[เรื่องสั้น] Cosplayer ชุดสาวน้อยเวทมนตร์ P.14 จบ[3/08]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องสั้น] Cosplayer ชุดสาวน้อยเวทมนตร์ P.14 จบ[3/08]  (อ่าน 97649 ครั้ง)

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.11[08/04]
«ตอบ #330 เมื่อ12-04-2019 23:29:15 »

เป็นกำลังใจให้นะจิน แล้วมันจะผ่านไปนะ

ตอนนี้ให้จินรู้ว่ามีเคย์อยู่ข้างๆ ก็พอ

ออฟไลน์ ป่ามป๊ามป่ามปาม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.11[08/04]
«ตอบ #331 เมื่อ13-04-2019 16:35:30 »

คุณพ่อนะคุณพ่อ ทอดทิ้งลูกแล้วยังจะใจร้ายอีก สงสารจิน
ชอบเคย์มากอะ อยากได้ผู้ชายแบบนี้ กรี๊ดๆๆๆ เจ้าลูกหมา

ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1586
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.11[08/04]
«ตอบ #332 เมื่อ13-04-2019 16:40:20 »

พ่อใจร้ายมาก

ออฟไลน์ Wwavez

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.11[08/04]
«ตอบ #333 เมื่อ14-04-2019 23:43:34 »

นังพ่อนี่มันจริงๆเลย จะหวังดีกับรู้หรืออะไรก็แล้วแต่แต่คือเกินไปจริงๆ น้าหลินกับน้องจ้าวดูเป็นคนดีจังมีแต่ตาพ่อนี่แหละปันหาหลัก!!

ออฟไลน์ MeiHT

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-1
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.11[08/04]
«ตอบ #334 เมื่อ19-04-2019 00:27:03 »

14 : ฟ้าก่อนฝน


ผมนั่งเหม่อลอย มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย กระทั่งตอนที่เคย์เลี้ยวรถเข้ามาในลานจอดรถของหอพัก ใจผมยังคงหยุดอยู่ที่โต๊ะอาหารนั่นอยู่เลย

‘วิปริต!’

น่าสมเพชเสียจริง ตลอดมาที่เขาคุยกับผม หรือตอนที่เขานัดผมมาเจอกัน สิ่งที่เขาคิดมีแค่ความวิปริตของผมแค่นั้นหรือ

“ไปกัน” ผมเดินตามแรงฉุดดึงของคนตัวใหญ่ เคย์พาผมที่ยังเหม่อไม่เลิกมาถึงบนห้องได้ในที่สุด

ผมฉุดเขาให้มานั่งบนพื้นด้วยกัน เอนหัวพิงกับไหล่เขาอย่างเหนื่อยอ่อน

“ขอโทษนะที่สะบัดมือทิ้งตอนนั้น…”

“ไม่เป็นไร” เสียงเคย์ยังคงนุ่มอ่อนโยนเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน

ผมหลุบตาลง เรื่องราวมากมายในหัวยังคงกระจัดกระจายไม่เป็นรูปเป็นร่างจนไม่รู้จะบอกกับเขายังไงดี

“มี…เรื่องเกิดขึ้น กูอยากจะเล่า แต่ตอนนี้ไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหนดี”

“อือ งั้นก็ยังไม่ต้องเล่า”

“แต่ถ้าไม่ได้พูดออกไปกูต้องหัวระเบิดแน่ๆ อึดอัดเหี้ยๆ”

“งั้นกูจะนั่งรอจนกว่ามึงจะคิดออกนะ”

ชุดกระโปรงน่ารักๆ ในตู้เสื้อผ้า เครื่องสำอางค์สีสันสดใสบนโต๊ะกับวิกผมที่อยู่ในตู้ ของพวกนั้นยังเป็นของที่ผมชอบที่สุด แต่เวลานี้ หากผมต้องหยิบมันออกมาอีกรอบ เสียงของพ่อก็จะดังขึ้นในหัว

วิปริต!

“เอา…กระโปรงออกมาให้กูหน่อย”

เคย์ไม่ตั้งคำถามกับเรื่องที่ผมสั่งไปอย่างกะทันหัน เขาเพียงลุกขึ้นยืน เดินไปที่ตู้แล้วหยิบกระโปรงตัวนึงออกมา มันเป็นกระโปรงเทนนิสสีชมพูที่ผมมักสวมกับถุงน่องตาข่ายสีเดียวกัน

น่ารัก

ผมพอใจกับตัวเองภายใต้เสื้อผ้าพวกนี้ ชอบเหมือนกับที่คนอื่นชอบ

เป็นผู้หญิงหรือผู้ชายแล้วอย่างไร ของพรรค์นั้นมันเกี่ยวกับสิ่งที่ชอบตรงไหนกัน

ไม่ว่าใครก็ควรจะมีสิทธิทำสิ่งที่ตัวเองชอบโดยไร้สายตาจากสังคมคอยตัดสินหากมันไม่ใช่เรื่องผิดศีลธรรม

เพราะงั้นผมไม่ได้ผิดเสียหน่อย

คนที่ควรอับอายต้องไม่ใช่ผม

คิดได้แบบนั้นผมก็สลัดกางเกงที่สวมอยู่ออก แล้วดึงกระโปรงใส่ขึ้นมา จากนั้นก็รูดซิบข้างๆ จนได้ยินเสียงดังฟืด

ภาพที่ปรากฎบนกระจกทำให้รู้สึกขัดแย้งอย่างบอกไม่ถูก กระนั้นผมก็ยังจ้องมันแล้วถามเคย์ว่า

“น่ารักมั้ย?”

ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหลังโคลงศีรษะ แม้ใบหน้าไร้รอยยิ้มแต่ดวงตาเขากลับเป็นประกาย

“อือ ใส่กระโปรงตัวนี้แล้วดูดีมากเลยล่ะ”

หัวใจผมพลันฟู่ฟ่องเพราะคำชมนั่น

แค่นี้ก็พอแล้ว

ต้องการแค่คำชม ไม่ต้องเข้าใจความรู้สึกของผม ไม่ต้องเข้าใจว่าทำไมถึงชอบ ไม่ขอให้เข้าใจ

เพียงแค่ยอมรับอย่างที่ผมเป็น

“เอาล่ะ นั่งลง กูรู้แล้วว่าจะเริ่มต้นเล่ายังไง”

เคย์นั่งฟังเรื่องราวเงียบๆ โดยไม่แย้งอะไรเวลาผมพูดด้วยความโมโห หรือกระทั่งตอนที่น้ำตาคลอเบ้าเพราะความเจ็บใจ

จวบจนกระทั่งเล่าทุกอย่างจบลง เขาจึงถามขึ้น

“แล้วเป็นยังไง”

ผมมองหน้าเขาอย่างมีคำถาม เคย์จึงขยายความ

“ตอนนี้คิดยังไง รู้สึกยังไง”

“ตอนนี้เหรอ…” ผมทบทวนความรู้สึกในหัวตัวเอง ก่อนจะพบบางอย่างที่สำคัญ “เพิ่งรู้ตัวว่าโดนพ่อปั่นจนเสียความมั่นใจ หงุดหงิดชะมัด ตาแก่นั่นพูดเรื่องที่ทำให้คนใจฟ่อ กูตั้งใจไว้ตั้งนานแล้วว่าไม่ว่าคนจะพูดถึงงานอดิเรกเรื่องแต่งหญิงยังไงก็จะไม่ยอมถอยเด็ดขาด เพราะกูชอบมัน และเพราะมีคนเข้าใจกูเยอะแยะและกูจะสนแค่คนพวกนั้น ส่วนเรื่องที่เราจะเป็นสถานะอะไรก็ตามในอนาคต…ก็ลองกันสักตั้งสิวะ สู้กับสังคมมันสักตั้ง ไม่ใช่พวกเรากลุ่มเดียวสักหน่อยที่กำลังพยายามอยู่”

“เก่งมาก กูรู้อยู่แล้วว่ามึงต้องคิดแบบนี้” เคย์เอื้อมมือมาโยกหัวผมไปมา

“…”

“แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ไม่หลุดคำว่าแฟนออกมาสักหน่อยล่ะ สถานะอะไรก็ตามเหรอ งั้นข้ามขั้นเป็นผัวเมียเลยได้ป่ะ”

“พูดแบบนี้อยากเอาเลือดหัวออกนักใช่มั้ย” ผมยืนค้ำหัวคนที่ยิ้มเผล่ ไฟลุกโชนอยู่ข้างหลังเป็นแบกกราวน์

แต่เจ้าหมาโง่ดูเหมือนจะไม่รู้ถึงความคิดมุ่งร้ายเอาเสียเลย มันลุกขึ้นพรวดหิ้วผมขึ้นเตียงไปนอน

“ยังไม่ได้อาบน้ำเลย ปล่อยสิเจ้าหมาสกปรก!”

“ช่างมัน ค่อยอาบพรุ่งนี้สิ เจอเรื่องเหนื่อยๆ แล้ว นอนกันดีกว่า”

“ถ้าจะทำตัวเป็นหมาขี้เรื้อนก็เป็นไปคนเดียวสิ!!”

“นอนๆ นอนครับ”

ขาใหญ่ๆ ก่ายรัดตัวผมจนขยับไปไหนไม่ได้ ผมจึงเอาหัวโหม่งหน้าอกอีกฝ่ายแต่ดันรู้สึกเจ็บหัวแทน

น่าหงุดหงิดจริงๆ เลย

แต่ก็เอาเถอะ

ผมหวังให้เวลาแห่งความสุขแบบนี้อยู่ไปนานๆ




มีเวลาพักกันอยู่ไม่นาน เคย์ซึ่งมีตำแหน่งเดือนคณะนิติพ่วงก็ต้องเริ่มทำงานอีกครั้ง เพราะงานกีฬามหาลัยยังไม่จบ ที่แข่งไปเป็นเพียงการแข่งเพื่อเอาผลก่อนวันจริงซึ่งต้องมีการมอบรางวัลและแน่นอนว่าต้องมีการเดินขบวนซึ่งได้ชื่อว่ารวมหนุ่มหล่อสาวสวยของมหาลัยมากมาย

ตัวผมเองเพราะไม่ใช่เดือนของโต๊ะดังนั้นจึงได้เป็นผู้ชมอย่างสบายใจ

เรื่องอะไรจะหาเหาใส่หัวล่ะ

ร้อนก็ร้อน เหนื่อยก็เหนื่อย ขืนผิวผมเสียขึ้นมาก็แย่น่ะสิ

ชายหนุ่มไม่ได้กลับห้องหลายครั้งเพราะจำเป็นต้องไปซ้อมละครเปิดตัวของหลีดซัมติงของคณะเขา แถมยังต้องไปนั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อกับเพื่อนๆ ซึ่งเป็นงานเป็นการจนเจ้าตัวไลน์มาบ่นใหญ่ว่าจะเอาเขาเข้ามาคุยด้วยทำไมนะ

ผมยิ้มขำ ขนาดเรื่องงบของชุดยังต้องเอาเจ้าหมานั่นไปนั่งฟังด้วยเลยเหรอ ตลกเกินไปแล้ว

ผมซึ่งกำลังนั่งดูเพื่อนในโต๊ะกำลังซ้อมการแสดงของชาวบัญชียกโทรศัพท์ขึ้นกด รอยยิ้มประดับอยู่มุมปากค่อยๆ ขยายกว้างขึ้นเมื่ออีกฝ่ายส่งภาพมารายงานตัว

K : อยู่ในห้องประชุมครับ น่าเบื่อจัง

พร้อมกับแนบภาพตัวเองกำลังนั่งเท้าคางอยู่ ข้างๆ มีแขนของเพื่อนเข้ามาในเฟรม หน้าหล่อๆ ของอีกฝ่ายเบะปากเหมือนกับเด็กเวลาเซ็ง

น่ารักเป็นบ้า

“ยิ้มอะไรอ่ะ คุยกับใครรร” เพื่อนผมวิ่งเข้ามาชาร์ตทันทีที่เห็นผมกดมือถือต๊อกแต๊กๆ จนผมต้องรีบล็อคหน้าจอ

“ยุ่ง!”

เหล่าสาวๆ วี๊ดว้ายเมื่อผมแยกเขี้ยวใส่ พวกเธอแกล้งเดินหนีแต่จริงๆ แล้วคือไปซื้อของกินเล่น ผมตะโกนบอกให้ซื้อชานมมาเผื่อด้วยก่อนจะได้รับคำตอบเป็นนิ้วกลาง

เดี๋ยวนี้ผู้หญิงหยาบคายเป็นบ้า

“จะซื้อชานมเหรอ เดี๋ยวไปด้วยเอามั้ย” เสียงกระด้างอย่างผู้ชายดังขึ้นข้างๆ ตัวพร้อมกับที่เขานั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ ผม ผมหันหน้ามามองเขาก่อนจะพบว่าเขาคือผู้ชายที่เป็นเดือนโต๊ะของผมเอง

ซึ่งเดือนโต๊ะไม่ใช่เดือนคณะนะ อย่าเข้าใจผิด เดือนโต๊ะจะต้องเอามารวมกันเพื่อคัดเป็นเดือนคณะอีกทีต่างหาก

อย่างเดือนโต๊ะผมคนนี้ชื่อไม้ที ท่ามกลางโต๊ะที่มีแต่สาวๆ กับผู้ชายจำนวนหยิบมือซึ่งไม่สนใจอะไรกระทั่งกิจกรรมก็ไม่มาเข้าร่วม เขาจึงได้รับโหวตเป็นเดือนโต๊ะไปโดยปริยาย

“เออ…เอาสิ” ผมตกลง

พวกเราเดินข้างๆ กันไปยังตึกอีกฝั่งเพื่อซื้อชานมจากร้านโปรดของผม บรรยากาศค่อนข้างอึดอัดนิดหน่อยเพราะผมไม่ค่อยชินกับการเดินกับผู้ชายซึ่งแผ่ความเป็นผู้ชายออกมามากขนาดนี้

ในหัวผมปรากฎภาพอีกคนซึ่งเคยมีบรรยากาศคล้ายๆ แบบนี้เช่นกัน

แต่เจ้าหมานั่น…ผมโคตรชินกับการมีเขาอยู่ด้วยเลย

ผมเหลือบมองคนสูงข้างตัวซึ่งเดินอกผายไหล่ผึ่ง ไหล่กว้างเรียบตึงทำให้เขาดูตัวใหญ่สมกับเป็นผู้ชายมากขึ้นไปอีก

แต่แล้วเขาก็สังเกตเห็นถึงสายตาของผมแล้วก้มหน้าลงสบตาด้วย

“มองทำไมเหรอ”

น่าแปลกที่สายตาแพรวพราวจากดวงตาซึ่งดูอ่อนโยนกลับทำให้ผมขนลุกมากกว่าตาคมดุจากรูมเมทผมเสียอีก

“อ๊ะ…เปล่า ไม่ได้มอง” ผมเบือนหน้ามามองตรง ใบหน้าร้อนผ่าวด้วยความอายเมื่อโดนจับได้ว่าแอบมองคนข้างกาย

ผมได้ยินเสียงเขาหัวเราะในลำคอเล็กน้อย และมันทำให้ผมอับอายปนหงุดหงิดจนอยากจะตั๊นหน้าเข้าให้สักที

โคตรต่างจากตอนที่เคย์ล้อผมแบบนี้เลย ต่อให้เจ้านั่นจะหัวเราะในลำคอแล้วมองผมอย่างเอ็นดู มันก็ทำให้ผมรู้สึกแค่อยากมุดหน้าอกล่ำๆ นั่นให้ตัวเองขาดใจตายจะได้เลิกเขินก็เท่านั้น

แล้วนี่ผมเป็นบ้าอะไรถึงเอาทุกอย่างไปเทียบกับรูมเมทตัวเองวะ

“น่ารักนะเรา”

เหี้ย!

ผมขนลุกจนไม่กล้าหันไปมองอีกฝ่าย ถึงแม้ว่าจะหน้าตาดีหรือเสียงจะนุ่มนวลชวนฝันขนาดไหน แต่ขอเถอะ

ผมโคตรขนลุกเลยจริงๆ

ด้วยบรรยากาศที่โคตรกระอักกระอ่วน ผมตัดสินใจแกล้งตายทำเป็นไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น

ไม่รับรู้ ไม่รับรู้

ผมเดินนำหน้าเขาไปเมื่อเห็นร้านขายชานมอยู่เบื้องหน้า แต่สายตาจากข้างหลังซึ่งแผดเผามาก็ทำให้ผมอดขนลุกซู่อีกจนไม่ได้

ไม้ทีเดินมาขนาบข้างผมอีกครั้งตอนที่ผมรับชานมแล้วเดินออกมาจากร้าน ผมทำเป็นมองนกมองไม้มองพื้นและมองทุกอย่างแต่ก็ยังรับรู้อยู่ดีว่ามีสายตายังจับจ้องผมอยู่

“จิน จริงๆ ก็รู้ตัวแล้วใช่มั้ยว่าเราชอบ”

พรวด!

ผมสำลักน้ำเพราะกลืนผิดจังหวะจากประโยคนั้นจนไอค่อกแค่ก ซึ่งอีกฝ่ายก็ใจดีพอจะลูบหลังช่วย

รู้เว้ย! แต่เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต้องพูดก็ได้มั้ย!

แน่นอนว่าประโยคนั้นผมไม่ได้พูดออกไปหรอก

แล้วก็แกล้งตายไม่ตอบแล้วไม่ได้ด้วย

“อือ ก็พอรู้อ่ะนะ” ผมยิ้มแหยๆ ให้ ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มนุ่มๆ ตอบกลับมา

“เหมือนจินจะไม่ชอบเรานะ”

เขาเรียกว่าแขยงต่างหาก

“เปล่าหรอก คือเรารู้สึกแปลกๆ มากกว่า เออ คือ…แบบว่าเข้าใจใช่มั้ย”

“หรือว่าไม่แน่ใจในตัวเรา”

ผมกลอกตา ประโยคตัดพ้อเหมือนสาวน้อยนั่นมันอะไรกันน่ะ

“คือ…”

“ถึงจะเห็นเราชอบจีบสาวๆ แต่เราก็ชอบได้ทั้งผู้หญิงผู้ชายนั่นแหละ เพราะงั้นเราชอบจินจริงๆ นะ เปิดโอกาสให้หน่อยได้มั้ย”

ทั้งๆ ที่เป็นประโยคคล้ายๆ กับที่เคย์เคยพูด แต่ผมไม่ได้รู้สึกใจเต้นอะไรเลยด้วยซ้ำ มีแต่ความอึดอัดถ่วงไปหมด

“คือ…เรามีคนที่คุยๆ ด้วยอยู่แล้ว” ผมตอบปฏิเสธไป ยิ้มแหยๆ เป็นเชิงว่าไม่มีทางซะละมั้งเอ็ง

มีคนเดียวเท่านั้นที่ผมจะชอบ

และมันไม่ใช่แกโว้ย!

“ว้า ก็คิดๆ ไว้อยู่แล้วล่ะ จินชอบผู้ชายใช่มั้ย แย่ชะมัด ดูเหมือนว่าเราจะช้าไปหน่อย”

ผมสาวเท้าให้เร็วขึ้นอีกนิดเผื่อว่าระยะทางมันจะสั้นลงไปบ้าง

“ยังไงก็เอาไปคิดหน่อยเถอะ เราชอบจินจริงๆ นะ โดยเฉพาะด้านลูกแมวที่ระวังตัวเวลาคนไม่สนิทอยู่ด้วยแต่เวลาตอนอยู่กับคนที่ไว้ใจกลับนอนหงายพุงแบบนี้ โคตรน่ารักเลย”

ประโยคสุดท้ายไม้ทีก้มลงมากระซิบข้างหูผมพร้อมเป่าลมเบาๆ ที่ทำเอาผมเด้งตัวออกมาอย่างตกใจ

เวรๆ ๆ

มันคิดว่ามันทำอะไรอยู่!!

ผมโกรธจนหน้าดำหน้าแดง เดินกลับไปรวมกลุ่มกับสาวๆ เพื่อนร่วมโต๊ะที่ส่งเสียงวี้ดว้ายเพราะเหตุการณ์ชวนจิ้นเมื่อกี้

ผมถูหูตัวเองอย่างหงุดหงิด

กลับห้องไปจะเอาแอลกอฮออล์เช็ดจนกว่าจะสะอาดเลยคอยดู!!



“หันมา”

คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามยังคงกอดอกทำหน้ามุ่ย ทำเมินเสียงของผม

โธ่เว้ย

คิดว่าคนตัวควายๆ มาทำอย่างนั้นแล้วมันน่ารักน่าชังมากรึไงเล่า เจ้าโง่เอ๊ย!

ตอนนี้ผมกำลังนั่งหน้าเครียดมองเจ้าเด็กขี้งอนไม่รู้จักโตที่อีกฟากของโต๊ะอาหาร ทั้งๆ ที่เป็นครั้งแรกที่ได้กินข้าวเย็นด้วยกันในรอบสองสัปดาห์แต่เจ้าบ้านั่นกลับงอนด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง

และเหตุผลที่ผมต้องมานั่งง้องแง้งกับเคย์ในร้านอาหารตามสั่ง มันเพราะรูปที่ไม้ทีก้มลงมากระซิบข้างหูผม ซึ่งตัวดีที่ปล่อยรูปก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เพื่อนผู้หญิงในโต๊ะผมที่อยากเรียกกระแสกับงานกีฬานั่นเอง

เวรเอ๊ย ยัยนั่น

เร็วขนาดนั้นก็ยังถ่ายได้

“หันมาคุยกันก่อน” ผมยังคงย้ำคำเดิมซ้ำๆ เพื่อง้อเจ้าหมายักษ์ข้างหน้า

“…”

เฮ้อ เอากับเขาสิ ให้ตาย ต้องเอาไม้ตายออกมาแล้วมั้ย

ผมถอนหายใจก่อนจะทำเสียงหวานใส่

“อุตส่าห์ได้มากินข้าวด้วยกันทั้งที จะไม่คุยกันจริงๆ เหรอ”

อ๊ะ นั่น ตาแอบกระตุก

ผมแทบจะเห็นภาพหูหมากระดิกมาทางนี้กับหางฟูๆ ที่สั่นพั่บๆ ของเจ้าตัวถึงแม้จะยังเมินไม่มองมาทางนี้ก็เถอะ

ผู้ชายน่ะ…ร้อยทั้งร้อยก็อยากให้แฟนเอาใจเวลาตัวเองงอนทั้งนั้นแหละ

และถึงผมจะไม่ใช่คนผิดก็เหอะนะ แต่นานๆ ทีถอยให้ก่อนก็ไม่เลวเหมือนกัน

“วันนี้นึกว่าจะได้ทำอะไรด้วยกันเยอะๆ อีก กินข้าวด้วยกัน คุยกัน แล้วสุดท้าย….” ผมลดเสียงตอนท้ายประโยคลงจนได้ยินกันแค่สองคน “จะได้อาบน้ำด้วยกันไง”

ฟึ่บ!

เจ้าหมาหื่นกามหันหน้ามา ตาเป็นประกายวิ้งวับ

ผมแอบแลบลิ้น

หึ หลอกง่ายจริงๆ เจ้าหมาโง่

“น่าเสียดายจัง ไม่อยากคุยก็ไม่เป็นไร กูว่ามึงก็คงไม่อยากอาบน้ำ--”

“อาบครับอาบ คุยแล้วๆ” เขานั่งหันหลังตรง สายตาคาดหวังที่มองมารู้เลยว่าคิดอะไรอยู่

“ลามกวะ” ผมปรามาส

เขายกยิ้มเหมือนไม่สำนึก

“มันก็นานแล้วนะจากครั้งสุดท้าย…”

ขาที่ไขว้ห้างอยู่ใต้โต๊ะค่อยๆ ยกขึ้นเพื่อสัมผัสกับขาของอีกฝ่าย ผมใช้ปลายเท้าไล่ตามแนวกล้ามเนื้อของเขาจนรู้สึกถึงความแข็งของกล้ามที่เกร็งเพราะความรู้สึก

“ขี้ยั่ววะ”

“ก็…ยั่วแค่คนเดียวล่ะนะ” ผมเอียงคอ ยกยิ้มที่คิดว่าน่าจะสวยที่สุดไปให้ในขณะที่ปลายเท้าก็ไล่ขึ้นต้นขาใกล้จุดอันตรายของอีกฝ่ายเข้าไปทุกที

“ข้าวได้แล้วค่า”

การเสิร์ฟข้าวจากลูกสาวป้ายุ้มทำเอาวงแตก ผมสะดุ้งนั่งหลังตรงพอๆ กับคนตรงข้ามที่ทำหน้าเลิ่กลั่ก

จวบจนเจ้าหล่อนเดินกระแทกเท้าฉับๆ จากไปเพราะโดนป้าจอมโหดซึ่งโขกสับราคาอาหารตามสั่งตอนหมูแพงแล้วเสือกไม่ลดราคาตอนราคาหมูตก ผมกับเคย์ก็มองหน้ากันแล้วหัวเราะออกมาอย่างหยุดไม่ได้

ให้ตายสิ อยู่กับเขานี่มันสนุกสุดๆ ไปเลย



v
v
v
ต่อข้างล่างค่ะ

ออฟไลน์ MeiHT

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-1
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.11[08/04]
«ตอบ #335 เมื่อ19-04-2019 00:27:21 »

หลังจากทานข้าวเสร็จ ผมกับเคย์เดินเตร่อยู่ในตลาดในมอสักพัก ผมหยุดยืนพิจารณาเสื้อผ้าเกาหลีสวยๆ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ายังไงก็คงใส่มันมาเรียนไม่ได้อยู่ดี

“ไปซื้อเสื้อกันเหอะ ใส่กันจะหมดตู้แล้ว” ผมเบือนหน้าหนีแล้วสะกิดเรียกคนตัวสูงข้างตัว แต่เขากลับเดินตรงเข้าไปหยิบเสื้อเปิดไหล่สีฟ้าอ่อนอันหนึ่งขึ้นมาแล้วเดินไปจ่ายตังค์

“เอาอันนี้ครับ”

แม่ค้าสาวดูตกใจพอสมควรที่ผู้ชายตัวโตๆ มาซื้ออะไรแบบนี้ แต่เขาก็ยิ้มนิดๆ ตรงมุมปากแล้วตอบว่า

“ผมซื้อไปให้แฟนน่ะครับ”

คำตอบอุดมคติของแฟนตัวอย่างทำเอาสาวๆ ที่เลือกซื้อเสื้อผ้าอยู่ถึงกับหยุดมองแบบเคลิ้มๆ เขาถือถุงพลาสติกซึ่งใส่เสื้อไว้ในนั้นออกมาหาผม

อ่า บ้าน่า อย่าบอกนะว่าซื้อมาให้….

หน้าผมเหมือนจะไหม้ตอนชายหนุ่มเอนตัวลงมากระซิบที่ข้างหูว่า

“ไว้ใส่ให้กูดูนะ”

ไอ้บ้า

และผมก็คงเป็นบ้าที่หันไปกระซิบตอบเขาว่า

“สนใจมาช่วยกูใส่มั้ย…ทั้งชุดเลยนะ”

ผมและเคย์เดินต่อไปในตลาดร้อนๆ ที่ดูเหมือนจะทำให้อุณหภูมิบนหน้าพวกเราร้อนขึ้น รูมเมทผมซื้อของกินเล่นอย่างพวกลูกชิ้น ไอติมโบราณ เฟรนฟรายช์ มากมายจนผมต้องช่วยถือ

“กินอันนี้ดิ อร่อยนะ” เขายื่นไส้กรอกสีชมพูดูแน่นเด้งมาให้

“สารกันบูดทั้งนั้น” ถึงจะพูดอย่างนั้นผมก็ยังยื่นหน้าอ้าปากรับไส้กรอกชิ้นนั้นมาเคี้ยวอยู่ดี

“ยังไม่ได้ซื้อเสื้อเลย ไม่มีอะไรจะใส่ไปเรียนแล้ว”

“เพราะพวกเราลืมตากผ้านั่นแหละ”

“ความผิดมึงอ่ะ มึงอยู่หอ ช่วงนี้กูวิ่งรอกอยู่ข้างนอกตลอดเลย”

“โห โทษทีแล้วกันที่ลืมนะพ่อหนุ่มฮอตประจำมหาลัย แน่จริงก็เอาไปตากห้องเพื่อนซะสิ”

“แต่ถ้าเอาเสื้อไปตากห้องเพื่อน กูก็จะไม่ได้แวบกลับมาหามึงนะ”

“…อึก” ผมหลุบตาเมื่อโดนคนข้างกายหยอดว่าอยากกลับมาหากันบ่อยๆ โดยใช้เสื้อผ้าเป็นเหตุผล

พอมองกลับขึ้นไปสบตาก็พบว่าเคย์กำลังมองผมด้วยแววตาที่เหมือนกับเอ็นดู สายตานั่นดูเหมือนจะมองแต่ผมจนเผลอทำให้เขินอีกจนได้

“น่ารัก…” เสียงนุ่มจากคนข้างๆ ไม่เล็ดรอดหูผมไป เป็นเหตุให้ต้องมองนกมองไม้ มองอย่างอื่นนอกจากเรือนร่างสูงใหญ่ของเคย์

บ้าเอ๊ย ประโยคเดียวกับไม้ทีตอนกลางวัน แต่ทำไมมันเขินอย่างนี้วะ

เขินเหมือนตัวจะแตก

“แล้ว…” ผมพึมพำ ช้อนตามองเขาตอนถามอย่างขลาดอาย “วันนี้จะค้างที่ห้องหรือเปล่า”

เคย์ยิ้มเล็กๆ เสี้ยวแสงซึ่งทำให้เกิดเงาบนใบหน้าคนร่างสูงทำให้เจ้าตัวดูน่ากลัวผิดปกติ

“อือ ต้องนอนค้างด้วยอยู่แล้ว”

แต่ผมคงคิดไปเอง มันเป็นแค่แสงเงา…ล่ะมั้ง?



เรากลับมาถึงห้องพร้อมกับของกินเต็มสองมือ เคย์รับเอาของทั้งหมดเข้าตู้เย็น บ่นผมเรื่องที่ไม่ยอมซื้อของติดไว้บ้าง แล้วถ้าหิวจะทำยังไง ส่วนผมก็ทำหูทวนลมใส่

“นี่…แล้วเรื่องอาบน้ำด้วยกันล่ะ” เขาท้วง

โห ความจำดีในเรื่องไม่เป็นเรื่อง

“ถ้าจำข้อกฎหมายเก่งเท่าจำเรื่องแบบนี้มึงคงได้เกรดAแม่งทุกตัว”

“แหม ก็ข้อกฎหมายมันไม่น่าสนใจเท่าจะได้เอามึงนี่”

ไอ้บ้า…

สุดท้ายผมกับเคย์ก็ได้เข้าไปอาบน้ำด้วยกันสมใจเจ้าหมาที่ดีใจจนระริกระรี้สั่นหาง พวกเราเข้าไปยืนใต้ฝักบัวในห้องน้ำแคบๆ แล้วเปิดน้ำอุ่นๆ ให้ราดรดตัวตอนก้มลงจูบกันจนกลืนน้ำเข้าไปเสียหลายอึก

มือสากลูบไล้ตามตัวผม เคล้นคลึงเนื้อโดยเฉพาะส่วนสะโพกกับก้น พอๆ กับผมที่ใช้มือลูบไปตามกล้ามเนื้อแข็งตึงของเขา

“นวดให้” เสียงนุ่มแหบพร่าของอีกฝ่ายดังขึ้นพร้อมๆ กับมือที่นวดเฟ้นตรงคอและลาดไหล่จนผมครางด้วยความสบาย

ไม่ต้องหันลงไปมองก็รู้ว่าอะไรร้อนๆ แข็งๆ กำลังทิ่มขา เพราะของผมมันก็แข็งไม่ต่างกันหรอก

พวกเราไม่จับส่วนอ่อนไหว เอาแต่ใช้มือลูบตัวกันเหมือนอยากจำรูปร่างของอีกฝ่ายไว้ ในขณะที่เคย์ระบายอารมณ์ด้วยการถูส่วนแข็งขืนนั่นเข้ากับร่างกายของผม

เหมือนหมาเวลาต้องการผสมพันธุ์…

“นุ่ม” เขาหอบเบาๆ

“ส่วนมึงตัวแข็งอย่างกับหิน”

“อย่างอื่นแข็งด้วยป่ะ”

“แข็งดิ แต่กูทำให้มันนุ่มลงได้นะ” ผมยกยิ้มยั่วส่งไปให้

“ทำยังไงล่ะ” เขายิ้มรับ

ผมเขย่งขึ้นไปกระซิบข้างหูคนตัวสูง ซึ่งทันทีที่จบประโยคแล้วเขาก็หางสั่นพั่บๆ ด้วยความตื่นเต้น เคย์ปิดฝักบัว อุ้มผมออกไปเช็ดตัวกันแบบไม่กลัวลื่น ทั้งผมและเขาต่างก็ผลัดกันใช้ผ้าเช็ดไปตามตัวของอีกฝ่าย

“มาๆ ลองใส่กัน” เขาแทบจะรื้อเสื้อเปิดไหล่ที่พึ่งซื้อ

รูมเมทตัวดีเดินมาหาผมซึ่งถือกระโปรงรอไว้อยู่แล้ว ผมวางมันลงแล้วยกมือขึ้นซึ่งเพื่อนร่วมห้องก็ช่วยสวมเสื้อให้อย่างเก้ๆ กังๆ จนกระทั่งมันเข้าที่

“เสื้อผู้หญิงนี่ใส่ยากจริง” เขาบ่น ผมยักไหล่ให้ซึ่งนั่นเน้นไหปลาร้าเสียจนเคย์มองช่วงไหล่ผมด้วยดวงตาหื่นกระหาย

“แล้ว…กระโปรงล่ะ”

“ต้องลองดูอยู่แล้ว”

ผมจับไหล่เคย์ซึ่งคุกเข่าถือกระโปรงผม แล้วค่อยๆ ยกขาลงเพื่อสวมใส่มัน ชายหนุ่มดึงกระโปรงรูดขึ้นตามเรียวขาผมในขณะที่ผมยกปลายเท้าขึ้นล้อกับน้องชายซึ่งแข็งขืนของเขา

มันไม่อ่อนตัวลงเลยตอนที่เราเล่นเกมสวมชุดในตุ๊กตาอยู่ ซ้ำปลายหัวบานยังผลิตน้ำหล่อลื่นเสียมากขึ้นด้วยซ้ำ

เคย์กำลังตื่นเต้น

มากเสียด้วย

ผมขยับรอยยิ้มตอนที่เขาผุดลุกยืนตัวตรง สองมือของผมค่อยๆ จับปลายกระโปรงเลิกขึ้นนิดๆ แล้วเชิญชวนเขาด้วยสีหน้าขลาดอาย

“อย่าดุนะ พรุ่งนี้ต้องซ้อมละคร”

ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าหมาโง่ไม่เคยทำตามได้เสียที



K part

ผมมองคนตัวเล็กซึ่งนอนหลับไปทั้งๆ ที่สวมชุดเปิดไหล่สีฟ้าแสนสวยตัวนั้น มันเป็นชุดที่ทำให้ผมได้ฝากรอยตรงลาดไหล่ของเขา แต่มันอาจจะทำให้เขาคันเพราะยังไม่ได้ซักดังนั้นผมจึงทำการถอดให้แล้วเรียบร้อย

ช่วยไม่ได้ ผิวเขาบอบบางมากนี่

ผมเท้าคางมองจินที่กำลังนั่งหงายท้องเหมือนแมว ใบหน้าน่ารักยามหลับดูเหมือนคนไม่ระแวดระวังภัยจนน่าจับมาตี

แต่ไม่ได้ ทำไปเยอะมากแล้ว

เมื่อสักครู่มือผมแทบไม่ละไปจากลำคอระหงกับไหล่ของเขา เสื้อนั่นทำให้จินดูผอมและตัวเล็กกว่าเดิม เขาเริดหน้าเมื่อผมแตะต้องหลังคอเขาอย่างอ้อยอิ่ง และยิ่งเมื่อไล่มือไปตามไหล่บอบบางนั่น เขายิ่งห่อไหล่เข้ามาเหมือนเสียวซ่าน

นั่นทำให้ผม…

รู้สึกอยากจะใส่แรงเข้าไปอีก

น่ารักไปหมด

อยากทำให้พัง ทำให้เขาหมดแรง ไม่ต้องออกไปไหนนอกจากอยู่กับผมในห้อง

โอ๊ะ แต่มีช่วงหนึ่งตอนที่ผมกระแทกกระทั้นใส่ในตัวจิน ไอ้โทรศัพท์น่ารำคาญนั่นส่งเสียงเตือนว่ามีข้อความเข้า และแฟนผมก็ใจร้ายพอจะเบือนใบหน้าเล็กๆ ชุ่มน้ำตาไปหามัน

ทั้งๆ ที่ยังร้องครางไม่หยุด

ผมยังจำรูปคนที่กระซิบข้างหูจินได้ เพราะงั้นตอนที่มันดังขึ้น ผมจึงมองมันครู่หนึ่ง แล้วละมือจากตัวเขาเพื่อหยิบหมอนมาบังมันไว้

ไม้ทีงั้นเหรอ ชื่อมันงั้นสินะ

หลังจากกลบฝังไอ้โทรศัพท์น่ารำคาญนั่นได้ ผมก็ดึงขาเขาพาดเอว บังคับให้เขามองหน้าผมแล้วทำจนกว่าจินจะจำอะไรไม่ได้อีกนอกจากครางชื่อผมออกมา

ผมเอื้อมมือไปคว้านหาโทรศัพท์ใต้หมอนนั่น แน่นอนว่าผมจำรหัสผ่านเครื่องจินได้แม้เขาจะไม่เคยบอก แหม มันก็ต้องมีแอบมองรหัสผ่านกันบ้างแหละ

ผมเข้าไลน์ ข้อความจากไม้ทีอยู่ด้านบนสุด

ไม้ที : ที่พูดไปเมื่อบ่าย ยังรอคำตอบอยู่นะ

ผมยิ้มเย็น กดบล็อกมันทิ้งอย่างไม่ไยดี แล้วจึงเข้าเฟส กดค้นหาชื่อไอ้หมอนี่แล้วบล็อกเฟสบุ๊คมันไปด้วย แล้วก็สุดท้าย…

ผมกดเข้าไอจี ไถดูตามคนที่ฟอลจินอยู่จนในที่สุดก็เจอไอจีของไอ้ไม้ที ผมจัดการบล็อกมันออกจากสารบบชีวิตของจิน

ไอ้หน้าปลาจวดนี่เป็นใคร กล้าดียังไงมายุ่งกับคนของผม

ผมลุกขึ้นอย่างเบาที่สุดเพื่อไม่ให้กระเทือนถึงคนตัวเล็กซึ่งซุกตัวอยู่อย่างเป็นสุขในผ้าห่ม จัดการเปิดตู้เสื้อผ้าของจินแล้วหยิบเอาเสื้อบางส่วนออกมา ผมเอามันไปแช่น้ำจนชุ่มอย่างที่ไม่สนใจจะบิดมันแม้แต่น้อยแล้วเอาออกไปตากไว้ข้างนอก

กลับมามองตู้ของจินอีกที เหลือเพียงเสื้อยืดซึ่งคอกว้าง

หือ คุณคิดว่าผมแค่หยิบเสื้อเปิดไหล่แรนด้อมมาอะไรอย่างนี้เหรอ

ผมมุดกลับเข้าไปในผ้าห่มเดียวกับเขา จ้องมองร่องรอยจากการดูดดุนจนขึ้นสีแดงตามคอและไหล่

ยกมือขึ้นจับแขนซึ่งใช้มือเดียวก็กำได้โดยรอบ ผมกระชับอ้อมกอด ดึงเจ้าตัวน้อยเข้ามาให้ชิดกัน

ผมให้เวลาเขาศึกษาหัวใจตัวเอง แต่ไม่ได้บอกว่าจะเปิดโอกาสให้คนอื่นเข้ามาทำคะแนน

ถึงแม้ตอนนี้ผมจะมีอะไรบางอย่างที่ทำอยู่ มันก็เพื่อให้ทางของผมกับจินมั่นคงขึ้นในอนาคต เพราะงั้นช่วงที่ผมไม่ได้อยู่ดูแลเขาอย่างเดิม ผมต้องรีบทำลายคู่แข่งออกให้หมด

แน่นอน ผมอาจจะเป็นคนชั่วที่ปิดโอกาสจิน แต่แล้วไงล่ะ?

คนที่คู่ควรกับเขาที่สุดมีแค่ผม

และแน่นอนว่าเพื่อการนั้น ผมต้องทำ ‘เรื่องนั้น’ ให้สำเร็จให้ได้

ต้องเก็บเงียบเอาไว้ จินจะต้องไม่รู้เรื่องนี้ เพราะถ้ารู้คนตัวเล็กต้องโกรธมากแน่ๆ

ผมลูบหัวจินเบาๆ

ส่วนไอ้ไม้ที…

ถ้ายังไม่ยอมออกไปจากชีวิตจินดีๆ ล่ะก็ ผมจะทำให้เห็นว่าเจ้าโอตาคุคนนี้มันทำอะไรได้น่ากลัวกว่าที่มึงคิด



Jin part

วันนี้ผมก็ยังต้องออกมาซ้อมละครกับเพื่อนในโต๊ะเหมือนเดิม และเพราะวันนี้ค่อนข้างรีบร้อนเพราะตื่นสาย ผมเลยแทบไม่มีเวลากลบคอนซีลเลอร์กับจ้ำแดงซึ่งโผล่ตามร่มผ้า

บ้าเอ๊ย เหลือแต่เสื้อคอกว้างอีก

เสื้อที่ตากไว้ก็ไม่แห้ง

ทำไมวะ น้ำค้างเหรอ

แต่ลงท้ายคือผมทำทุกอย่างลวกๆ เตือนตัวเองในใจว่าถึงเวลาแล้วต้องเข้าห้องน้ำไปใช้คอนซีลเลอร์แต้มอีกรอบเผื่อมันลบหายไปเพราะเหงื่อ

ไม้ทีไม่ได้เข้ามายุ่มย่ามกับผมเหมือนเมื่อวานซึ่งทำให้ผมค่อนข้างพอใจ ผมไม่ได้ถามว่าทำไมเขาถึงทำสายตาหงอยๆ มองมาตาละห้อยตลอด

ยังไม่ได้ทำไรเลย จะบ้าเหรอ

ผมยกมือพัด เพราะเคย์ส่งข้อความมาว่าเรียนเสร็จแล้ว ผมถึงวานให้อีกฝ่ายซื้อชานมมาให้ผมทีเพราะผมชอบชานมแถวคณะเจ้าตัวมากกว่า ซึ่งตามเวลาหมอนั่นน่าจะมาถึงได้แล้วให้ตายสิ

“เฮ้ย” ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีอะไรเย็นๆ ทาบตรงหลังคอ เคย์ยืนส่งยิ้มแฉ่งให้ข้างหลังพร้อมกับชานมในมือ

“มาแล้ว”

“ชักช้า” ผมบ่น รับมันมาดื่ม เคย์ยกยิ้มน้อยๆ ซึ่งทำให้ใบหน้าคมดุของเจ้าตัวดูละมุนจนเพื่อนๆ ในโต๊ะผมเคลิ้ม

ผมเบ้ปากให้คนเสน่ห์แรงแล้วยกมือไล่

“ไปซะไป๊ ชิ้วๆ หมดประโยชน์แล้ว”

“โห เดี๋ยวก่อนสิวะจิน”

“นี่มึงกล้าไล่พ่อเทพบุตรกูไปเหรอ”

“ขอเวลาอาหารตากูหน่อย กูไม่ได้เห็นเขาทุกวันนะมึง”

ความใจกล้าของสาวบัญชีทำเอาเคย์ยิ้มเขินๆ ผมหันกลับไปแลบลิ้นใส่สาวๆ ผู้เหี่ยวแห้งเพราะผู้ชายในคณะมีไม่กี่เปอร์เซ็นต์

“หือ”

แต่แล้วเมื่อหันกลับมามอง เคย์กำลังส่งยิ้มละไมให้ไม้ทีในขณะที่อีกฝ่ายกำลังหน้าไม่สู้ดี

ผมหงุดหงิด

ส่งยิ้มให้ทำไมหนักหนาเล่า

“เจ้าหมอนั่นไม่ได้ชอบผู้ชายนะ” ผมเขย่งขึ้นกระซิบคำโกหกข้างหูเขา

“หือ” เจ้าหมาโง่หันมามองผมแล้วยิ้มขำ

“พูดจริงนะ!”

“คร้าบๆ งั้นกูไปก่อนนะ กลับหอดีกว่า”

“ชิ้วๆ” ผมยกมือไล่เขาอีกครั้ง เคย์ถึงเคลื่อนตัวใหญ่ๆ นั่นออกจากบริเวณคอมมอนผม

ไม้ทีเดินเข้ามาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ชายหนุ่มอ้าปากและหุบมันหลายรอบเหมือนอยากจะถามอะไรบางอย่าง

“มีอะไรหรือเปล่า” ผมเอ่ยถาม

“คือ…เออ คนนั้น” ไม้ทีพูดได้นิดหน่อยแล้วก็หุบปากฉับ ชี้นิ้วมาที่คอผม “อืม…คือแบบ”

ผมตะปบมือตรงคอตัวเองทันที ก่อนจะรีบเผ่นเข้าห้องน้ำ รู้ดีว่าคอนซีลเลอร์คงเลือนแล้วแน่นอน

เจ้าหมาบ้านั่น! แต่ก่อนก็ไม่เคยดูดจนเป็นจ้ำขนาดนี้!

สมกับเป็นหมา! หมาขี้เรื้อนเอ๊ย!



หลังจากเลิกซ้อมละครท่ามกลางอากาศร้อนๆ แล้ว ผมแบกสังขารอันเหนื่อยอ่อนออกจากคอมมอน ลาเพื่อนๆ ด้วยสีหน้าป่วยๆ กันทั้งกลุ่มแล้วขับรถกลับหอ แน่นอนว่าต้องวนรถไปส่งเพื่อนบางคนเสียก่อน ซึ่งยิ่งทำให้เสียพลังงานเข้าไปใหญ่

ไม้ทีไม่คุยอะไรกับผมอีกเลยทั้งวัน ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมโล่งอกมาก ผมอารมณ์ดีถึงขั้นส่งข้อความไปบอกเคย์ว่าจะกลับไปกินข้าวเย็นด้วย ซึ่งอีกฝ่ายก็กระดี๊กระด๊าส่งสติ๊กเกอร์ตอบรับใหญ่

ได้กินข้าวด้วยกันสองวันติด โชคดีชะมัด

แต่เหมือนว่าโชคจะไม่เข้าข้างผมเสียแล้ว เพราะอยู่ๆ หน้าจอของผมก็สว่างวาบพร้อมกับข้อความจากรูมเมทที่สมควรจะอยู่ที่หอตอนนี้

K : กินข้าวด้วยไม่ได้แล้ว มีงาน น่าจะค้างข้างนอกคืนนี้

ผมเบนสายตากลับมาขับรถอีกครั้ง อดยอมรับไม่ได้ว่าผิดหวังหน่อยๆ แต่มันก็เข้าใจได้ ทั้งผมทั้งเขาต่างก็ยุ่งกันทั้งคู่

ผมไม่ควรจะงี่เง่า

เพื่อพยายามเอาความคิดโง่ๆ ออกจากหัว ผมหันไปคุยกับเพื่อนที่ร่วมทางมาด้วย

“ต้องเลี้ยงชานมเราแล้วมั้ยอ่ะ ขับมาส่งขนาดนี้” ผมเบ้ปากใส่พลอยที่นั่งทาลิปอยู่ข้างๆ เพราะจะไปเดทต่อ

“ได้จ้า เลี้ยงก็ได้ ถ้าฉันได้ผู้อ่ะนะ” หล่อนปิดตลับแป้งแล้วเก็บเข้ากระเป๋า ก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วอุทานเสียงดัง

“จิน! นั่นเมทแกนี่” เสียงตื่นเต้นของเธอทำเอาผมทำหน้าเซ็ง ไม่ว่าใครๆ ก็มักจะตื่นเต้นเวลาเห็นหมอนั่นตลอดเลย แต่ไม่คิดว่าขนาดดาวคนสวยอย่างยัยนี่ก็บ้าผู้ชายหน้าตาดีตามเขาไปด้วย

“จ้าๆ ได้ยินแล้ว”

“ไม่ใช่! ไอ้บ้า จะถามว่าเมทแกมีแฟนแล้วเหรอ เขาขึ้นรถไปกับผู้หญิงเมื่อกี้น่ะ”

เอี๊ยด!!

เสียงล้อบดถนนมาพร้อมกับเสียงบีบแตรด่าจากรถคันข้างหลัง พลอยที่นั่งอยู่ดีๆ ถึงกับหัวแทบโขกคอนโซลเพราะการเบรกอันเสียหลักของผม

“ขับอะไรของแกเนี่ยอีจินนนน”

“…เมื่อกี้ว่าอะไรนะ”

“หา…อะไร อ้อ เรื่องที่เมทแกขึ้นรถไปกับผู้หญิงเหรอ เขาดูโตๆ กว่าว่ะ แต่เห็นไม่ชัดหรอก ทำไมเหรอ ช็อคที่เมทตัวเองมีแฟนหรือไง”

“รถยี่ห้ออะไร คันไหน?”

“นิสสัน…อะไรของแกเนี่ยจิน ทำไมแกหน้าซีดๆ วะ”

“ไม่…ไม่มีอะไร” ผมปฏิเสธ แตะคันเร่งอีกรอบแล้วออกรถไปตามถนนเลนแคบๆ ในมอ

ประโยคของพ่อดังขึ้นมาในหัว

ถ้ามีทางเลือกเขาก็ต้องเลือกคบกับผู้หญิงมากกว่าคนที่เล่นเป็นผู้หญิงอย่างแกอยู่แล้ว

ไม่สิ

ผมกำพวงมาลัยซึ่งเริ่มชื้นเหงื่อจากฝ่ามือของผม

เรารู้ดีว่าเคย์เป็นคนแบบไหน

ใช่แล้ว สงสัยเจ้าหมาโง่แบบนั้นมันเรื่องตลกชัดๆ

ไม่มีทางที่เขาจะนอกใจใครได้หรอก

-----------------100%
ไม่ใช่นักเขียนสายม่าเลยค่ะ เป็นนักเขียนสายหื่นกาม เอะอะลากเข้าฉาก5555555555555
มาแล้วปมสุดท้าย อีกไม่กี่ตอนแน้ว เจ้าหมาทำอะไรทำไมจินต้องโกรธตอนรู้อ่ะ มาเจอกันตอนหน้านะคะ อีกไม่กี่ตอนจะจบแล้วสู้ๆ แง /บอกตัวเอง

ถึงตอนนี้เริ่มอยากรู้ว่าคนอ่านคิดยังไงเรื่องภาษา พล็อตหรือตัวละคร มีอะไรควรปรับแก้มั้ยคะ แง วิจารณ์เป็นวิทยาทานเผื่อเราจะได้เอาไปใช้กับเรื่องต่อไป(ถ้ามีเรื่องต่อไปนะคะ ฮา)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-04-2019 00:30:32 โดย MeiHT »

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.12[19/04]
«ตอบ #336 เมื่อ19-04-2019 09:19:30 »

เคย์ไปกับใคร

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.12[19/04]
«ตอบ #337 เมื่อ19-04-2019 10:20:36 »

ม่าสุดท้าย ขอน้อยๆ นะคะ

เราว่าเคย์อาจจะเข้าไปคุยกับทางพ่อของจินหรือเปล่า

จินอย่าเพิ่งเข้าใจเคย์ผิดนะ

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.12[19/04]
«ตอบ #338 เมื่อ19-04-2019 11:23:11 »

ความลัยอะไรอี๊ก..กกกกกกกกก  :mew5:

ออฟไลน์ gemgems

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.12[19/04]
«ตอบ #339 เมื่อ20-04-2019 23:40:55 »

ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรกแล้วจ้า

จิน ใจเย็นลู๊กกกกกก :katai1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.12[19/04]
« ตอบ #339 เมื่อ: 20-04-2019 23:40:55 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ TheWanFah

  • ความใกล้ชิด บางครั้ง ทำให้เราเผลอคิดไปเอง
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1108
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.12[19/04]
«ตอบ #340 เมื่อ22-04-2019 16:41:22 »

เคย์เข้าไปคุยกับพ่อจินเหรอ
หรือเคย์ทำอะไรอยู่

ออฟไลน์ Wwavez

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.12[19/04]
«ตอบ #341 เมื่อ23-04-2019 23:36:46 »

ใครอี้กกก ชีวิตไม่เคยสงบสุขเลยน้องแงๆ :serius2:

ออฟไลน์ Wwavez

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.12[19/04]
«ตอบ #342 เมื่อ23-04-2019 23:44:08 »

หรือแม่เลี้ยงจินป่าว ต้องไปทำอะไรช่วยจินแน่เลยดูเค้าก็เอ็นดูจินอะ

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.12[19/04]
«ตอบ #343 เมื่อ01-05-2019 15:53:25 »

ไปกับใครอีกกกกกนังหมาาาาา  :katai1:

ออฟไลน์ Majariga

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 415
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.12[19/04]
«ตอบ #344 เมื่อ07-05-2019 10:48:10 »

จินนนนนนน อย่าเพิ่งคิดมากเจ้าหมารักเธอมากนะเว้ยยยย :katai1:

ออฟไลน์ ป่ามป๊ามป่ามปาม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.12[19/04]
«ตอบ #345 เมื่อ15-05-2019 10:39:45 »

เคย์ไปไหน ไปกับใครรร ไปทำอะไรรร

ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1432
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.12[19/04]
«ตอบ #346 เมื่อ15-05-2019 22:59:29 »

แซ่บบบบ

ออฟไลน์ MeiHT

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-1
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.12[19/04]
«ตอบ #347 เมื่อ02-06-2019 01:27:24 »

บทที่ 15 : หัวใจเปลี่ยน

เมื่อกลับมาถึงห้อง ผมได้แต่นั่งกระสับกระส่ายไปมา มองเวลาในโทรศัพท์แทบจะทุก 10 นาที เมื่อคนที่กลับห้องเร็วไม่ยอมกลับมาเสียทีผมจึงเริ่มเดินไปมาเหมือนหนูติดจั่น

และแล้วเสียงไขประตูก็ดังขึ้นพร้อมๆ กับคนตัวใหญ่ที่ปรากฎตัวขึ้นที่หน้าประตู เขาทำท่าเซอร์ไพรซ์ใส่ผมแล้วชูชานมในมือขึ้น

“กินเสร็จแล้วเข้ายิมกัน”

ผมถอนหายใจอย่างไม่ทันรู้ตัว

“อือ”

ผมสลัดความคิดงี่เง่าในหัวทิ้ง เดินไปรับชานมธัญพืชของโปรดจากในมืออีกฝ่าย แล้วดูดฟืดอย่างชื่นใจ ปกติแล้วผมค่อนข้างควบคุมของหวาน แต่เพราะวันนี้ผมร้อนใจอยากส่งข้อความอะไรสักอย่างให้เขากลับมาเร็วๆ คิดอยู่นานจึงลงท้ายที่การฝากซื้อของกินมาเสียอย่างนั้น

เคย์เดินไปเปลี่ยนชุด เดี๋ยวนี้หมอนี่ถึงขนาดถอดเสื้อในห้องโดยไม่เขินอายแล้วด้วยซ้ำ

แล้วผมก็คงเป็นบ้าที่นั่งมองหุ่นแสนดูดีนั่นตลอด

โดยเฉพาะเวลาเขาถอดเสื้อรวดเดียวเผยให้เห็นแผ่นหลังตึงๆ กับกล้ามเนื้อที่ขยับตามการเคลื่อนไหวนั่น

โคตรดูดีเลยให้ตายเหอะ

และเหมือนเขาจะรู้สึกถึงสายตาร้อนๆ ของผม จึงหันหน้ากลับมายักคิ้วให้ทีนึง

ผมแทบจะสำลักน้ำชานมเพราะรู้สึกว่าท่าทางของเขามันตลกมากกว่าดูแบดอย่างที่เจ้าตัวอยากให้เป็น

“เดี๋ยวเก็บของไปยิมให้ กินเสร็จแล้วเปลี่ยนชุดด้วย”

“ครับบบบ” ผมตอบรับไปแบบไม่ใส่ใจนัก ใครๆ ก็รู้ว่าผมมักจะหมอบเป็นตายหลังจากวิ่งครบครึ่งชั่วโมง ในขณะที่ต้องนั่งแกร่วรอหมอนี่เล่นให้ครบจนถึงขั้นยกเวท

เจ้าหมาบ้าพลัง

“เออ วันนี้เพื่อนกูเห็นมึงขึ้นรถไปกับใครอ่ะ” ผมเอ่ยขึ้นมาเหมือนกล่าวเรื่องดินฟ้าอากาศ เหลือบไปมองหางตาก็เห็นเคย์สะดุ้งเบาๆ เขาอ่อมแอ่มตอบว่า

“ก็…อือ….เออ รุ่นพี่น่ะ”

“เหรอ” ผมตอบผ่านๆ ปล่อยให้เรื่องผ่านเลยไป

“เรารีบไปเล่นยิมกันดีกว่า” เคย์ที่เหมือนมีชนักติดหลังเล็กๆ รีบสะพายกระเป๋าขึ้นบ่าแล้วรุนหลังผมให้ไปเปลี่ยนชุด

ผมมองคนที่พยายามกลบเกลื่อนเรื่องเมื่อกี้อย่างสุดความสามารถด้วยสายตาสังเกต

ไม่รู้ทำไม แต่ผมรู้สึกไม่สบายใจเลยสักนิด



เคย์เป็นคนกลัวการถูกสายตาสังคมตัดสิน เด็กชายที่ยอมเปลี่ยนตัวเอง กดสิ่งที่ตัวเองชอบไว้ไม่ยอมพูดกับคนอื่น แล้วพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองตามคำพูดของคนอื่น

ถึงวันนี้เขาหนักแน่นพอที่จะต่อต้านสายตาจากสังคมหรือยังหากเราตัดสินใจคบกัน

แน่นอนว่าเราไม่จำเป็นต้องบอกกับใครถ้าเราคบกันจริงๆ มันก็แค่…เคย์เตรียมใจแค่ไหนกันหากถูกรู้ว่าเรากำลังดูใจกันอยู่

สังคมมหาลัย จะว่ากว้างก็กว้าง จะว่าแคบก็แคบ ถึงแม้จะไม่มีใครพูดต่อหน้า แต่เรื่องแบบนี้ มันกระจายไปทั่วคณะได้ไม่ยาก โดยเฉพาะเมื่อเขามีตำแหน่งเดือนคณะค้ำคออยู่

ผมมองคนที่เดินอยู่ข้างๆ มือนึงของเขาแกว่งไกวขณะเดินวิจารณ์ร้านข้าวที่เราเดินผ่านแต่ละร้าน ชายหนุ่มทำหน้าเหม็นเบื่อร้านที่เรากินบ่อยๆ แล้วพูดไปเรื่อยเปื่อยเรื่องร้านที่เราควรไปกินวันหยุด

อ่า…แต่หูผมไม่ได้ฟังสิ่งที่เขาพูดเลยแม้แต่น้อย ผมเอาแต่โฟกัสมือของเขาเท่านั้น

อยากจับมือชะมัด

ถ้าเกิดว่าเราได้จับมือเดินด้วยกันเหมือนคู่รักชายหญิงคู่อื่นๆ มันจะเป็นยังไงนะ

ผมขมวดคิ้วมุ่น เม้มปากแน่นตอนที่เอื้อมมือไปหาคนข้างหน้าแล้วจับหมับเข้าที่ข้อมือเขา

เคย์หันมามองหน้าผมเหวอๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มกรุ่มกริ่มเมื่อเห็นว่าผมกำลังหลุบตาหน้าแดงจนแทบไหม้

“อยากจับมือกูเหรอ”

“…ปะ…เปล่าสักหน่อย”

“ว้า ไม่เป็นไร งั้นกูอยากจับมือมึงแทนก็ได้” ไม่ว่าเปล่า เจ้าตัวยังแกะมือผมออกมากุมไว้เองเสียอีก มืออุ่นๆ กุมมือผมไว้เสียมิด

เจ้าหมาหน้าโง่ยิ้มร่าจนเหมือนคนบ้าจนผมอดหมั่นไส้ไม่ได้ ท่าทางอารมณ์ดีกระดิกหางเกินเหตุนั้นมันจริงๆ เลย

“เฮ้ย เคย์ มึงนี่หว่า”

ทว่าเสียงของกลุ่มคนที่ไม่รู้จักซึ่งดังอยู่ตรงข้ามถนนทำลายช่วงเวลานี้ไปจนหมด ผมเงยหน้าขึ้นมองคนที่น่าจะรู้จักเคย์กำลังโบกไม้โบกมือมาทางนี้ ซึ่งเขาก็ยิ้มตอบกลับไป

ผมสะบัดมือตัวเองที่อยู่ในอุ้งมือเขาเบาๆ แต่เคย์ไม่ยอมปล่อย

“ปล่อยสิ” ผมกระซิบ “อยากให้คนพวกนั้นเห็นหรือไง”

เคย์ไม่ตอบ เขาหันไปคุยกับคนพวกนั้นซึ่งเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ พอๆ กับผมที่เริ่มร้อนใจ

“ไงมึง ทำไรอยู่”

“กำลังไปกินข้าวกับเมท”

“แหม หายหน้าหายตา ไม่ค่อยมาสังสรรค์กันเลยนะ”

“อือ ช่วงนี้เริ่มอ่านหนังสือแล้วไง พวกมึงนั่นแหละไม่รีบเริ่มเดี๋ยวไม่ทันสัด ก็รู้อยู่ว่าช่วงท้ายๆ มันลนแค่ไหน”

“เออ รู้แล้ว น่าเบื่อชิบหาย”

เป็นโชคดีที่กลุ่มคนพวกนั้นไม่เห็นมือที่จับกันของพวกเรา อาจจะเพราะเป็นมุมที่ตัวของเคย์บังจนหมด จวบจนกระทั่งกลุ่มเพื่อนของเขาเดินไปแล้ว หน้าคมๆ โหดๆ ของเขาถึงได้ก้มลงมามอง

“ทำไมไม่อยากให้จับ กูจะงอนอีกรอบแล้วนะ”

ไม่รู้เมื่อไรที่คำว่างอนของเขามันช่างเข้ากับหน้าโหดๆ ซึ่งยู่ปากอะไรอย่างนี้ ท่าทางเขาตอนนี้เหมือนหมากำลังงอนเจ้าของแต่ก็เอาเท้าหน้าแปะตัวเจ้าของไว้เพราะกลัวเขาจะหนีไปหาหมาตัวใหม่

ตลก

“มึงเองเถอะ ไม่คิดมากหรือไง”

“คิดมาก? เรื่องอะไร”

“เรื่องที่จับมือกับผู้ชายไง”

มาถึงตรงนี้เหมือนเคย์พึ่งจะคิดได้ ตลอดมาเจ้าหมอนี่ไม่คิดเรื่องนี้เลยหรือไงนะ

ผมเผลอเจ็บปวดขึ้นมานิดหนึ่งเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าตลอดมาเขาคงมองข้ามเพศสภาพภายนอกของพวกเรามาตลอด และคงคิดเพียงว่าชอบผมอย่างซื่อตรงเท่านั้น

“ไม่เห็นเป็นไร จับมือกับแฟน”

“มะ…ไม่ใช่แฟน ยัง! ยังไม่ใช่สักหน่อย”

“งั้นที่ได้กันหลายรอบแล้วนี่ต้องเรียกว่าอะไร? ผัวเมีย?”

“มุขนี้เล่นซ้ำไปแล้ว พอเหอะ”

พอพูดแบบนี้เขาก็หัวเราะจนตาปิด จนผมอดยิ้มตามไม่ได้

“ไปกินข้าวกัน เอาร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำดีกว่า กูอยากกินอะไรเผ็ดๆ”

“เออ ตามใจ อยากกินอะไรก็กิน”

ผมพูดอย่างนั้นแล้วจ้องมองมือที่จับกันของพวกเราด้วยสายตาสับสน

จริงเหรอ จะไม่คิดมากจริงๆ เหรอ

ถึงจะมีใครต่อใครชี้มาที่พวกเราด้วยสายตาล้อเลียน มุ่งร้าย หรือเคลือบแคลงใคร่รู้ ก็จะไม่รู้สึกอะไรจริงๆ เหรอ

จะไม่คิดมากจนนอนกระสับกระส่าย ไม่คิดมากจนเผลอทำหน้าหมอง หรือเลิกเล่นโซเชียล

ผมไม่อยากให้การที่เราคบกันเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาทรมานมากขึ้นหรอกนะ

ผมแคร์เขา แค่เห็นหน้าหงูวๆ นั่นก็ใจเหี่ยวแล้ว คราวนี้ถ้าสาเหตุของความหงูวมาจากผมเอง ผมคงรู้สึกแย่มากๆ

แคร์เท่าไหน

ก็มากเท่าโลกใบแคบๆ ของผมเลยล่ะ



ผมยอมรับว่าหลังจากวันนั้น ตัวผมก็ลืมเรื่องของผู้หญิงซึ่งขึ้นรถกับเคย์ไปเสียสนิทชนิดที่ว่าไม่มีเหลืออยู่ในหัวแม้แต่น้อย

แถมตัวเองยังยุ่งกับโปรเจ็คเสียจนเหนื่อย หัวยุ่งตัวเป็นเกลียว เพราะมันมีใครบางคนในกลุ่มไม่ยอมทำงานเสียด้วย ทำให้ผมต้องมารับงานเพิ่มอีก

หงุดหงิด หงุดหงิด หงุดหงิด

โตแล้วรู้จักหัดรับผิดชอบงานจะได้มั้ย!!

จบแล้วจะไปทำงานอะไรได้ ขนาดงานกลุ่มตอนมหาลัยยังไม่ยอมทำ!!

ผมฟึดฟัดกับเพื่อนไม่หยุดจนถึงขั้นชวนพวกหล่อนออกไปหาอะไรกินกันต่อเพราะรูมเมทตัวดีของผมไม่ได้กลับห้องมาหลายวันแล้ว

และตามประสาผู้หญิง เรื่องโน้นเรื่องนี้ซึ่งเป็นเรื่องขี้เม้าท์ต่างๆ ก็จะถูกนำมาเล่าเหมือนไม่มีวันจบ

อย่าดูถูกแม่สาวบัญชีพวกนี้เชียว

“เนี่ย คือถ้าพูดไปจะหาว่ากูหมกมุ่นกับรูมเมทไอ้จิน แต่คือกูแบบชอบเขาจริงๆ อ่ามึง หน้าตาแม่งน่ามองสัดดด”

“ไม่ใช่มึงคนเดียวจ้าอีพลอย กูเห็นแล้วยังมองตามตาค้างอ่ะ หน้าตาดีไปไหนวะ”

“กูแบบอิจฉาเพื่อนกูวะ มึงได้เห็นbed hairของเขาใช่มั้ย ต้องได้เห็นหน้าตอนตื่นนอนเขาแน่ๆ เลย อีเหี้ยเอ๊ย ขอไปสิงห้องมึงวันหนึ่ง”

ผมส่ายหน้าให้ ยกยิ้มมุมปากแบบคนมาเหนือกว่า จนเพื่อนผมเบ้ปากใส่แทบรำกรีดหน้า

หน้าตอนตื่นนอนกับผมยุ่งๆ เหรอ

หึ เห็นทุกวัน

แต่จะไม่บอกหรอกว่ามันดีแค่ไหน

มีแค่ผมคนเดียวที่รู้

“แต่จบแล้วกู ไม่ได้แดก”

“ทำไมวะ”

ไม่ใช่แค่เพื่อนคนอื่นๆ ในกลุ่มที่หันมามองคนเปิดประเด็นด้วยดวงตากระหายข่าวอย่างนักล่า ผมเองก็ยังอดใจกระตุกนิดๆ ไม่ได้

ไม่ใช่ว่ารู้กันแล้วหรอกนะ

ผมใจเต้นรัวพอๆ กับเหงื่อที่เริ่มชื้นมือ

“รู้แล้วเหยียบไว้ ถึงคนแม่งจะรู้กันเยอะแล้วก็เหอะ แต่ได้ข่าวว่าทุกวันที่มีคลาสจะมีผู้หญิงแก่กว่ามารับเคย์ถึงคณะเลย รถอย่างหรู แล้วตอนมีคลาสก็ขับมาส่ง ไม่รู้ไปค้างคืนด้วยกันหรือเปล่า”

หะ…

ผมรู้สึกเหมือนหูอื้อไปชั่วขณะ

เหมือนโดนหมัดฮุคต่อยเข้าเต็มเปาจนมึนหัวไปหมด ผมไม่สามารถโฟกัสบทสนทนาหลังจากนั้นต่อได้ด้วยซ้ำ

“สรุปเดือนคณะเขาชอบผู้หญิงแก่กว่าเหรอวะ”

“บางวันกลับมานี่เสื้อผ้ายังเป็นชุดเดิมอยู่เลยอ่ะมึง”

“ไอ้จิน เรื่องจริงเหรอวะ มีอะไรไม่ฝอยกับเพื่อนบ้าง”

“จิน…จิน”

ผมเงยหน้ามองพวกมัน ดวงตาเลื่อนลอยพึ่งสามารถโฟกัสหน้าเพื่อนได้หลังจากโดนหมัดฮุค

“ได้ยินมาจากไหน”

“โอ๊ยมึง คณะนิติใครๆ ก็รู้ทั้งนั้น”

พลอยวางมือลงปรามเพื่อนคนอื่นเบาๆ หล่อนหรี่ตาก่อนจะพูดว่า

“…หรือว่านี่มึง” แต่สุดท้ายเสียงเธอก็ขาดไป เจ้าหล่อนตบหน้าผากดังเพี๊ยะก่อนจะฉุดมือผมให้ลุกขึ้นยืน

“งั้นเราไปพิสูจน์กันมึง กูกับจินขอตัวก่อนนะ”

พลอยลากตัวผมออกมาจากกลุ่มเพื่อน มือเล็กๆ ของดาวคณะกระชับมือผมเสียแน่น

“กูจะไม่ถามแล้วกันนะ ถึงจะเดาเรื่องได้หน่อยๆ แล้วก็เถอะ”

พลอยจับผมที่หัวหยุดทำงานไปเรียบร้อยแล้วใส่รถตรงที่นั่งข้างคนขับ แล้วจึงเดินอ้อมไปขึ้นนั่งหลังพวงมาลัย

“เราจะไปไหนกัน?” ผมถาม

“ไปดูให้เห็นกับตาเรื่องรูมเมทมึงไง ข่าวลือหรือเรื่องจริง” พลอยตอบแล้วเหยียบคันเร่งสู่คณะนิติทันที

พวกเราใช้เวลาไม่นานก่อนจะมาถึงคณะนิติ แน่นอนว่าเพราะจอดหน้าคณะไม่ได้เราจึงต้องหาที่จอดรถแล้วลงไปสังเกตการณ์ข้างล่าง ดีที่ว่าคอมมอนข้างใต้ตึกของคณะค่อนข้างใหญ่และมีนักศึกษาอยู่เยอะดังนั้นเราจึงไม่เป็นที่สังเกตอะไรมากมายนัก

ผมยืนรอกับพลอยจนเห็นกลุ่มคนคุ้นเคยกำลังหยอกล้อกันมา

น่าแปลกที่ท่ามกลางคนจำนวนมาก มันจะมีใครคนหนึ่งที่คุณมักจะมองเห็นก่อนเสมอ ราวกับเขาโดดเด่นออกมา

เคย์กำลังเตะขัดขาเพื่อน เล่นกันแรงๆ แบบที่ผู้ชายเขาจะเล่นกัน ก่อนที่เขาจะหยิบมือถือออกมาและหยุดนิ่ง พิมพ์อะไรบางอย่างยุกยิก

เพื่อนของเขาโถมตัวมากอดคอไว้ก่อนจะส่งเสียงแซว สลับกับกันต์ที่มองด้วยสายตาไม่สบายใจ

“คนนั้นมารับอีกเหรอ ฮิ้ว เพื่อนกูมันร้ายไม่เบาว่ะ”

“หุบปากไปไอ้สัด” เขาสะบัดมันทิ้งแล้วออกเดิน ผมรีบหันหน้าหลบและโชคดีที่เขาไม่ได้สังเกตอะไรเพราะมีคนโทรเข้าโทรศัพท์เขาพอดี

ชายหนุ่มยกโทรศัพท์ขึ้นพูด ผมได้แต่สงสัยว่าใครกันนะที่เป็นปลายสายนั่น แต่สงสัยได้ไม่นาน คำตอบก็ปรากฎเบื้องหน้าผม

เมื่อสาวสวยในคราบสาวออฟฟิศซึ่งแนบโทรศัพท์เข้ากับหูเดินมาในทิศทางตรงกันข้าม ก่อนที่จะเห็นหน้ากันในที่สุด

เคย์ถอนหายใจใส่หล่อนทีหนึ่ง ก่อนที่พวกเขาจะพากันเดินไปยังลานจอดรถท่ามกลางเสียงโห่แซวของเพื่อนๆ

ผมตัวชา มองเพียงแผ่นหลังกว้างที่เดินเคียงข้างสาวออฟฟิศคนสวยไปทางอื่น ผมพร่ำบอกตัวเองว่าเขาอาจจะเป็นพี่น้องกัน

แต่หน้าตาเขาไม่เหมือนกันเลยสักนิด ไม่แม้แต่จะใกล้เคียง จะเรียกว่าญาติยังไม่น่าใช่เลยด้วยซ้ำ

ผมรู้สึกเหมือนหัวใจในอกเต้นช้าลงจนแทบจะเงียบงัน

ตอนแม่รู้เรื่องพ่อ แม่รู้สึกอย่างนี้เหมือนกันเหรอ

ทำไมทันทรมานจังนะ

เรื่องราวต่อมาที่รู้คือพลอยพยายามประคองผมเดินออกไปจากคอมมอนแห่งนั้น

“เดี๋ยวก่อน”

แต่เสียงหนึ่งหยุดพวกเราไว้ ผมหันหน้ากลับไปก่อนจะพบว่าเป็นเพื่อนของเคย์นั่นเอง เขามีสีหน้าร้อนรนแฝงด้วยความทำตัวไม่ถูก

“จิน รูมเมทของเคย์ใช่มั้ย พวกเราไปคุยกันก่อนเถอะ”



ผมให้พลอยกลับไปก่อน ส่วนหนึ่งเพราะไม่อยากทำสีหน้าแย่ๆ หรือร้องไห้ต่อหน้าเพื่อนซึ่งยังคบกันไม่ถึงปี อีกส่วนเพราะสายตาลอกแลกของกันต์ที่เหมือนรู้อะไรบางอย่าง

พวกเรามานั่งอยู่ในคาเฟ่ที่อบอวลด้วยกลิ่นกาแฟ แต่นั่งอยู่นานแล้วกันต์ก็ยังไม่พูดเรื่องอะไรกันเสียทีจนผมเริ่มหมดความอดทน

แต่ครั้นจะพูดขอตัว เขาก็ชิงพูดเสียก่อน

“คือจินคบกับเคย์อยู่ใช่มั้ย”

ผมนิ่งงัน มือซึ่งจับแก้วกาแฟถึงกับเย็นเฉียบ ตาผมเบิกกว้างด้วยความแตกตื่น

ต้องการอะไรกันหมอนี่

คิดจะพูดอะไร

แน่นอนว่าต่อหน้าผู้ชายซึ่งมีความเป็นผู้ชายสูงขนาดนี้ ผมต้องคิดถึงเรื่องแย่ๆ ก่อนอยู่แล้ว

เขาจะเอาเรื่องนี้ไปพูดกับคนอื่นมั้ย แล้วถ้าคนอื่นในคณะรู้ เขาจะมองเคย์ยังไง

ผมไม่ได้มองโลกในแง่ดีพอจะเห็นว่าผู้ชายในชมรมบาสเกตบอลจะสามารถยอมรับเรื่องนี้ได้เสียทั้งหมด ถึงอย่างไรในสังคมก็ยังต้องมีพวกบ้าซึ่งเกลียดพวกรักร่วมเพศเข้าไส้อยู่ดี

“จะพูดอะไร ว่ามา” ผมหรี่ตามองด้วยการเตือน ซึ่งกันต์ก็โคลงศีรษะมองผมอย่างเอ็นดูเหมือนมองแมวซึ่งกำลังขู่ฟ่อ

ซึ่งมันทำให้ผมหงุดหงิดชะมัด

“ใจเย็นๆ ก่อน แค่จะมาคุยเรื่องวันนี้เฉยๆ ให้ตายสิ ขู่ฟ่อเหมือนลูกแมวเลย คิดว่ากูจะเอาเรื่องนี้ไปบอกกับคนอื่นหรือไง นี่ชอบเคย์ถึงขนาดนี้เลยเหรอ”

“…”

“คือ ที่เห็นวันนี้น่ะ อยากให้ใจเย็นๆ ก่อน กูก็ไม่ได้อยากจะเข้าไปยุ่งเรื่องในมุ้งเพื่อ--- หมายถึง ไม่ได้อยากเข้าไปยุ่งกับ…เอ่อ ช่างแม่งเหอะ พูดแล้วกูปุเลี่ยนในใจเองแม่งเอ๊ย เอาเป็นว่าเรื่องผู้หญิงที่ไปกับเคย์ มันเริ่มมาเกือบเดือนที่แล้ว อืม….กูไม่เชื่อว่ามันจะเป็นคนแบบที่จะนอกใจใครได้หรอก เพราะงั้น…”

ผมเข้าใจความลำบากใจของกันต์ที่ส่งผ่านทางสีหน้าออกมาได้อย่างชัดเจน

ไอ้หมานั่น มีเพื่อนดีนี่

ถึงจะชอบทำตัวขี้ระแวงกับเพื่อน สวมหน้าเหมือนกับเป็นหนุ่มฮอตธรรมดาๆ เพื่อให้เข้ากับกลุ่มเพื่อนได้

แต่ก็ดันมีเพื่อนคนหนึ่งที่ยอมทุ่มสุดตัวยุ่งเพื่อแก้ตัวให้

ผมเผลอยิ้มออกมานิดหนึ่ง บอกสิ่งที่ตรงข้ามกับใจ

“ไม่ต้องห่วง ทางนี้ก็ไม่ได้คิดมากหรอก”



โกหก

โคตรโกหกเลย

ผมมองใบหน้าตัวเองซึ่งแต่งเติมด้วยเครื่องสำอางค์จนเหมือนกับเด็กผู้หญิงน่ารักๆ คนหนึ่ง วิกผมยาวสีน้ำตาลซึ่งขับกล่อมให้หน้าละมุนขึ้นอีกทำให้ผมเหมือนหลุดออกมาจากนิตยสารสักเล่ม

หือ อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ผมลุกขึ้นมาทำอย่างนี้เหรอ

ย้อนเวลากลับไปเมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว

ตัวผมซึ่งเหนื่อยอ่อนจากการไปสอดแนมกลับมาที่ห้องอย่างที่เรียกได้ว่าจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ถึงในหัวจะร้องบอกว่าอย่างไรเจ้าหมาซื่อสัตย์นั่นไม่มีทางนอกใจใครได้หรอก

แต่คำพูดของพ่อมันตามมาหลอกหลอนผม

ถ้าตอนแรกเขาชอบผมเพียงเพราะรูปลักษณ์ตอนผมแต่งตัวเป็นผู้หญิง ถ้าอย่างนั้น เขาไปชอบผู้หญิงจริงๆ ไม่ดีกว่าเหรอ

แถมผู้หญิงยังมีดูมดูมอย่างที่เจ้าหมาชอบทำจมูกบานใส่

แต่…จะบ้าเหรอ

ไม่เชื่อหรอก

มันน่าจะมีคำอธิบาย สักอย่างสิ

ผมพร่ำบอกตัวเองอย่างนั้น

ตัดสินใจล่ะ…ผมจะขอเคย์เป็นแฟน

ไม่ใช่ว่าผมไม่กลัวความสัมพันธ์ซึ่งไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นยังไงหรอกนะ แต่เพราะผมกลัวจะสูญเสียเขาจนกระทั่งความกลัวเรื่องอื่นเป็นแค่เรื่องจิ๊บจ๊อยต่างหาก

เพราะอย่างนั้นผมถึงรู้สึกตื่นเต้นกับอีเว้นท์พิเศษที่จะมาถึง ถึงขั้นที่เตรียมแต่งตัวให้สวยที่สุดรออีกฝ่ายไว้

เอากระโปรงที่ชอบที่สุดออกมา แต่งหน้าแบบบางๆ ระเรื่อๆ แบบที่อีกฝ่ายชอบ แล้วก็ทรงผมน่ารักๆ ในสเป็คของเขา

หลังจากนั้นตอนที่หมอนั่นเข้ามา ผมจะถามเขาว่าเป็นยังไง แล้วเจ้าโรคจิตน่าสมเพชนั่นก็จะต้องตาลุกวาวเพราะเห็นผมในชุดนี้ หึ ผมแทบจะเห็นหน้าตื่นเต้นตาวาวของเขาลอยมาด้วยซ้ำ แล้วตอนคุยกัน สักตอนหนึ่ง…ผมจะขอเขาเป็นแฟน

อ่า พอจะจินตนาการออกเลย เจ้าหมาโง่นั่นต้องทำตัวไม่ถูกแน่ๆ แล้วก็จะต้องโวยวายว่าผมแย่งหน้าที่เขาไป

ผมนั่งกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง คว้าโทรศัพท์มาเช็คดู

ผมส่งข้อความไปให้เขา ขอให้คืนนี้กลับมาที่ห้องหน่อย และอีกฝ่ายตอบกลับมาว่าได้

ตอนนี้เวลา 2 ทุ่ม

ผมกำมือชื้นเหงื่อของตัวเองไว้ ผุดลุกผุดนั่งไปมองกระจก

อ๊ะ หน้าม้าเบี้ยวนิดหนึ่ง ปัดสักหน่อย อ่า..ตรงแล้วๆ

อืม ผมเติมลิปกลอสให้ปากดูนุ่มขึ้นอีกนิดหนึ่งดีมั้ยนะ

หลังจากทำทุกอย่างเสร็จแล้ว ผมก็กลับมานั่งที่เตียงอีกครั้ง ท่องบทไปมาในหัว แค่คิดว่าเขาจะทำหน้ายังไงตอนเห็นผมในชุดนี้หัวใจก็ฟูจนเผลอหัวเราะคิกคักออกมา

แต่แล้วเพราะความตื่นเต้นผมจึงลุกขึ้นมาเช็คในกระจกอีกรอบ

เอ๊ะ หรือกระโปรงตัวนี้จะไม่ค่อยเข้า เปลี่ยนหน่อยดีมั้ยนะ

อืม หรือจะเอาเสื้อกับกระโปรงตัวนี้แทน

หรือจะเดรสดีนะ

ผมเอาแต่ละตัวออกมาทาบ หมุนตัวเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาหน้ากระจก

ช่วยไม่ได้ ผมอยากดูสวยที่สุดในสายตาเคย์นี่

สวยจนไม่ว่าจะผู้หญิงคนไหนก็เทียบไม่ติดเลย

เวลา 3 ทุ่มแล้ว

ผมคิดว่าเขาอาจจะติดธุระนานหน่อย ผมเช็คมือถืออีกรอบ ข้อความที่เขาบอกว่าจะกลับมาเมื่อ3ชม.ที่แล้วยังคงอยู่

ผมไม่อยากส่งข้อความไปหาอีกรอบเพราะเกรงว่าเขาจะรำคาญ ยังไงหมอนั่นก็บอกแล้วนี่ว่าจะกลับมา!

ผมลุกไปที่กระจกครั้งที่เท่าไรไม่รู้เพื่อเช็คสภาพของตัวเอง

อ่า ตื่นเต้นชะมัด

เวลา 4 ทุ่ม

เข็มนาฬิกาบนห้องยังคงเดินไม่หยุด ผมได้แต่กำกระโปรงแน่นเพราะคิดว่าประตูห้องจะเปิดออกมาเมื่อไรก็ไม่รู้ และผมพร้อมจะขอเขาเป็นแฟนเป็นบ้า

เวลา 5 ทุ่ม

ผมเดินทั่วห้องเหมือนหนูติดจั่น สลับกับมองประตูห้องตัวเอง แม้ร่างกายจะเริ่มเหนื่อยล้าเพราะดีดมาหลายชั่วโมง แต่ผมกลับไม่สามารถนั่งพักได้เลย

กลับมาได้แล้ว

ผมอยากจะบอกเร็วๆ แล้วนะ

จะได้เห็นรอยยิ้มของคุณเร็วๆ ไง

เวลาเที่ยงคืนสิบห้านาที

ผมที่นั่งรออยู่บนเตียงอย่างกระวนกระวายได้ยินเสียงเปิดประตู ตัวผมเด้งขึ้นยืนอย่างอัตโนมัติ รู้สึกใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้นจนกลัวไปหมด

อ๊ะ…ลืมเช็คสภาพอีกรอบเลย ตอนนี้สวยมั้ยนะ

แย่แล้ว เราจะพูดอะไรเป็นประโยคแรกนะ ลืมไปแล้ว บ้าชะมัด

คนที่เดินเข้ามาคือชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผู้เป็นรูมเมทของผม เขาแบกเป้อันโตด้วยท่าทางเหนื่อยล้าผิดปกติ

“งะ..ไง กลับมาแล้วเหรอ วันนี้กูเป็นไง คือ…กูมีเรื่องจะคุยนิดหน่อย” ผมม้วนปอยผมแก้ประหม่าตอนพูด ซ้ำยังไม่ยอมสบตาเขาเลยทั้งๆ ที่อยากเห็นปฏิกิริยาคนตรงหน้าจะแย่ว่าจะหูตั้งหางชี้ขนาดไหน

จะตื่นเต้นมากเหมือนกันมั้ยนะ จะชอบหรือเปล่า

จะยิ้มเห็นเขี้ยวทำหน้าโง่ๆ แบบตอนที่ผมแต่งหญิงธรรมดาๆ หรือเปล่านะ

หรือจะตาวาวเพราะวันนี้ผมสวยกว่าปกติกัน

ในที่สุดผมก็ยอมหันมามองเขาจนได้ ก่อนหัวใจจะหล่นวูบเหมือนตกมาจากที่สูง

ในสายตาเคย์ไม่มีความตื่นเต้นยามผมแต่งตัวเป็นผู้หญิงอีกแล้ว

สายตาที่ส่งมาให้ผมมีแต่ความเหนื่อยล้าผสมกับความเรียบเฉย

“อือ น่ารักดีนี่”

แม้กระทั่งคำชมยังแห้งแล้งจนน่าใจหาย เหมือนกับเป็นคำชมผ่านๆ ตามมารยาทเท่านั้น

เขาวางเป้ลงบนพื้น เดินผ่านตัวผมพร้อมกับวางมือแปะๆ ที่หัวผมเบาๆ แล้วหายเข้าห้องน้ำไปอย่างรวดเร็ว

“มีเรื่องจะคุยเหรอ ไว้หลังจากกูอาบน้ำเสร็จแล้วได้มั้ย เหนื่อยชะมัด”

ผมไม่ได้ตอบรับอะไรด้วยซ้ำ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ตัวเองกำลังทำอะไรอยู่

จนกระทั่งเคย์เดินออกมาจากห้องน้ำเหมือนอาบน้ำผ่านๆ แล้วทิ้งตัวลงนอนพร้อมถามอีกรอบแม้ตาจะยังปิดอยู๋

“ตกลงมีเรื่องอะไรจะคุยเหรอ”

“….”

“จิน?”

“ไม่……ไม่มีแล้ว”

“อ้อ งั้นกูหลับก่อนนะ เดี๋ยวถ้ามึงหลับค่อยปิดไฟก็ได้”

หลังจากคำพูดนั้นเขาก็แทบจะหลับกลางอากาศ เคย์ม้วนตัวกับผ้าห่มจนแทบเป็นดักแด้แล้วทิ้งผมที่ยังยืนอยู่ตรงที่เดิมไม่เปลี่ยน

“….อือ”

จนกระทั่งเขาหลับสนิทแล้ว ผมจึงเดินไปปิดไฟให้จนห้องมืดสนิท ก่อนที่ตัวผมซึ่งชินกับตำแหน่งห้องแล้วจะเดินเข้าห้องน้ำแล้วปิดล็อคประตู

ใบหน้าน่ารักราวเด็กผู้หญิงของผมที่สะท้อนในกระจกห้องน้ำซีดขาวเหมือนไม่มีสีเลือด

อ่า น่ารักบ้าอะไรกัน สวยกว่าผู้หญิงอะไรกัน

ยังไงก็เป็นได้แค่ของปลอมไม่ใช่เหรอ

ผมดึงวิกที่สวมใส่ออก ผมสีน้ำตาลอ่อนสลวยค่อยๆ เลื่อนหลุดจนเผยผมสีดำสั้น

ของปลอม…

แล้วผิดตรงไหนกัน เป็นของปลอมแล้วยังไงกัน

น้ำตาผมไหลหลากเหมือนเขื่อนทำนบพัง ผมกัดฟันไม่ให้เสียงสะอื้นดังจนอาจเล็ดรอดออกไปปลุกคนข้างนอกให้ตื่น

เครื่องสำอางบนใบหน้าค่อยๆ หลุดเพราะหยาดน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุด ผมหยิบสำลีมาชุบคลีนซิ่งแล้วลบใบหน้าตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย

ทำไมกัน ทำไมกัน ทำไมกัน

ถ้าผมเกิดเป็นผู้หญิง ถ้าเป็นผู้หญิงน่ารักๆ

ทั้งชีวิตนี่ก็ไม่ต้องกลัวการเดินจับมือกับเคย์ ไม่ต้องกลัวว่าสักวันใครจะรู้เรื่องนี้ ไม่ต้องกลัวว่าสักวัน....

ใบหน้าน่ารักซึ่งหากมองดีๆ ก็จะรู้ว่าเป็นผู้ชายเมื่อปราศจากเครื่องสำอางค์ช่างน่ารังเกียจสิ้นดี เมื่อผมโตขึ้นสักวันอาจจะไม่หน้าตาน่ารักแบบนี้แล้วก็ได้

สักวันเมื่อแก่ตัวลง อาจจะไม่ดูดีเท่าแม่สาวออฟฟิศที่เดินอยู่ข้างเขาเย็นนี้

เพราะจริงๆ แล้วผมเป็นผู้ชาย ผมไม่ใช่ผู้หญิงที่ตัวนุ่มๆ มีร่างกายแบบที่ผมชอบ สามารถสวมใส่เสื้อผ้าอย่างที่ผมอยากใส่ ได้ใช้เครื่องสำอางค์ทุกวันอย่างที่ผมอยากใช้

ผมกัดริมฝีปากกลั้นเสียงสะอื้นซึ่งเริ่มดังขึ้นทุกทีจนเลือดซึม สุดท้ายก็ซวนเซจนทรุดลงนั่งบนพื้นกระเบื้องเย็นเฉียบในห้องน้ำ

เพราะอะไรกัน

ผมอยากจะฉีกทึ้งกระโปรงตัวนี้ซะ อยากจะอาละวาดเอาเสื้อผ้าทุกตัวโยนลงกองไฟให้หมด

แต่ทำไม่ได้

เพราะถึงเป็นผู้ชาย แต่ผมชอบกระโปรงน่ารักๆ เสื้อแขนตุ๊กตา ของดีไซน์สวยๆ เสื้อผ้าซึ่งไม่มีสำหรับผู้ชายและเครื่องสำอางค์พวกนั้นเป็นที่สุด

ผมกอดเข่าตัวเอง ซบหน้าลงร้องไห้อย่างสุดกลั้น

ผมสู้ผู้หญิงไม่ได้จริงๆ ตอนที่เคย์เดินไปกับผู้หญิงคนนั้น มีส่วนหนึ่งของผมร่ำไห้เพราะความเหมาะสมกันของพวกเขา

ถ้าเคย์มีครอบครัว มีลูกตัวน้อยๆ มีทุกสิ่งที่สังคมนี้ยอมรับ

ถ้าหากว่า…

ถ้าผมเป็นผู้หญิงล่ะก็ กับเคย์น่ะ…

จะขอเดินจับมือด้วยกันตอนไปเดินตลาดในมอ จะหยอกล้อเล่นกันเหมือนคู่รักปกติตอนอยู่ในมหาลัย จะหยอดคำหวานอย่างเปิดเผยเวลาทานข้าวด้วยกัน จะมีสิทธิ์ทำหน้าไม่พอใจหึงหวงเวลามีคนแสดงตัวเข้ามาจีบเขาอย่างโจ้งแจ้ง จะมีสิทธิ์ทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ จะรู้จักกับเพื่อนเขาในฐานะคนคุยจริงๆ

ไม่ใช่ทำตัวเป็นเพื่อน…เป็นรูมเมท

‘ถ้าเขาเลือกได้ เขาก็เลือกผู้หญิงจริงๆ มากกว่าคนที่เล่นเป็นผู้หญิงอย่างแก’


--------------------------------------
ขอโทษที่ทิ้งไปนานนะคะ กลับมาอัพแล้ว เดี๋ยวจะอัพอีกครั้งหลังกลับจากญี่ปุ่นนะคะ

ออฟไลน์ TheWanFah

  • ความใกล้ชิด บางครั้ง ทำให้เราเผลอคิดไปเอง
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1108
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่15 UP! P.12[02/06]
«ตอบ #348 เมื่อ02-06-2019 11:19:34 »

เคย์หายไปทำอะไรกับผู้หญิงคนนั้น
สงสารจินมากเลย
อยากให้จินถามเคย์ไปตรงๆเลย

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่15 UP! P.12[02/06]
«ตอบ #349 เมื่อ02-06-2019 18:39:50 »

หัวใจสลาย..ยยยยยย    :o12: :o12: :o12:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่15 UP! P.12[02/06]
« ตอบ #349 เมื่อ: 02-06-2019 18:39:50 »





ออฟไลน์ nofsnof

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่15 UP! P.12[02/06]
«ตอบ #350 เมื่อ02-06-2019 18:56:38 »

ง่ะ จินที่คิดมากแบบนี้นะ ไม่ชอบเลยย

สงสาร :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่15 UP! P.12[02/06]
«ตอบ #351 เมื่อ02-06-2019 23:27:36 »

ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร!?

ออฟไลน์ gemgems

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่15 UP! P.12[02/06]
«ตอบ #352 เมื่อ03-06-2019 00:52:33 »

กอดจินนน ไม่คิดมากนะคะคนดี  :sad4:   :sad4:

ออฟไลน์ yunnutjae

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 650
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่15 UP! P.12[02/06]
«ตอบ #353 เมื่อ03-06-2019 13:54:52 »

เนี่ยว่าแล้วววว ว่าต้องไม่ได้ขอเป็นแฟน
สงสารจินอะ แต่นี่ก็อยากรู้เหมือนกันว่าผญ.เป็นใคร จะแฮปปี้ที่สุดก็ตอนจบอะ 55555555555555555

ออฟไลน์ angelninae

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่15 UP! P.12[02/06]
«ตอบ #354 เมื่อ04-06-2019 10:59:29 »

เพิ่งมาอ่าน สนุกมากๆเลยค่ะ ชอบที่ทังจินและเคย์ต่างก็มีปม ไว้ช่วยแก้ปมของแต่ละคนกันไปให้ได้นะ สู้ๆค่ะ

ออฟไลน์ GDNEE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่15 UP! P.12[02/06]
«ตอบ #355 เมื่อ04-06-2019 16:28:00 »

เอ๋ เกิดะไรขึ้น  :monkeysad:

ออฟไลน์ มะยองมะแยง

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่15 UP! P.12[02/06]
«ตอบ #356 เมื่อ07-06-2019 10:31:38 »

สงสารน้องงงงง  :o12:

ออฟไลน์ Wwavez

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่15 UP! P.12[02/06]
«ตอบ #357 เมื่อ08-06-2019 00:35:46 »

ใจชั้นแตกสลายแล้ววว ละไมนังหมาถึงเฉยๆกับลูกชั้นอะ!!  :o12:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่15 UP! P.12[02/06]
«ตอบ #358 เมื่อ11-06-2019 13:03:10 »

นังหมาแกกล้าพูดว่าก็ดีนี่กับลูกชั้น ชั้นจะฉาบแก !!!

ออฟไลน์ MeiHT

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-1
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer บทที่15 UP! P.12[02/06]
«ตอบ #359 เมื่อ14-06-2019 22:22:52 »

บทที่ 16 : เด็ก

“ไม่สมเหตุสมผล…”

“…”

“คิดยังไงก็ไม่สมเหตุสมผล”

“ก็ไปพูดแบบนั้นกับเจ้าหมอนั่นซะสิ! มันน่าหนวกหูโว้ย!” มนุษย์อีกคนที่กำลังแชร์พื้นที่อยู่อาศัยกับผมปิดหนังสือดังฉับแล้วตะโกนลั่น

“หุบปาก!! แกนั่นแหละเสนอหน้ามาอยู่ในคาเฟ่ของฉัน แกก็ต้องฟัง!” แล้วตัวผมที่ตะโกนด้วยความสติแตกก็เสียงดังสู้เขาได้สำเร็จ

ร่างที่นอนทอดยาวตามโซฟาชื่อว่าเรน เป็นเพื่อน ถุ้ย เอาเป็นว่าเป็นคนร่วมโลกซึ่งแต่งคอสเพลย์สายแทร็ปมาด้วยกัน

เราเคยเจอกันในงานสังคมบ่อยๆ แถมยังเรียนโรงเรียนซึ่งได้ชื่อว่าเป็นโรงเรียนคู่แข่งกันอีก ทำให้เราไม่ค่อยถูกกันในหลายๆ แง่

แต่เจ้านี่มันก็ยังเอาตัวเข้ามายุ่งกับผมจนได้

เนื่องจากเมื่อวานผมสติแตกเกินกว่าจะอยู่ในห้อง จึงขนตัวเองออกมายังคาเฟ่ของพี่พลเรียบร้อย

อันที่จริงมันคือคาเฟ่ของผมนั่นแหละ แต่พี่พลดูแลอยู่

เพราะงั้นหลังจากนั้นผมก็โทรหาคนอย่างเรน หมอนี่ตะเกียกตะกายขึ้นมารับอย่างเหนื่อยอ่อนพร้อมด่าไปเป็นชุดแต่ก็ยอมขุดตัวเองออกจากเตียงตอนตี3เพื่อลากตัวมาอยู่กับผมด้วย

แน่นอนว่าพี่พลที่เห็นว่าคาเฟ่ไม่ได้ล็อคถึงขั้นยกไม้เบสบอลจะมาทุบโจร แต่ครั้นเห็นหน้าผมกับเรนที่นั่งหน้าสลอนในชั้นสองของคาเฟ่เขาก็ถึงกับถอนหายใจแล้ววางไม้ลง

‘เดี๋ยวพี่ไปทำอะไรมาให้ทาน มีเรื่องต้องคุยกันยาวเลยสินะครับ’

ร่างสูงใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยมัดกล้ามและร่องรอยโชกโชนจากอดีตขัดกับฝีมือการทำอาหารขั้นเทพของเขาเดินลงไปข้างล่าง เตรียมเปิดคาเฟ่ตามปกติและจะพยายามหาเวลามาอยู่กับผม

เดาว่าเขาคงตกใจสภาพหน้าผีๆ ของผมจนไปไม่เป็นแล้วแหงๆ

แน่ล่ะ ผมร้องไห้ไม่รู้เรื่อง ร้องจนเรนยังทำตัวไม่ถูก ร้องจนตาพร่าไปหมด ไม่รู้ขับรถมาถึงนี่ได้ยังไง ต้องขอบคุณรถยามค่ำคืนที่น้อยของโคตรน้อยจนขับง่ายเป็นบ้า

ผมไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้างมั้ย อย่างเคย์ไลน์มา หรือไม่ได้สนว่าผมออกไปจากห้อง เพราะผมลืมชาร์ตมือถือและลืมที่ชาร์ต ดังนั้นแบตจึงเดี้ยงเรียบร้อย

ไม่รู้ว่าเขาจะกระวนกระวายมั้ย หรือจะมีแค่ผมที่คิดมากไปคนเดียว

“โอ๊ยยยยยยยยย!!” ผมขยี้หัวตัวเองอย่างสุดกลั้น ส่งเสียงร้องจนเรนที่นั่งอยู่สะดุ้งอีกรอบ

ใต้ตาอีกฝ่ายดำจัดเพราะนอกจากจะต้องแหกขี้ตาตื่นมาเฝ้าผมที่สติแตกตอนกลางคืนแล้วยังไม่ได้นอนเลยนับจากนั้น

“โว้ยย พี่มิ้นต์อยู่ไหนฟะ จะมาได้หรือยัง” เขากดโทรศัพท์ส่งไลน์ยิกๆ หาหญิงสาวอีกครั้ง แต่สาวออฟฟิศไม่มีทางออกจากที่ทำงานได้ถ้ายังไม่ถึง4โมงครึ่ง รู้ไว้ซะด้วย

สุดท้ายเรนซึ่งเริ่มรับผมไม่ไหวก็วิ่งลงไปข้างล่าง ได้ยินเสียงตะโกนมาจากอีกฝ่ายว่า พี่พลลล มาช่วยผมรับมือไอ้เวรสติแตกนี่ที

กว่าพี่มิ้นต์จะเข้ามาก็ช่วงบ่าย เรนง่วงจนทนไม่ไหวหลับไปรอบหนึ่งแล้ว ตัดภาพมาที่ผมซึ่งใต้ตาดำโคตรแต่พอจะหลับตานอนเรื่องงี่เง่าก็เข้ามาในหัวจนจะร้องไห้

“อ่า…นี่มันเรื่องอะไรคะเนี่ย” พี่มิ้นต์ในคราบสาวออฟฟิศซึ่งต่างจากลุคปกติยิ้มแหย่เมื่อเห็นสภาพของคนในห้อง พี่พลซึ่งปกติจะตวัดสายตานิ่งๆ ทำตัวนิ่งๆ เหมือนไม่รู้คิดอะไรอยู่ยังมองไปที่พี่มิ้นต์เหมือนมีคนมาโปรด

ฮึ่ย ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ช่วยผมไม่ได้ทั้งนั้น!

ผมบ่นให้พี่พลฟังไปตั้งนาน แต่สิ่งที่พี่เขาตอบกลับมามีแค่ประโยคปลอบง่ายๆ ทว่าจริงใจกับเหงื่อที่ตกลงจากหน้าผากเป็นสัญญาณว่าเขาจนปัญญาแค่ไหน

โอเค ผมโกรธใครไม่ลงหรอกนะ ในเมื่อทุกคนวิ่งวุ่นหัวปั่นแถมยอมทิ้งงานเพื่อมานั่งโง่ๆ เป็นเพื่อนผมอย่างนี้

สาวสวยสองคนซึ่งเป็นขาประจำของคาเฟ่กลางเมืองแห่งนี้เดินเข้ามานั่งประจำที่ที่โซฟาตัวนุ่ม คนหนึ่งคือพี่มิ้นต์ที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว ส่วนอีกคนที่ตามเข้ามาคือพี่แคลร์ซึ่งนานๆ จะเข้ามาในคาเฟ่ที

“เกิดอะไรขึ้นคะ โดนหักอก?”

“ยังครับ แล้วก็อย่าพูดด้วยสีหน้าไม่ยี่หระเหมือนจะแช่งกันได้มั้ยครับ” ผมพูดอย่างอ่อนใจพลางนวดขมับ เรนซึ่งขดตัวอยู่บนโซฟาขยับตัวเอาหัวบดเบียดหมอนเหมือนมันรบกวนการนอนอันแสนหวานของเขา

“นอนกันเหมือนศพเลยนะคะ”

“พี่แคลร์ภาษาไทยไม่แข็งรบกวนพูดภาษาอังกฤษด้วยครับ คนที่นอนเป็นศพอยู่ทางนั้นสะดุ้งจนโลงสั่นแล้ว”

ผมเผลอตบมุขให้สองสาวอย่างเป็นธรรมชาติจนตัวเองต้องมานั่งปวดขมับเอง

ใช่เวลายิงมุขมั้ยครับ!?

ทางนี้ไม่ได้นอนมาเป็นวันแล้วโว้ย!

พวกหล่อนหัวเราะคิกคักเหมือนไม่มีเรื่องลำบากใจซึ่งทำเอาผมตวัดตาไปมองอย่างดุร้าย ส่วนพี่พลซึ่งนั่งอยู่ตรงที่วางมือของโซฟายังคงมองผมอย่างไม่รู้จะรับมือยังไง นับว่าคงคอนเซ็ปสุดๆ

“ไหนเล่ามาสิคะ”

ในที่สุด…

ผมจะเปิดปากเล่า แต่ครั้นจะพูดกลับไม่มีประโยคไหนหลุดออกจากปาก เหมือนกับว่าผมไม่รู้จะเล่าเรื่องอะไรก่อนดี กระทั่งลำดับเรื่องยังไม่ถูก

เริ่มที่เรื่องของพ่อก่อน…หรือเรื่องของเคย์ก่อน เรื่องไหนมันทำให้เกิดอะไรกันนะ

อ้อ ใช่แล้ว เพราะเรื่องที่พ่อพูด ทำให้ผมเกิดความสั่นคลอนในตัวเคย์จนถึงขนาดนี้เลยเหรอ จนถึงขั้นที่เห็นพวกเขาเดินไปด้วยกันผมก็ทนไม่ไหวแล้ว ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ตอนได้ยินว่ามีผู้หญิงมาหอมแก้มเขา ผมยังส่ายศีรษะขำๆ ได้ด้วยซ้ำ

ผมเล่าเรื่องราวที่ไม่ค่อยปะติดปะต่อนั่นให้พวกเขาฟัง ถึงตรงนี้ขนาดเรนที่นอนอยู่ยังขุดหน้าง่วงๆ ของตัวเองขึ้นมาฟังด้วย ผมเล่าบางเรื่องเสริมลงไปเหมือนกับค่อยๆ เอากระดาษไปแปะในช่องว่างเพื่อถมให้มันเต็ม

“แต่มันก็น่าสงสัยเรื่องของแฟนน้องอยู่นะคะ เพราะอะไรเขาถึงเดินไปกับสาวออฟฟิศ? แน่ใจนะคะว่าไม่ใช่ครอบครัว”

ผมส่ายหน้า

“ไม่ใช่หรอก”

หน้าตาไม่มีแม้สักเสี้ยวที่เหมือนกัน มองยังไงก็ไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดแน่นอน

“มันเป็นเพราะพ่อมึงป่ะ” เรนออกความเห็น “ก็เรารู้กันดีอยู่แล้วว่าเขาทำอะไรได้บ้าง ยิ่งเขารู้ว่าเคย์เป็นแฟนมึงอีก”

“แต่เขาเดินไปเหมือนเขารู้จักกันนะ แล้วมันจะเกี่ยวกับพ่อกูได้ยังไง”

“นั่นเป็นเรื่องที่เราต้องสืบเองไง” เรนสรุปในที่สุด เด็กหนุ่มหน้าสวยลุกขึ้นคว้ากุญแจรถ

“เดี๋ยว…นั่นมึงจะไปไหน”

เรนแสยะยิ้มซึ่งทำให้หน้าดูบิดเบี้ยวจนน่ากลัว

“พามึงไปพิสูจน์ไง”



“โอเค กูชักงงแล้วว่าเราจะมาพิสูจน์อะไรกันที่นี่” ผมมองเรนซึ่งพาพวกเรามานั่งในร้านกาแฟข้างล่างตึกใหญ่ใจกลางเมืองซึ่งห่างจากคาเฟ่ไม่กี่สถานีและบริษัทพ่อผมเช่าไว้หลายชั้นเพื่อเป็นอาคารสำนักงาน

“มึงบอกว่าเขามักจะกลับมาหลังเที่ยงคืนใช่มั้ย ก็เลยเข้าหอไม่ได้แล้วไปนอนกับเพื่อน” ผู้ชายซึ่งเคยแปลงโฉมเป็นสาวสวยในชุดกระโปรงผ่ายาวโชว์สัดส่วน บัดนี้ไม่ต่างอะไรจากเด็กหนุ่มหน้าสวยธรรมดาๆ ถาม

“…ใช่” ผมนิ่วหน้าเมื่อคิดถึงช่วงเวลาที่เขาส่งข้อความมาแก้ตัวว่าต้องทำงานจนเลยเวลาจึงไม่ได้กลับหอ และเพราะหอในมีกฎเข้มงวด เขาเลยต้องนอนข้างนอกไปโดยปริยาย

“โอเค…ตอนนี้เวลาหกโมง เรามานั่งรอกันเถอะ” เรนหมุนข้อมือดูนาฬิกาแล้วสรุปเอาเอง จากนั้นก็นั่งเอนหลังมองพนักงานออฟฟิศซึ่งเดินขวักไขว่ไปมา

“รออะไร? จะมาเจอพ่อกูหรือไง”

“เปล่า มาเจอแฟนแกต่างหาก จับตาดูไว้ดีๆ กูจำหน้าเขาไม่ค่อยได้เหมือนกัน”

เครื่องหมายคำถามปรากฎเด่นชัดบนหน้าผม แต่ผมไม่ว่าอะไรเพราะเหนื่อยเกินกว่าจะมาคิดตามคนมากเล่ห์

ผมเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ กาแฟบนโต๊ะถูกดื่มจนหมด ฤทธิ์ของคาเฟอีนวิ่งพล่านไปทั่วร่างจนตาเบิกค้าง ผมมองเหล่ามนุษย์เงินเดือนที่เดินออกมาจากที่กั้นเหมือนกับสัตว์ถูกปล่อยออกมาจากคอกแล้วได้แต่ถอนใจ

แล้วนี่ผมจะต้องนั่งรอไปอีกกี่ชั่วโมงกัน

เจ้าบ้าที่นั่งจิบชาอยู่ข้างหน้าผมก็ไม่ได้มีทีท่าจะตอบอะไรเลย

ผมนั่งรอให้เวลาไหลผ่านไป จนกระทั่งท้องฟ้าเริ่มมืดและกลายเป็นสีดำ ผมที่ใกล้สัปหงกเต็มทีก็ถูกสะกิดให้ตื่น

“ลุกๆ ๆ นั่นแฟนมึงใช่มั้ย”

ไอ้บ้าเรนใช้เท้าเขี่ยผมอย่างตื่นเต้น ผมแบกหนังหน้าเหนื่อยอ่อนที่ใต้ตาดำไปถึงเท้าหันไปมองตามทิศทางที่มันชี้ไป ก่อนจะเห็นคนที่ควรจะอยู่ที่มหาลัยแถบรังสิต

เคย์แบกกระเป๋าเป้ใบใหญ่เดินออกมาจากลิฟต์ เขาเดินคู่มากับสาวออฟฟิศคนเดิมที่ผมเจอเมื่อวาน

ชายหนุ่มหน้าตาเหนื่อยอ่อน เขาหยุดคุยกับผู้หญิงคนนั้นสักพักก่อนที่จะยกมือไหว้แล้วก้มหัวปะหลกๆ ไปด้วย เธอท่าทางกระฟัดกระเฟียดเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยกมือบอกเป็นสัญญาณว่าไม่เป็นอะไร จากนั้นร่างระหงก็เดินเชิดผ่านไป

ผมกัดฟัน เมื่อเรื่องราวในหัวเริ่มปะติดปะต่อ ความโกรธพุ่งขึ้นจนเหมือนกับถูกต้มจนเดือด

ไม่ ผมไม่ได้โกรธเคย์ แต่ผมโกรธคนคนหนึ่งที่ไม่ว่าเมื่อไรก็จะพยายามทำลายสิ่งที่ผมรักในชีวิตไปให้ได้

คนเดียวกับที่คงกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หนังตัวหรูบนตึกชั้นสูงนั่น







เคย์ part

มันเป็นวันธรรมดาๆ ที่ร้อนเหี้ยๆ ตอนที่รถเบนซ์คันหรูสีดำจอดเทียบอยู่ข้างๆ ผมที่กำลังเดินอยู่ในมหาลัย

“ขึ้นมาสิ” ชายสูงวัยดูภูมิฐานลดกระจกรถลงแล้วชักชวนผม

ใครวะ โรคจิต?

ผมส่ายหน้ายิ้มแหย ตั้งหน้าตั้งตาเดินโดยพยายามไม่สนรถที่วิ่งช้าๆ อยู่ข้างๆ ไม่ห่าง

“ฉันเป็นพ่อของจิน คนที่เป็นแฟนแก”

นั่นทำเอาผมหันขวับไปมองอย่างตกใจ ไม่รู้ว่าเขาเป็นพ่อของจินจริงหรือเปล่าเพราะหน้าตาไม่ใกล้เคียงกันเลยแม้แต่น้อย แต่สิ่งที่เขาพูดออกมา

ไม่มีใครสักคนหรือแม้แต่เพื่อนที่รู้ว่าผมเป็นแฟนกับจิน

“เอ้า จะเข้ามามั้ย”

ใบหน้าเหี่ยวย่นของชายคนนั้นยิ้ม แต่ผมกลับรู้สึกไม่สบายใจสักนิดตอนก้าวเท้าเข้าไปข้างในรถยนตร์คันหรู

เมื่อผมปิดประตูเข้ามาแล้ว กระจกรถก็ค่อยๆ เลื่อนขึ้นพร้อมกับรถยนต์ที่ออกตัวอย่างนิ่มนวล ผมเหลือบมองเสี้ยวหน้าของชายสูงวัยซึ่งไม่มีทีท่าจะหันมามองคนร่วมรถอย่างผม เขาไม่มีอะไรที่ทำให้ผมนึกถึงจินเลย ขนาดที่ว่าถ้าเอาเขากับจินมายืนข้างกันก็คงไม่คิดว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน

ฟุ่บ

เขาโยนรูปภาพปึกใหญ่ที่ถือมาซักพักลงบนตักผม ผมหยิบมันขึ้นก่อนจะพบว่ามันล้วนเป็นรูปของผมกับจินที่มีท่าทีสนิทสนมเกินเหตุยามออกมากินข้าวข้างนอกด้วยกัน

“เออ นี่…” แม่งเอ๊ย โรคจิตป่ะวะ นี่มันรูปแอบถ่ายชัดๆ

ให้ตายเหอะ พ่อคนไหนมันจะโรคจิตถึงขนาดตามถ่ายรูปลูกวะ

“เด็กคนนั้นมีเรื่องให้คอยเป็นห่วงอยู่เรื่อย” เขาส่ายหน้ายิ้มๆ แบบที่ทำให้ผมคิดถึงตาแก่ที่บ้าน

“…”

“ลุงน่ะ ไม่อยากให้ลูกชายต้องมาสับสน ลุงอยากให้ลูกชายตัวเองเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง เข้าใจลุงหรือเปล่า”

นี่มันสถานการณ์อะไรวะ

สมองที่ดูละครหลังข่าวกับแม่มาอย่างหนักหน่วงอย่างผมถึงขั้นคิดไปว่าวินาทีถัดไปเขาคงหยิบเอาแบงค์เทาปึกใหญ่มาตบหน้าผมเป็นการตอบแทนในการออกไปจากชีวิตลูกเขา

“ไม่ครับ”

“หือ…” ชายสูงวัยเลิกคิ้วประหลาดใจ

“ผมไม่เลิกกับจิน ขอโทษด้วยนะครับ”

“เข้าประเด็นเลยสินะ” สายตาคมกริบตามวัยวุฒิทำเอาผมถึงกับเย็นไปตามไขสันหลัง

“…”

“ลุงไม่อยากทำตัวเป็นคนที่แยกคนรักออกจากกันหรอกนะ แต่ลุงก็ฝากเด็กคนนั้นให้กับเธอที่บ้านฐานะกลางๆ ไม่มีอะไรไม่ได้หรอกนะ จริงมั้ย พ่อเธอก็เป็นพนักงานเงินเดือนธรรมดาๆ ที่บริษัทปูน ส่วนแม่เธอก็เป็นนักบัญชีในสี่บริษัทบัญชีใหญ่ ยังไม่นับว่าเข้าตาหรอกนะ”

ผมกุมมือชื้นเหงื่อของตัวเองไว้ ความกังวลต่างๆ เข้าคืบคลานเมื่อรู้ว่าคนตรงหน้ารู้เรื่องของครอบครัวผมลึกมากทีเดียว

“ไม่ต้องห่วง ลุงไม่ได้จะทำอะไรหรอก ที่นี่ไม่ใช่โลกยุคมาเฟียครองเมือง”

เขาหัวเราะ แต่มันไม่ทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาเลยสักนิด

“เอาเป็นว่า เราเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับระหว่างเรา ถ้าจินรู้ ลุงมีวิธีหลายวิธีทีเดียว…ส่งตารางเรียนให้กับผู้ช่วยลุง เขาจะมารับหลังเลิกเรียน โอเคมั้ย?”

“ผม…ต้องทำอะไรครับ”

ชายสูงวัยยิ้ม

“เรื่องง่ายๆ ทั้งนั้น กลัวอะไรหรือเจ้าหนุ่ม”



เรื่องง่ายๆ …

“ขอโทษครับ ขอโทษจริงๆ ครับ” ผมกำลังก้มหัวขอโทษกับสาวออฟฟิศตัวสูงซึ่งทำหน้าตาน่ากลัวเบื้องหลังคอมพิวเตอร์

“น้องไปรับนัดนั่นมาได้ยังไงคะ ไม่ถามกับพี่ก่อน ตารางมันยังใม่อัพเดทค่ะ ไม่เห็นเหรอคะว่าพี่อัพเดทมันล่าสุดตอนเมื่อวาน ที่รับมาวันนี้พี่ยังไม่ได้ใส่เข้าไปค่ะ แล้วอย่างนี้พี่จะทำยังไงคะ”

“…ขอโทษจริงๆ ครับ พี่บอกว่าเช็คตารางตามในคอมได้เลย”

“งั้นแสดงว่าพี่เป็นคนผิดหรือยังไงคะ ถึงพี่ไม่อยู่สิ่งที่น้องควรทำคือไม่ต้องรับปาก จดชื่อ บริษัทและคนติดต่อมาแล้วเขียนรายละเอียดไว้ในเมโมแล้วค่อยมาถามพี่”

“ครับ ขอโทษจริงๆ ครับ ครั้งหน้าผมจะระวังมากกว่านี้”

“เฮ้อ เพราะอย่างนี้พี่ถึงไม่ได้อยากจะรับเด็กมานั่งสอนงาน อย่างนี้พี่คงต้องโทรไปขอโทษทางนั้นแล้วนัดใหม่ ไปซื้อกาแฟให้หน่อยได้มั้ยคะ ไมเกรนจะขึ้น”

ถ้อยคำประชดประชันทำเอาผมหลุบตามองบัตรสตาบัคซึ่งถูกยื่นมาให้

“สั่งส่งไปในไลน์แล้วนะคะ”

“ครับ…” ผมรับมันมาด้วยท่าทีนอบน้อมยิ่งกว่าขันทีเจอจักรพรรดิ ถ้อยคำขอโทษที่กล่าวออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้ผมรู้สึกตัวเล็กยิ่งกว่าเดิม

ผมเดินตรงไปที่ลิฟต์ ก่อนจะพบกับกลุ่มพนักงานออฟฟิศที่ค่อนข้างคุ้นหน้าคุ้นตาหลังจากผมมาอยู่ที่นี่ได้สามอาทิตย์แล้ว

“อ้าว เคย์ จะลงไปไหนเหรอ”

“ลงไปซื้อกาแฟให้พี่หยีครับ”

“โดนดุ?”

ผมยิ้มแหยๆ ซึ่งเขาก็พยักหน้าเข้าใจ

“โหดล่ะสิ” พูดกับผมเสร็จก็หันไปคุยต่อกับเพื่อนพนักงานข้างๆ “ที่เล่าว่าคุณยงดุใส่เด็กเพราะไปอัดเสียงคือคนนี้แหละ เหมือนไม่รู้ยังไงประธานให้เข้ามานั่งจดการประชุม แล้วคือเด็กมันอัดเสียงแล้วลืมขออนุญาตก่อนไง พอคุณยงรู้นี่ขึ้นเสียงใหญ่เลย”

ผมทำตัวลีบติดผนังลิฟต์เมื่อโดนขุดเอาเรื่องเมื่อวานขึ้นมา

“…ขอโทษนะครับ”

“เฮ้ย ขอโทษทำไมน่ะเรา เรื่องบางเรื่องมันต้องเรียนรู้กันไป สมัยมหาลัยพี่ก็อัดเสียงอาจารย์จนชินเหมือนกัน นี่ตั้งแต่เรามาทำงานพี่ได้ยินแต่คำว่าขอโทษนะ ตัวก็ใหญ่ ใจเล็กเท่ามด”

ขอโทษนะครับที่ใจเล็กเท่ามด

“แล้วอายุเท่าไรล่ะเรา มาฝึกงานช่วงนี้ไม่ยุ่งกับมหาลัยเหรอ จะจบแล้ว?”

“ไม่ครับ…ผมพึ่งปีหนึ่ง”

“หะ นี่พี่ดูก็นึกว่า…”

ขอโทษนะครับที่หน้าแก่

ผมลากร่างกายที่ห่อเหี่ยวตามหัวใจไปซื้อกาแฟแล้วกลับขึ้นไปข้างบน นับตั้งแต่ที่พ่อของจินมาหาผมเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว เขาได้ให้ผมมานั่งทำงานในบริษัทเขาโดยอ้างว่าเป็นการพิสูจน์ตัวเอง

ซึ่งผมคงสอบตกเพราะนับตั้งแต่เดินเข้ามาที่นี่ไม่มีวันไหนที่ผมไม่ต้องก้มหัวขอโทษกับทำอะไรบางอย่างผิดพลาด

มันเหมือนกับโดนโยนไปมาเหมือนกับลูกบอล เพียงผมนั่งรถออกมาจากมหาลัยมาถึงที่นี่ก็เหมือนกับเป็นคนละเรื่อง มันเปลี่ยนแปลงรวดเร็วเสียผมตั้งตัวไม่ทัน

ทุกวันนี้ผมต้องโกหกจินว่ามีงาน อ้างว่านอนหอเพื่อนบ่อยๆ แต่ความจริงแล้วคือกำลังนั่งรถกลับมาจากตัวเมืองไปยังรังสิต ทำอย่างนี้ทุกวันจนกระทั่งผมซึ่งเป็นนักกีฬาแข็งแรงยังรู้สึกเหนื่อยอ่อน

ผมพิงผนังลิฟต์ หลับตาลงสักครู่แต่ความรู้สึกหมุนคว้างในหัวยังไม่หายไปไหน ทุกวันนี้ได้นอนอย่างมากเพียงสามชั่วโมงก็ต้องตื่นมาเรียน นั่งรถกับพี่หยีมาทำงาน แล้วนั่งรถกลับรังสิต จากนั้นก็ไปหอเพื่อน พยายามอ่านหนังสือถึงตีสี่เพื่อตามให้ทัน หรือจนกว่าจะฟุบหลับไป

ผมรู้ตัวว่าโดนปั่นประสาทจากพ่อของจิน แต่ผมไม่บอกคนตัวเล็ก เพราะอีกฝ่ายต้องโมโหแน่ๆ ผมรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขามันไม่ได้ดีนัก

ทั้งๆ ที่ต่างฝ่ายต่างก็รักอีกฝ่ายมากแท้ๆ

ผมรู้ว่าจินไม่ชอบพ่อ แต่ทั้งๆ ที่เป็นอย่างนั้นเวลาพ่อเขาให้ความรักแม้เพียงเล็กน้อย จินจะดีใจเหมือนเด็กๆ พ่อเขาเอง ถึงแม้จะบ่นเรื่องจินเป็นวรรคเป็นเวร แต่เพราะความเป็นห่วงถึงได้ติดตามชีวิตลูกตลอดหลังจากที่แม่จินเสีย

ในห้องทำงานของพ่อจินมีรูปหลายรูปอยู่บนโต๊ะ แต่รูปที่ตั้งไว้ใกล้มือเขาที่สุด และถูกเช็ดถูอยู่เป็นประจำดูจากความสะอาดของกรอบเทียบกับรูปอื่นๆ ก็คือรูปของเด็กชายผมดำแก้มยุ้ยซึ่งมีดวงตากลมโต

ผมคิดว่าความรักของครอบครัวเป็นสิ่งที่สวยงาม

และผมไม่อยากเป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำให้ระหว่างพวกเขามันร้าวลึกลงไปอีก

ถ้าคิดในแง่ดี ผมก็เพียงแค่ต้องทนอีกสักหน่อยก็เท่านั้นแหละ

ผมเอากาแฟไปให้พี่หยี อีกฝ่ายไม่สนใจที่จะมองผมเสียด้วยซ้ำ ผมได้แต่กลับไปนั่งทำงานอีกครั้ง รับโทรศัพท์จากคนที่อยากจะนัดพ่อของจินมือเป็นระวิง รับเสียงตะคอกจากปลายสายด้วยน้ำเสียงสุภาพและขอโทษเขาเป็นครั้งที่ร้อยล้าน

ผมวางโทรศัพท์ลง เพียงนั่งเฉยๆ หัวก็แทบหมุนคว้าง เสียงตะคอกจากอีกฝ่ายทำเอาผมปวดหัว และนั่นคงไม่ใช่สายสุดท้ายในวันนี้

“เออ น้องเคย์คะ พี่ขอถามเรื่องไฟล์ประชุมหน่อยได้มั้ยคะ ที่เราจดไว้”

“ครับ” ผมหันขึ้นมามองก่อนจะตอบไปตามเท่าที่จำได้

“อืม…ครั้งหน้าพี่ขอละเอียดหน่อยได้มั้ยคะ คือมันรู้เรื่องแค่น้องคนเดียวไม่ได้อ่ะค่ะ”

“….อ้อ ครับ ได้ครับ”

ผมกดหัวคิ้วเมื่อพี่พนักงานอีกคนนวยนาดจากไป มันมีความผิดพลาดไม่จบสิ้น เหมือนผมเรียนรู้ความผิดพลาดอันนี้ได้และไม่ทำซ้ำอีก มันก็จะมีอะไรใหม่ๆ โผล่ขึ้นมา

พอเสียที

ผมแปะหัวกับโต๊ะทำงาน อาการหัวหมุนไม่หยุดทำให้ผมทรงตัวไม่อยู่ ผมรู้สึกคลื่นไส้นิดหน่อยแต่ขืนลุกขึ้นไปตอนนี้มีหวังล้มลงไปกองกับพื้นให้น่าขายหน้าแหงๆ

แม่งเอ๊ย อยากเจอหน้าจินชะมัด



“เดี๋ยววันพรุ่งนี้พี่เข้าไปรับตอนเที่ยงนะคะ แล้วเราต้องไปคุยกับคุณพัฒน์ด้วยกันต่อ”

“ครับ” ผมรับคำพี่หยีขณะหยิบชีทขึ้นมาเพื่ออ่านบนรถตอนกลับไปรังสิต ทั้งๆ ที่หัวตื้อเสียจนไม่แน่ใจว่าจะรับอะไรไหวแต่ไฟนอลกำลังใกล้เข้ามาแล้ว

ต่อให้ใกล้ตายก็ต้องอ่าน

“แล้วก็…ที่วันนี้เรื่องที่พี่ตำหนิไป จำให้ได้ด้วยนะคะ บริษัทไม่ใช่ที่เด็กเล่นค่ะ ทำอะไรให้มันเป็นมืออาชีพด้วย เราไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะคะ”

“…ครับ” ผมก้มหัวขอโทษปะหลกๆ อีกครั้ง

“อย่างนั้นก็ดีค่ะ งั้นพี่ขอตัว”

สาวออฟฟิศท่าทางมั่นใจในตัวเองเดินจากไปแล้ว ผมจึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาอ่านชีทระหว่างที่เดินไปท่ารถตู้เพื่อกลับรังสิตเหมือนเคย

“เฮ้ ผู้ชายที่เดินอ่านชีทอยู่ตรงนั้นน่ะ”

ผมลดกระดาษลงเมื่อเสียงดังอยู่ข้างหน้าผมนี่เอง ก่อนจะได้พบกับเด็กหนุ่มร่างสูงท่าทางสมส่วนซึ่งเป็นคู่หูคอสเพลย์ของจินเมื่อครั้งนั้น

“เออ…” ผมกำลังจะทักเขาแต่ก็ลืมชื่อเสียได้ หลังจากเห็นท่าทางเหลอหลาของผม เขาก็เดินเข้ามากระชากแขนผมให้เดินตามไป

“ชื่อเรน ไม่ต้องทักแล้วรำคาญ”

เอ๋ เหมือนนิสัยเขาจะต่างจากที่เจอครั้งแรกนิดหน่อย

ผมได้แต่นั่งจ๋องอยู่ตรงข้ามเขาในร้านสตาบัค บรรยากาศภายนอกมืดสนิท แต่เหมือนคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามผมจะไม่ใจเย็นลงเหมือนอุณหภูมิเพราะเจ้าตัวเอาแต่กอดอกทำหน้าบึ้ง

“เออ…คือ มีธุระอะไรเหรอครับ แล้วคุณเจอผมได้ยังไง คือดักรอผมเหรอครับ หรือว่าเรื่องที่ให้เสื้อกันหนาวไปตอนนั้น…คือผม”

“หา? เหลือเชื่อ นี่กูถ่อมาหามึงถึงที่นี่แล้วมึงคิดได้อย่างเดียวเหรอว่ากูแอบชอบมึงหรืออะไรทำนองนั้น? เหลือเชื่อ เหลือเชื่อจริงๆ”

ผมตัวลีบไปเมื่อโดนตอกหน้ามาอย่างจัง

อ้าว ใครจะคิดเล่า ก็ตอนที่เจอกันเขาชอบสบตาผมแล้วยิ้มเหมือนโปรยเสน่ห์นี่!

“ฟังนะ คนเดียวในโลกที่จะชอบเจ้าสัตว์เซลล์เดียวทึ่มๆ แบบแกได้คงมีแค่ไอ้โง่ที่มีเซลล์สมองเล็กพอๆ กับเม็ดถั่วแบบจินเท่านั้นแหละ”

ผมหันไปมองหน้าสวยๆ ของคนที่อยู่ตรงข้าม ตัวสั่นนิดๆ เมื่อคิดถึงสิ่งหนึ่งได้

“จิน…มาที่นี่เหรอ”

“ก็เออน่ะสิ”

ผมกลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่

“..แล้ว ไปไหนแล้ว?”

“ไม่รู้ หุนหันออกไป ทิ้งกูไว้คนเดียวอีกเจ้าบ้านั่น แต่ก็หัวไวใช้ได้นะเจ้าโง่ เลื่อนขั้นจากเซลล์เดียวไร้สมองมาเป็นเจ้าโง่ธรรมดา”

เป็นพระคุณอย่างสูงครับ

“เอาล่ะ คราวนี้จะบอกได้หรือยังว่าเพราะอะไรถึงได้ปล่อยให้เพื่อนกูร้องไห้โยเยน่ารำคาญจนกระทั่งปลุกกูขึ้นมาด้วยหะ”

“จินร้องไห้เหรอ เป็นอะไร ใครทำ?”

“โอ๊ย ก็มึงไง บ้าเอ๊ย นี่กูกำลังคุยกับสัตว์ที่คิดวิเคราะห์ไม่เป็นหรือไงหะ น่ารำคาญจริงๆ มันอุตส่าห์ขุดชุดที่มันชอบแต่งตัวรอมึงแล้วจะขอมึงเป็นแฟน”

ผมเบิกตากว้างจนเกือบตาหลุด

เมื่อวานผมจำได้ว่ากว่าจะแบกสารร่างตัวเองกลับมาก็เหนื่อยจนจะตายอยู่แล้ว แต่โชคดีที่ผมกลับมาไว ยังไม่เลยเที่ยงคืนจึงได้เข้าหอตามที่สัญญาไว้กับเขา

แต่เวรเอ๊ย ผมจำไม่ได้จริงๆ ว่ะว่าวันนั้นเขาใส่ชุดอะไร คือวันนั้นผมลืมตาแทบไม่ขึ้นแล้วด้วยซ้ำ จำได้แค่ว่าน่ารักดี ชุ่มชื้นหัวใจหลังจากโดนพี่หยีกับพ่อเขาซัดคำด่าใส่ผมแล้วหลังจากนั้นผมก็ภาพตัดไปเลย

รู้งี้เอาเทปมาแปะหนังตาดีกว่า

ผมคอตกเมื่อพลาดเรื่องสำคัญในชีวิตไป

“ที่มาที่นี่เพราะว่าพ่อเขาสั่งเหรอ” ฝ่ายตรงข้ามเริ่มซัดเข้าประเด็นทันทีเมื่อเห็นผมเริ่มหลุดไปไกล

“เออ มันก็…” ผมยิ้มแหยๆ ตอบซึ่งเป็นคำตอบที่เพียงพอแล้ว

“ทำไมไม่บอกจิน มึงก็รู้มันมีเรื่องกับพ่อ”

“เพราะงั้นแหละถึงไม่ยอมบอกไง ถ้าผมบอกเรื่องนี้ไปก็เหมือนกับว่าทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขามันแย่ลงอีก”

“มันไม่แย่มากไปกว่านี้แล้วล่ะ มึงอาจจะไม่รู้ เพราะยังไม่ได้อยู่กับเจ้านั่นมานานพอ แต่เรื่องของพ่อกับมันกลายเป็นปัญหามาตั้งนานแล้ว กูเองรู้จักเจ้านั่นมาตั้งแต่สมัยมัธยม…” เรนเสตามองภายนอกเหมือนกำลังคิดถึงเรื่องเมื่อก่อน

“…”

“มึงไม่มีสิทธิ์คิดแทนใครได้หรอกนะ ถึงจะเป็นความหวังดี แต่มันอาจจะเป็นความหวังดีที่ทำร้ายคนที่มึงรักก็ได้ สิ่งที่มึงทำได้มีแค่บอกความจริงไปตรงๆ กับคนรักตัวเองเท่านั้นเข้าใจมั้ย”

“…”

“เจ้านั่น…กูน่ะ เห็นมันตั้งแต่ตอนที่มันทำโครงการชนะเลิศ แต่ในงานที่พ่อแม่ได้มาเยี่ยมชม มันกลับยืนอยู่คนเดียว กระทั่งช่วงเวลาประกาศรางวัล ที่นั่งของพ่อยังถูกเว้นว่างโดยที่ไม่มีใครนั่ง ทั้งๆ ที่มันทุ่มเทแทบตายเพื่อให้พ่อมีเหตุผลมาเข้าร่วมงานนี้ให้ได้…มึงเข้าใจที่กูพูดใช่มั้ย”

“…”

“เพราะงั้น ขอร้องล่ะ ตอนที่ไปเจอกับเจ้าเพื่อนโง่หาดีไม่ได้ของกู ก็ช่วยจริงใจกับมัน แล้วทำให้มันมีความสุขที เพราะไม่งั้นกูเนี่ยแหละจะตามไปหักคอมึงถึงที่”



-----------------------------------------------------------

เคาะชุดทั้งหมดแล้วค่ะ จะมีกี่เพ้า/คุณครู/ตำรวจ-นักโทษ/ผ้ากันเปื้อน/เสื้อแฟน/เชียร์ลีดเดอร์/เมด/ชุดนักเรียนกะลาสี/แซนตี้/เดวิล/สาวน้อยเวทมนตร์/ชุดกีฬานักเรียนญป./น้องแมว/บันนี่ 

ชุดบางอันได้มาจากที่นักอ่านเสนอ แง น่ารักมากๆเลย รักนะคะ ชอบไอเดียชุดสาวน้อยเวทมนตร์มากค่ะ เลิฟฟฟ แต่ตอนนี้กำลังคิดว่าจะลงที่ไหนดี ต้องติดwarningไว้ เพราะมีการใช้ไม้คทาผิดวัตถุประสงค์ อิอิ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด