[เรื่องสั้น] Cosplayer ชุดสาวน้อยเวทมนตร์ P.14 จบ[3/08]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องสั้น] Cosplayer ชุดสาวน้อยเวทมนตร์ P.14 จบ[3/08]  (อ่าน 97913 ครั้ง)

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.10[19/03]
«ตอบ #300 เมื่อ19-03-2019 15:02:02 »

ดีกันแล้ว..เย้ๆๆๆๆๆๆๆๆ   :hao7: :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ _leoonearth_

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.10[19/03]
«ตอบ #301 เมื่อ19-03-2019 15:02:47 »

ฮือออออออ เค้าเข้าใจกันแล้วค่ะแม่
ลูกสาวแม่เค้าไปง้อหนุ่มร่างยักษ์ของเค้าแล้ว โอ๊ยๆๆ หัวอกคนเป็นแม่ ปลื้มมมมมมมมหนักกก
เรื่องน่ายินดีอีกเรื่องคือ ไรท์จะพิมพ์นิยายเอง ฮือออ >< ข่าวดีสุดในรอบเดือนนี้เลย ดีใจมากค่ะ
ก่อนหน้านี้เคยภาวนาให้ไรท์ทำมือเอง ไม่อยากให้ผ่านสนพ.เพราะมันจะถูกจำกัดเรท(ซึ่งส่วนตัวไม่ชอบเท่าไร) และอีกอย่างไม่อยากให้มันแมสและวางขายตามร้านหนังสือจริงๆๆๆ ขอบคุณมากนะคะที่ตัดสินใจแบบนี้
รออตอนต่อไปเสมอค่ะ


Sent from my iPhone using Tapatalk

ออฟไลน์ มะยองมะแยง

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.10[19/03]
«ตอบ #302 เมื่อ19-03-2019 16:16:20 »

เค้าดีกันแล้วเย้ๆๆ ฉากล๊อคเกอร์เคย์คือร้อนแรงเว่อร์ แต่พอกลับมาห้องก็กลายเป็นหมาโง่คนเดิม5555

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.10[19/03]
«ตอบ #303 เมื่อ20-03-2019 17:25:16 »

เข้าใจกันแล้วนะ ลุ้นมากเลย ต่อไปนี้ทั้งสองคนก็ต้องช่วยกันดูแลกันนะ

ออฟไลน์ MaTazz

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.10[19/03]
«ตอบ #304 เมื่อ20-03-2019 23:41:46 »

เคย์เบา เบาหน่อย ถนอมน้องหน่อย
เข้าใจกันแล้ว กลับมาลุคเจ้าหมาโง่แล้ว ชอบๆ

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.10[19/03]
«ตอบ #305 เมื่อ21-03-2019 17:58:17 »

แต่ละชุดนี่แบบ...

ออฟไลน์ Maccagadz

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.10[19/03]
«ตอบ #306 เมื่อ21-03-2019 20:54:32 »

เต้าหมาตัวน้อยๆ ทาสรักน้องจิน

ออฟไลน์ ป่ามป๊ามป่ามปาม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.10[19/03]
«ตอบ #307 เมื่อ24-03-2019 09:57:09 »

สุดยอดดดด คือเราชอบแนวเมลซับ เมลดอมมากเลยอะ อ่านเรื่องนี้แล้ว เติมเต็มมากๆ แงงงงง
ชอบคาแรคเตอร์เคย์อะลุคแบดบอยแต่นิสัยลูกหมา แงๆๆๆๆ ดีมากๆเลยค่ะ  :katai2-1:

ออฟไลน์ Wwavez

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.10[19/03]
«ตอบ #308 เมื่อ24-03-2019 18:42:12 »

เย้ เค้ากลับมาดีกันแล้ววว  :mew1:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.10[19/03]
«ตอบ #309 เมื่อ27-03-2019 20:40:00 »

 :3123:
ดีกันก้อดีแย้วว
 :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.10[19/03]
« ตอบ #309 เมื่อ: 27-03-2019 20:40:00 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ MeiHT

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-1
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.10[19/03]
«ตอบ #310 เมื่อ30-03-2019 23:05:38 »

บทที่ 12 : ผู้บังเกิดเกล้า

“จิน เห็นชีทที่กูวางไว้ตรงเตียงมั้ยอ่ะ”

“มันก็กองๆอยู่ตรงนั้นแหละ” ผมยังไม่เงยหน้าขึ้นจากกระดาษที่เต็มไปด้วยตัวเลขและtransactionจำนวนมากที่ถูกบันทึกไว้

มิดเทอมกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ และเพราะผมเสียเวลากับการเคลียร์กับเขาไปพอสมควร ดังนั้นผมจึงต้องทำตารางการอ่าน
หนังสือของตัวเองให้หนักแน่นเข้าไว้

เคย์ทำหน้ามุ่ยค้นกองกระดาษ แต่เหมือนว่าเจ้าตัวจะไม่เจอสิ่งที่ตามหา

“หลังจากเรียนเสร็จไปไหนป่ะ”

“เดี๋ยวกูไปอ่านหนังสือที่ศูนย์ต่อ”

“อ้อ ไปคนเดียว?”

“อือ เดี๋ยวรอชวนเพื่อน ถ้าเพื่อนไม่ไปก็ไปคนเดียวนี่แหละ”

ชายหนุ่มตรงหน้าผมนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเก็บข้าวของใส่ย่ามแล้วสะพาย มันเป็นกระเป๋าผ้าลายกุ๊งกิ๊งที่เดือนคณะต้องถือไปไหนมาไหนเพื่อโปรโมท

“ฮอตน่าดูเลยนี่คุณเดือนคณะนิติ” ผมยิ้มเผล่มองคนที่ทำหน้าปั้นยากใส่

หลังจากที่มีข่าวเรื่องการคัดเลือกนักบาสของมหาลัยกับการที่เพจลงโปรโมตรูปเขาบ่อยๆ จึงทำให้มีคนเข้ามาคุยกับเขาเยอะขึ้น
พอสมควร แถมเรตติ้งเวลาลงรูปของเคย์ยังดีจนถึงขนาดที่ว่าคนทำเพจผู้ชายในมหาลัยถึงขั้นอยากให้เขาไปร่วมไลฟ์ด้วยเป็นครั้งคราว

‘ไม่เอาด้วยหรอก’ คือคำประกาศกร้าวของเขา ซึ่งมันก็เป็นคำที่เขากล้าพูดเฉพาะต่อหน้าผมเท่านั้น ในความเป็นจริงเจ้าตัวพยักหน้าตกลงแล้วเรียบร้อยเพราะไม่กล้าปฏิเสธรุ่นพี่ที่ใจดีกับตัวเอง

คิดแล้วก็ขำเจ้าหมาที่ตั้งมั่นแน่วแน่พูดคำว่าไม่ครับ แต่ถึงเวลาจริงตอนไปปฏิเสธกลับพยักหน้างงๆเพราะอีกฝ่ายรัวคำพูดใส่จนมึนหัว บทพูดที่คิดไว้กระเด็นหายออกไปเสียหมด

แถมตอนที่ต้องไปออกหน้ากล้องกับเดือนคนอื่นๆยังขมวดคิ้วหน้ายุ่งจนคนเขากลัวไปหมด ซ้ำยังพูดน้อยจนคนอื่นถึงขั้นมีประเด็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับเดือนคณะนิติกัน

ทั้งๆที่จริงแล้วเจ้าตัวแค่ไม่รู้จะพูดอะไร

แถมคู่จิ้นตัวเองที่อยู่ข้างๆก็พูดเร็วจนเคย์มึน พูดอะไรไม่ทันเลยได้แต่นั่งกอดอกเสริมบ้างอะไรบ้างเฉยๆ

แต่กระแสคนแบดบอยหล่อเย็นชาดันดีพุ่งพรวดจนฉุดใม่อยู่

เรียกว่าเหนือความคาดหมายหรืออะไรดี

“อย่าล้อจะได้มั้ย” หน้าคมๆที่กำลังบึ้งตึงดูน่ากลัวไม่น้อย อันที่จริงแล้วมันเปล่งออร่าอย่าเข้าใกล้เลยทีเดียว ติดก็แค่ผมมีฟิลเตอร์หมาซามอยด์ตัวใหญ่ให้เขาตลอดเวลา ถึงได้เลิกกลัวหน้าดุๆนี่ไปเสียแล้ว

“แล้วนี่สะพายกระเป๋าจะไปไหน?”

“ไปส่ง” เขารวบกระเป๋าของผมมาถือ เก็บของอย่างพวกไอแพดที่ใส่เคสสีเหลืองลายไข่ขี้เกียจของผมใส่ลงไปให้หมด

“ไปทำไม ไม่ต้องก็ได้”

“มันหาที่จอดรถลำบาก เดี๋ยววนรถไปให้”

ว่าจบเขาก็รวบของทั้งหมดของผมไปถือเองแล้วบังคับให้ผมลุกไปเรียนเสียที

“เย็นนี้กินอะไรกันดี” ผมถามตอนที่พวกเราเดินไปที่รถ เขายื่นมือมาเขกหัวผมเบาๆเหมือนหมั่นเขี้ยว แต่เพราะแรงมือของคนไซส์
ใหญ่ทำให้ผมเจ็บจนต้องมองค้อนไปแรงๆ

“ยังไม่ทันจะเที่ยงก็คิดจะหาข้าวเย็นกินแล้วเหรอ ตะกละจริงๆ”

“เขาเรียกเจริญอาหาร”

“อ่ะ เจริญอาหารสุดๆไปเลยยยย”

ผมฟาดป้าบเข้าที่หลังของคนขี้แซะจนเขาเซแถดๆไปข้างหน้าซึ่งผมก็รู้อยู่ดีว่าเป็นการแกล้งกวนประสาทอีกอย่างของหมอนี่ คนอย่างเขาแล้วหากไม่ยินยอมมีหรือที่จะเซไปตามแรงใครง่ายๆ

อีกฝ่ายเป็นคนที่แทบจะอุ้มผมด้วยมือเดียวได้นะ

จะมาเซแถดๆเพราะโดนคนตัวเล็กอย่างผมตีเนี่ยนะ

กวนประสาทจริงๆ

เคย์ขับรถมาส่งที่คณะของผม ก่อนที่จะลงไปอีกฝ่ายยื่นมือมาลูบหัวผมเบาๆก่อนจะบอกว่า

“อ่านหนังสือเสร็จแล้วกลับมากินอะไรอร่อยๆกันล่ะ”

“รู้แล้วน่า ต่อให้มึงไม่พูดกูก็จะไปหาอะไรอร่อยๆกินอยู่แล้ว” ผมสะบัดหน้าที่เริ่มร้อนๆเพราะรอยยิ้มยาซาชี่ของเคย์แล้วลงจากรถ ก้าวฉับๆเข้าอาคารเรียน

อ่า…หมอนั่น

ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงฮอตนัก

ก็ในเมื่อเป็นคนที่มีแก๊ปโมเอะเสียขนาดนั้น

คิดดูสิ ผู้ชายตัวใหญ่หน้าหล่อคมเข้มที่(เหมือนจะ)สูบบุหรี่ เจาะตุ้มหูหลายๆรู ดูเป็นพวกหัวขบถ(ซึ่งอันที่จริงแล้วไม่ใช่อย่างแรง) แค่นี้สาวๆก็แพ้ลุคแบดบอยจะแย่อยู่แล้ว

ยิ่งได้ค้นพบว่าเจ้าตัวจริงๆมีรอยยิ้มยาซาชี่ที่ขัดกับภาพลักษณ์ แถมเวลายิ้มยังมีเขี้ยวข้างเดียวที่โคตรมีเสน่ห์อีก
เจ้าตัวที่ปกติหน้านิ่วคิ้วขมวดและเพราะคิ้วเข้มๆนั่นทำให้เคย์ดูอารมณ์เสียตลอดเวลา แต่พอคุยแล้วกลับพบว่าเขาเป็นนักคุยเสียง
นุ่ม

ไอ้แก๊ปโมเอะพวกนี้แหละที่ทำให้เขาเป็นที่นิยมนักสำหรับคนที่รู้จัก

โอ๊ย บ้าเอ๊ยๆๆๆ แล้วผมเป็นอะไร ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ก็อยู่ด้วยกันมาแล้วยังไม่รู้สึกว่าเจอข้อดีอะไรขนาดนี้เลย

บ้าชะมัด อาการเห็นอะไรก็อวยเขาไปเสียหมดนี่มันเหมือนกับคนกำลังชอบเขาอยู่ชัดๆ

เป็นช่วงที่อันตรายเป็นบ้า

ผมชักเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมตอนนั้นพ่อถึงบอกกับแม่ว่าเขาให้ทุกอย่างกับแม่ได้ มันไม่ใช่คำโกหกหรอกนะ…อย่างน้อยก็ตอนนั้น
ล่ะ

ช่วงอาการหลงอาการอวยเป็นช่วงที่น่ากลัวชะมัด มันทำให้เรามองข้ามเหตุผลทุกอย่าง เป็นช่วงที่เราใช้หัวใจมากกว่าสมอง

แต่มันก็ดีสุดๆไปเลย

แน่นอนว่าผมยังไม่ชอบหลายๆเรื่องของเขา ยังคงหัวร้อนบ้างเวลาเขาใช้ของใช้ส่วนตัวของผม หรือตอนที่เขาย้ายตัวมานอนเตียงเดียวกับผมตามใจชอบแล้วใช้เตียงของเขาเก็บของ

แต่…ไม่รู้สิ เหมือนกับว่าไม่ว่าข้อดีข้อเสียอะไรผมก็รับได้เสียทุกอย่าง

นี่…คนมีความรักเขาเป็นอย่างนี้กันเหรอ

ถ้าอย่างนั้นผมก็เข้าใจแล้วว่าทำไมคนถึงชอบเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในห้วงความรักและยอมโดนทำร้ายจากมันนัก

เพราะอย่างน้อยมันก็คุ้มค่า

และเพราะความรู้สึกของการถูกรักโดยไม่มีเงื่อนไขมันเป็นความรู้สึกที่ชวนให้เสพติด

จนหลงคิดไปว่าตัวเองจะสามารถอยู่แบบนั้นได้ตลอดไป



หลังจบคลาสผมรู้สึกเหนื่อยเกินกว่าที่จะลากตัวเองไปอ่านหนังสือได้ แต่เมื่อคิดถึงการสอบที่รออยู่ข้างหน้าแล้วก็ทำให้ตระหนักว่าต่อให้ตายก็ต้องได้คะแนนดี!

เพราะอย่างนั้นผมกับกลุ่มเพื่อนสาวจึงเคลื่อนตัวมาที่ศูนย์การเรียนรู้ซึ่งเป็นที่อ่านหนังสือให้มหาลัย

หลังจากวนหาที่หลายรอบ เราก็เจอมุมสงบที่หนึ่งที่เหมาะแก่การอ่านหนังสือ และที่นั่งตรงนั้นดันมีผู้ชายคนหนึ่งที่ทำให้เพื่อนผม
ตาลุกวาวด้วยความตื่นเต้น

“นั่นรูมเมทแกนี่”

“เชี่ยๆๆๆ หล่อสาด”

ผมเบ้ปากให้กับความเนื้อเต้นของแต่ละคน ถึงแม้ว่าจะชินแล้วก็เถอะ บางทีก็อยากจะถามว่าไม่เห็นผมเป็นผู้ชายบ้างหรือไงหะ แต่ก็คงได้คำตอบประมาณว่า อ้าว นี่แกเป็นผู้ชายเหรอจิน ไม่ได้สังเกตเลยว่ะ ตอบกลับมาเป็นการกวนประสาทแหงๆ เลยไม่ถามดีกว่า

“ไม่ทักเขาวะ?” เพื่อนคนหนึ่งสะกิดไหล่ผม ผมทำท่าปัดไหล่เหมือนรังเกียจและได้การตอบรับเป็นเสียงหัวเราะเสียงกัมปนาทอย่างที่ไม่สนว่ามันคือห้องสมุด

เสียงนั้นเรียกให้ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมามอง เคย์ที่นั่งอย่างสงบกับหนังสือในมือ แสงแดดอ่อนๆลอดผ่านหน้าต่างเข้ามากระทบตัวเขา ความคอนทราสต์ของเขากับสถานที่ทำให้ตัวเขาแปลกแยกมากขึ้นไปอีก

“จิน!?” เสียงนั้นทั้งตกใจทั้งดีใจ

ดีใจอะไรกันเล่า กลับห้องไปก็ได้เจอกันแล้วแท้ๆ

“มาทำอะไร” ผมถามคำถามที่น่าจะโง่ที่สุดออกไป ถามคนที่กำลังอ่านหนังสือในห้องสมุดว่าทำอะไรนี่นะ

“อ่านหนังสือ กะว่าจะมารอมึงเผื่ออ่านหนังสือด้วยกัน แต่สงสัยว่ามีเพื่อนแล้ว” เขามองไปยังกลุ่มสาวๆข้างๆ เคย์พาร่างใหญ่ๆ
ของตัวเองมายืนค้ำหัวพวกผม

“อ่านด้วยกันก็ได้นะคะ” เพื่อนที่สลัดท่าทางกะลิ้มกะเลี่ยออกไปแล้วเสนอให้เขาอย่างใจกว้าง แต่เคย์ส่ายหน้ายิ้มๆแล้วขอตัวออกไปอ่านหนังสือที่อื่นโดยไม่ลืมกำชับผมว่าหากอยากกลับเมื่อไรให้โทรเรียกด้วย

“เมทแกไม่ชอบพวกเราเหรอไง” เพื่อนผมบ่น

“เหอะ เปล่า หมอนั่นแค่ไม่เก่งกับการคุยกับคนแปลกหน้า” ผมพึมพำตอบกลับไปแล้วเดินตรงไปนั่งที่ที่เคย์เคยนั่ง

 “เออ ละเนี่ยแกเห็นเรื่องดราม่าในเฟสยัง?”

“เห็น เรื่องรูมเมทไอ้จินใช่ป่ะ กูแบบ อื้อหือ”

หะ?

ผมหันไปมองเพื่อน เครื่องหมายคำถามเต็มหน้าทำให้พวกเธอสะดุ้ง

“อ้าว นี่แกยังไม่รู้เหรอ ขอโทษ” พลอย เพื่อนในกลุ่มที่เป็นดาวคณะซึ่งผมพลาดไปเชียร์ตอนประกวดยิ้มแหย

เออ ความเป็นจริงก็ไม่ได้พลาดหรอกนะ แค่ไม่ได้ไปในร่างของจินก็เท่านั้นแหละ

“ดราม่าอะไร” ผมขมวดคิ้วมุ่น นั่นทำให้เพื่อนๆรีบไถเฟสเอามาโชว์ให้ใหญ่

“อันนี้ๆ”

จอมือถือที่ถูกส่งมาให้โชว์โพสในเฟสบุ๊คของผู้ชายคนหนึ่ง โพสนั้นไม่ยาวแต่มีข้อความที่ชวนให้ไปตีความต่อพอสมควร

Thanawat
‘เดี๋ยวนี้การคัดบาสมันเลือกกันที่หน้าตาแล้วเหรอวะ อยากได้กระแสดึงตัวเดือนมาเล่นทีมมหาลัยก็บอก’
543 Like 108 Share

นั่น…มันพูดถึงเคย์เหรอ ตรงเป้าน่าดู หากพูดถึงเดือนคณะก็คงมีคนเดียวในทีมนั่นแหละ

“มึงดูในคอมเม้นท์จิน เหมือนเขาจะมีวิดีโอลงจุดที่เคย์ทำพลาดอ่ะ เอามาตัดต่อรวมๆกัน โห แม่งคือโคตรพยายาม กูนับถือในความนั่งถ่ายโฟกัสเหมือนถ่ายเมนในคอนเสิร์ตแต่เอามาตัดต่อให้มันแย่อ่ะ ทำได้ไงวะ”

“เออ ถ้าเป็นกูก็คือแบบ ไม่ชอบก็ไม่ต้องยุ่งอ่ะ”

“แต่กูก็ว่าหนักอยู่ มันก็ชัดอ่ะมึง”

“ช่วงแรกเขาฟอร์มตกจริง แต่ครึ่งหลังเขาเล่นดีมากต่างหาก” ผมตอบอย่างหงุดหงิดเมื่อไล่ดูคอมเม้นท์แล้วเจอเม้นท์เชิงปั่นมากมายที่บั่นทอนประสาท ไหนจะวิดีโอที่มีแต่ช่วงที่เขาพลาดเหมือนพยายามชี้นำคนอื่นให้คิดไปอย่างนั้น

“เออ พวกกูเข้าใจ ลูบๆนะมึง”

“อยู่เฉยๆไปดีกว่า เรื่องแบบนี้สู้ไปก็เปล่าประโยชน์ คนแม่งชอบเรื่องดราม่าอ่ะมึง ยังไงเขาก็เสพ เขาก็เชื่อฝ่ายที่ทำตัวเป็นเหยื่อตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว พอกระแสตีกลับก็หายหัว มึงก็รู้อ่ะวิถีดราม่า”

“มีแต่คนตีกันไม่หยุด แทนที่จะมานั่งวิเคราะห์กันว่ามันจริงไม่จริง”

เสียงของเพื่อนๆไม่ค่อยเข้าหูผมนัก เมื่อผมมือสั่น ตาลายหูอื้อเพราะความโกรธที่แล่นขึ้นไปถึงหัวจนทำให้หัวอุ่น

ทั้งคอมเม้นต์สารพัดที่บอกว่าเขามีดีแค่หน้าตา หรือกระทั่งดูถูกเขา

‘หน้าตาก็งั้นๆอ่ะครับ มีภาษีแค่คนอวย มีเพจอวยก็คิดว่าตัวเองเก่ง’

‘โห ไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนแบบนี้เลยอ่ะคร่ะ แต่ก่อนก็ตามตลอดนะ ชอบหน้าตาแบบว่าอยากได้เป็นผัวมากเลย แต่เจอแบบนี้ไม่เอาดีกว่าเนอะ’

‘พวกคนหน้าตาดีแล้วเหลิงคิดว่าตัวเองดีไปเสียหมด คิดว่าตัวเองสูงส่งกว่าคนอื่นนี่มันยังไงอ่ะครับ #ครุ่นคิส’

‘พวกมึงไปดูเพจอวยผู้ชายดิวะ แม่งออกมาปกป้องกันใหญ่ ปัดโธ่ หลงKจนมองอะไรไม่เห็นแล้วไอ้พวกนี้ 555555’

‘ชอบทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอ่ะครับ ไม่อยากให้ใครถ่ายรูปตัวเองอีก มันจำเป็นต้องสร้างคาแรคเตอร์ผู้ชายแบดบอยเย็นชาขนาดนั้นเลยออ #เอาว่ะ #เกียมโดนพวกแฟนคลับรุม #กูตายแน่’

ผมวางมือถือลง สไลด์กลับไปให้เพื่อนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วหยิบชีทขึ้นมาอ่าน ถึงแม้ว่ามือจะยังสั่นเพราะความโมโหอยู่

และถึงแม้ว่าอยากจะไปหาคนที่กำลังตกเป็นหัวข้อข่าวเพียงใด ผมก็อยากเอาสภาพที่ไม่โมโหจนหูอื้อตาลายไปหาเขามากกว่า เพราะแทนที่จะช่วยปลอบใจ เคย์อาจจะต้องเป็นคนปลอบใจผมไม่ให้หาไม้ไปตีหัวไอ้พวกนั้นจนกะโหลกยุบ

ตัวหนังสือในชีทเหมือนลอยเข้าหัวแล้วผ่านไป ผมสูดหายใจลึกๆตั้งตัวใหม่อีกครั้งแล้วพยายามอ่านทบทวนหนังสือ

ท่องไว้จิน ใกล้มิดเทอมแล้ว ใกล้มิดเทอม อีกไม่กี่วัน

ในที่สุดผมก็สงบจนนั่งอ่านหนังสือได้ แม้ในหัวจะยังคิดวนเวียนกับเรื่องของเคย์ไม่หยุดแถมยังไม่รู้ว่าตอนเจอหน้ากันจะพูดอะไรเป็นประโยคแรกกับเขาดี

การติวหนังสือจบลงโดยที่ผมอ่านชีทไปจบแค่บทเดียว ฟังคลิปเสียงไปได้แค่คลาสหนึ่ง ผมหอบของบอกลาเพื่อนๆแล้วโทรไปหาคนที่น่าจะซุกตัวที่มุมใดมุมหนึ่งในห้องสมุด

“อยู่ไหน” ผมกรอกเสียงลงโทรศัพท์ ซึ่งเขาก็ตอบกลับมา ผมรีบพาตัวเองไปหยุดอยู่ตรงหน้าอีกฝ่าย จ้องมองเขานั่งอยู่กับกลุ่มเพื่อน จมอยู่ในหนังสือประมวลเล่มหนาๆ

“จะอ่านต่อมั้ย” ผมเดินเข้าไปทัก ทำให้กลุ่มชายฉกรรจ์เงยหน้าขึ้นมามองผมเป็นตาเดียว

ผมจำได้เพียงว่านี่คือแก๊งเพื่อนในคณะนิติของเขา ผมทักทายทุกคนเป็นการโบกมือ และผมเผอิญหันไปสบตากับคนร่างสูงตัวใหญ่เหมือนคนเข้ายิมตลอดอย่างกันต์ คนที่เคยมาตามเคย์ที่ห้อง

กันต์สะดุ้งโหยง หลบตาผมเป็นพัลวัน แต่ไม่วายเหลือบมองอีกที แล้วก็กลับไปหลบตาผมอีก

ผมได้แต่งงนิดหน่อย แต่ไม่ได้ต่อบทสนทนาอะไรกับพวกเขา

“ไม่ๆ เดี๋ยวกลับเลยก็ได้” เขารวบของลงกระเป๋า

“โห อะไรวะ พึ่งมาได้แปบเดียวเอง”

“พวกมึงต่างหากที่เพิ่งมา สัด กูนั่งอ่านตั้งนานแล้ว”

“อยู่กับเพื่อนกับฝูงไม่ได้เลยเว้ย ไอ้กันต์ มึงดูเพื่อนมึงนะ อย่างเมื่อวานกูชวนมันไปแดกชาบูตอนเย็น โปร4จ่าย3 แม่งบอกไปไม่ได้ กูต้องอยู่กับเมท”

“เออ เมื่อช่วงก่อนป่ะ จะพาไปแดกกระชับมิตรเสือกบอกต้องกลับห้องพาเมทไปดูหนัง”

“เล่นบาสเสร็จ จะชวนไปแดกเหล้าหลังเล่น พอเช็คๆโทรศัพท์มีสายโทรเข้าจากเมทเท่านั้นแหละ หันมาบอกกูว่าเมทบอกว่าอยากแดกชานมธัญพืช แล้วร้านเสือกใกล้ปิดแล้ว มันวิ่งสี่คูณร้อยไปร้านชานมที่ตึกนู้นอ่ะ แล้วแม่งได้ด้วยนะ กูยอมใจ”

ยิ่งได้ฟังหน้าเคย์ยิ่งปั้นยากขึ้น ในขณะที่ผมเองก็รู้สึกร้อนๆเหมือนเอาหน้าไปอังไฟ

“มึง…” กันต์แทรกเพื่อนๆที่คุยอย่างสนุกปาก “นั่นอ่ะเมทเขา”

ชายร่างยักษ์ทั้งหลายที่นั่งบนโต๊ะสะดุ้งโหยง หันมามองหน้าผมเหมือนเห็นผี

“เฮ้ย นี่ไม่ได้นินทานะ โทษๆ ไม่รู้”

ผมส่ายหน้า

“ไม่เป็นไร”

หันไปมองหน้าเคย์เพื่อพบว่าเขาหลบตาผมเป็นพัลวัน ชายหนุ่มยกกระเป๋าขึ้นถือแล้วเดินฉับๆไม่บอกลาเพื่อนเลย ผมเองก็โค้งหัวเป็นเชิงลาแล้วรีบเดินตามออกมา

คนตัวโตข้างหน้าผมก้าวฉับๆด้วยช่วงขายาวๆเสียจนแทบตามไม่ทัน ผมกำลังจะบอกให้เขาหยุดในตอนที่สังเกตเห็นหูแดงๆที่ปิดไม่มิด มันเป็นสีเข้มตัดกับต่างหูห่วงเงินอย่างเห็นได้ชัด

บ้าเอ๊ย

ผมอยากจะแซวเขาแต่ก็เกรงว่าหน้าตัวเองในตอนนี้มันคงจะแดงไม่แพ้กันเลย

จนในที่สุดเคย์ก็ลดระดับความเร็วของเขาจนเดินขนาบข้างกัน หมาโง่ตัวนั้นยังไม่มองหน้าผมถึงเจ้าตัวจะยื่นมือออกมา

“อะไร?” ผมเลิกคิ้วถาม

“กระเป๋า เอามาสิ จะถือให้”

“ไม่ใช่ผู้หญิงที่มึงจะต้องมาดูแลมั้ย กูถือเองได้”

“ก็ไม่ได้คิดว่ามึงเป็นผู้หญิง กูแค่อยากดูแลมึง”

ไอ้นี่…

ไอ้เจ้าหมานี่มันรู้จักหยอดตั้งแต่เมื่อไร

ผมส่งถุงผ้าให้เจ้าโง่นั่น มันกระอั่กกระอ่วนสิ้นดีเพราะพวกเราต่างไม่มองหน้ากันเลย

“ถะ…ถ้าอยากถือหนักๆก็เอาไปเลยเจ้าหมารับใช้”

อยากแบกหามนักก็เอาไป!




“ทำหน้าอย่างนั้นทำไม” มือใหญ่ๆที่อุ่นร้อนเพราะพึ่งผ่านการอาบน้ำอุ่นมาถูกวางไว้บนหัวผมแล้วลูบเบาๆ

ผมรีบล็อคหน้าจอโทรศัพท์แล้วส่ายหน้ากลบเกลื่อนใส่รูมเมทที่พึ่งอาบน้ำเสร็จ

“ไม่มีอะไร”

เขายิ้มขำเหมือนรู้ทัน ร่างกำยำในสภาพพันผ้าเช็ดตัวผืนเดียวเหมือนกับพวกชีเปลือยนั่งลงที่ขอบเตียงข้างๆ

“เห็นแล้วเหรอ”

“มึงสิเห็นแล้วเหรอ”

อันที่จริงถ้าไม่เห็นข่าวผมจะแปลกใจมากกว่า ถึงมีความเป็นไปได้ว่าเจ้ามนุษย์ยุคหินร้อยล้านปีที่ไม่ค่อยจับมือถือจะไม่เปิดดูก็
เถอะ

“เพื่อนบอกน่ะ”

“อ้อ”

ผมเลื่อนมือไปลูบหัวเขาแปะๆ ซึ่งคนตัวโตก็ช้อนตาทำหน้าละห้อยซะจนส่งเสียงโหยหาความรักความเมตตาออกมา
เจ้าหมายักษ์ล้มตัวลงนอนบนตักผม ขยับร่างกายใหญ่ๆให้พาดไปตามเตียง แต่ไม่ได้รู้เลยว่าการขยับตัวของตัวเองมันส่งอิมแพค
ให้ปมผ้าเช็ดตัวคลายจนแทบหลุด

“เฮ้ยๆๆๆ” ผมร้องลั่น ขยับมือไปกุมผ้าไว้ไม่ให้เลื่อนลงไปจนเห็นอะไรก็ตามที่อยู่ข้างล่างไรขนอ่อนๆเป็นแนวซึ่งลับหายเข้าไปในผ้าเช็ดตัว วีไลน์ของเจ้าตัวก็ลึกหมิ่นเหม่เสียจนน่าหวาดเสียว

“หวาย ลามกอ่ะจิน จับอะไรอยู่ กูเสียวนะ”

ผมขยับมือก่อนจะพบว่าครึ่งฝ่ามือนั่นจับอยู่บนลำท่อนอะไรสักอย่างที่ค่อนข้างจะคุ้นเคยกับมันแล้วพอสมควร

หลุบตาลงต่ำมองคนที่ทำหน้ากระมิดกระเมี้ยนอยู่ก็ชวนให้คันตีนยังไงชอบกล

จะ…เจ้านี่มันจงใจนี่น่า

“ฮึ่ย!” ผมละมือมาตีหน้าผากเจ้าหมาดังเพี๊ยะจนมันร้องเอ๋ง

“เจ็บ!”

“เดี๋ยวจะขย้ำให้สูญพันธุ์ไปเลยดีมั้ยหะ”

“เอางั้นช้าๆเบาๆก่อนนะ ค่อยแรงๆทีหลัง”

“ทุเรศชะมัด สายตาหื่นกามของแกมันสมกับเป็นโอตาคุโรคจิตจริงๆ”

ผมเริ่มขยำมือผ่านผ้าไปตามความยาวของลำท่อนนั่น แกล้งกดนิ้วเหมือนนวดไปทั่วจนลมหายใจของคนที่นอนตักผมอยู่เริ่มแรงขึ้นไปทุกทีพอๆกับอะไรๆที่เริ่มแข็งขึ้นมา

“เล่นพอได้แล้ว”

“แน่ใจเหรอว่าอยากให้พอ” ผมยิ้มซุกซนในตอนที่ใช้นิ้วชี้ไล่ไปตามผ้าที่มีอะไรบางอย่างดุนดันออกมา ยิ่งเวลาเขานอนอย่างนี้
แล้วมันยิ่งดันผ้าออกมาให้นูนโป่ง

“พอเลย!” เคย์ซึ่งหน้าแดงก่ำจับมือผมให้ออกจากจุดอันตรายแล้วผุดลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิหันหลังให้ผม เสียงหายใจฟืดฟาดแสดงออกถึงอารมณ์ของเจ้าตัวเป็นอย่างดี

“โธ่ พ่อหนุ่มน้อยไฟแรง” ผมทำเสียงเล็กเสียงน้อยล้อเขา

“ถ้ามันตั้งขึ้นมาจริงๆแล้วลงยากนะบอกไว้ก่อน” เขาขู่เสียงต่ำกลับ

“กลัวจัง~~”

เคย์ตวัดตามองค้อนผมซึ่งหัวเราะจนล้มลงไปกลิ้งบนเตียง เพราะเราเพิ่งมีอะไรกันอย่างรุนแรง เจ้าคนหื่นกามที่นั่งอยู่ตรงนั่นถึงขั้นออกกฎให้ผมพักฟื้นสักสัปดาห์

ซึ่งก็เป็นการทรมานตัวเองที่เหี้ยมโหดพอสมควร

“ถ้าหายเมื่อไรไม่ปล่อยไว้แน่”

“ก็ไม่ต้องปล่อยสิ”

อีกฝ่ายก้มลงมากัดริมฝีปากผมอย่างหมั่นเขี้ยว ผมยิ้มขำ ประคองหน้าเขาไว้กับสองมือเล็กๆของตัวเองแล้วถามอย่างจริงจัง

“โอเคมั้ย”

“อือ ถ้าบอกว่าโอเค100%ก็คงจะโกหกล่ะนะ”

“…”

“แต่อย่างน้อยกูก็รู้ว่าตัวเองทำได้ด้วยความสามารถของตัวเอง ไม่ได้เป็นตัวเรียกกระแสหรืออะไรทั้งนั้น…แต่ก็นะ พออ่านบ่อยๆเข้าก็เริ่มไม่มั่นใจตัวเองเหมือนกัน”

ผมยกมือขึ้นสางกลุ่มผมสีน้ำตาลนุ่มๆนั่นเบาๆเป็นการปลอบ

“ที่ผ่านมาไม่ว่าเรื่องย้อมผม แต่งตัวหรืองานอดิเรก กูก็ทำตามที่คนอื่นบอกทั้งนั้น ไอ้สีผมนี้ เพื่อนกูบอกว่าถ้าทำแล้วน่าจะดูดี กูเลยทำ ที่เล่นบาส ตอนแรกมันก็เพราะมีคนบอกกูว่ากูตัวสูงน่าจะเล่นบาสเก่ง กูก็เลยเล่น กูมองตัวเองผ่านสายตาของคนอื่นมาตลอด ฟังคำวิจารณ์ของคนอื่นแล้วมาปรับตัวกูให้ดีขึ้นตามคำวิจารณ์นั่นจนไม่รู้ว่าตัวกูจริงๆคืออะไร”

“แล้วตัวมึงที่อยู่หน้ากูไม่ใช่มึงจริงๆเหรอ”

เคย์หัวเราะ

“ใช่ ส่วนหนึ่งน่ะ อีกส่วนคือหายไปแล้ว กระทั่งกูก็ตามกลับมาไม่ได้ เพราะกูเองก็ลืมไปแล้ว แต่เรื่องที่กูชอบอนิเม เรื่องพวกนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ว่าใครก็เอาไปจากกูไม่ได้”

“มีอีกหรือเปล่า เรื่องของมึงอ่ะ”

“….จริงๆแล้วกูมันคนกาก เรียนก็กลางๆ แต่เสือกได้เป็นคนติวให้คนอื่นเฉยเลยเพราะทุกคนคิดว่ากูเก่งมาก กูอยากเป็นคนกากๆโดยที่ไม่ต้องกลัวว่าใครจะทำหน้าผิดหวังใส่”

“…”

“แต่อย่างน้อยกูก็เป็นตัวของตัวเองได้ต่อหน้ามึงนะ”

“ดีมาก”

คราวนี้เปลี่ยนมาตบแปะๆเป็นการให้รางวัล

“….เป็นคนหน้าตาดีนี่ก็ลำบากเนอะ”

เขาหัวเราะ เป็นเสียงหัวเราะที่ทำให้ผมคิดถึงความสดใสของเด็กๆ

“ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะ หลายคนชอบบอกว่าพวกคนหน้าตาดีมักมีอภิสิทธิ์นี่”

“ก็คิดดูสิ ถ้ามีคนคนหนึ่งที่หน้าตาดีและเก่ง เขามักจะโดนโฟกัสเรื่องหน้าตาก่อนทุกครั้ง อย่างเช่นว่า เพราะมีหน้าตาดีถึงได้ประสบความสำเร็จเหรอ ทั้งๆที่เบื้องหลังเขาก็ตะเกียกตะกายไม่แพ้คนอื่นๆ พยายามไม่แพ้ใครๆเหมือนกัน แต่พอประสบความสำเร็จแล้วกลับถูกตราหน้าว่าเพราะหน้าตาดี มันน่าเจ็บใจไม่ใช่เหรอ”

“อือ ก็จริงนะ แถมยังมีสเตอริโอไทป์แบบแปลกๆอีก อย่างเช่นว่า คนสวยมักไม่ฉลาด ประโยคนี้มันมาจากไหนกัน”

“บางคนก็โฟกัสแต่หน้าตาเหมือนมันเป็นทุกอย่างของชีวิตเราอย่างไงอย่างนั้น”

“กูเคยโดนบอกว่า อุตส่าห์หน้าตาดี ไม่คิดว่าจะเป็นพวกโอตาคุเหมือนกัน แถมยังมีคนบอกว่ากูน่าจะเป็นพวกชอบลงอินสตราแกรม ชอบเช็คเรตติ้งอีก”

“สเตอริโอไทป์จากหน้าตาชัดๆ นี่คิดว่าผู้ชายหน้าตาดีทุกคนเป็นพวกล่าแต้ม หยอดไปทั่วหรือยังไงหะ”

พูดแล้วก็อดมีน้ำโหไม่ได้ เหมือนกับที่ผมลงภาพวาบหวิวในทวิตคอสแล้วคนรอบข้างในสังคมคอสมักจะมองว่าผมเป็นพวกบ้ากามนั่นแหละ

ผมแค่appreciatedในร่างกายตัวเอง ชอบรูปร่างของตัวเองเลยเผยมันออกไปเยอะๆเท่านั้น แต่คนบางคนก็ตราหน้าไปแล้วว่าการถ่ายวาบหวิวนั่นคือต้องการเสิร์ฟตลาดล่าง

ความคิดบางคนช่างตื้นเขินจนน่าตกใจ

“บางคนน่ะ” ผมว่าต่อ “โดนเหม็นโดนหมั่นไส้เพราะคนอื่นสนใจเยอะ มีเรื่องมึงไหลผ่านหน้าทล.ไปตลอด คนเขาก็ออกมาแซะว่าทำไมจะต้องดังอะไรขนาดนั้น หน้าตาดีอะไรขนาดนั้น โดยที่ไม่ได้มาถามมึงเลยด้วยซ้ำว่ามึงสบายใจมั้ยกับสปอร์ตไลท์ที่ส่องมาที่มึง มึงออกจะเลี่ยง มึงไม่พยายามถ่ายรูปแต่คนเขาก็จะพยายามแอบถ่ายรูปมึงมาลงมาแชร์กันในแท๊กโดยที่ไม่ได้ถามมึงก่อน”

เคย์สะดุ้ง ผมจึงหุบปากฉับเมื่อรู้ตัวว่าหลุดอะไรที่ไม่สมควร เจ้าคนคิดมากคนนี้กลัวเรื่องที่มีรูปตัวเองว่อนไปว่อนมาในโซเชียลที่สุด

“โทษที…”

“ไม่เป็นไร ไม่ใช่เรื่องที่มึงจะต้องขอโทษ” เขายิ้มปลอบใจผม “บางคนชอบถ่ายรูปคนอื่นมาลงโดยที่ไม่ขออนุญาต อย่างกูก็รู้สึกinsecureกับเรื่องนั้นมากๆ พอเห็นแล้วกูก็แพนิคไปหมดว่ามันจะมีฟีดแบคยังไง หรือจะมีใครเมนชั่นไปข้างล่างมั้ยว่าคนคนนี้หน้าตาดีแต่นิสัยเหี้ยครับ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นกูต้องรู้สึกแย่แหงๆ”

“…”

“กูไม่รู้ว่ารูปที่ถูกถ่ายไปจะถูกลงในโซเชี่ยลมีเดียแบบไหน แคปชั่นเป็นแบบไหน กูเลยไม่อยากให้เขาถ่าย แต่พอเป็นอย่างนั้นก็จะมีคนบอกว่ากูเป็นพวกคิดเล็กคิดน้อย กูมนุษยสัมพันธ์ไม่ดี บางทีมันก็น่าลำบากใจเหมือนกัน”

“…”

“มึงเห็นจำนวนแชร์กับเม้นมั้ย แถมยิ่งเพจบางเพจออกมาตอบโต้ยิ่งทำให้คนเหม็นกูเข้าไปใหญ่ทั้งๆที่กูยังไม่ได้ทำอะไรเลย นั่งเฉยๆเนี่ย กูไม่อยากให้คนเข้าไปเถียง เพราะยิ่งเถียงก็ยิ่งเรื่องใหญ่ ไม่ว่ายังไงคนที่อคติมันก็อคติ กูเปลี่ยนความคิดเขาไม่ได้”

“แต่มันน่าโมโหนี่น่า กูเองยังอยากไล่เม้นต์ด่าเลย” ผมขมวดคิ้วให้คนที่หวังจะหลบในเปลือกตลอดไป

เขาส่ายหน้า

“อย่าเลย คนพวกนั้นยิ่งอยากด่าอยากไล่บี้ นิ่งๆไว้ให้เรื่องมันเงียบดีที่สุด บางคนที่เม้นที่แชร์ยังเป็นพวกที่เคยแชร์เคมเปญลดcyber bullyของคณะกูอยู่เลย แต่เขาก็ด่ากูเพราะว่าเขารู้สึกว่าด่ากูได้ เพราะไม่ได้มาพูดคำนั้นต่อหน้ากู”

“…”

“คนเราพอถูกใจ…ความถูกต้องที่เคยพ่นๆไว้ก็หายไปหมดนั่นแหละ”

“ฮะๆ นั่นสิ อย่างคนที่เคยรณรงค์เรื่องไซเบอร์บูลลี่ พอถึงเวลาก็ออกมาด่าคนอื่นได้เพียงเพราะรู้สึกว่าคนคนนั้นสมควรถูกด่า”

“ภาพลักษณ์ก็เป็นเรื่องสำคัญนะ”

เคย์ชี้ไปที่ตุ้มหู4รู

“เพราะงั้นกูถึงได้สร้างลุคแบบนี้ไปเลย พอทำตัวแย่ๆอย่างลองกินเหล้าสูบบุหรี่จะได้ไม่มีใครมาว่า เพราะลุคก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว”

ผมหัวเราะ ไล่นิ้วมือบนริมฝีปากคล้ำเหมือนคนสูบบุหรี่ของอีกฝ่าย

“งั้นเหรอพ่อแบดบอย”

ลงท้ายจากการพูดคุยกันเฉยๆ เคย์กับผมฟัดกันอยู่บนเตียงไปมา ทั้งกลิ้งเกลือกกับผ้าห่มหรือกระทั่งคลอเคลียกันเฉยๆ

“กูจะพยายามมั่นใจในตัวเองให้มากขึ้น จะสนคนรอบข้างให้น้อยลง”

“ดีแล้ว”

“กูอาจจะยังแย่ อาจจะยังไม่เก่งเท่าไร แต่ช่วยชอบกูในด้านกากๆด้วยนะ”

ผมกระซิบคำหนึ่งก่อนจะทาบริมฝีปากกับเขา

“ที่กูชอบมาตลอดก็ด้านกากๆของมึงนี่แหละ”




v
v
v
ต่อด้านล่างค่ะ

ออฟไลน์ MeiHT

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-1
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.10[19/03]
«ตอบ #311 เมื่อ30-03-2019 23:07:18 »

เราพลาดร้านชานมที่ผมชอบ

เพราะเอาแต่กลิ้งเกลือกกันบนเตียงจนลืมเวลา ผมถึงได้ลืมว่าตัวเองจะออกมาซื้อชานมเสียสนิท

ทั้งหมดเพราะคนที่เอาแต่ใช้แขนใหญ่ๆนั่นรัดตัวผมจนไปไหนไม่ได้นั่นแหละ!

“เอาเนื้อมาให้กินเดี๋ยวนี้นะ!!” ผมกระทิบเท้าปึงๆใต้โต๊ะ ชี้เนื้อชิ้นสวยที่ฉ่ำเยิ้มด้วยน้ำมัน

“ได้ครับ” ไอ้เจ้าหมาหน้ายิ้มก็ยังคงคีบเนื้อมาให้ผมอย่างซื่อสัตย์ ซ้ำยังตัดเนื้อชิ้นพอดีคำมาให้ด้วย

“ดีมาก ขอน้ำ” ผมเลื่อนแก้วน้ำที่ว่างเปล่าไปให้ข้ารับใช้ที่นั่งอยู่ข้างหน้า

เคย์ตักน้ำแข็งจากถังมาใส่แล้วเทน้ำลงไป จากนั้นจึงค่อยเลื่อนมาหาผมที่นั่งอยู่ตรงข้าม

สบายจริงๆ

ชักเข้าใจเสียแล้วสิที่เมื่อก่อนต้องมีคนรับใช้ส่วนตัว

การงอมืองอเท้าไม่ต้องทำอะไรมันเยี่ยมที่สุดไปเลย

แล้วการทานอาหารมื้อนั้นก็จบไปโดยที่ผมไม่ต้องทำอะไรนอกจากหยิบชิ้นเนื้อกินแล้วเคี้ยวๆ

อ้อ มีอีกอย่าง คือการจ่ายตัง

“เดี๋ยวโอนให้แล้วกัน” เคย์หัวเราะแหะๆเมื่อเปิดกระเป๋าออกมาแล้วเจอแค่แบงค์ยี่สิบสองใบ ทั้งๆที่เมื่อกี้ใจป้ำบอกว่าจะเป็นคนเลี้ยงแท้ๆ

“อ่าหะ หารสองไปเลยง่ายๆ”

ผมเป็นคนไม่คิดมากเรื่องเงินอยู่แล้ว นั่นก็เพราะมีบัตรเครดิตของพ่อยังไงล่ะ

ผมวางบัตรใส่ถาด ซึ่งพนักงานก็รับมันไปรูด

“เอาล่ะ กลับไปแล้วก็ต้องอ่านหนังสือจริงๆจังๆสักที”

“ทำเลคเชอร์เสร็จแล้วไม่ใช่เหรอ ไหนจะกระดาษทดเต็มห้องเลย นี่กูจะเก็บห้องยังไม่รู้ว่าอันไหนมึงจะใช้อันไหนจะทิ้ง เลยยังไม่ได้เก็บ”

“เอาไว้หลังสอบแล้วกัน”

เขาส่ายหน้ายิ้มๆ

“ทำมาเป็นพูด ทีมึงท่องประมวลตอนไฟนอลเทอมแรกทั้งคืนจนกูนึกว่ามึงคุยกับกุมารที่เลี้ยงไว้ กูยังไม่ทันบ่นอะไรเลย”

“อันนั้นมันก็…” เจ้าตัวหัวเราะแหะๆกลบเกลื่อน

“ขอโทษนะคะคุณลูกค้า” เสียงของคุณพนักงานที่ขัดขึ้นพร้อมกับยื่นบัตรเครดิตกลับคืนมาให้

“ครับ?”

“บัตรอันนี้ใช้ไม่ได้ค่ะ”

หืม?

“แน่ใจเหรอครับ?”

“ค่ะ ไม่ทราบว่าลูกค้าสะดวกชำระทางอื่นมั้ยคะ”

“อ้อ งั้นเอาบัตรนี่ก็ได้ครับ” ผมควักบัตรเดบิตของตัวเองให้อย่างเหม่อลอย มือยังคงกำบัตรเครดิตของพ่อไว้แน่น

บัตรเครดิตที่เพิ่งรูดเมื่อวานดันรูดไม่ได้เอาวันนี้ ไม่ใช่เพราะว่าพังหรืออะไรหรอก…

ตาแก่นั่น…

ผมพาลคิดไปถึงข้อความของคนคนหนึ่งที่ถูกส่งมาเมื่อวันก่อน เนื้อหาในข้อความนั้นประกาศชัดให้ผมโผล่หัวกลับบ้านไปเสียบ้าง แต่ผมเลือกที่จะมองเมินมันไปแถมยังไม่ได้ตอบกลับอะไรเพราะต้องการจะกวนประสาทอีกฝ่าย

สงครามเย็นอย่างที่พวกเราเล่นกันมาเป็นระยะเวลาหลายปี

ไม่ว่าจะหาเรื่องทับถม เมินอีกฝ่ายเหมือนอากาศ เรื่องพวกนั้นผมกับพ่อผ่านกันมาทุกรูปแบบ ไม่ว่าเมื่อไรพ่อก็พยายามจะหาเรื่องติผมอยู่เสมอพอๆกับผมที่มักจะใช้ความปากร้ายของตัวเองแซะเขาทั้งเรื่องงานและเรื่องในอดีต

ทั้งๆที่เป็นวันที่ดีแท้ๆ แต่พ่อก็มาทำให้เสียได้ทุกครั้งสิ

ผมกัดฟันกรอด นึกถึงหน้าอีกฝ่ายที่มักจะมาขัดวันสงบสุขของผมด้วยพฤติกรรมที่กัดกร่อนชีวิตผมให้นึกถึงแต่เรื่องแย่ๆ และที่เหี้ยที่สุดคือเจ้าตัวกลับไม่เคยสำนึกว่าทำอะไรกับลูกไว้บ้าง

คิดหรือว่าผมจะอยากกลับไปหาคนที่เคยพูดจำร้ายจิตใจจนเหมือนไม่ใช่พ่อลูกกัน

“เออ จิน มีอะไรหรือเปล่า” เคย์ยื่นมือมาคลายมือที่กำบัตรจนขอบบัตรเข้าเนื้อจนเป็นรอย

“ไม่มี” ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะหักบัตรเครดิตออกเป็นสองท่อน

เป๊าะ!

บัตรหักด้วยแรงโมโหของผม และแน่นอนว่าเคย์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามถึงกับสะดุ้งโหยงรีบเอาซากบัตรซึ่งหักครึ่งออกจากมือผม

“ระวังหน่อยสิ คราวหลังอยากจะหักก็ให้กูหักให้”

ท่าทางเหมือนอยากจะโอ๋ผมก็ไม่ใช่ จะโกรธบัตรก็ไม่เชิงของเขาทำให้ผมอารมณ์ดีมากพอสมควร

“ไม่มีอะไร ช่างมันเถอะ เรากลับไปอ่านหนังสือกันดีกว่า”

เมทของผมนิ่งเงียบ เขาใช้สีหน้าลำบากใจจ้องมองผม เราอยู่ด้วยกันจนทำให้เขารู้ว่าการที่ผมยิ้มหวานอย่างนี้มันไม่ใช่เรื่องดีและผมกำลังปิดบังบางอย่างไว้

“อือ”

คนตัวโตเลือกที่จะยิ้มออกมา มันเป็นรอยยิ้มยาซาชี่แสนดูดีของเจ้าตัวซึ่งผมแพ้ทางเป็นที่สุด

แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังไม่ช่วยให้โลกผมสดใสขึ้นมาได้ ราวกับผมกำลังจมดิ่งไปกับอดีตที่เกี่ยวข้องกับพ่อ

พี่พลมักบอกเสมอว่าผมมีปมเกี่ยวกับพ่อ ทั้งๆที่ผมสามารถให้อภัยแม่ได้แล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ให้อภัยพ่อไม่ได้เสียที

พ่อที่เหมือนจะเป็นฮีโร่คนนั้น คนที่อุ้มผมขี่คอเดินไปไหนมาไหน คนที่มีรอยยิ้มให้ผมพร้อมกับชมผมเป็นเด็กดีเมื่อผมได้คะแนนสอบเต็ม

แท้จริงแล้วก็มีมุมที่เน่าเฟะเหมือนมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง

เขามีด้านที่กักขฬะ ทะเยอทะยาน และหยาบกระด้าง

ผมไม่อาจมองเขาเป็นแบบอย่างได้อีกต่อไป

ถ้าเด็กคนนั้นมีพ่ออย่างนี่เป็นตัวอย่าง เขาจะเติบโตขึ้นมาก้าวร้าวเพียงไหนกัน ผมอยากรู้

ผมยิ้มตอบเคย์ รับบัตรคืนมาจากพนักงาน เซ็นลายเซ็นลงไปในช่องแล้วเก็บบัตรเดบิตเข้ากระเป๋า จากนั้นจึงลุกออกมาพร้อมๆกับเคย์

ผมหยิบโทรศัพท์จากในกระเป๋าตัวเองออกมา เลื่อนหาข้อความของคนที่ผมไม่เคยคิดจะตอบกลับเลยสักครั้งแล้วลังเลอยู่นาน แต่สุดท้ายแล้วผมก็พิมพ์ข้อความหนึ่งลงไปแล้วกดส่งอย่างรวดเร็ว

“มีอะไรหรือเปล่า” เคย์ก้มลงมองหน้าผมอย่างเป็นห่วง เขาไม่ได้จ้องมองไปที่หน้าจอโทรศัพท์ผม เพียงแต่มองหน้าผมด้วยคิ้วขมวดอย่างคนเป็นห่วง

“อือ ไม่เป็นไรหรอก”

ผมบอกเขา

“มันจะไม่เป็นไร”

แล้วผมก็ปล่อยโทรศัพท์ในมือซึ่งโชว์ข้อความล่าสุดที่พึ่งถูกส่งไปใส่กระเป๋ากางเกง

Jin : จะเจอวันไหนก็นัดมา
   
----------------------------------------------------------
ดราม่าตอนเดียวไม่พอหรอกนะ /พึมพำ
ใกล้ตอนจบเข้าไปเรื่อยๆแล้ววว ใกล้ได้ปิดทู้ที่เราเขียนมานานอย่างเป็นทางการ /ซับหัวตา
รู้สึกยาวนานละเกินนน
พอได้มาเขียนนิยายรู้สึกว่าการเขียนศัพท์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อย่างละ ล่ะ คะ ค่ะ นะ น่ะ เราดีขึ้นจริงๆด้วยค่ะทุกคนนนน


ช่วงนี้เราติดวาดรูปค่ะ โหลดโหดป่ะหว่า แต่วาดไว้ขำๆนะคะ ฮา น้องจินอินเชียร์ลีดเดอร์ชุด
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-03-2019 00:59:18 โดย MeiHT »

ออฟไลน์ Wwavez

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.11[30/03]
«ตอบ #312 เมื่อ31-03-2019 00:06:22 »

พ่อมาดีหรือไม่ดีเนี้ยลุ้น แต่เลาทีมน้องอยู่แร้วว สู้ๆกลจจากเจ้าหมา :mew1:

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.11[30/03]
«ตอบ #313 เมื่อ31-03-2019 06:55:32 »

เอาใจช่วย..ยยยย   :L1: :L1: :L1:

ออฟไลน์ GDNEE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.11[30/03]
«ตอบ #314 เมื่อ31-03-2019 17:16:56 »

จินนลูก​ ไม่เป็นไรน้าา​ ยังมีเคย์อยู่ข้างๆ

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.11[30/03]
«ตอบ #315 เมื่อ01-04-2019 08:23:40 »

อย่าดราม่า

ออฟไลน์ มะยองมะแยง

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.11[30/03]
«ตอบ #316 เมื่อ01-04-2019 11:49:06 »

 ดราม่าเบาๆพอน้าาา

ออฟไลน์ yunnutjae

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 650
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.11[30/03]
«ตอบ #317 เมื่อ01-04-2019 11:57:11 »

รูปน้องจินคือสวยมากกกก นี่เป็นผญ.ยังอายอะ  :z3:
ไม่อยากให้จบเลยยยยยยยยยย  :katai1:

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.11[30/03]
«ตอบ #318 เมื่อ01-04-2019 21:20:34 »

ขอมาม่าชามเล็กนะคนเขียน ชามใหญ่ไม่ไหว

ออฟไลน์ nofsnof

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.11[30/03]
«ตอบ #319 เมื่อ02-04-2019 22:53:47 »

 :pighaun: น้องจินชุดปอมปอมก็คืออ น่าร้ากก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.11[30/03]
« ตอบ #319 เมื่อ: 02-04-2019 22:53:47 »





ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.11[30/03]
«ตอบ #320 เมื่อ05-04-2019 20:47:05 »

ขอดราม่าเบาๆพอค่าา  :mew4:

ออฟไลน์ MeiHT

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-1
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.11[30/03]
«ตอบ #321 เมื่อ08-04-2019 00:27:03 »

 บทที่ 13 : คิดมาก

การสอบมิดเทอมของผมผ่านไปอย่างยากลำบาก เรียกว่าแทบกระอักเลือดเลยก็ว่าได้ โชคยังดีที่มีคนคอยหาข้าวหาน้ำมาให้กิน ซ้ำยังช่วยผมติวทั้งๆ ที่ความรู้เรื่องบัญชีเป็นศูนย์

ผมหมายถึงไอ้คนที่นั่งเก๊กจนเมื่อยกรามอยู่ข้างหน้าผมนี่แหละ

ตอนนี้พวกเรา ซึ่งประกอบไปด้วย ผม เคย์ และเพื่อนจากคณะนิติของเขาที่แนะนำตัวว่าชื่อ กันต์ กับ ธีร์ มารวมตัวกันเพราะโปรบุฟเฟ่ต์มา 4 จ่าย 3

โปรบุฟเฟ่เป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้สำหรับเด็กมหาลัยจริงๆ

“โอ๊ะ โชคดีแหะ ไอ้นพมันไม่ว่างจะมาพอดี” กันต์ยิ้มกว้าง

“กูโคตรอยากกินเนื้อชาบูเลยมึง เสี้ยนมาก ขอที อยากได้ไรนุ่มๆ กระแทกปาก” ผู้ชายตัวสูงแต่มวลกล้ามเนื้อน้อยที่สุดอย่างธีร์บ่นพึมพำเรื่องเนื้อไม่หยุดหย่อน

“พวกมึงโง่ป่ะวะที่ไม่กินข้าวทั้งวัน มารอกินตอนเย็น กระเพาะมันหดหมดสัด”

“จุดนี้ถึงกระเพาะหดกูก็แดกได้เยอะแล้วพ่อเดือนคณะ”

ผมเดินฟังบทสนทนาของพวกเขาเงียบๆ จากนั้นพวกเราก็มาถึงหน้าร้านอาหารเสียที ผมยกนิ้ว4นิ้วให้พนักงานที่เข้ามาทักทาย ก่อนที่เขาจะพาไปนั่งในร้าน

ตอนนี้ผมกำลังรัดเข็มขัดพอสมควร เพราะไม่รู้ว่าพ่อจะทำบัตรเครดิตให้ใหม่เมื่อไร และรายได้จากร้านคาเฟ่ซึ่งพี่พลดูแลกำลังอยู่ในช่วงขาลงเพราะมีร้านใหม่ๆ เปิดตัวข้างๆ

แน่นอนว่าพี่พลบอกว่าไม่ต้องห่วง ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีบูธขายชานมมาเปิดอยู๋ข้างๆ เรา หลังจากนี้หลังจากคนเบื่อชานมเขาก็จะกลับมาหาเราเองแต่ผมไม่อาจจ่ายเงินสุรุ่ยสุร่ายได้อีกต่อไป

ต้องปลอดภัยไว้ก่อน

ที่มาในวันนี้เพราะว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ออกเงินให้ผมเท่านั้นแหละ

“เป็นอะไร” เสียงนุ่มถามพร้อมๆ กับนิ้วที่เคาะขมับผมเบาๆ

“หะ” ผมเงยหน้าขึ้นมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ

“เป็นอะไร เหม่อเชียว” เขาถามย้ำอีกรอบเมื่อผมทำท่าเหมือนจะไม่ได้ฟังที่เขาถาม

“ไม่ต้องเลี้ยงกูก็ได้ จริงๆ แล้วกูเหลือตังอยู่”

“ไม่เอาอ่ะ อยากเลี้ยง”

ผมส่ายหน้า

“เอาเงินพ่อแม่มาเลี้ยงคนอื่นแบบนี้เขารู้หรือเปล่า”

“รู้สิ” เขายิ้มกว้าง ซ้ำยังย้ำเหมือนกับอยากอวดเสียเต็มประดา “พ่อแม่บอกจีบให้ติดด้วยนะ”

ไอ้บ้า…

“หุบปากแล้วไปตักผักไป๊” ผมผลักเคย์ทั้งๆ ที่รู้ว่าความพยายามของตัวเองเป็นศูนย์ แต่หมายักษ์ก็ยอมลุกออกไปตักผักกับหยิบชานมตามที่ผมบอกอยู่ดี

“อ้าว ไม่ตักไรเหรอ” กันต์ที่กลับมาพร้อมผักจานใหญ่ถามผม

“บอกให้เคย์ไปตักแล้ว” ผมตอบ

ผู้ชายที่นั่งตรงหน้าผผมทำหน้าปุเลี่ยนไปแวบหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าด้วยสีหน้ายับๆ เหมือนกำลังหมั่นไส้ แถมยังทำปากมุบมิบเรื่องเหม็นอะไรสักอย่าง

หืม มีอะไรเหม็นเหรอ ผมไม่ได้กลิ่นอะไรเลยนะ

“เนื้อ15ถาดครับ”

เนื้อออสเตรเลียชั้นดีถูกวางลงบนโต๊ะซึ่งเต็มไปด้วยผู้ชายตัวใหญ่ซึ่งหิวโหย พวกเขาเทเนื้อลงทั้งหมออย่างสุขีโดยไม่เสียเวลาแยกมันออกเป็นชิ้นๆ เสียด้วยซ้ำ

“เหี้ย แดกเหมือนคนอดอยาก” เคย์ขำเมื่อเพื่อนเขาแทบรอให้เนื้อสุกไม่ไหวด้วยซ้ำ

“กูเหมือนเจอโอเอซิสเลยว่ะเพื่อน”

“หลังจากนี้ต้องอ่านหนังสือล่ะ ขอกูหน่อยเหอะ”

ผมหลุดหัวเราะหน้าธีร์ที่ฟินกับเนื้อสุด ๆ

“เออ คณะนิตินี่แปลกนะ สอบ100% เหนื่อยตาย” ผมเริ่มบทสนทนาท่ามกลางทุกคนที่ปากไม่ว่าง

“จริง ตอนเทอมแรกที่กูสอบคือเกร็งมาก ดีนะมีวิชามหาลัยบางอันให้ดึงเกรดอ่ะ”

“เหี้ยเอ๊ย อย่าพูดถึงเกรดตอนนี้ มันอัปมงคล” กันต์แทบกรี๊ดร้องออกมาทั้งๆ ที่แก้มยังเต็มไปด้วยของกิน

“พอพูดถึงเกรดแล้วความอยากแดกลดลงเลย” หมายักษ์ข้างๆ ผมยังยิ้มแหยตามไปด้วย

“พูดดีอ่ะมึงอ่ะ ได้Bอย่ามาพูดได้ป่ะ”

“พวกกูเปิดคาเฟ่แมว แต่มึงเสือกรอดคนเดียวอ่ะ”

“สเตรทBมันเรียกว่าดีเหรอวะ”

“ดีแล้วสำหรับกู ไอ้เหี้ยย”

เคย์ยิ้มแหยอีกครั้งเมื่อโดนเพื่อนตราหน้าว่าเป็นคนทรยศ ผมส่ายศีรษะเบาๆ คีบเนื้อที่สุกวางไว้บนจานอีกฝ่าย

คนข้างๆ ผมหวังไว้กับเกรดแค่ไหนผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ตอนเกรดคณะออกก็แอบซึมไปสักพักจนน่าเป็นห่วง ต้องแบกหน้าหมาหงอยออกไปหาเพื่อนเพราะเพื่อนอยากกินเหล้า

ซึ่งก็แน่นอนว่าคนที่ปฏิเสธไม่เป็นก็ต้องออกไปตามระเบียบ เมาเละตุ้มเป๊ะคอพับคออ่อนจนต้องไปนอนห้องเพื่อนวันหนึ่ง

ซ้ำหลังๆ มานี่เขานอนกระสับกระส่ายเสียจนผมตื่นมากลางดึกบ่อยๆ เพราะเจ้าหมานั่นอัปเปหิตัวเองมานอนเตียงเดียวกันกับผมนั่นแหละ เพราะงั้นเวลาเขานอนดิ้นไปมาจนผมรู้สึกตัวมันถึงน่าหงุดหงิดเอามากๆ

แต่ผมก็เข้าใจนะ

เขาคงยังรู้สึกไม่ค่อยสบายใจกับคอมเม้นต์มากมายพวกนั่นในอินเตอร์เน็ต ต่อให้ในมหาลัยมันไม่มีใครเข้ามาต่อว่าเขาก็ตาม ไม่มีใครมามองเขาแปลกๆ หรือกระทั่งตั้งตัวเป็นศัตรู

แต่ถึงมองไม่เห็น ไม่ใช่ว่ามันไม่มีอยู่ไม่ใช่หรือไง

เพราะรู้ตัวว่ามีคนเกลียดตัวเองเยอะจนถึงขั้นที่ทำให้มันมีประเด็นขึ้นมาได้ เขาถึงนอนไม่ค่อยหลับมาตลอดนับตั้งแต่วันนั้น

และถึงผมคิดโมโหคนพวกนั้นมากเท่าไร แต่ก็ไม่อาจสู้กลับไปได้ เหมือนเรากำลังต่อยกับอากาศอย่างไรอย่างนั้น

น่าโมโห ถ้าไม่ชอบกันถึงขนาดนั้น แน่จริงก็มาพูดต่อหน้าสิวะ อย่ามัวแต่ปากดีอยู่ในเน็ต

จะอ้วก

“เฮ้ย จะว่าไปเมื่อตอนที่เราไปกินเหล้าอ่ะ พี่เดียร์มาขอเบอร์มึงด้วยนี่”

“เดี๋ยว…มึง” กันต์พยายามหยุดธีร์ไม่ให้พูดต่อ แต่คนที่กำลังคึกกับบทสนทนาไม่ยอมหยุด

“ตกลงว่ายังไง หลังจากเขาหอมแก้มมึงแล้วมึงได้สานต่ออะไรมั้ย”

กันต์ตบหน้าผากตัวเองอย่างอดไม่ได้ พอๆ กับคนที่นั่งข้างๆ ผมตอนนี้ก็หน้าซีดเป็นไก่ต้ม ซ้ำยังเหลือบมองผมเก้ๆ กังๆ อีก

บ้าแล้ว กลัวอะไรกันขนาดนั้น

ผมไม่ได้น่ากลัวเสียหน่อย

โคลงศีรษะเบาๆ ยามยกน้ำชาเขียวขึ้นจิบ

ใครมันจะโกรธเพราะเรื่องพรรค์นี้กันวะ





โครม!

กระเป๋าเป้ซึ่งบรรจุข้าวของเครื่องใช้ไว้จนเต็มถูกโยนออกนอกห้องพร้อมๆ กับผมที่ยืนกอดอกพิงกรอบประตู

“เดี๋ยว…ใจเย็นก่อนสิ แล้วกูจะนอนที่ไหนล่ะคืนนี้” คนตัวโตที่ยืนทำหน้าบึ้งอยู่ข้างหน้าก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากรูมเมทของผมเอง

“เรื่องของมึงสิ ห้องกันต์ก็อยู่ข้างบนเองไม่ใช่เหรอ” ผมเลิกคิ้วพูดไม่ยี่หระ

“ที่โกรธเพราะเรื่องที่ธีร์บอกเหรอ แต่กูไม่ได้ตั้งใจนะ แล้วอยู่ดีๆ เขาก็มาหอมแก้ม กูไม่ทันตั้งตัว”

“อ้อ เหรอ คิดว่ากูโกรธเรื่องพรรค์นั้นเหรอ”

ผมเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันมองคนที่หางลู่หูตก คำพูดสุดท้ายก่อนที่ผมจะปิดประตูอัดหน้าเขาก็คือ

“ถ้ามึงยังคิดไม่ออกว่ากูโกรธเรื่องอะไรก็ไม่ต้องกลับห้อง!”

หลังจากการไล่รูมเมทออกจากห้องตัวเองอย่างโหดร้าย ผมก็เลือกที่จะมานอนสบายใจเฉิบอยู่บนเตียงกว้างที่ปปกติจะมีคนสองคนอัดอยู่บนนั้น

ความจริงที่ผมโกรธมันไม่ใช่เพราะว่าเขาถูกใครหอมแก้มหรอกนะ กับไอ้คนอย่างพวกเราที่อยู่ติดห้องเป็นหลัก ตัวติดกันจนแทบไม่ได้ออกไปเจอผู้คน จะเอาเวลาที่ไหนไปนอกใจกัน

อีกอย่างมนุษย์โลว์เทคอย่างหมอนั่น ส่งไลน์ไปวันนี้สงสัยคงพรุ่งนี้ตอนบ่ายๆ ถึงได้ตอบ

ที่ผมโกรธมันเพราะเขาไม่พูดอะไรเลยต่างหาก

ถ้าไม่พูดแล้วยังไง ตั้งใจจะปิดมันตลอดไปเหรอ ถ้าอย่างนั้นมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นไม่ใช่ว่าผมจะได้รับรู้เป็นคนสุดท้ายเหรอ

ผมเริ่มเข้าใจพ่อกับแม่นิดหน่อยว่าทำไมตอนพวกท่านอยู่ด้วยกันถึงมีเรื่องในทะเลาะกันทุกวัน

อย่างตอนนี้ที่พวกผมทะเลาะกัน ส่วนหนึ่งมันเพราะความสัมพันธ์ที่ขยับขึ้นมาอีกขั้น ถึงจะไม่ได้ขนาดเป็นแฟนกัน แต่เชื่อเถอะว่าคนพิเศษนั่นก็มีได้แค่คนเดียว

และการเป็นคนพิเศษ หมายถึงว่าเรามีสิทธิโกรธในตัวอีกฝ่าย

หากเป็นเมื่อก่อนที่เราไม่เป็นอะไรกัน ผมไม่มีสิทธิ์โกรธที่เขาไปคุยกับใครหรือไม่มีสิทธิไล่เขาออกจากห้อง อ้อ ตอนนี้ก็ไม่มีสิทธิ์ไล่เขาออกจากห้องหรอก

แต่ทำยังไงได้ ก็ทำไปแล้วนี่

ผมเหนื่อยกับการโกรธพอๆ กับการถูกโกรธ แต่ถึงอย่างไรพวกเราก็พยายามหาทางตรงกลาง พยายามเข้าใจกันให้มากขึ้น ก้าวเท้าถอยกันคนละก้าว ถึงแม้ผมจะยอมรับเลยว่าส่วนใหญ่แล้วเป็นเคย์ที่ถอยให้ก่อน

แต่นี่มันเหมือนพ่อกับแม่เลยไม่ใช่เหรอไง

เมื่อตอนแรกๆ แม่ก็ถอย ถอยจนเลิกถอย

ผมกัดฟัน คิดถึงเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นก็นึกกลัวจนใจสั่น ความสัมพันธ์ตัวอย่างที่พังลงไปแล้วเหมือนกับตัวเองตอนนี้ไม่มีผิด

เหมือนหนังสือเล่มเดิมที่เปิดซ้ำอีกรอบ

ติ๊ง!

เสียงข้อความเข้าทำให้ผมรีบเปิดดูเพราะนึกว่าคนที่โดนไล่ออกจากห้องจนซึมเป็นหมาหงอยเป็นคนส่งมา แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นชื่อคนส่ง

พ่อ : สอบเสร็จแล้วใช่มั้ย วันพรุ่งนี้ตอนทุ่มหนึ่งเจอกันที่โรงแรมJ




K part

ผมแบกกระเป๋าเป้ออกมาจากห้องตัวเอง ขึ้นไปชั้นบนเพื่อกดกริ่งห้องกันต์อย่างเหนื่อยอ่อน

หลังเราเลื่อนสถานะ มันมาพร้อมกับการผูกมัดซึ่งทำให้เราคาดหวังในตัวอีกฝ่ายมากขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้

บ่อยครั้งที่ผมทะเลาะกับจินจนเหนื่อยใจ แต่เพราะพวกเราอยากอยู่ด้วยกันจึงพยายามปรับตัวเข้าหากันให้ได้ อย่างไรซะพวกเราก็เพิ่งเป็นคนพิเศษกันได้ไม่ถึงเดือน มีเรื่องให้ต้องแก้ไขอีกมากมาย

แต่ไม่เป็นไร ความสัมพันธ์ไหนๆ มันก็ต้องมีจุดนี้ทั้งนั้น

ก๊อกๆ

เพื่อนในสภาพหัวฟูเปลือยท่อนบนเปิดประตูรับผมด้วยสีหน้าสุดเซ็ง

“ทำไมมึงต้องเลือกมาห้องกูด้วยวะ”

“เพราะเพื่อนกูมีแค่นี้ไง” ผมผลักประตูเข้าไปอย่างแรงจนมันเซแล้ววางกระเป๋าเป้ลงกับพื้น ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอีกฝ่าย

“ไอ้คนเพื่อนน้อย เวรเอ๊ย ลำบากกูจริงๆ นอกจากจะต้องมาเป็นเพื่อนมึงแล้วยังต้องมาคอยกูมึงตอนเมี---แค่กๆ กูหมายถึงเมทมึง เตะมึงออกจากห้องอีก”

ผมหรี่ตาลง เซ้นส์ได้ว่าเพื่อนรู้อะไรบางอย่างแต่เลือกที่จะเงียบไว้ดีกว่า ผมไม่รู้ว่าเพื่อนตัวเองมีทัศนคติอย่างไรกับเรื่องนี้และวันนี้ผมก็ไม่อยากเจอกับอะไรน่าเหนื่อยใจอีกแล้ว

“ไอ้หอยเอ๊ย ไอ้กาก ตัวก็ตั้งโตยังโดนเตะออกมาได้อีก ถ้าเขาไม่ยอมก็จับกดติดกำแพงไปเลยซี่”

ผมหันขวับไปมองเพื่อนสนิทซึ่งลอยหน้าลอยตาบ่น

“อะไร๊ กูหมายถึงผลักมันติดกำแพงแล้วขู่แม่งเลยจ้า”

“อย่าเรียกจินว่ามันนะ”

“อู้ย ดุจังพ่อ”

“ทำไมห้องมึงเหม็นบุหรี่จังวะ”

“ก็สูบตรงระเบียงไม่ได้ไง ข้างๆ แม่งบ่น เอาโพสอิสมาแปะจนกูเบื่อ พอสูบในห้อง สัญญาณจับไฟก็เสือกร้องอีก”

“อ้าว คราวนั้นที่ต้องวิ่งลงจากหอให้วุ่นวายมันเพราะมึงเหรอไอ้สัด”

“จุ๊ๆ จ้า กูเองเพื่อน”

“สูบยังไงให้มันร้องเตือนวะ”

“บุหรี่ไฟฟ้าไง เด็กน้อยหอยสังข์อย่างมึงเคยเห็นป่ะ”

“เคยสิ …เห็นจากมึงอ่ะ”

กันต์ทำหน้าบูดใส่ผม แถมสายตายังเหมือนมองเด็กประถมไม่ประสีประสา

“ตอนนี้กูเปลี่ยนละ ดูดหรี่เหมือนเดิม ไม่แฟนซีละ พอ”

ไม่ว่าเปล่า คนจัญไรอย่างมันยังยื่นซองบุหรี่มาให้ผมอย่างใจกว้างแล้วยังยักคิ้วเป็นเชิงท่าทาย

“มาสิสัด ดูถูกกูเกินไปละ” ผมดึงออกมาแล้วคาบไว้ กันต์จึงโยนไฟแช็คจนมันกระเด้งกระดอนบนเตียง

ผมหยิบที่จุดไฟรูปร่างสี่เหลี่ยมมาไว้ในมือแล้วจุดตรงปลายบุหรี่ จากนั้นจึงสูดควันเข้ามาในปอด

“แค่กๆ แม่ง”

ทันทีที่ควันรสชาติเฝื่อนซึ่งไม่มีอะไรดีแล่นผ่านลำคอ ผมก็ไอสำลักเอาควันพวกนั่นออกมาจนดูน่าสมเพช ในขณะที่เพื่อนสนิทกำลังหัวเราะจนท้องขัดท้องแข็งไม่หยุด

นั่น ไอ้กันต์เอามือกุมท้องลั่นหัวเราะที่น่าจะดังไปสามบ้านแปดบ้าน พรุ่งนี้มีโพสอิทแปะหน้าห้องมึงแน่ไอ้ควาย

“โอ๊ย กูขำวะ ไม่ไหว” มันปาดน้ำตาออกจากหางตา หยิบเอาบุหรี่ในมือผมไปสูบต่อ

“เหม็น ไปสูบตรงระเบียงไป” ผมโบกมือไล่แม่งให้ไปสูบที่อื่น คนกวนประสาทถึงขั้นยักไหล่ทำหน้ากิ๊วก๊าวล้อเหมือนผมเป็นเด็กแล้วจึงเดินไปที่ระเบียง

ผมนั่งอยู่บนเตียงเงียบๆ กดนวดหัวคิ้วที่เหมือนจะมุ่นด้วยความเครียด

ช่วงนี้จินมีเรื่องที่ไม่ได้บอกผมอยู่ นั่นทำให้ผมกังวลมากทีเดียว แต่แรกความสัมพันธ์ช่วงนี้ของเราก็ลุ่มๆ ดอนๆ พออยู่แล้ว ยิ่งเขาจ้องโทรศัพท์มือถือของเขาแล้วทำหน้าเครียดโดยไม่ยอมบอกผมเสียทีว่ามีเรื่องอะไรยิ่งทำให้ผมกังวลใจเข้าไปใหญ่

บ่อยครั้งที่จินทำท่าเหมือนเหนื่อยเต็มทน มันยิ่งทำให้ผมใจเสียเข้าไปใหญ่ กว่าจะกะเทาะเปลือกอันแสนแข็งของอีกฝ่ายเข้าไปได้ หากเขาเกิดถอดใจขึ้นมาผมคงเจ็บหนักทีเดียว

“เป็นไรมึง ทำหน้าเหี่ยวเชียว” กันต์ที่สูบบุหรี่เสร็จแล้วเดินเข้ามาทิ้งตัวข้างๆ ผม

“ไม่รู้สิวะ มีเรื่องให้เครียดเต็มไปหมด” ผมโคลงศีรษะ

“เรื่องเมีย?”

“ก็ตรงไปมึง”

“สรุปก็เรื่องความรักอีกนั่นแหละ เหี้ยเอ๊ย ไอ้กากอย่างมึงดันหาแฟนได้ก่อนกู โลกนี้ต้องแตกแหงๆ”

“กูไม่ใช่คนเหี้ยแบบมึงนี่”

“ถุ้ย! ไอ้สันขวาน ไอ้พ่อดอกบัวขาวผู้ผุดผ่อง”

“จะด่ากูหรือจะช่วยก็เลือกสักอย่าง”

“ปัดโธ่ บ่นนิดเดียวเองเพื่อน ตกลงมันมีเรื่องอะไร”

“…กูกลัวว่ะมึง กลัวเขาจะยอมแพ้”

กันต์นั่งฟังผมเงียบๆ ไม่ได้เอ่ยขัดอะไรเมื่อผมเล่าเรื่องที่กังวลใจของตัวเองออกไปเสียหมด

“กูกับเขาเพิ่งเลื่อนสถานะเป็นคนพิเศษกัน กูรู้ว่าเขามีกำแพงสูง แต่กูแค่คิดว่าถ้ากูข้ามกำแพงไปได้ เราก็จะมีแฮปปี้เอนดิ้ง แต่ตอนนี้ที่กูเสือกข้ามกำแพงไปได้ กูดันเจอว่าเขาแม่งมีกำแพงอีกชั้น กูกลัวว่ะ กลัวเขาถอดใจ”

เพื่อนผมถอนหายใจ เขาตบไหล่ผมเบาๆ อย่างเข้าใจ

“กูไม่สันทัดเรื่องความรักว่ะ แต่กูรู้ว่ามึงจะผ่านไปได้ กูล่ะโคตรดีใจเลยที่คนอย่างมึงมีแฟน เพราะกูรู้ว่ามึงเป็นคนดี และมึงแม่งรักใครคือรักเลย ส่วนพวกกูน่ะ เก่งแต่ฟันคนอื่น และกูแม่งก็โคตรดีใจเหมือนกันที่ไม่มีใครต้องมาจมปลักกับกูเพราะกู ไอ้ธีร์กับไอ้นพแม่งโคตรชั่ว”

“…”

“แต่มึงน่ะ บางทีก็เป็นคนดีเกินไปหน่อย มึงคิดถึงจิตใจคนอื่นมากเกินไป เลยพยายามเทคแคร์เขาทุกอย่าง ไม่พูดอะไรที่ทำให้เขาขุ่นเคืองใจ แล้วก็ไม่แสดงอะไรเวลามึงถูกคำพูดเขาทำให้เจ็บ เพราะงั้นพวกกูถึงห่วงมึงมาก เพราะความสัมพันธ์ทางเดียวแม่งไม่เวิร์ก เอาแต่ใจหน่อยไอ้เหี้ย”

ว่าเสร็จเพื่อนผมก็ถีบผมออกจากห้องพร้อมๆ กับโยนกระเป๋าเป้ผมออกมา

“ไปเลยไอ้เหี้ย มึงสู้! มึงต้องตื้อ! มึงต้องอย่ายอมโดนเตะออกมาง่ายๆ!! สู้สิไอ้สัส สู้!!”

ว่าแล้วมันก็ปิดประตูไล่หลังดังปึง!

ผมยกกระเป๋าอย่างฮึกเหิม ตั้งใจจะเดินลงไปอย่างห้าวหาญแล้วเคาะประตูห้องอย่างรุนแรงจนกว่าคนข้างในจะออกมาเปิดให้

แต่ยังไม่ทันจะเดินลงไปข้างล่าง ผมก็เหลียวหลังนึกออกได้ทันที

เดี๋ยวก่อนนะ

ไอ้เพื่อนชั่ว!!! มึงหาเรื่องเตะกูออกจากห้องต่างหากไอ้สัด!!!!



ผมตั้งใจจะเคาะประตูห้องอย่างขึงขัง แต่ความเป็นจริงแล้วผมทำได้แค่อ้อนว้อนขอให้คนอย่างในเปิดให้เท่านั้นแหละ

“จินนนน” ผมเคาะประตูเบาๆ พลางเรียกเสียงงี้ดๆ

อะไร!! ผมเคาะเบาๆ เพราะกลัวมือตัวเองเจ็บต่างหาก!!

คนข้างในถีบประตูดังปังมาทีหนึ่งจนผมถึงขั้นสะดุ้งโหยงด้วยความกลัว แขนซึ่งเต็มไปด้วยมัดกล้ามถูกกดไว้แนบอกด้วยความตกใจ

ดุร้าย! ดุร้ายเหมือนเดิม!!

ถ้าจะให้เปรียบจิน ผมจะบอกว่าอีกฝ่ายเหมือนไอ*ตี๊ด*กะ ไทกะไม่มีผิดเลย ตัวเล็กจิ๋วแต่มากฤทธิ์จนน่ากลัว

อ่า เดาไม่ได้เหรอ? นั่นเป็นถึงหนึ่งในสี่เทพสาวซึนของโลกอนิเมญี่ปุ่นเชียวนะ!!

จริงๆ แล้วจินเองก็ดูอนิเมเหมือนกัน และชอบคอสเพลย์มากด้วย แต่เหมือนเจ้าตัวไม่ค่อยสะสมกู๊ดเสียเท่าไหร่ ต่างจากผมที่ห้องที่บ้านอัดแน่นไปด้วยหนังสือการ์ตูน ก๊ด ฟิกเกอร์สาวโนตมกับแผ่นเกมเต็มไปหมด

ไอ้ปลอกหมอนที่เขาเคยเห็นเป็นเหมือนส่วนที่โผล่พ้นน้ำของภูเขาน้ำแข็งนั่นแหละ ความเป็นจริงแล้วผมถึงขั้นมีเกมจำกัดอายุชื่อ มารักกับคุณเพื่อนบ้านกันเถอะ~~ หรือเกมชื่อเมจิก เมจิก โลกของคุณแม่มดยังไงล่ะ!!

คุณรู้ใช่มั้ยครับว่าเกมจำกัดอายุคืออะไร อะแฮ่ม ถึงไม่รู้ก็ไม่บอกหรอก มันน่าอายออกนี่

และเรื่องนี้ผมจะปิดเขาให้แน่นสนิทเชียว

ถึงแม้ว่ากลับบ้านไปครั้งที่แล้วผมจะเปิดเกมนั่งเล่นรูทของสาวซึนอกแบนทั้งหมดหลังจากที่ตลอดมาผมเลือกรูทของสาวเพื่อนสนิทวัยเด็กโนตมซึ่งมีนิสัยขี้อ้อนเข้าอกเข้าใจ

ความรู้สึกของการโดนคนอ้อนน่ะ มันดีจะตาย

แต่ต้องยอมรับว่าหลังๆ ผมชอบคนซึนเดเระมากกว่า

อย่างตอนที่คนตัวเล็กทำหน้าอี๋ใส่ผมเหมือนมองคนชั้นต่ำแล้วพูดว่าหยะแหยงอ่ะ หริอตอนที่พูดว่า อะ…อะไรของแก! บ้าเอ๊ย ทั้งๆ ที่หน้าแดงเพราะโดนผมหยอดไปเนี่ยโคตรน่ารักเลย

อืมๆ ไม่ว่าจะคิดกี่ตลบก็สุดยอดที่สุด โดยเฉพาะคาแรคเตอร์ปากไม่ตรงกับใจที่ชอบโผล่มาบ่อยๆ

เพราะงั้น…

เปิดให้ผมหน่อยเถอะนะ

ผมเกาะประตูอ้อนวอนคนข้างในให้เปิดออก ซึ่งประตูก็เปิดผลัวะตามคำขอจนผมถึงขั้นล้มเข้าไปข้างใน

ความรู้สึกแรกตอนเงยหน้าขึ้นมาเหรอครับ

กลม…ขาว…สุดยอด

มุมมองที่มองช้อนจากด้านล่างคือ คนตัวเล็กที่ใส่เพียงเสื้อนอนสีขาวตัวเดียวกับกางเกงในลูกไม้สีดำซึ่งมีสายรัดผูกลงมาจนถึงถุงน่องยาวนั่นสุดยอดมาก

เหยียบผมได้เลยครับ!! เหยียบเลย!! แล้วพูดสิว่าขยะแขยงไอ้คนชั้นต่ำ! แล้วใช้เท้าน่ารักๆ ภายใต้ถุงน่องนั่นเหยียบมาเลย!!

จินซึ่งน่าจะเห็นอารมณ์หื่นของผมฉายชัดถึงกับทำหน้าเหมือนมองสัตว์ชั้นต่ำ

“ขยะแขยง ไอ้วิตถาร”

อ่า คำนี้แหละ

ชอบจัง เจ็บจี๊ดๆ แต่ก็ชอบ

ผมผุดลุกขึ้นนั่ง เอากระเป๋าเป้ข้างนอกเอามาไว้ข้างในแล้วปิดประตูลงกลอน

“มาทำไม ไอ้ตูบ สำนึกความผิดตัวเองได้แล้วเหรอ”

จินนั่งไขว้ห้างตรงขอบเตียงเหมือนควีนในการ์ตูนสักเรื่อง หนำซ้ำยังกอดอกใช้สายตาสูงส่งมองลงมาอีก

“ครับ ได้แล้วครับ” ผมอ้อมแอ้มตอบขณะที่ตัวเองนั่งคุกเข่าสำนึกผิด

“ไหนพูดมาสิ กูจะยอมเสียสละเวลาอันมีค่าฟังสิ่งที่สมองมึงน่าจะประมวลผลได้ตั้งแต่ก่อนโดนกูเตะออกจากห้องหน่อยก็ได้”

“ผมผิดตรงที่มีเรื่องอะไรก็ไม่ยอมบอกครับ”

“ถูก” เขาพยักหน้าอย่างพึงพอใจ

ผมเงยหน้าขึ้นเถียงบ้าง

“แต่ว่า! ...ถ้าอย่างนั้นล่ะก็ มึงก็มีเรื่องที่ไม่บอกกูเหมือนกันนั่นแหละ ช่วงนี้เอาแต่จ้องมือถือทำหน้าเครียด กูก็อยากรู้เหมือนกันนะ!!”

จินเบิกตากว้าง ตาโตๆ หวานๆ ซึ่งเป็นผลมาจากขนตายาวๆ ของเขาทำให้ผมอยากจะกระโจนเข้าไปฟัดเพราะอยากจะเห็นดวงตารื่นน้ำตาจากความจำยอมของเขาเสียบ้าง

โอ๊ะ กลับมาก่อน ชักจะหื่นเกินไปแล้ว

“มานั่งนี่สิ” เขาตบมือข้างตัว ผมจึงใช้เวลาเพียงเสี้ยววิย้ายตัวเข้าไปข้างๆ คนตัวหอมๆ ขาวๆ ทันที

“คือ…มึงอาจจะไม่รู้เรื่องที่บ้านกู แต่เอาเป็นว่าจริงๆ แล้วกูอยู่กับแม่มาตั้งนานแล้ว ครอบครัวกูจบไม่สวยเท่าไร”

เขากัดริมฝีปากแน่น ผมจึงยื่นมือเข้าไปบีบปากน่ารักๆ นั่นให้เลิกกัดตัวเองเสียที มีแต่ผมที่มีสิทธิกัดเขา!!

แต่จะว่าไป…

นี่สินะ คือสาเหตุที่ทำให้จินไม่อยากเป็นแฟนกับผม หรือไม่ยอมให้ใครเข้าไปในสถานะพิเศษเลย

เพราะคิดว่าพื้นหลังที่มีครอบครัวแตกหักจะส่งผลกระทบมาถึงคนรอบข้างด้วยงั้นสิ

และเพราะกลัวว่าจะเผลอทำร้ายใครหรือโดนใครทำร้ายเข้า ลงท้ายเลยปิดตัวเองอยู่ในเปลือกไข่

แต่ผมกลับทำให้เขายอมรับและผ่านสถานะขึ้นมาอีกขั้นได้ แค่คิดแบบนี้ก็สุขใจจนวิ่งเข้าไปบุกน้ำลุยไฟดำโคลนได้อยู่แล้ว

“อือหึ ยังไงต่อ”

“กูไม่ค่อยสนิทกับพ่อ แล้ว…เหมือนพ่อก็ติดต่อมา อยากให้กูคุยด้วย”

“อือ ไปคุยเถอะ อีกฝ่ายเป็นถึงคุณพ่อเลยนะ”

“มึงไม่เข้าใจ!!” เขาตวาดอย่างโกรธเกรี้ยว แต่ครั้นผมเงียบให้เขาพูดต่อ จินกลับเงียบ

“พูดสิ ถ้ามึงไม่เล่ากูก็ไม่เข้าใจหรอก”

“พ่อนอกใจแม่…ไม่สิ เขารักผู้หญิงคนนั้นหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ แต่พ่อก็หย่ากับแม่เพราะจะไปแต่งงานกับคนคนนั้น เพราะว่าหล่อนเป็นลูกสาวของคนที่สามารถสนับสนุนคุณพ่อเป็นนักการเมืองได้”

ผมเริ่มรู้สึกถึงลางร้ายเข้าพัดในตอนที่เขาช้อนตามองผมแล้วพูดต่อ

“มึงเคยได้ยินนามสกุล เพชรพัชตร์ หรือเปล่า”

“…เคยได้ยินสิ นักการเมืองที่ออกทีวีบ่อยๆ”

ผมภาวนาอยู่ในใจตอนที่เขาพยักหน้าให้ผม

“ใช่ คนนั้นแหละคือพ่อกูเอง”



พ่อตาผมน่ากลัวเว่อร์ๆ

แต่ถ้าได้คนนี้มามันก็คุ้มแหละว่ะ

หลังจากประโยคสายฟ้าแลบของเขา ผมได้แต่กอดโอ๋พยายามเกลี้ยกล่อมให้จินไปนัดทานข้าวกับพ่อถึงแม้เจ้าตัวไม่อยาก

มันเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ผมคิดว่างั้นนะ จากท่าทางของเขามันเหมือนว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ถูกบังคับเสียด้วยซ้ำ

“กูจะไปนั่งที่ร้านกาแฟแถวๆ โรงแรม ถ้าไม่โอเคก็โทรหากู กูจะเข้าไปรับเอง”

ใจจริงพอเห็นคนเข้มแข็งจับเสื้อผมแน่น กำจนยู่ยี่ไปหมดก็อยากกอดอยากหอมบอกว่าเดี๋ยวผมจะบุกเข้าไปบอกพ่อตาเองว่า จินไม่อยากมาครับ!! กรุณาเข้าใจด้วย!

แต่ความเป็นจริงก็คือเราไปเสือกเรื่องครอบครัวของเขาไม่ได้

“มึงจะไปที่นั่นกับกูจริงๆ นะ”

ยิ่งท่าช้อนตาในสภาพใส่เสื้อเชิ้ตตัวเดียวกับถุงน่องก็คือเอาไปเลยสิบสิบสิบ! อยากให้วิ่งรอบมหาลัยสักสามรอบก็ได้ว่ะงานนี้

“อือ ไปๆ”

ผมเข้าใจความรู้สึกของการโกรธพ่อแม่นะ และผมจะไม่ห้ามเขาไม่ให้โกรธด้วย ถึงแม้ผมจะไม่เห็นด้วยกับการไม่คุยกับพ่อของเขาก็ตาม

เพราะผมไม่ได้อยู่ในบริบทเดียวกับเขา ไม่ได้รับรู้ ไม่ได้รู้สึกอย่างที่เขารู้สึก เพราะงั้นผมไม่มีสิทธิ์ไปชี้นิ้วบอกให้ใครรู้สึกยังไง

แต่ผมจะอยู่ข้างๆ ตอนที่เขากำลังแย่เอง

“กูไม่ชอบเลย ทุกทีที่ไปมันเหมือนกับกูเป็นคนนอกมองครอบครัวอื่นกำลังมีความสุข กูจะไปทำไมวะ ทำไมต้องมีแค่กูที่อยู่รอบนอก ทำไมทั้งๆ ที่พ่อกูทำกับกูมากขนาดนั้น เขาถึงไม่รู้สึกอะไรเลย”

ผมกอดเขา พร่ำจูบไปตามใบหน้าซึ่งผมประคองไว้ในมืออย่างทะนุถนอมแล้วลงท้ายด้วยการหอมหัวเบาๆ หลายๆ รอบ

“ไม่ว่าจะมึงจะรู้สึกแย่ยังไง กูจะอยู่ข้างมึงเอง ขอแค่มึงบอก กูพร้อมเสมอ เข้าใจนะ”

“ไม่มีประโยคเท่ๆ อย่าง ‘ผมจะสู้กับพ่อตาเพื่อคุณเอง’ หรืออะไรแบบนี้รึไง”

“ก็ทำไม่ได้นี่น่า กูสู้ไม่ได้หรอก เพราะตอนนี้มันคือศึกของมึงเอง มันคือเรื่องระหว่างมึงกับพ่อของมึง และมึงไม่ต้องการตัวกลางที่ไม่รู้ลึกตื้นหนาบางอย่างกูหรอก มึงต้องคุยกับเขาเอง”

“ตรงไปตรงมาชะมัด”

“แต่กูอยู่ข้างมึงเสมอ โอเค๊”

“คนรอบข้างเอาแต่บอกให้กูคืนดีกับพ่อ เขามีเหตุผลที่ต้องทำอย่างนั้น มึงพยายามจะทำแบบนั้นอยู่หรือเปล่าเคย์ มึงพยายามให้กูคุยกับเขาเพื่อคืนดีกันเหรอ”

“ไม่ กูอยากให้มึงคุยกับพ่อ ถูกแล้ว แต่เรื่องคืนดีหรือไม่ มันคือสิทธิ์ของมึง มึงมีสิทธิ์ที่จะโกรธพ่อได้ตามที่ต้องการ ถ้าเขาทำไม่ดีกับเรา การที่เราโกรธมันก็ทำได้ อย่าให้ใครมากดมึงลงดเพราะบุญคุณอะไรนั่นเลย เรื่องที่เขาทำให้เราและเรื่องที่เขาทำร้ายเรามันทดแทนกันไม่ได้นะ”

จินหัวเราะ

“มึงมันคนไม่ดี”

“เพราะยังเป็นเด็กต่างหาก พวกเราเป็นเด็ก ไม่เข้าใจความคิดซับซ้อนของผู้ใหญ่หรอก มีเหตุผลอะไรมากมายภายใต้การกระทำงั้นหรือ! ไร้สาระ!! มันก็ลบล้างความจริงเรื่องที่ทำไม่ได้อยู่ดีนี่ เพราะเป็นเด็กถึงเข้าใจอะไรตื้นเขินแต่เพราะอย่างนั้นถึงได้ซื่อตรงต่อความรู้สึกตัวเองที่สุด”

คนตัวเล็กในอ้อมกอดผมหัวเราะอีกรอบ เป็นเสียงที่ทำให้ผมนึกถึงหน้าร้อนอันสดใส

“ว่าแต่ ทำไมถึงใส่ชุดนี้ละ หือ” ไม่ว่าเปล่า ผมยังสอดนิ้วเข้าไปในถุงน่องซึ่งรัดรอบต้นขาของอีกฝ่าย ความนุ่มเนียนของผิวทำเอาตาลายไปชั่วขณะ

“ก็หงุดหงิดกับหมาแถวนี้จนต้องแต่งตัวคลายเครียดไง”

“ขอโทษนะครับ หมาตัวนั้นนี่มันแย่จริงๆ เลย” ผมแกล้งนิ่วหน้า โยนอีกฝ่ายลงตุ๊บบนเตียงแล้วตามขึ้นไปคร่อมอย่างไว

โฮ…ขอแพนไปที่โคมไฟก่อนแล้วกันนะครับ

ส่วนผลเป็นยังไงเหรอ ก็แพนตี้ลูกไม้สีดำถูกฉีกกระจุยโดยเฉพาะตรงส่วนก้นจนใส่ไม่ได้อีก แถมถุงน่องซึ่งขาดเป็นช่วงๆ นั่นยังเลอะคราบอะไรต่อมิอะไรจนต้องทิ้งลงถังขยะ

แต่ไม่เป็นไร ผมจะซื้อของใหม่ให้เขายกโหลไปเลย

จะได้เอามาฉีกบ่อยๆ ยังไงล่ะ



v
v
v
ต่อข้างล่าง

ออฟไลน์ MeiHT

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-1
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.11[30/03]
«ตอบ #322 เมื่อ08-04-2019 00:27:24 »

Jin part

วันต่อมาพวกเรามายืนอยู่หน้าโรงแรมซึ่งพ่อของผมนัดไว้เป็นที่กินข้าว ผมหันไปมองคนข้างกายอีกทีก่อนจะถอนหายใจดังเฮือกจนเขาจับหัวผมโยกเบาๆ

“เข้าไปลุยเลย”

“ถ้ากูโดนตีออกมาเลือดเหลือ 0 ล่ะ”

“เดี๋ยวกูแครี่เอง”

“ขี้โม้เจ้าตูบนี่” ผมย่นจมูกมองคนขี้โม้ในสภาพดูดีกว่าทุกวัน ซ้ำยังเซ็ตผมเหมือนจะออกมาเที่ยวกับใครทั้งๆ ที่แค่มาส่งผมแท้ๆ

“เอาน่า”

“อย่าให้รู้ล่ะว่าแอบไปเที่ยวกับใคร”

“…เฮ้ นี่เห็นกูเป็นคนยังไงเนี่ย” เขาทำหน้าอ่อนใจ รุนหลังผมให้เดินเข้าไปในโรงแรม

“ไปแล้วนะ” ผมไม่วายหันกลับไปหาเขาอีกรอบ ร่างสูงใหญ่ซึ่งยืนอยู่หน้าโรงแรมดูโดดเด่นออกมาจากคนอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด เขากำมัดเป็นเชิงให้กำลังใจผม ก่อนที่ผมจะหันหลังเดินเข้าไปในโรงแรม

จากนั้นผมจึงขึ้นลิฟต์มายังชั้นบนที่เป็นภัตตาคารอาหารฝรั่งราคาแพงหูฉี่ ผมเดินเข้าไปแจ้งรีเซปชั่นของส่วนภัตตาคารก่อนที่เขาจะบอกให้ผมรอก่อน

“อ้าว พี่จิน” เสียงเด็กหนุ่มจากข้างหลังทำให้ผมหันไปมอง ก่อนจะต้องยิ้มกว้างอย่างดีใจเมื่อเป็นใครบางคนที่คิดถึง

“จ้าว”

อ้อมกอดอบอุ่นจากเด็กตัวใหญ่ซึ่งตัวสูงแซงหน้าผมไปแล้วเป็นแรงใจอย่างดีก่อนจะเข้าไปเจอพ่อ เขาโยกตัวเบาๆ แบบคนอารมณ์ดีซึ่งนั่นทำให้ผมตัวเอนไปเอนมาตามไปด้วย

“เป็นไงบ้างเรา ไม่ได้เจอกันนาน” ผมเอ่ยถามน้องชายต่างแม่

“ดี เบื่อพ่อกับแม่อ่ะ คิดถึงพี่ด้วย มหาลัยเป็นไง?”

“เหนื่อย เป็นสถานที่ที่ทำให้พี่รู้ว่าตัวเองโง่บรมเลย”

“โม้ว่ะ”

จ้าวย่นจมูก ปล่อยผมออกจากอ้อมกอดแล้วหยิกแก้มผมอย่างหมั่นเขี้ยว

“ไม่โม้ ต้องอ่านหนังสือทุกวันเลย”

“งั้นไม่อยากขึ้นมหาลัยล่ะ”

ผมหัวเราะเมื่อคนตรงหน้ายังคงอารมณ์ดีเหมือนเคย

“พ่ออยู่ข้างในเหรอ”

“อือ พ่อกับแม่อ่ะ นี่เบื่อเลยออกมาเดินเล่นๆ รอพี่”

“รอทำไม”

“ก็กลัวพี่มาถึงตรงนี้แล้วกลับไปก่อนไง”

ผมอมยิ้มเงียบๆ เพราะนั่นเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ผมมีในหัวจริงๆ

“…พ่อเป็นไง”

“ก็เหมือนเดิม พี่ก็รู้ เงียบๆ หน้าดุ ผมยังไม่ค่อยเข้าใจเขาเลยวะ แถมช่วงนี้ผมชอบหนีเที่ยวอ่ะ ขี้เกียจกลับบ้าน”

“ยังตั้งใจเรียนอยู่ใช่มั้ย”

“โห พี่มองผมเป็นคนยังไงอ่ะ ว่าแต่พี่จะกลับมาอยู่ด้วยกันบ้างได้มั้ย คิดถึงอ่ะ อยากนอนห้องเดียวกันอีก”

“โตตัวเป็นควายแล้วยังจะขี้อ้อน”

“แหม ว่าน้องชายตัวเล็กๆ คนนี้เป็นควายเลยเหรอ”

ผมกับจ้าวเดินเข้าไปด้วยกัน ผมกำมือชื้นเหงื่อของตัวเองเมื่อเข้าใกล้โต๊ะกินอาหารจนเห็นผู้เป็นพ่อนั่งหน้าเงียบขรึม บนโต๊ะมีเพียงแก้วไวน์แดงตั้งอยู่ ใกล้ๆ กันนั้นคือแม่ของจ้าว ผู้หญิงซึ่งแต่งตัวหรูเรียบนั่งหลังตรงเหมือนกับถูกฝึกมาตั้งแต่เด็ก

“แม่ พ่อ พี่จินมาแล้ว” เด็กจ้าวเดินไปที่โต๊ะแล้วพูดอย่างสดใส แม่ของจ้าวหันมายิ้มให้ผม เป็นรอยยิ้มเบาๆ ใจดี

“สวัสดีค่ะน้องจิน กินอะไรดีคะ น้าสั่งเครสดีญ่าไป จำได้ว่าน้องจินชอบ”

“ขอบคุณครับน้าหลิน” ผมไหว้ทั้งหญิงสาวและพ่อซึ่งนั่งจ้องผมนิ่งๆ

“สวัสดีครับพ่อ”

พ่อเพียงพยักเพยิดให้ผมกับจ้าวนั่งลง แล้วจึงส่งเมนูให้ผม

“สั่งสิ”

ลงท้ายผมจึงสั่งคอร์สอาหารราคาแพงไปอย่างหนึ่งซึ่งก็คงจะเหมือนกับทุกๆ คนบนโต๊ะ

“น้องจินเรียนมหาลัยเป็นยังไงบ้างคะ” น้าหลินถามไถ่ผมอย่างเป็นห่วงเมื่อได้ข่าวว่าผมต้องไปอยู่ในหอใน

“ก็ดีครับ หอในก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด”

“หอแบบนั้นอันตรายจริงๆ น้าหาหอนอกให้เราได้แล้วนะคะ” หล่อนยังส่ายหน้า พูดยาวเหยียดเรื่องหอที่ไม่มีการดูแลเรื่องความปลอดภัยเท่าที่ควร

“เอาไว้จบปีหนึ่งก่อนแล้วกันครับ”

ผมกับเคย์เคยพูดเรื่องย้ายออกไปหอข้างนอกเหมือนกัน แต่เป็นเรื่องที่เราจะคุยกันทีหลัง

“นั่นสิ ไม่รู้จะมีคนประเภทไหนเป็นเพื่อนร่วมห้อง” พ่อซึ่งพึ่งเคี้ยวเสต็กเนื้อเสร็จพูดขึ้นเนิบๆ

สายตานิ่งๆ เย็นๆ เหมือนคนรู้อะไรบางอย่างทำเอาผมถึงกับชะงักมือซึ่งกำลังตักสปาเก็ตตี้ หัวใจผมเต้นรัวในอกจนรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนในช่องอก

“นะ…นั่นสิครับ แต่รูมเมทผมก็เป็นคนดี”

สายตาคมปลาบของพ่อยังคงมองตามผมกระทั่งเวลาที่ผมเงียบลงเพราะบทสนทนาถูกส่งต่อไปหาจ้าว

ผมนั่งก้มหน้ากินของในจานเงียบๆ ส่งยิ้มหรือร่วมบทสนทนาบ้างยามจ้าวหรือน้าหลินทักถามผม การกินข้าวอันน่าอึดอัดนี่ไม่มีสักครั้งที่พ่อผมจะเปิดปากพูดราวกับว่าบทสนทนาถูกผูกขาดโดยพวกเราสามคนเท่านั้น

กระทั่งตอนที่ของหวานซึ่งปิดท้ายคอร์สมาถึง พ่อจึงเลื่อนของหวานมาทางที่ผมนั่ง

“กินสิ”

ผมมองคนที่นั่งกอดอกปั้นหน้าบึ้งอยู่ตรงข้าม หัวใจพลันอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย จ้าวยิ้มเล็กๆ ขณะที่สะกิดข้อศอกให้ผมที่นิ่งค้างอยู่ยื่นมือไปรับ

“ขอบคุณครับ”

ผมยิ้มน้อยๆ แต่เป็นยิ้มจากใจ มันคงจะส่งไปถึงดวงตาด้วยเพราะผมรู้สึกถึงความสุขคั่งค้างจนแทบจะระเบิด นอกจากเรื่องที่ได้เคย์มาเป็นรูมเมทแล้ว พฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ ของพ่อในวันนี้นับเป็นเรื่องดีที่สุดในปีเลยทีเดียว

ผมค่อยๆ ละเลียดของหวาน มันอร่อยกว่าถ้วยที่ผมเพิ่งทานไป

การกินข้าวที่ผมหลีกเลี่ยงมาตลอดจะจบลงด้วยดีกว่าทุกครั้ง และบางทีผมอาจจะนัดเขาเองในครั้งหน้า

แต่แล้วจู่ๆ พ่อก็ถามขึ้นมา

“แล้วรูมเมทคนนั้น ดีมากเหรอ ถึงขั้นเป็นแฟนแล้วหรือยัง?”

ผมเบิกตามองคนที่นั่งหน้าบึ้งอยู่ตรงข้าม หัวใจในอกสั่นระรัวจนได้ยินเสียงมันดัง เสียงมันเหมือนความกลัวที่แผดร้องออกมาจากข้างใน

ความอบอุ่นในหัวใจเมื่อครู่เย็นเยียบลงอย่างรวดเร็วจนเหมือนมีใครไปแช่แข็งมันไว้

“คะ…ครับ?”

“พ่อถามว่า เป็นแฟนกับไอ้หนุ่มนั่นเหรอ”

“พ่อ! บ้าไปแล้ว แฟนอะไร อย่ามาล้อเล่นกันแบบนี้สิครับ” จ้าวละล่ำละลักบอก สลับมองทั้งผมและพ่อไม่หยุด

อ่า ไม่น่าเลย

ผมไม่น่าคิดอะไรตื้นๆ ไม่น่าโง่

และที่สำคัญ ไม่น่าลดการ์ดตัวเองลงเลย

ดวงตาผมแข็งกร้าวขึ้นมาทันที มองคนที่นั่งอย่างสง่าอยู่ข้างหน้าราวกับเป็นศัตรู

“ถ้าใช่…แล้วจะทำไมครับ?”

พ่อขมวดคิ้วแน่น เขามีแววตาเกรี้ยวกราดโผล่ขึ้นมาแวบหนึ่งก่อนที่มันจะหายไปภายใต้ความเยือกเย็นของเขา

“พ่อก็ว่าจะไม่พูดอะไรเรื่องงานอดิเรกแต่งหญิงของเราแล้วนะ แต่เรื่องนี้มันเกินขั้นไปไกลจนพ่อคิดว่าตัวเองคิดผิดหรือเปล่าที่ปล่อยปละละเลย”

ผมแค่นเสียงหัวเราะ

“พ่อพูดเกินพอเลยต่างหากล่ะเรื่องงานอดิเรกของผมน่ะ อะไร? จะห้ามผมอีกเหรอ?”

“แม่แกเห็นดีเห็นงามกับเรื่องไม่ควร ถ้าพ่อเลี้ยงแกขึ้นมา เรื่องนี้มันก็คงไม่เกิดขึ้นหรอก”

น้าหลินกับจ้าวหน้าตาตื่น มือบอบบางของหญิงสาวคนเดียวในโต๊ะสะกิดคู่ชีวิตไม่หยุด แต่ผมกลับไม่สามารถเห็นอะไรได้เลยนอกจากแววตาที่พ่อส่งมาให้

“กล้าพูด คนที่ทิ้งคนอื่นไปมันกล้าพูดดีขนาดนี้เลยเหรอ? กล้าดียังไงมาบอกว่าแม่ผมเลี้ยงผมขึ้นมาไม่ดี” คำพูดร้ายกาจพรั่งพรูออกจากปาก เพียงเพราะผมอยากให้คนที่นั่งราวกับรูปปั้นตรงหน้ารู้สึกเจ็บขึ้นมาบ้าง “ถ้าพ่อเลี้ยงผม ถ้าคุณ…เป็นคนเลี้ยงผมขึ้นมา ผมคงโตมาเป็นไอ้สารเลวเหมือนคุณ”

คนสูงวัยไม่สามารถปิดบังอารมณ์โกรธได้อีกต่อไป เขาตบโต๊ะดังปัง!

“แกกล้าพูดกับพ่อแกอย่างนี้เหรอ”

“มากกว่านี้ก็กล้า!”

โชคยังดีที่โต๊ะถูกจัดห่างจากกันพอสมควร เสียงซึ่งยังไม่ถึงขั้นตะคอกของเราจึงเรียกความสนใจจากคนได้ไม่มาก

“ฟังนะ! แกเป็นลูกชายของฉัน ตั้งแต่แกชอบแต่งตัวเป็นผู้หญิงอะไรนั่น ฉันก็คิดว่ามันวิปริต แต่เหตุผลเดียวที่ฉันไม่เข้าไปเผาชุดโง่ๆ พวกนั้นให้หมด! เพราะว่าแม่แกเข้ามาขอร้องให้อย่ายุ่งกับเรื่องที่แกชอบ! ฉันคิดว่าถ้ามันเป็นความลับของแกไปจนตายมันก็ไม่มีปัญหา แต่นี่มันเลยเถิดถึงขั้นมีแฟนเป็นเพศเดียวกัน!”

ผมหูอื้อตาลายไปตั้งแต่คำว่าวิปริต

การแต่งตัวที่ผมชอบมาตลอด เครื่องสำอางค์พวกนั้น กระโปรงฟูฟ่อง ลูกไม้น่ารักๆ

ทำไมมันถึงถูกจำกัดด้วยเพศสภาพ

หากผู้หญิงสามารถใส่ได้ทั้งกางเกงและกระโปรง สามารถแต่งตัวได้หลากหลายแนวโดยไม่มีใครมองแล้วหันไปตัดสินหรือซุบซิบกันเหมือนมันเป็นเรื่องผิด

แล้วทำไมผู้ชายจะต้องโดนกรอบสังคมบีบ

ทำไมผู้ชายจะใส่กระโปรงบ้างไม่ได้?

พวกเราอับอาย พวกเราต้องปิดบังตัวเองด้วยวิกและเครื่องสำอางค์ ทั้งๆ ที่บางครั้งแค่อยากใส่ของน่ารักๆ ในแบบที่เป็นตัวเรา

แค่คิดถึงหน้าคนที่รู้จักและตัวเอง ความทุกข์ตลอดมาของพวกเรา ก็รู้สึกถึงคลื่นความโกรธกับคนตรงหน้าจนแทบไหม้

“วิปริต? ...นี่พ่อคิดว่าผมวิปริตมาตลอดหรือไง ทุกครั้งที่มองผม คุยกับผม หรือมากินข้าวด้วยกัน พ่อมองผมเป็นแค่ไอ้เด็กวิปริตเหรอ” ผมแค่นหัวเราะ เป็นเสียงถามที่เบาจนได้ยินอะไรบางอย่างแหลกสลายลงอีกครั้ง

“จิน แกดูรอบๆ ตัวซะ ทุกคนมาเป็นครอบครัว หรือมาเป็นแบบคู่รักชายหญิง แกเห็นผู้ชายสองคนนั่งโต๊ะเดียวกันเหรอ แกจะบ้าหรือไง”

ผมกวาดตามองไปรอบๆ เห็นเพียงคู่รักต่างเพศและครอบครัวซึ่งมีลูกตัวน้อยๆ หรือกระทั่งครอบครัวแสนสุขที่ประกอบไปด้วยพ่อแม่ลูก

บรรยากาศในห้องอาหารเต็มไปด้วยความสดใส รอยยิ้ม การเปิดเผยแต่ไม่มีสักคู่ที่เป็นคนเพศเดียวกัน

ห้องที่สร้างรอยยิ้มนี้ไม่มีที่ว่างเพื่อคนอย่างผมกับเคย์หรือไง

ในสังคมนี้มีที่ไหนที่มีที่ให้พวกเราบ้าง หรือพวกเรามีเพียงห้องแคบๆ ในหอในที่เป็นพื้นที่ซึ่งพวกเราจะสามารถเป็นตัวเองได้

“แกคิดว่าสังคมยอมรับแกมากนักเหรอ? แกคิดว่าตอนแกเดินจับมือ เดินข้างๆ แฟนแก แล้วมันจะไม่มีคนมอง ไม่มีคนนินทา แกหวังให้โลกเป็นอย่างนั้นเหรอ แกมองดูโลกนี้สิ มันยังไม่พร้อมสำหรับคนอย่างพวกแก สักวันแกก็ต้องแต่งงาน! มีลูก! มีครอบครัว!”

“…แล้วมันเป็นไม่ได้หรือไง”

“เป็นไปไม่ได้”

“…”

“แกเลิกพยายามทำตัวเป็นผู้หญิงจะดีกว่า ถ้าแฟนจะรักแกเพราะว่าแกแต่งตัวเป็นผู้หญิง ถ้ามีทางเลือก เขาจะไม่รัก’ ผู้หญิง’ จริงๆ แทนดีกว่าเหรอ”

คำพูดนั้นเหมือนการปิดประตูลงกลอนทั้งความสัมพันธ์ของผมกับเคย์และความหวังที่จะคืนดีกับพ่อ

ผมลุกขึ้น มองอีกฝ่ายด้วยสายตากร้าว

จากการทานข้าวซึ่งเริ่มต้นได้ด้วยดี เรามาถึงตรงนี้ได้ยังไงก็ไม่รู้

“ผมอิ่มแล้ว ขอตัว”

เอ่ยได้แค่นั้นผมก็หมุนตัวเดินออกมาทันทีทั้งๆ ที่น้ำตาคลอหน่วยเพราะความโกรธ จ้าวละล้าละลังในการหยุดผม ไม่รู้ว่าเด็กอารมณ์ดีคนนั้นมีมุมมองต่อพี่เปลี่ยนไปยังไงเมื่อรู้ว่าผมชอบผู้ชาย

แต่ผมไม่สน ผมไม่สนใครทั้งนั้น

ตอนนี้ผมแค่อยากเห็นหน้าคนคนเดียว

ผมกดย้ำปุ่มลิฟต์รัวๆ แบบไม่กลัวว่ามันจะพัง เมื่อลิฟต์มาถึงแล้วผมก็รีบแทรกตัวเข้าไปแล้วปิดมันทันที น้ำตาผมไหลหลากเหมือนเขื่อนทำนบแตก ทั้งความอับอาย ความเสียใจ ความเศร้ามันไหลออกมาไม่หยุด

พ่อปฏิเสธผม

ทุกตัวตนของเด็กคนนี้

ทั้งการแต่งผู้หญิงที่พ่อชอบเอามากระแนะกระแหน ทั้งเรื่องมีแฟน

มันเป็นความสุขเดียวของผม

ความสุขที่สุดในชีวิต

ทั้งสองอย่างคือผม คือสิ่งที่ประกอบขึ้นมาเป็น ‘จิน’ คนนี้ หากขาดมันไปแล้วก็จะไม่ใช่จินอีก

แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังโดนปฏิเสธ

ผมเดินออกจากลิฟต์อย่างเปะปะ ไม่รู้จะไปถึงร้านกาแฟข้างๆ อย่างไรดีจึงได้แต่นั่งขดตัวริมกำแพงร้องไห้อย่างนั้น

จ้องจอโทรศัพท์ผ่านม่านน้ำตา ผมกดโทรหาเคย์ทั้งๆ ที่สะอึกสะอื้นไม่หยุด ร้องไห้จนเหมือนลมหายใจจะขาดห้วง

ผมได้ยินเสียงคุ้นเคยลอดออกมาจากโทรศัพท์ แต่ผมไม่ได้ตอบอะไรไปนอกจากร้องไห้ จนกระทั่งมีมือแข็งแรงคู่หนึ่งฉุดรั้งผมจากพื้นเข้ามาสู่อ้อมอก

ผมเกร็งตัวอย่างฉับพลัน ในใจมีประโยคของพ่อวนซ้ำไปซ้ำมาในหัว

‘แกคิดว่าสังคมยอมรับแกมากนักเหรอ!’

ผมขืนตัวออกจากอ้อมกอดนั่น มองไปรอบๆ อย่างหวาดระแวง

ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ แต่สายตาจากคนรอบๆ ทิ่มแทงพวกเราอย่างเห็นได้ชัด มันทั้งใคร่รู้ สงสัย หรือกระทั่งเห็นเป็นเรื่องขบขัน

ถึงจุดนี้ผมไม่รู้อีกต่อไปแล้วว่าใครมีจุดประสงค์อย่างไร มองมาด้วยสายตาชื่นชม สายตาซาบซึ้งหรือสายตามุ่งร้าย

เพียงแค่มี ‘สายตา’ จ้องมองมาที่พวกเรา ผมก็อึดอัดเหมือนใครสักคนมาบีบไว้ไม่ให้หายใจ

พอเสียที

ผมผลักเคย์ออก หอบหายใจเบาๆ ทั้งๆ ที่น้ำตาไหลไม่หยุด

ชายหนุ่มตกใจเล็กน้อย แต่เขาก็เข้ามากระซิบเบาๆ ให้ผมเดินตามเขาไปที่จอดรถ ผมไม่ยอมกระทั่งให้เขาจับมือ ทั้งสะบัดทั้งแกะมือทิ้ง

เคย์ไม่รู้สึกอะไรบ้างเหรอ เขาไม่รู้สึกตัวบ้างเหรอ

ทั้งๆ ที่เขาน่าจะแคร์สายตาคนอื่นมากกว่าใคร เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่มองคนรอบข้าง

ผมที่เคยมองตรงไปข้างหน้ามาตลอด บัดนี้กลับเบิกตามองสังคมรอบๆ จนโดนความจริงตบเข้าที่หน้าอย่างจัง

ตลอดมาชายหนุ่มที่เดินนำหน้าผมอยู่ ก็ต้องทนกับเรื่องแบบนี้เหรอ

‘สายตา’ ของสังคมมันน่ากลัวได้ขนาดนี้เลย

หลังจากเข้ามาในรถแล้ว ผมก็ร้องไห้เหมือนคนเป็นบ้าอีกรอบ ทั้งจับมือเขาไว้แน่นเหมือนอยากชดเชยเรื่องที่สะบัดมือเขาทิ้งข้างนอกนั่น

“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร”

คำพูดที่เขากระซิบข้างหูผมทำให้ผมเกิดคำถาม

มันจะไม่เป็นอะไรจริงเหรอ?

-----------------100%

พาร์ทเคย์เขียนสนุกมากเลยค่ะ ความคิดลามกในหัวหมอนี่เต็มไปหมด.... มาแล้วนะปมใหญ่ปมสุดท้าย รอดูว่าเขาจะผ่านไปได้ยังไง จะเติบโตหลังจากเรื่องนี้มากแค่ไหน ฮี่ๆ


ออฟไลน์ Janemera

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.11[08/04]
«ตอบ #323 เมื่อ08-04-2019 03:38:45 »

คำพูดคำจาโคตรโหดร้ายมากกก นี่คือคำพูดของคนเป็นพ่อหรอ :katai1: :katai1: :angry2:

ออฟไลน์ yunnutjae

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 650
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.11[08/04]
«ตอบ #324 เมื่อ08-04-2019 11:00:15 »

ดราม่าที่หาทางออกยางกที่สุดก้คือ ดราม่าเรื่องครอบครัวนี่แหละ จะลงเอยยังไงน้า  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.11[08/04]
«ตอบ #325 เมื่อ08-04-2019 13:40:21 »

 :hao5: :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ NaunaeZaa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.11[08/04]
«ตอบ #326 เมื่อ08-04-2019 22:25:27 »

สังคมรอบข้างนี่ไม่แฟร์เลยจริงๆ เป็นกำลังใจให้หนูจินกับเคนะ :sad4:

ออฟไลน์ มะยองมะแยง

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.11[08/04]
«ตอบ #327 เมื่อ09-04-2019 06:36:06 »

สงสารน้องงงงง :sad4: ต่อไปจะเป็นยังไงเนี่ย

ออฟไลน์ whistle

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 766
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-4
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.11[08/04]
«ตอบ #328 เมื่อ11-04-2019 21:44:48 »

จินสู้ๆซิ อย่ามายอมแพ้ตอนนี้

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer UP! P.11[08/04]
«ตอบ #329 เมื่อ12-04-2019 16:25:35 »

เฮ้อ~

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด