จบแล้ว-(Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.พิเศษ2)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: จบแล้ว-(Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.พิเศษ2)  (อ่าน 47051 ครั้ง)

ออฟไลน์ shiroinu

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
 :katai2-1: เย้มาแว้ววว

ออฟไลน์ Nocto

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เป็นมอนสเตอร์ประเภทที่ไม่เป็นมิตรแม้แต่กับแฟรี่สินะ

เรื่องในทางนั้น คุณอัศวินก็ยังไม่สันทัดเช่นเคย 555
 :pig4:

ออฟไลน์ KPMwolf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Chapter 24 Knight’s pride

โฮก!!!

เสียงคำรามของเจ้าต้นไม้อสูรดังกึกก้องป่าจนหมู่นกต่างโบยบินเพื่อหนีออกห่างจากอันตราย กลีบดอกไม้ที่แผงคอของมันไหม้เป็นรอยดำแต่ไม่ช้าก็กลับมาเป็นสีแดงสดอีกครั้ง รากไม้และเถาวัลย์สีแดงที่ทอดออกไปเพื่อสร้างอาณาเขตในการล่าต่างหดไหลย้อนกลับมาหาเพื่อปกป้องลำต้นของมัน ไม่สิ...เพื่อจัดการกับเหยื่ออันโอชะของมันมากกว่า

ฟุบๆๆ

เส้นสายสีแดง 5-6 เส้นพุ่งตรงเข้าใส่ผมกับเร็กซ์ ผมออกแรงผลักเจ้าอัศวินพร้อมทั้งกระโดดถอยออกจากตำแหน่งนั้น

โครม!!!

เหล่าเถาวัลย์ผู้มาดร้ายพุ่งพลาดจากเป้าหมายเข้ากระแทกพื้นอย่างจังจนพื้นดินแตกกระจาย บางเส้นบิดงอผิดรูปผิดร่างเพราะแรงกระแทก มันทำตนเองบาดเจ็บจนชะงักไป

ตู้มๆ

ผมอาศัยจังหวะนั้นยิงลูกไฟสวนไปที่ลำต้น ทันทีเปลวเพลิงสีแดงสัมผัสต้นไม้อสูรนั่นเปลวเพลิงก็กระจายออกแล้วค่อยๆดับไป มีเพียงไม้เถาบางส่วนเท่านั้นที่ติดไฟชั่วขณะ

“ถึกทนแบบนี้นี่มันบอสสุดท้ายแน่ๆ” ผมเริ่มวิเคราะห์ศัตรูเบื้องหน้า เมือกนั่นปกป้องตัวมันจากไฟของผมได้ แถมบาดแผลที่เกิดจากการลุกไหม้ก็สมานตัวอย่างรวดเร็ว ดูแล้วมันคงมีเวทฟื้นฟูตัวแฝงอยู่ แต่จากการพุ่งเข้าหาเหยื่อโดยไม่ยั้งแรงเผื่อพลาดเจ็บเองเลยคงพอสันนิฐานได้ว่ามันอาจจะจะไม่ฉลาดนัก คงจะทำตามสัญชาตญาณเพียงอย่างเดียว

ฟ้าวๆ

ยังไม่ทันที่ผมจะวิเคราะห์เสร็จเหล่าไม้เลื้อยที่พุ่งพลาดเป้าเมื่อครู่เปลี่ยนทิศทางมาที่ผมทั้งหมด  ผมออกตัววิ่งหนีเพื่อสร้างระยะห่าง เถาวัลย์อีกกลุ่มพุ่งมาจากส่วนลำต้นเข้าสมทบ

พรึบ!!!

เปลวเพลิงอันร้อนระอุลุกขึ้นสูงจากพื้นดินรอบตัวของผมเป็นกำแพงไฟ แม้แต่ผมเองก็สัมผัสถึงความร้อนได้จนเหงื่อเริ่มผุดขึ้นตามใบหน้า ได้ผลพวกมันหยุดชะงัก มันเบี่ยงทิศทางเพื่อสำรวจหาช่องทางจู่โจมทางอื่น

ผมใช้จังหวะที่ได้พักหายใจนี้สำรวจสถานการณ์อีกครั้ง ส่วนหัวของมันพุ่งความสนใจมาที่ผมอย่างชัดเจน มีเถาวัลย์เพียงไม่กี่สายที่พุ่งเข้าหาเร็กซ์ซึ่งเขาก็จัดการมันได้ไม่ยากนัก หรือว่ามันไล่ล่าหินเวทมนต์ของผมกันแน่ ถ้าเช่นนั้นก็ได้แผนการแล้วล่ะ

“เร็กซ์ ข้าจะล่อมันเอง เจ้าหาจังหวะจัดการกับลำต้นของมัน” ผมตะโกน เจ้าอัศวินพยักหน้ารับ

เมื่อเข้าใจตรงกันแล้วผมก็ลดกำแพงไฟลงแล้วออกวิ่งอีกครั้งเพื่อดึงความสนใจของมันมา เหล่าเถาวัลย์ต่างพุ่งไล่ตามมาเพื่อจับอาหารของมัน ผมต้องทิ้งเปลวไฟเตี้ยๆเป็นกำแพงเพื่อถ่วงเวลาพวกมันไว้ ส่วนหัวของมันเองหันตามมาจนทิ้งมุมอับให้ทางอัศวิน แต่มันก็ไม่ง่ายแบบนั้น ทันทีที่เจ้าอัศวินสร้างออร่าหุ้มแขนขาไว้ ส่วนหัวของดอกไม้นั้นก็หันกลับไปทางเขา ไม่ได้การ...มันถูกเวทเสริมกำลังดึงดูดความสนใจไป

ผมรวบรวมสมาธิและรีดพลังเวทที่เหลืออยู่ในหินสีแดงของผม อีกไม่นานหินเม็ดนี้ก็จะหมดอิทธิฤทธิ์แล้ว ผมขอใช้พลังมันให้หมดในคราเดียวเลยแล้วกัน

ฟู่ห์ๆๆ

แสงสีแดงเป็นสายไหลออกจากหินมารวมตัวกันที่เบื้องหน้าของผม ก่อตัวเป็นลูกไฟขนาดใหญ่ ใหญ่ประมาณครึ่งตัวของผมได้ แล้วก็เป็นไปตามคาด ด้วยสัญชาตญาณระแวดระวังภัย เจ้าต้นไม้อสูรสัมผัสถึงอันตรายจากทิศทางของผม มันหันกลับมาจวบกับตอนที่ผมยิงลูกไฟลูกนั้นตรงเข้าหามัน

บรึ้ม!!!

เปลวเพลิงลุกท่วมรากไม้และเถาวัลย์ของมันที่อยู่ห่างจากลำต้น ส่วนหัวที่เป็นดอกไม้เปื้อนเมือกสะบัดไปมาเพียงเล็กน้อยเปลวเพลิงของผมก็ดับลง แต่ช่วงเวลานั้นเองก็เปิดโอกาสให้กับเร็กซ์ อัศวินหนุ่มพุ่งตัวเข้าหาด้วยความเร็วแล้วง้างดาบ

ฉัวะ!!! ครืนนนน!!!

เสียงของมีคมตัดผ่านลำต้นกึ่งอ่อนกึ่งแข็ง แล้วตามด้วยเสียงหักโค่นลงของอสูรต้นไม้ ไม่มีเสียงร้องใดๆจากมัน ทุกอย่างก็เงียบสงัด เถาวัลย์ที่ไล่ล่าพวกเราหยุดนิ่งทิ้งเส้นสายของตนลงไปกองที่พื้น ไม่ขยับไหวติง ...สำเร็จแล้วสินะ

“ฟู่ห์...” เสียงเจ้าอัศวินผ่อนลมหายใจออกมาเมื่อสถานการณ์คลี่คลายลง เขาเดินมาหาผม

“การทดสอบของเจ้านี่โหดใช่เล่นเลยนะเนี่ย องค์หญิงของเจ้าช่างโหดร้าย” ผมกล่าวขึ้นขณะปัดเศษเขม่าควันออกจากใบหน้าและเสื้อผ้า กลิ่นไหม้คละคลุ้งไปทั่ว

“ก็นางจะคัดคู่ครองเป็นรัชทายาทนี่หน่า คงต้องมั่นใจว่ามีความสามารถจริงๆ”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ จะฆ่าจะแกงกันเลยเหรอไง” นี่ถ้าผมไม่มาด้วยเจ้านี่จะเป็นยังไงเนี่ย การทดสอบนี่มันเกินไปแล้ว ผมเอาเท้าลองไปเขี่ยๆเตะๆเถาวัลย์ที่นอนกองอยู่ที่พื้น

“แฟรี่ แฟรี่” มันเดย์ทำหน้าตื่นบินตรงมาหาพวกเราพร้อมส่งเสียงโหวกเหวก

“ว่าไงนะ!!! รอสถอยออกมา” เจ้าอัศวินอุทานด้วยความตกใจ

“...” ผมที่งุนงงอยู่ได้แต่มองด้วยความสงสัย แต่แล้ว...มันก็ขยับอีกครั้ง

ฟุบๆๆ

เหล่าเถาวัลย์ต่างลุกขึ้นมาอีกครั้ง พวกมันไหลเลื้อยกลับไปหาลำต้นที่หักโค่น บิดพันส่วนดอกไม้แล้วจับยกให้ชูขึ้นมาอีกครั้ง ส่วนที่ขาดจากกันถูกเชื่อมประสานด้วยเถาวัลย์สีแดงที่บิดสานกันเป็นเกลียวค้ำจุนลำต้น ส่วนหัวขยับริมฝีปากฉีกยิ้ม อสูรต้นไม้กลับมาผงาดอีกครั้งพร้อมส่งเถาวัลย์มาล้อมพวกเราไว้จากทุกทิศทาง

ครืน!!!

ผมเปิดใช้หินสีน้ำตาลแห่งธาตุดินเคลื่อนพื้นดินให้ยกขึ้นมาเป็นกำแพงล้อมรอบทุกทิศไว้ กำแพงดินบิดม้วนโอบล้อมเข้าสู่ศูนย์กลางราวกับดอกไม้ที่กำลังตูม พวกเราถูกปกป้องจากภัยรอบด้านด้วยโดมหินและดินของผม

ตึงๆ !!!

เสียงกระแทกดังต่อเนื่องจากภายนอก เดาเอาว่าต้นไม้อสูรคงเอาเถาวัลย์ฟาดลงมาซ้ำๆจนเศษดินเศษฝุ่นร่วงลงมาจากส่วนหลังคาโดม พวกเราเริ่มปรึกษากันภายในความมืดที่มีเพียงแสงสีเหลืองจากตัวของมันเดย์

“เอายังไงดีล่ะ มันฟื้นฟูตัวเองได้ขนาดนั้น” ผมกล่าวขณะเพ่งสมาธิเพื่อเสริมความแข็งแรงให้กับโดม นี่มันจะโหดเกินไปแล้วนะ

“นั่นสิ ขนาดตัดต้นมันลงแล้วยังฟื้นกลับมาได้” เร็กซ์กล่าวเสริม

“แฟรี่ แฟรี่”

“หืม ทำลายแกนเวทมนต์งั้นเหรอ”

เร็กซ์แปลคำพูดของมันเดย์ให้ผมฟังว่าเดิมทีต้นไม้อสูรนี้น่าจะเป็นเพียงแทรปเปอร์ (Trapper) เป็นมอนสเตอร์จำพวกวัชพืชขนาดเล็ก ความสูงแค่ 2-3 ฟุต ทำตัวเป็นกับดักจับแมลงและสัตว์เล็กกินเป็นอาหาร ไม่มีพิษมีภัยอะไรและเชื่อฟังพวกแฟรี่ แต่มันน่าจะได้รับไอพลังเวทของวิหารทำให้มันกลายร่างเป็นแบบนี้ เมื่อแข็งแกร่งขึ้นมันก็ไม่เชื่อฟังพวกแฟรี่อีกต่อไป อีกทั้งยังกระหายพลังเวทจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ

พวกมอนสเตอร์ที่ดูดซับเวทมนต์ได้มักจะมีแกนพลังเวทซ่อนอยู่ในร่างกายเป็นแหล่งเก็บสะสมพลังเวทที่ช่วงชิงมา อาจจะมีรูปร่างเป็นหิน หรือดวงแสงคล้ายกับตอนที่ผมกำจัดเอลเดอร์วิวโลห์พวกนั้น การโจมตีร่างกายหรือทำลายแกนเวทมนต์ในตัว ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งสามารถล้มมอนสเตอร์เหล่านี้ได้ ปัญหาคือแทรปเปอร์ตัวนี้ฟื้นฟูร่างกายเร็วมากและเราไม่รู้ว่าแกนเวทมนต์ของมันซ่อนอยู่ตรงไหน

“เราจะหาแกนนั่นเจอได้ยังไง” ผมถามขึ้น ถึงจะรู้จุดอ่อนของมันแต่ถ้าไม่รู้ตำแหน่งก็ทำอะไรไม่ได้ อีกทั้งถ้าการต่อสู้ยืดเยื้อพวกเราจะยิ่งเหนื่อยล้าและเสียเปรียบ

ตึงๆๆ

“แฟรี่ แฟรี่”

“ไม่ได้นะ มันเดย์” เร็กซ์กล่าวขึ้นเสียงดังด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“นางว่าอะไร”

“นางบอกว่านางจะเป็นนกต่อให้มันดูดพลังเวทเอง จากนั้นให้พวกเราดูทิศทางของกระแสเวทที่ถูกดูดไปว่าไปรวมที่ไหน ตำแหน่งนั้นแหละคือที่ๆเราต้องทำลาย”

“ถ้าทำแบบนั้นมันเดย์ก็...” ถึงจะเป็นวิธีที่ดีแต่มันก็เสี่ยงมากเพราะร่างกายพวกแฟรี่เล็กนิดเดียว ถ้าถูกดูดพลังเวทไปจนหมดนางอาจจะตายได้

“ด้วยศักดิ์ศรีของข้า ข้าจะไม่ยอมให้หญิงสาวเช่นเจ้าเสียสละตนเอง ข้าจะเป็นเหยื่อล่อเอง” เขาตบที่อกออกตัวอย่างห้าวหาญ
เป็นแผนการที่เข้าท่า...แต่ติดตรงที่มีแผนที่ดีกว่านั้น

<นี่สินะการทดสอบของข้าที่อาย่าว่าไว้>

ตึงๆๆ

“ไม่เร็กซ์ ข้าจะเป็นเหยื่อล่อให้เอง” ผมเสนอตัว

“ไม่ได้เด็ดขาด ข้าไม่ยอมให้เจ้าเสี่ยงอันตรายแบบนั้น”

“เหอะ ตอนนี้ยังอันตรายไม่พออีกเหรอ ฟังข้าก่อน”

“...” เจ้าอัศวินกัดฟันกรอดๆรอฟังอย่างไม่เต็มใจนัก

“ต่อให้เจ้าเป็นเหยื่อล่อให้ ทั้งข้าและมันเดย์ไม่มีพละกำลังพอจะโค่นต้นไม้นั่นเพื่อทำลายแกนเวทมนต์ของมัน ต้องใช้พละกำลังของเจ้าเท่านั้น” แม้แต่คมดาบคลื่นอากาศของผมที่ใช้คราวก่อนยังไม่มั่นใจเลยว่าจะตัดลำต้นหนาๆนั้นได้

“แต่ถ้าเจ้าโดนดูดพลังเวทจนหมดเจ้าอาจจะ...”

“ฟังให้จบก่อน...ข้าไม่ได้จะให้มันดูดพลังจากตัวข้า ข้าจะใช้หินเวทมนต์เป็นตัวล่อต่างหาก เมื่อครู่ทันทีที่ข้าเปิดใช้หินเวทมันก็ตามข้าตลอด ถ้าข้าเปิดใช้หินเวทมนต์แล้วยอมให้มันจับได้เพื่อดูดซับพลังออกจากหิน ด้วยจำนวนหินที่เหลืออยู่น่าจะมีเวลามากพอก่อนที่มันจะเริ่มดูดพลังจากข้า” เมื่อผมอธิบายจนจบมันเดย์ก็พยักหน้าตามอย่างมีความหวัง ผิดกับเร็กซ์ที่ยังคงสีหน้าเคร่งเครียด

ตึงๆๆ

“เจ้าไม่กลัวโดนมันรัดตายก่อนเหรอ”

“ถ้าเดาไม่ผิด มันน่าจะรอตอนที่พลังเวทหมดก่อนมั้งถึงค่อยฆ่าแล้วจับกิน” ผมอาศัยหลักการเดียวกันกับพวกมิมิคพอดหรือมอนสเตอร์พวกวัชพืชอื่นๆที่เคยเจอมาอ้างถึง ถ้าเหยื่อตายก็ดูดพลังเวทได้ไม่เต็มที่

“แฟรี่” นางพยักหน้าจนผมพอจะเดาได้ว่าที่ผมคิดไว้นั้นถูกต้อง

“ข้าไม่ชอบแผนเจ้าเลย” ตึงๆๆ

โดมดินเริ่มปริร้าว บางส่วนทรุดลงเป็นรูเล็กๆจนแสงลอดผ่านเข้ามา

“เจ้าไม่จำเป็นต้องชอบ แค่ทำตามให้ดีก็พอ”

“...” จากช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันมาผมพอจะเข้าใจว่าสำหรับเร็กซ์แล้วศักดิ์ศรีคือเรื่องสำคัญที่สุด การที่จะต้องให้ผู้อื่นเสี่ยงอันตรายแทนคงเป็นเรื่องน่าอับอาย เขาทำสีหน้าไม่ชอบใจ แต่เวลาเหลือน้อยเต็มทีแล้ว

“เจ้าสองคนไปหาที่ซุ่มดีๆ เร็กซ์...เจ้าอย่าพึ่งใช้เวทเสริมกำลังนะ ข้าต้องการความสนใจของมันทั้งหมด อย่าลืมมองตามแสงที่ไหลออกจากหินเวทไปตามเถาวัลย์ให้ดีด้วย” ผมออกคำสั่ง แต่ก่อนจะลงมือตามแผนผมเอามือข้างหนึ่งไปเกี่ยวที่หลังคอเจ้าอัศวินที่ก้มหน้าก้มตาทำหน้ามุ่ยเข้ามาใกล้จนหน้าผากเราเกือบแตะกันแล้วกระซิบเบาๆว่า...

“ข้าไว้ใจเจ้านะ” เขาช้อนดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นขึ้นมาผสานกับดวงตาของผม เร็กซ์หลับตาลงแล้วโน้มหน้าเข้ามาใกล้แต่ผมเอามืออีกข้างมาดันปลายคางเขาไว้ อัศวินหนุ่มลืมตาขึ้นอีกครั้งด้วยแววตาขัดอกขัดใจจนผมอดยิ้มไม่ได้

“ทำตัวดีๆก่อนแล้วค่อยมาเอารางวัล” สิ้นเสียงผม ริมฝีปากของเขาก็คลี่ออกเป็นรอยยิ้ม มันเปื้อนใบหน้าคนตรงหน้าจนปิดความดีอกดีใจไม่มิด ช่วงคับขันก็คงต้องใช้วิธีนี้เท่านั้นแหละถึงสร้างความฮึกเหิมให้เขาได้

“ขอมัดจำหน่อยไม่ได้เหรอ”

“หึหึ ห้ามต่อรอง” ว่าแล้วผมก็ระเบิดกำแพงออก เศษดินกระจายไปทุกทิศทุกทาง เถาวัลย์สีแดงสะบัดตัวออกเมื่อโดนแรงกระแทก

...................................

Note : ขออภัยจริงๆนะครับที่ตัดครึ่งตอนครึ่งๆกลางๆแบบนี้ แต่ไม่รู้จะแบ่งครึ่งตรงไหนจริงๆ เหลือช่วงท้ายของตอนอีกนิดเดียวที่ยังไม่เสร็จดี เดี๋ยวเสร็จแล้วจะรีบลงให้ครับ

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนะครับ

ออฟไลน์ PsychePie

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ชนะเจ้าต้นไม้กลายพันธุ์ให้ได้แล้วขอรางวัลแบบจัดหนัก  :laugh:

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ Nocto

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เข้ามารออีกครึ่ง

 :pig4:

ออฟไลน์ KPMwolf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
“ลุยเลย” ผมส่งสัญญาณพร้อมเปิดใช้งานหินสีฟ้าเพื่อเรียกพลังแห่งลมมาห่อหุ้มร่างกาย พื้นดินพุ่งขึ้นมาเป็นเสาดีดตัวผมและเร็กซ์ที่โอบแขนปกป้องมันเดย์ไปคนละฝั่ง ผมเปิดใช้งานหินพร้อมกันสองเม็ดแบบนี้มันต้องพุ่งความสนใจมาที่ผมแน่ๆ…

...แต่ไม่เป็นเช่นนั้น ถึงแม้เถาวัลย์ส่วนใหญ่จะไล่ตามผมมาแต่ก็มีบางส่วนไล่หลังเร็กซ์ ผมจึงตัดสินใจเทหมดหน้าตักเปิดใช้งานหินครบสี่เม็ดทันที...ได้ผล เถาวัลย์ทุกสายพุ่งมาที่ผมแล้ว

เปรี้ยง!!!

ผมฟาดสายฟ้าใส่สายเถาวัลย์ที่เข้ามาใกล้ ผมต้องการระยะห่างมากกว่านี้ แต่เถาวัลย์เหล่านั้นชะงักไปชั่วขณะก่อนที่จะไล่ผมต่อ เป็นไปตามคาดเวทมนต์ธาตุที่เหลือของผมไม่มีผลกับมัน

เมื่อได้ระยะที่เหมาะสมผมก็ลดความเร็วลง กลับตัวเข้าประจันหน้าเพื่อทำตามแผน

หมับๆๆ ตึง!!!

“อึก” เถาวัลย์หลายสายพุ่งเข้ามัดกึ่งกลางลำตัวผมแล้วออกแรงผลักผมไปจนหลังกระแทกต้นไม้ ผมสัมผัสได้ถึงความเหนียวลื่นของเมือกที่ชโลมเถาวัลย์เหล่านั้นค่อยๆซึมผ่านเสื้อผ้ามาสัมผัสร่างกาย มันช่าง...น่าขยะแขยง

หงึกๆๆ

เส้นสายสีแดงเข้ามัดตัวผมติดกับต้นไม้ ผมแกล้งชูมือซ้ายขึ้นทำทีหลบเลี่ยงจากมัน เถาวัลย์เส้นหนึ่งไหลเลื้อยพันแขนซ้ายตามถุงมือเวทของผมไป แรงบีบรัดไม่ทำให้เจ็บมากแต่มากพอให้ขยับไม่ได้ ผมโดนมันจับโดยสมบูรณ์แล้ว เมื่อมันสัมผัสหินเวทที่ถุงมือแสงสีประจำหินเหล่านั้นก็ไหลเป็นทางไปตามเส้นเถาวัลย์

เอาล่ะ ที่เหลือก็แค่รอให้พวกนั้นหาแกนเวทมนต์ของมัน

ผมผ่อนลมหายใจพยายามผ่อนคลายไปกลับบรรยากาศชวนสะอิดสะเอียนนี้ จำนวนไม้เลื้อยเหล่านั้นเริ่มเพิ่มมากขึ้น บ้างก็รัดเอว บ้างก็รัดคอหลวมๆ บ้างมัดแขนมัดขาตรึงเหยื่อของมันไว้ บ้างก็...

“เฮือก” ผมหลุดเสียงอุทานออกมาเมื่อไม้เถาบางเส้นเลื้อยเข้ามาทางชายเสื้อผ้าของผม ความรู้สึกที่เหมือนปลาไหลลื่นๆเลื้อยผ่านไปตามผิวกายทำให้อุณหภูมิในร่างกายผมสูงขึ้น มันยังคงเลื้อยสูงขึ้นมาเรื่อยๆทิ้งเมือกลื่นไปตามเส้นทางที่สำรวจผ่าน

“อ๊ะ” เสียงครางเบาๆดังออกมาเมื่อมันไหลผ่านจุดไวสัมผัสที่หน้าอกของผม ผมจำต้องกัดฟันแน่นเพื่อฝืนเสียงของตนเองไว้ มันยังคงเลื้อยขึ้นมาจนถึงใบหน้าราวกับกำลังโลมเลียจนทำให้หน้าผมเปื้อนเมือกไปหมด

“อื้อออ” เถาวัลย์อีกสายเลื้อยเข้าไปในกางเกงแล้วไปกอบกุมแก่นกายของผมไว้ แรงรัดบีบสลับคลายอันน่าชังนี้กำลังปลุกปั่นอารมณ์ของผมจนลมหายใจกระตุก <เจ้าต้นไม้ลามกนี่> งานนี้นี่มันเปลืองตัวจริงๆ

“อึก...อย่านะ” เถาไม้อีกสายสำรวจไปตามบั้นท้ายของผม มันไหลเข้าไปยังซอกระหว่างแก้มก้นของผมเพื่อสำรวจช่องทาง จากที่พยายามผ่อนคลายกลายเป็นต้องเกร็งตัวแน่นโดยเฉพาะกล้ามเนื้อบริเวณนั้น ผมไม่ยอมโดนต้นไม้ข่มขืนหรอกนะ

<โว้ยเร็กซ์ เร็วๆหน่อยสิฟระ ข้าจะโดนต้นไม้นี่ชำเราอยู่แล้ว> ไม้เลื้อยเส้นนั้นไม่ยอมแพ้ มันรับรู้ได้ว่าผมพยายามซุกซ่อนบางอย่าง ด้วยเมือกลื่นๆเหนียวๆนั่น มันออกแรงแทรกตัวผ่านเข้าไปอย่างง่ายดายจนชนกับทางเข้าที่หดเกร็งนั่น มันเริ่มดุนดัน ผมหลับตากัดฟันแน่นด้วยความกลัวสิ่งต่อไปที่จะเกิดขึ้น

ฉัวะ!!!

ก๊าซซซซซซ!!!

เสียงร้องโหยหวนดังลั่นเรียกสติของผมให้ลืมตา เส้นสายเถาวัลย์เกร็งกระตุกรัดผมแน่นจนหายใจไม่ออก แต่ก็โชคดีที่พวกมันคลายตัวออกแล้วปล่อยตัวผมลงพื้นก่อนที่กระดูกจะหักหรือขาดอากาศตาย

“แค่กๆ” ผมไอสำลักอากาศแล้วไปมองแทรปเปอร์ตนนั้น ลำต้นมันหักโค่นอีกครั้งแต่คราวนี้รอยตัดอยู่ที่ฐานของดอกไม้ กลีบดอกไม้สีแดงสดเหี่ยวเฉาไปอย่างรวดเร็ว เมื่อกลีบดอกไม้ร่วงโรยไปหมดพร้อมกับพลังชีวิตสุดท้ายของต้นไม้อสูร เสียงของมันก็หายไปเหลือแต่ความเงียบงัน

พอเรี่ยวแรงกลับคืนมาผมรีบพาร่างที่เขรอะไปด้วยเมือกเหนียวขึ้นยืนแล้วดึงไม้เลื้อยเหล่านี้ออกจากเสื้อและกางกางทันที ไม่ขว้างมันออกไปเปล่าๆออกแรงกระทืบซากของมันซ้ำๆด้วย <หนอยแหนะ เกือบต้องเสียตัวให้ต้นไม้แล้วไหมล่ะ>

พรืด

ผมเหยียบเมือกของมันจนเสียหลักล้มหงายไปปะทะกับร่างของอัศวินหนุ่มที่เข้ามาช้อนจากด้านหลัง สองแขนของมันโอบกอดผมเอาไว้

“เจ้าบาดเจ็บตรงไหนไหม เป็นอะไรทำไมหัวเสียแบบนั้น แล้วนี่ทำไมหน้าแดงแบบนั้น” เร็กซ์รัวคำถาม พลางเอามือมาลูบสำรวจรอยแดงเป็นแถบที่คอ

“ไม่เท่าไหร่ แค่นี้สบายๆ” ผมเลี่ยงคำถามที่เหลือเพราะไม่อยากพูดเรื่องน่าอับอายเมื่อครู่ เจ้าต้นไม้นั่นโลมเลียไปร่างกายจนผมเริ่มมีการตอบสนอง อารมณ์ในตัวมันคุกกรุ่นไปหมด นี่เป็นครั้งที่สองในรอบไม่กี่วันแล้วนะที่โดนปลุกปั่นจนค้างแบบนี้

ผมผละตัวออกจากเร็กซ์เพื่อที่จะเตรียมตัวเดินเข้ากำแพงวิหาร ขอร้องเถอะ ขอให้มีแหล่งน้ำล้างตัวด้วย ให้ค้างแรมแบบนี้นี่ไม่ไหวนะ

หมับ

เขาดึงรั้งผมกลับมาไม่ยอมปล่อยให้ผมแยกตัวออกไป เสียงเมือกบนชุดของเราสองกระทบกันดังแจ๊ะ

“ปล่อยก่อน เละไปหมดแล้วเนี่ย”

“ไหนล่ะ รางวัล” เขาว่าพร้อมส่งรอยยิ้มคล้ายเด็กไร้เดียงสาขอรางวัลจากการทำดี

“เอาจริงดิ ข้าเปื้อนเมือกขนาดนี้เนี่ยนะ”

“ข้าไม่ถือ”

“แต่ข้าถือ...ขอไปล้างตัวก่อน” อัศวินหนุ่มทำหน้าผิดหวังเมื่อไม่ได้สิ่งที่ต้องการ แต่ก็ยอมปล่อยตัวผม เมื่อผละออกจากกันเมือกก็ยืดยาวเป็นสายย้อยลงพื้น

“เดี๋ยวให้รางวัลแน่แต่ขอล้างตัวก่อน” ผมรับสภาพตัวเองไม่ได้ เข้าใจไหม...

หลังจากการต่อสู้จบลงเร็กซ์ก็ผิวปากเรียกเจ้าฟรีดที่หลบอยู่ห่างๆ มันกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาคลอเคลียนายของมันอย่างเป็นห่วง แต่พอผมเดินไปหามันก็ถอยหนีราวกับรังเกียจ

“หนอย เจ้าม้านี่” ผมสบถก่อนจะหันไปสนใจกำแพงหินข้างหน้า

กำแพงหินสูงราว 10 เมตร ความหนาน่าจะมากพอที่จะทำทางเดินบนสันกำแพงได้ เยื้องไปมีหอคอยเฝ้าระวังตั้งอยู่บนนั้น กำแพงถูกเถาวัลย์หลากสีปกคลุมจนแทบไม่เห็นลายหินที่ซ่อนอยู่ข้างใต้ อุโมงค์ทางเข้าทรงโค้งมีประตูไม้เป็นซี่ๆถูกยกเปิดอยู่หลบอยู่ข้างหลังซากของแทรปเปอร์พอดี  ยังไม่ทันจะก้าวเข้าไปพวกเราก็พอจะสังเกตแวดล้อมภายในได้…

วิหารสีขาวบริสุทธิ์มีบันไดหินนำทางขึ้นไปยังประตูไม้แกะสลักที่ปิดสนิท มีเสากลมสีขาวประดับประดาอยู่รอบๆ มันช่างงดงามแม้จะมีสภาพทรุดโทรมตามกาลเวลา หน้าวิหารเป็นลานกว้างที่เต็มไปด้วยพื้นหญ้าสีเขียว ที่มุมหนึ่งมีแอ่งน้ำเล็กๆ กลางลานมีหินก้อนใหญ่ๆหลายก้อนวางเรียงๆกันไว้ และหนึ่งในนั้นที่ตั้งอยู่ตรงกลางมีบางอย่างสะท้อนแสงวิบวับปักอยู่

เมื่อพวกเราเดินผ่านอุโมงค์เข้าไปจึงเห็นว่ามันคือดาบ มันคืออีกครึ่งหนึ่งของโอทห์คีปเปอร์ มันคือจุดหมายการเดินทางของเร็กซ์
แต่ผมไม่สนใจอะไรดาบเล่มนั้น ผมสนใจแอ่งน้ำนั่นมากกว่า ดูไกลๆก็ใสสะอาดดีผมจึงรีบก้าวเดินไปหามัน ผมอยากจะล้างคราบเมือกนี่เต็มแก่แล้ว พวกเรา 2 คน 1 ตัว และ 1ตนข้ามผ่านลานหญ้าไปไม่ถึงครึ่งเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น…

ครึกๆๆ

พื้นดินสั่นสะเทือน ก้อนหินที่ตั้งอยู่กลางลานขยับกลิ้งมารวมกัน รากไม้โผล่ขึ้นมาจากพื้นดินโอบรัดหินก้อนใหญ่ๆเหล่านั้น จัดเรียงเป็นรูปร่างใหม่ มันเรียงตัวกันคล้ายรูปร่างของมนุษย์โดยมีหินก้อนใหญ่ที่ดาบปักอยู่เป็นส่วนลำตัว หินก้อนเล็กกว่าต่อออกมาเป็นแขนขา และมีรากไม้ทำหน้าที่เป็นข้อต่อและเส้นเอนให้ขยับได้ ผู้มาต้อนรับพวกเราคือ...

“โกเลม (Golem)” ผมเอ่ยเสียงเบา นอกจากจะสูง 5-6 เมตรแล้วยังดูไม่เป็นมิตรด้วย

โครม!!!

มันง้างแขนขึ้นเหนือหัวแล้วฟาดลงมากระแทกพื้นจนเศษดินกระจาย นั่นเป็นแค่การเตือนเท่านั้น ว่าอย่าเข้ามาใกล้ พวกเราเริ่มล่าถอย

“นี่ยังมีบอสอีกตัวเหรอเนี่ย” มันจะโหดเกินไปแล้วนะพึ่งปราบตัวปัญหาไปตัวหนึ่งนี่ยังมีอีกตัวอีกเหรอเนี่ย ผมรีบหาวิธีเอาตัวรอดทันที หินเวทมนต์ของผมสิ้นฤทธิ์หมดแล้ว เหลือเพียงฝีมือดาบห่วยๆที่ยังไงก็ไม่พอล้มเจ้าโกเลมนี่แน่ๆ ประเมินจากขนาดตัวแล้วน่าจะผ่านอุโมงค์ออกไปไม่ได้ ถ้าถอยตอนนี้แล้วพักผ่อนจนพร้อมแล้วน่าจะดีกว่า

ชิ้ง

เสียงชักดาบออกจากฝัก เจ้าอัศวินหนุ่มกระชับดาบในมือแน่นแล้วก้าวไปประจันหน้า

“เร็กซ์ อย่าพึ่ง ถอยก่อน...มันน่าจะตามมาไม่ได้ถ้าเราผ่านอุโมงค์ออกไป” ผมรีบดึงไหล่ห้าม

“ไม่ได้...นี่คือการทดสอบ ข้าถอยไม่ได้” เขาจับจ้องสายตาไปยังศัตรูเบื้องหน้าด้วยความแน่วแน่ไม่สนใจเสียงเรียกของผม

“เจ้าจะบ้าเหรอ เจ้าเสียเรี่ยวแรงไปมากแล้ว ข้าเองก็ใช้พลังหมดแล้ว ถอยไปตั้งหลักก่อน” ผมพยายามใช้เหตุผลเข้าโต้แย้ง

“ข้าเข้าใจว่าเจ้าไม่คิดอะไร แต่สำหรับอัศวินอย่างข้าแล้วก็ล่าถอยคือความขลาดกลัว ความเป็นอัศวินไม่ใช่ฝีดาบ ไม่ใช่พละกำลัง หรือยศถาบรรดาศักดิ์ แต่มันคือศักดิ์ศรีของนักรบ ไม่ว่ายังไงพวกเราก็ไม่หนีจากการต่อสู้” อัศวินหนุ่มว่าก่อนจะใช้สองมือกระชับดาบในมือตั้งท่าพร้อมสู้

“...เร็กซ์” ชื่อของเขารอดออกมาจากลำคอของผมเบาๆ

เจ้าโง่ นี่ไม่ใช่เวลามาหยิ่งในศักดิ์ศรีนะ เจ้าจะยอมตายเพื่อการทดสอบที่เจ้าไม่ต้องการนี่จริงๆเหรอ แล้วที่เคยอ้างว่าผมสำคัญล่ะ...มันคืออะไร มันไม่เท่าเกียรติยศและศักดิ์ศรีของเจ้าเลยใช่ไหม

“เจ้าถอยไปเถอะ ออกไปพักรอข้างนอกก่อนก็ได้” เร็กซ์หันมาว่าเบาๆก่อนจะพุ่งตัวใส่โกเลม

<ไม่ว่ายังไงศักดิ์ศรีก็สำคัญที่สุดสำหรับเจ้าสินะ> ผมได้แต่คิดในใจขณะพามันเดย์และฟรีดถอยออกห่างและยืนดูการห้ำหันกันโดยไม่สามารถทำอะไรได้

ออร่าสีฟ้าปกคลุมแขนขาของเขาอีกครั้งแต่ครั้งนี้มันช่างเบาบางกว่าครั้งไหนๆ เจ้าอัศวินใช้ความเร็วที่เหนือกว่าเข้าล่อหลอกร่างกายอันใหญ่โตเชื่องช้านั้นให้ตามไม่ทัน ก่อนจะฟาดดาบไปที่เถาวัลย์บริเวณขาของมัน

ฉัวะ!!! ตึงงง

ได้ผล...ข้อต่อที่ทำจากไม้เลื้อยนั่นขาดสะบั้น นับว่าฉลาดที่เล็งไปที่จุดอ่อนของมัน โกเลมเสียหลักล้มลงมาชันเข่ากับพื้น เปิดโอกาศให้เร็กซ์กระโดดขึ้นไปบนร่างกายอันใหญ่โตนั้นเพื่อคว้าดาบไว้ เขาใช่มือข้างหนึ่งจับด้ามดาบไว้แน่นก่อนจะออกแรงดึง แต่ทว่า...มันไม่ขยับ

“เหวอ” เร็กซ์ร้องอุทานเมื่อโดนโกเลมสะบัดตกลงมา ไม้เถาเหล่านั้นงอกกลับมาหุ้มส่วนที่ขาดไปแล้วยืนขึ้นมาใหม่อีกครั้ง พร้อมง้างแขน

ตึงงงง

อัศวินหนุ่มพลิกตัวหลบออกมาได้ไม่ยากนักก่อนที่จะใช้แผนการเดิม แต่ครั้งนี้เขาฟันข้อต่อที่ขาทั้งสองของโกเลมจนมันล้มคว้ำให้เขาได้เข้าถึงดาบที่ปักอยู่อีกครั้ง แต่ผลก็เช่นเดิม...เขาไม่สามารถใช้มือเดียวดึงออกมาได้ จึงจำต้องเก็บดาบเข้าฝักแล้วใช้สองมือ...มันขยับเล็กน้อย

“เร็กซ์ ระวัง”

ผัวะ!!!

ท่อนแขนศิลาสะบัดฟาดเข้าหาร่างกำยำนั้นเต็มๆ มันเดย์ที่บินอยู่ข้างผมเอามือปิดตา ฟรีดส่งเสียงครางเบาๆ ส่วนผมขบกัดริมฝีปากล่างของตนเองจนเลือดแทบจะไหล มือซ้ายบีบข้อมือขวาที่พันสายหนังรัดข้อมือแน่น

เกลียดเจ้าซื่อบื้อนี่จริงๆที่ชอบทำอะไรโง่ๆแบบนี้

เกลียดตัวเองจริงๆที่ไร้ประโยชน์ในสถานการณ์แบบนี้

และเกลียดตัวเองอีกข้อที่แม้ผมจะมีอีกขุมพลังหนึ่งให้ช่วยเหลือมันได้ แต่ผมกลับลังเลที่จะใช้

เร็กซ์กลิ้งไปหลายตลบก่อนจะดีดตัวขึ้นมาตั้งหลัก สีหน้าดูเจ็บปวดจากแรงกระแทกเมื่อครู่ เกราะสีเงินแวววาวเปื้อนฝุ่นจนหมอง รอยยุบรอยขีดข่วนเริ่มปรากฏให้เห็น เขาพุ่งเข้าใส่โกเลมที่งอกเถาวัลย์มาโอบรัดหินเป็นขาอีกครั้งแล้วง้างดาบเล็งที่ข้อต่อ แต่ครั้งนี้...

ฉึก!!!

เขาฟันมันไม่ขาด

ผัวะ!!!

“อัก” ท่อนขาศิลาเตะเข้าข้างลำตัวของเร็กซ์เต็มๆจนเขาตัวลอยกระเด็นไปหลายเมตร ร่างสะบักสะบอมนั้นกลิ้งไปกับพื้นก่อนจะปักดาบลงพื้นไว้แล้วพยุงตัวเองขึ้นมาด้วยความยากลำบาก เขาใกล้จะหมดแรงแล้ว ใบหน้าหล่อเหลานั่นส่อความปวดร้าว

และนั่นก็ทำให้ลังเลของผมจางหายไป...ผมต้องช่วยเจ้านี่…ผมไม่ยอมให้เจ้านี่ต้องตายเด็ดขาด

“เจ้า 2 คนถอยไปห่างๆ” ผมออกคำสั่งแล้วยกนิ้วโป้งข้างซ้ายมากัดจนเลือดไหล

“แฟรี่” นางกล่าวด้วยสีหน้างุนงง แต่ก็พาฟรีดถอยห่างไปแต่โดยดี

“ใช่ ข้าจะช่วยเจ้าอัศวินซื่อบื้อนี่”

- พ่อหนุ่มนักผจญภัยผู้เลือกชะตาของตนเอง การเดินทางครั้งนี้ร่วมกับท่านอัศวินจะทดสอบเจ้าด้วยเช่นกัน - คำกล่าวของอาย่าดังก้องในหัวผมอีกครั้ง

นิ้วเปื้อนเลือดเริ่มเขียนตัวอักษรรูน (Rune) ตัวอักษรแห่งมนตราลงไปบนสายรัดข้อมือทีละอักษร

“หึ นี่สินะ...ทางเลือกอันน่าลำบากใจของข้า”

อักษรที่สมบูรณ์เรืองแสงสีแดงฉานออกมาทีละตัวๆจนครบรอบวง

< เร็กซ์...เจ้าเข้าใจข้าผิดแล้วล่ะ เจ้าคิดว่าข้ามองการหลบหนีเป็นเรื่องธรรมดาเพื่อเอาตัวรอด แต่ข้าน่ะ...ไม่เคยทิ้งใครไว้ข้างหลังหรอกนะ เพราะคนแบบนั้นไร้ค่ายิ่งกว่าสิ่งใด >

ผมพลิกสายรัดข้อมือนั้นขึ้นมาให้เห็นสลักหินสีแดง สลักที่ไม่มีวันคลายออกถ้าผมไม่ต้องการ “งานนี้นี่มันได้ไม่คุ้มเสียจริงๆ” ผมแค่นเสียงหัวเราะใส่ตนเองก่อนจะกดนิ้วมือลงไปประทับรอยเลือดแล้วเอ่ยคำร่ายแห่งมนตรา

“สลักศิลาโลหิตได้โปรดรับฟังเสียงเรียกร้องของข้า ถึงเวลาที่ท่านต้องคลายออกเพื่อปลดปล่อยสิ่งที่ผนึกไว้ ข้าขอคลายสลักออกด้วยกุญแจแห่งเลือดและนามของข้า วารอส เดรโกนัส (Vaross Dragonus)”

สลักหินแตกออกเป็นเสี่ยงๆปล่อยให้สายหนังไหลหลุดจากข้อมือ พลังที่ถูกผนึกไว้ตลอดหลายปีไหลท่วมท้นออกมาจนร่างกายผมร้อนไปหมด อักขระสีดำปรากฏบนหลังฝ่ามือขวาแล้วเรียงร้อยกันเป็นรูปมังกรนอนขดตัวเป็นวงกลม

พลังที่ผมทิ้งมันไปด้วยความชิงชัง

สิ่งแลกเปลี่ยนราคาแพงเพื่อชีวิตอิสระของผม

พลังเวทมนต์ของตระกูลแห่งมังกร

..........................................

์Note : กลัวค้างกันรีบเอามาลงเลยจร้า ชื่อตอนมันมาอยู่ครึ่งหลังหมดเลย
์Note2 : นายเอกเตรียมเปิดเผยตัวตนแล้วครับ
Note3 : เรื่องรางวัลรออีกหน่อยนะครับ ระหว่างนี้จะทำการบ้านค้นคว้าการเขียนฉากให้รางวัลสักแปปครับ หุหุ



ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ PsychePie

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
โฮ้ เซอพร้ายยยยยยยย
ปกปิดตัวตน แต่ไม่คิดว่าจะตัวตนแบบนี้นะเนี่ย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Nocto

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ตระกูลมังกร!? หรือหนูรอสจะเป็นมังกร??

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
นักเวทย์ตระกูลมังกร?  ตัวตนที่ปิดไว้ไม่เบาเลย  :pig4:

ออฟไลน์ KPMwolf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
แปลกมั้ยไม่รู้ แต่จิตนาการเร็กซ์คุยภาษาแฟรี่แล้วมันดูน่ารักมุ้งมิ้งมาก

ที่คิดไว้จะเหมือนคุยกับกรูทใน Gaurdian of the galaxy อ่ะครับ เขาฟังเราออกแต่พูดแบบเราไม่ได้

บักเรกซ์กล้าๆ หน่อยซี่ รวบหัวรวบหางเล้ย

เรื่องรบเร็กซ์โดดใส่ เรื่องรักเร็กซ์เก็บเขี้นวเล็บหมด 555

โฮ้ เซอพร้ายยยยยยยย
ปกปิดตัวตน แต่ไม่คิดว่าจะตัวตนแบบนี้นะเนี่ย

พยายามเปิดให้อีพิคละ รอตอนต่อไปครับ

ตระกูลมังกร!? หรือหนูรอสจะเป็นมังกร??

เหมือนตระกูลเร็กซ์ครับที่สัตว์ประจำตระกูลคือสิงโต ของน้องก็เป็นมังกร

นักเวทย์ตระกูลมังกร?  ตัวตนที่ปิดไว้ไม่เบาเลย  :pig4:

น้องไม่ธรรมดาครับ 555

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนะครับ
อีกวันสองวันจะลงตอนถัดไปครับ ความยาวเท่าตอนนี้แต่จะตัดเป็น 2 บทและลงรวดเดียว กลัวว่าทิ้งค้างแล้วจะโดนสาปส่งได้ 555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-09-2018 13:43:10 โดย KPMwolf »

ออฟไลน์ KPMwolf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Chapter 25 Unleash

ท่ามกลางความโกลาหลทุกอย่างนิ่งสงบ ผมรู้สึกหนักอึ้งท่ามกลางความมืดมิดที่ไร้แสงใดๆ มันอึดอัดราวกับกำลังจมน้ำ แต่ก็มีบางอย่างอยู่ในที่แห่งนี้ร่วมกับผมด้วย บางอย่างกำลังเวียนว่ายรอบตัวผม ดวงแสงขนาดใหญ่ว่ายอ้อมจากด้านข้างมาอยู่เบื้องหน้า แสงหลากสีราวกับรุ้งกินน้ำสว่างไสวจนแสบตา แต่ก็พอมองเค้าโครงได้ว่าเป็นสัตว์เลื้อยคลานขนาดพอๆกับตัวผม มันสยายปีกออกแสดงความน่าเกรงขาม ความน่าสะพรึงของมังกร

“ในที่สุดเจ้าก็ปลดปล่อยข้าออกมา” เสียงทุ้มก้องกังวาน

“มันจำเป็นน่ะ” ผมไหวไหล่ตอบกลับไปโดยไม่เกรงกลัว

“เจ้ารู้ใช่ไหมว่าการใช้เวทมนต์ตอนนี้มันไม่ปลอดภัย ร่างเจ้ายังปรับตัวกับระดับพลังที่ปล่อยออกมาไม่ได้”

“รู้สิ” รู้ดีเลยด้วย เพราะเจ้าตัวหน้าผมนี่คือจิตใต้สำนึกของผมเอง เป็นส่วนหนึ่งของผม

“เจ้าให้ความสนิทชิดเชื้อกับเขามากเกินไป” มันว่าเสียงดุ

“ทำยังไงได้ล่ะ เจ้าคือส่วนหนึ่งของข้า เจ้าย่อมรู้นิสัยข้าดี” ก็มันให้ความผูกพันไปแล้วนี่หน่า ผมยิ่งให้ความสำคัญกับคนที่อยู่ด้วยนานๆง่ายอยู่ด้วย

“จงใช้มันอย่างระมัดระวัง”

“จะพยายาม” ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจนัก

เจ้ามังกรสีรุ้งโบกสะบัดปีกบินขึ้นสูงก่อนจะกลับตัวตีลังกาลงพื้นแล้วพุ่งตรงใส่ ผมหลับตาลงแล้วอ้าแขนรับมันไว้
วิ้ง!!!

…………………………………

ผมลืมตาขึ้นอีกครั้งกลางลานหญ้า ผมสัมผัสได้ถึงอณูเวทมนต์ที่ไหลเวียนในตัว มันกำลังเอ่อล้นออกมาจนเป็นออร่าจางๆสีแดง พลังเวทไหลแผ่ออกมาจนพื้นหญ้าลู่ล้มเป็นวงกลมโดยมีผมเป็นศูนย์กลาง ผมรู้สึกถึงกระแสเวทที่ไหลเวียนในธรรมชาติ ผมรับรู้ได้แม้กระทั่งดวงจิตอีกหลายดวงที่อยู่ห่างไกลออก ดวงจิตของคนในตระกูล

ว่ากันว่าพลังเวทของรุ่นลูกคือผลรวมของพลังของรุ่นพ่อรุ่นแม่ จึงเป็นเรื่องปกติสำหรับเด็กที่เกิดในตระกูลจอมเวทระดับสูงจะเปี่ยมไปด้วยพลังที่แข็งแกร่งและพรสวรรค์ในการใช้เวทมนต์ บางครั้งพลังเข้มข้นมากจนตกผลึกเป็นสัญลักษณ์ตามส่วนต่างๆของร่างกาย สำหรับตระกูลเดรโกนัสของผมนั้น สัญลักษณ์คือรูปมังกร แต่มันก็เหมือนดาบสองคม

ในอดีตพบว่าทารกของเหล่าจอมเวทย์มักเสียชีวิตในช่วงไม่กี่เดือนแรกเพราะร่างกายไม่สามารถทนรับพลังเวทที่เปี่ยมล้นนั้นได้ อุปกรณ์จำกัดพลังเวท (Magic suppressor) จึงถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อไขปัญหานี้

อุปกรณ์จำกัดพลังเวทจะเป็นเหมือนผนึกควบคุมไม่ให้ร่างกายสร้างพลังเวทออกมามากจนเกินไป มักจะทำออกมาเป็นเครื่องประดับง่ายๆแล้วนำไปติดที่ตัวทารกตั้งแต่เกิด เมื่อทารกเติบโตขึ้นมากพอที่จะเรียนรู้การควบคุมพลังเวทแล้วจึงจะถอดออกให้ ช่วงอายุนั้นจะอยู่ที่ 6-7 ปี

ตอนอายุ 12 ปี ผมตัดสินใจหนีออกจากบ้านเพราะไม่สามารถทนชีวิตที่ถูกขีดเส้นด้วยขนบธรรมเนียมของตระกูลได้ ผมแน่วแน่แล้วว่าต้องการเลือกเส้นทางในชีวิตของตนเอง...เส้นทางของนักผจญภัย เส้นทางที่จะได้รู้ ได้สัมผัสสิ่งใหม่ๆมากกว่าภาพในหนังสือ

ผมปลอมแปลงการตายของตนเองแล้วใช้อุปกรณ์จำกัดเวทมนต์ที่ดัดแปลงเองมาปิดผนึกพลังเวทของตนเอง ผมดัดแปลงให้มันจำกัดพลังมากขึ้นโดยเปลี่ยนพลังเวทบางส่วนเป็นพลังชีวิตในการฟื้นฟูร่างกาย ผมไม่อยากให้ใครสัมผัสพลังเวทของผมแล้วออกตามหาผม ผมยอมรับว่ามันคือความคิดอ่านแบบเด็กเอาแต่ใจ แต่ผมทนไม่ไหวแล้วจริงๆ

ครั้งนั้นผมดีใจจนเนื้อเต้นเมื่อสัญลักษณ์ที่หลังมือหายไป สายใยล่องหลที่เชื่อมต่อระหว่างคนในครอบครัวนั้นจางหายไปแล้ว มันคือสัญญาณบอกว่าคนในตระกูลจะไม่สามารถสัมผัสถึงตัวตนของผมได้อีก...ราวกับว่าตัวผมนั้นตายไปแล้วจริงๆ

แต่แล้ววันนี้...สัญลักษณ์นั้นก็กลับมา...กลับมาเพื่อให้ผมได้ใช้เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น...ช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่คำนึงถึงความต้องการส่วนตัวตามขนบธรรมเนียมของตระกูล “จงเสียสละและรับใช้ราชวงศ์และประชาชน เพราะที่ตระกูลของเราตั้งอยู่ได้ก็เพราะพวกเขาเหล่านี้คอยสนับสนุน”

ผมออกตัววิ่งไปหาเร็กซ์ที่สะบักสะบอมไปทั้งตัว โกเลมตนนั้นยกก้อนหินแล้วง้างแขน

ฟ้าว!!!

เสียงก้อนหินแหวกอากาศพุ่งตรงเข้าหาเจ้าอัศวิน ผมสไลด์ตัวไปตามพื้นจนไปขวางหน้าเขาไว้ได้ทันท่วงที

“บทแห่งการปกป้องที่ 2 Magic shield” ผมเอ่ยเสียงก้อง

วงแหวนเวทมนต์ปรากฏขึ้นข้างหน้าเป็นโล่ขนาดใหญ่ เข้าขวางกั้นภยันตราย

ตึง!!! เปรี้ยะ

เสียงก้อนศิลากระทบโล่เวทมนต์เสียงดังสนั่น วงแหวนเวทมีรอยแตกร้าวแต่สามารถรับแรงปะทะไว้ได้

“รอส!! นี่เจ้า...” เร็กซ์พูดขึ้นด้วยความตกใจ

“ชิ ใส่พลังน้อยเกินไป” ผมสบถอย่างหัวเสีย ผมอ่อนซ้อมการใช้เวทมนต์ไป 6 ปี ทำให้การควบคุมทำได้ไม่ดีนัก ยังดีที่ผมยังจำเวทมนต์พื้นฐานบางบทได้อยู่

พวกผมได้รับการฝึกตั้งแต่อายุยังน้อย เร็วกว่าเด็กคนอื่นๆมากเพราะจะต้องเป็นเลิศกว่าใครด้วยศักดิ์ศรีของตระกูลที่ค้ำคอ ถูกฝึกเวทพื้นฐานบทต้นๆให้ขึ้นใจจนไม่ต้องเอ่ยคำร่ายตั้งแต่ก่อนเข้าโรงเรียนเวทมนต์ตอนอายุ 9 ปี และเมื่อเข้าโรงเรียนแล้วก็ต้องฝึกการใช้เวทมนต์ธาตุพื้นฐานทั้ง 5 ธาตุบทแรกๆให้ได้ครบทุกธาตุ สำหรับเด็กคนอื่นอย่าว่าแต่ใช้เวทมนต์ธาตุให้เป็นครบทุกธาตุเลย กว่าจะเริ่มฝึกเวทมนต์ธาตุจริงๆก็นู่น อายุ 12 ปี แถมเลือกฝึกตามถนัดด้วยซ้ำ

“เวทมนต์ต่อเนื่อง บทแห่งการปกป้องที่ 4 Reflect” ผมเอ่ยชื่อเวทมนต์บทถัดไป

คลื่นแสงจากเส้นรอบวงของโล่รวบรวมสู่ศูนย์กลางจุดที่ได้รับแรงปะทะแล้วสว่างวาบ

ตู้ม!!!

โล่เวทมนต์ดีดสะท้อนหินก้อนใหญ่นั้นกลับไปหาเจ้าโกเลม แรงกระแทกดังสนั่นจนเจ้าโกเลมล้มหงาย แต่แรงดีดกลับจากโล่ก็เล่นเอาผมหน้าหงายล้มก้นจ้ำเบ้า

“อูย ใส่พลังมากเกินไปแฮะ” ผมเอามือลูบบั้นท้ายตัวเองเบาๆ

“รอส ทำไมเจ้าถึงใช้เวทมนต์ได้” เจ้าอัศวินพยุงร่างกายอันบอบช้ำของตนเองขึ้นยืนแล้วมาช่วยประคองผม

“ไม่ใช่เวลามาถาม จัดการโกเลมนั่นก่อน” ผมออกคำสั่งด้วยความโมโห “ข้าหาแกนเวทมนต์ของมันไม่เจอ คิดว่าน่าจะเป็นดาบเขาเจ้านั่นแหละที่ให้พลังกับมัน ถ้าดึงมันออกได้ก็น่าจะหยุดมันได้”

โกเลมเป็นเหมือนตุ๊กตาร่างยักษ์ที่เกิดจากวัตถุไม่มีชีวิต อาจจะเป็นหิน ดิน ทรายก็ได้ พวกมันขยับและทำตามคำสั่งด้วยแกนเวทมนต์ มักจะเป็นหินเวทมนต์ก้อนใหญ่ๆที่ถูกนำมาติดตั้งตอนสร้างโกเลมขึ้น แต่เท่าที่สำรวจโกเลมตนนี้แล้วไม่มีของอย่างว่าเลยนอกจากดาบเจ้าปัญหานั่น

“ข้าลองแล้ว มันปักแน่นมาก จะดึงออกได้ต้องใช้เวลาพอสมควร แต่มันไม่อยู่นิ่งให้ข้านานพอ” ไม่ต้องฟังมันอธิบายผมก็รู้ ยืนดูอยู่นานแล้ว

“ข้าจะตรึงมันให้เจ้าเอง”

“รอส...”

“ร่างกายเจ้าจะไม่ไหวแล้ว เก็บแรงด้วยการขี่ฟรีดล่อมันไว้ พอข้าหยุดการเคลื่อนไหวมันได้ค่อยขึ้นไปดึงดาบออกมา”

“รอส...ขอบใจนะ” เขากล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆที่เปื้อนบนใบหน้าอิดโรยนั้น

“อย่าล้มตายไปซะก่อนล่ะ เรายังติดค้างกันอยู่ไม่ใช่เหรอ” ผมยกยิ้มร้ายกาจให้กับมัน ใช้วิธีเดิมหลอกล่อให้มันฮึกเหิมขึ้นมา

“หึหึ นั่นสินะ” เร็กซ์ก้มหน้ายิ้มน้อยๆให้กับตนเองก่อนจะเรียกม้ามาขึ้นควบไปล่อหลอกเป็นวงกลมรอบๆเจ้าโกเลม

“บทแห่งไฟที่ 1 Ignite” เปลวเพลิงก่อกำเนิดเป็นลูกไฟลูกใหญ่อยู่หน้าของผม ผมใช้เวทมนต์ควบคุมแบ่งมันออกเป็นลูกเล็กๆ 8 ลูก

“บทแห่งไฟที่ 2 Fire bolt” ลูกไฟทั้ง 8 พุ่งออกไปเป็นลูกศรเพลิงเข้าปะทะตามข้อต่อเถาวัลย์ต่างๆของโกเลม เปลวไฟลุกโหมเถาวัลย์เหล่านั้นพร้อมร่างของโกเลมที่ทรุดลงอีกครั้ง

คิดแล้วก็น่าหงุดหงิด ถ้าฝึกให้คล่องกว่านี้ ถ้าเรียนบทสูงๆกว่านี้ก่อนจะหนีออกมาน่าจะดีกว่า เพราะด้วยเวทมนต์บทพื้นๆเหล่านี้ที่ต้องร่ายต่อๆกันมันชักช้าไม่ทันใจจริงๆ

“บทแห่งดินที่ 5 Binding” ผมย่อตัวลงเอาฝ่ามือทั้งสองแนบพื้นเพื่อส่งพลังออกไป ฉับพลันก็ปรากฏรากไม้พุ่งขึ้นมาจากพื้นดินเข้ามัดร่างที่ทำจากหินนั่นไว้

“ตอนนี้ล่ะ” ผมตะโกนส่งสัญญาณให้อัศวินลงมือต่อ

แปล๊บๆ

“อึก” ผมกัดฟัน หยีตาด้วยความเจ็บปวดเมื่อรู้สึกเหมือนกระแสไฟฟ้าไหลแปล๊บตั้งแต่มือขวาไปจนถึงข้อศอก

<บ้าหน่า กระแสสะท้อนกลับเริ่มแสดงผลแล้วเหรอเนี่ย>

ตามปกติแล้วเมื่อคลายอุปกรณ์จำกัดพลังเวทออกจะต้องเว้นช่วงเวลาก่อนที่จะใช้เวทมนต์เพราะพลังเวทที่เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันจะทำให้ร่างกายรับไม่ไหว กระแสเวทมนต์จะไม่เสถียรพอและตีกลับมาทำร้ายผู้ใช้ถ้าไม่ให้เวลาร่างกายได้คุ้นชินกับมันเสียก่อน ตอน 6 ขวบ ตอนที่ผมถอดอุปกรณ์ออกก็โดนพักฝึกเวทมนต์ไป 1 อาทิตย์

แคว้ก!!!

เถาวัลย์ที่ถูกเผาไปงอกขึ้นมาใหม่อย่างรวดเร็ว ด้วยพละกำลังของเจ้าโกเลม มันฉีกรากไม้ที่ผมมัดตัวมันไว้ออกอย่างง่ายดาย ก่อนจะสะบัดเร็กซ์ตกลงมา แต่ยังดีที่ฟรีดพุ่งเข้าไปรับไว้ทัน

<ไม่ได้การแล้ว ขืนไม่รีบจบเรื่องล่ะก็เราต้องแย่แน่ๆ> ผมบีบกุมแขนขวาไว้เพื่อบรรเทาอาการปวด สัญลักษณ์มังกรที่มือแสบร้อน “ขออีกนิดละกัน”

“บทแห่งน้ำที่ 1 Flow” มือข้างขวาผายไปยังบ่อน้ำนั่น เกลียวน้ำบิดพันลอยขึ้นมาแล้วพุ่งเข้ามาลอยรอบตัวของผม มันบิดม้วนรวมตัวพุ่งเข้าหาศัตรู

ซู่!!!

เสียงน้ำกระจายออกเป็นละอองเล็กๆสาดไปทั่วเมื่อปะทะกับร่างใหญ่ร่างนั้น

“รอส ทำอะไรน่ะ เปียกกันหมดแล้วเนี่ย” เร็กซ์ตะโกนว่าเมื่อละอองน้ำทำเขาและฟรีดเปียกซกโดยไม่ทันหันมามองสภาพผมตอนนี้...

แปล๊บๆๆ

“อาห์ อึก...แฮ่กๆ” ความเจ็บปวดแผ่มาถึงต้นแขนขวา ผมทรุดตัวลงไปคุกเข่าที่พื้นร่างกายเริ่มร้อนและหนักอึ้งราวกับจะเป็นไข้ เหงื่อกาฬไหลออกจากขมับเป็นทาง แผ่นหลังเปียกชื้น แม้แต่คราบเมือกที่เริ่มแห้งกรังก็กลับมาเปียกลื่นอีกครั้ง ผมหอบหายใจเหนื่อยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ถึงจะรู้ว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นแต่ก็ไม่คิดว่าจะเจ็บปวดขนาดนี้

แต่ผมไม่สนใจ “ในเมื่อเผาไม่ได้ก็จับแช่แข็งซะ บทแห่งน้ำที่ 3 Freeze” ผมเอามือแตะไปบนพื้นหญ้าเปียกชื้นจากเวทมนต์เมื่อครู่ เกล็ดน้ำแข็งก่อตัวเป็นทางพุ่งตรงเข้าหาร่างของโกเลม

แปล๊บๆๆๆ

“ฮึก อ้ากกก อึก.....แฮ่กๆ” ผมรีบกัดฟันเก็บเสียงร้องเมื่อความเจ็บปวดแล่นไปยังไหล่ขวา มันยังคงปวดต่อเนื่องตลอดเวลาที่ผมปลดปล่อยพลังเวทเพื่อแช่แข็งศัตรู ไม้เถาแห้งแข็ง ผิวศิลาหุ้มด้วยน้ำแข็ง ร่างกายมันกระตุกพยายามฝืนขยับออกจากการจับกุมอันเย็นยะเยือก

ตึกตัก ตึกตัก ตึก...ตัก

“เฮือก” ความเจ็บปวดไหลแผ่มาถึงอกข้างซ้ายจนผมต้องยกมือมากุมไว้ เมื่อครู่หัวใจของผมพึ่งเต้นผิดจังหวะใช่ไหม สายตาของผมเริ่มพล่าเรือน แต่ก็พยายามเพ่งจนเห็นว่าเร็กซ์กระโดดขึ้นไปกุมดาบได้แล้ว

“แฟรี่ แฟรี่” มันเดย์บินมาวางมือเล็กๆของนางลงบนมือขวาของผมที่ยังคงปล่อยความเย็นออกมาต่อเนื่อง แสงของนางช่างอบอุ่นเหลือเกิน น้ำเสียงของนางเปี่ยมไปด้วยความเป็นห่วงใย หน้าตาสวยๆของนางมีน้ำตาไหลริน นางส่ายหัวสื่อว่าต้องการให้ผมหยุด

“ถ้าข้าหยุดตอนนี้...แฮ่กๆ...ทุกอย่างก็สูญเปล่าสิ” ผมกล่าวด้วยเสียงเบาๆผ่านริมฝีปากและลำคอที่แห้งผาก ผมหันกลับไปมองเร็กซ์อีกครั้ง สังเกตจากสีหน้าก็พอเดาได้ว่าเขาออกแรงดึงเต็มที่ ดาบค่อยๆเคลื่อนออกมาทีละน้อย ทีละน้อย มันช่างรู้สึกยาวนานเหลือเกินกับทุกๆคืบความยาวที่ถอยออกมา

ครึกๆๆ

เสียงน้ำแข็งแตกร้าว อีกไม่นานโกเลมจะเป็นอิสระ

“มันเดย์...แฮ่กๆ” ผมพยายามเค้นเสียงออกมา “ฝาก...แฮ่ก...พาเร็กซ์ออกไปด้วยนะ” ไม่เคยคิดว่าจะลงเอยแบบนี้ แต่ในเมื่อตัดสินใจจะช่วยแล้วก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด

“แฟรี่” นางกรีดร้องทั้งน้ำตา ทุบตีเบาๆที่มือของผมที่วางอยู่บนพื้นหญ้า

“บทแห่งดินที่ 5 Binding” รากไม้ผุดขึ้นจากดินอีกครั้ง ครั้งนี้มันเข้ามัดเสริมการจับกุมควบคู่ไปกับน้ำแข็ง เจ้าโกเลมหยุดนิ่งสนิท
แปล๊บๆๆๆๆๆๆ

ถึงจะรู้สึกถึงกระแสเวทที่ตีกลับมาแต่มันก็ไม่เจ็บแล้ว ร่างกายด้านชาปราศจากความรู้สึกใดๆแล้ว ภาพทุกอย่างเริ่มพร่ามัวจนเกือยจะแยกแยะอะไรไม่ได้แล้ว

ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นคือภาพที่เร็กซ์หงายตกลงมาจากโกเลมพร้อมดาบเล่มนั้นในมือ “สำเร็จแล้วสินะ” ผมกล่าวเบาๆพร้อมรอยยิ้มจางๆก่อนจะล้มตัวลงไปสัมผัสกับพื้นดินเย็นๆที่เปียกชื้น ทุกอย่างมืดลงไปพร้อมกับสติของผม

.........................................

ปล.1. จริงๆบทนี้กับบทถัดไปเป็นบทเดียวกันแต่แยกตอนเพราะอยากให้ชื่อตอนมันสื่อ
ปล.2. รีบลง 2 ตอนรวดเพราะเชื่อว่าถ้าลงทีละอันอาจจะโดนสาปส่งวงศาคณาญาติได้ 555
ปล.3. ไม่รู้คนอื่นจะเป็นไหมแต่ตอนอ่านทวนพร้อมเพลง You say run ของ My hero academia แล้วรู้สึกฮึกเหิมมาก 555

ออฟไลน์ KPMwolf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Chapter 26 True desire

ตุบ

“อุก” ผมหงายร่วงจากโกเลมลงมาหลังกระแทกพื้นเสียงดัง มันจุกใช่เล่น

“สำเร็จแล้ว” ผมกล่าวกับตัวเองด้วยความเหนื่อยล้าขณะนอนแผ่หลาอยู่บนพื้นเปียกๆเย็นๆ ตะแคงหน้าหันไปมองดาบที่อยู่ในมือขวา ดาบที่มีรูปร่าง หน้าตา และน้ำหนักเท่ากับดาบอีกเล่มที่อยู่ในฝักข้างเอว

ผมกระดอนตัวลุกขึ้นนั่งแล้วชักดาบออกจากฝักมาถือเคียงกัน ทันใดนั้นดาบทั้งสองก็สาดแสงสีใส่กันแล้วลอยออกจากมือของผมไปอยู่กลางอากาศ มันหมุนวนหยอกล้อคลอเคลียกันละกันก่อนจะสว่างแวบแล้วเหลือเพียงเล่มเดียว

“กลับมาแล้วสินะ โอทห์คีปเปอร์” ดาบยาวลอยกลับมาอยู่ในมือของผมอีกครั้งให้ผมได้มีโอกาสพินิจเจ้าเพื่อนยากจอมวุ่นวายนี่ก่อนจะเก็บกลับเข้าฝัก

ในที่สุดก็สำเร็จเสียที เหลือแค่เดินทางกลับเมืองหลวงไปรายงานตัวเท่านั้น การคัดเลือกนี้ก็จะจบลงเสียที พลันก็นึกถึงเจ้านักผจญภัยนั่น ถ้าไม่ได้เขาช่วยไว้คงแย่ บททดสอบของยัยนั่นช่างโหดร้ายจริงๆ

<ว่าแล้วก็แปลกใจ ไหนเจ้านั่นบอกไงว่าใช้เวทมนต์ไม่ได้แล้วทำไมจู่ๆถึงใช้ได้ขึ้นมา> ผมคิดในใจขณะพาร่างที่ชุ่มไปด้วยน้ำขึ้นยืน ความเย็นยะเยือกของน้ำแข็งนี่มันบาดผิวจริงๆ ช่างทรงพลัง คงต้องชมสักหน่อยแล้ว

“รอส เจ้าสุดยอดมาก” ผมเอ่ยปากชมขณะเอาแขนขึ้นมากอดอก มือสองข้างลูบต้นแขนเพื่อคลายความหนาวจากไอเย็นที่กระทบเสื้อผ้าที่เปียกปอน สายตาจับจ้องไปยังซากโกเลมที่นิ่งสนิทไปแล้ว

เอ...ทำไมเงียบๆ ปกติเจ้านี่มันต่อล้อต่อเถียงจะตาย

“รอส ทำไมเจ้าถึงเงี...” ไม่ทันที่ผมจะพูดจบประโยคหัวใจผมก็กระตุกเมื่อหันกลับไปหาเขาแล้วพบร่างของเขานอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้นมีดวงแสงสีเหลืองของมันเดย์อยู่ไม่ห่าง <เกิดอะไรขึ้น> คำถามดังขึ้นในหัวพร้อมขาสองข้างถีบทะยานไปหาร่างนั้นให้เร็วที่สุด

“รอส!! รอส!! เกิดอะไรขึ้น” ผมรีบช้อนร่างนั้นขึ้นมาเอาหัวของเขาหนุนอกไว้ แขนสองข้างที่ประคองร่างนั้นสัมผัสได้ถึงความร้อนราวกับไฟ เขาหลับตานิ่งไม่ตอบสนองใดๆ ได้ยินแต่เสียงห้วงลมหายใจแผ่วๆที่พร้อมจะขาดทุกเมื่อ

“รอส ตื่นสิ ขอร้องล่ะ รอส...มันเดย์ นี่มันเกิดอะไรขึ้น” เสียงผมสั่นเครือ ใจของผมปวดร้าวเมื่อต้องเห็นร่างของคนสำคัญอยู่ในสภาพนี้ ผมพยายามเขย่าเขาเบาๆเพื่อปลุกให้ตื่น จิตใจของผมว้าวุ่นลนลานไปหมด นี่มันเกิดอะไรขึ้น ก่อนหน้านี้ยังดีๆอยู่เลยทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้

“ฮึกๆ...ชายคนนี้...ฮึก...ฝืนร่างกายของตนเอง” เสียงอันสั่นเครือของมันเดย์ดังขึ้น นางกำลังร้องไห้

“หมายความว่ายังไงมันเดย์” คำตอบของนางทำให้ผมสับสนและร้อนรน

“เขาปลดปล่อยพลังเวทมหาศาลออกมาแล้วใช้มันทันทีทั้งๆที่ร่างกายยังปรับสมดุลไม่ได้ เวททุกบทที่เขาใช้ส่งกระแสตีกลับไปทำร้ายเจ้าตัว” คำอธิบายของนางทำให้ผมหยุดหายใจไปชั่วขณะ ทั้งหมดนี่เกิดขึ้นเพราะเขาช่วยผมอย่างนั้นเหรอ

“ข้าจะต้องทำยัง...เจ้ารักษาเขาได้ไหม” ผมจำได้ว่าพวกนางเคยเล่าเรื่องรักษาบาดแผลให้กับสัตว์ป่า

“พวกเรารักษาได้แต่บาดแผล แต่ไม่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บแบบนี้ได้”

“อาย่าล่ะ พาเขาไปหาอาย่าได้ไหม”

“เราพาเขาออกไปไม่ได้ พวกภูติพรายในป่าจะได้กลิ่นความอ่อนแอของเขาแล้วพากันมาขโมยดวงวิญญาณ” หัวผมตื้อไปหมด ทุกอย่างมันมืดแปดด้าน นี่เพราะผมใช่ไหมถึงทำให้เขาลงเอยแบบนี้ ความรู้สึกผิดมันท่วมท้นเข้ามาในหัวใจ

“...ไม่จริง” ไม่จริงใช่ไหม นี่ผมต้องเสียเขาไปอย่างนั้นหรือ ? ผมกระชับอ้อมแขนโอบกอดรอสไว้แน่น ความรู้สึกบางอย่างมันบีบรัดหัวใจในอกจนรู้สึกอึดอัดแต่ก็ไม่สามารถดิ้นให้หลุดได้ ผมกำลังกลัว กลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน กลัวจะเสียเขาไปตลอดกาล

“ให้เขาพักในวิหาร มันปลอดภัยจากภูติพรายและมอนสเตอร์ทั้งหลาย เวทมนต์ประหลาดของวิหารน่าจะพอช่วยได้” มันเดย์แนะนำด้วยท่าทีไม่มั่นใจนัก แต่มันมอบความหวังให้กับผม

“ท่านไม่ควรเศร้าโศกเสียใจกับการเสียสละตนเพื่อผู้อื่นของเขา” เสียงหนึ่งก้องกังวานขึ้นมา ดาบในฝักที่เอวของเขากำลังเรืองแสง

“เสียงนี้นี่มัน...โอทห์คีปเปอร์” เสียงอันเปี่ยมไปด้วยอำนาจแต่ก็แฝงความนอบน้อมนี่ ผมเคยได้ยินในความฝัน เป็นเสียงที่บอกใบ้วิธีใช้ดาบเล่มนี้ให้กับผมเมื่อผมได้รับมอบมันมาจากท่านพ่อ

“ใช่แล้ว กระผมขอแสดงความยินดีให้นายท่านด้วยที่ผ่านการทดสอบ”

“ทำไมเจ้าถึงพูดได้ แต่ก่อนไม่เคย...”

“เพราะที่แห่งนี้คือที่ๆกระผมถูกสร้างขึ้นเมื่อหลายร้อยปีก่อน พื้นที่ศักดิ์สิทธ์แห่งนี้ทำให้อำนาจของกระผมมากขึ้นจนสื่อสารได้โดยตรง” ผมนั่งอึ้งไปชั่วขณะ เหตุการณ์หลายอย่างมันโถมเข้ามาจนตั้งตัวไม่ทัน แต่แล้วใจผมก็เตือนถึงคนสำคัญในอ้อมกอด

“เจ้าหมายความว่ายังไงที่ข้าไม่ควรเสียใจให้เขา ?” น้ำเสียงผมเจือความโกรธ

“การเป็นราชาย่อมมีการเสียสละ เหล่าทหารและนักรบใต้อาณัติของราชาล้วนต่อสู้และสิ้นชีพเพื่อราชา มันคือความเสียสละและจงรักภักดี นายท่านควรให้เกียรติพวกเขาด้วยการรำลึกและเชิดชู ไม่ใช่เศร้าสลด”

“เสียสละอย่างนั้นเหรอ... ?” เสียงของผมหายไปในลำคอ

“ชายคนนี้ยอมเสียสละตนเพื่อให้ภารกิจนายท่านสำเร็จ เพื่อรักษาศักดิ์ศรีของนายท่าน ข้าต้องขอชื่นชมนายท่านจริงๆที่ไม่ล่าถอยจากโกเลมทั้งๆที่เสียเปรียบ นายท่านช่างห้าวหาญ”

“เพื่อศักดิ์ศรี...?” จริงสินะที่เป็นแบบนี้เพราะผมเอาแต่ห่วงศักดิ์ศรี ทั้งๆที่สามารถล่าถอยได้ง่ายๆแต่ผมกลับดันทุรังที่จะสู้ต่อ ทั้งๆที่คิดไว้ว่าต่อให้ตัวตายก็จะไม่ยอมเสียศักดิ์ศรี แต่ถ้าการรักษามันต้องทำให้รอส...

“ถึงเวลาที่นายท่านต้องออกเดินทางแล้ว ท่านเร็กซัส ไม่เช่นนั้นจะไม่ทันการ ป่าจะปิดเสียก่อน” เสียงกังวานจากดาบกล่าวเตือนสติ

“ไม่ได้นะ เจ้าก็น่าจะได้ยินแล้วว่าข้าพาเขาออกไปตอนนี้ด้วยไม่ได้”

“ก็ทิ้งเขาไว้ในวิหารสิ ในนั้นเขาจะปลอดภัย ในขณะที่ท่านเองก็สามารถออกจากป่าเพื่อกลับไปรายงานตัวได้ทันเวลา นั่นคือสาเหตุที่เขาเสียสละเพื่อนายท่านไม่ใช่หรือ ?”

“อย่าพูดบ้าๆนะ” ผมตวาดสุดเสียงจนมันเดย์และฟรีดตัวสั่นแล้วถอยห่าง “จะให้ข้าทอดทิ้งเขาไว้คนเดียวได้ยังไง เขาจะรอดได้ยังไง เขาทำเพื่อข้าขนาดนี้ เขาคือคนสำคัญของข้านะ”

“จริงเหรอ ? ท่านลั่นวาจาว่าเขาสำคัญแต่กลับไม่เคยแสดงท่าทีใดๆ หากเขาสำคัญจริง...ท่านคงห่วงความปลอดภัยของเขาก่อนศักดิ์ศรีของตน”

“...ไม่ใช่นะ ข้าไม่ได้...” ราวกับใบมีดกรีดแทงเข้าที่กลางอก ผมพยายามเถียงแต่กลับพูดไม่ออก

“ต่อให้เขาสำคัญจริงๆ มันคือราคาของเกียรติยศและศักดิ์ศรี ท่านเร็กซัส ท่านยังอ่อนเยาว์นัก หากท่านต้องการขึ้นไปยังจุดสูงสุดแล้วล่ะก็ ท่านยังต้องเรียนรู้อีกมาก”

“ไม่นะ...” ผมกัดฟันตัวเองแน่นด้วยความเจ็บแค้น ไม่ใช่เพราะคำพูดของโอทห์คีปเปอร์ แต่เพราะการกระทำและตัดสินใจของผมเอง หากต้องการศักดิ์ศรีก็ต้องแลกด้วยชีวิตของเจ้านี่น่ะเหรอ ไม่ได้...ไม่เอาเด็ดขาด...ผมไม่ยอมเด็ดขาด แค่คิดถึงวันที่จะต้องจากลากันหัวใจของผมก็ปวดร้าวจะแย่แล้ว หากต้องจากกันแบบนี้อีกผมยิ่งยอมไม่ได้ ความสำเร็จครั้งนี้จะมีค่าอะไรถ้าคนที่เดินทางด้วยกันมาตั้งแต่ต้น คนที่ช่วยเหลือกันมาตลิดต้องมาจากไปแบบนี้ ผมไม่ยอมจ่ายเขาออกไปเด็ดขาด

“ท่านเร็กซัส ความปรารถนาของท่านคืออะไร ?” ดาบเล่มนั้นเอ่ยคำถามที่ทำให้ผมฉุกคิดได้

ใช่แล้ว...ผมไม่เคยปรารถนาที่จะเข้ารับการคัดเลือก ผมไม่เคยปรารถนาที่จะแต่งงานกับเดลซ่า ผมคิดกับนางว่าเป็นเหมือนน้องสาวคนหนึ่งมาตลอด ไม่เคยเกินเลยกว่านั้น

“ความปรารถนาของข้าคือ...” สิ่งที่ผมต้องการมากที่สุดคือเขา ชีวิตนี้ตั้งแต่เด็กผมไม่เคยร้องขออะไรเลย ได้แต่ฝึกฝนและทำตามความคาดหวังของคนรอบข้าง จนกระทั่งได้เจอกับเขา เขาที่ทำให้ผมโลเลเกี่ยวกับการคัดเลือก การได้เดินทางกับเขาเป็นช่วงเวลาที่สนุกที่สุด เขาที่ทำให้ผมอยากจะทิ้งทุกอย่างเพื่อออกไปผจญภัยช่วยเหลือผู้คนแบบที่เขาทำ เขาที่ทำให้ผมได้เป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องมากพิธี ไม่ต้องฝืนทำสิ่งที่ไม่ต้องการ

“ข้าต้องการอยู่กับชายคนนี้ ข้าต้องการให้เขากลับมาหายดี กลับมาต่อล้อต่อเถียงกับข้าอีก” ผมตอบออกไปอย่างแน่วแน่ “ต้องการออกไปช่วยเหลือผู้คนที่ลำบากโดยมีเขาอยู่เคียงข้าง”

“เพื่อการนั้นนายท่านจะยอมทิ้งเกียรติยศที่ไขว่คว้ามาตลอดแล้วติดอยู่ในป่ากับชายคนนี้เช่นนั้นหรือ ?”

“ใช่” ไร้ความลังเลอีกต่อไปแล้ว “ข้าจะอยู่ดูแลเขาที่นี่”

“หึหึ ฮ่าๆๆ ตอบได้ดีท่านเร็กซัส” ดาบส่องแสงวิบวับราวกับหัวเราะชอบใจคำตอบนั้น

“โอทห์คีปเปอร์ นี่เจ้าเยาะเย้ยข้าอย่างนั้นเหรอ ?” เสียงหัวเราะของมันทำให้ผมหงุดหงิด เจ้าดาบบ้านี่อยู่เงียบๆดีๆแบบแต่ก่อนไม่ได้เหรอไง

“อย่าว่ากระผมแบบนั้นสิครับ กระผมชอบคำตอบของท่านจริงๆ”

“หมายความว่ายังไง ?”

“จะเป็นผู้นำที่ดีได้อย่างไรหากยังไม่สามารถตอบตนเองได้ว่าต้องการสิ่งใด อีกอย่าง...ราชาที่ดีย่อมเสียส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนมาก แต่ทว่าผู้นำที่ดีน่ะ ไม่ว่ายังไงก็ตาม เขาจะช่วยเหลือทุกคนให้ได้ แม้เพียงชีวิตเดียวก็ตาม จิตใจของท่านช่างอ่อนโยน กระผมคิดไม่ผิดจริงๆที่เลือกรับใช้ท่าน”

“...!!!” สถานการณ์ที่พลิกผันไปทำให้ผมพูดอะไรไม่ออก

“ให้ชายคนนี้พักผ่อนในวิหารเถอะ เวทมนต์ฟื้นฟูอันเข้มข้นของพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้จะช่วยให้อาการของเขาทรงตัว แต่จะฟื้นเมื่อไหร่นั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง มันขึ้นอยู่กับพลังของเขา”

“ขอบใจมาก โอทห์คีปเปอร์”

“ด้วยความยินดีครับนายท่าน กระผมขอให้นายท่านตรงไปตรงมากับชายคนนี้เช่นเดียวกับที่ท่านตรงไปตรงมากับกระผมด้วยนะครับ” เสียงกังวานสุดท้ายดังขึ้นทำให้เขาหน้าแดงระเรื่อ แสงสว่างจากดาบดับลง

เมื่อเหตุการณ์คลี่คลายลงได้ ผมใช้เรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ค่อยๆประคองอุ้มร่างไร้สติในอ้อมแขนขึ้นอย่างทะนุถนอมเพื่อนำไปนอนพักฟื้นในวิหารตามคำแนะนำ มันเดย์จะบินกลับไปที่หมู่บ้านเพื่อนำอาหารมาให้เพราะนางไม่สามารถตามเข้าไปได้ ผมตอบรับความช่วยเหลือแต่โดยดีเพราะตอนนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าคนในอ้อมแขนผมอีกแล้ว

“แข็งใจไว้ก่อนนะ รอส...เจ้าห้ามเป็นอะไรไปนะ”

…………………………………..

เย็นวันนั้น ณ เทือกเขาแห่งหนึ่งทางเขตตอนเหนือ

ชายหนุ่มผมสีแดงยาวระต้นคอในชุดจอมเวทผู้มีดวงตาสีน้ำตาลแดงกำลังนั่งจดจ่อกับแผนที่ในมือ ร่างกายของเขาสั่นโยกไปตามจังหวะก้าวย่างของสัตว์พาหนะ แร็ปเตอร์ สัตว์เลื้อยคลานประจำท้องถิ่นทางตอนเหนือของประเทศเทอร่า ใบหน้าเขาดูหงุดหงิดเหมือนมีบางอย่างรบกวนจิตใจตลอดเวลา

ปิ๊บๆๆ

สร้อยคออัญมณีสีแดงทำจากทับทิมกระพริบแสงสว่างพร้อมส่งเสียงเรียกร้องความสนใจ เขาสั่งให้เจ้าแร็ปเตอร์หยุดเดินแล้วหยิบสร้อยเส้นนั้นขึ้นมาดู เขาวางมันหงายบนฝ่ามือแล้วหลับตาตั้งสมาธิ ฉับพลันก็ปรากฏใบหน้าของชายหนุ่มลอยขึ้นมากลางอากาศ เขามีเส้นผมสีน้ำตาลอ่อน สวมแว่นตาหนา ใต้กรอบแว่นคือดวงตาสีน้ำตาล

“ว่าไง วาเรน (Valen)” ชายผมแดงกล่าว

“พี่วาเรเรี่ยน (Valerian) สัมผัสได้เหมือนผมไหมครับ” ใบหน้าที่ลอยอยู่ถามกลับ

“อืม จู่ๆก็สัมผัสได้ถึงดวงจิตของคนในตระกูลเพิ่มขึ้นมาดวงหนึ่ง”

“พี่ว่าจะใช้น้องไหม มันรู้สึกคุ้นเคยมากๆเลย”

“เป็นไปได้”

“หึหึ เจ้าตัวแสบนี่มันจริงๆเลย ตบตากันมาตลอด 6 ปี เลยสินะ”

“ท่านพ่อว่าไงบ้าง”

“ยังติดต่อไม่ได้เลย ท่านพี่จะกลับมาถึงเมื่อไหร่”

“เควสข้าเสร็จแล้ว อีก 1 วันก็น่าจะถึงเมืองหลวง เดี๋ยวรายงานตัวเสร็จแล้วค่อยออกไปตรวจสอบดู”

“อย่าเลยครับ พี่กลับมาเหนื่อยๆแล้วพักผ่อนเถอะ ผมทำเรื่องลางานแล้ว รอได้รับอนุญาตก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้จะรีบออกจากเมืองหลวงเลย ความรู้สึกมันมาจากฝั่งตะวันออกสินะ”

“เอาแบบนั้นก็ได้ ระวังตัวด้วย”

“ขอบคุณครับพี่”

วาเรเรี่ยนถอนหายใจ เขาเก็บสร้อยเข้าคอเสื้อแล้วสั่งให้สัตว์ขี่ออกเดินต่อ ริมฝีปากยกมุมเป็นรอยยิ้มน้อยๆเปื้อนอยู่บนใบหน้านั้น “เจ้าปลอดภัยดีสินะวารอส น้องพี่”

.......................................

ปล.1. เปลี่ยนมุมมองกันบ้างจะได้ไม่เบื่อ อิอิ




ออฟไลน์ shiroinu

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
ฉากบู๊ เย้ๆ มาสองตอนรวดดีใจมากกกกกกก แล้วพออ่านจบเราก็ค้างต่อปายยย :ling1:

ออฟไลน์ PsychePie

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
อิอิ พี่ๆ จะมาตามกลับบ้านแล้วนะน้องหนู
oath keeper จะกลายเป็นดาบช่างจ้อไหม 555555

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
งานพี่ชายตามน้องกลับบ้านก็มา น้องปลดผนึกไปแล้วก็หนีลำบากแล้วซินะ  :pig4:

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ Nocto

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ยาวจุใจแต่ท้ายตอนก็ค้างเหมือนเดิม 5555

ในที่สุดคุณอัศวินก็รู้ใจตัวเองชัดเจนซักที

 :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ KPMwolf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Chapter 27 Lion’s heart

ชื่อของผมคือเร็กซัส ไลโอเนล บุตรชายแห่งตระกูลไลโอเนล ผมไม่ใช่ลูกคนโตของบ้าน แท้จริงแล้วลูกคนแรกของบ้านเป็นธิดานามเรจิน่า (Regina) พี่เรจแก่กว่าผม 2 ปี เป็นหญิงสาวมากความสามารถ นางฉลาด เด็ดเดี่ยว ดุดัน กล้าหาญ และเก่งกาจ พี่มีทุกคุณลักษณะที่จะขึ้นเป็นผู้นำของบ้านคนต่อไป ติดเพียงอย่างเดียวคือการที่นางเป็นธิดา

แม้นางจะมีฝีดาบที่เก่งกล้า หรือสามารถสำเร็จเวทเสริมกำลังได้ตั้งแต่อายุยังน้อยจนล้มอัศวินชายมาถ้วนหน้า นั่นก็ยังไม่เพียงพอทำให้ผู้คนยอมรับนาง ผมให้ความเคารพพี่เรจเสมอ สำหรับผมแล้ว...นางคู่ควรที่จะเป็นเจ้าบ้านคนต่อไปมากกว่าผมเสียอีก แต่สุดท้ายความคาดหวังเหล่านั้นก็มาตกอยู่ที่ผม ตั้งแต่วินาทีแรกที่ผมเกิดมาเป็นบุตรของบ้านนี้

ผมได้รับการฝึกฝนวิชาดาบและเวทเสริมกำลังตั้งแต่เด็ก เรียนรู้กฎหมาย, การปกครองและแผนการรบต่างๆแม้ประเทศจะสงบสุขมานานแล้ว ถูกสอนให้ยกย่องครอบครัว, คุณงามความดี, เกียรติยศและศักดิ์ศรีเหนือสิ่งอื่นใด และถูกส่งไปให้สนิทชิดเชื้อกับองค์หญิงเช่นเดียวกับบุตรหลานของบ้านอื่นๆ ไม่ใช่เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างขุนนางและราชวงศ์เพียงอย่างเดียว แต่ยังเพื่อให้เราเรียนรู้กันและกันเผื่อเป็นคู่ครองกันในอนาคตด้วย พวกเราเล่นด้วยกัน เรียนหนังสือด้วยกัน เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน

องค์หญิงเดลิเซีย หรือเรียกกันอย่างสนิทสนมว่าเดลซ่า นางอายุเท่ากันกับผม เป็นหญิงสาวสวย มีกิริยามารยาทงดงามสมฐานะเจ้าหญิง แต่ขณะเดียวกันก็ฉลาด ขี้เล่นและไม่ถือตัว อยู่ด้วยแล้วสบายใจ ไม่ว่าชายใดได้เข้าใกล้ย่อมต้องหลงรักนาง แต่ผมกลับไม่มีความรู้สึกใดๆเกินเลยไปกว่าคำว่าน้องสาว

ผมเริ่มรับรู้ความ…แตกต่างของตนเองตั้งแต่อายุ 15 ปี ผมตั้งคำถามกับตนเองเสมอว่าทำไมทั้งๆที่ผมสนิทสนมกับนางขนาดนั้น ผมถึงไม่รู้สึกอ่อนระทวย วูบวาบ หรืออะไรก็ตามแต่ตามคำบอกเล่าเกี่ยวกับความรักให้กับนางเลย จนกระทั่งวันหนึ่งในโรงอาบน้ำโรงเรียนอัศวิน วันนั้นเป็นวันแรกๆหลังเปิดเทอม เด็กชายทุกคนเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์กันหมดแล้ว สัดส่วนต่างๆของร่างกายเริ่มเจริญใหญ่ขึ้น กล้ามเนื้อต่างๆที่ได้รับการฝึกฝนมาเริ่มเป็นมัดชัดเจนขึ้น มันสวยงามและน่าหลงใหลจนทำให้ผมรู้สึกร้อนวูบวาบ เลือดสูบฉีดไปทั่วร่างจนอะไรที่ไม่ควรจะตื่นตัวกลับแข็งขืนขึ้นมากลางห้องน้ำ ผมนี่หาที่หลบแทบไม่ทัน เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยมีมาก่อน...และทำให้ผมกังวลใจ

ผมถามตนเองว่าเกิดความผิดปกติอะไรขึ้นกับผมกันแน่...ทำไมผมถึงรู้สึกแบบนี้กับผู้ชายด้วยกัน จะปรึกษาใครก็ไม่กล้า ได้แต่พยายามปรับตัวให้ชินชาไป นานๆเข้ามันก็ได้ผล หรืออาจจะเพราะว่าพวกเขาเริ่มถึกหนาเกินความชอบของผมไปแล้วก็เป็นได้
ช่วงอายุ 17 ปี เป็นช่วงที่ผมอยู่ชั้นปีรองสุดท้ายของการเรียนอัศวิน ผมปกปิดเรื่องนี้เป็นความลับมาตลอดเพราะคิดว่าตนเองแปลกประหลาด แต่เพื่อนสนิทคนหนึ่งเปิดเผยกับเพื่อนในกลุ่มว่าเขาชอบผู้ชายด้วยกัน และกำลังคบหากับรุ่นพี่คนหนึ่งอยู่ หลายคนตกใจแต่เพราะว่าสนิทกันจึงไม่ก้าวก่ายเรื่องรสนิยมของกันและกัน

ผมตกใจระคนดีใจที่มีคนแบบผมอยู่ด้วย ลึกๆในใจก็มีส่วนอิจฉาที่เขาได้ลิ้มลองความรัก แต่สุดท้ายมันก็กลับตละปัดช่วงท้ายของปี รุ่นพี่คนนั้นสำเร็จการศึกษาแล้วจากเขาไปเพื่อสืบทอดตระกูล เขาทิ้งเพื่อนของผมไปเพื่อแต่งงาน ผมไม่เคยเห็นใครเศร้าโศกเสียใจขนาดนั้นมาก่อน เพื่อนของผมเสียศูนย์ ทุรนทุรายจนแทบบ้า เพื่อนในกลุ่มต่างปลอบใจเขานานหลายสัปดาห์กว่าจะทำให้เขาตั้งหลักกลับมาได้ แล้วนั่นก็ทำให้ผมได้ตระหนัก...

ผมตระหนักได้ว่าชะตาของผมก็ไม่ต่างจากรุ่นพี่คนนั้น สำหรับผมแล้วมันยิ่งใหญ่กว่าอีกเพราะต้องแบกชื่อเสียงของตระกูลใหญ่ไว้ด้วย หากว่าผมทำตามใจของตนเองแล้วคบกับชายที่ผมชอบล่ะก็...เมื่อถึงวันที่ผมรับสืบทอดตระกูลและแต่งงานเพื่อสืบสกุล คนๆนั้นจะเสียใจขนาดไหนที่ต้องถูกทอดทิ้ง ผมจึงตั้งใจจะขุดหลุมฝังความต้องการของตนเองไว้ให้ลึกที่สุดเท่าที่ทำได้ แล้วทำหน้าที่ของตนเองต่อวงศ์ตระกูลต่อไป

ช่วงอายุ 18 ปี หลังจบการศึกษาแล้วพวกเพื่อนในกลุ่มต่างพากันไปฉลองพิธีที่เรียกกันว่า “ก้าวสู่ความเป็นชายชาตรี” เป็นพิธีในหมู่อัศวินที่แสดงว่าตนเติบโตจากวัยรุ่นสู่วัยหนุ่มแล้วด้วยการไปเสพสมกับหญิงสาว และหญิงสาวที่ยินยอมง่ายที่สุดนั่นก็คือโสเภณีในซ่อง ตอนแรกผมก็ตื่นเต้นมากที่จะได้ตอกย้ำสิ่งที่ต้องการปกปิดนั้นลงไปอีกชั้นหนึ่ง ถึงจะตะขิดตะขวงใจที่ต้องเสพสมกับคนที่ไม่ใช่คนรัก หรือการไม่ให้เกียรติหญิงสาวอย่างที่ถูกสอนมาก็เถอะ...

ในเมื่อผมเป็นชายผู้ที่จะขึ้นเป็นผู้นำของตระกูล เป็นลูกชายเพียงคนเดียวของบ้านที่ต้องแบกรับหน้าที่อันยิ่งใหญ่นี้ไว้ นี่จะเป็นการทดสอบที่ชี้ว่าผมสามารถทำหน้าที่นั้นได้...

...ทว่าทุกอย่างกลับพังไม่เป็นท่า ผมไม่สามารถทำให้ตนเองมีอารมณ์ร่วมได้ ไม่ว่าหญิงสาวตรงหน้าจะสวยงามหรือรูปร่างดีขนาดไหน  ไม่ว่าเธอจะช่วยปลุกปั่นยังไงร่างกายผมก็ไม่สามารถมีอะไรกับเธอได้ ไม่สามารถเสพสมจนสุขกายได้แบบคนอื่นๆที่มาด้วยกัน ด้วยความเกรงใจผมจึงรีบจ่ายเงินแล้วออกมาทันที

“คุณชายไม่มีน้ำยา” พวกเพื่อนมันทักผมแบบนั้นทันทีในวันรุ่งขึ้น โสเภณีคนนั้นคงบอกเล่ากันปากต่อปากว่าผมสามารถมีอะไรกับหล่อนได้

“ไม่ใช่เฟ้ย ครั้งแรกของข้าจะต้องกับคนที่ข้ารักและแต่งงานด้วยเท่านั้น” ผมแก้ตัวด้วยใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธและอับอาย ผมอ้างมันหลายต่อหลายครั้งจนพวกเพื่อนผมเลิกล้อไปเอง และมันก็เป็นข้ออ้างที่ใช้หลอกตัวผมเองด้วย

จนกระทั่งอายุ 20 ย่าง 21 ปี ผมได้เป็นหัวหน้าหน่วยของอัศวินหมู่หนึ่ง ปกติแล้วเวลาปฏิบัติภารกิจใดๆจะออกไปเป็นทีม 6-9 คน โดยมีหัวหน้าทีมหนึ่งคน เป็นตำแหน่งอันทรงเกียรติที่ต้องมีความรับผิดชอบสูงเพราะต้องดูแลชีวิตคนในทีม ด้วยความสามารถและผลงานของผมทำให้ผมได้รับมอบหมายหน้าที่นี้ตั้งแต่อายุยังน้อย

ด้วยเหตุที่ประเทศเพื่อนบ้านที่รายล้อมเป็นพันธมิตรกันทั้งหมดจึงไม่ต้องออกศึกใดๆ งานของเหล่าอัศวินมักจะเป็นการเดินทางไปตามที่ต่างๆเพื่อปราบโจรบ้าง พวกนอกรีตบ้าง บางครั้งก็เป็นพวกมอนสเตอร์ดุร้าย แต่ก็มักมีผู้เชี่ยวชาญหรือไม่ก็กลุ่มสายอาชีพอื่นไปด้วยเสมอ ไม่ว่าจะพรานนักล่า, นักเวทย์, หรือนักบวช ภารกิจจึงมักลุล่วงด้วยความราบรื่น

หลังจากเสร็จภารกิจอันเหนื่อยล้าพวกอัศวินก็ต้องการผ่อนคลาย ในทีมของผมนี่มีแต่ตัวดีทั้งนั้น ไม่รู้ว่าเพราะอายุไม่ห่างกันหรือว่าผมใจดีเกินไป ทำให้ถ้าไม่ใช่เรื่องภารกิจแล้วล่ะก็พวกเขาไม่ค่อยเชื่อฟังผมเท่าไหร่ เจ้าตัวดีพวกนี้มักจะไปหลับนอนกับหญิงสาวตามหมู่บ้านที่เดินทางไปช่วยเหลือ “ก็พวกนางอยากตอบแทนนี่” คือข้ออ้างของพวกเขา พวกนี้เตรียมตัวดีถึงขนาดพกยาสมุนไพรป้องกันการตั้งครรภ์ราคาแพงไปด้วยเลยทีเดียว และแน่นอนว่าพวกนี้ต้องชวนผมด้วย…

“โธ่...หัวหน้า สาวๆพวกนี้เขาอยากได้หัวหน้ากันจะตาย สนองให้สักหน่อยจะเป็นอะไรไป เนี่ย...ยากันท้องก็มี รับรองไม่มีหลักฐานมาตามตัวทีหลังชัวร์ ฮ่าๆๆ”

“อย่าให้มันมากนักเจ้าพวกตัวแสบ ถ้าไม่อยากโดนรายงานเบื้องสูงล่ะก็...” ผมขู่ไปแบบนี้ตลอดเพราะยังคงใช้ข้ออ้างเดิมว่าคนที่ผมมีอะไรด้วยต้องเป็นหญิงสาวที่ผมรักเท่านั้น ฉะนั้นแทนที่ผมจะไปร่วมวงคาวกามกับพวกลูกน้อง ผมเลือกที่จะเข้าที่พักเตรียมตัวเดินทางมากกว่า

“เดี๋ยวทุกอย่างก็ลงตัวเอง เดี๋ยวพอเจอหญิงสาวที่ใช่มันก็ทำได้เอง” ผมบอกตนเองแบบนั้นมาตลอด…

...บอกมาตลอด จนกระทั่งได้มาพบกับคนที่นอนหมดสติในอ้อมแขนของผม...

…………………………………….

ผมเปิดประตูเข้าวิหารมา เดินผ่านทางเดินแคบแล้วก็พบห้องโถงใหญ่ มีเสาหินอ่อนทรงกลมเรียงอย่างเป็นระเบียบ ผิดกับเก้าอี้ยาวทำจากไม้ที่ผุพังล้มระเนระนาดไปทั่ว ด้านในสุดมีแท่นพิธี คาดว่าน่าจะเป็นโถงกลางที่ใช้ประกอบพิธีกรรม

ผมค่อยๆวางรอสลงอย่างนุ่มนวลที่มุมห้อง หาห่อสัมภาระที่ไม่เปียกน้ำมาให้เขาหนุนนอน เมื่อตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีอาการบาดเจ็บภายนอกใดๆ จึงมอบหน้าที่เฝ้าคนเจ็บให้กับฟรีด ก่อนที่จะปลีกตัวไปสำรวจความปลอดภัยของที่พักรวมถึงหาของที่ยังพอใช้การได้อยู่มาอำนวยความสะดวก

โครงสร้างของอาคารโดยรวมยังสมบูรณ์แต่สภาพทรุดโทรมไปเพราะขาดการดูแล เฟอร์นิเจอร์ไม้ผุพังไปตามกาลเวลา มีทางเดินแยกไปยังปีกซ้ายและขวาของวิหาร ที่แห่งนี้กว้างใหญ่มาก สังเกตได้จากทางเดินที่ทอดลึกเข้าไปจนลับตา ผมจึงเลือกสำรวจห้องเล็กห้องน้อยที่อยู่ห่างไปไม่มาก

ผมค้นเจอห้องที่น่าจะเป็นห้องปฐมพยาบาลเพราะมีซากเครื่องไม้คล้ายเตียงวางเรียงรายอยู่ ในห้องพอจะมีฟูกที่ยังใช้การได้อยู่ ผมจึงเลือกเอาเท่าที่จะขนได้ไปปูทับด้วยถุงนอนให้รอสนอนพัก

แม้จะอยากเอนกายล้มตัวนอนเพื่อพักผ่อนจากความเหนื่อยล้าแต่ก็ยังทำไม่ได้ สภาพเนื้อตัวของเราสองต่างก็ดูไม่ได้ เสื้อผ้าของเจ้านี่เปียกชื้นและเลอะคราบเมือก ส่วนชุดผมก็ชุ่มไปด้วยน้ำ ข้าวของที่อยู่บนตัวฟรีดก็พอๆกัน

โชคดีที่ไปเจอบ่อน้ำบาดาลเข้าจึงตักน้ำขึ้นมาเพื่อนำมาทำความสะอาดเนื้อตัว ผมหาผ้าสะอาดชุบน้ำเพื่อที่จะเช็ดตัวให้รอส ชุดเขาสกปรกมากแถมตัวก็ร้อนเหมือนเป็นไข้ ทว่าทันทีที่ลอกเขาออกจากชุด...หัวใจผมก็เต้นแรง ผิวขาวเนียนน่าสัมผัสเป็นลอนเป็นลายตามกล้ามเนื้อที่กระชับได้สัดส่วน ไม่ได้ผอมแห้งแบบพวกนักเวทย์ และไม่ได้หนาเตอะแบบพวกอัศวิน ผิวเนียนที่ผมได้จาบจ้วงสัมผัสไปแล้วครั้งหนึ่ง...

“เลิกฟุ้งซ่านได้แล้วหน่า” ผมส่ายหน้าเตือนตัวเองเบาๆก่อนที่จะเตลิดไปไกล รีบเช็ดตัวให้เขาจนสะอาด...ทุกซอกทุกมุม

“นี่มันสัญลักษณ์เดียวกับวาเรเรี่ยนเลย” ผมพินิจลวดลายอักขระคล้ายรูปมังกรนอนขดตัวที่หลังมือขวาของเขา ผมจำได้เรือนลางว่าเคยเห็นมันที่แขนของรุ่นพี่คนหนึ่ง

วาเรเรี่ยน เขาแก่กว่าผม 2 ปี เป็นลูกชายคนโตของตระกูลเดรโกนัส ผมจำได้ดีว่าสมัยก่อนตอนที่เรียนร่วมกับลูกขุนนางคนอื่นๆ เขาเป็นอัจฉริยะด้านการใช้เวทมนต์ เป็นคนหัวร้อนง่าย รักพรรครักพวก เป็นทั้งรุ่นพี่และเพื่อนที่ดี ทว่าเขาเปลี่ยนไปหลังจากกลับจากการศึกษาต่อตามธรรมเนียมของตระกูลฝั่งนั้น และยิ่งเปลี่ยนไปจนไม่เหลือเค้าเดิมเมื่อน้องชายคนเล็กของบ้านเสียชีวิตลง เป็นข่าวอันหน้าเศร้า

“ทำไมเจ้าถึงมีรอยนี้ได้” ผมมั่นใจว่าผมไม่เคยเห็นมันบนตัวเขามาก่อน แต่ก็ละความสนใจไปเพราะสงสัยไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ รอเขาตื่นก่อนจะดีกว่า

เสื้อผ้าของเขาในห่อสัมภาระเปียกหมด ผมจึงสละชุดสำรองที่ยังแห้งอยู่ให้เขาได้สวมใส่ แม้ความสูงเราจะต่างกันไม่มากแต่ความหนาของร่างกายต่างกันพอสมควร ชุดที่ผมใส่ให้หลวมจนเผยให้เห็นลาดไหล่ขาวๆที่มีรอยแดงจางๆ ไหล่ที่ผมเคยฝังรอยกัดลงไป เลือดในกายผมเริ่มคุกรุ่นขึ้นมา ผมรีบจับเขานอนในถุงนอนก่อนที่ผมจะคุมตัวเองไม่ได้

ผมผละตัวออกไปจัดการชำระช้างร่างกายตนเองบ้าง น้ำเย็นๆช่วยดับความพลุ่งพล่านในตัวได้ ผมสวมกางเกงขาสั้นตัวเดียวที่ยังเหลืออยู่ นำเสื้อผ้าไปตากรับแดดยามบ่ายข้างนอก ทาน้ำมันสมุนไพรนวดกล้ามเนื้อเพื่อคลายปวดจากการใช้เวทเสริมกำลัง จากนั้นจึงล้มตัวลงนอนข้างๆเขา สวมกอดเบาๆ แล้วหลับตาลงเพื่อพักผ่อน

“ฮัดชิ่ว !!!” ผมตื่นและจามเมื่อผิวกายสัมผัสอากาศที่เริ่มเย็นตัวลง ถึงผมจะถูกฝึกมาให้ถึกทน แต่สวมแค่กางเกงแบบนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกัน มองผ่านหน้าต่างของวิหารออกไปก็พบว่าใกล้มืดแล้ว ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของพวกแฟรี่ไกลๆ ผมยืมเสื้อคลุมที่เริ่มแห้งแล้วของเจ้านี่สวมออกไป จะให้เปลือยอกแบบนี้ออกพบพวกหล่อนคงไม่สมควรนัก

“อาการเขาเป็นอย่างไรบ้าง” มันเดย์ถามขึ้นขณะที่แฟรี่ตนอื่นๆอีก 4-5 ตนวางกระเช้าผลไม้ลงใกล้ๆ

“ยังไม่ฟื้นเลย แต่น่าจะดีขึ้นบ้างแล้ว ตัวร้อนน้อยลง หน้าไม่ซีดเแล้ว”

“เขาโชคดีจริงๆที่ได้อยู่กับท่าน ไม่เช่นนั้นคงไม่รอด”

พวกนางสัญญาว่าจะมาอีกทีตอนเช้า ผมกล่าวขอบคุณแล้วนำผลไม้เข้าไปเก็บ

ผมเดินออกไปนอกวิหารอีกครั้งเพื่อเก็บฟืน ค่ำคืนนี้อากาศน่าจะเย็น รากไม้และกิ่งไม้แห้งจากเจ้าโกเลมเป็นวัสดุก่อไฟชั้นดี และระหว่างนั้นผมก็ได้เจอของชิ้นหนึ่ง...มันคือสายหนังรัดข้อมือของรอส แปลกใจพอสมควรทำไมมันถึงมาขาดตกตรงนี้ได้

“มันจะเกี่ยวกับสัญลักษณ์ที่มือเขารึเปล่านะ” ผมพึมพำกับตนเองแล้วเก็บมันกลับมาด้วย

พอกลับเข้ามายังที่พักก็เป็นไปตามคาด รอสนอนสั่นคุดคู้ด้วยความหนาวจากอากาศที่เย็นตัวลง ผมรีบก่อไฟให้เขา นั่งลงเอาหลังพิงกำแพงแล้วจัดท่านอนใหม่ให้มานอนหนุนที่ตัก เอามือลูบเส้นผมสีน้ำตาลของเขาเบาๆ มองเปลวไฟสีแดงที่เต้นระบำไปมาพลางคิดถึงเหตุการณ์ตลอดการเดินทางสองสัปดาห์ที่ผ่านๆมา...การเดินทางที่เปลี่ยนชีวิตของผม

...............................................

ปล. การเรียนของที่นี่จะแบ่งเป็น 5 ระดับ
ช่วงต่ำกว่า 9 ปี ให้ศึกษาเองที่บ้าน
ช่วง 9-12 ปี ทุกคนจะเรียนวิชาพื้นฐานร่วมกัน และมีวิชาประจำอาชีพอย่างเวทมนต์ หรือการต่อสู้เป็นวิชาเลือก
ช่วง 12-15 ปี จะเข้าเรียนตามสายอาชีพที่สนใจ ระดับ Beginner
ช่วง 15-18 ปี จะเรียนเกี่ยวกับสายอาชีพของตนในระดับที่สูงขึ้น ระดับ Intermediate
ช่วง 18+ ปี จะสำหรับคนที่ต้องการชำนาญสายอาชีพของตน ระดับ Advance

ออฟไลน์ Nocto

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
หลังจากนี้ทั้งเร็กส์และรอสจะจัดการกับตระกูลของตัวเองยังไงนะ?

ขอให้รอสหายเร็วๆ ดูท่าคงทรมาณน่าดู เวทมนต์ตีกลับ

 :pig4:

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ shiroinu

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
มาแล้วววว :heaven ทำไมตระกูลประกาศว่ารอสตายล่ะ หรือผู้นำตระกูลโกรธเลยทำเหมือนตายไปเลยยังงี้หรอ :m28: รอสองคนนี้เค้ามุ้งมิ้งกัน สู้ๆนะเร็กซ์คุณชายไร้น้ำยา :hao7:

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ KPMwolf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
27.2

<โจร> คือสิ่งแรกที่ผมเรียกเขาเมื่อพบกับรอสครั้งแรก ทำไงได้ล่ะ...พวกชาวบ้านเล่นไล่ตามหลังเขามาขนาดนั้นจะให้คิดเป็นอื่นได้ยังไง ตอนแรกก็คิดว่าไม่คณามือหรอกเพราะผมปราบโจรมาเยอะแล้ว แต่ดันใช้เวทมนต์ได้ แถมหนีเร็วอย่างกับกรด ผมเลยต้องเอาจริงบ้าง แม้จะมีรูปแบบการใช้เวทมนต์ที่ต่างไป แต่ผมใช้ประสบการณ์ที่เคยดวลกับพวกนักเวทย์เอาชนะเขาได้

<พูดมาก> คือสิ่งต่อมาที่ผมคิดเมื่อมันจ้อไม่หยุดพยายามล่อหลอกให้ผมเปิดปากคุยด้วย

แต่ก็ต้องมาสะดุดเมื่อได้ยินเรื่องแสงสีฟ้า แสงที่คนที่รับการคัดเลือกเท่านั้นที่จะเห็นได้เพื่อป้องกันคนนอกเข้าไปวุ่นวาย <ทำไมเจ้านี่ถึงเห็นได้> แถมยังรู้ที่ตกของมันด้วย ขนาดผมรับการทดสอบเองยังรู้แค่มันไปทางชายแดนเอง จะใช้ดาบอีกครึ่งตามหาก็น่าจะลำบาก

<เห็นทีคงต้องใช้งานเจ้านี่แล้วล่ะ> แต่ผมก็ไม่ได้ไว้ใจเขามาก โจรชั่วมันไว้ใจไม่ได้ ผมเลยหลอกทำสัญญาป้องกันเขาหนี ซึ่งก็เดาไว้ไม่ผิด เลยจัดการสั่งสอนไปอีกสักหมัดนึง ใครจะไปคิดว่าสุดท้ายผมก็ต้องหวังพึ่งเจ้านี่เพื่อแหกคุกออกมาอยู่ดี

หลังจากแนะนำตัวทำความรู้จักกันผมก็ต้องสงสัยว่าทำไมเขาถึงต้องปกปิดชื่อสกุล แต่ที่ดึงดูดความสนใจมากกว่าคือภาพที่เขาผละตัวลงไปชำระร่างกาย ผมได้แต่ยืนมองเหมือนต้องมนต์สะกด ร่างกายสมสัดส่วน เหลี่ยมมุมจากกล้ามเนื้อ ผิวขาวเนียนมีรอยฟกช้ำจากการต่อสู้ หยดน้ำที่เกาะตามร่างกายสะท้อนแสงแดดยามเช้า มันสวยงาม

<เขาเป็นผู้ชายเหมือนกัน คงไม่เล่นด้วยหรอก> ผมต้องรีบเรียกสติคืนมาเพื่อเตือนถึงหน้าที่และความตั้งใจของตนเอง

เหตุการณ์ที่ช่องแคบสองสีทำให้ผมได้รู้ว่าเขาเป็นโจรจริงๆ “หัวขโมยแห่งเบลลาเดีย” ฉายาที่ดังมาถึงหูของผมแม้จะอยู่คนละเขตก็ตาม มันน่าจับส่งทางการให้ไปรับโทษนัก แต่ก็ต้องหักล้างไปเพราะที่นั่นผมก็ได้รับรู้ถึงความห้าวหาญและจิตใจอันดีของรอส ผมตัดสินใจปล่อยเลยตามเลย

และที่เมืองควินิก ที่ร้านบ้าๆนั่นก็ทำให้ผมได้รู้ว่ารอสเป็นแบบเดียวกับผม เป็นคนที่ปรารถนาร่างกายของชายอื่นเหมือนกัน ผมดีใจอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งตอนเขารุกเข้ามาประชิดตัวขอให้ผมช่วย...เอ่อ...นั่นแหละ ผมลังเลใจมากๆ

<เอาเลยๆ โอกาสมาแล้ว เจ้าพวกบ้านั่นจะได้เลิกสบประมาทเราสักที> เสียงหนึ่งว่า

<เฮ้ย เราตั้งใจไว้แล้วว่าจะมีอะไรกับคนที่รักเท่านั้น> อีกเสียงดังขึ้น

<ไม่มีใครรู้ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย แถบนี้ไม่มีหูไม่มีตาของบ้านมาเห็นหรอก> เสียงและความคิดต่างๆมันตีกันยุ่งในหัวไปหมด

<นี่มันการทดสอบนะ จะมาวอกแวกเสียสมาธิไม่ได้> คือเสียงของผู้กำชัยการถกเถียงในหัวครั้งนั้น ผมปฏิเสธเขาไป แต่ในใจผมกลับรู้สึกขุ่นมัวอย่างประหลาดเมื่อเขาตรงกลับเข้าร้านนั้นไป

ที่หมู่บ้านของซิดคือสถานที่ที่ทำให้ผมรู้ว่าบางครั้งความช่วยเหลือของตระกูลก็ส่งไปไม่ถึงคนที่ต้องการจริงๆ ถ้าไม่มีนักผจญภัยที่รับงานอิสระไปช่วย หมู่บ้านนั้นอาจแย่ได้ และที่นั่นรอสก็ช่วยชีวิตผมไว้ ด้วยความสะเพร่า...ผมโดนพิษทำให้แขนชาจนเกือบโดนน้ำซัดตกเขาตาย เขายอมเสี่ยงชีวิตลงมายืนข้างผมทั้งๆที่มันอันตราย ผมรู้สึกประทับใจ ประทับใจจนมีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้น ความรู้สึกที่ผมอธิบายไม่ถูกว่ามันคืออะไร

คืนนั้นที่ผมพักฟื้นจากพิษ ท่านซิดเข้ามาคุยด้วยเพื่อฝากฝังรอส ขอให้พาเขาไปมีหน้าที่การงานดีๆ เพื่อไม่ให้เขาออกนอกลู่นอกทางอีก ผมตกปากรับคำขอนั้นด้วยความยินดี ยินดีเกินสมควรไปด้วยซ้ำ

รอสเป็นอะไรที่ผมไม่เคยพบเจอมาก่อน ต่อปากต่อคำ ดื้อด้าน ไม่เชื่อฟัง แต่กลับมีจิตใจที่แสนดี ห้าวหาญ ยิ่งอยู่ด้วย ผมก็ยิ่งรู้สึกสนุกและมีความสุข สุขอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

กึกๆๆ

เสียงฟันกระทบกันเรียกผมขึ้นมาจากห้วงความคิดของตนเอง รอสเริ่มหนาวสั่นอีกแล้ว

ผมค่อยๆประคองเขาลุกขึ้นนั่งแล้วนำตัวมาอยู่ระหว่างขา ร่างกายอันสั่นเทาขยับเข้ามาหาความอบอุ่นโดยอัตโนมัติ เขาเอาศีรษะมาซบอ้อยอิ่งที่อกของผม ผมกระชับผ้าคลุมให้แน่นขึ้นเพื่อปกปิดเราทั้งสองจากความเย็น

“ตัวยังร้อนอยู่เลย” ผมเอามือทาบหน้าผากเขา เพราะผมแท้ๆเลย ที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ ความรู้สึกผิดมันยังคงกัดกินหัวใจของผม ถ้าผมเชื่อเขาแต่แรก ห่วงเขามากกว่าศักดิ์ศรีของตน...เขาก็ไม่ต้องลงเอยแบบนี้ มือสองข้างโอบกอดเขาไว้แน่น แต่แล้วก็อดใจไม่ได้...ผมกดจมูกฝังลงไปสูดดมซอกคอขาวนั้นเบาๆ

ด้วยสัมผัสที่แนบชิด ร่างร้อนๆของรอสกระตุ้นร่างกายของผมให้ตอบสนอง หัวใจผมเต้นระรัว เลือดในกายสูบฉีดแรงขึ้น ใบหน้าแดงร้อน ความรู้สึกวูบวาบไหลเวียนไปรวมกันที่กลางลำตัวจนแก่นกายแข็งขืนดันกางเกงผ้าบางขึ้นมาแทงหลังของเขา

“น่ะ...น่าอายชะมัดเลย” ผมพยายามผ่อนปรนลมหายใจ ควบคุมพลังเวทในร่างกายปรับสมดุลการไหลเวียนโลหิตเพื่อสงบร่างกายของตนเอง เวทเสริมกำลังไม่ได้เพิ่มแต่พละกำลัง แต่ยังสามารถควบคุมสมดุลบางอย่างในร่างกายได้ด้วย สมัยฝึกใหม่ๆก็มีบ้างที่จะควบคุมการไหลเวียนไม่ดีจนเลือดไปคั่งในตำแหน่งที่ไม่ควรไป ในสถานที่ที่ไม่ควรเกิด

อัศวินผู้ห้าวหาญ พุ่งเข้าต่อสู้โดยไม่ลังเลกลับไม่กล้าตอบอะไรให้คนตรงหน้าแบบตรงไปตรงมา อัศวินผู้ให้เกียรติสตรีแต่กลับทำตัวหาเศษหาเลยจากคนที่นอนไม่ได้สติอยู่ มันช่าง...น่าสมเพศจริงๆ

พลันให้นึกถึงเหตุการณ์ในป่าเอเดน เหตุการณ์ที่ผมยังจำได้ดี ทั้งสัมผัส เสียง ความอ่อนนุ่ม ความรัดตึง และความอบอุ่น วันที่ผมได้เป็นเจ้าของร่างกายของคนในอ้อมแขน

วันนั้นตอนที่ไฟราคะในร่างกายของผมลุกไหม้ถึงขีดสุด ผมพยายามควบคุมพลังเวทในตัวเพื่อสงบมัน รวมถึงพยายามช่วยปลดปล่อยตัวเอง แต่พอภาพรอสในลำธารวันนั้นปรากฏขึ้นมาในหัว ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีทั้งหมดก็หายไป ความต้องการที่ผมพยายามกลบมันไว้พลุ่งพล่านออกมาจนไม่สามารถยับยั้งไว้ได้อีก

“วันนี้รอสต้องเป็นของข้า” ผมคำรามด้วยเสียงแหบพร่าขณะจัดแจงข้าวของเพื่อเตรียมสถานที่ก่อนใช้โอทห์คีปเปอร์ดึงตัวรอสกลับมา วินาทีนั้นผมตื่นเต้นมากๆ ผมจะได้เสพสมในกามเหมือนคนอื่นแล้ว สัญชาตญาณของมนุษย์เพศชายกำลังเข้าครอบงำผม ด้วยสติที่เหลืออยู่น้อยนิดพยายามปรนเปรอรอสตามคำบอกเล่าที่เคยได้ยินมาให้มากที่สุด ก่อนจะปฏิบัติกิจ

มันรู้สึกดีมากๆ ทั้งผิวเนียนยามร่างเราสัมผัสกัน ทั้งความอ่อนนุ่มและอุ่นภายในที่ผมรุกล้ำเข้าไป ผมมีความสุขมาก...ถึงแม้ว่าจะไม่นานก็ตาม

ความพลุ่งพล่านและความตื่นเต้นทำให้ผมเสร็จเร็วมาก ความรู้สึกที่ได้รับการปลดปล่อยด้วยร่างกายของคนที่เราชอบมันดีมากๆจนทำให้สติผมขาดดับไป

แต่ความสุขนั้นก็อยู่กับผมได้ไม่นาน ทั้งๆที่ตั้งใจว่าจะรับผิดชอบการกระทำของตนเองและดูแลรอสอย่างที่สุภาพบุรุษพึงทำ เขาปฏิเสธผมโดยไม่ลังเล เขาบอกว่าเหตุการณ์นี้ไม่เคยเกิดขึ้น ไม่ให้พูดถึงมันอีก

จะให้ทำแบบนั้นได้ยังไง...จะให้ลืมมันไปได้ยังไง...นี่มันครั้งแรกของผมเลยนะ...ครั้งแรกที่ผมได้มีเซ็กส์...เซ็กส์กับชายที่ผมชอบ

ยิ่งตอนเห็นท่าทางลับๆล่อๆจะแยกตัวเข้าตรอกไปทำให้ผมเดาได้ทันทีว่าเขาจะไปไหน เขาจะไปร้านแบบนั้นอีกแล้ว ผมยอมไม่ได้เด็ดขาด เขาเป็นของผมแล้ว จะให้เขาไปต้องมือชายอื่นได้อย่างไร ผมตัดสินใจจะเปิดอกคุยกันเพื่อกำหนดความสัมพันธ์ให้แน่ชัด

แต่แล้ว...มันก็พังไม่เป็นท่า

รอสต่อต้านผม

ให้ตายสิ...ทำไมคราวนี้รูปร่างหน้าตาฐานะที่ล่อตาล่อใจผู้คนรอบข้างผมไม่ว่าจะสาวน้อยสาวใหญ่ถึงใช้ไม่ได้ผล ผมโมโหมาก โกรธจนแทบจะคุมตัวเองไม่อยู่ แต่อารมณ์โทสะของผมก็ต้องมลายหายไปเมื่อเขาย้ำถึงหน้าที่ของผม...มันกลับมาตอกย้ำผมอีกครั้ง

นั่นสิ...ถ้าผมคบหากับเขาแล้วจะยังไงต่อล่ะ เมื่อผมต้องกลับไปสืบสกุล ผมก็ต้องทิ้งเขาไป ใครจะอยากมีความสัมพันธ์แบบนั้น...กับผม

ผมตัดสินใจปล่อยเขาไป ยกเลิกพันธะสัญญาให้เขาเป็นอิสระ...ให้เขาเดินจากไป

“แบบนี้แหละดีแล้ว” ผมกล้ำกลืนบอกตนเองระหว่างจูงฟรีดหาที่พัก

มันช่างเจ็บปวด เจ็บปวดยิ่งกว่าบาดแผลไหนๆที่เคยได้รับ หัวใจของผมแหลกสลาย ไม่เคยมีครั้งไหนที่นึกเกลียดชาติตระกูลของตนเองเลยจนกระทั่งครั้งนี้ ความปวดร้าวที่กลางอกมันแสนสาหัสจนผมไม่อาจตั้งสมาธิให้กับการเดินทางได้ สุดท้ายจึงต้องหันไปหวังพึ่งยาที่ช่วยบรรเทาความปวดร้าวนี้ นั่นคือสุรา ผมยกดื่มแก้วแล้วดื่มเล่าหวังให้ความเจ็บปวดมันหายไป ให้ลืมเลือนภาพของรอสไปเลยได้ยิ่งดี คืนนั้นผมไม่สนใจใครรอบข้างจนเมาหลับไป

แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังฝันถึงเขา

“อย่าไปเลยนะ” ผมตะโกนเรียกเขาสุดเสียงแล้วดึงมากอดไว้แน่น ผมไม่อยากให้เขาจากไปเลย

ผมตื่นขึ้นมาด้วยความมึนหัว จำอะไรไม่ค่อยได้เท่าไหร่ และต้องก็ตกใจเมื่อรอสเดินออกมาจากห้องน้ำ...ในสภาพหมิ่นเหม่
ราวกับว่าฝันเป็นจริง...เขากลับมาหาผม ผมแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง...รีบสำรวจใต้ผ้าห่มเพื่อดูว่าเสื้อผ้าอยู่ครบดี ผมไม่ได้ทำอะไรเขาอีกใช่ไหม

 “เห็นบอกว่าอยากจะคุย ตอนนี้ข้าอารมณ์เย็นลงแล้ว มีอะไรก็ว่ามา”

<เรามาคบกันเถอะนะ ข้ารักเจ้านะ ข้าอยากจะปกป้อง อยากจะดูแลเจ้า อยากจะเป็นคนสำคัญของเจ้า อยากให้อยู่เคียงข้าง อยากให้อยู่ด้วยกันแบบนี้ อยากจะ...ๆๆๆ>

“ขอโทษที่ไปล้ำเส้นของเจ้าทั้งๆที่สถานะของข้าเองไม่ควรจะทำอะไรแบบนั้น...ไม่ควรไปพูดอะไรแบบนั้น” ผมไม่สามารถพูดสิ่งที่ปรารถนาออกมาได้ แค่เมื่อวานก็แย่พอแล้ว...ขืนพูดสิ่งที่ต้องการออกไป...มีหวังเขาได้เตลิดไปอีก

<ขอแค่ได้อยู่ด้วยอีกสักนิดก็ยังดี>

แค่เขากลับมาผมก็ดีใจจะแย่แล้ว หัวใจของผมพองโตอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สุขยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ยิ่งตอนที่รู้ว่าเขาไม่ได้ไปนอนกับใครมายิ่งทำให้ผมดีใจจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่…รู้แบบนี้จะตรีตราฝังรอยไปทั้งตัวเลย..คอยดู

“รักอย่างนั้นนะเหรอ...” ผมพึมพำกับตนเองขณะก้มลงมองใบหน้าของคนในอ้อมแขน นิ้วมือเคลื่อนไปเกลี่ยแก้มร้อนของเขาอย่างทะนุถนอม

“นี่สินะความรู้สึกของการได้รักใครสักคน...” ผมจุมพิตหน้าผากของเขา จากนั้นก็หลับตาลงสู่ห้วงนิทราโดยมีคนที่ตนเองรักอยู่ในอ้อมแขน

ผมตัดสินใจแน่วแน่แล้ว...ผลการทดสอบครั้งนี้ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว...เมื่อเขาฟื้นขึ้นผมจะบอกความรู้สึกของผมให้เขาฟัง และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมก็ยินดีที่จะรับมัน

“นะ...น้ำ ขอน้ำหน่อย”

เสียงแหบพร่าของรอสปลุกผมตื่นขึ้นตอนรุ่งเช้า แสงตะวันยังไม่ขึ้นพ้นขอบฟ้า ผมรีบเอากระติกน้ำมาป้อนให้เขา

“ช้าๆ เดี๋ยวสำลัก” ในที่สุดคนรักของผมก็ฟื้นแล้ว...

ปล. สรุปความรู้สึก 20+ ตอน รวมไว้ในตอนเดียวนี่เหนื่อยใช้ได้เลยแฮะ 555
ปล2. น้องฟื้นกลับมาแล้วนะครับ เดี๋ยวมารอดูกันว่าตาเร็กซ์ของเราจะทำยังไงต่อ

ออฟไลน์ PsychePie

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
จริงๆ แล้วนายเรกซ์ไม่ใช่คุณชายไร้น้ำยา/ตายด้าน แค่ยังไม่เจอคนที่สปาร์กแค่นั้นเองงงงงง

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ shiroinu

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
ว้าย ตาย แล้วววว :hao7: :-[ แหมๆ เร็กส์จ้ะ ลูกชนมันไม่ได้ ก็เล่นลูกล่อ แล้วค่อยชนสิจ๊ะ แหมๆ รีบๆจับให้ได้นะ

ตอนนี้สั้นจังเลยอยากอ่านต่อยาวๆ :call: มาต่อบ่อยๆนะคะ สนุกมากกกก :3123:

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด