในชุดเดวิลนั่น

แม่ครับ…ฝังศพผมได้เลยผมตายตาหลับแล้ว

จินในชุดเสื้อไหมพรมสีดำตัวดังที่ปิดเพียงด้านหน้าและเปิดเปลือยแผ่นหลังเปลือยเปล่าซึ่งมีปีกเดวิลสีดำที่ดูอย่างไรก็เหมือนของจริงมากๆงอกออกมาจากหลัง คนตัวเล็กใส่กางเกงหนังขาสั้นสีดำซึ่งมีหางเดวิลงอกออกมา ที่ศีรษะคาดที่คาดผมเขาเดวิลสีแดงไว้

ผมยกมือขึ้นกุมจมูกอัตโนมัติเพื่อเช็คว่ามีเลือดกำเดาไหลหรือเปล่า

“เอ้า เอาคำใบ้มาได้แล้ว” จินยกสามง่ามในมือเคาะหัวผม

ผมกลืนน้ำลายเอื๊อกมองความขาวที่เข้ามาประชิดตัว ก่อนจะเปล่งเสียงสั่นๆไป

“คุณพ่อบอกคำใบ้กับคนบาปไม่ได้หรอก ยกเว้นก็แต่จะสารภาพบาปเสร็จเรียบร้อยแล้ว”

จินชักสีหน้าขึ้นมาแวบหนึ่งตามสไตล์คนขี้โมโห

“สารภาพ?...ให้สารภาพยังไงล่ะ”

ผมยกยิ้มมุมปาก สารพัดวิธีเล่นกับเดวิลตัวน้อยผุดขึ้นมาในหัวเป็นฉากๆ

จะแกล้งจนร้องไห้ไปเลย


“สารภาพบาปให้จริงใจกว่านี้อีกหน่อยสิ” ผมบอกคนที่ซุกหน้าอยู่กับเป้ากางเกงผม มือนุ่มๆนั้นชักรูดความเป็นชายของผมไปมาไม่สัมพันธ์กับตาเฉียวๆที่มองผมขวางๆนั้นเลย

“ไม่ดีคุณพ่อก็บอกคำใบ้ไม่ได้หรอกน่ะ”

จินค่อยๆเริ่มไล่เลีย เม้มแค่ส่วนหัวแล้วใช้ปลายลิ้นตวัดเลียเบาๆ ก่อนจะส่งทั้งท่อนเข้าไปในโพรงปาก ผมสูดปากด้วยความเสียวกระสัน ในปากของจินยังคงอ่อนนุ่มและร้อนจัดจนทำให้รู้สึกดีเหมือนเคย

คนตัวเล็กดูดจนแก้มตอบพอๆกับผมที่จับท้ายทอยเขาดันเข้ามาจนใบหน้าเขาชิดโคนขาผม จินตีขาผมใหญ่ก่อนที่เขาจะปล่อยแล้วไอค่อกแค่ก

“ลึกไปแล้ว!” เขาแหวเสียงสั่น

“โทษที” ผมยิ้มแหะๆให้ “เร็ว กำลังรู้สึกดีเลย อีกนิดอาจจะบอกคำใบ้ก็ได้น่ะ”

เขาคุกเข่า ค่อยๆอ้าปากรับตัวตนของผมเข้าไปอีกครั้ง โยกหัวเข้าออกพร้อมๆกับใช้ลิ้นตวัดเลียทั่วท่อน ผมไม่ปล่อยให้เขาเล่นกับผมนาน หลังจากทนไม่ได้ ผมก็จับใบหน้าเขาให้อยู่นิ่งๆ สวนสะโพกเข้าเอียงๆจนกระพุ้งแก้มเขาถูกดันด้วยส่วนนั้นของผมจนนูนออก ผมระวังไม่ให้ตรงนั้นของผมล้วงลึกเข้าคอเขา เมื่อจับจังหวะได้แล้วจึงสวนเข้าออกถี่ๆจนกระทั่งเกือบปลดปล่อย

แกร๊ก!

เสียงประตูด้านหน้าเปิดทำเอาผมรีบถอนตัวออก อุ้มจินขึ้นและตรงไปเปิดตู้สารภาพบาปฝั่งซ้ายมือ พาตัวเองและเขาเข้าไปอยู่ในนั้น โชคดีที่ประตูติดขัดเล็กน้อย คนเข้ามาใหม่จึงต้องเปิดอยู่สองสามรอบจึงจะเปิดได้ ถึงตอนที่เขาเปิดแล้วผมก็ยืนซ้อนหลังจินในตู้สารภาพบาปทันท่วงที

“อ้าว คนใบ้หายไปไหนหว่า” เสียงเดินเข้ามาในห้องดังขึ้นในขณะที่ตัวผมจับสะโพกจินอย่างร้อนรน ปลดกางเกงหนังของเขาไปกองไว้ที่ขา

“แยกขาหน่อย” ผมกระซิบ แต่คนตัวเล็กส่ายหน้า

“ตอนนี้ไม่ได้” เขากระซิบตอบ ผมจึงเตะขาเขาเบาๆให้ขาเขาแยกออก จินเอื้อมมือมาข้างหลังหยิกขาผมเป็นการประท้วงแต่ผมไม่สนใจ ตอนนี้ร่างกายร้อนไปหมดจนรอไม่ไหวแล้ว

ผมใช้นิ้วเบิกทางให้เขา คว้านข้างในตัวจินจนพบจุดประจำที่ทำให้คนตัวเล็กบิดเร่าด้วยความกระสัน ผมกดย้ำซ้ำๆ ตัวเขาค่อยๆโค้งแอ่นจนทำให้เห็นแผ่นหลังกับปีกชัดขึ้นกว่าเดิม

เมื่อคิดว่าได้ที่แล้วผมก็กระทุ้งเข้าไปในตัวเขาอย่างแรงจนจินเกือบกรีดร้อง ถ้าไม่เพราะว่าผมเอื้อมมือไปอุดปากเขาก่อน เราน่าจะได้อับอายกันไปแล้ว ข้างในตัวจินบีบรัดผมแรงกว่าเคยด้วยความตื่นเต้น เขากัดฝ่ามือผมเบาๆเพื่อป้องกันไม่ให้เสียงเล็ดรอดออกไป

“อ้าว งี้ก็หาคำใบ้ไม่ได้ดิ” คนข้างนอกยังไม่ออกไปไหน แต่ผมจะไม่ทนจนกว่าเขาจะออกไปหรอก ตัวผมค่อยๆสวนสะโพกเข้าออก ท่อนลำซึ่งชุ่มด้วยสารคัดหลั่งจากร่างกายของพวกเราแทรกเข้าไปในก้นของคนตัวเล็กอย่างจาบจ้วง จินยันมือกับผนังตู้สารภาพบาป ร่างกายแอ่นโค้งกับสีหน้าบ่งบอกว่าตัวเขาเองก็ตื่นเต้นกับสถานการณ์นี้ไม่ต่างกัน

“เฮ้ย หรือว่าจะอยู่ในตู้นั้น”

ภายในจินรัดแน่นขึ้น เขาหันมาหาผมอย่างร้อนรน แต่ผมหยุดไม่ได้แล้ว ผมยังคงสาวเข้าออกอย่างหน้ามืดจนเกิดเสียงสวบสาบของการเสียดสีจากร่างกาย มือขย้ำบั้นท้ายกลมกลึงของอีกฝ่ายไม่หยุด

แอ๊ด!

โชคดีที่คนข้างนอกเปิดประตูฝั่งขวา ผมแช่ตัวค้างไว้ มืออุดปากจินให้เงียบ ก่อนที่คนข้างนอกจะปิดประตูลงและถอนใจกับการค้นหา จากนั้นผมได้ยินพวกเขาเปิดประตูและเดินออกไป

พั่บ! พั่บ! พั่บ!

ทันทีที่เสียงประตูปิดแล้วผมก็ถอนตัวออกเกือบสุดแล้วกระแทกเข้าไปใหม่อย่างแรงจนเสียงเนื้อกระทบเนื้อดังก้องทั่วตู้ ผมกระแทกตัวตนเข้าไปไม่หยุดพร้อมๆกับที่ชักรูดส่วนนั้นของจิน

“อ่า…อือ….ไม่ไหว จะเสร็จแล้ว” คนตัวเล็กกรีดร้องเมื่อปลดปล่อยน้ำสีขาวขุ่นออกมา ผมเองก็กระทุ้งเข้าไปในตัวเขาแรงๆอีกไม่กี่ครั้งก่อนจะปลดปล่อยออกมาตามกัน

เสร็จแล้วผมก็จับตัวเขาหันมา จูบซับน้ำตาก่อนจะบอกคำใบ้

“คำใบ้คือ…ลูกแกะ17ตัว เก่งมากปีศาจน้อยของผม”


“ฉันควรถามมั้ยว่านายหายไปไหน”

แม่คุณสตาฟที่ลากผมมาช่วยงานหรี่ตามองผมที่ประคองจินออกมาจากในห้อง

“เออ…ไม่ควรครับ” ผมหัวเราะแหะๆก่อนที่เธอจะส่ายหน้า

“เออ ช่างมันเถอะ เกมจบแล้ว คุณเรนทายได้คนแรก อย่าลืมกลับมานั่งสังสรรค์กันต่อล่ะ”

ผมพยักหน้าแล้วพาพวกเราไปจัดการให้เรียบร้อย ระหว่างที่กำลังเช็ดหน้าเช็ดตาให้คนตัวเล็กผมก็สะดุ้งเมื่อเห็นเขากัดฟันทำหน้าตาน่ากลัว

“เรนไปที่ห้องนั้นแล้วได้คำใบ้มาแล้วเหรอ”

“…ใครอ่ะ” ผมยิ้มเอาอกเอาใจเขาทั้งๆที่จำร่างอรชรนั้นได้แม่นทีเดียว เพราะเป็นคนเดียวกับที่จินสั่งให้เอาทวิตทุกอันมานั่งรีพอร์ตทวิตของคนคนนั้น สายแทรปซึ่งเป็นศัตรูกับแฟนผมมาตั้งแต่ช่วงคอสใหม่ๆ

“หมอนั่นทำอะไรนายหรือเปล่า” จินถามไม่หยุด ส่วนผมก็ได้แต่เหงื่อแตกพลั่กๆเพราะโดนอีกฝ่ายลวนลามจริงๆระหว่างที่อยู่ในห้องนั้น เขาเข้ามาประชิดตัวผมก่อนจะบีบเป้าผมจนผมตกใจวิ่งไปหลบในตู้สารภาพบาป แต่ฝ่ายนั้นก็ตามมาเปิดตู้(ซึ่งผมดันไว้ด้วยแรงทั้งหมดที่มี) ก่อนจะขู่ว่าถ้าไม่บอกคำใบ้จะไม่ยอมออกไป

น่ากลัว…คนคนนั้นตัวเท่าๆจินแต่โคตรน่ากลัวเลย

“ปะ…เราออกไปข้างนอกดีกว่าเนอะ” ผมฉีกยิ้มและก็หิ้วปีกคนที่โวยวายไม่หยุดออกมาในงาน

จินนั่งหน้ายู่มองร่างผอมสูงที่เดินขึ้นไปรับถ้วยรางวัล เรนฉีกยิ้มในขณะที่เดินเฉียดผม เขายกยิ้มใช้ปลายนิ้วลูบไล้แผ่นอกใต้เสื้อเชิ้ตของผม ผมขนลุกเกรียวจนสะดุ้งเฮือก ตัวแข็งทื่อ

เขาหันไปมองหน้าจินก่อนจะบอกว่า

“เป้าแฟนนายแน่นดีน่ะ”

คนตัวเล็กเบิกตากว้าง ก่อนจะหรี่ตาอย่างดุร้าย

“ไปห่างๆเขา ไม่มีปัญญาหาแฟนเองรึไง อ้อออ ลืมไป ผมลืมว่าไม่มีใครทนคนปากเสียแถมยังนิสัยห่วยแตกอย่างนายได้นี่นา” จินยิ้มเยาะ

“ถ้าผมปากเสีย นายมันก็ไอ้เตี้ยฟอลโลว์น้อยนั่นแหละ”

เปรี๊ยะ!

ผมเห็นไฟในตาทั้งสองคนตีกัน ก่อนที่เรนจะสะบัดหน้ากลับไปนั่งที่โต๊ะ

คนตัวเล็กกัดฟันกรอดๆ ลุกขึ้นจากเก้าอี้มาทิ้งตัวลงบนตักผม สองแขนเอื้อมมือกอดคอผมแสดงความเป็นเจ้าของ

ผมสะดุ้ง เหลือบมองรอบกายเล็กน้อย แต่ไม่มีใครสนใจเราสักคน เหมือนกับเป็นเรื่องปกติธรรมดา

“กลับไปนายโดนแน่ ไอ้หมาโง่! เขาเข้ามาลวนลามทำไมไม่ถีบแม่งซะเลยล่ะ” จินยกนิ้วขึ้นจิ้มหน้าผากผมแรงๆ

ผมยกมือขึ้นลูบหน้าผากป้อยๆ ก้มลงจุ๊บปากเขาเบาๆแล้วยกแขนขึ้นกระชับเอวอีกฝ่าย

คืนนี้สงสัยผมจะต้องรีบกลับไปง้อคุณปีศาจตัวน้อยเสียแล้ว


ส่งท้าย
จิน part

ผมไม่เข้าใจ

ไม่เข้าใจจริงๆ

เจ้าหมาโง่ตัวโตนั้นมีอะไรดีนักหนาคนถึงได้เข้าไปคุยกับเขาเรื่อยๆ ก็แค่ออลแบล็ค เสื้อเชิ้ตสีดำกางเกงแสลค ไหล่กว้างเหยียดตรง แผ่นอกเรียบตึง แค่ตัวสูง แค่ดูสมาร์ทมากๆในชุดบาทหลวงนั้น แค่…

“หึงเหรอจ้ะกิ้วๆ” เสียงหยอกล้อจากเพื่อนดังข้างหูผม

“ใครหึง!” ผมหันกลับไปสวนทันควัน หยิบเอาแก้วน้ำพันช์จากมือเธอมาดื่ม

“ว้า แฟนเธอนี่หล่อสุดยอดไปเลย ยิ่งเสยผมยิ่งหล่อสุดยอดไปเลย หุ่นก็ดี น่าเอามาคอสจริงๆ”

“เงียบปากไปเลย” ผมพูดอย่างหงุดหงิดก่อนจะได้รับเสียงแซวจากคนรอบข้าง

“ขี้หึงน่ะจินเนี่ย”

“ก็แหงล่ะ น่าจะเป็นแฟนคนแรกและคนเดียวของเจ้าเตี้ยนี่ มีใครในโลกจะทนมันได้อีกเหรอ” เรน

อ่า…ไอ้ฟัคนี่ ไอ้ฟัคที่เหมือนโคลนของผมเป๊ะ รูปร่างหน้าตานิสัยและสเป็คคน เหมือนผมทุกอย่างจนหงุดหงิด แถมยังเป็นคนที่ตั้งแต่งานคอสก็เข้ามากระซิบบอกว่าสนใจเคย์ แถมบอกว่าจะแย่งไปอีก 

ผมหันกลับไปชูนิ้วกลางในเรน(ซึ่งเป็นนามแฝงในวงการคอสของเขา)ก่อนจะสาวเท้ายาวๆเข้าไปหาคนที่กำลังยืนหัวเราะกับเพื่อนนักคอสของผม จับท้ายทอยอีกฝ่ายดึงลงมาประสานจูบ แลกเปลี่ยนรสน้ำพันช์ในปากของผม

ได้ยินเสียงโห่ร้องแซวจากคนรอบข้าง

ผมยกยิ้ม พอใจกับการแสดงความเป็นเจ้าของต่อหน้าคนเยอะๆแบบนี้ เกี่ยวคอเขาลงมาจูบอีกรอบ ช่างคุ้มค่ากับที่พยายามล่อลวงเขาเข้ามาในสังคมประหลาดๆของผมจริงๆ
---------------------------------------------------------------------------------------

คลบาปปปป พยายามปั่นตั้งแต่เมื่อวานแล้วแต่แรคเปิดเลยเล่นแรคก่อน 5555555555555555555
นี่ชอบสังคมเด็กคอสเพราะเท่าที่สัมผัสมาค่อนข้างเปิดกว้างน่าดู
แวบไปเล่นแรคต่อก่อนนะคะ อิส
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : special Halloween [1/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Janemera ที่ 01-11-2018 17:06:02
สงสารเจ้าหมาโง่จังงงง อิอิ :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : special Halloween [1/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Kx0806 ที่ 01-11-2018 17:48:38
 :haun4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : special Halloween [1/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 01-11-2018 18:47:57
ตื่นเต้นแทนเลยอ่ะ   :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : special Halloween [1/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CLShunny ที่ 01-11-2018 21:07:42
ไม่ดีต่อใจไม่ใช่เคย์55555
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : special Halloween [1/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: manami1155 ที่ 01-11-2018 23:14:22
นุ้งจินลูกกกกกก
เคย์หื่นมากกกกกกกก
ลูกจินจะช้ำหมดแล้ว
ว่าแต่นอกสถานที่แบบนี้ก้เร้าใจอยู่นา
อิอิ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : special Halloween [1/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 01-11-2018 23:51:58
 :hao6: ชอบๆๆๆน้องจินรู้กกกกกกกก
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : special Halloween [1/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 02-11-2018 01:56:29
เจ้าหมาาา
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : special Halloween [1/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ongard25 ที่ 02-11-2018 07:56:13
เราหวงแผนอกอันเปล่าเปลือยของจิน อ๊ากกกก :katai1: :katai1: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : special Halloween [1/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: yunnutjae ที่ 02-11-2018 15:45:25
 :jul1: :jul1: :jul1:  :hao6: :hao6: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : special Halloween [1/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 02-11-2018 17:06:33
กรี๊ดดดด   :jul1: พาร่างอันโชกเลือดกลับห้อง เหิก
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : special Halloween [1/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 03-11-2018 03:21:07
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : special Halloween [1/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: MeiHT ที่ 03-11-2018 12:31:41
ขออนุญาตลบออกเพราะขัดกับเรื่องหลักค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : จบเรื่องโรคจิต+ประกาศสำคัญค่ะ [3/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 03-11-2018 13:41:33
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : จบเรื่องโรคจิต+ประกาศสำคัญค่ะ [3/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 03-11-2018 15:30:04
น้องจินคือแซ่บนัวมากค่ะ  แซ่บทุกชุดไม่มีชุดก็แซ่บ 5555
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : จบเรื่องโรคจิต+ประกาศสำคัญค่ะ [3/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 03-11-2018 16:24:47
ขอบคุณมากนะคะทุกชุดของน้องทำเอาเจ้าเคย์ไปไม่เป็นเลยหมาโง่ของเรา
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : จบเรื่องโรคจิต+ประกาศสำคัญค่ะ [3/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Kx0806 ที่ 03-11-2018 17:08:28
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : จบเรื่องโรคจิต+ประกาศสำคัญค่ะ [3/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 03-11-2018 19:28:05
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : จบเรื่องโรคจิต+ประกาศสำคัญค่ะ [3/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: yunnutjae ที่ 03-11-2018 20:20:32
ขอบคุณไรท์เช่นกันค่ะ น้องจินนี่แซ่บจริงๆ  o13
ถ้ามีโอกาสก็มีตอนพิเศษๆ มาในช่วงเทศกาลอะไรงี้ก็ได้นะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : จบเรื่องโรคจิต+ประกาศสำคัญค่ะ [3/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ongard25 ที่ 03-11-2018 22:02:11
สรุปคือมันจบแล้วเหรอคะ เสียดาย... แต่ถ้ามีเป็นเรื่องยาวก็ดีคะ จะติดตามอ่านนะคะ ชอบบบบบ  :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : จบเรื่องโรคจิต+ประกาศสำคัญค่ะ [3/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CLShunny ที่ 04-11-2018 08:58:26
เป้นที่มาของคนไว้ใจร้ายที่สุดงี้ป่ะ5555
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : จบเรื่องโรคจิต+ประกาศสำคัญค่ะ [3/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 04-11-2018 14:25:53
เราจะรอนะคะ ยังมีอีกหลายชุดที่อยากให้น้องแต่งให้ดู  :hao7:  :mew1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : จบเรื่องโรคจิต+ประกาศสำคัญค่ะ [3/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 04-11-2018 16:22:51
พีคไปหมดด  :m20: แต่ฮาตรงจินสติแตกวิ่งเข้าหานพนี่แหละ  :laugh:

งานนี้ต้องรีบขอโทษกันต์อย่างไวเลยที่เคยคิดว่าคือโรคจิตคนนั้น
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : จบเรื่องโรคจิต+ประกาศสำคัญค่ะ [3/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: sripaerrr ที่ 06-11-2018 03:27:47
ตอนแรกไม่เข้าใจคำว่าสายแทรป พอเสิร์จหาเท่านั้นแหละ วู้วววววว รอเรื่องยาวเลยค่าาาา
ชอบจินนนน น้องเป็นตัวเองแม้ใครจะไม่เข้าใจไม่พอน้องยังทำให้เคย์กล้าที่จะเป็นตัวเอง ไม่ต้องสนใจสายตาใคร ใช้ปากร้ายปกป้องได้ทันทีที่มีใครมาแตะต้องคนของตัวเอง เรางี้อู้ววววเลยค่ะ
ความชอบคือความชอบ รสนิยมส่วนตัวคือรสนิยมส่วนตัว บอกเราได้อย่างนึงคือเราควรให้เกียรติกัน ควรรู้และจำไว้ว่ามันไม่ใช่เรื่องของตัวเอง อย่าตัดสินกันง่ายดายขนาดนั้นเพราะไม่เข้าใจ รักนะคะ เป็นกำลังใจให้ในชุดต่อไป :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : จบเรื่องโรคจิต+ประกาศสำคัญค่ะ [3/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: drasil ที่ 06-11-2018 13:54:35
ยังอยากอ่านอีกหลายชุดเลยเหมือนกัน ปีหน้าก็รอค่าา

ป.ล.อยากเห็นน้องในส้นสูงสีแดงง
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : จบเรื่องโรคจิต+ประกาศสำคัญค่ะ [3/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: skies ที่ 06-11-2018 22:33:23
เฮ้อ จบสักที เสียเวลาสวีทน้องหมด!
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : จบเรื่องโรคจิต+ประกาศสำคัญค่ะ [3/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: van16 ที่ 08-11-2018 21:42:35
สนุกมากๆ บรรยายเห็นภาพ น้องจินน่ารักมากๆ  :กอด1:
หมาโง่ก็น่ารัก หื่นด้วย  :laugh:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : จบเรื่องโรคจิต+ประกาศสำคัญค่ะ [3/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ursleepingxd ที่ 10-11-2018 14:49:20
สนุกมากๆเลยค่ะ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ

เราจะรอการกลับมาของน้องและหมาโง่น้าาา  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : จบเรื่องโรคจิต+ประกาศสำคัญค่ะ [3/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: whistle ที่ 11-11-2018 03:10:42
อ่าาา.....เสียดายอ่ะ
รอชุดอื่นๆอยู่..... กับอยากรู้ว่าพ่อของจินเป็นใคร.......
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : จบเรื่องโรคจิต+ประกาศสำคัญค่ะ [3/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: มะยองมะแยง ที่ 14-11-2018 12:03:55
ขอบคุณสำหรับนิยายค่า :mew1: รออ่านน้องจินอีกหลายๆชุดนะคะ ปีหน้าเรารอได้ :hao5:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : REST
เริ่มหัวข้อโดย: Stmmltww ที่ 20-11-2018 14:37:00
รอชุดคำตำหนวดค่า55555 :hao7:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : REST
เริ่มหัวข้อโดย: MeiHT ที่ 25-11-2018 21:07:15
บทที่ 1 :

   กฎงี่เง่า

   และหอนี่ก็เฮงซวยมากๆ

   ผมแทบสบถเมื่อเพิ่งรู้ตัวว่าต้องมีรูมเมทอาศัยอยู่ในห้องด้วย อาจเพราะช่วงปิดเทอมที่ผ่านมาผมค่อนข้างยุ่งกับการทำเรื่องต่างๆและใช้เวลาเที่ยวต่างประเทศนานจนลืมไปว่ายังต้องหาหอใกล้มหาลัย จนกระทั่งเท้าแตะพื้นดินที่ไทยก็เป็นช่วงที่มหาลัยใกล้เปิดแล้วและหอนอกก็เต็มหมด สิ่งที่ผมทำได้มีเพียงแค่การลงชื่อในหอใน ซึ่งนั่นทำให้ผมต้องมาติดแหงกในห้องสี่เหลี่ยมที่ไม่นานจะมีรูมเมทของผมย้ายเข้ามาอยู่ด้วย

   นี่มันจะกลายเป็นรูหนูแคบๆ ที่มีหนูสองตัวอาศัยอยู่ที่นี่

   ผมไม่ได้เกลียดการอยู่ร่วมกับคนอื่น แต่แน่นอนว่าต้องไม่ใช่การอยู่ร่วมกัน 24 ชั่วโมง ผมชินกับการอยู่คนเดียวมากเกินกว่าจะมีคนร่วมห้องแล้ว ดังนั้นตอนนี้ที่ผมทำได้มีเพียงการหวังว่ารูมเมทของผมจะไม่อยู่ในห้องบ่อยนัก

   ผมเลือกตู้เสื้อผ้าของตัวเองซึ่งเป็นตู้ที่ติดกำแพง และเลือกนอนเตียงด้านใน ถึงแม้ว่าเตียงมันจะติดกันและไม่มีความหมายอะไรก็เถอะ ผมภาวนาอย่างแรงกล้าขอให้คนที่เดินผ่านเข้าประตูนั่นมาเป็นพวกที่เว้นช่องว่างให้คนอื่นและไม่ขี้เจ๊าะแจ๊ะ
หลังจากเอนตัวลงนอนได้ไม่นาน ประตูก็มีเสียงกุกกัก จากนั้นผู้มาใหม่ก็เดินเข้ามาในห้อง

   ผมเหลือบตามองเขา กล่าวทักทายเบาๆ

   “สวัสดีครับ”

   “อ่า…สวัสดีครับ” เขาชะงักไปเล็กน้อยก่อนก็ตอบกลับมา คงจะตกใจที่มีคนนอนเอกเขนกอยู่ในห้องเรียบร้อยแล้ว
รูมเมทผมเป็นผู้ชายรูปร่างใหญ่เหมือนคนเล่นกีฬาเป็นประจำ กล้ามเนื้อเรียงตัวสวย แผ่นอกเรียบตึงไหล่กว้าง ดูท่าว่าจะสูงเฉียด 190เซนติเมตร

   หน้าตาเขาค่อนข้างดีทีเดียว จะว่ายังไงดีล่ะ…เป็นเหมือนคนประเภทนั้น พวกนักเรียนหลังห้องที่มักจะโดดเรียนบ่อยๆและเปลี่ยนแฟนเป็นว่าเล่น เหมือนคนที่มักจะอยู่ในร้านเหล้า ชอบปาร์ตี้และแลกเปลี่ยนเบอร์โทรกับผู้หญิง

   ผมสังเกตหน้าตาคมๆของเขา ผมจัดทรงแฟชั่นแบบที่น่าจะใช้เวลาเซ็ตอยู่นานในตอนเช้าแต่กลับทำได้ดูธรรมชาติสุดๆเหมือนกับว่าทำจนชิน ดูไม่ประดักประเดิดเหมือนคนที่เพิ่งเรียนรู้วิธีการดูแลตัวเองใหม่ๆ คิ้วเฉียงๆนั่นทำให้เขาดูเหมือนคนจริงจัง ปากสีคล้ำเหมือนคนสูบบุหรี่และหูที่เจาะตุ้มหู4รูนั่นบ่งบอกได้ว่าเขามีความเป็นขบถในตัวเอง

   ดูเหมือนผมจะโชคดีได้รูมเมทที่ไม่ค่อยอยู่ห้องเสียแล้ว หลังจากอาทิตย์นี้เดาได้เลยว่าเขาอาจจะเริ่มออกไปข้างนอกห้องบ่อยๆเพื่อสังสรรค์ และเพราะกฎของหอในที่กลับช้ากว่าเที่ยงคืนไม่ได้ บางทีเขาอาจจะไปค้างหอเพื่อนหรือไม่ก็หอแฟนบ่อยๆ

   เท่ากับว่าห้องเป็นของผมแล้ว

   เขาลากกระเป๋าใบใหญ่เข้ามาในห้อง ยิ้มแห้งๆให้ผมก่อนจะหันไปจัดการเอาของเก็บเข้าตู้เสื้อผ้าด้านที่ว่าง โชคดีที่รูมเมทของผมไม่ได้ทักทวงอะไรเรื่องการเลือกที่ก่อน

   “เราชื่อจิน แล้วนายชื่ออะไรล่ะ” ผมเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาก่อน อย่างไรซะ จนกว่าผมจะหาที่อยู่ใหม่ได้ก็ควรจะทำความรู้จักกับเขาเสียหน่อย

   รูมเมทของผมหันมาหา ยิ้มที่มุมปากเหมือนคนโดนบังคับให้ยิ้มก่อนจะตอบว่า

   “ผมชื่อเคย์ครับ เรียนนิติ”

   “อ้อ เราเรียนบัญชีน่ะ”

   “ครับ…”

   อึดอัดเป็นบ้า…

   ผมพยายามเมินความรู้สึกอึดอัดที่แผ่กระจายไปทั่วห้องด้วยการหยิบมือถือขึ้นมาเข้าสู่โลกส่วนตัว อีกฝ่ายเห็นดังนั้นจึงจัดของต่อไปโดยที่ไม่ได้รบกวนอะไรผมอีก เป็นการรู้กันว่าเราจะไม่ต่อบทสนทนากัน
 
        ผมกดเข้าแอพสีฟ้าที่เด้งการแจ้งเตือนมากมาย

   อ่า..ลืมบอกไป

   ผมเป็นคอสเพลเยอร์

   ไม่ใช่คอสเพลเยอร์ธรรมดา ผมเป็นสายแทรปด้วย

   สายแทรปคืออะไรเหรอ? ก็คือผู้ชายที่แต่งตัวเป็นผู้หญิงเนียนจนไม่มีใครคิดว่าเป็นผู้ชายยังไงล่ะ

   ไม่พอ ผมค่อนข้างลงรูปวาบหวิวเน้นรูปร่าง โครงผมเป็นคนตัวเล็ก กระดูกเล็กและผอม บวกกับส่วนสูง170เซนติเมตร นั่นทำให้รูปร่างผมคล้ายผู้หญิง

   ผมยกยิ้มกับจำนวนฟอลโลเวอร์ที่เพิ่มขึ้นมาในวันนี้ ดูเหมือนว่าแฟนๆจะต้องการภาพใหม่ออกมาถึงได้เมนชั่นหาผมไม่หยุดหย่อน หลังจากที่ผมหายไปเที่ยวต่างประเทศมาเป็นเวลานานพอสมควร

   แต่แค่เหลือบไปมองรูมเมทที่ก้มๆเงยๆอยู่กับตู้เสื้อผ้า ผมก็แทบถอนหายใจออกมา

   ในเมื่อมีคนอยู่ด้วยแล้วงานอดิเรกแต่งหญิงของผมจะทำยังไงวะ

   อ่า…ใจเย็นไว้ๆ รอเปิดเทอมเมื่อไร นายคนนี้ก็จะติดเพื่อนและหายไปจากห้องนี้โดยสมบูรณ์

   ที่ผมทำก็แค่ต้องรอเวลา


   รอกะผีสิ!

   ผมมองรูมเมทตัวเองที่กลับมานั่งหัวโด่อยู่ในห้องตั้งแต่5โมงเย็น ร่างใหญ่ๆนั่นกินพื้นที่ในห้องจนทำให้ห้องที่ดูเล็กอยู่แล้วดูมีพื้นที่น้อยลงไปอีก

   “จินกินข้าวมารึยัง” คนตัวโตถามผม เขาอยู่ในสภาพที่อาบน้ำแล้วสังเกตได้จากผมที่ลู่ลงด้วยความชื้นและการชำระเจลออกไปเรียบร้อย

   “อ่า ยังเลย”

   “ไปกินข้าวกันมั้ย” เขายิ้ม ผมเพิ่งสังเกตเมื่อครู่ว่าเขามีเขี้ยวข้างเดียวซึ่งค่อนข้างเห็นชัดเลยทีเดียว

   “อ้อ ได้สิ” ผมพยักหน้า พวกเราจึงเดินลงไปข้างล่างด้วยกัน

         หลังจากวันที่ย้ายเข้าหอก็ผ่านมาหลายสัปดาห์ ตอนนี้พวกเราเปิดเทอมกันเรียบร้อย การเป็นน้องใหม่ค่อนข้างยุ่งพอสมควร มีกิจกรรมกับรุ่นพี่หลายอย่าง ไหนจะทำความรู้จักกับเพื่อนๆ ผมจึงกลับห้องดึกเกือบทุกวัน แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ ทุกวันที่ผมเปิดประตูเข้ามาก็มักจะพบรูมเมทตัวเองนอนอยู่บนเตียงอยู่แล้วในสภาพที่อาบน้ำเสร็จเรียบร้อย

   วันๆหมอนี่ทำอะไรบ้างว่ะ

   ถึงจะอยู่ห้องเดียวกันแต่พวกเราไม่ได้สนทนาอะไรกันมากนัก ผมยังรู้สึกอึดอัดเวลาอยู่กับเขา เคย์เองก็ไม่ได้พูดอะไรกับผมมากเช่นกัน ส่วนใหญ่ที่เราคุยมีเพียงเรื่องวันนี้ทำอะไรก็เท่านั้น เรียกได้ว่าแม้พวกเราจะอยู่พื้นที่เดียวกันแต่เหมือนอยู่กันคนละโลก

   ผมที่ลงมานั่งในร้านก๋วยเตี๊ยวข้างนอกได้แปบเดียวก็ต้องกระพือคอเสื้อเพราะหงุดหงิดเล็กน้อยกับอากาศร้อนๆของประเทศไทยที่แม่งไม่เคยจะมีความหนาวเย็นให้กูสักวัน รับรู้ได้ว่าตัวเองหน้าเหวี่ยงตาขวางใส่คนรอบๆอย่างไม่ได้ตั้งใจ

   “อ่า พี่ครับ ขอโค้กที” คนตรงข้ามผมยกมือสั่ง ก่อนที่แก้วใส่น้ำแข็งเย็นๆกับโค้กจะถูกวางลงตรงหน้าผม

   ผมเลิกคิ้วมองเขา

   “ร้อนใช่มั้ยล่ะ กินโค้กหน่อยสิ”

   โอ๊ะ…อย่างน้อยหมอนี่ก็ใส่ใจคนอื่นแหะ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาสังเกตเห็นอารมณ์ของผม เคย์เป็นคนที่เซ้นส์ไหวพอสมควร ถึงแม้ผมไม่ได้พูดอะไรแต่อีกฝ่ายก็มักจะเข้าใจได้เสมอว่าผมต้องการอะไร

   นับตั้งแต่อาศัยอยู่ร่วมกัน ผมมีเรื่องที่เรียนรู้เกี่ยวกับเขาไม่กี่อย่าง แต่เรื่องนี้คงต้องลิสต์ไว้ในรายการ

   เรื่องที่เรียนรู้เกี่ยวกับรูมเมทเรื่องที่ 3 : เทคแคร์คนอื่นเก่ง

   ผมเทโค้กใส่แก้ว ดูดฟืดอย่างชื่นใจ ความหวานซ่าของน้ำสีดำๆทำให้ผมลืมกฎเรื่องการลดน้ำหนักไปสักระยะ

   ตอนนี้รายการเรื่องที่ผมรู้เกี่ยวกับรูมเมทมีเพียง

   1.เคย์เป็นพวกตื่นเช้าและเข้านอนไว

   ซึ่งต่างจากผมแบบตรงกันข้าม ผมชอบนอนดึกแล้วตื่นสายๆมากกว่า แต่เพราะเกรงใจรูมเมทตัวเองช่วงนี้เลยต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นเข้านอนไวและตื่นเช้าบ้าง ซึ่งผมค้นพบแล้วว่ามันค่อนข้างทำให้กระปรี้กระเปร่าพอสมควร ผิดกับช่วงชีวิตนกฮูกที่ทำให้ผมเหนื่อยเป็นตายเหมือนกับซอมบี้

   2.เขากลับห้องไวมากๆ

   ชนิดที่ผมนั่งถามตัวเองทุกวันว่าหมอไม่ออกไปเที่ยวที่ไหนบ้างรึไง

   ช่วงนี้ของมหาลัยนับว่าเป็นช่วงหาพวก หรือจะเรียกได้ว่าเป็นช่วงที่คนพยายามหาเพื่อนและหากลุ่มอยู่ ถ้าพ้นช่วงนี้ไปแล้ว การหากลุ่มในมหาลัยจะค่อนข้างยากพอสมควร แต่ก็นั่นแหละ ปีแรกกลุ่มมันยังขยับไปได้เรื่อยๆ สิ่งที่ผมต้องทำตอนนี้ก็มีแค่เป็นมิตรกับทุกคนก็เท่านั้น

   ผมโคลงศีรษะมองคนตรงหน้าที่ค่อนข้างดึงดูดสายตาคนอื่นพอตัว ด้วยใบหน้าคมเข้มซึ่งมีกลิ่นอายความเป็นผู้ชายฉายชัดกับทรงผมทันสมัยรวมถึงหุ่นดูดีนั่น ทำให้เขาดูแตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไปจริงๆ

   “จิน ถ้ามึงชอบโค้กทำไมเราไม่ซื้อไปเก็บไว้บนห้องเลยล่ะ” เขาถามเมื่อเห็นผมเทโค้กเป็นแก้วที่สอง

   “ไม่ได้ กูไม่อยากกินของไม่มีประโยชน์มาก” อันที่จริงคือผมกำลังไดเอ็ตอยู่ต่างหาก น้ำอัดลมเป็นของต้องห้ามสำหรับคนรักษาหุ่นอย่างผมเชียวนะ

   “…เป็นคนจริงจังน่าดูเลยนะ”

   ผมหัวเราะพลางมองน้ำแข็งที่ลอยอยู่ท่ามกลางน้ำซ่าๆ ดันก้อนสี่เหลี่ยมให้จมลงไปลึกสุดของแก้วด้วยปลายหลอด

   “ว่าอย่างนั่นก็ได้มั้ง”


   วันนี้เป็นอีกวันที่ผมคุยกับเพื่อนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย หลังจากแยกกับกลุ่มเพื่อนผู้หญิงที่ทำความรู้จักกันมาได้หลายสัปดาห์ ผมก็ลากเท้ากลับมาถึงห้องของตัวเองได้เสียที ผมเหนื่อยเสียจนไม่อยากยกกุญแจขึ้นไขประตูเสียด้วยซ้ำ แต่ครั้นจะยกมือเคาะประตูเพื่อเรียกให้เคย์ออกมาเปิดให้เหมือนเคย ผมก็สังเกตเห็นว่ามีแม่กุญแจคล้องประตูอยู่

   อ้าว…วันนี้หมอนั่นยังไม่กลับมาเรอะ

   ผมก้มหน้ามองนาฬิกาที่ตัวเองสวม

   สี่ทุ่ม…

   เป็นครั้งแรกที่เคย์กลับห้องดึกขนาดนี้

   แต่ช่างมันเถอะ…ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผมนี่

   ผมล้วงกุญแจขึ้นไข เปิดประตูเข้าไปแล้วทิ้งตัวล้มลงบนฟูกอย่างเหนื่อยอ่อน การมาเรียนมหาลัยครั้งแรกทำให้รู้ว่าเวลาเรียนสามชั่วโมงนี่มันเหนื่อยกว่าเรียนทั้งวันสมัยมัธยมอีก

   นอนตีขาอยู่สักพักประตูห้องก็ถูกไขอีกรอบด้วยรูมเมทตัวสูงของผม เขาทักทายผมสั้นๆ สีหน้าท่าทางดูเหนื่อยอ่อนยิ่งกว่าผมเมื่อครู่

   เคย์ทิ้งกระเป๋าเป้ลงกับพื้น หยิบเสื้อออกมาจากกระเป๋า โยนใส่ตะกร้าซักผ้าอย่างแม่นยำ จากนั้นคนตัวโตก็หยิบผ้าเช็ดตัวพาดบ่าเข้าห้องน้ำไป

   จะว่าไป นี่เป็นครั้งแรกที่ผมกลับห้องก่อนเขาเลยก็ว่าได้

   ผมไม่เคยมาทันเขาอาบน้ำ เพราะทุกครั้งหลังผมกลับถึงห้อง เขาก็อยู่ในชุดนอนแบบเสื้อบาสกางเกงบอลพร้อมนอนแล้วตั้งแต่แรก เขาคงจะเป็นประเภทพวกอาบน้ำทันทีหลังกลับถึงห้อง

   ใช้เวลาเพียงไม่นาน เคย์ก็เดินออกมาจากห้องน้ำในสภาพผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันร่างกายท่อนล่าง ร่างสูงใหญ่นั้นสมส่วนพร้อมด้วยหน้าท้องแข็งๆซึ่งทำเอาผมที่นอนไถทวิตอยู่ถึงกับตาค้าง

   ตึกตัก…

   เฮ้ย! เสียงอะไรว่ะ

   ผมยกมือขึ้นจับหัวใจตัวเอง

   เมื่อกี้…เสียงอะไร

   นี่ผมใจเต้น??

   แล้วผมจะจ้องหน้าท้องเขาตาค้างทำไมว่ะ

   คิดได้แล้วผมก็เบือนหน้ามองทวิตเตอร์ตัวเองต่อทันที แต่ก็ยังไม่วายเหลือบตามองตามร่างสูงที่เดินร่อนทั่วห้องโชว์ร่างกายของตัวเอง แล้วในตอนนั้นที่เคย์หยิบน้ำจากตู้เย็นขึ้นดื่ม หยดน้ำซึ่งเกาะพราวอยู่บนผิวสีขาวก็ค่อยๆไหลลงมาลามเลียช่วงอกแข็งตึงและผ่านหน้าท้องที่เซ็กซี่เป็นบ้าแล้วหายไปใต้ผืนผ้า

   เดี๋ยว…

   อะไรน่ะ ผมคิดว่าหน้าท้องนั้นมันเซ็กซี่เหรอว่ะ

   โอ้..พระเจ้า

   นี่ผมเป็นเกย์ใช่มั้ย

   ผมเอาหมอนอุดหน้าตัวเอง ร้องอ๊ากอย่างไร้เสียง อยู่ดีๆก็ค้นพบเพศตัวเองตอนจ้องรูมเมทเกือบเปลือยงี้เหรอ บ้าชัดๆ!
ตัวผมเองอาศัยอยู่กับแม่มาตั้งแต่เล็ก เพราะฉะนั้นจึงโตมากับความเป็นผู้หญิงอย่างแท้จริง แม้ได้เจอหน้าพ่อบ้างแต่มันก็แค่เพียงชั่วข้ามวัน ยิ่งตอนที่ผมมาสนใจงานอดิเรกแต่งหญิงยิ่งทำให้ผมหลงใหลในโลกของความน่ารักหนักเข้าไปใหญ่

   แต่ถึงอย่างนั้นผมก็คิดว่าผมเป็นผู้ชาย ไม่มีสักครั้งที่อยากตัดไอ้นั่นทิ้งหรือพยายามกินยาคุมเพื่อเพิ่มหน้าอก

   ผมเคยสงสัยตัวเอง ถึงขั้นหาอัตลักษณ์ทางเพศ แต่ก็ล้มเหลว แม้จะเปิดหนังโป๊เกย์ดูหรือเปิดหนังโป๊ชายหญิง สิ่งที่ผม
รู้สึกมีอย่างเดียวคือร้องขนาดนั้นตกลงแล้วเจ็บหรือมีความสุขกันว่ะ

   “จิน เป็นอะไรหรือเปล่า” น้ำเสียงเป็นห่วงดังขึ้นมาใกล้ๆหู ผมจึงเงยหน้าขึ้นเพื่อบอกเขาว่าไม่เป็นไร แต่สายตาดันปะทะเข้ากับร่างสมส่วนซึ่งเพิ่งใส่กางเกงแค่ตัวเดียวอยู่ใกล้ๆจนสัมผัสได้ถึงไอร้อนจากน้ำร้อนที่เขาอาบ

   อ่า…เวร

   ผมจะโทษไอร้อนที่ทำให้หน้าผมร้อนไปด้วย

   “มะ…ไม่เป็นไร” ผมตอบตะกุกตะกัก ทั้งยังเบือนหน้าหนีอีกฝ่าย

         เคย์ขมวดคิ้วยุ่งเล็กน้อยเหมือนเป็นห่วง มือที่แต่เดิมวางไว้ข้างลำตัวค่อยๆเอื้อมมาทาบหน้าผากผม

   “หน้าร้อนๆน่ะ”

   “ก็บอกว่าไม่เป็นไรไง!” ผมขึ้นเสียงอย่างตกใจกับสัมผัสนั้น

   มือที่เคยทาบหน้าผากผมพลันถอยห่างไปทันที ดวงตาคมๆนั้นเบิกขึ้นเล็กน้อย คาดว่าคงอึ้งไปแล้ว เขาละล่ำละลักขอโทษก่อนจะผุดลุกขึ้นไปใส่เสื้อ

   เวร

   ผมไม่น่าพูดอย่างนั้นไปเลย

   นิสัยเสียส่วนตัวนี่มันแก้ไม่หายจริงๆ

   บรรยากาศอึดอัดแผ่กระจายปกคลุมทั่วทั้งห้อง ผมหายใจไม่ทั่วท้องเหมือนกับว่าหากสูดหายใจแรงๆจะทำให้กำแพงบางอย่างพังลงมา ทั้งผมและเขาต่างก็เงียบด้วยกันทั้งคู่แถมยังนั่งทิ้งระยะห่างระหว่างกัน

   ผมรู้ตัวดีว่าควรจะเป็นฝ่ายขอโทษเขาก่อน แต่ผมเป็นคนปากหนักจนน่าโมโห ขนาดคำพูดจุกอยู่ที่คอหอยแล้วแท้ๆแต่กลับพูดออกไปไม่ได้ด้วยซ้ำ

   เหลือบตามองเคย์ที่ย้ายตัวเองไปนั่งอยู่บนเก้าอี้โต๊ะเขียนหนังสือ มือใหญ่ๆนั่นคลิกเม้าส์ดูอะไรไปเรื่อยเปื่อยบนแลปท็อปเหมือนกับเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่บรรยากาศหม่นหมองรอบๆตัวทำเอาผมมองข้ามมันไปไม่ได้เลยจริงๆ

   ผินหน้ากลับมาสนใจหน้าจอตัวเองบ้าง หน้าจอซึ่งเปล่งแสงสีฟ้ามีทั้งข้อความตลกขบขัน เล่นมุกหรือแม้กระทั่งชวนให้โมโห แต่น่าแปลกที่ผมกลับจับใจความอะไรในทวีตไม่ได้เลย

   รู้สึกผิดชะมัด

   นั่งต่อสู้กับตัวเองได้สักพัก ผมก็ลุกขึ้นไปสะกิดคนตัวใหญ่

   “เอ่อ…” ผมค้นหาคำพูดในสมองตัวเอง และเป็นอีกครั้งที่คำพูดซึ่งติดอยู่ปลายลิ้นกลับไปยอมออกมาอย่างที่ใจคาดหวัง

   บอกว่าขอโทษ…บอกว่าไม่ได้ตั้งใจ…พูดออกไปสิ!

   “หิวอ่ะ อยากไปกินขนมปังสังขยาข้างล่างด้วยกันมั้ย”

   ไม่ใช่แล้ว!

   เขาคงจะไปหรอกจิน นายพึ่งตวาดเขาไปเอง

   แต่ผิดคาด คนตัวใหญ่ส่งรอยยิ้มเห็นฟันเขี้ยว พร้อมกับตอบมาว่า

   “ไปดิ”


   ผมนั่งกระสับกระส่ายอยู่ที่ร้านขนมปังสังขยาได้ตั้งนานแล้ว แม้จะเป็นเวลากลางคืนแต่ในร้านก็มีคนแน่นพอสมควร เมื่อครู่ที่ผมกับเขาเดินลงมาข้างล่างด้วยกัน เราแค่เดินข้างกันเงียบๆโดยไร้บทสนทนาเสียจนน่าอึดอัด ยิ่งกว่านั้นผมยังเหงื่อออกเพราะมัวแต่บังคับตัวเองให้พูดคำว่าขอโทษออกไป แต่ยังหาจังหวะดีๆให้ตัวเองไม่ได้

   ไม่สิ ผมแค่ไม่อยากพูดมันต่างหาก

   ผมเงยหน้าอ้าปาก จะบอกอะไรหลายทีแต่แล้วก็หุบปากไป ต่อสู้กับตัวเองในใจจนกระทั่งมีคนกลุ่มใหญ่เดินเข้ามาทักทาย
เคย์

   “วันนี้ขึ้นก้ำกันป่าวเคย์” กลุ่มผู้ชายตัวสูงชวนเขา ผมเพียงหันไปมองพวกเขานิ่งๆ
กลุ่มคนพวกนี้แต่งตัวกันเหมือนจะไปท่องราตรีแบบเห็นได้ชัด ไม่ใช่เพราะชุดที่สวมใส่หรอกนะ แต่เป็นเพราะเมคอัพบนหน้าสาวๆ
สองคนนั้นแน่นมากต่างหาก

           สมกับที่เป็นเพื่อนเคย์ พวกออร่าออกเหมือนกันนี่เอง

          ออร่าอะไรน่ะหรือ

   ก็ประมาณพวกเสือผู้หญิงไง

   เหล่าสาวๆที่มากับพวกเขาส่งเสียงเห็นด้วย บางคนเดินเข้ามาดึงแขนเคย์อย่างหยอกๆพลางส่งเสียงเชียร์ให้ไปด้วยกัน

   ไปแหง

   ผมคิดคำนวณในใจ ปฏิเสธไม่ได้ว่าแม้จะมีเพื่อนกลุ่มๆใหญ่ๆซึ่งออร่าจับอยู่ล้อมรอบ เคย์ยังคงเป็นคนที่ดูน่าดึงดูดที่สุดในนั้นอยู่ดี

   ที่เขาว่ากันว่าคนพวกเดียวกันจะดึงดูดพวกเดียวกันนี่ท่าจะเป็นความจริงได้อีกตราบเท่าที่อารยธรรมของมนุษย์ยังคงหลงเหลืออยู่

   ผมลองเดาเล่นๆว่าในนั้นจะเป็นใครกันที่เคย์จะควงในวันนี้ อาจจะเป็นแม่สาวตาโตไม่ย้อมผมซึ่งกำลังหยอกล้อเขา หรืออาจจะเป็นแม่สาวย้อมผมบลอนด์ซึ่งปิดปากหัวเราะ

   “อ่า ขอโทษน่ะ คือเรามากินปังสังขยาเป็นเพื่อนรูมเมทน่ะ”

   สิ้นประโยคนั่น ความสนใจทั้งหมดก็ย้ายมาที่ผมทันที หลังจากที่ถูกจ้องโดยสายตาหลายคู่ ผมก็ต้องค้อมหัวเล็กน้อยเป็นการทักทาย

   เมื่อเห็นเพื่อนปฏิเสธ พวกเขาก็เพียงบอกให้เคย์อย่าลืมมาในครั้งหน้า ก่อนจะออกตัวเดินไป ผมเหลียวหลังมองตามพวกเขา อดปฏิเสธไม่ได้ว่าบุคลิกอย่างเคย์นี่เหมาะกับร้านเหล้ามากกว่าร้านขนมปังสังขยาตอนห้าทุ่มเหลือเกิน

   “ไม่ไปกับพวกนั่นล่ะ” ผมถาม

   “ไม่ล่ะ” เขายิ้มแหยๆ “วันหลังดีกว่า”

   แล้วบรรยากาศก็กลับมาอึดอัดอีกครั้ง ผมเองก็แทบภาวนาอยากให้เขาไปกับกลุ่มคนพวกนั้นจะแย่ จะได้ไม่ต้องมานั่งอึดอัดกันอย่างนี้ บางทีหลังจากเขากลับมาแล้วเราอาจจะทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ได้

   ในหัวสมองผมคิดบทสนทนามากมายที่จะช่วยทำลายบรรยากาศอันมืดครึ้มรอบๆเราได้ ต้องเป็นบทสนทนาที่ทำให้เขาพอใจ และอย่างเดียวที่ผมคิดออกในตอนนี้ก็คือบทสนทนาเกี่ยวกับผู้หญิง

   “สนใจใครในกลุ่มนั้นหรือเปล่า” ผมกระเซ้าเย้าแหย่พร้อมทั้งเท้าคางโน้มตัวเข้าไปหา

   “เปล่า” เขาสะดุ้งสุดตัว

   “สาวๆกลุ่มนั้นสวยดีนะ เอาน่า ไม่ต้องอายหรอก เล็งคนผมบลอนด์หรือคนผมดำ คนผมบลอนด์ก็สวยนะ”

   “สวยทั้งคู่แหละ” เขาตอบกลับมาหน้าตานิ่ง มุมปากเรียบตึง นั่นไม่ใช่ปฏิกิริยาที่ผมหวังไว้ ผมจึงรู้ว่าตัวเองควรหุบปาก

   แปลกแหะ ผมทำอะไรพลาดไปงั้นเหรอ เวลาที่อยู่กับกลุ่มเพื่อนผู้ชาย พวกเขามักจะพูดถึงผู้หญิงคนนั้นคนนี้อย่างสนุกปากไม่ใช่รึไง ผมก็ลอกเลียนแบบพวกเขามาทั้งนั้น นึกว่าจะสร้างบรรยากาศได้เสียอีก

   นั่งเท้าคางหลบเลี่ยงสายตาที่มองมาอย่างไม่คิดปิดบังได้สักพัก ขนมปังสังขยาก็ถูกเสิร์ฟบนโต๊ะ

   ผมได้ทีรีบตักขนมปังเข้าปาก หลบเลี่ยงบทสนทนาหรือเรื่องอะไรก็ตามที่เราต้องคุยกันต่อ กลั้นใจกลืนให้เสร็จๆจะได้กลับห้องไปนอนพักผ่อนเสียที

   การอยู่อาศัยกับคนโดยไม่มีเรื่องกระทบกระทั่งกันนี่ยากชะมัด

   เกลียดการมีรูมเมทจริงๆให้ตายเหอะ

   ผมกำลังอ้าปากรับขนมปังตอนที่เขาพูด

   “ขอโทษที ไม่ได้โกรธน่ะ แค่ไม่อยากให้พูดถึงผู้หญิงเขาแบบนั้น”

   ผมคิดว่าผมเกือบสำลัก

   “อ่า…” ไม่รู้จะพูดอะไรออกไปเลยได้แต่ตอบรับ ตาเบิกกว้างมองผู้ชายที่หน้านิ่วคิ้วขมวดตรงหน้าเหมือนกับว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่เคยเจอมาก่อน

         คำตอบน่าประทับใจชะมัด หมอนี่มีความเป็นสุภาพบุรุษที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาเลย

   “อ้อ…แล้วที่บอกว่าไม่เป็นไรหมายถึงทั้งเรื่องบนห้องนั้นก็ด้วย ขอโทษนะที่เข้าไปยุ่งตอนกำลังอารมณ์ไม่ดี”

   คราวนี้ผมเป็นฝ่ายหลุบตาจากคนที่มองมาอย่างจริงใจ สุดท้ายผมก็ปล่อยให้อีกฝ่ายขอโทษก่อนจนได้

   “อือ ไม่หรอก” เลียปากลดความประหม่ายามพูดต่อออกไป “ขอบคุณที่เป็นห่วงนะ”

   เหมือนว่ารูมเมทผมคนนี้จะนิสัยไม่เหมือนที่คิดสักเท่าไหร่

   …แต่ไม่ใช่ไม่ชอบหรอกนะ

---------------------------------------------------------------------------------------
ใช่แล้วค่ะ คัมแบคแค่ตอนเดียวแล้วหายไปยาวๆอีกรอบ ฮา เริ่มเนื้อเรื่องหลักในทู้เดียวกันไปเลยยย ไม่กามน้า ไปกามตอนพิเศษกันดีกว่า
ตอนแรกๆก็จะอึดอัดกันหน่อย ให้เวลาเขาชอบกันนนน
--------
มารีไรท์เล็กน้อยคะ อ่านแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองเขียนอะไรลงไปเนี่ย ช่วงนั้นอ่านหนังสือไทยน้อยจริงๆ สำนวนอะไรพังหมดเลย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ตอนที่1 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 25-11-2018 21:55:30
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ตอนที่1 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 25-11-2018 22:01:28
จินดุอ่ะ   :ruready
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ตอนที่1 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: TheWanFah ที่ 27-11-2018 00:02:26
จินอย่าดุเคย์
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ตอนที่1 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Zurruz ที่ 28-11-2018 13:00:35
มั่นใจแล้วว่าเด็ก มธ 55555555 สนุกมากค่ะๆ สู้ๆ เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ตอนที่1 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 28-11-2018 19:57:09
หมาโง่จะแอ๊บได้นานแค่ไหนคะ 555555555555
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ตอนที่1 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: jaibang ที่ 28-11-2018 22:12:28
โอ๊ย สะดุดมากตอนเพื่อนชวนขึ้นก้ำ รู้เลยนะคะว่าเรียนแถวไหน55555555
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ตอนที่1 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: mew.kani ที่ 28-11-2018 23:58:33
ใจเต้นแรงขนาดนี้ ชอบเค้าแล้วใช่มั้ยคะ น้องจิน  :-[
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ตอนที่1 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Wanna yui ที่ 29-11-2018 21:43:00
จินเป็นคนซึนๆ55
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ตอนที่1 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Jiraapp ที่ 30-11-2018 00:19:36
ดีใจที่เป็นเรื่องยาวแล้ว :L2: นี่ยังประทับใจตอนจินน๊อตหลุดเรื่องโรคจิตที่ผลักเคย์ตกบันไดมาก ชอบ ๆๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ตอนที่1 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: taku_kimu ที่ 30-11-2018 08:01:11
สนุกจ้า

ดีจัง จะเป็นเรื่องยาวแล้ว  :katai2-1: รออ่านเรื่อยๆ นะคับ  :mew1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ตอนที่1 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: HappyYaoi ที่ 30-11-2018 10:16:10
ดีใจที่เป็นเรื่องยาวแล้ววววว
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ตอนที่1 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Wwavez ที่ 30-11-2018 12:45:02
อยากรู้มากว่าเจ้าหมาโง่เค้าคิดยังกับจินตอนนี้ ดีใจที่เป็นเรื่องยาวแล้วว :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ตอนที่1 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: เมื่อนั้นฝันว่า ที่ 30-11-2018 14:22:50
คอยเลยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ตอนที่1 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: lostinthelight ที่ 18-12-2018 01:11:04
ชอบมากกกกกกกๆๆๆ :hao5:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ตอนที่1 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: MeiHT ที่ 26-12-2018 00:19:39
บทที่ 2 : โป๊ะแตก

   เสียงก๊อกแก๊กในห้องทำให้ผมงัวเงียลืมตาตื่นขึ้นมา เพ่งมองฝ่าความมืดเพื่อพบร่างสูงใหญ่กำลังสวมรองเท้าวิ่งอยู่แถวๆหน้าห้อง

   “ไปวิ่งเหรอ” เสียงผมแหบพร่าเหมือนคนคอแห้งระดับสุดท้าย และอาจจะเพราะเสียงของผมมันแย่มากจนรูมเมทของผมต้องละมือจากการผูกเชือกรองเท้ามาหยิบแก้วน้ำไปใส่น้ำให้ผมดื่ม

   “อือ อยากเอาอะไรมั้ย” เขาถาม

   ผมรับแก้วน้ำใบโปรดมาจากมือเขา ยื่นหน้าออกมาจากปราการผ้าห่มเพื่อดื่มน้ำ ลำคอแห้งผากในที่สุดก็ได้เจอโอเอซิส ผมกลืนน้ำอย่างกระหายจนหมด

   กล่าวขอบคุณเบาๆยามยื่นแก้วกลับไป ขดมือและใบหน้ากลับเข้ามาในผ้าห่ม ม้วนตัวจนเหมือนดักแด้ รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวแปลกๆ เหตุผลน่าจะมาจากอากาศช่วงสองสามวันที่ผ่านมาค่อนข้างแปรปรวน เดี๋ยวก็ฝนตกเดี๋ยวก็แดดจ้า ทำเอาปรับตัวไม่ทัน และคนกระหม่อมบางอย่างผมก็ป่วยไปตามระเบียบ

   “…ไม่” ผมนิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนจะส่ายศีรษะทั้งๆที่ยังคงซ่อนใบหน้าตัวเองไว้ใต้ผ้าห่ม

   ท่ามกลางความมืดนี่ผมมองไม่เห็นสีหน้าของเขา จึงไม่แน่ใจว่าเคย์กำลังรู้สึกอย่างไรยามนั่งอยู่บนเตียงตัวเองและจ้องมองผม แต่สังเกตได้จากท่าทางว่าเขาก็ละล้าละลังจะเข้ามาเช็คผมพอสมควร อาจจะเพราะครั้งที่แล้วผมตวาดเขาเสียงดังหลังจากเขาเข้ามาใกล้ๆจนทำให้ฝังใจพอสมควร

   “ไปเถอะ” ผมบอกเขา ขดตัวซ่อนในผ้าห่มจนกลายเป็นก้อนกลมๆ ไม่กี่อึดใจหลังจากนั้นผมก็ได้ยินเสียงปิดประตูเบาๆ

   แค่ก

   เผลอไอออกมาทีหนึ่งอย่างอดไม่อยู่หลังจากอีกฝ่ายออกจากห้องไปแล้ว ไม่รู้ว่าตัวเองจะทนกลั้นไว้ทำไม กับแค่เป็นหวัดแท้ๆ ทั้งคันคอทั้งปวดตัวเพราะพิษไข้ ทรมานอย่างบอกไม่ถูก แต่บอกตรงๆว่าคนป่วยง่ายอย่างผมค่อนข้างชินแล้ว และเพราะอาศัยอยู่ตัวคนเดียวมาสักพักจึงค่อนข้างมั่นใจว่ารับมือตัวเองไหว

   ผมพยายามข่มตาหลับทั้งๆที่ร่างกายบอกตัวเองว่าหลับพอแล้ว

    หลับสิ หลับสิ หลับสิ

   ผมพยายามหลอกร่างกายตัวเอง แต่พลิกตัวก็แล้ว นับลูกแกะก็แล้ว ร่างกายไม่รักดีนี่ก็ไม่ยอมหลับสักที

   โทรศัพท์ที่ถูกเสียบปลั๊กชาร์ตไว้ข้างเตียงถูกถอดออกมา ผมยีตาเพราะแสงสว่างจากหน้าจอที่เพิ่งถูกปลดล็อกเมื่อครู่

   เสิร์ชหาลิสต์เพลงสำหรับRelax

   กดเล่นเพลงแรกและหลับตาลง ภาวนาให้ตอนตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ไอ้อาการปวดตัวนี่จะหายไปเป็นปลิดทิ้งเสียที



   คำภาวนาผมไม่เป็นผล เพราะตอนตื่นมาผมก็ยังคงมึนงงกับฤทธิ์ไข้เหมือนเดิม ดีก็ตรงรู้สึกสบายตัวมาก เหมือนตัวจะเบาขึ้นนิดหนึ่ง

         ผมพยายามยันตัวลุกขึ้นนั่ง ก่อนที่วัตถุเปียกชื้นสีขาวจะตกลงจากหน้าผากแหมะลงบนตัก

   ผ้าชุบน้ำ?

   หันมองไปทางด้านซ้ายมือซึ่งเป็นที่ตั้งของเตียงรูมเมทก็พบกับโต๊ะญี่ปุ่นไม่คุ้นตากางตั้งอยู่บนเตียง มีแก้วน้ำ เหยือกกับข้าวเหนียวหมูปิ้งอยู่บนนั่นพร้อมกับแผ่นกระดาษสีขาวเขียนด้วยลายมือหวัดๆ

   ยังเช้าอยู่เลยหาข้าวต้มให้ไม่ได้ ฝืนกินลงไปหน่อย หลังเรียนเสร็จแล้วจะซื้อข้าวต้มปลามา อย่าลืมกินน้ำเยอะๆแล้วก็พักผ่อน มีอะไรโทรมาที่เบอร์ 086-463-xxxx

   หมอนี่…

   ผมยกน้ำขึ้นดื่มทั้งๆที่มีรอยยิ้มกว้างแต่งแต้มอยู่บนริมฝีปาก

   บ้าเอ๊ย เหมือนผมจะป่วยเพิ่มเลย

   หัวใจแม่งเต้นแรงจนได้ยินเสียงตึกตักข้างหู

   มันต้องเพราะอาการป่วยแน่ๆ ต้องใช่แน่ๆ

   ไม่มีทางเป็นความรักไปได้หรอก


   ผมมองคนตัวใหญ่ที่กำลังเทข้าวต้มปลาใส่ถ้วยกระเบื้องแบบงงๆ ปกติแล้วเขาจะไม่ใช่คนแต่งตัวมากมายถ้ามีเรียนตอนเช้า แต่วันนี้เขาเสยผมขึ้น ทำให้เห็นกรอบหน้าคมๆกับตาเฉียวๆ ยิ่งเสริมลุคแบดบอยหนักเข้าไปใหญ่ และเพราะมหาลัยนี้ค่อนข้างจะมีอิสระด้านการแต่งตัวพอสมควร ส่วนใหญ่เราจึงมักจะเห็นนักศึกษาในชุดสบายๆ แต่หมอนี่กลับแต่งตัวแฟชั่นด้วยกางเกงยีนส์สีเข้มกับเสื้อฮู้ดตัวใหญ่ที่เข้ากับหุ่นเขาได้พอดี

   คันปากยิบๆอยากจะถามเหลือเกินว่าจะแต่งตัวอะไรขนาดนี้พ่อคุณ หว่านเสน่ห์ยังไม่พอใช่มั้ย แต่ก็เกรงว่าระดับความสนิทยังไม่มากพอจะแซว

   ไหนๆถ้าจะขนาดนี้แล้วไม่เจาะหูสักข้างด้วยเลยล่ะ ใส่ตุ้มหูแบดๆสาวๆกรี๊ดตรึม

   โน….เปล่า ผมไม่ได้หงุดหงิดหรืออะไรนะ แค่คันปากเฉยๆ

   แต่ก็หน้าตาดีจริงๆนั่นแหละ ชนิดที่ว่าผมซึ่งเล่นทวิตเตอร์และฟอลคนในมหาลัยตัวเองหลายคนก็มักจะได้เห็นรูปแอบถ่ายของเขาผ่านหน้าทล.ไปไม่มากก็น้อย

   อนาคตเดือนคณะแหง

   หรือช่วงนี้จะแต่งตัวเรียกคะแนนนิยม

   เหอะ อย่างที่คิด ถึงนิสัยดีแต่ก็เป็นพวกหลงตัวเอง

   ผมมองกระจกซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะ มันสะท้อนใบหน้าหวานๆของผม ดวงตากลมโต ขนตายาว ปากนิดจมูกหน่อยกับผิวขาวละเอียด

   ทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่ตกทอดมาจากแม่ หน้าตาของผมเหมือนมารดาผู้ให้กำเนิดอย่างกับแกะ

   จะว่าไป ตอนเด็กๆแม่ชอบจับผมใส่กระโปรงเอาไปหลอกเพื่อนๆว่าผมเป็นเด็กผู้หญิงบ่อยๆ ท่านชอบเอามาเล่าเป็นเรื่องขำๆทุกครั้งที่เรามีบทสนทนาเรื่องในอดีต รูปตอนที่ผมยังเด็กชนิดยังจำความไม่ได้และใส่กระโปรงสีชมพูยังคงอยู่ในอัลบั้มเล่มโปรดของแม่อยู่เลย

   “ได้แล้ว” ข้าวต้มปลาหอมฉุยถูกวางไว้ตรงหน้า เคย์ส่งยิ้มประหม่า มือใหญ่ซึ่งมีเส้นเลือดนูนขึ้นมาตามผิวหนังเล็กน้อยส่งผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำมาให้

   “เผื่อเหนียวตัว” เขาบอก

   ผมตักข้าวต้มมาเป่า เหลือบตามองผ้าชุบน้ำผืนเดิมก่อนจะเอ่ยถามเหมือนไม่ใช่เรื่องสำคัญ

   “ตอนเช้ามึงเช็ดตัวให้กูเหรอ”

   คนตัวโตที่กำลังนั่งยองๆอยู่หน้าตู้เย็นซึ่งกำลังยกน้ำดื่มถึงกับสำลัก

   “เออ…เปล่า ไม่ๆ ใช่…ใช่แหละ เป็นคนเช็ดตัวให้เอง” เขาช้อนตาขึ้นมองซึ่งทำให้ผมนึกถึงลูกหมาตัวโตๆที่กำลังพยายามอ้อนเจ้าของ “โกรธหรือเปล่า”

   สาย…สายตาลูกหมา

   เจิดจ้าโคตรๆ

   “ไม่…” ผมหันใบหน้าหลบไปด้านข้างและหวังว่าอีกฝั่งคงจะไม่สังเกตเห็นความร้อนซึ่งพุ่งสูบฉีดบนใบหน้าของผม “ขอบคุณ”

   “ดีแล้ว งั้นนอนพักอีกสักหน่อยก็แล้วกัน”

   “นอนไม่ไหวแล้วเนี่ย” ผมบ่นอุบอิบ “นอนเยอะจนปวดตัวไปหมดแล้ว”

   “อ้าว เป็นงั้นไป” เขาหัวเราะ “งั้นเปิดไฟเลยแล้วกันนะ”

   “อือ” ผมเพิ่งสังเกตว่าห้องถูกปิดไฟไว้อยู่ งั้นหลังจากที่เขากลับเข้าห้องมา เขาไม่เปิดไฟแล้วก็เดินในห้องมืดๆเพราะไม่อยากให้แสงไฟรบกวนผมเหรอ

   บ้า….บ้าไปแล้ว

   ผมไม่ชินกับการมีคนอยู่ด้วย และใช้ชีวิตอยู่คนเดียวมาสักพักจนชินกับการจัดการอะไรบางอย่างด้วยตัวเอง รวมถึงการหอบสังขารพังๆไปซื้อข้าวและยาทุกครั้งที่ป่วย

   ผมคิดว่าชีวิตแบบนั้นมันก็โอเคกับผมแล้ว

   ผมสามารถอยู่ตัวคนเดียว สนุกกับการเดินทางไปไหนมาไหนคนเดียว แม้จะเหงาหน่อยๆตอนที่เห็นห้องโล่งๆแต่ผมก็คิดว่าชีวิตแบบนี้เหมาะกับตัวเองเหลือเกิน

   แต่วันนี้ดันมีใครคนหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่าการที่ตื่นขึ้นมาแล้วเห็นคนอยู่ข้างๆมันเป็นความรู้สึกที่ดีกว่าตอนที่ตื่นขึ้นมาในห้องโล่งๆกว่าเยอะ

   บ้าชะมัด

   ไอ้คนตัวโตที่ยืนหน้ายิ้มอยู่ตรงนั้นเลิกหว่านเสน่ห์ใส่ผมเสียทีเถอะ

   ก่อนที่ผมจะเสพติดความรู้สึกดีแบบนี้จนถอนตัวไม่ได้


   “ได้รับเลือกเป็นเดือนคณะ?”

   “อือ” เขายิ้มเขินๆ “หลังจากนี้พี่เขาบอกว่าอาจจะต้องซ้อมโน้นนี่เพื่อขึ้นแสดงประกวดดาวเดือน อาจจะดึกบ้าง ถ้ากลับมาไม่ทันก็จะนอนหอเพื่อนนะ”

   “อ้อ” ผมพยายามประมวลผลในหัวแต่สมองเหมือนจะแล่นช้าผิดปกติ

   อ่า…ผมว่าถึงตรงนี้ผมควรจะต้องดีใจไม่ใช่เหรอที่ในที่สุดหมอนี่ก็จะออกจากห้อง ผมก็จะได้อัพเดทงานอดิเรกส่วนตัวที่
โดนขัดขวางมานานเสียที

   ใช่แล้ว ผมควรดีใจสิ

   แต่ทำไมหัวใจมันเหี่ยวๆจังวะ

   “ดีแล้ว” ผมตอบได้แค่นั้น

   “จินจะมาวันดาวเดือนมั้ย”

   “ต้องไปอยู่แล้ว เพื่อนกูเป็นดาวเหมือนกัน”

   “อ้อ…” คนตัวโตก้มลงมองพื้นห้องเหมือนจะหามดที่เดินอยู่ “แล้ว…จะมาเชียร์กูด้วยได้มั้ย”

   ผมมองเคย์ที่เกาแก้มตัวเอง ใบหน้าคมยังคงก้มหาเศษฝุ่นบนพื้นไม่เลิก แต่ผมก็เห็นใบหูแดงๆนั้นอยู่ดี

   โอ๊ย บ้าเอ๊ย ทำไงดี

   ผมโคตรอยากเอาหมอนข้างมาฟาดๆเตียงเลย

   หัวใจที่เหี่ยวๆเมื่อกี้มันเหมือนจะกลับมาฟูๆนิดหนึ่ง

   ผมอ้ำอึ้งอยู่นาน จนแล้วจนรอดก็พูดออกมาได้ประโยคหนึ่ง

   “…ไหนๆก็จะไปเชียร์เพื่อนอยู่แล้ว ก็จะไปดูโชว์ของมึงด้วยแล้วกัน”


   อยากตาย

   หัวใจเต้นเหมือนตัวละครในมังงะโชโจ ไม่ไหว ไร้เหตุผลสุดๆ

   ผมไม่เคยคิดถึงตอนตกหลุมรักใคร เอาจริงๆคือยังคิดไม่ออกเลยว่าชีวิตนี้จะตกหลุมรักใครได้ ผู้หญิงน่ะหรือ อ่า เอาเป็นว่า
ผู้หญิงที่ผมชอบรองจากแม่คือตัวเองตอนแต่งเป็นหญิง ส่วนผู้ชาย…ผมไม่เคยจินตนาการว่าตัวเองจะตกหลุมรักกับคนตัวใหญ่ผิว
หยาบกร้านพูดจาโผงผางแถมชอบจับกลุ่มนินทาคนอื่นไปเรื่อย

   หืม คุณคิดว่าผู้หญิงขี้เม้าท์เหรอ

   หึ จะบอกเลยว่าผู้ชายนี่เป็นขั้นกว่าของความขี้เม้าท์ โอเค สำหรับผู้ชายมันจะไม่เรียกว่าการนินทา เขาจะเรียกว่าการแลกเปลี่ยนข้อมูล

   แต่ขอโทษเถอะนะ มันก็เรื่องเดียวกันนั่นแหละ ไอ้ทุเรศเอ๊ย

   แถมการนินทาของผู้ชายนี่บอกได้เลยว่าถ้ามาฟังต้องถึงขั้นหน้าสั่นกันแน่ๆ

   แต่ก็นั่นแหละ หลังจากตอนนั้นผมนอนแทบไม่หลับ ใต้ตาดำคล้ำถึงขั้นที่เคย์ทักว่าเกิดอะไรขึ้น ผมได้แต่บอกปัดๆไปว่าเพราะนอนพอจากตอนกลางวันเลยนอนไม่หลับ

   ข่าวดีก็คือหวัดของผมหายเป็นปลิดทิ้ง ส่วนข่าวร้ายน่ะหรือ

   ตรงหน้าผมนี่ไง

   ชายหนุ่มรูปร่างคุ้นตา ตัวใหญ่ๆกับไหล่กว้างทำให้เขาดูสมาร์ตสุดๆ ใบหน้าคมเข้มนั่นแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มจนทำให้น่า
เข้าหา

   หืม สุดยอด

   คนที่เมื่อวานพูดเรื่องให้ไปเชียร์ด้วยหน้าตาเขินๆ วันนี้คุยกับผู้หญิงได้หน้าตาเฉยเลยว่ะ

   โห คนเดียวไม่พอนะ คุยทีเดียวสองคนเลยเหรอ

   โอเค แล้วมหาลัยก็ตั้งกว้าง ทำไมกูต้องมาเจออะไรแบบนี้พอดี

   ผมเคาะเท้ากับพื้นเป็นจังหวะ ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงได้หัวร้อนกับรอยยิ้มเจ้าชู้ที่รูมเมทตัวเองส่งให้สาวๆพวกนั้นนัก แถมยิ่งเวลาที่พวกเขาหัวเราะด้วยกันยิ่งทำให้ผมจิ๊ปากหนักเข้าไปใหญ่

   อ่า จิน! ไอ้โง่เอ๊ย กูไม่น่าจะใจเต้นให้คนพรรค์นี้เลย

   ผมหันหลังเดินกระแทกเท้าออกจากบริเวณใต้ตึกทันที แน่นอนว่าผมจะต้องกลับไปซุกหัวกับหมอนที่ห้อง เป่าลมเย็นๆให้หัวโง่ๆนี่มันเย็นลงสักหน่อย
   


   หลังจากวันนั้น

   สามวันแล้วนะ!

   เอาหมอนข้างฟาดเตียงคนข้างๆดังปั่กปั่ก

   หายไปเหมือนตายไปแล้ว เหมือนไม่เคยมีรูมเมทมาก่อน

   ผมโยนหมอนข้างในมือทิ้ง ปัดผมเผ้าที่รุงรังเพราะการอาละวาดเมื่อกี้

   ดี! ดี! และดีมาก! แค่นี้ผมก็จะสามารถทำงานอดิเรกได้แบบไม่ต้องสนใจคนคนนั้นอีกต่อไปแล้ว

   ผมก้าวลงจากเตียงอย่างเกรี้ยวกราด เดินไปหยิบกล่องที่ซ่อนไว้ในตู้เสื้อผ้า ผมขมวดคิ้วนิดหนึ่งเมื่อเห็นว่าเสื้อผ้าในกล่อง
เหมือนจะจัดเรียงไม่เหมือนเดิม

   ผมจำได้ว่าผมพับเสื้อใส่ไปก่อนแล้วค่อยพับกระโปรงลงไปนี่ แต่ตอนนี้ในกล่องเป็นเสื้ออยู่ข้างบน

   แต่ช่างเถอะ ผมอาจจะจำผิดเองก็ได้

   ผมหยิบชุดคอสชุดใหม่ที่ส่งมาที่คอนโดก่อนจะเข้าหอเพียงแค่วันเดียว รู้สึกตื่นเต้นกับกระโปรงฟู่ฟ่องน่ารักๆกับลูกไม้
ละเอียดสีดำ

   ชุดนี้มันน่ารัก! น่ารักมากๆจริงๆ!

   ตัวละครที่ผมจะคอสครั้งนี้มาจากเกมชื่อดังจากเมืองจีนที่ผมเล่นมาเกือบ5เดือนแล้ว ดีไซน์ชุดของตัวละครสุดยอดสุดๆ รายละเอียดเยอะจนค่าสั่งตัดแพงมาก ผมแทบหลั่งน้ำตาให้กับชุดกี่เพ้าสีดำที่ผสมกับชุดแนวโลลิต้ากับพัดทำมือซึ่งเผลอๆจะแพงกว่าชุดนี้เสียอีก

   การคอสเพลย์น่ะ ไม่ใช่แค่รู้ว่าตัวละครใส่ชุดอะไรแล้วก็ได้หรอก คนที่คอสต้องรู้จักตัวละคร ต้องทำความเข้าใจนิสัยใจคอของตัวละครตัวนั้น ไม่ใช่แค่เพราะว่าดังเลยหยิบมาคอส แต่ต้องคอสเพราะชอบจริงๆต่างหากล่ะ

   หยิบวิกผมสีดำยาวมาสวม ปกติแล้ววิกผมต้องตั้งอยู่กับหัวจำลอง แต่เพราะผมแอบมันไว้ในกล่องเลยทำให้ผมแอบพันกันนิดหนึ่ง ผมจึงต้องจัดการสางอย่างเบามือเสียก่อน

        เมื่อเสร็จแล้วผมก็คลี่พัดในมือและโพสท่าไปเรื่อยๆหน้ากระจก

        หลังจากถ่ายรูปปกติไปนิดหน่อย ก็ถึงเวลาถ่ายรูปแบบจริงจังเสียที ผมทิ้งตัวลงบนเตียง บิดเอวเผยเรียวขา มือที่ถือพัดยกขึ้นมาปิดซีกหน้าล่าง ส่วนมืออีกข้างเกี่ยวกระโปรงตัวเองขึ้นมาเล็กน้อย

         ภาพที่สะท้อนในกล้องคือคนหน้าหวานซึ่งทอดตัวอยู่บนเตียง เอวอรชรจนเป็นรูปตัวS เรียวขายาวขาว ทั้งหมดนั่นชวนให้คิดว่านี่คือผู้หญิง แต่หน้าอกกลับแบนราบจนชวนให้สับสน คนคนนั้นดึงกระโปรงตัวเองขึ้นมาจนเกือบเห็นสิ่งที่เผยความจริง แต่ไม่ว่าจะเพ่งอย่างไรกลับมองไม่เห็นจนชวนให้หงุดหงิด

          ผมยกยิ้มมุมปากตามคาแรคเตอร์ของตัวละครก่อนที่กล้องซึ่งตั้งไว้ปลายเตียงจะถ่ายภาพไว้

          โอเค ภาพเพอร์เฟ็คมาก

           แต่อยากให้ผ้าปูเตียงเป็นสีดำชะมัด อ่า ผ้าซาตินลื่นๆสีดำน่าจะเหมาะสุดๆ

           ผมนั่งเหม่อคิดอะไรเพลินๆ ทำให้ไม่ได้ยินเสียงไขกุญแจประตู

            กว่าจะรู้ตัวอีกที ประตูก็ถูกเปิดออกโดยรูมเมทที่หายไปนานสามวันของผม

------------------------------------------------------
นั่งพรูฟคำผิดนานมาก และผิดหลายจุดจริงๆ ฮา
ลองใช้เทคนิคที่หลายๆคนแนะนำมาเรื่อง นะ น่ะ ละ ล่ะ วะ ว่ะ
ต้องใช้ผสมๆกันไป เพราะพอผันแล้วเราจะผันแบบ น-อะ-น่ะ แบบนี้ 5555555555555555555555555555555
ถึงเวลาต้องปัดฝุ่นสกิลการใช้ภาษาไทยแล้ว ฮือ เราอยู่กับภาษาอังกฤษมากเกินไปปป
จริงๆมีคนเดามหาลัยถูกแล้ว เราอยู่อีกแคมปัสค่ะ แต่ชอบแคมปัสรังสิตมาก อยากไปอยู่สุดๆ แง แคมปัสเมืองเราแร้นแค้น ไม่ชอบ55555
enjoy reading ka
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ตอนที่2 P.7 UP[26/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 26-12-2018 01:03:42
หวีดดดดดดด รูมเมทคนซึนจะรู้แล้วววววว

เอ๊ะ รึรู้ไปแล้ว :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ตอนที่2 P.7 UP[26/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Pin_12442 ที่ 26-12-2018 21:54:47
กรี๊ดดดด เห็นว่าอัพก็เข้ามาดูเลยยย โป๊ะแตกแล้ววว
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ตอนที่2 P.7 UP[26/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: mickeyz.min ที่ 27-12-2018 08:21:36
ห้องแห่งความลับ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ตอนที่2 P.7 UP[26/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: yunnutjae ที่ 27-12-2018 15:34:00
ก่อนจะได้กัน เอ้ย มีความสัมพันธ์ทางกายแบบเจ้านาย กับทาส นี่เราว่าจินดูน้องงงงงงงงงงงอะ
ไม่รว้ายๆเท่าปัจจุบันนี้ คือนางพญามาก 555555555555555555555
นี่ว่า้คย์รู้... เผลอๆเป็นคนรีด พับเก็บให้ด้วย แค่รอวันน้องจินเผลอ  :laugh:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ตอนที่2 P.7 UP[26/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 27-12-2018 22:00:16
 :hao3 :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ตอนที่2 P.7 UP[26/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Wwavez ที่ 27-12-2018 23:37:10
รูมเมทคนดีเค้าจะรู้แล้วว จะใช่ตอนที่หน้ามืดปลำ้น้องป่าว  :hao7:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ตอนที่2 P.7 UP[26/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: nofsnof ที่ 28-12-2018 21:19:59
แงงง อยากจับทั้งสองคนมาขย้ำๆๆๆ มีความน้องทุกคนเลยอ่ะ
รอตอนต่อไปๆๆๆ มาต่อเร็วๆน้า
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ตอนที่2 P.7 UP[26/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 29-12-2018 00:51:03
ว๊ายยย ชอบค่ะ  :hao6:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : ตอนที่2 P.7 UP[26/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: MeiHT ที่ 29-12-2018 02:35:02
เคย์ part

มีบางอย่างกำลังรบกวนการนอนของผม

ผมสะลึมสะลือลืมตาตื่นขึ้น ในหัวเดือดปุดๆไม่เบา ผมพยายามเอื้อมมือไปปัดบางสิ่งที่อยู่บนตัวผมออก แต่กลับพบว่าตัวเองไม่สามารถขยับมือตัวเองได้

ผมตื่นเต็มตา เหลือบมองไปยังแขนของตัวเองก็พบว่าถูกพันไว้ด้วยริบบิ้นสีแดงอย่างแน่นหนา แถมยังผูกเป็นรูปโบว์อย่างสวยงามอีกต่างหาก เหลือบมองขึ้นไปด้านบนก็เห็นมิสเซิลโทวอันใหญ่แขวนอยู่ตรงหัวเตียง

นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

ทันใดนั้นหางตาก็เห็นอะไรสีแดงแวบๆ ผมหันไปมองก่อนจะพบกับจินในชุดแซนตี้ยืนอยู่ตรงหน้า คนตัวเล็กอยู่ในชุดเกาะอกสีแดงที่เกาะอะไรไม่ค่อยจะอยู่สักเท่าไร แน่ละ…เพราะไม่มีหน้าอกนี่นา

และเพราะอย่างนั้นชุดแซนตี้ของเขาเลยเผยอออกมาจนเห็นยอดอกสีชมพู ผมได้แต่กลืนน้ำลายเอื๊อกเมื่อเห็นขนเฟอร์สีขาวถูไถไปมากับเม็ดทับทิม ส่วนกระโปรงของเขากลับสั้นกว่าชุดแซนตี้ธรรมดาๆทั่วไป สีแดงของกระโปรงตัดกับถุงน่องสีดำแบบเต็มตัว

“จิน เออ ปล่อยก่อนได้มั้ย” ผมขยับมืออย่างอึดอัด

“ไม่ได้หรอก” อีกฝ่ายถอนหายใจพลางมองกระดาษในมือ “รายชื่อเด็กดื้อที่ต้องลงโทษมีเยอะเกินไป ต้องรีบจัดการให้เสร็จไวๆ”

“หา?”

Role playเหรอ อะไรกันแน่ ทำไมอยู่ดีๆแฟนผมทำตัวแปลกๆละ

“เออ ขอโทษนะ แต่นี่มันเรื่องอะไรกัน”

จินขยับยิ้ม คนตัวเล็กเคลื่อนกายเข้ามานั่งทับตัวผม ก้นกลมนั่งถูไถบดเบียดกับตักผมจนส่วนที่ซ่อนอยู่ภายใต้กางเกงนูนพองขึ้นมา

ปลายนิ้วเรียวขยับไล่กรอบหน้าผม เขาใช้ปลายนิ้วขูดเบาๆที่คางผมเหมือนหยอกล้อก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงขี้เล่น

“ลืมแนะนำตัวไปเลย เราคือแซนตี้ มีหน้าที่ลงโทษเด็กดื้อ”

What-the-fuck

“ก็นะ” เขายักไหล่ “แซนต้ามีหน้าที่ให้ของขวัญเด็กดีใช่มั้ยล่ะ เพราะฉะนั้นแซนตี้เลยต้องทำหน้าที่ลงโทษเด็กดื้อไง ดูรายชื่อสิ”
เขาโบกกระดาษไปมาตรงหน้าผม มีรายชื่อแปลกตาเรียงพรืดอยู่บนหน้ากระดาษ เห็นได้ชัดว่ามีหลายภาษาจนผมตาลาย

“เดี๋ยวเราต้องไปจัดการอีกหลายที่เลย เพราะงั้นรีบๆเสร็จธุระกันเถอะ” เขาขยับรอยยิ้มยั่วที่ดูยังไงก็เหมือนแฟนผมทุกประการ ก่อนที่ช่วงล่างผมจะร้อนระอุมากขึ้นเมื่ออีกฝ่ายบดก้นเป็นจังหวะอย่างชำนาญ แม้จะมีเสื้อผ้ากลางกั้นแต่ราวกับว่าทุกอย่างจะหลอมละลายเพราะความร้อนของร่างเราทั้งสอง

“เลียสิ” เขากดหัวของผมเข้าหาอกขาวเนียนของเขา

แม่เจ้าโว้ย

ขอเถอะ ผมเมาความขาวจนตาลายแล้ว

ผมเลียยอดอกเขาอย่างกระหาย ทั้งดูดดึงทั้งขบกัดจนอีกฝ่ายส่งเสียงครางหวาน ทั้งร่างของเขาสั่นระริกเหมือนลูกนกจนผมอดแกล้งไม่ได้

“อือ อย่าดูดแรงขนาดนั้นสิ มันเจ็บนะ” เขาประท้วง แต่ในน้ำเสียงกลับเจือความพอใจ

เมื่อเม็ดทับทิมข้างหนึ่งฉุ่มช่ำ ผมก็ย้ายไปชิมอีกข้าง คนตัวเล็กหยัดกายเข้าหาผมทั้งยังขยุ้มหัวผมไว้อีกต่างหาก

เสียงดูดฉ่ำแชะดังผสานไปกับเสียงครวญครางของจิน

ผมละออกมาดูผลงานตัวเอง ทับทิมเม็ดงามแวววาวสะท้อนแสงของไฟ ทั้งยังโดนแรงกระทำจนเด้งเด่นออกมา ผมเย้าเขา

“พรุ่งนี้อย่าใส่เสื้อบางนะ ไม่อย่างนั้นเห็นอะไรๆดันเนื้อผ้าออกมาแน่ๆ”

“พรุ่งนี้เราก็หายไปแล้ว จะห่วงทำไมกัน” จินพูดทั้งๆที่ยังหอบไปด้วย “ฝีมือของเด็กดื้ออย่างนายน่าจะดีกว่าพวกที่อยู่ในลิสต์ เรา
มาเล่นกันนานๆเถอะ”

หืม ว่าไงนะ

เหมือนได้ยินไม่ชัด

เหมือนว่าผมจะทำหน้าตื่นตะลึงจนเขาอดหัวเราะออกมาไม่ได้

“ก็เรามีหน้าที่ลงโทษไง เราก็จะทำแบบนี้…กับ-เด็ก-ใน-ลิสต์-ทุก-คน”

อ่า ไม่ไหวแล้วนะ ยังมีหน้ามาพูดอย่างนี้แล้วยิ้มอีก

ผมที่ขยับข้อมือจนริบบิ้นนั้นเริ่มหลุดก็กระชากมันออกมาอย่างรุนแรงจนร่างเล็กที่นั่งบนตัวผมถึงกับผงะ แต่ก่อนที่เขาจะขยับผมก็
ล็อคตัวเขาไว้แน่นแล้ว มือใหญ่ๆของผมจับตัวเขาพลิกให้นอนคว่ำบนเตียงก่อนจะเอาแขนเขาไขว้หลังแล้วเอาริบบิ้นแดงมัดไว้

“เดี๋ยว!” จินเตะอย่างสะเปะสะปะพร้อมกับดันตัวหนี แต่ผมดึงขาเขาพรืดเดียวร่างเขาก็มาอยู่ใต้ร่างผมแล้วเรียบร้อย

“ปากนี่นะ พูดอะไรไม่น่ารักเลย” ผมก้มลงกัดริมฝีปากได้รูปนั่นเบาๆ แต่กลับเรียกเสียงประท้วงว่าเจ็บจากคนใต้ร่างได้เป็นอย่างดี

“จะโกรธอะไรเราน่ะ เราก็ทำหน้าที่เราไง” เขายังคงเรียกร้องขอความเป็นธรรม แต่จะไม่ได้จากผมแน่ เพราะผมกำลังเลิกกระโป
รงสั้นๆตัวนั้นเพื่อสำเร็จโทษเขาไง

 ผมลากเขามาพาดบนตัก ก้นกลมๆภายใต้ถุงน่องสีดำลอยเด่นอยู่บนตักของผม

แควก!

ฉีกถุงน่องอย่างไม่ลังเล ก่อนจะพาดไปอย่างแรงจนก้นกลมๆนั้นขึ้นสีแดงเป็นปื้น จินสะดุ้งโหยงเมื่อมีเสียงเพี๊ยะ ร่างเล็กๆห่อไหล่ ตัวสั่นระริก

ผมจิ๊ปาก

“จิน มึงสอบตกเรื่องความสัมพันธ์สุดๆ ใครใช้ให้พูดเรื่องคนอื่นตอนกำลังจะมีอะไรกันหะ” ผมโกรธสุดๆ จะเป็นrole playหรือตอนนี้มันจะเป็นความฝัน อะไรก็ช่าง ปากเล็กๆที่กำลังเจื้อยแจ้วเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวกับผมนี่มันน่าโมโหจริงๆ
ไหนจะท่าทางที่เหมือนจะบอกว่าเป็นใครก็ได้อีก

มันต้องเป็นผมเท่านั้น

แค่คิดว่าตัวเขาจะต้องเป็นของใคร คิดว่าเขาจะใช้เทคนิคนี้กับคนอื่น ผมก็หลุดการควบคุมสุดๆ

ผมเป็นหมาที่เชื่องกับเจ้าของก็จริง แต่ถ้าใครมายุ่มย่าม ผมจะกัดมันให้ตาย

เพี๊ยะ!

ตีเสร็จก็ใช้มือขย้ำก้นเขาจนขึ้นเป็นรอยแดง ผมเอื้อมมือไปหยิบเจลหล่อลื่นที่ซ่อนไว้ตรงหมอน(ใช่แล้ว ผมซ่อนทุกอย่างไว้ใต้
หมอนเพื่อความต่อเนื่อง)ออกมา

“เอ้า คราวนี้ตอบมาสิว่าใครกันแน่เป็นเด็กดื้อ” ผมเทเจลหล่อลื่นลงบนมือ ก่อนจะใช้นิ้วแทรกเนื้อนุ่มๆนั่นเข้าไปเพื่อละเลงความชุ่มฉ่ำ กดปลายนิ้วกับช่องทางซ้ำๆจนเริ่มคลายตัว หลังจากนั้นผมจึงแทรกนิ้วเข้าไปหมุนคว้านภายในตัวเขา

“อะ…อา” จินครางอืออาเมื่อผมกดลงบนจุดที่ผมรู้จักดี ขาเขาบิดไปมาอย่างทรมานเมื่อผมแกล้งภายในตัวเขาอย่างหรรษา

เพี๊ยะ!

“ไม่พูดล่ะ ตกลงใครเป็นเด็กดื้อ”

ผมใช้อีกมือตีก้นเขาทั้งๆที่นิ้วยังคาอยู่ในช่องทาง แรงสั่นสะเทือนที่มาพร้อมๆกับการกลั่นแกล้งตรงจุดนั่นทำให้อีกฝ่ายแทบหลั่ง
รดตัวเอง

“เรา…เราเอง” เขาพูดทั้งๆที่น้ำเสียงสั่น

เห็นเขายอมจำนน ในส่วนลึกของผมก็รู้สึกพอใจ แม้ความโกรธจะหายแล้วแต่ก็ยังอยากแกล้งคนตัวเล็กอยู่ดี

ใครใช้ให้เขาน่ารักขนาดนี้กันล่ะ

“ดีมาก งั้นจะให้รางวัลเด็กดีเองนะ” ผมขยับตัวขึ้นไปทาบทับเขา แก่นกายของผมปริ่มด้วยความปรารถนาเต็มที่แล้ว หลังจาก
ชโลมด้วยเจลผมจึงค่อยๆกดมันเข้าไปในร่างเขา

“…เคย์ ….มันจุก” เสียงประท้วงจากคนข้างล่างทำเอาผมหน้ามืด แต่ก็กัดฟันค่อยๆทำช้าลงเพราะไม่อยากให้เขาเจ็บ

จวบจนกระทั่งร่างกายของเราผสานกัน ผมจึงผ่อนลมหายใจร้อนๆออกมา

“เจ็บมั้ย” ผมถาม

เขาส่ายหน้าเป็นคำตอบ

“ขยับนะ”

คราวนี้พยักหน้าอย่างขัดเขิน เพราะนอนคว่ำเขาจึงพยายามซ่อนใบหน้าไว้ แต่ผมก็ยังบังคับให้เขาเอียงคอออกมาอยู่ดี

“เดี๋ยวก็ขาดอากาศหรอก” ผมยิ้มขำเมื่อเห็นเขาฝังหน้าตัวเองลงกับเตียงอีกครั้ง

ก้มลงจูบใบหูแดงๆนั่นแล้วค่อยๆขยับร่างกาย แรงกระแทกกระทั้นจากตัวผมทำเอาคนตัวเล็กหัวสั่นหัวคลอน

เสียงเนื้อกระทบเนื้อกับเสียงหายใจหนักๆของผมดังลั่นทั่วห้อง ภายในตัวเขาบีบตัวรัดผมทุกครั้งที่ผมกระแทกเข้าไปถูกจุด

ผมถอนตัวออกมา วางแก่นกายสีสดของตัวเองไว้บนก้นของเขาและยกมันตีเนื้อหนั่นแน่นเบาๆ ก่อนจะกดมันเข้าไปในร่างอีกฝ่าย
อีกครั้ง แน่นอนว่าภาพโปรดของผมคือยามที่วางเทียบแท่งเนื้อกับก้นขาวๆนั่นแล้วจินตนาการว่าตัวผมสามารถเข้าไปได้ลึกขนาดไหน

จินมักจะบอกเสมอว่าไซส์ร่างกายเรามันต่างกันเกินไป ผมค่อนข้างเห็นด้วยนะ ร่างกายเล็กๆของเขาทำให้ผมอยากจะทะนุถนอม
แต่ในขณะเดียวกันมันทำให้ผมตื่นเต้นยามเห็นตัวเองตอนตื่นตัวเทียบกับก้นของเขาน่ะ

Size difference จงเจริญ!

“เคย์…เจ็บ” เขาประท้วง ผมจึงก้มหน้าลงไปสำรวจด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะถึงบางอ้อเมื่อคิดได้ว่าหน้าอกเปล่าเปลือยนั่นน่าจะถูไถกับเตียงยามผมกระแทกเข้าไปในตัวเขา ยามปกติความหยาบของเนื้อผ้าที่ถูกับตื่งเนื้อน่าจะทำให้เสียวกระสัน แต่เมื่อบวกกับที่ผมดูดมันจนบวมอยู่แล้ว เขาจะเจ็บก็ไม่แปลก

ผมเปลี่ยนท่ามาเป็นนั่งพิงหัวเตียง คลายริบบิ้นที่ผูกแขนจินออกแล้วช่วยประคองเอวอีกฝ่ายยามเขาค่อยๆกดตัวลงบนแกนกลางของผมอีกครั้ง

“ค่อยๆ….นั่นล่ะเด็กดี ไม่เจ็บหรอก”

“ไม่เจ็บ…ไม่เจ็บกะผีสิ ลองมีอะไรใหญ่ๆมาเสียบคาก้นบ้างมั้ยจะได้รู้ว่าเจ็บหรือไม่เจ็บ” จินจิกเล็บลงบนบ่าผมอย่างแรงจนเรียกเลือด แต่ผมกลับยิ้มขำเพราะเขาน่ารักเอามากๆ

“แต่ก็ชอบใช่มั้ยล่ะ”

เขายื่นหน้ามากัดคางผม

“หุบปากไปซะ”

นั่นไง จินคนเดิมกลับมาแล้ว

ผมปล่อยให้เขาขยับตามใจชอบ คนตัวเล็กทั้งบดสะโพกเป็นวงกลม ทั้งโยกจนตัวผมไปถึงฝั่งฝัน เขาเองก็ปลดปล่อยจนชุ่มแฉะภายใต้ถุงน่อง ผมประคองใบหน้าเล็กๆของเขาไว้ในฝ่ามือก่อนจะก้มลงจูบ

จูบซ้ำๆ อีกครั้งและอีกครั้ง

ใต้ช่อมิสเทิลโท

“เขาบอกว่าจูบใต้มิสเทิลโทแล้วความรักจะเป็นนิรันดร์”

จินหน้าแดงเหมือนจะกลั่นออกมาเป็นหยดได้ ผมรู้หรอกน่าว่าเขาอยากจะจูบใต้ช่อมิสเทิลโทถึงได้เอามาแขวนไว้บนหัวเตียง แต่
ผมจะไม่แกล้งเขาหรอก แค่นี้คนขี้ซึนก็ใกล้ตัวแตกแล้ว

ผมจูบหน้าผากเขา เอ่ยคำอวยพรให้ความรักเรา

“มารักกันไปนานๆเลยนะ”



ผมเหม่อมองเพดาน งงงวยเพราะตัวเองพึ่งตื่น

อ้าว…ตกลงคือเป็นความฝันหรอกหรือ

ผมพลิกตัวขึ้นนั่ง ผมเผ้ายุ่งเหยิงไม่เป็นทรง คนตัวเล็กที่กินน้ำอยู่หน้าตู้เย็นทำหน้ายี้ใส่ให้ครั้งหนึ่ง

“ฝันอะไร เอาแต่อืออาๆอยู่ได้” เขาว่า

อ่า…ฝันจริงๆด้วยแหะ

ผมได้แต่เสียดายเพราะจินดูน่ารักมากๆ แต่อีกใจก็คิดว่านี่ตูกลายเป็นคนลามกจกเปรตขนาดฝันเป็นวรรคเป็นเวรขนาดนี้ได้เมื่อไร ช่วงฮอร์โมนพลุ่งพล่านเรอะ

แม่ครับ ขอโทษนะครับที่แม่มีลูกเป็นภัยสังคม…

ผมขยับตัวลุกขึ้น ชวนแฟนตัวเองไปทานข้าวใต้หอ ระหว่างที่กำลังล็อคห้องอยู่จินก็ส่งเสียงโอ๊ยขึ้นมา

“เป็นอะไรหรือเปล่า” ผมลนลานขยับตัวไปดูเขา เห็นจินกำลังจับหน้าอกตัวเองอยู่ก็ใจเสีย จึงโน้มตัวลงไปสังเกตเผื่อเขาได้รับ
บาดเจ็บ

ผมเบิกตากว้างมองยอดอกของคนตัวเล็กซึ่งดุนดันผ้ามากกว่าทุกที

ฝัน…หรือเปล่านะ

-------------------------------------------------------------------------------------------
ปีนี้ไม่ค่อยมีตอนพิเศษแนวๆแซนตี้ไรงี้เลย เหงา  :z3: :z3:
ไม่มีก็แต่งเอง!!! ผ่างงง
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : แซนตี้ P.7 UP[29/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 29-12-2018 17:14:45
ฝันที่เป็นจริงว่างั้น อิอิ   :mc3: :mc3: :mc3:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : แซนตี้ P.7 UP[29/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 29-12-2018 21:10:50
5555 มันคงเป็นฝันที่สมจริงมากเลยนะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : แซนตี้ P.7 UP[29/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Cyclopbee ที่ 29-12-2018 21:25:39
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : แซนตี้ P.7 UP[29/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: yunnutjae ที่ 29-12-2018 21:51:31
สรุปฝันไม่ฝัน เอ๊ะๆๆๆๆ  :z3:
ต่อด้วยเทศกาลปีใหม่ไหมมมมมมม ฉลองบนเตียงข้ามปีงี้  :hao7: .... รอไรท์แต่งนะคะ  :laugh:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : แซนตี้ P.7 UP[29/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 30-12-2018 00:33:52
เคย์ไม่ได้ฝัน!!!

เชื่อเรา  ซานตี้มีจริง!!!

แถมเจ็บนมได้ด้วย :-[

หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : แซนตี้ P.7 UP[29/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Kx0806 ที่ 30-12-2018 08:51:27
 :-[  ขอตอนฉลองปีใหม่ด้วนะคะ เคาต์ดาวน์กันสองคนบนเตียงงี้  แซ่บๆ :hao6:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : แซนตี้ P.7 UP[29/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Wwavez ที่ 01-01-2019 05:20:05
ฝันไม่ฝันไม่รู้แต่ฟินมาก เด็กดื้อกับแซนตี้น่ารัก HNYนะจ้าาา :mew1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : แซนตี้ P.7 UP[29/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: TheWanFah ที่ 05-01-2019 22:58:00
ไม่น่าจะใช่ฝันนะเคย์

รอตอนเคย์รู้ความจริงว่าจินคอสเพล์
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : chap3 UP P.7 [06/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: MeiHT ที่ 06-01-2019 17:23:09
        ผมมองคนตัวสูงที่กำลังยืนอยู่ตรงประตูทางเข้าห้องตาค้าง รูมเมทไซส์นักบาสกำลังถือถุงพลาสติกที่มีโลโก้เซเว่นอยู่ในมือ น่าจะเป็นของกินเล่นสำหรับตอนกลางคืน เขาอยู่ในสภาพใส่ชุดไปรเวทสบายๆและสะพายกระเป๋าเป้อันใหญ่ที่คาดว่าน่าจะใส่ของเพื่อไปค้างห้องเพื่อน

   ผมกับเขามองตากัน เวลาเพียงวินาทีกลับเหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์

   ความคิดผมวิ่งวุ่นสับสนมึนงงไปหมด จะแก้ตัวอย่างไรดี หรือจะบอกว่าผมมีงานอดิเรกแต่งหญิง แต่ถ้าอย่างนั้นเขาอาจจะเอาไปบอกใครเข้าก็ได้

   ผมควรจะพูดอะไรสักอย่าง อะไรก็ได้

   แต่แล้วจู่ๆท่ามกลางความเงียบ เขาก็ปิดประตูเสียงดังปังเสียจนผมสะดุ้ง แล้วเคย์ก็ก้าวขายาวๆที่ทำให้ย่นระยะทางในห้องเข้ามาเหลือเพียงแค่สองก้าวจนเข้ามาจนถึงผมที่นอนอยู่บนเตียง

   “ในที่สุด…ผมก็เป็นคนที่ถูกรับเลือกใช่มั้ย” เขากุมมือผม ดวงตาจ้องมองมาอย่างเป็นประกาย

   เอ๊ะ….

