พิมพ์หน้านี้ - จบแล้ว-(Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.พิเศษ2)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: KPMwolf ที่ 22-05-2018 22:45:42

หัวข้อ: จบแล้ว-(Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.พิเศษ2)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 22-05-2018 22:45:42
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
หัวข้อ: Re: Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 22-05-2018 22:53:28
Intro

      ไม่รู้ว่าด้วยความซวยอะไรทำให้นักผจญภัยใจบาปผู้ชอบใช้ชีวิตอิสระสบายๆ และทานพ่อหมีเป็นของว่างอย่างผม ถึงต้องมาทำสัญญาผูกมัดกับอัศวินมากคุณธรรมคนนี้เพื่อช่วยมันทำภารกิจสำคัญ แล้วนี่ชีวิตผมจะลงเอยยังไงเนี่ย

.................................................

     “ข้าว่าแล้วว่าโจรอย่างเจ้ามันไว้ใจไม่ได้”

     “นะ นี่มันเกิดอะไรขึ้น”

     “ดาบเล่มนี้มีชื่อว่า Oathkeeper คำสาบานใดๆต่อหน้าดาบเล่มนี้จะถูกจดจำไว้ และผู้สาบานจะถูกพันธนาการไว้จนกว่าคำสาบานนั้นจะลุล่วง”

     “หน่านิ๊”

     “เจ้าหนีไปไหนไม่ได้แล้วหละ เจ้าโจร”

.................................................

     “นี่ๆ ว่ากันว่าพวกนักเรียนอัศวินอาบน้ำร่วมกันจริงใช่ป่ะ”

     “อืม ใช่”

     “แล้วทุกคนนี่คือล่ำบึกกล้ามเป็นมัดใช่ป่ะ”

     “นี่ไม่ต้องมาคิดลามกเลย ถึกเป็นควายทั้งนั้น ไม่มีอะไรน่าดูหรอก”

     “แสดงว่ามองอยู่บ้างอ่ะดิ”

     “ชินแล้ว”

     “แล้วที่ว่ามีพิธีกระชับความสัมพันธ์ระหว่างอัศวินหล่ะ”

     “หมายความว่ายังไง”

     “ก็แบบขัดดาบให้กันงี้”

     “ขัดดาบก็ขัดในโรงเก็บอาวุธสิ จะมาในห้องอาบน้ำทำไม”

     “...” โอ้ว มาย ก้อดดดด!!! มันไม่เข้าใจผมจริงดิ


     สวัสดีครับ ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่แวะเข้ามาครับ

     นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกของผม กำลังหัดเขียนครับ ค่อนข้างกลัวว่าจะอ่านไม่รู้เรื่องอยู่พอสมควร มีอะไรผิดพลาดช่วยแนะนำด้วยครับ

     เรื่องนี้จะเป็นแนวแฟนตาซี ผจญภัย มี NC บ้างเล็กน้อย ในยุคสมัยที่มีอัศวิน จอมเวทย์ และมอนสเตอร์ หากนึกภาพไม่ออกลองดูพวก The witcher ,Konosuba หรือ Grimoire of zero ครับ


     แผนที่ของเรื่องครับ
     https://twitter.com/CruisingDog/status/1014070947651829760
     https://twitter.com/CruisingDog/status/1015300252612481024
หัวข้อ: Re: Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 22-05-2018 23:00:21
Chapter 1 Adventurer's desire

ภายในท้องพระโรงอันโอ่โถง

“ยินดีต้อนรับท่านผู้กล้าทั้งสี่ของเรา ตัวแทนของเสาหลักที่ค้ำจุนราชวงศ์ของเรามาช้านาน” หญิงสาวผมทองในชุดเดรสขาวบริสุทธิ์ผายมือออกต้อนรับชายหนุ่ม 4 คน นางยืนอยู่หน้าบัลลังก์ที่มีตราสัญลักษณ์รูปเขากวางที่องค์ราชานั่งประทับ หลังไปอีกคือเสาผลึกคริสตัลสีน้ำตาลที่เปี่ยมไปด้วยพลังเวท

ชายหนุ่มทั้ง 4 ก้มคำนับรอฟังคำสั่งท่ามกลางสายตาของข้าราชบริพารที่ยืนรายล้อมทั่วห้อง พวกเขากำลังปรึกษากันเกี่ยวกับอนาคตของประเทศเทอร่า

เทอร่า อาณาจักรแห่งดินอันอุดมสมบูรณ์ เขตแดนกว้างใหญ่ไพศาล สั่งสมวัฒนธรรมจากนานาประเทศมาช้านาน เป็นหนึ่งในอาณาจักรที่แข็งแกร่งที่สุดเพราะระบบทางทหารที่มั่นคง

หญิงสาวหลับตาลงยกมือขึ้นพนมไว้ที่อก ห้องทั้งห้องเงียบงันในพริบตา ผลึกคริสตัลทอประกายแสงสีน้ำตาลเกิดออร่าสีเดียวกันปกคลุมตัวหญิงสาวไว้ ทันทีที่นางลืมตาขึ้นออร่าก็กระจายแผ่ไปยังผู้กล้าทั้งสี่ เกิดเป็นออร่าสีที่แตกต่างกันไป

ออร่าสีแดงที่ชายหนุ่มผมแดงในชุดจอมเวทย์

ออร่าสีเหลืองทองที่ชายหนุ่มผมทองในชุดนักธนู

ออร่าสีเขียวที่ชายร่างท้วมในชุดนักประดิษฐ์

และออร่าสีฟ้าที่ชายผมดำในเกราะอัศวิน

ฉับพลันออร่าทั้งสี่ก็แยกออกมาจากร่างรวมกันเป็นกลุ่มก้อนแสง ร่างทั้งสี่กระตุกเล็กน้อยแต่ยังคงรักษาท่าทีไว้ มวลแสงบิดวนกลางอากาศก่อนจะพุ่งออกไปตามทวารทั้งสี่ทิศของห้องก่อนจะหายไปในท้องฟ้ายามค่ำคืน

“หากพวกท่านปรารถนาเกียรติยศสูงสุด ท่านจงออกเดินทางเพื่อตามหาแสงที่หายไปของตน เส้นทางของท่านจะเต็มไปด้วยบททดสอบที่อันตราย”

“และเหนือสิ่งอื่นใด เราหวังว่าพวกท่านจะได้พบตัวตนที่แท้จริงของตนเอง”

“เราขอให้พวกท่านโชคดี”

...........


รุ่งเช้า ณ บ้านไม้หลังเล็กๆบริเวณชายขอบหมู่บ้านอัลฟี่ (Alphy)

แสงแดดอ่อนๆยามเช้าส่องเข้ามาแยงตา เสียงนกร้องรบกวนจนผมตื่นในที่สุด ผมลุกขึ้นนั่งแล้วบิดขี้เกียจ ก่อนหันไปมองชายร่างใหญ่ที่นอนอยู่ข้างๆเจ้าหมีเจ้าของบ้านที่กรุณาแบ่งที่พักให้กับผม สมแล้วจริงๆที่เป็นช่างไม้ประจำหมู่บ้าน แม้จะเข้าสู่วัยกลางคนแล้วแต่เมื่อคืนแรงดีไม่มีตกจริงๆ อืม...โดยเฉพาะเคราอ่อนๆนั่น แค่นึกก็รู้สึกสยิวกิ้วแล้ว

ผมลุกเข้าไปใช้ห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตา และคราบต่างๆตามลำตัว

ตึง!!

เสียงถังไม้ตกพื้น ผมโผล่หน้าออกไปดูเจ้าบ้านบนเตียง…ยังไม่ตื่นแฮะ สงสัยที่ชมว่าแรงดีไม่มีตกจะมาหมดสภาพเอาตอนนี้กระมัง ฮ่าๆ

ผมส่องกระจกสำรวจความเรียบร้อยของร่างกายวัย 18 ของตนเอง ดวงตากลมโตสีน้ำตาลแดง เส้นผมสีน้ำตาลเข้ม ใบหน้ารูปไข่เชิญชวนให้ใครต่อหลายคนหลงไหล...นี่ไม่ได้หลงตัวเองนะ

ผิวขาวเนียนมีรอยแดงที่คอนิดหน่อยจากกิจกรรมเมื่อคืน...รุนแรงแฮะแต่เดี๋ยวก็หาย

ร่างกายปราดเปรียวมีกล้ามเนื้อสมสัดส่วน...มันแน่อยู่แล้วผมเป็นนักผจญภัยต้องเดินทางและต่อสู้กับมอนสเตอร์ตลอด มันต้องฟิตหน่อย

ผมสวมกางเกงขายาว เสื้อยืดแขนสั้นทับด้วยเกราะอ่อนปิดช่วงอกแล้วคลุมด้วยแจ็คเก็ต กระชับถุงมือที่มือซ้ายและสายหนังที่ข้อมือขวาก่อนออกจากห้องน้ำ เก็บสำภาระลงกระเป๋าเตรียมตัวเดินทางต่อ ทันทีที่นั่งลงเพื่อจะใส่รองเท้าบูทที่ข้างเตียง หนุ่มใหญ่ที่ตอนแรกนึกว่ายังหลับอยู่ก็สวมกอดจากข้างหลัง พร้อมเอาคางที่เต็มไปด้วยเคราอ่อนๆนั่นมาเกยที่คอ

“อย่าพึ่งไปสิเจ้าหนู เจ้าไม่อยากอยู่ต่อกับข้าที่นี่หรอกเหรอ บ้านหลังนี้มีที่พอสำหรับคนสองคนนะ” ผมหันข้างยิ้มให้พร้อมเอามือลูบศีรษะของเขา

“แหม...คุณทอมก็ ผมบอกแล้วไงว่าผมมีภารกิจต้องเดินทางไปยังชายแดนของประเทศ แค่คุณทอมกรุณาให้ที่พักผมก็เป็นพระคุณอย่างสูงแล้วล่ะครับ”

“ก็เกินไป นานๆข้าจะมีแขกสักครั้งนึง ข้าต้องยินดีอยู่แล้ว น่าอิจฉานักผจญภัยหนุ่มๆอย่างเจ้าจริงๆ ถ้าตอนนั้นเข่าข้าไม่เจ็บเสียก่อนข้าก็ยังคงได้ผจญภัยเช่นเจ้า” ไม่ได้พูดอย่างเดียว คุณทอมเอาเครามาซุกไซร้ที่ต้นคอจนผมขนลุก

“ฮ่าๆ คุณต้องเป็นนักผจญภัยที่เก่งกาจคนนึงแน่ๆ” คุณทอมยิ่งรุกหนัก มือข้างหนึ่งล้วงผ่านเสื้อลูบหน้าท้องเป็นลอนของผม อีกข้างนวดคลึงที่เอว

“อ่า...คุณทอมอย่าเลย ผมต้องเดินทางไปที่หมู่บ้านถัดไปก่อนพลบค่ำนะครับ เดินทางตอนกลางคืนมันอันตราย ยิ่งต้องค้างแรมกลางป่ายิ่งแล้วใหญ่” คุณทอมยอมหยุดลงจนได้

“นั่นสินะ เดินทางตอนนี้กว่าจะถึงหมู่บ้านบริจต้า (Bridgta) ก็คงพระอาทิตย์เกือบตกดินพอดี” หนุ่มใหญ่ยอมปล่อยมือ แล้วเปลี่ยนมาเท้ายันตัวเองไว้บนเตียง “ข้าจะได้พบเจ้าอีกไหม” เขาส่งสายตาวิงวอน

ผมลุกขึ้นจากเตียง หันตัวกลับ โน้มตัวลงไปจูบเบาๆที่ริมฝีปากหนา “ผมจะรอคอยวันที่เราได้พบกันอีกครับ”
 
“ขอให้โชคดีและเดินทางปลอดภัยนะ เจ้าหนุ่ม” คุณทอมยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

“ขอบคุณครับ จุดแข็งที่สุดของผมก็โชคนี่แหละครับ”

“อย่างอื่นด้วยกระมัง” เขาพูดปนหัวเราะ

ฮ่าๆๆ เราทั้งคู่ต่างหัวเราะ ก่อนที่ผมจะเดินทางออกจากบ้านช่างไม้

..............................

หลังจากจัดแจงซื้อเสบียงเตรียมเดินทางเสร็จ จุดหมายต่อไปคือหมู่บ้านบริจต้าทางทิศตะวันออก อันที่จริงก็รู้สึกผิดที่โกหกคุณทอมไปว่ามีภารกิจ ทั้งที่จริงๆแล้วเป็นเป้าหมายส่วนตัวเสียมากกว่า

สองคืนก่อนผมไปเก็บสมุนไพรหายากที่เขาแบรกดิก (Blacdick) ตามคำขอร้องของนักปรุงยาที่หมู่บ้านแห่งนี้ กว่าจะขึ้นเขาจนเกือบยอดเพื่อเก็บของป่าก็ใช้เวลาทั้งวันแล้ว เลยจำเป็นต้องค้างแรมบนเขา ขณะกำลังจะหลับนั่นเองก็มีแสงประหลาดสีฟ้าพุ่งข้ามท้องฟ้า แหวกผ่านก้อนเมฆและหมู่ดาวไปทางทิศตะวันออก ดูท่าจะมาจากทางเมืองหลวงที่ตั้งอยู่กลางประเทศเทอร่า (Terra) แห่งนี้ ผมตาสว่างทันทีด้วยความตื่นเต้น รีบสังเกตทิศทางที่แสงนั้นพุ่งไปและคำนวณจุดตกของแสงนั้นทันที

“อืม...น่าจะแถวๆสุดขอบชายแดนทางตะวันออกเลยแฮะ” ผมพึมพำ แสงนั้นข้ามผ่านหุบเขาสีแดง แล้วสว่างวาบก่อนจะหายไป
 
“เอ...ทางทิศนั้นน่าจะเป็นป่าต้องห้าม ป่าจันทราแน่ๆ” แม้จะอันตรายแต่เลือดนักผจญภัยที่ชอบความท้าทายและเสี่ยงอันตรายมันพลุ่งพล่านเหลือเกิน ไม่ว่าจะการล่าสมบัติ สำรวจสถานที่ใหม่ๆ มันช่างน่าตื่นเต้น ตลอด 6 ปีที่ผจญภัยมาไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย…ต้องรีบไปสำรวจให้ได้

วันถัดมากว่าจะลงจากภูเขาและกลับมาส่งของตามคำขอที่ได้รับก็ปาไปตอนพระอาทิตย์เกือบจะตกดิน

“คงต้องค้างที่นี่อีกคืน” ผมเดินทางไปที่โรงเตี๊ยมประจำหมู่บ้าน หมู่บ้านอัลฟี่แม้จะเป็นหมู่บ้านขนาดเล็ก แต่ก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกค่อนข้างครบเพราะเป็นจุดพักสุดท้ายก่อนจะออกสู่เขตรอบนอกของประเทศ

เมื่อถึงโรงเตี๊ยมผมรีบสั่งอาหารและเครื่องดื่มด้วยความหิวกระหาย ตอนแรกก็กะจะรีบทานให้เสร็จแล้วไปจองห้องพักเพื่อพักผ่อนก่อนจะออกเดินทางแต่เช้า แต่ตาดันไปสะดุดกับหนุ่มใหญ่หน้าคมร่างใหญ่กำยำราวกับหมีที่นั่งอยู่อีกฝั่งของโรงเตี๊ยมเข้า
 
แบบนี้แหละ...สเปคเลย โอ้...มองมาทางนี้ด้วย ผมยิ้มด้วยไมตรีจิตให้เล็กน้อย อีกฝ่ายก็พยักหน้ารับพร้อมยิ้มตอบกลับมา ผมก็ได้แต่ยิ้มเขินๆแล้วทานอาหารต่อ

ไม่นานชายคนนั้นก็ลุกมาขอร่วมโต๊ะด้วย...หมีเริ่มออกล่าแล้วสินะ

พวกเราคุยกันเรื่องทั่วไปจนทราบว่าเขาชื่อทอม เป็นช่างไม้ประจำหมู่บ้าน ยิ่งตอนรู้ว่าผมเป็นนักผจญภัย เรายิ่งคุยกันอย่างออกรสออกชาติ เพราะเขาเองก็เคยเป็นนักผจญภัยก่อนที่จะโดนลูกธนูปักเข่าจนต้องรามือไป เวลาล่วงเลยไปอย่างรวดรู้ตัวอีกทีก็ดึกมากแล้ว

“ค่ำคืนอากาศหนาวๆแบบนี้ถ้าต้องนอนคนเดียวมันหนาวนะ เจ้าหนุ่ม สนใจมาพักที่บ้านข้าไหมจะได้ไม่ต้องสิ้นเปลืองค่าที่พักด้วย” เชี่ย...คำเชิญชวนเชยชิบหาย แต่ไม่เป็นไรให้อภัยหมีหล่อ

“จะดีหรอครับคุณทอม รบกวนเกินไปรึเปล่า”

“รบกวนอะไรกัน นานๆข้าจะได้รับรองแขกสักคน คืนนี้ให้ข้าได้ดูแลเจ้าเถอะนะ”

“ถ้าเช่นนั้นก็รบกวนด้วยนะครับ” แหมได้ที่พักฟรีทั้งทีพร้อมมีหนุ่มใหญ่ร่างหมีแถมมาด้วย จะปฏิเสธได้ยังไง ถ้าจะพูดให้ถูกต้องบอกว่าที่พักเป็นของแถมเสียมากกว่า ฮ่าๆ

ผมเดินตามหลังช่างไม้ร่างใหญ่ไปยังบ้านของเขา ระหว่างเดินก็สำรวจสรีระของเจ้าหมีตรงหน้า บ่ากว้างรับกับไหล่หนาสมชายชาตรี กล้ามแขนมัดใหญ่ตามภาษาผู้ที่ใช้แรงกายทำงานเป็นหลัก โดนกอดทีน่าจะรัดแน่นน่าดู แผ่นหลังกว้างเห็นลวดลายกล้ามเนื้อชัดเจนผ่านเสื้อเชิ้ตลายสก็อตสีแดง สายตาไล่ลงไปที่บั้นท้ายกลมคู่นั้น น่าบีบขย้ำจริงๆ

เมื่อเดินถึงที่หมายก็พบบ้านไม้ตั้งอยู่ที่ชายขอบของหมู่บ้าน มีท่อนซุงวางกระจัดกระจายอยู่โดยรอบ เปิดประตูเข้าบ้านไปก็พบห้องนั่งเล่นของบ้าน มีโต๊ะทำงาน เก้าอี้ โซฟาหนังสัตว์ และเครื่องมือช่างวางกระจัดกระจาย

“แหะๆ รกหน่อยนะ” คุณทอมยิ้มแห้งๆ

“สบายมากครับ ไม่ถือสาหรอก แค่ให้ที่ซุกหัวนอนก็บุญคุณเหลือล้นแล้วครับ” ผมฉีกยิ้มตอบกลับไป “ให้ผมนอนตรงไหนดีครับ” ถามลอยๆไปอย่างนั้นแหละ

“แหม แน่นอนว่าต้องเตียงดีๆอยู่แล้ว” เขาเปิดประตูไปอีกห้องหนึ่ง จุดตะเกียงส่องแสงเผยให้เห็นห้องนอนมีเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งเรียบง่าย แต่ที่โดดเด่นที่สุดคือเตียงขนาดใหญ่ปกคลุมด้วยขนสัตว์มากมาย ถ้าได้ล้มตัวลงนอนคงจะนุ่มสบาย

หมับ!!!

ผมก้าวพ้นประตูห้องนอนไปไม่เท่าไหร่ผมก็โดนแขนแกร่งรวบเอวไปกอด ซอกคอถูกซุกไซร้โจมตีด้วยหนวดเคราอ่อนๆจนเคลิ้ม…ก็เข้าถ้ำหมีมาแล้วนี่เนอะ

“จ๊วบ…เจ้าเป็นนักผจญภัยที่ผิวขาวนุ่มเนียนดีจริงๆ” หนุ่มใหญ่ออกแรงดูดอย่างจาบจ้วงจนทิ้งรอยแดงไว้ มือไม้สอดผ่านชายเสื้อเข้าไปลูบไล้ผิวกาย

“อาห์ มันต้องดูแลดีกว่าปกติครับ อื้อ” ผมครางไปกับสัมผัสของเขา เจ้าหมีนี่ไม่ธรรมดา ลูบไล้จู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัวจนแทบจะเข่าอ่อน “ฮึก ฮือ คุณทอมครับ วันนี้ผมเดินลุยลงเขาทั้งวันเลย ขออาบน้ำหน่อยนะครับ” ผมวอนขอด้วยเสียวกระเส่า พวกหนุ่มใหญ่นี่ดีตรงนี้แหละ รู้หมดว่าจะปลุกอารมณ์ยังไง

“อืม…จริงๆข้าไม่ถือสาหรอกนะ กลิ่นกายเจ้าตอนนี้ก็เย้ายวนข้าจนจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว แต่...” เจ้าหมียกผมขึ้นพาดบ่า “แต่ถ้าอยากอาบจริงๆเดี๋ยวข้าจัดให้เอง ฮ่าๆ บอกแล้วนี่ว่าวันนี้จะดูแลเอง”

“หึหึ นั่นสิครับ”

.......................

เดินทางไปนึกถึงทบทวนเหตุการณ์ของสองวันก่อนไป รู้ตัวอีกทีก็บ่ายแก่ๆแล้ว  แสงแดดอ่อนยามพระอาทิตย์ใกล้ล่วงลับ สายลมเอื่อยๆพัดผ่าน เสียงกิ่งไม้สีกันตามแรงลม การได้เดินทางไปไหนอย่างเสรีไร้พันธะนี่ช่างให้ความรู้สึกที่ดีจริงๆ

ผมรีบเร่งฝีเท้าไปตามถนนกลางป่าเพื่อจะให้ถึงที่พักก่อนอาทิตย์ตกดิน ข้างหน้านั่นมีเกวียนและกลุ่มคน 3-4 คนกำลังชุลมุนอะไรกันอยู่

“เจ้าหนุ่มๆ เจ้าเป็นนักผจญภัยใช่ไหม โปรดช่วยพวกเราด้วย” ทันทีที่เห็นผม หญิงสูงวัยผมขาวรีบเดินตรงมาทีผมอย่างรีบร้อน
หัวข้อ: Re: Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 23-05-2018 10:01:24
Chapter 2 Unlucky


ณ ที่ไหนก็ไม่รู้กลางป่า

          เห้อ ผมนี่หาเรื่องใส่ตัวชัดๆ ทั้งๆที่แสงแดดใกล้จะหมดแล้ว แต่ดันต้องมาแกะรอยมอนสเตอร์เข้ามาในป่าด้วยตัวคนเดียว

แบบนี้ แถมยังอาจจะเป็นงานการกุศลไม่มีค่าตอบแทนอีก ต้องโทษนิสัยเสียของตัวเองที่เป็นคนใจอ่อน โดยเฉพาะต่อสายตา

วิงวอนของชายวัยสามสิบต้นๆ ร่างกายกำยำที่ได้รับบาดเจ็บคนนั้น ดูเหมือนคาราแวนกลุ่มนั้นกำลังเดินทางกลับจากการค้าขาย

โดยมีชายหนุ่มคนนั้นคนเดียวทำหน้าที่คุ้มกัน แล้วโดนมอนสเตอร์ดักทำร้ายและขโมยของมีค่าไป


          <งานเสร็จแล้วคงต้องไปเยี่ยมชายคนนั้นสักหน่อยละ หึหึ> ผมคิดเล่นๆในใจขณะที่สายตาสอดส่องหาร่องรอยของพวก

ก๊อบลิน ผมแกะรอยตามที่อาจารย์พรานป่าเคยสอนผมไว้ พร้อมทั้งเคลื่อนที่ตามไปอย่างรวดเร็วให้ไร้เสียงที่สุด ดูจากรอยเท้า

แล้วน่าจะมีกันห้าตัว ด้วยจำนวนเท่านี้ไม่น่ายากเกินไปสำหรับผมคนเดียว

          เจ้ามอนสเตอร์ที่ผมกำลังตามล่าอยู่คือก๊อบลิน เป็นมอนสเตอร์ขนาดเล็กระดับต่ำ พลังกายน้อย มักใช้อาวุธอย่างง่ายเช่น

 มีด ดาบ ธนู พวกมันชอบขโมยของมีค่ามาเก็บสะสมไว้ที่รังของมัน แม้จะอ่อนแอแต่ก็ประมาทไม่ได้เพราะพวกมันชอบจับตัวกัน

เป็นกลุ่ม ถ้าไม่รู้จำนวนที่แน่นอน ขืนผลีผลามบุกเข้าไปอาจโดนรุมฆ่าตายได้ด้วยจำนวนที่มากกว่าของมัน น่าแปลกใจที่มีพวก

ก๊อบลินบริเวณนี้ แม้จะเป็นเขตรอยต่อวงในกับวงนอกของประเทศ พวกทหารและมือปราบไม่น่าปล่อยให้มีเจ้าพวกนี้อาละวาดได้

          ไม่นานนักผมก็เห็นพวกก๊อบลินข้างหน้า โชคดีจริงๆที่แสงยังไม่หมดเสียก่อน

          นับจำนวนได้เพียงสี่ตัว ดูท่าจะแยกตัวออกไปตัวนึง ต้องระวังตัวกว่าเดิมสักหน่อยแล้วสินะ

ผมแอบเคลื่อนที่ไปด้านข้างเพื่อแซงพวกมันอย่างรวดเร็วโดยไม่ให้พวกมันรู้ตัวเพื่อหาตำแหน่งดีๆดักรอพวกมันไว้ มือขวาถือดาบ

สั้นไว้ มือซ้ายกำมือกระชับถุงมือหนังที่ฝังหินเวทย์รูปไข่ห้าสี เรียงตัวเป็นรูปดาวห้าแฉก ไว้ที่กลางหลังมือ <ใช้เม็ดเดียวน่าจะ

เพียงพอ> ผมคิดในใจ

          จังหวะที่พวกมันกำลังผ่านหน้าผมไปนี่หละ หินสีแดงส่องประกายแสงสีแดงขึ้น ลูกบอลไฟสีแดง ขนาดเท่าหัวคนสองลูก

ปรากฏขึ้นสองข้างตัวของผม พวกก๊อบลินที่พึ่งรู้ตัวแตกตื่นคว้าอาวุธอย่างลนลาน แต่ช้าไปแล้ว ผมยิงลูกไฟลูกหนึ่งไปที่กลางวง

ของพวกมัน

          “บึ้ม” เสียงระเบิดสนั่นหวั่นไหว ส่งร่างไหม้เกรียมของก็อบลินสองตัวลอยไปคนละทิศคนละทาง ในขณะที่อีกสองตัวไหว

ตัวหลบทัน กลิ่นเนื้อไหม้น่าสะอิดสะเอียนคละคลุ้งไปทั่ว

          ตัวหนึ่งไม่รอช้าง้างคันธนูยิงลูกธนูมาทิศทางของผม ผมเคลื่อนตัวหลบไปหลังต้นไม้ได้อย่างทันท่วงที “เกือบแม่นแล้ว

นะเจ้าก๊อบลิน” ผมพึมพำเบาๆ

          ชั่วขณะที่มันกำลังขึ้นลูกธนูอีกลูก ผมกระโดดออกจากที่กำบังยิงลูกไฟอีกลูกสวนไป

          “บึ้ม” โดนเข้าอย่างจัง ร่างกายดำเป็นตอตะโกของก๊อบลินตัวนั้นปลิวไปกระแทกต้นไม้ใกล้ๆ

          “ก๊าสสสสสส” ก๊อบลินที่เหลืออีกตัวส่งเสียงคำรามถือมีดพุ่งเข้ามาจากด้านข้าง

          “แกร๊ง” เสียงโลหะกระทบกัน ผมใช้ดาบสั้นรับไว้ได้อย่างทันท่วงทีพร้อมหันฝ่ามือข้างซ้ายไปที่ลำตัวของมัน

          “พรึ่บ” ไฟสีแดงพุ่งออกจากฝ่ามือเป็นสายเผามันทั้งเป็น มันร้องด้วยความเจ็บปวด วิ่งเคลื่อนที่สะเปะสะปะสักพักก่อนจะ

ล้มลงแล้วแน่นิ่งไป

          ถึงจะจัดการหมดสี่ตัวแล้วผมก็ยังไม่วางใจเพราะร่องรอยของพวกมันมีกันห้าตัว ผมตั้งท่าเตรียมต่อสู้ พร้อมทั้งสังเกต

สภาพแวดล้อมรอบตัวเตรียมรับมือกับก๊อบลินที่อาจจะซุ่มซ่อนตัวอยู่หลายนาที แต่ไม่มีท่าทีว่ามันจะออกมา

          แสงของหินสีแดงที่หลังมือดับลงแล้วเปลี่ยนกลายเป็นหินสีเทาเป็นสัญญาณว่าพลังเวทของมันหมดแล้ว

          “ชิ หมดเวลาแล้วสินะ หรือว่าเราจะอ่านรอยผิดไป” แต่ก็ไม่มีเวลาคิดแล้ว ตอนนี้แสงอาทิตย์หมดลงแล้ว มีเพียงแสงไฟ

จากเวทย์มนต์ของผมที่เริ่มมอดลงเท่านั้นที่พอจะให้ผมมองเห็น

          “ต้องรีบหาของที่ถูกขโมยแล้วกลับแล้วหละ” ผมเก็บดาบและพยายามสอดส่องหาถุงสัมภาระที่ถูกขโมยด้วยแสงจาก

เปลวไฟที่ยังหลงเหลืออยู่ “นั่นไง” ผมเก็บสัมภาระบางส่วนที่กระจายอยู่ตามพื้นเข้าถุง แบกขึ้นหลังเตรียมเดินทางกลับ

          “แซ๊กๆๆๆๆ” ด้วยสัญชาตญาณ ผมหันไปหาที่มาของเสียงทันทีพร้อมชักดาบขึ้นมา แสงสีขาววาบพุ่งตรงมาที่ใบหน้าของ

ผม แต่ผมยกดาบขึ้นกันไว้ทัน “ออกมาจนได้” ศัตรูที่ปรากฏขึ้นมาเป็นก๊อบลินขนาดใหญ่กว่าก๊อบลินทั่วไปสองเท่า ตัวสูงพอๆกับ

มนุษย์ “พวกกลายพันธ์งั้นหรอ”

          “ถ้าหน้าข้าเสียโฉมไปจะทำยังไง” ผมพูดติดตลกอีกฝ่ายไม่ตลกด้วย มันฟันดาบมาอีกครั้ง ผมรีบปล่อยมือซ้ายจากถุง

สัมภาระเพื่อใช้สองมือจับดาบรับดาบของอีกฝ่ายไว้ <แรงเยอะจริงๆ> อีกฝ่ายไม่ปล่อยจังหวะให้ว่างส่งลูกถีบไปที่ท้องอย่างแรง

          “อัก” ร่างผมกระเด็นไปกระแทกต้นไม้อย่างแรง มือกุมท้องด้วยความจุก มันไม่รอช้าพุ่งตัวเข้ามาฟันดาบลงมาเป็นแนวดิ่ง

 สองมือรีบกระชับดาบเพื่อป้องกันทันที

          “แกร็ง ครืดๆๆๆ” ก๊อบลินยักษ์ออกแรงกดดาบเกิดเสียงโลหะเสียดสีกันจนบาดหู ใบหน้าของมันกำลังยิ้มโชว์เคี้ยวแหลม

คมหน้าเกลียดหน้ากลัว มันกำลังหยิ่งผยองที่มันกำลังจะได้รับชัยชนะ

          “กรอดดดด” ผมกัดฟันแน่นเอาชนะความเจ็บปวดที่ท้องและหลังเพื่อออกแรงต้านดาบของอีกฝ่ายไว้จนมันหมดความอด

ทน เอามือที่ว่างอีกข้างมาบีบคอแล้วยกจนผมตัวลอย

          “อ๊อก” มันลดดาบลงหวังจะบีบคอให้ตาย <แกพลาดแล้วหละ> ผมแสยะยิ้มทั้งๆที่กำลังจะขาดหายใจ

          ขณะมันทำหน้าแปลกใจ ผมยกมือซ้ายมาจับมือของมันไว้ หินสีเหลืองเรืองแสงขึ้น

          “เปรี้ยะๆๆๆๆๆๆ” เสียงไฟฟ้าช๊อตดังขึ้น กระแสไฟฟ้ามหาศาลไหลผ่านมือผมเข้าสู่ร่างของก๊อบลินยักษ์ ร่างของมันชัก

กระตุกอยู่สักพักก่อนจะหงายหลังล้มลงไป กลิ่นเหม็นไหม้พุ่งเข้าจมูกจนแทบสำลัก

          “แค่กๆๆๆ” ผมเอามือลูบคอตัวเองพร้อมไอสำลักอากาศและกลิ่นเหม็น “เกือบไปแล้วมั้ยหละ”

          “อย่างน้อยชาวบ้านพวกนั้นต้องมีที่ให้ข้าอาบน้ำล้างตัวเท่านั้น” ผมลุกขึ้นเอามือกุมท้องอย่างเสียอารมณ์ “นอกจากเจ็บ

ตัวและใช้หินเวทย์ไปถึงสองเม็ดแล้ว ยังต้องมาตัวเหม็นเนื้อย่างอีก” ผมเก็บถุงสัมภาระแล้วเดินทางไปที่หมู่บ้านที่คาราแวนนั้นรอ

อยู่ทันที

...

ณ หมู่บ้านบริจต้า

          ผมใช้เวลาพอสมควรลากร่างกายสะบักสะบอมของผมจนมาถึงจุดหมาย หมู่บ้านบริจต้า คือจุดนัดพบกับคาราแวนนั้น

และยังเป็นจุดหมายที่ผมตั้งใจไว้ว่าจะเดินทางมาถึงก่อนพระอาทิตย์ตกดิน

          หมู่บ้านขนาดกลางประมาณ 20 ครัวเรือนมีกำแพงไม้สูงล้อมรอบเพื่อป้องกันภัย

          “เห้อ ถ้าไม่หาเรื่องใส่ตัวป่านนี้คงเข้าที่พักนอนสบายไปแล้ว” ผมถอนหายใจ เงยหน้ามองท้องฟ้าที่สว่างด้วยดาวระยิบ

ระยับ และแสงจันทร์

          “เอ้านี่ ของที่โดนขโมยไป” ผมยื่นถุงสัมภาระให้ชายหญิงสูงวัยที่บ้านของพวกเขา

          “โอ ขอบคุณมาก ขอบคุณท่านมากจริงๆ ท่านนักผจญภัย” ชายแก่รับของไปแล้วเดินไปตรวจนับ

                    ………เงียบ <จะไม่มีอะไรตอบแทนตรูเลยหรอฟระ> ผมยืนหน้านิ่วคิดในใจ

          “ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้เจ้าลำบาก ดูสิตัวมอมแมมไปหมดเลย มาเดี๋ยวป้าเตรียมที่พักและห้องอาบน้ำให้นะ” หญิงแก่

ผมขาวท่าทางใจดีกล่าวและยิ้มให้พร้อมเดินเข้าไปในห้อง หยิบผ้าขนหนูมายื่นให้ <เออ ต้องแบบนี้สิ>

          “เดี๋ยว!!! มาธาร์ หยุดก่อน ของไม่ครบ” ชายแก่ตะโกนออกมา

          “หะ”

          หญิงแก่นามมาธาร์ชักมือดึงผ้าขนหนูกลับทันที พร้อมทำหน้าโหดเหี้ยม “หนอย เจ้าเด็กเวรนี่คิดจะงุบงิบหรอ” เห้ย ท่า

ทางใจดีเมื่อกี้หายไปไหนหมด

          “ดีนะที่ข้าตรวจนับดูก่อน ไม่เช่นนั้นเสร็จโจรแน่ๆ” ชายแก่กล่าวเสริม

          “เห้ย ข้าไม่ได้ขโมยนะ ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในถุงนั้นมีของเท่าไหร่ ข้าแค่กวาดๆเก็บเข้าถุงหลังจากแย่งคืนมาจากพวก

    ก๊อบลินเท่านั้นเอง” ดูท่าจะไม่ดีแล้วแฮะ “ผมให้ค้นตัวและสัมภาระก็ได้ เอ้า” ยื่นข้อเสนอยืนยันความบริสุทธ์ใจ

          “เหอะ พวกข้าไม่หลงกลหรอก พูดแบบนี้ต้องเอาไปซ่อนแล้วกลับไปเก็บแน่ๆ เด็กๆจับมันไปขังแล้วแจ้งผู้ตรวจการเดี๋ยว

นี้” ชายแก่ตะโกนสั่ง

          ผมหันไปมองรอบตัวเห็นชายหลายคนปรากฏตัวพร้อมอาวุธจากประตูรอบห้อง <มาจากไหนเยอะแยะฟระ คนมากขนาด

นี้ไม่เอาไปคุ้มกันแต่แรกวะ>

          อะไรวะ ไม่ได้การแล้ว ยิ่งหงุดหงิดเรื่องกลิ่นตัวอยู่ด้วย นี่ยังมีเรื่องน่าปวดหัวอีกหรอ ผมกำมือซ้ายแน่นกระชับถุงมือ

<อย่าหาว่ารุนแรงละกัน> หินสีฟ้าที่ถุงมือเรืองแสงขึ้น

          “ฟ้าวๆๆๆๆๆ” ลมกรรโชกรุนแรงพัดข้าวของรอบตัวกระจัดกระจาย ชายหลายคนล้มหงายหลังกระแทกพื้น

          “เห้ย เจ้าโจรนี่มันใช้เวทมนต์ได้”

          “เพล้ง” ผมรีบใช้จังหวะชุลมุนนี้ พุ่งตัวออกทางหน้าต่าง แล้วใช้เวทย์ลมเสริมการเคลื่อนที่ให้เร็วขึ้นเพื่อหนีออกจากหมู่บ้าน

          <ไม่น่าปากดีพูดว่าดวงแข็งเมื่อเช้าเลย ให้ตายสิ>

          ขณะกำลังจะพ้นประตูทางเข้าหมู่บ้านนั่นเอง ก็มีชายหนุ่มสวมชุดเกราะขี่ม้าขาวกำลังตรงเข้าหมู่บ้านพอดี

          “ท่านอัศวิน โปรดช่วยจับโจรนั่นด้วย”

          <ชิบหายละ>


...
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 3 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 24-05-2018 12:41:26
Chapter 3 The vow

ณ ประตูทางเข้าหมู่บ้านบริจต้า

          ไม่ได้การละ ถ้าเป็นพวกยามหรือชาวบ้านนี่คงไม่กังวลเท่าไหร่ แต่นี่ระดับอัศวินคงตึงมือหน้าดู ต้องหนีเท่านั้น

ผมยังคงพุ่งตรงไปข้างหน้า อัศวินชักดาบออกจากฝักกำลังเตรียมลงจากม้า


          <จังหวะนี้หละ> ผมย่อตัวลงต่ำ เปิดใช้งานหินสีน้ำตาลให้เรืองแสง


          “ครืนนนน” เสาดินพุ่งขึ้นมาใต้เท้าของผมช่วยออกแรงส่งตัวขึ้นไปบนท้องฟ้าสูงหลายเมตร ผมกระโดดหมุนตัวข้ามหัว

ของอัศวินคนนั้นที่เงยหน้ามองด้วยความตกตะลึง พอสังเกตดีๆก็หน้าตาดีใช้ได้แฮะ หน้าตาหล่อคม เรือนผมสีดำเข้ากับดวงตาสี

ดำคมคาย เสียดายถ้าดูมีอายุมากกว่านี้สัก 10 ปีอาจจะยอมให้จับดีๆก็ได้ แต่ เอ๊ะ สัญลักษณ์ตรงเกราะเหล็กที่ไหล่นั่นมันตรา

ราชสีห์นี่หว่า <นี่มันแย่กว่าที่คิดอีกนะเนี่ย>


          “ตู้ม” ผมควบคุมลมรอบตัวด้วยหินสีฟ้าที่ยังเรืองแสงอยู่เพื่อช่วยในจังหวะลงพื้น แล้วหันไประเบิดพื้นดินเป็นเสาต้นเล็ก

หลายต้นจนฝุ่นตลบไปหมด อาศัยฝุ่นเหล่านี้อำพรางตัวก่อนหนีเข้าไปในป่าใกล้ๆ


          ผมวิ่งลัดเลาะเข้าไปในป่า อาศัยแสงจันทร์ช่วยในการหลบหลีกต้นไม้ หินสีฟ้าเปลี่ยนกลายเป็นสีเทาไปแล้วทำให้ความ

เร็วของผมตกลงไปบ้าง ยังคงได้ยินเสียงฝีเท้าตามมาข้างหลัง <กัดไม่ปล่อยเลยแฮะ อัศวินคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆด้วย>


          “ฟุบ” เสียงบางอย่างแหวกอากาศพุ่งเข้ามา ทันทีที่หันไปดูผมก็ต้องตกตะลึง อัศวินหนุ่มพุ่งตัวปิดระยะเข้ามาด้วยความ

เร็วราวกับลูกศร <ระ เร็วมาก>


          “พลั่ก” อัศวินหนุ่มพุ่งตัวเข้าประชิดเอาไหล่เข้ากระแทก ผมรีบหมุนตัวยกแขนสองข้างตั้งรับไว้ เราสองคนหกล้มกลิ้ง

เกลือกไปตามทางลาดลงของเนิน ทันทีที่ตั้งตัวได้ผมรีบดีดตัวจากพื้นเพื่อตั้งท่าเตรียมต่อสู้


          อีกฝ่ายก็เช่นกัน


          “เจ้าโจรเอ๊ย เจ้าหนีไม่พ้นแล้วหละ” ชายหนุ่มตั้งดาบเตรียมบุกเข้ามา


          ผมเองก็ชักดาบเตรียมไว้เหมือนกัน อะไรกัน กลิ้งลงมาขนาดนั้นชุดเกราะเจ้านั่นไม่มีแม้รอยขีดข่วนเลยเมื่อเทียบกับตัว

ผมที่มอมแมมไปด้วยฝุ่นและชุดบางส่วนขาดรุ่งริ่ง


          “ข้าไม่ได้ขโมยอะไรทั้งนั้น มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด”


          “ถ้าเจ้าบริสุทธิ์จริง จะกลัวแล้วหนีทำไม” โอ้โหพ่อคุณ ก็ถ้ามันง่ายอย่างนั้นผมไม่หนีหรอก “ถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็ทิ้งอาวุธ

แล้วยอมให้จับซะดีๆ” อัศวินกล่าวต่อด้วยแววตาจริงจัง


          บ้าจริง หินเวทเม็ดนี้ก็ใกล้จะหมดพลังแล้ว แถมบริเวณนี้ไม่มีแหล่งน้ำให้ใช้หินเม็ดสุดท้ายด้วย


          ผมลดปลายดาบลงเล็กน้อยทำท่าเหมือนจะยอมแพ้ เจ้าอัศวินดูแปลกใจเล็กน้อย <จังหวะนี้หละ> ผมตวัดแขนซ้ายยิง

ก้อนดินขนาดใหญ่พร้อมเศษหินก้อนเล็กจากพื้นข้างหน้าพุ่งตรงเข้าหาศัตรู


          อีกฝ่ายไม่มีท่าทางกังวลเลยแม้แต่เล็กน้อย ตวัดดาบฟันก้อนดินขาดเป็นสองท่อนอย่างง่ายดาย ยกดาบปัดป้องเศษหิน

ตามที่จำเป็น ส่วนที่เหลือที่กระทบชุดเกราะก็กระดอนออกโดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆไว้


          ผมไม่ยอมหรอก อาศัยจังหวะต่อเนื่องจากเมื่อครู่สร้างคลื่นดินขนาดเล็กพุ่งเข้าหาศัตรู อีกฝ่ายขยับหลบอย่างง่ายดาย

 แต่แผนผมไม่จบเท่านี้ เสาดินขนาดใหญ่พุ่งขึ้นมาจากใต้เท้าอัศวินหนุ่มส่งร่างลอยขึ้นไปกลางอากาศ แต่ก็ไม่เป็นผล มันตีลังกา

ลงพื้นอย่างสวยงาม


          และแล้วแสงจากหินสีน้ำตาลก็ดับลงกลายเป็นหินสีเทา <ซวยละไง หมดเวลาแล้ว>


          “อะไรกัน หมดลูกเล่นแล้วรึ” อีกฝ่ายกล่าวเยาะเย้ยเมื่อเห็นท่าทีลนลานของผมพร้อมเดินตรงเข้ามาหา “หมดเวลาเล่น

ของเจ้าแล้วหละเจ้าโจร” อัศวินถีบตัวพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูงพร้อมตวัดดาบมาด้วยความรุนแรง


          “เปรี้ยงงง”ผมยกดาบกันไว้ทัน แต่ด้วยแรงมหาศาลผมไม่สามารถต้านไว้ได้ ร่างผมกระเด็นลอยไปกระแทกต้นไม้อย่าง

รุนแรง ดาบหลุดมือกระเด็นไปปักที่ต้นไม้ข้างๆ <ทั้งความเร็วและความรุนแรงแบบนี้นี่มันเวทเสริมกำลังชัดๆ>


          “อึก” จุกและเจ็บไปหมดทั้งตัว ประกอบกับอาการบาดเจ็บจากการต่อสู้เมื่อเย็น ทำให้ผมไม่สามารถลุกมาสู้ได้อีก


          แม้จะเงยหน้าผมก็ทำไม่ไหว ได้แต่กรอกตามองอัศวินที่เดินเข้ามาในท่าดาบพาดบ่าแบบสบายๆ


          “ข้าบอกแล้วไงถ้าไม่อยากเจ็บตัวให้ยอมข้าดีๆ” มันย่อตัวลงมานั่งยองๆยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มเยาะเย้ย

<ชิ อยากต่อยให้ฟันหักชะมัด>


          “เจ้าถูกจับกุมแล้วเจ้าโจรกระจอก”



หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 3 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 25-05-2018 11:19:57
Chapter 3.2

ณ กลางป่าใกล้หมู่บ้านบริจต้า

          ผมในสภาพสะบักสะบอม สองมือโดนมัดไว้ เดินคอตกตามแรงดึงเชือกของอัศวินหนุ่มที่กำลังเดินนำหน้าฝ่าป่าท่ามกลางแสงจันทร์ ในหัวคิดหาวิธีร้อยแปดพันเก้าหาวิธีหนี

          “นี่พี่ชาย ข้าบอกแล้วไงว่าข้าถูกใส่ความ ข้าไม่ได้ขโมยของชาวบ้านพวกนั้นสักหน่อย” เอาวะ ลองทำตัวดีๆ

          “เอาไว้ไปบอกเจ้าหน้าที่สอบสวนหลังข้าจับเจ้าไปขังเถอะ” ตอบแบบไม่แม้แต่จะหันมามอง น่าหมั่นไส้ชะมัด

          “ชิ ว่าแต่อัศวินมากฝีมืออย่างพี่ชายมาทำอะไรที่เขตบ้านนอกแบบนี้” ข้อนี้สงสัยจริงๆ อัศวินเก่งระดับนี้ไม่มีทางออกจากเมืองหลวงมาที่นี่แน่ๆ

          “ไม่ใช่เรื่องของเจ้า” โอ้ เป็นพวกปากหนักสินะ

          “ตราราชสีห์นั่นเป็นของตระกูล Lyonel สินะ แถมชุดเกราะยังทำจากวัสดุชั้นดีด้วย อัศวินยศสูงแบบนี้ไม่น่าออกมาในเขตนี้นี่หน่า” 1ใน4 ตระกูลใหญ่ที่ปกป้องประเทศและราชวงศ์มาช้านาน ตระกูลแห่งราชสีห์นี้ควบคุมกองทัพอัศวินเกินครึ่งของประเทศ

          “โอ้ รู้มากจริงๆ ทั้งๆที่เป็นโจรกระจอกแท้ๆ”

          “ไม่ใช่โจรเฟ้ย เป็นนักผจญภัยต่างหาก”  แล้วก็ไม่ได้กระจอกด้วย ถึงจะแพ้ก็เถอะ

          “เงียบได้แล้ว!!” มันกระตุกเชือกให้เดินไวขึ้น

          “เหตุผลที่อัศวินยศสูงขนาดนี้ออกเดินทางมาทางนี้ต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่ จะเกี่ยวกับแสงสีฟ้าที่พุ่งออกมาจากเมืองหลวงไปทางทิศตะวันออกรึเปล่าน้าา”

          “!!!” อัศวินหันขวับมาพร้อมแววตาประหลาดใจ

          “ดูจากสีหน้าแล้วท่าจะเดาถูกแฮะ” เอาวะเริ่มได้เรื่องละ

          “นี่เจ้าเห็นแสงนั้นด้วยรึ”

          “ฮ่าๆ ข้าทำให้พี่ชายสนใจได้แล้วสินะ แน่นอน ไม่เพียงเท่านั้น ข้ายังคำนวนจุดตกของแสงนั้นไว้แล้วด้วย”

          “บอกสิ่งที่เจ้ารู้มา” สายตาแปรเปลี่ยนเป็นสายตาที่จริงจัง

          “โอ้ ช้าก่อนสิพี่ชาย เมื่อเรามีสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการเราต้องต่อรองสิ งั้นเรามาสร้างข้อตกลงกันดีมั้ย” โอกาสมาถึงแล้ว

          “......แลกกับชีวิตเจ้าดีมั้ย” อัศวินชักดาบออกมาจากฝักข้างเอว แต่ผมไม่กลัวหรอก

          “โอ้ว อัศวินคุญธรรมสูงอย่างพี่ชายไม่ฆ่าข้าหรอก ไม่งั้นหัวข้าขาดตั้งแต่ตอนขัดขืนแล้ว” ดีไม่ดีร่างอาจกระจุยกระจายศพไม่สวยไปแล้วด้วยซ้ำ

          “ถ้าพี่ชายไม่พาข้าไปส่งชาวบ้านพวกนั้น ข้ายินดีที่จะนำทางไปที่แสงประหลาดนั่น เป็นยังไงน่าสนใจมั้ย”

          “ข้าจะเชื่อโจรอย่างเจ้าได้อย่างไร” สายตาแสดงถึงความลังเล

          “เอ๊ะ ก็บอกแล้วไงว่าไม่ใช่โจร” คำก็โจร สองคำก็โจรกระจอก

          “คำพูดของข้าคือคำสัญญา” ผมกล่าวต่อ

          “ถ้าเช่นนั้นก็จงสาบานต่อหน้าดาบเล่มนี้ว่าถ้าข้าปล่อยเจ้า เจ้าจะนำทางข้าไปสู่จุดหมายของข้า” อัศวินหนุ่มตั้งดาบขึ้นตรงไว้ด้านหน้า ปลายดาบชี้ฟ้า แสงจันทร์สะท้อนให้เห็นลวดลายอ่อนช้อยสวยงามที่ตัวดาบ สีทองแวววับตัดกับสีน้ำเงินที่โกร่งดาบ ด้ามดาบหุ้มด้วยหนังชั้นดี

           สาบานกับดาบเนี่ยนะ พิลึกชะมัด พวกอัศวินนี่จะอะไรนักหนากับดาบกับเลือดฟระ แต่ก็ช่างเหอะ ตามน้ำไปก่อน

          “แน่นอน ข้าขอสาบาน”

          ทันใดนั้นอัศวินก็ตวัดดาบลงมา

          “เฮ้ย” ผมหลับตาลงด้วยความหวาดเสียว

          “ฉัวะ” เชือกที่มัดมือถูกตัดขาด ปล่อยมือสองข้างเป็นอิสระ

        <ค่อยยังชั่ว ปล่อยสักที> ผมบีบนวดคลายเจ็บข้อมือตัวเองที่ช้ำเป็นรอยเชือก

          “ข้าขอเตือนไว้ก่อนนะว่า”

          “พลั่ก”

          “เฮ้ย นี่เจ้า” ผมอาศัยจังหวะทีเผลอขณะที่เจ้านั่นกำลังเก็บดาบและเชือก พุ่งตัวกระแทกร่างหนาของอัศวินจนหงายหลังตกไหล่ทางสูงชันลงไป แต่คงไม่ตายหรอก

          “ฮ่าๆ ติดกับข้าแล้วหละ” ผมพยุงร่างบาดเจ็บของตนเองออกวิ่ง เมื่อครู่ได้ยินเสียงเหมือนลำธารแถวๆนี้ ถ้ามีแหล่งน้ำหละก็น่าจะพอมีโอกาสหนีได้

          “แกร็งๆๆ” จู่ๆร่างกายก็ขยับไม่ได้ สายโซ่จากไหนไม่รู้มาล่ามตัวไว้ ลมกรรโชกรุนแรงพัดรอบ มิติรอบตัวเริ่มบิดเบี้ยว

           รู้ตัวอีกที เจ้าอัศวินคนเดิมก็ยืนกอดอกอยู่ข้างหน้า หันตัวมองรอบๆก็พบว่าเราอยู่ที่ด้านล่างของไหล่ทางที่ผลักเจ้านั่นตกลงมา

          “นี่มันอะไรกัน ทำไมข้ามาอยู่ตรงนี้ได้”

          “ข้าว่าแล้วว่าโจรอย่างเจ้ามันไว้ใจไม่ได้” อัศวินกล่าวพร้อมยิ้มที่มุมปาก

          “นะ นี่มันเกิดอะไรขึ้น”

          อัศวินชักดาบออกมาอีกครั้ง <คราวนี้ตรูตายจริงแน่ๆ>

          “ดาบเล่มนี้มีชื่อว่า Oath keeper คำสาบานใดๆต่อหน้าดาบเล่มนี้จะถูกจดจำไว้ และผู้สาบานจะถูกพันธนาการไว้จนกว่าคำสาบานนั้นจะลุล่วง”

          “หน่านิ๊” ผมอุทานด้วยความตกใจ ของพรรณ์นี้มันอาวุธเทวะภัณฑ์

          ขึ้นชื่อว่าเทวะภัณฑ์แต่จริงๆแล้วคือสิ่งของต่างๆที่มนุษย์นี่แหละเป็นผู้ทำขึ้น อาจจะด้วยวัสดุพิเศษหายากก็ดี หรือวิธีการผลิตที่ใช้เวทมนต์ซับซ้อนก็ดี ของเหล่านี้จะมีอำนาจพิเศษไม่เหมือนใครแฝงอยู่ และมีอยู่ไม่กี่ชิ้นเท่านั้น

          “เจ้าหนีไปไหนไม่ได้แล้วหละ เจ้าโจร” มันยกปลายดาบชี้หน้าผมพร้อมส่งยิ้มจองหองใส่

          “อาวุธระดับเทวภัณฑ์แบบนี้ หรือว่าเจ้าคือ...”

          “ดวงกุดแล้วหละเจ้าโจรกระจอก ใช่แล้ว ข้าคือบุตรแห่งบ้าน Lyonel เร็กซัส ไลโอเนล” อัศวินหนุ่มแนะนำตนเองเสียเต็มยศ

        เร็กซัสชักดาบกลับออกจากหน้าผมเก็บเข้าฝักดาบข้างเอวตามเดิม สายโซ่ตรวนที่ล่ามร่างของผมจางหายไป

   “ปัก” มันปล่อยหมัดเข้ามาที่ท้องคงเพื่อเอาคืน ผมจุกจนตัวงอ

          “ตราบใดที่เจ้ายังไม่บรรลุคำสาบาน ไม่ว่าเจ้าจะหนีไปไหน ข้าสามารถเรียกเจ้ากลับมาอยู่ตรงหน้าข้าได้ทุกเมื่อ ฉะนั้นข้าจะย้ำอีกครั้ง ยอมทำตามที่ข้าสั่งซะดีๆถ้าไม่อยากเจ็บตัว”

          ผมยืนจุกยอมรับชะตากรรม ต่อหน้าเทวะภัณฑ์แบบนี้คงหมดหลทางแล้วจริงๆ <วันนี้มันจะซวยเกินไปแล้ว>

          แต่เหมือนความซวยของผมยังไม่จบเพียงเท่านี้

          “เห้ย พวกมันสองคนทำอะไรกันหนะ” เสียงตะโกนดังจากข้างบนไหล่ทาง ดูเหมือนพวกชาวบ้านจะตามมาทันแล้ว

          “มันต้องเป็นพวกเดียวกันแน่ๆ เห็นยืนคุยกันมาสักพักแล้ว หนอย เจ้าอัศวินนี่มันตัวปลอม จับพวกมันกลับไปให้หมด”

          “ดะ เดี๋ยวก่อนพวกท่าน รับฟังข้าก่อน” อัศวินหนุ่มพูดตะกุกตะกักพร้อมทำหน้าเหวอ
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 3 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 25-05-2018 22:26:05
รีบมาลงตอนที่ 4 ก่อนจะติดภารกิจมาลงต่อไม่ได้ 2 อาทิตย์

ชอบไม่ชอบยังไง เม้นติได้ครับจะได้นำไปปรับปรุง

คำถามถึงผู้อ่าน : การบรรยายฉาก NC ตอนแรกพอไหวไหมครับ หรือในอนาคตให้ตัดไปที่หัวเตียงดีครับ


Chapter 4 No escape


เวลาเกือบเที่ยงคืน ณ ห้องขังของหมู่บ้านบริจต้า

   ผมนั่งหลับตา สองมือโดนมัดไพล่หลัง เอาหลังพิงกำแพงหิน ก้มหน้า พยายามพักผ่อนเอาแรงหลังจากเหนื่อยล้าและเจ็บ

ตัวมาทั้งวัน ใช่แล้วผมโดนจับตัวมาขังไว้ในห้องขังที่ทางเข้าทำเป็นซี่กรงเหล็ก กำแพงทำจากหิน และมีช่องระบายอากาศเล็กๆ

ติดกรงไว้ อาวุธและสัมภาระโดนยึดไปหมด รวมถึงถุงมือเวทด้วย ยังดีที่ไม่ให้ถอดเสื้อผ้าและเครื่องประดับเช่นสายหนังรัดข้อมือ

ไปจนหมด

   “จ๋อม ตึกๆๆ จ๋อมๆๆ ตึกๆๆ” เสียงน้ำหยดลงถังสลับกับเสียงฝีเท้าดังน่ารำคาญ <เห้อ คิดถึงเตียงนุ่มกับอ้อมกอดอุ่นๆของ

คุณหมีเมื่อวานเหลือเกิน>

   “นี่ เลิกเดินไปเดินมาเสียงดังได้แล้ว ข้ารำคาญ” ผมกล่าวกับคนที่ถูกขังอยู่ห้องตรงข้าม

   ใช่แล้วคนห้องตรงข้ามคือเร็กซัส ในชุดลำลองเดินวนรอบห้องขังรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ มือสองข้างถูกมัดไพล่หลังไว้

เช่นกัน เมื่อไร้ซึ่งเกราะเหล็กทำให้สังเกตรูปร่างได้ชัดขึ้น ร่างสูง ใหญ่ กำยำอุดมไปด้วยกล้ามเนื้อที่ได้รับการฝึกมาอย่างหนัก

ลำตัวหนากว่าผมเสียอีก

   “เจ้าไม่ต้องมาบ่นเลย เพราะเจ้าแท้ๆเลย ทำให้ข้าต้องมาติดอยู่ในคุกแบบนี้”

   “ตึงๆๆๆ เจ้าสองคนหุบปากได้แล้ว” เสียงผู้คุมเคาะโต๊ะแล้วตะคอกใส่


   คงสงสัยสินะว่าทำไมเราสองคนถึงถูกชาวบ้านจับมาได้ทั้งๆที่มีคุณอัศวินผู้เก่งกาจคนนี้อยู่ด้วย

___________________________________________________________________________


   ขณะที่พวกชาวบ้านทยอยลงจากทางเดินเพื่อที่จะมาล้อมจับพวกเรา เร็กซัสเลือกที่จะยืนอธิบายความบริสุทธ์ของตนให้

ชาวบ้านเข้าใจแทนที่จะต่อสู้หรือหนี พร้อมทั้งแสดงตราประจำตระกูลให้ดู แล้วความซวยก็เกิดขึ้น เกราะไหล่ชิ้นที่มีตราราชสีห์

หลุดหายไปตอนกลิ้งตกลงมา พวกชาวบ้านไม่เชื่อข้อแก้ตัวแล้วรุมจับทันทีโดยที่เจ้านี่ไม่ขัดขืนใดๆ

   “ข้าไม่สามารถทำร้ายชาวบ้านไร้ทางสู้พวกนี้ได้” คือข้ออ้างของอัศวินหนุ่ม


   โอ้ย ผมละปวดหัวจะมาเป็นคนดีอะไรนักหนา ทีกับผมนี่เล่นเอาลุกไม่ขึ้น “เพราะเจ้าคือคนร้าย” และนี่คือเหตุผลที่เจ้านี่อัด

ผมซะยับ

___________________________________________________________________________

                                    
   “เจ้าใช้เวทมนต์ได้ไม่ใช่รึ แอบพาพวกเราออกไปจากที่นี่ไม่ได้รึไง” เร็กซัสกระซิบ


   “ไม่มีถุงมือเวทข้าก็ทำอะไรไม่ได้ เจ้าสิใช้เวทเสริมกำลังแหกคุกออกไปง่ายๆได้ไม่ใช่หรอ” สีหน้าอัศวินหนุ่มดูแปลกใจ

ทันทีเมื่อได้ยินคำว่าเวทเสริมกำลัง

   “มีอะไรที่เจ้าไม่รู้บ้างเนี่ย”

   “ที่ไม่รู้แน่ๆก็ทำไมอัศวินจิตใจใสซื่ออย่างเจ้าถึงมีชีวิตรอดจนถึงทุกวันนี้” ผมลืมตาข้างนึงดูหน้าไม่พอใจของมัน

   “อย่าให้ข้าจับตัวเจ้าได้ละกัน” ฮ่าๆๆผมแอบขำในใจ

   “เวทเสริมกำลังของข้ายังไม่สมบูรณ์ใช้ได้กับกล้ามเนื้อทีละไม่กี่มัด จะให้แหกกรงเหล็กนี้ได้ต้องเสริมกำลังถึงครึ่งตัว” มัน

ตอบแล้วนั่งลงทำหน้าครุ่นคิด

      นี่ผมพ่ายแพ้ให้แก่ไอ้เจ้าอัศวินซื่อบื้อไร้ประโยชน์นี่จริงๆหรอเนี่ย

   “เอาหละหนูๆ ทำตัวดีๆ อย่าซนหละ กว่าผู้ตรวจการจะมาถึงคงพรุ่งนี้เย็น อยู่ในนั้นก็ทำตัวสบายๆละกัน ฮ่าๆๆ” ผู้คุมเดินมา

ถากถางก่อนเดินออกไปตามทางเดินเพื่อเปลี่ยนกะ

   ผมยังคงนั่งหลับตาจนกระทั่งเสียงฝีเท้าหายไปและมีเสียงประตูปิดลง เอาหละได้โอกาสแล้ว

   “แผลบ” ผมคายหินเวทสีน้ำเงินที่แอบถอดออกไว้ออกจากปากมากัดไว้ด้วยฟันหน้า หินเวทเรืองแสงสีน้ำเงินออกมา

          น้ำในถังใกล้ๆก่อตัวเป็นสายเคลื่อนที่แหวกอากาศมาที่ตัวผม ผมใช้เวทมนต์สร้างใบมีดน้ำแข็งเพื่อตัดเชือกที่มัดมือออก

เมื่อเป็นอิสระก็ลุกขึ้นยืนแล้วนำหินมาถือไว้บนมือ

       “นะ นี่เจ้าทำได้ยังไง ตลอดเวลามานี้เจ้าซ่อนหินไว้ในปากตลอดเลยงั้นรึ” อัศวินซื่อบื้อ เหมือนพึ่งรู้ตัว ถามขึ้นด้วยความ

ประหลาดใจ

       “ฮ่าๆ แน่นอน ดูไม่ออกหละสิ ปากกับลิ้นข้าทำได้มากกว่าพูดนะ” แล้วทำได้เก่งซะด้วย

       ผมเคลื่อนตัวไปชิดกรงเหล็กเพื่อให้มองเห็นโต๊ะของผู้คุมที่อีกฟากของทางเดิน <นั่นไง> เป้าหมายของผมคือกุญแจห้อง

ขังที่แขวนอยู่ข้างโต๊ะ

       “เจ้าจะทำอะไรหนะ”

       “ช่วยเงียบก่อนได้มั้ย” ผมหันไปเอ็ด เร็กซัสปิดปากเงียบทันที

       ผมควบคุมน้ำให้ไหลเลื้อยเหมือนงูเป็นสายไปตามพื้นจนถึงโต๊ะผู้คุม เปลี่ยนส่วนปลายสายน้ำเป็นกรงเล็บน้ำแข็ง

       “กริ๊ง” สำเร็จ ผมใช้กรงเล็บเกี่ยวกุญแจจากที่แขวนแล้วรีบนำกลับมาทันที ไม่นานนักผมก็เป็นอิสระ

       “โอ้ เยี่ยมมากเจ้าโจ..” ผมหันขวับไปมองหน้าคนปากเสีย “จะ เจ้านักผจญภัย ที่นี่ปล่อยข้าออกเร็วเข้า”

       ผมแสยะยิ้มให้เจ้านั่นทันที

       “โอ้พี่ชายยยย ข้าว่ามันจะไม่ง่ายแบบนั้นหนะสิ” ผมยืนโบกพวงกุญแจในมือไปมาหน้ากรงของชายหนุ่ม เจ้านั่นเริ่มทำหน้าเสีย

       “หมายความว่ายังไง เจ้าจะหักหลังข้าอีกแล้วสินะ”

       “ข้อตกลงของเราคือให้ข้านำทางไปถึงจุดหมายของเจ้า ถ้าเจ้าติดอยู่ที่นี่แบบนี้จนข้านำทางไปไม่ได้ มันก็ไม่ใช่ความผิด

ของข้ารึเปล่า”

       “แคว้ก” อัศวินกระชากแขนสองข้างออกจากกันฉีกเชือกทิ้งอย่างง่ายดาย แล้วรีบพุ่งมาคว้าตัวผมผ่านลูกกรง แต่ผมคาด

การณ์ไว้แล้วจึงขยับตัวถอยหลังเพียงก้าวเดียวเพื่อให้พ้นระยะแขนของอีกฝ่าย

       “เจ้าคิดว่าจะหนีไปได้ง่ายๆหรอ ลืมไปแล้วหรอไงว่าข้าสามารถใช้ Oath keeper เรียกเจ้ากลับมาได้ทุกเมื่อ” มันกัดฟัน

กรอดจ้องผมด้วยความเคียดแค้น

       “นั่นก็ใช่ แต่ถ้าข้าเอาดาบเล่มนั้นติดตัวไปด้วยหละ” อัศวินหนุ่มหน้าถอดสีทันที

       ฮ่าๆๆ ผมหัวเราะในใจ สะใจจริงๆ คุ้มค่าจริงๆที่ได้เห็นท่าทางอวดดีของเจ้านี่หายไปหมด

       “เจ้าคิดจะขโมยสมบัติประจำตระกูล Lyonel งั้นรึ คิดให้ดีๆนะ ทางตระกูลไม่ปล่อยให้เจ้าลอยนวลแน่”
       
       “หึหึ ข้าเองก็ไม่อยากให้เกิดเหตการณ์เช่นนั้นเหมือนกัน ข้าจึงมีข้อเสนอมาให้”

       “…..”

       “ถ้าข้าปล่อยเจ้าออกมา เจ้าต้องปลดปล่อยข้าจากพันธนาการของ Oath keeper และไม่มาตามรังควานข้าอีก” ถึงจะตะ

หงิดๆตรงที่คำสาบานนั่นจะเป็นโมฆะรึเปล่าทั้งๆที่ผมยังโดนจับมาขังแบบนี้ แต่เพื่อความมั่นใจผมต้องกันไว้ก่อน

       “…”อัศวินยังคงเงียบไม่โต้ตอบอะไร เอาจ้องผมด้วยสายตาโกรธแค้น

       “เวลาไม่คอยท่านะพี่ชาย” ผมหันไปมองที่ประตูทางเข้าห้องขัง

       “เออๆ” มันกล่าวอย่างเสียมิได้

       “เออ อะไร”

       “ข้ายอมก็ได้”

       “ยอมทำอะไร”

       “ข้าจะปล่อยเจ้าจากพันธนาการและไม่รังควานเจ้าอีก”

       “สาบานด้วยเกียรติของอัศวินด้วยสิ”

       “ข้าสาบานด้วยเกียรติของข้า” มันกระแทกเสียงด้วยความโกรธจัด

       “ดี ว่าง่ายแบบนี้เรื่องก็จบนานแล้ว” สนุกชะมัดเลย

___________________________________________________________________________

                                    
       “อื้อๆๆ” เสียงร้องอู้อี้ของผู้คุมห้องขังลอดผ่านผ้ามัดปาก ผมจัดการมัดมือมัดเท้ามัดปากเจ้าผู้คุมคนใหม่ไว้หลังจากดักจู่

โจมและเค้นข้อมูลที่เก็บสัมภาระ โดยที่เจ้าอัศวินซื่อบื้อไม่ได้ช่วยอะไรเลย

       “โปรดอภัยให้ข้าด้วยท่านลุง แต่ข้าจำเป็น” เร็กซัสเอ่ยขอโทษพร้อมโค้งคำนับก่อนปิดประตูห้องขังแล้วตามผมออกมา ผม

กรอกตามองบนแล้วกลับมาตั้งใจสอดส่องทางเดินด้วยความระมัดระวังอาจจะเพราะโชคช่วย หรือไม่ก็เพราะเป็นหมู่บ้านไม่ใหญ่

ทำให้ขาดคนเฝ้ายาม พวกเรามาถึงห้องเก็บสัมภาระที่ถูกยึดไว้ได้อย่างราบรื่น

       ผมจัดแจงเกราะอ่อน ดาบสั้นและถุงมือหนังเข้าที่อย่างรวดเร็วแล้วแบกกระเป๋าสัมพาระขนาดเล็กไว้ที่หลัง จากนั้นเอาตัว

ไปแนบข้างประตูเพื่อเฝ้าระวังระหว่างที่เร็กซัสกำลังสวมเกราะ

       “นี่ เราไม่มีเวลาทั้งคืนนะ เร็วหน่อยได้มั้ย”

       “การสวมเกราะไม่ใช่เรื่องง่าย อยากให้เร็วก็มาช่วยข้าซะสิ” แม้จะไม่ใช่เกราะเหล็กแบบฟูลเพลท แต่การจะสวมใส่ด้วยตัว

คนเดียวดูลำบากเอาการอยู่

       <ถนัดเวลาช่วยถอดมากกว่าหวะ> ผมคิดในใจ สายตาเฝ้ามองทางเดินต่อ

___________________________________________________________________________
                                    

       ในที่สุดเราก็มาถึงประตูทางออกเรือนจำ บ้านเรือนรอบข้างดับไฟหมดแล้วเหลือแต่คบเพลิงตามทางเดิน ได้ยินเสียงฝีเท้า

บนพื้นหญ้าอยู่ไกลๆ

       “พวกเราจะหนีออกไปยังไง” อัศวินในชุดเกราะเต็มยศถาม

       “คงต้องย่องออกจากหมู่บ้านให้ได้โดยไม่ให้พวกชาวบ้านรู้ตัว แล้วมุ่งไปทางทิศตะวันตกเพื่อเข้าไปหลบในป่า” พื้นที่รอบๆ

หมู่บ้านเป็นทุ่งหญ้าโล่งบนที่ราบ มีเพียงทางทิศตะวันตกที่เป็นป่าที่ผมพึ่งเดินทางมา ส่วนถนนเชื่อมไปที่เมืองเทรโร่ (Trero)

ทางทิศตะวันออกนั้นเป็นทางโล่งจะโดนชาวบ้านตามจับเอาได้ง่ายๆ

       “แต่เราต้องเดินทางไปทางทิศตะวันออกไม่ใช่รึ”

       “ทางตะวันออกเป็นทุ่งหญ้าโล่งๆ ถ้าโดนตามทันจะไม่มีที่หลบซ่อน” ผมแย้ง

       “งั้นรึ”

       ผมจำได้ว่าเรือนจำตั้งอยู่ทางทิศเหนือของหมู่บ้าน ไปที่ทางออกทางเหนือน่าจะง่ายที่สุด

       “เอาหละ ตรงไปทางทิศนี้จนถึงออกจากหมู่บ้านแล้วค่อยลัดเลอะไปตามกำแพงหมู่บ้าน ตามมาเงียบๆหละ”

       “….” เออ เงียบดีมาก

       ผมรีบเคลื่อนที่ลัดเลาะไปตามตรอกซอยให้เร็วที่สุดและเงียบที่สุด แต่ก็ทำได้ค่อนข้างลำบากเพราะอาการปวดร้าวทั้งตัว

จากการต่อสู้

       <เอาหละใกล้แล้ว ว่าแต่ทำไมเจ้านี่มันเงียบดีจนเกินไปแฮะ> ผมหันกลับไปหาอัศวินหนุ่มแต่พบความว่างเปล่า “เฮ้ย มัน

หายไปไหนวะ” ผมอุทานเบาๆ

       “วี๊ดดดดดด” เสียงผิวปากดังกังวานไปทั่วหมู่บ้าน

       “ไอ้บ้านั่นทำเชี่ยไรวะ” ผมสบถด้วยความตกใจ

       “เห้ย เสียงไรหนะ” เสียงชาวบ้านเริ่มแตกตื่นเมื่อมีเสียงประหลาดดังขึ้น ไฟบ้านเริ่มสว่างขึ้นทีละหลังๆ

       “เห้ย นั่นมันเจ้าโจร มันแหกคุกออกมาแล้วรีบตามจับมันเร็วเข้า” ชาวบ้านคนหนึ่งพบตัวผมเข้า รีบตะโกนเรียกพวกพ้อง

 พร้อมทั้งหยิบอุปกรณ์ทำสวนข้างกายมาเป็นอาวุธ

       “บ้าเอ้ยแผนเสียหมด ไอ้อัศวินซื่อบื้อนี่” ผมสบถด้วยความโมโห แล้วรีบออกวิ่งไปที่ทางออกของหมู่บ้าน เสียงฝีเท้าชาว

บ้านกรูกันตามผมมา “แฮ่กๆ บ้าที่สุด ร่างกายเราจะไม่ไหวแล้ว”

       “กุบกับๆๆ” เสียงม้าวิ่งตามหลังมา

       “ขี่ม้าไล่เลยเรอะ แบบนี้ไม่ทันแน่ๆ” ชั่วอึดใจตัวผมก็โดนคว้าที่เสื้อตรงหลังแล้วยกจนตัวลอย ร่างกายโยกไปมาตามจังหวะ

วิ่งของม้า ผมหันขึ้นไปดูคนขี่ก็พบว่าเป็นเร็กซัสนั่นเอง

       “เพียงเท่านี้พวกชาวบ้านก็ตามไม่ทันแล้วหละ” อัศวินกล่าวขณะยกตัวผมไว้ด้วยแขนเดียว
       
       “เออๆ อย่ามัวแต่ลีลา รีบดึงข้าขึ้นไปสิ” ผมกล่าวด้วยความโล่งอก

       “มันไม่ง่ายแบบนั้นมั้ง ไอ้น้องชาย” บัดซบนี่มันจะเอาคืนตอนนี้เนี่ยนะ

       “...” ผมกัดฟันแน่น คาดเดาได้เลยว่ามันจะพูดว่าอะไร

       “ถ้าข้าช่วยเจ้า เจ้าก็ต้องช่วยข้า ถูกมั้ย”

       “เออๆๆ” ผมกล่าวอย่างเสียไม่ได้

       “เออ อะไร” หนอยยยยย

       “เออ ข้าสัญญาว่าจะนำทางให้เจ้า ดึงข้าขึ้นไปซะที”

       “ดี ว่าง่ายแบบนี้เรื่องก็จบนานแล้ว” มันกล่าวพร้อมยิ้มที่มุมปาก

       และแล้วการผจญภัยของอัศวินหนุ่ม และนักผจญภัยผู้โชคร้ายก็เริ่มต้นขึ้น เสียงควบม้าค่อยๆห่างออกไปและหายไปกับ

ความมืดของรัตติกาล

หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 4 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 25-05-2018 22:39:46
ไม่ได้อ่านวาย แฟนตาซีจ๋าขนาดนี้มานานแล้ว น่าสนุกดีครับ
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 4 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 11-06-2018 13:18:33
Chapter 5 Nice to meet you

รุ่งเช้า ณ ถนนเชื่อมไปยังเมืองเทรโร่


   พวกเราขี่ม้ามาทั้งคืนจนรุ่งเช้า แสงตะวันสีส้มอ่อนลอยพ้นขอบฟ้าส่องแสงอบอุ่นมาสัมผัสร่างกายของผม ผมโงนเงนไปมา
ตามแรงควบของม้า ผมกำลังจะพ่ายแพ้ให้กับความเหนื่อยล้าและปวดร้าวของร่างกาย

   “ขอหยุดพักก่อนได้มั้ย” ผมตบบ่าอัศวินหนุ่ม ผมแทบจะประคองตัวเองไม่ให้ร่วงจากม้าไม่ไหวแล้ว

   “ได้สิ วิ่งมาทั้งคืนแล้วด้วยให้ฟรีดได้พักบ้างก็ดี”

   <ใครคือฟรีดวะ> แต่ไม่ใช่เวลามาสนใจ

   “ลงจากทางถนนไปทางนั้นน่าจะมีลำธารเล็กๆอยู่ เราไปพักทางนั้นได้”

   “เจ้ารู้จักภูมิประเทศแถวนี้น่าดูเลยนะ”

   “แน่สิ เหนือ ใต้ ออก ตก ข้าเดินทางมาหมดแล้ว” 6 ปีแล้วที่ผมเดินทางหาสิ่งท้าทายใหม่ๆไปทั่ว

   “ว่าแต่เจ้าชื่ออะไรยังไม่ได้แนะนำตัวเลย”

   นั่นสินะ ยังไม่ได้แนะนำตัวกันเลย “รอส (Ross)”

   “รอสเฉยๆงั้นหรือ”

   รอส อะไรดีนะ รอส สมิท(Smith) ดีมั้ยโหลดี หรือรอส ดอว์สัน(Dawson)ดี แต่ของจริงไม่สั้นนะ หรือจะรอสโซ่ดี(Rosso)

   “เออ รอส เฉยๆนั่นแหละ”

   “ถ้าเจ้าว่าเช่นนั้นก็ตามใจ อย่างที่ข้าบอกไป ชื่อของข้าคือเร็กซัส แห่งตระกูลไลโอเนล เรียกว่าเร็กซ์เฉยๆก็ได้ ส่วนนี่ฟรีด้อม หรือ ฟรีด” อัศวินแนะนำตัวเองอีกครั้งและม้าขาวของมัน

   “โอ้ ให้เรียกชื่อย่อเลยเรอะ จะให้ความสนิทเกินไปรึเปล่า พึ่งพบกันไม่ถึงวันด้วยซ้ำ”

   “ยังไงเราก็ต้องเป็นเพื่อนร่วมเดินทางไปอีกสักพักอยู่แล้ว ไม่เห็นจะเป็นอะไร”

   <จร้าๆ พ่ออัศวินผู้สูงศักดิ์แต่ไม่ถือตัว> ผมมองแผ่นหลังของเจ้านี่ด้วยความหมั่นไส้

   ใช้เวลาไม่นานเราก็มาถึงลำธารเล็กๆล้อมรอบด้วยทุ่งหญ้าโล่งและต้นไม้ไม่กี่ต้น

   เร็กซ์พลิกตัวกระโดดลงจากม้าอย่างคล่องแคล่ว ในขณะที่ผมค่อยๆหย่อนตัวลงมาอย่างทุลักทุเล <เกลียดการขี่ม้าชะมัดเลย ขึ้นลงก็ยาก นั่งก็ไม่สบาย ควบอย่างอื่นยังดีซะกว่า>

   ไม่ทันตั้งคัวก็มีแขนมาสอดใต้รักแร้ผมเพื่อออกแรงพยุง

   “อย่าฝืนเลยหน่า เจ้าโดนข้าซัดไปขนาดนั้นยังเดินอยู่ได้นี่ถือว่ามหัศจรรย์มากเลยนะ อึดใช้ได้หนิ”

   “ชิ” ทันทีที่เท้าผมถึงพื้นผมก็สะบัดแขนแยกตัวออกมาอย่างเสียอารมณ์ “มันแน่นอนอยู่แล้ว ข้าไม่ใช่พวกกระจอกสักหน่อย”

   ผมเดินตรงไปที่ต้นไม้ข้างลำธารขณะที่เจ้านั่นกำลังจัดแจงสัมภาระที่ม้าของตน ปลดอาวุธและกระเป๋าสัมภาระออกวางไว้ที่โคนต้นไม้ต้นใหญ่ เริ่มปลดเกราะอ่อนที่ทำจากหนังออกและถอดชุดเปื้อนฝุ่นและขาดรุ่งริ่งจนเหลือแต่กางเกงชั้นใน หยิบผ้าขนหนูผืนเล็กติดตัว แล้วเดินตรงลงลำธารทันที

   น้ำใสหลายเย็นเห็นตัวปลา ว่ายแหวกปทุมาอยู่ไหวๆ เดี๋ยว! ไม่ใช่ละ

   ผมเดินฝ่าสายน้ำที่เย็นกำลังดีลงไปจนถึงครึ่งตัว ความเย็นของน้ำช่วยชำระล้างความเหนื่อยล้าออกและฟื้นคืนความสดชื่นกลับมา ผมใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าและลูบไปตามลำตัว

   “อึก” ผมกัดฟันทนเจ็บเมื่อกดเช็ดตามบาดแผลและรอยฟกช้ำที่คอ ท้อง และลำตัว

   จากนั้นจึงยกมือขวาขึ้นมาแล้วเอามือซ้ายมาวางที่สายรัดข้อมือหนังที่ข้อมือข้างขวา เพ่งสมาธิไปที่สายรัดข้อมือเวทมนต์ เกิดแสงออร่าสีเขียวอ่อนสว่างขึ้นรอบตัวผมจนน้ำรอบตัวเป็นสีเขียวอ่อนๆ รอยฟกช้ำจางลงเล็กน้อย ความเจ็บปวดบรรเทาลดลงไป แม้จะไม่หายเป็นปลิดทิ้งแต่ก็ช่วยให้สบายตัวขึ้นมาระดับหนึ่ง

   “เวทมนต์ฟื้นฟูสินะ” เสียงของเร็กซ์เรียกสติผมกลับมา เมื่อผมหันไปดูก็พบเจ้านั่นกำลังนั่งแทะผลไม้อยู่ด้วยมือหนึ่ง อีกมือหนึ่งถือผลไม้ป้อนให้ฟรีด้อมที่กำลังแทะอย่างเอร็ดอร่อยจากข้างหลัง สายตามองผมด้วยความสนอกสนใจ

   ใช่แล้วสายรัดข้อมือเวทมนต์เป็นอีกหนึ่งของวิเศษที่ผมพกติดตัวไว้ มันมีอำนาจช่วยฟื้นฟูร่างกาย ถึงแม้ประสิทธิภาพจะไม่เท่าเวทมนต์รักษาที่พวกจอมเวทย์ขาวใช้ แต่ก็เพียงพอให้ผมเดินทางได้สะดวกขึ้น ที่ผมยังเดินอยู่ได้เพราะมันนี่แหละ ไม่เช่นนั้นคงนอนพักฟื้นบนเตียงไปไหนไม่ได้ไปแล้ว

   “ทำไมเจ้าที่ไม่ใช่จอมเวทย์ถึงสามารถใช้เวทมนต์ได้”

   ปกติคำถามแบบนี้ผมจะไม่ตอบเพราะต้องเก็บความสามารถของตนเองไว้เป็นความลับ ไม่เช่นนั้นผู้คนอื่นๆอาจจะล่วงรู้จุดอ่อนของผมได้ แต่ไหนๆต้องเดินทางกับเจ้านี่อีกสักพัก บอกให้มันรู้ไว้ก็ดีจะได้ไม่พาผมไปทำอะไรที่เสี่ยงเกินไป

   “ข้ามีสายเลือดของจอมเวทย์อยู่บ้าง ถึงจะไม่มากพอที่จะทำให้ใช้เวทมนต์ได้อย่างอิสระ แต่ก็พอทีจะควบคุมอุปกรณ์เวทมนต์ได้”

   “ถุงมือหนังนั่นเป็นเทวภัณฑ์สินะ”

   “มันเป็นสมบัติไม่กี่ชิ้นที่ข้านำติดตัวมาด้วย อานุภาพของมันยังห่างชั้นจากเทวภัณฑ์มาก เพราะข้อจำกัดในการใช้งาน ถุงมือจะฝังหินเวทมนต์ไว้ห้าเม็ด มันสามารถทำให้ข้าควบคุมธาตุพื้นฐานทั้งห้าอันประกอบด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ และสายฟ้าได้ชั่วขณะ ก่อนที่จะต้องรอประมาณครึ่งวันเพื่อให้พลังเวทย์ของมันฟื้นกลับมา” ผมพูดขณะเริ่มใส่ชุดสะอาดที่พกติดตัวมาด้วยพลางจ้องไปที่ถุงมือที่หินสีแดงและเหลืองกลับมามีสีอีกครั้ง

   “ฮ่าๆ ผลงานข้านี่ไม่เลวแฮะ” อัศวินกล่าวขณะจ้องมาที่แผ่นหลังที่เต็มไปด้วยรอยช้ำจางๆของผม “แล้วรอยที่คอนั่นหละ”

   “ได้มาตอนสู้กับก๊อบลิน”

   “ก๊อบลินตัวเล็กจะไปคว้าคอเจ้าได้ยังไง”

   “พวกกลายพันธ์หน่ะ”

   “แล้วรอยจ้ำแดงๆที่ต้นคอกับอกเจ้านั่นหละ” มันถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
   
   “รอยจากหมี”

   “โอ้ เจ้าผ่านมาสองศึกก่อนมาประมือกับข้าเลยหรอเนี่ย ข้าชักอยากลองดวลกับเจ้าอีกทีตอนเจ้าหายดีแล้วสิ” หะ นี่มันบื้อขนาดนั้นเลยหรอ

   ผมรีบหันหลังให้มัน “เลิกถามได้แล้ว จะดวลอะไรอีก” ไอ้บ้านี่ สำรวจร่างผมอยู่ได้ ผมรีบแต่งตัวจนเสร็จ

   “ฮ่าๆ โอเคๆ ว่าแต่เราจะเดินทางยังไงต่อ ไหนเจ้าว่ามาซิว่าแสงนั่นไปตกที่ไหน”

   อ่าจริงสินะ มัวแต่วุ่นวายเลยไม่ได้คุยเรื่องนี้เลย ผมนั่งลงหยิบขนมปังจากกระเป๋าขึ้นมาทาน

   “ทำไมเจ้าถึงเชื่อข้าเรื่องแสงนั่น” ผมถามกลับด้วยความสงสัย ทั้งๆที่หลายครั้งมันดูระแวงผมด้วยซ้ำ

   “เพราะข้าควรจะเป็นคนเดียวที่เห็นแสงนั่น”

   “มันคืออะไร”

   “บททดสอบของข้า”

   ไม่ทันที่ผมจะอ้าปากถามต่อเจ้านั่นก็พูดแทรกขึ้นมา “ไว้ข้าจะเล่ารายละเอียดให้ฟัง แต่ช่วยตอบคำถามข้าก่อน”

   “แสงนั่นไปตกที่ป่าจันทราที่อยู่ทางทิศตะวันออกของประเทศ รอบล้อมด้วยหุบเขาสีแดง ข้าตั้งใจไว้ว่าจะเดินทางผ่านช่องแคบสองสีไปทางตะวันออกเฉียงใต้เพื่ออ้อมหุบเขาสีแดงไปจนถึงเมืองเอนดิลอน (Endilon) แล้วจึงขึ้นเหนือไปถึงป่าจันทรา” มันฟังผมอธิบายอย่างตั้งใจ

   “ใช้เวลาเท่าไหร่”

   “น่าจะประมานสองสัปดาห์ แต่ถ้ามีม้าน่าจะเร็วกว่านั้นพอสมควร”

   “ข้าเคยอ่านรายงานเกี่ยวกับป่าจันทรา มันเป็นป่าต้องห้ามเพราะมีเวทมนต์ประหลาดปกคลุม การจะเข้าไปไม่ใช่เรื่องง่าย” เร็กซ์ทำท่าครุ่นคิด

   “ก็ถ้าเจ้ารู้ฤกษ์ยามที่เข้าไปได้ก็ไม่มีปัญหา” มันจ้องหน้าผมด้วยความสงสัย “ข้าเคยเข้าไปในป่าจันทรากับอาจารย์ของข้าเมื่อนานมาแล้ว หากเข้าป่าไปในเวลาที่เหมาะสมเวทนมต์ของป่าจันทราจะไม่มีอันตราย” ผมอธิบายต่อ

   “เวลาใดรึ”

   “ไว้ใกล้ถึงป่าข้าจะอธิบายอีกทีแล้วกัน เจ้าทานเสร็จแล้วใช่มั้ย เดินทางต่อกันเลย” ผมกล่าวหลังทานขนมปังหมด

   “หืม พึ่งพักไม่นาน ไหวแล้วหรอ”

   “ได้ล้างตัวแล้วสบายขึ้นแล้วหละ รีบเดินทางให้ถึงเมืองก่อนค่ำเถอะ”

   อัศวินไม่กล่าวอะไรต่อ พวกเราเก็บสัมภาระ ขึ้นม้าแล้วเดินทางต่อทันที
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 5 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 14-06-2018 14:33:19
Chapter 6 Main quest

ณ ถนนเชื่อมไปยังเมืองเทรโร่

          “เจ้าพอจะรู้เกี่ยวกับพิธีคัดเลือกรัชทายาทใช่มั้ย” เร็กซ์เอ่ยขึ้นมาหลังจากเดินทางมาสักพัก

          “อื้อ ก็พอรู้มาบ้าง” ตามปกติเพื่อให้ทางราชวงศ์และขุนนางใกล้ชิดกันมากขึ้น กษัตริย์จะจัดพิธีสมรสให้กับโอรสและธิดากับลูกหลานของขุนนาง

          “อย่างที่เจ้ารู้ รัชสมัยนี้แตกต่างจากที่ผ่านมา องค์ราชาไม่มีโอรส มีเพียงพระธิดาคนเดียว ทำให้การคัดเลือกคู่สมรสครั้งนี้สำคัญมาก เพราะนอกจากจะได้รับการอุปถัมภ์จากราชวงศ์แล้ว ยังมีโอกาสได้ขึ้นเป็นราชาคนถัดไปด้วย สิทธิการเข้าร่วมการคัดเลือกจึงตกอยู่กับบุตรชายคนโตของสี่ตระกูลใหญ่ของประเทศเท่านั้น”

          อ่า นั่นสินะ พึ่งจะนึกได้เหมือนกันว่าถึงอายุที่องค์หญิงจะต้องสมรสแล้ว ยิ่งสำคัญขนาดนี้ ไม่น่าแปลกใจที่ผู้มีสิทธิจึงต้องเป็นคนในสี่ตระกูลนี้เท่านั้น

          ตระกูลอัศวินแห่งตะวันออกผู้ถือตราราชสีห์ ตระกูล Lyonel

          ตระกูลจอมเวทย์แห่งทิศเหนือผู้ถือตรามังกร ตระกูล Dragonus

          ตระกูลพลธนูแห่งทิศตะวันตกผู้ถือตรากริฟฟิน ตระกูล Hawkeye

          และตระกูลช่างประดิษฐ์แห่งทิศใต้ผู้ถือตรากระทิง ตระกูล Blackhorn

          สี่ตระกูลใหญ่ที่คอยปกป้องดูแลประเทศและราชวงศ์มาช้านาน

          “และเนื่องจากองค์หญิงเดลิซา (Deliza) มีพลังเวทย์ที่แข็งแกร่งจนได้รับขนานนามว่าเทพธิดาพยากรณ์ องค์หญิงจึงขอเป็นคนคัดเลือกเองด้วยการทดสอบที่ต่างออกไปจากที่ผ่านมา” อัศวินกล่าวต่อ

          เห้อ น่าสงสารเจ้านี่จริงๆ จะเข้าไปติดในบ่วงของชีวิตคู่ทั้งทียังต้องลำบากอีก

          “แล้วบททดสอบคืออะไร โยนของออกไปสุดขอบประเทศแล้วให้คาบกลับมาหรอ” ผมพูดขำๆ

          “ชิ้ง” อีกฝ่ายไม่ขำด้วย กระตุกดาบออกจากฝักเล็กน้อย ผมยกมือสองข้างขึ้นทำท่ายอมแพ้

          “องค์หญิงดึงพลังครึ่งหนึ่งออกจากเทวภัณฑ์ประจำตัวของแต่ละคนและกระจายออกไปรอบประเทศ ภารกิจคือการตามหาพลังอีกครึ่งหนึ่งนั้นแล้วกลับไปรายงานตัวภายใน 1 เดือน”

          <มันก็คือการคาบของกลับมานั่นแหละ> ผมคิดในใจ

          “การทดสอบนี้ไม่ใช่เพียงการตามหาอีกครึ่งหนึ่งของเทวภัณฑ์ของพวกท่าน การเดินทางของพวกท่านจะเต็มไปด้วยอุปสรรคเพื่อทดสอบให้พวกท่านตระหนักถึงความประสงค์ที่แท้จริงของตนเอง คือสิ่งที่องค์หญิงกล่าวไว้” อัศวินกล่าวต่อ

          “บอกตรงไปตรงมาไม่ได้หรอไง ทำไมต้องเป็นปริศนาด้วย” เร็กซ์ไม่ตอบอะไร “ตระกูลของเจ้าก็ใหญ่ทำไมถึงไม่มีผู้ติดตามหละ”

          “องค์ตจริงบอกว่าการเดินทางคนเดียวจะทำให้ำด้คิดทบทวนอะไรดีขึ้น”

          “อ่าว แล้ว…” ผมยังพูดไม่ทันจบ

          “แต่สามารถหาเพื่อนร่วมเดินทางระหว่างทางได้” เร็กซ์ดักคอก่อนผมจะถามว่าลากผมมาด้วยทำไม

          “เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแสงนั้นตกที่ไหน เจ้าจะหาเจอได้ยังไงถ้าไม่บังเอิญเจอข้า”

          “สิ่งที่เคยเป็นหนึ่งเดียว เมื่อแยกเป็นสองจะเรียกหากันและกัน” เห้อ ปริศรนากำกวมอีกละ พูดง่ายๆว่าใช้ดาบนั่นแหละนำทางไม่ได้หรอไง โวะ พวกผู้หญิงนี่ชอบพูดให้งง

          “ลำบากลำบนตั้งมากมาย คงรักองค์หญิงมากสินะ”

          “…..” อัศวินนิ่งเงียบไม่ตอบอะไร

          เจ้านี่นี่มันบื้อจริงๆ แทนที่จะเงียบจนเดาได้แบบนี้สู้โกหกมายังจะฟังดูดีซะกว่า แต่ก็อย่างว่าแหละ เป็นลูกขุนนางจะทำอะไรตามอำเภอใจได้ยังไง


          ณ เมืองเทรโร่


          แสงสีส้มเข้มยามตะวันคล้อยตกกระทบกำแพงหินขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบเมืองเทรโร่ไว้ สิ่งปลูกสร้างน้อยใหญ่เรียงรายกันอย่างมีระเบียบปรากฏให้เห็นทันทีที่ผ่านพ้นประตูเมือง

          ในที่สุดพวกเราก็เดินทางมาถึงเทรโร่ก่อนพระอาทิตย์จะตกพอดี เมืองตั้งอยู่ปากทางผ่านหุบเขาสองสีซึ่งเป็นเส้นทางการค้าไปยังทิศตะวันออกของประเทศ ทำให้เป็นเมืองที่ค่อนข้างคึกคักตลอดเวลาด้วยร้านรวงต่างๆ เพราะคาราแวนค้าขายมักจะมาแวะพักที่นี่เสมอ

          ผมนำทางไปหาโรงเตี๊ยมทันทีเพื่อหาที่พัก แน่นอนว่าให้คุณอัศวินเป็นคนจ่าย ซึ่งมันก็ยอมแต่โดยดี

          “เจ้าหาอะไรทานแล้วพักผ่อนได้เลยนะ ข้าจะออกไปข้างนอก” ผมกล่าวหลังจัดแจงเก็บสัมภาระเข้าห้องพัก

          “จะไปไหน” เร็กซ์ถามขณะนั่งถอดชุดเกราะอยู่บนเตียง

          “ไม่หนีไปไหนหรอกหน่า แค่ไปหาคนรู้จัก” ผมไม่รอคำตอบ ตรงออกจากห้องพักทันที

          ผมเดินลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยอย่างชำนาญ เพื่อหลบเส้นทางหลักที่แน่นไปด้วยผู้คนที่กำลังเดินชมสินค้าตามร้านแผงลอยแม้จะเริ่มค่ำแล้วก็ตาม ผมเคยอาศัยอยู่เมืองนี้อยู่พักหนึ่งทำให้ค่อนข้างคุ้นชินกับผังเมือง เป้าหมายของผมคือกิลนักผจญภัย

          ตึกไม้สองชั้นขนาดใหญ่ติดตราสัญลักษญ์ดาบและโล่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมืองคือสถานที่รวมตัวของนักผจญภัยมากมาย

          ทันทีที่ผมเดินผ่านประตูบานใหญ่เข้าไปก็ได้ยินเสียงดังจอแจจากผู้คนมากมายไม่ว่าจะเป็นนักดาบสวมเกราะเต็มยศ นักล่าสาวผู้สวมเสื้อผ้าน้อยชิ้นจนดูป้องกันอะไรไม่ได้ จอมเวทย์สวมผ้าคลุมมิดชิด หรือนักสู้ชอบโชว์เนื้อหนังมังสาล่อตาล่อใจ

          กิลนักผจญภัยแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือส่วนรับภารกิจที่มีกระดานประกาศขนาดใหญ่แปะกระดาษมากมายจนแทบไม่มีที่ว่าง แน่นอนกระดาษพวกนั้นคือรายละเอียดคำร้องขอของผู้คนที่นักผจญภัยสามารถเลือกรับเพื่อทำภารกิจแลกเงินประทังชีวิต และโต๊ะที่มีเจ้าหน้าที่ดูแลเรื่องการลงทะเบียน ส่วนที่สองคือโรงเลี้ยงที่นักผจญภัยมักจะมารวมตัวกันเฉลิมฉลองหลังจบภารกิจ มีทั้งอาหารและเครื่องดื่มมึนเมามากมาย เป็นส่วนที่วุ่นวายพอสมควรดูได้จากผู้คนที่แน่นจนไม่มีที่นั่ง พนักงานสาวเดินให้บริการจนลายตา และเสียงเอะอะโวยวาย

          ตามปกติผมคงจะตรงไปที่กระดานประกาศเพื่อเลือกภารกิจน่าสนุกแล้วถ้าไม่ติดที่ต้องช่วยเหลือคุณอัศวินคาบของไปขอองค์หญิงแต่งงาน

          “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะรอส ลมอะไรหอบคุณมาหละเนี่ย” เสียงหวานไพเราะเสนาะหูที่คุ้นเคยของหญิงสาวดังขึ้นจากข้างหลังผม

          “แวะมาทักทายสาวสวยคนสนิทที่ชื่อมีนา(Mina)หนะสิ” ผมหันกลับไปยิ้มหวานให้นักล่าสาวผมแดงยาวถึงกลางหลัง ร่างสูง หุ่นเพรียว ดูสง่างาม

          “หึหึ ไม่ต้องมาปากดีเลย ไม่ใช่ว่ามาหิ้วใครกลับหรอ” มีนาหัวเราะพร้อมเดินตรงเข้ามากอดด้วยความคิดถึง

          “ไม่มีตรงเสป็คสักคน วันนี้คงกลับมือเปล่า” ผมตอบพร้อมยิ้มกวนๆให้

          “หรอ ไม่ใช่ว่าเอากลับไม่ได้เพราะมีคนรออยู่หรอกหรอ” นางกล่าวยิ้มๆ

          “หืม”

          “แหมๆ อย่ามาทำเป็นสตอเบอรี่ ข้าเห็นนะ อัศวินหนุ่มหน้าตาดีที่คุณขี่ม้ามาด้วยกันไง ไหนว่าไม่ชอบแบบนี้ไง เสป็คเปลี่ยนแล้วหรอ” สมแล้วที่เป็นนักล่าฝีมือเยี่ยม ไม่มีอะไรหลุดพ้นสายตาได้จริงๆ

          “เหอะ ไม่มีทางอ่ะ อัศวินซื่อบื้อแบบนั้น นั่นนายจ้างที่ข้าต้องนำทางให้หนะ” แค่คิดก็ขนลึกแล้ว

          “ฮ่าๆๆ อย่าเผลอไปชิมเข้าหละ มันจะไม่มืออาชีพ” มีนาหัวเราะเยาะ

          เอาเถอะ ยังดีที่ไม่ถามรายละเอียดมากเพราะมันเป็นมารยาทที่จะไม่ถามเรื่องภารกิจของกันและกัน เพราะถ้าต้องการความช่วยเหลือเจ้าของภารกิจจะเป็นคนเริ่มเล่าให้ฟังเอง

          “อ้าว พูดถึงไม่ทันไรอัศวินขี่ม้าขาวของคุณก็โผล่มาเลย”

          หะ ว่าไงนะ ผมรีบหันไปตามทิศทางที่มีนาจ้องไปทันที

          ชายหนุ่มร่างหนา หน้าคม ผมดำสั้นตามสไตล์ทหารกำลังยืนเก้ๆกังๆเหมือนมองหาอะไรสักอยางอยู่ที่ประตูทางเข้า


หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 6 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 17-06-2018 10:49:27
Chapter 7 Side quest

   ณ กิลนักผจญภัย


   ทันทีที่เร็กซ์เห็นผมมันก็ตรงเข้ามาโวยวายทันทีว่าทำไมทิ้งมันไว้ทั้งๆที่บอกให้รอก่อน


   พอผมถามว่าแล้วตามมาจนเจอได้ยังไง มันก็บอกว่าใช้ดาบนำทางมา โห ตามแกะรอยได้ด้วย นี่มันของสำหรับพวกสตอล์คเกอร์ชัดๆ


   กลางโรงเลี้ยงที่เต็มไปด้วยผู้คนของกิล ในที่สุดพวกเราก็สามารถหาโต๊ะนั่งรับประทานอาหารได้


   “ไหนๆ แนะนำให้รู้จักบ้างสิ” มีนาเริ่มขยั้นขยอหลังพวกเราสั่งอาหารเสร็จ


   “ผมชื่อเร็กซั…..” เร็กซ์เริ่มแนะนำตัวทันทีแต่ผมต้องรีบเอามืออุดปากมันไว้

   
   “มีนา อย่าถือสาเลยนะ ขอเวลานอกแปปนึง” ผมยิ้มแห้งๆแล้วดึงตัวมันออกห่างจากโต๊ะ


   “เจ้าคิดจะทำอะไร” มันโวยวายอีกรอบ


   “เจ้านั่นแหละ คิดจะทำอะไร คิดดีแล้วหรอที่จะประกาศชื่อเต็มๆที่นี่หน่ะ”


   “ทำไมจะไม่ได้ ชื่อตระกูลของข้าคือความภูมิใจเลยนะ” โอ้ย ทำไมมันซื่อแบบนี้


   “นี่คิดบ้างรึเปล่าว่าถ้าผู้คนรู้ตัวตนของเจ้าจะเกิดอะไรขึ้น ลูกขุนนางชั้นสูงมาเพ่นพานแถวเขตชั้นนอกของประเทศแบบนี้มันไม่ได้จบดีหรอกนะ แถมติดภาระกิจสำคัญด้วยไม่ใช่หรอ คงไม่อยากให้มันยากไปกว่านี้อย่างมีคนมาคอยขัดขวางใช่มั้ย” ผมอธิบาย


   “แต่..”


   “ไม่ต้องแต่ ถ้าอยากให้ข้านำทางให้ก็ทำตามที่ข้าบอก ข้าไม่อยากให้มันวุ่นวายมากไปกว่านี้”


   “ชิ” ไม่ส่งเสียงไม่พอใจ แต่ก็ยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดี


   เมื่อตกลงกันเรียบร้อยเราสองคนก็กลับไปที่โต๊ะ


   “ได้ยินหมดแล้วใช่มั้ย” ผมถามมีนาที่กำลังนั่งยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่


   หล่อนไม่ตอบอะไร แค่พยักหน้าน้อยๆ เร็กซ์ทำหน้างง


   “เวทย์เสริมการรับรู้หนะ” ยัยนี่เป็นนักล่ามากฝีมือ แค่การใช้เวทเสริมการได้ยินเพื่อฟังพวกเราคุยกันกลางเสียงเซ็งแซ่นี่ไม่ยากเกินไปเลย ไปยัยจอมเผือกที่น่ากลัว ที่ไม่บอกไม่ใช่ไม่ไว้ใจนะ แค่ไม่อยากให้คนรอบข้างรับรู้เท่านั้น


   “เอาหละดีแล้วจะได้ไม่ต้องอธิบายมาก เจ้านี่ชื่อเร็กซ์ เป็นนายจ้างของข้าให้ข้านำทางไปที่ชายแดนทางตะวันออกของประเทศ” มีนาเท้าคางพยักหน้าเบาๆ “ส่วนนี่มีนานักล่ามือหนึ่งของเมืองนี้”


   “ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณมีนา” เร็กซ์ยิ้มทักทายด้วยความสุภาพ


   “เช่นกัน แต่ไม่ต้องสุภาพขนาดนั้นก็ได้ นี่ไม่ใช่เมืองหลวงนะ”


   โอเค ผมขอคืนคำพูด ยัยนี่มันไร้มารยาท และขี้เผือกสุดๆ


   “พาไปหาของที่หายไปหนะ” ผมรีบพูดแทรก


   “งั้นหรอ” หญิงสาวทำหน้าครุ่นคริด แต่ก็ไม่ถามอะไรต่อเพราะรู้ว่าผมคงไม่ตอบตรงๆ “ไปทางตะวันออก แสดงว่าต้องผ่านช่องแคบสองสีสินะ”


   “ใช่แล้ว”


   “พอดีเลย พรุ่งนี้ฉันรับงานคุ้มกันคาราแวนให้พ่อค้ากลุ่มนึงผ่านช่องแคบพอดี สนใจมาด้วยกันมั้ยหละ” มีนาถาม แต่ไม่ได้ถามผมหันไปถามเร็กซ์


   “ได้สิ เป็นหน้าที่ของอัศวินที่ต้องช่วยเหลือผู้คนอยู่แล้ว” มันตอบโดยไม่ปรึกษาผมใดๆ


   ผมจ้องเขม็งไปที่เจ้าซื่อบื้อนี่ บีบแขนที่แน่นไปด้วยกล้ามจนกำแทบไม่มิดแล้วดึงตัวมาใกล้ๆทันที


   “นี่เจ้าจะรับงานส่งเดชแบบนี้ได้ยังไง คุ้มกันคาราแวนใช้เวลามากกว่าเดินทางเองเยอะเลยนะ” ผมโวยวาย เดินทางยิ่งมากคนยิ่งใช้เวลานาน รับงานส่งเดชแบบนี้แล้วเมื่อไหร่มันจะถึงที่หมาย


   “เอาหน่า ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย ยังไงก็ต้องเดินทางทางเดียวกัน ช่วยเหลือกันไปด้วย ดีออก” มันสะบัดแขนผมออก แล้วตอบหน้าตาเฉย


   <ว๊าก> ผมกรีดร้องในใจ ทั้งๆที่อยากจะให้งานจบๆไวๆแท้ๆ นี่ยังต้องมารับงานเสริมอีก วุ่นวายจริงๆ


   “ต้องมีค่าตอบแทนให้ด้วยนะ มีนา” ผมหันขวับไปถามยัยตัวดี


   “แน่นอน ฉันต้องจัดการให้อยู่แล้ว” นางยิ้มแย้มอย่างสบายใจ เมื่อได้ในสิ่งที่ต้องการ


   หลังจากนั้นเราก็สนทนากันเรื่องทัวไปอีกเล็กน้อยก่อนขอตัวกลับไปพักผ่อน เพื่อเตรียมตัวทำเควสเสริมที่กลายๆโดนบังคับให้รับ



ณ ช่องแคบสองสี


   เสียงกงล้อเกวียน และเสียงฝีเท้าม้าและผู้คนดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอผสานเสียงกับเสียงสีกันของใบไม้ยามลมพัดผ่านฟังแล้วชวนหลับ ขบวนคาราแวนประกอบด้วยรถม้าขนสัมภาระ 4 คัน และมีรถม้าโดยสาร 2 คันขนาบสบหัวท้ายพร้อมคนคุ้มกันอีก 10 ชีวิตขี่ม้าอยู่รอบๆกำลังเคลื่อนผ่านถนนท่ามกลางยอดไม้สูงของป่ารกทึบ


   ผมนั่งง่วงอยู่กับมีนาที่กำลังคุมขับรถโดยสารที่หัวขบวนโดยมีคนขี่ม้านำอยู่ข้างหน้า 2 คน ส่วนเร็กซ์ควรจะอยู่ที่หัวขบวนด้วยโดนเรียกตัวให้ไปตีขนาบข้างรถโดยสารคนสุดท้ายอันเป็นที่นั่งของลูกสาวของผู้ว่าจ้างที่เป็นพ่อค้ารายใหญ่ของเมือง หญิงสาวเปิดกระจกออกมาคุยกับอัศวินหนุ่มอย่างยิ้มแย้มตลอดทาง พอผมหันไปมองแล้วก็รู้สึกหมั่นไส้เจ้าอัศวินรูปหล่อที่ใครๆก็หลง


   “หึหึ” เสียงหัวเราะในลำคอของมีนาเรียกให้ผมหันกลับไปเจอรอยยิ้มและแววตากรุ้มกริ่มของนาง


   “หึหึ นี่แปลว่าอะไร” ผมถามอย่างรำคาญใจ


   “เปล่าสักหน่อย” นางยิ้มให้แล้วหันกลับไปคุมบังเหียนม้าต่อ


   “อย่ามากวนอารมณ์ ยิ่งหงุดหงิดนอนไม่พออยู่” เล่นเรียกรวมคนตั้งแต่อาทิตย์ยังไม่ขึ้นนี่หน่า


   “ก็เห็นว่าแปลกดี ปกติคุณไม่รับงานนำทางที่กินเวลานานขนาดนี้ แถมดูเอาใจใส่นายจ้างเหลือเกิน ชะเง้อมองบ่อยๆ”


   หะ ล้อเล่นรึเปล่า ที่ต้องมารับงานนี่เพราะโดนบังคับทั้งนั้น แต่ขืนบอกไปว่าโดนเทวภัณฑ์พันธนาการไว้จะเสียฟอร์ม


   “ไม่ได้มองเพราะใส่ใจเฟ้ย แค่กลัวเจ้านี่ไปทำอะไรขัดใจคุณหนูเข้าแล้วผมจะพลอยซวยไปด้วยต่างหาก” ขืนไปขัดใจลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของเจ้าพ่อรายใหญ่เข้ากลัวจะอยู่ไม่เป็นสุขเนี่ยหน่ะสิ


   “คุณนี่ก็แปลกนะ หนุ่มๆแน่นๆหน้าตาดีดันไม่ชอบ ดันไปชอบคนมีอายุ”


   “คนมีอายุแน่นๆแรงดีมีถมเถไป พวกรุ่นเดียวกันหน่ะมัน...” ผมไม่ทันพูดจบผมก็สัมผัสได้ถึงบางอย่างซ่อนตัวอยู่ในป่ารอบๆ มีนาเองก็สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที

หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 7 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 17-06-2018 18:59:06
Chapter 7.2

               “30 ไม่สิ อาจจะ 40” มีนากล่าวขณะมองไปรอบๆด้วยเวทเสริมการรับรู้ แล้วส่งสัญญาณให้หยุดขบวนรถ

               “โอ้ รู้ตัวแล้วหรอเนี่ย ไม่เลวแฮะ” เสียงดังกังวานพร้อม ชายร่างใหญ่กำยำปรากฏตัวออกมาจากพุ่มไม้ข้างทางพร้อมลูกน้องอีก 2 คนมาปิดทางด้านหน้าไว้ “กะว่าจะโจมตีแบบไม่ทันตั้งตัวสักหน่อย แต่ก็เอาเถอะ ในนามของฮาเก้น (Haagen) หัวหน้ากลุ่มโจนผ้าแดง ส่งของมีค่าทั้งหมดมาถ้ายังรักชีวิตอยู่” หัวหน้าโจรร่างใหญ่นามฮาเก้นตวัดดาบยักษ์มาชี้พวกเราด้วยแขนเพียงข้างเดียว

               “เหอะ มีกันแค่ 3 คนเนี่ยนะ ดูจำนวนด้วยว่าต่างกันขนาดไหน” พ่อค้านายจ้างโผล่ศีรษะออกมาจากรถโดยสารที่ผมนั่งอยู่ตอบกลับขณะที่ผู้คุ้มกันทุกคนต่างชักอาวุธออกมา

               “3 คนงั้นเรอะ” ร่างใหญ่ยิ้มเยาะ แล้วชูดาบขึ้น ทันใดนั้นก๊อบลิ้นหลายสิบตนพร้อมอาวุธครบมือก็ปรากฏตัวออกมาจากป่ารอบๆเข้าล้อมขบวนรถไว้

               “มะ..มากขนาดนี้เลยหรอเนี่ย มะ..มานี” นายจ้างเริ่มหน้าถอดสีพร้อมเรียกหามีนา

               “หลบอยู่ในรถ อย่าออกไปไหน เดี๋ยวดิฉันจัดการเอง”

               “ฆ่าพวกมันให้หมด” ทันทีที่หัวหน้าโจรออกคำสั่ง พวกก๊อบลิ้นก็วิ่งกรูเข้ามาจากรอบด้านพร้อมเสียงโห่ร้อง

               “อย่าประมาทพวกเรานะ” มีนาตะโกนเป็นสัญญาณให้นักรบทุกคนตอบโต้

               เสียงโลหะกระทบกัน เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังไปทั่ว แม้จะมีแต่เสียงของพวกก๊อบลิ้นก็ตามแต่ก็ไม่ทำให้ผมสบายเลยสักนิด

               “ฟิ้วๆๆ”

               “เปรี้ยงๆๆ”

               ด้วยลูกธนูของมีนา และเวทย์สายฟ้าของผม ผมกับมีนากำจัดพวกก๊อบลิ้นที่พุ่งเข้ามาทางต้นขบวนจากระยะไกลได้ไม่ยากนัก ที่กังวนคือเจ้าฮาเก้นที่เอาแต่ยืนคุมเชิงดูลูกสมุนก๊อบลิ้นถูกกำจัดอยู่ต่างหาก

               “บทแห่งลมที่ 14 Wind coat” ลูกน้องที่ยืนข้างๆทำปากขมุบขมิบร่ายคาถาก่อนลั่นชื่อคาถาออกมา ลมเริ่มก่อตัวเป็นวังวนรอบตัวหัวหน้าของพวกมัน

               <ชิ มีคนใช้เวทมนต์ได้ด้วยงั้นเรอะ> นั่นเป็นบัฟเวทลมใช้ป้องกันการโจมตีระยะไกลและเสริมความเร็ว

               ทันทีที่ได้รับบัฟจากลูกน้อง ฮาเก้นพุ่งตรงเข้ามาหาผมกับมีนาทันที

               มีนายิงลูกธนูออกไป 2 ดอก แต่กลับถูกกระแสลมพัดเบี่ยงทิศออกไปจากเป้าหมาย เมื่อผมยิงสายฟ้าออกไปมันก็เบี่ยงตัวหลบได้ไม่ยาก นักรบสองคนเข้าปะทะแต่เพียงการตวัดดาบครั้งเดียวก็ส่งร่างของทั้งสองกระเด็นไปไกลแม้จะป้องกันไว้ได้ก็ตาม

               เมื่อเห็นท่าไม่ดีผมชักดาบพุ่งตัวไปข้างหน้าเพื่อปกป้องมีนา ฮาเก้นเห็นเช่นนั้นก็ตวัดดาบใส่ผมแต่ผมสร้างเสาดินขึ้นมากันไว้

               “เคร้ง” มันฟันตัดเสาดินของผมอย่างง่ายดาย แต่ก็ช่วยผ่อนแรงให้ผมเอาดาบรับแรงปะทะไว้ได้

               “ไม่เลวนี่ กะจะฟันให้ขาดไปพร้อมเสาโง่ๆของเจ้าสักหน่อย” มันกล่าวพร้อมออกแรงสะบัดดาบมากขึ้นจนส่งร่างผมไถลครูดไปข้างหลัง ยังดีที่ผมทรงตัวไว้ได้

               “พลั๊ก” ผมอาศัยทีเผลอเคลื่อนหน้าดินที่มันเหยียบอยู่จนมันเสียหลักแล้วสร้างเสาดินพุ่งกระแทกกลางลำตัวของมันอย่างจัง แต่ก็มีผลทำให้อีกฝ่ายถอยหลังผงะไปไม่กี่ก้าวเท่านั้น ผมรีบถอยหลังเพื่อรักษาระยะทันที

               ฮาเก้นไม่ปล่อยจังหวะให้ว่างพุ่งตรงเข้ามาหาผมทันที

               ทันใดนั้นก็มีบางอย่างพุ่งมาทางด้านข้างผมตรงเข้ารับแรงปะทะ

               “เคร้ง ครืดๆๆๆ” เสียงโลหะกระทบกันดังสนั่น อัศวินพุ่งเข้ามากันดาบยักษ์นั่นไว้ได้อย่างง่ายได้

               “มาเจอกับคนที่สูสีกันหน่อยเป็นไง” เร็กซ์กล่าวพร้อมสะบัดดาบส่งร่างของหัวหน้าโจรผงะถอยหลังไป แล้วถอยมายืนด้านหน้าผม

               “บาดเจ็บตรงไหนมั้ย”

               “ข้าไม่เป็นอะไร ว่าแต่เจ้าควรจะคุมเชิงอยู่ท้ายขบวนไม่ใช่หรอ”

               “ทางนั้นตั้งรับกันเองได้อยู่”
               
               “โอ้ แล้วไม่ไว้ใจว่าทางนี้จัดการเองได้หรอกหรอ”

               “หึ อวดดีไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ” ผมเห็นมันยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย

               “ข้าสังเกตมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว..” หัวหน้าโจรกล่าวขึ้นมาหลังจากที่ตั้งหลักได้ “สามารถใช้เวทมนต์ได้โดยไม่ต้องร่ายหรือเอ่ยชื่อคาถา ความสามารถแบบนี้นี่มันของหัวขโมยแห่งบารา.. บารา.. อะไรนะ”

               “หัวขโมยแห่งเบลลาเดีย โว้ย อย่าสับสน” ผมตะโกนกลับไป แม้จะเป็นฉายาที่ทิ้งไปนานแล้ว แต่ก็ไม่อยากให้เรียกผิดกับเจ้าไร้ประโยชน์นั่น

               “นี่เจ้าเป็นโจรจริงๆสินะ” เร็กซ์มองผมด้วยหางตา

               “มองแบบนั้นหมายความว่ายังไง อาชีพพาร์ทไทม์หนะ ทำอยู่ไม่นานก็เลิกไป ยังไงอาชีพหลักก็นักผจญภัยตลอดนั่นแหละ” ผมตอบแบบไม่ใส่ใจ อดีตก็คืออดีต แถมตอนนั้นไม่ได้ทำอะไรร้ายแรงด้วย

               “บรึ้ม” เสียงระเบิดดังสนั่นมาจากทางท้ายขบวน คลื่นอากาศจากแรงระเบิดพัดฝุ่นจนคละคลุ้งไปทั่ว

               “กรี๊ด” เสียงกรีดร้องของลูกสาวพ่อค้าท้ายขบวนนี่

               เมื่อฝุ่นเริ่มจางลงก็เผยให้เห็นชายหนุ่มสวมหมวกปลายแหลม ถือไม้คทายาวติดอัญมณีสีแดงก้อนใหญ่ที่ปลาย ยืนคู่กับลูกน้องที่กำลังอุ้มหญิงสาวไว้อยู่ เหล่าผู้คุ้มกันนอนบาดเจ็บระเนระนาดอยู่รอบๆ

               “ฮ่าๆๆๆ ข้ารอจังหวะนี้มานานแล้ว หัวหน้าของกลุ่มโจรผ้าแดงไม่ได้มีคนเดียวหรอกนะ ข้าดาส(Dazs)ขอรับตัวคุณหนูไปหละนะ” มันกล่าวพร้อมออกวิ่งหนีเข้าป่าไป

               “บ้าจริง” เร็กซ์สบถ

               “ตูมๆๆ” แต่ไม่ทันจะขยับตัวระเบิดควันก็ระเบิดรอบตัวจนบดบังทิวทัศน์ทั้งหมด

               ผมที่อยู่นอกรัศมีควันพุ่งตัวหวังจะไปช่วยคุณหนู มือซ้ายกระชับถุงมือให้แน่นขึ้นเพื่อเตรียมตัวใช้เวทมนต์ทันทีที่ได้ระยะ
               
               “ฮ่า ยังคิดจะตามมาอีกหรอ งั้นก็ตายซะ” ดาสชี้คทามาที่ผม

               “บทแห่งไฟที่ 23 Explosion”
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 8 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 21-06-2018 15:26:50
Chapter 8 Rescue quest


   ไวเท่าความคิดผมสร้างกำแพงดินขึ้นมาด้านหน้าเพื่อรับแรงระเบิด

   “บรึ้มมมม” แรงระเบิดทำลายกำแพงของผมจนแตกเป็นเสี่ยงๆ ร่างผมลอยกระเด็นไปข้างหลัง ผมหลับตากัดฟันเตรียมรับแรงกระแทก

   “ควับ” ผมรู้สึกถึงแขนแกร่งสองข้างมากอดรัดตัวผมแน่น ใครบางคนมารับตัวผมไว้

   “โครมมม” ร่างของเราทั้งสองกระแทกกับรถขนสินค้าอย่างแรงจนเกวียนหักทรุดตัวลง ผมจุกจนขยับตัวไม่ได้ อีกใจก็เป็นห่วงใครก็ตามที่มารับผมไว้เพราะต้องรับแรงปะทะแรงกว่าผมแน่ๆ

   “เป็นอะไรมากมั้ย” เสียงคุ้นหูดังมาจากหลังผม

   “เร็กซ์?” เจ้าอัศวินนี่เองหรอที่มาช่วยรับผมเอาไว้

   “จุกนิดหน่อยแต่ไม่บาดเจ็บอะไร เจ้าเป็นอะไรมากมั้ย” ผมถามกลับด้วยความเป็นห่วง

   “แค่นี้น้อยกว่าตอนฝึกที่ค่ายเยอะ” ผมหันไปเห็นมันยิ้มเยาะด้วยมุมปาก หน้าตาอวดดีนี่อีกแล้ว ผมขอความเป็นห่วงเมื่อครู่คืนได้มั้ย

   “คุณสองคนจะกอดกันตรงนั้นอีกนานมั้ย” มีนาตะโกนใส่ขณะยิงลูกธนูสังหารก๊อบลิ้นที่กำลังพุ่งเข้ามา “รีบเก็บกวาดเจ้าพวกนี้เร็วเข้า ก่อนที่พวกนั้นจะหนีไปไกล”

   ผมรวบรวมพละกำลังรีบผละตัวออกมาจากอ้อมแขนแกร่งแล้วลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล ในขณะที่เร็กซ์ดีดตัวขึ้นมายืนข้างผมอย่างคล่องแคล่ว โดนขนาดนี้ยังดูไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรนี่มันจะถึกเกินไปแล้วนะ

.......................................................


   พวกเราใช้เวลาไม่นานก็จัดการพวกก๊อบลิ้นจนหมด ดูเหมือนว่าพอไม่มีพวกหัวขโมยอยู่ด้วยแล้ว ความระบบระเบียบในการจู่โจมของพวกมันจะลดลง ทำให้เราตอบโต้และจัดการได้ไม่ยาก โดยไม่มีใครตายหรือบาดเจ็บสาหัส แต่ก็อย่างว่า พวกก๊อบลิ้นมันไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น   

   “ฮือออออ โซเฟีย ลูกสาวสุดที่รักของข้า” ชายร่างท้วมผู้เป็นนายจ้างกำลังถือผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาเศร้าโศกเสียใจ

   “อย่าเป็นห่วงไปเลยค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะจัดทีมออกติดตามไปเดี๋ยวนี้” มีนารีบปลอบใจ และสั่งการทันที

   “เท่าที่ชั้นเช็คดูพวกมันจะมีอยู่แค่ห้าคน จัดทีมติดตามไปซัก 4-5 คนน่าจะเพียงพอ” มีนาปรึกษาพวกผม

   “เราไม่รู้ว่าพวกมันมีคนซุกซ่อนอยู่อีกรึเปล่า แถมอาจจะมีพวกก๊อบลิ้นอีกก็ได้นะ” ผมแย้ง

   “แต่เราต้องทิ้งคนไว้บางส่วนเพื่อคุ้มกันที่นี่ เผื่อว่ามันวกกลับมาอีก” เร็กซ์กล่าว

   “ถ้างั้นก็ให้ไปแต่คนระดับทอป นั่นคือชั้น รอส แล้วก็เร็กซ์ ใช้การเสริมการรับรู้ของชั้นประเมิณอีกทีละกัน”

   “เสี่ยงหน่อยแต่คงต้องเป็นแบบนั้น” ผมกล่าว

..................................................................

   ผมให้มีนาที่เชี่ยวชาญการแกะรอยมากกว่าผมเป็นคนนำทางในขณะที่ผมกับเร็กซ์วิ่งตามไป ดูจากร่องรอยแล้วน่าจะมีกันอยู่แค่ 5 คนจริงๆ เพราะไม่มีร่องรอยของพวกก๊อบลิ้นเลย

   “ตอนปะทะกันอีกรอบระวังตัวไว้ด้วย ข้าคิดว่าหัวหน้าสองคนของพวกนั้นน่าจะมีอุปกรณ์เวทมนต์” ผมกล่าวขณะวิ่งตาม

   “ชั้นก็คิดแบบนั้น เจ้าฮาเก้นน่าจะมีดาบที่ใช้ควบคุมพวกก๊อบลิ้นได้” มีนากล่าวเสริม ตาแหลมจริงๆ “แต่ชั้นไม่รู้เกี่ยวกับอีกคน”

   “อีกคนน่าจะมีคทาที่ทำให้สามารถใช้เวทมนต์ได้โดยไม่ต้องร่ายเวทย์” ผมตอบ คิดแล้วก็เจ็บใจที่คำนวณพลาดไป ตอนพุ่งเข้าไปนี่คิดไว้แล้วว่ายังไงต้องเข้าระยะใช้เวทก่อนมันร่ายมนต์จบ แต่ดันพลาดท่าซะได้

   “ร้ายกาจไม่เบา” เร็กซ์เสริม

   “ไม่หรอก อานุภาพเวท Explosion ที่มันใช้ถือว่าเบามาก ข้าเคยเห็นเด็กหญิงอายุ 13 ใช้เวทบทนี้รุนแรงขนาดระเบิดบ้านทั้งหลังให้หายไปในพริบตาได้ คทานั่นคงช่วยได้แค่ข้ามขั้นตอน แต่ลดทอนความรุนแรงลง”

   “แต่ก็เล่นเอาเจ้าลอยละลิ่วเลยนะ” อัศวินยิ้มหยอก

   “พูดแบบนี้จะเอาใช่มะ” ผมแยกเขี้ยวใส่

   “คุณสองคนนี้หยอกกันน่ารักดีนะ” มีนาหันมายิ้มให้ผม

   แต่มันทันที่ผมจะอ้าปากเถียงมีนาก็ยกมือส่งสัญญาณให้เงียบ

   “ได้ยินเสียงพวกนั้นแล้ว”

   พวกเราเคลื่อนที่กันอย่างระมัดระวังมากขึ้นไปอีกสักพักมีนาก็สั่งให้หยุด นางเริ่มตั้งสมาธิเพื่อรับสัมผัสต่างๆรอบตัว

   “พวกมันมีกัน 5 คนเหมือนเดิมอยู่ข้างหน้าห่างไป 50 เมตร”

   “จะบุกเข้าไปยังไงดี เราเสียเปรียบด้านจำนวน”

   “ไม่ต้องห่วง แค่นี้สบายมากสำหรับผม” เร็กซ์กล่าว

   “เหอะ ข้าไม่เสี่ยงดีกว่า” แต่ผมขัดเจ้าคนอวดดีนี่

   “นี่ไม่ไว้ใจข้าหรอไง”

   “ไม่” ผมตอบเสียงเรียบ “เอาแบบนี้ มีนาจะคอยสนับสนุนจากด้านหลัง ข้าจะลอบโจมตีจากด้านบน แล้วเจ้าก็ค่อยบุกเก็บกวาดพวกที่เหลือ” ผมอธิบายแผน ถ้าใช้เวทลมของผมละก็ ผมสามารถเคลื่อนที่ไปตามต้นไม้ได้สบาย แล้วจู่โจมจากมุมอับจัดการให้ได้มากที่สุด น่าจะเข้าท่าดี

   “ลอบโจมตีแบบกองโจรเนี่ยนะ ไม่มีศักดิ์ศรีเลย” อุวะ มันใช่เวลามั้ย

   “ใจเย็นเร็กซ์ ชั้นว่าแผนของรอสก็เข้าท่าดี อย่าลืมว่าความปลอดภัยของคุณหนูต้องมาก่อน อย่าเกี่ยงวิธีการเลยนะ” มีนาช่วยประนีประนอม

   “งั้นก็ตามนี้” ผมตัดบท

..........................................................

หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 8 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 24-06-2018 16:44:28
Chapter 8.2


   ผมใช้เวทลมช่วยในการร่อนตัวจากต้นไม้ต้นหนึ่งไปต้นถัดไปเรื่อยๆจนมองเห็นพวกกลุ่มโจรกำลังเดินทางอย่างสบายใจ ไม่รีบร้อนอะไร ประมาทกันจริงๆ

   ทันทีที่เข้าระยะผมก็มองสำรวจพวกเร็กซ์และมีนาว่าประจำตำแหน่งเรียบร้อยแล้ว ผมเริ่มบีบอัดอากาศรอบๆฝ่ามือเป็นทรงกลมแล้วส่งสัญญาณให้มีนาทันที

   “ฟ้าวๆๆ” เสียงลูกธนูหลายดอกแหวกอากาศตรงเข้าโจรเคราะห์ร้ายคนหนึ่ง

   “อ๊ากกก” เสียงร้องเจ็บปวดดังขึ้นลั่น ลูกธนูสองดอกปักที่ต้นขา อีกดอกปักที่ไหล่ส่งร่างผู้เคราะห์ร้ายลงไปนอนร้องโอดโอยที่พื้น

   อาจจะดูใจดี โลกสวยไปหน่อย แต่การจะเอาชีวิตโจรพวกนี้เป็นเรื่องง่ายมากสำหรับผมและมีนา แต่ถ้าตายไปก่อนก็ไม่ได้ลิ้มรสความเจ็บปวดของการโดนลงโทษสิ

   “เห้ย บ้าหน่า พวกมันตามทันแล้วหรอ”

   “หึ เดี๋ยวข้าจะเผาพวกมันเอง บทแห่งไฟที่ อักกก” ก่อนที่เจ้าดาสจะเอ่ยชื่อคาถาผมยิ่งกระสุนอากาศอัดหน้ามันอย่างจังจนมันหงายหลังล้มลง

   “เห้ย ขี้โกงนี่หว่า รอให้ร่ายมนต์จบก่อนเซ่” มันร้องโวยวาย

   <ใครจะไปรอฟระ> อันที่จริงกระสุนอากาศของผมมีอานุภาพพอๆกับหมัดหนักๆของชายกำยำร่างใหญ่เลยนะ โดนเข้าหน้าจังๆแบบนั้นน่าจะสลบเหมือดด้วยซ้ำ ท่าทางระยะจะห่างไปหน่อยทำให้ความรุนแรงลดลง

   “บทแห่งลมที่ 15 Wind curtain” ลูกสมุนอีกคนหนึ่งอาศัยจังหวะว่างร่ายมนต์

   กำแพงลมหมุนวนปัดป้องลูกธนูของมีนาอีกระลอกอย่างฉิวเฉียด กระแสลมขวางกั้นกลางระหว่างมีนาและพวกกลุ่มโจรไว้ทำให้การโจมตีของมีนาไม่ได้ผลอีกต่อไป

   <ชิ มีลูกน้องไหวพริบดีอยู่ด้วยสินะ> ผมเอ่ยชมในใจ แต่ด้วยเหตุนี้ผมถึงขึ้นมาบนนี้

   ผมกระโดดลัดเลาะไปตามกิ่งไม้จนข้ามผ่านกำแพงลมไปแล้วซัดกระสุนอากาศอีกสองนัดตรงเข้าลูกน้องที่ใช้เวทลมได้และเจ้าดาสต่อทันที

   นัดหนึ่งกระแทกเข้าหน้าของลูกสมุนเต็มๆส่งร่างนั้นไปนอนที่พื้น แต่อีกนัดถูกดาบขนาดใหญ่ของเจ้าฮาเก้นมาขวางไว้
ตอนนี้เหลือเพียงฮาเก้นที่อุ้มคุณหนูที่หมดสติพาดบ่าไว้ เจ้าดาสที่กำลังลุกขึ้นมาด้วยสีหน้าโกรธแค้น และลูกสมุนอีกคนเท่านั้น

   “หึ คิดจะมาขัดขวางบท 3p ของพวกข้างั้นหรอ” ฮาเก้นวางร่างของคุณหนูลง มันและลูกสมุนพุ่งตรงไปหามีนาทันที ทิ้งให้ดาสสนับสนุนจากด้านหลัง

   “พลั๊ก” เร็กซ์ที่ดักซุ่มอยู่พุ่งเข้ากระแทกร่างบางของลูกสมุนอย่างจัง ส่งร่างนั้นไปกระแทกต้นไม้ใกล้ๆจนหมดสติไป ทิ้งให้เหลือเพียงฮาเก้นเผชิญหน้ากับคุณอัศวินคนเก่งของเรา

   “เอาหละ เหลือแค่จัดการเจ้านี่” ผมยิงกระสุนอากาศออกไปอีกนัด

   “บทแห่งไฟที่ 20 Cinder storm” เจ้าดาสไม่หลงกลยุทธ์ของผมแล้ว มันหลบกระสุนอากาศผมได้ แล้วร่ายมนต์สวนทันที

   กระสุนเพลิงหลายนัดพุ่งตรงมาที่ผม ผมกระโดดลัดเลาะไปตามยอดไม้อย่างคล่องแคล่วเพื่อหลบหลีกกระสุนพวกนี้อย่างง่ายดาย เล่นยิงสะเปะสะปะไร้การควบคุมแบบนี้แสดงให้ผมเห็นชัดเลยว่าไม่มีทักษะในการใช้เวทมนต์ อาศัยแต่อุปกรณ์เวทมนต์ช่วยล้วนๆ

   หลังจากหมดกระสุนระลอกแรกผมรีบร่อนตัวลงพื้นหลบหลังควันไฟที่ตลบอบอวนไปรอบๆบริเวณ ผมต้องระมัดระวังพอสมควรเพราะเวทลมที่ผมใช้อาจจะทำให้ไฟพวกนี้ยิ่งโหมแรงขึ้นไปอีก

    “แน่จริงออกมาสิเฟร้ย” ดาสตะโกนท้าทาย

   “หึ ได้เลย” ผมตะโกนกลับพร้อมกระโดดเข้าประชิดตัวจากด้านหลังของมัน ในมือมีเสียงวี๊ๆๆจากการหมุนอัดตัวของอากาศ

   “หะ เห้ย” มันอ้าปากร้องเหวออย่างตกใจ

   ผมยิ้มเยอะอย่างมั่นใจ เตรียมอัดบอลอากาศของผมเข้าหน้าของมัน

   แต่แล้ว...

   “รอส ระวัง” หะ อะไรนะ ผมมองไปตามทิศทางของเสียงของเร็กซ์ด้วยหางตา วัตถุใหญ่ๆลอยตรงมาทางผมด้วยความเร็ว    

   <ฉิบ หลบไม่ทันแล้ว>

   “พลั๊ก” วัตถุนั้นเป็นร่างใหญ่ๆของฮาเก้นลอยมากระแทกร่างผมอย่างจัง ส่งร่างของเราทั้งสองไปกระแทกต้นไม้ใกล้ๆ

   “อัก” แรงกระแทกเล่นเอาสติผมเกือบหลุด ร่างใหญ่นอนหมดสติทับร่างผมไว้

   “หะฮ่า โชคดีจริงๆ พวกเจ้าไม่เข้าขากันยิ่งกว่าพวกข้าอีก” ดาสยิ้มเยาะแล้วชี้คทาไปทางที่พวกเร็กซ์อยู่

   “บทแห่งไฟที่ อ๊อกกก” ผมรวบรวมสติสุดท้ายไว้แล้วยิงกระสุนอากาศเข้าเบ้าหน้าอวดดีนั้นเข้าจังๆ ส่งร่างของดาสลงไปนอนหมดสติกับพื้น ก่อนที่ทุกอย่างจะมืดลงไปพร้อมกับสติของผม
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 9 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 27-06-2018 17:19:18
Chapter 9 Aftermath

 

          ผมรู้สึกถึงโลหะเย็นๆแนบอยู่ที่ใบหน้า แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกถึงไออุ่นอยู่ใกล้ๆ ร่างกายผมขยับโยกไปมาเป็นจังหวะ ผมขยับตัวแล้วค่อยๆลืมตาขึ้นมา


          “อ้าว ฟื้นแล้วหรอ” เสียงของเร็กซ์ดังขึ้นมา ผมใช้เวลาสักพักเพื่อปรับสายตาให้ชินกับแสงแล้วเริ่มสำรวจรอบตัว


          เร็กซ์กำลังเดินแบกผมอยู่ที่หลังของมัน แขนสองข้างของผมโอบรอบคอ ส่วนขาสองข้างถูกมันหนีบไว้ข้างเอว มีนาที่เดินอยู่ข้างๆก็กำลังแบกคุณหนูโซเฟียที่นอนไม่ได้สติอยู่ในท่าเดียวกัน


          “เกิดอะไรขึ้น” ผมพยายามนึกถึงเหตุการณ์ก่อนที่จะหมดสติไป ร่างเจ้าฮาเก้นลอยมากระแทกผมได้ยังไง


          “อะ เอ่ออ คืออ…” เร็กซ์กล่าวขึ้นมาด้วยเสียงตะกุกตะกัก พร้อมปล่อยมือข้างหนึ่งขึ้นมาเกาแก้ม “พอข้าจัดการเจ้าหัวหน้านั่นเสร็จแล้ว ข้ากะจะจัดการอีกคนไปพร้อมๆกันเลย ก็เลย..”


          คิ้วผมเริ่มกระตุก


          “ก็เลยอาศัยจังหวะที่จอมเวทย์คนนั้นกำลังโวยวายเหวี่ยงร่างของฮาเก้นใส่ แต่ว่า…”


          “เพี้ย”


          “โอ้ย” มันร้องเจ็บหลังผมตบกระโหลกมันไปทีนึง


          “ฮว๊ากกก ไอ้เจ้าบ้านี่ ข้าว่าแล้วเชียวต้องเป็นฝีมือเจ้าแน่ๆ นี่” ผมโวยวายด้วยความโมโห


          “ข้าขอโทษๆ ก็ข้าไม่คิดหนิว่าเจ้าจะเข้าประชิดตัวมันแบบนั้น โอ้ยๆ อย่าดึงผมข้าแบบนั้นสิ” ผมเอามือจิกทึ้งผมเจ้าอัศวินบ้านี่จนหัวมันโยกไปมา


          “ขอโทษหรอ ขอโทษแล้วมันหายเจ็บมั้ยเล่า ดีขนาดไหนแล้วที่โดนกระแทกแรงขนาดนั้นแล้วกระดูกข้าไม่หักไปซะก่อน” แรงจนเล่นเอาผมน๊อคเลยนะนั่น


          “นี่ไงข้าก็รับผิดชอบเจ้าแล้วไง ด้วยการแบกกลับมาเนี่ย”


          <รับผิดชอบข้า? ใช้คำอะไรของมันฟระ ฟังแล้วหยั่งกะเสียตัวให้มันแล้ว>


          “ฮิๆๆ” เสียงขำเบาๆของมีนาทำให้ผมหยุดอาละวาดแล้วหันไปเจอใบหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ของยัยนี่


          “ยิ้มอะไร” ผมหันไปแยกเขี้ยวใส่


          “ปล๊าววว” แหนะเสียงสูงเลยนะ ยัยนี่เป็นสาววายชอบจิ้นหรอไง


          “ชิ” ผมส่งเสียงไม่สบอารมณ์ “ปล่อยข้าลงได้แล้ว”


          “ไหวหรอ เจ็บไม่ใช่หรอ”


          “เออ หน่า” เร็กซ์ยอมปล่อยผมลงแต่โดยดี ขืนไม่รีบลงมามีหวังยัยมีนาเลือดกำดาวไหลแน่ๆ ดูฟินเกินไปละ


          “แล้วพวกโจรนั่นหละ” ผมถามพร้อมออกเดินยืดเส้นยืดสายให้หายตึงหายปวด


          “จับมัดไว้อย่างแน่นหนา รอส่งคนมาจับกลับไปแล้ว” มีนารายงาน


          “แล้วคุณหนูเป็นยังไงบ้าง”


          “น่าจะโดนยาสลบไปทำให้ยังไม่ได้สติคืนมา”


          “อะ อื้มม” พูดไม่ทันขาดคำคุณหนูโซเฟียก็ตื่นขึ้น “อะ อ๊า!!! อย่าทำอะไรฉันเลยน้า” ตื่นมาก็โวยวายทันที


          “คุณหนู คุณหนูโซเฟียตั้งสติก่อน นี่ฉันเอง พี่มีนาไง” มีนาเริ่มปลอบประโลม พร้อมย่อตัวลงให้โซเฟียลงจากหลังเพราะนางเริ่มดิ้น “พวกเรามาช่วยคุณหนูแล้ว คุณหนูปลอดภัยแล้ว”


          โซเฟียที่เริ่มตั้งสติได้กวาดสายตามองรอบๆ ท่าทางเริ่มสงบลงแล้ว


          “ฮือออ ท่านเร็กซ์ ฉันกลัวเหลือเกิน” นางผละตัวออกจากมีนา พุ่งผ่านผมตรงเข้าไปกอดซบอกอัศวินหนุ่มแล้วร้องไห้ทันที


          ผมหันไปสบตากับมีนาด้วยความระอา <ยัยคุณหนูนี่นะ>


          คิดแล้วก็เคือง <แผนก็แผนตรู คนเข้าเปิดก่อนก็ตรู คนเจ็บก็ตรู แต่ความดีงามตกไปอยู่ที่เจ้าเร็กซ์ซะนี่ โวะ หงุดหงิด>


          ผมได้แต่มองดูเร็กซ์ทำท่าเก้งๆกังๆเหมือนทำตัวไม่ถูก ทั้งๆที่รูปหล่อ หน้าตาดีขนาดนั้นน่าจะเจอแบบนี้มาเยอะแล้วแท้ๆ


          สุดท้ายหลังจากปลอบประโลมกันพักนึง คุณหนูโซเฟียก็ขอขึ้นขี่หลังเร็กซ์ให้อัศวินหนุ่มช่วยแบกกลับเพราะเจ็บเท้าเดินไม่ไหว


          <แหม แล้วที่พุ่งตัวไปเมื่อกี้คืออะไรฟระ ?>

........................................................................................
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 9 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 28-06-2018 19:27:06
Chapter 9.2

ณ กองคาราวาน

ไม่นานนักพวกเราก็กลับมาถึงกองคาราวาน ดูเหมือนพวกคนคุ้มกันที่เหลือจะเก็บกวาดซากพวกก๊อบลิ้นไปทิ้งข้างทางหมดแล้ว ข้าวของสินค้าที่กระจัดกระจายก็ถูกเก็บเข้าที่


พ่อค้านายจ้างรีบมารับตัวลูกสาวสุดที่รักของตนไปกอดทันทีที่เห็นพวกเรากลับมาถึง พร้อมกับกล่าวชมเชยเร็กซ์อย่างดิบดี อีกทั้งจะตบรางวัลให้ ซึ่งแน่นอนเจ้าทึ่มนี่ปฏิเสธ


“มันเป็นหน้าที่ของอัศวินอยู่แล้วที่จะต้องช่วยเหลือผู้คน สิ่งตอบแทนใดๆไม่จำเป็นหรอกครับ” มันตอบเสียงหล่อเรียกคะแนนนิยมจากนายจ้างและคุณหนูขึ้นไปอีก


<เออ เอาหน้าเข้าไป จะไม่รับรางวัลนี่ปรึกษาตรูก่อนบ้างมั้ย> ผมคิดเคืองในใจ


มีนาถูกตำหนิที่ปล่อยให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น แต่เพราะเป็นเหตุสุดวิสัย ไม่สามารถคาดการณ์ได้ อีกทั้งปัญหาต่างๆก็คลี่คลายแล้ว ทำให้ไม่โดนต่อว่าหนักจนเกินไป


นางตัดสินใจนำขบวนคาราวานกลับเมืองเนื่องจากเกวียนขนสินค้าเสียหายจนซ่อมไม่ได้ถึง 2 เล่ม อีกทั้งยังมีผู้บาดเจ็บและยังเดินทางไม่ถึงครึ่งทางทำให้การขนของกลับน่าจะง่ายกว่า


พวกผมตัดสินใจแยกตัวออกเดินทางไปยังเมืองควินิค (Quinic) ต่อกันเองเพราะไม่อยากใช้เวลาเดินทางวนไปมา ตามปกติกว่าจะผ่านช่องแคบสองสีได้ก็ใช้เวลาวันครึ่งอยู่แล้ว


“ดิฉันจะได้พบท่านเร็กซ์อีกมั้ยคะ” โซเฟียยกมือข้างหนึ่งถือผ้าเช็ดหน้าปิดปากด้วยความเหนียมอาย ดวงตาเป็นประกายอย่างมีความหวัง


“หากมีโอกาสกระผมยินดีรับใช้คุณหนูอีกครับ” มันตอบด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ


ผมหันหน้าไปทางมีนาทำท่าแลบลิ้นเหมือนจะอ้วก จนนางหัวเราะคิกคัก


“ดิฉันจะรอคอยวันนั้นค่ะ” ว่าแล้วก็วิ่งงุดๆขึ้นรถม้าไป


<โถ หนูจ๋า พึ่งจะ 14-15 อย่าพึ่งรีบขนาดน้านนน> ผมคิดในใจด้วยความระอา แต่เอ๊ะ บทสนทนาแบบนี้คุ้นๆแฮะ


“โชคดีนะรอส ขอให้เดินทางปลอดภัย” มีนากล่าวลาพร้อมเข้ามากอดผมไว้


“อื้อ ผมว่าช่วงนี้ผมต้องการโชคเพิ่มขึ้นด่วนๆเลย เจ้าเองก็เดินทางปลอดภัยนะ”


“เสร็จงานแล้วอย่าลืมแวะมาเยี่ยมบ้างหละ”


“ได้เลย” ผมกล่าวอำลาเสร็จแล้วเดินไปหาเร็กซ์ที่กำลังเตรียมเจ้าฟรีดให้พร้อมเดินทาง


“แล้วฉันจะรอฟังข่าวดีนะ” นางตะโกนตามหลังมา


ผมไม่ตอบอะไรได้แต่ยิ้มให้ <ข่าวดีอะไรของยัยนี่ฟระ>


…………………………………………………………….


ริมลำธารแห่งหนึ่ง กลางช่องแคบสองสี

แสงอาทิตย์สีแดงส้มตัดผ่านท้องฟ้าสีน้ำเงินครึ้มเป็นสัญญาณบอกพวกเราว่าใกล้จะมืดแล้ว พวกเราที่เดินทางมาทั้งวันจนพระอาทิตย์ใกล้จะตกดินตัดสินใจที่จะหาจุดค้างแรมกลางป่า ซึ่งพวกเราเลือกบริเวณลานโล่งๆใกล้ๆลำธารเพื่อเติมน้ำและหาเสบียงเพิ่ม


“เดี๋ยวข้าจะลงไปจับปลาในลำธารเอง ส่วนเจ้าไปหาฟืนมาก่อไฟ” หลังจากจัดแจงสัมภาระเสร็จเจ้าเร็กซ์ก็สั่งการทันที พวกเราขนสัมภาระได้ทีละไม่มาก การหาของป่าเป็นอาหารเพิ่มจึงเป็นเรื่องที่ดี


“โห คุณชายอย่างเจ้าเนี่ยนะจะจับปลา ให้นักผจญภัยที่อยู่กลางดินกินกลางทรายทำให้ดีกว่ามั้ง” ผมแย้งขึ้น ถ้าใช้หินเวทน้ำของผมการจับปลาไม่ใช่เรื่องยาก


“เหอะหน่า วันนี้เจ้าเจ็บตัวมาเยอะแล้ว ข้าจัดการเอง” โอ๊ะ โอ๋ มีเป็นห่วงด้วย เมื่อว่าอย่างนั้นผมเลยยอมเดินเข้าป่าแต่โดยดี


“จะไหวมั้ยเนี่ย” ผมพึมพำกับตัวเอง มองไปที่เร็กซ์ขณะที่สองขาก็ก้าวเดินลึกเข้าไปในป่าใกล้ๆเพื่อหากิ่งไม้แห้งมาก่อไฟ
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 9 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 29-06-2018 00:45:07
nc นี่แล้วแต่เลยนะ อยากเขียนแบบไหน
อ่านแล้วอยากให้มี world map คร่าวๆ ดูทรงแล้วจักรวาลในเรื่องน่าจะใหญ่ไม่เบา
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 9 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 30-06-2018 13:58:14
จริงๆมีวาดแผนที่แบบกากๆไว้อยู่ครับ แต่เนื้อเรื่องไม่กว้างใหญ่ขนาดนั้นครับ ค่อนข้างจะเส้นตรงคือจบเรื่องที่ส่งเควสหลักพอดี

ช่วงแรกดำเนินช้าหน่อย(ค่อนข้างมาก)จะ10ตอนละพึ่ง4วัน เพราะกะจะให้ตัวละครคุ้นเคยกันก่อน เดี๋ยวช่วงหลังจากนี้จะกระโดดไวหน่อยครับ

ปล. เรื่องนี้เรื่องแรกครับ ยังไม่กล้าทำสเกลใหญ่จนเกินไป
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 10 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 02-07-2018 20:03:20
Chapter 10 Big fish


ใช้เวลาไม่นานผมก็หอบกิ่งไม้ที่เหมาะจะนำมาใช้เป็นฟืนมาเต็มสองแขน เมื่อผมเดินพ้นออกมาจากชายป่าเพื่อกลับจุดพักผมก็ต้องชะงักไป


ร่างเปลือยเปล่าเหลือแต่เพียงกางเกงผ้าขาสั้นที่เปียกจนลู่แนบเนื้อของเร็กซ์ปรากฏแก่สายตาของผม ร่างหนาแผ่นหลังกว้าง กล้ามไหล่และแขนเป็นวง มีหยดน้ำที่เกาะตามผิวกายสะท้อนแสงสีส้มเข้มของอาทิตย์อัสดงในลำธาร เขากำลังยืนถือดาบอยู่ในลำธารหันหลังให้ผมแล้วจดจ้องไปที่พื้นน้ำ


<เซ็กซี่ชะมัดเลย> ผมคิดขณะตกอยู่ในภวังค์


“ซู่” เสียงปลายดาบพุ่งแหวกผืนน้ำลงไปช่วยเรียกสติผมกลับคืนมา อัศวินหนุ่มตวัดดาบขึ้นมาจากน้ำพร้อมปลาที่ปลายดาบ เมื่อปลาแน่นิ่งไปเขาจึงดึงมันออกจากดาบแล้วโยนมาบนพื้นหญ้า


ผมค่อยๆเดินมาวางกองฟืนไว้ <ทำไมต้องค่อยๆเดินฟระ ไม่ได้แอบถ้ำมองสักหน่อย> แล้วผมก็สังเกตเห็นว่ากองปลาที่พื้นพึ่งจะมีสี่ตัว


<ปล่อยให้จับอีกสักพักละกัน> นี่ไม่ได้มีเจตนาใดๆแอบแฝงเลยนะ


ผมเริ่มลงมือก่อกองไฟโดยไม่ได้ใช้เวทมนต์เข้าช่วย ผมจำเป็นที่จะต้องแบ่งการใช้งานหินเวทอย่างระมัดระวัง ด้วยข้อจำกัดของถุงมือเวทที่ต้องรอให้พลังเวทฟื้นคืนเป็นเวลานาน ทำให้ผมเคยเกือบตายมาแล้วเพราะไม่มีหินเวทใดพร้อมใช้งานเลยในยามคับขัน


“ซู่” เสียงดาบพุ่งแหวกน้ำลงไปอีกครั้งเรียกความสนใจผมไปมองร่างหนานั้น ดูเหมือนคราวนี้จะพลาดไม่มีอะไรติดขึ้นมา มันสะบัดเอียงคอเหมือนไม่สบอารมณ์


เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ผมเริ่มทำความสะอาดปลาที่เร็กซ์จับได้ ขอดเกล็ด แล้วควักเครื่องในด้วยดาบสั้นของผม นำไปเสียบไม้ แล้วไปเสียบไว้ใกล้ๆกองไฟ


หลังจากเร็กซ์จับได้อีกสองตัวผมก็ตะโกนบอกไปว่าพอได้แล้ว เพราะถ้ามากเกินไปสุดท้ายจะเสียของเปล่าๆ มันตอบตกลงแต่ก็ยังไม่ยอมขึ้นมาจากน้ำ


พอผมเตรียมปลาจนครบผมก็นำกระติกไปตักน้ำในลำธารขึ้นมาดื่มแล้วนั่งพักผ่อนบ้าง


“นี่ รอส ” เร็กซ์ตะโกนเรียกผม ผมที่ยังอมน้ำอยู่ในปากจึงหันไปตามเสียงเรียก


“หืม พรวด” ผมพ่นน้ำที่พึ่งดื่มเข้าไปออกมาจนหมดเมื่อเห็นภาพตรงหน้า


อัศวินหนุ่มยืนอยู่ในน้ำระดับต้นขา ร่างเปลือยเปล่าไร้สิ่งใดปกปิดกำลังหันหน้ามาหาผม มันถอดกางเกงไปพาดที่บ่าแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ กล้ามอกกว้างหนา หน้าท้องเป็นลอน ขนอ่อนไล่ลงจากสะดือลงไป..ลงไป..ลงไป สายตาผมมองตามลงไปด้วยจิตใจต่ำทรามของตัวเองโดยไม่รู้ตัว


<หะ หญะ ใหญ่> ผมเอามือปิดปาก อุทานในใจเมื่อเห็นดาบประจำกายอีกเล่มที่กลางตัวของเร็กซ์


“นี่ เป็นอะไร ช่วยข้าหยิบผ้าสะอาดในกระเป๋าที่ฟรีดให้หน่อย” มันกล่าวด้วยเสียงเรียบราวกับเป็นเรื่องปกติ


เหมือนฟรีดจะรู้หน้าที่ เดินเอาหัวมาสะกิดหลังผมจนผมได้สติกลับมา ผมรีบความหาของที่มันต้องการแล้วเดินไปให้ใกล้ๆ


“เอื๊อก” ผมกลืนน้ำลายเสียงดังเมื่อได้สังเกตใกล้ๆตอนยื่นผ้าให้


<นี่มันไม่ได้อ่อยตรูอยู่ใช่มั้ยๆๆ> ผมถามตัวเองซ้ำไปมา การกระทำมันช่างยั่วอารมณ์ผมเหลือเกิน


ถึงจะเคยได้ยินเรื่องของห้องอาบน้ำรวมในโรงเรียนอัศวินจากพวกอัศวินรุ่นใหญ่ที่เคยนอนด้วยมาบ้าง แต่มาเจอเองกลางที่แจ้งแบบไม่ทันตั้งตัวก็ทำตัวไม่ถูกแฮะ


เมื่อได้สิ่งที่ต้องการเร็กซ์ก็หันหลังให้ผมแล้วเดินลงน้ำไป


<ก้นแน่นๆนั่น น่าบีบชะมัด> ผมมองไปที่บั้นท้ายของเร็กซ์แล้วพยายามข่มใจเอาไว้ ถ้าไม่ติดตรงที่มันเป็นคุณชายกำลังจะไปแต่งงานกับองค์หญิง ป่านนี้ผมคงกระโจนลงน้ำไปด้วยแล้ว แต่บทเรียนในอดีตสอนผมไว้ว่าอย่าไปยุ่งย่ามกับพวกที่ไม่มีรสนิยมเดียวกัน

............................................................................................

หลังอาทิตย์ตกดิน


หลังจากที่เราทานอาหารจนอิ่ม พวกเราก็จัดแจงที่นอนของตนเอง


“เดี๋ยวข้าจะเฝ้าเวรยามแรกให้เอง” เร็กซ์กล่าวขึ้นมา


ปกติการค้างแรมกลางป่าควรจะมีการแบ่งเวรเฝ้ายามเพื่อป้องกันตัวจากสัตว์ป่าและมอนสเตอร์หากินกลางคืน


“เดินทางกับข้าไม่จำเป็นต้องเฝ้าเวรยามหรอก” ผมตอบกลับพลางควานหาของในกระเป๋าสัมพาระ เร็กซ์มองผมด้วยความสงสัย


“นี่เป็นอุปกรณ์เวทมนต์ที่ช่วยสร้างอาณาเขตเพื่ออำพรางได้” ผมกล่าวต่อ พร้อมแสดงหินรูปลูกเต๋า 4 ก้อนบนมือ ทุกก้อนมี

อักขระเวทมนต์จารึกไว้รอบด้าน “เพียงวางไว้รอบๆที่พัก มันก็สามารถอำพรางได้ทั้งรูป และกลิ่น ผู้ที่เดินผ่านจะเห็นเป็นเพียงพื้นที่เปล่าๆเท่านั้น ถ้าทางนี้ไม่ส่งเสียงดังอ่ะนะ” ผมอธิบายพลางเดินไปวางที่มุมทั้งสี่ของที่พัก


เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์เวทมนต์ที่อาจารย์ของผมให้ไว้ หลักการของมันลอกเลียนแบบเวทมนต์อำพรางของเหล่าจอมเวทย์ที่นิยมใช้ปกปิดห้องหรือถ้ำลับต่างๆ ข้อจำกัดที่ด้อยกว่าเวทมนต์เหล่านั้นคือปกปิดเสียงไม่ได้ และอาณาเขตไม่กว้างนัก แต่ถ้าสำหรับสองคนและม้าอีกหนึ่งตัวนี่สบายมาก


“สะดวกจริงๆ” เร็กซ์กล่าวชม


“ถ้าไม่มีของแบบนี้ ข้าคงเดินทางคนเดียวไม่ได้” ตั้งแต่แยกตัวจากอาจารย์ของผมมาเมื่อ 2 ปีก่อนก็เดินทางคนเดียวเกือบตลอด ขืนไม่มีของแบบนี้อยู่หละก็ ได้ตกเป็นอาหารของพวกมอนสเตอร์กลางป่าพอดี


พวกเราสองคนล้มตัวลง ผมนอนหงายขึ้นดูหมู่ดาวบนท้องฟ้า ทุกอย่างเงียบสงบมีเพียงเสียงใบไม้สีกันตามแรงลมและเสียงกิ่งไม้ลั่นในกองไฟ ผมตั้งสมาธิพยายามสงบจิตสงบใจจากภาพเมื่อเย็นเพื่อที่จะหลับพักผ่อน ถ้าเดินทางตั้งแต่รุ่งเช้าก็น่าจะถึงเมืองช่วงเที่ยงๆพอดี


ระหว่างที่ผมคิดนู่นนี่นั่นไปเรื่อย เร็กซ์ก็ทำลายความสงบลง


“รอส ข้าขอโทษด้วยนะ”


“หืม เรื่องบ่ายหนะหรอ ช่างมันเถอะ” ถึงผมจะโวยวายแต่ผมก็ไม่ได้ติดใจอะไรขนาดนั้น


“ไม่ใช่เรื่องนั้น”


“….”


“เรื่องที่หาว่าเจ้าเป็นโจรแล้วอัดเจ้าซะน่วมหนะ”


“อะไรดลใจให้เจ้ามาขอโทษตอนนี้ นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว” เรื่องนั้นผมก็ไม่ได้ติดใจอะไรมาก ถึงจะไม่พอใจเรื่องถูกบังคับทำพันธะสัญญาอยู่บ้างก็ตาม แต่ช่วยตัดตรงที่โดนอัดซะน่วมไปได้มั้ย ถ้าเป็นสภาพเต็มร้อยผมไม่แพ้ง่ายๆหรอกนะ


“เจ้าพุ่งตัวออกไปปกป้องมีนาทั้งๆที่พละกำลังด้อยกว่า อีกทั้งยังพุ่งไปหาพวกมันด้วยตัวคนเดียวเพื่อจะช่วยโซเฟีย ถ้าไม่ใช่คนดีไม่มีทางทำแบบนั้นแน่”


“หึหึ งั้นหรอกหรอ” แอบตัวลอยนิดๆแฮะ


“เจ้าทำให้ข้าได้เห็นว่าเจ้าเองก็มีจิตใจที่ดี” ผมก็ไม่ได้ดีเดอะไรขนาดน้านน


“งั้นก็ปล่อยข้าจากพันธะของ Oathkeeper สิ”


“ไม่” มันตอบสั้นๆเสียงแข็ง


<ชิ ว่าจะเนียนซะหน่อย>


“ส่วนเรื่องหัวขโมยแห่งเบลาเดียที่เคยออกอาละวาดช่วงสั้นๆทางตอนใต้เมื่อ 2 ปีก่อน ข้าจะถือซะว่าไม่เคยได้อ่านรายงานแล้วกัน” เสียงเรียบๆแต่เล่นเอาผมเหงื่อแตก


“อ..เอ่อ ขอบคุณละกัน” ผมกล่าวเบาๆพร้อมยิ้มแห้งๆ ดูท่ามันจะรู้วีรกรรมของผมพอสมควร


แต่นั่นก็ช่วยดึงความสนใจของผมจนคลายความกำหนัดลงไปได้และหลับลงในที่สุด


…………………………………..


กลางดึก


ผมก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นเพราะมีบางอย่างมากดทับตัวผมไว้จนอึดอัดไปหมด พอผมลืมตาขึ้นผมก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เห็น…


แสงสีส้มจากกองไฟสะท้อนใบหน้าของเร็กซ์ที่แทบจะติดกับหน้าของผม ร่างเปลือยเปล่าของอัศวินหนุ่มขึ้นคร่อมร่างผมไว้ ขาสองข้างผมโดนลำตัวมันทาบทับไว้  แขนสองข้างโดนจับกางออกแล้วถูกแขนแกร่งกดไว้เช่นกัน


“หัวขโมยแห่งเบลาเดีย ถึงเวลาที่เจ้าจะต้องถูกลงโทษแล้ว” เร็กซ์กล่าว พร้อมยิ้มกริ่มราวกับราชสีห์ที่กำลังหยอกล้อเหยื่อของมันก่อนที่จะลงมือขย้ำ


ด้วยความสลึมสลือ และสมองที่ประมวลผลไม่ทันทำให้ผมพูดอะไรโง่ๆไร้เดียงสาไปว่า “จะทำอะ….อุบ” แต่พูดไม่ทันจบปากของผมก็ถูกปิดลง


ริมฝีปากของอัศวินหนุ่มบดลงมาอย่างหนักหน่วง มันเป็นจูบที่เร่าร้อนและรุนแรง ผมที่อารมณ์เริ่มปะทุขึ้นก็ไม่ยอมแพ้โต้ตอบกลับไปจนเสียงดังจ๊วบจ๊าบ แต่ไม่นานผมก็พยายามถอนตัวออกมาเพราะกำลังจะหมดลม อีกฝ่ายแกล้งรั้งไว้สักพักถึงจะยอมปล่อยออกมา


มาดคุณชายแสนดีของเร็กซ์หายไปจนหมดสิ้น เร็กซ์แสยะยิ้มอย่างพึ่งพอใจเมื่อเห็นผมหายใจหอบเอาอากาศเข้าไป แต่มันก็ไม่ปล่อยผมให้พัก กดหน้าซุกไซร้มาที่ข้างหูของผมแล้วค่อยๆไล่ต่ำลงมา


“อ๊ะ..” ผมหลุดเสียงออกมาเมื่อปลายจมูกเคลื่อนผ่านจุดอ่อนที่ลำคอของผม เจ้าราชสีห์ผมดำไม่รอช้าขบกัดเข้าที่ลำคอตำแหน่งเดิมทันที


“อะ เร็กซ์ อ๊า” ผมครางยาวด้วยความเสียวซ่าน ลำตัวแอ่นขึ้นจนไปแนบกับร่างของนักล่า


“รอส” มันเรียกชื่อผมด้วยเสียงกระเส่า


“อะ อือ” ผมที่สติกระเจิดไปแล้วขานรับเบาๆ


“รอส”


“หืม”


“รอส” เรียกซ้ำๆจนผมเริ่มหงุดหงิด


“อะไร”


“ตื่น”


“หะ” ผมสะดุ้งโหยง ลืมตาตื่นขึ้นมานั่ง หายใจหอบเหนื่อย เหงื่อโทรมกาย


<ฝะ ฝันงั้นหรอ>


“เจ้าเป็นอะไร เห็นนอนกระสับกระส่ายไปมาแล้วเรียกชื่อข้า” ผมหันไปมองเจ้าของเสียงที่ใช้แขนข้างหนึ่งยันตัวมามอง อีกข้างขยี้ตาไปมาด้วยความง่วง


“ปะ เปล่า ไม่มีอะไร ฝันเฉยๆ หนะ” ผมตอบเสียงตะกุกตะกัก <เชี่ย ภาพเมื่อเย็นติดเข้ามาในฝันเลยหรอเนี่ย> ผมรีบพลิกตัวนอนตะแคงหันหลังให้เร็กซ์เพื่อไม่ให้มันเห็นความผิดปกติของผม


“จะ เจ้า นอนต่อเถอะ ขะ ข้าไม่เป็นอะไร” ผมไล่มันไปนอนต่อ เร็กซ์ล้มตัวลงไปนอนแล้วเงียบไป


ทุกอย่างเงียบลงเหลือแต่เสียงลั่นของฟืนในกองไฟดังเปรี้ยะๆ ผมใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อที่จะลบภาพติดตาเมื่อครู่ สงบสติอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านแล้วข่มตานอน


<ไม่ได้การ พรุ่งนี้ไปถึงเมืองคงต้องแวะสถานที่แห่งนั้นซะแล้ว>



หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 10 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 03-07-2018 08:10:17
น้องงงงงงอย่าเพิ่งหื่นแตกใส่เขาสิ 5555555
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 10 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 03-07-2018 15:54:43
น้องขาดน้ำไปหลายวัน น้องเลยฟุ้งซ่าน

แผนที่คร่าวๆครับ อาจมีการแก้ไขเพิ่มเติม ตัวเลขคือที่ตั้งของแต่ละบทครับ
พอดีอัพรูปลงไม่ได้เลยแปะลิงค์ทวีตละกัน
https://twitter.com/CruisingDog/status/1014070947651829760
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 11 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 05-07-2018 15:18:59
Chapter 11 Young lord

ช่วงสายๆ ณ ถนนกลางป่า


“หาววววว” ผมอ้าปากหาวหวอดๆรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ตั้งแต่ตื่นแล้วเริ่มเดินทางมาก็นั่งโงนเงนสัปหงกไปมาอยู่บนหลังม้า


“เป็นอะไร ทำไมวันนี้เจ้าดูไม่สดใสเลย” เร็กซ์ที่นั่งอยู่ข้างหน้าถามผม


“ข้าก็ปกติดีหนิ” ผมโกหกแบบขอไปที


<ก็เพราะเอ็งนั่นแหละ> ผมนึกโกรธในใจ เมื่อคืนนอนไม่พอเพราะหยุดความคิดฟุ้งซ่านของตนเองไม่ได้ ครั้นจะใช้อีกวิธีก็เกรงใจคนที่อยู่ด้วย


พวกเราตื่นนอนกันตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้น หลังจากทานปลาที่เหลือและเก็บสัมภาระเสร็จก็ออกเดินทางต่อทันที อีกไม่กี่ชั่วโมงก็น่าจะถึงเมืองควินิกแล้ว พอถึงเมืองนะ ผมจะรับเข้าที่พักเพื่อเก็บของแล้วพุ่งตรงไปที่แห่งนั้นทันทีเลยคอยดู


ขณะที่ผมกำลังคิดอะไรบาปๆอยู่นั่นเองก็มีขบวนม้าสวนมาจากฝั่งตรงข้ามพอดี เป็นกลุ่มอัศวินสวมเกราะเต็มยศขี่ม้าสวมเกราะทั้งตัวมาประมาณ 7-8 คน แต่ที่สะดุดตาผมคือหัวหน้าขบวน


ชายร่างใหญ่สวมเกราะสีเงินทั้งตัว กลางแผ่นเกราะที่อกติดสัญลักษณ์รูปราชสีห์ ตาข้างซ้ายถูกปิดด้วยผ้าคาดตาสีดำ แต่ก็ไม่สามารถปกปิดรอยแผลเป็นแนวตั้งยาวตั้งแต่หน้าผากลงมาถึงโหนกแก้มได้ มีเคราที่เล็มไว้จนได้รูปไปกับจอนเป็นกรอบให้ใบหน้าแลดูหน้าเกรงขาม ริ้วรอยบนใบหน้าและผมสีขาวที่แซมอยู่ด้านข้างบ่งบอกว่าอายุประมาณ 40ต้นๆ


<ดูดีจัง> ผมมองอ้าปากค้างจนน้ำลายเกือบไหล


เมื่อทางฝ่ายนั้นเห็นพวกเราหัวหน้าขบวนก็ชะงักไป ทางเร็กซ์เองก็สั่งให้ม้าหยุดเช่นกัน คงจะเป็นคนรู้จักกันเพราะมีสัญลักษณ์ราชสีห์


“ท่านอาจารย์มาโก้ (Margo)”   


“นายน้อย!!!” ผมแทบจะหลุดขำ โตป่านนี้ยังเรียกนายน้อยอีกหรอเนี่ย


มาโก้ลงจากม้าแล้วพุ่งตรงมาถึงพวกเราภายในอึดใจเดียว พอได้เห็นใกล้ๆแล้วรู้สึกว่าจะสูงกว่าและตัวใหญ่กว่าเร็กซ์อีกนะเนี่ย
ทันทีที่เร็กซ์ลงจากเจ้าฟรีด้อม อัศวินรุ่นใหญ่ก็สอดมือไปใต้แขนของอัศวินหนุ่มแล้วยกขึ้นจนตัวลอยราวกับอุ้มเด็ก ต้องมีแรงเยอะขนาดไหนเนี่ยถึงยกเจ้าเร็กซ์ขึ้นง่ายๆแบบนี้


“โอ้ นายน้อยของข้าโตขึ้นเยอะมากเลยนะครับ” ใบหน้าที่ยิ้มแย้มราวกับคุณลุงใจดีและท่าทีอ่อนโยนลบภาพหน้าเกรงขามเมื่อครู่ไปจนหมดสิ้น


<นี่ตรูดูอะไรอยู่ฟระเนี่ย> ผมคิดในใจขณะค่อยๆพลิกตัวลงจากม้า


“อะ เอ่อ ท่านอาจารย์ปล่อยผมลงก่อนเถอะครับ” เร็กซ์ยิ้มแหยๆ หน้าเริ่มแดงอาย พวกอัศวินคนอื่นๆเริ่มหัวเราะคิกคักกัน แต่เมื่อมาโก้หันกลับไปจ้องเพียงปราดเดียว พวกเขาก็กลับมานั่งตัวตรงบนหลังม้าอย่างเป็นระเบียบ และเงียบกริบทันที


“อ่า ขออภัย ข้าลืมไปว่านายน้อยไม่ใช่เด็กอายุ 10 ขวบแล้ว ฮ่าๆๆ” มาโก้หัวเราะเสียงดังแล้ววางตัวเร็กซ์ลง “นายน้อยมาทำอะไรที่นี่ครับ”


“เควสพิธีคัดเลือกรัชทายาทหน่ะครับ อาจารย์” เร็กซ์ตอบขณะจัดแจงชุดเกราะของตนเองให้เข้าที่เข้าทาง


“จริงสินะ ถึงเวลาที่นายน้อยของข้าต้องแต่งงานแล้วสินะ ในฐานะอาจารย์ มันช่างน่าภาคภูมิใจเหลือเกิน” เขากล่าวขณะเอามือขึ้นมาปาดน้ำตาแห่งความยินดี “แล้วเจ้านี่เป็นใคร” เขาเปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็วแล้วชี้มาที่ผม ถามด้วยเสียงเรียบฟังดูเย็นชา


“นี่รอสครับ เพื่อนร่วมเดินทางและคนนำทางของผมครับอาจารย์”


“งั้นรึ ดีแล้วๆ หาพวกพ้องเดินทางไปด้วยจะได้พึ่งพายามลำบาก” อัศวินรุ่นใหญ่กล่าวแล้วเดินมาหาผม ยกมือขึ้นมาตบบ่าผมไว้ “ต้องขอบคุณเจ้ามากที่ช่วยเหลือนายน้อยของข้า”


“ด้วยความยินดีครับ” ผมยิ้มตอบกลับ


<ถ้าตอบแทนด้วยร่างกายของท่าน ผมนี่จะตั้งใจทำงานเลยครับ> อยากได้ใจจะขาดแต่ก็เกรงว่าหัวจะขาด


“หมับ” มาโก้ออกแรงบีบมาที่ไหล่ผมอย่างแรงราวกับจะบีบให้หัก


<อ๊ากกกก> ผมร้องดังๆในใจ ดวงตาเบิกกว้าง กัดฟันกรอดทนความเจ็บปวด แต่พยายามปั้นหน้าให้ดูปกติที่สุด


“จงภูมิใจที่ได้รับใช้ตระกูลไลโอเนล แต่หากเจ้าคิดลอบกัดหรือหักหลังนายน้อยละก็.. ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ไหน ข้าจะตามไปจัดการเจ้า เข้าใจมั้ยเจ้าหนุ่ม” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเหี้ยมโหด รังสีอัมหิตแผ่ออกมาจนผมเหงื่อแตก


“ครับ รับทราบครับ” ผมตอบรับเสียงดัง <เป็นไบโพล่าหรอไง เปลี่ยนบุคลิกเร็วมาก>


มาโก้ปล่อยมือจากบ่าผมแล้วเปลี่ยนสีหน้ากลับมาเป็นคุณลุงใจดีเหมือนเดิม ผมรีบเอามืออีกข้างมาบีบนวดที่ไหล่ แล้วถอยห่างออกมา


<น่ากลัวชะมัด>


“ดี เมื่อเข้าใจตรงกันแล้วก็ดี”


“ว่าแต่ท่านอาจารย์มาทำอะไรแถบนี้หรอครับ” เร็กซ์ถามแทรกขึ้นมา


“มีรายงานมาว่ามีมอนสเตอร์ระดับสูงอาละวาดใกล้ป่าเอเดน(Eden) ก่อกวนขบวนขนส่งสินค้า พวกคนในพื้นที่จัดการไม่ไหว เลยขอกำลังจากเมืองหลวงหน่ะ นี่ก็จัดการเรียบร้อยแล้วเลยเดินทางกลับ” อัศวินรุ่นใหญ่รายงาน


“ทางผ่านพอดีเลย” ผมพึมพำ


หลังจากเดินทางถึงเมืองควินิก เราก็ต้องเดินทางยาวไปทางตะวันออกผ่านป่าเอเดนเพื่อไปถึงเมืองเอนเดลอน นับว่าโชคดีอยู่ที่มีคนจัดการตัวปัญหาไปเสียก่อน


“โอ้ งั้นรึ แค่ได้ทราบว่าข้าแบ่งเบาภาระของนายน้อยไปข้าก็ยินดี” เขากำหมัดชูขึ้นระดับอกทำหน้าตาปิติยินดีแบบสุดๆ


“เอาหละ ข้าไม่รบกวนเวลาเดินทางของนายน้อยแล้วหละ อีกไม่นานก็จะถึงเมืองควินิก เตรียมเสบียงให้พร้อมหละ ข้าขออวยพรให้พวกเจ้าเดินทางและทำเควสให้สำเร็จลุล่วงด้วยดี” ไม่ว่าเปล่า ดึงตัวอัศวินหนุ่มเข้าไปกอดเต็มรัก เจ้าเร็กซ์หน้าแดงขึ้นไปอีก ทำตัวอิดออดจะดิ้นหลุดออกมา


“ขอบคุณท่านอาจารย์มากครับ แฮะๆ ยินดีจริงๆที่ได้เจอท่านอีก” มันยิ้มเขินๆ


หลังจากร่ำลากันเสร็จเรียบรอยพวกเราขึ้นม้าแล้วออกเดินทางต่อ แต่ไม่วายที่ผมจะรู้สึกเสียวสันหลังวาบ เมื่อหันไปก็พบสายตาอัมหิตของมาโก็จ้องมาที่ผม


“ไหล่เป็นอะไรมั้ย” เร็กซ์เรียกความสนใจผมด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง


“ไม่เป็นอะไรมากครับ นายน้อยยย” ผมลากเสียงยาวแกล้งมัน


“ยะ..อย่าเรียกข้าแบบนั้นนะ” ฟังเสียงก็รู้ว่าเจ้าคุณชายนี่กำลังเขิน ช่างสมเป็นลูกขุนนางจริงๆ ใครๆก็รักใครๆก็หวง


.........................................................................................

เมืองควินิก


เมื่อดวงอาทิตย์อยู่กลางศีรษะ พวกเราก็มาถึงเมืองกันพอดี


เมืองควินิกนั้นเป็นเมืองขนาดใหญ่คล้ายเทรโร่ เพราะเป็นสถานที่ที่มักใช้เป็นจุดพักก่อนลำเลียงสินค้าผ่านช่องแคบสองสีที่ต้องใช้เวลาเดินทางเกือบ 2 วัน จึงมีผู้คน, พ่อค้า และสถานที่อำนวยความสะดวกต่างๆอยู่เต็มไปหมด


“วันนี้พวกเราพักที่นี่แล้วกัน” ผมกล่าวบอกเร็กซ์ขณะเดินนำมันไปยังโรงเตี๊ยมไม้ 2 ชั้นที่ดูเรียบๆ ไม่น่ามีราคาแพงมาก


“นี่พึ่งจะเที่ยงเองไม่ใช่หรอ รีบตุนเสบียงแล้วเดินทางต่อดีกว่ามั้ย” มันแย้งผมขณะที่กำลังเดินจูงม้าตามหลังผมมา


“เห นี่เป็นเมืองเดียวในเขตนี้ละนะ ถ้าพ้นจากที่นี่ไปกว่าจะถึงเมืองเอนเดลอนก็ต้องนอนกลางป่า 3 วัน 3 คืนเลยนะ” ไม่ได้นะ ถ้ามาฟิตตอนนี้ ผมก็อดไปที่นั่นหน่ะสิ


“ข้ามาปฏิบัติภารกิจนะ ไม่ได้มาเที่ยวเล่น จะทำตัวสบายๆแบบนี้ไม่ได้” มันตอบเสียงแข็ง


“โหย คุณอัศวิน อย่าตึงเกินไปเลยหน่า ไม่ใช่ทุกวันนะที่เจ้าจะได้ออกมาเที่ยวชมเมืองไกลๆแบบนี้”


“ข้าไม่ได้ตึงเกินไป ข้าแค่ทำตามหน้าที่ที่อัศวินที่ดีควรจะทำ”


“แล้วหน้าที่ที่ว่าคือ?”


“ตั้งใจทำสิ่งที่ได้รับมอบหมายมาสำเร็จโดยไม่วอกแวก” มันหยุดเดินแล้วทำหน้าเป็นจริงเป็นจังกับผม เจ้านี่ไม่รู้จักการใช้ชีวิตให้อิสระสบายๆเลยหรอไง แต่ผมไม่ยอมแพ้หรอกนะ


“แต่ข้ายังบาดเจ็บอยู่นะ เนี่ยข้ายังปวดๆจากผลงานเจ้าเมื่อวานอยู่เลย” ผมพูดพลางกุมสีข้างฝั่งที่โดนกระแทก


“ชิ” มันส่งเสียงไม่พอใจ เบือนหน้าหนีเหมือนครุ่นคิดบางอย่าง “ก็ได้ ให้เจ้าได้พักผ่อนในเมืองก่อน แล้วพรุ่งนี้เดินทางแต่เช้า”


<ย้า หู้ว> ผมกระโดดโลดเต้นในใจ ถึงจะสมเพศตัวเองอยู่บ้างที่ต้องมาแกล้งสำออยแบบนี้ แต่ยังไงก็ต้องไปที่นั่นให้ได้ ไม่งั้นผมทุรนทุรายแน่นอน


.................................................................................

 
หลังจากเช็คอินเข้าที่พักและเก็บข้าวของแล้ว ผมก็แสร้งขอตัวออกไปข้างนอกทันที โดยบอกว่าจะไปซื้อเสบียงเพิ่ม แต่เจ้าเร็กซ์ก็ไม่วายขอตามมาด้วย แต่ผมก็คิดแผนสำรองไว้แล้ว


“เดี๋ยวเราแยกย้ายกันซื้อของที่จำเป็นละกันจะได้เสร็จเร็วขึ้น แล้วค่อยกลับไปเจอกันที่ที่พัก” ผมกล่าวหลังจากเดินนำมันมาถึงส่วนตลาดของเมือง


“เป็นความคิดที่ดี” เร็กซ์ตอบกลับ


<ติดกับแล้วหละ>


เราแยกกันไปซื้อของคนละทาง ผมไปหาสมุนไพรไว้ทำแผลนิดหน่อยเพราะเวทฟื้นฟูระดับไม่ล่างของผมไม่เพียงพอในการรักษาบาดแผล เสร็จแล้วจึงเดินหายเข้าไปในตรอกแคบๆของตลาดทันที เดินลัดเลาะไปไม่นานก็ถึงบริเวณที่ผู้คนไม่มากนัก ตรงเข้าไปในซอยแคบๆแล้วผมก็เห็นที่หมายของผม ร้านที่ติดป้ายรูปไก่สีทองอยู่เหนือประตู ร้าน “Golden Cock”

…………………………………………………………….



ขอบคุณผู้อ่านทุกคนที่ยังติดตามมาจนถึงตอนนี้นะครับ สงสัยอะไรถามได้นะครับ มันเป็นโลกแฟนตาซีที่ไม่อิงความจริงเลยอาจจะคิดตามยากครับ
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 11 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 05-07-2018 16:20:45
เข้าไปดูแผนที่โลกละครับ ก็ดูใช้ได้นี่นา ถ้ามีคำอธิบายบอกอะไรอยู่ตรงไหนคร่าวๆ อีกจะดีเลย
อ่านตอนนี้ไป ถึงกับอยากโดดลงเรือผี นายน้อย-อาจารย์ ตลกนายน้อยโดนอุ้ม
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 11 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 06-07-2018 22:09:16
เพิ่งได้มาอ่าน สนุกมาก เพลินดีค่ะ รอตอนต่อไปนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 11 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 07-07-2018 01:21:39
PsychePie - พอได้ยินว่ามีคนชิบคู่ นายน้อย-อาจารย์ ปุปก็ทำให้นึกถึงคู่นี้

https://twitter.com/yy62401/status/999320780902207490
https://twitter.com/yy62401/status/1005502604200140801

แล้วพอค้นรูปเจอนี่ผมก็อ๋อเลยว่ารูปลักษณ์เร็กซ์กับอาจารย์มาโก้มาจากไหน 555

ส่วนอันนี้แผนที่ Ver.2.0 ครับ
https://twitter.com/CruisingDog/status/1015300252612481024

Nocto - ขอบคุณมากครับ มีคนเม้นก็มีกำลังใจครับ


หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 11 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 08-07-2018 01:00:34
ปกติชอบอ่านแนวแฟนตาซี ผจญภัยอยู่แล้วค่ะ อีกอย่างคือไม่ค่อยเจอแนวบาระแบบนี้ซักเท่าไร พอได้มาอ่านแล้วคือ มันลงตัว สนุก แล้วก็ทำให้อินไปกับเนื้อเรื่องได้เลยค่ะ
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 12 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 08-07-2018 09:36:03
Chapter 12 The golden chicken

ในอาณาจักรเทอร่าการหลับนอนกับเพศเดียวกันไม่ใช่เรื่องต้องห้าม สิ่งที่ทางโบสถ์ต้องห้ามไว้คือการนอกกายหรือใจของคู่ครอง แต่ถึงกระนั้นก็ไม่สามารถแสดงออกได้อย่างโจ่งแจ้ง เหตุผลคือเรื่องหน้าตาทางสังคม การสืบสกุลถือเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะกับพวกตระกูลชั้นสูง ฉะนั้นการที่คู่สมรสล่วงรู้ว่าชายที่จะแต่งงานด้วยหลับนอนกับชายอื่นมาก่อนอาจก่อให้เกิดปัญหาได้


แต่ก็ไม่ใช่ทุกกรณีไป ผมเคยได้ยินข่าวซุบซิบตามมุมมืดของเมืองว่าภรรยาของพวกขุนนางบางคนยอมที่จะสมรสและมีทายาทให้ แม้จะรู้ว่าขุนนางคนนั้นเลี้ยงชายหนุ่มไว้มากมาย แต่เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายและยกฐานะตนเองแล้ว ตนก็ยอม


แต่โดยทั่วไปแล้วบางคนเลือกที่จะปกปิดความต้องการที่แท้จริงของตนเองไปตลอดชีวิต ในขณะที่บางคนเลือกที่จะตอบสนองความต้องการแบบลับๆ สถานที่แบบนี้จึงเกิดขึ้น


ร้าน Golden cock ภายนอกจะดูเหมือนร้านเหล้าธรรมดาที่มีพื้นที่กว้างสำหรับนั่งดื่ม ทั้งส่วนบาร์ โต๊ะนั่งขนาดเล็ก และเก้าอี้บุขนสัตว์ขนาดใหญ่ บริเวณด้านหน้านี่เองคือที่ๆแขกของร้านจะมานั่งเพื่อเลือกคู่ที่จะไปนอนด้วย อาจจะเป็นคนของร้าน หรืออาจจะเป็นแขกคนอื่นก็ได้ โซนหลังร้านคือห้องพักชั้นดีหลายห้องหลายสไตล์ที่จัดไว้ให้แขกใช้หลับนอนกัน แลกเปลี่ยนกับเงินตราที่สมเหตุสมผล


ร้านประเภทนี้มักจะชื่อที่ล้อแหลมและกระจายอยู่ตามมุมมืดของเมืองใหญ่ๆทั่วอาณาจักร เป็นร้านที่เป็นที่รู้จักในหมู่ชายรักชายโดยอาศัยการบอกกันแบบปากต่อปาก ทั้งนี้เพื่อรักษาความลับให้กับลูกค้านั่นเอง


เมื่อผมเข้ามาในร้านผมก็เลือกหาที่นั่งทำเลดีๆที่สามารถสอดส่องได้ทั่วร้าน สั่งเครื่องดื่ม แล้วจึงเริ่มมองสำรวจรอบๆ เวลาเที่ยงๆบ่ายๆแบบนี้คนไม่ค่อยคึกคักมากนัก จากที่ผมนับดูก็มีแขกอยู่ประมาณ 10 คน มีตั้งแต่คนรุ่นราวคราวเดียวกับผมไปถึงชายรุ่นใหญ่ มีทั้งรูปร่างผอมเพรียวไปจนถึงร่างกายกำยำ บ้างก็แต่งตัวธรรมดาๆ บ้างก็พอมองออกว่าเป็นนักผจญภัยขาจร แต่ยังไม่เห็นพวกที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าชั้นดีระดับขุนนาง


ขณะที่ผมกำลังนั่งดูรอบๆเพลินๆนั่นเอง บริกรก็เดินมาข้างหลังผม


“ชายหนุ่มผมทองที่บาร์ฝากข้อความมาให้ครับ” ผมรับกระดาษมา ตามปกติแล้วเมื่อแขกสนใจแขกคนไหน แขกคนนั้นมักจะส่งข้อความแบบนี้ผ่านบริกรไป ถ้าใจป้ำหน่อยก็อาจจะส่งเครื่องดื่มไปด้วย


“ข้ากำลังหาแรงบันดาลใจสำหรับบทละครบทใหม่ ได้โปรดช่วยแสดงให้ข้าเห็นด้วยว่าการตกเป็นจำเลยรักให้นักผจญภัยหนุ่มเป็นเช่นไร” อ่านเสร็จผมจึงหันไปพบดวงตาสีฟ้าอันน่าหลงใหลจ้องมองมาที่ผม เขาเป็นชายรุ่นราวคราวเดียวกับผม ใบหน้าเรียวสวย ผมทองระต้นคอ ริมฝีปากบางยิ้มมาให้ผม สังเกตจากชุดที่มีความฟรุ้งฟริ้งผิดหูผิดตาแล้วคาดว่าน่าจะเป็นนักแสดงของคณะละคร


<หงะ ไม่ใช่สเป็คอ่ะ หน้าสวยกว่าตรูอีก> ผมคิดในใจ


ผมยิ้มให้แล้วยกมือทำท่าขอโทษเพื่อปฏิเสธไปอย่างสุภาพ ฝ่ายนั้นสะบัดค้อนใส่ผมแล้วกลับไปจิบไวน์แก้วหรูของตน
ผมยิ้มแหยๆแล้วหันไปสำรวจรอบๆต่อ ตาผมไปสะดุดเข้ากับชายอีกคนหนึ่งที่มุมร้าน


<ได้เป้าหมายแล้ว> เป็นชายวัยกลางคนร่างใหญ่ตามสไตล์หมีๆที่ผมชอบ ดูเหมือนทางนั้นก็จะสนใจผมเช่นกัน เราส่งยิ้มทักทายกันเล็กน้อย อีกฝ่ายทำท่าจะเรียกบริกร


แต่แล้ววิสัยทัศน์ของผมก็โดนบดบังด้วยชายร่างใหญ่อีกคนหนึ่งที่กำลังจะนั่งลงตรงข้ามผม


“เจ้าหนีเที่ยวอีกแล้วนะ ไหนบอกว่าบาดเจ็บจะพักผ่อนไง” เมื่อได้ยินเสียงหน้าผมก็บูดลงทันทีโดยไม่ต้องเงยขึ้นไปมอง


“ตามมานี่ได้ยังไง” อัศวินเจ้าปัญหาโผล่มาจนได้


“ก็บอกแล้วไงว่า..”


“เออ ข้ารู้หน่าว่าใช้ดาบตามมาได้ ข้าหมายถึงจะตามมาทำไม”


“ก็พอซื้อของเสร็จแล้วเห็นเจ้าอยู่แวบๆแล้วก็หายไปในตรอก เลยสงสัยแล้วก็ตามมา” มันตอบผมเสียงเรียบ


<โว้ยยยยย> ผมกรีดร้องด้วยความโมโหในใจ อุตส่าห์หาทางแยกตัวออกมาได้แล้วแท้ๆ ยังจะมาสงสัยอะไรอีก


ผมชะเง้อมองข้ามไหล่เจ้าเร็กซ์ไป ดูพ่อหมีของผมกำลังทำหน้าเสีย คงคิดว่าโดนตัดหน้าไปแล้ว


“ป้าบ”


“อ๊ะ” เร็กซ์หลุดเสียงออกมาเมื่อมีชายปริศนาเดินผ่านหลังแล้วเอามือไปตบก้นแน่นๆของมัน


“เมื่อกี้แปลว่าอะไรหนะ” มันก้มลงถามผมเสียงเบา ดูท่าทีลนลาน


“....”ผมเงียบไม่ตอบอะไร


“แล้วทำไมชายที่โต๊ะนั้นถึงส่งสายตาแปลกๆมาให้ข้า” มันถามต่อ


“นี่เจ้าไม่รู้เลยใช่มั้ยว่าเข้าร้านอะไรมา” ผมเอาหน้าซุกไปที่ฝ่ามือของตนเองพลางบีบนวดขมับ <ปวดกบาลโว้ยยย>


“ก็ร้านเหล้าไม่ใช่หรอ”


“เห้ออออ” ผมถอนหายใจยาวๆ “ชายพวกนั้นสนใจเจ้าไง”


“สนใจ? หมายความว่ายังไง”


“พวกเค้าอยากหลับนอนกับเจ้าไง”


“หา!!! หมายความว่ายังไง รอส ร้านนี้คืออะไรกันแน่” มันเริ่มเสียงดังจนผมต้องทำสัญลักษณ์มือปรามมัน


“เป็นสถานที่ที่ผู้ชายมาเพื่อนัดหลับนอนกับผู้ชาย” ผมพยายามใช้คำที่เรียบง่ายที่สุดละ


“หา!!!!!!!!” ผมเอามืออุดปากมันแทบไม่ทัน


ขืนมันเสียงดังกว่านี้ต้องไม่ดีแน่ ผมส่งสัญญาณบอกบริกรว่าเดี๋ยวผมกลับมา แล้วรีบลากเจ้าตัวปัญหาออกจากร้านทันที


“หลับนอนกับชายแปลกหน้าเนี่ยนะ พวกเจ้าทำเรื่องแบบนี้กันได้ยังไง” มันโวยวายเสียงดังทันทีที่ออกจากประตูร้านจนผมต้องลากมันออกมาห่างๆจากร้าน


เป็นคำถามที่ตรงไปตรงมาจนผมแปลกใจและไม่คาดคิด แต่ในเมื่อกล้าถาม ผมก็คงต้องกล้าตอบ


“โอเค ถ้าเจ้ากล้าถามมาแบบนี้ ข้าก็กล้าตอบ เจ้าจะให้เริ่มจากไหนดี ตอนเล้าโลม หรือว่าตอนสอดใส่”


“ขะ..ข้ารู้หน่าว่าผู้ชายกับผู้ชายเค้าทำกันยังไง” มันตอบแทรกผมขึ้นมา พร้อมหลบตาด้วยท่าทีอึดอัด หน้าเริ่มแดง


“โอ้..” ผมส่งเสียงตอบรับและเลิกคิ้วข้างนึงขึ้นเป็นการบอกให้มันขยายความ


“ขะ..ข้าเคยได้ยินเรื่องพวกนี้มาบ้างตอนยังอยู่โรงเรียนอัศวิน” เสียงเริ่มตะกุกตะกัก


“แสดงว่ามีประสบการณ์มาบ้างแล้ว?”


“ยะ..อย่าพูดบ้าๆนะ ข้าไม่เคยหลับนอนกับผู้ชาย” มันแทบจะสำลักคำตอบกลับมาด้วยใบหน้าแดงก่ำ


“แสดงว่าเคยกับผู้หญิง” ผมแกล้งถามต่อ ชักเริ่มจะสนุกแล้วสิ


“ไม่... ข้าเป็นอัศวิน ข้าต้องให้เกียรติคู่ครองของข้า คนแรกที่ข้าหลับนอนด้วยคือคนที่ข้าแต่งงานด้วยเท่านั้น” มันยืดอกตอบมาเต็มภาคภูมิ


<เอาจริงดิ> นี่มันอัศวินแบบในเทพนิยายชัดๆ


“นี่เจ้าอายุเท่าไหร่” ผมถามต่อ


“21 ถามทำไม” เมื่อได้ยินคำตอบผมก็หลุดขำ


“ฮ่าๆๆๆๆ เจ้าจะบอกข้าว่าตลอด 21 ปีมานี้ อัศวินรูปหล่อ หน้าตาดี จากตระกูลผู้ดีอย่างเจ้ายังบริสุทธิ์อยู่เนี่ยนะ ฮ่าๆๆ” โอ้ยผมขำจนหยุดไม่อยู่ นี่มันออกมาจากในนิทานชัดๆ


“หัวเราะอะไร เงียบเดี๋ยวนี้นะ” หน้ามันแดงไปถึงหู คงจะทั้งเขินและโกรธที่โดนหยาม “ข้าหมายถึงเจ้าร่วมหลับนอนกับคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนได้ยังไง” มันรีบวกกลับไปเรื่องแรก


“ถามแปลกๆก็แค่กิจกรรมผ่อนคลายที่ต้องใช้คนตั้งแต่สองคนขึ้นไป ไม่ต่างอะไรจากเวลาเจ้าไปขอใครดวลดาบสักหน่อย” ผมยกมือปาดน้ำตาแล้วตอบไปตามตรง ดวลดาบคือดวลดาบจริงๆนะ ไม่ได้เปรียบเปรย


“เหมือนกันซะที่ไหนเล่า เจ้าควรจะมอบกายให้กับคนที่เจ้ามอบใจให้ไม่ใช่หรอ” มันแย้งผมกลับด้วยท่าทีจริงจัง


“นี่คุณอัศวิน ข้าไม่อยากเสียเวลาเถียงเรื่องไร้สาระกับเจ้านานหรอกนะ” ผมหันหลังจะเดินกลับเข้าร้าน “กลับไปเถอะ เดี๋ยวเย็นๆเจอกันที่ห้องพัก” ผมตัดบท


“ไม่” มันตอบเสียงแข็ง คว้าหมับเข้าที่ข้อมือของผม


“....”


“ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าทำเรื่องบัดสีแบบนี้เด็ดขาด”

 
ผมเริ่มหงุดหงิดละนะ


“ในฐานะอะไร” ผมหันกลับไปเลิกคิ้วข้างนึงถาม


“ใน..ใน..ในฐานะผู้มีพันธะสัญญากับเจ้า” น้ำเสียงเริ่มเจือความไม่มั่นใจ


“หึ ตามสัญญาข้าเป็นคนนำทางให้เจ้านะ ไม่ใช่เมียเจ้า ฉะนั้นเจ้าไม่มีสิทธิมาห้ามข้า” ผมยืนกรานคำเดิมของผม แล้วจะเดินกลับเข้าร้านแต่มันไม่ยอมปล่อยมือผม จนยื้อฉุดกระชากกันอยู่สักพัก


<ได้...ในเมื่อใช้ไม้อ่อนไม่ได้ผลก็คงต้องใช้ไม้แข็ง>


ผมอาศัยจังหวะทีเผลอพุ่งเข้าประชิดตัวแล้วออกแรงผลักเร็กซ์จนมันเสียหลักถอยหลังไปจนหลังชิดกำแพง ผมเอาลำตัวผมแนบชิดเบียดตัวมันไว้จนใบหน้าผมห่างจากใบหน้ามันไม่กี่คืบ


“จะ..เจ้าจะทำอะไร” มันเงยหน้าหนีผมแต่ยังกรอกตาลงมาจ้องตาผม


“ข้าหนะอยากจนแทบจะระเบิดอยู่แล้ว” ผมบอกมันด้วยเสียงกระเส่า


“...” เร็กซ์เม้มปากเงียบ ใบหน้าเริ่มแดงระเรื่อ


“เจ้าเป็นอัศวินผู้แสนดี ชอบช่วยเหลือผู้คนไม่ใช่หรอ เจ้าช่วยข้าได้รึเปล่า” ผมส่งเสียงเว้าวอน และจ้องเข้าไปในดวงตาสีดำคู่นั้น


“อึก” มันกลืนน้ำลายอึกใหญ่เสียงดัง เบือนหน้าหันหนีไปด้านข้าง ทำสีหน้าเหมือนคิดอะไรบางอย่างที่ซับซ้อน เหลือบมามองผมด้วยหางตาเป็นช่วงๆ หน้าแดงไปถึงใบหู


ผมเร่งรัดคำตอบโดยการมือผมค่อยๆลูบขึ้นจากต้นขาเข้าไปในชายเสื้อเพื่อสัมผัสท้องน้อยของอัศวินหนุ่ม มันสะดุ้งรีบคว้าหมับมาที่มือผมก่อนที่ผมจะได้สัมผัสเนื้อแน่นๆเนียนๆของมัน


“จะทำอะไรก็เรื่องของเจ้า ข้าไปก็ได้” มันผละตัวออกจากผมแล้วเดินตึงตังออกไป


<เห้อ..สำเร็จ ไปซะที> ผมถอนหายใจโล่งอก


“ถ้าเจ้าอยากหาครูซ้อมก่อนแต่งงานหล่ะก็ เดินไปทางนั้นอีก 3 ตรอกมีร้านแบบเดียวกันสำหรับชายหญิงนะ” ผมตะโกนตามหลังมันไป “อ้อ แล้วก็ถ้าจะเล่นสกปรกใช้ Oathkeeper ดึงตัวข้ากลับตอนกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มละก็เจ้าโดนแน่นอนนะ” บอกขู่มันกันไว้ก่อนดีกว่าแก้


ผมเดินทางเข้าร้านมานั่งที่เดิม พ่อหมีที่ผมเล็งไว้หายตัวไปแล้ว คงจะเข้าไปด้านหลังกบคนอื่นแล้ว ผมจึงนั่งจิบเครื่องดื่มต่อเพื่อรอให้มีแขกเข้ามาเพิ่ม


<อะไรกันคุณอัศวิน จะแต่งงานกับองค์หญิงไม่ใช่หรอ จะมาทำตัวลังเลแบบนี้จะดีเร้อ เจ้าไก่อ่อนเอ้ย> ระหว่างที่นั่งรอไปเรื่อยๆก็คิดถึงท่าทีของเร็กซ์เมื่อครู่



หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 12 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 08-07-2018 12:32:32
เร็กซ์ดูซื่อ น่ารักดี เวลาขึ้นเตียงจะมีประสบการณ์บ้างไหมเนี่ย 555 เข้ามารออีก 50 % ค่ะ
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 12 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 08-07-2018 15:59:17
เดี๊ยววววววว นายจะเป็นจะเป็นอัศวินใสซื่อผุดผ่องขนาดนี้ไม่ได้นะ
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 12 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 09-07-2018 11:40:10
12.2

“โห้ มีกระต่ายน้อยหน้าใหม่เข้ามาด้วยหรอเนี่ย” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นหลังผม เรียกสติผมกลับมา


เมื่อผมหันหลังไปก็พบชายร่างใหญ่ สวมกางเกงขาสั้นเผยให้เห็นต้นขาแกร่ง ช่วงบนสวมแต่เสื้อเชิ้ตแขนกุดโชว์วงแขนแกร่ง เสื้อไม่ติดกระดุมเผยให้เห็นอกหนากว้างและหน้าท้องแน่นๆ ขนสีขาวเงินไล่ลงตั้งแต่กลางอกผ่านหน้าท้องจนหายไปที่ขอบกางเกง


แค่เห็นรูปร่างโดยยังไม่ทันมองหน้าผมก็อ้าปากค้างโดยไม่รู้ตัว อีกฝ่ายเอามือมาลูบสันกรามผมแล้วออกแรงปิดปากผมเบาๆ เดินไปฝั่งตรงข้ามโต๊ะแล้วนั่งลง


ผู้มาใหม่เป็นชายวัยประมาณ 40 หนวดเคราสีขาวได้รับการเล็มตัดอย่างดีจนเป็นกรอบต่อขึ้นไปกับจอนและผมสีเดียวกัน ที่สันจมูกมีรอยแผลเป็นพาดผ่านเป็นแนวนอน ทำให้ใบหน้าดูดุดัน


<นี่สินะที่เรียกว่าหมีขาว> 


“ในนี้มันอันตรายนะเจ้ากระต่าย หึหึ” เจ้าหมีขาวหัวเราะในลำคอ คงเพลิดเพลินใจกับการหยอกล้อเหยี่อของมัน แต่ขอโทษนะ ผมใช่กระต่าย


“กระต่ายไม่เข้ามาในที่แบบนี้หรอกคร้าบบ” ผมเริ่มโต้ตอบ


“งั้นหรอ แล้วเป็นเจ้าเป็นตัวอะไรหละ หืม” มันยิ้มที่มุมปากเผยให้เห็นเขี้ยวแหลม


“สุนัขจิ้งจอก” ผมยิ้มตอบกลับอย่างท้าทาย เจอพวกนักล่าที่ชอบความท้าทายแบบนี้ ขืนนอนเสริฟไปให้พวกเขาก็ไม่สนุกสิ


“โอ้ พอจะมีแววตาเจ้าเล่ห์อยู่บ้าง”


“ว่าแต่หมีแก่อย่างท่านออกล่าที่นี่ไหวหรอครับ” ผมกระตุกคิ้วให้ข้างหนึ่ง


“หนอยแหนะเจ้าหนู ลองโดนข้าขย้ำสักครั้งแล้วจะติดใจนะ” มันทำท่าเลียปาก สายตาจับจ้องราวกับสัตว์ป่าที่พร้อมจะกระโดดเข้าจู่โจม


“งั้นรออะไรอยู่หล่ะครับ” อีกฝ่ายไม่รอช้าลุกขึ้นวางเงินไว้กลางโต๊ะ แล้วออกแรงลากผมไปหลังร้านทันที


เหตุผลที่ผมชอบพวกรุ่นใหญ่ก็คือ พวกเขารู้ว่าพวกเขาต้องการอะไร พวกเขารู้ว่าผมต้องการอะไร และพวกเขารู้ว่าจะต้องทำยังไงถึงจะได้สิ่งที่ต้องการ


...................................................................................................



ผมลืมตาตื่นขึ้นในห้องที่มืดสลัวๆ มีเสียงกรนของเจ้าหมีขาวอยู่ข้างตัวผม หรี่มองดูนาฬิกาที่ผนังทำให้ผมรู้ว่านี่ก็เย็นมากแล้ว


<เริ่มหิวแล้วแฮะ> ผมพึ่งนึกขึ้นได้ว่านอกจากปลาตอนเช้าแล้วก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย แต่ทำยังไงได้หละ ตอนนั้นมันหน้ามืดตามัวอยู่นี่หน่า


ผมจัดการล้างตัว แต่งตัว แล้วเดินไปบอกลาคุณหมีขาวแต่ดูเหมือนว่าจะหมดแรงหลับสนิทไปเลย พอออกมาหน้าร้านก็วางเงินส่วนที่เหลือไว้ให้บริกรแล้วเดินกลับไปที่โซนตลาด


โชคดีที่ผมตื่นมาตอนที่ยังพอมีแสงอาทิตย์เหลืออยู่ และร้านค้ายังไม่ปิดลง ผมเลือกซื้อขนมปังหอมฉุยที่ร้านขนมปังแห่งหนึ่ง


ขณะกำลังหยิบเงินจ่ายก็พลันนึกถึงเจ้าเร็กซ์ รู้สึกผิดหน่อยๆแฮะที่ไล่ไปแบบนั้น ผมจึงซื้อเพิ่มขึ้นเผื่อเอาไว้สำหรับมัน


“นี่ได้ยินข่าวมั้ยว่าที่หมู่บ้านเครสเซนท์ (Crescent) หน่ะกำลังลำบาก จู่ๆแหล่งน้ำก็โดนตัดขาดไป” เสียงชาวบ้านกำลังคุยกันใกล้ๆเรียกความสนใจของผม


“นั่นสิฉันก็ได้ยินมาบ้าง แต่ที่นั่นมีพรานป่าชื่อดังอยู่ไม่ใช่หรอ”


“โอ้ย ก็ถ้าจัดการเองได้คงไม่มาติดป้ายขอความช่วยเหลือหรอก นี่ก็เกิดเรื่องมาอาทิตย์กว่าแล้ว ยังติดป้ายอยู่เลย”


ผมได้ยินแล้วก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจ เดินหอบขนมปังใส่ถุงเดินไปตามทาง ปากก็คาบเอาไว้ชิ้นนึง ผมตัดสินใจตรงไปตรวจสอบป้ายประกาศที่ได้ยินมาเมื่อครู่ที่กิลนักผจญภัยก่อนที่จะเดินกลับที่พัก


เมื่อเปิดประตูเข้าห้องมาก็เห็นเจ้าเร็กซ์กำลังนอนอ่านหนังสือบางอย่างอยู่บนเตียง


“อ่ะนี่ ข้าซื้อมาให้” ผมพูดพลางวางถุงขนมปังไว้ที่โต๊ะข้างหัวเตียงที่ตั้งอยู่ระหว่างเตียงของพวกเรา


“ข้าทานแล้ว” มันตอบสั้นๆโดยไม่ละสายตาจากหนังสือ


“งั้นเก็บไว้สำหรับพรุ่งนี้ละกัน” ผมพอจะอ่านมันออกว่ามันกำลังไม่พอใจ “เป็นไงบ้างได้ไปร้านที่ข้าแนะนำมั้ย” ผมเลยแอบหยอกมันเล่น


“บะ..บ้าหรอ จะไปไปได้ยังไง” ได้ผลแฮะ มันหันหน้าหนีไปอีกทาง หน้าแดงนิดๆ


“หึหึ นั่นสินะ” ผมเดินไปเตรียมสัมภาระสำหรับเดินทางวันพรุ่งนี้ เสร็จแล้วจึงล้มตัวลงนอนด้วยความอ่อนเพลีย ตอนนี้ผมไม่ขอต่อล้อต่อเถียงกับมันเพราะใจผมกำลังวิตกกังวลกับป้ายที่อ่านมา


-ประกาศขอความช่วยเหลือจากนักผจญภัย
   มีมอนสเตอร์มาทำรังที่ฝั่งตะวันออกของภูเขาแบรดดิค พวกมันทำอะไรบางอย่างกับต้นน้ำบนภูเขา บัดนี้ลำธารที่ผ่านหมู่บ้านเครสเซนท์กำลังจะแห้งหมดไป โปรดให้ความช่วยเหลือกำจัดมอนสเตอร์เหล่านี้ด้วย
                                                          ลงชื่อ ซิท (Sid) -


   “ท่านอาจารย์ ท่านไม่เคยต้องขอแรงใครช่วยกำจัดพวกมอนสเตอร์เลยไม่ใช่หรอ แล้วทำไมถึงได้..” ผมพึมพำกับตนเองก่อนที่จะหลับไป

............................................................

Map V.1.0
https://twitter.com/CruisingDog/status/1014070947651829760

Map V.2.0
https://twitter.com/CruisingDog/status/1015300252612481024

Characterหมีขาวได้รับแรงบัลดาลใจมากจาก
https://twitter.com/rollingStoneX6/status/1013272541085908992
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 12 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 09-07-2018 11:43:05
ตอบคนอ่าน

Nocto - ผมพยายามหาแฟนตาซี ผจญภัยที่ไม่ใช่ยุคปัจจุบันมานานมาก แต่ก็หาไม่เจอ สุดท้าย เอาวะ ลองแต่งเองละกัน ไม่ทราบว่ามีเรื่องไหนแนะนำไหมครับ
           นิยายส่วนใหญ่(ไม่ใช่ทั้งหมด)ให้พระเอกช่ำชอง นายเอกซื่อๆใสๆ อ่านจนผมเอียนเลยจับสลับกันซะเลย

PsychePie - น้องเค้ามุ่งแต่ฝึกฝนฝีมือ น้องเลยไม่ค่อยประสีประสา 555
จากที่สังเกตคนเขียนชอบแนวหมีๆ ใช่ไหม หุหุ
ชอบแนวๆไปทาง Bara ครับ กล้ามๆแน่นๆ
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 12 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 09-07-2018 12:54:07
จากที่สังเกตคนเขียนชอบแนวหมีๆ ใช่ไหม หุหุ
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 12 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 11-07-2018 17:38:26
รอสร้อนแรงจริงๆ / รอติดตามตอนต่อไปค่ะ ดูท่าว่าเรื่องของท่านอาจารย์น่าจะหนักพอดู

นิยายแนวแฟนตาซี (แนวหลักของเราคือจีนโบราณค่ะ) ที่ตามอยู่ตอนนี้หลักๆมี 2 เรื่องค่ะ คือ มิติมายา ผมกลายเป็นเงือก กับ The Reader and Protagonist Definitely Have to Be in True Love ที่เป็นนิยายแปล แนวอาจจะไม่ตรงกับเรื่องนี้ที่เป็นแฟนตาซีอัศวินซักเท่าไร แต่ก็สนุกเหมือนกันค่ะ
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 13 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 12-07-2018 13:41:59
Chapter 13 Branching path

   
“เจ้าจะเริ่มออกเดินทางคนเดียวจริงๆหรือ รอส”


“ผมตัดสินใจแล้วครับ”


“ข้ารู้ว่าเจ้าอยากจะไปผจญภัยที่ตอนใต้นะรอส แต่รออีกหน่อยไม่ได้หรือ ข้าพาเจ้าไปแน่”


“อาจารย์มีครอบครัวที่ต้องดูแลแล้วหนิครับ ผมว่าถึงเวลาที่ผมต้องดูแลตัวเองแล้วหละ”


“....”


“ขอบคุณนะครับที่ช่วยดูแลและสั่งสอนผมมาตลอด”


“...เฮ้อ...เจ้านี่ช่างหัวรั้นจริงๆ ถ้ายืนยันแบบนั้นข้าก็จะไม่รั้งไว้ ยังไงก็รับนี่ไปด้วย”


“หินอำพรางนี่มันของสำคัญของอาจารย์หนิครับ ผมรับไว้ไม่ได้หรอก”


“เดินทางคนเดียวมันอันตราย เอาติดตัวไปด้วยเถอะ”


……………………………………………………………….


“รอส”


“....”


“รอส!!” เร็กซ์ตะโกนเรียกผมเสียงดังจนผมหลุดจากภวังค์


“หะ..หืม”


“เป็นอะไร ทำหน้าเครียดแล้วก็เหม่อลอยมาตั้งแต่เช้าแล้ว”


“ปะ..เปล่าสักหน่อย เรียกทำไม”


“ลงมาจากม้าได้แล้ว ให้ฟรีดได้พักบ้าง”


พวกเราออกเดินทางจากเมืองมาตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้น ตอนนี้ก็ผ่านมาหลายชั่วโมงแล้ว ปกติการเดินทางด้วยม้าหากไม่เร่งด่วนจะไม่ได้นั่งบนหลังม้าตลอดเวลา ต้องให้พวกมันได้เดินพักบ้าง แล้วก็ไม่ได้ให้พวกมันวิ่งเต็มฝีเท้าตลอดเวลาด้วย ขนาดม้าที่ได้รับการฝึกมาอย่างดียังไม่สามารถวิ่งระยะทางไกลๆได้ติดกันหลายวันเลย


ผมกระโดดลงจากม้าอย่างคล่องแคล่ว คงเพราะเริ่มคุ้นเคยกับการขี่ม้ามากขึ้น แล้วจึงเริ่มออกเดินไปตามถนน เป้าหมายต่อไปของพวกเราคือป่าเอเดน เป็นผืนป่าขนาดใหญ่ที่อุดมไปด้วยพรรณไม้และสมุนไพรประหลาด กว่าจะถึงทางเข้าป่าคงเป็นช่วงบ่ายๆ จากนั้นก็ต้องค้างแรมอีกหลายวันกว่าจะฝ่าป่าไปถึงบริเวณชายแดนได้


“ถ้าเจ้ากังวลเรื่องเมื่อวาน ข้าก็ขอโทษด้วยละกันที่ไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของเจ้า” เร็กซ์พูดขึ้นมาขณะเดินตามหลังผม


“อื้ม ช่างมันเถอะ” นั่นไม่ใช่เรื่องที่ผมกังวลเลย เรื่องที่ผมกังวลคือเรื่องป้ายประกาศที่เห็นเมื่อวานต่างหาก ผมอยากจะไปตรวจ


สอบที่หมู่บ้านเครสเซนต์ให้แน่ชัด หมู่บ้านนี้ใช้ถนนเส้นเดียวกันนี้เดินทางไป ปกติใช้เวลาเดินทางครึ่งวัน แต่จะมีทางแยกไปยังป่าเอเดนก่อน


<จะขอมันดีมั้ยนะ> ผมคิดในใจ


ตั้งแต่เช้าผมก็คิดถึงแต่วันที่ผมขออาจารย์ออกมาผจญภัยคนเดียวเมื่อ 2 ปีก่อน อาจารย์ซิดเป็นพรานป่าที่เก่งกาจ ฝีมือระดับท่านสามารถหาวิธีจัดการมอนสเตอร์ที่มาสร้างความปั่นป่วนให้ชาวบ้านตามหมู่บ้านที่พวกเราเดินทางผ่านได้เสมอ ตลอด 4 ปีที่ผมติดตามท่านมาก็เป็นเช่นนี้ตลอด ทำไมครั้งนี้ถึงได้เป็นคนลงชื่อติดป้ายประกาศที่กิลนักผจญภัยเสียเอง นั่นทำให้ผมรู้สึกกังวลมาก


แต่ครั้นจะขอเร็กซ์เดินทางออกนอกเส้นทางเพื่อไปทำธุระส่วนตัวก็เป็นเรื่องที่ไม่ควร ไหนๆรับงานเค้ามาแล้วจะมารับงานซ้อน มันก็เสียมารยาท


“นี่ รอส ข้าขอโทษเจ้าแล้วไง ทำไมยังทำหน้าแบบนั้นอยู่อีก” มันเร่งฝีเท้าขึ้นมาเดินข้างผม “อย่าบอกนะว่าไปติดพันกับใครเข้า” มันหน้าตื่น โพล่งออกมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย


“พรืด ฮ่าๆ” ผมถึงกับหลุดหัวเราะออกมา “พูดอะไรตลกชะมัดเลย”


“อ้าวใครจะไปรู้ เจ้าอาจจะไปหลงรักคนที่เจ้านอนด้วยก็ได้”


“หึ นักผจญภัยรักอิสระอย่างข้าไม่ไปติดพันใครง่ายๆหรอก” ผมตอบอย่างมั่นใจ ใช้ชีวิตตัวคนเดียว เดินทางไปเรื่อยๆจะไปติดพันใครได้ยังไงกัน “แล้วนอนแค่ครั้งเดียวถึงกับหลงรักเลยเนี่ยนะ เจ้าอ่านนิยายน้ำเน่ามากเกินไปรึเปล่า”


“....” มันไม่พูดอะไรต่อ หันหน้าหนี คงเขินที่พูดอะไรไม่เข้าท่าออกมา ที่บ้านสอนมายังไงนะถึงได้ใสซื่อขนาดนี้


ผมยิ้มให้กับภาพที่เห็น คุณอัศวินจิตใจสะอาดออกทำภารกิจเพื่อไปขอแต่งงานกับเจ้าหญิง แต่กลับต้องมาออกเดินทางกับคนใจบาปอย่างผม คงทำให้มันอึดอัดไม่น้อย


………………………………………………………..


ไม่นานนักเราก็เดินมาถึงทางแยก หน้าผมเริ่มเคร่งเครียดอีกครั้งเมื่อยืนอยู่ต่อหน้าป้ายบอกทาง : ไปทางตะวันออกเพื่อไปยังป่าเอเดน ไปทางใต้เพื่อไปยังหมู่บ้านเครสเซนท์


“หน้าเครียดขึ้นมาอีกแล้ว เจ้าเป็นอะไร” มันถามขึ้นมาอีกครั้ง


ผมคงต้องไปฝึกปั้นหน้าเก็บอารมณ์มาใหม่ ถึงขนาดเร็กซ์ทักขึ้นมาได้นี่คงต้องชัดมากๆ แต่ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ลองถามดูละกัน


“เมื่อวานข้าเห็นป้ายประกาศขอความช่วยเหลือ หมู่บ้านเครสเซนท์ที่อยู่ทางนี้กำลังมีปัญหา”


“...” มันเงียบฟังผมอย่างตั้งใจ


“อาจารย์ของข้าอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้ ท่านเป็นพรานป่าที่เก่งกาจ การที่ท่านต้องมาติดป้ายขอความช่วยเหลือทำให้ข้ากังวล” ผมค่อยอธิบายให้มันฟัง


“งั้นจะรออะไรหล่ะ ไปกันเถอะ” มันตอบทันทีที่ผมเล่าจบ


“หือ” ผมแปลกใจ มันได้คิดอะไรก่อนตอบบ้างรึเปล่าเนี่ย “แต่มันนอกเส้นทางนะ มันจะทำให้เจ้าเสียเวลา”


“มีคนเดือดร้อนอยู่ไม่ใช่หรอ”


“ก็ใช่..แต่..”


“ข้าบอกแล้วไงว่าการช่วยเหลือผู้คนที่เดือดร้อนเป็นหน้าที่ของอัศวิน” มันยิ้มโชว์ฟันขาวให้ผมพร้อมชูนิ้วโป้งให้เป็นการยืนยันคำตอบ “อีกอย่างยังเหลือเวลาอีกต้องมาก”


<เอาจริงดิ ง่ายๆอย่างนี้เลยหรอ>


“...ขอบใจนะ” ผมยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว “ข้าสัญญาว่าหลังเสร็จธุระแล้วข้าจะรีบพาเจ้าไปป่าจันทราทันที”


“เรื่องนั้นมันแน่อยู่แล้ว แค่ให้เจ้าเลิกทำหน้าเครียดก็พอ” มันตอบแล้วเดินนำผมไปทางทิศใต้


ผมหัวเราะเบาๆให้กับตัวเองที่ไปเคลือบแคลงใจเร็กซ์แต่แรก <อัศวินที่ดีสมชื่อจริงๆ> ผมนึกในใจแล้วออกเดินตามมันไป


....................................................................................



หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 13 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 13-07-2018 17:09:46
ใช่ๆ เป็นอัศวินที่ดีจริงๆ และต้องฝึกให้ร้อนแรงมากๆ ให้สมกับความดีด้วยนะ
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 13 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 13-07-2018 17:49:55
13.2

พวกเราเดินทางมาถึงทางเข้าหมู่บ้านเครสเซนท์ตอนที่พระอาทิตย์อยู่กลางศีรษะพอดี ผมรีบลงจากม้าแล้วเดินสำรวจหมู่บ้านที่ผมจากมานานทันที


หมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่ริมภูเขาแบรคดิคฝั่งตะวันออก เป็นหมู่บ้านเกษตรกรรม มีคนอยู่ประมานสิบครัวเรือน สภาพหมู่บ้านประกอบไปด้วยบ้านไม้หลังเล็กๆไม่เกิน 2 ชั้น โรงนาและโรงเลี้ยงสัตว์ มีไร่พืชพรรณหลายชนิดและมีลำธารขนาดใหญ่ที่มีคลองเล็กๆแยกออกมาอยู่ไม่ห่าง


“ระดับน้ำน้อยลงจริงๆด้วย” ผมพึมพำกับตนเองเมื่อมองเห็นระดับน้ำที่ลดลงจนน่าตกใจ น้ำน้อยกว่าช่วงหน้าแล้งเสียอีก


“ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปพืชพรรณต้องตายหมดแน่ๆ” เร็กซ์ที่พอจะรู้รายละเอียดจาดผมแล้วเสริมขึ้นมาข้างๆผม


“บ้านอาจารย์ของข้าอยู่ทางนี้” ผมออกเดินนำไปยังบ้านทรี่อยู่ท้ายหมู่บ้าน ติดกับชายป่าที่ใช้ขึ้นเขา


เดินเข้าชายป่าไปเล็กน้อยพวกเราก็พบบ้านไม้ชั้นเดียวตั้งอยู่กลางพื้นที่โล่งๆรอบล้อมด้วยต้นไม้สูงใหญ่ สภาพบ้านใหญ่ขึ้นกว่าตอนที่ผมจากมาเล็กน้อยคงเพราะต่อเติมให้สำหรับสมาชิกใหม่ของบ้าน และดูเหมือนยังมีส่วนต่อเติมที่ยังไม่เสร็จอยู่ด้วย หน้าบ้านมีหญิงสาวผมทองยาวถึงเอวในชุดเดรสสีน้ำตาลกำลังกวาดใบไม้อยู่


“คุณลินดาครับ (Linda)” ผมตะโกนเรียกจนหญิงสาวสะดุ้งตกใจแล้วหันทางพวกเรา


“ระ รอส!!!” เธอทำหน้าแปลกใจก่อนที่ยิ้มให้กับผม “รอส เจ้ามาได้ยังไงเนี่ย ไม่ได้พบกันนานเลยนะ เป็นยังไงบ้าง สบายดีมั้ย” นางรัวคำถามมา


“ผมสบายดีครับคุณลินดา คุณลินดาหละ เป็นยังไงบ้าง” ผมยิ้มทักทายกลับเมื่อเดินเข้าไปใกล้แล้วผมก็สังเกตเห็นท้องของหญิงสาวที่นูนโต “นี่ท้องที่สามรึเปล่าครับนี่”


“นี่เสียมารยาท ฉันไม่ได้ท้องนะ” นางตะคอกใส่ ทำท่าเอามือกุมท้อง


“หะ” ผมอ้าปากค้างแล้วหลับหูหลับตารีบยกมือขอโทษขอโพย “หวา…ขะ ขอโทษครับ ผมไม่รู้”


“ฮ่าๆๆๆ” นางหัวเราะเสียงดังจนผมลืมตาขึ้นมามอง “ล้อเล่นจ่ะ นี่ท้องที่สอง”


“โหย คุณลินดาชอบหลอกผมตลอดเลย” ผมทำเสียงอ๋อย ในใจรู้สึกโล่งที่ไม่ได้ทักผิดไป“ไม่น่าหล่ะ ถึงได้ต่อเติมบ้านเพิ่ม อาจารย์ผมน้ำยาดีใช่ม๊า” ผมเริ่มแซวเล่นเป็นการแก้แค้น


“บะ..บ้าหรอ รอส พูดอะไรน่าอายแบบนั้น” นางหน้าแดงจนต้องเอามือมาปิดแก้ม


ลินดา ภรรยาแสนสวยของอาจารย์ซิด นางเป็นนักปรุงยาชั้นยอด อีกทั้งยังมีความรู้ทางการแพทย์อย่างเยี่ยม เป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของหัวหน้าหมู่บ้านแห่งนี้ หญิงสาวที่ทำให้อาจารย์ของผมหยุดชีวิตผจญภัยของตนลงแล้วตั้งหลักปักฐานที่นี่


“คุณลินดาครับ ผมมาที่นี่เพราะเห็นป้ายประกาศ” ผมเริ่มพูดถึงจุดประสงค์ของผมด้วยน้ำเสียงจริงจัง สีหน้าของลินดาแสดงความกังวลให้ผมเห็นอย่างชัดเจน


“นั่นสินะ เข้ามาคุยกันในบ้านก่อนสิ” นางเก็บไม้กวาดแล้วเดินนำเข้าบ้าน “พาม้าไปที่โรงนาหลังบ้านได้เลยนะจ๊ะ” นางหันมาบอกผมและเร็กซ์ ก่อนเดินหายเข้าไปในบ้าน


……………………………


พวกเราสองคนตามเข้ามาในบ้าน แล้วนั่งลงที่โต๊ะอาหารกลางบ้าน สภาพบ้านตกแต่งอย่างเรียบง่ายเหมือนเดิม ที่เปลี่ยนไปคือมีตุ๊กตาวางอยู่เต็มบ้าน ไม่ใกล้ไม่ไกลมีเด็กหญิงผมทองตัวน้อยกำลังเล่นตุ๊กตาผ้าอยู่ นี่สินะสมาชิกใหม่ของบ้านที่ผมไม่ได้มีโอกาสพบเจอ

“คุณลินดา นี่เร็กซ์เพื่อนร่วมเดินทางของผมครับ”


อัศวินหนุ่มค้อมศีรษะคำนับให้อย่างนอบน้อมเป็นการทักทาย ส่วนลินดาก็ยิ้มตอบรับไว้


“สถานะการณ์เป็นยังไงบ้างหรอครับ” ผมเริ่มเข้าเรื่อง


“ก็ตามป้ายประกาศนั่นแหละจ่ะ ซิดสังเกตเห็นว่าระดับน้ำลดลงผิดปกติ เขาจึงขึ้นภูเขาไปสำรวจ”


“ได้เรื่องยังไงบ้างครับ” เป็นเร็กซ์ที่ถามขึ้นมา


“ซิดพบว่าน้ำที่ไหลลงมาจากต้นน้ำภูเขาแปลกไป พอขึ้นสูงไปเรื่อยๆก็พบพวกมอนสเตอร์ชุกชุมผิดปกติ พวกมันมีหลายสายพันธุ์แต่กลับรวมตัวกันโจมตีจนผิดวิสัย”


มอนสเตอร์นั้นมีมากมายหลายชนิด ตั้งแต่ขนาดเล็กไปถึงขนาดใหญ่ พวกมันมักจะหวงถิ่นของตนเอง พวกมันจะเข้าจู่โจมทุกอย่างที่ล้ำอานาเขตของพวกมัน จะมนุษย์หรือมอนสเตอร์ต่างสายพันธุ์ก็ตาม การที่มันร่วมมือกันแบบนี้ย่อมผิดปกติ


“เพราะจำนวนพวกมันที่มากทำให้ซิดไม่สามารถขึ้นไปสำรวจต้นน้ำได้ เขาและพวกชาวบ้านพยายามรวมตัวขึ้นไปเมื่ออาทิตย์ก่อนแล้ว แต่ทำได้เพียงกำจัดมอนสเตอร์ไปบางส่วนเท่านั้น มีชาวบ้านบาดเจ็บหลายคน พวกเขาจึงจำเป็นต้องร่นถอยกลับออกมา”


“แล้วอาจารย์เป็นอะไรมากมั้ยครับ” ผมโพล่งถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง


“ซิดปลอดภัยดี ถ้าไม่มีเขาพวกชาวบ้านคงแย่กว่านี้” คำตอบของนางทำให้ผมสบายใจขึ้นมาก


“แล้วนี่อาจารย์ไปไหนหรอครับ”


“2 วันก่อนมีนักผจญภัย 3 คนมาช่วยเหลือ ซิดเป็นคนนำพวกเขาขึ้นไป นี่ฉันก็ชักเป็นห่วงแล้วเหมือนกัน ไม่ลงกันมาเสียที” นางอธิบายต่อด้วยสีหน้าวิตกกังวล “อ๊ะ นีน่า อย่าไปกวนพี่เค้าสิลูก”


เด็กหญิงผมทองเมื่อครู่เดินเตาะแตะมาเล่นกับเกราะเหล็กแวววาวที่ขาของเร็กซ์


“ อ๊ะ ไม่ได้นะ มันสกปรก” เขารีบห้ามปรามแล้วอุ้มเด็กน้อยขึ้นมานั่งตัก เด็กหญิงนั่งนิ่งอย่างว่าง่าย ดวงตาเอาแต่จ้องหน้าของเร็กซ์


“แหม เจ้าลูกคนนี้ ปกติไม่ให้อุ้มง่ายๆหรอกนะเนี่ย” ลินดาส่ายหน้าอย่างเอือมระอา


<โห มีแววแต่เด็กเลยนะ แต่เจ้านี่มีแรงดึงดูดต่อผู้หญิงทุกวัยจริงๆ> ผมคิดขณะมองเร็กซ์ที่หัวเราะแหะๆ ทำตัวไม่ถูก


“ถ้างั้นเดี๋ยวพวกผมจะตามขึ้นไปเองครับ” ผมหันกลับมาคุยกับลินดา


“อื้ม ถ้าเป็นรอสขึ้นไปช่วยก็ค่อยเบาใจหน่อย ฝากด้วยละกันนะจ๊ะ” นางตอบผมพร้อมรอยยิ้มที่ผ่อนคลายมากขึ้น


“งั้นผมขอลาเลยนะครับ” ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้ เตรียมออกเดินทาง


“ไม่ต้องห่วงนะครับ เดี๋ยวพวกผมจัดการให้เอง” เร็กซ์ลุกขึ้นแล้วส่งนีน่าคืนให้ลินดา


“เดี๋ยวสิ นี่พึ่งเที่ยงเองนะ พวกเจ้าทานอะไรกันรึยัง”


“อ่ะ..เอ่อ..เรียบร..” ผมกำลังจะตอบกลับแต่เจ้าเร็กซ์พูดแทรกซะก่อนว่า


“ไว้ก่อนก็ได้ครับ รีบขึ้นเขาก่อน เดี๋ยวจะมืดเสียก่อนครับ”


<ซวยหล่ะสิ ตอบแบบนั้น> ผมเริ่มหน้าซีดเมื่อได้ยินคำตอบของเร็กซ์ ตอบแบบนั้นได้เรื่องแน่นอน


ครืนนนนนน


บรรยากาศอึดอัดขึ้นมาทันที ผมและเร็กซ์สัมผัสได้ถึงรังสีอัมหิตจากคุณลินดา นางยิ้มจางๆแต่กลับดูเหี้ยมโหดแล้วเอามือวางไว้บนไหล่ของเร็กซ์


“จะปล่อยให้ท้องว่างออกไปได้ยังไง นั่งลงเดี๋ยวนี้ ฉันจะหาอะไรให้ทาน เข้าใจมั้ย!!!”


ผมกับเร็กซ์มองหน้ากัน ทางนั้นก็เหงื่อแตกเช่นกัน เราสองคนจึงตอบพร้อมกันว่า


“ได้คร้าบบบบ”

……………
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 13 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 14-07-2018 10:13:32
เป็นพระเอกแบบที่ไม่ค่อยเจอ ถือเป็นของแปลก  :hao7:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 13 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 15-07-2018 00:07:52
กำลังจะโกหกได้แนบเนียนแล้วเชียว โธ่เอ้ย เจ้าอัศวินซื่อบื้อ!
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 13 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 15-07-2018 06:52:03
วันอาทิตย์นี้อาจจะไม่ได้ลงนะครับ พอดีติดธุระเยอะ แต่อาทิตย์หน้าจะพยายามลง 1- 1.5 ตอนครับ

PsychePie - อาจจะต้องมี pre-test ดูพื้นฐานก่อนถึงจะสอนได้

jum - แบบนี้อาจจะไม่ค่อยเห็นในนิยายวายบ้านเรา แต่ค่อนข้างพบบ่อยในไลท์โนเวลญี่ปุ่น หรือการ์ตูนโชเน็นครับ

Nocto - ตอบฉะฉานเนียนสุดๆ 555
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 14 70%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 18-07-2018 12:47:41
Chapter 14 Search quest


ใช้เวลาพอสมควรกว่าคุณลินดาจะแน่ใจว่าพวกเราทานอาหารเพียงพอแล้วจึงยอมปล่อยพวกเราออกจากบ้าน ยังดีที่เพิ่งจะบ่ายอ่อนๆ เหลือเวลาที่จะขึ้นเขาพอสมควร


ผมเคยขึ้นเขาแบรคดิคฝั่งนี้เพียง 2-3 ครั้ง เมื่อนานมาแล้ว ทำให้ไม่ชำนาญทางมากนัก จำได้ลางๆเพียงแค่ว่าที่นี่มีน้ำตก 7 ชั้น ชั้นบนสุดจะเป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดเพราะมาจากต้นน้ำบนภูเขาโดยตรง


“รอส เจ้ามาถูกทางแน่นะ” เร็กซ์เอ่ยขึ้นขณะเดินตามผมขึ้นมา


“มีร่องรอยเดินเท้าขึ้นมาทางนี้” ผมอาศัยรอยเท้าลางๆที่ถูกทิ้งไว้ตามทางเดินในการบอกทิศทาง คาดว่าน่าจะเป็นของกลุ่มอาจารย์ซิดเพราะไม่มีคนขึ้นมาบ่อยนัก


ไม่นานนักพวกเราก็พบน้ำตกชั้นแรก จะเรียกว่าน้ำตกก็ไม่เชิง เพราะมีเพียงน้ำไหลเอื่อยๆลงมาเท่านั้น ท่าทางน้ำจะถูกปิดกั้นไว้ที่ชั้นสูงๆชั้นใดชั้นหนึ่ง ผมเริ่มมั่นใจเรื่องทิศทางมากขึ้นเพราะร่องรอยขนานไปตามทางน้ำที่ไหลลงมา


“เอาหละ หลังจากนี้จะชันขึ้นหน่อยนะ” ผมเริ่มจำได้แล้วว่าทางขึ้นไปชั้น 2 เป็นต้นไปจะต้องอาศัยการปีนป่ายมากขึ้น ใช้เวลาและพละกำลังพอสมควรพวกเราก็ผ่านมาถึงชั้น 3 จนได้ แล้วพวกเราก็เริ่มสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ


“นี่มันซากสไลม์หนิ” ผมก้มลงสำรวจคราบเมือกสีเขียวๆน่าขยะแขยง กองกระจัดกระจายอยู่ที่พื้น


สไลม์เป็นมอนสเตอร์ขนาดเล็กถึงกลางขึ้นอยู่กับช่วงอายุของมัน ลักษณะเป็นก้อนเมือกที่มีชีวิต ขยับคืบไปมาได้ ล่าเหยื่อโดยการโรยตัวจากที่สูงลงมาครอบตัวบนสัตว์ขนาดเล็กแล้วกลืนกินเข้าไปในก้อนเมือกของมันทั้งตัว จากนั้นจึงย่อยช้าๆ เป็นการตายที่ทรมานมาก การโจมตีทางกายภาพไม่ค่อยได้ผลกับพวกมันเพราะร่างกายที่เป็นของเหลว ต้องโจมตีให้โดนแกนกลางหรือใช้เวทมนต์เท่านั้น


“รอสมาดูนี่สิ เหมือนตุ๊กตาไม้เลย” เสียงของเร็กซ์ทำให้ผมละความสนใจจากก้อนเมือกไปมองเขา ผมเบิกตากว้าง


“เร็กซ์ ระวัง สไลม์อยู่ข้างบน” ผมรีบตะโกนบอกเขาเมื่อเห็นก้อนเมือกเขียวๆกำลังคืบคลานบนกิ่งไม้เหนือหัว ผมรีบชักดาบออกมาแล้วพุ่งตัวไปหาเขา


“ฉัวะ” ชั่วอึดใจที่สไลม์ปล่อยตัวลงมาจากต้นไม้ อัศวินหนุ่มชักดาบออกมาฟันมันขาดเป็นสองท่อนในพริบตา


<ตอบสนองไวมาก> ผมพึ่งจะก้าวได้สองก้าวเท่านั้น


“แผละๆๆ” เสียงของเหลวเหนียวหนืดร่วงหล่นสองข้างตัวของอัศวินหนุ่ม เศษบางส่วนตกใส่ชุดของเขา


“เป็นอะไรมั้ย” ผมเดินเข้าไปถามใกล้ๆ


“แค่นี้สบายมาก”


ผมแอบขำในใจเมื่อมองมันก้มดมคราบสไลม์ที่เปื้อนใส่แขนแล้วทำหน้ายู่ ยิ่งกว่านี้ผมก็เคยโดนมาแล้ว


“ดีนะที่ไม่ใช่สไลม์พิษ ไม่งั้นเจ้าเสียโฉมแล้ว” สไลม์บางชนิดมีพลังธาตุสถิตอยู่ด้วย ยิ่งเพิ่มความหน้ากลัวให้พวกมันอีกหลายเท่าตัว


เมื่อผมแน่ใจว่าเร็กซ์ไม่เป็นอะไรและไม่มีตัวอะไรซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้แล้ว ผมจึงเริ่มสำรวจตุ๊กตาที่เร็กซ์ว่า


ตุ๊กตาที่ว่ามีขนาดตัวพอๆกับเด็กทารก ร่างกายทำขึ้นจากรากไม้ กิ่งไม้และเถาวัลย์บิดพันเกลียวไปมา ส่วนหัวเป็นกระโหลกของสัตว์ ตัวที่ผมสำรวจมีลูกธนูปักเข้ากลางหัว


“นี่มันวิวโลว์ (Willow)”


วิวโลว์เป็นมอนสเตอร์ภูติไม้ขนาดเล็ก ขนาดประมานเด็กทารก อาศัยในป่าลึก ชอบแกล้งนักเดินทางที่เดินทางผ่านด้วยการใช้เวทมนต์และการควบคุมสัตว์ป่าขนาดเล็ก แต่บางครั้งการแกล้งของพวกมันก็รุนแรงถึงชีวิตได้


“อืม อย่างที่คุณลินดาบอกจริงด้วย มอนสเตอร์ต่างชนิดกันเหมือนจะร่วมมือกัน” ผมพึมพำ


“ซากพวกนี้น่าจะเป็นฝีมืออาจารย์ของเจ้านะ รอส”


“ข้ากะคิดแบบนั้น รีบขึ้นต่อเถอะ”


ยิ่งพวกเราขึ้นสูงขึ้นไปก็ยิ่งพบเห็นซากมอนสเตอร์ตามข้างทางมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแมงมุมยักษ์ ก็อบลิ้น และพวกสัตว์ป่าเช่น หมาป่า เป็นต้น กว่าพวกเราจะขึ้นมาถึงชั้นที่ 5 ได้ก็เล่นเอาตอนพระอาทิตย์ตกดินแล้ว


“น้ำที่ชั้นนี้ก็ลดลง..” ผมพึมพำกับตัวเอง แสดงว่าต้นเหตุหน้าจะอยู่ที่ต้นน้ำบนเขา


“เดินทางต่อไหวมั้ยเร็กซ์” ผมกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงร้อนรน


“ไอ้ไหวมันก็ไหวอยู่หรอก แต่เดินทางขึ้นเขาตอนมืดจะดีหรอ รอส” มันทักท้วง “ข้าเข้าใจว่าเจ้ารีบร้อน แต่วิสัยทัศน์ที่ลดลงจะทำให้พวกเราไม่ปลอดภัย”


จริงอย่างที่มันว่า แม้ว่าที่ผ่านมาจะพบแต่ซากมอนสเตอร์ แต่พวกเราก็ไม่ทราบว่ามีมอนสเตอร์เหลือรอดเท่าไหร่ ยิ่งเดินทางต่อตอนกลางคืนที่แทบจะมองอะไรไม่เห็นจะเป็นอันตราย


“ตึกๆๆๆ” เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากมุมมืดมุมหนึ่งในป่า พวกเราสองคนมองหน้ากันแล้วเตรียมอาวุธในมือพร้อมรับมือ


“แซ็กๆๆๆ” เสียงผู้มาเยือนแหวกพุ่มไม้ออกมาจากมุมมืดมุมนั้น เป็นชาย 4 คน โดยมี 2 คนกำลังช่วยพยุงเพื่อนไว้คนละคน
“ท่านอาจารย์ !!! ” ผมรีบส่งสัญญาณให้อัศวินเก็บอาวุธเมื่อเห็นหน้าผู้มาเยือนชัดๆ


ชายร่างสูงปราดเปรียวสมส่วน ผมสีดำสนิทยาวถึงบ่า ด้านหน้าดูยุ่งเหยิงในขณะที่ด้านหลังถูกรวบมัดไว้อย่างดี บริเวณคางไปถึงสันกรามทั้งสองข้างมีรอยเคราจางๆ สวมชุดพรานป่าสีน้ำตาลเข้ม เขากำลังพยุงชายอีกคนหนึ่งในชุดจอมเวทย์ อีกสองคนที่เดินทางมาด้วยสวมชุดเกราะเบาธรรมดา


“รอส งั้นรึ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยน้ำเสียงแปลกใจ “เจ้ามาได้ยังไง”


“ผมเห็นป้ายประกาศครับ” ผมรีบตรงเข้าหาเพื่อที่จะไปรับจอมเวทย์คนนั้นมาพยุงแทน เร็กซ์เองก็เข้าไปช่วยอีกคู่เช่นกัน ทันทีที่ผมก้าวเข้าไปถึงตัวเตรียมรับคนเจ็บมาอาจารย์ของผมก็


“ป้าบ” ใช้มือที่ว่างอยู่ตบบ้องหูอย่างแรงจนผมเซหงายถอยหลังไป


“ทะ..ท่านอาจารย์..ทำไม” ผมเอามือกุมหู ถามขึ้นด้วยความตกใจ


“ไอ้ลูกศิษย์เวร ริอาจไปเป็นโจร !!” ซิดตะหวาดใส่ผมด้วยสีหน้าโกรธสุดๆ ผมหน้าถอดสีทันทีที่ได้ยิน


“หะ..ท่านรู้ได้ยังไง...อ๊ะ” ไม่ทันพูดจบซิดก็เหวี่ยงร่างจอมเวทย์จนเซมาให้ผมรับไว้ ส่วนเจ้าตัวเดินตัวลอยผ่านหลังผมไปนั่งบนโขดหินกลางลานกว้างข้างธารน้ำ


“ทำไมจะไม่รู้ เหอะ ทางการประกาศหาตัวหัวขโมยแห่งเบลลาเดียกันให้ควั่ก ทั้งรูปพรรณและความสามารถมันตรงเจ้าทุกอย่าง หนอย ออกเดินทางคนเดียวไม่กี่เดือนก็ก่อเรื่องเลยนะ” ท่านยังคงดุผมต่อ


“...อ่ะ เอ่อ ฟังผมก่อน..” ผมพยายามอธิบายในขณะที่พยุงคนเจ็บไปนั่งใกล้ๆ


“ไม่ต้องมาแก้ตัว!!! ถ้าตอนนั้นไม่ติดที่เมียข้าใกล้คลอดหล่ะก็ ข้าจะไปลากคอเจ้ามาจัดการด้วยตัวเองเลยด้วยซ้ำ” ท่านกล่าวต่ออย่างหัวเสีย พลางคว้าไปป์ยาสูบขึ้นมาจุดไฟสูบ “เจ้าหนุ่มนั่นหน่ะ ไปหาฟืนมา” ซิดชี้นิ้วสั่งไปที่เร็กซ์ที่พาคนเจ็บลงนั่งเรียบร้อยแล้ว เจ้านั่นพยักหน้าแล้วเดินไปอย่างว่าง่าย ก่อนไปมันส่งยิ้มเจื่อนๆมาให้กำลังใจผม


ผมพาคนเจ็บไปนั่งใกล้ๆกันแล้วลงนั่งบนพื้นตรงข้ามท่านอาจารย์ของผม สภาพผมตอนนี้นั้น เหงื่อแตก หลังเปียกชื้น เสียวสันหลังวาบๆตลอดเวลา ภาพที่วาดไว้ว่าจะสวมกอดกันให้หายคิดถึงทันทีที่เห็นหน้ามลายหายไปสิ้น


“มานี่!! มาใกล้ๆมือข้านี่ เจ้าเด็กเวร”


ตัวผมสั่นเทิ้มด้วยความกลัวจนนักผจญภัย 3 คนนั้นยังทำหน้าเจื่อน ผมค่อยๆก้มหน้าก้มตาคลานไปนั่งอยู่ข้างๆโขดหินที่อาจารย์นั่งอยู่ แอบวางตัวให้พ้นระยะมือเล็กน้อย


“ใกล้อีก!!” ท่านสั่งอีก ผมจำใจทำตัวลีบขยับเข้าไปนั่งใกล้จนแทบจะเกาะขาท่าน เงยหน้าขึ้นไปมองใบหน้าคมเข้มเปื้อนรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม


<น่ากลัวไม่ต่างจากแต่ก่อนเลย ฮืออออ> ผมผวาทันทีที่ท่านขยับยกมือขึ้นมา รีบก้มหัวลงต่ำ หลับตา กัดฟันแน่น เตรียมรับบทลงโทษ


ท่านวางมือลงบนศีรษะผมอย่างแผ่วเบาแล้วลูบหัวผมพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า


“เจ้าปลอดภัยดีก็ดีแล้ว รอส”
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 14 70%)
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 18-07-2018 18:20:02
เห็นจะมีแค่ท่านอาจารย์นี่แหละ ที่ทำให้รอสกลัวได้
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 14 70%)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 19-07-2018 08:49:08
ขอบคุณครับ ให้ +1 แต้มนะครับ :a9:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 14 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 20-07-2018 14:07:52
14.2

หลังจากที่พวกเราจัดการก่อไฟเพื่อตั้งที่พัก และเริ่มแจกจ่ายเสบียงให้กับนักผจญภัยที่บาดเจ็บเรียบร้อยแล้ว พวกผมก็เริ่มสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมทันที

 “เอลเดอร์วิวโลว์ (Elder willow)” ท่านอาจารย์ผมเอ่ยชื่อตัวการออกมา

ตั้งแต่เดินทางมาผมเคยได้ยินเรื่องเล่าขานเอลเดอร์วิวโลว์มาบ้าง มันเป็นร่างพัฒนามาอีกขั้นหนึ่งของพวกวิวโลว์ ขนาดร่างกายเท่ามนุษย์ผู้ใหญ่ มีพลังเวทย์ที่มากขึ้นหลายเท่าตัว อีกทั้งยังมีขอบเขตการควบคุมสัตว์อื่นๆที่หลากชนิดขึ้น นั่นจึงตอบคำถามว่าทำไมพวกสัตว์และมอนสเตอร์จึงร่วมมือกันขวางทางขึ้นเขา

“มันร้ายกาจมาก ไม่น่าเชื่อว่าจะมีมอนสเตอร์ระดับสูงขนาดนั้นโผล่มาที่นี่” นักผจญภัยคนหนึ่งกล่าวเสริมขึ้นมา

“เหอะ!! เป็นนักผจญภัยแท้ๆ ทำไมถึงถามอะไรโง่ๆแบบนั้นออกมา ไม่รู้จักมรสุมเวทมนต์งั้นรึ” อาจารย์ซิดเอ็ดขึ้นมาจนนักผจญภัยคนนั้นหน้าเสีย “รอส สอนเจ้าพวกนี้หน่อยสิ”

<อ่าว โยนมาซะงั้น> ได้แต่บ่นในใจแต่ผมก็เริ่มอธิบายให้เหล่านักผจญภัยหน้างงๆฟัง

มรสุมเวทมนต์เป็นปรากฏการณ์หนึ่งเหมือนการเกิดพายุ ต่างกันที่สาเหตุไม่ได้เกิดจากกระแสลมแต่เป็นกระแสเวทมนต์ตามธรรมชาติแปรปรวน ถึงกระนั้นมันก็แทบจะไม่มีอันตรายต่อมนุษย์เพราะมันไม่ได้สร้างความเสียหายใดๆแบบพายุ ถ้าไม่ใช่จอมเวทย์ที่ฝึกการตรวจจับเวทยนต์มาอย่างดี คนทั่วๆไปจะไม่รู้สึกเลยด้วยซ้ำว่ากำลังเกิดมรสุมเวทมนต์อยู่ ผลของมันอาจจะแค่รบกวนอุปกรณ์เวทมนต์หรือทำให้ร่ายเวทมนต์ลำบากเท่านั้น

แต่มรสุมนี้มีผลอย่างมากกับเหล่าดวงวิญญาณและพวกมอนสเตอร์ ความแปรปรวนของกระแสเวทมนต์จะทำให้เส้นแบ่งระหว่างคนเป็นและคนตายจางหายไป เหล่าดวงวิญญาณที่ยังคงยึดติดอยู่จะใช้ความปรารถนาสุดท้ายอันแรงกล้าเก็บเกี่ยวเวทมนต์เพื่อสร้างร่างกายขึ้นมากำเนิดใหม่เป็นมอนสเตอร์ นั่นทำให้บางครั้งแม้จะกำจัดมอนสเตอร์ระดับสูงในพื้นที่หนึ่งไป พวกมันก็อาจจะปรากฏตัวขึ้นมาใหม่ได้เมื่อเวลาผ่านไป นอกจากนี้พวกมอนสเตอร์เองก็สามารถเก็บเกี่ยวกระแสเวทนี้เพื่อพัฒนาร่างได้เช่นกัน

“งั้นหรอกหรอ” เร็กซ์พึมพำขึ้นมา

“หะ นี่เจ้าก็ไม่รู้หรอกหรอเนี่ย” ผมอุทานด้วยความแปลกใจ เจ้านี่เป็นคนสุดท้ายเลยนะที่ผมคิดว่าจะไม่รู้เรื่องนี้

“อ้าว พวกข้าเรียนการต่อสู้ กฎหมายและการปกครองบ้านเมืองเป็นหลัก เรื่องพวกมอนสเตอร์เนี่ย อย่างเก่งพวกข้าก็เรียนแค่วิธีกำจัด ไม่ใช่ต้นกำเนิดซะหน่อย” มันเถียงเสียงแข็ง

“รอส อย่าไปว่าคุณชาย” ซิดปรามเสียงดุ

“โถ อาจารย์ก็...อ๊ะ...” เมื่อครู่อาจารย์ผมเรียกเร็กซ์ว่าคุณชายงั้นหรอ “ท่านรู้ได้ยังไง” ผมยังไม่ได้แนะนำเร็กซ์ให้อาจารย์รู้จักด้วยซ้ำ

“ลืมไปแล้วเรอะว่าอาจารย์ของเจ้าเป็นคนกว้างขวางขนาดไหน หืม ? รอส” นั่นสินะผมลืมไปสนิทเลยว่าท่านอาจารย์ของผมมักมีข้อมูลลับๆอยู่เสมอ การจะรู้จักพวกขุนนางไม่ใช่เรื่องแปลก “ไม่คิดว่าท่านชายแห่งตระกูลไลโอเนลจะมาเดินทางร่วมกับลูกศิษย์เวรของข้า”

 “ยินดีที่ได้รู้จักครับ ท่านพรานป่า” เร็กซ์ทักทายอาจารย์ผมกลับด้วยอัธยาศัยดี

“มันสร้างความลำบากอะไรให้เจ้ารึเปล่า” ไม่ว่าเปล่าเอามือมากดหัวผมลงไปในท่าคำนับ

“ฮ่าๆๆ ไม่เลยครับ รอสช่วยผมได้มากเลย” อัศวินหนุ่มกล่าวพร้อมหัวเราะ

“ยังไงก็ฝากดูแลมันด้วย ชอบดื้อให้ข้าปวดหัวอยู่เรื่อย”

“วางใจได้เลยครับ”

<หนอยย เจ้าอาจารย์นี่> ผมกัดฟันกรอดๆระงับอารมณ์

“ว่าแต่ดูสะบักสะบอมมากันพอสมควรเลยนะครับ” ผมขืนตัวขึ้นมามองหน้าเจ้าของมือบนหัวผม พร้อมยิ้มกวนๆให้ “กินดีอยู่ดีกับครอบครัวจนเขี้ยวเล็บหดหมดแล้ว...”

“เพี๊ยะ”

“โอ้ย” โดนตบหัวอีกแล้ว แต่คราวนี้ผมหาเรื่องเอง

“ให้ความเคารพผู้ใหญ่หน่อย” ท่านเอ็ดผมท่ามกลางเสียงหัวเราะของคนอื่นๆ

“พวกเราโดนเข็มพิษของมันเล่นงานหน่ะ” จอมเวทย์กล่าวขึ้น

“มันใช้พลังธาตุดินได้ด้วย พวกเราจึงตั้งตัวไม่ทัน” อีกคนหนึ่งเสริมด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“พิษงั้นหรอ แล้วพวกท่าน 2 คนเป็นอะไรมากมั้ย” ผมถามขึ้น โดยสังเกตว่าต้องพยุงมา

“จริงๆแล้วคนที่โดนมี 3 คน” ชายคนเดิมกล่าวต่อด้วยสีหน้านิ่งๆ

<หน้านิ่งเกินไปแล้ว ไม่ทุกข์ร้อนเลยหรือไง>

“เป็นพิษที่ไม่รุนแรงมาก เจ้าคนที่นอนอยู่นั่นโดนแล้วขาชาไปข้างนึง ส่วนจอมเวทย์นี่โดนแล้วสายตาพร่ามัว” เขาพูดต่อโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า

“แล้วอีกคนหล่ะท่านอาจารย์หรอ”

“ไม่ใช่ อีกคนหน่ะข้าเอง” เขาพูดต่อ

“แล้วผลของมันคือ ? ”

“หน้าชา” อ่อแบบนี้นี่เอง นึกว่าหน้านิ่งเพราะพึ่งฉีดโบท็อกมา

“เจ้า 3 คนนี้มันไม่ได้เรื่อง โดนเล่นงานเอาง่ายๆ” ซิดโพล่งขึ้นมา

“อ่าว ก็ท่านให้พวกเราบุกไปก่อนแล้วลอบโจมตีจากข้างหลังนิหน่า จะไปโดนแบบพวกข้าได้ยังไง” พวกเขาเถียงพร้อมกัน 3 คน
นั่นสินะ วิธีการไม่เปลี่ยนเลย แต่ก่อนตอนผมเริ่มติดตามท่าน หลังจากได้รับการฝึกไม่นานนักท่านก็ให้ผมวิ่งเข้าวงในเป็นเหยื่อล่อให้ตลอด อ้างว่าเป็นการฝึกเอาตัวรอด นึกถึงตอนให้ไปวิ่งล่อฝูงเสือภูเขาแล้วก็ขนลุกขึ้นมา

“ทำไมท่านไม่ขอความช่วยเหลือทางการหล่ะครับ” เร็กซ์แทรกขึ้นมา

“นั่นสิ เมื่อวันก่อนยังสวนกับขบวนอัศวินอยู่เลย” ผมเสริม

“งั้นหรอกรึ สงสัยจะคลาดกันพอดี” ซิดตอบกลับด้วยสีหน้าครุ่นคิด

“แต่ก็น่าจะแจ้งเจ้าเมืองใกล้ๆได้หนิครับ” เร็กซ์กล่าวต่อ

“มันไม่ง่ายแบบนั้นหน่ะสิ หมู่บ้านนี้อยู่ที่รอยต่อระหว่างเขตตะวันออกกับเขตใต้ เลยโดนเกี่ยงงานกัน จะปล่อยให้ยืดเยื้อก็ไม่ได้ ทำให้ต้องจัดการด้วยตัวเอง” ได้ยินคำอธิบายจากปากอาจารย์แล้วผมก็นึกโมโหงานราชการ ช้าและวุ่นวายตลอด

“ช่างพวกราชการเถอะ รีบพักผ่อน พรุ่งนี้ต้องไปจัดการตัวปัญหาอีกรอบ” ซิดกล่าวตัดบทแล้วเอาหลังพิงโขดหินเพื่อเตรียมพักผ่อน

เมื่อได้ยินเช่นนั้นพวกเราจึงเริ่มพักเอาแรงเพื่อเตรียมตัวออกศึกกับมอนสเตอร์ระดับสูงในวันรุ่งขึ้น

<จะแกร่งขนาดไหนกันนะ> ผมคิดในใจก่อนจะผล่อยหลับไป
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 14 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 20-07-2018 16:43:40
ตลก หน้านิ่ง จริงๆแล้วไม่ได้หน้านิ่ง แต่โดนพิษทำให้หน้าชา 555
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 14 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 20-07-2018 18:13:23
แวบแรกนึกถึงวิลโลว มอนต้นไม้ใน ro เฉยเลย
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 14 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 21-07-2018 10:02:16
ตอบผู้อ่าน

เห็นจะมีแค่ท่านอาจารย์นี่แหละ ที่ทำให้รอสกลัวได้

อยู่ด้วยมานานจนต้องกลัวฤทธิ์เดช

ตลก หน้านิ่ง จริงๆแล้วไม่ได้หน้านิ่ง แต่โดนพิษทำให้หน้าชา 555

ตอนแรกว่าจะตัดละเพราะคิดว่าแป๊กแน่นอน และบทมันยาวไป ยังมีคนตลกนี่น้ำตาแทบจะไหล

ขอบคุณครับ ให้ +1 แต้มนะครับ :a9:

ขอบคุณค้าบบ

แวบแรกนึกถึงวิลโลว มอนต้นไม้ใน ro เฉยเลย

เอาชื่อมาจากของ RO แหละครับ แต่ถ้าเป็นตอไม้เดินได้มันไม่อลังค์ เลยเอาเจ้าตัวนี้มาจาก Witcher3 ครับ
https://twitter.com/CruisingDog/status/1019846861446832128
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 15 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 24-07-2018 12:33:54
Chapter 15 Hunting quest

   อากาศเย็นๆกลางป่ากับแสงแดดอ่อนๆอันอบอุ่นยามเช้าชวนให้หลับใหลต่อยิ่งนัก แม้ว่าจะนอนกลางดินกลางหินก็ตาม ผมพลิกตัวกระชับผ้าห่มเล็กน้อยให้สบายตัว

   “ผัวะ” แรงกระแทกรุนแรงอัดเข้าท้องผมเต็มๆจนผมตื่นเต็มตา

   “ตื่นได้แล้ว ไอ้หนู จะนอนไปถึงไหน” ลูกเตะและเสียงปลุกของอาจารย์ซิดทำให้ผมหายสะลึมสะลือทันที

   “โอ้ยย เจ้าอาจารย์บ้า มีวิธีปลุกดีๆตั้งเยอะ มาเตะซะได้” ผมเอามือกุมท้องพลางขยี้ตามองไปรอบๆก็เห็นคนอื่นๆพึ่งตื่นและขยับตัวลุกขึ้นนั่งนี่หน่า

   “หรือว่าอยากให้ข้าจับตัวอะไรมาช่วยปลุกแบบแต่ก่อนห๊ะ รีบตื่นแล้วเตรียมตัวได้แล้ว จะได้จัดการให้เสร็จๆ ข้าอยากกลับไปหาเมียข้าเต็มแก่แล้ว”

   “ท่านจะขึ้นไปหาพวกมันอีกรอบหรอ” เป็นเสียงเร็กซ์ที่นั่งอยู่ไม่ห่างจากผมนัก

   “ก็เออสิ”

   “แล้วใครจะพาคนเจ็บกลับหล่ะ” ผมถาม

   “ให้พวกมันรออยู่ตรงนี้นี่แหละ” ซิดตอบแบบไม่แยแสเท่าไหร่

   นักผจญภัยพวกนี้โดนพิษอยู่ไม่ใช่หรอ ถึงอาการจะไม่รุนแรงแต่ทิ้งไว้นานจะมีแต่ผลเสีย ผมหันไปมองเร็กซ์ก็คาดว่ามันคงคิดแบบเดียวกัน พวกเราพยักหน้าให้กัน

   “ท่านอาจารย์ ท่านนำคนพวกนี้กลับไปเถอะ เดี๋ยวที่เหลือผมกับเร็กซ์จัดการเอง”

   “จะมั่นใจเกินไปหน่อยรึเปล่ารอส เจ้าไม่เคยสู้กับเอลเดอร์วิลโลว์มาก่อนนะ” น้ำเสียงของอาจารย์แสดงถึงความเป็นห่วงอย่างชัดเจน

   “ท่านวางใจเถอะครับ มีผมช่วยอีกแรง” เร็กซ์กล่าวเสริมขึ้นมา

   “พวกผมมีข้อมูลเบื้องต้นของมันจากพวกอาจารย์แล้ว ท่านกลับไปพักผ่อนเถอะ คุณลินดากับนีน่าเป็นห่วงท่านจะแย่แล้ว เดี๋ยวจะไม่ดีต่อเด็กในท้องนะ” เมื่อได้ยินเช่นนั้นอาจารย์ของผมเริ่มทำสีหน้าลำบากใจ

   “ชิ เอาแบบนั้นก็ได้ ไหนๆพวกข้าก็กำจัดมอนสเตอร์ตามรายทางจนหมดแล้ว” ซิดยอมพวกผมในที่สุด

   “ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมเอง” ผมชูกำปั้นยืนยันความมั่นอกมั่นใจ

   “อย่าลืมที่ข้าเคยสอนหล่ะ รอส พลังของเจ้ามีความหลากหลายและความยืดหยุ่นสูง แต่ถูกจำกัดด้วยเวลา ประเมินสถานการณ์ให้ดีก่อนเพื่อดึงประโยชน์ให้ได้มากที่สุดจากหินเวทมนต์ของเจ้า” ซิดกล่าวเตือนผมอีกครั้ง

   “มันแน่นอนอยู่แล้ว อย่าลืมสิว่าผมลูกศิษย์ใคร” ผมกล่าวพร้อมเริ่มออกเดินขึ้นเขาไปพร้อมเร็กซ์

   “อวดดีไม่เปลี่ยนเลยนะ รอส” ท่านอาจารย์พึมพำเบาๆก่อนพวกผมจะเดินหายลับไปในหมู่แมกไม้ “เจ้าโตขึ้นมาก”


...............................................................................................


   จากข้อมูลที่พวกเราได้รับมา เอลเดอร์วิวโลห์ตนนี้มีพลังธาตุดินสถิตอยู่ทำให้ต้องระวังสภาพแวดล้อมเป็นพิเศษ อีกทั้งยังมีพิษที่มีผลแบบสุ่ม ไม่แน่ว่าจะรุนแรงหรือไม่ รังของมันอยู่ที่บริเวณต้นน้ำตกชั้นบนสุด มันสร้างเขื่อนไม้ขนาดใหญ่ไว้กักเก็บน้ำเพื่อหล่อเลี้ยงรังต้นไม้ของมันด้วย ต้นไม้นี้เป็นต้นไม้ขนาดกลางที่กำลังออกผลเป็นตัวอ่อนของวิวโลห์ หากไม่รีบแก้ไขแล้วหล่ะก็ นอกจากหมู่บ้านจะไม่มีน้ำใช้แล้ว พวกวิวโลห์จำนวนมากอาจจะมาก่อความวุ่นวายได้

   “รอส ข้ามีคำถาม”

   “หืม ว่า?”

   “ข้อจำกัดด้านเวลาของหินเวทมนต์เจ้าคือเท่าไหร่” อ่า นั่นสินะ ครั้งก่อนผมก็อธิบายมันไว้ไม่ชัดเจน

   “ถ้าเป็นหินธาตุดิน น้ำ และลมที่อาศัยการควบคุมมวลในธรรมชาติอยู่แล้วก็ประมาน 5-6 นาที ส่วนหินไฟกับสายฟ้าที่ต้องรีดพลังเวทของมันออกมาก็ใช้ต่อเนื่องได้ประมาน 3 นาที”

   “แปลว่าเจ้าต่อสู้ไดนานที่สุดก็ประมาน 20 นาทีสินะ” เร็กซ์ทำสีหน้าครุ่นคิด

   “ก็ประมานนั้น”

   “แล้วหลังจากนั้นเจ้าจะสู้ยังไง ฝีดาบเจ้าอยู่ในระดับกลางๆ” มันยังถามต่อ ผมเริ่มสงสัยละว่ามันถามเฉยๆ หรือหาจุดอ่อนผมอยู่

   “ระดับกลางๆนั่นก็เกินไป ฝีดาบข้าเรียกว่าห่วยเลยก็ได้ เอาไว้ใช้จวนตัวจริงๆเท่านั้นแหละ” ผมยอมรับเลยว่าถ้าปะทะตรงๆระยะประชิดนี่ยังไงผมก็แพ้ “ปกติก่อนสู้ข้าจะประเมินดูก่อน ถ้าไม่ไหวก็จะเหลือหินเวทไว้ใช้หนี”

   “ขี้ขลาด” มันว่าผม

   “อ้าว ข้าไม่ใช่อัศวินอย่างเจ้านะที่จะต้องสู้จนตัวตายเพื่อรักษาเกียรติอะไรนั่น ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ยังแก้มือได้เรื่อยๆ”

   “แล้วถ้าเจ้าต้องสู้ทั้งๆที่หินเวทหมดพลังไปจะเป็นยังไง”

   <ซอกแซกจริงโว้ย> ผมทำหน้าครุ่นคิดสักครู่ก็ตอบมันว่า “ก็โดนเจ้าจับไง”

……………


   ในที่สุดพวกเราก็มาถึงน้ำตกชั้นที่ 7 บ่อน้ำสีเขียวครามขนาดใหญ่นิ่งสงบ ทั้งๆที่ปกติจะมีเสียงซู่ซ่าตลอดเวลาเพราะเป็นจุดรับน้ำตกขนาดใหญ่สูงกว่า 25 เมตร บนยอดผานั่นคือที่อยู่ของเป้าหมายของพวกผม สองข้างทางเป็นหน้าผาสูงชัน แต่ยังโชคดีที่มีไหล่ทางคดเคียวไปมาให้ขึ้นไปได้ โดยไม่ต้องปีนป่ายให้เหนื่อย

   หลังขึ้นมาถึงก็ใช้เวลาไม่นานฝ่าหมู่ไม้รกทึบก็ถึงลานกว้างโล่งๆ มีต้นไม้แห้งเหี่ยวกระจายหลวมๆ แต่โดดเด่นที่สุดคือต้นไม้สูง 6-7 เมตร ที่แผ่กิ่งก้านไร้ใบออกไปอย่างกว้างขวาง ตามกิ่งเหล่านั้นมีถุงคล้ายรังนกห้อยลงมามากมาย ข้างๆเหมือนมีมนุษย์นั่งคุกเข่าอยู่ เสื้อขาดวิ่นราวพวกขอทาน ส่วนหัวเป็นหน้ากากทำจากกะโหลกกวาง เขายาวแหลมคมออกมาทั้งสองข้าง

   “นี่สินะเจ้าตัวการ” อัศวินข้างกายผมพึมพำ พวกเราหลบหลังเงาไม้เพื่อสังเกตการและวางแผน “เจ้ามีแผนมั้ย รอส”

   “ข้านึกว่าเจ้าจะบอกว่าแค่นี้สบายมากแล้วพุ่งเข้าใส่แบบครั้งก่อนซะอีก” ผมพูดปนขำ

   “นี่ไม่ใช่เวลามาล้อข้านะ ข้ากลัวเจ้าจะโดนลูกหลงแบบคราวก่อนต่างหาก”

   “ชิ” ผมสบถเบาๆ ทำมาเป็นพูดดี “มอนสเตอร์ที่มีพลังธาตุดินที่ข้าเคยสู้มีสองแบบคือสร้างอาวุธจากพื้นดินมาโจมตี ไม่ก็เน้นการป้องกันแล้วจับกุม วิธีจัดการต่างกันพอสมควรคงต้องประเมินดูก่อน”

   “อืม”

   “ครั้งนี้คงต้องให้เจ้าบุกนำเข้าไปก่อนแล้วข้าจะคอยสนับสนุนจากด้านหลังเอง ทำได้ใช่มั้ย” ผมบอกแผนการให้เร็กซ์ฟัง

   “ดี พร้อมจะลุยมานานแล้ว” มันยกมุมปากยิ้มอย่างเหิมเกริม พลางกระชับดาบในมือ

   “ถ้างั้นก็ลุยเลย” มือซ้ายผมเองก็กระชับถุงมือให้พร้อมใช้งาน มือขวาจับดาบให้มั่น


40%.....................................
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 15 40%)
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 25-07-2018 02:17:16
ได้เวลาบู๊แล้ววว รออีกครึ่งค่ะ~
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 15 40%)
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 25-07-2018 15:04:13
ได้เวลาบู๊แบบเต็มตัว!

ปล. ไม่รู้ว่าคนเขียนจะเคยเล่น skyrim ไหม รูป willow ที่ลงไว้ คล้ายๆ กับ forsworn ใน skyrim เลย
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 15 40%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 26-07-2018 14:43:44
15.2


“วื้ดดด” เสียงพลังเวทก่อตัวเป็นออร่าสีฟ้าจางๆปกคลุมแขนและขาทั้งสองข้างของเร็กซ์

<นี่สินะเวทเสริมกำลัง> เป็นครั้งแรกที่ผมสังเกตเห็นชัดๆ

พวกเราสองคนพุ่งออกจากที่กำบังเพื่อเข้าหาศัตรู ทางนั้นเองก็รู้ตัวแล้วลุกขึ้นยืนตั้งท่าเตรียมต่อสู้ มันยกมือข้างหนึ่งขึ้นสูง ผมเตรียมเปิดใช้งานหินเวทเพื่อรับการโจมตีของมัน

“ซู่ๆๆๆๆๆ” น้ำในเขื่อนก่อตัวเป็นเกลียวสูงขึ้นมาหมุนวนกลางอากาศกลายเป็นลูกบอลน้ำขนาดใหญ่

“น้ำอย่างนั้นหรอ!!” ผมอุทานด้วยความตกใจ ร่างกายหยุดชะงัก <ไหนอาจารย์ว่าไว้ว่ามันสถิตธาตุดินไง หรือว่ามันใช้ได้สองธาตุ>

ระหว่างที่ผมกำลังประเมินสถานการต่อด้วยความสับสน เร็กซ์พุ่งตัวออกไปต่อด้วยความรวดเร็ว “เดี๋ยวก่อน..” แต่ผมเรียกมันไม่ทันแล้ว

“คุ้มกันด้วย” มันตะโกนกลับมา

ลูกบอลน้ำขนาดเล็กหลายลูกถูกยิงออกมาจากบอลน้ำขนาดใหญ่นั้นตรงมาที่เราทั้งสอง ผมใช้งานหินเวทดินเพื่อรับการโจมตีนี้ สองขาออกวิ่งตามเร็กซ์ไปเพื่อให้มันอยู่ในระยะเวทของผม เสาดินหลายต้นผุดขึ้นมาบิดโค้งเป็นหลังคาคอยคุ้มกันมันไว้ ก้อนดินพุ่งขึ้นมาจากพื้นยิงสวนขึ้นไปเพื่อสกัดบอลน้ำเหล่านั้น

ผมพยายามปกป้องมันอย่างสุดความสามารถ พร้อมวิ่งตามความเร็วที่เหนือกว่าของเร็กซ์ให้ทันเท่าที่จะทำได้ ใจจริงอยากจะดึงมันกลับมาวางแผนใหม่ก่อน การต่อสู้กับมอนสเตอร์ที่สถิตธาตุน้ำในสถานที่มีน้ำมากขนาดนี้อันตรายมาก ยิ่งมันพุ่งเข้าประชิดแบบไม่คิดหน้าคิดหลังแบบนี้ไม่ดีแน่

“ฟุบ” อัศวินหนุ่มอาศัยกำลังขาที่มากกว่าคนปกติหลายเท่า ถีบทะยานพื้นพุ่งตัวเข้าไปปิดระยะในครั้งเดียว สองมือง้างดาบเตรียมตวัดฟันศัตรู ระยะทั้งสองห่างกันไม่ถึงเมตร

“ซู่ว์” น้ำปริมาณมหาศาลผุดขึ้นมาเป็นน้ำพุจากพื้นใต้ตัวของเร็กซ์เข้ามาห่อหุ้มร่างนั้นไว้อย่างรวดเร็ว บัดนี้เขากำลังลอยตัวอยู่ในลูกบอลน้ำ สองมือกวัดแกว่งไปมาอย่างไร้ทางสู้

“บ้า เอ้ย” ผมสบถ แล้ววิ่งเข้าไปให้ได้ระยะเวทของผม ทิ้งไว้แบบนี้มันได้ขาดอากาศตายแน่

“ครืน” เสาดินต้นใหญ่พุ่งขึ้นมาใต้คุกน้ำนั่น พื้นดินทะลวงเข้าไปในชั้นน้ำยกร่างของอัศวินหนุ่มทะลุขึ้นมาด้านบน

“โครมมมม” ผมหักโค่นเสาดินไปทางศัตรู เสียงกระแทกดังสนั่น เหลือไว้แต่ส่วนบนที่เป็นฐานยืนพาร่างของเร็กซ์ลอยกลับมาหาผม

“แค่กๆๆ” มันไอสำลักน้ำ นี่แหละน้า ไม่ฟังกันบ้าง

เวทธาตุน้ำนั้นมีจุดเด่นด้านความหลากหลายในการใช้งานไม่ว่าจะโจมตีหรือป้องกันทั้งระยะใกล้หรือไกล และการเข้าจับกุมตัว ยิ่งถ้าเปลี่ยนเป็นน้ำแข็งได้พลังทำลายยิ่งสูงขึ้น แต่เท่าทีดูอีกฝ่ายน่าจะทำไม่ได้ จุดอ่อนของธาตุนี้คือจำเป็นต้องมีแหล่งน้ำให้ใช้ ไม่เช่นนั้นการเปลี่ยนพลังเวทในตัวเป็นน้ำหรือควบแน่นน้ำในอากาศจะกินพลังเวทมากจนเกินไป

“ซ่าห์ๆๆ” อีกฝ่ายใช้น้ำผลักเศษเสาดินของผมออกแล้วไม่รอช้า ส่งคลื่นน้ำลูกใหญ่ตรงมาทางผม

“ตู้มมม” ผมสร้างกำแพงดินขึ้นมารับแรงกระแทกไว้ แต่ด้วยธรรมชาติของน้ำ มวลน้ำไหลอ้อมมาพัดร่างของของเราสองคนกระเด็นไปคนละทิศคนละทาง ผมลุกขึ้นตั้งหลักได้ นึกขอบคุณโชคที่พวกเราทั้งสองไม่ถูกขังในคุกน้ำของมัน ท่าทางจะใช้ได้แค่ในระยะใกล้

<มันใช้แต่น้ำแบบนี้แล้วพลังธาตุดินที่พวกอาจารย์ว่าคืออะไรกัน หรือว่า...>

“รอส ข้างหลังเจ้า”

ผมยกดาบขึ้นมาแล้วหมุนตัวกลับไปด้วยสัญชาตญาณ

“เคร้ง” เสียงขัดสีโลหะดังบาดหู กรงเล็บแหลมคมหยุดอยู่ตรงหน้าผมไม่ถึงคืบ

เอลเดอร์วิวโลห์อีกตัวโผล่มาข้างหลังผมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ตนนี้มีหน้ากากเป็นกะโหลกแพะ เขาทั้งสองข้างขดเป็นวงก้นหอย มือสองข้างมีกรงเล็บแหลมคมที่พร้อมจะกระชากร่างของผมออกเป็นชิ้นๆ

<เกือบไป>

ผมสร้างเสาดินขึ้นมาหวังกระแทกร่างของมันให้ออกห่างไป แต่มันกระโดดถอยหลังหลบได้ ตวัดฝ่ามือแล้วส่งเสาดินต้นนั้นมากระแทกผมแทน

“อึก” ร่างผมกระเด็นไปตามแรงกระแทก

“หมับ” เร็กซ์กระโดดมารับตัวผมไว้

“2 ตนเลยอย่างงั้นหรอ” มันพึมพำขณะช่วยพยุงให้ผมยืน

“คงเป็นเจ้าแพะนี่แหละที่เล่นงานพวกอาจารย์” ผมสังเกตบริเวณที่ผมยืนอยู่เมื่อครู่มีรูอยู่ตรงพื้นดิน คงมุดดินมาสินะ

รยางค์รากไม้ 2 เส้นที่หลังเอลเดอร์วิวโลห์หัวแพะกางออกมาพร้อมดอกไม้สีม่วงที่ปลาย ทันทีที่ดอกไม้บานออกเข็มพิษจำนวนมากก็พุ่งตรงมาที่พวกเราทั้งสองคน

“ฉึกๆๆ” กำแพงดินผุดขึ้นมาจากพื้นป้องกันพวกเราจากการโจมตีได้อย่างทันท่วงที เพื่อความแน่ใจ ผมสร้างกำแพงขึ้นอีกหลายชั้นจนเป็นปราการวงกตเล็กเพื่อถ่วงเวลาให้ผมได้วางแผน

ไม่ได้การ ตนหนึ่งใช้น้ำที่ป้องกันได้ยาก อีกตนหนึ่งใช้การเคลื่อนที่ใต้ดินและเข็มพิษ ถ้าสู้กันตรงๆ 2 ต่อ 2 แบบนี้น่าจะยาก คงต้องจับแยกให้ได้

“นี่เร็กซ์ ถ้าเจ้าสู้กับหัวแพะนั่น เจ้าจะหลบเข็มพิษพวกนั้นได้มั้ย”

 “ถ้ามีที่กำบัง และใช้ความเร็วสูงสุดเพื่อเข้าประชิดตัวได้ก็น่าจะไหวอยู่”

“งั้นหรอ ถ้างั้นข้าจะช่วยลดภาระให้เจ้าด้วยการทำที่กำบังให้ก็แล้วกัน มันใช้การโจมตีที่จับต้องได้ข้าว่าน่าจะเหมาะกับเจ้า กันมันออกห่างจากข้าไว้ ส่วนเจ้าหัวกวางที่ใช้น้ำนั่นเดี๋ยวข้าจัดการเอง” ผมเริ่มออกอุบาย

“ฟังดูเข้าท่าดี”

“มันอาจจะน่ารำคาญตรงที่เจ้าหัวแพะมันมุดดินได้ แต่ข้าจะให้ทริคเล็กๆไว้ละกัน พยายามสังเกตแรงสั่นสะเทือนที่ผิวดิน” จากที่ผมเองก็ใช้ธาตุดินได้ ผมจึงพบว่าข้อสังเกตสำคัญของเวทดินคือแรงสั่นสะเทือนจากการเคลื่อนไหวของพื้นดิน นั่นทำให้การใช้เวทดินมักจะมีเวลาหน่วงระหว่างใช้งานอยู่เสี้ยววินาที

“รู้แล้วหน่า ไม่งั้นข้าจะจัดการเจ้าเมื่อคราวก่อนได้หรอ” มันยิ้มมุมปากเย้ยผม

“ให้มันเก่งให้ตลอดเถอะ เอาหล่ะลุยได้” ก่อนที่หินเวทดินผมจะหมดเวลา ผมระเบิดกำแพงผมออกเป็นชิ้นน้อยใหญ่กระจายไปทั่ว หินเวทลมส่องประกายสีฟ้า ผมเริ่มบีบอัดกระสุนอากาศไว้ที่มือ

เจ้าหัวแพะสร้างกำแพงดินขึ้นมาป้องกันเศษดินของผมไว้ แต่นั่นแค่ดึงความสนใจ ผมวิ่งฝ่าฝุ่นตลบอบอวนจนได้มุมเหมาะๆ ยิงกระสุนอากาศของผมใส่

“โผละๆ” รยางค์ไม้ที่หลังขาดสะบั้น ถือซะว่าเปนของแถมละกัน มันผงะถอยหลังเมื่อเห็นว่าเวทของผมเปลี่ยนไป ผมปล่อยให้เร็กซ์พุ่งเข้าปะทะมันต่อ

ไม่รอช้าผมใช้ลมรอบกายเร่งความเร็วพุ่งเข้าหาเจ้าหัวกวาง พลางอัดเวทลมให้ห่อหุ้มไปรอบดาบในมือขวาของผม เอลเดอร์วิวโลห์หัวกวางเริ่มยิงบอลน้ำใส่ผมอีกครั้งเมื่อเห็นผมตรงไปทางมัน

“ฉอก แฉก” ผมฟันบอลน้ำเหล่านั้นขาดกระจายอย่างง่ายดาย ดาบธรรมดาไม่มีผลกับน้ำ แต่ถ้ามีลมช่วยพัดกระจายน้ำพวกนี้แล้วหล่ะก็ การจะรับมือไม่ใช่เรื่องยาก

เจ้าหัวกวางเริ่มมีท่าทีลนลานอย่างชัดเจนเมื่อรูปแบบการต่อสู้ของผมเปลี่ยนไป มันสร้างบอลน้ำขนาดใหญ่ลูกใหม่ขึ้นมาและระดมยิงกระสุนน้ำมาอย่างต่อเนื่อง

ด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น ม่านลมที่ห่อหุ้มรอบกาย และดาบที่สถิตธาตุลม ผมสามารถหลบหลีกและปัดป้องกระสุนน้ำเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย จนเมื่อเข้าถึงระยะที่ผมต้องการ ผมกระโดดหมุนตัวส่งแรงจากลำตัวไปที่แขนแล้วตวัดดาบ

“ฟ้าวววว” คลื่นลมแหวกอากาศพุ่งเข้าหาเจ้าหัวกวาง

“ฉัวะ” ไหล่ซ้ายที่ทำจากไม้เนื้อแข็งของเอลเดอร์วิวโลห์ถูกคลื่นอากาศผ่าเป็นร่องลึกเกือบขาด เขาของมันขาดกระเด็นไปข้างหนึ่ง มันผงะถอยหลังเอามือกุมไหล่ไว้

การผสานพลังธาตุของผมร่วมเข้ากับอาวุธเป็นเรื่องที่ผมพอจะทำได้บ้างแม้จะไม่ชำนาญนัก แต่มันสามารถเพิ่มพลานุภาพให้การโจมตีได้มากขึ้น ทว่าถ้าใช้มากๆอาวุธที่ไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อรองรับพลังเวทนี้โดยเฉพาะจะเสียหายเอาได้ง่ายๆ

“ชิ พลาดซะได้” คลื่นลมที่ผมปล่อยไปพลาดจากเป้าหมายที่ผมเล็งไว้ แต่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เพราะผมไม่ค่อยได้ฝึกให้คล่อง ทำยังไงได้หล่ะ ขืนฝึกมากๆก็หมดตัวเพราะค่าอาวุธพอดี อย่างไรก็ตาม ผมยังมีโอกาสอีก 2 ครั้งก่อนที่จะต้องอัดพลังเวทเข้าไปที่ดาบอีกรอบ

“อูวววววว” มันส่งเสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราด ประการสีฟ้าส่องสว่างจากเบ้าตา เจ้าหัวกวางกระโดดถอยหลังไปจนติดกับแหล่งน้ำ แล้วเริ่มใช้เวทน้ำของมันโต้ตอบกลับมา

“ซูว์” มันซัดคลื่นน้ำขนาดใหญ่มาที่ผมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ผมเตรียมรับมือไว้แล้ว ผมบีบอัดบอลอากาศไว้ที่มือพร้อมพุ่งตัวฝ่าเข้าไป

“ตู้ม” บอลอากาศผมระเบิดคลื่นน้ำออกเป็นวงเล็กๆพอให้ผมพุ่งตัวผ่านไปได้โดยไม่ได้รับอันตรายๆ ผมตวัดดาบส่งคลื่นอากาศเข้าหาศัตรูอีกครั้ง

“ฉัวะ” คราวนี้แขนขวาที่ยกมากันลำตัวไว้ขาดกระเด็น

ผมรีบพุ่งตัวเข้าประชิดเพื่อปิดฉาก แต่แล้วดวงตาของเอลเดอร์วิวโลห์ก็สว่างวาบ

“ซ่าห์” น้ำพุ่งออกมาจากพื้นดินรอบๆตัวผมแล้วเข้าห่อหุ้มร่างกายผมไว้ มันคงคิดจะขังผมไว้ในคุกน้ำแบบเดียวกับที่เร็กซ์โดน แต่ว่า..

“ฟ้าววว” ม่านลมรอบตัวผมพัดกระจายน้ำออก แรงลมทำให้ร่างของเจ้าหัวกวางเซถอยหลัง ผมไม่รอช้าฟันดาบผ่ากลางลำตัวมันจนขาดเป็นสองท่อน ท่อนล่างทรุดดลงไปกองที่พื้น ท่อนบนหงายตกลงไปในน้ำ น้ำที่ลอยอยู่ตามการควบคุมของอีกฝ่ายร่วงกลับลงมาตามแรงโน้มถ่วง ทุกอย่างนิ่งสงบ

<เรียบร้อยแล้วสินะ> ผมหันหลังกลับเพื่อเตรียมตัวจะไปช่วยเร็กซ์ต่อ

“ตู้มมมม” น้ำข้างหลังผมระเบิดกระจายออกพร้อมหนวดปลาหมึกทำจากน้ำขนาดยักษ์ฟาดตรงมาที่ผม

“ยังไม่จบง่ายๆสินะ” ผมกระโดดหลบออกมาได้อย่างทันท่วงที

มวลน้ำยกสูงขึ้นมา 5-6 เมตรเป็นร่างกายใหม่ให้กับเอลเอดร์วิวโลห์หัวกวางที่กำลังลอยเป็นแกนกลางอยู่ มีรยางค์ขนาดใหญ่ทำจากน้ำอยู่รอบตัว หัวมันผงกไปมาราวกับกำลังหัวเราะเย้ยผมอยู่ มันเงื้อรยางค์ของมันเตรียมฟาดตรงมาที่ผม

แต่ขอโทษนะ ถ้ามีร่างสองที่เป็นแบบนี้นี่มันจะเข้าทางผมเกินไปแล้ว ผมเองก็แสยะยิ้มออกมา หินสีเหลืองเรืองแสงขึ้นมา ผมรวบรวมพลังเวทออกมาเป็นกระแสไฟฟ้าไว้ที่มือซ้ายดังเปรี๊ยะๆ แสงสีฟ้าจากเบ้าตากะโหลกกวางสว่างวาบ มันคงจะรู้ชะตากรรมแล้วสินะ อีกฝ่ายพยายามแหวกว่ายออกมาจากร่างน้ำนั่น แต่สายไปแล้ว..


“ลาขาดหล่ะที่นี้”


“เปรี้ยงงง” ไฟฟ้าเป็นสายพุ่งตรงจากมือผมไปที่ร่างน้ำขนาดใหญ่นั่น เสียงไฟฟ้าช๊อตดังเปรี๊ยะปร๊าวดังต่อเนื่องตลอดเวลาที่ร่างของเอลเอดร์วิวโลห์หัวกวางนั่นชักกระตุกอยู่ในร่างน้ำของมัน ในที่สุดกะโหลกและร่างไม้นั่นก็สลายเป็นผุยผง เผยให้ดวงแสงสีน้ำเงินที่เป็นแกนกลางพลังเวทย์ของมันอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะดับลงไป

“ฟู่ห์” ผมถอนให้ใจโล่งอกแล้วสงบพลังเวทสายฟ้าของผมลง เตรียมตัวหันหลังกลับเพื่อไปสมทบกับเร็กซ์ ไม่รู้ว่าถึงไหนแล้ว
แต่แล้วคำตอบก็พุ่งเข้ามาหาผมแบบตั้งตัวแทบไม่ทัน

“บรึ้ม” พื้นดินแตกออกมาพร้อมร่างเจ้าหัวแพะพุ่งขึ้นมา มันง้างกรงเล็บที่มือซ้ายที่เหลืออยู่ข้างเดียวหมายจะฉีกร่างของผม เขาหักไปข้าง ร่างกายที่เป็นเนื้อไม้มีรอยดาบเต็มไปหมด

ผมเตรียมจะใช้เวทเพื่อยิงสกัดไว้แต่ความรู้สึกบางอย่างบอกผมไม่ให้ยิงออกไป ผมจึงกระโดดหลบฉากออกมาแทน

“ฉึก” ปลายดาบพุ่งเข้ากลางอกของเจ้าหัวแพะจากข้างหลัง

“อยู่นี่นี่เอง” เป็นเร็กซ์นั่นเองที่พุ่งเข้ามาแทงศัตรู

ทั้งสองลอยไปตามแรงเฉื่อยไปหยุดอยู่ที่ริมผาฝั่งที่ไม่มีน้ำพอดี ร่างของเอลเอดร์วิวโลห์ตนสุดท้ายแน่นิ่งไป กิ่งและรากไม้ตามลำตัวเริ่มแหลกสลาย

“ไม่เลวนี่” ผมกล่าวชม เท่าทีดู นอกจากรอยขีดข่วนที่เกราะแล้วมันก็ไม่มีบาดแผลเลย

“มันแน่อยู่แล้ว เจ้ากำลังพูดอยู่กับใคร อ๊ะ..” พูดไม่ทันจบรยางค์ไม้ที่หลังของซากนั้นพุ่งเข้ารัดตัวอัศวินหนุ่มไว้

ดวงตาผมเบิกกว้างเมื่อเห็นมันทลายพื้นดินที่ทั้งคู่ยืนอยู่จนตกหน้าผาไป ผมพุ่งตัวออกไปหมายจะคว้ามันไว้ แต่ไม่ทันแล้ว

“เร็กกกกกซ์!!!”

..................................................................


ปล1. จริงๆไม่อยากจบตอนแบบนี้แต่มันยาวเกินไปแล้ว เลยขออนุญาตตัดละกันครับ
ปล2. Ref Elder willow จาก Leshen ใน The witcher ครับ
: https://twitter.com/CruisingDog/status/1019846861446832128

หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 15 40%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 28-07-2018 14:57:49
ได้เวลาบู๊แล้ววว รออีกครึ่งค่ะ~

บทบู๊ผ่านมั้ยครับ กลัวยาวอ่านไม่รู้เรื่องจัง

ได้เวลาบู๊แบบเต็มตัว!

ปล. ไม่รู้ว่าคนเขียนจะเคยเล่น skyrim ไหม รูป willow ที่ลงไว้ คล้ายๆ กับ forsworn ใน skyrim เลย

ไม่เคยเล่นครับ แต่เท่าที่ดูจะต่างกันที่อันนึงเป็นคน อีกอันเป็นต้นไม้ครับ
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 15 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 29-07-2018 14:53:27
Chapter 16 Trust

“เร็กกกกซ์” ผมตะโกนสุดเสียงแล้วพุ่งทะยานไปตรงหน้าผา โชคดีที่มันยังอยู่ในระยะเวทลมของผม ผมรีบควบคุมลมไปโอบอุ้มร่างของอัศวินไว้เพื่อชะลอความเร็วให้มัน

“ฉึบ” มันดิ้นจนทะลายรากไม้ที่หุ้มตัวมันไว้หลุดออกได้ ปักดาบลงไปที่หน้าผาแล้วค่อยๆไถลลงไปตามผา

ทำเอาผมลุ้นจนตัวโก่ง จากบนนี้ลงไปถึงพื้นข้างล่างที่เคยเป็นท้องน้ำก็เกือบ 10 เมตร มันหยุดตัวไว้ได้ตอนหล่นลงไปได้เกินครึ่งทางเล็กน้อย

“เห้อ” ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก “ปีนขึ้นมาไหวมั้ย” เวทลมผมคงยกตัวมันขึ้นมาไม่ไหว แถมไม่มีพวกเชือกด้วยสิ

“…” มันไม่ตอบอะไรผม แต่มันดึงดาบออกจากหน้าผาแล้วค่อยๆหย่อนตัวลงไปที่พื้นอย่างปลอดภัย

<แปลกๆแฮะ> ผมสังเกตว่ามันเก็บดาบเข้าฝักแล้วเอามือขวาไปกุมไหล่ข้างซ้ายไว้ <หรือว่ามันโดนเล่นงานเข้า!!!>

“แขนซ้ายข้าชาไปหมดแล้ว” มันตะโกนกลับมาหาผม

“บ้าจริง” ผมสบถ คงจะเป็นเมื่อครู่สินะ พวกนี้มันฤทธิ์เดชเยอะจริงๆ จะตายก็ไม่ตายสักที แต่ถ้าเป็นแบบนี้เร็กซ์ขึ้นมาเองไม่ได้แน่ๆ คงต้องลงไปช่วย

ผมหันไปมองต้นไม้ใกล้ๆที่เป็นรังของมันก็นึกขึ้นได้ว่าต้องจัดการเสียก่อน

“เจ้ารออยู่ตรงนั้นก่อนเดี๋ยวข้าลงไป ขอจัดการเจ้าต้นไม้นี่ก่อน” เร็กซ์พยักหน้าตอบรับ สีหน้าแสดงความกังวลพอสมควร

ผมเดินเข้าไปใกล้ต้นไม้นั้นพลางคิดว่าจะทำยังไงดี ลองใช้ไฟฟ้าจุดไฟเผาดีมั้ย แต่ทันทีที่มือผมสัมผัสมันเข้า รังต้นไม้นั้นก็ค่อยๆแตกสลายไปพร้อมๆกับตัวอ่อนในสภาพคล้ายรังนกเริ่มร่วงโรยลงมาที่พื้นแล้วสลายไป

“เออ สะดวกดีแฮะ” พอจัดการตัวการทั้งสองได้ รังของพวกมันก็สลายไปเอง แต่..

“ครึกๆๆ แอ๊ดๆๆ” เสียงไม้แตกลั่นดังขึ้นต่อเนื่องจากหน้าผา เขื่อนไม้เริ่มบิดเบี้ยวและปริแตก น้ำไหลซึมออกมาตามรอยแยก เขื่อนกำลังจะแตก

ผมนี่อยากจะกัดลิ้นตัวเอง ปากพาซวยแท้ๆ ดันคิดว่าจะจบแบบดีๆแล้วแท้ๆ ในหัวผมเริ่มคิดหาวิธีช่วยเร็กซ์ขึ้นมาให้เร็วที่สุด

“เร็กซ์ วิ่งงงงง” ผมตะโกนสั่งมัน

<เอาไงดีวะๆๆ> หินเวทลมก็หมดเวลาแล้ว หินเวทไฟฟ้ากับไฟก็ทำอะไรไม่ได้ หินเวทน้ำผมก็ไม่สามารถหยุดน้ำปริมาณมหาศาลขนาดนั้นได้ ผมคิดคำนวณพลางออกวิ่งขนานไปกับเร็กซ์ที่จ้ำอยู่ที่ก้นผา

<เอาวะ ใช้วิธีนี้แล้วกัน> ผมคิดได้แผนหนึ่งแต่ต้องหาทางลงไปที่ก้นเหวให้ได้ก่อน

“เร็กซ์ ใช้โอทห์คีปเปอร์เรียกข้าลงไปหาเจ้าเร็วเข้า” ผมตะโกนลงไป คงมีแค่ทางนี้ทางเดียวที่ผมจะลงไปหามันได้โดยไม่ต้องใช้ทรัพยากรอะไร

“เจ้าจะบ้าหรอ จะลงมาตายด้วยกันหรอไง”

“ปากเสียโว้ย ข้าไม่ปล่อยให้ตายหรอกหน่า รีบทำตามที่บอกสิ”

“….”

“ไว้ใจข้าสิ เจ้าบื้อ!!!” เริ่มจะหมดความอดทนละนะ

“วืดดดดด” ทุกอย่างดำมืดไปชั่วขณะ มีเพียงสายโซ่สีทองที่เข้ารัดตัวผมส่องประกายวิบวับ รู้ตัวอีกทีผมก็ยืนอยู่ข้างๆเร็กซ์แล้ว

“เอ้า เรียกมาแล้วไง อย่าเหม่อสิ” มันกระชากแขนผมให้ออกวิ่งไปพร้อมกัน “มีแผนอะไร”

“วิ่งตรงไปเถอะน่า” อีกนิดเดียวพวกเราก็จะถึงจุดที่เป็นน้ำตก

“โครม” เสียงเขื่อนพังทลายดังสนั่น น้ำเริ่มไหลไล่ตามพวกเรามา

“แฮ่กๆ เอาหล่ะ กระโดด” ผมสั่งทันทีที่เราถึงริมผา ต่อสู้เสร็จก็วิ่งเต็มฝีเท้าติดต่อกัน 500 เมตรแบบนี้เล่นเอาหอบเหมือนกัน

“เจ้าจะบ้าหรอ รอส ความสูงขนาดนี้ ปริมาณน้ำแค่นั้นตกลงไปกระแทกหินตายพอดี” มันเถียง

แต่มันใช่เวลามั้ย เพื่อประหยัดเวลาผมเลยจัดการถีบมันลงไปซะเลย

“เหวออออออ” มันร้องลั่น ถ้าเป็นเวลาอื่นผมคงขอยืนขำสักแปบ แต่เพราะมันไม่มีเวลา ผมรีบกระโดดตามมันลงไป

จริงอยู่การกระโดดจากที่สูงเกือบ 20 กว่าเมตร ลงไปในน้ำที่ลึกแค่ 1-2 เมตรนี่อาจจะตายได้ แต่ถ้าไม่มีแผนผมไม่เสี่ยงหรอก

เมื่อร่วงลงไปได้ระยะที่เหมาะสมผมเปิดใช้งานหินเวทน้ำของผม น้ำในแอ่งเบื้องล่างเริ่มหมุนวนบิดเป็นเกลียวขึ้นมากลางอากาศกลายเป็นเสาน้ำสูงเกือบ 5 เมตร ความกว้างเพียงพอที่จะรองรับคน 2 คน เท่านี้ก็ชดเชยความสูงของน้ำที่รองรับพวกเราได้แล้ว

“ตูมมมม” ร่างของเราทั้งสองจมลงไปในเสาน้ำของผม เมื่อความเร็วของพวกเราหยุดนิ่งด้วยแรงต้านของน้ำผมรีบคว้าคอเสื้อของเจ้าอัศวินไว้ แล้วควบคุมให้น้ำดีดตัวพวกเราออกไปที่ฝั่งทันที

อาจจะด้วยน้ำหนักตัวและน้ำหนักเกราะของเร็กซที่มากกว่าที่คิดทำให้ผมเสียการทรงตัวกลางอากาศหงายล้มเอาหลังลงพื้น ส่วนเจ้าเร็กซ์ก็ร่วงลงมาคร่อมผมพอดี

“แค่กๆๆ เจ้ามันบ้า” นอกจากสำลักน้ำใส่หน้าผมแล้วยังว่าผมได้อี๊ก กรุช่วยคุณมึงไว้นะ

ผมกรอกตามองบนพลางเอามือเช็ดหน้า แต่แล้วผมก็ฉุกคิดได้

“ครืนนนนน” เสียงดังจากเบื้องบนทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่ายังไม่จบ ผมเอาแขนคล้องคอและหลังของคนบนตัวผมแล้วดึงมันเข้ามานอนแนบตัวผมไว้ น้ำรอบตัวก่อตัวเป็นโดมน้ำแข็งเล็กๆครอบตัวเราสองคนไว้

“เฮ้ยย ทำอะไร” มันดิ้นขลุกขลัก

“อยู่นิ่งๆเงียบๆหน่า” ผมว่าเสียงดุ แล้วกระชับวงแขนแน่น

“ตูมมมม ซ่าาาาห์ โคร่มมม คร่ามมมม” เสียงน้ำไหลทะลักจากหน้าผาลงมากระแทกแอ่งน้ำเมื่อครู่อย่างรุนแรง เศษซากเขื่อนไม้ของพวกเอลเดอร์วิวโลห์กระเด็นกระดอนไปมาเสียงดังสนั่น บางส่วนเข้ามากระทบโดมน้ำแข็งของผมจนร้าว ผมต้องเสริมพลังเวทเข้าไปอีก

สักพักทุกอย่างก็เงียบสงบลงเหลือแต่เพียงเสียงน้ำตกที่คืนกลับมาดังเดิม ผมละลายน้ำแข็งออก แล้วนอนแผ่หลาหมดแรง
“นี่มันหนักนะ ลุกไปได้แล้ว”

“….” เร็กซ์ไม่ตอบอะไร เจ้าอัศวินไม่ยอมขยับตัว เอาแต่นอนนิ่งอยู่บนอกผมแล้วจ้องหน้าผมตาปริบๆ ด้วยความรำคาญ ผมเอามือยันหน้ามันออกแล้วผลักให้มันพลิกตัวออกไป

“เห้อ ขอบใจนะที่ไม่ทิ้งกัน” มันถอนหายใจโล่งอกแล้วทิ้งตัวลงนอนไปต่างจากผม

“ก็บอกแล้วไงว่าให้เชื่อใจข้า”

“จะทำอะไรก็บอกกันก่อนบ้าง เซ่”

“ฮ่าๆๆ เป็นยังไงหล่ะคุณชาย ได้ออกมาเสี่ยงภัยนอกเมืองหลวงตื่นเต้นดีมั้ยหล่ะ”

“หึหึ ก็ไม่เลว”

พวกเรานอนหัวเราะให้กับประสบการณ์เฉียดตายและพักผ่อนด้วยกันอยู่สักพักก่อนจะเดินทางกลับด้วยสภาพเปียกปอนไปทั้งตัว
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 16 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 29-07-2018 17:52:20
พอได้สู้ร่วมกัน ดูทั้งคู่จะได้เรียนรู้นิสัยใจคอ สไตล์การต่อสู้ระหว่างกันมากขึ้น
ดูเข้ากันได้ดีแบบแปลกๆ
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 16 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: nevergoodbye ที่ 30-07-2018 09:01:11
อ่านเพลินดีค่ะ ขอเข้าร่วมปาร์ตี้ด้วยคน  o18

ชอบตัวเอกทั้งสองตัว รอสก็ธรรมาชาติ มุกก็ขำนะ ไม่แป้ก  :laugh:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 16 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 31-07-2018 11:16:44
16.2

ณ บ้านพักของซิด

กว่าพวกเราจะลงมาถึงตีนเขาก็เป็นเวลาบ่ายแก่ ในใจผมนึกถึงแต่อาหารฝีมือคุณลินดาที่ผมไม่ได้ทานมานาน ก็จะให้ทำยังไงได้ เดินขึ้นเขาสูง ต่อสู้เสี่ยงตาย วิ่งกระโดดน้ำตก แล้วยังต้องเดินทางกลับอีกมันกินแรงเยอะนะ เสบียงที่เตรียมไปก็มีแต่อาหารแห้งไม่มาก มันไม่อิ่มหรอก และไม่อร่อยด้วย

ทันทีที่ก้าวขาพ้นพุ่มไม้เข้ามาในลานโล่งหน้าบ้านไม้ของอาจารย์ซิด พวกผมก็ต้องตกใจ ชาวบ้านมากมายหลายคนพุ่งตรงเข้ามาขอบคุณพวกเรา พวกเขาต้อนรับพวกเรากลับอย่างดี หญิงสาววัยใสหลายคนวิ่งเข้าไปล้อมรอบเร็กซ์จับไม้จับมือขอบคุณที่ช่วยเหลือหมู่บ้านไว้ ส่วนผมก็มีคนมายื่นผ้าขนหนูมาให้เช็ดเนื้อเช็ดตัวแล้วกล่าวขอบคุณผมเช่นกัน เอ หน้าตาก็เข้าที รูปร่างก็โอเค มีผมขาวแซมเล็กน้อย หรือว่าคืนนี้ผมจะไปค้างที่อื่นดีนะ หึหึ

“อ๊ะ จริงสิ” ผมอุทานเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเจ้าอัศวินโดนพิษอยู่นี่หน่า ผมต้องแหวกเหล่าชาวบ้านเข้าไปขอตัวมันออกมาเพื่อไปให้คุณลินดาดูอาการและรักษา กว่าจะดึงตัวออกมาได้เล่นเอาเหนื่อยอยู่

“โห ผิดคาดแฮะ นึกว่าเจ้ารอสจะสะบักสะบอมกว่านี้” นี่เป็นประโยคแรกที่อาจารย์ทักพวกผม มือหนึ่งรองคางทำหน้าพินิจ อีกข้างลูบหัวนีน่าที่นอนอยู่บนตัก “แล้วทำไมปล่อยให้คุณชายโดนเล่นงานได้ ฮะ” ท่านเอ็ดผมเมื่อเห็นสภาพเร็กซ์

“นี่พากลับมาได้ชิ้นนึงก็บุญละนะ” ผมเถียง

“ผมประมาทพลาดเองแหละครับ” เร็กซ์ยิ้มแห้ง เอามือมาเกาแก้ม

“ไหนๆ ให้ฉันดูอาการหน่อย” คุณลินดารีบวิ่งมาจากห้องครัวแล้วพาเร็กซ์ไปนั่งเพื่อดูอาการ

“เก่งมาก” เสียงพึมพำเบาๆจากอาจารย์ซิด ผมได้ยินไม่ค่อยถนัดนัก

“หา! อะไรนะครับ พูดดังๆหน่อย” ผมยียวน เอามือป้องหูตั้งใจฟัง

“พูดครั้งเดียว ฟังไม่ทันก็ช่วยไม่ได้”

“โหยยย” ผมร้องโวย

“เดี๋ยวพวกชาวบ้านจะทำอาหารมาให้เป็นการตอบแทน เจ้าไปล้างตัวพักผ่อนก่อนไป”

“แล้วพวกนักผจญภัยคนอื่นๆหล่ะครับ” ผมทางพลางปลดเกราะและอาวุธมาวางไว้

“ลินดาปรุงยาและถอนพิษให้เรียบร้อยแล้ว นี่ไล่ให้ไปนอนในหมู่บ้าน เจ้ากับเร็กซ์ไปใช้ห้องเก่าของเจ้าแล้วกัน”

“โอ้ ห้องผมยังอยู่ดีหรอเนี่ย ผมนึกว่าโดนรื้อไปไม่ก็เป็นห้องเก็บของไปแล้วซะอีก”

“เจ้าไปดีๆหรือจะไปนอนในโรงนาฮะ” ซิดว่าเสียงดุด้วยความรำคาญ

“คร้าบบบ” ผมลากเสียงยาวแล้วเอาสัมภาระไปเก็บ นึกถึงบรรยากาศเก่าๆเหมือนกันแฮะ ถ้าได้ก็อยากจะอยู่กับอาจารย์แบบนี้
แต่... มันไม่มีที่ให้ผมหรอก

.................................................................................

ตกเย็น

“จุดหมายของพวกเจ้าคือป่าจันทราหรอกรึ” อาจารย์ซิดกล่าวขึ้นมาขณะนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะอาหารหลังจากฟังที่มาที่ไปของผมกับเร็กซ์

พอตกเย็นพวกชาวบ้านก็ยกอาหารมาให้มากมายเพื่อเป็นการขอบคุณ ส่วนหนึ่งแบ่งให้นักผจญภัย 3 คนนั้นทานในพื้นที่ที่จัดให้ในหมู่บ้าน อีกส่วนแบ่งให้พวกผมและครอบครัวของอาจารย์

“ใช่แล้วครับ” เร็กซ์ขานตอบขณะกำลังตักซุปเนื้อเข้าถ้วย

“งั้นก็พอดีเลย ข้ากับรอสเคยเข้าไปหาของป่ามาก่อน มันน่าจะช่วยเจ้าได้มาก” ผมนั่งแทะขนมปังฟังอาจารย์ผมสนทนาเงียบๆ
 
“อีก 5 วันก็คืนเดือนมืดแล้ว หมอกเวทมนต์ของป่าจะคลายอำนาจลง กว่าจะเดินทางไปถึงก็ 4 วัน พวกเจ้าน่าจะเข้า-ออกได้ทัน”

“ที่แท้ฤกษ์ยามที่เจ้าว่าไว้คือคืนเดือนมืดหรอกหรอ” มันหันมาถามผม

“อืม” ผมว่าพลางยื่นมือไปหยิบเนื้อไก่ในถาด

ป่าจันทราคือป่าต้องห้ามทางตะวันออกใกล้ชายแดนของประเทศ ที่ขึ้นชื่อว่าป่าต้องห้ามเพราะว่ากันว่าผู้คนที่เข้าไปจะไม่มีวันออกมาได้ หมอกของป่าจะสร้างภาพลวงตาให้กับผู้บุกรุกที่ย่างกรายเข้าไป แม้แต่จอมเวทที่มีฝีมือและจิตใจที่แข็งแกร่งถ้าได้รับผลของหมอกนานๆก็แย่เอาได้ มีน้อยคนที่รู้ว่าเวทมนต์ของป่ามาจากแสงของดวงจันทร์ ทำให้ช่วงเวลา 1-2 วันก่อนและหลังคืนเดือนมืด หมอกเวทมนต์จะเสื่อมพลังลง สามารถเข้าออกไปหาของป่าหายากได้ แต่ถึงกระนั้นก็ยังต้องระวังพวกมอนสเตอร์และสัตว์ป่าดุร้ายอยู่

“อะไรกัน ทำไมเจ้าให้ข้อมูลนายจ้างไม่ครบ” ไม่ว่าเปล่า เอาส้อมมาตีมือไม่ให้หยิบอาหารอีก

“นั่นสิ เจ้าชอบมีอะไรปกปิดข้าตลอด” อ่าวรุมกันซะงั้น

“ก็ท่านสอนข้าเองหนิ ว่าเวลานำทางให้ให้ข้อมูลเท่าที่จำเป็น” ผมเถียงพลางเอาส้อมไปจิ้มไก่

“อย่ามาเถียงข้านะ เจ้าเด็กเมื่อวันซืน” คราวนี้เอาส้อมมากันผมออก

โอเค ผมยอม ไม่กินก็ได้ ผมวางส้อมลงแล้วเบือนหน้าหนี เอามือเท้าคางด้วยความเซ็ง

“ก็ตั้งใจจะบอกตอนใกล้ถึงอยู่แล้ว ไม่ได้จะปิดสักหน่อย” ผมพูดเบาๆ

“หึหึ” ผมหันไปมองเร็กซ์หัวเราะในลำคอเบาๆ แต่มือก็ตักไก่มาวางไว้ให้ผม

“หึ” แล้วก็จิ้มไก่เข้าปาก

“ยังไงก็เถอะ เดินทางผ่านป่าเอเดน 3 วัน เตรียมตัวไว้ให้ดีหล่ะ ป่านั่นไม่ใช่ธรรมดา” อาจารย์เตือนพวกผม

“รู้แล้วแหละหน่า” ผมตอบแบบส่งๆไป ก็เคยเดินทางผ่านกับอาจารย์มาบ้างแล้ว ไม่ค่อยมีอะไรน่ากลัวขนาดนั้นหรอก

เมื่อทุกคนรับประทานอาหารเสร็จก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน เร็กซ์เข้าไปนอนพักในห้องตามคำสั่งของคุณลินดา ส่วนผมขอตัวออกมาสูดอากาศข้างนอก ผมเดินเล่นไปตามทางริมลำธารเรื่อยๆเพื่อนึกถึงบรรยากาศเก่า ผมตรงไปยังโขดหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งที่ผมมักจะมานั่งเล่นประจำ

ถึงจะบอกว่ามานั่งเล่นประจำ แต่จริงๆแล้วคือผมต้องออกมาหาที่นั่งรอเป็นประจำต่างหาก...
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 16 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 31-07-2018 11:18:22
พอได้สู้ร่วมกัน ดูทั้งคู่จะได้เรียนรู้นิสัยใจคอ สไตล์การต่อสู้ระหว่างกันมากขึ้น
ดูเข้ากันได้ดีแบบแปลกๆ

แปลกๆนี่ทางบวกหรือลบอ่ะครับ

อ่านเพลินดีค่ะ ขอเข้าร่วมปาร์ตี้ด้วยคน  o18

ชอบตัวเอกทั้งสองตัว รอสก็ธรรมาชาติ มุกก็ขำนะ ไม่แป้ก  :laugh:

ยินดีต้อนรับครับ
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 16 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 31-07-2018 21:44:14
ที่ว่าแปลกๆ คือ ทั้งสองคนเคมีมันดูไม่น่าจะเข้ากันได้เลย แต่พออยู่ด้วยกัน สู้ด้วยกันกลับรู้สึกว่ามันลงตัว แต่ละคนเติมสิ่งที่ขาดให้กัน ซึ่งก็คือแปลกในทางดีน่ะเอง  :hao3:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 16 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 01-08-2018 23:39:34
ตอนที่ 15.2 - การต่อสู้เริ่มประสานกันได้ดีแล้ว ต่างจากตอนบู๊ปกป้องคาราวานพ่อค้าละ

ตอนที่ 16 - แอบมีโม้เม้นต์กันนิดๆ

ตอนที่ 16.2 - เหมือนจะได้กลิ่นดราม่า.... // บู๊มาเหนื่อยๆก็หาผู้ชายแล้วหรอรอส! ควรเอาอย่างเร็กซ์ที่นอนพักผ่อนอยู่บ้านบ้าง 5555

ขอบคุณที่อัพค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 16 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 02-08-2018 08:21:43
 :pig4:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 16 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 02-08-2018 11:50:51
 :pig4:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 17 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 02-08-2018 13:43:16
เขียนแบบนี้ครั้งแรกกลัวจะสื่ออารมณ์ไม่ได้ใส่เมโลดี้มาบิ้วหน่อยละกัน

https://youtu.be/T81VosqjBzc

Chapter 17 Dear master

ท้องฟ้ามืดมิดยามค่ำคืนมีเมฆก้อนบางๆตัดผ่าน หมู่ดาวมากมายส่องแสงระยิบระยับ เงาพระจันทร์เสี้ยวกระทบพื้นน้ำไหลเอื่อยๆของลำธารกว้าง เสียงน้ำไหลคลอเบาๆไปกับเสียงต้นหญ้าสีกัน ลมเย็นๆพัดโชยกระทบผิวจนต้องกระชับเสื้อนอกให้แน่นขึ้น บรรยากาศช่างเปล่าเปลี่ยวเหลือเกิน

ผมล้มตัวลงนอนบนพื้นหญ้าข้างลำธารใหญ่ของหมู่บ้าน สายตาทอดไปบนท้องฟ้าที่มีหมู่ดาวมากมาย ชวนให้นึกถึงบรรยากาศเก่าๆ ตั้งแต่อาจารย์ของผมตัดสินใจลงหลักปักฐานที่นี่ ที่ตรงนี้คือที่ๆผมมักจะออกมานั่งเพื่อเปิดช่องว่างให้อาจารย์ได้อยู่กับภรรยาของท่าน ไม่สิ…ตั้งแต่ท่านกำลังเกี้ยวพานคุณลินดา หรือจะใช้คำว่าเกาะแกะดี ฮ่าๆๆ

ผมจำต้องเดินทางออกจากบ้านตั้งแต่อายุ 12 ปี ทั้งๆที่เตรียมตัวออกมาดีระดับนึง อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจเพราะมีถุงมือเวทและสายรัดข้อมือเวทฟื้นฟูติดตัวออกมาด้วย ผมกลับอยู่รอดได้แค่ 3 วัน อาหารหมด หาเพิ่มก็ไม่ได้ หินเวทก็ใช้พร่ำเพรื่อ สุดท้ายผมเกือบตกเป็นอาหารของพวกหมาป่า ขณะที่ผมกำลังนอนรอความตายจากคมเขี้ยวของหมาป่าที่กระโจนเข้ามาใส่นั่นเอง ลูกธนูปริศนาพุ่งเจาะกะโหลกหมาป่าตัวนั้น พรานป่าร่างสูงปราดเปรียวสมส่วนผมดำยาวปรากฏตัวขวางหน้าผมไว้

ซิดคือคนที่ช่วยชีวิตผมไว้ ตอนแรกท่านจะพาผมไปส่งที่หมู่บ้านใกล้ๆ แต่พอทราบว่าผมไม่มีบ้านหรือใครให้กลับไปหาแล้ว ท่านจำใจรับผมเป็นลูกศิษย์

“ข้าจะสอนวิธีเอาตัวรอดให้ จากนั้นก็ตัวใครตัวมัน” นั่นคือคำอนุญาตให้ติดตามท่านได้

ผมออกติดตามท่านไปทุกหนทุกแห่ง เรียนรู้วิธีหาของป่า การเก็บสมุนไพร พฤติกรรมสัตว์ป่าและมอสเตอร์หลากชนิด การแกะรอย การต่อสู้และการเอาตัวรอด แม้แต่เรื่องการใช้เวทมนต์ที่ท่านใช้ไม่เป็น ท่านก็ใช้ประสบการณ์ที่ท่านพบเจอมาคิดวิธีใช้งานให้ รู้ตัวอีกทีก็ผ่านมา 4 ปีแล้ว เป็นช่วงเวลาที่สนุกที่สุดในชีวิตของผมเลยก็ว่าได้ ท่านคือคนที่เติมเต็มความกระหายการผจญภัยของผม ท่านคือโลกทั้งใบของผม

“มาแอบนอนตรงนี้เหมือนเดิมเลยนะ รอส” เสียงทุ้มต่ำทักขึ้นจากข้างหลัง เล่นเอาผมสะดุ้ง อาจารย์ซิดนั่นเอง

“อาจารย์มาทำอะไรหรอครับ”

“มีเรื่องอยากคุยด้วย ไม่มีโอกาสให้ได้คุยกันดีๆสักที”

<จะโดนขุดเรื่องอะไรมาดุอีกมั้ยเนี่ย> ผมรีบดีดตัวลุกขึ้นมานั่งเมื่ออาจารย์นั่งลงข้างๆผม

“จะเริ่มยังไงดี…” แสงอ่อนๆของพระจันทร์ทำให้เห็นว่าอาจารย์มีสีหน้าประหม่า

“…”

“ข้าขอโทษ”

“…? เรื่องอะไรหรอครับ” ผมงง งงมากด้วย

“เรื่องที่ทำให้เจ้าอึดอัดจนเจ้าต้องปลีกตัวออกไป”

“แหม…แค่นั้นเองไม่เห็นจะมีอะไรเลย ก็อาจารย์เริ่มสร้างครอบครัวแล้วหนิครับ ผมก็ต้องกางปีกออกโบยบินเองบ้าง”

“ข้ารู้ว่าเจ้าคิดกับข้ามากกว่าศิษย์กับอาจารย์”

“มันก็ปกตะ…หะ หา!” ผมโพล่งออกมาแล้วกระเด้งตัวหนีด้วยความตกใจ เห้ย! นี่ตั้งตัวไม่ทันจริงๆนะเนี่ย “ก...ก็ท่านดูแลผม…มะ…มาตลอดนี่ครับ ท่านก็...หม...เหมือนพ่อของผม” ผมรีบกลั้นหายใจอธิบายจนลิ้นพันกัน เสียงตะกุกตะกัก

“เจ้ารักข้าใช่ไหม รอส” อาจารย์หันมามองผมด้วยสีหน้าจริงจัง

“หะ… ปะ…ปละ…เปล่านะ” ผมโบกไม้โบกมือปฏิเสธพันลวันโชคดีจริงๆที่คืนนี้แสงน้อยไม่งั้นท่านคงเห็นว่าผมหน้าแดงหมด

“ไม่ต้องมาโกหก เจ้าหน้าแดงหมดแล้วเนี่ย” โว้ยยยย อยากจะหนีไปโดดน้ำตาย สายตาพรานป่าต้องเห็นอยู่แล้วสินะ

“…” ผมเอามือปิดหน้าแล้วหันหนี

“ข้าขอโทษที่ไม่รู้ตัวให้มันเร็วกว่านี้ นี่ถ้าลินดาไม่มาคุยด้วยหลังจากที่เจ้าไปแล้วข้าก็คงไม่ทันสังเกต ข้าล้มเหลวในฐานะอาจารย์จริงๆ”

“…” ผมมีคำพูดมากมายจุกอยู่ในอก แต่ไม่รู้ว่าจะเรียบเรียงออกมายังไง ได้แต่ก้มหน้าลงมองเงาสะท้อนดวงจันทร์ที่ลำธาร

<มันไม่เป็นอะไรจริงๆครับ ผมเข้าใจ> คือสิ่งที่ผมอยากจะพูด

“ข้าขอโทษที่ละเลยเจ้า ซ้ำร้ายยังให้เจ้าเป็นสื่อกลางให้อีก” ท่านคงหมายถึงเรื่องที่ให้ผมเอาของขวัญไปส่งให้คุณลินดาทุกครั้งหลังออกล่าเสร็จ

จู่ๆดวงตาผมก็รู้สึกร้อนผ่าว ไม่เอาน่า มันผ่านมาแล้ว เราจะไม่ร้องไห้ให้กับเรื่องนี้แล้ว คือสิ่งที่ผมบอกกับตัวเองตั้งแต่วันที่ก้าวออกมา ภาพที่ผมนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ที่นี่คนเดียวซ้อนทับกลับขึ้นมา

“และข้าก็ขอโทษที่ไม่สามารถเป็นคนรักให้กับเจ้าได้…”

“พอแล้ว!!” ผมทนไม่ไหวแล้ว ผมพุ่งตัวเข้าไปกอดท่านไว้ น้ำใสๆไหลรินออกจากดวงตา “ฮึก…พอแล้ว ท่านไม่ต้องขอโทษอะไรแล้ว” เสียงของผมสั่นเครือ

“…” ท่านเอาแขนมาโอบตัวกอดผมไว้แนบอก

“ฮึก…ผมเข้าใจดี ผมเข้าใจดีว่า…ฮึก…ไม่สามารถฝืนใจใครได้ ผมจึงขอเดินออกมาเอง” ผมสะอื้นจนตัวสั่น มีอ้อมกอดอุ่นๆของอาจารย์ประคองผมไว้ ท่านขยี้หัวผมเบาๆ

“เพราะเรื่องนี้ใช่ไหม เจ้าถึงลงเอยด้วยการไปเข้าร่วมกลุ่มโจรกลุ่มนั้น”

“…” ผมไม่ตอบอะไร ได้แต่พยักหน้าเบาๆ

ผมใช้ประกาศกิลที่รวมคนไปที่ตอนใต้เพื่อสำรวจดันเจี้ยนเป็นข้ออ้างในการแยกตัวออกมา ช่วงเวลาที่ผมเศร้าโศกเสียใจอยู่นั่นเอง ผมได้รู้จักกับชายคนหนึ่ง เขาเข้ามาตีสนิทผม ให้ความเป็นกันเองกับผม และเป็นคนแรกที่สอนให้ผมรับรู้ความสุขทางกาม ผมคิดว่านั่นคือความรัก ใช่...มันคือความคิดที่ไร้เดียงสา ผมมารู้ทีหลังว่าเขาเป็นหัวหน้ากลุ่มโจรกลุ่มหนึ่งแฝงตัวมาขโมยของ แต่เพื่อความรักแล้ว ผมยอมทำทุกอย่างเพื่อแลกกับรสกามของเขา ผมยอมปล้นขบวนสินค้า ขโมยของมีค่าจากพวกขุนนาง เหลือเพียงการฆ่าคนที่ผมยังทำไม่ได้

“เห้อ ข้าเองก็เอะใจที่เจ้าไปเป็นหัวขโมยได้ ทั้งๆที่เจ้าเป็นคนที่จิตใจอ่อนโยนแท้ๆ เจ้าต้องไปคลุกคลีกับคนแย่ๆพวกนั้นเพราะข้า ข้านี่เป็นอาจารย์ที่แย่จริงๆ”

“ไม่หรอกครับ ผมผิดเอง” มันไม่ใช่ความผิดของอาจารย์เลย เป็นผมที่อ่อนแอต่างหาก

“ถึงข้าจะเป็นคนที่เจ้าต้องการไม่ได้ แต่ข้าก็อยากให้เจ้าได้อยู่กับคนดีๆนะ รอส” ท่านกระชับอ้อมแขนเพื่อส่งผ่านความห่วงใยมาให้ผม ความอบอุ่นที่ผมโหยหามาตลอด ความอบอุ่นที่ไม่เคยมีชายคนไหนที่ผมหลับนอนด้วยให้ได้

“ขอบคุณนะครับ ที่ยังเชื่อมั่นในตัวผม” ผมเองก็กระชับกอดตอบกลับไป มันอบอุ่นต่อหัวใจผมเหลือเกิน

“เอาล่ะ เลิกร้องไห้ได้แล้ว เจ้าเด็กน้อย กลับกันเถอะ” ท่านอาจารย์ของผมกล่าวพร้อมเอานิ้วปาดน้ำตาที่ขอบตาของผมอย่างอ่อนโยน

<ขอบคุณท่านจริงๆที่รับผมเป็นศิษย์ไว้ และขอบคุณโชคชะตาที่ให้ผมได้พบท่าน>

………………………………………….

รุ่งเช้า ณ ประตูทางเข้าหมู่บ้านเครสเซนต์

“พวกผมไปละนะครับ อาจารย์” ผมลาซิดและลินดาที่เดินออกมาส่ง

“ขอบคุณที่ดูแลและให้ที่พักครับ” เร็กซ์โค้งคำนับขอบคุณ

“ด้วยความยินดีจ่ะ” คุณลินดามอบรอยยิ้มอบอุ่นให้

“อาหารของคุณบินดาอร่อยมากเลยครับ”

“ฮ่าๆ แหม ปากหวานแบบนี้แวะมาทานอีกได้เลยนะ เร็กซ์”

“เจ้าแวะมาได้เสมอนะ รอส ที่นี่ก็เหมือนบ้านของเจ้า” อาจารย์ซิดเดินเข้ามาเอามือลูบหัวผม “แล้วก็นี่...” ท่านโยนถุงบางอย่างใส่หน้าผมจนผมต้องรีบยกมือมารับไว้

“นี่มัน...” ถุงเงิน หนักซะด้วย

“ค่าตอบแทน”

“หวา ผมมาช่วยนิดเดียวเอง แถมยังมีนักผจญภัยพวกนั้นด้วย”

“รับๆไปเหอะ ชาวบ้านเค้ารวบรวมมาตอบแทน”

“งั้นก็ขอบคุณครับ”

ผมกับเร็กซ์ขึ้นม้าแล้วเริ่มออกเดินทางต่อ พวกเราโบกไม้โบกมือร่ำลาทุกคน

“อย่าไปก่อเรื่องอีกล่ะ ไม่งั้นข้าตามไปเก็บกลับมาแน่ๆ” ท่านตะโกนทิ้งท้ายมา

“ไม่รับประกันหรอกนะครับ ฮ่าๆๆ” ผมตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มยียวน

“ผมไม่ให้ไปก่อเรื่องหรอกครับ วางใจได้” เร็กซ์ตะโกนแทรกขึ้น

“หะ!!!” ผมต้องหันไปมองด้วยความแปลกใจ อะไรของเจ้านี่เนี่ย


......................................................


ช่วงเที่ยงๆ ณ ทางเดินในป่าเอเดนฝั่งเหนือ

“เจ้าไม่คิดอยากเข้าเรียนในโรงเรียนเวทมนต์บ้างหรอ ข้าพอมีเส้นสายฝากเจ้าได้นะ” จู่ๆเร็กซ์ก็ถามขึ้นมาหลังจากที่พวกเราเริ่มเดินเข้าป่ามาได้สักพัก ผมเดินนำหน้า ถัดมาเป็นเร็กซ์ที่จูงบังเหียนเจ้าฟรีดอยู่

“ทำไมถึงถามขึ้นมา”

“เจ้ามีความสามารถ ถ้าไปร่ำเรียนเวทมนต์ให้เชี่ยวชาญล่ะก็ สามารถออกไปช่วยเหลือผู้คนได้มากมายเลยนะ”

“ตอนนี้ข้าว่าข้าก็ช่วยเหลือผู้คนอยู่นะ”

“ทำในสังกัดราชการจะได้มีเกียรติไง”

“ให้ข้ากลับไปเรียนอีกน่ะหรอ ไม่เอาหรอก”

“ว่าไงนะ”

“ปะ..เปล่า ข้าหมายถึงให้ไปเรียนเพื่อไปเป็นสุนัขรับใช้ วิ่งไปวิ่งมาตามคำสั่งนะหรอ ไม่เอาล่ะ ข้าชอบเลือกงานตามความพอใจและเงื่อนไขที่เหมาะกับตัวเองมากกว่า มีอิสระดี” ผมอธิบาย

<เกือบหลุดออกไปแล้วมั้ยล่ะ>

“หนอย! เรียกให้มันดีๆหน่อย เจ้าไปเอามาจากไหน แล้วทำไมจะไม่เหมาะกับความสามารถล่ะ ปกติคนจ่ายงานก็มักจะเลือกงานที่เหมาะอยู่แล้ว” มันเถียงผมต่อ

“ก็พอได้ยินมาบ้าง แล้วงานที่เจ้าว่ามันทั่วถึงพื้นที่ห่างไกลแบบนี้มั้ยล่ะ” ผมโต้กลับไป

“...” เร็กซ์เงียบไป ไม่ใช่แค่เสียงพูดแม้แต่เสียงฝีเท้าก็หายไป

ผมนึกแปลกใจแล้วหันกลับไปดู เห็นฟรีดกำลังเดินไปดอมดมดอกไม้ใกล้ๆทางเดิน โดยมีเร็กซ์หยุดยืนดูอยู่ เมื่อผมสังเกตดีๆว่าเป็นดอกไม้รูประฆังคว่ำมีกลีบดอกสีเหลืองทองผมก็ต้องผวาแล้วรีบไปดึงฟรีดให้ออกห่าง

“อย่าไปเข้าใกล้นะ” ผมรีบแย่งสายจูงจากมือเร็กซ์แล้วดึงม้าออกห่าง ขืนโดนเกสรมันเข้าล่ะยุ่งแน่

“ทำไม มีพิษหรอ” อัศวินถามด้วยความสงสัยก่อนจะช่วยดึงม้าออกมาแล้วออกเดินต่อ

“ดอกฮอร์นีเลีย (Hornylia) น่ะ จะว่าพิษก็ไม่ใช่ สมุนไพรก็ไม่เชิง” ผมตอบแบบส่งๆ ปกติดอกนี่จะอยู่แต่ป่าเอเดนฝั่งใต้ แต่จะมีข้ามมาบ้างก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ แค่ไม่นึกว่าจะมาถึงต้นทางเข้าแบบนี้

“มันทำอะไรได้หรอ”

“ข้าว่าเจ้าไม่อยากรู้หรอก แค่อย่าไปโดนเกสรมันเข้าละกัน” อันที่จริงแค่ชื่อก็น่าจะพอเดาได้ละนะ แต่ลืมไปว่ามันใสซื่อเกินไป


...................................................................

ประกาศ : เนื่องจากผู้แต่งจะเดินทางไปธุระ 2 อาทิตย์ โดยไม่ได้พกโน้ตบุ๊คไปทำให้อาจจะลงตอนต่อไปไม่สะดวกนัก แต่เพราะมันเป็นตอนที่ 18 เลยไม่อยากให้มันขาดไปนาน ยังไงอาจจะลงให้แบบไม่ได้จัดรูปหน้าไปก่อนแล้วค่อยกลับมาแก้ตอนกลับมาแล้วนะครับ

ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ



หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 16 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 02-08-2018 13:53:26
ที่ว่าแปลกๆ คือ ทั้งสองคนเคมีมันดูไม่น่าจะเข้ากันได้เลย แต่พออยู่ด้วยกัน สู้ด้วยกันกลับรู้สึกว่ามันลงตัว แต่ละคนเติมสิ่งที่ขาดให้กัน ซึ่งก็คือแปลกในทางดีน่ะเอง  :hao3:

ขอบคุณค้าบบ เขียนแล้วคนอ่านเข้าใจสิ่งที่จะสื่อแล้วรู้สึกดีมากก

ตอนที่ 15.2 - การต่อสู้เริ่มประสานกันได้ดีแล้ว ต่างจากตอนบู๊ปกป้องคาราวานพ่อค้าละ

ตอนที่ 16 - แอบมีโม้เม้นต์กันนิดๆ

ตอนที่ 16.2 - เหมือนจะได้กลิ่นดราม่า.... // บู๊มาเหนื่อยๆก็หาผู้ชายแล้วหรอรอส! ควรเอาอย่างเร็กซ์ที่นอนพักผ่อนอยู่บ้านบ้าง 5555

ขอบคุณที่อัพค่ะ  :pig4:

Ross : ฮือ ทำไมมีแต่คนคิดว่าผมคิดแต่เรื่องผู้ชาย
ผู้แต่ง : นายมันคนบาปไง

ขอบคุณที่ติดตามครับ

:pig4:


ขอบคุณที่ติดตามครับ

:pig4:


ขอบคุณที่ติดตามครับ
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 17 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 05-08-2018 02:21:42
ตามมาสักพักแล้ว สนุกดีค่ะ เวลาราอ่านไม่ได้จิ้นไปขนาดถึงบาร่า แต่ดีแล้วบาร่าเกินไปเราจะขนลุก5555 เอาพอดีๆ

ปล.ตอนที่แล้วมีคำผิดว่า "หน้ากลัว>>>น่ากลัว เขียนคำหลังนะคะ" จริงๆเรื่องพิมพ์ผิดเราไม่ได้ติดใจอะไรขนาดนั้น แต่ใช้ผิดนี่อยากให้แก้ไขนะคะ เป็นกำลังใจให้ ติดตามจ้า
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 17 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 05-08-2018 07:41:53
 :pig4:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 17 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 05-08-2018 11:58:49
ว่าละเชียว ศิษย์ อาจารย์คู่นี้มันมีความรู้สึกต่อกันลึกไปกว่านั้น
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 17 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: Aeflizm ที่ 05-08-2018 12:39:05
มาต่ออีกนะคะ รอออออ
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 18 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 08-08-2018 02:14:47
ขออภัยที่การจัดบรรทัดค่อนข้างแย่เพราะทำใน tablet เดี๋ยวกลับจากธุระจะไปใช้โน้ตบุ๊คจัดใหม่ครับ

Chapter 18 The golden flower of Eden

เวลาบ่ายๆ กลางป่าเอเดน

   แมกไม้สูงใหญ่หนาทึบจนบดบังท้องฟ้าเกือบจะมิด มีเพียงแสงแดดรำไรลอดผ่านมาให้พวกเราพอจะรู้เวลา อย่างที่เคยเกริ่นไปบ้างแล้ว ป่าเอเดนเป็นป่าทึบที่มีพรรณไม้หลากชนิด ป่าถูกลำธารแบ่งออกเป็นสองฝั่งคือฝั่งเหนือและฝั่งใต้ ฝั่งเหนือมีถนนตัดผ่านเพื่อเป็นเส้นทางการค้า เป็นเขตที่ปลอดภัย ส่วนฝั่งใต้นั้นเต็มไปด้วยพรรณไม้อันตราย แต่สมุนไพรดีๆก็มักจะต้องเก็บจากเขตนั้น พวกเราเดินทางมาสองวันแล้ว เหลือแค่พักกลางแจ้งอีกคืนก็จะถึงเมืองเอนเดลอน ปราการรักษาชายแดนของประเทศเทอร์ร่า อยากไปนอนบนที่นอนนุ่มๆเต็มแก่แล้ววว


เป็นช่วงเวลาสองวันที่ราบรื่นที่สุดตั้งแต่ผมเริ่มเดินทางกับเจ้าหมอนี่ นอกจากจะไม่มีปัญหาอะไรมารบกวนระหว่างเดินทางแล้ว พวกเรายังแลกเปลี่ยนประสบการณ์ต่างๆด้วยกัน ทั้งเรื่องการผจญภัยหาของป่า สำรวจดันเจี้ยนและปราบมอนสเตอร์ของผม หรือเรื่องภารกิจต่างๆของเร็กซ์ ไม่ว่าจะเป็นการตามจับโจรป่าและกำจัดมอนสเตอร์ที่มารุกรานชาวบ้านในเขตปกครองของตระกูล เจ้าเร็กซ์นี่จริงๆก็มีประสบการณ์ปราบมอนสเตอร์มาบ้าง แต่ยังไม่มากเท่าผม และผมก็ไม่วายถามเรื่องที่ผมอยากรู้...


“นี่ๆ ว่ากันว่าพวกนักเรียนอัศวินอาบน้ำร่วมกันจริงใช่ป่ะ”

“อือ ใช่”

“แล้วทุกคนนี่คือล่ำบึกกล้ามเป็นมัดใช่ป่ะ” ถึงผมจะไม่ได้ชอบพวกวัยรุ่นอ่อนประสบการณ์บนเตียง แต่ถ้าโดนเหล่าชายชาติทหารแก้ผ้าล้อมรอบนี่ก็คงฟินน่าดู

“นี่ไม่ต้องมาคิดลามกเลย ถึกเป็นควายทั้งนั้น ไม่มีอะไรน่าดูหรอก” มันเอ็ดผมเสียงดุ แถมยังมองผมด้วยสายตาระอา

“แสดงว่ามอง ๆ อยู่บ้างอ่ะดิ” ผมแกล้งถามกลับเล่นๆ

“ชินแล้ว” มันตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย โหย...ไม่สนุกเลย

“แล้วที่ว่ามีพิธีกระชับความสัมพันธ์ระหว่างอัศวินหล่ะ”

“หมายความว่ายังไง” เร็กซ์ถามกลับด้วยน้ำเสียงแปลกใจ

“ก็แบบขัดดาบร่วมกันหรือให้กันงี้”

“ขัดดาบก็ขัดในโรงเก็บอาวุธสิ จะมาในห้องอาบน้ำทำไม”

“...” โอ้ว มาย ก้อดดดด!!! มันไม่เข้าใจผมจริงดิ ผมอ้าปากค้าง

“ทำหน้าแบบนั้นหมายความว่ายังไง”

“ข้าหมายถึงช่วยสำเร็จความใคร่ให้กัน” เอาวะ พูดอ้อมๆ ไม่เก็ทใช้คำตรงๆ ก็ได้

มันหน้าแดงขึ้นมาทันที

“จะ...เจ้าพูดอะไรน่ะ จะบ้าหรอ ขืนไปทำแบบนั้นก็โดนดาบจริงๆฟันหัวแบะพอดี” อัศวินหนุ่มละล่ำละลักพ่นคำพูดออกมารวดเดียว หน้าแดงไปถึงหู

“โห้ววว”

“โหว อะไร เลิกคิดอะไรลามกได้แล้ว” มันตะคอกเสียงแข็ง

แต่ไม่ทันที่จะได้แกล้งมันต่อ ผมก็ต้องหยุดเพราะ...

“ช่วยด้วยยยยยย” เสียงหวีดแหลมดังขึ้นจากในป่า เป็นเสียงหญิงสาวร้องขอความช่วยเหลือ

เราสองคนมองหน้ากัน เร็กซ์โยนสายบังเหียนมาให้ผม

“ข้าจะนำไปก่อน รีบตามมา” ออร่าสีฟ้าห่อหุ้มขาทั้งสองข้าง มันพุ่งทยานตัวออกไป

“เฮ้ย เดี๋ยว...” แต่ไม่ทันแล้ว มันลับตาไปในหมู่ไม้เสียแล้ว

อย่างที่กล่าวไปตอนแรกป่าเอเดนตอนใต้อันตรายกว่าตอนบนมาก ผลีผลามเข้าไปแบบนี้อาจจะไม่ได้กลับออกมาอีก

........................................................


ผมกับเจ้าฟรีดวิ่งลัดเลาะไปตามต้นไม้สูงใหญ่จนถึงลำธารที่ใช้แบ่งเขตป่า

“ฟรีด รอที่นี่นะ” เพราะน้ำลึกพอสมควรผมจึงสั่งให้ม้ารอที่นี่

“ฮรี้..” มันร้องตอบรับ คงเพราะอยู่ร่วมกันมาสัปดาห์นึงแล้วมันถึงยอมเชื่อฟังผมอยู่บ้าง

ผมกระโดดลัดเลาะไปตามโขดหินจนข้ามฝั่งมาได้แล้วออกวิ่งต่อ เสียงร้องขอความช่วยเหลือเงียบไปแล้ว ผมอาศัยร่องรอยที่เร็กซ์ทิ้งไว้เพื่อตามมันต่อ

“ฮึก ๆ ๆ ฮือ” เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของหญิงสาวดังมาจากหลังพุ่มไม้ใกล้ๆ ผมพุ่งตัวแหวกมันออกแล้วก็ต้องแปลกใจกับภาพที่เห็น

“คุณปลอดภัยแล้ว” เร็กซ์กำลังนั่งกอดปลอบประโลมหญิงสาวผมยาวสีเขียวเข้ม ดวงตาสีเขียวมรกต ร่างเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์ใดๆปกปิด

“ฮือออ ขอบคุณท่านมาก” นางเกาะเกี่ยวร่างของเร็กซ์แน่น ศีรษะซบอกกว้างของอัศวินหนุ่ม มือหนึ่งล้อมโอบคอ อีกข้างกอดเอวหนาไว้

“เกิดอะไรขึ้น” เร็กซ์ซัก

“คะ…คือ ฉันจำอะไรไม่ได้เลย ตื่นมาก็อยู่กลางป่าแล้ว” นางตอบเสียงเบา

“โดนลักพาตัวอย่างนั้นเหรอ”

“ฉะ..ฉัน คือ…ใช่โดนลักพาตัว โดนพาตัวมา” นางตอบเสียงตะกุกตะกัก

<อืม...แปลกแฮะ>  ผมเริ่มเอะใจแล้วสำรวจรอบๆปล่อยให้เร็กซ์ซักไซร้ต่อไป

“คุณมาจากที่ไหน เดี๋ยวพวกเราจะพาคุณไปส่งเอง”

“คือ…ฉันซาบซึ้งในบุญคุณของท่านมาก ได้โปรดให้ฉันได้ตอบแทนด้วยเถิด” หญิงสาวเลื่อนมือทั้งสองข้างขึ้นไปประคองใบหน้าของชายหนุ่มไว้ก่อนโน้มตัวขึ้นไปเพื่อประกบริมฝีปาก ดวงตาทั้งสองข้างของเร็กซ์เบิกกว้างก่อนจะผงะถอยหลังไปเสี้ยววินาทีก่อนที่ริมฝีปากจะสัมผัสกัน หล่อนไม่รอช้าออกแรงผลักให้ชายหนุ่มหงายหลังไปแล้วตามขึ้นคร่อม

“อ๊ะ เดี๋ยวก่อนสิคุณ คุณจะทำอะไร” มันส่งเสียงลนลาน แล้วตั้งกาดเมื่อแม่สาวผมเขียวก้นหน้าลงไปเพื่อที่จะจูบ

“ฉันไม่มีอะไรติดตัวเลย ให้ฉันตอบแทนด้วยร่างกายเถอะนะ นะๆ” นางร่อนเอวบดคลึงไปบนลำตัวของเร็กซ์ช้าๆเป็นจังหวะ สองมือบีบหน้าอกขาวโตของตนเข้าหากันให้นูนเด่นยิ่งขึ้น พร้อมเสียงคราง “อืออาห์” เบาๆยั่วยวน

<อ้อ อย่างนี้นี่เอง> ในที่สุดผมก็เอะใจได้เมื่อเห็นบางอย่างที่ข้อเท้าของหล่อน

<น่าจะสนุกแฮะ ขอยืนดูอีกสักหน่อยละกัน> ผมคิดและหัวเราะในลำคอเบาๆ

“เดี๋ยวก่อนสิคุณ หยุดก่อน ผมเป็นอัศวินต้องช่วยคนเดือดร้อนอยู่แล้ว ไม่ต้องตอบแทนก็ได้” เร็กซ์กล่าวด้วยน้ำเสียงลนลาน ใบหน้าแดงก่ำไปหมด หญิงสาวพยายามปลุกปล้ำอัศวินหนุ่มอย่างไม่ลดละ เขาคว้าข้อมือทั้งสองข้างของหล่อนไว้ได้แล้วพลิกตัวขึ้นมาคร่อมนางแทน มือสองข้างกดมือหญิงสาวไว้เหนือศีรษะ

<โอ้...ท่าล่อแหลมซะด้วย ไหนดูซิว่าจะยังไงต่อ>

“แฮ่กๆ” เสียงลมหายใจหนักๆของอัศวินร่างใหญ่ดังมาถึงนี่ “รอสมาช่วยทำให้นางหยุดที” มันร้องขอความช่วยเหลือจากผม

“เอาหน่า ถ้านางต้องการจริงๆ เจ้าก็สนองให้สักหน่อยสิ” คำตอบผมเล่นเอามันหน้าเสีย

<ฮ่าๆๆ เจ้านี่นี่มันไก่อ่อนจริงๆ ดูสารรูปสิ> ผมแทบจะกลั้นขำไม่อยู่ มีผู้หญิงมีถวายตัวให้แล้วยังนิ่งอยู่

“อื้อ…ท่านอัศวิน โปรดแทงข้าด้วยดาบประจำกายของท่านด้วย อ้า..” นางครวญครางบิดร่อนไปมาใต้ร่างของชายหนุ่ม แอ่นตัวขึ้นไปแนบดอกไม้กลีบงามกับดาบเล่มใหญ่ของเร็กซ์

“เห้ย คุณ เบาๆ ผมไม่ทำอะไรคุณทั้งนั้น”

“คิก ๆ ๆ ฮ่า ๆ ๆ” ผมหลุดหัวเราะในที่สุด ไม่ได้ขำจนน้ำตาเล็ดแบบนี้มานานแล้ว ผมรู้อยู่แล้วแหละว่าเกิดอะไรขึ้น แค่อยากดูเฉยๆว่าคุณชายจะทำยังไง

ผู้หญิงคนนี้เป็นร่างจำแลงของมิมิคพอด (Mimic pod) เป็นมอนสเตอร์จำพวกวัชพืช มอนสเตอร์ชนิดนี้มีสามแบบคือ ล่าเนื้อ หรือล่าพลังเวท หรือทั้งสองอย่าง ตัวข้างหน้าผมเป็นจำพวกที่สอง ใช้ร่างจำแลงมาล่อหลอกเหยื่อให้คลุกคลีด้วยเป็นเวลานานๆเพื่อดูดพลังเวท แล้วอะไรจะหลอกล่อชายหนุ่มได้ดีไปกว่าร่างของหญิงสาวสวย ผมรู้เพราะสังเกตพฤติกรรมแปลกๆและเส้นใยเหมือนรากต้นไม้ที่เท้าของหล่อน

แต่ก่อนอาจารย์ของผมเคยใช้เจ้าพวกนี้เป็นที่ระบายอารมย์ด้วยซ้ำเพราะพวกระดับต่ำๆแบบนี้มักดูดพลังได้ไม่มาก กว่าจะเป็นอันตรายถึงชีวิตก็นู่น…ต้องคลุกคลีกัน 3-4 วัน บางครั้งผมรู้สึกสงสารพวกมันที่ถูกอาจารย์ใช้งานอย่างหนักก่อนกำจัดทิ้ง แต่ตอนนี้ถ้ามันจำแลงเป็นร่างผู้ชายแบบที่ผมชอบผมก็อาจจะทำแบบเดียวกันก็ได้ ฮ่า ๆ ๆ

<เอาหละ ได้เวลาช่วยคุณชายละ> ผมเปิดใช้งานหินเวทสีแดงเพื่อหลอกล่อมัน ร่างของหญิงสาวหยุดชะงักแล้วหันมาหาผมทันที

การดูดพลังเวทจากสิ่งมีชีวิตอื่นเป็นขั้นตอนที่ยุ่งยากและใช้เวลา แต่ถ้าเป็นพลังเวทบริสุทธิ์ที่สถิตในหินเวทมนต์ละก็ พวกมันสามารถเก็บเกี่ยวจนวิวัฒนาการไปอีกขั้นเลยก็ได้

“พลังเวท” นางพึมพำด้วยสายตาเลื่อนลอย “หะ…หินพลังเวท” ร่างกายนางเริ่มบิดไปมาแบบที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้ ใบหน้าบิดเบี้ยวแล้วแหวกออกเป็นแนวตั้งกลายสภาพเป็นกลีบดอกไม้สองกลีบที่มีฟันแหลมคมซี่เล็กๆเรียงรายเต็มไปหมด ของเหลวเหนียวหยดย้อยสภาพหน้าขยะแขยง

เร็กซ์อ้าปากทำหน้าเหวอ ไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น คงจะช็อคจนขยับไม่ได้

“เฮ้ยยยยย”

มิมิคพอดลุกขึ้นแล้วเหวี่ยงร่างอัศวินหนุ่มหายไปในพุ่มไม้รกทึบ ไม่รู้ว่าเพราะเผลอหรือเพราะโดนดูดพลังไปจนอ่อนแรงลง แต่ช่างเหอะ เดี๋ยวจัดการเจ้านี่เสร็จแล้วค่อยไปเก็บกลับมา ร่างเนื้อผิวเนียนขาวกลายสภาพเป็นเนื้อไม้สีเขียว มันพุ่งตรงมาหาผม

“ส่งมา…ส่งหินเวทมา…เอาพลังเวทมา” มันคำรามเสียงดัง มิมิคพอดเงื้อแขนที่กลายเป็นเถาวัลย์ขึ้นเพื่อเข้าจับผม

ชั่วขณะก่อนที่เถาวัลย์นั้นจะสัมผัสตัวผมเบี่ยงตัวหลบเพียงเล็กน้อยแล้วยื่นมือเข้าไปหาใบหน้าสองกลีบของมัน ที่มันต้องล่อหลอกเหยื่อเพราะความสามารถในการต่อสู้ของมันแย่มาก
พรึบ! เปลวเพลิงสีแดงฉานพ่นออกจากฝ่ามือผมลุกท่วมศัตรู

“กรี๊ดดดดด” เสียงเล็กแหลมร้องอย่างเจ็บปวด มันล้มลงไปดิ้นทะลนทุลายในกองเพลิง

ฟู่ๆๆๆๆ เพื่อความแน่ใจ ผมพ่นไฟเข้าไปเพิ่มจนร่างมันสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน พวกวัชพืชมักจะตายยากเพราะมันแตกกิ่งหนีไปได้ง่าย ผมต้องมั่นใจจริงๆว่าถอนรากถอนโคนมันหมด

เมื่อผมแน่ใจว่าเรียบร้อยแล้วผมจึงเดินแหวกพุ่มไม้พงหญ้าเข้าไปหาเร็กซ์ ผมยิ้มร่าอย่างอารมย์ดีเพราะแค่นึกภาพมันเมื่อครู่ก็ขำจนท้องแข็งแล้ว

แต่ผมก็ต้องหุบยิ้มทันทีเมื่อแหวกพุ่มไม้ไปเจอเร็กซ์

มันกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางดงดอกไม้ทรงระฆังคว่ำสีเหลืองทอง เนื้อตัวเปื้อนเกสรสีทองของดอกไม้ไปทั้งตัว
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 18 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 08-08-2018 07:54:56
ทำดีมากเจ้าดอกไม้!  :hao7:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 18 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 11-08-2018 12:26:10
18.2


“เกิดอะไรขึ้น เมื่อครู่คืออะไร” เร็กซ์ลุกขึ้นปัดเนื้อปัดตัวจนเกสรฟุ้งกระจายไปหมด

<โอ ไม่> ผมรีบดึงเสื้อขึ้นมาปิดจมูกและปาก ขืนโดนเกสรไปด้วยจะยิ่งแย่

“มิมิคพอดหน่ะ มันพยายามดูดพลังเวทจากเจ้า” ผมเริ่มก้าวถอยห่าง

“นี่เจ้ารู้ตัวแล้วทำไมถึงยังปล่อยให้มันเล่นงานข้า หา!” มันพุ่งเข้ามาหาผมพร้อมยกมือจะบีบคอผม ใบหน้าแดงระเรื่อด้วยความโกรธ รึเปล่า?

“อย่าพึ่งเข้ามาใกล้ข้า” ผมรีบกระโดดออกห่างทันที มันทำหน้าสงสัย

“อะไร ทำไมถึงทำท่าทางกลัวขนาดนั้น แล้วปิดหน้าปิดตาทำไม” มันเดินเข้ามาใกล้อีก

“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ” ผมชี้นิ้วออกคำสั่งเสียงดังจนเร็กซ์ทำหน้าแปลกใจ “ตอนนี้ เจ้ารู้สึกยังไงบ้าง”

“ถามทำไม ก็ปกติดี แต่ก็รู้สึกวูบวาบแปลกๆแฮะ”

“เอาแล้วไง”

“…”

“เจ้าจำดอกไม้ที่ข้าเตือนได้มั้ย”

“อืม ไอ้ดอกไม้สีทองๆนั่นน่ะเหรอ” มันว่าแล้วสำรวจรอบตัว “เห้ย นี่มันที่เจ้าให้ระวังนี่” เร็กซ์โพล่งเสียงดังเมื่อรู้ตัว

“เห้อ…” ผมเอามือกุมขมับถอนหายใจส่ายหน้า จะทำยังไงกับมันดีเนี่ย

“ข้าโดนเกสรมันไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้น” อัศวินทำหน้าเสีย เริ่มโวยวาย

ดอกฮอร์นีเลียเป็นสมุนไพรที่พบได้ทั่วไปในป่าเอเดนฝั่งใต้ ฤทธิ์เกสรของมันคือกระตุ้นอารมย์ทางเพศให้กับสิ่งมีชีวิตที่สูดดมเข้าไป ผู้เคราะห์ร้ายจะวิ่งพล่านจนกว่าจะหาคู่ผสมพันธ์ได้ ส่งผลให้เกสรกระจายไปได้ไกลและบางครั้งเมล็ดพันธ์ก็ติดออกไปขยายพันธ์ในที่ห่างไกลด้วย นักปรุงยาหัวดีนำผลนี้ไปทำยาปลุกอารมย์ทางเพศให้กับเหล่าชายสูงวัย แน่นอนว่าขายได้เป็นกอบเป็นกำ ที่จำเป็นต้องผ่านการปรุงก่อนเพราะ เกสรจะออกฤทธิ์ได้ไม่นานหลังฟุ้งออกจากดอก และแบบสดๆใช้เวลานาน 15-20 นาที หลังรับเข้าร่างกายจึงจะเริ่มออกฤทธิ์ มันไม่ทันใจผู้ใช้

ผมอธิบายให้มันฟังขณะวิ่งนำไปที่ลำธารที่เจ้าฟรีดรออยู่ เร็กซ์ตามผมมาด้วยสีหน้าเจื่อนๆคงวิตกกับความรู้สึกที่เริ่มคุกกรุ่นในตัว ใบหน้าเริ่มแดง เหงื่อเม็ดเล็กๆผุดออกมาที่ขมับ เสียงลมหายใจดังฟืดฟาด มือเริ่มรั้งคอเสื้อออกเพื่อระบายความร้อน

“เอาล่ะ ถอดชุดออกแล้วลงไปแช่น้ำล้างตัวซะ น้ำเย็นๆน่าจะช่วยให้สงบลงบ้าง ทำใจให้สบายๆแล้วกัน เดี๋ยวข้าไปหาสมุนไพรมาแก้ฤทธิ์ให้” ผมจัดแจงสั่ง น้ำเย็นๆน่าจะช่วยรรเทาได้บ้าง

“…” มันทำตามอย่างว่าง่าย คงไม่อยากคลั่งไปปลุกปล้ำผู้หญิงที่ไหนเข้า

“ฟรีด เฝ้านายแกให้ดีๆด้วย อย่าให้หนีไปฉุดผู้หญิงที่ไหนเข้า เข้าใจมั้ย”

“ฮรี้ๆ” เออดี ฉลาดมาก เจ้าม้าเดินไปอยู่ใกล้ๆนายมัน
ผมข้ามกลับไปฝั่งใต้แล้วออกวิ่งเข้าป่า จริงๆแล้วไม่มียาแก้ฤทธิ์หรอก แต่ผมจะหาสมุนไพรที่มีฤทธิ์นอนหลับแรงๆให้มันนอนหลับไปจนกว่ามันจะสงบลง ผมวิ่งพลางสอดส่องหาดอกไม้สีเขียวที่มักขึ้นตามเถาวัลย์บนต้นไม้สูง

“อ๊ะ! นั่นไง” เมื่อเห็นเป้าหมายผมก็ปีนขึ้นต้นไม้ ด้วยเวลาประมานนี้ผมน่าจะกลับไปทัน ผมเอื้อมมือผมไปคว้าดอกไม้ที่ผมต้องการ

วืด…ชั่วอึดใจก่อนที่มือผมจะสัมผัสกลีบดอกสีเขียวนั้น ทุกอย่างก็ดำมืดลง แขนขาผมอ่อนแรง ร่างกายล่วงหล่นลงไปตามแรงโน้มถ่วง

“แกร็งๆ ๆ ” ท่ามกลางบรรยากาศอันมืดมิด สายโซ่สีทองวาววับเข้าโอบล้อมรอบตัวผม

“เห!” รู้สึกตัวอีกทีผมก็โผล่มานอนข้างต้นไม้ริมลำธาร แขนสองข้างถูกยกสูงเหนือศีรษะ

“กริ๊กๆ” เสียงโลหะกระทบกันดังขึ้นเมื่อผมขยับแขน ผมถูกโซ่ล่ามไว้กับต้นไม้!!

เมื่อผมเงยหน้าขึ้นมาก็ต้องตกตะลึงจนลืมหายใจ!!
ร่างเปลือยเปล่าของเร็กซ์ยืนจังก้าถือโอทธ์คีปเปอร์อยู่หน้าผม อาวุธประจำกายขนาดใหญ่กลางลำตัวผงาด ปูดโปนไปด้วยเส้นเลือดพร้อมเข้าโรมรันฟันแทง ผิวกายและใบหน้าของชายหนุ่มแดงก่ำ ดวงตาหยาดเยิ้มคู่นั้นจ้องผม ราวกับราชสีห์กำลังจับจ้องอาหารอันโอชะของมัน

“รอส…ข้าทนไม่ไหวแล้ว” เสียงมันแหบพร่า สิงโตหนุ่มปักดาบลงข้างตัว แล้วย่างกรายเข้ามาหาผม
อึก…ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่เสียงดัง เมื่อครู่ผมยังหัวเราะที่มันไปปลุกปล้ำกับผู้หญิงอยู่เลย ทำไมเหตการณ์ถึงกลับตาลปัตรกลายเป็นผมลงมาอยู่ใต้ร่างของมันได้เนี่ย

“จะ…ใจเย็นๆก่อนเร็กซ์ อ๊ะ”

เจ้าสิงโตหมอบตัวลงมาคร่อมผมไว้ มันใช้หน้าแข้งทับขาทั้งสองข้างไว้ มือหนึ่งกดไหล่ให้เหยื่อของมันนอนราบลงไป อีกข้างสอดเข้ามาใต้เสื้อ มือหยาบกร้านร้อนๆลูบไล้ไปตามหน้าท้องของผม สัมผัสนั้นทำให้ผมสั่นสะท้าน ลมหายใจเริ่มติดขัด

“อาห์..เนื้อเนียนดีจริงๆด้วย” มันส่งเสียงครางพึงพอใจเมื่อได้สัมผัสเนื้อของผม เร็กซ์ลากมือเลิกเสื้อของผมสูงขึ้นไปจนไปติดกับเกราะอ่อนที่ผมใช้ปกปิดช่วงอกไว้

“รอส…ข้าต้องการเจ้าเหลือเกิน” สองมือพยายามแกะเกราะของผมออก

ไม่ได้การล่ะ ก่อนที่ผมจะเตลิดไปกว่านี้ผมต้องหาทางหยุดมัน ถึงผมจะไม่คิดอะไรมากกับการหลับนอนกับผู้ชาย แต่เจ้านี่เป็นเพื่อนผมนะ ผมไม่อยากให้มองหน้ากันไม่ติดในภายหลัง โธ่..รู้แบบนี้ผมไม่น่าเผามิมิคพอดนั่นไปเลย

<เอาวะ โดนช๊อตสักหน่อยน่าจะหยุดมันได้> ผมเพ่งสมาธิไปที่หินสีเหลืองเพื่อจะใช้เวทสายฟ้า

กริ๊กๆ สายโซ่เข้ารัดมือซ้ายของผมแน่นขึ้นจนปวดไปหมด หินเวทมนต์ไม่ยอมทำงาน

<บ้าหน่า ดาบนี้ผนึกพลังเวทได้ด้วยเหรอ> โว้ยยย..ยิ่งเกลียดดาบนี่เข้าไปอีก แต่นี่ไม่ใช่เวลามาคิด ผมกำลังจะโดนดาบอีกเล่มของมันแทงอยู่แล้ว
แคว้กกก!!! เจ้าสิงโตหมดความอดทนฉีกเกราะอ่อนที่ทำจากหนังผมออกเป็นชิ้นๆ

“เฮ้ย นั่นไม่ใช่ถูกๆนะ”

<เอาไงดีๆ ๆ ๆ> ผมคิดจนหัวหมุนไปหมด เร็กซ์ลากอุ้งมือร้อนมาที่อกขึ้นลงสลับไปมากับลำคอ มันยิ้มร่าพอใจ ผมเริ่มจะคล้อยตามไปกับสัมผัสของมัน

“ฟรีด มาช่วยกันหน่อยสิ อ่าวเห้ย จะเดินหนีไปไหน” ม้าขาวเดินสะบัดตูดหนีผมไปแล้ว นี่มันจงใจช่วยนายของมันนี่หว่า

“ไอ้ม้าทรยศ อุ๊บ” ริมฝีปากร้อนกดลงมาปิดปากผมไว้ เจ้าสิงโตกดริมฝีปากแช่ไว้เช่นนั้นเนิ่นนาน นานจนผมกระพริบตาปริบๆ

<เฮ้ย...นี่เรียกจูบหรอ ปากประกบกันเฉยๆไม่เรียกจูบนะ>

เจ้าสิงโตผละออกแล้วเปลี่ยนเป้าหมายไปซุกไซร้ที่คอผมแทน ลมหายใจอุ่นของมันทำให้ผมเสียววาบไปถึงสันหลัง

“อ๊ะ เร็กซ์ อืมมม” ผมครางไปกับสัมผัสของมัน หรือว่าผมจะยอมมันดี ถึงจะจูบห่วยก็เถอะ

กึ๊ด!!

“โอ้ยย” ผมร้องลั่น มันกัดโผมมม เจ้าสิงโตนี่มันกัดคอผม ไม่รู้ว่ามันจงใจหรือไม่ แต่ที่แน่ๆแรงขนาดนั้นเป็นรอยฟันแน่ๆ

แคว้ก!!

เมื่อทิ้งร่อยรอยจนเป็นที่พอใจแล้ว สิงโตหนุ่มก็ฉีกกางเกงผมออกแล้วเอื้อมไปคว้าขวดบางอย่างข้างศีรษะของผม กลิ่นน้ำมันนวดสนุมไพรฟุ้งออกมาทันทีที่มันเปิดขวดแล้วชะโลมน้ำมันไปทั่วอาวุธ มันจับขาผมแยกออก มือข้างหนึ่งยกขาพาดบ่า อีกข้างกอบกุมดาบเล่มโตเอาปลายร้อนๆมาจ่อไว้ที่ช่องทางของผม ผมหน้าซีดทันทีเมื่อรูว่าอะไรจะเกิดขึ้น

“ร…เร็กซ์เดี๋ยวก่อน เจ้าจะใส่มันทั้งๆแบบนั้นไม่ได้นะ” ถึงผมจะผ่านสมรภูมิบนเตียงมาเยอะแล้ว แต่ด้วยขนาด ถ้าไม่เตรียมการก่อนผมแย่แน่ ผมออกแรงดิ้น

“รอส…นิ่งๆสิ” เจ้าสิงโตคำรามอย่างหงุดหงิด พร้อมเรียกสายโซ่ออกมาพันขาผมไว้แน่น แน่นจนเจ็บทำให้ไม่มีแรงสู้ต่อ ถึงผมเคยอยากลอง BDSM แต่แบบนี้ไม่ได้อยู่ในหัวผมเลย ให้ตายสิ

“เร็กซ์ ปล่อยก่อน ข้ายอมเจ้าดีๆก็ได้ อ๊า” ผมร้องครางเมื่อมันกดปลายดาบชำแรกเข้ามาในตัวผม

“ซี้ด…ในตัวเจ้าอุ่นมากเลย เป็นของข้าเถอะนะ…รอส” เจ้าสิงโตผู้หน้ามืดตามัวไม่ฟังอะไรทั้งนั้น มันส่งเสียงซี้ดซ้าดพร้อมออกแรงกดอาวุธประจำกายเข้ามาลึกขึ้นเรื่อยๆ

กรอด!!

ผมกัดฟันกรอดๆ แหงนหน้าขึ้นเพื่อระบายความคับแน่นและความเจ็บปวด ผมรับรู้ได้ถึงทุกคืบความยาวที่สอดแทรกเข้ามาในตัวผม ปกติคู่ที่ผมนอนด้วยจะมีขนาดมาตรฐาน นานๆจะเจอพวกเกินค่าเฉลี่ยแบบนี้สักครั้ง แต่พวกเขาจะรู้วิธีที่ทำให้ผมมีความสุขได้โดยไม่ต้องเจ็บแบบนี้

“อาห์…รอส มันแน่นมากเลย ซีดส์…อย่าเกรงสิ…เดี๋ยวก็รู้สึกดีเอง” มันพูดเสียงกระเส่าเมื่อใส่เข้ามาได้ครึ่งลำ

“…” ผมจุกจนเถียงไม่ออก ได้แต่คิดต่อว่ามัน

<เดี๋ยวก็ดีเองพ่องสิ ไปจำบทพูดนี้มาจากไหน สอบตกตั้งแต่เล้าโลมแล้วมันจะไปรู้สึกดีได้ยังไงฟระ>

เจ้าสิงโตเอามือสองข้างมาจับไว้ที่เอวผมไว้มั่น

“ฮึบ” มันโถมน้ำหนักตัวเข้ามากดดาบแทงเข้ามาตัวผมจนสุด

“อึก…อ๊า” ผมร้องด้วยความเจ็บปวด ตาลายไปหมด เหงื่อผุดขึ้นมาเต็มสองขมับ หน้าอกผมกระเพื่อมเป็นจังหวะถี่ๆหวังระบายความทรมานออกมา

“ซี้ดส์.. รอส มันดีรู้สึกมากเลย…ข้า…อ่ะ…อึก….อืม” สิงโตหนุ่มโถมทับร่างลงมาแนบตัวผมแล้วกอดผมแน่นจนกระดูกลั่น จมูกซุกมาที่ซอกคอ ร่างกายของมันกระตุกเป็นจังหวะ

<อย่าบอกนะว่า…>

“อัก…อึก…อื้อ…กึ้ด” มันร้องครางไม่เป็นภาษาแล้วฝังเขี้ยวลงมาที่บ่าซ้ายของผม

“อึก” ผมกัดฟันทนเจ็บปนกระสันต์ ดาบเล่มโตของมันในตัวผมกระตุกหงึกๆพร้อมความรู้สึกอุ่นวาบไปทั่วช่องท้อง

“ฮะ…แฮ่กๆ” เสียงหอบถี่ๆพร้อมลมหายใจร้อนๆของมันรดอยู่ที่หูของผม เมื่อแรงกระตุกหยุดลง เจ้าสิงโตก็ทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดลงมาทับผมไว้แล้วนิ่งไป

“หะ” ผมอุทานแปลกออกมาเบาๆ ทำไมจู่ๆมันถึงนิ่งไปแบบนี้

“…”

“ระ…เร็กซ์” ผมเรียกมันด้วยน้ำเสียงกระเส่า แรงกระตุก เสียงคำรามและลมหายใจร้อนๆเมื่อครู่ทำให้เครื่องผมเริ่มติดขึ้นมาบ้าง

“…zzz”

“ฮะ…เฮ้ย…เร็กซ์”

“zzz”

“ไอ้เจ้าบ้า ตื่นเดี๋ยวนี้นะ เจ้าจะปล่อยข้าค้างแบบนี้ไม่ได้นะ”

“คร่อก”

“เร็กซัส ตื่นนนน”

อีกสาเหตุหนึ่งที่ต้องมีการปรุงเกสรของดอกฮอร์นีเลียก่อนก็เพราะมันไม่ได้เสริมความอึดความทนแม้แต่อย่างใด หากเป็นพวกเรือล่มปากอ่าวหรือนกกระจอกไม่ทันกินน้ำก็ต้องใช้ยาสูตรพิเศษแทน
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 18 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 11-08-2018 13:16:33
โอย พ่อไก่อ่อน แถมชิงหลับไปก่อนอีกตะหาก
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 18 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: Aeflizm ที่ 11-08-2018 13:52:24
สงสารน้อง 5555555
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 18 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 13-08-2018 07:42:24
 :laugh: เห็นใจมือใหม่หน่อยสิ55555 รอตอนต่อไปปป :hao7:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 18 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 15-08-2018 15:51:25
ประกาศ : พึ่งกลับจากต่างประเทศยัง Jetlag อยู่เลย อาจจะลงต่ออีกที่อาทิตย์หน้านะครับ สมองตื้อไปหมดคิดบทพูดไม่ออก

ตามมาสักพักแล้ว สนุกดีค่ะ เวลาราอ่านไม่ได้จิ้นไปขนาดถึงบาร่า แต่ดีแล้วบาร่าเกินไปเราจะขนลุก5555 เอาพอดีๆ

ปล.ตอนที่แล้วมีคำผิดว่า "หน้ากลัว>>>น่ากลัว เขียนคำหลังนะคะ" จริงๆเรื่องพิมพ์ผิดเราไม่ได้ติดใจอะไรขนาดนั้น แต่ใช้ผิดนี่อยากให้แก้ไขนะคะ เป็นกำลังใจให้ ติดตามจ้า

555 ผมบรรยายตัวละครหลวมๆกะให้ไปจินตนาการเอาเอง ชอบแบบไหนตามสะดวกเลยครับ
แก้คำผิดแล้วครับ ปกติไม่พลาด แถมอ่านทวนหลายรอบ สงสัยคงเบลอ ตาลาย

:pig4:

ขอบคุณที่ติดตามครับ

ว่าละเชียว ศิษย์ อาจารย์คู่นี้มันมีความรู้สึกต่อกันลึกไปกว่านั้น

หุหุ ปูมาสักพักละ

มาต่ออีกนะคะ รอออออ

ขอบคุณที่ติดตามครับ

ทำดีมากเจ้าดอกไม้!  :hao7:

บังเอิญ จริงๆนะ

โอย พ่อไก่อ่อน แถมชิงหลับไปก่อนอีกตะหาก

สอบตกหมด 555

สงสารน้อง 5555555

Ross : น้องโดนทำร้ายยยย

:laugh: เห็นใจมือใหม่หน่อยสิ55555 รอตอนต่อไปปป :hao7:

Ross : ไม่ชอบมือใหม่เพราะแบบนี้แหละ หึ
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 18 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 18-08-2018 00:28:28
ดราม่าที่ว่ากับอาจารย์นี่เอง นึกว่าจะดราม่าครอบครัว

รอสถูกทิ้งซะแล้ว 555 เป็นไงละ แกล้งเร็กซ์ดีนัก

 :pig4:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 18 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 18-08-2018 09:02:29
 :m20: กากสุดๆ ยิ่งกว่าระดับเตรียมอนุบาลก็เร็กซ์นี่ล่ะ  :jul3:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 18 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 20-08-2018 15:13:53
Chapter 19 Unchain


แสงอาทิตย์ของดวงตะวันที่อยู่กลางศีรษะไม่ส่งผลให้อากาศร้อนนักเพราะวันนี้มีเมฆมาก กอบลมพัดเย็นๆส่งผลให้การเดินทางไปเมืองเอนเดลอนนั้นสะดวกสบาย เห็นทิวทัศน์ของกำแพงเมืองอยู่ลางๆ อีกไม่นานก็จะถึงเมืองแล้ว มันควรจะเป็นวันที่ดี แต่หัวผมนั้นร้อนไปหมดแล้ว

<ค้าง ๆ ๆ ๆ>

“นี่รอส ขึ้นม้ามาเถอะข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอก” เจ้าอัศวินทำเสียงอ่อยๆ ขณะขี่ม้าตามหลังผมมา

“...” ผมเดินนำหน้า ก้าวเท้าฉับๆไม่สนอะไรทั้งนั้น

“รอส...ข้าขอโทษ” คำขอโทษครั้งที่ 100 แล้วมั้ง

<ค้าง ๆ ๆ ๆ ค้างโว้ยยย>

ผมไม่ฟังเสียงใดๆ ก้าวต่อไปเรื่อยๆหวังจะไปถึงเมืองให้เร็วที่สุด ทันทีที่ก้าวเข้าเขตกำแพงเมืองผมจะรีบพุ่งไปที่ร้านโลนลี่วู๊ด (Lonely wood) ทันที ร้านแบบเดียวกับร้านไก่สีทองนั่นแหละ เข้าไปปุปนะ ผมจะหลับหูหลับตาลากหมีตัวไหนก็ตามเข้าไปหลังร้านทันที
แต่เร็กซ์ก็ต้องมาขัดห้วงความคิดของผมลงเมื่อมันหมดความอดทนกับบรรยากาศอึดอัดนี้แล้วเร่งฝีเท้าเจ้าฟรีดมาขวางหน้าผม

“รอส!!! มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน” มันเรียกผมเสียงแข็ง “ข้าบอกแล้วไงว่าข้าจะรับผิดช...”

“หุบปากเดี๋ยวนี้นะ!!!” ผมตะคอกกลับ

“...”

“ข้าก็บอกแล้วไงว่าข้าไม่ใช่ผู้หญิงที่ต้องให้ชายที่นอนด้วยมารับผิดชอบ มันเหตุสุดวิสัย เลิกตอแยสักที” ว่าแล้วเบี่ยงตัวหลบม้าที่ขวางทางอยู่

“รอส!!!” มันยังคงเรียกผม

“ถ้ายังไม่เงียบ พ่อจะเผาทั้งคนทั้งม้าเลยคอยดู แกก็ด้วยฟรีด รู้เห็นเป็นใจนายแกซะเหลือเกิน” ผมชี้หน้าทั้งคนทั้งม้าด้วยมือซ้ายที่สวมถุงมือเวท โดยเฉพาะเจ้าม้าขาวนี่ มันจงใจปล่อยให้นายมันชำเราผมชัดๆ...ฮึย


……….


คืนก่อน


หลังจากมันเสร็จกิจไปก็ฟุบหลับไปบนตัวผม ปล่อยให้ผมอารมณ์ค้างเติ่งอยู่คนเดียว ปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น ซ้ำร้ายโซ่ที่มัดแขนทั้งสองข้างและขาข้างหนึ่งก็ไม่คลายออก ยังคงพันธนาการผมไว้ให้ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เออ...ความหมายนั้นแหละ กว่าจะใช้ขาข้างเดียวพลิกตัวหนักๆของมันลงไปได้ก็แทบแย่แล้ว แถมยังต้องมารู้สึกไม่สบายตัวเพราะสิ่งตกค้างจากมันอีก โหย...จะเยอะไปไหน นี่มันไม่ได้ปล่อยมานานเท่าไหร่แล้วเนี่ย!!!

กว่าคุณชายจะฟื้นก็ปาไปนู่นพระอาทิตย์ตกไปแล้ว โชคดีเรือหาย ที่ไม่มีตัวอะไรโผล่มาจับพวกเราสองคนกินเป็นมื้อเย็น คงเป็นเหยื่อที่จับกินง่ายที่สุด และเป็นการตายที่อุบาทที่สุดที่ผมจะนึกได้

เมื่อมันตื่นแล้วไล่เรียงเหตุการณ์ได้มันก็ทำหน้าเหวอ รีบแก้โซ่ให้ผมแล้วพยายามจะช่วยผมลุกขึ้นอย่างลนลาน ผมเลยขอบคุณมันด้วยลูกถีบเข้ายอดอกไปทีนึงจนมันหงาย เสื้อผ้าผมขาดกระจุย แขนขาผมเป็นรอบช้ำจากโซ่ไปหมด ที่คอและบ่าเป็นรอยฟัน ช่องทางผมปวดหนึบๆ ดีนะที่มีพลังเวทฟื้นฟูเลยพอจะบรรเทาปวดไปได้บ้าง โชคดีอีกอย่างที่สถานที่ที่เกิดเหตุอยู่ริมลำธารทำให้ผมสามารถล้างเนื้อล้างตัวได้ทันที

“รอส...ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจ” มันกล่าวขณะตามลงมาล้างตัวข้างๆผม

“เออ” ผมตอบแบบส่งๆไปขณะล้างคราบของมันออก

“เจ้าอย่าโกรธข้าเลยนะ” อ้อมแขนแกร่งพยายามโอบกอดผม

“เออ” ผมเบี่ยงตัวหลบห่างจากมัน

“เจ้าพูดอะไรอย่างอื่นบ้างสิ”

“เออ”

“เจ้าไม่ต้องห่วงนะ ข้าจะรับผิดชอบเจ้าเอง” มันยกกำปั้นทุบอกเพิ่มความหนักแน่น

“หุบปาก” ความอดทนของผมขาดผึง

“…”

“อย่าทำเหมือนข้าเป็นผู้หญิงอ่อนแอที่ต้องมีคนมารับผิดชอบ เจ้าไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น เหตุการณ์นี้ไม่เคยเกิดขึ้น อย่าพูดถึงมันอีก” ผมตะคอกเสียงดัง แค่ได้กันถือเป็นเรื่องปกติมากสำหรับผม เจ้านี่มาอึกอักทึกทักขอรับผิดชอบอะไรไร้สาระยิ่งทำให้ผมรำคาญ แถมยังเป็นเซ็กซ์ที่ด่างพล้อยที่สุดในชีวิตของผมด้วย ผมไม่อยากจะนึกถึงมันอีก

“…” เร็กซ์หน้าจ๋อยไม่พูดอะไรอีก

หลังจากผมล้างตัวและแต่งตัวด้วยชุดสำรองชุดสุดท้ายเสร็จก็แยกย้ายกันพักผ่อนโดยไม่สนใจมันและไม่พูดอะไรกันอีก


……….


ปัจจุบัน


ใช้เวลาไม่นานพวกเราก็พ้นกำแพงเมืองเข้าสู่เอนเดลอนเสียที เมืองขนาดใหญ่ห้อมล้อมด้วยกำแพงหินสูงมหึมาเพื่อปกป้องชายแดน ภายในมีด่านตรวจเต็มไปด้วยทหาร เมื่อผ่านเข้าไปได้จึงเป็นบ้านเรือนน้อยใหญ่ ตามทางเดินแออัดไปด้วยร้านค้าและผู้คน

ประเทศของเราไม่ได้มีสงครามใดๆมานานมากแล้ว อีกทั้งยังเป็นเส้นทางค้าขายกับประเทศเพื่อนบ้าน บ้านเมืองตามชายแดนแบบนี้จึงสงบสุขและมีผู้คนมากมาย พ้นจากเขตเขาทางตะวันออกไปจะเป็นทะเลทรายผืนใหญ่

เมื่อผ่านจากถนนเส้นหลักมาได้ก็เข้าเขตโรงเตี๊ยมที่ผู้คนไม่แน่นนัก

“เร็กซ์ เจ้าไปจองที่พักและเก็บของก่อนได้เลย ข้าขอตัวก่อน” ผมจัดแจงสั่งแล้วเดินแยกออกมา ไม่ไหวแล้ว…เดี๋ยวเสร็จกิจแล้วค่อยกลับมาหามันอีกที ผมเดินเลี้ยวเข้าตรอกมืด

หมับ!!!

เจ้าอัศวินคว้าหมับเข้าที่คอเสื้อผมแล้วรั้งไว้แทบหงาย

“จะไปไหน” มันพูดเสียงเรียบ

“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า” ผมพยายามตะเกียกตะกายออกจากการจับกุมของมัน แต่มือมันนั้นบีบแน่นมาก

“จะไปที่แบบนั้นอีกแล้วใช่ไหม”

“เออ ก็ใช่น่ะสิ”

“ไม่ได้!! ข้าไม่อนุญาติ” สายตาเร็กซ์จริงจังขัดกับสีหน้าเหนื่อยหน่ายของผม

“อีกแล้วหรอ ข้าว่าเราตกลงกันเรื่องนี้ไปแล้วนะ” ผมตอกกลับด้วยน้ำเสียงรำคาญอย่างที่สุด ก็ไหนว่าจะไม่ยุ่งเรื่องนี้ไง นี่ไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงนะ

“ตอนนี้เจ้าเป็นของข้าแล้ว ข้าไม่ให้เจ้าไป”

“…!” อะไรของใคร ตลกละ

“ถ้าเจ้ามีความต้องการจริงๆ…เดี๋ยวข้าทำให้” หน้าเร็กซ์แดงขึ้นมาจางๆ สายตาเบือนไปทางอื่น เมื่อมันพูดว่าจะทำให้ เสียงเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน

“ไม่เอาโว้ยยยย ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว” ผมตะโกนกลับเสียงดังจนเร็กซ์ตกใจ หันหน้าลอกแลกสำรวจผู้คยที่เดินห่างๆรอบๆ

“นี่ เบาๆหน่อยสิ” มันว่า

“ไม่!!! นกกระจอกยังไม่ทัน…อื้อๆ” มันยกมือปิดปากผมแล้วผลักเข้าตรอกไปเมื่อมีหญิงสาวกลุ่มนึงหันมาทางเราแล้วซุบซิบกัน

“ชู่ว์ เงียบๆ” มันดันผมเข้ามาลึกจนแน่ใจว่าไม่มีผู้คนแล้ว

ผมดิ้นหลุดจากมือมันในที่สุดแล้วหันหน้าไปเผชิญหน้า นี่โมโหแล้วนะ

“เลิกทำตัววุ่นวายสักที เร็กซ์”

“ข้าไม่ได้วุ่นวาย ข้าจริงจังนะ”

“เหอะ…จริงจังงั้นเหรอ แค่ได้กันครั้งเดียว ข้าไม่ถือว่าเป็นของใครหรอกนะ” ผมตะคอกกลับพร้อมพยายามขยับตัวออกห่าง แต่อีกฝ่ายไวกว่าคว้าไหล่ผมทั้งสองข้างแล้วดันหลังติดกำแพงไม่ให้หนีไปไหน

“หยุดนะรอส ข้าไม่ให้ไปไหนทั้งนั้น คุยกันให้รู้เรื่องก่อน”

เปรี้ยะๆ ๆ

เสียงกระแสไฟฟ้าไหลเวียนที่มือข้างซ้ายผมส่งสัญญาณให้อัศวินรีบกระโดดถอยออกห่าง

“ข้าไม่ได้ต้องการคุย ข้าต้องการระบาย” ผมเล็งมือซ้ายไปเฉียดๆลำตัวมัน ควบคุมให้พลังอ่อนที่สุด

ปิ้ว!!!

สายฟ้าพุ่งออกจากมือผมเข้าชนกำแพงหินจนเป็นรอยไหม้สีดำวงเล็กๆ ผมต้องการยิงขู่เท่านั้น แต่เร็กซ์หลบฉากออกไปตามสัญชาตญาณ

“นี่เจ้ากล้าทำร้ายข้าเหรอ” มันกล่าวพร้อมเอามือแตะที่ด้ามดาบ

กริ๊กๆ ๆ

สายโซ่สีทองปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าเกี่ยวรัดมือและลำตัวของผมไว้จนขยับไม่ได้ หินสายฟ้าผมดับลงแต่ไม่ได้กลายเป็นสีเทา พลังเวทผมโดนผนึกอีกแล้ว ผมกัดฟันแน่นเจ็บใจ

“รอส…สงบจิตสงบใจลงก่อน” เจ้าอัศวินเดินเข้ามาใกล้แล้วเอามือลูบแก้มของผมเบาๆ

“เข้าที่พักกันเถอะ ถึงเวลาที่เราต้องคุยกันจริงๆจังๆสักที” มันกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน มือไล่ไปถึงไรผม แต่ผมสะบัดหน้าออก

“จริงๆจิงๆบ้างล่ะ เป็นของเจ้าบ้างล่ะ เลิกพล่ามอะไรบ้าๆออกมาสักที”

“ข้าให้ความสำคัญกับเรื่องนี้นะ โดยเฉพาะกับเจ้า”

“ลืมภารกิจของตัวเองไปแล้วเหรอไง” มืออัศวินชะงักกลับ ดวงตาเบิกกว้างตระหนักบางอย่างได้

“…”

“ไหนบอกไงอัศวินที่ดีต้องไม่วอกแวกไง แล้วนี่ทำอะไรอยู่” ผมหน้ามืดตามัวไปหมดแล้ว พ่นคำพูดออกมาโดยไม่แม้แต่จะคิด ขอแค่ไล่มันออกไปได้ก็พอ

“…” มันนิ่งเงียบหลบตามองต่ำลงไป ไม่ยอมสบสายตาผมเหมือนทีแรก

“เห็นข้าเป็นอะไร ดอกไม้ริมทางให้เจ้าได้ปู้ยี้ปู้ยำเล่นๆเหรอไง…”

“มะ…ไม่ใช่นะ” มันตอบเสียงเบา

“…แล้วพองานทุกอย่างจบลงเจ้าก็ทิ้งมันเหมือนเศษขยะอย่างนั้นเหรอ”

ตู้ม!!!

เศษหินจากกำแพงในตรอกแตกกระจายเป็นชิ้นๆ หมัดขวาของเร็กซ์จมหายไปในหลุมที่กำแพงจนมิดมือ เวทมนต์ที่ห่อหุ้มแขนเข้มข้นจนคล้ายกระแสไฟฟ้าไหลเวียนไปมา

“ข้าบอกแล้วไงว่าไม่ใช่!!!” มันตะคอกกลับด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยโทสะ แววตาเกรี้ยวกราดจับจองมาที่ผม ลมหายใจลึกๆหนักๆทำให้เห็นว่ามันพยายามระงับอารมย์ของมันอย่างเต็มความสามารถ เป็นสภาพที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน

“...”

“ไม่…ข้าไม่ทำแบบนั้นเด็ดขาด” เสียงเบาๆลอดออกมา

“เจ้าหวังเกียรติยศไม่ใช่เหรอ แล้วการได้แต่งงานกับองค์หญิงคือเกียรติสูงสุดต่อเจ้าแล้ววงศ์ตระกูลไม่ใช่เหรอ” ถึงผมจะตกใจจนชะงักกับพละกำลังของมันไปบ้าง แต่ก็ยังพูดต่อ

แววแต่โกรธเกรี้ยวคลายหายไป กลับฉายความผิดหวังออกมา มันเบือนหน้าหนี กัดฟันแน่น หลบตามองต่ำอีกครั้ง

“ไม่ต้องมาเตือน...เรื่องนั้นหรอก” อัศวินกล่าวลอดไรฟันออกมา

“แล้วเจ้าจะผูกมัดการข้าแบบนี้ไว้ทำไม” เสียงผมเบาลง ลึกๆเริ่มรู้สึกแปลกๆ

“ชิ” อัศวินหนุ่มส่งเสียงไม่พอใจก่อนจะกลับหลังหันเดินออกไป สายโซ่รอบตัวผมเริ่มสลายเป็นละอองสีทองเล็กๆ ต่างจากทุกครั้งที่จะหายไปสู่ความว่างเปล่า

“เจ้า…เป็นอิสระแล้ว” มันหันกลับมาเล็กน้อย พอให้ผมเห็นเพียงใบหน้าและดวงตาฝั่งเดียว แล้วจึงออกเดินต่อไปยังทางออกของตรอก

“…” ผมไม่ได้กล่าวอะไร ผมได้แต่บิดนวดข้อมือไปมาพร้อมความรู้สึกแปลกๆที่แววตานั้นทิ้งไว้

“ขอบคุณมากนะ...ที่ช่วยเหลือมาตลอด” คือประโยคสุดท้ายที่ผมได้ยินก่อนที่เร็กซ์จะลับตาผมไป

ในหัวผมโล่งไปหมดเมื่อสติที่ขาดไปเพราะความโกรธกลับมา ผมหยุดยืนอยู่นิ่งราวกับต้องมนต์สะกด…

...สะกดด้วยความรู้สึกผิดต่อสายตาและน้ำเสียงอันเศร้าสร้อยนั้น

หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 19 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: Aeflizm ที่ 20-08-2018 16:30:16
กรี๊ดดดดดดดดดดดดด
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 19 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 20-08-2018 22:02:38
โอ้มายก็อด แย่แล้ว แตกหักกันแล้ว รอสจะเป็นยังไงละทีนี้ จะกลับไปเป็นเหมือนเดิมหรอ ?
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 19 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 21-08-2018 00:07:43
โถ่ เรื่องของเรื่องอีน้องโกรธที่ตัวเองค้างเพราะความอ่อนด๋อย  :laugh:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 19 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 21-08-2018 10:34:13
อึมครึมๆ รอตอนต่อไป อยากอ่านแล้ววววว
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 18 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 21-08-2018 16:06:43
ดราม่าที่ว่ากับอาจารย์นี่เอง นึกว่าจะดราม่าครอบครัว

รอสถูกทิ้งซะแล้ว 555 เป็นไงละ แกล้งเร็กซ์ดีนัก

 :pig4:

 :oo1: :oo1: :oo1: กรรมติดจรวดมากมาย 555

:m20: กากสุดๆ ยิ่งกว่าระดับเตรียมอนุบาลก็เร็กซ์นี่ล่ะ  :jul3:

จะเล่นเรื่องความใสต้องไปให้สุด
นี่ปราณีมากแล้วนะ ถ้าคุณจันจากจันดารานี่ครั้งแรกเรือล่มปากอ่าวเลยนะ

โอ้มายก็อด แย่แล้ว แตกหักกันแล้ว รอสจะเป็นยังไงละทีนี้ จะกลับไปเป็นเหมือนเดิมหรอ ?

ห่างกันสักพัก ห่างกันสักพัก ขอเวลาคิดหน่อย

โถ่ เรื่องของเรื่องอีน้องโกรธที่ตัวเองค้างเพราะความอ่อนด๋อย  :laugh:

อ่อนแล้วไม่เจียมตัว 555

อึมครึมๆ รอตอนต่อไป อยากอ่านแล้ววววว

ใจเย็นจร้า ขอเก็บรายละเอียดอีกนิดนะครับ
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 20 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 22-08-2018 14:02:46
Chapter 20.1 A Thief’s story

<หงุดหงิดโว้ย>

ผมนอนอารมณ์เสียอยู่บนม้านั่งกลางจตุรัสเล็กๆ มันเป็นสวนหย่อมเล็กๆกลางทางจบของทางเดินห้าแยก มีบ่อน้ำอยู่ตรงกลาง รอบๆเป็นพื้นที่ให้นั่งเล่น มีต้นไม้ให้ร่มเงากระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมด เหมาะกับการนั่งพักผ่อน...ตรงข้ามกับผมในตอนนี้ที่หงุดหงิดมาก

หงุดหงิดกลุ่มลุงแก่ๆที่อยู่อีกฟากกำลังวิพากษ์วิจารณ์หญิงสาวที่เดินผ่านไปมา

หงุดหงิดอีเด็กสองคนที่วิ่งเล่นส่งเสียงดังอยู่ไม่ไกล

หงุดหงิดรูปปั้นของชายร่างเปลือยเปล่าที่ยื่นมือขึ้นไปจับเทวดาตัวน้อยที่โบยบินรอบๆกลางบ่อน้ำ ทำไมหงุดหงิดกับรูปปั้นน่ะหรอ ก็ปั้นกะดออันเล็กเท่านิ้วก้อย ไม่เข้าใจพวกศิลปินจริงๆว่าทำไมไม่ทำอันใหญ่ๆแบบที่ฟาดปากแตกได้

แล้วก็หงุดหงิดตนเองที่เอาแต่นอนเอกขเนกอยู่ตรงนี้

ณ เวลานี้จริงๆแล้วผมควรจะนอนครางอยู่ใต้ร่างของชายหนุ่มให้พวกเขาได้ตักตวงความสุขจากร่างของผม ยิ่งพวกเขาเร่าร้อนเท่าไหร่ผมก็ยิ่งชอบ มันควรจะเป็นแบบนั้นแท้ๆ ทั้งๆที่ตั้งใจว่าจะปลดปล่อยอารมณ์ที่ค้างคาจากเมื่อวานแท้ๆ แต่เพราะเหตุการณ์เมื่อครู่ อารมณ์ความอยากของผมก็หดหายไปหมด

“โว้ยยยย” ผมร้องเสียงดังเพื่อระบายความอัดอั้น แล้วลุกขึ้นนั่ง

“ลูกๆ มานี่เร็ว อย่าไปใกล้คนบ้า” เด็กสองคนนั้นรีบวิ่งกลับไปหาแม่แล้วเดินจ้ำหายไป

<ไม่ได้บ้าเฟ้ย แค่ใกล้จะบ้า> ความคิดในหัวผมตีกันยุ่งไปหมดแล้ว

เสียงหนึ่งก็ว่าดีแล้ว อย่าไปต่อความยาวสาวความยืดกับเจ้านั่นเลย

อีกเสียงหนึ่งก็ว่าน่าสงสารจัง คุณอัศวินโดนหักอกซะแล้ว หา!!...หักอกเหรอ

ใครจะไปคิดล่ะว่าคำว่าจริงจังของเจ้าบ้านั่นคือจริงจังแบบจริงๆ ด้วยความโมโหผมกะจะแค่ไล่ๆมันไปก็เท่านั้นเอง ไม่ได้คิดว่าจะมีปฏิกิริยา
ตอบกลับแบบนั้นสักหน่อย นึกว่าคำว่า “จะรับผิดชอบ” เป็นแค่คำพูดสวยหรูให้มันดูดีเท่านั้น

- ข้าให้ความสำคัญกับเรื่องนี้นะ โดยเฉพาะกับเจ้า -

คำพูดนี้ของมันยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของผม มันต้องการจะสื่ออะไร พึ่งรู้จักกันแค่อาทิตย์กว่าๆเอง แถมยังอยู่ในช่วงการทดสอบคัดเลือกรัชทายาทด้วย พูดแบบนั้นออกมามันจะดีเหรอ ?

“ทำไมเราต้องแคร์มันด้วย” ผมถามตัวเองพร้อมทอดสายตาไปยังท้องฟ้าสีครามปนส้ม

ผมล่ะเกลียดความใจง่ายของตนเองจริงๆ อยู่ด้วยแปบเดียวก็เริ่มให้ความสำคัญกับคนๆนั้นแล้ว อาจารย์ซิดคือคนแรกที่ผมได้อยู่ด้วยจนคิดเลยเถิดเกินไป สุดท้ายผมก็ต้องมาเสียใจเองเพราะท่านไม่ได้เป็นแบบผม ต่อมาก็โจรนั่นที่รู้จักกันไม่ถึงเดือนก็โดนมันล่อหลอกไป เพราะแบบนี้แหละผมถึงเดินทางไปไหนมาไหนคนเดียวตลอดตั้งแต่ได้รับบทเรียนจากเจ้าหัวหน้าโจรนั่น เคน (Cain) คือชื่อของเขา

…………………………………………..

เมื่อสองปีก่อน ผมได้เข้าร่วมเควสสำรวจดันเจี้ยนที่ตอนใต้ใกล้ๆเมืองเบลลาเดีย ที่นั่นคือที่ๆผมได้รู้จักกับมีนา หล่อนเข้ามาตีสนิทผมอย่างรวดเร็วเพราะในกลุ่มเกือบ 20 คน มีคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันแค่สองคน มีนาเป็นหญิงสาวแก่แดดที่มากฝีมือตั้งแต่อายุ 17 ปี คุยกันแค่ไม่กี่วันก็แทบจะลากผมเข้าห้องแล้ว ตอนนั้นผมยังใสๆอยู่ปฏิเสธแทบไม่ทัน แล้วก็นางจับได้ว่าผมไม่ได้ชอบผู้หญิง เราเลยกลายเป็นเพื่อนสนิทกันแทน

หลังจากนั้นผมก็ได้รู้จักกับคุณเคน หนุ่มร่างใหญ่วัยสามสิบกลางๆ ไว้หนวดไว้เคราพองาม ร่างสูงใหญ่ราวกับหมี เพราะแบบนี้ล่ะมั้งสเป็คของผมเลยเป็นหมีมาตลอด ฮ่าๆๆ

เมื่อทางสะดวกเคนก็เข้ามาตีสนิทแบบถึงเนื้อถึงตัว ตอนแรกผมก็ไม่ได้เล่นด้วย ยังคงสงวนท่าทีไว้อยู่เพราะยังรักอาจารย์ซิดอยู่ แต่ยัยมีนาดันคอยชงอยู่ตลอดจนผมเริ่มใจอ่อน แต่ก็ยังไม่ยอมขึ้นเตียงกับเขา สุดท้ายสิ่งที่ทะลายกำแพงของผมได้คือการที่คุณเคนกระโดดมารับลูกธนูของพวกสเกลเลตั้ล (Skeletal) แทนผมจนได้รับบาดเจ็บ แม้จะไม่ใช่บาดแผลฉกรรจ์ สามารถให้พวกจอมเวทย์ขาวปิดแผลได้ แต่ผมก็รู้สึกผิดมาก คอยดูแลเขาไม่ห่างระหว่างพักฟื้น และช่วงเวลานั้นเองที่ผมตกเป็นของเขา มันเป็นอะไรที่ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อน เป็นบทรักที่เร่าร้อนมาก มากจนเลือดสาด แต่ไม่ใช่จากผมนะ แต่เป็นแผลของคุณเคนที่เปิดขึ้นมาใหม่

ช่วงเวลาหนึ่งเดือนที่พวกเราสำรวจดันเจี้ยนด้วยกันเป็นช่วงที่ผมมีความสุขมาก จนกระทั่งงานจบลงผมก็ได้รับรู้ว่าคุณเคนเป็นหัวหน้ากลุ่มโจรแฝงตัวมาขโมยสมบัติ ก่อนที่เขาจะหนีไปกับลูกน้อง เขาชักชวนผมไปด้วย ผมตอบตกลงโดยไม่ลังเล และเข้าร่วมกลุ่มโจรนั้น เหตุผลหนึ่งเพราะพวกเขาอ้างว่าเป็นโจรคุณธรรม ขโมยของไปแจกจ่ายให้ผู้ยากไร้

ผมเข้าร่วมการปล้นหลายครั้ง ในช่วง 4-5 เดือนที่เข้าร่วม และด้วยความสามารถที่โดดเด่นของผมทำให้ได้รับฉายา “หัวขโมยแห่งเบลลาเดีย” มา เป็นเหมือนมาสคอตให้กับกลุ่ม และช่วงนั้นผมก็ได้เรียนรู้รสกามหลากรูปแบบ หลากสถานที่เช่นกัน

จุดแตกหักที่ทำให้ผมตาสว่างคือเมื่อคุณเคนต้องการให้ผมฆ่าคน ลูกของพ่อค้าที่เราแอบไปขโมยของมาพบเห็นพวกเราที่จุดนัดพบเข้า เคนต้องการให้ผมปิดปากมันซะ แต่ผมทำไม่ได้ เขาจึงเห็นว่าผมเป็นภาระและทิ้งผมเป็นนกต่อให้พวกทหารและอัศวินจับ โชคดีที่มีนาช่วยผมออกมาได้

เพื่อเป็นการไถ่โทษ ผมสร้างข้อตกลงว่าจะตามจับเคนกลับมาให้ได้แล้วผมจะยอมมอบตัว แต่ลูกชายของพ่อค้าเสนอว่าจะช่วยล้างความผิดให้ทดแทนบุญคุณที่ไว้ชีวิต ผมกับมีนาจึงออกแกะรอยตามหากลุ่มโจรของเคน

และในคืนที่ผมตามพวกเขาเจอนั่นเองคือวันที่ผมได้รับรู้รสชาติของชีวิตข้อหนึ่ง รสชาติของการถูกหักหลัง มันเป็นคืนที่ฝนตกหนักกลางป่าทึบ ผมลำพังเพียงคนเดียวสามารถจัดการโจรทั้งกลุ่มลงได้ด้วยเวทสายฟ้าในพื้นที่ที่ชุ่มไปด้วยน้ำ เหลือเพียงเคนที่ไม่ได้หมดสติไป ส่วนมีนากลับไปตามพวกทหารมาให้

คุณเคนพูดพร่ำถึงความรักและอ้อนวอนให้ผมปล่อยพวกเขาไป ช่วงเวลาที่ผมลังเลนั่นเอง ใบมีดแหลมคมก็พุ่งเฉียดลำคอผมไป!!! ผมเกือบเสียท่า เคนเยาะเย้ยผมด้วยถ้อยคำต่ำช้ามากมาย มันไม่เคยมีความรักตั้งแต่แรก เป็นแค่การเสพสมกันให้ทั้งสองฝ่ายพอใจเท่านั้น เขาสนใจผมที่ความสามารถที่นำมาใช้ประโยชน์ได้ แต่ไม่เคยรักผมเลย

- อย่าคาดหวังในความรักหากไม่ต้องการเสียใจภายหลัง -

มันคือคำสอนสุดท้ายของเขาก่อนที่จะพุ่งตัวเข้ามาพร้อมดาบในมือที่พร้อมสังหาร สายน้ำก่อตัวเป็นกำแพงน้ำแข็งหยุดคมดาบที่หมายปลิดชีพนั้นไว้ น้ำตามพื้นดินไหลเข้าโอบล้อมร่างนั้นไว้เป็นลูกบอลน้ำขนาดใหญ่ที่มีชายร่างใหญ่อยู่ข้างใน ผมมองเขาทุรนทุรายด้วยสายตาว่างเปล่า อีกไม่นานเจ้าโจรนี่จะขาดอากาศหายใจตาย...

ทว่ามีนากลับมาดึงสติผมไว้ทัน หล่อนบอกว่ามันไม่คุ้มที่มือผมจะเปื้อนเลือดคนแบบนี้ ผมมีดีกว่าคนพวกนี้มาก และมันก็ได้ผล ผมไว้ชีวิตเขา แต่ก็ขังสมาชิกทุกคนนั้นไว้ในกรงน้ำแข็งก่อนที่พวกทหารจะมาถึง ผมและมีนาหนีไปด้วยกันเพื่อเก็บตัวกบดานรอให้ทางลูกของพ่อค้าจัดการเรื่องให้เสร็จ

ตั้งแต่เหตุการณ์นั้นผมก็เปลี่ยนไป ผมหลับนอนกับผู้ชายง่ายๆจนเป็นเรื่องปกติ หลายครั้งที่ผมอยู่กับใครด้วยนานๆ ผมก็อยากที่จะสามสัมพันธ์ต่อด้วย แต่สุดท้ายคำพูดของคุณเคนที่ผมไม่ปักใจเชื่อตอนแรกก็กลายเป็นความจริงที่เลี่ยงไม่ได้ ผมผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า จนผมเลือกที่จะเปลี่ยนคู่นอนเรื่อยๆ เดินทางคนเดียวหรือเข้าปาร์ตี้เป็นช่วงเวลาที่สั้นที่สุดเพราะผมไม่อยากจะผูกพันกับใครอีก...

...ไม่อีกจนกระทั่งได้เดินทางกับเร็กซ์
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 20 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 22-08-2018 21:35:50
มีอดีตอย่างนี้นี่เอง ผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ด้านคุณอัศวิน จะทำยังไงกับการทดสอบคัดเลือกรัชทายาทกันนะ ?
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 20 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 22-08-2018 22:15:37
 :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 20 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 23-08-2018 09:42:36
พอเข้าใจได้กับเรื่องที่รอสไม่เชื่อใจที่จะตกลงใจกับใครคนใดคนหนึ่งอ่ะนะ

แต่เรื่องที่เคนเอาตัวออกมารับธนูตามความรู้สึกของเราแล้วมันดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่ ยิ่งเป็นโจรด้วยแล้วก็ดูไม่ค่อยสมเหตุผลเท่าไหร่ ไม่น่าเอาตัวเองไปเสี่ยงขนาดนั้น  :m28:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 20 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 23-08-2018 15:05:46
มีอดีตอย่างนี้นี่เอง ผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ด้านคุณอัศวิน จะทำยังไงกับการทดสอบคัดเลือกรัชทายาทกันนะ ?

รอติดตามครับ อิอิ

:mew2: :mew2:

ขอบคุณที่ติดตามครับ

พอเข้าใจได้กับเรื่องที่รอสไม่เชื่อใจที่จะตกลงใจกับใครคนใดคนหนึ่งอ่ะนะ

แต่เรื่องที่เคนเอาตัวออกมารับธนูตามความรู้สึกของเราแล้วมันดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่ ยิ่งเป็นโจรด้วยแล้วก็ดูไม่ค่อยสมเหตุผลเท่าไหร่ ไม่น่าเอาตัวเองไปเสี่ยงขนาดนั้น  :m28:

อ่า...เพราะว่าเป็นเรื่องเล่าย่อๆเลยไม่ลงรายละเอียดเยอะนัก ตอนแรกวางว่าจะเขียนใน Theif's quest แต่พอคิดไปคิดมาคงกลายเป็นแนว"ทาสสวาทโจรป่า"เลยล้มไปดีกว่า งั้นบอกในนี้เลยละกันเพราะคงไม่มีส่วนในเรื่องอีกแล้ว

ผมเคยเห็นพล๊อตหนังหลายเรื่องที่จำไม่ได้แล้วว่าเรื่องไหนบ้าง ชอบให้ตัวร้ายเข้ามาช่วยตัวเอกก่อนเพื่อเรียกความไว้วางใจก่อนจะหลอกใช้ ถึงแม้จะบาดเจ็บแต่ก็ไม่ใช่การบาดเจ็บที่สาหัตนัก เพราะอาจจะใช้แขน ใช้ไหล่มารับก็ได้ ชุดเกราะก็มีลดความลึกบาดแผลได้ จึงเป็นการเข้าช่วยที่คำนาณไว้แล้วว่าตรูไม่เจ็บหนักเกินไปหรือไม่ตายแน่ๆ

เคนเล็งเห็นความสามารถของรอสว่าไม่เหมือนใครจึงอยากได้มาเป็นลูกน้อง อีกทั้งตัวเอกรูปร่างหน้าตาโอเค และยังดูจิตใจเปราะบางและใสซื่อเลยดึงมาเป็นพวกด้วยวิธีจีบเป็นเมีย ลงทุนเจ็บตัวเพิ่มอีกนิดถือว่าคุ้มค่า

อีกอันหนึ่งที่อาจะไม่สมเหตุสมผลคือทำไมเคนพุ่งใส่นายเอกทั้งๆที่รู้ความสามารถ มีดเล่มแรกที่ซัดไปอาบพิษที่ทำให้พลังเวทย์ในตัวแปรปรวน แต่เพราะเคนไม่เข้าใจวิธีใช้เวทของนายเอกว่าใช้จากหิน ไม่ได้ใช้จากร่างตนเอง พิษจึงไม่ได้ผลและพลาดท่าในที่สุด

ไม่รู็จะยัดลงไปในเรื่องยังไงไม่ให้ยาวไป ลงอธิบายในนี้ละกันนะครับ
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 20 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 23-08-2018 19:52:59
ทะเลาะกันซะละ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 20 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 25-08-2018 09:51:10
Chapter 20.2

“เจ้านี่มันมีอะไรดีบ้าง” ผมกอดอกนั่งถามตัวเอง

เจอกันวันแรกก็อัดผมซะน่วมแถมยังทำสัญญาขโมยอิสรภาพของผมไปอีก...แต่มันก็ช่วยให้ผมหนีออกมาได้นะ...แต่ๆ ๆ ที่หนีไม่รอดเพราะมันไม่ใช่เหรอ

มันชอบทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังจนผมเกือบแย่...แต่เจ้านั่นมีฝีมือมากเลยนะจัดการโจรนั่นและเอลเดอร์วิวโลห์ได้ตัวต่อตัวแบบสบายๆเลย ผมยอมรับว่าเซนส์ด้านการต่อสู้มันดีมาก อาจจะดีและมั่นใจจนแทบไม่ต้องพะวงหน้าพะวงหลังเลยด้วยซ้ำ

เจ้าอัศวินนี่ใสซื่อบริสุทธิ์มากๆ ๆ ๆ เลยนะ มากจนเกินไปด้วยซ้ำ...แต่หุ่นมันแซ่บมากเหมือนกันนะ เสียดายเมื่อวานโดนล่ามเลยไม่ได้จับ…

หะ!!! เดี๋ยวนะ

และมันก็มีของยาวใหญ่มากเลยนะ...แต่ๆ ใช้งานไม่ได้เรื่องมันก็เสียของนะโว้ย...แต่มันก็ฝึกกันได้นะ อีกเสียงในหัวดังขึ้น

“เฮ้ย” สงสัยผมจะบ้าจริงๆแล้ว ขนาดอุทานตกใจกับเสียงในหัวของตัวเอง

มันจะชอบผู้ชายจริงๆรึเปล่าก็ไม่รู้ อาจจะแค่เผลอไปตามอารมณ์ก็ได้...แต่ก็...กลับไปอ่านแต่ของข้อเมื่อครู่สิ

ที่สำคัญคุณชายต้องไปแต่งงานกับองค์หญิงนะ...

...แค่การคัดตัวเฉยๆ ถ้าตกรอบก็ไม่ต้องแต่งป่ะ

“...” ผมเริ่มจะกลัวความคิดของตนเองมากขึ้นแล้วล่ะ

อัศวินคนนี้เป็นจริงจังกับหน้าที่จะตาย ไม่ยอมล้มโต๊ะหรอก...แต่มันก็ยอมออกนอกเส้นทางให้ผมนะ...แล้วเพราะเหตุนี้ผมถึงให้สัญญากับมันว่าจะพาไปป่าจันทรา

อ่า...ใช่เราสัญญาไว้แล้วนี่หน่า

“นี่เจ้าหนุ่ม ไปโดนของร้านไหนมา แบ่งปันกันบ้างสิ” เสียงชายแก่ร่างท้วมผมขาวทั้งหัวดังขึ้นเรียกสติผมกลับมา

“อะ...อะไรนะครับ” ผมถามด้วยความมึนจากการตบตีกันในหัวของตัวเอง

เขาเอานี้ชี้วนไปที่คอของตนเอง

“...!!!” ผมเอามือไปลูบต้นคอของผมโดนรอยแดงช้ำที่หลงเหลืออยู่ก็ทำให้นึกขึ้นได้

“ไปโดนเสือสาวร้านไหนกัดมา บอกหน่อยสิ ข้าอยากโดนบ้าง” เขากล่าวพร้อมทำหน้าหื่นกามน้ำลายไหล จนผมต้องทำหน้าระอาตอบกลับไป

“จะดีหรอลุง เดี๋ยวก็หัวใจวายตายก่อนหรอก” เฒ่าแล้วไม่เจียมตัวเลยเหรอไง

“ฮ่าๆ ๆ ๆ เอาสิ ตายคาอกสาวสวยคงดีไม่น้อย เร็วๆเจ้าหนุ่ม ร้านไหน”

ผมส่ายหน้าเหนื่อยใจ แต่ด้วยความรำคาญกะตัดปัญหาให้จบๆไป ผมจึงลุกขึ้นเดินไปกระซิบข้างๆหูลุงคนนั้นว่า

“นี่ไม่ใช่รอยเสือสาวครับ...แต่เป็นรอยสิงโตหนุ่ม”

แล้วผมก็เดินจากไปโดยไม่หันกลับไปมอง

...................................

“นี่ครับของที่ท่านสั่งไว้ ขอบคุณที่อุดหนุนครับ” เสียงพ่อค้าร่างท้วมแต่งองค์ทรงเครื่องด้วยผ้าเนื้อดีขอบคุณผมเมื่อผมจ่ายเงินค่าชุดเดินทางใหม่ของผมให้

ปกติผมจะเตรียมเสื้อผ้าสำรองไว้ชุดเดียวเพื่อสะดวกในการเดินทาง ไม่พะลุงพลังจนเกินไป แต่ก็มีพร้อมใช้งาน ชุดผมขาดกระจุยไปชุดหนึ่งเมื่อวานพร้อมเกราะหนังของผม ผมเลยจัดการหาซื้อเพิ่ม

เสื้อแขนกุดสวมไว้ชั้นหนึ่งทับด้วยเกราะเบาที่ทำจากหนังปิดเฉพาะช่วงอก เกราะเหล็กมีน้ำหนักมากเกินไปทำให้ผมเคลื่อนที่ได้ไม่สะดวกนัก ถ้าจะใช้โลหะชนิดเบาก็มีราคาสูงเกินไป แล้วจึงทับอีกชั้นด้วยเสื้อแจ็คเก็ตแขนยาว กางเกงผ้าขายาวเก็บชายไว้ในรองเท้าบูท ชุดเดินปกติที่ผมชอบใช้ เบา เดินทางสะดวก ไม่ร้อน ให้การป้องกันระดับหนึ่ง และถอดง่าย

หมายถึงร้อนก็ถอดแค่แจ็คเก็ตออกนะ

อีกกิจกรรมช่วยให้อารมณ์สงบลงได้คือการเสียเงินซื้อของ ผมเดินทางตลอดเวลาทำให้ต้องคำนึงถึงข้อจำกัดหลายข้อก่อนจะใช้จ่าย ได้คิดเรื่องอื่นๆช่วยให้หัวโล่งขึ้นมาได้บ้าง รู้ตัวอีกทีก็มืดพอดี พอกำลังจะก้าวเท้าออกจากร้านเท่านั้นแหละฝนเจ้ากรรมก็กระหน่ำลงมาทันที

ปกติผมไม่อะไรมากนะ แต่นี่ชุดพึ่งซื้อใหม่ไงเลยไม่อยากเปียก

“ท่านนักผจญภัยสนใจผ้าคลุมของเราไหมครับ น่าจะเหมาะกับท่าน” เสียงพ่อค้าทักผมระหว่างที่กำลังรอให้ฝนซาลง
“มันเหมาะยังไงเหรอ” เอาไงเอากัน ทนฟังคำโฆษณาสักหน่อยดีกว่าตากฝนออกไป

“เนื้อผ้าชนิดพิเศษแบบที่ใช้ในเขตทะเลทราย กันแดดกันลมได้ดี ระบายอากาศได้ทำให้ไม่ร้อน ลงน้ำยาสูตรเฉพาะทำให้กันน้ำกันฝนได้ อีกทั้งยังทนทาน สามารถประยุกต์ใช้ได้หลายอย่าง ทั้งปูห่มนอน ผูกเป็นเปล หรือห่อสัมภาระ โอ้พระเจ้าจอร์จมันยอดมาก น่าจะเหมาะกับนักผจญภัยที่ชอบเดินทางเช่นท่าน” เขาอธิบายสรรพคุณยาวเหยียด

“อืม...” ผมทำเสียงพินิจ ลังเล แต่อีกฝ่ายไม่ยอมแพ้

“เราสั่งตัดให้เป็นฮู้ดอีกทั้งยังมีผ้าไว้ปกปิดหน้าจากลมด้วยหากท่านสั่งซื้อตอนนี้...”

“โอเคๆ ซื้อครับ” ผมตัดรำคาญ ราคาก็สมน้ำสมเนื้อกับกับคำอ้าง ถ้ากันฝนได้จริงๆผมจะได้สวมออกไปเลยก่อนที่จะโดนเสนอขายอีก

......................................

“อืม ใช้ได้แฮะ” ผ้าคลุมสีเทายาวถึงข้อเท้ากันฝนได้ดีมาก ผมดึงฮู้ดคลุมหัวพร้อมผ้าปิดปากเหลือแต่ลูกกะตาเพื่อกันลมกรรโชกของพายุฝนที่จู่ๆก็เทมาอย่างรุนแรงแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

เอาล่ะ อารมณ์ดีขึ้นแล้วถึงเวลาต้องไปตามหาคุณชายแล้วล่ะ ถ้าปล่อยเรื่องเมื่อวานผ่านไปยังไงเราก็ช่วยเหลือกันมาพอสมควร ผมควรจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้

ว่าแต่จะไปตามหามันที่ไหนดี ผมถามตนเองขณะเดินฝ่าฝนเข้าเขตที่โรงเตี๊ยม เมืองก็กว้าง เขตที่พักมีมากมายจะตามหามันยังไงดีเนี่ย เริ่มจากแถวๆที่แยกกับมันก่อนแล้วกัน

เพล้ง!!! โครม!!!

ร่างใหญ่ของชายร่างอ้วนหัวล้านลอยทะลุกระจกโรงเตี๊ยมข้างหน้าผมไปกระแทกพื้นอย่างจัง เขาเอามือกุมจมูกและปากของตัวเองไว้แน่น ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโกรธและความเจ็บปวด น้ำฝนไหลชะเลือดจนย้อมเสื้อสีขาวกลายเป็นสีแดงจางๆ

สงสัยจะทะเลาะวิวาทกัน...

“บะ...บอสครับ” ชายผอมแห้งอีกสองคนพุ่งตัวออกมาจากทางประตูเข้าประคองหัวหน้าของพวกตน

“หนอยเจ้าหนุ่มนี่” หัวหน้ามันสบถ

“ถ้าสอนมารยาทดีๆไม่ชอบ แบบนี้คงต้องเจ็บตัวกันหน่อยล่ะ” เสียงที่คุ้นเคยดังออกมาพร้อมร่างหนากำยำในชุดลำลองก้าวออกมาจากประตูร้าน รอยยิ้มอวดดีเปื้อนอยู่บนใบหน้าของชายผมสีดำสนิท เขาทำท่าหักข้อนิ้วดัง กร๊อบแกร๊บ

ไม่ทันตั้งตัวผมก็หามันเจอแฮะ

“ฝากไว้ก่อนเถอะ ข้าเอาคืนแน่” ชายอ้วนตะโกนก่อนที่จะฝ่ากลางสายฝนหนีไปพร้อมกับลูกน้อง

“เป็นอะไรรึเปล่า” ผมเดินไปทักเร็กซ์จากข้างหลัง

หมับ!!!

“เจ้าเป็นใคร อยากโดนด้วยเหรอไง ฮะ” มันกระชากคอเสื้อผมเข้าไปใกล้พร้อมชูหมัดขู่ใส่หน้าผม มันคงจำผมไม่ได้เพราะปิดหน้าปิดตาอยู่

ใบหน้าของเขาแดงจัด สีหน้าหาเรื่องพร้อมจะชกต่อย ผมต้องรีบยกสองมือขึ้นยอมแพ้ มันแค่นลมหายใจออกมาใส่หน้าผมจนผมได้กลิ่นแอลกอฮอล์จาง ก่อนจะผลักผมจนเซ

ผมได้แต่กระพริบตาปริบๆมองแผ่นหลังกว้างเดินหายไปในร้าน

“เจ้านี่มันเมานี่หว่า!!!”
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 20 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 25-08-2018 12:43:33
เมาเพราะมาดื่มย้อมใจน่ะซี สบโอกาสจับกินแล้ว เอาเลยๆ
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 20 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 25-08-2018 13:50:18
คุณอัศวินเริ่มออกนอกลู่นอกทาง (?)

ตลกความคิดที่ตีกันในหัวของรอส 555

 :pig4:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 20 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 25-08-2018 20:18:47
 :pig4:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 20 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 25-08-2018 21:17:33
อ่าว จะคุยกันดันเมาซะงั้น  :m20:
เรื่องเคนก็คิดไปแนวๆเอาตัวเข้าแลกเพื่อความเชื่อใจอยู่เหมือนกันค่ะ แต่ในความรู้สึกเรามันตะหงิดๆเฉยๆ :laugh:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 21 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 28-08-2018 10:53:37
Chapter 21 Hidden desire


เสียงฝนปนฟ้าร้องยังดังอยู่เนืองๆ  ผมเดินขึ้นบันไดอย่างทุลักทุเลเพราะต้องแบกร่างหนักๆนี่ขึ้นห้องพัก เดชะบุญที่ร้านอาหารร้านนี้มีห้องพักด้วย และเจ้าอัศวินนี่ก็พักที่นี่พอดี ผมเลยไม่ต้องลำบากฝ่าฝนพามันกลับ แต่กว่าจะพาขึ้นชั้นสองมาได้ก็แทบแย่ ถึงอย่างนั้นเป็นผมก็ดีกว่าให้คนแปลกหน้าคนอื่นพาคุณชายขึ้นห้อง อย่างน้อยมันก็ปลอดภัยกว่า


..............................................


30 นาทีก่อนหน้า


ผมรีบตามเร็กซ์เข้าไปในร้านด้วยความเป็นห่วง ไม่รู้ไปทำอะไรถึงได้เกิดเรื่องชกต่อยกันขึ้น จะบอกว่าชกต่อยกันก็ไม่เชิงเพราะดูแล้วมันไม่บาดเจ็บเลย

ร้านอาหารร้านนี้มีขนาดไม่ใหญ่มาก เป็นบ้านไม้สองชั้น ภายในตกแต่งเรียบง่าย มีโต๊ะไม้ยาวๆวางเรียงกันเป็นทางคล้ายโรงอาหาร หน้าต่างที่แตกเมื่อครู่ถูกบานไม้ปิดสนิท มีลูกค้านั่งอยู่ในร้านไม่กี่คน บางคนดูตื่นตกใจแต่ไม่นานก็เลิกสนใจเพราะไม่ใช่เรื่องของตน

ปัง!!!

“เอ้านี่ ค่าเสียหาย” เร็กซ์ตบเหรียญทองลงบนโต๊ะเสียงดังแล้วกลับไปนั่งดื่มต่อ

“โอ้ ค่าเสียหายไม่จำเป็นหรอกท่าน ต้องขอบคุณท่านมากเลยที่ช่วยลูกสาวของดิฉันไม่ให้ถูกเจ้าพวกนั้นลวนลาม” หญิงวัยกลางคนที่น่าจะเป็นเจ้าของร้านรีบมากล่าวขอบคุณโดยมีหญิงสาวสวยตามเกาะหลังไม่ห่าง

“เออๆ ช่างมันเถอะ” เจ้าคุณชายตอบแบบไม่ใส่ใจแล้วยกแก้วเบียร์ขึ้นกระดก

“ไม่ทราบว่ามีอะไรให้ดิฉันตอบแทนได้ไหม”

“แค่เอาเบียร์มาอีกก็พอ” มันกระแทกเสียงดังแบบไม่สบอารมณ์ เป็นเร็กซ์แบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน

<เอาไงดีหว่า> ผมถามตัวเองในใจ จะเดินเข้าไปหามันเลยดีไหมนะ แต่ตอนนี้มันไม่ค่อยปกติด้วย พึ่งทะเลาะกันมาหมาดๆอาจจะโดนชกปากแตกได้ หรือไม่ก็แย่กว่านั้น

แต่มันก็ดูปลอดภัยแล้วนี่หน่า คอยนั่งเฝ้าห่างๆก็พอมั้ง รอมันกลับมาปกติก่อนแล้วค่อยคุยกันก็ได้

แต่ก็ไม่ใช่ทุกวันที่จะเห็นมันในสภาพนี้นะ หึหึ

“ขอนั่งด้วยคนสิพี่ชาย” และแล้วผมก็โดนความคิดอันชั่วร้ายครอบงำ ผมเดินไปอยู่ฝั่งตรงข้ามโต๊ะของคุณอัศวินโดยไม่ได้ถอดผ้าคลุมออก ...ขอโทษที่ทำร้านเปียกนะครับ...แต่ขอสักครั้งแล้วกัน

มันละสายตาจากแก้วไม้ของมันแล้วมองผมด้วยหางตา ในใจคงคิดว่ามีที่ว่างตั้งมากมายจะมากวนมันทำไม

“จะทำอะไรก็ทำ ไม่ค่อยมีคนสนใจความต้องการของข้าอยู่แล้ว” มันตอบกลับแล้วกระดกเบียร์ดื่มต่อ ข้างๆมันมีแก้วแบบเดียววางอยู่อีก 2-3 แก้ว เต็มบ้าง ว่างเปล่าบ้าง

เมื่อได้รับอนุญาตผมก็หย่อนก้นลงนั่ง

<โถๆคุณชายผู้สุภาพเรียบร้อยมากคุณธรรม พอเบียร์เข้าปากก็กลายเป็นคนฉุนเฉียวซะแล้ว> ผมลอบมองมันแล้วแอบยิ้ม ดีนะมีผ้าคลุมปิดหน้าปิดตาบังไว้ คิดถูกจริงๆที่ซื้อเสื้อคลุมนี้มา

“มองอะไร มีปัญหาเหรอไง” มันหันมาจ้องหน้าผม พยายามมองผ่านผ้าปิดใบหน้าของผม

“ไม่มีอะไรหรอก แค่สงสัยว่าคนจะไม่สนใจความต้องการของพี่ชายได้ยังไง ทั้งแข็งแรงกำยำขนาดนี้ จะช่วงชิงอะไรมามันก็ง่ายดายไม่ใช่เหรอ”

“หึ ช่วงชิงอะไรก็ได้อย่างนั้นเหรอ ลองมาเป็นข้าดูแล้วจะรู้ว่าทำแบบนั้นไม่ได้” มันตอบกลับแล้วหยิบแก้วถัดไปขึ้นดื่ม

“ทำไมเป็นแบบนั้นซะล่ะ”

“ด้วยฐานะของข้าทำให้ผู้คนมากมายตั้งความคาดหวัง พวกเขาคาดหวังให้ข้าต้องเป็นคนดี มีคุณธรรม มีเกียรติ จะให้ข้าใช้พละกำลังที่มีทำอะไรตามอำเภอใจแล้วทำให้คนเหล่านั้นผิดหวังได้ยังไง”

“...” อืม...นั่นสินะ เจ้านี่เป็นลูกชายของตระกูลใหญ่ ผู้คนต้องตั้งความคาดหวังไว้มาก ผมพอจะเข้าใจอยู่บ้าง

“อย่าว่าแต่จะช่วงชิงอะไรมาเลย แค่อยากจะไปไหน อยากจะทำอะไรยังไม่สามารถทำได้เลย” มันยังคงพูดต่อพร้อมแววตาเจ็บปวด

“ถ้าไม่ชอบก็เลิกแล้วหนีออกมาสิ”

“จะไปทำแบบนั้นได้ยังไง...ว่าแต่เจ้าเป็นใครมาซอกแซกอยู่ได้ เปิดหน้าออกมาเดี๋ยวนี้ ข้าไม่ชอบคนมีลับลมคมใน” มันกระโจนข้ามโต๊ะมาจะกระชากฮู้ดของผม ดีที่ไหวตัวทันผมรีบแอ่นตัวออกห่างโต๊ะ

“อ่า...อย่าเลยพี่ชาย พอดีข้าไม่ค่อยสบายน่ะ ปิดไว้แบบนี้ดีแล้ว”

“เครื่องดื่มที่ท่านสั่งมาแล้วค่ะ” หญิงสาวเข้ามาได้จังหวะพอดี หล่อนนำเหยือกเบียร์มาเทเพิ่มให้เร็กซ์จนเต็มทุกแก้ว

“หึ” มันเลิกสนใจผมแล้วยกแก้วขึ้นกระดกต่อ

“ฟู่ห์” ผมลอบถอนให้ใจโล่งอกเบาๆก่อนจะกลับขึ้นมานั่งหลังตรง

“ทั้งเรื่องคัดเลือก เรื่องแต่งงาน เรื่องบ้าๆนี่ใช่สิ่งที่ข้าอยากทำเลยด้วยซ้ำ แต่เพื่อท่านพ่อและชื่อเสียงวงศ์ตระกูล...” เสียงมันหายไปในลำคอ สายตาว่างเปล่าของมันจับจ้องไปยังน้ำสีอำพันในแก้วที่หมุนวนไปมาตามแรงแกว่ง

“ไม่เข้าใจยัยเดลซ่า (Delza) จริงๆทำไมต้องทำให้มันวุ่นวาย แทนที่จะใช้วิธีดวลกันให้จบๆไปจะได้สิ้นเรื่องสิ้นราว” มันพูดต่อด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์

“...? ” เดลซ่าคือใคร ชื่อเล่นองค์หญิงเรอะ เรียกแบบนี้ได้เลยเรอะ นี่เอ็งเมาแล้วนอกจากจะพูดมากแล้วเนี่ย ยังพาลไปทั่วอีกเรอะ

“ข้าละอิจฉาเจ้านั่นจริงๆ” ว่าแล้วมันก็กระดกต่อ

“ใครหรอ” ผมถามไปด้วยความสงสัย

“เจ้าโจรกระจอกนั่น”

“ไม่ใช่โจ...” ผมเกือบจะหลุดออกไปแล้ว ดีนะยั้งตัวไว้ทัน

“จะพูดอะไร” เร็กซ์เหลือบตามาจ้องผม

“เอ่อ...เปล่า เชิญพี่ชายเล่าต่อเลย แหะๆ”

“หึ เจ้านั่นมันเหยียดหยามเกียรติของข้า ทั้งเกียรติวงศ์ตระกูล อัศวิน และความเป็นลูกผู้ชายของข้า ข้าควรจะกระทืบมันให้จมดินแล้วจัดการลากขึ้นห้องไปลงโทษต่ออีกสัก 2-3 ยกให้รู้แล้วรู้รอด” มันไม่ว่าเปล่าทุบโต๊ะเสียงดังปั้ง จนผทสะดุ้ง

“เอื้อก” ผมกลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบากเมื่อนึกภาพตาม นี่ถ้ามันรู้ว่าคนที่นั่งอยู่นี่คือคนที่มันเล่าถึงอยู่แล้วล่ะก็...ศพน่าจะไม่สวย

“แต่ข้าก็ทำไม่ได้...” มันขัดแขนไว้บนโต๊ะแล้วก้มตัวเอาคางไปเกยไว้

“เจ้านั่นเลือกที่จะทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจ จะไปไหนก็ได้ จะเลือกงานอะไรก็ได้ แล้วก็จะนอนกับใครก็ได้...ยกเว้นข้า” เร๊กซ์กล่าวด้วยน้ำเสียงและแววตาเศร้าสร้อย สายตามันเอาแต่จับจ้องไปที่ลวดลายไม้บนโต๊ะ

ผมเนี่ยนะน่าอิจฉา แต่ถ้านับเรื่องอิสระแล้วก็จริงอยู่ เห็นคุณอัศวินแบบนี้แล้วก็สงสาร

“ทั้งคำพูดคำจา ทั้งน้ำเสียง และแววตาเจ้าทำให้ข้านึกถึงเจ้านั่นจริงๆ แต่คงเป็นฤทธิ์เครื่องดื่มเล่นตลกกับสายตาของข้า” มันเงยหน้าขึ้นมาจ้องผ่านฮู้ดผมอีกรอบ “แต่ยังไงเขาก็ไม่มีทางกลับมาหาข้าหรอก”

“...”

“ข้ามันน่าสมเพศเนอะ...ว่ามั้ย” มันว่าพร้อมก้มหน้าหายไปในวงแขนของมัน

“ทั้งๆที่ควรจะเตรียมตัวเดินทางแต่มาสำมะเลเทเมาแบบนี้ แถมยังมาพล่ามอะไรก็ไม่รู้ให้คนแปลกหน้าฟัง”

“...” ผมไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่เบือนหน้าไปทางอื่นแล้วทอดสายตามองผ่านกระจกดูสายฝนที่เริ่มซาลงบ้าง

“จะเลือกไปไหนก็ไม่ได้…จะเลือกคู่ครองเองก็ไม่ได้…จะอยู่กับคนที่…ชอบ…ก็ไม่ได้”

ผมจมหายไปในความคิดของตนเอง หากผมอยู่ในตำแหน่งเดียวกับมัน ผมก็คงเครียดและต้องเก็บกดแบบเร็กซ์ ทั้งๆที่มีอำนาจมากมาย ทั้งๆที่มีสิทธิพิเศษเหนือกว่าใคร แต่ก็ไม่สามารถเลือกทำในสิ่งที่ชอบได้ เพียงเพราะความคาดหวังของคนรอบตัว เพียงเพราะความรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่คนอื่นมอบให้

“...รอส...”

ผมสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินชื่อของตัวเอง นี่มันรู้ตัวแล้วเหรอเนี่ย

“ทำไมเจ้าต้องไปด้วย...”

แต่เมื่อหันไปมองเจ้าของเสียงก็พบว่า...มันฟุบหลับไปแล้ว

........................

หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 21 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: Aeflizm ที่ 28-08-2018 11:06:33
มาต่ออีกน้า รอออออ
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 21 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 28-08-2018 11:29:58
คุณอัศวินมาดฉุนเฉียวเกรี้ยวกราดแหละ ฮ็อตพอมั้ยรอสสสส :laugh:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 21 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 28-08-2018 21:00:00
 :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 21 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 29-08-2018 23:43:03
สนุกกกก เข้ามารออีกครึ่งค่ะ

 :pig4:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 21 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: Keane ที่ 30-08-2018 07:34:17
 :pig4:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 21 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 30-08-2018 13:21:05
Chapter 21.2

ปัจจุบัน

พอถึงห้องก็ควานหากุญแจในกระเป๋ากางเกงของมันแล้วไขเข้าไป โชคดีที่แสงจากตะเกียงของห้องยังสว่างอยู่ทำให้เห็นอะไรชัดเจน

ห้องพักที่นี่จัดว่าดูดีเมื่อกับขนาดของโรงเตี๊ยม ห้องตกแต่งเรียบง่าย มีเตียงเดี่ยว โต๊ะหัวเตียง ตู้เสื้อผ้า และห้องน้ำ มองลอดผ่านผ้าม่าน และหยดน้ำบนกระจกหน้าต่างไปก็เห็นว่าฝนใกล้หยุดตกแล้ว ท้องฟ้ามืดสนิท มีเสี้ยวจันทราบางๆลอยเด่นอยู่

ผมลากเจ้าอัศวินนี่ไปที่เตียงแล้ววางมันลงเบาๆ จัดแจงท่าทางให้มันนอนสบายๆแล้วห่มผ้าให้ ผมนั่งที่ขอบเตียง ก้มมองใบหน้าของเร็กซ์ที่หลับไหลอย่างสงบ หน้าตาหล่อเหลา ผิวพรรณดีที่กำลังอมแดงนิดๆเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ หลับแบบนี้เจ้าสิงโตก็ไร้พิษสงเหมือนลูกแมวเลยแฮะ ฮ่าๆ ผมลูบเรือนผมสีดำสนิทของมันอย่างเบามือ

<คุณอัศวินผู้น่าสงสาร> ตอนแรกที่เจอกันผมไม่มั่นใจนัก แต่ตอนนี้ผมมั่นใจแล้วล่ะ เจ้านี่มันก็เหมือนผม ปรารถนาในร่างกายของชายหนุ่มด้วยกัน แต่ด้วยฐานะทำให้ไม่สามารถแสดงออกมาได้ ต้องเป็นคนดีที่เขาสอนให้เป็น ปกปิดในใจ อย่าให้เขารู้ ผิดกับผมที่ปล่อยออกไปอย่างที่เป็น เพราะไม่มีชื่อเสียงหรือฐานะให้ต้องกังวล

ผมเตรียมจะขยับตัวเพื่อลุกออกจากห้อง ดูแล้วห้องน่าจะแคบเกินไปสำหรับสองคน…

…แต่พอน้ำหนักที่กดเตียงหายไปเท่านั้นแหละ เจ้าลูกแมวก็กลับกลายเป็นสิงโตพลิกตัวมาคว้าหมับเข้าที่เอวผมแล้วกอดไว้แน่น

“อย่าไปเลยนะ…” มันพึมพำ สองแขนรวบเอวผมไว้แน่นมากราวกับกลัวว่าของสำคัญจะหลุดหายไปไหน

“มันแคบเกินไป…นอนไม่ได้” ผมพูดเบาๆ พลางพยายามแกะมือออก แต่ก็ไม่สำเร็จ

“…” ไร้การตอบกลับใดๆ พอสังเกตดีๆก็เห็นว่ามันยังหลับอยู่นี่หว่า…สงสัยจะละเมอ

“เฮ้อ…” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วนั่งพิงหัวเตียงไว้โดยมีเจ้าสิงโตนอนอยู่บนตัก สงสัยคงต้องนอนทั้งๆแบบนี้แล้วล่ะ โถ…อยากอาบน้ำสักหน่อยด้วยสิ

ผมเป่าดับไฟที่ตะเกียงบนโต๊ะข้างหัวเตียงแล้วจัดท่านั่งให้สบายที่สุด เอามือลูบผมของเร็กซ์ ก่อนจะปิดตาลงเพื่อพักผ่อนบ้าง

ถึงผมจะมีความรู้สึกดีๆให้เจ้านี่อยู่บ้าง แต่คงยากที่ผมกับมันจะลงเอยกันได้ ผมไม่อยากมีบาดแผลเพิ่มอีกแล้ว ผมรู้ว่าการแยกกันตรงนี้จะมีผลดีต่อมันมากกว่า แต่จะให้เดินทางเข้าป่าจันทราคนเดียวก็อดห่วงไม่ได้ อย่างน้อยๆผมก็ควรจะอยู่กับมันเพื่อรักษาสัญญาที่ให้ไว้ อย่างน้อยก็ได้อยู่ต่อด้วยกันอีกสักพัก…

……………..

รุ่งเช้า

“โว้ย ปวดคอไปหมด นอนไม่สบายเลย” ผมบ่นกับตัวเองขณะนอนแช่อยู่ในอ่าง ตอนเช้าเจ้าเร็กซ์คลายวงแขนของมันออกทำให้ผมสามารถลุกออกมาได้ สิ่งแรกที่ทำเลยคือพุ่งไปอาบน้ำ ผมนอนแช่พลางบีบนวดไหล่สักพักก็ลุกขึ้นห่อผ้าขนหนูผืนใหญ่ไว้ที่เอว ในมือถืออีกผืนเพื่อเช็ดผม พอเปิดประตูออกมาก็เห็นเร็กซ์ตื่นพอดี

“เฮ้ย!!! นี่เจ้า… มาได้ไง” มันถามหน้าตาตื่นเหมือนเห็นผี เห็นแล้วก็ขำ

“ทำไมทำหน้าแบบนั้น จำเรื่องเมื่อคืนไม่ได้เหรอไง” ผมถามขณะที่กำลังเช็ดตัวอยู่

“…” มันไม่ตอบ แต่มองจากสายตาที่ไล่ลงต่ำลงมาเรื่อยๆก็มองออกว่ากำลังสำรวจร่างกายผมอยู่ “อึก” มันกลืนน้ำลายอึกใหญ่

“นี่!!! อย่าแม้แต่จะคิดเชียวนะ” ผมโยนผ้าขนหนูผืนเล็กเปียกๆไปแปะหน้ามันแล้วคว้าเสื้อมาใส่

“ขะ…ข้าจำอะไรไม่ได้เลยนอกจากลงไปดื่ม…แล้วก็อัดพวกลามก…แล้วก็…จำไม่ได้แล้ว” มันเอามือกุมหัวบีบนวดขมับ

“แล้วข้าก็บังเอิญเจอเจ้าเมาหลับไปเลยพามาส่งห้อง” ผมพูดต่อแทนให้ ผมไม่เล่าความรั่วของมันหรอก ฮ่าๆๆ

“อย่างนั้นหรอกเหรอ นึกว่า...” เสียงของมันหายไป

“นึกว่าอะไร”

“ปะ...เปล่าไม่มีอะไร ทำไมเจ้าถึงกลับมาล่ะ นึกว่าจะไปแล้วซะอีก”

“ก็ข้าเคยสัญญาไว้หนิว่าจะพาไปป่าจันทรา ก็ต้องกลับมาสิ”

“...” เมื่อได้ยินคำตอบจากผม รอยยิ้มจางๆก็ปรากฏขึ้นมา น่าหมั่นไส้จริงๆ

“แล้วก็เห็นบอกว่าอยากจะคุย ตอนนี้ข้าอารมณ์เย็นลงแล้ว มีอะไรก็ว่ามา”

“เอ่อ...คือ...” มันเอามือเกาหัวแล้วก็เงียบไป คงกำลังมึนกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร หันหลังให้มันแล้วแต่งตัวต่อ

“ข้าขอโทษ” ผมหันกลับไปหามัน “ขอโทษที่ไปล้ำเส้นของเจ้าทั้งๆที่สถานะของข้าเองไม่ควรจะทำอะไรแบบนั้น...ไม่ควรไปพูดอะไรแบบนั้น” มันเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ไม่ยอมสบตาผม

“ถ้ารู้สถานะของตัวเองแล้วก็ดี คราวหลังจะพูดอะไรก็คิดหน้าคิดหลังให้ดีก่อน ไม่งั้นจะพาลทำคนอื่นโมโห” ลึกๆในใจผมก็รู้สึกแปลกๆที่มันเลือกขอโทษ แต่ก็ดีแล้วแหละ

“อืม...เข้าใจแล้ว”

“เข้าใจตรงกันก็ดี เดินทางต่อจะได้ไม่มีปัญหา” ว่าแล้วผมก็หันกลับไปแต่งตัวหน้ากระจกที่ตู้เสื้อผ้าต่อ

“เจ้า...ไปนอนกับคนอื่นมาแล้วใช่มั้ย...ถึงได้อารมณ์ดี” ผมมองผ่านกระจกเห็นมันก้มหน้าก้มตาทำหน้าเจ็บปวดถามขึ้น

ดูมันทำหน้าสิ ยังจะกล้าคิดแบบนี้อีกเหรอ มันเห็นผมเป็นคนยังไง พอละสายตาจากเร็กซ์ก็เห็นรอแดงที่คอพอดี

“ของมีตำหนิ ไม่มีใครอยากได้หรอก คงต้องรอให้รอยหายก่อน” ผมตอบไปแบบส่งๆ

“หึๆ งั้นเหรอ” จากหน้าเศร้ากลายเป็นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ทันที

หนอย...อ่อนข้อให้หน่อยอย่าทำเป็นได้ใจไปนักนะ

“ไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้ว ต้องออกเดินทางแล้ว” ผมหันไปว่ามัน

“รับทราบครับ” เร็กซ์ยืนทำท่าตะเบ๊ะแล้วพุ่งตัวหายไปในห้องน้ำทันที

แล้วก็ไม่รู้ทำไมผมเองก็เห็นรอยยิ้มของตนเองบนเงาในกระจกเหมือนกัน


.........................


ช่วงสายๆ ณ ประตูเมืองฝั่งเหนือ

หลังจากเตรียมเสบียงพร้อมออกเดินทางเรียบร้อยแล้วพวกเราก็ตรงไปยังทางออกของเมืองเพื่อไปยังจุดหมายของพวกเรา ป่าจันทรา ใช้เวลาเดินทางน่าจะสัก 2 ชั่วโมงก็น่าจะถึง

...แต่ก็มีเรื่องวุ่นอีกจนได้

หลังจากพ้นประตูเมืองมาสักพักพวกเราก็ถูกคน 6 คนล้อมไว้ หนึ่งในนั้นคือชายร่างอ้วนมีผ้าพันแผลปิดบริเวณจมูกไว้ มันจ้องมองเราสองคนและหนึ่งตัวด้วยสายตาเคียดแค้น ลูกสมุนรอบๆมีอาวุธครบมือ

“หึหึ เขตนอกเมืองแบบนี้ไม่มีทหารตรวจตรา พวกเจ้าขอความช่วยเหลือใครไม่ได้ ข้าจะแก้แค้นเรื่องเมื่อคืนให้สาสมเลย”

“อ้อ...เรื่องนี้ข้าจำเจ้าได้” เร็กซ์ทำหน้านึกบางอย่างได้แล้วเริ่มหักข้อนิ้วพร้อมก้าวไปข้างหน้า

ผมหันหน้าไปเลิกคิ้วถามอัศวินข้างตัวว่าจะเอายังไง

“อยู่เฉยๆตรงนี้แหละ ข้าคนเดียวก็พอ” มันว่าพลางชักดาบออกมา

“อย่าให้นานแล้วกัน” ผมว่า

“เดี๋ยวเดียวก็เสร็จ” เจ้าอัศวินพุ่งตัวออกไปปะทะกลุ่มอันธพาลโดยไม่เกรงกลัวจำนวนที่มากกว่าแม้แต่น้อย ถ้าเป็นแต่ก่อนผมคงออกแรงช่วย แต่ผมรู้ระดับฝีมือของมันแล้ว ผมเลยปล่อยมันไปแล้วยืนดูการต่อสู้แบบ 1 รุม 6

หึ พ่ออัศวินหนุ่มผู้เก่งกาจ มากฝีมือบนสมรภูมิรบ แต่กลับไม่เอาอ่าวเรื่องสมรภูมิบนเตียง เป็นอะไรที่ผมไม่ค่อยอยากคลุกคลีด้วยเท่าไหร่ แต่สุดท้ายชะตาก็เล่นตลกให้ผมต้องมาอยู่กับคนแบบนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีเรื่องปวดหัวอะไรรออยู่อีก...
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 21 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 30-08-2018 17:39:11
ถึงใจตรงกันแล้ว แต่ก็มีปัญหาเรื่องตระกูล ถึงจะไม่ได้รับคัดเลือกให้อภิเษกกับเจ้าหญิง แต่ตระกูลก็คงยากที่จะยอมรับอีก
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 21 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: Aeflizm ที่ 30-08-2018 18:13:17
น้องมีความควีนในตัวอยู่น้าาา
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 20 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 31-08-2018 11:00:54
เมาเพราะมาดื่มย้อมใจน่ะซี สบโอกาสจับกินแล้ว เอาเลยๆ

เรื่องมันเศร้า ขอเหล้าเข้มๆ

คุณอัศวินเริ่มออกนอกลู่นอกทาง (?)

ตลกความคิดที่ตีกันในหัวของรอส 555

 :pig4:

เสียสูญเล็กน้อย

:pig4:

ขอบคุณที่ติดตามครับ

อ่าว จะคุยกันดันเมาซะงั้น  :m20:
เรื่องเคนก็คิดไปแนวๆเอาตัวเข้าแลกเพื่อความเชื่อใจอยู่เหมือนกันค่ะ แต่ในความรู้สึกเรามันตะหงิดๆเฉยๆ :laugh:

ยิ่งเมายิ่งคุยง่าย 555

มาต่ออีกน้า รอออออ

ขอบคุณที่ติดตามครับ

คุณอัศวินมาดฉุนเฉียวเกรี้ยวกราดแหละ ฮ็อตพอมั้ยรอสสสส :laugh:

เมาคอพับไปแล้วคงไม่ไหว 555

:mew2: :mew2:

ขอบคุณที่ติดตามครับ

สนุกกกก เข้ามารออีกครึ่งค่ะ

 :pig4:

ขอบคุณที่ติดตามครับ

:pig4:

ขอบคุณที่ติดตามครับ

ถึงใจตรงกันแล้ว แต่ก็มีปัญหาเรื่องตระกูล ถึงจะไม่ได้รับคัดเลือกให้อภิเษกกับเจ้าหญิง แต่ตระกูลก็คงยากที่จะยอมรับอีก

ชักเริ่มกลัวว่าพล๊อตตอนจบที่วางไว้จะไม่สมเหตุสมผลแล้วสิ

น้องมีความควีนในตัวอยู่น้าาา

ขออภัยไม่เก็ทคำว่าความควีนอ่ะครับ ช่วยขยายความทีครับ
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 20 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 31-08-2018 12:51:26

ถึงใจตรงกันแล้ว แต่ก็มีปัญหาเรื่องตระกูล ถึงจะไม่ได้รับคัดเลือกให้อภิเษกกับเจ้าหญิง แต่ตระกูลก็คงยากที่จะยอมรับอีก

ชักเริ่มกลัวว่าพล๊อตตอนจบที่วางไว้จะไม่สมเหตุสมผลแล้วสิ



อย่ากังวลไปเลยค่ะ แค่คุณนักเขียนเขียนเรื่องราวสนุกๆอย่างนี้ก็ขอบคุณมากแล้วค่ะ เรื่องคอมเม้นต์เป็นแค่การแสดงความคิดเห็นของนักอ่านตามเรื่องราว ณ ขณะนั้นเฉยๆ อนึ่งคืออยากให้รับรู้ว่ายังมีนักอ่านรออ่านอยู่นะ ไม่ได้อยากให้คิดมาก หรือเป็นกังวล สุดท้ายก็สุดแล้วแต่นักเขียนอยู่แล้วค่ะ ดำเนินเรื่องตามที่ตั้งใจไว้เถอะค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ  :L2: :3123:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 21 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 31-08-2018 21:34:29
รอตอนต่อไป สนุกมากๆเลยค่ะ :-[ อยากเห็นฉากแก้ตัว+จัด2-3ยกของพ่อสิงโตหนุ่มเร็วๆจังเลยค่า :hao6: :hao7: ไรเตอร์สู้ๆนะคะ :3123:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 21 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 31-08-2018 21:47:44
เห้ออออ คุยกันดีๆ ได้ซะที
อยากให้เขาโปรเรื่องบนเตียงก็ฝึกให้บ่อยๆ สิ :m20:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 21 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 31-08-2018 21:56:11
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 21 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 04-09-2018 11:32:19
Chapter 22 The Moon forest


ป่าจันทรา ป่าต้องห้ามทางตะวันออกของประเทศ ป่าทึบที่เต็มไปด้วยหมอกตลอดเวลาและทุกฤดูกาล ว่ากันว่าผู้ที่ย่างกรายเข้าไปน้อยคนที่จะกลับออกมาได้เพราะหมอกเวทมนต์ ยิ่งคืนวันเพ็ญพลังเวทจะยิ่งทรงอนุภาพมากขึ้นจนส่งผลดึงดูดให้ผู้คนนอกป่าหลงเข้าไปก็มี ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีหมู่บ้านใดตั้งอยู่ใกล้เลยเพราะความหวาดกลัว แต่ก็ไม่วายที่จะมีผู้เสี่ยงตายเข้าไปตักตวงผลประโยชน์จากของป่าหายาก และน้อยคนที่จะรู้ถึงความลับของป่าแห่งนี้

ครั้งหนึ่งผมเคยเข้ามาหาของป่ากับอาจารย์ซิด ท่านอาศัยช่วงเวลาที่เวทมนต์ของป่าเสื่อมคลายไปในคืนไร้จันทร์ ทำให้เราสามารถเข้าออกได้ในช่วงไม่กี่วันนั้น ทว่าแม้ไม่มีหมอกเวทมนต์ของป่าแห่งนี้ ป่าก็ยังอันตรายเพราะมีมอนสเตอร์ดุร้ายหลายชนิดอาศัยอยู่

ครั้งนั้นพวกเราโดนอสูรพงไพร (Wild beast) เล่นงาน มันคืออสูรผู้มีรูปร่างบิดเบี้ยวผสานกันระหว่างมนุษย์กับสัตว์ป่า สูงเกือบ 3 เมตร ร่างกายอุดมไปด้วยกล้ามเนื้อ สองมือสองเท้ามีกรงเล็บแหลมคมพร้อมฉีกร่างเหยื่อ สามารถหยิบจับอาวุธได้เหมือนมนุษย์ หรือจะหมอบลงสี่เท้าแล้วกระโจนใส่ได้แบบสัตว์ป่า ส่วนหัวมักมีรูปลักษณ์ของสัตว์ คราวก่อนรู้สึกจะเป็นหัวกวางมูส กว่าจะล้มมันได้ก็เกือบแย่

พวกเราเดินทางมาถึงชายป่าตอนเที่ยงพอดี ฉะนั้นพวกเราจึงพักผ่อนทานอาหารกันก่อนที่จะเข้าไปลุยในป่า พวกเราเจอกองไฟที่ดับไปแล้วพร้อมขอนไม้วางเรียงเป็นวงกลมตั้งอยู่ คาดว่าน่าจะเป็นจุดพักของคนที่จะเข้าป่าเหมือนกัน ระหว่างรอเร็กซ์ปลดสัมภาระให้ม้าไปทานอาหาร ผมก็นั่งลงแล้วหยิบขนมปังขึ้นมาทานพลางควานหาของในกระเป๋าขึ้นมา

“ทำอะไรน่ะ” เจ้าอัศวินมานุ่งยองๆซ้อนอยู่ข้างหลังผมแล้วชะโงกหน้าข้ามไหล่มาดูของในมือ

“ดูแผนที่” ช่วงที่ผมเดินทางไปที่ใหม่ๆผมมักจะจดบันทึกเพิ่มเติมรายละเอียดลงแผนที่เสมอ ครั้งก่อนที่เข้ามาก็ทำไว้คร่าวๆ รู้สึกว่าจะยังเดินลึกไปไม่ถึงครึ่งป่าด้วยซ้ำ

“แล้วเราจะไปทางไหนกันต่อ”

“ข้าไม่มั่นใจ ข้ารู้แค่ว่ามันน่าจะอยู่ในป่านี้แต่ไม่สามารถระบุตำแหน่งแน่นอนได้”

“อืม” เร็กซ์เอาคางมาวางเกยบนไหล่ผม ลมหายใจอุ่นๆรดที่ต้นคอจนรู้สึกจนขนลุก

“นี่คุณชาย!!” ผมเอ็ดพร้อมโยกตัวห่างออกมา

“แหะๆ โทษที มันห้ามใจไม่ไหว” คำตอบพร้อมรอยยิ้มอันหน้าหมั่นไส้

<หนอยแหนะ ชักจะเอาใหญ่ละนะ ไหนบอกว่าจะไม่ล้ำเส้นไง> ผมพร้อมแยกเขี้ยวใส่มัน

“ยังไงก็เถอะ ข้าเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าจะหาแสงนั่นทัน ป่าต้องกว้าง มีเวลาแค่ 3-4 วัน” ผมสงบอารมณ์แล้ววนกลับมาเรื่องเดิม เรื่องที่ผมพึ่งจะเริ่มมากังวลเมื่อเดินทางมาถึง ถ้าไม่ทันในช่วงเวลานี้อาจจะต้องรอคืนเดือนมืดรอบหน้าซึ่งก็ไม่ทันกำหนดเวลาพอดี

“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงไปหรอก”

“...!” คำตอบของมันทำให้ผมหันไปจ้องหน้า

เร็กซ์ทิ้งลงตัวมานั่งอยู่ข้างๆผมแล้วหยิบขนมปังขึ้นมา

“แม้ว่าเราจะอยู่ตรงนี้ แต่ข้าก็สัมผัสได้ถึงอีกครึ่งหนึ่งของโอทห์คีปเปอร์ ไม่ผิดแน่ มันอยู่ข้างในป่านี่แหละ”

เร็กซ์อธิบายให้ฟังว่าโอทห์คีปเปอร์เป็นเทวะภัณฑ์พิเศษ เป็นดาบที่เลือกผู้ถือครองของตน หลายชั่วรุ่นแล้วที่ผู้ใช้ดาบไม่สามารถดึงความสามารถสูงสุดของมันออกมาได้ แต่เขาคือคนแรกที่ใช้อำนาจเวทมนต์ที่สถิตในตัวดาบได้ เวทมนต์แห่งพันธะสัญญา ความสามารถของดาบไม่ใช่แค่ที่เคยใช้กับผม แต่เพราะถูกแบ่งออกไปครึ่งหนึ่งทำให้อำนาจของมันเหลือเพียงเท่านี้ ระหว่างเร็กซ์และดาบก็มีพันธะสัญญาต่อกันเช่นกัน เขาสามารถสัมผัสถึงอีกครึ่งหนึ่งของมันได้ เขาเชื่อว่าเขาสามารถใช้ความรู้สึกนี้นำทางไปได้


………………………………..


ท่ามกลางป่าทึบของป่าจันทรา


“นี่เร็กซ์ เจ้าแน่ใจนะว่านำมาถูกทาง” ผมถามขึ้นขณะนั่งอยู่บนหลังของฟรีด ส่วนมันก็เดินจูงสายบังเหียนนำทางไป เจ้าอัศวินนี่นั่งยัน ยืนยัน นอนยันว่ายังไงก็จะให้ผมนั่งอยู่บนหลังม้าตลอดส่วนมันจะขึ้นๆลงๆให้ฟรีดได้พักเป็นระยะๆเอง เหอะตลกละ จะมาทำว่าผมเป็นผู้หญิงบอบบางต้องมีคนคอยปรนนิบัติเนี่ยนะ ผมไม่ยอมให้ดูถูกหรอก กว่าจะเดินทางกันต่อได้นี่ต้องใช้เวลาถกเถียงอยู่นานสองนาน สุดท้ายก็ต้องยอมไม่งั้นคงไม่ได้เข้าป่าพอดี

“ทางนี้แหละๆ เชื่อข้าสิ”

“จริงหรอ” น้ำเสียงไม่ค่อยไว้ใจเท่าไหร่ ทำไมน่ะเหรอ

“จริงดิ”

“แต่เราผ่านต้นไม้รูปร่างเหมือนคนอึ๊บกันนี่มาสามรอบแล้วนะ!!!” นี่ไม่ได้คิดไปเองเพราะใจบาปหรอกนะ แต่รูปร่างมันชัดจริงๆ

“เจ้าคนลามกคิดลึกเกินไปรึเปล่า ต้นไม้ไหนๆมันก็เหมือนกันนั่นแหละ” มันหันมามองผมด้วยสายตาระอา

“ก็นี่มันอยู่ในท่า...เออช่างมันเหอะ” ผมปิดปากเงียบเมื่อเห็นสายตามีเลศนัยของมัน

“ทำไม อยากโดนบ้างเหรอ หึหึ”

“ไม่ใช่โว้ย!!” สามหาว สามหาวมากๆที่บังอาจคิดแบบนี้ ถ้าผมเอาจริงนะ เดี๋ยวเหอะคุณชายจะลุกไม่ขึ้น

“แล้วนี่ก็เศษขนมปังที่ข้าโรยไว้ตั้งแต่เดินผ่านรอบที่แล้ว” ผมชี้ให้มันมองไปที่เศษขนมปังชิ้นเล็กๆที่กระจายเป็นหย่อมๆที่พื้น

“...” มันยิ้มเจื่อนๆ

“ยอมรับมาซะเถอะว่าหลงแล้ว” ผมลงม้ามาบ่นด้วยความหัวเสีย ไม่น่าเลย ไม่น่าให้มันนำจริงๆ

“ก็ความรู้สึกมันบอกให้มาทางนี้จริงๆนี่หน่า” เจ้าอัศวินพูดเสียงเบาเอามือเกาหัวแกร๊กๆ

“เจ้านี่มัน...”

“กรี๊ดดดดดๆๆ” เสียงหวีดร้องดังลั่นอยู่ไม่ไกลมากนัก เราสองคนหันหน้ามองกันก่อนจะออกพุ่งตัวไปพร้อมกัน

“อย่าผลีผลามไปคนเดียวอีกล่ะ” ผมเตือนเร๊กซ์ขณะวิ่งตามหลังมันไป

“เออหน่า ไม่พลาดแบบคราวที่แล้วหรอก” ดีมากจำไว้เป็นบทเรียนแล้วก็อย่าพลาดอีก

พวกเราสองคนมุ่งหน้าไปตามเสียงร้องของหญิงสาวโดยมีเจ้าฟรีดวิ่งตามหลัง ฟังจากเสียงแล้วน่าจะมีกันหลายคน ทำให้ผมนึกสงสัยว่ากลางป่าต้องห้ามแบบนี้จะไปมีหญิงสาวเข้าทำไม

“ระวังตัวหน่อยนะ เร็กซ์ กลางป่าแบบนี้ไม่น่ามีผู้หญิงเข้ามา” ผมเตือน

“อือ เอะใจอยู่บ้างเหมือนกัน”

ฉับพลันก็มีดวงแสงวิบวับอยู่ไม่ไกล ดวงแสงทรงกลมขนาดน่าจะประมาณฝ่ามือ นับได้ 6 ดวง 6 สี ชมพู เขียว แสด ฟ้า ม่วง แดง ลอยฉวัดเฉวียนบิดไปมาตรงมาทางพวกเรา เมื่อมันเข้ามาใกล้ขึ้นก็สังเกตได้ว่าในดวงแสงเหล่านั้นคือหญิงสาวร่างเล็กเท่าฝ่ามือ ที่หลังมีปีกคล้ายผีเสื้อ

“นี่มันแฟรี่ (Fairy)”

แฟรี่คือมอนสเตอร์จำพวกภูติ มีร่างกายเป็นหญิงสาวรูปงาม ขนาดตัวเท่าฝ่ามือของมนุษย์ มีปีกคล้ายผีเสื้อสวยงามอยู่ที่แผ่นหลัง พวกเขามีออร่าเปล่งประกายอยู่ตลอดแสดงให้เห็นถึงเวทมนต์ที่แฝงอยู่ เวทมนต์ของพวกเขาเหล่านี้มักจะเป็นประเภทที่ใช้รักษาหรือช่วยเหลือมากกว่าทำร้าย ตำนานหลายเรื่องเกี่ยวกับผู้กล้าผู้กอบกู้อาณาจักรมักจะมีพวกเขาคอยช่วยเหลืออยู่เสมอ จนพวกเขาได้ชื่อว่าเป็นสัตว์วิเศษหรือเทพนำทาง

เสียงพึมพำเบาๆของผมก็เรียกความสนใจจากเหล่าแฟรี่ที่พุ่งตรงมาทางพวกเราโดยไม่ได้มองด้านหน้าเพราะมัวแต่พะว้าพะวงมองข้างหลังเหมือนหนีอะไรมาสุดชีวิต

“ว้ายๆ ๆ ๆ” แฟรี่ตนหนึ่งส่งเสียงร้องเมื่อรู้ตัวว่ามีพวกเราขวางทางอยู่ พวกหล่อนหยุดตัวกลางอากาศกะทันหันจนหน้าคะมำ  แฟรี่สีเขียวและแสดพุ่งขึ้นหน้ามาขวางตนอื่นๆไว้ไม่ให้พวกเราเข้าใกล้ ใบหน้าสวยสดงดงามแต่ก็เกรี้ยวกราดพร้อมจะต่อสู้

“แฟรี่ แฟรี่” ตัวสีเขียวเอ่ยออกมา คาดว่านะจะเป็นภาษาแฟรี่

“อย่ากลัวไปเลย พวกเราไม่ทำร้ายพวกเจ้าหรอก” อัศวินข้างกายผมตอบ

“แฟรี่ แฟรี่” มันพูดอะไรเนี่ย ฟังไม่เข้าใจ

“ข้าเป็นอัศวิน ข้าไม่ทำร้ายแฟรี่เช่นเจ้าหรอก” เร็กซ์ยกสองมือทำท่ายอมแพ้อยู่ที่ระดับอก เขาพูดโต้ตอบด้วยท่าทางเป็นมิตร

“…!!!” ทำไมมันคุยกันรู้เรื่อง

“เชื่อใจพวกเราสิ” เขาเจรจาต่อ แฟรี่ตนสีฟ้าเหมือนสังเกตเห็นบางอย่างแล้วชี้ไม้ชี้มือไปที่ดาบข้างเอวของเร็กซ์ก่อนจะดึงแฟรี่สีเขียวและแสดกลับมาแล้วปรึกษาอะไรบางอย่าง พวกเขาเริ่มจะสงบลงบ้างแล้ว

“แฟรี่ แฟรี่” ตนสีแสดบินไปอยู่ตรงหน้าของเร็กซ์แล้วเอ่ยขึ้น

“ใช่แล้ว ข้าคือผู้ถือครองโอทห์คีปเปอร์” คำตอบของอัศวินทำให้พวกแฟรี่เรื่มออกอาการดีอกดีใจและเป็นมิตรมากขึ้น

“นี่เจ้าฟังภาษาแฟรี่ออกด้วยเหรอ” ผมกระซิบถามข้างๆหู

“อื้อ เรียนเป็นวิชาเลือกน่ะ” มันตอบหน้าตาเฉยก่อนจะหันไปสนทนากับพวกแฟรี่ต่อ

<วอททท เดอะ ฟ...> นี่เจ้าอัศวินมันลงเรียนอะไรแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย

“ข้าหวังว่าเจ้าคงไม่ได้เรียนวิชาคุยกับสิงสาราสัตว์เช่น หนู หรือนกพิราบหรอกนะ” ผมกระซิบถามแทรก เพราะถ้ามันคุยได้นี่น่าจะเหมาะกับการเป็นเจ้าหญิงในนิทานมากกว่า

“หน่วยกิจไม่พอ” มันหันมาทำหน้ารำคาญใส่ผมก่อนจะละกลับไปหาพวกแฟรี่ ปล่อยให้ผมยืนอ้าปากค้าง

“แฟรี่ แฟรี่ๆ ๆ ๆ” พวกแฟรี่ทั้งหกตนต่างพุ่งเข้ามารุมล้อมเร็กซ์ไว้แล้วเริ่มแย่งกันพูด

“อ่าๆ ใจเย็น ค่อยๆเล่ามา เดี่ยวพวกเราช่วยเอง”

“...” ผมยืนดูพวกนั้นคุยกันเงียบๆ สังเกตท่าทางแล้วเดาว่าน่าจะแนะนำตัวกันอยู่

“หืม อะไรนะ เกิดอะไรขึ้นกับมันเดย์... ได้สิเดี๋ยวข้าจะไปช่วยนางเอง ไปกันเถอะรอส” หลังคุยได้ความกันแล้วเร็กซ์ก็ส่งสัญญาณให้ตามมันไปทั้งที่ผมยังสับสนอยู่

“ไปไหน?”

“เดี๋ยวเล่าให้ฟังระหว่างทาง” ว่าแล้วพวกเราก็ออกเดินทางตามแฟรี่ทั้งหกไป

………………………………..





หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 22 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 04-09-2018 15:04:19
What happened to Monday!
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 22 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 04-09-2018 18:41:44
มาแล้วๆ ผจญหน้าที่การงานในแต่ละวัน แล้วมาอ่าน เป็นอะไรที่ฮิลจิตใจดีมากๆ ขอบคุณมากนะคะ

 :pig4:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 22 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 08-09-2018 16:19:02
22.2


เร็กซ์เล่าให้ฟังว่าพวกแฟรี่พวกนี้เป็นพี่น้องกัน 7 ตน ผมพอจะเดาชื่อได้แล้ว พวกเขาเป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์ที่มีหน้าทีปกป้องดูแลป่าแห่งนี้ หน้าที่ของพวกเขาคือดูแลการเติบโตของเหล่าพืชพรรณและสัตว์ป่า หลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน วันนี้พวกเขาเดินทางออกจากหมู่บ้านบ้านเพื่อมาเล่นน้ำที่ทะเลสาบ แต่กลับถูกพรานป่าซุ่มจับ แฟรี่คนพี่ที่ชื่อมันเดย์จึงเสียสละตนเองเพื่อเปิดโอกาสให้น้องๆของตนหนีออกมา

เมื่อได้ฟังเรื่องราวแล้วผมเองก็เริ่มลังเลที่จะช่วยเหลือ การที่พรานป่าจะเสี่ยงอันตรายเข้ามาหาของหายากเป็นเรื่องที่ผมเข้าใจเพราะผมเองก็เคยทำอยู่บ้าง หากพวกเขาจะโชคดีสามารถจับแฟรี่ไปขายได้ก็เป็นเรื่องน่ายินดี ผู้ที่อ่อนแอต้องตกเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่งกว่าอยู่แล้ว

ไม่ช้าพวกแฟรี่ก็นำทางพวกเรามาถึงทะเลสาบที่ว่า ผมกับเร็กซ์และแฟรี่สีเขียวและแสดขึ้นไปซุ่มสังเกตการณ์บนเนินสูง ส่วนแฟรี่ที่เหลือไปแอบรออยู่ห่างๆ เรามองเห็นพรานป่า 2 คนกำลังนั่งคุยกันอยู่ที่อีกฝั่งของทะเลสาบ ใกล้ๆตัวมีกระสอบ 2-3 ใบ และกรงทำจากไม้มีดวงแสงสีเหลืองสว่างอยู่ น่าจะเป็นแฟรี่ที่ถูกจับไป

“ระวังตัวด้วยนะรอส เวนสเดย์บอกว่าพวกมันมีกัน 5 คน” เขาน่าจะพูดถึงแฟรี่สีเขียวที่ชอบทำท่าเกรี้ยวกราด

“นี่เร็กซ์ พวกเราทำแบบนี้จะดีเหรอ” ด้วยความเข้าใจต่อการกระทำของพวกพรานป่า ผมที่ทนไม่ไหวจำต้องถามขึ้น

“หมายความว่ายังไง”

“ก็พวกเขาแค่เข้ามาหาของหายากไปขาย เราไปขัดขวางแบบนี้เหมือนกับไปตัดทางทำมาหากินพวกเขานะ”

ผัวะ!!!

“โอ้ย!!!” ผมเผลอหลุดเสียงร้องออกมาเมื่อแฟรี่สีแสดเตะเข้าหางคิ้วขวาของผมเต็มแรง ผมต้องเอามือกุมไว้แล้วหันไปถลึงตาใส่หล่อนที่ทำหน้าบึ้งตึงไม่พอใจ ถึงตัวจะเล็ก เรี่ยวแรงจะน้อย แต่เล็งเข้าจุดอ่อนแบบนี้ก็เจ็บนะ

“เสียงอะไรน่ะ” พวกพรานลุกขึ้นแล้วมองไปรอบๆด้วยความหวาดระแวง

ซวยล่ะสิโดนได้ยินเข้าแล้ว เพราะยัยเธิสเดย์นี่แท้ๆ น่าจะจับไปเสียบไม้ย่างไฟซะนี่

“พวกมันอยู่นั่น” พรานอีกคนที่ซุ่มอยู่ไม่ไกลจากพวกเราตะโกนแล้วชี้มาที่ตำแหน่งของพวกเรา

“ไม่ได้การแล้ว คงต้องออกไปสู้ซึ่งๆหน้าแล้วล่ะ” ไม่รอช้าเจ้าอัศวินพุ่งตัวออกจากที่ซ่อนไปยืนกลางแจ้งพร้อมชักดาบออกมาประจันหน้า ทิ้งให้ผมเหงื่อตกกับความบ้าบิ่นของเขา

“ปล่อยแฟรี่ตนนั้นซะ” มันออกคำสั่ง

“อะไรกันมนุษย์ด้วยกันหนิ” พวกพรานออกมารวมตัวกัน 3 คน

“ปล่อยแฟรี่อย่างนั้นน่ะเหรอ บ้ารึเปล่า พวกนี้หายากและราคาดีมากเลยนะ”

“ใช่ คิดจะฮุบไว้เองอย่างนั้นเหรอ เจ้าหนุ่ม”

“อย่าบังอาจเอาข้าไปเทียบกับพวกเจ้า การจับหรือค้าแฟรี่เป็นสิ่งผิดกฎหมาย พวกเขาช่วยเหลือผู้กล้าหลายรุ่นต่อสู้สัตว์ร้าย เพื่อรักษาสัมพันธ์อันดีไว้ พวกเขาจึงอยู่ในความคุ้มครองของราชวงศ์”

<มีกฎหมายแบบนี้ด้วยเรอะ>

“ฮ่าๆๆ ตลกสิ้นดี นี่มันชายแดนนะเจ้าหนุ่ม แถมอยู่กลางป่าต้องห้ามด้วย กฎหมายอะไรนั่นไม่มีผลทั้งนั้น” พวกพรานหัวเราะร่วนจนบางคนถึงกับเอามือกุมท้อง

“มีผลสิเพราะพวกเจ้าอยู่ต่อหน้าคนของตระกูลไลโอเนล” เพียงได้ยินชื่อตระกูลใหญ่ผู้ดูแลเขตตะวันออกพวกพรานก็เริ่มมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที

“ว้ายยย” เสียงหวีดร้องเรียกสายตาทุกคู่ไปจับจ้องชาย 2 คนที่เดินเข้ามาร่วมวงด้วย ในมือมีกรงเล็กๆบรรจุแสงสีฟ้ากับแดงไว้

“จริงอย่างที่ลูกพี่บอกจริงๆด้วยว่าพวกนี้จะต้องกลับมาช่วย อ๊ะ...พวกเจ้าเป็นใคร”

“ตัวปัญหาน่ะ” ชายร่างท้วมที่ร่างกายสูงใหญ่ที่สุดกล่าว

“ถ้าไม่อยากมีเรื่องก็ยอมปล่อยพวกนางแล้วถอยออกไปซะดีๆ” อัศวินหนุ่มกล่าวอย่างหนักแน่นพร้อมสายตาท้าทายว่าถ้าอยากจะลองดีก็เชิญ

“นี่คุณอัศวิน พวกเราต้องเลี้ยงปากเลี้ยงท้องนะ แฟรี่นี่ช่วยประทังชีวิตให้พวกเราได้หลายอาทิตย์เลยนะ”

“พวกแฟรี่ไม่ใช่สัตว์นะ พวกเค้าเป็นภูติเทียบเท่าได้กับหญิงสาวคนนึงเลยทีเดียว”

“กรอดดด” เจ้าหัวหน้าเริ่มหมดความอดทนกัดฟันกรอดๆ เป็นผมก็คงหัวเสียไม่แพ้กัน แฟรี่ถือเป็นของหายาก พวกนักสะสมมีเงินยอมจ่ายเงินมากโขเพื่อนำไปสะสมเพราะนอกจากจะแสดงถึงบารมีแล้วยังสามารถพึ่งพาเวทมนต์ที่แอบแฝงได้ด้วย แต่กฎก็คงเป็นกฎแหละน้า

“ลูกผู้ชายดีๆที่ไหนกันจะกักขังหน่วงเหนี่ยวและค้าหญิงสาวตัวเล็กๆ”

“หนอย ทำเป็นพูดดีไป มีกันแค่ไม่กี่คนอย่าคิดว่าพวกเราจะกลัว พวกเราเล่นมันเลย ถ้าไม่โดนจับก็ไม่ผิด” เมื่อหัวหน้าสั่งการพวกลูกน้องก็หยิบจับอาวุธขึ้นมาครบมือ

<แย่ล่ะสิ ไปกันใหญ่แล้ว> ผมกระโดดออกจากที่กำบังมายืนข้างๆเร็กซ์ อาวุธในมือพร้อมต่อสู้

“ถ้าลำบากใจเจ้าอยู่เฉยๆก็ได้นะ รอส แค่นี้ข้าไหว”

“ได้ไงเล่า พวกนี้กล้าเข้ามาในป่าจันทราเลยนะ คงไม่กระจอกเหมือนเจ้า 6 คนเมื่อเช้าหรอก” อันธพาล 6 คนเมื่อเช้าถูกเร็กซ์ซัดซะหมอบภายในไม่กี่อึดใจ ผิดกับเจ้าพวกนี้ที่กล้าเข้ามาเสี่ยงอันตรายในป่าต้องห้าม พวกเขาต้องมีฝีมือพอตัว

ชายสองคนขึ้นสายลูกศรแล้วเล็งมาที่พวกเราขณะที่อีกสามคนที่เหลือชักดาบขึ้นมาเตรียมพร้อมไว้ในมือ สีหน้าทุกคนดูจริงจัง แบบนี้คงหลีกเลี่ยงการปะทะไม่ได้แน่ๆ แต่ก็ไม่อยากให้เสียเลือดเสียเนื้อแฮะ ยังไงพวกเขาก็แค่ทำมาหากิน

โครม!!!

โดยที่ไม่ทันตั้งตัว ก้อนดินขนาดใหญ่พุ่งออกมาจากป่าเข้ากระแทกร่างชายสองคนที่ถือคันธนูอย่างจัง เศษดินกระจายไปทั่ว ทั้งสองกระเด็นไปหลายตลบร้องโอดโอยอยู่ที่พื้น

ก๊าสสสสส!!!

เสียงคำรามของสัตว์ร้ายดังบาดหูจนบางคนต้องเอามือกุมไว้ ในไม่ช้าเจ้าของเสียงก็ปรากฏตัวออกมา ร่างกายสูงใหญ่เต็มไปด้วยขนสีเหลืองส้มมีลายพาดกลอนสีดำเป็นแถบ กรงเล็บแหลมคมกรีดกรายแหวกต้นไม้ เขี้ยวเล่มใหญ่ดันริมฝีปากเผยอออกมา ส่วนหัวเป็นเสือ

“อ...อสูรพงไพร พวกเรารีบหนีเร็ว”

บรึ้มๆ!!!

เจ้าหัวหน้าพรานขว้างระเบิดควันใส่พวกเราและเจ้าสัตว์ร้าย ควันสีดำสนิทโอบล้อมมันไว้จนมองไม่เห็นร่างใหญ่ร่างนั้น ได้ยินแต่เสียงคำรามเกรี้ยวกราด เงาทึบสะบัดฉวัดเฉวียนไปมา

ชายสองคนวิ่งไปประคองคนเจ็บเตรียมจะหนีในขณะที่เจ้าหัวหน้าวิ่งกลับไปที่แคมป์อีกฟากของทะเลยสาบเพื่อคว้ากรงที่มีแสงสีเหลืองนั่น

“ไอ้ลุงนี่ยังจะโลภอีก” ผมสบถแล้วพุ่งตัวตามชายร่างใหญ่นั้นไป

“เดี๋ยวรอส อย่าพึ่ง” ผมไม่ฟัง ปล่อยให้เร็กซ์ไปช่วยแฟรี่สีฟ้ากับแดง

ผมเปิดใช้งานหินสีน้ำตาลแล้วสร้างกำแพงดินขึ้นมาสกัดชายคนนั้นไว้ พร้อมสร้างเสาขึ้นมาใต้เท้าตนเองเพื่อออกแรงดีดตัวแซงไปคว้ากรงได้ก่อนที่เขาจะถึง ภายในมีแฟรี่สีเหลืองท่าทางหวาดกลัว

“อย่านะเจ้าหนุ่ม นั่นมันหายากมากเลยนะ ขอร้องล่ะ แค่อสูรพงไพรก็วุ่นวายพอแล้ว อย่ามาขัดขวางพวกเราเลย” หัวหน้าพรานเว้าวอนเมื่อเห็นผมเตรียมจะเปิดกรง

“ต้องขอโทษด้วยนะลุง แต่กฎก็คือกฎ ผมว่าของอื่นๆที่พวกลุงเก็บได้ก็น่าจะพอแล้ว” ว่าแล้วผมก็กระชากประตูกรงออกปล่อยให้แฟรี่น้อยบินหนีออกไป

“หนอย ไอ้เจ้านี่ ต้องสั่งสอนสักหน่อยแล้ว” พรานป่าพุ่งคมดาบเข้าหาผม แต่ไม่ทันจะถึงตัวก็…

“อัก” ดินก้อนใหญ่พุ่งเข้ากระแทกตัวเขาจนกระเด็นไปนอนกับพื้น ควันดำเริ่มจางไปแล้วทำให้อสูรพงไพรออกอาละวาดอีกครั้ง มันใช้กรงเล็บโฉบลงพื้นแล้วขุดเอาพื้นดินเป็นแผ่นเขวี้ยงใส่ เมื่อเห็นเหยื่อหมดสภาพมันก็ง้างกรงเล็บแล้วพุ่งเข้าใส่หวังปลิดชีพ
ครืนนน!!!

เสาดินขึ้นรูปเป็นมือเข้าสกัดกรงเล็บมัจจุราชได้อย่างทันท่วงที ผมพุ่งเข้าไปขวางกลางระหว่างอสูรพงไพรกับคนเจ็บ ถึงจะตกลงกันไม่ได้แต่จะปล่อยให้ตายก็ใช่เรื่อง ยังไงพวกเขาก็เป็นคนทำมาหากินสุจริตคนหนึ่ง

เสาดินอีกหลายต้นผุดขึ้นมาเป็นกรงขังสัตว์ร้ายไว้ มันตวัดกรงเล็บใส่เพื่อทะลายกรงออกมา ท่าทางจะถ่วงเวลาไว้ได้อีกไม่นาน

“นะ...นี่เจ้า ช่วยข้างั้นเหรอ” ชายร่างใหญ่พยายามประคองร่างอันบอบช้ำให้ลุกขึ้น ผมเห็นแล้วสงสารเข้าไปช่วยพยุงอีกแรง

“เออสิ” ผมตอบไปส่งๆเมื่อประคองเขาขึ้นมาได้ อสูรร้ายส่งเสียงคำรามอีกครั้งเมื่อพังกรงดินออกมาได้

ดวงตาสีทองวาวโรจน์จับจ้องมาที่เราสองคน เจ้าอสูรเดินย่างกรายเข้ามาหาเหยื่อของมันช้าๆ เสียงลมหายใจฟืดฟาดเสียงดัง

“เดี๋ยวข้าจะล่อมันเอง ลุงหาจังหวะกลับไปหาพวกละกัน”

“เจ้าจะบ้าเหรอ”

“หึ เรื่องปกติ” ว่าแล้วผมใช้เวทมนต์ยกหินก้อนใหญ่ช้างๆขึ้นแล้วเหวี่ยงแขนส่งเข้าหน้าเจ้าอสูรเต็มๆ หินแตกกระจายแต่ไม่มีบาดแผลแม้แต่น้อย “เฮ้ มาทางนี้ๆ” ผมเริ่มออกวิ่งไปอีกทางหนึ่ง

กรรรร!!!

มันคำรามอย่างเกรี้ยวกราดอีกครั้ง แล้วกระโจนตามผมมา <ได้ผล> มันไล่หลังผมมาติดๆ ในขณะที่พรานป่าคนนั้นหนีไปอีกทาง
“รอส อย่าทำอะไรบ้าๆนะ” คราวนี้เป็นเสียงเร็กซ์ตะโกนมาระหว่างที่กำลังช่วยประคองพรานป่า

“ช่วยคนเจ็บก่อน” ผมตะโกนกลับไป

เมื่อได้ระยะปลอดภัยแล้วผมก็จัดแจงสร้างเสาและกำแพงดินขึ้นมาเพื่อขังมันไว้อีกครั้ง แล้วเตรียมหนีบ้างแต่ทว่า...

โฮกกกก!!!

เมื่อหันหลังกลบไปผมดวงตาผมก็ต้องเบิกกว้าง อสูรพงไพรอีกตัวหนึ่งโผล่มาดักหลังผมไว้แล้ว ตัวนี้มีหัวเป็นหมี

“สะ...สองตัวเลยงั้นเหรอ”

ตึง!!!

กรงเล็บแหลมยาวตะปบเข้าหา ผมกระโดดถอยออกมาได้อย่างฉิวเฉียด ผมตกอยู่ในวงล้อมของอสูรพงไพรทั้งสอง ข้างหลังเป็นเสือที่กำลังตะกุยเสาดินออกมา ข้างหน้าเป็นหมี

อสูรหมีคำรามขู่ แยกเขี้ยว แล้วยื่นหน้าเข้ามาสูดดมกลิ่นของผม น้ำลายข้นหนืดหยดลงจากมุมปาก มันอ้ากว้างเตรียมกระโจนเข้ามาฝังเขี้ยว

ชะวิ้งงงง!!!

ก่อนที่ผมโต้ตอบ แฟรี่สีเหลืองพุ่งตัวเข้ามาขวาง แสงสีเหลืองนวลสาดส่องไปทั่วจนต้องหลับตา

ความโกลาหลกลับกลายเป็นความเงียบสงบ ไม่มีเสียงใดๆ

ผมลืมตาขึ้นอีกครั้ง ไม่ทันที่สายตาจะชินกับแสง อสูรหมีที่ทำท่าโงนเงนก็ล้มลงมาทับตัวจนผมหงายล้ม ส่วนหัวลงมานอนเกยทับผมไว้ ดวงตาปิดสนิท เสียงลมหายใจสม่ำเสมอ มันหลับไปแล้ว อสูรเสือก็เช่นกัน

“รอส” เร็กซ์รีบเข้ามาหาผมแล้วช่วยยกส่วนหัวของมันขึ้นจนผมหลุดออกมาได้ เขาดึงผมเข้าไปกอดไว้ “ปลอดภัยดีใช่ไหม”

“เกิดอะไรขึ้น” ผมถามด้วยความงุงงง อสูรร้ายที่จะเขมือบผมเมื่อครู่หลับเป็นตาย เมื่อหันไปเห็นกลุ่มพรานป่าก็พบว่ามีอสูรพงไพรอีก 3 ตัวเข้าล้อมไว้แต่ไม่ทำอันตรายใดๆ

“ฝีมือพวกแฟรี่น่ะ” เร็กซ์ว่าขณะช่วยปัดเศษดินออกจากหลังของผม มันขอโทษขอโพยที่เอาแต่สนใจคนอีกกลุ่มหนึ่งจนทำให้ผมเกือบเป็นอันตราย แต่ผมไม่ใส่นักเพราะส่วนนึงคือผมชะล่าใจเอง

เขาอธิบายต่อว่าแท้จริงแล้วอสูรพงไพรที่มาอาละวาดเป็นฝีมือของแซทเทอเดย์ แฟรี่สีม่วง หล่อนปลีกตัวออกไปแอบใช้เวทมนต์เรียกพวกมันมาช่วย แต่เพราะระเบิดควันทำให้เสียการควบคุมพวกมันไป ถ้าไม่ได้พี่ใหญ่อย่างมันเดย์มาช่วยสะกดพวกมันไว้ผมอาจจะแย่ไปแล้ว

“อย่าทำแบบนี้อีกนะ” เจ้าอัศวินว่าผมเสียงดุ

“ทำอะไร”

“ก็ที่พุ่งออกไปกลางวงแบบนั้น ถ้าพลาดท่าไปจะทำยังไง”

“เหอะ ข้าไม่พลาดง่ายๆหรอกหน่า”

“ข้าเป็นห่วงนะ” คำพูดง่ายๆแต่กลับทำให้ผมใจเต้นแรง นานเท่าไหร่แล้วนะที่ผมไม่ได้ยินคำนี้ คงเพราะผมเอาแต่เดินทางคนเดียวล่ะมั้ง แต่ต้องผมก็รีบสะบัดความคิดนี้ออกจากหัวเมื่อเร็กซ์ผละตัวไปจัดการพวกพรานป่าต่อ

“ยะ...อย่าทำพวกเราเลยนะ...อ้า” พวกกลุ่มพรานป่าวิงวอนร้องขอชีวิตภายในวงล้อมของอสูรพงไพร มีคนหนึ่งสะดุ้งร้องออกมาสุดเสียงเมื่ออสูรเหยี่ยวเอาเท้ามาเขี่ยพวกเขาเล่น

เร็กซ์ยืนกอดอกมองพวกเขาอยู่นอกวงล้อมโดยมีพวกแฟรี่บินล้อมรอบส่งเสียงดังเจ๊าะแจ๊ะ คงกำลังปรึกษาหาบทลงโทษพวกเขาอยู่

“ปล่อยพวกเขาไปเถอะ ยังไงทุกคนก็ปลอดภัยแล้ว” ผมพูดแทรกเสียงของแฟรี่

“อื้อ ข้าก็คิดแบบนั้น ดีที่พวกแฟรี่ไม่บาดเจ็บอะไร พวกเขาถึงยอมปล่อยไปง่ายๆ” ว่าแล้วพวกอสูรก็ขยับตัวคลายวงล้อมเปิดทางให้พวกเขาหนีไป

“ขะ...ขอบคุณท่านมากที่กรุณา พวกเราไปเร็ว”

“แล้วอย่าทำแบบนี้อีก ไม่เช่นนั้นคราวหน้าเป็นอาหารอสูรแน่ๆ” เร็กซ์ตะโกนทิ้งท้ายให้พวกเขาที่หอบข้าวของพะลุงพะลังวิ่งจ้ำหายไปในป่า พวกแฟรี่รอบๆต่างก็หัวเราะคิกคักกันใหญ่

“เห้อ” ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก ถึงจะสงสารผู้ร่วมสายอาชีพเดียวกันแต่จะทำยังไงได้ กฎก็คือกฎแหละน้า

หลังจากผ่านเรื่องยุ่งๆมาได้พวกแฟรี่ก็เชิญชวนพวกเราไปที่หมู่บ้านของพวกหล่อนเพื่อเป็นการขอบคุณที่ช่วยเหลือ นอกจากนี้พวกหล่อนยังมีข้อมูลเกี่ยวกับโอทห์คีปเปอร์ให้เร็กซ์อีกด้วย นับว่าเป็นเรื่องที่ดีเพราะนอนการป่าต้องห้ามเป็นเรื่องอันตรายพอสมควร

พวกเราเดินทางตามพวกแฟรี่ทั้ง 7 ลึกเข้าไปในป่า ผมรู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษเพราะไม่เคยมีบันทึกใดกล่าวถึงหมู่บ้านแฟรี่มาก่อน ได้ไปเห็นสักครั้งคงจะเป็นบุญตามาก

์Note : ยอมรับว่าตอนนี้ดูขาดๆเกินๆแปลกๆเพราะพึ่งเพิ่มเข้ามา วางแผนไว้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ถ้าแปลกๆก็ขออภัยครับ
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 22 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 08-09-2018 22:51:05
แปลกมั้ยไม่รู้ แต่จิตนาการเร็กซ์คุยภาษาแฟรี่แล้วมันดูน่ารักมุ้งมิ้งมาก
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 22 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 08-09-2018 22:56:10
 :katai2-1: มาแล้วววว เย้ หลังๆเรารู้สึกว่านิยายสั้นลงมากเลยค่ะ มันไม่พอออออ อยากอ่านต่อ5555 งอแงหน่อยเผื่อได้เพิ่ม :haun5:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 22 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 09-09-2018 00:26:31
มีโมเม้นต์เล็กๆน้อยๆ พอกระชุ่มกระชวย หัวใจ  :o8: :-[
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 22 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 09-09-2018 01:09:54
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 22 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 10-09-2018 20:52:40
 :pig4:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 23 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 11-09-2018 16:10:35
Chapter 23 Forest depth

ผมเดินตามพวกแฟรี่มาเรื่อยๆโดยมีเสียงเจ๊าะแจ๊ะตลอดทาง พวกแฟรี่รุมล้อมตัวเร็กซ์ส่งเสียงจ้อไม่หยุดจนผมเริ่มรำคาญ หงุดหงิดที่ฟังพวกมันไม่ออกอาศัยการเดาจากคำโต้ตอบของเร็กซ์ แต่ผมก็บ่นไม่ได้...เพราะว่าพวกเขาทำให้การเดินทางไร้อันตรายใดๆ สัตว์ป่าที่ควรจะตื่นตกใจเมื่อเห็นมนุษย์กลับแค่หันมามองแล้วเลิกสนใจ บางชนิดที่ดุร้ายกลับเดินเข้ามาดมๆแล้วก็จากไป ใครจะไปคิดว่าการเดินทางผ่านป่าต้องห้ามจะสบายแบบนี้ได้ด้วย

พวกเราเดินฝ่าป่าเข้ามาลึกกว่าครั้งก่อนที่ผมเข้ามากับอาจารย์ กระโดดข้ามโขดหินกลางลำธาร ข้ามทุ่งหญ้ากว้างเต็มไปด้วยดอกไม้หน้าตาประหลาด จนถึงปากถ้ำแห่งหนึ่ง ทางเข้าแคบมากจนผมคิดว่ายากที่จะมุดเข้าไปได้

พวกแฟรี่บินไปอยู่หน้าทางเข้าแล้วเรียงตัวเป็นวงกลม แสงสว่างวาบจนผมต้องป้องตา พวกเขาแข่งกันสองแสงสีประจำตนวูบวาบ ทันใดนั้น...

ครืน!!!

ปากถ้ำก็ขยายออกราวเก็บว่าทำจากวัสดุอ่อนนุ่มที่หดขยายได้ตามใจชอบ ผมตะลึงจนต้องขยี้ตา มันขยายกว้างไม่เพียงให้ผมกับเร็กซ์เข้าไปได้ แม้แต่ฟรีดก็เดินเข้าไปได้ง่ายๆเช่นกัน ตามผนังมีคริสตัลสีเขียวๆส่องแสงระยิบระยับ ถ้ำที่ควรจะมืดสนิทกลับสว่างไปด้วยแสงน้ำเงินอมเขียว พอเดินลึกเข้าไปก็พบว่าผนังถ้ำข้างหลังค่อยๆยุบตัวกลับมาเป็นช่องแคบๆดังเดิม ผมลองเอามือไปคลำๆผนังก็พบว่ามันแข็ง...เป็นผนังหินธรรมดา ไม่น่าล่ะถึงไม่เคยมีใครพบหมู่บ้านแฟรี่ นอกจากจะอยู่ในป่าต้องห้ามแล้วยังซุกซ่อนซะมิดชิด

หลังจากเดินผ่านทางเดินที่ทอดยาวมาเรื่อยๆ ในที่สุดก็มองเห็นแสงสว่างของทางออก ทันทีที่ก้าวออกจากถ้ำผมภาพทิวทัศน์ข้างหน้าก็ทำให้ผมยืนตกอยู่ในภวังค์ราวกับต้องมนต์สะกด มันช่างสวยงาม

ต้นไม้สูงใหญ่เกือบ 15 เมตรแผ่กิ่งก้านสาขาออกไปกว้างขวางราวกับหลังคา มันตั้งอยู่กลางพื้นที่กว้างขวางที่ไม่น่าเชื่อว่าจะซ่อนอยู่ในถ้ำได้ ผนังถ้ำด้านบนเปิดกว้างให้เห็นปุยเมฆสีขาวท่ามกลางท้องฟ้าครามใกล้มืด พื้นหญ้ารอบๆเต็มไปด้วยดอกไม้ มีลำธารเล็กๆจากน้ำตกขนาดเล็กที่ตกลงมาเป็นชั้นๆจากกำแพงด้านหนึ่งวิ่งหายไปในช่องโหว่ที่กำแพงอีกฟาก บริเวณผนังหินมีคริสตัลแบบเดียวกันส่องแสงจางๆ ตามรอยแยกที่ลำต้นและตามกิ่งมีบ้านไม้เล็กๆเต็มไปหมด แฟรี่หลากหลายสีเริ่มบินออกมาด้วยความสงสัยจนมีแสงหลากสีระยิบระยับกลางอากาศราวกับหิ่งห้อยตัวใหญ่ๆเล่นกันยามค่ำคืน ช่างสวยงามเหลือเกิน หากไม่ได้ออกมาผจญภัยคงไม่มีโอกาสได้เห็นภาพแบบนี้

“ยินดีต้อนรับผู้ถูกเลือกโดยโอทห์คีปเปอร์” เสียงหญิงชราก้องกังวานไปทั่ว เรียกสติผมกับเร็กซ์กลับมา พวกเราหันหน้าสอดส่องหาต้นเสียงแต่ก็ไม่เห็นใคร

“ใครน่ะ” ผมร้องถาม

เอี๊ยดๆๆ

เนื้อไม้ที่ต้นไม้ใหญ่เริ่มบิดเบี้ยว ลายไม้หมุนวนเป็นเกลียวจนกลายรูปเป็นใบหน้าของหญิงชราท่าทางใจดี

“ข้ามีนามว่าอาย่า (Aya) เป็นเทรี่ยนท์ผู้ปกป้องป่าแห่งนี้” นางตอบกลับมา

เทรี่ยนท์ (Treant) คือมอนสเตอร์กลุ่มต้นไม้ รูปลักษณ์ของพวกเขาจะเหมือนต้นไม้ใหญ่ธรรมดาที่มีรูปลักษณ์ของมนุษย์ปนอยู่ บ้างก็มีใบหน้า บ้างก็อาจจะขยับกิ่งแทนแขนได้ บ้างก็ขยับรากไม้เป็นขาเดินได้ พวกเขาเป็นมอนสเตอร์ที่รักสงบ มักจะจำศีลและเก็บเกี่ยวความรู้โดยการพูดคุยกับสัตว์ที่เดินทางไปมา ในตำนานบางเรื่องกล่าวว่าพวกเขาเป็นต้นไม้ผู้ทรงภูมิ มีความรู้เรื่องราวในประวัติศาสตร์และสิ่งลึกลับดียิ่งกว่าปราชญ์ไหนๆเพราะอายุที่ยืนยาว

“พวกเรากำลังคอยการมาเยือนของท่าน ท่านอัศวิน”

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ข้ามีนามว่าเร็กซัส บุตรชายแห่งตระกูลไลโอเนล ส่วนคนนี้คือรอสครับ” เจ้าอัศวินกล่าวแนะนำตัวพร้อมโค้งคำนับด้วยความนอบน้อมจนผมต้องทำตาม

“นักผจญภัยผู้ซ่อนเร้นตัวตนสินะ” คำพูดของนางทำให้เร็กซ์หันมามองผมด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม ส่วนผมก็เหงื่อแตกใจตุ้มๆต่อมๆหวังว่านางคงไม่พูดเยอะไปกว่านี้

“โอทห์คีปเปอร์ได้แจ้งให้พวกเราทราบถึงการมาเยือนของท่านแล้ว การเดินทางเพื่อคัดรัชทายาทคงจะเหน็ดเหนื่อยพอสมควร”
“ไม่เลยครับ แค่นี้สบายมาก”

“หึหึ ร่างกายท่านอาจจะแข็งแรงดี แต่จิตใจท่านต่างหากที่เหนื่อยล้า การทดสอบไม่ได้มีขึ้นเพื่อทดสอบพละกำลังและความสามารถเพียงอย่างเดียว แต่มีเพื่อทดสอบจิตใจด้วย”

“ข้าพอจะทราบครับ” เร็กซ์หลุบตาลงมองต่ำกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา

“สิ่งที่ท่านตามหาสถิตอยู่ที่วิหารโบราณในจุดที่ลึกที่สุดของป่า หนทางเต็มไปด้วยอันตราย พวกแฟรี่สามารถช่วยนำทางให้ท่านได้ พวกอสูรไม่ทำร้ายพวกนาง”

“ขอบคุณมากครับที่กรุณา” เขาโค้งคำนับอีกครั้ง

“ส่วนเจ้า พ่อหนุ่มนักผจญภัยผู้เลือกชะตาของตนเอง การเดินทางครั้งนี้ร่วมกับท่านอัศวินจะทดสอบเจ้าด้วยเช่นกัน” สายตาของเร็กซ์จับจ้องมาที่ผมอีกครั้ง

“มะ...หมายความว่ายังไงครับ” ยัยป้านี้รู้เรื่องผมเยอะเท่าไหร่เนี่ยถึงเรียกอะไรแบบนั้น แล้วแค่นำทางให้เร็กซ์นี่ไม่เหนื่อยพอแล้วเหรอ ยังต้องโดนทดสอบไปด้วยเนี่ยนะ

“จะมีทางเลือกอันน่าลำบากใจให้เจ้าเลือก เส้นทางที่เจ้าเลือกจะบ่งบอกตัวตนของเจ้า”

“...” ผมตกอยู่ในสภาพเดียวกับเร็กซ์เมื่อครู่ หลบตามองต่ำ พูดอะไรไม่ออกเมื่อจู่ๆมาได้ยินอะไรแบบนี้เข้า หัวตื้อไปหมด

“เอาเถอะ ยังไม่ถึงเวลาที่พวกเจ้าทั้งสองต้องคิดมาก เดินทางกันมาเหนื่อยๆ พักผ่อนที่นี่สักคืนนึงก่อนสิ พวกแฟรี่จะช่วยรับรองพวกท่านเอง”

“ครับ/ขอบคุณครับ” ผมได้แต่ตอบเสียงอ้อมแอ้มตามเร็กซ์ ยัยป้านี่บอกยังไม่ถึงเวลาคิดมาก แต่ผมว่าคืนนี้ผมโดนเร็กซ์ซักไม่หยุดแน่ๆ ผมเริ่มจะรู้สึกว่าตนเองตัดสินใจผิดพลาดแล้วสิที่มาด้วย

พวกแฟรี่ร่อนตัวลงมาเพื่อนำทางให้พวกเราไปยังที่พัก กิ่งไม้ใหญ่กิ่งหนึ่งโน้มลงมาเกือบถึงพื้นก่อนจะแตกกิ่งก้านอย่างรวดเร็วและบิดม้วนกลายเป็นกระโจมเล็กๆ มีม่านทำจากใบไม้ให้ความส่วนตัวได้นิดหน่อย

“ท่านเร็กซัส ข้าหวังว่าเมื่อจบการทดสอบท่านจะตอบตนเองได้ว่าสิ่งที่ท่านปรารถนาที่สุดคืออะไร ข้าขอให้ท่านโชคดี” อาย่าพูดทิ้งท้ายให้อัศวินหนุ่มก่อนที่ใบหน้าจะคลายหายไปกลับเป็นผิวไม้ธรรมดา

บรรยากาศน่าตื่นตาตื่นใจเมื่อครู่อึดอัดขึ้นทันใด เร็กซ์เอาแต่จ้องหน้าผมด้วยสายตาคาดคั้นตลอดเวลาที่พวกเรากำลังจัดแจงของเข้าที่พัก ผมพยายามไม่สนใจ ฟรีดโดนปลดสัมภาระออกจากตัวให้ไปวิ่งเล่นรอบๆกับพวกแฟรี่ ส่วนผมเอาผ้าคลุมมาปูเป็นที่นอนเพื่อเตรียมพักผ่อน

“นักผจญภัยผู้ซ่อนเร้นตัวตน...หมายความว่ายังไง รอส” เร็กซ์คงทนบรรยากาศชวนอึดอัดไม่ไหวปริปากถามขณะนั่งลงข้างตัวผม

“นางคงอายุมากแล้ว พูดจาเลอะเทอะ”

“เทรี่ยนท์คือต้นไม้ผู้ทรงปัญญา พวกเขาล่วงรู้สิ่งต่างๆมากมาย เจ้ามีอะไรปกปิดข้าอีก...หืม”

“เฮ้อ...ไม่ต้องเป็นห่วงหน่า เรื่องเหล่านั้นไม่มีผลกับเจ้า” ผมถอนหายใจแล้วตอบไปส่งๆ เรื่องของผมเป็นเรื่องส่วนตัว เรื่องที่ไม่อยากจะนึกถึง และไม่มีผลใดๆกับคนรอบตัว แต่เหมือนมันจะไม่พอใจคำตอบของผม

ฟุบ!!!

โดยที่ผมไม่คาดคิดไว้ เจ้าอัศวินพลิกมาคร่อมตัวผมไว้แล้วทิ้งน้ำหนักตัวลงมากดไว้ที่กลางลำตัวผม ผมสะดุ้งจะขืนตัวลุกขึ้นไปขัดขืนก็โดนมันกดไหล่สองข้างลงไปนอนราบกับพื้น

“จะทำอะไร” กลับมาอยู่ในท่าล่อแหลมอีกแล้ว

“มันเกี่ยวกับที่เจ้าไม่เคยบอกชื่อสกุลของเจ้าใช่ไหม”

“...” ผมกัดฟันแน่นด้วยความเจ็บใจที่พาตัวเองมาอยู่ในสถานการณ์นี้ ไม่น่าตามมาด้วยเลยจริงๆ

“รอส บอกมาเดี๋ยวนี้ เลิกมีความลับกับข้าสักที” ดวงตาสีดำสนิทจับจ้องมาที่ผมเพื่อคาดคั้นคำตอบ

“ชิ” ผมแค่นเสียงออกมาด้วยความไม่สบอารมณ์ “ข้าละทิ้งชื่อสกุลไปเพราะข้าเกลียดครอบครัวของข้า พอใจคำตอบรึยัง” ผมตะคอกอกไป คำตอบของผมทำให้ท่าทีของเขาอ่อนลง มือสองข้างผ่อนแรงที่กดไหล่ผม น้ำหนักกลางลำตัวผมโดนยกออก
“ทำไมล่ะ ครอบครัวคือสิ่งสำคัญไม่ใช่เหรอไง”

“เจ้าไม่เข้าใจหรอก ข้าไม่อยากจะพูดถึงมัน” ในที่สุดเร็กซ์ก็ยอมลุกออกจากตัวผมไปนั่งเหมือนเดิม ส่วนผมก็พลิกตัวตะแคงหันหลังให้มัน “เรื่องบางเรื่องที่ทิ้งไปแล้วก็ไม่ควรพูดถึงอีก” นิ้วโป้งข้างซ้ายกอบกุมหลังมือขวาแล้วนวดเบาๆโดยไม่รู้ตัว

“ข้าขอโทษ”

“ช่างมันเถอะ”

“หลังจากนี้เจ้าจะทำอะไรต่อเหรอ รอส” เจ้าอัศวินเริ่มชวนคุยเรื่องอื่นด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร

เปลี่ยนบรรยากาศเร็วจริงนะพ่อคุณ แต่คำถามของมันก็ทำให้ผมละความสนใจจากคำพูดของอาย่า นั่นสินะ ผมยังไม่เคยได้คิดเลยว่าหลังจากจบเรื่องนี้จะทำอะไรต่อ

“ก็คง...เดินทางต่อ อาจจะลองข้ามทะเลทรายไปประเทศใกล้ๆดู” ผมเดินทางไปเกือบทั่วทั้งเทอร่าแล้ว ไหนๆก็อยู่ชายแดนแล้วลองข้ามไปดูสักหน่อยจะเป็นไรไป

“เจ้าจะเดินทางไกลมาที่เอนเดลอนแล้วข้ามประเทศเหรอ”

“เดินทางไกล ? ” ผมตะแคงตัวกลับไปหาเร็กซ์ เลิกคิ้วถามกลับด้วยความสงสัย

“ก็จากเมืองหลวงกลับมานี่ตั้งไกลไม่ใช่เหรอ”

“บ้ารึเปล่า ใครจะเดินทางไปมา พาเจ้าออกจากป่าก็หมดหน้าที่ข้าแล้ว จะต้องไปส่งคุณชายกลับบ้านอีกเหรอไง” คำตอบของผมทำให้หน้าของเขาสลดลงทันที มันเบือนหน้าหนี

“ข้า...อยากเดินทางกับเจ้าต่อ” เขากล่าวเสียงเบา

“ทำไมล่ะ ฝีมือของเจ้าเอาชนะได้ทุกอย่าง เดินทางคนเดียวไม่น่ามีปัญหา”

“ไม่ใช่ทุกอย่างหรอก แค่...” เสียงของเขาขาดหายไป เร็กซ์ล้มตัวลงนอนบนถุงนอนแล้วพลิกตัวหันหลังให้ผม “ช่างมันเถอะ”

“...” ผมไม่สามารถกล่าวอะไรต่อได้ พลิกตัวไปอีกทางหนึ่ง พอคิดๆดูแล้วมันก็น่าใจหาย อีกไม่นานเราสองคนคงต้องจากกันแล้วสินะ

................................
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 23 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 11-09-2018 19:50:03
 :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 23 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 13-09-2018 08:43:52
ขอแปะไว้ก่อน เดี๋ยวมาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 23 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 14-09-2018 14:54:05
23.2


ท่ามกลางความเดียวดายอันหนาวเหน็บ เด็กชายผมสีน้ำตาลตัวน้อยยืนอยู่คนเดียวกลางความมืดในห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์ ประตูบานใหญ่ทำจากไม้ชั้นดีปิดสนิท ถัดมาด้วยพื้นที่กว้างประดับด้วยเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งมากมาย มีทางเดินแยกออกไปสองทาง และข้างหลังคือบันไดที่มีราวจับสีทองพาดตรงขึ้นไปก่อนแยกออกเป็นสองแฉกเพื่อขึ้นไปยังชั้นสอง บนผนังมีภาพครอบครัวอันประกอบด้วยพ่อ แม่ และลูกชาย 3 คน มันควรจะเป็นบรรยากาศที่สวยงามอบอุ่น แต่กลับเต็มไปด้วยความหงอยเหงา

“ฮึกๆ ทำไมท่านแม่ถึงต้องจากไปด้วย”

“ทำไมท่านพ่อถึงไม่อบอุ่นเหมือนแต่ก่อน”

“ทำไมพี่ๆถึงไม่กลับมาหาข้าบ้างเลย”

เด็กชายลดตัวลงนั่งยองๆ สองมือกอบกุมดวงตากลมโตทั้งสองข้างเพื่อปิดกั้นน้ำตาที่พรั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย

“ทำไมบ้างหลังใหญ่โตถึงเงียบเหงาแบบนี้ ฮึก ฮือ...”


…………………….

รุ่งเช้า

ผมสะดุ้งลืมตาตื่นขึ้นมา ฝันหรอกเหรอเนี่ย นานเท่าไหร่แล้วที่ผมไม่ได้ฝันถึงที่บ้าน

“คิก ๆ ๆ”

ผมกรอกไปมองสำรวจรอบกระโจมเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะคิกคัก เป็นเสียงของเหล่าแฟรี่ที่ส่องแสงวิบวับลอดม่านใบไม้
ของกระโจม พอมองไปบนท้องฟ้าพบว่าฟ้ายังไม่ทันสว่างดี ผมตัดสินใจหลับตาลงเพื่อที่จะนอนต่อ ผมขยับตัวเล็กน้อยเพื่อแนบชิดกับความอบอุ่นที่โอบรอบตัวผม มีลมอุ่นๆรดที่หลังคอด้วย อุ่นสบายดีจังแฮะ

<หะ...เดี๋ยวก่อนนะ> ดวงตาผมเบิกกว้างขึ้นมาอีกครั้งเมื่อนึกขึ้นได้ อากาศยามเช้าแบบนี้มันต้องเย็นสิ ทำไมถึงอุ่นได้ พอก้มลงมองสำรวจร่างกายก็พบแขนแกร่งหนุนลำคอ แขนอีกข้างโอบรอบเอว และยังมีขามาก่ายด้วย

“เฮ้ย” ไม่น่าล่ะทำไมถึงอุ่น ผมโดนเร็กซ์นอนกอดอยู่นี่เอง ผมพยายามดิ้นให้หลุดจากวงแขนของมัน

“นิ่งๆดิ” มันส่งเสียงหงุดหงุดแล้วกระชับวงแขนแน่นขึ้น

“ปล่อย!! จะมากอดทำไม” ผมไม่ละความพยายามแต่ยิ่งผมดิ้นอ้อมกอดก็ยิ่งแน่นขึ้น

“ก็เห็นหนาวจนตัวสั่น เลยดึงมากอดไว้ สุดท้ายก็หลับสบายดีนี่”

“...” คำตอบของมันเล่นเอาผมหน้าร้อนแดง กอบกับเสียงหัวเราะของพวกแฟรี่ยิ่งทำให้ผมเขินเข้าไปอีก แม้จะยอมรับบ้างก็เถอะว่ามันอุ่นสบายจริงๆ

“ไว้สว่างกว่านี้ก่อนค่อยเดินทาง นอนนิ่งๆ” มันออกคำสั่ง

“...ชิ” ผมส่งเสียงประท้วงเบาๆก่อนจะยอมอยู่นิ่งให้ วงแขนรอบตัวคลายออกเป็นกอดหลวมๆแต่ยังคงความอบอุ่น ทำไมผมถึงกลายเป็นคนว่าง่ายไปได้เนี่ย

หัวใจของผมเต้นแรง ผมไม่สามารถข่มตาหลับในสภาพนี้ได้ ความรู้สึกนี้มันคืออะไรกัน รู้สึกดีชวนให้เคลิบเคลิ้มแต่ในขณะเดียวกันอันตรายควรออกห่าง ทั้งๆที่ก็นอนในอ้อมกอดของชายมามากแต่ก็ไม่เคยรู้สึกแบบนี้ ได้แต่นอนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ทำไมกันนะทั้งๆที่ปากก็บอกว่าจะไม่เกินเลย แต่การกระทำของมันกลับตอดเล็กตอดน้อยผมตลอด นี่คุณอัศวิน...จะทำอะไรก็ช่วยเอาให้แน่สักอย่างได้ไหม ผมล่ะเกลียดนักพวกที่ไม่ชัดเจนกับตนเอง

หลังจากนอนนิ่งๆจนฟ้าสว่างแล้ว ไม่สิ...นอนเป็นหมอนข้างให้มันกอดจนพอใจแล้วพวกเราก็เตรียมพร้อมออกเดินทางต่อ

“หลับสบายไหม” เร็กซ์ทักด้วยใบหน้ายิ้มแย้มชื่นมื่นเป็นพิเศษขณะกำลังล้างหน้าล้างตาข้างๆผม

“ไม่เลย”

“ข้าหลับสบายมากเลยนะ ฮ่าๆๆ” มันหัวเราะร่วน จนรู้สึกหมั่นไส้

อ้อ...จะเล่นแบบนี้เหรอ...ได้

“จะนอนสบายกว่านี้ถ้าไม่มีอะไรมาแทงหลังตลอดเวลา”

“อะ...เอ่อ คือ...” หน้าระรื่นเมื่อครู่หายไปทันที มันยิ้มเขินๆหลบตา หน้าแดง

ซู่ !!!

“เย่ย” มันร้องเมื่อผมกวักน้ำเย็นๆใส่หน้า

“อะไรกันคุณอัศวิน แค่นี้ก็เขินแล้วเหรอ ฮ่าๆๆ” เป็นฝั่งผมที่หัวเราะคืนบ้าง

ซู่ ซ่า !!!

“หึ อย่าให้ข้าได้เอาจริงนะ” มันกวักน้ำคืนใส่

“เฮ้ย เปียกหมด ชุดยิ่งมีน้อยๆอยู่” ผมบ่นอย่างหัวเสีย เมื่อมันสาดน้ำโครมใหญ่มาใส่จนเสื้อเปียก ยิ่งไม่ค่อยได้มีจังหวะให้ตากเสื้อผ้าอยู่ด้วย

ซ่าห์ !!!

“ก็เริ่มก่อนเองนะ”

และแล้วเราสองคนก็สาดน้ำใส่กันไปมากันอยู่สักพักโดยไม่ได้สนใจเสียงหัวเราะคิกคักของพวกแฟรี่ หลังจากนั้นจึงจัดแจงของเตรียมตัวออกเดินทาง

.......................................

พวกเราก็ออกเดินทางโดยมีมันเดย์เป็นคนนำทางให้ การเดินทางผ่านป่า 2 ชั่วโมงเป็นไปอย่างราบรื่น มีแฟรี่คอยคุ้มครองนี่มันดีจริงๆ พวกเราเห็นยอดวิหารแล้ว เป็นส่วนยอดแหลมสามเหลี่ยมของหน้าจั่ววิหาร มีหอคอยอยู่ข้างๆ โครงสร้างทำจากหิน หลังคาทำจากไม้ อีกไม่นานพวกเราก็จะถึงที่หมายแล้ว

“ทำไมถึงมีวิหารมาตั้งในนี้ได้” ผมพึมพำขึ้นมา

“แฟรี่ แฟรี่” มันเดย์ที่บินอยู่ไม่ไกลได้ยินแล้วตอบกลับ

“นางบอกว่าวิหารนี้สร้างขึ้นมานานมากก่อนนางเกิดอีก อาย่าเคยเล่าให้นางฟังว่าที่นี่เคยเป็นที่ลี้ภัยลับของชนเผ่าโบราณ แต่ตอนนี้ถูกปล่อยร้างมานานหลายร้อยปีแล้ว”

“ข้างในมีอะไรเหรอ”

“นางเองก็ไม่ทราบ นางเคยแค่เข้าไปในเขตกำแพงแต่ไม่สามารถเข้าไปในวิหารได้เพราะมีเวทมนต์ปกป้องไม่ให้มอนสเตอร์ย่างกรายเข้าไป”

“อืม...เป็นที่ที่มีป่าปกป้องจากมนุษย์และมีอาคมของตนเองปกป้องจากมอนสเตอร์อีกทีสินะ” ผมวิเคราะห์ด้วยความตื่นเต้น เลือดนักผจญภัยมันร้อนรุ่มไปหมดเมื่อทราบถึงสถานที่ที่ไม่เคยมีใครสำรวจมาก่อน อยากจะไปถึงไวๆแล้วสิ

ระหว่างที่คิดสนุกไปเรื่อยๆ จู่ๆมันเดย์ก็หยุดบิน

“เกิดอะไรขึ้น” ผมถามด้วยความสงสัย

“แฟรี่”

“บางอย่างผิดปกติไป เมื่อหลายเดือนก่อนที่นี่ไม่มีเถาวัลย์เยอะแบบนี้”

ผมเริ่มสังเกตสภาพแวดล้อมรอบตัวแล้วก็เห็นความแตกต่างจากตอนก่อนหน้า ถึงจะเป็นป่าทึบที่มีต้นไม้หนาแน่น แต่ก็ไม่ได้มีเส้นเถาวัลย์พันไปมาระเกะระกะแบบนี้ มีช่วงห่างระหว่างต้นไม้ให้เดินผ่านได้ง่ายๆ แต่ตอนนี้กลับมีต้นไม้เล็กขึ้นแทรกเต็มไปหมดจนทางเดินเริ่มไม่ชัดเจน อีกทั้งยังมีเถาวัลย์หลากสีทั้งน้ำตาล เขียว และแดงพันไปมาขวางทาง พวกเราเริ่มระมัดระวังตัวกันมากขึ้นขณะเดินทางแหวกแมกไม้เถาวัลย์เหล่านี้ แต่แล้ว...

หมับ!!!

“กรี๊ด” เถาวัลย์สีแดงเส้นหนึ่งบนกิ่งไม้พุ่งเข้ารัดตัวมันเดย์ขณะที่ผมกับเร็กซ์ไม่ทันมอง มันดึงนางลึกเข้าไปในป่า เร็กซ์ไม่รอช้ารีบทะยานตัวตามไปทันทีโดยมีผมกับฟรีดวิ่งตามไปติดๆ

ออร่าสีฟ้าปกคลุมขาทั้งสองข้าง เร็กซ์พุ่งตัวถีบทะแยงไปตามต้นไม้จนตามทัน

ฉัวะ !!!

เถาวัลย์ขาดออกปลดปล่อยมันเดย์เป็นอิสระ นางรีบบินหนีมาทางผมในขณะที่เร็กซ์พลิกตัวกลางอากาศเอาขาลงพื้นอย่างสวยงาม แต่ยังอันตรายไม่หมด เถาวัลย์สีแดงอีกหลายสายยกตัวขึ้นมาราวกับพึ่งตื่นนอน แล้วก็โมโหมากที่โดนทำร้าย มันพุ่งตัวเข้าหาอัศวินหนุ่มด้วยความรวดเร็วราวกับลูกศร

ฉัวะๆ ๆ !!!

เขาตวัดดาบต่อเนื่องฟันรยางค์ที่พุ่งเข้ามาขาดกระจุย แต่ก็ไม่ต่างจากทำให้มันยิ่งโมโห เถาวัลย์อีกหลายเส้นลุกขึ้นแล้วพุ่งเข้าหาเขา

“เร็กซ์ ระวังที่ขา”

“อ๊ะ” อัศวินหนุ่มอุทานออกมาเมื่อเถาวัลย์เส้นหนึ่งแอบเข้ามาพันขาของเขาไว้ ออร่าสีฟ้าที่ขาจางหายไปกลายเป็นแสงจางๆไหลไปตามเส้นสายของเถาวัลย์เส้นนั้น แต่ก็แค่ชั่วขณะก่อนที่เร็กซ์จะฟันมันขาด เขาค่อยๆร่นถอยมารวมกลุ่มพร้อมใช้ดาบป้องกันตัวเองจากรยางค์เหล่านั้น

<มันดูดพลังเวทอย่างนั้นเหรอ> ไม่แน่ใจว่าคิดไปเองรึเปล่าแต่รู้สึกว่าความคล่องแคล่วของเร็กซ์ลดลง

ขวับ ๆ ๆ

“อึก” เถาวัลย์ 3 สายพุ่งเข้ารัดแขนและลำตัวของอัศวินก่อนที่สายอื่นๆจะพุ่งเข้าตาม เขากำลังจะเสียท่า พวกมันฉุดกระชากร่างของเขาไปตามทิศทางเดิม

“พวกเจ้าไปหาที่ปลอดภัย ข้าจะตามไปช่วยเร็กซ์” ผมออกคำสั่งเมื่อแน่ใจว่ารอบๆไม่มีเถาวัลย์สีแดงเหลือแล้ว มันเดย์กับฟรีดน่าจะปลอดภัย ไม่รอช้าผมวิ่งไปตามทิศทางที่มันลากเร็กซ์ไป

ฟู่ห์ๆ ๆ ๆ

ผมเปิดใช้งานหินสีแดงแล้วพ่นไฟใส่เถาวัลย์ที่พุ่งเข้ามาจู่โจม พวกมันบิดเร่าไปมาเมื่อต้องเปลวเพลิงก่อนจะหดหนีไป ผมออกวิ่งสุดฝีเท้าจนตามทัน เห็นเร็กซ์เอาดาบปักไว้ที่ต้นไม้ต้นหนึ่งเพื่อต้านแรงฉุดของเถาวัยล์พวกนี้

ตอนนี้พวกเราออกมาที่พื้นโล่งๆที่มีต้นไม้ไม่กี่ต้นติดกำแพงหินขนาดใหญ่ของวิหาร แล้วผมก็มองเห็นเจ้าตัวการ มันเป็นมอนสเตอร์ที่มีรูปร่างคล้ายดอกไม้ขนาดใหญ่ ลำต้นน่าจะสูง 3 เมตร ส่วนหัวเป็นเหมือนฝาหอยกาบ 2 ฝาที่เต็มไปด้วยฟันแหลมคม มีแผงคอเป็นกลีบดอกกุหลาบสีแดง ลำต้นสีเขียวอ้วนหนามีใบไม้ใบใหญ่ขยับคล้ายมือ รากไม้ที่ส่วนโคนต้นเป็นสีแดงแผ่ขยายไปยึดกำแพงบ้าง แผ่กระจายยาวหายไปในป่าบ้าง คงจะเป็นเถาวัลย์เมื่อครู่ เป็นมอนสเตอร์ที่ผมไม่เคยพบมาก่อน

ตู้ม !!!

ผมไม่รอช้ายิงลูกไฟไปที่เจ้าตัวการทันที

ก๊าซ!!!

มันส่งกรีดร้องเมื่อร่างกายลุกเป็นไฟ เถาวัลย์ที่รัดตัวเร็กซ์คลายออกก่อนจะบิดหงิกงอไปมา ผมรีบถลาตัวเข้าไปประคองเจ้าอัศวินลุกขึ้น

“แฮ่ก...มันดูดพลังเวทได้” เขากล่าวปนหอบเหนื่อย

“ไหวมั้ย”

“ไหวอยู่ มันดูดไปไม่มาก แต่เร็วกว่ามิมิคพอดคราวก่อน”

โผละๆ ฉ่า---!!!

เสียงบางอย่างแตกออกเหมือนผลไม้ปริแตกดังขึ้นเรียกความสนใจของพวกเรา รากไม้สีแดงที่ส่วนปลายเป็นกระเปาะชูขึ้นสูงแล้วแตกออกปลดปล่อยของเหลวเหนียวข้นใสๆออกมารดตัวของของมันเอง ไฟของผมดับลงทันที

กรรรรร!!!

เจ้าดอกไม้ส่งเสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราดราวกับสัตว์ป่า ส่วนหัวคล้ายหอยกาบบิดโค้งคล้ายรอยยิ้มเยาะ ดูท่าการเดินทางครั้งนี้จะไม่ง่ายแล้วสินะ...
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 23 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 14-09-2018 18:36:46
บักเรกซ์กล้าๆ หน่อยซี่ รวบหัวรวบหางเล้ย
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 23 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 14-09-2018 18:45:23
 :katai2-1: เย้มาแว้ววว
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 23 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 18-09-2018 09:07:37
เป็นมอนสเตอร์ประเภทที่ไม่เป็นมิตรแม้แต่กับแฟรี่สินะ

เรื่องในทางนั้น คุณอัศวินก็ยังไม่สันทัดเช่นเคย 555
 :pig4:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 24 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 19-09-2018 12:39:19
Chapter 24 Knight’s pride

โฮก!!!

เสียงคำรามของเจ้าต้นไม้อสูรดังกึกก้องป่าจนหมู่นกต่างโบยบินเพื่อหนีออกห่างจากอันตราย กลีบดอกไม้ที่แผงคอของมันไหม้เป็นรอยดำแต่ไม่ช้าก็กลับมาเป็นสีแดงสดอีกครั้ง รากไม้และเถาวัลย์สีแดงที่ทอดออกไปเพื่อสร้างอาณาเขตในการล่าต่างหดไหลย้อนกลับมาหาเพื่อปกป้องลำต้นของมัน ไม่สิ...เพื่อจัดการกับเหยื่ออันโอชะของมันมากกว่า

ฟุบๆๆ

เส้นสายสีแดง 5-6 เส้นพุ่งตรงเข้าใส่ผมกับเร็กซ์ ผมออกแรงผลักเจ้าอัศวินพร้อมทั้งกระโดดถอยออกจากตำแหน่งนั้น

โครม!!!

เหล่าเถาวัลย์ผู้มาดร้ายพุ่งพลาดจากเป้าหมายเข้ากระแทกพื้นอย่างจังจนพื้นดินแตกกระจาย บางเส้นบิดงอผิดรูปผิดร่างเพราะแรงกระแทก มันทำตนเองบาดเจ็บจนชะงักไป

ตู้มๆ

ผมอาศัยจังหวะนั้นยิงลูกไฟสวนไปที่ลำต้น ทันทีเปลวเพลิงสีแดงสัมผัสต้นไม้อสูรนั่นเปลวเพลิงก็กระจายออกแล้วค่อยๆดับไป มีเพียงไม้เถาบางส่วนเท่านั้นที่ติดไฟชั่วขณะ

“ถึกทนแบบนี้นี่มันบอสสุดท้ายแน่ๆ” ผมเริ่มวิเคราะห์ศัตรูเบื้องหน้า เมือกนั่นปกป้องตัวมันจากไฟของผมได้ แถมบาดแผลที่เกิดจากการลุกไหม้ก็สมานตัวอย่างรวดเร็ว ดูแล้วมันคงมีเวทฟื้นฟูตัวแฝงอยู่ แต่จากการพุ่งเข้าหาเหยื่อโดยไม่ยั้งแรงเผื่อพลาดเจ็บเองเลยคงพอสันนิฐานได้ว่ามันอาจจะจะไม่ฉลาดนัก คงจะทำตามสัญชาตญาณเพียงอย่างเดียว

ฟ้าวๆ

ยังไม่ทันที่ผมจะวิเคราะห์เสร็จเหล่าไม้เลื้อยที่พุ่งพลาดเป้าเมื่อครู่เปลี่ยนทิศทางมาที่ผมทั้งหมด  ผมออกตัววิ่งหนีเพื่อสร้างระยะห่าง เถาวัลย์อีกกลุ่มพุ่งมาจากส่วนลำต้นเข้าสมทบ

พรึบ!!!

เปลวเพลิงอันร้อนระอุลุกขึ้นสูงจากพื้นดินรอบตัวของผมเป็นกำแพงไฟ แม้แต่ผมเองก็สัมผัสถึงความร้อนได้จนเหงื่อเริ่มผุดขึ้นตามใบหน้า ได้ผลพวกมันหยุดชะงัก มันเบี่ยงทิศทางเพื่อสำรวจหาช่องทางจู่โจมทางอื่น

ผมใช้จังหวะที่ได้พักหายใจนี้สำรวจสถานการณ์อีกครั้ง ส่วนหัวของมันพุ่งความสนใจมาที่ผมอย่างชัดเจน มีเถาวัลย์เพียงไม่กี่สายที่พุ่งเข้าหาเร็กซ์ซึ่งเขาก็จัดการมันได้ไม่ยากนัก หรือว่ามันไล่ล่าหินเวทมนต์ของผมกันแน่ ถ้าเช่นนั้นก็ได้แผนการแล้วล่ะ

“เร็กซ์ ข้าจะล่อมันเอง เจ้าหาจังหวะจัดการกับลำต้นของมัน” ผมตะโกน เจ้าอัศวินพยักหน้ารับ

เมื่อเข้าใจตรงกันแล้วผมก็ลดกำแพงไฟลงแล้วออกวิ่งอีกครั้งเพื่อดึงความสนใจของมันมา เหล่าเถาวัลย์ต่างพุ่งไล่ตามมาเพื่อจับอาหารของมัน ผมต้องทิ้งเปลวไฟเตี้ยๆเป็นกำแพงเพื่อถ่วงเวลาพวกมันไว้ ส่วนหัวของมันเองหันตามมาจนทิ้งมุมอับให้ทางอัศวิน แต่มันก็ไม่ง่ายแบบนั้น ทันทีที่เจ้าอัศวินสร้างออร่าหุ้มแขนขาไว้ ส่วนหัวของดอกไม้นั้นก็หันกลับไปทางเขา ไม่ได้การ...มันถูกเวทเสริมกำลังดึงดูดความสนใจไป

ผมรวบรวมสมาธิและรีดพลังเวทที่เหลืออยู่ในหินสีแดงของผม อีกไม่นานหินเม็ดนี้ก็จะหมดอิทธิฤทธิ์แล้ว ผมขอใช้พลังมันให้หมดในคราเดียวเลยแล้วกัน

ฟู่ห์ๆๆ

แสงสีแดงเป็นสายไหลออกจากหินมารวมตัวกันที่เบื้องหน้าของผม ก่อตัวเป็นลูกไฟขนาดใหญ่ ใหญ่ประมาณครึ่งตัวของผมได้ แล้วก็เป็นไปตามคาด ด้วยสัญชาตญาณระแวดระวังภัย เจ้าต้นไม้อสูรสัมผัสถึงอันตรายจากทิศทางของผม มันหันกลับมาจวบกับตอนที่ผมยิงลูกไฟลูกนั้นตรงเข้าหามัน

บรึ้ม!!!

เปลวเพลิงลุกท่วมรากไม้และเถาวัลย์ของมันที่อยู่ห่างจากลำต้น ส่วนหัวที่เป็นดอกไม้เปื้อนเมือกสะบัดไปมาเพียงเล็กน้อยเปลวเพลิงของผมก็ดับลง แต่ช่วงเวลานั้นเองก็เปิดโอกาสให้กับเร็กซ์ อัศวินหนุ่มพุ่งตัวเข้าหาด้วยความเร็วแล้วง้างดาบ

ฉัวะ!!! ครืนนนน!!!

เสียงของมีคมตัดผ่านลำต้นกึ่งอ่อนกึ่งแข็ง แล้วตามด้วยเสียงหักโค่นลงของอสูรต้นไม้ ไม่มีเสียงร้องใดๆจากมัน ทุกอย่างก็เงียบสงัด เถาวัลย์ที่ไล่ล่าพวกเราหยุดนิ่งทิ้งเส้นสายของตนลงไปกองที่พื้น ไม่ขยับไหวติง ...สำเร็จแล้วสินะ

“ฟู่ห์...” เสียงเจ้าอัศวินผ่อนลมหายใจออกมาเมื่อสถานการณ์คลี่คลายลง เขาเดินมาหาผม

“การทดสอบของเจ้านี่โหดใช่เล่นเลยนะเนี่ย องค์หญิงของเจ้าช่างโหดร้าย” ผมกล่าวขึ้นขณะปัดเศษเขม่าควันออกจากใบหน้าและเสื้อผ้า กลิ่นไหม้คละคลุ้งไปทั่ว

“ก็นางจะคัดคู่ครองเป็นรัชทายาทนี่หน่า คงต้องมั่นใจว่ามีความสามารถจริงๆ”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ จะฆ่าจะแกงกันเลยเหรอไง” นี่ถ้าผมไม่มาด้วยเจ้านี่จะเป็นยังไงเนี่ย การทดสอบนี่มันเกินไปแล้ว ผมเอาเท้าลองไปเขี่ยๆเตะๆเถาวัลย์ที่นอนกองอยู่ที่พื้น

“แฟรี่ แฟรี่” มันเดย์ทำหน้าตื่นบินตรงมาหาพวกเราพร้อมส่งเสียงโหวกเหวก

“ว่าไงนะ!!! รอสถอยออกมา” เจ้าอัศวินอุทานด้วยความตกใจ

“...” ผมที่งุนงงอยู่ได้แต่มองด้วยความสงสัย แต่แล้ว...มันก็ขยับอีกครั้ง

ฟุบๆๆ

เหล่าเถาวัลย์ต่างลุกขึ้นมาอีกครั้ง พวกมันไหลเลื้อยกลับไปหาลำต้นที่หักโค่น บิดพันส่วนดอกไม้แล้วจับยกให้ชูขึ้นมาอีกครั้ง ส่วนที่ขาดจากกันถูกเชื่อมประสานด้วยเถาวัลย์สีแดงที่บิดสานกันเป็นเกลียวค้ำจุนลำต้น ส่วนหัวขยับริมฝีปากฉีกยิ้ม อสูรต้นไม้กลับมาผงาดอีกครั้งพร้อมส่งเถาวัลย์มาล้อมพวกเราไว้จากทุกทิศทาง

ครืน!!!

ผมเปิดใช้หินสีน้ำตาลแห่งธาตุดินเคลื่อนพื้นดินให้ยกขึ้นมาเป็นกำแพงล้อมรอบทุกทิศไว้ กำแพงดินบิดม้วนโอบล้อมเข้าสู่ศูนย์กลางราวกับดอกไม้ที่กำลังตูม พวกเราถูกปกป้องจากภัยรอบด้านด้วยโดมหินและดินของผม

ตึงๆ !!!

เสียงกระแทกดังต่อเนื่องจากภายนอก เดาเอาว่าต้นไม้อสูรคงเอาเถาวัลย์ฟาดลงมาซ้ำๆจนเศษดินเศษฝุ่นร่วงลงมาจากส่วนหลังคาโดม พวกเราเริ่มปรึกษากันภายในความมืดที่มีเพียงแสงสีเหลืองจากตัวของมันเดย์

“เอายังไงดีล่ะ มันฟื้นฟูตัวเองได้ขนาดนั้น” ผมกล่าวขณะเพ่งสมาธิเพื่อเสริมความแข็งแรงให้กับโดม นี่มันจะโหดเกินไปแล้วนะ

“นั่นสิ ขนาดตัดต้นมันลงแล้วยังฟื้นกลับมาได้” เร็กซ์กล่าวเสริม

“แฟรี่ แฟรี่”

“หืม ทำลายแกนเวทมนต์งั้นเหรอ”

เร็กซ์แปลคำพูดของมันเดย์ให้ผมฟังว่าเดิมทีต้นไม้อสูรนี้น่าจะเป็นเพียงแทรปเปอร์ (Trapper) เป็นมอนสเตอร์จำพวกวัชพืชขนาดเล็ก ความสูงแค่ 2-3 ฟุต ทำตัวเป็นกับดักจับแมลงและสัตว์เล็กกินเป็นอาหาร ไม่มีพิษมีภัยอะไรและเชื่อฟังพวกแฟรี่ แต่มันน่าจะได้รับไอพลังเวทของวิหารทำให้มันกลายร่างเป็นแบบนี้ เมื่อแข็งแกร่งขึ้นมันก็ไม่เชื่อฟังพวกแฟรี่อีกต่อไป อีกทั้งยังกระหายพลังเวทจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ

พวกมอนสเตอร์ที่ดูดซับเวทมนต์ได้มักจะมีแกนพลังเวทซ่อนอยู่ในร่างกายเป็นแหล่งเก็บสะสมพลังเวทที่ช่วงชิงมา อาจจะมีรูปร่างเป็นหิน หรือดวงแสงคล้ายกับตอนที่ผมกำจัดเอลเดอร์วิวโลห์พวกนั้น การโจมตีร่างกายหรือทำลายแกนเวทมนต์ในตัว ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งสามารถล้มมอนสเตอร์เหล่านี้ได้ ปัญหาคือแทรปเปอร์ตัวนี้ฟื้นฟูร่างกายเร็วมากและเราไม่รู้ว่าแกนเวทมนต์ของมันซ่อนอยู่ตรงไหน

“เราจะหาแกนนั่นเจอได้ยังไง” ผมถามขึ้น ถึงจะรู้จุดอ่อนของมันแต่ถ้าไม่รู้ตำแหน่งก็ทำอะไรไม่ได้ อีกทั้งถ้าการต่อสู้ยืดเยื้อพวกเราจะยิ่งเหนื่อยล้าและเสียเปรียบ

ตึงๆๆ

“แฟรี่ แฟรี่”

“ไม่ได้นะ มันเดย์” เร็กซ์กล่าวขึ้นเสียงดังด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“นางว่าอะไร”

“นางบอกว่านางจะเป็นนกต่อให้มันดูดพลังเวทเอง จากนั้นให้พวกเราดูทิศทางของกระแสเวทที่ถูกดูดไปว่าไปรวมที่ไหน ตำแหน่งนั้นแหละคือที่ๆเราต้องทำลาย”

“ถ้าทำแบบนั้นมันเดย์ก็...” ถึงจะเป็นวิธีที่ดีแต่มันก็เสี่ยงมากเพราะร่างกายพวกแฟรี่เล็กนิดเดียว ถ้าถูกดูดพลังเวทไปจนหมดนางอาจจะตายได้

“ด้วยศักดิ์ศรีของข้า ข้าจะไม่ยอมให้หญิงสาวเช่นเจ้าเสียสละตนเอง ข้าจะเป็นเหยื่อล่อเอง” เขาตบที่อกออกตัวอย่างห้าวหาญ
เป็นแผนการที่เข้าท่า...แต่ติดตรงที่มีแผนที่ดีกว่านั้น

<นี่สินะการทดสอบของข้าที่อาย่าว่าไว้>

ตึงๆๆ

“ไม่เร็กซ์ ข้าจะเป็นเหยื่อล่อให้เอง” ผมเสนอตัว

“ไม่ได้เด็ดขาด ข้าไม่ยอมให้เจ้าเสี่ยงอันตรายแบบนั้น”

“เหอะ ตอนนี้ยังอันตรายไม่พออีกเหรอ ฟังข้าก่อน”

“...” เจ้าอัศวินกัดฟันกรอดๆรอฟังอย่างไม่เต็มใจนัก

“ต่อให้เจ้าเป็นเหยื่อล่อให้ ทั้งข้าและมันเดย์ไม่มีพละกำลังพอจะโค่นต้นไม้นั่นเพื่อทำลายแกนเวทมนต์ของมัน ต้องใช้พละกำลังของเจ้าเท่านั้น” แม้แต่คมดาบคลื่นอากาศของผมที่ใช้คราวก่อนยังไม่มั่นใจเลยว่าจะตัดลำต้นหนาๆนั้นได้

“แต่ถ้าเจ้าโดนดูดพลังเวทจนหมดเจ้าอาจจะ...”

“ฟังให้จบก่อน...ข้าไม่ได้จะให้มันดูดพลังจากตัวข้า ข้าจะใช้หินเวทมนต์เป็นตัวล่อต่างหาก เมื่อครู่ทันทีที่ข้าเปิดใช้หินเวทมันก็ตามข้าตลอด ถ้าข้าเปิดใช้หินเวทมนต์แล้วยอมให้มันจับได้เพื่อดูดซับพลังออกจากหิน ด้วยจำนวนหินที่เหลืออยู่น่าจะมีเวลามากพอก่อนที่มันจะเริ่มดูดพลังจากข้า” เมื่อผมอธิบายจนจบมันเดย์ก็พยักหน้าตามอย่างมีความหวัง ผิดกับเร็กซ์ที่ยังคงสีหน้าเคร่งเครียด

ตึงๆๆ

“เจ้าไม่กลัวโดนมันรัดตายก่อนเหรอ”

“ถ้าเดาไม่ผิด มันน่าจะรอตอนที่พลังเวทหมดก่อนมั้งถึงค่อยฆ่าแล้วจับกิน” ผมอาศัยหลักการเดียวกันกับพวกมิมิคพอดหรือมอนสเตอร์พวกวัชพืชอื่นๆที่เคยเจอมาอ้างถึง ถ้าเหยื่อตายก็ดูดพลังเวทได้ไม่เต็มที่

“แฟรี่” นางพยักหน้าจนผมพอจะเดาได้ว่าที่ผมคิดไว้นั้นถูกต้อง

“ข้าไม่ชอบแผนเจ้าเลย” ตึงๆๆ

โดมดินเริ่มปริร้าว บางส่วนทรุดลงเป็นรูเล็กๆจนแสงลอดผ่านเข้ามา

“เจ้าไม่จำเป็นต้องชอบ แค่ทำตามให้ดีก็พอ”

“...” จากช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันมาผมพอจะเข้าใจว่าสำหรับเร็กซ์แล้วศักดิ์ศรีคือเรื่องสำคัญที่สุด การที่จะต้องให้ผู้อื่นเสี่ยงอันตรายแทนคงเป็นเรื่องน่าอับอาย เขาทำสีหน้าไม่ชอบใจ แต่เวลาเหลือน้อยเต็มทีแล้ว

“เจ้าสองคนไปหาที่ซุ่มดีๆ เร็กซ์...เจ้าอย่าพึ่งใช้เวทเสริมกำลังนะ ข้าต้องการความสนใจของมันทั้งหมด อย่าลืมมองตามแสงที่ไหลออกจากหินเวทไปตามเถาวัลย์ให้ดีด้วย” ผมออกคำสั่ง แต่ก่อนจะลงมือตามแผนผมเอามือข้างหนึ่งไปเกี่ยวที่หลังคอเจ้าอัศวินที่ก้มหน้าก้มตาทำหน้ามุ่ยเข้ามาใกล้จนหน้าผากเราเกือบแตะกันแล้วกระซิบเบาๆว่า...

“ข้าไว้ใจเจ้านะ” เขาช้อนดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นขึ้นมาผสานกับดวงตาของผม เร็กซ์หลับตาลงแล้วโน้มหน้าเข้ามาใกล้แต่ผมเอามืออีกข้างมาดันปลายคางเขาไว้ อัศวินหนุ่มลืมตาขึ้นอีกครั้งด้วยแววตาขัดอกขัดใจจนผมอดยิ้มไม่ได้

“ทำตัวดีๆก่อนแล้วค่อยมาเอารางวัล” สิ้นเสียงผม ริมฝีปากของเขาก็คลี่ออกเป็นรอยยิ้ม มันเปื้อนใบหน้าคนตรงหน้าจนปิดความดีอกดีใจไม่มิด ช่วงคับขันก็คงต้องใช้วิธีนี้เท่านั้นแหละถึงสร้างความฮึกเหิมให้เขาได้

“ขอมัดจำหน่อยไม่ได้เหรอ”

“หึหึ ห้ามต่อรอง” ว่าแล้วผมก็ระเบิดกำแพงออก เศษดินกระจายไปทุกทิศทุกทาง เถาวัลย์สีแดงสะบัดตัวออกเมื่อโดนแรงกระแทก

...................................

Note : ขออภัยจริงๆนะครับที่ตัดครึ่งตอนครึ่งๆกลางๆแบบนี้ แต่ไม่รู้จะแบ่งครึ่งตรงไหนจริงๆ เหลือช่วงท้ายของตอนอีกนิดเดียวที่ยังไม่เสร็จดี เดี๋ยวเสร็จแล้วจะรีบลงให้ครับ

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนะครับ
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 24 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 19-09-2018 19:28:53
ชนะเจ้าต้นไม้กลายพันธุ์ให้ได้แล้วขอรางวัลแบบจัดหนัก  :laugh:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 24 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 19-09-2018 19:31:17
 :pig4:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 24 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 19-09-2018 20:55:02
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 24 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 19-09-2018 22:23:39
เข้ามารออีกครึ่ง

 :pig4:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 24 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 19-09-2018 23:03:42
“ลุยเลย” ผมส่งสัญญาณพร้อมเปิดใช้งานหินสีฟ้าเพื่อเรียกพลังแห่งลมมาห่อหุ้มร่างกาย พื้นดินพุ่งขึ้นมาเป็นเสาดีดตัวผมและเร็กซ์ที่โอบแขนปกป้องมันเดย์ไปคนละฝั่ง ผมเปิดใช้งานหินพร้อมกันสองเม็ดแบบนี้มันต้องพุ่งความสนใจมาที่ผมแน่ๆ…

...แต่ไม่เป็นเช่นนั้น ถึงแม้เถาวัลย์ส่วนใหญ่จะไล่ตามผมมาแต่ก็มีบางส่วนไล่หลังเร็กซ์ ผมจึงตัดสินใจเทหมดหน้าตักเปิดใช้งานหินครบสี่เม็ดทันที...ได้ผล เถาวัลย์ทุกสายพุ่งมาที่ผมแล้ว

เปรี้ยง!!!

ผมฟาดสายฟ้าใส่สายเถาวัลย์ที่เข้ามาใกล้ ผมต้องการระยะห่างมากกว่านี้ แต่เถาวัลย์เหล่านั้นชะงักไปชั่วขณะก่อนที่จะไล่ผมต่อ เป็นไปตามคาดเวทมนต์ธาตุที่เหลือของผมไม่มีผลกับมัน

เมื่อได้ระยะที่เหมาะสมผมก็ลดความเร็วลง กลับตัวเข้าประจันหน้าเพื่อทำตามแผน

หมับๆๆ ตึง!!!

“อึก” เถาวัลย์หลายสายพุ่งเข้ามัดกึ่งกลางลำตัวผมแล้วออกแรงผลักผมไปจนหลังกระแทกต้นไม้ ผมสัมผัสได้ถึงความเหนียวลื่นของเมือกที่ชโลมเถาวัลย์เหล่านั้นค่อยๆซึมผ่านเสื้อผ้ามาสัมผัสร่างกาย มันช่าง...น่าขยะแขยง

หงึกๆๆ

เส้นสายสีแดงเข้ามัดตัวผมติดกับต้นไม้ ผมแกล้งชูมือซ้ายขึ้นทำทีหลบเลี่ยงจากมัน เถาวัลย์เส้นหนึ่งไหลเลื้อยพันแขนซ้ายตามถุงมือเวทของผมไป แรงบีบรัดไม่ทำให้เจ็บมากแต่มากพอให้ขยับไม่ได้ ผมโดนมันจับโดยสมบูรณ์แล้ว เมื่อมันสัมผัสหินเวทที่ถุงมือแสงสีประจำหินเหล่านั้นก็ไหลเป็นทางไปตามเส้นเถาวัลย์

เอาล่ะ ที่เหลือก็แค่รอให้พวกนั้นหาแกนเวทมนต์ของมัน

ผมผ่อนลมหายใจพยายามผ่อนคลายไปกลับบรรยากาศชวนสะอิดสะเอียนนี้ จำนวนไม้เลื้อยเหล่านั้นเริ่มเพิ่มมากขึ้น บ้างก็รัดเอว บ้างก็รัดคอหลวมๆ บ้างมัดแขนมัดขาตรึงเหยื่อของมันไว้ บ้างก็...

“เฮือก” ผมหลุดเสียงอุทานออกมาเมื่อไม้เถาบางเส้นเลื้อยเข้ามาทางชายเสื้อผ้าของผม ความรู้สึกที่เหมือนปลาไหลลื่นๆเลื้อยผ่านไปตามผิวกายทำให้อุณหภูมิในร่างกายผมสูงขึ้น มันยังคงเลื้อยสูงขึ้นมาเรื่อยๆทิ้งเมือกลื่นไปตามเส้นทางที่สำรวจผ่าน

“อ๊ะ” เสียงครางเบาๆดังออกมาเมื่อมันไหลผ่านจุดไวสัมผัสที่หน้าอกของผม ผมจำต้องกัดฟันแน่นเพื่อฝืนเสียงของตนเองไว้ มันยังคงเลื้อยขึ้นมาจนถึงใบหน้าราวกับกำลังโลมเลียจนทำให้หน้าผมเปื้อนเมือกไปหมด

“อื้อออ” เถาวัลย์อีกสายเลื้อยเข้าไปในกางเกงแล้วไปกอบกุมแก่นกายของผมไว้ แรงรัดบีบสลับคลายอันน่าชังนี้กำลังปลุกปั่นอารมณ์ของผมจนลมหายใจกระตุก <เจ้าต้นไม้ลามกนี่> งานนี้นี่มันเปลืองตัวจริงๆ

“อึก...อย่านะ” เถาไม้อีกสายสำรวจไปตามบั้นท้ายของผม มันไหลเข้าไปยังซอกระหว่างแก้มก้นของผมเพื่อสำรวจช่องทาง จากที่พยายามผ่อนคลายกลายเป็นต้องเกร็งตัวแน่นโดยเฉพาะกล้ามเนื้อบริเวณนั้น ผมไม่ยอมโดนต้นไม้ข่มขืนหรอกนะ

<โว้ยเร็กซ์ เร็วๆหน่อยสิฟระ ข้าจะโดนต้นไม้นี่ชำเราอยู่แล้ว> ไม้เลื้อยเส้นนั้นไม่ยอมแพ้ มันรับรู้ได้ว่าผมพยายามซุกซ่อนบางอย่าง ด้วยเมือกลื่นๆเหนียวๆนั่น มันออกแรงแทรกตัวผ่านเข้าไปอย่างง่ายดายจนชนกับทางเข้าที่หดเกร็งนั่น มันเริ่มดุนดัน ผมหลับตากัดฟันแน่นด้วยความกลัวสิ่งต่อไปที่จะเกิดขึ้น

ฉัวะ!!!

ก๊าซซซซซซ!!!

เสียงร้องโหยหวนดังลั่นเรียกสติของผมให้ลืมตา เส้นสายเถาวัลย์เกร็งกระตุกรัดผมแน่นจนหายใจไม่ออก แต่ก็โชคดีที่พวกมันคลายตัวออกแล้วปล่อยตัวผมลงพื้นก่อนที่กระดูกจะหักหรือขาดอากาศตาย

“แค่กๆ” ผมไอสำลักอากาศแล้วไปมองแทรปเปอร์ตนนั้น ลำต้นมันหักโค่นอีกครั้งแต่คราวนี้รอยตัดอยู่ที่ฐานของดอกไม้ กลีบดอกไม้สีแดงสดเหี่ยวเฉาไปอย่างรวดเร็ว เมื่อกลีบดอกไม้ร่วงโรยไปหมดพร้อมกับพลังชีวิตสุดท้ายของต้นไม้อสูร เสียงของมันก็หายไปเหลือแต่ความเงียบงัน

พอเรี่ยวแรงกลับคืนมาผมรีบพาร่างที่เขรอะไปด้วยเมือกเหนียวขึ้นยืนแล้วดึงไม้เลื้อยเหล่านี้ออกจากเสื้อและกางกางทันที ไม่ขว้างมันออกไปเปล่าๆออกแรงกระทืบซากของมันซ้ำๆด้วย <หนอยแหนะ เกือบต้องเสียตัวให้ต้นไม้แล้วไหมล่ะ>

พรืด

ผมเหยียบเมือกของมันจนเสียหลักล้มหงายไปปะทะกับร่างของอัศวินหนุ่มที่เข้ามาช้อนจากด้านหลัง สองแขนของมันโอบกอดผมเอาไว้

“เจ้าบาดเจ็บตรงไหนไหม เป็นอะไรทำไมหัวเสียแบบนั้น แล้วนี่ทำไมหน้าแดงแบบนั้น” เร็กซ์รัวคำถาม พลางเอามือมาลูบสำรวจรอยแดงเป็นแถบที่คอ

“ไม่เท่าไหร่ แค่นี้สบายๆ” ผมเลี่ยงคำถามที่เหลือเพราะไม่อยากพูดเรื่องน่าอับอายเมื่อครู่ เจ้าต้นไม้นั่นโลมเลียไปร่างกายจนผมเริ่มมีการตอบสนอง อารมณ์ในตัวมันคุกกรุ่นไปหมด นี่เป็นครั้งที่สองในรอบไม่กี่วันแล้วนะที่โดนปลุกปั่นจนค้างแบบนี้

ผมผละตัวออกจากเร็กซ์เพื่อที่จะเตรียมตัวเดินเข้ากำแพงวิหาร ขอร้องเถอะ ขอให้มีแหล่งน้ำล้างตัวด้วย ให้ค้างแรมแบบนี้นี่ไม่ไหวนะ

หมับ

เขาดึงรั้งผมกลับมาไม่ยอมปล่อยให้ผมแยกตัวออกไป เสียงเมือกบนชุดของเราสองกระทบกันดังแจ๊ะ

“ปล่อยก่อน เละไปหมดแล้วเนี่ย”

“ไหนล่ะ รางวัล” เขาว่าพร้อมส่งรอยยิ้มคล้ายเด็กไร้เดียงสาขอรางวัลจากการทำดี

“เอาจริงดิ ข้าเปื้อนเมือกขนาดนี้เนี่ยนะ”

“ข้าไม่ถือ”

“แต่ข้าถือ...ขอไปล้างตัวก่อน” อัศวินหนุ่มทำหน้าผิดหวังเมื่อไม่ได้สิ่งที่ต้องการ แต่ก็ยอมปล่อยตัวผม เมื่อผละออกจากกันเมือกก็ยืดยาวเป็นสายย้อยลงพื้น

“เดี๋ยวให้รางวัลแน่แต่ขอล้างตัวก่อน” ผมรับสภาพตัวเองไม่ได้ เข้าใจไหม...

หลังจากการต่อสู้จบลงเร็กซ์ก็ผิวปากเรียกเจ้าฟรีดที่หลบอยู่ห่างๆ มันกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาคลอเคลียนายของมันอย่างเป็นห่วง แต่พอผมเดินไปหามันก็ถอยหนีราวกับรังเกียจ

“หนอย เจ้าม้านี่” ผมสบถก่อนจะหันไปสนใจกำแพงหินข้างหน้า

กำแพงหินสูงราว 10 เมตร ความหนาน่าจะมากพอที่จะทำทางเดินบนสันกำแพงได้ เยื้องไปมีหอคอยเฝ้าระวังตั้งอยู่บนนั้น กำแพงถูกเถาวัลย์หลากสีปกคลุมจนแทบไม่เห็นลายหินที่ซ่อนอยู่ข้างใต้ อุโมงค์ทางเข้าทรงโค้งมีประตูไม้เป็นซี่ๆถูกยกเปิดอยู่หลบอยู่ข้างหลังซากของแทรปเปอร์พอดี  ยังไม่ทันจะก้าวเข้าไปพวกเราก็พอจะสังเกตแวดล้อมภายในได้…

วิหารสีขาวบริสุทธิ์มีบันไดหินนำทางขึ้นไปยังประตูไม้แกะสลักที่ปิดสนิท มีเสากลมสีขาวประดับประดาอยู่รอบๆ มันช่างงดงามแม้จะมีสภาพทรุดโทรมตามกาลเวลา หน้าวิหารเป็นลานกว้างที่เต็มไปด้วยพื้นหญ้าสีเขียว ที่มุมหนึ่งมีแอ่งน้ำเล็กๆ กลางลานมีหินก้อนใหญ่ๆหลายก้อนวางเรียงๆกันไว้ และหนึ่งในนั้นที่ตั้งอยู่ตรงกลางมีบางอย่างสะท้อนแสงวิบวับปักอยู่

เมื่อพวกเราเดินผ่านอุโมงค์เข้าไปจึงเห็นว่ามันคือดาบ มันคืออีกครึ่งหนึ่งของโอทห์คีปเปอร์ มันคือจุดหมายการเดินทางของเร็กซ์
แต่ผมไม่สนใจอะไรดาบเล่มนั้น ผมสนใจแอ่งน้ำนั่นมากกว่า ดูไกลๆก็ใสสะอาดดีผมจึงรีบก้าวเดินไปหามัน ผมอยากจะล้างคราบเมือกนี่เต็มแก่แล้ว พวกเรา 2 คน 1 ตัว และ 1ตนข้ามผ่านลานหญ้าไปไม่ถึงครึ่งเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น…

ครึกๆๆ

พื้นดินสั่นสะเทือน ก้อนหินที่ตั้งอยู่กลางลานขยับกลิ้งมารวมกัน รากไม้โผล่ขึ้นมาจากพื้นดินโอบรัดหินก้อนใหญ่ๆเหล่านั้น จัดเรียงเป็นรูปร่างใหม่ มันเรียงตัวกันคล้ายรูปร่างของมนุษย์โดยมีหินก้อนใหญ่ที่ดาบปักอยู่เป็นส่วนลำตัว หินก้อนเล็กกว่าต่อออกมาเป็นแขนขา และมีรากไม้ทำหน้าที่เป็นข้อต่อและเส้นเอนให้ขยับได้ ผู้มาต้อนรับพวกเราคือ...

“โกเลม (Golem)” ผมเอ่ยเสียงเบา นอกจากจะสูง 5-6 เมตรแล้วยังดูไม่เป็นมิตรด้วย

โครม!!!

มันง้างแขนขึ้นเหนือหัวแล้วฟาดลงมากระแทกพื้นจนเศษดินกระจาย นั่นเป็นแค่การเตือนเท่านั้น ว่าอย่าเข้ามาใกล้ พวกเราเริ่มล่าถอย

“นี่ยังมีบอสอีกตัวเหรอเนี่ย” มันจะโหดเกินไปแล้วนะพึ่งปราบตัวปัญหาไปตัวหนึ่งนี่ยังมีอีกตัวอีกเหรอเนี่ย ผมรีบหาวิธีเอาตัวรอดทันที หินเวทมนต์ของผมสิ้นฤทธิ์หมดแล้ว เหลือเพียงฝีมือดาบห่วยๆที่ยังไงก็ไม่พอล้มเจ้าโกเลมนี่แน่ๆ ประเมินจากขนาดตัวแล้วน่าจะผ่านอุโมงค์ออกไปไม่ได้ ถ้าถอยตอนนี้แล้วพักผ่อนจนพร้อมแล้วน่าจะดีกว่า

ชิ้ง

เสียงชักดาบออกจากฝัก เจ้าอัศวินหนุ่มกระชับดาบในมือแน่นแล้วก้าวไปประจันหน้า

“เร็กซ์ อย่าพึ่ง ถอยก่อน...มันน่าจะตามมาไม่ได้ถ้าเราผ่านอุโมงค์ออกไป” ผมรีบดึงไหล่ห้าม

“ไม่ได้...นี่คือการทดสอบ ข้าถอยไม่ได้” เขาจับจ้องสายตาไปยังศัตรูเบื้องหน้าด้วยความแน่วแน่ไม่สนใจเสียงเรียกของผม

“เจ้าจะบ้าเหรอ เจ้าเสียเรี่ยวแรงไปมากแล้ว ข้าเองก็ใช้พลังหมดแล้ว ถอยไปตั้งหลักก่อน” ผมพยายามใช้เหตุผลเข้าโต้แย้ง

“ข้าเข้าใจว่าเจ้าไม่คิดอะไร แต่สำหรับอัศวินอย่างข้าแล้วก็ล่าถอยคือความขลาดกลัว ความเป็นอัศวินไม่ใช่ฝีดาบ ไม่ใช่พละกำลัง หรือยศถาบรรดาศักดิ์ แต่มันคือศักดิ์ศรีของนักรบ ไม่ว่ายังไงพวกเราก็ไม่หนีจากการต่อสู้” อัศวินหนุ่มว่าก่อนจะใช้สองมือกระชับดาบในมือตั้งท่าพร้อมสู้

“...เร็กซ์” ชื่อของเขารอดออกมาจากลำคอของผมเบาๆ

เจ้าโง่ นี่ไม่ใช่เวลามาหยิ่งในศักดิ์ศรีนะ เจ้าจะยอมตายเพื่อการทดสอบที่เจ้าไม่ต้องการนี่จริงๆเหรอ แล้วที่เคยอ้างว่าผมสำคัญล่ะ...มันคืออะไร มันไม่เท่าเกียรติยศและศักดิ์ศรีของเจ้าเลยใช่ไหม

“เจ้าถอยไปเถอะ ออกไปพักรอข้างนอกก่อนก็ได้” เร็กซ์หันมาว่าเบาๆก่อนจะพุ่งตัวใส่โกเลม

<ไม่ว่ายังไงศักดิ์ศรีก็สำคัญที่สุดสำหรับเจ้าสินะ> ผมได้แต่คิดในใจขณะพามันเดย์และฟรีดถอยออกห่างและยืนดูการห้ำหันกันโดยไม่สามารถทำอะไรได้

ออร่าสีฟ้าปกคลุมแขนขาของเขาอีกครั้งแต่ครั้งนี้มันช่างเบาบางกว่าครั้งไหนๆ เจ้าอัศวินใช้ความเร็วที่เหนือกว่าเข้าล่อหลอกร่างกายอันใหญ่โตเชื่องช้านั้นให้ตามไม่ทัน ก่อนจะฟาดดาบไปที่เถาวัลย์บริเวณขาของมัน

ฉัวะ!!! ตึงงง

ได้ผล...ข้อต่อที่ทำจากไม้เลื้อยนั่นขาดสะบั้น นับว่าฉลาดที่เล็งไปที่จุดอ่อนของมัน โกเลมเสียหลักล้มลงมาชันเข่ากับพื้น เปิดโอกาศให้เร็กซ์กระโดดขึ้นไปบนร่างกายอันใหญ่โตนั้นเพื่อคว้าดาบไว้ เขาใช่มือข้างหนึ่งจับด้ามดาบไว้แน่นก่อนจะออกแรงดึง แต่ทว่า...มันไม่ขยับ

“เหวอ” เร็กซ์ร้องอุทานเมื่อโดนโกเลมสะบัดตกลงมา ไม้เถาเหล่านั้นงอกกลับมาหุ้มส่วนที่ขาดไปแล้วยืนขึ้นมาใหม่อีกครั้ง พร้อมง้างแขน

ตึงงงง

อัศวินหนุ่มพลิกตัวหลบออกมาได้ไม่ยากนักก่อนที่จะใช้แผนการเดิม แต่ครั้งนี้เขาฟันข้อต่อที่ขาทั้งสองของโกเลมจนมันล้มคว้ำให้เขาได้เข้าถึงดาบที่ปักอยู่อีกครั้ง แต่ผลก็เช่นเดิม...เขาไม่สามารถใช้มือเดียวดึงออกมาได้ จึงจำต้องเก็บดาบเข้าฝักแล้วใช้สองมือ...มันขยับเล็กน้อย

“เร็กซ์ ระวัง”

ผัวะ!!!

ท่อนแขนศิลาสะบัดฟาดเข้าหาร่างกำยำนั้นเต็มๆ มันเดย์ที่บินอยู่ข้างผมเอามือปิดตา ฟรีดส่งเสียงครางเบาๆ ส่วนผมขบกัดริมฝีปากล่างของตนเองจนเลือดแทบจะไหล มือซ้ายบีบข้อมือขวาที่พันสายหนังรัดข้อมือแน่น

เกลียดเจ้าซื่อบื้อนี่จริงๆที่ชอบทำอะไรโง่ๆแบบนี้

เกลียดตัวเองจริงๆที่ไร้ประโยชน์ในสถานการณ์แบบนี้

และเกลียดตัวเองอีกข้อที่แม้ผมจะมีอีกขุมพลังหนึ่งให้ช่วยเหลือมันได้ แต่ผมกลับลังเลที่จะใช้

เร็กซ์กลิ้งไปหลายตลบก่อนจะดีดตัวขึ้นมาตั้งหลัก สีหน้าดูเจ็บปวดจากแรงกระแทกเมื่อครู่ เกราะสีเงินแวววาวเปื้อนฝุ่นจนหมอง รอยยุบรอยขีดข่วนเริ่มปรากฏให้เห็น เขาพุ่งเข้าใส่โกเลมที่งอกเถาวัลย์มาโอบรัดหินเป็นขาอีกครั้งแล้วง้างดาบเล็งที่ข้อต่อ แต่ครั้งนี้...

ฉึก!!!

เขาฟันมันไม่ขาด

ผัวะ!!!

“อัก” ท่อนขาศิลาเตะเข้าข้างลำตัวของเร็กซ์เต็มๆจนเขาตัวลอยกระเด็นไปหลายเมตร ร่างสะบักสะบอมนั้นกลิ้งไปกับพื้นก่อนจะปักดาบลงพื้นไว้แล้วพยุงตัวเองขึ้นมาด้วยความยากลำบาก เขาใกล้จะหมดแรงแล้ว ใบหน้าหล่อเหลานั่นส่อความปวดร้าว

และนั่นก็ทำให้ลังเลของผมจางหายไป...ผมต้องช่วยเจ้านี่…ผมไม่ยอมให้เจ้านี่ต้องตายเด็ดขาด

“เจ้า 2 คนถอยไปห่างๆ” ผมออกคำสั่งแล้วยกนิ้วโป้งข้างซ้ายมากัดจนเลือดไหล

“แฟรี่” นางกล่าวด้วยสีหน้างุนงง แต่ก็พาฟรีดถอยห่างไปแต่โดยดี

“ใช่ ข้าจะช่วยเจ้าอัศวินซื่อบื้อนี่”

- พ่อหนุ่มนักผจญภัยผู้เลือกชะตาของตนเอง การเดินทางครั้งนี้ร่วมกับท่านอัศวินจะทดสอบเจ้าด้วยเช่นกัน - คำกล่าวของอาย่าดังก้องในหัวผมอีกครั้ง

นิ้วเปื้อนเลือดเริ่มเขียนตัวอักษรรูน (Rune) ตัวอักษรแห่งมนตราลงไปบนสายรัดข้อมือทีละอักษร

“หึ นี่สินะ...ทางเลือกอันน่าลำบากใจของข้า”

อักษรที่สมบูรณ์เรืองแสงสีแดงฉานออกมาทีละตัวๆจนครบรอบวง

< เร็กซ์...เจ้าเข้าใจข้าผิดแล้วล่ะ เจ้าคิดว่าข้ามองการหลบหนีเป็นเรื่องธรรมดาเพื่อเอาตัวรอด แต่ข้าน่ะ...ไม่เคยทิ้งใครไว้ข้างหลังหรอกนะ เพราะคนแบบนั้นไร้ค่ายิ่งกว่าสิ่งใด >

ผมพลิกสายรัดข้อมือนั้นขึ้นมาให้เห็นสลักหินสีแดง สลักที่ไม่มีวันคลายออกถ้าผมไม่ต้องการ “งานนี้นี่มันได้ไม่คุ้มเสียจริงๆ” ผมแค่นเสียงหัวเราะใส่ตนเองก่อนจะกดนิ้วมือลงไปประทับรอยเลือดแล้วเอ่ยคำร่ายแห่งมนตรา

“สลักศิลาโลหิตได้โปรดรับฟังเสียงเรียกร้องของข้า ถึงเวลาที่ท่านต้องคลายออกเพื่อปลดปล่อยสิ่งที่ผนึกไว้ ข้าขอคลายสลักออกด้วยกุญแจแห่งเลือดและนามของข้า วารอส เดรโกนัส (Vaross Dragonus)”

สลักหินแตกออกเป็นเสี่ยงๆปล่อยให้สายหนังไหลหลุดจากข้อมือ พลังที่ถูกผนึกไว้ตลอดหลายปีไหลท่วมท้นออกมาจนร่างกายผมร้อนไปหมด อักขระสีดำปรากฏบนหลังฝ่ามือขวาแล้วเรียงร้อยกันเป็นรูปมังกรนอนขดตัวเป็นวงกลม

พลังที่ผมทิ้งมันไปด้วยความชิงชัง

สิ่งแลกเปลี่ยนราคาแพงเพื่อชีวิตอิสระของผม

พลังเวทมนต์ของตระกูลแห่งมังกร

..........................................

์Note : กลัวค้างกันรีบเอามาลงเลยจร้า ชื่อตอนมันมาอยู่ครึ่งหลังหมดเลย
์Note2 : นายเอกเตรียมเปิดเผยตัวตนแล้วครับ
Note3 : เรื่องรางวัลรออีกหน่อยนะครับ ระหว่างนี้จะทำการบ้านค้นคว้าการเขียนฉากให้รางวัลสักแปปครับ หุหุ


หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 24 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 20-09-2018 03:10:56
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 24 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 20-09-2018 12:24:40
โฮ้ เซอพร้ายยยยยยยย
ปกปิดตัวตน แต่ไม่คิดว่าจะตัวตนแบบนี้นะเนี่ย
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 24 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 20-09-2018 12:25:11
ตระกูลมังกร!? หรือหนูรอสจะเป็นมังกร??
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 24 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 20-09-2018 21:32:24
นักเวทย์ตระกูลมังกร?  ตัวตนที่ปิดไว้ไม่เบาเลย  :pig4:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 22 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 21-09-2018 11:31:54
แปลกมั้ยไม่รู้ แต่จิตนาการเร็กซ์คุยภาษาแฟรี่แล้วมันดูน่ารักมุ้งมิ้งมาก

ที่คิดไว้จะเหมือนคุยกับกรูทใน Gaurdian of the galaxy อ่ะครับ เขาฟังเราออกแต่พูดแบบเราไม่ได้

บักเรกซ์กล้าๆ หน่อยซี่ รวบหัวรวบหางเล้ย

เรื่องรบเร็กซ์โดดใส่ เรื่องรักเร็กซ์เก็บเขี้นวเล็บหมด 555

โฮ้ เซอพร้ายยยยยยยย
ปกปิดตัวตน แต่ไม่คิดว่าจะตัวตนแบบนี้นะเนี่ย

พยายามเปิดให้อีพิคละ รอตอนต่อไปครับ

ตระกูลมังกร!? หรือหนูรอสจะเป็นมังกร??

เหมือนตระกูลเร็กซ์ครับที่สัตว์ประจำตระกูลคือสิงโต ของน้องก็เป็นมังกร

นักเวทย์ตระกูลมังกร?  ตัวตนที่ปิดไว้ไม่เบาเลย  :pig4:

น้องไม่ธรรมดาครับ 555

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนะครับ
อีกวันสองวันจะลงตอนถัดไปครับ ความยาวเท่าตอนนี้แต่จะตัดเป็น 2 บทและลงรวดเดียว กลัวว่าทิ้งค้างแล้วจะโดนสาปส่งได้ 555
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 25&26)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 22-09-2018 10:04:51
Chapter 25 Unleash

ท่ามกลางความโกลาหลทุกอย่างนิ่งสงบ ผมรู้สึกหนักอึ้งท่ามกลางความมืดมิดที่ไร้แสงใดๆ มันอึดอัดราวกับกำลังจมน้ำ แต่ก็มีบางอย่างอยู่ในที่แห่งนี้ร่วมกับผมด้วย บางอย่างกำลังเวียนว่ายรอบตัวผม ดวงแสงขนาดใหญ่ว่ายอ้อมจากด้านข้างมาอยู่เบื้องหน้า แสงหลากสีราวกับรุ้งกินน้ำสว่างไสวจนแสบตา แต่ก็พอมองเค้าโครงได้ว่าเป็นสัตว์เลื้อยคลานขนาดพอๆกับตัวผม มันสยายปีกออกแสดงความน่าเกรงขาม ความน่าสะพรึงของมังกร

“ในที่สุดเจ้าก็ปลดปล่อยข้าออกมา” เสียงทุ้มก้องกังวาน

“มันจำเป็นน่ะ” ผมไหวไหล่ตอบกลับไปโดยไม่เกรงกลัว

“เจ้ารู้ใช่ไหมว่าการใช้เวทมนต์ตอนนี้มันไม่ปลอดภัย ร่างเจ้ายังปรับตัวกับระดับพลังที่ปล่อยออกมาไม่ได้”

“รู้สิ” รู้ดีเลยด้วย เพราะเจ้าตัวหน้าผมนี่คือจิตใต้สำนึกของผมเอง เป็นส่วนหนึ่งของผม

“เจ้าให้ความสนิทชิดเชื้อกับเขามากเกินไป” มันว่าเสียงดุ

“ทำยังไงได้ล่ะ เจ้าคือส่วนหนึ่งของข้า เจ้าย่อมรู้นิสัยข้าดี” ก็มันให้ความผูกพันไปแล้วนี่หน่า ผมยิ่งให้ความสำคัญกับคนที่อยู่ด้วยนานๆง่ายอยู่ด้วย

“จงใช้มันอย่างระมัดระวัง”

“จะพยายาม” ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจนัก

เจ้ามังกรสีรุ้งโบกสะบัดปีกบินขึ้นสูงก่อนจะกลับตัวตีลังกาลงพื้นแล้วพุ่งตรงใส่ ผมหลับตาลงแล้วอ้าแขนรับมันไว้
วิ้ง!!!

…………………………………

ผมลืมตาขึ้นอีกครั้งกลางลานหญ้า ผมสัมผัสได้ถึงอณูเวทมนต์ที่ไหลเวียนในตัว มันกำลังเอ่อล้นออกมาจนเป็นออร่าจางๆสีแดง พลังเวทไหลแผ่ออกมาจนพื้นหญ้าลู่ล้มเป็นวงกลมโดยมีผมเป็นศูนย์กลาง ผมรู้สึกถึงกระแสเวทที่ไหลเวียนในธรรมชาติ ผมรับรู้ได้แม้กระทั่งดวงจิตอีกหลายดวงที่อยู่ห่างไกลออก ดวงจิตของคนในตระกูล

ว่ากันว่าพลังเวทของรุ่นลูกคือผลรวมของพลังของรุ่นพ่อรุ่นแม่ จึงเป็นเรื่องปกติสำหรับเด็กที่เกิดในตระกูลจอมเวทระดับสูงจะเปี่ยมไปด้วยพลังที่แข็งแกร่งและพรสวรรค์ในการใช้เวทมนต์ บางครั้งพลังเข้มข้นมากจนตกผลึกเป็นสัญลักษณ์ตามส่วนต่างๆของร่างกาย สำหรับตระกูลเดรโกนัสของผมนั้น สัญลักษณ์คือรูปมังกร แต่มันก็เหมือนดาบสองคม

ในอดีตพบว่าทารกของเหล่าจอมเวทย์มักเสียชีวิตในช่วงไม่กี่เดือนแรกเพราะร่างกายไม่สามารถทนรับพลังเวทที่เปี่ยมล้นนั้นได้ อุปกรณ์จำกัดพลังเวท (Magic suppressor) จึงถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อไขปัญหานี้

อุปกรณ์จำกัดพลังเวทจะเป็นเหมือนผนึกควบคุมไม่ให้ร่างกายสร้างพลังเวทออกมามากจนเกินไป มักจะทำออกมาเป็นเครื่องประดับง่ายๆแล้วนำไปติดที่ตัวทารกตั้งแต่เกิด เมื่อทารกเติบโตขึ้นมากพอที่จะเรียนรู้การควบคุมพลังเวทแล้วจึงจะถอดออกให้ ช่วงอายุนั้นจะอยู่ที่ 6-7 ปี

ตอนอายุ 12 ปี ผมตัดสินใจหนีออกจากบ้านเพราะไม่สามารถทนชีวิตที่ถูกขีดเส้นด้วยขนบธรรมเนียมของตระกูลได้ ผมแน่วแน่แล้วว่าต้องการเลือกเส้นทางในชีวิตของตนเอง...เส้นทางของนักผจญภัย เส้นทางที่จะได้รู้ ได้สัมผัสสิ่งใหม่ๆมากกว่าภาพในหนังสือ

ผมปลอมแปลงการตายของตนเองแล้วใช้อุปกรณ์จำกัดเวทมนต์ที่ดัดแปลงเองมาปิดผนึกพลังเวทของตนเอง ผมดัดแปลงให้มันจำกัดพลังมากขึ้นโดยเปลี่ยนพลังเวทบางส่วนเป็นพลังชีวิตในการฟื้นฟูร่างกาย ผมไม่อยากให้ใครสัมผัสพลังเวทของผมแล้วออกตามหาผม ผมยอมรับว่ามันคือความคิดอ่านแบบเด็กเอาแต่ใจ แต่ผมทนไม่ไหวแล้วจริงๆ

ครั้งนั้นผมดีใจจนเนื้อเต้นเมื่อสัญลักษณ์ที่หลังมือหายไป สายใยล่องหลที่เชื่อมต่อระหว่างคนในครอบครัวนั้นจางหายไปแล้ว มันคือสัญญาณบอกว่าคนในตระกูลจะไม่สามารถสัมผัสถึงตัวตนของผมได้อีก...ราวกับว่าตัวผมนั้นตายไปแล้วจริงๆ

แต่แล้ววันนี้...สัญลักษณ์นั้นก็กลับมา...กลับมาเพื่อให้ผมได้ใช้เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น...ช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่คำนึงถึงความต้องการส่วนตัวตามขนบธรรมเนียมของตระกูล “จงเสียสละและรับใช้ราชวงศ์และประชาชน เพราะที่ตระกูลของเราตั้งอยู่ได้ก็เพราะพวกเขาเหล่านี้คอยสนับสนุน”

ผมออกตัววิ่งไปหาเร็กซ์ที่สะบักสะบอมไปทั้งตัว โกเลมตนนั้นยกก้อนหินแล้วง้างแขน

ฟ้าว!!!

เสียงก้อนหินแหวกอากาศพุ่งตรงเข้าหาเจ้าอัศวิน ผมสไลด์ตัวไปตามพื้นจนไปขวางหน้าเขาไว้ได้ทันท่วงที

“บทแห่งการปกป้องที่ 2 Magic shield” ผมเอ่ยเสียงก้อง

วงแหวนเวทมนต์ปรากฏขึ้นข้างหน้าเป็นโล่ขนาดใหญ่ เข้าขวางกั้นภยันตราย

ตึง!!! เปรี้ยะ

เสียงก้อนศิลากระทบโล่เวทมนต์เสียงดังสนั่น วงแหวนเวทมีรอยแตกร้าวแต่สามารถรับแรงปะทะไว้ได้

“รอส!! นี่เจ้า...” เร็กซ์พูดขึ้นด้วยความตกใจ

“ชิ ใส่พลังน้อยเกินไป” ผมสบถอย่างหัวเสีย ผมอ่อนซ้อมการใช้เวทมนต์ไป 6 ปี ทำให้การควบคุมทำได้ไม่ดีนัก ยังดีที่ผมยังจำเวทมนต์พื้นฐานบางบทได้อยู่

พวกผมได้รับการฝึกตั้งแต่อายุยังน้อย เร็วกว่าเด็กคนอื่นๆมากเพราะจะต้องเป็นเลิศกว่าใครด้วยศักดิ์ศรีของตระกูลที่ค้ำคอ ถูกฝึกเวทพื้นฐานบทต้นๆให้ขึ้นใจจนไม่ต้องเอ่ยคำร่ายตั้งแต่ก่อนเข้าโรงเรียนเวทมนต์ตอนอายุ 9 ปี และเมื่อเข้าโรงเรียนแล้วก็ต้องฝึกการใช้เวทมนต์ธาตุพื้นฐานทั้ง 5 ธาตุบทแรกๆให้ได้ครบทุกธาตุ สำหรับเด็กคนอื่นอย่าว่าแต่ใช้เวทมนต์ธาตุให้เป็นครบทุกธาตุเลย กว่าจะเริ่มฝึกเวทมนต์ธาตุจริงๆก็นู่น อายุ 12 ปี แถมเลือกฝึกตามถนัดด้วยซ้ำ

“เวทมนต์ต่อเนื่อง บทแห่งการปกป้องที่ 4 Reflect” ผมเอ่ยชื่อเวทมนต์บทถัดไป

คลื่นแสงจากเส้นรอบวงของโล่รวบรวมสู่ศูนย์กลางจุดที่ได้รับแรงปะทะแล้วสว่างวาบ

ตู้ม!!!

โล่เวทมนต์ดีดสะท้อนหินก้อนใหญ่นั้นกลับไปหาเจ้าโกเลม แรงกระแทกดังสนั่นจนเจ้าโกเลมล้มหงาย แต่แรงดีดกลับจากโล่ก็เล่นเอาผมหน้าหงายล้มก้นจ้ำเบ้า

“อูย ใส่พลังมากเกินไปแฮะ” ผมเอามือลูบบั้นท้ายตัวเองเบาๆ

“รอส ทำไมเจ้าถึงใช้เวทมนต์ได้” เจ้าอัศวินพยุงร่างกายอันบอบช้ำของตนเองขึ้นยืนแล้วมาช่วยประคองผม

“ไม่ใช่เวลามาถาม จัดการโกเลมนั่นก่อน” ผมออกคำสั่งด้วยความโมโห “ข้าหาแกนเวทมนต์ของมันไม่เจอ คิดว่าน่าจะเป็นดาบเขาเจ้านั่นแหละที่ให้พลังกับมัน ถ้าดึงมันออกได้ก็น่าจะหยุดมันได้”

โกเลมเป็นเหมือนตุ๊กตาร่างยักษ์ที่เกิดจากวัตถุไม่มีชีวิต อาจจะเป็นหิน ดิน ทรายก็ได้ พวกมันขยับและทำตามคำสั่งด้วยแกนเวทมนต์ มักจะเป็นหินเวทมนต์ก้อนใหญ่ๆที่ถูกนำมาติดตั้งตอนสร้างโกเลมขึ้น แต่เท่าที่สำรวจโกเลมตนนี้แล้วไม่มีของอย่างว่าเลยนอกจากดาบเจ้าปัญหานั่น

“ข้าลองแล้ว มันปักแน่นมาก จะดึงออกได้ต้องใช้เวลาพอสมควร แต่มันไม่อยู่นิ่งให้ข้านานพอ” ไม่ต้องฟังมันอธิบายผมก็รู้ ยืนดูอยู่นานแล้ว

“ข้าจะตรึงมันให้เจ้าเอง”

“รอส...”

“ร่างกายเจ้าจะไม่ไหวแล้ว เก็บแรงด้วยการขี่ฟรีดล่อมันไว้ พอข้าหยุดการเคลื่อนไหวมันได้ค่อยขึ้นไปดึงดาบออกมา”

“รอส...ขอบใจนะ” เขากล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆที่เปื้อนบนใบหน้าอิดโรยนั้น

“อย่าล้มตายไปซะก่อนล่ะ เรายังติดค้างกันอยู่ไม่ใช่เหรอ” ผมยกยิ้มร้ายกาจให้กับมัน ใช้วิธีเดิมหลอกล่อให้มันฮึกเหิมขึ้นมา

“หึหึ นั่นสินะ” เร็กซ์ก้มหน้ายิ้มน้อยๆให้กับตนเองก่อนจะเรียกม้ามาขึ้นควบไปล่อหลอกเป็นวงกลมรอบๆเจ้าโกเลม

“บทแห่งไฟที่ 1 Ignite” เปลวเพลิงก่อกำเนิดเป็นลูกไฟลูกใหญ่อยู่หน้าของผม ผมใช้เวทมนต์ควบคุมแบ่งมันออกเป็นลูกเล็กๆ 8 ลูก

“บทแห่งไฟที่ 2 Fire bolt” ลูกไฟทั้ง 8 พุ่งออกไปเป็นลูกศรเพลิงเข้าปะทะตามข้อต่อเถาวัลย์ต่างๆของโกเลม เปลวไฟลุกโหมเถาวัลย์เหล่านั้นพร้อมร่างของโกเลมที่ทรุดลงอีกครั้ง

คิดแล้วก็น่าหงุดหงิด ถ้าฝึกให้คล่องกว่านี้ ถ้าเรียนบทสูงๆกว่านี้ก่อนจะหนีออกมาน่าจะดีกว่า เพราะด้วยเวทมนต์บทพื้นๆเหล่านี้ที่ต้องร่ายต่อๆกันมันชักช้าไม่ทันใจจริงๆ

“บทแห่งดินที่ 5 Binding” ผมย่อตัวลงเอาฝ่ามือทั้งสองแนบพื้นเพื่อส่งพลังออกไป ฉับพลันก็ปรากฏรากไม้พุ่งขึ้นมาจากพื้นดินเข้ามัดร่างที่ทำจากหินนั่นไว้

“ตอนนี้ล่ะ” ผมตะโกนส่งสัญญาณให้อัศวินลงมือต่อ

แปล๊บๆ

“อึก” ผมกัดฟัน หยีตาด้วยความเจ็บปวดเมื่อรู้สึกเหมือนกระแสไฟฟ้าไหลแปล๊บตั้งแต่มือขวาไปจนถึงข้อศอก

<บ้าหน่า กระแสสะท้อนกลับเริ่มแสดงผลแล้วเหรอเนี่ย>

ตามปกติแล้วเมื่อคลายอุปกรณ์จำกัดพลังเวทออกจะต้องเว้นช่วงเวลาก่อนที่จะใช้เวทมนต์เพราะพลังเวทที่เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันจะทำให้ร่างกายรับไม่ไหว กระแสเวทมนต์จะไม่เสถียรพอและตีกลับมาทำร้ายผู้ใช้ถ้าไม่ให้เวลาร่างกายได้คุ้นชินกับมันเสียก่อน ตอน 6 ขวบ ตอนที่ผมถอดอุปกรณ์ออกก็โดนพักฝึกเวทมนต์ไป 1 อาทิตย์

แคว้ก!!!

เถาวัลย์ที่ถูกเผาไปงอกขึ้นมาใหม่อย่างรวดเร็ว ด้วยพละกำลังของเจ้าโกเลม มันฉีกรากไม้ที่ผมมัดตัวมันไว้ออกอย่างง่ายดาย ก่อนจะสะบัดเร็กซ์ตกลงมา แต่ยังดีที่ฟรีดพุ่งเข้าไปรับไว้ทัน

<ไม่ได้การแล้ว ขืนไม่รีบจบเรื่องล่ะก็เราต้องแย่แน่ๆ> ผมบีบกุมแขนขวาไว้เพื่อบรรเทาอาการปวด สัญลักษณ์มังกรที่มือแสบร้อน “ขออีกนิดละกัน”

“บทแห่งน้ำที่ 1 Flow” มือข้างขวาผายไปยังบ่อน้ำนั่น เกลียวน้ำบิดพันลอยขึ้นมาแล้วพุ่งเข้ามาลอยรอบตัวของผม มันบิดม้วนรวมตัวพุ่งเข้าหาศัตรู

ซู่!!!

เสียงน้ำกระจายออกเป็นละอองเล็กๆสาดไปทั่วเมื่อปะทะกับร่างใหญ่ร่างนั้น

“รอส ทำอะไรน่ะ เปียกกันหมดแล้วเนี่ย” เร็กซ์ตะโกนว่าเมื่อละอองน้ำทำเขาและฟรีดเปียกซกโดยไม่ทันหันมามองสภาพผมตอนนี้...

แปล๊บๆๆ

“อาห์ อึก...แฮ่กๆ” ความเจ็บปวดแผ่มาถึงต้นแขนขวา ผมทรุดตัวลงไปคุกเข่าที่พื้นร่างกายเริ่มร้อนและหนักอึ้งราวกับจะเป็นไข้ เหงื่อกาฬไหลออกจากขมับเป็นทาง แผ่นหลังเปียกชื้น แม้แต่คราบเมือกที่เริ่มแห้งกรังก็กลับมาเปียกลื่นอีกครั้ง ผมหอบหายใจเหนื่อยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ถึงจะรู้ว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นแต่ก็ไม่คิดว่าจะเจ็บปวดขนาดนี้

แต่ผมไม่สนใจ “ในเมื่อเผาไม่ได้ก็จับแช่แข็งซะ บทแห่งน้ำที่ 3 Freeze” ผมเอามือแตะไปบนพื้นหญ้าเปียกชื้นจากเวทมนต์เมื่อครู่ เกล็ดน้ำแข็งก่อตัวเป็นทางพุ่งตรงเข้าหาร่างของโกเลม

แปล๊บๆๆๆ

“ฮึก อ้ากกก อึก.....แฮ่กๆ” ผมรีบกัดฟันเก็บเสียงร้องเมื่อความเจ็บปวดแล่นไปยังไหล่ขวา มันยังคงปวดต่อเนื่องตลอดเวลาที่ผมปลดปล่อยพลังเวทเพื่อแช่แข็งศัตรู ไม้เถาแห้งแข็ง ผิวศิลาหุ้มด้วยน้ำแข็ง ร่างกายมันกระตุกพยายามฝืนขยับออกจากการจับกุมอันเย็นยะเยือก

ตึกตัก ตึกตัก ตึก...ตัก

“เฮือก” ความเจ็บปวดไหลแผ่มาถึงอกข้างซ้ายจนผมต้องยกมือมากุมไว้ เมื่อครู่หัวใจของผมพึ่งเต้นผิดจังหวะใช่ไหม สายตาของผมเริ่มพล่าเรือน แต่ก็พยายามเพ่งจนเห็นว่าเร็กซ์กระโดดขึ้นไปกุมดาบได้แล้ว

“แฟรี่ แฟรี่” มันเดย์บินมาวางมือเล็กๆของนางลงบนมือขวาของผมที่ยังคงปล่อยความเย็นออกมาต่อเนื่อง แสงของนางช่างอบอุ่นเหลือเกิน น้ำเสียงของนางเปี่ยมไปด้วยความเป็นห่วงใย หน้าตาสวยๆของนางมีน้ำตาไหลริน นางส่ายหัวสื่อว่าต้องการให้ผมหยุด

“ถ้าข้าหยุดตอนนี้...แฮ่กๆ...ทุกอย่างก็สูญเปล่าสิ” ผมกล่าวด้วยเสียงเบาๆผ่านริมฝีปากและลำคอที่แห้งผาก ผมหันกลับไปมองเร็กซ์อีกครั้ง สังเกตจากสีหน้าก็พอเดาได้ว่าเขาออกแรงดึงเต็มที่ ดาบค่อยๆเคลื่อนออกมาทีละน้อย ทีละน้อย มันช่างรู้สึกยาวนานเหลือเกินกับทุกๆคืบความยาวที่ถอยออกมา

ครึกๆๆ

เสียงน้ำแข็งแตกร้าว อีกไม่นานโกเลมจะเป็นอิสระ

“มันเดย์...แฮ่กๆ” ผมพยายามเค้นเสียงออกมา “ฝาก...แฮ่ก...พาเร็กซ์ออกไปด้วยนะ” ไม่เคยคิดว่าจะลงเอยแบบนี้ แต่ในเมื่อตัดสินใจจะช่วยแล้วก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด

“แฟรี่” นางกรีดร้องทั้งน้ำตา ทุบตีเบาๆที่มือของผมที่วางอยู่บนพื้นหญ้า

“บทแห่งดินที่ 5 Binding” รากไม้ผุดขึ้นจากดินอีกครั้ง ครั้งนี้มันเข้ามัดเสริมการจับกุมควบคู่ไปกับน้ำแข็ง เจ้าโกเลมหยุดนิ่งสนิท
แปล๊บๆๆๆๆๆๆ

ถึงจะรู้สึกถึงกระแสเวทที่ตีกลับมาแต่มันก็ไม่เจ็บแล้ว ร่างกายด้านชาปราศจากความรู้สึกใดๆแล้ว ภาพทุกอย่างเริ่มพร่ามัวจนเกือยจะแยกแยะอะไรไม่ได้แล้ว

ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นคือภาพที่เร็กซ์หงายตกลงมาจากโกเลมพร้อมดาบเล่มนั้นในมือ “สำเร็จแล้วสินะ” ผมกล่าวเบาๆพร้อมรอยยิ้มจางๆก่อนจะล้มตัวลงไปสัมผัสกับพื้นดินเย็นๆที่เปียกชื้น ทุกอย่างมืดลงไปพร้อมกับสติของผม

.........................................

ปล.1. จริงๆบทนี้กับบทถัดไปเป็นบทเดียวกันแต่แยกตอนเพราะอยากให้ชื่อตอนมันสื่อ
ปล.2. รีบลง 2 ตอนรวดเพราะเชื่อว่าถ้าลงทีละอันอาจจะโดนสาปส่งวงศาคณาญาติได้ 555
ปล.3. ไม่รู้คนอื่นจะเป็นไหมแต่ตอนอ่านทวนพร้อมเพลง You say run ของ My hero academia แล้วรู้สึกฮึกเหิมมาก 555
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 25&26)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 22-09-2018 10:07:30
Chapter 26 True desire

ตุบ

“อุก” ผมหงายร่วงจากโกเลมลงมาหลังกระแทกพื้นเสียงดัง มันจุกใช่เล่น

“สำเร็จแล้ว” ผมกล่าวกับตัวเองด้วยความเหนื่อยล้าขณะนอนแผ่หลาอยู่บนพื้นเปียกๆเย็นๆ ตะแคงหน้าหันไปมองดาบที่อยู่ในมือขวา ดาบที่มีรูปร่าง หน้าตา และน้ำหนักเท่ากับดาบอีกเล่มที่อยู่ในฝักข้างเอว

ผมกระดอนตัวลุกขึ้นนั่งแล้วชักดาบออกจากฝักมาถือเคียงกัน ทันใดนั้นดาบทั้งสองก็สาดแสงสีใส่กันแล้วลอยออกจากมือของผมไปอยู่กลางอากาศ มันหมุนวนหยอกล้อคลอเคลียกันละกันก่อนจะสว่างแวบแล้วเหลือเพียงเล่มเดียว

“กลับมาแล้วสินะ โอทห์คีปเปอร์” ดาบยาวลอยกลับมาอยู่ในมือของผมอีกครั้งให้ผมได้มีโอกาสพินิจเจ้าเพื่อนยากจอมวุ่นวายนี่ก่อนจะเก็บกลับเข้าฝัก

ในที่สุดก็สำเร็จเสียที เหลือแค่เดินทางกลับเมืองหลวงไปรายงานตัวเท่านั้น การคัดเลือกนี้ก็จะจบลงเสียที พลันก็นึกถึงเจ้านักผจญภัยนั่น ถ้าไม่ได้เขาช่วยไว้คงแย่ บททดสอบของยัยนั่นช่างโหดร้ายจริงๆ

<ว่าแล้วก็แปลกใจ ไหนเจ้านั่นบอกไงว่าใช้เวทมนต์ไม่ได้แล้วทำไมจู่ๆถึงใช้ได้ขึ้นมา> ผมคิดในใจขณะพาร่างที่ชุ่มไปด้วยน้ำขึ้นยืน ความเย็นยะเยือกของน้ำแข็งนี่มันบาดผิวจริงๆ ช่างทรงพลัง คงต้องชมสักหน่อยแล้ว

“รอส เจ้าสุดยอดมาก” ผมเอ่ยปากชมขณะเอาแขนขึ้นมากอดอก มือสองข้างลูบต้นแขนเพื่อคลายความหนาวจากไอเย็นที่กระทบเสื้อผ้าที่เปียกปอน สายตาจับจ้องไปยังซากโกเลมที่นิ่งสนิทไปแล้ว

เอ...ทำไมเงียบๆ ปกติเจ้านี่มันต่อล้อต่อเถียงจะตาย

“รอส ทำไมเจ้าถึงเงี...” ไม่ทันที่ผมจะพูดจบประโยคหัวใจผมก็กระตุกเมื่อหันกลับไปหาเขาแล้วพบร่างของเขานอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้นมีดวงแสงสีเหลืองของมันเดย์อยู่ไม่ห่าง <เกิดอะไรขึ้น> คำถามดังขึ้นในหัวพร้อมขาสองข้างถีบทะยานไปหาร่างนั้นให้เร็วที่สุด

“รอส!! รอส!! เกิดอะไรขึ้น” ผมรีบช้อนร่างนั้นขึ้นมาเอาหัวของเขาหนุนอกไว้ แขนสองข้างที่ประคองร่างนั้นสัมผัสได้ถึงความร้อนราวกับไฟ เขาหลับตานิ่งไม่ตอบสนองใดๆ ได้ยินแต่เสียงห้วงลมหายใจแผ่วๆที่พร้อมจะขาดทุกเมื่อ

“รอส ตื่นสิ ขอร้องล่ะ รอส...มันเดย์ นี่มันเกิดอะไรขึ้น” เสียงผมสั่นเครือ ใจของผมปวดร้าวเมื่อต้องเห็นร่างของคนสำคัญอยู่ในสภาพนี้ ผมพยายามเขย่าเขาเบาๆเพื่อปลุกให้ตื่น จิตใจของผมว้าวุ่นลนลานไปหมด นี่มันเกิดอะไรขึ้น ก่อนหน้านี้ยังดีๆอยู่เลยทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้

“ฮึกๆ...ชายคนนี้...ฮึก...ฝืนร่างกายของตนเอง” เสียงอันสั่นเครือของมันเดย์ดังขึ้น นางกำลังร้องไห้

“หมายความว่ายังไงมันเดย์” คำตอบของนางทำให้ผมสับสนและร้อนรน

“เขาปลดปล่อยพลังเวทมหาศาลออกมาแล้วใช้มันทันทีทั้งๆที่ร่างกายยังปรับสมดุลไม่ได้ เวททุกบทที่เขาใช้ส่งกระแสตีกลับไปทำร้ายเจ้าตัว” คำอธิบายของนางทำให้ผมหยุดหายใจไปชั่วขณะ ทั้งหมดนี่เกิดขึ้นเพราะเขาช่วยผมอย่างนั้นเหรอ

“ข้าจะต้องทำยัง...เจ้ารักษาเขาได้ไหม” ผมจำได้ว่าพวกนางเคยเล่าเรื่องรักษาบาดแผลให้กับสัตว์ป่า

“พวกเรารักษาได้แต่บาดแผล แต่ไม่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บแบบนี้ได้”

“อาย่าล่ะ พาเขาไปหาอาย่าได้ไหม”

“เราพาเขาออกไปไม่ได้ พวกภูติพรายในป่าจะได้กลิ่นความอ่อนแอของเขาแล้วพากันมาขโมยดวงวิญญาณ” หัวผมตื้อไปหมด ทุกอย่างมันมืดแปดด้าน นี่เพราะผมใช่ไหมถึงทำให้เขาลงเอยแบบนี้ ความรู้สึกผิดมันท่วมท้นเข้ามาในหัวใจ

“...ไม่จริง” ไม่จริงใช่ไหม นี่ผมต้องเสียเขาไปอย่างนั้นหรือ ? ผมกระชับอ้อมแขนโอบกอดรอสไว้แน่น ความรู้สึกบางอย่างมันบีบรัดหัวใจในอกจนรู้สึกอึดอัดแต่ก็ไม่สามารถดิ้นให้หลุดได้ ผมกำลังกลัว กลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน กลัวจะเสียเขาไปตลอดกาล

“ให้เขาพักในวิหาร มันปลอดภัยจากภูติพรายและมอนสเตอร์ทั้งหลาย เวทมนต์ประหลาดของวิหารน่าจะพอช่วยได้” มันเดย์แนะนำด้วยท่าทีไม่มั่นใจนัก แต่มันมอบความหวังให้กับผม

“ท่านไม่ควรเศร้าโศกเสียใจกับการเสียสละตนเพื่อผู้อื่นของเขา” เสียงหนึ่งก้องกังวานขึ้นมา ดาบในฝักที่เอวของเขากำลังเรืองแสง

“เสียงนี้นี่มัน...โอทห์คีปเปอร์” เสียงอันเปี่ยมไปด้วยอำนาจแต่ก็แฝงความนอบน้อมนี่ ผมเคยได้ยินในความฝัน เป็นเสียงที่บอกใบ้วิธีใช้ดาบเล่มนี้ให้กับผมเมื่อผมได้รับมอบมันมาจากท่านพ่อ

“ใช่แล้ว กระผมขอแสดงความยินดีให้นายท่านด้วยที่ผ่านการทดสอบ”

“ทำไมเจ้าถึงพูดได้ แต่ก่อนไม่เคย...”

“เพราะที่แห่งนี้คือที่ๆกระผมถูกสร้างขึ้นเมื่อหลายร้อยปีก่อน พื้นที่ศักดิ์สิทธ์แห่งนี้ทำให้อำนาจของกระผมมากขึ้นจนสื่อสารได้โดยตรง” ผมนั่งอึ้งไปชั่วขณะ เหตุการณ์หลายอย่างมันโถมเข้ามาจนตั้งตัวไม่ทัน แต่แล้วใจผมก็เตือนถึงคนสำคัญในอ้อมกอด

“เจ้าหมายความว่ายังไงที่ข้าไม่ควรเสียใจให้เขา ?” น้ำเสียงผมเจือความโกรธ

“การเป็นราชาย่อมมีการเสียสละ เหล่าทหารและนักรบใต้อาณัติของราชาล้วนต่อสู้และสิ้นชีพเพื่อราชา มันคือความเสียสละและจงรักภักดี นายท่านควรให้เกียรติพวกเขาด้วยการรำลึกและเชิดชู ไม่ใช่เศร้าสลด”

“เสียสละอย่างนั้นเหรอ... ?” เสียงของผมหายไปในลำคอ

“ชายคนนี้ยอมเสียสละตนเพื่อให้ภารกิจนายท่านสำเร็จ เพื่อรักษาศักดิ์ศรีของนายท่าน ข้าต้องขอชื่นชมนายท่านจริงๆที่ไม่ล่าถอยจากโกเลมทั้งๆที่เสียเปรียบ นายท่านช่างห้าวหาญ”

“เพื่อศักดิ์ศรี...?” จริงสินะที่เป็นแบบนี้เพราะผมเอาแต่ห่วงศักดิ์ศรี ทั้งๆที่สามารถล่าถอยได้ง่ายๆแต่ผมกลับดันทุรังที่จะสู้ต่อ ทั้งๆที่คิดไว้ว่าต่อให้ตัวตายก็จะไม่ยอมเสียศักดิ์ศรี แต่ถ้าการรักษามันต้องทำให้รอส...

“ถึงเวลาที่นายท่านต้องออกเดินทางแล้ว ท่านเร็กซัส ไม่เช่นนั้นจะไม่ทันการ ป่าจะปิดเสียก่อน” เสียงกังวานจากดาบกล่าวเตือนสติ

“ไม่ได้นะ เจ้าก็น่าจะได้ยินแล้วว่าข้าพาเขาออกไปตอนนี้ด้วยไม่ได้”

“ก็ทิ้งเขาไว้ในวิหารสิ ในนั้นเขาจะปลอดภัย ในขณะที่ท่านเองก็สามารถออกจากป่าเพื่อกลับไปรายงานตัวได้ทันเวลา นั่นคือสาเหตุที่เขาเสียสละเพื่อนายท่านไม่ใช่หรือ ?”

“อย่าพูดบ้าๆนะ” ผมตวาดสุดเสียงจนมันเดย์และฟรีดตัวสั่นแล้วถอยห่าง “จะให้ข้าทอดทิ้งเขาไว้คนเดียวได้ยังไง เขาจะรอดได้ยังไง เขาทำเพื่อข้าขนาดนี้ เขาคือคนสำคัญของข้านะ”

“จริงเหรอ ? ท่านลั่นวาจาว่าเขาสำคัญแต่กลับไม่เคยแสดงท่าทีใดๆ หากเขาสำคัญจริง...ท่านคงห่วงความปลอดภัยของเขาก่อนศักดิ์ศรีของตน”

“...ไม่ใช่นะ ข้าไม่ได้...” ราวกับใบมีดกรีดแทงเข้าที่กลางอก ผมพยายามเถียงแต่กลับพูดไม่ออก

“ต่อให้เขาสำคัญจริงๆ มันคือราคาของเกียรติยศและศักดิ์ศรี ท่านเร็กซัส ท่านยังอ่อนเยาว์นัก หากท่านต้องการขึ้นไปยังจุดสูงสุดแล้วล่ะก็ ท่านยังต้องเรียนรู้อีกมาก”

“ไม่นะ...” ผมกัดฟันตัวเองแน่นด้วยความเจ็บแค้น ไม่ใช่เพราะคำพูดของโอทห์คีปเปอร์ แต่เพราะการกระทำและตัดสินใจของผมเอง หากต้องการศักดิ์ศรีก็ต้องแลกด้วยชีวิตของเจ้านี่น่ะเหรอ ไม่ได้...ไม่เอาเด็ดขาด...ผมไม่ยอมเด็ดขาด แค่คิดถึงวันที่จะต้องจากลากันหัวใจของผมก็ปวดร้าวจะแย่แล้ว หากต้องจากกันแบบนี้อีกผมยิ่งยอมไม่ได้ ความสำเร็จครั้งนี้จะมีค่าอะไรถ้าคนที่เดินทางด้วยกันมาตั้งแต่ต้น คนที่ช่วยเหลือกันมาตลิดต้องมาจากไปแบบนี้ ผมไม่ยอมจ่ายเขาออกไปเด็ดขาด

“ท่านเร็กซัส ความปรารถนาของท่านคืออะไร ?” ดาบเล่มนั้นเอ่ยคำถามที่ทำให้ผมฉุกคิดได้

ใช่แล้ว...ผมไม่เคยปรารถนาที่จะเข้ารับการคัดเลือก ผมไม่เคยปรารถนาที่จะแต่งงานกับเดลซ่า ผมคิดกับนางว่าเป็นเหมือนน้องสาวคนหนึ่งมาตลอด ไม่เคยเกินเลยกว่านั้น

“ความปรารถนาของข้าคือ...” สิ่งที่ผมต้องการมากที่สุดคือเขา ชีวิตนี้ตั้งแต่เด็กผมไม่เคยร้องขออะไรเลย ได้แต่ฝึกฝนและทำตามความคาดหวังของคนรอบข้าง จนกระทั่งได้เจอกับเขา เขาที่ทำให้ผมโลเลเกี่ยวกับการคัดเลือก การได้เดินทางกับเขาเป็นช่วงเวลาที่สนุกที่สุด เขาที่ทำให้ผมอยากจะทิ้งทุกอย่างเพื่อออกไปผจญภัยช่วยเหลือผู้คนแบบที่เขาทำ เขาที่ทำให้ผมได้เป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องมากพิธี ไม่ต้องฝืนทำสิ่งที่ไม่ต้องการ

“ข้าต้องการอยู่กับชายคนนี้ ข้าต้องการให้เขากลับมาหายดี กลับมาต่อล้อต่อเถียงกับข้าอีก” ผมตอบออกไปอย่างแน่วแน่ “ต้องการออกไปช่วยเหลือผู้คนที่ลำบากโดยมีเขาอยู่เคียงข้าง”

“เพื่อการนั้นนายท่านจะยอมทิ้งเกียรติยศที่ไขว่คว้ามาตลอดแล้วติดอยู่ในป่ากับชายคนนี้เช่นนั้นหรือ ?”

“ใช่” ไร้ความลังเลอีกต่อไปแล้ว “ข้าจะอยู่ดูแลเขาที่นี่”

“หึหึ ฮ่าๆๆ ตอบได้ดีท่านเร็กซัส” ดาบส่องแสงวิบวับราวกับหัวเราะชอบใจคำตอบนั้น

“โอทห์คีปเปอร์ นี่เจ้าเยาะเย้ยข้าอย่างนั้นเหรอ ?” เสียงหัวเราะของมันทำให้ผมหงุดหงิด เจ้าดาบบ้านี่อยู่เงียบๆดีๆแบบแต่ก่อนไม่ได้เหรอไง

“อย่าว่ากระผมแบบนั้นสิครับ กระผมชอบคำตอบของท่านจริงๆ”

“หมายความว่ายังไง ?”

“จะเป็นผู้นำที่ดีได้อย่างไรหากยังไม่สามารถตอบตนเองได้ว่าต้องการสิ่งใด อีกอย่าง...ราชาที่ดีย่อมเสียส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนมาก แต่ทว่าผู้นำที่ดีน่ะ ไม่ว่ายังไงก็ตาม เขาจะช่วยเหลือทุกคนให้ได้ แม้เพียงชีวิตเดียวก็ตาม จิตใจของท่านช่างอ่อนโยน กระผมคิดไม่ผิดจริงๆที่เลือกรับใช้ท่าน”

“...!!!” สถานการณ์ที่พลิกผันไปทำให้ผมพูดอะไรไม่ออก

“ให้ชายคนนี้พักผ่อนในวิหารเถอะ เวทมนต์ฟื้นฟูอันเข้มข้นของพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้จะช่วยให้อาการของเขาทรงตัว แต่จะฟื้นเมื่อไหร่นั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง มันขึ้นอยู่กับพลังของเขา”

“ขอบใจมาก โอทห์คีปเปอร์”

“ด้วยความยินดีครับนายท่าน กระผมขอให้นายท่านตรงไปตรงมากับชายคนนี้เช่นเดียวกับที่ท่านตรงไปตรงมากับกระผมด้วยนะครับ” เสียงกังวานสุดท้ายดังขึ้นทำให้เขาหน้าแดงระเรื่อ แสงสว่างจากดาบดับลง

เมื่อเหตุการณ์คลี่คลายลงได้ ผมใช้เรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ค่อยๆประคองอุ้มร่างไร้สติในอ้อมแขนขึ้นอย่างทะนุถนอมเพื่อนำไปนอนพักฟื้นในวิหารตามคำแนะนำ มันเดย์จะบินกลับไปที่หมู่บ้านเพื่อนำอาหารมาให้เพราะนางไม่สามารถตามเข้าไปได้ ผมตอบรับความช่วยเหลือแต่โดยดีเพราะตอนนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าคนในอ้อมแขนผมอีกแล้ว

“แข็งใจไว้ก่อนนะ รอส...เจ้าห้ามเป็นอะไรไปนะ”

…………………………………..

เย็นวันนั้น ณ เทือกเขาแห่งหนึ่งทางเขตตอนเหนือ

ชายหนุ่มผมสีแดงยาวระต้นคอในชุดจอมเวทผู้มีดวงตาสีน้ำตาลแดงกำลังนั่งจดจ่อกับแผนที่ในมือ ร่างกายของเขาสั่นโยกไปตามจังหวะก้าวย่างของสัตว์พาหนะ แร็ปเตอร์ สัตว์เลื้อยคลานประจำท้องถิ่นทางตอนเหนือของประเทศเทอร่า ใบหน้าเขาดูหงุดหงิดเหมือนมีบางอย่างรบกวนจิตใจตลอดเวลา

ปิ๊บๆๆ

สร้อยคออัญมณีสีแดงทำจากทับทิมกระพริบแสงสว่างพร้อมส่งเสียงเรียกร้องความสนใจ เขาสั่งให้เจ้าแร็ปเตอร์หยุดเดินแล้วหยิบสร้อยเส้นนั้นขึ้นมาดู เขาวางมันหงายบนฝ่ามือแล้วหลับตาตั้งสมาธิ ฉับพลันก็ปรากฏใบหน้าของชายหนุ่มลอยขึ้นมากลางอากาศ เขามีเส้นผมสีน้ำตาลอ่อน สวมแว่นตาหนา ใต้กรอบแว่นคือดวงตาสีน้ำตาล

“ว่าไง วาเรน (Valen)” ชายผมแดงกล่าว

“พี่วาเรเรี่ยน (Valerian) สัมผัสได้เหมือนผมไหมครับ” ใบหน้าที่ลอยอยู่ถามกลับ

“อืม จู่ๆก็สัมผัสได้ถึงดวงจิตของคนในตระกูลเพิ่มขึ้นมาดวงหนึ่ง”

“พี่ว่าจะใช้น้องไหม มันรู้สึกคุ้นเคยมากๆเลย”

“เป็นไปได้”

“หึหึ เจ้าตัวแสบนี่มันจริงๆเลย ตบตากันมาตลอด 6 ปี เลยสินะ”

“ท่านพ่อว่าไงบ้าง”

“ยังติดต่อไม่ได้เลย ท่านพี่จะกลับมาถึงเมื่อไหร่”

“เควสข้าเสร็จแล้ว อีก 1 วันก็น่าจะถึงเมืองหลวง เดี๋ยวรายงานตัวเสร็จแล้วค่อยออกไปตรวจสอบดู”

“อย่าเลยครับ พี่กลับมาเหนื่อยๆแล้วพักผ่อนเถอะ ผมทำเรื่องลางานแล้ว รอได้รับอนุญาตก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้จะรีบออกจากเมืองหลวงเลย ความรู้สึกมันมาจากฝั่งตะวันออกสินะ”

“เอาแบบนั้นก็ได้ ระวังตัวด้วย”

“ขอบคุณครับพี่”

วาเรเรี่ยนถอนหายใจ เขาเก็บสร้อยเข้าคอเสื้อแล้วสั่งให้สัตว์ขี่ออกเดินต่อ ริมฝีปากยกมุมเป็นรอยยิ้มน้อยๆเปื้อนอยู่บนใบหน้านั้น “เจ้าปลอดภัยดีสินะวารอส น้องพี่”

.......................................

ปล.1. เปลี่ยนมุมมองกันบ้างจะได้ไม่เบื่อ อิอิ



หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 25&26)
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 22-09-2018 14:38:01
ฉากบู๊ เย้ๆ มาสองตอนรวดดีใจมากกกกกกก แล้วพออ่านจบเราก็ค้างต่อปายยย :ling1:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 25&26)
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 22-09-2018 15:52:51
อิอิ พี่ๆ จะมาตามกลับบ้านแล้วนะน้องหนู
oath keeper จะกลายเป็นดาบช่างจ้อไหม 555555
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 25&26)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 22-09-2018 16:24:00
งานพี่ชายตามน้องกลับบ้านก็มา น้องปลดผนึกไปแล้วก็หนีลำบากแล้วซินะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 25&26)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 22-09-2018 20:19:03
 o13 o13
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 25&26)
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 24-09-2018 09:41:03
ยาวจุใจแต่ท้ายตอนก็ค้างเหมือนเดิม 5555

ในที่สุดคุณอัศวินก็รู้ใจตัวเองชัดเจนซักที

 :pig4:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 27 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 25-09-2018 15:35:26
Chapter 27 Lion’s heart

ชื่อของผมคือเร็กซัส ไลโอเนล บุตรชายแห่งตระกูลไลโอเนล ผมไม่ใช่ลูกคนโตของบ้าน แท้จริงแล้วลูกคนแรกของบ้านเป็นธิดานามเรจิน่า (Regina) พี่เรจแก่กว่าผม 2 ปี เป็นหญิงสาวมากความสามารถ นางฉลาด เด็ดเดี่ยว ดุดัน กล้าหาญ และเก่งกาจ พี่มีทุกคุณลักษณะที่จะขึ้นเป็นผู้นำของบ้านคนต่อไป ติดเพียงอย่างเดียวคือการที่นางเป็นธิดา

แม้นางจะมีฝีดาบที่เก่งกล้า หรือสามารถสำเร็จเวทเสริมกำลังได้ตั้งแต่อายุยังน้อยจนล้มอัศวินชายมาถ้วนหน้า นั่นก็ยังไม่เพียงพอทำให้ผู้คนยอมรับนาง ผมให้ความเคารพพี่เรจเสมอ สำหรับผมแล้ว...นางคู่ควรที่จะเป็นเจ้าบ้านคนต่อไปมากกว่าผมเสียอีก แต่สุดท้ายความคาดหวังเหล่านั้นก็มาตกอยู่ที่ผม ตั้งแต่วินาทีแรกที่ผมเกิดมาเป็นบุตรของบ้านนี้

ผมได้รับการฝึกฝนวิชาดาบและเวทเสริมกำลังตั้งแต่เด็ก เรียนรู้กฎหมาย, การปกครองและแผนการรบต่างๆแม้ประเทศจะสงบสุขมานานแล้ว ถูกสอนให้ยกย่องครอบครัว, คุณงามความดี, เกียรติยศและศักดิ์ศรีเหนือสิ่งอื่นใด และถูกส่งไปให้สนิทชิดเชื้อกับองค์หญิงเช่นเดียวกับบุตรหลานของบ้านอื่นๆ ไม่ใช่เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างขุนนางและราชวงศ์เพียงอย่างเดียว แต่ยังเพื่อให้เราเรียนรู้กันและกันเผื่อเป็นคู่ครองกันในอนาคตด้วย พวกเราเล่นด้วยกัน เรียนหนังสือด้วยกัน เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน

องค์หญิงเดลิเซีย หรือเรียกกันอย่างสนิทสนมว่าเดลซ่า นางอายุเท่ากันกับผม เป็นหญิงสาวสวย มีกิริยามารยาทงดงามสมฐานะเจ้าหญิง แต่ขณะเดียวกันก็ฉลาด ขี้เล่นและไม่ถือตัว อยู่ด้วยแล้วสบายใจ ไม่ว่าชายใดได้เข้าใกล้ย่อมต้องหลงรักนาง แต่ผมกลับไม่มีความรู้สึกใดๆเกินเลยไปกว่าคำว่าน้องสาว

ผมเริ่มรับรู้ความ…แตกต่างของตนเองตั้งแต่อายุ 15 ปี ผมตั้งคำถามกับตนเองเสมอว่าทำไมทั้งๆที่ผมสนิทสนมกับนางขนาดนั้น ผมถึงไม่รู้สึกอ่อนระทวย วูบวาบ หรืออะไรก็ตามแต่ตามคำบอกเล่าเกี่ยวกับความรักให้กับนางเลย จนกระทั่งวันหนึ่งในโรงอาบน้ำโรงเรียนอัศวิน วันนั้นเป็นวันแรกๆหลังเปิดเทอม เด็กชายทุกคนเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์กันหมดแล้ว สัดส่วนต่างๆของร่างกายเริ่มเจริญใหญ่ขึ้น กล้ามเนื้อต่างๆที่ได้รับการฝึกฝนมาเริ่มเป็นมัดชัดเจนขึ้น มันสวยงามและน่าหลงใหลจนทำให้ผมรู้สึกร้อนวูบวาบ เลือดสูบฉีดไปทั่วร่างจนอะไรที่ไม่ควรจะตื่นตัวกลับแข็งขืนขึ้นมากลางห้องน้ำ ผมนี่หาที่หลบแทบไม่ทัน เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยมีมาก่อน...และทำให้ผมกังวลใจ

ผมถามตนเองว่าเกิดความผิดปกติอะไรขึ้นกับผมกันแน่...ทำไมผมถึงรู้สึกแบบนี้กับผู้ชายด้วยกัน จะปรึกษาใครก็ไม่กล้า ได้แต่พยายามปรับตัวให้ชินชาไป นานๆเข้ามันก็ได้ผล หรืออาจจะเพราะว่าพวกเขาเริ่มถึกหนาเกินความชอบของผมไปแล้วก็เป็นได้
ช่วงอายุ 17 ปี เป็นช่วงที่ผมอยู่ชั้นปีรองสุดท้ายของการเรียนอัศวิน ผมปกปิดเรื่องนี้เป็นความลับมาตลอดเพราะคิดว่าตนเองแปลกประหลาด แต่เพื่อนสนิทคนหนึ่งเปิดเผยกับเพื่อนในกลุ่มว่าเขาชอบผู้ชายด้วยกัน และกำลังคบหากับรุ่นพี่คนหนึ่งอยู่ หลายคนตกใจแต่เพราะว่าสนิทกันจึงไม่ก้าวก่ายเรื่องรสนิยมของกันและกัน

ผมตกใจระคนดีใจที่มีคนแบบผมอยู่ด้วย ลึกๆในใจก็มีส่วนอิจฉาที่เขาได้ลิ้มลองความรัก แต่สุดท้ายมันก็กลับตละปัดช่วงท้ายของปี รุ่นพี่คนนั้นสำเร็จการศึกษาแล้วจากเขาไปเพื่อสืบทอดตระกูล เขาทิ้งเพื่อนของผมไปเพื่อแต่งงาน ผมไม่เคยเห็นใครเศร้าโศกเสียใจขนาดนั้นมาก่อน เพื่อนของผมเสียศูนย์ ทุรนทุรายจนแทบบ้า เพื่อนในกลุ่มต่างปลอบใจเขานานหลายสัปดาห์กว่าจะทำให้เขาตั้งหลักกลับมาได้ แล้วนั่นก็ทำให้ผมได้ตระหนัก...

ผมตระหนักได้ว่าชะตาของผมก็ไม่ต่างจากรุ่นพี่คนนั้น สำหรับผมแล้วมันยิ่งใหญ่กว่าอีกเพราะต้องแบกชื่อเสียงของตระกูลใหญ่ไว้ด้วย หากว่าผมทำตามใจของตนเองแล้วคบกับชายที่ผมชอบล่ะก็...เมื่อถึงวันที่ผมรับสืบทอดตระกูลและแต่งงานเพื่อสืบสกุล คนๆนั้นจะเสียใจขนาดไหนที่ต้องถูกทอดทิ้ง ผมจึงตั้งใจจะขุดหลุมฝังความต้องการของตนเองไว้ให้ลึกที่สุดเท่าที่ทำได้ แล้วทำหน้าที่ของตนเองต่อวงศ์ตระกูลต่อไป

ช่วงอายุ 18 ปี หลังจบการศึกษาแล้วพวกเพื่อนในกลุ่มต่างพากันไปฉลองพิธีที่เรียกกันว่า “ก้าวสู่ความเป็นชายชาตรี” เป็นพิธีในหมู่อัศวินที่แสดงว่าตนเติบโตจากวัยรุ่นสู่วัยหนุ่มแล้วด้วยการไปเสพสมกับหญิงสาว และหญิงสาวที่ยินยอมง่ายที่สุดนั่นก็คือโสเภณีในซ่อง ตอนแรกผมก็ตื่นเต้นมากที่จะได้ตอกย้ำสิ่งที่ต้องการปกปิดนั้นลงไปอีกชั้นหนึ่ง ถึงจะตะขิดตะขวงใจที่ต้องเสพสมกับคนที่ไม่ใช่คนรัก หรือการไม่ให้เกียรติหญิงสาวอย่างที่ถูกสอนมาก็เถอะ...

ในเมื่อผมเป็นชายผู้ที่จะขึ้นเป็นผู้นำของตระกูล เป็นลูกชายเพียงคนเดียวของบ้านที่ต้องแบกรับหน้าที่อันยิ่งใหญ่นี้ไว้ นี่จะเป็นการทดสอบที่ชี้ว่าผมสามารถทำหน้าที่นั้นได้...

...ทว่าทุกอย่างกลับพังไม่เป็นท่า ผมไม่สามารถทำให้ตนเองมีอารมณ์ร่วมได้ ไม่ว่าหญิงสาวตรงหน้าจะสวยงามหรือรูปร่างดีขนาดไหน  ไม่ว่าเธอจะช่วยปลุกปั่นยังไงร่างกายผมก็ไม่สามารถมีอะไรกับเธอได้ ไม่สามารถเสพสมจนสุขกายได้แบบคนอื่นๆที่มาด้วยกัน ด้วยความเกรงใจผมจึงรีบจ่ายเงินแล้วออกมาทันที

“คุณชายไม่มีน้ำยา” พวกเพื่อนมันทักผมแบบนั้นทันทีในวันรุ่งขึ้น โสเภณีคนนั้นคงบอกเล่ากันปากต่อปากว่าผมสามารถมีอะไรกับหล่อนได้

“ไม่ใช่เฟ้ย ครั้งแรกของข้าจะต้องกับคนที่ข้ารักและแต่งงานด้วยเท่านั้น” ผมแก้ตัวด้วยใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธและอับอาย ผมอ้างมันหลายต่อหลายครั้งจนพวกเพื่อนผมเลิกล้อไปเอง และมันก็เป็นข้ออ้างที่ใช้หลอกตัวผมเองด้วย

จนกระทั่งอายุ 20 ย่าง 21 ปี ผมได้เป็นหัวหน้าหน่วยของอัศวินหมู่หนึ่ง ปกติแล้วเวลาปฏิบัติภารกิจใดๆจะออกไปเป็นทีม 6-9 คน โดยมีหัวหน้าทีมหนึ่งคน เป็นตำแหน่งอันทรงเกียรติที่ต้องมีความรับผิดชอบสูงเพราะต้องดูแลชีวิตคนในทีม ด้วยความสามารถและผลงานของผมทำให้ผมได้รับมอบหมายหน้าที่นี้ตั้งแต่อายุยังน้อย

ด้วยเหตุที่ประเทศเพื่อนบ้านที่รายล้อมเป็นพันธมิตรกันทั้งหมดจึงไม่ต้องออกศึกใดๆ งานของเหล่าอัศวินมักจะเป็นการเดินทางไปตามที่ต่างๆเพื่อปราบโจรบ้าง พวกนอกรีตบ้าง บางครั้งก็เป็นพวกมอนสเตอร์ดุร้าย แต่ก็มักมีผู้เชี่ยวชาญหรือไม่ก็กลุ่มสายอาชีพอื่นไปด้วยเสมอ ไม่ว่าจะพรานนักล่า, นักเวทย์, หรือนักบวช ภารกิจจึงมักลุล่วงด้วยความราบรื่น

หลังจากเสร็จภารกิจอันเหนื่อยล้าพวกอัศวินก็ต้องการผ่อนคลาย ในทีมของผมนี่มีแต่ตัวดีทั้งนั้น ไม่รู้ว่าเพราะอายุไม่ห่างกันหรือว่าผมใจดีเกินไป ทำให้ถ้าไม่ใช่เรื่องภารกิจแล้วล่ะก็พวกเขาไม่ค่อยเชื่อฟังผมเท่าไหร่ เจ้าตัวดีพวกนี้มักจะไปหลับนอนกับหญิงสาวตามหมู่บ้านที่เดินทางไปช่วยเหลือ “ก็พวกนางอยากตอบแทนนี่” คือข้ออ้างของพวกเขา พวกนี้เตรียมตัวดีถึงขนาดพกยาสมุนไพรป้องกันการตั้งครรภ์ราคาแพงไปด้วยเลยทีเดียว และแน่นอนว่าพวกนี้ต้องชวนผมด้วย…

“โธ่...หัวหน้า สาวๆพวกนี้เขาอยากได้หัวหน้ากันจะตาย สนองให้สักหน่อยจะเป็นอะไรไป เนี่ย...ยากันท้องก็มี รับรองไม่มีหลักฐานมาตามตัวทีหลังชัวร์ ฮ่าๆๆ”

“อย่าให้มันมากนักเจ้าพวกตัวแสบ ถ้าไม่อยากโดนรายงานเบื้องสูงล่ะก็...” ผมขู่ไปแบบนี้ตลอดเพราะยังคงใช้ข้ออ้างเดิมว่าคนที่ผมมีอะไรด้วยต้องเป็นหญิงสาวที่ผมรักเท่านั้น ฉะนั้นแทนที่ผมจะไปร่วมวงคาวกามกับพวกลูกน้อง ผมเลือกที่จะเข้าที่พักเตรียมตัวเดินทางมากกว่า

“เดี๋ยวทุกอย่างก็ลงตัวเอง เดี๋ยวพอเจอหญิงสาวที่ใช่มันก็ทำได้เอง” ผมบอกตนเองแบบนั้นมาตลอด…

...บอกมาตลอด จนกระทั่งได้มาพบกับคนที่นอนหมดสติในอ้อมแขนของผม...

…………………………………….

ผมเปิดประตูเข้าวิหารมา เดินผ่านทางเดินแคบแล้วก็พบห้องโถงใหญ่ มีเสาหินอ่อนทรงกลมเรียงอย่างเป็นระเบียบ ผิดกับเก้าอี้ยาวทำจากไม้ที่ผุพังล้มระเนระนาดไปทั่ว ด้านในสุดมีแท่นพิธี คาดว่าน่าจะเป็นโถงกลางที่ใช้ประกอบพิธีกรรม

ผมค่อยๆวางรอสลงอย่างนุ่มนวลที่มุมห้อง หาห่อสัมภาระที่ไม่เปียกน้ำมาให้เขาหนุนนอน เมื่อตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีอาการบาดเจ็บภายนอกใดๆ จึงมอบหน้าที่เฝ้าคนเจ็บให้กับฟรีด ก่อนที่จะปลีกตัวไปสำรวจความปลอดภัยของที่พักรวมถึงหาของที่ยังพอใช้การได้อยู่มาอำนวยความสะดวก

โครงสร้างของอาคารโดยรวมยังสมบูรณ์แต่สภาพทรุดโทรมไปเพราะขาดการดูแล เฟอร์นิเจอร์ไม้ผุพังไปตามกาลเวลา มีทางเดินแยกไปยังปีกซ้ายและขวาของวิหาร ที่แห่งนี้กว้างใหญ่มาก สังเกตได้จากทางเดินที่ทอดลึกเข้าไปจนลับตา ผมจึงเลือกสำรวจห้องเล็กห้องน้อยที่อยู่ห่างไปไม่มาก

ผมค้นเจอห้องที่น่าจะเป็นห้องปฐมพยาบาลเพราะมีซากเครื่องไม้คล้ายเตียงวางเรียงรายอยู่ ในห้องพอจะมีฟูกที่ยังใช้การได้อยู่ ผมจึงเลือกเอาเท่าที่จะขนได้ไปปูทับด้วยถุงนอนให้รอสนอนพัก

แม้จะอยากเอนกายล้มตัวนอนเพื่อพักผ่อนจากความเหนื่อยล้าแต่ก็ยังทำไม่ได้ สภาพเนื้อตัวของเราสองต่างก็ดูไม่ได้ เสื้อผ้าของเจ้านี่เปียกชื้นและเลอะคราบเมือก ส่วนชุดผมก็ชุ่มไปด้วยน้ำ ข้าวของที่อยู่บนตัวฟรีดก็พอๆกัน

โชคดีที่ไปเจอบ่อน้ำบาดาลเข้าจึงตักน้ำขึ้นมาเพื่อนำมาทำความสะอาดเนื้อตัว ผมหาผ้าสะอาดชุบน้ำเพื่อที่จะเช็ดตัวให้รอส ชุดเขาสกปรกมากแถมตัวก็ร้อนเหมือนเป็นไข้ ทว่าทันทีที่ลอกเขาออกจากชุด...หัวใจผมก็เต้นแรง ผิวขาวเนียนน่าสัมผัสเป็นลอนเป็นลายตามกล้ามเนื้อที่กระชับได้สัดส่วน ไม่ได้ผอมแห้งแบบพวกนักเวทย์ และไม่ได้หนาเตอะแบบพวกอัศวิน ผิวเนียนที่ผมได้จาบจ้วงสัมผัสไปแล้วครั้งหนึ่ง...

“เลิกฟุ้งซ่านได้แล้วหน่า” ผมส่ายหน้าเตือนตัวเองเบาๆก่อนที่จะเตลิดไปไกล รีบเช็ดตัวให้เขาจนสะอาด...ทุกซอกทุกมุม

“นี่มันสัญลักษณ์เดียวกับวาเรเรี่ยนเลย” ผมพินิจลวดลายอักขระคล้ายรูปมังกรนอนขดตัวที่หลังมือขวาของเขา ผมจำได้เรือนลางว่าเคยเห็นมันที่แขนของรุ่นพี่คนหนึ่ง

วาเรเรี่ยน เขาแก่กว่าผม 2 ปี เป็นลูกชายคนโตของตระกูลเดรโกนัส ผมจำได้ดีว่าสมัยก่อนตอนที่เรียนร่วมกับลูกขุนนางคนอื่นๆ เขาเป็นอัจฉริยะด้านการใช้เวทมนต์ เป็นคนหัวร้อนง่าย รักพรรครักพวก เป็นทั้งรุ่นพี่และเพื่อนที่ดี ทว่าเขาเปลี่ยนไปหลังจากกลับจากการศึกษาต่อตามธรรมเนียมของตระกูลฝั่งนั้น และยิ่งเปลี่ยนไปจนไม่เหลือเค้าเดิมเมื่อน้องชายคนเล็กของบ้านเสียชีวิตลง เป็นข่าวอันหน้าเศร้า

“ทำไมเจ้าถึงมีรอยนี้ได้” ผมมั่นใจว่าผมไม่เคยเห็นมันบนตัวเขามาก่อน แต่ก็ละความสนใจไปเพราะสงสัยไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ รอเขาตื่นก่อนจะดีกว่า

เสื้อผ้าของเขาในห่อสัมภาระเปียกหมด ผมจึงสละชุดสำรองที่ยังแห้งอยู่ให้เขาได้สวมใส่ แม้ความสูงเราจะต่างกันไม่มากแต่ความหนาของร่างกายต่างกันพอสมควร ชุดที่ผมใส่ให้หลวมจนเผยให้เห็นลาดไหล่ขาวๆที่มีรอยแดงจางๆ ไหล่ที่ผมเคยฝังรอยกัดลงไป เลือดในกายผมเริ่มคุกรุ่นขึ้นมา ผมรีบจับเขานอนในถุงนอนก่อนที่ผมจะคุมตัวเองไม่ได้

ผมผละตัวออกไปจัดการชำระช้างร่างกายตนเองบ้าง น้ำเย็นๆช่วยดับความพลุ่งพล่านในตัวได้ ผมสวมกางเกงขาสั้นตัวเดียวที่ยังเหลืออยู่ นำเสื้อผ้าไปตากรับแดดยามบ่ายข้างนอก ทาน้ำมันสมุนไพรนวดกล้ามเนื้อเพื่อคลายปวดจากการใช้เวทเสริมกำลัง จากนั้นจึงล้มตัวลงนอนข้างๆเขา สวมกอดเบาๆ แล้วหลับตาลงเพื่อพักผ่อน

“ฮัดชิ่ว !!!” ผมตื่นและจามเมื่อผิวกายสัมผัสอากาศที่เริ่มเย็นตัวลง ถึงผมจะถูกฝึกมาให้ถึกทน แต่สวมแค่กางเกงแบบนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกัน มองผ่านหน้าต่างของวิหารออกไปก็พบว่าใกล้มืดแล้ว ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของพวกแฟรี่ไกลๆ ผมยืมเสื้อคลุมที่เริ่มแห้งแล้วของเจ้านี่สวมออกไป จะให้เปลือยอกแบบนี้ออกพบพวกหล่อนคงไม่สมควรนัก

“อาการเขาเป็นอย่างไรบ้าง” มันเดย์ถามขึ้นขณะที่แฟรี่ตนอื่นๆอีก 4-5 ตนวางกระเช้าผลไม้ลงใกล้ๆ

“ยังไม่ฟื้นเลย แต่น่าจะดีขึ้นบ้างแล้ว ตัวร้อนน้อยลง หน้าไม่ซีดเแล้ว”

“เขาโชคดีจริงๆที่ได้อยู่กับท่าน ไม่เช่นนั้นคงไม่รอด”

พวกนางสัญญาว่าจะมาอีกทีตอนเช้า ผมกล่าวขอบคุณแล้วนำผลไม้เข้าไปเก็บ

ผมเดินออกไปนอกวิหารอีกครั้งเพื่อเก็บฟืน ค่ำคืนนี้อากาศน่าจะเย็น รากไม้และกิ่งไม้แห้งจากเจ้าโกเลมเป็นวัสดุก่อไฟชั้นดี และระหว่างนั้นผมก็ได้เจอของชิ้นหนึ่ง...มันคือสายหนังรัดข้อมือของรอส แปลกใจพอสมควรทำไมมันถึงมาขาดตกตรงนี้ได้

“มันจะเกี่ยวกับสัญลักษณ์ที่มือเขารึเปล่านะ” ผมพึมพำกับตนเองแล้วเก็บมันกลับมาด้วย

พอกลับเข้ามายังที่พักก็เป็นไปตามคาด รอสนอนสั่นคุดคู้ด้วยความหนาวจากอากาศที่เย็นตัวลง ผมรีบก่อไฟให้เขา นั่งลงเอาหลังพิงกำแพงแล้วจัดท่านอนใหม่ให้มานอนหนุนที่ตัก เอามือลูบเส้นผมสีน้ำตาลของเขาเบาๆ มองเปลวไฟสีแดงที่เต้นระบำไปมาพลางคิดถึงเหตุการณ์ตลอดการเดินทางสองสัปดาห์ที่ผ่านๆมา...การเดินทางที่เปลี่ยนชีวิตของผม

...............................................

ปล. การเรียนของที่นี่จะแบ่งเป็น 5 ระดับ
ช่วงต่ำกว่า 9 ปี ให้ศึกษาเองที่บ้าน
ช่วง 9-12 ปี ทุกคนจะเรียนวิชาพื้นฐานร่วมกัน และมีวิชาประจำอาชีพอย่างเวทมนต์ หรือการต่อสู้เป็นวิชาเลือก
ช่วง 12-15 ปี จะเข้าเรียนตามสายอาชีพที่สนใจ ระดับ Beginner
ช่วง 15-18 ปี จะเรียนเกี่ยวกับสายอาชีพของตนในระดับที่สูงขึ้น ระดับ Intermediate
ช่วง 18+ ปี จะสำหรับคนที่ต้องการชำนาญสายอาชีพของตน ระดับ Advance
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 27 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 25-09-2018 17:18:49
หลังจากนี้ทั้งเร็กส์และรอสจะจัดการกับตระกูลของตัวเองยังไงนะ?

ขอให้รอสหายเร็วๆ ดูท่าคงทรมาณน่าดู เวทมนต์ตีกลับ

 :pig4:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 27 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 25-09-2018 17:59:07
 :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 27 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 25-09-2018 20:51:33
มาแล้วววว :heaven ทำไมตระกูลประกาศว่ารอสตายล่ะ หรือผู้นำตระกูลโกรธเลยทำเหมือนตายไปเลยยังงี้หรอ :m28: รอสองคนนี้เค้ามุ้งมิ้งกัน สู้ๆนะเร็กซ์คุณชายไร้น้ำยา :hao7:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 27 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 25-09-2018 22:02:34
 :pig4:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 27 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 27-09-2018 15:38:45
27.2

<โจร> คือสิ่งแรกที่ผมเรียกเขาเมื่อพบกับรอสครั้งแรก ทำไงได้ล่ะ...พวกชาวบ้านเล่นไล่ตามหลังเขามาขนาดนั้นจะให้คิดเป็นอื่นได้ยังไง ตอนแรกก็คิดว่าไม่คณามือหรอกเพราะผมปราบโจรมาเยอะแล้ว แต่ดันใช้เวทมนต์ได้ แถมหนีเร็วอย่างกับกรด ผมเลยต้องเอาจริงบ้าง แม้จะมีรูปแบบการใช้เวทมนต์ที่ต่างไป แต่ผมใช้ประสบการณ์ที่เคยดวลกับพวกนักเวทย์เอาชนะเขาได้

<พูดมาก> คือสิ่งต่อมาที่ผมคิดเมื่อมันจ้อไม่หยุดพยายามล่อหลอกให้ผมเปิดปากคุยด้วย

แต่ก็ต้องมาสะดุดเมื่อได้ยินเรื่องแสงสีฟ้า แสงที่คนที่รับการคัดเลือกเท่านั้นที่จะเห็นได้เพื่อป้องกันคนนอกเข้าไปวุ่นวาย <ทำไมเจ้านี่ถึงเห็นได้> แถมยังรู้ที่ตกของมันด้วย ขนาดผมรับการทดสอบเองยังรู้แค่มันไปทางชายแดนเอง จะใช้ดาบอีกครึ่งตามหาก็น่าจะลำบาก

<เห็นทีคงต้องใช้งานเจ้านี่แล้วล่ะ> แต่ผมก็ไม่ได้ไว้ใจเขามาก โจรชั่วมันไว้ใจไม่ได้ ผมเลยหลอกทำสัญญาป้องกันเขาหนี ซึ่งก็เดาไว้ไม่ผิด เลยจัดการสั่งสอนไปอีกสักหมัดนึง ใครจะไปคิดว่าสุดท้ายผมก็ต้องหวังพึ่งเจ้านี่เพื่อแหกคุกออกมาอยู่ดี

หลังจากแนะนำตัวทำความรู้จักกันผมก็ต้องสงสัยว่าทำไมเขาถึงต้องปกปิดชื่อสกุล แต่ที่ดึงดูดความสนใจมากกว่าคือภาพที่เขาผละตัวลงไปชำระร่างกาย ผมได้แต่ยืนมองเหมือนต้องมนต์สะกด ร่างกายสมสัดส่วน เหลี่ยมมุมจากกล้ามเนื้อ ผิวขาวเนียนมีรอยฟกช้ำจากการต่อสู้ หยดน้ำที่เกาะตามร่างกายสะท้อนแสงแดดยามเช้า มันสวยงาม

<เขาเป็นผู้ชายเหมือนกัน คงไม่เล่นด้วยหรอก> ผมต้องรีบเรียกสติคืนมาเพื่อเตือนถึงหน้าที่และความตั้งใจของตนเอง

เหตุการณ์ที่ช่องแคบสองสีทำให้ผมได้รู้ว่าเขาเป็นโจรจริงๆ “หัวขโมยแห่งเบลลาเดีย” ฉายาที่ดังมาถึงหูของผมแม้จะอยู่คนละเขตก็ตาม มันน่าจับส่งทางการให้ไปรับโทษนัก แต่ก็ต้องหักล้างไปเพราะที่นั่นผมก็ได้รับรู้ถึงความห้าวหาญและจิตใจอันดีของรอส ผมตัดสินใจปล่อยเลยตามเลย

และที่เมืองควินิก ที่ร้านบ้าๆนั่นก็ทำให้ผมได้รู้ว่ารอสเป็นแบบเดียวกับผม เป็นคนที่ปรารถนาร่างกายของชายอื่นเหมือนกัน ผมดีใจอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งตอนเขารุกเข้ามาประชิดตัวขอให้ผมช่วย...เอ่อ...นั่นแหละ ผมลังเลใจมากๆ

<เอาเลยๆ โอกาสมาแล้ว เจ้าพวกบ้านั่นจะได้เลิกสบประมาทเราสักที> เสียงหนึ่งว่า

<เฮ้ย เราตั้งใจไว้แล้วว่าจะมีอะไรกับคนที่รักเท่านั้น> อีกเสียงดังขึ้น

<ไม่มีใครรู้ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย แถบนี้ไม่มีหูไม่มีตาของบ้านมาเห็นหรอก> เสียงและความคิดต่างๆมันตีกันยุ่งในหัวไปหมด

<นี่มันการทดสอบนะ จะมาวอกแวกเสียสมาธิไม่ได้> คือเสียงของผู้กำชัยการถกเถียงในหัวครั้งนั้น ผมปฏิเสธเขาไป แต่ในใจผมกลับรู้สึกขุ่นมัวอย่างประหลาดเมื่อเขาตรงกลับเข้าร้านนั้นไป

ที่หมู่บ้านของซิดคือสถานที่ที่ทำให้ผมรู้ว่าบางครั้งความช่วยเหลือของตระกูลก็ส่งไปไม่ถึงคนที่ต้องการจริงๆ ถ้าไม่มีนักผจญภัยที่รับงานอิสระไปช่วย หมู่บ้านนั้นอาจแย่ได้ และที่นั่นรอสก็ช่วยชีวิตผมไว้ ด้วยความสะเพร่า...ผมโดนพิษทำให้แขนชาจนเกือบโดนน้ำซัดตกเขาตาย เขายอมเสี่ยงชีวิตลงมายืนข้างผมทั้งๆที่มันอันตราย ผมรู้สึกประทับใจ ประทับใจจนมีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้น ความรู้สึกที่ผมอธิบายไม่ถูกว่ามันคืออะไร

คืนนั้นที่ผมพักฟื้นจากพิษ ท่านซิดเข้ามาคุยด้วยเพื่อฝากฝังรอส ขอให้พาเขาไปมีหน้าที่การงานดีๆ เพื่อไม่ให้เขาออกนอกลู่นอกทางอีก ผมตกปากรับคำขอนั้นด้วยความยินดี ยินดีเกินสมควรไปด้วยซ้ำ

รอสเป็นอะไรที่ผมไม่เคยพบเจอมาก่อน ต่อปากต่อคำ ดื้อด้าน ไม่เชื่อฟัง แต่กลับมีจิตใจที่แสนดี ห้าวหาญ ยิ่งอยู่ด้วย ผมก็ยิ่งรู้สึกสนุกและมีความสุข สุขอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

กึกๆๆ

เสียงฟันกระทบกันเรียกผมขึ้นมาจากห้วงความคิดของตนเอง รอสเริ่มหนาวสั่นอีกแล้ว

ผมค่อยๆประคองเขาลุกขึ้นนั่งแล้วนำตัวมาอยู่ระหว่างขา ร่างกายอันสั่นเทาขยับเข้ามาหาความอบอุ่นโดยอัตโนมัติ เขาเอาศีรษะมาซบอ้อยอิ่งที่อกของผม ผมกระชับผ้าคลุมให้แน่นขึ้นเพื่อปกปิดเราทั้งสองจากความเย็น

“ตัวยังร้อนอยู่เลย” ผมเอามือทาบหน้าผากเขา เพราะผมแท้ๆเลย ที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ ความรู้สึกผิดมันยังคงกัดกินหัวใจของผม ถ้าผมเชื่อเขาแต่แรก ห่วงเขามากกว่าศักดิ์ศรีของตน...เขาก็ไม่ต้องลงเอยแบบนี้ มือสองข้างโอบกอดเขาไว้แน่น แต่แล้วก็อดใจไม่ได้...ผมกดจมูกฝังลงไปสูดดมซอกคอขาวนั้นเบาๆ

ด้วยสัมผัสที่แนบชิด ร่างร้อนๆของรอสกระตุ้นร่างกายของผมให้ตอบสนอง หัวใจผมเต้นระรัว เลือดในกายสูบฉีดแรงขึ้น ใบหน้าแดงร้อน ความรู้สึกวูบวาบไหลเวียนไปรวมกันที่กลางลำตัวจนแก่นกายแข็งขืนดันกางเกงผ้าบางขึ้นมาแทงหลังของเขา

“น่ะ...น่าอายชะมัดเลย” ผมพยายามผ่อนปรนลมหายใจ ควบคุมพลังเวทในร่างกายปรับสมดุลการไหลเวียนโลหิตเพื่อสงบร่างกายของตนเอง เวทเสริมกำลังไม่ได้เพิ่มแต่พละกำลัง แต่ยังสามารถควบคุมสมดุลบางอย่างในร่างกายได้ด้วย สมัยฝึกใหม่ๆก็มีบ้างที่จะควบคุมการไหลเวียนไม่ดีจนเลือดไปคั่งในตำแหน่งที่ไม่ควรไป ในสถานที่ที่ไม่ควรเกิด

อัศวินผู้ห้าวหาญ พุ่งเข้าต่อสู้โดยไม่ลังเลกลับไม่กล้าตอบอะไรให้คนตรงหน้าแบบตรงไปตรงมา อัศวินผู้ให้เกียรติสตรีแต่กลับทำตัวหาเศษหาเลยจากคนที่นอนไม่ได้สติอยู่ มันช่าง...น่าสมเพศจริงๆ

พลันให้นึกถึงเหตุการณ์ในป่าเอเดน เหตุการณ์ที่ผมยังจำได้ดี ทั้งสัมผัส เสียง ความอ่อนนุ่ม ความรัดตึง และความอบอุ่น วันที่ผมได้เป็นเจ้าของร่างกายของคนในอ้อมแขน

วันนั้นตอนที่ไฟราคะในร่างกายของผมลุกไหม้ถึงขีดสุด ผมพยายามควบคุมพลังเวทในตัวเพื่อสงบมัน รวมถึงพยายามช่วยปลดปล่อยตัวเอง แต่พอภาพรอสในลำธารวันนั้นปรากฏขึ้นมาในหัว ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีทั้งหมดก็หายไป ความต้องการที่ผมพยายามกลบมันไว้พลุ่งพล่านออกมาจนไม่สามารถยับยั้งไว้ได้อีก

“วันนี้รอสต้องเป็นของข้า” ผมคำรามด้วยเสียงแหบพร่าขณะจัดแจงข้าวของเพื่อเตรียมสถานที่ก่อนใช้โอทห์คีปเปอร์ดึงตัวรอสกลับมา วินาทีนั้นผมตื่นเต้นมากๆ ผมจะได้เสพสมในกามเหมือนคนอื่นแล้ว สัญชาตญาณของมนุษย์เพศชายกำลังเข้าครอบงำผม ด้วยสติที่เหลืออยู่น้อยนิดพยายามปรนเปรอรอสตามคำบอกเล่าที่เคยได้ยินมาให้มากที่สุด ก่อนจะปฏิบัติกิจ

มันรู้สึกดีมากๆ ทั้งผิวเนียนยามร่างเราสัมผัสกัน ทั้งความอ่อนนุ่มและอุ่นภายในที่ผมรุกล้ำเข้าไป ผมมีความสุขมาก...ถึงแม้ว่าจะไม่นานก็ตาม

ความพลุ่งพล่านและความตื่นเต้นทำให้ผมเสร็จเร็วมาก ความรู้สึกที่ได้รับการปลดปล่อยด้วยร่างกายของคนที่เราชอบมันดีมากๆจนทำให้สติผมขาดดับไป

แต่ความสุขนั้นก็อยู่กับผมได้ไม่นาน ทั้งๆที่ตั้งใจว่าจะรับผิดชอบการกระทำของตนเองและดูแลรอสอย่างที่สุภาพบุรุษพึงทำ เขาปฏิเสธผมโดยไม่ลังเล เขาบอกว่าเหตุการณ์นี้ไม่เคยเกิดขึ้น ไม่ให้พูดถึงมันอีก

จะให้ทำแบบนั้นได้ยังไง...จะให้ลืมมันไปได้ยังไง...นี่มันครั้งแรกของผมเลยนะ...ครั้งแรกที่ผมได้มีเซ็กส์...เซ็กส์กับชายที่ผมชอบ

ยิ่งตอนเห็นท่าทางลับๆล่อๆจะแยกตัวเข้าตรอกไปทำให้ผมเดาได้ทันทีว่าเขาจะไปไหน เขาจะไปร้านแบบนั้นอีกแล้ว ผมยอมไม่ได้เด็ดขาด เขาเป็นของผมแล้ว จะให้เขาไปต้องมือชายอื่นได้อย่างไร ผมตัดสินใจจะเปิดอกคุยกันเพื่อกำหนดความสัมพันธ์ให้แน่ชัด

แต่แล้ว...มันก็พังไม่เป็นท่า

รอสต่อต้านผม

ให้ตายสิ...ทำไมคราวนี้รูปร่างหน้าตาฐานะที่ล่อตาล่อใจผู้คนรอบข้างผมไม่ว่าจะสาวน้อยสาวใหญ่ถึงใช้ไม่ได้ผล ผมโมโหมาก โกรธจนแทบจะคุมตัวเองไม่อยู่ แต่อารมณ์โทสะของผมก็ต้องมลายหายไปเมื่อเขาย้ำถึงหน้าที่ของผม...มันกลับมาตอกย้ำผมอีกครั้ง

นั่นสิ...ถ้าผมคบหากับเขาแล้วจะยังไงต่อล่ะ เมื่อผมต้องกลับไปสืบสกุล ผมก็ต้องทิ้งเขาไป ใครจะอยากมีความสัมพันธ์แบบนั้น...กับผม

ผมตัดสินใจปล่อยเขาไป ยกเลิกพันธะสัญญาให้เขาเป็นอิสระ...ให้เขาเดินจากไป

“แบบนี้แหละดีแล้ว” ผมกล้ำกลืนบอกตนเองระหว่างจูงฟรีดหาที่พัก

มันช่างเจ็บปวด เจ็บปวดยิ่งกว่าบาดแผลไหนๆที่เคยได้รับ หัวใจของผมแหลกสลาย ไม่เคยมีครั้งไหนที่นึกเกลียดชาติตระกูลของตนเองเลยจนกระทั่งครั้งนี้ ความปวดร้าวที่กลางอกมันแสนสาหัสจนผมไม่อาจตั้งสมาธิให้กับการเดินทางได้ สุดท้ายจึงต้องหันไปหวังพึ่งยาที่ช่วยบรรเทาความปวดร้าวนี้ นั่นคือสุรา ผมยกดื่มแก้วแล้วดื่มเล่าหวังให้ความเจ็บปวดมันหายไป ให้ลืมเลือนภาพของรอสไปเลยได้ยิ่งดี คืนนั้นผมไม่สนใจใครรอบข้างจนเมาหลับไป

แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังฝันถึงเขา

“อย่าไปเลยนะ” ผมตะโกนเรียกเขาสุดเสียงแล้วดึงมากอดไว้แน่น ผมไม่อยากให้เขาจากไปเลย

ผมตื่นขึ้นมาด้วยความมึนหัว จำอะไรไม่ค่อยได้เท่าไหร่ และต้องก็ตกใจเมื่อรอสเดินออกมาจากห้องน้ำ...ในสภาพหมิ่นเหม่
ราวกับว่าฝันเป็นจริง...เขากลับมาหาผม ผมแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง...รีบสำรวจใต้ผ้าห่มเพื่อดูว่าเสื้อผ้าอยู่ครบดี ผมไม่ได้ทำอะไรเขาอีกใช่ไหม

 “เห็นบอกว่าอยากจะคุย ตอนนี้ข้าอารมณ์เย็นลงแล้ว มีอะไรก็ว่ามา”

<เรามาคบกันเถอะนะ ข้ารักเจ้านะ ข้าอยากจะปกป้อง อยากจะดูแลเจ้า อยากจะเป็นคนสำคัญของเจ้า อยากให้อยู่เคียงข้าง อยากให้อยู่ด้วยกันแบบนี้ อยากจะ...ๆๆๆ>

“ขอโทษที่ไปล้ำเส้นของเจ้าทั้งๆที่สถานะของข้าเองไม่ควรจะทำอะไรแบบนั้น...ไม่ควรไปพูดอะไรแบบนั้น” ผมไม่สามารถพูดสิ่งที่ปรารถนาออกมาได้ แค่เมื่อวานก็แย่พอแล้ว...ขืนพูดสิ่งที่ต้องการออกไป...มีหวังเขาได้เตลิดไปอีก

<ขอแค่ได้อยู่ด้วยอีกสักนิดก็ยังดี>

แค่เขากลับมาผมก็ดีใจจะแย่แล้ว หัวใจของผมพองโตอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สุขยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ยิ่งตอนที่รู้ว่าเขาไม่ได้ไปนอนกับใครมายิ่งทำให้ผมดีใจจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่…รู้แบบนี้จะตรีตราฝังรอยไปทั้งตัวเลย..คอยดู

“รักอย่างนั้นนะเหรอ...” ผมพึมพำกับตนเองขณะก้มลงมองใบหน้าของคนในอ้อมแขน นิ้วมือเคลื่อนไปเกลี่ยแก้มร้อนของเขาอย่างทะนุถนอม

“นี่สินะความรู้สึกของการได้รักใครสักคน...” ผมจุมพิตหน้าผากของเขา จากนั้นก็หลับตาลงสู่ห้วงนิทราโดยมีคนที่ตนเองรักอยู่ในอ้อมแขน

ผมตัดสินใจแน่วแน่แล้ว...ผลการทดสอบครั้งนี้ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว...เมื่อเขาฟื้นขึ้นผมจะบอกความรู้สึกของผมให้เขาฟัง และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมก็ยินดีที่จะรับมัน

“นะ...น้ำ ขอน้ำหน่อย”

เสียงแหบพร่าของรอสปลุกผมตื่นขึ้นตอนรุ่งเช้า แสงตะวันยังไม่ขึ้นพ้นขอบฟ้า ผมรีบเอากระติกน้ำมาป้อนให้เขา

“ช้าๆ เดี๋ยวสำลัก” ในที่สุดคนรักของผมก็ฟื้นแล้ว...

ปล. สรุปความรู้สึก 20+ ตอน รวมไว้ในตอนเดียวนี่เหนื่อยใช้ได้เลยแฮะ 555
ปล2. น้องฟื้นกลับมาแล้วนะครับ เดี๋ยวมารอดูกันว่าตาเร็กซ์ของเราจะทำยังไงต่อ
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 27 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 27-09-2018 16:30:47
จริงๆ แล้วนายเรกซ์ไม่ใช่คุณชายไร้น้ำยา/ตายด้าน แค่ยังไม่เจอคนที่สปาร์กแค่นั้นเองงงงงง
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 27 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 27-09-2018 17:26:19
 :pig4:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 27 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 27-09-2018 19:11:46
ว้าย ตาย แล้วววว :hao7: :-[ แหมๆ เร็กส์จ้ะ ลูกชนมันไม่ได้ ก็เล่นลูกล่อ แล้วค่อยชนสิจ๊ะ แหมๆ รีบๆจับให้ได้นะ

ตอนนี้สั้นจังเลยอยากอ่านต่อยาวๆ :call: มาต่อบ่อยๆนะคะ สนุกมากกกก :3123:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 27 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 27-09-2018 19:30:30
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 27 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 27-09-2018 21:16:20
ฝั่งเร็กซ์เคลียร์หมดทุกอย่างละ เหลือแต่ฝั่งรอส คุณพี่กำลังเดินทางมาสินะ จะจ๊ะเอ๋กันไหมนะ?

 :pig4:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 27 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 27-09-2018 22:09:24
 :pig4:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 25&26)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 28-09-2018 18:35:41
ตอนต่อไปขอเวลาหน่อยนะครับ เป็นช่วงที่ยากพอสมควรเลยสำหรับผม
เพราะบิ้วมาหลายตอนละอยากจะให้มันดีและกินใจ ขอเวลาใส่รายละเอียดสักหน่อยครับ

อิอิ พี่ๆ จะมาตามกลับบ้านแล้วนะน้องหนู
oath keeper จะกลายเป็นดาบช่างจ้อไหม 555555

น้องยังไม่รู้ตัวว่าโดนพี่ๆเตรียมมาจับตัวแสบกลับบ้านแล้ว

งานพี่ชายตามน้องกลับบ้านก็มา น้องปลดผนึกไปแล้วก็หนีลำบากแล้วซินะ  :pig4:

ตัวแสบต้องโดนจับไปตีก้น

ยาวจุใจแต่ท้ายตอนก็ค้างเหมือนเดิม 5555

ในที่สุดคุณอัศวินก็รู้ใจตัวเองชัดเจนซักที

 :pig4:

แหง่ว มันต่อเนื่องตลอดตัดตอนยากมากกกกก

หลังจากนี้ทั้งเร็กส์และรอสจะจัดการกับตระกูลของตัวเองยังไงนะ?

ขอให้รอสหายเร็วๆ ดูท่าคงทรมาณน่าดู เวทมนต์ตีกลับ

 :pig4:

ฝั่งเร็กซ์เคลียร์หมดทุกอย่างละ เหลือแต่ฝั่งรอส คุณพี่กำลังเดินทางมาสินะ จะจ๊ะเอ๋กันไหมนะ?

 :pig4:

อยากตอบมากกก แต่กลัวสปอย

มาแล้วววว :heaven ทำไมตระกูลประกาศว่ารอสตายล่ะ หรือผู้นำตระกูลโกรธเลยทำเหมือนตายไปเลยยังงี้หรอ :m28: รอสองคนนี้เค้ามุ้งมิ้งกัน สู้ๆนะเร็กซ์คุณชายไร้น้ำยา :hao7:

เดี๋ยวเล่าตอนเปิดประวัติน้องครับ

จริงๆ แล้วนายเรกซ์ไม่ใช่คุณชายไร้น้ำยา/ตายด้าน แค่ยังไม่เจอคนที่สปาร์กแค่นั้นเองงงงงง

เป็นคำพูดที่โดนใจมาก ตรงเร็กซ์มากๆ ผมยังไม่สามารถหาคำบรรยายได้สั้นๆตรงๆขนาดนี้เลย 555

ว้าย ตาย แล้วววว :hao7: :-[ แหมๆ เร็กส์จ้ะ ลูกชนมันไม่ได้ ก็เล่นลูกล่อ แล้วค่อยชนสิจ๊ะ แหมๆ รีบๆจับให้ได้นะ

ตอนนี้สั้นจังเลยอยากอ่านต่อยาวๆ :call: มาต่อบ่อยๆนะคะ สนุกมากกกก :3123:

อัศวินไม่มีลูกล่อ ต้องปะทะตรงๆเท่านั้น 555
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 28 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 01-10-2018 18:34:47
Chapter 28 Confession

ตึกๆๆ

เสียงฝีเท้าระรัวอย่างรีบร้อนดังท่ามกลางป่าที่เต็มไปด้วยหนองบึง ท้องฟ้ามืดสนิทมีเพียงแสงดาวและดวงจันทร์ช่วยนำทาง

“แฮ่กๆ”

เด็กชายผมสีน้ำตาลหายใจหอบเหนื่อยเพราะออกวิ่งหอบสัมภาระมากมายมาได้สักพักแล้ว ขาเรียวยาวกำลังพาร่างผอมบอบบางที่แบกน้ำหนักเกินตัววิ่งฝ่าพงไม้ลึกเข้าไปในป่า ห่างออกจากแสงไฟของแคมป์ที่พักนักเรียนไปทุกทีๆ

“น่าจะแถวๆนี้ล่ะ” เขาพึมพำกับตนเอง สายตาสอดส่องหาอะไรบางอย่าง

“นั่นไง” เขาพบแล้ว เด็กชายวิ่งตรงไปที่หนองน้ำขนาดใหญ่กว้างพอๆกับสนามกีฬา มีต้นไม้สภาพหงิกงอและพงหญ้าเตี้ยๆขึ้นอยู่ล้อมรอบ น้ำสีเขียวอื๋อเต็มไปด้วยจอกแหนและตะไคร่น้ำ ฟองเขียวๆบวมปูดแล้วแตกออกจากผิวน้ำเป็นระยะ

“บทแห่งสายฟ้าที่ 1 Spark” กระแสไฟฟ้าแล่นปร้าบไปทั่วฝ่ามือขวาของเขา มือข้างนั้นจุ่มลงน้ำสีเขียว กระแสไฟสีฟ้ากระจายออกเป็นวงกว้าง เด็กชายยกมือออกมาสะบัดคราบเขียวๆออกด้วยความรังเกียจ

“ไหนขอดูหน้าตาเจ้าแห่งบึงชัดๆหน่อยซิ” เขาพูดออกมาพร้อมทั้งสังเกตฟองเขียวๆเหล่านั้นหายไป ผิวน้ำสั่นไหวเป็นระลอกๆ
ซู่ห์

“ตัวใหญ่ใช้ได้นี่” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงติดตลกให้กับเจ้าอสูรที่โผล่ขึ้นมาจากบึงกว้างนั้น รูปร่างมันเหมือนจระเข้ขนาดใหญ่ ใหญ่พอๆกับกระท่อมหลังหนึ่ง บนหลังมีหนายาวแหลมคม เกล็ดสีน้ำตาลเปื้อนคราบเขียวๆสะท้อนแสงจันทร์เป็นมันวาว ดวงตาสีอำพันจับจ้องผู้มารบกวนการนอนของมัน

“เข้ามาเลย อาหารของเจ้าอยู่นี่แล้ว” เด็กชายอ้าแขนออกแล้วกล่าวอย่างท้าทาย

“ก๊าซ” อสูรนามเจ้าแห่งบึงไม่รอช้าอ้าปากที่พอจะกลืนม้าทั้งตัวได้ในคราเดียวออกกว้างแล้วกระโจนแหวกผืนน้ำเข้าใส่ผู้บุกรุกทันที

....................................................

“เฮือก” ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยคอแห้งผาก รู้สึกมึนหัวไปหมด แต่ก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ข้างตัว

“นะ...น้ำ ขอน้ำหน่อย” ผมกล่าวออกมาด้วยเสียงแหบพร่า ขณะเอาศีรษะหนุนหมอนแน่นๆหนาๆไว้

หมอนที่ผมหนุนอิงขยับขยุกขยิกอยู่สักพักก่อนจะมีบางอย่างมาจ่อไว้ที่ปากของผม มันคือกระติกน้ำ

“อึกๆๆ” ผมรีบคว้ามันไว้แล้วดื่มของเหลวภายในด้วยความรีบร้อน

“ช้าๆ เดี๋ยวสำลัก” เสียงทุ้มเอ็ดผมเบาๆพร้อมแรงดึงยึดกระติกออกห่าง

“ระ...เร็กซ์” ผมพยายามตั้งสติและหรี่ตาเพื่อปรับสายตาให้ชินกับความมืดสลัวๆ

“เกิดอะไรขึ้น ที่นี่ที่ไหน” ผมถามต่อแล้วเริ่มสำรวจรอบๆ ความอบอุ่นนั้นคือเร็กซ์นั่นเอง เขานั่งขัดสมาธิโดยมีผมอยู่บนตัก นอนเอาหัวซบอกเปลือยเปล่าของเขาไว้

“หะ” ผมสะดุ้งอีกครั้งแล้วพยายามดีดตัวออกมา แต่ก็ไม่ได้ผลวงแขนแกร่งกระชับกอดแน่นขึ้นให้ผมกลับไปอิงอกเขาอย่างเดิม

“อยู่ในวิหาร ที่นี่ปลอดภัย อยู่นิ่งๆ อย่าดิ้น” มันตอบเสียงดุ เรี่ยวแรงผมยังไม่ฟื้นกลับมาทำให้ผมต้องยอมทำตามอย่างว่าง่าย

“ข้านึกว่าข้าตายไปแล้วซะอีก” ความทรงจำสุดท้ายคือความเจ็บปวดจนชาจากการตีกลับของกระแสเวทย์ในร่างกาย ผมฝืนใช้มันมากเกินไปขนาดนั้นผมน่าจะไม่รอด

“เจ้าปลอดภัยแล้ว รอส เวทมนต์ของวิหารนี้ช่วยเจ้าไว้” น้ำเสียงของเขาช่างเปี่ยมไปด้วยความห่วงใย เขาเริ่มคลายแรงกอดรัดลงแล้วเอาคางไม่เกยหัวผมไว้ “ข้าเป็นห่วงเจ้าแทบแย่ เกิดอะไรขึ้น”

“กระแสเวทมนต์ตีกลับน่ะ”

“ข้ารู้แล้ว แต่มันเกิดขึ้นได้ยังไง ทำไมจู่ๆเจ้าถึงใช้เวทมนต์ออกมาได้” เจ้าอัศวินถามด้วยน้ำเสียงคาดคั้น

“...” ผมไม่ตอบอะไร ไม่รู้จะเริ่มยังไงดี ได้แต่ก้มลงมองตราสัญลักษณ์รูปมังกรที่หลังมือขวาเงียบๆแบบนั้น

“...” แม้เขาจะไม่พูดอะไรต่อ ผมก็สัมผัสได้ถึงสายตาคาดคั้นคำตอบของเขาจับจ้องอยู่

“เฮ้อ...” ผมถอนหายใจออกมาเพื่อรวบรวมความกล้าก่อนจะผละตัวจากอกของเขาเพื่อมองดวงตาสีดำคู่นั้น แล้วเริ่มเล่าความจริง...ความจริงของชาติตระกูลของผม

“ชื่อที่แท้จริงของข้า...คือวารอส เดรโกนัส บุตรชายคนที่สามของตระกูลจอมเวทย์ผู้ถือตรามังกร” ดวงตาของเขาเบิกกว้างเมื่อได้ยินคำตอบ

“เป็นไปไม่ได้ ลูกคนที่สามของเดรโกนัสตายไปแล้วเมื่อ 6 ปีก่อนเพราะ...”

“เพราะหลงเข้าไปในป่าแล้วโดนเจ้าแห่งบึงจับกิน” ผมพูดแทรกแล้วแค่นเสียงหัวเราะออกมา “หึหึ เจ๋งใช่มั้ยล่า ตบตาคนมากมายว่าตายไปแล้วได้น่ะ”

“หมายความว่ายังไง” เร็กซ์ไม่ขำไปด้วยกับผม

“ข้าจงใจไปหาเจ้าแห่งบึงแล้วทำว่าโดนมันลากไปกินในน้ำเพื่อให้ทุกคนคิดว่าข้าตายไปแล้ว จะได้ไม่ต้องออกมาตามหาข้าอีก ข้าจะได้ออกมามีชีวิตอิสระของตัวเองสักที”

“ทำไมล่ะ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องพลังเวทย์”

“ก็ถ้าแกล้งว่าตายไปแล้วแต่คนในครอบครัวยังสัมผัสพลังเวทย์ได้อยู่ แผนการก็พังน่ะสิ ข้าเลยจำเป็นต้องผนึกพลังเวทย์ตัวเองให้ปลดปล่อยออกมาน้อยที่สุด แล้วหวังเอาตัวรอดด้วยอุปกรณ์เวทมนต์แทน”

“เจ้ายอมผนึกพลังเวทย์ในตัวเลยเหรอ นั่นมันความภาคภูมิใจของตระกูลเจ้าเลยนะ ทำไมกันล่ะ” น้ำเสียงและท่าทางของเขาเหมือนไม่เชื่อ

“หึหึ ข้อแลกเปลี่ยนราคาแพงเพื่ออิสระน่ะ”

ตระกูลเดรโกนัส ตระกูลของจอมเวทย์ผู้เป็นหัวหอกหลักของสภาเวทมนต์ของอาณาจักร เป็นตระกูลที่เคร่งครัดเสมอเรื่องการฝึกฝนตนเอง นอกจากจะให้เป็นเลิศกว่าใครแล้ว ยังเพื่อใช้ช่วยเหลือผู้คนที่ยากลำบากด้วย เสียสละช่วยเหลือจนลืมสิ่งสำคัญไป ความสำคัญของคนในครอบครัว

บ้านของผมเคยเป็นครอบครัวที่แสนสุข มีพ่อผู้อบอุ่นคอยดูแล แม่ผู้ใจดีคอยเอาใจใส่ พี่ชายผู้แสนดีทั้งสองคนคอยช่วยเหลือ มันเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ แม้ว่าจะต้องฝึกเวทมนต์อย่างหนักตั้งแต่อายุน้อยผมก็ไม่เคยบ่น ตราบใดที่ครอบครัวของผมอยู่เคียงข้าง แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไป...เมื่อท่านแม่จากไป

ท่านแม่เจ็บออดๆแอดๆตั้งแต่ให้กำเนิดผม เคยได้ยินคนซุบซิบกันว่าตอนที่คลอดผมมีปัญหาทำให้แม่สูญเสียพลังเวทย์ไปมาก สมดุลในร่างกายเสียไปอย่างถาวรทำให้ร่างกายอ่อนแอลงเรื่อยๆ จนผมอายุ 8 ปีท่านก็จากไป

หลังจากนั้นท่านพ่อผู้อบอุ่นก็กลายเป็นคนเย็นชา เอาแต่เก็บตัว หรือไม่ก็ออกเดินทางไปราชการตามสถานที่ห่างไกลจนแทบจะไม่ได้เห็นหน้า ไม่สนใจลูกๆอีกต่อไป ขอแค่ไม่ไปทำให้เสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูลก็พอ ครอบครัวอันแสนอบอุ่นของผมค่อยๆพังลงช้าๆ ความอบอุ่นเดียวที่ยังเหลืออยู่คือพี่ชายทั้งสอง

วาเรเรี่ยนกับวาเรนเอ็นดูและช่วยเหลือผมมาตลอด พี่ทั้งสองคนรักผมมาก มีปัญหาเรื่องการฝึกฝนอะไรพี่ก็ช่วยติวให้ คอยอยู่เป็นเพื่อนเล่นเพื่อนคุยให้ตลอด ยิ่งหลังจากที่ท่านแม่เสียไปพวกเรายิ่งรักกันมากขึ้นเพราะต้องคอยดูแลกันเอง

ในบรรดาสามพี่น้องมีผมนี่แหละที่ดื้อด้าน นอกคอกที่สุด ตั้งแต่เด็กก็อยากเป็นอัศวินเพราะฟังนิทานอัศวินผู้กล้าช่วยเหลือเจ้าหญิงจากแม่มดใจร้าย คลายคำสาปด้วยสัมผัสแห่งรักแท้ ตอนเด็กๆก็คิดว่าคงเป็นจุมพิต แต่พอโตขึ้นก็คิดว่าน่าจะเป็นสัมผัสอื่นแทนมากกว่า ฮ่าๆ

พอโตมาสัก 9 ขวบก็อยากเป็นนักประดิษฐ์ เอาเวลาว่างไปศึกษาอักษรรูนเพื่อประดิษฐ์และดัดแปลงอุปกรณ์เวทมนต์ ผลงานชิ้นโบแดงของผมคือถุงมือเวทที่ใช้อยู่ทุกวันนี้นี่ล่ะ ประสิทธิภาพไม่เท่าไหร่แต่ก็ใช้การได้ จนโดนพ่อเรียกไปดุว่าทำไมไม่ตั้งใจฝึกเวทมนต์อย่างที่ควรจะทำ

<ก็มันไม่สนุกนี่ ทำอะไรพวกนี้มันสนุกกว่าเยอะเลย> ผมได้แต่คิดในใจต่อหน้าสายตาอันเย็นเฉียบของท่านพ่อ อีกอย่างผมก็ไม่ได้ละทิ้งการฝึกทั้งหมดสักหน่อย พยายามผ่านเกณฑ์ที่ตั้งไว้จนหมด แล้วก็เจียดเวลามาทำสิ่งที่ชอบ

พอโดนสั่งห้ามก็เลยต้องเอาเวลาว่างๆเข้าห้องสมุด หนังสือที่เตะตาที่สุดคือสารานุกรมมอนสเตอร์ มันน่าสนใจและน่าตื่นเต้น มอนสเตอร์นานาพันธ์ทั้งดุร้าย ทั้งรักสงบ บ้างก็สวยงาม บ้างก็น่าเกรงขาม จนอยากจะออกไปผจญภัยให้เห็นกับตาตนเองว่าจะมีอะไรยิ่งใหญ่กว่ามังกรของพ่อที่เลี้ยงไว้รึเปล่า แต่ทำยังไงได้ ในเมื่อครอบครัวกำหนดเส้นทางนักเวทย์ให้กับเราแล้ว คงได้แต่อดทนเท่านั้น อดทนโดยมีพี่ๆทั้งสองเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ

จนกระทั่งวันที่พี่วาเรเรี่ยนอายุ 15 ปี ตอนนั้นผมอายุประมาณ 10 ขวบ เป็นวันที่ท่านพี่เข้าพิธีรับสัญลักษณ์ชำนาญการ (Mark of mastery) ตามขนบธรรมเนียมของตระกูล หากว่าการปลดอุปกรณ์กำจัดพลังเวทย์เป็นตื่นของพลังครั้งแรก สัญลักษณ์นี้คือการตื่นของพลังครั้งที่สอง สัญลักษณ์มังกรจะเปลี่ยนไปเพื่อแสดงตัวตนของนักเวทย์คนนั้นว่าเหมาะกับพลังธาตุไหน อาจจะเป็นธาตุพื้นฐานทั้ง 5 ดิน น้ำ ลม ไฟ สายฟ้า หรืออาจจะเป็นธาตุพิเศษหายาก นั่นคือแสงหรือความมืดก็ได้

ทว่ามันไม่ใช่สัญลักษณ์ที่บอกว่าคนๆนั้นถนัดธาตุไหนอยู่ แต่เป็นสัญลักษณ์ที่สั่งให้คนๆนั้นไปถนัดธาตุที่ได้รับต่างหาก ไม่สามารถเลือกตามความชอบได้ ถูกกำหนดให้เรียนรู้โดยไม่เต็มใจ บ้างก็ว่ามันเกี่ยวข้องกับลักษณ์ธาตุประจำตัวตั้งแต่เกิด บ้างก็ว่ามันเกี่ยวกับนิสัย อย่างพี่ใหญ่ได้สัญลักษณ์ธาตุไฟตามบุคลิกหัวร้อนของเขาก็สมเหตุสมผลดี แต่กับพี่รองที่เข้าพิธีในปีต่อมาได้ธาตุแสงเนี่ยนะ พี่วาเรนเจ้าเล่ห์จะตาย ถ้าได้ธาตุมืดก็ว่าไปอย่าง

ถัดจากนั้นเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากของผม ท่านพี่ทั้งสองจากผมไปศึกษาต่อตามสัญลักษณ์ที่ตนได้รับ พวกเขาเดินทางไปยังหอคอยธาตุที่ตั้งกระจายอยู่ทั่วอาณาจักรเพื่อฝึกความชำนาญของธาตุนั้นๆ

ผมเหงามาก บ้านหลังใหญ่โตที่เคยเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของเด็กชายสามคนเงียบสงัดจนน่าใจหาย จดหมายที่เขียนถึงกันก็ถี่น้อยลงๆจนขาดจากกันไป ผมโดนอาจารย์พิเศษจับฝึกฝนเวทมนต์อย่างหนักโดยไร้คนในครอบครัวนำทาง แม้จะมีเพื่อนๆในชั้นเรียนอยู่แต่ก็ไม่อาจเติมเต็มสิ่งที่หายไปได้

และเมื่อผมย่างเข้า 12 ปี ฟางเส้นสุดท้ายของผมก็ขาดลง...

พี่วาเรเรี่ยนสำเร็จการศึกษาด้วยระยะเวลาที่รวดเร็วกว่าคนทั่วไป ผมดีใจจนเนื้อเต้นเมื่อรู้ว่าเขากำลังจะกลับมาบ้าน ผมจะได้ไม่เหงาเสียที

แต่แล้ว...ผมก็คิดผิด

พี่ใหญ่เปลี่ยนไป เขากลายเป็นคนเยือกเย็นแบบท่านพ่อ เจอหน้ากันวันแรกก็แค่ลูบหัว ยิ้มให้ ทักทายกันนิดหน่อยแล้วก็แยกตัวไป หลังจากนั้นก็ออกไปทำภารกิจบ่อยจนแทบไม่เห็นหน้า หัวใจผมสลาย บ้านหลังนี้ไม่เหลือความอบอุ่นใดๆแล้ว...

หากว่าขนบธรรมเนียมของบ้านทำให้คนในครอบครัวเป็นแบบนี้ผมก็ไม่ต้องการมันแล้ว ผมไม่อยากเดินตามเส้นทางของบ้านนี้อีกแล้ว ผมกลัว...กลัวว่าหากถึงวันที่ผมรับสัญลักษณ์ชำนาญการบ้างแล้วล่ะก็...ผมอาจจะกลายเป็นคนเย็นชาแบบพวกเขา ผมจึงตัดสินใจแน่วแน่ว่าผมจะขอเลือกเส้นทางชีวิตของตนเอง

ผมใช้เวลาวางแผนเตรียมการอยู่พักนึง ทั้งขุดความรู้เก่าเรื่องรูนมาดัดแปลงอุปกรณ์จำกัดพลังเวทย์ และปรับแต่งถุงมือเวท จนในที่สุดทุกอย่างก็พร้อม ผมเลือกวันที่ทางโรงเรียนพาไปทัศนะศึกษาศูนย์วิจัยสัตว์อสูรทางตอนเหนือ แอบหนีออกมาตอนกลางคืนไปหาจ้าวแห่งบึงที่อยู่ไม่ไกล โยนข้าวของกระจัดกระจายทำว่าโดนมันจับกิน แล้วปิดผนึกพลังเวทของตนเอง

“เป็นอิสระแล้ว จะได้ออกไปเห็นโลกกว้างแล้ว” ตอนนั้นผมคิดแบบนั้น...แล้วก็ต้องมานึกเสียใจภายหลัง เพราะเพียงแค่ 3 วันผมก็จะไม่รอดแล้ว เกือบจะได้เป็นอาหารสัตว์ป่าจริงๆซะแล้ว แต่โชคชะตาก็ช่วยผมไว้ด้วยการส่งอาจารย์ซิดมาให้ และนั่นคือจุดเริ่มต้นชีวิตผจญภัยของผม ชีวิตอันแสนสุขของผม

“ออกมาตัวคนเดียวตั้งแต่ 12 มันไม่บ้าบิ่นเกินไปเหรอ” เจ้าอัศวินว่าเสียงดุ

“ก็คิดอยู่บ้าง แต่จะรอจนรับสัญลักษณ์แล้วคงไม่ไหว เพราะพลังเวทย์จะแกร่งกล้าจนปิดผนึกไม่ได้...ด้วยความรู้เท่าที่มีตอนนั้นอ่ะนะ” ผมตอบกลับไปตามตรง ผมยอมรับว่าถ้าเตรียมการหรือศึกษารูนให้ดีกว่านี้ก่อนอาจจะดีกว่า แต่มันทำไปแล้วคงแก้อะไรไม่ได้

“แล้วเจ้าไม่คิดถึงคนในครอบครัวบ้างเหรอ”

“ก็นิดหน่อย แต่คงเป็นครอบครัวในอดีตที่อบอุ่นมากกว่า” ผมไหวไหล่ตอบกลับไปก่อนจะกลับไปขดตัวซุกขอความอบอุ่นจากเร็กซ์ อากาศยามเช้ามืดมันหนาวนี่หว่า

“เจ้าเป็นเดรโกนัส ทำไมถึงช่วยข้าล่ะ ตระกูลเจ้าก็อยู่ในการคัดเลือกด้วย”

“เดรโกนัสนอกคอกแบบข้าไม่สนใจเรื่องพรรค์นี้หรอก”

“แต่เจ้าเกือบตายเพื่อข้าเลยนะ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเสียสละเพื่อข้าขนาดนั้น” คำถามของเขาทำให้ผมเริ่มคิด ทำไมกันนะเราถึงยอมขนาดนั้น

“ไม่รู้สิ...แค่...ไม่อยากเห็นเจ้าตาย” ถ้ารู้ว่าช่วยได้แต่ละเลย จะเรียกตนเองเป็นมนุษย์ได้ยังไง “อีกอย่างคือไม่รู้ว่าจะเจ็บเองหนักขนาดนี้ด้วย ฮ่าๆๆ” พยายามพูดให้ตลกกลบเกลื่อน

“...” อัศวินหนุ่มไม่ตอบอะไรนอกจากกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ส่งผ่านความอบอุ่นมาให้

“นี่ข้าสลบไปนานเท่าไหร่เนี่ย” พึ่งเอะใจได้ว่าเรามีเวลาอยู่ในป่าจำกัด

“คืนนึง”

“หา!!!” ผมพยายามจะลุกขึ้น “ถ้าไม่ออกไปวันนี้ล่ะก็เราติดอยู่ในนี้อีกนานแน่ๆ”

“ร่างกายเจ้ายังไม่ฟื้นดี ออกไปตอนนี้จะอันตราย” เขารวบเอวผมให้ลงไปนั่งตักเหมือนเดิม

“ตะ...แต่ แล้วเควสของเจ้าล่ะ...ถ้าไม่ออกไปตอนนี้จะกลับไปไม่ทันนะ”

“เรื่องนั้นไม่สำคัญแล้วล่ะ ข้ายอมติดอยู่ในนี้ดีกว่าให้เจ้าต้องออกไปเสี่ยงอีก สำหรับข้า...ตอนนี้เจ้าสำคัญที่สุด” คำตอบของเร็กซ์ทำให้ผมใจกระตุก แต่ไม่ใช่ผมคนเดียว ผมสัมผัสได้ถึงแรงเต้นของหัวใจของอีกฝ่ายผ่านความแนบชิด มันเต้นระรัวจนแทบจะระเบิดออกมาจากอกของเขา

“รอส” เสียงเรียกอันแผ่วเบาของเขาทำให้หัวใจผมเต้นแรงขึ้นมาอย่างประหลาด ผมเงยขึ้นไปพบดวงตาสีดำสนิทของเขาจับจ้องผสานกับดวงตาสีน้ำตาลแดงของผม มันเปี่ยมไปด้วยความแน่วแน่จริงจัง...จนผมเริ่มรู้สึกอึดอัด

“การได้เดินทางร่วมกับเจ้าทำให้ข้าคิดได้...” เขาหยุดเว้นจังหวะ

“เอาเลยนายท่าน พูดเลย” จู่ๆโอทห์คีปเปอร์ก็สว่างขึ้นมาพร้อมส่งเสียงกังวานจนผมสะดุ้ง

“ด...ดาบเจ้า...พ...พูดได้” ผมตกใจจนเสียงตะกุกตะกัก ขัดกับคนตรงหน้าที่ทำหน้าหงุดหงิด เร็กซ์โยนเศษผ้าไปคลุมดาบไว้ด้วยความรำคาญ “ตอนสลบไป ข้าพลาดอะไรไปรึเปล่า”

“เรื่องมันยาว อย่าพึ่งใส่ใจ” เขาพลิกตัวผมมานั่งประจันหน้า สองมือยกมากอบกุมมือของผมเอาไว้แน่นจนรู้สึกได้ถึงความชื้นเปียก เขากำลังตื่นเต้น

หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 28 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 01-10-2018 18:35:10
28.2

“อะแฮ่ม” สายตาเริ่มลอกแลกด้วยความประหม่าก่อนจะกลับมาจ้องดวงตาของผมอีกครั้ง

“มันทำให้ข้าคิดได้ว่าความปรารถนาที่แท้จริงของข้าคืออะไร...” ผมรู้สึกถึงแรงบีบคลึงเบาๆที่มือทั้งสอง

“...” หัวใจผมเต้นแรงขึ้น นี่หรือว่ามันกำลังจะ...

“ตั้งแต่เกิดมา...ข้าไม่เคยเจออะไรแบบเจ้ามาก่อน เจ้ามีจิตใจที่ดีและกล้าหาญ แต่ก็ทั้งดื้อด้าน ต่อปากต่อคำ ไม่ยอมคน และคิดแต่อะไรลามก”

“นี่ชมหรือด่า ฮะ!!!”

“แต่มันคือสิ่งที่ทำให้การเดินทางครั้งนี้ของข้าสนุกมาก สนุกอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน”

“...” ผมรู้สึกได้ว่าหน้าผมเริ่มแดงจนต้องเบือนหน้าหนี นี่ตรูกำลังเขินเหรอเนี่ย

“การได้อยู่กับเจ้าทำให้ข้าได้เรียนรู้สิ่งต่างๆมากมาย โดยเฉพาะความสุขของการได้มีใครสักคนอยู่เคียงข้าง คนที่ไว้ใจได้ คนที่ไม่ได้หวังอะไรตอบแทน คนที่อยากจะปกป้อง” เร็กซ์ดึงมือของผมไปไว้แนบอกเปลือยเปล่าของเขา มันร้อนมากและแรงเต้นหัวใจของเขาแรงมาก

“...”

“แต่ข้ากลับล้มเหลวเพราะเอาศักดิ์ศรีมาบังตาไว้...ข้าเกือบจะเสียเจ้าไป”

“...เร็กซ์”

“ยามที่คิดถึงการจากลามันทำให้ใจของข้าปวดร้าว ยามที่เกือบต้องสูญเสียเจ้าไปทำให้ใจของข้าแทบสลาย...มันทำให้ข้าคิดได้ว่าอะไรสำคัญที่สุด”

“...” หัวใจของผมพองโตจนรู้สึกคับแน่นอก ไม่เคยมีใครพูดแบบนี้กับผมมาก่อน

“สำหรับข้าแล้ว...ตอนนี้...วินาทีนี้ ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าเจ้าอีกแล้ว ตำแหน่งรัชทายาทเทียบอะไรไม่ได้เลย...กับการได้มีเจ้าอยู่เคียงข้าง รอส...ไม่สิ วารอส...ข้ารั...อุบ” ไม่ทันให้เขาพูดจบผมก็พุ่งเข้าไปประกบริมฝีปากพูดมากคู่นั้น

เร็กซ์ผงะด้วยความตกใจก่อนที่จะตัวแข็งทื่อ ผมค่อยบดสลับดูดดุนริมฝีปากของเขาอย่างละเมียดละไม ก่อนจะถอนออกมา ดวงตาของเขาปิดสนิทและนิ่งไปราวกับตกอยู่ในภวังค์

“ทีหลังเริ่มที่จูบเลยก็ได้ ไม่ต้องร่ายยาว” เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ผมรู้ดีว่าเขาจะพูดอะไรและขอหยุดมันไว้ตรงนั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นคำที่ผมอยากได้ยินจากปากใครสักคนมาตลอด แต่นี่มันเร็วเกินไป...เร็วเกินไปสำหรับผม...

 “โหยนายท่าน แข็งทื่อแบบนั้นเขาไม่เรียกว่าจูบนะครับ” ดาบนั่นเริ่มพูดอีกแล้ว

“กรอด” คุณอัศวินกัดฟันกรอด ทำหน้าบูดแบบขีดสุดก่อนจะเอาผ้ามาห่อดาบไว้อย่างกระฟัดกระเฟียด

“นะ...นายท่านจะทำอะไรครับ”

“วี๊ด!!! ฟรีด เอาเจ้านี่ไปไกลๆที” เขาผิวปากเรียกม้าคู่ใจของตน มันโผล่หัวออกมาจากมุมทางเดินก่อนจะอ้าปากรับดาบเล่มนั้นไว้แล้วคาบเดินจากไปอย่างว่าง่าย

“ด...เดี๋ยว นายท่าน ช้าก่อน” สักพักเสียงโวยวายก็หายลับไป เหลือแต่เพียงเสียงหัวใจของคนสองคนที่กำลังนั่งประจันหน้ากันบนฟูกขาดๆ

“รอส ข้ารั...อุบ” สองมือโอบรอบคอเขาไว้ ผมประกบปากอีกครั้งเพื่อให้เขาเงียบลง แรงดูดดุนของผมมากขึ้นกว่าครั้งแรก และเขาเองก็เริ่มตอบสนองกลับมาแล้ว เป็นรสจูบที่เรียบง่าย ไม่หวือหวา แต่ก็มีเสียงจ๊วบจ๊าบเร้าอารมณ์

ผมสัมผัสได้ถึงแก่นร้อนระอุแทงหน้าขา ผมจึงปล่อยมือข้างหนึ่งลูบไล้ผ่านหน้าอกแกร่งของเขา มันกระเพื่อมไม่เป็นจังหวะ ลมหายใจของคนตรงหน้าเริ่มติดขัด ลากลงผ่านหน้าท้องที่เกร็งเพราะการสัมผัสของผมจนเป็นลอนเป็นลูก สุดท้ายจึงลากมือไปทักทายความแข็งขืนนั้นผ่านกางเกงผ้าเนื้อบาง

“อื้อ” เขาครางมือนิ้วเรียวสัมผัสปลายดาบประจำกายของเขาไว้

“รอส อย่าพึ่ง...เจ้ายังไม่หายดี” เสียงลมหายใจหนักๆช้าๆของเขาบ่งบอกว่าเขาพยายามระงับความร้อนรุ่มในกาย

“ข้าไหว” ผมตอบกลับไปด้วยยิ้มเจ้าเล่ห์ ร่างกายไม่ปวดแล้ว แค่แรงยังไม่กลับมาเต็มที่ ถ้าอีกฝ่ายไม่รุนแรงไปผมว่าน่าจะไหวนะ
“แต่ อ๊ะ...” ผมเอานิ้วกดปลายดาบลงแล้วปล่อยให้มันเด้งดึ๋งผงกหัว

“ปากแข็งจังเลยนะ คุณอัศวิน เจ้านี่มันผงกหัวตอบรับแล้วนะ หึหึ” ผมชันร่างตนเองขึ้นไปอยู่บนตักของเขาและออกแรงผลักให้หงายลงไป แต่เขายังคงขืนร่างของตนไว้ไม่ให้ล้มนอน

<เห้อ...แรงยังไม่พอแฮะ...ฝากไว้ก่อนเถอะ>

“ร...รอส” เสียงของเขาแหบพร่าด้วยไฟราคะ เขาพยายามฝืนไว้จนผมแอบขำในใจ ร่างกายออกอาการขนาดนั้นแล้วยังจะฝืนอีก

“ก็ถ้าเจ้าทะนุถนอมข้า ข้าก็ไม่เป็นอะไรหรอก จริงไหม” ว่าแล้วก็ประกบริมฝีปากกันอีกครั้ง เราสองต่างบดจูบเข้าหากันด้วยความต้องการกันและกัน มือสองของเขาโอบหลังผมดึงเข้าประชิดตัว ร่างร้อนกระตุกเมื่อผมสอดลิ้นเข้าไปกวาดในโพรงปากของอีกฝ่าย แต่ไม่ช้าก็ตอบโต้กลับได้จนลิ้นแทบจะพันเกี่ยวกัน

“เรียนรู้ไวดีนี่” ผมเอ่ยชม

“ก็เรียนด้วยการปฏิบัติจริงมันไวสุดนี่” โอ้โห...เริ่มต่อปากต่อคำแล้วสินะ เมื่อครู่ยังสะกดความต้องการตัวเองอยู่เลย ตอนนี้ท่ากลายเป็นราชสีห์เต็มตัวซะแล้ว

เขาเลื่อนมือมาโอบหลังคอผมแล้วดึงเข้าไปรับรสจูบอีกครั้ง

ร่างใหญ่ประคองผมให้นอนราบลงไป ผมยอมอย่างว่าง่าย ยอมรับว่าตอนแรกกะแค่ปิดปากเขาให้เงียบ แต่ตอนนี้บรรยากาศมันทำให้ห้วงอารมณ์ของผมเตลิดไปไกลแล้ว

ร่างกำยำดุจราชสีห์ล้มลงมาทาบทับผมไว้ มีเพียงเสื้อบางๆเท่านั้นที่กั้นผิวเนื้อของเราสอง มือสากหนาของเขาเลื่อนเข้าไปในชายเสื้อหลวมๆของผม มันลูบไล้ไปทั่วกายผมอย่างสะเปะสะปะ

“คิกๆ จั๊กจี้”

“ทำแบบนี้รู้สึกดีไหม ข้าอยากได้ยินเสียงของเจ้า อยากให้เจ้ามีความสุข” เป็นคำถามที่ทำให้ผมกลั้นหัวเราะแทบแย่ แต่ก็นะ...มือใหม่นี่

“ลองหาดูสิว่าข้าชอบให้จับตรงไหน” ผมยกยิ้มแล้วชูแขนสองข้างขึ้นเชื้อเชิญให้เขาถอดเสื้อผมออก

เมื่อได้รับอนุญาติ เสื้อผมหลุดออกไปอย่างไว เจ้าสิงโตใช้ริมฝีปากจู่โจมที่ซอกคอลากยาวไปจนถึงลาดไหล่ ทั้งดูดดุนและขบกัดเบาๆ มือทั้งสองลูบไล้สำรวจร่างผมตั้งแต่ไหปลาร้าลงไปถึงสะโพก กลางอกจนถึงกลางหลัง เขาสำรวจมันราวกับเด็กที่กำลังอยากรู้อยากเห็น

“ซี้ด~” ผมส่งเสียงเมื่อเขาสัมผัสจุดอ่อนที่คอและอกของผม มือผมเองก็ลูบไล้สีข้างและแผ่นหลังกว้างของเขา แอบสอดมือผ่านกางเกงลงไปบีบบั้นท้าย อืม…แน่นเต็มมือดีจริงๆ

“ตรงนี้สินะ ง่ำ” เขาพึมพำก่อนขบกัดฝังรอยลงไปที่คอของผม

“อ๊า~” ผมหลับตาคราง แรงกัดนั้นช่างเสียวซ่าน ร่างกายแอ่นเกร็ง มือข้างหนึ่งขยุ้มผมสีดำสนิทของเขาไว้

ผมเพลิดเพลินไปกับการให้เขาได้เล่นกับร่างผมไปสักพัก จนเขาผละตัวออกไปพร้อมกับกางเกงของผม ร่างเจ้าสิงโตไร้อาภรณ์ใดๆกลับลงมาคร่อมผมอีกครั้ง ผมสบสายตาของเขาก่อนจะละไปมองอาวุธประจำกายที่กำลังชี้หน้าผมพร้อมฟันแทง
เร็กซ์หันไปคว้าขวดน้ำมันสมุนไพรและเปิดมันออกมาเทชโลมนิ้วมือของตน

“อื้อ” ผมส่งเสียงเล็ดออกจากลำคอเมื่อสัมผัสได้ถึงนิ้วเรียวกำลังสอดเข้าไปในช่องทางของผมช้าๆ เขาไม่ลืมที่จะเข้ามาคลอเคลียซุกไซร้ที่ซอกคอให้ผมผ่อนคลายขณะเตรียมการ การกระทำของเขามันช่างอบอุ่นและเต็มไปด้วยความห่วงใย จากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสาม ขยับเข้าออกไปมาช้าๆ

“เร็กซ์...พอแล้ว เอาเข้าได้มาเลย” เสียงของผมแหบแห้ง ร่างกายผมร้อนรุ่ม เรียวขายกขึ้นเกี่ยวกระวัดเอวหนา ผมต้องการได้รับการเติมเต็ม ผมต้องการเจ้าสิงโตตรงหน้า

“แน่นะ”

“แน่ดิ”

ฉึก!!!

“อึ๊ก” เขาละมือไปกอบกุมและชโลมดาบคู่กายของตนด้วยน้ำมันแล้วกดปลายเข้ามา มันใหญ่โต แข็งขึง และร้อนระอุจนผมสะท้าน ผมแหงนหน้าแอ่นตัวระบายความเสียวซ่านที่กำลังปะทุเข้ามา ดาบเล่มโตของเขาค่อยๆแทงเข้ามาในตัวผมช้าๆมีเสียงซี้ดซาดเป็นระยะ ผมต้องนับถือความใจเย็นของเร็กซ์มากที่ไม่กดพรวดมารวดเดียว

“ข้างในเจ้าร้อนมากเลย รอส ร้อนกว่าครั้งก่อนอีก” เสียงเขาแหบพร่า

 “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ” ผมเอ็ดเมื่อมองหน้าชายหนุ่มบนร่าง มันโคตร...เคร่งเครียด “เครื่องเคราเจ้าดี แต่ทำหน้าแบบนั้นคู่นอนก็อารมณ์หดได้นะ ฮ่าๆ” เขาเกร็งมาก เกร็งไปทั้งตัวจนลายกล้ามเนื้อปูดโปน ผมเองต้องช่วยให้ผ่อนคลายด้วยการวนนิ้วนวดบ่ากว้างนั้นเบาๆ

“ข้าไม่อยากทำเจ้าเจ็บ...แบบครั้งก่อน” เสียงเขาเบาลงที่ประโยคหลัง

“ปล่อยสบายๆ ไปตามสัญชาติญาณ” ผมขืนตัวขึ้นไปจูบ แรงดูดดุนที่ริมฝีปากทำให้เขาผ่อนคลายขึ้น

“ฮึก อื้ม” ผมสะดุ้งร้องเมื่ออาวุธของเขาเคลื่อนผ่านจุดกระสัน ราวกับกระแสไฟฟ้าไหลไปทั่วร่าง ไม่ช้าสะโพกของเร็กซ์ก็แนบไปกับส่วนท้ายของผม เขาเข้ามาจนสุดแล้วปล่อยคาไว้นิ่งๆ มันคับแน่นจนหายใจแทบไม่ออกแต่ก็สุขสันต์ เราสองคนประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน ผมรับรู้ๆได้แม้กระทั่งชีพจรของอีกฝ่ายเต้นเป็นจังหวะในร่างของผม

“ขยับละนะ”

“อื้อ” จังหวะจ้วงแทงของเขาเป็นไปอย่างช้าๆเนิบๆ ความรู้สึกว่างเปล่าสลับคับแน่นทำให้ผมตาลาย ราวกับกำลังลอยขึ้นฟ้าแล้วร่วงหล่นลงมาสลับไปมา มันไม่ได้เร่าร้อนรุนแรงแต่กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความทะนุถนอมรักใคร่

“อาห์ อื้ม รอส ข้างในเจ้าอ่อนนุ่มมาก ข้ารู้สึกดีมากเลย” สายตาหยาดเยิ้มของเจ้าสิงโตจ้องมองมาที่ผมราวกับจะกลืนกินผมทั้งตัว ร่างของผมโยกคลอนไปตามจังหวะขยับสะโพกของเขา

“ฮ...ฮึก ข...ข้าก็...ดี...อื้อ” ผมครางหอบเมื่อเขาเอามือมารูดรั้งแก่นกายของผมไปตามจังหวะของอีกฝ่าย มันรู้สึกดีอย่างไม่น่าเชื่อ

“ข้าชอบเสียงกับหน้าของเจ้าตอนนี้จัง” เร็กซ์เอามือมาเกลี่ยแก้มของผมเบาๆ อีกข้างกอบกุมเอวผมไว้แน่นแล้วยืดตัวตั้งตรงก่อนจะขยับต่อด้วยจังหวะที่เริ่มรุนแรงขึ้น เสียงหอบของเขาดังขึ้นกว่าเก่า

“อาห์...อื้อ” ผมได้แต่ครางตอบรับเขา มันดีกว่าที่คิดมาก โดยเฉพาะภาพตรงหน้า กล้ามเนื้อที่ได้รับการฝึกมาอย่างดี ทั้งอก ไหล่ แขนและหน้าท้องมีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆผุดเกาะผิวให้ดูมันวาว ใบหน้าอันหล่อเหล่าแหงนหน้ากัดริมฝีปากของตนเองด้วยความรัญจวน มันสวยงามเร้าอารมณ์จนผมเริ่มรูดรั้งตัวเองเพื่อจะปลดปล่อย

“ร...เร็กซ์ ข้าใกล้แล้ว”

“ข้าก็ใกล้แล้ว” สิ้นเสียงจังหวะร่ายรำดาบของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นความบ้าคลั่ง มันรวดเร็วรุนแรงจนหายใจไม่ทัน จุดกระสันได้รับการกระตุ้นต่อเนื่องจนผมเกือบจะแตะขอบฟ้า ผมชักรูโแก่นกายของตนเองไปตามจังหวะของอีกฝ่าย เสียงหอบครางของเราสองประสานไปกับเสียงเนื้อกระทบกันดังระงมไปทั่วห้อง

“เร็กซ์..ข้า..อ๊า” ในที่สุดผมก็ปลดปล่อย ของเหลวอุ่นไหลทะลักออกมาเปราะเปรื้อนหน้าท้องเนียนของผมไปหมด และไม่ช้าก็ถูกกดทับลงมาด้วยร่างของราชสีห์ที่เกร็งกระตุก

“ฮึก อื้อ ฮึก รอส...ข...ข้ารักเจ้านะ” เขาปล่อยตัวล้มลงมาฝังจมูกไว้ที่คอ กดอาวุธประจำกายเข้ามาจนสุด ปลดปล่อยหยาดน้ำแห่งความรักเข้ามาในร่างของผม มันอุ่นร้อนวาบไปหมด แรงกระตุกรุนแรงต่อเนื่องเป็นระลอกๆก่อนจะหยุดลง ทุกอย่างเงียบสงบเหลือแต่เสียงหอบเหนื่อย

“เจ้าเป็นของข้าคนเดียวแล้วนะ” เร็กซ์ถอนดาบออกแล้วจูบผมอีกครั้ง ผมตอบสนองด้วยการบดกลึงริมฝีปากของเขาเบาๆ

“เจ้าจะไม่บอกรักข้าบ้างเหรอ รอส” ใบหน้าของเขายังคลอเคลียอยู่ที่ใบหู เสียงของเขาแฝงไปด้วยความน้อยใจเล็กๆ

“ข้าก็...ชอบเจ้านะ” ขอโทษนะเร็กซ์ ผมคงให้ได้แค่เท่านี้ก่อน ผมยังไม่พร้อมจริงๆ

สายตาของเจ้าสิงโตมองต่ำลงด้วยความผิดหวังแต่ไม่ช้ามันก็แปรเป็นรอยยิ้มจางๆ “ได้เท่านี้ก่อนก็พอใจละ แต่ข้าจะทำให้เจ้าบอกรักข้าให้ได้เลย...คอยดู” เขากล่าวด้วยท่าทีหนักแน่น ก่อนจะลุกไปหยิบผ้ามาทำความสะอาดร่างกายของผมแล้วดึงไปนอนกอดไว้

<ข้าก็หวังเช่นนั้น ขอเวลาข้าอีกหน่อยนะ> ผมคิดในใจก่อนจะหลับตาลงสู่ห้วงนิทราในอ้อมกอดอันอบอุ่นของเร็กซ์ มันช่างอบอุ่นจนไม่อยากจากไปไหน แต่ก็น่าหวั่นเกรง...เกรงว่าถ้าติดความอบอุ่นนี้แล้วเมื่อต้องสูญเสียมันไป...ผมจะทำอย่างไร

...............................

ปล.เขียนยากมากกกก แต่ในที่สุดก็ปล่อยออกมาได้สักที ถึงจะยังไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ก็เถอะ
ขอบคุณทุกท่านที่อดทนรอนะครับ



หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 28 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 01-10-2018 18:54:12
จากหลังเท้าเป็นฝ่ามือเลย อะไรจะพัฒนาไวปานนั้น  :hao7:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 28 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 01-10-2018 20:24:31
 :m25: ทำดีมากเจ้าลูกสิงโตตตตต  :jul1: ในที่สุดลูกสิงโตก็กลายเป็นสิงโตหนุ่ม ออกล่ามังกรแล้ว  :mc4: :katai2-1: ดีใจมากเลย โฮะๆๆๆ

รอสแผนสูงมาก เบื้องหลังการหนีออกจากบ้านนี่เข้มข้นมาก บทพี่ชายออกมาแวบๆ แล้วคาแรคเตอร์ทำไมโดนใจยังงี้
ไม่ได้คิดเรื่องค้ำคอ ของพี่ใหญ่กับพี่รองโดยแม้แต่น้อย จริงๆนะ :hao7:       ไม่ได้พยายามหาคู่ของตระกูลอื่นไว้ให้พวกพี่ชายด้วย จริ้งๆ ไม่ได้แอบคิดเล้ยยยย
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 28 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 01-10-2018 20:46:11
 :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 28 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 01-10-2018 21:30:33
ในที่สุดก็ทำสำเร็จ อย่างงี้ต้องเบิ้ล  :laugh:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 28 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 01-10-2018 22:03:37
ฉลองงงงงง

ว่าแต่รอสกลัวเข็ดจากความหลังครั้งเก่าหรอ? ถึงยังไม่พร้อม ระแวง?

รอตอนต่อไปค่า

 :pig4:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 28 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 07-10-2018 14:20:30
Chapter 29 A way out

โคร่กกกกก!!!

หลังจากกิจกรรมเมื่อเช้า พวกเราสองคนนอนกอดกันยาวจนบ่ายแก่ๆ เสียงท้องร้องประท้วงหาอาหารทำให้ผมตื่นขึ้น ผมหลับไปข้ามวันขนาดนี้แถมยังผ่านกิจกรรมหนักมาจะโหยหาอาหารก็เป็นเรื่องธรรมดา ตื่นมาก็ปวดหน่วงๆไปทั้งตัว ดูท่าผมจะฝืนร่างกายตนเองเกินไป(ไม่)หน่อย

ระหว่างกำลังกวาดสายตาหาของกินก็ไปสะดุดมองเจ้าสิงโตที่กำลังหลับข้างกาย ผมพึ่งจะสังเกตเห็นว่าร่างกายกำยำของเขาเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ คงรับมาจากการต่อสู้กับโกเลม โดนหินก้อนใหญ่ๆฟาดไปตั้ง 2 ทีกระดูกกระเดี้ยวไม่หักเลยนี่มันอึดเกินคน สมกับเป็นคนของไลโอเนลจริงๆ

คิดถึงเรื่องอึดแล้วก็รู้สึกใบหน้าร้อนแดงขึ้นมา ภาพเหตุการณ์เมื่อเช้าเล่นขึ้นมาในหัวอีกครั้ง ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้มีอะไรกับเขาอีก ทั้งๆที่คิดว่าครั้งนั้นครั้งเดียวก็เข็ดแล้วแท้ๆ แต่คำสารภาพของเขาทำให้ผมหวั่นไหว ครั้งนี้เขาก็ทำได้ดีขึ้นมาก มันไม่ได้เร้าร้อนจนร่างแทบมอดไหม้แบบที่ผมได้รับจากบรรดาหนุ่มใหญ่ผู้ช่ำชอง แต่มันเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นและห่วงใย นุ่มนวลแต่ก็หนักหน่วงในคราวเดียวกัน เป็นรสชาติที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน

-ข้ารักเจ้านะ-

คำพูดของเขายังคงตราตรึงอยู่ในหัว มันก้องกังวานและชัดเจน ทั้งๆที่พยายามยั้งไม่ให้เขาพูดคำนี้ออกมาแล้วแท้ๆ แต่ก็ดันพูดออกมาจนได้ระหว่างที่ผมกำลังควบคุมตัวเองไม่ได้ ไม่เคยมีใครกล่าวคำนี้ได้จริงใจเท่าเขามาก่อน แต่ผมไม่สามารถตอบกลับไปได้

ผมกลัว...กลัวว่าถ้ามอบหัวใจให้เขาไปแล้ว...ถ้าเขาทิ้งผมไป...ผมจะทำยังไง ผมเคยเชื่อในรักบริสุทธิ์จนกระทั่งมาผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า...จนไม่กล้าที่จะมอบใจทั้งดวงให้กับใคร

ผมหวาดระแวง...แม้ว่าเขาจะไม่สนใจการคัดเลือกแล้ว แต่เขาก็ยังเป็นลูกชายตระกูลใหญ่ สักวันหนึ่งเขาก็ต้องขึ้นเป็นผู้นำตระกูล...ต้องมีภรรยาเคียงข้าง และหน้าที่นั้นไม่ใช่ของผม

หึ...พอมานึกดูแล้วสถานภาพของผมคงไม่ต่างกันเท่าไหร่ ผมปลดผนึกของตนเองแบบนี้คนที่บ้านก็น่าจะรับรู้ถึงตัวตนของผมแล้ว ไม่รู้ว่าพวกเขาจะยังต้องการผมกลับไปรึเปล่า ก่อเรื่องวุ่นวายขนาดนี้ ท่านพ่อและพี่ต้องโกรธจัดแน่ๆ...ถ้าพวกเขายังมีเยื่อใยให้อยู่อ่ะนะ มีหวังไม่โดนพ่อจับแช่แข็งก็โดนพี่ใหญ่เผาทิ้งแน่ๆ แต่ถ้ารอดมาได้ก็คงต้องทำหน้าที่ของคนในตระกูลไม่ต่างจากเร็กซ์

ถ้าออกไปจากที่นี่ได้ก็คงต้องเดินทางไปเรื่อยๆ หลบๆซ่อนๆคนของตระกูลเท่าทีทำได้ จะได้ไม่ต้องกลับไปพัวพันเรื่องวุ่นวายของตระกูลอีก ถ้ามีคนเคียงข้างไปด้วยก็คงดี...แต่เขาจะยอมทิ้งตระกูลออกมาแบบผมงั้นเหรอ...

“เจ้าจะยอมทิ้งทุกอย่างแล้วมาเป็นแบบข้าไหมนะ” ผมพึมพำเบาๆแล้วลูบโครงหน้าของเขา

หมับ

มือหนาตวัดมาคว้ามือของผมไว้จนสะดุ้ง เร็กซ์ดฉวยมือของผมไปจูบเบาๆ

“มาลูบๆคลำๆแบบนี้จะลักหลับเหรอไง” คำพูดน่าเตะปากแบบนี้...ใช่คุณอัศวินคนเดิมรึเปล่าเนี่ย

“อย่าหลงตัวเอง” ผมแยกเขี้ยวใส่แล้วชักมือกลับ

“ทำไมตื่นเร็วนักล่ะ หายดีแล้วเหรอ”

“ก็ไม่ได้เป็นหนักอะไรขนาดนั้น”

โคร่กกกกก

“อะ...เอ่อ หิวน่ะ” ผมตอบไปเสียงอ้อมแอ้ม

“ฮ่าๆๆ ได้ เดี๋ยวหาอะไรให้กิน รอเดี๋ยวนะ” ว่าแล้วมันก็เดินโทงๆไปหยิบตะกร้าผลไม้มาให้ พอผมเห็นไอ้ที่ห้อยต่องแต่งไปมาก็ต้องรีบเบือนหน้าหนี ไอ้คุณชายนี่ยางอายมันหายไปไหนหมด แล้วนี่ทำไมผมต้องเขินด้วยเนี่ย เห็นมาเยอะแยะแล้วไม่ใช่เหรอไง

เร็กซ์ปอกผลไม้มาป้อน หาน้ำหาท่ามาเช็ดตัวผม แต่เช็ดได้สักพักผมก็ต้องผลักมันออกแล้วจัดการตัวเองเพราะอาวุธของมันเริ่มขึงขังขึ้นมาอีกแล้ว ถ้าผมฝืนร่างกายอีกรอบมีหวังได้นอนต่ออีกยาวแน่ๆ ระหว่างที่เราสองจัดเครื่องแต่งกายให้เข้าที่เขาก็ถามด้วยใบหน้าสีชมพูระเรื่อว่า…

“เมื่อเช้าข้ามีความสุขมากเลยนะ เจ้ามีความสุขไหม” เขาสวมกอดผมจากด้านหลัง ฝังจมูกมาที่ใบหูของผม

“ก็...ดี” ผมตอบเสียงเรียบ

“ทำไมน้ำเสียงแบบนั้นล่ะ”

“ก็ดี สัก 6.5 ละกัน”

“หมายความว่ายังไง 6.5” มันถามกลับเสียงแข็ง

“เอาไป 6.5 เต็ม 10”

“หา!!! ทำไมถึงเกือบตกแบบนั้นล่ะ”

“ครั้งแรกๆให้เท่านี้ก็เยอะแล้ว” ผมหยอกมันเล่น

“งั้นขอซ่อมเดี๋ยวนี้เลย” เจ้าอัศวินไม่ว่าเปล่า คว้าไหล่ผมหวังกดลงที่นอนทันที แต่ผมขืนตัวไว้ไม่ยอม เรี่ยวแรงกลับมาเกือบปกติแล้วทำให้พอจะสู้แรงตอนนี้ได้…ตอนที่เขายังไม่เอาจริง

“เร็กซ์ หยุดก่อน หาทางออกจากที่นี่ก่อน” ผมพยายามต้านแรงเจ้าอัศวินไม่ให้เสียหลักหงายลงไป ต้องรีบเตือนสติมันว่านี่ไม่ใช่เวลามาเล่นเถรไถล

“ก็บอกแล้วไงว่าข้าไม่สนใจเรื่องนั้นแล้ว”

“แต่ของกินเรามีจำกัดนะ” ถึงเขาจะไม่อยากไปส่งเควสแล้วแต่การที่ต้องมาติดอยู่ที่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ดีแน่นอน อาหารและของใช้มีจำกัด จะหวังพึ่งพวกแฟรี่ตลอดไม่ได้

 “หึ ก็ได้...ติดไว้ก่อนก็ได้” มันแยกเขี้ยวใส่ คาดโทษไว้ ทำไมนะคุณชายผู้เรียบร้อยถึงกลายเป็นแบบนี้ได้ คงไม่ได้ติดจากผมใช่ไหม

“จะออกจากที่นี่ยังไงดี” ผมทำท่าจะลุกขึ้นเดินสำรวจ แต่ไม่ทันจะพ้นจากเขตฟูกก็โดนเร็กซ์ดึงชายเสื้อไว้

“อย่าไปไหนสุ่มสี่สุ่มห้าสิ เจ้ายังไม่หายดีนะ” เขาว่าเสียงดุ

“เดินสำรวจแค่ข้านี้ไหวหน่า”

“งั้นเดี๋ยวจะจัดการให้ไม่ไหวเลยละกัน” เจ้าอัศวินกระตุกผมลงไปนั่งที่ตักแล้วกอดฟัดจนแก้มผมเกือบช้ำ

“นี่ บอกแล้วไงว่าไม่ใช่เวลา” บ้าจริง...ไม่น่าไปหยอกมันเลย ผมพยายามดิ้นขัดขืนสุดชีวิต

“หึหึ ล้อเล่นหน่า” อัศวินหนุ่มยอมคลายกอดออกปล่อยให้ผมเป็นอิสระ

“ชิ...ว่าแต่โอทห์คีปเปอร์ไม่ได้บอกทางออกอื่นไว้เลยเหรอ”

“เดี๋ยวลองถามดู ขอตัวไปเก็บกลับมาจากฟรีดก่อนแล้วกัน ต้องออกไปเอาของที่ตากไว้ด้วย รออยู่ตรงนี้เฉยๆ ห้ามไปไหนนะ” เร็กซ์กำชับประโยคสุดท้ายก่อนจะหายลับไปกับมุมทางเดิน

“ค้าบบบ” ผมลากเสียงยาว

“ซะเมื่อไหร่เล่า” ผมลุกมาพึมพำเบาๆเมื่อเสียงฝีเท้าห่างไปแล้ว

ผมลองดีดนิ้ว 2-3 ที ตรามังกรก็เรืองแสงสีแดงแล้วปลดปล่อยดวงแสงสีนวลออกมา 5 ดวงลอยมาอยู่บนฝ่ามือผม ก้อนพลังทั้งห้าบิดม้วนหยอกล้อกันไปมาตามการควบคุมของผม ก่อนจะวิ่งพันเกี่ยวไปตามส่วนต่างๆของร่างกายแล้วกลับมารวมกันที่ฝ่ามืออีกครั้ง

“ฟู่ห์” ผมผ่อนลมหายใจแล้วปล่อยให้ดวงแสงดับไป เมื่อครู่เป็นการทำสมาธิเพื่อตรวจสอบพลังเวทย์ของตนเอง

เปลี่ยนแปร ปลดปล่อย และควบคุม คือพื้นฐานสามข้อของการใช้เวทมนต์ แปรอณูพลังในร่างเป็นสิ่งที่ต้องการด้วยจิต จากนั้นจึงปลอดปล่อยออกมาจากร่างกายในสภาพที่เสถียรพอ แล้วจึงควบคุมให้บิดพลิ้วตามความปรารถนาด้วยสมาธิที่มั่นคง

เท่าที่ประเมินดูผมคิดว่าร่างกายยังมีอาการปวดแปล้บๆบ้าง น่าจะต้องปรับตัวให้คุ้นชินกับพลังเวทย์ที่ไหลเวียนในร่างกายมากกว่านี้ก่อน แต่นี่ก็ถือว่าปรับตัวได้รวดเร็วมากแล้ว ไม่แน่ใจเพราะร่างกายที่เจริญเติบโตขึ้นจากเมื่อเยาว์ หรือเพราะเวทฟื้นฟูของพื้นที่ศักดิ์สิทธ์กันแน่ แต่ก็เอาเถอะ...กลับมาพอใช้งานได้ก็พอ

ด้วยความอยากรู้อยากเห็นผมจึงรีบออกเดินสำรวจทางเดินของวิหารทันที เริ่มจากฝั่งซ้ายก่อนแล้วกัน ผมเดินลึกเข้าไปในทางเดินสลัวๆเพราะอาคารส่วนนี้ปิดทึบ มีหน้าต่างยอมให้แสงผ่านไม่กี่บาน เปิดประตูดูห้องแล้วห้องเล่าก็เจอแต่เครื่องไม้ผุพัง บางห้องน่าจะเคยเป็นห้องนอน บางห้องก็น่าจะเป็นห้องเก็บอาวุธ มีทางเดินแยกแขนงไปมาบ้าง

“รอส...เจ้าอยู่ไหน” เสียงตะโกนของเร็กซ์แว่วมาตามทางเดิน

“ทางนี้” ผมตะโกนกลับไปแล้วเดินลึกเข้าไปต่อ จนสุดทางเห็นประตูไม้แกะสลักแปลกตา พอเปิดเข้าไปก็พบห้องกว้างมีแต่ชั้นหนังสือเต็มไปหมด น่าจะเป็นห้องสมุดโบราณ มีหนังสือเก่าๆขาดๆกระจัดกระจาย บางส่วนน่าจะคงโดนขนย้ายออกไปหมดตอนที่ปล่อยให้รกร้างเมื่อนานมาแล้ว มีแท่นหินทำหน้าที่เป็นโต๊ะวางอยู่กลางห้อง บนแท่นหินมีหนังสือเล่มหนาวางอยู่

“ตัวอักษรไม่คุ้นเลยแฮะ” ดูการจัดวางแล้วน่าจะสำคัญ แต่ข้างในเป็นอักษรโบราณที่ผมไม่เคยเห็น

“บอกแล้วไงว่าอย่าไปไหน” เสียงดุๆของมันไล่หลังมาจากนอกห้องพร้อมด้วยเสียงฝีเท้าตึงตัง ท่าจะโกรธไม่น้อยแฮะ

“...” แต่ผมไม่ได้ใส่ใจ พลิกหน้ากระดาษดูรูปภาพในเล่มต่อไป มีรูปเจ้าหญิง ผู้กล้า อสูรร้าย

หมับ

“ดื้อจริงๆ” มันคว้าไหล่พลิกตัวไปประจันหน้าแล้วดันผมถอยหลังไปจนไปนั่งปริ่มขอบแท่นหิน

“ก็บอกแล้วไงว่าไหว ให้นั่งๆนอนๆเฉยๆมันน่าเบื่อจะตาย” ผมเถียงกลับ ก็มันจริงนี่...ร่างกายปวดร้าวน้อยลงกว่าเมื่อวาน เรี่ยวแรงก็กลับมาให้เดินเหินได้ปกติแล้ว เหลือแค่ให้พลังเวทย์กับร่างกายปรับตัวให้ได้เท่านั้นเอง

“อย่างนั้นเหรอ” เร็กซ์แทรกตัวเข้ามาระหว่างขาทำให้ผมต้องอ้าขาออกรับร่างชายหนุ่มเข้ามาแนบตัว เขาขยับใบหน้าเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ “ถ้าดื้อนัก...เดี๋ยวจะจัดการให้ออกมาซนไม่ได้ซะเลย” เขาแสยะยิ้มแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ

“คิดว่า...” ผมในยามปกติคงจะตอบไปว่า ‘คิดว่าจะทำได้เหรอ ?’ แต่พอเห็นสายตาและรอยยิ้มของเจ้าสิงโตตรงหน้าก็ต้องรีบกลืนคำพูดนั้นลงคอไป เปลี่ยนเป็น “อืม...ไม่ซนก็ได้”

<ไอ้ชิบหาย เสียชื่อนักล่าหมีหมด> ปกติเจอแบบนี้ผมไม่เคยถอย แต่ทำไมครั้งนี้ผมถึงยำเกรงมันอย่างนี้เนี่ย ชักจะไม่เข้าใจตัวเองละ

“จุ๊บ แล้วนั่นอะไรในมือ” อัศวินหนุ่มขโมยจูบผมไปทีนึงก่อนจะหันไปสนใจหนังสือในมือ

“ม...ไม่แน่ใจ มันเก่ามาก ไม่ใช่ภาษาของเรา” ผมรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว สายตาเบือนหนีไปทางอื่นไม่กล้าจ้องตรงๆ อะไรของตรูฟระเนี่ย “ว่าแต่ได้เรื่องอะไรจากโอทห์คีปเปอร์บ้าง”

“ทางออกเดียวคือฝ่าป่าออกไปครับ ตอนนี้หมอกกลับมาลงจัดแล้วด้วย กระผมคิดว่าน่าจะไม่ปลอดภัย” เสียงกังวานดังขึ้น

“ไม่มีทางออกอื่นเลยเหรอ วิหารสำคัญแบบนี้จะมีทางเข้าออกแค่ทางเดียวมันแปลกๆ” เร็กซ์กล่าวเสริม จริงอย่างที่เขาว่า...สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ไม่น่าปิดทางออกตนเองแบบนี้

“อ่า...แต่ก่อนที่นี่ไม่มีหมอกปกคลุมแบบนี้ครับ กระผมเองก็จากที่นี่และหลับใหลอยู่นาน ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง” คำตอบของดาบทำให้ผมใจแป้ว “แต่ที่นี่ก็เปลี่ยนไปจากช่วงที่ผมอยู่มาก มีบางส่วนถูกเติมแต่งขึ้นมา อาจจะทำทางออกลับเพิ่มขึ้นมาก็ได้” เราสองคนมองตากันอย่างมีความหวัง

 “จริงเหรอ งั้นไปสำรวจกันเถอะ” ผมผลักชายหนุ่มตรงหน้าออก ลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นเต้น

“เรื่องนั้นไว้ก่อน รอเจ้าหายดีก่อน” เขาทำเสียงดุ อุ้มผมขึ้นในท่าเจ้าสาวโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัวแล้วพาเดินไปที่ทางออก

“นะ..นี่” กะจะอ้าปากต่อว่าเขาเสียหน่อยแต่พอเห็นแววตาเขม็งคู่นั้นแล้วผมก็ต้องเงียบลงอย่างว่าง่าย ปล่อยให้เร็กซ์อุ้มกลับไปเงียบๆ “เฮ้อออออ” ได้แต่ลอบถอนหายใจเบาๆ ทำไมถึงอ่อนข้อให้มันได้ขนาดนี้

สุดท้ายผมก็ต้องทำตัวอยู่ในโอวาท นอนพักฟื้นอีกคืนหนึ่งโดยมีเจ้าอัศวินเฝ้าตลอด อุตส่าห์ไล่ให้ไปสำรวจหาทางออกแล้วแท้ๆ มันก็ยังยืนยันว่าจะอยู่เฝ้า กลัวผมซนหนีไปไหนอีก พอเปิดปากจะเถียงเร็กซ์ก็ทำท่าจะกระโจนมาจับกด ผมเลยต้องสงบเสงี่ยมเจียมเนื้อเจียมตัวไว้ เริ่มจะสงสัยแล้วว่าอัศวินหนุ่มนี่เปลี่ยนไปหรือนี่คือธาตุแท้ของมันกันแน่...

เดี๋ยวก่อนเหอะ...รอกลับมาใช้เวทมนต์ได้ก่อนจะสั่งสอนบ้าง...หึหึ

ระหว่างนั้นเราสองคนก็ฟังเรื่องเล่าของวิหารแห่งนี้จากโอทห์คีปเปอร์...

เมื่อหลายร้อยปีก่อนอาณาจักรแห่งนี้ตกอยู่ใต้อำนาจของราชาผู้ชั่วร้าย เขาสามารถอัญเชิญและควบคุมสัตว์ร้ายได้ หลังจากสังหารราชาคนก่อนแล้วเขาก็ส่งพวกมันมาคุกคามและข่มเหงประชาชน เป็นยุคมืดของดินแดนแห่งนี้

สถานที่แห่งนี้เป็นฐานลับที่ใช้ซ่อนกองกำลังเพื่อปฏิวัติ นำโดยอดีตแม่ทัพของราชาคนก่อน และแสงสว่างแห่งความหวังเดียวของคณะปฏิวัติคือไอริส (Iris) เจ้าหญิงผู้ตกอับ หากการปฏิวัติสำเร็จ...นางจะเป็นผู้พาดินแดนนี้ไปสู่แสงสว่าง

แผนการซุ่มโจมตีล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า กำลังคนเริ่มรอยหรอลงไปเรื่อยจนเกือบจะแพ้พ่าย ไอริสเตรียมเข้ามอบตัวต่อราชาผู้ชั่วร้ายก่อนที่จะศูญเสียมากกว่านี้ แต่แล้วความหวังของคณะปฏิวัติก็สว่างไสวอีกครั้งเมื่อผู้กล้ามาเยือน...

ซีโร่ (Zero) นักดาบหนุ่มมากผีมือผู้รักการผจญภัยผ่านเข้ามาช่วยเหลือพอดี จากนั้นความสัมพันธ์ของเจ้าหญิงและผู้กล้าก็ก่อตัวขึ้น พวกเขาทั้งสองตกหลุมรักกันตั้งแต่แรกพบ ทั้งสองช่วยเหลือเกื้อกูลกันจนในที่สุดก็โค่นราชาผู้ชั่วร้ายได้ และอาวุธที่ซีโร่ใช้ก็คือโอทห์คีปเปอร์ ดาบที่ทั้งสองช่วยกันสร้างขึ้นมา ดาบที่มีเวทมนต์แห่งพันธะสัญญา ดาบที่เป็นพยานรักของทั้งสอง ดาบที่ช่วยนำแสงสว่างกลับมาให้กับดินแดนแห่งนี้

“พลังแห่งพันธะสัญญาคืออะไร เรียกสิ่งที่ทำสัญญาด้วยมาหาแค่นั้นเหรอ” ผมถามด้วยความสงสัย จากที่โดนไปมันก็ไม่ได้ทรงพลังอะไรขนาดนั้น

“ใช้คำว่าอัญเชิญต่างหากครับ” เจ้าดาบเถียงผม

“พลังในการอัญเชิญผู้ที่มีพันธะด้วยคือพลังเพียงครึ่งเดียว พลังเต็มร้อยของดาบคือการจับกุมเพื่อทำสัญญาต่างหาก” เร็กซ์อธิบายต่อ

“อืม...แบบนี้นี่เอง” ขึ้นชื่อว่าเทวะภัณฑ์ ถ้าเงื่อนไขใช้งานยุ่งยากขนาดนั้นก็ไม่น่าใช้เท่าไหร่

พวกเราคุยกันอีกสักพักก่อนที่ตาผมจะปรือลงด้วยความง่วง เมื่อล้มตัวลงนอนเร็กซ์ก็ดึงผมเข้าไปกอดเอาไว้แนบอก

“มันหนาวนะ”

“...อืม” ผมกดใบหน้าฝังลงไปบนอกแน่นๆของเขา มันช่างอบอุ่นดีจริงๆ เร็กซ์หัวเราะเบาๆชอบใจการกระทำของผม เขาจุมพิตลงที่หน้าผากของผม

“ฝันดีนะ”

“อือ...ราตรีสวัสดิ์”

“รักนะ”

.......................................

เช้าวันรุ่งขึ้นผมตื่นมาด้วยสภาพสดใสกระปรี้กระเปร่า ไร้ซึ่งอาการปวดร้าวใดๆ ลองทำสมาธิตรวจสอบพลังเวทย์ในร่างดูก็ไม่มีอาการปวดใดๆแล้ว ผมหายเป็นปกติแล้ว

“นี่เร็กซ์ ขอไปสูดอากาศข้างนอกสักหน่อยนะ” บางอย่างบอกว่าผมควรจะขออนุญาตมันก่อน

“หายดีแล้วเหรอ” เขาถามด้วยน้ำเสียงงัวเงีย แต่ก็ทำหน้าไม่ไว้ใจผมนัก เลยแสดงท่ากระโดดโลดเต้นโชว์สักหน่อย “อืม อย่าไปไหนไกลนักล่ะ”

เมื่อได้รับอนุญาตก็ออกไปสำรวจนอกวิหาร นอนอุดอู้อยู่แต่ในวิหารมาตั้งนาน พอได้รับแสงแดดอ่อนๆยามอาทิตย์พึ่งขึ้นจากขอบฟ้ากับอากาศเย็นๆยามเช้านี่มันสดชื่นดีจริงๆ เดินไปเดินมารอบๆแล้วก็สังเกตไปที่นอกเขตกำแพงก็มีหมอกทึบไปหมดตามคำบอกเล่าของโอทห์คีปเปอร์

หลังจากเดินเล่นจนหนำใจแล้วก็กลับเข้าไปยังที่พัก เร็กซ์ตื่นแล้วและกำลังปอกผลไม้รออยู่ เมื่อจัดการอาหารเช้าและชำระล้างร่างกายเสร็จพวกเราก็ตกลงกันว่าจะเข้าไปสำรวจภายในวิหารด้วยกัน

“บทแห่งไฟที่ 1 Ignite” ผมเสกลูกไฟขนาดเท่าฝ่ามือขึ้นมาเพื่อเพิ่มแสงสว่าง

“ใช้เวทมนต์แบบนี้จะดีเหรอ รอส เดี๋ยวก็ทรุดอีกหรอก” เจ้าอัศวินถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

“แค่นี้สบายมาก ข้าคิดว่าร่างกายน่าจะสร้างสมดุลได้แล้ว ไม่มีปัญหาหรอก”

ครั้งนี้พวกเราเดินทางลึกเข้าไปกว่าเดิม เน้นส่วนที่โอทห์คีปเปอร์ไม่คุ้นเคยเพราะต้องการตรวจสอบส่วนที่ถูกต่อเติมขึ้น ยิ่งลึกเข้าไปทางเดินก็ยิ่งคดเคี้ยวและซับซ้อนขึ้น จนในที่สุดก็อุโมงค์ในกำแพง

“โอทห์คีปเปอร์อุโมงค์นี้คืออะไร” เร็กซ์หันไปถามดาบที่เหน็บอยู่ข้างเอว

“กระผมก็ไม่ทราบครับนายท่าน น่าจะเป็นทางที่ทำขึ้นมาทีหลัง”

“งั้นลองทางนี้ดู” ผมพาเดินนำไปโดยใช้ลูกไฟในมือส่องแสงนำทาง

ทางเดินแคบพาไปยังห้องโถงกว้างที่มีไปด้วยประตูโค้งตั้งอยู่ 4 บาน ตามมุมของห้อง แต่ละบานมีผลึกคริสตัลติดอยู่ที่ยอด มีอักขระโบราณแกะสลักไว้ และมีแท่นหินแผ่นใหญ่วาดลวดลายคล้ายแผนที่อยู่กลางห้อง

“อักษรรูน” ผมพึมพำเมื่อเห็นตัวอักขระที่คุ้นเคย

“มันแปลว่าอะไร” เร็กซ์ถามขณะสำรวจประตูบานอื่นๆ

“ไม่แน่ใจ ข้าอ่านไม่ได้ทั้งหมด” ถึงผมจะศึกษาตัวอักษรรูนเองพอสมควร แต่มันเป็นศาสตร์ที่กว้างขวาง ผมคุ้นเคยอยู่ไม่กี่ตัว “เดินทาง” ผมเอ่ยเมื่อพบอักษรที่คุ้นเคย

“แผนที่นี่มันภูมิประเทศของเทอร่านี่” เจ้าอัศวินกล่าวเสริม

“แบบนี้นี่เอง...เข้าใจแล้ว” รอยยิ้มจางๆผุดขึ้นมาบนใบหน้าของผม ผมหันไปสบตาเร็กซ์ที่กลางห้อง “นี่มันประตูมิติ (Warp gate)”

“งั้นก็แสดงว่า...”

“ใช่ ถ้าเปิดใช้งานได้พวกเราก็ออกจากที่นี่ได้” ประตูมิติเป็นสิ่งปลูกสร้างที่บรรจุเวทมนต์ที่สามารถพาเราเคลื่อนย้ายไปยังอีกสถานที่หนึ่งได้ในพริบตา เพียงแค่ก้าวข้ามประตูก็สามารถไปปรากฏตัวที่ประตูอีกฟากได้แม้จะไกลเพียงไหนก็ตาม ที่บ้านของผมก็มีประตูแบบนี้เชื่อมต่อระหว่างคฤหาสน์ประจำตระกูลกับเมืองหลวงเช่นกัน ถึงแม้ว่าการออกแบบจะต่างกันพอสมควร

“แล้วเราจะเลือกบานไหนยังไงล่ะ”

“มันน่าจะมีพิกัดของประตูอีกฝากบอกในแผนที่”

“ใช่คริสตัลเม็ดเล็กๆพวกนี้รึเปล่า” คำพูดของเร็กซ์เรียกความสนใจของผมไปยังแผ่นหินกลางห้อง มันมีคริสตัลเม็ดเล็กๆติดอยู่ตามตำแหน่งต่างๆ คริสตัลพวกนี้สีเดียวกับที่ติดอยู่บนยอดประตู

“ลองสีเขียวนี่แล้วกัน” ผมชี้ไปยังคริสตัลเม็ดสีเขียวมรกต มันตั้งอยู่ใกล้ๆกับช่องแคบสองสี คาดว่าน่าจะอยู่ทางเหนือของเมืองเทรโร่ ผมลองแตะไปที่คริสตัลสีเขียวเล็กๆแล้วลองปล่อยพลังเวทย์เข้าไป

“...” เงียบสนิท การใช้งานคงแตกต่างกันกับที่ผมเคยใช้หนีเที่ยวตอนเด็ก

ผมลองไปสำรวจประตูโค้งที่มีคริสตัลสีเขียวเม็ดใหญ่ดูก็พบพื้นที่เล็กๆว่างเปล่าจากอักขระใดๆ พอวางมือลงไปแล้วปล่อยพลังเวทย์เข้าไปก็เกิดการตอบสนอง

วิ้ง

คริสตัลเม็ดเล็กในแผนที่และเม็ดใหญ่ที่ยอดประตูปลดปล่อยแสงสีเขียวสว่างวาบขึ้นมาทันที อักขระที่จารึกไว้เรืองแสงต่อกันจนบานประตูสว่างไสว

เปรี้ยะๆๆ

เส้นสายฟ้าก่อตัวขึ้นในบานประตูก่อนจะบิดม้วนกันเป็นกำแพงแสงสีเขียว มันเรียบมันเหมือนกระจก ภาพข้างในเหมือนจะเป็นห้องในถ้ำโทรมๆ

“วู้ว ใช่ง่ายกว่าที่คิดแฮะ” ผมส่งเสียงดีใจ เตรียมจะลองเดินผ่านเข้าไป ถึงจะเสียใจที่ยังสำรวจไม่ทั่ว แต่ก็อยากจะออกไปจากที่นี่เต็มแก่แล้ว

“อย่าพึ่ง...รู้ได้ยังไงว่าปลอดภัย” เจ้าอัศวินกระชากแขนไว้ก่อน “ถ้าอีกฟากมีสัตว์ร้ายล่ะ” เขาเรียกสติผมไว้

“แล้วถ้าไม่ข้ามไป เราจะรู้ได้ไงว่าปลอดภัย”

“ข้ามีวิธี” อัศวินหนุ่มชักดาบออกมาแล้วชี้ไปที่บานประตู “ช่วยหน่อยนะ โอทห์คีปเปอร์” ว่าแล้วดาบในมือก็ฉายแสงสีทองพร้อมสายโซ่พุ่งเข้าไปในประตูมิติ ผิวกำแพงสีเขียวแหวกไหวเป็นคลื่นราวกับผิวน้ำ สักพักสายโซ่เหล่านั้นก็หดกลับเข้าไปในดาบ

“เป็นห้องโล่งๆในถ้า มีทางเข้าออก ปลอดภัยดีครับ” เสียงกังวานดังขึ้น

“โซ่เวทมนต์ของดาบก็เป็นส่วนหนึ่งของดาบ สามารถใช้มันตรวจสอบแวดล้อมใกล้ๆได้” เร็กซ์อธิบาย

“ดี งั้นก็ไปกันเลย”

“อย่าพึ่ง พวกเราต้องเตรียมสัมภาระและบอกลาพวกแฟรี่ด้วย” เร็กซ์เตือนผมอีกครั้ง

“อ่า...นั่นสินะ” ด้วยความรีบร้อนทำให้ผมลืมนึกไป ไหนจะข้าวของ ไหนจะต้องบอกลาพวกแฟรี่ พวกนางอุตส่าห์ช่วยเราไว้ตั้งเยอะ

เราสองคนเดินออกจากห้องกลับไปเก็บข้าวของกันเพื่อเตรียมออกเดินทาง พอช่วงเย็นๆพระอาทิตย์ใกล้จะตกดินพวกแฟรี่ก็บินกันมาพร้อมเสบียงอาหาร พวกเราแจ้งสิ่งที่พบและเตรียมบอกลา...

“ขอบคุณมากเลยนะมันเดย์ ที่ช่วยเหลือ” ผมกล่าวขอบคุณแฟรี่สีเหลือง ถ้าไม่ได้นางผมคงแย่

“แฟรี่ แฟรี่”

“นางบอกว่าด้วยความยินดี เจ้าเองก็ช่วยพวกนางไว้เหมือนกัน” เร็กซ์แปลให้ฟัง

ล่ำลากันอยู่พักใหญ่พวกนางบอกว่ายินดีต้อนรับพวกเรากลับมาเยี่ยมเสมอ พวกเราขอตัวออกเดินทาง สองคนและหนึ่งตัวกลับมายังห้องที่มีประตูมิติ ผมเปิดใช้งานประตูมิติอีกครั้งก่อนจะพากันก้าวเดินข้ามออกไปด้วยกัน พักผ่อนสบายอยู่หลายวัน...ถึงเวลากลับสู่โลกภายนอกอีกครั้ง

.................................



หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 29 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 07-10-2018 15:45:16
มาแล้วเย้! ตอนนี้หวานกันเยอะเลย ชอบ 555 เร็กซ์ก็พยายามเข้านะ พิสูจน์ให้เห็น รอสจะได้วางใจแล้วก็ตกลงปลงใจกัยเร็กซ์ซักที

 :pig4:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 29 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 07-10-2018 17:23:39
เหมือนกลับสู่โลกแห่งความจริงเลย
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 29 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 07-10-2018 22:35:41
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 29 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 08-10-2018 00:19:51
อิอิ ได้ทีหื่นใหญ่เลยนะ เจ้าสิงห์โต
เอาล่ะ ทีนี้กลับสู่โลกความจริง
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 29 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 09-10-2018 17:12:00
Note : อีกประเดี๋ยวผู้แต่งต้องไปต่างประเทศ 2 อาทิตย์ (อีกแล้ว) ทำให้อาจจะพิมพ์ลงไม่สะดวกนัก ยังไงก็จะพยายามแต่งต่อแล้วลงให้ผ่าน tablet ซึ่งจะจัดรูปหน้าไม่สวย (อีกแล้ว) ยังไงก็ขออภัยก่อนนะครับ ส่วนตอนนี้เดี๋ยวจะรีบแต่งต่อแล้วลงทีเหลือให้นะครับ

Chapter 30 To be together
   
แสงแดดสีส้มพุ่งแยงตาทันทีที่ก้าวพ้นออกจากปากถ้ำของประตูมิติ อีกฝั่งของประตูคือถ้ำเล็กๆในหลืบเขาของหุบเขาสีแดง หุบเขาที่เกิดจากหินผาสีแดงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

“ถ้าเทียบจากแผนที่ในแผ่นหินกับแผนที่ปัจจุบัน เราน่าจะอยู่ทางเหนือของเทรโร่” ผมเอาแผนที่ที่คัดลอกจุดวาปแล้วขึ้นมากางดู แถบนี้ไม่ใช่เส้นเดินทางหลักทำให้ไม่คุ้นเคยนัก

“ถ้าจำไม่ผิดแถวนี้น่าจะมีสุสานนักรบอยู่ น่าจะมีหมู่บ้านตั้งอยู่ใกล้ๆ” เร็กซ์กล่าวขึ้นขณะปีนขึ้นที่สูงหาจุดสำรวจทิวทัศน์

“สุสานนักรบ ?”

“ในอดีตแถบนี้เคยเป็นที่สู้รบกับอสูรยักษ์และกองทัพของมัน อัศวินมากมายทิ้งชีวิตไว้ที่นี่เพื่อปกป้องประชาชน เพื่อเป็นการรำลึกถึงวีรบุรุษเหล่านี้จึงได้สร้างสุสานให้พวกเขา”

“หมู่บ้านติดกับสุสานเนี่ยนะ”

“เป็นหมู่บ้านของผู้เฝ้าสุสานน่ะ เฝ้าทรัพย์ที่ลูกหลานเอามาเคารพ และเผื่อไว้เป็นที่รับรองผู้มาสักการะ สมัยเรียนอัศวินใหม่ๆข้าก็ต้องเดินทางมาที่นี่เพื่อเคารพอัศวินยุคก่อน มันเป็นธรรมเนียมรับน้องใหม่” เร็กซ์กอดอกทอดสายตาออกไปราวกับกำลังรำลึกความหลัง

“อืม...ก็ดี ใกล้มืดแล้วด้วย น่าจะดีกว่านอนกลางป่า” โดยส่วนตัวผมค่อนข้างจะขยาดกับสุสาน เพราะเป็นสถานที่ที่มักจะมีวิญญาณสถิตอยู่หนาแน่น ซึ่งแน่นอนว่าอาจจะมอนสเตอร์อาศัยอยู่ด้วย แต่ถ้าได้รับการเฝ้าดูแลตลอดอย่างที่เจ้าอัศวินว่า...มันก็น่าจะปลอดภัย

“งั้นก็ขึ้นม้ากันเลย” อัศวินหนุ่มกระโดดลงมาจากโขดหินแล้วขึ้นหลังฟรีดทันทีด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง ผมปีนขึ้นไปซ้อนหลังเขาไว้ “กอดแน่นๆนะ ครั้งนี้จะไปเร็วหน่อย” เร็กซ์หันมาเตือนพร้อมรอยยิ้มที่มุมปากดูมีอะไรแอบแฝง

“นี่!!! ข้าขี่มาได้สักพักแล้ว แค่เร็วขึ้นหน่อยจะ...เย้ยยยยย” ฟรีดทะยานตัวออกไปแรงจนผมเกือบหงายหลัง ต้องรีบเอามือไปคว้าเอวคนตรงหน้าไว้

“ฮ่าๆ...ก็เตือนแล้ว เร็วอีกเลยฟรีด” อัศวินหนุ่มออกคำสั่งพร้อมตบต้นคอสัตว์ขี่ของตนเบาๆ เจ้าม้าออกวิ่งเต็มฝีเท้า กระโดดลัดเลาะลงเนินไปอย่างคล่องแคล่ว แรงสะบัดรุนแรงจนคนโดยสารแทบจะหลุดออกจากหลังม้า

“เร็กซ์...เจ้าแกล้งข้า เหวอ!!!” ผมกลัวจนตัวเกร็ง สองแขนตวัดไปกอดเอวเจ้าอัศวินไว้แน่น ลำตัวและใบหน้าแนบสนิทไปกับแผ่นหลังกว้างนั้นจนแทบจะติดแปะเป็นเนื้อเดียวกัน

“ฮ่าๆ กอดแน่นๆแบบนั้นแหละ” เร็กซ์หัวเราะร่าแล้วสะบัดบังเหียนเพิ่มความเร็วขึ้นไปอีก “อยากมีคนกอดแบบนี้มานานแล้ว” เขาเผยแผนชั่วออกมาพร้อมมองผมด้วยหางตา แววตาของเขาช่างเปี่ยมไปด้วยความสุข

<หนอยแหนะ เจ้าอัศวินนี่> คิดแล้วก็งุดหน้าหนีลงไปกับแผ่นหลังอันอบอุ่นนั้นเพื่อหลบใบหน้าที่ร้อนผ่าวจนขึ้นสีของผมไว้ “ฝากไว้ก่อนเถอะ”

...............................................

ใช้เวลานานไม่นานเราก็มาถึงหมู่บ้านที่เร็กซ์ว่าไว้ หมู่บ้านเรดฮิลล์ (Redhill) ตั้งอยู่ติดชายป่าที่ตีนหุบเขาสีแดง เป็นหมู่บ้านขนาดเล็กมาก มีบ้านเพียง 6-7 หลังเท่านั้น ข้างๆหมู่บ้านเป็นรั้วหินเตี้ยๆปิดกั้นพื้นที่กว้างเต็มไปด้วยป้ายหลุมศพ ตรงกลางมีวิหารเล็กๆกับรูปปั้นนักรบในท่าชูดาบตั้งอยู่
ผู้คนที่นี่มีอัธยาศัยที่ดีมาก พวกเขาต้อนรับขับสู้พวกเราอย่างดี แบ่งปันอาหารและที่ชำระล้างร่างกายให้ และอนุญาตให้พวกเรานอนในโรงนาของหมู่บ้านเพราะไม่มีโรงเตี๊ยม แม้ว่าจะเป็นหมู่บ้านที่รับรองคนเดินทางมาสักการะหลุมศพ แต่เพราะเป็นสถานที่ห่างไกลและเริ่มถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลาจึงไม่ได้สร้างที่พักไว้ให้ ถ้าไม่ใช่ลูกหลานก็คงไม่มีใครเดินทางมานอกจากนักเรียนอัศวินมารับน้องอย่างที่เร็กซ์ว่าไว้ ครั้งก่อนที่มาเขาเองก็ต้องกางเต็นท์นอนกัน

พวกเราสองคนผลัดกันไปล้างตัวในบ้านของผู้ใหญ่บ้าน ผมที่ล้างตัวเสร็จแล้วปูผ้าที่ได้รับมาทับไว้บนกองฟางแล้วล้มตัวลมนอน ผ้าหนาๆช่วยกันความคมของเส้นฟางได้บ้าง ถึงจะคันๆหลังไม่สบายนักแต่ก็ดีกว่านอนกลางป่า

ระหว่างนอนรอเร็กซ์ผมก็ชูมือขวาขึ้นมาดูสัญลักษณ์มังกรที่หลังมือ หลับตาลงตั้งสมาธิจนสัมผัสได้ถึงดวงจิตหลายดวง แม้กายจะห่างกันแต่คนในตระกูลจอมเวทย์สามารถสัมผัสถึงกันละกันได้ด้วยสายใยเวทมนต์ที่เชื่อมต่อคนในครอบครัวเสมอ และในดวงจิตหลายสิบดวงนั้นมี 3 ดวงที่ผมสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจน ไอเวทมนต์มนต์อันเย็นยะเยือกของท่านพ่อ ดวงจิตอันร้อนละอุดังเปลวเพลิงที่พร้อมแผดเผาทุกสิ่งของพี่ใหญ่ และแสงสว่างอันอบอุ่นของพี่รอง ถึงจะระบุตำแหน่งไม่ได้แต่ก็พอรู้ว่าพวกเขาทุกคนสบายดีกันอยู่

“จะทำยังไงดีนะ” ผมพึมพำ ถึงจะคิดถึงและอยากจะรู้สารทุกข์สุขดิบของพวกเขา แต่ถ้ากลับไปตอนนี้อาจจะไม่ได้กลับออกมาผจญภัยอีก
สวบๆ !!!

เสียงฟางยุบตัวลงด้วยของหนักดึงสติผมกลับออกมาจากห้วงความคิด อ้อมแขนเจ้าของน้ำหนักนั้นรวบกายผมเข้าไปกอดแนบชิดจากด้านหลัง

“ทำอะไรอยู่...หืม...จุ๊บ” เร็กซ์กระซิบข้างหูก่อนจะประทับริมฝีปากจูบลงที่ซอกคอพร้อมสูดดมกลิ่นกายของผมฟอดใหญ่

“คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ” ผมลูบหลังมือของเขาเบาๆ “เร็กซ์...หลังจากนี้จะทำยังไงกันต่อเหรอ” ผมตัดสินใจถามสิ่งที่รบกวนจิตใจผมอยู่

“เจ้าวางแผนไว้ว่ายังไงบ้างล่ะ” อัศวินหนุ่มถามกลับ

“ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะ...ลองไปที่ไกลๆดู” ผมตอบเสียงอ้อมแอ้ม บอกตามตรงผมยังไม่ได้คิดถึงอนาคตอะไรไว้เลย “เจ้าจะไปกับข้าไหม”

“แน่นอนสิ แต่ว่า...”

“แต่ว่า...?”

“แต่ว่าข้าคงไม่สามารถหายตัวไปแบบเจ้าได้ ถ้าทำแบบนั้นต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ”

“...นั่นสินะ” จู่ๆก็มีบางอย่างมาบีบหัวใจของผมไว้แน่นจนอึดอัดไปหมด

“แต่ข้ามีแผนนะ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่สบายใจเรื่องนี้ และอาจจะไม่ชอบแผนของข้าแต่ช่วยฟังมันให้จบก่อนนะ” เขากระชับกอดให้แน่นขึ้นเพื่อสื่อให้ผมรู้ว่าเขาจะไม่ทิ้งผมไปไหน

ผมพยักหน้าตอบรับคำขอของเขา

“ตอนแรกข้าจะยอมติดอยู่ในป่าจันทรา แต่พอออกมาได้ข้าว่าข้าจะกลับไปส่งเควส” คำตอบของเขาทำให้ดวงตาผมเบิกกว้าง ผมรีบพลิกตัวกลับไปประจันหน้า

“...” ในหัวของผมมีคำถามมากมายแต่ไม่มีเสียงใดหลุดออกมา

“อย่าพึ่งทำหน้าแบบนั้นสิ บอกแล้วไงว่าฟังให้จบก่อน” เร็กซ์ยื่นมือมาเกลี่ยแก้มผมเบาๆปลอบประโลม

“ข้าจะไปส่งให้ช้าที่สุดเท่าที่ทำได้เพื่อให้โอกาสได้รับคัดเลือกน้อยที่สุด ไม่สิ...เป็นศูนย์เลยก็ว่าได้ ข้าว่าเขาคงไม่ต้องการรัชทายาทที่เข้าเส้นชัยเป็นที่โหล่หรอก”

“ถ้าจะทำแบบนั้นทำไมไม่ปล่อยให้เกินกำหนดเวลาไปเลยล่ะ”

“จริงอยู่ที่ข้าไม่สนใจเกียรติยศส่วนตัวแล้ว แต่ด้วยหน้าที่...ข้ายังต้องรักษาเกียรติของตระกูลอยู่ แม้จะไม่ได้เป็นรัชทายาท แต่ถ้าไปส่งเควสได้ตามกำหนดเวลาก็จะแสดงให้ราชวงศ์เห็นได้ว่าตระกูลของข้ายังมีศักยภาพเป็นเสาหลักให้ราชวงศ์ได้อยู่...”

“จากนั้นข้าก็จะอ้างท่านพ่อว่าเพราะขาดประสบการณ์ทำให้เควสเสร็จล่าช้า ข้าจะขอออกมาหาประสบการณ์เพิ่มเติมเพื่อฝึกฝนฝีมือ” เขาคลี่ยิ้มออกมาราวกับภูมิใจในแผนการอันแยบยลของตน ผมเห็นแล้วก็ต้องยิ้มบางๆให้

“ที่นี้ข้าก็จะออกมาเดินทางได้อย่างอิสระ...” อัศวินหนุ่มเอาลูบศีรษะของผมเบาๆ “โดยมีเจ้าอยู่เคียงข้าง”

“หึหึ” ผมรู้สึกได้ว่าตนเองกำลังยิ้ม แม้แรงบีบรัดที่หัวใจจะหายไปไม่หมดเพราะแผนของเขามีช่องโหว่เพียบ แต่มันก็พอให้ผมสุขใจได้เพราะเขาต้องการอยู่กับผมจริงๆ

“นั่นแน่...เจ้ายิ้มแบบนั้นแปลว่าชอบแผนข้าแล้วสินะ” เขาออกแรงลูบเพิ่มขึ้นจนหัวผมคลอนตามแรง

“ชอบอะไรเล่า ช่องโหว่เยอะแยะ” ผมส่ายหน้าเอือมระอาตอบกลับไป “แต่ก็รับได้”

“ดีเลย...ถ้างั้นเดี๋ยวเราไปหาที่พักที่เทรโร่สักอาทิตย์แล้วเดินทางไปเมืองหลวงด้วยกัน จัดการเรื่องพิธีและที่บ้านเสร็จก็ไปที่ที่เจ้าปรารถนา” อัศวินหนุ่มสรุปแผนการด้วยรอยยิ้ม

“ข้าไปเมืองหลวงด้วยไม่ได้”

“ทำไมล่ะ” เขาหน้าเสีย

“อย่าลืมสิว่าพี่วาเรเรี่ยนก็อยู่ในการคัดเลือก ถึงจะนานจนอาจจำหน้าไม่ได้แล้วแต่เขาน่าจะสัมผัสพลังเวทย์ของข้าได้ เราไม่ควรเสี่ยง”

“นั่นสินะ ถ้างั้นก็ให้เจ้ารอที่เทรโร่แล้วกัน ข้าสัญญาว่าจะรีบกลับมา”

“อย่าสัญญาอะไรที่ยังไม่มั่นใจเลย” ผมกล่าวเตือนไป เพราะมันจะทำให้ความคาดหวังของผมเพิ่มมากขึ้น และหากแผนล้มเหลวความเจ็บปวดก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ

อัศวินหนุ่มไม่พอใจคำเตือนของผม ดีดตัวลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปอยู่ที่ปลายกองฟาง ผมตกใจจนเท้าแขนลุกขึ้นนั่ง เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้ววางมือขวาไว้ที่อกข้างซ้าย ศีรษะก้มลงเป็นท่าคำนับ

“ด้วยเกียรติของอัศวิน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ข้าจะกลับมาหาคนรักของข้าแน่นอน” เขากล่าวอย่างหนักแน่น

“คิกๆ ฮ่าๆๆ” ผมหัวเราะออกมาในที่สุด ทั้งท่าที น้ำเสียงและความจริงจังของเขา ผมให้คะแนนเต็มไปเลย “ฮ่าๆ พอแล้วๆ เชื่อแล้ว ลุกขึ้นมาเถอะ คุณอัศวิน” ความชุ่มชื้นกลับมาที่หัวใจของผมอีกครั้ง

ฟุบ!!!

เร็กซ์ลุกขึ้นแล้วกระโจนมาใส่ เขาผลักผมให้นอนราบลงแล้วเอาตัวมาคร่อมผมไว้ สองแขนวางขนาบข้างกักตัวให้ผมไปไหน ดวงตาสีดำสนิทของเขาจับจ้องมาที่ใบหน้าของผมด้วยความเสน่หา

บรรยากาศในโรงนาเงียบสนิท มีแต่เพียงเสียงหัวใจของคนสองคนเต้นประสานกัน แทรกสอดเป็นจังหวะเรียกหากัน ผมมองใบหน้าของชายหนุ่มบนร่างมันสว่างด้วยแสงเทียนเพียงเสี้ยวเดียว ความหล่อเหลาของเขาดึงดูดให้ผมอยากจะลุกขึ้นไปประทับจูบ แต่มือของเขารั้งผมไว้ที่ขมับ

“ข้าทำเพื่อเจ้าขนาดนี้แล้ว ขอฟังคำว่ารักจากเจ้าเป็นรางวัลได้ไหม” อัศวินหนุ่มทวงถาม

“อ..อึก...คือ...ข้า...” ผมอึกอัก แม้ผมจะรู้สึกถึงความทุ่มเทของเขา แม้ผมพยายามแล้ว...แต่ผมก็ไม่สามารถเอ่ยคำที่เขาต้องการออกมาได้

“อืม...ไม่เป็นไร ไว้ตอนที่เจ้าพร้อมก่อนก็ได้” สายตาของเขาหลุบลงต่ำด้วยความผิดหวัง แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้...เขายังคงให้เวลาผม

“ข้าอาจจะยังไม่พร้อมลั่นคำนั้นออกมาแต่ข้าให้อย่างอื่นเป็นรางวัลได้นะ” แขนสองข้างของผมคล้องคอเขาไว้แล้วออกแรงดึงโน้มลงมาประทับจูบ
ร่างกายของเราสองเรียกหากัน เสียงสีของเนื้อผ้าผสานไปกับเสียงฟางสีกันไปตามจังหวะการขยับของร่างกายเบื้องบน ริมฝีปากอุ่นดูดดึงซึ่งกันและกัน ครั้งนี้เร็กซ์เป็นฝ่ายเริ่มสอดลิ้นเข้ามาก่อน มันเกี่ยวกระหวัดเก็บเกี่ยวความหวานไปทั่ว ผมเองก็ตอบสนองด้วยการเกี่ยวขาไว้ที่เอวเขาแล้วดึงร่างของเราสองมาแนบชิดกัน

ต่างคนต่างขยับมือไม้หาผิวหนังอันอบอุ่น ผมสอดมือไปใต้ชายเสื้อของชายหนุ่มบนร่างลูบไล้ไปตามลายกล้ามเนื้อบนแผ่นหลัง ในขณะที่อีกฝ่ายใช้มือข้างหนึ่งกอบกุมแก้มผมไว้ไม่ให้ริมฝีปากเราแยกออกจากกัน อีกข้างสอดเข้าไปลูบสีข้างแล้วไล้ยาวขึ้นไปถึงจุกบนหน้าอก เขาวนนิ้วรอบมันช้าๆ

<เก่งขึ้นเยอะเลยแฮะ แต่ครั้งนี้ขอแสดงฝีมือหน่อยแล้วกัน> ผมคิดในใจ ก่อนจะออกแรงผลักให้เจ้าสิงโตพลิกลงไปนอนหงายแล้วผมขึ้นเป็นฝ่ายคุมเกมแทน คนใต้ร่างผมทำหน้างุนงง

“รอส...ทำอะไ...อาห์” ไม่ทันที่เขาจะถามเสร็จผมก็จู่โจมด้วยการซุกไซร้ไปที่หูของเขา ค่อยๆลากลิ้นไปตามใบหูแล้วขบเบาๆไปที่ติ่งหู เรียกเสียงครางต่ำออกมา

“เร็กซ์...เจ้าอาจจะรู้จุดตายของศัตรู แต่เจ้ารู้รึเปล่าว่าตรงไหนบ้างที่เรียกเสียงครางจากชายหนุ่มได้บ้าง” ผมแสยะยิ้มส่งสายตายั่วยวนใส่เขาที่กำลังเคลิ้มไปกับสัมผัสของผม

............................................
ปล.น้องขี่ม้าไม่เก่ง ขอขี่สิงโตแทนละกันนะ หุหุ


https://twitter.com/CruisingDog/status/1049606564145848323
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 30 70%)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 09-10-2018 19:28:51
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 30 70%)
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 09-10-2018 22:16:35
ก่อนจะตัดสินใจเรื่องน่าปวดหัว จับสิงห์โตหนุ่มกินก่อนโลด 55555
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 30 70%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 11-10-2018 16:53:36
30.2

“เร็กซ์...เจ้าอาจจะรู้จุดตายของศัตรู แต่เจ้ารู้รึเปล่าว่าตรงไหนบ้างที่เรียกเสียงครางจากชายหนุ่มได้” ผมแสยะยิ้มส่งสายตายั่วยวนใส่เขาที่กำลังเคลิ้มไปกับสัมผัสของผม

…………………………………………….

“อ๊า...” เขาร้องครางอีกครั้งเมื่อผมลากลิ้นจากใบหูลงไปที่คอ ร่างหนาแอ่นเกร็งจนกล้ามเนื้อทั่วร่างหนาขึ้นเป็นลูก ผมสูดกลิ่นกายของสิงโตหนุ่ม ลากลิ้นเลีย ขบกัด ดูดดุน ไปทั่วทั้งคอของเขา

“รู้สึกดีไหม” ผมกระซิบ

“มัน...ส...เสียวมากเลย อร๊า...” ผมเปลี่ยนเป้าหมายไปที่อกของเขา จัดการเลิกเสื้อขึ้นแล้วเริ่มรุกต่อเนื่อง ดูดเม้นเจ้าติ่งเนื้อที่แข็งสู้ลิ้น ไล้วนรอบมันจนเปียกชุ่ม อีกข้างก็ไม่ปล่อยให้เหงา นิ้วเรียวเขี่ยบดคลึงมันเบาๆอย่างทะนุถนอม เจ้าสิงโตคำราม เกร็งกระตุกเสยกายขึ้นจนตัวผมลอยราวกับสัตว์ป่าพยศพยายามสลัดผมให้หลุดออกไป

“อะไรกันคุณอัศวิน ถึงกับพยศเลยเหรอไง หึหึ”

“อย่าล้อสิ” เขาเถียงเสียงต่ำรอดไรฟัน เร็กซ์บีบไหล่ผมแน่น เสียงหายใจหนักๆของเขาราวกับสิงโตที่กำลังจะบ้าคลั่ง ผิวกายร้อนระอุจนออกแดงจางๆ แต่ผมไม่ให้เขาได้พัก...เริ่มจู่โจมต่อทันที

ผมโจมตีต่อเนื่อง ฝังจมูกไปจุมพิตหลุมบนหน้าท้อง โลมเลียไปตามลอนกล้ามเนื้อที่แข็งเกร็งเป็นลูกๆ สองมือลูบไล้ไปตามสีข้างเล่นกับลายกล้ามเนื้อที่สานกันสวยงาม บังคับให้เขาชูแขนขึ้นทั้งสองข้างเพื่อดึงเสื้อออกแล้วซุกไซร้ไปที่รักแร้ สูดกลิ่นความเป็นชายของเขา มันช่างรัญจวนใจเหลือเกิน

“ซี๊ด...อึก...อ๊า...” คนใต้ร่างของผมส่งเสียงดั่งสัตว์กำลังจะถูกเชือด ร่างบิดเร่าไปมาราวกับพยายามหนีจากการถูกทรมาน ทว่าใบหน้ากลับบิดเบี้ยวไปกับความเสียวซ่านที่ผมปรนเปรอ

<ได้เวลาเผด็จศึกแล้วล่ะ> ผมลากลิ้นจากรักแร้ไปที่อกลงไปที่หน้าท้องทิ้งร่องรอยเปียกแฉะไว้ตามทางก่อนจะหยุดปลายจมูกที่ความปูดโปนตรงเป้ากางเกง ผมหยุดแล้วเสยตาไปสบดวงตาสีดำคู่นั้นที่ก้มลงจับจ้องการกระทำของผมด้วยใบหน้าฉงน

“เจ้าอยากให้ข้าเล่นกับตรงนี้ไหม” ผมถามแล้วกดใบหน้าลงไป ออกแรงบดเบาให้รับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งที่ถูกขังอยู่ในเนื้อผ้า

“อึก...อาห์ รอส...เจ้าจะทำอะไร”

“หึหึ ไม่รู้จริงเหรอ” นิ้วสองข้างเกี่ยวตะเข็บกางเกงลงมันเพื่อปลดปล่อยเขาจากความอึดอัด ดาบแกร่งที่ปูดโปนไปด้วยเส้นเลือดดีดขึ้นมาแตะปลายจมูก มันช่างใหญ่โตและแข็งแกร่งสมชายชาตรีชาติทหาร นึกแล้วก็เสียดายที่เจ้าของไม่ค่อยได้ฝึกปรือลับคมให้มันเท่าไหร่ คิดดูสิด้วยหน้าตาอันหล่อเหลาของเขา ร่างกายกำยำเต็มไปด้วยมัดกล้ามเรียงร้อยต่อกันสวยงามราวกับรูปแกะสลัก แถมยังมีอาวุธชั้นดีติดตัว ใครๆก็ต้องหลงใหลและยอมพลีกายให้

“อึ๊ก” ผมกอบกุมมันถุงอัญมณีคู่กู้พิภพ ลากนิ้วสัมผัสส่วนร้อนระอุนั้นด้วยความหลงใหล ก่อนที่ลิ้นร้อนจะลากชิมไปตามความยาวของมันตั้งแต่โคนดาบไปจนถึงปลายบาน ผมส่งสายตายั่วยวนให้เจ้าของ “ด...เดี๋ยวก่อน รอส อย่า...อ๊า”

ผมไม่ฟัง...ครอบครองอาวุธประจำกายของเจ้าสิงโตเข้าไปในโพรงปากร้อนทันที เจ้าของเกร็งกระตุกยิ่งกว่าเก่าจนดีดร่างลุกขึ้นนั่งแล้วออกแรงผลักหัวผมออก...ผมไม่ยอมหรอกนะ ของดีเข้าปากแล้วจะให้หลุดไปได้ยังไงล่ะ

ห่อปากรูดดึงไปตามลำความยาว ตวัดลิ้นหยอกล้อความอวบแน่น กดใบหน้าลงไปแนบขนแพรไหมจนปลายดาบเกือบชนคอหอย ฉกลิ้นไปที่ส่วนปลายที่เริ่มมีหยาดน้ำใสออกมาให้ชิม ผมระดมประสบกามทั้งหมดที่ฝึกฝนมาเพื่อให้สิงโตหนุ่มสุขสม...ให้ตราตึงลงไปในความทรงจำ

“อื้อ...อาห์” เจ้าสิงโตครางระงม ถ้าโรงนาไม่ห่างออกจากบ้านเรือนไปผมว่าน่าจะมีคนตื่นมาดูว่าเสียงอะไร ร่างหนาบิดเร่าลงไปนอนเกร็งอีกครั้ง ปลายเท้าจิกกองฟาง มือไม้จากที่ผลักออกกลับกลายเป็นแรงกดให้ผมแนบชิดยิ่งขึ้น เขาออกแรงขยับเอวไปตามสัญชาตญาณ

“แฮ่กๆ รอส ช้าๆก่อน อื้อออ” เสียงหอบหายใจของเขาเป็นสัญญาณบอกว่าเขาใกล้จะถึงฝั่งแล้ว ผมจึงเร่งเครื่องขึ้นไปอีก ทั้งความเร็วและความรุนแรง

“รอส ข้าจะ...อื้อ...รอส คายออกมาก่อน อ๊า...” ร่างกำยำพูดไม่เป็นภาษา เขากระตุกเสยดาบเข้ามาจนสุด สองมือกุมหัวผมไว้แน่น หยาดน้ำแห่งความรักพรั่งพรูออกมามากมาย มันร้อนระอุและเอร็ดอร่อย

“อึกๆๆ” ผมดื่มกินน้ำรักของเขาเข้าไปช้าๆ มันถูกปลดปล่อยออกมาเป็นระลอกๆจนกลืนแทบไม่ทัน บางส่วนไหลย้อยออกมาที่มุมปาก

ไม่ช้าร่างกายเจ้าราชสีห์ก็สงบลงเหลือแต่เสียงหอบหายใจเหนื่อยของมัน ผมคายอาวุธที่เริ่มอ่อนตัวออก ปาดนิ้วเช็ดมุมปากแล้วเอาไปเลียพร้อมส่งสายตาสะอกสะใจให้เจ้าของน้ำอุ่นๆเหล่านี้ ของดีหายากแบบนี้จะทิ้งขว้างได้ยังไง

“เป็นยังไงบ้างล่ะคุณอัศวิน สิ้นลมเลยเหรอไง” ผมเย้ยปนขำ เลื่อนตัวขึ้นไปนั่งคร่อมบนหน้าท้องแกร่งแล้วมองใบหน้าชุ่มเหงื่อของเขา

“นี่ แฮ่กๆ แกล้งกันเหรอ”

“แกล้งอะไร? แค่แสดงให้ดูเฉยๆว่าของจริงมันเป็นยังไง ฮ่าๆ” ผมนอนทาบตัวลงไปประทับจูบ สองแขนเกี่ยวกระหวัดลำคอหนาไว้ให้เขาหนุนนอน “เป็นยังไง มีความสุขไหม”

“ที่สุดเลยล่ะ” เขายิ้มตอบ “แต่เจ้ายังไม่เสร็จเลย” ว่าแล้วก็ประกบริมฝีปากอีกครั้ง เขาบดคลึงด้วยแรงหนักหน่วงเป็นการเอาคืนก่อนจะยันตัวขึ้นนั่งโดยที่ผมคร่อมตักอยู่

วื๊ดดด

ผมรู้สึกได้ถึงความดุดันแทงก้น!!!

“เฮ้ย ทำไมมันฟื้นตัวเร็วนัก” ผมกล่าวด้วยความตกใจ ไม่เคยมีใครฟื้นสภาพได้เร็วขนาดนี้ ผมมองหน้าคนตรงหน้าด้วยความฉงน

“เวทเสริมกำลังก็มีลูกเล่นของมันอยู่” เจ้าสิงโตตอบกลับด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย เขาบีบคลึงบั้นท้ายของผมอย่างรุนแรงกะให้แหลกคามือก่อนจะลอกคราบผมออกจากเสื้อและกางเกงนอน

ผิวกายร้อนของเราสัมผัสแนบชิดกันอีกครั้งเพื่อเริ่มยกสอง ริมฝีปากของเขาโลมเลียไปตามซอกคอ คมเขี้ยวขบกัดลงบนคอขาวทิ้งรอยฟันไว้ ความรุนแรงของเขามันช่างเสียวซ่านรัญจวน

นิ้วแกร่งมันลื่นไปด้วยน้ำมันนวดสอดขยับเข้าออกเตรียมช่องทางเบื้องล่าง แต่เขาก็ไม่ปล่อยเบื้องบนให้ว่าง สิงโตหนุ่มจู่โจมยอดอกของผมด้วยลิ้นสากร้อน ไล่วนเป็นวงกลมสลับไปมาสองข้างจนเปียกชื้น ผมนั่งแอ่นตัวอันเบาหวิวบนตักของเขา สองแขนต้องโอบรัดคอไว้ไม่ให้หงายตกลงมา มือข้างหนึ่งขยุ้มเส้นเกศาสีดำสนิทไว้เพื่อระบายความร้อนรุ่มที่ก่อตัว

“นอนลงไป” ผมออกคำสั่งด้วยเสียงแหบพร่า ผมทนไม่ไหวแล้ว ผมต้องการการเติมเต็ม “ข้าจะขี่สิงโต”

“หึหึ” เจ้าสิงโตแค่นเสียงหัวเราะและหงายลงนอนอย่างว่าง่าย นัยน์ตาหยาดเยิ้มหยีเป็นพระจันทร์เสี้ยวรับกับรอยยิ้ม “ระวังตกนะ”

“ไหนดูซิว่าจะขี่ยากเหมือนฟรีดไหม” ดาบร้อนตั้งตรงจ่อไว้กับช่องสวาท ผมค่อยๆปล่อยน้ำหนักตัวกดลงไปรับอาวุธของราชสีห์ใต้ร่างเข้ามาในกาย

“ซี้ด” เสียงสูดปากของเราสองสอดประสานกันเมื่อความแข็งแกร่งถูกโอบอุ้มด้วยความอ่อนนุ่ม มันคับแน่น ร้อนระอุ

ผมกดตัวลงไปช้าๆจนในที่สุดดาบเล่มโตของเขาก็ฝังเข้าไปจนสุด ร่างกายของเราสองรวมเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง ความแข็งขืนของเขาทำให้ผมแทบขยับไม่ได้

“อื้ม” มือสากสะกิดจุกสีชมพูของผมเป็นเชิงหยอกล้อ

“อาห์ ข้างในเจ้ารู้สึกดีที่สุดในโลกเลย” สิงโตหนุ่มกล่าวชมขณะเลื่อนมือลงมาบีบก้อนเนื้อสองลูกที่บั้นท้าย

เมื่อเริ่มคุ้นชินผมก็เริ่มขยับตัวไปตามวิถีของดาบ สลับบดคลึงสะโพกเข้าหา “มันลึกเหลือเกิน”

“งั้นข้าช่วยเอง” เจ้าสิงโตประคองเอวผมไว้แล้วเป็นฝ่ายขยับสวนขึ้นมาด้วยจังหวะหนักหน่วงจนเสียงเนื้อกระทบกันลั่น

เราสองสลับกันควบคุมจังหวะการรำดาบ อ่อนโยน เนิบช้า ดุดัน รวดเร็วรุนแรง สลับไปมาตามท่วงทำนองที่หัวใจกำหนด ปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามเปลวเพลิงแห่งความต้องการของกายสองกาย ใจสองดวง...

เราสองถวิลหากันและกัน...

เติมเต็มกันและกัน...

เป็นของกันและกัน…

“อาห์ เร็กซ์ ข้าจะไม่ไหวแล้ว” ผมบดร่างของตนเองไปกับอาวุธแกร่งอย่างดุเดือด มือหนึ่งก็รูดรั้งแก่นกายของตน ภาพในหัวเป็นสีขาวโพลน มีเพียงแต่ใบหน้าของเร็กซ์อยู่ในห้วงความคิด

“อึก ข้าก็ด้วย”

“อาห์/อื้อ” เสียงแห่งการปลดปล่อยของเราบรรเลงประสานกัน ริมฝีปากของเราสองเชื่อมกันอีกครั้ง มันกดแนบแน่นราวกับจะหลอมรวมกัน กายทั้งสองเกร็งกระตุก เร็กซ์กดดาบของตนเข้าไปให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อฝากฝังเศษเสี้ยวส่วนหนึ่งของเขาไว้ในร่าง มันร้อนวาบ ผมเองก็ปล่อยของเหลวอุ่นเหนียวออกมาจนเปราะหน้าท้องของเราทั้งคู่

“แฮ่กๆ ๆ ๆ” เสียงหอบเหนื่อยดังระงมท่ามกลางความเงียบสงัดของค่ำคืน ผมปล่อยร่างของตนเองลงไปนอนทาบทับสิงโตหนุ่ม อ้อมกอดของเขาโอบรัดโดยอัตโนมัติ พวกเราเบียดหาความอบอุ่นจากร่างอีกฝ่าย ร่างของคนที่รัก

“ทั้งกายและใจของข้าเป็นของเจ้านะ รอส”

“เช่นกัน” เสียงตอบรับของผมเบาจนแทบไม่ได้ยิน ก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทราในอ้อมกอดของชายหนุ่มที่ผม...รัก

..................................................

เช้าวันถัดมาพวกเราสองคนรีบกุลีกุจอเช็ดทำความสะอาดทำลายหลักฐานของกิจกรรมเมื่อคืน ปล่อยตัวปล่อยใจเกินไปหน่อยจนลืมไปว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ควรทำเรื่องอย่างว่า ทำความสะอาดไปก็ขำกันเองไป ยิ่งโดนโอทห์คีปเปอร์เอ็ดว่าให้เคารพสถานที่บ้างก็ยิ่งขำ

“เก็บของหมดแล้วนะ?” เร็กซ์หันมาถามขณะจัดสัมภาระบนหลังม้า

“อื้อ”

“เอาล่ะ ออกเดินทางไปเทรโร่กันเลย” เขาเตรียมกระโดดขึ้นหลังม้า

“เร็กซ์...ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม” ก่อนจะไปผมอยากจะกระจ่างเรื่องหนึ่งก่อน เรื่องที่คาใจมาสักพักแล้วแต่เพราะอารมณ์มันพาไปทำให้ไม่ได้ถามตั้งแต่เมื่อคืน

“ว่า...?”

“ถ้าเราทำตามแผนของเจ้า แต่สุดท้ายเจ้ายังได้รับเลือก...เจ้าจะทำยังไง” หนึ่งในช่องโหว่ของแผนที่เขาวางไว้คือ...ถ้ามันไม่ได้ตัดสินที่เวลาล่ะ...ถ้าเขาได้รับเลือกล่ะ...จะทำยังไง

“เรื่องนั้น...” เขาก้มหน้าแล้วนิ่งเงียบไป ผมรับรู้ได้เลยว่าเขากำลังใช้ความคิดอย่างหนัก

“...” ผมไม่ได้กล่าวอะไรต่อ ยืนรอคำตอบของเขาอยู่อย่างนั้น จนมันเริ่มเนิ่นนาน...จนผมเริ่มจะคิดได้ <เงียบ...คือคำตอบของเจ้าสินะ> หัวใจผมปวดร้าว

“ถ้าเป็นเช่นนั้น...ข้า...” คำพยายามเรียงร้อยคำพูดออกมาอย่างยากลำบาก ยิ่งเขาอึกอัก ผมก็ยิ่งรู้สึกแน่นไปทั้งอก แต่ไม่ทันที่เขาจะพูดจบ...ผมก็สัมผัสบางอย่างได้...พลังเวทย์ที่กำลังมุ่งร้าย

“เร็กซ์ ถอยไป” ผมผลักเขาให้ถอยไปจนหลังชนม้า ก้าวขาเข้าประชิดบีบระยะห่างให้แคบที่สุด “บทแห่งการปกป้องที่ 3 magic barrier”

ตู้มๆๆๆ

“วะฮ่าๆ จงมอดไหม้ด้วยเปลวเพลิงแห่งความแค้นของข้า จอมเวทย์แห่งไฟ ดาส”

.......................................

ปล. เย่ จบทันก่อนบินด้วย ขออภัยที่จะทำให้ค้างนะครับ ถ้ามีเวลาจะรีบแต่งต่อให้ไวเลยครับ สงสารนักอ่านที่ติดตามเหมือนกัน
ปล2. ยังจำคู่หูยี่ห้อไอติมนี่ได้อยู่รึเปล่านะ
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 30 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 11-10-2018 18:38:34
ดุเด็ดเผ็ดมัน ฉากท้ายๆ ขมนิดๆ เร็กซ์ก็คงคาดไม่ถึงหรอกน่า ให้เวลาเขาหน่อย

ดาส? ฉากไหนหว่า หรือจะเป็นปกป้องคาราวาน (มั่ว)

 :pig4:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 30 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 11-10-2018 20:26:14
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 30 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 11-10-2018 22:14:08
 :pig4:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 30 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 16-10-2018 09:36:15
เจ้าลูกสิงห์โตพอไฟติดปุ๊บ เอาใหญ่เลยนะ
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 31 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 22-10-2018 03:46:09
Chapter 31 The storm

“บทแห่งการปกป้องที่ 3 Magic barrier” สิ้นเสียงของผม อณูเวทมนต์ในกายก็ก่อกำเนิดเป็นแผ่นหกเหลี่ยมเล็กๆเรียงร้อยต่อกันเป็นโดมทรงครึ่งวงกลมโอบล้อมผม เร็กซ์และฟรีดไว้

ตูมๆ ๆ

ลูกศรไฟหลายสิบลูกกระหน่ำลงมาจากท้องฟ้าจนลานหญ้าที่เรายืนอยู่ลุกเป็นไฟ กำแพงและหลังคาไม้ของโรงนาแตกกระจาย เปลวเพลิงลุกโชดช่วง หากผมไหวตัวช้าไปพวกเราคงแย่

“วะฮ่าๆ จงมอดไหม้ด้วยเปลวเพลิงแห่งความแค้นของข้า จอมเวทย์แห่งไฟ ดาส” เสียงเยาะเย้ยจากชายหนุ่มดังลอดผ่านเปลวไฟ

ฟ้าว~

ผมระเบิดเกราะคุ้มภัยให้แหวกออก เกิดคลื่นอากาศแหวกม่านควันและกำแพงเพลิง เปลวไฟมอดดับไปอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นหน้าแขกผู้ไม่ได้รับเชิญ ชายหนุ่มร่างบางสวมหมวกปลายแหลมถือคฑาด้ามยาวกับชายผอมแห้งสวมชุดคลุมปิดหน้าตาอีก 2 คนถือดาบครบมือ

“ใครวะ หน้าคุ้นๆ” ผมหันไปถามอัศวินหนุ่มข้างกาย

“อืม…จำได้ลางๆ แต่ไม่แน่ใจนัก” เร็กซ์ชักดาบออกมาเตรียมพร้อมรับมือ

“หนอย…” ชายตรงหน้ากัดฟันกรอดด้วยความเจ็บแค้นเมื่อพวกเราจำเขาไม่ได้ “ข้าคือดาสหัวหน้าโจรผ้าแดงที่ถูกพวกเจ้าลอบกัดจนโดนจับไงล่ะ”

“อ้อ พวกเจ้ามันโจรป่ากระจอกที่ช่องแคบสองสีนี่เอง จำได้ว่ามีคู่ขาตัวใหญ่ๆอีกคนชื่อฮา…อะไรน้า ไฮเนเก้น” ผมตอบกลับไปอย่างยียวน นึกแล้วก็แปลกใจ เจ้าพวกนี้ควรจะถูกมีนาจับไปส่งผู้ตรวจแล้วนี่

“คู่ขาอะไร อย่ามาพูดชวนให้คิดลึกนะ” ดาสห่อไหล่เอาแขนกอดตนเองทำหวงเนื้อหวงตัวราวกับกำลังจะโดนกระทำชำเรา “แล้วคู่หูข้าชื่อฮาเก้นเฟ้ย อย่าบังอาจเอ่ยชื่อผู้มีพระคุณของพวกเราส่งเดชแบบนั้น ถ้าเขาไม่เสียสละ พวกเราก็คงหนีออกมาไม่ได้” ชายหนุ่มชี้หน้าคาดโทษโดยมีลูกน้องสองคนข้างหลังทำท่าปาดน้ำตาซาบซึ้ง

“สังเวยชีวิตตนเองเพื่อพวกพ้องงั้นรึ ช่างเป็นนักรบที่น่ายกย่อง” เจ้าอัศวินเอ่ยชื่นชม

“ปากเสีย ไม่ได้ตายเฟ้ย แค่แขนหัก พักฟื้นอยู่ที่ฐานตั้งหาก” คำตอบของมันเล่นเอาหางคิ้วผมกระตุกด้วยความโมโห พูดจากำกวมแบบนี้มันน่าโดนสั่งสอนนัก “สายของเราในป่าบังเอิญเห็นพวกเจ้าเดินทางมาที่นี่ ข้าเลยรีบตามมาเพื่อสะสางบัญชีแค้นที่ทำให้พวกเราขายหน้า”

“ก็กระจอกเองนี่” ผมยิ้มเยาะ

“พวกเจ้ามันขี้โกงต่างหาก ข้ารู้ความสามารถเจ้าหมดแล้ว ยังไงวันนี้นี่แหละ พวกเจ้าต้องโดนข้าเผาเป็นจุล” ดาสยืดอกอย่างองอาจ เขาตั้งท่าเตรียมพร้อมร่ายมนต์

หึ…รู้ความสามารถหมดแล้วงั้นรึ ไม่ได้ดูเลยใช่ไหมว่าผมป้องกันตัวจากการโจมตีเมื่อครู่ยังไง
เร็กซ์ตวัดดาบไปข้างตัว ออกเดินไปข้างหน้าเตรียมต่อสู้ ทว่า…

“เจ้าอยู่เฉยๆตรงนี้แหละ ข้าจัดการเอง” ผมยกมือขึ้นมาตบอกเขาให้หยุด เจ้าพวกนี้มันต้องโดนผมสั่งสอน

“3 คน ไหวเหรอ”

“ลืมแล้วเหรอว่าข้าเป็นใคร ไม่ไว้ใจกันเหรอไง” หงุดหงิดท่าทีอึกอักของเจ้าอัศวินนี่เมื่อครู่ก็พอแล้ว ดันมีตัวมาขัดจังหวะอีก “ไม่ได้ดวลเวทมนต์มานานแล้ว ขอขัดสนิมสักหน่อย” ผมแสยะยิ้ม ผมไม่ปล่อยพวกมันกลับไปดีๆแน่

“ข้าจะระวังให้อยู่ห่างๆแล้วกัน” เขาเก็บดาบกลับเข้าฝักแล้วถอยกลับไป

ผมก้าวเท้าออกไปประจัญหน้าเจ้าดาสผู้อวดดี มันยังคงยิ้มร่าโดยไม่รู้ว่ากำลังเล่นกับอะไร

“โอ้ เดินมาให้จัดการทีละคนรึ กินนิ่มสิงานนี้ จอมเวทย์แห่งไฟผู้นี้จะส่งเจ้าลงนรกเอง ฮ่าๆ” ร่างบางหัวเราะสนุกสนาน

“นักเวทย์กระจอกที่ยังควบคุมคาถาตนเองไม่ได้ แถมยังต้องพึ่งอุปกรณ์เวทมนต์เพื่อร่ายเวทย์น่ะ ไม่คู่ควรกับคำว่าจอมเวทย์หรอกนะ” สัญลักษณ์มังกรปลดปล่อยแสงสีแดง ร่างผมปกคลุมด้วยออร่าสีแดงจางๆจนอีกฝ่ายรับรู้ได้ถึงแรงกดดัน

“ไอเวทมนต์อย่างนั้นเหรอ เป็นไปไม่ได้…เจ้าใช้เวทมนต์ด้วยอุปกรณ์เวทนี่” ร่างบางชะงัก ลูกน้องสองคนเริ่มลนลานขยับตัวเข้าไปกระซิบหัวหน้าของตน

“เอาไงดีบอส นี่ต่างจากครั้งก่อนโขเลยนะ”

“นั่นสิ ไปตั้งหลักก่อนดีไหม รอท่านฮาเก้นหายก่อนก็ได้”

“อุวะ มันก็แค่ขู่ อย่าไปกลัว เจ้าสองคนเข้าไปก่อนเลย ข้าสนับสนุนจากข้างหลังเอง”

“อ้าว ไหงบอสโยนขี้อย่างนี้ล่ะ”

“หุบปาก กลยุทธ์เบื้องต้นคือแทงค์อยู่หน้า จอมเวทย์อยู่หลัง พวกเจ้าจัดการเลย”

“หัวหน้า พวกเราไม่ใช่แทงค์แบบท่านฮาเก้นนะครับ”

“เข้ามาทั้งสามคนนั่นแหละ” ผมสะบัดไม้สะบัดมือ หมุนวนปลายเท้ากับพื้นวอมร่างกายรอพวกมันเกี่ยงกัน

“บทแห่งไฟที่ 23 Explosion” ดาสอาศัยทีเผลอจรดปลายคทาชี้มาที่ผม ดวงแสงสีแดงพุ่งตรงเข้ามา

“บทแห่งการปกป้องที่ 2 Magic shield” วงแหวนเวทก่อตัวเบื้องหน้าเข้าขวางกั้น

บรึ้ม!!!

เสียงระเบิดดังสนั่น แรงระเบิดทิ้งหลุมขนาดใหญ่ไว้ เศษฝุ้นกระจายตลบอบอวล ทว่าพื้นดินทั้งหมดที่อยู่หลังวงแหวนเวทย์กลับไร้ร่องรอย โล่เวทมนต์ของผมรับการโจมตีของดาสไว้ได้สบายๆ

“แรงขึ้นกว่าครั้งก่อนนิดหน่อยนะ” ผมยกยิ้มส่งให้เจ้าดาสที่ทำหน้าเหวอ

“บะ บ้าหน่า นี่อัดพลังไปเต็มที่แล้วนะ ทำไมเวทพื้นฐานง่อยๆพรรณนั้นถึงรับไว้ได้”

“ย้ากกก” ลูกน้องสองคนกระชับดาบแล้วพุ่งตัวเข้าประชิด

วิ้ง!!!

หินสีน้ำตาลเรืองแสง พื้นดินสั่นสะเทือน เกิดรอยปริแตกตามหน้าดินก่อนที่ก้อนดินหลายก้อนจะลอยขึ้นมารอบตัว สะบัดมือทีหนึ่งก้อนดินเหล่านี้ก็พุ่งเข้าหาเป้าหมาย

“อ้ากกก” เสียงโหยหวนของเจ้าแห้งสองคนดังระงม พวกมันโดนหินและดินกระหน่ำอัดใส่ร่างจนสะบักสะบอม ล้มหงายไปนอนร้องโอดโอย ผมจะขยี้ให้แหลกเลยก็ได้แต่ไม่อยากให้มือเปื้อนเลือดขยะพวกนี้นัก

“ไงล่ะคุณหัวหน้าโจร ลูกน้องโดนเก็บแล้วนะ จะไม่ทำอะไรหน่อยเหรอ” ผมแสยะยิ้มเดินย่างสามขุมเข้าหาร่างบางตรงหน้า ออร่าสีแดงรอบกายเข้มข้นขึ้นแผ่รังสีอำมหิตข่มขวัญคนตรงหน้า เหงื่อกาฬไหลอาบใบหน้าของเขาจนเส้นผมแนบเนื้อ

“ย…อย่าเข้ามานะ…บ…บทแห่งไฟที่ 20 Cinder storm” ดาสร่ายคาถาด้วยความลนลาน ปล่อยกระสุนไฟหลายสิบลูกกระจายสะเปะสะปะไปทั่ว แต่ผมก็ไม้รู้สึกกังวลใดๆ

หินสีแดงเปล่งประกาย เมื่อผมวนนิ้วมือเป็นรูปวงกลม กระสุนไฟเหล่านั้นก็เปลี่ยนวิถี  จากที่พุ่งไปทุกทิศทุกทางเป็นเบนหัวมาทางผมก่อนจะวิ่งวนรอบตัวราวกับปลาสีแดงสดกำลังเวียนว่ายรอบกาย

เปลี่ยนแปร ปลดปล่อย และ ควบคุมคือพื้นฐาน 3 ข้อของการใช้เวทมนต์ คำร่ายเป็นการกำหนดกรอบความคิดและสร้างมโนภาพว่าจะเปลี่ยนอณูพลังในกายเป็นสิ่งที่ต้องการได้อย่างไร หากว่าคล่องแล้วก็แค่คิดเฉยๆก็พอ ไม่ต้องเอ่ยคำร่าย เวทย์บทต้นๆสามารถข้ามขั้นนี้ไปได้ตามการฝึกฝน แต่เวทย์บทสูงๆแม้แต่จอมเวทย์ชั้นครูเองก็ยังต้องเอ่ยคำร่ายอยู่

ในขั้นตอนการปลดปล่อย ชื่อคาถาเป็นเหมือนการโห่ร้องสร้างกำลังใจออกศึก ยิ่งกำลังใจ ความแน่วแน่ และอารมณ์ความรู้สึกสอดคล้องกับเวทย์บทที่ใช้เท่าไหร่ ความเสถียรตอนปลดปล่อยออกมาก็ยิ่งมากขึ้น ความรุนแรงของคาถายิ่งสูงขึ้น

และสุดท้ายการควบคุม เป็นขั้นตอนที่นักเวทย์มักละเลยเพราะขอแค่ปล่อยพลังใส่ศัตรูได้ก็พอ หารู้ไม่ว่าหากไม่ควบคุมพลังให้ดีจะถูกช่วงชิงพลังเวทย์ที่ปล่อยออกมาได้ง่ายๆ หากศัตรูสามารถแทรกแซงการควบคุมได้ เขาสามารถส่งผลของเวทย์บทนั้นกลับหาเจ้าของได้โดยไม่ต้องออกแรงร่ายเวทย์เองเลยด้วยซ้ำ

หินเวทมนต์เป็นวัตถุที่ช่วยเสริมการใช้เวทมนต์ขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งได้ แบ่งเป็นระดับตั้งแต่หินหยาบๆ ผลึกคริสตัล จนถึงอัญมนี ถุงมือเวทย์ที่ผมประดิษฐ์ขึ้นเองนั้นทำจากเศษๆหินที่ทางบ้านทิ้งขว้าง เอามาผสานกับอักษรรูนที่ศึกษาเองจนสามารถใช้มันควบคุมธาตุต่างๆในธรรมชาติได้ในระยะเวลา น้ำหนัก ปริมาตร และขอบเขตที่จำกัด โดยไม่ต้องใช้เวทมนต์ในร่างกาย

ตอนนี้ผมปลดปล่อยพลังของตนเองแล้ว ผมสามารถเสริมพลังของหินด้วยอณูเวทย์ในกายได้ ขอบเขตการใช้งานจะสูงขึ้น ทั้งระยะเวลาและความละเอียดอ่อนในการควบคุม อีกทั้งยังเปิด-ปิดการใช้งานได้ดั่งใจนึกเพื่อไม่ให้สูญพลังไปเปล่าๆ สมัยเด็กๆผมเคยเอามันไปดวลกับเพื่อนในโรงเรียนจนโดนหาว่าขี้โกง

อีกทั้งตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ผนึกพลังเวทย์ของตนเอง ผมมุ่งฝึกแต่ขั้นการควบคุมด้วยหินเวทมนต์ จึงไม่ใช่เรื่องยากที่ผมจะช่วงชิงเปลวเพลิงของศัตรูมาเป็นอาวุธของตนเอง ยิ่งคู่ต่อสู้ที่ลนลานแบบนี้ยิ่งง่าย

ผมยื่นมือออกไป เหล่ากระสุนเพลิงที่แหวกว่ายรอบตัวพุ่งเข้าร่วมตัวกันเป็นกลุ่ม กำเนิดเป็นลูกไฟที่ฝ่ามือ ขนาดมันไม่ใหญ่แต่ก็อัดแน่นด้วยพลัง ผมจ้องไปที่ดวงตาคนตรงหน้า

“ย…อย่านะ” ดาสขาแข้งสั่นเทาด้วยความกลัวเมื่อเปลวเพลิงที่หวังจะใช้เผาศัตรูกำลังจะย้อนกลับมาหาตัว

“จะสำนึกตอนนี้ก็สายไปแล้วล่ะ” ผมเล็งลูกไฟไปที่เขา “รับไฟของเจ้าคืนไปซะ” ลูกไฟพุ่งออกจากฝ่ามือตรงเข้าหาร่างบาง ผมไม่ได้หวังจะฆ่าเขาหรอก กะแค่ขู่ๆแล้วสลายพลังไปก่อนสัมผัสตัว แค่นี้มันก็กลัวจนฉี่จะราดแล้วมั้ง ฮ่าๆ

“อย่า….อ้ากกกกกก”

วิ้ง!!!

โดยที่ผมไม่ได้คาดคิด ดาสยื่นปลายคทาที่ติดอัญมนีสีแดงมาขวางไว้ ด้วยความยาวของคทาทำให้ผมกะระยะพลาด สลายพลังเวทย์ไม่ทัน ลูกไฟปะทะเข้ากับอัญมนีจนเกิดแสงสว่างวาบจนผมต้องหรี่ตา

เปลวเพลิงสลายหายไปทันที ทุกอย่างสงบนิ่ง แม้แต่ตัวเจ้าของคทาเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

“วะฮ่าๆ ก็ไม่เท่าไหร่นี่” ดาสปากสว่างทันทีที่รู้ตัวว่าเขาไม่ตาย “เจ้าอาจจะแข็งแกร่งแต่ก็สู้คทาศิลาไฟของข้าไม่ได้หรอก ฮ่าๆ” มันยังคงโอ้อวดต่อ

เปรี้ยะๆ

เกิดรอยแตกร้าวที่อัญมนี

“เอ๋”

ฟิ้ว ๆ ๆ

ประกายแสงสีแดงพุ่งออกมาตามรอยแตก เปลวไฟรั่วไหลออกมาเกินการควบคุมของเจ้าของ

“เหวอ เกิดอะไรขึ้นกับคทาของข้า” ดาสแสดงท่าทีตื่นตระหนกกับความผิดปกติที่เกิดขึ้น เขาสะบัดมันไปมาแต่นั่นยิ่งทำให้ประกายไฟพุ่งทะลักออกมาจนพื้นหญ้ารอบๆลุกไหม้

“หวา ร้อนๆๆ ไม่ไหวแล้ว” เมื่อสูญเสียการควบคุม เขาตัดสินใจหลับหูหลับตาโยนมันออกไปให้พ้นตัว คทาตกลงไปในเขตสุสาน

“อย่าโยนทิ้งสุ่มสี่สุ่มห้าสิฟระ” ผมชักดาบออกมาแล้วพุ่งเข้าประชิดตัว ปลายดาบจ่อไว้ที่คอ

“ย…ยอมแพ้แล้วจ้า” ดาสชูมือสองข้างเหนือหัวทำท่ายอมแพ้

ตู้มมมมมม

เสียงระเบิดดังสนั่น แสงสีแดงวาบขึ้นมาจากเขตสุสาน ดูท่าศิลาไฟจะสูญเสียความเสถียรแล้วทำลายตัวเองไปซะแล้ว

“ฮือ…ของรักของข้า” ร่างบางโอดครวญ

“เอาล่ะ จบสักที เร็กซ์มาช่วยข้ามัดพวกนี้ที” ผมหันไปเรียกเจ้าอัศวินให้มาช่วยจับเจ้าสามคนนี้
มัดขังไว้แล้วค่อยเรียกผู้ตรวจมาจับไปก็แล้วกัน

“ฝีมือไม่เลวนี่” เร็กซ์เดินมาพร้อมกับชาวบ้านอีกสองคน ในมือถือเชือกพร้อมไว้แล้ว

“มันแน่อยู่แล้ว นี่ลูกหลานเดรโกนัสนะ เรื่องเวทมนต์น่ะไม่เป็นรอง…” ในขณะที่ผมกำลังโอ้อวดอยู่นั่นเอง…บางอย่างก็ผิดปกติ...ผมก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ

~ การต่อสู้ พวกเราอยากต่อสู้ ~

เสียงบางอย่างแว่วเข้ามาในหู ความรู้สึกบางอย่างถูกส่งผ่านเข้ามา...

~ อยากประมือกับคนเก่งๆ ~

…ความรู้สึกฮึกเหิม…

~ ยังไม่อยากตาย พวกเราไม่สมควรตาย ~

…ความรู้สึกโกรธแค้น…

~ อยากจะจับดาบอีกครั้ง ~

…ความรู้สึกบ้าคลั่ง…

~ อยากมีชีวิตอีกครั้ง ~

ครืนนน!!!

เสาเพลิงสูงเสียดฟ้าพุ่งขึ้นมาจากบริเวณที่คทาระเบิด มันบิดม้วนเป็นพายุหมุน แต่แทนที่จะเป็นสายลมกลับเป็นเปลวเพลิงสีแดงร้อนระอุ

“รอส นี่มันเกิดอะไรขึ้น”

“…นี่มันมรสุมเวทมนต์” ผมพึมพำ สายตาของผมและทุกคนจับจ้องไปที่ปรากฏการณ์ประหลาด เคยได้ยินแต่เรื่องเล่าและทฤษฎี นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นมรสุมนี้กับตา

ซู่มมม!!!

ลมกรรโชกพัดรุนแรงเกิดแรงดึงดูดเข้าหาศูนย์กลางพายุพวกเราทุกคนต่างหาที่เกาะให้มั่น
กระดูกของเหล่านักรบผุดขึ้นมาจากหลุมฝังศพ ชุดเกราะและอาวุธที่นำมาสักการะลอยกลางอากาศราวกับใบไม้ วัตถุเหล่านี้ถูกดูดหายเข้าไปในเสาเพลิง ดวงแสงสีแดงสองดวงสว่างขึ้น…มันสว่างผ่านม่านไฟดั่งดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความเคียดแค้น

เมื่อพายุไฟสลายไปก็ปรากฏร่างๆหนึ่งขึ้น มันเหมือนมนุษย์ตัวสูงใหญ่ ความสูงน่าจะสัก 2 เมตร ร่างกายล่ำหนา แต่เมื่อสังเกตดีๆแล้วกลับไม่มีเนื้อหนัง กายเกิดจากอัฐิประติดประต่อกันปกคลุมด้วยเกราะและเศษโลหะหลอม ลมหายใจเป๊นเปลวเพลิงสีแดงโชดช่วง ใบหน้าถูกปิดมิดชิดด้วยหมวกเหล็กเห็นแค่ดวงแสงสีแดงผ่านซี่เหล็ก กลางหลังแบกอาวุธมากมายหลายชนิดที่ถูกนำมาสักการะ

มอนสเตอร์ที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนถือกำเนิดขึ้นมาจากดวงวิญญาณนักรบ

“นี่มันสเปคเตอร์ (Specter)” อัศวินหนุ่มข้างกายเอ่ย

“มอนสเตอร์ในนิทาน” ชาวบ้านพึมพำเบาๆ

“สเปคเตอร์ ? นิทาน ?” ผมทวนด้วยใบหน้าฉงน

“เป็นเรื่องเล่ากันในหมู่อัศวินว่ามีมอนสเตอร์ชนิดหนึ่งที่กำเนิดจากความกระหายการต่อสู้ของนักรบผู้ล่วงลับไปแล้ว ร่างกายเป็นกระดูกของผู้วายชน ลมหายใจคือเพลิงมรณะ ขับเคลื่อนด้วยดวงจิตบ้าคลั่งของนักสู้” เร็กซ์ชักดาบออกมาตั้งท่าพร้อมสู้ “มันคืออัศวินแห่งความตาย” สีหน้าของเขาเคร่งเครียดขึ้นมาทันที

ดูท่าศึกนี้จะไม่จบที่จัดการเจ้าโจรกระจอกพวกนี้ซะแล้ว…

ปล. ขอบคุณที่รอกันนะค้าบ กราบงามๆ เที่ยวไปแตต่งไปแทบจะโดนคนที่มาด้วยด่าเอา ฮ่าๆๆ
ปล 2. อธิบายหินเวทย์ของตารอสสักนิดนึง แต่ก่อนมันจะเหมือนแบตเตอรี่ที่เปิดได้อย่างเดียว ต้องรอให้พลังงานหมดเท่านั้นถึงจะปิดตัวลงแล้วชาร์จใหม่เอง ยิ่งใช้งานมาก พลังก็ยิ่งหมดเร็ว ตอนนี้รอสสามารถเปิด-ปิดมันได้เพื่อไม่ให้พลังงานเสียโดยเปล่าได้แล้ว
ปล 3. คำผิดบานแน่นอน กลับไปที่คอมแล้วเดี๋ยวตามแก้ครับ
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 31 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 22-10-2018 18:05:46
มาแล้วววววว สั้นจังเลย อยากอ่านอีกกกก :mew1:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 31 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 22-10-2018 20:22:50
 :pig4:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 31 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 23-10-2018 02:40:05
 :pig4: :pig4: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 31 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 23-10-2018 10:53:24
 o13 :hao7: o13


 :L2: :pig4: :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 31 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 23-10-2018 15:43:39
พวกโจรหาเรืองมาให้แท้ๆ
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 31 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 25-10-2018 16:59:27
Chapter 32.1 Limit break

แคร้ง ๆ ๆ

เสียงโลหะกระทบกันดังบาดหูต่อเนื่อง อัศวินหนุ่มเข้าสกัดอัศวินแห่งความตายที่พุ่งเข้าหาหมู่บ้าน ต่างฝ่ายต่างผลัดกันรุกและรับคมดาบของศัตรู

เร็กซ์สั่งให้ผมออกไปช่วยอพยพผู้คนออกจากพื้นที่นี้ ศัตรูตรงหน้าเป็นถึงมอนสเตอร์ในตำนานของหมู่อัศวิน ความเสียหายน่าจะหนักหนาสาหัส

“เร็วเข้า...ทางนี้” ผมกับคนหนุ่มๆในหมู่บ้านช่วยกันนำทางเด็ก ผู้หญิง และคนชราออกจากหมู่บ้าน

ตู้ม !!!

ลูกไฟลูกใหญ่พุ่งตรงเข้าหลังคาบ้านไม้หลังหนึ่ง เปลวไฟลุกไหม้อย่างรวดเร็ว โชคดีที่ผมพาคนในบ้านหลังนั้นออกมาแล้ว

“เชสเชียร์ ช่วยเชสเชียร์ด้วย” เด็กสาวคนหนึ่งวิ่งปรี่จะเข้าบ้านหลังที่ลุกไหม้

“มันอันตราย อย่าเข้าไป” ผมคว้าหล่อนมากอดไว้ได้ทันท่วงที

“เชสเชียร์ ยังไม่ออกมา ฮือ...ช่วยเชสเชียร์ด้วย” นางร้องไห้สะอึกสะอื้น

“ว่าไงนะมีคนยังติดอยู่ในนั้นเหรอ แม่หนู ไปหลบตรงนั้น เดี๋ยวข้าไปตามเชสเชียร์ให้” ไม่ได้การ...ผมคงต้องรีบฝ่าเข้าไป

หินสีแดงส่องสว่าง ผมใช้เวทมนต์ในกายและหินเพื่อสงบเปลวเพลิงที่กำลังโหมไหม้ ทว่าทำได้แค่ให้ขนาดกองไฟหดเล็กลงเท่านั้น ดูท่าเปลวเพลิงของสเปคเตอร์ตนนี้จะทรงอานุภาพเกินกว่าที่ผมจะควบคุมได้ แต่ไม่มีเวลาแล้ว...ผมต้องเข้าไปเดี๋ยวนี้

“เชสเชียร์ เจ้าอยู่ไหน” ผมตะโกนเรียกที่ชั้นหนึ่ง พยายามฟังเสียงตอบกลับ แต่ไร้เสียงใดๆนอกจากเสียงไม้ลั่นจากเพลิง หน้าผมชุ่มไปด้วยเหงื่อและเปื้อนไปด้วยเขม่าไฟ ขนาดพยายามสงบกองไฟลงแล้วยังร้อนขนาดนี้เลย

 “เชสเชียร์ แค่ก” ผมมุ่งตรงไปที่บันไดชั้นสองและตะโกนอีกครั้ง เริ่มสำลักควันเพราะไฟที่ชั้นสองรุนแรงกว่าชั้นแรก

เมี๊ยว ๆ

หะ...เสียงแมว เชสเชียร์คือแมวเหรอเนี่ย แต่ไหนๆก็เข้ามาแล้วคงต้องช่วยไว้ ผมฝ่ากองไฟเข้าไปจนพบแมวตัวสีดำสนิท ท่าทางมันหวาดกลัว ผมคว้ามันมากอดไว้

โคร่ม !!!

ซวยล่ะสิ หลังคาถล่มลงมาปิดทางกลับไว้แล้ว สายตาผมสอดส่องหาหนทางอื่นๆ ไฟร้อนระอุรอบๆเริ่มบีบเข้ามาจนหลังผมชิดกำแพง และผมก็คิดทางหนีได้

“เกาะแน่นๆนะเชสเชียร์” ผมโอบกอดเจ้าแมวไว้ด้วยแขนซ้าย มือขวายื่นเข้าหากำแพงบ้าน

“บทแห่งการจู่โจมที่ 3 Magic blast” อณูเวทย์ในกายอัดแน่นที่ฝ่ามือ

บรึ้มมม !!!

แรงอัดมหาศาลระเบิดกำแพงออกเป็นวงกว้าง เปิดช่องทางให้หนี ผมกระโดดออกมาแล้วใช้หินเวทย์ลมควบคุมอากาศร่อนตัวลงพื้นอย่างปลอดภัย เด็กหญิงรีบวิ่งเข้ามาหา

“เอ้านี่ พามันไปหลบกับคนอื่นๆนะ”

“ฮึกฮือ ขอบคุณค่ะ” เด็กสาวรับแมวดำของตนไว้แล้วออกวิ่งไปกับคนอื่นๆทันที

“เอาล่ะ น่าจะหนีไปหมดทุกคนละ” ผมถอนหายใจและเตรียมตัวเข้าไปช่วยเร็กซ์จัดการกับสเปคเตอร์

แต่เมื่อหันไปดวงตาผมก็ต้องเบิกกว้าง อัศวินหนุ่มโดนหมัดจากท่อนแขนอันใหญ่โตอัดเข้าเต็มหน้าท้อง ส่งร่างลอยไปหลายเมตร พุ่งทะลุหายเข้าไปในกำแพงบ้าน

“เร็กซ์” ผมตะโกนสุดเสียง หนอยแหนะเจ้านี่บังอาจทำร้ายอัศวินของผม ออร่าสีแดงจัดปกคลุมร่าง ผมโกรธจัด

“บทแห่งการจู่โจมที่ 2 Magic shot” พลังเวทย์ในกายไหลรวมกันที่ฝ่ามือเป็นก้อนพลังงานสีแดง ผมเล็งมันไปที่อัศวินแห่งความตายที่กำลังก้าวตามไปปิดจ๊อบอัศวินของผม

ผัวะ !!!

ผิดคาด...ร่างกายของศัตรูชะงักเล็กน้อยเท่านั้น แม้กระสุนเวทย์ที่ผมอัดพลังไปเต็มที่ปะทะไหล่ของมันเต็มๆก็ตาม

ดวงแสงสีแดงภายใต้หมวกเหล็กหันมาจ้องผม สเปคเตอร์พุ่งความสนใจมาที่ผมแทน รังสีอำมหิตของมันแผ่ซ่านจนผมรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก แต่ผมจะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด...

หินสีน้ำเงินสว่างขึ้น น้ำจากบ่อน้ำข้างๆพุ่งขึ้นมาเป็นน้ำพุ น้ำปริมาณมากไหลวนกลางอากาศเหมือนงูขนาดใหญ่

ฉ่า !!

ร่างของศัตรูหยุดชะงักเมื่อสายน้ำสัมผัสโลหะร้อน ไอน้ำมากมายโพยพุ่งออกมา เปลวเพลิงที่ไหลเวียนในเกราะเริ่มมอดลง...ได้ผล มันแพ้น้ำนี่เอง

“บทแห่งน้ำที่ 3 Freeze” ผมผสานคาถาน้ำแข็งกับพลังของหินเวทย์น้ำ เสาน้ำแข็งต้นเล็กๆผุดเป็นทางจากผม ตรงไปยังชุดเกราะที่ยืนนิ่ง เมื่อถึงเป้าหมายเสาน้ำแข็งขนาดใหญ่ก็ก่อตัวขึ้นขังศัตรูไว้ภายใน

“สำเร็จ แฮ่กๆ” ผมหอบเหนื่อยเพราะอัดพลังเข้าไปเน้นๆในทุกคาถาที่ใช้ เมื่อเห็นว่าศัตรูไม่ไหวติงแล้วจึงออกวิ่งเพื่อไปดูอาการเร็กซ์ โดนซัดไปจนลอยทุละกำแพงขนาดนั้นได้นี่น่าจะหนักอยู่ ถึงมันจะอึดเกินคนก็ตาม

เปรี้ยะ ๆ

เสียงบางอย่างแตกร้าวเรียกความสนใจของผมกลับไปหามอนสเตอร์ในก้อนน้ำแข็ง

“บ้าหน่า”

เพล้ง !!!

เสาน้ำแข็งของผมระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ เศษน้ำแข็งกระจายไปทุกทิศทาง และมีก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งพุ่งตรงมาทางผม

“อัก” ผมยกแขนป้องไว้ทันแต่แรงปะทะรุนแรงจนร่างผมกระเด็นไปกระแทกเสาไม้ของบ้านหลังหนึ่ง ผมจุกไปหมดจนแทบลุกไม่ขึ้น แต่ก็ต้องตาลีตาเหลือกฝืนตัวขยับเมื่อเห็นสเปคเตอร์คว้าหอกจากหลังขึ้นง้าง

ฟ้าว

หอกเงินด้ามยาวพุ่งเข้าหา ผมพลิกตัวหลบออกจากวิถีทันอย่างฉิวเฉียด

โคร่ม

เสาไม้แตกออกเป็นเสี่ยงๆไปพร้อมกับกำแพงของบ้าน ไม่สิ...ต้องเรียกว่าบ้านไม้แตกออกเป็นเสี่ยงๆเลยมากกว่า เพราะตอนนี้จุดที่ผมนั่งจุกอยู่เมื่อครู่กลายเป็นรูขนาดใหญ่จนมองทะลุไปอีกฝั่งได้

“เรี่ยวแรงมหาศาลเกินไปแล้ว” แค่ขว้างหอกมายังทรงอานุภาพขนาดนี้ นี่เร็กซ์ประดาบกับมันมาจะต้องรับแรงขนาดไหนเนี่ย

แต่ด้วยความชะล่าใจของผมนั่นเอง…

โคร่ม

“อ้ากกกก” ผมร้องออกมาเมื่อหลังคาบ้านถล่มลงมาทับขาของผมไว้ แรงกระแทกจากแผ่นไม้ส่งผ่านเป็นความรู้สึกเจ็บปวดวิ่งขึ้นมาจากท่อนขาถึงสมอง ภาพในตาของผมกลายเป็นสีขาวโพลนชั่วขณะ

ขาผมหักรึเปล่าเนี่ย

แกร็ก ๆ ๆ

เสียงรองเท้าเกราะเหล็กของมัจจุราชเรียกสติผมกลับมา อัศวินแห่งความตายกำลังย่างกลายเข้ามา ในมือกุมดาบไว้มั่นพร้อมสังหาร
“อึก” ผมกัดฟันทนเจ็บพยายามขยับแผ่นไม้ออกด้วยความลนลาน ยิ่งขยับก็ยิ่งเจ็บ…

“บทแห่ง...” ผมกำลังจะร่ายเวทย์เพื่อยกแผ่นไม้ออกแต่ก็ต้องชะงักลงเมื่อเงาสีดำเข้ามาทาบทับ ผมเงยหน้าไปสบดวงแสงสีแดงในหมวกเหล็กๆ สเปคเตอร์เงื้อดาบขึ้น…

ผมรีบเปลี่ยนเวทย์บทที่จะร่าย…

“บทแห่งการปกป้องที่ 2 Magic shield 3 ชั้น” วงเวทย์สามวงซ้อนกันปรากฏขึ้นขั้นกลางระหว่างเหยื่อและเพชฌฆาต

เปรี้ยง!!!

คมดาบสีเงินวาวผ่าโล่ 3 ชั้นของผมลงมาอย่างง่ายดายเหมือนกับขวานจามลงมาบนแผ่นไม้บางๆ ก่อนที่ดาบจะหยุดลงที่กึ่งกลางโล่ ปลายดาบห่างจากใบหน้าผมไปไม่กี่ฟุต

คิดถูกจริงๆที่ร่ายซ้อนกัน 3 ชั้น ถ้าน้อยกว่านี้หัวคงแบะไปแล้ว

เปรี้ยะ ๆ ๆ

ศัตรูยังคงไม่ลดละความพยายาม ออกแรงกดดาบลงมามากขึ้น รอยแตกร้าวของโล่เวทมนต์ขยายออกเรื่อยๆพร้อมกับปลายดาบที่ใกล้เข้ามาทีละนิด ผมปลดปล่อยพลังเวทย์เสริมความแข็งแรงอย่างสุดความสามารถ

เร็กซ์...เจ้าอยู่ไหน ข้าจะไม่ไหวแล้ว
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 32 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 25-10-2018 17:54:12
อารมณ์เจอบอสลับชัดๆ
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 32 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 25-10-2018 18:42:27
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจป่วงกับอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 32 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 25-10-2018 22:35:29
 :katai1: ลุ้นๆ
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 32 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 28-10-2018 18:47:23
32.2

ครึก ๆ

ผมปัดเศษไม้ที่ปกคลุมร่างกายออก สะบัดหัวแรงๆไล่ความมึน

อูย...หมัดหนักชะมัดเลย แต่ก็สมคำล่ำลือจริงๆ ทั้งฝีดาบที่เฉียบคมและรวดเร็วเฉกเช่นอัศวินระดับสูง แต่พละกำลังมหาศาลนั่นเหนือกว่าเวทย์เสริมกำลังที่ผมใช้อยู่อีก

“นายท่านบาดเจ็บตรงไหนไหมครับ”

“ไม่เท่าไหร่” ถ้าคนปกติที่ไม่มีเวทย์เสริมกำลังเพิ่มความทนทานให้กับร่างกายโดนหมัดนั้นเข้าไปกระดูกคงแหลกหมดแล้ว

“อ้ากกกก” เสียงร้องเจ็บปวดเรียกความสนใจของผม

“รอส” ผมรีบดีดตัวลุกขึ้นแล้วก้าวออกไป

“อึก” รู้สึกปวดร้าวที่ชายโครงทันที ซี่โครงน่าจะหัก แต่ผมไม่มีเวลาพะวงแล้ว คนรักของผมกำลังแย่เพราะความอ่อนหัดของผม

“โอทห์คีปเปอร์” ผมพุ่งเข้าหาและจรดปลายดาบคู่ใจไปที่อัศวินตรงหน้า

“ครับผม” สิ้นเสียงกังวานดาบก็เรืองแสงสีขาวนวลขึ้น ลำแสงหลายเส้นพุ่งออกจากดาบ

แกร๊ง ๆ ๆ

สายโซ่สีทองพุ่งเข้าโอบรัดตัวสเปคเตอร์ไว้แน่น

“เร็วเข้านายท่าน โซ่คงหยุดมันไว้ได้ไม่นาน”

“เข้าใจแล้ว” ผมพุ่งลัดไปด้านข้างของศัตรูเพื่อช่วยเหลือรอสก่อน ถ้าผมล้มศัตรูไม่ได้ในดาบเดียวแล้วมันหลุดออกจากพันธนาการได้ล่ะก็...คนรักของผมแย่แน่ๆ

วื้ด

ผมอัดพลังเวทไปที่กล้ามเนื้อแขนเพื่อเพิ่มพละกำลัง ออกแรงยกกองไม้ที่ทับขารอสออก ช้อนเขาขึ้นมา เสริมกำลังแล้วขาพุ่งตัวหาที่ซ่อน

“โอ้ย” คนรักของผมร้องลั่นเมื่อผมแตะขาขวาของเขา เสียงอันเจ็บปวดของเขากรีดลึกลงไปในใจ ที่เขาต้องเป็นแบบนี้เพราะผมปกป้องเขาไม่ได้อีกแล้ว

“ไหวไหม” ผมถามด้วยความเป็นห่วง

“น่าจะไม่หัก แต่คงเดินไม่ได้” เขาลองลูบคลำขาของตนเอง ใบหน้าของเขาเหยเกด้วยความเจ็บปวด “เจ้าบาดเจ็บไหม”

“ซี่โครงอาจจะหัก แต่ยังไหวอยู่”

“เราจะจัดการมันยังไงดี ขืนปล่อยไว้แบบนี้ หมู่บ้านพังพินาศแน่ๆ”

“ฝีดาบของข้ากับมันสูสีกัน แต่มันเป็นต่อด้านพละกำลัง” จริงอยู่ที่การต่อสู้ด้วยดาบไม่ได้ใช้เพียงพละกำลัง หากทักษะดีกว่าก็สามารถเอาชนะผู้ที่แข็งแรงกว่าได้ แต่ศัตรูเป็นถึงอัศวินยอดฝีมือในอดีต เมื่อทักษะพอๆกันก็ต้องวัดกันที่แรงและความอึด

“ข้าไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อนเลย เวทมนต์ก็ไม่ได้ผล ข้าคิดแผนอะไรไม่ออกเลย” คนตรงหน้ากล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“ข้าว่าข้าล้มมันได้...” ศึกนี้ผมต้องเอาชนะเอง และผมว่าผมเอาชนะมันได้แต่ต้องแลกด้วยบางอย่าง...

“...ยังไง”

“ถ้าข้าเสริมกำลังทั่วร่างก็น่าจะมีพละกำลังสูสี” ถ้าใช้เทคนิคนี้ล่ะก็...ผมจะมีแรงเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า

“แต่เจ้าเคยบอกว่าเจ้ายังฝึกไม่สมบูรณ์นี่” สิ่งที่เขาแย้งเป็นเรื่องจริง

“ใช่ แต่มันไม่ได้หมายความว่าใช้ไม่ได้ แค่ใช้แล้วจะมีผลข้างเคียง...”

 “ผลข้างเคียงคืออะไร” รอสถามด้วยสีหน้างุนงง

“ร่างกายของข้าจะพัง”

...หากเวทมนต์คือเอกลักษณ์ของนักเวทย์...

...เวทย์เสริมการรับรู้คือเอกลักษณ์ของนักธนู...

...เวทย์เสริมกำลังคือเอกลักษณ์ของอัศวิน อัดพลังเวทย์ที่ไหลเวียนในร่างกายเข้าไปในกล้ามเนื้อเพื่อเพิ่มพละกำลังและความทนทานให้กับตนเองอีกหลายเท่าตัว

อัศวินทั่วๆไปจะเสริมกำลังได้มากขึ้น 2-3 เท่า ผมที่มีร่างกายทนทานเป็นพิเศษสามารถเสริมพลังได้อย่างสบายๆถึง 5-6 เท่า และสามารถเสริมได้สูงสุดที่ 8 เท่า ซึ่งยังถือว่าอ่อนหัดมากเมื่อเทียบกับท่านพ่อ หรืออาจารย์มาโก้ที่เสริมไปได้ถึง 12-15 เท่า

ข้อจำกัดของเวทย์เสริมกำลังจะอยู่ที่ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อมัดนั้นๆว่ารับพลังได้ขนาดไหน และนานแค่ไหน นั่นเป็นเหตุที่ทำให้อัศวินที่ใช้เวทย์เสริมกำลังได้ทุกคนพกน้ำมันนวดสมุนไพรติดตัว พกไว้เพื่อคลายปวดจากความล้าของกล้ามเนื้อ

แต่การเสริมกำลังทั่วร่างจะต่างออกไป เทคนิคนี้สามารถทำให้ได้รับพละกำลังเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า แต่ก็อันตรายต่อผู้ใช้เพราะต้องเสริมถึงมัดกล้ามเล็กๆที่ไม่สามารถฝึกความทนทานเพิ่มได้ ทำให้ผลข้างเคียงหลังใช้งานอาจจะทำให้ผู้ใช้ตายได้ เทคนิคเสริมกำลังทั่วร่างจึงเป็นเทคนิคต้องห้ามที่ใช้ได้เฉพาะอัศวินระดับสูงเท่านั้น

 “ไม่ได้นะ ข้าไม่ให้เจ้าตายนะ โอ้ย” เขาขยับตัวขึ้นมาจะคว้าผมไว้จนขากระเทือน

“ข้าไม่ได้บอกว่าจะตายสักหน่อย กล้ามเนื้อข้าจะฉีกขาด กระดูกอาจจะร้าว คงขยับตัวไม่ได้ไปเป็นเดือนๆ” เพราะเป็นคนของตระกูลใหญ่จึงได้รับการฝึกเทคนิคนี้ไว้บ้าง แต่ก็ยังไม่สำเร็จจนลบผลข้างเคียงไปได้ ร่างกายของผมจะหมดสภาพไปนาน หากใช้สุ่มสี่สุ่มห้ากลางป่าก็อาจจะตายเพราะไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้

“เร็กซ์ ถึงเจ้าจะไม่ตาย แต่นั่นจะทำให้เจ้ากลับไปเมืองหลวงไม่ทันนะ” คำเตือนของเขาทำให้ผมอมยิ้มน้อยๆ เขายังคงห่วงเรื่องเกียรติยศของผมอยู่

“นั่นไม่สำคัญแล้วล่ะ” ผมชันเข่าขึ้น เตรียมตัวลุกออกสู้อีกครั้ง “ข้าจะเรียกตนเองว่าอัศวินได้ยังไง...ถ้าข้าปกป้องคนที่ข้ารักไม่ได้”
“เร็กซ์...” ดวงตาสีน้ำตาลแดงคู่นั้นปริ่มน้ำตา

“หลังจากนี้เจ้าจะดูแลข้าที่หมดสภาพได้ไหม” คนรักของผมได้ยินเขาก็รีบหลบหน้าแล้วลอบเอามือปาดน้ำตา...น่าเอ็นดูจริงๆ
“มันแน่อยู่แล้ว” เขาตอบ ผมจับได้ถึงความสั่นเครือของน้ำเสียง

“งั้นก่อนข้าไป ขอได้ยินคำว่ารักจากเจ้าสักครั้งได้ไหม” ผมรอคอยคำนี้มาตลอด ไม่มีอะไรจะสร้างกำลังใจให้กับนักรบมากไปกว่าคำๆนี้อีกแล้ว แม้ผมจะมีอะไรกับเขาแล้ว แต่ผมอยากจะได้ยินคำนี้จากปากของเขา...จากคนที่ผมรัก

“...” เขาก้มหน้าลงไปอีกครั้ง เห็นแล้วใจผมก็แป้วลง

“ชนะให้ได้ก่อนสิแล้วจะพูดให้ฟัง กี่ครั้งก็ได้...ตามที่เจ้าต้องการเลย” รอสส่งยิ้มร้ายกาจให้ผม หึหึ...เอารางวัลมาล่ออีกแล้วสินะ...ได้

“ถ้างั้นก็เตรียมเขียนเรียงความบรรยายความรักที่มีได้เลย ข้าไม่แพ้แน่นอน” หัวใจของผมพองโต ไม่ว่ายังไงผมต้องชนะให้ได้ เพื่อสิ่งที่ผมรอคอยมานาน...แต่ก่อนอื่น “จุ๊บ ขอมัดจำก่อนแล้วกัน” ผมขอขโมยจูบสักทีนึงก่อนแล้วกัน

“หึ คนฉวยโอกาส” ใบหน้าของเขาแดงก่ำ มันน่ารักมากๆเลย

เมื่อได้กำลังใจที่ผมต้องการผมก็ลุกขึ้นเตรียมประดาบกับสเปคเตอร์อีกครั้ง มาดูกันว่าอัศวินแห่งความตายกับอัศวินที่ต่อสู้เพื่อความรัก ใครจะแกร่งกว่ากัน

……………………………….

วื้ด

ร่างกายของผมปวดร้าวไปทั้งตัวเมื่อเสริมกำลังทั่วร่าง กล้ามเนื้อมัดที่ไม่ค่อยได้รับการฝึกจะปวดเป็นพิเศษ ผมเสริมพลังจนออร่าสีฟ้าปกคลุมทั้งตัว ต่อมาจึงเร่งพลังเวทย์ที่อัดเข้าไปเข้มข้นเป็นกระแสไฟฟ้า

“นั่นแหละดี เพิ่มพลังเข้าไปอีก” เสียงท่านพ่อสั่งผมในวัย 14 ปี

“ย๊ากกกก ผมจะไม่ไหวแล้ว” ความปวดตึงมันแสนสาหัสไปทั่วร่าง

“คงเสถียรภาพมันไว้ แบบนั้นแหละ แล้วเร่งไปอีก” เสียงทุ้มยังคงสั่งต่อ

“อ๊า” ผมคำรามลั่น ออร่าที่ปกคลุมตัวสลายไป ร่างกายของผมหมดเรี่ยวแรง หงายหลังลงไปนอนแผ่หลาบนพื้น นี่ขนาดแค่อัดพลังเข้าไปเฉยๆยังไม่ทันขยับเลยนะ ทำไมถึงได้ปวดร้าวขนาดนี้

“เห้อ” ชายหนุ่มถอนหายใจ ฟังแล้วรู้สึกเหมือนทำให้ท่านผิดหวังเลย “ครั้งแรก ได้ขนาดนี้ก็ดีแล้วล่ะ” ร่างสูงใหญ่ช้อนผมขึ้นไปแบกบนหลัง “ป่ะ ไปให้แม่เจ้ารักษากล้ามเนื้อบาดเจ็บ”

“เสริมกำลังทั่วร่างเป็นเทคนิคต้องห้ามไม่ใช่เหรอครับพ่อ” ผมถามอ้อมแอ้มขณะเอาแก้มทาบลงบนบ่ากว้าง...อุ่นดีจัง

“ใช่...แล้วลูกรู้ไหมทำไมถึงเป็นเทคนิคต้องห้าม” หนุ่มใหญ่ถามกลับ

“เพราะมันอาจทำให้ผู้ใช้ถึงตายได้ หรือต่อให้รอดก็จะเป็นภาระคนในทีมรึเปล่าครับ”

“ถูก...แล้วรู้ไหมทำไมถึงพ่อถึงให้ลูกฝึกไว้”

“...” ผมส่ายหน้า

“จริงอยู่ที่การใช้เทคนิคนี้อาจเหมือนการฆ่าตัวตาย แต่หากฝึกให้ร่างกายคุ้นชินได้บ้าง อย่างเช่น ฝึกแค่การอัดพลังเวทย์เข้าไปโดยไม่ขยับให้กล้ามเนื้อเสียหาย เมื่อถึงเวลาที่ลูกจำเป็นต้องใช้เทคนิคนี้จริงๆ ลูกจะมีโอกาสรอดสูงขึ้น” พ่อชูไม้ชูมือทำท่าอธิบายๆ แต่ผมก็ยังงงวัตถุประสงค์อยู่ดี

“แล้วเวลาไหนล่ะครับ”

ชายหนุ่มยกมือขึ้นมาลูบหัวผมเบาๆ “ยามที่จะต้องปกป้องคนสำคัญ”

“แต่อัศวินที่ดีต้องปกป้องทุกคนให้ได้นี่ครับ” ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี เราต้องปกป้องทุกคนเพราะทุกชีวิตนั้นสำคัญไม่ใช่เหรอ

“ฮ่าๆๆ เด็กน้อย ไว้ลูกเจอคนที่สำคัญจริงๆแล้วลูกจะเข้าใจเอง”

..................................

ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วล่ะครับ...ท่านพ่อ

เข้าใจแล้วว่าเพื่อคนสำคัญแล้ว...ต่อให้ต้องสละชีวิตเพื่อปกป้อง ผมก็ยินยอม

แต่ไม่ว่ายังไงครั้งนี้ผมจะไม่ยอมตายเด็ดขาด...เพราะผมต้องกลับไปทวงรางวัลของผมให้ได้

วื้ดดด...

ออร่าสีฟ้าก่อตัวจากแขนและขาแล้วลามไปทั่วร่าง พลังเวทย์ในกายถูกอัดเข้ากล้ามเนื้อทุกมัด พลังค่อยๆเข้มข้นขึ้นจนเป็นสายพลังงานราวกับกระแสไฟฟ้าแล่นไปทั่วร่าง ผมรู้สึกร้อน

ทว่าผมไม่หยุดแค่นั้น...ยังคงถูกอัดพลังลงไปอย่างต่อเนื่อง กระแสไฟฟ้าจุดประกายเป็นเปลวเพลิงสีฟ้าปกคลุมไปทั้งกาย มันก่อตัวเป็นรูปราชสีห์เข้าซ้อนทับร่างของผมไว้ ไฟสีฟ้าหนาแน่นที่รอบคอโบกสะบัดไปมาเหมือนแผงคอของสิงโต

สองตาจับจ้องกับดวงแสงสีแดงในหมวกเหล็กของอัศวินตรงหน้า สองมือกระชับดาบแน่น...

“ย๊ากกก” ผมคำรามเมื่อพุ่งเข้าปะทะ

แคร้ง!!!

เสียงโลหะกระทบกันดังสนั่นเมื่อดาบสองเล่มประสานกัน ดาบของผมนิ่งสนิทราวกับภูผาที่ไม่สามารถเคลื่อนไปไหนได้ ผิดกับปลายดาบของสเปคเตอร์ที่สั่นระริก

ได้ผล พละกำลังของผมเทียบเท่า...ไม่สิ เหนือกว่าศัตรูแล้ว ผมสามารถรับดาบของอีกฝ่ายได้สบายๆต่างจากครั้งแรกที่ดาบแทบจะกระเด็นหลุดมือ...ผมสู้มันได้แน่

แกร๊ง ๆ ๆ

ต่างฝ่ายต่างร่ายรำคมดาบเข้าหากันเพื่อไล่ต้อนหาช่องว่างจากความผิดพลาดของศัตรู ผลัดกันรุกผลัดกันรับอย่างสูสี แต่ไม่นานผมก็เริ่มอ่านฝีดาบของอีกฝ่ายออก มันรวดเร็ว รุนแรงและเปี่ยมไปด้วยความดิบเถื่อน

ยามดาบสองเล่มประสานกัน ผมพลิกดาบด้วยท่วงท่าอ่อนช้อนส่งดาบของศัตรูหลุดมือไปได้ในที่สุดและไม่รอช้า ตะวัดคมดาบตัดผ่านร่างอัศวินตรงหน้าทันที

ฉัวะ !!!

“อูว์” สเปคเตอร์ร้องกังวาน ผงะถอยหลังไปพร้อมเอามือกอบกุมรอยบากขนาดใหญ่บนเกราะของมัน เปลวไฟสีแดงโพยพุ่งออกมาราวกับโลหิต ดวงแสงสีแดงในหมวกเหล็กสว่างใหญ่ขึ้น

“...” ผมยังคงจับจ้องศัตรูตรงหน้าด้วยความสงบนิ่ง...นี่มันเร็วเกินไปที่จะหวังถึงชัยชนะ ศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือความประมาทของตนเอง ถึงจะทำให้มันบาดเจ็บได้แต่บาดแผลก็ยังไม่ลึกพอที่จะฆ่ามันได้

อัศวินตรงหน้าคว้าเคียวด้ามยาวออกมาจากหลัง

“โหะ ๆ ๆ” เสียงหัวเราะของอัศวินแห่งความตายทำให้ผมแปลกใจ นี่มันกำลังสนุกที่ได้ต่อสู้สินะ

“ข้าจะเป็นคู่ต่อสู้รับความเคียดแค้นของท่าน และส่งท่านไปสู่สุขติเอง” ผมกระชับดาบในมือมั่นเตรียมต่อสู้อีกครั้ง

เราสองเข้าปะทะกันอีกครั้ง ครั้งนี้ศัตรูได้เปรียบเรื่องระยะเพราะความยาวของอาวุธทำให้ผมต้องเป็นฝ่ายตั้งรับ แรงโจมตีของศัตรูไม่ตกเลยแม้แต่น้อย ผิดกับผมที่เริ่มปวดไปทั้งตัวแล้ว ถ้ายืดเยื้อมีแต่ผมจะเสียเปรียบ ผมตัดสินใจอัดพลังทั้งหมดไปที่ขาแล้วทะยานตัวเข้าประชิดในทีเดียว คู่ต่อสู้ตะวัดเคียวเป็นแนวนอนเข้าสกัด

ฟ้าว !!!

ผมบิดตัวควงสว่านกลางอากาศหลบวิถีเคียวไปได้อย่างฉิวเฉียด ตะวัดดาบฟันด้ามเคียวให้ขาดออกจากกันพร้อมทั้งฝากรอยแผลลึกอีกแผลบนเกราะของศัตรูทับกับรอยเดิมเป็นรูปกากบาท

ฉัวะ

“อู้ว์”

ผมไม่เปิดจังหวะว่าง ทันทีที่เท้าแตะพื้นก็ถอยฉากออกไปคว้าคมเคียวที่ลอยตกลงมา อัดพลังไปที่แขนเพื่อขว้างมันกลับไปหาเจ้าของ

ฉึก

“โอ้วววว” ปลายแหลมของเคียวปักเข้าบ่าซ้ายของศัตรูไปเกือบครึ่งด้าม เปลวเพลิงไหลรินออกมาตามบาดแผล เข่าข้างหนึ่งทรุดลงไปชันที่พื้น

“หึ ๆ ๆ” เสียงหัวเราะของสเปคเตอร์ดังขึ้นอีกครั้ง มันดึงคมเคียวออกอย่างง่ายดายแล้วโยนออกไปอย่างไม่ยี่หระ ทรงตัวขึ้นยืนพร้อมคว้าอาวุธชิ้นสุดท้ายที่หลังของมัน ดาบเล่มยักษ์ขนาดเกือบเท่ามนุษย์

เปรี้ยะๆ

“อึก” ความเจ็บปวดไหลร้าวไปทั้งร่างจนผมต้องกัดกรามแน่นเพื่อระงับเสียงของตนไว้

แบบนี้ไม่ดีแน่...ผมใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว

“เอาไงเอากัน” ผมรวบรวมแรงหยาดสุดท้ายพุ่งเข้าหาก่อนที่อีกฝ่ายจะตั้งท่าได้ ดาบเล่มขนาดนั้นยังไงก็เคลื่อนไหวลำบากแน่ๆ ต้องใช้ความเร็วที่เหนือกว่าเข้าประชิดแล้วล้มมันในดาบเดียวเท่านั้น

ครึกๆ

ขณะวิ่งผมรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนจากพื้นใต้เท้า...ผมฉุกคิดบางอย่างได้...แบบนี้นี่เอง

“ขอบใจนะรอส” ไม่ว่ายังไงผมก็คงต้องพึ่งเขาเพื่อเอาชนะมอนสเตอร์อยู่สินะ

“ย๊าก” ผมแผดเสียงพร้อมพุ่งเข้าหา รวบรวมแรงทั้งหมดไว้ที่แขน ง้างดาบออกเพื่อหวังสังหารโดยไม่คิดปัดป้องใดๆ
สเปคเตอร์ยกดาบขึ้นเหนือหัวเตรียมฟาดลงมา

ทันใดนั้น...

พรืดดด

พื้นดินใต้เท้าของมันผุดขึ้นมาแล้วเคลื่อนขาให้แยกออกจากกัน เมื่อไร้ซึ่งฐานที่สมดุลมันก็เสียการทรงตัวทำท่าจะล้ม เปิดโอกาสให้ผมเข้าถึงตัวอย่างง่ายดาย

ฉัวะ

คมดาบสีเงินของโอทห์คีปเปอร์พุ่งตัดผ่านเอวลากยาวไปจนถึงหัวไหล่ ร่างของอัศวินแห่งความตายขาดออกจากกัน

“อู้ว์” เสียงโหยหวงสุดท้ายของมันดังก้องก่อนที่ทุกอย่างจะสงบลง ดวงแสงสีแดงในหมวกเหล็กดับไปในที่สุด

“สำเร็จ” ผมพึมพำอย่างล่องลอย สองขาก้าวเดินไปตามแรงเฉื่อยเลยกองกระดูกและเศษเหล็ก ก่อนจะหยุดยืนนิ่งได้ เปลวเพลิงสีฟ้าที่ครอบคลุมตัวมอดดับไป ร่างกายและดาบในมือหนักอึ้งจนต้องค่อยๆปล่อยหลุดออกจากมือ ผมปล่อยให้ร่างคนตนเองหงายล้มลงไป

ขณะที่กำลังร่วงหล่นลงไปนั่นเองผมก็รู้สึกถึงบางอย่างอ่อนนุ่มมารับตัวผมไว้ไม่ให้กระแทกไปที่พื้น เหลือบตาที่เกือบจะปิดไปก็เห็นเป็นพื้นดินอ่อนนุ่มนูนตัวขึ้นมารับไว้ มันค่อยๆหดลงเพื่อพาร่างผมนอน ไม่ช้าผมก็รู้สึกได้ถึงวงแขนของใครบางคนมาโอบใต้ข้อพับแขนไว้

“โอย หนักจริงๆ” เสียงใสบ่นทันทีที่วางผมนอนลงที่ตัก มือข้างหนึ่งลูบเส้นผมสีดำของผมเบาๆ อีกข้างโอบรอบคอไว้…อบอุ่นเหลือเกิน

“ชนะแล้วนะ” ผมส่งยิ้มให้เจ้าของตักที่ผมหนุนนอน แม้เปลือกตาของผมหนักอึ้งจนจะปิดอยู่แล้วผมก็ฝืนจ้องมองดวงตาสีน้ำตาลแดงคู่นั้นเพื่อทวงหารางวัล

“ไม่ลืมหรอกน่า อะแฮ่ม” รอสหน้าแดงจัด แดงยิ่งกว่าตอนเรามีอะไรกันเสียอีก...ฮ่าๆ อยากจะยกมือขึ้นไปหยิกแก้มจริงๆ

“ข้า...ออกจากบ้านมาเพื่อเดินทางออกตามหาความอบอุ่นที่สูญเสียไป ข้าตามหามันมาตลอด...หวังที่จะไขว่คว้ามันไว้แม้ว่าจะต้องแลกด้วยร่างกาย...” เขากระชับกอดผมแน่นขึ้น

“แต่แล้วข้าก็พบแต่ความผิดหวัง ยิ่งเดินทางไปก็ยิ่งเจ็บปวดจนเกือบจะคิดว่าตัวข้าเองคงไม่เหมาะที่จะได้รับความอบอุ่นจากใคร” ดวงตากลมโตของเขาเริ่มแดงพร้อมหยาดใสๆ

“ทว่าวันนี้การเดินทางของข้าสิ้นสุดลงแล้ว ข้าได้พบกับคนที่พร้อมจะมอบความอบอุ่นนั้นให้ข้าแล้ว”

“รอส...” หัวใจของผมพองโตจนแทบจะระเบิดออกมา...ผมกำลังจะได้รับสิ่งที่ผมรอคอยแล้ว

“วันนี้ข้าขอมอบทั้งร่างกายและ ไม่สิ...เจ้าได้ร่างกายข้าไปแล้วนี่หน่า ฮ่าๆ” หยาดน้ำตาไหลรินลงมาจากดวงตาสวยคู่นั้น ผมอยากจะยกมือขึ้นไปเช็ดให้จัง

“ข้าขอมอบหัวใจของข้าให้กับเจ้า”

“เร็กซัส...ข้า...รักเจ้า” รอสก้มลงมาจุมพิตกลางกระหม่อม ผมสัมผัสได้ถึงหยดน้ำอุ่นๆ 2-3 หยด หล่นลงมาที่ใบหน้า

“หึหึ ต่อให้ต้องนอนปวดไปทั้งตัวไปเป็นเดือนๆเท่านี้ก็คุ้มแล้วล่ะ” ผมเค้นเสียงออกมาก่อนจะค่อยๆปิดตาลงด้วยความเหนื่อยล้า ดำดิ่งลงสู่ห้วงนิทราในอ้อมแขนของคนที่ผมรัก และรักผม

.........................
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 32 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 28-10-2018 23:20:30
ว้ายยยย เค้าบอกรักกันค่ะ เขิลลลลลลลล :-[ ฉากมีความรักมาตอนยังงี้ ไม่มช่ว่าฉากหน้าตัดฉับเข้าบทโศกนะ :ruready
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 32 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 28-10-2018 23:38:42
 :o8: บอกรักกันได้เสียที
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 32 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 28-10-2018 23:39:49
 :mc4: o13 :mc4:


 :man1:


 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 32 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 28-10-2018 23:43:18
โฮฮฮฮฮฮ กว่าบักรอสจะบอกรักเจ้าลูกสิงห์โด้ แทบต้องแลกมาด้วยชีวิต
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Chapter 32 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 29-10-2018 02:23:43
 :mew1: :mew1: :impress2: :impress2: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Talk+ spoil Ch.33)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 30-10-2018 17:51:08
ว้ายยยย เค้าบอกรักกันค่ะ เขิลลลลลลลล :-[ ฉากมีความรักมาตอนยังงี้ ไม่มช่ว่าฉากหน้าตัดฉับเข้าบทโศกนะ :ruready

เรื่องนี้หวานกันหน้าบอสตลอด 555

:o8: บอกรักกันได้เสียที

คุณอัศวินตื้อจนต้องยอม

โฮฮฮฮฮฮ กว่าบักรอสจะบอกรักเจ้าลูกสิงห์โด้ แทบต้องแลกมาด้วยชีวิต

ถือว่าเจ๊ากันละกัน กว่าตาเร็กซ์จะเลือกได้บักรอสก็ปางตาย 555

...............................

เรื่องราวเหลือหลักๆอีก 4-5 ประเด็นแล้ว ไม่แน่ใจจะเขียนได้ในกี่บทนะครับ น่าจะ 5-6 ตอน

เดินทางมาด้วยกันจนใกล้จะจบแล้ว ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามครับ

...............................

Spoil Chapter 33 Simple and clean
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

“โอห์” เสียงโหยหวนดังขึ้นอีกครั้ง

“ยังไม่ตายอีกสินะ”

“ถึงตาข้าปกป้องเจ้าบ้างแล้วล่ะ”

“บทแห่งแสง Sabre of light”

เสียงฝีเท้าของสัตว์ดังขึ้น แรพเตอร์สีขาวพาร่างชายหนุ่มคนหนึ่งกระโดดข้ามหัวผมไปขั้นกลางไว้ระหว่างผมกับสเปคเตอร์ ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนกระโดดลงจากหลัง เขาอยู่ในชุดนักบวชสีขาวขลิบทอง กลางหลังมีรูปไม้กางเขนสีทอง บ่งบอกถึงยศระดับสูง

เจ้าแรพเตอร์ม้วนตัวกลับมาหาผม มันพุ่งเข้ามาประชิดตัว สอดหัวเข้ามาใต้แขนเพื่อช่วยพยุง โอบหางมาคล้องเอวเพื่อปกป้อง ดวงตาสีอำพันจับจ้องประสานกับผม

“แกคือ...อัลบิโน (Albino)” ความรู้สึกคุ้นเคยบางอย่างทำให้ผมเอ่ยชื่อนี้ขึ้นมา มันผงกหัวรับ แรพเตอร์เผือกหายากแบบนี้มีอยู่ไม่กี่ตัว งั้นก็แสดงว่า...คนตรงหน้าคือ...

“พี่วาเรน”

“ไงเจ้าตัวแสบ คิดถึงพี่บ้างไหม” ชายตรงหน้าหันมายกยิ้มกวนๆทักทาย

...............................

ปล. อารมณ์ตอนถัดไปคืออารมณ์เวลาฟังเพลงที่ชื่อเดียวกับตอนครับ
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Talk+Spoil Ch.33)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 30-10-2018 20:31:29
อยากอ่านต่อแล้วววว  :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Talk+Spoil Ch.33)
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 31-10-2018 13:14:58
สนุกกกกกกก ใกล้จะเจอท่านพี่แล้วววว
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Talk+Spoil Ch.33)
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 31-10-2018 13:18:55
เห็นชื่อตอนแล้วนึกถึง mv แม่อูทาดะล้างจานไปร้องเพลงไป
เอ๊ะ เราพูดถึงเพลงเดียวกันใช่ไหม 55555
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.33 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 31-10-2018 15:55:44
Chapter 33 Simple and clean

เร็กซ์หลับไปแล้ว ดวงตาเขาปิดสนิท หน้าอกกระเพื่อมเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เขาคงต้องเหนื่อยมากแน่ๆถึงได้หลับลึกลงไปอย่างรวดเร็ว

ผมเอามือลูบเส้นผมสีดำที่ชุ่มเหงื่ออย่างทะนุถนอม ร่างกายของเขาร้อนมาก ร้อนกว่าเมื่อคืนเสียอีก

- ข้าจะเรียกตนเองว่าอัศวินได้ยังไง...ถ้าข้าปกป้องคนที่ข้ารักไม่ได้ –

เร็กซ์เอ่ยคำว่ารักมามากมายหลายครั้งแล้ว แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่ตราตรึงเท่าครั้งนี้ มันฟาดมากลางใจเมื่อสายฟ้า หัวใจของผมพองโตยิ่งกว่าครั้งไหนๆ แม้จะอยู่ในช่วงวิกฤติแต่ในหัวผมกลับโล่ง ปลอดโปล่ง เบาหวิวเหมือนลอยได้ มันอิ่มเอมใจอย่างที่เคยเป็นมาก่อน...

และมันก็ทำให้ผมกล้าที่จะบอกเขา...

กล้าที่จะรักเขา...

แม้ว่าผมจะกลัวที่จะต้องผิดหวัง แต่วินาทีนั้นผมก็มอบใจของผมให้เขาไปแล้ว...

และผมสัญญากับตนเองว่าผมจะดูแลเขาให้ดีที่สุด...

“โอห์” เสียงโหยหวนดังขึ้นอีกครั้ง ดวงตาของผมเบิกกว้างเมื่อเห็นครึ่งตัวท่อนบนของสเปคเตอร์ยันตัวลุกขึ้นมาอีกครั้ง เศษกระดูกที่กระจัดกระจายตามพื้นต่างกลิ้งเกลือกกลับไปหา เปลวไฟที่ดับมอดลุกไหม้ขึ้นมากรุ่นๆ ดวงแสงสีแดงในหมวกเหล็กสว่างขึ้นมาเป็นดวงเล็กๆ ผมสัมผัสได้ถึงความเคียดแค้นพุ่งตรงมาทางนี้

“ยังไม่ตายอีกสินะ” ผมค่อยๆวางศีรษะของคนรักลงไปนอนกับพื้น หาอะไรมาหนุนหัวเขาไว้ แล้วคว้าด้ามไม้ยาวๆที่ใช้ลากสังขารตนเองมาตรงนี้พยุงตัวลุกขึ้น

“พักผ่อนให้สบายนะเร็กซ์ เดี๋ยวข้าจัดการต่อเอง” ผมใช้ไม้เท้าพาตนเองเดินกะเผลกๆเข้าหาศัตรูที่พึ่งกลับมามีแขนครบสองข้างและกำลังก่อลำตัวช่วงล่างขึ้นมาใหม่

“ถึงตาข้าปกป้องเจ้าบ้างแล้วล่ะ” ผมพยุงร่างด้วยความยากลำบากเตรียมต่อสู้

“บทแห่งแสง Sabre of light” เสียงก้องดังขึ้นจากด้านหลัง

ฟ้าวๆ ฉึกๆ

ฉับพลันผมก็รู้สึกบางพุ่งผ่านข้างผมไป มันเป็นแท่งแสงเหมือนดาบสองเล่มพุ่งเข้าแทงอัศวินแห่งความตาย

ฟิ้วๆ ฉึกๆ

ดาบแสงอีกสองเล่มพุ่งข้ามหัวผมไป มันปักลงกลางอกของสเปคเตอร์แล้วแทงลงพื้นตรึงร่างนั้นไว้ไม่ให้ขยับไปไหน

“กรรร..อ๊า..” เสียงร้องโหยหวนดังกึกก้อง

จริงสิ...มันน่าจะเป็นประเภทอันเดด (Undead) ถ้าโดนธาตุแสงเข้าไปก็น่าจะเจ็บหนักอยู่

ตึกๆๆ ฟุบ ตึง

เสียงฝีเท้าของสัตว์ดังขึ้น แร็พเตอร์สีขาวพาร่างชายหนุ่มคนหนึ่งกระโดดข้ามหัวผมไปขั้นกลางไว้ระหว่างผมกับสเปคเตอร์ ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนกระโดดลงจากหลัง เขาอยู่ในชุดนักบวชสีขาวขลิบทอง กลางหลังมีรูปไม้กางเขนสีทอง บ่งบอกถึงยศระดับสูง

เจ้าแร็พเตอร์ม้วนตัวกลับมาหาผม มันพุ่งเข้ามาประชิดตัว สอดหัวเข้ามาใต้แขนเพื่อช่วยพยุง โอบหางมาคล้องเอวเพื่อปกป้อง ดวงตาสีอำพันจับจ้องประสานกับผม

“แกคือ...อัลบิโน (Albino)” ความรู้สึกคุ้นเคยบางอย่างทำให้ผมเอ่ยชื่อนี้ขึ้นมา มันผงกหัวรับ แร็พเตอร์เผือกหายากแบบนี้มีอยู่ไม่กี่ตัว งั้นก็แสดงว่า...คนตรงหน้าคือ...

“พี่วาเรน”

“ไงเจ้าตัวแสบ คิดถึงพี่บ้างไหม” ชายตรงหน้าหันมายกยิ้มกวนๆทักทาย

…………………………….

บ่ายของวันเดียวกัน

หลังจากที่พี่วาเรนใช้เวทมนต์ธาตุแสงชำระล้างให้สเปคเตอร์ไปสู่สุขติแล้ว ผมก็หน้ามืดหมดสติไป รู้ตัวอีกทีคือตอนตื่นขึ้นมาในห้องนอนห้องหนึ่ง ผมนอนอยู่บนเตียงนุ่มๆ ขาข้างขวาบวมเป่งถูกยกด้วยหมอน มีผ้าพันแผลชุบด้วยสมุนไพรพันอย่างลวกๆ

“อูย” พอจะขยับตัวลุกก็กระเทือนขาจนปวดไปหมด

แอ็ด...

เสียงประตูไม้เปิดออกเรียกสายตาของผมไปจับจ้องก็พบชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง ผมสีน้ำตาลอ่อน สวมแว่นกรอบดำ

“ฟื้นแล้วเหรอ เจ้าตัวแสบ” เสียงนุ่มทักทาย

“พี่วาเรน” ในหัวของผมมีคำถามมากมาย ทำไมพี่ถึงมาอยู่ที่นี่ได้ เจอกันแบบนี้แล้วจะถูกพากลับไปรึเปล่า เร็กซ์เป็นยังไงบ้าง ต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น

“นี่ไม่เจอกันตั้งนานจะเรียกแค่ชื่อเหรอไง” พี่รองว่าเสียงดุแล้วพุ่งเข้ามากอดรัดพร้อมเอามือยีหัว “แสบจริงๆเลยนะเรา”

“โอ้ยๆ พอแล้วพี่ โอ้ย...ขาผม” แรงกระเทือนจากการปลุกปล้ำทำให้ขาผมเจ็บไปหมดจนร้องเสียงหลง

“ฮ่าๆ โทษที ลืมตัวไปหน่อย มาเดี๋ยวพี่รักษาให้” วาเรนดึงเก้าอี้มานั่งข้างเตียง ประสานสองมือไว้ที่ขาบวมแดง

“บทแห่งแสง Heal” แสงอบอุ่นปลดปล่อยออกจากมือเรียว แสงนวลค่อยๆซึมเข้าไปที่ขาขวา ความเจ็บปวดค่อยๆหายไปพร้อมกับความโป่งนู่นที่ลดลง

“ทุกคนเป็นห่วงนะรู้ไหม” วาเรนเอ็ดระหว่างรักษาขาของผม

“ขอโทษครับพี่” ผมได้แต่หลุบตามองต่ำ

“ทำไม...ถึงต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้ ทำไมถึงต้องแกล้งทำเป็นตายแล้วทิ้งบ้านออกมา”

“ผม...” เสียงของผมขาดหายไป ไม่รู้จะเล่ายังไงดี แต่แล้วผมก็นึกบางอย่างขึ้นได้ “พี่วาเรน เร็กซ์ล่ะ เร็กซัสเป็นยังไงบ้าง” คนรักของผมอยู่ไหน

“พักอยู่อีกห้องนึง พี่รักษาให้ไปแล้ว” เขากล่าวเสียงนิ่ง “อย่าเพิ่งเปลี่ยนเรื่อง ตอบพี่มา” เขาลดมือลงจากขาของผมแล้วเลื่อนเก้าอีมานั่งที่หัวเตียง ส่งสายตาคาดคั้น

“เพราะว่า...บ้าน...มันไม่อบอุ่นอีกแล้ว ตั้งแต่แม่จากไปทุกอย่างก็เปลี่ยนไป พ่อเปลี่ยนไป แล้วพอพวกพี่จากไปอีก...ผมก็ไม่เหลือใคร พี่รู้ไหมมันเหงาแค่ไหน ทั้งๆที่เรา 3 คนอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันตลอด พอพี่ไป...ในวันเกิดของผมกลับต้องนั่งเป่าเค้กคนเดียว ไม่มีแม้แต่คำอวยพรของพี่ผ่านทางจดหมาย...บ้านมันว่างเปล่า” ผมพลั่งพรูความอึดอัดในใจออกมา

“แต่พี่วาเรเรี่ยนก็กลับเร็วกว่ากำหนดไปหาเจ้าแล้วนี่” พี่รองยกมือขึ้นลูบหัวผมเบาๆ

“พอกลับมาพี่ใหญ่ก็เปลี่ยนไป ผมคิดถึงพี่ใหญ่ที่มุทะลุ บ้าบิ่น และหัวร้อนแบบแต่ก่อน แต่พอเขากลับมาเขากลับเย็นชาแบบท่านพ่อ” เมื่อขาหายเจ็บผมก็งอมันขึ้นมาชิดอกแล้วกอดไว้

“ฮ่าๆ วารอส เจ้าเด็กน้อย” พี่รองส่ายหน้าเอือมระอาแล้วส่งยิ้มเอ็นดูให้ “พี่ใหญ่ต้องเป็นหัวหน้าตระกูลคนต่อไปนะ จะหัวร้อนเป็นเด็กตลอดได้ยังไง พวกเราทุกคนย่อมต้องโตขึ้นนะ วารอส”

“...”

“แต่จะบอกว่าพี่ใหญ่นิ่งสนิทแบบท่านพ่อเลยคงไม่ได้ เพราะ 1 สัปดาห์หลังรู้ว่าเจ้าตาย พี่ใหญ่ก็รวบรวมหินเวทย์ไฟมาเสริมพลังแล้วระเบิดบึงนั่นไปพร้อมๆกับเจ้าแห่งบึงจนไม่เหลือแม้แต่ซาก”

“...!!!” เมื่อได้ยินผมก็ตะลึงจนพูดไม่ออก หัวร้อนสมกับเป็นพี่วาเรเรี่ยนจริงๆ ต้องขอโทษคุณเจ้าแห่งบึงด้วยนะครับที่นำปัญหาไปให้

“ส่วนเรื่องท่านพ่อมันออกจะซับซ้อนสักหน่อย เดี๋ยวค่อยไปเล่าที่บ้านก็แล้วกัน”

“บ้าน!!!” ใจผมกระตุก

“ใช่...พี่มารับเรากลับบ้าน” คำตอบของเขาทำให้ผมต้องรีบส่ายหน้า

“ผมรักชีวิตอิสระแบบนี้ ผมไม่อยากกลับไปในกรอบที่ถูกตระกูลกำหนดทุกอย่าง” ร่างผมผงะออกห่างโดยไม่รู้ตัวจนพี่รองต้องมาคว้าไหล่ไว้

“เห้อ...ว่าแล้วเชียว คิดถูกจริงๆที่มารักษาเป็นคนสุดท้าย ไม่งั้นคงโดดหนีไปแล้ว” เขาถอนหายใจเหนื่อยหน่าย “วารอส พวกเราคือเดรโกนัสนะ ตระกูลจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ พลังที่ยิ่งใหญ่มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่”

“นั่นมันคติของตระกูลแมงมุมรึเปล่าพี่”

“ก็คือกันนั่นแหละ” วาเรนส่ายหน้า “กลับเถอะนะน้องรัก กลับมาเป็นครอบครัวเหมือนแต่ก่อน” ดวงตาสีน้ำตาลใต้กรอบแว่นส่งความวิงวอน

“ผม...” ถึงพี่จะร้องขอขนาดนั้นผมก็ไม่อยากจะกลับ ผมรักการผจญภัยแบบนี้ ไหนจะเรื่องเร็กซ์อีก ขืนผมกลับไปผมก็ไม่ได้อยู่กับเขาสิ

“เห้อ…ขอร้องล่ะวารอส ยอมกลับดีๆเถอะ” เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทำคอตกเมื่อผมไม่ยอมร่วมมือ “เจ้ากับเร็กซัสดูสนิมสนมกันนะ”

“เราช่วยเหลือกันมาเยอะเลยสนิทกัน” เรื่องวันนี้เยอะพอแล้ว ผมยังไม่พร้อมเปิดเผยความสัมพันธ์และรสนิยมของผมให้เขาฟัง
“หนีออกจากบ้านก็เรื่องนึง แต่ช่วยอีกบ้านทำเควสคัดเลือกรัชทายาทนี่ไม่เบาเลยนะ” วาเรนกอดอกทำสีหน้าจริงจัง

“ผมไม่สนใจเรื่องตระกูล ผมทำในสิ่งที่อยากจะทำ” ผมตอบกลับไปเสียงแข็ง แม้ว่าเริ่มแรกไม่ได้กะจะช่วยก็เถอะ “เร็กซ์มีบุญคุณกับผม” และเป็นคนที่ผมรัก

“ลูกชายบ้านราชสีห์นี่ช่างเป็นคนดีจริงๆ น่าเสียดายที่คงไม่ได้ไปส่งเควส”

!!!

“พี่หมายความว่ายังไง” ผมผุดลุกผุดนั่งด้วยความตื่นตระหนก “พี่รักษาอาการบาดเจ็บให้เขาแล้วไม่ใช่เหรอ”

“นั่นก็ใช่ แต่...” นักบวชตรงหน้ายกยิ้มเจ้าเล่ห์

“แต่...”

“พี่รักษาแล้วก็จริง แต่กว่าจะลุกเดินได้คงอีกเดือน”

“ด...ได้ยังไง พี่มีลักษณ์แห่งแสงที่แกร่งด้านเวทย์เยียวยานะ ทำไมถึงรักษาเขาให้หายเป็นปกติไม่ได้”

สัญลักษณ์ชำนาญการของพี่วาเรนคือแสง เป็นธาตุที่หายาก ทรงอานุภาพทั้งโจมตี ป้องกัน และรักษา เป็นเวทที่ฝึกยากมากถ้าไม่ใช่คนลักษณ์นี้ พลังรักษาระหว่างคนมีและไม่มีลักษณ์นี้ต่างกันหลายเท่า

“เพราะว่าพี่ไม่อยากให้เขากลับไปส่งเควส” แววตาที่อ่อนโยนกลับกลายเป็นแววตาน่ารังเกียจ มันเจ้าเล่ห์เหมือนงูพิษ “เพื่อให้พี่วาเรเรี่ยนมีโอกาสมากขึ้นเราต้องตัดคู่แข่งลง”

“พี่อย่าพูดอะไรบ้าๆนะ พี่เป็นนักบวชตัวแทนแห่งแสงและความดีงาม พี่จะทำอะไรแบบนี้ไม่ได้นะ” ผมแผดเสียงด้วยความโกรธ “พี่จะเล่นสกปรกแบบนี้ไม่ได้”

“เพื่อตระกูลไงน้องพี่ ถึงแม้ว่าบ้านทั้งสี่จะเป็นมิตรกัน แต่พวกเราก็เป็นคู่แข่งกัน หากช่วงชิงความได้เปรียบได้ก็ต้องรีบคว้าไว้” เขาอธิบายด้วยเสียงเรียบ

“...” ผมกดเม้มปากด้วยความแค้น ทำไมพี่ชายผู้แสนดีของผมถึงได้เป็นแบบนี้ได้

“แต่พี่มีข้อเสนอให้เราเลือก” วาเรนยกยิ้มเจ้าเล่ห์อีกครั้ง “อันที่จริงพี่จับเรากลับไปก็ได้ แต่ในบรรดาสามพี่น้อง เราน่ะชอบเล่นตุกติก นอกกรอบที่สุด พี่ไม่อยากปวดหัว พี่ยอมประนีประนอม”

“...!!!”

“ถ้าเรายอมกลับไปกับพี่ดีๆ พี่จะยอมรักษาให้เขาหายดี...ให้เดินเหินได้ในวันสองวันเลย เอ้า...สนใจไหม”

“...” ผมก้มหน้าก้มตาประมวลผลในหัวอย่างหนัก รู้สึกได้ถึงเล็บที่จิกลงฝ่ามือเพราะกำแน่นมากด้วยความโกรธ

ถ้าต้องกลับไปแล้วอาจจะไม่ได้เจอคนรักอีกสู้หนีไปแล้วหาโอกาสมาพบกันอีกไม่ดีกว่าเหรอ ดีเสียอีก...ถ้าเร็กซ์กลับไปส่งเควสไม่ได้ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกเลือก รีบหนีไปตอนนี้แล้วค่อยกลับมาตอนเขาหายดีก็ได้

ถุงมือเวทย์ก็ยังอยู่ในมือ ต่อให้พี่วาเรนแกร่งแค่ไหนแต่ถ้าเรื่องหลบหนีโดยไม่ปะทะผมว่าผมน่าจะเหนือกว่า ยิ่งพี่พึ่งใช้พลังเวทย์รักษาบาดแผลมาด้วยเขาน่าจะเหน็ดเหนื่อยอยู่

“จะทำอะไรก็คิดดีๆนะวารอส” พี่วาเรนเปิดปากเมื่อสัมผัสได้ถึงความเคร่งเครียด “บาดเจ็บกระดูกร้าวทั้งตัวขนาดนั้น ต่อให้หายเองได้แต่ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ดีอาจจะจับดาบไม่ได้อีกเลยนะ”

“...!!!” ดวงตาผมเบิกกว้าง มือค่อยๆคลายออก คำเตือนของพี่เปลี่ยนทุกอย่าง

เร็กซ์เป็นอัศวิน...เป็นนักรบ ต่อให้เขายอมทิ้งทุกอย่างเพื่อผมแล้วก็จริง แต่นักรบที่ไม่อาจจับดาบต่อสู้ได้อีก...มันไม่ต่างจากตายทั้งเป็น ผมรู้เพราะผมเดินทางมาหลายที่แล้วและหลายครั้งผมก็ได้พบกับนักรบเหล่านี้นั่งหมดอาลัยตายอยาก เฝ้าเพ้อถึงวันวานที่ยังสู้รบได้ ต่อให้ผมอยากอยู่กับเขามากขนาดไหน ผมไม่สามารถที่จะให้เขาตกอยู่ในสภาพนั้นด้วยความเห็นแก่ตัวของผม

“ตกลง” ผมตอบกลับไปอย่างขมขื่น “ถ้าพี่รักษาให้เขาหายดี ผมจะยอมกลับบ้านโดยดี” ผมก้มหน้าก้มตายอมรับชะตา สิ้นสุดแล้วสินะชีวิตผจญภัยของผม

“ตัดสินใจได้ดี เจ้าเลือกประโยชน์เพื่อนมากกว่าตนเอง” พี่วาเรนยกมือขึ้นมาลูบหัวผมเบาๆ “เจ้าเติบโตขึ้นมาก วารอส พี่ภูมิใจในตัวเรานะ”

“...” ผมได้แต่นั่งนิ่งทั้งๆที่อยากจะสะบัดมือที่น่ารังเกียจนั้นออก คนเราเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้เลยเหรอ

“ไปหาเพื่อนเจ้าสิ เร็กซัสหลับอยู่ในบ้านหลังถัดไปทางซ้าย” พี่รองลุกขึ้นยืนทำท่าบิดขี้เกียจ

“ม..หมายความว่ายังไง” ผมตกตะลึง ไหนบอกว่าจะรักษาให้ไง

“นี่คิดว่าหน้าพี่อิดโรยแบบนี้เพราะอะไรล่ะ รักษากระดูกร้าวกับกล้ามเนื้อฉีกขาดทั่วร่างไม่ใช่เรื่องง่ายนะ พี่สมานมันไว้หมดแล้ว พักฟื้นสักวันนึงเขาก็เดินได้แล้ว” เขาผายมือออกสองข้างทำท่าราวกับเปิดเผยสิ่งที่ซ่อนออกแล้วยกยิ้มกวนบาทาใส่

“น...นี่พี่หลอกผมเหรอ” รู้สึกได้เลยว่าหน้าผมแดงร้อน ทั้งโกรธ ทั้งอาย โดนเข้าแล้วไง...โดนเจ้าพี่บ้านี่หลอกเหมือนแต่ก่อนเลย

“ฮ่า ๆ ก็อย่างที่เราว่า พี่เป็นตัวแทนแห่งแสงและความดีงาม พี่ไม่เอาชีวิตคนมาเล่นหรอกนะ” วาเรนพลิกตัวลงมานอนข้างๆผม ทำหน้าง่วงแบบสุดๆ “ไปได้แล้ว พี่จะพักบ้าง อย่าลืมที่ตกลงกันนะ พี่จะเปิดอุโมงค์มิติกลับตอนฟ้าสาง”

“อึก” หนอยยยยย เจ้าพี่บ้านี่ แกล้งผมเหมือนแต่ก่อนเป๊ะเลย พี่วาเรนไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ

..........................................
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.33 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 01-11-2018 01:27:15
 :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.33 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 01-11-2018 09:37:47
ว้ายยยยย ท่านพี่ ชอบคาแรคเตอร์จังค่ะ :-[
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.33 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 01-11-2018 10:59:58
ความจริงเริ่มเปิดเผย จะได้เจอท่านพี่วาเรี่ยนกับท่านพ่อแล้วสินะ
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.33 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 01-11-2018 11:59:42
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Talk+Spoil Ch.33)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 01-11-2018 14:08:07
อยากอ่านต่อแล้วววว  :katai4: :katai4:

อดทนอีกนิดน้า

สนุกกกกกกก ใกล้จะเจอท่านพี่แล้วววว

พี่รองโผล่มาก็บทโหดเลย 555

ความจริงเริ่มเปิดเผย จะได้เจอท่านพี่วาเรี่ยนกับท่านพ่อแล้วสินะ

ปมคนกับคนนี่แหละยากสุด แต่งก็ยาก 555

เห็นชื่อตอนแล้วนึกถึง mv แม่อูทาดะล้างจานไปร้องเพลงไป
เอ๊ะ เราพูดถึงเพลงเดียวกันใช่ไหม 55555

ถูกต้องนะคร้าบบบบ
แฟน Kingdom heart เหมือนกันสินะครับ
นี่ก็คิดอยู่ว่าจะใส่ Sanctuary ของ KH 2 กับ Don't think twice ของ KH3 เป็นชื่อตอนได้บ้างรึเปล่า

ว้ายยยยย ท่านพี่ ชอบคาแรคเตอร์จังค่ะ :-[

นี่คือเจ้าเล่ห์สุดที่คิดได้ละ โดยส่วนตัวคนแต่งเป็นคนตรงๆ เข้าไม่ค่อยถึงบทเท่าไหร่
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.33 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 01-11-2018 15:55:08
33.2

ผมหยุดยืนตรงปลายเตียงที่คนรักของผมนอนอยู่ เร็กซ์ยังคงหลับสนิท สีหน้าของเขาดูดีขึ้นมากแต่ยังคงมอมแมมอยู่ ผมเดินไปขอน้ำกับผ้าสะอาดมาเช็ดตัวให้ อย่างน้อยผมก็ควรจะดูแลเขาอย่างที่สัญญาไว้

“ข้าจะบอกเจ้ายังไงดีนะ” ผมพึมพำเบาๆขณะลูบผ้าเปียกเช็ดใบหน้าของเขา นิ้วมือลูบไล้ริมฝีปากคู่นั้นที่เคยประทับจูบ “ข้าต้องคิดถึงจูบห่วยๆของเจ้าแน่ๆ”

เลิกผ้าห่มออก ยกตัวเขาขึ้นด้วยความยากลำบากเพื่อถอดเสื้อออกแล้วเช็ดลำตัวของเขา มองเห็นรอยแดงที่ผมทิ้งไว้บนแผ่นอกหนาของเขาตั้งแต่เมื่อคืน

“ข้าจะได้นอนซุกอกของเจ้าอีกไหมนะ” อ้อมกอดของเขามันช่างอบอุ่น มันคือความอบอุ่นที่ผมโหยหามาตลอด พึ่งจะได้เป็นเจ้าของเมื่อไม่กี่วันแท้ๆ...อีกไม่นานผมก็ต้องจากมันไปเสียแล้ว

“ข้าจะได้พบเจ้าอีกไหมนะ” ผมยกมือเขาขึ้นกอบกุมและบีบไว้แน่น จูบเบาๆที่หลังฝ่ามือของเขา

“ต้องได้เจอสิเมืองของเราห่างกันไม่ถึงวันนี่เนอะ” ผมพยายามปลอบใจตนเอง เป็นครั้งแรกที่ผมกลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตมากเพราะผมไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้ว่าต่อจากนี้จะเป็นยังไง ไม่รู้ว่าจะพบอะไร ไม่รู้ว่าจะไปลงเอยที่ไหน

ผมดึงผ้าห่มขึ้นห่มร่างหนาแล้วปีนขึ้นเตียงไปนอนข้างๆ ตะแคงเพ่งพิจารณาใบหน้าของเขา เก็บรายละเอียดจดจำไว้ให้ได้มากที่สุด

พลัน...น้ำตาก็ไหลออกมา กี่ครั้งแล้วที่ผมบอกคนอื่นๆลอยๆไปว่าหวังว่าจะได้พบกันอีกโดยไม่คิดอะไร แต่ครั้งนี้มันแตกต่าง...ผมไม่อยากจากเขาไปเลย

ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมเจ็บปวดจากความรักที่ไม่สมหวัง ทั้งจากอาจารย์และจากโจรร้าย ผมสร้างเกราะคุ้มกันตนเองจากความเจ็บปวดเหล่านั้น เซ็กซ์ไม่เคยมีความหมายใดๆกับผมเลยตราบใดที่ผมไม่ได้ให้ใจไป ทว่าครั้งนี้มันแตกต่าง เร็กซ์ทลายกำแพงของผมออกแล้วรับหัวใจของผมไปแล้ว ผมหวาดกลัวความไม่แน่นอน กลัวว่าจะไม่ได้พบเขาอีก ผมจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่เปราะบางขนาดนี้มันเมื่อไหร่ ผมกลัวไปหมดทุกอย่าง

“ข้ารักเจ้าจริงๆนะ” ผมเอ่ยเบาๆแล้วเอาหัวไปซุกแนบบนอกของเขาเพื่อฟังเสียงหัวใจแทนเพลงกล่อมนอนก่อนจะหลับไปในที่สุด...

“รอส”

และตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อคนข้างกายขยับตัว

“เร็กซ์ เจ้าฟื้นแล้ว” ผมโผกอดอัศวินหนุ่มตรงหน้าด้วยความดีใจ แขนแกร่งโอบรัดกลับมาอย่างรวดเร็ว ผมจูบเขา

“อ๊ะ” เขาส่งเสียงแปลกใจ “ทำไมถึงขยับได้ ข้าควรขยับไม่ได้เลยนี่หน่า แถมไม่ค่อยปวดด้วย”

“วาเรนรักษาให้แล้ว” ผมว่าพลางมองออกไปนอกหน้าต่างพบแต่ความมืด มีแต่แสงจันทร์ส่องเข้ามาให้เห็นเขาลางๆ ผมลุกไปจุดเทียนไขเพื่อให้ห้องสว่างขึ้น

“วาเรน ? วาเรนแห่งแสง วาเรน เดรโกนัสน่ะเหรอ โอ้ย” เขาขยับตัวลุกด้วยความตกใจจนใบหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด ดูท่าร่างกายของเขายังต้องพักฟื้นอย่างที่พี่วาเรนว่า “น...นั่นมันพี่เจ้าไม่ใช่เหรอ”

“ใช่” ผมตอบเสียงเบาแล้วนั่งลงข้างเขา “เขาช่วยพวกเราไว้”

“ช่วย ? หมายความว่ายังไง แล้วเจ้าล่ะจะทำยังไงที่โดนเจอตัวแล้ว ? ” เขาฝืนตัวลุกขึ้นนั่งแล้วบีบต้นแขนสองข้างของผมไว้แน่น ดวงตาสีดำจับจ้องคาดคั้นคำตอบ “เขาจะจับเจ้ากลับไปรึเปล่า” ผมได้แต่ก้มหน้าหลบสายตาคู่นั้น

“ไม่ได้จับหรอก แต่ข้ายอมกลับไปเอง”

“ท...ทำไมล่ะ ไหนเจ้าบอกว่าไม่อยากกลับไง”

“ข้าได้คุยกับพี่แล้ว และข้าก็คิดได้...” ผมไม่สามารถรวบรวมความกล้าเพื่อมองตาเขาได้ “ข้าคิดได้ว่าถึงเวลาแล้วที่ข้าควรจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่และรับผิดชอบต่อหน้าที่ได้แล้ว” ผมโกหกไป

“...”

“เหมือนที่เจ้าเคยบอกว่าเราทุกคนมีหน้าที่ต่อตระกูล ข้าทำตัวเป็นเด็กเอาแต่ใจหนีเที่ยวมานานพอแล้ว ถึงเวลาที่ข้าจะต้องเติบโตเหมือนคนอื่นๆแล้ว” ผมมอบรอยยิ้มบางๆให้กับเขา พยายามคงเสียงของตนเองไว้ไม่ให้สั่น

“แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า” สีหน้าของคนถามเคร่งเครียด “ที่บ้านคงไม่ทำอะไรเจ้าใช่ไหม”

“ข้าไม่รู้...แต่คิดว่าน่าจะจับเข้าขั้นตอนตามประเพณีของบ้าน เข้าพิธีรับสัญลักษณ์ชำนาญการแล้วส่งไปเรียนต่อก่อนจะกลับมาปฏิบัติหน้าที่”

“ที่ไหน”

“ข้าไม่รู้” หากยังไม่รู้ว่าจะได้สัญลักษณ์อะไรก็ไม่รู้ว่าจะถูกส่งไปไหน หอคอยแห่งธาตุทั้ง 7 ตั้งอยู่ทั่วอาณาจักร

“นานเท่าไหร่”

“ข...ข้าไม่รู้” ผมตอบไปด้วยเสียงสั่นเครือ เรียนทั้งขั้นกลางที่ขาดไปและขั้นสูงที่ต้องฝึกเพิ่ม ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลากี่ปี “ข้าไม่รู้อะไรเลย” ผมไม่อาจกลั้นความเสียใจได้อีกแล้ว หัวใจของผมปวดร้าว ผมพุ่งตัวเข้าไปกอดซุกขอความอบอุ่นจากคนรักเพื่อซ่อนน้ำตาที่เริ่มจะปริ่มล้น “ข้าไม่รู้จริงๆ”

เร็กซ์กอดผมแล้วโยกตัวเบาๆเหมือนปลอบเด็กน้อยคนหนึ่ง มือข้างหนึ่งลูบหัวผมไว้ มันรู้สึกดีมากๆเลย “แล้วเจ้าจะต้องกลับเมื่อไหร่” เขาจุมพิตกลางกระหม่อมเบาๆ

“รุ่งเช้า” เมื่อตอบไปร่างเจ้าของอ้อมกอดก็กระตุกไปพร้อมๆกับจังหวะหัวใจของเขา

“ท...ทำไมเร็วนักล่ะ”

“...” ผมนิ่งไร้คำตอบใดๆ

“ไม่ต้องห่วงนะ เราจะหาทางออกด้วยกัน เราจะหาทางอยู่ด้วยกันให้ได้ ข้ารักเจ้านะ ข้าไม่ยอมเสียเจ้าไปเด็ดขาด ข้า...อุ๊บ” ผมประกบปากปิดริมฝีปากอวบอิ่มคู่นั้นเพื่อให้เขาหยุด ผมรับปากพี่วาเรนไปแล้ว ไม่ว่ายังไงผมคงต้องกลับ

นี่ผมต้องติดนิสัยซื่อตรงจากเจ้าอัศวินนี่ไปแล้วแน่ๆ

“ข้าเองก็รักเจ้า แต่ข้าจำเป็นต้องไป” ผมผลักเร็กซ์นอนลงไปและกอดเขาไว้ “หลังจากคืนนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขอให้เจ้ารู้ไว้...ว่าข้ารักเจ้าเสมอและหัวใจของข้าเป็นของเจ้า”

“รอส” เราจูบกันอีกครั้ง แบ่งปันลมหายใจกัน

คืนนั้นเราสองโอบกอดแลกเปลี่ยนความอบอุ่นให้กัน มันแนบแน่นยิ่งกว่าครั้งไหนๆ รู้สึกดียิ่งกว่าตอนมีอะไรกันเสียอีก ผมพยายามเก็บเกี่ยวมันให้ได้มากที่สุดเพราะนี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้รับมัน...ก่อนจะหลับลงในอ้อมกอดของเขา ในใจได้แต่เฝ้าภาวนาให้ดวงตะวันขึ้นช้าที่สุดเท่าที่จะเป็นได้

ก๊อก ๆ ๆ

“ท่านนักเวทย์ครับ ท่านนักบวชให้มาตามแล้วครับ”

แต่สุดท้ายเวลานั้นก็มาถึง...

เสียงเคาะประตูดังขึ้นเมื่อแสงตะวันโผล่พ้นขอบฟ้าส่องแสงอันอบอุ่นผ่านหน้าต่างเข้ามา แต่สำหรับผมแล้วมันช่างหนาวเหน็บเหลือเกิน

ผมลุกขึ้นแล้วขยับตัวออกจากอ้อมกอดของเขาช้าๆ มันช่างยากลำบากเพราะแขนของเขารัดแน่นไม่ยอมให้ผมจากไปไหน

“ถึงเวลาแล้ว” ผมกระซิบบอก

“ข้าไม่อยากให้เจ้าไปเลย” เขายังคงรั้งผมไว้

“ข้าจำเป็น” ผมจูบหน้าผากของเร็กซ์

“รอส เรามาใช้โอทห์คีปเปอร์ทำสัญญากัน ข้าจะได้ตามเจ้ากลับมาได้” ใจผมชื้นขึ้นมาเมื่อคิดได้ว่ายังมีวิธีนี้อยู่ แต่ทว่า...

“ขออภัยด้วยครับนายท่าน ท่านพึ่งยกเลิกพันธะกับเขาได้ไม่นาน กว่าจะทำสัญญากับคนเดิมได้ต้องห่างกันประมาณหนึ่งเดือนครับ” ความหวังของผมก็ดับลง

“บ้าเอ๊ย” ร่างหนาสบถ

“แต่เจ้าก็รู้นี่ว่าข้าอยู่ไหน ก่อนข้าต้องไปศึกษาต่อน่ะนะ” เมื่อคนตรงหน้าได้ยินแขนแกร่งก็เริ่มคลายกอดจนผมหลุดออกมาได้ แต่มือของเขายังกุมมือของผมไว้อยู่

“รอข้านะ ไว้จัดการทุกอย่างเสร็จข้าจะไปหาเจ้านะ” เร็กซ์ตอบขณะที่มือผมไหลหลุดจากการกอบกุมของเขา เขาพยายามจะลุกขึ้นตามมาแต่ก็ต้องส่งเสียงอู้อี้เมื่อร่างของเขายังขยับได้ไม่เต็มที่ “รอส ข้ารักเจ้านะ”

“เช่นกัน เจ้าคือสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของข้าเลยนะ” เสียงของผมแผ่วเบา ผมหันไปมองเขาก่อนที่จะก้าวออกมาจากประตูและปิดมันลง

ผมเกรงกลัวการถูกทอดทิ้งมาตลอด แต่ก็ไม่เคยนึกเลย...ว่าจะต้องเป็นฝ่ายเดินจากมาเองง่ายๆแบบนี้...ไม่เคยเลยจริงๆ

“ลาก่อนนะ...เร็กซ์”

................................
ปล.
ชื่อตอนเกี่ยวอะไร ?
ท่อนฮุคของเพลง Simple and clean คือ...
When you walk away.
You don’t hear me say.
Please, oh baby, don’t go.
Simple and clean is the way that you’re
Making me feel tonight.
It’s hard to let it go.
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.33 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 01-11-2018 16:54:50
มาต่อเร็วเว่อร์ ดีใจจจจ :กอด1: แปะไว้ก่อนเดี้ยวมาเม้นนนน


----------------------------------
    สู้ๆนะ ทั้งสองคน ฝึกให้เก่งๆไปเลย จะได้ไม่มีใครขวางทางได้ :laugh: แสดงว่าท่านพี่รองและพี่ใหญ่จะมีบทเยอะขึ้นล่ะสิเนี่ย ฟินนนนนน :ruready ดีต่อใจ :-[
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.33 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 01-11-2018 17:44:01
 :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.33 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 02-11-2018 18:54:37
 :pig4:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.33 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 02-11-2018 18:57:51
ทางแยกหน้าที่ ความรับผิดชอบกับความรัก
ปล. ผมชอบเพลง hikari มากกกกก เคยฟังครั้งแรกตั้งแต่สมัย ม.ต้น มั้ง 55555
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.33 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 02-11-2018 23:24:04
 o18


 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.33 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 03-11-2018 09:35:23
รอสเอาแต่หนีตลอดเลย อย่างนี้เร็กซ์ยิ่งต้องดูแล
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.33 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 05-11-2018 18:57:41
Chapter 34.1 Home sweet home

ซูมมมม

ผมรู้สึกคลื่นไส้หน่อยๆเมื่อก้าวผ่านอุโมงค์แสงที่ก่อตัวขึ้นมากลางอากาศ มิติต่างๆบิดเบี้ยวไปหมดแต่ไม่นานก็พบบรรยากาศที่คุ้นเคย ลานหญ้ากว้างกับบ่อน้ำพุประดับด้วยพุ่มไม้ตัดแต่งเป็นรูปมังกร คฤหาสน์หลังใหญ่ที่คุ้นตา

อุโมงค์มิติ (Warp portal) เวทมนตร์ธาตุแสงที่สามารถเดินทางไปไหนก็ได้ในพริบตา ขอแค่ผู้ใช้เคยไปมาก่อนก็สามารถเคลื่อนย้ายไปได้โดยไม่ต้องอาศัยสิ่งก่อสร้างใดๆช่วยแบบประตูมิติ ทั้งนี้จะไกลขนาดไหนขึ้นกับความสามารถของผู้ใช้

“ไม่รู้พี่ใหญ่ตื่นรึยัง แต่น่าจะอยู่บ้านแหละ” พี่วาเรนรายงานขณะพาผมเข้าบ้าน มือข้างหนึ่งโอบหลังผมไว้ สงสัยกลัวจะหนี
ตู้ม

เสียงระเบิดดังสนั่นจากอีกฝั่งของคฤหาสน์ช่วยตอบคำถามเมื่อครู่

“คุณชายกลางกลับมาแล้วเหรอคะ เดินทางเหนื่อยไหม” หญิงร่างท้วมวัยกลางคนท่าทางใจดีในชุดแม่บ้านทักทันทีที่เปิดประตูบ้านเข้ามา

“ไม่หรอกครับป้าแอน”

“พาใครกลับมาด้วยคะเนี่ย? หน้าตาคุ้นๆ” ป้าแอนหันมามอบรอยยิ้มอันอบอุ่นให้ผม มันไม่ต่างจากแต่ก่อนเลย พี่วาเรนยกยิ้มร้ายกาจที่มุมปากแล้วแอบไหล่ผมมาแนบตัว

“สะใภ้ของบ้านครับป้า” คำตอบพี่แกเล่นเอาผมและป้าแอนอ้าปากเหวอ

“คุณชาย/พี่!!!”

“ฮ่าๆๆ ป้าจำเจ้าตัวแสบนี่ไม่ได้เหรอครับ เลี้ยงมากับมือ”

“ดวงตาคู่นั้นแบบท่านหญิงโรซ่า ม…ไม่จริง” ตกใจกับคำตอบแรกไม่นานก็ตกใจรอบสอง ป้าแอนเสียงสั่นเครือ ยกมือปิดปาก ดวงตาเบิกกว้างปริ่มน้ำตา

“สวัสดีครับป้าแอน” ผมไม่กล้าสบตาตรงๆเพราะรู้สึกผิด ได้แต่ยิ้มแหยๆยกมือทักทาย ป้าแอนเป็นหนึ่งในคนที่เลี้ยงผมมาหลังจากแม่เสียไป

“คุณหนูวารอส คุณหนูยังมีชีวิตอยู่” นางโผเข้ากอดผมแน่น หยดน้ำใสจากดวงตาไหลอาบแก้ม “คุณหนูของป้ายังไม่ตาย ฮือ”
“ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงครับ” ผมกระชับกอดตอบ

“ตั้งแต่รู้ว่าคุณหนูตายป้าก็ร้องไห้ทุกวันเลย ฮือ”

“ผมขอโทษจริงๆ”

“เอ๋” จู่ๆนางก็ส่งเสียงตกใจ มือไม้เริ่มคลำๆไปตามร่างของผม “คุณหนูไปทำอะไรมาเนี่ย ทำไมตัวถึงได้หนาผิดจากพี่ๆแบบนี้ แล้วมือ…ทำไมมือหยาบกร้านแบบนี้ นี่คุณหนูต้องไปตกระกำลำบากเป็นกรรมกรที่ไหนมารึเปล่าเนี่ย” ป้าแอนพลิกมือผมพินิจอย่างละเอียด

“อ่า…” ได้แต่เกาหัวแล้วยิ้มแห้งๆ “คือ…ก็…” เห็นสายตาคาดคั้นระคนเป็นห่วงแล้วไม่กล้าบอกเลยว่าหนีไปผจญภัยมา ขืนบอกไปล่ะก็…ป้าใจดีได้เป็นยักษ์ใจร้ายแล้วตีจนหลังลายแน่ๆ

“ไว้ค่อยเล่าละกันครับป้า ผมขอพาเจ้าตัวแสบไปหาพี่วาเรเรี่ยนก่อน” วาเรนช่วยตัดบท

“อ่านั่นสินะ คุณชายใหญ่ต้องตื่นเต้นแน่ๆ ตอนนี้เขากำลังฝึกซ้อมอยู่ที่สนามฝึกหลังบ้านค่ะ”

“แล้วท่านพ่อล่ะ”

“คุณท่านออกไปธุระตั้งแต่เมื่อวาน น่าจะกลับมาวันนี้ช่วงบ่ายค่ะ”

พอนึกถึงท่านพ่อแล้วก็ต้องเสียวสันหลังวาบ ท่านยิ่งเจ้าระเบียบอยู่ ไม่รู้ว่าพอพบหน้ากันแล้วจะโดนท่านฆ่าเอารึเปล่า แต่นั่นคือหลังจากที่ผมรอดจากมือพี่ใหญ่ก่อนนะ

ผมเหลือบมองภาพวาดบนฝาผนังตรงบันไดแยก ภาพครอบครัวอันประกอบด้วยพ่อ แม่ และลูกชาย 3 คน ชายหนุ่มท่าทางงามสง่า ผิวขาวซีด ใบหน้านิ่งเรียบ ดวงตาสีน้ำเงินเย็นเฉียบ เส้นผมสีเงินยาวถึงกลางหลังถือคทาด้ามยาวลายมังกร บัลเดอร์ เดรโกนัส (Balder Dragonus) ผู้นำตระกูลคนปัจจุบัน หรือท่านพ่อนั่นเอง ข้างๆคือหญิงสาวผู้เลอโฉมแฝงแววขี้เล่น ดวงตาสีน้ำตาลแดง เส้นผมสีน้ำตาลจนเกือบแดงยาวถึงเอว โรซ่า เดรโกนัส (Rosa Dragonus)…ท่านแม่

“วารอส อย่าพึ่งบอกสาเหตุที่เจ้าออกจากบ้านให้ใครฟังนะ” พี่วาเรนแอบกระซิบขณะที่เราสองคนเดินผ่านทางเดินทอดยาวไปยังลานฝึก

“ทำไมล่ะพี่”

“ขืนข่าวแพร่งพรายออกไปว่าแกล้งตายเพื่อหนีออกจากบ้าน มีหวังท่านพ่อต้องอับอายและยิ่งโกรธแน่ๆ ท่านยิ่งกลัวชื่อเสียงวงศ์ตระกูลด่างพร้อยอยู่ เดี๋ยวพี่จะลองคิดข้อแก้ตัวให้ดูละกัน พี่กลัวพ่อจะปรี๊ดแตกจนลงไม้ลงมือ”

ตู้มๆ

เสียงระเบิดดังต่อเนื่อง แม้อยู่ในบ้านยังรับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือน อีกไม่นานจะถึงลานฝึกแล้ว เมื่อพี่วาเรนเปิดประตูออกไปก็พบชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง ผมสีแดงยืนหันหลังให้ เบื้องหน้ามีหุ่นดินและหลุมหลายหลุมกระจายไปทั่ว

วิ้ง

วงแหวนเวทย์สีแดงวงหนึ่งปรากฏขึ้นที่ฝ่ามือของชายผมแดง อีกวงอยู่ที่พื้นใต้เท้าของตุ๊กตาดินที่ปั้นเป็นรูปโกเลม

ตู้ม

ระเบิดปะทุขึ้นใต้เท้าหุ่นดินจนลุกเป็นเสาไฟ ควันโขมงไปทั่ว เศษดินลอยกระจัดกระจาย

“มาแล้วเหรอไอ้น้องชาย” เสียงทักทายและการกระทำของชายตรงหน้าทำเอาผมอยากจะหดตัวลงแล้วมุดดินหนีไป มันช่างน่ากลัวเหลือเกิน

“สวัสดีครับพี่...วาเรเรี่ยน” ผมกลั้นใจตอบกลับไป และต้องสะดุ้งเมื่อแววตาแข็งกร้าวสีเดียวกันตวัดมอง

“สร้างเรื่องไว้ใหญ่โตเลยนะ” พี่ใหญ่เดินมาหยิบผ้าขนหนูซับเหงื่อที่ใบหน้า

“ขอโทษครับ พี่”

“แกล้งตายหนีออกจากบ้านเพราะขาดความอบอุ่นเนี่ยนะ” เขากล่าวเสียงดุ

“พ...พี่รู้ได้ไง”

“พี่ใช้เวทย์สื่อสารบอกไปแล้ว” พี่รองไขข้อสงสัยให้แทน

“ไปยืนตรงนั้นซิ” วาเรเรี่ยนชี้ไปกลางลานฝึก

“...” ผมยืนงุนงงจ้องมองพี่ใหญ่หักข้อนิ้วดังกร๊อบแกร็บ เริ่มจะเดาชะตากรรมของตนเองได้ ส่งสายตาหาพี่รองเพื่อขอความช่วยเหลือแต่ก็พบว่าเจ้าตัวยืนผิวปากทำไม่รู้ไม่ชี้

“ชักช้าอะไรอยู่” พี่ใหญ่สั่งเสียงแข็ง ผมจำยอมกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปกลางลานหญ้าที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อและรอยไหม้จากแรงระเบิด “รู้ใช่ไหมว่าต้องโดนลงโทษ”

“อ...เอ่อ พี่ใหญ่ ใจเย็นๆนะครับ ผมขอโทษ” ซวยล่ะสิ ไหนพี่รองว่าต้องใจเย็นลงเพราะโตขึ้นแล้วไง หรือเพราะแบบนั้นก็เลยกลายเป็นพวกอารมณ์ร้อนแบบนิ่งๆแบบนี้ได้

วิ้ง

หน้าผมซีดลงทันทีเมื่อวงแหวนเวทย์สีแดงปรากฏขึ้นใต้เท้า ผมหลับตาสนิท เป็นไปตามคาดจริงๆด้วย โดนพี่ใหญ่ฆ่าแน่ๆ ขอโทษนะเร็กซ์ เราคงไม่ได้เจอกันแล้ว

ตู้มมมม

เสียงระเบิดดังขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับไม่รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนใดๆ ร่างผมคงกระจายไปแล้วแน่ๆ คงเหลือแต่ดวงวิญญาณยืนอยู่ที่เดิม ผมไม่กล้าเปิดตาขึ้นมองศพของตัวเอง

หมับ

จู่ๆก็รู้สึกว่ามีใครคนหนึ่งสวมกอดแล้วดึงเข้าไปแนบร่าง มันอุ่นจนร้อน

“ควบคุมได้ดีจริงๆเลยพี่ใหญ่ ระเบิดเสาไฟโดยกักแรงระเบิดไว้ได้อย่างมิดชิด” เสียงนุ่มของวาเรนเอ่ยชม

“พี่เป็นห่วงเจ้ามากเลยรู้ไหม” จากน้ำเสียงแข็งกร้าวกลับกลายเป็นอ่อนโยน พี่วาเรเรี่ยนสวมกอดผมไว้แน่นจนสัมผัสได้ถึงความรู้สึกห่วงใยที่ส่งผ่านมา “พี่คิดถึงเจ้าตลอดเลยนะ”

“ผมขอโทษครับพี่ ดีใจที่ได้พบกันอีกครับ” บางทีผมอาจจะเข้าใจผิดไปเองก็ได้ ความอบอุ่นของบ้านหลังนี้อาจจะไม่เคยหายไปไหนเลย

..................................................

ปล.ช่วงนี้ตอนจะสั้นหน่อยนะครับ
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.34 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: pandorads ที่ 05-11-2018 19:07:11
ความรักที่มาจากคนในครอบครัวยังไงก็อบอุ่นที่สุด~ แต่เราก็ยังรอให้ทั้งสองคนกลับมาอยู่ด้วยกันเร็วๆ อยู่ดี >\\\<
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.34 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 05-11-2018 19:59:11
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.34 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 05-11-2018 23:01:20
 :man1:


 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.34 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 05-11-2018 23:03:31
อย่างที่รอสคิด จริงๆอาจจะไม่ได้มีอะไรก็ได้นะ
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.34 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 06-11-2018 16:12:11
34.2

“ฮ่า ๆ ๆ จริงเหรอครับพี่ พี่ใหญ่นิสัยเปลี่ยนเพราะอกหัก” พวกเราสามคนนั่งหัวเราะกันระหว่างทานอาหารเที่ยงในห้องอาหารโอ่โถง บรรยากาศครื้นเครงที่หายไปนานจากบ้านหลังนี้

“เผากันแบบนี้นี่อยากจะโดนเผาจริงๆใช่ไหม” วาเรเรี่ยนนั่งกอดอกส่งแววตาแข็งกร้าวใส่พี่รองที่กำลังนินทาอยู่

“อ้าวก็วารอสเค้าสงสัยทำไมพี่ถึงนิ่งกว่าแต่ก่อน ผมก็ต้องเล่าไปสิ ฮ่าๆ”

“แล้วไงต่อพี่วาเรน สาวคนนั้นโดนพี่ใหญ่เผาทิ้งไหม” พี่ใหญ่ขึ้นชื่อเรื่องหัวร้อนเสมอทำให้เขาใช้เวทมนตร์ธาตุไฟที่สอดคล้องกับนิสัยของเขาได้อย่างง่ายดาย แต่ก่อนที่ยังต้องท่องคำร่ายคาถาอยู่ พี่ใหญ่แค่ตะโกน ‘เผามัน จะฆ่าทิ้ง ตาย ไปตายซะ’ ก็ปลดปล่อยพลังออกมาได้

“อย่ามาพูดเกินจริงวารอส พี่ไม่ได้โกรธขนาดนั้น พี่ยังไม่ได้รักหมดใจสักหน่อย” พี่ใหญ่แก้ตัว

“แต่ในจดหมายก็บรรยายมาเป็นหน้าๆเลยนะพี่ เย้ย” พี่วาเรนร้องเสียงหลงเมื่อลูกไฟพุ่งข้ามโต๊ะอาหารเข้าหน้า ยังดีที่มีโล่ห์แสงขึ้นมากันทัน

“เดี๋ยวก็ไฟไหม้บ้านพอดี”

“ค่อยดับหลังจากที่เจ้าเป็นเถ้าไปแล้วก็ได้”

“ฮ่า ๆ ๆ” คิดถึงบรรยากาศนี้จริงๆ บรรยากาศที่พวกเราสามคนอยู่ด้วยกัน คุยเล่นกัน แกล้งกัน นั่งมองพี่สองคนตีกัน

“แล้วเจ้าล่ะ วารอส หายไป 6 ปี ทำอะไรมาบ้าง”

“ก็...หลายอย่างครับ” การเดินทางของผมนั้นผ่านเรื่องต่างๆมามากมาย ทั้งพบปะผู้คน เสี่ยงอันตราย ทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง หรือแม้แต่เรื่องรักๆใคร่ๆ...

แต่แล้วความคิดหนึ่งก็แทรกขึ้นมา...

...เร็กซ์จะได้กินอะไรบ้างรึยังนะ

“ทำไมจู่ๆก็หงอยไป” พี่ใหญ่ทักขึ้น

“เปล่าครับพี่ แค่...” ผมคงเหม่อลอยเกินไปจนพวกเขาสังเกตได้...ต้องรีบหาข้อแก้ตัว “แค่สงสัยทำไมตอนนั้นพี่ไม่เขียนอะไรมาเล่าให้ฟังบ้าง”

คำถามของผมทำเอาบรรยากาศที่รื่นเริงกลายเป็นตึงๆขึ้นมาทันใด

“พวกพี่ก็ยอมรับว่ามีส่วนผิดที่ละเลยเจ้าไป ช่วงชีวิตวัยรุ่นช่วงนั้นมีหลายอย่างเข้ามาจนปรับตัวไม่ทัน พี่กับวาเรเรี่ยนปรึกษาเรื่องต่างๆกันบ่อยเพราะอายุเราใกล้กันจนทำให้เจ้ารู้สึกเหินห่าง” พี่วาเรนอธิบาย “เจ้าต้องเหงามากแน่ๆ”

“พี่พึ่งจะมาสำนึกได้ก็ตอนเสียเจ้าไปแล้ว พี่ขอโทษจริงๆ” วาเรเรี่ยนเสริมขึ้น

“หึหึ นานๆพี่ใหญ่จะยอมขอโทษใครสักครั้งนึง ยังไงผมก็ต้องรับไว้อยู่แล้ว” พี่ใหญ่น่ะไม่ค่อยยอมคนเท่าไหร่ นานๆแกจะยอมรับผิดสักที

“พูดแบบนี้อยากจะโดนลูกไฟอีกคนใช่ไหม”

ก๊าซซซซ

เสียงคำรามดังแสบหูแม้จะอยู่ในบ้าน เสียงร้องของมังกร สัตว์พาหนะของหัวหน้าตระกูล

“ท่านพ่อกลับมาแล้วล่ะ” พี่วาเรเรี่ยนกล่าว

“จะพูดอะไรกับท่านก็คิดดีๆก่อนนะ” คำเตือนของพี่วาเรนทำเอาผมนั่งแทบจะไม่ติดเก้าอี้ ทั้งตื่นเต้น ทั้งกลัวจนเลือดในกายสูบฉีดรุนแรง

ไม่กี่อึดใจประตูห้องอาหารก็เปิดออก ชายร่างสูงในชุดคลุมจอมเวทย์เดินฉับๆเข้ามา เส้นผมสีเงินยาวปลิวไสว ใบหน้าของท่านพ่อยังคงดูอ่อนเยาว์แม้วัยจะล่วงเลยไปที่เลขสี่แล้ว เขานั่งที่หัวโต๊ะอาหารอีกฟาก ตำแหน่งที่นั่งของหัวหน้าครอบครัว สายตาเย็นเฉียบจับจ้องมาที่ผม

“มาถึงแล้วรึ ไปเจอที่ไหนล่ะวาเรน” น้ำเสียงนิ่งเรียบส่งไอเย็นยะเยือกลงไปตามสันหลัง ผมได้แต่นั่งก้มหน้าไม่กล้าสบตา รู้สึกได้ถึงแรงกดดันของพลังเวทย์ที่ถาถมลงมาจนแทบจะหายใจไม่ออก ท่านต้องโกรธอยู่แน่ๆ

“หมู่บ้านทางตะวันออกครับท่านพ่อ”

“อย่างนั้นรึ”

“ท่านพ่อครับ...อึก” ไม่ทันที่ผมจะพูดจบ สายตาเย็นยะเยือกของพ่อก็ตวัดมองจนผมกลืนคำพูดลงคอไป แรงกดดันเวทมนตร์หนักขึ้นกว่าเก่า อุณหภูมิในห้องลดลงอย่างรวดเร็ว

“หุบปาก อย่าพึ่งพูดถ้าไม่ได้ถาม” พรมรองพื้น ขาเก้าอี้และโต๊ะเริ่มมีเกล็ดน้ำแข็งเกาะ

“...”

“ไหนว่ามาสิว่าทำไมถึงก่อเรื่องวุ่นวาย” ท่านถามในที่สุด

“เพราะว่า...” ผมลังเลที่จะพูดจนต้องหันไปหาพี่ๆ พี่วาเรนพยักหน้าเบาๆเป็นสัญญาณบ่งบอกให้ผมบอกตามที่ตระเตรียมไว้ให้

“เพราะว่าผมอยากจะเลือกทางเดินของตนเอง” ผมจับจ้องดวงตาสีฟ้าคู่นั้นด้วยความแน่วแน่ เลือกที่จะพูดนอกบทที่พี่เตรียมให้ แม้อาจจะเป็นทางเลือกที่ผิด แต่ผมเชื่อมั่นในอิสระทางความคิดเสมอ หากโกหกไปก็เท่ากับปฏิเสธตัวของตนเอง

พี่ทั้งสองส่ายหน้ายกมือกุมขมับพร้อมกัน

“ว่ายังไงนะ” เสียงท่านพ่อเจือโทสะ ห้องอาหารหนาวราวกับอยู่กลางทุ่งหิมะ ลมหายใจของผมกลายเป็นไอสีขาว

“ผมสร้างเรื่องทั้งหมดนี้เพราะหลายๆสาเหตุ ทั้งที่บ้านเปลี่ยนไปและทั้งความกระหายสิ่งแปลกใหม่ ผมไม่อยากเป็นจอมเวทย์อย่างที่ถูกกำหนดมา แต่อยากเป็นนักผจญภัยผู้สามารถไปที่ไหนก็ได้ดั่งใจนึก...อึก” ลมหนาวพัดเข้าปะทะใบหน้าจนตัวสั่นระริก ผมหดสองแขนเข้าอกคู้ตัวลงเพราะความหนาวเหน็บ “ผมอยากเลือกชะตาของตนเอง”

“บังอาจนัก หากปฏิเสธพลังอันยิ่งใหญ่ที่บรรพบุรุษมอบให้ก็เท่ากับปฏิเสธตัวตน พวกเราได้รับมอบพลังมาเพื่อปกป้องผู้อ่อนแอ หากไม่ฝึกฝนให้เก่งกล้าแล้วจะไปช่วยเหลือพวกเขาที่ไว้วางใจพวกเราได้ยังไง” ท่านพ่อตวาด

“แต่มันมีทางช่วยเหลือ...ฮึก” ลมหนาวโหมกระหน่ำดั่งพายุหิมะจนไม่สามารถพูดต่อได้ มันหนาวลึกลงไปถึงกระดูก ผมกำลังจะหนาวตาย เปลือกตาทั้งสองข้างค่อยๆปิดลง

ทว่า...

บางอย่างมอบความอบอุ่นให้กับผม...

ผมลืมตาขึ้นก็พบพี่ชายทั้งสองคนยืนขวางลมหนาวของท่านพ่อไว้ให้ พลังเวทย์ของพี่วาเรเรี่ยนร้อนระอุเหมือนกองไฟกลางทุ่งหิมะ ในขณะที่พี่วาเรนนั้นอบอุ่นเหมือนแสงตะวันกลางฤดูหนาว พี่ทั้งสองลุกขึ้นปกป้องผมไว้

“พอเถอะครับท่านพ่อ ไหนๆน้องก็กลับมาเดินตามสิ่งที่ตระกูลกำหนดไว้แล้ว ให้อภัยน้องเถอะ” พี่วาเรเรี่ยนอ้อนวอน

“แล้วถ้าคนนอกรู้ว่าเรื่องจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน” เจ้าตระกูลยังไม่ลดละ

“เรื่องนั้นผมคิดไว้แล้วครับท่านพ่อ ให้ข่าวออกไปว่าวารอสประสบอุบัติเหตุที่บึงนั่นแล้วเสียความทรงจำกับพลังเวทย์ไป ที่กลับมาเพราะความจำและพลังฟื้นแล้ว” พี่วาเรนช่วยเสริม

...พายุหิมะสงบลงในที่สุด

“เอาแบบนั้นก็ได้ แจ้งไปยังญาติคนอื่น เตรียมพิธีรับสัญลักษณ์ชำนาญการภายใน 3 วัน” ท่านลุกเดินออกไปที่ประตูก่อนจะหันมาทิ้งท้าย “แล้วอย่าให้ไปก่อเรื่องอีก” ก่อนจะปิดประตูหายไป

“เฮ้อ/เฮ้อ” เมื่อลับสายตาชายร่างสูงโปร่งทั้งสองก็ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อย่างเหนื่อยอ่อน ต่างคนต่างถอนหายใจโล่งอก

“เกือบไปแล้วไหมล่ะ” พี่วาเรเรี่ยนกุมขมับ

“ก็บอกแล้วให้พูดตามที่เตรียมกันไว้ เจ้าตัวแสบ” พี่วาเรนไถลตัวลงไปจนแทบจะนอนลงที่เก้าอี้

“ผมแค่พูดตามที่คิด” ผมเถียงเบาๆ แม้ต้องตายผมก็จะไม่ยอมเสียศรัธทาในสิ่งที่เชื่อ

“เอาเถอะ ให้เวลาพ่อหน่อย เดี๋ยวก็น่าจะดีขึ้น”

“แล้วจะเอาไงต่อล่ะ วารอส”

“ก็คง...ต้องทำตามที่พ่อบอกนั่นแหละ” ถึงจะไม่อยากเดินเส้นทางนี้แต่ดูเหมือนว่าผมจะไม่มีทางเลือกแล้วล่ะ

..............................
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.34 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 06-11-2018 17:11:42
รอลุ้นน้องจะได้ธาตุอะไรกันนะ ธาตุมืดดีไหม น้องมันร้ายชอบยั่ว :hao7:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.34 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 06-11-2018 17:55:58
อื้อหือ ด่านแต่ละด่านที่บักเรกซ์จะต้องผ่าน
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.34 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 06-11-2018 22:02:18
 :pig4:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.34 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 06-11-2018 23:26:30
 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.34 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 07-11-2018 02:30:31
 :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.34 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 07-11-2018 02:34:17
 :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.34 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 08-11-2018 12:15:41
รอตอนต่อไป~
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.35 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 09-11-2018 16:57:40
Chapter 35 Test result

ช่วงเวลาสามวันระหว่างเตรียมพิธีรับสัญลักษณ์ชำนาญการเป็นช่วงเวลาที่...น่าเบื่อมาก ท่านพ่อไม่อยากให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ ให้ผมไปฝึกควบคุมพลังเวทย์เพิ่มเติมเพื่อชดเชยส่วนที่ขาดไป แต่เพราะว่ากะทันหันจนหาคนฝึกให้ไม่ทัน หน้าที่ติวเตอร์จึงตกเป็นของพี่วาเรเรี่ยน

“ไหนลองท่องคำร่ายซิ”

“พลังในกายที่ไหลเวียนจงเปลี่ยนเป็นเชื้อไฟ ปะทุเป็นเปลวเพลิงเพื่อขวางกั้นศัตรูของข้า บทแห่งไฟที่ 7 Fire wall” ผมร่ายคาถาเสียงดังปลดปล่อยพลังเวทย์ในกายออกไป เกิดเป็นกำแพงไฟห่างออกไป 5 เมตร แต่...มันสูงแค่เข่า

“ใช้ไม่ได้ๆ ต้องใส่อารมณ์มากกว่านี้” พี่ใหญ่ส่ายหน้าเอือมระอา

“อารมณ์ไหน เล่าพี่”

“ธาตุไฟจะใช้ความทะเยอทะยานและความโกรธ ลองจินตนาการว่าอยากฆ่าใครสักคนดู”

ช่วงนี้พี่ใหญ่ว่างไม่ต้องไปไหนไกลเพราะอยู่ระหว่างรอผลการคัดเลือกรัชทายาท ส่วนพี่รองก็ไปประจำโบสถ์ใหญ่ในเมืองหลวง ออกจากบ้านแต่เช้าแล้วจึงกลับมาเย็นๆ

“บ้าเหรอพี่ใครมันจะอยู่ๆก็อยากฆ่าคนขึ้นมา” ผมเถียง

“เออๆ ถ้าอย่างนั้นก็เปลี่ยนไปธาตุอื่นบ้าง ถนัดธาตุไหนล่ะ”

คำถามของพี่ทำให้ผมได้คิด...ผมไม่เคยถามตัวเองเลยว่าถนัดอะไร ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ใช้มันทุกธาตุตามแต่สถานการณ์จะอำนวย

“อาจจะ...ดินหรือลมมั้ง ไม่ก็น้ำ” พอนึกๆดูก็มี 3 ธาตุนี้แหละที่พอจะพลิกแพลงวิธีใช้ได้บ้าง ไฟกับสายฟ้าทำได้แค่ยิงออกไปตรงๆ

“เฮ้อ...พึ่งอุปกรณ์ช่วยมากเกินไปก็แบบนี้แหละ หาด้านที่ถนัดไม่เจอ”

“ไม่เห็นเกี่ยวเลย ยังไงพอได้สัญลักษณ์มาก็ต้องมานั่งฝึกใหม่อยู่ดี” จะได้ธาตุอะไรมาก็ไม่รู้ ถนัดรึเปล่าก็ไม่แน่ใจ ที่สำคัญคือจะชอบสิ่งที่ได้มารึเปล่า

“เรื่องนั้น ไปเอามาจากไหน” วาเรเรี่ยนยกคิ้วถามกลับ

“ก็เคยได้ยินมาว่าเป็นธาตุแฝงที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด หรือไม่ก็ตรงกับนิสัยส่วนตัว”

“มันก็เหมือนกันนั่นแหละ ไม่ว่าธาตุจะกำหนดนิสัย หรือนิสัยกำหนดธาตุ”

“พูดอะไรของพี่ ผมไม่เข้าใจ” อธิบายอะไรฟระ งงโคตร นี่วิชาปรัชญาหรือไง

“เอาเถอะๆ ถ้าอย่างนั้นวันนี้ฝึกเวทย์พื้นฐานก่อนก็พอ” ดูพี่จะเหนื่อยหน่ายรีบตัดบท

“เสร็จแล้วพาผมออกไปในเมืองหน่อยสิพี่ อยู่แต่ในบ้านมันเบื่อ” ผมส่งเสียงหวานทำท่าออดอ้อน

“ไม่” แต่พี่ใหญ่ส่งแววตาแข็งใส่แล้วตัดความหวังลงง่ายๆ

อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้น่าเบื่อคือ...ผมโดนคุมเข้มตลอดไม่ให้ออกจากเขตของบ้าน โดนริบรอนอิสรภาพแบบนี้แล้วรู้สึกแย่จริงๆ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะข่ายอาคมของบ้าน มันเหมือนกำแพงล่องหนที่ตรวจจับคนเข้าออกได้ สามารถกั้นคนที่ไม่ได้รับเชิญไม่ให้เข้ามาในเขตได้และสามารถกันคนที่ไม่ต้องการให้ออกได้จากไปเช่นกัน สภาพของผมตอนนี้ไม่ต่างกับติดอยู่ในคุกเลย

เมื่อการฝึกจบลงผมก็ได้แต่เดินคอตกเข้าบ้าน สายตาก็สอดส่องออกไปรอใครคนหนึ่ง ผมยังคงเฝ้ารอข่าวจากทางเร็กซ์อยู่ ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง เดาว่าถ้าไม่รอให้เวลาใกล้หมดอย่างที่วางแผนไว้ก็คงกำลังเดินทางกลับอยู่

……………………….

และแล้วก็ถึงวันพิธี...

สถานที่คือลานบรรพบุรุษของตระกูล เป็นทุ่งหญ้ากว้างรายล้อมด้วยรูปปั้นของบรรพบุรุษ 7 รูป พวกเขาคือคนแรกๆที่เชี่ยวชาญพลังธาตุแต่ละธาตุ

ผมยืนอยู่บนแผ่นหินกลางลาน มันเป็นแผ่นหินวงกลมที่ขีดเขียนอักขระต่างๆไว้มากมาย รอบๆรายล้อมด้วยจอมเวทย์ระดับสูงยืนอยู่ประจำรูปปั้นที่ตรงกับธาตุที่ตนถนัด 3 ใน 7 คนคือท่านพ่อที่ยืนประจำธาตุน้ำ พี่ใหญ่ที่ธาตุไฟ และพี่รองที่ธาตุแสง ส่วนคนอื่นๆจะเป็นญาติหรือคนรู้จักที่ไหว้วานมาช่วย

“พร้อมนะ ?”

“ครับพี่”

เมื่อพิธีเริ่มขึ้น จอมเวทย์แต่ละคนก็ปลดปล่อยพลังเวทย์เข้าไปในรูปปั้นของบรรพบุรุษ ดวงตาของรูปปั้นเรืองแสงขึ้นราวกับมีชีวิตและพร้อมสอดส่อง สายพลังงานพุ่งจากดวงตาแต่ละคู่เข้าหาผมที่ยืนอยู่ตรงกลาง เกิดเป็นโดมแสงคล้ายฟองสบู่ที่ส่องประกายวิบวับ

เหล่าจอมเวทย์กำลังตรวจสอบธาตุของผมผ่านดวงตาของบรรพบุรุษ

“ยึดมั่นและหัวรั้นชนิดหัวชนฝาไม่ต่างจากโรซ่าที่ถือธาตุดินจริงๆ ฮ่าๆ”

“...”

“รักอิสระและอยู่นอกกฎเกณฑ์ โอนอ่อนไปตามอุปสรรคอย่างสายลม”

“ทำไมถึงสัมผัสได้แต่ไฟราคะเนี่ย”

“เป็นคนที่หลุกหลิก เปลี่ยนแปลงตนเองตลอดเวลา ขาดสมดุลอย่างที่สายฟ้าควรจะมี”

“ก็เป็นคนจิตใจดีอยู่นี่น่า แต่ว่ายังไม่บริสุทธิ์แบบแสง”

“ถูกความมืดครอบงำได้ง่าย คงไม่แกร่งพอที่จะต้านทานด้านมืดของตน”

ระหว่างที่ยืนฟังคำวิพากษ์วิจารณ์จากจอมเวทย์ ฟองแสงก็สว่างเป็นสีต่างๆสลับไปมา มันแสบตาจนผมต้องหลับตาลง ฉับพลันทุกอย่างก็สงบลง ผมรู้สึกตัวเบาเหมือนลอยอยู่กลางอากาศ เมื่อลืมตาขึ้นก็พบกับ...

“เจ้าอีกแล้ว” กลุ่มแสงรูปมังกรที่ปรากฏตัวตอนผมปลดผนึกตนเองลอยอยู่ด้านหน้าผมอีกครั้ง แต่คราวนี้มันเปลี่ยนไป ไม่ได้เป็นสีรุ้งกินน้ำสลับไปสลับมาแบบครั้งนั้น ครั้งนี้มันมีสีฟ้าอ่อนอย่างท้องฟ้า ปีกคู่เดียวก็กลายเป็น 2 คู่ ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น

“ลึกๆเจ้าก็คงรู้อยู่แล้วว่าลักษณ์ของเจ้าคืออะไร เจ้าแค่สับสน” เสียงกังวานดังขึ้น

“...”

“ถึงเวลา...ที่เจ้าจะต้องกางปีกบินแล้ว วารอส”

เพล้ง

ฟองสบู่แสงแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ลมกรรโชกพัดกระจายโดยมีผมเป็นศูนย์กลาง หลังมือขวาผมร้อนเหมือนถูกไฟเผา เมื่อก้มมองก็พบความแตกต่าง มีสัญลักษณ์ใหม่เกิดขึ้นตรงกลางของรูปมังกรที่ขดตัวอยู่

“สัญลักษณ์ธาตุลม ธาตุแห่งอิสรภาพ” ท่านพ่อก้มลงมองสัญลักษณ์ที่มือแล้วกล่าวขึ้น ท่านเข้ามาประชิดตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

“ว่าแล้วเชียวว่าเจ้าจะต้องเป็นคนธาตุลม ชอบทำอะไรนอกกรอบตลอด” เป็นเสียงพี่วาเรน

“ยังไงก็ฝากท่านเอริช่วยฝึกให้ลูกข้าก่อนที่จะต้องเดินทางไปหอคอยแห่งลมด้วย”

“ได้ค่ะ ท่านบัลเดอร์”

.......................
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.35 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 09-11-2018 17:00:04
35.2 เว็บมัยว่าตัวอักษรเกินต้องแยกลง

“ธาตุแห่งอิสรภาพอย่างนั้นน่ะหรือ” ผมยกมือขึ้นดูสัญลักษณ์อีกครั้งขณะนอนอยู่บนเตียงที่ห้องตัวเอง

นี่มันตลกร้ายชัดๆ ได้รับธาตุแห่งความอิสระมาแต่กลับไม่สามารถทำอะไรอิสระดั่งใจนึกได้ กำหนดการของผมออกมาแล้วว่าอีก 3 สัปดาห์จะต้องเดินทางไปยังหอคอยเดียวดาย หอคอยธาตุแห่งลมที่ตั้งอยู่กลางหุบเขาสูงทางตะวันตกของประเทศ แม้แต่ชื่อหอคอยยังฟังดูหดหู่ไม่สมกับความเป็นสายลมเลย

“เร็กซัส...เจ้าอยู่ไหนนะ เวลากำลังจะหมดลงแล้วนะ” ผมได้แต่พึมพำแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างห้อง เฝ้าคิดถึงอ้อมกอดของเจ้าอัศวิน

“ยังต้องไม่หมดหวังสิ” ผมปลอบใจตนเองก่อนพยายามจะข่มตาหลับ ถ้าจำไม่ผิดอีกอาทิตย์กว่าๆก็จะครบกำหนดเวลาแล้ว ยังไงเร็กซ์ก็ต้องกลับมาก่อนผมไปอยู่แล้ว หลังจากนั้นค่อยคิดแล้วกันว่าจะเอายังไงต่อ

……………………..

หลังจากเสร็จพิธีผมก็ต้องฝึกฝนการใช้เวทย์ลมตลอดระยะเวลาที่รอทางหอคอยจัดการเรื่องรับตัวผมไป คนที่ท่านพ่อไหว้วานให้มาช่วยฝึกคือเอริ ญาติห่างๆ อายุยี่สิบปลายๆ

เอริ (Ari) หญิงผู้เชี่ยวชาญเรื่องการใช้เวทย์สายลม นางเป็นคนสบายๆ ชอบทำตัวเหม่อลอย แต่ก็ทรงภูมิจนได้เป็นอาจารย์ที่วิทยาลัยเวทมนต์ การฝึกของนางค่อนข้างผ่อนคลาย ค่อยๆไต่จากบทแรกๆขึ้นไปเรื่อยๆ ตั้งแต่การขัดเกลาบทพื้นๆอย่างควบคุมทิศทางของลม ไปจนถึงการสร้างบอลอากาศ และใบมีดสายลม ช่วง 2-3 วันแรกก็ลำบากอยู่เพราะต้องใช้เวทมนตร์โดยไม่มีหินเวทย์ช่วย แต่ด้วยการชี้แนะที่ดีก็ทำให้ผมคุ้นชินขึ้น

จนกระทั่งผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ระหว่างที่กำลังทานข้าวเย็นกับครอบครัวนั่นเอง...

“คุณท่านคะ มีสาส์นจากทางวังค่ะ” ป้าแอนนำม้วนกระดาษม้วนหนึ่งมามอบให้พ่อ ท่านกางมันอ่านอย่างไม่รีบร้อน

ตั้งแต่กลับมาผมรู้สึกว่าช่วงทานอาหารเย็นแบบพร้อมหน้ากันแบบนี้ชวนให้อึดอัด ท่านพ่อยังคงนิ่งเงียบเหมือนน้ำแข็ง ไม่มีบทสนทนาใดๆกลางโต๊ะอาหารเลย ผิดจากแต่ก่อนตอนที่ท่านแม่ยังอยู่ มื้อเย็นคือมื้อที่ทุกคนรอคอยเพราะจะได้อยู่พร้อมหน้ากัน พูดคุยแลกเปลี่ยนสิ่งที่เจอมาในแต่ละวัน เป็นมื้ออาหารที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ

“มันว่ายังไงครับพ่อ” พี่วาเรเรี่ยนถามขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด คงเพราะเดาได้ว่าน่าจะเกี่ยวกับการคัดเลือก

“ผู้เข้าคัดเลือกคนสุดท้ายกลับมาเมื่อเช้านี้ ทางวังเรียกให้ไปฟังผลการคัดเลือกพรุ่งนี้เย็น” หัวใจของผมกระตุก

“ใครคือคนสุดท้ายเหรอครับ” ผมพยายามทำให้เสียงปกติที่สุดผิดกับหัวใจที่เต้นระทึก

“ลูกชายของตระกูลไลโอเนล”

“มาช้าผิดคาดแฮะ” พี่วาเรนเอามือเกาคางทำท่าครุ่นคิดเอ่ยขึ้น

บรรยากาศชวนอึดอัดเวลาร่วมทานอาหารกับพ่อจางหายไปอย่างปลิดทิ้ง ผมมีความสุขเป็นพิเศษจนพี่ๆทักว่าแปลกไป ก็จะให้ทำไงได้ เร็กซ์กลับมาแล้ว และผลการคัดเลือกก็จะประกาศพรุ่งนี้ ที่ขาดการติดต่อไปนานเพราะเขาจะทำตามแผนที่วางไว้นี่เอง อีกไม่นานผมจะได้พบกับเขาแล้ว

“พรุ่งนี้ผมไปด้วยได้ไหมครับ” สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่ผมจนรู้สึกประหม่า “ไปเชียร์พี่วาเรเรี่ยนน่ะครับ”

“คงจะไม่ได้หรอกวารอส มันเป็นพิธีส่วนตัว เขาเรียกแต่ผู้เข้าคัดเลือก” พี่วาเรเรี่ยนตัดความหวังผมขณะกำลังอ่านม้วนกระดาษในมือ

“อย่างนั้นน่ะเหรอ” ไม่เป็นไร ผมรอมาตั้งนานแล้ว รออีกหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง

.............................

เย็นวันถัดมา

ท่านพ่อกับพี่วาเรเรี่ยนเดินทางผ่านประตูมิติไปยังเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อบ่าย ทิ้งผมไว้ให้พี่วาเรนดูแล ระหว่างทานอาหารรอทั้งสองคนกลับมาผมก็ลองชวนพี่วาเรนคุยเรื่องการคัดเลือกรัชทายาทดู

“พี่ว่าใครจะชนะเหรอ”

“อืม...มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเขาตัดสินด้วยอะไร”

“ยังไงเหรอพี่ ? ”

“ก็ถ้าตัดสินเรื่องเวลา คนชนะก็คงเป็นพี่วาเรเรี่ยนเพราะกลับมาคนแรก แต่ถ้าคำนึงถึงปัจจัยอื่นก็ไม่แน่”

“...?” ผมเลิกคิ้วแทนการถามต่อ

“ก็ถ้าเขาตัดสินจากเวลาจริงๆ เขาจะให้กำหนดเวลาที่หนึ่งเดือนทำไมล่ะจริงไหม” ผมพยักหน้าแล้วคิดตามคำอธิบายของพี่รอง ก็จริง...ถ้าแข่งด้วยเวลาก็ไม่เห็นต้องมีกำหนดเวลาเลย ไม่จำเป็นต้องรอให้คนสุดท้ายกลับมาด้วยซ้ำ

“แล้วพี่ว่าเขาตัดสินจากอะไรล่ะ” ชายตรงหน้ากอดอกขมวดคิ้ว

“ไม่แน่ใจเหมือน พี่วาเรเรี่ยนเคยเล่าให้ฟังว่าองค์หญิงมีความคิดอ่านที่ไม่เหมือนใคร คาดเดาไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะวัดจากผลงานในอดีต ความสนิท หรือผลงานในการทดสอบนี้กันแน่ แต่ถ้าเรื่องความแข็งแกร่งก็ต้องยกให้เดรโกนัสกับไลโอเนล ความกว้างขวางและไหวพริบยกให้กริฟฟิท ส่วนการบริหารและค้าขายจะเป็นของแบล็คฮอร์น”

“แล้ว...” ผมลังเลที่จะถามคำถามหนึ่ง แต่สุดท้ายก็กลั้นใจถามออกไป “พี่ว่าพี่วาเรเรี่ยนรักองค์หญิงไหม” พี่รองทำหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

“พวกเขาสองคนอาจจะสนิทกันในวัยเด็กเพราะเรียนและคลุกคลีด้วยกันมา แต่ถ้าถามว่ารักไหม พี่ก็ไม่แน่ใจ”

พอคิดๆดูการเป็นองค์หญิงก็น่าสงสารเหมือนกัน ต้องแต่งงานกับคนที่รักรึเปล่าก็ไม่รู้ การทดสอบอาจจะจัดขึ้นเพื่อวัดตรงนี้ด้วยกระมัง อย่างเร็กซ์ก็มารู้ใจตนเองว่าไม่ต้องการจะแต่งงานระหว่างทดสอบ

แอ็ด…

เสียงประตูห้องอาหารเปิดออกพร้อมชายสองคน ท่านพ่อกับพี่ใหญ่กลับมาแล้ว

ใจของผมลุ้นระทึก…

แต่...ทำไม...หน้าของพี่ใหญ่ดูไม่สู้ดีเลย...

“เป็นยังไงบ้างครับพ่อ” พี่วาเรนเอ่ยถาม

“พวกเราไม่ได้รับเลือก” น้ำเสียงของท่านนิ่งเรียบจนเดาไม่ได้ว่าผิดหวังหรือไม่ ท่านเดินเลี้ยวขึ้นบันไดกลับห้อง

“...” ทั้งห้องนิ่งเงียบ

“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิพี่ องค์หญิงแค่ตาไม่ถึงต่างหาก” พี่วาเรนพยายามปลอบใจ

“ไม่หรอก พี่แค่...ไม่รู้ว่าสิ่งที่ปรารถนาจริงๆคืออะไร” พี่ใหญ่ก้มหน้าก้มตาเดินขึ้นบันไดเตรียมกลับห้องเช่นกัน

-ความปรารถนา ? -

พอได้ยินคำนี้แล้วหัวใจผมก็กระตุก มีลางสังหรณ์บางอย่างทำให้ใจผมเริ่มไม่ดี

“แล้วตระกูลไหนได้รับเลือกเหรอครับ” ผมกลั้นใจถามไล่หลังชายที่หัวบันได

“ไลโอเนล”

เพล้ง

แก้วน้ำในมือหลุดร่วงลงพื้น คำตอบของพี่ทำให้โลกทั้งใบหยุดนิ่ง

ไม่จริง !!

“เฮ้ย วารอสเป็นอะไรไป” พี่วาเรนตะโกนเรียกสติผม

ได้ยังไง !!!

“ผ...ผมขอตัวกลับห้องก่อนนะ วันนี้เหนื่อยๆ” นัยน์ตาของผมร้อนผ่าว เสียเริ่มสั่นเครือ ผมรีบออกจากห้องอาหารแล้ววิ่งขึ้นบันไดกลับห้องทันทีโดยไม่ได้สนใจพี่ใหญ่ที่สวนกันที่หัวบันได

เกิดอะไรขึ้น !!!

ผมรีบกลับห้องตนเองให้เร็วที่สุด ทางเดินพร่ามัวไปหมดด้วยม่านน้ำตา ผมต้องการหลีกหนีจากผู้คนทั้งหมด

ตึง !!!

เมื่อปิดประตูลงเรี่ยวแรงก็หายไปหมด แค่จะเดินไปที่เตียงผมก็ยังทำไม่ได้ แผ่นหลังของผมค่อยๆไถลลงไปตามบานประตูจนลงไปนั่งกับพื้น หยาดน้ำใสๆไหลอาบแก้ม

หัวใจของผมปวดร้าว

“มันเกิดขึ้นได้ยังไง” คำถามมากๆไหลเข้ามาในหัว คำถามที่ไม่สามารถล่วงรู้คำตอบได้เพราะคนที่จะตอบได้เพียงผู้เดียวไม่อยู่ตรงนี้

“ไหนเจ้าบอกไงว่ารักข้า” ผมพึมพำกับตนเองเหมือนคนเสียสติ แรงบีบรัดมหาศาลเข้าจู่โจมที่อกซ้าย มันเจ็บจนผมต้องเอามือมากุมมันไว้ เจ็บจนอยากจะกระชากมันออกไปเพื่อหนีความเจ็บปวดนี้

“ฮึกๆ”

ทำไมกัน ?

ทำไมมันถึงได้เจ็บปวดแบบนี้ ทั้งๆที่เราเผื่อใจไว้บ้างแล้วไม่ใช่เหรอ ทั้งๆที่เราควรจะยินดีกับเขาไม่ใช่เหรอ แต่ทำไมมันถึงได้เจ็บปวดถึงเพียงนี้ มันเจ็บยิ่งกว่าตอนที่ผิดหวังจากอาจารย์ซิด หรือตอนที่ถูกเคนหักหลังเสียอีก

-รอข้านะ ไว้จัดการทุกอย่างเสร็จข้าจะไปหาเจ้า-

แรงบีบรัดเพิ่มขึ้นจนตาลายไปหมด ผมทิ้งตัวลงนอนไปกับพื้นแล้วกอบกุมตนเองไว้ พยายามปลอบใจตนเองว่ามันต้องมีคำอธิบายได้สิ เขาต้องมาอธิบายให้เราฟังแน่ๆ

แต่ความเจ็บปวดมันกลับไม่ได้บรรเทาลงเลย

“ฮึก ใครก็ได้...ฮึก...ช่วยทำให้ความเจ็บปวดนี้หายไปที...ฮึก”

……………………
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.35 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 09-11-2018 21:31:29
เจ้าลูงสิงห์โตต้องตอบได้ดีแบบเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและรักล้นใจจนได้รับเลือกสินะ
สงสารน้อง ดราม่าไปเลย
เอ....หรือว่าเรื่องนี้จะมีเงื่อนงำ หุหุ
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.35 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 09-11-2018 22:23:58
 :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.35 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 09-11-2018 23:08:05
 :hao7: :a5: :hao7:


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.35 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 10-11-2018 08:25:13
ขอปักไว้ก่อน ไม่กล้าอ่าน  ขอรอเร็กซ์มาอธิบาย
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.35 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 10-11-2018 19:57:38
งานเข้าเลย  :mew5:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.36 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 11-11-2018 18:48:54
Chapter 36 Dragon’s heart

“นี่วารอส ตั้งใจหน่อยสิ”

“วารอส คนธาตุลมอาจจะล่องๆลอยๆ แต่อย่าเหม่อระหว่างฝึกสิ”

“ใบมีดสายลมมันอันตรายนะรู้ไหม ตั้งใจคุมมันดีๆ”

“วารอส เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า ไม่มีสมาธิเลย”

“อย่าให้อาจารย์ต้องดุเลย ตั้งใจหน่อย”

คำตำหนิของอาจารย์เอริดังขึ้นอยู่เนืองๆ ตั้งแต่ประกาศผลการคัดเลือกรัชทายาทผมก็ไม่เป็นตัวของตัวเองอีกเลย ความคิดในหัวตีกันยุ่งไปหมด ใจที่เจ็บปวดก็เอาแต่จดจ่อรอให้เร็กซ์มาหา เขาจะทิ้งผมไปเงียบๆแบบนี้ไม่ได้นะ เขาขอความรักจากผมไปแล้ว เขาจะมาทิ้งขว้างแบบนี้ไม่ได้ แต่ละวันที่ผ่านไปยาวนานเหมือนสัปดาห์ ถ้าไม่ได้ฝึกเวทมนตร์ผมก็แทบจะเก็บตัวอยู่ในห้องตลอด ผมร้อนรนอยากจะไปหาเขา แต่ไม่ว่าจะพยายามขนาดไหนก็ไม่สามารถฝ่าข่ายอาคมของบ้านออกไปได้

จนกระทั่ง 3 วันผ่านไป

ฉัวะ !!!

“อัก” ผมล้มลงไปนั่งกับพื้น รีบเอามือบีบไหล่ซ้ายไว้เพื่อห้ามเลือด ใบมีดสายลมที่ผมปล่อยออกไปพลาดเป้าแต่ผมก็ไม่ได้สนใจมัน สุดท้ายมันบินวกกลับมาเหมือนบูมเมอแรงเข้าเฉือนไหล่ซ้ายของผมเป็นทางยาว เลือดอุ่นๆไหลลงไปตามแขน

“ว้ายตายแล้ว!!! วารอส” อาจารย์เอริร้องเสียงสูงรีบวิ่งเข้ามาดูอาการด้วยท่าทีร้อนรน

“แผลไม่ลึกมากครับ” เพราะเคยผจญภัยและบาดเจ็บแบบนี้มาก่อนทำให้ผมพอจะรู้ความสาหัสของบาดแผล นับว่าโชคดีที่การฝึกใบมีดสายลมยังไม่สำเร็จทำให้อานุภาพของมันยังไม่พอที่จะตัดร่างกายได้ ไม่เช่นนั้นแขนผมอาจจะขาดไปแล้ว

“ไม่ลึกอะไร เลือดไหลทะลักเลยเนี่ย จะขาดรึเปล่าเนี่ย” ท่าทีของหล่อนดูลนลานมากๆ

“มันไม่สาหัสจริงๆครับ เดี๋ยวกดห้ามเลือดแล้วให้พยาบาลมาเย็บก็พอ” เอริก็เว่อร์เกินไป แผลตื้นๆแค่นี้ไม่เท่าไหร่หรอก ถึงเลือดจะออกมามากก็ตาม เริ่มจะคิดถึงเจ้าสายข้อมือนั่นแล้วแฮะ ถ้าเป็นแต่ก่อนก็ใช้มันห้ามเลือดแล้วก็รักษาซ้ำเรื่อยๆจนไม่เหลือแม้แต่แผลเป็น

“เลือดออกขนาดนี้ไม่ไหวหรอก รอตรงนี้อย่าไปไหนนะ เดี๋ยวไปตามคนมาก่อน”

“เดี๋ยวครับ...” ไม่ทันแล้ว เอริใช้เวทมนตร์เหาะเข้าบ้านไปแล้ว

“เฮ้อ...” ผมได้แต่ถอนหายใจ เชี่ยวชาญด้านวิชาแต่ไม่รู้เรื่องอื่นเลยจริงๆ สุดท้ายผมต้องกลายเป็นแบบนั้นรึเปล่านะ

ผมใช้ฟันกัดฉีกชายเสื้อของตนเองแล้วเอามาพันแผลไว้ลวกๆ ผ้าพันแผลถูกย้อมเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว มีเลือดซึมๆออกมาบ้าง จากนั้นจึงลุกขึ้นเข้าบ้านเตรียมเข้าไปทำแผล เหล่าแม่บ้านดูตื่นตระหนกมากเมื่อเห็นสภาพของผมจนต้องรีบบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก ขอน้ำกับผ้าสะอาดมาทำแผลก็พอ

-แค่นี้มันไม่ปวดเท่ากับใจที่บอบช้ำหรอก-

“วารอส เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า” พี่วาเรเรี่ยนรีบลงบันได้มาดูอาการ

“อุบัติเหตุครับ” ผมบอกปัดๆไป พี่ใหญ่รีบพาผมไปนอนที่ห้อง

“บทแห่งแสง Heal” แสงสีแดงสว่างวาบจากฝ่ามือของพี่ชาย มันไม่อบอุ่นแบบพี่วาเรน จะเรียกว่าร้อนเลยก็ได้ ผมจ้องดวงตาอ่อนโยนของเขา บาดแผลปิดลงเล็กน้อยก่อนแสงจะจางไป เลือดยังคงซึมๆออกมา

“ไม่เห็นรู้เลยว่าพี่ใช้เวทย์รักษาได้ด้วย” ผมถามขึ้นระหว่างที่เขากำลังเช็ดแผลให้และหาผ้ามาพันไว้

“ก็เป็นนิดหน่อย แต่สู้วาเรนไม่ได้หรอก” ก็จริงอย่างที่พี่ว่า ถ้าเป็นพี่วาเรนแผลผมคงปิดสนิทไม่เหลือแม้แต่รอยแล้ว “เอริไปตามวาเรนมาแล้ว อีกสักพักคงกลับมา”

“ไม่เห็นต้องกวนพี่รองเลย แค่นี้ไกลหัวใจ ฮ่าๆ” ผมหัวเราะอย่างขมขื่น มันเทียบไม่ได้เลยกับแรงบีบรัดในอกที่เกิดขึ้นตลอดตั้งแต่วันนั้น อีกอย่างคือไม่อยากรบกวนเวลางานของพี่ เขายิ่งยุ่งๆเรื่องรักษาผู้คนที่เรียงคิวกันมาอยู่ คนลักษณ์แสงมันมีน้อย

“วารอส เจ้าเป็นอะไร ทำไมถึงผิดพลาดแบบนี้ได้” วาเรเรี่ยนนั่งลงที่ปลายเตียงแล้วทำสีหน้าจริงจัง

“พึ่งฝึกไม่นาน มันก็พลาดกันบ้าง” ผมแก้ตัวไปส่งๆไม่กล้าสบตา

“เวทมนตร์กลับมาทำร้ายผู้ใช้แบบนี้ไม่เรียกว่าบ้างแล้วล่ะ เจ้าเปลี่ยนไปนะตั้งแต่วันนั้น”

“ช่างเถอะพี่ ผมขอนอนพักก่อนละกัน” กลายๆจะไล่พี่ออกไปเพราะอยากอยู่คนเดียว

“ความสัมพันธ์ของเจ้ากับเร็กซัสคืออะไร” คำถามของพี่ทำให้ดวงตาผมเบิกกว้าง แค่ได้ยินชื่อใจของผมก็ร้าวราน

“ม..หมายความว่ายังไง” ท่าทีผมเปลี่ยนไปจนผิดสังเกต

“ตั้งแต่รู้ข่าวเรื่องไลโอเนลเจ้าก็ซึมลงทันที เกิดอะไรขึ้นกันแน่ วาเรนบอกว่าพบเจ้าอยู่กับเร็กซัสด้วย” พี่ใหญ่จ้องตาคาดคั้นจนผมต้องหลบตาหนี

“มันไม่มีอะไรหรอก” เพราะถ้ามีเขาคงไม่ปล่อยให้ผมรอแบบนี้

“วารอส เจ้ารักเขาเหรอ”

“...” ได้โปรด พอเถอะ อย่าให้ผมรู้สึกแย่ไปกว่านี้เลย

“วารอส เจ้าให้ใจเขาไปแล้วใช่ไหม” วาเรเรี่ยนเสียงดังจนเกือบจะตวาด ผมได้แต่หันไปมองแล้วพยักหน้าเบาๆ “ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“2-3 อาทิตย์ก่อน”

“บ้าเอ้ย” เขาสบถ

“มาแล้วจร้า ไหนเจ้าตัวดีทำอะไรอีก” เสียงนุ่มของพี่วาเรนดังขึ้นพร้อมร่างสูงโปร่งเปิดประตูเข้ามา

พรึบ

“เย้ย” ลูกไฟพุ่งเข้าหน้าพี่รอง แต่เขาสร้างโล่ห์แสงขึ้นกันไว้ทัน

“เล่นอะไรของพี่เนี่ย จะฆ่ากันเหรอไง”

“วาเรน ก่อนพาน้องกลับมาทำไมไม่ตรวจสอบให้ดีก่อน” พี่ใหญ่พุ่งเข้าไปกระชากคอเสื้อนักบวช มีเปลวไฟกรุ่นๆที่ฝ่ามือ

“ตรวจสอบอะไรพี่” วาเรนเริ่มมีท่าทีหวาดๆ คงเริ่มกลัวพี่ใหญ่ที่โมโหอะไรสักอย่าง

“สองคนนั้นเขาเป็นคู่รักกัน”

“หา! ใคร...วารอสกับเร็กซัสน่ะเหรอ”

“ก็เออเซ่ ไม่สังเกตอาการน้องเลยเหรอไง ว่าเปลี่ยนไปตั้งแต่วันนั้น”

“...” ผมได้แต่นั่งเงียบๆดูบทสนทนาของพี่ชายทั้งสอง ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่าทำไมถึงเป็นเรื่องใหญ่ ถึงผมจะซึมลงไปจริงๆแต่เดี๋ยวเวลาก็เยียวยาเอง

“ก็น้องบอกว่าเป็นเพื่อนกัน ผมจะไปรู้ได้ไงเล่าพี่”

“โว้ย แล้วน้องก็ให้ใจไปแล้วด้วย”

“หะ!! ว่าไงนะ แบบนั้นก็แย่น่ะสิ” พี่รองหลุดออกจากมือพี่ใหญ่ได้ในที่สุด แต่สีหน้ากลับตึงเครียดไปตามๆกัน

“ไม่เห็นจะเป็นไรเลยพี่ แค่อกหัก เดี๋ยวก็หาย” ผิดหวังมาตั้งหลายครั้งแล้ว อีกสักครั้งจะเป็นไรไป ถึงครั้งนี้จะเจ็บกว่าครั้งก่อนๆก็เถอะ

“มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆนะ วารอส” พี่ใหญ่เดินมาบีบไหล่จนผมเจ็บแผล “เจ้ารู้ไหมว่าทำไมพ่อถึงเปลี่ยนไปตั้งแต่เสียแม่ไป”

“...” ผมส่ายหน้าเบาๆ ในใจเริ่มเต้นระทึก วาเรเรี่ยนทิ้งตัวลงที่ปลายเตียงอีกครั้ง เปิดทางให้วาเรนเข้ามารักษาแผล

“ผู้คนมักเข้าใจว่าพวกเดรโกนัสมีพลังเวทย์ที่ยิ่งใหญ่เหมือนมังกร แต่แท้จริงแล้วสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าคือความรัก เพราะพวกเราต่างก็มีสิ่งหนึ่งที่เรียกได้ว่าเป็นทั้งพรและคำสาปนั่นคือดวงใจมังกร” วาเรเรี่ยนเริ่มอธิบาย

“ดวงใจ...มังกร ?”

พี่ทั้งสองเริ่มอธิบายให้ผมฟังว่ามังกรที่โตเต็มวัยจะเลือกคู่ชีวิตของมันแค่ครั้งเดียว เมื่อมันมอบความรักและหัวใจให้ใครไปแล้วมันจะไม่สามารถมอบให้ใครได้อีก มันคือความรักที่ยิ่งใหญ่

แต่มันก็เหมือนดาบสองคม ยิ่งความรักมากเท่าไหร่ ความเจ็บปวดเมื่อสูญเสียหรือผิดหวังจะมากขึ้นหลายเท่า เพราะนั่นหมายความว่ามันต้องเสียคู่ชีวิตที่เลือกได้ครั้งเดียวไป ทำให้พวกมันมักจะหวงแหนหัวใจ ไม่มอบให้ใครง่ายๆโดยสัญชาตญาณ

ความเจ็บปวดนั้นมหาศาลจนบางครั้งก็ทำให้ตรอมใจตายตามคู่ของมันไป หรือไม่ก็สร้างภูมิคุ้มกันโดยการปลีกตัวออกไปและแช่แข็งหัวใจของตนเองปิดกั้นความรู้สึกทั้งหมดเพื่อให้ความเจ็บปวดด้านชาหายไป

“ปิดกั้นความรู้สึก ?” ผมเริ่มจะตระหนักบางอย่างได้ “แบบท่านพ่อ”

“ใช่ ท่านพ่อรักท่านแม่มาก รักยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด เมื่อท่านแม่จากไปเขาก็เสียศูนย์ เห็นแบบนั้นแต่ท่านพ่อเจ็บปวดยิ่งกว่าใครเลยรู้ไหม สิ่งที่ทำให้ท่านไม่ตามแม่ไปก็คือหน้าที่ของตระกูลและเราสามคน ท่านพ่อที่เคยอบอุ่นอาจจะเย็นชาแต่เขาก็ยังรักพวกเราอยู่นะ”

“ทำไมผมถึงไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย” ผมโวยวาย...เรื่องสำคัญขนาดนี้ทำไมไม่เคยมีใครบอกผมเลย ตลอดเวลามานี้ผมเข้าใจพ่อผิดมาตลอด

“เพราะตอนนั้นเจ้ายังเด็กอยู่ทำให้ยังไม่เข้าใจเรื่องนี้ พอจะบอกก็ไม่ทันเสียแล้ว”

“แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับผม” ผมเริ่มกลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้น ตั้งแต่วันนั้นหัวใจของผมก็ปวดร้าวตลอดเวลา ผมเสียใจที่รู้สึกเหมือนถูกทรยศจากคนที่ผมรักหมดใจ ผมเริ่มเก็บตัวมากขึ้นอย่างที่พี่ว่า แต่ก็ยังไม่ด้านชาแบบท่านพ่อ

“ก็ถ้าเจ้ารักเขาหมดใจจริงๆ เจ้าจะซึมลงเรื่อยๆ ถ้าไม่เฉยชาแบบพ่อ ก็คง...ไม่อยากมีชีวิตอยู่”

แบบนี้นี่เอง...ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมใบมีดลมถึงกลับมาเฉือนผมเอง เพราะแวบนึงผมมีความคิดนั้นขึ้นมาจริงๆ

“ถ้าแบบนั้นให้ผมออกไปหาเร็กซ์เถอะ ให้ผมได้ไปคุยกับเขา” ผมอ้อนวอน ถ้าเป็นอย่างที่พี่ว่าจริงๆ คนๆเดียวที่จะสามารถเยียวยาผมได้ก็คือเขา

...แต่พี่ใหญ่กลับทำท่าลังเล

“พี่ว่าอย่าเลยดีกว่า พี่ไม่อยากให้เจ้าเจ็บปวดกว่านี้”

“ทำไมล่ะ ถ้าเขาเป็นคู่ชีวิตที่ผมเลือกจริงๆ ผมก็ควรต้องไปอยู่กับเขาสิ” ผมไม่ยอมแพ้

“เห้อ..” วาเรเรี่ยนถอนหายใจยาว “เจ้ารู้รึเปล่าทำไมเขาถึงได้รับเลือก...”

“...” ผมส่ายหน้า

“การส่งพวกเราสี่คนไปตามมุมของประเทศเพื่อค้นหาพลังอีกครึ่งหนึ่งเป็นเพียงการทดสอบแรกเท่านั้น จุดประสงค์เพื่อให้ความสัมพันธ์ของผู้ใช้และเทวะภัณฑ์แน่นแฟ้นขึ้น เชื่อใจกันมากขึ้น และเพื่อค้นหาความปรารถนาของตนเอง เพื่อการทดสอบอีกขั้นหนึ่ง”

“แบบนี้นี่เอง” วาเรนกล่าวเสริมเอามือเท้าคางคิดตาม

“แล้วการทดสอบอีกข้อคืออะไร” ผมเร่งเร้า

“ตอบคำถามง่ายๆด้วยความแน่วแน่ ผู้ที่หนักแน่นที่สุดจะทำให้อาวุธของตนส่องประกายแสงออกมา” พี่ใหญ่ก้มหน้ามองต่ำราวคนผิดหวังในตนเอง “คำถามของนางคือผู้ใดปรารถนาที่จะแต่งงานกับนางเพราะความรัก วินาทีนั้นพี่ลังเล ผิดกับเร็กซัสที่ดาบทอแสงออกมาสุกไสว เขาจึงเป็นผู้ชนะ”

“ม...ไม่จริง” ผมแทบจะไม่เชื่อหูตนเอง เขาบอกว่าเขารักผมนี่ “เร็กซ์ตอบว่ารักอย่างนั้นนะเหรอ” น้ำตาผมไหลออกมา หัวใจของแตกสลาย มันปวดร้าวทวีคูณกว่าเก่า

“ก็ไม่เชิงว่าตอบออกไป องค์หญิงบอกว่าความคิดแรกที่เกิดขึ้นจะส่งผ่านมาเป็นแสงสว่างอันแกร่งกล้า เร็กซัสก็คงตอบไปอย่างหนักแน่น” พี่ใหญ่ดึงผมที่สั่นสะอื้นไปกอดแล้วลูบหัวเบาๆ

“ฮึก แต่เขาบอกว่าเขารักผมนะ เขากล่าวออกมาอย่างหนักแน่นจนผมยอมมอบทุกอย่างให้เขา ฮึก” ผมไม่อาจกลั้นความเสียใจได้อีกแล้ว กอดพี่ชายของผมแน่นแล้วร้องไห้

“เจ้าบ้านั่นมันน่าโดนระเบิดทิ้งไปจริงๆ” พี่วาเรเรี่ยนกล่าวด้วยความแค้น

“พี่เชื่อว่าเจ้าจะผ่านมันไปได้ พวกพี่จะคอยอยู่เคียงข้างเจ้าเอง” พี่รองโอบผมจากด้านหลัง “เจ้ามีครอบครัวของเจ้าอยู่ตรงนี้แล้ว อย่าคิดสั้นจากพวกเราไปเลยนะ”

“...แล้วความรักของผมล่ะ หัวใจของผมที่ให้ไปแล้วล่ะ ฮึก”

“วารอส เจ้ายังอ่อนเยาว์ พี่เชื่อว่าเวลาจะเยียวยาเจ้าได้ สักวันหนึ่งเจ้าจะมีความรักได้อีกครั้ง”

“...” ไม่มีคำพูดใดๆอีก นอกจากเสียงปลอบประโลมจากพี่ชายทั้งสอง บางทีกลับบ้านมาแบบนี้อาจจะดีแล้ว อย่างน้อยผมก็มีคนอยู่เคียงข้าง แต่คำถามก็ยังคงคาอยู่ในใจ...

...เกิดอะไรขึ้นในช่วงเวลาที่เราแยกกันอย่างนั้นเหรอ เขาถึงได้เปลี่ยนใจไปแล้ว

..................................

หนึ่งสัปดาห์ก่อนเดินทางไปหอคอยธาตุลม

“เจ้าสองคนไปเตรียมตัวได้แล้ว” เสียงท่านพ่อดังขึ้นกลางโต๊ะอาหาร

บรรยากาศกลางโต๊ะอาหารเย็นยังคงเงียบเชียบเหมือนเดิม มีการพูดคุยธุระกันนิดหน่อยแต่ผมกลับไม่ได้ใส่ใจมาก พอจะจับใจความได้ว่าพ่อและพี่ทั้งสองต้องเดินทางไปประชุมที่สภาเวทมนตร์พรุ่งนี้เช้า กว่าจะกลับมาก็คงอาทิตย์หน้า

“ครับ ท่านพ่อ” พี่วาเรเรี่ยนลุกออกไปแต่ก็ไม่ลืมมาตบบ่าผม “พี่จะกลับมาให้ทันส่งเจ้านะ”

“แล้วอย่าพึ่งเตลิดไปเสียก่อนล่ะ เจ้ามีพี่ๆอยู่นะ” พี่วาเรนชี้สั่งก่อนจะหายขึ้นบันไดไปทิ้งไว้ให้เหลือผมนั่งอยู่กับพ่อ

ทุกอย่างเป็นไปตามที่พี่ทั้งสองกล่าวไว้ หัวใจของผมด้านชาไปตามระยะเวลาที่ผ่านไป สิ่งที่ยังทำให้ผมหลงเหลือความรู้สึกอยู่บ้างมีสองอย่าง หนึ่งคือไฟแห่งความหวังว่าเร็กซ์จะมาหาผม แต่มันก็ไม่เกิดขึ้น และสองคือพี่ๆทั้งสองที่แวะเวียนเข้ามาดูแลเป็นเพื่อนตลอด ทั้งสองไม่ยอมปล่อยให้ผมอยู่คนเดียว

ผมตระหนักได้ว่าช่วงเวลาที่เปราะบางแบบนี้...การมีครอบครัวเคียงข้างมันช่วยได้มากจริงๆ

ผมเหลือบมองหัวหน้าตระกูลกำลังนั่งจิบไวน์อยู่เงียบๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น...

“พ่อครับ ผมยังไม่มีโอกาสได้พูดเลยว่าผมขอโทษที่ก่อเรื่องไว้” ตั้งแต่รู้เรื่องดวงใจมังกร และเผชิญความรู้สึกที่เป็นอยู่ ทำให้ผมเข้าใจท่านมากขึ้น...ความเจ็บปวดของท่าน

“...” ท่านพยักหน้ารับเบาๆโดยไม่เอ่ยอะไร

“ผมพึ่งทราบเกี่ยวกับดวงใจมังกร” ดวงตาสีฟ้าตวัดมอง มันนิ่งเรียบเช่นเดิม “มันทำให้ผมได้ตระหนักว่าตอนเสียแม่ไป มันต้องเป็นช่วงเวลาที่ลำบากสำหรับพ่อแน่ๆ และผมก็ทำมันวุ่นวายขึ้น ผมขอโทษจริงๆ”

“เข้าใจก็ดีแล้ว” น้ำเสียงของท่านนิ่งสงบ ไร้อารมณ์

“พ่อรักแม่มากๆเลยใช่ไหมครับ” ชั่วขณะ...ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นแสดงความอ่อนไหว

“...”

“ขอโทษที่ถามครับ” ผมเดาว่าท่านคงไม่อยากรื้อฟื้นจึงเงียบปากลงแล้วเตรียมกลับห้อง

“รักเหนือสิ่งอื่นใดเลยล่ะ” เสียงนุ่มเรียกความสนใจของผมกลับไป แววตาของพ่อเลื่อนลอยระลึกความหลัง “โรซ่า...แม่ของเจ้าคือดวงตะวันกลางหัวใจฤดูหิมะของพ่อ นางทำให้หัวใจของพ่ออบอุ่นและเรียนรู้ที่จะมอบมันให้คนรอบข้าง”

“...”

“ตอนเสียแม่เจ้าไป พ่อก็สูญเสียความอบอุ่นนั้นไป ไม่สามารถแสดงความรักหรือรักใครได้อีก มันคือคำสาปของตระกูล”

“แล้วผมก็ทำให้มันแย่ลงเพราะความเอาแต่ใจของตนเอง” ความรู้สึกผิดเข้ากัดกินหัวใจ ทั้งที่เป็นช่วงเวลาลำบากของพ่อแท้ๆ ผมกลับสร้างเรื่องซ้ำเข้าไปอีก

“มันก็คงเป็นความผิดของพ่อด้วยเช่นกัน โรซ่ามอบลูกชายแสนวิเศษให้พ่อถึง 3 คน พ่อกลับไม่สามารถแสดงความรักให้ได้ ทั้งๆที่เจ้าทั้งสามต่างก็คือตัวแทนของนาง” ท่านพ่อลุกมานั่งข้างๆ

“วาเรเรี่ยนเปี่ยมไปด้วยความดุดันเหมือนนาง วาเรนได้รับเล่ห์เหลี่ยมไหวพริบ ส่วนเจ้า...วารอส” พ่อเกลี่ยผมที่ปรกหน้าผากเผยให้เห็นดวงตาชัดๆ “เจ้ามีดวงตาของแม่เจ้า มนตร์เสน่ห์ที่จับกุมหัวใจของพ่อตั้งแต่แรกพบ”

แววตาของพ่ออ่อนโยนลง แววตาที่ผมลืมไปแล้วว่าเคยเห็นตอนเด็กๆ

“พ่อเองก็ขอโทษที่เป็นพ่อที่ไม่ดี”

“ไม่หรอกครับ” ผมส่ายหน้า “ผมเข้าใจความเจ็บปวดของพ่อดี เข้าใจความรู้สึกที่พ่อต้องผ่านมา”

“ลูกหมายความว่ายังไง”

“ผมเองก็สูญเสียคนรัก มันทำให้ผมเข้าใจท่านพ่อมากขึ้น” คำตอบของผมทำให้แววตาของพ่อยิ่งอ่อนไหว

“ได้ยังไงกัน” ท่านตกใจ

“ชะตาของเราคงไม่ต้องกันมั้งครับ”

“โธ่ วารอสลูกพ่อ ทั้งๆที่เจ้ายังเด็กอยู่แท้ๆ เจ้าไม่ควรต้องผ่านเรื่องแบบนี้” เขาดึงผมเข้าไปกอด มันช่างอบอุ่น แบบเดียวกับตอนเด็กๆเลย

“ยังดีที่ผมมีพ่อและพี่ๆเหลืออยู่ ไม่เช่นนั้นผมคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว”

“พ่อเองคงให้คำแนะนำอะไรมากไม่ได้นอกจากให้หาอะไรยึดเหนี่ยวจิตใจไว้ สำหรับพ่อคือหน้าที่และลูกทั้งสาม”

“ขอบคุณครับ ผมจะจำไว้ครับ”

ไม่น่าเชื่อว่าจะได้กลับมาเห็นพ่อที่อบอุ่นอีกครั้ง เราสองพ่อลูกได้พูดคุยกัน ปรับความเข้าใจกันมากขึ้น ขจัดกำแพงที่ขวางกั้นออกไป บางทีวิกฤตของผมครั้งนี้อาจจะนำสิ่งที่ดีกว่ามาก็ได้

..........................

หนึ่งคืนก่อนเดินทางไปหอคอยแห่งลม

ช่วงเวลาที่อยู่คนเดียวไม่ได้แย่อย่างที่คิด ผมไม่รู้สึกเหงา ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว มุ่งความสนใจทั้งหมดไปกับการฝึก สายลมที่ผมสร้างตอนนี้เย็นยะเยือกไม่ต่างจากอากาศเย็นเพราะพายุฝนเช่นคืนนี้ ความรู้สึกของผมต่อสิ่งรอบกายริบหรี่ลงไปทุกทีพร้อมๆกับความหวังที่จะได้พบคนรัก

ผมลงมือเก็บสัมภาระลงกล่อง ทั้งข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว ตำราหนังสือ ผมต้องไปอยู่ที่หอคอยเดียวดายนานเท่าไหร่ก็ไม่อาจทราบได้ ได้แต่หวังว่ามันจะเป็นที่ๆน่าอยู่

“อ๊ะ ยังไม่ได้หยิบเล่มนี้มา” ผมตรวจสอบรายชื่อหนังสือที่ต้องเตรียมก็พบว่าขาดไป 2-3 เล่ม ผมจึงเดินไปที่ห้องสมุดเพื่อค้นหาสิ่งที่ขาดไป

เปรี้ยงๆ

ห้องสมุดใหญ่โตเปี่ยมไปด้วยศาสตร์ต่างๆที่ถูกสั่งสมมานานหลายร้อยปี มันเต็มไปด้วยหนังสือหลายพันเล่ม ผมต้องถือเชิงเทียนไล่ตามชั้นวางไปอย่างยากลำบากเพราะมันดึกแล้วทำให้แม่บ้านดับไฟเสียหมด อีกทั้งฝนยังตกหนักจนไม่มีแม้แต่แสงดาวเข้าช่วย

แฉะๆ

ผมเอะใจเมื่อเหยียบลงบนพรมเปียก

“ทำไมถึงมีน้ำเข้ามาในนี้” ผมอุทานแล้วส่องไฟเห็นรอยเปียกบนพรมทาง บางรอยเหมือนรอยเท้า

ผู้บุกรุกอย่างนั้นเหรอ ทำไมถึงไม่ถูกข่ายอาคมตรวจจับ

เมื่อคิดได้เช่นนั้น ความระแวดระวังภัยก็เพิ่มสูงขึ้น ผมเตรียมหมุนตัวออกจากห้องสมุดเพื่อไปตามทหารยาม ผมไม่อยากถูกใครเล่นงานในบ้านตนเอง

เปรี้ยง

ฉับพลันสายตาผมก็เห็นเงาบางอย่างกระทบแสงจากฟ้าผ่ายืนอยู่ที่ทางออก เป็นร่างใครคนหนึ่งที่สวมเสื้อคลุมปิดมิดชิดมีหยดน้ำไหลลงพื้นเป็นทาง

“แกเป็นใคร” สัญลักษณ์มังกรเรืองแสง ผมเตรียมร่ายคาถา บุกเข้ามาเงียบๆแบบนี้ยังไงก็คงไม่มาดีแน่ๆ

วื้ด

“บทแห่งลมที่...อึก” ไม่ทันที่ผมจะร่ายคาถาจบ คนตรงหน้าก็พุ่งตัวเข้าประชิดในพริบตา

มือขวาถูกรวบยกสูงขึ้น ร่างกายถูกผลักกระแทกกำแพง...แต่มันไม่เจ็บ เพราะคนตรงหน้าเอาท่อนแขนท่อนใหญ่รองหลังผมไว้

“หนอยแหนะแก...อุบ” ริมฝีปากอุ่นพุ่งเข้าประกบจูบปิดปาก ดวงตาผมเบิกกว้าง

ความรู้สึกคุ้นเคยนี้นี่มัน...

ความอบอุ่นที่โหยหา

ความอบอุ่นที่นึกว่าสูญเสียไปแล้ว

การจูบเรียบง่ายจนถึงขั้นห่วย

รสจูบที่จุดประกายความอบอุ่นคืนเข้ามาในดวงใจ ผมรู้สึกได้ว่าความชุ่มฉ่ำคืนกลับมาที่หัวใจของผมอีกครั้งราวกับไร่นาที่พึ่งได้รับน้ำฝน

“ขอโทษที่มาสายนะ รอส”

..............................................

ปล. ดราม่ามานาน เตรียมเปลี่ยนโทนสักที


หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.36 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 11-11-2018 19:31:32
 :man1:


 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.36 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 11-11-2018 19:42:19
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.36 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 11-11-2018 20:47:12
ครอบครัวเคลียร์แล้ว เหลือเจ้านี่แหละบักเร็กซ์ที่ต้องมาเคลียร์
วงวารน้อง
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.36 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 11-11-2018 21:41:30
 :katai1: :katai1:

หมดเวลาซดมาม่าแล้ววววววว
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.36 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: phrase ที่ 11-11-2018 21:44:03
ต้องรอให้นุ้งรอสเสียเลือดเสียเนื้อก่อนถึงจะโผล่มา ซื่อบื้อจริง ๆ
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.36 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 11-11-2018 21:47:58
กว่าจะโผล่มาได้ เล่นเอาคนอ่านใจไม่ดีเลย  :hao5:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.36 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 12-11-2018 00:12:25
ขอปักอีกครั่ง อ่านผ่านๆเหมือนจะค้าง
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.36 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 14-11-2018 16:49:29
Chapter 37 Another side of the story

“ขอโทษที่มาสายนะ รอส” เสียงคุ้นเคยเอ่ยขึ้นเมื่อริมฝีปากเราแยกออกจากกัน

“เร็กซ์ ? ” ผมถามอย่างไม่แน่ใจนัก ยกมือลูบแก้มและสันกรามเพื่อความแน่ใจ กลัวว่าจะเป็นภาพลวงตา เขามาหาผมแล้ว

ผัวะ !!!

“อุก” หมัดซ้ายผมเข้ากระทบกรามที่พึ่งสัมผัสไปเต็มๆ อูย...เจ็บมือเหมือนกันแฮะ เจ้าอัศวินหน้าหันไปตามแรง เอามือลูบปอยๆแล้วมองด้วยความแปลกใจ “นี่ทักทายคนรักแบบนี้เหรอ”

“นี่ยังน้อยไป เจ้าหายไปไหนมา ข้ารอเจ้ามาตลอด” เสียงของผมสั่นเครือ ก้มหน้าเพื่อซ่อนน้ำตาที่ผมไม่รู้ว่าดีใจ เสียใจหรือว่าอะไรกันแน่ รู้แต่ว่ามือทั้งสองข้างบีบปกเสื้อคนตรงหน้าแน่น “ฮึก รอมาตลอด...และกลัวมาตลอดว่าเจ้าจะไม่มาหาแล้ว”

“อ่า...งั้นข้าก็คงสมควรโดนจริงๆ” ชายหนุ่มเชยคางผมขึ้นแล้วก้มจูบเปลือกตาที่ร้อนผ่าว “ข้าขอโทษจริงๆ มีเรื่องวุ่นๆมากมายทำให้ข้ามาพบเจ้าไม่ได้ทั้งๆที่คิดถึงใจแทบขาด ไม่เคยมีวันไหนเลยที่ข้าไม่คิดถึงเจ้า”

“...” ผมโผตัวเข้ากอดร่างตรงหน้าเต็มรักจนเสื้อผ้าผมเปียกน้ำฝนที่เกาะตามเสื้อคลุมของเขาหมด “ข้าก็คิดถึงเจ้า แต่ว่าพอได้ยินว่าเจ้าได้รับเลือกความหวังของข้าก็ริบหรี่ลง”

“ฮ่าๆ นี่เจ้าไปอยู่ไหนมา ข้าสละตำแหน่งไปตั้งแต่ 5 วันก่อนแล้ว” เร็กซ์อมยิ้มตอบกลับมา

“หา!!” ผมแทบไม่เชื่อหูตนเอง เรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมผมถึงไม่รู้ “แล้วทำไมไม่มาให้เร็วกว่านี้ รู้ไหมว่าพรุ่งนี้ข้าต้องไปแล้ว” ผมโมโหกลบเกลื่อน ผมคงจะเก็บตัวมากเกินไปจนตัดข่าวสารไปหมด

“จริงๆข้าจะสละสิทธิ์ตั้งแต่วันแรกแล้วแต่องค์หญิงขอคุยกับราชาก่อนจะได้ไม่เป็นการหักหน้ากัน พอกลับเมืองก็มีธุระในบ้านมากมายทำให้ข้ามาไม่ได้ กว่าจะได้ก็หลังจากนั้น 4 วัน แต่พอมาถึงวาเรเรี่ยนก็ไม่ให้เข้าพบ”

“เรื่องนี้ข้าก็ไม่เห็นรู้เลย” นี่เจ้าอัศวินมาหาผมตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้วเหรอ แถมเจอพี่ใหญ่ด้วย ทำไมไม่มีใครเล่าให้ฟังเลย “ทำไมไม่ให้พบล่ะ”

“ตอนพี่เจ้าบอกว่ารู้ความสัมพันธ์ของเราแล้ว ข้าตกใจมากไม่นึกว่าเจ้าจะบอกเขาไป แต่พอจะขอพบตัวก็ถูกห้าม พี่เจ้าบอกว่าเป็นรัชทายาทแล้วไม่ควรมาเกาะแกะกับเจ้าอีก มันจะช่วยให้เจ้าตัดใจง่ายขึ้น” เร็กซ์แง้มประตูออกดูก่อนจะปิดลงแล้วผลักผมลึกเข้าไปในห้องสมุด

“...”

“ข้านะอยากจะตะโกนกลับไปว่าไม่ได้อยากเป็นและจะสละสิทธิ์ แต่เพื่อไม่ให้เป็นข่าวฉาวตามที่องค์หญิงขอไว้เลยต้องเงียบไว้ก่อน พอสละตำแหน่งแล้วพวกพี่เจ้าก็ไม่อยู่ บุกเข้ามาก็ไม่ได้เพราะข่ายอาคม ข้าเลยต้องเตรียมการก่อนถึงมาพบเจ้าได้ในวันนี้”

“เร็กซ์ ช้าๆก่อน ข้างงไปหมดแล้ว” ผมประมวลผลไม่ทันแล้ว จู่ๆเรื่องมันก็หักมุมจนผมตามไม่ทัน

“อ่า ถ้างั้นเริ่มตั้งแต่ 3 สัปดาห์ก่อนเลยแล้วกัน”

...........................................

ตึง

เสียงประตูปิดลงไปแล้ว คนรักของผมไปแล้ว ไม่นึกเลยว่าร่างกายที่ฝึกมาไม่เพียงพอจะทำให้ลงเอยเช่นนี้ แต่ไม่ว่ายังไงก็ตามผมต้องกลับไปตามเขากลับมาให้ได้

“ข้าอาจจะดูคนไม่เก่งแต่ก็รู้ว่าเจ้าโกหก” ผมรู้ดีว่าเขาไม่ได้อยากกลับไป แต่ที่เขาต้องไปเพราะเหตุผลบางอย่างแน่ๆ

ใช้เวลาไม่นานผมก็ลุกเดินเหินได้จริงตามที่รอสว่าไว้ เวทมนตร์เยียวยาอันแกร่งกล้าสมชื่อวาเรนแห่งแสงจริงๆ เคยแต่ให้พวกนักบวชรักษาบาดแผลภายนอกจนไม่เหลือแม้แต่แผลเป็นให้เป็นที่ระลึก แต่หากกระดูกหักก็ยังจำเป็นที่ต้องเข้าเฝือกพักฟื้น นี่เป็นครั้งแรกที่เจอคนที่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บภายในได้ขนาดนี้

ใจจริงก็อยากจะกลับเมืองหลวงไปหาคนรักเลย แต่หากทำแบบนั้นก็เท่ากับว่าต้องรายงานตัวว่าทำเควสเสร็จทันที ผมไม่อยากเสี่ยงจึงเลือกทำตามแผนที่วางไว้ แต่ครั้นจะนั่งๆนอนๆก็น่าเบื่อ อีกทั้งคนในหมู่บ้านนี้ยังมีพระคุณให้ที่พักด้วยจึงช่วยพวกเขาซ่อมแซมบ้านที่เสียหาย ถือซะว่าได้ออกกำลังด้วย

แต่ละวันผ่านไปด้วยความยากลำบากเพราะผมเอาแต่เฝ้าคิดถึงคนรัก เขาจะกินอะไรรึยังนะ เขาจะอยู่สบายรึเปล่า เขาจะคิดถึงเราบ้างไหม จนกระทั่งผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ผมจึงเริ่มออกเดินทางกลับเมืองหลวง

หลังจากใช้เวลาเกือบ 3 วันผมก็ถึงหน้าปราสาทของราชาเพื่อรายงานตัว เป็นไปตามคาดผมเป็นคนสุดท้ายที่กลับมา กำหนดการตัดสินจึงเป็นเย็นวันถัดไป คนของหลวงเปิดประตูมิติที่อนุญาตให้เฉพาะคนในเท่านั้นที่ใช้ได้เพื่อกลับเมืองของผมเอง กลับบ้านที่จากมานาน

ทันทีที่ก้าวพ้นเขตรั้วคฤหาสน์เข้ามาก็มีนายทหารมาทักและพาฟรีดไปพักในคอกม้า แต่ยังไม่ทันจะก้าวถึงบ้านก็พบบรรยากาศที่คุ้นเคย ประตูคฤหาสน์ถูกถีบออกมาพร้อมกับชายร่างกำยำวัยสี่สิบกลางๆ ผมสีดำยาวประบ่า มีหนวดเคราดูน่าเกรงขาม

ฟ้าว แกร๊ง!!

คมดาบพุ่งเข้ามาด้วยความรวดเร็ว ผมชักดาบออกมารับไว้ได้อย่างฉิวเฉียด

“ยังช้าเหมือนเดิมเลยนะ ไอ้หนู”

“หึ ยังชอบเล่นรุนแรงตลอดเลยนะพ่อ” ผมทักชายตรงหน้าที่ประดาบด้วย ลีออน ไลโอเนล (Leon Lyonel) ราชสีห์สีดำ...หรือท่านพ่อ

“ฮ่าๆๆ” เขาหัวเราะก่อนจะลดดาบลงแล้วเข้ามากอด “นึกว่าจะต้องปั๊มลูกชายคนใหม่ซะแล้ว ป่ะ...เข้าบ้านเถอะทุกคนรออยู่”

หลังจากเหน็ดเหนื่อยมานาน ในที่สุดผมก็ได้กลับบ้าน ท่านแม่และพี่เรจิน่านั่งรออยู่ในห้องรับแขกอยู่แล้ว

“กลับมาถึงบ้านเสียทีนะลูกแม่”

“มาช้าจังเลยนะเร็กซ์”

“แหะๆ ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะครับ” ผมเกาหลังคออย่างเขินอาย เดินเข้าสวมกอดหญิงสาวทั้งสองคน

“ลูกเดินทางไกลคงเหนื่อย ขึ้นไปล้างตัวก่อนนะ แล้วลงมาทานอาหารเย็นกัน” ท่านแม่เดินมาจูงมือไปที่บันไดบ้าน ท่านเป็นหญิงผู้โอบอ้อมเสมอ

“นี่กลอเรีย (Gloria) เร็กซ์มันเป็นหนุ่มแล้วนะ ไม่ต้องไปโอ๋ขนาดนั้นก็ได้ ฮ่าๆ” ท่านพ่อส่งเสียงหัวเราะไล่หลังมา แต่ก็ต้องเงียบลงอย่างรวดเร็วเมื่อสายตาของแม่เรียบนิ่งลง แม้แต่ผมก็เสียวสันหลังขึ้นมา เห็นแม่ยิ้มแย้มใจดีแบบนี้แต่นางเป็นคนน่ากลัวมากขนาดสยบพญาราชสีห์ได้เลยนะ

หลังจากชำระร่างกายและแต่งตัวเรียบร้อยแล้วผมก็ล้มตัวนอนลงบนเตียงนุ่มๆ ขอเอนหลังสักหน่อยก่อนลงไปร่วมโต๊ะอาหาร แล้วผมก็คิดถึงคนที่เคยนอนอยู่ข้างๆ ผ่านมาตั้ง 10 วันแล้วเขาจะเป็นอย่างไรบ้างนะ

ก๊อกๆๆ

“แม่เข้าไปได้ไหม”

“ได้เลยครับ” ผมดีดตัวขึ้นนั่งเมื่อท่านแม่เปิดประตูเข้ามา นางนั่งลงที่ปลายเตียง

“เดินทางเป็นยังไงบ้าง หืม”

“สนุกดีครับแม่ ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆเยอะเลย”

“ค่อยหายห่วงหน่อย นี่ก็เกือบจะหมดกำหนดเวลาแล้ว แม่นึกว่าลูกจะลำบาก”

“ไม่หรอกครับ ติดขัดนิดหน่อยแต่ก็ผ่านมาได้” ที่ผ่านมาได้เพราะมีคนช่วยนี่แหละ...คนสำคัญด้วย พอนึกขึ้นได้ก็เกิดไม่สบายใจขึ้นมา “แม่ว่าพ่อจะโกรธไหมถ้าผมไม่ชนะ”

“หืม ทำไมถามอย่างนั้นล่ะ” นางยกมือขึ้นมาลูบผม

“ก็...ไม่สามารถนำเกียรติยศมาให้ที่บ้านได้”

“เห้อ พ่อเจ้าอาจจะชอบสอนแต่เกียรติของอัศวินนู่นนี่นั่น แต่จริงๆพ่อเจ้าน่ะขอแค่เจ้าปลอดภัยก็พอแล้ว” แม่ตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน มันทำให้ผมสบายใจขึ้น “แค่ผ่านบททดสอบกลับมาได้ก็เพียงพอแล้ว”

“นั่นสินะ” พอได้ยินแล้วก็โล่งอก บางทีผมอาจจะกดดันตัวเองมากเกินไปก็ได้

“ทำไมทำเหมือนโล่งอกที่ไม่ชนะล่ะ หรือว่าลูกไม่อยากแต่งงานอยู่แล้ว”

“อ๊ะ...ป...เปล่านะแม่” ผมตกใจจนลนลาน

“แหนะ...แสดงว่าไม่อยากแต่งจริงๆ แต่ไหนแต่ไรมาลูกก็โกหกไม่เก่งอยู่แล้วนะ” แม่จับผิดผมและคนอื่นๆในบ้านผมเก่งเสมอเลย “เอ...ตอนขาไปก็ดูฮึดดีนี่นา พอขากลับกลายเป็นไม่อยากแบบนี้ แสดงว่าระหว่างเดินทางต้องไปเจอใครเข้าแน่ๆ คิคิ”

“ว...หวาไม่ใช่อย่างนั้นนะแม่” ผมแทบจะดีดตัวออกจากเตียงเหมือนโดนของร้อน ทำไมแม่ผมถึงได้อ่านขาดได้ขนาดนี้

“ผู้หญิงคนไหนนะที่เป็นผู้โชคดี เอ๊ะ หรือว่า...เป็นชาย” นางพูดด้วยทีเล่นทีจริงจนผมหน้าแดงไปหมด

“...” ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่หันหน้าหนี

“โอ้ไม่ปฏิเสธแบบนี้แสดงว่าเป็นชายสินะ”

“แม่ !!!”

“คิกๆ” ท่านแม่หัวเราะชอบใจแล้วดึงผมไปกอด แต่เพราะความแข็งแรงมันต่างกัน ผมตัวแข็งหน้าชาไปหมด นางจึงเปลี่ยนเป็นคล้องคอแทน “แม่เลี้ยงลูกมากับมือนะ แม่ย่อมรู้ดีว่าลูกเป็นยังไง สายตาที่ลูกมองหญิงและชายอื่นมันต่างจากที่บุรุษทั่วไปเขามองกัน แถมบุรุษผู้หล่อเหลาอย่างลูกไม่เคยมีข่าวกับใครเลยมันก็น่าคิดอยู่”

“แล้วแม่ไม่ว่าอะไรเหรอ” ผมก้มหน้าก้มตาถามไปเบาๆ นี่แม่ผมรู้ว่าผมเป็นยังไงตั้งแต่ผมยอมรับตัวเองอีกเหรอเนี่ย

“จะว่าได้ยังไง แม่เลี้ยงลูกมาให้เป็นชายหนุ่มที่ดี ส่วนคู่ของลูกแม่กับพ่อตกลงกันไว้แล้วว่าจะให้ลูกเลือกเอง”

“น...นี่พ่อก็รู้เหรอ”

“พ่อไม่รู้หรอก แค่ไม่ว่าอะไรถ้าลูกจะพาหญิงคนไหนเข้าบ้าน ยังไงก็ให้เวลาแกหน่อยแล้วกัน”

“...” ผมหมดซึ่งคำพูด ความลับที่ปิดไว้ตลอดกลับถูกแม่ล่วงรู้อย่างง่ายดาย แถมยังไม่ต่อว่าอะไรอีก

“จริงอยู่ที่เราสอนให้เกียรติสำคัญที่สุด แต่เราก็ยังอยากให้ลูกเป็นตัวของตัวเอง เลือกสิ่งที่ตนเองปรารถนานะ จำไว้ ป่ะ...ลงไปทานข้าวได้แล้ว”

“ขอบคุณครับแม่” ผมสวมกอดแม่ผมอีกครั้ง ก่อนจะลงไปร่วมโต๊ะอาหารด้วยความสบายใจ ตอนนั้นผมคิดว่าอุปสรรคทุกอย่างน่าจะหมดแล้ว

...................................................


หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.37 40%)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 14-11-2018 19:28:56
 o13



 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.37 40%)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 14-11-2018 20:10:43
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.37 40%)
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 14-11-2018 20:44:02
 :hao3: :hao3: :hao3:


งานนี้สบายละรอสคุณแม่สามีไฟเขียว
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.37 40%)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 15-11-2018 00:04:31
 :pig4:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.37 40%)
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 15-11-2018 00:37:38
บักเร็กซ์เป็นคนที่นิสัยน่ารักจริงๆ เวลาอยู่กับครอบครัว
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.37 40%)
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 15-11-2018 15:26:46
ครอบครัวไม่ต่อต้านดีมากกก รออีกครึ่งจ้า
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.37 40%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 18-11-2018 18:26:06
37.2

เย็นวันถัดมา

การตัดสินจัดขึ้นในห้องโถงใหญ่กลางปราสาท มันเป็นห้องกว้างที่ตกแต่งไว้อย่างยิ่งใหญ่สมฐานะราชาผู้ปกครองประเทศ มีภาพเขียนตามฝาผนังและหลังคา เครื่องทอง เครื่องเงินวางประดับตามโต๊ะไม้ลงลาย ที่จุดลึกสุดของโถงมีบัลลังก์ตั้งอยู่ หนึ่งราชบัลลังก์ของราชา หนึ่งบัลลังก์ของราชินีผู้ล่วงลับ และ หนึ่งบัลลังก์ขององค์หญิง หลังแท่นบัลลังก์มีผลึกคริสตัลสีน้ำตาลก้อนใหญ่ เป็นที่สิงสถิตของสัตว์อสูรแอตลาส (Atlas) อสูรกวางผู้ปกป้องดินแดนแห่งนี้โดยมีองค์หญิงเดลิซ่าเป็นร่างทรงคนปัจจุบัน ตราประจำราชวงศ์นี้จึงเป็นรูปเขากวาง

หลังจากรับฟังคำปราศรัยแสดงความยินดีจากองค์ราชาจบก็เป็นคราวขององค์หญิงที่จะขึ้นกล่าวคำตัดสิน ทุกคนในห้องต่างก็ตื่นเต้น ทั้งขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่ยืนรอบห้อง และผมกับชายอีกสามคนที่ยืนอยู่หน้าบัลลังก์ วาเรเรี่ยน เดรโกนัส พี่ชายของรอส ถัดมาคือชายหนุ่มผมทองยาวประบ่า รูปร่างปราดเปรียว ฟัลเก้ ฮอว์คอาย (Falke Hawkeye) และโทโร่ แบล็คฮอร์น (Toro Blackhorn) ชายร่างท้วมท่าทางไม่มั่นใจ

“อย่างที่ท่านพ่อกล่าวไป เราต้องขอแสดงความยินดีอีกครั้งที่ผ่านการทดสอบของเรามาได้ สมแล้วที่เป็นลูกหลานของเสาหลักของประเทศ เราหวังว่าการที่พวกท่านได้เดินทางไกลไปในที่ๆแปลกใหม่ ที่ๆแตกต่างจากความสุขสบาย (comfort zone) ของตนเองจะทำให้พวกท่านได้รู้จักตนเองมากขึ้น และพร้อมที่จะรับการทดสอบถัดไป” เมื่อเสียงอ่อนหวานของนางจบลงก็เกิดเสียงเซ็งแซ่ไปทั้งห้อง ทุกคนต่างมองหน้าซุบซิบกัน แม้แต่องค์ราชายังแปลกใจ...นี่ยังไม่จบอีกเหรอเนี่ย

“พวกท่านไม่ต้องห่วง การทดสอบนี้ง่ายๆ แต่ก่อนอื่นเราต้องขอรบกวนให้แขกผู้มีเกียรติทุกท่านออกไปก่อน เราขอเวลาส่วนตัวกับผู้รับการคัดเลือกสักประเดี๋ยว” เหล่าขุนนางต่างทำหน้างุนงง บ้างก็ไม่พอใจแต่ก็ยอมออกไปแต่โดยดี “รวมถึงท่านด้วยค่ะ ท่านพ่อ”

“ลูกจะทำอะไร” องค์ราชาเอียงคอสงสัยการกระทำของธิดา

“หน่านะ ขอเวลาหนูแปปเดียว” เดลซ่าทำท่าออดอ้อนจนผู้เป็นพ่อยอมใจอ่อนออกจากห้องไป “เห้อ เอาล่ะ ออกไปกันหมดแล้ว” นางเดินไปนั่งที่บัลลังก์ของนางเอง บรรยากาศที่ตึงเครียดอ่อนลง

“เป็นไงบ้าง พวกท่านเหนื่อยไหม” องค์หญิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง

“มากกกก” ฟัลเก้ลากเสียงยาว พอไร้ซึ้งพิธีรีตองก็กลับมาเป็นบรรยากาศสบายๆอย่างสมัยเด็กๆ

“ฮือ เดลซ่า ทำไมเจ้าถึงโหดร้ายแบบนี้ บอสที่ข้าเจอทำให้อุปกรณ์เวทมนตร์ใช้การไม่ได้ ข้าเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดเลยนะ” โทโร่คร่ำครวญ

“แหม เรื่องนั่นจะโทษเราฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ เพราะจริงๆแล้วคนที่สร้างบอสขึ้นมาคือเทวะภัณฑ์ของพวกท่านต่างหาก”

“หา!! อาเทมิส นี่เจ้าเป็นคนสร้างบอสที่ล่องหนได้ตัวนั้นขึ้นมาเองเรอะ” ฟัลเก้โวยวายใส่คันธนูสีทองของตน

“คนขี้ขลาดที่เอาแต่สู้จากระยะไกลอย่างเจ้ามันก็ต้องเจออะไรที่ขี้ขลาดพอๆกันนั่นแหละ” คันธนูเปล่งแสงออกมาพร้อมเสียงหญิงสาวที่ฟังดูเย่อหยิ่ง

“หนอยยยย” ชายผมทองยกอาวุธของตนมาเขย่าอย่างหัวเสีย

“ที่ข้าต้องเจอบอส 2 ตัวนี่หมายความว่ายังไง โอทห์คีปเปอร์” ผมกระซิบถามดาบในฝักข้างเอว

“ก็นายท่านมากัน 2 คน มันก็ต้องยากขึ้นเป็นธรรมดา” มันตอบกลับด้วยน้ำเสียงกวนโมโห หนอย...ไอ้เจ้าดาบบ้านี่

“แล้วการทดสอบต่อไปคืออะไร” เป็นวาเรเรี่ยนที่แทรกขึ้นมาด้วยเสียงเรียบนิ่ง

“อ่า...จริงจังตลอดเลยนะท่านวาเรเรี่ยน” นางยังคงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ท่านทั้งสี่คนคือผู้ที่ถูกเลือกโดยเทวะภัณฑ์ที่เคยกอบกู้อาณาจักรจากภัยร้ายในอดีต เราจึงจัดการทดสอบแรกตามคำขอของพวกเขาเพื่อให้ผู้ถือครองได้พิสูจน์ตนเอง กระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นขึ้น” องค์หญิงยอมเฉลยออกมาใน

“ทดสอบอะไรเนี่ย เจ้าธนูบ้านี่เลยพูดไม่หยุดเลย” ฟัลเก้โวยวายอีกครั้ง

“เจ้านั่นแหละพูดมาก” คันธนูสีทองก็เถียงไม่ลดละ

“เอาล่ะงั้นก็เริ่มการทดสอบต่อไปเลย คนสุดท้ายที่ยืนอยู่คือผู้ชนะ” เสียงใสๆของนางทำให้บรรยากาศในห้องตึงเครียดขึ้นมาทันที การต่อสู้แบบพบกันหมดงั้นรึ

ฟัลเก้คว้าลูกศรมาขึ้นสาย

โทโร่ทำท่าเงอะงะ

วาเรเรี่ยนยังคงนิ่งเงียบ แต่มือก็กระชับคัมภีร์ปกแดงในมือแน่น

ผมยกมือขึ้นแตะด้ามดาบด้วยความลังเล เมื่อได้รับสัญญาณต่อสู้นักรบอย่างผมควรจะชักดาบขึ้นเตรียมพร้อม แต่ผมกลับนิ่งเฉย...เพราะผมไม่อยากชนะ

“พรืด คิกๆ ฮ่าๆๆ ล้อเล่นหน่า” เสียงใสหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง เดลซ่ากุมท้องตัวงออยู่บนบัลลังก์ “แหม ท่านฟัลเก้ละก็...คิดจริงๆเหรอว่าเราจะให้เพื่อนในวัยเด็กฟาดฟันกันจริงๆ”

“นี่ยัยบ้า อย่าล้อเล่นแบบนี้เซ่” เจ้าของนามโวยวายอีกครั้งแล้วพร้อมลดคันศรลง “ข้าบอบบางสุดในบรรดาทุกคนเลยนะ ขืนโดนเปิดก่อนก็แย่น่ะสิ”

“เฮ้อ...” ทุกคนถอนหายใจโล่งอก องค์หญิงนี่ยังชอบทำเป็นเล่นอยู่เรื่อยเลย

“ฮ่าๆ แต่เราไม่ได้ล้อเล่นเรื่องการทดสอบต่อมาหรอกนะ” เดลซ่าเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นจริงจังอีกครั้งแล้วยืนขึ้น “เราจะถามคำถามง่ายๆแล้วให้ท่านคิดคำตอบในใจ ผู้ที่หนักแน่นกับคำตอบที่สุดจะทำให้เทวะภัณฑ์ของตนเปล่งประกายสว่างที่สุด และเขาคนนั้นจะเป็นผู้ชนะ เอาล่ะหยิบอาวุธของพวกท่านออกมากันได้แล้ว”

เราทั้งสี่ถืออาวุธประจำตัวในมือ คัมภีร์สีเลือดของวาเรเรี่ยน คันศรอาเทมิสของฟัลเก้ ชุดเครื่องมือเวทมนตร์ของโทโร่ และดาบโอทห์คีปเปอร์ของผม คริสตัลหลังบัลลังก์สว่างขึ้น เทวะภัณฑ์ลอยขึ้นกลางอากาศ

“คำถามของเราคือ ท่านปรารถนาที่จะอภิเษกกับเราเพราะรักเรา ใช่หรือไม่ ?”

เป็นคำถามที่ผมเองก็ไม่ทันตั้งตัวรับมือ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ยากสำหรับผมเพราะการเดินทางครั้งนี้ทำให้ผมได้พบกับคนที่รัก และสำคัญที่สุดคือได้รู้จักกับตนเองและสิ่งที่ปรารถนา

‘ไม่’ คือสิ่งแรกที่ผมนึกถึงโดยไม่ลังเล

วาบ !!!

ดาบตรงหน้าเปล่งประกายสีฟ้าสว่างไสวจนแสบตากลบแสงสีจากอาวุธชิ้นอื่นจนหมด

“เราได้ผู้ชนะแล้ว” เสียงประกาศขององค์หญิงทำให้ผมหน้าซีดลงทันที

เป็นไปไม่ได้...ก็ผมไม่ต้องการอภิเษกนี่ ทำไมผมถึงชนะ

“เดลซ่า นี่มันหมายความว่ายังไง ทำไมถ...” ผมพยายามจะชี้แจงแต่ก็ถูกนางยกมือให้เงียบลง

“เอาล่ะ ทั้งสามคนอย่างได้เสียใจหรือผิดหวังไป ไม่ว่ายังไงพวกท่านก็ได้พิสูจน์แล้วว่าพวกท่านยังคงเป็นเสาที่แข็งแกร่งให้กับทางราชวงศ์ ขอบคุณทุกท่านที่ลำบาก เชิญพวกท่านออกไปได้”

บรรยากาศในห้องเงียบสนิท เพื่อนทั้งสามของผมหน้าตาต่างก็ไม่สู้ดี แม้แต่ผมที่เป็นผู้ชนะก็ไม่ได้ดีอกดีใจ
ไม่ว่ายังไงผมต้องคุยให้รู้เรื่องให้ได้...

……………………………………………….

ณ สวนลอยฟ้าของวัง

“องค์หญิงนี่มันหมายความว่ายังไงครับ” หลังจากประกาศว่าผมเป็นผู้ได้รับเลือกให้เหล่าขุนนางฟังเป็นที่เรียบร้อยนางก็พาผมมาที่ระเบียงของวัง มันถูกจัดเป็นสวนหย่อมเล็กๆ

“ไม่มีใครอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดเป็นทางการก็ได้” เดลซ่าเดินไปนั่งที่ริมระเบียง สายตาทอดไปยังตึกรามบ้านช่องเบื้องล่าง
“เดลซ่า อธิบายมาเดี๋ยวนี้ ทำไมข้าถึงชนะทั้งๆที่...”

“ทั้งๆที่ตอบว่าไม่น่ะเหรอ” นางขัดขึ้นมาโดยที่ไม่หันกลับมามอง “ก็อย่างที่เราบอก คนที่หนักแน่นที่สุดคือคนที่ชนะ”
“ต่อให้ไม่ต้องการจะชนะอย่างนั้นน่ะเหรอ”

“ใช่ เราไม่ต้องการแต่งงานกับคนที่ยังไม่รู้แม้แต่ความปรารถนาของตนเอง” เสียงของนางเรียบนิ่ง เจือความเศร้า
“แต่เจ้าจะยอมแต่งกับคนที่ไม่ได้รักเจ้าเลยอย่างนั้นเหรอ” ผมไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจหญิงสาวตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย

“ราชาคือผู้ที่รู้ใจตนเองว่าต้องการหรือไม่ต้องการสิ่งใด นั่นคือคนที่เราตามหา”

“แต่...”

“เร็กซ์ ท่านจะปฏิเสธอย่างนั้นเหรอ” นางยกเสียงขึ้นถามอย่างท้าทาย “ท่านกล้าปฏิเสธราชวงศ์งั้นเหรอ”

“...ใช่”

“ด้วยเหตุผลอะไร”

“อย่างที่เจ้าว่า เพราะข้ารู้ว่าปรารถนาใครและต้องรักษาสัญญากับคนๆนั้น” ผมตอบไปโดยไม่เกรงกลัว ผมมีสัญญาที่ต้องทำตาม ผมต้องไปรับคนรักของผมกลับมาเคียงข้าง ต่อให้ต้องตายผมก็ไม่ยอมให้ใครขวางทาง

“เฮ้อ...” หญิงสาวยกมือขึ้นกุมขมับ ส่ายหน้าแล้วถอนหายใจยาว “ท่านนี่ซื่อบื้อเหมือนที่รอสว่าจริงๆ ขืนตอบไปแบบนั้นโดนจับประหารแน่ๆ ดีไม่ดีพ่อของเราจะลงมือเองด้วยซ้ำ”

“จ...เจ้ารู้” ผมไม่อยากจะเชื่อหูตนเอง นางพึ่งเอ่ยชื่อคนรักของผม นางรู้ได้ยังไง

“ใช่เรารู้ เราคือร่างทรงของแอตลาส สัตว์อสูรแห่งปฐพีผู้ปกป้องดินแดนแห่งนี้ ขอแค่มีจุดอ้างอิงอย่างเทวะภัณฑ์ เราก็สามารถใช้ดวงตาของท่านเฝ้าติดตามได้ ตราบใดที่อยู่บนผืนแผ่นดินนี้”

“...!!!”

“เราเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าผู้กล้าของเรามีความเป็นไปอย่างไรบ้าง” นางหยิบผ้าเช็ดหน้าสีน้ำตาลเข้มขึ้นปิดใบหน้าครึ่งล่าง “แล้วเราขอบอกเลยว่าการเดินทางของท่านแซ่บที่สุด”

แซ่บ ? อะไรคือแซ่บ แล้วผมตาฝาดรึเปล่า ทำไมหน้านางแดงขึ้นและผ้าเช็ดหน้าของนางมีสีเข้มขึ้นเป็นดวงๆ

“ถ้าแบบนั้นทำไมถึงยังเลือกข้าอยู่ทั้งๆที่มีคนรักเป็นชาย”

“ก็อย่างที่เราบอกไงว่าต้องการคนที่หนักแน่นที่สุด หากรัก...เราก็ยินดีที่จะแต่งงานด้วย หากว่าไม่รัก...เขาก็จะปฏิเสธเราเช่นท่าน แต่ท่านต้องปรับปรุงคำขอปฏิเสธสักหน่อย”

“ทำไมเจ้าถึงพูดเหมือนวางแผนไว้แล้ว”

“ท่านคิดมากไปเองต่างหาก หึหึ” เดลซ่าเก็บผ้าเช็ดหน้าลงแล้วดึงมือผมไปนั่งข้างๆ “เราช่วยท่านสละตำแหน่งโดยไม่ให้เกิดความบาดหมางระหว่างตระกูลของท่านกับราชวงศ์ได้ แต่ท่านต้องหาข้ออ้างที่ดีกว่านี้”

“ข้ออ้างอื่นอย่างนั้นเหรอ” ผมครุ่นคิดว่าจะใช้เหตุผลใดดี นอกจากจะต้องฟังขึ้นกับราชาแล้วยังต้องฟังขึ้นกับที่บ้านด้วย อ่า...ใช่แล้ว เหตุผลเดิมที่ตั้งใจไว้

“ข้าขอปฏิเสธตำแหน่งรัชทายาทเพราะการเดินทางครั้งนี้ทำให้ข้าตระหนักได้ว่าข้ายังอ่อนหัดในหลายๆเรื่อง อีกทั้งยังมีผู้คนมากมายที่ถูกเงาบดบังจนไม่ได้รับความช่วยเหลือ ข้าอยากจะออกไปผจญภัยเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์และช่วยเหลือประชาชนผู้ทุกข์ยากเหล่านี้ด้วยมือของตนเอง”

“เป็นเหตุผลที่สูงส่ง เปี่ยมไปด้วยความเสียสละโดยไม่เห็นแก่ประโยชน์ของตน เราว่าพ่อของเราน่าจะรับได้” เดลซ่ายกมือขึ้นท้าวคางแล้วคิดตาม “ถ้าแบบนั้นเราจะลองคุยให้ท่านพ่อมอบตำแหน่งผู้กอบกู้ (Savior)ให้ได้”

“ตำแหน่งที่มอบให้กับผู้กล้าในตำนานน่ะเหรอ” เป็นตำแหน่งที่คนมีชาติตระกูลไม่ค่อยรับเพราะต้องออกไปอยู่อย่างลำบาก ช่วยเหลือผู้คนเยี่ยงนักผจญภัยธรรมดา มันคือการเสียสละที่แท้จริง แต่มันก็มีสิทธิพิเศษมาบ้าง

“ใช่แล้ว ตำแหน่งที่สามารถเข้า-ออกได้ทุกเมือง รับภารกิจของกิลด์นักผจญภัยได้ทุกระดับ รวมทั้งขอหนังสือรับรองข้ามประเทศได้” เดลซ่าอธิบายต่อ

“เยี่ยมไปเลย...ถ้าได้รับมาตระกูลของข้าก็น่าจะไม่มีปัญหาเช่นกัน” ผมดีใจจนแทบลุกกระโดดโลดเต้น ถ้าได้รับตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้มาท่านพ่อต้องไม่มีปัญหาแน่ๆ ในที่สุดอุปสรรคก็จะได้หมดลงสักที ผมจะได้ไปรับคนรักออกมาผจญภัยอย่างที่ตั้งใจไว้ “ไปกันเถอะ ไปบอกองค์ราชากัน” ผมจูงมือนางเข้าวังด้วยความรีบร้อน

“เดี๋ยวก่อน จะบอกปุบปับแบบนี้ไม่ได้ เราขอเวลาคุยกับพ่อก่อน” นางรั้งตัวแล้วเรียกสติผมกลับมา “ขอเวลาคุยและเตรียมการสักอาทิตย์นึงได้ไหม แล้วอย่าพึ่งไปบอกคนนอกนะ เราไม่อยากให้ตื่นตูมกันก่อนที่จะเตรียมการเสร็จ”

“ก็ได้” แม้จะร้อนรนเพราะกลัวว่ารอสจะเสียใจเมื่อรู้เรื่องที่ผมได้รับตำแหน่งรัชทายาท แต่เพื่อให้เราได้อยู่ด้วยกันผมคงต้องยอมอดทนหรืออย่างน้อยก็ไปบอกเขาไว้

รอก่อนนะรอส อีกเดี๋ยวข้าจะไปหาเจ้าแล้ว

................................

4 วันผ่านไป

ผมนั่งอยู่ในเรือนรับรองชั้นนอกของตระกูลเดรโกนัสด้วยความตื่นเต้น ที่ดินของตระกูลนี้แบ่งออกเป็นสองส่วนคือชั้นนอกที่ตระกูลรองอาศัยอยู่และใช้รับรองแขก และชั้นในที่มีข่ายอาคมคุ้มกัน เป็นที่อยู่อาศัยของตระกูลหลัก

ทั้งๆที่จะรีบตรงมาหาแท้ๆ แต่กว่าจะผ่านงานสังสรรค์มาได้ก็แทบแย่ วันแรกก็ต้องรีบแจ้งที่บ้านก่อนถึงเรื่องที่จะปฏิเสธตำแหน่งรัชทายาท ท่านพ่อแปลกใจแต่ก็ไม่ได้ค้านอะไร

“อืม ถึงจะเสียดายอยู่บ้าง แต่เจ้าก็ยังอ่อนหัดจริงๆ เจ้ายังไม่คู่ควรกับตำแหน่งราชา ได้ออกไปเผชิญโลกกว้างก็ดีเหมือนกัน เจ้าจะได้แข็งแกร่งขึ้น” ท่านพ่อเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับการฝึกฝนตนเสมอ ขออ้างที่จะออกไปเดินทางเพื่อฝึกฝนจึงผ่านอย่างง่ายดาย

...แต่เพราะว่ายังต้องปิดข่าวไว้ก่อนจึงต้องร่วมงานเลี้ยงที่ญาติพี่น้องจัดให้ ไหนจะเหล่าขุนนางที่เข้าหาจนแทบจะกระดิกตัวไม่ได้ ซ้ำยังมีเจ้าพวกอัศวินตัวแสบใต้บัญชาอีก

“นี่หัวหน้า หญิงคนนี้นี่เด็ดสุดในร้านแล้ว พวกเรารวมเงินกันจ้างให้นางเป็นคู่ซ้อมให้หัวหน้าก่อนขึ้นเตียงวันอภิเษกเลยนะ” ผมได้แต่ส่ายหน้าเมื่อเจ้าพวกตัวดีจ้างหญิงสาวหน้าตาดีมานั่งด้วยในงานเลี้ยงฉลองความสำเร็จ

“ไม่ต้อง” ผมตอบไปเสียงแข็ง

“หัวหน้าจะปรนเปรอองค์หญิงให้มีความสุขได้ยังไง ถ้าไม่เคยมาก่อน ฮ่าๆ” หนอย...ไอ้เจ้าพวกนี้มันน่าเอาดาบฟันให้หัวแบะ

“ข้าเคยแล้...เอ้ย...ข้าจัดการเองได้หน่า” ผมตอบกลับไปด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ

“อะไรนะหัวหน้า โหย...ร้ายเหมือนกันนะเนี่ย ฮ่าๆ ไกลหูไกลตาแปปเดียวก็...”

กร๊อบๆ

เจ้าพวกลูกน้องปิดปากสนิททันทีที่ผมเปลี่ยนสีหน้าและเริ่มหักข้อนิ้ว

“ถ้าไม่อยากให้งานเลี้ยงเป็นสนามฝึกก็สงบปากสงบคำซะ”

แอ๊ด...

ผมลุกขึ้นยืนเมื่อประตูเปิดออก แทบจะอยากเข้าไปฉวยคนตรงหน้ามากอดไว้ด้วยความรีบร้อน ทว่า...คนที่ออกมาพบคือวาเรเรี่ยน

“พวกเจ้าออกไปก่อน ข้าขอคุยธุระส่วนตัว” ชายผมแดงเอ่ยไล่บริวารออกจากห้อง

“ท่านวาเรเรี่ยน” ผมเอ่ยนามตรงหน้า

“มาที่นี่มีธุระอะไร...?” เขาตอบกลับเสียงแข็ง แววตาดุดัน

“ข้ามาขอพบวารอส”

“เพื่ออะไร...?”

“เราเดินทางร่วมกันมา ข้าอยากจะมาขอพบเขาอีกครั้ง” คำถามของชายตรงหน้าทำให้ผมอ้ำอึ้ง ผมไม่รู้ว่ารอสอยากให้คนที่บ้านรู้เรื่องหรือไม่จึงขอสงวนท่าทีไว้ก่อน

“ข้าต้องขอปฏิเสธ”

“ท...ทำไมล่ะ”

“ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ ทั้งๆที่อยู่ในการทดสอบแท้ๆแต่กลับสานสัมพันธ์กับคนอื่น เจ้าไม่คิดบ้างเหรอว่าคนๆนั้นจะเสียใจขนาดไหนหากเจ้าได้เป็นรัชทายาท” เสียงของรุ่นพี่กดต่ำราวกับพยายามระงับโทสะไว้ให้ได้มากที่สุด

“ท่าน...รู้ ?” ผมตกใจมาก ไม่นึกว่าคนในตระกูลจะรู้ความสัมพันธ์ของเราสองคนแล้ว แต่มันก็น่าจะช่วยให้คุยง่ายขึ้น

“ใช่ข้ารู้ และก็เห็น...ว่าน้องข้าเศร้าโศกขนาดไหนเมื่อผิดหวัง” หัวใจของผมปวดร้าวเมื่อได้ยินคำตอบ เป็นอย่างที่คิด...รอสรู้ข่าวแล้วคงต้องเสียใจมากแน่ๆ

“แต่ข้ารักเขาจริงๆนะ ได้โปรดให้ข้าได้พบ...”

พรึบ

ลูกไฟพุ่งเฉียดใบหน้าไปไม่ถึงเซนติเมตร ถ้าไหวตัวช้าไปเบี่ยงตัวหลบไม่ทันอาจจะเข้าหน้าเต็มๆ จิตสังหารของชายหนุ่มตรงหน้าพุ่งตรงเข้าหาจนผมต้องตั้งท่าพร้อมรับมือ

“เร็กซัส!!! เจ้ากล้าดียังไงถึงพูดคำว่ารักออกมา เจ้าไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะพูดแบบนั้นได้แล้วนะ” วาเรเรี่ยนแผดเสียง เขาโมโหมากจนมีเปลวไฟลุกขึ้นมาที่ฝ่ามือทั้งสองข้าง

“แต่ข้าหมายความอย่างนั้นจริงๆ”

พรึบ

ลูกไฟอีกลูกพุ่งเข้าหาจน ผมกระโดดถอยออกมาเว้นระยะเพราะไม่มีอาวุธในการปัดป้อง

“หุบปากได้แล้ว ข้าไม่อยากโดนตราหน้าว่าทำร้ายรัชทายาทเพราะแพ้การคัดเลือก ฉะนั้นไสหัวออกไปแล้วอย่ามายุ่งกับน้องข้าอีก แค่นี้เขาก็เสียใจมากพอแล้ว ถ้าเจ้ารักเขาจริงก็ปล่อยเขาไปซะ ให้ทุกอย่างมันง่ายขึ้นสำหรับวารอส” วาเรเรี่ยนกล่าวอย่างหัวเสียก่อนจะระเบิดประตูห้องออกแล้วเดินจากไป

“แต่ว่าข้า...ข้า...” บ้าจริง...เพราะสัญญาไปแล้วว่าจะยังไม่บอกเรื่องสละตำแหน่งก่อนเวลาอันควรทำให้ผมไม่สามารถโต้เถียงใดๆออกไปได้นอกจากกลับออกมามือเปล่า

……………………..

อีก 4 วันถัดมา

ในที่สุดก็ถึงวันที่ทุกอย่างพร้อมสำหรับการประกาศสละตำแหน่ง ขุนนางทุกคนแปลกใจเมื่อทราบข่าวเพราะไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่คิดว่าจะมีคนที่ปฏิเสธตำแหน่งนี้

พิธีถูกจัดขึ้นในห้องโถงห้องเดิม องค์ราชากล่าวชมความเสียสละและมอบตราสัญลักษณ์ผู้กอบกู้ให้ แต่ก็ตำหนิการตัดสินใจอยู่บ้าง คงเพราะติดใจที่ผมปฏิเสธองค์หญิงสุดที่รักของท่าน แต่เดลซ่าบอกไว้แล้วว่าเดี๋ยวท่านก็หายเคืองเอง ไม่รู้เหมือนกันว่านางไปพูดอะไรไว้บ้าง

เมื่อเสร็จพิธีผมก็ไม่รีรอ รีบตรงไปที่คฤหาสน์ของเดรโกนัสทันที แต่แล้วก็ต้องผิดหวังอีกครั้งเพราะคนในตระกูลต่างออกไปประชุมที่สภาเวทมนตร์กันหมด อีกทั้งยังมีคำสั่งกำชับไม่ให้ผมเข้าพบรอสเด็ดขาด ผมรอจนตกดึกหวังลักลอบเข้าไปแต่ก็ไม่สำเร็จเพราะข่ายอาคมทำหน้าที่เป็นกำแพงล่องหนทำให้ผมฝ่าเข้าไปไม่ได้ จึงต้องกลับออกมามือเปล่าอีกครั้ง

แต่แล้วด้วยคำแนะนำและความช่วยเหลือขององค์หญิงผมก็สามารถฝ่าเข้ามาได้สำเร็จ ในคืนนี้ก่อนที่รอสจะต้องเดินทางจากไปพอดี...

...........................


หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.37 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 18-11-2018 19:25:22
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.37 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 18-11-2018 20:13:10
 :z1: :z1:

องค์หญิงคือคนผู้อยู่เบื้องหลังสิน่ะ 5555
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.37 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 18-11-2018 21:54:24
 :กอด1: :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.37 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 18-11-2018 22:39:44
มีองค์หญิงสนับสนุนนี่เองงงง
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.37 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 19-11-2018 02:57:00
เจ้าแผนการที่สุดก็คงเป็นองค์หญิงนี่แหละมั้ง
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.38 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 20-11-2018 18:36:35
Chapter 38 Oath

เมื่อเรื่องราวที่เร็กซ์เล่าจบลง ผมก็ได้แต่อ้ำอึ้ง พูดอะไรไม่ออก ความรู้สึกหลากหลายมันตีกันไปหมด ทั้งดีใจที่เขายังรักและฝ่าอุปสรรคต่างๆมาหา ทั้งโกรธที่ไม่มาหาเร็วกว่านี้จนผมเกือบจะถอดใจ แล้วยังพี่ชายขี้โมโหนั่นอีกที่มากันท่า และตกใจที่ได้รับความช่วยเหลือจากคนที่ไม่คาดฝัน

“เราสองคนจะได้อยู่ด้วยกันเสียที” เจ้าอัศวินกล่าวพร้อมดึงผมเข้าไปสวมกอด

“เดี๋ยวๆ เร็กซ์ ในเรื่องราวของเจ้าไม่มีตรงไหนเลยนะที่ว่าข้าจะไปอยู่กับเจ้าได้ยังไง” เราสองคนจะอยู่ด้วยกันได้อย่างไร ผมเองก็ต้องไปศึกษาต่อตามคำสั่งของที่บ้าน ส่วนเขาก็ได้ออกไปผจญภัยฝึกฝน

“เจ้าก็มากับข้าคืนนี้ไง” เขาตอบกลับมาหน้าตาเฉย มือของเขากอบกุมมือผมไว้แน่น

“เฮ้ย...ได้ไงเล่า จะให้ข้าทิ้งครอบครัวไปอีกเหรอไง” แม้ว่าผมจะต้องออกไปเรียนต่อในที่ห่างไกล แต่ที่นี่ก็คือบ้านของผม จะให้ผมทิ้งพวกเขาออกไปอีกครั้งอย่างนั้นเหรอ “อีกอย่าง...ต่อให้หนีออกไปด้วยกัน สุดท้ายหน้าที่ขอตระกูลก็ทำให้เราไม่ได้อยู่ด้วยกันอยู่ดี”

“อืม...เป็นไปตามที่เดลซ่าว่าเลย เจ้าต้องไม่ยอมง่ายๆแน่ๆ” เจ้าอัศวินทำหน้าครุ่นคิดแล้วคุ้ยหาอะไรบางอย่างจากกระเป๋าสะพาย “ส่วนเรื่องที่จะได้อยู่ด้วยกันแม้มีตระกูลค้ำคอ นางก็แนะนำว่ามีวิธีอยู่”

“วิธีอะไร ?”

“วิธีการเก่าแก่ที่คนนิยมทำกันมาแต่โบราณ...” ในมือของเขาคือเชือก

“...” ผมเริ่มขยับถอยห่างเพราะชักจะไม่ไว้ใจเจ้านี่แล้วสิ

“วิธีแรกคือทำให้ท้อง...แล้วค่อยมารับผิดชอบทีหลัง”

“แค่ก...อะไรนะ” ผมแทบจะไม่เชื่อหู คำพูดแบบนี้ออกมาจากปากเขาได้อย่างไร

“แต่เจ้าคงไม่มีเวทมนตร์ที่ทำให้ตนเองท้องได้ใช่ไหม”

“...” ผมได้แต่อ้าปากพะงาบๆ นั่นคำถามหรือคำพูดลอยๆฟระ

“ถ้าอย่างนั้นก็เป็นวิธีที่สอง” เขากล่าวต่อแล้วเดินเข้ามาใกล้ มือทั้งสองดึงเชือกให้เหยียดตรง

“เออ...เร็กซ์...ข้าว่าข้าไม่อยากรู้...”

“ฉุดไปนอนกก...จนกว่าทางบ้านจะยอม” เขากล่าวต่อหน้าตาเฉย

“แค่กๆ หา!!!” ผมแทบจะสำลักอากาศ นี่ใครเสี้ยมสอนให้เจ้าอัศวินของผมพูดจาแบบนี้

คนตรงหน้าไม่ได้ล้อเล่น อาศัยช่วงที่ผมกำลังมึนกับคำพูดคำจาของเขา จับผมกลับหลัง แล้วมัดแขนมัดขา ยกตัวผมลอยขึ้นพาดบ่า

“ข้ามาที่นี่รอบที่สามแล้ว ไม่ว่ายังไงข้าก็ไม่มีวันยอมกลับออกไปมือเปล่าแน่นอน” น้ำเสียงของเขาระริกระรี้ อัศวินหนุ่มพาผมไปยังประตูระเบียง คาดว่าน่าจะเป็นทางที่เขาลอบเข้ามา

“เดี๋ยวก่อน เร็กซ์...ฟังข้าก่อน” เมื่อตั้งสติได้ผมต้องรีบทักท้วง “เจ้าเป็นถึงอัศวินผู้พิทักษ์แห่งความดีเลยนะ เจ้าจะยอมลดตัวเป็นโจรลักพาตัวแบบนี้เพื่อข้าเลยเหรอ”

“อืม...ก็ถ้าเจ้ายอมมาด้วยดีๆมันก็ไม่เรียกว่าลักพาตัวหรอก แต่ก็ใช่...ข้ายอมเป็นโจร เพื่อให้ได้อยู่กับเจ้า” เร็กซ์ตอบกลับมาอย่างหนักแน่นจนผมอ่อนใจ แม้จะดูเหมือนการกระทำง่ายๆ แต่คนเคร่งครัดกฎอย่างเขายอมลดตัวลงมาแบบนี้ถือว่าเป็นก้าวที่ใหญ่มาก...ใหญ่จนผมหวั่นไหว

“วางข้าลงก่อนเถอะ แก้มัดด้วย วิธีการของเจ้าไม่เวิร์คหรอก” ผมร้องขอไปอย่างเอือมระอา แผนการตื้นๆของเจ้านี่ยังคงมีช่องโหว่เหมือนเดิม เจ้านี่มีดีแต่พละกำลังจริงๆ

“...” เจ้าอัศวินวางผมลงแล้วจ้องเข้ามาในดวงตา เมื่อมั่นใจว่าผมไม่เล่นตุกติกแน่ๆจึงยอมแก้มัดให้

“แล้วข้าจะมั่นใจได้ยังไงว่าถ้ายอมทิ้งตระกูลไปแล้วเจ้าจะไม่ทิ้งข้า” ผมถามกลับไปขณะบีบนวดข้อมือที่ขึ้นรอยเชือก มันมัดผมซะแน่นเชียว นึกไปนึกมาเหตุการณ์นี้เริ่มจะคุ้นๆ

“มั่นใจได้เลยข้าไม่ทิ้งคนที่ได้เป็นเม...เห้อ...พูดแล้วก็กระดากปาก ขอกลับมาใช้คำพูดของตนเองแล้วกัน”

“อันนี้ข้าเห็นด้วย” คำพูดคำจาแบบนี้ไม่เหมาะกับมันเสียเลย

“รอส...เจ้าปรารถนาสิ่งใดหรือ ? สำหรับข้าความปรารถนาคือการได้มีคนรักอยู่เคียงข้าง” สองมือของเขาบีบไหล่ผมไว้แน่น
สายตาของผมเบนไปมองสายฝนนอกหน้าต่าง มองดูเม็ดฝนที่พัดไปตามแรงลม

 “ความปรารถนาของข้าคือ...”

-สายลม ธาตุแห่งอิสรเสรี- คำพูดของพ่อดังขึ้นมาในหัวอีกครั้ง

“การได้เลือกเส้นทางของตนเองอย่างเสรี”

“...”

“และตอนนี้ ข้าขอเลือก...ที่จะเดินเคียงข้างเจ้า”

“ดีเลย ถ้าเช่นนั้นก็เริ่มทำสัญญากันเลย”

ชิ้ง

เร็กซ์ชักดาบขึ้นจากฝักมาถือตรงหน้า ปลายดาบตรงชี้ฟ้า ภาพที่คุ้นตากลับมาอีกครั้ง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันแรกที่เราพบกัน

“ข้าขอสาบาน...ว่าจะรัก ดูแล และปกป้องเจ้าจนชีวิตหาไม่ จะทำทุกอย่างเพื่อให้เจ้ามีความสุขที่สุด ขอเพียงสิ่งเดียว...คือให้เจ้าอยู่เคียงข้างข้า ผจญภัยไปกับข้าในการเดินทางสู่โลกกว้างครั้งนี้” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นเช่นเคย แววตาของเขาแน่วแน่ แต่ข้อเสนอของเขากลับไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย

“ไม่” ผมปฏิเสธไปในทันทีจนเจ้าอัศวินหน้าจ๋อย

“ท...ทำไมล่ะ” โอ้ย...อยากจะขำ แม้แต่น้ำเสียงก็ฟังดูตลก

ผมยกมือขึ้นปัดดาบออกไปก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งประคองหลังคอของเขาเพื่อดึงโน้มเข้ามามอบจุมพิต

“เราจะปกป้องกันและกัน อย่างเท่าเทียมกัน” ผมไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนแอที่คอยอัศวินม้าขาวมาคุ้มครอง ผมก็เป็นนักสู้ไม่ต่างจากเขา ผมไม่ยอมให้เขาปกป้องฝ่ายเดียวหรอก

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เร็กซ์คลี่ยิ้มออกมาทันที เขายกดาบขึ้นอีกครั้ง “ถ้าเช่นนั้นก็...อุบ” แต่ผมไม่ยอมหรอก ใช้ปากนี่แหละอุดปิดปากเขาไว้อีก

“มันคือคำสัญญาที่จะผูกมัดข้ากับเจ้า ไม่ต้องมีสักขีพยาน ไม่จำเป็นต้องมีโซ่ตรวนใดๆ หัวใจของข้าเป็นของเจ้า และข้าจะตามมันไปทุกที่” แม้ว่าผมคือสายลมที่พร้อมไปได้ทุกที่ แต่ผมก็ขอเป็นสายลมที่จะพัดเคียงข้างคนตรงหน้า เพราะเขาคือคนที่ครอบครองดวงใจของผม...ดวงใจของมังกรแห่งสายลม

“ฮ่าๆ นั่นสินะ แค่รักกันก็เพียงพอแล้ว” เร็กซ์หัวเราะแล้วเอานิ้วเกลี่ยแก้มของผม

เห็นใบหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ของเจ้าซื่อบื้อนี่แล้วก็ขำ เราสองคนจูบกันอีกครั้ง บอกรักกันและกัน ก่อนจะเริ่มเตรียมแผนหนีออกจากบ้าน...ไม่สิ แผนลักพาตัว

“ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าฝ่าข่ายอาคมเข้ามาได้ยังไง แต่ข้าไม่สามารถออกไปได้จนกว่าพ่อจะแก้มนตร์ให้ หรือต่อให้พาข้าออกไปได้ พวกเขาก็แกะรอยจากสายใยเวทมนตร์ระหว่างคนในครอบครัวได้อยู่ดี”

“เรื่องนั้นข้าเตรียมไว้แล้ว” เขายิ้มเขินๆแล้วคว้าบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อ “เอามือมา...มือซ้าย” ผมได้แต่เลิกคิ้วสงสัยแต่ก็ยอมยื่นมือไปแต่โดยดี

เร็กซ์ประคองมือซ้ายของผมไว้อย่างทะนุถนอม ผมสัมผัสได้ถึงความชื้นที่ฝ่ามือ มันไม่ใช่น้ำฝนแต่มันคือเหงื่อของเขาเอง เขากำลังตื่นเต้น...อีกแล้ว

“ข้าเก็บสายรัดข้อมือของเจ้าได้และพยายามนำไปซ่อม แต่โทโร่บอกว่ามันออกแบบมาหยาบเกินไปสำหรับการปกปิดพลังเวทย์ เขาจึงออกแบบอุปกรณ์ใหม่มาให้” ในมือของชายหนุ่มคือแหวนสีเงินลงลายลักษณ์อักษรโบราณไว้ เขาสวมมันไว้ที่นิ้วของผม...นิ้วนาง

“...!!!” ผมเลยพลอยตื่นเต้นหน้าแดงไปด้วยเลยทีเดียว นี่มันสวมแหวนแต่งงานชัดๆ

“แหวนนี้จะทำหน้าที่เป็นตัวกรองเวทมนตร์ เจ้าสามารถใช้เวทมนตร์ได้อยู่แต่คนที่อยู่ห่างออกไปไม่สามารถสัมผัสพลังของเจ้าได้” เขาจ้องตาของผมไว้ระหว่างอธิบายสรรพคุณของแหวน จ้องจนผมต้องหลบตาลงด้วยความเขินอาย ไม่นึกเลยว่าจะถูกสวมแหวนแสดงความครอบครองง่ายๆแบบนี้

“จุ๊บ...เอาล่ะไปกันเถอะ อุปกรณ์ที่ใช้เจาะรูข่ายอาคมเข้ามาอยู่หลังบ้านเจ้า เวรยามบ้านเจ้านี่หละหลวมมากเลยนะรู้ไหม” เจ้าอัศวินจอมฉวยโอกาสขโมยจูบผมอีกแล้ว

“ก็ใครจะไปคิดว่าจะมีคนเจาะข่ายอาคมเข้ามาได้เล่า”

“ทางนี้ๆ” ทันทีที่เขาเปิดประตูระเบียงออก น้ำฝนก็สาดเข้ามาทันที

“เร็กซ์ ขอเวลาสักครู่ได้ไหม” ดูท่าฝนฟ้าอากาศจะไม่เป็นใจสำหรับผมนัก ขืนออกไปตอนนี้อาจจะปอดบวมตายเสียก่อน

“หืม...ทำไมล่ะ”

……………………..

“เอานี่ไปด้วย อันนี้ด้วย อ๊ะ...เล่มนี้ด้วยดีกว่า” ผมใช้เวทมนตร์ยกข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้าและตำราเวทย์ลอยเข้ากล่องไม้ขนาดใหญ่ ครั้งก่อนผมเตรียมตัวเดินทางได้ไม่ดีนักทำให้เกือบเอาชีวิตไม่รอด ครั้งนี้ผมขอเอาของติดตัวไปเยอะหน่อยแล้วกัน พกตำราไปศึกษาเองด้วยจะได้ไม่โดนที่บ้านตราหน้าว่าหนีเที่ยวเฉยๆอีก

“เอ่อ...รอส เอาของไปเยอะขนาดนี้จะแบกไปยังไง” เจ้าอัศวินทำหน้างุนงงกับการกระทำของผม พลางจ้องดูกล่องไม้ที่เต็มไปด้วยสัมภาระ

“นี่ไง” เมื่อแน่ใจแล้วว่าของครบก็ปิดฝามันลง ทาบฝ่ามือไว้ที่ฝากล่อง แสงสีเขียวจางๆไหลออกไปอาบกล่องทั้งใบไว้ มีเสียงแกร็กๆเหมือนเสียงไขกุญแจแล้วจึงหดลงเหลือขนาดแค่ฝ่ามือ

กล่องมิติ เป็นอุปกรณ์เวทมนตร์ราคาแพงที่สามารถยืดขยายทั้งตัวกล่องและสัมภาระภายในได้ ช่วยให้สามารถบรรทุกของจำนวนมากไปได้โดยไม่ต้องเปลืองพื้นที่ให้พะรุงพะรัง แต่เพราะเป็นอุปกรณ์ราคาแพงจึงไม่เป็นที่นิยมนัก

“ไปกันเถอะ” หลังจากแต่งกายใหม่และเตรียมของเรียบร้อย ผมก็พร้อมเดินทางฝ่าพายุไปพร้อมกับคนรักแล้ว

เมื่อลักลอบออกจากบ้านได้ เราสองคนก็ตรงไปยังจุดที่เร็กซ์แอบเข้ามา เดินผ่านลานฝึก และโรงเลี้ยงสัตว์พาหนะก็เห็นที่หมาย มันเป็นรูกลมๆสีฟ้าอ่อนๆลอยอยู่กลางอากาศช่วยแหวกข่ายอาคมออกให้สามารถเล็ดลอดออกไปได้ อีกฟากมีม้าขาวยืนรออยู่ใต้ต้นไม้…เจ้าฟรีดนั่นเอง

“เราจะไปไหนกันต่อ” ผมถามชายตรงหน้า เขากำลังคุมม้าไปยังที่ไหนสักแห่ง

“ไปยังประตูมิติเก่าแก่ในโบราณสถานใกล้ๆเมืองหลวง ที่นั่นมีคนรออยู่”

“ใครเหรอ”

“เดี๋ยวก็รู้เอง”

เราสองคนควบม้าฝ่าสายฝนเพื่อไปยังที่นัดหมาย ผมหันหลังมองคฤหาสน์หลังโต

“ขอโทษท่านพ่อและพี่ๆด้วยนะครับที่ต้องทำแบบนี้” ผมพึมพำเบาๆ พวกเขาต้องผิดหวังในตัวผมมากแน่ๆที่หนีออกจากบ้านอีกครั้ง

ตู้ม

ไม่ทันที่จะไปได้ไกลก็มีเสาไฟระเบิดขึ้น มันก็ตัวเป็นกำแพงเปลวเพลิงสูงหลายเมตรท่ามกลางสายฝน

“คิดจะหนีไปไหนอีกแล้วเหรอ วารอส”

.......................................

ปล. สั้นหน่อยเพราะหั่นเป็น 2 ตอน ตอนหน้าก็จบแล้วนะครับ แต่จะมี Epilogueอีกหน่อยนึง ขอบคุณกำลังใจจากทุกท่านนะครับ



หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.38 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 20-11-2018 22:45:55
 :hao7:


 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.38 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 20-11-2018 23:07:15
ดีใจนะครับที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่แรกๆ จนจบเรื่อง
บางทีแอบกลัวคนเขียนจะรู้สึกว่าคนอ่านคนเม้นมันไม่ได้เยอะ
แล้วจะรู้สึกว่ามันไม่มีคนอ่านแล้วก็หายๆ ไป
ยังไงก็จะรออ่านตอนจบเน้อ
เจ้าเร็กซ์จะโดนอะไรบ้าง ฐานบุกมาล้วงคองูเห่า
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.38 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 21-11-2018 01:21:14
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.38 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 21-11-2018 12:17:52
 :mew5: :mew5:

ใครกันนะที่มาขัดขวางการหนีตามผู้ชายของวารอส  5555
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.38 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: Keane ที่ 23-11-2018 17:53:45
 :L2:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.38 100%)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 23-11-2018 22:47:42
Chapter 39 My last chapter 50%

พรึบๆๆ

เปลวเพลงโพยพุ่งขึ้นมาจากพื้นดินเป็นเสาก่อนจะแผ่ขยายออกไปเป็นกำแพงขวางกั้นทางไว้ แม้จะอยู่กลางสายฝนแต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงความร้อน ฟรีดตื่นตระหนกกระโดดไปมาจนผมและเร็กซ์เกือบจะตกจากหลังม้า ยังดีที่เจ้าอัศวินลูบปลอบคอมันจนสงบลงได้

“คิดจะหนีไปไหนอีกแล้วเหรอ วารอส” เสียงดุไล่หลังมาจนผมเสียวสันหลังวาบ เมื่อหันกลับไปก็พบพี่วาเรเรี่ยนเดินทอดน่องฝ่าฝนมาอย่างใจเย็น ผิดกับความรู้สึกที่ตึงเครียดขึ้นมาทันที

“วาเรเรี่ยน”

“พี่!!! พี่ใหญ่ตามมาได้ยังไง กว่าจะถึงบ้านก็น่าจะพรุ่งนี้เช้านี่” ผมแทบจะไม่เชื่อสายตาตนเอง ตอนแรกคิดว่าโชคดีที่เร็กซ์บุกเข้ามาช่วงที่คนในบ้านไม่อยู่พอดี และทางน่าจะสะดวกให้หลบหนีออกไป ไม่นึกว่าจะกลับมาถึงก่อนกำหนด

“จู่ๆก็สัมผัสถึงตัวตนของเจ้าไม่ได้เลยให้วาเรนเปิดอุโมงค์มิติให้แล้วล่วงหน้ามาก่อน เป็นไปตามลางสังหรณ์จริงๆด้วย” ก้อนพลังงานสีแดงที่ฝ่ามือของพี่ใหญ่เผยให้เห็นใบหน้าเรียบนิ่ง แต่แววตาเปี่ยมไปด้วยโทสะ “ข้าบอกเจ้าแล้วใช่ไหมเร็กซัส ว่าอยู่มาเกาะแกะกับน้องข้าอีก”

ฟ้าว !!!

บอลพลังงานสีแดงพุ่งจากฝ่ามือเข้าหา มันเล็งไปที่คนข้างกายผมพร้อมจิตสังหาร

“Magic shield”

เปรี้ยง !!!

โล่เวทมนตร์ขึ้นมาขวางกั้นได้อย่างทันท่วงที แรงกระทบทำให้บอลพลังงานแตกออกเป็นสะเก็ดแสง ส่วนโล่ห์ก็ร้าวจนเกือบแตกออก แรงกระเทือนส่งผ่านมาจนแขนผมสะท้าน ความรุนแรงขนาดนั้นพอที่จะฆ่าไม่ก็ทำให้ปางตายได้เลยนะถ้าโดนเข้าจังๆ...พี่ใหญ่กำลังเอาจริง

“ท่านวาเรเรี่ยนได้โปรดรับฟังด้วย ข้ารักรอสจริงๆ” เร็กซ์อ้อนวอนเมื่อเราสองคนลงจากม้า “ข้าสละตำแหน่งทุกอย่าง ไร้ซึ่งพันธะใดๆแล้ว ได้โปรดให้เราได้อยู่ด้วยกันด้วยเถอะ”

“หุบปาก” วาเรเรี่ยนแผดเสียง แรงกดดันยิ่งทวีขึ้น “อย่าทำตัวเป็นเด็กๆเลยเร็กซัส ต่อให้เจ้าไม่ได้เป็นรัชทายาทแล้ว เจ้าก็ยังเป็นผู้สืบสกุลของไลโอเนล เมื่อถึงเวลาเจ้าก็ต้องทิ้งน้องข้าอยู่ดี”

“ไม่มีวัน...นั่นคือคำสัตย์ของข้า” อัศวินหนุ่มไม่ย่อท้อ แต่จอมเวทย์ผมแดงไม่สนใจ ตะหวัดตามาที่ผมแล้วส่งแรงกดดันเข้าหา

“ส่วนเจ้าวารอส เราตกลงกันแล้วไงว่าจะทำตามขนบธรรมเนียมของบ้าน ไปเรียนต่อแล้วค่อยกลับอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว ถ้าได้รับการฝึกดีๆพรสวรรค์ด้านเวทมนตร์ของเจ้าสามารถช่วยคนได้มากมาย แต่เจ้าจะยอมทิ้งหน้าที่เพื่ออนาคตที่ไม่แน่นอนอย่างนั้นเหรอ ตัดใจตั้งแต่ตอนนี้จะดีกับเจ้าเสียกว่านะ”

“ผมเข้าใจครับพี่” ตาของเราสองพี่น้องยังคงจ้องผสานกัน ทว่าผมจะไม่หวั่นเกรง “แต่ผมเชื่อว่าพรสวรรค์ของผมอยู่ที่ด้านอื่น ผมสามารถช่วยเหลือผู้คนได้แม้ไม่ได้เป็นจอมเวทย์เหมือนพี่”

“ด้วยการเป็นนักผจญภัยหาเช้ากินค่ำน่ะเหรอ หึ...ตลกสิ้นดี” พี่ใหญ่แค่นเสียงหัวเราะอย่างเอือมระอา

“มันคือความจริง ข้าสามารถผ่านการทดสอบได้เพราะความรู้ต่างๆที่รอสสั่งสมมา ความรู้ที่หาได้จากการเผชิญโลกภายนอกเท่านั้น” เร็กซ์ช่วยเสริมทัพ แต่วาเรเรี่ยนไม่ชอบใจจ้องกลับตาเขียวปั้ด

“ความใฝ่ฝันสูงสุดของผมคือการได้ออกไปท่องโลกกว้าง ได้เห็นและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆมากกว่าในห้องเรียน ช่วงเวลา 6 ปีที่ผ่านมาผมก็ช่วยเหลือผู้คนมามาก พี่ก็รู้ว่าหากผมเรียนจบและเข้าร่วมสภาเวทมนตร์ผมจะไม่มีโอกาสได้ออกมาทำตามความฝันอีก” เราสองคนไม่ลดละ จอมเวทย์หนุ่มนิ่งเงียบไป เขาก้มหน้าครุ่นคิดก่อนจะหัวเราะออกมา

“หึหึ โอหังกันจริงๆ ถ้าเช่นนั้นก็แสดงให้พี่เห็นสิว่าเจ้าเก่งอย่างที่พูดจริงๆ หากว่าอยากออกไปผจญภัย...ก็จงล้มพี่คนนี้ให้ได้เสียก่อน” ใจผมกระตุกเมื่อได้ยินคำท้า พี่ใหญ่ไม่ได้พูดเล่น...แสงสีแดงเปล่งออกมาจากสัญลักษณ์มังกรที่ต้นแขนขวา ออร่าเข้มข้นสีแดงแผ่ออกมา หยาดฝนที่ตกลงสัมผัสระเหยเป็นไอน้ำทันที

“พี่...” นี่ผมจะต้องสู้กับจอมเวทย์แห่งไฟ วาเรเรี่ยน เดรโกนัส ผู้เป็นคนสืบทอดตระกูลรุ่นต่อไปจริงๆเหรอ

เร็กซ์เดินขึ้นประจันหน้าพร้อมจับด้ามดาบข้างเอว แต่...

“เจ้าจะทำอะไร” อัศวินหนุ่มถามด้วยความงุนงงเมื่อผมวางมือลงบนฝ่ามือของเขาที่กุมดาบอยู่

“เขาเป็นพี่ของข้า ข้าควรจะเป็นคนจัดการเพื่อพิสูจน์ตนเอง” ผมผลักเขาให้ถอยไปแล้วเดินขึ้นนำแทน มือหนารีบคว้าแขนผมไว้

“เจ้าจะไหวเหรอ” ผมวกตัวกลับไปใช้มือสองข้างประคองที่ใบหน้าของเขา เลื่อนใบหน้าเข้าไปแนบชิดเพื่อมอบจูบ

“ไว้ใจข้าไหม”

“...” เขาทำหน้าลังเลก่อนจะตอบว่า “ได้”

“ถ้าเช่นนั้นก็ถอยออกไปก่อน ระวังโดนลูกหลง และขอร้อง...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ห้ามเข้ามาขวางเด็ดขาด เข้าใจไหม” ผมออกคำสั่ง ในใจเริ่มวางแผนและประเมินความเสี่ยงต่างๆ

“เข้าใจแล้ว ข้าจะรอคนรักของข้าไม่ไปไหนแน่นอน ต้องชนะเท่านั้นนะ” อัศวินหนุ่มจูบผมอีกครั้งก่อนจะพาฟรีดถอยออกห่าง

“แน่นอน” ผมกลับหลังหันแล้วเดินไปเผชิญหน้าพี่ชายของตน ไม่ว่ายังไงผมต้องชนะให้ได้

“จะมาพร้อมกัน 2 คนก็ได้นะ พี่ไม่ว่า...ลงเรือลำเดียวกันแล้วนี่” พี่ใหญ่ถากถางด้วยรอยยิ้มเหี้ยมโหด ใบหน้าที่หายไปนาน...ใบหน้าของวาเรเรี่ยนจอมหัวร้อน

“ผมคนเดียวก็พอ”

“พี่จะคอยดูว่าพอโดนจัดการแล้วจะยังปากดีอยู่ไหม”

เมื่อประจันหน้าผมก็รีบวางแผนทันที...

...ที่เลือกที่จะสู้คนเดียวเพราะผมเชื่อว่ายังไงพี่ใหญ่คงไม่เอาผมถึงตายแน่นอน แต่สำหรับเร็กซ์แล้วพี่อาจจะไม่ออมมือ และผมก็กลัวเร็กซ์จะลงไม้ลงมือหนักเกินไปเช่นกัน คนที่จะล้มพี่วาเรเรี่ยนต้องเป็นผมเท่านั้น

...และจริงอยู่ที่พี่เป็นจอมเวทย์ระดับสูงแต่ธาตุที่พี่ถนัดคือธาตุไฟ ฉะนั้นในสภาพอากาศฝนตกหนักแบบนี้ อานุภาพของเวทย์น่าจะลดลง ยังพอมีโอกาสที่ผมจะชนะได้อยู่บ้าง คงต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์พอสมควร

“อณูเวทย์จงเป็นเชื้อเพลิง จุดประกายและก่อตัวเป็นศรแห่งเพลิงจู่โจมศัตรูเบื้องหน้า บทแห่งไฟที่ 15 Flame arrow”

“ลมหายใจแห่งวายุจงโอบอุ้มข้าเป็นหนึ่งเดียวกับสายลม บทแห่งลมที่ 14 Wind coat”

ศรไฟขนาดเท่าท่อนซุง 5 ดอก รวมตัวขึ้นกลางอากาศรอบตัวพี่ใหญ่ มันพุ่งเป้าหาผมทันทีที่ขึ้นรูปสมบูรณ์

ผมเองก็เปิดใช้หินเวทย์ลมและร่ายคาถาให้สายลมโอบรอบตัวผม ใช้ประโยชน์จากร่างกายที่ได้รับการฝึกจนแข็งแรงกว่านักเวทย์ทั่วไปผสานกับความเร็วที่เพิ่มขึ้นเพื่อหลบหลีกศรเพลิง

“อณูเวทย์จงเป็นเชื้อเพลิงหลอมรวมกับลมหายใจแห่งข้ าจุดประกายเป็นเปลวเพลิงแห่งมังกรที่พร้อมกลืนกินทุกสรรพสิ่ง โหมซัดเข้าแผดเผาศัตรูของข้า บทแห่งไฟที่ 25 Dragon’s breath” เมื่อศรดอกสุดท้ายสลายไป วาเรเรี่ยนไม่รอช้าร่ายคาถาต่อด้วยความรวดเร็ว

ซูมมมม

เปลวไฟโพยพุ่งออกมาจากฝ่ามือทั้งสองข้างเป็นสาย อาณาเขตมันกว้างจนผมหลบไม่ทัน

วิ้ง!!! ครืน!!!

หินเวทมนตร์สีน้ำตาลเรืองแสง พื้นดินเปียกชื้นยกตัวขึ้นเป็นกำแพงหนาเพื่อปกป้องผมจากเพลิงร้อนระอุ ขนาดใช้กลางน้ำฝนยังร้อนขนาดนี้เลย...นี่ถ้าไม่มีฝนผมเป็นมังกรเผาไปแล้ว

“นี่จะย่างสดกันเลยเหรอพี่” ผมตะโกนโวยวาย พี่ใหญ่เล่นแรงจริงๆ

“อะไรกัน แผลไหม้นิดหน่อยเอง ตราบใดที่ไม่ตายก็ให้วาเรนรักษากลับมาได้” จอมเวทย์หนุ่มตอกกลับมาด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม

คลื่นเพลิงยังคงกระหน่ำเข้ามา ผมเปิดใช้งานหินสีน้ำเงินเพื่อควบคุมน้ำเข้าต้านแต่ก็ไม่ได้ผล ไฟของพี่ระเหยน้ำที่เข้าปะทะในทันที ผมไม่ใช่คนที่มีลักษณ์น้ำจึงไม่แกร่งพอที่จะทานไว้

“คงต้องลองเวทย์บทใหม่เสียหน่อย” มีคาถาอยู่จำพวกหนึ่งที่ผมอยากจะฝึกมานานแล้วตั้งแต่ออกไปผจญภัย ลองคิดลูกเล่นต่างๆมานานแต่เพราะปิดผนึกพลังตัวเองทำให้ไม่สามารถใช้ได้ ช่วงกลับมาบ้านได้ลองฝึกเองบ้าง...ได้เวลาลองดูแล้วว่าได้ผลไหม

ฟู่ ๆ ๆ

ในที่สุดก็ถึงโอกาสทอง เปลวเพลิงของพี่อ่อนกำลังลงแล้ว ต่อให้เก่งแค่ไหนก็ปล่อยเวทย์มนตร์ต่อเนื่องนานๆไม่ได้ ต้องมีจังหวะพักบ้าง

“อณูเวทย์ในกายจงสร้างภาพมายาดั่งเงาในกระจกเพื่อลวงหลอกศัตรู บทแห่งการอำพรางที่ 6 Mirror image” เงามายา 4 ร่างปรากฏขึ้นข้างกาย ทั้งรูปลักษณ์และการเคลื่อนไหวเหมือนผมทุกอย่าง แต่เพราะเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาทำให้ไม่สามารถจับต้องสิ่งใดได้

ผมและร่างมายาทั้งสี่พุ่งตัวออกจากที่กำบังแล้วกระจายตัวกันออกทุกทิศทุกทาง

“เงามายาอย่างนั้นเหรอ ของเด็กเล่น ใช้หนีไม่ได้หรอก” พี่ใหญ่ถากถางแล้วควบคุมให้กำแพงไฟขยายอาณาเขตตีวงล้อมกว้างออกไป หวังกักให้ผมไร้ทางหนี ทว่ากำแพงเริ่มเตี้ยลงอย่างชัดเจน พี่วาเรเรี่ยนเริ่มจะล้าแล้ว

จริงอย่างที่พี่ว่า Mirror image เป็นเวทมนตร์ที่นักเวทย์ใช้เพื่อล่อหลอกศัตรูด้วยภาพลวงตา ทำให้พวกมันสับสนแล้วหาโอกาสถอยห่างเพราะร่างกายที่บอบบาง หากโดนเข้าประชิดก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ แต่เพราะผมเป็นนักผจญภัยที่ต้องประยุกต์สิ่งต่างๆเพื่อความอยู่รอด ผมจึงใช้มันในกลยุทธ์ที่แตกต่าง

เมื่อกระจายตัวออกไปอยู่ที่ทั้ง 5 มุมของลานประลอง ผมทั้ง 5 ก็ชักดาบพุ่งเข้าหาจอมเวทย์ตรงกลางทันที จุดอ่อนอันใหญ่หลวงของพวกนักเวทย์คือชอบขาตาย ร่ายเวทมนตร์อยู่ที่จุดเดียว ไม่ยอมขยับไปไหน หากโดนล้อมโดยไม่มีคนปกป้องก็พลาดท่าได้เช่นกัน

“ชิ เล่นแบบนี้เหรอ...ได้ บทแห่งไฟ Fire bolt” วาเรเรี่ยนยิงศรเพลิงลูกเล็กๆเข้าใส่ แต่เพราะพวกผมยังคงมีเวทย์ลมห่อหุ้มกายอยู่จึงหลบหลีกได้อย่างง่ายดาย จนในที่สุดร่างของผม 3 ร่างก็เข้าประชิดได้ ได้เวลาวัดดวงแล้วว่าพี่จะเดาถูกไหมว่าร่างไหนตัวจริง

ผมเงื้อดาบเตรียมจู่โจม

“บทแห่งไฟ Blast”

บึ้ม !!!

“อัก” แรงระเบิดอัดเข้าร่างจริงของผม มันไม่ได้รุนแรงหวังสังหารแต่ก็แรงจนกระเด็น ร่างเงา 2 ร่างพุ่งทะลุร่างของพี่วาเรเรี่ยนก่อนจะสลายไป อีก 2 ร่างที่เหลือยังคงวิ่งตรงเข้าใส่

“มันจบแล้วล่ะ วารอส บทแห่งการจับกุม Grip” ออร่าสีแดงปกคลุมร่าง รู้สึกได้ถึงแรงบีบรัดที่คอ กายถูกยกให้ลอยขึ้นจนเท้าไม่แตะพื้นด้วยเวทมนตร์ของพี่ใหญ่ เขาแสยะยิ้มด้วยความสะใจ

“ทำไมถึง...อึก...เดาถูก” ผมเค้นเสียงออกมาจากหลอดลมที่ถูกบีบไว้ด้วยอิทธิฤทธิ์ของพี่

“มันก็แค่เงามายา แค่ดูว่าร่างไหนกระทบเม็ดฝนได้ก็พอ” เมื่อวาเรเรี่ยนกระดิกมือร่างผมก็ลอยเข้าหา

“อึก...บ้าที่สุด” ผมสบถด้วยความเจ็บแค้นก่อนจะหรี่ตามองร่างเงาอีก 2 ร่างที่กำลังจะปะทะร่างพี่ใหญ่ พยายามประคองสติไม่ให้หายไปจากการถูกบีบคอจนขาดอากาศ พี่ต้องกะให้ผมสลบเพราะหายใจไม่ออกแน่ๆ

“พี่ยอมรับเรื่องความคิดสร้างสรรค์นะ แต่...อุก” เมื่อร่างเงาสัมผัสตัว ร่างของพี่ใหญ่ก็ถูกกระแทกจนเสียหลักราวกับถูกหมัดต่อยที่ลำตัว “นี่มัน...กระสุนอากาศ”

“หึหึ ใช่แล้ว” ผมซ่อนกระสุนอากาศไว้ในร่างมายา เพราะว่าสายลมน่ะจับต้องไม่ได้และมองไม่เห็นจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะซ่อนมันในร่างเงา ส่วนเรื่องเสียงก็มีลมฝนอำพรางให้

ปัก !!!

“อึก” กระสุนอีกนัดพุ่งเข้าหน้าพี่ใหญ่จนเซ เมื่อเวทมนตร์จับกุมคลายลงผมก็เป็นอิสระ

“ให้อภัยผมด้วยนะพี่” หินสีฟ้ายังคงเรืองแสงตั้งแต่เริ่มสู้ มวลอากาศอัดเป็นก้อนที่ฝ่ามือ

ผัวะ !!!

“อัก” วาเรเรี่ยนกระอักเมื่อผมซัดกระสุนอากาศเข้าท้องจนกระเด็นไปนอนอ้าซ่าที่พื้น

กำแพงเพลิงดับลงไป พี่ใหญ่สิ้นฤทธิ์แล้วแต่เพื่อความปลอดภัย ผมใช้เวทย์ดินโอบรัดตัวพี่ไว้ในท่าตรึงกางเขนพร้อมขึ้นรูปดินเป็นหลังคากันฝนให้

“ผมชนะแล้วนะพี่”

“กรอด หนอยยยย” เขาสบถอย่างหัวเสียเมื่อพ่ายแพ้

“ขอบคุณที่ช่วยดูแลผมมาตลอดนะครับ แต่ผมขอเลือกทางเดินที่ผมปรารถนา ผมสัญญาว่าผมจะกลับมาเยี่ยมให้ได้” เมื่อล่ำลาเสร็จก็กลับหลังหันมองเห็นเร็กซ์กำลังวิ่งมา

“เดี๋ยวก่อน!!!” เสียงของพี่ทำให้ขาชะงัก ผมหันกลับไป “พี่มีของจะให้ มันอยู่กระเป๋าเสื้อคลุมพี่”

“นี่มัน...” ผมหยิบบางอย่างขึ้นมา มันเป็นสร้อยคอที่มีจี้ทำจากหินสีฟ้าอ่อนเหมือนกับสีท้องฟ้า

“หินเวทย์สื่อสาร ยังไงก็ใช้มันติดต่อกลับมาที่บ้านบ้าง” พี่ใหญ่พูดอย่างเหนื่อยอ่อน “ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ไหน จำไว้ว่าเจ้าคือเดรโกนัส เป็นน้องของพี่”

“...ผมจะจำไว้ครับ ขอบคุณพี่จริงๆ” จู่ๆในใจก็รู้สึกหวั่นไหวยามที่ต้องก้าวออกมา ผมย้อนกลับไปสวมกอดร่างส่วนที่โผล่พ้นดินอีกครั้ง “ผมรักพี่ๆทั้งสองนะครับ ท่านพ่อด้วย”

“พี่ก็รักเจ้า ไปทำสิ่งที่อยากทำเถอะ เร็กซัส...ฝากวารอสด้วย”

“ข้าจะดูแลเขาให้ดีที่สุด” เจ้าอัศวินตกปากรับคำแล้วก็ประคองผมขึ้นหลังม้า แรงระเบิดของพี่ทำเอาผมบอบช้ำไปพอสมควร พวกเราสองคนมุ่งหน้าไปยังจุดนัดหมายอีกครั้ง

“ลาก่อนนะครับพี่ สักวันผมจะกลับมาหาพี่ๆแน่นอน”

.................................................

หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.39 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 24-11-2018 00:04:04
 :katai2-1: o13 :katai2-1:



 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.39 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 24-11-2018 00:17:46
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.39 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 24-11-2018 05:18:21
 :mew4: :mew4: :mew4:

ในที่สุดก็ได้หนีตามผู้ 555
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.39 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 24-11-2018 10:45:35
ตลกนักเวทย์ "ชอบขาตาย" 555  อาการขาแข็งก้าวไม่ออก
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.39 50%)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 24-11-2018 22:30:01
ในที่สุดก็หนีตามกันจนได้  :laugh: 

ขำกับนักเวทย์ที่ "ชอบขาตาย" เหมือนกัน  มานึกดูมันก็จริง
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Final Chapter)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 25-11-2018 18:35:55
39.2

“รู้ถึงไหนอายถึงนั่น พี่ใหญ่ของตระกูลพ่ายแพ้ให้กับน้องเล็ก ฮ่าๆ” ชายหนุ่มในชุดนักบวชเดินถือร่มเข้ามาในเพิงเล็กๆที่ทำจากดิน สายตาก็มองดูม้าสีขาวที่กำลังจะหายลับไปกับสายฝนยามค่ำคืน

ครึกๆ

พื้นดินแห้งแข็งแตกออกปล่อยให้ชายหนุ่มผมแดงเป็นอิสระ

“ทำไงได้...ขืนเอาจริงขึ้นมาจากมีวารอสคนเดียวจะกลายเป็นมีวารอสหลายชิ้นแทน” วาเรเรี่ยนปัดเศษดินที่เปราะชุดออก เขาเดินไปยืนกอดอกอยู่ข้างน้องชายคนรอง

“ไม่นึกว่าพี่จะยอมปล่อยไปง่ายๆแบบนี้” วาเรนเอียงคอถามด้วยความสงสัยเพราะรู้ดีว่าพี่ใหญ่ของตนไม่ยอมใครง่ายๆ

“วารอสไม่ใช่มังกรน้อยของเราสองคนอีกแล้ว เขาเติบใหญ่เป็นมังกรแห่งสายลม ไม่มีกรงใดกักขังเขาไว้ได้ โดยเฉพาะกรงแห่งขนบธรรมเนียม” พี่ใหญ่ของบ้านยอมรับความสามารถของน้องเล็กแล้ว...และยังยอมรับด้วยว่าไม่มีสิ่งใดกักขังสายลมไว้ได้ มันพร้อมที่จะไปทุกที่ที่มันปรารถนา

“แบบนี้ก็ไม่ต่างกับ 6 ปีก่อนเลย” วาเรนกุมขมับ สุดท้ายเจ้าตัวแสบก็หนีออกจากบ้านอีกจนได้

“ต่างสิ” วาเรเรี่ยนกล่าวกับน้องชายด้วยท่าทีสุขุม “อย่างน้อยครั้งนี้เราก็รู้ว่าเขาปลอดภัยและยังมีชีวิตอยู่” เขาเชื่อว่าคนมีฝีมืออย่างเร็กซัสต้องดูแลน้องเขาได้ เพราะไม่เช่นนั้นเขาเองนี่แหละที่จะเป็นคนลงมือย่างสดเจ้าสิงโตเอง

“นั่นสินะ แต่ท่านพ่อต้องไม่ชอบใจแน่ๆ” วาเรนทำหน้าเหนื่อยหน่ายเมื่อคิดถึงเวลาที่ท่านพ่อกลับบ้านมาและทราบข่าว

ชายใหญ่กลับหลังหันแล้วตบบ่าน้องชายเบาๆ “ก็เป็นหน้าที่คนเจ้าเล่ห์อย่างเจ้าไงที่ต้องหาข้อแก้ตัวให้น้อง หึหึ”
“เจ้าตัวแสบนี่หาเรื่องปวดหัวให้ตลอดเลยสินะ”

“ก็เหมือนสมัยเด็กๆไง ที่เราสองคนต้องคอยปกปิดวีรกรรมของวารอสไม่ให้ถึงหูพ่อ” ภาพในอดีตกลับมาอีกครั้ง เพราะว่าสูญเสียแม่ไปทำให้หัวหน้าตระกูลเสียศูนย์ จึงตกเป็นหน้าที่ของพี่ใหญ่และพี่รองที่ต้องดูแลเจ้ามังกรน้อยตัวแสบ

-วาเรเรี่ยนลูกแม่ เมื่อแม่จากไปแล้วก็อย่าได้โกรธเคืองพ่อของเจ้าเลยนะ เขาเองก็ไม่อยากให้เป็นแบบนี้ เจ้าจะเป็นพี่ใหญ่ของบ้าน แม่ฝากเจ้าดูแลน้องๆของเจ้าด้วยนะ-

“ผมปล่อยวารอสไปแบบนี้ถูกต้องแล้วใช่ไหมครับแม่...ปล่อยให้เขาได้ใช้ชีวิตอย่างเสรี” วาเรเรี่ยนได้แต่พึมพำเบาๆเมื่อรำลึกถึงคำสั่งเสียของผู้เป็นแม่ ก่อนจะพากันกลับคฤหาสน์ไปกับน้องชาย

....................................

ณ วิหารเก่าแก่

“นัดพบกันตรงไหน” ผมถามด้วยความร้อนรน เราขี่ม้าฝ่าฝนกันมาหลายชั่วโมงแล้ว เปียกก็เปียก หนาวก็หนาว อยากจะหาที่หลบฝนเต็มแก่แล้วแม้จะซาลงแล้วก็ตาม

“ข้างในวิหาร” เร็กซ์ตอบกลับพร้อมควบม้าผ่านประตูวิหารโทรมๆ โครงสร้างดูไม่มั่นคงนัก มีหลังคาบางส่วนถล่มไปแล้ว

เมื่อเข้ามาในห้องโถงของวิหารก็พบประตูหินเก่าๆอยู่ที่จุดลึกสุดของห้องที่ยังเหลือหลังคาอยู่ ข้างๆมีกองไฟพร้อมคน 2 คน คนหนึ่งสวมชุดคลุมมิดชิด อีกคนสวมชุดเกราะเต็มยศ แต่ดูทรวดทรงแล้วน่าจะเป็นผู้หญิง

“พ...พี่เรจิน่า” อัศวินหนุ่นหน้าซีดลงทันทีเมื่อเห็นสัญลักษณ์ราชสีห์ที่ชุดเกราะ

“อ่ะแหะๆ โทษทีนะเร็กซ์โดนนางตามเจอจนได้” หญิงในชุดคลุมเปิดหมวกออกมาเผยให้เห็นใบหน้าสวยพร้อมเส้นผมสีทอง

“เดลซ่า เกิดอะไรขึ้น” เมื่อเร็กซ์เอ่ยชื่อผมก็ต้องตกใจ นี่คือองค์หญิงเหรอเนี่ย ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้

วิ้ง

หมวกเหล็กเรืองแสงก่อนจะสลายหายไป ภายใต้ชุดเกราะคือหญิงสาวผู้มีนัยน์ตาสีดำสนิทแฝงแววดุดันเหมือนราชสีห์ เรจิน่า ไลโอเนล พี่สาวของเร็กซ์

“ข้าคือหนึ่งในองครักษ์ขององค์หญิงนะ จู่ๆแอบหนีไปก็ต้องตามให้เจออยู่แล้ว” นางตอบด้วยเสียงดุ “พี่ต่างหากที่ต้องถาม...ว่าคิดอะไรอยู่ถึงให้นางมาอยู่คนเดียวในที่อันตรายแบบนี้”

“เอ่อ...คือ...ผม...ผม” ดูท่าทางเจ้าอัศวินจะเกรงพี่ของตนไม่น้อย ถึงกับตอบกลับไม่เป็นคำ

“ช่างเถอะ พอเดาได้แล้ว ไม่ต้องตอบก็ได้ เสียเวลาเปล่าๆ รีบๆทำธุระให้เสร็จ พี่จะได้พาองค์หญิงกลับวัง” นางกล่าวแบบไม่สบอารมณ์ก่อนจะเดินไปนั่งที่แท่นหินข้างๆ

“พี่...ไม่ว่าอะไรใช่ไหม” เร็กซ์ก้มหน้างุดๆถามผู้เป็นพี่ด้วยท่าทีหวั่นเกรง

“เราสองคนต่างเป็นนักรบ โตๆกันแล้ว จะทำอะไรก็รับผิดชอบเอง” นางตอบแบบไม่ใส่ใจนัก “ชักช้าอยู่ได้ จะทำอะไรก็ทำ...เร็วๆ”

“ข...ขอบคุณครับพี่” เจ้าอัศวินรีบลากผมและม้าไปหาเดลซ่าทันที

“รอก่อนนะ เราต้องรอตะวันขึ้นก่อนถึงจะเปิดประตูมิติให้ได้” องค์หญิงกล่าวพร้อมยกมือขอโทษขอโพย “ขอโทษจริงๆที่โดนตามเจอนะ เร็กซ์” นางกระซิบ

“โล่งอกไปทีที่พี่ไม่ว่าอะไร”

“อ้อ...ในที่สุดก็ได้เจอตัวเป็นๆเสียที วารอส เราคือเดลิซ่านะ” นางยื่นมาให้ด้วยไมตรีจิต

“ย...ยินดีที่ได้รู้จักครับ” ผมยื่นมือไปจับตามมารยาท คนนี้นี่เองคือคนที่คอยช่วยเหลือเร็กซ์อยู่เบื้องหลัง นี่ผมต้องโค้งคำนับรึเปล่านะ “นี่จะทำอะไรกันเหรอ” ระหว่างทางคิดแต่เรื่องหนีจนลืมถามไปเลยว่ามาที่นี่ทำไม

“เดลซ่าจะเปิดประตูมิติให้พวกเรา ข้าเกรงว่าการเดินทางปกติอาจจะโดนที่บ้านเจ้าตามจับได้” ผมพยักหน้าตามเมื่อเร็กซ์อธิบาย

“ด้วยประตูบานนี้เราสามารถส่งพวกท่านไปที่ไหนก็ได้ในอาณาจักร” เดลซ่ากล่าวพร้อมเดินไปนั่งผิงไฟ “แต่จะทำได้ต้องมีแสงอาทิตย์เสียก่อน อีกไม่นานก็เช้าแล้ว รอก่อนนะ”

เรา 4 คนนั่งพูดคุยรอบกองไฟรอเวลา เดลซ่าเป็นคนที่อัธยาศัยดีมากๆจนอาจจะแก่นแก้วเกินไปด้วยซ้ำ นางชวนคุยเรื่องต่างๆมากมายโดยเฉพาะเรื่องการเดินทางของผมกับเร็กซ์ที่นางดูจะให้ความสนใจเยอะเป็นพิเศษจนผมเริ่มสงสัยว่านางเฝ้ามองพวกเราเยอะขนาดไหน หวังว่าคงไม่ได้ดูช่วง...ด้วยนะ

“จะเช้าแล้ว เร็กซ์เจ้าไปช่วยเดลซ่าเตรียมประตูมิติได้แล้ว” เรจิน่าที่นั่งเงียบมาตลอดเอ่ยขึ้น เจ้าของชื่อทั้งสองรีบไปที่ประตูทันที แต่พอผมจะลุกตามไปก็โดนสายตาดุๆจ้องให้หยุด “ให้สองคนนั้นไปก็พอ เจ้า...รอสสินะ นั่งรอก่อน”

“ค...ครับ” ผมรู้สึกประหม่าทันทีที่นั่งอยู่กับพี่สาวของเร็กซ์ สายตาของนางช่างดุดันราวกับสิงโตที่พร้อมจะฆ่าทันทีที่กระดิกตัว
“ขอบคุณนะที่ช่วยดูแลน้องของข้า” ผมสะดุ้งเมื่อนางเปิดปาก ไม่คาดฝันจริงๆว่านางจะกล่าวขอบคุณ “เร็กซ์เก่งกล้าก็จริงแต่ยังขาดประสบการณ์หลายๆด้าน ถ้าไม่ได้เจ้าคอยช่วยคงแย่”

“ด...ด้วยความยินดีครับ” ผมสะดุ้งซ้ำสองเมื่อนางยื่นมือมาให้จับทักทาย แต่ผมก็จับตอบไปอย่างว่าง่าย

“การเดินทางฝึกฝนของเขาต้องลำบากแน่ๆ ต่อไปก็ฝากเจ้าช่วยดูเขาด้วย” นางกล่าวฝากฝังด้วยรอยยิ้มจางๆ

“ได้ครับ...อึก” ไม่ทันจะได้ตอบรับมือของผมก็ถูกบีบอย่างแรง รอยยิ้มของคนตรงหน้าจางหายไปกลายเป็นนิ่งสงบ แต่แววตาช่างหน้าหวาดหวั่น

“ถ้าเจ้าทำร้ายเร็กซ์ไม่ว่าจะร่างกายหรือจิตใจ ข้าขอสาบานเลยว่าข้าจะตามตัวเจ้าให้เจอแล้วจะหักกระดูกทุกชิ้นรวมถึงอะไรก็ตามที่หักได้” เสียงของนางเย็นเฉียบเหมือนสภาพอากาศ

“อึก” ผมยิ้มยิงฟันปกปิดความเจ็บปวด คนบ้านนี้นี่มันบ้าพลังกันจริงๆ

“เข้าใจไหม”

“ข...เข้าใจครับ คุณผู้หญิง”

“ดี” มือของผมหลุดออกมาได้ในที่สุด ต้องรีบบีบนวดคลายปวดทันที “ไปได้แล้ว”

ผมไม่รอช้ารีบคว้าข้าวของหนีไปรวมกับเร็กซ์ทันที สมควรแล้วที่เร็กซ์จะยำเกรง เป็นหญิงสาวที่น่ากลัวจริงๆ

“เอาล่ะ ท่านสองคนอยากจะไปไหนล่ะ” เราสองคนหันมองกันเมื่อได้ยินคำถาม

“เจ้าอยากไปไหนเหรอ รอส” เจ้าอัศวินถามต่อ

“อืม” ผมยกมือครุ่นคิด “ข้าไปมาหมดแล้ว เจ้าต่างหากล่ะอยากไปไหน” ผมถามกลับ ให้คนเดินทางครั้งแรกเลือกจะดีกว่า เร็กซ์ทำท่านึกอะไรบางอย่างได้

“ข้าอยากจะไปยังประเทศทางตะวันออกที่เป็นจุดกำเนิดเวทย์เสริมกำลัง จะได้ฝึกให้แข็งแกร่งขึ้น” ผมหัวเราะเบาๆ ท่าทางการเดินทางเพื่อฝึกฝนจะเพื่อ’การฝึกฝน’ จริงๆอย่างที่เขาว่า

ผมพยักหน้าตกลง

“ถ้าเช่นนั้นเราก็ไปส่งได้แค่ที่เอนเดลอนนะ” เดลซ่ากล่าวแล้วแตะไปที่ประตูหิน รากไม้ผุดขึ้นมาจากพื้นดินเข้าโอบรัดกรอบประตู เมื่อปกคลุมส่วนที่เป็นหินทั้งหมดก็เกิดแสงสีเขียวจางๆ ภาพประตูเมืองเอนเดลอนปรากฏขึ้น

“ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะ เดลซ่า”

“ถึงจะพึ่งพบกัน ข้า...ผม...เองก็ต้องขอบคุณเช่นกัน”

“ด้วยความยินดี การทำให้คนรักสมหวังเป็นหน้าที่หนึ่งของเทพพยากรณ์อยู่แล้ว” นางยิ้มตอบด้วยความอบอุ่นก่อนจะผายมือไปที่ประตู

เราสองคนยืนหน้าประตู มองหน้าคนรักของกันและกัน คนที่พร้อมจะก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยกันเพื่อดูแลกันและกัน

“เจ้าแน่ใจแล้วนะ” ผมถามซ้ำ เพราะเมื่อก้าวออกไปก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงใดๆได้แล้ว

“ไม่เคยต้องคิดซ้ำสองเลย” เร็กซ์ตอบกลับด้วยความหนักแน่นเช่นเคย

ไม่เคยคิดเลยว่าเจ้าอัศวินซื่อบื้อที่บังเอิญพบ บังเอิญต้องช่วยเหลือทำภารกิจสำคัญ จะกลายเป็นคนที่ยินดีที่จะมอบความอบอุ่นที่ผมโหยหามาตลอดให้ กลายเป็นคนที่เดินเคียงข้างกัน

บัดนี้ฝนได้หยุดตกแล้ว แสงตะวันที่โผล่พ้นขอบฟ้ามอบความอบอุ่นให้แผ่นหลังของเราสอง เร็กซ์ดึงมือของผมไปจับก่อนที่จะก้าวเข้าไปในประตูมิติด้วยกัน ทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลังเพื่อเริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่ ดูเหมือนว่าเรื่องราวของผมจะจบลงแล้ว...

...เพราะต่อแต่นี้ไปจะเป็นเรื่องราวของเราสองคน เรื่องราวของการผจญภัยครั้งใหม่ที่ไม่ต้องโดดเดี่ยวอีกต่อไป...


THE END

………………………………………
อย่าพึ่งกดออกจากชั้นหนังสือนะครับ ยังเหลือ Epilogue ครับ
..........................................

ขอบคุณทุกท่านที่ร่วมผจญภัยกันมาจนถึงตอนจบนะครับ ส่วนตัวไม่เคยนึกเลยว่าจะได้มาเป็นคนแต่งนิยายเองเพราะเป็นคนเกลียดการเขียนเรียงความและรายงานมากๆ แต่ก็พยายามทำออกมาจนจบ

งานนี้จะไม่สำเร็จเลยถ้าขาดกำลังใจจากผู้อ่านทุกคน ยอมรับว่าหลายครั้งก็ท้อที่ไม่ได้รับความนิยมแต่ก็กัดฟันแต่งต่อเพราะผมเกลียดการถูกปล่อยให้ค้างมากจึงไม่ยอมปล่อยให้คนที่ติดตามค้างเด็ดขาด การที่ทุกคนมาเม้นเล่นกับตัวละครเป็นสิ่งที่ทำให้ผมมีความสุขมากๆ

อยู่ด้วยกันจนจบแล้วยังไงก็รบกวนทั้งคนที่ชอบเม้นหรือไม่ชอบเม้นช่วยวิจารณ์ทีนะครับ การใช้ภาษางงไหม เรื่องยาวไป-สั้นไป-เวิ่นเว้อไปรึเปล่า ตัวละครสมเหตุสมผลไหม ขอเก็บข้อมูลไปใช้ปรับปรุงครับ

หลังจากนี้อาจจะมีตอนพิเศษลงบ้างแต่คงลงใน Readawrite กับ ธัญวาลัย 2 ที่ครับ ยังไงก็ไปกดติดตามไว้ที่นั่นนะครับ
ขอบคุณทุกท่านอีกครั้งครับ
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Final Chapter)
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 25-11-2018 19:19:20
สนุกแบบพอดีพองามแล้วจ้า  ปกติไม่ค่อยอ่านแนวนี้ยังติดหนึบเลยนะขอบอก
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Final Chapter)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 25-11-2018 19:22:30
 :katai2-1: :mc4: :katai2-1:


 :กอด1: :L2: :3123: :pig4: :3123: :L2: :กอด1:

 o13
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Final Chapter)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 25-11-2018 19:33:27
ขอบคุณที่ไม่ทิ้งกัน ขอบคุณที่มาลงให้จนจบ  :pig4:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Final Chapter)
เริ่มหัวข้อโดย: pandorads ที่ 25-11-2018 20:33:39
อ่านได้เรื่อยๆและสนุกมาก!  เราชอบนิยาบแนวนี้อยู่แล้วด้วยเลยตามอ่านงอมแงม 5555

ใจหายเหมือนกันที่สุดท้ายเรื่องนี้ก็มีถึงตอนจบ แต่เรายังติดตามผลงานเรื่องอื่นต่อไปค่ะ!

ปล. ขอนิยายวายแฟนตาซีอีกก็ดีนะคะ อิอิ
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Final Chapter)
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 25-11-2018 21:29:55
โฮกกกกกกกกกกก จบซะแล้ว
ดีใจที่พี่ชายใหญ่ยอมปล่อยน้อง
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Final Chapter)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 25-11-2018 22:33:35
เราชอบเรื่องนี้มากค่ะ ตามอ่านทุกเลยเลย เนื้อเรื่องไม่น่าเบื่อด้วย ขอบคุณที่แต่งให้อ่านนะ :กอด1: :กอด1: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Final Chapter)
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 26-11-2018 14:46:36
จบแล้วหรอออออ ม่ายยยยย ไม่ได้เตรียมใจมาให้จบเลย :a5:

ต้องขอบคุณนักเขียนจริงๆนะคะที่เขียนนิยายดีๆมาให้เราได้อ่าน จะรอผลงานอื่นๆนะคะ :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Final Chapter)
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 26-11-2018 22:43:31
ปกติเป็นคนชอบอ่านแนวแฟนตาซีมากกว่าแนวปกติทั่วไป พอได้มาอ่านช่วงแรกๆคือ สนุก ชอบมาก ต้องติดตามต่อ อีกอย่างคือชอบคาแรกเตอร์ของรอส น้องมีความเข้มแข็ง ไม่อ่อนแอ ทั้งยังมีเสน่ห์ดึงดูดเลยติดเรื่องนี้ทันที อาจจะมีความไม่ต่อเนื่องของอารมณ์อยู่บ้างเพราะไม่ได้อัพติดต่อกัน นั่นก็เป็นเรื่องธรรมดา จริงๆแอบอยากให้พวกท่าวิชาต่างๆของทั้งกับเร็กซ์กับรอสดูยิ่งใหญ่ มีพลังมากกว่านี้ (นี่ชอบอยากให้ตัวเอกเก่งกาจ) แต่แค่นี้ก็โอเคแล้วค่ะ ไม่ได้ดูธรรมดาจนเกินไป

ขอบคุณที่ไม่ได้ทิ้งไป ขอบคุณที่มาต่อจนจบ ขอบคุณที่แต่งได้ให้อ่านกัน รอเรื่องถัดไป เป็นกำลังใจให้นะคะ

หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Final Chapter)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 27-11-2018 12:51:41
Epilogue

ตึกๆๆ

เสียงรองเท้าเกราะเหล็กกระทบหินอ่อนเป็นจังหวะ หญิงสาวในชุดเกราะอัศวินเดินฉับๆตัดผ่านทางเดินของวัง เหล่าแม่บ้านต่างค้อมคำนับ เขตปราสาทส่วนนี้เป็นเขตหวงห้ามเพราะเป็นเขตพำนักของคำสำคัญของราชวงศ์ แต่อัศวินสาวผู้นี้สามารถเดินผ่านเข้ามาได้โดยสะดวกในฐานะองครักษ์ของเจ้าหญิง

“ข้าขอเข้าเฝ้าองค์หญิง” นางกล่าวเสียงนิ่งกับแม่บ้านผู้เฝ้าประตู

“เชิญเลยค่ะ ท่านเรจิน่า” นางโค้งคำนับอย่างนอบน้อมก่อนเคาะประตูถามคนข้างใน เมื่อได้รับอนุญาตก็เปิดประตูให้

“ขอบคุณ”

ภายในห้องที่ตกแต่งอย่างสวยงาม พื้นและกำแพงหินอ่อนโทนขาวดูสบายตา ตามตู้และโต๊ะมีเครื่องเงิน เครื่องทอง และเครื่องแก้ววางประดับประดา กลิ่นดอกไม้สดใหม่หอมหวน นั่งอยู่ที่โต๊ะกลางห้องคือหญิงสาวแสนสวยผมสีทองในชุดเดรสสีขาวกำลังจดจ้องเข้าไปในผลึกคริสตัล นางช่างดูบริสุทธิ์ผุดผ่องสมชื่อเทพธิดาพยากรณ์

...แต่นั่นสำหรับคนที่ไม่รู้จักนางดีพอ

“ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ได้แอบส่องน้องข้าอยู่นะ” เรจิน่าสาวเท้าไปนั่งที่ฝั่งตรงข้ามโดยไม่รอคำอนุญาตใดๆ เพราะนางเป็นคนมีฝีมือและไว้ใจได้จึงได้รับมอบหมายให้เป็นหนึ่งในองครักษ์ประจำตัวขององค์หญิงเดลิซ่าหรือเดลซ่า และนั่นทำให้นางสนิทสนมกันจนไม่ต้องมีพิธีรีตองใดๆระหว่างกัน

“เปล่าสักหน่อย สองคนนั้นพึ่งจะหลับไป เราเลยไปดูอย่างอื่นแทน”

“เดี๋ยวนะ...”

“เรื่องราวเป็นยังไงบ้าง บ้านเดรโกนัสท่าจะปวดหัวน่าดู” เดลซ่ารีบพูดแทรกก่อนจะฟังคำบ่นขององครักษ์คนสนิท

“หัวหน้าตระกูลโมโหมากเมื่อรู้ว่าลูกคนเล็กโดนลักพาตัว รีบตามพวกอัศวินไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ แต่เหมือนวาเรเรี่ยนกับวาเรนจะปิดให้อยู่ว่าเป็นฝีมือน้องของข้า” นางกุมขมับ ไม่รู้ว่าคิดถูกคิดผิดกันแน่ที่เข้าร่วมแผนการนี้ด้วย

“ก็น่าอยู่หรอก ลูกชายหายตัวไปตั้งนาน พอกลับมาได้ก็หายไปอีก พี่น้องคู่นั้นคงต้องเหนื่อยแน่ๆเพื่อปิดวีรกรรมของน้องเล็ก”

“ทำแบบนี้คิดดีแล้วเหรอ” เรจิน่าถามด้วยความไม่แน่ใจ นอกจากนางแล้วก็คงไม่มีใครอีกแล้วที่รู้ว่าองค์หญิงผู้งามสง่าจะเจ้าเล่ห์แบบนี้

“ทำไมล่ะ เร็กซ์น้องของท่านได้เป็นตัวของตัวเองและอยู่กับคนรัก เราเองก็ไม่ต้องแต่งงาน และท่านเองก็มีโอกาสเป็นหัวหน้าตระกูลคนถัดไปมากขึ้น สถานการณ์วิน-วิน แบบนี้มีอะไรให้เป็นห่วง”

เดลซ่าไม่เคยต้องการแต่งงานเลย แต่นางทนไม่ได้จริงๆที่องค์ราชาเอาแต่ถามๆๆว่าเมื่อไหร่จะครองคู่ เขาต้องการจะอุ้มหลานเต็มแก่แล้วทั้งๆที่นางพึ่งจะ 20 ต้นๆเอง ประจวบเหมาะกับที่เทวะภัณฑ์ในตำนานต้องการพิสูจน์ผู้ถือครองของตนพอดี นางเลยใช้โอกาสนี้ขอยืมพลังจากสัตว์เทพแอตลาสจัดการทดสอบหารัชทายาทเป็นฉากบังหน้าเพื่อส่งตัวแทนของแต่ละบ้านไปในที่ห่างไกล ให้พวกเขาได้ไปในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างเพื่อคนพบตัวเองและความปรารถนาของตน ซึ่งในกรณีของเร็กซ์เป็นอะไรที่คาดไว้บ้างแล้วแต่ไม่นึกว่าจะขนาดนี้

“ใครจะไปคิดว่าเร็กซ์จะชอบผู้ชาย นี่ข้าเลยแพ้พนันทั้งเจ้าและแม่ของข้าเลย” เรจิน่าเอนไปชิดพนักเก้าอี้มองดูเพดานสีขาวของห้องอย่างเบื่อหน่าย ไม่อยากจะคิดเลยว่าแม่จะขออะไรเป็นการตอบแทนที่แพ้พนัน

“ก็ท่านพยายามผลักตัวเองให้เทียบเท่านักรบเพศชายจนลืมความเป็นหญิงไปยังไงล่ะ เราเล่นกับเร็กซ์มาตั้งแต่แบเบาะ เราสังเกตเห็นความแตกต่างของเขาเช่นเดียวกับแม่ของท่าน”

เป็นเรื่องปกติที่เจ้าหญิงผู้เลอโฉมจะเป็นที่ปรารถนาของเหล่าบุรุษ ไม่ว่าจะขุนนาง นักรบ หรือพ่อค้า อาจจะด้วยความรัก ความหลงใหล หรือเพื่อผลประโยชน์ แต่เร็กซ์นั้นแตกต่าง เขามอบไมตรีให้ผู้อื่นด้วยความจริงใจ มันเหมือนความรักอันบริสุทธิ์ที่ไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ แต่เขากลับไม่ก้าวข้ามเกินเลยกว่ามิตรภาพ เหมือนมีกำแพงบางอย่างขวางตัวเขาเองกับหญิงสาวที่ห้อมล้อมเขาไว้ เขาเป็นคนดี ดีเกินไปจนซื่อ เขาจึงไม่คิดที่จะคบหญิงคนไหนเพื่อบังหน้า แต่ยอมอยู่คนเดียวและฝังความต้องการของตนเองให้ลึกที่สุด

“แล้วเจ้าจะเอายังไง องค์ราชาไม่ว่าเหรอที่เจ้าไม่ได้แต่งงาน”

“ก็บ่นนิดหน่อย...ถึงจะโกรธบ้างที่มีคนกล้าปฏิเสธเรา แต่เขาเองก็เป็นนักรบที่ได้ออกไปเห็นโลกกว้างมาก่อน เขาจึงเห็นดีเห็นงามที่ชายหนุ่มจะพัฒนาตนเองด้วยการออกไปผจญภัย มันเหมือนเป็นความภูมิใจของชายชาตรีน่ะ”

“แล้วคราวนี้ใครล่ะที่จะได้เป็นรัชทายาท”

“เราอ้างไปว่าใช้พลังไปมากเพื่อจัดการทดสอบ ขอพักฟื้นสักระยะหนึ่งก่อนที่จะหาผู้ที่เหมาะสมจะเป็นราชาคนต่อไป”

“ทำไมไม่เลือกคนลำดับถัดไปล่ะ”

“เพราะเราไม่ได้ชอบใครใน 4 คนนี้เลย คนหนึ่งก็จริงจังเกินไป คนหนึ่งก็หยิ่งทระนงเหมือนเหยี่ยว อีกคนก็เงอะๆงะๆขาดความมั่นใจ และน้องเจ้าก็ใสซื่อบริสุทธิ์เกิน”

“นี่!!!...แล้วคนแบบไหนล่ะที่เจ้าต้องการ”

“พ่อเลี้ยง มาเฟีย ซาตาน ปีศาจ เอะอะจับกด” องค์หญิงไขว่ห้างตอบมาแบบไม่สมฐานะเลย

“เจ้าหาคนมาปกครองประเทศนะไม่ใช่ทาสกาม ข้าว่าเจ้าอ่านนิยายในตลาดมากเกินไปแล้ว” องครักษ์คนสนิทก้มหน้ากุมขมับ นี่มันใช่สิ่งที่องค์หญิงผู้เรียบร้อยดั่งผ้าพับไว้ควรจะพูดเหรอ

“ล้อเล่นหน่า” นางหัวเราะคิกคัก “เราเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าโชคชะตาจะส่งใครมาให้...แต่ว่า”

“...”

“ถ้าได้เป็นราชินีผู้ปกครองประเทศโดยไม่ต้องมีราชาเคียงข้างก็อาจจะดีเหมือนกัน”

“นั่นล้อเล่นรึพูดจริง” เรจิน่าเริ่มจะตามท่าทีทีเล่นทีจริงของเจ้าหญิงไม่ทันแล้ว

“ประเทศเราก็เคยปกครองภายใต้ราชินีเพียงองค์เดียวมาก่อนนะ เมทิน่า ราชินีเดี่ยวองค์แรกกล่าวไว้ว่า ‘คิดจะเป็น เดอะเฟซ แค่กๆ ราชินี เจ้าจะต้องทำได้ทุกอย่าง ทั้งเดินแบบ ถ่ายแฟชั่น เป็นร่างทรง เป็นนักพยากรณ์ และนักการทูต’ ถ้าเราจะปกครองประเทศได้เราต้องสตรองค์ สตรองค์ และสตรองค์”

“เฮ้อ...” องครักษ์ถอนหายใจยาว “ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าเจ้าได้ปกครองเองจริงๆประเทศเราจะเข้าสู่ยุคสมัยไหน”

“ยุคทองแน่นอน ฮ่าๆ” เจ้าหญิงหัวเราะร่วนแล้วยกชาขึ้นจิบ

“แล้วนี่น้องข้าจะเป็นยังไงเนี่ย” คิดแล้วก็น่าเป็นห่วง อีกฝ่ายยิ่งเจนสนามด้วย กลัวน้องชายผู้ใสซื่อของตนจะตามไม่ทันจริงๆ

“เราห่วงวารอสมากกว่านะเพราะเขาผิดหวังมามาก เขาต้องรักษาความรักได้รับมาไว้ให้ดีที่สุดแน่ๆ น้องเจ้าต่างหากที่ไม่เคยมีสัมพันธ์กับใครมาก่อน จะคิดถึงหัวอกอีกฝ่ายขนาดไหน”

ภาพในคริสตัลเปลี่ยนเป็นรูปชายหนุ่มสองคนนอนกอดกันบนเตียงแม้ตะวันจะอยู่กลางฟ้าแล้ว

“ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก เร็กซ์เป็นผู้ถือครองอาวุธของวีรบุรุษในตำนานเลยนะ หากเกิดเภทภัยขึ้นใดๆขึ้น เขาจำเป็นที่จะต้องใช้ประสบการณ์จากโลกภายนอกเข้าช่วย”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ...อดห่วงไม่ได้อยู่ดี”

“อยากจะพนันกันอีกสักรอบไหมล่ะ ฮ่าๆ”

.....................................................




จบหมดทุกตอนแล้วนะครับ ยังเหลือตอนเสริมที่คิดไว้อีกนิดหน่อยแต่ลงในนี้ลำบากเพราะระบบกระทู้ ไปติดตามกันต่อที่ Readawrite หรือ ธัญวาลัยนะครับ

ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (บทส่งท้าย)-จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 27-11-2018 12:58:47
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (บทส่งท้าย)-จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 27-11-2018 13:53:02
 :กอด1: :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (บทส่งท้าย)-จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 05-12-2018 15:51:40
แจ้งจบไปแล้วแต่ไม่ย้ายสักทีเลยลงที่นี่ด้วยเลยละกัน



Chapter Special : 100+

“ชุดเกราะของพี่เจ้าก็เป็นเทวะภัณฑ์ใช่ไหม” ผมถามเจ้าอัศวินหนุ่มที่จูงม้าขาวอยู่ข้างๆ หมวกเกราะของเรจิน่าสลายเป็นแสงไปได้ไม่น่าจะธรรมดา

“ใช่ เกราะนั่นเป็นเทวะภัณฑ์ประจำตัวของพี่ข้า” เร็กซ์ในสภาพเปียกม่อล่อกม่อแลกจนเส้นผมจับเป็นกลุ่มตอบกลับมา สภาพผมเองก็ไม่ต่างกันมาก

ทันทีที่เราก้าวข้ามประตูมิติมาก็เข้ามาในเขตเมืองเอนเดลอน ท่าทางเดลซ่าจะใช้ประตูเมืองนี่แหละเป็นจุดปลายทางของประตูมิติ บรรยากาศของเมืองต่างกับฝั่งที่เราข้ามมาโดยสิ้นเชิง อากาศสดชื่นผิดกับแถบเมืองหลวงที่ชื้นเพราะฝนพึ่งตกมา จะเหมือนกันก็แค่ท้องฟ้าที่สลัวๆเพราะอาทิตย์พึ่งขึ้น

“เกราะนั่นทำอะไรได้รึ” ผมถามต่อขณะกำลังสอดส่องหาที่พัก เมื่อคืนก็ไม่ได้นอนทั้งคืน คงต้องหาที่พักเพื่อพักผ่อนก่อนถึงค่อยไปทำเรื่องข้ามประเทศ

“เกราะคงกระพันจะช่วยเสริมความแข็งแรงให้ร่างกาย ยิ่งใช่เวทย์เสริมกำลังได้ยิ่งทรงพลัง อีกทั้งยังสามารถเสกชิ้นส่วนขึ้นมาได้ทันทีตราบใดที่ส่วนหลักของเทวะภัณฑ์ติดตัวอยู่”

“โห อย่างนั้นก็เจ๋งกว่าดาบของเจ้าอีกสิ”

“เจ้าคนปากเสีย กระผมเป็นถึงดาบของวีรบุรุษในตำนานเลยนะ” ดาบที่เอวของเร็กซ์กระพริบแสงโวยวายจนเจ้าของส่งเสียงเอ็ด

“เกราะนั่นทรงพลังมาก มันช่วยให้พี่ฝึกเวทย์เสริมกำลังสำเร็จได้แม้อายุน้อย แต่พี่เรจเก่งและมุมานะมากจนสามารถเสริมกำลังทั่วร่างได้โดยไม่มีผลข้างเคียงแม้ไม่ต้องสวมเกราะ” ฟังคำอธิบายของเร็กซ์แล้วผมก็ยิ่งอึ้ง นี่แสดงว่าหญิงสาวคนนั้นเก่งกว่าเจ้าอัศวินนี่อีกน่ะสิ

“แล้วทำไมเจ้าไม่สวมมันฝึกบ้างล่ะ” ถ้ามีตัวช่วยดีขนาดนั้นก็ทำตามอย่างพี่สาวตัวเองซะก็สิ้นเรื่อง

“ของพรรค์นั้นนายท่านใช้ไม่ได้หรอก” ผมก้มมองดาบข้างเอวอัศวินหนุ่มก่อนไล่สายตาไปหาใบหน้าเจ้าของ เร็กซ์หน้าซับสีน้อยๆ ยกมือเกาแก้ม สายตาเบนไปทางอื่นราวกับว่าเรื่องที่ถามเป็นเรื่องน่าอาย

“...” ผมเลิกคิ้วเชิงถาม

“อืมเพราะว่า...ข้าสวมใส่มันไม่ได้น่ะ” เขาตอบเสียงอ้อมแอ้ม

“เพราะอะไรล่ะขนาดตัวเหรอ” ขึ้นชื่อว่าเทวะภัณฑ์ที่เสกชิ้นส่วนได้มันก็น่าจะพอดีกับร่างผู้ใช้เลยนี่น่า

“ม...ไม่ใช่หรอก” หน้าเขายิ่งแดงขึ้นไปอีกจนผมสงสัยว่ามันจะเขินอะไร “เพราะว่ารูปลักษณ์ของมันก่อนเปิดใช้งานคือ...”

“อะไร” ผมถามอย่างใจร้อน ในใจก็บ่นว่ามันจะอมพะนำอะไรนักหนา

“ยกทรงของผู้หญิง” เขาตอบเสียงเบา

อืม...แบบนี้นี่เอง สายตาผมไล่ลงจากใบหน้าหล่อเหลาของเขาลงไปที่อกแน่นๆหนาๆนั่น

“ความจริงข้าว่าเจ้าก็น่าจะใส่ได้นะ อกใหญ่พอๆกับ...”

ผัวะ !!!

ฝ่ามือตบกะโหลกผมจนหน้าคะมำ แม้จะเบาจนไม่เจ็บแต่เสียงก็ดัง

“อย่าพูดบ้าๆนะ” เจ้าอัศวินหน้าแดงแปร๊ดเอ็ดเสียงดัง

โอ้ว...ถึงกับลงไม้ลงมือเลยทีเดียว นี่ขนาดพึ่งเริ่มคบกันยังขนาดนี้ ยิ่งนานวันจะขนาดไหนเนี่ย!!!

………………………….

กริ๊งๆ

เสียงกระดิ่งที่ประตูโรงเตี๊ยมส่งสัญญาณให้เจ้าของออกมารับแขก

“อ้าว...ท่านอัศวิน” หญิงวัยกลางคนเอ่ยทักขึ้น

“สวัสดีครับ...จำข้าได้ด้วยเหรอ” เร็กซ์ยิ้มตอบอย่างไมตรีขณะเดินไปที่เคาน์เตอร์

“แหม ท่านอุตส่าห์ช่วยลูกสาวข้าจากพวกหื่นกาม ต้องจำได้อยู่แล้ว” ใช่แล้ว เรากลับมาที่โรงเตี๊ยมเดิมที่เคยพักก่อนที่จะออกเดินทางไปยังป่าจันทรา ไม่น่าเชื่อว่าแม้จะผ่านไปเดือนหนึ่งแล้วเจ้าของยังจำเจ้าอัศวินนี่ได้อยู่

“ฮ่าๆ ด้วยความยินดีครับ พวกนั้นคงไม่ตามมาราวีแล้วใช่ไหม”

“ไม่แล้วล่ะ ว่าแต่ทำไมถึงมาแต่เช้าตรู่ แถมยังเปียกทั้งตัวแบบนี้” นางถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นสภาพของเราสองคน

“เพิ่งเดินทางมาถึงเมืองครับ ระหว่างทางเจอปัญหานิดหน่อย ไม่ทราบว่ามีห้องเหลือไหมครับ” ผมถามแทรกขึ้นเพราะอยากจะพักเต็มแก่แล้ว

“อืม...” นางพลิกกระดาษไปมา “เหลือห้องเดียวแต่เป็นห้องเล็กเตียงเดียวจ่ะ”

“ถ้าอย่างนั้น...” ห้องเล็กเตียงเดียวท่าจะนอนลำบาก

“เอาห้องนั้นแหละครับ” เจ้าอัศวินพูดแทรกก่อนที่ผมจะปฏิเสธ จัดแจงวางเงิน รับกุญแจแล้วดึงแขนผมขึ้นห้องทันที มันคือห้องเดิมในคืนวันนั้น

เร็กซ์เปิดประตูให้ผมนำเข้ามาก่อน พอเห็นบรรยากาศห้องก็นึกถึงคืนนั้นที่เจ้าอัศวินเมามายแล้วโพททนาความอึดอัดในใจมากมายจนเมาหลับไป ห้องยังคงเหมือนเดิม แต่วันนี้ที่ต่างจากวันนั้นคือสถานะของผู้พักอาศัย คิดแล้วก็จั๊กจี้หัวใจแล้วนึกอะไรสนุกๆได้

ตึง!!!

เมื่อประตูปิดลงผมพุ่งตัวเข้าประชิดเจ้าอัศวินทันที ร่างหนาถอยไปกระแทกประตูเสียงดัง แต่ไม่ทันให้เอ่ยปากถามอะไรผมก็ประกบจูบทันที สองมือผมประคองแก้มคนรักไม่ให้แยกไปไหน เราจูบกันอย่างดูดดื่มสักพักก็แยกริมฝีปากออกจากกัน

“ไหนว่าเหนื่อยไง” เจ้าอัศวินยิ้มแป้น สายตาเปี่ยมไปด้วยความสุข เขาถามแต่ไม่ฟังคำตอบ

ตึง!!!

เขาจับข้อมือผมแยกออกแล้วพลิกตัวดันผมไปชิดกำแพงแทน เร็กซ์กดร่างชิดเข้ามาจนร่างของเราแนบติดกัน ประกบจูบอีกครั้งโดยที่ตรึงสองมือผมไว้เหนือศีรษะ

หึหึ ดูท่าเจ้าอัศวินนี่จะมีความคิดในหัวเหมือนกันเสียแล้ว เหตุการณ์นี้ต่างหากที่ควรจะเกิดขึ้นในคืนนั้น ริมฝีปากของเขาไล่ละเลียดบดเข้ามาก่อนจะสอดลิ้นเข้ามาจู่โจม ผมกำลังจะส่งลิ้นเข้าไปโต้ตอบแต่...

ปังๆๆ

“เบาๆหน่อยสิวะ คนจะหลับจะนอน” เสียงคนข้างห้องด่าทอด้วยความโมโห นี่มันพึ่งเช้าเองนี่เนอะ

“คิกๆ” ปากของเราสองแยกออกจากกันพร้อมเสียงหัวเราะเบาๆ ดูท่าจะรีบร้อนกันเกินไป

“บทแห่งการอำพรางที่ 3 Soundlock” สิ้นเสียงแสงสีเขียวก็ไหลลงจากร่างของผม มันกระจายไปทั่วทั้งพื้น ผนังและเพดาน แสงสีเขียวเคลือบห้องไว้ก่อนจะจางไป

“เจ้าทำอะไร”

“คาถาปิดกั้นเสียงน่ะ” ผมยิ้มก่อนจะจูบเขาอีกครั้ง เมื่อทางสะดวกก็ไม่ต้องเกรงใจใครอีกต่อไป เสื้อผ้าเปียกชื้นถูกถอดออกโยนไว้สะเปะสะปะ ร่างเปลือยเปล่าของเราสองคนกอดแนบชิดกันอยู่ที่กำแพงห้อง ต่างฝ่ายต่างใช้ริมฝีปากและลิ้นเข้าต่อสู้โดยไม่มีใครยอมถอย มือไม้ลูบคลำหาเนื้อหนังอันอบอุ่นของกันและกัน เจ้าอัศวินนี่เก่งขึ้นมากเลยถ้าเริ่มนับจากครั้งแรกของเขา

เร็กซ์อุ้มผมไปนอนบนเตียง เขาวางผมไว้ที่ขอบเตียงให้ขาห้อยลงมา ก่อนจะผละตัวไปหาของในกระเป๋า กลิ่นน้ำมันสมุนไพรหอมคลุ้งไปทั่วห้อง เขากลับมาเตรียมร่างกายผมพร้อมทั้งใช่มือและปากปรนเปรอร่างกายอย่างรู้งาน

ไม่นานนักร่างของเราก็รวมกันเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้งโดยมีเขายืนเอาขาผมพาดบ่าอยู่ที่ขอบเตียง ยามเห็นร่างกายอันแข็งแกร่งของเจ้าสิงโตยืนขยับเป็นจังหวะแล้วก็ทำให้ใจผมวาบหวาม ภาพเจ้าสิงโตผู้สง่างามตักตวงความสุขจากร่างผมมันช่างสวยงาม กล้ามเนื้อเขาเกร็งแน่นไปทุกส่วน ยามที่ดาบแกร่งเคลื่อนผ่านจุดกระสันต์ผมก็อดไม่ได้ที่ต้องร้องคราง

“อาห์ เร็กซ์” ในหัวผมไม่เหลืออะไรแล้วนอกจากภาพเจ้าราชสีห์ ผมเปล่งเสียงร้องเรียก

“ซี๊ดส์ รอส” เร็กซ์ตอบรับด้วยจังหวะที่หนักหน่วงขึ้นจนผมต้องขยำผ้าปูที่นอนไว้ไม่ให้ไถลหลุดไป นึกๆดูแล้วนี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ได้ร่วมรักกับเขาดีๆบนเตียง

“ฮึก” ผมเสร็จสมคามือของเขาจนมือเขาเปื้อนไปหมดรวมถึงหน้าท้องของผมด้วย

“เฮือก” เจ้าสิงโตเร่งจังหวะก่อนจะเสร็จตามมาติดๆ เขากดแก่นกายเข้าไปจนสุด ก้มตัวลงมาประกบปากขโมยลมหายใจของผม เราสองหอบเหนื่อยกัน สองร่างกอดกันกลม

“ไปล้างตัวกันเถอะ” เร็กซ์ถอนร่างออกจากผมแล้วช้อนตัวผมขึ้นไปห้องอาบน้ำ

เราล้างตัวให้กันและกันในอ่างอาบน้ำ แต่เมื่อได้ลูบไล้ผิวหนังให้กันก็ทำให้พายุอารมณ์คุกกรุ่นขึ้นอีกครั้ง สุดท้ายก็เสร็จสมกันอีกรอบในอ่าง แต่ครั้งนี้เจ้าอัศวินไม่หยุด ร่างกายเขาฟื้นตัวเร็วมาก อุ้มผมไปต่อกันอีกรอบที่เตียงโดยระหว่างเดินไม่คิดจะถอนกายออก

“ท...ทำไมถึงเก่งขึ้นขนาดนี้” ผมหอบเหนื่อยหลังจากเสร็จจากการร่วมรักเป็นรอบที่สาม

“ที่เรดฮิลล์ข้าได้แลกเปลี่ยนบทสนทนาระหว่างลูกผู้ชายกับคนในหมู่บ้าน แต่ก่อนข้าจะเงียบๆไม่สนใจแต่ครั้งนี้ข้าบันทึกลงสมองทุกทริคเลย แม้ส่วนใหญ่จะไว้ใช้กับผู้หญิงก็เถอะ” เจ้าสิงโตที่นอนกอดผมไว้ยิ้มร่า ท่าทางจะภูมิใจที่สามารถแสดงความเป็นชายได้อย่างเต็มภาคภูมิ

“จ...แฮ่ก...เจ้าคนหื่นกาม” นี่มันติดจากผมไปเยอะรึเปล่าถึงได้เป็นแบบนี้ เมื่อเร็กซ์ได้ยินเขาก็พลิกตัวขึ้นคร่อมผมอีกครั้งแล้วเริ่มซุกไซร้ซอกคอ ดูดดึงจนรอยแดงเพิ่มขึ้นกว่าเก่า

“ฮ...เฮ้ย เดี๋ยวนี่มันสามรอบแล้วนะ” ผมรีบประท้วง ถึงจะผ่านคนมาพอสมควรแต่ก็ไม่เคยต่อเนื่องได้ยาวนานขนาดนี้

“ก็ห่างเจ้าไปเป็นเดือนข้าคิดถึงเจ้ามากเลยรู้ไหม” เจ้าสิงโตหื่นมองผมด้วยสายตาหยาดเยิ้ม “รู้ไหมว่าสิงโตเต็มวัยน่ะสามารถร่วมรักได้กว่าร้อยครั้งต่อวันเลยนะ”

“...” ผมอ้าปากพะงาบๆ “ต...แต่เจ้าเป็นมนุษย์นะ”

“แต่ข้าเป็นคนของตระกูลแห่งราชสีห์นะ ข้าเองก็อยากรู้ว่าจะสู้สิงโตจริงๆได้รึเปล่า”

“อ...เอ่อ” รู้สึกได้เลยว่าหน้าผมเริ่มซีด ไม่ได้การณ์ เจ้าบ้านี่มันเปลี่ยนไปขนาดนี้ได้ยังไง

“อีกอย่างข้าเป็นนักรบ...ต้องรู้ขีดจำกัดของตัวเอง...ฉะนั้นวันนี้ข้าจะลองดูว่าขีดจำกัดอยู่ที่ระดับไหน”

“ด...เดี๋ยวเร็กซ์ ย...อย่าพึ่ง อ๊า”

และวันนั้นก็ทำให้ผมได้รับรู้ว่าสิงโตนั้นน่าสะพรึงกว่าหมีมากมายหลายเท่า

.............................
เอาตอนพิเศษมาลงแล้วค้าบ
ห่างหายไปนานเพราะไปติดนิยายเรื่องหนึ่งแล้วมันค้างตอนกำลังดราม่าพอดีเลยปรับอารมณ์มาเขียนไม่ได้ ขออภัยจริงๆครับ
จะมีอีกรึเปล่านี่ยังไม่แน่ใจนะครับ



หัวข้อ: Re: จบแล้ว-(Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.พิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 05-12-2018 19:46:30
เราเป็นมังกรนะรอส อย่าไปยอมสิงโต!
หัวข้อ: Re: จบแล้ว-(Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.พิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 05-12-2018 20:10:41
 :hao6: :hao6: :hao6:


งานนี้ยาวไปๆ  อิอิ
หัวข้อ: Re: จบแล้ว-(Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.พิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 05-12-2018 21:34:32
อื้อหือ อัพเลเวลไวมากเลยน้า จากตอนแรกเป็นคุณชายไร้น้ำยาอยู่ดีๆ
หัวข้อ: Re: จบแล้ว-(Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.พิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 05-12-2018 21:35:42
 :z1:


 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: จบแล้ว-(Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.พิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: nevergoodbye ที่ 05-12-2018 22:05:26
โง้ยย ไม่ไ้ด้เข้ามานาน จบซะแล้ว
สนุกมากๆ อ่านเพลิน วางไม่ลงเลย

ดีใจกับทั้งคู่ด้วยนะ
คนเขียนแทรกมุกเกี่ยวกับหนังเยอะจริง 555

ว่าแต่มีแพลนจะเขียนเรื่องอื่น หรือมีเรื่องอื่นที่แต่งไว้อีกไหม จะตามไปอ่าน  :-[
หัวข้อ: Re: จบแล้ว-(Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.พิเศษ)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 05-12-2018 22:34:33
 :mew1: :mew1: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: (Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Final Chapter)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 06-12-2018 08:58:12
อ่านได้เรื่อยๆและสนุกมาก!  เราชอบนิยาบแนวนี้อยู่แล้วด้วยเลยตามอ่านงอมแงม 5555

ใจหายเหมือนกันที่สุดท้ายเรื่องนี้ก็มีถึงตอนจบ แต่เรายังติดตามผลงานเรื่องอื่นต่อไปค่ะ!

ปล. ขอนิยายวายแฟนตาซีอีกก็ดีนะคะ อิอิ

ขอบคุณครับ ช่วงนี้หัวตันมากครับคิดพล๊อตไม่ออกไม่รู้ว่าจะได้เขียนอีกไหม แต่ถ้าได้เขียนอีกจริงๆก็คงแฟนตาซีแหละ แนวโปรด

จบแล้วหรอออออ ม่ายยยยย ไม่ได้เตรียมใจมาให้จบเลย :a5:

ต้องขอบคุณนักเขียนจริงๆนะคะที่เขียนนิยายดีๆมาให้เราได้อ่าน จะรอผลงานอื่นๆนะคะ :L1: :pig4:

ขอบคุณเช่นกันครับที่ตามเม้นมาตลอด

ปกติเป็นคนชอบอ่านแนวแฟนตาซีมากกว่าแนวปกติทั่วไป พอได้มาอ่านช่วงแรกๆคือ สนุก ชอบมาก ต้องติดตามต่อ อีกอย่างคือชอบคาแรกเตอร์ของรอส น้องมีความเข้มแข็ง ไม่อ่อนแอ ทั้งยังมีเสน่ห์ดึงดูดเลยติดเรื่องนี้ทันที อาจจะมีความไม่ต่อเนื่องของอารมณ์อยู่บ้างเพราะไม่ได้อัพติดต่อกัน นั่นก็เป็นเรื่องธรรมดา จริงๆแอบอยากให้พวกท่าวิชาต่างๆของทั้งกับเร็กซ์กับรอสดูยิ่งใหญ่ มีพลังมากกว่านี้ (นี่ชอบอยากให้ตัวเอกเก่งกาจ) แต่แค่นี้ก็โอเคแล้วค่ะ ไม่ได้ดูธรรมดาจนเกินไป

ขอบคุณที่ไม่ได้ทิ้งไป ขอบคุณที่มาต่อจนจบ ขอบคุณที่แต่งได้ให้อ่านกัน รอเรื่องถัดไป เป็นกำลังใจให้นะคะ

พอดีตั้งสเกลพลังไม่ให้เก่งเกินครับเพราะยังอยู่ในช่วงฝึกหัดอยู่จะเก่งเลยจะไม่สมเหตุสมผล อีกอย่างคือไม่ค่อยชอบตัวเอกที่เทพเกินไป ทุกอย่างมันง่ายไปหมด แต่พอไม่เก่งมากเลยบรรยายฉากสู้ยาก 555

ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่แรกๆนะครับ

เราเป็นมังกรนะรอส อย่าไปยอมสิงโต!

สิงโตแรงเยอะ สู้ไม่ไหว 55

:hao6: :hao6: :hao6:


งานนี้ยาวไปๆ  อิอิ

เฮียเร็กซ์ไม่ได้ปล่อยนาน โดนหนักแน่นอน

อื้อหือ อัพเลเวลไวมากเลยน้า จากตอนแรกเป็นคุณชายไร้น้ำยาอยู่ดีๆ

พัฒนาการดีเพราะหมั่นศึกษาหาความรู้ระหว่างที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน 555

โง้ยย ไม่ไ้ด้เข้ามานาน จบซะแล้ว
สนุกมากๆ อ่านเพลิน วางไม่ลงเลย

ดีใจกับทั้งคู่ด้วยนะ
คนเขียนแทรกมุกเกี่ยวกับหนังเยอะจริง 555

ว่าแต่มีแพลนจะเขียนเรื่องอื่น หรือมีเรื่องอื่นที่แต่งไว้อีกไหม จะตามไปอ่าน  :-[

ขอบคุณเช่นกันครับ
เรื่องนี้เน้นแทรกมุขเสียดสีหนังแบบ deadpool เลยไม่ได้คิดให้เนื้อหาซับซ้อนมากนัก
ปัจจุบันเรื่องนี้เรื่องแรกครับ แต่ยังไม่มีแพลนเรื่องอื่นเพราะคิดพล๊อตไม่ออก
หัวข้อ: Re: จบแล้ว-(Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.พิเศษ2)
เริ่มหัวข้อโดย: KPMwolf ที่ 19-12-2018 15:38:32
Chapter Special : Sword play ?

“ลุงครับ เล่มนี้เท่าไหร่” ผมหยิบดาบขนาดกะทัดรัดเล่มหนึ่งขึ้นมาจากชั้นวาง เพื่อทดสอบน้ำหนัก

“50เหรียญทอง”

“โห แพงแฮะ แล้วเล่มนี้ล่ะ” รีบวางกลับชั้นอย่างไวก่อนที่มันจะเป็นรอยขีดข่วน สายตาไปสะดุดที่ดาบอีกเล่มที่ขนาดใกล้กันแต่ลวดลายไม่หวือหวาเท่า

“30 เหรียญทอง”

เห้อ...ได้ยินแล้วก็ได้แต่ลอบถอนหายใจ ไม่น่าทำเจ้าดาบเพื่อนยากหักเลยจริงๆ

หลังจากที่ผมกับเร็กซ์ขอโดยสารขบวนรถสินค้าเดินทางข้ามทะเลทรายแล้ว เราทั้งสองก็มาถึงชายแดนของอิกนิเทีย (Ignitia) ประเทศเพื่อนบ้านที่ภูมิประเทศครึ่งหนึ่งเป็นทะเลทราย และอีกครึ่งเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำ ดินแดนแห่งไฟที่มีเสาคริสตัลของเทพอสูรแห่งอัคคีคล้ายกับของเทอร่าที่เป็นอสูรแห่งปฐพี

การเดินทางมายังประเทศใหม่มีหลายอย่างที่ต้องปรับตัว โดยเฉพาะมอนสเตอร์พื้นเมืองแถบนี้ที่ต่างจากของเทอร่าหลายอย่าง มอนสเตอร์หลักๆของประเทศนี้จะเป็นจำพวกแมลงเปลือกแข็ง ความรู้ที่ผมสั่งสมมาตลอดการเดินทางร่วมกับอาจารย์ซิดแทบจะใช้ไม่ได้เลย กว่าจะเริ่มรับเควสเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพได้ก็ต้องศึกษาเพิ่มเติมพอสมควร แต่มันก็ไม่เพียงพอ…

ขณะที่เราสองคนเข้าร่วมปาร์ตี้เพื่อไปกำจัดตัวต่อทะเลทรายยักษ์ที่มาทำรังใกล้กับหมู่บ้านแห่งหนึ่งมากเกินไป ดาบคู่กายของผมปะทะเข้ากับเหล็กในที่พวกตัวต่อยิงออกมา อาจจะร่วมกับที่ผมผสานพลังเวทเข้าไปบ่อยจนเกินไปด้วย เจ้าเพื่อนยากของผมก็หักลง ทำให้เมื่อกลับเมืองมาได้ผมจำต้องหาอาวุธใหม่ แม้ผมจะใช้เวทมนต์ได้แล้วแต่ด้วยความชินมือจึงอยากได้อาวุธเป็นดาบสั้นเช่นเดิม

“ลดหน่อยไม่ได้เหรอครับลุง” ผมหยิบดาบขึ้นมาหมุนควงไปมา น้ำหนักกำลังพอดีมือเลย แต่ราคาแพงไปหน่อย

“นั่นใช้เหล็กชั้นดีเลยนะ ลดไม่ได้หรอก” ลุงผิวคล้ำหัวล้านร่างกำยำแต่ลงพุงหน่อยๆโบกมือปฏิเสธ

“กรอด” ได้แต่กัดฟันเจ็บใจ ถ้าเป็นแต่ก่อนคงยอมพลีกายออดอ้อนไปแล้ว แต่ในเมื่อมีคนรักแล้วตัวเลือกนั้น...คงต้องตัดไป

“ถ้าเจ้าไม่มีเงินพอก็เลือกที่อยู่ในตะกร้านั่นแล้วกัน ราคามันแค่ 5 เหรียญทอง” เขาชี้ให้ผมมองไปทางตะกร้าที่มีดาบคุณภาพต่ำปักอยู่เต็มไปหมด ผมจำใจเดินไปหยิบเลือก ถึงผมกับเร็กซ์จะนำเงินติดตัวมาไม่น้อย แต่ก็ไม่ควรใช้มันอย่างสิ้นเปลือง ตอนนี้เราสองคนไม่มีตระกูลคอยช่วยเหลือแล้ว ต้องใช้เงินอย่างรอบคอบ

“เอ๋...” ในตะกร้ามีดาบเล่มหนึ่งที่สะดุดตาผมเป็นพิเศษ มันมีลวดลายสวยงามพอๆกับพวกที่ตั้งแสดงบนชั้นเลย พอหยิบขึ้นมาก็รู้สึกได้ว่ามันสถิตพลังเวทไว้อยู่

“ทำไมเล่มนี้ถึงอยู่ในกองราคาถูกเหรอครับ”

“อ้อ...เล่มนั้น” ช่างตีดาบขอมันมาถือในมือ เขาพลิกไปมาก่อนจะฟันมันไปที่โต๊ะข้างๆเต็มแรง ทว่ามันปักลึกเข้าไปในเนื้อไม้ไม่ถึงครึ่งความหนาของโต๊ะและคาไว้ที่ขอบโต๊ะ

“เล่มนี้เป็นดาบที่ข้าทดลองหลอมหินเวทมนตร์ลงไปในโลหะด้วย ตอนแรกก็คิดว่าจะทำให้สามารถกักเก็บพลังเวทได้ แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว มันกักพลังไว้ได้ไม่นานก็หมดลง อีกทั้งความหยาบของหินเวททำให้ไม่สามารถลับดาบให้คมได้ พวกนักดาบไม่สนใจดาบทื่อๆ และพวกนักเวทย์ไม่นิยมใช้ดาบเป็นอาวุธอยู่แล้ว ข้าจึงกัดฟันโยนมันลงไปในตะกร้าของเกรดต่ำ”

ดาบที่ผสานหินเวทไว้อย่างนั้นเหรอ...พอได้ยินแล้วผมก็หูผึงขอดาบเล่มนั้นกลับมาถือไว้ ลองผสานเวทลมเข้าไปจนคมดาบทอประกายสีฟ้าอ่อนๆ

“น...นี่เจ้า” ช่างตีดาบมองตาค้าง

ผมสอดส่ายสายตาไปมาจนพบเป้าหมายเป็นหุ่นฟางที่มีไว้ให้ลูกค้าทดลองดาบ หันหน้ากลับไปสบตาเจ้าของเชิงขออนุญาต เมื่อเขาพยักหน้าผมก็ไม่รอช้า ตวัดดาบไปที่หุ่นฟางทันที คมดาบตัดผ่านไปอย่างไร้แรงต้านราวกับตัดก้อนเต้าหู้ หุ่นฟางขาดครึ่ง รอยตัดเรียบสนิท แต่ไม่เพียงหุ่นฟางเท่านั้น...กำแพงไม้ข้างหลังก็เกิดรอยบากตื้นๆจากคลื่นอากาศที่ผมเผลอปล่อยออกไป

“ราคา 5 เหรียญทองสินะครับ” ผมฉีกยิ้มให้กับเจ้าของร้านที่อ้าปากค้าง

แปะๆๆ เขาไม่ได้มีท่าทีต่อต้านแต่อย่างใด กลับตบมือชมด้วยซ้ำ

“ยอดเยี่ยม ดูเหมือนว่ามันจะได้พบกับเจ้าของที่คู่ควรแล้วสินะ”

ผมรับฝักดาบที่เข้าชุดกันมาพร้อมจ่ายเงิน จัดแจงติดมันไว้ที่ข้างเอวก่อนจะเดินออกจากร้านด้วยรอยยิ้ม ได้ของดีราคาถูกแบบนี้จะไม่อารมณ์ดีได้อย่างไร นักดาบอาจไม่สนใจดาบทื่อๆ นักเวทอาจไม่สนใจอาวุธระยะประชิด แต่นักผจญภัยผู้ใช้เวทมนต์ได้อย่างผมถือว่าเป็นของล้ำค่าเลยทีเดียว

“นี่เจ้าหนุ่ม” ลุงเจ้าของร้านเรียกให้ผมหันกลับไป “ถ้ามีใครถามว่าได้ดาบมาจากไหนให้บอกว่าจากร้านมาคัสแห่งหมู่บ้านทรายทองนะ ฮ่าๆๆ”

“ไงรอส ได้ดาบใหม่รึยัง” เร็กซ์ที่พึ่งเสร็จจากการซื้อเสบียงถามขึ้น

“แน่นอน...แล้วนั่นอะไรในมือ” ผมสังเกตเห็นม้วนกระดาษในมือของเขา

“พอดีมีร้านขายยากำลังขาดสมุนไพรบางอย่างน่ะ เขาออกปากขอร้องข้าเลยรับมา” เจ้าอัศวินพูดเสียงอ้อมแอ้มเหมือนกลัวผมจะว่า

“เห้อ...เจ้านี่นะ รับอะไรไม่ปรึกษากันก่อนเลย” ผมส่ายหน้าแล้วรับม้วนกระดาษมาเปิดดู มันมีรายละเอียด รูปภาพและที่อยู่ชัดเจน ที่หมายคือป่าใกล้ๆ “งั้นก็ไปกันเถอะ น่าจะถึงชายป่าตอนค่ำๆพอดี”

“เจ้าไม่บ่นอะไรข้าเหรอ” เร็กซ์ทำหน้าแปลกใจ ด้วยความโคตรเป็นคนดีของมันทำให้มันชอบช่วยเหลือผู้ตกยากรับงานมาสุ่มสี่สุ่มห้าจนโดนผมบ่นหลายครั้ง

“ช่วยเหลือคนเดือดร้อนเป็นหน้าที่ของอัศวินไม่ใช่เหรอไง” ผมโยนม้วนกระดาษกลับไป “แล้วหน้าที่ระวังหลังให้อัศวินผู้แสนดีก็เป็นหน้าที่ของข้า” ผมยิ้มให้คนรักแสร้งว่าอยากจะช่วยจริงๆ แต่ในใจอยากจะได้ลองดาบใหม่มากกว่า

.................................................

ฟุบๆๆ

ผมเหวี่ยงดาบไปมากลางอากาศเพื่อปรับให้คุ้นมือ น้ำหนักของมันเบากว่าดาบเก่าของผมพอสมควร ทั้งความยาวและด้ามจับก็ต่างไปเล็กน้อย

“เห่อของใหม่จริงๆเลยนะ” เจ้าอัศวินทักขึ้นหลังกลับจากหาฟืน ฟ้าเริ่มมืดสลัวๆแล้วพวกเราสองคนจึงเลือกที่พักข้างธารน้ำติดชายป่า

“ก็ต้องปรับตัวให้คุ้นมือ” ผมลองร่ายรำดาบไปมาอย่างที่อาจารย์ซิดเคยสอนไว้

หมับ

ผมสะดุ้งเมื่อเร็กซ์เดินมาซ้อนหลังแล้วเอามือกุมสองมือของผมที่จับดาบไว้

“เวลาจับดาบน่ะต้องจับแบบนี้ ขาก็ต้องกางออกให้เป็นฐานที่มั่นคง” เขาปรับมือของผมให้จับดาบได้มั่นขึ้น ใช้ขาดันให้ผมยืนได้สมดุลมากขึ้น

“...” รู้สึกได้เลยว่าตัวเองหน้าแดงเพราะลมหายใจอุ่นๆที่รดคอ โรงเรียนอัศวินเขาสอนดาบกันแบบนี้เหรอ

“เวลาแกว่งดาบไม่ต้องกว้างมาก ใช้ลำตัวช่วยเสริมแรงเหวี่ยง แต่ก็อย่าให้เสียสมดุลที่ขา” เจ้าอัศวินผู้สถาปนาตนเป็นอาจารย์สอนดาบเริ่มชักนำให้ผมกวัดแกว่งดาบไปมา แผ่นหลังของผมเสียดสีไปกับกล้ามเนื้ออกและท้อง เสียงเนื้อผ้าเสียดสีกันทำให้ผมเริ่มไม่มีสมาธิ

“ให้คิดซะว่าดาบเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย” เขายังคงสอนต่อ แต่แล้วผมก็อดไม่ได้ที่จะแกล้ง

“แบบดาบเล่มนี้น่ะเหรอ” ผมออกแรงบดสะโพกเข้าหากลางลำตัวคนข้างหลังเบาๆ

โป๊ก !!!

“อย่าพึ่งคิดอะไรลามก ตั้งใจก่อน” เร็กซ์เขกหัวผมเบาๆแล้วส่งเสียงเอ็ด “ข้าอยากสอนให้เจ้าใช้ดาบได้คล่องกว่านี้ สไตล์การต่อสู้ของเจ้าเป็นทั้งระยะใกล้และไกล ข้าไม่อยากให้เจ้าพลาดพลั้งเมื่อเข้าประชิดศัตรูโดยไม่มีข้า”

“เอ แต่ข้าว่าข้าก็ใช้ดาบคล่องแล้วนะ โดยเฉพาะดาบเล่มนี้ของเจ้า” ผมวนสะโพกหยอกกลับไปอีกแต่แล้วก็ต้องรีบโยกหัวหลบเมื่อเขายกมือเตรียมเขกหัวอีกครั้ง

“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนแต่นี่ข้าจริงจังนะ” น้ำเสียงของเขาจริงจังขึ้น

“อันที่จริงข้าอยากจะให้เจ้าอยู่แต่ในที่ปลอดภัยด้วยซ้ำ ไม่อยากให้ต้องออกมาเสี่ยง แต่ในเมื่อเจ้าอยากให้เราสองคนเท่าเทียมกันข้าก็คงห้ามเจ้าไม่ได้ ที่ทำได้ก็คงฝึกให้เจ้าเก่งขึ้นจนข้าวางใจได้” เร็กซ์ปล่อยมือของผมแล้วสวมกอดไว้ เขากดจมูกลงที่หลังศีรษะของผม เพื่อสื่อให้รู้สึกถึงความห่วงใยที่เปี่ยมล้น “ถ้าเจ้าเป็นอะไรไปข้าคงไม่มีวันให้อภัยตนเอง”

“เราจะดูแลกันและกันไม่ใช่เหรอไง เราเติมจุดด้อยให้กันและกัน” ผมยกมือขึ้นลูบหัวคนรักเบาๆ

“ใช่...ข้าเลยอยากจะสอนดาบให้เจ้าไง” ชายหนุ่มกดจมูกลงไปซุกไซร้ซอกคอจนผมขนลุก

แหม..คุณสิงโตนี่บทจะจริงจังก็จริงจัง แต่พอจะหื่นนี่ก็หื่นแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยแฮะ คิดแล้วมันก็น่าแกล้งจริงๆ

ผมดิ้นหลุดจากอ้อมกอดของอัศวินหนุ่มแล้วกระโดดแยกตัวออกห่าง ยกดาบขึ้นตั้งท่าเตรียมต่อสู้ ยกยิ้มให้เขาอย่างท้าทาย

“เมื่อครู่ว่าจะสอนดาบไม่ใช่เหรอไง งั้นลองซ้อมกันดูสักตั้งไหมล่ะ” เร็กซ์ทำท่างงงวยอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยกยิ้มตอบกลับ เขาหันไปคว้าท่อนไม้เรียวยาวมาตั้งท่า

“ทำไมใช้ไม้ล่ะ ดูถูกกันเหรอไง” ผมโวยวายถึงดาบของผมจะไม่คมแต่คู่ต่อสู้ใช้ท่อนไม้แบบนั้นมันดูไม่แฟร์เลย

“ก็ซ้อมเฉยๆนี่ เข้ามาเลย”

“ท่าเจ็บตัวก็อย่ามาว่าทีหลังแล้วกัน”

ผมไม่เกรงใจอีกต่อไป พุ่งตัวเข้าประชิดแล้วฟาดฟันดาบเข้าใส่ เร็กซ์ปัดป้องอย่างช่ำชอง คมดาบของผมไม่แม้แต่จะเฉียดใกล้ตัวเลยได้ซ้ำ ประดาบกันไม่นานเร็กซ์ก็ควงไม้ในมือให้ดาบของผมเปลี่ยนทิศจนเสียหลักแล้วยกไม้ขึ้นเคาะหัวผมทีนึง

“ตายหนึ่ง”

“กรอด” ผมกัดฟันเจ็บใจ เลือดเริ่มขึ้นหน้า ตั้งหลักแล้วเริ่มบุกเข้าฟันอีกครั้ง

“น้ำหนักดาบดี ระวังการ์ดซ้ายไว้ด้วย ขยับเท้าอย่าหยุดนิ่ง” เจ้าอัศวินชี้แนะไปด้วยรับดาบของผมไปด้วย เขาพลิกตัวหลบวิถีดาบของผม ใช้เท้าสกัดขาให้ผมล้ม แขนซ้ายช้อนเอวผมไว้ไม่ให้หน้าคะมำลงพื้น

“ตายสอง”

“หนอยยยย” ตอนนี้ผมโมโหสุดๆแล้ว ปล่อยพลังเวทใส่ดาบ คมดาบกลายเป็นสีฟ้า เร็กซ์ทำหน้าตกใจ

ฉัวะ !!!

ท่อนไม้ในมืออีกฝ่ายถูกตัดเป็นสองท่อนอย่างง่ายดาย

“เฮ้ย อย่าขี้โกงสิ” เจ้าอัศวินโวยวาย กระโดดถอยรักษาระยะห่าง

“ไม่สนโว้ย ลูกผู้ชายฆ่าได้หยามไม่ได้ ข้าเอาจริงแล้ว” การซ้อมดาบกันกลายเป็นการประลองเสียแล้ว

การตวัดดาบแต่ละทีของผมเกิดคลื่นอากาศพุ่งเข้าหา ผมพยายามคุมให้มันเป็นกลุ่มก้อนไม่ใช่ใบมีดเพราะกลัวจะอันตรายจนเกินไป เร็กซ์กระโดดหลบซิกแซกจ้าละหวั่น พื้นดินเป็นหลุมเป็นบ่อตื้นๆเพราะถูกคลื่นอากาศอัด

“รอส ใจเย็น นี่แค่ซ้อมกันเฉยๆ”

“ไม่เย็นแล้ว”

“ได้...งั้นข้าก็เอาจริงบ้าง” เร็กซ์ใช้เวทเสริมกำลังสร้างออร่าที่ขาทั้งสอง พุ่งตัวด้วยความเร็วไปคว้าดาบที่วางไว้แล้วตั้งท่าพร้อมสู้ ด้วยดาบในตำนานเขาสามารถปัดป้องคลื่นอากาศของผมได้อย่างง่ายดาย

“เตรียมรับมือ” เมื่อสิ้นเสียงเขาก็พุ่งตัวเข้าประชิดด้วยความรวดเร็ว

“เหวอ”

“แอก” ประดาบกันไม่นานร่างผมก็กระเด็นไปนอนกับพื้น นี่ยังไงผมก็สู้ไม่ได้เมื่อเร็กซ์ใช้เวทเสริมกำลังแล้วเอาจริงเหรอเนี่ย

ฉึบ !!!

ปลายดาบสีเงินจ่ออยู่ที่ใบหน้า

“เสียเหงื่อแบบนี้บ้างก็ไม่เลวเหมือนกัน” เจ้าของดาบยืนหอบพลางเอามือเช็ดเหงื่อที่ไหลอาบแก้ม

“ชิ” ผมได้แต่สบถอย่างหัวเสีย นี่ขนาดใช้เวทมนตร์ช่วยแล้วผมยังสู้ไม่ได้

“เทคนิคเจ้าดี แต่มันยังดูไม่สมบูรณ์ ข้าว่าถ้าเจ้าฝึกดีๆข้าคงสู้ลำบาก” เจ้าอัศวินกล่าวชมแต่ยังคงจ่อดาบไว้

“ฝากไว้ก่อนเถอะ” คนรักก็คนรักเถอะ สู้แพ้สองรอบแบบนี้แล้วมันหัวเสียจริงๆ ผมเอามือปัดปลายดาบอีกฝ่ายออกแล้วพยายามจะลุกขึ้น แต่เจ้าของไม่ยอม ควงดาบกลับมาจ่อไว้ที่หน้าเหมือนเดิม

“จ่อดาบไว้แบบนี้จะให้ร้องขอชีวิตเหรอไง”

“หึหึ” เจ้าอัศวินยกยิ้ม เขายอมเก็บดาบแล้วยื่นมือมาฉุดให้ผมลุกขึ้น แต่พอยืนได้ก็โดนเขาผลักจนหลังไปพิงต้นไม้ใกล้ๆโดยมีร่างอีกฝ่ายบดเบียดเข้ามาจนร่างเราสองคนไม่มีแม้แต่ช่องว่าง “ข้าจะให้เจ้าร้องขอชีวิตจากดาบเล่มอื่นแทน”

หน้าขาของผมสัมผัสได้ถึงความแข็งขืนในกางเกงของเจ้าอัศวิน ผมยกยิ้มตอบกลับอย่างท้าทายพร้อมยกมือไปบีบคลึงดาบเล่มนั้นเบาๆ

“ถ้าเป็นดาบเล่มนี้ข้าว่าข้าคล่องพอที่จะไม่แพ้แน่ๆ”

แพนกล้องไปที่ดอกเห็ดที่โคนต้นไม้
...............................





หัวข้อ: Re: จบแล้ว-(Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.พิเศษ2)
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 20-12-2018 18:24:20
โน้ววววววว เจ้าจะเล่นดาบพิเศษโดยตัดฉากไปที่เห็ดไม่ได้นะ
หัวข้อ: Re: จบแล้ว-(Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.พิเศษ2)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 20-12-2018 19:28:41
 :ling1: ตัดแบบนี้ก็ค้างอ่ะดิ  :ling1:
หัวข้อ: Re: จบแล้ว-(Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.พิเศษ2)
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 19-01-2019 22:34:38
เป็นนิยายเบาๆ หวานๆมาก
ไม่เน้นเรื่องความเก่งกาจอะไรมาก
เน้นเรื่องความสัมพันธ์ของตัวละคร
รอตอนพิเศษเพิ่มอยู่นะ
หัวข้อ: Re: จบแล้ว-(Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.พิเศษ2)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 20-01-2019 06:56:05
 :pig4:
หัวข้อ: Re: จบแล้ว-(Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.พิเศษ2)
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 22-01-2019 07:12:06
น่ารัก มากๆเลย
หัวข้อ: Re: จบแล้ว-(Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.พิเศษ2)
เริ่มหัวข้อโดย: Psycho ที่ 23-01-2019 20:00:36
เห็ดที่โคนต้นไม้!!!!!!
หัวข้อ: Re: จบแล้ว-(Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.พิเศษ2)
เริ่มหัวข้อโดย: RENYINGYING ที่ 24-01-2019 06:17:44
ชอบนิยายแนวนี้มากค่ะ หาอ่านยากมากกกกก คนเขียนก็แต่งแต่งดี๊ดี อยากให้มีภาค2 จังเลยหรือไม่ก็ต่อยาวๆเลยค่ะโคตรชอบ ขอบคุณนักเขียนมากนะคะที่แต่งนิยายดีๆแบบนี้มาให้ทุกคนอ่าน สุดยอดเลยค่ะสนุกมากเลย
 :heaven  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: จบแล้ว-(Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.พิเศษ2)
เริ่มหัวข้อโดย: บีเวอร์ ที่ 23-02-2019 14:46:41
ประกาศ!!
อัศวินผู้ใสซื่อได้หายตัวไปอย่างลึกลับ
หากผู้ใดพบเห็นโปรดแจ้งโดยด่วน
 :hao7:
หัวข้อ: Re: จบแล้ว-(Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.พิเศษ2)
เริ่มหัวข้อโดย: pearl9845 ที่ 28-02-2019 15:00:45
 :pig4: :pig4:  น่ารักมากเลย ชอบมาก
ขอบคุณคับ
หัวข้อ: Re: จบแล้ว-(Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.พิเศษ2)
เริ่มหัวข้อโดย: nevergoodbye ที่ 10-03-2019 10:09:28
เจ้าสิงโต นี่เจ้า outdoor เลยรึ
 :hao6:
หัวข้อ: Re: จบแล้ว-(Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.พิเศษ2)
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 19-03-2019 18:24:19
 :pig4: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: จบแล้ว-(Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.พิเศษ2)
เริ่มหัวข้อโดย: politesseone ที่ 31-07-2020 23:10:44
ชอบมาก สนุกมาก ตอนเข้ามาอ่านครั้งแรกไม่คิดว่าจะดีขนาดนี้เลยค่ะ ขอบคุณมากนะคะ