จบแล้ว-(Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.พิเศษ2)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: จบแล้ว-(Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.พิเศษ2)  (อ่าน 47069 ครั้ง)

ออฟไลน์ Nocto

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
อย่างที่รอสคิด จริงๆอาจจะไม่ได้มีอะไรก็ได้นะ

ออฟไลน์ KPMwolf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
34.2

“ฮ่า ๆ ๆ จริงเหรอครับพี่ พี่ใหญ่นิสัยเปลี่ยนเพราะอกหัก” พวกเราสามคนนั่งหัวเราะกันระหว่างทานอาหารเที่ยงในห้องอาหารโอ่โถง บรรยากาศครื้นเครงที่หายไปนานจากบ้านหลังนี้

“เผากันแบบนี้นี่อยากจะโดนเผาจริงๆใช่ไหม” วาเรเรี่ยนนั่งกอดอกส่งแววตาแข็งกร้าวใส่พี่รองที่กำลังนินทาอยู่

“อ้าวก็วารอสเค้าสงสัยทำไมพี่ถึงนิ่งกว่าแต่ก่อน ผมก็ต้องเล่าไปสิ ฮ่าๆ”

“แล้วไงต่อพี่วาเรน สาวคนนั้นโดนพี่ใหญ่เผาทิ้งไหม” พี่ใหญ่ขึ้นชื่อเรื่องหัวร้อนเสมอทำให้เขาใช้เวทมนตร์ธาตุไฟที่สอดคล้องกับนิสัยของเขาได้อย่างง่ายดาย แต่ก่อนที่ยังต้องท่องคำร่ายคาถาอยู่ พี่ใหญ่แค่ตะโกน ‘เผามัน จะฆ่าทิ้ง ตาย ไปตายซะ’ ก็ปลดปล่อยพลังออกมาได้

“อย่ามาพูดเกินจริงวารอส พี่ไม่ได้โกรธขนาดนั้น พี่ยังไม่ได้รักหมดใจสักหน่อย” พี่ใหญ่แก้ตัว

“แต่ในจดหมายก็บรรยายมาเป็นหน้าๆเลยนะพี่ เย้ย” พี่วาเรนร้องเสียงหลงเมื่อลูกไฟพุ่งข้ามโต๊ะอาหารเข้าหน้า ยังดีที่มีโล่ห์แสงขึ้นมากันทัน

“เดี๋ยวก็ไฟไหม้บ้านพอดี”

“ค่อยดับหลังจากที่เจ้าเป็นเถ้าไปแล้วก็ได้”

“ฮ่า ๆ ๆ” คิดถึงบรรยากาศนี้จริงๆ บรรยากาศที่พวกเราสามคนอยู่ด้วยกัน คุยเล่นกัน แกล้งกัน นั่งมองพี่สองคนตีกัน

“แล้วเจ้าล่ะ วารอส หายไป 6 ปี ทำอะไรมาบ้าง”

“ก็...หลายอย่างครับ” การเดินทางของผมนั้นผ่านเรื่องต่างๆมามากมาย ทั้งพบปะผู้คน เสี่ยงอันตราย ทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง หรือแม้แต่เรื่องรักๆใคร่ๆ...

แต่แล้วความคิดหนึ่งก็แทรกขึ้นมา...

...เร็กซ์จะได้กินอะไรบ้างรึยังนะ

“ทำไมจู่ๆก็หงอยไป” พี่ใหญ่ทักขึ้น

“เปล่าครับพี่ แค่...” ผมคงเหม่อลอยเกินไปจนพวกเขาสังเกตได้...ต้องรีบหาข้อแก้ตัว “แค่สงสัยทำไมตอนนั้นพี่ไม่เขียนอะไรมาเล่าให้ฟังบ้าง”

คำถามของผมทำเอาบรรยากาศที่รื่นเริงกลายเป็นตึงๆขึ้นมาทันใด

“พวกพี่ก็ยอมรับว่ามีส่วนผิดที่ละเลยเจ้าไป ช่วงชีวิตวัยรุ่นช่วงนั้นมีหลายอย่างเข้ามาจนปรับตัวไม่ทัน พี่กับวาเรเรี่ยนปรึกษาเรื่องต่างๆกันบ่อยเพราะอายุเราใกล้กันจนทำให้เจ้ารู้สึกเหินห่าง” พี่วาเรนอธิบาย “เจ้าต้องเหงามากแน่ๆ”

“พี่พึ่งจะมาสำนึกได้ก็ตอนเสียเจ้าไปแล้ว พี่ขอโทษจริงๆ” วาเรเรี่ยนเสริมขึ้น

“หึหึ นานๆพี่ใหญ่จะยอมขอโทษใครสักครั้งนึง ยังไงผมก็ต้องรับไว้อยู่แล้ว” พี่ใหญ่น่ะไม่ค่อยยอมคนเท่าไหร่ นานๆแกจะยอมรับผิดสักที

“พูดแบบนี้อยากจะโดนลูกไฟอีกคนใช่ไหม”

ก๊าซซซซ

เสียงคำรามดังแสบหูแม้จะอยู่ในบ้าน เสียงร้องของมังกร สัตว์พาหนะของหัวหน้าตระกูล

“ท่านพ่อกลับมาแล้วล่ะ” พี่วาเรเรี่ยนกล่าว

“จะพูดอะไรกับท่านก็คิดดีๆก่อนนะ” คำเตือนของพี่วาเรนทำเอาผมนั่งแทบจะไม่ติดเก้าอี้ ทั้งตื่นเต้น ทั้งกลัวจนเลือดในกายสูบฉีดรุนแรง

ไม่กี่อึดใจประตูห้องอาหารก็เปิดออก ชายร่างสูงในชุดคลุมจอมเวทย์เดินฉับๆเข้ามา เส้นผมสีเงินยาวปลิวไสว ใบหน้าของท่านพ่อยังคงดูอ่อนเยาว์แม้วัยจะล่วงเลยไปที่เลขสี่แล้ว เขานั่งที่หัวโต๊ะอาหารอีกฟาก ตำแหน่งที่นั่งของหัวหน้าครอบครัว สายตาเย็นเฉียบจับจ้องมาที่ผม

“มาถึงแล้วรึ ไปเจอที่ไหนล่ะวาเรน” น้ำเสียงนิ่งเรียบส่งไอเย็นยะเยือกลงไปตามสันหลัง ผมได้แต่นั่งก้มหน้าไม่กล้าสบตา รู้สึกได้ถึงแรงกดดันของพลังเวทย์ที่ถาถมลงมาจนแทบจะหายใจไม่ออก ท่านต้องโกรธอยู่แน่ๆ

“หมู่บ้านทางตะวันออกครับท่านพ่อ”

“อย่างนั้นรึ”

“ท่านพ่อครับ...อึก” ไม่ทันที่ผมจะพูดจบ สายตาเย็นยะเยือกของพ่อก็ตวัดมองจนผมกลืนคำพูดลงคอไป แรงกดดันเวทมนตร์หนักขึ้นกว่าเก่า อุณหภูมิในห้องลดลงอย่างรวดเร็ว

“หุบปาก อย่าพึ่งพูดถ้าไม่ได้ถาม” พรมรองพื้น ขาเก้าอี้และโต๊ะเริ่มมีเกล็ดน้ำแข็งเกาะ

“...”

“ไหนว่ามาสิว่าทำไมถึงก่อเรื่องวุ่นวาย” ท่านถามในที่สุด

“เพราะว่า...” ผมลังเลที่จะพูดจนต้องหันไปหาพี่ๆ พี่วาเรนพยักหน้าเบาๆเป็นสัญญาณบ่งบอกให้ผมบอกตามที่ตระเตรียมไว้ให้

“เพราะว่าผมอยากจะเลือกทางเดินของตนเอง” ผมจับจ้องดวงตาสีฟ้าคู่นั้นด้วยความแน่วแน่ เลือกที่จะพูดนอกบทที่พี่เตรียมให้ แม้อาจจะเป็นทางเลือกที่ผิด แต่ผมเชื่อมั่นในอิสระทางความคิดเสมอ หากโกหกไปก็เท่ากับปฏิเสธตัวของตนเอง

พี่ทั้งสองส่ายหน้ายกมือกุมขมับพร้อมกัน

“ว่ายังไงนะ” เสียงท่านพ่อเจือโทสะ ห้องอาหารหนาวราวกับอยู่กลางทุ่งหิมะ ลมหายใจของผมกลายเป็นไอสีขาว

“ผมสร้างเรื่องทั้งหมดนี้เพราะหลายๆสาเหตุ ทั้งที่บ้านเปลี่ยนไปและทั้งความกระหายสิ่งแปลกใหม่ ผมไม่อยากเป็นจอมเวทย์อย่างที่ถูกกำหนดมา แต่อยากเป็นนักผจญภัยผู้สามารถไปที่ไหนก็ได้ดั่งใจนึก...อึก” ลมหนาวพัดเข้าปะทะใบหน้าจนตัวสั่นระริก ผมหดสองแขนเข้าอกคู้ตัวลงเพราะความหนาวเหน็บ “ผมอยากเลือกชะตาของตนเอง”

“บังอาจนัก หากปฏิเสธพลังอันยิ่งใหญ่ที่บรรพบุรุษมอบให้ก็เท่ากับปฏิเสธตัวตน พวกเราได้รับมอบพลังมาเพื่อปกป้องผู้อ่อนแอ หากไม่ฝึกฝนให้เก่งกล้าแล้วจะไปช่วยเหลือพวกเขาที่ไว้วางใจพวกเราได้ยังไง” ท่านพ่อตวาด

“แต่มันมีทางช่วยเหลือ...ฮึก” ลมหนาวโหมกระหน่ำดั่งพายุหิมะจนไม่สามารถพูดต่อได้ มันหนาวลึกลงไปถึงกระดูก ผมกำลังจะหนาวตาย เปลือกตาทั้งสองข้างค่อยๆปิดลง

ทว่า...

บางอย่างมอบความอบอุ่นให้กับผม...

ผมลืมตาขึ้นก็พบพี่ชายทั้งสองคนยืนขวางลมหนาวของท่านพ่อไว้ให้ พลังเวทย์ของพี่วาเรเรี่ยนร้อนระอุเหมือนกองไฟกลางทุ่งหิมะ ในขณะที่พี่วาเรนนั้นอบอุ่นเหมือนแสงตะวันกลางฤดูหนาว พี่ทั้งสองลุกขึ้นปกป้องผมไว้

“พอเถอะครับท่านพ่อ ไหนๆน้องก็กลับมาเดินตามสิ่งที่ตระกูลกำหนดไว้แล้ว ให้อภัยน้องเถอะ” พี่วาเรเรี่ยนอ้อนวอน

“แล้วถ้าคนนอกรู้ว่าเรื่องจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน” เจ้าตระกูลยังไม่ลดละ

“เรื่องนั้นผมคิดไว้แล้วครับท่านพ่อ ให้ข่าวออกไปว่าวารอสประสบอุบัติเหตุที่บึงนั่นแล้วเสียความทรงจำกับพลังเวทย์ไป ที่กลับมาเพราะความจำและพลังฟื้นแล้ว” พี่วาเรนช่วยเสริม

...พายุหิมะสงบลงในที่สุด

“เอาแบบนั้นก็ได้ แจ้งไปยังญาติคนอื่น เตรียมพิธีรับสัญลักษณ์ชำนาญการภายใน 3 วัน” ท่านลุกเดินออกไปที่ประตูก่อนจะหันมาทิ้งท้าย “แล้วอย่าให้ไปก่อเรื่องอีก” ก่อนจะปิดประตูหายไป

“เฮ้อ/เฮ้อ” เมื่อลับสายตาชายร่างสูงโปร่งทั้งสองก็ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อย่างเหนื่อยอ่อน ต่างคนต่างถอนหายใจโล่งอก

“เกือบไปแล้วไหมล่ะ” พี่วาเรเรี่ยนกุมขมับ

“ก็บอกแล้วให้พูดตามที่เตรียมกันไว้ เจ้าตัวแสบ” พี่วาเรนไถลตัวลงไปจนแทบจะนอนลงที่เก้าอี้

“ผมแค่พูดตามที่คิด” ผมเถียงเบาๆ แม้ต้องตายผมก็จะไม่ยอมเสียศรัธทาในสิ่งที่เชื่อ

“เอาเถอะ ให้เวลาพ่อหน่อย เดี๋ยวก็น่าจะดีขึ้น”

“แล้วจะเอาไงต่อล่ะ วารอส”

“ก็คง...ต้องทำตามที่พ่อบอกนั่นแหละ” ถึงจะไม่อยากเดินเส้นทางนี้แต่ดูเหมือนว่าผมจะไม่มีทางเลือกแล้วล่ะ

..............................

ออฟไลน์ shiroinu

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
รอลุ้นน้องจะได้ธาตุอะไรกันนะ ธาตุมืดดีไหม น้องมันร้ายชอบยั่ว :hao7:

ออฟไลน์ PsychePie

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
อื้อหือ ด่านแต่ละด่านที่บักเรกซ์จะต้องผ่าน

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ Nocto

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
รอตอนต่อไป~

ออฟไลน์ KPMwolf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Chapter 35 Test result

ช่วงเวลาสามวันระหว่างเตรียมพิธีรับสัญลักษณ์ชำนาญการเป็นช่วงเวลาที่...น่าเบื่อมาก ท่านพ่อไม่อยากให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ ให้ผมไปฝึกควบคุมพลังเวทย์เพิ่มเติมเพื่อชดเชยส่วนที่ขาดไป แต่เพราะว่ากะทันหันจนหาคนฝึกให้ไม่ทัน หน้าที่ติวเตอร์จึงตกเป็นของพี่วาเรเรี่ยน

“ไหนลองท่องคำร่ายซิ”

“พลังในกายที่ไหลเวียนจงเปลี่ยนเป็นเชื้อไฟ ปะทุเป็นเปลวเพลิงเพื่อขวางกั้นศัตรูของข้า บทแห่งไฟที่ 7 Fire wall” ผมร่ายคาถาเสียงดังปลดปล่อยพลังเวทย์ในกายออกไป เกิดเป็นกำแพงไฟห่างออกไป 5 เมตร แต่...มันสูงแค่เข่า

“ใช้ไม่ได้ๆ ต้องใส่อารมณ์มากกว่านี้” พี่ใหญ่ส่ายหน้าเอือมระอา

“อารมณ์ไหน เล่าพี่”

“ธาตุไฟจะใช้ความทะเยอทะยานและความโกรธ ลองจินตนาการว่าอยากฆ่าใครสักคนดู”

ช่วงนี้พี่ใหญ่ว่างไม่ต้องไปไหนไกลเพราะอยู่ระหว่างรอผลการคัดเลือกรัชทายาท ส่วนพี่รองก็ไปประจำโบสถ์ใหญ่ในเมืองหลวง ออกจากบ้านแต่เช้าแล้วจึงกลับมาเย็นๆ

“บ้าเหรอพี่ใครมันจะอยู่ๆก็อยากฆ่าคนขึ้นมา” ผมเถียง

“เออๆ ถ้าอย่างนั้นก็เปลี่ยนไปธาตุอื่นบ้าง ถนัดธาตุไหนล่ะ”

คำถามของพี่ทำให้ผมได้คิด...ผมไม่เคยถามตัวเองเลยว่าถนัดอะไร ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ใช้มันทุกธาตุตามแต่สถานการณ์จะอำนวย

“อาจจะ...ดินหรือลมมั้ง ไม่ก็น้ำ” พอนึกๆดูก็มี 3 ธาตุนี้แหละที่พอจะพลิกแพลงวิธีใช้ได้บ้าง ไฟกับสายฟ้าทำได้แค่ยิงออกไปตรงๆ

“เฮ้อ...พึ่งอุปกรณ์ช่วยมากเกินไปก็แบบนี้แหละ หาด้านที่ถนัดไม่เจอ”

“ไม่เห็นเกี่ยวเลย ยังไงพอได้สัญลักษณ์มาก็ต้องมานั่งฝึกใหม่อยู่ดี” จะได้ธาตุอะไรมาก็ไม่รู้ ถนัดรึเปล่าก็ไม่แน่ใจ ที่สำคัญคือจะชอบสิ่งที่ได้มารึเปล่า

“เรื่องนั้น ไปเอามาจากไหน” วาเรเรี่ยนยกคิ้วถามกลับ

“ก็เคยได้ยินมาว่าเป็นธาตุแฝงที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด หรือไม่ก็ตรงกับนิสัยส่วนตัว”

“มันก็เหมือนกันนั่นแหละ ไม่ว่าธาตุจะกำหนดนิสัย หรือนิสัยกำหนดธาตุ”

“พูดอะไรของพี่ ผมไม่เข้าใจ” อธิบายอะไรฟระ งงโคตร นี่วิชาปรัชญาหรือไง

“เอาเถอะๆ ถ้าอย่างนั้นวันนี้ฝึกเวทย์พื้นฐานก่อนก็พอ” ดูพี่จะเหนื่อยหน่ายรีบตัดบท

“เสร็จแล้วพาผมออกไปในเมืองหน่อยสิพี่ อยู่แต่ในบ้านมันเบื่อ” ผมส่งเสียงหวานทำท่าออดอ้อน

“ไม่” แต่พี่ใหญ่ส่งแววตาแข็งใส่แล้วตัดความหวังลงง่ายๆ

อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้น่าเบื่อคือ...ผมโดนคุมเข้มตลอดไม่ให้ออกจากเขตของบ้าน โดนริบรอนอิสรภาพแบบนี้แล้วรู้สึกแย่จริงๆ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะข่ายอาคมของบ้าน มันเหมือนกำแพงล่องหนที่ตรวจจับคนเข้าออกได้ สามารถกั้นคนที่ไม่ได้รับเชิญไม่ให้เข้ามาในเขตได้และสามารถกันคนที่ไม่ต้องการให้ออกได้จากไปเช่นกัน สภาพของผมตอนนี้ไม่ต่างกับติดอยู่ในคุกเลย

เมื่อการฝึกจบลงผมก็ได้แต่เดินคอตกเข้าบ้าน สายตาก็สอดส่องออกไปรอใครคนหนึ่ง ผมยังคงเฝ้ารอข่าวจากทางเร็กซ์อยู่ ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง เดาว่าถ้าไม่รอให้เวลาใกล้หมดอย่างที่วางแผนไว้ก็คงกำลังเดินทางกลับอยู่

……………………….

และแล้วก็ถึงวันพิธี...

สถานที่คือลานบรรพบุรุษของตระกูล เป็นทุ่งหญ้ากว้างรายล้อมด้วยรูปปั้นของบรรพบุรุษ 7 รูป พวกเขาคือคนแรกๆที่เชี่ยวชาญพลังธาตุแต่ละธาตุ

ผมยืนอยู่บนแผ่นหินกลางลาน มันเป็นแผ่นหินวงกลมที่ขีดเขียนอักขระต่างๆไว้มากมาย รอบๆรายล้อมด้วยจอมเวทย์ระดับสูงยืนอยู่ประจำรูปปั้นที่ตรงกับธาตุที่ตนถนัด 3 ใน 7 คนคือท่านพ่อที่ยืนประจำธาตุน้ำ พี่ใหญ่ที่ธาตุไฟ และพี่รองที่ธาตุแสง ส่วนคนอื่นๆจะเป็นญาติหรือคนรู้จักที่ไหว้วานมาช่วย

“พร้อมนะ ?”

“ครับพี่”

เมื่อพิธีเริ่มขึ้น จอมเวทย์แต่ละคนก็ปลดปล่อยพลังเวทย์เข้าไปในรูปปั้นของบรรพบุรุษ ดวงตาของรูปปั้นเรืองแสงขึ้นราวกับมีชีวิตและพร้อมสอดส่อง สายพลังงานพุ่งจากดวงตาแต่ละคู่เข้าหาผมที่ยืนอยู่ตรงกลาง เกิดเป็นโดมแสงคล้ายฟองสบู่ที่ส่องประกายวิบวับ

เหล่าจอมเวทย์กำลังตรวจสอบธาตุของผมผ่านดวงตาของบรรพบุรุษ

“ยึดมั่นและหัวรั้นชนิดหัวชนฝาไม่ต่างจากโรซ่าที่ถือธาตุดินจริงๆ ฮ่าๆ”

“...”

“รักอิสระและอยู่นอกกฎเกณฑ์ โอนอ่อนไปตามอุปสรรคอย่างสายลม”

“ทำไมถึงสัมผัสได้แต่ไฟราคะเนี่ย”

“เป็นคนที่หลุกหลิก เปลี่ยนแปลงตนเองตลอดเวลา ขาดสมดุลอย่างที่สายฟ้าควรจะมี”

“ก็เป็นคนจิตใจดีอยู่นี่น่า แต่ว่ายังไม่บริสุทธิ์แบบแสง”

“ถูกความมืดครอบงำได้ง่าย คงไม่แกร่งพอที่จะต้านทานด้านมืดของตน”

ระหว่างที่ยืนฟังคำวิพากษ์วิจารณ์จากจอมเวทย์ ฟองแสงก็สว่างเป็นสีต่างๆสลับไปมา มันแสบตาจนผมต้องหลับตาลง ฉับพลันทุกอย่างก็สงบลง ผมรู้สึกตัวเบาเหมือนลอยอยู่กลางอากาศ เมื่อลืมตาขึ้นก็พบกับ...

“เจ้าอีกแล้ว” กลุ่มแสงรูปมังกรที่ปรากฏตัวตอนผมปลดผนึกตนเองลอยอยู่ด้านหน้าผมอีกครั้ง แต่คราวนี้มันเปลี่ยนไป ไม่ได้เป็นสีรุ้งกินน้ำสลับไปสลับมาแบบครั้งนั้น ครั้งนี้มันมีสีฟ้าอ่อนอย่างท้องฟ้า ปีกคู่เดียวก็กลายเป็น 2 คู่ ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น

“ลึกๆเจ้าก็คงรู้อยู่แล้วว่าลักษณ์ของเจ้าคืออะไร เจ้าแค่สับสน” เสียงกังวานดังขึ้น

“...”

“ถึงเวลา...ที่เจ้าจะต้องกางปีกบินแล้ว วารอส”

เพล้ง

ฟองสบู่แสงแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ลมกรรโชกพัดกระจายโดยมีผมเป็นศูนย์กลาง หลังมือขวาผมร้อนเหมือนถูกไฟเผา เมื่อก้มมองก็พบความแตกต่าง มีสัญลักษณ์ใหม่เกิดขึ้นตรงกลางของรูปมังกรที่ขดตัวอยู่

“สัญลักษณ์ธาตุลม ธาตุแห่งอิสรภาพ” ท่านพ่อก้มลงมองสัญลักษณ์ที่มือแล้วกล่าวขึ้น ท่านเข้ามาประชิดตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

“ว่าแล้วเชียวว่าเจ้าจะต้องเป็นคนธาตุลม ชอบทำอะไรนอกกรอบตลอด” เป็นเสียงพี่วาเรน

“ยังไงก็ฝากท่านเอริช่วยฝึกให้ลูกข้าก่อนที่จะต้องเดินทางไปหอคอยแห่งลมด้วย”

“ได้ค่ะ ท่านบัลเดอร์”

.......................

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ KPMwolf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
35.2 เว็บมัยว่าตัวอักษรเกินต้องแยกลง

“ธาตุแห่งอิสรภาพอย่างนั้นน่ะหรือ” ผมยกมือขึ้นดูสัญลักษณ์อีกครั้งขณะนอนอยู่บนเตียงที่ห้องตัวเอง

นี่มันตลกร้ายชัดๆ ได้รับธาตุแห่งความอิสระมาแต่กลับไม่สามารถทำอะไรอิสระดั่งใจนึกได้ กำหนดการของผมออกมาแล้วว่าอีก 3 สัปดาห์จะต้องเดินทางไปยังหอคอยเดียวดาย หอคอยธาตุแห่งลมที่ตั้งอยู่กลางหุบเขาสูงทางตะวันตกของประเทศ แม้แต่ชื่อหอคอยยังฟังดูหดหู่ไม่สมกับความเป็นสายลมเลย

“เร็กซัส...เจ้าอยู่ไหนนะ เวลากำลังจะหมดลงแล้วนะ” ผมได้แต่พึมพำแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างห้อง เฝ้าคิดถึงอ้อมกอดของเจ้าอัศวิน

“ยังต้องไม่หมดหวังสิ” ผมปลอบใจตนเองก่อนพยายามจะข่มตาหลับ ถ้าจำไม่ผิดอีกอาทิตย์กว่าๆก็จะครบกำหนดเวลาแล้ว ยังไงเร็กซ์ก็ต้องกลับมาก่อนผมไปอยู่แล้ว หลังจากนั้นค่อยคิดแล้วกันว่าจะเอายังไงต่อ

……………………..

หลังจากเสร็จพิธีผมก็ต้องฝึกฝนการใช้เวทย์ลมตลอดระยะเวลาที่รอทางหอคอยจัดการเรื่องรับตัวผมไป คนที่ท่านพ่อไหว้วานให้มาช่วยฝึกคือเอริ ญาติห่างๆ อายุยี่สิบปลายๆ

เอริ (Ari) หญิงผู้เชี่ยวชาญเรื่องการใช้เวทย์สายลม นางเป็นคนสบายๆ ชอบทำตัวเหม่อลอย แต่ก็ทรงภูมิจนได้เป็นอาจารย์ที่วิทยาลัยเวทมนต์ การฝึกของนางค่อนข้างผ่อนคลาย ค่อยๆไต่จากบทแรกๆขึ้นไปเรื่อยๆ ตั้งแต่การขัดเกลาบทพื้นๆอย่างควบคุมทิศทางของลม ไปจนถึงการสร้างบอลอากาศ และใบมีดสายลม ช่วง 2-3 วันแรกก็ลำบากอยู่เพราะต้องใช้เวทมนตร์โดยไม่มีหินเวทย์ช่วย แต่ด้วยการชี้แนะที่ดีก็ทำให้ผมคุ้นชินขึ้น

จนกระทั่งผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ระหว่างที่กำลังทานข้าวเย็นกับครอบครัวนั่นเอง...

“คุณท่านคะ มีสาส์นจากทางวังค่ะ” ป้าแอนนำม้วนกระดาษม้วนหนึ่งมามอบให้พ่อ ท่านกางมันอ่านอย่างไม่รีบร้อน

ตั้งแต่กลับมาผมรู้สึกว่าช่วงทานอาหารเย็นแบบพร้อมหน้ากันแบบนี้ชวนให้อึดอัด ท่านพ่อยังคงนิ่งเงียบเหมือนน้ำแข็ง ไม่มีบทสนทนาใดๆกลางโต๊ะอาหารเลย ผิดจากแต่ก่อนตอนที่ท่านแม่ยังอยู่ มื้อเย็นคือมื้อที่ทุกคนรอคอยเพราะจะได้อยู่พร้อมหน้ากัน พูดคุยแลกเปลี่ยนสิ่งที่เจอมาในแต่ละวัน เป็นมื้ออาหารที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ

“มันว่ายังไงครับพ่อ” พี่วาเรเรี่ยนถามขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด คงเพราะเดาได้ว่าน่าจะเกี่ยวกับการคัดเลือก

“ผู้เข้าคัดเลือกคนสุดท้ายกลับมาเมื่อเช้านี้ ทางวังเรียกให้ไปฟังผลการคัดเลือกพรุ่งนี้เย็น” หัวใจของผมกระตุก

“ใครคือคนสุดท้ายเหรอครับ” ผมพยายามทำให้เสียงปกติที่สุดผิดกับหัวใจที่เต้นระทึก

“ลูกชายของตระกูลไลโอเนล”

“มาช้าผิดคาดแฮะ” พี่วาเรนเอามือเกาคางทำท่าครุ่นคิดเอ่ยขึ้น

บรรยากาศชวนอึดอัดเวลาร่วมทานอาหารกับพ่อจางหายไปอย่างปลิดทิ้ง ผมมีความสุขเป็นพิเศษจนพี่ๆทักว่าแปลกไป ก็จะให้ทำไงได้ เร็กซ์กลับมาแล้ว และผลการคัดเลือกก็จะประกาศพรุ่งนี้ ที่ขาดการติดต่อไปนานเพราะเขาจะทำตามแผนที่วางไว้นี่เอง อีกไม่นานผมจะได้พบกับเขาแล้ว

“พรุ่งนี้ผมไปด้วยได้ไหมครับ” สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่ผมจนรู้สึกประหม่า “ไปเชียร์พี่วาเรเรี่ยนน่ะครับ”

“คงจะไม่ได้หรอกวารอส มันเป็นพิธีส่วนตัว เขาเรียกแต่ผู้เข้าคัดเลือก” พี่วาเรเรี่ยนตัดความหวังผมขณะกำลังอ่านม้วนกระดาษในมือ

“อย่างนั้นน่ะเหรอ” ไม่เป็นไร ผมรอมาตั้งนานแล้ว รออีกหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง

.............................

เย็นวันถัดมา

ท่านพ่อกับพี่วาเรเรี่ยนเดินทางผ่านประตูมิติไปยังเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อบ่าย ทิ้งผมไว้ให้พี่วาเรนดูแล ระหว่างทานอาหารรอทั้งสองคนกลับมาผมก็ลองชวนพี่วาเรนคุยเรื่องการคัดเลือกรัชทายาทดู

“พี่ว่าใครจะชนะเหรอ”

“อืม...มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเขาตัดสินด้วยอะไร”

“ยังไงเหรอพี่ ? ”

“ก็ถ้าตัดสินเรื่องเวลา คนชนะก็คงเป็นพี่วาเรเรี่ยนเพราะกลับมาคนแรก แต่ถ้าคำนึงถึงปัจจัยอื่นก็ไม่แน่”

“...?” ผมเลิกคิ้วแทนการถามต่อ

“ก็ถ้าเขาตัดสินจากเวลาจริงๆ เขาจะให้กำหนดเวลาที่หนึ่งเดือนทำไมล่ะจริงไหม” ผมพยักหน้าแล้วคิดตามคำอธิบายของพี่รอง ก็จริง...ถ้าแข่งด้วยเวลาก็ไม่เห็นต้องมีกำหนดเวลาเลย ไม่จำเป็นต้องรอให้คนสุดท้ายกลับมาด้วยซ้ำ

“แล้วพี่ว่าเขาตัดสินจากอะไรล่ะ” ชายตรงหน้ากอดอกขมวดคิ้ว

“ไม่แน่ใจเหมือน พี่วาเรเรี่ยนเคยเล่าให้ฟังว่าองค์หญิงมีความคิดอ่านที่ไม่เหมือนใคร คาดเดาไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะวัดจากผลงานในอดีต ความสนิท หรือผลงานในการทดสอบนี้กันแน่ แต่ถ้าเรื่องความแข็งแกร่งก็ต้องยกให้เดรโกนัสกับไลโอเนล ความกว้างขวางและไหวพริบยกให้กริฟฟิท ส่วนการบริหารและค้าขายจะเป็นของแบล็คฮอร์น”

“แล้ว...” ผมลังเลที่จะถามคำถามหนึ่ง แต่สุดท้ายก็กลั้นใจถามออกไป “พี่ว่าพี่วาเรเรี่ยนรักองค์หญิงไหม” พี่รองทำหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

“พวกเขาสองคนอาจจะสนิทกันในวัยเด็กเพราะเรียนและคลุกคลีด้วยกันมา แต่ถ้าถามว่ารักไหม พี่ก็ไม่แน่ใจ”

พอคิดๆดูการเป็นองค์หญิงก็น่าสงสารเหมือนกัน ต้องแต่งงานกับคนที่รักรึเปล่าก็ไม่รู้ การทดสอบอาจจะจัดขึ้นเพื่อวัดตรงนี้ด้วยกระมัง อย่างเร็กซ์ก็มารู้ใจตนเองว่าไม่ต้องการจะแต่งงานระหว่างทดสอบ

แอ็ด…

เสียงประตูห้องอาหารเปิดออกพร้อมชายสองคน ท่านพ่อกับพี่ใหญ่กลับมาแล้ว

ใจของผมลุ้นระทึก…

แต่...ทำไม...หน้าของพี่ใหญ่ดูไม่สู้ดีเลย...

“เป็นยังไงบ้างครับพ่อ” พี่วาเรนเอ่ยถาม

“พวกเราไม่ได้รับเลือก” น้ำเสียงของท่านนิ่งเรียบจนเดาไม่ได้ว่าผิดหวังหรือไม่ ท่านเดินเลี้ยวขึ้นบันไดกลับห้อง

“...” ทั้งห้องนิ่งเงียบ

“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิพี่ องค์หญิงแค่ตาไม่ถึงต่างหาก” พี่วาเรนพยายามปลอบใจ

“ไม่หรอก พี่แค่...ไม่รู้ว่าสิ่งที่ปรารถนาจริงๆคืออะไร” พี่ใหญ่ก้มหน้าก้มตาเดินขึ้นบันไดเตรียมกลับห้องเช่นกัน

-ความปรารถนา ? -

พอได้ยินคำนี้แล้วหัวใจผมก็กระตุก มีลางสังหรณ์บางอย่างทำให้ใจผมเริ่มไม่ดี

“แล้วตระกูลไหนได้รับเลือกเหรอครับ” ผมกลั้นใจถามไล่หลังชายที่หัวบันได

“ไลโอเนล”

เพล้ง

แก้วน้ำในมือหลุดร่วงลงพื้น คำตอบของพี่ทำให้โลกทั้งใบหยุดนิ่ง

ไม่จริง !!

“เฮ้ย วารอสเป็นอะไรไป” พี่วาเรนตะโกนเรียกสติผม

ได้ยังไง !!!

“ผ...ผมขอตัวกลับห้องก่อนนะ วันนี้เหนื่อยๆ” นัยน์ตาของผมร้อนผ่าว เสียเริ่มสั่นเครือ ผมรีบออกจากห้องอาหารแล้ววิ่งขึ้นบันไดกลับห้องทันทีโดยไม่ได้สนใจพี่ใหญ่ที่สวนกันที่หัวบันได

เกิดอะไรขึ้น !!!

ผมรีบกลับห้องตนเองให้เร็วที่สุด ทางเดินพร่ามัวไปหมดด้วยม่านน้ำตา ผมต้องการหลีกหนีจากผู้คนทั้งหมด

ตึง !!!

เมื่อปิดประตูลงเรี่ยวแรงก็หายไปหมด แค่จะเดินไปที่เตียงผมก็ยังทำไม่ได้ แผ่นหลังของผมค่อยๆไถลลงไปตามบานประตูจนลงไปนั่งกับพื้น หยาดน้ำใสๆไหลอาบแก้ม

หัวใจของผมปวดร้าว

“มันเกิดขึ้นได้ยังไง” คำถามมากๆไหลเข้ามาในหัว คำถามที่ไม่สามารถล่วงรู้คำตอบได้เพราะคนที่จะตอบได้เพียงผู้เดียวไม่อยู่ตรงนี้

“ไหนเจ้าบอกไงว่ารักข้า” ผมพึมพำกับตนเองเหมือนคนเสียสติ แรงบีบรัดมหาศาลเข้าจู่โจมที่อกซ้าย มันเจ็บจนผมต้องเอามือมากุมมันไว้ เจ็บจนอยากจะกระชากมันออกไปเพื่อหนีความเจ็บปวดนี้

“ฮึกๆ”

ทำไมกัน ?

ทำไมมันถึงได้เจ็บปวดแบบนี้ ทั้งๆที่เราเผื่อใจไว้บ้างแล้วไม่ใช่เหรอ ทั้งๆที่เราควรจะยินดีกับเขาไม่ใช่เหรอ แต่ทำไมมันถึงได้เจ็บปวดถึงเพียงนี้ มันเจ็บยิ่งกว่าตอนที่ผิดหวังจากอาจารย์ซิด หรือตอนที่ถูกเคนหักหลังเสียอีก

-รอข้านะ ไว้จัดการทุกอย่างเสร็จข้าจะไปหาเจ้า-

แรงบีบรัดเพิ่มขึ้นจนตาลายไปหมด ผมทิ้งตัวลงนอนไปกับพื้นแล้วกอบกุมตนเองไว้ พยายามปลอบใจตนเองว่ามันต้องมีคำอธิบายได้สิ เขาต้องมาอธิบายให้เราฟังแน่ๆ

แต่ความเจ็บปวดมันกลับไม่ได้บรรเทาลงเลย

“ฮึก ใครก็ได้...ฮึก...ช่วยทำให้ความเจ็บปวดนี้หายไปที...ฮึก”

……………………

ออฟไลน์ PsychePie

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
เจ้าลูงสิงห์โตต้องตอบได้ดีแบบเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและรักล้นใจจนได้รับเลือกสินะ
สงสารน้อง ดราม่าไปเลย
เอ....หรือว่าเรื่องนี้จะมีเงื่อนงำ หุหุ

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Nocto

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ขอปักไว้ก่อน ไม่กล้าอ่าน  ขอรอเร็กซ์มาอธิบาย

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
งานเข้าเลย  :mew5:

ออฟไลน์ KPMwolf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Chapter 36 Dragon’s heart

“นี่วารอส ตั้งใจหน่อยสิ”

“วารอส คนธาตุลมอาจจะล่องๆลอยๆ แต่อย่าเหม่อระหว่างฝึกสิ”

“ใบมีดสายลมมันอันตรายนะรู้ไหม ตั้งใจคุมมันดีๆ”

“วารอส เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า ไม่มีสมาธิเลย”

“อย่าให้อาจารย์ต้องดุเลย ตั้งใจหน่อย”

คำตำหนิของอาจารย์เอริดังขึ้นอยู่เนืองๆ ตั้งแต่ประกาศผลการคัดเลือกรัชทายาทผมก็ไม่เป็นตัวของตัวเองอีกเลย ความคิดในหัวตีกันยุ่งไปหมด ใจที่เจ็บปวดก็เอาแต่จดจ่อรอให้เร็กซ์มาหา เขาจะทิ้งผมไปเงียบๆแบบนี้ไม่ได้นะ เขาขอความรักจากผมไปแล้ว เขาจะมาทิ้งขว้างแบบนี้ไม่ได้ แต่ละวันที่ผ่านไปยาวนานเหมือนสัปดาห์ ถ้าไม่ได้ฝึกเวทมนตร์ผมก็แทบจะเก็บตัวอยู่ในห้องตลอด ผมร้อนรนอยากจะไปหาเขา แต่ไม่ว่าจะพยายามขนาดไหนก็ไม่สามารถฝ่าข่ายอาคมของบ้านออกไปได้

จนกระทั่ง 3 วันผ่านไป

ฉัวะ !!!

“อัก” ผมล้มลงไปนั่งกับพื้น รีบเอามือบีบไหล่ซ้ายไว้เพื่อห้ามเลือด ใบมีดสายลมที่ผมปล่อยออกไปพลาดเป้าแต่ผมก็ไม่ได้สนใจมัน สุดท้ายมันบินวกกลับมาเหมือนบูมเมอแรงเข้าเฉือนไหล่ซ้ายของผมเป็นทางยาว เลือดอุ่นๆไหลลงไปตามแขน

“ว้ายตายแล้ว!!! วารอส” อาจารย์เอริร้องเสียงสูงรีบวิ่งเข้ามาดูอาการด้วยท่าทีร้อนรน

“แผลไม่ลึกมากครับ” เพราะเคยผจญภัยและบาดเจ็บแบบนี้มาก่อนทำให้ผมพอจะรู้ความสาหัสของบาดแผล นับว่าโชคดีที่การฝึกใบมีดสายลมยังไม่สำเร็จทำให้อานุภาพของมันยังไม่พอที่จะตัดร่างกายได้ ไม่เช่นนั้นแขนผมอาจจะขาดไปแล้ว

“ไม่ลึกอะไร เลือดไหลทะลักเลยเนี่ย จะขาดรึเปล่าเนี่ย” ท่าทีของหล่อนดูลนลานมากๆ

“มันไม่สาหัสจริงๆครับ เดี๋ยวกดห้ามเลือดแล้วให้พยาบาลมาเย็บก็พอ” เอริก็เว่อร์เกินไป แผลตื้นๆแค่นี้ไม่เท่าไหร่หรอก ถึงเลือดจะออกมามากก็ตาม เริ่มจะคิดถึงเจ้าสายข้อมือนั่นแล้วแฮะ ถ้าเป็นแต่ก่อนก็ใช้มันห้ามเลือดแล้วก็รักษาซ้ำเรื่อยๆจนไม่เหลือแม้แต่แผลเป็น

“เลือดออกขนาดนี้ไม่ไหวหรอก รอตรงนี้อย่าไปไหนนะ เดี๋ยวไปตามคนมาก่อน”

“เดี๋ยวครับ...” ไม่ทันแล้ว เอริใช้เวทมนตร์เหาะเข้าบ้านไปแล้ว

“เฮ้อ...” ผมได้แต่ถอนหายใจ เชี่ยวชาญด้านวิชาแต่ไม่รู้เรื่องอื่นเลยจริงๆ สุดท้ายผมต้องกลายเป็นแบบนั้นรึเปล่านะ

ผมใช้ฟันกัดฉีกชายเสื้อของตนเองแล้วเอามาพันแผลไว้ลวกๆ ผ้าพันแผลถูกย้อมเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว มีเลือดซึมๆออกมาบ้าง จากนั้นจึงลุกขึ้นเข้าบ้านเตรียมเข้าไปทำแผล เหล่าแม่บ้านดูตื่นตระหนกมากเมื่อเห็นสภาพของผมจนต้องรีบบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก ขอน้ำกับผ้าสะอาดมาทำแผลก็พอ

-แค่นี้มันไม่ปวดเท่ากับใจที่บอบช้ำหรอก-

“วารอส เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า” พี่วาเรเรี่ยนรีบลงบันได้มาดูอาการ

“อุบัติเหตุครับ” ผมบอกปัดๆไป พี่ใหญ่รีบพาผมไปนอนที่ห้อง

“บทแห่งแสง Heal” แสงสีแดงสว่างวาบจากฝ่ามือของพี่ชาย มันไม่อบอุ่นแบบพี่วาเรน จะเรียกว่าร้อนเลยก็ได้ ผมจ้องดวงตาอ่อนโยนของเขา บาดแผลปิดลงเล็กน้อยก่อนแสงจะจางไป เลือดยังคงซึมๆออกมา

“ไม่เห็นรู้เลยว่าพี่ใช้เวทย์รักษาได้ด้วย” ผมถามขึ้นระหว่างที่เขากำลังเช็ดแผลให้และหาผ้ามาพันไว้

“ก็เป็นนิดหน่อย แต่สู้วาเรนไม่ได้หรอก” ก็จริงอย่างที่พี่ว่า ถ้าเป็นพี่วาเรนแผลผมคงปิดสนิทไม่เหลือแม้แต่รอยแล้ว “เอริไปตามวาเรนมาแล้ว อีกสักพักคงกลับมา”

“ไม่เห็นต้องกวนพี่รองเลย แค่นี้ไกลหัวใจ ฮ่าๆ” ผมหัวเราะอย่างขมขื่น มันเทียบไม่ได้เลยกับแรงบีบรัดในอกที่เกิดขึ้นตลอดตั้งแต่วันนั้น อีกอย่างคือไม่อยากรบกวนเวลางานของพี่ เขายิ่งยุ่งๆเรื่องรักษาผู้คนที่เรียงคิวกันมาอยู่ คนลักษณ์แสงมันมีน้อย

“วารอส เจ้าเป็นอะไร ทำไมถึงผิดพลาดแบบนี้ได้” วาเรเรี่ยนนั่งลงที่ปลายเตียงแล้วทำสีหน้าจริงจัง

“พึ่งฝึกไม่นาน มันก็พลาดกันบ้าง” ผมแก้ตัวไปส่งๆไม่กล้าสบตา

“เวทมนตร์กลับมาทำร้ายผู้ใช้แบบนี้ไม่เรียกว่าบ้างแล้วล่ะ เจ้าเปลี่ยนไปนะตั้งแต่วันนั้น”

“ช่างเถอะพี่ ผมขอนอนพักก่อนละกัน” กลายๆจะไล่พี่ออกไปเพราะอยากอยู่คนเดียว

“ความสัมพันธ์ของเจ้ากับเร็กซัสคืออะไร” คำถามของพี่ทำให้ดวงตาผมเบิกกว้าง แค่ได้ยินชื่อใจของผมก็ร้าวราน

“ม..หมายความว่ายังไง” ท่าทีผมเปลี่ยนไปจนผิดสังเกต

“ตั้งแต่รู้ข่าวเรื่องไลโอเนลเจ้าก็ซึมลงทันที เกิดอะไรขึ้นกันแน่ วาเรนบอกว่าพบเจ้าอยู่กับเร็กซัสด้วย” พี่ใหญ่จ้องตาคาดคั้นจนผมต้องหลบตาหนี

“มันไม่มีอะไรหรอก” เพราะถ้ามีเขาคงไม่ปล่อยให้ผมรอแบบนี้

“วารอส เจ้ารักเขาเหรอ”

“...” ได้โปรด พอเถอะ อย่าให้ผมรู้สึกแย่ไปกว่านี้เลย

“วารอส เจ้าให้ใจเขาไปแล้วใช่ไหม” วาเรเรี่ยนเสียงดังจนเกือบจะตวาด ผมได้แต่หันไปมองแล้วพยักหน้าเบาๆ “ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“2-3 อาทิตย์ก่อน”

“บ้าเอ้ย” เขาสบถ

“มาแล้วจร้า ไหนเจ้าตัวดีทำอะไรอีก” เสียงนุ่มของพี่วาเรนดังขึ้นพร้อมร่างสูงโปร่งเปิดประตูเข้ามา

พรึบ

“เย้ย” ลูกไฟพุ่งเข้าหน้าพี่รอง แต่เขาสร้างโล่ห์แสงขึ้นกันไว้ทัน

“เล่นอะไรของพี่เนี่ย จะฆ่ากันเหรอไง”

“วาเรน ก่อนพาน้องกลับมาทำไมไม่ตรวจสอบให้ดีก่อน” พี่ใหญ่พุ่งเข้าไปกระชากคอเสื้อนักบวช มีเปลวไฟกรุ่นๆที่ฝ่ามือ

“ตรวจสอบอะไรพี่” วาเรนเริ่มมีท่าทีหวาดๆ คงเริ่มกลัวพี่ใหญ่ที่โมโหอะไรสักอย่าง

“สองคนนั้นเขาเป็นคู่รักกัน”

“หา! ใคร...วารอสกับเร็กซัสน่ะเหรอ”

“ก็เออเซ่ ไม่สังเกตอาการน้องเลยเหรอไง ว่าเปลี่ยนไปตั้งแต่วันนั้น”

“...” ผมได้แต่นั่งเงียบๆดูบทสนทนาของพี่ชายทั้งสอง ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่าทำไมถึงเป็นเรื่องใหญ่ ถึงผมจะซึมลงไปจริงๆแต่เดี๋ยวเวลาก็เยียวยาเอง

“ก็น้องบอกว่าเป็นเพื่อนกัน ผมจะไปรู้ได้ไงเล่าพี่”

“โว้ย แล้วน้องก็ให้ใจไปแล้วด้วย”

“หะ!! ว่าไงนะ แบบนั้นก็แย่น่ะสิ” พี่รองหลุดออกจากมือพี่ใหญ่ได้ในที่สุด แต่สีหน้ากลับตึงเครียดไปตามๆกัน

“ไม่เห็นจะเป็นไรเลยพี่ แค่อกหัก เดี๋ยวก็หาย” ผิดหวังมาตั้งหลายครั้งแล้ว อีกสักครั้งจะเป็นไรไป ถึงครั้งนี้จะเจ็บกว่าครั้งก่อนๆก็เถอะ

“มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆนะ วารอส” พี่ใหญ่เดินมาบีบไหล่จนผมเจ็บแผล “เจ้ารู้ไหมว่าทำไมพ่อถึงเปลี่ยนไปตั้งแต่เสียแม่ไป”

“...” ผมส่ายหน้าเบาๆ ในใจเริ่มเต้นระทึก วาเรเรี่ยนทิ้งตัวลงที่ปลายเตียงอีกครั้ง เปิดทางให้วาเรนเข้ามารักษาแผล

“ผู้คนมักเข้าใจว่าพวกเดรโกนัสมีพลังเวทย์ที่ยิ่งใหญ่เหมือนมังกร แต่แท้จริงแล้วสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าคือความรัก เพราะพวกเราต่างก็มีสิ่งหนึ่งที่เรียกได้ว่าเป็นทั้งพรและคำสาปนั่นคือดวงใจมังกร” วาเรเรี่ยนเริ่มอธิบาย

“ดวงใจ...มังกร ?”

พี่ทั้งสองเริ่มอธิบายให้ผมฟังว่ามังกรที่โตเต็มวัยจะเลือกคู่ชีวิตของมันแค่ครั้งเดียว เมื่อมันมอบความรักและหัวใจให้ใครไปแล้วมันจะไม่สามารถมอบให้ใครได้อีก มันคือความรักที่ยิ่งใหญ่

แต่มันก็เหมือนดาบสองคม ยิ่งความรักมากเท่าไหร่ ความเจ็บปวดเมื่อสูญเสียหรือผิดหวังจะมากขึ้นหลายเท่า เพราะนั่นหมายความว่ามันต้องเสียคู่ชีวิตที่เลือกได้ครั้งเดียวไป ทำให้พวกมันมักจะหวงแหนหัวใจ ไม่มอบให้ใครง่ายๆโดยสัญชาตญาณ

ความเจ็บปวดนั้นมหาศาลจนบางครั้งก็ทำให้ตรอมใจตายตามคู่ของมันไป หรือไม่ก็สร้างภูมิคุ้มกันโดยการปลีกตัวออกไปและแช่แข็งหัวใจของตนเองปิดกั้นความรู้สึกทั้งหมดเพื่อให้ความเจ็บปวดด้านชาหายไป

“ปิดกั้นความรู้สึก ?” ผมเริ่มจะตระหนักบางอย่างได้ “แบบท่านพ่อ”

“ใช่ ท่านพ่อรักท่านแม่มาก รักยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด เมื่อท่านแม่จากไปเขาก็เสียศูนย์ เห็นแบบนั้นแต่ท่านพ่อเจ็บปวดยิ่งกว่าใครเลยรู้ไหม สิ่งที่ทำให้ท่านไม่ตามแม่ไปก็คือหน้าที่ของตระกูลและเราสามคน ท่านพ่อที่เคยอบอุ่นอาจจะเย็นชาแต่เขาก็ยังรักพวกเราอยู่นะ”

“ทำไมผมถึงไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย” ผมโวยวาย...เรื่องสำคัญขนาดนี้ทำไมไม่เคยมีใครบอกผมเลย ตลอดเวลามานี้ผมเข้าใจพ่อผิดมาตลอด

“เพราะตอนนั้นเจ้ายังเด็กอยู่ทำให้ยังไม่เข้าใจเรื่องนี้ พอจะบอกก็ไม่ทันเสียแล้ว”

“แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับผม” ผมเริ่มกลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้น ตั้งแต่วันนั้นหัวใจของผมก็ปวดร้าวตลอดเวลา ผมเสียใจที่รู้สึกเหมือนถูกทรยศจากคนที่ผมรักหมดใจ ผมเริ่มเก็บตัวมากขึ้นอย่างที่พี่ว่า แต่ก็ยังไม่ด้านชาแบบท่านพ่อ

“ก็ถ้าเจ้ารักเขาหมดใจจริงๆ เจ้าจะซึมลงเรื่อยๆ ถ้าไม่เฉยชาแบบพ่อ ก็คง...ไม่อยากมีชีวิตอยู่”

แบบนี้นี่เอง...ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมใบมีดลมถึงกลับมาเฉือนผมเอง เพราะแวบนึงผมมีความคิดนั้นขึ้นมาจริงๆ

“ถ้าแบบนั้นให้ผมออกไปหาเร็กซ์เถอะ ให้ผมได้ไปคุยกับเขา” ผมอ้อนวอน ถ้าเป็นอย่างที่พี่ว่าจริงๆ คนๆเดียวที่จะสามารถเยียวยาผมได้ก็คือเขา

...แต่พี่ใหญ่กลับทำท่าลังเล

“พี่ว่าอย่าเลยดีกว่า พี่ไม่อยากให้เจ้าเจ็บปวดกว่านี้”

“ทำไมล่ะ ถ้าเขาเป็นคู่ชีวิตที่ผมเลือกจริงๆ ผมก็ควรต้องไปอยู่กับเขาสิ” ผมไม่ยอมแพ้

“เห้อ..” วาเรเรี่ยนถอนหายใจยาว “เจ้ารู้รึเปล่าทำไมเขาถึงได้รับเลือก...”

“...” ผมส่ายหน้า

“การส่งพวกเราสี่คนไปตามมุมของประเทศเพื่อค้นหาพลังอีกครึ่งหนึ่งเป็นเพียงการทดสอบแรกเท่านั้น จุดประสงค์เพื่อให้ความสัมพันธ์ของผู้ใช้และเทวะภัณฑ์แน่นแฟ้นขึ้น เชื่อใจกันมากขึ้น และเพื่อค้นหาความปรารถนาของตนเอง เพื่อการทดสอบอีกขั้นหนึ่ง”

“แบบนี้นี่เอง” วาเรนกล่าวเสริมเอามือเท้าคางคิดตาม

“แล้วการทดสอบอีกข้อคืออะไร” ผมเร่งเร้า

“ตอบคำถามง่ายๆด้วยความแน่วแน่ ผู้ที่หนักแน่นที่สุดจะทำให้อาวุธของตนส่องประกายแสงออกมา” พี่ใหญ่ก้มหน้ามองต่ำราวคนผิดหวังในตนเอง “คำถามของนางคือผู้ใดปรารถนาที่จะแต่งงานกับนางเพราะความรัก วินาทีนั้นพี่ลังเล ผิดกับเร็กซัสที่ดาบทอแสงออกมาสุกไสว เขาจึงเป็นผู้ชนะ”

“ม...ไม่จริง” ผมแทบจะไม่เชื่อหูตนเอง เขาบอกว่าเขารักผมนี่ “เร็กซ์ตอบว่ารักอย่างนั้นนะเหรอ” น้ำตาผมไหลออกมา หัวใจของแตกสลาย มันปวดร้าวทวีคูณกว่าเก่า

“ก็ไม่เชิงว่าตอบออกไป องค์หญิงบอกว่าความคิดแรกที่เกิดขึ้นจะส่งผ่านมาเป็นแสงสว่างอันแกร่งกล้า เร็กซัสก็คงตอบไปอย่างหนักแน่น” พี่ใหญ่ดึงผมที่สั่นสะอื้นไปกอดแล้วลูบหัวเบาๆ

“ฮึก แต่เขาบอกว่าเขารักผมนะ เขากล่าวออกมาอย่างหนักแน่นจนผมยอมมอบทุกอย่างให้เขา ฮึก” ผมไม่อาจกลั้นความเสียใจได้อีกแล้ว กอดพี่ชายของผมแน่นแล้วร้องไห้

“เจ้าบ้านั่นมันน่าโดนระเบิดทิ้งไปจริงๆ” พี่วาเรเรี่ยนกล่าวด้วยความแค้น

“พี่เชื่อว่าเจ้าจะผ่านมันไปได้ พวกพี่จะคอยอยู่เคียงข้างเจ้าเอง” พี่รองโอบผมจากด้านหลัง “เจ้ามีครอบครัวของเจ้าอยู่ตรงนี้แล้ว อย่าคิดสั้นจากพวกเราไปเลยนะ”

“...แล้วความรักของผมล่ะ หัวใจของผมที่ให้ไปแล้วล่ะ ฮึก”

“วารอส เจ้ายังอ่อนเยาว์ พี่เชื่อว่าเวลาจะเยียวยาเจ้าได้ สักวันหนึ่งเจ้าจะมีความรักได้อีกครั้ง”

“...” ไม่มีคำพูดใดๆอีก นอกจากเสียงปลอบประโลมจากพี่ชายทั้งสอง บางทีกลับบ้านมาแบบนี้อาจจะดีแล้ว อย่างน้อยผมก็มีคนอยู่เคียงข้าง แต่คำถามก็ยังคงคาอยู่ในใจ...

...เกิดอะไรขึ้นในช่วงเวลาที่เราแยกกันอย่างนั้นเหรอ เขาถึงได้เปลี่ยนใจไปแล้ว

..................................

หนึ่งสัปดาห์ก่อนเดินทางไปหอคอยธาตุลม

“เจ้าสองคนไปเตรียมตัวได้แล้ว” เสียงท่านพ่อดังขึ้นกลางโต๊ะอาหาร

บรรยากาศกลางโต๊ะอาหารเย็นยังคงเงียบเชียบเหมือนเดิม มีการพูดคุยธุระกันนิดหน่อยแต่ผมกลับไม่ได้ใส่ใจมาก พอจะจับใจความได้ว่าพ่อและพี่ทั้งสองต้องเดินทางไปประชุมที่สภาเวทมนตร์พรุ่งนี้เช้า กว่าจะกลับมาก็คงอาทิตย์หน้า

“ครับ ท่านพ่อ” พี่วาเรเรี่ยนลุกออกไปแต่ก็ไม่ลืมมาตบบ่าผม “พี่จะกลับมาให้ทันส่งเจ้านะ”

“แล้วอย่าพึ่งเตลิดไปเสียก่อนล่ะ เจ้ามีพี่ๆอยู่นะ” พี่วาเรนชี้สั่งก่อนจะหายขึ้นบันไดไปทิ้งไว้ให้เหลือผมนั่งอยู่กับพ่อ

ทุกอย่างเป็นไปตามที่พี่ทั้งสองกล่าวไว้ หัวใจของผมด้านชาไปตามระยะเวลาที่ผ่านไป สิ่งที่ยังทำให้ผมหลงเหลือความรู้สึกอยู่บ้างมีสองอย่าง หนึ่งคือไฟแห่งความหวังว่าเร็กซ์จะมาหาผม แต่มันก็ไม่เกิดขึ้น และสองคือพี่ๆทั้งสองที่แวะเวียนเข้ามาดูแลเป็นเพื่อนตลอด ทั้งสองไม่ยอมปล่อยให้ผมอยู่คนเดียว

ผมตระหนักได้ว่าช่วงเวลาที่เปราะบางแบบนี้...การมีครอบครัวเคียงข้างมันช่วยได้มากจริงๆ

ผมเหลือบมองหัวหน้าตระกูลกำลังนั่งจิบไวน์อยู่เงียบๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น...

“พ่อครับ ผมยังไม่มีโอกาสได้พูดเลยว่าผมขอโทษที่ก่อเรื่องไว้” ตั้งแต่รู้เรื่องดวงใจมังกร และเผชิญความรู้สึกที่เป็นอยู่ ทำให้ผมเข้าใจท่านมากขึ้น...ความเจ็บปวดของท่าน

“...” ท่านพยักหน้ารับเบาๆโดยไม่เอ่ยอะไร

“ผมพึ่งทราบเกี่ยวกับดวงใจมังกร” ดวงตาสีฟ้าตวัดมอง มันนิ่งเรียบเช่นเดิม “มันทำให้ผมได้ตระหนักว่าตอนเสียแม่ไป มันต้องเป็นช่วงเวลาที่ลำบากสำหรับพ่อแน่ๆ และผมก็ทำมันวุ่นวายขึ้น ผมขอโทษจริงๆ”

“เข้าใจก็ดีแล้ว” น้ำเสียงของท่านนิ่งสงบ ไร้อารมณ์

“พ่อรักแม่มากๆเลยใช่ไหมครับ” ชั่วขณะ...ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นแสดงความอ่อนไหว

“...”

“ขอโทษที่ถามครับ” ผมเดาว่าท่านคงไม่อยากรื้อฟื้นจึงเงียบปากลงแล้วเตรียมกลับห้อง

“รักเหนือสิ่งอื่นใดเลยล่ะ” เสียงนุ่มเรียกความสนใจของผมกลับไป แววตาของพ่อเลื่อนลอยระลึกความหลัง “โรซ่า...แม่ของเจ้าคือดวงตะวันกลางหัวใจฤดูหิมะของพ่อ นางทำให้หัวใจของพ่ออบอุ่นและเรียนรู้ที่จะมอบมันให้คนรอบข้าง”

“...”

“ตอนเสียแม่เจ้าไป พ่อก็สูญเสียความอบอุ่นนั้นไป ไม่สามารถแสดงความรักหรือรักใครได้อีก มันคือคำสาปของตระกูล”

“แล้วผมก็ทำให้มันแย่ลงเพราะความเอาแต่ใจของตนเอง” ความรู้สึกผิดเข้ากัดกินหัวใจ ทั้งที่เป็นช่วงเวลาลำบากของพ่อแท้ๆ ผมกลับสร้างเรื่องซ้ำเข้าไปอีก

“มันก็คงเป็นความผิดของพ่อด้วยเช่นกัน โรซ่ามอบลูกชายแสนวิเศษให้พ่อถึง 3 คน พ่อกลับไม่สามารถแสดงความรักให้ได้ ทั้งๆที่เจ้าทั้งสามต่างก็คือตัวแทนของนาง” ท่านพ่อลุกมานั่งข้างๆ

“วาเรเรี่ยนเปี่ยมไปด้วยความดุดันเหมือนนาง วาเรนได้รับเล่ห์เหลี่ยมไหวพริบ ส่วนเจ้า...วารอส” พ่อเกลี่ยผมที่ปรกหน้าผากเผยให้เห็นดวงตาชัดๆ “เจ้ามีดวงตาของแม่เจ้า มนตร์เสน่ห์ที่จับกุมหัวใจของพ่อตั้งแต่แรกพบ”

แววตาของพ่ออ่อนโยนลง แววตาที่ผมลืมไปแล้วว่าเคยเห็นตอนเด็กๆ

“พ่อเองก็ขอโทษที่เป็นพ่อที่ไม่ดี”

“ไม่หรอกครับ” ผมส่ายหน้า “ผมเข้าใจความเจ็บปวดของพ่อดี เข้าใจความรู้สึกที่พ่อต้องผ่านมา”

“ลูกหมายความว่ายังไง”

“ผมเองก็สูญเสียคนรัก มันทำให้ผมเข้าใจท่านพ่อมากขึ้น” คำตอบของผมทำให้แววตาของพ่อยิ่งอ่อนไหว

“ได้ยังไงกัน” ท่านตกใจ

“ชะตาของเราคงไม่ต้องกันมั้งครับ”

“โธ่ วารอสลูกพ่อ ทั้งๆที่เจ้ายังเด็กอยู่แท้ๆ เจ้าไม่ควรต้องผ่านเรื่องแบบนี้” เขาดึงผมเข้าไปกอด มันช่างอบอุ่น แบบเดียวกับตอนเด็กๆเลย

“ยังดีที่ผมมีพ่อและพี่ๆเหลืออยู่ ไม่เช่นนั้นผมคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว”

“พ่อเองคงให้คำแนะนำอะไรมากไม่ได้นอกจากให้หาอะไรยึดเหนี่ยวจิตใจไว้ สำหรับพ่อคือหน้าที่และลูกทั้งสาม”

“ขอบคุณครับ ผมจะจำไว้ครับ”

ไม่น่าเชื่อว่าจะได้กลับมาเห็นพ่อที่อบอุ่นอีกครั้ง เราสองพ่อลูกได้พูดคุยกัน ปรับความเข้าใจกันมากขึ้น ขจัดกำแพงที่ขวางกั้นออกไป บางทีวิกฤตของผมครั้งนี้อาจจะนำสิ่งที่ดีกว่ามาก็ได้

..........................

หนึ่งคืนก่อนเดินทางไปหอคอยแห่งลม

ช่วงเวลาที่อยู่คนเดียวไม่ได้แย่อย่างที่คิด ผมไม่รู้สึกเหงา ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว มุ่งความสนใจทั้งหมดไปกับการฝึก สายลมที่ผมสร้างตอนนี้เย็นยะเยือกไม่ต่างจากอากาศเย็นเพราะพายุฝนเช่นคืนนี้ ความรู้สึกของผมต่อสิ่งรอบกายริบหรี่ลงไปทุกทีพร้อมๆกับความหวังที่จะได้พบคนรัก

ผมลงมือเก็บสัมภาระลงกล่อง ทั้งข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว ตำราหนังสือ ผมต้องไปอยู่ที่หอคอยเดียวดายนานเท่าไหร่ก็ไม่อาจทราบได้ ได้แต่หวังว่ามันจะเป็นที่ๆน่าอยู่

“อ๊ะ ยังไม่ได้หยิบเล่มนี้มา” ผมตรวจสอบรายชื่อหนังสือที่ต้องเตรียมก็พบว่าขาดไป 2-3 เล่ม ผมจึงเดินไปที่ห้องสมุดเพื่อค้นหาสิ่งที่ขาดไป

เปรี้ยงๆ

ห้องสมุดใหญ่โตเปี่ยมไปด้วยศาสตร์ต่างๆที่ถูกสั่งสมมานานหลายร้อยปี มันเต็มไปด้วยหนังสือหลายพันเล่ม ผมต้องถือเชิงเทียนไล่ตามชั้นวางไปอย่างยากลำบากเพราะมันดึกแล้วทำให้แม่บ้านดับไฟเสียหมด อีกทั้งฝนยังตกหนักจนไม่มีแม้แต่แสงดาวเข้าช่วย

แฉะๆ

ผมเอะใจเมื่อเหยียบลงบนพรมเปียก

“ทำไมถึงมีน้ำเข้ามาในนี้” ผมอุทานแล้วส่องไฟเห็นรอยเปียกบนพรมทาง บางรอยเหมือนรอยเท้า

ผู้บุกรุกอย่างนั้นเหรอ ทำไมถึงไม่ถูกข่ายอาคมตรวจจับ

เมื่อคิดได้เช่นนั้น ความระแวดระวังภัยก็เพิ่มสูงขึ้น ผมเตรียมหมุนตัวออกจากห้องสมุดเพื่อไปตามทหารยาม ผมไม่อยากถูกใครเล่นงานในบ้านตนเอง

เปรี้ยง

ฉับพลันสายตาผมก็เห็นเงาบางอย่างกระทบแสงจากฟ้าผ่ายืนอยู่ที่ทางออก เป็นร่างใครคนหนึ่งที่สวมเสื้อคลุมปิดมิดชิดมีหยดน้ำไหลลงพื้นเป็นทาง

“แกเป็นใคร” สัญลักษณ์มังกรเรืองแสง ผมเตรียมร่ายคาถา บุกเข้ามาเงียบๆแบบนี้ยังไงก็คงไม่มาดีแน่ๆ

วื้ด

“บทแห่งลมที่...อึก” ไม่ทันที่ผมจะร่ายคาถาจบ คนตรงหน้าก็พุ่งตัวเข้าประชิดในพริบตา

มือขวาถูกรวบยกสูงขึ้น ร่างกายถูกผลักกระแทกกำแพง...แต่มันไม่เจ็บ เพราะคนตรงหน้าเอาท่อนแขนท่อนใหญ่รองหลังผมไว้

“หนอยแหนะแก...อุบ” ริมฝีปากอุ่นพุ่งเข้าประกบจูบปิดปาก ดวงตาผมเบิกกว้าง

ความรู้สึกคุ้นเคยนี้นี่มัน...

ความอบอุ่นที่โหยหา

ความอบอุ่นที่นึกว่าสูญเสียไปแล้ว

การจูบเรียบง่ายจนถึงขั้นห่วย

รสจูบที่จุดประกายความอบอุ่นคืนเข้ามาในดวงใจ ผมรู้สึกได้ว่าความชุ่มฉ่ำคืนกลับมาที่หัวใจของผมอีกครั้งราวกับไร่นาที่พึ่งได้รับน้ำฝน

“ขอโทษที่มาสายนะ รอส”

..............................................

ปล. ดราม่ามานาน เตรียมเปลี่ยนโทนสักที


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-11-2018 18:52:14 โดย KPMwolf »

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ PsychePie

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ครอบครัวเคลียร์แล้ว เหลือเจ้านี่แหละบักเร็กซ์ที่ต้องมาเคลียร์
วงวารน้อง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1908
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
 :katai1: :katai1:

หมดเวลาซดมาม่าแล้ววววววว

ออฟไลน์ phrase

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ต้องรอให้นุ้งรอสเสียเลือดเสียเนื้อก่อนถึงจะโผล่มา ซื่อบื้อจริง ๆ

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
กว่าจะโผล่มาได้ เล่นเอาคนอ่านใจไม่ดีเลย  :hao5:

ออฟไลน์ Nocto

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ขอปักอีกครั่ง อ่านผ่านๆเหมือนจะค้าง

ออฟไลน์ KPMwolf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Chapter 37 Another side of the story

“ขอโทษที่มาสายนะ รอส” เสียงคุ้นเคยเอ่ยขึ้นเมื่อริมฝีปากเราแยกออกจากกัน

“เร็กซ์ ? ” ผมถามอย่างไม่แน่ใจนัก ยกมือลูบแก้มและสันกรามเพื่อความแน่ใจ กลัวว่าจะเป็นภาพลวงตา เขามาหาผมแล้ว

ผัวะ !!!

“อุก” หมัดซ้ายผมเข้ากระทบกรามที่พึ่งสัมผัสไปเต็มๆ อูย...เจ็บมือเหมือนกันแฮะ เจ้าอัศวินหน้าหันไปตามแรง เอามือลูบปอยๆแล้วมองด้วยความแปลกใจ “นี่ทักทายคนรักแบบนี้เหรอ”

“นี่ยังน้อยไป เจ้าหายไปไหนมา ข้ารอเจ้ามาตลอด” เสียงของผมสั่นเครือ ก้มหน้าเพื่อซ่อนน้ำตาที่ผมไม่รู้ว่าดีใจ เสียใจหรือว่าอะไรกันแน่ รู้แต่ว่ามือทั้งสองข้างบีบปกเสื้อคนตรงหน้าแน่น “ฮึก รอมาตลอด...และกลัวมาตลอดว่าเจ้าจะไม่มาหาแล้ว”

“อ่า...งั้นข้าก็คงสมควรโดนจริงๆ” ชายหนุ่มเชยคางผมขึ้นแล้วก้มจูบเปลือกตาที่ร้อนผ่าว “ข้าขอโทษจริงๆ มีเรื่องวุ่นๆมากมายทำให้ข้ามาพบเจ้าไม่ได้ทั้งๆที่คิดถึงใจแทบขาด ไม่เคยมีวันไหนเลยที่ข้าไม่คิดถึงเจ้า”

“...” ผมโผตัวเข้ากอดร่างตรงหน้าเต็มรักจนเสื้อผ้าผมเปียกน้ำฝนที่เกาะตามเสื้อคลุมของเขาหมด “ข้าก็คิดถึงเจ้า แต่ว่าพอได้ยินว่าเจ้าได้รับเลือกความหวังของข้าก็ริบหรี่ลง”

“ฮ่าๆ นี่เจ้าไปอยู่ไหนมา ข้าสละตำแหน่งไปตั้งแต่ 5 วันก่อนแล้ว” เร็กซ์อมยิ้มตอบกลับมา

“หา!!” ผมแทบไม่เชื่อหูตนเอง เรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมผมถึงไม่รู้ “แล้วทำไมไม่มาให้เร็วกว่านี้ รู้ไหมว่าพรุ่งนี้ข้าต้องไปแล้ว” ผมโมโหกลบเกลื่อน ผมคงจะเก็บตัวมากเกินไปจนตัดข่าวสารไปหมด

“จริงๆข้าจะสละสิทธิ์ตั้งแต่วันแรกแล้วแต่องค์หญิงขอคุยกับราชาก่อนจะได้ไม่เป็นการหักหน้ากัน พอกลับเมืองก็มีธุระในบ้านมากมายทำให้ข้ามาไม่ได้ กว่าจะได้ก็หลังจากนั้น 4 วัน แต่พอมาถึงวาเรเรี่ยนก็ไม่ให้เข้าพบ”

“เรื่องนี้ข้าก็ไม่เห็นรู้เลย” นี่เจ้าอัศวินมาหาผมตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้วเหรอ แถมเจอพี่ใหญ่ด้วย ทำไมไม่มีใครเล่าให้ฟังเลย “ทำไมไม่ให้พบล่ะ”

“ตอนพี่เจ้าบอกว่ารู้ความสัมพันธ์ของเราแล้ว ข้าตกใจมากไม่นึกว่าเจ้าจะบอกเขาไป แต่พอจะขอพบตัวก็ถูกห้าม พี่เจ้าบอกว่าเป็นรัชทายาทแล้วไม่ควรมาเกาะแกะกับเจ้าอีก มันจะช่วยให้เจ้าตัดใจง่ายขึ้น” เร็กซ์แง้มประตูออกดูก่อนจะปิดลงแล้วผลักผมลึกเข้าไปในห้องสมุด

“...”

“ข้านะอยากจะตะโกนกลับไปว่าไม่ได้อยากเป็นและจะสละสิทธิ์ แต่เพื่อไม่ให้เป็นข่าวฉาวตามที่องค์หญิงขอไว้เลยต้องเงียบไว้ก่อน พอสละตำแหน่งแล้วพวกพี่เจ้าก็ไม่อยู่ บุกเข้ามาก็ไม่ได้เพราะข่ายอาคม ข้าเลยต้องเตรียมการก่อนถึงมาพบเจ้าได้ในวันนี้”

“เร็กซ์ ช้าๆก่อน ข้างงไปหมดแล้ว” ผมประมวลผลไม่ทันแล้ว จู่ๆเรื่องมันก็หักมุมจนผมตามไม่ทัน

“อ่า ถ้างั้นเริ่มตั้งแต่ 3 สัปดาห์ก่อนเลยแล้วกัน”

...........................................

ตึง

เสียงประตูปิดลงไปแล้ว คนรักของผมไปแล้ว ไม่นึกเลยว่าร่างกายที่ฝึกมาไม่เพียงพอจะทำให้ลงเอยเช่นนี้ แต่ไม่ว่ายังไงก็ตามผมต้องกลับไปตามเขากลับมาให้ได้

“ข้าอาจจะดูคนไม่เก่งแต่ก็รู้ว่าเจ้าโกหก” ผมรู้ดีว่าเขาไม่ได้อยากกลับไป แต่ที่เขาต้องไปเพราะเหตุผลบางอย่างแน่ๆ

ใช้เวลาไม่นานผมก็ลุกเดินเหินได้จริงตามที่รอสว่าไว้ เวทมนตร์เยียวยาอันแกร่งกล้าสมชื่อวาเรนแห่งแสงจริงๆ เคยแต่ให้พวกนักบวชรักษาบาดแผลภายนอกจนไม่เหลือแม้แต่แผลเป็นให้เป็นที่ระลึก แต่หากกระดูกหักก็ยังจำเป็นที่ต้องเข้าเฝือกพักฟื้น นี่เป็นครั้งแรกที่เจอคนที่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บภายในได้ขนาดนี้

ใจจริงก็อยากจะกลับเมืองหลวงไปหาคนรักเลย แต่หากทำแบบนั้นก็เท่ากับว่าต้องรายงานตัวว่าทำเควสเสร็จทันที ผมไม่อยากเสี่ยงจึงเลือกทำตามแผนที่วางไว้ แต่ครั้นจะนั่งๆนอนๆก็น่าเบื่อ อีกทั้งคนในหมู่บ้านนี้ยังมีพระคุณให้ที่พักด้วยจึงช่วยพวกเขาซ่อมแซมบ้านที่เสียหาย ถือซะว่าได้ออกกำลังด้วย

แต่ละวันผ่านไปด้วยความยากลำบากเพราะผมเอาแต่เฝ้าคิดถึงคนรัก เขาจะกินอะไรรึยังนะ เขาจะอยู่สบายรึเปล่า เขาจะคิดถึงเราบ้างไหม จนกระทั่งผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ผมจึงเริ่มออกเดินทางกลับเมืองหลวง

หลังจากใช้เวลาเกือบ 3 วันผมก็ถึงหน้าปราสาทของราชาเพื่อรายงานตัว เป็นไปตามคาดผมเป็นคนสุดท้ายที่กลับมา กำหนดการตัดสินจึงเป็นเย็นวันถัดไป คนของหลวงเปิดประตูมิติที่อนุญาตให้เฉพาะคนในเท่านั้นที่ใช้ได้เพื่อกลับเมืองของผมเอง กลับบ้านที่จากมานาน

ทันทีที่ก้าวพ้นเขตรั้วคฤหาสน์เข้ามาก็มีนายทหารมาทักและพาฟรีดไปพักในคอกม้า แต่ยังไม่ทันจะก้าวถึงบ้านก็พบบรรยากาศที่คุ้นเคย ประตูคฤหาสน์ถูกถีบออกมาพร้อมกับชายร่างกำยำวัยสี่สิบกลางๆ ผมสีดำยาวประบ่า มีหนวดเคราดูน่าเกรงขาม

ฟ้าว แกร๊ง!!

คมดาบพุ่งเข้ามาด้วยความรวดเร็ว ผมชักดาบออกมารับไว้ได้อย่างฉิวเฉียด

“ยังช้าเหมือนเดิมเลยนะ ไอ้หนู”

“หึ ยังชอบเล่นรุนแรงตลอดเลยนะพ่อ” ผมทักชายตรงหน้าที่ประดาบด้วย ลีออน ไลโอเนล (Leon Lyonel) ราชสีห์สีดำ...หรือท่านพ่อ

“ฮ่าๆๆ” เขาหัวเราะก่อนจะลดดาบลงแล้วเข้ามากอด “นึกว่าจะต้องปั๊มลูกชายคนใหม่ซะแล้ว ป่ะ...เข้าบ้านเถอะทุกคนรออยู่”

หลังจากเหน็ดเหนื่อยมานาน ในที่สุดผมก็ได้กลับบ้าน ท่านแม่และพี่เรจิน่านั่งรออยู่ในห้องรับแขกอยู่แล้ว

“กลับมาถึงบ้านเสียทีนะลูกแม่”

“มาช้าจังเลยนะเร็กซ์”

“แหะๆ ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะครับ” ผมเกาหลังคออย่างเขินอาย เดินเข้าสวมกอดหญิงสาวทั้งสองคน

“ลูกเดินทางไกลคงเหนื่อย ขึ้นไปล้างตัวก่อนนะ แล้วลงมาทานอาหารเย็นกัน” ท่านแม่เดินมาจูงมือไปที่บันไดบ้าน ท่านเป็นหญิงผู้โอบอ้อมเสมอ

“นี่กลอเรีย (Gloria) เร็กซ์มันเป็นหนุ่มแล้วนะ ไม่ต้องไปโอ๋ขนาดนั้นก็ได้ ฮ่าๆ” ท่านพ่อส่งเสียงหัวเราะไล่หลังมา แต่ก็ต้องเงียบลงอย่างรวดเร็วเมื่อสายตาของแม่เรียบนิ่งลง แม้แต่ผมก็เสียวสันหลังขึ้นมา เห็นแม่ยิ้มแย้มใจดีแบบนี้แต่นางเป็นคนน่ากลัวมากขนาดสยบพญาราชสีห์ได้เลยนะ

หลังจากชำระร่างกายและแต่งตัวเรียบร้อยแล้วผมก็ล้มตัวนอนลงบนเตียงนุ่มๆ ขอเอนหลังสักหน่อยก่อนลงไปร่วมโต๊ะอาหาร แล้วผมก็คิดถึงคนที่เคยนอนอยู่ข้างๆ ผ่านมาตั้ง 10 วันแล้วเขาจะเป็นอย่างไรบ้างนะ

ก๊อกๆๆ

“แม่เข้าไปได้ไหม”

“ได้เลยครับ” ผมดีดตัวขึ้นนั่งเมื่อท่านแม่เปิดประตูเข้ามา นางนั่งลงที่ปลายเตียง

“เดินทางเป็นยังไงบ้าง หืม”

“สนุกดีครับแม่ ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆเยอะเลย”

“ค่อยหายห่วงหน่อย นี่ก็เกือบจะหมดกำหนดเวลาแล้ว แม่นึกว่าลูกจะลำบาก”

“ไม่หรอกครับ ติดขัดนิดหน่อยแต่ก็ผ่านมาได้” ที่ผ่านมาได้เพราะมีคนช่วยนี่แหละ...คนสำคัญด้วย พอนึกขึ้นได้ก็เกิดไม่สบายใจขึ้นมา “แม่ว่าพ่อจะโกรธไหมถ้าผมไม่ชนะ”

“หืม ทำไมถามอย่างนั้นล่ะ” นางยกมือขึ้นมาลูบผม

“ก็...ไม่สามารถนำเกียรติยศมาให้ที่บ้านได้”

“เห้อ พ่อเจ้าอาจจะชอบสอนแต่เกียรติของอัศวินนู่นนี่นั่น แต่จริงๆพ่อเจ้าน่ะขอแค่เจ้าปลอดภัยก็พอแล้ว” แม่ตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน มันทำให้ผมสบายใจขึ้น “แค่ผ่านบททดสอบกลับมาได้ก็เพียงพอแล้ว”

“นั่นสินะ” พอได้ยินแล้วก็โล่งอก บางทีผมอาจจะกดดันตัวเองมากเกินไปก็ได้

“ทำไมทำเหมือนโล่งอกที่ไม่ชนะล่ะ หรือว่าลูกไม่อยากแต่งงานอยู่แล้ว”

“อ๊ะ...ป...เปล่านะแม่” ผมตกใจจนลนลาน

“แหนะ...แสดงว่าไม่อยากแต่งจริงๆ แต่ไหนแต่ไรมาลูกก็โกหกไม่เก่งอยู่แล้วนะ” แม่จับผิดผมและคนอื่นๆในบ้านผมเก่งเสมอเลย “เอ...ตอนขาไปก็ดูฮึดดีนี่นา พอขากลับกลายเป็นไม่อยากแบบนี้ แสดงว่าระหว่างเดินทางต้องไปเจอใครเข้าแน่ๆ คิคิ”

“ว...หวาไม่ใช่อย่างนั้นนะแม่” ผมแทบจะดีดตัวออกจากเตียงเหมือนโดนของร้อน ทำไมแม่ผมถึงได้อ่านขาดได้ขนาดนี้

“ผู้หญิงคนไหนนะที่เป็นผู้โชคดี เอ๊ะ หรือว่า...เป็นชาย” นางพูดด้วยทีเล่นทีจริงจนผมหน้าแดงไปหมด

“...” ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่หันหน้าหนี

“โอ้ไม่ปฏิเสธแบบนี้แสดงว่าเป็นชายสินะ”

“แม่ !!!”

“คิกๆ” ท่านแม่หัวเราะชอบใจแล้วดึงผมไปกอด แต่เพราะความแข็งแรงมันต่างกัน ผมตัวแข็งหน้าชาไปหมด นางจึงเปลี่ยนเป็นคล้องคอแทน “แม่เลี้ยงลูกมากับมือนะ แม่ย่อมรู้ดีว่าลูกเป็นยังไง สายตาที่ลูกมองหญิงและชายอื่นมันต่างจากที่บุรุษทั่วไปเขามองกัน แถมบุรุษผู้หล่อเหลาอย่างลูกไม่เคยมีข่าวกับใครเลยมันก็น่าคิดอยู่”

“แล้วแม่ไม่ว่าอะไรเหรอ” ผมก้มหน้าก้มตาถามไปเบาๆ นี่แม่ผมรู้ว่าผมเป็นยังไงตั้งแต่ผมยอมรับตัวเองอีกเหรอเนี่ย

“จะว่าได้ยังไง แม่เลี้ยงลูกมาให้เป็นชายหนุ่มที่ดี ส่วนคู่ของลูกแม่กับพ่อตกลงกันไว้แล้วว่าจะให้ลูกเลือกเอง”

“น...นี่พ่อก็รู้เหรอ”

“พ่อไม่รู้หรอก แค่ไม่ว่าอะไรถ้าลูกจะพาหญิงคนไหนเข้าบ้าน ยังไงก็ให้เวลาแกหน่อยแล้วกัน”

“...” ผมหมดซึ่งคำพูด ความลับที่ปิดไว้ตลอดกลับถูกแม่ล่วงรู้อย่างง่ายดาย แถมยังไม่ต่อว่าอะไรอีก

“จริงอยู่ที่เราสอนให้เกียรติสำคัญที่สุด แต่เราก็ยังอยากให้ลูกเป็นตัวของตัวเอง เลือกสิ่งที่ตนเองปรารถนานะ จำไว้ ป่ะ...ลงไปทานข้าวได้แล้ว”

“ขอบคุณครับแม่” ผมสวมกอดแม่ผมอีกครั้ง ก่อนจะลงไปร่วมโต๊ะอาหารด้วยความสบายใจ ตอนนั้นผมคิดว่าอุปสรรคทุกอย่างน่าจะหมดแล้ว

...................................................



ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1908
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
 :hao3: :hao3: :hao3:


งานนี้สบายละรอสคุณแม่สามีไฟเขียว

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ PsychePie

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
บักเร็กซ์เป็นคนที่นิสัยน่ารักจริงๆ เวลาอยู่กับครอบครัว

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด