ตอนที่ 21
ผมไม่คิดว่าชีวิตที่เหลือจะได้รับโอกาสนี้อีกครั้ง…โอกาสที่ผมรู้สึกเหมือนมีครอบครัวเป็นของตัวเอง
การได้ใช้เวลาร่วมกับใครสักคน ทานข้าวด้วยกัน ดูทีวีด้วยกัน แชร์ความคิดกัน
มันเป็นความรู้สึกที่เต็มตื้น หัวใจพองฟู ความรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างที่เกาะกุมหัวใจค่อยๆได้รับการเติมเต็ม
“พี่ธิวา เคยไปที่นี่ไหม”ผมชี้ไปที่ทีวีซึ่งตอนนี้กำลังฉายภาพทุ่งดอกลาเวนเดอร์ในช่วงเวลาที่พระอาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้า
ท้องฟ้าสีส้มแดงตัดกับสีม่วงของดอกลาเวนเดอร์ที่เบ่งบานไปทั่วทั้งทุ่ง ให้ความรู้สึกสวยงามไปอีกแบบ
“เคยครับ พี่เคยไปปั่นจักรยานด้วยนะ”
“ดีจัง แล้วพี่ธิวาเคยชิมไอติมอันนี้ด้วยไหม”พิธีกรในรายการพาเที่ยวกำลังชิมไอติมรสลาเวนเดอร์อยู่ ผมสงสัยจังเลยว่ารสชาติมันจะเป็นยังไง? จะอร่อยรึเปล่า?
“เคยครับ ก็อร่อยดีนะ กลิ่นหอมติดจมูกมาก”กลิ่นของลาเวนเดอร์ที่ผสมอยู่ในไอติมคงคล้ายคลึงกับกลิ่นสเปรย์ลาเวนเดอร์ที่พี่ธิวาฉีดหมอนให้ผมก่อนนอนทุกคืน
“พริ้มอยากไปไหมครับ”
ผมส่ายหน้าปฏิเสธด้วยความรวดเร็ว “ไม่ไปหรอกครับ เปลืองเงิน”พี่ธิวายิ้มขำกับคำตอบผม
“งรื้ออ…ไอติม…จะหก”ผมโวยวายเมื่อพี่ธิวาสอดมือเข้ามาที่ใต้วงแขนของผมก่อนจะออกแรงดึงผมขึ้นมานั่งบนตัก
“แด๊ดดี้ ผมหนักนะครับ”
“หนักจริงๆด้วยเนอะ”ผมเหลือบตามองบน มันใช่ไหมเนี่ย!
“วันหยุดยาวครั้งหน้าเราไปเที่ยวกันดีไหมครับ”ผมยังคงส่ายหน้าเหมือนเดิม
“ทำไมละครับ”
“ผมยังไม่มีงานทำ ไม่มีเงิน ถ้าไปเที่ยวก็ต้องใช้เงินที่พี่ธิวาหามาด้วยความยากลำบาก ผมไม่ไปหรอก”
“หื้ออออ…เป็นห่วงเรื่องเงินของพี่ขนาดนั้นเลย ไอติมที่พริ้มกินอยู่ก็แพงนะครับ กินวันเดียวครึ่งถังเนี่ย พี่เลี้ยงไม่ไหวหรอกนะ จนพอดี”
ผมหันไปมองถังไอติมที่ตัวเองกินด้วยความเพลิดเพลิน…กินไปครึ่งถังจริงๆด้วย
ผมยกมือไหว้ขอโทษพี่ธิวา “ขอโทษนะครับ ผมจะกินให้น้อยลงนะ”ผมลุกเอาถังไอติมไปเก็บในครัวอย่างเศร้าๆ ไอ้พริ้ม…เด็กตะกละ กินไอติมยังไงวันเดียวครึ่งถัง ทำตัวเหมือนคนไม่เคยพบเคยเจอของกินไปได้ รู้ถึงไหน อายถึงนั่น
“มานั่งนี่เร็ว”พี่ธิวากวักมือเรียกผมที่เดินหน้าหงอยเข้ามาในห้องนั่งเล่น ผมนั่งขัดสมาธิข้างๆพี่ธิวาบนโซฟา
“พี่ธิวา ผมกินจุอะ ผมไปหางานพาร์ทไทม์ทำดีไหม ถ้าพี่ธิวาล้มละลายเพราะการกินของผมจะทำยังไง”ทันทีที่ผมพูดจบ พี่ธิวาก็หลุดหัวเราะออกมา ขำแรงจนตัวงอ
ตลกตรงไหน? การที่ผมจะไปหางานทำเพื่อซื้อข้าวกินนี่ตลกตรงไหน หรือหน้าตาผมจะจริงจังไม่พอ
“นี่พูดจริงปะครับ”
“พี่ธิวาเห็นหน้าผมล้อเล่นเหรอครับ”
“พี่พูดเล่น ต่อให้พริ้มกินไอติมวันละตันก็ไม่ระคายขนหน้าแข้งพี่หรอกรู้ไหม พี่รวยมากนะครับ เผื่อพริ้มไม่รู้”หมั่นไส้คนอวดรวยจริงๆ…แต่ก็นะ เขามีความรวยให้อวดนี่
“รวยได้ ก็จนได้เหมือนกันนะครับ”ดูบ้านผมเป็นตัวอย่างสิครับ เมื่อก่อนบ้านเราก็พอมีฐานะระดับหนึ่ง แต่พอเกิดวิกฤต ก็จนได้เพียงชั่วข้ามคืน ข้าวคลุกน้ำปลายังไม่มีกินเลย
“อยากกินเท่าไหร่ก็กินเถอะครับ พริ้มเป็นเด็กวัยกำลังโต แค่เด็กคนเดียวทำไมพี่จะเลี้ยงไม่ได้”
“ขี้โม้”
“คนจริงเขาไม่พูดเยอะกันครับ อาทิตย์หน้ากินอาหารโรงแรมทุกมื้อเลยดีไหม”ผมรีบส่ายหน้ายู่
“รู้แล้วครับว่ารวย ไม่ต้องอวดแล้ว”
“หึๆ”พี่ธิวาหัวเราะในลำคอ แล้วหยิบรีโมททีวีมาเลื่อนเปลี่ยนช่องจนเจอช่องหนึ่งที่ฉายรายการเกี่ยวกับแมวอยู่ ผมรีบจับมือพี่ธิวาไม่ให้เปลี่ยนช่อง
“พี่ครับ ผมอยากดูช่องนี้”
“ชอบแมวเหรอ”
“ชอบครับ”พี่ธิวาลูบหัวผมเล่น แต่ผมไม่ได้ใส่ใจ สายตาผมเอาแต่จับจ้องภาพพิธีกรรายการทีวีที่กำลังเดินเข้าไปในบ้านแมวขนาดใหญ่
บ้านแมวหลังนี้ทำด้วยปูน ภายในแบ่งเป็นห้องเล็กๆให้แมวแต่ละตัวอยู่ เจ้าของบ้านเป็นคนรักสัตว์ ชอบเก็บแมวและหมาจรจัดที่ถูกทิ้งตามวัดมาเลี้ยงที่บ้าน เริ่มแรกทำไปเพราะสงสารพระที่ท่านต้องรับภาระหาอาหารให้หมาและแมวจรจัด
เจ้าของให้สัมภาษณ์ว่าตอนรับมาเลี้ยงเริ่มแรกมีเพียงไม่กี่สิบตัว แต่ปัจจุบันมีเกือบร้อยตัวแล้ว เขารู้สึกว่าเริ่มเลี้ยงไม่ไหวแล้ว มีการประกาศหาบ้านให้แมว แต่เขาก็ทิ้งท้ายไว้ว่าถ้ารับไปเลี้ยงแล้วจะเอาไปปล่อย ให้เอามาคืนเขา เขาจะเลี้ยงเอง
ผมมองเข้าไปในนัยน์ตาของเจ้าเหมียว สายตามันดูเศร้า แมวที่ถูกเจ้าของทิ้ง ถึงจะมีคนเก็บมันมาเลี้ยง แต่การถูกทิ้งในครั้งนั้นคงยังเป็นบาดแผลในใจของมัน
สัตว์ตัวเล็กๆที่ซื่อสัตย์ต่อเจ้าของ กลับโดนเขี่ยทิ้งอย่างไม่ใยดีเมื่อเจ้าของหมดรัก ชะตาชีวิตของหมาแมวเหล่านี้คงไม่ต่างอะไรจากผม “น่าสงสารจังเลยครับ” ไม่ใช่แค่หมาแมวที่น่าสงสาร แต่ชีวิตผมเองก็ด้วย
“ไปรับมาเลี้ยงไหมครับ”
“ไม่เอาหรอกครับ พี่ธิวาไม่ชอบนี่”
“พริ้มชอบคนเดียวก็พอแล้ว ถ้ารับแมวมาเลี้ยง พริ้มจะได้ไม่เหงาไงครับ มีเจ้าเหมียวอยู่เป็นเพื่อน”
“ไม่เอาจริงๆครับ ถ้าจะเลี้ยง...เราต้องช่วยกันดูแลสิครับ ถ้าวันไหนพี่ธิวาพร้อมที่จะดูแลมันร่วมกับพริ้มจริงๆ วันนั้นเราค่อยเลี้ยงแล้วกันเนอะ”ถ้าเกิดวันไหนผมไม่อยู่ แล้วพี่ธิวาเอาแมวไปทิ้งก็แย่สิ
“ตามใจ พี่ขึ้นไปอาบน้ำก่อนนะครับ ดูทีวีเสร็จแล้วก็ปิดทีวี ปิดไฟให้เรียบร้อยแล้วตามขึ้นมานะครับ อ่อ อย่านอนดึกเกินละ พรุ่งนี้ต้องไปเรียน รู้ไหมครับ”
“รู้ครับ”พี่ธิวาขยี้หัวผมด้วยความเอ็นดู ก่อนจะก้มลงมาจุ๊บที่ริมฝีปากผม
.
.
.
หลังจากเกิดเหตุการณ์น่าเศร้าในวันนั้น พี่ธิวาก็ไม่ปล่อยให้ผมเศร้าใจอยู่ตามลำพังอีกเลย เขามักจะตัวติดกับผมอยู่แทบตลอดเวลา ยกเว้นเวลาเรียน
โชคดีที่ช่วงอาทิตย์นี้เป็นอาทิตย์หลังสอบซึ่งถือเป็นช่วงที่ดีที่สุดของนักศึกษามหาวิทยาลัย หนังสือก็ไม่ต้องอ่าน งานก็ไม่ต้องทำ ไม่มีความเครียดมาเป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดอาการแย่ๆ และที่โชคดีไปมากกว่านั้น คือ อีกสามอาทิตย์จะมีการแข่งขันกีฬามหาลัย ซึ่งผมจะได้หยุดเรียนเต็มๆหนึ่งอาทิตย์
ผมได้แต่หวังว่าหนึ่งอาทิตย์ที่จะได้หยุดจะเป็นช่วงเวลาดีๆที่ผมได้ผ่อนคลายและพักใจ
แต่ก่อนที่จะไปถึงช่วงนั้น คงต้องเอาตัวรอดให้ผ่านช่วงวิกฤตที่คณะหาคนลงแข่งกีฬาไม่ได้ไปซะก่อน ใครๆก็อยากหยุดกันทั้งนั้น ไม่มีคนยอมลงแข่งกีฬากันสักเท่าไหร่
“ทำไงดีวะ คณะเราไม่มีคนลงแข่งว่ายน้ำมาราธอนเลย”น้องตองบ่นหลังจากอ่านไลน์รุ่นที่รุ่นพี่ขอตัวแทนคนลงแข่งว่ายน้ำมาราธอน สิ่งที่เกิดขึ้นในกรุ๊ปไลน์มีแต่คนอ่านแล้วไม่ตอบ
“ว่ายน้ำมาราธอนอะไรตอง พี่ไม่เคยได้ยิน”ผมถามน้องด้วยความสงสัย
“ฟรีสไตล์ 1500 เมตรครับพี่พริ้ม ตองมันตั้งชื่อเองมั่วๆ”น้องนัทไขข้อข้องใจให้ผม
“อ่อ มันต้องได้คนที่อึดๆหน่อยปะ ต้องว่ายไปกลับตั้งหลายรอบ”
“ใช่พี่ สระยาว 50 เมตร สรุปคือว่าย 30 รอบ เป็นผม ผมก็ไม่ลงอะ”น้องนัทบ่น
“แต่ถ้าไม่มีใครลง พี่วินัยจะมาบังคับปีหนึ่งลงอะดิ เห็นว่าปีนี้อยากเก็บเหรียญจากว่ายน้ำเพิ่มด้วย”น้องตองพูดหน้านิ่วคิ้วขมวด
“แล้วทุกปีเราไม่ได้เหรียญจากว่ายน้ำเหรอ”ผมถามด้วยความสงสัย เพราะวิศวะเป็นคณะใหญ่ มีจำนวนคนเยอะ ดังนั้นโอกาสที่จะได้คนเล่นกีฬาเก่งๆมาอยู่ในคณะมากกว่าคณะอื่น ปกติกีฬาประเภทอื่นก็เห็นว่าวิศวะเป็นแชมป์มาตลอด โดยเฉพาะฟุตบอลนี่ไม่แบ่งถ้วยให้ใครเลย ได้ถ้วยมา 4 ปีติด
“ได้บ้างไม่ได้บ้างพี่”น้องตองตอบผม
“งี้แกล้งว่ายน้ำไม่เป็นดีปะ”น้องนัทเสนอทางเลือก
“ของแบบนี้มันแกล้งกันยากปะวะ”น้องตองบ่นแล้วถอนหายใจ
ช่วงนี้ท็อปปิคเรื่องกีฬามหาลัยเป็นสิ่งที่ถูกพูดถึงเป็นพิเศษ ผู้หญิงในคณะผมบางคนเอาตารางแข่งมาวงวันที่ว่าวันไหนมีกีฬาอะไรแข่งบ้าง มีคนที่ตัวเองชอบแล้วต้องไปเชียร์ไหม จริงจังกว่าการเรียนหลายร้อยเท่า
“ตอง ตอนนี้ยังมีใครอยู่คณะบ้างวะ”น้องคนหนึ่งในคณะที่เห็นหน้าค่าตาเดินผ่านกันบ่อยๆในห้องเลคเชอร์วิ่งเข้ามาหาน้องตองหน้าตาตื่น
“จะเหลือใครวะ วันนี้อาจารย์ประกาศยกคลาสตอนบ่าย มันออกไปเดินสยามกันหมดแล้ว”
“ฉิบหายแล้ว พี่วินัยโทรสั่งหัวหน้าชั้นปีให้หาคนว่ายน้ำเก่งๆ 5 คนไปทดสอบตอนนี้”
“แล้วถ้าไม่ได้อะ”น้องตองถามกลับด้วยความกังวล
“ก็โดนสั่งซ่อมยกรุ่นไงครับ”
“เวร! เออๆเดี๋ยวกูช่วยหา”น้องตองรับปากแล้วเริ่มเปิดหารายชื่อในโทรศัพท์ ไล่โทรหาเพื่อนทีละคน สุดท้ายก็จิกตัวมาได้ 3 คน แววตาที่กำลังหมดหวังของน้องตองทอประกายแสงทันทีที่เงยหน้าสบตาผม
“พี่พริ้มว่ายน้ำเป็นปะ”ผมจะส่ายหน้าปฏิเสธน้องก็เกรงใจ แต่จะพยักหน้าก็ลำบากใจ ก็รู้ตัวว่าพอว่ายได้บ้าง
“ถีบตกน้ำก็ไม่จม”ผมตอบในเชิงไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ
“ดีเลยพี่ งั้นเพิ่มพี่คนนึง ละอีกคนก็มึงเลยไอนัท ช่วยกันหน่อย แมร่งเอ้ย! ไลน์ไปในกรุ๊ปก็ไม่มีใครตอบ”
“จะดีเหรอตอง พี่ว่าลองโทรหาคนอื่นก่อนดีมะ”ผมพยายามเจรจากับน้องระหว่างเดินไปสระว่ายน้ำ
“นี่ไงพี่ ตองโทรอยู่ ช่วยกันหน่อย”
ผมเดินตามหลังน้องตองไปสระว่ายน้ำของมหาลัยด้วยความไม่สมัครใจ “พี่ว่าเราหนีตอนนี้เลยดีปะนัท”ผมแอบกระซิบกับน้องนัท มองคนตัวเล็กกว่าที่รีบวิ่งเร็วเป็นลมกรดไปที่สระว่ายน้ำซึ่งมีพี่วินัยรออยู่นานแล้ว
“หนีวันนี้ตายวันหน้าดิพี่ โดนมันบ่นหูชาเรื่องไม่ช่วยเพื่อนในรุ่นเบื่อกันไปข้างแน่”
ผมถอนหายใจยอมรับชะตากรรมอย่างยอมจำนน เอาวะ เป็นไงเป็นกัน อย่าเป็นลมคาสระว่ายน้ำพอ
ผมหยิบมือถือไลน์ไปบอกพี่ธิวาว่าวันนี้มีทดสอบแข่งว่ายน้ำที่มหาลัยจะกลับช้าหน่อย ข้อความแสดงสถานะว่าอ่านแล้วแต่ไม่มีการตอบกลับใดๆ คนแก่ก็แบบนี้ ชอบอ่านแล้วไม่ตอบ คุยกันไม่ค่อยจะรู้เรื่อง ถ้ามีอะไรสำคัญจริงๆต้องโทรหาเท่านั้น
.
.
.
“อะนี่ ของพี่พริ้ม นี่ของมึง”ผมมองกางเกงว่ายน้ำสีดำตัวเล็กที่ใส่แล้วแทบจะไม่ปิดอะไรเลยด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วน ถ้าให้ใส่จริงๆก็ไม่ต่างอะไรกับใส่กางเกงในเดินตัวเปล่า
“ขอแบบที่มีขากางเกงหน่อยได้ไหมตอง พี่ว่าอันนี้มันสั้นไป”
“ไม่มีแล้วพี่ หามาให้ใส่ได้ก็บุญแล้ว”น้องตองตอบผมแล้วรีบวิ่งออกไปด้านนอก สงสัยจะไปรับหน้าพี่วินัย
“เอาหน่อยวะพี่”น้องนัทตบหลังผมปลอบใจ ผมมองกางเกงตัวน้อยตัวนิดในมือแล้วถอนหายใจยาวๆ
เอาวะ…เพื่อรุ่น
ทันทีที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ น้องตองวิ่งมาดึงมือผมให้ออกจากห้องแต่งตัว “ไปพี่ ขึ้นไปยืนบนที่ปล่อยตัวเลย”
ผมกำเสื้อนักศึกษาที่ใส่คลุมทับออกมา ไม่อยากจะถอดเลย ยิ่งเห็นนักศึกษาผู้หญิงนั่งกันเต็มอัฒจันทร์แล้วยิ่งใจไม่ดี ไหนว่าอาจารย์ยกคลาสแล้วกลับบ้านไปเดินสยามกันหมดไงวะ
“โหพี่ ใจๆหน่อย โชว์พุงแปปเดียวเดี๋ยวก็เสร็จ”น้องตองดึงชายเสื้อนักศึกษาผมยิกๆเป็นการเร่งให้ถอด
“นี่ทำขนาดนี้ได้อะไรวะตอง”ผมถามน้องด้วยความสงสัย
“ได้ดูพุงพลุ้ยๆของพี่ไง ฮ่าๆ”น้องตองพูดอย่างอารมณ์ดีแล้วดึงเสื้อนักศึกษาของผมไป
“เอ้า! ฟังๆ หยุดกรี๊ดกันสักที”พี่วินัยหันไปตะโกนบอกคนอื่นๆที่นั่งกันอยู่บนอัฒจันทร์ ผมว่าห้ามยังไงก็ห้ามยาก เล่นเอารองเดือนคณะมาแข่งว่ายน้ำ ใครก็ต้องอยากกรี๊ดซิคแพคแน่นๆเป็นธรรมดา
“พี่บอกให้หยุดกรี๊ดไงครับ”พี่วินัยเริ่มสั่งอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเข้ม มีความคาบเกี่ยวกับความเกรี้ยวกราดแค่เส้นบางๆกั้น
“น้องที่จะลงแข่งฟังพี่นะ การทดสอบครั้งนี้ให้ว่ายไปกลับ 10 รอบใครทำเวลาได้ดีที่สุด 3 คนแรกจะต้องไปฝึกว่ายน้ำมาเพิ่มแล้วอีกสองอาทิตย์เรามาแข่งกันใหม่”
“ทราบครับ”
“คุณพูดว่าไงนะ ผมไม่ได้ยิน เสียงผมคนเดียวยังดังกว่าเสียงพวกคุณ 5 คนอีก”
“ทราบครับ”ผมแทบตะโกนตอบรับคำสั่งของพี่วินัย
“ประจำที่”
ผมขึ้นไปยืนประจำที่ ดึงแว่นตาว่ายน้ำลงมาคาดตา จัดท่าออกตัวตามเพื่อนข้างๆ
ปี๊ดดดดดดดดดด!
สิ้นเสียงสัญญาณนกหวีด นักกีฬาว่ายน้ำจำเป็นทุกคนก็ออกตัว กระโดดลงไปในน้ำ ผมมองทุกคนที่ทิ้งระยะห่างออกไปจากผมหลายช่วงตัวด้วยความดีใจ รอดละพริ้ม มีคนทำเวลาดีกว่าแกเยอะ คนที่ทำเวลาได้ดีที่สุดในรอบแรกคือรองเดือน ซึ่งผลก็เป็นไปตามความคาดหมาย หุ่นดีขนาดนั้นคงออกกำลังกายบ่อย
ผมเองก็ว่ายเต็มที่ตามสมรรถภาพที่ตัวเองมี ไม่ฝืนเร่งทำเวลาเพื่อนำใครเพราะรู้ว่าร่างกายตัวเองไม่พร้อม ไม่รู้ว่าซี่โครงที่พึ่งหักมาจะสมานกันดีหรือยัง แต่ระยะเวลาตั้งแต่เกิดเรื่องก็เดือนกว่าๆแล้ว
ช่วงกลับตัวในรอบที่ 5 มีน้องคนหนึ่งในคณะเกิดตะคริวกิน ทำให้ในสระเหลือนักกีฬาจำเป็นรอดชีวิตอยู่ 4 คน ผมเองก็เริ่มเหนื่อยแล้ว นึกอยากยอมแพ้บ้าง แต่พี่วินัยพูดออกไมค์เสียงดังว่าใครแกล้งแพ้จะให้วิ่งรอบสนามฟุตบอลมหาลัยตามจำนวนรุ่น
บ้าบอมาก ขืนต้องวิ่งเท่าจำนวนรุ่นจริงๆ ผมคงตายตั้งแต่ยังไม่ครึ่งรุ่น
เสียงกรี๊ดและเสียงเชียร์ยังคงดังไม่ตก แต่อยู่ดีๆเสียงก็เงียบไป หันไปมองข้างตัวอีกทีก็พบว่าน้องนัทถูกพาขึ้นไปข้างสระแล้ว
สุดท้ายบทสอบก็จบลงที่รอบที่ 8 พี่วินัยสั่งให้พวกผมหยุดว่ายน้ำแล้วขึ้นมารับคำสั่งให้ไปซ้อมมาเพิ่มแล้วมาคัดตัวกันอีกทีสองอาทิตย์ข้างหน้า
ผมนั่งโชว์พุงอยู่ริมสระด้วยความเหนื่อยอ่อน อยากจะนอนแผ่ตัวลงตรงนี้แต่ก็อายนักศึกษาหญิงเกินกว่าที่จะทำแบบนั้น จะให้ลุกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าตอนนี้ก็ไม่มีแรง
“ขอบคุณนะนัท”ผมขอบคุณน้องนัทที่ยื่นผ้าเช็ดตัวมาให้ กำลังจะยื่นมือไปรับ ผ้าเช็ดตัวผืนหนานุ่มก็ถูกดึงกลับ
“พี่ชื่อธิวาครับ ไม่ใช่นัทอะไรนั่น”ผมหันไปมองพี่ธิวาที่อยู่ในชุดสูทด้วยความตกใจ มาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
คนตัวสูงยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความไม่พอใจ
“ฮัดชิ่ว!”ทันทีที่ผมจาม ผ้าขนหนูผืนใหญ่หนานุ่มก็ถูกกางมาคลุมตัว “รู้ว่าป่วยง่ายแทนที่แข่งเสร็จจะรีบวิ่งไปเปลี่ยนชุด เอาแต่นั่งอวดพุงอยู่นั่นแหละ”
ผมยิ้มขำกับการบ่นกระปอดกระแปดของพี่ธิวา “รอผมแปปเดียวนะครับ จะรีบไปเปลี่ยนชุด”
“เร็วๆละ”
“ใครอะพี่พริ้ม หล่อเหี้ยๆ แต่งตัวก็ดี ใครเดินใกล้ๆนี่โคตรหมองเลย”ผมหันหลังกลับไปมองพี่ธิวาที่โดดเด่นออกมาท่ามกลางผู้คน
ผมยิ้มจางๆให้น้องนัท “ผู้ปกครองพี่เอง”
.
.
.
“ช้า”พี่ธิวาบ่นด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์แล้วเดินไปขึ้นรถ ก้าวเท้าเร็วจนผมต้องวิ่งตาม
คนตัวสูงเปิดประตูรถด้วยแรงที่เยอะจนเหมือนกระชาก เอาแล้วสิ…ถูกโกรธอีกแล้วพริ้ม
“โกรธอะไรครับ”ผมหันไปถามพี่ธิวาระหว่างที่รถติดไฟแดง การที่คนตัวสูงเอาแต่ตีหน้าเคร่ง ไม่พูดไม่จาตลอดระยะเวลาที่เดินทางออกจากมหาลัยทำให้ผมเดาได้ไม่ยากว่าต้องไปทำอะไรขัดใจเขาแน่ๆ
“ไม่รู้”
“ไม่รู้แล้วทำหน้าแบบนี้ทำไมครับ”
“ก็พี่บอกว่าไม่รู้ไงครับ”
ผมจนใจที่จะถาม ตัดสินใจหันหน้าหนี ไม่อยากจะทะเลาะด้วย งงใจสุดๆ อยู่ดีๆก็โกรธขึ้นมาแบบไม่ทราบสาเหตุเหรอ หรือว่าจริงๆพี่ธิวากำลังเข้า ‘วัยทอง’
“หันหน้ามาคุยกันหน่อยสิ”อยู่ดีๆพี่ธิวาก็ทักผม
“คุยอะไรดีละครับ”ผมไม่ได้กวนประสาทนะ แต่จะให้คุยอะไรกับคนที่เอาแต่ดึงหน้าโกรธ พูดจาสะบัดเสียงใส่
พี่ธิวาเปิดสัญญาณไฟฉุกเฉินแล้วเลี้ยวรถจอดข้างทาง
“ตอนแรกเป็นพี่ที่โกรธอยู่ดีๆ ทำไมตอนนี้เป็นเราละ”
“แล้วมันน่าโกรธไหมครับ ผมยังไม่ได้ทำอะไรผิดเลย อยู่ดีพี่ก็เกรี้ยวกราดใส่ผมแบบไม่มีเหตุผล”
“ใครว่าไม่มีเหตุผล”
“งั้นก็บอกมาสิครับ ผมถามพี่ไปหลายครั้งแล้วนะครับว่าโกรธอะไร พี่ก็เอาแต่บอกว่าไม่รู้ๆ”
“พี่งี่เง่าเอง จบไหม”
“ไม่จบครับ”
“ต้องทำยังไงถึงจะจบ”
“บอกเหตุผลดีๆมาสักข้อสิครับว่าอะไรทำให้พี่เป็นแบบนี้”
“พี่หวง พี่ไม่ชอบให้คนอื่นเห็นร่างกายพริ้ม พี่ไม่ชอบเสียงที่พริ้มเรียกชื่อผู้ชายคนอื่น รู้ไหมตอนนี้พี่อยากจับพริ้มมัดไว้กับเตียง ทำให้ทรมานด้วยความเสียว เอาแต่ครางชื่อพี่คนเดียวทั้งคืน”
ทันทีที่ฟังเหตุผลจบ ผมรีบผลักตัวพี่ธิวาออกแล้วปีนหนีไปนั่งเบาะหลัง คนโรคจิต!!!
“นี่ไง พอพี่บอกเหตุผลแล้วก็เป็นแบบนี้”
“แล้วเหตุผลที่พี่พูดมามันเหมือนคนทั่วไปเขาไหมเล่า”
“ไม่เหมือนตรงไหน พี่ชอบพริ้ม พี่ก็ต้องหวงพริ้มเป็นธรรมดา ผู้ชายที่ไหนก็มีอารมณ์กับคนที่ตัวเองชอบทั้งนั้นแหละ”ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรหน้าแดงด้วยความเขินหรือหวาดกลัวผู้ชายหื่นกามตรงหน้าดี
“…”
“เงียบทำไมละ”
“แล้วพี่จะให้ผมพูดอะไรเล่า”
“เมื่อคืนนอนแล้วรู้สึกเตียงเย็นๆไหม”อยากจะถามว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับสถานการณ์ตรงหน้า แต่ก็ยอมตอบไป
“ก็ต้องเย็นสิครับ พี่ธิวาเปิดแอร์ 22 นี่”
“งั้นคืนนี้พี่ทำให้เตียงร้อนเอาไหม warming bed service”
“ตาแก่บ้ากาม ขับรถกลับบ้านเลย”
“หึๆ วันหลังอย่าใส่กางเกงว่ายน้ำตัวเท่าฝ่ามือแบบนั้นอีกนะ พี่หวง”
“งั้นพี่ธิวาคงต้องซื้อชุดว่ายน้ำแขนยาวขายาว ปิดถึงคอกับตาตุ่มให้ผม”
“เป็นความคิดที่ดี”
ผมละเพลียใจกับความขี้หวงของพี่ธิวา ไม่ต่างอะไรกับคุณท่านเลยจริงๆ
หวงแล้วชอบฟาดงวงฟาดงา