   ผมสับสนอย่างหนักจนแม้แต่คำเดียวก็พูดไม่ออก แต่เคย์กลับรัวคำพูดที่ผมประมวลผลแทบไม่ทันออกมาเรื่อยๆ

   “คิดไว้แล้วเชียว เรื่องทะลุมิติเข้าไปในเกมมีอยู่จริงๆด้วย ผมได้รับเลือกเป็นคนคนนั้นแล้วใช่มั้ย ฟางจวิน คุณมารับตัวผมสินะ”

   หลังจบประโยคแปลกๆนั่นกับท่าทางตื่นเต้นระริกระรี้จนแทบเรียกได้ว่าถ้ามีหางคงกระดิกส่ายอย่างรวดเร็ว ผมก็สรุปได้คำเดียวว่า

   เจ้านี่มัน…โอตาคุชัดๆเลย

   “ดะ…เดี๋ยวก่อนสิ นี่มันไม่ใช่---” ไม่ทันพูดจนจบประโยค เงาของหมอนั่นก็โน้มลงมาทาบทับตัวผมไว้จนมิด กว่าจะรู้ตัวอีกที หลังของผมก็เอนนอนลงจนแนบสนิทกับเตียงนอนและผมก็เห็นใบหน้าของเคย์แทนที่จะเป็นเพดานสีขาวของห้องซะแล้ว

   เดี๋ยวนะๆ อยู่ดีๆโพสิชั่นของผมกลายเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง

   ผมยกมือขึ้นดันไหล่เขา แต่ยักษ์ปั่นหลันอย่างหมอนั่นกลับไม่สะดุ้งสะเทือนแม้แต่น้อย

   “ฟังก่อนสิ มันไม่--” เมื่อผมจะอธิบาย เคย์ก็จะพูดขัดด้วยคำพูดที่เหมือนพูดเองเอ่อเองกับตัวเองไปเสียอย่างนั้น

   “ถ้าอย่างนั้นฟางจวินก็พาผมไปเลย อ่า หรือจะต้องทำอะไรก่อนคุณถึงจะพาผมข้ามมิติไปได้” เขาทำหน้าตาสงสัยใส่ผม เมินแรงน้อยนิดที่ดันหัวไหล่เขาไปโดยสิ้นเชิง “จริงสิ หรือจะต้องทำตามโดจินนั้นกัน”

   โดจิน! โดจินอะไรวะ

   อยู่ดีๆผมก็รู้สึกสังหรณ์ใจหนักกว่าเก่าจนต้องดิ้นรนออกจากเงื้อมมือของรูมเมทตัวเองที่บัดนี้พูดไม่รู้เรื่องไปด้วยซะแล้ว แต่จังหวะที่จะพลิกตัวหนีจากเขา เคย์กลับกดตัวผมจนแทบจมลงไปกับฟูก

   “เข้าใจแล้วฟางจวิน ผมจะช่วยคุณเอง คุณจะได้กลับโลกของคุณและพาผมไปด้วย”

   “เดี๋ยว! ไอ้บ้านี่! ฟังก่อ---” เสียงผมขาดหายเมื่อคนตรงหน้าบดจูบเข้ามาอย่างรุนแรง แต่แล้วระหว่างที่ผมยังสับสนกับการโดนจูบ สัมผัสร้อนๆแถวขาอ่อนก็เรียกให้ผมเสตาไปมองก่อนจะค้นพบว่าเป็นมือใหญ่ๆที่กำลังลูบไล้บริเวณนั้นก่อนที่เขาจะเลื่อนมือขึ้นสูงเข้าไปในกระโปรง

   แต่ทั้งๆที่กำลังโดนทำอย่างนี้แท้ๆ แต่ใจผมกลับเต้นแรงกระหน่ำเสียจนน่าอาย แถมหัวสมองยังโล่งไปด้วยความรู้สึกดีอย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน

   ผมสะดุ้งเมื่อเขาสัมผัสเข้ากับส่วนอ่อนไหวของผม ในใจพลันตื่นตระหนกว่าแย่แล้ว! เขาจะต้องรู้แน่ๆว่าผมเป็นผู้ชาย

   ผมดิ้นรนจนกลายเป็นเหมือนการขัดขืน ถ้าอยู่ดีๆเคย์ผละถอยจากผมไปเพราะรู้ว่าผมมีไอ้นั่นเหมือนกับเขา เป็นแค่คนที่แต่งตัวเป็นผู้หญิง ผมจะรู้สึกอย่างไรกัน

   แต่กลับกัน รูมเมทของผมกลับจูบลงที่หน้าผากผมอย่างแผ่วเบา จากนั้นจึงผละไปและจ้องตากับผม ในสายตาเขามีทั้งความดื้อดึงและการแสดงอำนาจอยู่ในที

   “ผมชอบคุณ ได้โปรดให้ผมได้กอดคุณที”

   นั่นเป็นคำพูดที่ให้กับผมหรือให้กับฟางจวินกันแน่ ผมคิดถามตัวเองในใจ

   อาจจะเป็นเพราะฮอร์โมนวัยรุ่นที่พลุ่งพล่านหรืออาจจะเป็นความใจง่ายของผมที่แอบสนใจเขา ผมไม่แน่ใจว่าจะโทษอะไรดีแต่ผมก็ตัดสินใจจะปล่อยตัวไปกับความรู้สึกที่ไม่แน่ใจว่าตอนตื่นมาควรจะทำอย่างไรกับมัน

   การพยักหน้าของผมราวกับปลดปล่อยความรู้สึกอันรุนแรงแข็งกล้าของเขา การกระทำอันจาบจ้วงทำให้ภายในหัวของผมโล่งไปหมด มีเพียงความรู้สึกทางกายที่ท่วมท้นจนล้นทะลักออกมา

   ผมปรือตามองเคย์ที่กำลังหอบหายใจ ใบหน้าแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มกว้างกว่าทุกครั้ง ในหัวผมพลันเหมือนจะปะติดปะต่อเรื่องราวบางอย่างได้

   ถุงยางที่ถูกซุกไว้ที่ข้างเตียงเหมือนเตรียมไว้อยู่แล้ว เวลาที่พอดี กับ…กับอะไรอีกล่ะ

   คลับคล้ายคลับคลาว่าหากผมสามารถหาชิ้นส่วนที่หายไปได้ ผมจะนึกอะไรบางอย่างที่สำคัญออก แต่ผมก็ปล่อยให้ความคิดนั้นหลุดลอยหายไปพร้อมๆกับสติที่เหลืออยู่อย่างน้อยนิด


เคย์ part

   ใช่แล้ว…ชุดคอสเพลย์อันนั้น

   ผมเจอมันในบ่ายแก่ๆวันหนึ่งตอนที่ผมกำลังไล่ตามแมลงสาปตัวจิ๋วสีเหลืองทอง มันวิ่งเข้าไปหลบในตู้เสื้อผ้าของจิน ผมจึงต้องจำใจย้ายของออกจากตู้ของเขาให้หมดเพื่อไล่ฉีดยาฆ่าแมลงกำราบเจ้าแมลงโง่ตัวนั้นที่บังอาจเข้ามาในห้อง

   ระหว่างที่ย้ายของของเขาออกมา ผมก็อดใจเต้นไม่ได้ ถึงยังไงนั่นก็เสื้อผ้าของคนที่ผมแอบชอบนะ

   แต่แล้วระหว่างที่ผมหยิบกล่องที่อยู่ในสุดออกมา ผมก็เผลอทำมันตกลงมา ของที่อยู่ในกล่องกระจายบนพื้น ทำเอาผมลนลานต้องรีบเก็บมันอย่างรวดเร็ว

   ถ้าจินรู้ว่าผมแตะของของเขาเข้า เขาอาจจะโกรธผมก็ได้

   แต่สัมผัสจากเนื้อผ้าก็ทำให้ผมพูดไม่ออก ผมลองคลี่มันออกก่อนจะพบว่ามันเป็นกระโปรงโลลิต้าจีนแบบที่ผมเห็นตามงานคอสเพลย์ ผมมองชิ้นส่วนที่เหลือในกล่อง ขออนุญาตคนตัวเล็กในใจก่อนจะหยิบของเหล่านั้นออกมาดู

   นี่มัน…อุปกรณ์คอสเพลย์ทั้งนั้นไม่ใช่เรอะ

   ไม่พอ นี่มันเป็นของผู้หญิงด้วย

   ถ้าพิจารณาจากรูปร่างของจินแล้ว การที่จะแต่งตัวเป็นผู้หญิงนั่นไม่ใช่เรื่องยากเลย หลายครั้งที่ผมเผลอมองเขาหลังออกมาจากการอาบน้ำ ทำให้ผมได้พบว่าการที่เขาใส่ขาสั้นตอนนอนนี่มันดีจริงๆ

   ไม่ใช่! ผมหมายความว่าหุ่นเขาดีเหมือนสาวๆไม่มีผิด อาจจะไหล่กว้างกว่านิดหน่อย ตัวสูงกว่าเล็กน้อย แต่ก็นั่นแหละ…

   หัวใจผมเต้นรัวกับชุดที่คลี่ออกมาดู ผมจำได้ว่ามันเป็นชุดของตัวละครNPCตัวหนึ่งในเกมจีนที่ได้รับความนิยมอย่างมากและมีคนออกโดจินออกมาเต็มไปหมด

   จินเป็นนักคอสเพลย์…สายแทร็ปเหรอ

   ผมพับเก็บชุดของเขาอย่างเหม่อลอย นั่งนึกถึงคนตัวเล็กในชุดเหล่านี้แล้วใจเต้นพอๆกับความร้อนภายใต้กางเกงที่พุ่งขึ้นสูง ผมรีบจัดการทุกอย่างให้เสร็จเรียบร้อย ไม่ลืมที่จะฉีดไบก้อนไล่เจ้าแมลงร้ายที่อาจจะซุกอยู่ในมุมใดมุมหนึ่งในตู้ของรูมเมทตัวเล็กของผม แล้วจากนั้นจึงไปจัดการธุระที่คุณก็น่าจะรู้ว่าอะไรในห้องน้ำ

   ระหว่างที่จัดการมันไป ผมก็เอาแต่คิดภาพของเขาในชุดโลลิต้าจีนตัวนั้น

   ผมชอบเขา ตอนแรกผมคิดว่าผมสนใจเขาเพียงอย่างเดียว แต่หลังจากที่เราได้อยู่ในห้องเดียวกัน ผมก็เอาแต่สังเกตเขา จนรู้ตัวอีกทีก็เอาแต่มองตามจินไม่หยุด

   ผมพบจินครั้งแรกก่อนจะเปิดเทอม มหาลัยของเรามีงานFirst meetที่บังคับให้นักศึกษามาเข้าร่วม และผมได้จับกลุ่มอยู่
กลุ่มเดียวกันกับคนตัวเล็ก แน่นอนว่าเขาคงจำผมไม่ได้หรอก เห็นได้ชัดจากตอนที่ผมเปิดประตูเข้าหอ เขาแนะนำตัวกับผมใหม่อีกรอบโดยไม่แม้แต่จะคิดด้วยซ้ำว่าน่าจะเคยเห็นหน้าผมตอนไหน

   ความรู้สึกแรกของผมที่มีต่อจินก็คือ หมอนี่ห้อยตุ๊กตาเรโกะจังไว้ที่กระเป๋าเป้ด้วย

   ผมกะจะชวนเขาคุย แต่ก็เขินจนเกินกว่าจะเปิดปากพูด จนกระทั่งเพื่อนผู้ชายอีกคนที่นั่งอยู่ด้วยทักเรื่องเรโกะจังที่ห้อยกระเป๋าของคนตัวขาวนั่นแหละ

   “เฮ้ย โตแล้วยังห้อยตุ๊กตาอีกเหรอวะ ชอบการ์ตูนเหรอ หรือว่ามึงเป็นโอตาคุ ว่าไปนั่น ล้อเล่นนะๆ”

   น้ำเสียงนั่นแฝงไปด้วยการล้อเลียน ผมเหลือบตามองจินพลางคิดว่าคนตัวเล็กนั่นจะโต้ตอบอย่างไร ถ้าเป็นผมหรือคนปกติ
ก็คงจะหัวเราะแห้งๆกลบเกลื่อนไม่ก็ปฏิเสธไปแหงๆ แต่เขากลับไม่ทำอย่างนั้น คนตัวเล็กแสนดื้อรั้นของผมมองอีกฝ่ายด้วยหาง
ตา

   สายตาของจินเรียกได้ว่าเชือดเฉือนและแสดงความไม่เป็นมิตรอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่เขาจะพูดด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้นว่า

   “ไม่เกี่ยวกับมึงสักหน่อย อย่ามาเสือก”

   นั่นแหละคือความประทับใจครั้งแรกที่ทำให้ผมจำเขาได้
   


   จิน part

   เจ็บ…

   แม่งเอ๊ย ผมนึกว่าตอนตื่นมามันจะโรแมนติกมากกว่านี้

   ความหงุดหงิดที่แล่นพรวดขึ้นมาทำเอาผมต้องตะปบหน้าหล่อๆของคนที่นอนอยู่ข้างๆ

   ไอ้โอตาคุเอ๊ย ผมน่าจะรู้นะ หมายถึง ผมใช้ชีวิตกับโลกด้านนี้ด้วยซ้ำ แต่หมอนี่ดันปิดตัวตนด้วยใบหน้าหล่อๆ ทรงผมทันสมัยกับหุ่นนักบาส

   “โอ๊ย! จิน เจ็บ” ในที่สุดหลังจากผมฝังเล็บเข้าใบหน้าของเขา เคย์ก็ตื่นขึ้นมาสักที ชายหนุ่มตรงหน้าผมดูงุนงงสับสนอยู่ในที

   “ไอ้บ้าเอ๊ย! ไอ้โอตาคุ! แกเป็นหนึ่งในแฟนคลับโรคจิตอะไรพวกนั่นใช่มั้ย โอ๊ย!” หลังจากตะโกนและใช้แรงมากไป ความปวดร้าวจากเอวก็ไล่ลามขึ้นมาอีกรอบ ทำเอาผมต้องล้มตัวลงนอนพังพาบกับเตียง คนตัวใหญ่เห็นแบบนั้นก็กุลีกุจอเข้ามาช่วยนวดเอวผมยกใหญ่ โดยที่ไม่รู้เลยว่าผมเจ็บกว่าเดิมจนแทบน้ำตาไหลแล้ว

   “แฟนคลับอะไรเหรอ” เขาทำหน้าซื่อตาใส

   “อย่ามาทำหน้าซื่อหลอกกู” ผมขู่ฟ่อทั้งๆที่ยังนอนจับเอวอยู่ “รู้ได้ยังไงว่ากูเป็นJJ3K”

   “JJ3K?” คนตรงหน้ายังคงทำหน้าหมางงต่อไป ตาใสๆของเขาทำให้ผมโวยวายในลำคอดังอ๊ากกกก เมื่อรู้แล้วว่าจริงๆเขาคงไม่ได้เป็นแฟนคลับผมและไม่ได้รู้จักผมในทวิตเตอร์จริงๆ

   “โอเค มึงไม่ได้เป็นแฟนคลับโรคจิต มึงคิดว่ากูเป็นฟางจวินออกมาจากเกมจริงๆเหรอ”

   คราวนี้เคย์ยกมือขึ้นลูบต้นคอ ท่าทางเขินๆนั่นทำให้ผมอยากเป็นลมสลบไปตรงนี้เลย

   นี่หมอนี่ปล้ำผมเพราะคิดว่าผมเป็นตัวละครหลุดออกมาจากเกมจริงๆเหรอวะ!

    แม่ครับ วันนี้ลูกชายของแม่เสียเวอร์จิ้นเพราะโอตาคุหน้าโง่ที่อินกับเนื้อหาในโดจินมากเกินไป

   ผมคิดว่าผมจะเป็นลมจริงๆแล้ว

   “จิน! ไม่ต้องห่วงนะ ถึงกูจะเข้าใจผิด แต่กูจะรับผิดชอบมึงเอง” เคย์ที่กระตือรือร้นจนผมเห็นภาพหลอนของหูกับหางที่กระดิกอย่างบ้าคลั่งทำเอาผมต้องยกมือขึ้นทำท่าปางห้ามญาติ

   “เดี๋ยว รับผิดชอบเหี้ยไร กูไม่ใช่ผู้หญิง” ผมนวดขมับตัวเองอย่างเหนื่อยอ่อน พอเห็นแบบนั้น ชายหนุ่มที่นั่งเปลือยท่อนบนอยู่ข้างตัวผมก็รีบยกมือมานวดข้างหัวผมอย่างเบามือ

   นิ้วใหญ่ๆของเขาค่อยไล่ลูบวนตรงบริเวณข้างหัวผมอย่างช้าๆ การยั้งแรงมือและการแสดงออกที่เห็นชัดว่าเป็นการเอาใจนั้นทำเอาผมอดหน้าร้อนขึ้นมาไม่ได้

   แต่มันก็แค่แปบเดียวเท่านั้นแหละ!

   เพราะที่กูเป็นอยู่เนี่ยมันก็ความผิดมึงชัดๆไม่ใช่เหรอ เวรเอ๊ย!

   ผมใช้แรงเฮือกสุดท้ายเตะเข้าที่ข้างลำตัวของคนตัวใหญ่ แต่ผมรู้ว่ามันเหมือนแรงเพียงน้อยนิดสำหรับยักษ์ปันหลั่นพรรค์นั้น ผิดกับผมที่ร้องโอดโอ๊ยทันทีเพราะปวดตัวจนทนไม่ไหวแล้ว

   “อย่าขยับตัวๆ เดี๋ยวเจ็บหรอก อยากตีกูเหรอ อ่ะ นี่ กูตีตัวเองแล้ว อย่าขยับตัวเลย” เจ้ารูมเมทหน้าโง่ลนลานยกมือขึ้นฟาดหน้าตัวเองดังเพี๊ยะๆ ท่าทางตื่นตกใจมากกว่าตัวผมทำเอาผมอดหัวเราะไม่ได้จริงๆ

   พอได้ยินเสียงหัวเราะผมก็เหมือนกับว่าบรรยากาศในห้องเริ่มผ่อนคลายขึ้น เคย์เผยรอยยิ้มจนใจออกมา เขาลูบหัวผมเบาๆ คล้ายพยายามกล่อมผมให้นอนหลับ

   “ไม่เป็นไร เราค่อยคุยเรื่องพวกนี้วันพรุ่งนี้ก็ได้ หลับก่อนเถอะ”

   ผมเปิดปากหาว ความง่วงงุนที่ฝืนไว้ตั้งแต่เมื่อครู่ฉายชัดบนใบหน้า
ผมค่อยๆหลับตาลง ไม่แน่ใจว่าอะไรจะรออยู่หากลืมตาเปิดในวันพรุ่งนี้ แต่แน่นอนว่าผมคงจะต้องเรียนรู้ใหม่หมดเกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของรูมเมทตัวเองแน่นอน



=======================================================

นั่งแก้ตอนนี้อยู่นานมาก คือรู้ตัวว่าพล็อตมันไม่เรียลเลย แง แต่คิดอะไรมาก ก็ตอนแรกที่คิดไว้มันเป็นอย่างนี้จริงๆ ฮา ขอให้อ่านให้สนุกนะคะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่3 P.7 UP [06/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Kx0806 ที่ 06-01-2019 17:40:48
เคย์ร้ายมาก รู้ทั้งรู้ ว่านั่นคือจิน  แต่ก็นะ...  :hao3:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่3 P.7 UP [06/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 06-01-2019 18:54:59
สนุกดีค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่3 P.7 UP [06/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 06-01-2019 20:05:02
แบบนี้ดีแล้วค่ะ เหมาะจะเป็นหมาเคย์จริงๆ น่ารักมากกก ชอบมากก เป็นกำลังใจให้เสมอนะคะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่3 P.7 UP [06/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Ashita ที่ 06-01-2019 21:13:54
เคย์มันร้ายกว่าที่คิด  :hao6:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่3 P.7 UP [06/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 06-01-2019 21:20:21
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่3 P.7 UP [06/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: TheWanFah ที่ 06-01-2019 22:41:22
นี่ว่าเคย์จงใจที่จะปล้ำจิน
บทที่บอกว่าจินเป็นตัวละครจีนจัวนั้น แล้วปล้ำจิน คือการคิดมาแล้วชัดๆ
เราคิดว่าเคย์ไม่ใช่หมาโง่ แค่แสดงออกไปแบบนั้นเพื่อให้จิยตายใจ
ดูแล้วเคย์เจ้าแผนการมากเลยนะคะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่3 P.7 UP [06/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: ืnpht ที่ 07-01-2019 17:45:36
เคย์ร้าย


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่3 P.7 UP [06/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: yunnutjae ที่ 07-01-2019 18:28:52
เคย์ถามจิง สะตอใช่ไหม? เรื่องโดจินอะ จริงๆคือหาเรื่องปล้ำน้องจินใช่มั้ย! 55555555555555555555
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่3 P.7 UP [06/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 07-01-2019 20:58:05
 :haun4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่3 P.7 UP [06/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Ti0590 ที่ 08-01-2019 19:55:45
เจ้าเคย์นางร้ายนะคะหัวหน้่า
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่3 P.7 UP [06/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: nofsnof ที่ 09-01-2019 01:05:26
เคย์มันเป็นหมาป่าที่ห่มหนังโกลเด้น จินอย่าไปยอมมันค่าา บดกลับไปแรงๆ  :hao7: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่3 P.7 UP [06/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 09-01-2019 12:55:32
แหม่ เคย์ ร้ายนะเว้ยยยยย  :hao7:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่3 P.7 UP [06/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Wwavez ที่ 09-01-2019 21:46:26
นังเคย์ร้ายมาก ไหนหมาโง่ที่ใสๆกัน ทำมึนละกินน้องได้ไง ฟาดๆ :mew3:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่3 P.7 UP [06/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: MeiHT ที่ 11-01-2019 00:02:04
บทที่ 4 : เรียนรู้วิถีโอตาคุ

           ถ้าบั้นเอวผมไม่ได้ระบมและถ้าผมไม่ได้เห็นซากถุงยางอนามัยใช้แล้วถูกทิ้งในห้อง ผมคงคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก่อนเป็นความฝัน


            ผมหรี่ตาจ้องมองชายหนุ่มที่กำลังพูดคุยกับสาวๆอย่างลื่นไหลราวกับคาสโนว่าตัวพ่อที่หาตัวจับได้ยาก


           เมื่อสักครู่เคย์ชวนผมลงมาทานข้าวใต้หอ และหลังจากที่เราได้โต๊ะตัวสุดท้ายในร้านไปครอง สาวๆที่มาหลังเราไม่กี่นาทีขอรวมโต๊ะกับเราด้วยเนื่องจากโต๊ะเรามีเก้าอี้เหลือ และแน่นอนว่าสุภาพบุรุษตัวเป้งอย่างคนข้างหน้าผมก็ต้องอนุญาต


            เอาเป็นว่า เรื่องมันยาว…และคุยไปคุยมา เจ้าหล่อนดันเป็นเพื่อนดาวเดือนคณะนิติปีที่แล้ว และตอนนี้เธอก็ทำท่าเหมือนอยากจะรู้จักน้องคนใหม่ที่ ‘บังเอิญ’ ได้มานั่งโต๊ะเดียวกัน


            ก็นะ…


            ผมก้มหน้ากลอกตา ไถฟีดเฟสบุ๊คที่เผอิญมีโพสแชร์รูปเดือนคณะนิติปีนี้ ซึ่งคนที่แชร์ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆเดือนคณะคนฮอต


            ก็อย่างว่า…เรื่องบังเอิญไม่มีอยู่จริง


            คิดถึงประโยคนี้แล้วผมก็สะดุดกึก จำได้ว่าเมื่อวานมีความคิดแวบเข้ามาเรื่องนี้นี่แหละ


            อะไรสักอย่างเรื่องมันบังเอิญมากเกินไป เรื่อง…ของที่เตรียมพร้อมมากไป แล้วก็…


            “จิน!” มือใหญ่ๆที่โบกแวบไปแวบมาอยู่ตรงหน้าทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมองพร้อมตอบรับเสียงดัง


            “หือ”


            “ได้ฟังอยู่หรือเปล่า พี่เขาถามว่าจินดูคุ้นๆ เป็นรุ่นน้องที่โรงเรียนใช่มั้ย”


            “อ้อ” ผมหันไปมองสาวสวยข้างๆเคย์ที่ตอนนี้ดูเหมือนจะขยับตัวจนแทบชิดติดกับชายหนุ่ม ภาษากายของการนั่งใกล้ใครสักคน หรือพยายามเอาแขนไปใกล้คนคนนั้น หมายความว่าคุณสนใจในตัวคนคนนั้นเข้าให้แล้ว และผมคงเป็นคนบ้าที่นั่งสังเกตเรื่องพวกนี้ทั้งๆที่คนที่โดนสนใจเอาแต่ยิ้มเหมือนหมาโง่


            “แน่นอนครับ ผมจำพี่ได้ รุ่น38 พี่พีช ผม39 จิน” ผมส่งยิ้มไปให้ ซึ่งหล่อนก็ตอบกลับมาหลายประโยคที่ผมไม่ค่อยตั้งใจฟังเท่าไรพร้อมพยักหน้าไปแกนๆเพราะมัวแต่โฟกัสตอนที่หล่อนเอาศอกไปแตะแขนของรูมเมทผม


            เคย์ขยับแขนหลบไปนิดหนึ่งไม่ให้แขนของพวกเขาสัมผัสกัน และเหมือนเสี้ยวหนึ่งของผมจะถอนหายใจอย่างโล่งอก


            เดี๋ยว…ถอนหายใจอย่างโล่งอก???


            “พี่พีชก็โดนเสนอชื่อเป็นดาวเหรอครับ?” เสียงจากคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามผมดังขึ้นเมื่อบทสนทนาวกกลับไปที่การประกวดอีกครั้ง


            ผมได้แต่มองบนในใจ ไถเลื่อนฟีดไปผ่านๆทั้งๆที่ยังไม่ได้รับรู้ข่าวสารอะไรเลย ในขณะเดียวกันก็คอยจับจ้องคนที่กำลังเฟิร์ลตกับคนอื่นหน้าตาเฉย


             ระริกระรี้เป็นหมาชูหางอย่างนี้เดี๋ยวคนก็รู้หมดว่ามึงเป็นได้แค่ไอ้คนหื่นกามหรอก


            “ใช่ ทำเสียงตกใจจัง คิดว่าพี่ไม่ดีพอเป็นดาวหรือไง”


             นี่ก็กระเง้ากระงอดขั้น10


            “เปล่าครับๆ ผมไม่ได้จะพูดอย่างนั้น พี่พีชสวยมาก”


            “หืม เดือนปีนี้ปากหวานจัง”


            ผมกลอกตาอีกรอบ


            นี่มันเหมือนกับหนังรักเกรดBเลย


            ผมขยับเท้า ก่อนจะรู้สึกว่าเท้าตัวเองไปสัมผัสกับอะไรบางอย่างแข็งๆใต้โต๊ะ ผมก้มตัวลงเพื่อมองและพบว่าอะไรที่ผมเตะไปเมื่อครู่เป็นเท้าที่สวมเพียงรองเท้าแตะช้างดาวซึ่งค่อนข้างขัดกับลุคพ่อหนุ่มฮอตครบเครื่องของรูมเมทผมพอสมควร


            เห็นแล้วหงุดหงิด


            เหยียบแม่ง


            ผมวางเท้าทาบบนเท้าเขาเบาๆ ก่อนจะใช้แรงขยี้จนเคย์ยืดตัวตรงสูดลมหายใจเกร็งอย่างฉับพลัน


            “เป็นอะไรเหรอ” สาวสวยข้างๆทักเขาอย่างเป็นห่วง


            “ไม่เป็นไรครับๆ” รูมเมทผมโบกมือนิดๆมีรอยยิ้มเปื้อนหน้าอย่างทุกที


            ผมยังคงก้มหน้าไถมือถือต่อไปอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว


            แต่สาบานได้ นั่นเป็นมื้ออาหารที่เคย์กินเร็วที่สุดในชีวิต เขายัดก๋วยเตี๋ยวสองชามลงท้องได้ภายในเวลา15นาทีด้วยซ้ำ

           



            หมอนั่นยังคงลูบเท้าป้อยๆพร้อมส่งสายตาหงิงๆอย่างน่าสงสารมาหาผมไม่หยุดหลังจากเราเข้าห้องแล้ว


            อ้อ…เพิ่มเติมคือหมอนั่นได้ไลน์ของพี่สาวคนนั้นมาเรียบร้อย


            “มึงหึงรุนแรงจัง”


            “กูไม่ได้หึง!”


            “อือ ไม่ได้หึงๆ”


            แล้วจะทวนคำผมยิ้มหน้าระรื่นทำเตี่ยอะไรวะ


            ผมหรี่ตาคาดโทษ แต่เจ้าตัวต้นเหตุกลับเดินไปทิ้งตัวลงบนเตียงหยิบไอแพดออกมาไถแล้วเรียบร้อย ผมจึงได้แต่เปิดคอมจัดการเมมโมรี่การ์ดของกล้องที่ถ่ายรูปตอนคอสเพลย์


            แค่กๆ คือเผอิญว่าตอนที่เกิดเหตุไม่คาดฝัน ตอนนั้นกล้องที่วางไว้ปลายเตียงมันกำลังอัดวิดีโอไว้อยู่พอดี กว่าผมจะรู้ตัวอีกทีก็นอนยาวจนแบตหมดไปแล้ว ไม่รู้ว่าจะเก็บภาพอะไรได้ถึงไหน ไม่สิ…ไม่รู้ว่าจะเก็บวิดีโออะไรได้บ้างต่างหาก


            ผมเหลือบตามองคนที่ยังนอนอ้าซ่ากางแขนกางขาอยู่บนเตียง ก่อนจะงับฝาหน้าจอโน้ตบุ๊คลงมาหน่อยนึง เอียงคอมอีกสักนิดให้มั่นใจว่าคนที่นอนอยู่ตรงนั้นไม่น่าจะเห็นอะไรได้ชัด แล้วจึงค่อยกดเข้าโฟลเดอร์เมมโมรี่การ์ด


            ผมลดแสงหน้าจอลงต่ำสุดเมื่อเห็นวิดีโอที่ตัวเองคิดไว้ ใช้หางตามองคนที่ยังนอนในท่าเดิม เช็คในแน่ใจว่าปิดเสียงแล้วจากนั้นจึงค่อยเปิดวิดีโอ


            เหตุการณ์ในวิดีโอเริ่มตั้งแต่ตอนผมโพสท่าบนเตียง จนกระทั่งผมชะงักไปเพราะหมอนั่นเปิดห้องเข้ามา แล้วหลังจากนั้นก็….


            ผมกำลังจะปิดวิดีโอทิ้งในตอนที่เคย์วางหน้าบนไหล่ของผมแล้วพูดด้วยเสียงแหบพร่า


            “ไม่ยักรู้ว่ามึงชอบถ่ายวิดีโอไว้ด้วย คราวหลังเราหามุมกล้องดีๆกันดีกว่า”


            ผมตกใจจนมือกระตุกกดกากบาทที่มุมหน้าจอ วิดีโออันนั้นถูกปิดลงไปทันที ความอับอายแล่นตามใบหน้าผมเหมือนถูกพ่อแม่จับได้ว่าแอบกินขนมตอนดึกๆทั้งที่ฟันผุ


            “ว้า เสียดายจัง อยากดูต่ออีกหน่อยแท้ๆ” เสียงเย้าแหย่จากคนข้างหลังกวนตีนเสียจนเท้าผมกระตุก


            “อย่าอยู่เลยมึง!”


            แล้วสงครามที่มีเพียงผมฝ่ายเดียวที่เป็นคนลงมือก็เริ่มต้นขึ้น

 


            หลังจากสงบศึกกันเรียบร้อยแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าผมต้องชนะไปตามระเบียบเพราะเป็นคนเดียวที่ถือหมอนข้างไล่ตีคนตัวยักษ์ข้างๆโดยที่เขาทำได้แค่ปัดป้อง และหลังจากที่เราทั้งคู่จามจนจมูกแดงเพราะฝุ่น ก็ถึงเวลาต้องเปลี่ยนผ้าปูที่นอนกันสักที


            หลังจากจัดการลอกคราบปลอกหมอนออกเสร็จเรียบร้อย ผมก็หยิบผ้าปูที่นอนของตัวเองออกมาและเผื่อแผ่น้ำใจให้เพื่อนร่วมห้องด้วยการหยิบของเขาออกมาด้วย ซึ่งผมก็ได้รู้ในวินาทีถัดมาว่านั่นเป็นความคิดที่ผิดถนัด


            ปลอกหมอนลายมิคุจังอยู่ในมือผม


            ไม่พอ เสื้อผ้าของหล่อนฉีกขาดเสียจนเกือบเห็นอะไรต่อมิอะไร


            ผมโยนปลอกหมอนข้างในมือทิ้งไปทันที และก็เป็นเคย์อีกนั่นแหละที่สไลด์ตัวมารับมันได้ทันก่อนจะตกพื้น


            “จิน! ทำอะไรเนี่ย ปลอกหมอนอันนี้น่ะเป็นอาร์ตเวิร์คของคุณ…” เขาเงียบเสียงพร้อมทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมไปเมื่อเห็นใบหน้าที่มืดไปครึ่งซีกของผม


            “แหะๆ อันนี้เก็บไว้เฉยๆ ไม่ได้เอามาใช้ครับ” เขาพับมันเก็บเป็นอันเล็กๆก่อนจะซุกไว้ที่มุมสุดของตู้ตัวเอง แล้วจึงหยิบปลอกหมอนลายธรรมดาๆออกมา


            ผมถอนหายใจ ทำเป็นเบลอกับเรื่องที่เพิ่งเห็นไปแล้วไปเปลี่ยนผ้าปูที่นอนต่อ ซึ่งรูมเมทตัวโตของผมกำลังกางผ้าปูอย่างแข็งขันเหมือนจะลบล้างความผิดเมื่อครู่


            แต่เวรเอ๊ย มันภาพติดตาผมไปแล้วทำยังไงได้วะ


            ระหว่างที่ผมกำลังใส่ปลอกหมอนอยู่บนเตียง เคย์ก็เงยหน้าขึ้นอย่างหวาดๆ อ้อมแอ้มบอกผมว่า


            “แต่ยังไงจินใส่คอสเพลย์ก็เร้าอารมณ์ที่สุดอยู่ดีนะ”


            ผมที่กำลังยัดหมอนตัดสินใจปามันใส่รูมเมทตัวเองทันทีจนโดนหน้าหล่อๆนั่นเข้าเต็มเปา แรงเสียจนเขาล้มลงไปกับพื้น แอบได้ยินเสียงดังตึงเสียด้วย


            กูไม่ได้อยากรู้เรื่องนั้น สัดเอ๊ย!


            ขอบริจาครูมเมทตอนนี้ทันมั้ยครับ ใครอยากได้เอาไปเลย! เอามันไป!





               พอจบการเปลี่ยนเครื่องนอนพวกเราก็ตัดสินใจว่าน่าจะทำความสะอาดห้องกัน ปกติแล้วผมกับเขาจะผลัดวันทิ้งขยะ ส่วนเรื่องของการทำความสะอาดแล้วส่วนใหญ่จะทำด้วยกัน อย่างตอนนี้ผมก็กำลังถูพื้น ส่วนอีกฝ่ายเข้าไปล้างห้องน้ำ

           
               “เออ สบู่ใกล้หมดแล้ว เดี๋ยวออกไปซื้อกันมั้ย” ผมนึกออกได้จึงตะโกนถามคนที่กำลังวุ่นวายอยู่ในนั้น


            “ได้ๆ จะชวนไปดูหนังพอดี” เขาโผล่หัวออกมาตอบ เสื้อยืดสีขาวที่เจ้าตัวใส่บัดนี้เปียกเพราะการล้างห้องน้ำจนเสื้อแนบสนิทไปกับตัว เผยให้เห็นหุ่นซึ่งผ่านการออกกำลังกายมานานปีรางๆ


            ผมสะดุดกึก หน้าร้อนวูบจนต้องเบือนหน้าหนีมามองพื้นแทน


            ล้างยังไงให้เสื้อเปียกน้ำได้ขนาดนั้นวะ


            หลังจากเจ้าตัวทำความสะอาดเสร็จ คนตัวโตก็เดินออกมาเปลี่ยนเสื้อผ้า ซึ่งผมที่นั่งว่างงานหลังถูพื้นเสร็จแล้วก็มองตามเขา ก่อนที่เคย์จะถอดเสื้อเปียกที่แนบเนื้อรวดเดียวจนเห็นกล้ามไหล่ตึงๆ


            ผมมองแผ่นหลังเขาตาค้าง เป็นจังหวะพอดีกับที่เจ้าตัวหันกลับมา จึงได้เห็นผมทำหน้าอึ้งตาค้าง


            เคย์ยิ้มกริ่ม นั่นเป็นตอนที่ผมได้รู้ว่าหมอนี่กำลังทำตัวอ้อยผมนี่เอง


            “ใส่เสื้อดีๆซะ อุจาดตา” ผมเสียงสูงขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ ซึ่งหมอนั่นก็ไม่ได้ว่าอะไรนอกจากหัวเราะในลำคอ ส่วนผมก็ได้แต่นอนกลิ้งไปมาดับความอายของตัวเอง


            สองรอบแล้วนะจิน!


            ได้ยินเสียงสวบสาบพร้อมๆกับน้ำหนักที่ทิ้งลงบนเตียง เป็นรูมเมทของผมที่ตอนนี้อยู่ในเสื้อยืดสีดำ เขาคลานเข้ามาทิ้งหัวลงนอนบนพุงของผมอย่างแรงจนแทบกระอัก


            “เฮ้อ เหนื่อยจัง”


            ผมกำลังจะหันไปด่าในจังหวะที่ไลน์ของเคย์เด้งขึ้นมา ชื่อของคนส่งคือชื่อไลน์ของพี่พีช สาวที่แลกไลน์กับเคย์ไว้ที่ร้านก๋วยเตี๋ยว


            ผมจ้องมองเขาที่ดูหน้าจอตัวเองนิ่งๆ ก่อนที่แสงจากหน้าจอจะดับลงไปเพราะเจ้าตัวกดปุ่มล็อก เขาพลิกตัวนอนตะแคงเพื่อสบตาผมที่นั่งพิงหมอนอยู่


            “จริงๆแล้วตอนคุยกับพี่พีชน่ะ เหนื่อยมากเลย คุยกับผู้หญิงนี่ยากจัง ไม่สิ คุยกับคนที่ไม่รู้จักแล้วใช้พลังงานเยอะมาก”


            “เหรอ กูก็เห็นมึงคุยกับเขาแบบลื่นไหลเลยนะ”


            “คิดอย่างนั้นเหรอ แสดงว่าที่ฝึกมาก็ได้ผลอยู่นะเนี่ย”


            เสียงของเคย์แสดงออกถึงความภาคภูมิใจจนผมอดถามไม่ได้


            “ฝึกมา? นี่มึงถึงขั้นฝึกเดทกับผู้หญิงเลยเรอะ”


            คราวนี้อีกฝ่ายทำหน้าหมางงอย่างเห็นได้ชัด


            “เปล่านี่ กูฝึกจากการเล่นเกมจีบสาวต่างหาก กูทุ่มเทฝึกเล่นเป็นปีๆ เล่นจนเป็นปรมาจารย์ด้านการคุยกับผู้หญิงเชียวนะ! คราวนี้เลือกตัวเลือกไม่มีทางพลาด กูเคลียร์เกมไปได้10เกม ทุกรูท ทุกเอนดิ้ง กูทำสรุปรูทไว้ในบอร์ดด้วยนะ ว่างๆเข้าไปดูได้”


            ผมที่ได้ฟังก็หมดคำพูด มีเพียงความคิดประโยคเดียวที่แล่นเข้ามาในหัว


            อ่า…เกินเยียวยาจริงๆ ไอ้หมอนี่


            แต่พอเห็นสายตาแวววาวกับประกายระยิบระยับเหมือนกับหมาที่คาบกิ่งไม้กลับมาคืนให้เจ้าของได้ ผมก็ตัดสินใจว่าจะเงียบไว้ก่อนแล้วกัน


 

            จากตอนแรกที่พวกเราตั้งใจไว้ว่าจะหลับงีบหนึ่งแล้วไปห้างกันต่อ ก็เป็นอันต้องพับแผนการไปเพราะหลังจากตื่นมาผมแทบขยับตัวไม่ได้ ทั้งๆที่ตอนแรกแค่รู้สึกระบมแท้ๆ


            ความเจ็บเอวรวดร้าวขึ้นมาถึงหลัง น่าจะเป็นเพราะทำความสะอาดห้องกันตั้งนาน พอใช้แรงมากๆ อะไรๆที่เหมือนว่าไม่เจ็บกลับเจ็บขึ้นมาเสียอย่างนั้น


            “มึงน่าจะบอกกูก่อน” เคย์บ่นกระปอดกระแปดระหว่างที่เช็ดตัวให้ผม ในมืออีกฝ่ายยังมีถุงยาซึ่งเขายืนยันว่ายังไงก็ต้องสอดยาเข้าไปตรงนั้นให้ได้ แต่ผมทั้งขู่ทั้งพูดเสียงอ่อยว่ายังไม่พร้อม


            ใครมันจะไปพร้อมได้ตอนนี้กัน


            “มันไม่เจ็บเท่าไรหรอก” ผมกัดฟันพูดประโยคนั้นออกมา ในใจนึกอยากให้เขาออกไปข้างนอกซะ ผมจะได้ร้องไห้ตามที่ใจอยากเสียที


            เวลาที่ผมป่วย ผมมักชอบอยู่คนเดียวมากกว่า เพราะถ้ามีคนอื่นอยู่ด้วยผมจะชอบแสดงให้พวกเขาเห็นว่าไม่เป็นอะไร และมันจะลงท้ายที่ผมป่วยหนักกว่าที่เป็นอยู่


            อย่างตอนเช้าก็เช่นกัน ตอนแรกผมก็รู้สึกขัดๆอยู่บ้าง ไม่อยากขยับตัวอยู่บ้าง แต่เพราะเคย์ชวน และผมไม่อยากแสดงให้เขาเห็นว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันส่งผลกระทบยังไงต่อผม ผมจึงเลือกที่จะออกไปข้างนอกและลงท้ายก็คือป่วยหนักกว่าที่เป็น


            เคย์ค้นถุงยาเสียวุ่นวาย สุดท้ายเขาก็หยิบยาเจ้าปัญหานั่นออกมาจนได้


            ผมหน้าซีดแล้วหน้าซีดอีก แต่คราวนี้อีกฝ่ายไม่อ่อนข้อให้ เขายืนยันว่าอย่างไรก็ต้องใช้เพราะนั่นคือคำแนะนำของหมอ


            ใช้เวลาไม่นานในการปลดเปลื้องผ้าผ่อนของผม เพราะขยับตัวไม่ได้ผมเลยได้แต่นอนอยู่เฉยๆ ปล่อยให้รูมเมทเช็ควิธีการใส่ยาไปคนเดียว


             จังหวะที่หมอนั่นสอดยาเข้ามาในร่างกายผม มันน่าอับอายเสียจนผมอยากมุดดินหนี


            ผมปิดปาก แต่หยดน้ำตากลับกลิ้งไหลออกมาจากปลายหางตา เคย์ที่กลับมาจากการล้างมือเห็นผมสะอื้นตัวสั่นก็รีบคลานเข่าขึ้นมานั่งข้างตัวผมพร้อมกับแกะมือผมที่อุดปากจนแน่นออก


            คนตัวโตเช็ดหยาดน้ำที่ไหลเปื้อนหน้าผม เขาเบียดตัวลงมานอนเตียงเดียวกับผมพร้อมทั้งดึงร่างผมเข้าไปกอดจนแทบจมอก


            “เจ็บ!” ผมอ้าปากงับผ่านเสื้อยืดเข้าที่หน้าอกแน่นของเขาทันที การขยับตัวเมื่อครู่นั่นทำให้เจ็บมากกว่ารู้สึกดี


            รูมเมทตัวโตของผมใช้มือสากๆนั่นลูบหัวผมไปมา


            “ดีแล้วจิน ถ้ามึงเจ็บก็บอกว่าเจ็บ ถ้าไม่สบายก็บอกให้กูไปซื้อยาให้ เพราะมึงไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวแล้ว มึงมีกูคอยอยู่เป็นเพื่อนทั้งคน”


            ทันใดนั้นผมก็เข้าใจทันทีว่าตลอดมาที่ผมไม่เคยยอมพูดเวลาตัวเองเจ็บ นั่นเป็นเพราะผมกลัวว่าผมจะเป็นภาระให้คนอื่น ผมกลัวว่าผมจะกลายเป็นคนอ่อนแอ ผมกลัวว่าผมจะไม่เป็นที่ต้องการ


            พ่อผมมีความคิดว่าการเป็นลูกผู้ชายหมายถึงต้องไม่มีน้ำตา พ่อถูกเลี้ยงมาด้วยความเข้มแข็งแบบบ้านชายเป็นใหญ่ ดังนั้นทุกครั้งที่ผมบอกพ่อเรื่องปัญหาต่างๆ เขามักจะรับฟังและบอกว่าผมต้องผ่านปัญหานั่นไปให้ได้ เพราะปัญหาของผมมันเล็กนิดเดียว


            เหมือนตอนที่ผมปั่นจักรยานเป็นครั้งแรกและล้มจนได้แผลถลอก ผมมองไปทางพ่อ แต่เขากลับให้ผมลุกขึ้นยืนและลองใหม่อีกครั้ง


            นั่นเป็นสาเหตุที่หลังจากทั้งคู่แยกทางกัน ผมตัดสินใจไปกับแม่อย่างไม่ลังเล


           จวบจนกระทั่งคุณแม่ผมเสียชีวิต ผมเคว้งคว้างเหมือนอยู่ตัวคนเดียวอีกครั้ง ผมมีเพียงคุณแม่ให้คุยด้วย เป็นคนที่ผมสามารถเปิดใจได้เพียงหนึ่งเดียวในโลกใบนี้


            “หึ กูก็ต้องทำอย่างนั้นอยู่แล้ว มึงต้องรับคำสั่งกูทุกอย่างเพราะมึงเป็นแค่ไอ้หมาหน้าโง่”


            “ครับๆ ผมเป็นหมาหน้าโง่”


            แม่ครับ…รูมเมทผมคนนี้ถึงจะเป็นโอตาคุที่อินกับเนื้อหาในโดจินหนักเกินไป เรียนรู้วิธีจีบสาวมาจากเกมจีบสาว แถมยังมีปลอกหมอนลายผู้หญิงเกือบเปลือย


            แต่เขาก็เป็นคนโอเคในระดับหนึ่งเลยนะครับ


            “ไว้หลังจากมึงหาย คอสเพลย์กันอีกสักรอบมั้ย ครั้งที่แล้วไม่ได้เห็นชัดๆเพราะมัวแต่ตื่นเต้น อยากเห็นอีกจัง”


            ขอถอนคำพูด รอผมหายป่วยเมื่อไรไอ้โอตาคุนี่ต้องถูกจับโยนลงจากห้องเป็นคนแรก



-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ครบ100แล้ว น้องหมานี่มันร้ายจริงๆนะคะ ตอนก่อนที่คนงงๆว่าตกลงแล้วเคย์วางแผนมั้ย ตกลงว่าวางแผนนะคะ เรื่องโดจินนั่นจ้อจี้  สำหรับตอนนี้คือปลดปล่อยความคุของคุณมากๆ ฮือ นังเคย์ เป็นภัยสังคมขั้นสุด

ลุ้นกันนะคะว่าจนจบเรื่องแล้วน้องจินจะคิดได้หรือไม่ว่าครั้งแรกนั่นโดนหลอกซะแล้ว หรือจนจบเรื่องก็ยังจะคิดไม่ออกอยู่นั่นแหละะะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่4 P.8 UP [11/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 11-01-2019 06:55:08
โอตาคุจอมวางแผน  :hao3:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่4 P.8 UP [11/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: yunnutjae ที่ 11-01-2019 20:27:37
 :m20: เคย์มันร้ายยยย!!
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่4 P.8 UP [11/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 11-01-2019 22:15:42
โดนขนาดนี้มันต้องซ้ำค่ะน้องจิน ตลกปลอกหมอนเปลือย เคย์คือขั้นสุดจริงๆ  :hao7:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่4 P.8 UP [11/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: TheWanFah ที่ 11-01-2019 22:33:23
เคย์แผนสูงเนอะ
ทำตัวเป็นหมาโง่ให้จินตายใจ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่4 P.8 UP [11/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: nofsnof ที่ 11-01-2019 22:45:53
พอพูดถึงปลอกหมอนมิคุแล้วก็ลั่นน!! ชอบการสไลด์ตัวมารับก่อนตกถึงพื้น
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่4 P.8 UP [11/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 17-01-2019 02:37:49
หวีดร้องงงงง นังเคย์ไม่ใสจริงๆด้วย  :sad4:

เธอวางแผนปล้ำลูกเรา เรารู้!!!

น้องจินลูกแม่~~~ :hao7:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่4 P.8 UP [11/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: piiya ที่ 19-01-2019 23:11:56
หึงเก่งนะจิน o18
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่4 P.8 UP [11/01/19]
เริ่มหัวข้อโดย: MeiHT ที่ 21-01-2019 01:00:48
บทที่ 5 : เทศกาลประกวดเดือนกับคนปอดแหก


                ผมเดินทอดน่องสูดควันพิษจากรถเข็นขายหมูปิ้งตรงหน้าประตูมหาลัย นี่ขนาดยังไม่ทันเดินออกไปถึงข้างหน้าดีก็ได้กลิ่นขนาดนี้แล้ว คนขายไม่ปอดดำตายไปเลยหรือไง

                 วันนี้ผมมีเรียนช่วงบ่าย และเพราะเพลียกับการเรียนมาก หลังเลิกคลาสผมจึงเดินตรงออกมาจากตึกตัวเองกลับหออย่างรวดเร็ว และตั้งใจจะเดินรวดเดียวไปให้ถึงหอ แต่พอสังเกตเห็นร้านขายขายเครปเย็นที่เจ้าของร้านปิดเยอะกว่าเปิด ผมก็ชะงักคิดถึงคนที่ไม่ได้เจอกันสองสามวันหลังจากเหตุการณ์ที่ผมอยากระเบิดตัวเองตายสักหลายๆครั้งเพราะเจ้าตัวชอบเครปร้านนี้มากจนมักจะซื้อติดไว้ในตู้เย็นสักสองสามกล่องเผื่อคนขายเกิดอินดี้อยากปิดร้านอีก

                 จริงๆแล้วผมก็ดันยอมรับเหตุการณ์พวกนั้นได้โคตรง่ายจนตัวเองยังงง ทั้งๆที่ผมควรจะจับหมอนั่นโยนลงจากระเบียงตั้งแต่ตอนที่ตื่นมาแล้วเสียด้วยซ้ำ แถมหลังจากตอนนั้นก็ไม่ได้คุยอะไรต่ออีกเพราะอีกฝ่ายต้องออกไปซ้อมงานแสดงต่อตามที่รุ่นพี่สั่งมา

                 ถ้าถามผมว่ารู้สึกยังไง ก็จะบอกเลยว่าเอวผมยังเจ็บอยู่ แถมผมยังสะพรึงทุกครั้งกับความคิดที่ว่าอะไรๆมันเข้าไปในช่องทางนั้นได้

                 และอีกเรื่องก็คือ…ผมรู้สึกดีเสียด้วยสิ

                 “พี่ครับ! เครปเย็นกล่องหนึ่งครับ!” ผมเดินเข้าไปในร้านเครปและตบแบงค์ลงเคาท์เตอร์อย่างเกรี้ยวกราดจนพี่สาวคนขายถอยหลังไปหลายก้าวด้วยความงุนงง

                 ผมสูดลมหายใจลึก ทั้งๆที่ในหัวร้องอ๊ากไม่หยุดเพื่อกลบประโยคในหัวเมื่อสักครู่ออกไปให้หมด ผมต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆถึงคิดเรื่องนั้นออกมาได้ ใช่แล้ว! ผมไม่ได้รู้สึกดีอะไรเลยสักนิด!!

                 คนขายกลับมาพร้อมกับกล่องเครปเย็นไส้กล้วยชอคโกแลต ผมจึงรับมาและกล่าวขอบคุณเสียงเบา รู้สึกเขินขึ้นมากับสายตาของคุณคนขายที่มองผมอย่างหวาดๆเหมือนผมจะอาละวาดเป็นกอซซิลล่าในวินาทีต่อมา

                 ผมเดินออกมาจากร้านพร้อมกล่องเครปเย็นๆในมือ อุณภูมิต่ำที่ทะลุผ่านพลาสติกออกมาทำให้มือผมเย็นขึ้นท่ามกลางความร้อนระอุของประเทศรังสิต ผมก้าวเดินเป็นจังหวะเข้าหอซึ่งเป็นที่พักอาศัยของตัวเอง ผ่านไปเช็คกล่องพัสดุของตัวเองก่อนจะพบว่าของที่ผมสั่งส่งมาถึงแล้ว

                 ผมยิ้มกว้างเซ็นรับของจากคุณลุงซึ่งเป็นผู้ดูแลและประคองกล่องพัสดุสีน้ำตาลกลับขึ้นห้องตัวเองโดยวางเจ้ากล่องเครปเจ้าปัญหาไว้ข้างบนเนื่องจากต้องใช้สองมือประคองกล่องซึ่งค่อนข้างหนัก ผมขึ้นลิฟต์โดยอาศัยความช่วยเหลือจากเพื่อนๆร่วมหอในการทาบบัตรและกดชั้น ในที่สุดผมก็ขึ้นมาถึงห้องตัวเองเสียที

                 หลังจากปิดประตูแล้วเรียบร้อย ผมจึงหยิบกล่องเครปเข้าตู้เย็น ในตู้เย็นผมแทบจะวางเปล่า มีเพียงน้ำขวดตั้งในนั้น เนื่องเพราะผมแทบไม่กินมื้อดึกจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเก็บอะไรไว้ในตู้เย็น ต่างจากอีกคนที่มักจะซื้อของเข้ามาเต็มไปหมด สุดท้ายพอกินไม่ทันก็มักจะขอร้องให้ผมกินให้จนผมน้ำหนักขึ้นจนได้

                 เหม่อมองกล่องเครปที่ตั้งเด่นเป็นสง่าในตู้เย็นที่ว่างเปล่าจนเห็นไอความเย็น ในที่สุดผมก็คิดขึ้นมาได้ว่า

                …จะซื้อมาให้ทำไมวะ แถมไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะกลับวันไหนอีก

                 ผมงับประตูตู้เย็นปิดแบบไม่เข้าใจตัวเอง การเห็นขนมอะไรบางอย่างที่ทำให้คิดถึงคนที่รอเราอยู่ที่บ้านจนต้องซื้อมันกลับมาเป็นความรู้สึกที่ผมไม่ได้สัมผัสมานานแล้ว

                 ผมสะบัดหัว ตอนนี้ของที่ผมสั่งอุตส่าห์มาถึงสักที ผมไม่ควรคิดถึงเรื่องอะไรแบบนี้สิ

                 ผมเปิดกล่องของด้วยคัตเตอร์อย่างรวดเร็วจนได้เห็นของที่อยู่ข้างใน มันเป็นชุดนักศึกษาหญิงกระโปรงพลีทและทรงสอบธรรมดาๆ แต่ที่ผมต้องสั่งมานั่นเพราะว่าผมไม่สามารถไปซื้อที่ร้านเองได้ ครั้งนี้ผมมีไอเดียว่าไหนๆตัวเองก็เข้ามหาลัยแล้ว ไม่ลองใส่ชุดนักศึกษาหญิงดูบ้างล่ะ

                 ผมถอดเสื้อที่ตัวเองสวมอยู่ก่อนจะใส่เสื้อนักศึกษา มันค่อนข้างพอดีตัวผมพอสมควร ทำให้เห็นทรวดทรงของผม แต่ตัวกระโปรงนี่สิ

                 ผมหยิบกระโปรงสอบขึ้นมา สีหน้าลำบากใจเล็กน้อยเพราะไม่เคยใส่กระโปรงแนวนี้มาก่อน แต่ในที่สุดก็หยิบมันมาสวม แน่นอนว่าส่วนเอวผ่านอยู่แล้ว แต่สะโพกนี่สิ มันคับตึงจนผมเห็นรอยดึงบนกระโปรงสีดำอย่างเด่นชัด

                 นี่ผมอ้วนขึ้นเหรอวะ มันต้องเป็นเพราะอาหารมื้อดึกที่เจ้าหมาบ้าตัวนั้นหลอกให้ผมกินแน่ๆ

                คืนหนึ่งตอนที่ผมกำลังเล่นไอแพดอยู่ อยู่ดีๆก็มีขนมยื่นมาจากข้างๆ ตอนแรกผมก็กินให้เพราะเห็นว่ามันชิ้นเดียว แต่ไปๆมาๆเจ้าหมอนั่นก็ป้อนจนหมดถุง เป็นอันว่าการควบคุมอาหารในวันนั้นของผมพังทันที หลักการกิน8อด16พังในพริบตา

                 ว่าแต่ผมจะคิดถึงเคย์อีกทำไมวะเนี่ย

                 ผมจิ๊ปากอย่างหงุดหงิด เดินไปหยิบวิกซึ่งเอาออกมาตั้งกับหัวจำลองอย่างเปิดเผยมาสวม ผมสีน้ำตาลดัดลอนนี่ทำให้ผมได้ลุคคุณหนูพอสมควร น่ารักเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน

                 ผมยกยิ้มอย่างพอใจ แต่หางตาดันเหลือบไปเห็นแมกกาซีนที่วางตั้งบนโต๊ะเขียนหนังสือของอีกฝ่าย มันเป็นนิตยสารการ์ตูนที่เปิดหน้าฟิกเกอร์ค้างไว้ และก่อนหน้านั้นผมดันเห็นซะด้วยว่าอีกฝ่ายจ้องฟิกเกอร์โนตมตัวหนึ่งตาเป็นมัน

                 รูมเมทผมมันมีรสนิยมแบบนั้นเหรอ

                 ขมวดคิ้วเพราะความรู้สึกร้อนๆสายหนึ่งที่พุ่งในร่าง เหมือนกับว่ารู้สึกแพ้หน่อยๆ และไม่รู้เพราะอะไรดลใจ ผมถึงได้หยิบเอาบราซัพพอร์ตหน้าอกที่ตั้งแต่ซื้อมาก็ไม่เคยได้ใช้ออกมาและตัดสินใจสวมเสื้อผ้าใหม่อีกรอบ

               มองตัวเองในกระจกอีกครั้ง สาวน้อยผมสีน้ำตาลเข้มดัดลอน ตากลมโตเหมือนลูกคุณหนูในกรงแก้วแต่ใส่เสื้อนักศึกษาแอบรัดตัวจนเห็นสัดส่วนตรงหน้าอกที่นูนขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและกระโปรงสอบสั้น ตรงตามประเภทตัวละครที่เคย์ชอบชัดๆ

                 แล้วนี่ผมคิดถึงมันอีกทำไมวะ!

               ผมกำหมัด คิดถึงรายชื่อตัวการ์ตูนที่อีกฝ่ายชอบมากๆถึงขั้นมีฟิกเกอร์เก็บไว้ที่บ้าน ตัวละครเหล่านั้นล้วนเป็นหัวดำช้ำรักทั้งนั้น

                 หึ! ชอบหน้าอกนักหรือไงไอ้หื่นกาม!

                 แกร๊ก

                 เสียงประตูเปิดทำเอาผมตาเหลือกค้างมองเคย์ที่เปิดประตูเข้ามาเจอผมคอสเพลย์…อีกแล้ว นี่มันการ์ตูนหรือไงวะ ทำไมจังหวะมันต้องพอดีแบบนี้ตลอดเลย

                 แต่คราวนี้เจ้าตัวรีบปิดประตูอย่างรวดเร็ว คนตัวโตก้าวพรวดๆเข้ามาจับไหล่ผม กัดกรามแน่นเหมือนกำลังทนอะไรบางอย่างอยู่

                 “จิน ถ้ามีใครมาเคาะประตู บอกว่ากูไม่อยู่นะ” แล้วเจ้าตัวก็ปิดประตูห้องน้ำขังตัวเองทันที ส่วนผมก็ได้แต่เอ๋อมองคนที่หายลับไปในห้องน้ำแล้ว

                 ก๊อกๆ

                 ยังไม่ทันจะได้เข้าใจอะไรก็มีคนเคาะประตูเสียแล้ว ผมลนลานรีบถอดวิกแล้วเปิดประตูแบบแง้มไว้เพียงนิดเดียวและเอียงหน้าออกไปเพื่อไม่ให้คนข้างนอกเห็นการแต่งกายของผม

                 คนที่ยืนอยู่ข้างนอกเป็นคนที่ผมไม่รู้จัก ใบหน้าหล่อๆแต่เข้มเสียจนบางทีมองแล้วให้ความรู้สึกกลัวกว่ารู้สึกชื่นชมทำหน้าถมึงทึงอยู่หน้าห้องผม เจ้าตัวเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่คล้ายเคย์แถมยังใส่เสื้อยืดที่สกรีนคำว่าLAWตัวใหญ่จนทำให้ผมตระหนักว่าเขาเป็นเพื่อนร่วมคณะของคนที่หลบอยู่ในห้องน้ำแน่ๆ

                 “เออ โทษทีที่รบกวนนะ กูกันต์เป็นเพื่อนของเคย์อ่ะ คือมันกลับมาที่ห้องป่ะ” เขาเกาคอเขินๆเมื่อเห็นผมเป็นคนโผล่หน้าออกมาแทน แถมการเอียงตัวทำให้เหมือนกับว่าผมอาจจะพึ่งออกมาจากห้องน้ำทำให้เขาไม่รู้จะวางตาไว้ที่ตรงไหน

                 “อ้าวเหรอ จริงดิ ไม่รู้เลยอ่ะ มันไม่ได้กลับมาที่นี่ ไว้เราจะลองติดต่อมันให้นะ เดี๋ยวจะบอกว่ากันต์กำลังตามหา”

                 “ฮ่าๆ ไม่เป็นไรหรอกถ้าอย่างนั้น มันหลบกูจะตายแล้ว” พอเห็นผมทำหน้าสงสัย เขาก็ปัดมือเหมือนไม่อยากพูดเรื่องนี้แล้วโบกมือให้ผม “งั้นกูไปก่อนนะ แต้งกิ้วมาก บ๊ายบาย”

                 ผู้มาเยือนจากคณะนิติเผ่นหนีไปอย่างรวดเร็ว ผมจึงได้ฤกษ์ปิดประตูห้องเช่นกันเพราะตอนนี้เอวที่แต่เดิมก็ระบมอยู่แล้วเริ่มเมื่อยขึ้นอีก แน่นอนว่าหลังจากที่ผมกดล็อคประตูแล้ว ประตูห้องน้ำก็ถูกเปิดออกเช่นกันโดยคนที่ถูกตามหาอยู่

                 อีกฝ่ายเดินเข้ามาชาร์ตตัวผมอุ้มขึ้นเตียงอย่างไวจนผมได้แต่งงงันกับโลกที่หมุนเอียงอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งแผ่นหลังกระทบเตียงแล้วนั่นแหละถึงได้เริ่มดิ้นประท้วง เพียงแต่แขนล่ำๆของเคย์ดันมีแรงเยอะเสียจนผมเหนื่อยไปเอง จึงได้แต่นอนนิ่งๆปล่อยให้คนที่ไม่มีท่าทีจะทำอะไรซุกหัวไว้ใกล้ๆกับผม

                 “หนีอะไรมา” ผมถามเขา สีหน้าของคนที่ไม่ได้เจอกันไม่กี่วันเต็มไปด้วยความกังวลปนเหนื่อยอ่อน

                “หนีความรับผิดชอบมา” เขาตอบ ถอนหายใจครั้งหนึ่ง แขนที่โอบรัดผมไว้แน่นค่อยๆคลายลงเหลือไว้เพียงอ้อมกอดหลวมๆ

                 “เกิดป๊อดขึ้นมาหรือไง” ผมเลิกคิ้วใส่ หวังให้อีกฝ่ายโวยวายปฏิเสธกลับมา แต่เขาดันรับคำเสียงอ่อย

                 “อือ"

                 พอเห็นแบบนั้นก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ เหมือนจะไปจี้ปมในใจอีกฝ่ายอย่างแรง ผมยกมือขึ้นลูบหัวเคย์ นิ้วมือค่อยๆสางกลุ่มผมสีน้ำตาลซึ่งถูกย้อมตามแฟชั่นแต่กลับนุ่มจนเหมือนไม่เคยผ่านการย้อมสีมาก่อน

                 “…ถ้ามึงอยากเล่า กูก็จะช่วยฟังให้ละกัน”

                 เขาส่ายหน้า แม้จะมีรอยยิ้มนิดๆแต่ไม่ใช่รอยยิ้มกว้างเห็นเขี้ยวแบบที่เขามักจะให้ผมเลย ซ้ำมันยังเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ดูเหนื่อยมากกว่าจะดีใจ

                 “มันไร้สาระ”

                 “เรื่องนั้นกูต้องเป็นคนตัดสินเองหลังจากฟังป่ะ” ผมขมวดคิ้วมุ่น ยกมือตีหน้าผากอีกฝ่ายดังเพี๊ยะจนหน้าผากเคย์ขึ้นรอยแดง เขายู่หน้าเล็กน้อย

                 “เจ็บอ่ะ”

                 “…”

                 “เจ็บๆๆๆ เจ็บจริงๆนะเนี่ย จะตายแล้ว เป่าเพี้ยงให้หน่อยแล้วจะหาย ไม่งั้นตายแน่ๆเลย”

                 พอผมเห็นอีกฝ่ายร้อยโอดโอ๊ยเล่นใหญ่กับรอยแดงนิดเดียวบนหน้าผากก็อดหมั่นไส้ไม่ได้ แถมหมอนี่ยังเบี่ยงประเด็นได้หน้าด้านๆเสียจนผมอยากจะบิดหูให้ขาดไปเลย ตลอดเวลาที่ผ่านมาเคย์มักจะนั่งฟังผมบ่นเรื่องดินฟ้าอากาศเงียบๆเหมือนเจ้าตัวไม่มีปัญหาอะไรกับโลกใบนี้ทั้งนั้น

                 กระทั่งตอนนี้ที่มีปัญหาก็จะไม่เล่าอะไรให้ใครฟังหรือไง

                 ผมยกมือตีหน้าผากอีกฝ่ายอีกรอบ

                 “ไม่ต้องมาเนียน เล่ามา”

                 อีกฝ่ายทำหน้าเหมือนคนโดนกลืนยาขม แต่ในที่สุดหลังจากซุกหน้าลงหมอนจนผมนึกว่าเขาจะตายเพราะขาดอากาศหายใจไปแล้ว ในที่สุดเคย์ก็เล่าเรื่องที่ตัวเองกำลังคิดออกมาเสียที

                 “กูกำลังซ้อมใหญ่อยู่บนเวที แต่ตอนที่อยู่บนเวทีอยู่ดีๆกูก็คิดว่าคนเป็นพันจะต้องมานั่งมองกูแสดง กูก็มือสั่นไม่หยุด ถ้าตอนซ้อมกูทำได้ แต่ตอนจริงๆกูทำไม่ได้ขึ้นมาล่ะ”

                 เขาเว้นไปพักหนึ่งเหมือนเรียบเรียงคำพูดไม่ออก นั่นเป็นตอนที่ผมพึ่งสังเกตว่ามือของเคย์เลื่อนมาแปะบนก้นผมพร้อมออกแรงบีบเบาๆแล้วเรียบร้อย

                 “เฮ้ย! เล่าอย่างเดียวก็พอไอ้โอตาคุ” ผมแยกเขี้ยวใส่เมื่อมือใหญ่ๆร้อนๆของอีกฝ่ายยังคงกอบกุมก้นผมแถมยังขย้ำอย่างเมามันผ่านกระโปรงทรงเอ มือหยาบสากเสียดสีกับเนื้อผ้าส่งเสียงสวบสาบชวนทำให้คิดลึก

                 “โทษที กูจะตบหลังมึง สงสัยกูเลื่อนมือลงต่ำไปหน่อย” เขาแก้ตัวหน้าด้านๆแถมยังทำหน้าจริงจังจนผมเห็นการส่งเครื่องหมาย ‘ชวิ้ง’ ออกมาจากดวงตา

            ผมล่ะอยากเห็นหน้าคนที่โหวตหมอนี่ให้ไปเป็นเดือนจริงๆ

            "เออ จิน อีกอย่าง...เหมือนก้นมึงใหญ่ขึ้นนะ เหมาะมือสุดๆ แต่หน้าอกมันแอบแข็งๆอ่ะ"
     
            ไหนๆก็ไม่มีคนรู้ว่าหมอนี่อยู่ที่ไหน ถ้าผมจะทำการฆาตกรรมตอนนี้ก็ถือว่าเพอร์เฟ็คไปเลยงั้นสินะ
   
            คิดได้อย่างนั้นผมก็ยกหมอนในมือขึ้นอุดหน้าอีกฝ่ายทันที เป็นการเริ่มสงครามที่มีเพียงผมฝ่ายเดียวที่จู่โจมอีกแล้ว




     หลังจากนอนเหนื่อยหอบเพราะการสู้รบบนเตียง (ที่เป็นการเอาหมอนตี ไม่ใช่เรื่องอย่างว่านะ!) อ้อมแขนแข็งแรงก็รัดตัวผมกลับเข้าไปเหมือนเดิมเหมือนกับว่าเจ้าตัวไม่ได้เหนื่อยอะไรกับกิจกรรมเมื่อกี้เลยสักนิด ต่างจากผมที่หอบเป็นหมาหอบแดดเรียบร้อยแล้ว

     นี่มันแมวหยอกหนูชัดๆ

   
     ผมคิดแบบเซ็งๆทั้งๆที่ตัวยังแนบชิดอีกฝ่าย ผมเอาบราซัพพอร์ทหน้าอกออกไปแล้วเรียบร้อย เรื่องอะไรจะใส่ไว้เหมือนเดิมให้หมอนี่ล้อเล่นๆอีกล่ะ

                 “…อือ ก็นั่นแหละ กูแค่ปอดแหก กลัวทำขายหน้าบนเวที เลยหนีเพื่อนๆกับรุ่นพี่ออกมาตั้งสติ กูไม่มั่นใจเลยจิน ปกติกูไม่เคยออกไปอยู่ในสปอร์ตไลท์มาก่อน กูไม่ได้อยากจะเป็นเดือนด้วยซ้ำ แต่กูแค่ปฏิเสธไม่ลง”

                ใช่ว่าผมจะไม่เคยสังเกต เคย์เป็นประเภทที่มักจะคุยกับคนอื่นไปทั่ว แถมเป็นพวกเข้ากับคนง่ายแม้จะคุยด้วยครั้งแรก แต่เขาตั้งกำแพงไว้สูงมาก ดูเผินๆเหมือนเขาจะเป็นคนที่มีเพื่อนเยอะ แต่ถ้าเพื่อนของหมอนี่ทุกคนมานั่งคิดทบทวน พวกเขาจะค้นพบว่ารู้จักเคย์แค่เพียงผิวเผินเท่านั้น

                 เหมือนกับผม ผมได้รู้ว่าเขาเป็นโอตาคุ แต่นอกจากนั้นผมไม่รู้อะไรอีกเลย

                 เคย์ไม่เคยบอกว่าเขาอยากได้อะไร ไม่เคยบอกว่าไม่ชอบอะไร ไม่เคยเลือกร้านอาหารที่ตัวเองอยากกิน ไม่เคยเลือกหนังที่ตัวเองอยากดู เขามักจะสังเกตคนรอบข้างว่าอยากได้อะไรแล้วตกลงไปตามนั้น ซึ่งผมคิดว่าเขาแค่อยากทำให้คนอื่นพอใจ เพราะผมเองก็อดปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึกยินดีตอนที่เขาตกลงตามใจผมไปเสียทุกอย่าง

                 แหงละ การที่เราพูดอะไรไปแล้วคนยอมตามใจเราทุกอย่างมันดีจะตาย

                 แต่กลับกัน ถ้าเราต้องกลายเป็นคนที่ยอมตามใจคนอื่นทุกอย่าง เราจะทนได้มั้ย

                เรื่องนั้นทำเอาผมอดคิดไม่ได้ว่าเคย์เป็นแค่เปลือกกลวงๆที่มีไว้สนองความต้องการของทุกคน ตอบตกลงกับทุกอย่างที่คนอื่นเลือก ตามน้ำไปเรื่อยๆจนผมไม่เห็นตัวตนที่แท้จริงของเขา 

                 “ถ้ามึงไม่อยากเป็นแล้วจะตกลงเป็นทำซากอะไร” ผมถอนหายใจ ตบแก้มคนที่เอาแต่พลีสคนอื่นจนตัวเองต้องมานั่งคิดกังวลหัวแตกอยู่แบบนี้ “ต่อให้มึงปฏิเสธ คนก็ไม่เกลียดมึงเพราะเรื่องนี้หรอก คราวหลังอย่าเกรงใจคนอื่นจนต้องหาเหาใส่ตัวเอง มึงมีสิทธิ์เลือกว่าจะทำหรือไม่ทำ”

                 คนผิดพยักหน้าเบาๆพร้อมทั้งหลุบตาลงต่ำจนผมเกิดภาพหลอนเห็นสุนัขตัวโตๆที่นั่งหงอยครางงี้ดๆเพราะโดนเจ้าของดุ

                 “แต่ในเมื่อมึงตกลงไปเรียบร้อย กูก็จะช่วยตบสติมึงเอง ก็ดี ลองให้มันครบทุกอย่าง ถ้ามึงชอบมึงอาจจะไปเป็นดาราก็ได้ ถ้ามึงไม่ชอบมึงก็จะได้รู้ว่าตัวเองไปเป็นดาราไม่ไหวแหงๆ โอเค๊”

                 เขายิ้ม

                 “ทำไมจินพูดเหมือนทุกอย่างมันง่ายจัง”

 
                 ผมถอนหายใจ

                “ทุกอย่างมันก็ง่ายอย่างนี้แหละ พวกเราเองนั่นแหละชอบทำให้มันยาก”

                “…”

                 “…”

                 “…กูก็ยังกังวลอยู่ดี สงบใจไม่ได้เลย”

                 ผมหัวเราะเมื่อเห็นคนตัวโตเอามือทาบหน้าอก หายใจเข้าออกลึกๆไม่หยุด

                 “ไม่เป็นไร กังวลสิดี เพราะนั่นหมายถึงมึงกำลังจะโตเป็นผู้ใหญ่ไปอีกขั้นไง”


 

                 หลังจากนั้นเคย์ก็กลับไปที่ห้องของเพื่อนเขาโดยดี แต่ไม่วายบังคับให้ผมสัญญาว่าจะไปเชียร์เขาตอนประกวด ผมเองพอได้คุยกับเขาก็เอาแต่คิดเรื่องไม่เป็นเรื่องจนผลอยหลับไป พอตื่นขึ้นมาอีกทีก็เป็นช่วงบ่ายซึ่งอีกไม่กี่ชั่วโมงจะถึงเวลาประกวดแล้ว

                 ผมมองโทรศัพท์ตัวเอง เพื่อนๆของผมส่งไลน์มาถามเรื่องการประกวดวันนี้ว่าจะให้จองที่เผื่อมั้ย หรือผมจะมากี่โมง ซึ่งในวินาทีนั้น ผมตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ จึงส่งข้อความตอบกลับไป

                ‘วันนี้กูรู้สึกไม่ค่อยสบาย ฝากเชียร์พลอยแทนกูด้วย’

                 ผมทิ้งมือถือลงบนเตียง มองเพดานสีขาวในห้องซึ่งกว้างขึ้นมาอย่างน่าเหลือเชื่อหลังจากใครบางคนออกไปแล้ว และคงจะกลับมานอนถาวรหลังจากคืนนี้

                 ผมไม่เคยประสบปัญหากับการนำเสนอตัวเองหรืออยู่ในสปอร์ตไลท์ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผมมั่นใจในตัวเองมากหรืออะไรหรอก …ผมก็แค่แสดงเก่งก็เท่านั้น

                 ในความเป็นจริงไม่มีใครที่ไม่กลัวกับการพรีเซ้นต์หน้าคลาส ไม่ต้องพูดถึงการแสดงที่มีสายตาคนเป็นพันจับจ้องมาที่คุณ และทุกคนดันรู้จักหน้าคุณเสียด้วย

                 แต่เชื่อเถอะ หลังจากเวลาของความกังวล ความกลัวหรือกระทั่งสงสัยในตัวเอง เมื่อคุณผ่านมันไปได้แล้ว คุณจะภูมิใจและเติบโตเป็นคนที่เข้มแข็งขึ้นไปอีกขั้น

                 ผมผุดลุกขึ้นนั่ง เดินไปที่ตู้เสื้อผ้า และตัดสินใจทำอะไรบางอย่างที่ตัวผมคิดว่าบ้าบิ่นมากๆ




            K part

                 ใกล้ได้เวลาที่ผมจะขึ้นเวทีแล้ว แต่ตอนที่ผมส่งข้อความไปให้จิน ฝ่ายนั้นไม่แม้แต่จะอ่านไลน์ด้วยซ้ำ

                ผมขยับคอเสื้อเล็กน้อย เพราะเหมือนกับว่าเสื้อสูทจะรั้งคอผมเสียจนหายใจไม่ออก และผมก็ต้องรีบหลับตาปี๋เมื่อเพื่อนที่เป็นสไตล์ลิสต์พ่นสเปรย์ใส่ผมให้อยู่ทรง

                 มันเหม็นไปหมด แถมตอนนี้เหมือนผมจะหายใจไม่ออก มันเหมือนผมจะตายเพราะความตื่นเต้น

                 คนนั่งอยู่ข้างนอกเป็นพันคน ผมได้แต่กุมมือซึ่งชื้นเหงื่อของตัวเอง ผมรู้สึกได้ว่ามือตัวเองเย็นมากๆเท้าผมเองก็เย็นไปหมดทั้งๆที่ตัวก็หลั่งเหงื่อเพราะความตื่นเต้น อ่า ผมก็รู้สึกว่ามันขัดแย้งกันแปลกๆเหมือนกัน

                 แต่สิ่งที่ผมรู้สึกได้อย่างชัดเจนคือ

                 ผมคิดว่าผมอยากจะอ้วก

                 การแสดงที่ซ้อมกันมาเป็นสิบๆครั้งเหมือนกับจะเลือนหายไปจากสมองผม เหมือนว่าผมไม่สามารถจำอะไรได้เลย ผมกลัวว่าหากผมก้าวเดินออกไปในแสงเหล่านั้นแล้วผมจะก้าวเท้าผิดพลาดและล้มก้นจ้ำเบ้าต่อหน้าคนเป็นพัน

                 ผมลุกขึ้นยืน พยายามไม่สนใจความวุ่นวายในห้องหรือแม้แต่ดูว่าอะไรเกิดขึ้นเบื้องหน้าม่านเหล่านั้น ผมแค่พยายามท่องให้ได้ว่าผมต้องเคลื่อนตัวไปอยู่ที่ไหนบนเวที ตอนไหนเวลาเท่าไรแล้วต้องทำอะไรต่อไปก็เท่านั้น

                 แต่สายตาผมมันอดเหลือบไปทางโทรศัพท์ของตัวเองไม่ได้จริงๆ ในตอนนี้ผมขอเพียงแค่อย่างเดียว ผมหวังให้มีข้อความของเขาโผล่ขึ้นมาในวินาทีสุดท้ายก็ยังดี

                 แต่จนกระทั่งผมต้องไปสแตนบาย หน้าจอก็ยังคงมืดสนิท

                 ความรู้สึกผิดหวังแผ่ขยายไปทั่วร่างกาย

                 หัวใจผมหดเล็กลงภายในพริบตา เหมือนกับเป็นลูกโป่งที่โดนเจาะ

                 ในวินาทีสุดท้าย ผมกลับได้รู้ตัวว่าตัวเองไม่ได้สำคัญอะไรกับเขาเลย

                 ผมก้าวเท้าเข้าไปยืนข้างเวที ข้างหูมีเสียงใครไม่รู้ดังขึ้นมา แต่ผมไม่ได้โฟกัสกับเสียงเหล่านั้นเลย ผมปล่อยให้คำพูดล่องลอยหลุดหายไป

                 ไม่ว่าจะเป็นคำพูดอะไรก็ไม่สำคัญกับผมอีกแล้ว

                 ผมก้าวเท้าออกสู่แสงสว่างที่สาดเข้ามาเหมือนจะฆ่าผมให้ตายทั้งเป็น ออกไปเจอพิธีกรที่ยืนส่งยิ้มมาให้ราวกับพวกผมเป็นแขกคนพิเศษ

                 ผมกับดาวคณะเดินไปหยุดอยู่ข้างๆพิธีกรเหล่านั้น หลังจากที่พวกเราแนะนำตัวเสร็จเรียบร้อย ผมทำได้เพียงยืนนิ่งๆซ่อนมือตัวเองไว้ข้างหลังเพื่อไม่ให้ใครเห็นมือที่สั่นระริกของผม

                 ผมแทบไม่มองคนที่อยู่ข้างล่างเลยแม้แต่น้อย ผมไม่พยายามมองใครเลยเสียมากกว่า แต่จู่ๆก็มีเสียงผิวปากดังลั่นมาจากมุมหนึ่งของด้านล่างเวที เรียกเอาสายตาของคนที่อยู่บนเวทีอย่างพวกผมมองลงไปทันที

                 สาวน้อยคนหนึ่งในชุดนักศึกษาก้าวเข้ามายืนชิดติดขอบเวที เจ้าหล่อนถือดอกกุหลาบแดงเป็นช่อยื่นขึ้นมาพร้อมมองมาทางผมเหมือนอยากให้ผมรับมันไป เธอมีผมดัดลอนสีน้ำตาลกับดวงตากลมโต จมูกรั้นเชิดขึ้นเหมือนคนดื้ออย่างใครบางคนที่ผมรู้จัก

                 หัวใจผมกระตุก

                 เพื่อนผู้เป็นดาวตบมือผมเบาๆเป็นเชิงให้เดินไปรับช่อดอกไม้จากหล่อนซะ ซึ่งผมก็ได้แต่ก้าวไปหาเธอไม่ละสายตาเหมือนคนโง่คนหนึ่ง

                 ผมคุกเข่า ยื่นมือไปรับช่อดอกกุหลาบซึ่งถูกซื้อเป็นคะแนนโหวตมาจากมือของหล่อน กุหลาบนั่นมากมายเสียจนผมเชื่อว่ามันน่าจะชนะใครหลายๆคนได้ พวกเราสบสายตากันยามผมรับช่อดอกกุหลาบเข้ามาในมือ ผมสังเกตว่าปลายนิ้วผมยังคงสั่นระริกด้วยความตื่นเต้นแม้กระทั่งยามที่เธอเก็บมือกลับไปไว้ข้างกายแล้ว

                 ทันใดนั้นเขาขยับปากเอ่ยคำพูดที่แม้ผมไม่ได้ยินเสียง แต่กลับรู้ได้เป็นอย่างดีว่าเขาพูดอะไร

                     ‘มึงทำได้’

                 ผมยิ้มกว้าง พยักหน้าให้คนที่ผมรอมาตลอด

                 ตอนนี้หัวใจผมพองเหมือนลูกโป่งถูกอัดด้วยก๊าซจนเต็ม มันแทบจะลอยขึ้นไปเพดานได้อยู่แล้ว

                 ผมเดินกลับไปประจำที่พร้อมกับช่อดอกไม้ในอ้อมแขน และหลังจากนั้น…ผมรู้ว่ามือผมไม่สั่นอีกต่อไป

                 หลังจากที่พิธีกรสัมภาษณ์เสร็จ พวกเราก็เริ่มการแสดงกันต่อ แผ่นหลังผมเหยียดตรง มองไปที่ผู้ชมอย่างมั่นใจและสุดท้ายก็กวาดตาไปมองคนตัวเล็กที่ยังคงยืนอยู่ในตำแหน่งเดิม

                 สาบานเถอะ…ถ้าผมสามารถโหวตดาวเดือนได้ ผมจะทุ่มเงินเอาคะแนนโหวตทั้งหมดมาให้เธอคนนั้นที่ไม่อยู่ในลิสต์ด้วยซ้ำ

                 เพราะนับตั้งแต่ที่ผมสบสายตาจินตอนที่เขายื่นดอกไม้มาให้…ผมรู้ตัวว่าผมได้พบคนที่สวยที่สุดบนโลกแล้ว

   
v
v
v
v
ต่อข้างล่าง
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่5 P.8 UP
เริ่มหัวข้อโดย: MeiHT ที่ 21-01-2019 01:04:13
 Jin part

                 เคย์ดูสบายดี เขายังคงเต็มไปด้วยความมั่นใจทุกครั้งท่ามกลางฝูงชน

                 ผมก้มมองช่อดอกกุหลาบในมือ ไม่แน่ใจว่าตัวเองคิดผิดหรือคิดถูกที่ทุ่มทั้งเงินทั้งเวลาแต่งตัวเพื่อมาเชียร์คนคนนี้ จริงๆแล้วเขาเหลี่ยมจัดจะตาย หมอนั่นอาจจะแค่อยากให้ผมมาเชียร์เขามากๆจนกระทั่งกุเรื่องที่เขากลัวการยืนต่อหน้าคนเยอะๆก็ได้

                 แต่ในเมื่อผมทุ่มเทขนาดนี้ จะถอยกลับก็ไม่ได้

                 ผมก้าวเท้าเข้าไปยืนอยู่หน้าเวที มองคนบนนั้นที่มีรอยยิ้มประดับหน้าน้อยๆเหมือนทุกครั้งที่เขาพูดคุยกับคนอื่น แผ่นหลังเขาเหยียดตรง ดูไม่เหมือนคนขาดความมั่นใจสักนิด

                 แต่ในชั่วขณะที่ผมยื่นมือออกไปและเขาหันมาเห็นผม ผมเห็นบางอย่างในดวงตาคู่นั้น ผมไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร แต่มันค่อนข้างทำให้ผมคิดว่าคิดถูกแล้วที่ทำแบบนี้

                 และในตอนที่เขายื่นมือมารับช่อดอกกุหลาบ ผมก็ได้สังเกตเห็น…มือของเคย์สั่นระริกเหมือนเวลาผมต้องออกไปพรีเซ้นต์หน้าห้อง

                 ที่แท้เขาก็แค่แสดงเก่งไม่ต่างจากผม

                 หลังจากที่เขากลับไปอยู่ที่เดิม ท่ามกลางแสงเหล่านั้น ผมรู้สึกว่าเขาดูดีมากกว่าตอนแรกเสียอี

                 บ้าเอ๊ย ผมต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ

                 แต่ผมคิดว่าเขาดูดีจริงๆนะ

                 การแสดงของเคย์เป็นการเต้นประกอบเรื่องราว สาวใส่ชุดราตรีสีแดงร้อนแรงกับชายหนุ่มใส่สูทเหมือนสุภาพบุรุษเจอกันในบาร์แห่งหนึ่ง พวกเขาเหมือนจะสานสัมพันธ์ในคืนสั้นๆ แต่ผลปรากฎว่าหลังจากเต้นรำเสร็จ ชายหนุ่มก็ฝังเขี้ยวลงในลำคอของเธอ

                 บาร์นี้คือสถานที่ของปีศาจ

                 ผมปรบมือยามการแสดงจบลง ยอมรับว่าค่อนข้างประทับใจทีเดียว แม้การแสดงไม่มีแม้แต่บทพูด มีเพียงเสียงประกอบแต่กลับเข้าใจเรื่องราวได้เป็นอย่างดี แถมการแสดงยังค่อนข้างโฟกัสไปที่ตัวหลัก ตัวประกอบที่ออกมามีเพียงเพื่อทำให้เข้าใจเรื่องราว

                 สมแล้วที่ซ้อมนานขนาดนั้น

                 ทันใดนั้นผมรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างในกระเป๋าสั่น ผมจึงต้องหยิบมันขึ้นมาดู และเป็นเคย์นั่นแหละที่ส่งข้อความมาให้ผม

                 K : เจอกูข้างหลัง

                 ผมกดล็อคหน้าจอ เบียดตัวแทรกคนออกไปข้างนอกและไปที่ข้างหลังหอประชุม

                 ภายในพื้นที่ว่างเปล่าหลังหอประชุม ชายหนุ่มตัวสูงยืนอยู่ในความมืด เป็นเงาตะคุ่มแบบที่ถ้าผมไม่คุ้นอาจจะคิดว่าเป็นโจรก็ได้

                 “เคย์” ผมเรียก และเมื่อเขาหันมาเห็นผม คนตัวสูงก็รีบเดินเข้ามาหาทันที

                 เคย์ก้าวเท้ายาวๆจนเกือบเรียกว่าเป็นการวิ่งเข้ามา ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไร เขาก็รวบร่างผมเข้าไปในอ้อมกอดแล้วจูบแบบไร้การรุกราน

                 “อะไรของมึงเนี่ย” ผมบ่นเมื่อเขาปล่อยร่างของผมแล้ว

                  “ไม่มีอะไร แค่อยากจูบมึง”

                 ไอ้…

                 “ถ้ามีใครเห็นขึ้นมาล่ะก็…”

                 “ก็ดีน่ะสิ” เขาตอบหน้าตาเฉย

                ผมเตรียมกำปั้นไว้ชกเขาแล้วตอนที่เขาเอ่ยเสริมขึ้นมา

                 “กูขอเวลารุ่นพี่ไว้10นาที เราไปกินอะไรกันมั้ย”

                 เขาหมายถึงฟู้ดทรัคที่จอดอำนวยความสะดวกให้นักศึกษาที่หิวโหยเพราะอีเว้นท์นี่นี้เอง

                 “…มึงเลี้ยงล่ะ”

                 เสียกับดอกกุหลาบพวกนั้นไปเยอะ ผมต้องได้อะไรตอบแทนกลับมาบ้างแหละ





                 ภาพของหนุ่มหล่อกับสาวสวยที่เดินข้างๆกันย่อมต้องได้รับความสนใจไม่มากก็น้อย

                โดยเฉพาะเมื่อหนุ่มหล่อคนนั้นเป็นถึงเดือนคณะนิติที่เพิ่งขึ้นแสดงไปเมื่อกี้นี้ และสาวน้อยที่เดินอยู่ด้วยก็เป็นคนที่ยื่นช่อดอกกุหลาบในเขา

                 หรือที่เขาบอกว่าการเปย์เท่านั้นที่จะชนะใจได้เป็นเรื่องจริงกันนะ

                 นั่นคือสิ่งที่หลายคนคิดอยู่ในใจยามมองสองร่างยืนอยู่ข้างๆกัน เดือนคณะคนนั้นดูค่อนข้างยุ่งกับสาวเจ้ามากพอสมควรเมื่อคิดว่าพวกเขาเพิ่งรู้จักกันครั้งแรกในหอประชุม โดยเฉพาะตอนนี้ที่เจ้าหล่อนกำลังกินเฟรนฟรายช์อยู่ เคย์ก็ยื่นหน้าเข้าไปขอแถมยังเนียนยกมือโอบเอวเล็กนั่นอีก

                 เว้ย! เดือนคณะที่แท้ก็เป็นพวกหน้าหม้อนี่เอง!

                 กลับกันในขณะที่ผู้หญิงคนนั้นควรจะกระดี๊กระด๊ามากกว่านี้สักหน่อย เพราะตัวเองได้มาเดินกับคนที่ชอบมากจนถึงขนาดซื้อดอกกุหลาบให้เป็นช่อ หล่อนกลับดีดมืออีกฝ่ายดังเพี๊ยะอย่างไม่เกรงใจ แถมยังดันหน้าหล่อๆของเขาออกไปอีกต่างหาก

                 เอาล่ะ! นี่มันอะไรกันนะ

                 ชาวเผือกต่างยื่นหูเข้าไปฟังบทสนทนาอย่างใกล้ชิด

                 “อะไรกัน เฟรนฟรายช์นี่กูก็จ่ายนะ ให้กินบ้างดิ”

                 “ไม่”

                 “ใจร้าย!”

                 “หุบปากแล้วเดินไปซื้อทาโกะยากิตรงนั้นมาให้หน่อย เอาไส้ปลาหมึกให้หมดนะ”

                 “เฮ้อ ครับๆคนสวย โอ๊ย! เหยียบเท้าทำไมอ่า”

                 “…”

                 อ่า…นี่มันเหมือนคู่รักกระหนุงกระหนิงกันเลยอ่ะ

                 เข้าใจแล้ว ความรักจะเบ่งบานได้ด้วยการเปย์จริงๆสินะ

               คิดแล้วเหล่าชาวเผือกก็รีบวิ่งไปซื้อดอกกุหลาบสำหรับการโหวตกันอย่างเต็มที่ เตรียมพร้อมจะสู้ศึกสนามรักด้วยแบงค์เทา

           





            -เรื่องราวหลังจากนั้น-

            Jin part


            หลังจากการแสดงประกวด ก็ต้องมีรอบสัมภาษณ์อีก ซึ่งผมคิดว่าเคย์ทำได้ไม่เลว แต่มันมีคนตอบดียิ่งกว่านั้น และผลก็เป็นไปตามคาด…เขาไม่ได้เป็นเดือนมหาลัย แต่ได้เป็นขวัญใจตากล้องแทน

            เคย์ได้ของขวัญกลับมามากมายเสียจนเขาต้องไลน์มาบอกผมให้ช่วยเขาขนของกลับหอไปหน่อย โชคดีพอที่ผมเอารถมาด้วย จึงสามารถเอาของขนใส่รถกันได้ และเนื่องจากตอนนี้เป็นเวลาเลยเที่ยงคืนแล้ว พวกผมจึงตัดสินใจตรงดิ่งกลับหอทันทีโดยไม่ฉลองอะไรทั้งสิ้น   

            ผมถอยรถเข้าที่จอด ถอนหายใจเล็กน้อยก่อนเราจะตกลงกันว่าของค่อยมาขนขึ้นห้องวันพรุ่งนี้ และผมเกือบจะก้าวเท้าออกจากรถแล้วถ้าไม่นึกขึ้นได้ว่าผมควรเปลี่ยนชุดก่อนจะขึ้นห้อง

            “มึง” ผมหันไปหาเขา “ออกไปรอข้างนอกก่อนได้ป่ะ กูจะเปลี่ยนเสื้อ”

            แวบนึงผมเห็นดวงตาวาววับเหมือนหมาป่าจากเขา

            “เสื้อมึงอยู่ไหน เดี๋ยวกูช่วย รถมันแคบจะตาย”

            “ไม่ต้อง!” ผมดันคนหื่นออกจากรถ แต่แรงอันน้อยนิดของผมจะไปทำอะไรหมายักษ์ตัวนี้ได้กัน

            “เดี๋ยวกูปิดตาๆ เปลี่ยนเลย” เขายังคงยิ้มหน้าระรื่นอยู่ในรถผมต่อแถมถึงแม้จะปิดตา เขาก็ยังคงหันหน้ามาทางผมอย่างที่รู้ได้เลยว่าถ้าได้ยินเสียงเมื่อไร หมอนี่จะลืมตาแน่นอน

            แต่ผมก็เหนื่อยเกินกว่าจะมาต่อล้อต่อเถียง จึงหยิบถุงที่ใส่เสื้อกับกางเกงลำลองออกมา และในระหว่างที่ผมปลดกระดุมก็เป็นไปตามคาด ไอ้คนกลับกลอกดันเปิดตามามองผมเสียได้

            “มา เดี๋ยวกูช่วยเปลี่ยนกางเกงดีกว่า” เขาว่าอย่างนั้นแล้วดึงขาทั้งสองข้างของผมให้พาดไปทางที่นั่งข้างคนขับ ผมที่อยู่ดีๆก็ตัวเอียงได้แต่จับประตูรถอย่างงุนงง เสื้อนักศึกษาซึ่งถูกดึงกระดุมออกเผยอจนเห็นผิวภายใต้เนื้อผ้า

            ผมเห็นลูกกระเดือกของเคย์ขยับขึ้นลง แต่เขาเลื่อนสายตาลงไปโฟกัสกับซิปกระโปรงข้างๆแทน ชายหนุ่มรูดมันลงจนได้ยินเสียงฟืด

       ยามที่กระโปรงทรงเอถูกรูดซิปลงจนสุด เขาก็ดึงมุมผ้าให้แบะออกเผยให้เห็นต้นขาของผม

            อะ…ไอ้!!!

            ผมสบถไม่เป็นภาษาตอนที่เขาวางมือร้อนๆลงบนผิวเปลือยเปล่าของผม แถมยังลูบไล้ตรงบริเวณนั้นด้วยมือสากจนผิวผมแทบขึ้นสีแดง

            ดวงตาวาววับของอีกฝ่ายส่องประกายในความมืด แสงจากข้างนอกรถแทบจะถูกบังมิดจนหมดด้วยตัวโตๆของเขาจนเหมือนกับว่าร่างสูงใหญ่เบื้องหน้าผมเป็นหมาป่าซึ่งหันหลังให้แสงจันทร์

            โป๊ก!

            เสียงนั้นคือเสียงที่ผมถีบเคย์จนหัวชนประตูนั่นเอง ผมเนรเทศไอ้คนหื่นกามออกไปจากรถแล้วรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างไว และถึงแม้คราวนี้อีกฝ่ายจะเป็นเด็กดีคอยมองรอบรถระแวดระวังว่าใครจะมาเห็น มันก็ไม่ได้ทดแทนเรื่องเมื่อกี้ที่มันหื่นจนเกือบหน้ามืดปล้ำผมในรถหรอก!

            หลังจากผมออกมาในสภาพเรียบร้อยแล้ว เคย์ก็กระแอมไอเล็กน้อย หลังจากนั้นก็รีบนำผมขึ้นห้องไปทันที และเมื่อเราขึ้นมาถึงห้องแล้ว เขาก็พุ่งเข้าห้องน้ำทันที

            และถ้าผมได้ยินไม่ผิด ผมได้ยินเสียงทุ้มต่ำครางชื่อผมมาจากในห้องน้ำเสียด้วย

--------------------------------------------------------------------------------------------------

ครบจ้า อยากเขียนเรื่องเกี่ยวกับอะไรแบบนี้มานานแล้ว หลังจากเราผ่านอะไรแบบนั้นมาแล้วมันก็เหมือนประสบการณ์ที่ดีแหละ มีความมั่นใจในตัวเองเพิ่มขึ้น แต่ตอนต้องออกไปยืนหน้าคนเยอะๆนี่ไม่ใช่เรื่องสนุกเลยค่ะ และแน่นอนว่าดิฉันหมายถึงการพรีเซ้นต์ในคลาส ฮืออออ ไม่ได้มีโอกาสไปเป็นดาวอะไรแบบนี้หรอก แง

สำหรับคนที่เข้ามหาลัย คุณจะได้รู้จักกับคำว่า self-doubtedเป็นครั้งแรก นี่ก็เป็นค่ะ ไอ้ประเภทจะทำได้มั้ยนะ ถ้าทำพลาดจะเป็นยังไงล่ะ จะทำยังไงดี ขอบอกว่าลองทำดูค่ะ สิ่งที่เป็นอาจจะดีกว่าที่คิดไว้เยอะเลย!

คือมีคนบอกว่าคนเขียนเรื่องในวัยมหาลัยเยอะเพราะเป็นวัยcarefree นี่แบบไม่จริงเลยจ้า วัยมหาลัยเป็นวัยที่เจอความผิดหวังครั้งแรก ได้รู้ว่าเราตัวเล็กแค่ไหนในโลก ได้รู้ว่าเราไม่ได้พิเศษอะไรเลย ได้สงสัยความสามารถตัวเอง ได้พยายามพิสูจน์ตัวเอง ได้ล้มเหลวนับครั้งไม่ถ้วน

วัยที่อยู่ระหว่างเป็นเด็กกับผู้ใหญ่มันไม่ง่ายเลย เพราะเรามีทางให้เลือกข้างหน้าอีกหลากหลายรูปแบบ เพราะงั้นตอนนี้ที่เราต้องค้นหาตัวเองให้ได้ถึงกดดันมากๆไง อยากเขียนถ่ายทอดเรื่องแบบนี้ให้ได้แต่ยากจัง5555 เอาลงทอร์คง่ายกว่า
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่5 P.8 UP
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 21-01-2019 06:40:05
เอ็นดูเคย์   :L1: :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่5 P.8 UP
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 21-01-2019 21:00:28
 :katai3:เคย์เหมือนเด็กน้อยอ่ะ ลูกมาก เอ็นดู  :hao7:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่5 P.8 UP
เริ่มหัวข้อโดย: Jimjum112 ที่ 21-01-2019 21:11:37
เก็บมันไว้ข้างในตลอดเวลา
ฉันรู้สึกมันจะเริ่มเก็บไม่ไหวเเล้วสิ
กับความเงียบที่มันดังตลอดเวลา
ในหัวใจของฉัน
https://starvegasgame.com/slotxo (https://starvegasgame.com/slotxo)
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่5 P.8 UP
เริ่มหัวข้อโดย: TheWanFah ที่ 21-01-2019 23:39:50
เคย์น่าเอ็นดูมาก
เป็นเราก็ตื่นเต้น เวลาอยู่ต่อหน้าคนเยอะๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่5 P.8 UP
เริ่มหัวข้อโดย: piiya ที่ 22-01-2019 22:40:13
ตอนเคไม่หื่นแตกนี่น่ารักเลย ไอ้เต้าโกเด้นรีทีฟเวอรรร์
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่5 P.8 UP
เริ่มหัวข้อโดย: Wwavez ที่ 23-01-2019 00:43:11
เวลาเห็นจินแต่งหญิงจะกลายร่างเป็นหมาป่าแต่ถ้าปกติจะเป็นหมาโง่งั้นสินะ555555
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่5 P.8 UP
เริ่มหัวข้อโดย: Quatree ที่ 23-01-2019 09:55:28
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่5 P.8 UP
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 23-01-2019 21:59:51
เคย์ตอนนี้ดูหื่นมาก จะขย้ำจินอย่างเดียวเลย 5555
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่5 P.8 UP
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 26-01-2019 01:13:34
เคย์นี่มันเจ้าหมาหลงเจ้าของจริงๆ :laugh:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่5 P.8 UP
เริ่มหัวข้อโดย: nofsnof ที่ 30-01-2019 00:20:16
เคย์คนหื่นกับจินคนซึน ชอบพาร์ทชาวเผือกมากๆเลย
เหมือนรอเม้า แต่พอเค้ารักกันเราก็แยกย้าย 55555

 :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่5 P.8 UP
เริ่มหัวข้อโดย: MeiHT ที่ 31-01-2019 14:41:53
บทที่ 6 : ความรู้สึกที่เพิ่มพูน
K part
 
           ผมหลับเป็นตาย

            ขนาดตัวผมที่ตื่นเช้ามาตลอด วันนี้ยังแทบยกตัวจากเตียงนอนไม่ขึ้น ผมจ้องเพดานอย่างว่างเปล่า ร่างกายไร้เรี่ยวแรงเหมือนไม่มีกล้ามเนื้อ ผมกดโทรศัพท์ดูและพบว่าตอนนี้เกือบจะเที่ยงแล้ว ก่อนจะตะแคงตัวไปมองคนตัวเล็กที่ยังนอนหลับอยู่เตียงข้างๆ ลมหายใจเข้าออกที่สงบของอีกฝ่ายทำเอาผมมองเพลินจนไม่ยอมลุกไปทำกิจวัตรยามตื่นนอน

            ผมอมยิ้มน้อยๆเมื่ออีกฝ่ายกำลังซุกหน้ากับผ้าห่มจนเหมือนดักแด้ตัวกลมๆ และคงจะมองได้อีกเป็นชั่วโมงถ้าไม่ใช่เพราะนาฬิกาปลุกของผมส่งเสียงกรีดร้อง

            ผมลนลานลงจากเตียงไปเลื่อนปิดนาฬิกาไม่รักดีของตัวเอง แต่ช้าไปเพราะเมื่อหันกลับมาอีกที คนที่เคยหลับใหลเมื่อครู่ดันตื่นมาจ้องผมด้วยแววตาหรี่ดุร้ายคล้ายแมว

            “หนวกหู” เสียงนั่นดุร้ายพอๆกับสายตาที่มองมาอย่างคาดโทษ

คำพูดรับรุ่งอรุณนี่มันชื่นใจจริงๆ อ่าส์
       
     “…ขอโทษครับ” ผมวางนาฬิกาลงอย่างเบามือ เมื่อคนงัวเงียกลับไปนอนต่อ ผมจึงได้ฤกษ์เริ่มต้นเช้าที่จริงๆก็บ่ายแล้วเสียที

            หลังจากออกมาจากห้องน้ำแล้ว ผมก็ต้องพันผ้าเช็ดตัวเดินออกมาเพราะลืมเอาเสื้อผ้าเข้าไปเปลี่ยนในนั้น

ในขณะที่ลูบหัวตัวเองให้สติกลับเข้าที่ ผมก็สบสายตาเข้ากับคนที่ตื่นตาแป๋วมานั่งไถทวิตแล้วเรียบร้อย หน้าที่เคยฉายแววหงุดหงิดตอนนี้ค่อยๆแดงขึ้นเหมือนกับมะเขือเทศ แถมยังทำหน้าเหรอหราเหมือนไม่รู้จะละสายตาหรือไม่อีกต่างหาก

            …น่ารัก

            และคงเป็นเพราะผมยิ้มขำออกไป คนดุร้ายเหมือนแมวตัวเล็กถึงขู่ฟ่อ

            “เดินเป็นชีเปลือยอยู่ได้! ไม่มีเสื้อใส่หรือไง!”

            ผมแกล้งทำเป็นรีบเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า และตอนที่ผมคิดว่ามีคนกำลังมองตามผมอยู่ ผมก็สะบัดผ้าเช็ดตัวซึ่งเคยพันอยู่รอบเอวออกทันที และเพียงเท่านั้นผมก็ได้ยินเสียงโครม!ดังขึ้น แล้วพอหันหน้ากลับไปอีกรอบ คนที่เคยนอนอยู่บนเตียงก็ได้หายเข้าห้องน้ำไปแล้วเรียบร้อย

            ผมอดแกล้งเขาไม่ได้เลยจริงๆ เฮ้อ นิสัยไม่ดีเลยตัวเรา

            รอเพียงครู่เดียวจินก็ออกมาจากห้องน้ำ และไม่ว่าเขาจะตั้งใจหรือไม่แต่คนตัวเล็กก็ได้เอาคืนผมเต็มๆเมื่อเขาออกมาในสภาพเดียวกับผม ผ้าเช็ดตัวผืนเล็กนั่นแทบปิดอะไรไม่มิดเสียด้วยซ้ำ แถมยังเผยขาขาวๆน่าลูบที่ติดอยู่ในหัวผมมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วอีกต่างหาก

            คิดแล้วภาพเมื่อวานก็ย้อนกลับมา จินในชุดนักศึกษาหญิงนั่นดีมากจริงๆ ผมจะหาทางตะล่อมให้เขาใส่อีกรอบได้ยังไงกันนะ แค่กๆ

            แฟนของผมเปิดตู้เสื้อผ้า ก้มลงหยิบกางเกงชั้นในของตัวเอง ในตอนที่เขาโน้มตัวลง ผมก็ได้เห็นบางสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าเช็ดตัวผืนจิ๋วนั่น

            โอ้ว ขาวมาก กลมมาก
   
         ผมรู้สึกถึงซัมติงที่กำลังคึกคักตื่นตัวในกางเกง แวบหนึ่งผมรู้สึกหน้ามืดอยากพุ่งตัวเข้าไปขย้ำอีกฝ่ายให้จมเตียง
 
           ยุบหนอ พองหนอ ยุบหนอ ข้างล่างเนี่ยพองแล้วหนอ

            ในที่สุดจินก็หาสิ่งที่ตัวเองต้องการเจอ เขายืดตัวตรงหาเสื้อต่อ ซึ่งนั่นทำให้ผมได้พิจารณาเอวคอดซึ่งผมแทบจะสามารถจับรอบเอวได้ด้วยมือทั้งสองข้าง

            หืม ผมรู้ได้ยังไงเหรอ ก็ผมเคยจับมาก่อนไง :)

            และคงเพราะสายตาผมไล่โลมเลียมากเกินไปจนคนตรงหน้าสัมผัสได้ เขาจึงเอื้อมมือไปหยิบผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่จากในตู้เสื้อผ้ามาพันตั้งแต่ช่วงหน้าอกลงไป

            แต่มันกลับอีโรติคมากกว่าเดิมในความคิดผมซะงั้น

            ผมพยายามข่มความรู้สึกที่อยากเดินเข้าไปกระชากผ้าที่อยู่บนตัวเขาออก จินคงจะแขยงผมพอสมควรเพราะผมเห็นเขาเบ้ปากใส่ผม พึมพำคำว่าโรคจิตแล้วหยิบเสื้อผ้าเข้าไปใส่ในห้องน้ำ คนตัวเล็กกลับออกมาในชุดเรียบร้อยพอสมควรจนผมอดถอนหายใจไม่ได้ ซึ่งลงท้ายที่เขาปาผ้าเช็ดตัวซึ่งเคยพันอยู่บนตัวใส่หน้าผมอย่างรุนแรงจนผมถึงขั้นล้มลงไปนอนแผ่บนเตียง

            ฟืด!
 
           กลิ่นของจิน

            ผมสูดหายใจลึกๆเอากลิ่นหอมๆซึ่งติดอยู่บนผ้าขนหนูเข้ามาเต็มปอด แต่ครั้นจะเก็บไว้นอนกอดคืนหนึ่ง เขาก็เอื้อมมาหยิบคืนไปเสียแล้ว
 
           “วันนี้ออกไปซื้อของที่ซุปเปอร์กัน” เขาหันมาบอกผมตอนกำลังเตรียมกระเป๋าตัง

            ผมแทบจะกระดิกหางใส่เหมือนหมาที่เจ้าของจะพาไปเดินเล่น

            “เราจะไปเดตกันเหรอ”

            “ไม่ใช่! เห็นมั้ยเนี่ยว่าสบู่มันหมดแล้ว” เขาหันหน้ากลับมาแยกเขี้ยวใส่ เหมือนแมวที่ขู่ฟ่อจนผมอดเอ็นดูไม่ได้ อยากจะเข้าไปหอมหัวสักร้อยทีแล้วอุ้มกลับมาฟัดบนเตียง ไม่ต้องออกไปไหนอีกแล้ว

            แต่ทำยังไงได้ เจ้านายสั่งยังไงก็ต้องทำอย่างนั้น

            ผมเตรียมกระเป๋าตังกับกุญแจใส่กระเป๋า จากนั้นจินจึงหันมาเช็คเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในห้อง แล้วพวกเราจึงออกไปข้างนอกด้วยกัน โชคดีที่จินมีรถอยู่แล้ว เราจึงขับรถไปห้างที่ใกล้ที่สุดซึ่งถึงแม้ว่าจะใกล้แล้วก็ยังโคตรไกลอยู่ดี

ความประเทศรังสิตนี้…

            ผมเข็นรถตามหลังเจ้านายของตัวเองไม่ห่าง ตอนแรกๆพวกผมใช้ของส่วนตัวแยกกัน แต่หลังจากที่สบู่ผมหมด ผมก็เนียนไปใช้ของแฟนตัวเองต่อ แล้วจากนั้นผมก็ไม่เคยซื้อของใช้ส่วนตัวอีกเลย และแน่นอนว่าคนตัวเล็กข้างหน้านั่นบ่นเป็นหมีกินผึ้งเลยทีเดียว แต่หลังจากนั้นเขาไม่สามารถบังคับผมให้กลับไปซื้อเองได้ จึงลงท้ายด้วยการลงเงินส่วนกลางไปซื้อของด้วยกัน

            ซึ่งก็ดีกับใจผมมากทีเดียว

            “จิน เราซื้อขนมกันมั้ย” ผมส่งเสียงทักคนชอบไดเอ็ตที่เอาแต่เดินดูของใช้เพียงอย่างเดียว ผมหมายถึง คนเราเกิดมาก็ต้องกินข้าวให้อิ่มอร่อยสิ เหมือนที่มีคนบอกว่าเราไม่ควรกินเนื้อเพื่อชีวิตที่ยืนยาว แต่ชีวิตที่ยืนยาวจะมีประโยชน์อะไรถ้าไม่ได้กินเนื้อ!

            อีกอย่าง เขาผอมเกินไปหน่อย ถ้าเกิดเรามีอะไรกันอีกรอบผมก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าจะยั้งมือได้มั้ย ผมอาจจะทำให้เขาเจ็บก็ได้ แต่ล่าสุดหลังจากผมป้อนขนมเขาบ่อยๆดูเหมือนว่าก้นเขาจะกลมขึ้นมาหน่อย แบบนี้เวลาตบแรงๆมันจะเด้งได้มั้ยนะ

            ผมเท้าคางกับรถเข็นพลางจับจ้องคนตัวเล็กที่เดินอยู่ข้างหน้าพร้อมบ่นเรื่องโทษของขนมกรุบกรอบไปด้วย

            อืม ดูเหมือนว่าผมจะใช้เวลา24ชั่วโมงสังเกตร่างกายแฟนตัวเองไปซะแล้ว

            เฮ้อ แต่ต้องโทษที่เขาเซ็กซี่เกินไป ผมหยุดมองเขาไม่ได้เลยจริงๆ

            “ฟังอยู่มั้ยเนี่ย” เสียงคาดโทษมาพร้อมกล่องซีเรียลที่เคาะหัวผม จินโยนกล่องที่เพิ่งใช้ประทุษร้ายผมลงในรถเข็น

            “เออ ว่าใหม่อีกทีสิ”

            “กูบอกว่าถ้าอยากซื้อก็ไปซื้อ แต่เวลากินอย่ากินตอนดึกแล้วก็แบ่งกิน โซเดียมมันเยอะ”

            “อือ” ผมรับคำไปส่งๆเพราะยังไงตอนกลางคืนก็ต้องหาอะไรกินอยู่แล้ว อย่างวันก่อนผมก็พึ่งกินเครปเย็นซึ่งอยู่ในตู้เย็นเมื่อวันก่อน และผมดันจำไม่ได้ด้วยว่าซื้อไปเมื่อไรเพราะก่อนหน้านั้นผมไปค้างที่ห้องคนอื่นเสียนาน แต่ลงท้ายผมก็กินมันไปและพบว่ามันไม่เสีย แสดงว่ามันพึ่งถูกซื้อมาหลังผมจะไปค้างห้องคนอื่นสินะ

            แฟนผมจำของที่ผมชอบได้ด้วย ดีใจชะมัด       

            หลังจากนั้นพวกเราก็เดินวนอีกสักสองรอบ และผมก็แอบหยิบเอาขนมกรุบกรอบรถเข็นเสียเยอะ คนตัวเล็กหัวเสียมากที่ผมหยิบของมาเต็มไปหมดแต่ผมลูบไหล่เขาแล้วบอกว่าผมจะเป็นคนกินให้หมดเอง เพราะงั้นซื้อไปเหอะ

            ซึ่งแน่นอนว่าผมโกหก

            ผมจะขุนเขาให้อ้วนเลยคอยดูสิ

            หลังจากจ่ายเงินเสร็จแล้วแน่นอนว่าผมต้องเป็นคนรับผิดชอบถือของทั้งหมด จะให้แฟนตัวเองถือได้ยังไงกัน ผมต้องโชว์ความแมนของตัวเองให้เห็นเสียบ้าง

            “ไหนๆก็มาถึงห้างทั้งที กินของหวานกันมั้ย” ผมก้มหน้าลงถามคนข้างตัวซึ่งเดินฉับๆเหมือนอยากกลับห้องไวๆ

            “กูเหนื่อย” เขาประท้วงเสียงแข็ง สีหน้าเหมือนอยากกลับห้องมากจริงๆ

            แต่เราเพิ่งได้ออกมาเองนะ นี่มันเดตแรกของเราเลยนะ!!

            ผมหน้าบูด ใช้มาตรการดื้อเงียบใส่ซึ่งก็ได้ผลเพราะในที่สุดเขาก็หันมามองผมด้วยสีหน้าจนใจแล้วบอกว่า

            “เออ อยากแดกอะไรก็นำไปเลยไอ้คนเผด็จการ!”
 

            ผมไม่เข้าใจสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าผู้หญิง

            นั่งตัวสั่นเป็นลูกแกะท่ามกลางฝูงหมาป่า ผมได้แต่มองไปทางคนที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามแบบขอความช่วยเหลือ คิดไม่ถึงว่าจะโดนอีกฝ่ายมองด้วยสายตาเหมือนมองเด็ก 5 ขวบ

            “ยังไม่ชินอีกเหรอ” จินถามกลั้วหัวเราะ

            “ไม่ชินหรอก” ผมอุบอิบบอกแล้วสังเกตรอบข้างด้วยหางตา เมื่อสักครู่ที่เข้ามานั่งกับคนตัวเล็ก ผมรู้สึกเหมือนมีคนมองอยู่ และก็เป็นอย่างที่คิด สาวๆในร้านต่างมองผมแล้วหันไปซุบซิบด้วยกันเองแถมยังหัวเราะเบาๆอีกต่างหาก

            ผมรู้สึกเหมือนตัวประหลาด

            แต่ยังดีที่หลังจากการฝึกฝนมาหลายปี ผมสามารถนั่งอยู่ท่ามกลางสายตาของคนอื่นโดยไม่มีความเคอะเขินได้แล้ว ดังนั้นผมจึงสามารถนั่งตัวยืดหลังตรงได้ แม้จะต้องเก็กหน้าจนเกร็งเมื่อสาวที่อยู่ตรงหางตาแอบยกมือถือขึ้นถ่ายผมโดยการทำเหมือนกับว่ายกขึ้นมาส่องหน้า

            มันไม่ค่อยเนียนเลยครับเธอ

            ผมแอบขยับเก้าอี้เล็กน้อยเพื่อให้ตัวเองหันหลังให้หลายสายตาในร้านคาเฟ่ แต่พอเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าคนตัวเล็กกำลังจ้องผมอยู่ก่อนแล้ว
 
           ผมเอียงคอเป็นเชิงถาม บางทีผมก็ไม่เข้าใจอารมณ์ของเขาเสียเลย ดูเหมือนว่าเขาจะหงุดหงิด แต่หงุดหงิดอะไรกันล่ะ สงสัยวันนี้ผมต้องกลับไปเล่นเกมจีบสาวซึนเดเระที่พึ่งซื้อมาใหม่ซะแล้ว (อย่าบอกจินนะ แต่ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยชอบสาวซึนเลย เพราะฉะนั้นเกมจีบสาวผมจึงมีแต่คุณหนูพูดน้อยขี้อ้อน)
 
           “เก็กหน้าได้ทุเรศมาก รีบกินเข้าไปซะ”

            แล้วเขาก็ตักแพนเค้กก่อนใหญ่ยัดใส่ปากผม ซึ่งผมก็อ้าปากรับแต่โดยดี
 
           แฟนป้อนขนม ดีใจจัง นี่มันเหมือนโชโจมังงะเลยไม่ใช่เหรอ อร่อยชะมัด! แพนเค้กบันไซ!!!

            ผมอ้าปากรับแพนเค้กเรื่อยๆโดยไม่ทันสังเกตว่าข้างหลังนั่นสาวน้อยซึ่งผมพยายามหลบแทบตายกำลังนอนกุมหัวใจกับฉากหวานแหววซึ่งไม่คาดคิดว่าจะได้เห็น และสายตาดุร้ายรุนแรงจากจินซึ่งสาดไปหาคนที่ถ่ายรูปผม

            “มึงไปจ่ายตัง” เขาดันบิลมาทางผมหลังจากจานแพนเค้กนั่นว่างเปล่า ผมกรอกน้ำลงปากรวดเดียวแล้วเดินไปเคาท์เตอร์จ่ายตังอย่างว่าง่าย หลังจากรับเงินทอนเสร็จแล้วจึงเดินกลับไปหาจิน แต่ก็พบว่าเขากำลังคุยอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่งอยู่

            ผมก้มลงแอบทันทีที่เห็นอย่างนั้น แล้วกระดึ๊บเข้าไปฟังสิ่งที่เขาพูดกัน

            “…เปล่าครับ ผมแค่คิดว่ามันไม่ถูกต้องที่แอบถ่ายคนอื่นทั้งๆที่เขาไม่ยินยอม กรุณาลบรูปด้วยครับ”

            “คุณจะซีเรียสอะไรนักหนา ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไงที่คนสนใจจนแอบถ่ายรูปเขาอะ”

            “แต่อย่างน้อยคุณก็ควรมาขออนุญาตก่อนมั้ยครับ คนที่เขาไม่โอเคกับการถูกถ่ายรูปมีเยอะแยะ เพื่อนผมเขารู้สึกไม่ดีเหมือนกันที่อยู่ๆก็มีคนมาถ่ายรูปโดยไม่รู้ว่าจะเอารูปไปใช้ทำอะไร”

            “เซนซิทีฟไปป่ะคะ”

             ผมลุกพรวดขึ้นไปหาจิน ตั้งใจจะจับพวกเขาแยกกันก่อนที่อารมณ์จะขึ้นทั้งคู่ เพราะต่างคนก็ต่างพูดด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้นแล้วตอนนี้
 
           “ขอโทษแทนแฟนผมด้วยครับ สำหรับรูปนั่น…ผมรู้ตัวนะครับว่าถูกแอบถ่ายอยู่ ขอตัวนะครับ”

            แล้วจากนั้นผมก็อุ้มเขาด้วยมือเดียวหนีออกมาจากร้านทันทีโดยไม่ลืมจะหยิบถุงของที่ซื้อออกมาด้วย
 
           ผมปล่อยเขาลงหลังจากเราเดินออกมาจากร้านได้เป็นระยะทางไกลพอสมควร แน่นอนว่าจินจิกแขนผมเป็นรอยตอนโดนอุ้มออกมา แถมยังทำหน้ากระฟัดกระเฟียดใส่อีก

            “ไปหาเรื่องเขาทำไม” ผมดุ

            “กูไม่ได้หาเรื่อง มึงก็เห็นว่าเขาถ่ายรูปมึงทั้งๆที่มึงไม่ได้สบายใจจะโดนถ่ายรูป”

            ผมถอนหายใจให้กับคนช่างสังเกต

            เอาเข้าจริงพอเจอบ่อยๆก็เริ่มชินแล้ว ถ้าวันไหนไม่อยากโดนมองมากๆผมก็จะใส่หมวกออกมาจากบ้านเอง เห็นอย่างนี้ผมก็ค่อนข้างกลัวเวลาสายตาผู้คนจับจ้องมาที่ผมอยู่เหมือนกัน
 
          จะว่าผมเป็นพวกมองโลกในแง่ร้ายก็ได้แต่ทุกครั้งที่คนมองผมแล้วหันไปกระซิบกระซาบหัวเราะคิกคักใส่กัน มันเหมือนว่าพวกเขากำลังหัวเราะเยาะผมอยู่
   
        ที่พวกเขาพยายามป้องปากพูดเพราะพวกเขากำลังนินทาผมอยู่หรือเปล่านะ

            วันนี้ผมแต่งตัวไม่ดีเหรอ ผมลืมรูดซิบกางเกงหรือเปล่านะ ผมเผลอใส่เสื้อกลับด้านเหรอ ทำไมพวกคุณถึงหัวเราะล่ะ
 
           “เรื่องบางเรื่องเราไปบังคับใครไม่ได้หรอก ปล่อยไปดีกว่า” ว่าจบก็ลูบหัวเขาเบาๆ “ขอบคุณนะ”
 
          “แล้วก็…” จินอุบอิบพูดอะไรสักอย่างที่ผมไม่ได้ยิน

            “หะ อะไร พูดอีกทีหน่อย กูไม่ได้ยิน”
 
           “…บอกว่า เราไม่ใช่แฟนกัน! เข้าใจมั้ย!”

            ผมหัวเราะเมื่อคนตรงหน้ากลายร่างเป็นผลตำลึงสุก จินหันหลังออกเดินทันทีเมื่อเห็นผมขำขนาดนั้น ผมจึงวิ่งตามหลังเขาไปเหมือนหมาเชื่องๆที่กลัวโดนเจ้าของทิ้งเสียจับใจ
   
         นี่ถ้าวันนั้นผมไม่รีบจับรวบหัวรวบหางเขาไว้ ผมจะไปหาคนน่ารักที่ใส่ใจเรื่องผมมาจากที่ไหนอีกกัน
 
 
         
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่5 P.8 UP
เริ่มหัวข้อโดย: MeiHT ที่ 31-01-2019 14:42:13
Jin part

            พวกเรามีนัดกินเหล้าตอนสามทุ่ม
   
        จริงๆก็ไม่ใช่พวกเรา แต่เป็นเคย์คนเดียวต่างหาก เพราะรุ่นพี่ที่คณะสัญญาว่าจะพาไปฉลองกันหลังจบงานประกวดดาวเดือน และรูมเมทของผมที่นั่งอยู่ตรงนั้นก็เข้ามากวนใจผมจนผมต้องตกลงไปด้วย

            ก่อนที่ผมจะตกลง ไอ้คนที่นอนแผ่เป็นปลาดาวอยู่ตรงนั้นทั้งเข้ามากอดแข้งกอดขา ไม่ก็
ซบไหล่ ไม่ก็เอาแต่กอดจนรำคาญ
 
          ผมทิ้งตัวนอนตามคนขี้เกียจไปอีกคน หยิบเอาหนังสือเล่มใหม่ที่พึ่งซื้อมาจากห้างมานอนอ่าน ปล่อยให้ความเย็นสบายของแอร์เข้าโอบล้อมตัวพวกเรา
   
        บรรยากาศสบายๆลอยวนอยู่ในห้อง ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่ความรู้สึกอึดอัดยามเคยรู้จักกันได้หายไปเรียบร้อยแล้ว คงเหลือแต่ความสบายใจเวลาได้อยู่ใกล้ๆกันอย่างนี้ บางทีผมก็มีความคิดว่าการอยู่อาศัยร่วมกับคนอื่นนี่เป็นเรื่องที่ไม่เลวเลย
   
         ผมจมไปกับเรื่องราวในหนังสือพอๆกับเขา คราวนี้ผมได้ตัวละครที่ชอบตัวใหม่อีกแล้ว และผมก็เพิ่งจะได้ชุดใหม่สำหรับงานอีเว้นท์คอสเพลย์ในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า
   
         เสียอย่างเดียว…ผมยังไม่ได้บอกเคย์เรื่องงานคอสเพลย์ที่จะถึงเลย
 
           คือมันก็ไม่ใช่ความลับอะไรนักหรอกนะ แต่เมื่อผมมองชุดที่ตัวเองจะใส่แล้ว ผมก็มีความรู้สึกที่ไม่กล้าบอกอีกฝ่ายผุดขึ้นมาอย่างนั้น

            ทั้งๆที่เมื่อก่อนผมจะใส่อะไรยังไงก็ไม่ต้องกลัวใครว่า แค่เซฟตัวเองให้ดีก็พอแล้ว
 
           อ่า แล้วทำไมผมต้องมานั่งเกรงใจเขาด้วยนะ

            ผมปัดความคิดงุ่นง่านออกจากหัวด้วยการอ่านไลท์โนเวล แต่มันไม่ค่อยได้ผลนัก ผมจึงขุดตัวเองมาอ่านหนังสือทบทวนบทเรียนต่อ หวังให้ความหัวร้อนยามบัญชีไม่ดุลช่วยบรรเทา
อาการคิดมากกับความรู้สึกที่ไม่อยากยอมรับ ซึ่งเมื่อเคย์เห็นอย่างนั้นก็มีอันเป็นต้องทำตามไปด้วย
 
          คนสองคนในห้องกำลังหยิบเอาชีทขึ้นมานั่งอ่านอย่างดุเดือด ทั้งปากกาไฮท์ไลท์กระดาษทดถูกเตรียมพร้อม

ผมหน้ามุ่ยเขียนบัญชีอย่างดุเดือด กระดาษใบแล้วใบเล่าถูกโยนทิ้งลงพื้นเมื่อพบว่าตัวเองเขียนผิด พอๆกับอีกฝ่ายที่ตอนนี้นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดพยายามท่องจำอย่างเอาเป็นเอาตาย
 
           ในตอนที่ผมหงุดหงิดมากๆจนกระแทกแป้นเครื่องคิดเลขแรงๆ มือใหญ่ๆร้อนๆนั่นจะวางทาบลงบนหัวผมแล้วลูบเบาๆ แล้วหลังจากนั้น ผมก็จะนั่งไล่ดูบัญชีใหม่อีกรอบเพื่อคิดว่าตัวเองลงตรงไหนผิดฝั่งไปบ้าง

            ทั้งหมดนั่นล้วนเป็นธรรมชาติจนผมไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำจนกระทั่งกลับมานึกขึ้นได้อีกทีเมื่อบัญชีดุลแล้ว
 
           บ้าเอ๊ย แอร์ตัวนี้มันร้อนจริงๆ

            ทำหน้าผมร้อนตามไปด้วยเลยเนี่ย

            ผมมองอีกฝ่ายทางหางตาและได้พบว่าเขายังจมกับประมวลเล่มหนาปาหัวหมาแตกได้ มองไปรอบๆเตียงเราก็พบเศษซากกระดาษทดของผมซึ่งโยนไว้ส่งๆเต็มเตียง ถังขยะตรงมุมห้องมีซองขนมกรุบกรอบ และนอกระเบียงยังมีราวแขวนผ้าที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้าซึ่งถูกซักแล้ว
 
          ในห้องเล็กๆนี้มีร่องรอยของการมีชีวิตอยู่อัดแน่นจนอบอุ่น แตกต่างจากคอนโดหรูใหญ่ใจกลางเมืองที่เคยใช้เป็นที่อาศัย
   
         “กินข้าวกัน หิวอ่ะ” เสียงดังมาจากคนที่วางหนังสือลงและบิดขี้เกียจเป็นสัญญาณว่าวันนี้จะไม่เปิดมันขึ้นมาอีกแล้ว ผมผุดลุกขึ้นแล้วดึงแขนไอ้กล้ามโตที่แกล้งร้องโอดโอยว่าลุกไม่ไหว ซึ่งกว่าจะรู้ตัวว่าหลงกลมันก็เป็นตอนที่เคย์ฉุดผมล้มลงมาบนตัวเขากลับมานอนกลิ้งเกลือกด้วยกันอีกรอบแถมยังกอดผมซะแน่นจนหน้าผมติดอยู่กับแผ่นอกเขา ไม่พอ ตอนที่ผมจะใช้ขายันตัวเขาออก ไอ้คนเจ้าเล่ห์ก็เอาขาก่ายผมล็อคไว้อย่างแน่นหนา
 
           “อา ชื่นใจ” เขาก้มลงมาหอมหัวผมฟอดใหญ่ซึ่งผมก็ตอบแทนกลับด้วยการกัดแผ่นอกกว้างๆผ่านเสื้อยืดสีขาวของเขาจนเห็นเป็นรอยฟันเลย
   
         “โอ๊ย เจ็บนมมม” เขาบ่นพร้อมกับจับตรงที่ผมกัดด้วยสีหน้าเคลิบเคลิ้ม

            ไอ้เวรนี่ จะเจ็บหรือจะหื่นก็ต้องเลือกเอาสักอย่างสิ

            ผมเบือนหน้าหนีจากภาพที่ดูทุเรศตาอย่างบอกไม่ถูก

            “เลิกเล่นได้แล้ว ไปกินข้าวกัน”
 
           “ยังสนุกอยู่เลย”

            “เดี๋ยวจะกัดมึงอีกรอบ กูจะกินข้าวแล้ว หิว!”

            “รสนิยมมึงคือชอบกัดเหรอ แต่กูบอบบางนะ ถ้าจะลงมือก็เบาๆหน่อย กูอ่อนแอ” ท่าไขว้มือประสานไว้ที่หน้าอกเหมือนสาวน้อยพยายามปกป้องตัวเองจากโรคจิตทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะถีบเขาตกเตียงจริงๆ ถึงแม้ว่าร่างยักษ์ๆนั่นจะไม่เคลื่อนที่เลยสักนิดตอนที่ผมใส่แรงจนสุดแล้วก็ตาม
 
           “…”
 
           “ถึงแม้กูจะไม่Mก็เถอะ แต่ถ้ามึงS กูจะเสียสละร่างกายนี้ให้มึงเอง” ไม่ว่าเปล่า เจ้าตัวยังอ้าแขนรับทำหน้าจนใจ

            “ไปตายซะ!”

            ซึ่งผมก็ตอบแทนมันด้วยการปาหมอนข้างอัดทันที
 

            พวกเราตกลงจะไปกินสเต็กที่ใต้หอแดง จึงเดินไปทางข้างหลังหอ เนื่องจากทางนี้มีรถวิ่งผ่านซ้ำยังมีรถจอดทำให้การเดินและการหลบเป็นไปอย่างตะกุกตะกักเล็กน้อย และทุกครั้งมือใหญ่ๆจากคนที่เดินอยู่ข้างหลังก็จะคอยกั้นผมให้หลบ
   
        สุดท้ายเคย์ก็เดินขึ้นมาขนาบข้างผมโดยให้ตัวเองติดฝั่งถนนแทน เงาของคนตัวสูงบังผมเสียมิด
   
         “อยากกินชานมอ่ะ” เขาบ่นเมื่อเราเดินผ่านร้านชานมเป็นร้านที่สาม แต่เนื่องจากผมพยายามให้เขาอดน้ำหวานเสียบ้างจึงส่ายหน้า

            “อดบ้างน้ำตาลอ่ะ ไม่งั้นที่ออกกำลังกายมันจะไม่ได้ผลนะ”

            “ทำไมของอร่อยมันต้องเป็นโทษต่อร่างกายด้วยนะ”

            “…ตอนตายก็ไปถามพระเจ้าเอาแล้วกัน”
 
           จู่ๆเขาก็ผินหน้ามามองผม แสงที่สาดส่องมาจากข้างหลังเขาทำให้กรอบหน้าเขาดำมืด แต่ดวงตากลับส่องประกายเหมือนนักล่า บวกกับตุ้มหูแวววาวสะท้อนแสงของเขาแล้วยิ่งทำให้หมอนี่เหมือนหลุดออกมาจากการ์ตูนสักเรื่อง
 
           ทันใดนั้นผมก็รู้สึกถึงความอุ่นร้อนที่มือ ก้มลงมองก็เห็นว่ามือใหญ่ๆของคนข้างๆกำลังกุมมือผมไว้จนแน่น
 
          “ข้ามนะ”

            สิ้นคำเขาร่างผมก็ถูกฉุดตามแรงดึง เขาให้ผมอยู่ทางด้านขวาของเขาพลางมองรถซึ่งจะมาจากทางด้านซ้าย และเมื่อไม่เห็นรถอีก เขาก็ดึงผมข้ามถนนไปอย่างรวดเร็ว

            ผมใจเต้นระส่ำกับการถูกดูแลเล็กๆน้อยๆ เหมือนตอนเด็กๆที่แม่ผมมักจะให้ผมจับมือข้ามถนนโดยให้ตัวเธอเองอยู่ด้านที่รถจะวิ่งมาด้วยเหตุผลที่ว่าหากรถยนต์จะชน ก็ต้องชนแม่ก่อน
   
         ทั้งๆที่เมื่อกี้ยังเหมือนคนหื่นกามแท้ๆ
   
         หลังจากเราข้ามถนนมาได้แล้ว ผมก็รู้สึกว่ามือที่เคยกุมมือผมอยู่ได้ละออกไปแล้ว โดยไม่รู้ตัว ผมเผลอจับมือเขาเหมือนไม่อยากให้ปล่อย
   
         และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้คนหน้าไม่อายหันมายิ้มกรุ่มกริ่มใส่ผม

            “ไม่อยากให้ปล่อยก็บอก”
 
          ผมสะดุ้ง บอกเสียงแข็ง
 
           “หา! คะ…ใครบอกไม่อยากให้ปล่อย มึงจะบ้าเหรอ สำคัญตัวผิดไปแล้ว อะ…อย่างกูเนี่ยนะจะอยากจับมือมึง”

            ผมลนลานจนพูดตะกุกตะกัก แทบไม่รู้ตัวว่าพ่นอะไรออกมาบ้าง พอเงยหน้าขึ้นไปมองคนที่สูงกว่าก็พบว่าเขากำลังกลั้นหัวเราะจนตัวสั่น ผมจึงจัดการเหยียบเท้าไปทีนึงจนเคย์ร้องโอดโอย
   
         “อูย…เขินรุนแรงจัง”
   
         “หุบปากไปเลย!”
   
         ผมต่อยแขนเขาไปทีนึง แต่เขาดันรวบมือผมไปจูบเบาๆแถมยังยักคิ้วมาให้อีก โชคดีที่ไม่มีคนเดินผ่านมาไม่งั้นต้องได้ขึ้นข่าวหน้าหนึ่งในมอวันพรุ่งนี้แน่ๆ
   
          “มึงนี่มัน! ไอ้หน้าไม่อาย”
 
           “ครับๆ ผมเป็นคนหน้าไม่อายครับ”

             ผมละหน่ายใจจะคุยกับคนพรรค์นี้จริงๆ
           
 
          พวกเราเดินมาถึงร้านสเต็กในที่สุด หลังจากนั่งลงบนเก้าอี้พลาสติกในร้านผมก็ยกเมนูขึ้นมาดูทันทีเพราะความหิวมันทำให้ผมตาลายไปหมด แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่รู้จะสั่งอะไรดี ต่างจากคนตรงข้ามที่เขียนรายการอาหารลงใบสั่งไปแล้วเรียบร้อย
 
          เขาเท้าคางมองผมแล้วเอ่ยเสนอว่า

            “พอร์คชอปมั้ย”

            “…เอางั้นก็ได้”
   
         “เครื่องเคียงเอาเป็นมันฝรั่งบดเหมือนเดิมนะ”
 
           “…อ่า”
   
         “น้ำเอาเป็นน้ำเปล่าไม่ใส่น้ำแข็งถูกแล้วใช่มั้ย”
 
           “อืม”
 
          “พี่ครับ รับใบหน่อย” เขาโบกใบสั่งอาหารในมือหย่อยๆและไม่นานพนักงานเสิร์ฟหญิงก็โฉบมารับด้วยความรวดเร็ว แอบเห็นว่าเจ้าหล่อนเหล่มองเขาอยู่แล้วด้วย

            เหลือบตาไปมองคนที่นั่งอยู่อีกโต๊ะซึ่งโบกรายการอาหารไปสองสามรอบแล้วก็ยังไม่มีใครไปรับ

            โห…คนหน้าตาดีนี่มันอภิสิทธิ์เสียจริง

            ผมมองคนหน้ายิ้มซึ่งจำรายละเอียดเล็กๆน้อยๆได้แม้กระทั่งเครื่องเคียงของโปรดของผมที่สั่งทุกครั้งที่ไปร้านอาหารตะวันตก ในขณะที่ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเขาชอบกินเมนูอะไร จำได้แค่ว่าเขาชอบกินเครปเย็นมากๆก็แค่นั้น
 
           “ยื่นหน้าผากมาสิ” ผมสั่งและคนเด๋อก็ยื่นหน้าเข้ามาอย่างเชื่อฟัง

            เพี๊ยะ!

            “โอ๊ย” เคย์กุมหน้าผากซึ่งแดงจากการที่ผมดีดนิ้วไปอย่างแรง เขามองผมด้วยสายตาตัดพ้อเหมือนหมาเวลาโดนลงโทษแล้วไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด
 
          “…สมน้ำหน้า”

            “กูทำอะไรผิดอ่ะ” เขาเรียกร้องความเป็นธรรมแต่ผมบึนปากใส่แล้วจบบทสนทนาด้วยการหยิบโทรศัพท์ออกมาไถเล่น
 
          โทษฐานที่ทำให้ผมรู้สึกผิดที่ยังใส่ใจเขาไม่มากพอ
 
          ผมชะงักเมื่อเห็นแจ้งเตือนจำนวนมหาศาลที่แอพนกสีฟ้า ผมจึงกดเข้าไปดูก่อนจะพบรีทวีตและเมนชั่นจำนวนไม่น้อยเข้ามาพูดคุยกับผมเรื่องเกี่ยวกับที่ผมจะไปออกอีเว้นท์สองสัปดาห์ข้างหน้า
   
         แอคคอสเพลย์ผมลุกเป็นไฟเพราะผมเพิ่งทวิตชุดใหม่ที่ผมจะใส่ไป และแถมด้วยว่าจะไม่ลงรูปในแอค หากอยากเห็นจะต้องไปที่อีเว้นท์เอง ที่ผมทำแบบนี้ส่วนหนึ่งเพราะเป็นการโปรโมตให้กับออกาไนเซอร์ที่เพิ่งจัดงานนี้ขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีคนไม่พอใจ
   
         อย่างแอค @NOP_BAS ที่เป็นฟอลโลเวอร์มาตั้งแต่แอคยังมีคนตามไม่กี่ร้อยคนยังเข้ามาประท้วงเพราะตัวเองมีเรียนในวันนั้นพอดี

            @NOP_BAS mention to @JJ3K อย่างนี้ผมก็ต้องโดดเรียนน่ะสิ

            @JJ3K mention to @NOP_BAS ไว้โอกาสหน้าไงครับ มาเจอกัน

            @NOP_BAS mention to @JJ3K อยากเจอจะแย่อยู่แล้ว :(

            ผมยิ้มอย่างอ่อนใจ โคลงศีรษะไปทีหนึ่ง ฟอลโลเวอร์คนนี้บางทีก็รุกจนผมแอบเหนื่อย ผมเคยเข้าไปส่องก็เห็นว่าเขาชอบเล่นบาสกับอยู่มหาลัยเดียวกับผม ปีเดียวกันก็เท่านั้นเอง มีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้พวกเราได้คุยกัน และในจำนวนแฟนคลับทั้งหมด เขาเป็นคนที่ผมคุยด้วยมากที่สุด
 
          แต่เหมือนกับว่าพระเจ้าไม่อยากให้ผมจ้องหน้าจอทำลายสายตาตัวเองมากนัก เพราะจู่ๆผมก็รู้สึกถึงรังสีการมองอันรุนแรงเข้มข้นมาจากคนตัวยักษ์ที่นั่งอยู่ข้างหน้า

            “อะไร” ผมถามคนที่หรี่ตามองอย่างหงุดหงิดมาได้สักพักแล้ว ใบหน้าคมนั้นดูดุร้ายขึ้นมาเมื่อปราศจากรอยยิ้ม
 
           “คุยกับใครอ่ะ ทำไมยิ้มขนาดนั้น”

            “กูคุยกับใครแล้วมันเกี่ยวกับมึงตรงไหน”

            “…”

            “…คุยกับฟอลโลเวอร์ในทวิตอยู่ พอใจยัง”

            เขายังคงหรี่ตาจ้องมองผมเหมือนว่ายังคงกรุ่นโกรธ

            “กูเห็นเกมนึงกำลังฮิต เรามาเล่นกันดีกว่า”
 
           “…เกมอะไร” คราวนี้ผมเป็นฝ่ายระแวงบ้าง

            “เราจะวางมือถือไว้ ใครเป็นฝ่ายหยิบก่อนต้องจ่ายค่าอาหาร”

            ผมถลึงตาใส่คนที่ไม่เคยหยิบโทรศัพท์ออกมาเล่นระหว่างรออาหาร เอาเข้าจริงผมเคยจะแกล้งเขาด้วยการเอาโทรศัพท์เขาไปซ่อนในห้อง คิดไม่ถึงว่าซ่อนไปครึ่งวันแล้วหมอนี่ก็ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าโทรศัพท์หาย
 
          “…เออ ก็ได้” ผมเบ้หน้าอย่างไม่พอใจแต่ก็ยอมวางโทรศัพท์ของตัวเองทับของเขา สีหน้าของเด็กเอาแต่ใจตรงหน้าถึงได้ดีขึ้นมาหน่อย
 
          “เอาแต่ใจ” ผมว่าเขาไปทีหนึ่ง

            “อือ ทนหน่อยแล้วกัน พอดีเป็นคนขี้หึง” เคย์ตอบกลับมาด้วยสีหน้าระรื่น

            ผมหันไปมองคนรอบด้านทันทีว่าได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่หรือไม่ แต่เพราะคนในร้านทำตัวปกติมากผมจึงคิดว่าเขาไม่น่าเพ่งความสนใจฟังเรื่องของพวกเราหรือเปล่า

            ผมดีดนิ้วเขาไปทีนึงเป็นการเตือน และคนโดนประทุษร้ายก็ทำปากยื่นเหมือนกับจะงอน

            ทีกับเรื่องแบบนี้ไม่อายบ้างหรือไงไอ้บ้าเอ๊ย!!
 
 
           หลังจากกินสเต็กเสร็จและกลับมานอนผึ่งพุงที่หอ อีกแค่ครึ่งชั่วโมงพวกเราก็ต้องลุกมาเปลี่ยนเสื้อเตรียมตัวเข้าร้านเหล้า ตอนสามทุ่มครึ่งพวกเราก็ก้าวขาเข้าร้านน้ำเมา คนกลุ่มใหญ่ที่นั่งประจำอยู่ที่โต๊ะโบกมือให้เคย์ยกใหญ่ นั่นคือตอนที่ผมรู้ว่ารุ่นพี่ที่นัดมามีแต่พวกผู้ชาย

ผมกล่าวทักทายคนไม่คุ้นหน้าซึ่งเป็นรุ่นพี่ของเคย์ทุกคนจนครบ แน่นอนว่าคนข้างตัวผมเข้าสู่โหมดคนสังคมทันทีที่อยู่กับกลุ่มคนเยอะๆจนผมต้องนั่งเหล่แล้วเหล่อีกว่าไอ้หมอนี่มันคนเดิมกับที่อยู่กับผมหรือเปล่าวะ
 
           “จินเป็นรูมเมทของไอ้นี่เหรอ” รุ่นพี่คนหนึ่งที่ผมจำชื่อไม่ได้แล้วยื่นหน้ามาถามผม

            “ใช่ครับ ผมไม่ได้ระบุคนที่เป็นรูมเมทไว้ก็เลยสุ่มได้เจ้านี่น่ะครับ” ผมยิ้มตอบเขา

            “หน้าตาน่ารักชิบหาย”

            รอยยิ้มผมแห้งลงทันทีเมื่อได้ยินคำพูดที่ไม่ค่อยรื่นหู แต่จะโทษอะไรได้ พอแอลกอฮอลล์เริ่มไหลเข้าสู้เส้นเลือดของคนบนโต๊ะมันก็จะเริ่มมีบทสนทนาหยาบๆออกมาเป็นปกติ

            “มึงอยู่กับคนน่ารักแบบนี้ไม่หวั่นไหวอะไรบ้างเหรอวะ” คนที่นั่งอยู่ข้างเคย์ตบไหล่เขาแบบหยอกๆ

            “เป็นกูคงหัวใจจะวายวันละสองรอบ”

            “เป็นกูหน้ามืดเลยล่ะสัด”

            “หน้ามืดอะไรวะ”
 
           “ปล้ำแม่ง 55555555”

            “เชี่ย น้องเขาเป็นผู้ชายนะเว้ย มึงเปลี่ยนรสนิยมเหรอ”

            “น่ารักขนาดนี้กูเลิกสนเพศละ ไอ้เหี้ย ไม่ต้องมองด้านล่างไงมึง”

            “จินเขามีแฟนแล้วครับ” เคย์สอดปากบอกแบบพยายามสุภาพมากที่สุด ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่าแต่คนข้างตัวผมแผ่บรรยากาศไม่ค่อยน่าคบหาออกมาเสียแล้ว
 
          “โห กูก็ว่าแล้ว แม่งเอ๊ย”

            รูมเมทของผมที่เพิ่งโกหกไปมาดๆหัวเราะรวนคลอไปกับรุ่นพี่ แต่มือก็เทเหล้าใส่แก้วคนอื่นไม่หยุด จนผมอดคิดไม่ได้ว่าหน้ายิ้มๆของมันตอนนี้น่ากลัวเหลือเกิน

            “เอ้า กินหน่อยรุ่นน้อง”

            สุดท้ายพวกรุ่นพี่ก็เทเหล้าให้ผมกับเคย์คืนบ้าง ซึ่งผมที่ไม่ได้มีปัญหากับแอลกอฮอลล์อยู่แล้วก็กระดกมันไปอย่างรวดเร็วจนได้ยินเสียงโหวฮิ้วมาจากคนในโต๊ะ
   
         “คอแข็งเหรอเรา”

            “หว้า มอมยากซะแล้ว”

            “เคย์มันก็แดกเหล้าได้เยอะชิบหาย คอแข็งสุดๆ”

            “เออ ยืนหนึ่งเลยคนนี้ เคยกินเหล้าด้วยกันป่ะ ดูเลยนะ มันคอยเก็บศพพวกพี่นี่แหละ”

            ผมเหลือบมองเคย์ที่เขยิบตัวเข้ามาชิดผมอีกนิดเหมือนต้องการจะบังตัวผมไว้ ถึงแม้มันจะไม่ค่อยได้ผลเท่าไรก็เถอะ

            ผมตบตักเขาเบาๆเหมือนบอกว่าไม่เป็นอะไร แต่รูมเมทของผมก็ยังคงปั้นหน้าบูดหน้าบึ้งอยู่ดี แถมยังยกแก้วดื่มไม่หยุด

            เฮ้ อย่าเมานะ ผมก็เริ่มจะมึนแล้วเหมือนกัน

            นั่นเป็นตอนที่ผมได้สังเกตว่าข้างหน้าเขามีขวดเหล้าอยู่เยอะพอสมควร ที่ผมได้ยินมาว่าเขาดื่มเก่งน่าจะจริง

            แต่เดี๋ยวก่อนนะ…

            ผมแทบถลึงตามองคนหน้ายิ้มที่ค่อยๆหยิบขวดเหล้าที่รุ่นพี่กระดกมาไว้ข้างหน้าตัวเอง สุมไว้จนเหมือนเป็นของที่ตัวเองดื่ม

            “ผมไม่ได้คอแข็งขนาดนั้นหรอกครับ” เขาหัวเราะขณะเทน้ำเมาลงแก้วตัวเอง

            ผมสะบัดหัวไล่ความมึนหลังกินเหล้าหมดไปหลายแก้ว เปลี่ยนมามองคนข้างกายที่ยังคงมอมรุ่นพี่อย่างต่อเนื่องจนบางคนก็หายไปจากโต๊ะเรียบร้อย บ้างก็ฟุบหลับ เหลือเพียงพวกเราที่ยังมีสติดี

            “เอาล่ะ” เขาลุกขึ้นยืดแขน มองไปรอบๆแล้วจึงฉุดแขนผมให้ลุกขึ้น แต่เนื่องจากผมมึนหัวมากเลยทรงตัวไม่อยู่ เซเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดเขาพอดี เวลาเมาผมควบคุมตัวเองอยู่นะ พูดรู้เรื่องด้วย แค่มึนหัวกับยืนไม่ตรงเท่านั้นแหละ
 
           “โอ๊ะ เขินนะตัวเอง”

            “…ยังจะมาพูดเล่นอีก”

            เคย์หัวเราะเบาๆ จากนั้นจึงประคองผมออกไปนอกร้าน
 
           “ไม่ต้องดูแลพวกรุ่นพี่เหรอ” ผมถามเขาเบาๆ

            “ไม่ต้องหรอก” ตอบกลับเสียงแข็ง สายตาเขาดูแข็งกร้าวไปชั่วขณะ

            “นี่คือไม่เมาหรือไม่ได้กินกันแน่” ผมเลิกคิ้วมองคนที่ปราศจากความมึนอย่างคนที่กินแอลกอฮอลล์ ซึ่งผมก็มึนเกินกว่าจะบอกว่าเขามีสีหน้าอย่างไร แต่ในที่สุดเคย์ก็บอกผมว่า
 
          “จริงๆคือกินนิดเดียว ก็ทำเหมือนเทไปบ่อยๆแล้วก็เอาขวดเหล้าขวดโซดามาสุมข้างหน้า
ตัวเอง” เขาเขี่ยแก้มผมไปมา “หน้าแดงใหญ่เลย”

            “…ก็ว่าอยู่…คนอย่างมึงคอไม่แข็งหรอก” ผมขำเพราะฤทธิ์น้ำเมาจนหัวเราะมากกว่าทุกที

            “ไม่น่าพามึงมาเลย” เขาพึมพำกับตัวเองเบาๆขณะช่วยประคองผมเดินกลับหอ

            “ก็สนุกดีออก” ผมปล่อยตัวเองพิงคนข้างกายเต็มที่เพราะแน่ใจว่าเขาจะสามารถพาผมกลับหอได้อย่างแน่นอน
 
          “…หึ” เขาพ่นลมหายใจพรูเหมือนคนหงุดหงิด
 
           “ทำไมกินเหล้าไม่ได้”
 
          “มันขม”

            ผมขำอีกรอบให้กับเหตุผลของเขา รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นบ้าจนเหมือนจะตายเพราะหัวเราะได้
 
           พวกเราเดินกลับหอด้วยความเร็วเหมือนหอยทากเพราะผมเอาแต่ถ่วงเขาแถมยังเดินเซ
ไปเซมาอีกต่างหาก

            “โอ๊ะ จิน แปบนึงนะ กูอยากกินชานมอ่ะ”

            เขาค่อยๆพาผมเดินไปหาชานมรถเข็นที่ยังไม่ปิดถึงจะดึกขนาดนี้แล้ว ผมนั่งคิดว่าทาร์เก็ตกรุ๊ปของชานมพวกนี้คือคนประเภทไหนกันวะ คนอะไรจะออกมากินชานมตอนตีหนึ่ง

            แต่ผมก็ได้คำตอบอย่างรวดเร็วเมื่อหัวไปมองคนข้างกายซึ่งตาวาว มีแต่คำว่าอยากกินออกมาจากตาเขาเต็มไปหมด

            อ้อ ทาร์เก็ตกรุ๊ปคือคนกินเหล้าที่อยากล้างปากด้วยของหวานนี่เอง
 
           ผมยังคงหัวเราะเหมือนคนเป็นบ้ากระทั่งตอนที่พวกเรามาถึงห้องกันเรียบร้อยแล้ว ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าขึ้นลิฟต์เมื่อไรหรือเข้าห้องมาตอนไหน มันเหมือนกับว่าวาร์ปมาเลย
 
          เคย์อุ้มตัวผมนอนบนเตียง เมื่อหลังกระทบผ้าปูแล้วผมก็ปรือตามองเพื่อนร่วมห้องที่กำลังเดินหาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวให้ผม
 
           “อีเว้นท์ทดสอบศีลธรรมหรือไงวะ” เขาบ่นกับตัวเองขณะเลิกเสื้อผมขึ้น ผมตัวสั่นน้อยๆเมื่อรู้สึกถึงความเย็นที่ไล่เลียไปตามผิว

            “ทนไว้นะตัวกู”

            ผมปิดตานอน ครางอืออาด้วยความรำคาญเมื่อเขายังพึมพำกับตัวเองไม่เลิก
 
           “รอบหน้าทบต้นทบดอกแน่ เฮ้อ น้องชายกูจะเหี่ยวหมดแล้ว”

            ผมปัดแขนขาอย่างรำคาญต้นเสียง ขดตัวเข้าหาหมอนข้างแล้วหลับไปอย่างเป็นสุข

=================================================
ข่าวร้ายค่ะ เราเคลียร์แคชคอมแล้วลืมพาสเข้าเล้าเป็ด โชคดีมากที่ล็อคอินในไอแพดไว้ แง
ปวดหัวเลย จำไม่ได้ด้วยว่าใช้อีเมลล์ไหนเข้าเล้าไว้อ่ะ เนี่ย กรรมของคนมีอีเมลเยอะ แง55555555
พูดคุยแสดงความเห็นได้ในแท๊ก #แต่งตัวให้น้องนะคะ
หรือมีชุดอะไรอยากส่งก็ส่งเข้ามาได้เลยยย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่6 P.9 UP
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 31-01-2019 19:45:52
 :L1: :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่6 P.9 UP
เริ่มหัวข้อโดย: nofsnof ที่ 31-01-2019 23:54:09
หมาเคย์ก็คือหมาเคย์จริง ๆ

ว่าแต่แอค @nop_bas คือไอ้โรคจิตใช่มั้ยน้าา // เตรียมลับมีด
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่6 P.9 UP
เริ่มหัวข้อโดย: yunnutjae ที่ 01-02-2019 00:05:47
5555555 วงวารเคย์ว่ะ ทำตัวดีๆนะ น้องจินจะได้ใจอ่อน  :laugh:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่6 P.9 UP
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 01-02-2019 22:46:19
ชีวิตเคย์นี่มันไม่ง่ายเลยยย  :hao7:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่6 P.9 UP
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 01-02-2019 23:35:05
เราว่าเคย์คงอยากซัดปากรุ่นพี่ตัวเองมากอ่ะ แต่ละคน แม่ง :m16: :m16:

แต่เจ้าหมาของเราก็ทำดีมาก ปกป้องจินด้วย  o13
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่6 P.9 UP
เริ่มหัวข้อโดย: TheWanFah ที่ 03-02-2019 16:54:27
เคย์ใส่ใจจินมากอะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่6 P.9 UP
เริ่มหัวข้อโดย: Wwavez ที่ 06-02-2019 00:51:53
5555เจ้าหมาเค้าหวงจินไงลูก โมเมเป็นแฟนละด้วยน้องแบบปฏิเสธเต็มที่อะ สู้ๆนะเจ้าหมาน้องมันคนซึน :hao3:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่6 P.9 UP
เริ่มหัวข้อโดย: MeiHT ที่ 06-02-2019 21:02:11
บทที่ 7 : เรื่องในรถ
แฮงค์

มันไม่แฮงค์ถึงขนาดจะเดินเข้าห้องน้ำไปอ้วก แต่ก็ทำให้ผมมึนหัวมากอยู่ทีเดียว

ผมลุกขึ้นนั่ง นึกแปลกใจที่เห็นรูมเมทตัวเองกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้กำลังอ่านหนังสืออยู่ ผมรู้มาว่าคณะนิติไม่มีสอบมิดเทอม มีแต่สอบไฟนอล และแน่นอนว่าไม่มีใครอ่านสอบวิชาTUของมหาลัยหรอก ดังนั้นการที่เขาอ่านหนังสือก่อนผมจะสอบมิดเทอมนั้นสรุปได้คำเดียวว่าขยันมาก

…หรือไม่ก็ต้องใกล้บ้า

“ตื่นแล้วเหรอ” คนบนเก้าอี้หันหน้ามาหา ผมจึงได้เห็นซอมบี้ตัวหนึ่งที่ใต้ตาคล้ำระดับสุดท้ายเหมือนเอาถ่านมาทา

“อือ”

“มึนหัวหรือปล่า”

“นิดหน่อย ยังพอไหว” ผมเหลือบมองคนที่ปกติแล้วจะค่อนข้างเป๊ะ วันนี้กลับหน้าโทรมจนไม่เหลือเค้าเดือนคณะ ขนาดหนวดบนหน้ายังไม่โกนเลยวันนี้

“ดีแล้ว”

“ทำไมตามึงคล้ำขนาดนั้นวะ”

“หึ” เขายกยิ้มมุมปาก “เมื่อคืนรู้มั้ยว่ากูต้องพยายามอดทนจนสุดท้ายต้องนั่งอ่านหนังสือให้มันลงเนี่ย แต่ก็เอาเถอะ”

หะ พูดอะไรก็ให้มันเคลียร์ๆหน่อย อะไรลง ผมล่ะไม่เข้าใจจริงๆ

เคย์ยกมือกดหัวตาเหมือนจะคลายความเมื่อยล้าจากการใช้สายตาอย่างหนัก ผมเห็นอย่างนั้นเลยไม่กล้าไปกวนใจเขามากนัก เวลาผู้ชายตัวโตหน้าคมคนนี้ไม่ยิ้มแล้วค่อนข้างจะน่ากลัวทีเดียว

“วันนี้มีเข้าคณะหรือเปล่า” ผมถามเขา

“มีๆ” คนตัวโตลุกจากเก้าอี้มานอนแผ่แขนขาบนเตียงจนลามมายังเตียงผม เมื่อก่อนผมก็บ่นอยู่หรอกนะ แต่ตอนนี้เริ่มชินเสียแล้ว ดีไม่ดีบางวันหมอนี่จะกลิ้งตัวมานอนที่เตียงผมแล้วดึงผมเข้าไปกอดอีก ไม่รู้คิดว่าเป็นหมอนข้างหรือยังไง

“เรียนบ่าย?”

“ใช่ แล้วมึงล่ะ”

“วันนี้กูไม่มีเรียน แต่มีต้องเข้าไปทำงานกับเพื่อนเหมือนกัน”

คิดถึงภาระของเด็กมหาลัยแล้วพวกผมก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกัน มันต่างจากสมัยเรียนมัธยมมากทีเดียว โดยเฉพาะงานโปรเจ็คที่ยากกว่าเดิมหลายเท่าและมีผลต่อเกรดมาก และผมก็ดันซวยที่ได้จับกลุ่มกับบางคนที่ไม่ยอมทำงานซะด้วยสิ

“งานอะไรอ่ะ TUเหรอ”

“ก็มีอยู่วิชาเดียวป่ะ”

“ก็จริง” เขาหัวเราะรวนเมื่อคิดถึงโปรเจ็คที่หนักยิ่งกว่าตัวในคณะซะอีก

“เฮ้อ งั้นเดี๋ยวเข้าไปพร้อมกันเลย กูจะเอารถเข้าไปด้วย” ผมลุกขึ้นไปเอาผ้าเช็ดตัวมาพาดบ่า “มึงจะอาบน้ำมั้ยหรือจะให้กูอาบก่อน”

คนบนเตียงโบกมือเป็นเชิงให้อาบเลย ผมจึงเดินเข้าไปในห้องน้ำ แต่ยังไม่ทันจะทำอะไรก็ได้ยินเสียงทุบประคูห้องน้ำดังโครมๆ

“จิน! เปิดก่อน! เอาเสื้อผ้าเข้าไปด้วย อย่าให้ความพยายามตอนกลางคืนกูเสียเปล่าเลย! ขอร้องล่ะนะ!”

ผมขมวดคิ้ว งงกับความพูดไม่รู้เรื่องของเขาตั้งแต่ตอนเช้า ในใจคิดถึงแผนจะพาเคย์ไปตรวจสมองที่โรงพยาบาลมหาลัยซะหน่อย เผื่อว่าเมื่อวานตอนที่พวกเราเมา เขาอาจจะเอาหัวตัวเองไปฟาดอะไรมา




ผมนั่งประจำที่ขับรถเหมือนอย่างเดิม ข้างกายคือตัวปัญหาที่ตอนนี้โกนไรหนวดเขียวครึ้มออกแล้ว แถมผมยังปาดเจลเป็นทรงธรรมชาติอย่างไม่เหลือเค้าซอมบี้ตอนเช้า

เขาคาดเข็มขัดแล้วพึมพำเรื่องที่จะไปถอยรถสักคันมาขับให้ผมนั่ง แต่ขอโทษเถอะ จะมีรถหลายๆคันไปทำไมไม่ทราบในเมื่อเราก็ไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่แล้ว

“ให้ไปรับตอนเลิกมั้ย จะได้กลับเข้ามาด้วยกัน” ผมหันหน้าไปถามคนที่กำลังวุ่นวายกับการยัดของลงกระเป๋าอยู่

“…ปกติคำถามแบบนั้นควรเป็นฝั่งนี้ป่ะที่ถามนะ” เคย์พึมพำอย่างอดสู “ไม่เท่เลยสักนิด ทำไมต้องให้มึงมารับด้วยนะ”

“หา? มีปัญหาอะไรกับที่กูจะไปรับหรือไง”

“ก็ปกติกูควรเป็นคนไปรับมากกว่าอ่ะ แบบขับรถไปจอดหน้าคณะมึงแบบหล่อๆแล้วมึงก็ขึ้นมางี้ ละมึงก็จะบอกว่าขอบคุณที่มารับนะ แล้วในใจมึงก็จะคิดว่า เท่จังเลย แฟนเรานี่พึ่งพาได้จริงๆด้วย”

ดะ…เดี๋ยวนะ นี่ผมควรจะขัดมันตั้งแต่ตรงไหนก่อนดีวะเนี่ย

แต่แค่คิดภาพหมอนี่ขับรถผมก็คิดไม่ออกแล้ว ไม่ต้องไปถึงขั้นที่ผมคิดว่าเขาเท่หรอก

“ตอนจะกลับก็ไลน์มาบอกกูด้วยแล้วกัน ถ้ากลับใกล้ๆกันก็จะได้กลับด้วยกันไปเลย”

เคย์ทำหน้าเหมือนอยากประท้วงแต่โดนเย็บปิดปาก มันตลกมากเพราะผมรู้ว่าเขาอยากจะเป็นคนมารับผมเสียมากกว่า ในที่สุดเมื่อรถผมวนมาถึงคณะเคย์ เขาก็ต้องลงไปทั้งๆที่ยังกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่อย่างนั้น

และผมจะไม่บอกเขาหรอกว่าหลังจากขับรถออกมาแล้วผมก็หัวเราะกับเรื่องนั่นอย่างเอาเป็นเอาตาย แถมผมยังรู้สึกว่าเขาน่ารักมาก

อ่า…นี่ผมรู้สึกอย่างนี้กับผู้ชายร่างยักษ์ที่ไม่มีส่วนไหนใกล้เคียงกับคำว่าน่ารักได้ยังไงนะ

ผมยังคงอารมณ์ดีถึงแม้ว่าจะหาที่จอดยากมากก็ตาม ความเป็นจริงแล้วผมยิ้มทั้งวันถึงแม้ว่าเพื่อนจะทำงานออกมาได้ห่วยแตกมากก็ตาม แต่ก็เพราะว่ามันแย่นี่แหละ พวกเราถึงต้องอยู่เลยเวลากันเพื่อทำงานต่อ

ผมเหลือบตามองหน้าจอโทรศัพท์ที่ไร้การแจ้งเตือนจากคนที่ผมรอคอย แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะเขาอาจจะกลับหอไปก่อนหน้านี้แล้วตอนที่ผมไลน์ไปบอกเขาตอนสี่โมงว่าผมน่าจะกลับดึกกว่านั้น

“จิน แกแก้สไลด์นี้หน่อยได้มั้ยอ่ะ”

ผมเงยหน้ามองเพื่อนร่วมทีมที่กำลังขมวดคิ้วทำหน้ายุ่งกับสไลด์ซึ่งดีไซน์ดูไม่ค่อยดีเท่าไร ตอนมัธยมพวกผมเรียนรู้มาว่าสไลด์ต้องใส่ข้อมูลกับทำเอฟเฟกเยอะๆ แต่พอเข้ามหาลัย ความเชื่อพวกนั้นก็สลายหายไปเหมือนฝุ่นผงในอากาศ แถมโดนอาจารย์ว่ามาอีกว่าสไลด์พวกนี้มันไม่โปรเอาซะเลย

“เดี๋ยวทำเสร็จแล้วเรามาลองซ้อมพูดกันสักรอบมั้ย” ผมเสนอ

“แต่มันดึกแล้วนะ…”

มาอีกแล้วประโยคนี้ ผมแทบกลอกตาในใจ ในเมื่อพวกเราต่างก็อยู่หอด้วยกันจะกลัวทำไมวะว่ากลับมืดค่ำเนี่ย หอก็อยู่หน้ามหาลัยเอง อีกอย่างหกโมงนี่มันดึกเหรอวะ ทีตอนไปกินเหล้ากลับตีสองตีสามยังไม่พูดเลยว่าดึกนะ

คิดแล้วแม่งขึ้น

“งั้นไปคิดมาก่อนมั้ยว่าเราจะพูดอะไรกัน แล้วค่อยมาซ้อม” เพื่อนที่เป็นคนกลางเข้ามาไกล่เกลี่ยเพราะสัมผัสได้ถึงความหงุดหงิดของผม

ผมกัดฟันพยักหน้ากับข้อเสนอเป็นกลางนี้อย่างช่วยไม่ได้แล้วก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป ถึงแม้ว่าจะนั่งคิดกับตัวเองแล้วก็เถอะว่าชาติไหนงานมันจะเสร็จกันนะ จะทันเดดไลน์หรือเปล่า

ช่างเถอะ พอใกล้เดดไลน์เมื่อไรงานมันก็จะเสร็จของมันแบบงงๆเองนั่นแหละ

“ขอโทษนะครับ” เสียงทุ้มนุ่มคุ้นหูดังขึ้น เรียกให้พวกผมเงยหน้ามองคนที่ยืนอยู่ข้างๆโต๊ะ ผมเบิกตากว้างเมื่อเห็นคนที่คิดว่าน่าจะกลับหอไปเรียบร้อยแล้วยืนตัวตรงอยู่ใกล้ๆ

“อ่า…คะ?” เพื่อนผู้หญิงในกลุ่มผมพูดตะกุกตะกักเมื่อเห็นหน้าเขา แถมยังเอาผมทัดหูอีกต่างหาก ผมได้ยินมาว่าพฤติกรรมแบบนี้หมายความว่าผู้หญิงคนนั้นสนใจในตัวอีกฝ่าย

เสน่ห์แรงจริงนะพ่อคุณ

ผมหันไปทำตาขวางใส่คนที่เสน่ห์หกเรี่ยราดลงพื้นไปหมดแล้วเพราะรอยยิ้มนุ่มดูใจดีประจำของเจ้าตัวขัดกับตุ้มหูเงินสี่รูที่ส่องประกายล้อกับแสงไฟ

“ผมขอมานั่งรอเพื่อนหน่อยนะครับ”

“เพื่อน? ได้ค่ะ เออ…ไม่ทราบว่าเพื่อนคนไหนเหรอคะ”

มือเรียวยาวของคนนั้นชี้มาทางผมที่นั่งหน้าบูดอยู่ข้างๆ

“ผมเป็นรูมเมทของจินครับ”

และนั่นเป็นการเปิดตัวที่ได้รับเสียงเกรียวกราวจากคนในคณะผมที่ยังนั่งอยู่ในคอมมอน




“เราเชียร์เคย์อยู่นะคะตอนประกวดดาวเดือน หล่อมากๆเลย ยิ่งใส่สูทยิ่งหล่อเข้าไปใหญ่เลยค่ะ”

“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ทีมแต่งหน้าเขาแต่งให้ดีมากกว่า”

“เสียดายตอนตอบคำถามนิดหน่อยเนอะ”

“ฮ่าๆ ผมตื่นเต้นนะครับ จริงๆหลังจากนั้นคิดคำตอบดีๆได้เพียบเลย”

“เคย์น่าจะได้เป็นเดือนมหาลัยนะ อยากเห็นตอนเดินพาเหรดงานกีฬาอ่ะ”

“ธารเขาเหมาะเป็นเดือนมากกว่าผมอีกครับ”

“โหย ถ่อมตัวมากจ้า”

“แต่กูเห็นด้วยนะ ธารเขาเหมาะกับการเป็นเดือนมหาลัยกว่าเยอะ” ผมสอดปากพูดท่ามกลางเสียงโห่ไล่ของเพื่อนๆที่นั่งอยู่ตรงนั้น

“จิน แกนี่เป็นอะไร อิจฉาเพื่อนเหรอหะที่หล่อนะ ไอ้คนหน้าตาน่ารัก”

“จะอิจฉาเพื่อ กูก็แค่จะบอกว่าเจ้าหน้าปลาจวดนี่เรอะจะเป็นเดือนมหาลัย”

“แรงมากแม่ ถ้าเคย์หน้าปลาจวดมึงต้องเรียกว่าไรจ้ะ”

ผมถลึงตาให้เพื่อนสนิทในคณะที่ตอนนี้กลับมารวมหัวกันแกล้งผมแล้ว

“เนี่ย คือถ้าจินมันเป็นรูมเมทที่น่ารำคาญก็ย้ายมานอนห้องเราได้เสมอเลยนะคะ”

“ทิ้งเบอร์ห้องไว้เลยครับ”

พูดจบก็ได้รับเสียงวี้ดว้ายจากสาวๆ ขี้เต๊าะไม่ต่างกันเลย ผมส่ายหน้าให้กับระดับการเล่นมุขที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน อดยอมรับไม่ได้ว่าเป็นอีกมุมที่ไม่ค่อยเห็นเวลาเขาอยู่ตามลำพังกับผม

“แล้วเคย์จะไปลงกีฬาไหนมั้ยคะ จะได้ไปเชียร์”

“ผมว่าจะลงบาสน่ะครับ” เขาพาดแขนกับเก้าอี้ผมตอนพูดประโยคนั้น เผยแขนเฟิร์มๆที่พอดีด้วยกล้ามให้ผู้หญิงส่งสายตาแทะโลมเล่น

“ตอนแข่งต้องการคนไปเช็ดหน้าให้มั้ยคะ”

“ฮ่าๆ ผมว่าถ้ามีน้ำมาให้คงจะชื่นใจมากกว่าครับ”

“แหม พูดอย่างนี้แสดงว่ามีคนมาเช็ดเหงื่อให้แล้วแน่เลย ใครอ่า แฟนเหรอ หรือคนรู้ใจ”

“ฟะ---”

“กูทำงานเสร็จแล้ว เดี๋ยวแยกย้ายกันเลยนะ” ผมพูดขัดบทสนทนาขึ้นมาเมื่อมันไปในทางที่ผมไม่ต้องการเสียเท่าไร ไม่เข้าใจเหมือนกับว่าทำไมไม่อยากได้ยินว่าคนข้างๆมีใครในใจแล้วหรือยัง

“เอากระเป๋ามา เดี๋ยวกูถือให้” ไม่พูดเปล่า เคย์ฉวยเอาโน้ตบุ๊คผมเก็บลงกระเป๋าแถมยังเอาไปสะพายเสียเรียบร้อย ซึ่งเพื่อนผมต่างก็กุมหัวใจกับความสุภาพบุรุษในร่างแบดบอยกันใหญ่

“โอ๊ยยย จิน มึงต้องช่วยเป็นแม่สื่อให้กูแล้วนะ”

“อีจิน ถ้ามึงช่วยกู กูให้เลยหมื่นนึง”

“ฮ่าๆ ผมมีแฟนแล้วล่ะครับ รักมากๆด้วย”

สิ้นคำประกาศของเขาผมก็เอื้อมมือไปจับแขนเขาวิ่งออกมาทันทีก่อนที่เราจะต้องตอบคำถามจากกองทัพสาวๆซึ่งตาวาวพร้อมที่จะล้วงความลับเรื่องรักๆใคร่ๆของเดือนคณะสุดหล่อที่มีกระแสในโซเชี่ยลมีเดียมากมาย


“ที่บอกว่ามีแฟนนี่คืออะไร แอบย่องออกไปติดใครตอนไหนหะ อย่าทำตัวเหมือนหมาที่เห็นผู้หญิงก็กระดิกหางตามไปได้มั้ย” ผมสาดคำพูดรุนแรงกับแววตาดุร้ายไปให้เขาทันทีที่ขึ้นรถ

เรื่องแฟนอะไรนั่นผมไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย!

เขายิ้มขำรับที่ผมด่าไป เห็นแบบนั้นผมยิ่งอยากกระทืบเท้าใส่อีกสักที ผมโคตรโมโหจริงๆนะ! แทนที่จะสำนึกผิดกับที่ผมด่าไปซะบ้างกลับยิ้มหน้าตาเฉย คืออะไรหะ!

“หมามันไม่ได้กระดิกหางเวลาเห็นผู้หญิงสักหน่อย”

“พูดกันคนละเรื่องแล้วรู้มั้ยหะ! ตอบคำถามสิวะ”

“อุ๊ย ดุจัง”

“กวนประสาท”

“ปากดุๆนี่เนี่ย น่าบีบจัง”

ไม่ว่าเปล่า เขายังบีบแก้มผมจนผมพูดอะไรไม่ได้ด้วย ผมเอามือจับแขนเขาหวังดันออกไป แต่คิดไม่ถึงว่าคนหน้าไม่อายอย่างหมอนี่จะแรงเยอะสุดๆ

“อื้อ!”

“ฟังก่อนสิ อย่าเพิ่งหึงจนหน้ามืด”

“อูไอ่ไอ้อึง!” (กูไม่ได้หึง)

“ครับๆ เข้าใจแล้วครับ ไม่หึงเลย แค่โมโหลมเพชรหึงเฉยๆ”

“อ่างอันองไอ!” (ต่างกันตรงไหน)

“ฟังนะ ที่บอกว่ามีแฟนนั่นก็จริง แฟนกูก็มึงไงจิน”

พูดจบเขาก็คลายมือที่บีบแก้มผมออกแล้วไปล็อคหลังคอผมไม่ให้เคลื่อนไหว จากนั้นจึงก้มลงมาจูบปากผมทีนึงแล้วถอนออกอย่างรวดเร็วเหมือนการจุ๊บกันของเด็กประถม

เขาหัวเราะนิดๆ พึมพำประมาณว่า หว่า เดี๋ยวต้องโดนต่อยแน่เลย

แต่สำหรับผม…

มันไม่พอ

ผมเอื้อมมือไปกระชากคอเสื้อเขาลงมาให้ใบหน้าเขาอยู่ใกล้ผม จากนั้นจึงขยี้ริมฝีปากของตัวเองเข้ากับเขาอย่างรุนแรง ในจังหวะที่เขาเผลอเผยอปากผมก็แทรกลิ้นเข้าไปกระหวัดเกี่ยวอย่างไม่ชินนักตามประสามือใหม่

เคย์อึ้งได้ไม่นานก็ประคองหน้าผมแล้วจูบตอบกลับ เสียงจูบของพวกเราดังเสียจนผมกลัวว่าคนที่อยู่ข้างนอกรถจะได้ยิน มันฟังดูกระหายอย่างน่ากลัว เหมือนกับคนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความต้องการ

การจูบของพวกเราหยุดลงหลังจากผ่านไปอย่างยาวนานในความคิด ผมหอบหายใจน้อยๆมองดูเขาที่แววตาเริ่มเปี่ยมอารมณ์มากขึ้นทุกที

“เรามีปัญหาซะแล้วล่ะ” เขาแค่นยิ้ม มือชี้ไปที่เป้ากางเกงของทั้งผมและเขา ผมหน้าร้อนเมื่อสัมผัสได้ถึงอารมณ์และความร้อนที่พุ่งขึ้นสูงของตัวเอง พอๆกับเป้ากางเกงของอีกฝ่ายที่นูนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ผมแลบลิ้นเลียริมฝีปากที่ยังคงชื้นเพราะกิจกรรมแลกจูบเมื่อสักครู่ เงยหน้าขึ้นสบสายตากับคนที่นั่งอยู่ฝั่งคนขับ

พวกเราต่างก็รู้ดีว่าต้องทำอะไร

ผมชี้ไปทางหลังรถ และร่างกายของพวกเราก็ขยับตามสัญชาตญาณ ทั้งผมและเขาเปิดประตูรถ พุ่งตัวไปอยู่เบาะหลังในเวลาไม่กี่วินาที จนกระทั่งเสียงดังปึงของประตูรถที่ปิดสนิท และพวกเราที่ขังตัวเองไว้เรียบร้อยแล้วมองตากัน ผมกับเคย์ถึงได้หัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่

แต่แล้วเสียงหัวเราะก็ค่อยๆแผ่วไปเมื่อเรายังคงจ้องตากันอยู่อย่างนั้น ริมฝีปากของพวกเราค่อยๆขยับเข้าหากันเหมือนมีแม่เหล็กเป็นแรงดึงดูด

ผมนึกสงสัยว่าตัวผมที่สะท้อนในนัยน์ตาเขาจะเป็นอย่างไรกัน

ตอนแรกพวกเราจูบกันอย่างแผ่วเบา จากนั้นจึงเริ่มไล่ริมฝีปากไปตามอารมณ์ สุดท้ายก็เหลือเพียงสัญชาตญาณนำพาพวกเราทั้งคู่

เสียงปลดกางเกงดังขึ้นคลอกับเสียงจูบของพวกเรา ตัวผมกับเคย์อยู่ชิดกันมากจนสัมผัสได้ถึงไอความร้อนจากตัวอีกฝ่าย ขาพวกเราปัดป่ายไปมา แถมตัวของผมเกือบจะขึ้นไปอยู่บนตักของเขาแล้วเรียบร้อย

ทุกจุดที่เราสัมผัสกันเหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่าน มันถูกจุดขึ้นอย่างรวดเร็วและทิ้งความร้อนไว้ตรงผิวกาย

ผมไล่มือไปตามขาของรูมเมทจนสุดท้ายไปหยุดตรงจุดที่ความปรารถนาอัดแน่น

เคย์ถอนริมฝีปาก แต่ยังคงคลอเคลียอยู่ข้างหูผมไม่เลิก ผมสัมผัสได้ถึงมือร้อนๆของเขาที่บัดนี้กำจัดเสื้อผ้าที่ขวางกั้นจุดหมายและบัดนี้ได้กอบกุมความอ่อนไหวของผมแล้ว

ผมขยี้มือหนักๆตรงส่วนปลายของเขา เรียกลมหายใจถี่กระชั้นให้เป่าที่ข้างลำคอของผม พอๆกับที่เขาเร่งมือตามแรงอารมณ์ของตัวเองทำเอาผมจิกมือเขากับต้นแขนเขาด้วยความสุขสม

“ฮา…อ่า” เสียงนุ่มๆที่ครางอยู่ข้างหูแน่นอนว่าโคตรทำให้ผมตื่นยิ่งกว่าเดิม และตอนนี้ผมเองก็คิดว่าตัวเองคงหน้าแดงตัวแดงเถือกจนทำเอาหมาบ้าเริ่มไล่กัดๆงับๆแถวคอผมไม่เลิก

“หยุด…เลย…อะ…เดี๋ยวเป็นรอย!..อือ” ผมเตือนเมื่อรู้สึกถึงฟันคมที่งับๆลงมา แต่คนที่แปลงร่างไปแล้วก็เหมือนจะกู่ตัวเองไม่กลับ เขาใช้มือข้างที่ว่างถลกเสื้อผมขึ้นและบีบขย้ำเอวผมไม่เลิก

“อย่าหยุดสิจิน อืม…ทำดีๆหน่อย”

กะผีนะสิ!

เขาดุเมื่อผมเสียวซ่านจนหยุดมือข้างที่รูดดึงท่อนเนื้อของเขา เคย์เอามือข้างที่คลำๆแถวเอวผมไปกุมมือผมให้สัมผัสกับท่อนลำนั้นให้มากขึ้นอีก

“อ่า…นุ่มชะมัด…อย่างนั้นแหละ จับมันสิ”

ผมหน้าแดงก่ำเมื่อได้ยินเรื่องสัปดนออกจากปากเขา เคย์สูดหายใจบังคับมือผมให้ไปตามที่ตัวเองต้องการ ผมรู้สึกได้ว่ามือเปียกชื้นแถมยังร้อนจากการสัมผัสสิ่งนั้น ไม่พอ มันยังใหญ่จนทำให้ผมนึกกลัว

“พร้อมกันนะ” เขากระซิบที่ข้างหู แล้วเร่งมือทั้งสองข้าง

จากนั้น ขาผมเหยียดเกร็งด้วยความสุขสม พอๆกับที่เขาดูดคอผมจนเจ็บแปลบ พวกเราปลดปล่อยออกมา มันเหมือนพลุที่ถูดจุดขึ้นและดับลงอย่างรวดเร็วเหลือไว้เพียงช่วงเวลาความสุข

“…เลอะหมด” ผมบ่นเมื่อมือของพวกเราต่างก็เลอะเศษซากของความสุขสม

เคย์ไม่ตอบอะไร เขาเอื้อมมือไปดึงทิชชู่ในกล่องที่อยู่หลังรถมาเช็ดมือ จากนั้นจึงเช็ดให้ผมทีละนิ้วๆจนสะอาด

“เรียบร้อย เราไม่มีน้ำในรถเพราะงั้นไว้ค่อยไปล้างมือที่ห้องแล้วกัน”

ผมพยักหน้า เมื่อหมดบทสนทนาแล้วถึงได้รู้ว่าท่าตอนนี้มันประดักประเดิดแค่ไหน ผมนั่งอยู่บนหน้าขาของเขา หันหน้าชนกัน ใกล้ชนิดที่ว่าเคย์สามารถเอื้อมมือมาโอบผมได้

“เออ…เดี๋ยวกูลงก่อน”

ผมพยายามขยับตัวและสาบานได้ว่าพยายามจะไม่ทำให้ประกายไฟนั่นถูกจุดติดขึ้นมาอีกรอบ แต่พวกเราต่างรู้ดีว่าการระวังมันไม่ได้ช่วยอะไรในเมื่อตัวเราเสียดสีกันขนาดนั้น

“อือ กูว่าเรารีบกลับห้องกันดีกว่า” เคย์ว่าขำๆ “กูอารมณ์ค้างอยู่เลย”

ผมเผลอไผลมองส่วนนั้นของเขาที่ไม่อาจเรียกได้ว่าสงบร้อยเปอร์เซ็นต์ ผมเองก็ยังรู้สึกถึงประกายไฟล่องลอยวนไปวนมาในอากาศอยู่เลย พวกเราแต่งตัวกันเงียบๆในเบาะหลังรถที่อบอวลไปด้วยกลิ่นเฉพาะของกิจกรรมเมื่อครู่

“เดี๋ยวกูขับเอง” เคย์ที่แต่งตัวสำเร็จก่อนอ้อมไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว ทิ้งผมที่ยังใส่กางเกงครึ่งๆกลางๆไว้ข้างหลังรถ

“ขับเป็นเหรอ” ผมเงยหน้าขึ้นอย่างแปลกใจ

“นี่ปกติจินเห็นกูเป็นคนยังไงวะ…อยากรู้” เขาบ่นอย่างละเหี่ยใจ “คิดว่ากูคอไม่แข็ง ไม่เท่ ไม่อะไรเลย ชักจะน้อยใจแล้วนะ”

“คอแข็งก็ไม่ได้แปลว่าเท่สักหน่อย” ผมประท้วง

เคย์ยู่ปากเหมือนอยากจะเถียง แต่สุดท้ายเขาก็สตาร์ทรถขับออกจากที่จอดรถซึ่งมืดอย่างไม่มีแสงไฟชนิดที่ว่าน่ากลัวจะมีโจรออกมาปล้น

แต่คิดอีกที…

ถ้าโจรมาเห็นพวกเราตอนนั้น ฝั่งโจรนั่นแหละที่น่าจะรีบวิ่งหนีไปก่อน
 


ผมไม่คิดว่าครั้งที่สองของเราจะเป็นในรถ

อันที่จริงมันเรียกครั้งที่สองได้มั้ยนะ ในเมื่อเรายังไม่ได้…

ผมโบกมือในอากาศ ปัดความคิดไร้สาระออกจากหัว เคย์หายเข้าไปในห้องน้ำเป็นสิบนาทีแล้ว ผมไม่เคยเห็นเขาอาบน้ำนานขนาดนี้มาก่อน และเพราะเขาเปิดฝักบัวค้างไว้ทำให้ผมไม่รู้ว่าเขาทำกิจกรรมนอกเหนือจากการอาบน้ำในนั้นมั้ย

แล้วทำไมผมจะต้องโฟกัสตรงนั้นด้วยวะ

ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียงทั้งๆที่หัวยังเปียกชื้น

มันคือความเผลอไผล

มันคืออารมณ์ชั่ววูบ

อา…ผมคิดว่าผมสามารถสะกดจิตตัวเองได้ห่วยทีเดียว

เราต่างก็รู้ดีว่าทุกครั้งที่ผมกับเขาอยู่กันลำพังในห้องนี้ มันเหมือนกับว่ามีประกายบางอย่างที่พร้อมจะถูกจุดให้ระเบิดล่องลอยอยู่ในอากาศ และทุกครั้งผมระวังตัวไม่ให้ไปสัมผัสโดนประจุเหล่านั้น

แต่ตอนอยู่ในรถผมดันชนมันเข้าไปเต็มๆเลยนี่สิ

จะว่าเสียใจก็พูดได้ไม่เต็มปากในเมื่อรสชาติหวานของช่วงเวลานั้นยังติดอยู่ที่ปลายลิ้น

ผมเผลอใช้ปลายนิ้วลูบริมฝีปากของตัวเอง คิดกังวลว่ามันจะนุ่มมั้ยนะ หรือตอนเราจูบกันมันจะมีแค่ผมที่รู้สึกดีหรือเปล่า

ติ๊ง!

งับ!

ผมแทบจะร้องอ๊ากเมื่อเสียงไลน์ที่ดังขึ้นขัดความคิดจนเผลองับนิ้วของตัวเองเข้าไปจริงๆ พอเอาออกมาดูก็เห็นว่าผิวเป็นรอยแดงเพราะแรงกัด

ผมถอนหายใจ หยิบเอาโทรศัพท์ออกมา ก่อนจะพบข้อความที่ทำให้ตัวแข็งเป็นหิน

Rain : วันงานจะเจอกันที่ไหน

เออว่ะ

อีกสามวันจะถึงวันอีเว้นท์คอสเพลย์แล้ว

เพราะมัวแต่วุ่นวายกับเรื่องน่าสับสนในหัวตัวเองแล้วก็งานที่มหาลัย ผมถึงกับลืมอีเว้นท์ที่รอมานานเลยหรือ ผมจับโทรศัพท์พิมพ์ตอบเขากลับไป

JIN : ไม่อยากเจอกับมึงหรอก

Rain : คิดว่ากูอยากเจอกับมึงนักเหรอ

JIN : 9โมงหน้างาน?

Rain : ได้ ตามนั้น

ผมวางโทรศัพท์ลงเมื่อจบบทสนทนาห้วนๆตามปกติเวลาเราคุยกัน นั่นคือเรน เพื่อนในวงการคอสเพลย์สายแทร็ปของผมเอง เป็นคนน่ารำคาญที่ย้อนกลับไปได้จะไม่ยอมรู้จักกับมันเด็ดขาด

ผมละสายตาไปมองประตูห้องน้ำที่ยังมีเสียงน้ำไหลอย่างต่อเนื่อง เมื่อแน่ใจว่าคนที่ยังคงอาบน้ำอยู่คงจะไม่ออกมาในเร็วๆนี้ผมจึงลุกขึ้นเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าซึ่งผมยังคงซ่อนเสื้อผ้าใหม่ๆไว้ในนั้น

กิโมโนลายซากุระสีชมพูอ่อนยังคงพับอยู่ในกล่องอย่างเรียบร้อย สายโอบิสีชมพูเข้มถูกวางไว้ข้างๆพร้อมกับวิธีการผูก ผมไล่นิ้วสัมผัสกับเนื้อผ้านุ่มลื่น สัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นของตัวเองไม่ต่างจากครั้งแรกที่หยิบเดรสจากตู้เสื้อผ้าของแม่มาลองใส่

ในที่สุดผมก็คลี่กิโมโนตัวนั้นออกมาทาบกับตัวเอง จ้องมองตัวเองในกระจกจนไม่รู้สึกตัวว่าตอนนี้เสียงน้ำหยุดไปแล้ว พร้อมๆกับที่เคย์เปิดประตูออกมาในชุดนอน

“ชุดใหม่เหรอ” เขาไม่ได้ผงะหรือส่งสายตาเคลือบแคลงมาที่ผมซึ่งกำลังทาบชุดของผู้หญิงกับตัว

“อือ”

“จะลองมั้ย”

“นิดหนึ่งก็ดี”

แต่คิดๆแล้วผมก็มองไปทางด้านหลังอย่างไม่ค่อยไว้วางใจ ซึ่งเคย์ก็ทำหน้าซื่อมองผมด้วยตาใสๆ

“ครั้งที่แล้วกูแค่เข้าใจผิด ปกติกูควบคุมตัวเองเก่งจะตาย”

เหรออออ

ผมส่งสายตาค้อนให้กับคำตอบนั้น แต่ก็เอาเหอะ เห็นกันไปหมดแล้ว ใช่ว่าจะน่าอายซะหน่อย….แถมผมยังอยากแกล้งคนที่กล้าเคลมตัวเองว่าจะไม่ทำอะไรด้วย

“อยากเห็นกูใส่นักใช่ป่ะ” ผมหันกลับไปเห็นเขากลืนน้ำลายเอื๊อกจนลูกกระเดือกขยับอย่างชัดเจน “งั้นนั่งเฉยๆซะนะ”

เพราะผมจะค่อยๆใส่ทีละชิ้นต่อหน้าเขาเอง : )


----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อดกลับมาทางสายกามไม่ได้จริงๆค่ะ :hao5: :hao5: :hao5:
คอสเพลย์จงเจริญ! คอสเพลย์จงเจริญ!
เรื่องดำเนินมาถึงครึ่งทางแล้ว พร้อมกับมาม่าหรือยังคะ /สูดบะหมี่

@nofsnof
ดีใจจังค่ะที่ยังมีคนจำนพได้ กรี๊ดๆ รอดูว่าคุณเขาจะมีบทบาทอะไรอีกมั้ยกันนะคะ หลังจากพบจุดจบของเขาในเรื่องสั้นไปแล้ว ฮา
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่ึ7 P.9 UP!![06/2/19]
เริ่มหัวข้อโดย: yunnutjae ที่ 06-02-2019 22:51:39
จะมีมาม่าเรืองอะไรอีกกกกก  :z3:
รอเค้าสวีทกันอยู่นะะ ตัดภาพมาตอนปัจจุบันเลยได้ไหมอะ 555555555555555555555
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่7 P.9 UP!![06/2/19]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 06-02-2019 23:16:49
แหม..มมมม นึกว่าจะต่อจากบนรถ   :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่7 P.9 UP!![06/2/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Ashita ที่ 07-02-2019 13:51:20
อาจมีคนทนไม่ได้ในตอนหน้า  :hao6:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่7 P.9 UP!![06/2/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 07-02-2019 20:09:03
น่าจะนั่งไม่ติดเตียง 5555555555
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่7 P.9 UP!![06/2/19]
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 07-02-2019 21:03:08
จะทนได้เหร้ออเคย์
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่7 P.9 UP!![06/2/19]
เริ่มหัวข้อโดย: TheWanFah ที่ 07-02-2019 21:20:42
เราชอบกามๆ แค่ก ๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่7 P.9 UP!![06/2/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 07-02-2019 23:00:53
เฮือกกกกกก ตอนหน้าเราจะเตรียมยาดมพร้อมทิชชู่ รอเลยค่าาาาา :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่7 P.9 UP!![06/2/19]
เริ่มหัวข้อโดย: nofsnof ที่ 08-02-2019 23:14:32
สายกามจงเจริญ​ !! แฮ่ รอดูโชว์จากจินนะ อิอิ :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่7 P.9 UP!![06/2/19]
เริ่มหัวข้อโดย: piiya ที่ 09-02-2019 07:39:09
 o13 จินร้ายกาจจจจจจจ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่7 P.9 UP!![06/2/19]
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 10-02-2019 18:02:03
เคย์จะทนไหวมั้ยเนี่ยย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่7 P.9 UP!![06/2/19]
เริ่มหัวข้อโดย: MeiHT ที่ 12-02-2019 22:51:13
บทที่ 8 : Cosplay event ที่เศร้าที่สุด

   ผมปลดกระดุมทีละเม็ดๆแบบช้าๆ รับรู้ถึงสายตาร้อนแรงที่จ้องมองมาจากคนที่นั่งอยู่ตรงปลายเตียง เมื่อปลดกระดุมจนครบผมก็ปล่อยให้ผ้าลื่นๆของชุดนอนเลื่อนลงจากไหล่ ร่วงสู่พื้น

   จากนั้นจึงเกี่ยวขอบกางเกง เอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยแล้วรูดขากางเกงออกมาทีละข้าง จนกระทั่งเรียวขาผมเปลือยเปล่าจนได้รับสัมผัสเย็นเชียบจากแอร์

   “หือ เย็นจัง” ผมเอาแขนพาดช่วงหน้าอกตัวเองไว้ เอนหลังพิงโต๊ะเขียนหนังสือแล้วขยับรอยยิ้มยั่วนิดๆ

   หน้าเคย์แดงก่ำ เดาว่าอะไรๆที่ยังไม่สงบเต็มร้อยและอารมณ์ค้างมาตั้งแต่ในรถคงกำลังเริ่มกลับมาตั้งตรงอีกครั้ง แต่ผมทำเหมือนเขาไม่อยู่ในห้อง เดินไปหยิบกิโมโนในกล่องทั้งๆที่สวมแค่ชั้นใน
ตอนที่ก้มลงหยิบ แน่นอนว่าต้องอวดทรวดทรงอันนน่าภูมิใจของตัวเองกับคนที่จ้องผมตาไม่กระพริบอยู่แล้ว

    ผมค่อยๆใส่กิโมโน หมุนตัวเช็คโดยที่ยังไม่ได้คาดผ้าโอบิ ทำให้ชายกระโปรงกิโมโนที่สั้นอยู่แล้วไหวพริ้วจนแทบปิดก้นไม่อยู่ การใส่ที่ไม่เรียบร้อยทำให้ทุกครั้งที่ขยับร่างกายจะเผยเนื้อขาวเนียนออกมาวับๆแวมๆ

   จากนั้นผมจึงหยิบจอกสีแดงที่เป็นพร็อบของการคอสครั้งนี้ออกมา เปิดตู้เย็นเอาขวดสาเกที่ตั้งใจจะเอาขวดไปใช้ประกอบในวันงานเช่นกันมาเทใส่ในจอก

   ผมยกจอกขึ้นดื่ม ก่อนจะแกล้งทำมันหกไหลรินจนน้ำสาเกไหลเปื้อนออกมาจากมุมปาก หยาดน้ำหล่นร่วงไปถึงแผ่นอกขาวเนียน

   ผมไล่นิ้วตัวเองตามหยดน้ำ จากริมฝีปากชุ่มชิ้นไปถึงปลายคาง วนนิ้วตรงแผ่นอกตัวเองนิดหน่อย สุดท้ายก็เล่นกับตุ่มไตสีชมพูของตัวเอง สะกิดมันด้วยปลายนิ้วเย็นจนตั้งชัน

   ผมกัดริมฝีปากเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงความเสียวจากจุดอ่อนไหว

   แหมะ!

   ผมถลึงตาเมื่อเห็นคนที่นั่งตรงขอบเตียงมีเลือดไหลเต็มจมูกทั้งๆที่ตายังลอยเหม่อมองผมไม่เลิก

   “เลือด! บ้าเอ๊ย ทิชชู่ๆ” ผมคว้าทิชชู่มาปั้นเป็นก้อนยัดมือเขาเมื่อเห็นว่าเคย์ยังคงมองมาทางนี้ไม่เลิกแถมยังไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองเลือดกำเดาไหลแล้วเรียบร้อย

   “….ขาวจัง”

   “ใช่เวลามั้ยเนี่ยไอ้บ้าเอ๊ย!” ผมเอานิ้วชี้จิ้มหน้าผากเจ้าหมาตัวโตจนมันนอนหงายเก๋ง “ไปจัดการตัวเองเดี๋ยวนี้เลยนะไอ้หมาหื่นกาม!!”

   หลังจากการนอนนิ่งๆนานราวสามนาทีคนตัวสูงก็เดินหายเข้าไปในห้องน้ำเพื่อจัดการคราบเลือดให้เรียบร้อย ส่วนตัวผมเองที่หมดอารมณ์จะแกล้งแล้วก็สวมโอบิอย่างถูกต้องแล้วลองแต่งหน้าใส่วิกผมแล้วมานอนเกลือกกลิ้งบนเตียงพร้อมยกโทรศัพท์ที่ติดฟิล์มกระจกมาส่องหน้าตัวเองไม่เลิก

   หางตาผมสังเกตเห็นคนที่ใช้ห้องน้ำอย่างหนักหน่วงเดินออกมาแล้วจึงส่งเสียงทักเขา

   “ชุดสวยเนอะ”

   “อือ”

   ผมยังคงชื่นชมกับลวดลายและเมคอัพบนหน้าจนไม่สังเกตว่าเตียงยวบยาบลงมาเพราะร่างใหญ่ๆของเคย์ได้คลานเข่ามาทาบทับบดบังแสงไฟเรียบร้อยแล้ว เขาหยิบมือถือในมือผมเขวี้ยงลงไปแลนด์ดิ้งอย่างสวยงามบนผ้าห่มของเขา

   “เดี๋ยวก่อนสิ อ๊ะ!” ผมอุทานเมื่อคนข้างบนเลื่อนมือเข้ามาทางใต้กิโมโนแล้วจับหมับเข้าที่ต้นขาอย่างจาบจ้วง แขนของเคย์ที่สอดเข้ามาทำให้รอยแยกของกิโมโนฉีกมากขึ้นจนเห็นขาเรียวที่ยกชันขึ้นเพราะความตกใจ

   ผมหันไปสบตาเขา

   หมาป่า หมาป่าชัดๆ

   มือข้างหนึ่งของเคย์ถือจอกใส่สาเกไว้จนเต็ม ในจังหวะที่ผมอ้าปากห้าม เขาก็เทมันใส่ปากผม รสขมๆแล่นเข้ามาจนผมเกือบสำลัก

   “เสียดายนะถ้าจะเปิดแล้วไม่ได้กินน่ะ” เขาว่าด้วยรอยยิ้มเผยฟันเขี้ยวข้างเดียว ชายหนุ่มหันไปเทสาเกใส่จอกอีกรอบแล้วดันมันเข้าชิดริมฝีปากผมอีกครั้ง

   ดูท่าว่าถ้าวันนี้ผมไม่ได้ดื่มมัน เขาคงจะไม่ยอมเลิกแหงๆ ผมจึงอ้าปากรับครั้งแล้วครั้งเล่าจนหน้าแดงไปหมด น้ำร้อนๆไหลลงคอ แผดเผาไปถึงภายในจนร้อนรุ่ม

   มึนหัว…

   ผมเริ่มเห็นเคย์เป็นภาพเบลอๆ โลกเริ่มจะหมุนไปในทิศทางที่ไม่ต้องการ

   “กินอีกสิ” คำพูดเขาดังอยู่ข้างหู ผมส่ายหน้านิดๆเป็นเชิงว่าดื่มไม่ไหวแล้ว แต่เคย์ส่งนิ้วเข้ามาในปาก กดลิ้นของผมไว้จนผมประท้วงไม่ออก

    “อีกนิดหน่อยเองคนดี จะหมดแล้วเห็นมั้ย”

   ว่าพลางใช้นิ้วดันอ้าปากผมเล็กน้อยแล้วค่อยๆรินสาเกลงมาจนผมต้องกลืนมันลงไปอีกครั้งจนได้ ร่างกายผมสั่นไปหมด แถมยังน้ำตาคลอเพราะโดนบังคับไม่หยุดหย่อน

   อุณหภูมิในร่างกายผมพุ่งสูงพร้อมๆกับอารมณ์บางอย่างที่ผุดพรายขึ้นมาเพราะการโดนบังคับ

   …กลัวแต่ก็ไม่อยากให้เขาหยุด

   “โธ่ น่ารักจริงๆ ร้องไห้ไม่หยุดเลย” เขาพึมพำในขณะที่สติของผมแทบไม่เหลืออยู่ เคย์วางจอกสีแดงไว้ที่โต๊ะข้างหัวเตียง มือข้างหนึ่งของเขาประคองหน้าผมที่เริ่มโงนเงนเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอลล์

   “อือ…” ผมตัวร้อนไปหมดจนรู้สึกว่ามือของเขาเย็นมาก ผมจึงดันแก้มตัวเองให้ถูไปกับมือของเขา แถมยังใช้สองมือจับแขนเขาเหมือนไม่อยากให้หนีไปไหน

   “น่ารัก” เคย์ใช้นิ้วโป้งของมือข้างที่ประคองแก้มผมอยู่ดันริมฝีปากผมซึ่งเปียกแฉะเพราะสาเก แล้วจึงค่อยๆสอดนิ้วเข้าปากผมให้ผมดูดดุนมันจนได้ยินเสียงน่าอาย

   “เก่งมากเด็กดี” เขาชม สมาธิที่เหลืออยู่น้อยนิดของผมโฟกัสอยู่ที่การขบปลายนิ้วโป้งของเขาจนไม่ได้สังเกตการรุกรานจากข้างล่างเลยแม้แต่น้อย

   มือหยาบๆของเคย์บีบเค้นเนื้อที่ขาอ่อนของผมจนขึ้นเป็นรอยแดงตัดกับผิวขาวๆไปหมด เขาค่อยๆไล่มือขึ้นมาเรื่อยๆจนถึงจุดอ่อนไหวซึ่งไร้ปราการป้องกัน กิโมโนของผมถูกร่นขึ้นมาจนกองที่เอวในขณะที่ส่วนบนหลุดลุ่ยซ้ำยังเปียกชื้นเพราะสาเกส่วนหนึ่งที่ผมไม่อาจดื่มได้

   เส้นผมสีน้ำตาลยาวถึงบั้นเอวของผมสะบัดไปมารับกับกิโมโนสีชมพู เคย์มองตัวผมพร้อมกับเลียริมฝีปากไปด้วย

   “จะทานแล้วนะครับ”

   “อือ!” ผมร้องเมื่อรู้สึกได้ถึงการรุกรานเบื้องล่าง เขาส่งนิ้วเข้ามาในร่างกายของผมอย่างจาบจ้วงจนผมตกใจ แต่ภายหลังเขาก็ค่อยๆขยับให้ร่างกายผมผ่อนคลาย

   “ชู่วๆ เด็กดี ไม่เป็นไรๆ” เสียงเขาที่ปลอบข้างหูกับการขยับมือที่ประคองหน้าผมไปมาทำให้ผมผ่อนคลายไม่น้อย นิ้วของเขาเพิ่มขึ้นจากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสาม ขยับไปมาในช่องทางคับแคบเพื่อขยายมันเตรียมพร้อมรับสิ่งที่ใหญ่โตกว่านั้น

   ผมบิดตัวอย่างเสียวซ่านเมื่อเขาไปโดนจุดนั้นพอดี

   “ตรงนี้เหรอ?” เคย์ย้ำมันซ้ำๆสองสามครั้งทำเอาผมร้องครางออกมา

   “อือ…ตรงนั้น อ๊ะ”

   “ได้ครับ รู้สึกดีจนรัดนิ้วกูซะแน่นเชียว น่ารักจัง”

   นิ้วของเขาหมุนขยับในร่างกายผมอีกสักพักก็พร้อมแล้วสำหรับการเตรียมร่างกาย เจลเย็นๆถูกเทเตรียมพร้อมกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นต่อไป

   “ถ้าเจ็บ…บอกทันทีเลยนะ” เขากำชับในตอนที่หมุนนิ้วไปมาในร่างกายผมเป็นครั้งสุดท้ายจนโดนจุดนั้นอีกครั้ง บั้นท้ายผมยกขึ้นลอยจากเตียงด้วยความเสียวซ่าน ร่างกายบิดเร่าเรียกร้องคนตรงหน้า

   “หุบปาก…แล้วใส่เข้ามา…เร็วๆสิ” ผมพูดอย่างกระท่อนกระแท่นเหมือนคนที่ถูกโยนขึ้นไปบนฟ้าแล้วลอยคว้างอยู่อย่างนั้น

   เขายิ้มขำ

   “ครับๆ คนสวยนี่ชอบเอาแต่ใจจริงๆ”

   เขาค่อยๆดันตัวเข้ามาอย่างช้าๆเพื่อไม่ให้ผมเจ็บ ดันเป็นผมซะมากกว่าที่อยากให้คนตรงหน้าใส่เข้ามารวดเดียวแล้วฉุดกระชากผมลงมาจากฟากฟ้าเสียที เขาแช่ค้างไว้สักพักแล้วดันตัวเข้ามาจนสุดจนผมเกร็งนิ้วเท้าด้วยความสุขสม

   ตัวตนของเขาคับแน่นเต็มช่องทาง เมื่อขยับทีก็โดยจุดนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนผมแทบจะปลดปล่อย

   เคย์ก้มลงจูบผมในตอนที่เขาขยับตัวเข้าออก ใบหน้าเราคลอเคลียไม่หยุดในขณะที่ช่วงเอวนั้นกระเด้งกระดอนเพราะแรงที่สอดเข้ามา

   เขาสอดมือเข้ามาในสาปเสื้อกิโมโนเพื่อนวดหน้าอกผมโดยเฉพาะ หนำซ้ำยังขยี้จุดอ่อนไหวสองจุดจนผมต้องข่วนแผ่นอกเขาระบายความรู้สึก

   มือชายหนุ่มฟ้อนเฟ้นไม่หยุดเหมือนกับพยายามบีบคั้นเอาหยาดน้ำนมออกมาให้ได้ ผมสะบัดหน้าด้วยความเสียวซ่านเมื่อเคย์ดึงจุกสีเชอร์รี่แล้วขยี้มันต่ออย่างรุนแรงจนน่ากลัวว่าพรุ่งนี้จะต้องแดงช้ำ

   “คนดี….ชอบนะ ชอบมากๆ” เขาพึมพำพร้อมกับเร่งจังหวะเอวไปจนถึงปลายทาง หน้าหล่อๆบิดเบี้ยวเพราะแรงอารมณ์แต่ก็ยังปฏิเสธไม่ได้อยู่ดีว่ายังคงดูดีมาก

   ผมชะงักไปในจังหวะที่เขาพูดถึงความรู้สึกของตัวเอง แทบสร่างเมาเพราะรู้สึกถึงผีเสื้อตัวนึงที่บินผ่านตาผมไปเกาะตรงข้างหมอน ผมเกือบจะแตะมันและเผลอก้าวล้ำเข้าหาสิ่งที่ผมหวาดกลัวมาตลอด แต่ผมห้ามตัวเองไว้ได้ทัน

   ผมจ้องมองผู้ชายที่เคลื่อนไหวบนร่างกายของผมด้วยสายตาเหม่อลอย

   “อือ” ผมไม่รู้จะตอบว่าอะไรเลยแค่ส่งเสียงในลำคอกลับไป ไม่ตอบรับและไม่ทั้งปฏิเสธ
ในชั่วแวบหนึ่งใบหน้าของเคย์ฉายแววอะไรสักอย่างขึ้นมา ผมไม่แน่ใจว่ามันคืออะไรระหว่างความเศร้ากับความผิดหวัง

   แต่มันทิ้งรสขมปร่าไปในอารมณ์กระทั่งตอนที่ร่างกายพวกเราเหยียดเกร็งเพราะความสุขสม


   หลังจากวันนั้น ผมตื่นเช้ามาแล้วปวดหัวมากๆ แต่เพราะเคย์จัดการตัวผมให้เรียบร้อยตั้งแต่เช็ดตัว เปลี่ยนเสื้อผ้า เอากิโมโนไปซักมือ รีดมันจนเรียบ ผมจึงทำตัวสบายใจนอนเล่นได้ต่อไปอีกวันหนึ่ง

   ครั้งที่สองไม่เจ็บเท่าครั้งแรก แถมผมยังค่อนข้างเอนจอยอีกด้วย เสียอย่างเดียวคือหลังจากนั้นเราไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไร เหมือนบรรยากาศแปลกๆมันจะกลับมาอีกแล้ว ผมจึงรีบออกจากห้องแต่เช้าในวันที่มีอีเว้นท์คอสเพลย์เพื่อหลีกเลี่ยงความอึดอัดโดยทิ้งไว้เพียงโน้ตที่บอกว่าผมจะไปงานอะไรและคงจะกลับค่ำเพียงเท่านั้น

   ห้องที่เคยอบอุ่นด้วยร่องรอยแห่งชีวิตกลับเย็นชืดเพราะไออุ่นของอีกฝ่ายหายไป

   ผมไม่เข้าใจการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของเขา แต่ผมไม่ใช่คนขี้ตื้อที่จะเดินไปถามอีกฝ่ายว่าทำไมเรื่องราวมันถึงเป็นอย่างนี้

   หลังออกจากรถไฟฟ้าที่เย็นเฉียบเพราะเครื่องปรับอากาศ ผมหอบกระเป๋าที่แบกชุดมา พบกับเรนที่จุดนัดพบเวลาเก้าโมงเช้าพอดี ปะทะฝีปากกันนิดหน่อยแล้วจึงเข้าไปเปลี่ยนชุด

   ทั้งผมและเขาเข้าไปในงานตอน11โมง เรนหันหน้ากลับมามองผมที่อยู่ในชุดกิโมโนลายซากุระสีชมพูกระโปรงสั้นและวิกผมยาวสีน้ำตาลอ่อนเข้ากับชุด เขาอ้าปากพะงาบๆเหมือนจะถามอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ขมวดคิ้วมุ่นแล้วหุบปากไป

   ผมมองบรรยากาศรอบกาย มีคนจำนวนมากที่ชอบในสิ่งที่ผมชอบมารวมตัวอยู่ด้วยกัน พวกเราที่สังคมไม่เข้าใจแต่กลับได้
พบเจอเพื่อนมากมายในสถานที่นี้ บางคนแต่งตัวด้วยแฟชั่นแปลกๆ สไตล์โกธิค ร็อค โลลิต้าหรือหูแมวที่ปกติคงไม่มีวันได้เห็นตามถนนหนทางถูกงัดเอาออกมาใส่ในวันนี้ คนเดินถือเคียว ดาบ หรือแม้กระทั่งมีปีกติดหลัง มีมากมายเสียจนละลายตา กระทั่งผู้ชายตรงนั้นที่ใส่หูแมวยังเดินได้อย่างคนปกติไม่มีใครมอง

   สถานที่ที่คนประหลาดจะกลายเป็นคนปกติ

   ใจผมเต้นแรงด้วยความตื่นเต้นเหมือนครั้งแรกที่ได้มางานอีเว้นท์แบบนี้

   “ลัคกี้ ได้เจอจริงๆด้วย เราเป็นแฟนคลับของพวกคุณนะคะ คุณคอสสวยมากๆเลย เหมือนเห็นตัวละครออกมาเดินจริงๆเลย” ผู้หญิงที่สังเกตเห็นเดินเข้ามาทักทายผมกับเรน

   พวกเราโค้งเป็นเชิงขอบคุณอย่างเดียว เนื่องจากมีกฎห้ามพูดอย่างเด็ดขาด

   “ขอถ่ายรูปด้วยได้มั้ยคะ”

   หลังจากการถ่ายรูปกับแฟนคลับบางส่วนก็มีเสียงเอะอะจากประตูทางเข้า ผมกับเรนหันไปมองก่อนจะพบว่ามีผู้ชายตัวสูงใหญ่คนหนึ่งถูกกักไว้ตรงนั้น เขาใส่แมสปิดปากสีขาว หมวกสีดำกับแว่นตากันแดดจนมองไม่เห็นหน้า เห็นเพียงเสื้อสกรีนลายสัญลักษณ์นักเล่นแร่แปรธาตุในเรื่องFMA

   …น่าสงสัยสุดๆ

   “นั่นอะไรอ่ะ” ผมชะโงกตัวเข้าไปกระซิบถามคนข้างๆ

   “จะไปรู้เรอะ ก็ยืนอยู่กับมึงตรงนี้เนี่ย คิดว่ากูสามารถถอดจิตไปตรัสรู้ได้หรือไง ว่าแต่แต่งตัวเหมือนโจรชะมัด แบบนั้นใครเขาจะให้เข้ามาล่ะ”

    “พูดมากชะมัด เพราะอย่างนี้ถึงไม่มีคนทนอยู่กับมึงได้ยังไงล่ะ ไอ้คนไม่มีเพื่อน” ผมแขวะ

   “อ้อออ พูดเหมือนมึงมีเพื่อนมากสิเนอะ อุ๊ย ลืมไปเลยว่านอกจากไม่มีเพื่อนแล้วยังจะฟอลโลเวอร์น้อยอีก ฮะๆๆ อุ๊บส์ แรงไปหรือเปล่านะ”

   “หา? ว่ายังไงนะไอ้หน้าโง่ คนอย่างแกที่เน้นคอนเทนต์วาบหวิวจนหมดความเป็นอาร์ตพูดได้หรือยังไงกันหะ แล้วไหนๆก็ไหนๆไม่บอกฟอลโลเวอร์แกไปเลยล่ะว่าเป็นสายแทร็ปน่ะ หา!”

   “โห ช่างกล้า พูดเหมือนตัวเองไม่เน้นเรื่องวาบหวิวเลยนะ คนอย่างแกพูดได้อย่างไม่อายปากเลยเหรอไง”

   “ก็ยังดีกว่าคนที่กล้าเคลมตัวเองว่ามีฟอลโลว์เยอะล่ะนะ”

   “ไอ้เตี้ยหมาตื่นอย่างแกก็ทำได้แค่เห่าจากข้างล่างเท่านั่นแหละ”

   “อ้ออ ตัวเองดีตายล่ะ หรือความสูงของแกมันจะทดแทนในส่วนของปัญญาไปหมดแล้วกัน”

   “หุบปากได้มั้ย ฟาร์มหมามันส่งกลิ่น”

   ผมกับเขาจ้องตากันอย่างมีน้ำโห ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็เอาแต่ทะเลาะกันจนน่างงว่าทำไมยังต้องมาอีเว้นท์กับเจ้าหมอนี่ทุกรอบกันนะ

   จนท้ายที่สุดพวกเราสะบัดหน้ากันไปคนละทาง แต่สุดท้ายก็ออกเดินงานไปต่อด้วยกันอยู่ดี

   “นี่ไอ้หมากระเป๋า” เสียงกวนประสาทจากคนข้างๆทักขึ้น

   “ใครหมากระเป๋าวะ เจ้าหน้าโง่”

   “มึงนั่นแหละ แล้วก็อย่ามาเรียกกูโง่”

   “โฮ่ คนที่แพ้การแข่งเคสกับกูทุกรอบมีสิทธิ์พูดด้วยเหรอ ไอ้-หน้า-โง่”

   “เจ้าหมากระเป๋าชิวาว่าขนเกรียนอย่างมึงมันน่ารำคาญจริงๆ ที่กูมาเสียเวลาเดินกับมึงนี่เพราะว่าสงสารคนที่ไม่มีเพื่อน
หรอกนะ”

   “จะพูดว่าตัวเองมีเพื่อนหรือไง”

   “…”

   “…”

   ผมกับเขาตัดสินใจหุบปากฉับเมื่อพูดถึงเรื่องนี้

   “เออ ไม่ใช่สิ ไอ้หมากระเป๋า ที่จะพูดนี่คือสังเกตมั้ยว่าคนข้างหลังเดินตามเรามา”

   “หา? อย่ามาหลอกกันให้ยากเลย” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ตาผมก็แอบเหลือบมองไปข้างหลังก่อนจะเห็นบุคคลปริศนาที่ปิดหน้าจนมองไม่เห็นผิวเนื้อในชุดFMAเดินตามมาจริงๆด้วย

   “สตอกเกอร์มึงเหรอ ช่วงนี้มีคนมาคุยบ่อยนี่ เรียนอยู่มหาลัยเดียวกันด้วยป่ะ ที่มึงเล่าให้ฟัง” เรนขมวดคิ้วมุ่น ดึงแขนผมให้เดินไปข้างหน้าเขา

   “ของมึงหรือเปล่าเหอะ” ผมพยายามขืนตัวทว่าแรงเรนเยอะเกินกว่าผม ผมจึงจูงแขนเขาเดินหลบหลีกเข้าไปในกลุ่มคน

   “เขามองมึงอยู่เห็นๆ”

   “…เขาปิดตาขนาดนั้นมึงรู้ได้ยังไง ตรัสรู้เรอะ”

   “กูเป็นคนช่างสังเกต ไม่เหมือนคนที่ไม่เคยเห็นหัวคนอื่นอย่างมึง”

   “หา? เมื่อไรจะเลิกแขวะเรื่องนี้สักที มันน่ารำคาญ ไอ้คนยึดติดกับอดีตเอ๊ย”

   “ไปหลบอยู่มุมนั่นไป เดี๋ยวกูจัดการเอง” เรนจัดการดันผมเข้ามุมในพื้นที่ที่คนน้อยพอสมควร ผมฉุดแขนเขาไว้เมื่อคนตัวสูงเพรียวในชุดกิโมโนยูกิอนนะสีฟ้าทำท่าจะออกไปบวก

   “มันอันตรายนะ”

   “กูเตะได้ เทควันโดสายดำ”

   “หยุดเลย!” ผมดึงแขนเขาไว้ ใส่กระโปรงอย่างนี้แค่จะยกเท้าขึ้นยังทำไมได้เลย!

         เรายังทะเลาะกันไม่หยุดในตอนที่เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นมาจากข้างหน้า

   “…ขอโทษนะครับ”

   ปั่ก!

   เสียงเรนเสยขาเตะคนแปลกหน้าในชุดFMAดังขึ้น แต่เขาเอนตัวหลบไปทันควันจนขาเรียวของเรนทำได้เพียงเฉี่ยวเอาหมวกของคนคนนั้นหลุดไป ผมตบหน้าด้วยความหน่ายใจ โชคยังดีที่หมอนี่รอบคอบถึงขนาดใส่กางเกงเซฟตัวเองไว้แล้ว

   “สู้กันเหรอ”

   “คอสเพลย์เรอะ”

   “บทบาทสมมุติรึเปล่า”

   “ว้าว เตะสวยมาก!”

   เสียงปรบมือเกรียวกราวดังขึ้นจากทั่วสารทิศ ผมดึงแขนเรนจนเกือบกระชากเมื่อเห็นเรือนผมภายใต้หมวกสีดำนั่นเป็นสีน้ำตาลเข้มแบบคนย้อมผมตามแฟชั่นเป็นคนคุ้นเคย เขาเกี่ยวมาส์กปิดปากออกพร้อมยกมือเป็นเชิงยอมแพ้

   จะไม่คุ้นเคยได้อย่างไรในเมื่อผมนอนข้างๆเขาทุกวัน!

   “หยุด! นั่นคนรู้จักกูเอง”

   “หา? ตั้งแต่เมื่อไรกันที่มึงรู้จักคนน่ากลัวแบบนี้” เรนถอยมาอยู่ข้างๆผมเมื่อผมบอกเขาอย่างนั้น เขาพิจารณาเคย์ที่ถอดผ้าปิดปากและแว่นตาเรียบร้อยแล้ว ใบหน้าคมๆกับคิ้วเฉียงขึ้นดูเป็นคนจริงจัง ริมฝีปากคล้ำเหมือนคนสูบบุหรี่กับตุ้มหูจิวเงินสี่อันที่ใบหูทำให้เรนมองด้วยสายตาเคลือบแคลงไม่เลิก

   “รูมเมทที่มหาลัยกู”

   “หะ? รูมเมท” เรนเหมือนจะช็อคเมื่อได้ยินว่าผมอยู่อาศัยร่วมห้องกับคนอื่น

   ชายหนุ่มตัวสูงผู้ตกเป็นหัวข้อสนทนาใส่ผ้าปิดปากกลับไปทันทีที่ผมสามารถระบุตัวเขาได้

   “มาทำอะไรที่นี่เนี่ย” ผมขมวดคิ้วมุ่นถามเขา ถึงแม้จะเดาได้ก็ตามว่าเขาคงตามมาจากโน้ตที่ผมเขียนทิ้งไว้ให้

   “กู…” เขากลอกตาลอกแลกกับการหาข้ออ้าง “เดินผ่านมาเฉยๆ”

   “เชื่อก็ควาย!” ผมพุ่งไปเขย่งตัวตะปบหน้าไอ้คนที่ทำตัวน่าสงสัยทันที

   “ก็ได้ๆ!” เคย์ยกแขนสองข้างเป็นการยอมแพ้ “กูแค่รู้สึก…หึงอ่ะ ที่มึงจะออกมาคอสให้ใครๆเห็น”

   “หา!?” ไม่ใช่เสียงผม นั่นคือเสียงเรนที่เบิกตากว้าง “นี่มึงมีแฟนแล้วเหรอ”

   “ไม่ใช่แฟน!” ผมตอบกลับไปทันควัน แต่หางตาสังเกตปฏิกิริยาที่ซึมไปของอีกฝ่ายจนเหมือนหมาหงอยๆที่หูลู่หางตก

   “อ่า…ครับ ไม่ใช่แฟนหรอกครับ ผมแค่ชอบเขาข้างเดียวน่ะ” เคย์อธิบายออกมาเสียงเรียบจนผมใจเสียกับความนิ่งของอีกฝ่าย

   “อ้อ” เรนส่งเสียงในลำคอแค่นั้นแล้วมองผมสลับกับคนตัวสูงไปมา บรรยากาศตอนนี้มันตึงเสียจนผมไม่ยอมแม้กระทั่งจะมองตาเขา

   ไม่กี่วันที่ผ่านมา เคย์เริ่มหลบผมอย่างเห็นได้ชัด เขาเริ่มกลับห้องดึกขึ้น บางวันก็ไม่กลับห้อง เพียงไลน์มาบอกว่าอยู่ที่ห้องใครก็เท่านั้น

   พวกเราไม่ค่อยได้กินข้าวเย็นด้วยกันเหมือนเมื่อก่อน และถึงผมพอจะเดาสาเหตุได้ แต่ผมก็ทำเป็นปิดหูปิดตาไม่รู้เรื่องใดๆทั้งสิ้น

   ผมปล่อยให้ความสัมพันธ์ของพวกเรามีช่องห่างอย่างที่ไม่แน่ใจว่าต้องใช้เวลาเท่าไรถึงจะกลบมันได้เหมือนเดิม

   อึดอัด

   ผมเหลือบมองคนที่ปกติแล้วมักจะมองผมอย่างอบอุ่น คนที่ไม่ว่าเมื่อไรเขาก็มองผมเหมือนกับผมเป็นสิ่งที่น่าสนใจที่สุดในโลก

        ตอนนี้ผู้ชายคนนั้นไม่แม้แต่จะปรายตามาทางที่ผมยืนอยู่

   ผมรู้สึกเหมือนมีริบบิ้นกำลังรัดคอผมอยู่จนแน่นทั้งๆที่คำพูดมากมายอยากจะพรั่งพรูออกมาจากข้างใน มันจุกอยู่ที่ลำคอคล้ายจะสำรอก แต่ผมพูดไม่ได้ ส่งเสียงไม่ออก แต่ถ้าไม่พูด ผ้าเส้นเล็กที่คอผมก็จะรัดมันแน่นขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งผมขาดอากาศ

   ลำคอผมฝืดเคือง ในจังหวะที่ตั้งใจจะพูดอะไรสักอย่างเคย์ก็หัวเราะแผ่วเบาแล้วบอกว่า

   “เห็นถือกระเป๋ากันหนักๆ เดี๋ยวผมแบกให้เอง จะได้เดินกันสบายๆไง ดีมั้ยครับ”

   เงยหน้าขึ้นสบตาก็พบกับเคย์คนเก่าที่ยิ้มนุ่มๆเห็นเขี้ยวข้างเดียว

   แต่น่าแปลกที่ผมดันไม่รู้สึกคุ้นเคยกับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้เลย เหมือนกับอีกฝ่ายเป็นคนแปลกหน้า

   เหมือนกับว่าเขาสร้างกำแพงอีกชั้นมากั้นผมกับเขาไว้อย่างสิ้นเชิง

   “อ่า งั้นฝากด้วยแล้วกันนะ” เรนเอากระเป๋าของผมกับเขายัดใส่มือคนตัวสูง แล้วจากนั้นพวกเราสามคนก็ออกเดินไปด้วยกัน ตลอดทางที่เดิน ผมกับเคย์ต่างก็เงียบใส่กันเหมือนเรากำลังทำสงครามประสาทกันอยู่

   “เป็นรูมเมทของไอ้นี่เหนื่อยมั้ย” เรนเป็นคนเริ่มบทสนทนาท่ามกลางความเงียบที่ทำลายเสียงอึกทึกรอบข้างไปเสียหมด

   “อ้อ ไม่เลยครับ จินน่ารักมากๆ”

   น่าแปลกที่หัวใจผมไม่พองโตหรือแม้กระทั่งรู้สึกกระตุกจนต้องปากเสียกลับไปใส่อย่างที่ทำไปปกติตอนที่เขาชมผมอย่างนั้น อาจจะเพราะตอนที่ผมมองไปทางเขา ดวงตาคมที่เคยระยิบระยับเหมือนดวงดาวยามมองผมตอนนี้มีแต่ความแห้งแล้ง

   มันดำสนิท เหมือนหลุมดำที่ดูดความรู้สึกให้หายไป

   ในตอนนั้นผมคิด

   มีอะไรผิดพลาดตรงไหนกันน่ะ

   ทำไมพวกเราถึงกลับมาอยู่ตรงจุดนี้กันได้

   “แล้วคุณชื่ออะไร” เรนที่ตอนนี้เดินช้าลงเพื่อขนาบข้างกับเคย์เอ่ยถามเจื้อยแจ้ว ผมนึกเคืองเล็กน้อยที่เขาไม่มีแม้แต่ท่าทีดุร้ายเหมือนตอนที่อยู่กับคนอื่น เหมือนกับพยายามจะตีสนิทกับรูมเมทผมให้ได้

   “เคย์ครับ” นี่ก็ตอบแบบเป็นมิตรเสียเหลือเกิน

   “เราชื่อเรน”

   “ใครไปสะกิดเอาต่อมสุภาพที่อันเล็กเสียจนเท่าติ่งเนื้อของมึงออกมากัน” นั่นคือเสียงผมที่โพล่งพูดออกไป

   คนขาเรียวในชุดกิโมโนสีฟ้าเลิกคิ้วแถมยิ้มมุมปากเหมือนจะเยาะเย้ย

   “โอ๊ะ มีใครไปเขย่ากรงหมาแกหรือไง เจ้าหมากระเป๋า เห่าน่ารำคาญเชียว”

   “หา!?”

   ผมจ้องตากับเขา สายฟ้าแล่นเปรี๊ยะๆระหว่างกัน

   “แล้วเคย์ชอบงานอีเว้นท์อะไรแบบนี้เหรอ” เรนเลิกสนใจผม เขากลับไปออเซาะถามคนตัวสูงที่ยืนอยู่ข้างๆ เรียวแขนขาวเนียนคล้องกับอีกฝ่ายอย่างไม่เคอะเขิน และเคย์ก็ไม่สนใจจะสะบัดออกเสียด้วยซ้ำ

   “เปล่าครับ ผมไม่เคยมาเลย ครั้งแรกครับ แต่สนุกดีนะ”

   “เป็นโอตาคุหรือเปล่า”

   “….เออ อาจจะไม่ถึงขนาดนั้นแต่ก็ชอบอนิเมนะครับ”

   ทันใดนั้นผมรู้สึกถึงความโกรธพุ่งขึ้นมาจากในร่าง แล่นขึ้นไปถึงหัวจนเสียงรอบข้างหายไป ตาผมโฟกัสมองแค่สองคนข้างหลังที่เป็นต้นเหตุ

   นั่นมันอะไร

   บอกเขาไปได้ยังไง

   บอกเรนไปได้ง่ายๆเลยเหรอว่าตัวเองเป็นโอตาคุน่ะ ปกติจะต้องบอกว่าไม่ใช่ ต้องปฏิเสธนี่

   นั่นมันสมควรจะเป็นเรื่องที่มีแค่ผมที่รู้ไม่ใช่เหรอ

   มีแค่ผม…

   ความร้อนจากหัวลงมากระจุกกันที่ตา กระบอกตาผมร้อนผ่าวเหมือนกับโดนหลอมละลายกลั่นออกมาเป็นหยาดน้ำที่ขังในดวงตาจนเกือบเอ่อ ทว่าคอนเทคเลนส์กลับดูดน้ำในตาหายไปจนหมด เหลือแค่เพียงจมูกที่เริ่มจะติดแดงๆแล้วเท่านั้น

   ผมเหลือบมองไปทางด้านหลัง แล้วก็ได้สบตากับเรนที่สังเกตอยู่ก่อนแล้ว ผมกลืนก้อนที่จุกจนทำให้หายใจไปไม่ออกลงไปในคอ รสสัมผัสมันสากเหมือนกระดาษทรายทั้งยังทิ้งรสขมปร่าไว้ที่ปลายลิ้น

   สายตาของเรนทำให้ผมประหม่า เขามองด้วยสายตาเฉียบแหลมเหมือนกับสามารถอ่านใจผมได้ ผมรีบหันกลับมาเพื่อหลบตาเขาแล้วตัดสินใจมองไปข้างหน้า

   มองไปข้างหน้าอย่างเดียวเหมือนที่ผ่านมา

   เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเห็นว่าข้างกายผมว่างเปล่าขนาดไหน


-------------------------------------------------------------------------------
ยิงคำว่ารักไปร้อยรอบแล้วอีกฝ่ายก็เอาแต่ปัดไม่หยุด เจ้าหมาก็เสียใจเป็นน่ะ อุแงงง
ดริฟท์หัวแตกกันทุกคนแน่เลย ฮือ คิดว่าจะเป็นตอนฟีลกู๊ดสินะคะ
ลงบอมบ์รัวๆ เจอกันใหม่ตอนหน้าค่า
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่8 P.9 UP!![12/2/19]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 13-02-2019 00:16:09
 :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่8 P.9 UP!![12/2/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 13-02-2019 22:55:29
งื้ออออ เจ้าเคย์เสียใจที่จินไม่ตอบรับความรู้สึก :mew6:

จินจะซึนต่อไปไม่ได้แล้วนะลูก  :katai1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่8 P.9 UP!![12/2/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Realtime ที่ 13-02-2019 23:16:46
จินต้องมีปมอะไรฝั่งใจตอนยังเด็กแน่ๆ​ ถึงไม่กล้าเปิดใจให้รักใครค่อยๆทำคะแนนไปนะเจ้าหมาเคย์พึ่งรู้จักแถมได้กันแบบปุ๊บปั๊บด้วยไม่ใช่ความไม่ตั้งใจ​ จินอาจจะมีอาการหวงบ้างหึงบ้างแต่ก็ไม่ได้อยู่ในสถานะเป็นแฟนกันนิเนาะใช้ความคุ้นชินที่เป็นรูมเมทร่วมห้องกันต่างคนก็ต่างมีมุมและบุคลิก​ที่คนอื่นไม่เคยเห็นแต่ทั้ง2คนกลับเปิดเผยให้เห็นกันและกันมันก็ต้องมีบ้างแหละที่ใจจะหวั่นไหว​ให้กับใครอีกคนสงสารเคย์อยู่นะที่แอบชอบจินฝ่ายเดียว​ แต่อยากให้เคย์ได้รับรู้และทำความเข้าใจในตัวจินกว่านี้อาจมีส่วนลึกข้างในที่เคย์ไม่เคยรู้มาก่อนก็ได้​ อย่าพึ่งตัดใจยอมแพ้ไปซะก่อนละเจ้าหมาเคย์ จะกลายเป็นจินเองที่โดดเดียวและเสียใจ​ กว่าจะได้รักที่สมหวังมันต้องทุ่มกันหน่อยมาช้าแต่ก็คุ้มค่าที่ได้รอคอยนะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่8 P.9 UP!![12/2/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 14-02-2019 00:05:08
ปากแข็งอดกินนะลูก  :mew4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่8 P.9 UP!![12/2/19]
เริ่มหัวข้อโดย: nofsnof ที่ 14-02-2019 00:12:31
จะบอกว่าจินน่าบีบมากได้มั้ยอ่ะ

เอ็นดูววว รู้สึกอะไรก็รีบๆบอกเค้าไปซะนะ

จะได้ไม่ต้องร้องไห้คนเดียว  :monkeysad: :sad11:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่8 P.9 UP!![12/2/19]
เริ่มหัวข้อโดย: TheWanFah ที่ 15-02-2019 23:19:11
สงสารเจ้าหมา
จินอย่าใจร้ายนักเลย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่8 P.9 UP!![12/2/19]
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 16-02-2019 22:35:47
ชอบเขาก็บอกเขาไปสิลูก :mew4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่8 P.9 UP!![12/2/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Wwavez ที่ 20-02-2019 00:57:04
น้องจิน มีปมอะไรทำให้กลัวความรักอะ อย่าซึนนานนาสงสารเจ้าหมา :sad4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่8 P.9 UP!![12/2/19]
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 20-02-2019 16:22:30
เคย์ก็น้อยใจเป็นนะจิน
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่8 P.9 UP!![12/2/19]
เริ่มหัวข้อโดย: _leoonearth_ ที่ 21-02-2019 16:38:33
แงงงงงงงงงงงงงงงง :hao5:
งานมาม่ามาแล้ววววว ไรท์จะมาต่อเมื่อไรค้าาาา
นี่คือตอนย้อนไปตอนเริ่มต้นของทั้งคู่ใช่ไหมคะ หรือเราเข้าใจผิด?
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่8 P.9 UP!![12/2/19]
เริ่มหัวข้อโดย: MeiHT ที่ 21-02-2019 22:07:49
บทที่ 9 : ของพังๆ

   “น..จิน จิน!”

   ผมสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงทุ้มต่ำคุ้นหูดังขึ้น เรียกสติตัวผมให้กลับมาหลังจากเดินไปในงานเรื่อยๆอย่างไร้วิญญาณจนเกือบเดินชนคนนั้นคนนี้

   “เป็นอะไร เหม่อจัง ใส่ชุดแล้วร้อนเหรอ หน้าซีดเลย” เคย์จับไหล่ผมทั้งสองข้าง ยื่นหน้าเข้ามาสังเกตด้วยความเป็นห่วง

   “ไม่เป็นไร…” ผมหลบตาเขา สะบัดไหล่ออกอย่างแรงแล้วจึงกลับไปเดินอยู่กับเรนเหมือนเดิม และเพื่อนผมก็ทำแค่มองหางตาแล้วพ่นลมหายใจพรูอย่างเบื่อหน่าย

   “นั่นคุณจูจู แอคJJ3KกับคุณเรนแอคRainy_Cใช่มั้ยครับ” ผู้ชายถือกล้องเดินเข้ามาทักพวกเรา และเสียงของเขาก็ดังมากพอจะทำให้ตากล้องคนอื่นสนใจและเข้ามาร่วมแจมด้วย

   “ขอร้องล่ะครับ! ช่วยโพสท่าคู่กันได้มั้ยครับ!”

   “คุณเรนกับจูจูดูสนิทกันจังเลยนะครับ”

   “แต่งคอสมาคู่กันด้วยเหรอครับ สุดยอดไปเลย ไหนๆแล้วก็ขอท่าคู่ได้มั้ยครับ”

   ผมมองหน้าเพื่อนอย่างขอคำตอบ และแน่นอนว่าคนรักแสงสีอย่างหมอนี่ก็ต้องบังคับให้ผมโพสท่าด้วยอยู่แล้ว ท่ามกลางตากล้องที่ล้อมรอบตัวเราจนเป็นวงกลมอยู่ไม่ไกลไม่ใกล้

   ผมโพสท่าแบ๊วๆอย่างการจับมือกับเรนอย่างที่ปกติคงไม่ทำ หรือกระทั่งโพสท่าต่อสู้อันเป็นท่าประจำตัวของคาแรคเตอร์ แต่ในระหว่างนั้นผมแอบเห็นตากล้องคนหนึ่งย่อตัวลงเพื่อถ่ายมุมเสย

   ผมได้แต่แอบถอนหายใจในใจ ไม่ใช่ว่าไม่ชินกับการโดนถ่ายใต้กระโปรงหรอกนะ เพราะชินแล้วถึงได้ใส่อะไรไว้ข้างในให้มั่นใจว่าเซฟที่สุด แต่มันก็อดเซ็งไม่ได้จริงๆที่โดนคนพวกนี้ฉวยโอกาสหน้าด้านๆแอบถ่ายรูปแล้วไม่รู้ว่าเอารูปเราไปใช้ทำอะไร
ด้วยซ้ำ

   แต่แล้วผมก็เห็นเงาร่างใหญ่ๆของเจ้าหมาเข้าไปยืนข้างหลังตากล้องคนนั้นแล้วคว้าหมับเข้าที่เลนส์กล้องเขาอย่างแรงจนร่างท้วมของตากล้องหื่นกามแทบเซล้ม

   “เฮ้ย! อะไรวะ” เสียงช่างภาพโวยวายด้วยความโมโห เขาสะบัดตัวลุกขึ้นด้วยท่าทางทุลักทุเล

   “…” เคย์ยืนเป็นยักษ์ปั่นหลันอยู่ตรงนั้น ใบหน้าภายใต้มาสก์ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรแต่คิ้วขมวดเสียจนแทบชนกัน ถึงมองจากตรงนี้ผมยังรู้สึกเลยว่าตาเขาแทบจะพ่นไฟออกมาได้ บวกกับรูปลักษณ์ที่โผล่ออกมายิ่งทำให้เขาเหมือนอันธพาลเข้าไปใหญ่

   จริงๆเพียงแค่ยืนกอดอกโชว์กล้ามแขนซึ่งขึ้นเส้นเลือดที่เต้นตุบๆเพราะความโมโหอย่างนั้น ทุกคนก็ถอยหนีไปหมดแล้วเหลือเพียงช่างกล้องจิตวิปริตที่ยังยืนประจันหน้าแม้จะขาสั่น

   “หาเรื่องกันรึยังไงวะ”

   “คุณต่างหากที่ตั้งใจจะถ่ายเสยกระโปรงเลเยอร์น่ะ ยังจะมีหน้ามาถามผมอีกเหรอ”

   เคย์คว้ากล้องจากตากล้องร่างท้วมอย่างแรงจนเขาเซตามแรงล้มพับแทบเท้าชายหนุ่ม ใบหน้าหล่อๆของเขาขมวดคิ้วแน่นขึ้นเรื่อยๆเมื่อกดดูรูป

   ในที่สุดเคย์ก็กดจนพอใจ เขาดึงเมมโมรี่การ์ดออกมาจากกล้อง ชูมันขึ้นพูดกับคนที่ยังตั้งตัวไม่ได้

   “ในนี้มีแต่รูปโสมมที่คุณพยายามถ่าย ไม่นับรวมที่คุณถ่ายใต้กระโปรงแฟนผม เลิกซะนะ …ถ้าไม่เลิกและถ้ากูเห็นมึงไปที่อีเว้นท์ไหนอีกก็ตาม ถ้ามึงยังพยายามจะถ่ายรูปแฟนกู กูจะเอามึงฝังลงดินไปพร้อมๆกับกล้องที่มึงรักหนักหนา เข้าใจมั้ย?”

   ผมนิ่งอึ้งไปกับสรรพนามที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆตามอารมณ์โกรธของเจ้าตัวที่ไม่ได้เห็นบ่อยนัก เรนผิวปากแสดงความชอบใจเมื่อเคย์ทิ้งกล้องในมือลงอย่างไม่ใยดีให้เจ้าของต้องเอาตัวเสือกไปกับพื้นเพื่อรับมัน

   ไม่พอ เขายังหักเมมโมรี่การ์ดจนพังแล้วโยนทิ้งไว้หน้าช่างภาพร่างท้วมแล้วเดินเข้ามาหาผม พร้อมทั้งถอดเสื้อกันหนาวตัวใหญ่ของตัวเองไว้ใส่ทับให้ผม

   ชายของมันยาวจนถึงหัวเข่า ความอบอุ่นของร่างกายเคย์ถ่ายทอดมาถึงผมได้อย่างง่ายดายเหมือนตัวเขากำลังโอบรัดผมอยู่ ทดแทนคืนที่ไออุ่นของใครบางคนหายไปได้อย่างรวดเร็วเหมือนมันไม่เคยมีอยู่

   ผมกระชับเสื้อกันหนาวของเขาไว้แน่น ดึงชายเสื้อเขาเบาๆแล้วเขย่งตัวขึ้นไปกระซิบข้างหู

   “ขอบคุณ”



   ผม เรนกับเคย์ยังคงเตร็ดเตร่ในงานจนเย็น แม้ผมจะอยากลากตัวกลับห้อง โยนซากร่างอันห่อเหี่ยวของตัวเองทิ้งลงบนเตียงที่เคยอบอุ่นเพราะมีคนสองคนนอนเบียดกันอยู่บนนั้นเหมือนเด็กตัวเล็กๆ

   สาเหตุก็คือคนสองคนที่เดินคุยกันไม่หยุดตั้งแต่เมื่อกี้ ซ้ำยังหัวเราะต่อกระซิกเหมือนเรื่องมันสนุกหนักหนา ผมพยายามทำเป็นไม่สนใจ แถมยังย้ำกับตัวเองซ้ำๆว่าการที่เพื่อนกับรูมเมทของผมเข้ากันได้ดีเป็นเรื่องน่ายินดี

   ผมได้ยึดครองเสื้อกันหนาวเขาแค่สิบนาที เรนก็ร่ำอยากจะขอยืมเหมือนกันเพราะเจ้าตัวบ่นว่าแอร์หนาว ซ้ำคนตัวสูงยังหยิบมันออกจากตัวผมไปให้เขาอย่างเต็มใจ

   ทั้งๆที่มันเพิ่งจะดีขึ้นแล้วแท้ๆ…

   ตลอดเวลาที่ผมมองทั้งสองคนคุยกัน มันมีความรู้สึกเสียดแทงขึ้นมาจากภายในอก เจ็บแปลบเหมือนมีคนทิ่มเข็มเล็กๆเข้ามานับไม่ถ้วน

   หางตาผมยังคงเหลือบไปเห็นเสื้อฮูดสีดำที่คลุมตัวเรนไว้ มันแสลงตาเหมือนกับเป็นของที่ไม่น่าดูที่สุดบนโลกทั้งๆที่เมื่อครู่มันยังให้ความอบอุ่นแก่ผม

   ผมกดหน้าอกตัวเอง พยายามดันความรู้สึกแบบเด็กๆที่กำลังเอ่อล้นขึ้นมา

   ไม่พอใจ…เหมือนเวลาเด็กที่กำลังจะโดนแย่งของเล่น

   แต่ผมไม่ใช่เด็ก และเคย์ไม่ใช่ของเล่น เมื่อมันเป็นความสมัครใจของเขาที่จะคุยกับใคร ผมก็จะปล่อยให้เป็นอย่างนั้น

   จะโวยวายไม่ได้ เพราะผมโตแล้ว

   ผมกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ ความเจ็บแล่นขึ้นมาตามเส้นประสาท ส่งสัญญาณมาถึงสมองให้หยุดทำร้ายตัวเอง แต่ผมทำไม่ได้ ตอนนี้ผมโกรธ และผมต้องการระบายอารมณ์

   “ฮึก” ผมได้ยินเสียงเด็กร้องมาจากข้างหลัง ถึงแม้จะห้ามตัวเองซ้ำๆไม่ให้หันกลับไป แต่สุดท้ายแล้วผมก็ต้องหันกลับไปมองเศษซากจากอดีตของผมให้เต็มตา

   เด็กผู้ชายตัวเล็กจากในอดีตยืนอยู่ตรงนั้น เขางอแงกับโลกนี้ ร้องไห้โวยวายโทษคนอื่นไม่เปลี่ยน

   ตอนนี้เด็กผู้ชายคนนั้นโทษเรนที่ทำเหมือนว่าหนาวแล้วแย่งเสื้อไปจากตัวเอง โทษเคย์ที่ควรจะเห็นผมสำคัญที่สุดเหมือนอย่างที่เจ้าตัวทำมาตลอด โทษทั้งสองคนที่เอาแต่คุยกันจนลืมใครบางคนที่เดินอยู่ด้วย

   และที่ยังเหมือนเดิมอีกอย่างคือไม่ว่าเมื่อไรก็ไม่เคยมีใครฟังเขา

   จนกว่าเด็กผู้ชายคนนั้นจะงอแงจนเหนื่อยไปเอง

   ผมเองก็ทำเหมือนคนอื่น เลือกที่จะเมินเด็กผู้ชายซึ่งร้องไห้โวยวายเพราะโดนแย่งคนโปรด

   “เฮ้ย! ฟังอยู่ป่ะเนี่ย” มือขาวผ่องของใครบางคนโบกไปมาหน้าผม ซึ่งตัวผมที่สติกลับคืนมาแล้วก็เงยหน้าขึ้นมองก่อนจะพบว่าเป็นเรนที่ก้มตัวลงมามอง

   “หะ…มีอะไร”

   เรนถอนหายใจเหมือนหัวเสีย ชายหนุ่มในร่างสาวสวยขาเรียวยาวตบหน้าตัวเองเบาๆอย่างไม่ห่วงเมคอัพ

   “ถามว่าเหนื่อยยัง เจอแฟนๆกับคนที่อยากเจอครบแล้ว จะพอมั้ย”

   “อ้อ…”

   ผมเหลือบไปมองเคย์เพื่อขอความเห็นก่อนจะพบว่าเขาจ้องมองมาอยู่แล้ว แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้จ้องในตาเขาเพื่อหาคำตอบบางอย่าง เขาก็หลบตาผมอย่างรวดเร็วแล้วหันไปมองพื้นเหมือนพรมสีแดงเลือดหมูนี่น่าสนใจหนักหนา

   สุดท้ายผมก็เบือนหน้ากลับมามองคนที่กอดอกจ้องผมอยู่ด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์

   “…พักเลยก็ได้”

   “ดี เคย์ พวกผมไปเปลี่ยนเสื้อในห้องน้ำก่อนแล้วกันนะครับ”

   รูมเมทผมสะดุ้งเมื่อชื่อเขาถูกเมนชั่นเข้ามาในบทสนทนา เขาพยักหน้ารับรัวๆ

   “ครับ งั้นผมไปรอข้างหน้านะเรน”

   “อือ!”

   ผมมองรอยยิ้มสดใสของทั้งสองคนที่มีให้กันเหมือนตัวเองเป็นคนนอก

   พลันมีคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว

   ถ้าผมไม่ได้คอสเพลย์ ถ้าเราไม่ได้เข้าใจผิดในวันนั้น เขาจะยังยิ้มให้ผมอย่างนี้ พูดกับผมแบบนี้ เราจะได้เข้าใจกันแบบนี้หรือเปล่า

   แล้วมันต้องเป็นผมเท่านั้นเหรอ

   เป็นเรนได้มั้ย แล้วถ้าเป็นเรนที่เป็นรูมเมทเขาแทนที่จะเป็นผม

   …คนที่เขาชอบจะเป็นเรนหรือเปล่า

   ผมจินตนาการว่าถ้าหากเอาเรนมาแทนที่ผม ทุกอย่างก็คงจะลงล็อคเหมือนเดิม

   แล้วถ้าอย่างนั้นเราจะรู้สึกได้ยังไงว่าความรู้สึกนี้เป็นของจริง ไม่ใช่สิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมาเพราะความชิดใกล้

   ในใจผมยังคิดถึงคำถามนี้จนกระทั่งเปลี่ยนเสื้อเสร็จแล้ว เพื่อนสาวตัวสูงขายาวที่บัดนี้เปลี่ยนลุคกลายเป็นหนุ่มหล่อหน้าหวานเหล่มองผมซ้ำแล้วซ้ำอีก

   “เฮ้ย ฟังนะไอ้เตี้ย กูกำลังจะถามคำถามหนึ่งที่ทำให้มึงดิ่งกว่าเดิม”

   “…กูไม่อยากให้มึงถาม หุบปากไปซะ”

   “ไม่ทันแล้ว” เขาแลบลิ้น “ตกลงผู้ชายหน้าหล่อคนนั้นเป็นอะไรกับมึง”

   “รูมเมท”

   “แล้วเป็นเจ้าของรอยที่คอด้วยหรือเปล่า”

   ผมชะงัก ยกมือจับคอตัวเองด้วยใบหน้าแดงก่ำ เรนถอนหายใจด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย

   “อีกข้าง”

   “เอากระจกมา!”

    ผมเปิดกระจกพับส่องข้างลำคอตัวเอง ก่อนจะเห็นรอยแดงช้ำจ้ำใหญ่ที่ข้างๆซึ่งเป็นมุมที่ค่อนข้างเห็นได้ยากหากไว้ผมยาว
แต่เนื่องจากผมได้ถอดวิกออกไปแล้ว มันเลยเห็นค่อนข้างชัด

   “เจ้าบ้านั่น!”

   “สรุปเป็นแฟนใช่มั้ย”

   “ไม่ใช่!”

   เรนถอนหายใจ

   “ส่วนที่ปากอย่างใจอย่างของมึงเนี่ยน่ารำคาญที่สุดรู้มั้ย”

   ผมคว้าคอนซีลเลอร์มาแต้มรอยที่คอ โบกหนาพอสมควรถึงจะปิดมันได้ พอเสร็จแล้วผมก็หมุนฝาเกลียวปิดมัน เหม่อมอง
รอยแดงจางๆบนลำคอ

   “กู…ไม่คิดว่าเขาเป็นแฟนจริงๆ”

   “หา?”

   “มันเร็วเกินไป สับสนเกินไป”

   “อ้อ ช่วงสับสน” เรนพูดเหมือนกับเข้าใจ

   “เคยผ่านช่วงนี้มาหรือไง”

   “ใครๆก็เคยผ่านทั้งนั้น” เขายักไหล่

   “….”

   “ไหนมึงไม่มั่นใจเรื่องอะไร เล่าให้กูฟังสิ”

   “….เคย์กำลังรออยู่”

   “เคย์รอได้น้า เขาใจดีจะตาย โอ๊ะ…มึงตาขวางใส่กูเพราะไม่พอใจที่กูทำเหมือนรู้เรื่องของเขาเหรอ”

   ผมล่ะเกลียดที่เขาเดาความรู้สึกผมเก่งจนเหมือนพยาธิในท้องเสียจริง

   “กูไม่เข้าใจ กูพูดไม่ถูกเหมือนกัน”

   “งั้นก็เอาไปตกผลึกกับตัวเองก่อนแล้วค่อยเอามาพูดกับกู” เขารวบของใส่กระเป๋าแล้วออกเดิน ผมเดินออกจากห้องน้ำข้าง
กับเขา มือที่ถือกระเป๋ารู้สึกว่าน้ำหนักมันเบาหวิวเพราะหัวใจผมถูกถ่วงจนเจ็บไปหมด

   “…มันจะสายเกินไปหรือเปล่า” ผมถามอย่างไม่แน่ใจ ดวงตาหลุบมองพื้นอย่างที่ปกติไม่เคยทำ

   จะแน่ใจได้อย่างไรในเมื่อปฏิกิริยาวันนี้ของเขามันชัดเจนว่าความสำคัญของผมในใจเขามันลดอย่างที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

   “…”

   “ช่วงนี้เขาไม่กลับห้องเท่าไร ไม่รู้ไปค้างที่ไหน กูแค่…”

   ผมแค่กลัวกับความเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน ทั้งยังตกใจกับความคุ้นชินที่ตัวเองมีหมาตัวใหญ่วิ่งไปวิ่งมาอย่างร่าเริงอยู่
รอบๆกาย แม้จะเหนื่อยหน่ายกับนิสัยของมันสักหน่อยแต่เมื่อมันหายไปแล้ว ผมก็ได้แต่กวาดตามองหาทุกครั้งที่เดินออกไปข้างนอก

   “กูไม่ใช่ที่ปรึกษาทางด้านความรักที่ดี แต่แนะนำให้รีบคุยกันซะ มึงน่ะ มีเรื่องอะไรในใจก็เล่าๆออกมาให้ฟังบ้าง ไม่ใช่
เอาแต่อมพะนำ เก็บเงียบเพราะไม่อยากทำตัวเหมือนกับเรียกร้องความสนใจ ทำเหมือนไม่อยากได้ความรักจากใคร เหมือนกับ
ว่ามึงอยู่ได้ด้วยตัวคนเดียว”

   “…”

   “กูจะพูดให้มึงฟังไว้อย่างนะ…ไม่มีมนุษย์คนไหนอยู่ตัวคนเดียวบนโลกนี้ได้ มันกว้างเกินไป”

   “กู…”

   “มนุษย์ต้องการความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะระดับไหน ครอบครัว เพื่อน คนรัก มันเป็นพื้นฐานในการอยู่รอดของมนุษย์”

   “คนเราต้องการปัจจัยที่5ต่างหาก” ผมแย้ง

   “มีปัจจัยทั้ง5จนล้นฟ้ามึงก็จบชีวิตตัวเองได้ถ้ามึงไม่มีความสุข”

   “…”

   “มึงต้องก้าวออกมาจากอดีตของพ่อกับแม่มึงได้แล้ว อย่าให้มันฉุดรั้งชีวิตมึงให้ต้องจมไปกับซากเรือที่พวกเขาก่อไว้”

   “กูออกมาแล้ว กูมูฟออนได้แล้ว”

   “มึงยังทำไม่ได้จิน”

   “มึงต่างหากที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย!”

   เหมือนเขาจี้ใจผมอย่างแรงเมื่อเขาพูดถึงเริ่องที่ผ่านมาของครอบครัวผม เรนทำเหมือนกับรู้ดีไปซะทุกอย่าง ทั้งๆที่เขาก็แค่
เผอิญอยู่ด้วยในเหตุการณ์ต่างๆก็เท่านั้น

   เขาเป็นคนเดียวที่ทำเหมือนกับว่าผมมีปัญหา หมอนั่นมองทุกอย่างเกี่ยวกับผมออกเสมอ และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผม
เกลียดเขาเหลือเกิน

   เรนใช้ปลายนิ้วชี้แปะปากผมไว้ไม่ให้พูด เขาส่งเสียงชู่วเบาๆ

   “moving on is not running away มึงไม่ได้กำลังก้าวต่อ…มึงกำลังวิ่งหนีอยู่ต่างหาก”

   วิ่งหนี…? ผมน่ะเหรอกำลังวิ่งหนี

   ผมนิ่งคิดสิ่งที่เขาพูด

   ก็อาจจะถูก

        บางทีผมอาจจะกำลังวิ่งหนีความรู้สึกไม่แน่นอนที่อาจจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ผมไม่ต้องการ และเพราะความกลัวนั้นมันผลักดันให้ผมปิดหูปิดตาออกวิ่งโดยไม่รู้ทิศทาง

   “กูไม่อยากคิดเรื่องนี้” ผมหลบสายตา จ้องมองไปข้างหน้า เห็นร่างสูงเด่นยืนพิงกำแพงอยู่ แม้เคย์จะทำเพียงกอดอกจ้องไปเบื้องหน้า แต่เขายังสามารถเรียกสายตามากมายให้มองตามได้เหมือนเดิม

   เรนเหม่อมองตามผมเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนๆเหมือนกำลังพูดกับเด็กห้าขวบ

   “…หันกลับไปมองสิ่งที่มึงวิ่งหนีให้เต็มๆตา เข้าไปรู้จักกับมัน และอย่าก้าวออกมาจนกว่ามึงจะเข้าใจมันจริงๆ”

   แต่มีสิ่งหนึ่งที่เรนไม่เข้าใจ

   “แล้วถ้ากูทำมันพังล่ะ” ผมถามไปอย่างไม่ต้องการคำตอบ เหมือนแค่รำพึงกับตัวเอง ผมแทบเห็นจุดจบทั้งๆที่มันไม่ได้เริ่ม

   ผมทำพังตลอด ความสัมพันธ์เมื่อถลำลึกเกินไปมันมักจะพังลงมาไม่เหลือซากเหมือนครั้งที่ผ่านๆมา

   ถ้าทั้งความรู้สึกของผมกับเขามันพังในวันที่ผมแน่ใจในตัวเอง ผมจะทำยังไง

   บางทีที่เป็นอยู่นี่อาจจะเป็นเซฟโซนสำหรับเรา ถ้าผมก้าวขาออกนอกพื้นที่นี้ อาจจะโดนระเบิดลงตายทั้งๆที่ยังไม่ทันได้ออกไปเต็มตัว

   เรนหันมายิ้มให้กับผม มันเป็นรอยยิ้มน่าขนลุกที่ไม่น่ามีเรื่องดีเกิดขึ้น

   “ไม่ต้องห่วงจิน กูว่าจากที่กูเห็น มึงก็ใกล้ทำมันพังแล้วล่ะ”




   คำพูดของเพื่อนก้องในหัวไม่หยุดกระทั่งตอนที่ทั้งผมและเคย์เดินมาถึงรถแล้ว

   “เออ…” ผมมองคนตัวสูงที่กำลังจะเดินไปด้านคนนั่งตามความเคยชินพร้อมกับยื่นกุญแจรถให้ “วันนี้ขับให้หน่อย…ได้มั้ย”

   ชายหนุ่มมีเครื่องหมายคำถามบนหน้าอย่างเด่นชัดเมื่อผมพูดอย่างนั้น แต่พอเขาเห็นผมกำลังขมวดคิ้วหน้าซีด เคย์ก็เดินมารับโดยไม่พูดอะไร

   รูมเมทผมหมุนพวงมาลัยอย่างคล่องแคล่วพาพวกเราออกมาจากลานจอดรถ ผมที่นั่งอยู่ที่นั่งข้างคนขับได้แต่เสมองออกนอกหน้าต่างรถอย่างไม่รู้จะพูดอะไร

   แล้วผมก็รู้สึกถึงลมเย็นที่ถูกเป่ามาโดนหน้า ผมหันไปมองก่อนจะพบว่าเคย์กำลังปรับใบพัดกับแอร์ให้ผมอยู่

   “…”

   แย่แล้ว ขนาดจะพูดทักเขา ผมยังไม่รู้ว่าควรพูดอะไร

   ความเป็นธรรมชาติตอนนั้นมันหายไปไหนกันนะ

   “จะเป็นลมหรือเปล่า ทำไมสีหน้าดูไม่ดีทั้งวันเลย” เขาใช้มือเช็คลมแอร์ว่าพัดมาถึงผมจริงๆ คิ้วคมๆนั่นขมวดมุ่นไปหมดจนเกิดรอยยับย่นที่หน้าผาก

   ผมเหม่อมองหน้าเขานานเหมือนกับเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก

   หันกลับไปมองเสื้อกันหนาวสีดำที่นอนนิ่งอยู่ตรงเบาะหลัง ผมไม่คิดว่ามันแสลงตาเหมือนเดิมอีกต่อไป
ถ้าหากกลับมาอยู่ด้วยกันแบบนี้ เขาก็ยังเป็นเคย์คนเดิมที่เอาใจใส่ผม

ิ        ผมรู้สึกได้ว่าเสี้ยวนึงในใจรู้สึกโล่งอก หัวใจเบาลงเมื่อเขาไม่ได้ทำตัวเย็นใส่ผมอีกต่อไป

   พวกเราจอดติดไฟแดงเมื่อขับรถออกมาจากพารากอนได้สักพัก เขาใช้มือถูจมูกเห็นได้ชัดว่าไม่รู้จะทำอะไรกับสถานการณ์ระหว่างเราเช่นกัน

   “เดี๋ยวขึ้นทางด่วนไปรังสิตเลยแล้วกันนะ”

   “อ้อ ก็ได้”

   “อือ”

   เคย์ออกรถเมื่อสัญญาณไฟเขียวมาถึง เขาขับรถอย่างชินทาง เลี้ยวขึ้นทางด่วน ไปต่อยาวจากสยามถึงรังสิต มือของเขาเลื่อนมากดวิทยุทั้งๆที่ตายังคงมองถนน ผมเห็นดังนั้นจึงเอื้อมไปช่วยเขาเปิด

   จังหวะที่ผมกดหน้าจอวิทยุ มือเราสัมผัสกันเพราะชายหนุ่มปัดป่ายมือมาโดนผม เขาชะงัก รีบเก็บมือไปขับรถเหมือนเดิม

   ความรู้สึกหนักๆในอกมันกลับมาอีกแล้ว

   ผมพยายามมองเมินมัน เชื่อมวิทยุเข้ากับบลูทูธของเครื่องแล้วเล่นเพลงแรนด้อมในเพลลิสต์

   ตอนนี้กรุงเทพถูกปกคลุมด้วยความมืด ยิ่งออกมาไกลจากเมืองเท่าไรยิ่งมืดลงเท่านั้น แต่กระนั้นมันก็สว่างเกินกว่าจะเห็นแสงดาว

   ผมจ้องมองไฟถนนสีส้มที่สาดเข้ามาจนทำให้เห็นเสี้ยวหน้าของคนที่นั่งอยู่ตรงคนขับ เขาเหมือนภาพลางๆ เป็นเหมือนฝันตื่นหนึ่งที่เพียงผมโบกมือผ่านแล้วจะหายไป

   แสงไฟตามบ้านเรือนไม่มีอีกแล้วเมื่อเราขับออกมาไกลจากเมืองมากขึ้นทุกที ภาพวิวภายนอกเลือนรางเพราะความมืด มีเพียงเสียงเพลงดังขึ้นด้วยทำนองทุ้มต่ำที่ชัดเจน

   Such a funny thing for me to try to explain
       How I'm feeling and my pride is the one to blame

      ทำไมความสัมพันธ์ถึงต้องพัฒนากันด้วยนะ ทำไมเราไม่หยุดอยู่ตรงที่เราพอใจกันทั้งสองฝ่าย

      ทั้งๆที่ถ้าเริ่ม มันก็จะจบแท้ๆ

Cause I know I don't understand
How your love can do what no one else can


   ผมไม่ได้แคร์เรื่องเพศ มันไม่ใช่เรื่องพรรค์นั้น

   ผมก็แค่พอใจกับตำแหน่งที่เป็นอยู่ และผมทนไม่ได้ถ้าสักวันเขาจะแทนที่ผมด้วยใครเพียงเพราะว่าผมไม่สามารถตอบรับความรู้สึกได้อย่างเต็มปาก

   Got me looking so crazy right now
       Your love's got me looking so crazy


   ทั้งแม่และพ่อ เมื่อก่อนก็เคยรักกันขนาดนั้นแท้ๆ ในรูปที่พวกเขาถ่ายด้วยกันในวันแต่งงาน ทั้งคู่ดูมีความสุข มีรอยยิ้มให้แก่กัน มองกันเหมือนเขาไม่สามารถมองใครด้วยสายตาแบบนั้นได้อีกแล้ว

   แต่ตอนนี้ผมกลับเห็นแต่ซากของสิ่งที่เคยเป็นความรักของคนทั้งคู่

   มันพัง แหลกสลายและไม่เชื่อใจในความสัมพันธ์ที่เรียกว่ารักอีก

Looking so crazy, your love, you got me looking
Got me looking so crazy, your love


   ผมที่เคยถูกเรียกว่าพยานรักของพ่อและแม่ ตอนนี้เป็นได้เพียงเศษซากที่เหลืออยู่ของความรู้สึกที่ทั้งคู่เคยมี


   “ทำไมวันนี้ไปงานคอสเพลย์คนเดียว ไม่บอกกูก่อน” เขาถามขึ้นในจังหวะที่เราเลี้ยวรถขึ้นหอพัก สายตาคมยังคงมองตรงไปข้างหน้า ไม่แม้แต่จะเหลือบตามามองคู่สนทนาอย่างผม

   “ทำไมกูจะต้องบอกมึงด้วย” ด้วยความรู้สึกตึงๆในหัวใจ ผมเลือกใช้คำที่น่าจะทำร้ายเขาไปได้มากที่สุดทั้งๆที่คนโดนทำร้ายจนหัวใจขาดวิ่นนั้นมันคือผมเอง

   “วันนี้ก็เห็นอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้น ยังจะกล้าไปคนเดียวอีก อย่างน้อยก็บอกกูบ้าง ถ้าไม่ได้กลับห้องมาเห็นโน้ตแล้วจะทำยังไง”

   “แล้วมึงจะยุ่งทำไม”

   “ก็กูเป็นห่วง!” เคย์กำพวงมาลัยแน่นจนเส้นเลือดที่แขนปูดโปน เขาขบกรามระงับอารมณ์ในขณะที่ตัวผมได้แต่คือแข็งค้างเมื่อเห็นเขาตะโกนออกมาอย่างนั้น

   ในที่สุดชายหนุ่มก็ควบคุมลมหายใจหนักๆของตัวเองได้ เขาผ่อนลมยาวๆแล้วถามขึ้นมาใหม่

   “คิดมากเรื่องที่กูบอกว่าชอบไปใช่มั้ย”

   “…” ผมใช้ความนิ่งเงียบเข้าสู้ ทำเป็นเหมือนไม่รู้เรื่องอะไร

   เคย์ถอยรถเข้าช่องจอด ใช้เวลาพอควรเพราะที่จอดรถตึกเรามีช่องที่แคบมาก ระหว่างนั้นพวกเราต่างก็เงียบ ต่างจมลงไปในความคิดและหาทางออก

   “ไปกันเถอะ”

   รูมเมทผมเป็นฝ่ายเปิดประตูลงไปก่อน ดังนั้นผมจึงตามลงไปบ้าง เคย์เร่งเท้าจนทิ้งห่างกับผม และเป็นตัวผมเองที่ตกใจกับระยะห่างนั้นจนต้องรีบเดินไปข้างๆเขา

   ทันใดนั้นเขาหยุดเดินพร้อมกับหันมาเผชิญหน้ากับผม

   ผมรู้ว่าเวลานี้มาถึงแล้ว เวลาที่เราต้องพูดสิ่งที่คิดออกไปให้หมด แต่ภายใต้ความคิดอื้ออึงในหัว ผมไม่สามารถเรียบเรียงอะไรออกมาเป็นคำพูดได้เลย

   ผมไม่พร้อม มือชื้นเหงื่อขยับอย่างอึดอัดและกำมันแน่น จนกระทั่งเคย์ยกมือผมขึ้นมาคลาย ค่อยๆแกะนิ้วผมทีละนิ้วออกอย่างใจเย็น

   “ทั้งหมดนั่น…เรื่องระหว่างเรา กูเป็นฝ่ายเริ่มเองทั้งๆที่มึงไม่ชอบ และอาจจะไม่ยินยอมด้วยซ้ำ กระทั่งครั้งต่อๆมา กูก็ยังบังคับมึงไม่เลิก ตอนนั้นที่กูบอกชอบ กูแค่อยากให้มึงตอบรับความรู้สึกกู กูแค่รู้สึกเหมือนเราใจตรงกัน”   

   เขาเริ่มพูดมันออกมาแล้ว ทั้งๆที่ตัวผมยังคงไม่สามารถเข้าใจตัวเองได้ ทุกคำพูดของเคย์หนักแน่น จริงจังจนเหมือนกับว่าความรู้สึกของเขาถูกส่งผ่านคำพูดมาด้วย

   มันเศร้าสร้อย และหมดหวัง

   “…”

   “กูแค่ผิดหวัง…แต่กูรู้ว่ากูเป็นฝ่ายผิด กูแค่ขอเวลา”

   เขาเงยหน้าขึ้นสบตาผม ผมมองเห็นดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเขารื้นน้ำตาน้อยๆทำให้ดวงตาเขาวาววับกว่าทุกที

   “กูขอโทษ คงทำให้ลำบากใจสิน่ะ มึงไม่ต้องทำหน้าอย่างนั้นหรอก กูผิดเอง เพราะกูเป็นฝ่ายยัดเยียดความรู้สึกให้มึงเอง”

   เคย์ปล่อยมือผม เขาฝืนยิ้มครั้งหนึ่ง เป็นรอยยิ้มที่เหมือนพยายามกระตุกริมฝีปากเสียมากกว่า

   ผมได้แต่ยืนนิ่ง มองดูเขาที่หันหลังเดินออกไป ความรู้สึกในหัวอื้ออึ้ง มันตีกันไม่หยุด เหมือนกับว่าผมมีล้านความคิดอยู่ในสมอง แต่กลับถ่ายทอดมันออกมาไม่ได้แม้ครึ่งค่ำ

   หัวใจผมร่วงหล่นกระแทกพื้นตามจังหวะก้าวเดินของผู้ชายตัวสูง

   เรนพูดถูก

   ผมทำมันพังจริงๆ

---------------------------------------------------------------
เหมือนมีบางคนพึ่งเข้ามาอ่าน คือตอนสั้นๆที่เป็นชื่อชุดคือเป็นเรื่องหลังจากเรื่องหลักนะคะ แฮ่ จะมีประมาณ17ตอน ส่วนที่เหลือล้วนแต่เป็นตอนพิเศษที่เขียนเพราะอยากเขียนอะไรกามๆกับคอสเพลย์ค่ะ ฮา

นั่งไล่อ่านทุกคอมเม้นท์เลย นี่อยากตอบมากแต่โปรเจ็ครัดตัวจะตายแล้วค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่9 P.10 UP!![21/2/19]
เริ่มหัวข้อโดย: nofsnof ที่ 22-02-2019 00:25:42
 :sad4: :sad4:
ฮื้ออ ไม่ได้น้าา
เคย์กลับมาก๊อนน  :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่9 P.10 UP!![21/2/19]
เริ่มหัวข้อโดย: TheWanFah ที่ 22-02-2019 00:26:23
รีบเคลียร์กันเลย
สงสารเคย์
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่9 P.10 UP!![21/2/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 22-02-2019 00:32:59
โอ่ยยยย จินเลิกกลัวเถอะลูกกกกก :katai1:
เจ้าเคย์กำลังจะถอดใจแล้ว ไปตามเค้ากลับมาลูกกกก :hao7:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่9 P.10 UP!![21/2/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Kx0806 ที่ 22-02-2019 01:49:00
จินต้องสู้นะ สู้กับตัวเองให้ได้ เข้มแข็ง มูฟออนให้ได้จริงๆสักที ส่วนเคย์ให้เวลาน้องจินหน่อย จินอยู่คนเดียวมาตลอด ปากแข็งไปงั้นแหละ จริงๆ ก็รัก แค่ยังไม่รู้ตัว ละเป็นการให้เวลาตัวเองด้วย ทบทวนว่าเคย์รักจริง หรือรู้สึกเป็นอย่างอื่น แต่อย่านานนะ คนอ่านใจจะขาดแล้ว  :z3:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่9 P.10 UP!![21/2/19]
เริ่มหัวข้อโดย: _leoonearth_ ที่ 22-02-2019 11:19:59
โอ้ยยยย หน่วงใจจจจจ
ใจกระตุกเลยยย ตอนเคย์เดินหันหลัง เคย์จะทิ้งน้องงงหรอ ม่ายยยยยยยยยยยยยย
เราเข้าใจทั้งคู่นะ จินก็มีอดีตที่ฝังใจ พยายามจะmove onแล้ว แต่ลึกๆก็ยังจมอยู่กับมัน
ส่วนเคย์ หมายักษ์ก็อดทนและรอน้องจินหน่อยน้าาาาาาาา
ขอบคุณที่มาอัพเรื่อยๆๆนะคะ เรารอเสมอนะคะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่9 P.10 UP!![21/2/19]
เริ่มหัวข้อโดย: yunnutjae ที่ 22-02-2019 13:05:38
ตัดจบได้แบบนอกจากจะหน่วงแล้วก็ยังจะ
ค้างมากเด้อ   :hao5:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่9 P.10 UP!![21/2/19]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 22-02-2019 17:21:24
 :monkeysad: :monkeysad: :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่9 P.10 UP!![21/2/19]
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 22-02-2019 23:24:51
กลัวขนาดนี้ก็ปล่อยให้มันพังไปเถอะ อยู่คนเดียวกับพวกชุดคอสเพลย์ของเทอไปซะ ลำคานนนน
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่9 P.10 UP!![21/2/19]
เริ่มหัวข้อโดย: ข้าวสวย ที่ 23-02-2019 07:05:29
โคดน่ามคาน พังๆอยู่คนเดียวต่อไปไปเหอะ วิ่งหนีไปเรื่อยๆเหอะ นิสัยโคดไม่น่าคบเลย เอาปมปันยาอ่อนวันเด็กมากั๊กคนอื่น ปล่อยเคย์ไปเจอคนดีๆเหอะเนอะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่9​ ของพังๆ P.10 UP!![21/2/19]
เริ่มหัวข้อโดย: tixjubz ที่ 24-02-2019 00:28:26
ใจคนอ่านพังพร้อมน้องเลย แงงงงง
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่9​ ของพังๆ P.10 UP!![21/2/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 25-02-2019 00:35:21
เราเข้าใจความรู้สึกน้องนะ จะเริ่มก็กลัวว่ามันจะพัง แต่ไม่เริ่มก็กลัวว่ามันจะพัง เรายังไม่รู้ปมที่แน่ชัดว่าน้องเจออะไรมาหนักแค่ไหน สงสารน้อง ใครไม่เข้าใจพี่เข้าใจนะคะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่9​ ของพังๆ P.10 UP!![21/2/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Wwavez ที่ 05-03-2019 01:48:00
แง ช่วยเวลาของความบีบใจคนอ่าน :o12:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่9​ ของพังๆ P.10 UP!![21/2/19]
เริ่มหัวข้อโดย: MeiHT ที่ 07-03-2019 23:56:55
*warning* บทนี้อาจมีเนื้อหาที่ทำให้ดาวน์หรือจิตตกได้ หากรู้สึกทริกเกอร์ขอให้ปิดนิยายเรื่องนี้ลงหรือโทรไปที่เบอร์ 1323 สายด่วนสุขภาพจิตนะคะ

บทที่ 10 : หาทางออก

ผมนอนนิ่งมองเพดานสีขาวในห้องอย่างไม่อยากขยับตัวไปไหน ปล่อยร่างเปื่อยๆของตัวเองไปอย่างเสียเปล่าโดยไม่แม้แต่จะเปิดหนังสือเตรียมอ่านสอบมิดเทอมเสียด้วยซ้ำ

ตอนแรกผมเกือบจะทักเคย์ให้เข้ามาเอาหนังสือไปเรียนด้วยเพราะเขาไม่ได้เอาอะไรไปเลย แถมยังไม่ได้กลับห้องมาหลายวันแล้ว แต่ผมก็จำได้ว่าเขาไม่มีสอบมิดเทอม นั่นก็เท่ากับว่าเขาไม่มีความจำเป็นที่ต้องกลับมาที่ห้องเลย

ผมงัดร่างของตัวเองขึ้นมา รับรู้ได้ว่าการอยู่อย่างนี้ไม่ดีแน่ๆ นอกจากจะมีไม่มู้ดพอจะอ่านหนังสือแล้วยังดิ่งจนไม่อยากอยู่คนเดียวอีก

เจ้าบ้าเอ๊ย…ถ้าจะมีเรื่อง มีวันอื่นที่ไม่ใช่ช่วงสอบมิดเทอมไม่ได้เรอะ

หันไปคว้ากุญแจรถมาได้ ผมก็กวาดหนังสือกับไอแพดลงกระเป๋า จุดมุ่งหมายคือออกจากห้องแคบๆนี่ ขึ้นรถ แล้วพาสารร่างของตัวเองไปที่ที่สบายใจที่สุด

หลังจากชับรถมาอย่างยาวนาน ในที่สุดผมก็จอดหน้าร้านคาเฟ่แห่งหนึ่งในย่านธุรกิจ ผมหอบของลงมาจากรถ เหวี่ยงกระแทกประตูคาเฟ่อย่างแรงจนครหลังเคาท์เตอร์ชะโงกหน้าออกมาดู

“อ้าว น้องจิน” คนที่ยืนทักทายผมอยู่หลังบาร์นั้นคือผู้ดูแลคาเฟ่แห่งนี้ เขาชื่อว่าพี่พล

พี่พลเป็นผู้ชายตัวสูงใหญ่ผิวแทน มีรอยสักลากยาวมาถึงแขน ผมไม่เคยเห็นหรอกว่าเจ้าตัวสักไว้ตรงไหนบ้าง แต่ก็น่าจะเต็มหลัง รอบตัวเขามีกลิ่นอายความอันตรายเหมือนคนผ่านการใช้ชีวิตมาอย่างหนักหน่วง

“ไงครับ” ผมทักทายสั้นๆ “วันนี้มีใครอยู่ข้างบนมั้ย”

“มี คุณมิ้นต์นั่งทำงานอยู่”

ผมพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับ

“ขอโกโก้กล้วยหวานๆเลยนะครับ”

“ได้” พี่พลผู้เคร่งขรึมยังคงคอนเซ็ปการพูดน้อยต่อยหนักเหมือนเดิม ผมที่ละความสนใจจากชายร่างสูงใหญ่แล้วก็ก้าวตรงไปชั้นสองที่ติดป้ายห้ามคนนอกเข้า

ผมมองเมินสัญญาณนั่น แล้วผลักประตูห้องเข้าไปทันที สภาพภายในชั้นสองของคาเฟ่ที่ดูลึกลับแห่งนี้คือห้องนั่งเล่นท่าทางอบอุ่นที่มีต้นไม้สีเขียวห้อยจากกระถางที่แขวนไว้ข้างบน เพดานสูงโปร่งกับเฟอร์นิเจอร์โทนอบอุ่นเข้ารูปยิ่งทำให้ห้องดูสว่างสดใสขึ้นไปใหญ่

ผมกล่าวทักทายผู้หญิงที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟา

“สวัสดีครับพี่มิ้นต์”

“อ้าว จินนี่น้า” เธอโบกมือหยอยๆให้ผม พี่มิ้นต์เป็นผู้หญิงท่าทางทะมัดทะแมง หล่อนมีผมสีน้ำตาลยาว หน้าตาสะอาดสะอ้านที่ถูกบรรจงด้วยเครื่องสำอางบางๆเรียกได้ว่าสวยตามสมัยนิยม

ผมวางหนังสือไว้บนโต๊ะ ไม่มีใครถามอะไรอีกเช่นเคยแม้เธอจะสังเกตเห็นร่องรอยความเหนื่อยล้าบนใบหน้าผม

พี่มิ้นต์เพียงแค่สังเกตผมด้วยท่าทางนิ่งๆอย่างที่เป็นมาตลอดและปล่อยให้ผมพูดเรื่องที่อยู่ในใจออกมาเอง

“พี่กำลังกดดันให้ผมพูดอยู่ใช่มั้ย” ผมทิ้งตัวลงบนโซฟาตัวโปรดที่ตนมักจะชอบมานั่งอยู่เสมอๆพร้อมกอดอกมองคนอายุมากกว่าที่ยิ้มกริ่ม

“แหม ก็น้องหายไปลั้ลลามาตั้งหลายเดือน อยู่ดีๆก็กลับมาพร้อมหน้าหม่นหมองจะให้พี่เดาอะไรอีกล่ะคะ”

ผมหัวเราะรวน

“มหาลัยยากใช่มั้ยล่ะ” พี่มิ้นต์เท้าคาง ดวงตาใสกระจ่างของผู้หญิงอายุ30สามารถมองทะลุผมได้เหมือนทุกครั้ง

“…ครับ หลายๆอย่างเลย” ผมตอบออกมาในที่สุด

“ความรักก็ด้วยใช่มั้ย”

ผมแค่นหัวเราะตอบกลับไปทีนึง

“แหม วัยรุ่นก็ดีอย่างนี้แหละน้า เป็นวัยค้นหาตัวเอง มีประสบการณ์ใหม่ๆเป็นครั้งแรก พอเจอกับความรักมากๆเข้า เราก็เริ่มจะชินชาซะแล้ว”

“ที่พี่มิ้นต์คบกับแคลร์ พี่มิ้นต์เคยเบื่อเขามั้ยครับ” ผมโพล่งถามออกไปอย่างนั้น ทั้งๆที่รู้ว่าเสียมารยาทแต่กลับอยากรู้จนเกินทน

สาวสวยที่กำลังพร่ำพรรณนาถึงวัยรุ่นของหล่อนหุบปากฉับ แคลร์ที่ผมพูดถึงเป็นแฟนของเธอเอง และก็ยังเป็นผู้หญิงเหมือนกับพี่มิ้นต์ด้วย

“อืมมม เบื่อมั้ย ก็มีเบื่อบ้างแหละ แต่พี่รักเขานี่นา มันทั้งรักทั้งผูกพันล่ะนะ บอกไม่ถูกหรอก”

ผมกำมือบนตักแน่น ในหัวมีภาพของพ่อกับแม่ฉายวนไม่หยุด พวกเขาในวิดีโอกับรูปต่างๆที่เคยเห็นแตกต่างจากพ่อแม่ตัวจริงที่ผมเห็นจนนึกว่าเป็นคนล่ะคน

“ผม…จะเล่าเรื่องให้ฟังเรื่องนึง หลังจากเรื่องนี้จบ…พี่คิดซะว่ามันไม่ใช่ตัวผมนะครับ”

สาวสวยเอนกายลงอย่างเกียจคร้าน แต่ดวงตากลับตื่นเต้นเหมือนรอคอยที่จะได้ฟังเรื่องจากผม

“ผมมีรูมเมทคนหนึ่ง เขาเป็นคนดีมาก คือ…มีเรื่องต่างๆเกิดขึ้น เอาเป็นว่าเร็วๆนี้เขาสารภาพว่าชอบผม จริงๆแล้วเขาก็พูดหลายรอบแล้ว แต่ผมบ่ายเบี่ยงทุกรอบ ปัดบ้าง โมโหใส่บ้าง ผมเอง…ผมว่าผมไม่ได้ชอบเขา คือจริงๆผมก็ไม่รู้ ผม…” ยิ่งพูดก็ยิ่งคอแห้ง ผมเลียริมฝีปากแห้งแตกระแหงต่างจากเวลาปกติที่ดูแลตัวเองจนเข้าขั้นหมกหมุ่น

“ไม่ได้ชอบเขาจริงๆหรือแค่ยังค้นความรู้สึกของตัวเองไม่เจอ” พี่มิ้นต์แทรกขึ้น หล่อนทอดกายยาวเหยียดบนโซฟา “ความรักมันน่าสับสน งุนงง มันไม่มีเหตุผล เพราะฉะนั้นต้องใช้ความรู้สึกนำเสียส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นข้อเสียน่ะ เพราะเมื่อมีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง มนุษย์มักตัดสินใจได้แย่กว่าเดิม”

ผมพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

“ความรักเนี่ย ไม่ดีเลยนะครับ”

“เพราะจินคิดว่ามันไม่ดีมันก็เลยไม่ดียังไงล่ะ เป็นอคติส่วนตัวจากเรื่องในอดีต ฟังนะเด็กน้อย…มนุษย์ทุกคนเติบโตมาล้วนมีบาดแผล ทั้งจากที่คนอื่นตั้งใจทำหรือไม่ตั้งใจก็ตามแต่ ทุกคนมีรอยแผลเป็น บางคนใช้ความแข็งกร้าวเข้าสู้ทั้งๆที่มีแผลเหวอะหวะ นั่นเพราะคนเหล่านั้นรู้จักแต่การทำร้าย เขาเลยทำร้ายคนอื่นด้วย มันคือกลไกป้องกันตัวเอง”

พี่มิ้นต์ดูดน้ำหวานที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทั้งๆที่นอนอยู่ จึงหกเลอะเสื้อไปนิดหนึ่ง แต่เจ้าตัวไม่ใคร่ใส่ใจนัก

“ที่จินทำก็เหมือนคนพวกนั้น ไม่ว่าตั้งใจหรือไม่ จินก็ได้ทำร้ายรูมเมทคนสำคัญของตัวเองแล้วเหมือนกัน”

“ผมไม่ได้ทำร้ายเขา!”

“การที่โดนคนที่ชอบปฏิเสธหรือหักหน้าบ่อยๆน่ะ มันไม่โอเคเลยนะ” หล่อนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง กระทั่งลุกขึ้นมานั่งเพื่อมองตาผม

“…ผมไม่ได้ตั้งใจ” 

“คนเราไม่จำเป็นต้องตั้งใจ เพื่อทำร้ายใครหรอก”

“…”

“บางครั้งไอ้ความไม่ตั้งใจของเรานี่แหละที่ทำร้ายคนได้มากที่สุด”

“พี่มิ้นต์คิดว่าผมทำให้เขาเจ็บเหรอครับ แต่เขาไม่เคยแสดงออกอะไรให้ผมเห็นเลยนะ” เมื่อคิดๆย้อนกลับไปแล้ว ทุกช่วงเวลาเหล่านั้นเคย์ไม่เคยทำหน้าเหนื่อยหน่าย เศร้าสร้อยหรือผิดหวังอย่างที่เห็นล่าสุดมาก่อน

“จินไม่เห็นจริงๆเหรอ หรือแค่ทำเป็นไม่เห็น”

ผมรู้คำตอบนั้นแก่ใจตัวเองดี แต่ผมละอายเกินกว่าจะยอมรับหรือแม้กระทั่งมีกำแพงสูงกั้นจนกระทั่งหลอกตัวเองว่าการมองเมินนความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นมันเป็นการดีสำหรับเรา

กริ๊ง!

เสียงกระดิ่งที่ประตูดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงใหญ่ของผู้ดูแลร้านคาเฟ่ที่ร่างกายเต็มไปด้วยรอยสักจนดูน่ากลัว เขาเดินถือแก้วทัมเบลอร์ลายกระต่ายน่ารักที่ไม่เข้ากับหน้าตาติดมือเข้ามาด้วย

“โกโก้กล้วยครับน้องจิน” เสียงดุดันของพี่พลดูซอร์ฟลงด้วยความสุภาพของเจ้าตัว ผมรับมันมาดูดฟืดเดียว จนได้รับรสเย็นหวานของโกโก้และกลิ่นของกล้วยในสัดส่วนที่พอดีกัน

“ขอบคุณครับพี่พล”

หน้าโหดๆพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มมุมปากที่ทำให้เจ้าตัวดูน่ากลัวมากกว่าน่าเข้าใกล้

“คุยเรื่องอะไรกันอยู่เหรอครับ” พี่พลนั่งลงตรงที่วางแขนของโซฟา เป็นสัญญาณว่าเจ้าตัววางเรื่องลูกค้าให้กับพนักงานข้างล่างเรียบร้อยแล้ว และพร้อมจะฟังเรื่องอะไรก็ตามยามที่สมาชิกในคาเฟ่นี้มีปัญหา

“เรื่องความรักของน้องจิน”

“พี่มิ้นต์!”

ชายหนุ่มร่างสูงหรี่ตาลงจนดูดุร้ายคล้ายเสือ

“เป็นคนยังไงเหรอครับน้องจิน”

เหวอ อาการหวงเหมือนเสือแม่ลูกอ่อนออกมาแล้ว

พี่พลเป็นเหมือนพี่ชายที่เห็นมาตั้งแต่เล็ก เขาอยู่กับผมมานานที่สุดและเป็นคนเริ่มชั้นบนคาเฟ่นี้กับแม่ในตอนที่ท่านยังอยู่ ตั้งแต่ท่านเสียไปก็มีแต่พี่เขาที่คอยดูแลผมมาตลอด กระทั่งเป็นคนคอยติดต่อทำเรื่องกับมหาลัยให้ในตอนที่ผมหนีไปเที่ยวต่างประเทศ

“เป็น…คนดีครับ แบบว่าหน้าตาเหมือนเพลย์บอยไปสักหน่อย ถ้ามองแวบแรกอาจจะเข้าใจผิดได้ แต่ตัวจริงเขาเป็นคนให้เกียรติคนอื่น ขี้กังวลกับสายตาคนรอบข้าง ปฏิเสธใครไม่เป็นจนบางทีสร้างความเดือดร้อนให้ตัวเองซะงั้น” ยิ่งคิดถึงหน้าคมๆดุๆของคนที่ตกเป็นหัวข้อบทสนทนา เรื่องราวยิ่งไหลออกมาจากปากได้เรื่อยๆเท่านั้น

“อย่างล่าสุดก็เผลอไปรับปากมาทำเรื่องที่ตัวเองไม่มั่นใจ สุดท้ายก็ต้องมานั่งคอตกอยู่ในห้อง เป็นคนที่ละสายตาไม่ได้เลยเพราะไม่รู้ว่าจะไปทำเรื่องอะไรให้ตัวเองลำบากอีกเมื่อไร ฮะๆ”

เมื่อผมเงยหน้าขึ้นมามองผู้สนทนาก็พบว่าคนทั้งสองในห้องกำลังมองผมพร้อมกับอมยิ้ม

“อะไรครับ!?” ผมร้อนตัวเมื่อเห็นผู้ใหญ่ทำหน้าเหมือนรู้ทัน

“นี่มันชอบเขาไปแล้วชัดๆนี่นา”

“ชัดเจนแล้วนะครับ”

“พี่อย่ามาพูดมั่วๆนะ! ก็ผมบอกอยู่ว่าผมกำลังสับสนไง!”

“ยังจะสับสนอะไรอีกล่ะคะ ในเมื่อสายตาน้องตอนเล่าเรื่องมันบอกทุกอย่างหมดแล้ว”

“หา?” ผมส่งเสียงอย่างไม่แน่ใจเมื่อหญิงสาวพูดเรื่องที่ผมไม่ค่อยเข้าใจ

พี่มิ้นต์มองผมเหมือนกับมองเด็กน้อยไม่ประสา

“ดวงตาเป็นสิ่งที่ไม่เคยโกหกน่ะ ไม่ว่ามนุษย์เล่นละครได้ดีขนาดไหนก็ตาม”

“และเมื่อกี้ที่น้องจินเล่าถึงคนคนนั้น สายตามันบอกหมดแล้วว่าชอบเขาขนาดไหน”

ผมก้มหน้างุดเมื่อกำแพงโดนกระแทกซ้ำๆจากคำพูดของผู้ใหญ่ทั้งสองจนเปิดเปลือยสิ่งที่อยู่เบื้องหลัง ความจริงที่ผมไม่ยอมรับและซ่อนมันตลอดมา

ผมชอบเคย์จริงๆ

อาจจะไม่ถึงขนาดรัก แต่มันพิเศษมากกว่าที่เคยมอบให้ใครบนโลกใบนี้

มันไม่ใช่ความชอบแบบที่ผมชอบพี่พลกับพี่มิ้นต์ ไม่ใช่ความรู้สึกมีคววามสุขตลอดเวลายามที่อยู่ด้วยกัน

มันเป็นความชอบที่โลดโผน มีทั้งช่วงเวลาที่มีความสุขอย่างอบอุ่น แต่บางครั้งก็ทำให้หัวใจร้อนรุ่มเมื่อไม่ได้เห็นหน้า ทำให้เจ็บปวดเมื่อมีเรื่องทะเลาะกัน และลิงโลดกับเรื่องเล็กๆน้อยๆที่เขาทำให้

“พี่ว่าจินชอบชีวิตที่ปลอดภัยทางความรู้สึก ชอบตัดคนที่ทำให้ตัวเองรู้สึกไม่มั่นคง แต่จริงๆแล้วพี่ว่าความไม่มั่นคงนี่แหละที่ทำให้ชีวิตมันเป็นชีวิต” พี่พลวางมือลงบนศีรษะผมแล้วลูบเบาๆ เสียแต่ว่าผู้ชายที่ไม่คุ้นชินกับการสัมผัสทางร่างกายแบบเขา ทำเอาเหมือนผมรู้สึกว่าถูกขยี้หัวมากกว่า

“…”

“ใช้ชีวิตให้อันตรายกว่านี้เถอะ จะเจ็บก็ได้ จะเสียใจก็ได้ ถ้ารู้สึกอย่างนั้นก็กลับมาที่นี่อีก เป็นที่ที่ไม่มีใครถูกปฏิเสธ…พวกเราอยากให้คาเฟ่นี้เป็นสถานที่แบบนั้นไม่ใช่เหรอ”

ผมเงยหน้ามองพี่พลที่จุดรอยยิ้มมุมปากซึ่งดูเหมือนตัวร้ายแสยะยิ้มมากกว่าจะบอกว่าเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนใจดี แล้วตัดสินใจถามเรื่องที่ติดอยู่ในใจมานาน

“ที่แม่…สร้างคาเฟ่นี้ขึ้นมา เพราะว่าแม่เลิกกับพ่อหรือเปล่าครับ”

“หืม” ชายหนุ่มลูบคาง หลับตาย้อนหวนนึกถึงอดีตที่เหมือนผ่านมาเนิ่นนานแล้ว

“จะบอกว่าการเลิกกับผู้ชายคนนั้นเป็นจุดเริ่มต้นในการตัดสินใจสร้างคาเฟ่ก็ได้นะ แต่มันไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดหรอก”

“…สักวันถ้าเรื่องของผมมันจบลงเหมือนกับของพ่อกับแม่…จะมีที่ว่างเหลือให้สร้างอะไรในคาเฟ่อีกมั้ยนะ” ผมแค่นหัวเราะ ภาพของผู้ใหญ่สองคนที่ทุ่มเถียงทะเลาะกันยังคงแจ่มชัดในความทรงจำ พอๆกับเสียงดังอื้ออึงของข้าวของที่หล่นแตกเสียหาย

“โธ่ น้องจิน ยังไม่ทันจะเริ่มก็คิดถึงตอนจบแล้วเหรอคะ?” พี่มิ้นต์ส่ายหน้า จุ๊ปากแล้วขยิบตาให้ผม

“พี่ว่าปัญหาคือจินไม่สามารถพังภาพจำของพ่อแม่ได้มากกว่า ความกลัวมันทำให้เรายืนอยู่กับที่นะ”

“จินกลัวอะไรเหรอครับ บางทีถึงคุณแม่จินจะไม่อยู่ที่นี่แล้ว พี่ก็อาจจะตอบคำถามของจินได้นะ”

“…เหรอครับ”

ผมเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าสีครามกว้างใหญ่เบื้องหน้าขยายออกไปไพศาลพอๆกับตึกรูปทรงต่างๆที่ทำยอดราวกับพยายามจะแตะให้ถึงเมฆ

“กว่าพ่อกับแม่จะรู้ตัวว่าไม่รักกัน ก็สายเกินกว่าจะแก้ไขอะไรได้แล้ว สุดท้ายก็เหลือผมอยู่เป็นเศษซากของสิ่งที่เรียกว่าความรัก แล้วผมกับเขาล่ะครับ ถ้ามันไม่ใช่จริงๆแล้วกว่าที่เราจะรู้ตัว เราจะทิ้งซากอะไรไว้ข้างหลังบ้างมั้ย”

ความรู้สึกของคนที่เกิดมา มีใครได้รับผิดชอบมันบ้างหรือเปล่า สิ่งที่พวกคุณร่วมกันสร้าง สุดท้ายแล้วเมื่อพวกคุณค้นพบว่ามันไม่ใช่สิ่งที่คุณพอใจ คุณก็หนีไปมันไปแล้วทิ้งผมไว้ที่ตรงกลาง

ไม่ว่าจะทุ่มเทบอกรักผมกี่ครั้ง แต่ความรู้สึกที่เหมือนติดอยู่ตรงกลาง เป็นตัวเชื่อมระหว่างคนสองคนที่เกลียดกัน บางครั้งมันทำให้ผมหงุดหงิดตัวเอง และเกิดคำถามว่าหากไม่เกิดมามันจะดีกว่าสำหรับทั้งคู่หรือเปล่า

“จินคิดว่าตัวเองเป็นซากของความรักเหรอ ตลกแล้ว” สาวสวยหนึ่งเดียวในห้องแค่นหัวเราะ

“เธอน่ะ เป็นสิ่งที่ถือกำเนิดมาจากความรักของคนสองคนมาหลอมรวมกัน และเพราะอย่างนั้นทั้งพ่อและแม่เธอถึงได้รักเธอมากๆ
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะหมดรักต่อกันแล้วก็ตาม”

พี่พลพยักหน้าพร้อมเอ่ยเสริม

“ใช่แล้วครับ น้องจินไม่ใช่สิ่งที่คนไม่ต้องการหรืออะไรพรรค์นั้นหรอกครับ แต่เป็นหลักฐานที่บ่งบอกว่าช่วงเวลาความรักที่
สวยงามของสองคนนั้นเคยเกิดขึ้นจริงต่างหาก”





ผมขับรถออกจากอาคารหลังจากบอกลาพี่ๆเรียบร้อยแล้ว คาเฟ่ที่ถูกตกแต่งด้วยสีโทนอบอุ่นยังคงเป็นหลุมหลบภัยที่ดีที่สุดเสมอสำหรับพวกเรา

ร้านกาแฟนี้เป็นสิ่งที่แม่ของผมสร้างขึ้นมา ชั้นสองของมันเคยถูกเว้นว่างเอาไว้จนกระทั่งวันหนึ่งแม่เดินเข้ามาบอกผมว่าเธอจะสร้างห้องนั่งเล่นบนนั้นขึ้นมา

หลังจากนั้นแม่ก็มักจะพาคนรู้จักมาแวะเวียนที่คาเฟ่แห่งนั้นเสมอ ทุกคนมีลักษณะต่างกันไป ทั้งหญิงสาววัยทำงานซึ่งมักจะมาคลุกที่คาเฟ่หลังเลิกงาน หรือคุณลุงนิสัยเฉื่อยชาที่ชอบเอาเฟิร์นมาแขวนในห้อง

แต่สิ่งที่ทุกคนมีเหมือนกับคือความลับ

อย่างตัวผมที่ชอบแต่งหญิง พี่มิ้นต์ที่คบกับผู้หญิงและเร็วๆนี้มีแพลนจะขอหมั้นกับพี่แคลร์ หรือกระทั่งพี่พล…

‘คุณแม่เขารักจินมาก ถึงได้สร้างคาเฟ่นี้ขึ้นมา’

เพื่อสร้างสถานที่ที่ผมจะได้อยู่อย่างสบายใจ และสมาชิกทุกคนพร้อมที่จะเข้าใจในความลับและรอยแผลของกันและกัน
ผมกำพวงมาลัยแน่น ในใจคิดถึงสถานที่สุดท้ายที่ต้องการจะไปก่อนจะกลับไปเผชิญหน้ากับเรื่องยุ่งยากที่ตัวเองก่อไว้

รถอีโค่คาร์คันเล็กของผมแล่นมาจอดในคอนโดหรูใจกลางเมือง ตัวผมสาวเท้าเร็วๆเข้าลิฟต์ ลงไปล็อบบี้แล้วจึงแสกนบัตรลิฟต์
เพื่อขึ้นไปยังชั้นของตัวเอง

ผมถอดรองเท้าลวกๆเมื่อมาถึงห้องแล้ว บรรยากาศอันชวนคิดถึงของห้องขนาดใหญ่ไม่ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นได้เหมือนห้องรูหนูในหอในเลยสักนิด

ผมตรงดิ่งเข้าไปเอาซีดีซึ่งบันทึกวิดีโอเรื่องราวของเมื่อก่อนเอาไว้ มันถูกเก็บไว้ในลังซึ่งฝุ่นแทบจับเพราะพวกเราแม่ลูกไม่เคยขุดค้นถึงอดีตอีกเลยนับตั้งแต่ออกมาจากบ้านหลังนั้น

ผมวางมันไว้บนพื้น จำนวนของมันมีปริมาณมากจนไม่น่าเชื่อว่าถ้านำไฟล์ของมันมาลงในเทคโนโลยีสมัยนี้คงสามารถเก็บได้ภายในแท่งเล็กๆแท่งเดียว แต่ละแผ่นล้วนมีร่องรอยการขีดเขียนของปากกา

ไปเที่ยวกันที่ฮ่องกง

สมุยครั้งแรก

พาสาวสวยมาเดท

จินแรกคลอด!!

ทั้งหมดนั้นถูกเขียนอยู่ข้างหน้าของแผ่น ทำให้รู้เรื่องราวของสิ่งที่อยู่ภายในได้เป็นอย่างดี ผมหยิบแผ่นที่ถูกเขียนไว้ว่า งานแต่งงาน ออกมาแล้วใส่มันเข้าไปในเครื่องเล่นตัวเก่าที่แทบไม่เคยได้ใช้อีกแล้ว

บนหน้าจอทีวีปรากฎร่างของหญิงสาวคนสวยในชุดเจ้าสาวสีขาวสะอาดตา หล่อนมีใบหน้าหวานพริ้มกับดวงตากลมโตแสนสวย รอยยิ้มที่เปล่งประกายเจิดจ้าราวกับดวงดาวถูกมอบให้ผู้ชายใส่สูทที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ

ในวีดีโอนี้ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่คนดูภูมิฐานมากนัก เขาเหมือนพนักงานออฟฟิศธรรมดาๆคนหนึ่งซึ่งแตกต่างจากปัจจุบันเสียเหลือเกิน และสิ่งที่ทำให้ยิ่งไม่คุ้นตาคือรอยยิ้มกว้างของเขาที่ส่งให้หญิงสาว

“ผมดีใจมากที่เธอรับรักผม จริงๆแล้วผมมันก็แค่คนธรรมดาๆคนหนึ่ง ที่ผมสามารถประสบความสำเร็จได้มันเพราะมีเธออยู่เคียงข้างคอยดูแลเวลาผมล้ม ในชีวิตนี้ ไม่ว่าอะไรผมก็ให้เธอได้ทั้งนั้น”

กระทั่งสิ่งที่เขาพูดออกมาก็ยังไม่เหมือนกับตอนนี้ กาลเวลาช่างน่ากลัว มันสามารถเปลี่ยนชายคนหนึ่งที่ตกหลุมรักหญิงสาวจนหมดใจให้เปลี่ยนไปอย่างเลือดเย็น

“ที่ฉันเป็นคนที่ดีขึ้นได้ ก็เพราะว่ามีเขาคอยช่วยเหลือเหมือนกันค่ะ ฉันไม่เคยเชื่อในเรื่องของคู่ชีวิตหรือด้ายแดงจนได้พบกับเขา ฉันดีใจมากๆค่ะที่ชีวิตนี้เราได้มาพบกัน”

กระทั่งหญิงสาวผู้สวยงามเพราะความรักในอดีต ยังสามารถกลายเป็นคนบ้าคลั่งและสาดคำพูดร้ายกาจใส่คนที่หล่อนเคยสาบานว่าเป็นด้ายแดงของตัวเองได้   

ผมสงสัยว่าถ้าพวกเขาได้มาเห็นคลิปนี้อีกครั้ง พวกเขาจะหัวเราะมั้ย

จะขำหรือเปล่าที่ตัวเองเคยพูดเรื่องพรรค์นั้นออกมาได้

ขนาดผมยังรู้สึกว่ามันแปลกเลย เหมือนกับคนในจอแก้วนั่นไม่ใช่ผู้บังเกิดเกล้าของผม

ตลกดี ก็ความเป็นจริงน่ะ…

ทันใดนั้นผมรู้สึกได้ว่าภาพความสุขในจอแก้วเบื้องหน้ามันหายไป เปลี่ยนเป็นภาพของบ้านที่ข้าวของกระจัดกระจายเหมือนระเบิดลง ทุกอย่างล้วนถูกใช้เพื่อระบายอารมณ์ของทั้งคู่ เศษกระเบื้องแตกกระจายบนพื้นกับเสียงตะโกนจากคนทั้งสอง

“ทำไมผมจะต้องมาแบ่งเงินที่ได้จากสินทรัพย์ของตัวเองให้ผู้หญิงแบบคุณด้วยวะ!?”

“คุณว่ายังไงนะ ไอ้สารเลว! กล้าดียังไง มันก็สาสมแล้วไม่ใช่เหรอที่คุณจะต้องเอามาให้ฉันน่ะ ในเมื่อคุณอยากไปเริ่มใหม่กับนังนั่น! คุณขโมยช่วงเวลาสาวของฉันไป ไอ้คนเฮงซวย!”

“ผมเฮงซวยเหรอ! ไม่อยากเชื่อว่าออกมาจากปากคนอย่างคุณ คุณมันดีแต่ทำให้คนหัวเสีย คิดเหรอว่าไอ้หน้าสวยๆมันจะหลอกคนได้ ไม่ว่าใครเจอคนอย่างคุณเข้าไปก็หนีหมดนั่นแหละ!!”

“แกมันมีดีนักแหละไอ้หน้าตัวเมีย! ได้คนที่สนับสนุนแกแล้วก็คิดจะทิ้งฉันกับลูกที่ทุ่มเทอยู่ข้างแกมาตลอดเหรอ! ถ้าไม่มีฉันคอยอยู่ด้วยตอนนั้นแกก็เป็นได้แค่ไอ้คนไร้ค่านั่นแหละ!!”

แม่ผมที่เคยร่าเริงและยิ้มตลอดเวลาเหมือนโลกนี้มันสวยงามนัก บัดนี้กลับปัดแจกันตกพื้นด้วยความโมโห หล่อนตะคอกเสียงดังจนลำคอเกร็ง ดวงตากลมสวยบัดนี้กลับถลึงเครียดด้วยความโกรธ

“ไอ้คนที่แต่งเข้ามาตัวเปล่าแบบคุณ แม่งจะเรียกร้องอะไรวะ!!! น่าสมเพช!!”

พ่อที่ผมเคยเขียนส่งครูว่าเป็นฮีโร่ของผม และผมอยากโตขึ้นมาเหมือนเขา บัดนี้กลับเหมือนไอ้ขี้เมาข้างถนนที่งัดปากเอาคำหยาบคายออกมาใช้

“ฉัน? ฉันนะเหรอที่เข้ามาตัวเปล่า ไอ้แก่อย่างแกมันก็เคยจนไม่ต่างกันหรอกน่า หรือพอได้ถือเงินเยอะๆแล้วก็ลืมกำพืดของตัวเองว่าเคยมาจากข้างล่างเหมือนกันล่ะ!!? ฉันน่ะ ตั้งแต่แรกจะได้ก้าวไปเป็นนางแบบแล้วแท้ๆ แต่กลับต้องมาอยู่บ้านเลี้ยงลูกเพราะคุณอยากให้ทำอย่างนั้น ตัวเองก็ออกไปเริงร่าข้างนอกไม่สนหัวใครหน้าไหนอยู่แล้ว!!”

ผมที่จ้องมองผ่านรอยแยกของประตูนิ่งอึ้งไป สุดท้ายจึงหมุนตัวจากมา ขาเล็กๆก้าวเข้าห้องส่วนตัวของตัวเอง มุดผ้าห่มคลุมโปงแล้วเอามือปิดหูฮัมเพลงทำราวกับไม่ได้ยินเสียงตะโกนสลับกับข้าวของตกพื้นข้างนอกนั่น

ไม่ได้ยิน…เราไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น

โด เร โด โด เร ที ซอล โด ที ลา ซอล

ผมพึมพำเพลงที่เรียนมาจากที่โรงเรียน หวังให้มันกลบเสียงภายนอกออกไปให้หมด

แต่สุดท้ายแล้วเสียงของตัวเองกลับกลายเป็นการสะอื้น พร้อมกับน้ำตาที่ไหลหลากออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง ผมปล่อยให้แก้มสัมผัสความชื้นอยู่อย่างนั้นโดยไม่มีการเช็ดออกเพราะมือกำแน่นที่หูเหมือนต้องการป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอก

โด เร ที ที

เหมือนกับผมย้อนกลับไปที่ตรงนั้นในเวลานั้นอีกรอบ มันแจ่มชัดเหมือนกับกำลังเกิดขึ้นอยู่

ท่ามกลางเสียงอื้ออึงของคนทะเลาะกัน มีเสียงนึงที่แทรกโสตประสาทเข้ามา

“จิน ชอบนะ”

มันทำให้ผมสงบลง เสียงนั้นทั้งอ่อนโยนและแผ่ขยายจนกลบเสียงตะโกนของคนทั้งสอง

ผมเอามือที่ป้องหูออก ฟังเสียงนั้นให้ชัดมากขึ้น มันค่อยๆถอยห่างออกไปจนผมต้องเดินตามเพราะไม่อยากให้เสียงทุ้มนุ่มของใครบางคนที่คุ้นเคยเสียเหลือเกินต้องหยุดลง

จนสุดท้าย ด้วยการนำทางของเสียงนั้น ผมเดินกลับไปยังห้องนั่งเล่น ที่ซึ่งพ่อกับแม่ของผมยังคงทะเลาะกันอยู่

ผมเปิดประตูบานกว้างออกไป ในนั้นพ่อแม่ผมยังคงตะคอกใส่กันไม่เลิก แต่น่าแปลกที่ผมไม่ได้ยินเสียงของพวกเขาแล้ว เหมือนพวกเขาเป็นแค่วิดีโอที่ไร้เสียง

“จิน ชอบมากๆนะ”

เสียงทุ้มนุ่มของคนคุ้นเคยยังคงดังอยู่ข้างหูกระทั่งตอนที่ผมเอื้อมมือไปข้างหน้า

มือผมสัมผัสบางสิ่งซึ่งล่องหน มันเย็นเฉียบ และทันทีที่ผมแตะมัน ภาพของแม่กับพ่อเบื้องหน้าก็หยุดลงเหมือนวิดีโอที่หยุดเล่น

ผมออกแรงดันเล็กน้อย พลันเกิดรอยแตกขยายราวกับกระจกแก้วกำลังร้าว รอยแตกของมันขยายออกไปเรื่อยๆเหมือนใยแมงมุม

“ชอบนะ ชอบมากๆ”

ผมดันเต็มแรง สิ่งล่องหนเบื้องหน้าพลันแตกกระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อย เหลือเพียงตัวผมที่นั่งอยู่ในคอนโดกับวิดีโอซึ่งเล่นมาถึงตอนสุดท้ายของพิธีแต่งงาน

“จูบกันๆๆๆ” เสียงโห่ร้องของคนในงานดังอย่างต่อเนื่อง หญิงสาวกับชายหนุ่มในชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาวยิ้มเอียงอาย ก่อนทั้งคู่จะมองกันด้วยสายตาลึกซึ้งและโน้มหน้ามอบความอ่อนหวานให้แก่กันและกันเป็นสัญญาณของความรักและการเริ่มต้นชีวิตคู่

ผมลุกขึ้นไปปิดทีวีแล้วเอาแผ่นซีดีออกมา พึมพำกับมันเบาๆในตอนที่ผมเก็บมันอย่างทะนุถนอมลงกล่องใส

“ยินดีด้วยนะครับสำหรับงานแต่งงาน…แล้วก็ ขอบคุณนะครับที่ให้ผมเกิดขึ้นมา”

ผมหันไปหากรอบรูปที่บรรจุรูปภาพของแม่ เธอในหมวกปีกกว้างส่งรอยยิ้มใจดีอย่างที่เป็นเสมอมาให้ผม

“แม่ครับ…”    

ถึงเวลาแล้วที่เด็กคนนี้จะทิ้งซากเรือไว้ข้างหลัง แล้วออกไปสำรวจโลกกว้างภายนอกที่เขานึกกลัวมาตลอด


-------------------------------------------------------
กลับมาพร้อมกับความชิบหายของมิดเทอมฉันเอง/หัวเราะเป็นภาษาตุรกี
ถึงขั้นนั่งคิดว่าทั้งชาตินี้จะทำบัญชีดุลได้สักครั้งมั้ยนะ......../เหม่อ
พอทำข้อสอบเสร็จนอกจากความรู้สึกอยากพุ่งลงจากตึกก็อยากหยิบไม้ฟาดข้อสอบนี่แหละ ตีให้เปงเศษกระดาษปัยเรย เจ้าโง่ แกทำให้ฉันดูแย่

มาเฉลยแล้วนะว่าน้องกลัวอะไร แง กลัวเขียนได้ไม่ดีไม่สื่อถึงเรื่องที่น้องกลัวเหมือนกัน....
เอาเป็นว่าสามารถเม้นหรือมาพูดคุยกันที่แท๊ก #แต่งตัวให้น้อง ได้นะคะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่10​ หาทางออก UP P.10
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 08-03-2019 06:05:09
เริ่มต้นใหม่นะจิน...  :o12:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่10​ หาทางออก UP P.10
เริ่มหัวข้อโดย: nofsnof ที่ 08-03-2019 15:11:55
ก้าวไปพร้อมกันนะ หนูไม่ใช่เศษซากความรักของใครนะลูกก
 :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่10​ หาทางออก UP P.10
เริ่มหัวข้อโดย: Wwavez ที่ 09-03-2019 01:48:43
จินอ่าา สู้ๆค้าบไปตามเจ้าหมาได้แล้ว บอกรักให้เจ้าหมาฟังได้แล้วนะ :mew2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่10​ หาทางออก UP P.10
เริ่มหัวข้อโดย: TheWanFah ที่ 09-03-2019 10:24:45
เริ่มใหม่นะจิน
กลับไปหาเคย์ได้แล้ว
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่10​ หาทางออก UP P.10
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 11-03-2019 09:34:54
สงสารน้องมาก สิ่งที่ผู้ใหญ่ทำมันส่งผลใหญ่โตมากต่อเด็กตัวเล็กๆ แง ไปตามเคย์กลับมานะลูก
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer
เริ่มหัวข้อโดย: MeiHT ที่ 19-03-2019 00:14:17
บทที่ 11 : ไม่ได้เกลียด

   ผมคว้าเสื้อผ้าออกมาจากตู้ ยัดตัวเองเข้าใปในชุดนั้นแล้วจึงแต่งตัวในรูปแบบที่มั่นใจที่สุด

   เปิดดูตารางการแข่งขันอีกรอบในเฟสบุ๊ค มันโชว์หราถึงตารางการแข่งคัดเลือกนักกีฬาประจำมหาลัย ผมแพลนในใจถึงเรื่องราวหลังจากนี้ และเวลาที่ผมต้องซิ่งไปให้ทันก่อนที่การแข่งขันจะเลิก

   ผมแทบวิ่งสี่คูณร้อยลงมาจากห้องเพื่อมาที่รถตัวเอง รถอีโค่คาร์ของผมขับทะยานจากคอนโดตัวเองกลับถิ่นรังสิตด้วยความเร็วที่น่าหวาดเสียว จนกระทั่งมันมาจอดนิ่งสนิทหน้าสนามกีฬาบาส ผมถึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อมาถึงทันเวลาพอดี

   ผมเปิดกระจกพกเช็คอีกครั้ง ใบหน้าของผมถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางจนเหมือนผู้หญิงวัยรุ่นคนหนึ่ง จมูกของหล่อนเชิดรั้นเหมือนคนดื้อ แถมด้วยท่าทีหยิ่งๆเวลาหันซ้ายขวาเพื่อเช็คหน้าจนผมทวินเทลพลิ้วไหว

   ผมก้าวลงจากรถด้วยท่าทางมั่นใจ ถึงแม้ว่าชุดเชียร์ลีดเดอร์สีขาวเอวลอยและกระโปรงเทนนิสสั้นจะทำให้ดูสะดุดตามากก็ตาม แต่ผมไม่วอกแวกแม้แต่ตอนที่เดินเข้ามานั่งในอัฒจันทร์

   และถึงรู้ตัวว่ามีคนมากมายกำลังมองมาที่ผม สายตาผมก็จับจ้องเพียงร่างสูงใหญ่ที่กำลังวิ่งอยู่ในสนามเพียงคนเดียว

   เคย์หมุนตัวหลอกเพื่อนต่างทีมเพื่อเลี้ยงลูก ก่อนจะพาสบอลต่อไปยังเพื่อนอีกฝ่าย มีเสียงกรี๊ดกร๊าดดังมาจากที่นั่งคนดู เขาจึงเงยหน้าขึ้นมามอง ก่อนจะสะดุดล้มพรืดเมื่อสายตามาปะทะกับผมพอดี

   ตึง!

   เหมือนกับยักษ์ล้มเมื่อเขาเอาหน้าจุ่มพื้น เคย์กระเด้งตัวลุกขึ้นมาจ้องเขม็งทางผมทันทีเหมือนกับว่ารอยแดงที่หน้าผากตัวเองเป็นแค่เรื่องตลก

   “อ้าว เป็นอะไรหรือเปล่า” เพื่อนร่วมทีมเขาถามอย่างเป็นห่วง และชายหนุ่มก็ส่ายหน้าเบาๆพร้อมกับกลับไปโฟกัสกับการเล่นอีกรอบ แต่ไม่วายส่งสายตาดุคมปลาบมาหาผมเป็นครั้งสุดท้าย

   ผมได้แต่นั่งเท้าคางยิ้มกริ่มมอง

   ก็ถ้าไม่แต่งตัวอย่างนี้ ก็คงได้เมินกันอีกรอบแน่

   ผมนั่งไขว่ห้างเผยผิวต้นขาขาวๆของตัวเอง มองเคย์ที่เล่นในสนามอย่างคล่องแคล่วทว่ากลับมีจุดพลาดหลายครั้งจนน่าเสียดาย

   “หยุดก่อน!” เสียงโค้ชดังขึ้นแทรก ก่อนที่เขาจะลากตัวเคย์ออกไป ผมได้แต่มองตามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นโค้ชตัวใหญ่กำลังต่อว่าเขาด้วยน้ำเสียงที่รุนแรง ดูเหมือนว่าก่อนหน้าที่ผมเข้ามา เคย์ก็คงจะทำพลาดพอสมควร

   ผมรู้มาตลอดว่าเขาเล่นบาส แต่ไม่เคยรู้ว่าเขาเล่นเก่งขนาดไหน ได้ข่าวแค่ว่าเขาทำให้คณะนิติคว้าที่สองมาได้อย่างภาคภูมิ

   โค้ชเป่านกหวีดเป็นการสั่งพัก รูมเมทในชุดบาสของผมจึงได้ฤกษ์ย้ายตัวเองมาหาผมเสียที เขาก้าวขาเร็วๆจนเหมือนการวิ่งมาถึงที่นั่งที่ผมนั่งอยู่

   “ทำอะไร” เขาว่าเสียงเครียด หน้าไร้รอยยิ้ม

   ผมตบที่นั่งข้างตัว

   “มาคุย”

   “คุยที่ห้องก็ได้”

   “มึงไม่กลับห้องแล้วจะคุยกันยังไง”

   สุดท้ายแล้วผมกับเขาก็จ้องตากันอย่างหยั่งเชิง ก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะเป็นฝ่ายแพ้ เขาทรุดลงนั่งข้างๆตัวผมทั้งๆที่ยังทำหน้าบึ้งตึ้งไม่เลิก

   “อยากคุยอะไร” เคย์เสียงแข็งแบบที่ชวนทำให้ใจแป้ว ผมไม่เคยเห็นเขาใจร้ายขนาดนี้มาก่อน ทั้งพูดห้วนๆและไม่ยอมมองหน้า

   “ไว้ค่อยจบการคัดเลือกค่อยคุยก็ได้” ผมตัดสินใจเลื่อนเรื่องราวที่อาจจะทำให้ความรู้สึกเรายุ่งยากกว่าเดิมไปไว้ข้างหลังเพราะวันนี้เป็นวันสำคัญของเขา “วันนี้เป็นอะไรทำไมเล่นไม่ได้”

   “ไม่มีอะไร ไม่ต้องมายุ่ง กลับไปเหอะ” เขาปฏิเสธเสียงกระด้างแถมยังหลบตาผม ถ้าเป็นเมื่อตอนเช้าผมอาจจะใจเสียจนย้ายตัวเองขึ้นรถกลับห้องไป แต่ในตอนนี้ที่ผมพกลูกตื้อมาพร้อม ไม่มีวันที่ผมจะปล่อยไปเสียหรอก

   “พูดมา ต่อให้มึงพ่นคำใจร้ายๆออกมากูก็ไม่ไปไหนหรอกนะ”

   เคย์ตวัดตามามองผม สายตาคมนั่นดูดุร้ายอย่างไม่น่าเชื่อ กระทั่งแฝงแววตัดพ้ออย่างน่าสงสาร

   เขาพ่นลมหายใจพรูเหมือนกับเหนื่อยใจกับผมนักหนา ขนาดตัวผมที่ทำใจสู้มาจนถึงขนาดนี้พอเจอสายตารำคาญของเขาเข้าไปยังใจแป่วจนอยากกลับห้องเลย

   “เวลามึงใจร้ายก็ใจร้ายสุดกู่จริงๆนะ”

   “มันไม่ใช่เพราะมึงเหรอ”

   ผมหุบปากฉับ ละสายตาจากหน้าคมๆของเคย์ไปมองในสนาม โค้ชบาสตัวใหญ่ยืนคุยกับนักกีฬาหลายคนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

   พวกเราไร้คำพูดกันอยู่นาน แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นเคย์ก็ไม่ยอมลุกหนีไปไหนเสียที

   “…เปล่า ก็แค่ กูคิดว่ากูอาจจะไม่เก่งบาสอย่างที่คิด อาจจะเป็นอย่างที่โค้ชบอก ที่ว่ากูก็แค่เก่งในสังคมแคบๆ กูก็แค่เหลิง
เพราะเคยโดนครูพละชม มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร กูก็ไม่ได้หวังอะไรอยู่แล้วกับการคัดตัว กูทำไม่ได้อยู่แล้วล่ะ คนเก่งๆเยอะขนาดนี้”

   โกหก

   ไม่หวังอะไรเลยก็คงยาก เขาชอบบาสเสียขนาดนั้น

   ดวงตาเขาเป็นประกายเวลาได้ขยับร่างกายไปหาแป้น กระทั่งการส่งลูก การชู้ตห่วง และการฝึกซ้อมร่างกายตลอดเวลา เขายังยอมทำทั้งหมดนั้นเพื่อให้ได้มาคัดเลือกตัวในวันนี้

   ผมมองคนสูงใหญ่ในชุดบาสชุ่มเหงื่อ มือของเขาวางนิ่งที่ตักของตัวเองแต่ถ้าสังเกตดีๆก็จะเห็นมือเขาสั่นเล็กน้อย ดวงตาเขาจ้องมองไปยังเพื่อนร่วมทีมและต่างทีมที่รวมตัวกันอยู่ในสนามข้างหน้า

   ผมมองเขานิ่งๆก่อนจะหันไปมองในสนามอีกครั้ง พวกเราไม่ได้มองตากันตอนที่ผมพูดขึ้นว่า

   “เพราะโค้ชบอกว่ามึงแย่ แสดงว่ามึงเล่นบาสไม่เก่งเหรอ และเพราะว่าอาจารย์สมัยมัธยมชมว่ามึงเล่นบาสเก่ง นั่นหมายถึงมึงเล่นเก่งเหรอ”

   “ตกลงแล้วใครกันแน่เป็นคนบอกว่ามึงทำไม่ได้ โค้ชเหรอ? หรือเพื่อนร่วมทีมของมึง? หรือมันเป็นเพราะตัวมึงเองที่เชื่ออย่างนั้น”

   ยังไม่ทันที่เขาจะได้ตอบอะไร โค้ชก็เป่านกหวีดเรียกอีกครั้ง ร่างสูงใหญ่หันมามองผมอีกรอบด้วยสายตาอ่านยากแล้วจึงต้องรีบวิ่งลงจากที่นั่งเพื่อเข้าร่วมการคัดเลือก

   ผมเท้าคางมองตามรูมเมทตัวเอง ได้เพียงแต่หวังว่าเขาจะเข้าใจสิ่งที่ผมพูดไป

   ผมไม่อาจพูดให้เขาสู้ หรือบอกว่าเขาทำได้ นั่นเป็นเพราะเขาไม่เชื่อว่าตัวเองสามารถทำได้ ผมทำได้เพียงเตือนสติเขาว่าไม่ว่าจะมีใครสักกี่คนบอกว่าเขาเก่งหรือไม่เก่ง นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นอย่างที่คนพวกนั้นพูดจริงๆ

   เขาจะต้องเชื่อมั่นในตัวเอง และต้องมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองมี

   เขาต้องเป็นคนหาคำตอบเองว่าเขาเหมาะหรือไม่เหมาะสำหรับสิ่งนี้

   เคย์เหลือบมองมาทางผมอีกรอบแล้วส่งยิ้มมุมปากมาให้ ก่อนที่จะกลับไปโฟกัสกับลูกบาสในสนามอีกรอบและแน่นอนว่าผมกลั้นยิ้มจนปวดแก้มไปหมดเมื่อเขาฟอร์มดีขึ้นมามากกว่าเมื่อกี้โข

   ร่างแข็งแกร่งภายใต้เสื้อบาสขยับอย่างรวดเร็วไปตามช่องว่างของศัตรู เลี้ยงบาสส่งไปให้เพื่อนๆบ้าง ชู้ตลงจากระยะสามคะแนนบ้าง เขาทำพลาดบ้างแต่ไม่มากเท่าเมื่อก่อนที่ละล้าละลังยามโดนมองแผนออก

   เคย์พลิกแผลงทันทีที่ทีมตรงข้ามรู้การเคลื่อนไหว เขาเมินเสียงตะโกนของโค้ชแล้วเล่นตามที่ตัวเองมั่นใจ

   ร่างสูงใหญ่ของรูมเมทผมเปล่งประกายในสนาม ดึงแทบทุกสายตาไปเสียหมด เขาชะงักเมื่อเห็นคู่ต่อสู้บล็อกทางไปเสียหมด แต่ชายหนุ่มแก้เกมด้วการชู้ตยาวส่งไปให้เพื่อนร่วมทีม

   “เยี่ยม!” โค้ชที่เพิ่งส่งเสียงด่าไปเมื่อครู่พยักหน้าชม ผมเบ้ปากใส่ อยากจะกลอกตามองบนเสียเหลือเกิน

   “หมดเวลา!!” เสียงปรื้ดที่ดังขึ้นพร้อมๆกับลูกที่ถูกชู้ตลงห่วงฝั่งตรงข้าม
เคย์เอามือยันเข่าอย่างเหนื่อยอ่อน เขายืดตัวขึ้นยกชายเสื้อบาสขึ้นเช็ดเหงื่อที่ไหลไปตามกรอบหน้าเผยลอนแพคจากการออก
กำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ผิวขาวมันวาวด้วยเหงื่อยิ่งทำให้กลิ่นอายบุรุษเพศชัดมากขึ้น

        “กรี๊ดดดด” เสียงสาวๆดังขึ้นรอบๆเมื่อเขาเลิกเสื้อขึ้น ผมหน้าบึ้งมองไอ้คนที่ปล่อยเสน่ห์เรี่ยราดอย่างไม่รู้ตัวแถมยังหันหน้าส่งรอยยิ้มมุมปากเท่ๆ

         ร่างแข็งแรงของเขาวิ่งผ่านสนามมาหาผม เขาหยุดยืนที่ข้างล่างอัฒจันทร์พร้อมกับอ้าแขนออก

         ผมเดินลงจากที่นั่ง ปีนข้ามที่กั้นราวเหล็กซึ่งอยู่ขวางระหว่างที่นั่งกับสนามชนิดที่ว่าหากคนข้างล่างมองขึ้นมาอาจจะเห็น
สิ่งที่อยู่ภายใต้กระโปรงอย่างน่าหวาดเสียว แล้วผมก็โถมตัวลงไปในอ้อมกอดเขา

          เคย์รับผมไว้ อ้อมแขนแข็งแรงโอบรัดรอบเอวผม เขาเลื่อนแขนลงปิดช่วงก้นผม เส้นผมสีน้ำตาลนุ่มของวิกคลอเคลียกับบ่าเรียบตึงนั่น

          “ดื้อ” เขาว่าหน้าเรียบตึงเพราะความไม่พอใจ

          “So...Punish me” ผมแลบลิ้นอย่างซุกซน แอบเห็นเขากัดปากทำหน้าเหมือนคนอดกลั้นยิ่งอยากยั่วจนทนไม่ไหว ไม่รู้ว่าเอาความกล้าจากไหนมา รู้เพียงแต่ว่าวันพรุ่งนี้ผมอาจจะกัดลิ้นตายด้วยความอับอายก็เป็นได้

           “โดนแน่!” เขากัดฟันพูด อุ้มผมเดินดุ่มๆออกจากสนามตรงไปทางออก ได้ยินเสียงเพื่อนร่วมทีมของเขาตะโกนเรียกแต่เคย์เพียงบอกว่าขอกลับก่อนเพราะเหนื่อยแล้ว

           “จะพาไปไหน” ผมถามเขาเมื่อรูมเมทตัวโตอุ้มผมไปทิศทางตรงกันข้ามกับทางออก เขายิ้มกริ่มแต่ไม่บอกอะไร

           “พาไปลงโทษเด็กดื้อ” ว่าแล้วเขาก็บีบก้นผมหนักๆทีนึง ผมทุบไหล่เขาระบายความอาย

           “ลามก”

           “อุ้มเข้าเอวสบายเลยชุดนี้”

           “ก็เอาดิ”

           เคย์ยกยิ้มพอใจ เขาเปิดประตูห้องบางอย่างซึ่งผมพึ่งสังเกตว่ามันเป็นห้องล็อกเกอร์ของนักกีฬา

           “เดี๋ยวก็มีคนมาเจอหรอก” ผมเหลียวมองรอบตัวอย่างกังวลเมื่อค้นพบว่าห้องมีเพียงล็อกเกอร์เรียงรายกันเป็นชั้นๆกับเก้าอี้เหล็กที่ไว้สำหรับให้นักกีฬานั่ง

           “ก็ไปชั้นลึกๆสิ” เขาพาผมเข้าไปชั้นลึกๆ

           ชายหนุ่มวางผมลงเมื่อเราถึงชั้นล็อกเกอร์ที่ลึกที่สุด เขาดันผมจนหลังแนบกับตู้โลหะเย็นๆแล้วก้มลงจูบ

           ริมฝีปากคล้ำซึ่งคนมักเข้าใจผิดว่าเขาเป็นพวกสูบบุหรี่จัดทาบทับลงบนปากผม ลิ้นพวกเรากระหวัดเกี่ยวกัน ในขณะนั้นมือของ
           
            ผมก็ถูกฝ่ามือหยาบใหญ่กอบกุมไว้

            “พวกเรา….อยู่ในฐานะอะไรกัน” เขากระซิบชิดริมฝีปากผมเมื่อจูบของเราหยุดลง จมูกเราคลอเคลียกันจนผมสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนๆจากอีกฝ่าย

            ผมเห็นความลังเลในสายตาเขา และน่าตลกที่ตัวผมซึ่งสะท้อนอยู่ในดวงตาเขาก็แสดงออกถึงความกังวลใจเช่นเดียวกัน

             ผมคว้าคอเขาให้โน้มลงมาจูบกันอีกรอบ

            ผมเห็นเด็กชายจากอดีตของตัวเองมองมาจากมุมมืดในห้องล็อกเกอร์เหมือนจะถามผมว่าสิ่งที่ผมตั้งใจจะบอกในวันนี้เป็นเรื่องที่แน่นอนแล้วหรือ

            ความกลัวที่สะสมมายาวนานหลายปีไม่อาจถูกทำลายในวันเดียว

           “กู…” ผมอ้ำอึ้ง

           เคย์แค่นหัวเราะ  มีแวบหนึ่งมันฟังดูสับสนและสิ้นหวัง แต่ก็หายไปอย่างรวดเร็วจนผมนึกว่าเป็นภาพลวงตา

      “ถ้าไม่รู้จะตอบอะไรก็อย่ามาให้ความหวังกูจะได้มั้ยวะ ทำเหมือนจะมาหากูเมื่อไรก็ได้แบบนี้”

       ผมส่ายหน้า คิดจะปฏิเสธแต่ก็พูดไม่ออก

       “ได้ ไม่บอกก็ไม่บอก กูก็จะทำตามใจเหมือนกัน”

        สิ้นคำพูดเขาก็ก้มลงจูบผมอย่างรุนแรง ทั้งบดริมฝีปากทั้งกัดมันจนผมรู้สึกเจ็บแปลบ

   พวกเราใช้สัญชาตญาณให้มันนำทาง เขาใช้ฝ่ามือลูบไล้ไปตามลำตัวผม มือข้างซ้ายของเขาวางทาบลงบนช่วงเอวซึ่งเปิดเปลือยของผมอย่างจาบจ้วง ในขณะที่มือข้างขวากำลังบีบเนื้อตรงต้นขาแล้วตีจนขึ้นเป็นรอยแดง

   เพี๊ยะ!

   ผมสะดุ้งเมื่อรู้สึกแสบร้อนตรงต้นขา มือใหญ่บีบเนื้อที่ขึ้นรอยแดงจนเนื้อหนั่นแน่นขึ้นรอยมาตามร่องนิ้วมือเขา เคย์ไม่ยอมให้ผมหยุดดู เขาจูบผมซ้ำๆ หยุดพักเพียงชั่วครู่แล้วก้มลงทาบริมฝีปากอีก

    “เดี๋ยว…หายใจ…ไม่ทัน” ผมเบี่ยงหน้าหลบเมื่อลมหายใจขาดห้วง เคย์ยิ้มเยาะนิดๆ มือของเขายังคงไล่รุกรานไปตามผิวเนื้อของผมไม่หยุด

   เคย์เลื่อนมือขึ้นร่นเสื้อเชียร์ของผมขึ้นไปเหนือราวนม ผมจิกบ่าเขาเมื่อชายหนุ่มเลื่อนศีรษะลงไปเหนือหน้าอกผม ลิ้นร้อนๆตวัดลิ้มรสลูกเชอร์รี่จนมันขึ้นสีแดงเปล่ง

   เขาดูดดุนมันจนเกิดเสียงน่าอายไปทั่วบริเวณ ร่างกายผมเหยียดเกร็งเมื่อเขาเลื่อนมือขึ้นมาขยี้ตุ่มไตอีกข้างอย่างรุนแรง

   “เบาหน่อย…ฮือ…อ๊ะ” ผมรู้สึกเหมือนว่าเขาไม่ยั้งแรงอีกต่อไป ต่างจากครั้งก่อนๆที่ยังระวังตัว

   รูมเมทของผมใช้นิ้วคีบตุ่มเนื้อซึ่งแสบจากการโดนขยี้ แล้วดึงมันเหมือนหยอกล้อ จนในที่สุดเขาก็เปลี่ยนข้างมาเลียมันปลอบใจ ตุ่มเนื้อซึ่งโดนกระตุ้นประสามสัมผัสจากเมื่อครู่ยิ่งไวต่อความรู้สึก มันทั้งเจ็บทั้งเสียวอย่างบอกไม่ถูก

   เคย์เกี่ยวแพนตี้ผมลง เขาถุยน้ำลายใส่นิ้วก่อนจะสอดใส่เข้าช่องทางของผมอย่างกักขฬะ

   “เจ็บ!” ผมทุบไหล่เขาประท้วง แต่ชายหนุ่มไม่สนใจ หลังจากเตรียมพร้อมด้วยการคว้านนิ้วไปมา แหวกถ่างมันตามใจชอบเหมือนต้องการระบายอารมณ์โมโห เขาก็ช้อนตัวผมเข้าเอวอย่างรวดเร็ว รู้ตัวอีกทีก็รู้สึกได้ถึงแท่งเนื้อร้อนๆจ่อที่ทางเข้าแล้ว

   “อย่าร้องเสียงดังล่ะ”

   หมาโกลเด้นที่บัดนี้กลายร่างเป็นหมาป่าใจร้ายเสือกร่างกายตัวเองเข้ามารวดเดียวจนผมรู้สึกจุก ผมจิกเล็บเข้ากับบ่ากว้างของเขาจนเป็นรอย รู้สึกว่าร่างกายตัวเองตอดรับสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาอย่างเป็นจังหวะ

   “ฮึก…เจ็บ…มันแน่น จุกน่ะ” ทั้งๆที่ผมกำลังน้ำตาคลอเบ้าแท้ๆแต่เขากลับครางเสียงต่ำในคออย่างพึงพอใจ

   “เงียบน่า”

   หลังผมแนบกับผิวโลหะเย็นๆ เคย์ขยับร่างกายอย่างรุนแรงจนตัวผมเองเสียดสีกับล็อกเกอร์ข้างหลังจนได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดไปทั่วบริเวณ

   ยิ่งเขาอุ้มตัวผมในท่านี้ มันยิ่งทำให้เขาเสือกไสเข้ามาได้ลึกขึ้น ผมหลุดเสียงร้องครางเมื่อการขยับตัวของเขามาโดนจุดที่ทำให้ร่างกายต้องเหยียดเกร็งด้วยความสุขสม

   “อ๊า…เจ็บ! อ๊ะ ฮืออ”

   ผมครางไม่เป็นภาษา เคย์ขยับเอวพร้อมปล่อยตัวผมลงมานิดหนึ่งให้ตัวผมเคลื่อนลงไปตามความยาวของแท่งเนื้อ กระโปรงเทนนิสตัวสั้นสีขาวขยับขึ้นลงตามจังหวะสอดประสานของพวกเรา

   “สุดยอด…แน่นชิบ ดีสุดๆ”

   เคย์ก้มลงกัดคอผมอย่างแรงจนผมนิ่วหน้าอย่างเจ็บปวด เขาเร่งจังหวะย้ำจุดอ่อนไหวซ้ำๆจนผมแทบปลดปล่อย

   แต่ทว่าจู่ๆเขาก็หยุด ชายหนุ่มถอนกายออกมาพร้อมกับปล่อยตัวผมลง ผมที่ขาสั่นระริกจนไม่มีแรงยืนได้แต่ไถลตัวลงไปกับล็อกเกอร์อย่างเหนื่อยอ่อนจนสุดท้ายลงไปนั่งกองอยู่กับพื้น

   ความใหญ่โตของเขาจ่ออยู่ตรงใบหน้าผมพอดี

   “อ้าปาก”

   เขาจับมันมาจ่อตรงปากผม กลิ่นของผู้ชายจากเขารุนแรงกว่าปกติเพราะเพิ่งผ่านการเล่นกีฬามา แต่มันไม่ได้ทำให้ผมหมดอารมณ์ ตรงกันข้ามผมยิ่งรู้สึกตื่นเต้นมากเวลาโดนคุกคามในรูปแบบนี้

   ผมอ้าปากรับส่วนหัวมันเข้ามา แต่เคย์กลับจับหลังคอผมแล้วส่งแท่งเนื้อของตัวเองเข้ามาจนสุดลำคอ ผมแทบสำลักเพราะความใหญ่โตของมัน รสชาติปะแหล่มแปลกๆกับกลิ่นอายของบุรุษอบอวลอยู่ในปากของผม

   ผมดูดุนมันอย่างเก้ๆกังๆ ซึ่งนั่นไม่ทำให้เขาพอใจเสียเลย

   “ใช้ไม่ได้”

   สุดท้ายเขาก็ช้อนผมขึ้นมาจากพื้น ส่งผมไปนอนคุกเข่าอยู่บนเก้าอี้เหล็กตัวยาวในห้องนักกีฬา ชายหนุ่มยกสะโพกผมขึ้นสูงจนประโปรงผมร่นลงเผยก้นหนั่นแน่นของตัวเอง

   เขาจับแท่งเนื้อร้อนๆของตัวเองจ่อตรงปากทางผมที่เต้นตุบๆเป็นจังหวะ

   “อ๊า!” ผมร้องเมื่อเขาใส่มันเข้ามาทีเดียวจนสุดลำอีกครั้งโดนไม่ขยายทาง คราวนี้เคย์จับสะโพกผมแล้วเด้าเอวจนเก้าอี้เหล็กครูดไปกับพื้น ชายกระโปรงสั่นไหวเพยิบพยาบจากแรงส่งเบื้องหลังจนปิดภาพการสอดประสานของพวกเรา

   เขาจับท่อนเนื้อของผมแล้วสาวรัวๆจนในที่สุดหลังจากที่โดนปรนเปรอทั้งข้างหน้าและข้างหลัง ผมก็ปลดปล่อยสายธารสีขาวขุ่นออกมา ดวงตาผมเหม่อลอยเพราะความสุขที่เพิ่งได้แตะเมื่อสักครู่

   “แม่งเอ๊ย แม่ง!” เขาสบถในลำคอขณะที่หยิบชายกระโปรงขึ้นเหน็บกับขอบจนเปิดเปลือยส่วนที่เชื่อมต่อกัน ผ้าสีขาวกระทบต้นขาของผมเป็นจังหวะเมื่อเขาขยับเข้าออกถี่รัว

   เคย์เอื้อมมือทั้งสองข้างสอดเข้าที่แผ่นอกผมแล้วคีบดึงตุ่มเนื้อทั้งสองเป็นครั้งสุดท้าย เขาดึงมันอย่างแรงแล้วปล่อยมันให้เด้งกลับไปที่เดิม

   “เจ็บ! เจ็บนะ! ฮึก” ผมแทบร้องไห้เมื่อเขาออกจะเกินลิมิตไปหน่อย จนสุดท้ายเคย์จึงละจากแผ่นอกผมแล้วเปลี่ยนไปกระแทกข้างหลังจนรู้สึกถึงหน้าขาเขาที่กระทบก้นผม

   พั่บ พั่บ พั่บ พั่บ

   เสียงหยาบโลนมาพร้อมกับสัมผัสแนบแน่น รูมเมทผมส่งตัวเองเข้ามาให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนสุดท้ายเขาจึงขยับเนิบนาบเข้ามาแนบสนิทภายใน ปลดปล่อยอารมณ์ออกมาในรูปแบบน้ำสีขาวขุ่นที่ไหลออกมาเต็มช่องทางไปหมด

   เขาโน้มตัวลงกระซิบข้างหูผม

   “มึงเจ็บแล้วคิดว่ากูไม่เจ็บบ้างเหรอ”

   ผมสะอื้นฮักเมื่อเขาผละออกไปแล้วโดยไม่สนใจผม ทันทีที่ผมขยับตัว ร่างกายกลับประท้วงจนผมตกลงไปนอนคู้ตัวอยู่กับพื้น

   “จิน!” เคย์ก้าวเข้ามาอุ้มตัวผมขึ้นนั่ง น้ำสีขาวขุ่นซึ่งคั่งค้างอยู่ในช่องทางค่อยๆไหลออกมาตามขาด้วยแรงโน้มถ่วง

   “บ้าเอ๊ย บ้าเอ๊ย!! บ้าเอ๊ย!!!” เขาทุบอากาศอย่างงุ่นง่าน แต่แล้วกลับได้ยินเสียงประตูห้องเปิดออก

   ผมสะดุ้งจนตัวโยนเมื่อมีคนเข้ามาภายในห้อง ชายหนุ่มหันไปหยิบเสื้อฮู้ดสีดำตัวยาวของตัวเองแล้วสวมทับคลุมให้ผม ปลดวิกของผมออกภายในเวลารวดเร็วให้ผมทที่ยังตั้งตัวไม่ทันเสียด้วยซ้ำ เขาโยนวิกใส่ล็อกเกอร์ผ่านๆแล้วปิดมันอย่างแรงแล้วจึงดึงผมให้ไปยืนหลบข้างหลังเขา

   “เฮ้ เคย์” ชายหนุ่มผู้มาใหม่เข้ามาในจังหวะพอดีกับที่พวกเราจัดการสภาพเสร็จ ผมใช้ร่างกายเคย์เป็นแหล่งกำบัง รู้สึกถึงน้ำขาวขุ่นที่ไหลลงมาตามขาและภาวนาไม่ให้ใครเห็นมัน

   “ไงว่ะนพ มีไร วันนี้กูขอกลับก่อน ยังไม่ฉลอง กูเหนื่อย ผลออกมาเมื่อไรค่อยบอกกูก็ได้” เขาอธิบาย มือเขาคอยดันผมไม่ให้ออกมาเห็นคนข้างนอก

   “เฮ้ย เปล่า…กูไม่ได้มาเรื่องนั้น ว่าแต่มีอะไรกันหรือเปล่าวะ”

   “ไม่มี” เสียงเคย์ต่ำคล้ายคำรามไม่ให้เขาเข้ามายุ่ง

   “อ้อ…เออ โอเค เออ” ผู้มาใหม่ที่ชื่อนพเว้นช่วงไปนิดหนึ่งก่อนจะบอก “คือกูจะถามว่าคนใส่ชุดเชียร์ลีดเดอร์เมื่อกี้ใครวะ”

   “ถามทำไมวะ มึงรู้จักรึไง”

   “เออ เหมือนใครบางคนที่กูรู้อ่ะ ตอบคำถามกูมาเหอะน่า”

   เคย์นิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะบอก

   “เด็กผู้หญิงข้างบ้านที่รู้จัก เมทกูพาเขามาทำตัวแปลกๆถึงนี่กูเลยกำลังทะเลาะกันอยู่”

   รูมเมทผมเหมือนจะบอกเขากลายๆว่านี่เป็นเวลาที่ไม่เหมาะสมจะมาคุยอย่างแรงซึ่งคนมาใหม่ก็เข้าใจได้เป็นอย่างดี

   “อ้อ ผู้หญิงเหรอวะ…งั้นคงไม่ใช่” เขาโบกมือแล้วเดินออกไปทางประตู “งั้นกูไปก่อนแล้ว เจอกันมึง”

   เมื่อเขาออกไปแล้ว ร่างสูงตระหง่านของเคย์ก็หันกลับมาหาผม เขาประคองผมไปนั่งนิ่งๆก่อนจะคุกเข่าอยู่ข้างล่าง หยิบผ้าขนหนูและน้ำขวดจากในกระเป๋ากีฬา

   ชายหนุ่มเทน้ำลงบนผ้า บิดมันให้หมาดแล้วเช็ดคราบขาวขุ่นซึ่งไหลตามเรียวขาของผม

   น้ำตาผมคลอเบ้าเมื่อได้รับสัมผัสอบอุ่นที่แตกต่างจากเมื่อครู่

   “มึงเป็นอะไรวะจิน มึงไม่มาตามกู ไม่หยุดกูด้วยซ้ำตอนที่กูเดินออกไป แล้วมึงก็มาหากู มาทำให้กูสับสนไปหมดอีกครั้งทำไมวะ”

   “อึก…ฮึก”

   “อย่าร้อง กู…บ้าเอ๊ย อย่าร้องสิวะ หยุดเลย” เขาใช้มือสากๆปาดน้ำตาบนหน้าผมที่ไหลลงมาอย่างกลั้นไม่ได้

   “มันหยุดไม่ได้” เสียงผมสั่นเครือ

   “มึงเห็นกูเป็นอะไรวะ อยู่ดีๆก็เดินกลับเข้ามา ไม่อธิบายอะไรสักอย่าง แล้วกูก็เสือกยอมตั้งแต่เห็นหน้ามึงแล้ว” เขาแนบศีรษะลงกับตักผม

   “…”

   “กูยอมแล้ว กูขอโทษ กูจะไม่พูดเรื่องชอบอะไรนี่อีก เรากลับไปเป็นเหมือนเดิมเหมือนตอนก่อนที่เรื่องทั้งหมดนี่จะเกิดขึ้นได้มั้ยวะ”

   “…ไม่ได้” ผมตอบอย่างหนักแน่น

        สายตาของเคย์มอดลงเหมือนคนโดนดับความหวัง

   ผมเหลือบตาไปมองมุมมืดซึ่งอดีตของผมยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น จ้องมองถามเหมือนว่าคิดดีแล้วหรือ

   คิดดีแล้วสิ

   ผมเอ่ยปากพึมพำตอบกลับไป

   ความกลัวซึ่งซ่อนในใจผมไม่หายไปไหน มันเพียงแค่ตัวเล็กลงเพราะมีบางอย่างที่สำคัญมากกว่า

   “เคย์…กูไม่เกลียดมึง ไม่เกลียดเลย กูไม่รู้ว่าตอนนี้มันคืออะไร แต่กูคิดว่ามึงคือคนสำคัญของกู” ผมประคองใบหน้าเขาขึ้นมา จ้องในดวงตาตอนที่พูด

   แววตาของเขาที่มอดดับกลับค่อยๆสว่างไสวระยิบระยับเหมือนดวงดาว

   “เพราะงั้น…จนกว่ากูจะแน่ใจจริงๆ ช่วยอยู่ข้างกูก่อนได้มั้ย”

   ชอบไม่ชอบ รักหรือเปล่า เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ไม่สามารถตัดสินได้อย่างรวดเร็ว หากพูดออกไปเร็วเกินก่อนเพื่อที่จะรู้ตัวในทีหลัง ก็จะมีเพียงเขาที่เจ็บอยู่คนเดียว

   แต่ที่แน่นอนคือผมจะไม่หนี

   ผมจะค้นหามันไปพร้อมๆกับเขา

   “ได้…กูยอมมึงทุกอย่าง ยอมได้หมด” เขาพยักหน้า ยิ้มกว้างเผยเขียวข้างเดียวที่ผมนึกคิดถึงเป็นที่สุด

   “กูยอมได้หมดจริงๆถ้าเป็นมึง”

   แน่นอนว่าคำพูดของเขาทำให้ผมเกิดกังวลใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่ผมเลือกที่จะเชื่อใจตัวเองกับเขาให้มากๆ

   “โอเค งั้นกลับห้องกันมั้ย”

   “อือ”

   เคย์ประคองผมให้ลุกขึ้น ตัวผมเซเล็กน้อยจนปะทะกับร่างกายแข็งแกร่ง กลิ่นเหงื่อจากกายเขาแฝงด้วยฟีโรโมนจนทำเอาใจเต้นส่ำ

   จู่ๆเขาก็หัวเราะจนผมรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าอกเขากระเพื่อม

   “ทำไม หลงเสน่ห์กูแล้วเหรอ” เขาเอื้อมมือมาบีบจมูกผมอย่างหมั่นเขี้ยว

   “หลงตัวเองเกินไปแล้ว” ผมปัดมือนั่นออกอย่างหัวเสีย แต่เขากลับหัวเราะร่าแล้วอุ้มผมขึ้นด้วยแขนเพียงข้างเดียว

   คนตัวสูงฉวยกระเป๋าแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำอย่างเริงร่า หางกระดิกไม่หยุดกระทั่งตอนที่เขายัดผมเข้าที่นั่งข้างคนขับแล้วย้ายตัวเองไปขับรถให้

   “เอากุญแจมาเร็ว” เคย์กระดิกนิ้วยิกๆซึ่งผมก็ตอบแทนด้วยการหยิบกุญแจมาปาใส่ด้วยความหงุดหงิดกับความร่าเริงจนเกินเหตุ ทั้งๆที่ตัวผมปวดจนไม่รู้จะบรรยายยังไง

   ฮึ่ม

   “ปวดตัว กลับไปแล้วเปิดอ่างน้ำอุ่นให้กูแช่ด้วย ไม่สิ บ้าเอ๊ย ที่ห้องไม่มีอ่างน้ำนี่นา จบปีหนึ่งแล้วต้องย้ายออกไปให้ได้”

   “ครับๆ”

   “มาเป็นเบ๊กูไปอีกสัปดาห์เลย”

   “ได้ครับ”

   “แล้วก็ไปซื้อของกินมาให้กูซะ”

   “ครับ เอาอะไรอีกมั้ยครับ”

   “มานวดตัวให้กูด้วยตอนค่ำนี้!!”

   “ได้ๆ”

   ผมเดาะลิ้น

   “แสตนบาย24ชั่วโมง กูเรียกเมื่อไรต้องลุกเมื่อนั้นเข้าใจมั้ย!”

   “รับทราบครับ”

   ผมเอื้อมมือไปบิดเอวคนที่ยิ้มจนเกินเหตุ ไม่ว่าจะคำสั่งอะไรก็ไม่สามารถทำให้เจ้าตูบเลิกสั่นหางเหมือนหมาดีใจเวลาเจ้าของตบรางวัลได้เสียที

   สุดท้ายคนที่เสียเปรียบก็มีผมคนเดียวนี่

   น่าโมโหชะมัด!

v
v
v
ต่อข้างล่าง

หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer
เริ่มหัวข้อโดย: MeiHT ที่ 19-03-2019 00:14:33
   “เช็ดตัวให้กูเดียวนี้เลย”

   พอเข้ามาถึงในห้องผมก็นอนแผ่บนเตียงอย่างไม่กลัวจะเปรอะเปื้อนใดๆ เหตุเพราะเมื่อยขบจนไม่อยากเคลื่อนไหว

   เคย์ถอดเสื้อบาสชุ่มเหงื่อออก ทิ้งมันลงในตะกร้าแล้วคลานเข่าขึ้นเตียงมาลอกคราบผม

   “สุดยอด วิวดีสุดๆ” เขาผิวปากหวือเมื่อถอดเสื้อฮู้ดสีดำของตัวเองออกจนเหลือแค่ชุดเชียร์ลีดเดอร์ข้างใน ชายหนุ่มโยนเสื้อส่งๆแต่กลับเข้าตะกร้าผ้าพอดีสมกับเป็นนักบาสตัวท็อป

   “หุบปาก” ผมเอาเท้ายันแผ่นอกเขาแต่กลับโดนคว้าข้อเท้าไปพาดบ่าเสียอย่างนั้น

   “อีกสักรอบได้มั้ย” เสียงเขาเว้าวอน

   “ไม่!”

        เคย์ยู่ปาก ปล่อยข้อเท้าผมให้เป็นอิสระแล้วลุกขึ้นไปหาผ้ามาชุบน้ำอุ่น

        หมาตัวโตกลับมาพร้อมกับผ้าขนหนู เขาเริ่มจากการเช็ดหน้าอย่างเบาๆ ความอุ่นของมันพอดีกับความต้องการของผมจนหลุดเสียงพอใจในลำคอ
 
        “อย่าครางแบบนั้นได้มั้ย”

        “หึ”

        ความอุ่นชื้นไล่ไปตามคอ เขาประคบหลังคอกับไหล่ของผมเพื่อคลายความเมื่อยล้า แล้วจึงเช็ดตรงแผ่นอกด้วยการร่นเสื้อเชียร์ขึ้น

         ตุ่มไตทั้งสองข้างยังคงแดงเปร่งแถมยังวาวเพราะหลงเหลือความชื้นจากการดูดกลืน เคย์กลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่ก่อนที่จะเช็ดอย่างระวัง

         “ฮือ” ผมร้องเมื่อรู้สึกเจ็บ

         “เจ็บเหรอ…กูทำแรงไปรึเปล่า”

         ตอนนี้หน้าตาเขาดูกังวลอย่างมาก

         “โน้มตัวลงมาหน่อย” ผมสั่งคนที่ดูเลิกลั่กจนไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ

         ชายหนุ่มเอามือยันเตียง คร่อมตัวผมเสียมิดแสง ผมผงกหัวขึ้นเล็กน้อยสูดกลิ่นอายจากผิวชื้นเหงื่อของเขา

         เขากลับมาแล้ว

         เรากลับมาอยู่ด้วยกันแล้วจริงๆ

          “บ้าเอ๊ยจิน เดี๋ยวก็ได้สติแตกจริงๆหรอก ยิ่งค้างๆอยู่” เขาผละออกอย่างรวดเร็ว ใบหน้าคมหล่อแดงก่ำไม่รู้เพราะเขินหรือกำลังอดกลั้นอยู่

           ผมหัวเราะขำในฃำคอ เขาเลยฟาดมือกับอากาศแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ ตั้งสติใหม่

           เคย์เช็ดตัวให้ผมต่อจนกระทั่งมาถึงส่วนที่น่าเหนื่อยใจที่สุด

          “เข้าห้องน้ำดีกว่ามั้ย”

           “ไม่เอา” ผมพูดอย่างเอาแต่ใจ

           “แต่มันต้องล้วงออกนะ”

          “ก็ทำดิ”

          “เฮ้อ” เขาขยี้ผมตัวเองจนยุ่ง เคย์จับผมพลิกให้นอนคว่ำแล้วจึงเลิกกระโปรงเทนนิสขึ้น

          “หื่นกาม”

           “ก็มึงพึ่งบอกเองว่าให้กูทำอ่ะ!” เขาหายไปในห้องน้ำครู่หนึ่งเพื่อซักผ้าใหม่อีกครั้ง ชายหนุ่มคลานเข่ากลับขึ้นมาทาบทับผมอีกครั้ง เขาใช้ผ้าอุ่นๆนั่นเช็ดก้นกลมๆของผมจนมันเด้งไปมา ได้ยินเสียงคนข้างหลังสูดหายใจเฮือก

            เจ้าหมาโง่วางผ้าอุ่นประคบที่ต้นขาผม ก่อนจะเริ่มสอดนิ้วเข้าช่องทางซึ่งยังชื้นอยู่เพื่อล้วงเอาสิ่งที่ยังคงคั่งค้างอยู่ภายใน

             นิ้วทั้งสองของเขาขยับเคลื่อนไหวไปมาในร่างกายผม จนคว้านไปโดนจุดที่ไม่ได้ตั้งใจ ผมยกสะโพกลอยบดเบียดเข้าหานิ้วของเขาให้มากขึ้น

             “จิน” เขาครางเสียงต่ำ ยังคงทำหน้าที่ของตัวเองอย่างตั้งใจ กระโปรงเทนนิสสีขาวของผมร่นลงตามการเคลื่อนไหวปกปิดความกลมกลึงไปครึ่งหนึ่ง

             เขาส่งนิ้วเข้ามาอีกรอบ ขยับเอาน้ำสีขาวขุ่นซึ่งถูกปล่อยไว้ข้างในออกมาจนหมด ผมรู้สึกว่าช่องทางตัวเองขยับเรียกร้องเมื่อเขาเอานิ้วออกไปแล้ว

             “ยุบหนอพองหนอ เนื้อหนังมังสาขาวๆหนอ เอ๊ย”

             ผมขยับตัวนอนตะแคงจนเห็นร่างกายสัดส่วนSอย่างชัดเจน

            “เก่งมากเจ้าหมา ไม่วอกแวก”

           “ไม่วอกแวกก็บ้าแล้ว” เขาชี้เป้าที่นูนของตัวเอง แต่สุดท้ายเจ้าตัวก็ถอนหายใจเฮือกแล้วเอาผ้าไปบิดมาเช็ดตัวให้ต่อ ทั้งข้าง

           หน้าซึ่งเลอะคราบไม่ต่างกัน แล้วสุดท้ายจึงไล่เช็ดขาให้อย่างตั้งใจ

          “เหนื่อย” ผมฝังใบหน้ากับหมอน

          “งั้นก็นอน เดี๋ยวกูประคบขากับแขนให้ ตื่นมาจะได้ไม่ปวด”

            ผมอมยิ้มกับถ้อยคำใส่ใจนั่น ขยับร่างกายหาองศาที่ชอบแล้วซุกตัวอย่างสบายใจ มองคนตัวใหญ่ในห้องรูหนูเล็กๆนี่ที่เดินไปเดินมาไม่หยุดเพราะพยายามหาของนู่นนี่มาประเคนให้ผม

            ผมซ่อนรอยยิ้มไว้กับหมอน

           ห้องกลับมาอบอุ่นอีกครั้งแล้ว

-----------------------------
เนี่ย ดราม่าจบแล้วววววว ช่วงนี้เราติดนิยายแอร์กูล ปัวร์โรต์ค่ะ จริงๆซื้อมานานแล้วแต่เพิ่งเอามานั่งอ่าน ถ้าเทียบกับเชอร์ล็อคที่เคยอ่านแล้วชอบปัวร์โรมากกว่า อาจจะเพราะเราชอบคาแรคเตอร์เขา แล้วก็ภาษาแปลอ่านง่ายกว่า
ติดจนถึงขั้นที่ว่าถ้ายังมีแรงจะเขียนนิยายต่ออาจจะเขียนนิยายแนวสืบสวนสอบสวน ตอนนี้เริ่มรางพล็อคคร่าวๆแล้ว...
แต่จะเข็นออกมาได้มั้ยต้องรอดูอีกทีนะคะ ฮา เขียนแต่ละเรื่องเหมือนจะหมดพลังเลย

มีข่าวมาแจ้งค่ะ
ตอนแรกมีสำนักพิมพ์ติดต่อเรามา แต่สุดท้ายเราได้ปฏิเสธไปนะคะ เหตุผลแรกคือเราคอมมิชหน้าปกกับรูปประกอบแล้ว
เหตุผลที่สองคือกลัวค่ะ ด้วยความที่นิยายมัน....ฉากมันแบบ แง เอาเป็นว่ารู้กัน เราเลยกลัวว่าถ้ามันแมสออกไป อยู่บนชั้นหนังสือแล้วสักวันจะต้องได้เห็นปกนิยายตัวเองในทวิตเตอร์แน่ๆ ฮา ตอนนี้ก็คิดแคปชั่นออกเลยว่าจะโดนวิจารณ์ยังไง ก็เลยจำกัดมันให้แคบไว้ดีกว่า

ซึ่งต้องบอกว่าเป็นเกียรติมากค่ะที่สำนักพิมพ์ที่เรานับถือได้ติดต่อมา ขอบคุณมากจริงๆนะคะที่นึกถึงนิยายเรื่องนี้ บรรยายไม่ถูกแต่เป็นเกียรติจริงๆค่ะ TvT 

อย่างตอนนี้ก็ไม่มีเหตุผลไม่มีอะไรเลยค่ะ แค่อยากเขียนฉากนี้เฉยๆ ทุกคนรู้กันเนอะว่าเป็นkinkแปลกๆอ่ะ
*****นิยายเรื่องนี้แต่งขึ้นตามจินตนาการของผู้เขียน ไม่เกี่ยวข้องกับความเป็นจริงนะคะ

ปล.2 โมเดอเรเตอร์เล้าจะแบนมั้ยคะ ฮือ แต่ไม่ได้โฆษณาขายเนอะ เอาเป็นว่าถ้าผิดกฎเดี๋ยวมาลบทิ้งนะคะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.10[19/03]
เริ่มหัวข้อโดย: GDNEE ที่ 19-03-2019 01:32:43
ดีมากเลยค่ะ​ จริงๆอ่านค้างตอนที่10เอาไว้​ กลัวดราม่า​ เราก็รอแล้วรออีกรอให้นักเขียนมาอัพต่อ​ ฮือออ​ ชอบบ​
ปล.รอหนังสือนะคะ​ ไม่พลาดแน่นอนเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.10[19/03]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 19-03-2019 02:34:07
เก่งมากเจ้าหมา อดทนเก่งเป็นที่หนึ่ง !!  :hao7:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.10[19/03]
เริ่มหัวข้อโดย: nofsnof ที่ 19-03-2019 02:35:47
รอหนังสือนะคะ น้องจินคนเดิมกลับมาแล้ว YAY
ต่อไปก็ขอแซ่บๆเลยน้าา :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.10[19/03]
เริ่มหัวข้อโดย: Spenguin ที่ 19-03-2019 07:08:51
 :impress2: :pig4: :impress2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.10[19/03]
เริ่มหัวข้อโดย: yunnutjae ที่ 19-03-2019 13:02:14
เฮ้อออออ ดีกันซักที  :เฮ้อ:
จากนี้ก็ขอหื่นๆ เอ้น หวานๆนะคะ  :laugh:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.10[19/03]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 19-03-2019 15:02:02
ดีกันแล้ว..เย้ๆๆๆๆๆๆๆๆ   :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.10[19/03]
เริ่มหัวข้อโดย: _leoonearth_ ที่ 19-03-2019 15:02:47
ฮือออออออ เค้าเข้าใจกันแล้วค่ะแม่
ลูกสาวแม่เค้าไปง้อหนุ่มร่างยักษ์ของเค้าแล้ว โอ๊ยๆๆ หัวอกคนเป็นแม่ ปลื้มมมมมมมมหนักกก
เรื่องน่ายินดีอีกเรื่องคือ ไรท์จะพิมพ์นิยายเอง ฮือออ >< ข่าวดีสุดในรอบเดือนนี้เลย ดีใจมากค่ะ
ก่อนหน้านี้เคยภาวนาให้ไรท์ทำมือเอง ไม่อยากให้ผ่านสนพ.เพราะมันจะถูกจำกัดเรท(ซึ่งส่วนตัวไม่ชอบเท่าไร) และอีกอย่างไม่อยากให้มันแมสและวางขายตามร้านหนังสือจริงๆๆๆ ขอบคุณมากนะคะที่ตัดสินใจแบบนี้
รออตอนต่อไปเสมอค่ะ


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.10[19/03]
เริ่มหัวข้อโดย: มะยองมะแยง ที่ 19-03-2019 16:16:20
เค้าดีกันแล้วเย้ๆๆ ฉากล๊อคเกอร์เคย์คือร้อนแรงเว่อร์ แต่พอกลับมาห้องก็กลายเป็นหมาโง่คนเดิม5555
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.10[19/03]
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 20-03-2019 17:25:16
เข้าใจกันแล้วนะ ลุ้นมากเลย ต่อไปนี้ทั้งสองคนก็ต้องช่วยกันดูแลกันนะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.10[19/03]
เริ่มหัวข้อโดย: MaTazz ที่ 20-03-2019 23:41:46
เคย์เบา เบาหน่อย ถนอมน้องหน่อย
เข้าใจกันแล้ว กลับมาลุคเจ้าหมาโง่แล้ว ชอบๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.10[19/03]
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 21-03-2019 17:58:17
แต่ละชุดนี่แบบ...
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.10[19/03]
เริ่มหัวข้อโดย: Maccagadz ที่ 21-03-2019 20:54:32
เต้าหมาตัวน้อยๆ ทาสรักน้องจิน
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.10[19/03]
เริ่มหัวข้อโดย: ป่ามป๊ามป่ามปาม ที่ 24-03-2019 09:57:09
สุดยอดดดด คือเราชอบแนวเมลซับ เมลดอมมากเลยอะ อ่านเรื่องนี้แล้ว เติมเต็มมากๆ แงงงงง
ชอบคาแรคเตอร์เคย์อะลุคแบดบอยแต่นิสัยลูกหมา แงๆๆๆๆ ดีมากๆเลยค่ะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.10[19/03]
เริ่มหัวข้อโดย: Wwavez ที่ 24-03-2019 18:42:12
เย้ เค้ากลับมาดีกันแล้ววว  :mew1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.10[19/03]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 27-03-2019 20:40:00
 :3123:
ดีกันก้อดีแย้วว
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.10[19/03]
เริ่มหัวข้อโดย: MeiHT ที่ 30-03-2019 23:05:38
บทที่ 12 : ผู้บังเกิดเกล้า

“จิน เห็นชีทที่กูวางไว้ตรงเตียงมั้ยอ่ะ”

“มันก็กองๆอยู่ตรงนั้นแหละ” ผมยังไม่เงยหน้าขึ้นจากกระดาษที่เต็มไปด้วยตัวเลขและtransactionจำนวนมากที่ถูกบันทึกไว้

มิดเทอมกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ และเพราะผมเสียเวลากับการเคลียร์กับเขาไปพอสมควร ดังนั้นผมจึงต้องทำตารางการอ่าน
หนังสือของตัวเองให้หนักแน่นเข้าไว้

เคย์ทำหน้ามุ่ยค้นกองกระดาษ แต่เหมือนว่าเจ้าตัวจะไม่เจอสิ่งที่ตามหา

“หลังจากเรียนเสร็จไปไหนป่ะ”

“เดี๋ยวกูไปอ่านหนังสือที่ศูนย์ต่อ”

“อ้อ ไปคนเดียว?”

“อือ เดี๋ยวรอชวนเพื่อน ถ้าเพื่อนไม่ไปก็ไปคนเดียวนี่แหละ”

ชายหนุ่มตรงหน้าผมนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเก็บข้าวของใส่ย่ามแล้วสะพาย มันเป็นกระเป๋าผ้าลายกุ๊งกิ๊งที่เดือนคณะต้องถือไปไหนมาไหนเพื่อโปรโมท

“ฮอตน่าดูเลยนี่คุณเดือนคณะนิติ” ผมยิ้มเผล่มองคนที่ทำหน้าปั้นยากใส่

หลังจากที่มีข่าวเรื่องการคัดเลือกนักบาสของมหาลัยกับการที่เพจลงโปรโมตรูปเขาบ่อยๆ จึงทำให้มีคนเข้ามาคุยกับเขาเยอะขึ้น
พอสมควร แถมเรตติ้งเวลาลงรูปของเคย์ยังดีจนถึงขนาดที่ว่าคนทำเพจผู้ชายในมหาลัยถึงขั้นอยากให้เขาไปร่วมไลฟ์ด้วยเป็นครั้งคราว

‘ไม่เอาด้วยหรอก’ คือคำประกาศกร้าวของเขา ซึ่งมันก็เป็นคำที่เขากล้าพูดเฉพาะต่อหน้าผมเท่านั้น ในความเป็นจริงเจ้าตัวพยักหน้าตกลงแล้วเรียบร้อยเพราะไม่กล้าปฏิเสธรุ่นพี่ที่ใจดีกับตัวเอง

คิดแล้วก็ขำเจ้าหมาที่ตั้งมั่นแน่วแน่พูดคำว่าไม่ครับ แต่ถึงเวลาจริงตอนไปปฏิเสธกลับพยักหน้างงๆเพราะอีกฝ่ายรัวคำพูดใส่จนมึนหัว บทพูดที่คิดไว้กระเด็นหายออกไปเสียหมด

แถมตอนที่ต้องไปออกหน้ากล้องกับเดือนคนอื่นๆยังขมวดคิ้วหน้ายุ่งจนคนเขากลัวไปหมด ซ้ำยังพูดน้อยจนคนอื่นถึงขั้นมีประเด็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับเดือนคณะนิติกัน

ทั้งๆที่จริงแล้วเจ้าตัวแค่ไม่รู้จะพูดอะไร

แถมคู่จิ้นตัวเองที่อยู่ข้างๆก็พูดเร็วจนเคย์มึน พูดอะไรไม่ทันเลยได้แต่นั่งกอดอกเสริมบ้างอะไรบ้างเฉยๆ

แต่กระแสคนแบดบอยหล่อเย็นชาดันดีพุ่งพรวดจนฉุดใม่อยู่

เรียกว่าเหนือความคาดหมายหรืออะไรดี

“อย่าล้อจะได้มั้ย” หน้าคมๆที่กำลังบึ้งตึงดูน่ากลัวไม่น้อย อันที่จริงแล้วมันเปล่งออร่าอย่าเข้าใกล้เลยทีเดียว ติดก็แค่ผมมีฟิลเตอร์หมาซามอยด์ตัวใหญ่ให้เขาตลอดเวลา ถึงได้เลิกกลัวหน้าดุๆนี่ไปเสียแล้ว

“แล้วนี่สะพายกระเป๋าจะไปไหน?”

“ไปส่ง” เขารวบกระเป๋าของผมมาถือ เก็บของอย่างพวกไอแพดที่ใส่เคสสีเหลืองลายไข่ขี้เกียจของผมใส่ลงไปให้หมด

“ไปทำไม ไม่ต้องก็ได้”

“มันหาที่จอดรถลำบาก เดี๋ยววนรถไปให้”

ว่าจบเขาก็รวบของทั้งหมดของผมไปถือเองแล้วบังคับให้ผมลุกไปเรียนเสียที

“เย็นนี้กินอะไรกันดี” ผมถามตอนที่พวกเราเดินไปที่รถ เขายื่นมือมาเขกหัวผมเบาๆเหมือนหมั่นเขี้ยว แต่เพราะแรงมือของคนไซส์
ใหญ่ทำให้ผมเจ็บจนต้องมองค้อนไปแรงๆ

“ยังไม่ทันจะเที่ยงก็คิดจะหาข้าวเย็นกินแล้วเหรอ ตะกละจริงๆ”

“เขาเรียกเจริญอาหาร”

“อ่ะ เจริญอาหารสุดๆไปเลยยยย”

ผมฟาดป้าบเข้าที่หลังของคนขี้แซะจนเขาเซแถดๆไปข้างหน้าซึ่งผมก็รู้อยู่ดีว่าเป็นการแกล้งกวนประสาทอีกอย่างของหมอนี่ คนอย่างเขาแล้วหากไม่ยินยอมมีหรือที่จะเซไปตามแรงใครง่ายๆ

อีกฝ่ายเป็นคนที่แทบจะอุ้มผมด้วยมือเดียวได้นะ

จะมาเซแถดๆเพราะโดนคนตัวเล็กอย่างผมตีเนี่ยนะ

กวนประสาทจริงๆ

เคย์ขับรถมาส่งที่คณะของผม ก่อนที่จะลงไปอีกฝ่ายยื่นมือมาลูบหัวผมเบาๆก่อนจะบอกว่า

“อ่านหนังสือเสร็จแล้วกลับมากินอะไรอร่อยๆกันล่ะ”

“รู้แล้วน่า ต่อให้มึงไม่พูดกูก็จะไปหาอะไรอร่อยๆกินอยู่แล้ว” ผมสะบัดหน้าที่เริ่มร้อนๆเพราะรอยยิ้มยาซาชี่ของเคย์แล้วลงจากรถ ก้าวฉับๆเข้าอาคารเรียน

อ่า…หมอนั่น

ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงฮอตนัก

ก็ในเมื่อเป็นคนที่มีแก๊ปโมเอะเสียขนาดนั้น

คิดดูสิ ผู้ชายตัวใหญ่หน้าหล่อคมเข้มที่(เหมือนจะ)สูบบุหรี่ เจาะตุ้มหูหลายๆรู ดูเป็นพวกหัวขบถ(ซึ่งอันที่จริงแล้วไม่ใช่อย่างแรง) แค่นี้สาวๆก็แพ้ลุคแบดบอยจะแย่อยู่แล้ว

ยิ่งได้ค้นพบว่าเจ้าตัวจริงๆมีรอยยิ้มยาซาชี่ที่ขัดกับภาพลักษณ์ แถมเวลายิ้มยังมีเขี้ยวข้างเดียวที่โคตรมีเสน่ห์อีก
เจ้าตัวที่ปกติหน้านิ่วคิ้วขมวดและเพราะคิ้วเข้มๆนั่นทำให้เคย์ดูอารมณ์เสียตลอดเวลา แต่พอคุยแล้วกลับพบว่าเขาเป็นนักคุยเสียง
นุ่ม

ไอ้แก๊ปโมเอะพวกนี้แหละที่ทำให้เขาเป็นที่นิยมนักสำหรับคนที่รู้จัก

โอ๊ย บ้าเอ๊ยๆๆๆ แล้วผมเป็นอะไร ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ก็อยู่ด้วยกันมาแล้วยังไม่รู้สึกว่าเจอข้อดีอะไรขนาดนี้เลย

บ้าชะมัด อาการเห็นอะไรก็อวยเขาไปเสียหมดนี่มันเหมือนกับคนกำลังชอบเขาอยู่ชัดๆ

เป็นช่วงที่อันตรายเป็นบ้า

ผมชักเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมตอนนั้นพ่อถึงบอกกับแม่ว่าเขาให้ทุกอย่างกับแม่ได้ มันไม่ใช่คำโกหกหรอกนะ…อย่างน้อยก็ตอนนั้น
ล่ะ

ช่วงอาการหลงอาการอวยเป็นช่วงที่น่ากลัวชะมัด มันทำให้เรามองข้ามเหตุผลทุกอย่าง เป็นช่วงที่เราใช้หัวใจมากกว่าสมอง

แต่มันก็ดีสุดๆไปเลย

แน่นอนว่าผมยังไม่ชอบหลายๆเรื่องของเขา ยังคงหัวร้อนบ้างเวลาเขาใช้ของใช้ส่วนตัวของผม หรือตอนที่เขาย้ายตัวมานอนเตียงเดียวกับผมตามใจชอบแล้วใช้เตียงของเขาเก็บของ

แต่…ไม่รู้สิ เหมือนกับว่าไม่ว่าข้อดีข้อเสียอะไรผมก็รับได้เสียทุกอย่าง

นี่…คนมีความรักเขาเป็นอย่างนี้กันเหรอ

ถ้าอย่างนั้นผมก็เข้าใจแล้วว่าทำไมคนถึงชอบเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในห้วงความรักและยอมโดนทำร้ายจากมันนัก

เพราะอย่างน้อยมันก็คุ้มค่า

และเพราะความรู้สึกของการถูกรักโดยไม่มีเงื่อนไขมันเป็นความรู้สึกที่ชวนให้เสพติด

จนหลงคิดไปว่าตัวเองจะสามารถอยู่แบบนั้นได้ตลอดไป



หลังจบคลาสผมรู้สึกเหนื่อยเกินกว่าที่จะลากตัวเองไปอ่านหนังสือได้ แต่เมื่อคิดถึงการสอบที่รออยู่ข้างหน้าแล้วก็ทำให้ตระหนักว่าต่อให้ตายก็ต้องได้คะแนนดี!

เพราะอย่างนั้นผมกับกลุ่มเพื่อนสาวจึงเคลื่อนตัวมาที่ศูนย์การเรียนรู้ซึ่งเป็นที่อ่านหนังสือให้มหาลัย

หลังจากวนหาที่หลายรอบ เราก็เจอมุมสงบที่หนึ่งที่เหมาะแก่การอ่านหนังสือ และที่นั่งตรงนั้นดันมีผู้ชายคนหนึ่งที่ทำให้เพื่อนผม
ตาลุกวาวด้วยความตื่นเต้น

“นั่นรูมเมทแกนี่”

“เชี่ยๆๆๆ หล่อสาด”

ผมเบ้ปากให้กับความเนื้อเต้นของแต่ละคน ถึงแม้ว่าจะชินแล้วก็เถอะ บางทีก็อยากจะถามว่าไม่เห็นผมเป็นผู้ชายบ้างหรือไงหะ แต่ก็คงได้คำตอบประมาณว่า อ้าว นี่แกเป็นผู้ชายเหรอจิน ไม่ได้สังเกตเลยว่ะ ตอบกลับมาเป็นการกวนประสาทแหงๆ เลยไม่ถามดีกว่า

“ไม่ทักเขาวะ?” เพื่อนคนหนึ่งสะกิดไหล่ผม ผมทำท่าปัดไหล่เหมือนรังเกียจและได้การตอบรับเป็นเสียงหัวเราะเสียงกัมปนาทอย่างที่ไม่สนว่ามันคือห้องสมุด

เสียงนั้นเรียกให้ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมามอง เคย์ที่นั่งอย่างสงบกับหนังสือในมือ แสงแดดอ่อนๆลอดผ่านหน้าต่างเข้ามากระทบตัวเขา ความคอนทราสต์ของเขากับสถานที่ทำให้ตัวเขาแปลกแยกมากขึ้นไปอีก

“จิน!?” เสียงนั้นทั้งตกใจทั้งดีใจ

ดีใจอะไรกันเล่า กลับห้องไปก็ได้เจอกันแล้วแท้ๆ

“มาทำอะไร” ผมถามคำถามที่น่าจะโง่ที่สุดออกไป ถามคนที่กำลังอ่านหนังสือในห้องสมุดว่าทำอะไรนี่นะ

“อ่านหนังสือ กะว่าจะมารอมึงเผื่ออ่านหนังสือด้วยกัน แต่สงสัยว่ามีเพื่อนแล้ว” เขามองไปยังกลุ่มสาวๆข้างๆ เคย์พาร่างใหญ่ๆ
ของตัวเองมายืนค้ำหัวพวกผม

“อ่านด้วยกันก็ได้นะคะ” เพื่อนที่สลัดท่าทางกะลิ้มกะเลี่ยออกไปแล้วเสนอให้เขาอย่างใจกว้าง แต่เคย์ส่ายหน้ายิ้มๆแล้วขอตัวออกไปอ่านหนังสือที่อื่นโดยไม่ลืมกำชับผมว่าหากอยากกลับเมื่อไรให้โทรเรียกด้วย

“เมทแกไม่ชอบพวกเราเหรอไง” เพื่อนผมบ่น

“เหอะ เปล่า หมอนั่นแค่ไม่เก่งกับการคุยกับคนแปลกหน้า” ผมพึมพำตอบกลับไปแล้วเดินตรงไปนั่งที่ที่เคย์เคยนั่ง

 “เออ ละเนี่ยแกเห็นเรื่องดราม่าในเฟสยัง?”

“เห็น เรื่องรูมเมทไอ้จินใช่ป่ะ กูแบบ อื้อหือ”

หะ?

ผมหันไปมองเพื่อน เครื่องหมายคำถามเต็มหน้าทำให้พวกเธอสะดุ้ง

“อ้าว นี่แกยังไม่รู้เหรอ ขอโทษ” พลอย เพื่อนในกลุ่มที่เป็นดาวคณะซึ่งผมพลาดไปเชียร์ตอนประกวดยิ้มแหย

เออ ความเป็นจริงก็ไม่ได้พลาดหรอกนะ แค่ไม่ได้ไปในร่างของจินก็เท่านั้นแหละ

“ดราม่าอะไร” ผมขมวดคิ้วมุ่น นั่นทำให้เพื่อนๆรีบไถเฟสเอามาโชว์ให้ใหญ่

“อันนี้ๆ”

จอมือถือที่ถูกส่งมาให้โชว์โพสในเฟสบุ๊คของผู้ชายคนหนึ่ง โพสนั้นไม่ยาวแต่มีข้อความที่ชวนให้ไปตีความต่อพอสมควร

Thanawat
‘เดี๋ยวนี้การคัดบาสมันเลือกกันที่หน้าตาแล้วเหรอวะ อยากได้กระแสดึงตัวเดือนมาเล่นทีมมหาลัยก็บอก’
543 Like 108 Share

นั่น…มันพูดถึงเคย์เหรอ ตรงเป้าน่าดู หากพูดถึงเดือนคณะก็คงมีคนเดียวในทีมนั่นแหละ

“มึงดูในคอมเม้นท์จิน เหมือนเขาจะมีวิดีโอลงจุดที่เคย์ทำพลาดอ่ะ เอามาตัดต่อรวมๆกัน โห แม่งคือโคตรพยายาม กูนับถือในความนั่งถ่ายโฟกัสเหมือนถ่ายเมนในคอนเสิร์ตแต่เอามาตัดต่อให้มันแย่อ่ะ ทำได้ไงวะ”

“เออ ถ้าเป็นกูก็คือแบบ ไม่ชอบก็ไม่ต้องยุ่งอ่ะ”

“แต่กูก็ว่าหนักอยู่ มันก็ชัดอ่ะมึง”

“ช่วงแรกเขาฟอร์มตกจริง แต่ครึ่งหลังเขาเล่นดีมากต่างหาก” ผมตอบอย่างหงุดหงิดเมื่อไล่ดูคอมเม้นท์แล้วเจอเม้นท์เชิงปั่นมากมายที่บั่นทอนประสาท ไหนจะวิดีโอที่มีแต่ช่วงที่เขาพลาดเหมือนพยายามชี้นำคนอื่นให้คิดไปอย่างนั้น

“เออ พวกกูเข้าใจ ลูบๆนะมึง”

“อยู่เฉยๆไปดีกว่า เรื่องแบบนี้สู้ไปก็เปล่าประโยชน์ คนแม่งชอบเรื่องดราม่าอ่ะมึง ยังไงเขาก็เสพ เขาก็เชื่อฝ่ายที่ทำตัวเป็นเหยื่อตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว พอกระแสตีกลับก็หายหัว มึงก็รู้อ่ะวิถีดราม่า”

“มีแต่คนตีกันไม่หยุด แทนที่จะมานั่งวิเคราะห์กันว่ามันจริงไม่จริง”

เสียงของเพื่อนๆไม่ค่อยเข้าหูผมนัก เมื่อผมมือสั่น ตาลายหูอื้อเพราะความโกรธที่แล่นขึ้นไปถึงหัวจนทำให้หัวอุ่น

ทั้งคอมเม้นต์สารพัดที่บอกว่าเขามีดีแค่หน้าตา หรือกระทั่งดูถูกเขา

‘หน้าตาก็งั้นๆอ่ะครับ มีภาษีแค่คนอวย มีเพจอวยก็คิดว่าตัวเองเก่ง’

‘โห ไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนแบบนี้เลยอ่ะคร่ะ แต่ก่อนก็ตามตลอดนะ ชอบหน้าตาแบบว่าอยากได้เป็นผัวมากเลย แต่เจอแบบนี้ไม่เอาดีกว่าเนอะ’

‘พวกคนหน้าตาดีแล้วเหลิงคิดว่าตัวเองดีไปเสียหมด คิดว่าตัวเองสูงส่งกว่าคนอื่นนี่มันยังไงอ่ะครับ #ครุ่นคิส’

‘พวกมึงไปดูเพจอวยผู้ชายดิวะ แม่งออกมาปกป้องกันใหญ่ ปัดโธ่ หลงKจนมองอะไรไม่เห็นแล้วไอ้พวกนี้ 555555’

‘ชอบทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอ่ะครับ ไม่อยากให้ใครถ่ายรูปตัวเองอีก มันจำเป็นต้องสร้างคาแรคเตอร์ผู้ชายแบดบอยเย็นชาขนาดนั้นเลยออ #เอาว่ะ #เกียมโดนพวกแฟนคลับรุม #กูตายแน่’

ผมวางมือถือลง สไลด์กลับไปให้เพื่อนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วหยิบชีทขึ้นมาอ่าน ถึงแม้ว่ามือจะยังสั่นเพราะความโมโหอยู่

และถึงแม้ว่าอยากจะไปหาคนที่กำลังตกเป็นหัวข้อข่าวเพียงใด ผมก็อยากเอาสภาพที่ไม่โมโหจนหูอื้อตาลายไปหาเขามากกว่า เพราะแทนที่จะช่วยปลอบใจ เคย์อาจจะต้องเป็นคนปลอบใจผมไม่ให้หาไม้ไปตีหัวไอ้พวกนั้นจนกะโหลกยุบ

ตัวหนังสือในชีทเหมือนลอยเข้าหัวแล้วผ่านไป ผมสูดหายใจลึกๆตั้งตัวใหม่อีกครั้งแล้วพยายามอ่านทบทวนหนังสือ

ท่องไว้จิน ใกล้มิดเทอมแล้ว ใกล้มิดเทอม อีกไม่กี่วัน

ในที่สุดผมก็สงบจนนั่งอ่านหนังสือได้ แม้ในหัวจะยังคิดวนเวียนกับเรื่องของเคย์ไม่หยุดแถมยังไม่รู้ว่าตอนเจอหน้ากันจะพูดอะไรเป็นประโยคแรกกับเขาดี

การติวหนังสือจบลงโดยที่ผมอ่านชีทไปจบแค่บทเดียว ฟังคลิปเสียงไปได้แค่คลาสหนึ่ง ผมหอบของบอกลาเพื่อนๆแล้วโทรไปหาคนที่น่าจะซุกตัวที่มุมใดมุมหนึ่งในห้องสมุด

“อยู่ไหน” ผมกรอกเสียงลงโทรศัพท์ ซึ่งเขาก็ตอบกลับมา ผมรีบพาตัวเองไปหยุดอยู่ตรงหน้าอีกฝ่าย จ้องมองเขานั่งอยู่กับกลุ่มเพื่อน จมอยู่ในหนังสือประมวลเล่มหนาๆ

“จะอ่านต่อมั้ย” ผมเดินเข้าไปทัก ทำให้กลุ่มชายฉกรรจ์เงยหน้าขึ้นมามองผมเป็นตาเดียว

ผมจำได้เพียงว่านี่คือแก๊งเพื่อนในคณะนิติของเขา ผมทักทายทุกคนเป็นการโบกมือ และผมเผอิญหันไปสบตากับคนร่างสูงตัวใหญ่เหมือนคนเข้ายิมตลอดอย่างกันต์ คนที่เคยมาตามเคย์ที่ห้อง

กันต์สะดุ้งโหยง หลบตาผมเป็นพัลวัน แต่ไม่วายเหลือบมองอีกที แล้วก็กลับไปหลบตาผมอีก

ผมได้แต่งงนิดหน่อย แต่ไม่ได้ต่อบทสนทนาอะไรกับพวกเขา

“ไม่ๆ เดี๋ยวกลับเลยก็ได้” เขารวบของลงกระเป๋า

“โห อะไรวะ พึ่งมาได้แปบเดียวเอง”

“พวกมึงต่างหากที่เพิ่งมา สัด กูนั่งอ่านตั้งนานแล้ว”

“อยู่กับเพื่อนกับฝูงไม่ได้เลยเว้ย ไอ้กันต์ มึงดูเพื่อนมึงนะ อย่างเมื่อวานกูชวนมันไปแดกชาบูตอนเย็น โปร4จ่าย3 แม่งบอกไปไม่ได้ กูต้องอยู่กับเมท”

“เออ เมื่อช่วงก่อนป่ะ จะพาไปแดกกระชับมิตรเสือกบอกต้องกลับห้องพาเมทไปดูหนัง”

“เล่นบาสเสร็จ จะชวนไปแดกเหล้าหลังเล่น พอเช็คๆโทรศัพท์มีสายโทรเข้าจากเมทเท่านั้นแหละ หันมาบอกกูว่าเมทบอกว่าอยากแดกชานมธัญพืช แล้วร้านเสือกใกล้ปิดแล้ว มันวิ่งสี่คูณร้อยไปร้านชานมที่ตึกนู้นอ่ะ แล้วแม่งได้ด้วยนะ กูยอมใจ”

ยิ่งได้ฟังหน้าเคย์ยิ่งปั้นยากขึ้น ในขณะที่ผมเองก็รู้สึกร้อนๆเหมือนเอาหน้าไปอังไฟ

“มึง…” กันต์แทรกเพื่อนๆที่คุยอย่างสนุกปาก “นั่นอ่ะเมทเขา”

ชายร่างยักษ์ทั้งหลายที่นั่งบนโต๊ะสะดุ้งโหยง หันมามองหน้าผมเหมือนเห็นผี

“เฮ้ย นี่ไม่ได้นินทานะ โทษๆ ไม่รู้”

ผมส่ายหน้า

“ไม่เป็นไร”

หันไปมองหน้าเคย์เพื่อพบว่าเขาหลบตาผมเป็นพัลวัน ชายหนุ่มยกกระเป๋าขึ้นถือแล้วเดินฉับๆไม่บอกลาเพื่อนเลย ผมเองก็โค้งหัวเป็นเชิงลาแล้วรีบเดินตามออกมา

คนตัวโตข้างหน้าผมก้าวฉับๆด้วยช่วงขายาวๆเสียจนแทบตามไม่ทัน ผมกำลังจะบอกให้เขาหยุดในตอนที่สังเกตเห็นหูแดงๆที่ปิดไม่มิด มันเป็นสีเข้มตัดกับต่างหูห่วงเงินอย่างเห็นได้ชัด

บ้าเอ๊ย

ผมอยากจะแซวเขาแต่ก็เกรงว่าหน้าตัวเองในตอนนี้มันคงจะแดงไม่แพ้กันเลย

จนในที่สุดเคย์ก็ลดระดับความเร็วของเขาจนเดินขนาบข้างกัน หมาโง่ตัวนั้นยังไม่มองหน้าผมถึงเจ้าตัวจะยื่นมือออกมา

“อะไร?” ผมเลิกคิ้วถาม

“กระเป๋า เอามาสิ จะถือให้”

“ไม่ใช่ผู้หญิงที่มึงจะต้องมาดูแลมั้ย กูถือเองได้”

“ก็ไม่ได้คิดว่ามึงเป็นผู้หญิง กูแค่อยากดูแลมึง”

ไอ้นี่…

ไอ้เจ้าหมานี่มันรู้จักหยอดตั้งแต่เมื่อไร

ผมส่งถุงผ้าให้เจ้าโง่นั่น มันกระอั่กกระอ่วนสิ้นดีเพราะพวกเราต่างไม่มองหน้ากันเลย

“ถะ…ถ้าอยากถือหนักๆก็เอาไปเลยเจ้าหมารับใช้”

อยากแบกหามนักก็เอาไป!




“ทำหน้าอย่างนั้นทำไม” มือใหญ่ๆที่อุ่นร้อนเพราะพึ่งผ่านการอาบน้ำอุ่นมาถูกวางไว้บนหัวผมแล้วลูบเบาๆ

ผมรีบล็อคหน้าจอโทรศัพท์แล้วส่ายหน้ากลบเกลื่อนใส่รูมเมทที่พึ่งอาบน้ำเสร็จ

“ไม่มีอะไร”

เขายิ้มขำเหมือนรู้ทัน ร่างกำยำในสภาพพันผ้าเช็ดตัวผืนเดียวเหมือนกับพวกชีเปลือยนั่งลงที่ขอบเตียงข้างๆ

“เห็นแล้วเหรอ”

“มึงสิเห็นแล้วเหรอ”

อันที่จริงถ้าไม่เห็นข่าวผมจะแปลกใจมากกว่า ถึงมีความเป็นไปได้ว่าเจ้ามนุษย์ยุคหินร้อยล้านปีที่ไม่ค่อยจับมือถือจะไม่เปิดดูก็
เถอะ

“เพื่อนบอกน่ะ”

“อ้อ”

ผมเลื่อนมือไปลูบหัวเขาแปะๆ ซึ่งคนตัวโตก็ช้อนตาทำหน้าละห้อยซะจนส่งเสียงโหยหาความรักความเมตตาออกมา
เจ้าหมายักษ์ล้มตัวลงนอนบนตักผม ขยับร่างกายใหญ่ๆให้พาดไปตามเตียง แต่ไม่ได้รู้เลยว่าการขยับตัวของตัวเองมันส่งอิมแพค
ให้ปมผ้าเช็ดตัวคลายจนแทบหลุด

“เฮ้ยๆๆๆ” ผมร้องลั่น ขยับมือไปกุมผ้าไว้ไม่ให้เลื่อนลงไปจนเห็นอะไรก็ตามที่อยู่ข้างล่างไรขนอ่อนๆเป็นแนวซึ่งลับหายเข้าไปในผ้าเช็ดตัว วีไลน์ของเจ้าตัวก็ลึกหมิ่นเหม่เสียจนน่าหวาดเสียว

“หวาย ลามกอ่ะจิน จับอะไรอยู่ กูเสียวนะ”

ผมขยับมือก่อนจะพบว่าครึ่งฝ่ามือนั่นจับอยู่บนลำท่อนอะไรสักอย่างที่ค่อนข้างจะคุ้นเคยกับมันแล้วพอสมควร

หลุบตาลงต่ำมองคนที่ทำหน้ากระมิดกระเมี้ยนอยู่ก็ชวนให้คันตีนยังไงชอบกล

จะ…เจ้านี่มันจงใจนี่น่า

“ฮึ่ย!” ผมละมือมาตีหน้าผากเจ้าหมาดังเพี๊ยะจนมันร้องเอ๋ง

“เจ็บ!”

“เดี๋ยวจะขย้ำให้สูญพันธุ์ไปเลยดีมั้ยหะ”

“เอางั้นช้าๆเบาๆก่อนนะ ค่อยแรงๆทีหลัง”

“ทุเรศชะมัด สายตาหื่นกามของแกมันสมกับเป็นโอตาคุโรคจิตจริงๆ”

ผมเริ่มขยำมือผ่านผ้าไปตามความยาวของลำท่อนนั่น แกล้งกดนิ้วเหมือนนวดไปทั่วจนลมหายใจของคนที่นอนตักผมอยู่เริ่มแรงขึ้นไปทุกทีพอๆกับอะไรๆที่เริ่มแข็งขึ้นมา

“เล่นพอได้แล้ว”

“แน่ใจเหรอว่าอยากให้พอ” ผมยิ้มซุกซนในตอนที่ใช้นิ้วชี้ไล่ไปตามผ้าที่มีอะไรบางอย่างดุนดันออกมา ยิ่งเวลาเขานอนอย่างนี้
แล้วมันยิ่งดันผ้าออกมาให้นูนโป่ง

“พอเลย!” เคย์ซึ่งหน้าแดงก่ำจับมือผมให้ออกจากจุดอันตรายแล้วผุดลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิหันหลังให้ผม เสียงหายใจฟืดฟาดแสดงออกถึงอารมณ์ของเจ้าตัวเป็นอย่างดี

“โธ่ พ่อหนุ่มน้อยไฟแรง” ผมทำเสียงเล็กเสียงน้อยล้อเขา

“ถ้ามันตั้งขึ้นมาจริงๆแล้วลงยากนะบอกไว้ก่อน” เขาขู่เสียงต่ำกลับ

“กลัวจัง~~”

เคย์ตวัดตามองค้อนผมซึ่งหัวเราะจนล้มลงไปกลิ้งบนเตียง เพราะเราเพิ่งมีอะไรกันอย่างรุนแรง เจ้าคนหื่นกามที่นั่งอยู่ตรงนั่นถึงขั้นออกกฎให้ผมพักฟื้นสักสัปดาห์

ซึ่งก็เป็นการทรมานตัวเองที่เหี้ยมโหดพอสมควร

“ถ้าหายเมื่อไรไม่ปล่อยไว้แน่”

“ก็ไม่ต้องปล่อยสิ”

อีกฝ่ายก้มลงมากัดริมฝีปากผมอย่างหมั่นเขี้ยว ผมยิ้มขำ ประคองหน้าเขาไว้กับสองมือเล็กๆของตัวเองแล้วถามอย่างจริงจัง

“โอเคมั้ย”

“อือ ถ้าบอกว่าโอเค100%ก็คงจะโกหกล่ะนะ”

“…”

“แต่อย่างน้อยกูก็รู้ว่าตัวเองทำได้ด้วยความสามารถของตัวเอง ไม่ได้เป็นตัวเรียกกระแสหรืออะไรทั้งนั้น…แต่ก็นะ พออ่านบ่อยๆเข้าก็เริ่มไม่มั่นใจตัวเองเหมือนกัน”

ผมยกมือขึ้นสางกลุ่มผมสีน้ำตาลนุ่มๆนั่นเบาๆเป็นการปลอบ

“ที่ผ่านมาไม่ว่าเรื่องย้อมผม แต่งตัวหรืองานอดิเรก กูก็ทำตามที่คนอื่นบอกทั้งนั้น ไอ้สีผมนี้ เพื่อนกูบอกว่าถ้าทำแล้วน่าจะดูดี กูเลยทำ ที่เล่นบาส ตอนแรกมันก็เพราะมีคนบอกกูว่ากูตัวสูงน่าจะเล่นบาสเก่ง กูก็เลยเล่น กูมองตัวเองผ่านสายตาของคนอื่นมาตลอด ฟังคำวิจารณ์ของคนอื่นแล้วมาปรับตัวกูให้ดีขึ้นตามคำวิจารณ์นั่นจนไม่รู้ว่าตัวกูจริงๆคืออะไร”

“แล้วตัวมึงที่อยู่หน้ากูไม่ใช่มึงจริงๆเหรอ”

เคย์หัวเราะ

“ใช่ ส่วนหนึ่งน่ะ อีกส่วนคือหายไปแล้ว กระทั่งกูก็ตามกลับมาไม่ได้ เพราะกูเองก็ลืมไปแล้ว แต่เรื่องที่กูชอบอนิเม เรื่องพวกนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ว่าใครก็เอาไปจากกูไม่ได้”

“มีอีกหรือเปล่า เรื่องของมึงอ่ะ”

“….จริงๆแล้วกูมันคนกาก เรียนก็กลางๆ แต่เสือกได้เป็นคนติวให้คนอื่นเฉยเลยเพราะทุกคนคิดว่ากูเก่งมาก กูอยากเป็นคนกากๆโดยที่ไม่ต้องกลัวว่าใครจะทำหน้าผิดหวังใส่”

“…”

“แต่อย่างน้อยกูก็เป็นตัวของตัวเองได้ต่อหน้ามึงนะ”

“ดีมาก”

คราวนี้เปลี่ยนมาตบแปะๆเป็นการให้รางวัล

“….เป็นคนหน้าตาดีนี่ก็ลำบากเนอะ”

เขาหัวเราะ เป็นเสียงหัวเราะที่ทำให้ผมคิดถึงความสดใสของเด็กๆ

“ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะ หลายคนชอบบอกว่าพวกคนหน้าตาดีมักมีอภิสิทธิ์นี่”

“ก็คิดดูสิ ถ้ามีคนคนหนึ่งที่หน้าตาดีและเก่ง เขามักจะโดนโฟกัสเรื่องหน้าตาก่อนทุกครั้ง อย่างเช่นว่า เพราะมีหน้าตาดีถึงได้ประสบความสำเร็จเหรอ ทั้งๆที่เบื้องหลังเขาก็ตะเกียกตะกายไม่แพ้คนอื่นๆ พยายามไม่แพ้ใครๆเหมือนกัน แต่พอประสบความสำเร็จแล้วกลับถูกตราหน้าว่าเพราะหน้าตาดี มันน่าเจ็บใจไม่ใช่เหรอ”

“อือ ก็จริงนะ แถมยังมีสเตอริโอไทป์แบบแปลกๆอีก อย่างเช่นว่า คนสวยมักไม่ฉลาด ประโยคนี้มันมาจากไหนกัน”

“บางคนก็โฟกัสแต่หน้าตาเหมือนมันเป็นทุกอย่างของชีวิตเราอย่างไงอย่างนั้น”

“กูเคยโดนบอกว่า อุตส่าห์หน้าตาดี ไม่คิดว่าจะเป็นพวกโอตาคุเหมือนกัน แถมยังมีคนบอกว่ากูน่าจะเป็นพวกชอบลงอินสตราแกรม ชอบเช็คเรตติ้งอีก”

“สเตอริโอไทป์จากหน้าตาชัดๆ นี่คิดว่าผู้ชายหน้าตาดีทุกคนเป็นพวกล่าแต้ม หยอดไปทั่วหรือยังไงหะ”

พูดแล้วก็อดมีน้ำโหไม่ได้ เหมือนกับที่ผมลงภาพวาบหวิวในทวิตคอสแล้วคนรอบข้างในสังคมคอสมักจะมองว่าผมเป็นพวกบ้ากามนั่นแหละ

ผมแค่appreciatedในร่างกายตัวเอง ชอบรูปร่างของตัวเองเลยเผยมันออกไปเยอะๆเท่านั้น แต่คนบางคนก็ตราหน้าไปแล้วว่าการถ่ายวาบหวิวนั่นคือต้องการเสิร์ฟตลาดล่าง

ความคิดบางคนช่างตื้นเขินจนน่าตกใจ

“บางคนน่ะ” ผมว่าต่อ “โดนเหม็นโดนหมั่นไส้เพราะคนอื่นสนใจเยอะ มีเรื่องมึงไหลผ่านหน้าทล.ไปตลอด คนเขาก็ออกมาแซะว่าทำไมจะต้องดังอะไรขนาดนั้น หน้าตาดีอะไรขนาดนั้น โดยที่ไม่ได้มาถามมึงเลยด้วยซ้ำว่ามึงสบายใจมั้ยกับสปอร์ตไลท์ที่ส่องมาที่มึง มึงออกจะเลี่ยง มึงไม่พยายามถ่ายรูปแต่คนเขาก็จะพยายามแอบถ่ายรูปมึงมาลงมาแชร์กันในแท๊กโดยที่ไม่ได้ถามมึงก่อน”

เคย์สะดุ้ง ผมจึงหุบปากฉับเมื่อรู้ตัวว่าหลุดอะไรที่ไม่สมควร เจ้าคนคิดมากคนนี้กลัวเรื่องที่มีรูปตัวเองว่อนไปว่อนมาในโซเชียลที่สุด

“โทษที…”

“ไม่เป็นไร ไม่ใช่เรื่องที่มึงจะต้องขอโทษ” เขายิ้มปลอบใจผม “บางคนชอบถ่ายรูปคนอื่นมาลงโดยที่ไม่ขออนุญาต อย่างกูก็รู้สึกinsecureกับเรื่องนั้นมากๆ พอเห็นแล้วกูก็แพนิคไปหมดว่ามันจะมีฟีดแบคยังไง หรือจะมีใครเมนชั่นไปข้างล่างมั้ยว่าคนคนนี้หน้าตาดีแต่นิสัยเหี้ยครับ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นกูต้องรู้สึกแย่แหงๆ”

“…”

“กูไม่รู้ว่ารูปที่ถูกถ่ายไปจะถูกลงในโซเชี่ยลมีเดียแบบไหน แคปชั่นเป็นแบบไหน กูเลยไม่อยากให้เขาถ่าย แต่พอเป็นอย่างนั้นก็จะมีคนบอกว่ากูเป็นพวกคิดเล็กคิดน้อย กูมนุษยสัมพันธ์ไม่ดี บางทีมันก็น่าลำบากใจเหมือนกัน”

“…”

“มึงเห็นจำนวนแชร์กับเม้นมั้ย แถมยิ่งเพจบางเพจออกมาตอบโต้ยิ่งทำให้คนเหม็นกูเข้าไปใหญ่ทั้งๆที่กูยังไม่ได้ทำอะไรเลย นั่งเฉยๆเนี่ย กูไม่อยากให้คนเข้าไปเถียง เพราะยิ่งเถียงก็ยิ่งเรื่องใหญ่ ไม่ว่ายังไงคนที่อคติมันก็อคติ กูเปลี่ยนความคิดเขาไม่ได้”

“แต่มันน่าโมโหนี่น่า กูเองยังอยากไล่เม้นต์ด่าเลย” ผมขมวดคิ้วให้คนที่หวังจะหลบในเปลือกตลอดไป

เขาส่ายหน้า

“อย่าเลย คนพวกนั้นยิ่งอยากด่าอยากไล่บี้ นิ่งๆไว้ให้เรื่องมันเงียบดีที่สุด บางคนที่เม้นที่แชร์ยังเป็นพวกที่เคยแชร์เคมเปญลดcyber bullyของคณะกูอยู่เลย แต่เขาก็ด่ากูเพราะว่าเขารู้สึกว่าด่ากูได้ เพราะไม่ได้มาพูดคำนั้นต่อหน้ากู”

“…”

“คนเราพอถูกใจ…ความถูกต้องที่เคยพ่นๆไว้ก็หายไปหมดนั่นแหละ”

“ฮะๆ นั่นสิ อย่างคนที่เคยรณรงค์เรื่องไซเบอร์บูลลี่ พอถึงเวลาก็ออกมาด่าคนอื่นได้เพียงเพราะรู้สึกว่าคนคนนั้นสมควรถูกด่า”

“ภาพลักษณ์ก็เป็นเรื่องสำคัญนะ”

เคย์ชี้ไปที่ตุ้มหู4รู

“เพราะงั้นกูถึงได้สร้างลุคแบบนี้ไปเลย พอทำตัวแย่ๆอย่างลองกินเหล้าสูบบุหรี่จะได้ไม่มีใครมาว่า เพราะลุคก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว”

ผมหัวเราะ ไล่นิ้วมือบนริมฝีปากคล้ำเหมือนคนสูบบุหรี่ของอีกฝ่าย

“งั้นเหรอพ่อแบดบอย”

ลงท้ายจากการพูดคุยกันเฉยๆ เคย์กับผมฟัดกันอยู่บนเตียงไปมา ทั้งกลิ้งเกลือกกับผ้าห่มหรือกระทั่งคลอเคลียกันเฉยๆ

“กูจะพยายามมั่นใจในตัวเองให้มากขึ้น จะสนคนรอบข้างให้น้อยลง”

“ดีแล้ว”

“กูอาจจะยังแย่ อาจจะยังไม่เก่งเท่าไร แต่ช่วยชอบกูในด้านกากๆด้วยนะ”

ผมกระซิบคำหนึ่งก่อนจะทาบริมฝีปากกับเขา

“ที่กูชอบมาตลอดก็ด้านกากๆของมึงนี่แหละ”




v
v
v
ต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.10[19/03]
เริ่มหัวข้อโดย: MeiHT ที่ 30-03-2019 23:07:18
เราพลาดร้านชานมที่ผมชอบ

เพราะเอาแต่กลิ้งเกลือกกันบนเตียงจนลืมเวลา ผมถึงได้ลืมว่าตัวเองจะออกมาซื้อชานมเสียสนิท

ทั้งหมดเพราะคนที่เอาแต่ใช้แขนใหญ่ๆนั่นรัดตัวผมจนไปไหนไม่ได้นั่นแหละ!

“เอาเนื้อมาให้กินเดี๋ยวนี้นะ!!” ผมกระทิบเท้าปึงๆใต้โต๊ะ ชี้เนื้อชิ้นสวยที่ฉ่ำเยิ้มด้วยน้ำมัน

“ได้ครับ” ไอ้เจ้าหมาหน้ายิ้มก็ยังคงคีบเนื้อมาให้ผมอย่างซื่อสัตย์ ซ้ำยังตัดเนื้อชิ้นพอดีคำมาให้ด้วย

“ดีมาก ขอน้ำ” ผมเลื่อนแก้วน้ำที่ว่างเปล่าไปให้ข้ารับใช้ที่นั่งอยู่ข้างหน้า

เคย์ตักน้ำแข็งจากถังมาใส่แล้วเทน้ำลงไป จากนั้นจึงค่อยเลื่อนมาหาผมที่นั่งอยู่ตรงข้าม

สบายจริงๆ

ชักเข้าใจเสียแล้วสิที่เมื่อก่อนต้องมีคนรับใช้ส่วนตัว

การงอมืองอเท้าไม่ต้องทำอะไรมันเยี่ยมที่สุดไปเลย

แล้วการทานอาหารมื้อนั้นก็จบไปโดยที่ผมไม่ต้องทำอะไรนอกจากหยิบชิ้นเนื้อกินแล้วเคี้ยวๆ

อ้อ มีอีกอย่าง คือการจ่ายตัง

“เดี๋ยวโอนให้แล้วกัน” เคย์หัวเราะแหะๆเมื่อเปิดกระเป๋าออกมาแล้วเจอแค่แบงค์ยี่สิบสองใบ ทั้งๆที่เมื่อกี้ใจป้ำบอกว่าจะเป็นคนเลี้ยงแท้ๆ

“อ่าหะ หารสองไปเลยง่ายๆ”

ผมเป็นคนไม่คิดมากเรื่องเงินอยู่แล้ว นั่นก็เพราะมีบัตรเครดิตของพ่อยังไงล่ะ

ผมวางบัตรใส่ถาด ซึ่งพนักงานก็รับมันไปรูด

“เอาล่ะ กลับไปแล้วก็ต้องอ่านหนังสือจริงๆจังๆสักที”

“ทำเลคเชอร์เสร็จแล้วไม่ใช่เหรอ ไหนจะกระดาษทดเต็มห้องเลย นี่กูจะเก็บห้องยังไม่รู้ว่าอันไหนมึงจะใช้อันไหนจะทิ้ง เลยยังไม่ได้เก็บ”

“เอาไว้หลังสอบแล้วกัน”

เขาส่ายหน้ายิ้มๆ

“ทำมาเป็นพูด ทีมึงท่องประมวลตอนไฟนอลเทอมแรกทั้งคืนจนกูนึกว่ามึงคุยกับกุมารที่เลี้ยงไว้ กูยังไม่ทันบ่นอะไรเลย”

“อันนั้นมันก็…” เจ้าตัวหัวเราะแหะๆกลบเกลื่อน

“ขอโทษนะคะคุณลูกค้า” เสียงของคุณพนักงานที่ขัดขึ้นพร้อมกับยื่นบัตรเครดิตกลับคืนมาให้

“ครับ?”

“บัตรอันนี้ใช้ไม่ได้ค่ะ”

หืม?

“แน่ใจเหรอครับ?”

“ค่ะ ไม่ทราบว่าลูกค้าสะดวกชำระทางอื่นมั้ยคะ”

“อ้อ งั้นเอาบัตรนี่ก็ได้ครับ” ผมควักบัตรเดบิตของตัวเองให้อย่างเหม่อลอย มือยังคงกำบัตรเครดิตของพ่อไว้แน่น

บัตรเครดิตที่เพิ่งรูดเมื่อวานดันรูดไม่ได้เอาวันนี้ ไม่ใช่เพราะว่าพังหรืออะไรหรอก…

ตาแก่นั่น…

ผมพาลคิดไปถึงข้อความของคนคนหนึ่งที่ถูกส่งมาเมื่อวันก่อน เนื้อหาในข้อความนั้นประกาศชัดให้ผมโผล่หัวกลับบ้านไปเสียบ้าง แต่ผมเลือกที่จะมองเมินมันไปแถมยังไม่ได้ตอบกลับอะไรเพราะต้องการจะกวนประสาทอีกฝ่าย

สงครามเย็นอย่างที่พวกเราเล่นกันมาเป็นระยะเวลาหลายปี

ไม่ว่าจะหาเรื่องทับถม เมินอีกฝ่ายเหมือนอากาศ เรื่องพวกนั้นผมกับพ่อผ่านกันมาทุกรูปแบบ ไม่ว่าเมื่อไรพ่อก็พยายามจะหาเรื่องติผมอยู่เสมอพอๆกับผมที่มักจะใช้ความปากร้ายของตัวเองแซะเขาทั้งเรื่องงานและเรื่องในอดีต

ทั้งๆที่เป็นวันที่ดีแท้ๆ แต่พ่อก็มาทำให้เสียได้ทุกครั้งสิ

ผมกัดฟันกรอด นึกถึงหน้าอีกฝ่ายที่มักจะมาขัดวันสงบสุขของผมด้วยพฤติกรรมที่กัดกร่อนชีวิตผมให้นึกถึงแต่เรื่องแย่ๆ และที่เหี้ยที่สุดคือเจ้าตัวกลับไม่เคยสำนึกว่าทำอะไรกับลูกไว้บ้าง

คิดหรือว่าผมจะอยากกลับไปหาคนที่เคยพูดจำร้ายจิตใจจนเหมือนไม่ใช่พ่อลูกกัน

“เออ จิน มีอะไรหรือเปล่า” เคย์ยื่นมือมาคลายมือที่กำบัตรจนขอบบัตรเข้าเนื้อจนเป็นรอย

“ไม่มี” ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะหักบัตรเครดิตออกเป็นสองท่อน

เป๊าะ!

บัตรหักด้วยแรงโมโหของผม และแน่นอนว่าเคย์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามถึงกับสะดุ้งโหยงรีบเอาซากบัตรซึ่งหักครึ่งออกจากมือผม

“ระวังหน่อยสิ คราวหลังอยากจะหักก็ให้กูหักให้”

ท่าทางเหมือนอยากจะโอ๋ผมก็ไม่ใช่ จะโกรธบัตรก็ไม่เชิงของเขาทำให้ผมอารมณ์ดีมากพอสมควร

“ไม่มีอะไร ช่างมันเถอะ เรากลับไปอ่านหนังสือกันดีกว่า”

เมทของผมนิ่งเงียบ เขาใช้สีหน้าลำบากใจจ้องมองผม เราอยู่ด้วยกันจนทำให้เขารู้ว่าการที่ผมยิ้มหวานอย่างนี้มันไม่ใช่เรื่องดีและผมกำลังปิดบังบางอย่างไว้

“อือ”

คนตัวโตเลือกที่จะยิ้มออกมา มันเป็นรอยยิ้มยาซาชี่แสนดูดีของเจ้าตัวซึ่งผมแพ้ทางเป็นที่สุด

แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังไม่ช่วยให้โลกผมสดใสขึ้นมาได้ ราวกับผมกำลังจมดิ่งไปกับอดีตที่เกี่ยวข้องกับพ่อ

พี่พลมักบอกเสมอว่าผมมีปมเกี่ยวกับพ่อ ทั้งๆที่ผมสามารถให้อภัยแม่ได้แล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ให้อภัยพ่อไม่ได้เสียที

พ่อที่เหมือนจะเป็นฮีโร่คนนั้น คนที่อุ้มผมขี่คอเดินไปไหนมาไหน คนที่มีรอยยิ้มให้ผมพร้อมกับชมผมเป็นเด็กดีเมื่อผมได้คะแนนสอบเต็ม

แท้จริงแล้วก็มีมุมที่เน่าเฟะเหมือนมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง

เขามีด้านที่กักขฬะ ทะเยอทะยาน และหยาบกระด้าง

ผมไม่อาจมองเขาเป็นแบบอย่างได้อีกต่อไป

ถ้าเด็กคนนั้นมีพ่ออย่างนี่เป็นตัวอย่าง เขาจะเติบโตขึ้นมาก้าวร้าวเพียงไหนกัน ผมอยากรู้

ผมยิ้มตอบเคย์ รับบัตรคืนมาจากพนักงาน เซ็นลายเซ็นลงไปในช่องแล้วเก็บบัตรเดบิตเข้ากระเป๋า จากนั้นจึงลุกออกมาพร้อมๆกับเคย์

ผมหยิบโทรศัพท์จากในกระเป๋าตัวเองออกมา เลื่อนหาข้อความของคนที่ผมไม่เคยคิดจะตอบกลับเลยสักครั้งแล้วลังเลอยู่นาน แต่สุดท้ายแล้วผมก็พิมพ์ข้อความหนึ่งลงไปแล้วกดส่งอย่างรวดเร็ว

“มีอะไรหรือเปล่า” เคย์ก้มลงมองหน้าผมอย่างเป็นห่วง เขาไม่ได้จ้องมองไปที่หน้าจอโทรศัพท์ผม เพียงแต่มองหน้าผมด้วยคิ้วขมวดอย่างคนเป็นห่วง

“อือ ไม่เป็นไรหรอก”

ผมบอกเขา

“มันจะไม่เป็นไร”

แล้วผมก็ปล่อยโทรศัพท์ในมือซึ่งโชว์ข้อความล่าสุดที่พึ่งถูกส่งไปใส่กระเป๋ากางเกง

Jin : จะเจอวันไหนก็นัดมา
   
----------------------------------------------------------
ดราม่าตอนเดียวไม่พอหรอกนะ /พึมพำ
ใกล้ตอนจบเข้าไปเรื่อยๆแล้ววว ใกล้ได้ปิดทู้ที่เราเขียนมานานอย่างเป็นทางการ /ซับหัวตา
รู้สึกยาวนานละเกินนน
พอได้มาเขียนนิยายรู้สึกว่าการเขียนศัพท์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อย่างละ ล่ะ คะ ค่ะ นะ น่ะ เราดีขึ้นจริงๆด้วยค่ะทุกคนนนน

(https://pbs.twimg.com/media/D27N876U0AAPe0H.jpg:large)
ช่วงนี้เราติดวาดรูปค่ะ โหลดโหดป่ะหว่า แต่วาดไว้ขำๆนะคะ ฮา น้องจินอินเชียร์ลีดเดอร์ชุด
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.11[30/03]
เริ่มหัวข้อโดย: Wwavez ที่ 31-03-2019 00:06:22
พ่อมาดีหรือไม่ดีเนี้ยลุ้น แต่เลาทีมน้องอยู่แร้วว สู้ๆกลจจากเจ้าหมา :mew1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.11[30/03]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 31-03-2019 06:55:32
เอาใจช่วย..ยยยย   :L1: :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.11[30/03]
เริ่มหัวข้อโดย: GDNEE ที่ 31-03-2019 17:16:56
จินนลูก​ ไม่เป็นไรน้าา​ ยังมีเคย์อยู่ข้างๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.11[30/03]
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 01-04-2019 08:23:40
อย่าดราม่า
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.11[30/03]
เริ่มหัวข้อโดย: มะยองมะแยง ที่ 01-04-2019 11:49:06
 ดราม่าเบาๆพอน้าาา
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.11[30/03]
เริ่มหัวข้อโดย: yunnutjae ที่ 01-04-2019 11:57:11
รูปน้องจินคือสวยมากกกก นี่เป็นผญ.ยังอายอะ  :z3:
ไม่อยากให้จบเลยยยยยยยยยย  :katai1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.11[30/03]
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 01-04-2019 21:20:34
ขอมาม่าชามเล็กนะคนเขียน ชามใหญ่ไม่ไหว
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.11[30/03]
เริ่มหัวข้อโดย: nofsnof ที่ 02-04-2019 22:53:47
 :pighaun: น้องจินชุดปอมปอมก็คืออ น่าร้ากก
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.11[30/03]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 05-04-2019 20:47:05
ขอดราม่าเบาๆพอค่าา  :mew4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.11[30/03]
เริ่มหัวข้อโดย: MeiHT ที่ 08-04-2019 00:27:03
 บทที่ 13 : คิดมาก

การสอบมิดเทอมของผมผ่านไปอย่างยากลำบาก เรียกว่าแทบกระอักเลือดเลยก็ว่าได้ โชคยังดีที่มีคนคอยหาข้าวหาน้ำมาให้กิน ซ้ำยังช่วยผมติวทั้งๆ ที่ความรู้เรื่องบัญชีเป็นศูนย์

ผมหมายถึงไอ้คนที่นั่งเก๊กจนเมื่อยกรามอยู่ข้างหน้าผมนี่แหละ

ตอนนี้พวกเรา ซึ่งประกอบไปด้วย ผม เคย์ และเพื่อนจากคณะนิติของเขาที่แนะนำตัวว่าชื่อ กันต์ กับ ธีร์ มารวมตัวกันเพราะโปรบุฟเฟ่ต์มา 4 จ่าย 3

โปรบุฟเฟ่เป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้สำหรับเด็กมหาลัยจริงๆ

“โอ๊ะ โชคดีแหะ ไอ้นพมันไม่ว่างจะมาพอดี” กันต์ยิ้มกว้าง

“กูโคตรอยากกินเนื้อชาบูเลยมึง เสี้ยนมาก ขอที อยากได้ไรนุ่มๆ กระแทกปาก” ผู้ชายตัวสูงแต่มวลกล้ามเนื้อน้อยที่สุดอย่างธีร์บ่นพึมพำเรื่องเนื้อไม่หยุดหย่อน

“พวกมึงโง่ป่ะวะที่ไม่กินข้าวทั้งวัน มารอกินตอนเย็น กระเพาะมันหดหมดสัด”

“จุดนี้ถึงกระเพาะหดกูก็แดกได้เยอะแล้วพ่อเดือนคณะ”

ผมเดินฟังบทสนทนาของพวกเขาเงียบๆ จากนั้นพวกเราก็มาถึงหน้าร้านอาหารเสียที ผมยกนิ้ว4นิ้วให้พนักงานที่เข้ามาทักทาย ก่อนที่เขาจะพาไปนั่งในร้าน

ตอนนี้ผมกำลังรัดเข็มขัดพอสมควร เพราะไม่รู้ว่าพ่อจะทำบัตรเครดิตให้ใหม่เมื่อไร และรายได้จากร้านคาเฟ่ซึ่งพี่พลดูแลกำลังอยู่ในช่วงขาลงเพราะมีร้านใหม่ๆ เปิดตัวข้างๆ

แน่นอนว่าพี่พลบอกว่าไม่ต้องห่วง ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีบูธขายชานมมาเปิดอยู๋ข้างๆ เรา หลังจากนี้หลังจากคนเบื่อชานมเขาก็จะกลับมาหาเราเองแต่ผมไม่อาจจ่ายเงินสุรุ่ยสุร่ายได้อีกต่อไป

ต้องปลอดภัยไว้ก่อน

ที่มาในวันนี้เพราะว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ออกเงินให้ผมเท่านั้นแหละ

“เป็นอะไร” เสียงนุ่มถามพร้อมๆ กับนิ้วที่เคาะขมับผมเบาๆ

“หะ” ผมเงยหน้าขึ้นมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ

“เป็นอะไร เหม่อเชียว” เขาถามย้ำอีกรอบเมื่อผมทำท่าเหมือนจะไม่ได้ฟังที่เขาถาม

“ไม่ต้องเลี้ยงกูก็ได้ จริงๆ แล้วกูเหลือตังอยู่”

“ไม่เอาอ่ะ อยากเลี้ยง”

ผมส่ายหน้า

“เอาเงินพ่อแม่มาเลี้ยงคนอื่นแบบนี้เขารู้หรือเปล่า”

“รู้สิ” เขายิ้มกว้าง ซ้ำยังย้ำเหมือนกับอยากอวดเสียเต็มประดา “พ่อแม่บอกจีบให้ติดด้วยนะ”

ไอ้บ้า…

“หุบปากแล้วไปตักผักไป๊” ผมผลักเคย์ทั้งๆ ที่รู้ว่าความพยายามของตัวเองเป็นศูนย์ แต่หมายักษ์ก็ยอมลุกออกไปตักผักกับหยิบชานมตามที่ผมบอกอยู่ดี

“อ้าว ไม่ตักไรเหรอ” กันต์ที่กลับมาพร้อมผักจานใหญ่ถามผม

“บอกให้เคย์ไปตักแล้ว” ผมตอบ

ผู้ชายที่นั่งตรงหน้าผผมทำหน้าปุเลี่ยนไปแวบหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าด้วยสีหน้ายับๆ เหมือนกำลังหมั่นไส้ แถมยังทำปากมุบมิบเรื่องเหม็นอะไรสักอย่าง

หืม มีอะไรเหม็นเหรอ ผมไม่ได้กลิ่นอะไรเลยนะ

“เนื้อ15ถาดครับ”

เนื้อออสเตรเลียชั้นดีถูกวางลงบนโต๊ะซึ่งเต็มไปด้วยผู้ชายตัวใหญ่ซึ่งหิวโหย พวกเขาเทเนื้อลงทั้งหมออย่างสุขีโดยไม่เสียเวลาแยกมันออกเป็นชิ้นๆ เสียด้วยซ้ำ

“เหี้ย แดกเหมือนคนอดอยาก” เคย์ขำเมื่อเพื่อนเขาแทบรอให้เนื้อสุกไม่ไหวด้วยซ้ำ

“กูเหมือนเจอโอเอซิสเลยว่ะเพื่อน”

“หลังจากนี้ต้องอ่านหนังสือล่ะ ขอกูหน่อยเหอะ”

ผมหลุดหัวเราะหน้าธีร์ที่ฟินกับเนื้อสุด ๆ

“เออ คณะนิตินี่แปลกนะ สอบ100% เหนื่อยตาย” ผมเริ่มบทสนทนาท่ามกลางทุกคนที่ปากไม่ว่าง

“จริง ตอนเทอมแรกที่กูสอบคือเกร็งมาก ดีนะมีวิชามหาลัยบางอันให้ดึงเกรดอ่ะ”

“เหี้ยเอ๊ย อย่าพูดถึงเกรดตอนนี้ มันอัปมงคล” กันต์แทบกรี๊ดร้องออกมาทั้งๆ ที่แก้มยังเต็มไปด้วยของกิน

“พอพูดถึงเกรดแล้วความอยากแดกลดลงเลย” หมายักษ์ข้างๆ ผมยังยิ้มแหยตามไปด้วย

“พูดดีอ่ะมึงอ่ะ ได้Bอย่ามาพูดได้ป่ะ”

“พวกกูเปิดคาเฟ่แมว แต่มึงเสือกรอดคนเดียวอ่ะ”

“สเตรทBมันเรียกว่าดีเหรอวะ”

“ดีแล้วสำหรับกู ไอ้เหี้ยย”

เคย์ยิ้มแหยอีกครั้งเมื่อโดนเพื่อนตราหน้าว่าเป็นคนทรยศ ผมส่ายศีรษะเบาๆ คีบเนื้อที่สุกวางไว้บนจานอีกฝ่าย

คนข้างๆ ผมหวังไว้กับเกรดแค่ไหนผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ตอนเกรดคณะออกก็แอบซึมไปสักพักจนน่าเป็นห่วง ต้องแบกหน้าหมาหงอยออกไปหาเพื่อนเพราะเพื่อนอยากกินเหล้า

ซึ่งก็แน่นอนว่าคนที่ปฏิเสธไม่เป็นก็ต้องออกไปตามระเบียบ เมาเละตุ้มเป๊ะคอพับคออ่อนจนต้องไปนอนห้องเพื่อนวันหนึ่ง

ซ้ำหลังๆ มานี่เขานอนกระสับกระส่ายเสียจนผมตื่นมากลางดึกบ่อยๆ เพราะเจ้าหมานั่นอัปเปหิตัวเองมานอนเตียงเดียวกันกับผมนั่นแหละ เพราะงั้นเวลาเขานอนดิ้นไปมาจนผมรู้สึกตัวมันถึงน่าหงุดหงิดเอามากๆ

แต่ผมก็เข้าใจนะ

เขาคงยังรู้สึกไม่ค่อยสบายใจกับคอมเม้นต์มากมายพวกนั่นในอินเตอร์เน็ต ต่อให้ในมหาลัยมันไม่มีใครเข้ามาต่อว่าเขาก็ตาม ไม่มีใครมามองเขาแปลกๆ หรือกระทั่งตั้งตัวเป็นศัตรู

แต่ถึงมองไม่เห็น ไม่ใช่ว่ามันไม่มีอยู่ไม่ใช่หรือไง

เพราะรู้ตัวว่ามีคนเกลียดตัวเองเยอะจนถึงขั้นที่ทำให้มันมีประเด็นขึ้นมาได้ เขาถึงนอนไม่ค่อยหลับมาตลอดนับตั้งแต่วันนั้น

และถึงผมคิดโมโหคนพวกนั้นมากเท่าไร แต่ก็ไม่อาจสู้กลับไปได้ เหมือนเรากำลังต่อยกับอากาศอย่างไรอย่างนั้น

น่าโมโห ถ้าไม่ชอบกันถึงขนาดนั้น แน่จริงก็มาพูดต่อหน้าสิวะ อย่ามัวแต่ปากดีอยู่ในเน็ต

จะอ้วก

“เฮ้ย จะว่าไปเมื่อตอนที่เราไปกินเหล้าอ่ะ พี่เดียร์มาขอเบอร์มึงด้วยนี่”

“เดี๋ยว…มึง” กันต์พยายามหยุดธีร์ไม่ให้พูดต่อ แต่คนที่กำลังคึกกับบทสนทนาไม่ยอมหยุด

“ตกลงว่ายังไง หลังจากเขาหอมแก้มมึงแล้วมึงได้สานต่ออะไรมั้ย”

กันต์ตบหน้าผากตัวเองอย่างอดไม่ได้ พอๆ กับคนที่นั่งข้างๆ ผมตอนนี้ก็หน้าซีดเป็นไก่ต้ม ซ้ำยังเหลือบมองผมเก้ๆ กังๆ อีก

บ้าแล้ว กลัวอะไรกันขนาดนั้น

ผมไม่ได้น่ากลัวเสียหน่อย

โคลงศีรษะเบาๆ ยามยกน้ำชาเขียวขึ้นจิบ

ใครมันจะโกรธเพราะเรื่องพรรค์นี้กันวะ





โครม!

กระเป๋าเป้ซึ่งบรรจุข้าวของเครื่องใช้ไว้จนเต็มถูกโยนออกนอกห้องพร้อมๆ กับผมที่ยืนกอดอกพิงกรอบประตู

“เดี๋ยว…ใจเย็นก่อนสิ แล้วกูจะนอนที่ไหนล่ะคืนนี้” คนตัวโตที่ยืนทำหน้าบึ้งอยู่ข้างหน้าก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากรูมเมทของผมเอง

“เรื่องของมึงสิ ห้องกันต์ก็อยู่ข้างบนเองไม่ใช่เหรอ” ผมเลิกคิ้วพูดไม่ยี่หระ

“ที่โกรธเพราะเรื่องที่ธีร์บอกเหรอ แต่กูไม่ได้ตั้งใจนะ แล้วอยู่ดีๆ เขาก็มาหอมแก้ม กูไม่ทันตั้งตัว”

“อ้อ เหรอ คิดว่ากูโกรธเรื่องพรรค์นั้นเหรอ”

ผมเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันมองคนที่หางลู่หูตก คำพูดสุดท้ายก่อนที่ผมจะปิดประตูอัดหน้าเขาก็คือ

“ถ้ามึงยังคิดไม่ออกว่ากูโกรธเรื่องอะไรก็ไม่ต้องกลับห้อง!”

หลังจากการไล่รูมเมทออกจากห้องตัวเองอย่างโหดร้าย ผมก็เลือกที่จะมานอนสบายใจเฉิบอยู่บนเตียงกว้างที่ปปกติจะมีคนสองคนอัดอยู่บนนั้น

ความจริงที่ผมโกรธมันไม่ใช่เพราะว่าเขาถูกใครหอมแก้มหรอกนะ กับไอ้คนอย่างพวกเราที่อยู่ติดห้องเป็นหลัก ตัวติดกันจนแทบไม่ได้ออกไปเจอผู้คน จะเอาเวลาที่ไหนไปนอกใจกัน

อีกอย่างมนุษย์โลว์เทคอย่างหมอนั่น ส่งไลน์ไปวันนี้สงสัยคงพรุ่งนี้ตอนบ่ายๆ ถึงได้ตอบ

ที่ผมโกรธมันเพราะเขาไม่พูดอะไรเลยต่างหาก

ถ้าไม่พูดแล้วยังไง ตั้งใจจะปิดมันตลอดไปเหรอ ถ้าอย่างนั้นมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นไม่ใช่ว่าผมจะได้รับรู้เป็นคนสุดท้ายเหรอ

ผมเริ่มเข้าใจพ่อกับแม่นิดหน่อยว่าทำไมตอนพวกท่านอยู่ด้วยกันถึงมีเรื่องในทะเลาะกันทุกวัน

อย่างตอนนี้ที่พวกผมทะเลาะกัน ส่วนหนึ่งมันเพราะความสัมพันธ์ที่ขยับขึ้นมาอีกขั้น ถึงจะไม่ได้ขนาดเป็นแฟนกัน แต่เชื่อเถอะว่าคนพิเศษนั่นก็มีได้แค่คนเดียว

และการเป็นคนพิเศษ หมายถึงว่าเรามีสิทธิโกรธในตัวอีกฝ่าย

หากเป็นเมื่อก่อนที่เราไม่เป็นอะไรกัน ผมไม่มีสิทธิ์โกรธที่เขาไปคุยกับใครหรือไม่มีสิทธิไล่เขาออกจากห้อง อ้อ ตอนนี้ก็ไม่มีสิทธิ์ไล่เขาออกจากห้องหรอก

แต่ทำยังไงได้ ก็ทำไปแล้วนี่

ผมเหนื่อยกับการโกรธพอๆ กับการถูกโกรธ แต่ถึงอย่างไรพวกเราก็พยายามหาทางตรงกลาง พยายามเข้าใจกันให้มากขึ้น ก้าวเท้าถอยกันคนละก้าว ถึงแม้ผมจะยอมรับเลยว่าส่วนใหญ่แล้วเป็นเคย์ที่ถอยให้ก่อน

แต่นี่มันเหมือนพ่อกับแม่เลยไม่ใช่เหรอไง

เมื่อตอนแรกๆ แม่ก็ถอย ถอยจนเลิกถอย

ผมกัดฟัน คิดถึงเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นก็นึกกลัวจนใจสั่น ความสัมพันธ์ตัวอย่างที่พังลงไปแล้วเหมือนกับตัวเองตอนนี้ไม่มีผิด

เหมือนหนังสือเล่มเดิมที่เปิดซ้ำอีกรอบ

ติ๊ง!

เสียงข้อความเข้าทำให้ผมรีบเปิดดูเพราะนึกว่าคนที่โดนไล่ออกจากห้องจนซึมเป็นหมาหงอยเป็นคนส่งมา แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นชื่อคนส่ง

พ่อ : สอบเสร็จแล้วใช่มั้ย วันพรุ่งนี้ตอนทุ่มหนึ่งเจอกันที่โรงแรมJ




K part

ผมแบกกระเป๋าเป้ออกมาจากห้องตัวเอง ขึ้นไปชั้นบนเพื่อกดกริ่งห้องกันต์อย่างเหนื่อยอ่อน

หลังเราเลื่อนสถานะ มันมาพร้อมกับการผูกมัดซึ่งทำให้เราคาดหวังในตัวอีกฝ่ายมากขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้

บ่อยครั้งที่ผมทะเลาะกับจินจนเหนื่อยใจ แต่เพราะพวกเราอยากอยู่ด้วยกันจึงพยายามปรับตัวเข้าหากันให้ได้ อย่างไรซะพวกเราก็เพิ่งเป็นคนพิเศษกันได้ไม่ถึงเดือน มีเรื่องให้ต้องแก้ไขอีกมากมาย

แต่ไม่เป็นไร ความสัมพันธ์ไหนๆ มันก็ต้องมีจุดนี้ทั้งนั้น

ก๊อกๆ

เพื่อนในสภาพหัวฟูเปลือยท่อนบนเปิดประตูรับผมด้วยสีหน้าสุดเซ็ง

“ทำไมมึงต้องเลือกมาห้องกูด้วยวะ”

“เพราะเพื่อนกูมีแค่นี้ไง” ผมผลักประตูเข้าไปอย่างแรงจนมันเซแล้ววางกระเป๋าเป้ลงกับพื้น ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอีกฝ่าย

“ไอ้คนเพื่อนน้อย เวรเอ๊ย ลำบากกูจริงๆ นอกจากจะต้องมาเป็นเพื่อนมึงแล้วยังต้องมาคอยกูมึงตอนเมี---แค่กๆ กูหมายถึงเมทมึง เตะมึงออกจากห้องอีก”

ผมหรี่ตาลง เซ้นส์ได้ว่าเพื่อนรู้อะไรบางอย่างแต่เลือกที่จะเงียบไว้ดีกว่า ผมไม่รู้ว่าเพื่อนตัวเองมีทัศนคติอย่างไรกับเรื่องนี้และวันนี้ผมก็ไม่อยากเจอกับอะไรน่าเหนื่อยใจอีกแล้ว

“ไอ้หอยเอ๊ย ไอ้กาก ตัวก็ตั้งโตยังโดนเตะออกมาได้อีก ถ้าเขาไม่ยอมก็จับกดติดกำแพงไปเลยซี่”

ผมหันขวับไปมองเพื่อนสนิทซึ่งลอยหน้าลอยตาบ่น

“อะไร๊ กูหมายถึงผลักมันติดกำแพงแล้วขู่แม่งเลยจ้า”

“อย่าเรียกจินว่ามันนะ”

“อู้ย ดุจังพ่อ”

“ทำไมห้องมึงเหม็นบุหรี่จังวะ”

“ก็สูบตรงระเบียงไม่ได้ไง ข้างๆ แม่งบ่น เอาโพสอิสมาแปะจนกูเบื่อ พอสูบในห้อง สัญญาณจับไฟก็เสือกร้องอีก”

“อ้าว คราวนั้นที่ต้องวิ่งลงจากหอให้วุ่นวายมันเพราะมึงเหรอไอ้สัด”

“จุ๊ๆ จ้า กูเองเพื่อน”

“สูบยังไงให้มันร้องเตือนวะ”

“บุหรี่ไฟฟ้าไง เด็กน้อยหอยสังข์อย่างมึงเคยเห็นป่ะ”

“เคยสิ …เห็นจากมึงอ่ะ”

กันต์ทำหน้าบูดใส่ผม แถมสายตายังเหมือนมองเด็กประถมไม่ประสีประสา

“ตอนนี้กูเปลี่ยนละ ดูดหรี่เหมือนเดิม ไม่แฟนซีละ พอ”

ไม่ว่าเปล่า คนจัญไรอย่างมันยังยื่นซองบุหรี่มาให้ผมอย่างใจกว้างแล้วยังยักคิ้วเป็นเชิงท่าทาย

“มาสิสัด ดูถูกกูเกินไปละ” ผมดึงออกมาแล้วคาบไว้ กันต์จึงโยนไฟแช็คจนมันกระเด้งกระดอนบนเตียง

ผมหยิบที่จุดไฟรูปร่างสี่เหลี่ยมมาไว้ในมือแล้วจุดตรงปลายบุหรี่ จากนั้นจึงสูดควันเข้ามาในปอด

“แค่กๆ แม่ง”

ทันทีที่ควันรสชาติเฝื่อนซึ่งไม่มีอะไรดีแล่นผ่านลำคอ ผมก็ไอสำลักเอาควันพวกนั่นออกมาจนดูน่าสมเพช ในขณะที่เพื่อนสนิทกำลังหัวเราะจนท้องขัดท้องแข็งไม่หยุด

นั่น ไอ้กันต์เอามือกุมท้องลั่นหัวเราะที่น่าจะดังไปสามบ้านแปดบ้าน พรุ่งนี้มีโพสอิทแปะหน้าห้องมึงแน่ไอ้ควาย

“โอ๊ย กูขำวะ ไม่ไหว” มันปาดน้ำตาออกจากหางตา หยิบเอาบุหรี่ในมือผมไปสูบต่อ

“เหม็น ไปสูบตรงระเบียงไป” ผมโบกมือไล่แม่งให้ไปสูบที่อื่น คนกวนประสาทถึงขั้นยักไหล่ทำหน้ากิ๊วก๊าวล้อเหมือนผมเป็นเด็กแล้วจึงเดินไปที่ระเบียง

ผมนั่งอยู่บนเตียงเงียบๆ กดนวดหัวคิ้วที่เหมือนจะมุ่นด้วยความเครียด

ช่วงนี้จินมีเรื่องที่ไม่ได้บอกผมอยู่ นั่นทำให้ผมกังวลมากทีเดียว แต่แรกความสัมพันธ์ช่วงนี้ของเราก็ลุ่มๆ ดอนๆ พออยู่แล้ว ยิ่งเขาจ้องโทรศัพท์มือถือของเขาแล้วทำหน้าเครียดโดยไม่ยอมบอกผมเสียทีว่ามีเรื่องอะไรยิ่งทำให้ผมกังวลใจเข้าไปใหญ่

บ่อยครั้งที่จินทำท่าเหมือนเหนื่อยเต็มทน มันยิ่งทำให้ผมใจเสียเข้าไปใหญ่ กว่าจะกะเทาะเปลือกอันแสนแข็งของอีกฝ่ายเข้าไปได้ หากเขาเกิดถอดใจขึ้นมาผมคงเจ็บหนักทีเดียว

“เป็นไรมึง ทำหน้าเหี่ยวเชียว” กันต์ที่สูบบุหรี่เสร็จแล้วเดินเข้ามาทิ้งตัวข้างๆ ผม

“ไม่รู้สิวะ มีเรื่องให้เครียดเต็มไปหมด” ผมโคลงศีรษะ

“เรื่องเมีย?”

“ก็ตรงไปมึง”

“สรุปก็เรื่องความรักอีกนั่นแหละ เหี้ยเอ๊ย ไอ้กากอย่างมึงดันหาแฟนได้ก่อนกู โลกนี้ต้องแตกแหงๆ”

“กูไม่ใช่คนเหี้ยแบบมึงนี่”

“ถุ้ย! ไอ้สันขวาน ไอ้พ่อดอกบัวขาวผู้ผุดผ่อง”

“จะด่ากูหรือจะช่วยก็เลือกสักอย่าง”

“ปัดโธ่ บ่นนิดเดียวเองเพื่อน ตกลงมันมีเรื่องอะไร”

“…กูกลัวว่ะมึง กลัวเขาจะยอมแพ้”

กันต์นั่งฟังผมเงียบๆ ไม่ได้เอ่ยขัดอะไรเมื่อผมเล่าเรื่องที่กังวลใจของตัวเองออกไปเสียหมด

“กูกับเขาเพิ่งเลื่อนสถานะเป็นคนพิเศษกัน กูรู้ว่าเขามีกำแพงสูง แต่กูแค่คิดว่าถ้ากูข้ามกำแพงไปได้ เราก็จะมีแฮปปี้เอนดิ้ง แต่ตอนนี้ที่กูเสือกข้ามกำแพงไปได้ กูดันเจอว่าเขาแม่งมีกำแพงอีกชั้น กูกลัวว่ะ กลัวเขาถอดใจ”

เพื่อนผมถอนหายใจ เขาตบไหล่ผมเบาๆ อย่างเข้าใจ

“กูไม่สันทัดเรื่องความรักว่ะ แต่กูรู้ว่ามึงจะผ่านไปได้ กูล่ะโคตรดีใจเลยที่คนอย่างมึงมีแฟน เพราะกูรู้ว่ามึงเป็นคนดี และมึงแม่งรักใครคือรักเลย ส่วนพวกกูน่ะ เก่งแต่ฟันคนอื่น และกูแม่งก็โคตรดีใจเหมือนกันที่ไม่มีใครต้องมาจมปลักกับกูเพราะกู ไอ้ธีร์กับไอ้นพแม่งโคตรชั่ว”

“…”

“แต่มึงน่ะ บางทีก็เป็นคนดีเกินไปหน่อย มึงคิดถึงจิตใจคนอื่นมากเกินไป เลยพยายามเทคแคร์เขาทุกอย่าง ไม่พูดอะไรที่ทำให้เขาขุ่นเคืองใจ แล้วก็ไม่แสดงอะไรเวลามึงถูกคำพูดเขาทำให้เจ็บ เพราะงั้นพวกกูถึงห่วงมึงมาก เพราะความสัมพันธ์ทางเดียวแม่งไม่เวิร์ก เอาแต่ใจหน่อยไอ้เหี้ย”

ว่าเสร็จเพื่อนผมก็ถีบผมออกจากห้องพร้อมๆ กับโยนกระเป๋าเป้ผมออกมา

“ไปเลยไอ้เหี้ย มึงสู้! มึงต้องตื้อ! มึงต้องอย่ายอมโดนเตะออกมาง่ายๆ!! สู้สิไอ้สัส สู้!!”

ว่าแล้วมันก็ปิดประตูไล่หลังดังปึง!

ผมยกกระเป๋าอย่างฮึกเหิม ตั้งใจจะเดินลงไปอย่างห้าวหาญแล้วเคาะประตูห้องอย่างรุนแรงจนกว่าคนข้างในจะออกมาเปิดให้

แต่ยังไม่ทันจะเดินลงไปข้างล่าง ผมก็เหลียวหลังนึกออกได้ทันที

เดี๋ยวก่อนนะ

ไอ้เพื่อนชั่ว!!! มึงหาเรื่องเตะกูออกจากห้องต่างหากไอ้สัด!!!!



ผมตั้งใจจะเคาะประตูห้องอย่างขึงขัง แต่ความเป็นจริงแล้วผมทำได้แค่อ้อนว้อนขอให้คนอย่างในเปิดให้เท่านั้นแหละ

“จินนนน” ผมเคาะประตูเบาๆ พลางเรียกเสียงงี้ดๆ

อะไร!! ผมเคาะเบาๆ เพราะกลัวมือตัวเองเจ็บต่างหาก!!

คนข้างในถีบประตูดังปังมาทีหนึ่งจนผมถึงขั้นสะดุ้งโหยงด้วยความกลัว แขนซึ่งเต็มไปด้วยมัดกล้ามถูกกดไว้แนบอกด้วยความตกใจ

ดุร้าย! ดุร้ายเหมือนเดิม!!

ถ้าจะให้เปรียบจิน ผมจะบอกว่าอีกฝ่ายเหมือนไอ*ตี๊ด*กะ ไทกะไม่มีผิดเลย ตัวเล็กจิ๋วแต่มากฤทธิ์จนน่ากลัว

อ่า เดาไม่ได้เหรอ? นั่นเป็นถึงหนึ่งในสี่เทพสาวซึนของโลกอนิเมญี่ปุ่นเชียวนะ!!

จริงๆ แล้วจินเองก็ดูอนิเมเหมือนกัน และชอบคอสเพลย์มากด้วย แต่เหมือนเจ้าตัวไม่ค่อยสะสมกู๊ดเสียเท่าไหร่ ต่างจากผมที่ห้องที่บ้านอัดแน่นไปด้วยหนังสือการ์ตูน ก๊ด ฟิกเกอร์สาวโนตมกับแผ่นเกมเต็มไปหมด

ไอ้ปลอกหมอนที่เขาเคยเห็นเป็นเหมือนส่วนที่โผล่พ้นน้ำของภูเขาน้ำแข็งนั่นแหละ ความเป็นจริงแล้วผมถึงขั้นมีเกมจำกัดอายุชื่อ มารักกับคุณเพื่อนบ้านกันเถอะ~~ หรือเกมชื่อเมจิก เมจิก โลกของคุณแม่มดยังไงล่ะ!!

คุณรู้ใช่มั้ยครับว่าเกมจำกัดอายุคืออะไร อะแฮ่ม ถึงไม่รู้ก็ไม่บอกหรอก มันน่าอายออกนี่

และเรื่องนี้ผมจะปิดเขาให้แน่นสนิทเชียว

ถึงแม้ว่ากลับบ้านไปครั้งที่แล้วผมจะเปิดเกมนั่งเล่นรูทของสาวซึนอกแบนทั้งหมดหลังจากที่ตลอดมาผมเลือกรูทของสาวเพื่อนสนิทวัยเด็กโนตมซึ่งมีนิสัยขี้อ้อนเข้าอกเข้าใจ

ความรู้สึกของการโดนคนอ้อนน่ะ มันดีจะตาย

แต่ต้องยอมรับว่าหลังๆ ผมชอบคนซึนเดเระมากกว่า

อย่างตอนที่คนตัวเล็กทำหน้าอี๋ใส่ผมเหมือนมองคนชั้นต่ำแล้วพูดว่าหยะแหยงอ่ะ หริอตอนที่พูดว่า อะ…อะไรของแก! บ้าเอ๊ย ทั้งๆ ที่หน้าแดงเพราะโดนผมหยอดไปเนี่ยโคตรน่ารักเลย

อืมๆ ไม่ว่าจะคิดกี่ตลบก็สุดยอดที่สุด โดยเฉพาะคาแรคเตอร์ปากไม่ตรงกับใจที่ชอบโผล่มาบ่อยๆ

เพราะงั้น…

เปิดให้ผมหน่อยเถอะนะ

ผมเกาะประตูอ้อนวอนคนข้างในให้เปิดออก ซึ่งประตูก็เปิดผลัวะตามคำขอจนผมถึงขั้นล้มเข้าไปข้างใน

ความรู้สึกแรกตอนเงยหน้าขึ้นมาเหรอครับ

กลม…ขาว…สุดยอด

มุมมองที่มองช้อนจากด้านล่างคือ คนตัวเล็กที่ใส่เพียงเสื้อนอนสีขาวตัวเดียวกับกางเกงในลูกไม้สีดำซึ่งมีสายรัดผูกลงมาจนถึงถุงน่องยาวนั่นสุดยอดมาก

เหยียบผมได้เลยครับ!! เหยียบเลย!! แล้วพูดสิว่าขยะแขยงไอ้คนชั้นต่ำ! แล้วใช้เท้าน่ารักๆ ภายใต้ถุงน่องนั่นเหยียบมาเลย!!

จินซึ่งน่าจะเห็นอารมณ์หื่นของผมฉายชัดถึงกับทำหน้าเหมือนมองสัตว์ชั้นต่ำ

“ขยะแขยง ไอ้วิตถาร”

อ่า คำนี้แหละ

ชอบจัง เจ็บจี๊ดๆ แต่ก็ชอบ

ผมผุดลุกขึ้นนั่ง เอากระเป๋าเป้ข้างนอกเอามาไว้ข้างในแล้วปิดประตูลงกลอน

“มาทำไม ไอ้ตูบ สำนึกความผิดตัวเองได้แล้วเหรอ”

จินนั่งไขว้ห้างตรงขอบเตียงเหมือนควีนในการ์ตูนสักเรื่อง หนำซ้ำยังกอดอกใช้สายตาสูงส่งมองลงมาอีก

“ครับ ได้แล้วครับ” ผมอ้อมแอ้มตอบขณะที่ตัวเองนั่งคุกเข่าสำนึกผิด

“ไหนพูดมาสิ กูจะยอมเสียสละเวลาอันมีค่าฟังสิ่งที่สมองมึงน่าจะประมวลผลได้ตั้งแต่ก่อนโดนกูเตะออกจากห้องหน่อยก็ได้”

“ผมผิดตรงที่มีเรื่องอะไรก็ไม่ยอมบอกครับ”

“ถูก” เขาพยักหน้าอย่างพึงพอใจ

ผมเงยหน้าขึ้นเถียงบ้าง

“แต่ว่า! ...ถ้าอย่างนั้นล่ะก็ มึงก็มีเรื่องที่ไม่บอกกูเหมือนกันนั่นแหละ ช่วงนี้เอาแต่จ้องมือถือทำหน้าเครียด กูก็อยากรู้เหมือนกันนะ!!”

จินเบิกตากว้าง ตาโตๆ หวานๆ ซึ่งเป็นผลมาจากขนตายาวๆ ของเขาทำให้ผมอยากจะกระโจนเข้าไปฟัดเพราะอยากจะเห็นดวงตารื่นน้ำตาจากความจำยอมของเขาเสียบ้าง

โอ๊ะ กลับมาก่อน ชักจะหื่นเกินไปแล้ว

“มานั่งนี่สิ” เขาตบมือข้างตัว ผมจึงใช้เวลาเพียงเสี้ยววิย้ายตัวเข้าไปข้างๆ คนตัวหอมๆ ขาวๆ ทันที

“คือ…มึงอาจจะไม่รู้เรื่องที่บ้านกู แต่เอาเป็นว่าจริงๆ แล้วกูอยู่กับแม่มาตั้งนานแล้ว ครอบครัวกูจบไม่สวยเท่าไร”

เขากัดริมฝีปากแน่น ผมจึงยื่นมือเข้าไปบีบปากน่ารักๆ นั่นให้เลิกกัดตัวเองเสียที มีแต่ผมที่มีสิทธิกัดเขา!!

แต่จะว่าไป…

นี่สินะ คือสาเหตุที่ทำให้จินไม่อยากเป็นแฟนกับผม หรือไม่ยอมให้ใครเข้าไปในสถานะพิเศษเลย

เพราะคิดว่าพื้นหลังที่มีครอบครัวแตกหักจะส่งผลกระทบมาถึงคนรอบข้างด้วยงั้นสิ

และเพราะกลัวว่าจะเผลอทำร้ายใครหรือโดนใครทำร้ายเข้า ลงท้ายเลยปิดตัวเองอยู่ในเปลือกไข่

แต่ผมกลับทำให้เขายอมรับและผ่านสถานะขึ้นมาอีกขั้นได้ แค่คิดแบบนี้ก็สุขใจจนวิ่งเข้าไปบุกน้ำลุยไฟดำโคลนได้อยู่แล้ว

“อือหึ ยังไงต่อ”

“กูไม่ค่อยสนิทกับพ่อ แล้ว…เหมือนพ่อก็ติดต่อมา อยากให้กูคุยด้วย”

“อือ ไปคุยเถอะ อีกฝ่ายเป็นถึงคุณพ่อเลยนะ”

“มึงไม่เข้าใจ!!” เขาตวาดอย่างโกรธเกรี้ยว แต่ครั้นผมเงียบให้เขาพูดต่อ จินกลับเงียบ

“พูดสิ ถ้ามึงไม่เล่ากูก็ไม่เข้าใจหรอก”

“พ่อนอกใจแม่…ไม่สิ เขารักผู้หญิงคนนั้นหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ แต่พ่อก็หย่ากับแม่เพราะจะไปแต่งงานกับคนคนนั้น เพราะว่าหล่อนเป็นลูกสาวของคนที่สามารถสนับสนุนคุณพ่อเป็นนักการเมืองได้”

ผมเริ่มรู้สึกถึงลางร้ายเข้าพัดในตอนที่เขาช้อนตามองผมแล้วพูดต่อ

“มึงเคยได้ยินนามสกุล เพชรพัชตร์ หรือเปล่า”

“…เคยได้ยินสิ นักการเมืองที่ออกทีวีบ่อยๆ”

ผมภาวนาอยู่ในใจตอนที่เขาพยักหน้าให้ผม

“ใช่ คนนั้นแหละคือพ่อกูเอง”



พ่อตาผมน่ากลัวเว่อร์ๆ

แต่ถ้าได้คนนี้มามันก็คุ้มแหละว่ะ

หลังจากประโยคสายฟ้าแลบของเขา ผมได้แต่กอดโอ๋พยายามเกลี้ยกล่อมให้จินไปนัดทานข้าวกับพ่อถึงแม้เจ้าตัวไม่อยาก

มันเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ผมคิดว่างั้นนะ จากท่าทางของเขามันเหมือนว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ถูกบังคับเสียด้วยซ้ำ

“กูจะไปนั่งที่ร้านกาแฟแถวๆ โรงแรม ถ้าไม่โอเคก็โทรหากู กูจะเข้าไปรับเอง”

ใจจริงพอเห็นคนเข้มแข็งจับเสื้อผมแน่น กำจนยู่ยี่ไปหมดก็อยากกอดอยากหอมบอกว่าเดี๋ยวผมจะบุกเข้าไปบอกพ่อตาเองว่า จินไม่อยากมาครับ!! กรุณาเข้าใจด้วย!

แต่ความเป็นจริงก็คือเราไปเสือกเรื่องครอบครัวของเขาไม่ได้

“มึงจะไปที่นั่นกับกูจริงๆ นะ”

ยิ่งท่าช้อนตาในสภาพใส่เสื้อเชิ้ตตัวเดียวกับถุงน่องก็คือเอาไปเลยสิบสิบสิบ! อยากให้วิ่งรอบมหาลัยสักสามรอบก็ได้ว่ะงานนี้

“อือ ไปๆ”

ผมเข้าใจความรู้สึกของการโกรธพ่อแม่นะ และผมจะไม่ห้ามเขาไม่ให้โกรธด้วย ถึงแม้ผมจะไม่เห็นด้วยกับการไม่คุยกับพ่อของเขาก็ตาม

เพราะผมไม่ได้อยู่ในบริบทเดียวกับเขา ไม่ได้รับรู้ ไม่ได้รู้สึกอย่างที่เขารู้สึก เพราะงั้นผมไม่มีสิทธิ์ไปชี้นิ้วบอกให้ใครรู้สึกยังไง

แต่ผมจะอยู่ข้างๆ ตอนที่เขากำลังแย่เอง

“กูไม่ชอบเลย ทุกทีที่ไปมันเหมือนกับกูเป็นคนนอกมองครอบครัวอื่นกำลังมีความสุข กูจะไปทำไมวะ ทำไมต้องมีแค่กูที่อยู่รอบนอก ทำไมทั้งๆ ที่พ่อกูทำกับกูมากขนาดนั้น เขาถึงไม่รู้สึกอะไรเลย”

ผมกอดเขา พร่ำจูบไปตามใบหน้าซึ่งผมประคองไว้ในมืออย่างทะนุถนอมแล้วลงท้ายด้วยการหอมหัวเบาๆ หลายๆ รอบ

“ไม่ว่าจะมึงจะรู้สึกแย่ยังไง กูจะอยู่ข้างมึงเอง ขอแค่มึงบอก กูพร้อมเสมอ เข้าใจนะ”

“ไม่มีประโยคเท่ๆ อย่าง ‘ผมจะสู้กับพ่อตาเพื่อคุณเอง’ หรืออะไรแบบนี้รึไง”

“ก็ทำไม่ได้นี่น่า กูสู้ไม่ได้หรอก เพราะตอนนี้มันคือศึกของมึงเอง มันคือเรื่องระหว่างมึงกับพ่อของมึง และมึงไม่ต้องการตัวกลางที่ไม่รู้ลึกตื้นหนาบางอย่างกูหรอก มึงต้องคุยกับเขาเอง”

“ตรงไปตรงมาชะมัด”

“แต่กูอยู่ข้างมึงเสมอ โอเค๊”

“คนรอบข้างเอาแต่บอกให้กูคืนดีกับพ่อ เขามีเหตุผลที่ต้องทำอย่างนั้น มึงพยายามจะทำแบบนั้นอยู่หรือเปล่าเคย์ มึงพยายามให้กูคุยกับเขาเพื่อคืนดีกันเหรอ”

“ไม่ กูอยากให้มึงคุยกับพ่อ ถูกแล้ว แต่เรื่องคืนดีหรือไม่ มันคือสิทธิ์ของมึง มึงมีสิทธิ์ที่จะโกรธพ่อได้ตามที่ต้องการ ถ้าเขาทำไม่ดีกับเรา การที่เราโกรธมันก็ทำได้ อย่าให้ใครมากดมึงลงดเพราะบุญคุณอะไรนั่นเลย เรื่องที่เขาทำให้เราและเรื่องที่เขาทำร้ายเรามันทดแทนกันไม่ได้นะ”

จินหัวเราะ

“มึงมันคนไม่ดี”

“เพราะยังเป็นเด็กต่างหาก พวกเราเป็นเด็ก ไม่เข้าใจความคิดซับซ้อนของผู้ใหญ่หรอก มีเหตุผลอะไรมากมายภายใต้การกระทำงั้นหรือ! ไร้สาระ!! มันก็ลบล้างความจริงเรื่องที่ทำไม่ได้อยู่ดีนี่ เพราะเป็นเด็กถึงเข้าใจอะไรตื้นเขินแต่เพราะอย่างนั้นถึงได้ซื่อตรงต่อความรู้สึกตัวเองที่สุด”

คนตัวเล็กในอ้อมกอดผมหัวเราะอีกรอบ เป็นเสียงที่ทำให้ผมนึกถึงหน้าร้อนอันสดใส

“ว่าแต่ ทำไมถึงใส่ชุดนี้ละ หือ” ไม่ว่าเปล่า ผมยังสอดนิ้วเข้าไปในถุงน่องซึ่งรัดรอบต้นขาของอีกฝ่าย ความนุ่มเนียนของผิวทำเอาตาลายไปชั่วขณะ

“ก็หงุดหงิดกับหมาแถวนี้จนต้องแต่งตัวคลายเครียดไง”

“ขอโทษนะครับ หมาตัวนั้นนี่มันแย่จริงๆ เลย” ผมแกล้งนิ่วหน้า โยนอีกฝ่ายลงตุ๊บบนเตียงแล้วตามขึ้นไปคร่อมอย่างไว

โฮ…ขอแพนไปที่โคมไฟก่อนแล้วกันนะครับ

ส่วนผลเป็นยังไงเหรอ ก็แพนตี้ลูกไม้สีดำถูกฉีกกระจุยโดยเฉพาะตรงส่วนก้นจนใส่ไม่ได้อีก แถมถุงน่องซึ่งขาดเป็นช่วงๆ นั่นยังเลอะคราบอะไรต่อมิอะไรจนต้องทิ้งลงถังขยะ

แต่ไม่เป็นไร ผมจะซื้อของใหม่ให้เขายกโหลไปเลย

จะได้เอามาฉีกบ่อยๆ ยังไงล่ะ



v
v
v
ต่อข้างล่าง
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.11[30/03]
เริ่มหัวข้อโดย: MeiHT ที่ 08-04-2019 00:27:24
Jin part

วันต่อมาพวกเรามายืนอยู่หน้าโรงแรมซึ่งพ่อของผมนัดไว้เป็นที่กินข้าว ผมหันไปมองคนข้างกายอีกทีก่อนจะถอนหายใจดังเฮือกจนเขาจับหัวผมโยกเบาๆ

“เข้าไปลุยเลย”

“ถ้ากูโดนตีออกมาเลือดเหลือ 0 ล่ะ”

“เดี๋ยวกูแครี่เอง”

“ขี้โม้เจ้าตูบนี่” ผมย่นจมูกมองคนขี้โม้ในสภาพดูดีกว่าทุกวัน ซ้ำยังเซ็ตผมเหมือนจะออกมาเที่ยวกับใครทั้งๆ ที่แค่มาส่งผมแท้ๆ

“เอาน่า”

“อย่าให้รู้ล่ะว่าแอบไปเที่ยวกับใคร”

“…เฮ้ นี่เห็นกูเป็นคนยังไงเนี่ย” เขาทำหน้าอ่อนใจ รุนหลังผมให้เดินเข้าไปในโรงแรม

“ไปแล้วนะ” ผมไม่วายหันกลับไปหาเขาอีกรอบ ร่างสูงใหญ่ซึ่งยืนอยู่หน้าโรงแรมดูโดดเด่นออกมาจากคนอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด เขากำมัดเป็นเชิงให้กำลังใจผม ก่อนที่ผมจะหันหลังเดินเข้าไปในโรงแรม

จากนั้นผมจึงขึ้นลิฟต์มายังชั้นบนที่เป็นภัตตาคารอาหารฝรั่งราคาแพงหูฉี่ ผมเดินเข้าไปแจ้งรีเซปชั่นของส่วนภัตตาคารก่อนที่เขาจะบอกให้ผมรอก่อน

“อ้าว พี่จิน” เสียงเด็กหนุ่มจากข้างหลังทำให้ผมหันไปมอง ก่อนจะต้องยิ้มกว้างอย่างดีใจเมื่อเป็นใครบางคนที่คิดถึง

“จ้าว”

อ้อมกอดอบอุ่นจากเด็กตัวใหญ่ซึ่งตัวสูงแซงหน้าผมไปแล้วเป็นแรงใจอย่างดีก่อนจะเข้าไปเจอพ่อ เขาโยกตัวเบาๆ แบบคนอารมณ์ดีซึ่งนั่นทำให้ผมตัวเอนไปเอนมาตามไปด้วย

“เป็นไงบ้างเรา ไม่ได้เจอกันนาน” ผมเอ่ยถามน้องชายต่างแม่

“ดี เบื่อพ่อกับแม่อ่ะ คิดถึงพี่ด้วย มหาลัยเป็นไง?”

“เหนื่อย เป็นสถานที่ที่ทำให้พี่รู้ว่าตัวเองโง่บรมเลย”

“โม้ว่ะ”

จ้าวย่นจมูก ปล่อยผมออกจากอ้อมกอดแล้วหยิกแก้มผมอย่างหมั่นเขี้ยว

“ไม่โม้ ต้องอ่านหนังสือทุกวันเลย”

“งั้นไม่อยากขึ้นมหาลัยล่ะ”

ผมหัวเราะเมื่อคนตรงหน้ายังคงอารมณ์ดีเหมือนเคย

“พ่ออยู่ข้างในเหรอ”

“อือ พ่อกับแม่อ่ะ นี่เบื่อเลยออกมาเดินเล่นๆ รอพี่”

“รอทำไม”

“ก็กลัวพี่มาถึงตรงนี้แล้วกลับไปก่อนไง”

ผมอมยิ้มเงียบๆ เพราะนั่นเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ผมมีในหัวจริงๆ

“…พ่อเป็นไง”

“ก็เหมือนเดิม พี่ก็รู้ เงียบๆ หน้าดุ ผมยังไม่ค่อยเข้าใจเขาเลยวะ แถมช่วงนี้ผมชอบหนีเที่ยวอ่ะ ขี้เกียจกลับบ้าน”

“ยังตั้งใจเรียนอยู่ใช่มั้ย”

“โห พี่มองผมเป็นคนยังไงอ่ะ ว่าแต่พี่จะกลับมาอยู่ด้วยกันบ้างได้มั้ย คิดถึงอ่ะ อยากนอนห้องเดียวกันอีก”

“โตตัวเป็นควายแล้วยังจะขี้อ้อน”

“แหม ว่าน้องชายตัวเล็กๆ คนนี้เป็นควายเลยเหรอ”

ผมกับจ้าวเดินเข้าไปด้วยกัน ผมกำมือชื้นเหงื่อของตัวเองเมื่อเข้าใกล้โต๊ะกินอาหารจนเห็นผู้เป็นพ่อนั่งหน้าเงียบขรึม บนโต๊ะมีเพียงแก้วไวน์แดงตั้งอยู่ ใกล้ๆ กันนั้นคือแม่ของจ้าว ผู้หญิงซึ่งแต่งตัวหรูเรียบนั่งหลังตรงเหมือนกับถูกฝึกมาตั้งแต่เด็ก

“แม่ พ่อ พี่จินมาแล้ว” เด็กจ้าวเดินไปที่โต๊ะแล้วพูดอย่างสดใส แม่ของจ้าวหันมายิ้มให้ผม เป็นรอยยิ้มเบาๆ ใจดี

“สวัสดีค่ะน้องจิน กินอะไรดีคะ น้าสั่งเครสดีญ่าไป จำได้ว่าน้องจินชอบ”

“ขอบคุณครับน้าหลิน” ผมไหว้ทั้งหญิงสาวและพ่อซึ่งนั่งจ้องผมนิ่งๆ

“สวัสดีครับพ่อ”

พ่อเพียงพยักเพยิดให้ผมกับจ้าวนั่งลง แล้วจึงส่งเมนูให้ผม

“สั่งสิ”

ลงท้ายผมจึงสั่งคอร์สอาหารราคาแพงไปอย่างหนึ่งซึ่งก็คงจะเหมือนกับทุกๆ คนบนโต๊ะ

“น้องจินเรียนมหาลัยเป็นยังไงบ้างคะ” น้าหลินถามไถ่ผมอย่างเป็นห่วงเมื่อได้ข่าวว่าผมต้องไปอยู่ในหอใน

“ก็ดีครับ หอในก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด”

“หอแบบนั้นอันตรายจริงๆ น้าหาหอนอกให้เราได้แล้วนะคะ” หล่อนยังส่ายหน้า พูดยาวเหยียดเรื่องหอที่ไม่มีการดูแลเรื่องความปลอดภัยเท่าที่ควร

“เอาไว้จบปีหนึ่งก่อนแล้วกันครับ”

ผมกับเคย์เคยพูดเรื่องย้ายออกไปหอข้างนอกเหมือนกัน แต่เป็นเรื่องที่เราจะคุยกันทีหลัง

“นั่นสิ ไม่รู้จะมีคนประเภทไหนเป็นเพื่อนร่วมห้อง” พ่อซึ่งพึ่งเคี้ยวเสต็กเนื้อเสร็จพูดขึ้นเนิบๆ

สายตานิ่งๆ เย็นๆ เหมือนคนรู้อะไรบางอย่างทำเอาผมถึงกับชะงักมือซึ่งกำลังตักสปาเก็ตตี้ หัวใจผมเต้นรัวในอกจนรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนในช่องอก

“นะ…นั่นสิครับ แต่รูมเมทผมก็เป็นคนดี”

สายตาคมปลาบของพ่อยังคงมองตามผมกระทั่งเวลาที่ผมเงียบลงเพราะบทสนทนาถูกส่งต่อไปหาจ้าว

ผมนั่งก้มหน้ากินของในจานเงียบๆ ส่งยิ้มหรือร่วมบทสนทนาบ้างยามจ้าวหรือน้าหลินทักถามผม การกินข้าวอันน่าอึดอัดนี่ไม่มีสักครั้งที่พ่อผมจะเปิดปากพูดราวกับว่าบทสนทนาถูกผูกขาดโดยพวกเราสามคนเท่านั้น

กระทั่งตอนที่ของหวานซึ่งปิดท้ายคอร์สมาถึง พ่อจึงเลื่อนของหวานมาทางที่ผมนั่ง

“กินสิ”

ผมมองคนที่นั่งกอดอกปั้นหน้าบึ้งอยู่ตรงข้าม หัวใจพลันอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย จ้าวยิ้มเล็กๆ ขณะที่สะกิดข้อศอกให้ผมที่นิ่งค้างอยู่ยื่นมือไปรับ

“ขอบคุณครับ”

ผมยิ้มน้อยๆ แต่เป็นยิ้มจากใจ มันคงจะส่งไปถึงดวงตาด้วยเพราะผมรู้สึกถึงความสุขคั่งค้างจนแทบจะระเบิด นอกจากเรื่องที่ได้เคย์มาเป็นรูมเมทแล้ว พฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ ของพ่อในวันนี้นับเป็นเรื่องดีที่สุดในปีเลยทีเดียว

ผมค่อยๆ ละเลียดของหวาน มันอร่อยกว่าถ้วยที่ผมเพิ่งทานไป

การกินข้าวที่ผมหลีกเลี่ยงมาตลอดจะจบลงด้วยดีกว่าทุกครั้ง และบางทีผมอาจจะนัดเขาเองในครั้งหน้า

แต่แล้วจู่ๆ พ่อก็ถามขึ้นมา

“แล้วรูมเมทคนนั้น ดีมากเหรอ ถึงขั้นเป็นแฟนแล้วหรือยัง?”

ผมเบิกตามองคนที่นั่งหน้าบึ้งอยู่ตรงข้าม หัวใจในอกสั่นระรัวจนได้ยินเสียงมันดัง เสียงมันเหมือนความกลัวที่แผดร้องออกมาจากข้างใน

ความอบอุ่นในหัวใจเมื่อครู่เย็นเยียบลงอย่างรวดเร็วจนเหมือนมีใครไปแช่แข็งมันไว้

“คะ…ครับ?”

“พ่อถามว่า เป็นแฟนกับไอ้หนุ่มนั่นเหรอ”

“พ่อ! บ้าไปแล้ว แฟนอะไร อย่ามาล้อเล่นกันแบบนี้สิครับ” จ้าวละล่ำละลักบอก สลับมองทั้งผมและพ่อไม่หยุด

อ่า ไม่น่าเลย

ผมไม่น่าคิดอะไรตื้นๆ ไม่น่าโง่

และที่สำคัญ ไม่น่าลดการ์ดตัวเองลงเลย

ดวงตาผมแข็งกร้าวขึ้นมาทันที มองคนที่นั่งอย่างสง่าอยู่ข้างหน้าราวกับเป็นศัตรู

“ถ้าใช่…แล้วจะทำไมครับ?”

พ่อขมวดคิ้วแน่น เขามีแววตาเกรี้ยวกราดโผล่ขึ้นมาแวบหนึ่งก่อนที่มันจะหายไปภายใต้ความเยือกเย็นของเขา

“พ่อก็ว่าจะไม่พูดอะไรเรื่องงานอดิเรกแต่งหญิงของเราแล้วนะ แต่เรื่องนี้มันเกินขั้นไปไกลจนพ่อคิดว่าตัวเองคิดผิดหรือเปล่าที่ปล่อยปละละเลย”

ผมแค่นเสียงหัวเราะ

“พ่อพูดเกินพอเลยต่างหากล่ะเรื่องงานอดิเรกของผมน่ะ อะไร? จะห้ามผมอีกเหรอ?”

“แม่แกเห็นดีเห็นงามกับเรื่องไม่ควร ถ้าพ่อเลี้ยงแกขึ้นมา เรื่องนี้มันก็คงไม่เกิดขึ้นหรอก”

น้าหลินกับจ้าวหน้าตาตื่น มือบอบบางของหญิงสาวคนเดียวในโต๊ะสะกิดคู่ชีวิตไม่หยุด แต่ผมกลับไม่สามารถเห็นอะไรได้เลยนอกจากแววตาที่พ่อส่งมาให้

“กล้าพูด คนที่ทิ้งคนอื่นไปมันกล้าพูดดีขนาดนี้เลยเหรอ? กล้าดียังไงมาบอกว่าแม่ผมเลี้ยงผมขึ้นมาไม่ดี” คำพูดร้ายกาจพรั่งพรูออกจากปาก เพียงเพราะผมอยากให้คนที่นั่งราวกับรูปปั้นตรงหน้ารู้สึกเจ็บขึ้นมาบ้าง “ถ้าพ่อเลี้ยงผม ถ้าคุณ…เป็นคนเลี้ยงผมขึ้นมา ผมคงโตมาเป็นไอ้สารเลวเหมือนคุณ”

คนสูงวัยไม่สามารถปิดบังอารมณ์โกรธได้อีกต่อไป เขาตบโต๊ะดังปัง!

“แกกล้าพูดกับพ่อแกอย่างนี้เหรอ”

“มากกว่านี้ก็กล้า!”

โชคยังดีที่โต๊ะถูกจัดห่างจากกันพอสมควร เสียงซึ่งยังไม่ถึงขั้นตะคอกของเราจึงเรียกความสนใจจากคนได้ไม่มาก

“ฟังนะ! แกเป็นลูกชายของฉัน ตั้งแต่แกชอบแต่งตัวเป็นผู้หญิงอะไรนั่น ฉันก็คิดว่ามันวิปริต แต่เหตุผลเดียวที่ฉันไม่เข้าไปเผาชุดโง่ๆ พวกนั้นให้หมด! เพราะว่าแม่แกเข้ามาขอร้องให้อย่ายุ่งกับเรื่องที่แกชอบ! ฉันคิดว่าถ้ามันเป็นความลับของแกไปจนตายมันก็ไม่มีปัญหา แต่นี่มันเลยเถิดถึงขั้นมีแฟนเป็นเพศเดียวกัน!”

ผมหูอื้อตาลายไปตั้งแต่คำว่าวิปริต

การแต่งตัวที่ผมชอบมาตลอด เครื่องสำอางค์พวกนั้น กระโปรงฟูฟ่อง ลูกไม้น่ารักๆ

ทำไมมันถึงถูกจำกัดด้วยเพศสภาพ

หากผู้หญิงสามารถใส่ได้ทั้งกางเกงและกระโปรง สามารถแต่งตัวได้หลากหลายแนวโดยไม่มีใครมองแล้วหันไปตัดสินหรือซุบซิบกันเหมือนมันเป็นเรื่องผิด

แล้วทำไมผู้ชายจะต้องโดนกรอบสังคมบีบ

ทำไมผู้ชายจะใส่กระโปรงบ้างไม่ได้?

พวกเราอับอาย พวกเราต้องปิดบังตัวเองด้วยวิกและเครื่องสำอางค์ ทั้งๆ ที่บางครั้งแค่อยากใส่ของน่ารักๆ ในแบบที่เป็นตัวเรา

แค่คิดถึงหน้าคนที่รู้จักและตัวเอง ความทุกข์ตลอดมาของพวกเรา ก็รู้สึกถึงคลื่นความโกรธกับคนตรงหน้าจนแทบไหม้

“วิปริต? ...นี่พ่อคิดว่าผมวิปริตมาตลอดหรือไง ทุกครั้งที่มองผม คุยกับผม หรือมากินข้าวด้วยกัน พ่อมองผมเป็นแค่ไอ้เด็กวิปริตเหรอ” ผมแค่นหัวเราะ เป็นเสียงถามที่เบาจนได้ยินอะไรบางอย่างแหลกสลายลงอีกครั้ง

“จิน แกดูรอบๆ ตัวซะ ทุกคนมาเป็นครอบครัว หรือมาเป็นแบบคู่รักชายหญิง แกเห็นผู้ชายสองคนนั่งโต๊ะเดียวกันเหรอ แกจะบ้าหรือไง”

ผมกวาดตามองไปรอบๆ เห็นเพียงคู่รักต่างเพศและครอบครัวซึ่งมีลูกตัวน้อยๆ หรือกระทั่งครอบครัวแสนสุขที่ประกอบไปด้วยพ่อแม่ลูก

บรรยากาศในห้องอาหารเต็มไปด้วยความสดใส รอยยิ้ม การเปิดเผยแต่ไม่มีสักคู่ที่เป็นคนเพศเดียวกัน

ห้องที่สร้างรอยยิ้มนี้ไม่มีที่ว่างเพื่อคนอย่างผมกับเคย์หรือไง

ในสังคมนี้มีที่ไหนที่มีที่ให้พวกเราบ้าง หรือพวกเรามีเพียงห้องแคบๆ ในหอในที่เป็นพื้นที่ซึ่งพวกเราจะสามารถเป็นตัวเองได้

“แกคิดว่าสังคมยอมรับแกมากนักเหรอ? แกคิดว่าตอนแกเดินจับมือ เดินข้างๆ แฟนแก แล้วมันจะไม่มีคนมอง ไม่มีคนนินทา แกหวังให้โลกเป็นอย่างนั้นเหรอ แกมองดูโลกนี้สิ มันยังไม่พร้อมสำหรับคนอย่างพวกแก สักวันแกก็ต้องแต่งงาน! มีลูก! มีครอบครัว!”

“…แล้วมันเป็นไม่ได้หรือไง”

“เป็นไปไม่ได้”

“…”

“แกเลิกพยายามทำตัวเป็นผู้หญิงจะดีกว่า ถ้าแฟนจะรักแกเพราะว่าแกแต่งตัวเป็นผู้หญิง ถ้ามีทางเลือก เขาจะไม่รัก’ ผู้หญิง’ จริงๆ แทนดีกว่าเหรอ”

คำพูดนั้นเหมือนการปิดประตูลงกลอนทั้งความสัมพันธ์ของผมกับเคย์และความหวังที่จะคืนดีกับพ่อ

ผมลุกขึ้น มองอีกฝ่ายด้วยสายตากร้าว

จากการทานข้าวซึ่งเริ่มต้นได้ด้วยดี เรามาถึงตรงนี้ได้ยังไงก็ไม่รู้

“ผมอิ่มแล้ว ขอตัว”

เอ่ยได้แค่นั้นผมก็หมุนตัวเดินออกมาทันทีทั้งๆ ที่น้ำตาคลอหน่วยเพราะความโกรธ จ้าวละล้าละลังในการหยุดผม ไม่รู้ว่าเด็กอารมณ์ดีคนนั้นมีมุมมองต่อพี่เปลี่ยนไปยังไงเมื่อรู้ว่าผมชอบผู้ชาย

แต่ผมไม่สน ผมไม่สนใครทั้งนั้น

ตอนนี้ผมแค่อยากเห็นหน้าคนคนเดียว

ผมกดย้ำปุ่มลิฟต์รัวๆ แบบไม่กลัวว่ามันจะพัง เมื่อลิฟต์มาถึงแล้วผมก็รีบแทรกตัวเข้าไปแล้วปิดมันทันที น้ำตาผมไหลหลากเหมือนเขื่อนทำนบแตก ทั้งความอับอาย ความเสียใจ ความเศร้ามันไหลออกมาไม่หยุด

พ่อปฏิเสธผม

ทุกตัวตนของเด็กคนนี้

ทั้งการแต่งผู้หญิงที่พ่อชอบเอามากระแนะกระแหน ทั้งเรื่องมีแฟน

มันเป็นความสุขเดียวของผม

ความสุขที่สุดในชีวิต

ทั้งสองอย่างคือผม คือสิ่งที่ประกอบขึ้นมาเป็น ‘จิน’ คนนี้ หากขาดมันไปแล้วก็จะไม่ใช่จินอีก

แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังโดนปฏิเสธ

ผมเดินออกจากลิฟต์อย่างเปะปะ ไม่รู้จะไปถึงร้านกาแฟข้างๆ อย่างไรดีจึงได้แต่นั่งขดตัวริมกำแพงร้องไห้อย่างนั้น

จ้องจอโทรศัพท์ผ่านม่านน้ำตา ผมกดโทรหาเคย์ทั้งๆ ที่สะอึกสะอื้นไม่หยุด ร้องไห้จนเหมือนลมหายใจจะขาดห้วง

ผมได้ยินเสียงคุ้นเคยลอดออกมาจากโทรศัพท์ แต่ผมไม่ได้ตอบอะไรไปนอกจากร้องไห้ จนกระทั่งมีมือแข็งแรงคู่หนึ่งฉุดรั้งผมจากพื้นเข้ามาสู่อ้อมอก

ผมเกร็งตัวอย่างฉับพลัน ในใจมีประโยคของพ่อวนซ้ำไปซ้ำมาในหัว

‘แกคิดว่าสังคมยอมรับแกมากนักเหรอ!’

ผมขืนตัวออกจากอ้อมกอดนั่น มองไปรอบๆ อย่างหวาดระแวง

ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ แต่สายตาจากคนรอบๆ ทิ่มแทงพวกเราอย่างเห็นได้ชัด มันทั้งใคร่รู้ สงสัย หรือกระทั่งเห็นเป็นเรื่องขบขัน

ถึงจุดนี้ผมไม่รู้อีกต่อไปแล้วว่าใครมีจุดประสงค์อย่างไร มองมาด้วยสายตาชื่นชม สายตาซาบซึ้งหรือสายตามุ่งร้าย

เพียงแค่มี ‘สายตา’ จ้องมองมาที่พวกเรา ผมก็อึดอัดเหมือนใครสักคนมาบีบไว้ไม่ให้หายใจ

พอเสียที

ผมผลักเคย์ออก หอบหายใจเบาๆ ทั้งๆ ที่น้ำตาไหลไม่หยุด

ชายหนุ่มตกใจเล็กน้อย แต่เขาก็เข้ามากระซิบเบาๆ ให้ผมเดินตามเขาไปที่จอดรถ ผมไม่ยอมกระทั่งให้เขาจับมือ ทั้งสะบัดทั้งแกะมือทิ้ง

เคย์ไม่รู้สึกอะไรบ้างเหรอ เขาไม่รู้สึกตัวบ้างเหรอ

ทั้งๆ ที่เขาน่าจะแคร์สายตาคนอื่นมากกว่าใคร เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่มองคนรอบข้าง

ผมที่เคยมองตรงไปข้างหน้ามาตลอด บัดนี้กลับเบิกตามองสังคมรอบๆ จนโดนความจริงตบเข้าที่หน้าอย่างจัง

ตลอดมาชายหนุ่มที่เดินนำหน้าผมอยู่ ก็ต้องทนกับเรื่องแบบนี้เหรอ

‘สายตา’ ของสังคมมันน่ากลัวได้ขนาดนี้เลย

หลังจากเข้ามาในรถแล้ว ผมก็ร้องไห้เหมือนคนเป็นบ้าอีกรอบ ทั้งจับมือเขาไว้แน่นเหมือนอยากชดเชยเรื่องที่สะบัดมือเขาทิ้งข้างนอกนั่น

“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร”

คำพูดที่เขากระซิบข้างหูผมทำให้ผมเกิดคำถาม

มันจะไม่เป็นอะไรจริงเหรอ?

-----------------100%

พาร์ทเคย์เขียนสนุกมากเลยค่ะ ความคิดลามกในหัวหมอนี่เต็มไปหมด.... มาแล้วนะปมใหญ่ปมสุดท้าย รอดูว่าเขาจะผ่านไปได้ยังไง จะเติบโตหลังจากเรื่องนี้มากแค่ไหน ฮี่ๆ

หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.11[08/04]
เริ่มหัวข้อโดย: Janemera ที่ 08-04-2019 03:38:45
คำพูดคำจาโคตรโหดร้ายมากกก นี่คือคำพูดของคนเป็นพ่อหรอ :katai1: :katai1: :angry2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.11[08/04]
เริ่มหัวข้อโดย: yunnutjae ที่ 08-04-2019 11:00:15
ดราม่าที่หาทางออกยางกที่สุดก้คือ ดราม่าเรื่องครอบครัวนี่แหละ จะลงเอยยังไงน้า  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.11[08/04]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 08-04-2019 13:40:21
 :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.11[08/04]
เริ่มหัวข้อโดย: NaunaeZaa ที่ 08-04-2019 22:25:27
สังคมรอบข้างนี่ไม่แฟร์เลยจริงๆ เป็นกำลังใจให้หนูจินกับเคนะ :sad4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.11[08/04]
เริ่มหัวข้อโดย: มะยองมะแยง ที่ 09-04-2019 06:36:06
สงสารน้องงงงง :sad4: ต่อไปจะเป็นยังไงเนี่ย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.11[08/04]
เริ่มหัวข้อโดย: whistle ที่ 11-04-2019 21:44:48
จินสู้ๆซิ อย่ามายอมแพ้ตอนนี้
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.11[08/04]
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 12-04-2019 16:25:35
เฮ้อ~
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.11[08/04]
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 12-04-2019 23:29:15
เป็นกำลังใจให้นะจิน แล้วมันจะผ่านไปนะ

ตอนนี้ให้จินรู้ว่ามีเคย์อยู่ข้างๆ ก็พอ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.11[08/04]
เริ่มหัวข้อโดย: ป่ามป๊ามป่ามปาม ที่ 13-04-2019 16:35:30
คุณพ่อนะคุณพ่อ ทอดทิ้งลูกแล้วยังจะใจร้ายอีก สงสารจิน
ชอบเคย์มากอะ อยากได้ผู้ชายแบบนี้ กรี๊ดๆๆๆ เจ้าลูกหมา
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.11[08/04]
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 13-04-2019 16:40:20
พ่อใจร้ายมาก
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.11[08/04]
เริ่มหัวข้อโดย: Wwavez ที่ 14-04-2019 23:43:34
นังพ่อนี่มันจริงๆเลย จะหวังดีกับรู้หรืออะไรก็แล้วแต่แต่คือเกินไปจริงๆ น้าหลินกับน้องจ้าวดูเป็นคนดีจังมีแต่ตาพ่อนี่แหละปันหาหลัก!!
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.11[08/04]
เริ่มหัวข้อโดย: MeiHT ที่ 19-04-2019 00:27:03
14 : ฟ้าก่อนฝน


ผมนั่งเหม่อลอย มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย กระทั่งตอนที่เคย์เลี้ยวรถเข้ามาในลานจอดรถของหอพัก ใจผมยังคงหยุดอยู่ที่โต๊ะอาหารนั่นอยู่เลย

‘วิปริต!’

น่าสมเพชเสียจริง ตลอดมาที่เขาคุยกับผม หรือตอนที่เขานัดผมมาเจอกัน สิ่งที่เขาคิดมีแค่ความวิปริตของผมแค่นั้นหรือ

“ไปกัน” ผมเดินตามแรงฉุดดึงของคนตัวใหญ่ เคย์พาผมที่ยังเหม่อไม่เลิกมาถึงบนห้องได้ในที่สุด

ผมฉุดเขาให้มานั่งบนพื้นด้วยกัน เอนหัวพิงกับไหล่เขาอย่างเหนื่อยอ่อน

“ขอโทษนะที่สะบัดมือทิ้งตอนนั้น…”

“ไม่เป็นไร” เสียงเคย์ยังคงนุ่มอ่อนโยนเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน

ผมหลุบตาลง เรื่องราวมากมายในหัวยังคงกระจัดกระจายไม่เป็นรูปเป็นร่างจนไม่รู้จะบอกกับเขายังไงดี

“มี…เรื่องเกิดขึ้น กูอยากจะเล่า แต่ตอนนี้ไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหนดี”

“อือ งั้นก็ยังไม่ต้องเล่า”

“แต่ถ้าไม่ได้พูดออกไปกูต้องหัวระเบิดแน่ๆ อึดอัดเหี้ยๆ”

“งั้นกูจะนั่งรอจนกว่ามึงจะคิดออกนะ”

ชุดกระโปรงน่ารักๆ ในตู้เสื้อผ้า เครื่องสำอางค์สีสันสดใสบนโต๊ะกับวิกผมที่อยู่ในตู้ ของพวกนั้นยังเป็นของที่ผมชอบที่สุด แต่เวลานี้ หากผมต้องหยิบมันออกมาอีกรอบ เสียงของพ่อก็จะดังขึ้นในหัว

วิปริต!

“เอา…กระโปรงออกมาให้กูหน่อย”

เคย์ไม่ตั้งคำถามกับเรื่องที่ผมสั่งไปอย่างกะทันหัน เขาเพียงลุกขึ้นยืน เดินไปที่ตู้แล้วหยิบกระโปรงตัวนึงออกมา มันเป็นกระโปรงเทนนิสสีชมพูที่ผมมักสวมกับถุงน่องตาข่ายสีเดียวกัน

น่ารัก

ผมพอใจกับตัวเองภายใต้เสื้อผ้าพวกนี้ ชอบเหมือนกับที่คนอื่นชอบ

เป็นผู้หญิงหรือผู้ชายแล้วอย่างไร ของพรรค์นั้นมันเกี่ยวกับสิ่งที่ชอบตรงไหนกัน

ไม่ว่าใครก็ควรจะมีสิทธิทำสิ่งที่ตัวเองชอบโดยไร้สายตาจากสังคมคอยตัดสินหากมันไม่ใช่เรื่องผิดศีลธรรม

เพราะงั้นผมไม่ได้ผิดเสียหน่อย

คนที่ควรอับอายต้องไม่ใช่ผม

คิดได้แบบนั้นผมก็สลัดกางเกงที่สวมอยู่ออก แล้วดึงกระโปรงใส่ขึ้นมา จากนั้นก็รูดซิบข้างๆ จนได้ยินเสียงดังฟืด

ภาพที่ปรากฎบนกระจกทำให้รู้สึกขัดแย้งอย่างบอกไม่ถูก กระนั้นผมก็ยังจ้องมันแล้วถามเคย์ว่า

“น่ารักมั้ย?”

ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหลังโคลงศีรษะ แม้ใบหน้าไร้รอยยิ้มแต่ดวงตาเขากลับเป็นประกาย

“อือ ใส่กระโปรงตัวนี้แล้วดูดีมากเลยล่ะ”

หัวใจผมพลันฟู่ฟ่องเพราะคำชมนั่น

แค่นี้ก็พอแล้ว

ต้องการแค่คำชม ไม่ต้องเข้าใจความรู้สึกของผม ไม่ต้องเข้าใจว่าทำไมถึงชอบ ไม่ขอให้เข้าใจ

เพียงแค่ยอมรับอย่างที่ผมเป็น

“เอาล่ะ นั่งลง กูรู้แล้วว่าจะเริ่มต้นเล่ายังไง”

เคย์นั่งฟังเรื่องราวเงียบๆ โดยไม่แย้งอะไรเวลาผมพูดด้วยความโมโห หรือกระทั่งตอนที่น้ำตาคลอเบ้าเพราะความเจ็บใจ

จวบจนกระทั่งเล่าทุกอย่างจบลง เขาจึงถามขึ้น

“แล้วเป็นยังไง”

ผมมองหน้าเขาอย่างมีคำถาม เคย์จึงขยายความ

“ตอนนี้คิดยังไง รู้สึกยังไง”

“ตอนนี้เหรอ…” ผมทบทวนความรู้สึกในหัวตัวเอง ก่อนจะพบบางอย่างที่สำคัญ “เพิ่งรู้ตัวว่าโดนพ่อปั่นจนเสียความมั่นใจ หงุดหงิดชะมัด ตาแก่นั่นพูดเรื่องที่ทำให้คนใจฟ่อ กูตั้งใจไว้ตั้งนานแล้วว่าไม่ว่าคนจะพูดถึงงานอดิเรกเรื่องแต่งหญิงยังไงก็จะไม่ยอมถอยเด็ดขาด เพราะกูชอบมัน และเพราะมีคนเข้าใจกูเยอะแยะและกูจะสนแค่คนพวกนั้น ส่วนเรื่องที่เราจะเป็นสถานะอะไรก็ตามในอนาคต…ก็ลองกันสักตั้งสิวะ สู้กับสังคมมันสักตั้ง ไม่ใช่พวกเรากลุ่มเดียวสักหน่อยที่กำลังพยายามอยู่”

“เก่งมาก กูรู้อยู่แล้วว่ามึงต้องคิดแบบนี้” เคย์เอื้อมมือมาโยกหัวผมไปมา

“…”

“แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ไม่หลุดคำว่าแฟนออกมาสักหน่อยล่ะ สถานะอะไรก็ตามเหรอ งั้นข้ามขั้นเป็นผัวเมียเลยได้ป่ะ”

“พูดแบบนี้อยากเอาเลือดหัวออกนักใช่มั้ย” ผมยืนค้ำหัวคนที่ยิ้มเผล่ ไฟลุกโชนอยู่ข้างหลังเป็นแบกกราวน์

แต่เจ้าหมาโง่ดูเหมือนจะไม่รู้ถึงความคิดมุ่งร้ายเอาเสียเลย มันลุกขึ้นพรวดหิ้วผมขึ้นเตียงไปนอน

“ยังไม่ได้อาบน้ำเลย ปล่อยสิเจ้าหมาสกปรก!”

“ช่างมัน ค่อยอาบพรุ่งนี้สิ เจอเรื่องเหนื่อยๆ แล้ว นอนกันดีกว่า”

“ถ้าจะทำตัวเป็นหมาขี้เรื้อนก็เป็นไปคนเดียวสิ!!”

“นอนๆ นอนครับ”

ขาใหญ่ๆ ก่ายรัดตัวผมจนขยับไปไหนไม่ได้ ผมจึงเอาหัวโหม่งหน้าอกอีกฝ่ายแต่ดันรู้สึกเจ็บหัวแทน

น่าหงุดหงิดจริงๆ เลย

แต่ก็เอาเถอะ

ผมหวังให้เวลาแห่งความสุขแบบนี้อยู่ไปนานๆ




มีเวลาพักกันอยู่ไม่นาน เคย์ซึ่งมีตำแหน่งเดือนคณะนิติพ่วงก็ต้องเริ่มทำงานอีกครั้ง เพราะงานกีฬามหาลัยยังไม่จบ ที่แข่งไปเป็นเพียงการแข่งเพื่อเอาผลก่อนวันจริงซึ่งต้องมีการมอบรางวัลและแน่นอนว่าต้องมีการเดินขบวนซึ่งได้ชื่อว่ารวมหนุ่มหล่อสาวสวยของมหาลัยมากมาย

ตัวผมเองเพราะไม่ใช่เดือนของโต๊ะดังนั้นจึงได้เป็นผู้ชมอย่างสบายใจ

เรื่องอะไรจะหาเหาใส่หัวล่ะ

ร้อนก็ร้อน เหนื่อยก็เหนื่อย ขืนผิวผมเสียขึ้นมาก็แย่น่ะสิ

ชายหนุ่มไม่ได้กลับห้องหลายครั้งเพราะจำเป็นต้องไปซ้อมละครเปิดตัวของหลีดซัมติงของคณะเขา แถมยังต้องไปนั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อกับเพื่อนๆ ซึ่งเป็นงานเป็นการจนเจ้าตัวไลน์มาบ่นใหญ่ว่าจะเอาเขาเข้ามาคุยด้วยทำไมนะ

ผมยิ้มขำ ขนาดเรื่องงบของชุดยังต้องเอาเจ้าหมานั่นไปนั่งฟังด้วยเลยเหรอ ตลกเกินไปแล้ว

ผมซึ่งกำลังนั่งดูเพื่อนในโต๊ะกำลังซ้อมการแสดงของชาวบัญชียกโทรศัพท์ขึ้นกด รอยยิ้มประดับอยู่มุมปากค่อยๆ ขยายกว้างขึ้นเมื่ออีกฝ่ายส่งภาพมารายงานตัว

K : อยู่ในห้องประชุมครับ น่าเบื่อจัง

พร้อมกับแนบภาพตัวเองกำลังนั่งเท้าคางอยู่ ข้างๆ มีแขนของเพื่อนเข้ามาในเฟรม หน้าหล่อๆ ของอีกฝ่ายเบะปากเหมือนกับเด็กเวลาเซ็ง

น่ารักเป็นบ้า

“ยิ้มอะไรอ่ะ คุยกับใครรร” เพื่อนผมวิ่งเข้ามาชาร์ตทันทีที่เห็นผมกดมือถือต๊อกแต๊กๆ จนผมต้องรีบล็อคหน้าจอ

“ยุ่ง!”

เหล่าสาวๆ วี๊ดว้ายเมื่อผมแยกเขี้ยวใส่ พวกเธอแกล้งเดินหนีแต่จริงๆ แล้วคือไปซื้อของกินเล่น ผมตะโกนบอกให้ซื้อชานมมาเผื่อด้วยก่อนจะได้รับคำตอบเป็นนิ้วกลาง

เดี๋ยวนี้ผู้หญิงหยาบคายเป็นบ้า

“จะซื้อชานมเหรอ เดี๋ยวไปด้วยเอามั้ย” เสียงกระด้างอย่างผู้ชายดังขึ้นข้างๆ ตัวพร้อมกับที่เขานั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ ผม ผมหันหน้ามามองเขาก่อนจะพบว่าเขาคือผู้ชายที่เป็นเดือนโต๊ะของผมเอง

ซึ่งเดือนโต๊ะไม่ใช่เดือนคณะนะ อย่าเข้าใจผิด เดือนโต๊ะจะต้องเอามารวมกันเพื่อคัดเป็นเดือนคณะอีกทีต่างหาก

อย่างเดือนโต๊ะผมคนนี้ชื่อไม้ที ท่ามกลางโต๊ะที่มีแต่สาวๆ กับผู้ชายจำนวนหยิบมือซึ่งไม่สนใจอะไรกระทั่งกิจกรรมก็ไม่มาเข้าร่วม เขาจึงได้รับโหวตเป็นเดือนโต๊ะไปโดยปริยาย

“เออ…เอาสิ” ผมตกลง

พวกเราเดินข้างๆ กันไปยังตึกอีกฝั่งเพื่อซื้อชานมจากร้านโปรดของผม บรรยากาศค่อนข้างอึดอัดนิดหน่อยเพราะผมไม่ค่อยชินกับการเดินกับผู้ชายซึ่งแผ่ความเป็นผู้ชายออกมามากขนาดนี้

ในหัวผมปรากฎภาพอีกคนซึ่งเคยมีบรรยากาศคล้ายๆ แบบนี้เช่นกัน

แต่เจ้าหมานั่น…ผมโคตรชินกับการมีเขาอยู่ด้วยเลย

ผมเหลือบมองคนสูงข้างตัวซึ่งเดินอกผายไหล่ผึ่ง ไหล่กว้างเรียบตึงทำให้เขาดูตัวใหญ่สมกับเป็นผู้ชายมากขึ้นไปอีก

แต่แล้วเขาก็สังเกตเห็นถึงสายตาของผมแล้วก้มหน้าลงสบตาด้วย

“มองทำไมเหรอ”

น่าแปลกที่สายตาแพรวพราวจากดวงตาซึ่งดูอ่อนโยนกลับทำให้ผมขนลุกมากกว่าตาคมดุจากรูมเมทผมเสียอีก

“อ๊ะ…เปล่า ไม่ได้มอง” ผมเบือนหน้ามามองตรง ใบหน้าร้อนผ่าวด้วยความอายเมื่อโดนจับได้ว่าแอบมองคนข้างกาย

ผมได้ยินเสียงเขาหัวเราะในลำคอเล็กน้อย และมันทำให้ผมอับอายปนหงุดหงิดจนอยากจะตั๊นหน้าเข้าให้สักที

โคตรต่างจากตอนที่เคย์ล้อผมแบบนี้เลย ต่อให้เจ้านั่นจะหัวเราะในลำคอแล้วมองผมอย่างเอ็นดู มันก็ทำให้ผมรู้สึกแค่อยากมุดหน้าอกล่ำๆ นั่นให้ตัวเองขาดใจตายจะได้เลิกเขินก็เท่านั้น

แล้วนี่ผมเป็นบ้าอะไรถึงเอาทุกอย่างไปเทียบกับรูมเมทตัวเองวะ

“น่ารักนะเรา”

เหี้ย!

ผมขนลุกจนไม่กล้าหันไปมองอีกฝ่าย ถึงแม้ว่าจะหน้าตาดีหรือเสียงจะนุ่มนวลชวนฝันขนาดไหน แต่ขอเถอะ

ผมโคตรขนลุกเลยจริงๆ

ด้วยบรรยากาศที่โคตรกระอักกระอ่วน ผมตัดสินใจแกล้งตายทำเป็นไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น

ไม่รับรู้ ไม่รับรู้

ผมเดินนำหน้าเขาไปเมื่อเห็นร้านขายชานมอยู่เบื้องหน้า แต่สายตาจากข้างหลังซึ่งแผดเผามาก็ทำให้ผมอดขนลุกซู่อีกจนไม่ได้

ไม้ทีเดินมาขนาบข้างผมอีกครั้งตอนที่ผมรับชานมแล้วเดินออกมาจากร้าน ผมทำเป็นมองนกมองไม้มองพื้นและมองทุกอย่างแต่ก็ยังรับรู้อยู่ดีว่ามีสายตายังจับจ้องผมอยู่

“จิน จริงๆ ก็รู้ตัวแล้วใช่มั้ยว่าเราชอบ”

พรวด!

ผมสำลักน้ำเพราะกลืนผิดจังหวะจากประโยคนั้นจนไอค่อกแค่ก ซึ่งอีกฝ่ายก็ใจดีพอจะลูบหลังช่วย

รู้เว้ย! แต่เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต้องพูดก็ได้มั้ย!

แน่นอนว่าประโยคนั้นผมไม่ได้พูดออกไปหรอก

แล้วก็แกล้งตายไม่ตอบแล้วไม่ได้ด้วย

“อือ ก็พอรู้อ่ะนะ” ผมยิ้มแหยๆ ให้ ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มนุ่มๆ ตอบกลับมา

“เหมือนจินจะไม่ชอบเรานะ”

เขาเรียกว่าแขยงต่างหาก

“เปล่าหรอก คือเรารู้สึกแปลกๆ มากกว่า เออ คือ…แบบว่าเข้าใจใช่มั้ย”

“หรือว่าไม่แน่ใจในตัวเรา”

ผมกลอกตา ประโยคตัดพ้อเหมือนสาวน้อยนั่นมันอะไรกันน่ะ

“คือ…”

“ถึงจะเห็นเราชอบจีบสาวๆ แต่เราก็ชอบได้ทั้งผู้หญิงผู้ชายนั่นแหละ เพราะงั้นเราชอบจินจริงๆ นะ เปิดโอกาสให้หน่อยได้มั้ย”

ทั้งๆ ที่เป็นประโยคคล้ายๆ กับที่เคย์เคยพูด แต่ผมไม่ได้รู้สึกใจเต้นอะไรเลยด้วยซ้ำ มีแต่ความอึดอัดถ่วงไปหมด

“คือ…เรามีคนที่คุยๆ ด้วยอยู่แล้ว” ผมตอบปฏิเสธไป ยิ้มแหยๆ เป็นเชิงว่าไม่มีทางซะละมั้งเอ็ง

มีคนเดียวเท่านั้นที่ผมจะชอบ

และมันไม่ใช่แกโว้ย!

“ว้า ก็คิดๆ ไว้อยู่แล้วล่ะ จินชอบผู้ชายใช่มั้ย แย่ชะมัด ดูเหมือนว่าเราจะช้าไปหน่อย”

ผมสาวเท้าให้เร็วขึ้นอีกนิดเผื่อว่าระยะทางมันจะสั้นลงไปบ้าง

“ยังไงก็เอาไปคิดหน่อยเถอะ เราชอบจินจริงๆ นะ โดยเฉพาะด้านลูกแมวที่ระวังตัวเวลาคนไม่สนิทอยู่ด้วยแต่เวลาตอนอยู่กับคนที่ไว้ใจกลับนอนหงายพุงแบบนี้ โคตรน่ารักเลย”

ประโยคสุดท้ายไม้ทีก้มลงมากระซิบข้างหูผมพร้อมเป่าลมเบาๆ ที่ทำเอาผมเด้งตัวออกมาอย่างตกใจ

เวรๆ ๆ

มันคิดว่ามันทำอะไรอยู่!!

ผมโกรธจนหน้าดำหน้าแดง เดินกลับไปรวมกลุ่มกับสาวๆ เพื่อนร่วมโต๊ะที่ส่งเสียงวี้ดว้ายเพราะเหตุการณ์ชวนจิ้นเมื่อกี้

ผมถูหูตัวเองอย่างหงุดหงิด

กลับห้องไปจะเอาแอลกอฮออล์เช็ดจนกว่าจะสะอาดเลยคอยดู!!



“หันมา”

คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามยังคงกอดอกทำหน้ามุ่ย ทำเมินเสียงของผม

โธ่เว้ย

คิดว่าคนตัวควายๆ มาทำอย่างนั้นแล้วมันน่ารักน่าชังมากรึไงเล่า เจ้าโง่เอ๊ย!

ตอนนี้ผมกำลังนั่งหน้าเครียดมองเจ้าเด็กขี้งอนไม่รู้จักโตที่อีกฟากของโต๊ะอาหาร ทั้งๆ ที่เป็นครั้งแรกที่ได้กินข้าวเย็นด้วยกันในรอบสองสัปดาห์แต่เจ้าบ้านั่นกลับงอนด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง

และเหตุผลที่ผมต้องมานั่งง้องแง้งกับเคย์ในร้านอาหารตามสั่ง มันเพราะรูปที่ไม้ทีก้มลงมากระซิบข้างหูผม ซึ่งตัวดีที่ปล่อยรูปก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เพื่อนผู้หญิงในโต๊ะผมที่อยากเรียกกระแสกับงานกีฬานั่นเอง

เวรเอ๊ย ยัยนั่น

เร็วขนาดนั้นก็ยังถ่ายได้

“หันมาคุยกันก่อน” ผมยังคงย้ำคำเดิมซ้ำๆ เพื่อง้อเจ้าหมายักษ์ข้างหน้า

“…”

เฮ้อ เอากับเขาสิ ให้ตาย ต้องเอาไม้ตายออกมาแล้วมั้ย

ผมถอนหายใจก่อนจะทำเสียงหวานใส่

“อุตส่าห์ได้มากินข้าวด้วยกันทั้งที จะไม่คุยกันจริงๆ เหรอ”

อ๊ะ นั่น ตาแอบกระตุก

ผมแทบจะเห็นภาพหูหมากระดิกมาทางนี้กับหางฟูๆ ที่สั่นพั่บๆ ของเจ้าตัวถึงแม้จะยังเมินไม่มองมาทางนี้ก็เถอะ

ผู้ชายน่ะ…ร้อยทั้งร้อยก็อยากให้แฟนเอาใจเวลาตัวเองงอนทั้งนั้นแหละ

และถึงผมจะไม่ใช่คนผิดก็เหอะนะ แต่นานๆ ทีถอยให้ก่อนก็ไม่เลวเหมือนกัน

“วันนี้นึกว่าจะได้ทำอะไรด้วยกันเยอะๆ อีก กินข้าวด้วยกัน คุยกัน แล้วสุดท้าย….” ผมลดเสียงตอนท้ายประโยคลงจนได้ยินกันแค่สองคน “จะได้อาบน้ำด้วยกันไง”

ฟึ่บ!

เจ้าหมาหื่นกามหันหน้ามา ตาเป็นประกายวิ้งวับ

ผมแอบแลบลิ้น

หึ หลอกง่ายจริงๆ เจ้าหมาโง่

“น่าเสียดายจัง ไม่อยากคุยก็ไม่เป็นไร กูว่ามึงก็คงไม่อยากอาบน้ำ--”

“อาบครับอาบ คุยแล้วๆ” เขานั่งหันหลังตรง สายตาคาดหวังที่มองมารู้เลยว่าคิดอะไรอยู่

“ลามกวะ” ผมปรามาส

เขายกยิ้มเหมือนไม่สำนึก

“มันก็นานแล้วนะจากครั้งสุดท้าย…”

ขาที่ไขว้ห้างอยู่ใต้โต๊ะค่อยๆ ยกขึ้นเพื่อสัมผัสกับขาของอีกฝ่าย ผมใช้ปลายเท้าไล่ตามแนวกล้ามเนื้อของเขาจนรู้สึกถึงความแข็งของกล้ามที่เกร็งเพราะความรู้สึก

“ขี้ยั่ววะ”

“ก็…ยั่วแค่คนเดียวล่ะนะ” ผมเอียงคอ ยกยิ้มที่คิดว่าน่าจะสวยที่สุดไปให้ในขณะที่ปลายเท้าก็ไล่ขึ้นต้นขาใกล้จุดอันตรายของอีกฝ่ายเข้าไปทุกที

“ข้าวได้แล้วค่า”

การเสิร์ฟข้าวจากลูกสาวป้ายุ้มทำเอาวงแตก ผมสะดุ้งนั่งหลังตรงพอๆ กับคนตรงข้ามที่ทำหน้าเลิ่กลั่ก

จวบจนเจ้าหล่อนเดินกระแทกเท้าฉับๆ จากไปเพราะโดนป้าจอมโหดซึ่งโขกสับราคาอาหารตามสั่งตอนหมูแพงแล้วเสือกไม่ลดราคาตอนราคาหมูตก ผมกับเคย์ก็มองหน้ากันแล้วหัวเราะออกมาอย่างหยุดไม่ได้

ให้ตายสิ อยู่กับเขานี่มันสนุกสุดๆ ไปเลย



v
v
v
ต่อข้างล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.11[08/04]
เริ่มหัวข้อโดย: MeiHT ที่ 19-04-2019 00:27:21
หลังจากทานข้าวเสร็จ ผมกับเคย์เดินเตร่อยู่ในตลาดในมอสักพัก ผมหยุดยืนพิจารณาเสื้อผ้าเกาหลีสวยๆ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ายังไงก็คงใส่มันมาเรียนไม่ได้อยู่ดี

“ไปซื้อเสื้อกันเหอะ ใส่กันจะหมดตู้แล้ว” ผมเบือนหน้าหนีแล้วสะกิดเรียกคนตัวสูงข้างตัว แต่เขากลับเดินตรงเข้าไปหยิบเสื้อเปิดไหล่สีฟ้าอ่อนอันหนึ่งขึ้นมาแล้วเดินไปจ่ายตังค์

“เอาอันนี้ครับ”

แม่ค้าสาวดูตกใจพอสมควรที่ผู้ชายตัวโตๆ มาซื้ออะไรแบบนี้ แต่เขาก็ยิ้มนิดๆ ตรงมุมปากแล้วตอบว่า

“ผมซื้อไปให้แฟนน่ะครับ”

คำตอบอุดมคติของแฟนตัวอย่างทำเอาสาวๆ ที่เลือกซื้อเสื้อผ้าอยู่ถึงกับหยุดมองแบบเคลิ้มๆ เขาถือถุงพลาสติกซึ่งใส่เสื้อไว้ในนั้นออกมาหาผม

อ่า บ้าน่า อย่าบอกนะว่าซื้อมาให้….

หน้าผมเหมือนจะไหม้ตอนชายหนุ่มเอนตัวลงมากระซิบที่ข้างหูว่า

“ไว้ใส่ให้กูดูนะ”

ไอ้บ้า

และผมก็คงเป็นบ้าที่หันไปกระซิบตอบเขาว่า

“สนใจมาช่วยกูใส่มั้ย…ทั้งชุดเลยนะ”

ผมและเคย์เดินต่อไปในตลาดร้อนๆ ที่ดูเหมือนจะทำให้อุณหภูมิบนหน้าพวกเราร้อนขึ้น รูมเมทผมซื้อของกินเล่นอย่างพวกลูกชิ้น ไอติมโบราณ เฟรนฟรายช์ มากมายจนผมต้องช่วยถือ

“กินอันนี้ดิ อร่อยนะ” เขายื่นไส้กรอกสีชมพูดูแน่นเด้งมาให้

“สารกันบูดทั้งนั้น” ถึงจะพูดอย่างนั้นผมก็ยังยื่นหน้าอ้าปากรับไส้กรอกชิ้นนั้นมาเคี้ยวอยู่ดี

“ยังไม่ได้ซื้อเสื้อเลย ไม่มีอะไรจะใส่ไปเรียนแล้ว”

“เพราะพวกเราลืมตากผ้านั่นแหละ”

“ความผิดมึงอ่ะ มึงอยู่หอ ช่วงนี้กูวิ่งรอกอยู่ข้างนอกตลอดเลย”

“โห โทษทีแล้วกันที่ลืมนะพ่อหนุ่มฮอตประจำมหาลัย แน่จริงก็เอาไปตากห้องเพื่อนซะสิ”

“แต่ถ้าเอาเสื้อไปตากห้องเพื่อน กูก็จะไม่ได้แวบกลับมาหามึงนะ”

“…อึก” ผมหลุบตาเมื่อโดนคนข้างกายหยอดว่าอยากกลับมาหากันบ่อยๆ โดยใช้เสื้อผ้าเป็นเหตุผล

พอมองกลับขึ้นไปสบตาก็พบว่าเคย์กำลังมองผมด้วยแววตาที่เหมือนกับเอ็นดู สายตานั่นดูเหมือนจะมองแต่ผมจนเผลอทำให้เขินอีกจนได้

“น่ารัก…” เสียงนุ่มจากคนข้างๆ ไม่เล็ดรอดหูผมไป เป็นเหตุให้ต้องมองนกมองไม้ มองอย่างอื่นนอกจากเรือนร่างสูงใหญ่ของเคย์

บ้าเอ๊ย ประโยคเดียวกับไม้ทีตอนกลางวัน แต่ทำไมมันเขินอย่างนี้วะ

เขินเหมือนตัวจะแตก

“แล้ว…” ผมพึมพำ ช้อนตามองเขาตอนถามอย่างขลาดอาย “วันนี้จะค้างที่ห้องหรือเปล่า”

เคย์ยิ้มเล็กๆ เสี้ยวแสงซึ่งทำให้เกิดเงาบนใบหน้าคนร่างสูงทำให้เจ้าตัวดูน่ากลัวผิดปกติ

“อือ ต้องนอนค้างด้วยอยู่แล้ว”

แต่ผมคงคิดไปเอง มันเป็นแค่แสงเงา…ล่ะมั้ง?



เรากลับมาถึงห้องพร้อมกับของกินเต็มสองมือ เคย์รับเอาของทั้งหมดเข้าตู้เย็น บ่นผมเรื่องที่ไม่ยอมซื้อของติดไว้บ้าง แล้วถ้าหิวจะทำยังไง ส่วนผมก็ทำหูทวนลมใส่

“นี่…แล้วเรื่องอาบน้ำด้วยกันล่ะ” เขาท้วง

โห ความจำดีในเรื่องไม่เป็นเรื่อง

“ถ้าจำข้อกฎหมายเก่งเท่าจำเรื่องแบบนี้มึงคงได้เกรดAแม่งทุกตัว”

“แหม ก็ข้อกฎหมายมันไม่น่าสนใจเท่าจะได้เอามึงนี่”

ไอ้บ้า…

สุดท้ายผมกับเคย์ก็ได้เข้าไปอาบน้ำด้วยกันสมใจเจ้าหมาที่ดีใจจนระริกระรี้สั่นหาง พวกเราเข้าไปยืนใต้ฝักบัวในห้องน้ำแคบๆ แล้วเปิดน้ำอุ่นๆ ให้ราดรดตัวตอนก้มลงจูบกันจนกลืนน้ำเข้าไปเสียหลายอึก

มือสากลูบไล้ตามตัวผม เคล้นคลึงเนื้อโดยเฉพาะส่วนสะโพกกับก้น พอๆ กับผมที่ใช้มือลูบไปตามกล้ามเนื้อแข็งตึงของเขา

“นวดให้” เสียงนุ่มแหบพร่าของอีกฝ่ายดังขึ้นพร้อมๆ กับมือที่นวดเฟ้นตรงคอและลาดไหล่จนผมครางด้วยความสบาย

ไม่ต้องหันลงไปมองก็รู้ว่าอะไรร้อนๆ แข็งๆ กำลังทิ่มขา เพราะของผมมันก็แข็งไม่ต่างกันหรอก

พวกเราไม่จับส่วนอ่อนไหว เอาแต่ใช้มือลูบตัวกันเหมือนอยากจำรูปร่างของอีกฝ่ายไว้ ในขณะที่เคย์ระบายอารมณ์ด้วยการถูส่วนแข็งขืนนั่นเข้ากับร่างกายของผม

เหมือนหมาเวลาต้องการผสมพันธุ์…

“นุ่ม” เขาหอบเบาๆ

“ส่วนมึงตัวแข็งอย่างกับหิน”

“อย่างอื่นแข็งด้วยป่ะ”

“แข็งดิ แต่กูทำให้มันนุ่มลงได้นะ” ผมยกยิ้มยั่วส่งไปให้

“ทำยังไงล่ะ” เขายิ้มรับ

ผมเขย่งขึ้นไปกระซิบข้างหูคนตัวสูง ซึ่งทันทีที่จบประโยคแล้วเขาก็หางสั่นพั่บๆ ด้วยความตื่นเต้น เคย์ปิดฝักบัว อุ้มผมออกไปเช็ดตัวกันแบบไม่กลัวลื่น ทั้งผมและเขาต่างก็ผลัดกันใช้ผ้าเช็ดไปตามตัวของอีกฝ่าย

“มาๆ ลองใส่กัน” เขาแทบจะรื้อเสื้อเปิดไหล่ที่พึ่งซื้อ

รูมเมทตัวดีเดินมาหาผมซึ่งถือกระโปรงรอไว้อยู่แล้ว ผมวางมันลงแล้วยกมือขึ้นซึ่งเพื่อนร่วมห้องก็ช่วยสวมเสื้อให้อย่างเก้ๆ กังๆ จนกระทั่งมันเข้าที่

“เสื้อผู้หญิงนี่ใส่ยากจริง” เขาบ่น ผมยักไหล่ให้ซึ่งนั่นเน้นไหปลาร้าเสียจนเคย์มองช่วงไหล่ผมด้วยดวงตาหื่นกระหาย

“แล้ว…กระโปรงล่ะ”

“ต้องลองดูอยู่แล้ว”

ผมจับไหล่เคย์ซึ่งคุกเข่าถือกระโปรงผม แล้วค่อยๆ ยกขาลงเพื่อสวมใส่มัน ชายหนุ่มดึงกระโปรงรูดขึ้นตามเรียวขาผมในขณะที่ผมยกปลายเท้าขึ้นล้อกับน้องชายซึ่งแข็งขืนของเขา

มันไม่อ่อนตัวลงเลยตอนที่เราเล่นเกมสวมชุดในตุ๊กตาอยู่ ซ้ำปลายหัวบานยังผลิตน้ำหล่อลื่นเสียมากขึ้นด้วยซ้ำ

เคย์กำลังตื่นเต้น

มากเสียด้วย

ผมขยับรอยยิ้มตอนที่เขาผุดลุกยืนตัวตรง สองมือของผมค่อยๆ จับปลายกระโปรงเลิกขึ้นนิดๆ แล้วเชิญชวนเขาด้วยสีหน้าขลาดอาย

“อย่าดุนะ พรุ่งนี้ต้องซ้อมละคร”

ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าหมาโง่ไม่เคยทำตามได้เสียที



K part

ผมมองคนตัวเล็กซึ่งนอนหลับไปทั้งๆ ที่สวมชุดเปิดไหล่สีฟ้าแสนสวยตัวนั้น มันเป็นชุดที่ทำให้ผมได้ฝากรอยตรงลาดไหล่ของเขา แต่มันอาจจะทำให้เขาคันเพราะยังไม่ได้ซักดังนั้นผมจึงทำการถอดให้แล้วเรียบร้อย

ช่วยไม่ได้ ผิวเขาบอบบางมากนี่

ผมเท้าคางมองจินที่กำลังนั่งหงายท้องเหมือนแมว ใบหน้าน่ารักยามหลับดูเหมือนคนไม่ระแวดระวังภัยจนน่าจับมาตี

แต่ไม่ได้ ทำไปเยอะมากแล้ว

เมื่อสักครู่มือผมแทบไม่ละไปจากลำคอระหงกับไหล่ของเขา เสื้อนั่นทำให้จินดูผอมและตัวเล็กกว่าเดิม เขาเริดหน้าเมื่อผมแตะต้องหลังคอเขาอย่างอ้อยอิ่ง และยิ่งเมื่อไล่มือไปตามไหล่บอบบางนั่น เขายิ่งห่อไหล่เข้ามาเหมือนเสียวซ่าน

นั่นทำให้ผม…

รู้สึกอยากจะใส่แรงเข้าไปอีก

น่ารักไปหมด

อยากทำให้พัง ทำให้เขาหมดแรง ไม่ต้องออกไปไหนนอกจากอยู่กับผมในห้อง

โอ๊ะ แต่มีช่วงหนึ่งตอนที่ผมกระแทกกระทั้นใส่ในตัวจิน ไอ้โทรศัพท์น่ารำคาญนั่นส่งเสียงเตือนว่ามีข้อความเข้า และแฟนผมก็ใจร้ายพอจะเบือนใบหน้าเล็กๆ ชุ่มน้ำตาไปหามัน

ทั้งๆ ที่ยังร้องครางไม่หยุด

ผมยังจำรูปคนที่กระซิบข้างหูจินได้ เพราะงั้นตอนที่มันดังขึ้น ผมจึงมองมันครู่หนึ่ง แล้วละมือจากตัวเขาเพื่อหยิบหมอนมาบังมันไว้

ไม้ทีงั้นเหรอ ชื่อมันงั้นสินะ

หลังจากกลบฝังไอ้โทรศัพท์น่ารำคาญนั่นได้ ผมก็ดึงขาเขาพาดเอว บังคับให้เขามองหน้าผมแล้วทำจนกว่าจินจะจำอะไรไม่ได้อีกนอกจากครางชื่อผมออกมา

ผมเอื้อมมือไปคว้านหาโทรศัพท์ใต้หมอนนั่น แน่นอนว่าผมจำรหัสผ่านเครื่องจินได้แม้เขาจะไม่เคยบอก แหม มันก็ต้องมีแอบมองรหัสผ่านกันบ้างแหละ

ผมเข้าไลน์ ข้อความจากไม้ทีอยู่ด้านบนสุด

ไม้ที : ที่พูดไปเมื่อบ่าย ยังรอคำตอบอยู่นะ

ผมยิ้มเย็น กดบล็อกมันทิ้งอย่างไม่ไยดี แล้วจึงเข้าเฟส กดค้นหาชื่อไอ้หมอนี่แล้วบล็อกเฟสบุ๊คมันไปด้วย แล้วก็สุดท้าย…

ผมกดเข้าไอจี ไถดูตามคนที่ฟอลจินอยู่จนในที่สุดก็เจอไอจีของไอ้ไม้ที ผมจัดการบล็อกมันออกจากสารบบชีวิตของจิน

ไอ้หน้าปลาจวดนี่เป็นใคร กล้าดียังไงมายุ่งกับคนของผม

ผมลุกขึ้นอย่างเบาที่สุดเพื่อไม่ให้กระเทือนถึงคนตัวเล็กซึ่งซุกตัวอยู่อย่างเป็นสุขในผ้าห่ม จัดการเปิดตู้เสื้อผ้าของจินแล้วหยิบเอาเสื้อบางส่วนออกมา ผมเอามันไปแช่น้ำจนชุ่มอย่างที่ไม่สนใจจะบิดมันแม้แต่น้อยแล้วเอาออกไปตากไว้ข้างนอก

กลับมามองตู้ของจินอีกที เหลือเพียงเสื้อยืดซึ่งคอกว้าง

หือ คุณคิดว่าผมแค่หยิบเสื้อเปิดไหล่แรนด้อมมาอะไรอย่างนี้เหรอ

ผมมุดกลับเข้าไปในผ้าห่มเดียวกับเขา จ้องมองร่องรอยจากการดูดดุนจนขึ้นสีแดงตามคอและไหล่

ยกมือขึ้นจับแขนซึ่งใช้มือเดียวก็กำได้โดยรอบ ผมกระชับอ้อมกอด ดึงเจ้าตัวน้อยเข้ามาให้ชิดกัน

ผมให้เวลาเขาศึกษาหัวใจตัวเอง แต่ไม่ได้บอกว่าจะเปิดโอกาสให้คนอื่นเข้ามาทำคะแนน

ถึงแม้ตอนนี้ผมจะมีอะไรบางอย่างที่ทำอยู่ มันก็เพื่อให้ทางของผมกับจินมั่นคงขึ้นในอนาคต เพราะงั้นช่วงที่ผมไม่ได้อยู่ดูแลเขาอย่างเดิม ผมต้องรีบทำลายคู่แข่งออกให้หมด

แน่นอน ผมอาจจะเป็นคนชั่วที่ปิดโอกาสจิน แต่แล้วไงล่ะ?

คนที่คู่ควรกับเขาที่สุดมีแค่ผม

และแน่นอนว่าเพื่อการนั้น ผมต้องทำ ‘เรื่องนั้น’ ให้สำเร็จให้ได้

ต้องเก็บเงียบเอาไว้ จินจะต้องไม่รู้เรื่องนี้ เพราะถ้ารู้คนตัวเล็กต้องโกรธมากแน่ๆ

ผมลูบหัวจินเบาๆ

ส่วนไอ้ไม้ที…

ถ้ายังไม่ยอมออกไปจากชีวิตจินดีๆ ล่ะก็ ผมจะทำให้เห็นว่าเจ้าโอตาคุคนนี้มันทำอะไรได้น่ากลัวกว่าที่มึงคิด



Jin part

วันนี้ผมก็ยังต้องออกมาซ้อมละครกับเพื่อนในโต๊ะเหมือนเดิม และเพราะวันนี้ค่อนข้างรีบร้อนเพราะตื่นสาย ผมเลยแทบไม่มีเวลากลบคอนซีลเลอร์กับจ้ำแดงซึ่งโผล่ตามร่มผ้า

บ้าเอ๊ย เหลือแต่เสื้อคอกว้างอีก

เสื้อที่ตากไว้ก็ไม่แห้ง

ทำไมวะ น้ำค้างเหรอ

แต่ลงท้ายคือผมทำทุกอย่างลวกๆ เตือนตัวเองในใจว่าถึงเวลาแล้วต้องเข้าห้องน้ำไปใช้คอนซีลเลอร์แต้มอีกรอบเผื่อมันลบหายไปเพราะเหงื่อ

ไม้ทีไม่ได้เข้ามายุ่มย่ามกับผมเหมือนเมื่อวานซึ่งทำให้ผมค่อนข้างพอใจ ผมไม่ได้ถามว่าทำไมเขาถึงทำสายตาหงอยๆ มองมาตาละห้อยตลอด

ยังไม่ได้ทำไรเลย จะบ้าเหรอ

ผมยกมือพัด เพราะเคย์ส่งข้อความมาว่าเรียนเสร็จแล้ว ผมถึงวานให้อีกฝ่ายซื้อชานมมาให้ผมทีเพราะผมชอบชานมแถวคณะเจ้าตัวมากกว่า ซึ่งตามเวลาหมอนั่นน่าจะมาถึงได้แล้วให้ตายสิ

“เฮ้ย” ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีอะไรเย็นๆ ทาบตรงหลังคอ เคย์ยืนส่งยิ้มแฉ่งให้ข้างหลังพร้อมกับชานมในมือ

“มาแล้ว”

“ชักช้า” ผมบ่น รับมันมาดื่ม เคย์ยกยิ้มน้อยๆ ซึ่งทำให้ใบหน้าคมดุของเจ้าตัวดูละมุนจนเพื่อนๆ ในโต๊ะผมเคลิ้ม

ผมเบ้ปากให้คนเสน่ห์แรงแล้วยกมือไล่

“ไปซะไป๊ ชิ้วๆ หมดประโยชน์แล้ว”

“โห เดี๋ยวก่อนสิวะจิน”

“นี่มึงกล้าไล่พ่อเทพบุตรกูไปเหรอ”

“ขอเวลาอาหารตากูหน่อย กูไม่ได้เห็นเขาทุกวันนะมึง”

ความใจกล้าของสาวบัญชีทำเอาเคย์ยิ้มเขินๆ ผมหันกลับไปแลบลิ้นใส่สาวๆ ผู้เหี่ยวแห้งเพราะผู้ชายในคณะมีไม่กี่เปอร์เซ็นต์

“หือ”

แต่แล้วเมื่อหันกลับมามอง เคย์กำลังส่งยิ้มละไมให้ไม้ทีในขณะที่อีกฝ่ายกำลังหน้าไม่สู้ดี

ผมหงุดหงิด

ส่งยิ้มให้ทำไมหนักหนาเล่า

“เจ้าหมอนั่นไม่ได้ชอบผู้ชายนะ” ผมเขย่งขึ้นกระซิบคำโกหกข้างหูเขา

“หือ” เจ้าหมาโง่หันมามองผมแล้วยิ้มขำ

“พูดจริงนะ!”

“คร้าบๆ งั้นกูไปก่อนนะ กลับหอดีกว่า”

“ชิ้วๆ” ผมยกมือไล่เขาอีกครั้ง เคย์ถึงเคลื่อนตัวใหญ่ๆ นั่นออกจากบริเวณคอมมอนผม

ไม้ทีเดินเข้ามาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ชายหนุ่มอ้าปากและหุบมันหลายรอบเหมือนอยากจะถามอะไรบางอย่าง

“มีอะไรหรือเปล่า” ผมเอ่ยถาม

“คือ…เออ คนนั้น” ไม้ทีพูดได้นิดหน่อยแล้วก็หุบปากฉับ ชี้นิ้วมาที่คอผม “อืม…คือแบบ”

ผมตะปบมือตรงคอตัวเองทันที ก่อนจะรีบเผ่นเข้าห้องน้ำ รู้ดีว่าคอนซีลเลอร์คงเลือนแล้วแน่นอน

เจ้าหมาบ้านั่น! แต่ก่อนก็ไม่เคยดูดจนเป็นจ้ำขนาดนี้!

สมกับเป็นหมา! หมาขี้เรื้อนเอ๊ย!



หลังจากเลิกซ้อมละครท่ามกลางอากาศร้อนๆ แล้ว ผมแบกสังขารอันเหนื่อยอ่อนออกจากคอมมอน ลาเพื่อนๆ ด้วยสีหน้าป่วยๆ กันทั้งกลุ่มแล้วขับรถกลับหอ แน่นอนว่าต้องวนรถไปส่งเพื่อนบางคนเสียก่อน ซึ่งยิ่งทำให้เสียพลังงานเข้าไปใหญ่

ไม้ทีไม่คุยอะไรกับผมอีกเลยทั้งวัน ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมโล่งอกมาก ผมอารมณ์ดีถึงขั้นส่งข้อความไปบอกเคย์ว่าจะกลับไปกินข้าวเย็นด้วย ซึ่งอีกฝ่ายก็กระดี๊กระด๊าส่งสติ๊กเกอร์ตอบรับใหญ่

ได้กินข้าวด้วยกันสองวันติด โชคดีชะมัด

แต่เหมือนว่าโชคจะไม่เข้าข้างผมเสียแล้ว เพราะอยู่ๆ หน้าจอของผมก็สว่างวาบพร้อมกับข้อความจากรูมเมทที่สมควรจะอยู่ที่หอตอนนี้

K : กินข้าวด้วยไม่ได้แล้ว มีงาน น่าจะค้างข้างนอกคืนนี้

ผมเบนสายตากลับมาขับรถอีกครั้ง อดยอมรับไม่ได้ว่าผิดหวังหน่อยๆ แต่มันก็เข้าใจได้ ทั้งผมทั้งเขาต่างก็ยุ่งกันทั้งคู่

ผมไม่ควรจะงี่เง่า

เพื่อพยายามเอาความคิดโง่ๆ ออกจากหัว ผมหันไปคุยกับเพื่อนที่ร่วมทางมาด้วย

“ต้องเลี้ยงชานมเราแล้วมั้ยอ่ะ ขับมาส่งขนาดนี้” ผมเบ้ปากใส่พลอยที่นั่งทาลิปอยู่ข้างๆ เพราะจะไปเดทต่อ

“ได้จ้า เลี้ยงก็ได้ ถ้าฉันได้ผู้อ่ะนะ” หล่อนปิดตลับแป้งแล้วเก็บเข้ากระเป๋า ก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วอุทานเสียงดัง

“จิน! นั่นเมทแกนี่” เสียงตื่นเต้นของเธอทำเอาผมทำหน้าเซ็ง ไม่ว่าใครๆ ก็มักจะตื่นเต้นเวลาเห็นหมอนั่นตลอดเลย แต่ไม่คิดว่าขนาดดาวคนสวยอย่างยัยนี่ก็บ้าผู้ชายหน้าตาดีตามเขาไปด้วย

“จ้าๆ ได้ยินแล้ว”

“ไม่ใช่! ไอ้บ้า จะถามว่าเมทแกมีแฟนแล้วเหรอ เขาขึ้นรถไปกับผู้หญิงเมื่อกี้น่ะ”

เอี๊ยด!!

เสียงล้อบดถนนมาพร้อมกับเสียงบีบแตรด่าจากรถคันข้างหลัง พลอยที่นั่งอยู่ดีๆ ถึงกับหัวแทบโขกคอนโซลเพราะการเบรกอันเสียหลักของผม

“ขับอะไรของแกเนี่ยอีจินนนน”

“…เมื่อกี้ว่าอะไรนะ”

“หา…อะไร อ้อ เรื่องที่เมทแกขึ้นรถไปกับผู้หญิงเหรอ เขาดูโตๆ กว่าว่ะ แต่เห็นไม่ชัดหรอก ทำไมเหรอ ช็อคที่เมทตัวเองมีแฟนหรือไง”

“รถยี่ห้ออะไร คันไหน?”

“นิสสัน…อะไรของแกเนี่ยจิน ทำไมแกหน้าซีดๆ วะ”

“ไม่…ไม่มีอะไร” ผมปฏิเสธ แตะคันเร่งอีกรอบแล้วออกรถไปตามถนนเลนแคบๆ ในมอ

ประโยคของพ่อดังขึ้นมาในหัว

ถ้ามีทางเลือกเขาก็ต้องเลือกคบกับผู้หญิงมากกว่าคนที่เล่นเป็นผู้หญิงอย่างแกอยู่แล้ว

ไม่สิ

ผมกำพวงมาลัยซึ่งเริ่มชื้นเหงื่อจากฝ่ามือของผม

เรารู้ดีว่าเคย์เป็นคนแบบไหน

ใช่แล้ว สงสัยเจ้าหมาโง่แบบนั้นมันเรื่องตลกชัดๆ

ไม่มีทางที่เขาจะนอกใจใครได้หรอก

-----------------100%
ไม่ใช่นักเขียนสายม่าเลยค่ะ เป็นนักเขียนสายหื่นกาม เอะอะลากเข้าฉาก5555555555555
มาแล้วปมสุดท้าย อีกไม่กี่ตอนแน้ว เจ้าหมาทำอะไรทำไมจินต้องโกรธตอนรู้อ่ะ มาเจอกันตอนหน้านะคะ อีกไม่กี่ตอนจะจบแล้วสู้ๆ แง /บอกตัวเอง

ถึงตอนนี้เริ่มอยากรู้ว่าคนอ่านคิดยังไงเรื่องภาษา พล็อตหรือตัวละคร มีอะไรควรปรับแก้มั้ยคะ แง วิจารณ์เป็นวิทยาทานเผื่อเราจะได้เอาไปใช้กับเรื่องต่อไป(ถ้ามีเรื่องต่อไปนะคะ ฮา)
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.12[19/04]
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 19-04-2019 09:19:30
เคย์ไปกับใคร
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.12[19/04]
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 19-04-2019 10:20:36
ม่าสุดท้าย ขอน้อยๆ นะคะ

เราว่าเคย์อาจจะเข้าไปคุยกับทางพ่อของจินหรือเปล่า

จินอย่าเพิ่งเข้าใจเคย์ผิดนะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.12[19/04]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 19-04-2019 11:23:11
ความลัยอะไรอี๊ก..กกกกกกกกก  :mew5:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.12[19/04]
เริ่มหัวข้อโดย: gemgems ที่ 20-04-2019 23:40:55
ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรกแล้วจ้า

จิน ใจเย็นลู๊กกกกกก :katai1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.12[19/04]
เริ่มหัวข้อโดย: TheWanFah ที่ 22-04-2019 16:41:22
เคย์เข้าไปคุยกับพ่อจินเหรอ
หรือเคย์ทำอะไรอยู่
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.12[19/04]
เริ่มหัวข้อโดย: Wwavez ที่ 23-04-2019 23:36:46
ใครอี้กกก ชีวิตไม่เคยสงบสุขเลยน้องแงๆ :serius2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.12[19/04]
เริ่มหัวข้อโดย: Wwavez ที่ 23-04-2019 23:44:08
หรือแม่เลี้ยงจินป่าว ต้องไปทำอะไรช่วยจินแน่เลยดูเค้าก็เอ็นดูจินอะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.12[19/04]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 01-05-2019 15:53:25
ไปกับใครอีกกกกกนังหมาาาาา  :katai1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.12[19/04]
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 07-05-2019 10:48:10
จินนนนนนน อย่าเพิ่งคิดมากเจ้าหมารักเธอมากนะเว้ยยยย :katai1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.12[19/04]
เริ่มหัวข้อโดย: ป่ามป๊ามป่ามปาม ที่ 15-05-2019 10:39:45
เคย์ไปไหน ไปกับใครรร ไปทำอะไรรร
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.12[19/04]
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 15-05-2019 22:59:29
แซ่บบบบ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.12[19/04]
เริ่มหัวข้อโดย: MeiHT ที่ 02-06-2019 01:27:24
บทที่ 15 : หัวใจเปลี่ยน

เมื่อกลับมาถึงห้อง ผมได้แต่นั่งกระสับกระส่ายไปมา มองเวลาในโทรศัพท์แทบจะทุก 10 นาที เมื่อคนที่กลับห้องเร็วไม่ยอมกลับมาเสียทีผมจึงเริ่มเดินไปมาเหมือนหนูติดจั่น

และแล้วเสียงไขประตูก็ดังขึ้นพร้อมๆ กับคนตัวใหญ่ที่ปรากฎตัวขึ้นที่หน้าประตู เขาทำท่าเซอร์ไพรซ์ใส่ผมแล้วชูชานมในมือขึ้น

“กินเสร็จแล้วเข้ายิมกัน”

ผมถอนหายใจอย่างไม่ทันรู้ตัว

“อือ”

ผมสลัดความคิดงี่เง่าในหัวทิ้ง เดินไปรับชานมธัญพืชของโปรดจากในมืออีกฝ่าย แล้วดูดฟืดอย่างชื่นใจ ปกติแล้วผมค่อนข้างควบคุมของหวาน แต่เพราะวันนี้ผมร้อนใจอยากส่งข้อความอะไรสักอย่างให้เขากลับมาเร็วๆ คิดอยู่นานจึงลงท้ายที่การฝากซื้อของกินมาเสียอย่างนั้น

เคย์เดินไปเปลี่ยนชุด เดี๋ยวนี้หมอนี่ถึงขนาดถอดเสื้อในห้องโดยไม่เขินอายแล้วด้วยซ้ำ

แล้วผมก็คงเป็นบ้าที่นั่งมองหุ่นแสนดูดีนั่นตลอด

โดยเฉพาะเวลาเขาถอดเสื้อรวดเดียวเผยให้เห็นแผ่นหลังตึงๆ กับกล้ามเนื้อที่ขยับตามการเคลื่อนไหวนั่น

โคตรดูดีเลยให้ตายเหอะ

และเหมือนเขาจะรู้สึกถึงสายตาร้อนๆ ของผม จึงหันหน้ากลับมายักคิ้วให้ทีนึง

ผมแทบจะสำลักน้ำชานมเพราะรู้สึกว่าท่าทางของเขามันตลกมากกว่าดูแบดอย่างที่เจ้าตัวอยากให้เป็น

“เดี๋ยวเก็บของไปยิมให้ กินเสร็จแล้วเปลี่ยนชุดด้วย”

“ครับบบบ” ผมตอบรับไปแบบไม่ใส่ใจนัก ใครๆ ก็รู้ว่าผมมักจะหมอบเป็นตายหลังจากวิ่งครบครึ่งชั่วโมง ในขณะที่ต้องนั่งแกร่วรอหมอนี่เล่นให้ครบจนถึงขั้นยกเวท

เจ้าหมาบ้าพลัง

“เออ วันนี้เพื่อนกูเห็นมึงขึ้นรถไปกับใครอ่ะ” ผมเอ่ยขึ้นมาเหมือนกล่าวเรื่องดินฟ้าอากาศ เหลือบไปมองหางตาก็เห็นเคย์สะดุ้งเบาๆ เขาอ่อมแอ่มตอบว่า

“ก็…อือ….เออ รุ่นพี่น่ะ”

“เหรอ” ผมตอบผ่านๆ ปล่อยให้เรื่องผ่านเลยไป

“เรารีบไปเล่นยิมกันดีกว่า” เคย์ที่เหมือนมีชนักติดหลังเล็กๆ รีบสะพายกระเป๋าขึ้นบ่าแล้วรุนหลังผมให้ไปเปลี่ยนชุด

ผมมองคนที่พยายามกลบเกลื่อนเรื่องเมื่อกี้อย่างสุดความสามารถด้วยสายตาสังเกต

ไม่รู้ทำไม แต่ผมรู้สึกไม่สบายใจเลยสักนิด



เคย์เป็นคนกลัวการถูกสายตาสังคมตัดสิน เด็กชายที่ยอมเปลี่ยนตัวเอง กดสิ่งที่ตัวเองชอบไว้ไม่ยอมพูดกับคนอื่น แล้วพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองตามคำพูดของคนอื่น

ถึงวันนี้เขาหนักแน่นพอที่จะต่อต้านสายตาจากสังคมหรือยังหากเราตัดสินใจคบกัน

แน่นอนว่าเราไม่จำเป็นต้องบอกกับใครถ้าเราคบกันจริงๆ มันก็แค่…เคย์เตรียมใจแค่ไหนกันหากถูกรู้ว่าเรากำลังดูใจกันอยู่

สังคมมหาลัย จะว่ากว้างก็กว้าง จะว่าแคบก็แคบ ถึงแม้จะไม่มีใครพูดต่อหน้า แต่เรื่องแบบนี้ มันกระจายไปทั่วคณะได้ไม่ยาก โดยเฉพาะเมื่อเขามีตำแหน่งเดือนคณะค้ำคออยู่

ผมมองคนที่เดินอยู่ข้างๆ มือนึงของเขาแกว่งไกวขณะเดินวิจารณ์ร้านข้าวที่เราเดินผ่านแต่ละร้าน ชายหนุ่มทำหน้าเหม็นเบื่อร้านที่เรากินบ่อยๆ แล้วพูดไปเรื่อยเปื่อยเรื่องร้านที่เราควรไปกินวันหยุด

อ่า…แต่หูผมไม่ได้ฟังสิ่งที่เขาพูดเลยแม้แต่น้อย ผมเอาแต่โฟกัสมือของเขาเท่านั้น

อยากจับมือชะมัด

ถ้าเกิดว่าเราได้จับมือเดินด้วยกันเหมือนคู่รักชายหญิงคู่อื่นๆ มันจะเป็นยังไงนะ

ผมขมวดคิ้วมุ่น เม้มปากแน่นตอนที่เอื้อมมือไปหาคนข้างหน้าแล้วจับหมับเข้าที่ข้อมือเขา

เคย์หันมามองหน้าผมเหวอๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มกรุ่มกริ่มเมื่อเห็นว่าผมกำลังหลุบตาหน้าแดงจนแทบไหม้

“อยากจับมือกูเหรอ”

“…ปะ…เปล่าสักหน่อย”

“ว้า ไม่เป็นไร งั้นกูอยากจับมือมึงแทนก็ได้” ไม่ว่าเปล่า เจ้าตัวยังแกะมือผมออกมากุมไว้เองเสียอีก มืออุ่นๆ กุมมือผมไว้เสียมิด

เจ้าหมาหน้าโง่ยิ้มร่าจนเหมือนคนบ้าจนผมอดหมั่นไส้ไม่ได้ ท่าทางอารมณ์ดีกระดิกหางเกินเหตุนั้นมันจริงๆ เลย

“เฮ้ย เคย์ มึงนี่หว่า”

ทว่าเสียงของกลุ่มคนที่ไม่รู้จักซึ่งดังอยู่ตรงข้ามถนนทำลายช่วงเวลานี้ไปจนหมด ผมเงยหน้าขึ้นมองคนที่น่าจะรู้จักเคย์กำลังโบกไม้โบกมือมาทางนี้ ซึ่งเขาก็ยิ้มตอบกลับไป

ผมสะบัดมือตัวเองที่อยู่ในอุ้งมือเขาเบาๆ แต่เคย์ไม่ยอมปล่อย

“ปล่อยสิ” ผมกระซิบ “อยากให้คนพวกนั้นเห็นหรือไง”

เคย์ไม่ตอบ เขาหันไปคุยกับคนพวกนั้นซึ่งเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ พอๆ กับผมที่เริ่มร้อนใจ

“ไงมึง ทำไรอยู่”

“กำลังไปกินข้าวกับเมท”

“แหม หายหน้าหายตา ไม่ค่อยมาสังสรรค์กันเลยนะ”

“อือ ช่วงนี้เริ่มอ่านหนังสือแล้วไง พวกมึงนั่นแหละไม่รีบเริ่มเดี๋ยวไม่ทันสัด ก็รู้อยู่ว่าช่วงท้ายๆ มันลนแค่ไหน”

“เออ รู้แล้ว น่าเบื่อชิบหาย”

เป็นโชคดีที่กลุ่มคนพวกนั้นไม่เห็นมือที่จับกันของพวกเรา อาจจะเพราะเป็นมุมที่ตัวของเคย์บังจนหมด จวบจนกระทั่งกลุ่มเพื่อนของเขาเดินไปแล้ว หน้าคมๆ โหดๆ ของเขาถึงได้ก้มลงมามอง

“ทำไมไม่อยากให้จับ กูจะงอนอีกรอบแล้วนะ”

ไม่รู้เมื่อไรที่คำว่างอนของเขามันช่างเข้ากับหน้าโหดๆ ซึ่งยู่ปากอะไรอย่างนี้ ท่าทางเขาตอนนี้เหมือนหมากำลังงอนเจ้าของแต่ก็เอาเท้าหน้าแปะตัวเจ้าของไว้เพราะกลัวเขาจะหนีไปหาหมาตัวใหม่

ตลก

“มึงเองเถอะ ไม่คิดมากหรือไง”

“คิดมาก? เรื่องอะไร”

“เรื่องที่จับมือกับผู้ชายไง”

มาถึงตรงนี้เหมือนเคย์พึ่งจะคิดได้ ตลอดมาเจ้าหมอนี่ไม่คิดเรื่องนี้เลยหรือไงนะ

ผมเผลอเจ็บปวดขึ้นมานิดหนึ่งเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าตลอดมาเขาคงมองข้ามเพศสภาพภายนอกของพวกเรามาตลอด และคงคิดเพียงว่าชอบผมอย่างซื่อตรงเท่านั้น

“ไม่เห็นเป็นไร จับมือกับแฟน”

“มะ…ไม่ใช่แฟน ยัง! ยังไม่ใช่สักหน่อย”

“งั้นที่ได้กันหลายรอบแล้วนี่ต้องเรียกว่าอะไร? ผัวเมีย?”

“มุขนี้เล่นซ้ำไปแล้ว พอเหอะ”

พอพูดแบบนี้เขาก็หัวเราะจนตาปิด จนผมอดยิ้มตามไม่ได้

“ไปกินข้าวกัน เอาร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำดีกว่า กูอยากกินอะไรเผ็ดๆ”

“เออ ตามใจ อยากกินอะไรก็กิน”

ผมพูดอย่างนั้นแล้วจ้องมองมือที่จับกันของพวกเราด้วยสายตาสับสน

จริงเหรอ จะไม่คิดมากจริงๆ เหรอ

ถึงจะมีใครต่อใครชี้มาที่พวกเราด้วยสายตาล้อเลียน มุ่งร้าย หรือเคลือบแคลงใคร่รู้ ก็จะไม่รู้สึกอะไรจริงๆ เหรอ

จะไม่คิดมากจนนอนกระสับกระส่าย ไม่คิดมากจนเผลอทำหน้าหมอง หรือเลิกเล่นโซเชียล

ผมไม่อยากให้การที่เราคบกันเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาทรมานมากขึ้นหรอกนะ

ผมแคร์เขา แค่เห็นหน้าหงูวๆ นั่นก็ใจเหี่ยวแล้ว คราวนี้ถ้าสาเหตุของความหงูวมาจากผมเอง ผมคงรู้สึกแย่มากๆ

แคร์เท่าไหน

ก็มากเท่าโลกใบแคบๆ ของผมเลยล่ะ



ผมยอมรับว่าหลังจากวันนั้น ตัวผมก็ลืมเรื่องของผู้หญิงซึ่งขึ้นรถกับเคย์ไปเสียสนิทชนิดที่ว่าไม่มีเหลืออยู่ในหัวแม้แต่น้อย

แถมตัวเองยังยุ่งกับโปรเจ็คเสียจนเหนื่อย หัวยุ่งตัวเป็นเกลียว เพราะมันมีใครบางคนในกลุ่มไม่ยอมทำงานเสียด้วย ทำให้ผมต้องมารับงานเพิ่มอีก

หงุดหงิด หงุดหงิด หงุดหงิด

โตแล้วรู้จักหัดรับผิดชอบงานจะได้มั้ย!!

จบแล้วจะไปทำงานอะไรได้ ขนาดงานกลุ่มตอนมหาลัยยังไม่ยอมทำ!!

ผมฟึดฟัดกับเพื่อนไม่หยุดจนถึงขั้นชวนพวกหล่อนออกไปหาอะไรกินกันต่อเพราะรูมเมทตัวดีของผมไม่ได้กลับห้องมาหลายวันแล้ว

และตามประสาผู้หญิง เรื่องโน้นเรื่องนี้ซึ่งเป็นเรื่องขี้เม้าท์ต่างๆ ก็จะถูกนำมาเล่าเหมือนไม่มีวันจบ

อย่าดูถูกแม่สาวบัญชีพวกนี้เชียว

“เนี่ย คือถ้าพูดไปจะหาว่ากูหมกมุ่นกับรูมเมทไอ้จิน แต่คือกูแบบชอบเขาจริงๆ อ่ามึง หน้าตาแม่งน่ามองสัดดด”

“ไม่ใช่มึงคนเดียวจ้าอีพลอย กูเห็นแล้วยังมองตามตาค้างอ่ะ หน้าตาดีไปไหนวะ”

“กูแบบอิจฉาเพื่อนกูวะ มึงได้เห็นbed hairของเขาใช่มั้ย ต้องได้เห็นหน้าตอนตื่นนอนเขาแน่ๆ เลย อีเหี้ยเอ๊ย ขอไปสิงห้องมึงวันหนึ่ง”

ผมส่ายหน้าให้ ยกยิ้มมุมปากแบบคนมาเหนือกว่า จนเพื่อนผมเบ้ปากใส่แทบรำกรีดหน้า

หน้าตอนตื่นนอนกับผมยุ่งๆ เหรอ

หึ เห็นทุกวัน

แต่จะไม่บอกหรอกว่ามันดีแค่ไหน

มีแค่ผมคนเดียวที่รู้

“แต่จบแล้วกู ไม่ได้แดก”

“ทำไมวะ”

ไม่ใช่แค่เพื่อนคนอื่นๆ ในกลุ่มที่หันมามองคนเปิดประเด็นด้วยดวงตากระหายข่าวอย่างนักล่า ผมเองก็ยังอดใจกระตุกนิดๆ ไม่ได้

ไม่ใช่ว่ารู้กันแล้วหรอกนะ

ผมใจเต้นรัวพอๆ กับเหงื่อที่เริ่มชื้นมือ

“รู้แล้วเหยียบไว้ ถึงคนแม่งจะรู้กันเยอะแล้วก็เหอะ แต่ได้ข่าวว่าทุกวันที่มีคลาสจะมีผู้หญิงแก่กว่ามารับเคย์ถึงคณะเลย รถอย่างหรู แล้วตอนมีคลาสก็ขับมาส่ง ไม่รู้ไปค้างคืนด้วยกันหรือเปล่า”

หะ…

ผมรู้สึกเหมือนหูอื้อไปชั่วขณะ

เหมือนโดนหมัดฮุคต่อยเข้าเต็มเปาจนมึนหัวไปหมด ผมไม่สามารถโฟกัสบทสนทนาหลังจากนั้นต่อได้ด้วยซ้ำ

“สรุปเดือนคณะเขาชอบผู้หญิงแก่กว่าเหรอวะ”

“บางวันกลับมานี่เสื้อผ้ายังเป็นชุดเดิมอยู่เลยอ่ะมึง”

“ไอ้จิน เรื่องจริงเหรอวะ มีอะไรไม่ฝอยกับเพื่อนบ้าง”

“จิน…จิน”

ผมเงยหน้ามองพวกมัน ดวงตาเลื่อนลอยพึ่งสามารถโฟกัสหน้าเพื่อนได้หลังจากโดนหมัดฮุค

“ได้ยินมาจากไหน”

“โอ๊ยมึง คณะนิติใครๆ ก็รู้ทั้งนั้น”

พลอยวางมือลงปรามเพื่อนคนอื่นเบาๆ หล่อนหรี่ตาก่อนจะพูดว่า

“…หรือว่านี่มึง” แต่สุดท้ายเสียงเธอก็ขาดไป เจ้าหล่อนตบหน้าผากดังเพี๊ยะก่อนจะฉุดมือผมให้ลุกขึ้นยืน

“งั้นเราไปพิสูจน์กันมึง กูกับจินขอตัวก่อนนะ”

พลอยลากตัวผมออกมาจากกลุ่มเพื่อน มือเล็กๆ ของดาวคณะกระชับมือผมเสียแน่น

“กูจะไม่ถามแล้วกันนะ ถึงจะเดาเรื่องได้หน่อยๆ แล้วก็เถอะ”

พลอยจับผมที่หัวหยุดทำงานไปเรียบร้อยแล้วใส่รถตรงที่นั่งข้างคนขับ แล้วจึงเดินอ้อมไปขึ้นนั่งหลังพวงมาลัย

“เราจะไปไหนกัน?” ผมถาม

“ไปดูให้เห็นกับตาเรื่องรูมเมทมึงไง ข่าวลือหรือเรื่องจริง” พลอยตอบแล้วเหยียบคันเร่งสู่คณะนิติทันที

พวกเราใช้เวลาไม่นานก่อนจะมาถึงคณะนิติ แน่นอนว่าเพราะจอดหน้าคณะไม่ได้เราจึงต้องหาที่จอดรถแล้วลงไปสังเกตการณ์ข้างล่าง ดีที่ว่าคอมมอนข้างใต้ตึกของคณะค่อนข้างใหญ่และมีนักศึกษาอยู่เยอะดังนั้นเราจึงไม่เป็นที่สังเกตอะไรมากมายนัก

ผมยืนรอกับพลอยจนเห็นกลุ่มคนคุ้นเคยกำลังหยอกล้อกันมา

น่าแปลกที่ท่ามกลางคนจำนวนมาก มันจะมีใครคนหนึ่งที่คุณมักจะมองเห็นก่อนเสมอ ราวกับเขาโดดเด่นออกมา

เคย์กำลังเตะขัดขาเพื่อน เล่นกันแรงๆ แบบที่ผู้ชายเขาจะเล่นกัน ก่อนที่เขาจะหยิบมือถือออกมาและหยุดนิ่ง พิมพ์อะไรบางอย่างยุกยิก

เพื่อนของเขาโถมตัวมากอดคอไว้ก่อนจะส่งเสียงแซว สลับกับกันต์ที่มองด้วยสายตาไม่สบายใจ

“คนนั้นมารับอีกเหรอ ฮิ้ว เพื่อนกูมันร้ายไม่เบาว่ะ”

“หุบปากไปไอ้สัด” เขาสะบัดมันทิ้งแล้วออกเดิน ผมรีบหันหน้าหลบและโชคดีที่เขาไม่ได้สังเกตอะไรเพราะมีคนโทรเข้าโทรศัพท์เขาพอดี

ชายหนุ่มยกโทรศัพท์ขึ้นพูด ผมได้แต่สงสัยว่าใครกันนะที่เป็นปลายสายนั่น แต่สงสัยได้ไม่นาน คำตอบก็ปรากฎเบื้องหน้าผม

เมื่อสาวสวยในคราบสาวออฟฟิศซึ่งแนบโทรศัพท์เข้ากับหูเดินมาในทิศทางตรงกันข้าม ก่อนที่จะเห็นหน้ากันในที่สุด

เคย์ถอนหายใจใส่หล่อนทีหนึ่ง ก่อนที่พวกเขาจะพากันเดินไปยังลานจอดรถท่ามกลางเสียงโห่แซวของเพื่อนๆ

ผมตัวชา มองเพียงแผ่นหลังกว้างที่เดินเคียงข้างสาวออฟฟิศคนสวยไปทางอื่น ผมพร่ำบอกตัวเองว่าเขาอาจจะเป็นพี่น้องกัน

แต่หน้าตาเขาไม่เหมือนกันเลยสักนิด ไม่แม้แต่จะใกล้เคียง จะเรียกว่าญาติยังไม่น่าใช่เลยด้วยซ้ำ

ผมรู้สึกเหมือนหัวใจในอกเต้นช้าลงจนแทบจะเงียบงัน

ตอนแม่รู้เรื่องพ่อ แม่รู้สึกอย่างนี้เหมือนกันเหรอ

ทำไมทันทรมานจังนะ

เรื่องราวต่อมาที่รู้คือพลอยพยายามประคองผมเดินออกไปจากคอมมอนแห่งนั้น

“เดี๋ยวก่อน”

แต่เสียงหนึ่งหยุดพวกเราไว้ ผมหันหน้ากลับไปก่อนจะพบว่าเป็นเพื่อนของเคย์นั่นเอง เขามีสีหน้าร้อนรนแฝงด้วยความทำตัวไม่ถูก

“จิน รูมเมทของเคย์ใช่มั้ย พวกเราไปคุยกันก่อนเถอะ”



ผมให้พลอยกลับไปก่อน ส่วนหนึ่งเพราะไม่อยากทำสีหน้าแย่ๆ หรือร้องไห้ต่อหน้าเพื่อนซึ่งยังคบกันไม่ถึงปี อีกส่วนเพราะสายตาลอกแลกของกันต์ที่เหมือนรู้อะไรบางอย่าง

พวกเรามานั่งอยู่ในคาเฟ่ที่อบอวลด้วยกลิ่นกาแฟ แต่นั่งอยู่นานแล้วกันต์ก็ยังไม่พูดเรื่องอะไรกันเสียทีจนผมเริ่มหมดความอดทน

แต่ครั้นจะพูดขอตัว เขาก็ชิงพูดเสียก่อน

“คือจินคบกับเคย์อยู่ใช่มั้ย”

ผมนิ่งงัน มือซึ่งจับแก้วกาแฟถึงกับเย็นเฉียบ ตาผมเบิกกว้างด้วยความแตกตื่น

ต้องการอะไรกันหมอนี่

คิดจะพูดอะไร

แน่นอนว่าต่อหน้าผู้ชายซึ่งมีความเป็นผู้ชายสูงขนาดนี้ ผมต้องคิดถึงเรื่องแย่ๆ ก่อนอยู่แล้ว

เขาจะเอาเรื่องนี้ไปพูดกับคนอื่นมั้ย แล้วถ้าคนอื่นในคณะรู้ เขาจะมองเคย์ยังไง

ผมไม่ได้มองโลกในแง่ดีพอจะเห็นว่าผู้ชายในชมรมบาสเกตบอลจะสามารถยอมรับเรื่องนี้ได้เสียทั้งหมด ถึงอย่างไรในสังคมก็ยังต้องมีพวกบ้าซึ่งเกลียดพวกรักร่วมเพศเข้าไส้อยู่ดี

“จะพูดอะไร ว่ามา” ผมหรี่ตามองด้วยการเตือน ซึ่งกันต์ก็โคลงศีรษะมองผมอย่างเอ็นดูเหมือนมองแมวซึ่งกำลังขู่ฟ่อ

ซึ่งมันทำให้ผมหงุดหงิดชะมัด

“ใจเย็นๆ ก่อน แค่จะมาคุยเรื่องวันนี้เฉยๆ ให้ตายสิ ขู่ฟ่อเหมือนลูกแมวเลย คิดว่ากูจะเอาเรื่องนี้ไปบอกกับคนอื่นหรือไง นี่ชอบเคย์ถึงขนาดนี้เลยเหรอ”

“…”

“คือ ที่เห็นวันนี้น่ะ อยากให้ใจเย็นๆ ก่อน กูก็ไม่ได้อยากจะเข้าไปยุ่งเรื่องในมุ้งเพื่อ--- หมายถึง ไม่ได้อยากเข้าไปยุ่งกับ…เอ่อ ช่างแม่งเหอะ พูดแล้วกูปุเลี่ยนในใจเองแม่งเอ๊ย เอาเป็นว่าเรื่องผู้หญิงที่ไปกับเคย์ มันเริ่มมาเกือบเดือนที่แล้ว อืม….กูไม่เชื่อว่ามันจะเป็นคนแบบที่จะนอกใจใครได้หรอก เพราะงั้น…”

ผมเข้าใจความลำบากใจของกันต์ที่ส่งผ่านทางสีหน้าออกมาได้อย่างชัดเจน

ไอ้หมานั่น มีเพื่อนดีนี่

ถึงจะชอบทำตัวขี้ระแวงกับเพื่อน สวมหน้าเหมือนกับเป็นหนุ่มฮอตธรรมดาๆ เพื่อให้เข้ากับกลุ่มเพื่อนได้

แต่ก็ดันมีเพื่อนคนหนึ่งที่ยอมทุ่มสุดตัวยุ่งเพื่อแก้ตัวให้

ผมเผลอยิ้มออกมานิดหนึ่ง บอกสิ่งที่ตรงข้ามกับใจ

“ไม่ต้องห่วง ทางนี้ก็ไม่ได้คิดมากหรอก”



โกหก

โคตรโกหกเลย

ผมมองใบหน้าตัวเองซึ่งแต่งเติมด้วยเครื่องสำอางค์จนเหมือนกับเด็กผู้หญิงน่ารักๆ คนหนึ่ง วิกผมยาวสีน้ำตาลซึ่งขับกล่อมให้หน้าละมุนขึ้นอีกทำให้ผมเหมือนหลุดออกมาจากนิตยสารสักเล่ม

หือ อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ผมลุกขึ้นมาทำอย่างนี้เหรอ

ย้อนเวลากลับไปเมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว

ตัวผมซึ่งเหนื่อยอ่อนจากการไปสอดแนมกลับมาที่ห้องอย่างที่เรียกได้ว่าจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ถึงในหัวจะร้องบอกว่าอย่างไรเจ้าหมาซื่อสัตย์นั่นไม่มีทางนอกใจใครได้หรอก

แต่คำพูดของพ่อมันตามมาหลอกหลอนผม

ถ้าตอนแรกเขาชอบผมเพียงเพราะรูปลักษณ์ตอนผมแต่งตัวเป็นผู้หญิง ถ้าอย่างนั้น เขาไปชอบผู้หญิงจริงๆ ไม่ดีกว่าเหรอ

แถมผู้หญิงยังมีดูมดูมอย่างที่เจ้าหมาชอบทำจมูกบานใส่

แต่…จะบ้าเหรอ

ไม่เชื่อหรอก

มันน่าจะมีคำอธิบาย สักอย่างสิ

ผมพร่ำบอกตัวเองอย่างนั้น

ตัดสินใจล่ะ…ผมจะขอเคย์เป็นแฟน

ไม่ใช่ว่าผมไม่กลัวความสัมพันธ์ซึ่งไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นยังไงหรอกนะ แต่เพราะผมกลัวจะสูญเสียเขาจนกระทั่งความกลัวเรื่องอื่นเป็นแค่เรื่องจิ๊บจ๊อยต่างหาก

เพราะอย่างนั้นผมถึงรู้สึกตื่นเต้นกับอีเว้นท์พิเศษที่จะมาถึง ถึงขั้นที่เตรียมแต่งตัวให้สวยที่สุดรออีกฝ่ายไว้

เอากระโปรงที่ชอบที่สุดออกมา แต่งหน้าแบบบางๆ ระเรื่อๆ แบบที่อีกฝ่ายชอบ แล้วก็ทรงผมน่ารักๆ ในสเป็คของเขา

หลังจากนั้นตอนที่หมอนั่นเข้ามา ผมจะถามเขาว่าเป็นยังไง แล้วเจ้าโรคจิตน่าสมเพชนั่นก็จะต้องตาลุกวาวเพราะเห็นผมในชุดนี้ หึ ผมแทบจะเห็นหน้าตื่นเต้นตาวาวของเขาลอยมาด้วยซ้ำ แล้วตอนคุยกัน สักตอนหนึ่ง…ผมจะขอเขาเป็นแฟน

อ่า พอจะจินตนาการออกเลย เจ้าหมาโง่นั่นต้องทำตัวไม่ถูกแน่ๆ แล้วก็จะต้องโวยวายว่าผมแย่งหน้าที่เขาไป

ผมนั่งกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง คว้าโทรศัพท์มาเช็คดู

ผมส่งข้อความไปให้เขา ขอให้คืนนี้กลับมาที่ห้องหน่อย และอีกฝ่ายตอบกลับมาว่าได้

ตอนนี้เวลา 2 ทุ่ม

ผมกำมือชื้นเหงื่อของตัวเองไว้ ผุดลุกผุดนั่งไปมองกระจก

อ๊ะ หน้าม้าเบี้ยวนิดหนึ่ง ปัดสักหน่อย อ่า..ตรงแล้วๆ

อืม ผมเติมลิปกลอสให้ปากดูนุ่มขึ้นอีกนิดหนึ่งดีมั้ยนะ

หลังจากทำทุกอย่างเสร็จแล้ว ผมก็กลับมานั่งที่เตียงอีกครั้ง ท่องบทไปมาในหัว แค่คิดว่าเขาจะทำหน้ายังไงตอนเห็นผมในชุดนี้หัวใจก็ฟูจนเผลอหัวเราะคิกคักออกมา

แต่แล้วเพราะความตื่นเต้นผมจึงลุกขึ้นมาเช็คในกระจกอีกรอบ

เอ๊ะ หรือกระโปรงตัวนี้จะไม่ค่อยเข้า เปลี่ยนหน่อยดีมั้ยนะ

อืม หรือจะเอาเสื้อกับกระโปรงตัวนี้แทน

หรือจะเดรสดีนะ

ผมเอาแต่ละตัวออกมาทาบ หมุนตัวเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาหน้ากระจก

ช่วยไม่ได้ ผมอยากดูสวยที่สุดในสายตาเคย์นี่

สวยจนไม่ว่าจะผู้หญิงคนไหนก็เทียบไม่ติดเลย

เวลา 3 ทุ่มแล้ว

ผมคิดว่าเขาอาจจะติดธุระนานหน่อย ผมเช็คมือถืออีกรอบ ข้อความที่เขาบอกว่าจะกลับมาเมื่อ3ชม.ที่แล้วยังคงอยู่

ผมไม่อยากส่งข้อความไปหาอีกรอบเพราะเกรงว่าเขาจะรำคาญ ยังไงหมอนั่นก็บอกแล้วนี่ว่าจะกลับมา!

ผมลุกไปที่กระจกครั้งที่เท่าไรไม่รู้เพื่อเช็คสภาพของตัวเอง

อ่า ตื่นเต้นชะมัด

เวลา 4 ทุ่ม

เข็มนาฬิกาบนห้องยังคงเดินไม่หยุด ผมได้แต่กำกระโปรงแน่นเพราะคิดว่าประตูห้องจะเปิดออกมาเมื่อไรก็ไม่รู้ และผมพร้อมจะขอเขาเป็นแฟนเป็นบ้า

เวลา 5 ทุ่ม

ผมเดินทั่วห้องเหมือนหนูติดจั่น สลับกับมองประตูห้องตัวเอง แม้ร่างกายจะเริ่มเหนื่อยล้าเพราะดีดมาหลายชั่วโมง แต่ผมกลับไม่สามารถนั่งพักได้เลย

กลับมาได้แล้ว

ผมอยากจะบอกเร็วๆ แล้วนะ

จะได้เห็นรอยยิ้มของคุณเร็วๆ ไง

เวลาเที่ยงคืนสิบห้านาที

ผมที่นั่งรออยู่บนเตียงอย่างกระวนกระวายได้ยินเสียงเปิดประตู ตัวผมเด้งขึ้นยืนอย่างอัตโนมัติ รู้สึกใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้นจนกลัวไปหมด

อ๊ะ…ลืมเช็คสภาพอีกรอบเลย ตอนนี้สวยมั้ยนะ

แย่แล้ว เราจะพูดอะไรเป็นประโยคแรกนะ ลืมไปแล้ว บ้าชะมัด

คนที่เดินเข้ามาคือชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผู้เป็นรูมเมทของผม เขาแบกเป้อันโตด้วยท่าทางเหนื่อยล้าผิดปกติ

“งะ..ไง กลับมาแล้วเหรอ วันนี้กูเป็นไง คือ…กูมีเรื่องจะคุยนิดหน่อย” ผมม้วนปอยผมแก้ประหม่าตอนพูด ซ้ำยังไม่ยอมสบตาเขาเลยทั้งๆ ที่อยากเห็นปฏิกิริยาคนตรงหน้าจะแย่ว่าจะหูตั้งหางชี้ขนาดไหน

จะตื่นเต้นมากเหมือนกันมั้ยนะ จะชอบหรือเปล่า

จะยิ้มเห็นเขี้ยวทำหน้าโง่ๆ แบบตอนที่ผมแต่งหญิงธรรมดาๆ หรือเปล่านะ

หรือจะตาวาวเพราะวันนี้ผมสวยกว่าปกติกัน

ในที่สุดผมก็ยอมหันมามองเขาจนได้ ก่อนหัวใจจะหล่นวูบเหมือนตกมาจากที่สูง

ในสายตาเคย์ไม่มีความตื่นเต้นยามผมแต่งตัวเป็นผู้หญิงอีกแล้ว

สายตาที่ส่งมาให้ผมมีแต่ความเหนื่อยล้าผสมกับความเรียบเฉย

“อือ น่ารักดีนี่”

แม้กระทั่งคำชมยังแห้งแล้งจนน่าใจหาย เหมือนกับเป็นคำชมผ่านๆ ตามมารยาทเท่านั้น

เขาวางเป้ลงบนพื้น เดินผ่านตัวผมพร้อมกับวางมือแปะๆ ที่หัวผมเบาๆ แล้วหายเข้าห้องน้ำไปอย่างรวดเร็ว

“มีเรื่องจะคุยเหรอ ไว้หลังจากกูอาบน้ำเสร็จแล้วได้มั้ย เหนื่อยชะมัด”

ผมไม่ได้ตอบรับอะไรด้วยซ้ำ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ตัวเองกำลังทำอะไรอยู่

จนกระทั่งเคย์เดินออกมาจากห้องน้ำเหมือนอาบน้ำผ่านๆ แล้วทิ้งตัวลงนอนพร้อมถามอีกรอบแม้ตาจะยังปิดอยู๋

“ตกลงมีเรื่องอะไรจะคุยเหรอ”

“….”

“จิน?”

“ไม่……ไม่มีแล้ว”

“อ้อ งั้นกูหลับก่อนนะ เดี๋ยวถ้ามึงหลับค่อยปิดไฟก็ได้”

หลังจากคำพูดนั้นเขาก็แทบจะหลับกลางอากาศ เคย์ม้วนตัวกับผ้าห่มจนแทบเป็นดักแด้แล้วทิ้งผมที่ยังยืนอยู่ตรงที่เดิมไม่เปลี่ยน

“….อือ”

จนกระทั่งเขาหลับสนิทแล้ว ผมจึงเดินไปปิดไฟให้จนห้องมืดสนิท ก่อนที่ตัวผมซึ่งชินกับตำแหน่งห้องแล้วจะเดินเข้าห้องน้ำแล้วปิดล็อคประตู

ใบหน้าน่ารักราวเด็กผู้หญิงของผมที่สะท้อนในกระจกห้องน้ำซีดขาวเหมือนไม่มีสีเลือด

อ่า น่ารักบ้าอะไรกัน สวยกว่าผู้หญิงอะไรกัน

ยังไงก็เป็นได้แค่ของปลอมไม่ใช่เหรอ

ผมดึงวิกที่สวมใส่ออก ผมสีน้ำตาลอ่อนสลวยค่อยๆ เลื่อนหลุดจนเผยผมสีดำสั้น

ของปลอม…

แล้วผิดตรงไหนกัน เป็นของปลอมแล้วยังไงกัน

น้ำตาผมไหลหลากเหมือนเขื่อนทำนบพัง ผมกัดฟันไม่ให้เสียงสะอื้นดังจนอาจเล็ดรอดออกไปปลุกคนข้างนอกให้ตื่น

เครื่องสำอางบนใบหน้าค่อยๆ หลุดเพราะหยาดน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุด ผมหยิบสำลีมาชุบคลีนซิ่งแล้วลบใบหน้าตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย

ทำไมกัน ทำไมกัน ทำไมกัน

ถ้าผมเกิดเป็นผู้หญิง ถ้าเป็นผู้หญิงน่ารักๆ

ทั้งชีวิตนี่ก็ไม่ต้องกลัวการเดินจับมือกับเคย์ ไม่ต้องกลัวว่าสักวันใครจะรู้เรื่องนี้ ไม่ต้องกลัวว่าสักวัน....

ใบหน้าน่ารักซึ่งหากมองดีๆ ก็จะรู้ว่าเป็นผู้ชายเมื่อปราศจากเครื่องสำอางค์ช่างน่ารังเกียจสิ้นดี เมื่อผมโตขึ้นสักวันอาจจะไม่หน้าตาน่ารักแบบนี้แล้วก็ได้

สักวันเมื่อแก่ตัวลง อาจจะไม่ดูดีเท่าแม่สาวออฟฟิศที่เดินอยู่ข้างเขาเย็นนี้

เพราะจริงๆ แล้วผมเป็นผู้ชาย ผมไม่ใช่ผู้หญิงที่ตัวนุ่มๆ มีร่างกายแบบที่ผมชอบ สามารถสวมใส่เสื้อผ้าอย่างที่ผมอยากใส่ ได้ใช้เครื่องสำอางค์ทุกวันอย่างที่ผมอยากใช้

ผมกัดริมฝีปากกลั้นเสียงสะอื้นซึ่งเริ่มดังขึ้นทุกทีจนเลือดซึม สุดท้ายก็ซวนเซจนทรุดลงนั่งบนพื้นกระเบื้องเย็นเฉียบในห้องน้ำ

เพราะอะไรกัน

ผมอยากจะฉีกทึ้งกระโปรงตัวนี้ซะ อยากจะอาละวาดเอาเสื้อผ้าทุกตัวโยนลงกองไฟให้หมด

แต่ทำไม่ได้

เพราะถึงเป็นผู้ชาย แต่ผมชอบกระโปรงน่ารักๆ เสื้อแขนตุ๊กตา ของดีไซน์สวยๆ เสื้อผ้าซึ่งไม่มีสำหรับผู้ชายและเครื่องสำอางค์พวกนั้นเป็นที่สุด

ผมกอดเข่าตัวเอง ซบหน้าลงร้องไห้อย่างสุดกลั้น

ผมสู้ผู้หญิงไม่ได้จริงๆ ตอนที่เคย์เดินไปกับผู้หญิงคนนั้น มีส่วนหนึ่งของผมร่ำไห้เพราะความเหมาะสมกันของพวกเขา

ถ้าเคย์มีครอบครัว มีลูกตัวน้อยๆ มีทุกสิ่งที่สังคมนี้ยอมรับ

ถ้าหากว่า…

ถ้าผมเป็นผู้หญิงล่ะก็ กับเคย์น่ะ…

จะขอเดินจับมือด้วยกันตอนไปเดินตลาดในมอ จะหยอกล้อเล่นกันเหมือนคู่รักปกติตอนอยู่ในมหาลัย จะหยอดคำหวานอย่างเปิดเผยเวลาทานข้าวด้วยกัน จะมีสิทธิ์ทำหน้าไม่พอใจหึงหวงเวลามีคนแสดงตัวเข้ามาจีบเขาอย่างโจ้งแจ้ง จะมีสิทธิ์ทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ จะรู้จักกับเพื่อนเขาในฐานะคนคุยจริงๆ

ไม่ใช่ทำตัวเป็นเพื่อน…เป็นรูมเมท

‘ถ้าเขาเลือกได้ เขาก็เลือกผู้หญิงจริงๆ มากกว่าคนที่เล่นเป็นผู้หญิงอย่างแก’


--------------------------------------
ขอโทษที่ทิ้งไปนานนะคะ กลับมาอัพแล้ว เดี๋ยวจะอัพอีกครั้งหลังกลับจากญี่ปุ่นนะคะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่15 UP! P.12[02/06]
เริ่มหัวข้อโดย: TheWanFah ที่ 02-06-2019 11:19:34
เคย์หายไปทำอะไรกับผู้หญิงคนนั้น
สงสารจินมากเลย
อยากให้จินถามเคย์ไปตรงๆเลย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่15 UP! P.12[02/06]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 02-06-2019 18:39:50
หัวใจสลาย..ยยยยยย    :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่15 UP! P.12[02/06]
เริ่มหัวข้อโดย: nofsnof ที่ 02-06-2019 18:56:38
ง่ะ จินที่คิดมากแบบนี้นะ ไม่ชอบเลยย

สงสาร :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่15 UP! P.12[02/06]
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 02-06-2019 23:27:36
ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร!?
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่15 UP! P.12[02/06]
เริ่มหัวข้อโดย: gemgems ที่ 03-06-2019 00:52:33
กอดจินนน ไม่คิดมากนะคะคนดี  :sad4:   :sad4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่15 UP! P.12[02/06]
เริ่มหัวข้อโดย: yunnutjae ที่ 03-06-2019 13:54:52
เนี่ยว่าแล้วววว ว่าต้องไม่ได้ขอเป็นแฟน
สงสารจินอะ แต่นี่ก็อยากรู้เหมือนกันว่าผญ.เป็นใคร จะแฮปปี้ที่สุดก็ตอนจบอะ 55555555555555555
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่15 UP! P.12[02/06]
เริ่มหัวข้อโดย: angelninae ที่ 04-06-2019 10:59:29
เพิ่งมาอ่าน สนุกมากๆเลยค่ะ ชอบที่ทังจินและเคย์ต่างก็มีปม ไว้ช่วยแก้ปมของแต่ละคนกันไปให้ได้นะ สู้ๆค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่15 UP! P.12[02/06]
เริ่มหัวข้อโดย: GDNEE ที่ 04-06-2019 16:28:00
เอ๋ เกิดะไรขึ้น  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่15 UP! P.12[02/06]
เริ่มหัวข้อโดย: มะยองมะแยง ที่ 07-06-2019 10:31:38
สงสารน้องงงงง  :o12:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่15 UP! P.12[02/06]
เริ่มหัวข้อโดย: Wwavez ที่ 08-06-2019 00:35:46
ใจชั้นแตกสลายแล้ววว ละไมนังหมาถึงเฉยๆกับลูกชั้นอะ!!  :o12:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่15 UP! P.12[02/06]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 11-06-2019 13:03:10
นังหมาแกกล้าพูดว่าก็ดีนี่กับลูกชั้น ชั้นจะฉาบแก !!!
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่15 UP! P.12[02/06]
เริ่มหัวข้อโดย: MeiHT ที่ 14-06-2019 22:22:52
บทที่ 16 : เด็ก

“ไม่สมเหตุสมผล…”

“…”

“คิดยังไงก็ไม่สมเหตุสมผล”

“ก็ไปพูดแบบนั้นกับเจ้าหมอนั่นซะสิ! มันน่าหนวกหูโว้ย!” มนุษย์อีกคนที่กำลังแชร์พื้นที่อยู่อาศัยกับผมปิดหนังสือดังฉับแล้วตะโกนลั่น

“หุบปาก!! แกนั่นแหละเสนอหน้ามาอยู่ในคาเฟ่ของฉัน แกก็ต้องฟัง!” แล้วตัวผมที่ตะโกนด้วยความสติแตกก็เสียงดังสู้เขาได้สำเร็จ

ร่างที่นอนทอดยาวตามโซฟาชื่อว่าเรน เป็นเพื่อน ถุ้ย เอาเป็นว่าเป็นคนร่วมโลกซึ่งแต่งคอสเพลย์สายแทร็ปมาด้วยกัน

เราเคยเจอกันในงานสังคมบ่อยๆ แถมยังเรียนโรงเรียนซึ่งได้ชื่อว่าเป็นโรงเรียนคู่แข่งกันอีก ทำให้เราไม่ค่อยถูกกันในหลายๆ แง่

แต่เจ้านี่มันก็ยังเอาตัวเข้ามายุ่งกับผมจนได้

เนื่องจากเมื่อวานผมสติแตกเกินกว่าจะอยู่ในห้อง จึงขนตัวเองออกมายังคาเฟ่ของพี่พลเรียบร้อย

อันที่จริงมันคือคาเฟ่ของผมนั่นแหละ แต่พี่พลดูแลอยู่

เพราะงั้นหลังจากนั้นผมก็โทรหาคนอย่างเรน หมอนี่ตะเกียกตะกายขึ้นมารับอย่างเหนื่อยอ่อนพร้อมด่าไปเป็นชุดแต่ก็ยอมขุดตัวเองออกจากเตียงตอนตี3เพื่อลากตัวมาอยู่กับผมด้วย

แน่นอนว่าพี่พลที่เห็นว่าคาเฟ่ไม่ได้ล็อคถึงขั้นยกไม้เบสบอลจะมาทุบโจร แต่ครั้นเห็นหน้าผมกับเรนที่นั่งหน้าสลอนในชั้นสองของคาเฟ่เขาก็ถึงกับถอนหายใจแล้ววางไม้ลง

‘เดี๋ยวพี่ไปทำอะไรมาให้ทาน มีเรื่องต้องคุยกันยาวเลยสินะครับ’

ร่างสูงใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยมัดกล้ามและร่องรอยโชกโชนจากอดีตขัดกับฝีมือการทำอาหารขั้นเทพของเขาเดินลงไปข้างล่าง เตรียมเปิดคาเฟ่ตามปกติและจะพยายามหาเวลามาอยู่กับผม

เดาว่าเขาคงตกใจสภาพหน้าผีๆ ของผมจนไปไม่เป็นแล้วแหงๆ

แน่ล่ะ ผมร้องไห้ไม่รู้เรื่อง ร้องจนเรนยังทำตัวไม่ถูก ร้องจนตาพร่าไปหมด ไม่รู้ขับรถมาถึงนี่ได้ยังไง ต้องขอบคุณรถยามค่ำคืนที่น้อยของโคตรน้อยจนขับง่ายเป็นบ้า

ผมไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้างมั้ย อย่างเคย์ไลน์มา หรือไม่ได้สนว่าผมออกไปจากห้อง เพราะผมลืมชาร์ตมือถือและลืมที่ชาร์ต ดังนั้นแบตจึงเดี้ยงเรียบร้อย

ไม่รู้ว่าเขาจะกระวนกระวายมั้ย หรือจะมีแค่ผมที่คิดมากไปคนเดียว

“โอ๊ยยยยยยยยย!!” ผมขยี้หัวตัวเองอย่างสุดกลั้น ส่งเสียงร้องจนเรนที่นั่งอยู่สะดุ้งอีกรอบ

ใต้ตาอีกฝ่ายดำจัดเพราะนอกจากจะต้องแหกขี้ตาตื่นมาเฝ้าผมที่สติแตกตอนกลางคืนแล้วยังไม่ได้นอนเลยนับจากนั้น

“โว้ยย พี่มิ้นต์อยู่ไหนฟะ จะมาได้หรือยัง” เขากดโทรศัพท์ส่งไลน์ยิกๆ หาหญิงสาวอีกครั้ง แต่สาวออฟฟิศไม่มีทางออกจากที่ทำงานได้ถ้ายังไม่ถึง4โมงครึ่ง รู้ไว้ซะด้วย

สุดท้ายเรนซึ่งเริ่มรับผมไม่ไหวก็วิ่งลงไปข้างล่าง ได้ยินเสียงตะโกนมาจากอีกฝ่ายว่า พี่พลลล มาช่วยผมรับมือไอ้เวรสติแตกนี่ที

กว่าพี่มิ้นต์จะเข้ามาก็ช่วงบ่าย เรนง่วงจนทนไม่ไหวหลับไปรอบหนึ่งแล้ว ตัดภาพมาที่ผมซึ่งใต้ตาดำโคตรแต่พอจะหลับตานอนเรื่องงี่เง่าก็เข้ามาในหัวจนจะร้องไห้

“อ่า…นี่มันเรื่องอะไรคะเนี่ย” พี่มิ้นต์ในคราบสาวออฟฟิศซึ่งต่างจากลุคปกติยิ้มแหย่เมื่อเห็นสภาพของคนในห้อง พี่พลซึ่งปกติจะตวัดสายตานิ่งๆ ทำตัวนิ่งๆ เหมือนไม่รู้คิดอะไรอยู่ยังมองไปที่พี่มิ้นต์เหมือนมีคนมาโปรด

ฮึ่ย ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ช่วยผมไม่ได้ทั้งนั้น!

ผมบ่นให้พี่พลฟังไปตั้งนาน แต่สิ่งที่พี่เขาตอบกลับมามีแค่ประโยคปลอบง่ายๆ ทว่าจริงใจกับเหงื่อที่ตกลงจากหน้าผากเป็นสัญญาณว่าเขาจนปัญญาแค่ไหน

โอเค ผมโกรธใครไม่ลงหรอกนะ ในเมื่อทุกคนวิ่งวุ่นหัวปั่นแถมยอมทิ้งงานเพื่อมานั่งโง่ๆ เป็นเพื่อนผมอย่างนี้

สาวสวยสองคนซึ่งเป็นขาประจำของคาเฟ่กลางเมืองแห่งนี้เดินเข้ามานั่งประจำที่ที่โซฟาตัวนุ่ม คนหนึ่งคือพี่มิ้นต์ที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว ส่วนอีกคนที่ตามเข้ามาคือพี่แคลร์ซึ่งนานๆ จะเข้ามาในคาเฟ่ที

“เกิดอะไรขึ้นคะ โดนหักอก?”

“ยังครับ แล้วก็อย่าพูดด้วยสีหน้าไม่ยี่หระเหมือนจะแช่งกันได้มั้ยครับ” ผมพูดอย่างอ่อนใจพลางนวดขมับ เรนซึ่งขดตัวอยู่บนโซฟาขยับตัวเอาหัวบดเบียดหมอนเหมือนมันรบกวนการนอนอันแสนหวานของเขา

“นอนกันเหมือนศพเลยนะคะ”

“พี่แคลร์ภาษาไทยไม่แข็งรบกวนพูดภาษาอังกฤษด้วยครับ คนที่นอนเป็นศพอยู่ทางนั้นสะดุ้งจนโลงสั่นแล้ว”

ผมเผลอตบมุขให้สองสาวอย่างเป็นธรรมชาติจนตัวเองต้องมานั่งปวดขมับเอง

ใช่เวลายิงมุขมั้ยครับ!?

ทางนี้ไม่ได้นอนมาเป็นวันแล้วโว้ย!

พวกหล่อนหัวเราะคิกคักเหมือนไม่มีเรื่องลำบากใจซึ่งทำเอาผมตวัดตาไปมองอย่างดุร้าย ส่วนพี่พลซึ่งนั่งอยู่ตรงที่วางมือของโซฟายังคงมองผมอย่างไม่รู้จะรับมือยังไง นับว่าคงคอนเซ็ปสุดๆ

“ไหนเล่ามาสิคะ”

ในที่สุด…

ผมจะเปิดปากเล่า แต่ครั้นจะพูดกลับไม่มีประโยคไหนหลุดออกจากปาก เหมือนกับว่าผมไม่รู้จะเล่าเรื่องอะไรก่อนดี กระทั่งลำดับเรื่องยังไม่ถูก

เริ่มที่เรื่องของพ่อก่อน…หรือเรื่องของเคย์ก่อน เรื่องไหนมันทำให้เกิดอะไรกันนะ

อ้อ ใช่แล้ว เพราะเรื่องที่พ่อพูด ทำให้ผมเกิดความสั่นคลอนในตัวเคย์จนถึงขนาดนี้เลยเหรอ จนถึงขั้นที่เห็นพวกเขาเดินไปด้วยกันผมก็ทนไม่ไหวแล้ว ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ตอนได้ยินว่ามีผู้หญิงมาหอมแก้มเขา ผมยังส่ายศีรษะขำๆ ได้ด้วยซ้ำ

ผมเล่าเรื่องราวที่ไม่ค่อยปะติดปะต่อนั่นให้พวกเขาฟัง ถึงตรงนี้ขนาดเรนที่นอนอยู่ยังขุดหน้าง่วงๆ ของตัวเองขึ้นมาฟังด้วย ผมเล่าบางเรื่องเสริมลงไปเหมือนกับค่อยๆ เอากระดาษไปแปะในช่องว่างเพื่อถมให้มันเต็ม

“แต่มันก็น่าสงสัยเรื่องของแฟนน้องอยู่นะคะ เพราะอะไรเขาถึงเดินไปกับสาวออฟฟิศ? แน่ใจนะคะว่าไม่ใช่ครอบครัว”

ผมส่ายหน้า

“ไม่ใช่หรอก”

หน้าตาไม่มีแม้สักเสี้ยวที่เหมือนกัน มองยังไงก็ไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดแน่นอน

“มันเป็นเพราะพ่อมึงป่ะ” เรนออกความเห็น “ก็เรารู้กันดีอยู่แล้วว่าเขาทำอะไรได้บ้าง ยิ่งเขารู้ว่าเคย์เป็นแฟนมึงอีก”

“แต่เขาเดินไปเหมือนเขารู้จักกันนะ แล้วมันจะเกี่ยวกับพ่อกูได้ยังไง”

“นั่นเป็นเรื่องที่เราต้องสืบเองไง” เรนสรุปในที่สุด เด็กหนุ่มหน้าสวยลุกขึ้นคว้ากุญแจรถ

“เดี๋ยว…นั่นมึงจะไปไหน”

เรนแสยะยิ้มซึ่งทำให้หน้าดูบิดเบี้ยวจนน่ากลัว

“พามึงไปพิสูจน์ไง”



“โอเค กูชักงงแล้วว่าเราจะมาพิสูจน์อะไรกันที่นี่” ผมมองเรนซึ่งพาพวกเรามานั่งในร้านกาแฟข้างล่างตึกใหญ่ใจกลางเมืองซึ่งห่างจากคาเฟ่ไม่กี่สถานีและบริษัทพ่อผมเช่าไว้หลายชั้นเพื่อเป็นอาคารสำนักงาน

“มึงบอกว่าเขามักจะกลับมาหลังเที่ยงคืนใช่มั้ย ก็เลยเข้าหอไม่ได้แล้วไปนอนกับเพื่อน” ผู้ชายซึ่งเคยแปลงโฉมเป็นสาวสวยในชุดกระโปรงผ่ายาวโชว์สัดส่วน บัดนี้ไม่ต่างอะไรจากเด็กหนุ่มหน้าสวยธรรมดาๆ ถาม

“…ใช่” ผมนิ่วหน้าเมื่อคิดถึงช่วงเวลาที่เขาส่งข้อความมาแก้ตัวว่าต้องทำงานจนเลยเวลาจึงไม่ได้กลับหอ และเพราะหอในมีกฎเข้มงวด เขาเลยต้องนอนข้างนอกไปโดยปริยาย

“โอเค…ตอนนี้เวลาหกโมง เรามานั่งรอกันเถอะ” เรนหมุนข้อมือดูนาฬิกาแล้วสรุปเอาเอง จากนั้นก็นั่งเอนหลังมองพนักงานออฟฟิศซึ่งเดินขวักไขว่ไปมา

“รออะไร? จะมาเจอพ่อกูหรือไง”

“เปล่า มาเจอแฟนแกต่างหาก จับตาดูไว้ดีๆ กูจำหน้าเขาไม่ค่อยได้เหมือนกัน”

เครื่องหมายคำถามปรากฎเด่นชัดบนหน้าผม แต่ผมไม่ว่าอะไรเพราะเหนื่อยเกินกว่าจะมาคิดตามคนมากเล่ห์

ผมเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ กาแฟบนโต๊ะถูกดื่มจนหมด ฤทธิ์ของคาเฟอีนวิ่งพล่านไปทั่วร่างจนตาเบิกค้าง ผมมองเหล่ามนุษย์เงินเดือนที่เดินออกมาจากที่กั้นเหมือนกับสัตว์ถูกปล่อยออกมาจากคอกแล้วได้แต่ถอนใจ

แล้วนี่ผมจะต้องนั่งรอไปอีกกี่ชั่วโมงกัน

เจ้าบ้าที่นั่งจิบชาอยู่ข้างหน้าผมก็ไม่ได้มีทีท่าจะตอบอะไรเลย

ผมนั่งรอให้เวลาไหลผ่านไป จนกระทั่งท้องฟ้าเริ่มมืดและกลายเป็นสีดำ ผมที่ใกล้สัปหงกเต็มทีก็ถูกสะกิดให้ตื่น

“ลุกๆ ๆ นั่นแฟนมึงใช่มั้ย”

ไอ้บ้าเรนใช้เท้าเขี่ยผมอย่างตื่นเต้น ผมแบกหนังหน้าเหนื่อยอ่อนที่ใต้ตาดำไปถึงเท้าหันไปมองตามทิศทางที่มันชี้ไป ก่อนจะเห็นคนที่ควรจะอยู่ที่มหาลัยแถบรังสิต

เคย์แบกกระเป๋าเป้ใบใหญ่เดินออกมาจากลิฟต์ เขาเดินคู่มากับสาวออฟฟิศคนเดิมที่ผมเจอเมื่อวาน

ชายหนุ่มหน้าตาเหนื่อยอ่อน เขาหยุดคุยกับผู้หญิงคนนั้นสักพักก่อนที่จะยกมือไหว้แล้วก้มหัวปะหลกๆ ไปด้วย เธอท่าทางกระฟัดกระเฟียดเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยกมือบอกเป็นสัญญาณว่าไม่เป็นอะไร จากนั้นร่างระหงก็เดินเชิดผ่านไป

ผมกัดฟัน เมื่อเรื่องราวในหัวเริ่มปะติดปะต่อ ความโกรธพุ่งขึ้นจนเหมือนกับถูกต้มจนเดือด

ไม่ ผมไม่ได้โกรธเคย์ แต่ผมโกรธคนคนหนึ่งที่ไม่ว่าเมื่อไรก็จะพยายามทำลายสิ่งที่ผมรักในชีวิตไปให้ได้

คนเดียวกับที่คงกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หนังตัวหรูบนตึกชั้นสูงนั่น







เคย์ part

มันเป็นวันธรรมดาๆ ที่ร้อนเหี้ยๆ ตอนที่รถเบนซ์คันหรูสีดำจอดเทียบอยู่ข้างๆ ผมที่กำลังเดินอยู่ในมหาลัย

“ขึ้นมาสิ” ชายสูงวัยดูภูมิฐานลดกระจกรถลงแล้วชักชวนผม

ใครวะ โรคจิต?

ผมส่ายหน้ายิ้มแหย ตั้งหน้าตั้งตาเดินโดยพยายามไม่สนรถที่วิ่งช้าๆ อยู่ข้างๆ ไม่ห่าง

“ฉันเป็นพ่อของจิน คนที่เป็นแฟนแก”

นั่นทำเอาผมหันขวับไปมองอย่างตกใจ ไม่รู้ว่าเขาเป็นพ่อของจินจริงหรือเปล่าเพราะหน้าตาไม่ใกล้เคียงกันเลยแม้แต่น้อย แต่สิ่งที่เขาพูดออกมา

ไม่มีใครสักคนหรือแม้แต่เพื่อนที่รู้ว่าผมเป็นแฟนกับจิน

“เอ้า จะเข้ามามั้ย”

ใบหน้าเหี่ยวย่นของชายคนนั้นยิ้ม แต่ผมกลับรู้สึกไม่สบายใจสักนิดตอนก้าวเท้าเข้าไปข้างในรถยนตร์คันหรู

เมื่อผมปิดประตูเข้ามาแล้ว กระจกรถก็ค่อยๆ เลื่อนขึ้นพร้อมกับรถยนต์ที่ออกตัวอย่างนิ่มนวล ผมเหลือบมองเสี้ยวหน้าของชายสูงวัยซึ่งไม่มีทีท่าจะหันมามองคนร่วมรถอย่างผม เขาไม่มีอะไรที่ทำให้ผมนึกถึงจินเลย ขนาดที่ว่าถ้าเอาเขากับจินมายืนข้างกันก็คงไม่คิดว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน

ฟุ่บ

เขาโยนรูปภาพปึกใหญ่ที่ถือมาซักพักลงบนตักผม ผมหยิบมันขึ้นก่อนจะพบว่ามันล้วนเป็นรูปของผมกับจินที่มีท่าทีสนิทสนมเกินเหตุยามออกมากินข้าวข้างนอกด้วยกัน

“เออ นี่…” แม่งเอ๊ย โรคจิตป่ะวะ นี่มันรูปแอบถ่ายชัดๆ

ให้ตายเหอะ พ่อคนไหนมันจะโรคจิตถึงขนาดตามถ่ายรูปลูกวะ

“เด็กคนนั้นมีเรื่องให้คอยเป็นห่วงอยู่เรื่อย” เขาส่ายหน้ายิ้มๆ แบบที่ทำให้ผมคิดถึงตาแก่ที่บ้าน

“…”

“ลุงน่ะ ไม่อยากให้ลูกชายต้องมาสับสน ลุงอยากให้ลูกชายตัวเองเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง เข้าใจลุงหรือเปล่า”

นี่มันสถานการณ์อะไรวะ

สมองที่ดูละครหลังข่าวกับแม่มาอย่างหนักหน่วงอย่างผมถึงขั้นคิดไปว่าวินาทีถัดไปเขาคงหยิบเอาแบงค์เทาปึกใหญ่มาตบหน้าผมเป็นการตอบแทนในการออกไปจากชีวิตลูกเขา

“ไม่ครับ”

“หือ…” ชายสูงวัยเลิกคิ้วประหลาดใจ

“ผมไม่เลิกกับจิน ขอโทษด้วยนะครับ”

“เข้าประเด็นเลยสินะ” สายตาคมกริบตามวัยวุฒิทำเอาผมถึงกับเย็นไปตามไขสันหลัง

“…”

“ลุงไม่อยากทำตัวเป็นคนที่แยกคนรักออกจากกันหรอกนะ แต่ลุงก็ฝากเด็กคนนั้นให้กับเธอที่บ้านฐานะกลางๆ ไม่มีอะไรไม่ได้หรอกนะ จริงมั้ย พ่อเธอก็เป็นพนักงานเงินเดือนธรรมดาๆ ที่บริษัทปูน ส่วนแม่เธอก็เป็นนักบัญชีในสี่บริษัทบัญชีใหญ่ ยังไม่นับว่าเข้าตาหรอกนะ”

ผมกุมมือชื้นเหงื่อของตัวเองไว้ ความกังวลต่างๆ เข้าคืบคลานเมื่อรู้ว่าคนตรงหน้ารู้เรื่องของครอบครัวผมลึกมากทีเดียว

“ไม่ต้องห่วง ลุงไม่ได้จะทำอะไรหรอก ที่นี่ไม่ใช่โลกยุคมาเฟียครองเมือง”

เขาหัวเราะ แต่มันไม่ทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาเลยสักนิด

“เอาเป็นว่า เราเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับระหว่างเรา ถ้าจินรู้ ลุงมีวิธีหลายวิธีทีเดียว…ส่งตารางเรียนให้กับผู้ช่วยลุง เขาจะมารับหลังเลิกเรียน โอเคมั้ย?”

“ผม…ต้องทำอะไรครับ”

ชายสูงวัยยิ้ม

“เรื่องง่ายๆ ทั้งนั้น กลัวอะไรหรือเจ้าหนุ่ม”



เรื่องง่ายๆ …

“ขอโทษครับ ขอโทษจริงๆ ครับ” ผมกำลังก้มหัวขอโทษกับสาวออฟฟิศตัวสูงซึ่งทำหน้าตาน่ากลัวเบื้องหลังคอมพิวเตอร์

“น้องไปรับนัดนั่นมาได้ยังไงคะ ไม่ถามกับพี่ก่อน ตารางมันยังใม่อัพเดทค่ะ ไม่เห็นเหรอคะว่าพี่อัพเดทมันล่าสุดตอนเมื่อวาน ที่รับมาวันนี้พี่ยังไม่ได้ใส่เข้าไปค่ะ แล้วอย่างนี้พี่จะทำยังไงคะ”

“…ขอโทษจริงๆ ครับ พี่บอกว่าเช็คตารางตามในคอมได้เลย”

“งั้นแสดงว่าพี่เป็นคนผิดหรือยังไงคะ ถึงพี่ไม่อยู่สิ่งที่น้องควรทำคือไม่ต้องรับปาก จดชื่อ บริษัทและคนติดต่อมาแล้วเขียนรายละเอียดไว้ในเมโมแล้วค่อยมาถามพี่”

“ครับ ขอโทษจริงๆ ครับ ครั้งหน้าผมจะระวังมากกว่านี้”

“เฮ้อ เพราะอย่างนี้พี่ถึงไม่ได้อยากจะรับเด็กมานั่งสอนงาน อย่างนี้พี่คงต้องโทรไปขอโทษทางนั้นแล้วนัดใหม่ ไปซื้อกาแฟให้หน่อยได้มั้ยคะ ไมเกรนจะขึ้น”

ถ้อยคำประชดประชันทำเอาผมหลุบตามองบัตรสตาบัคซึ่งถูกยื่นมาให้

“สั่งส่งไปในไลน์แล้วนะคะ”

“ครับ…” ผมรับมันมาด้วยท่าทีนอบน้อมยิ่งกว่าขันทีเจอจักรพรรดิ ถ้อยคำขอโทษที่กล่าวออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้ผมรู้สึกตัวเล็กยิ่งกว่าเดิม

ผมเดินตรงไปที่ลิฟต์ ก่อนจะพบกับกลุ่มพนักงานออฟฟิศที่ค่อนข้างคุ้นหน้าคุ้นตาหลังจากผมมาอยู่ที่นี่ได้สามอาทิตย์แล้ว

“อ้าว เคย์ จะลงไปไหนเหรอ”

“ลงไปซื้อกาแฟให้พี่หยีครับ”

“โดนดุ?”

ผมยิ้มแหยๆ ซึ่งเขาก็พยักหน้าเข้าใจ

“โหดล่ะสิ” พูดกับผมเสร็จก็หันไปคุยต่อกับเพื่อนพนักงานข้างๆ “ที่เล่าว่าคุณยงดุใส่เด็กเพราะไปอัดเสียงคือคนนี้แหละ เหมือนไม่รู้ยังไงประธานให้เข้ามานั่งจดการประชุม แล้วคือเด็กมันอัดเสียงแล้วลืมขออนุญาตก่อนไง พอคุณยงรู้นี่ขึ้นเสียงใหญ่เลย”

ผมทำตัวลีบติดผนังลิฟต์เมื่อโดนขุดเอาเรื่องเมื่อวานขึ้นมา

“…ขอโทษนะครับ”

“เฮ้ย ขอโทษทำไมน่ะเรา เรื่องบางเรื่องมันต้องเรียนรู้กันไป สมัยมหาลัยพี่ก็อัดเสียงอาจารย์จนชินเหมือนกัน นี่ตั้งแต่เรามาทำงานพี่ได้ยินแต่คำว่าขอโทษนะ ตัวก็ใหญ่ ใจเล็กเท่ามด”

ขอโทษนะครับที่ใจเล็กเท่ามด

“แล้วอายุเท่าไรล่ะเรา มาฝึกงานช่วงนี้ไม่ยุ่งกับมหาลัยเหรอ จะจบแล้ว?”

“ไม่ครับ…ผมพึ่งปีหนึ่ง”

“หะ นี่พี่ดูก็นึกว่า…”

ขอโทษนะครับที่หน้าแก่

ผมลากร่างกายที่ห่อเหี่ยวตามหัวใจไปซื้อกาแฟแล้วกลับขึ้นไปข้างบน นับตั้งแต่ที่พ่อของจินมาหาผมเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว เขาได้ให้ผมมานั่งทำงานในบริษัทเขาโดยอ้างว่าเป็นการพิสูจน์ตัวเอง

ซึ่งผมคงสอบตกเพราะนับตั้งแต่เดินเข้ามาที่นี่ไม่มีวันไหนที่ผมไม่ต้องก้มหัวขอโทษกับทำอะไรบางอย่างผิดพลาด

มันเหมือนกับโดนโยนไปมาเหมือนกับลูกบอล เพียงผมนั่งรถออกมาจากมหาลัยมาถึงที่นี่ก็เหมือนกับเป็นคนละเรื่อง มันเปลี่ยนแปลงรวดเร็วเสียผมตั้งตัวไม่ทัน

ทุกวันนี้ผมต้องโกหกจินว่ามีงาน อ้างว่านอนหอเพื่อนบ่อยๆ แต่ความจริงแล้วคือกำลังนั่งรถกลับมาจากตัวเมืองไปยังรังสิต ทำอย่างนี้ทุกวันจนกระทั่งผมซึ่งเป็นนักกีฬาแข็งแรงยังรู้สึกเหนื่อยอ่อน

ผมพิงผนังลิฟต์ หลับตาลงสักครู่แต่ความรู้สึกหมุนคว้างในหัวยังไม่หายไปไหน ทุกวันนี้ได้นอนอย่างมากเพียงสามชั่วโมงก็ต้องตื่นมาเรียน นั่งรถกับพี่หยีมาทำงาน แล้วนั่งรถกลับรังสิต จากนั้นก็ไปหอเพื่อน พยายามอ่านหนังสือถึงตีสี่เพื่อตามให้ทัน หรือจนกว่าจะฟุบหลับไป

ผมรู้ตัวว่าโดนปั่นประสาทจากพ่อของจิน แต่ผมไม่บอกคนตัวเล็ก เพราะอีกฝ่ายต้องโมโหแน่ๆ ผมรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขามันไม่ได้ดีนัก

ทั้งๆ ที่ต่างฝ่ายต่างก็รักอีกฝ่ายมากแท้ๆ

ผมรู้ว่าจินไม่ชอบพ่อ แต่ทั้งๆ ที่เป็นอย่างนั้นเวลาพ่อเขาให้ความรักแม้เพียงเล็กน้อย จินจะดีใจเหมือนเด็กๆ พ่อเขาเอง ถึงแม้จะบ่นเรื่องจินเป็นวรรคเป็นเวร แต่เพราะความเป็นห่วงถึงได้ติดตามชีวิตลูกตลอดหลังจากที่แม่จินเสีย

ในห้องทำงานของพ่อจินมีรูปหลายรูปอยู่บนโต๊ะ แต่รูปที่ตั้งไว้ใกล้มือเขาที่สุด และถูกเช็ดถูอยู่เป็นประจำดูจากความสะอาดของกรอบเทียบกับรูปอื่นๆ ก็คือรูปของเด็กชายผมดำแก้มยุ้ยซึ่งมีดวงตากลมโต

ผมคิดว่าความรักของครอบครัวเป็นสิ่งที่สวยงาม

และผมไม่อยากเป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำให้ระหว่างพวกเขามันร้าวลึกลงไปอีก

ถ้าคิดในแง่ดี ผมก็เพียงแค่ต้องทนอีกสักหน่อยก็เท่านั้นแหละ

ผมเอากาแฟไปให้พี่หยี อีกฝ่ายไม่สนใจที่จะมองผมเสียด้วยซ้ำ ผมได้แต่กลับไปนั่งทำงานอีกครั้ง รับโทรศัพท์จากคนที่อยากจะนัดพ่อของจินมือเป็นระวิง รับเสียงตะคอกจากปลายสายด้วยน้ำเสียงสุภาพและขอโทษเขาเป็นครั้งที่ร้อยล้าน

ผมวางโทรศัพท์ลง เพียงนั่งเฉยๆ หัวก็แทบหมุนคว้าง เสียงตะคอกจากอีกฝ่ายทำเอาผมปวดหัว และนั่นคงไม่ใช่สายสุดท้ายในวันนี้

“เออ น้องเคย์คะ พี่ขอถามเรื่องไฟล์ประชุมหน่อยได้มั้ยคะ ที่เราจดไว้”

“ครับ” ผมหันขึ้นมามองก่อนจะตอบไปตามเท่าที่จำได้

“อืม…ครั้งหน้าพี่ขอละเอียดหน่อยได้มั้ยคะ คือมันรู้เรื่องแค่น้องคนเดียวไม่ได้อ่ะค่ะ”

“….อ้อ ครับ ได้ครับ”

ผมกดหัวคิ้วเมื่อพี่พนักงานอีกคนนวยนาดจากไป มันมีความผิดพลาดไม่จบสิ้น เหมือนผมเรียนรู้ความผิดพลาดอันนี้ได้และไม่ทำซ้ำอีก มันก็จะมีอะไรใหม่ๆ โผล่ขึ้นมา

พอเสียที

ผมแปะหัวกับโต๊ะทำงาน อาการหัวหมุนไม่หยุดทำให้ผมทรงตัวไม่อยู่ ผมรู้สึกคลื่นไส้นิดหน่อยแต่ขืนลุกขึ้นไปตอนนี้มีหวังล้มลงไปกองกับพื้นให้น่าขายหน้าแหงๆ

แม่งเอ๊ย อยากเจอหน้าจินชะมัด



“เดี๋ยววันพรุ่งนี้พี่เข้าไปรับตอนเที่ยงนะคะ แล้วเราต้องไปคุยกับคุณพัฒน์ด้วยกันต่อ”

“ครับ” ผมรับคำพี่หยีขณะหยิบชีทขึ้นมาเพื่ออ่านบนรถตอนกลับไปรังสิต ทั้งๆ ที่หัวตื้อเสียจนไม่แน่ใจว่าจะรับอะไรไหวแต่ไฟนอลกำลังใกล้เข้ามาแล้ว

ต่อให้ใกล้ตายก็ต้องอ่าน

“แล้วก็…ที่วันนี้เรื่องที่พี่ตำหนิไป จำให้ได้ด้วยนะคะ บริษัทไม่ใช่ที่เด็กเล่นค่ะ ทำอะไรให้มันเป็นมืออาชีพด้วย เราไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะคะ”

“…ครับ” ผมก้มหัวขอโทษปะหลกๆ อีกครั้ง

“อย่างนั้นก็ดีค่ะ งั้นพี่ขอตัว”

สาวออฟฟิศท่าทางมั่นใจในตัวเองเดินจากไปแล้ว ผมจึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาอ่านชีทระหว่างที่เดินไปท่ารถตู้เพื่อกลับรังสิตเหมือนเคย

“เฮ้ ผู้ชายที่เดินอ่านชีทอยู่ตรงนั้นน่ะ”

ผมลดกระดาษลงเมื่อเสียงดังอยู่ข้างหน้าผมนี่เอง ก่อนจะได้พบกับเด็กหนุ่มร่างสูงท่าทางสมส่วนซึ่งเป็นคู่หูคอสเพลย์ของจินเมื่อครั้งนั้น

“เออ…” ผมกำลังจะทักเขาแต่ก็ลืมชื่อเสียได้ หลังจากเห็นท่าทางเหลอหลาของผม เขาก็เดินเข้ามากระชากแขนผมให้เดินตามไป

“ชื่อเรน ไม่ต้องทักแล้วรำคาญ”

เอ๋ เหมือนนิสัยเขาจะต่างจากที่เจอครั้งแรกนิดหน่อย

ผมได้แต่นั่งจ๋องอยู่ตรงข้ามเขาในร้านสตาบัค บรรยากาศภายนอกมืดสนิท แต่เหมือนคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามผมจะไม่ใจเย็นลงเหมือนอุณหภูมิเพราะเจ้าตัวเอาแต่กอดอกทำหน้าบึ้ง

“เออ…คือ มีธุระอะไรเหรอครับ แล้วคุณเจอผมได้ยังไง คือดักรอผมเหรอครับ หรือว่าเรื่องที่ให้เสื้อกันหนาวไปตอนนั้น…คือผม”

“หา? เหลือเชื่อ นี่กูถ่อมาหามึงถึงที่นี่แล้วมึงคิดได้อย่างเดียวเหรอว่ากูแอบชอบมึงหรืออะไรทำนองนั้น? เหลือเชื่อ เหลือเชื่อจริงๆ”

ผมตัวลีบไปเมื่อโดนตอกหน้ามาอย่างจัง

อ้าว ใครจะคิดเล่า ก็ตอนที่เจอกันเขาชอบสบตาผมแล้วยิ้มเหมือนโปรยเสน่ห์นี่!

“ฟังนะ คนเดียวในโลกที่จะชอบเจ้าสัตว์เซลล์เดียวทึ่มๆ แบบแกได้คงมีแค่ไอ้โง่ที่มีเซลล์สมองเล็กพอๆ กับเม็ดถั่วแบบจินเท่านั้นแหละ”

ผมหันไปมองหน้าสวยๆ ของคนที่อยู่ตรงข้าม ตัวสั่นนิดๆ เมื่อคิดถึงสิ่งหนึ่งได้

“จิน…มาที่นี่เหรอ”

“ก็เออน่ะสิ”

ผมกลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่

“..แล้ว ไปไหนแล้ว?”

“ไม่รู้ หุนหันออกไป ทิ้งกูไว้คนเดียวอีกเจ้าบ้านั่น แต่ก็หัวไวใช้ได้นะเจ้าโง่ เลื่อนขั้นจากเซลล์เดียวไร้สมองมาเป็นเจ้าโง่ธรรมดา”

เป็นพระคุณอย่างสูงครับ

“เอาล่ะ คราวนี้จะบอกได้หรือยังว่าเพราะอะไรถึงได้ปล่อยให้เพื่อนกูร้องไห้โยเยน่ารำคาญจนกระทั่งปลุกกูขึ้นมาด้วยหะ”

“จินร้องไห้เหรอ เป็นอะไร ใครทำ?”

“โอ๊ย ก็มึงไง บ้าเอ๊ย นี่กูกำลังคุยกับสัตว์ที่คิดวิเคราะห์ไม่เป็นหรือไงหะ น่ารำคาญจริงๆ มันอุตส่าห์ขุดชุดที่มันชอบแต่งตัวรอมึงแล้วจะขอมึงเป็นแฟน”

ผมเบิกตากว้างจนเกือบตาหลุด

เมื่อวานผมจำได้ว่ากว่าจะแบกสารร่างตัวเองกลับมาก็เหนื่อยจนจะตายอยู่แล้ว แต่โชคดีที่ผมกลับมาไว ยังไม่เลยเที่ยงคืนจึงได้เข้าหอตามที่สัญญาไว้กับเขา

แต่เวรเอ๊ย ผมจำไม่ได้จริงๆ ว่ะว่าวันนั้นเขาใส่ชุดอะไร คือวันนั้นผมลืมตาแทบไม่ขึ้นแล้วด้วยซ้ำ จำได้แค่ว่าน่ารักดี ชุ่มชื้นหัวใจหลังจากโดนพี่หยีกับพ่อเขาซัดคำด่าใส่ผมแล้วหลังจากนั้นผมก็ภาพตัดไปเลย

รู้งี้เอาเทปมาแปะหนังตาดีกว่า

ผมคอตกเมื่อพลาดเรื่องสำคัญในชีวิตไป

“ที่มาที่นี่เพราะว่าพ่อเขาสั่งเหรอ” ฝ่ายตรงข้ามเริ่มซัดเข้าประเด็นทันทีเมื่อเห็นผมเริ่มหลุดไปไกล

“เออ มันก็…” ผมยิ้มแหยๆ ตอบซึ่งเป็นคำตอบที่เพียงพอแล้ว

“ทำไมไม่บอกจิน มึงก็รู้มันมีเรื่องกับพ่อ”

“เพราะงั้นแหละถึงไม่ยอมบอกไง ถ้าผมบอกเรื่องนี้ไปก็เหมือนกับว่าทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขามันแย่ลงอีก”

“มันไม่แย่มากไปกว่านี้แล้วล่ะ มึงอาจจะไม่รู้ เพราะยังไม่ได้อยู่กับเจ้านั่นมานานพอ แต่เรื่องของพ่อกับมันกลายเป็นปัญหามาตั้งนานแล้ว กูเองรู้จักเจ้านั่นมาตั้งแต่สมัยมัธยม…” เรนเสตามองภายนอกเหมือนกำลังคิดถึงเรื่องเมื่อก่อน

“…”

“มึงไม่มีสิทธิ์คิดแทนใครได้หรอกนะ ถึงจะเป็นความหวังดี แต่มันอาจจะเป็นความหวังดีที่ทำร้ายคนที่มึงรักก็ได้ สิ่งที่มึงทำได้มีแค่บอกความจริงไปตรงๆ กับคนรักตัวเองเท่านั้นเข้าใจมั้ย”

“…”

“เจ้านั่น…กูน่ะ เห็นมันตั้งแต่ตอนที่มันทำโครงการชนะเลิศ แต่ในงานที่พ่อแม่ได้มาเยี่ยมชม มันกลับยืนอยู่คนเดียว กระทั่งช่วงเวลาประกาศรางวัล ที่นั่งของพ่อยังถูกเว้นว่างโดยที่ไม่มีใครนั่ง ทั้งๆ ที่มันทุ่มเทแทบตายเพื่อให้พ่อมีเหตุผลมาเข้าร่วมงานนี้ให้ได้…มึงเข้าใจที่กูพูดใช่มั้ย”

“…”

“เพราะงั้น ขอร้องล่ะ ตอนที่ไปเจอกับเจ้าเพื่อนโง่หาดีไม่ได้ของกู ก็ช่วยจริงใจกับมัน แล้วทำให้มันมีความสุขที เพราะไม่งั้นกูเนี่ยแหละจะตามไปหักคอมึงถึงที่”



-----------------------------------------------------------

เคาะชุดทั้งหมดแล้วค่ะ จะมีกี่เพ้า/คุณครู/ตำรวจ-นักโทษ/ผ้ากันเปื้อน/เสื้อแฟน/เชียร์ลีดเดอร์/เมด/ชุดนักเรียนกะลาสี/แซนตี้/เดวิล/สาวน้อยเวทมนตร์/ชุดกีฬานักเรียนญป./น้องแมว/บันนี่ 

ชุดบางอันได้มาจากที่นักอ่านเสนอ แง น่ารักมากๆเลย รักนะคะ ชอบไอเดียชุดสาวน้อยเวทมนตร์มากค่ะ เลิฟฟฟ แต่ตอนนี้กำลังคิดว่าจะลงที่ไหนดี ต้องติดwarningไว้ เพราะมีการใช้ไม้คทาผิดวัตถุประสงค์ อิอิ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่16 UP! P.12[14/06]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 14-06-2019 23:41:09
น้องเรนนี่ยังไง..ที้งรักทั้งหมั่นไส้กันแบบนั้นอ่อ???   :m21: :m21: :m21:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่16 UP! P.12[14/06]
เริ่มหัวข้อโดย: Wwavez ที่ 15-06-2019 04:35:42
โล่งใจไปเรื่องนังหมา แต่ก็รู้ลึกๆล่ะว่านางต้องทำอะไรเพื่อจินอยู่ จินก็เข้าใจเคย์ละว่านังพ่อใช้งาน เห้อสงสารจินนะที่เรนเล่ามา น้องเสียใจมากเยอะจิงๆ สมนำ้หน้านังหมาอดเป็นเเฟนต่อไป :z2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่16 UP! P.12[14/06]
เริ่มหัวข้อโดย: มะยองมะแยง ที่ 15-06-2019 12:39:08
โถ่ววววอิหมาเคย์ นึกว่าหายไปทำอะไร ที่ไหนได้โดนคุณพ่อเล่นงานนี่เอง รู้ความจริงแล้วรีบไปง้อจินด่วนๆเลย เจ้าหมาโง่แกทำลูกฉันร้องไห้ :fire:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่16 UP! P.12[14/06]
เริ่มหัวข้อโดย: angelninae ที่ 18-06-2019 22:27:21
โล่งใจ นึกว่าเคย์ไปมีคนอื่นจริงๆ รอนะคะว่าจินจะเคลียร์กับพ่อยังไง  :katai1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่17 UP! P.13[30/06]
เริ่มหัวข้อโดย: MeiHT ที่ 30-06-2019 18:20:50
บทที่ 17 : จัดการปัญหา แต่ดันมีปัญหาเพิ่มขึ้นซะงั้น

พ่อ…อีกแล้ว

ทุกครั้งที่ผมกำลังจะมีความสุข คนคนนั้นต้องเข้ามาขวางทุกรอบ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามที่ผมชอบ เขาต้องเข้ามายุ่มย่ามทุกครั้ง

ทั้งเรื่องการแต่งเป็นผู้หญิง ทั้งเรื่องที่แม่ทำคาเฟ่โดยปล่อยให้ชั้นสองเป็นที่นั่งของผมกับกลุ่มคนที่แม่รวบรวมมา ทั้งเรื่องที่ผมไม่ยอมไปเรียนต่อมหาลัยที่ต่างประเทศ

‘คุณกล้าดียังไงเอาพวกคนประหลาดพวกนั้นมาใกล้ลูก! คุณเอาพวกผิดเพศพวกนั้นมายิ่งส่งเสริมลูกให้เตลิดเข้าไปใหญ่ คุณเป็นแม่ประสาอะไร!’

พ่อเคยพูดแบบนั้นใส่หน้าแม่กับพวกพี่มิ้นต์ สาวออฟฟิศซึ่งมีคนรักเป็นผู้หญิงถึงกับกำหมัดแน่นเมื่อพ่อผมพูดอะไรไม่เข้าท่า

‘ของแต่งหน้าพวกนี้ คุณกล้าดียังไงให้ลูกชายพวกเราใช้ คุณมันเป็นแม่ที่ไม่ได้เรื่อง!’

แต่คนที่ไม่ได้เรื่องมันคือใครกันแน่

ผมกุมมือตัวเอง ในใจคิดครวญถึงเรื่องต่างๆ มากมายในอดีต ทั้งๆ ที่คิดว่าสามารถก้าวข้ามพวกมันได้แล้วแต่บางส่วนก็ยังติดอยู่ในใจไม่หาย

คราวนี้ก็ต้องรอเคย์กลับมา

ผมเฝ้ามองบานประตูให้เปิดออก นั่งรออย่างเงียบงันในความมืด

เป็นเวลานานกว่าประตูจะถูกเปิดออก แสงจากภายนอกเล็ดลอดเข้ามาในห้องซึ่งมืดสนิท เคย์กวาดสายตาก่อนจะมาเจอผมที่นั่งเป็นเงาตะคุ่มอยู่ในมุมเตียง

“เหวอ!” เขาตบสวิตช์ไฟ “จิน! อย่านั่งแบบนั้นได้มั้ย ตกใจหมด!”

“ไปไหนมา” ผมพูดเสียงแหบต่ำเหมือนกับภรรยาที่จับได้ว่าสามีนอกใจ

เหงื่อตรงขมับเคย์ค่อบๆ ไหลไปตามกรอบหน้า ดวงตาคมเสหลบตาผมเป็นพัลวันก่อนที่เจ้าตัวจะทิ้งของในมือลงตรงประตูแล้วสไลด์เข้ามานั่งคุกเข่าตรงหน้าผมซึ่งย้ายมานั่งไขว้ห้างตรงขอบเตียง กระดิกเท้ารอคำตอบอีกฝ่าย

“ขออภัยครับ สามอาทิตย์ที่กระผมแบกของบอกว่าไปนอนห้องเพื่อนหรือไปทำโปรเจ็ค จริงๆ แล้วกระผมไปทำงานกับคุณพ่อ…ไม่สิ คุณลุง”

ผมกอดอก มองคนที่แนบศีรษะกับพื้นเย็นเฉียบ

“เงยหน้าขึ้น”

“เอ๋” เคย์ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาตามคำสั่ง และผมก็ใช้ปลายเท้าช้อนคางอีกฝ่ายขึ้น

“เอาล่ะ บอกเหตุผลดีๆ สักข้อที่ทำอะไรลับหลังโดยที่ไม่บอกกันหน่อยได้มั้ย”

ผมรู้สึกว่าคนตรงหน้ากลืนน้ำลายเอื๊อก เขาพยายามเสหน้ามองไปทางอื่นทว่าผมใช้ปลายเท้าบังคับให้เคย์มองตรงสบตาเหมือนเดิม

“จริงๆ มึงรักพ่อมึงมากๆ ใช่มั้ย เพราะงั้น ถ้าเกิดว่ากูบอกว่ากูเจออะไรขึ้นมา หรือบอกว่าพ่อมึงพูดอะไรกับกูบ้าง มึงก็จะโกรธเขาใช่มั้ย”

“…”

“กูอาจจะเป็นคนโลกสวย หรือกูอาจจะไม่เข้าใจ แต่ที่กูเห็นจากสายตากูคือทั้งมึงและพ่อมึง ต่างฝ่ายต่างก็รักกันมากจริงๆ ถึงแม้พ่อมึงจะรักแบบผิดวิธี แต่มันก็เป็นความรัก”

“…”

“กูแค่คิดว่าถ้ามันแย่ลงไปกว่าเดิม อาจจะประสานกันไม่ได้แล้ว และมันน่าเสียดายถ้าต้องเสียความรักแบบครอบครัวไป”

“…มึง”

“แต่ว่า! กูเพิ่งได้ยินเรื่องที่เพื่อนคอสเพลย์มึงเล่า แล้วก็คิดได้อย่างหนึ่ง ความหวังดีที่กูทำไป มันอาจจะทำร้ายมึงไม่ทางใดก็ทางหนึ่งก็ได้ เรื่องของมึงกับพ่อ เป็นเรื่องที่กูเข้าไปยุ่งไม่ได้ มันเป็นเรื่องที่มึงต้องแก้ไขเอง และสิ่งที่กูทำได้มีแค่ต้องซื่อสัตย์ต่อมึงเท่านั้น”

สายตาของคนที่มองตรงมาทำเอาผมผงะไปครู่หนึ่ง ในใจคิดถึงเรน ที่แท้เจ้าคนขี้เสือกนั่นก็ยังทำประโยชน์ให้ใครเขาได้อยู่บ้าง

“พึ่งคิดได้”

หมาโง่ส่งรอยยิ้มแหะๆ มา

“นั่นสินะ มันเป็นความอวดดีของกูเองแหละ”

เคย์ลุกขึ้น ย้ายสารร่างมานั่งข้างตัวผมแล้วตวัดแขนโอบเอวผมเข้าไปกอดแน่น

“กอดทำไมเจ้าโง่นี่ เรนบอกไปถึงไหนบ้าง”

“บอกถึงว่าเมื่อวานมึงจะขอกูเป็นแฟน”

“อ้อ ใช่ ยินดีด้วย มึงทำลายโอกาสนั้นลงกับมือ”

“เอ๋ ขออีกรอบไม่ได้เหรอ”

“เสียใจ”

“งั้นกูขอเอง เป็นแฟนกันนะ”

“ขอปฏิเสธ”

“เดี๋ยวสิจิน! ยังโกรธอีกเหรอ”

“หุบปาก มึงทำลายเรื่องนั้นทิ้งไปแล้ว”

เคย์อ้าปากหวอ หน้าหมาๆ นั้นดูโง่จนผมเผลอเอานิ้วจิ้มจมูกเขา และได้รับปฏิกิริยาเป็นหน้ายู่ๆ ดูผิดหวังตามคาด

“…รู้งี้น่าจะถ่างตาอีกหน่อยก็ดี”

“พูดถึงเรื่องนั้น เล่าเรื่องทั้งหมดให้กูฟังสิ ว่าพ่อมาคุยกับมึงตอนไหน แล้วคุยอะไรกันบ้าง”

เคย์เล่าตั้งแต่การเริ่มต้นเจอพ่อ เรื่องที่เลขาซึ่งผมเห็นในตอนนั้นว่ามารับเขาไปทำงานทุกวันและปล่อยเขากลับมาเอง ไม่ว่าจะเลิกเรียนบ่ายหรือเช้าก็ต้องไปทำงานต่อที่บริษัท แน่นอนว่าผมถามเขาเรื่องการอ่านหนังสือไฟนอลซึ่งเขาใช้เป็นข้ออ้างและได้รับคำตอบอ้อมแอ้มมาว่ากำลังอ่านอยู่

ผมนวดหัวคิ้วอย่างหงุดหงิด

“นี่มึงกำลังจะบอกว่าพ่อโยนมึงเข้าทำงานบริษัททั้งๆ ที่มึงยังอายุ19ปี เรียนอยู่ปีหนึ่ง นี่มันทำเพื่อให้มึงโดนด่าเล่นๆ ชัดๆ”

“กูก็ไม่ได้โดนด่า…อะไรขนาดนั้น” ท้ายประโยคเขาเงียบลง ทำเอาผมปวดหัวจี๊ดกว่าเดิม

“ตอบมาตามตรง ไม่โดนด่าจริงเหรอ แล้วเขาให้มึงทำอะไรเพิ่มเติมมั้ย แล้วไฟนอลมึงอ่านตอนไหน มึงทำงานถึงกี่โมง ได้นอนพักบ้างมั้ย”

“ก็…โดนด่าบ้าง ไม่…ไม่เยอะ แล้วก็อ่านไฟนอลตอนนั่งรถตู้กลับมาจากสาธร เอ่อ…แล้วก็ทำงานขึ้นอยู่กับว่าเสร็จเมื่อไหร่ ถ้าเริ่มช้าก็จบตอน5ทุ่ม แล้วกูได้นอนเยอะอยู่ 6ชั่วโมง”

“ตอแหล จะนอน6ชั่วโมงได้ยังไง นั่งคิดเวลากลับมาจากสาธร กว่าจะเข้ามาถึงที่นี่ เดาว่าหลังจากกลับมามึงก็อ่านหนังสือต่อ บ้าเอ๊ย เจ้าหมาโง่” ผมเอามือทาบหน้าผากอีกฝ่าย พบว่าเขาอุณหภูมิสูงกว่าผมนิดๆ แม้ไม่ถึงขั้นเป็นไข้ แต่ก็บอกได้เป็นอย่างดีว่าเขาโหมงานหนักมากจริงๆ

“กูโอเคจริงๆ จิน กูอยากพิสูจน์ให้พ่อมึงเห็นว่าต่อให้กูมาจากครอบครัวไม่ร่ำรวยแต่กูมีความสามารถพอจะดูแลมึงได้ กูอยากพิสูจน์ว่ากูคู่ควรพอจะอยู่กับมึง”

“พิสูจน์! พิสูจน์กับใคร กับพ่อ? พิสูจน์เรื่องนี้ก็ต้องไปต่อเรื่องอื่น พิสูจน์กับคนโน้นคนนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ทำไมมึงต้องพิสูจน์กับใคร ใครมันกำหนดว่ามึงมีความสามารถพอจะมาอยู่กับกู เรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องที่กูกับมึงต้องคิดกันเองเหรอวะ” ผมบีบจมูกโด่งๆ นั้นอย่างโมโห

“โอ๊ย! ใจเย็นก่อน”

“หุบปาก! มึงรู้มั้ยถ้าอย่างนั้นกูก็ไม่มีอะไรดีสักอย่าง วันๆ ชอบแต่แต่งหน้า มึงเลิกพยายามฝืนตัวเองได้แล้ว! มึงพึ่ง19และมึงเป็นนักศึกษาที่กำลังจะสอบไฟนอล! นั่นควรเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดมากกว่าการพิสูจน์ห่าเหวให้ใครไม่รู้ซึ่งไม่มีวันจะมาชี้หน้าบอกให้กูเลิกกับมึงได้แล้ว”

“เดี๋ยว! จะทำอะไร”

“นอน! นอนไปเลย! นอนเยอะๆ นอนรวดเดียวสัก8ชั่วโมง พรุ่งนี้กูจะเข้าไปคุยกับพ่อ ส่วนมึงก็นอนเป็นผักแล้วตื่นมาอ่านไฟนอลซะ เข้าใจมั้ย!”

ผมดันร่างโตๆ นั้นลงนอน ไม่สนใจว่าเขาบอกว่าจะต้องลุกไปแปรงฟัน ผมสะบัดผ้าห่มคลุมทับร่างเขา แล้วมุดเข้าผ้าห่มเพื่อไปกอดเอวสอบ

“กูต้องแปรงฟันนะ…”

“หุบปากไปเลย”

ผมซ่อนใบหน้าไว้กับบ่าเขา น้ำตารื้นขอบตา ไม่ใช่เพราะเสียใจ แต่ความรู้สึกประหลาดยามที่พึ่งรู้สึกตัวว่าคนตรงหน้าให้ความสำคัญกับผมมากเสียจนดิ้นรนทำอะไรเกินตัว

ความรู้สึกที่มีคนพยายามทำอะไรเพื่อคุณมากขนาดนี้ นอกจากครอบครัวก็เพิ่งได้จากเขาคนแรก

ผมเงยหน้าขึ้นจูบเขา สัมผัสแผ่วเบาแตะที่ริมฝีปาก

“ขอบคุณ”

และรอยยิ้มกว้างที่ตอบกลับมาก็ทำให้รู้ว่าเคย์ก็คิดเหมือนกัน



ผมปล่อยคนตัวโตนอนอยู่บนเตียงยามเตรียมตัวออกศึกไปคุยกับคนที่คงอยู่ในออฟฟิศบนตึกสูง ยักษ์ปั่นหลันซึ่งเหมือนจะไม่มีวันเหนื่อยอ่อนได้ง่ายๆ ยามนี้กลับเหมือนคนกำลังชาร์ตพลังงาน

ถึงแม้จะตัวใหญ่ดูแข็งแกร่งก็ใช่ว่าจะพร้อมรับสถานการณ์ทุกเรื่อง

ไม่ว่ายังไงก็ยังเป็นวัยรุ่นที่โง่เขลาอยู่ดี

ผมปีนขึ้นเตียง ก้มลงจูบที่หน้าผากเขา จากนั้นจึงออกจากห้องอย่างรวดเร็ว

ผมคอลคุยกับเรนและพี่พลไปด้วยระหว่างกำลังขับรถไปสาธร แน่นอนว่าพี่พลปฏิเสธเสียงแข็งเรื่องที่ผมจะไปคุยกับพ่อ เขารู้ดีที่สุดเรื่องที่พ่อผมสามารถทำได้และทำมาแล้ว ส่วนเรน…เขากลัวพ่อผมพอๆ กับกลัวพ่อตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นกลับสนับสนุนให้ผมไปพูดให้ชัดเจน

“พี่พล ผมรู้ตัวว่าผมทำอะไรอยู่”

“เพราะงั้นถึงได้น่ากลัวยังไงครับ คิดเหรอว่าคุณเขาจะหยุดแค่เพราะว่าโดนพูดใส่หน้าว่าเลิกยุ่งกับพวกเราสักที แบบบนี้น่ะเหรอ”

“พี่พูดซะเหมือนเด็กขี้โวยวาย ครั้งนี้พ่อทำเกินไปจริงๆ”

“พี่รู้ครับ เพราะงั้นพี่ถึงบอกไงว่าปล่อยให้มันจางๆ ไปเถอะ เคย์ไม่กลับไปที่ออฟฟิศซะอย่างเขาจะทำอะไรได้”

“แล้วพี่คิดเหรอว่าแค่นั้นจะทำให้พ่อรามือ?”

เสียงถอนหายใจพร้อมกันของเราสามคนทำให้รู้ว่าสถานการณ์น่าหนักใจขนาดไหน

“…นี่ถ้าผมไม่ได้มีแฟนเป็นผู้ชายก็คงไม่มีเรื่อง” ผมพูดกลั้วหัวเราะ

“แต่ถ้าให้มีแฟนเป็นผู้หญิง?”

“ก็ไม่ต้องมีดีกว่า ผมสวยกว่าผู้หญิงพวกนั้นตั้งเยอะ”

“แหวะ” เสียงเรนแสร้งไอค่อกแค่กเกินจริงจนน่าผลักให้คว่ำสักที

“เอาล่ะ ผมถึงแล้ว เดี๋ยวยังไงผมจะบอกผลแล้วกันนะ”

“ได้ครับ ดูแลตัวเองด้วย”

ผมส่ายหน้ายิ้มๆ มองโทรศัพท์ก่อนจะก้าวลงจากรถ

การเข้าไปเผชิญหน้ากับพ่อมันยากลำบากเหมือนเคย แต่โชคดีที่เขาอยู่และเลขายอมให้ผมเข้าไปได้อย่างง่ายดาย ชายวัยกลางคนซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้หนังตรงนั้นยังเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน

เข้าถึงยาก มีบรรยากาศไม่น่าเข้าใกล้ และไม่เห็นอกเห็นใจผู้อื่น

“ถ้าไม่มีเรื่อง…ก็คงไม่คิดจะมาสินะ”

“อือ จะมาทำไมล่ะ”

ชายสูงวัยที่ผมเรียกว่าพ่อยกยิ้มมุมปากเหมือนเยาะเย้ย เขาหลุบตาลงเหมือนเจ็บปวด

เจ็บเหรอ? ตอนตัวเองทำคนอื่นเจ็บกลับไม่แม้แต่จะคิดเสียใจ ตอนนี้กลับมาทำท่าทางเหมือนตัวเองถูกทำร้าย

พ่อผมช่างเก่งเรื่องโยนความผิดให้คนอื่นเสียจริง

ผมเดินไปที่เก้าอี้รับรอง ทิ้งตัวลงนั่งจนได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดของสปริง

“พ่อเลิกยุ่งกับเคย์เดี๋ยวนี้ อย่าคิดว่าผมไม่รู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้น พอสักที หาเรื่องเด็กมหาลัยปีหนึ่งเนี่ยนะ ใครได้ยินเข้าคงหัวเราะ”

“ฉันแค่อยากรู้เรื่องของคนที่กำลังจะกลายมาเป็นแฟนแกไม่ได้เหรอ”

“ถ้าแค่รู้เรื่องล่ะก็…พ่อก็น่าจะรู้ทะลุปรุโปร่งแล้วไม่ใช่เรอะ”

“ฉันจะรู้ได้ไงว่าแฟนแกใช้ได้มั้ย”

“นี่แฟนผมไม่ใช่แฟนพ่อ พ่อจะอยากรู้ไปทำไมว่าเขาใช้ได้หรือเปล่า”

ไม่มีความเกรงใจ ไม่เหลือความเคารพ ผมดาหน้าชนเขาไปตรงๆ ชนิดดับเครื่องชน

“ก็จริง…เขาไม่ใช่แฟนพ่อ แต่มันก็ถือเป็นหน้าที่ของพ่อที่จะต้องรู้เรื่องคนที่มาคบกับลูกตัวเองนี่”

“โฮ ก่อนหน้านี้ไม่เห็นจะมาทำหน้าที่เป็นพ่อที่ดีอะไร อยากมากระเสือกกระสนเป็นพ่ออะไรเอาตอนนี้” ผมยิ้มเยาะมุมปาก

“จิน!” สีหน้าของพ่อในตอนนี้บิดเบี้ยวและโกรธขึ้ง

“ทำไม มันแทงใจพ่อมากเหรอครับ”

“พูดเท่าที่แกอยากพูดเถอะ ยังไงเจ้าเด็กนั่นมันก็ไม่เหมาะสมกับแก ไม่ต้องพูดถึงส่วนที่มันเป็นผู้ชายหรอกนะ แค่ฐานะก็คนละเรื่องแล้ว” ชายผู้ผ่านประสบการณ์มามาก มองโลกด้วยสายตาตัดสินจนกลายเป็นตาแก่น่าเศร้าเอ่ย “ยังไงก็ตาม จนกว่าจะตัดสินกันได้ ฉันจะให้แกกลับไปอยู่ที่บ้าน”

“อย่างกับจะบังคับผมได้”

“ถ้าไม่อยากให้ร้านคาเฟ่ที่แม่แกอุตส่าห์ทำขึ้นมาอย่างยากลำบาก ก็กลับไปนอนที่บ้านซะ แค่ห่างกันแค่นี้แลกกับการที่คาเฟ่นั่นไม่พินาศ เป็นไงล่ะ”

“…อย่ามายุ่งกับของของแม่นะ” ผมกัดฟันกรอด ขู่เสียงต่ำ

“แย่หน่อยที่บางทีกิจการคาเฟ่มันก็เยอะไปจนทำให้มันเป็นธุรกิจที่ปิดตัวง่ายล่ะนะ” พ่อยกยิ้มไม่น่าไว้ใจ และผมหมายถึงว่ามันไม่น่าไว้ใจจริงๆ

พ่อสามารถทำทุกสิ่งที่เขาต้องการได้เสมอ

“…ก็ได้ กลับไปอยู่บ้านก็ได้ แต่พ่อต้องเลิกยุ่งกับเคย์ เขามีหน้าที่เรียนหนังสือ ไม่ใช่มาให้โดนคนในบริษัทด่า”

“นั่นเพราะเขาทำไม่ได้เรื่องเอง”

“พ่อตอนอายุ19ทำได้ดีกว่านี้ที่ไหนล่ะ”

“หึ ถ้ายังพูดดีได้ขนาดนั้นก็กลับบ้านไปซะ”



แล้วผมก็ได้ออกจากบริษัทของพ่อโดยการนั่งบนเบาะหลังในรถคันหรู ผมจ้องเครื่องมือสื่อสาร ไม่แน่ใจว่าจะบอกคนที่อาจจะกำลังนั่งกระวนกระวายรอผมที่ห้องยังไงดี

ตู๊ด---

ชื่อของพี่พลปรากฎบนหน้าจอโทรศัพท์ของผม และหลังจากเขารับสาย ผมก็รีบอธิบายสถานการณ์คร่าวๆ เพราะว่าเขาก็ต้องเข้ามาเกี่ยวกับเรื่องที่พ่อผมพยายามข่มขู่คาเฟ่ซึ่งเป็นที่ทำกินของเขา

“ผู้ชายคนนั้นไม่ว่าผ่านไปเท่าไรก็ยังเป็นแค่ไอ้สถุลสินะ” เสียงพี่พลสบถชนิดที่ผมต้องเซนเซอร์ดังลอดออกมา

“อือ ช่วงนี้พี่ก็ระวังหน่อย นอนตรงคาเฟ่ไปเลย ชั้นสองอ่ะ”

“ได้ จินไปบอกกับแฟนด้วยแล้วกัน เผื่อเขาเป็นห่วง”

“ครับ”

ผมกำลังตอบรับในตอนที่รถแล่นเข้าไปจอดในบ้านซึ่งผมเคยคุ้นเคยเป็นอย่างดี และในตอนที่ผมยังไม่ทันวางโทรศัพท์ คนขับรถก็สอดมือมาดึงโทรศัพท์ผมออก

“เฮ้ย! เดี๋ยว! จะทำอะไรไม่ทราบวะ” ผมโวยวาย แต่อีกฝ่ายไม่สนใจแล้วกดวางสาย แอบได้ยินเสียงพี่พลตะโกนลอดมาจากอีกฝั่งเช่นกัน

“คุณท่านบอกให้ยึดโทรศัพท์คุณด้วยครับ กรุณาส่งกระเป๋าของคุณมา”

“หา!?” ผมกำหมัด คิดถึงหน้าชายวัยกลางคนซึ่งตอนนี้น่าจะทำหน้ายิ้มเยาะผมยิ่งรู้สึกหหงุดหงิดหัวร้อนเป็นเท่าตัว

“ช่วยทำตามที่คุณท่านบอกแล้วขึ้นไปข้างบนได้แล้วครับ”

“แม่ง!” ผมทิ้งกระเป๋าไว้บนรถทั้งอัน กระแทกประตูรถอย่างหงุดหงิดแล้วเดินกระแทกเท้าขึ้นไปบนบ้านที่คุ้นเคย ผ่านจ้าวซึ่งกำลังทำท่าละล้าละลังเหมือนไม่รู้จะเข้ามาทักผมหรือไม่

อ่า นั่นสินะ หลังจากที่พ่อเปิดโปงผมไปว่าเป็นพวกรักร่วมเพศ ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กที่เดินตามผมต้อยๆ ตั้งแต่เล็กๆ เรียกผมว่าพี่ชายๆ จนผมปวดหัวจะเกลียดผมไปแล้วหรือยัง

ผมไม่ได้เป็นคนดีขนาดยอมรับเมียใหม่ของพ่อกับลูกที่เกิดจากพวกเขาได้อย่างง่ายดายหรอก ผมซึ่งอยู่ในชั้นประถมเคยเตะจ้าวซึ่งยังตัวเล็กเป็นเจ้าก้อนมันฝรั่งเดินได้ล้มก้นจ้ำเบ้ามาแล้ว แต่ทั้งๆ ที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าโคตรเกลียดแต่ไอ้ลูกมันฝรั่งตัวเล็กๆ นี่ก็เอาแต่เข้าหาจนผมอ่อนใจ

คิดๆ แล้วผมก็บิดยิ้มขมขื่น

เด็กนั่นคงรังเกียจผมไปแล้วสินะ

โดยไม่รู้ตัว ผมเข้ามาในห้องของตัวเองซึ่งยังคงได้รับการปัดกวาดตลอด แถมยังวางของไว้ตำแหน่งเดิมกับตอนที่ผมออกจากบ้านหลังนี้ไปเป๊ะ

ผมทิ้งตัวลงบนเตียงซึ่งกว้างกว่าเตียงในห้องรูหนูที่มหาลัย น่าแปลก ทั้งๆ ที่มันนิ่มจนเหมือนเกรดของโรงแรม แต่กลับไม่ทำให้ผมรู้สึกอยากหลับ

เมื่อปราศจากโทรศัพท์ ผมได้แต่มองนาฬิกาที่ขยับบอกเวลา มันค่อยๆ ผ่านไปเรื่อยๆ จนเป็นเวลากลางคืน สมควรแก่เวลานอน นี่ผมดื้อถึงขนาดไม่ยอมลงไปกินข้าวเย็นกับพวกเขาด้วยซ้ำ

ผมกำลังจะช่างแม่งทั้งเรื่องอาบน้ำ กินข้าว อ่านหนังสือ แปรงฟันแล้วนอนไปทั้งอย่างนั้น แต่เสียงเคาะประตูแผ่วๆ เหมือนไม่แน่ใจกับเสียงซึ่งกำลังจะแตกหนุ่มของเจ้าเด็กมันฝรั่งซึ่งเติบโตขึ้นมาทำเอาผมชะงัก

“พี่จิน”

เอาล่ะ จะแกล้งตายดีมั้ย

ผมกลั้นหายใจทั้งๆ ที่รู้ดีว่าเจ้าเด็กนั่นมันไม่มีทางได้ยินหรือรู้ว่าผมตื่นหรือหลับอยู่ แต่ร่างกายมันเหมือนจะไปเป็นอย่างอัตโนมัติ

“ผมรู้ว่าพี่ยังไม่หลับ รู้ด้วยว่าพี่ชอบทำเมินผมตอนที่ไม่อยากคุยกับผม เปิดประตูได้แล้ว”

บ้าเอ๊ย เจ้าเด็กมันฝรั่งนั่นตัวติดกับผมเกินไปแล้ว!

เล่นรู้มันซะทุกเรื่อง เจ้าบ้าเอ๊ย

ผมก่นด่ามันในใจ แต่ก็ลุกขึ้นไปเปิดประตูอยู่ดี

“มีอะไร จะมาถามอะไรหรือไง ไม่มีเรื่องจะอธิบายหรอกนะ”

“ว้าว แจ๊กพอต ผมไม่คิดว่าพี่จะตื่นอยู่จริงๆ หรอก ลัคกี้”

เจ้าเด็กบ้า ทำตัวเป็นปกติเกินไปแล้ว

ผมมองเจ้าเด็กที่ตอนนี้ตัวโย่งจนสูงเกินผมไปแล้วเดินเข้ามาในห้อง เจ้าตัวทรุดนั่งลงบนเตียงแล้วจ้องผมยิ้มๆ

“มีคนโทรหาพี่” จ้าวไม่พูดถึงเรื่องที่ผมกลัวแม้แต่น้อย เขากลับยื่นโทรศัพท์มาให้ผม

“หา? ใคร” ผมรับโทรศัพท์มาแนบหูก่อนจะได้ยินเสียงคุ้นเคยของผู้หญิงคนหนึ่งดังออกมา

“ได้ข่าวว่าโดนกักบริเวณเหรอคะน้องจิน เหมือนกับเด็กประถมเลยนะคะ”

“พี่มิ้นต์!”

“ผู้ชายคนนั้นทำอะไรรุนแรงหรือเปล่าครับ”

“พี่พล? ทำไมพวกพี่รู้จักกับจ้าว แล้ว…”

“เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะค่ะ เอาเป็นว่าตอนนี้พี่ส่งคนไปช่วยน้องแล้วนะคะ โอ๊ย ตื่นเต้นจังเลยอ่ะ เหมือนกำลังเห็นฉากพระนายหนีตามกันเลย”

“หา? พี่พูดถึงอะไร” ผมฟังที่พี่มิ้นต์กับพี่พลพูดไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อย แล้วผมก็สังเกตเห็นจ้าวกำลังเดินไปเปิดหน้าต่างห้องผม

“มานี่สิพี่” น้องผู้มีสายเลือดเหมือนกันครึ่งนึงกวักมือเรียก ผมจึงเดินเข้าไปตรงหน้าต่างและสังเกตเห็นอะไรแปลกๆ ตรงนอกรั้ว

เป็นรถของผมเองที่จอดอยู่ตรงนั้น และตรงรั้วที่มีกิ่งต้นไม้ขนาดใหญ่ยื่นออกไปมีเงาร่างยักษ์ตะคุ่มๆ กำลังเกาะอยู่บนนั้นจนผมเกือบร้องโวยวาย

ดะ….เดี๋ยว นั่นมัน

เคย์?

ผมมองเงาร่างที่โดนแสงจันทร์สาดส่องจนเผยให้เห็นหน้าโง่ๆ ของคนที่ควรนอนอยู่หอในตอนนี้ ใบหน้าเขาเคร่งเครียด มองผมพร้อมเม้มริมฝีปากอย่างหงุดหงิด

“เอ้า เจ้าชายของพี่มาล่ะ” จ้าวยัดซองใส่มือผม ผมเปิดดูและพบว่ามันเป็นแบงค์พันและแบงค์ร้อยคละๆ กันเป็นฟ่อน

“เงินนี่…”

“เงินเก็บผมเอง เอามาคืนทีหลังด้วย จนมาก พี่โดนยึดทั้งกระเป๋าไปใช่มั้ยล่ะ จะหนีออกจากบ้านมันต้องใช้เงินนะ”

“หา? เดี๋ยว ใครจะหนีออกจากบ้าน”

“พี่ไง!” น้องซึ่งบัดนี้ไม่น่ารักอีกแล้วอุ้มผมขึ้นบนกรอบหน้าต่างที่ซึ่งกิ่งก้านสาขาของต้นไม้แผ่ขยายออกไปจนถึงรั้ว

“เดี๋ยว! พี่ไม่ได้จะหนีออกจากบ้านนะเว้ย นี่จะบังคับให้หนีออกจากบ้านเรอะ!”

ทั้งๆ ที่ปากพูดอย่างงั้นแต่ผมกลับปีนกิ่งไม้อย่างคล่องแคล่วไปทางที่เคย์กำลังยืนอยู่

“นี่ พี่จิน” เสียงจากจ้าวทำให้ผมเหลียวหลังกลับไปมอง ไม่ทันสังเกตเลยว่าเด็กน้อยที่เดินตามผมต้อยๆ ทั้งๆ ที่ผมแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ชอบกลายเป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้ไปตอนไหน “ไม่ว่าพี่จะเป็นเกย์หรือเปล่า แต่พี่ก็ยังเป็นพี่ชายที่ไล่ตีคนที่แกล้งผมตอนป.5อยู่ดี”

ผมยิ้ม มองเจ้าเด็กโง่กำลังโบกมือบายๆ

“ไปก่อนนะ”

แล้วผมก็จับมือเคย์ซึ่งยื่นอยู่บนรั้วบ้านอย่างไม่เกรงกลัวว่าใครจะมองเห็นหรือไม่

“จับดีๆ”

รูมเมทผมรวบเอวผมด้วยมือข้างเดียวก่อนจะกระโดดลงจากรั้วบ้านที่โคตรสูง แต่เหมือนเจ้าตัวจะไม่ได้รับบาดเจ็บเพราะสามารถยัดผมลงที่นั่งข้างคนขับได้อย่างง่ายดาย

รถของผมแล่นหนีออกมาจากกรุงเทพในเวลาแค่ชั่วอึดใจ ผมตั้งสติได้อีกทีก็ตอนที่อยู่บนโทลเวย์ซึ่งมุ่งหน้าไปชลบุรี

“นี่รู้จักกับคนที่อยู่ในคาเฟ่ตั้งแต่เมื่อไร” ผมหันไปมองเสี้ยวหน้าเคย์ที่มีไฟสีส้มของโทลเวย์ทาบทับเป็นระยะ

“รู้จักผ่านเรน ได้ข่าวมาจากคนพวกนั้นว่ามึงไปหาพ่อแล้วตอนนี้น่าจะมีปัญหา”

“ก็เลยขับรถมาพากูหนีออกจากบ้านเนี่ยนะ” ผมระเบิดหัวเราะเมื่อกลุ่มคนพวกหนึ่งที่ขนาดโตแล้วยังคิดอะไรเป็นเด็กๆ ให้ผมหนีตามผู้ชายออกจากบ้าน

“ทำอะไรไม่รู้จักบอกกู พวกเราเลยต้องมานั่งลำบากกันอย่างงี้ไง” เคย์หน้ามุ่ย เขาโยนโทรศัพท์มาทางผม “โทรหาพวกคุณพลเลย บอกว่าออกมาแล้ว”

ผมกดโทรหาเบอร์ที่คุ้นเคย กดเปิดลำโพงก่อนจะกรอกเสียงบอกเขาว่าทั้งผมและเคย์ออกมาจากบ้านแล้ว

“โห นี่มันหนีตามกันจริงๆ เลยนี่คะ” เสียงพี่มิ้นต์หัวเราะร่าทะลุออกมาจากโทรศัพท์ ผมกับเคย์ได้แต่ถอนหายใจ

“เอาไงต่อล่ะพี่มิ้นต์ พี่พล ผมจะหนีออกจากบ้านง่ายๆ อย่างงี้เลยเหรอ”

“ก็คงต้องอย่างนั้นแหละครับ ถึงพี่จะไม่เห็นด้วย”

“หนีออกจากบ้านเนี่ยเป็นสิทธิพิเศษของเด็กวัยรุ่นเลยนะคะ ช่วงชีวิตที่ทำเรื่องบ้าๆ ได้แบบไม่ห่วงหน้าห่วงหลังเป็นเพราะเอเนอจี้วัยรุ่นดีออกนะ ถ้าเป็นพี่ล่ะก็ต้องมานั่งคิดแล้วว่าพรุ่งนี้บอสจะโทรมาจิกหัวมั้ย หึ”

“…ชีวิตพี่ดูน่าเศร้าจังนะครับ”

“เพราะงั้นแหละค่ะ ออกไปสนุกให้เต็มที่เลยนะ ทิ้งปัญหาไว้ให้พวกผู้ใหญ่จัดการบ้างก็ดีนะคะน้อง”

ผมเผลอหันไปมองใบหน้าของคนที่กำลังขับรถอยู่ ไฟสีส้มของโทลเวย์ทำให้รู้สึกว่าเราหนีออกมาจากบ้านจริงๆ ผมรู้สึกว่ามันบ้ามากๆ ที่เราทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักคิดโดยการปีนรั้วหนีออกมา

อย่างกับหนังน้ำเน่า

“ครับ เดี๋ยวไว้กลับไปนะครับ”

ผมกับเคย์สบตากัน เขาโน้มตัวลงจูบผม

เรากำลังหนีตามกัน



----------------------------------------

หนีตามกันนนน

เราชอบนิยายวัยรุ่นที่หนีตามกันมากเลย สิทธิพิเศษวัยรุ่นมั่กๆ เหลืออีกแค่2ตอนน้า

ขอบคุณที่ยังอยู่กับเราจนถึงตอนนี้ค่า เราลงนิยายเรื่องยาวเรื่องใหม่ของเราไว้ในเรื่องยาวของเล้าเป็ดน้า ชื่ออัลฟ่าหมาวัด ยังไงก็ฝากเรื่องใหม่ไว้ในอ้อมอกด้วยค่า
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่17 UP! P.13[30/06]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 30-06-2019 21:04:36
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่17 UP! P.13[30/06]
เริ่มหัวข้อโดย: มะยองมะแยง ที่ 01-07-2019 16:51:54
ทำไมแอบรู้สึกว่าน้องชายงานดี5555 พ่อจินโคตรเผด็จการน้องกับหมาโง่จะหนีไปได้นานแค่ไหนลูกกกกก
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่17 UP! P.13[30/06]
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 02-07-2019 01:16:39
รอๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่17 UP! P.13[30/06]
เริ่มหัวข้อโดย: GDNEE ที่ 03-07-2019 13:51:05
กำลังเจ้มจ้นเบย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่17 UP! P.13[30/06]
เริ่มหัวข้อโดย: Wwavez ที่ 06-07-2019 01:44:54
รำคานอิพ่อว่ะนิสัยเสียมาก ทำร้ายใจลูกมาทั้งชีวิตยังไม่พอเรอะ :m16: ชอบมากหนีตามกันเนี่ยคงไปบ้านเคย์สินะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่17 UP! P.13[30/06]
เริ่มหัวข้อโดย: MeiHT ที่ 07-07-2019 01:20:13
So let’ s run

Make a great escape and I’ ll be waiting outside to getaway

It doesn’ t matter who we are

We keep running through the dark

เนื้อเพลงจากเพลงที่เราแรนด้อมสุ่มเปิดบนรถยังดังอย่างต่อเนื่อง ผมเบือนหน้ามองถนนข้างหน้าที่ว่างเปล่าไร้รถยนตร์ แหงล่ะ เวลาตี2แล้วใครมันจะออกมาขับรถกัน

ยกเว้นคนที่หนีออกจากบ้านอ่ะนะ

เราพูดกันเรื่อยเปื่อยเหมือนเป็นสถานการณ์ปกติ ผมพูดเรื่องพ่อกับเรื่องในอดีตต่างๆ อย่างเช่นว่าพ่อแม่ผมทะเลาะกัน เขามีครอบครัวใหม่เป็นผู้หญิงที่สามารถสนับสนุนการเล่นการเมืองของพ่อได้ และปรากฎว่าเขามีลูกในท้องด้วยกันก่อนที่พ่อจะเลิกกับแม่

น่าขยะแขยง

เคย์เล่าเรื่องครอบครัวของเขา มันเป็นครอบครัวธรรมดาๆ พ่อแม่คาดหวังในตัวลูกทั้งสองคน พี่ชายของเคย์เป็นหมอแต่เขาไม่ฉลาดพอจะเข้าโรงเรียนหรือมหาลัยที่ดีทัดเทียมพี่ชาย

น้ำเสียงนั้นเยาะเย้ยตัวเองอย่างบอกไม่ถูก

คนแต่ละคนมีเรื่องราวชีวิตที่แตกต่างกันไป พวกเรามีสุขและทุกข์ของตนเอง พวกเรารอวันที่เรื่องราวของตนเองจะถูกได้ยิน

บางคนอาจหาคนที่คอยฟังเรื่องราวของตนไม่เจอ แต่ผมโชคดีที่มีเคย์ เราโชคดีที่มีกันและกัน

ผมมองถนนเบื้องหน้า เราออกมาไกลจากกรุงเทพมากแล้วและยังคงมุ่งตรงไปข้างหน้า ผมโคลงศีรษะ ร้องคลอไปกับเพลงที่เราเปิด

Lets get away from here and live like a movie do

I won’ t mind when its over

At least I didn’ t think for a while

“เหมือนหนังรักวัยรุ่นสักเรื่อง” เคย์เปรยหลังจากช่องว่างของความเงียบ

“หนังห่วยๆ กับตัวละครเด็กใจแตกล่ะสิไม่ว่า” ผมแค่นเสียงหัวเราะ คิดถึงสิ่งที่ผลักเราให้มาอยู่ตรงนี้

“เอาน่า ชีวิตนี้เราอาจจะได้ทำอย่างนี้แค่ครั้งเดียวนะ” เคย์ลดกระจกทั้งสองข้างลง เสียงลมกรีดดังวิ้วดังข้างหูผม สายลมเย็นแรงหอบเอากลิ่นอายของทะเลติดมาด้วย

เคย์เร่งเครื่อง ลมพัดวนในห้องโดยสารอย่างบ้าคลั่งทำเอากระดาษทดข้างหลังที่ผมใส่ไว้ปลิวว่อน

“ไอ้บ้าเอ๊ย” ผมหัวเราะร่วนก่อนที่เขาจะค่อยๆ ลัดเลาะไปตามถนนจนกระทั่งได้กลิ่นความเค็มของทะเลอย่างชัดเจน

“ถึงแล้ว”

ทั้งผมและเขาเดินลงมาจากรถ มุ่งตรงลงชายหาด มันมืดสนิทเพราะไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวตอนกลางคืน ร้านรวงต่างๆ ล้วนปิดไปหมด

มีแค่เราสองคนบนหาด

ผมกับเคย์เดินด้วยเท้าเปล่าบนทราย วิ่งเล่นไล่จับกันเหมือนเด็กๆ สาดน้ำทะเลใส่กันจนตัวเปียกปอน

สุดท้ายพวกเราก็กลับมานั่งบนกระโปรงรถ เมื่อกี้ค้นเจอกระป๋องโค้กห่วยๆ สองกระป๋องที่ผมทิ้งไว้ ตอนเปิดมันส่งเสียงฟู่! พร้อมกับพ่นฟองออกมา

ผมซดโค้กดังอึกๆ เอนตัวบนกระโปรงรถมองยอดต้นมะพร้าวกับท้องฟ้ามืดสนิทซึ่งพร่างพราวด้วยดาวแตกต่างจากในกรุงเทพ

“สวยเนอะ” ผมเปรยกับคนที่นั่งชันขาไปไม่ห่าง เขาแหงนหน้ามองจนผมแซวว่าระวังคอเคล็ด

“อืม สวยมากเลย” เคย์ก้มหน้าลงมองผมแล้วพูดอย่างนั้น ทำเอาเลือดสูบฉีดขึ้นหน้าผมไม่หยุด

จากนั้นใบหน้าคมของเคย์ก็เป็นสิ่งเดียวที่ผมมองเห็น และสัมผัสอุ่นร้อนที่ริมฝึปากก็กลบลมเย็นของชายทะเลไปเสียหมด



พวกเราหาห้องพักถูกๆ ริมทะเลได้ในที่สุด หลังจากปิดประตูห้อง ร่างผมก็ถูกผลักชนประตูพร้อมๆ กับสัมผัสแรงๆ ที่ปัดป่ายไปทั่วร่าง ริมฝีปากพวกเราแทบไม่ห่างจากกัน

มันจบลงตรงเตียงที่ยับยู่ยี่จนน่าด่า หมอนร่วงตกไปอยู่บนพื้น ผมนอนหนุนแขนเขาในขณะที่มืออีกข้างเขากำลังเกลี่ยหน้าผากผมเล่น

“วันมะรืนนี้กูจะกลับไปคุยกับพ่อ” ผมบอก

“อือ” เขาไม่ปฏิเสธ “กูไปด้วย”

ปัญหาของพวกเรา คนภายนอกอาจจะคิดว่าไม่หนักหนา แค่เคย์โดนบังคับให้ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ส่วนผมถูกขู่ว่าจะปิดคาเฟ่ที่แม่เปิด

แต่ใครจะรู้ว่าคาเฟ่นั่นมีความหมายกับผมมากขนาดไหน ส่วนเคย์ต้องใช้เวลามากขนาดไหนในการท่องหนังสือ และรับผิดชอบทั้งงานที่ไม่ควรเป็นของเขาไปด้วยกัน

“มึงจะพูดอะไรกับพ่อ”

“ไม่รู้สิ บอกให้เลิกยุ่งกับพวกเรามั้ง”

เคย์ไม่ต้องได้รับอนุญาตจากใครเพื่อรักผม ไม่ต้องให้พ่ออนุมัติเพื่อเราจะได้อยู่ด้วยกัน

นี่เป็นเรื่องของคนสองคน

นอกจากกำไรของคาเฟ่ที่ผมใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ผมมีเงินที่พ่อให้ผมกับแม่ซึ่งผมไม่เคยเบิกมาใช้ และพ่อก็ยังใส่มันเข้ามาเรื่อยๆ ถึงแม้จะรู้ตัวว่าผมไม่อยากแตะเงินส่วนนี้ของเขา

แต่ช่างมันปะไร ถ้าเขากล้าใช้กำลังคนทำลายคาเฟ่ของผม ผมก็จะใช้เงินนี้ที่เขาให้ผมมาซ่อมแซมมัน

ผมรักศักศรีดิ์ แต่เงินนั่นคือสิทธิ์อันชอบธรรมของผมที่ผมควรได้รับ

และต่อให้ต้องปิดคาเฟ่ไปจริงๆ ผมก็ไม่มีปัญหาเรื่องเงินหรอก เงินในบัญชีของแม่ยังเหลืออีกเยอะ

ผมหลับตา เรื่องคาราคาซังเกี่ยวกับครอบครัวที่ผ่านมานานหลายปี เรื่องที่ผมไม่กล้าพูดกับพ่อ

จะพูดให้หมด



วันรุ่งเช้าหลังจากตื่น ผมหาซีฟู้ดกินริมทะเลกับเคย์ ขับรถเที่ยวเตร่ทั้งวัน กินจนเต็มคราบ เล่นทะเลจนตัวเปียกปอน ตกค่ำก็ซดเบียร์กับเคย์จนเมาแอ๋ทั้งคู่ ผิวเราแดงแจ๋เพราะการเล่นกลางแดด

ตื่นขึ้นจากการเมาค้าง ผมก็ได้ฤกษ์กลับไปคุยกับพ่อเสียที และเพราะว่าเราไม่ได้เอาชุดไปเปลี่ยน เลยต้องซื้อเสื้อฮาวายกับกางเกงช้างกลับ

“เหมือนไปกวนตีนคุณลุงเขามากกว่าไปคุยเลย” เคย์มองสภาพพวกเราอย่างปลงๆ

“จริงๆ ก็ตั้งใจไปกวนตีนด้วยนั่นแหละ จะทำให้ความดันขึ้นเลย” ผมดันแว่นดำขึ้น ก้าวขาขึ้นรถเป็นคนขับออกจากชลบุรี

พวกเรามาถึงบ้านของผมในเวลาสองชั่วโมงต่อมา ผมใช้โทรศัพท์เคย์โทรถามจ้าวและได้พบว่าพ่อยังคงอยู่บ้าน น่าตลกที่พี่พลกับพี่มิ้นต์มาคุยกับพ่อตั้งแต่ยังเช้าจนถึงตอนนี้

“คุยเรื่องอะไรกันน่ะ”

“ไม่รู้เหมือนกัน เขาคุยกันในห้อง พี่ใกล้ถึงหรือยัง”

“ใกล้แล้ว”

ผมหมุนพวงมาลัย โผล่หัวออกไปโชว์หน้าให้คนดูแลประตูดู และหลังจากเข้ามาในบ้านแล้ว ผมก็สูดลมหายใจ เดินลงจากรถพร้อมกับเคย์เข้าไปในบ้าน

“พี่…” จ้าวแทบกระโดดเข้ามาเกาะผม เขาส่งสีหน้ากังวลใจแบบปิดไม่มิด “อยู่ห้องนั้น เสียงเริ่มดังขึ้นทุกทีแล้ว”

ผมได้ยินเสียงคนเถียงกัน จึงบอกให้น้องอยู่ที่นี่แล้วเดินเข้าไปพร้อมกับเคย์

“สิ่งที่พวกคุณกำลังส่งเสริมคือเส้นทางที่ผิดพลาด คุณไม่ใช่พ่อแม่ของเด็กนั่น จะไปหวังดีกับเขามากที่สุดได้ยังไง”

“เป็นพ่อแล้วยังไง ไม่เกี่ยวข้องทางสายเลือดแล้วยังไง สิ่งที่พวกเราต้องการมันก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ ทั้งฉันทั้งพลทั้งคุณเองต้องการให้จินมีความสุขไม่ใช่หรือไง ไอ้เฮงซวยเอ๊ย”

เสียงของพ่อกับพี่มิ้นต์กำลังโต้เถียงกันดังชัดเจนออกมาจากหลังประตูไม้บานใหญ่

“ฟังนะ ฉันรู้จักเด็กคนนั่นมา6ปี 6ปีนั่นมันไม่ทำให้ฉันรู้สึกหวังดีกับเขาน้อยกว่าคนเป็นพ่ออย่างคุณหรอก”

“ถ้าคุณห่วงเขาจริง ในอนาคตคุณก็คงอยากเห็นเขามีครอบครัว มีลูก มีความสุขแบบคนปกติเขา”

“…นั่นเหรอคือความสุขของคุณ คุณมีทั้งหมดนั่น แล้วตอนนี้คุณมีความสุขเหรอครับ” เสียงพี่พลดังแทรกขึ้นนิ่งๆ แต่กลับทำให้คนในห้องเงียบกริบ ผมจึงเปิดประตูเข้าไปเพื่อพบว่าผู้ใหญ่ทั้งสามคนกำลังยืนจ้องหน้ากันเงียบๆ โดยมีแค่โต๊ะคั่นตรงกลาง

“พี่พล พิ่มิ้นต์ ขอบคุณที่มาครับ” ผมเดินเข้าไปกอดทั้งคู่และได้รับอ้อมกอดจากสาวสวยจนจุก “พี่ออกไปก่อนนะครับ เดี๋ยวผมคุยต่อเอง เคย์ด้วย”

เมื่อคนทั้งหมดออกไปแล้ว ผมจึงได้หันมามองหน้าพ่อ เขาเหมือนกับยังคงอึ้งกับคำสุดท้ายที่พี่พลพูด

“ไงครับ” ผมทัก

“หนีออกจากบ้าน? มุขไม่เก่าไปหน่อยเหรอ” พ่อก็ยังเป็นพ่อ ปากดีไม่ต่างจากผม

“ช่วยไม่ได้ ก็มีใครบางคนทำให้ผมไม่อยากอยู่บ้านเอง”

“ปากดี”

“ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นครับ”

“หึ” พ่อนิ่งเงียบไป เขาดูเย็นลงมากกว่าปกติ อาจเพราะเขาเสียพลังงานในการคุยกับพี่ๆ มาพอสมควรแล้ว คนแก่จึงได้แต่ยืนเหม่อเหมือนกำลังใคร่ครวญกับตัวเอง

“ที่มาวันนี้ไม่ได้จะมาอธิบายอะไรหรอกนะ แค่มาบอกว่าไม่ว่าพ่อจะพูดยังไง ผมกับเคย์ก็จะคบกันอยู่ดี แล้วใครหน้าไหนก็จะมาห้ามไม่ได้ทั้งนั้น”

“โลกนี้ไม่ใจดีพอจะมีที่ยืนให้คนผิดเพศอย่างพวกแก”

น่าแปลกที่ผมไม่ได้ถูกทำร้ายโดยคำพูดแบบนี้อีกต่อไป ผมมองชายสูงวัยเบื้องหน้า เขาดูเปราะบางกว่าพ่อที่ผมจำได้

“อืม…ใช่ แต่แล้วไง ถ้ารอให้โลกพร้อม ผมก็คงตายไปก่อน แต่ผมไม่ได้อยากรักกับเขาในโลกหน้าตอนที่ทุกคนมองคู่รักร่วมเพศเป็นเรื่องปกติ ผมอยากรักตอนนี้ ถึงจะต้องมีอุปสรรค ต้องโดนนินทา กีดกัน ต่อให้โดนทำร้าย มันก็คุ้มอยู่ดี”

“เด็ก” เขาแค่นเสียงหัวเราะ “ไม่มองโลกความเป็นจริง เอาแต่มองภาพสวยหรู คิดว่ามีแค่พลังใจอย่างเดียวก็ฝันฝ่าไปได้ทุกอย่าง สักวันพวกแกก็ต้องมีลูกมีครอบครัว…”

“ก็ให้เป็นเรื่องในอนาคต” ผมโพล่งตัดเขา “เพราะว่าเป็นเด็กถึงได้ซื่อตรงกับความรู้สึกตัวเอง ถึงได้เห็นสิ่งที่ทำให้ตัวเองมีความสุขชัดที่สุด ต่างจากคุณ มีแต่หลอกลวงตัวเอง คิดว่าตัวเองมีความสุขนักเหรอ ทางเลือกที่คุณเลือกเดินมันทำให้คุณมาถึงตรงนี้ คุณคิดว่าอำนาจชื่อเสียงจะให้ความสุขคุณได้ แล้วดูสิว่าคุณลงเอยยังไง”

ผมลุกขึ้นยืน หมดเรื่องที่จะคุยกับเขา

“เดี๋ยวก่อน” เขาพูดขึ้น หยุดผมที่กำลังจะเดินออกจากประตูไป “มี…ความสุขหรือเปล่า”

น้ำเสียงนั้นดูไม่มั่นใจ เหมือนกล้าๆ กลัวๆ ที่จะถาม ผมหันไปมองพ่อของตัวเอง เขาดูแก่และมีริ้วรอยมากกว่าครั้งสุดท้ายที่ผมจำได้

“มีความสุขมาก”

“ดีแล้ว ไว้--” พ่อสูดลมหายใจครั้งหนึ่ง ก่อนจะพูดออกมา “ไว้กลับมากินข้าวที่บ้านบ้างนะ”

ผมเม้มปาก พูดเรื่องที่ติดในใจเรื่องสุดท้ายออกไป

“ถ้าพ่อพูดประโยคนั้นออกมาเพื่ออยากให้ผมให้อภัยพ่อ ให้กลับมาเป็นพ่อลูกสุขสันต์เหมือนเดิม ผมทำไม่ได้ ผมให้อภัยพ่อไม่ได้ พ่อยังไม่รู้ตัวเลยว่าพ่อทำร้ายผมยังไง” ผมมองหน้าชายสูงวัยที่เหมือนจะแก่ลงไปอีกสิบปีด้วยคำพูดของผม

ผมเป็นคนจิตใจคับแคบ ให้อภัยกับถ้อยคำร้ายๆ ของพ่อไม่ได้ ให้อภัยที่พ่อทิ้งแม่ไม่ได้ แต่ที่ผมตัดสินใจจะเดินก้าวเท้าเข้าหาเขาก้าวนึง ผมทำเพื่อตัวเอง

“แต่ผมจะกลับมากินข้าวที่บ้านบ่อยๆ นะครับ”



K part

ผมไม่สามารถอธิบายใบหน้าของจินตอนที่ออกมาจากห้องนั้นได้เพราะมันบิดเบี้ยวจนน่าแปลก ผมทำได้แค่เดินเข้าไปกอดเขาให้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ หวังปลอบประโลมเขาสักนิด

“บอกไปแล้ว” เขากระซิบบอกผม

“มึงเก่งมาก” ผมลูบหัวเขาเบาๆ มองผ่านประตูไม้ซึ่งเปิดอ้า พ่อของจินยังยืนอยู่ตรงนั้น ดูโดดเดี่ยวอย่างบอกไม่ถูก

“ไปกัน”

“เดี๋ยวก่อน กูขอแปบนึง”

ผมไม่อาจทิ้งชายสูงวัยซึ่งดูโดดเดี่ยวแบบนี้ไว้ข้างหลังได้จึงฝากจ้าวให้ช่วยดูแลจินต่อ

“ขออนุญาตนะครับ” ผมเดินเข้าไปในห้องและปิดประตูไม้ลง ชายสูงวัยถึงขั้นทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ ใช้มือหนึ่งปิดใบหน้าของตัวเอง

“เด็กคนนั้นไม่ยอมยกโทษให้ฉันสินะ”

“ครับ”

“ทั้งๆ ที่ตลอดมาฉันหวังแต่สิ่งที่ดีที่สุดให้ โรงเรียนที่ดีที่สุด เส้นทางที่ลูกฉันก้าวเดินต้องไร้ขวากหนาม มันพังหมดตั้งแต่ลูกฉันได้มาพบกับแก”

“สิ่งที่ดีที่สุดที่จินไม่ต้องการมากกว่าครับ”

“หึ รู้มั้ย ฉันมองแกกับลูกฉันทีไร ก็เห็นแต่ภาพฉันกับแม่มันซ้อนทับขึ้นมา” ชายแก่เริ่มพร่ำพรรณนาถึงเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมา เรื่องที่คงไม่สามารถเล่าให้ใครฟังได้แม้แต่คนในครอบครัว

“แกเหมือนกับผู้หญิงคนนั้นมากเกินไป จินเอง ต่อให้อยากปฏิเสธยังไงแต่นิสัยเหมือนกับฉันจนเหมือนลอกกันมา รักกันหวานชื่นแล้วยังไง ความรักมันไม่อยู่ตลอดไป แต่อำนาจ ความสำเร็จ ชื่อเสียง มันจะติดตัวเราไปตลอด”

เสียงของเขาดูเหมือนแค่นออกมาจากลำคอ น่ากลัวเหมือนสัตว์ร้ายผุดขึ้นมาจากนรก

“พวกแกจะล้มเหลวเหมือนกับฉัน รักกันมากแค่ไหนนิสัยพวกแกมันเข้ากันไม่ได้ เด็กคนนั้นจะใช้วาจาทำร้ายคนที่รัก แต่ก็ตาบอดเกินกว่าจะเห็นว่ามันเป็นเรื่องผิด กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็สายเกินไปแล้ว”

เขากำลังพูดเรื่องของจิน แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนเขาเล่าเรื่องของตัวเอง

“กรุณาอย่าเอาเรื่องของตัวเองมายัดเยียดใส่คนอื่นครับ จินไม่ใช่คุณ ผมเองก็ไม่เหมือนภรรยาเก่าคุณ ชีวิตคู่คุณล้มเหลวไม่ได้หมายความว่าพวกเราต้องล้มเหลวตามไปด้วย”

“…”

“คุณเองรักจินมากกว่าใคร อาจจะมากกว่าผม มากกว่าทุกคนบนโลกใบนี้ เพราะงั้นถึงคิดว่าอยากให้สิ่งที่ดีที่สุดกับเขา อยากเห็นเขาขึ้นไปสูงกว่าใครๆ คุณคิดว่าความสำเร็จ ชื่อเสียง เงินทองคือสิ่งที่ทำให้เขามีความสุข แต่คุณลืมไปว่าความต้องการของคุณไม่ใช่ความต้องการของคนอื่น”

“เด็กคนนั้นไม่รู้ตัวหรอกว่าต้องการอะไร เขาเกิดมาบนกองเงินกองทอง ใช้ชีวิตสุขสบายไม่เคยขาดเงิน สักวันถ้าฉันไม่อยู่แล้ว---”

“ผมก็จะดูแลเขาครับ”

“…”

“ในอนาคตเราอาจจะหาเงินไม่ได้เยอะเท่าคุณ คุณอาจจะต้องอับอายถ้ามีใครรู้ว่าลูกคุณเป็นคนรักร่วมเพศแต่ว่า--”

“ไม่ ฉันไม่อายอะไรในตัวลูกของฉันทั้งนั้น” เขาขัดผม “ลูกของฉันทั้งคู่น่าภูมิใจที่สุด ฉันแค่…หวังว่าพวกเขาจะเติบโตในโลกที่อ่อนโยนกว่านี้ โลกที่จะไม่หัวเราะเยาะพวกเขาถ้าพวกเขาแปลกกว่าคนอื่น”

ผมเงียบ มองชายร้ายกาจที่บัดนี้เต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย

“รู้มั้ยครับ คำนั้นไม่ใช่ผมที่ควรฟัง คุณควรไปพูดให้ลูกทั้งสองคนของคุณฟังมากกว่า จินรักคุณมาก เพราะงั้นเขาถึงมีความสุขกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่คุณทำให้ แค่ข้อความจากคุณที่ถามเรื่องเกรด เขายังตื่นเต้นกับมันจนต้องมาปรึกษาผมว่าจะตอบยังไงดี เขาคาดหวังให้คุณชมเขาสักหน่อย พอคุณไม่ตอบกลับหลังจินบอกเกรด เขาเสียใจมาก คุณรู้มั้ยว่าเขานั่งจ้องหน้าจอโทรศัพท์ตลอด พอมีแจ้งเตือนเด้งขึ้นมาเขาทิ้งทุกอย่างในมือแล้วไปวิ่งไปหยิบโทรศัพท์ก่อนจะทำหน้าผิดหวังเพราะไม่ใช่ข้อความจากคุณ” ผมสูดลมหายใจเมื่อพูดมากเกินไป “คุณสองคนรักกันมากจนผมไม่เข้าใจว่ามันมาถึงจุดนี้ได้ยังไง”

พ่อของจินนิ่งเงียบไปแล้ว อดีตนักการเมืองที่บัดนี้กลายเป็นนักธุรกิจเต็มตัวมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย ริ้วรอยและวัยที่ปรากฎบนใบหน้าแสดงชัดว่าชายคนนี้ผ่านโลกมานานมากพอที่จะเข้าใจความโหดร้ายของมัน

“ผมขอโทษ แต่ผมรักเขา จินสอนให้ผมรักตัวเอง เขาสอนให้ผมมั่นใจในตัวเอง ผมเคยว่างเปล่า เชื่อว่าตัวเองไม่มีค่า เพราะอย่างนั้นผมถึงอยากได้ความรักจากคนอื่น แต่งตัวให้ดี ทำหน้าตาให้คนชอบ ทำนิสัยที่คนพอใจเพื่อให้คนพวกนั้นมอบความรักให้ผม แต่ได้มาเท่าไรมันก็เหมือนรั่วออกไป ผมไม่เคยพอใจ ผมพยายามหาความรักมาเติมให้ตัวเองตลอด แสร้งทำเป็นอะไรที่ไม่ใช่ตัวเอง พยายามให้คนห้อมล้อม ลูกของคุณสอนให้ผมรักตัวเอง เมื่อก่อนผมหวาดกลัวสังคม กลัวโดนสังคมทำร้าย กลัวการไม่เป็นที่รักจนได้แต่ทำตัวเองให้คนอื่นรัก แม้นั่นหมายถึงว่าผมจะต้องทำร้ายตัวเองก็ตาม เพราะฉะนั้นถ้าคุณจะอวยพรกับความรักของเรา จินคงจะมีความสุขมาก”

ผมโค้งตัวลงเป็นการขออนุญาต ไม่เงยหน้าจนกว่าจะได้ยินเสียงเขา

“เด็ก…” เขาเปรยออกมา โบกมือให้ผมออกจากห้อง

ผมได้แต่ค้างคากับคำขออนุญาตที่ไม่ได้รับการตอบรับอย่างตรงไปตรงมา ทว่ามันไม่สำคัญ

อย่างที่จินบอก พวกเราไม่จำเป็นต้องขออนุญาตจากใครเพื่อรักกัน



หลังจากเด็กหนุ่มเดินออกจากห้องไปแล้ว ชายสูงวัยก็ค่อยๆ ล้วงหยิบเอากระเป๋าสตางค์ออกมา

ภายใต้บัตรจำนวนมากที่ถูกเสียบไว้ มีรูปใบหนึ่งที่ถูกซ่อนไว้ลึกที่สุด เขาค่อยๆ หยิบมันออกมาอย่างทะนุถนอม

รูปใบนั้นเป็นรูปของหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังยืนยิ้มอยู่ เธอมีรอยยิ้มเจิดจ้าเหมือนพระอาทิตย์ เจ้าหล่อนกำลังยืนอยู่ริมชายหาด จับหมวกปีกกว้างใบใหญ่ไม่ให้หลุดเพื่อให้เขาถ่ายรูป

‘อย่าถ่ายสิคุณ หมวกฉันจะปลิวตามลมอยู่แล้วนะ’

‘ขอรูปเดียวคุณ ผมจะเอาไปลงสมุดบันทึกตั้งครรภ์ว่าพาเจ้าตัวเล็กมาเที่ยวทะเลครั้งแรก’

‘ลูกยังอยู่ในท้องฉันอยู่เลย คุณจะบ้าหรือเปล่า ขี้เห่อเกินไปแล้ว’

ทั้งเสียงหัวเราะ รอยยิ้ม ความอบอุ่นของแดดในวันนั้น เขายังจำมันได้อย่างชัดเจน

เรื่องที่เขาเคยทะเลาะกับเธอมันเป็นเรื่องอะไรนะ? อะไรที่ทำให้เราไม่ชอบใจกัน อะไรที่ทำให้เราเลิกกัน มาวันนี้เขาจำไม่ได้เสียแล้ว

เขาจำได้แต่เรื่องดีๆ ที่มีให้กัน ทำให้เขาสงสัยว่าเพราะอะไรในตอนนั้นเราถึงลืมความทรงจำเหล่านั้นแล้วเอาแต่ผูกใจเจ็บแค้นต่อกัน

ภรรยาของเขา ภรรยาคนแรก และจะเป็นคนเดียวที่รักมากที่สุด

คุณเลี้ยงลูกออกมาได้ดีจริงๆ ลูกของพวกเราในตอนนี้เติบโตเป็นคนที่แข็งแกร่งเหลือเกิน

ในยุคของเขา นักธุรกิจที่เคยเป็นอดีตนักการเมืองเคยเห็นเรื่องราวมามากมาย ความโหดร้ายของโลกใบนี้ที่พร้อมจะบดขยี้ทุกคนที่ไม่เหมือนกับตัวเอง

เขาเห็นคนมากมายที่หมดอนาคตเพียงเพราะรักเพศเดียวกัน คนหมดอนาคตเพราะโดนรังเกียจ คนที่หมดกำลังใจใช้ชีวิตอยู่เพราะตนเองเป็นคนแปลกแยก โดนทำร้าย กระทั่งโดนฆ่า

เขาไม่ต้องการให้ลูกเจออย่างนั้น จึงพยายามปกป้องโดยลืมไปว่าลูกนกในวันนี้แข็งแกร่งจนสามารถบินออกไปเผชิญโลกกว้างได้เองแล้ว

เขาไม่หวังอะไรกับโลกใบนี้แล้ว หลังจากที่ให้ความศรัทธากับอำนาจ เงินและชื่อเสียง แต่ตอนนี้เขาขออธิษฐาน แม้คนชั่วร้ายอย่างเขาจะไม่สมควรได้สมหวังกับคำขอนี้แต่ได้โปรด…

ขอให้โลกนี้เป็นโลกที่อ่อนโยนขึ้นอีกนิดหนึ่งเถอะ

เพื่อให้ลูกของเขาได้มีรอยยิ้มในทุกๆวัน



---------------------------------------------------

ตอนหน้าตอนจบแล้วนะคะ สรุปคงไม่ได้ทำหนังสือ เพราะไม่อยากเปิดพรี เราอยากเปิดสต็อคทำ50เล่ม แต่ด้วยจำนวนหน้า400+ก็คือค่าหนังสือเกิน350บาทแน่นวล แพงมั่ก

ตอนพิเศษจะลงตอนสาวน้อยเวทมนตร์ให้ ขอบคุณคุณขนมจีนแกงเขียวหวานที่คิดอะไรสนุกๆอย่างนี้มาให้เขียนนะคะ /ยิ้มร้าย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่18 UP! P.13[07/07]
เริ่มหัวข้อโดย: มะยองมะแยง ที่ 07-07-2019 07:05:17
ฉากเคลียร์กับพ่อมันดีมากเลย ไม่อยากให้จบบบบ :hao5: รอตอนพิเศษอย่างใจจดใจจ่อ :z1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่18 UP! P.13[07/07]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 07-07-2019 07:10:46
จะจบซะแล้ว...  :hao5:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่18 UP! P.13[07/07]
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 07-07-2019 08:58:20
รอๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่18 UP! P.13[07/07]
เริ่มหัวข้อโดย: GDNEE ที่ 09-07-2019 00:54:32
ฮือออ รัก
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่18 UP! P.13[07/07]
เริ่มหัวข้อโดย: yunnutjae ที่ 12-07-2019 23:42:57
ก็คือเข้าใจว่าพ่อรักและหวังดีอยากให้ลูกได้รับสิ่งที่ดีที่สุดแหละ แต่มาถึงจุดนี้ได้เพราะปัจจัยหลายอย่าง แต่ถ้าพยายามปรับจูนเข้าหากันได้ทีละนิดก็จะดี ครอบครัวยังไงก็ครอบครัวเนาะ ตัดไม่ขาดหรอก ไม่อยากให้จบเลย  :katai1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่18 UP! P.13[07/07]
เริ่มหัวข้อโดย: Wwavez ที่ 13-07-2019 02:21:00
เห้อรอดแล้วจ้าพ่อไฟเขียวแล้ว จะจบแล้วใจชั้นมันอ่อนยวบเลยนะ :z6:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่18 UP! P.13[07/07]
เริ่มหัวข้อโดย: MeiHT ที่ 14-07-2019 17:24:15
บทที่ 19 : จุดจบและจุดเริ่มต้น

Jin part

ผมกอดลาน้อง สัญญากับเจ้าตัวสูงโย่งว่าจะกลับมากินข้าวที่บ้านบ่อยๆ ทำเอาหน้ามันบานเป็นจานกระด้งจนอดไม่ได้ที่จะตบหัวมันเบาๆ เพราะอย่างนี้ไงถึงเกลียดเจ้าเด็กนี่ไม่ลง

หลังจากนั้นพวกเราก็ออกมาจากบ้าน มาพักที่บนชั้นสองของคาเฟ่กลางเมือง ผมกับเคย์ตัดสินใจจะพักก่อนที่พวกเราจะกลับไปที่มหาลัย

“งั้นเรื่องทั้งหมดก็จบแล้วสินะครับ” พี่พลยิ้มอ่อนแรง

“งั้นมั้งครับ ผมจบแล้ว ใครไม่จบก็ช่าง” ผมเลิกคิ้วพูดไม่ยี่หระ

“โชคดีที่เรื่องไม่ไปกันใหญ่” เรนพลิกหน้าหนังสือ เหตุผลที่หมอนี่ไม่ไปร่วมทัพตอนที่คนอื่นบุกไปคุยกับพ่อผมเพราะว่าพ่อของเรนดันเป็นเพื่อนสนิทของพ่อผมพอดี และมันดันกลัวพ่อตัวเองจนหัวหด

“หุบปากไปเลยไอ้คนขี้ขลาด”

“เฮ้ มึงก็ลองไปคุยกับพ่อกูสักชั่วโมงจะได้เข้าใจ ตาแก่นั่นน่ากลัวจะตายไป”

“เดี๋ยวพี่ลงไปทำเครื่องดื่มมาให้ทุกคนก่อนนะครับ”

วันนี้คาเฟ่ปิด พี่พลจึงไม่ต้องลงไปต้อนรับแขก ลงไปข้างล่างไม่นานเขาก็เอาเมนูโปรดของพวกผมขึ้นมาเสิร์ฟถึงที่ ผมรับเอาโกโก้ซึ่งมีมะตูมเผาเพิ่มกลิ่นอยู่ข้างบนมาจิบ

“ขอบคุณครับ” เคย์ตอบรับ ผมสังเกตเห็นว่าถ้าพี่พลกับเคย์ไปเดินด้วยกัน ต้องมีคนเผ่นป่าราบเพราะคิดว่าเป็นอันธพาลแหง

“เฮ้อ หมดเวลาบู๊พี่ก็ต้องทำงานต่ออีกแล้ว” สาวสวยหนึ่งเดียวที่ลาออฟฟิศเพื่อมาฉะกับพ่อผมนอนเหยียดบนโซฟาจิ้มแป้นคีย์บอร์ดอย่างเฉื่อยแฉะ

พี่พลนั่งลงตรงที่วางมือของโซฟา เขาเอื้อมมือมาโยกหัวผมเบาๆ พร้อมกับยิ้มดุๆ ซึ่งผมชินไปเสียแล้ว

“หมดเรื่องหมดราวเสียทีนะ”

ผมแอบเห็นสายตาแผดเผามาจากเคย์ เจ้าตัวจ้องเขม็งมาทางนี้อย่างไม่ปิดบังแรงหึงทำเอาเรนกลอกตามองบนขึ้นฟ้าแล้วทำเป็นไม่รับรู้ แต่พี่พลก็ยังเป็นคนความรู้สึกช้าที่อ่านบรรยากาศไม่เป็น จึงไม่ยอมละมือจากหัวผมเสียที

“อือ หลังจากหนีตามผู้ชายไปก็ได้คิดอะไรดีๆ เพียบเลย” ผมเอ่ยเชิงล้อเล่น

เขาโยกหัวผมด้วยท่าทีเหลืออด

“เดี๋ยวผมไปก่อนแล้ว โชคดีนะครับ” ผมเอ่ยขอบอกลา วางแก้วใบโปรดไว้บนโต๊ะแล้วกวักมือเรียกเคย์ก่อนจะเซเพราะแรงโถมจากใครบางคน

“โชคดีนะคะน้อง” เป็นพี่มิ้นต์ที่กอดผมแน่น ก่อนที่ชายหนุ่มผู้ดูแลคาเฟ่จะเดินเข้ามากอดพวกเราอีกทอด

“ขอให้เป็นความรักที่มีความสุขนะครับ”

เรนพ่นลมทางจมูกจนได้ยินเสียงหึ ก่อนจะเดินเข้ามากอดผม

“เจ้าโง่ มึงรู้ว่าถ้ามีเรื่องอะไรมึงทักกูมาได้เสมอ”

ผมรู้สึกได้ถึงน้ำตาอุ่นๆ ที่ไหลไปตามหน้า ผมทั้งหัวเราะทั้งร้องไห้ รู้สึกโชคดีเหลือเกินที่ถึงแม้จะไม่มีแม่แล้ว และไม่มีครอบครัวที่ปรึกษาได้ยามยาก ผมกลับมีกลุ่มคนที่พร้อมจะช่วยเหลือกันและกันยามลำบาก

ในรั้วมหาลัย ผมอาจไม่ค่อยได้กลับมาสถานที่แห่งนี้ ผมอาจจะใช้ชีวิตวัยรุ่นไปกับการผจญภัย แต่ผมรู้ว่าเมื่อไรที่ผมเหนื่อย

ผมมีสถานที่ให้กลับมาได้เสมอ



“เป็นคนดีจังเลยนะ” เคย์เปรย

“อือ ทุกคนเลย กูโชคดีที่แม่ไปรวบรวมคนดีๆ ขนาดนี้”

“ดีแล้ว” สายตาของเคย์ระยิบระยับจนผมอดยิ้มไปด้วยไม่ได้

“กลับห้องกัน” ผมคิดถึงเตียงอุ่นๆ กับการกลิ้งไปมาภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันเสียแล้วสิ

“อือ ต้องกลับไปอ่านหนังสือด้วย” รูมเมทของผมก้มหน้าซบพวงมาลัยอย่างเหนื่อยอ่อนเมื่อคิดถึงไฟนอลที่กำลังรออยู่

“เวรเอ๊ย อย่าเพิ่งพูดเรื่องไฟนอลได้มั้ย”

“จิน เราย้ายออกกันเถอะ”

“หือ?”

“หลังจบปีแรก กูไปลองหาหอแล้ว ปีสองเราไปอยู่หอนอกกันเถอะ”

“อยู่ด้วยกัน?”

“แหงสิ!” เคย์เบิกตาโต จิ้มหน้าผากผม “เรื่องแบบนี้ยังต้องถามอีกเหรอ”

ผมเผลอหัวเราะ จ้องมองคนที่หน้ามุ่ยไปแล้ว

“อยู่กับกูจะดีเหรอ กูปากร้ายนะ ใจร้ายด้วย” ผมแหย่

“อือ แต่ก็รักไปแล้วมั้ย”

“ไอ้หมาโง่! พูดเรื่องแบบนี้ออกมาได้เต็มปาก” ผมโวยวาย หน้าร้อนกับประโยคที่เขาพูดออกมาอย่างไม่ทันตั้งตัว

“มึงรู้มั้ยว่ากูคุยอะไรกับพ่อมึง” เขาสบตาผม ระบายยิ้มอ่อนๆ เจิดจ้าเหมือนยามเช้า

“รายงานมาสิ” ผมเลิกคิ้ว รอฟังเรื่องที่น่าจะทำให้รอยยิ้มผมกว้างขึ้นไปอีก

“กูบอกพ่อมึงว่าทำไมกูถึงรักมึง ตอนแรกที่เข้าหากูไม่ได้รักมึงแบบว่ารักเลยหรอกนะ มันคือความชอบความสนใจ แบบว่าถ้าเป็นคนคนนี้ล่ะก็คงให้ความรักในแบบที่กูต้องการได้แน่ๆ” เคย์ยิ้มสมเพชตัวเอง “กูแค่อยากให้มีคนรักกูเยอะๆ แต่ก็ไม่กล้าเผยตัวตนจริงๆ ของตัวเองเกินไป กูกากจะตาย เรียนก็ไม่เก่ง ไม่มั่นใจในตัวเอง แต่ก็พยายามทำตัวให้ดูดีเกินจริงเพราะอยากให้ทุกคนประทับใจ พอเห็นมึงที่แน่วแน่กับสิ่งที่ตัวเองชอบ กูก็คิดว่า ถ้าเป็นความรักจากมึงล่ะก็คงทำให้กูเต็มได้แน่นอน”

“แล้วยังไงต่อ”

“แต่มึงสอนให้กูมั่นใจในตัวเอง ตอนกูหวั่นไหวกับคำพูดโค้ช มึงก็บอกให้กูมั่นใจในตัวเอง ถ้ากูมัวแต่ฟังคำของคนรอบข้างจนไขว้เขว กูจะจบลงที่การเลิกล้มความพยายามนั่นไป กูฟังแต่คนรอบข้างจนไม่ได้ฟังเสียงของตัวเอง ตอนที่กูรักตัวเอง คือตอนที่กูรักมึง”

“…”

“กูเหมือนภาชนะก้นรั่ว เพราะกูรักตัวเองไม่เป็น จึงรักใครไม่ได้ ความรักจากคนอื่นมันไม่พอ แต่ตอนที่กูรักตัวเอง กูไม่ต้องรอความรักจากใคร มันมาจากตัวกูเองได้ และกูก็มีมันเหลือให้คนอื่น และกูให้ทั้งหมดนั่นกับมึง”

เคย์เอื้อมมือมาเกลี่ยแก้มผมพร้อมยิ้มออกมาเหมือนกำลังมองของล้ำค่า

“หลายๆ เหตุการณ์มึงอาจจะคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ มึงแค่สอนกู มึงอาจจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามึงสอนอะไรกูบ้าง แต่กูจำได้ทุกประโยค และมันช่วยกูไว้ ขอบคุณนะ”



พวกเรากลับมาถึงห้องพักหลังจากนั้นไม่นาน แน่นอนว่าเพราะไม่มีเรียนทั้งคู่ จึงไม่มีเพื่อนๆ โทรตามหรือส่งข้อความมา พวกเราเองหลังกลับมาก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอ่านหนังสือเตรียมสอบใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน

เท้าของพวกเราปัดเกี่ยวกันไปมา จนสุดท้ายรูมเมทผมก็หัวเราะแล้วรวบตัวผมนอนกอด จนลงท้ายที่พวกเรานอนกลิ้งเกลือกกันในผ้าห่มจนมันพันตัวเราเป็นดักแด้

ผมยืดตัวไปจูบปลายจมูกเขา และได้รับรางวัลเป็นใบหน้าแดงจัดจากเคย์

“คนกาก” ผมแซว บิดปลายจมูกโด่งนั่นอย่างเอ็นดู

“อย่าแซวสิ” เขาหลบตาผม แสร้งเอาชีทมาอ่านต่อ

“หนีทหาร กากจริงๆ เจ้าหมาโง่”

“…แต่เป็นหมาโง่ให้มึงคนเดียวนะ”

ขยันหยอด!

ผมฟึดฟัดใส่คนที่พัฒนาเลเวลขึ้นไปทุกที

“จิน เป็นแฟนกันเถอะ”

“…”

“กูอาจจะไม่สามารถป่าวประกาศกับโลกว่าเป็นแฟนกับมึงได้ ไม่สามารถขึ้นสเตตัสบอกทุกคน อาจจะมีแค่เพื่อนๆ เราที่รู้ แต่อย่างน้อยกูก็อยากทำให้มันชัดเจน”

ผมเหลือบมองใบหน้าเขา ก่อนจะพ่นลมหายใจพรู

ผมไม่ต้องการให้โลกรู้และเข้าใจข้อจำกัดของโลกดี

การเป็นเกย์หรือมีคนรักเพศเดียวกันเป็นเรื่องหนักหัวของคนรอบข้างเสมอ

“ได้ เป็นแฟนกัน” ผมซบหน้ากับหมอน บอกเขาด้วยรอยยิ้มและได้รับการตอบกลับเป็นรอยยิ้มกว้างจนเห็นฟันเขี้ยวของเจ้าตัว

“อือ ทำไงดี อยากบอกคนอื่นจัง บ้าเอ๊ย ถึงเวลาแล้วกูดีใจสุดๆ เลย”

“อะไรกันล่ะนั่น” ผมหัวเราะใส่คนที่เอาหมอนปิดหน้าเหมือนเป็นสาวน้อย

ผมไม่เคยฝันอยากมีความรักแต่โลกดันเหวี่ยงคนคนหนึ่งมาให้ผม เขาดูเป็นคนเข้าถึงยาก ไว้ตัวและเป็นคนละประเภทกับผมโดยสิ้นเชิง แต่จริงๆ แล้วข้างในตัวตนแสนดูดีกลับเป็นผู้ชายกากๆ คนหนึ่ง

ผมนิสัยเสีย ซ้ำยังมีดีแค่หน้าตาน่ารัก แต่กลับมีคนคนหนึ่งชอบผมเสียขนาดยอมเจ็บเพื่อผมได้

ผมช่างเป็นคนที่โชคดีเหลือเกิน

ไม่รู้ว่าในอนาคตพวกเราจะไปในทิศทางไหน มันอาจจะจบไม่ดี พวกเราอาจเข้ากันไม่ได้ หรืออาจจะเป็นแฮปปี้เอนดิ้งตลอดไปอย่างในนิทาน

แต่ไม่ว่าเรื่องอะไร แค่เห็นรอยยิ้มในตอนนี้ของเคย์

ผมรู้สึกว่ามันคุ้มค่า



The END





----------------------------------------------

จบแล้ว ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันจนสุดทางนะคะ เดี๋ยวตอนพิเศษชุดสาวน้อยเวทมนตร์กำลังจะมาแล้วค่ะ อิ___อิ
สถานีต่อไปคืออีบุ๊คค่ะ สงสัยต้องใส่warningไว้เยอะเพราะเรทกว่าที่ลงในเล้าเยอะ T-T
ทั้งcaged, non-con, Feminization เยอะ555555555555555555555555
สุดท้ายนี้ เราชอบผู้ชายใส่กระโปรงมากๆเลยค่าาาาาาาาาาาา ในอนาคตอยากเขียนอีกกกกกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่19 [จบ] P.13[14/07]
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 14-07-2019 18:22:21
เคย์เป็นคนกาก ๆแต่โคตรคูลเลยน้าา ทำไมอ่านตอนจบแล้วน้ำตาไหลอ่ะ แง้ ดีใจกับจินด้วย สงสารพ่อจินด้วย แต่จบได้แฮปปี้มากเลยค่ะ ชอบแนวนี้เหมือนกันค่ะ ผช.ใส่กระโปรงเป็นน่ารักมาก จะรอติดตามต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่19 [จบ] P.13[14/07]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 14-07-2019 21:16:44
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่19 [จบ] P.13[14/07]
เริ่มหัวข้อโดย: มนุษย์บิน ที่ 15-07-2019 21:55:56
พี่เคย์ไม่ใช่หมาโง่น้าาานางคือหมาอัพเกรดแล้ว จินโชคดีเลยนะได้ผู้ชายที่รักตัวเองขนาดนี้ ถึงพ่อจินจะชั่วแต่จินมีผช.คนนี้มาทดแทนแล้วนะลูก จะกลางเรื่องยันจบก็เหมือนพ่อจินแทบคิดห่าไรไมไ่ด้เลยงงมาก ทำกับแม่จินได้ทุเรศมากเศษเดนที่แท้ทรูทิ้งผญ.ที่เป็นแม่ของลูกเพื่ออำนาจทำร้ายลูกตัวเองทั้งเป็นเพื่อหน้าตาเราไม่เคยเข้าใจความรักแบบนี้เพราะเราถือว่านี่ไม่ใช่นิยามความรักเลยมันคือความเห็นแก่ตัวภาวนาให้รีบแ่กตายลงโลงไปเถอะอย่ามาเป็นภาระลูก ขอให้ชีวิตจินทีนี้มีแต่สิ่งดีๆนะลูก
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่19 [จบ] P.13[14/07]
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 16-07-2019 11:58:46
จบแล้ว แฮปปี้~
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่19 [จบ] P.13[14/07]
เริ่มหัวข้อโดย: Wwavez ที่ 19-07-2019 02:39:52
จบแล้วอ่า จะร้องไห้งอแงมากไม่อยากจบ55555 เขิลมากหมาโง่กับจินน้อยเป็นแฟนกันสักที รอตอนพิเศษเลยค้าบ รออีบุ้คด้วย :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่19 [จบ] P.13[14/07]
เริ่มหัวข้อโดย: NormalVee ที่ 20-07-2019 11:46:36
ดีใจที่จบดี เคย์กับจินเป็นคู่รักที่บันเทิงและอบอุ่นมากจริง ๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่19 [จบ] P.13[14/07]
เริ่มหัวข้อโดย: angelninae ที่ 20-07-2019 12:47:11
น่ารักมากทุกๆคนในเรื่อง ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆนะคะ  :กอด1: รอๆตอนพิเศษ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่19 [จบ] P.13[14/07]
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 22-07-2019 18:10:27
แงงงงง ซึ้งอ้ะะะะ น้ำตาไหลแบบฮึบแล้วก็ยังไหลอยู่ ไม่ได้เตรียมใจว่าจะถึงโหมดซึ้งแบบนี้
ฉากที่พ่อหยิบรูปแม่จินมาดูแล้วรูปนั้นมีจินอยู่ในท้องแม่ คือแบบน้ำตาไหลเลยจ้า ยิ่งเจอตอนกอดกับน้องเจ้า แล้วก็กอดกับพี่ๆกับเรนคือแบบอบอุ่นมากๆๆๆๆ ร้องไห้จนต้องหาทิชชู่อ่ะ

ขอบคุณคุณนักเขียนนะคะ มีความสุขมากๆที่ได้อ่านเรื่องราวของจินและเจ้าหมา ขอบคุณมากๆนะคะ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่19 [จบ] P.13[14/07]
เริ่มหัวข้อโดย: มะยองมะแยง ที่ 26-07-2019 13:45:07
ในที่สุดก็จบลงด้วยดี ขอบคุณนะคะ  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่19 [จบ] P.13[14/07]
เริ่มหัวข้อโดย: YYuiiiiuYY ที่ 27-07-2019 08:34:50
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ รออุดหนุนอี-บุ๊คค่าา  o13
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่19 [จบ] P.13[14/07]
เริ่มหัวข้อโดย: GDNEE ที่ 30-07-2019 10:37:38
ฮืออ จะรอซื้อนะคะ ดีมากเลยย :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่19 [จบ] P.13[14/07]
เริ่มหัวข้อโดย: Kx0806 ที่ 03-08-2019 12:34:50
อ่าน 7ตอนรวดเลย จบแล้วต้องคิดถึงทั้งคู่มากแน่  :sad4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่19 [จบ] P.13[14/07]
เริ่มหัวข้อโดย: MeiHT ที่ 03-08-2019 23:06:53
(https://i.pinimg.com/564x/f6/64/fb/f664fb2982a97ef39835d688b0b42e80.jpg)

ชุดสาวน้อยเวทมนตร์

content warning!! : มีการใช้คทาเวทมนตร์ผิดจุดมุ่งหมาย, non-con, role-play


Cosplay 10 : สาวน้อยเวทมนตร์

K part

“เฮ! เฮ!” เสียงเชียร์ดังลั่นไปทั่วบริเวณ กลุ่มคนจำนวนมากอัดกันในฮอลล์แคบๆจนได้กลิ่นเหงื่อประจำตัวของพวกชายฉกรรจ์ จนชายหนุ่มคนหนึ่งถึงขั้นต้องย่นจมูกอย่างหงุดหงิด

เห็นได้ชัดว่าคนในฮอลล์ถูกอัดแน่นไปด้วยชายรูปร่างท้วมจำนวนมาก พวกเขาล้วนใส่แว่นและเสื้อยืดสาวน้อยพะยี่ห้อโอตาคุมาอย่างเต็มเปี่ยม ยิ่งปลอกหมอนสกรีนลายสาวน้อยเวทมนตร์ที่เสื้อผ้าหลุดลุ่ยยิ่งทำให้คนพวกนี้ดูเหมือนมนุษย์คลั่งเข้าไปใหญ่

ใช่แล้ว ที่นี่คือโอนลี่อีเว้นท์ของอนิเมเรื่องมาเป็นสาวน้อยเวทมนตร์ด้วยกันเถอะ~

และท่ามกลางพวกบุคคลที่พะยี่ห้อโอตาคุทั้งหลาย มีผู้ชายคนหนึ่งกำลังยืนกอดอกทำหน้าดุร้าย ชนิดที่ว่าคนในฮอลล์ถึงขั้นยืนห่างจากเขาเป็นวงกลม

“ใครน่ะ” ใครบางคนกระซิบถาม

“พวกตำรวจป่ะวะ แม่งไม่เหมือนคนมาโอนลี่อีเว้นท์เลย”

พวกคนที่ยืนรอบๆซุบซิบอย่างไม่ไว้วางใจ แหงล่ะสิ ใครมันจะไปวางใจไอ้บ้าตัวสูงโย่งที่รูปร่างเหมือนคนในโลกอีกฝั่งหนึ่งกัน

โอตาคุที่ไหนเขาจะออกกำลังกายจนแขนมีมัดกล้าม! ไหนจะทรงผมปาดทันสมัยกับใบหน้าคมดุที่ดูยังไงก็แตกต่างออกมาจากชนชั้นโอตาคุอย่างพวกเขากัน!

ขอโทษทีนะ แต่โอตาคุก็มีศักศรีดิ์ของโอตาคุ เพราะงั้นไอ้บ้าห้าร้อยที่ทำตัวแตกต่างจากพวกเขามายืนในสถานที่ศักสิทธิ์อย่างโอนลี่อีเว้นท์น่ะ ออกไปเลย!

 “โรคจิตแฟนของคอสเพลเยอร์คนไหนหรือเปล่า”

“ไม่ได้การ! เราต้องบอกพวกสตาฟแล้ว หมอนี่น่าสงสัย!”

คนที่น่าสงสัยน่ะมันคุณคนแรกเลยโว้ย!

นั่นคือสิ่งที่ผมคิด แต่ไม่ได้พูดออกไปหรอกนะ ที่ผมทำมีแค่ยืนกอดอกทำตาดุต่อไปเท่านั้น

ใช่ครับ ผมชื่อเคย์ ตอนนี้เป็นนักศึกษาคณะนิติปี2 และยังเป็นโอตาคุตัวพ่อสำหรับวงการแอบคุอยู่บ้าน

แต่สาเหตุที่ผมต้องลากเท้าออกมาในงานโอนลี่อีเว้นท์ที่น่ากลัวว่าจะมีคนที่รู้จักผมอยู่นั่นก็เพราะว่า…

วันนี้แฟนผมออกมารับอีเว้นท์คอสเพลย์ที่นี่น่ะสิ!!

ใครมันจะพลาดโอกาสกัน ผมเคลียร์เมมมือถือมาเพื่อถ่ายเขาอย่างเดียวเลยนะ

ท่ามกลางเหล่าแฟนที่กำลังรอคอยคอสเพลเยอร์อย่างใจจดใจจ่อ ผมทำได้แค่ตีหน้าขรึมเหมือนทั้งหมดนี่ไม่มีอะไรเกี่ยวกับผมเท่านั้นเอง

แต่ทันใดนั้น ไฟก็ดับลง พร้อมกับสปอตไลท์ที่ฉายชัดไปยังเวที

“ไปสู่ดวงดาวนั้นกันเถอะ~ วิ้ง! เพราะเราคือสาวน้อยเวทมนตร์~” เสียงร้องเพลงเปิดOPของอนิเมดังขึ้นพร้อมกับเหล่าคอสเพลเยอร์ที่ค่อยๆเดินออกมา

“ซายะจังงงงงง”

“โอ้ ท่านฮิเมะซามะ!”

“แทร็ปจงเจริญ!!!!”

ทันทีที่สาวน้อยเวทมนตร์ผมสีชมพูในชุดซึ่งมีสายรัดหนังตามตัวเดินออกมาจากหลังเวที เสียงโห่ร้องก็ดังขึ้นอย่างถล่มทลาย สาวน้อยคนนั้นมีใบหน้าเย่อหยิ่ง มองคนข้างล่างเวทีเหมือนมองมดปลวก

ผมกัดริมฝีปาก อุดเสียงร้องตัวเอง

น่ารักเกินไปแล้วววว บ้าเอ๊ย เซ็กซี่มากเลย สายรัดหนังเหรอ รองเท้าบู๊ตส้นสูงนั่นมันอะไรกัน ดาเมจเกินไปแล้ว ตรงถุงน่องสีดำนั่นล้อแสงไฟจนเห็นผิวเนื้อข้างใต้ลางๆ

อนิเมเรื่องมาเป็นสาวน้อยเวทมนตร์กันเถอะ~ ทำเพื่อขายโอตาคุชายโดยเฉพาะ ทั้งๆที่ตัวลายเส้นอนิเมควรขายได้ทั้งชายและหญิง ยังไงก็ตาม เพราะอย่างนั้นตัวร้ายของอนิเมเรื่องนี้จึงเป็นสาวน้อยเวทมนตร์ที่มีความดาร์คในตัวเองสูง แถมยังใส่เสื้อผ้าวับๆแวมๆชวนให้จิตใจเต้นตึกตักจนน่าโมโห แถมทั้งๆที่เสื้อผ้าน่าเซนเซอร์แต่มันกลับอยู่บนร่างของสาวน้อยที่ตามข้อมูลออฟฟิเชียลแล้วยังไม่ถึง18

หน้าอกแบนราบของจินไม่ได้รับการเสริมแต่ง เพราะตามบทเทียร่าที่เป็นตัวร้ายค่อนข้างขึ้นชื่อเรื่องอกแบน แถมใบหน้าน่ารักของเจ้าตัวยังเหมือนเวอร์ชั่นปกติจนน่าแปลก

แต่ก็ไม่แปลก จินเหมือนเทียร่าถอดแบบออกมาชัดๆ

“หุบปากนะเจ้าพวกไพร่ มดปลวกอย่างแกมีสิทธิ์อะไรเปล่งเสียงออกมาให้ฉันฟัง น่ารำคาญ”

“ว้ากกกกกกกกก” คราวนี้ผมร้องอย่างบ้าคลั่งเมื่อแฟนผมใช้สายตาหยามเหยียดแถมยังพูดประโยคนั้นผ่านไมโครโฟน

เหล่าโอตาคุรอบๆตัวผมก็ส่งเสียงอย่างบ้าคลั่ง หันมายกนิ้วโป้งให้ผม

อ่า นายก็เป็นคนของโลกทางนี้ใช่มั้ยสหาย

ผมได้ยินเสียงจากในใจของโอตาคุซึ่งตบไหล่ผม

ใช่แล้วล่ะสหาย

ผมตอบเขาด้วยสายตา

พวกเรากอดคอกันมองจินซึ่งเดินบนเวทีด้วยกายเหยียดตรง เสื้อรัดรูปกับกระโปรงพลีทสีชมพูตัวสั้นกุดทำเอาพวกผมกลืนน้ำลายเอื๊อกทุกครั้งที่เขาเดิน

หะ…หวงเว้ย!

ผมมองชายกระโปรงซึ่งแค่พอปิดก้นด้วยอาการจ้องจนเส้นเลือดในตาแทบจะขึ้น ต่างจากคนข้างๆที่มองตาเป็นประกาย

อย่างมองนะไอ้โอตาคุหื่นกาม!

บ้าเอ๊ย แต่พูดอย่างนั้นก็เข้าตัว ผมมันก็โอตาคุหื่นกามเหมือนกัน

“หึ ปกติแล้วฉันน่ะไม่ยอมมาทำแบบนี้ให้ใครดูหรอกนะ ถือเป็นบุญตาของพวกแกแล้วเจ้าหมูสกปรก” จินซึ่งอยู่บนเวทีเท้าสะเอว สวมบทบาทได้อย่างไรที่ติ เจ้าตัวถือคทาเวทมนตร์ของตัวเองโบกไปมา

ผมได้ยินเสียงโห่ร้องของคนในฮอลล์ สมกับที่เขาเคลมตัวเองว่าเป็นคอสเพลเยอร์อันดับหนึ่ง นี่มันอย่างกับโอนลี่อีเว้นท์แฟนๆของจินชัดๆ

คอสเพลเยอร์บนเวทีเริ่มร้องเพลง ในขณะที่เทียร่า สาวน้อยเวทมนตร์ตัวร้ายที่ได้รับความนิยมจากแฟนๆที่สุดเริ่มหมุนด้วยท่าทางอันเป็นเอกลักษณ์ในตอนแปลงร่าง จนในที่สุดเขาก็ทรุดนั่งลงไขว้ห้างที่ขอบเวทีแล้วใช้รองเท้าบู้ตเชยคางโอตาคุคนหนึ่งที่ยืนโบกแท่งไฟอย่างบ้าคลั่ง

“จงเป็นเกียรติที่ฉันคนนี้ยอมให้เจ้าหมูสกปรกไร้ค่าอย่างแกแตะโดนรองเท้าบู้ตของฉัน”




Jin part

หลังจากที่ทำงานเสร็จแล้ว ผมก็ถึงเวลาบอกลาเพื่อนๆชาวคอสเพลย์ พร้อมกับเดินออกจากหลังประตู สอดส่ายตาหาเจ้าหมาเคย์ที่บอกว่าจะมารอพร้อมกับชุดสำหรับเปลี่ยนและสัมภาระทั้งหมดที่เจ้าตัวอาสาแบกให้

แต่จนแล้วจนรอดผมก็ไม่เห็นใครจนหงุดหงิด แต่แล้วอยู่ดีๆรถตู้สีดำคันหนึ่งก็พุ่งเข้ามาหยุดตรงหน้าผม ชายตัวสูงใหญ่คนหนึ่งเดินลงมาจากรถ แขนข้างเดียวของเขาโอบเอวผมอย่างรวดเร็ว

ผมตั้งสติไม่ทัน รู้ตัวอีกทีก็โดนหิ้วขึ้นมาบนรถแล้ว ผมมองคนข้างๆซึ่งบัดนี้เข้าใกล้จนเงาร่างบดบังผมไปเรียบร้อยแล้ว

นี่ผม…โดนลักพาตัวเหรอ

ชายหนุ่มคนนั้นใช้มือข้างเดียวก็กดให้ผมอยู่ใต้อาณัติเขาได้สบายๆ ผมยกขาตีอีกฝ่าย แต่ด้วยรูปร่างที่ต่างกันเกินไปทำให้เขาไม่สะเทือนแม้แต่น้อย

“หยุดก่อน! นายเป็นแฟนโรคจิตเหรอ ผมไม่ใช่เทียร่านะเจ้าบ้าเอ๊ย!” ผมเคยได้ยินเรื่องของแฟนตัวละครโรคจิตที่อยากทำอะไรกับตัวละครแต่ไปลงกับเลเยอร์มาเยอะ

แต่ว่าเขากลับทำเหมือนไม่ได้ยินผม แถมยังโถมตัวใหญ่ๆทาบทับตัวผมไว้จนกระดิกตัวไม่ได้

“เฮ้ ขับรถไปตรงเปลี่ยวๆนะ” เสียงจากข้างหน้าดังขึ้นก่อนที่รถจะเคลื่อนตัว

มีสองคนเหรอ

ผมเหงื่อตก มองชายหนุ่มตัวสูงใหญ่ซึ่งกำลังบดเบียดกายแนบตัวผมอยู่ แถมอะไรๆของเจ้าหมอนี่ก็กำลังร้อนแถมยังเบียดต้นขาผมอีก

“เงียบๆไว้แล้วจะไม่เจ็บตัวมาก” ลมร้อนๆพร้อมกับถ้อยคำถูกกระซิบข้างหูผม

“เอ้า กูจอดไว้ตรงนี้นะ ไปก่อนล่ะ” หลังจากที่ได้ยินเสียงจากข้างหน้าอีกรอบ ก็มีเสียงเปิดประตูรถและคนเดินลงไป หลังจากนั้นก็เหลือแค่เราสองคนในรถตู้ข้างหลังซึ่งมีพื้นที่เหมือนไว้ใช้คนของ

ไม่สิ ในกรณีนี้คือรถตู้ที่ไว้ใช้ลักพาตัวต่างหาก

คนบนตัวผมหยัดกายขึ้นเล็กน้อย แท่งเนื้อภายใต้กางเกงของเจ้าตัวดูใหญ่เสียจนนูนชัดขึ้น เขาปลดมันออก ดีดผึงจนตีกับต้นขาผม

ผมขดตัวยามอีกฝ่ายเลียใบหูผมพร้อมกับเอาไอ้นั่นมาถูตรงต้นขาด้านในจนรู้สึกถึงความเปียกแฉะที่ต้องเป็นคราบบนถุงน่องแน่ๆ

“นี่! เดี๋ยว! จะทำอะไรน่ะ” ผมประท้วงเมื่ออีกฝ่ายหยิบเอาคทาเวทมนตร์ซึ่งเป็นพร็อบออกมาพร้อมกับขวดเจล เจ้าคนลักพาตัวไม่ตอบอะไร เพียงแค่เปิดขวดเทเจลนั่นชโลมทั่วด้ามของคทา

ผมเห็นท่าไม่ดี จึงกระถดตัวหนี แต่กลับโดนกระชากข้อเท้าพรืดเดียวลากให้มานอนหงายใต้ร่างคนตัวใหญ่เหมือนเดิม

“สาวน้อยเวมทนตร์ก็ต้องคู่กับคทาสิเนอะ” เจ้าโจรจับหัวคทาชูขึ้นมาด้วยท่าทางน่ากลัว มือใหญ่ๆของเขาสอดเข้าใต้กระโปรงของผม สัมผัสต้นขาผมอย่างจาบจ้วง เขาดึงทึ้งถุงน่องผมอย่างแรงจนได้ยินเสียงดังแควก

“หยุด!” มือทั้งสองข้างของผู้บุกรุกกำลังล้วงเข้าใต้กระโปรงคอสเพลย์ฟู่ฟ่อง ผมมองไม่เห็นข้างล่างแต่จู่ๆก็รู้สึกถึงความเย็นของโลหะกับเจลแตะตรงแท่งเนื้อของตัวเองจนต้องหุบขาเข้าหากัน แต่มือแข็งแรงก็จับขาผมฉีกออกอีกครั้งซ้ำยังเล่นสนุกกับข้างล่างของผมด้วยสีหน้าโรคจิตจนผมต้องปิดหน้าตัวเองหนีความจริง

ชายหนุ่มนักลักพาตัวใช้ด้ามคทาหยอกล้อกับส่วนนั้นที่ชูชันของผม ทั้งเขี่ยหัวเล่น ไล่ปลายโลหะเย็นเฉียบไปตามความยาวในขณะที่มืออีกข้างก็ขยำเนื้อตรงขาอ่อนไม่หยุด มันจับเท้าผมให้จ่อตรงแท่งเนื้อตัวเอง

“ใส่แพนตี้ตัวแค่นี้? จริงๆแล้วคงอยากให้แฟนคลับเห็นล่ะสิ”

ผมขยับเท้าปรนเปรอท่อนเนื้ออีกฝ่ายด้วยความชำนาญ อารมณ์พุ่งสูงหลังจากได้ยินคำดูถูก

“คง…หวังให้มีแฟนคลับโรคจิตสักคนลากกูมาข่มขืนมั้ง?”

ชายหนุ่มตัวโตฉีกยิ้ม บอกไม่ถูกว่าแง่ดีหรือไม่ดี เขารูดแพนตี้ผมทิ้ง พลิกตัวผมให้นอนคว่ำแล้วเอาคทาโลหะเย็นๆซึ่งถูกชโลมด้วยเจลถูไปตามร่องก้นจนทางเข้าผมเยิ้มแฉะ

“ตรงนี้ดูท่าจะเข้าง่ายเชียว?”

“ไม่ได้ง่ายขนาดจะเอาทั้งหมดนั้นเข้าไปครั้งเดียวนะ! อ๊า!....อึก” ผมยังไม่ทันประท้วงเสร็จเขาก็กระทุ้งคทานั้นเข้ามาในตัวผม ผมแหงนหน้าเริ่ด ทั้งเจ็บทั้งเสียวบอกไม่ถูก

“ไม่ได้? แต่เหมือนตรงนี้ก็รับมันเข้าไปหมดได้ทีเดียวนะ” เขาว่าแล้วขยับมือใช้คทาคว้านภายในตัวผม ปลายเท้าผมจิกเกร็ง สูดหายใจลดความอึดอัด

“เดี๋ยวก่อน…อ๊ะ…ขยายมากกว่านี้หน่อย…อย่าเพิ่--!!” ผมอ้าปาก แต่ไร้เสียงออกมา ตัวสั่นเมื่อคนข้างหลังกระทุ้งคทาเข้าไปลึกมากขึ้นจนโดนจุดจุดนั้น

“ตรงนี้?” เขาขยับหมุนแท่งเหล็กนั่นให้ย้ำจุดนั้นซ้ำๆ ความรู้สึกเสียวตีรวนจนน้ำตารื้นไปหมด ผมส่ายหน้าเป็นเชิงไม่ไหว พยายามคลานหนีไปทางประตูรถจนรู้สึกได้ว่าแท่งเหล็กมันค่อยๆเลื่อนหลุดออกไปทีละน้อย แต่ยังคลานหนีได้ไม่เท่าไร มารร้ายข้างหลังก็ไม่ยอมปล่อยให้ผมไปไหน

มือแข็งเหมือนคีมเหล็กจับข้อเท้าผมลากกลับมาที่เดิม เจ้าคทาเหล็กที่เกือบจะเลื่อนหลุดถูกเสียบเข้ามาลึกขึ้น

“อ๊ะ…อ้า…สะ…เสียว มัน….” ผมซบหน้ากับพื้นรถ ไม่สามารถขยับเขยื้อนตัวได้ รู้สึกอับอายที่มีอารมณ์เพราะเพราะโดนบังคับ หนำซ้ำสภาพตอนนี้ที่สวมชุดคอสเพลย์ โดนถลกกระโปรงขึ้นโก่งโค้งโชว์ก้นเปล่าเปลือยซึ่งมีคทาเสียบขยับคว้านไปมาคงน่าสมเพชดูชม

นักลักพาตัวข้างหลังไม่ปล่อยให้ผมพัก เขาค่อยๆรูดรั้งแท่งเนื้อของผมไปพร้อมๆกับกดย้ำจุดข้างหลังด้วยของเล่น ชักแท่งเหล็กเข้าออกอย่างเร็วจนได้ยินเสียงแฉะของเจลจนเหมือนช่องทางของผู้หญิงเวลาฉ่ำเยิ้ม

ปลายคทายังคงผลุบเข้าออกช่องทาง มันยังคงกลืนกินตอดรัดแท่งเหล็กเย็นเฉียบ และคนที่เห็นจังหวะบีบรัดเวลามันกดย้ำจุดเสียวในตัวผมซ้ำๆก็ไม่รอช้าที่จะกระซิบข้างหู

“นี่ดูสิ…ถ้ากูกระทุ้งตรงนี้” ว่าพลางหมุนคทาควานในตัวผม กดจุดจุดหนึ่งที่ทำให้ผมแอ่นหลังเป็นคันธนู

“อ๊ะ!...อ้า! สะ…อึก เสียว”

“ช่องมึงก็จะบีบเป็นจังหวะเหมือนของผู้หญิงเลย หรือจริงๆแล้ว…มันบอกว่าร่างกายมึงอยากโดนชมเชยโดยผู้ชายมาตลอด ใช่มั้ยล่ะ อยากโดนอะไรเสียบเข้าไป ปั่นป่วนร่างกายจากภายในให้เหมือนผู้หญิง ทำให้มึงเสร็จจากแค่ข้างใน”

เคย์ขยับยิ้มหัวเราะ โยกหัวผมอย่างเอ็นดูต่างจากข้างล่างที่เจ้าตัวดึงแท่งเหล็กออกรวดเดียวจนผมเสียวตัวงอ

รูมเมทผมไม่รอช้า ยกเอวผมขึ้นแล้วดันตัวตนเข้ามาในช่องทางของผมรวดเดียว ซ้ำยังดึงผมยาวจนหน้าผมแหงนเริ่ด

ผมคลานเข่าในท่าหมา เคย์ใช้อีกมือประคองช่วงเอวของผมไว้ กดเอวผมให้กลืนกินแท่งเนื้อของเขาจนก้นผมบดเบียดกับหน้าขาอีกฝ่าย

พั่บ! พั่บ! พั่บ! พั่บ!

เขารัวเอวสาวเข้าออกช่องทางของผมอย่างแรงจนเนื้อเรากระทบกันส่งเสียงหยาบโลนคับรถตู้ ผมถึงกับแอ่นหลังโค้ง ซบหน้ากับพื้นอย่างเหนื่อยอ่อน ครางเสียงแผ่วอยู่กับพื้นรถในขณะที่เอวถูกจับหมุนควงปรนเปรอแท่งเนื้ออีกฝ่าย

เข่าผมเสียดสีกับพื้นหยาบๆของหลังรถจนเจ็บไปหมด กระโปรงที่สวมก็สั้นจนช่วยอะไรไม่ได้ แถมยังถูกร่นไปกองตรงเอว
มือของเคย์ค่อยๆเลื่อนไปตามร่างกายผม แม้จะเป็นการสัมผัสผ่านเสื้อผ้าแต่กลับทิ้งรอยร้อนผ่าวไว้ เขาขย้ำหน้าอกผมอย่างแรง มันนุ่มหยุ่นเล็กน้อยเพราะผมยัดฟองน้ำลงไป

เมื่อขย้ำผ่านผ้ามันก็ไม่ต่างอะไรจากนมจริงๆ เคย์ยังคงกระแทกเอว แท่งเนื้ออีกฝ่ายย้ำจุดเสียวของผมซ้ำๆกระทั่งผมไม่มีแรงครางทั้งๆที่รู้สึกโคตรเสียว ได้แต่อ้าปากสูดหายใจน้ำตารื้นร้องไห้ และในขณะเดียวกันก็ขย้ำนมผมจนมีแวบหนึ่งผมคิดว่าตัวเองเป็นผู้หญิงจริงๆไปเสียแล้ว

รูมเมทผมครางเสียงต่ำ ก่อนจะปลดปล่อยน้ำเชื้ออุ่นร้อนจนคับคั่งเต็มช่องทาง เขาจับตัวผมนอน ลุกขึ้นไปหาผ้ามาเช็ดตัว
ผมขยับขาอย่างอึดอัด รู้สึกได้ว่าช่องทางข้างหลังพ่นน้ำเชื้อส่วนเกินไหลออกมาเปรอะเปื้อนกระโปรงไม่น้อย

ผมปลดปล่อยรอบสองโดยที่ไม่รู้สึกตัว

เคย์กลับมาพร้อมผ้าเปียก เขาเช็ดหน้าเช็ดตาให้ผมอย่างแผ่วเบา แล้วจึงค่อยๆเลิกกระโปรง เช็ดไปตามขาด้านในของผม ทั้งเจลทั้งน้ำเชื้อ หนำซ้ำตอนกระแทกเข้าไปซ้ำๆเจลชุ่มๆนั่นยังกลายเป็นฟองสีขาว

“เดี๋ยว…ให้เพื่อนกูขับรถกลับไปที่ลานจอดรถ”

ผมคว้าหมับเข้าที่คางอีกฝ่าย บีบแน่นจนไม่น่าเชื่อว่าเมื่อครู่ยังนอนแบ๊บกับพื้น

“ถ้ามึงบังอาจพาใครเข้ามาเห็นกูในสภาพนี้ก็เตรียมตัวลงนรกได้เลย”

รูมเมทผมหน้าซีด หันรีหันขวาง ก่อนจะถอดเสื้อตัวเองชุบน้ำเช็ดแทน ซ้ำยังเอามารองคราบอะไรต่อมิอะไร

“ทิ้งไปซะไอ้เสื้อตัวนี้” ผมสั่ง ไม่รู้จะทำหน้ายังไงถ้าเจ้าหมาโง่นี่เอามาซักแล้วผมต้องเห็นมันแขวนอยู่ตรงระเบียงห้อง

สุดท้ายแล้วเคย์ต้องใส่เสื้อสกรีนลายสาวน้อยเวทมนตร์เทียร่าของเพื่อนใส่กลับบ้าน ส่วนผมเองสภาพชุดยับยู่ยี่เกินจะใส่ไปให้แฟนคลับเห็น ไม่สิ ใครก็คงเดาออกหลังจากเห็นสภาพนั้น ผมเลยต้องเปลี่ยนชุดกลับบ้านอย่างเสียไม่ได้

“อีเว้นท์แบบนี้ก็ดีนะ” เคย์เปรย สีหน้าวิ้งวับต่างกับผมที่เหนื่อยอ่อนจนแทบหลับ

“ครั้งหน้ามึงไม่ต้องไป” ผมประกาศชัดเจน

“เอ๋!? เดี๋ยวก่อน! ไม่ได้นะ!” เจ้าหมาโง่โถมตัวทับผม ออดอ้อนขอให้ผมเปลี่ยนคำสั่งใหญ่

แต่ไม่เฟ้ย!

ผมไม่ต้องการแฟนคลับโรคจิตมาลากผมเข้ามุมอีกรอบหรอกนะ!!


-----------------------------------------------------
อย่าใช้คทาแบบนี้กันนะทุกคน!
ปล.เล่มอีบุ๊คกำลังทำอยู่นะคะ NC 97หน้าจุกๆกันไปเลย มีตั้งแต่เสื้อชุดกะลาสี ชุดเมดที่เขียนใหม่ น้องบันนี่ เสื้อแฟน ผ้ากันเปื้อน น้องแมวเหมียวซึ่งต้องใส่content warningเยอะมากๆมีทั้งขังทั้งล่าม กรี๊ดดดด แล้วก็ชุดตำรวจ ชุดกี่เพ้าที่เขียนใหม่

เอาเป็นว่าขอปิดมู้ไว้ตรงนี้ ฝากน้องไว้ในอ้อมอกด้วยนะคะ
ปล.เนื้อหาบางส่วนในมู้เดี๋ยวขอลบทิ้ง เพราะไม่สอดคล้องกับเนื้อเรื่องหลักค่ะ ฮา 
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer ชุดสาวน้อยเวทมนตร์ P.14 จบ[3/08]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 04-08-2019 14:04:00
 :haun4: :haun4: :haun4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer ชุดสาวน้อยเวทมนตร์ P.14 จบ[3/08]
เริ่มหัวข้อโดย: Kx0806 ที่ 05-08-2019 23:50:34
ขอบคุณสำหรับตอนพิเศษมากๆนะค้าา  :jul1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer ชุดสาวน้อยเวทมนตร์ P.14 จบ[3/08]
เริ่มหัวข้อโดย: angelninae ที่ 07-08-2019 00:26:09
ย้ากกก เจ้าโอตาคุทำกันเกินไปแล้ว ใช้งานคฑาผิดแล้วเฟ้ย แต่จินชอบไม่เป็นไร อิอิ ขอบคุณสำหรับตอนพิเศษค่ะ  :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer ชุดสาวน้อยเวทมนตร์ P.14 จบ[3/08]
เริ่มหัวข้อโดย: Wwavez ที่ 11-08-2019 03:01:16
นังหมา นังโอตาคุโรคจิต55555 ขอบคุณตอนพิเศษนะค้าบบ :mew1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer ชุดสาวน้อยเวทมนตร์ P.14 จบ[3/08]
เริ่มหัวข้อโดย: MeiHT ที่ 13-08-2019 21:05:38
ขออนุญาตแวบมาแปะอีบุ๊คเผื่อใครสนใจค่ะ

Cosplayer ฉบับ E-book
❤️จำนวน 420 หน้า
✨ราคา 319 บาท
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer ชุดสาวน้อยเวทมนตร์ P.14 จบ[3/08]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 11-10-2020 11:14:05
โอ้ววววเป็นคอสเพลย์ที่แซ่บพริก10เม็ด เจ้าหมาโอตาคุถึงหื่นได้ขนาด  :oo1: :jul1: :haun4: 555 น่ารักกก สนุกๆๆมีซึ้งเหน่วงเบาๆ เขินและหื่นมาก 555
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer ชุดสาวน้อยเวทมนตร์ P.14 จบ[3/08]
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 17-10-2020 23:43:05
 :pig4: