เราพลาดร้านชานมที่ผมชอบ
เพราะเอาแต่กลิ้งเกลือกกันบนเตียงจนลืมเวลา ผมถึงได้ลืมว่าตัวเองจะออกมาซื้อชานมเสียสนิท
ทั้งหมดเพราะคนที่เอาแต่ใช้แขนใหญ่ๆนั่นรัดตัวผมจนไปไหนไม่ได้นั่นแหละ!
“เอาเนื้อมาให้กินเดี๋ยวนี้นะ!!” ผมกระทิบเท้าปึงๆใต้โต๊ะ ชี้เนื้อชิ้นสวยที่ฉ่ำเยิ้มด้วยน้ำมัน
“ได้ครับ” ไอ้เจ้าหมาหน้ายิ้มก็ยังคงคีบเนื้อมาให้ผมอย่างซื่อสัตย์ ซ้ำยังตัดเนื้อชิ้นพอดีคำมาให้ด้วย
“ดีมาก ขอน้ำ” ผมเลื่อนแก้วน้ำที่ว่างเปล่าไปให้ข้ารับใช้ที่นั่งอยู่ข้างหน้า
เคย์ตักน้ำแข็งจากถังมาใส่แล้วเทน้ำลงไป จากนั้นจึงค่อยเลื่อนมาหาผมที่นั่งอยู่ตรงข้าม
สบายจริงๆ
ชักเข้าใจเสียแล้วสิที่เมื่อก่อนต้องมีคนรับใช้ส่วนตัว
การงอมืองอเท้าไม่ต้องทำอะไรมันเยี่ยมที่สุดไปเลย
แล้วการทานอาหารมื้อนั้นก็จบไปโดยที่ผมไม่ต้องทำอะไรนอกจากหยิบชิ้นเนื้อกินแล้วเคี้ยวๆ
อ้อ มีอีกอย่าง คือการจ่ายตัง
“เดี๋ยวโอนให้แล้วกัน” เคย์หัวเราะแหะๆเมื่อเปิดกระเป๋าออกมาแล้วเจอแค่แบงค์ยี่สิบสองใบ ทั้งๆที่เมื่อกี้ใจป้ำบอกว่าจะเป็นคนเลี้ยงแท้ๆ
“อ่าหะ หารสองไปเลยง่ายๆ”
ผมเป็นคนไม่คิดมากเรื่องเงินอยู่แล้ว นั่นก็เพราะมีบัตรเครดิตของพ่อยังไงล่ะ
ผมวางบัตรใส่ถาด ซึ่งพนักงานก็รับมันไปรูด
“เอาล่ะ กลับไปแล้วก็ต้องอ่านหนังสือจริงๆจังๆสักที”
“ทำเลคเชอร์เสร็จแล้วไม่ใช่เหรอ ไหนจะกระดาษทดเต็มห้องเลย นี่กูจะเก็บห้องยังไม่รู้ว่าอันไหนมึงจะใช้อันไหนจะทิ้ง เลยยังไม่ได้เก็บ”
“เอาไว้หลังสอบแล้วกัน”
เขาส่ายหน้ายิ้มๆ
“ทำมาเป็นพูด ทีมึงท่องประมวลตอนไฟนอลเทอมแรกทั้งคืนจนกูนึกว่ามึงคุยกับกุมารที่เลี้ยงไว้ กูยังไม่ทันบ่นอะไรเลย”
“อันนั้นมันก็…” เจ้าตัวหัวเราะแหะๆกลบเกลื่อน
“ขอโทษนะคะคุณลูกค้า” เสียงของคุณพนักงานที่ขัดขึ้นพร้อมกับยื่นบัตรเครดิตกลับคืนมาให้
“ครับ?”
“บัตรอันนี้ใช้ไม่ได้ค่ะ”
หืม?
“แน่ใจเหรอครับ?”
“ค่ะ ไม่ทราบว่าลูกค้าสะดวกชำระทางอื่นมั้ยคะ”
“อ้อ งั้นเอาบัตรนี่ก็ได้ครับ” ผมควักบัตรเดบิตของตัวเองให้อย่างเหม่อลอย มือยังคงกำบัตรเครดิตของพ่อไว้แน่น
บัตรเครดิตที่เพิ่งรูดเมื่อวานดันรูดไม่ได้เอาวันนี้ ไม่ใช่เพราะว่าพังหรืออะไรหรอก…
ตาแก่นั่น…
ผมพาลคิดไปถึงข้อความของคนคนหนึ่งที่ถูกส่งมาเมื่อวันก่อน เนื้อหาในข้อความนั้นประกาศชัดให้ผมโผล่หัวกลับบ้านไปเสียบ้าง แต่ผมเลือกที่จะมองเมินมันไปแถมยังไม่ได้ตอบกลับอะไรเพราะต้องการจะกวนประสาทอีกฝ่าย
สงครามเย็นอย่างที่พวกเราเล่นกันมาเป็นระยะเวลาหลายปี
ไม่ว่าจะหาเรื่องทับถม เมินอีกฝ่ายเหมือนอากาศ เรื่องพวกนั้นผมกับพ่อผ่านกันมาทุกรูปแบบ ไม่ว่าเมื่อไรพ่อก็พยายามจะหาเรื่องติผมอยู่เสมอพอๆกับผมที่มักจะใช้ความปากร้ายของตัวเองแซะเขาทั้งเรื่องงานและเรื่องในอดีต
ทั้งๆที่เป็นวันที่ดีแท้ๆ แต่พ่อก็มาทำให้เสียได้ทุกครั้งสิ
ผมกัดฟันกรอด นึกถึงหน้าอีกฝ่ายที่มักจะมาขัดวันสงบสุขของผมด้วยพฤติกรรมที่กัดกร่อนชีวิตผมให้นึกถึงแต่เรื่องแย่ๆ และที่เหี้ยที่สุดคือเจ้าตัวกลับไม่เคยสำนึกว่าทำอะไรกับลูกไว้บ้าง
คิดหรือว่าผมจะอยากกลับไปหาคนที่เคยพูดจำร้ายจิตใจจนเหมือนไม่ใช่พ่อลูกกัน
“เออ จิน มีอะไรหรือเปล่า” เคย์ยื่นมือมาคลายมือที่กำบัตรจนขอบบัตรเข้าเนื้อจนเป็นรอย
“ไม่มี” ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะหักบัตรเครดิตออกเป็นสองท่อน
เป๊าะ!
บัตรหักด้วยแรงโมโหของผม และแน่นอนว่าเคย์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามถึงกับสะดุ้งโหยงรีบเอาซากบัตรซึ่งหักครึ่งออกจากมือผม
“ระวังหน่อยสิ คราวหลังอยากจะหักก็ให้กูหักให้”
ท่าทางเหมือนอยากจะโอ๋ผมก็ไม่ใช่ จะโกรธบัตรก็ไม่เชิงของเขาทำให้ผมอารมณ์ดีมากพอสมควร
“ไม่มีอะไร ช่างมันเถอะ เรากลับไปอ่านหนังสือกันดีกว่า”
เมทของผมนิ่งเงียบ เขาใช้สีหน้าลำบากใจจ้องมองผม เราอยู่ด้วยกันจนทำให้เขารู้ว่าการที่ผมยิ้มหวานอย่างนี้มันไม่ใช่เรื่องดีและผมกำลังปิดบังบางอย่างไว้
“อือ”
คนตัวโตเลือกที่จะยิ้มออกมา มันเป็นรอยยิ้มยาซาชี่แสนดูดีของเจ้าตัวซึ่งผมแพ้ทางเป็นที่สุด
แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังไม่ช่วยให้โลกผมสดใสขึ้นมาได้ ราวกับผมกำลังจมดิ่งไปกับอดีตที่เกี่ยวข้องกับพ่อ
พี่พลมักบอกเสมอว่าผมมีปมเกี่ยวกับพ่อ ทั้งๆที่ผมสามารถให้อภัยแม่ได้แล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ให้อภัยพ่อไม่ได้เสียที
พ่อที่เหมือนจะเป็นฮีโร่คนนั้น คนที่อุ้มผมขี่คอเดินไปไหนมาไหน คนที่มีรอยยิ้มให้ผมพร้อมกับชมผมเป็นเด็กดีเมื่อผมได้คะแนนสอบเต็ม
แท้จริงแล้วก็มีมุมที่เน่าเฟะเหมือนมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง
เขามีด้านที่กักขฬะ ทะเยอทะยาน และหยาบกระด้าง
ผมไม่อาจมองเขาเป็นแบบอย่างได้อีกต่อไป
ถ้าเด็กคนนั้นมีพ่ออย่างนี่เป็นตัวอย่าง เขาจะเติบโตขึ้นมาก้าวร้าวเพียงไหนกัน ผมอยากรู้
ผมยิ้มตอบเคย์ รับบัตรคืนมาจากพนักงาน เซ็นลายเซ็นลงไปในช่องแล้วเก็บบัตรเดบิตเข้ากระเป๋า จากนั้นจึงลุกออกมาพร้อมๆกับเคย์
ผมหยิบโทรศัพท์จากในกระเป๋าตัวเองออกมา เลื่อนหาข้อความของคนที่ผมไม่เคยคิดจะตอบกลับเลยสักครั้งแล้วลังเลอยู่นาน แต่สุดท้ายแล้วผมก็พิมพ์ข้อความหนึ่งลงไปแล้วกดส่งอย่างรวดเร็ว
“มีอะไรหรือเปล่า” เคย์ก้มลงมองหน้าผมอย่างเป็นห่วง เขาไม่ได้จ้องมองไปที่หน้าจอโทรศัพท์ผม เพียงแต่มองหน้าผมด้วยคิ้วขมวดอย่างคนเป็นห่วง
“อือ ไม่เป็นไรหรอก”
ผมบอกเขา
“มันจะไม่เป็นไร”
แล้วผมก็ปล่อยโทรศัพท์ในมือซึ่งโชว์ข้อความล่าสุดที่พึ่งถูกส่งไปใส่กระเป๋ากางเกง
Jin : จะเจอวันไหนก็นัดมา
----------------------------------------------------------
ดราม่าตอนเดียวไม่พอหรอกนะ /พึมพำ
ใกล้ตอนจบเข้าไปเรื่อยๆแล้ววว ใกล้ได้ปิดทู้ที่เราเขียนมานานอย่างเป็นทางการ /ซับหัวตา
รู้สึกยาวนานละเกินนน
พอได้มาเขียนนิยายรู้สึกว่าการเขียนศัพท์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อย่างละ ล่ะ คะ ค่ะ นะ น่ะ เราดีขึ้นจริงๆด้วยค่ะทุกคนนนน
ช่วงนี้เราติดวาดรูปค่ะ โหลดโหดป่ะหว่า แต่วาดไว้ขำๆนะคะ ฮา น้องจินอินเชียร์ลีดเดอร์ชุด