จบแล้ว-(Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.พิเศษ2)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: จบแล้ว-(Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.พิเศษ2)  (อ่าน 47049 ครั้ง)

ออฟไลน์ Nocto

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ฝั่งเร็กซ์เคลียร์หมดทุกอย่างละ เหลือแต่ฝั่งรอส คุณพี่กำลังเดินทางมาสินะ จะจ๊ะเอ๋กันไหมนะ?

 :pig4:

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ KPMwolf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ตอนต่อไปขอเวลาหน่อยนะครับ เป็นช่วงที่ยากพอสมควรเลยสำหรับผม
เพราะบิ้วมาหลายตอนละอยากจะให้มันดีและกินใจ ขอเวลาใส่รายละเอียดสักหน่อยครับ

อิอิ พี่ๆ จะมาตามกลับบ้านแล้วนะน้องหนู
oath keeper จะกลายเป็นดาบช่างจ้อไหม 555555

น้องยังไม่รู้ตัวว่าโดนพี่ๆเตรียมมาจับตัวแสบกลับบ้านแล้ว

งานพี่ชายตามน้องกลับบ้านก็มา น้องปลดผนึกไปแล้วก็หนีลำบากแล้วซินะ  :pig4:

ตัวแสบต้องโดนจับไปตีก้น

ยาวจุใจแต่ท้ายตอนก็ค้างเหมือนเดิม 5555

ในที่สุดคุณอัศวินก็รู้ใจตัวเองชัดเจนซักที

 :pig4:

แหง่ว มันต่อเนื่องตลอดตัดตอนยากมากกกกก

หลังจากนี้ทั้งเร็กส์และรอสจะจัดการกับตระกูลของตัวเองยังไงนะ?

ขอให้รอสหายเร็วๆ ดูท่าคงทรมาณน่าดู เวทมนต์ตีกลับ

 :pig4:

ฝั่งเร็กซ์เคลียร์หมดทุกอย่างละ เหลือแต่ฝั่งรอส คุณพี่กำลังเดินทางมาสินะ จะจ๊ะเอ๋กันไหมนะ?

 :pig4:

อยากตอบมากกก แต่กลัวสปอย

มาแล้วววว :heaven ทำไมตระกูลประกาศว่ารอสตายล่ะ หรือผู้นำตระกูลโกรธเลยทำเหมือนตายไปเลยยังงี้หรอ :m28: รอสองคนนี้เค้ามุ้งมิ้งกัน สู้ๆนะเร็กซ์คุณชายไร้น้ำยา :hao7:

เดี๋ยวเล่าตอนเปิดประวัติน้องครับ

จริงๆ แล้วนายเรกซ์ไม่ใช่คุณชายไร้น้ำยา/ตายด้าน แค่ยังไม่เจอคนที่สปาร์กแค่นั้นเองงงงงง

เป็นคำพูดที่โดนใจมาก ตรงเร็กซ์มากๆ ผมยังไม่สามารถหาคำบรรยายได้สั้นๆตรงๆขนาดนี้เลย 555

ว้าย ตาย แล้วววว :hao7: :-[ แหมๆ เร็กส์จ้ะ ลูกชนมันไม่ได้ ก็เล่นลูกล่อ แล้วค่อยชนสิจ๊ะ แหมๆ รีบๆจับให้ได้นะ

ตอนนี้สั้นจังเลยอยากอ่านต่อยาวๆ :call: มาต่อบ่อยๆนะคะ สนุกมากกกก :3123:

อัศวินไม่มีลูกล่อ ต้องปะทะตรงๆเท่านั้น 555

ออฟไลน์ KPMwolf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Chapter 28 Confession

ตึกๆๆ

เสียงฝีเท้าระรัวอย่างรีบร้อนดังท่ามกลางป่าที่เต็มไปด้วยหนองบึง ท้องฟ้ามืดสนิทมีเพียงแสงดาวและดวงจันทร์ช่วยนำทาง

“แฮ่กๆ”

เด็กชายผมสีน้ำตาลหายใจหอบเหนื่อยเพราะออกวิ่งหอบสัมภาระมากมายมาได้สักพักแล้ว ขาเรียวยาวกำลังพาร่างผอมบอบบางที่แบกน้ำหนักเกินตัววิ่งฝ่าพงไม้ลึกเข้าไปในป่า ห่างออกจากแสงไฟของแคมป์ที่พักนักเรียนไปทุกทีๆ

“น่าจะแถวๆนี้ล่ะ” เขาพึมพำกับตนเอง สายตาสอดส่องหาอะไรบางอย่าง

“นั่นไง” เขาพบแล้ว เด็กชายวิ่งตรงไปที่หนองน้ำขนาดใหญ่กว้างพอๆกับสนามกีฬา มีต้นไม้สภาพหงิกงอและพงหญ้าเตี้ยๆขึ้นอยู่ล้อมรอบ น้ำสีเขียวอื๋อเต็มไปด้วยจอกแหนและตะไคร่น้ำ ฟองเขียวๆบวมปูดแล้วแตกออกจากผิวน้ำเป็นระยะ

“บทแห่งสายฟ้าที่ 1 Spark” กระแสไฟฟ้าแล่นปร้าบไปทั่วฝ่ามือขวาของเขา มือข้างนั้นจุ่มลงน้ำสีเขียว กระแสไฟสีฟ้ากระจายออกเป็นวงกว้าง เด็กชายยกมือออกมาสะบัดคราบเขียวๆออกด้วยความรังเกียจ

“ไหนขอดูหน้าตาเจ้าแห่งบึงชัดๆหน่อยซิ” เขาพูดออกมาพร้อมทั้งสังเกตฟองเขียวๆเหล่านั้นหายไป ผิวน้ำสั่นไหวเป็นระลอกๆ
ซู่ห์

“ตัวใหญ่ใช้ได้นี่” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงติดตลกให้กับเจ้าอสูรที่โผล่ขึ้นมาจากบึงกว้างนั้น รูปร่างมันเหมือนจระเข้ขนาดใหญ่ ใหญ่พอๆกับกระท่อมหลังหนึ่ง บนหลังมีหนายาวแหลมคม เกล็ดสีน้ำตาลเปื้อนคราบเขียวๆสะท้อนแสงจันทร์เป็นมันวาว ดวงตาสีอำพันจับจ้องผู้มารบกวนการนอนของมัน

“เข้ามาเลย อาหารของเจ้าอยู่นี่แล้ว” เด็กชายอ้าแขนออกแล้วกล่าวอย่างท้าทาย

“ก๊าซ” อสูรนามเจ้าแห่งบึงไม่รอช้าอ้าปากที่พอจะกลืนม้าทั้งตัวได้ในคราเดียวออกกว้างแล้วกระโจนแหวกผืนน้ำเข้าใส่ผู้บุกรุกทันที

....................................................

“เฮือก” ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยคอแห้งผาก รู้สึกมึนหัวไปหมด แต่ก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ข้างตัว

“นะ...น้ำ ขอน้ำหน่อย” ผมกล่าวออกมาด้วยเสียงแหบพร่า ขณะเอาศีรษะหนุนหมอนแน่นๆหนาๆไว้

หมอนที่ผมหนุนอิงขยับขยุกขยิกอยู่สักพักก่อนจะมีบางอย่างมาจ่อไว้ที่ปากของผม มันคือกระติกน้ำ

“อึกๆๆ” ผมรีบคว้ามันไว้แล้วดื่มของเหลวภายในด้วยความรีบร้อน

“ช้าๆ เดี๋ยวสำลัก” เสียงทุ้มเอ็ดผมเบาๆพร้อมแรงดึงยึดกระติกออกห่าง

“ระ...เร็กซ์” ผมพยายามตั้งสติและหรี่ตาเพื่อปรับสายตาให้ชินกับความมืดสลัวๆ

“เกิดอะไรขึ้น ที่นี่ที่ไหน” ผมถามต่อแล้วเริ่มสำรวจรอบๆ ความอบอุ่นนั้นคือเร็กซ์นั่นเอง เขานั่งขัดสมาธิโดยมีผมอยู่บนตัก นอนเอาหัวซบอกเปลือยเปล่าของเขาไว้

“หะ” ผมสะดุ้งอีกครั้งแล้วพยายามดีดตัวออกมา แต่ก็ไม่ได้ผลวงแขนแกร่งกระชับกอดแน่นขึ้นให้ผมกลับไปอิงอกเขาอย่างเดิม

“อยู่ในวิหาร ที่นี่ปลอดภัย อยู่นิ่งๆ อย่าดิ้น” มันตอบเสียงดุ เรี่ยวแรงผมยังไม่ฟื้นกลับมาทำให้ผมต้องยอมทำตามอย่างว่าง่าย

“ข้านึกว่าข้าตายไปแล้วซะอีก” ความทรงจำสุดท้ายคือความเจ็บปวดจนชาจากการตีกลับของกระแสเวทย์ในร่างกาย ผมฝืนใช้มันมากเกินไปขนาดนั้นผมน่าจะไม่รอด

“เจ้าปลอดภัยแล้ว รอส เวทมนต์ของวิหารนี้ช่วยเจ้าไว้” น้ำเสียงของเขาช่างเปี่ยมไปด้วยความห่วงใย เขาเริ่มคลายแรงกอดรัดลงแล้วเอาคางไม่เกยหัวผมไว้ “ข้าเป็นห่วงเจ้าแทบแย่ เกิดอะไรขึ้น”

“กระแสเวทมนต์ตีกลับน่ะ”

“ข้ารู้แล้ว แต่มันเกิดขึ้นได้ยังไง ทำไมจู่ๆเจ้าถึงใช้เวทมนต์ออกมาได้” เจ้าอัศวินถามด้วยน้ำเสียงคาดคั้น

“...” ผมไม่ตอบอะไร ไม่รู้จะเริ่มยังไงดี ได้แต่ก้มลงมองตราสัญลักษณ์รูปมังกรที่หลังมือขวาเงียบๆแบบนั้น

“...” แม้เขาจะไม่พูดอะไรต่อ ผมก็สัมผัสได้ถึงสายตาคาดคั้นคำตอบของเขาจับจ้องอยู่

“เฮ้อ...” ผมถอนหายใจออกมาเพื่อรวบรวมความกล้าก่อนจะผละตัวจากอกของเขาเพื่อมองดวงตาสีดำคู่นั้น แล้วเริ่มเล่าความจริง...ความจริงของชาติตระกูลของผม

“ชื่อที่แท้จริงของข้า...คือวารอส เดรโกนัส บุตรชายคนที่สามของตระกูลจอมเวทย์ผู้ถือตรามังกร” ดวงตาของเขาเบิกกว้างเมื่อได้ยินคำตอบ

“เป็นไปไม่ได้ ลูกคนที่สามของเดรโกนัสตายไปแล้วเมื่อ 6 ปีก่อนเพราะ...”

“เพราะหลงเข้าไปในป่าแล้วโดนเจ้าแห่งบึงจับกิน” ผมพูดแทรกแล้วแค่นเสียงหัวเราะออกมา “หึหึ เจ๋งใช่มั้ยล่า ตบตาคนมากมายว่าตายไปแล้วได้น่ะ”

“หมายความว่ายังไง” เร็กซ์ไม่ขำไปด้วยกับผม

“ข้าจงใจไปหาเจ้าแห่งบึงแล้วทำว่าโดนมันลากไปกินในน้ำเพื่อให้ทุกคนคิดว่าข้าตายไปแล้ว จะได้ไม่ต้องออกมาตามหาข้าอีก ข้าจะได้ออกมามีชีวิตอิสระของตัวเองสักที”

“ทำไมล่ะ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องพลังเวทย์”

“ก็ถ้าแกล้งว่าตายไปแล้วแต่คนในครอบครัวยังสัมผัสพลังเวทย์ได้อยู่ แผนการก็พังน่ะสิ ข้าเลยจำเป็นต้องผนึกพลังเวทย์ตัวเองให้ปลดปล่อยออกมาน้อยที่สุด แล้วหวังเอาตัวรอดด้วยอุปกรณ์เวทมนต์แทน”

“เจ้ายอมผนึกพลังเวทย์ในตัวเลยเหรอ นั่นมันความภาคภูมิใจของตระกูลเจ้าเลยนะ ทำไมกันล่ะ” น้ำเสียงและท่าทางของเขาเหมือนไม่เชื่อ

“หึหึ ข้อแลกเปลี่ยนราคาแพงเพื่ออิสระน่ะ”

ตระกูลเดรโกนัส ตระกูลของจอมเวทย์ผู้เป็นหัวหอกหลักของสภาเวทมนต์ของอาณาจักร เป็นตระกูลที่เคร่งครัดเสมอเรื่องการฝึกฝนตนเอง นอกจากจะให้เป็นเลิศกว่าใครแล้ว ยังเพื่อใช้ช่วยเหลือผู้คนที่ยากลำบากด้วย เสียสละช่วยเหลือจนลืมสิ่งสำคัญไป ความสำคัญของคนในครอบครัว

บ้านของผมเคยเป็นครอบครัวที่แสนสุข มีพ่อผู้อบอุ่นคอยดูแล แม่ผู้ใจดีคอยเอาใจใส่ พี่ชายผู้แสนดีทั้งสองคนคอยช่วยเหลือ มันเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ แม้ว่าจะต้องฝึกเวทมนต์อย่างหนักตั้งแต่อายุน้อยผมก็ไม่เคยบ่น ตราบใดที่ครอบครัวของผมอยู่เคียงข้าง แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไป...เมื่อท่านแม่จากไป

ท่านแม่เจ็บออดๆแอดๆตั้งแต่ให้กำเนิดผม เคยได้ยินคนซุบซิบกันว่าตอนที่คลอดผมมีปัญหาทำให้แม่สูญเสียพลังเวทย์ไปมาก สมดุลในร่างกายเสียไปอย่างถาวรทำให้ร่างกายอ่อนแอลงเรื่อยๆ จนผมอายุ 8 ปีท่านก็จากไป

หลังจากนั้นท่านพ่อผู้อบอุ่นก็กลายเป็นคนเย็นชา เอาแต่เก็บตัว หรือไม่ก็ออกเดินทางไปราชการตามสถานที่ห่างไกลจนแทบจะไม่ได้เห็นหน้า ไม่สนใจลูกๆอีกต่อไป ขอแค่ไม่ไปทำให้เสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูลก็พอ ครอบครัวอันแสนอบอุ่นของผมค่อยๆพังลงช้าๆ ความอบอุ่นเดียวที่ยังเหลืออยู่คือพี่ชายทั้งสอง

วาเรเรี่ยนกับวาเรนเอ็นดูและช่วยเหลือผมมาตลอด พี่ทั้งสองคนรักผมมาก มีปัญหาเรื่องการฝึกฝนอะไรพี่ก็ช่วยติวให้ คอยอยู่เป็นเพื่อนเล่นเพื่อนคุยให้ตลอด ยิ่งหลังจากที่ท่านแม่เสียไปพวกเรายิ่งรักกันมากขึ้นเพราะต้องคอยดูแลกันเอง

ในบรรดาสามพี่น้องมีผมนี่แหละที่ดื้อด้าน นอกคอกที่สุด ตั้งแต่เด็กก็อยากเป็นอัศวินเพราะฟังนิทานอัศวินผู้กล้าช่วยเหลือเจ้าหญิงจากแม่มดใจร้าย คลายคำสาปด้วยสัมผัสแห่งรักแท้ ตอนเด็กๆก็คิดว่าคงเป็นจุมพิต แต่พอโตขึ้นก็คิดว่าน่าจะเป็นสัมผัสอื่นแทนมากกว่า ฮ่าๆ

พอโตมาสัก 9 ขวบก็อยากเป็นนักประดิษฐ์ เอาเวลาว่างไปศึกษาอักษรรูนเพื่อประดิษฐ์และดัดแปลงอุปกรณ์เวทมนต์ ผลงานชิ้นโบแดงของผมคือถุงมือเวทที่ใช้อยู่ทุกวันนี้นี่ล่ะ ประสิทธิภาพไม่เท่าไหร่แต่ก็ใช้การได้ จนโดนพ่อเรียกไปดุว่าทำไมไม่ตั้งใจฝึกเวทมนต์อย่างที่ควรจะทำ

<ก็มันไม่สนุกนี่ ทำอะไรพวกนี้มันสนุกกว่าเยอะเลย> ผมได้แต่คิดในใจต่อหน้าสายตาอันเย็นเฉียบของท่านพ่อ อีกอย่างผมก็ไม่ได้ละทิ้งการฝึกทั้งหมดสักหน่อย พยายามผ่านเกณฑ์ที่ตั้งไว้จนหมด แล้วก็เจียดเวลามาทำสิ่งที่ชอบ

พอโดนสั่งห้ามก็เลยต้องเอาเวลาว่างๆเข้าห้องสมุด หนังสือที่เตะตาที่สุดคือสารานุกรมมอนสเตอร์ มันน่าสนใจและน่าตื่นเต้น มอนสเตอร์นานาพันธ์ทั้งดุร้าย ทั้งรักสงบ บ้างก็สวยงาม บ้างก็น่าเกรงขาม จนอยากจะออกไปผจญภัยให้เห็นกับตาตนเองว่าจะมีอะไรยิ่งใหญ่กว่ามังกรของพ่อที่เลี้ยงไว้รึเปล่า แต่ทำยังไงได้ ในเมื่อครอบครัวกำหนดเส้นทางนักเวทย์ให้กับเราแล้ว คงได้แต่อดทนเท่านั้น อดทนโดยมีพี่ๆทั้งสองเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ

จนกระทั่งวันที่พี่วาเรเรี่ยนอายุ 15 ปี ตอนนั้นผมอายุประมาณ 10 ขวบ เป็นวันที่ท่านพี่เข้าพิธีรับสัญลักษณ์ชำนาญการ (Mark of mastery) ตามขนบธรรมเนียมของตระกูล หากว่าการปลดอุปกรณ์กำจัดพลังเวทย์เป็นตื่นของพลังครั้งแรก สัญลักษณ์นี้คือการตื่นของพลังครั้งที่สอง สัญลักษณ์มังกรจะเปลี่ยนไปเพื่อแสดงตัวตนของนักเวทย์คนนั้นว่าเหมาะกับพลังธาตุไหน อาจจะเป็นธาตุพื้นฐานทั้ง 5 ดิน น้ำ ลม ไฟ สายฟ้า หรืออาจจะเป็นธาตุพิเศษหายาก นั่นคือแสงหรือความมืดก็ได้

ทว่ามันไม่ใช่สัญลักษณ์ที่บอกว่าคนๆนั้นถนัดธาตุไหนอยู่ แต่เป็นสัญลักษณ์ที่สั่งให้คนๆนั้นไปถนัดธาตุที่ได้รับต่างหาก ไม่สามารถเลือกตามความชอบได้ ถูกกำหนดให้เรียนรู้โดยไม่เต็มใจ บ้างก็ว่ามันเกี่ยวข้องกับลักษณ์ธาตุประจำตัวตั้งแต่เกิด บ้างก็ว่ามันเกี่ยวกับนิสัย อย่างพี่ใหญ่ได้สัญลักษณ์ธาตุไฟตามบุคลิกหัวร้อนของเขาก็สมเหตุสมผลดี แต่กับพี่รองที่เข้าพิธีในปีต่อมาได้ธาตุแสงเนี่ยนะ พี่วาเรนเจ้าเล่ห์จะตาย ถ้าได้ธาตุมืดก็ว่าไปอย่าง

ถัดจากนั้นเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากของผม ท่านพี่ทั้งสองจากผมไปศึกษาต่อตามสัญลักษณ์ที่ตนได้รับ พวกเขาเดินทางไปยังหอคอยธาตุที่ตั้งกระจายอยู่ทั่วอาณาจักรเพื่อฝึกความชำนาญของธาตุนั้นๆ

ผมเหงามาก บ้านหลังใหญ่โตที่เคยเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของเด็กชายสามคนเงียบสงัดจนน่าใจหาย จดหมายที่เขียนถึงกันก็ถี่น้อยลงๆจนขาดจากกันไป ผมโดนอาจารย์พิเศษจับฝึกฝนเวทมนต์อย่างหนักโดยไร้คนในครอบครัวนำทาง แม้จะมีเพื่อนๆในชั้นเรียนอยู่แต่ก็ไม่อาจเติมเต็มสิ่งที่หายไปได้

และเมื่อผมย่างเข้า 12 ปี ฟางเส้นสุดท้ายของผมก็ขาดลง...

พี่วาเรเรี่ยนสำเร็จการศึกษาด้วยระยะเวลาที่รวดเร็วกว่าคนทั่วไป ผมดีใจจนเนื้อเต้นเมื่อรู้ว่าเขากำลังจะกลับมาบ้าน ผมจะได้ไม่เหงาเสียที

แต่แล้ว...ผมก็คิดผิด

พี่ใหญ่เปลี่ยนไป เขากลายเป็นคนเยือกเย็นแบบท่านพ่อ เจอหน้ากันวันแรกก็แค่ลูบหัว ยิ้มให้ ทักทายกันนิดหน่อยแล้วก็แยกตัวไป หลังจากนั้นก็ออกไปทำภารกิจบ่อยจนแทบไม่เห็นหน้า หัวใจผมสลาย บ้านหลังนี้ไม่เหลือความอบอุ่นใดๆแล้ว...

หากว่าขนบธรรมเนียมของบ้านทำให้คนในครอบครัวเป็นแบบนี้ผมก็ไม่ต้องการมันแล้ว ผมไม่อยากเดินตามเส้นทางของบ้านนี้อีกแล้ว ผมกลัว...กลัวว่าหากถึงวันที่ผมรับสัญลักษณ์ชำนาญการบ้างแล้วล่ะก็...ผมอาจจะกลายเป็นคนเย็นชาแบบพวกเขา ผมจึงตัดสินใจแน่วแน่ว่าผมจะขอเลือกเส้นทางชีวิตของตนเอง

ผมใช้เวลาวางแผนเตรียมการอยู่พักนึง ทั้งขุดความรู้เก่าเรื่องรูนมาดัดแปลงอุปกรณ์จำกัดพลังเวทย์ และปรับแต่งถุงมือเวท จนในที่สุดทุกอย่างก็พร้อม ผมเลือกวันที่ทางโรงเรียนพาไปทัศนะศึกษาศูนย์วิจัยสัตว์อสูรทางตอนเหนือ แอบหนีออกมาตอนกลางคืนไปหาจ้าวแห่งบึงที่อยู่ไม่ไกล โยนข้าวของกระจัดกระจายทำว่าโดนมันจับกิน แล้วปิดผนึกพลังเวทของตนเอง

“เป็นอิสระแล้ว จะได้ออกไปเห็นโลกกว้างแล้ว” ตอนนั้นผมคิดแบบนั้น...แล้วก็ต้องมานึกเสียใจภายหลัง เพราะเพียงแค่ 3 วันผมก็จะไม่รอดแล้ว เกือบจะได้เป็นอาหารสัตว์ป่าจริงๆซะแล้ว แต่โชคชะตาก็ช่วยผมไว้ด้วยการส่งอาจารย์ซิดมาให้ และนั่นคือจุดเริ่มต้นชีวิตผจญภัยของผม ชีวิตอันแสนสุขของผม

“ออกมาตัวคนเดียวตั้งแต่ 12 มันไม่บ้าบิ่นเกินไปเหรอ” เจ้าอัศวินว่าเสียงดุ

“ก็คิดอยู่บ้าง แต่จะรอจนรับสัญลักษณ์แล้วคงไม่ไหว เพราะพลังเวทย์จะแกร่งกล้าจนปิดผนึกไม่ได้...ด้วยความรู้เท่าที่มีตอนนั้นอ่ะนะ” ผมตอบกลับไปตามตรง ผมยอมรับว่าถ้าเตรียมการหรือศึกษารูนให้ดีกว่านี้ก่อนอาจจะดีกว่า แต่มันทำไปแล้วคงแก้อะไรไม่ได้

“แล้วเจ้าไม่คิดถึงคนในครอบครัวบ้างเหรอ”

“ก็นิดหน่อย แต่คงเป็นครอบครัวในอดีตที่อบอุ่นมากกว่า” ผมไหวไหล่ตอบกลับไปก่อนจะกลับไปขดตัวซุกขอความอบอุ่นจากเร็กซ์ อากาศยามเช้ามืดมันหนาวนี่หว่า

“เจ้าเป็นเดรโกนัส ทำไมถึงช่วยข้าล่ะ ตระกูลเจ้าก็อยู่ในการคัดเลือกด้วย”

“เดรโกนัสนอกคอกแบบข้าไม่สนใจเรื่องพรรค์นี้หรอก”

“แต่เจ้าเกือบตายเพื่อข้าเลยนะ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเสียสละเพื่อข้าขนาดนั้น” คำถามของเขาทำให้ผมเริ่มคิด ทำไมกันนะเราถึงยอมขนาดนั้น

“ไม่รู้สิ...แค่...ไม่อยากเห็นเจ้าตาย” ถ้ารู้ว่าช่วยได้แต่ละเลย จะเรียกตนเองเป็นมนุษย์ได้ยังไง “อีกอย่างคือไม่รู้ว่าจะเจ็บเองหนักขนาดนี้ด้วย ฮ่าๆๆ” พยายามพูดให้ตลกกลบเกลื่อน

“...” อัศวินหนุ่มไม่ตอบอะไรนอกจากกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ส่งผ่านความอบอุ่นมาให้

“นี่ข้าสลบไปนานเท่าไหร่เนี่ย” พึ่งเอะใจได้ว่าเรามีเวลาอยู่ในป่าจำกัด

“คืนนึง”

“หา!!!” ผมพยายามจะลุกขึ้น “ถ้าไม่ออกไปวันนี้ล่ะก็เราติดอยู่ในนี้อีกนานแน่ๆ”

“ร่างกายเจ้ายังไม่ฟื้นดี ออกไปตอนนี้จะอันตราย” เขารวบเอวผมให้ลงไปนั่งตักเหมือนเดิม

“ตะ...แต่ แล้วเควสของเจ้าล่ะ...ถ้าไม่ออกไปตอนนี้จะกลับไปไม่ทันนะ”

“เรื่องนั้นไม่สำคัญแล้วล่ะ ข้ายอมติดอยู่ในนี้ดีกว่าให้เจ้าต้องออกไปเสี่ยงอีก สำหรับข้า...ตอนนี้เจ้าสำคัญที่สุด” คำตอบของเร็กซ์ทำให้ผมใจกระตุก แต่ไม่ใช่ผมคนเดียว ผมสัมผัสได้ถึงแรงเต้นของหัวใจของอีกฝ่ายผ่านความแนบชิด มันเต้นระรัวจนแทบจะระเบิดออกมาจากอกของเขา

“รอส” เสียงเรียกอันแผ่วเบาของเขาทำให้หัวใจผมเต้นแรงขึ้นมาอย่างประหลาด ผมเงยขึ้นไปพบดวงตาสีดำสนิทของเขาจับจ้องผสานกับดวงตาสีน้ำตาลแดงของผม มันเปี่ยมไปด้วยความแน่วแน่จริงจัง...จนผมเริ่มรู้สึกอึดอัด

“การได้เดินทางร่วมกับเจ้าทำให้ข้าคิดได้...” เขาหยุดเว้นจังหวะ

“เอาเลยนายท่าน พูดเลย” จู่ๆโอทห์คีปเปอร์ก็สว่างขึ้นมาพร้อมส่งเสียงกังวานจนผมสะดุ้ง

“ด...ดาบเจ้า...พ...พูดได้” ผมตกใจจนเสียงตะกุกตะกัก ขัดกับคนตรงหน้าที่ทำหน้าหงุดหงิด เร็กซ์โยนเศษผ้าไปคลุมดาบไว้ด้วยความรำคาญ “ตอนสลบไป ข้าพลาดอะไรไปรึเปล่า”

“เรื่องมันยาว อย่าพึ่งใส่ใจ” เขาพลิกตัวผมมานั่งประจันหน้า สองมือยกมากอบกุมมือของผมเอาไว้แน่นจนรู้สึกได้ถึงความชื้นเปียก เขากำลังตื่นเต้น


ออฟไลน์ KPMwolf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
28.2

“อะแฮ่ม” สายตาเริ่มลอกแลกด้วยความประหม่าก่อนจะกลับมาจ้องดวงตาของผมอีกครั้ง

“มันทำให้ข้าคิดได้ว่าความปรารถนาที่แท้จริงของข้าคืออะไร...” ผมรู้สึกถึงแรงบีบคลึงเบาๆที่มือทั้งสอง

“...” หัวใจผมเต้นแรงขึ้น นี่หรือว่ามันกำลังจะ...

“ตั้งแต่เกิดมา...ข้าไม่เคยเจออะไรแบบเจ้ามาก่อน เจ้ามีจิตใจที่ดีและกล้าหาญ แต่ก็ทั้งดื้อด้าน ต่อปากต่อคำ ไม่ยอมคน และคิดแต่อะไรลามก”

“นี่ชมหรือด่า ฮะ!!!”

“แต่มันคือสิ่งที่ทำให้การเดินทางครั้งนี้ของข้าสนุกมาก สนุกอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน”

“...” ผมรู้สึกได้ว่าหน้าผมเริ่มแดงจนต้องเบือนหน้าหนี นี่ตรูกำลังเขินเหรอเนี่ย

“การได้อยู่กับเจ้าทำให้ข้าได้เรียนรู้สิ่งต่างๆมากมาย โดยเฉพาะความสุขของการได้มีใครสักคนอยู่เคียงข้าง คนที่ไว้ใจได้ คนที่ไม่ได้หวังอะไรตอบแทน คนที่อยากจะปกป้อง” เร็กซ์ดึงมือของผมไปไว้แนบอกเปลือยเปล่าของเขา มันร้อนมากและแรงเต้นหัวใจของเขาแรงมาก

“...”

“แต่ข้ากลับล้มเหลวเพราะเอาศักดิ์ศรีมาบังตาไว้...ข้าเกือบจะเสียเจ้าไป”

“...เร็กซ์”

“ยามที่คิดถึงการจากลามันทำให้ใจของข้าปวดร้าว ยามที่เกือบต้องสูญเสียเจ้าไปทำให้ใจของข้าแทบสลาย...มันทำให้ข้าคิดได้ว่าอะไรสำคัญที่สุด”

“...” หัวใจของผมพองโตจนรู้สึกคับแน่นอก ไม่เคยมีใครพูดแบบนี้กับผมมาก่อน

“สำหรับข้าแล้ว...ตอนนี้...วินาทีนี้ ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าเจ้าอีกแล้ว ตำแหน่งรัชทายาทเทียบอะไรไม่ได้เลย...กับการได้มีเจ้าอยู่เคียงข้าง รอส...ไม่สิ วารอส...ข้ารั...อุบ” ไม่ทันให้เขาพูดจบผมก็พุ่งเข้าไปประกบริมฝีปากพูดมากคู่นั้น

เร็กซ์ผงะด้วยความตกใจก่อนที่จะตัวแข็งทื่อ ผมค่อยบดสลับดูดดุนริมฝีปากของเขาอย่างละเมียดละไม ก่อนจะถอนออกมา ดวงตาของเขาปิดสนิทและนิ่งไปราวกับตกอยู่ในภวังค์

“ทีหลังเริ่มที่จูบเลยก็ได้ ไม่ต้องร่ายยาว” เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ผมรู้ดีว่าเขาจะพูดอะไรและขอหยุดมันไว้ตรงนั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นคำที่ผมอยากได้ยินจากปากใครสักคนมาตลอด แต่นี่มันเร็วเกินไป...เร็วเกินไปสำหรับผม...

 “โหยนายท่าน แข็งทื่อแบบนั้นเขาไม่เรียกว่าจูบนะครับ” ดาบนั่นเริ่มพูดอีกแล้ว

“กรอด” คุณอัศวินกัดฟันกรอด ทำหน้าบูดแบบขีดสุดก่อนจะเอาผ้ามาห่อดาบไว้อย่างกระฟัดกระเฟียด

“นะ...นายท่านจะทำอะไรครับ”

“วี๊ด!!! ฟรีด เอาเจ้านี่ไปไกลๆที” เขาผิวปากเรียกม้าคู่ใจของตน มันโผล่หัวออกมาจากมุมทางเดินก่อนจะอ้าปากรับดาบเล่มนั้นไว้แล้วคาบเดินจากไปอย่างว่าง่าย

“ด...เดี๋ยว นายท่าน ช้าก่อน” สักพักเสียงโวยวายก็หายลับไป เหลือแต่เพียงเสียงหัวใจของคนสองคนที่กำลังนั่งประจันหน้ากันบนฟูกขาดๆ

“รอส ข้ารั...อุบ” สองมือโอบรอบคอเขาไว้ ผมประกบปากอีกครั้งเพื่อให้เขาเงียบลง แรงดูดดุนของผมมากขึ้นกว่าครั้งแรก และเขาเองก็เริ่มตอบสนองกลับมาแล้ว เป็นรสจูบที่เรียบง่าย ไม่หวือหวา แต่ก็มีเสียงจ๊วบจ๊าบเร้าอารมณ์

ผมสัมผัสได้ถึงแก่นร้อนระอุแทงหน้าขา ผมจึงปล่อยมือข้างหนึ่งลูบไล้ผ่านหน้าอกแกร่งของเขา มันกระเพื่อมไม่เป็นจังหวะ ลมหายใจของคนตรงหน้าเริ่มติดขัด ลากลงผ่านหน้าท้องที่เกร็งเพราะการสัมผัสของผมจนเป็นลอนเป็นลูก สุดท้ายจึงลากมือไปทักทายความแข็งขืนนั้นผ่านกางเกงผ้าเนื้อบาง

“อื้อ” เขาครางมือนิ้วเรียวสัมผัสปลายดาบประจำกายของเขาไว้

“รอส อย่าพึ่ง...เจ้ายังไม่หายดี” เสียงลมหายใจหนักๆช้าๆของเขาบ่งบอกว่าเขาพยายามระงับความร้อนรุ่มในกาย

“ข้าไหว” ผมตอบกลับไปด้วยยิ้มเจ้าเล่ห์ ร่างกายไม่ปวดแล้ว แค่แรงยังไม่กลับมาเต็มที่ ถ้าอีกฝ่ายไม่รุนแรงไปผมว่าน่าจะไหวนะ
“แต่ อ๊ะ...” ผมเอานิ้วกดปลายดาบลงแล้วปล่อยให้มันเด้งดึ๋งผงกหัว

“ปากแข็งจังเลยนะ คุณอัศวิน เจ้านี่มันผงกหัวตอบรับแล้วนะ หึหึ” ผมชันร่างตนเองขึ้นไปอยู่บนตักของเขาและออกแรงผลักให้หงายลงไป แต่เขายังคงขืนร่างของตนไว้ไม่ให้ล้มนอน

<เห้อ...แรงยังไม่พอแฮะ...ฝากไว้ก่อนเถอะ>

“ร...รอส” เสียงของเขาแหบพร่าด้วยไฟราคะ เขาพยายามฝืนไว้จนผมแอบขำในใจ ร่างกายออกอาการขนาดนั้นแล้วยังจะฝืนอีก

“ก็ถ้าเจ้าทะนุถนอมข้า ข้าก็ไม่เป็นอะไรหรอก จริงไหม” ว่าแล้วก็ประกบริมฝีปากกันอีกครั้ง เราสองต่างบดจูบเข้าหากันด้วยความต้องการกันและกัน มือสองของเขาโอบหลังผมดึงเข้าประชิดตัว ร่างร้อนกระตุกเมื่อผมสอดลิ้นเข้าไปกวาดในโพรงปากของอีกฝ่าย แต่ไม่ช้าก็ตอบโต้กลับได้จนลิ้นแทบจะพันเกี่ยวกัน

“เรียนรู้ไวดีนี่” ผมเอ่ยชม

“ก็เรียนด้วยการปฏิบัติจริงมันไวสุดนี่” โอ้โห...เริ่มต่อปากต่อคำแล้วสินะ เมื่อครู่ยังสะกดความต้องการตัวเองอยู่เลย ตอนนี้ท่ากลายเป็นราชสีห์เต็มตัวซะแล้ว

เขาเลื่อนมือมาโอบหลังคอผมแล้วดึงเข้าไปรับรสจูบอีกครั้ง

ร่างใหญ่ประคองผมให้นอนราบลงไป ผมยอมอย่างว่าง่าย ยอมรับว่าตอนแรกกะแค่ปิดปากเขาให้เงียบ แต่ตอนนี้บรรยากาศมันทำให้ห้วงอารมณ์ของผมเตลิดไปไกลแล้ว

ร่างกำยำดุจราชสีห์ล้มลงมาทาบทับผมไว้ มีเพียงเสื้อบางๆเท่านั้นที่กั้นผิวเนื้อของเราสอง มือสากหนาของเขาเลื่อนเข้าไปในชายเสื้อหลวมๆของผม มันลูบไล้ไปทั่วกายผมอย่างสะเปะสะปะ

“คิกๆ จั๊กจี้”

“ทำแบบนี้รู้สึกดีไหม ข้าอยากได้ยินเสียงของเจ้า อยากให้เจ้ามีความสุข” เป็นคำถามที่ทำให้ผมกลั้นหัวเราะแทบแย่ แต่ก็นะ...มือใหม่นี่

“ลองหาดูสิว่าข้าชอบให้จับตรงไหน” ผมยกยิ้มแล้วชูแขนสองข้างขึ้นเชื้อเชิญให้เขาถอดเสื้อผมออก

เมื่อได้รับอนุญาติ เสื้อผมหลุดออกไปอย่างไว เจ้าสิงโตใช้ริมฝีปากจู่โจมที่ซอกคอลากยาวไปจนถึงลาดไหล่ ทั้งดูดดุนและขบกัดเบาๆ มือทั้งสองลูบไล้สำรวจร่างผมตั้งแต่ไหปลาร้าลงไปถึงสะโพก กลางอกจนถึงกลางหลัง เขาสำรวจมันราวกับเด็กที่กำลังอยากรู้อยากเห็น

“ซี้ด~” ผมส่งเสียงเมื่อเขาสัมผัสจุดอ่อนที่คอและอกของผม มือผมเองก็ลูบไล้สีข้างและแผ่นหลังกว้างของเขา แอบสอดมือผ่านกางเกงลงไปบีบบั้นท้าย อืม…แน่นเต็มมือดีจริงๆ

“ตรงนี้สินะ ง่ำ” เขาพึมพำก่อนขบกัดฝังรอยลงไปที่คอของผม

“อ๊า~” ผมหลับตาคราง แรงกัดนั้นช่างเสียวซ่าน ร่างกายแอ่นเกร็ง มือข้างหนึ่งขยุ้มผมสีดำสนิทของเขาไว้

ผมเพลิดเพลินไปกับการให้เขาได้เล่นกับร่างผมไปสักพัก จนเขาผละตัวออกไปพร้อมกับกางเกงของผม ร่างเจ้าสิงโตไร้อาภรณ์ใดๆกลับลงมาคร่อมผมอีกครั้ง ผมสบสายตาของเขาก่อนจะละไปมองอาวุธประจำกายที่กำลังชี้หน้าผมพร้อมฟันแทง
เร็กซ์หันไปคว้าขวดน้ำมันสมุนไพรและเปิดมันออกมาเทชโลมนิ้วมือของตน

“อื้อ” ผมส่งเสียงเล็ดออกจากลำคอเมื่อสัมผัสได้ถึงนิ้วเรียวกำลังสอดเข้าไปในช่องทางของผมช้าๆ เขาไม่ลืมที่จะเข้ามาคลอเคลียซุกไซร้ที่ซอกคอให้ผมผ่อนคลายขณะเตรียมการ การกระทำของเขามันช่างอบอุ่นและเต็มไปด้วยความห่วงใย จากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสาม ขยับเข้าออกไปมาช้าๆ

“เร็กซ์...พอแล้ว เอาเข้าได้มาเลย” เสียงของผมแหบแห้ง ร่างกายผมร้อนรุ่ม เรียวขายกขึ้นเกี่ยวกระวัดเอวหนา ผมต้องการได้รับการเติมเต็ม ผมต้องการเจ้าสิงโตตรงหน้า

“แน่นะ”

“แน่ดิ”

ฉึก!!!

“อึ๊ก” เขาละมือไปกอบกุมและชโลมดาบคู่กายของตนด้วยน้ำมันแล้วกดปลายเข้ามา มันใหญ่โต แข็งขึง และร้อนระอุจนผมสะท้าน ผมแหงนหน้าแอ่นตัวระบายความเสียวซ่านที่กำลังปะทุเข้ามา ดาบเล่มโตของเขาค่อยๆแทงเข้ามาในตัวผมช้าๆมีเสียงซี้ดซาดเป็นระยะ ผมต้องนับถือความใจเย็นของเร็กซ์มากที่ไม่กดพรวดมารวดเดียว

“ข้างในเจ้าร้อนมากเลย รอส ร้อนกว่าครั้งก่อนอีก” เสียงเขาแหบพร่า

 “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ” ผมเอ็ดเมื่อมองหน้าชายหนุ่มบนร่าง มันโคตร...เคร่งเครียด “เครื่องเคราเจ้าดี แต่ทำหน้าแบบนั้นคู่นอนก็อารมณ์หดได้นะ ฮ่าๆ” เขาเกร็งมาก เกร็งไปทั้งตัวจนลายกล้ามเนื้อปูดโปน ผมเองต้องช่วยให้ผ่อนคลายด้วยการวนนิ้วนวดบ่ากว้างนั้นเบาๆ

“ข้าไม่อยากทำเจ้าเจ็บ...แบบครั้งก่อน” เสียงเขาเบาลงที่ประโยคหลัง

“ปล่อยสบายๆ ไปตามสัญชาติญาณ” ผมขืนตัวขึ้นไปจูบ แรงดูดดุนที่ริมฝีปากทำให้เขาผ่อนคลายขึ้น

“ฮึก อื้ม” ผมสะดุ้งร้องเมื่ออาวุธของเขาเคลื่อนผ่านจุดกระสัน ราวกับกระแสไฟฟ้าไหลไปทั่วร่าง ไม่ช้าสะโพกของเร็กซ์ก็แนบไปกับส่วนท้ายของผม เขาเข้ามาจนสุดแล้วปล่อยคาไว้นิ่งๆ มันคับแน่นจนหายใจแทบไม่ออกแต่ก็สุขสันต์ เราสองคนประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน ผมรับรู้ๆได้แม้กระทั่งชีพจรของอีกฝ่ายเต้นเป็นจังหวะในร่างของผม

“ขยับละนะ”

“อื้อ” จังหวะจ้วงแทงของเขาเป็นไปอย่างช้าๆเนิบๆ ความรู้สึกว่างเปล่าสลับคับแน่นทำให้ผมตาลาย ราวกับกำลังลอยขึ้นฟ้าแล้วร่วงหล่นลงมาสลับไปมา มันไม่ได้เร่าร้อนรุนแรงแต่กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความทะนุถนอมรักใคร่

“อาห์ อื้ม รอส ข้างในเจ้าอ่อนนุ่มมาก ข้ารู้สึกดีมากเลย” สายตาหยาดเยิ้มของเจ้าสิงโตจ้องมองมาที่ผมราวกับจะกลืนกินผมทั้งตัว ร่างของผมโยกคลอนไปตามจังหวะขยับสะโพกของเขา

“ฮ...ฮึก ข...ข้าก็...ดี...อื้อ” ผมครางหอบเมื่อเขาเอามือมารูดรั้งแก่นกายของผมไปตามจังหวะของอีกฝ่าย มันรู้สึกดีอย่างไม่น่าเชื่อ

“ข้าชอบเสียงกับหน้าของเจ้าตอนนี้จัง” เร็กซ์เอามือมาเกลี่ยแก้มของผมเบาๆ อีกข้างกอบกุมเอวผมไว้แน่นแล้วยืดตัวตั้งตรงก่อนจะขยับต่อด้วยจังหวะที่เริ่มรุนแรงขึ้น เสียงหอบของเขาดังขึ้นกว่าเก่า

“อาห์...อื้อ” ผมได้แต่ครางตอบรับเขา มันดีกว่าที่คิดมาก โดยเฉพาะภาพตรงหน้า กล้ามเนื้อที่ได้รับการฝึกมาอย่างดี ทั้งอก ไหล่ แขนและหน้าท้องมีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆผุดเกาะผิวให้ดูมันวาว ใบหน้าอันหล่อเหล่าแหงนหน้ากัดริมฝีปากของตนเองด้วยความรัญจวน มันสวยงามเร้าอารมณ์จนผมเริ่มรูดรั้งตัวเองเพื่อจะปลดปล่อย

“ร...เร็กซ์ ข้าใกล้แล้ว”

“ข้าก็ใกล้แล้ว” สิ้นเสียงจังหวะร่ายรำดาบของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นความบ้าคลั่ง มันรวดเร็วรุนแรงจนหายใจไม่ทัน จุดกระสันได้รับการกระตุ้นต่อเนื่องจนผมเกือบจะแตะขอบฟ้า ผมชักรูโแก่นกายของตนเองไปตามจังหวะของอีกฝ่าย เสียงหอบครางของเราสองประสานไปกับเสียงเนื้อกระทบกันดังระงมไปทั่วห้อง

“เร็กซ์..ข้า..อ๊า” ในที่สุดผมก็ปลดปล่อย ของเหลวอุ่นไหลทะลักออกมาเปราะเปรื้อนหน้าท้องเนียนของผมไปหมด และไม่ช้าก็ถูกกดทับลงมาด้วยร่างของราชสีห์ที่เกร็งกระตุก

“ฮึก อื้อ ฮึก รอส...ข...ข้ารักเจ้านะ” เขาปล่อยตัวล้มลงมาฝังจมูกไว้ที่คอ กดอาวุธประจำกายเข้ามาจนสุด ปลดปล่อยหยาดน้ำแห่งความรักเข้ามาในร่างของผม มันอุ่นร้อนวาบไปหมด แรงกระตุกรุนแรงต่อเนื่องเป็นระลอกๆก่อนจะหยุดลง ทุกอย่างเงียบสงบเหลือแต่เสียงหอบเหนื่อย

“เจ้าเป็นของข้าคนเดียวแล้วนะ” เร็กซ์ถอนดาบออกแล้วจูบผมอีกครั้ง ผมตอบสนองด้วยการบดกลึงริมฝีปากของเขาเบาๆ

“เจ้าจะไม่บอกรักข้าบ้างเหรอ รอส” ใบหน้าของเขายังคลอเคลียอยู่ที่ใบหู เสียงของเขาแฝงไปด้วยความน้อยใจเล็กๆ

“ข้าก็...ชอบเจ้านะ” ขอโทษนะเร็กซ์ ผมคงให้ได้แค่เท่านี้ก่อน ผมยังไม่พร้อมจริงๆ

สายตาของเจ้าสิงโตมองต่ำลงด้วยความผิดหวังแต่ไม่ช้ามันก็แปรเป็นรอยยิ้มจางๆ “ได้เท่านี้ก่อนก็พอใจละ แต่ข้าจะทำให้เจ้าบอกรักข้าให้ได้เลย...คอยดู” เขากล่าวด้วยท่าทีหนักแน่น ก่อนจะลุกไปหยิบผ้ามาทำความสะอาดร่างกายของผมแล้วดึงไปนอนกอดไว้

<ข้าก็หวังเช่นนั้น ขอเวลาข้าอีกหน่อยนะ> ผมคิดในใจก่อนจะหลับตาลงสู่ห้วงนิทราในอ้อมกอดอันอบอุ่นของเร็กซ์ มันช่างอบอุ่นจนไม่อยากจากไปไหน แต่ก็น่าหวั่นเกรง...เกรงว่าถ้าติดความอบอุ่นนี้แล้วเมื่อต้องสูญเสียมันไป...ผมจะทำอย่างไร

...............................

ปล.เขียนยากมากกกก แต่ในที่สุดก็ปล่อยออกมาได้สักที ถึงจะยังไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ก็เถอะ
ขอบคุณทุกท่านที่อดทนรอนะครับ




ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
จากหลังเท้าเป็นฝ่ามือเลย อะไรจะพัฒนาไวปานนั้น  :hao7:

ออฟไลน์ shiroinu

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
 :m25: ทำดีมากเจ้าลูกสิงโตตตตต  :jul1: ในที่สุดลูกสิงโตก็กลายเป็นสิงโตหนุ่ม ออกล่ามังกรแล้ว  :mc4: :katai2-1: ดีใจมากเลย โฮะๆๆๆ

รอสแผนสูงมาก เบื้องหลังการหนีออกจากบ้านนี่เข้มข้นมาก บทพี่ชายออกมาแวบๆ แล้วคาแรคเตอร์ทำไมโดนใจยังงี้
ไม่ได้คิดเรื่องค้ำคอ ของพี่ใหญ่กับพี่รองโดยแม้แต่น้อย จริงๆนะ :hao7:       ไม่ได้พยายามหาคู่ของตระกูลอื่นไว้ให้พวกพี่ชายด้วย จริ้งๆ ไม่ได้แอบคิดเล้ยยยย

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ PsychePie

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ในที่สุดก็ทำสำเร็จ อย่างงี้ต้องเบิ้ล  :laugh:

ออฟไลน์ Nocto

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ฉลองงงงงง

ว่าแต่รอสกลัวเข็ดจากความหลังครั้งเก่าหรอ? ถึงยังไม่พร้อม ระแวง?

รอตอนต่อไปค่า

 :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ KPMwolf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Chapter 29 A way out

โคร่กกกกก!!!

หลังจากกิจกรรมเมื่อเช้า พวกเราสองคนนอนกอดกันยาวจนบ่ายแก่ๆ เสียงท้องร้องประท้วงหาอาหารทำให้ผมตื่นขึ้น ผมหลับไปข้ามวันขนาดนี้แถมยังผ่านกิจกรรมหนักมาจะโหยหาอาหารก็เป็นเรื่องธรรมดา ตื่นมาก็ปวดหน่วงๆไปทั้งตัว ดูท่าผมจะฝืนร่างกายตนเองเกินไป(ไม่)หน่อย

ระหว่างกำลังกวาดสายตาหาของกินก็ไปสะดุดมองเจ้าสิงโตที่กำลังหลับข้างกาย ผมพึ่งจะสังเกตเห็นว่าร่างกายกำยำของเขาเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ คงรับมาจากการต่อสู้กับโกเลม โดนหินก้อนใหญ่ๆฟาดไปตั้ง 2 ทีกระดูกกระเดี้ยวไม่หักเลยนี่มันอึดเกินคน สมกับเป็นคนของไลโอเนลจริงๆ

คิดถึงเรื่องอึดแล้วก็รู้สึกใบหน้าร้อนแดงขึ้นมา ภาพเหตุการณ์เมื่อเช้าเล่นขึ้นมาในหัวอีกครั้ง ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้มีอะไรกับเขาอีก ทั้งๆที่คิดว่าครั้งนั้นครั้งเดียวก็เข็ดแล้วแท้ๆ แต่คำสารภาพของเขาทำให้ผมหวั่นไหว ครั้งนี้เขาก็ทำได้ดีขึ้นมาก มันไม่ได้เร้าร้อนจนร่างแทบมอดไหม้แบบที่ผมได้รับจากบรรดาหนุ่มใหญ่ผู้ช่ำชอง แต่มันเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นและห่วงใย นุ่มนวลแต่ก็หนักหน่วงในคราวเดียวกัน เป็นรสชาติที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน

-ข้ารักเจ้านะ-

คำพูดของเขายังคงตราตรึงอยู่ในหัว มันก้องกังวานและชัดเจน ทั้งๆที่พยายามยั้งไม่ให้เขาพูดคำนี้ออกมาแล้วแท้ๆ แต่ก็ดันพูดออกมาจนได้ระหว่างที่ผมกำลังควบคุมตัวเองไม่ได้ ไม่เคยมีใครกล่าวคำนี้ได้จริงใจเท่าเขามาก่อน แต่ผมไม่สามารถตอบกลับไปได้

ผมกลัว...กลัวว่าถ้ามอบหัวใจให้เขาไปแล้ว...ถ้าเขาทิ้งผมไป...ผมจะทำยังไง ผมเคยเชื่อในรักบริสุทธิ์จนกระทั่งมาผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า...จนไม่กล้าที่จะมอบใจทั้งดวงให้กับใคร

ผมหวาดระแวง...แม้ว่าเขาจะไม่สนใจการคัดเลือกแล้ว แต่เขาก็ยังเป็นลูกชายตระกูลใหญ่ สักวันหนึ่งเขาก็ต้องขึ้นเป็นผู้นำตระกูล...ต้องมีภรรยาเคียงข้าง และหน้าที่นั้นไม่ใช่ของผม

หึ...พอมานึกดูแล้วสถานภาพของผมคงไม่ต่างกันเท่าไหร่ ผมปลดผนึกของตนเองแบบนี้คนที่บ้านก็น่าจะรับรู้ถึงตัวตนของผมแล้ว ไม่รู้ว่าพวกเขาจะยังต้องการผมกลับไปรึเปล่า ก่อเรื่องวุ่นวายขนาดนี้ ท่านพ่อและพี่ต้องโกรธจัดแน่ๆ...ถ้าพวกเขายังมีเยื่อใยให้อยู่อ่ะนะ มีหวังไม่โดนพ่อจับแช่แข็งก็โดนพี่ใหญ่เผาทิ้งแน่ๆ แต่ถ้ารอดมาได้ก็คงต้องทำหน้าที่ของคนในตระกูลไม่ต่างจากเร็กซ์

ถ้าออกไปจากที่นี่ได้ก็คงต้องเดินทางไปเรื่อยๆ หลบๆซ่อนๆคนของตระกูลเท่าทีทำได้ จะได้ไม่ต้องกลับไปพัวพันเรื่องวุ่นวายของตระกูลอีก ถ้ามีคนเคียงข้างไปด้วยก็คงดี...แต่เขาจะยอมทิ้งตระกูลออกมาแบบผมงั้นเหรอ...

“เจ้าจะยอมทิ้งทุกอย่างแล้วมาเป็นแบบข้าไหมนะ” ผมพึมพำเบาๆแล้วลูบโครงหน้าของเขา

หมับ

มือหนาตวัดมาคว้ามือของผมไว้จนสะดุ้ง เร็กซ์ดฉวยมือของผมไปจูบเบาๆ

“มาลูบๆคลำๆแบบนี้จะลักหลับเหรอไง” คำพูดน่าเตะปากแบบนี้...ใช่คุณอัศวินคนเดิมรึเปล่าเนี่ย

“อย่าหลงตัวเอง” ผมแยกเขี้ยวใส่แล้วชักมือกลับ

“ทำไมตื่นเร็วนักล่ะ หายดีแล้วเหรอ”

“ก็ไม่ได้เป็นหนักอะไรขนาดนั้น”

โคร่กกกกก

“อะ...เอ่อ หิวน่ะ” ผมตอบไปเสียงอ้อมแอ้ม

“ฮ่าๆๆ ได้ เดี๋ยวหาอะไรให้กิน รอเดี๋ยวนะ” ว่าแล้วมันก็เดินโทงๆไปหยิบตะกร้าผลไม้มาให้ พอผมเห็นไอ้ที่ห้อยต่องแต่งไปมาก็ต้องรีบเบือนหน้าหนี ไอ้คุณชายนี่ยางอายมันหายไปไหนหมด แล้วนี่ทำไมผมต้องเขินด้วยเนี่ย เห็นมาเยอะแยะแล้วไม่ใช่เหรอไง

เร็กซ์ปอกผลไม้มาป้อน หาน้ำหาท่ามาเช็ดตัวผม แต่เช็ดได้สักพักผมก็ต้องผลักมันออกแล้วจัดการตัวเองเพราะอาวุธของมันเริ่มขึงขังขึ้นมาอีกแล้ว ถ้าผมฝืนร่างกายอีกรอบมีหวังได้นอนต่ออีกยาวแน่ๆ ระหว่างที่เราสองจัดเครื่องแต่งกายให้เข้าที่เขาก็ถามด้วยใบหน้าสีชมพูระเรื่อว่า…

“เมื่อเช้าข้ามีความสุขมากเลยนะ เจ้ามีความสุขไหม” เขาสวมกอดผมจากด้านหลัง ฝังจมูกมาที่ใบหูของผม

“ก็...ดี” ผมตอบเสียงเรียบ

“ทำไมน้ำเสียงแบบนั้นล่ะ”

“ก็ดี สัก 6.5 ละกัน”

“หมายความว่ายังไง 6.5” มันถามกลับเสียงแข็ง

“เอาไป 6.5 เต็ม 10”

“หา!!! ทำไมถึงเกือบตกแบบนั้นล่ะ”

“ครั้งแรกๆให้เท่านี้ก็เยอะแล้ว” ผมหยอกมันเล่น

“งั้นขอซ่อมเดี๋ยวนี้เลย” เจ้าอัศวินไม่ว่าเปล่า คว้าไหล่ผมหวังกดลงที่นอนทันที แต่ผมขืนตัวไว้ไม่ยอม เรี่ยวแรงกลับมาเกือบปกติแล้วทำให้พอจะสู้แรงตอนนี้ได้…ตอนที่เขายังไม่เอาจริง

“เร็กซ์ หยุดก่อน หาทางออกจากที่นี่ก่อน” ผมพยายามต้านแรงเจ้าอัศวินไม่ให้เสียหลักหงายลงไป ต้องรีบเตือนสติมันว่านี่ไม่ใช่เวลามาเล่นเถรไถล

“ก็บอกแล้วไงว่าข้าไม่สนใจเรื่องนั้นแล้ว”

“แต่ของกินเรามีจำกัดนะ” ถึงเขาจะไม่อยากไปส่งเควสแล้วแต่การที่ต้องมาติดอยู่ที่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ดีแน่นอน อาหารและของใช้มีจำกัด จะหวังพึ่งพวกแฟรี่ตลอดไม่ได้

 “หึ ก็ได้...ติดไว้ก่อนก็ได้” มันแยกเขี้ยวใส่ คาดโทษไว้ ทำไมนะคุณชายผู้เรียบร้อยถึงกลายเป็นแบบนี้ได้ คงไม่ได้ติดจากผมใช่ไหม

“จะออกจากที่นี่ยังไงดี” ผมทำท่าจะลุกขึ้นเดินสำรวจ แต่ไม่ทันจะพ้นจากเขตฟูกก็โดนเร็กซ์ดึงชายเสื้อไว้

“อย่าไปไหนสุ่มสี่สุ่มห้าสิ เจ้ายังไม่หายดีนะ” เขาว่าเสียงดุ

“เดินสำรวจแค่ข้านี้ไหวหน่า”

“งั้นเดี๋ยวจะจัดการให้ไม่ไหวเลยละกัน” เจ้าอัศวินกระตุกผมลงไปนั่งที่ตักแล้วกอดฟัดจนแก้มผมเกือบช้ำ

“นี่ บอกแล้วไงว่าไม่ใช่เวลา” บ้าจริง...ไม่น่าไปหยอกมันเลย ผมพยายามดิ้นขัดขืนสุดชีวิต

“หึหึ ล้อเล่นหน่า” อัศวินหนุ่มยอมคลายกอดออกปล่อยให้ผมเป็นอิสระ

“ชิ...ว่าแต่โอทห์คีปเปอร์ไม่ได้บอกทางออกอื่นไว้เลยเหรอ”

“เดี๋ยวลองถามดู ขอตัวไปเก็บกลับมาจากฟรีดก่อนแล้วกัน ต้องออกไปเอาของที่ตากไว้ด้วย รออยู่ตรงนี้เฉยๆ ห้ามไปไหนนะ” เร็กซ์กำชับประโยคสุดท้ายก่อนจะหายลับไปกับมุมทางเดิน

“ค้าบบบ” ผมลากเสียงยาว

“ซะเมื่อไหร่เล่า” ผมลุกมาพึมพำเบาๆเมื่อเสียงฝีเท้าห่างไปแล้ว

ผมลองดีดนิ้ว 2-3 ที ตรามังกรก็เรืองแสงสีแดงแล้วปลดปล่อยดวงแสงสีนวลออกมา 5 ดวงลอยมาอยู่บนฝ่ามือผม ก้อนพลังทั้งห้าบิดม้วนหยอกล้อกันไปมาตามการควบคุมของผม ก่อนจะวิ่งพันเกี่ยวไปตามส่วนต่างๆของร่างกายแล้วกลับมารวมกันที่ฝ่ามืออีกครั้ง

“ฟู่ห์” ผมผ่อนลมหายใจแล้วปล่อยให้ดวงแสงดับไป เมื่อครู่เป็นการทำสมาธิเพื่อตรวจสอบพลังเวทย์ของตนเอง

เปลี่ยนแปร ปลดปล่อย และควบคุม คือพื้นฐานสามข้อของการใช้เวทมนต์ แปรอณูพลังในร่างเป็นสิ่งที่ต้องการด้วยจิต จากนั้นจึงปลอดปล่อยออกมาจากร่างกายในสภาพที่เสถียรพอ แล้วจึงควบคุมให้บิดพลิ้วตามความปรารถนาด้วยสมาธิที่มั่นคง

เท่าที่ประเมินดูผมคิดว่าร่างกายยังมีอาการปวดแปล้บๆบ้าง น่าจะต้องปรับตัวให้คุ้นชินกับพลังเวทย์ที่ไหลเวียนในร่างกายมากกว่านี้ก่อน แต่นี่ก็ถือว่าปรับตัวได้รวดเร็วมากแล้ว ไม่แน่ใจเพราะร่างกายที่เจริญเติบโตขึ้นจากเมื่อเยาว์ หรือเพราะเวทฟื้นฟูของพื้นที่ศักดิ์สิทธ์กันแน่ แต่ก็เอาเถอะ...กลับมาพอใช้งานได้ก็พอ

ด้วยความอยากรู้อยากเห็นผมจึงรีบออกเดินสำรวจทางเดินของวิหารทันที เริ่มจากฝั่งซ้ายก่อนแล้วกัน ผมเดินลึกเข้าไปในทางเดินสลัวๆเพราะอาคารส่วนนี้ปิดทึบ มีหน้าต่างยอมให้แสงผ่านไม่กี่บาน เปิดประตูดูห้องแล้วห้องเล่าก็เจอแต่เครื่องไม้ผุพัง บางห้องน่าจะเคยเป็นห้องนอน บางห้องก็น่าจะเป็นห้องเก็บอาวุธ มีทางเดินแยกแขนงไปมาบ้าง

“รอส...เจ้าอยู่ไหน” เสียงตะโกนของเร็กซ์แว่วมาตามทางเดิน

“ทางนี้” ผมตะโกนกลับไปแล้วเดินลึกเข้าไปต่อ จนสุดทางเห็นประตูไม้แกะสลักแปลกตา พอเปิดเข้าไปก็พบห้องกว้างมีแต่ชั้นหนังสือเต็มไปหมด น่าจะเป็นห้องสมุดโบราณ มีหนังสือเก่าๆขาดๆกระจัดกระจาย บางส่วนน่าจะคงโดนขนย้ายออกไปหมดตอนที่ปล่อยให้รกร้างเมื่อนานมาแล้ว มีแท่นหินทำหน้าที่เป็นโต๊ะวางอยู่กลางห้อง บนแท่นหินมีหนังสือเล่มหนาวางอยู่

“ตัวอักษรไม่คุ้นเลยแฮะ” ดูการจัดวางแล้วน่าจะสำคัญ แต่ข้างในเป็นอักษรโบราณที่ผมไม่เคยเห็น

“บอกแล้วไงว่าอย่าไปไหน” เสียงดุๆของมันไล่หลังมาจากนอกห้องพร้อมด้วยเสียงฝีเท้าตึงตัง ท่าจะโกรธไม่น้อยแฮะ

“...” แต่ผมไม่ได้ใส่ใจ พลิกหน้ากระดาษดูรูปภาพในเล่มต่อไป มีรูปเจ้าหญิง ผู้กล้า อสูรร้าย

หมับ

“ดื้อจริงๆ” มันคว้าไหล่พลิกตัวไปประจันหน้าแล้วดันผมถอยหลังไปจนไปนั่งปริ่มขอบแท่นหิน

“ก็บอกแล้วไงว่าไหว ให้นั่งๆนอนๆเฉยๆมันน่าเบื่อจะตาย” ผมเถียงกลับ ก็มันจริงนี่...ร่างกายปวดร้าวน้อยลงกว่าเมื่อวาน เรี่ยวแรงก็กลับมาให้เดินเหินได้ปกติแล้ว เหลือแค่ให้พลังเวทย์กับร่างกายปรับตัวให้ได้เท่านั้นเอง

“อย่างนั้นเหรอ” เร็กซ์แทรกตัวเข้ามาระหว่างขาทำให้ผมต้องอ้าขาออกรับร่างชายหนุ่มเข้ามาแนบตัว เขาขยับใบหน้าเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ “ถ้าดื้อนัก...เดี๋ยวจะจัดการให้ออกมาซนไม่ได้ซะเลย” เขาแสยะยิ้มแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ

“คิดว่า...” ผมในยามปกติคงจะตอบไปว่า ‘คิดว่าจะทำได้เหรอ ?’ แต่พอเห็นสายตาและรอยยิ้มของเจ้าสิงโตตรงหน้าก็ต้องรีบกลืนคำพูดนั้นลงคอไป เปลี่ยนเป็น “อืม...ไม่ซนก็ได้”

<ไอ้ชิบหาย เสียชื่อนักล่าหมีหมด> ปกติเจอแบบนี้ผมไม่เคยถอย แต่ทำไมครั้งนี้ผมถึงยำเกรงมันอย่างนี้เนี่ย ชักจะไม่เข้าใจตัวเองละ

“จุ๊บ แล้วนั่นอะไรในมือ” อัศวินหนุ่มขโมยจูบผมไปทีนึงก่อนจะหันไปสนใจหนังสือในมือ

“ม...ไม่แน่ใจ มันเก่ามาก ไม่ใช่ภาษาของเรา” ผมรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว สายตาเบือนหนีไปทางอื่นไม่กล้าจ้องตรงๆ อะไรของตรูฟระเนี่ย “ว่าแต่ได้เรื่องอะไรจากโอทห์คีปเปอร์บ้าง”

“ทางออกเดียวคือฝ่าป่าออกไปครับ ตอนนี้หมอกกลับมาลงจัดแล้วด้วย กระผมคิดว่าน่าจะไม่ปลอดภัย” เสียงกังวานดังขึ้น

“ไม่มีทางออกอื่นเลยเหรอ วิหารสำคัญแบบนี้จะมีทางเข้าออกแค่ทางเดียวมันแปลกๆ” เร็กซ์กล่าวเสริม จริงอย่างที่เขาว่า...สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ไม่น่าปิดทางออกตนเองแบบนี้

“อ่า...แต่ก่อนที่นี่ไม่มีหมอกปกคลุมแบบนี้ครับ กระผมเองก็จากที่นี่และหลับใหลอยู่นาน ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง” คำตอบของดาบทำให้ผมใจแป้ว “แต่ที่นี่ก็เปลี่ยนไปจากช่วงที่ผมอยู่มาก มีบางส่วนถูกเติมแต่งขึ้นมา อาจจะทำทางออกลับเพิ่มขึ้นมาก็ได้” เราสองคนมองตากันอย่างมีความหวัง

 “จริงเหรอ งั้นไปสำรวจกันเถอะ” ผมผลักชายหนุ่มตรงหน้าออก ลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นเต้น

“เรื่องนั้นไว้ก่อน รอเจ้าหายดีก่อน” เขาทำเสียงดุ อุ้มผมขึ้นในท่าเจ้าสาวโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัวแล้วพาเดินไปที่ทางออก

“นะ..นี่” กะจะอ้าปากต่อว่าเขาเสียหน่อยแต่พอเห็นแววตาเขม็งคู่นั้นแล้วผมก็ต้องเงียบลงอย่างว่าง่าย ปล่อยให้เร็กซ์อุ้มกลับไปเงียบๆ “เฮ้อออออ” ได้แต่ลอบถอนหายใจเบาๆ ทำไมถึงอ่อนข้อให้มันได้ขนาดนี้

สุดท้ายผมก็ต้องทำตัวอยู่ในโอวาท นอนพักฟื้นอีกคืนหนึ่งโดยมีเจ้าอัศวินเฝ้าตลอด อุตส่าห์ไล่ให้ไปสำรวจหาทางออกแล้วแท้ๆ มันก็ยังยืนยันว่าจะอยู่เฝ้า กลัวผมซนหนีไปไหนอีก พอเปิดปากจะเถียงเร็กซ์ก็ทำท่าจะกระโจนมาจับกด ผมเลยต้องสงบเสงี่ยมเจียมเนื้อเจียมตัวไว้ เริ่มจะสงสัยแล้วว่าอัศวินหนุ่มนี่เปลี่ยนไปหรือนี่คือธาตุแท้ของมันกันแน่...

เดี๋ยวก่อนเหอะ...รอกลับมาใช้เวทมนต์ได้ก่อนจะสั่งสอนบ้าง...หึหึ

ระหว่างนั้นเราสองคนก็ฟังเรื่องเล่าของวิหารแห่งนี้จากโอทห์คีปเปอร์...

เมื่อหลายร้อยปีก่อนอาณาจักรแห่งนี้ตกอยู่ใต้อำนาจของราชาผู้ชั่วร้าย เขาสามารถอัญเชิญและควบคุมสัตว์ร้ายได้ หลังจากสังหารราชาคนก่อนแล้วเขาก็ส่งพวกมันมาคุกคามและข่มเหงประชาชน เป็นยุคมืดของดินแดนแห่งนี้

สถานที่แห่งนี้เป็นฐานลับที่ใช้ซ่อนกองกำลังเพื่อปฏิวัติ นำโดยอดีตแม่ทัพของราชาคนก่อน และแสงสว่างแห่งความหวังเดียวของคณะปฏิวัติคือไอริส (Iris) เจ้าหญิงผู้ตกอับ หากการปฏิวัติสำเร็จ...นางจะเป็นผู้พาดินแดนนี้ไปสู่แสงสว่าง

แผนการซุ่มโจมตีล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า กำลังคนเริ่มรอยหรอลงไปเรื่อยจนเกือบจะแพ้พ่าย ไอริสเตรียมเข้ามอบตัวต่อราชาผู้ชั่วร้ายก่อนที่จะศูญเสียมากกว่านี้ แต่แล้วความหวังของคณะปฏิวัติก็สว่างไสวอีกครั้งเมื่อผู้กล้ามาเยือน...

ซีโร่ (Zero) นักดาบหนุ่มมากผีมือผู้รักการผจญภัยผ่านเข้ามาช่วยเหลือพอดี จากนั้นความสัมพันธ์ของเจ้าหญิงและผู้กล้าก็ก่อตัวขึ้น พวกเขาทั้งสองตกหลุมรักกันตั้งแต่แรกพบ ทั้งสองช่วยเหลือเกื้อกูลกันจนในที่สุดก็โค่นราชาผู้ชั่วร้ายได้ และอาวุธที่ซีโร่ใช้ก็คือโอทห์คีปเปอร์ ดาบที่ทั้งสองช่วยกันสร้างขึ้นมา ดาบที่มีเวทมนต์แห่งพันธะสัญญา ดาบที่เป็นพยานรักของทั้งสอง ดาบที่ช่วยนำแสงสว่างกลับมาให้กับดินแดนแห่งนี้

“พลังแห่งพันธะสัญญาคืออะไร เรียกสิ่งที่ทำสัญญาด้วยมาหาแค่นั้นเหรอ” ผมถามด้วยความสงสัย จากที่โดนไปมันก็ไม่ได้ทรงพลังอะไรขนาดนั้น

“ใช้คำว่าอัญเชิญต่างหากครับ” เจ้าดาบเถียงผม

“พลังในการอัญเชิญผู้ที่มีพันธะด้วยคือพลังเพียงครึ่งเดียว พลังเต็มร้อยของดาบคือการจับกุมเพื่อทำสัญญาต่างหาก” เร็กซ์อธิบายต่อ

“อืม...แบบนี้นี่เอง” ขึ้นชื่อว่าเทวะภัณฑ์ ถ้าเงื่อนไขใช้งานยุ่งยากขนาดนั้นก็ไม่น่าใช้เท่าไหร่

พวกเราคุยกันอีกสักพักก่อนที่ตาผมจะปรือลงด้วยความง่วง เมื่อล้มตัวลงนอนเร็กซ์ก็ดึงผมเข้าไปกอดเอาไว้แนบอก

“มันหนาวนะ”

“...อืม” ผมกดใบหน้าฝังลงไปบนอกแน่นๆของเขา มันช่างอบอุ่นดีจริงๆ เร็กซ์หัวเราะเบาๆชอบใจการกระทำของผม เขาจุมพิตลงที่หน้าผากของผม

“ฝันดีนะ”

“อือ...ราตรีสวัสดิ์”

“รักนะ”

.......................................

เช้าวันรุ่งขึ้นผมตื่นมาด้วยสภาพสดใสกระปรี้กระเปร่า ไร้ซึ่งอาการปวดร้าวใดๆ ลองทำสมาธิตรวจสอบพลังเวทย์ในร่างดูก็ไม่มีอาการปวดใดๆแล้ว ผมหายเป็นปกติแล้ว

“นี่เร็กซ์ ขอไปสูดอากาศข้างนอกสักหน่อยนะ” บางอย่างบอกว่าผมควรจะขออนุญาตมันก่อน

“หายดีแล้วเหรอ” เขาถามด้วยน้ำเสียงงัวเงีย แต่ก็ทำหน้าไม่ไว้ใจผมนัก เลยแสดงท่ากระโดดโลดเต้นโชว์สักหน่อย “อืม อย่าไปไหนไกลนักล่ะ”

เมื่อได้รับอนุญาตก็ออกไปสำรวจนอกวิหาร นอนอุดอู้อยู่แต่ในวิหารมาตั้งนาน พอได้รับแสงแดดอ่อนๆยามอาทิตย์พึ่งขึ้นจากขอบฟ้ากับอากาศเย็นๆยามเช้านี่มันสดชื่นดีจริงๆ เดินไปเดินมารอบๆแล้วก็สังเกตไปที่นอกเขตกำแพงก็มีหมอกทึบไปหมดตามคำบอกเล่าของโอทห์คีปเปอร์

หลังจากเดินเล่นจนหนำใจแล้วก็กลับเข้าไปยังที่พัก เร็กซ์ตื่นแล้วและกำลังปอกผลไม้รออยู่ เมื่อจัดการอาหารเช้าและชำระล้างร่างกายเสร็จพวกเราก็ตกลงกันว่าจะเข้าไปสำรวจภายในวิหารด้วยกัน

“บทแห่งไฟที่ 1 Ignite” ผมเสกลูกไฟขนาดเท่าฝ่ามือขึ้นมาเพื่อเพิ่มแสงสว่าง

“ใช้เวทมนต์แบบนี้จะดีเหรอ รอส เดี๋ยวก็ทรุดอีกหรอก” เจ้าอัศวินถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

“แค่นี้สบายมาก ข้าคิดว่าร่างกายน่าจะสร้างสมดุลได้แล้ว ไม่มีปัญหาหรอก”

ครั้งนี้พวกเราเดินทางลึกเข้าไปกว่าเดิม เน้นส่วนที่โอทห์คีปเปอร์ไม่คุ้นเคยเพราะต้องการตรวจสอบส่วนที่ถูกต่อเติมขึ้น ยิ่งลึกเข้าไปทางเดินก็ยิ่งคดเคี้ยวและซับซ้อนขึ้น จนในที่สุดก็อุโมงค์ในกำแพง

“โอทห์คีปเปอร์อุโมงค์นี้คืออะไร” เร็กซ์หันไปถามดาบที่เหน็บอยู่ข้างเอว

“กระผมก็ไม่ทราบครับนายท่าน น่าจะเป็นทางที่ทำขึ้นมาทีหลัง”

“งั้นลองทางนี้ดู” ผมพาเดินนำไปโดยใช้ลูกไฟในมือส่องแสงนำทาง

ทางเดินแคบพาไปยังห้องโถงกว้างที่มีไปด้วยประตูโค้งตั้งอยู่ 4 บาน ตามมุมของห้อง แต่ละบานมีผลึกคริสตัลติดอยู่ที่ยอด มีอักขระโบราณแกะสลักไว้ และมีแท่นหินแผ่นใหญ่วาดลวดลายคล้ายแผนที่อยู่กลางห้อง

“อักษรรูน” ผมพึมพำเมื่อเห็นตัวอักขระที่คุ้นเคย

“มันแปลว่าอะไร” เร็กซ์ถามขณะสำรวจประตูบานอื่นๆ

“ไม่แน่ใจ ข้าอ่านไม่ได้ทั้งหมด” ถึงผมจะศึกษาตัวอักษรรูนเองพอสมควร แต่มันเป็นศาสตร์ที่กว้างขวาง ผมคุ้นเคยอยู่ไม่กี่ตัว “เดินทาง” ผมเอ่ยเมื่อพบอักษรที่คุ้นเคย

“แผนที่นี่มันภูมิประเทศของเทอร่านี่” เจ้าอัศวินกล่าวเสริม

“แบบนี้นี่เอง...เข้าใจแล้ว” รอยยิ้มจางๆผุดขึ้นมาบนใบหน้าของผม ผมหันไปสบตาเร็กซ์ที่กลางห้อง “นี่มันประตูมิติ (Warp gate)”

“งั้นก็แสดงว่า...”

“ใช่ ถ้าเปิดใช้งานได้พวกเราก็ออกจากที่นี่ได้” ประตูมิติเป็นสิ่งปลูกสร้างที่บรรจุเวทมนต์ที่สามารถพาเราเคลื่อนย้ายไปยังอีกสถานที่หนึ่งได้ในพริบตา เพียงแค่ก้าวข้ามประตูก็สามารถไปปรากฏตัวที่ประตูอีกฟากได้แม้จะไกลเพียงไหนก็ตาม ที่บ้านของผมก็มีประตูแบบนี้เชื่อมต่อระหว่างคฤหาสน์ประจำตระกูลกับเมืองหลวงเช่นกัน ถึงแม้ว่าการออกแบบจะต่างกันพอสมควร

“แล้วเราจะเลือกบานไหนยังไงล่ะ”

“มันน่าจะมีพิกัดของประตูอีกฝากบอกในแผนที่”

“ใช่คริสตัลเม็ดเล็กๆพวกนี้รึเปล่า” คำพูดของเร็กซ์เรียกความสนใจของผมไปยังแผ่นหินกลางห้อง มันมีคริสตัลเม็ดเล็กๆติดอยู่ตามตำแหน่งต่างๆ คริสตัลพวกนี้สีเดียวกับที่ติดอยู่บนยอดประตู

“ลองสีเขียวนี่แล้วกัน” ผมชี้ไปยังคริสตัลเม็ดสีเขียวมรกต มันตั้งอยู่ใกล้ๆกับช่องแคบสองสี คาดว่าน่าจะอยู่ทางเหนือของเมืองเทรโร่ ผมลองแตะไปที่คริสตัลสีเขียวเล็กๆแล้วลองปล่อยพลังเวทย์เข้าไป

“...” เงียบสนิท การใช้งานคงแตกต่างกันกับที่ผมเคยใช้หนีเที่ยวตอนเด็ก

ผมลองไปสำรวจประตูโค้งที่มีคริสตัลสีเขียวเม็ดใหญ่ดูก็พบพื้นที่เล็กๆว่างเปล่าจากอักขระใดๆ พอวางมือลงไปแล้วปล่อยพลังเวทย์เข้าไปก็เกิดการตอบสนอง

วิ้ง

คริสตัลเม็ดเล็กในแผนที่และเม็ดใหญ่ที่ยอดประตูปลดปล่อยแสงสีเขียวสว่างวาบขึ้นมาทันที อักขระที่จารึกไว้เรืองแสงต่อกันจนบานประตูสว่างไสว

เปรี้ยะๆๆ

เส้นสายฟ้าก่อตัวขึ้นในบานประตูก่อนจะบิดม้วนกันเป็นกำแพงแสงสีเขียว มันเรียบมันเหมือนกระจก ภาพข้างในเหมือนจะเป็นห้องในถ้ำโทรมๆ

“วู้ว ใช่ง่ายกว่าที่คิดแฮะ” ผมส่งเสียงดีใจ เตรียมจะลองเดินผ่านเข้าไป ถึงจะเสียใจที่ยังสำรวจไม่ทั่ว แต่ก็อยากจะออกไปจากที่นี่เต็มแก่แล้ว

“อย่าพึ่ง...รู้ได้ยังไงว่าปลอดภัย” เจ้าอัศวินกระชากแขนไว้ก่อน “ถ้าอีกฟากมีสัตว์ร้ายล่ะ” เขาเรียกสติผมไว้

“แล้วถ้าไม่ข้ามไป เราจะรู้ได้ไงว่าปลอดภัย”

“ข้ามีวิธี” อัศวินหนุ่มชักดาบออกมาแล้วชี้ไปที่บานประตู “ช่วยหน่อยนะ โอทห์คีปเปอร์” ว่าแล้วดาบในมือก็ฉายแสงสีทองพร้อมสายโซ่พุ่งเข้าไปในประตูมิติ ผิวกำแพงสีเขียวแหวกไหวเป็นคลื่นราวกับผิวน้ำ สักพักสายโซ่เหล่านั้นก็หดกลับเข้าไปในดาบ

“เป็นห้องโล่งๆในถ้า มีทางเข้าออก ปลอดภัยดีครับ” เสียงกังวานดังขึ้น

“โซ่เวทมนต์ของดาบก็เป็นส่วนหนึ่งของดาบ สามารถใช้มันตรวจสอบแวดล้อมใกล้ๆได้” เร็กซ์อธิบาย

“ดี งั้นก็ไปกันเลย”

“อย่าพึ่ง พวกเราต้องเตรียมสัมภาระและบอกลาพวกแฟรี่ด้วย” เร็กซ์เตือนผมอีกครั้ง

“อ่า...นั่นสินะ” ด้วยความรีบร้อนทำให้ผมลืมนึกไป ไหนจะข้าวของ ไหนจะต้องบอกลาพวกแฟรี่ พวกนางอุตส่าห์ช่วยเราไว้ตั้งเยอะ

เราสองคนเดินออกจากห้องกลับไปเก็บข้าวของกันเพื่อเตรียมออกเดินทาง พอช่วงเย็นๆพระอาทิตย์ใกล้จะตกดินพวกแฟรี่ก็บินกันมาพร้อมเสบียงอาหาร พวกเราแจ้งสิ่งที่พบและเตรียมบอกลา...

“ขอบคุณมากเลยนะมันเดย์ ที่ช่วยเหลือ” ผมกล่าวขอบคุณแฟรี่สีเหลือง ถ้าไม่ได้นางผมคงแย่

“แฟรี่ แฟรี่”

“นางบอกว่าด้วยความยินดี เจ้าเองก็ช่วยพวกนางไว้เหมือนกัน” เร็กซ์แปลให้ฟัง

ล่ำลากันอยู่พักใหญ่พวกนางบอกว่ายินดีต้อนรับพวกเรากลับมาเยี่ยมเสมอ พวกเราขอตัวออกเดินทาง สองคนและหนึ่งตัวกลับมายังห้องที่มีประตูมิติ ผมเปิดใช้งานประตูมิติอีกครั้งก่อนจะพากันก้าวเดินข้ามออกไปด้วยกัน พักผ่อนสบายอยู่หลายวัน...ถึงเวลากลับสู่โลกภายนอกอีกครั้ง

.................................




ออฟไลน์ Nocto

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
มาแล้วเย้! ตอนนี้หวานกันเยอะเลย ชอบ 555 เร็กซ์ก็พยายามเข้านะ พิสูจน์ให้เห็น รอสจะได้วางใจแล้วก็ตกลงปลงใจกัยเร็กซ์ซักที

 :pig4:

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
เหมือนกลับสู่โลกแห่งความจริงเลย

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ PsychePie

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
อิอิ ได้ทีหื่นใหญ่เลยนะ เจ้าสิงห์โต
เอาล่ะ ทีนี้กลับสู่โลกความจริง

ออฟไลน์ KPMwolf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Note : อีกประเดี๋ยวผู้แต่งต้องไปต่างประเทศ 2 อาทิตย์ (อีกแล้ว) ทำให้อาจจะพิมพ์ลงไม่สะดวกนัก ยังไงก็จะพยายามแต่งต่อแล้วลงให้ผ่าน tablet ซึ่งจะจัดรูปหน้าไม่สวย (อีกแล้ว) ยังไงก็ขออภัยก่อนนะครับ ส่วนตอนนี้เดี๋ยวจะรีบแต่งต่อแล้วลงทีเหลือให้นะครับ

Chapter 30 To be together
   
แสงแดดสีส้มพุ่งแยงตาทันทีที่ก้าวพ้นออกจากปากถ้ำของประตูมิติ อีกฝั่งของประตูคือถ้ำเล็กๆในหลืบเขาของหุบเขาสีแดง หุบเขาที่เกิดจากหินผาสีแดงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

“ถ้าเทียบจากแผนที่ในแผ่นหินกับแผนที่ปัจจุบัน เราน่าจะอยู่ทางเหนือของเทรโร่” ผมเอาแผนที่ที่คัดลอกจุดวาปแล้วขึ้นมากางดู แถบนี้ไม่ใช่เส้นเดินทางหลักทำให้ไม่คุ้นเคยนัก

“ถ้าจำไม่ผิดแถวนี้น่าจะมีสุสานนักรบอยู่ น่าจะมีหมู่บ้านตั้งอยู่ใกล้ๆ” เร็กซ์กล่าวขึ้นขณะปีนขึ้นที่สูงหาจุดสำรวจทิวทัศน์

“สุสานนักรบ ?”

“ในอดีตแถบนี้เคยเป็นที่สู้รบกับอสูรยักษ์และกองทัพของมัน อัศวินมากมายทิ้งชีวิตไว้ที่นี่เพื่อปกป้องประชาชน เพื่อเป็นการรำลึกถึงวีรบุรุษเหล่านี้จึงได้สร้างสุสานให้พวกเขา”

“หมู่บ้านติดกับสุสานเนี่ยนะ”

“เป็นหมู่บ้านของผู้เฝ้าสุสานน่ะ เฝ้าทรัพย์ที่ลูกหลานเอามาเคารพ และเผื่อไว้เป็นที่รับรองผู้มาสักการะ สมัยเรียนอัศวินใหม่ๆข้าก็ต้องเดินทางมาที่นี่เพื่อเคารพอัศวินยุคก่อน มันเป็นธรรมเนียมรับน้องใหม่” เร็กซ์กอดอกทอดสายตาออกไปราวกับกำลังรำลึกความหลัง

“อืม...ก็ดี ใกล้มืดแล้วด้วย น่าจะดีกว่านอนกลางป่า” โดยส่วนตัวผมค่อนข้างจะขยาดกับสุสาน เพราะเป็นสถานที่ที่มักจะมีวิญญาณสถิตอยู่หนาแน่น ซึ่งแน่นอนว่าอาจจะมอนสเตอร์อาศัยอยู่ด้วย แต่ถ้าได้รับการเฝ้าดูแลตลอดอย่างที่เจ้าอัศวินว่า...มันก็น่าจะปลอดภัย

“งั้นก็ขึ้นม้ากันเลย” อัศวินหนุ่มกระโดดลงมาจากโขดหินแล้วขึ้นหลังฟรีดทันทีด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง ผมปีนขึ้นไปซ้อนหลังเขาไว้ “กอดแน่นๆนะ ครั้งนี้จะไปเร็วหน่อย” เร็กซ์หันมาเตือนพร้อมรอยยิ้มที่มุมปากดูมีอะไรแอบแฝง

“นี่!!! ข้าขี่มาได้สักพักแล้ว แค่เร็วขึ้นหน่อยจะ...เย้ยยยยย” ฟรีดทะยานตัวออกไปแรงจนผมเกือบหงายหลัง ต้องรีบเอามือไปคว้าเอวคนตรงหน้าไว้

“ฮ่าๆ...ก็เตือนแล้ว เร็วอีกเลยฟรีด” อัศวินหนุ่มออกคำสั่งพร้อมตบต้นคอสัตว์ขี่ของตนเบาๆ เจ้าม้าออกวิ่งเต็มฝีเท้า กระโดดลัดเลาะลงเนินไปอย่างคล่องแคล่ว แรงสะบัดรุนแรงจนคนโดยสารแทบจะหลุดออกจากหลังม้า

“เร็กซ์...เจ้าแกล้งข้า เหวอ!!!” ผมกลัวจนตัวเกร็ง สองแขนตวัดไปกอดเอวเจ้าอัศวินไว้แน่น ลำตัวและใบหน้าแนบสนิทไปกับแผ่นหลังกว้างนั้นจนแทบจะติดแปะเป็นเนื้อเดียวกัน

“ฮ่าๆ กอดแน่นๆแบบนั้นแหละ” เร็กซ์หัวเราะร่าแล้วสะบัดบังเหียนเพิ่มความเร็วขึ้นไปอีก “อยากมีคนกอดแบบนี้มานานแล้ว” เขาเผยแผนชั่วออกมาพร้อมมองผมด้วยหางตา แววตาของเขาช่างเปี่ยมไปด้วยความสุข

<หนอยแหนะ เจ้าอัศวินนี่> คิดแล้วก็งุดหน้าหนีลงไปกับแผ่นหลังอันอบอุ่นนั้นเพื่อหลบใบหน้าที่ร้อนผ่าวจนขึ้นสีของผมไว้ “ฝากไว้ก่อนเถอะ”

...............................................

ใช้เวลานานไม่นานเราก็มาถึงหมู่บ้านที่เร็กซ์ว่าไว้ หมู่บ้านเรดฮิลล์ (Redhill) ตั้งอยู่ติดชายป่าที่ตีนหุบเขาสีแดง เป็นหมู่บ้านขนาดเล็กมาก มีบ้านเพียง 6-7 หลังเท่านั้น ข้างๆหมู่บ้านเป็นรั้วหินเตี้ยๆปิดกั้นพื้นที่กว้างเต็มไปด้วยป้ายหลุมศพ ตรงกลางมีวิหารเล็กๆกับรูปปั้นนักรบในท่าชูดาบตั้งอยู่
ผู้คนที่นี่มีอัธยาศัยที่ดีมาก พวกเขาต้อนรับขับสู้พวกเราอย่างดี แบ่งปันอาหารและที่ชำระล้างร่างกายให้ และอนุญาตให้พวกเรานอนในโรงนาของหมู่บ้านเพราะไม่มีโรงเตี๊ยม แม้ว่าจะเป็นหมู่บ้านที่รับรองคนเดินทางมาสักการะหลุมศพ แต่เพราะเป็นสถานที่ห่างไกลและเริ่มถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลาจึงไม่ได้สร้างที่พักไว้ให้ ถ้าไม่ใช่ลูกหลานก็คงไม่มีใครเดินทางมานอกจากนักเรียนอัศวินมารับน้องอย่างที่เร็กซ์ว่าไว้ ครั้งก่อนที่มาเขาเองก็ต้องกางเต็นท์นอนกัน

พวกเราสองคนผลัดกันไปล้างตัวในบ้านของผู้ใหญ่บ้าน ผมที่ล้างตัวเสร็จแล้วปูผ้าที่ได้รับมาทับไว้บนกองฟางแล้วล้มตัวลมนอน ผ้าหนาๆช่วยกันความคมของเส้นฟางได้บ้าง ถึงจะคันๆหลังไม่สบายนักแต่ก็ดีกว่านอนกลางป่า

ระหว่างนอนรอเร็กซ์ผมก็ชูมือขวาขึ้นมาดูสัญลักษณ์มังกรที่หลังมือ หลับตาลงตั้งสมาธิจนสัมผัสได้ถึงดวงจิตหลายดวง แม้กายจะห่างกันแต่คนในตระกูลจอมเวทย์สามารถสัมผัสถึงกันละกันได้ด้วยสายใยเวทมนต์ที่เชื่อมต่อคนในครอบครัวเสมอ และในดวงจิตหลายสิบดวงนั้นมี 3 ดวงที่ผมสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจน ไอเวทมนต์มนต์อันเย็นยะเยือกของท่านพ่อ ดวงจิตอันร้อนละอุดังเปลวเพลิงที่พร้อมแผดเผาทุกสิ่งของพี่ใหญ่ และแสงสว่างอันอบอุ่นของพี่รอง ถึงจะระบุตำแหน่งไม่ได้แต่ก็พอรู้ว่าพวกเขาทุกคนสบายดีกันอยู่

“จะทำยังไงดีนะ” ผมพึมพำ ถึงจะคิดถึงและอยากจะรู้สารทุกข์สุขดิบของพวกเขา แต่ถ้ากลับไปตอนนี้อาจจะไม่ได้กลับออกมาผจญภัยอีก
สวบๆ !!!

เสียงฟางยุบตัวลงด้วยของหนักดึงสติผมกลับออกมาจากห้วงความคิด อ้อมแขนเจ้าของน้ำหนักนั้นรวบกายผมเข้าไปกอดแนบชิดจากด้านหลัง

“ทำอะไรอยู่...หืม...จุ๊บ” เร็กซ์กระซิบข้างหูก่อนจะประทับริมฝีปากจูบลงที่ซอกคอพร้อมสูดดมกลิ่นกายของผมฟอดใหญ่

“คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ” ผมลูบหลังมือของเขาเบาๆ “เร็กซ์...หลังจากนี้จะทำยังไงกันต่อเหรอ” ผมตัดสินใจถามสิ่งที่รบกวนจิตใจผมอยู่

“เจ้าวางแผนไว้ว่ายังไงบ้างล่ะ” อัศวินหนุ่มถามกลับ

“ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะ...ลองไปที่ไกลๆดู” ผมตอบเสียงอ้อมแอ้ม บอกตามตรงผมยังไม่ได้คิดถึงอนาคตอะไรไว้เลย “เจ้าจะไปกับข้าไหม”

“แน่นอนสิ แต่ว่า...”

“แต่ว่า...?”

“แต่ว่าข้าคงไม่สามารถหายตัวไปแบบเจ้าได้ ถ้าทำแบบนั้นต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ”

“...นั่นสินะ” จู่ๆก็มีบางอย่างมาบีบหัวใจของผมไว้แน่นจนอึดอัดไปหมด

“แต่ข้ามีแผนนะ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่สบายใจเรื่องนี้ และอาจจะไม่ชอบแผนของข้าแต่ช่วยฟังมันให้จบก่อนนะ” เขากระชับกอดให้แน่นขึ้นเพื่อสื่อให้ผมรู้ว่าเขาจะไม่ทิ้งผมไปไหน

ผมพยักหน้าตอบรับคำขอของเขา

“ตอนแรกข้าจะยอมติดอยู่ในป่าจันทรา แต่พอออกมาได้ข้าว่าข้าจะกลับไปส่งเควส” คำตอบของเขาทำให้ดวงตาผมเบิกกว้าง ผมรีบพลิกตัวกลับไปประจันหน้า

“...” ในหัวของผมมีคำถามมากมายแต่ไม่มีเสียงใดหลุดออกมา

“อย่าพึ่งทำหน้าแบบนั้นสิ บอกแล้วไงว่าฟังให้จบก่อน” เร็กซ์ยื่นมือมาเกลี่ยแก้มผมเบาๆปลอบประโลม

“ข้าจะไปส่งให้ช้าที่สุดเท่าที่ทำได้เพื่อให้โอกาสได้รับคัดเลือกน้อยที่สุด ไม่สิ...เป็นศูนย์เลยก็ว่าได้ ข้าว่าเขาคงไม่ต้องการรัชทายาทที่เข้าเส้นชัยเป็นที่โหล่หรอก”

“ถ้าจะทำแบบนั้นทำไมไม่ปล่อยให้เกินกำหนดเวลาไปเลยล่ะ”

“จริงอยู่ที่ข้าไม่สนใจเกียรติยศส่วนตัวแล้ว แต่ด้วยหน้าที่...ข้ายังต้องรักษาเกียรติของตระกูลอยู่ แม้จะไม่ได้เป็นรัชทายาท แต่ถ้าไปส่งเควสได้ตามกำหนดเวลาก็จะแสดงให้ราชวงศ์เห็นได้ว่าตระกูลของข้ายังมีศักยภาพเป็นเสาหลักให้ราชวงศ์ได้อยู่...”

“จากนั้นข้าก็จะอ้างท่านพ่อว่าเพราะขาดประสบการณ์ทำให้เควสเสร็จล่าช้า ข้าจะขอออกมาหาประสบการณ์เพิ่มเติมเพื่อฝึกฝนฝีมือ” เขาคลี่ยิ้มออกมาราวกับภูมิใจในแผนการอันแยบยลของตน ผมเห็นแล้วก็ต้องยิ้มบางๆให้

“ที่นี้ข้าก็จะออกมาเดินทางได้อย่างอิสระ...” อัศวินหนุ่มเอาลูบศีรษะของผมเบาๆ “โดยมีเจ้าอยู่เคียงข้าง”

“หึหึ” ผมรู้สึกได้ว่าตนเองกำลังยิ้ม แม้แรงบีบรัดที่หัวใจจะหายไปไม่หมดเพราะแผนของเขามีช่องโหว่เพียบ แต่มันก็พอให้ผมสุขใจได้เพราะเขาต้องการอยู่กับผมจริงๆ

“นั่นแน่...เจ้ายิ้มแบบนั้นแปลว่าชอบแผนข้าแล้วสินะ” เขาออกแรงลูบเพิ่มขึ้นจนหัวผมคลอนตามแรง

“ชอบอะไรเล่า ช่องโหว่เยอะแยะ” ผมส่ายหน้าเอือมระอาตอบกลับไป “แต่ก็รับได้”

“ดีเลย...ถ้างั้นเดี๋ยวเราไปหาที่พักที่เทรโร่สักอาทิตย์แล้วเดินทางไปเมืองหลวงด้วยกัน จัดการเรื่องพิธีและที่บ้านเสร็จก็ไปที่ที่เจ้าปรารถนา” อัศวินหนุ่มสรุปแผนการด้วยรอยยิ้ม

“ข้าไปเมืองหลวงด้วยไม่ได้”

“ทำไมล่ะ” เขาหน้าเสีย

“อย่าลืมสิว่าพี่วาเรเรี่ยนก็อยู่ในการคัดเลือก ถึงจะนานจนอาจจำหน้าไม่ได้แล้วแต่เขาน่าจะสัมผัสพลังเวทย์ของข้าได้ เราไม่ควรเสี่ยง”

“นั่นสินะ ถ้างั้นก็ให้เจ้ารอที่เทรโร่แล้วกัน ข้าสัญญาว่าจะรีบกลับมา”

“อย่าสัญญาอะไรที่ยังไม่มั่นใจเลย” ผมกล่าวเตือนไป เพราะมันจะทำให้ความคาดหวังของผมเพิ่มมากขึ้น และหากแผนล้มเหลวความเจ็บปวดก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ

อัศวินหนุ่มไม่พอใจคำเตือนของผม ดีดตัวลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปอยู่ที่ปลายกองฟาง ผมตกใจจนเท้าแขนลุกขึ้นนั่ง เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้ววางมือขวาไว้ที่อกข้างซ้าย ศีรษะก้มลงเป็นท่าคำนับ

“ด้วยเกียรติของอัศวิน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ข้าจะกลับมาหาคนรักของข้าแน่นอน” เขากล่าวอย่างหนักแน่น

“คิกๆ ฮ่าๆๆ” ผมหัวเราะออกมาในที่สุด ทั้งท่าที น้ำเสียงและความจริงจังของเขา ผมให้คะแนนเต็มไปเลย “ฮ่าๆ พอแล้วๆ เชื่อแล้ว ลุกขึ้นมาเถอะ คุณอัศวิน” ความชุ่มชื้นกลับมาที่หัวใจของผมอีกครั้ง

ฟุบ!!!

เร็กซ์ลุกขึ้นแล้วกระโจนมาใส่ เขาผลักผมให้นอนราบลงแล้วเอาตัวมาคร่อมผมไว้ สองแขนวางขนาบข้างกักตัวให้ผมไปไหน ดวงตาสีดำสนิทของเขาจับจ้องมาที่ใบหน้าของผมด้วยความเสน่หา

บรรยากาศในโรงนาเงียบสนิท มีแต่เพียงเสียงหัวใจของคนสองคนเต้นประสานกัน แทรกสอดเป็นจังหวะเรียกหากัน ผมมองใบหน้าของชายหนุ่มบนร่างมันสว่างด้วยแสงเทียนเพียงเสี้ยวเดียว ความหล่อเหลาของเขาดึงดูดให้ผมอยากจะลุกขึ้นไปประทับจูบ แต่มือของเขารั้งผมไว้ที่ขมับ

“ข้าทำเพื่อเจ้าขนาดนี้แล้ว ขอฟังคำว่ารักจากเจ้าเป็นรางวัลได้ไหม” อัศวินหนุ่มทวงถาม

“อ..อึก...คือ...ข้า...” ผมอึกอัก แม้ผมจะรู้สึกถึงความทุ่มเทของเขา แม้ผมพยายามแล้ว...แต่ผมก็ไม่สามารถเอ่ยคำที่เขาต้องการออกมาได้

“อืม...ไม่เป็นไร ไว้ตอนที่เจ้าพร้อมก่อนก็ได้” สายตาของเขาหลุบลงต่ำด้วยความผิดหวัง แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้...เขายังคงให้เวลาผม

“ข้าอาจจะยังไม่พร้อมลั่นคำนั้นออกมาแต่ข้าให้อย่างอื่นเป็นรางวัลได้นะ” แขนสองข้างของผมคล้องคอเขาไว้แล้วออกแรงดึงโน้มลงมาประทับจูบ
ร่างกายของเราสองเรียกหากัน เสียงสีของเนื้อผ้าผสานไปกับเสียงฟางสีกันไปตามจังหวะการขยับของร่างกายเบื้องบน ริมฝีปากอุ่นดูดดึงซึ่งกันและกัน ครั้งนี้เร็กซ์เป็นฝ่ายเริ่มสอดลิ้นเข้ามาก่อน มันเกี่ยวกระหวัดเก็บเกี่ยวความหวานไปทั่ว ผมเองก็ตอบสนองด้วยการเกี่ยวขาไว้ที่เอวเขาแล้วดึงร่างของเราสองมาแนบชิดกัน

ต่างคนต่างขยับมือไม้หาผิวหนังอันอบอุ่น ผมสอดมือไปใต้ชายเสื้อของชายหนุ่มบนร่างลูบไล้ไปตามลายกล้ามเนื้อบนแผ่นหลัง ในขณะที่อีกฝ่ายใช้มือข้างหนึ่งกอบกุมแก้มผมไว้ไม่ให้ริมฝีปากเราแยกออกจากกัน อีกข้างสอดเข้าไปลูบสีข้างแล้วไล้ยาวขึ้นไปถึงจุกบนหน้าอก เขาวนนิ้วรอบมันช้าๆ

<เก่งขึ้นเยอะเลยแฮะ แต่ครั้งนี้ขอแสดงฝีมือหน่อยแล้วกัน> ผมคิดในใจ ก่อนจะออกแรงผลักให้เจ้าสิงโตพลิกลงไปนอนหงายแล้วผมขึ้นเป็นฝ่ายคุมเกมแทน คนใต้ร่างผมทำหน้างุนงง

“รอส...ทำอะไ...อาห์” ไม่ทันที่เขาจะถามเสร็จผมก็จู่โจมด้วยการซุกไซร้ไปที่หูของเขา ค่อยๆลากลิ้นไปตามใบหูแล้วขบเบาๆไปที่ติ่งหู เรียกเสียงครางต่ำออกมา

“เร็กซ์...เจ้าอาจจะรู้จุดตายของศัตรู แต่เจ้ารู้รึเปล่าว่าตรงไหนบ้างที่เรียกเสียงครางจากชายหนุ่มได้บ้าง” ผมแสยะยิ้มส่งสายตายั่วยวนใส่เขาที่กำลังเคลิ้มไปกับสัมผัสของผม

............................................
ปล.น้องขี่ม้าไม่เก่ง ขอขี่สิงโตแทนละกันนะ หุหุ


https://twitter.com/CruisingDog/status/1049606564145848323
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-10-2018 17:22:01 โดย KPMwolf »

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ PsychePie

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ก่อนจะตัดสินใจเรื่องน่าปวดหัว จับสิงห์โตหนุ่มกินก่อนโลด 55555

ออฟไลน์ KPMwolf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
30.2

“เร็กซ์...เจ้าอาจจะรู้จุดตายของศัตรู แต่เจ้ารู้รึเปล่าว่าตรงไหนบ้างที่เรียกเสียงครางจากชายหนุ่มได้” ผมแสยะยิ้มส่งสายตายั่วยวนใส่เขาที่กำลังเคลิ้มไปกับสัมผัสของผม

…………………………………………….

“อ๊า...” เขาร้องครางอีกครั้งเมื่อผมลากลิ้นจากใบหูลงไปที่คอ ร่างหนาแอ่นเกร็งจนกล้ามเนื้อทั่วร่างหนาขึ้นเป็นลูก ผมสูดกลิ่นกายของสิงโตหนุ่ม ลากลิ้นเลีย ขบกัด ดูดดุน ไปทั่วทั้งคอของเขา

“รู้สึกดีไหม” ผมกระซิบ

“มัน...ส...เสียวมากเลย อร๊า...” ผมเปลี่ยนเป้าหมายไปที่อกของเขา จัดการเลิกเสื้อขึ้นแล้วเริ่มรุกต่อเนื่อง ดูดเม้นเจ้าติ่งเนื้อที่แข็งสู้ลิ้น ไล้วนรอบมันจนเปียกชุ่ม อีกข้างก็ไม่ปล่อยให้เหงา นิ้วเรียวเขี่ยบดคลึงมันเบาๆอย่างทะนุถนอม เจ้าสิงโตคำราม เกร็งกระตุกเสยกายขึ้นจนตัวผมลอยราวกับสัตว์ป่าพยศพยายามสลัดผมให้หลุดออกไป

“อะไรกันคุณอัศวิน ถึงกับพยศเลยเหรอไง หึหึ”

“อย่าล้อสิ” เขาเถียงเสียงต่ำรอดไรฟัน เร็กซ์บีบไหล่ผมแน่น เสียงหายใจหนักๆของเขาราวกับสิงโตที่กำลังจะบ้าคลั่ง ผิวกายร้อนระอุจนออกแดงจางๆ แต่ผมไม่ให้เขาได้พัก...เริ่มจู่โจมต่อทันที

ผมโจมตีต่อเนื่อง ฝังจมูกไปจุมพิตหลุมบนหน้าท้อง โลมเลียไปตามลอนกล้ามเนื้อที่แข็งเกร็งเป็นลูกๆ สองมือลูบไล้ไปตามสีข้างเล่นกับลายกล้ามเนื้อที่สานกันสวยงาม บังคับให้เขาชูแขนขึ้นทั้งสองข้างเพื่อดึงเสื้อออกแล้วซุกไซร้ไปที่รักแร้ สูดกลิ่นความเป็นชายของเขา มันช่างรัญจวนใจเหลือเกิน

“ซี๊ด...อึก...อ๊า...” คนใต้ร่างของผมส่งเสียงดั่งสัตว์กำลังจะถูกเชือด ร่างบิดเร่าไปมาราวกับพยายามหนีจากการถูกทรมาน ทว่าใบหน้ากลับบิดเบี้ยวไปกับความเสียวซ่านที่ผมปรนเปรอ

<ได้เวลาเผด็จศึกแล้วล่ะ> ผมลากลิ้นจากรักแร้ไปที่อกลงไปที่หน้าท้องทิ้งร่องรอยเปียกแฉะไว้ตามทางก่อนจะหยุดปลายจมูกที่ความปูดโปนตรงเป้ากางเกง ผมหยุดแล้วเสยตาไปสบดวงตาสีดำคู่นั้นที่ก้มลงจับจ้องการกระทำของผมด้วยใบหน้าฉงน

“เจ้าอยากให้ข้าเล่นกับตรงนี้ไหม” ผมถามแล้วกดใบหน้าลงไป ออกแรงบดเบาให้รับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งที่ถูกขังอยู่ในเนื้อผ้า

“อึก...อาห์ รอส...เจ้าจะทำอะไร”

“หึหึ ไม่รู้จริงเหรอ” นิ้วสองข้างเกี่ยวตะเข็บกางเกงลงมันเพื่อปลดปล่อยเขาจากความอึดอัด ดาบแกร่งที่ปูดโปนไปด้วยเส้นเลือดดีดขึ้นมาแตะปลายจมูก มันช่างใหญ่โตและแข็งแกร่งสมชายชาตรีชาติทหาร นึกแล้วก็เสียดายที่เจ้าของไม่ค่อยได้ฝึกปรือลับคมให้มันเท่าไหร่ คิดดูสิด้วยหน้าตาอันหล่อเหลาของเขา ร่างกายกำยำเต็มไปด้วยมัดกล้ามเรียงร้อยต่อกันสวยงามราวกับรูปแกะสลัก แถมยังมีอาวุธชั้นดีติดตัว ใครๆก็ต้องหลงใหลและยอมพลีกายให้

“อึ๊ก” ผมกอบกุมมันถุงอัญมณีคู่กู้พิภพ ลากนิ้วสัมผัสส่วนร้อนระอุนั้นด้วยความหลงใหล ก่อนที่ลิ้นร้อนจะลากชิมไปตามความยาวของมันตั้งแต่โคนดาบไปจนถึงปลายบาน ผมส่งสายตายั่วยวนให้เจ้าของ “ด...เดี๋ยวก่อน รอส อย่า...อ๊า”

ผมไม่ฟัง...ครอบครองอาวุธประจำกายของเจ้าสิงโตเข้าไปในโพรงปากร้อนทันที เจ้าของเกร็งกระตุกยิ่งกว่าเก่าจนดีดร่างลุกขึ้นนั่งแล้วออกแรงผลักหัวผมออก...ผมไม่ยอมหรอกนะ ของดีเข้าปากแล้วจะให้หลุดไปได้ยังไงล่ะ

ห่อปากรูดดึงไปตามลำความยาว ตวัดลิ้นหยอกล้อความอวบแน่น กดใบหน้าลงไปแนบขนแพรไหมจนปลายดาบเกือบชนคอหอย ฉกลิ้นไปที่ส่วนปลายที่เริ่มมีหยาดน้ำใสออกมาให้ชิม ผมระดมประสบกามทั้งหมดที่ฝึกฝนมาเพื่อให้สิงโตหนุ่มสุขสม...ให้ตราตึงลงไปในความทรงจำ

“อื้อ...อาห์” เจ้าสิงโตครางระงม ถ้าโรงนาไม่ห่างออกจากบ้านเรือนไปผมว่าน่าจะมีคนตื่นมาดูว่าเสียงอะไร ร่างหนาบิดเร่าลงไปนอนเกร็งอีกครั้ง ปลายเท้าจิกกองฟาง มือไม้จากที่ผลักออกกลับกลายเป็นแรงกดให้ผมแนบชิดยิ่งขึ้น เขาออกแรงขยับเอวไปตามสัญชาตญาณ

“แฮ่กๆ รอส ช้าๆก่อน อื้อออ” เสียงหอบหายใจของเขาเป็นสัญญาณบอกว่าเขาใกล้จะถึงฝั่งแล้ว ผมจึงเร่งเครื่องขึ้นไปอีก ทั้งความเร็วและความรุนแรง

“รอส ข้าจะ...อื้อ...รอส คายออกมาก่อน อ๊า...” ร่างกำยำพูดไม่เป็นภาษา เขากระตุกเสยดาบเข้ามาจนสุด สองมือกุมหัวผมไว้แน่น หยาดน้ำแห่งความรักพรั่งพรูออกมามากมาย มันร้อนระอุและเอร็ดอร่อย

“อึกๆๆ” ผมดื่มกินน้ำรักของเขาเข้าไปช้าๆ มันถูกปลดปล่อยออกมาเป็นระลอกๆจนกลืนแทบไม่ทัน บางส่วนไหลย้อยออกมาที่มุมปาก

ไม่ช้าร่างกายเจ้าราชสีห์ก็สงบลงเหลือแต่เสียงหอบหายใจเหนื่อยของมัน ผมคายอาวุธที่เริ่มอ่อนตัวออก ปาดนิ้วเช็ดมุมปากแล้วเอาไปเลียพร้อมส่งสายตาสะอกสะใจให้เจ้าของน้ำอุ่นๆเหล่านี้ ของดีหายากแบบนี้จะทิ้งขว้างได้ยังไง

“เป็นยังไงบ้างล่ะคุณอัศวิน สิ้นลมเลยเหรอไง” ผมเย้ยปนขำ เลื่อนตัวขึ้นไปนั่งคร่อมบนหน้าท้องแกร่งแล้วมองใบหน้าชุ่มเหงื่อของเขา

“นี่ แฮ่กๆ แกล้งกันเหรอ”

“แกล้งอะไร? แค่แสดงให้ดูเฉยๆว่าของจริงมันเป็นยังไง ฮ่าๆ” ผมนอนทาบตัวลงไปประทับจูบ สองแขนเกี่ยวกระหวัดลำคอหนาไว้ให้เขาหนุนนอน “เป็นยังไง มีความสุขไหม”

“ที่สุดเลยล่ะ” เขายิ้มตอบ “แต่เจ้ายังไม่เสร็จเลย” ว่าแล้วก็ประกบริมฝีปากอีกครั้ง เขาบดคลึงด้วยแรงหนักหน่วงเป็นการเอาคืนก่อนจะยันตัวขึ้นนั่งโดยที่ผมคร่อมตักอยู่

วื๊ดดด

ผมรู้สึกได้ถึงความดุดันแทงก้น!!!

“เฮ้ย ทำไมมันฟื้นตัวเร็วนัก” ผมกล่าวด้วยความตกใจ ไม่เคยมีใครฟื้นสภาพได้เร็วขนาดนี้ ผมมองหน้าคนตรงหน้าด้วยความฉงน

“เวทเสริมกำลังก็มีลูกเล่นของมันอยู่” เจ้าสิงโตตอบกลับด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย เขาบีบคลึงบั้นท้ายของผมอย่างรุนแรงกะให้แหลกคามือก่อนจะลอกคราบผมออกจากเสื้อและกางเกงนอน

ผิวกายร้อนของเราสัมผัสแนบชิดกันอีกครั้งเพื่อเริ่มยกสอง ริมฝีปากของเขาโลมเลียไปตามซอกคอ คมเขี้ยวขบกัดลงบนคอขาวทิ้งรอยฟันไว้ ความรุนแรงของเขามันช่างเสียวซ่านรัญจวน

นิ้วแกร่งมันลื่นไปด้วยน้ำมันนวดสอดขยับเข้าออกเตรียมช่องทางเบื้องล่าง แต่เขาก็ไม่ปล่อยเบื้องบนให้ว่าง สิงโตหนุ่มจู่โจมยอดอกของผมด้วยลิ้นสากร้อน ไล่วนเป็นวงกลมสลับไปมาสองข้างจนเปียกชื้น ผมนั่งแอ่นตัวอันเบาหวิวบนตักของเขา สองแขนต้องโอบรัดคอไว้ไม่ให้หงายตกลงมา มือข้างหนึ่งขยุ้มเส้นเกศาสีดำสนิทไว้เพื่อระบายความร้อนรุ่มที่ก่อตัว

“นอนลงไป” ผมออกคำสั่งด้วยเสียงแหบพร่า ผมทนไม่ไหวแล้ว ผมต้องการการเติมเต็ม “ข้าจะขี่สิงโต”

“หึหึ” เจ้าสิงโตแค่นเสียงหัวเราะและหงายลงนอนอย่างว่าง่าย นัยน์ตาหยาดเยิ้มหยีเป็นพระจันทร์เสี้ยวรับกับรอยยิ้ม “ระวังตกนะ”

“ไหนดูซิว่าจะขี่ยากเหมือนฟรีดไหม” ดาบร้อนตั้งตรงจ่อไว้กับช่องสวาท ผมค่อยๆปล่อยน้ำหนักตัวกดลงไปรับอาวุธของราชสีห์ใต้ร่างเข้ามาในกาย

“ซี้ด” เสียงสูดปากของเราสองสอดประสานกันเมื่อความแข็งแกร่งถูกโอบอุ้มด้วยความอ่อนนุ่ม มันคับแน่น ร้อนระอุ

ผมกดตัวลงไปช้าๆจนในที่สุดดาบเล่มโตของเขาก็ฝังเข้าไปจนสุด ร่างกายของเราสองรวมเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง ความแข็งขืนของเขาทำให้ผมแทบขยับไม่ได้

“อื้ม” มือสากสะกิดจุกสีชมพูของผมเป็นเชิงหยอกล้อ

“อาห์ ข้างในเจ้ารู้สึกดีที่สุดในโลกเลย” สิงโตหนุ่มกล่าวชมขณะเลื่อนมือลงมาบีบก้อนเนื้อสองลูกที่บั้นท้าย

เมื่อเริ่มคุ้นชินผมก็เริ่มขยับตัวไปตามวิถีของดาบ สลับบดคลึงสะโพกเข้าหา “มันลึกเหลือเกิน”

“งั้นข้าช่วยเอง” เจ้าสิงโตประคองเอวผมไว้แล้วเป็นฝ่ายขยับสวนขึ้นมาด้วยจังหวะหนักหน่วงจนเสียงเนื้อกระทบกันลั่น

เราสองสลับกันควบคุมจังหวะการรำดาบ อ่อนโยน เนิบช้า ดุดัน รวดเร็วรุนแรง สลับไปมาตามท่วงทำนองที่หัวใจกำหนด ปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามเปลวเพลิงแห่งความต้องการของกายสองกาย ใจสองดวง...

เราสองถวิลหากันและกัน...

เติมเต็มกันและกัน...

เป็นของกันและกัน…

“อาห์ เร็กซ์ ข้าจะไม่ไหวแล้ว” ผมบดร่างของตนเองไปกับอาวุธแกร่งอย่างดุเดือด มือหนึ่งก็รูดรั้งแก่นกายของตน ภาพในหัวเป็นสีขาวโพลน มีเพียงแต่ใบหน้าของเร็กซ์อยู่ในห้วงความคิด

“อึก ข้าก็ด้วย”

“อาห์/อื้อ” เสียงแห่งการปลดปล่อยของเราบรรเลงประสานกัน ริมฝีปากของเราสองเชื่อมกันอีกครั้ง มันกดแนบแน่นราวกับจะหลอมรวมกัน กายทั้งสองเกร็งกระตุก เร็กซ์กดดาบของตนเข้าไปให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อฝากฝังเศษเสี้ยวส่วนหนึ่งของเขาไว้ในร่าง มันร้อนวาบ ผมเองก็ปล่อยของเหลวอุ่นเหนียวออกมาจนเปราะหน้าท้องของเราทั้งคู่

“แฮ่กๆ ๆ ๆ” เสียงหอบเหนื่อยดังระงมท่ามกลางความเงียบสงัดของค่ำคืน ผมปล่อยร่างของตนเองลงไปนอนทาบทับสิงโตหนุ่ม อ้อมกอดของเขาโอบรัดโดยอัตโนมัติ พวกเราเบียดหาความอบอุ่นจากร่างอีกฝ่าย ร่างของคนที่รัก

“ทั้งกายและใจของข้าเป็นของเจ้านะ รอส”

“เช่นกัน” เสียงตอบรับของผมเบาจนแทบไม่ได้ยิน ก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทราในอ้อมกอดของชายหนุ่มที่ผม...รัก

..................................................

เช้าวันถัดมาพวกเราสองคนรีบกุลีกุจอเช็ดทำความสะอาดทำลายหลักฐานของกิจกรรมเมื่อคืน ปล่อยตัวปล่อยใจเกินไปหน่อยจนลืมไปว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ควรทำเรื่องอย่างว่า ทำความสะอาดไปก็ขำกันเองไป ยิ่งโดนโอทห์คีปเปอร์เอ็ดว่าให้เคารพสถานที่บ้างก็ยิ่งขำ

“เก็บของหมดแล้วนะ?” เร็กซ์หันมาถามขณะจัดสัมภาระบนหลังม้า

“อื้อ”

“เอาล่ะ ออกเดินทางไปเทรโร่กันเลย” เขาเตรียมกระโดดขึ้นหลังม้า

“เร็กซ์...ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม” ก่อนจะไปผมอยากจะกระจ่างเรื่องหนึ่งก่อน เรื่องที่คาใจมาสักพักแล้วแต่เพราะอารมณ์มันพาไปทำให้ไม่ได้ถามตั้งแต่เมื่อคืน

“ว่า...?”

“ถ้าเราทำตามแผนของเจ้า แต่สุดท้ายเจ้ายังได้รับเลือก...เจ้าจะทำยังไง” หนึ่งในช่องโหว่ของแผนที่เขาวางไว้คือ...ถ้ามันไม่ได้ตัดสินที่เวลาล่ะ...ถ้าเขาได้รับเลือกล่ะ...จะทำยังไง

“เรื่องนั้น...” เขาก้มหน้าแล้วนิ่งเงียบไป ผมรับรู้ได้เลยว่าเขากำลังใช้ความคิดอย่างหนัก

“...” ผมไม่ได้กล่าวอะไรต่อ ยืนรอคำตอบของเขาอยู่อย่างนั้น จนมันเริ่มเนิ่นนาน...จนผมเริ่มจะคิดได้ <เงียบ...คือคำตอบของเจ้าสินะ> หัวใจผมปวดร้าว

“ถ้าเป็นเช่นนั้น...ข้า...” คำพยายามเรียงร้อยคำพูดออกมาอย่างยากลำบาก ยิ่งเขาอึกอัก ผมก็ยิ่งรู้สึกแน่นไปทั้งอก แต่ไม่ทันที่เขาจะพูดจบ...ผมก็สัมผัสบางอย่างได้...พลังเวทย์ที่กำลังมุ่งร้าย

“เร็กซ์ ถอยไป” ผมผลักเขาให้ถอยไปจนหลังชนม้า ก้าวขาเข้าประชิดบีบระยะห่างให้แคบที่สุด “บทแห่งการปกป้องที่ 3 magic barrier”

ตู้มๆๆๆ

“วะฮ่าๆ จงมอดไหม้ด้วยเปลวเพลิงแห่งความแค้นของข้า จอมเวทย์แห่งไฟ ดาส”

.......................................

ปล. เย่ จบทันก่อนบินด้วย ขออภัยที่จะทำให้ค้างนะครับ ถ้ามีเวลาจะรีบแต่งต่อให้ไวเลยครับ สงสารนักอ่านที่ติดตามเหมือนกัน
ปล2. ยังจำคู่หูยี่ห้อไอติมนี่ได้อยู่รึเปล่านะ

ออฟไลน์ Nocto

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ดุเด็ดเผ็ดมัน ฉากท้ายๆ ขมนิดๆ เร็กซ์ก็คงคาดไม่ถึงหรอกน่า ให้เวลาเขาหน่อย

ดาส? ฉากไหนหว่า หรือจะเป็นปกป้องคาราวาน (มั่ว)

 :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ PsychePie

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
เจ้าลูกสิงห์โตพอไฟติดปุ๊บ เอาใหญ่เลยนะ

ออฟไลน์ KPMwolf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Chapter 31 The storm

“บทแห่งการปกป้องที่ 3 Magic barrier” สิ้นเสียงของผม อณูเวทมนต์ในกายก็ก่อกำเนิดเป็นแผ่นหกเหลี่ยมเล็กๆเรียงร้อยต่อกันเป็นโดมทรงครึ่งวงกลมโอบล้อมผม เร็กซ์และฟรีดไว้

ตูมๆ ๆ

ลูกศรไฟหลายสิบลูกกระหน่ำลงมาจากท้องฟ้าจนลานหญ้าที่เรายืนอยู่ลุกเป็นไฟ กำแพงและหลังคาไม้ของโรงนาแตกกระจาย เปลวเพลิงลุกโชดช่วง หากผมไหวตัวช้าไปพวกเราคงแย่

“วะฮ่าๆ จงมอดไหม้ด้วยเปลวเพลิงแห่งความแค้นของข้า จอมเวทย์แห่งไฟ ดาส” เสียงเยาะเย้ยจากชายหนุ่มดังลอดผ่านเปลวไฟ

ฟ้าว~

ผมระเบิดเกราะคุ้มภัยให้แหวกออก เกิดคลื่นอากาศแหวกม่านควันและกำแพงเพลิง เปลวไฟมอดดับไปอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นหน้าแขกผู้ไม่ได้รับเชิญ ชายหนุ่มร่างบางสวมหมวกปลายแหลมถือคฑาด้ามยาวกับชายผอมแห้งสวมชุดคลุมปิดหน้าตาอีก 2 คนถือดาบครบมือ

“ใครวะ หน้าคุ้นๆ” ผมหันไปถามอัศวินหนุ่มข้างกาย

“อืม…จำได้ลางๆ แต่ไม่แน่ใจนัก” เร็กซ์ชักดาบออกมาเตรียมพร้อมรับมือ

“หนอย…” ชายตรงหน้ากัดฟันกรอดด้วยความเจ็บแค้นเมื่อพวกเราจำเขาไม่ได้ “ข้าคือดาสหัวหน้าโจรผ้าแดงที่ถูกพวกเจ้าลอบกัดจนโดนจับไงล่ะ”

“อ้อ พวกเจ้ามันโจรป่ากระจอกที่ช่องแคบสองสีนี่เอง จำได้ว่ามีคู่ขาตัวใหญ่ๆอีกคนชื่อฮา…อะไรน้า ไฮเนเก้น” ผมตอบกลับไปอย่างยียวน นึกแล้วก็แปลกใจ เจ้าพวกนี้ควรจะถูกมีนาจับไปส่งผู้ตรวจแล้วนี่

“คู่ขาอะไร อย่ามาพูดชวนให้คิดลึกนะ” ดาสห่อไหล่เอาแขนกอดตนเองทำหวงเนื้อหวงตัวราวกับกำลังจะโดนกระทำชำเรา “แล้วคู่หูข้าชื่อฮาเก้นเฟ้ย อย่าบังอาจเอ่ยชื่อผู้มีพระคุณของพวกเราส่งเดชแบบนั้น ถ้าเขาไม่เสียสละ พวกเราก็คงหนีออกมาไม่ได้” ชายหนุ่มชี้หน้าคาดโทษโดยมีลูกน้องสองคนข้างหลังทำท่าปาดน้ำตาซาบซึ้ง

“สังเวยชีวิตตนเองเพื่อพวกพ้องงั้นรึ ช่างเป็นนักรบที่น่ายกย่อง” เจ้าอัศวินเอ่ยชื่นชม

“ปากเสีย ไม่ได้ตายเฟ้ย แค่แขนหัก พักฟื้นอยู่ที่ฐานตั้งหาก” คำตอบของมันเล่นเอาหางคิ้วผมกระตุกด้วยความโมโห พูดจากำกวมแบบนี้มันน่าโดนสั่งสอนนัก “สายของเราในป่าบังเอิญเห็นพวกเจ้าเดินทางมาที่นี่ ข้าเลยรีบตามมาเพื่อสะสางบัญชีแค้นที่ทำให้พวกเราขายหน้า”

“ก็กระจอกเองนี่” ผมยิ้มเยาะ

“พวกเจ้ามันขี้โกงต่างหาก ข้ารู้ความสามารถเจ้าหมดแล้ว ยังไงวันนี้นี่แหละ พวกเจ้าต้องโดนข้าเผาเป็นจุล” ดาสยืดอกอย่างองอาจ เขาตั้งท่าเตรียมพร้อมร่ายมนต์

หึ…รู้ความสามารถหมดแล้วงั้นรึ ไม่ได้ดูเลยใช่ไหมว่าผมป้องกันตัวจากการโจมตีเมื่อครู่ยังไง
เร็กซ์ตวัดดาบไปข้างตัว ออกเดินไปข้างหน้าเตรียมต่อสู้ ทว่า…

“เจ้าอยู่เฉยๆตรงนี้แหละ ข้าจัดการเอง” ผมยกมือขึ้นมาตบอกเขาให้หยุด เจ้าพวกนี้มันต้องโดนผมสั่งสอน

“3 คน ไหวเหรอ”

“ลืมแล้วเหรอว่าข้าเป็นใคร ไม่ไว้ใจกันเหรอไง” หงุดหงิดท่าทีอึกอักของเจ้าอัศวินนี่เมื่อครู่ก็พอแล้ว ดันมีตัวมาขัดจังหวะอีก “ไม่ได้ดวลเวทมนต์มานานแล้ว ขอขัดสนิมสักหน่อย” ผมแสยะยิ้ม ผมไม่ปล่อยพวกมันกลับไปดีๆแน่

“ข้าจะระวังให้อยู่ห่างๆแล้วกัน” เขาเก็บดาบกลับเข้าฝักแล้วถอยกลับไป

ผมก้าวเท้าออกไปประจัญหน้าเจ้าดาสผู้อวดดี มันยังคงยิ้มร่าโดยไม่รู้ว่ากำลังเล่นกับอะไร

“โอ้ เดินมาให้จัดการทีละคนรึ กินนิ่มสิงานนี้ จอมเวทย์แห่งไฟผู้นี้จะส่งเจ้าลงนรกเอง ฮ่าๆ” ร่างบางหัวเราะสนุกสนาน

“นักเวทย์กระจอกที่ยังควบคุมคาถาตนเองไม่ได้ แถมยังต้องพึ่งอุปกรณ์เวทมนต์เพื่อร่ายเวทย์น่ะ ไม่คู่ควรกับคำว่าจอมเวทย์หรอกนะ” สัญลักษณ์มังกรปลดปล่อยแสงสีแดง ร่างผมปกคลุมด้วยออร่าสีแดงจางๆจนอีกฝ่ายรับรู้ได้ถึงแรงกดดัน

“ไอเวทมนต์อย่างนั้นเหรอ เป็นไปไม่ได้…เจ้าใช้เวทมนต์ด้วยอุปกรณ์เวทนี่” ร่างบางชะงัก ลูกน้องสองคนเริ่มลนลานขยับตัวเข้าไปกระซิบหัวหน้าของตน

“เอาไงดีบอส นี่ต่างจากครั้งก่อนโขเลยนะ”

“นั่นสิ ไปตั้งหลักก่อนดีไหม รอท่านฮาเก้นหายก่อนก็ได้”

“อุวะ มันก็แค่ขู่ อย่าไปกลัว เจ้าสองคนเข้าไปก่อนเลย ข้าสนับสนุนจากข้างหลังเอง”

“อ้าว ไหงบอสโยนขี้อย่างนี้ล่ะ”

“หุบปาก กลยุทธ์เบื้องต้นคือแทงค์อยู่หน้า จอมเวทย์อยู่หลัง พวกเจ้าจัดการเลย”

“หัวหน้า พวกเราไม่ใช่แทงค์แบบท่านฮาเก้นนะครับ”

“เข้ามาทั้งสามคนนั่นแหละ” ผมสะบัดไม้สะบัดมือ หมุนวนปลายเท้ากับพื้นวอมร่างกายรอพวกมันเกี่ยงกัน

“บทแห่งไฟที่ 23 Explosion” ดาสอาศัยทีเผลอจรดปลายคทาชี้มาที่ผม ดวงแสงสีแดงพุ่งตรงเข้ามา

“บทแห่งการปกป้องที่ 2 Magic shield” วงแหวนเวทก่อตัวเบื้องหน้าเข้าขวางกั้น

บรึ้ม!!!

เสียงระเบิดดังสนั่น แรงระเบิดทิ้งหลุมขนาดใหญ่ไว้ เศษฝุ้นกระจายตลบอบอวล ทว่าพื้นดินทั้งหมดที่อยู่หลังวงแหวนเวทย์กลับไร้ร่องรอย โล่เวทมนต์ของผมรับการโจมตีของดาสไว้ได้สบายๆ

“แรงขึ้นกว่าครั้งก่อนนิดหน่อยนะ” ผมยกยิ้มส่งให้เจ้าดาสที่ทำหน้าเหวอ

“บะ บ้าหน่า นี่อัดพลังไปเต็มที่แล้วนะ ทำไมเวทพื้นฐานง่อยๆพรรณนั้นถึงรับไว้ได้”

“ย้ากกก” ลูกน้องสองคนกระชับดาบแล้วพุ่งตัวเข้าประชิด

วิ้ง!!!

หินสีน้ำตาลเรืองแสง พื้นดินสั่นสะเทือน เกิดรอยปริแตกตามหน้าดินก่อนที่ก้อนดินหลายก้อนจะลอยขึ้นมารอบตัว สะบัดมือทีหนึ่งก้อนดินเหล่านี้ก็พุ่งเข้าหาเป้าหมาย

“อ้ากกก” เสียงโหยหวนของเจ้าแห้งสองคนดังระงม พวกมันโดนหินและดินกระหน่ำอัดใส่ร่างจนสะบักสะบอม ล้มหงายไปนอนร้องโอดโอย ผมจะขยี้ให้แหลกเลยก็ได้แต่ไม่อยากให้มือเปื้อนเลือดขยะพวกนี้นัก

“ไงล่ะคุณหัวหน้าโจร ลูกน้องโดนเก็บแล้วนะ จะไม่ทำอะไรหน่อยเหรอ” ผมแสยะยิ้มเดินย่างสามขุมเข้าหาร่างบางตรงหน้า ออร่าสีแดงรอบกายเข้มข้นขึ้นแผ่รังสีอำมหิตข่มขวัญคนตรงหน้า เหงื่อกาฬไหลอาบใบหน้าของเขาจนเส้นผมแนบเนื้อ

“ย…อย่าเข้ามานะ…บ…บทแห่งไฟที่ 20 Cinder storm” ดาสร่ายคาถาด้วยความลนลาน ปล่อยกระสุนไฟหลายสิบลูกกระจายสะเปะสะปะไปทั่ว แต่ผมก็ไม้รู้สึกกังวลใดๆ

หินสีแดงเปล่งประกาย เมื่อผมวนนิ้วมือเป็นรูปวงกลม กระสุนไฟเหล่านั้นก็เปลี่ยนวิถี  จากที่พุ่งไปทุกทิศทุกทางเป็นเบนหัวมาทางผมก่อนจะวิ่งวนรอบตัวราวกับปลาสีแดงสดกำลังเวียนว่ายรอบกาย

เปลี่ยนแปร ปลดปล่อย และ ควบคุมคือพื้นฐาน 3 ข้อของการใช้เวทมนต์ คำร่ายเป็นการกำหนดกรอบความคิดและสร้างมโนภาพว่าจะเปลี่ยนอณูพลังในกายเป็นสิ่งที่ต้องการได้อย่างไร หากว่าคล่องแล้วก็แค่คิดเฉยๆก็พอ ไม่ต้องเอ่ยคำร่าย เวทย์บทต้นๆสามารถข้ามขั้นนี้ไปได้ตามการฝึกฝน แต่เวทย์บทสูงๆแม้แต่จอมเวทย์ชั้นครูเองก็ยังต้องเอ่ยคำร่ายอยู่

ในขั้นตอนการปลดปล่อย ชื่อคาถาเป็นเหมือนการโห่ร้องสร้างกำลังใจออกศึก ยิ่งกำลังใจ ความแน่วแน่ และอารมณ์ความรู้สึกสอดคล้องกับเวทย์บทที่ใช้เท่าไหร่ ความเสถียรตอนปลดปล่อยออกมาก็ยิ่งมากขึ้น ความรุนแรงของคาถายิ่งสูงขึ้น

และสุดท้ายการควบคุม เป็นขั้นตอนที่นักเวทย์มักละเลยเพราะขอแค่ปล่อยพลังใส่ศัตรูได้ก็พอ หารู้ไม่ว่าหากไม่ควบคุมพลังให้ดีจะถูกช่วงชิงพลังเวทย์ที่ปล่อยออกมาได้ง่ายๆ หากศัตรูสามารถแทรกแซงการควบคุมได้ เขาสามารถส่งผลของเวทย์บทนั้นกลับหาเจ้าของได้โดยไม่ต้องออกแรงร่ายเวทย์เองเลยด้วยซ้ำ

หินเวทมนต์เป็นวัตถุที่ช่วยเสริมการใช้เวทมนต์ขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งได้ แบ่งเป็นระดับตั้งแต่หินหยาบๆ ผลึกคริสตัล จนถึงอัญมนี ถุงมือเวทย์ที่ผมประดิษฐ์ขึ้นเองนั้นทำจากเศษๆหินที่ทางบ้านทิ้งขว้าง เอามาผสานกับอักษรรูนที่ศึกษาเองจนสามารถใช้มันควบคุมธาตุต่างๆในธรรมชาติได้ในระยะเวลา น้ำหนัก ปริมาตร และขอบเขตที่จำกัด โดยไม่ต้องใช้เวทมนต์ในร่างกาย

ตอนนี้ผมปลดปล่อยพลังของตนเองแล้ว ผมสามารถเสริมพลังของหินด้วยอณูเวทย์ในกายได้ ขอบเขตการใช้งานจะสูงขึ้น ทั้งระยะเวลาและความละเอียดอ่อนในการควบคุม อีกทั้งยังเปิด-ปิดการใช้งานได้ดั่งใจนึกเพื่อไม่ให้สูญพลังไปเปล่าๆ สมัยเด็กๆผมเคยเอามันไปดวลกับเพื่อนในโรงเรียนจนโดนหาว่าขี้โกง

อีกทั้งตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ผนึกพลังเวทย์ของตนเอง ผมมุ่งฝึกแต่ขั้นการควบคุมด้วยหินเวทมนต์ จึงไม่ใช่เรื่องยากที่ผมจะช่วงชิงเปลวเพลิงของศัตรูมาเป็นอาวุธของตนเอง ยิ่งคู่ต่อสู้ที่ลนลานแบบนี้ยิ่งง่าย

ผมยื่นมือออกไป เหล่ากระสุนเพลิงที่แหวกว่ายรอบตัวพุ่งเข้าร่วมตัวกันเป็นกลุ่ม กำเนิดเป็นลูกไฟที่ฝ่ามือ ขนาดมันไม่ใหญ่แต่ก็อัดแน่นด้วยพลัง ผมจ้องไปที่ดวงตาคนตรงหน้า

“ย…อย่านะ” ดาสขาแข้งสั่นเทาด้วยความกลัวเมื่อเปลวเพลิงที่หวังจะใช้เผาศัตรูกำลังจะย้อนกลับมาหาตัว

“จะสำนึกตอนนี้ก็สายไปแล้วล่ะ” ผมเล็งลูกไฟไปที่เขา “รับไฟของเจ้าคืนไปซะ” ลูกไฟพุ่งออกจากฝ่ามือตรงเข้าหาร่างบาง ผมไม่ได้หวังจะฆ่าเขาหรอก กะแค่ขู่ๆแล้วสลายพลังไปก่อนสัมผัสตัว แค่นี้มันก็กลัวจนฉี่จะราดแล้วมั้ง ฮ่าๆ

“อย่า….อ้ากกกกกก”

วิ้ง!!!

โดยที่ผมไม่ได้คาดคิด ดาสยื่นปลายคทาที่ติดอัญมนีสีแดงมาขวางไว้ ด้วยความยาวของคทาทำให้ผมกะระยะพลาด สลายพลังเวทย์ไม่ทัน ลูกไฟปะทะเข้ากับอัญมนีจนเกิดแสงสว่างวาบจนผมต้องหรี่ตา

เปลวเพลิงสลายหายไปทันที ทุกอย่างสงบนิ่ง แม้แต่ตัวเจ้าของคทาเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

“วะฮ่าๆ ก็ไม่เท่าไหร่นี่” ดาสปากสว่างทันทีที่รู้ตัวว่าเขาไม่ตาย “เจ้าอาจจะแข็งแกร่งแต่ก็สู้คทาศิลาไฟของข้าไม่ได้หรอก ฮ่าๆ” มันยังคงโอ้อวดต่อ

เปรี้ยะๆ

เกิดรอยแตกร้าวที่อัญมนี

“เอ๋”

ฟิ้ว ๆ ๆ

ประกายแสงสีแดงพุ่งออกมาตามรอยแตก เปลวไฟรั่วไหลออกมาเกินการควบคุมของเจ้าของ

“เหวอ เกิดอะไรขึ้นกับคทาของข้า” ดาสแสดงท่าทีตื่นตระหนกกับความผิดปกติที่เกิดขึ้น เขาสะบัดมันไปมาแต่นั่นยิ่งทำให้ประกายไฟพุ่งทะลักออกมาจนพื้นหญ้ารอบๆลุกไหม้

“หวา ร้อนๆๆ ไม่ไหวแล้ว” เมื่อสูญเสียการควบคุม เขาตัดสินใจหลับหูหลับตาโยนมันออกไปให้พ้นตัว คทาตกลงไปในเขตสุสาน

“อย่าโยนทิ้งสุ่มสี่สุ่มห้าสิฟระ” ผมชักดาบออกมาแล้วพุ่งเข้าประชิดตัว ปลายดาบจ่อไว้ที่คอ

“ย…ยอมแพ้แล้วจ้า” ดาสชูมือสองข้างเหนือหัวทำท่ายอมแพ้

ตู้มมมมมม

เสียงระเบิดดังสนั่น แสงสีแดงวาบขึ้นมาจากเขตสุสาน ดูท่าศิลาไฟจะสูญเสียความเสถียรแล้วทำลายตัวเองไปซะแล้ว

“ฮือ…ของรักของข้า” ร่างบางโอดครวญ

“เอาล่ะ จบสักที เร็กซ์มาช่วยข้ามัดพวกนี้ที” ผมหันไปเรียกเจ้าอัศวินให้มาช่วยจับเจ้าสามคนนี้
มัดขังไว้แล้วค่อยเรียกผู้ตรวจมาจับไปก็แล้วกัน

“ฝีมือไม่เลวนี่” เร็กซ์เดินมาพร้อมกับชาวบ้านอีกสองคน ในมือถือเชือกพร้อมไว้แล้ว

“มันแน่อยู่แล้ว นี่ลูกหลานเดรโกนัสนะ เรื่องเวทมนต์น่ะไม่เป็นรอง…” ในขณะที่ผมกำลังโอ้อวดอยู่นั่นเอง…บางอย่างก็ผิดปกติ...ผมก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ

~ การต่อสู้ พวกเราอยากต่อสู้ ~

เสียงบางอย่างแว่วเข้ามาในหู ความรู้สึกบางอย่างถูกส่งผ่านเข้ามา...

~ อยากประมือกับคนเก่งๆ ~

…ความรู้สึกฮึกเหิม…

~ ยังไม่อยากตาย พวกเราไม่สมควรตาย ~

…ความรู้สึกโกรธแค้น…

~ อยากจะจับดาบอีกครั้ง ~

…ความรู้สึกบ้าคลั่ง…

~ อยากมีชีวิตอีกครั้ง ~

ครืนนน!!!

เสาเพลิงสูงเสียดฟ้าพุ่งขึ้นมาจากบริเวณที่คทาระเบิด มันบิดม้วนเป็นพายุหมุน แต่แทนที่จะเป็นสายลมกลับเป็นเปลวเพลิงสีแดงร้อนระอุ

“รอส นี่มันเกิดอะไรขึ้น”

“…นี่มันมรสุมเวทมนต์” ผมพึมพำ สายตาของผมและทุกคนจับจ้องไปที่ปรากฏการณ์ประหลาด เคยได้ยินแต่เรื่องเล่าและทฤษฎี นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นมรสุมนี้กับตา

ซู่มมม!!!

ลมกรรโชกพัดรุนแรงเกิดแรงดึงดูดเข้าหาศูนย์กลางพายุพวกเราทุกคนต่างหาที่เกาะให้มั่น
กระดูกของเหล่านักรบผุดขึ้นมาจากหลุมฝังศพ ชุดเกราะและอาวุธที่นำมาสักการะลอยกลางอากาศราวกับใบไม้ วัตถุเหล่านี้ถูกดูดหายเข้าไปในเสาเพลิง ดวงแสงสีแดงสองดวงสว่างขึ้น…มันสว่างผ่านม่านไฟดั่งดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความเคียดแค้น

เมื่อพายุไฟสลายไปก็ปรากฏร่างๆหนึ่งขึ้น มันเหมือนมนุษย์ตัวสูงใหญ่ ความสูงน่าจะสัก 2 เมตร ร่างกายล่ำหนา แต่เมื่อสังเกตดีๆแล้วกลับไม่มีเนื้อหนัง กายเกิดจากอัฐิประติดประต่อกันปกคลุมด้วยเกราะและเศษโลหะหลอม ลมหายใจเป๊นเปลวเพลิงสีแดงโชดช่วง ใบหน้าถูกปิดมิดชิดด้วยหมวกเหล็กเห็นแค่ดวงแสงสีแดงผ่านซี่เหล็ก กลางหลังแบกอาวุธมากมายหลายชนิดที่ถูกนำมาสักการะ

มอนสเตอร์ที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนถือกำเนิดขึ้นมาจากดวงวิญญาณนักรบ

“นี่มันสเปคเตอร์ (Specter)” อัศวินหนุ่มข้างกายเอ่ย

“มอนสเตอร์ในนิทาน” ชาวบ้านพึมพำเบาๆ

“สเปคเตอร์ ? นิทาน ?” ผมทวนด้วยใบหน้าฉงน

“เป็นเรื่องเล่ากันในหมู่อัศวินว่ามีมอนสเตอร์ชนิดหนึ่งที่กำเนิดจากความกระหายการต่อสู้ของนักรบผู้ล่วงลับไปแล้ว ร่างกายเป็นกระดูกของผู้วายชน ลมหายใจคือเพลิงมรณะ ขับเคลื่อนด้วยดวงจิตบ้าคลั่งของนักสู้” เร็กซ์ชักดาบออกมาตั้งท่าพร้อมสู้ “มันคืออัศวินแห่งความตาย” สีหน้าของเขาเคร่งเครียดขึ้นมาทันที

ดูท่าศึกนี้จะไม่จบที่จัดการเจ้าโจรกระจอกพวกนี้ซะแล้ว…

ปล. ขอบคุณที่รอกันนะค้าบ กราบงามๆ เที่ยวไปแตต่งไปแทบจะโดนคนที่มาด้วยด่าเอา ฮ่าๆๆ
ปล 2. อธิบายหินเวทย์ของตารอสสักนิดนึง แต่ก่อนมันจะเหมือนแบตเตอรี่ที่เปิดได้อย่างเดียว ต้องรอให้พลังงานหมดเท่านั้นถึงจะปิดตัวลงแล้วชาร์จใหม่เอง ยิ่งใช้งานมาก พลังก็ยิ่งหมดเร็ว ตอนนี้รอสสามารถเปิด-ปิดมันได้เพื่อไม่ให้พลังงานเสียโดยเปล่าได้แล้ว
ปล 3. คำผิดบานแน่นอน กลับไปที่คอมแล้วเดี๋ยวตามแก้ครับ

ออฟไลน์ shiroinu

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
มาแล้วววววว สั้นจังเลย อยากอ่านอีกกกก :mew1:

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Nocto

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
พวกโจรหาเรืองมาให้แท้ๆ

ออฟไลน์ KPMwolf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Chapter 32.1 Limit break

แคร้ง ๆ ๆ

เสียงโลหะกระทบกันดังบาดหูต่อเนื่อง อัศวินหนุ่มเข้าสกัดอัศวินแห่งความตายที่พุ่งเข้าหาหมู่บ้าน ต่างฝ่ายต่างผลัดกันรุกและรับคมดาบของศัตรู

เร็กซ์สั่งให้ผมออกไปช่วยอพยพผู้คนออกจากพื้นที่นี้ ศัตรูตรงหน้าเป็นถึงมอนสเตอร์ในตำนานของหมู่อัศวิน ความเสียหายน่าจะหนักหนาสาหัส

“เร็วเข้า...ทางนี้” ผมกับคนหนุ่มๆในหมู่บ้านช่วยกันนำทางเด็ก ผู้หญิง และคนชราออกจากหมู่บ้าน

ตู้ม !!!

ลูกไฟลูกใหญ่พุ่งตรงเข้าหลังคาบ้านไม้หลังหนึ่ง เปลวไฟลุกไหม้อย่างรวดเร็ว โชคดีที่ผมพาคนในบ้านหลังนั้นออกมาแล้ว

“เชสเชียร์ ช่วยเชสเชียร์ด้วย” เด็กสาวคนหนึ่งวิ่งปรี่จะเข้าบ้านหลังที่ลุกไหม้

“มันอันตราย อย่าเข้าไป” ผมคว้าหล่อนมากอดไว้ได้ทันท่วงที

“เชสเชียร์ ยังไม่ออกมา ฮือ...ช่วยเชสเชียร์ด้วย” นางร้องไห้สะอึกสะอื้น

“ว่าไงนะมีคนยังติดอยู่ในนั้นเหรอ แม่หนู ไปหลบตรงนั้น เดี๋ยวข้าไปตามเชสเชียร์ให้” ไม่ได้การ...ผมคงต้องรีบฝ่าเข้าไป

หินสีแดงส่องสว่าง ผมใช้เวทมนต์ในกายและหินเพื่อสงบเปลวเพลิงที่กำลังโหมไหม้ ทว่าทำได้แค่ให้ขนาดกองไฟหดเล็กลงเท่านั้น ดูท่าเปลวเพลิงของสเปคเตอร์ตนนี้จะทรงอานุภาพเกินกว่าที่ผมจะควบคุมได้ แต่ไม่มีเวลาแล้ว...ผมต้องเข้าไปเดี๋ยวนี้

“เชสเชียร์ เจ้าอยู่ไหน” ผมตะโกนเรียกที่ชั้นหนึ่ง พยายามฟังเสียงตอบกลับ แต่ไร้เสียงใดๆนอกจากเสียงไม้ลั่นจากเพลิง หน้าผมชุ่มไปด้วยเหงื่อและเปื้อนไปด้วยเขม่าไฟ ขนาดพยายามสงบกองไฟลงแล้วยังร้อนขนาดนี้เลย

 “เชสเชียร์ แค่ก” ผมมุ่งตรงไปที่บันไดชั้นสองและตะโกนอีกครั้ง เริ่มสำลักควันเพราะไฟที่ชั้นสองรุนแรงกว่าชั้นแรก

เมี๊ยว ๆ

หะ...เสียงแมว เชสเชียร์คือแมวเหรอเนี่ย แต่ไหนๆก็เข้ามาแล้วคงต้องช่วยไว้ ผมฝ่ากองไฟเข้าไปจนพบแมวตัวสีดำสนิท ท่าทางมันหวาดกลัว ผมคว้ามันมากอดไว้

โคร่ม !!!

ซวยล่ะสิ หลังคาถล่มลงมาปิดทางกลับไว้แล้ว สายตาผมสอดส่องหาหนทางอื่นๆ ไฟร้อนระอุรอบๆเริ่มบีบเข้ามาจนหลังผมชิดกำแพง และผมก็คิดทางหนีได้

“เกาะแน่นๆนะเชสเชียร์” ผมโอบกอดเจ้าแมวไว้ด้วยแขนซ้าย มือขวายื่นเข้าหากำแพงบ้าน

“บทแห่งการจู่โจมที่ 3 Magic blast” อณูเวทย์ในกายอัดแน่นที่ฝ่ามือ

บรึ้มมม !!!

แรงอัดมหาศาลระเบิดกำแพงออกเป็นวงกว้าง เปิดช่องทางให้หนี ผมกระโดดออกมาแล้วใช้หินเวทย์ลมควบคุมอากาศร่อนตัวลงพื้นอย่างปลอดภัย เด็กหญิงรีบวิ่งเข้ามาหา

“เอ้านี่ พามันไปหลบกับคนอื่นๆนะ”

“ฮึกฮือ ขอบคุณค่ะ” เด็กสาวรับแมวดำของตนไว้แล้วออกวิ่งไปกับคนอื่นๆทันที

“เอาล่ะ น่าจะหนีไปหมดทุกคนละ” ผมถอนหายใจและเตรียมตัวเข้าไปช่วยเร็กซ์จัดการกับสเปคเตอร์

แต่เมื่อหันไปดวงตาผมก็ต้องเบิกกว้าง อัศวินหนุ่มโดนหมัดจากท่อนแขนอันใหญ่โตอัดเข้าเต็มหน้าท้อง ส่งร่างลอยไปหลายเมตร พุ่งทะลุหายเข้าไปในกำแพงบ้าน

“เร็กซ์” ผมตะโกนสุดเสียง หนอยแหนะเจ้านี่บังอาจทำร้ายอัศวินของผม ออร่าสีแดงจัดปกคลุมร่าง ผมโกรธจัด

“บทแห่งการจู่โจมที่ 2 Magic shot” พลังเวทย์ในกายไหลรวมกันที่ฝ่ามือเป็นก้อนพลังงานสีแดง ผมเล็งมันไปที่อัศวินแห่งความตายที่กำลังก้าวตามไปปิดจ๊อบอัศวินของผม

ผัวะ !!!

ผิดคาด...ร่างกายของศัตรูชะงักเล็กน้อยเท่านั้น แม้กระสุนเวทย์ที่ผมอัดพลังไปเต็มที่ปะทะไหล่ของมันเต็มๆก็ตาม

ดวงแสงสีแดงภายใต้หมวกเหล็กหันมาจ้องผม สเปคเตอร์พุ่งความสนใจมาที่ผมแทน รังสีอำมหิตของมันแผ่ซ่านจนผมรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก แต่ผมจะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด...

หินสีน้ำเงินสว่างขึ้น น้ำจากบ่อน้ำข้างๆพุ่งขึ้นมาเป็นน้ำพุ น้ำปริมาณมากไหลวนกลางอากาศเหมือนงูขนาดใหญ่

ฉ่า !!

ร่างของศัตรูหยุดชะงักเมื่อสายน้ำสัมผัสโลหะร้อน ไอน้ำมากมายโพยพุ่งออกมา เปลวเพลิงที่ไหลเวียนในเกราะเริ่มมอดลง...ได้ผล มันแพ้น้ำนี่เอง

“บทแห่งน้ำที่ 3 Freeze” ผมผสานคาถาน้ำแข็งกับพลังของหินเวทย์น้ำ เสาน้ำแข็งต้นเล็กๆผุดเป็นทางจากผม ตรงไปยังชุดเกราะที่ยืนนิ่ง เมื่อถึงเป้าหมายเสาน้ำแข็งขนาดใหญ่ก็ก่อตัวขึ้นขังศัตรูไว้ภายใน

“สำเร็จ แฮ่กๆ” ผมหอบเหนื่อยเพราะอัดพลังเข้าไปเน้นๆในทุกคาถาที่ใช้ เมื่อเห็นว่าศัตรูไม่ไหวติงแล้วจึงออกวิ่งเพื่อไปดูอาการเร็กซ์ โดนซัดไปจนลอยทุละกำแพงขนาดนั้นได้นี่น่าจะหนักอยู่ ถึงมันจะอึดเกินคนก็ตาม

เปรี้ยะ ๆ

เสียงบางอย่างแตกร้าวเรียกความสนใจของผมกลับไปหามอนสเตอร์ในก้อนน้ำแข็ง

“บ้าหน่า”

เพล้ง !!!

เสาน้ำแข็งของผมระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ เศษน้ำแข็งกระจายไปทุกทิศทาง และมีก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งพุ่งตรงมาทางผม

“อัก” ผมยกแขนป้องไว้ทันแต่แรงปะทะรุนแรงจนร่างผมกระเด็นไปกระแทกเสาไม้ของบ้านหลังหนึ่ง ผมจุกไปหมดจนแทบลุกไม่ขึ้น แต่ก็ต้องตาลีตาเหลือกฝืนตัวขยับเมื่อเห็นสเปคเตอร์คว้าหอกจากหลังขึ้นง้าง

ฟ้าว

หอกเงินด้ามยาวพุ่งเข้าหา ผมพลิกตัวหลบออกจากวิถีทันอย่างฉิวเฉียด

โคร่ม

เสาไม้แตกออกเป็นเสี่ยงๆไปพร้อมกับกำแพงของบ้าน ไม่สิ...ต้องเรียกว่าบ้านไม้แตกออกเป็นเสี่ยงๆเลยมากกว่า เพราะตอนนี้จุดที่ผมนั่งจุกอยู่เมื่อครู่กลายเป็นรูขนาดใหญ่จนมองทะลุไปอีกฝั่งได้

“เรี่ยวแรงมหาศาลเกินไปแล้ว” แค่ขว้างหอกมายังทรงอานุภาพขนาดนี้ นี่เร็กซ์ประดาบกับมันมาจะต้องรับแรงขนาดไหนเนี่ย

แต่ด้วยความชะล่าใจของผมนั่นเอง…

โคร่ม

“อ้ากกกก” ผมร้องออกมาเมื่อหลังคาบ้านถล่มลงมาทับขาของผมไว้ แรงกระแทกจากแผ่นไม้ส่งผ่านเป็นความรู้สึกเจ็บปวดวิ่งขึ้นมาจากท่อนขาถึงสมอง ภาพในตาของผมกลายเป็นสีขาวโพลนชั่วขณะ

ขาผมหักรึเปล่าเนี่ย

แกร็ก ๆ ๆ

เสียงรองเท้าเกราะเหล็กของมัจจุราชเรียกสติผมกลับมา อัศวินแห่งความตายกำลังย่างกลายเข้ามา ในมือกุมดาบไว้มั่นพร้อมสังหาร
“อึก” ผมกัดฟันทนเจ็บพยายามขยับแผ่นไม้ออกด้วยความลนลาน ยิ่งขยับก็ยิ่งเจ็บ…

“บทแห่ง...” ผมกำลังจะร่ายเวทย์เพื่อยกแผ่นไม้ออกแต่ก็ต้องชะงักลงเมื่อเงาสีดำเข้ามาทาบทับ ผมเงยหน้าไปสบดวงแสงสีแดงในหมวกเหล็กๆ สเปคเตอร์เงื้อดาบขึ้น…

ผมรีบเปลี่ยนเวทย์บทที่จะร่าย…

“บทแห่งการปกป้องที่ 2 Magic shield 3 ชั้น” วงเวทย์สามวงซ้อนกันปรากฏขึ้นขั้นกลางระหว่างเหยื่อและเพชฌฆาต

เปรี้ยง!!!

คมดาบสีเงินวาวผ่าโล่ 3 ชั้นของผมลงมาอย่างง่ายดายเหมือนกับขวานจามลงมาบนแผ่นไม้บางๆ ก่อนที่ดาบจะหยุดลงที่กึ่งกลางโล่ ปลายดาบห่างจากใบหน้าผมไปไม่กี่ฟุต

คิดถูกจริงๆที่ร่ายซ้อนกัน 3 ชั้น ถ้าน้อยกว่านี้หัวคงแบะไปแล้ว

เปรี้ยะ ๆ ๆ

ศัตรูยังคงไม่ลดละความพยายาม ออกแรงกดดาบลงมามากขึ้น รอยแตกร้าวของโล่เวทมนต์ขยายออกเรื่อยๆพร้อมกับปลายดาบที่ใกล้เข้ามาทีละนิด ผมปลดปล่อยพลังเวทย์เสริมความแข็งแรงอย่างสุดความสามารถ

เร็กซ์...เจ้าอยู่ไหน ข้าจะไม่ไหวแล้ว

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด