❀ สาปดอกแก้ว ❀ จบแล้ว >> แจ้งข่าวเปิด Pre-Order 3 มิ.ย. ถึง 3 ก.ค 61 หน้า 9 <<
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❀ สาปดอกแก้ว ❀ จบแล้ว >> แจ้งข่าวเปิด Pre-Order 3 มิ.ย. ถึง 3 ก.ค 61 หน้า 9 <<  (อ่าน 38476 ครั้ง)

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
สรุปแล้วอิท่านอาที่ถอยห่างนี่เพราะแค่ว่าแก้วเป็นลูกชู้เหรอ? โหห ถ้าแบบนั้นนี่เลวสิ้นดีเลยนะทั้งๆที่ตัวเองเป็นคนดึงแก้วลงมาให้ตกอยู่ในวังวนนี้แท้ๆ คนที่รับกรรมก็เป็นคนที่อยู่ในปัจจุบันอย่างภูกับอินทั้งที่คนก่อเรื่องมันก็คนในอดีตไหมละ แต่นี่ก็แอบสงสัยษอรนะเหมือนที่ภูคิดอะว่าษอรอาจเป็นใครกลับชาติมาเกิดก็ได้ ดีไม่ดีก็เป็นบัวมาเกิดนี่แหละ

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
ตอนที่ 13 ผู้เอ่ยคำแช่งกับผู้ที่ถูกแช่ง


ภูวรินทร์รู้สึกไม่ดี  หลังจากที่ฝันถึงคุณแก้วไปเมื่อคืน  เขาเหมือนคนผะอืดผะอมอยู่ตลอดเวลา เช้าวันนี้โชติโทรมาหาเขาเรื่องของคุณนิรุท และเอ่ยถึงเรื่องแม่ของเขาตามเคย เขาไม่ได้สนใจเรื่องนี้อีก โชติไม่วายส่งเบอร์และที่อยู่ติดต่อของคุณนิรุทมาให้เขา แม้ว่าใจจะไม่อยากเกี่ยวข้องอะไรกับชายคนนี้อีก ตอนเช้าเขาลงมาจากห้องและไม่เห็นป้าษอร ลุงชมอาสาพาเขาไปหาหลวงตา มีอินทนิลตามติดมาด้วย การไปเยือนอาศรมหลวงตาที่เชิงเขาครั้งนี้ทำให้เขาไม่สบายใจมากว่าเดิม

เมื่อรถเข้าสู่เขตป่า สองข้างทางไร้คนสัญจรผ่านทั้งป่ามัน ป่าไผ่ ระยะทางห่างจากหมู่บ้านพอสมควร นั่งรถนานถึงครึ่งชั่วโมงจนเห็นป้ายบอกชื่ออาศรมเก่าๆ รถเลี้ยวเข้าไป  สองข้างทางยังเป็นป่าอับชื้นจนรถเข้ามาจอดในพื้นที่โล่งมีอาศรมตั้งอยู่ ป้ายประวัติของอาศรมและองค์เจดีย์ที่บนเขาแปะติดอยู่ซีดเก่า อาศรมแห่งนี้ตั้งติดอยู่กับเชิงเขา ที่ด้านบนเขามีเจดีย์อยู่หนึ่งองค์ นานๆครั้งจะมีพระไปธุดงค์ที่ด้านบน

..ลุงชมบอกว่าโชคดีที่หลวงตาไม่ขึ้นไปธุดงค์ด้านบนซะก่อน

“นมัสการครับหลวงตา”พวกเขาสามคนเข้าไปไหว้หลวงตาวัยชรา แต่ท่าทางยังคงกระปรี้กระเปร่า หลวงตานั่งอยู่บนพรมกวาดสายตามองมาที่เขาก่อนจะเลื่อนไปมองลุงชมตามเดิม

“อาตมาไม่เห็นหน้าเห็นตานานเลย…แล้วคนหนุ่มนั้นมาใหม่หรือ ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน”

“เป็นคนบ้านภิรมย์สุขครับ”ลุงชมเอ่ยบอก

“อ้อ…”หลวงตาเอ่ย เหลือบมองเขาอยู่นิ่งๆ จากนั้นลุงชมถวายสังฆทานกับปัจจัยให้หลวงตา เสร็จแล้วก็ออกไปเดินดูนกดูไม้เพื่อให้เขากับอินทนิลได้สนทนากับหลวงตา

“เอ้า เข้ามาใกล้อาตมาสิ”หลวงตาเอ่ยกับคนทั้งสอง ทั้งอินทนิลและเขาขยับเข้าไปหาท่านใกล้ๆ จากนั้นก็เงียบ เขามองอินทนิลที่ก้มหน้านิ่ง

“หลวงตาครับ ผมมีเรื่องอยากให้หลวงตาช่วยเหลือ”ชายหนุ่มเอ่ยออกไป

“ใช่เรื่องคำสาปแช่งหรือไม่ ถ้าเป็นเรื่องนั้นอาตมาเกรงว่าจะช่วยได้ไม่มาก”หลวงตาเอ่ยช้าๆ ทำลายความหวังสุดท้ายในใจของเขาไม่มีเหลือ อินทนิลเงยหน้ามองหลวงตา คิ้วขมวดแน่น สีหน้าเป็นกังวล

“ทำไมล่ะครับ”

“วิธีที่คุณถามหาคงไม่มี การอโหสิกรรมไม่ใช่การตัดกรรม ลดคำแช่ง...แต่ที่แน่ๆ คนที่จะแช่งใครได้นั้นต้องมีความอาฆาต พยาบาท คิดมุ่งร้าย มีอกุศลเจตนา และจัดเป็นกรรมชั่ว ซึ่งจะทำให้ตัวคนที่ทำนั่นแหละที่เป็นผู้เดือดร้อนเอง ส่วนผู้ที่ถูกแช่ง คงไม่เกี่ยวเพราะไม่รู้ไม่เห็นอะไรด้วย แต่ยิ่งถ้ารู้แล้วเฉยๆหรือให้อภัย กลายเป็นคนโดนแช่งจะได้บุญเอานะ”หลวงตาพูดอย่างลื่นไหล เหลือบมองเขาไปด้วย ภูวรินทร์นึกถึงคำสาปแช่งจากบัวขึ้นมา

“ส่วนเรื่องที่เขาไปทำชั่วอะไรไว้จนต้องโดนคนสาปแช่งนั้น ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ทำชั่วก็ทำชั่ว สาปแช่งก็สาปแช่ง คนละเวลา คนละวาระ กรรมคนละอย่างกัน”

 “เพราะเรื่องในอดีตชาติของผมงั้นเหรอ แล้วไม่สามารถแก้ได้เลยหรือครับ”เขาเอ่ยอย่างหมดหวัง หลวงตาจ้องมองเขาอย่างมีเมตตาก่อนจะหันไปมองอินทนิลบ้าง เด็กหนุ่มหลบตาทันที

“…อดีตชาติ สร้างมาเพื่อสิ่งใด”หลวงตาเอ่ยถาม ภูวรินทร์ถึงกับนิ่งงัน

 “เป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้วไม่ใช่หรือ ถึงเรียกว่าอดีต การยึดติดกับอดีตชาติเหล่านั้นไม่ได้ช่วยอะไร มีแต่เจ้าไม่ใช่หรือที่ทุกข์…ถ้าหากทุกข์นักก็สมควรแก่เวลาที่จะปล่อยไป แต่โยมทั้งหลายยังคงยึดติด มนุษย์มีเกิดมีดับ วนเวียนอยู่สังสารวัฏ”หลวงตาสนทนาธรรมให้ฟัง สองตาจ้องมองอย่างทะลุปรุโปร่ง ภูวรินทร์พูดไม่ออก เขาเหลือบมองอินทนิลอีกครั้ง เจ้าตัวยังคงนั่งเงียบ 

 “หากเป็นเรื่องของอดีต ทำไมผมต้องเจอเรื่องเหล่านั้นด้วยล่ะ”ชายหนุ่มเอ่ยอย่างอับจนหนทาง คิ้วขมวด มองไปที่หลวงตาอย่างไม่เข้าใจนัก หลวงตายิ้มบางๆ

“เขาเรียกว่ากรรมเก่าที่ติดตัวมาอย่างไร คนละวาระกับอดีตชาตินะ อาตมามีคำสอนของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ให้คุณได้คิด ท่านกล่าวไว้ว่า ‘สิ่งที่ล่วงไปแล้ว ไม่ควรทำความผูกพัน เพราะเป็นสิ่งที่ล่วงไปแล้วอย่างแท้จริง แม้กระทำความผูกพันและหมายมั่นให้สิ่งนั้นกลับมาเป็นปัจจุบัน ก็เป็นไปไม่ได้ ผู้ทำความสำคัญมั่นหมายนั้นเป็นทุกข์แต่ผู้เดียว โดยความไม่สมหวังตลอดไป อนาคตที่ยังมาไม่ถึงนั้น เป็นสิ่งไม่ควรไปยึดเหนี่ยวเกี่ยวข้องเช่นกัน อดีตปล่อยไว้ตามอดีต อนาคตปล่อยไว้ตามกาลของมัน ปัจจุบันเท่านั้นจะสำเร็จประโยชน์ได้ เพราะอยู่ในฐานะที่ควรทำได้ อยากให้โยมจำคำของอาตมาไว้เตือนใจ แม้เป็นเรื่องยากที่จะหักใจ’…”ราวกับคิดอ่านเรื่องราวในใจของภูวรินทร์ได้ หลวงตาเหลียวมองอินทนิลอีกหน เจ้าตัวขยับตัวอย่างอึดอัดก่อนจะเอ่ยกับหลวงตา

“หลวงตาไม่คิดว่าทั้งหมดนี่เป็นชะตาหรือครับ”เด็กหนุ่มเอ่ยถาม ไม่มีความแข็งกร้าว แต่เต็มไปด้วยข้อสงสัย

“ชะตางั้นเหรอ... สิ่งที่ทั้งสองคนเผชิญอยู่ไม่เรียกว่าชะตาหรอก อาตมาว่าเป็นกรรมซะมากกว่า ทั้งกรรมดีและร้าย”

“แม้ว่าอดีตไม่ใช่เรื่องเลวร้าย ก็ไม่อาจเอามาเป็นอัตตาได้งั้นเหรอครับ”อินทนิลยังคงเอ่ยต่อ หลวงตาถอนหายใจ เหลือบมองมาทางเขาอย่างมีเมตตา

“นั่นสินะ มนุษย์ไม่สามารถดับกิเลสได้ รัก โลภ โกรธ หลง วนเวียนอยู่อย่างนั้น อาตมาไม่หวังให้คุณถือไปปฏิบัติ แต่ก็จดจำคำของอาตมาไว้ในใจก็พอ อะไรที่ทำได้จงทำ ที่ทำไม่ได้ ควรปล่อยไป”หลวงตาเอ่ย ก่อนจะส่งยิ้มให้อินทนิล เด็กหนุ่มก้มหน้าลงทันที ราวกับไม่กล้าสบตากับพระท่าน

“หลวงตาครับ ถ้าหากว่าผมไม่สามารถหักใจได้ล่ะครับ ผิดด้วยเหรอครับ”เขาเอ่ยเบาๆ นึกถึงคุณแก้วขึ้นมาอีกหน อินทนิลเหลือบมองเขา

“อืม... ในเรื่องร้ายอาจมีเรื่องดีอยู่ก็เป็นได้ อาตมาเป็นสงฆ์ ย่อมแนะนำตามหลักธรรม สุดท้ายแล้วก็แต่บุญพาวาสนาส่งเอ้า มาใกล้ๆสิพ่อหนุ่ม”หลวงตากวักมือเรียกเขาให้เข้าไปใกล้ หลวงตาขยับจีวร เอื้อมไปหยิบของในกล่องไม้ใกล้ๆกัน หยิบของเล็กๆยื่นส่งให้เขา

“ของชิ้นนี้ไม่มีมูลค่าอะไรมาก แต่อาตมาอยากให้โยมมีติดตัว ไม่ได้ช่วยไล่ผีหรอกนะโยม”หลวงตาหัวเราะเบาๆ เขายกมือไหว้รับของมาจากหลวงตา ในมือของตนมีตะกุดเก่าๆร้อยกับเชือกเทียนสีดำไว้

“ขอบคุณครับหลวงตา”

“อินน์มานี่สิ รับไว้ จะช่วยปกปักรักษาขวัญของเธอไว้ได้ เป็นของที่ทำให้ช่วยสงบใจก็แล้วกัน อย่ายึดถือเป็นจริงเป็นจังถึงขั้นงมงาย”หลวงตามอบพระกลับบัวเนื้อดินเผาสีออกดำเนื้อละเอียดด้านหน้าเป็นองค์พระปฏิมานั่งปางสมาธิให้แก่อินทนิล เด็กหนุ่ม
มองหลวงตาอย่างซาบซึ้ง ยกมือกราบไหว้ด้วยความนอบน้อม ใจของภูวรินทร์คลายไปได้ส่วนเดียว หลังจากที่หลวงตาให้พร คนทั้งสามจึงกราบลาหลวงตา เตรียมตัวกลับเข้าหมู่บ้าน

พวกเขาเดินทางกลับจากวัดป่าด้วยใจอึมครึม ในทีแรกเขาคิดว่าควรสบายใจเมื่อได้เข้ากราบไหว้หลวงตา แต่คำสอนของท่านทำให้เขายิ่งคิดมาก อินทนิลก็ไม่ต่างกัน

“ป้าษอรไปไหนเหรอครับ”เขาถาม เมื่อลงจากรถบริเวณบ้านดูเงียบกริบ ลุงชมมองเขาด้วยท่าทีอึกอัก “ลงไปทำธุระในเมืองครับ”อีกฝ่ายเอ่ยตอบช้าๆ ชายหนุ่มเลิกคิ้วแปลกใจก่อนจะถอนหายใจ

“งั้นเหรอ…น่าจะบอกกันบ้างนะ”เขาเอ่ย ก่อนจะหันไปมองทางอินทนิลแทน ไม่ได้สนใจลุงชมอีก เด็กหนุ่มดูซึมเงียบไปตั้งแต่ออกจากวัด ภูวรินทร์เข้าไปจับไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆให้รู้สึกตัว

“เธอโอเคนะ”เขาถามอย่างเป็นห่วง อินทนิลเงยหน้ามองเขา นัยน์ตาสีนิลหม่นลง แต่ยังคงส่งยิ้มมาให้เขา

“ครับ แค่รู้สึกไม่ดีนิดหน่อย”เอ่ยจบ อินทนิลไม่สดชื่นเท่าไหร่ เขายื่นมือไปแตะหน้าผากของอีกฝ่าย ตัวไม่ร้อนกว่าที่ควรจะเป็น เขาเหลียวมองรอบบ้าน

“ไปนั่งในสวนก่อนไหม”เขาเอ่ยชวน อากาศในตอนนี้ยังไม่ร้อน แม้จะมีแสงแดดแจ่มจ้าก็ตาม แต่ไม่แสบผิว เมฆฟ้ากระจ่างใส อินทนิลพยักหน้า ชายหนุ่มเดินเข้าไปในสวน เสียงแว่วของบ่อน้ำพุทำให้เขาสบายใจขึ้นไม่น้อย เมื่อมาถึงที่ลานน้ำพุ เขานั่งลงที่เก้าอี้ อินทนิลเดินตามมาใกล้ๆ เหลียวมองดอกไม้ในสวนอย่างหงอยเหงาก่อนจะเอ่ยถาม

“คุณภู คิดยังไงกับคำที่หลวงตาพูด”

“อืม ไม่ปฏิเสธหรอกว่าฉันกังวล …หลวงตาพูดมีเหตุผล ฉันฟังแล้วก็คิดอะไรได้บ้าง”ภูวรินทร์ตอบตามตรง ยิ่งคิดยิ่งหนักใจเข้าไปใหญ่ อินทนิลเดินเข้ามาหาเขาใกล้ๆ ยังคงไม่นั่งลงที่เก้าอี้ สายตาจ้องมองเขาอย่างคาดหวัง ก่อนจะเอ่ยถามออกมา

“จะทิ้งอินน์ไปไหม”สิ้นคำของอินทนิล เขาเงียบ มองอินทนิลอย่างตกใจ เขาไม่มีความคิดนั้นในหัวเลย ในเมื่อรับปากป้าษอรไว้แล้วว่าจะดูแลอินน์ เขาคงไม่ปัดความรับผิดชอบ ทำตัวกลับกรอกไปได้หรอก ชายหนุ่มยิ้มบางๆ

“ไม่ทิ้งหรอก”

“คุณภูพูดจริงนะครับ”อินทนิลมองเขา สายตาเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง เขารู้ได้ทันทีว่าคำตกลงนี้จะผูกมัดตน

“จริงสิ”ภูวรินทร์ยิ้ม บางที…เขาพอจะมองเห็นทางออกของทั้งสองฝ่าย…กรรมของเขาเกี่ยวข้องกับคุณแก้วในอดีตชาติ ต่อให้ไม่มีคำสาปก็คงเกี่ยวพันกันจนได้ ส่วนผู้สาปแช่งเขา..ทั้งบัว ทั้งมณี หากทั้งสองคนเลิกจองกรรมต่อตนได้ก็คงดี  เขาจะไม่ถือโทษโกรธเคืองใครอีก 

อินทนิลยิ้มรับคำตอบของเขาด้วยความยินดี ก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ข้างกายเขา เด็กหนุ่มเลื่อนสายตาไปมองบ่อน้ำพุข้างๆอย่างใจลอย

“คุณภูเชื่อเรื่องพรมลิขิตไหมครับ”เจ้าตัวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกังขา

“อืม ไม่รู้สิ ฉันบอกไม่ได้หรอก”เขาตอบช้าๆ พลางคิดตามไปด้วย ถ้าให้ตอบจริงๆ ก็คงไม่เชื่อนักหรอก เขาหันมองอินทนิลบ้าง เด็กหนุ่มยิ้ม นัยน์ตาวูบไหว

“แต่อินน์ว่าพรมลิขิตมีจริงๆนะครับ”

“งั้นเหรอ”เขามองคนที่เด็กกว่า มองแววตาจริงใจของอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ

“อือ คนที่เคยมีชะตาต้องกัน ไม่ว่ากี่ภพกี่ชาติก็ต้องได้ครองคู่กันจนได้”คำพูดของอินทนิลดังเข้าหูเขาไปเรื่อยๆ ได้ครองคู่กันงั้นเหรอ? เขาแค่ยิ้มไม่ได้ตอบอะไรกลับไป จะเป็นไปได้งั้นเหรอ

“จริงสิ อินน์อยู่กับป้าษอรมานาน ป้าเขาเป็นคนแบบไหน”ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่องสนทนา อินทนิลย่นคิ้ว แต่ยังคงมีรอยยิ้มประดับใบหน้า

“ก็ใจดี ไม่เคยดุด่าอินน์เลยสักครั้ง จนถึงตอนนี้อินน์รักษอรไม่ต่างจากคนให้กำเนิด เหมือนผูกพันกันมานาน”อินทนิลเอ่ย เขานิ่งเงียบไปก่อนจะส่งยิ้มกลบเกลื่อน

“...แล้วป้าษอรคิดยังไงเรื่องคุณแก้วบ้าง เรื่องที่คุณแก้วช่วยเธอ ผูกจิตวิญญาณเอาไว้ที่เธอน่ะ”เขาค่อยๆเอ่ยถามต่อ สังเกตปฏิกิริยาของอีกฝ่ายไปด้วย อินทนิลทำหน้าใคร่ครวญก่อนจะเอ่ยตอบ

“อืม...ษอรมักพูดอยู่เสมอว่าคุณแก้วไม่มีเจตนาร้าย ท่านเป็นคนน่าสงสาร อินน์ก็คิดแบบเดียวกันนะครับ ท่านเป็นคนน่าสงสาร”อินทนิลเอ่ย มองตาเขาอย่างลึกซึ้ง

“...ใช่”เขาพึมพำเบาๆ คุณแก้วเป็นคนน่าสงสารจริงๆนั่นแหละ เขาเงียบจดจ้องกับลวดลายของโต๊ะกลมตัวนี้อย่างเหม่อลอย

“มีอะไรหรือเปล่าครับคุณภู”อินทนิลที่มองอยู่เอ่ยถาม

“...ฉันแค่นึกสงสัยว่านอกจากฉันแล้ว คนในอดีตชาติ ได้กลับมาเวียนว่ายตายเกิดกันอีกหรือเปล่า”ภูวรินทร์หันมองเด็กหนุ่ม

“ทั้งมณี ทั้งบัวน่ะเหรอ”อินทนิลเอ่ย สีหน้าไม่เข้าใจนัก

“ใช่ ก็แค่คิดเท่านั้นเอง”เขาพึมพำ หลบสายตามีคำถามจากอินทนิลไปมองดอกไม้รอบพ่อน้ำพุแทน ดอกเทียนหยดสีม่วงกำลังชูช่อเย้ยแสงแดด พุ่มสูงไม่ทำให้มันลดทอนความสวยไปได้ สองหูยังคงได้ยินอินทนิลเอ่ย

“อืม...คงแล้วแต่บุญแต่กรรมมั้งครับ”

“...ไม่คิดว่าบัว...จะอยู่ใกล้ตัวเราเหรอ”ชายหนุ่มเอ่ยออกมา เขาทบทวนเรื่องนี้อย่างจริงจัง คิดแล้วก็มีความเป็นไปได้อยู่เหมือนกัน อินทนิลมีสีหน้าหนักใจ คิ้วขมวดมุ่น

“หมายถึง...ษอรเหรอ”เจ้าตัวเอ่ยอย่างไม่มั่นใจ น้ำเสียงไม่ปักใจเชื่อเท่าไหร่ เขาไหวไหล่

“แค่คาดเดา ฉันแค่สังเกตว่าป้าษอรรักเธอเหมือนลูก ไม่ต่างจากที่บัวรักคุณแก้ว”

“อืม...อินน์ไม่รู้ แต่ษอรก็คือษอร เป็นคนที่เลี้ยงอินน์มาไม่ใช่เหรอ”อินทนิลเอ่ยด้วยความรั้น เขาพยักหน้าตาม นั่นแหละคือประเด็นของทุกเรื่องเลยไม่ใช่หรือไง

“ใช่ มันก็เหมือนกับฉันที่เป็นแค่ภูวรินทร์ ไม่ใช่ท่านอา”ชายหนุ่มเอ่ย อินทนิลหน้าซีดไป เจ้าตัวเหมือนพูดไม่ออกนัก พอมาคิดแล้ว เรื่องของบัวที่กลับชาติมาเกิดใหม่ยังรบกวนใจเขา และบาปของบัวที่ตามติด...ป้าษอรมา ถ้าหากว่าเธอคือบัวในอดีตชาติจริงล่ะก็

“...นั่นสิ ลืมไปทุกที ว่าคุณก็คือคุณ...เป็นภูวรินทร์ แต่โชคร้ายมีกรรมเก่าของท่านอาติดมาด้วย อินน์เข้าใจที่หลวงตาพูดดี แต่...อินน์ไม่สนใจว่าคุณจะเคยทำไม่ดีในอดีต เช่นเดียวกับคุณแก้ว”พออินทนิลเอ่ยถึงคุณแก้ว เขาก็เครียดขึ้นมา เด็กหนุ่มเงยมองเขาอย่างกังวลใจ

“เหมือนว่าคุณแก้วจะเงียบไปเลยนะ”เขาพึมพำ ตั้งแต่คืนนั้น เจ้าตัวก็ไม่ได้มาหาชายหนุ่มอีก ยกเว้นในฝันร้ายเพียงเท่านั้น อินทนิลถอนหายใจ

“ท่านสื่อสารได้น้อยลง”อินทนิลบอกเบาๆ

“หมายความว่า คุณแก้วจะจากไปเหรอ”เขาถาม ในใจรู้สึกแปลกไปบ้าง มองเด็กหนุ่มที่ดูลังเลใจอยู่เช่นกัน เขาหันมองทางอื่นแทน

“อินน์ไม่รู้ เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับคุณภูกับท่าน”อีกฝ่ายพึมพำแผ่วเบา เหมือนไม่แน่ใจในคำพูดตน เขาเงียบ พยายามใช้ความคิด ความเดาเรื่องทุกอย่างที่เป็นไปได้

“แล้วเธอจะปลอดภัยใช่ไหม”เขาถามอย่างเป็นห่วง อินทนิลเงียบ “น่าจะปลอดภัย”

“ดูไม่มั่นใจเลยนะ”ชายหนุ่มหัวเราะฝืนๆ อินทนิลมองอยู่นาน

“คุณต้องเชื่อใจท่านสิ ท่านไม่ปล่อยให้อินน์เป็นอันตรายหรอก เราไม่ต่างจากสองวิญญาณในหนึ่งร่างหรอก อินน์ไม่สมบูรณ์ ท่านเข้ามาเติมเต็ม อินน์ถึงรอดมาได้”อินทนิลเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ เอื้อมมาจับมือเขาไว้แน่นๆ

“เธอยอมรับได้เหรอ”เขาเอ่ยอย่างนึกกลัว อินทนิลขมวดคิ้วงุนงง “อะไรเหรอครับ”

ภูวรินทร์ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง เรื่องนี้เป็นปัญหาที่กวนใจรองลงมาจากเรื่องคำแช่ง

“...เรื่องฉันกับคุณแก้วไง”เขาเอ่ย มองลงไปในนัยน์ตาของเด็กหนุ่มอย่างพิจารณา อินทนิลส่ายหน้าเบาๆ แววตาไม่ปกปิดความจริง

“ท่านไม่ได้เอาเวลาทั้งชีวิตของอินน์ไปนี่ครับ”เด็กหนุ่มเอ่ยพูด ทำให้เขานิ่งเงียบไป ลึกลงในใจ ภูวรินทร์อยากจะชดเชยให้คุณแก้ว หลวงตาบอกว่าไม่ยึดติดกับอดีต แต่สิ่งที่กำลังผูกติดเขากับคุณแก้วไว้คือเรื่องในอดีตไม่ใช่หรือ ถ้าหากว่าไม่ต้องมาสนใจอดีตที่ผ่านมา เขาสามารถตัดคุณแก้วออกจากชีวิตได้ง่ายๆ แต่...อินทนิลล่ะ
ถ้าตัดคุณแก้วก็ต้องตัดอินทนิลออกจากชีวิตไปด้วย

ส่วนเรื่องคำสาปแช่ง เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ต่อให้เขาไม่ได้ยึดติดกับอดีต ไม่เครียดแค้นเอาคืนบัว จองเวรจองกรรมกันอีกต่อไป มันก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้ ปัจจุบันก็คือปัจจุบัน ยังดำเนินอยู่ กับคำสาปแช่งพวกนั้น มันคือผลกรรมที่ไม่อาจย้อนกลับไปแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงได้เลย

ภูวรินทร์เข้าใจที่หลวงตาพูดอย่างแจ่มแจ้ง

“เข้าใจแล้ว...”เขาบอก

“คุณภูไม่โกรธท่านแล้วสินะครับ”อินทนิลเอ่ยช้าๆ เขาเลิกคิ้วแปลกใจ

“โกรธงั้นเหรอ”

“ก็เรื่องที่ท่านใช้ร่างกายของอินน์ไง คุณภูไม่พอใจท่านไม่ใช่เหรอ”อินทนิลพูดด้วยท่าทีเรียบเฉย แต่แก้มแดงระเรื่อขึ้นมา

“ฉันหรือจะโกรธ โกรธได้ด้วยเหรอไง ในเมื่อฉันเองก็...”ภูวรินทร์เงียบเสียงลง.... ‘ในเมื่อฉันเองก็เต็มใจ ไม่ได้ถูกบังคับเสียหน่อย’ ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ รู้สึกไม่อยากดิ้นรนอะไรอีก เขาแค่อยากมีชีวิตเงียบสงบ เรื่องที่จะออกไปจากบ้านหลังนี้...หากหยุดฝันร้ายได้ เขาก็ไม่ปฏิเสธที่จะอยู่ที่นี่ต่อ ในเมื่อมันคือบ้านของเขาเอง 

“รู้หรือเปล่า วันที่อินน์เห็นคุณครั้งแรก อินน์ก็รู้สึกผูกพันกับคุณ”เด็กหนุ่มเอ่ยออกมา เขาหันมอง

“ที่บ้านน่ะเหรอ”เขาถาม อินทนิลส่ายหน้า

“เปล่า ในรูปถ่ายต่างหาก”เด็กหนุ่มย่นคิ้ว “รูปถ่ายฉันเหรอ”เขาเอ่ยงงๆ

“ษอรเอามาให้ดู บอกว่าเป็นเจ้าของบ้านคนใหม่ อินน์มองดูรูปแล้วตกใจมาก เหมือนท่าอาไม่มีผิด... แต่คุณภูต่างจากท่านอาที่จิตใจดีกว่า”

“จิตใจดีกว่า...เรื่องนั้นมันก็ถูก แต่ยังมีบางเรื่องก็คล้ายอยู่”เขาเอ่ย ทบทวนดูแล้วคือเรื่องความไม่หนักแน่น ข้อนี้เป็นต้นเหตุที่ทำให้เรื่องทุกอย่างยุ่งยากขึ้นมา เพราะท่านอาไม่หนักแน่นในรักต่อคุณแก้ว

“คงอย่างนั้น ท่านอาเป็นอดีตชาติของคุณ มันย่อมมีบางส่วนที่คล้ายคลึงกัน”

“เธอมีความทรงจำของคุณแก้วไหม”

“ไม่มีหรอก แต่อินน์แค่รู้สึกได้น่ะครับ เช่นรัก โกรธ ความเศร้า แต่ก่อนท่านมีเพียงแค่ความโดดเดี่ยว เศร้าสร้อย อาจจะโกรธแค้นเป็นบางครั้ง แต่พอคุณภูมาที่บ้านหลังนี้ เหมือนว่าท่านไม่ได้โดดเดี่ยว แต่ก็เศร้าหนักกว่าเก่า”

“แล้วเธอล่ะอินน์”เขาถาม อยากรู้ความรู้สึกของอีกฝ่าย อินทนิลชะงัก จ้องมองเขานิ่งๆ

“...อินน์ไม่เศร้า เมื่อก่อนแค่รู้สึกเหงามากหน่อย แต่มีคุณเข้ามาดูเหมือนว่าจะดีขึ้น”อินทนิลตอบยิ้มๆ เขารู้สึกเบาใจขึ้นมาได้บ้าง

“อ้อ ฉันบำบัดพวกเธอได้งั้นสิ”เขาเอ่ยล้อเล่นไปตามอารมณ์ เด็กหนุ่มยิ้มขำ

“คุณภูรู้หรือไม่ว่า ดอกไม้ในบ้านปลูกมาเพื่ออะไรบ้าง... ต้นแก้วคุณภูคงทราบแล้ว เทียนหยดเป็นของท่านอาปลูก เพราะชอบดอกของมัน แน่นอนท่านไม่รู้ว่ามีพิษ... พวงแก้วมณี ก็ตามชื่อเลย ปลูกให้มณี...ดอกพุดปลูกให้ท่านเช่นกัน สีขาวสะอาดตา คล้ายดอกแก้ว หมายถึงความรักที่มั่นคงด้วยนะ หึ”อินทนิลเหยียดปากไปด้วย เขาถอนหายใจตาม หากท่านอาเป็นได้อย่างดอกไม้ก็ดีสิ

“ดอกดองดึงล่ะ”เขาถาม ดอกไม้มีพิษเช่นนี้ไม่น่าเอามาปลูกในบ้านได้

“ท่านปลูกไว้ต้นเดียว ไม่ได้อยู่ในสวน มันอยู่ติดกับรั้วบ้าน เอาไว้ป้องกันพวกแมลง”อินทนิลบอก เขาคิดว่าทุกส่วนของมันมีพิษปลูกไว้เพื่อความสวยงาม และเอาไว้ขู่ขวัญ ชายหนุ่มมองออกจากสวนไล่สายตาไปตามรั้วใกล้กับสวนหน้าเรือนปั้นหยาที่เงียบงัน ต้นแก้วพวกนั้นยังคงออกดอกเช่นเคย มันออกดอกทั้งปี

“ไม่คิดว่าหมื่นนรินทร์จะปลูกต้นแก้วรับขวัญคุณแก้วเลยนะ กว่าต้นแก้วจะโตได้ขนาดนั้น ต้องใช้เวลา”ภูวรินทร์มองต้นแก้วที่อยู่ห่างออกไป อยู่ๆก็นึกถึงเรื่องเก่าๆขึ้นมา อินทนิลเท้าแขนมองออกไปทิศทางเดียวกัน

“แต่แรกท่านอาก็ไม่ได้รักท่าน เพียงแต่เพราะท่านไม่มีใคร ท่านอาเลยคอยดูแลบ่อยๆ พอนานเข้าคงเป็นความรัก”เด็กหนุ่มเอ่ยเบาๆ แววตานิ่งสงบ เขาส่ายหน้า

 “ไม่รู้ว่ามาจากความสงสารหรือเปล่า”

“แต่มันก็คือความรัก”อินทนิลเอ่ยย้ำ

“สุดท้ายมันก็หมดลงอยู่ดี เพราะมันเริ่มต้นจากความสงสารไม่ใช่เหรอ หากว่ามาจากใจที่รักจริงล่ะก็ รักของท่านอาคงไม่เสื่อมลงเร็วแบบนั้นหรอก”เขาพูด พลางคิดหาสาเหตุที่ทำให้หมื่นนรินทร์หมดรักในตัวแก้วไป

“แน่ใจได้อย่างไรว่าถ้าเป็นรักจริง ท่านอาจะไม่ทำร้ายใจท่าน”อินทนิลพูดจาใส่อารมณ์ เขาเงียบไปไม่ขัดอีกฝ่าย

“เพราะแม่ของท่านไม่ใช่คนสูงศักดิ์ เป็นแค่คนรับใช้ ไม่มากทรัพย์ ยิ่งรู้ว่าเจ้าหมื่นมอบบ้านให้ท่าน ที่เป็นลูกของหญิงอื่น ท่านอากลับรับไม่ได้ คงกลัวว่าสมบัติจะตกไปอยู่ในมือของบัวมากกว่า เพราะว่าหากเป็นท่าน ท่านย่อมไม่มีทายาทสืบสกุลได้อยู่แล้ว ครั้นจะให้กิ่งกับไกร ก็ไม่ได้ เพราะไม่อยากเป็นผู้อาศัยคนอื่นกิน หึ”

“อินน์”เขาเอ่ยเรียก เหมือนว่าอินทนิลจะพูดเยอะกว่าปกติ เจ้าตัวจ้องมองเขาด้วยสายตาเฉียบคม ไม่ฉายแววรักใคร่ในนั้นเหมือนก่อนหน้านี้

“แต่ก็เป็นอย่างที่คุณภูบอก หากรักจริง เรื่องแค่นี้คงไม่เอามาคิดมาก...ท่านอาไม่ได้รักจริงนั่นแหละคือข้อสำคัญ”อินทนิลเอ่ย คนทั้งคู่ตกอยู่ในความเงียบที่น่าอึดอัด

“คำสาบานไม่ควรเอ่ยมาแบบขอไปที ท่านอาดันกล่าวสาบัตย์สาบานรักกับท่านไว้เสียดิบดี ทรยศใจไม่พอ ดันทรยศคำสาบานอีก”เป็นเด็กหนุ่มที่เอ่ยขึ้นมาก่อน ถ้อยคำเรียบเฉย ฟังแล้วไม่รู้ถึงอารมณ์ในน้ำเสียงนั้น ชายหนุ่มหันไปมองเด็กหนุ่มข้างกาย ตอนนี้อีกฝ่ายกำลังมองเขา

“คำสาบานที่ว่า รู้ไหมว่ากล่าวว่าอะไรบ้าง”เขาเอ่ยถาม อินทนิลเหยียดปากเหมือนดูแคลนคำกล่าวนั้น

“จะรักแก้วคนเดียว หากผิดคำสาบาน ขอให้ฟ้าดินลงโทษ ท่านอากล่าวไว้แบบนั้น ภายหลังคงไปถอนคำสาบาน”

“งั้นเหรอ”เขาแปลกใจ อินทนิลยิ้ม “ไม่เช่นนั้นแล้ว ท่านอาจะกล้ามีหญิงอื่นได้โดยไม่กลัวต่อคำสาบานหรือ”

“อืม ก็ถูก”ชายหนุ่มพยักหน้า ก็จริงอย่างที่อีกฝ่ายเล่า ใครจะกล้าผิดคำสาบานกัน แต่ไม่คิดว่าคำสาบานจะถอนได้จริงๆ เห็นอยู่ชัดๆว่าในตอนนี้มันส่งผลอย่างไร

“ไม่พูดแล้วดีกว่า อินน์รู้สึกไม่ดี”อินทนิลเอ่ยเบาๆก่อนจะเงียบไป ภูวรินทร์ได้แต่นั่งนิ่ง ฟังเสียงน้ำไหลจากบ่อน้ำพุให้ใจสงบลง อินทนิลนั่งนิ่งหลับตาเหมือนเหนื่อยหน่าย ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด 

“กลับเข้าไปในบ้านดีกว่า”เขาบอก เมื่อหมดอารมณ์จะมานั่งเงียบๆแบบนี้ อินทนิลพยักหน้าก่อนจะลุกขึ้นยืน เขาเดินกลับเข้าไปในบ้านที่เงียบสงบเช่นเคย ลุงชมหายหน้าไปอีกตามเคย อาจอยู่ในบ้านพัก เขาเดินเข้าไปที่ห้องอาหาร ไม่มีการจัดโต๊ะอาหารไว้

“ษอรยังไม่กลับ อินน์ทำอาหารให้คุณทานได้นะ”อินทนิลบอกอย่างนึกสนุก ก่อนจะเดินอ้อมไปที่เคาร์เตอร์ครัว เข้าไปเปิดตู้เย็นมองหาวัตถุดิบ เขามองอย่างประหลาดใจ

“ทำเป็นด้วยเหรอ”

“แน่นอนครับ เป็นลูกมือในครัวบ่อยๆ”เด็กหนุ่มตอบกลับมา “ตามใจเธอแล้วกัน”เขาตอบยิ้มๆ ก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะอาหาร เอื้อมไปหยิบหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นมาอ่านฆ่าเวลา ส่วนมากเป็นสกรู๊ปข่าวเกี่ยวกับตัวเมืองด้านล่างมากกว่าเรื่องราวของชาวบ้านบนเขาแห่งนี้ ชายหนุ่มพลิกหน้ากระดาษอย่างหมดความสนใจ ก่อนจะไล่สายตาไปเจอกรอบข่าวเล็กๆ ที่มีหัวข้อข่าวดึงความสนใจของชายหนุ่ม เป็นสกรู๊ปข่าวของคนบ้านภิรมย์สุข เกี่ยวกับการพบโครงกระดูกของคุณแก้ว...ใช่ พบแล้ว...ในข่าวเขียนเช่นนี้ แสดงว่านำไปได้ผลตรวจดีเอ็นเอแล้วงั้นสิ เขาเงยหน้ามองอินทนิลที่กำลังง่วนกับการทำปลา

“นี่อินน์”เขาเอ่ยเสียงเข้ม เจ้าตัวชะงักมองเขาด้วยท่าทีตกใจ “ครับ”

“ตำรวจได้ดีเอ็นเอจากโครงกระดูกแล้วเหรอ”

“...ไม่รู้เหมือนกันครับ ถ้าตรวจเสร็จแล้ว ลุงชมก็คงบอก”อินทนิลเอ่ยบอก ท่าทางเหมือนมึนงง ชายหนุ่มเลิกคิ้วอย่างสงสัย ทำไมลุงชมไม่บอกเขา หรือบอกแค่ป้าษอร เขานึกถึงปฏิกิริยาที่ลุงชมมองเขาตอนที่ถามถึงป้าษอร...เป็นแบบนี้นี่เอง แล้วทำไมต้องมาปิดบังเขาด้วย ในเมื่อก็รู้กันอยู่แล้วว่าเป็นโครงกระดูกของคุณแก้ว ชายหนุ่มพับหนังสือลง รู้สึกไม่ชอบมาพากล

“ฉันออกไปหาลุงชมก่อนนะ”ชายหนุ่มบอก แต่ไม่ทันจะได้ลุกอย่างเต็มภูมิ อินทนิลรับพูดทันที “ลุงออกไปรับษอรน่ะ”

“เหรอ...”ชายหนุ่มพึมพำ ก่อนจะนั่งลงต่อไปเงียบๆ คนบ้านนี้ไม่เห็นเป็นเจ้าของบ้านเลยหรือไง ปากก็บอกว่านับถือเขาเป็นนายแท้ๆ เขาได้แต่มองอินทนิลอยู่ในครัว ก่อนจะเบื่อกับการรอคอยเข้าไปช่วยเด็กหนุ่มอีกแรง เรื่องเข้าครัวเขาไม่ถนัดเท่าไหร่ แต่ก็พอถูไถไปได้ ผ่านไปเกือบชั่วโมงกว่าที่ทุกอย่างจะเรียบร้อย เขาได้ยินเสียงรถเข้ามาจอดที่ริมรั้ว มองออกไปทางหน้าต่างห้องครัวเห็นว่าเป็นรถของลุงชม ภูวรินทร์ไม่ได้สนใจมองนัก เตรียมโต๊ะอาหารสำหรับมื้อเที่ยงเงียบๆ อินทนิลที่ล้างมือจนสะอาดเดินมานั่งที่เก้าอี้ข้างๆกับเขา

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-04-2018 02:29:34 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
(ต่อ )

“ไข้ลดหรือยังครับ”เด็กหนุ่มมองไม่กล้าเอื้อมมือมาแตะหน้าผากเขา

“เบาแล้วล่ะ ปวดหัวนิดหน่อย แต่ไม่ได้เป็นอะไรมานักหรอก”ชายหนุ่มตอบ อินทนิลมองเขาเงียบๆแต่ไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะก้มหน้าทานข้าว ข้าวทานข้าวอย่างไม่เจริญอาหาร รู้สึกว่าทานข้าวไม่ลงนัก ไม่ใช่เพราะรสมือของอินทนิลไม่ดี แต่เขาปากจืดปากจางอย่างบอกไม่ถูก

“อิ่มแล้วเหรอครับ”อินทนิลถามน้ำเสียงไม่ดีนัก “ฉันไม่ค่อยหิวน่ะ ไม่ใช่ว่าฝีมือเธอไม่อร่อย”เขาบอกให้อีกฝ่ายเบาใจ เด็กหนุ่มมองอาหารบนโต๊ะเงียบๆ ก่อนจะยิ้มให้เขา

“ตามใจครับ”อินทนิลพึมพำ ชายหนุ่มเหลียวมองไปทางประตูห้องครัวที่ยังไร้วี่แววของป้าษอร เขาแปลกใจอยู่บ้างที่อีกฝ่ายไม่เตรียมอาหารเที่ยงไว้ ชายหนุ่มขอตัวออกไปหาป้าษอร

ภูวรินทร์เดินออกมาจนถึงบริเวณโถงใหญ่ หยุดอยู่หน้าบันได หันซ้ายหันขวาไม่เจอใคร ที่สวนก็ไร้เงาของลุงชม เขาถอนหายใจ ก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าจากทางบันไดด้านหลัง เขาหันไปมอง ป้าษอรเดินลงบันไดเงียบๆ สวมเสื้อต่างจากทุกวัน เธอสวมเสื้อผ้าสุภาพสีดำขาว ผ้าลูกไม้กับผ้าซิ่น ราวกับไว้ทุกข์ เขามองอย่างประหลาดใจ

ป้าษอรทำให้เขาพรั่นพรึงไม่น้อย

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”เขาเอ่ยถาม มองคนที่เดินลงมาจนถึงบันได้ขั้นสุดท้าย อีกฝ่ายเดินสำรวมเข้ามาหาเขา สีหน้ามีแววหม่นเศร้า นัยน์ตาสีดำคู่นั้นสะท้อนความเสียใจออกมา

“...ป้าไปรับคุณแก้วมา”เธอบอก ผมยืนนิ่ง รู้สึกถึงความโกรธที่พุ่งออกมา เขาอดกลั้น

“ป้าไปรับโครงกระดูกของคุณแก้วโดยไม่บอกกล่าวผมสักคำเนี่ยนะ”ชายหนุ่มเอ่ยถาม น้ำเสียงเจือโทสะอยู่บ้าง ป้าษอรเงยสบตากับเขา เสี้ยววินาทีเหมือนเขามองเห็นความเย็นชาจากอีกฝ่ายก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว ปกติป้าษอรเป็นคนนอบน้อม เอื้ออารี ไม่เคยมึนตึงใส่เขาด้วยซ้ำ ...หรือที่ผ่านมาแค่แสร้งทำดี

“คุณไม่พอใจหรือคะ ป้าแค่ไม่อยากรบกวนคุณเท่านั้นเองค่ะ คุณภูไม่ชอบเรื่องอัปมงคล ป้าก็เลยไม่ได้บอกคุณก่อน”ป้าษอรเอ่ย
เขาอึ้งไปไม่น้อย อีกฝ่ายย้อนเอาคำพูดของตนมาตอกหน้า ภูวรินทร์มองอีกฝ่ายอย่างพิจารณา

“มันก็ถูก แต่ผมเป็นเจ้าของบ้าน ในเมื่อป้ารับปากว่าจะดูแลความเรียบร้อยของบ้านหลังนี้ เรื่องโครงกระดูกก็ควรจะบอกผมไม่ใช่เหรอ”เขาถามอย่างตรงไปตรงมา ป้าษอรทำอะไรข้ามหน้าข้ามตาเขาไปมาก เขาโกรธ ที่อีกฝ่ายไม่เห็นเขาเป็นเจ้านาย

“ป้าขอโทษค่ะ ไม่คิดว่าคุณจะสนใจจริงๆ”

“ถึงผมจะเหนื่อยหน่ายกับเรื่องในอดีต แต่เรื่องนี้มันสำคัญ”เขาเอ่ยเสียงแข็ง มองป้าษอรอย่างพิจารณา

“ป้าขอโทษจริงๆค่ะที่ไม่ได้ปรึกษาคุณภูก่อน... แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ ป้าจัดการเรื่องพิธีเผาไปแล้ว”ป้าษอรเอ่ย ก้มหน้าลงไม่ได้มองหน้าเขา ชายหนุ่มยิ่งพูดไม่ออก พิธีเผา? หมายถึงเผาโครงกระดูกของคุณแก้วไปแล้วงั้นหรือ เขามองปาษอรอีกครั้ง เธอยังคงสงบเสงี่ยม

“เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ยังไม่บอกผมอีก”ภูวรินทร์ถอนหายใจแรง เพื่อคลายความหงุดหงิด

“คุณภูต้องการเคารพคุณแก้วจริงๆเหรอคะ”ป้าษอรเงยหน้าพูด เขามองแววตานั้นอย่างไม่เข้าใจนัก ถ้านับกันตามจริง คุณแก้วก็ถือเป็นญาติโกโหติกาของเขาบ้าง แม้จะห่างกันมาหลายรุ่นก็ตาม

“ทำไมจะทำไม่ได้ล่ะครับ อย่างน้อย ผมก็มีเชื้อสายของคนภิรมย์สุขอยู่บ้าง แต่ป้าล่ะครับเป็นใคร ปกติเรื่องพิธีศาสนาพวกนี้ต้องเป็นญาติของคนตาย ในเมื่อคุณแก้วไม่มีใครแล้ว ก็สมควรจะเป็นผมมากกว่าไม่ใช่เหรอครับ”เขาเอ่ยด้วยเหตุผล จ้องมองหญิงร่างท้วมอย่างไม่ละไปไหน เธอมีสีหน้าอ่อนลงมา แววตาเหมือนจะสั่นไหว ไม่มั่นใจเหมือนก่อนหน้านี้

“...ป้านึกว่าไม่มีคนสนใจแล้ว เลยถือเป็นธุระแทน”

“ผมถึงได้บอกไงครับว่าควรแจ้งผมก่อน ก็เท่านั้นเอง”ภูวรินทร์ถอนหายใจ ก่อนจะเบนหน้าออกจากอีกฝ่ายอย่างนึกหงุดหงิด

“คุณน่าจะทราบ ว่าในอดีตหมื่นนรินทร์ไม่ได้เผาคุณแก้ว”

“เกี่ยวอะไรกับผมล่ะ ในเมื่อเวลานี้ก็มีแต่ผมเท่านั้น ป้าคิดว่าผมจะเหมือนท่านอางั้นเหรอ ดูถูกผมไปหรือเปล่า ผมไม่ได้ใจคับแคบขนาดนั้นหรอก”เขาเอ่ยบอก พูดไปแล้วก็เหมือนด่าบรรพบุรุษตัวเอง ป้าษอรหน้าเจื่อนลง

“ขอโทษค่ะ....ป้าทำโดยพลการ ป้าจัดการเรื่องลอยอังคารไปแล้ว”

“ก็ดี ในเมื่อป้าทำไปแล้ว ผมโกรธไปก็เท่านั้น”ชายหนุ่มพึมพำอย่างเหนื่อยหน่าย เขาเดินผ่านป้าษอรขึ้นบันไดไปช้าๆ

“คุณภูว่าคุณแก้วจะจากไปอย่างสงบสุขไหมคะ ตามโบราณเขาว่าการลอยอังคารจะช่วยส่งดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับไปสู่ภพภูมิที่ดี ...”เสียงของป้าษอรดังมาจากด้านหลัง รั้งให้ทั้งกายของชายหนุ่มหยุดเดิน ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับหญิงท้วม พอได้เห็นสีหน้าของเธอ เสียงในใจย้ำเตือนว่าการคาดเดาของเขาไม่ผิด

“ต้องการคำตอบจริงงั้นเหรอ ป้าก็รู้ว่าคุณแก้วยังไม่ไปไหน”เขาเอ่ย นึกถึงคุณแก้วขึ้นมา ก้นบึ้งในใจรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา

“...จริงด้วยค่ะ ไม่มีทางที่คุณแก้วจะจากไปอย่างสงบได้”ป้าษอรเอ่ย เขาเงียบ “ถ้าหากว่าหมื่นนรินทร์จัดงานศพให้คุณแก้วตั้งแต่ครานั้น ป่านนี้ท่านคงไปอยู่ภพภูมิที่ดีกว่านี้”เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้า

“จะโทษว่าเป็นความผิดท่านอางั้นสินะ...”เขาเอ่ย

“ใช่ค่ะ หมื่นนรินทร์ไม่ให้เกียรติท่านเลยสักนิด ถ้าไม่อยากเก็บอัฐิเอาไว้ ก็ควรเผาแล้วนำไปลอยอังคารก็คงไม่ยากนัก แต่หมื่นนรินทร์ไม่ทำแบบนั้น”

นั่นสิ ทำไมกันล่ะหมื่นนรินทร์

“คุณภูอยากรู้เหตุผลไหมคะ”เธอเอ่ยช้าๆ เหลือบตามองเขานิ่งๆ ภูวรินทร์ชาไปทั้งร่าง มันเหมือนว่าหญิงคนนี้ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรแก่เขา ปกติ เธอจะเก็บอารมณ์ได้ดีกว่านี้ ชายหนุ่มไม่ขยับลงจากบันได เขายืนอยู่ที่เดิม แค่มองป้าษอรเล่นบทโศกใส่เขา

“บอกมาสิครับ”เขาเอ่ยบอก ไม่ถามว่าทำไมป้าษอรถึงได้รู้เรื่องในอดีต

“...เหมือนว่าก่อนตาย หมื่นนรินทร์เรียกหาบัว บอกเหตุผลว่าทำไมไม่เผาคุณแก้ว หมื่นนรินทร์รู้ความจริงเรื่องที่มณีแท้งเป็นฝีมือของนาง ท่านเลยเอาคืน ด้วยการไม่ทำพิธีศพให้คุณแก้วเพราะต้องการเห็นบัวทรมานบ้าง ในเมื่อท่านหาหลักฐานไม่ได้และไม่สามารถจับนางเข้าคุก เพราะนางกุมความลับไว้เยอะ”ป้าษอรเล่า ราวกับว่าล่วงรู้เหตุการณ์ ภูวรินทร์ไม่คิดว่าหมื่นนรินทร์จะเจ้าคิดเจ้าแค้นถึงขนาดใช้คุณแก้วเป็นเครื่องมือ...โหดร้ายจริงๆ ชายหนุ่มสังเกตป้าษอรไปด้วย เธอไม่ได้แสดงความรู้สึกใด นอกจากแววตาที่กระพริบไหว เหมือนแมงมุมที่จ้องมองเหยื่อมันวาบวับในความมืด

“...ไม่น่าเชื่อนะ”เขาพึมพำ รู้สึกว่าคอแห้งผาด หากว่าป้าษอร คือบัวกลับชาติมาเกิดจริงๆล่ะก็ เธอคลายความเครียดแค้นลงหรือยัง หลังจากที่ผ่านมานับเจ็ดสิบปี

“แต่รู้ไหมคะ ว่าบัวตอบโต้ท่านหมื่นอย่างไร นางขู่คนใกล้ตายว่าจะฆ่ามณีทิ้งแล้วจะเลี้ยงลูกท่านหมื่นเอง บอกว่าจะกรอกหูหลานชายหลานสาวว่าคนตระกูลนี้มีคนชักแช่งไว้เยอะ”

“...บัวนี่เลวจริงๆ”เขาเอ่ย มิน่าถึงได้สาปแช่งท่านหมื่นสำเร็จ พยายามนึกภาพหมื่นนรินทร์ที่เวลานั้นจะรู้สึกอย่างไร โกรธแค้น บ้าคลั่ง หรือแค่หมดแรงเหมือนคนใกล้ตาย ภูวรินทร์มองป้าษอรด้วยสายตาเรียบเฉย

“ไม่ต่างจากหมื่นนรินทร์หรอก นางได้รับกรรมของนาง แล้วท่านหมื่นล่ะ...แค่จากไปอย่างสงบก็ถือว่ารับกรรมแล้วหรือคะ”ป้าษอรเอ่ยช้าๆ กรีดลงใจของเขาไม่น้อย กรรมของเขางั้นเหรอหรือของท่านหมื่นคนนั้น... ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นเขา ชายหนุ่มนึกถึงคำของหลวงตาอยู่ในใจ มือที่กำแน่นคลายออก เขามองเธออยู่นานก่อนจะหันกายเดินกลับไปยังชั้นบนเงียบๆ เขาเห็นว่าเธอยังคงยืนมองเขาอยู่ที่ตีนบันได

ที่ป้าษอรเล่าให้เขาฟัง เธอต้องการอะไร ให้เขานึกกลัวเหรอไง

ชายหนุ่มเปิดประตูเข้าไป เดินเข้าไปในห้องก่อนที่จะผงะอยู่กับที่ ใจหล่นวูบ เมื่อเห็นกรอบรูปบานใหญ่ตั้งอยู่ที่ปลายเตียง ภาพของคุณแก้วถูกขยายใหญ่ เป็นสีขาวดำที่เหมือนรูปในงานศพ เป็นภาพที่ยังมีรอยยิ้มอยู่ ชายหนุ่มเหลียวไปมองทางประตูที่ปิดสนิท ก่อนจะก้าวขาเดินไปหยิบกรอบรูปขึ้นมาดู
ในใจพลันเศร้าลง

หมื่นนรินทร์ช่างใจร้ายเหลือเกิน เพราะเหตุผลที่ป้าษอรบอกอย่างนั้นเหรอ เพราะโกรธแค้นบัว จึงฝังแก้วไปทั้งอย่างนั้น ไม่มีทางที่คุณแก้วจะจากไปอย่างสงบ และมันก็เป็นไปตามนั้น

“ท่านไม่รักแก้วจริงๆงั้นเหรอ”เขาเผลอพึมพำออกมา สายตาจ้องมองรอยยิ้มของคุณแก้ว แววตาในกรอบรูปยังเปล่งประกายความสุขอยู่เลย

“ความทรงจำพวกนั้นคืนแก่ผมไม่ได้เหรอ”เขาเอ่ย นึกถึงคำพูดในฝัน ที่คุณแก้วบอกว่าให้จำคืนสุดท้ายของหมื่นนรินทร์ให้ได้ มันเกิดอะไรขึ้นกันนะ ชายหนุ่มมองกรอบรูปอยู่เงียบๆ นึกภาพป้าษอรลอยอังคารของคุณแก้วไป มันพิลึก หากเธอเป็นเพียงแค่แม่บ้านที่ไม่รู้จักเจ้าของบ้านคนเก่า เคยได้ยินแต่คำเล่า มองผ่านรูปถ่ายเก่าๆเท่านั้น ...เขามั่นใจว่าป้าษอรเป็นบัวในอดีตชาติ ท่าทีของเธอ เขาเดาไม่ออกว่าวางเรื่องอดีตลงไปแล้วหรือยัง

หากภูวรินทร์สามารถจดจำเรื่องในอดีตได้บ้าง เขาก็คงมีความรู้สึกรักคุณแก้วได้มากกว่านี้ ชายหนุ่มนั่งลงกับเตียง วางกรอบรูปลง เถ้ากระดูกของคุณแก้วถูกโปรยลงน้ำไปเสียแล้ว ไม่รู้ว่าคุณแก้วจะรับรู้ไหม เสียงฝีเท้าและเสียงกำไลข้อเท้าคู่กายของอินทนิล จากนั้นประตูก็เปิดออก ร่างของเด็กหนุ่มกำลังเดินเข้ามาหา

“รู้หรือยัง เรื่องคุณแก้วน่ะ”เขาเอ่ยถาม ไม่ได้มองหน้าอินทนิล เจ้าตัวคงรู้เมื่อครู่นี้จากปากป้าษอร หรือไม่ก็รู้มาก่อนหน้านั้นแล้ว

“อือ”

“จากไปแล้วหรือยัง”เขาถามไปแบบนั้น

“...อยากให้จากไปจริงๆหรือ”เสียงนั้นเศร้าลงทันที เมื่อมองไปที่คนพูด เด็กหนุ่มตรงหน้า ไม่ใช่คนเดิมอีก ทั้งลักษณะการยืนและการพูด เป็นเครื่องยืนยันว่าอีกฝ่ายยังอยู่ เขาเงียบ

“เปล่า”เขาตอบไปตรงๆไม่ปิดบัง

“ท่านดูเศร้า รู้สึกไม่ดีที่ป้าษอรเอ่ยเช่นนั้นเหรอ”คุณแก้วเอ่ย เขานึกสงสัยว่าเหตุใดถึงสื่อสารในเวลานี้ได้ ตะวันยังไม่ลับจากฟ้า

“คิดว่าคุณจะสื่อสารได้น้อยลงซะอีก”เขาถาม อินทนิลก็บอกแบบนี้ ร่างของเด็กหนุ่มเดินเข้ามาหาเขา

“ก็คงใช่ เถ้ากระดูกของเราถูกโปรยไปแล้ว...แต่เรายังติดอยู่ที่นี่ไม่เปลี่ยน”

“คุณได้ฟังหลวงตาแล้ว คิดเห็นยังไงล่ะ”เขาเอ่ยถาม คุณแก้วแววตาหม่นลง ขยับเดินมาหาแล้วนั่งลงข้างกายเขาเงียบๆ

“มันก็ถูกอย่างที่พระท่านว่าไว้...เราเป็นแค่อดีตของคุณมาช้านาน ท่านอาเป็นอดีตของคุณด้วยเช่นกัน เพียงแต่ว่า เพราะคำสาปแช่งมันผูกมัดเราไว้กับท่านไม่ไปไหน”

“นั่นสิ”ชายหนุ่มพึมพำ

“ท่านไล่ เราก็จะไป ออกจากร่างอินทนิลไปเสีย แต่จิตเสี้ยวเดียวของอินน์ก็จะไปกับเราด้วยเช่นกัน นี่ไม่ใช่คำขู่เพื่อให้เราอยู่ต่อ แต่เราพูดจริง จิตของอินน์ผูกกับจิตวิญญาณของเราไปแล้ว มันเชื่อมกันราวกับเป็นดวงวิญญาณเดียว”คำของคุณแก้วไม่ทำให้ภูวรินทร์ตกใจนัก เขาคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว

“อืม ผมไม่แปลกใจนักหรอก”

“ดูเหมือนท่านจะผิดหวัง”

“...ไม่หรอก ผมแค่คิดอยู่เหมือนกันว่า ถ้าหากได้ความทรงจำครั้งอดีตมาบ้างก็คงดี”ชายหนุ่มเอ่ย เขามองใบหน้าของอินทนิล เวลานี้กลับไม่เหมือนอินทนิลนัก เป็นคุณแก้วในสายตาของเขา ภูวรินทร์แยกแยะได้

ใช่ อดีตก็คืออดีต ปัจจุบันนี้ เขามีอินทนิลกับคุณแก้วอยู่

“ผมฝันร้ายถึงคุณอีกแล้ว”

“เป็นอย่างไรบ้าง”อีกฝ่ายเอ่ยถามน้ำเสียงอ่อนลง ฟังเหมือนคลายความเศร้าไปเยอะ

“มีคุณ แล้วก็ซากทารกของมณี มีเหตุการณ์ในอดีตด้วย คืนที่คุณเสีย”เขาเอ่ย มองคุณแก้วที่เหมือนจะหน้าซีดไป เจ้าตัวถอนหายใจ

“เราก็เพิ่งรู้เรื่องบัว... ไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนั้น”คนข้างกายพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ส่ายศีรษะอย่างไม่นึกเชื่อ

“แต่มีเหตุผลไม่ใช่เหรอครับ กับทุกสิ่งที่ทำเพื่อคุณ”

“ใช่...แต่เรารับไม่ได้หรอก...ความโหดร้ายเหล่านั้น”

“ท่านหมื่นก็ด้วย เรื่องที่ฝังคุณ ป้าอษรพูดถูกหรือเปล่า”ชายหนุ่มหันหน้าถามคุณแก้ว เจ้าตัวกระพริบตาไล่หยาดน้ำตา   

“คงจริงนั่นแหละ...”คุณแก้วเอ่ยสั้นๆ แววตาสงบลง ภูวรินทร์ถอนหายใจ เหมือนว่าเขารับรู้ถึงความเจ็บปวดของอีกฝ่ายได้ ความรักมันคืออะไรกันล่ะ หากท่านอาเริ่มจากความสงสาร แล้วเขาล่ะ...เป็นความสงสารเหมือนกันไหม มันพัฒนาเป็นความรักได้หรือไม่

“ท่านอารักคุณจริงๆหรือ”คำถามของเขา ทำให้คุณแก้วนั่งนิ่ง ร่างกายเกร็งขึ้นมาทันที เขาเหลียวมองใบหน้านั้นอยู่ไม่วางตา เจ้าตัวขยับปากเล็กน้อย

“ท่านเคยรัก”อีกฝ่ายเอ่ยเบาๆ น้ำเสียงเหมือนกระซิบ จนเขารู้สึกผิดเองที่ไปถามแบบนี้กับเจ้าตัว

“หากอินน์ปลอดภัยเพราะมีคุณ ผมก็ทำอะไรไม่ได้”ชายหนุ่มเอ่ย จำต้องพูดเช่นนี้ออกไป เขาไม่ได้มองคนข้างกายอีก แต่จากปรายตายังมองเห็นมือของคุณแก้ว เขาจ้องมองมันอยู่อย่างนั้น

“...ก็ดีแล้ว”คุณแก้วตอบ น้ำเสียงไม่มั่นคง   

“ผม...ขอโทษนะ”เขาเอ่ยอย่างยากลำบาก ชั่วอึดใจคุณแก้วเหมือนหายใจติดขัดไป จนคนข้างกายผ่อนลมหายใจช้าๆออกมา ขยับมือเข้ามากุมกันไว้

“ด้วยเรื่องใดล่ะ”คุณแก้วถามเบาๆ ชายหนุ่มเม้มปาก เงียบไปก่อนจะเอ่ยขึ้น “ทุกอย่าง”

“ท่านเคยบอกให้เราลืมเรื่องในอดีต ให้เราปล่อยวางมันไปไม่ใช่หรือ ถ้าเช่นนั้นเราก็จะลืมไปซะ ดังนั้นท่านอย่าขอโทษและรู้สึกไม่ดีอีกเลย หลวงตาเองก็บอกให้ท่านอยู่กับปัจจุบัน...เราเองก็จะอยู่กับปัจจุบัน ท่านไม่ใช่ท่านอา ท่านคือภูวรินทร์ ...แค่ภูวริ
นทร์”คุณแก้วพูดช้าๆ แม้น้ำเสียงจะไม่แสดงความเศร้าเสียใจ แต่ในถ้อยคำนั้นไม่มั่นคงนัก อีกฝ่ายยังคงนั่งนิ่งงัน ไม่ขยับไหน ภูวรินทร์ไม่รับรู้สิ่งใด หัวสมองตื้อตัน

ต้องทำอย่างไรดี ไม่อยากให้คุณต้องเจ็บปวดช้ำใจอีก มันไม่ต่างกันเลยไม่ใช่หรือ ไม่ว่าจากหมื่นนรินทร์ หรือจากตัวเขาเอง เขาต้องทำอย่างไรถึงจะถูก ภายในห้องเงียบ คุณแก้วยังคงเงียบ แต่เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายกำลังก้ำกลืนก้อนสะอื้นและหยาดน้ำตา

“หากทำได้ เราก็อยากหายไป ปลดความทุกข์ที่เกาะกุมเรามานานได้ก็คงดีไม่น้อย”อีกฝ่ายค่อยลุกขึ้นจากเตียง เมื่อกลับมายืนบนพื้นห้อง เจ้าตัวยื่นมือมาจับกรอบรูปของตนเอง “เราขอเก็บไว้ดีกว่า”คุณแก้วเอ่ยเบาๆ ถือกรอบรูปไว้ ชายหนุ่มเงยมองอีกฝ่าย

คนตรงหน้ามองเขาอย่างช้ำชอก สองตาแดงก่ำ ไม่มีหยาดน้ำตาออกมา แต่ยังเห็นร่องรอยของมันอยู่ เขามองอยู่อย่างนั้น

“ท่านควรพักผ่อน จะได้ไม่ป่วยอีก”คุณแก้วเอ่ยทิ้งท้ายก่อนจะเดินหันหลังเดินกลับออกไปเงียบๆ ประตูห้องค่อยๆปิดลง ภูวรินทร์ขยับตัวลุกขึ้นยืนอย่างงงงัน ก่อนจะทรุดลงนั่งต่อ เขายิ้มเศร้า ขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมา ในเมื่อไม่รู้ ไม่เห็น ไม่รู้สึกถึงเรื่องในอดีต เขาจะทำอะไรได้

คุณแก้วมาดหมายในรักของเขานั้นไม่ผิด สมแล้วที่บัวสาปแช่งท่านนะหมื่นนรินทร์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-04-2018 02:29:54 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ @Sister

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
จะเป็นไงต่อ  เห็นใจคุณแก้วเหมือนกัน  :mew6:

ออฟไลน์ หมอตัวเปียก

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1874
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
เห็นใจคุณแก้วนะ ไม่ได้ทำอะไรเลย กลับต้องทนทุกข์ทรมานเพราะคนอื่น

ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1001
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1

ออฟไลน์ sweet98

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ยิ่งอ่านยิ่งงง เนื้อเรื่องมันยังกำกวม  รู้อย่างเดียวว่าคุณแก้วเป็นลูกแม่บัว

แต่แค่เหตุผลว่าเป็นลูกคนรับใช่้ ท่านอาถึงกับหมดรัก หมดความผูกพันเลยหรือ

มันน่าจะมีเหตุผลมากกว่านี้นะ อะไรคือเหตุผลที่แท้จริง รออ่านต่อค่ะ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
จุกพูดไม่ออก

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
สงสารจัง ทุกคนเลย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ เป็ดอนุบาล

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
ตอนนี้คือสงสารคุณภู อินและคุณแก้ว ถ้าเรื่องทุกอย่างมันเริ่มที่บัว บัวที่เป็นป้าษอรก็ควรปล่อยวางได้แล้วนะ ไม่เห็นเหรอว่าคนที่อยู่ตอนนี้ทุกข์กันแค่ไหน นี่อ่านแล้วอึดอัดแทนเลยจริงๆ แต่ดูเหมือนตอนนี้ภูจะเริ่มมีใจให้ทั้งคุณแก้วและอินแล้วนะก็หวังว่าเรื่องราวจะจบลงด้วยดี ยังอยากให้อินเป็นนายเอกอยู่นะ

ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
เหมือนรักสามเศร้าเลย

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
ตอนที่ ๑๓


เสียงลมยังคงปลุกปั่นให้ภูวรินทร์นอนไม่หลับ คืนนี้อินทนิลไม่ได้มานอนกับเขา ชายหนุ่มนอนไม่หลับ ทั้งกังวลเรื่องคุณแก้วทั้งเรื่องของอินทนิล เขาลุกจากเตียงไปเปิดไฟดวงใหญ่ของห้องนอน ชายหนุ่มเดินไปเปิดหน้าต่างออกรับสายลมให้สดชื่น ตั้งแต่คุณแก้วและอินทนิลนำดอกไม้มาถวายแก่บรรพบุรุษ เขาไม่นึกกลัวความมืดมากเท่าเมื่อก่อน เดินไปลากเก้าอี้ออกมานั่งริมหน้าต่าง สอดสายตามองไปที่เรือนปั้นหยาหลังข้างๆด้วยใจเงียบเหงา ดอกแก้วขาวผ่องยังเด่นในความมืดเจือแสงจันทร์ที่ลอยเด่น เสียงหวีดหวิวดังให้ได้ยินอยู่เสมอ

บ้านหลังนี้ครอบคลุมด้วยบรรยากาศเงียบสงัด เขามองไปที่สวนต้นแก้วอย่างใจลอย

ความรักของท่านหมื่นเป็นเช่นไรหรือ มันไม่เหลือที่ไว้ให้คุณแก้วอีกเลยงั้นเหรอ ในฝันนั้นท่านอาบอกว่ายังเหลือเยื่อใยให้แก้วอยู่ เป็นเยื่อใยแบบไหนกัน

ใบหน้าของภูวรินทร์เย็นเยียบ เขายกมือลูบทั่วใบหน้า เมื่อมองไปทางสวนต้นแก้วอีกครั้ง เขาเพ่งมองแสงประหลาดจากทางชายป่าข้างๆ ทิศทางมาจากสุสานของตระกูล เขาชาไปทั้งร่าง เหลือบมองไปรอบห้องที่เงียบกริบ เขาหันไปมองทางชายป่าอีกครั้ง แสงนั้นวูบไหวไปมา แสงสีขาวคล้ายกับไฟดวงเล็ก หากมองในแง่ดีอาจเป็นแสงไฟจากตะเกียง แต่นี่เวลาแบบนี้ ใครกันนะ? ผีสางหรือ? ตั้งแต่มาอยู่ที่บ้านหลังนี้เขายังไม่เคยเจอวิญญาณสักครั้ง มีเพียงในฝันร้ายเท่านั้น เขาขมวดคิ้วลุกจากเก้าอี้ เดินไปยังตู้ลิ้นชักข้างเตียงเลื่อนไปหยิบเอาไฟฉายกระบอกใหญ่ออกมา เวลาบนหน้าปัดนาฬิกาชี้ที่เลขสอง ชายหนุ่มนึกอยากไปหาอินทนิลหรือลุงชมเพื่อไปดูร่องรอยของแสงนั้น

ภูวรินทร์หยิบเอาสร้อยตะกรุดที่หลวงตาให้มา ก่อนจะหลุดขำออกมาเมื่อนึกถึงคำของท่านว่าไม่ช่วยไล่ผี แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังเอาติดตัวไป เขาเดินออกจากห้อง จนมาถึงบริเวณหน้าบันได ห้องโถงกว้างยังคงมืดสลัว แสงสิบวับสะท้อนมาจากโคมไฟระย้าด้านบน เขานึกถึงคุณแก้ว แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ได้เป็นผีสาง แต่ก็อยากให้มาคุ้มครองตนได้

‘บ้าจริงๆเรา หักน้ำใจของคุณแก้วไปซะขนาดนั้นแล้ว’ ชายหนุ่มเดินลงบันได ในใจยังมีความกลัว แต่ก็มีความอยากอยากรู้และความกล้ามากกว่า ที่เขาเจอมาทั้งหมดคงไม่มีอะไรให้หวาดกลัวอีก เขาเดินไปจนถึงหน้าประตูใหญ่ที่เปิดอ้าไว้เป็นปกติ ออกเดินมาจนถึงทางหน้าบ้าน ไร้เสียงน้ำพุในสวน ลมกลางคืนทำให้หนาวกายไม่เบา

เขาเดินไปตามทาง มุ่งหน้าไปยังประตูเล็กข้างรั้วบ้านเพื่อผ่านเข้าไปในสวนหน้าเรือนปั้นเหยา ยอมรับตามตรงว่าเขากลัวเรือนปั้นหยามากกว่าสุสานเสียอีก คงเพราะเรือนเล็กหลังนั้นเป็นที่อาศัยของคุณแก้ว เขาเร่งฝีเท้าเดินผ่านสวนหน้าบ้านไปยังชายป่า ยิ่งเข้าไปใกล้ เสียงเสียดสีของใบไม้สั่นกราวมาให้ได้ยินอยู่ตลอด เขาส่องไฟไปตามทางเดิน ตัดสินใจแน่วแน่ก้าวเท้าเข้าไปในสวนสุสานด้านใน

ความมืดโอบล้อมอาณาบริเวณ เงามืดจากต้นไม้เล็กใหญ่ที่สูงต่ำต่างกัน เขาฉายไฟไปตามโกฏิที่เรียงรายเป็นแถวสั้นๆ เลือดในกายหนาวเย็น แสงสว่างที่เห็นเมื่อคู่ก่อนหายไปแล้ว เขาไม่คิดว่าตนเองตาฝาดไป พยายามไม่สนใจความวูบไหวของเงามืดรอบๆกาย เขาหายใจกระชั้นถี่ เมื่อมายืนอยู่ในสุสาน ภูวรินทร์พบว่าความกลัวของตนเองมีมากกว่าครั้งไหนๆ

มือซ้ายกำสร้อยไว้แน่น ไม่ว่ามันจะช่วยหรือไม่เขาก็เบาใจไปส่วนเดียว เพ่งสมาธิไปที่การมองเห็นข้างหน้ามากกว่าเสียงที่ได้ยินจากสองหู

ไม่มีอะไรเกิดขึ้นสักนิด

สุสานแห่งนี้มีอะไรซ่อนอยู่หรือไม่นะ เขาส่องไฟไปที่โกฏิแถวแรก เป็นของเจ้าหมื่น มีโกฏิอันเล็กวางอยู่ใกล้กัน ไม่มีชื่อติดไว้แต่เดาได้ว่าเป็นของบัว เขานั่งลงมองโกฏิอันเล็กนิ่งๆ ชื่อนี้ทำให้เขาหวั่นใจนัก หากเธอไปเกิดใหม่เป็นป้าษอรแล้วจริงๆล่ะก็...ขอเถอะ เลิกแล้วต่อกันจะดีกว่า

ไม่ทันที่จะลุกขึ้นยืน เสียงกรอบแกรบของใบไม้ คล้ายมีคนย่ำเหยียบมันตามมาด้วยเสียงกรุ๊งกริ๊งของกำไลข้อเท้า ภูวรินทร์ชะงักงัน มือเย็นเยียบทันที ...อินทนิล...คุณแก้วงั้นสิ ชายหนุ่มสาดแสงไฟฉายไปตามทิศทางที่ได้ยิน เสียงนั้นดังมาจากทางด้านหลังของสุสาน เขาลุกขึ้นยืน พบว่าร่างของอินทนิลยืนนิ่งอยู่ ตรงท้ายโกฏิแถวหลังสุด เขาคลายความกลัว แต่กลับกังวลใจเรื่องอินทนิล

 “อินน์”เขาเรียก ก้าวเดินไปหาอีกฝ่ายใกล้ๆ ส่องไฟไปหาเจ้าตัว พบว่าอินทนิลดูไร้ความรู้สึก สองตาไม่ได้จับจ้องเขาเลย มือข้างถนัดถือไฟฉายที่ไร้แสงไว้ด้วย

ละเมองั้นเหรอ เขาเดินเข้าไปหา เอื้อมมือไปจับไหล่ของอีกฝ่ายอย่างเป็นห่วง

“อินทนิล”เขาเรียก ออกแรงเขย่าเบาๆให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับมา เขาเลยดึงไหล่เข้ามาใกล้แล้วบีบแรงๆ

“อินน์!”เขาเรียกเสียงดังขึ้น เด็กหนุ่มสะดุ้ง ผงะออกห่างเขาโดยทันที เขาเห็นว่าอินทนิลดูตื่นกลัว เมื่อเห็นรอบข้างมืดสลัวห้อมล้อมไปด้วยป่า

“นี่ฉันเอง”เขาบอก ส่องไฟไปหาเจ้าตัว อินทนิลเซถอยหลัง หรี่ตามองเขาให้ชัดเจนขึ้น สองมือกำแน่นเช่นเคย

“...คุณภู”อินทนิลเอ่ยเสียงสั่นกลัว ก่อนจะเดินเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว เขาจับฝ่ามือของอีกฝ่ายไว้ มันเย็น “เธอละเมออีกแล้ว”เขาบอก ก่อนจะส่องไฟฉายไปรอบๆกาย ไม่มีวี่แววของสิ่งประหลาด เด็กหนุ่มพยักหน้าก่อนจะกระชับมือเขาไว้แน่น ภูวรินทร์พาอินทนิลกลับออกจากสุสาน พยายามไม่เหลียวหน้าเหลียวหลัง

“คุณมาที่สุสานทำไมครับ”

“ฉันเห็นแสงไฟของเธอน่ะสิ เลยออกมาดู”เขาตอบ ร่างของอินทนิลสั่นเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ชิดเขามากขึ้น ชายหนุ่มเดินผ่านเรือนปั้นหยา ส่องไฟไปเบื้องหน้า พอมองจากสายตาคนนอกแล้ว บ้านใหญ่ดูเงียบร้างไม่น่ามองนัก ระหว่างที่เดินผ่านสวนต้นแก้ว ลมหอบใหญ่ก็พัดเข้ามา เสียงขยับไหวของกิ่งก้านต้นไม้สั่นกราว เสียงกรอบแกรบของใบไม้ทำให้คนทั้งสองหยุดนิ่ง อินทนิลจับมือเขาแน่น ภูวรินทร์ส่องไฟไปยังต้นเสียง ในความมืดของสวนหย่อมเล็กๆ มีเพียงต้นแก้วที่ส่งกลิ่นออกมาอย่างรุนแรง เสียงเอี๊ยดอาดของหน้าต่างที่ตัวเรือนปั้นหยาทำให้เขาไม่สบายใจ อินทนิลกระตุกมือของเขาให้เดินต่อ แววตาของเด็กหนุ่มสั่นไหวอย่างหวาดระแวง

คนทั้งคู่เดินผ่านประตูเล็ก ก่อนจะปิดมันแบบลวกๆไม่ได้ลงกลอน พาอินทนิลกลับเข้าไปด้านในบ้าน

“เธอละเมอไปที่นั่นทำไมกัน”เขาเอ่ยถาม อินทนิลไม่ได้เงยหน้ามองเขา แค่เดินเข้ามาในบ้านเงียบๆ เขาเอื้อมไปเปิดไฟของโถงใหญ่จนสว่างไปทั้งบ้าน

“...ไม่รู้เหมือนกันครับ อินน์เข้านอนปกติ สงสัยว่าจะเป็นท่านมากกว่า”เด็กหนุ่มส่ายหน้า เอ่ยนำเสียงสั่นเครือ มีความหวาดหวั่นชัดเจน ชายหนุ่มเหลียวมองคนข้างกายอย่างสงสัยขึ้นมา

“คุณแก้วน่ะเหรอ ทำไมกันล่ะ”

“ท่านคงระแคะระคายบางอย่างในสุสานกระมังครับ”เด็กหนุ่มบอกเบาๆ ไม่ได้เงยหน้ามามองเขา

“แล้วท่านไม่ได้บอกอะไรเธอเหรอ”เขาถาม อินทนิลส่ายหน้า ยังไม่ยอมปล่อยมือจากตน ชายหนุ่มเดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ คนข้างกายดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะคุณแก้วเริ่มสื่อสารได้น้อยลง เวลาแบบนี้ควรเป็นคุณแก้วไม่ใช่หรือ เขาคิดว่าที่อินทนิลไม่มานอนด้วยกัน คงเพราะคุณแก้วเลือกจะไม่มาเห็นหน้าเขา แต่กลายเป็นว่าอินทนิลนอนละเมอ

เขากับอินทนิลกลับเข้าไปในห้องนอน อินทนิลยังคงไม่สวมรองเท้าเช่นเคย เจ้าตัวไปล้างหน้าทำความสะอาดร่างกายในห้องน้ำ เขาเก็บไฟฉาย เดินไปชงชามาสองแก้ว  พอดีกับที่อินทนิลออกมาจากห้องน้ำ แต่เจ้าตัวไม่ขยับเขยื้อน มองตนอยู่หน้าห้องน้ำ ภูวรินทร์วางถ้วยชาลงกับเตียง ก่อนจะเดินนั่งลง หันมองไปทางอินทนิลอย่างสงสัย

“เป็นอะไรไป”เขาถาม มองท่าทีของอีกฝ่ายไม่วางตา อินทนิลเงียบผิดปกติมาตั้งแต่เข้ามาในบ้านแล้ว แต่ไม่ยอมบอกอะไรให้รู้เสียที

“...ตอนที่ท่านอาใกล้ตาย ท่านเขียนพินัยกรรมฉบับใหม่ไว้”อินทนิลพึมพำ ยังคงยืนนิ่งอยู่แบบนั้น เขามองอีกฝ่ายอย่างไม่แน่ใจนัก เพราะในใบโอนมรดกที่ดินนั้นโอนมาจากชื่อของคุณนิรุท แสดงว่าบ้านหลังนี้ถูกมอบให้ทายาทของหมื่นนรินทร์ไปเรื่อยๆไม่ผิดแน่

“แล้วฉบับเก่า มอบพินัยกรรมให้ใคร”เขาเอ่ยถาม แม้ว่าตนเองจะคาดเดาคำตอบได้บ้างแล้ว เด็กหนุ่มยิ้มบางๆก่อนจะเอ่ยต่อ

“ฉบับเก่าก็ให้ลูกชายของตนเองนั่นแหละ...แต่ฉบับใหม่ที่เขียนก่อนจะสิ้นลม ท่านมอบบ้านหลังนี้คืนแก่คุณกิ่ง”อินทนิลมองเขาอย่างไม่วางตา

“...แต่บ้านนี้ยังเป็นของลูกหลานท่านอาไม่ใช่เหรอ”เขาเอ่ย

“เพราะมันถูกทำลายไป”อินทนิลบอก

“ถูกทำลายงั้นเหรอ”เขาถาม ในใจรู้สึกโหวงเหวงขึ้นมา อินทนิลขยับตัว ก้าวเดินเข้ามาหาเขาช้าๆ ปากขยับเล่าเรื่องต่อไปเรื่อยๆ

“ใช่ครับ บัวทำลายทิ้ง”เด็กหนุ่มเฉลย ภูวรินทร์นิ่วหน้า เมื่อนึกถึงบัวแล้วเกิดอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาอยู่บ้าง หญิงคนนี้เจ้าคิดเจ้าแค้นมากจริงๆ ไม่ผิดที่หมื่นนรินทร์จะโดนคำแช่งแรงถึงขนาดนี้ เขานิ่งไป ขณะนั้นอินทนิลเดินมาหาเขาที่เตียง ก่อนจะนั่งลงที่ปรายเตียง อีกฝั่งหนึ่งของถ้วยน้ำชา สายตาจับจ้องมาที่ควันที่ลอยอยู่เหนือถ้วยน้ำชาไปด้วย   

“เพราะบัวเป็นคนดูแลบ้าน ดูแลลูกของท่านอา อีกอย่าง พยานในพินัยกรรมของท่านก็เป็นนายหวั่น กับบัว”

“ทำไมล่ะ”เขาแปลกใจ หมื่นนรินทร์ยังกล้าให้บัวเป็นพยานอีกหรือ

“คงเพราะท่านอาสำนึกได้แล้ว เลยเลือกจะคืนบ้านให้กิ่ง แต่ดูเหมือนว่าบัวไม่ต้องการแบบนั้น นายหวั่นเองก็ร่วมมือกับบัว ไม่เชิงว่าสมรู้ร่มคิดหรอก แค่ทำเป็นมองไม่เห็น พินัยกรรมฉบับเก่าเลยได้รับการถ่ายทอดออกมาแทน ทำให้บ้านก็ยังเป็นของลูกหลานทานอาอยู่ดี”อินทนิลเอ่ย เหลือบมองเขาด้วยแววตาเรียบเฉย ภูวินทร์อึดอัดขึ้นมา

“เพราะบัวอยากเอาคืนท่านหมื่นหรือ”เขาเอ่ย คิดว่าส่งที่บัวต้องการคือความทุกข์ยากของคนภิรมย์สุขที่เป็นลูกหลานของหมื่นนรินทร์ ถึงได้ปล่อยให้บ้านอยู่ในการครอบครองของลูกหลานท่านอา

“คงเป็นแบบนั้น ในตอนนั้นมณีเริ่มป่วยขึ้นมาอีกคนแล้ว”เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างไม่แยแสนัก เขาส่ายหน้า นึกรังเกียจบัวในอดีตขึ้นมา

“บัวนี่เลวจริงๆ”ชายหนุ่มพึมพำ ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบขับไล่ความหวั่นเกรง อินทนิลในตอนนี้รู้เรื่องราวในอดีตได้อย่างไรกัน เหมือนว่าเด็กหนุ่มเดาสายตาของเขาได้จึงเอ่ยต่อมา นัยน์ตาสีนิลฉายแววหม่นไม่สดใส “ก่อนนอน ษอรมาเล่าให้อินน์ฟัง”

“ทำไมป้าเขาถึงบอกเธอล่ะ”เขาแปลกใจ ไม่คิดว่าป้าษอรจะเปิดเผยถึงขนาดนั้น อินทนิลยิ้ม

“อ้อ อันที่จริงบอกท่านมากกว่า ที่อินน์ละเมอไปที่สุสานคงเพราะท่านคงระแคะระคายอะไรบางอย่าง”อินทนิลเอ่ยนิ่งๆ ภูวรินทร์เหมือนมีความหวังขึ้นมา “แน่ใจเหรอ”

“ครับ...”เจ้าตัวพยักหน้า แววตาไม่สั่นไหวดูมั่นใจกับคำตอบ “เรื่องษอร...อินน์ว่าคงเป็นเหมือนที่คุณภูสงสัย”

“แล้วเธอคิดว่าป้าษอรเลิกจงเกลียดจงชังท่านอาแล้วหรือยัง”เขาถอนหายใจเมื่อนึกถึงเรื่องเก่าๆ อินทนิลเม้มปาก

“คงเฉยชาแล้วมากกว่า ษอรดีกับคุณภูไม่ใช่เหรอครับ”

“มันก็ใช่...แต่ไม่รู้สิ...เรื่องที่ไปลอยอังคารคุณแก้ว ก็ไม่บอกฉันสักคำ”ภูวรินทร์ขมวดคิ้ว แม้แต่เถ้ากระดูกก็ไม่ได้เห็น ไม่ได้สัมผัส แม้ใจจะไม่ได้รักคุณแก้วเช่นในอดีต แต่มันก็ทำให้เขาอดโหวงเหวงในใจไม่ได้ เขาไม่ปฏิเสธว่าคุณแก้วเข้ามาอยู่ในใจตนได้สำเร็จ ไม่ว่าจะมาจากความสงสารเห็นใจ หรือมาจากความผูกพันในหนก่อนก็ตาม

“คุณเสียใจงั้นเหรอครับ”อินทนิลเอ่ย เอื้อมมือมาแตะแขนของเขาอย่างแผ่วเบา มือของเจ้าตัวอุ่นและนุ่ม ราวกับผิวเด็ก ภูวรินทร์สบตาสีนิลของอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ ก่อนจะเอ่ยสั้นๆ “ใช่สิ...”

“ไม่สำคัญหรอกครับ ท่านคงดีใจ ที่คุณรู้สึกเช่นนี้”อินทนิลเอ่ย แววตาที่จับจ้องมาส่งประกายจริงใจออกมา เขานึกไม่ออกเลยว่าอินทนิลยินดีที่เขาจะแบ่งปันความรู้สึกไปให้ผู้อื่นได้อย่างไร แม้ว่าจิตวิญญาณจะผสานเป็นหนึ่งเดียว แต่คุณแก้วกับอินทนิลนั้นแตกต่างกัน หากอินน์คือความอบอุ่นในยามเช้าที่เข้ามากล่อมเกลาจิตใจที่ขาดเขลาและหวั่นกลัวของตน คุณแก้วก็คงเหมือนความหนาวเย็นของสายลมที่พัดผ่านในตอนกลางคืน ไม่ได้ทำให้หนาวสั่นแต่ทำให้จิตใจสงบลงได้

“บางทีในตอนเช้า ฉันอาจไปตรวจสอบที่สุสานอีกรอบ เผื่อว่าเจอร่องรอยขึ้นมาบ้าง”ภูวรินทร์เอ่ยเบาๆ ก่อนจะยกชาดื่มเพื่อดับความวุ่นวายในใจ อินทนิลมองเขายิ้มๆก่อนจะยกชามาดื่มเงียบๆ

ตลอดทั้งคืนภูวรินทร์นอนไม่หลับไปจนถึงเช้า ส่วนอินทนิลหลับไปอย่างง่ายดาย คิดว่าคงใช้พลังงานเยอะ เขาตัดใจจากคุณแก้วไม่ลงจริงๆด้วย หลวงตาบอกว่าอย่าไปทำความผูกพันกับสิ่งที่ล่วงลับไปแล้ว แต่ว่าทั้งคุณแก้วและอินทนิลต่างก็เป็นคนที่ล่วงลับไปแล้วไม่ใช่หรือ จะให้เขาละทิ้งอินทนิลไปงั้นเหรอ ตนในเวลานี้ไม่ได้มีความรักลึกซึ้งกับอินน์ แต่ยังทีความผูกพันกันอยู่ อย่างน้อยเขาก็มีใจให้อินทนิลไม่น้อย หากว่าเขาเลือกปล่อยอินน์กับคุณแก้วไป คำที่เคยรับปากป้าษอรไว้...ที่ว่าจะดูอินน์ให้ปลอดภัย ก็คงทำไม่ได้ เธอคงแค้นเคืองเขาขึ้นมาอีกครั้ง ในฐานะภูวรินทร์ด้วยอีกคน คงไม่ดีแน่....

ภูวรินทร์รู้ซึ้งว่าคำสาปของมณีกับบัวยังคงอยู่ไปจนกว่าเขาจะตายไปด้วย มณีสาปแช่งหมื่นนรินทร์ แช่งแก้วให้ไม่ได้ผุดได้เกิด บัวสาปแช่งหมื่นนรินทร์ คำแช่งที่ร้ายแรงพวกนี้มันไม่อาจแก้ไขได้จริงๆ


+++++++++++++



เสียงนกแตกรังในยามเช้าปลุกให้ภูวรินทร์ลืมตาตื่น เขานอนเหยียดอยู่ข้างๆอินทนิลที่ยังคงหลับสนิท ชายหนุ่มย่นหน้าเมื่อเจอแสงจากยามเช้าส่องเข้าที่ดวงตา เขาเหลียวไปมองนาฬิกาพบว่าเพิ่งเจ็ดโมงเช้าอยู่เลย ชายหนุ่มค่อยๆขยับตัวลุกออกจากเตียง ก่อนจะจัดการอาบน้ำให้ร่างกายสดชื่น เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าไม่อ่อนเพลียเท่าเมื่อวาน ออกมาจากห้องน้ำอินทนิลยังคงไม่ตื่น เขาเข้าไปมองเด็กหนุ่มที่หลับใหลอย่างมีความสุข เขายิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเดินออกจากห้อง เช้านี้เขาถือโอกาสไปเคารพโกศของหมื่นนรินทร์ เป็นครั้งแรกที่เขาคิดจะไปกราบไหว้บรรพบุรุษ ชายหนุ่มเดินลงบันไดก่อนจะเข้าไปในครัว เขาเจอป้าษอรเช่นเคย เธอส่งยิ้มให้เขา ภูวรินทร์ยิ้มแย้มตอบกลับไป ราวกับว่าเสแสร้งต่อกันทั้งที่รู้ดีแก่ใจว่าป้าษอรกับเขานั้นต่างแปลกออกไป เขาเดินไปหยิบธูปติดมือออกมา

“มีอะไรหรือเปล่าคะคุณภู”เธอเอ่ยถาม เขาหันมองเธออย่างใคร่ครวญ “ผมกะว่าจะไปไหว้โกศของหมื่นนรินทร์บ้างน่ะครับ...”เขาบอก ป้าษอรมีสีหน้าประหลาดใจ เธอมองเขาด้วยสายตาอ่อนโยนลง เขาไม่สนใจเธออีก เดินออกไปที่หน้าบ้าน เอ่ยทักทายลุงชมที่กำลังยืนรดน้ำต้นพวงมณีที่ใต้หน้าต่างของห้องโถง ชายหนุ่มเดินลัดเลาะไปตามรั้วบ้านก่อนจะเปิดประตูรั้วขนาดเล็กเข้าไปที่เรือนปั้นหยา เขาเดินไปเด็ดช่อดอกแก้วมาสองช่อ กลีบดอกที่โรยราร่วงลงพื้นมองไปก็สวยไปอีกแบบ

ภูวรินทร์เดินไปยังสุสาน เขาไม่ได้ทำมาพิธีรีตอง แค่อยากมาเคารพอัฐิของหมื่นนรินทร์ แล้วก็ไปเคารพอัฐิของบัวก็ไม่เสียหายอะไร รวมถึงไปสำรวจสุสานอีกสักรอบ เขาเดินไปที่โกฏิแถวแรก เป็นของเจ้าหมื่น ทว่าอัฐิของบัวที่อยู่ข้างกันนั้นยังไม่เก่าซีด ชัดเจนว่ามีคนคอยทำความสะอาด ภูวรินทร์จุดธูป วางดอกแก้วลงที่ข้างโกศของบัว ตั้งจิตแผ่กุศลให้แก่เธอ

‘บุญใดที่ข้าพเจ้าได้ทำมาแล้วตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันขอให้นางบัวจงได้รับเหมือนกับข้าพเจ้าเช่นกัน จงมาอนุโมทนาบุญนั้นด้วยเทอญ สาธุ’ เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าบัวจะได้รับกุศลนี้หรือไม่ เพราะจิตของบัวไปเกิดแก่ป้าษอรแล้ว แต่ช่างเถอะ เพราะว่าเขาอยากแผ่เมตตาให้บัว ไม่ได้สนใจเรื่องอื่นมากนัก

ชายหนุ่มเดินไปยังโกฏิแถวที่สอง ก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ที่โกฏิใส่อัฐิของหมื่นนรินทร์ ชายหนุ่มนั่งคุกเข่าลงกับพื้น จุดธูป วางดอกแก้วลงที่ฐานโกฏิ เอ่ยบทสวดแผ่เมตตา มองรูปซีดจางมองไม่เห็นใบหน้า เด่นชัดสุดคงเป็นชื่อ และวันมรณะ เมื่อสวดเสร็จ ชายหนุ่มทรุดลงนั่งลงหน้าโกฏิของหมื่นนรินทร์ ก่อนจะยื่นมือไปสัมผัสรอยสลักชื่อบนแท่นปูนตรงหน้า เขาหลับตาลง พยายามสื่อความปรารถนาไปให้เถ้ากระดูกของอีกฝ่าย ...อดีตชาติของตนเอง...

ได้โปรด ช่วยผมด้วย ไม่รู้ว่าทำแบบนี้ไปจะได้ผลอะไร เพราะจิตวิญญาณของหมื่นนรินทร์มาเกิดเป็นเขาแล้ว

เสียงฝีเท้าดังมาจากทางด้านหลัง เสียงเหยียบใบไม้แห้งทำให้ภูวรินทร์หันไปมอง ปรากฏว่าเป็นป้าษอร เธอมองมาที่เขา กลิ่นธูปปะปนกับกลิ่นดอกแก้วลอยละล่องอยู่ภายในสุสาน ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน หันมองหญิงร่างท้วม สายตาของเธอมองดอกแก้วที่วางอยู่หน้าโกศของบัว เห็นรอยขมวดคิ้วชัดเจน เธอมองมาที่เขาอีกครั้ง ราวกับว่าบริเวณนี้ไร้อากาศถ่ายเทสะดวก ชายหนุ่มหายใจไม่สะดวกนัก เป็นความอึดอัดเข้ามาครอบคลุม

“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”ป้าษอรเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง ชายหนุ่มยิ้มมุมปาก นึกขำในท่าทีของเธอ

“เปล่าหรอกครับ”เขาปฏิเสธไป ป้าษอรเม้มปาก เธอจ้องเขาอีกครั้ง“อินน์เป็นห่วงคุณมาก”

“...แล้วป้าล่ะครับ อยากให้ผมเป็นอะไรหรือเปล่า”ภูวรินทร์ไม่อ้อมค้อมอีกต่อไป เขากลับมาสงบจิตใจอีกครั้ง การที่ป้าษอรยอมเล่าเรื่องอดีตชาติแก่อินทนิลฟัง แสดงว่าเจ้าตัวพร้อมจะเผชิญหน้ากับเขาแล้ว เขาที่เป็นภูวรินทร์ และเป็นอดีตท่านหมื่นนรินทร์

“คุณภูคะ”เธอเรียกชื่อเขาด้วยท่าทีนอบน้อย แววตาเป็นกังวลที่เขาเอ่ยเช่นนี้ออกมา ภูวรินทร์หัวเราะออกมา

“ป้าอย่ามาเล่นละครใส่ผมเลยดีกว่า เราต่างก็รู้ดีแก่ใจว่า มันเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้ผมเหนื่อยจริงๆนะครับ”เขาบอก มองไปทั่วทั้งสุสานอย่างเหนื่อยหน่าย กลิ่นธูปลอยมาแตะจมูกจนเหม็นอึดอัด

“...ป้าก็ไม่มีทางออกให้หรอกค่ะ”ป้าษอรเอ่ยอย่างไร้เยื่อใย เขามองไม่ออกว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่

“โกรธแค้นผมเหรอ”เขาถามอีกครั้ง เธอมองเขาด้วยความละอายใจ ก่อนจะส่ายหน้า

“เปล่าหรอกค่ะ”

“หมื่นนรินทร์ล่ะ”ชายหนุ่มเอ่ยออกมา ป้าษอรชะงักไป เธอเงียบไปนาน ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาคล้ายกับเบื่อหน่าย

“ถ้าหากเป็นบัวก็คงเกลียดชังท่านหมื่นอยู่ดี แต่หากถามป้า ป้ายังคงหวังดีกับคุณภูนะคะ”เธอตอบ เขาส่ายหน้า แล้วมันต่างอะไรกันล่ะ เขาไม่อาจทนต่อสภาพนี้ได้ไปตลอดแน่ๆ

“ผมอยากให้คำสาปแช่งพวกนี้สิ้นสุดลง ผมไม่อยากให้ใครต้องมาเผชิญชะตาเหล่านี้อีก”ภูวรินทร์โพล่งออกมาอย่างมีโทสะ เขาเดินเข้าไปหาฝ่ายตรงข้ามช้าๆ ป้าษอรแค่ยิ้มเศร้า

“...ค่ะ”เธอตอบมาสั้นๆ ไม่ได้ให้คำตอบแก่เขาสักนิด จนชายหนุ่มพยายามอดกลั้นอารมณ์หงุดหงิดไม่ให้ผลีผลามเข้าไปหาอีกฝ่าย

“ป้าครับ...ผมไม่ถือโทษโกรธเคืองต่อใครอีก ไม่ว่าจะบัว แก้ว หรือคนในอดีต”

“เพราะคุณภูไม่รู้เห็นเรื่องในอดีตหรือเปล่าคะ เลยปล่อยวางได้ง่าย”

“ก็คงถูก แต่ป้าไม่เห็นเหรอว่าทุกข์แค่ไหน คุณแก้วมีสภาพเป็นอย่างไร อินน์ต้องอยู่ยังไง”เขาเอ่ยจากใจ ไม่ได้ขอความสงสารเห็นใจ แต่ให้มองไปที่อินทนิลและคุณแก้ว ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันผิดธรรมชาติไปหมดเพราะเรื่องความรักความแค้นของคนในอดีตทั้งนั้น

“ป้ารู้ค่ะ แต่ป้าทำอะไรไม่ได้ พอคิดแบบนี้แล้วก็ยิ่งเจ็บใจ กลายเป็นโทษหมื่นนรินทร์ไป ใจก็ยิ่งด่ำดิ่งไปกับความแค้นของบัวมากขึ้น”เธอเอ่ยอย่างควบคุมอารมณ์ไม่ได้ แต่แววตาของเธอยังทีสำนึกดี เธอกำลังรู้สึกผิด หาหนทางแก้ไขไม่ได้ เขานิ่งเงียบ

“ตอนนี้ป้าคือป้าษอร อินน์ยังเชื่อแบบนี้เลยครับ”

“ต่อให้ป้าปล่อยวาง มันก็แก้ไขอะไรไม่ได้”เธอส่ายหน้า เม้มปากแน่น ใบหน้าว่างเปล่า ทิ้งให้บทสนทนาเงียบลงไป ถ้อยคำของเธอมันก้องลงในใจภูวรินทร์ซ้ำไปซ้ำมา แก้ไขอะไรไม่ได้เลย...

“เพราะอะไรป้าถึงยังอยู่ดูแลที่บ้านหลังนี้”เขาเปลี่ยนเรื่องคุยแทน ชายหนุ่มเดินอ้อมโกฏิออกมายืนพิงใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ห่างจากสุสานไม่ถึงสองเมตร เขามองไปที่ป้าษอร

“...เพราะคนรุ่นปู่ย่าของป้าเคยทำงานอยู่ที่บ้านหลังนี้ เรามีกุญแจสำรองของบ้านอยู่เสมอ เหมือนตกทอดกันมา...ได้มาจากบัวนั่นแหละค่ะ”

“นั่นสินะ แท้จริงแล้วคนที่เป็นเจ้าของบ้านคงเป็นพวกคนเฝ้าบ้าน”ชายหนุ่มเอ่ย หวนนึกไปถึงบัวอีกครั้งเธอคือคนที่กุมความลับของตระกูลภิรมย์สุขอย่างแท้จริง

“เปล่านะคะ ป้าไม่ได้คิดอยากครอบครองบ้าน ก็แค่ทำตามเจตนารมณ์ของคนรุ่นก่อน”เธอรีบเอ่ยทันที ราวกับว่ากลัวเขาเข้าใจผิด ชายหนุ่มถอนหายใจ

“ป้ารู้ตัวเองได้ยังไงกัน...เรื่องอดีตชาติน่ะ”ภูวรินทร์ถามด้วยความอยากรู้ เธอมองเขาอย่างลังเล ก่อนจะตัดสินใจเล่าออกมา

“...ตอนแรกป้าก็ไม่รู้หรอกค่ะ ช่วงที่ยังอายุสักยี่สิบปี ป้าแค่รู้สึกแปลกกับคนบ้านภิรมย์สุข พอคุณนิรุทย้ายออกจากบ้านไป ป้ามีโอกาสเก็บกวาดบ้าน มันเหมือนได้กลับมาอยู่บรรยากาศเก่าๆ ป้าเห็นความจำมากมาย มันทำให้ป้าสับสน ความรู้สึกของบัวป้ารับมาจนหมด แต่พอเจอคุณเข้า ในใจป้าก็ยังมีความชิงชังอยู่ แต่เท่าที่ป้าได้รู้จักคุณภูมา คุณแตกต่างจากท่านหมื่น...มีเพียงแค่หน้าตาที่เหมือนกันเท่านั้น”เธอเอ่ยช้าๆ ชายหนุ่มจึงเอ่ยถามต่อ

“แต่ป้าก็ไม่เลิกชิงชังต่อท่านหมื่นไม่ใช่หรือ”

“...”ป้าษอรเงียบ ทำให้เขาถึงกับอับจนถ้อยคำ ป้าษอรไม่แยกแยะ แม้จะบอกว่าเขาไม่เหมือนหมื่นนรินทร์ก็ตาม แต่ป้าษอรในปัจจุบันนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับกับท่านหมื่นแล้ว แต่ป้าษอรกลับเอาความรู้สึกของบัวมาแบกไว้แทน ภูวรินทร์จึงไม่สามารถกล่อมอีกฝ่ายได้ ต้องให้เธอวางความรู้สุกเหล่านั้นเอง จึงจะเรียกว่าเลิกแล้วต่อกันอย่างแท้จริง 

“เขาเป็นบรรพบุรุษของผม ไม่แปลกเลยที่ผมจะเจอคำแช่งชักถึงกระดูกดำขนาดนี้ เพาะป้าไม่ยอมปล่อยวางเสียที หากว่าผมต้องทุกข์ทน ป้าจะมีความสุขหรือเปล่า เห็นอินทนิล คุณแก้วต้องวนเวียนกับความรักที่ไม่สมหวังเช่นนี้”ภูวรินทร์หันมองอีกฝ่าย ยิ่งเอ่ยถึงเรื่องนี้เขายิ่งรู้สึกถดท้อ หมดแรงใจลงไปทุกที

“...ป้าเข้าใจค่ะ ป้าไม่อยากให้อินน์หรือคุณแก้วต้องทุกข์อีก...แต่มันเป็นไปไม่ได้เลย”เธอบอกอีกครั้ง เขายิ้มเยาะตนเอง

“นั่นสินะ คำแช่งมันกำลังกัดกินผมอยู่ไปทีละนิด”ภูวรินทร์พึมพำ รู้สึกว่าอกข้างซ้ายมันเต้นเร่าด้วยอาการปวดแปลบอย่างแปลกประหลาดคล้ายอาการปวดฟันรุนแรง

ป้าษอรไม่เอ่ยคำใดออกมาอีก ภูวรินทร์ได้แต่เพ่งมองต้นไม้ใบหญ้าอย่างเหม่อลอย จนเธอเดินหายออกไปจากสุสาน เขาถอนหายใจ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งพิงต้นไม้ใหญ่เงียบๆ ที่นี่ยังมีมุมสวยงามเขาอยากจะใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข ไม่รู้ว่าความปรารถนาของตนจะเป็นไปได้ไหม

“ท่านโกหก”

“ใครน่ะ”ภูวรินทร์เหลียวมองรอบตัวเมื่อได้ยินเสียงดังขึ้นมา เป็นเสียงของผู้หญิง รอบกายเงียบสงบเช่นเคย เขาลุกขึ้นยืน อาการหนาวเย็นลามไปทั่วสรรพางค์กาย

“ไหนว่าท่านจะลงโทษคนที่ฆ่าแก้ว”

เสียงนั้นยังคงดังอยู่ เขาไม่แน่ใจว่ามันมาจากไหน จากในหัวของเขาเองหรือจากในสุสาน ชายหนุ่มบอกไม่ถูกว่าตอนนี้กำลังรู้สึกอย่างไร มีความรู้สึกหลากหลาย เศร้า รู้สึกผิดเต็มไปหมด ขณะเดียวกันร่างกายรู้สึกหนาววูบวาบ คล้ายอาการหน้ามืด เขาคิดว่าตนเองกำลังเป็นลม ภาพเหตุการณ์แปลกๆปรากฏขึ้นในหัว ทำเอาใจเต้นแรง ความทรงจำแปลกประหลาดหลั่งไหลอยู่ในหัวทำเอาเขาปวดหัวรุนแรง เขากุมศีรษะไว้แน่น ไม่สามารถควบคุมร่างกายให้ยืนอยู่ได้อย่างมั่นคงบนพื้นดิน เขาเซล้มลง อาการดังกล่าวคล้ายกับตอนที่เห็นภาพความทรงจำในอดีตในครั้งแรก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-02-2018 00:27:35 โดย RindadaRin »

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
ภาพเหตุการณ์หนึ่งปรากฏขึ้นในหัว ห้องนอนในสภาพที่แตกต่างจากปัจจุบัน แม้ว่าเครื่องใช้ดูใหม่เอี่ยมแต่ทว่าคนที่นอนหายใจเข้าออกช้าๆอยู่บนเตียงหลังใหญ่นั้นคือหมื่นนรินทร์ ใบหน้าซีดเซียว ผ่ายผอมลงไปมาก หนวดเคราทีเริ่มมีให้เห็นคงเพราะไม่มีผู้ใดคอยปรนนิบัติ ในยามนี้หมื่นนรินทร์โรยราไปทั้งแรงกายแรงใจด้วยวัยย่างสี่สิบปีถือว่ายังเป็นวัยหนุ่มใหญ่ ทว่าโชคร้ายนักที่มีอาการป่วยด้วยโรคประจำตัวเฉกเช่นพี่ชาย

หมื่นนรินทร์นึกถึงคำทายทักของหลวงปู่ที่บอกว่าเรือนชะตาของตนอายุไม่ยืน ซ้ำแก้วหลานรักมีเรือนชะตาเป็นอริ ทำให้ดวงของตนวิบัติ เมื่อยี่สิบปีก่อนเขาไม่อาจปักใจเชื่อเนื่องด้วยแก้วเป็นคนดี เป็นเด็กหนุ่มที่บริสุทธิ์เช่นเดียวกับดอกแก้ว สีขาว หอม และเป็นสิริมงคลเหมาะแก่งานพิธีมงคล

แต่เหตุใดกัน เจ้าหนุ่มนั่นถึงได้ศึกษาการใช้พิษจากดอกไม้ ซ้ำยังเป็นดอกไม้ในเรือนเพาะอีกด้วย ใต้ชายคาบ้านของตนเองแท้ๆ แก้วช่างหาญกล้า ภายหลังเขาจับได้ว่าแก้วคิดจะเอาพิษมาใช้กับตนเสียด้วยซ้ำ เพียงเพราะเขาไม่รักษาสัญญา แล้วไม่ผิดหรือที่ตนจะระแวงสงสัยในพฤติกรรมเช่นนั้น ไหนจะนางบัวที่มองเขาอย่างมาดร้าย นางเป็นหนามตำใจแก่หมื่นนรินทร์โดยแท้ มาจนตอนนี้ แก้วจากเขาไปได้สามปีแล้ว ด้วยวัยหนุ่มแน่น ช่างน่าเสียดาย

หมื่นนรินทร์หวนนึกถึงเรื่องราวเมื่อสิบปีก่อนนั้นแล้วอดนึกเสียใจไม่ได้ แม้ไม่ได้รักแก้วดังเดิม แต่ใช่จะเกลียดชัง เขาไม่ไล่แก้วออกจากบ้านไปทั้งที่เจ้าตัวเคยมาอาละวาดในบ้านเรื่องที่ตนตัดสินใจแต่งงานกับมณี ถ้าหากว่าในปีนั้นตนส่งแก้วไปอยู่กับกิ่งที่เมืองนอกได้สำเร็จ เรื่องอาจไม่ลงเอยเช่นนี้

“ท่านโกหก”เสียงของหญิงที่ตามหลอกหลอนเขามาหลายปี หมื่นนรินทร์เพ่งมองผู้มาเยือน ร่างนั้นเดินเข้ามาในห้องท่าทีผยองราวกับเป็นเจ้าของบ้าน หมื่นนรินทร์จับจ้องหญิงคนนั้นด้วยสายตาเรียบเฉย ตนในเวลานี้หมดสิ้นทุกอย่างไปแล้ว

“ไหนว่าท่านจะลงโทษคนที่ฆ่าแก้ว”บัวก้าวมาหาหมื่นนรินทร์ที่ข้างเตียง สายตาของเธอมีความโกรธแค้นชิงชังอยู่ หมื่นนรินทร์ถอนหายใจช้าๆ

“...ลูกของฉันต้องมีแม่”หมื่นนรินทร์เอ่ย ไม่มองหน้าบัว สายตาจ้องมองเพดานห้องอย่างจดจ่อ บัวเม้มปากแน่น

“งั้นรึ ท่านคิดว่ามณีจะเลี้ยงลูกของหญิงอื่นออกมาดีนักเหรอ ไอ้ลูกของหญิงชาวบ้านไม่มีหัวนอนปรายเท้าเช่นนั้น นางจะรักเอ็นดูหรือ”

“ทำไมจะไม่รักได้เล่า อย่างน้อยก็ลูกของฉัน”

“อ้อ นึกว่าจะเหมือนท่านหมื่นเสียอีก ที่ไม่เอ็นดูลูกของหญิงขี้ข้าเช่นอิฉัน... มิใช่หรือ แต่ท่านกลับดูแคลนแม่ของเขา”บัวเอ่ยช้าๆ สายตามองไปที่หมื่นนรินทร์ไม่ปิดบังความรู้สึก หมื่นนรินทร์หันมองหญิงที่ยืนอยู่ด้วยสายตาเรียบเฉย แต่ในใจเหมือนโดนมีดกรีด 

“ฉันไม่ได้เกลียดแก้ว”หมื่นนรินทร์เอ่ยเสียงแข็ง บัวมองชายอมโรคที่นอนบนเตียงด้วยสายตาเย็นชา

“ท่านไม่เผาลูกของอิฉัน”

“ใช่...ที่ไม่เผา ไม่ใช่เพราะฉันไม่รักแก้วหรอก แต่ฉันคิดไม่ผิดใช่ไหมล่ะ ที่ฝังแก้วไปทั้งแบบนั้น เพราะเธออย่างไรที่ทำร้ายลูกของฉัน มณีแท้งเพราะเธอ หึ เวลานี้ฉันไม่มีอำนาจสั่งคนในบ้านแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดไม่ขุดร่างแก้วออกมาเผาเล่า”หมื่นนรินทร์เอ่ยออกมา ก่อนจะหายใจแรง หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงจนเห็นได้ชัด คล้ายกับว่าหายใจลำบาก

“ผ่านเวลาปลงศพมานานปีแล้ว ทำพิธีเรียก ‘ขวัญ’ส่งคนตายไปไม่ได้แล้ว ท่านย่อมรู้ดีว่าขุดร่างขึ้นมาปลงศพภายหลังเป็นเรื่องไม่ดี แก้วไม่ได้ตายโหง”บัวเอ่ยอย่างมีโทสะ หมื่นนรินทร์หลับตาแน่น ไม่คิดอยากนึกสภาพของแก้วที่ล่วงเลยมาเกือบสามปีแล้วจะเป็นเช่นไร แต่ถึงเขาไม่ปลงศพให้แก้ว ตนก็ได้ทำพิธีสวดให้แก้วไปแล้ว ไม่ถือว่าเขาไม่ให้เกียรติแก่หลานรัก ผืนดินบริเวณนั้นเขาไม่ให้ผู้ใดไปเหยียบย่ำ โรงเพาะก็แทบปิดสนิทเพราะนอกจากแก้วแล้วใครเล่าจะชมชอบการเพาะปลูกดอกไม้อีก... ไม่มีอีกแล้ว ตัวเขาไม่อาจลงเรือนไปดูแลพันธุ์ไม้ในสวนได้

“เธออายุปูนนี้แล้วยังไม่เลิกอาฆาตพยาบาทอีกหรือ”เขาเอ่ยเสียงแหบแห้ง มองหญิงที่ยืนอยู่อย่างไม่เข้าใจ เธอแก่ตัวลงไปเยอะ แต่ท่าทีและสายตาที่จ้องมองเขานั้นไม่เปลี่ยน

“ท่านไม่สำนึก อิฉันก็ตายตาไม่หลับหรอก”บัวเอ่ยอย่างไม่แยแส

“...ฉันจะคืนบ้านให้กิ่ง อย่างน้อยก็ยังอยู่ในญาติฝั่งของแก้ว”หมื่นนรินทร์บอกอย่างเหนื่อยอ่อน เขายอมแพ้แล้ว หากว่าคืนทุกสิ่งให้อีกฝ่ายไปก็คงจบเรื่อง

“อิฉันไม่ต้องการ คิดว่าที่ฉันยังอยู่ในบ้านนี้เพราะต้องการครอบครองมันงั้นรึ”บัวเอ่ยน้ำเสียงขึ้นจมูกราวกับว่าคำพูดของหมื่นนรินทร์นั้นดูแคลนตน

“เธอต้องการอะไร”หมื่นนรินทร์เอ่ยเบาๆ มองบัวอย่างหวั่นเกรง หญิงนางนี้โหดร้ายกว่าที่ตนคาดไว้เยอะ มองหน้าเธอแล้วก็พานให้นึกถึงสิ่งที่เธอทำลงไป

“...ดูท่านตายไปช้าๆ แล้วก็คอยดูบุตรหลานของท่านเติบโตทีละน้อย คงเป็นภาพที่น่างดงามแน่ๆ”บัวยิ้มแย้ม แววตาเยืกเย็น หมื่นนรินทร์ใจหายวาบ “นี่เธอคิดจะทำอะไรกันแน่บัว”

“มณีไม่มีทางได้เสวยสุขเด็ดขาด ไม่มีทางที่ฉันจะยอมเสียแก้วไปอย่างเสียเปล่า”บัวเอ่ยยืนยันคำของตนอย่างเด็ดขาด ทำเอาหมื่นนรินทร์รีบผุดลุกขึ้นมานั่งอย่างยากลำบาก บัวมองอย่างไม่สนใจ หมื่นนรินทร์นิ่วหน้ายกมือกุมหน้าอกตนเองด้วยท่าทีเจ็บปวด

“ไม่คิดว่าเธอจะเลวเช่นนี้ เจ้าหมื่นหน้ามืดรักเธอไปได้อย่างไร”

“ไม่ต่างจากที่แก้วรักท่านมานับสิบปีหรอกหรือ”คำตอบของบัว ทำให้หมื่นนรินทร์พูดไม่ออก

“ฉันคงอยู่ได้ไม่นานนัก ก่อนตายฉันหวังว่าจะได้เห็นหน้าลูกบ้าง บอกมณีให้พาลูกมาเยี่ยมฉันบ้างสิ”หมื่นนรินทร์เอ่ยเบาๆ ลูกสาวลูกชายของตนอาศัยอยู่ที่เรือนหลังเล็ก ทั้งมณีและแม่นมต่างไม่ยอมพาเด็กๆมาหาเขา ตั้งแต่เด็กเกิดมา เขาได้อุ้มชูไม่ถึงปี ก็ล้มหมอนนอนเสื่อ ป่วยหนักอยู่หลายเดือน กว่าจะดีขึ้นได้ เด็กๆทั้งสองก็ไม่ร้องหาพ่อเช่นเขาแล้ว

“คิดว่านางจะยอมหรือ นางเกลียดท่านไม่แปรเปลี่ยน”

“อืม ใช่”หมื่นนรินทร์ยอมรับโดยง่าย เอนพิงกับหัวเตียงอย่างเหนื่อยล้า เหงื่อไหลซึมใบหน้าซีดลงอย่างเห็นได้ชัด ร่างกายคล้ายคนหมดแรง แข้งขาอ่อนเปลี้ยไปด้วยเพราะผลจากโรคหัวใจ เกี่ยวข้องกับเส้นเลือดในร่างกาย

“รู้หรือไม่ ว่ามีพวกปากบอนปล่อยข่าวลือว่าเจอผีแก้วอาละวาด”บัวเปลี่ยนเรื่องสนทนา หมื่นนรินทร์หัวเราะอย่างไร้อารมณ์ขัน เหลือบมองหญิงที่ตนเกลียดจับใจ “แล้วจริงหรือไม่”

“ท่านคงตอบอิฉันได้ดีกว่า หากมีผีแก้วจริง คงไม่มัวไปหลอกหลอนผู้อื่น อิฉันว่าแก้วคงมาเยี่ยมเยียนท่านบ่อยๆมากกว่า”เธอเอ่ยช้าๆ มองใบหน้าของหมื่นนรินทร์ ตั้งแต่แก้วจากไป เธอไม่เคยเจอวิญญาณอะไรทั้งสิ้น เหลวไหลทั้งเพ

“นั่นสิ...”หมื่นนรินทร์พึมพำอย่างหดหู่ นัยน์ตาพลันหมองลง สามปีที่ผ่านมา เขาไม่เจอแม้แต่เสียงกระซิบ

“แต่คนในหมู่บ้านเขาพูดกันลือลั่น ว่าบ้านใหญ่ใกล้เชิงเขามีอาถรรพ์”บัวเอ่ยต่อไป แววตาวาววับ หมื่นนรินทร์หันมองคนพูด มองแววตาของอีกฝ่ายแล้วก็เข้าใจได้ทันที เขาหลุบตามองมือซูบผอมของตนเองนิ่งๆ

“หึ เธอปล่อยข่าวลือบ้าๆพวกนี้ไปเพื่อเหตุใด”

“ตระกูลที่ท่านวาดฝันไว้หนักหนาคงจะรื่นรมย์ไม่น้อย ลองนึกดูสิ ลูกท่านเติบโตไป ชาวบ้านคงเหม็นเบื่อ”

“เธอกำลังทำลายสิ่งที่เจ้าหมื่นสร้างมานะบัว”หมื่นนรินทร์เอ่ย นึกถึงเจ้าหมื่นที่พยายามสร้างความเป็นปึกแผ่นของของคนภิรมย์สุขมาเกือบตลอดชีวิตการออกราชการ

“ไม่ใช่เรื่องที่อิฉันต้องเก็บมาใส่ใจหรอก”

“ฉันไม่ขอโทษเธอหรอกบัว เธอเลวไม่ต่างจากฉันหรอก แต่ว่าฉันไม่เคยฆ่าคนเลยแม้แต่น้อย”หมื่นนรินทร์ส่ายหน้า

“ใช่ อิฉันเลวจนกู่ไม่กลับ คราวนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะมือเปื้อนเลือด”ถ้อยคำขู่ขวัญของบัวทำให้หมื่นนรินทร์ใบหน้าเปลี่ยนสี เพ่งมองบัวอย่างไม่นึกเชื่อ

“มณีเข้าใจผิดไม่ใช่หรือ!เพราะเธอไม่ใช่หรือบัว ที่ทำให้แก้วต้องมารับเคราะห์แทน เป็นแม่ประสาอะไรถึงทำให้ลูกตาย”หมื่นนรินทร์เค้นเสียงด่าทอต่อหญิงใจมาร บัวสะอึกไป ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด เธอโทษตนเองไม่ต่างกัน

“ใช่ ฉันยอมรับว่าเป็นเพราะฉันเอง แต่มณีคือฆาตกรไม่ต่างกัน จนป่านนี้แล้วท่านยังจะปกป้องนางอีกรึไง”บัวปรี่เข้าไปตบหน้าหมื่นนรินทร์ด้วยโทสะ ที่ผ่านมาเธอไม่เคยลงมือทำร้ายอีกฝ่ายมาก่อน แม้ใจอยากจะให้เจ้าตัวเจ็บปวดบ้างก็ตาม

“ฉันไม่ได้ปกป้องมณี คิดว่าฉันพอใจที่แก้วตายไปอย่างนั้นเหรอ”เขาเอ่ยอย่างอดทนไม่ไหว

“หึ อย่ามาเล่นบทโศกกับอิฉันหน่อยเลย เพราะท่านไม่ซื่อสัตย์ต่อแก้ว เรื่องมันถึงลงเอยเช่นนี้ หากท่านรักแก้วด้วยใจจริง ป่านนี้แก้วคงจะเป็นสุข”บัวเอ่ยเสียงดัง การที่หมื่นนรินทร์เอ่ยเช่นนี้เหมือนไปกระตุ้นความเจ็บปวดของเธอ หมื่นนรินทร์ก้มหน้าลง

“ยังคงโทษฉันแต่เพียงผู้เดียวงั้นสิ”สุ้มเสียงที่เอ่ยออกมาเจือความเสียใจให้ได้ยิน

“เพราะท่านต้องการบ้านไม่ใช่หรือ ต้องการเป็นใหญ่เป็นโต คนโลภเช่นท่าน คงไม่มีทางรักผู้ใดด้วยใจจริงนอกจากหวังผลประโยชน์”บัวเดินเข้าไปหาหมื่นนรินทร์ จ้องเข้าไปในดวงตาอิดโรยคู่นั้นอย่างถือโทษ

“...แก้วเป็นหลานของฉัน ถึงฉันจะโหดร้ายกับแก้วไปบ้าง แต่ก็ไม่เคยผลักไสไล่สง”หมื่นนรินทร์พยายามเอ่ยเพื่อแก้ต่างให้ตนเอง อาจเพื่อให้บัวคลายโทสะลง

“...ช่างเถอะ ตอนนี้ไม่มีประโยชน์ที่จะรื้อฟื้นเรื่องที่ผ่านมาแล้ว แก้วจากไปแล้ว ฉันไม่ยอมหรอก ท่านหมื่น หึ ท่านเองยังรักลูกของท่าน ฉันนั้นรักมากกว่าท่านเป็นร้อยเท่า ฉันไม่ปล่อยมณีไว้ รอให้ท่านตายไปก่อนแล้วฉันจะส่งนางตามไปทีหลัง”บัวเอ่ยอย่างเลือดเย็น หมื่นนรินทร์กำมือแน่น รู้สึกหมดสิ้นหนทาง

“บัว! พอทีเถอะ!”เขาหมายจะคว้าแขนของบัว แต่ร่างของหญิงสูงวัยเบนกายหนี เธอส่ายหน้า จากนั้นก็หันหลังแล้วเดินไปที่หน้าประตูห้อง ผินหน้าปรายตามองร่างอมโรคของคนบนเตียงอย่างเฉยชา

“ท่านพักผ่อนเถอะ อีกเดี๋ยวนายหวั่นจะมาดูแลท่านเอง”บัวบอกก่อนจะเปิดประตูห้อง

“ฉันยอมแล้ว บัว เธออยากได้อะไรล่ะ”หมื่นนรินทร์ยังคงตะโกนออกมาอย่างไม่ยอมแพ้ บัวส่ายหน้า แววตาไร้ซึ่งความเห็นใจ

“อิฉันบอกไปแล้ว ดูเหมือนท่านจะเลอะเลือนนะท่านหมื่น”

“คิดว่าฉันไม่เสียใจรึไง บัว!”หมื่นนรินทร์ตวาดลั่น จนหอบตัวโยน ร่างผ่ายผอมไอโขลก เขานอนลงอย่างหมดแรง สองตาไร้ความหวัง นางบัวจะไม่ให้เขาเหลือสิ่งใดไว้เลยหรือ หากว่าลูกทั้งสองคนเติบโตภายใต้การดูแลของบัว มันจะเกิดอะไรขึ้นกัน

 “หวั่น ไอ้หวั่น”หมื่นนรินทร์ร้องเรียกคนรับใช้คนสนิทอยู่หลายครั้งจนเสียแหบแห้ง แต่ก็ไร้เงาของมัน เขาถอนหายใจยิ้มเยาะตนเอง ขนาดนายหวั่นยังระอานายเช่นตน บ้านหลังนี้เขาไม่สามารถออกคำสั่งได้อีกแล้ว... บัว นางคิดจะบงการคนในบ้านให้กระด้างกระเดื่องต่อเขางั้นหรือ หมื่นนรินทร์นิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวดบริเวณกลางหน้าอกทั้งสองด้านเยื้องลงมาทางลิ้นปี่เล็กน้อย เจ็บแน่นจนอึดอัดจนลามไปถึงคอหอย ไหล่ซ้าย

คนพวกนี้จะปล่อยให้ตนตายไปเช่นนี้น่ะรึ หมื่นนรินทร์เอนตัวออกไปด้านข้าง อาการคลื่นไส้อาเจียนเริ่มกลับมาอีกครั้ง เนื้อตัวเย็นเยียบจนรู้สึกใจสั่นขึ้นมา เขาหลับตาแน่นพยายามผ่อนคลาย หากถึงเวลาตายขึ้นมา อย่างน้อยควรจะมีญาติพี่น้องมาดูใจสักครั้ง ในเวลานี้แม้แต่คนที่รักยังไม่เห็นหน้า ลูกชายและลูกสาวที่น่ารักทั้งคู่เหมือนอยู่ห่างไกลจากตนเหลือเกิน หมื่นนรินทร์ไม่ยินดีเลยสักนิด แม้ว่าจะมีทายาทไว้สืบสกุลสมใจก็ตามที หากว่าบัวคิดหาทางทำลายคนภิรมย์สุขในภายภาคหน้า คงเป็นความผิดของตน...

แก้ว... ตอนเธอตายอยู่คนเดียว เธอรู้สึกเช่นไรกัน หมื่นนรินทร์คิดวนเวียนเรื่องความตายไปตลอดวัน พลังใจของตนเองนั้นเหลือน้อยเต็มที หมื่นนรินทร์นิ่วหน้าอย่างเจ็บปวดเมื่ออาการเสียดแน่นกำเริบขึ้นมาอีก แม้มีหมอประจำบ้านแต่ทว่าหมอหนุ่มคนนั้น มาตรวจเขาเป็นเวลา อาการของตนนั้นคงที่ ไม่ได้ทรุดลงมาเกือบเดือน

ราวกับว่าประวิงเวลาไปเรื่อยๆ แก้ว...นี่เธอกำลังมองฉันอยู่หรือเปล่า

ไม่ถึงสัปดาห์อาการของหมื่นนรินทร์ทรุดลงไปเรื่อยๆ จนเขาไม่คิดอยากจะรักษาต่อ ราวกับว่าถูกเลี้ยงไข้ไปเรื่อยๆ อาการปวดหน้าอกบางครั้งก็รุนแรงจนแทบหายใจลำบาก บางครั้งก็เล่นเอาหมื่นนรินทร์นอนไม่หลับ ในหนึ่งวันเขานั้นคิดจะตายไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราวอยู่หลายครั้ง

กลางดึกคืนหนึ่งหลังจากที่หลับไปเพราะฤทธิ์ยา หมื่นนรินทร์ลืมตาตื่นขึ้นมา อาการเจ็บจี๊ดที่หน้าอกลามไปจนถึงหัวไหล่และกรามด้านซ้าย ร่างกายเย็นลงมีเหงื่อซึมไปทั่วสรรพางค์กาย หมื่นนรินทร์เหลียวมองไปรอบกาย ก่อนจะชะงักงัน ในใจพลันหม่นหมองขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นกรอบรูปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างเตียง เหมือนว่าบัวจะนำมาวางไว้ ในกรอบรูปเป็นภาพถ่ายของตนกับแก้ว ตอนนั้นแก้วอายุสิบแปดปีเต็ม กำลังเป็นหนุ่มแน่น เป็นรูปคู่ที่ถ่ายในสวนของเรือนเล็ก ตอนนั้นดอกแก้วบานสะพรั่ง

หมื่นนรินทร์เอื้อมไปหยิบกรอบรูปมาดู จู่ๆก็พลันเศร้าลง โหยหาอดีตเหล่านั้นขึ้นมา


....ในตอนที่ตนนั้นอายุได้สิบแปดปี สองแขนกำลังอุ้มเด็กชายวัยสามขวบไว้ในอ้อมอก เด็กน้อยหลับสนิทศีรษะวางเกยไหล่ของเจ้าตัว นรินทร์กำลังมองต้นแก้วที่กำลังโตได้ไม่ถึงเมตร เพาะมาได้สี่ปีกว่าๆแล้วต้นแก้วค่อยๆเติบโต แม้ตอนนี้ยังไม่ออกดอก แต่อีกสิบปีข้างหน้ามันต้องออกดอกสวย ส่งกลิ่นหอมไปทั่วเรือนแน่ๆ แก้ว...ชื่อนี้เหมาะแก่หลานคนนี้เสียจริง ที่ตนเลือกต้นแก้วก็เพราะคล้องกับชื่อหลานชาย ซ้ำยังขาวบริสุทธิ์ กลิ่นหอม แก้วโตมาต้องเป็นหนุ่มหล่ออย่างแน่นอน ใบหน้ายิ้มแย้มของนรินทร์ค่อยๆหุบลง เมื่อนึกถึงคำทักของพระรูปหนึ่ง หลวงปู่ท่านนั้นทักว่าเขาจะเจอกับดวงอริ เป็นผู้ชายหน้าตางาม เกิดในวันที่จันทร์ดับ... มันตรงกับแก้ว หลานชายของตนเอง คงเป็นเพราะหลวงปู่ทายทักไว้เช่นนี้เขาถึงได้ใส่ใจกับเด็กน้อยคนนี้เป็นพิเศษ ทีแรกนรินทร์ไม่ปักใจเชื่อนัก แต่ก็ยังหวั่นในใจ บอกตนเองไม่ให้งมงาย แม้ว่าพระรูปนี้จะเป็นที่เลื่อมใสของคนในมณฑลนี้ 

จวบจนกระทั่งเขาได้เลื่อนเป็นหมื่น เข้ารับราชการที่มณฑลนี้ได้สำเร็จย้ายมาอยู่บ้านเดียวกับเจ้าหมื่นที่ออกจากกรมหมาดเล็กมารักษาตัวเพราะโรคประจำตัว นรินทร์เจอกับแก้วอีกครั้งในวัยสิบห้าปี เด็กหนุ่มคนนั้นหน้าตาดีไม่ต่างจากพี่ชายตนในสมัยหนุ่ม แม้ดูอ่อนแอ เปราะบางไม่ต่างจากหญิงสาว พอถามไถ่เจ้าหมื่นก็พบว่าแก้วป่วยบ่อยเลยร่างกายผ่ายผอมไปบ้าง ต่างจากกิ่งและไกรรายนั้นรูปร่างสูง แข็งแรงดี ไม่แปลกที่แก้วโดนรังแกบ่อย พี่น้องพวกนี้ไม่รักใคร่กันเลย นรินทร์คอยห้ามทัพอยู่หลายหน เป็นเพื่อนคุยกับแก้วบ่อยๆ จนสนิทสนม มองไปมองมา หนุ่มน้อยคนนี้ถูกใจตนนัก จนลืมเสียสนิทว่าเป็นหลานชายแท้ๆ พอนึกขึ้นได้ยิ่งพลอยรู้สึกผิดบาป ได้โอกาสไปกราบไหว้หลวงปู่อีกครั้ง คราวนี้ท่านยังทักเช่นเดิมว่าจะเดือดร้อนจากเด็กหนุ่มที่มาติดพันตน หมื่นนรินทร์ประหลาดใจ “ดวงอริที่หลวงปู่เอ่ยถึง หมายความเช่นไร”

“เจ้าของเรือนชะตาอริกุมลัคน์ คือ ลักษณะของคนอมโรค ถ้าไม่ป่วยให้เห็นได้ชัด ก็มักจะมีโรคประจำตัวไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง บุคคลแบบนี้จะต้องมีโรคประจำตัว เจ็บป่วยง่าย หรือเป็นโรคเรื้อรังรักษายาก”

 “เรือนชะตาของโยมนั้นสถิตอยู่ภพมรณะ มรณะ หมายถึง ความตายและการดับสูญ มักจะมีสาเหตุของการเสียชีวิตอย่างกะทันหัน อายุไม่ยืนนัก หรือถ้าอายุยืนก็หาความเจริญได้ยาก คือ ตายทั้งเป็น แสดงว่าโยมจะเป็นคนอาภัพอับโชค ไม่มีวาสนา แต่เรื่องอายุสั้นนั้นมีอยู่อย่างชัดเจน เมื่อถึงวัยกลางคนจะต้องผ่านภัยมาแล้วหลายครั้ง และมีสิทธิวิบัติ หรือดับสูญได้เพราะอริ หรืออย่างน้อยก็อาจเกิดอุบัติเหตุที่ผู้อื่นทำให้เกิดได้ มีโอกาสที่ทำให้ชะตาของโยมต้องกระทบกระเทือน และชีวิตไม่ราบรื่นนัก”

ในตอนนั้นหมื่นนรินทร์รับฟังคำทายทักมาเงียบๆ ไม่นำมาคิดมาก เพราะเกรงว่าจะระแวงไปเสียทุกเรื่อง อีกอย่างแก้วเองเป็นเด็กดี ไม่คิดร้ายกับใคร เห็นทีหลวงปู่คงทำนายผิดเสียกระมัง ตนกับแก้วสนิทสนมกันตามประสาอาหลาน ในตอนแรกเขาไม่ได้สังเกตว่าแก้วปฏิบัติต่อคนอย่างไร เขาปฏิบัติต่อแก้วอย่างไร จนมีคนเอ่ยเตือนเข้าถึงได้มีเวลาทบทวน

เมื่อแก้วอายุสิบแปดปีแล้ว หน้าตาดีไม่เปลี่ยน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตนไม่ชมชอบหลานชายคนนี้  “รู้หรือไม่ ว่าต้นแก้วพวกนี้อายุกี่ปีแล้ว”

“เอ ตอนหลานจำความได้ก็เห็นพวกมันโตจนออกดอกเต็มไปหมด คงมากกว่าสิบปี”เสียงของเด็กหนุ่มวัยสิบแปดปีเอ่ยขึ้น ใบหน้ายิ้มแย้ม สายตามองต้นแก้วที่แซมไปด้วยช่อดอกแก้วสีขาวสะพรั่ง ผู้เป็นอาเหลียวมองหลานชายด้วยรอยยิ้มเช่นกัน

“คาดเดาได้ถูก ตอนฉันมาเยี่ยมเจ้าหมื่น ตอนนั้นเธอยังอยู่ในท้องแม่ สักแปดเดือนได้กระมัง ตอนนั้นฉันนำต้นแก้วมาเพาะไว้เป็นของขวัญแก่เธอเชียวนะ ต้นแก้วเหล่านี้อายุยี่สิบปีแล้ว”

“อ้อ จริงด้วย แปลกใจเสียจริง ที่ท่านอาปลูกต้นไม้ให้หลาน”แก้วเอ่ยยิ้มๆ หมื่นนรินทร์หันมองเด็กหนุ่มอย่างยินดี

“เพราะเจ้าหมื่นตั้งชื่อให้ว่าแก้วกระมัง ฉันเลยนึกขึ้นได้ว่าต้นแก้วคงเหมาะกับเธอ”

“ขอบคุณท่านอา”แก้วเอ่ยเบาๆ อยู่ๆก็รู้สึกยินดีในใจไม่น้อย

“มาตอนนี้ฉันคิดไม่ผิดจริงๆที่ปลูกให้เธอนะ ดูสิ มันเติบโตออกดอกสวย ดอกสีขาวพวกนี้มองไปแล้วเหมาะกับเธอ”

“ท่านอาพูดยอหลานถึงเพียงนี้ สงสัยคงมีเรื่องดีเกิดขึ้น”

“พูดได้ถูก ได้ข่าวว่าเธอเรียนจบแล้วไม่ใช่หรือ ฉันมีของขวัญให้ มาด้วยกันสิ”หมื่นนรินทร์เอ่ยบอกก่อนจะจับมือของแก้วให้เดินไปด้วยกัน ผ่านประตูรั้วบานเล็กลัดเลาะไปตามรั้วบ้าน เพื่อไปยังเรือนกระจก ในตอนนั้นแก้วดูตื่นเต้นจนเขาแอบยิ้มในใจ

“หวังว่าจะถูกใจเธอนะแก้ว”หมื่นนรินทร์เอ่ย เปิดประตูให้แก้วเข้าไปด้านใน จนกระทั่งประตูเปิดออกกว้างจนเห็นสิ่งที่วางไว้ที่โต๊ะเพาะเบื้องหน้า ท่ามกลางดอกไม้สีขาว จึงเห็นดอกไม้นั้นชัดเจนเด่นกว่าสิ่งอื่นใด กลีบเรียวขอบชมพูด้านในสีขาว มองไปคล้ายดาวห้าแฉก ดอกไม้ชนิดนี้หาไม่ง่ายนัก ดอกสีชมพูขาวสดชูช่อเด่น ประกอบกับลำต้นขนาดเล็กในกระถางขนาดประมาณหนึ่งช่วงแขน

“นั่นดอกชวนชมนี่”แก้วเอ่ยอย่างตกใจระคนแปลกใจรีบปรี่เข้าไปสำรวจดอกไม้ดังกล่าวทันที ใบหน้าประดับรอยยิ้มจนแก้มขึ้นเป็นลูกชัดเจน

“ไม่ใช่ของมีราคาด้วยสิ”หมื่นนรินทร์เอ่ยยิ้มๆ แก้วรีบปล่อยดอกไม้ ก่อนจะหันมองผู้เป็นอาด้วยสายตาไม่เห็นด้วยนัก

“พูดเช่นนั้นผิดแล้ว หลานชอบ แถวนี้หาดอกไม้ฝรั่งได้ที่ไหนกัน ขอบคุณท่านอามาก”แก้วยิ้มดีใจ นรินทร์อดไม่ไหวเข้าไปกอดหลานชายเอาไว้แน่น คนถูกกอดดูตกใจไม่น้อย...

 นึกถึงเรื่องเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนแล้วทำให้ในใจอดเศร้าไม่ได้ เวลานี้หมื่นนรินทร์จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ‘หรือเป็นอาการของคนใกล้ตาย’ หมื่นนรินทร์ส่ายหน้า มองแววตาสุกใสของหลานรัก

แก้ว...โชคร้ายเสียจริง

“ขอโทษนะ”หมื่นนรินทร์พึมพำแผ่วเบา ก้อนเนื้อในอกซ้ายมันบีบรัดจนเจ็บปวด ไม่ทราบว่าเพราะอาการของโรคหัวใจกำลังออกฤทธิ์หรือเพราะความรู้สึกที่มีต่อแก้วกันแน่

“คงเกลียดฉันมากเลยสินะ จนตายก็ไม่มาหลอกหลอนฉัน คงดีใจเสียมากกว่าที่มีอิสระเสียที...ใช่หรือไม่”หมื่นนรินทร์เอ่ยกับตนเอง ในเวลานี้เขาแทบไม่เหลือคนเป็นให้พูดคุย หากการมีชีวิตอยู่นั้นยากถึงเพียงนี้ เหตุใดเขาจึงไม่รีบลาโลกไปเสีย

หมื่นนรินทร์ถอนหายใจ ยิ่งมองภาพนั้นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องในครานั้น... วันที่ต้นแก้วออกดอกสวยงาม ที่สวนหญ้าขนาดเล็กหน้าเรือนปั้นหยาขาวละลานตาไปด้วยกลีบดอกแก้วที่ล่วงหล่นบนพื้นหญ้า มองไปก็สวยเพลินตา ถ้าหากว่าตนไม่มายุ่งเกี่ยวกับแก้วล่ะก็ คงไม่ลงเอยอีหรอบนี้

‘ไม่...ไม่ใช่หรอก เป็นเพราะฉันสินะ’หมื่นนรินทร์คิดวนไปวนมา คำกล่าวโทษของบัวยังแจ่มชัดในหัว ‘เป็นความผิดของท่านหมื่น’

“ถ้าเช่นนั้น ฉันขอชดใช้ให้เธอเองแก้ว... ฉันผิดเองที่รักษาคำพูด ไม่ควรเอ่ยคำสาบานแบบขอไปที คำบอกรักก็เช่นกัน ฉันไม่ควรเอ่ยไปง่ายๆเช่นนั้น”หมื่นนรินทร์พึมพำ ก่อนจะมองกรอบรูปอย่างไม่วางตา ภายในห้องนอนอันเงียบสงบ เหมือนจะหม่นลงด้วยอารมณ์ของเจ้าของห้อง เสียงลมหอบใหญ่พัดเข้าหาตัวบ้านจนได้ยินเสียงหวีดหวิวของลม เสียงชายผ้าม่านสะบัดไปมา หมื่นนรินทร์หันมองไปทางหน้าต่างทรงสูงที่เปิดอ้ากว้างไว้ จ้องมองไปที่ความมืดจากด้านนอกบ้าน สองหูพลันได้ยินเสียงกรุ๊งกริ๊งเบาๆสองสามครั้งเป็นจังหวะ เขาชะงักไป พยายามฟังเสียงสรรพสิ่งรอบกายอีกครั้ง เขาก้มมองคนในรูปอีกครั้ง

แก้วงั้นเหรอ...

สามปีที่ผ่านมา หมื่นนรินทร์ไม่เคยสัมผัสถึงสิ่งที่ล่วงลับไปแล้ว ไม่มีแม้แต่เงา ความฝัน จะมีก็แต่ความทรงจำเก่าที่คอยตอกย้ำว่าแก้วดีต่อตนเพียงใด ทว่าคืนนี้กลับแปลกไปกว่าทุกที เขากระสับกระส่าย เมื่อเวลาผ่านไปนานจนแน่ใจแล้วว่าตนอาจหูฟาดไปเอง หมื่นนรินทร์เก็บกรอบรูปวางไว้ที่เดิม ก่อนจะหลับตาลงอย่างอ่อนเพลีย อาการเจ็บปวดยังไม่จางหายไปจากก้อนเนื้อที่อกซ้าย มันยังคงออกฤทธิ์ลามไปทั่วร่างกายซีกซ้ายอยู่เป็นระยะ

หมื่นนรินทร์คล้ายกึ่งหลับกึ่งตื่น ราวกับตกอยู่ในฝันอันหอมหวาน กลิ่นดอกแก้วหอมบางเบา เขาลืมตาตื่น พบว่ายังคงนอนอยู่บนเตียง แต่ทว่าคนตรงหน้ากลับกลายเป็นแก้ว หลานผู้ล่วงลับไปแล้ว หมื่นนรินทร์ผงะไป ก่อนจะรู้ตัวว่าตนนั้นกำลังนอนอยู่บนตักของแก้ว

“อย่าตกใจไป นี่หลานเอง ไม่ใช่ใครอื่น”แก้วหัวเราะเบาๆ แววตาอ่อนโยนคู่นี้เจือความเศร้า หมื่นนรินทร์หมายจะผุดลุกหนีหลานรัก แต่แก้วกลับกดบ่าของตนไว้ให้นอนลงเช่นเดิม

“แก้ว...นี่ เธอมาได้ยังไงกัน”หมื่นนรินทร์เอ่ยถามแผ่วเบา กลิ่นดอกแก้วยังคงไม่จางหายไปไหน กลิ่นกายเดิมของหลานรักไม่เปลี่ยน แก้วยิ้มบางๆ

“คิดว่าหลานมาได้เช่นไรเล่า หากไม่ใช่ความฝัน”

“ฝันงั้นเหรอ”

“...จำคำของท่านอาไว้ให้ดี ท่านเอ่ยออกมาแล้วมิอาจคืนคำได้”แก้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ก้มหน้ามองผู้เป็นอาด้วยสายตาเศร้าสร้อย หมื่นนรินทร์นิ่งงัน นึกถึงคำพูดก่อนหน้านั้นของตน

“ฉันจะชดใช้ให้เธอเอง”เขาเอ่ยเช่นเดิม

“...ดีๆ”แก้วพึมพำ น้ำเสียงขาดห้วนไป แววตาเหม่อลอย “ท่านอาน่าจะรู้ตัวเองว่าคงเหลือเวลาไม่มาก... ท่านกำลังจะตาย”

“ใช่ ฉันรู้ตัวดี”

“หลานไม่สามารถจากไปไหนได้....”คำพูดของแก้วทำให้หมื่นนรินทร์คิ้วขมวด มองหน้าหลานรักอย่างแปลกใจ

“หมายความว่าอย่างไร งั้นก็จริงอย่างที่คนอื่นลือ”

“ไม่จริง... จิตของหลานไม่ได้กลับสู่สังสารวัฏ หลานไม่ได้ผุดได้เกิด...เพราะคำแช่งของมณี...ท่านอาโปรดระวัง คำสาบัตย์สาบานมีอำนาจมากกว่าที่ท่านคิด คำที่ท่านเคยเอ่ยจะย้อนกลับมาทำลายท่านและลูกหลานในภายหลัง”แก้วเอ่ยเสียงเศร้า ใบหน้าเปื้อนยิ้มที่มองอย่างไรก็ไม่ใช่ความสุข เป็นความทุกข์ หมื่นนรินทร์ขยับปากกำลังจะเอ่ยถ้อยคำสำคัญ แต่เสียงโครมครามจากรอบกายทำให้หมื่นนรินทร์ตื่น

“ท่านหมื่น!”เสียงเรียกดังลั่น ตนสะดุ้ง ความเจ็บปวดพลันแล่นไปทั่วร่างกาย โดยเฉพาะที่หน้าอก สองตาพลันมองเห็นใบหน้าของหมอหนุ่มประจำบ้าน ก่อนที่สายตาจะพร่าเบลอ สองหูอื้ออึ้งไม่อาจได้ยินคำใดจากคนรอบกาย ดูเหมือนว่าสรพยางค์กายของตนไม่อาจรับการรักษาต่อไปได้ ความเจ็บปวดร้าวรานไปทั่วอกซ้ายและหัวไหล่ แล่นแปลบมาถึงกรามด้านซ้าย ความเจ็บปวดคราวนี้ดูท่าจะยาวนานกว่าปกติและสามารถหยุดยื้อช่วงชิงลมหายใจของหมื่นนรินทร์ไปได้


เฮือก

“โอ้ย....”ภูวรินทร์กุมหน้าอกซ้ายอย่างเจ็บปวดคล้ายกับอาการเหล่านี้กำลังเกิดกับตนเอง เขาอ้าปากหายใจกอบโกยเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดอย่างช้าๆ พยายามหายใจด้วยจมูก ทั้งร่างเกลือกกลิ้งกับพื้นดิน เขานอนหมดแรงอยู่ที่พื้น สองตาจับจ้องท้องฟ้าแจ่มใสเหนือร่างตน

เขายังคงอยู่ที่สุสาน

ให้ตาย ช่างทรมานราวกับเป็นเรื่องจริง เขาหยิกแขนตนเองให้รู้ตัว ก่อนจะยกมือลูบที่อกซ้ายเบาๆ ความทรงจำสุดท้ายของหมื่นนรินทร์ เหมือนว่าอีกฝ่ายจะยอมแพ้ต่อความเจ็บป่วยและยอมรับความผิดของตนเอง เขาผุดลุกมานั่งก่อนจะปัดเศษดินเศษหญ้าออกจากลำตัวและท่อนแขน ก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นยืนช้าๆ สูดหายใจเข้าออกยาวๆ

เพราะคำมั่นที่เอ่ยไว้ต่อคุณแก้ว หมื่นนรินทร์จึงกลับมาเกิดเป็นตนเองในที่สุด แต่คุณแก้วต้องรอถึงเจ็ดสิบกว่าปี ซ้ำยังไม่มีร่างเป็นของตนเอง ต้องพึ่งพาร่างกายของอินทนิล นี่มันเป็นโชคชะตา หรือว่าเวรกรรมกันแน่นะ แต่คุณแก้วผิดอะไรกันล่ะ นอกจากจะเป็นผู้เคราะห์ร้ายจากความอาฆาตของผู้อื่นทั้งสิ้น  ยิ่งเห็น ภูวรินทร์ก็ยิ่งสูญสิ้นกำแพงในใจลงไปทุกที


+++++++++++

ตอนนี้ยาวไปหน่อย ไม่รู้จะตัดบทตอนไหนดี
พยายามสร้างโม้เมนต์หวานๆท่ามกลางความหม่นหมอง แต่ก็ได้เท่านี้จริงๆ 555  :ling2:

ขอบคุณสำหรับการติดตามเช่ยเคยจ้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-02-2018 00:39:28 โดย RindadaRin »

ออฟไลน์ @Sister

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :hao4: บอกไม่ถูกเลยตอนนี้
ไม่อยากให้เศร้า

ออฟไลน์ หมอตัวเปียก

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1874
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
ยิ่งอ่านยิ่งเศร้า

ออฟไลน์ allegiant1994

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
หมื่นนรินทร์เป็นคนทีทเห็นแก่ตัวมาก
น่าเสียดายที่เกือบจะได้มีรักแท้แล้ว
แต่กลับถูกความเห็นแก่ตัวครอบงำ
สงสารก็แต่ชาติปัจจุบันที่ต้องมาทนรับกรรม

ออฟไลน์ เป็ดอนุบาล

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
       ความเลวร้ายที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นอย่าได้โทษใครเลยท่านอา
เพราะหมื่นนริมทร์เป็นคนเริ่มทุกอย่างขึ้นมาเอง
ทั้งคำสาบานที่มีต่อแก้วความไม่ซื่อสัตย์ต่อความรัก
       ส่วนบัวจะว่าไปที่นางเเค้นได้ขนาดนี้ไม่แปลกเลย
เพราะตั้งแต่ที่นางท้องนางก็ยอมเสียสละมามากแล้วที่ต้องยอมยกลูกให้คนอื่นเลี้ยงดู
และตัวเองมาเป็นแค่แม่นม จะบอกว่าตนเป็นแม่ก็ไม่ได้
เวลาเห็นลูกเจ็บปวดเสียใจทั้งจากความรัก และ การแกล้งจากพี่ๆน้องๆด้วยกัน นางจะเสียใจแค่ไหนที่ทำหน้าที่แม่ไม่ได้ทำได้แค่บ่าวที่เลี้ยงแค่นั้น
       เพราะฉะนั้นไม่แปลกที่นางจะรักและอยากทำให้ลูกมีความสุขถึงวิธีจะดูใจร้ายไปมาก แต่ ก็มาจากความรัก และสาเหตุก็เพราะหมื่อนนรินทร์ทั้งนั้น ท่านอาตอนท้ายในช่วงชีวิตคิดได้เพราะตัวเองไม่เหลือใครเลยต่างหากลองท่านอามีสุขซิท่านอาจะคิดอะไรได้บ้าง
       เรื่องนี้ตัวละครที่น่าสงสารคือบัวกับแก้วต่างหาก มณีที่ว่าน่าสงสารยังไม่เท่า
เพราะในเมื่อรู้ตัวว่าแก้วคือใครนางสามารถถอยออกมาได้นิ
แล้วนางก็จะไม่แท้งด้วยถ้านางใจเเข็งไม่กลับมาที่บ้านของท่านหมื่นอีกแต่นางก็มีความถือดีไง
       บทสรุปจะออกมาแบบไหนรออ่านต่อนะค่ะ :mew1: :mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-02-2018 14:28:33 โดย เป็ดอนุบาล »

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
สงสัยใครดี เห้ออเ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
ตอนที่ ๑๔

ภูวรินทร์เดินกลับเข้าไปในบ้านตามเดิม เจออินทนิลอยู่ในครัว อีกฝ่ายดูตกใจที่เห็นเขาเนื้อตัวเปื้อนฝุ่นเข้ามาถามไถ่เป็นการใหญ่ เขามองแล้วนึกขำอยู่บ้าง

“ฉันไม่เป็นอะไรหรอกน่า”เขาบอก ส่งยิ้มให้เด็กหนุ่ม อินทนิลมองเขา ขมวดคิ้วจนเคยชิน

“คุณยิ่งไม่สบายอยู่นะครับ เดี๋ยวก็ป่วยอีกหรอก”อินทนิลเอ่ย มองเขาด้วยสายตาเป็นห่วง ชายหนุ่มเดินไปที่โต๊ะอาหาร เห็นว่าเช้านี้เป็นข้าวต้มหมูธรรมดา เขาไม่อยากอาหารเท่าไหร่ แต่ก็จำใจทานมื้อเช้า เพราะอินทนิลไม่ยอมท่าเดียว

“ใครกันแน่ที่ทำตัวเด็ก”อินทนิลเอ่ยเบาๆ ภูวรินทร์ยิ้มเซื่องซึมเพราะภาพในอดีตบั่นทอนจิตใจไม่น้อย แต่ไม่ได้บอกเล่าให้อีกฝ่ายฟัง มันเป็นเรื่องของหมื่นนรินทร์ เขาเองก็ไม่อยากให้อินทนิลมาแบกรับด้วย

“ป้าษอรไปไหนแล้วล่ะ”เขาถาม

“ออกไปตลาดกับตาชมน่ะครับ อยากได้อะไรหรือเปล่า”อินทนิลมองเขาตาไม่กระพริบ ชายหนุ่มส่ายหน้า

“ไม่มีหรอก แค่สงสัย ไม่เห็นหน้าแต่เช้า”เขาบอกไปแบบนั้น

“มีอะไรหรือเปล่าครับ อินน์ได้กลิ่นธูปด้วย ษอรก็มีกลิ่นเหมือนกัน”อินทนิลถามทันที แววตากระจางใสมองมาที่ตนอย่างค้นหา ภูวรินทร์ยิ้มจาง

“ฉันแค่ไปไหว้บรรพบุรุษที่สุสานมาน่ะ ไม่มีอะไรหรอก”เขาบอก อินทนิลเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ  “อา งั้นเหรอครับ...นึกว่าคุณภูจะไม่นับญาติกับท่านอาแล้วซะอีก”อีกฝ่ายเอ่ยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง แต่ก็ทำให้เขาอดหัวเราะไม่ได้

“หนีความจริงไม่ได้นี่”เขาบอก ก้มตักข้าวต้มที่ยังร้อนอยู่ขึ้นมาเป่าก่อนจะเอาเข้าปาก เขาไม่หิว การทานข้าวต้มจึงเป็นการทานอาหารที่ไร้รส

“คุณภูไม่ฝันร้ายแล้วใช่ไหม”

“อือ แต่กลายเป็นฝันเรื่องในอดีตแทน ดีเหมือนกันนะ”

“เหรอ”อินทนิลพึมพำอย่างไม่เข้าใจ

“เธอเองก็อย่าเก็บเรื่องคุณแก้วไปคิดมากจะดีกว่า ละเมอบ่อยๆคงไม่ดีนัก”ภูวรินทร์เอ่ยขึ้นมา เมื่อนึกขึ้นได้ อินทนิลมองเขาด้วยแววตาอบอุ่น “จะพยายามครับ”


เมื่อตะวันลับฟ้าไป รอบบริเวณบ้านเก่าตกอยู่ในความมืด เสียงสัตว์กลางคืนส่งเสียงระงม ชายหนุ่มเดินไปปิดหน้าต่าง เห็นพระจันทร์เต็มดวง แสงสีเหลืองอร่ามกระจ่างไปทั่วผืนฟ้า ค่ำคืนนี้ไม่มืดหม่นนัก อินทนิลกลับมานอนกับเขาเช่นเดิมแล้ว ยังคงนำดอกแก้วกลับมาด้วยเสมอ นอกจากจะถวายพวงมาลัยไว้เหนือเตียงนอนแล้ว ดอกแก้วที่นำมาไว้ข้างหมอน ส่งกลิ่นหอม อาจหอมเกินกว่าที่เขาจะหลับลงได้

“รู้สึกไม่ดีหรือครับ”อินทนิลเอ่ยถาม เมื่อเขาขยับหมอนออกห่างจากดอกแก้ว ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ

“ไม่ใช่ว่าไม่ชอบดอกแก้วหรอก แต่แค่กลิ่นมันแรงไปหน่อย”เขาบอก เด็กหนุ่มย่นคิดอย่างไม่เห็นด้วย แต่ก็ยอมย้ายดอกแก้วไปไว้ฝั่งตนเองแทน ภูวรินทร์ถอนหายใจอย่างแผ่วเบา เพราะคุณแก้วเชื่อมโยงกับดอกแก้ว จนทำให้อินทนิลมีนิสัยชอบดอกแก้วไปด้วย เรียกว่าเป็นการแบ่งปันสำนึกคิดหรือเปล่านะ แล้วอย่างนี้อินทนิลยังเป็นอินทนิลอยู่หรือไม่ ชายหนุ่มไม่แน่ใจนัก

“นี่อินน์...ตอนนี้คุณแก้วยังอยู่กับเธอใช่ไหม”เขาหันไปถาม เด็กหนุ่มที่กำลังเอนตัวลงนอนถึงกับชะงักไป เจ้าตัวขยับมานอนตะแคงหันหน้ามาทางเขาแทน

“ใช่ อินน์ยังรู้สึกถึงท่านอยู่”อินทนิลตอบ แววตามีคำถาม

“เธอรู้สึกยังไงล่ะ”เขาถามด้วยความอยากรู้ อินทนิลมีสีหน้ายุ่งยากใจขึ้นมา

“เอ...บอกไม่ถูกครับ อินน์แค่รู้สึกว่าท่านยังคงอยู่ เหมือนว่าในร่างกายนี้มีความรู้สึกของท่านร่วมด้วย แต่ไม่ใช่สิ่งไม่ดีนะครับ”อินทนิลเอ่ยช้า ๆ สายตามีความกังวลเมื่อเห็นเขาขมวดคิ้วกับคำตอบนี้ ชายหนุ่มมองอินทนิลอยู่นาน ใบหน้าเรียว กับเรือนผมอ่อนนุ่มยาวคลอเคลียบ่าแคบนั้นทำให้เขาถอนสายตาไปได้ยาก เขาเองก็เห็นเต็มตาว่าอินทนิลโตเกินวัยเด็กสิบห้าปีเสียแล้ว ในใจรู้สึกผิดบาปขึ้นมาบ้างจนต้องหาเรื่องสนทนา

“อืม แล้วทำไมท่านไม่ออกมาล่ะ”ชายหนุ่มถามถึงคุณแก้วแทน 

“การลอยอังคารเถ้ากระดูกของท่าน ส่งผลให้จิตท่านไม่แข็งแรงเหมือนเก่า คล้ายกับคลื่นวิทยุที่จูนไม่ติด อินน์ก็รับมาได้ไม่ชัดเจน...”เด็กหนุ่มเอ่ย เม้มปากเมื่อหมดคำเล่า ท่าทางกังวลใจกับข้อสงสัยของเขา

“ฉันแค่อยากรู้เท่านั้นเอง อย่ากังวลไปเลย”ภูวรินทร์เอ่ย เอื้อมไปดึงผ้าห่มมาคลุมลำตัวตนเองไว้อย่างเคยชิน อินทนิลยิ้มแย้มก่อนจะนอนลงกับเตียง ยังคงหันกายมาทางเขา “ขอให้คุณภูหลับฝันดีครับ”เด็กหนุ่มบอก ชายหนุ่มหันมายิ้ม พยายามทำใจให้ปลอดโปร่ง อินทนิลหลับตาลง เหมือนว่าการนอนหลับจะเป็นเรื่องง่ายสำหรับเด็กหนุ่ม ต่างจากตนนัก เขายังคงนอนไม่หลับ ชายหนุ่มนอนมองเพดานอยู่ในแสงสลัวจากโคมไฟอยู่เกือบชั่วโมง จนเปลือกตาเริ่มล้า ร่างกายเริ่มอ่อนเพลีย ก่อนจะเข้าสู่ห้วงนินทราไปช้าๆ

          บริเวณบ้านเงียบสงัด มีกระแสลมพัดผ่านเข้ามาใส่ตัวบ้านอยู่เนืองๆ จนได้ยินเสียงของมันเป็นเครื่องขับกล่อม ค่ำคืนนี้พระจันทร์เต็มดวง คล้ายกับเต็มใจให้คนออกมาเชยชม ไม่ต่างอะไรกับหมื่นนรินทร์ที่ออกมาเดินเล่นในสวนเหมือนอย่างเคยในเวลาที่ตนนอนไม่หลับ แต่ไม่นึกว่าจะเจอกับแก้วในเวลานี้ ยิ่งมองเห็นแก้วแล้ว เขาจึงรู้ว่าความรู้สึกที่มีต่อหลานชายคนนี้แตกต่างจากคนอื่นอยู่มาก เพราะเอาใจใส่มากเกินไป อาจจะรักใคร่เอ็นดูมากเกินกว่าอาหลาน

“นอนไม่หลับหรือ”แก้วเอ่ยถาม เมื่อเดินมาหยุดที่ใจกลางลานบ่อน้ำพุ แก้วสวมชุดนอนสีเรียบเดินไขว่แขนไปด้านหลัง ใบหน้าที่สะท้อนผ่านแสงสว่างยามค่ำคืนดูงดงามไปอีกแบบ

“เปล่า แค่อยากออกมาชมจันทร์ก็เท่านั้น ไม่นึกว่าจะเจอแก้วด้วยซ้ำ”เขาเอ่ยออกไป

“วันนี้พระจันทร์สว่างมาก”แก้วพึมพำ แหงนหน้ามองพระจันทร์ที่ลอยเด่นเหนือศีรษะอย่างใจลอย หมื่นนรินทร์ยิ้มออก ลอบสังเกตสีหน้าของหลานชายที่เหมือนจะหม่นเศร้าลงไปถนัดตา

“เป็นอะไร ทำหน้าโศกเศร้าอีกแล้ว”

“ได้ข่าวว่าท่านอากำลังจะหมั้นหมาย”แก้วเอ่ย ไม่ได้หันมองมาทางผู้เป็นอา

“ฮ่าๆ ว่าไปเรื่อย ฉันยังไม่ถึงวัยออกเรือน ไม่คิดจะมีเมียเร็วหรอก อย่าไปฟังแม่ฉันมากเลย”หมื่นนรินทร์ส่ายหน้า แววตาเปล่งประกายคลายกับขบขันออกมา แก้วจึงหันมองเขา

“ก็เห็นคนรับใช้พูดกันบ่อย”

“ฉันยังไม่มีคนที่ชอบหรอก”หมื่นนรินทร์เอ่ยเบาๆ เหลือบมองหลานชายด้วยสายตาจับสังเกต เห็นเจ้าตัวยังคงเงียบจึงเอ่ยต่อไป “ไม่สิ ฉันไม่ถูกใจหญิงสาวเท่าไหร่”

แก้วหันมาจ้องเขาทันทีที่เอ่ยจนจำคำ สีหน้าดูประหลาดใจ เพียงไม่นานใบหน้าที่เคยหม่นหมองกลับมีสีหน้าดีขึ้นมาอย่างไม่ปกปิด หมื่นนรินทร์ยิ้ม ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้หลานชาย

“นี่แก้ว เธอว่าฉันแปลกประหลาดไหม”เขาเอ่ยน้ำเสียงเคร่งขรึมจริงจัง สายตาไม่ละไปจากใบหน้านุ่มนวลของวัยหนุ่มสะพรั่งของหลานชาย แก้วมองเขาอยู่นานแล้วส่ายหน้า

“ไม่เลยครับ”

“จริงหรือ หากไปบอกคนอื่น เขาคงจับฉันเข้าโรงหมอแน่ๆ”หมื่นนรินทร์หัวเราะไปด้วย แก้วมีสีหน้าเป็นกังวล “ร้ายแรงถึงเพียงนั้นเลยหรือ”

“ฉันถึงไม่เปิดเผยนัก โดยเฉพาะกับคนในบ้านนี้”หมื่นนรินทร์เอ่ยเบาๆ มองแก้วไม่วางตา อีกฝ่ายเบือนหน้าหนีไปมองต้นไม้แทน เขายิ้ม “ฉันเห็นแก้วมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ไม่คิดว่าตนเองจะมองแก้วต่างจากคนอื่น”หมื่นนรินทร์เอ่ยความในใจออกไป ที่จริงเขาไม่คิดจะเปิดเผยไปจนหมด แต่เห็นแก้วยังไม่ตอบสนองต่อคำหวานของตนแล้วก็อดอยากเห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่ายบ้าง แก้วนิ่งไป แววตาสั่นไหว

“ท่านอา”

“เธอไม่รู้จริงๆหรือ”หมื่นนรินทร์เอ่ย ขยับไปยืนตรงหน้าของแก้ว ไม่ยอมให้เจ้าตัวเสไปมองทางอื่น

“...ท่านอาพูดจริงหรือไม่เล่า อย่ามาอำกันเลย”แก้วเอ่ยเสียงเรียบ มองเขาอย่างค้นหา หมื่นนรินทร์ยิ้มกว้าง ในใจนึกยินดีกับท่าทีของหลานชายไม่น้อย ดอกไม้ในใจเบ่งบาน

“เปล่า ฉันพูดจริง ไม่เห็นหรือว่าฉันดีแค่แก้วคนเดียว”หมื่นนรินทร์เอ่ยกระซิบ ถ้อยคำนี้ไม่ผิดกับความจริง เขาดีกับแก้วมากกว่าผู้ใด แก้วยังคงเงียบ แววตายังสับสนอยู่ไม่น้อย ผู้เป็นอาข่มความร้อนรนเอาไว้ จึงเอ่ยปากเร่งเร้าต่อ

“แล้วแก้วล่ะ คิดกับฉันเช่นไร”จบคำของตน แก้วหายใจติดขัด ขบปากเข้าหากันราวกับกำลังใคร่ครวญอย่างหนัก เขาไม่เร่งรัด รอคอยอีกฝ่ายอย่างใจเย็น

“...หลานบอกไม่ถูก แต่ในบ้านนี้มีเพียงท่านอาที่ดีกับหลาน”แก้วเงยมองผู้เป็นอา แววตามีความรักความผูกพันไม่ปิดบัง หมื่นนรินทร์ยิ้มออก

“ถ้าเช่นนั้น เราถือว่ารับรู้กันสองคนนะ”เขาเอ่ยเบาๆ ก้มมองหลานชายอย่างยินดี แก้วมองเขาอยู่นาน สุดท้ายก็ยอมพยักหน้าตกลง

“แล้วท่านอย่าทำให้หลานเสียใจล่ะ”แก้วเอ่ยเบาๆ “ฉันไม่คิดทำร้ายเธอหรอกแก้ว”หมื่นนรินทร์ตอบ แก้วจึงยิ้มอย่างพอใจหมื่นนรินทร์รู้สึกยินดีที่เห็นเด็กน้อยที่เคยอุ้มชูยังรักเขาไม่เปลี่ยน ใครอื่นต่างปรามาสตนว่าด้อยกว่าเจ้าหมื่นประดิษฐ์ ที่มีอายุห่างจากเขาเกือบสิบปี มองอย่างไรก็ไม่นับว่าเป็นพี่ คล้ายกับเป็นพ่อคนที่สองของตน คงเพราะหน้าที่การงานของเจ้าหมื่นที่ห่างจากเขาลิบลับ หมื่นนรินทร์มีตำแหน่งแค่หมื่นธรรมดาๆเท่านั้น อยู่ในบ้านหลังนี้มีคนก้มหัวให้ พอออกไปราชการ กลับต้องไปก้มหัวให้ผู้อื่นอยู่ดี ขณะนั้นเองหมื่นนรินทร์รีบคว้าแขนแก้วมาหลบหลังบ่อน้ำพุ เหลียวมองดูรอบกายแล้วไม่มีใครอื่นนอกจากคนทั้งคู่ แก้วตกใจ “มีอะไรหรือท่านอา”

“เห็นแก้วตอนนี้แล้ว ฉันอดใจไม่ไหวจริงๆ”นรินทร์เอ่ย ก่อนจะเข้าไปหาหลานชายช้าๆ เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายตกใจมากกว่าเดิม แก้วชะงักเหลือบมองเขาด้วยแววตาอ่อนโยน เขายิ้ม โน้มหน้าลงไปหา จูบแก้วอย่างแผ่วเบา หัวใจเต้นระส่ำ เพราะเป็นครั้งแรกที่สัมผัสเนื้อต้องตัวกับชายด้วยกัน และยังเป็นหลานชายของตนอีกด้วย แก้วยืนนิ่งงัน ทำอะไรไม่ถูกแต่ก็ยอมโอนอ่อนตาม

“ฉันรักแก้วนะ”นรินทร์เอ่ยกระซิบออกไป แม้ว่าคำ‘รัก’ของตนในเวลานั้นอาจไม่ใช่รักที่สุดของหัวใจ แต่ก็เป็นรักในวัยหนุ่มของตน แก้วกระพริบตา ยังคงมึนงง แต่กลับยิ้มอย่างเขินอาย

“รักหรือ”

“ใช่สิ ฉันว่าฉันรักแก้วนะ”หมื่นนรินทร์บอก ไม่รู้ว่ารักเพราะผูกพันในฐานะอาหลานด้วย หรือรักเพราะแก้วดีต่อตนเองด้วยเช่นกัน ในเวลาเขาลืมเลือนคำทำนายเหล่านั้นไปจนหมดสิ้น เจ้าชะตาอริงั้นเหรอ ไม่เห็นเหรอ แก้วดีต่อเขาถึงเพียงนี้ ไม่มีวันทำร้ายตนได้แน่ๆ หลังจากแก้วอายุยี่สิบปีเต็ม เจ้าหมื่นก็ป่วยหนักจนร่างกายเริ่มผ่ายผอม อาการไม่ดีมาหลายสัปดาห์ ดูแล้วคงอยู่ได้ไม่นานนัก เจ้าหมื่นเรียกนรินทร์ไปคุยก่อนจะสิ้นใจ บอกความลับอันน่าตกใจให้ตนได้รู้ แก้วเป็นลูกของหญิงอื่น...ไม่น่าเชื่อ หมื่นนรินทร์ออกมายังคงพูดไม่ออก ก่อนจะค่อยๆคิดอย่างมีสติ ....บัวหรือเปล่านะ...

บัวงั้นเหรอ...

หมื่นนรินทร์หัวเราะในใจ หลังงานศพของเจ้าหมื่นเสร็จสิ้น แก้วอยู่ในสภาวะซึมเศร้า เขาต้องมาอยู่เป็นเพื่อน เมื่อเจอบัวเข้า สายตาของนางมองมาที่ตนอย่างสังเกต แววตาที่หวาดระแวงอยู่เสมอ ที่แท้เพราะเธอเป็นแม่ของแก้วนี่เอง มิน่า ถึงได้มองตนแปลกๆ ช่วงนั้นหมื่นนรินทร์อยู่ปลอบแก้วอยู่นาน เขาคิดทบทวนเรื่องของแก้วอีกครั้ง เจ้าหมื่นยกบ้านหลังนี้ให้แก้ว แล้วภายภาคหน้าล่ะ บ้านจะเป็นของใคร ในเมื่อแก้วเองก็ไม่คิดจะแต่งเมีย หรือจะยกให้ตนดูแล... เป็นไปได้หรือ

แล้วบัวล่ะ จะยอมให้เขาได้บ้านไปง่ายๆหรือเปล่า มาคิดไปคิดมา ทรัพย์สินของตนยังมีไม่เท่าที่แก้วมี ทั้งๆที่แก้วก็เป็นแค่คนป่วยแท้ๆ ต่างจากตนนัก สมบัติส่วนตัวไม่มีสักชิ้น บ้านสักหลังยังไม่มีเลย หากจะสร้างเนื้อสร้างตัวคงต้องใช้เวลาอีกหลายสิบปีกว่าจะมีเท่าเจ้าหมื่น เงินเดินหมื่นจะได้สักเท่าไหร่กันเชียว หมื่นนรินทร์คิดอย่างอดสู รู้สึกโทษตัวเองไปเสียทุกเรื่อง รู้เช่นนี้ไม่ย้ายมาทำงานที่มณฑลเหนือซะก็ดี ‘เป็นเพียงคนอาศัย’ ตนได้ยินนินทาของคนรับใช้ในบ้านอยู่บ่อยครั้ง 

พออายุสามสิบปีเต็มหมื่นนรินทร์ออกเดินทางบ่อยเพื่อไปพบปะกับเพื่อนฝูง หลายคนเจริญก้าวหน้าไปมาก เพราะเส้นสายใหญ่โต ผิดกับตน ต่อให้อ้างชื่อเจ้าหมื่น แล้วจะได้อะไร เขาไม่ทำงานในพระราชวัง ยังดีที่มีคนนึกเกรงใจอยู่บ้าง ไม่นานก็เกิดเหตุการณ์บ้านเมืองวุ่นวายอยู่พักใหญ่ ผู้ดีในเมืองหลวงต่างก็หนีออกนอกประเทศ ตนกลัวอยู่เหมือนกัน เห็นว่าในหลวงองค์ใหม่จะเปลี่ยนการปกครอง ตำแหน่งในมณฑลต้องมีการปรับเปลี่ยนไป งานราชการทำให้ตนห่างจากแก้วไปพักใหญ่ แต่ก็ยังส่งจดหมายไปหากันหากว่าไปราชการที่มณฑลใกล้เคียง ทว่ายิ่งห่าง หมื่นนรินทร์ยิ่งถวิลหาแก้วน้อยลง แต่ใจก็ยังผูกพันต่อแก้วเช่นเดิม ประจวบกับหมื่นนรินทร์เข้าบางกอกไปพบเพื่อน เจอมณี คุยถูกคอกันหลายส่วน แถมคุณพ่อของเธอเป็นถึงคุณพระ มีอำนาจไม่น้อย ถึงช่วงนี้จะอยู่อย่างเงียบๆ จึงเป็นการเหมาะหากว่าหมื่นนรินทร์คิดหาหนทางขยายความมั่งคั่ง พอรู้จักกันอยู่หลายเดือน หมื่นนรินทร์พอมองออกว่ามณีชอบพอตนเองไม่น้อย แต่น่าหนักใจ หากต้องบอกแก่แก้ว...หลานรักจะทนได้หรือไม่...


ภูวรินทร์ตัวเย็นเยียบ รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมา เขาหายใจแรงก่อนจะพบว่าตนเองนอนอยู่บนเตียง จ้องมองเพดานห้องนอนอันคุ้นเคย ในห้องมีแสงยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาทำให้เขางุนงงเพราะเพิ่งจำได้ว่านอนหลับไปแท้ๆ ชายหนุ่มหันหน้ามองไปรอบตัว เขาเจออินทนิลที่นั่งมองตนอยู่ กลิ่นกายของเด็กหนุ่มทำให้เขาผ่อนคลาย กลิ่นจากดอกแก้ว

“คุณฝันอีกแล้ว”อินทนิลมองเขาด้วยสายตาห่วงใย ชายหนุ่มลูบใบหน้าร้อนผ่าวของตนเอง “ฉันนี่อ่อนแอจริงๆ”

“คุณน่าเป็นห่วงจัง”เด็กหนุ่มยังคงไม่ละสายตาไปจากเขา เอื้อมมาจับเนื้อตัวเขาเพื่อสำรวจอุณหภูมิของร่างกาย เขายิ้มให้อีกฝ่าย

“ฉันไม่เป็นอะไรมากนักหรอก ไม่ใช่ฝันร้ายอะไร แค่เรื่องในอดีต”เขาตอบ น้ำเสียงแหบแห้ง เขากลืนน้ำลายลงคอไปอย่างยากลำบาก อาการปวดล้าตามร่างกายเข้ามากัดกิน เขาขมวดคิ้ว รู้สึกว่าร่างกายอ่อนเพลียกว่าปกติ เขาขยับแขนออกมาจากผ้าห่ม ลองขยับไหล่ซ้ายดู พบว่าไม่มีปัญหาที่น่ากังวลใจ พอได้รู้อาการป่วยของหมื่นนรินทร์ในอดีตแล้ว เขากลับจิตตกขึ้นมาไม่น้อย อินทนิลมองเขาอย่างสังเกต

 “คุณโอเคนะครับ”

“ไม่รู้สิ บอกไม่ถูก...เรื่องของคุณแก้วทำให้ฉันเศร้า”ภูวรินทร์เอ่ยออกมา ไม่รู้ว่าอินทนิลเอ่ยถามถึงเรื่องใดด้วยซ้ำ แต่ใจของเขารับเรื่องของคุณแก้วมาซ้ำไปมา จนเผลอคล้อยตามไปด้วย อินทนิลจับมือของเขาไว้แน่น

“ท่านไม่โกรธเคืองคุณภูเลยนะ ไม่ว่าจะหมื่นนรินทร์ หรือคุณภูก็ตาม”

“นั่นสิ มนุษย์นี่อ่อนแอจริงๆ”เขาพึมพำ ในขณะที่แก้วเห็นแก่ความสัมพันธ์ตั้งแต่ยังเล็ก แต่ท่านอากลับค่อยๆลดทอนความรู้สึกต่อแก้วไปเพราะเรื่องชาติกำเนิด กับเรื่องของนอกกาย ภูวรินทร์หลับตา เอาเข้าจริงท่านอาไม่เหมาะสมกับคุณแก้วเลยแม้แต่น้อย ช่างเป็นคนที่โชคร้ายจริงๆ

 “คุณตัวร้อนๆนะ ดูท่าคงจะป่วยอีกรอบ”อินทนิลยื่นมือมาแตะหน้าผากของเขาระหว่างที่พูด

“อา คงใช่”ภูวรินทร์พึมพำ ทั้งที่ปกติเวลาตื่นนอนมาแล้วเขาจะต้องลุกออกไปล้างหน้าอาบน้ำ แต่คราวนี้ร่างกายอ่อนเพลียจนต้องยอมแพ้ เขานอนหลับตาลง รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของอินทนิล เด็กหนุ่มยื่นมือมาสัมผัสใบหน้าของเขาอย่างแผ่วเบา ปล่อยให้อินทนิลสัมผัสเนื้อตัวของเขาตามใจชอบ จนเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่เขาก็ลืมเลือน เพราะเกือบจะเคลิ้มหลับไปอีกรอบ

“หวังว่าท่านจะไม่ใช้ความสงสารเห็นใจเพื่อมาชดใช้แก่เราหรอกนะ”

“...แล้วทำไม่ได้เหรอ”

“...มันไม่ใช่ความรักอยู่ดีภูวรินทร์ เราทราบดีว่าท่านมีใจให้ใคร”

“ผมไม่อยากให้คุณเศร้านะ...”เขามองร่างของเด็กหนุ่มที่ในเวลานี้ยืนอยู่ข้างเตียง แววตาที่มองมาเรียบเฉยคล้ายกับตัดสินใจในบางอย่างได้แล้ว เขาคิ้วขมวด

“เราไม่เศร้ามากไปกว่าที่เป็นอยู่หรอก”คุณแก้วเอ่ยบอก กระแสเสียงยังเจือความเศร้า แต่ใบหน้ายังประดับรอยยิ้มไว้ อีกฝ่ายหันร่างเดินกลับออกไปจนถึงหน้าประตูห้อง ชายหนุ่มข่มใจไว้ไม่ได้ เขาไม่อาจหักใจได้จริงๆ มองแผ่นหลังของเด็กหนุ่มที่ห่างออกไป

 “แก้ว...”ภูวรินทร์เอ่ยเรียก รั้งอีกฝ่ายไว้ได้ทัน ร่างของอินทนิลหยุดนิ่ง รออยู่นานกว่าที่ร่างนั้นจะหันกลับมาหาเขา คุณแก้วในร่างของอินทนิลมองเขาอย่างแปลกใจ 

“...มีอะไรหรือ”คุณแก้วถาม ชายหนุ่มมองอีกฝ่ายให้แน่ใจ เขาหลับตาลง สำรวจใจตนเองกับการตัดสินใจในหนนี้ ไม่อาจถอนตัวได้อีก

“ผมจะลืม”ภูวรินทร์เอ่ยออกไป คุณแก้วยืนนิ่ง แววตาฉายแววไม่นึกเชื่อ เผลอเม้มปากไปด้วย เขามองอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ

“ลืมว่ามีอะไรเกิดขึ้นในอดีต ไม่ว่าหมื่นนรินทร์จะรักหรือไม่รักคุณ ผมไม่สนใจอีกแล้ว เพราะเรื่องเหล่านั้นมันเป็นเพียงอดีต”เขาเอ่ย แม้ว่าจิตใจจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แต่สิ่งที่เอ่ยออกไปไม่ใช่คำล่องลอย คุณแก้วมองเขาด้วยความลังเล ขยับเดินเข้ามาใกล้อีกสามสี่เก้า

“เราเข้าใจดี”

“แต่ผมไม่อยากให้คุณเสียใจ ได้ยินไหม”ชายหนุ่มเอ่ยเศร้าๆ จ้องมองเด็กหนุ่มอย่างตั้งใจ ในใจระลึกถึงเรื่องที่ผ่านมาจนกระทั่งในปัจจุบันนี้ คุณแก้วมีสีหน้าคลายความกังวลใจ แปรเปลี่ยนเป็นหม่นเศร้า

“...เพราะรู้สึกผิดหรือ”คุณแก้วพึมพำเสียงสั่นเครือ

“คงไม่หรอก... ผมแค่อยากเห็นคุณมีความสุขมากกว่า”ภูวรินทร์เอ่ยออกไปช้าๆ เขาแน่ใจแล้วว่าตนเองไม่อยากเห็นอีกฝ่ายเสียน้ำตา เขาไม่สนใจเรื่องความรักลึกซึ้งพวกนั้นหรอก หากว่าการมีอยู่ของแก้วและอินทนิลมันทำให้ตัวเขาเองรู้สึกดีไม่ต่างกัน เขาก็ไม่อยากไปทำลายมันไป ชายหนุ่มไม่รู้หรอกว่าเรื่องต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร

“ท่านอยากพูดอะไรกันแน่”

“ตอนนี้มีแค่ผม ผมก็อยากให้คุณมองผมเป็นแค่ภูวรินทร์เท่านั้นเอง เลิกโหยหาถึงอดีตได้ไหม”เขาเอ่ย ร่างของเด็กหนุ่มเดินกลับมาหาเขาที่เตียง นัยน์ตาของอินทนิลแต่ในเวลานี้คือคุณแก้วกำลังสับสน

“...ท่านเอ่ยจริงหรือ”คุณแก้วเอ่ยเสียงเครือขม

“จริงสิ”ชายหนุ่มเอ่ยอย่างมั่นใจ คุณแก้วนั่งลงบนเตียง ส่งยิ้มจืดจางมาให้

“แต่ท่านชอบอินน์ไม่น้อยเลย เรารู้สึกได้”

“ก็ใช่...แต่ไม่ว่าจะอินน์หรือคุณ ยังไงก็คนเดียวกันอยู่ดี”ภูวรินทร์พึมพำ ร่างของเด็กหนุ่มนั่งลงบนเตียง ยื่นมือมาจับมือเขาไว้ แววตาเป็นประกายเพราะน้ำตาเอ่อคลอ อีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยถ้อยคำใด เพียงแค่นั่งมองเขาด้วยสายตาเปรี่ยมความรู้สึก คล้ายจะขอบคุณเขา

“ท่านดีต่อเราจริงๆ...”คุณแก้วเอ่ยแผ่วเบา

“ผมอยากสะสางเรื่องคำแช่งมากกว่า ไม่อยากปล่อยเวลาให้เสียไปเปล่าๆอีกแล้ว”เขาเอ่ยอย่างเหนื่อยล้า คุณแก้วในเวลานี้มองเขาด้วยสายตามีความอ่อนโยนขึ้นมาบ้าง ความหม่นหมองจางหายไปบ้างแล้ว เจ้าตัวยื่นมือมาแตะหน้าผากเขา

“อืม แต่ก่อนอื่น ท่านควรดูแลตัวเองนะ คุณป่วยบ่อยเหลือเกิน”เจ้าตัวขมวดคิ้ว สายตาจับจ้องไปทั่งใบหน้าของเขา

“คงเพราะเรื่องในอดีตล่ะมั้งครับ”

“อย่ากังวลไปเลย... ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราก็ยังคงอยู่ตลอดไป มีอินน์ก็ย่อมมีเรา ต่อให้เราไม่ปรากฏออกมา ก็ใช่ว่าไม่รับรู้”คุณแก้วเอ่ยให้เขาคลายใจได้ไม่น้อย

“ถ้าอย่างนั้น คุณคงไม่แบ่งแยกเวลาแล้วงั้นสิ... คิดว่าคุณจะมีตัวตนเฉพาะในยามดึกเท่านั้นเสียอีก”เขายึดตามคำที่อีกฝ่ายเคยบอก

“มันก็ใช่...แต่เวลานี้เราไม่สามารถควบคุมจิตของตนเองได้อีกแล้ว อินทนิลเป็นหลักในการดึงพลังชีวิตของเรา ร่างกายนี้เป็นของอินทนิล เราย่อมให้อิสระแก่เจ้าของร่างไม่ใช่หรือไง”

“หมายความว่าคุณไม่สามารถควบคุมอินน์ได้แล้วใช่ไหม”ภูวรินทร์เอ่ยถาม อีกฝายมีสีหน้าลำบากใจขึ้นมา

“เราไม่เคยบีบบังคับเพื่อครอบงำร่างนี้ ตอนที่อินทนิลละเมอ คงเพราะจิตของอินน์กำลังผ่อนคลาย มันก็เลยเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น”

“งั้นเหรอ”เขาหลับตาลง เชื่อในคำพูดของอีกฝ่าย

“พักเถอะ... เราคิดว่าเจอบางสิ่งที่สุสานเข้า”คุณแก้วเอ่ยเสียงอ่อนนุ่ม  “เป็นเรื่องจริงเหรอ คุณเจออะไร”เขาลืมตามองโดยทันที ทำท่าจะลุกขึ้นแต่คุณแก้วค่อยๆดันให้เขานอนลงไปตามเดิม

“จริง...เรื่องนี้เราจัดการเองดีกว่า ท่านพักผ่อน ไม่อย่างนั้นทั้งเราและอินน์ไม่อาจสบายใจได้”อีกฝ่ายเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมขึ้นมาบ้าง เขาจึงได้แต่จ้องมองอย่างร้อนรนในใจ แต่เมื่อมองเห็นแววตาสีนิลที่ไม่พริบไหวจดจ้องอยู่ที่ตนเองอยู่นาน เขาจึงเอ่ยออกมาอย่างเสียไม่ได้

“ครับ...”ภูวรินทร์ยอมถอย เขาปล่อยร่างกายผ่อนคลาย หลับตาลงอย่างอ่อนเพลีย สองหูยังคงได้ยินเสียงขยับร่างกายจากร่างของอินทนิล “ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกรรมของมันเถิด”น้ำเสียงเครือขมดังมาจากคุณแก้วเบาๆ ชายหนุ่มรู้สึกว่าร่างกายหนักอึ้ง สองตาไม่อาจฝืนลืมขึ้นมาได้อีก

+++++++++

ร่างที่เป็นของอินทนิลมองใบหน้านิ่งสงบของภูวรินทร์ด้วยสายตาลึกซึ้ง มองหัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อยของชายที่ตนปักใจมาเนิ่นนาน เจ้าตัวบอกให้ลืมรักครั้งอดีตแล้วให้มองที่ปัจจุบัน แก้วยิ้มออก แม้ใจจะยังเต้นเร่าด้วยความเจ็บ เมื่อหวนคิดถึงข้อเท็จจริงที่ว่าภูวรินทร์นั้นมีใจแก่อินทนิลมากกว่าตน แต่เอาเถิด ผ่านมาเจ็ดสิบกว่าปีที่ทนทรมานกับความรู้สึกเดิมๆ ได้มีโอกาสได้รับความรักจากผู้อื่น ในใจที่เหือดแห้งมาช้านานคล้ายกับมีน้ำเย็นไหลรินลงมา ร่างของเด็กหนุ่มค่อยๆขยับไปหาคนที่นอนสงบอยู่บนเตียง ก้มหน้าจุมพิตลงที่หน้าผากอุ่นของเจ้าตัว

“พักผ่อนนะภูวรินทร์”แก้วเอ่ยเบาๆ ก่อนจะผละออกจากเตียง แล้วเดินออกจากห้อง แก้วไม่เคยครอบงำอินทนิลมาก่อน แต่เวลานี้ ตนต้องเสี่ยงฝืนใช้จิตที่ไม่แกรงกล้าของตนเพื่อไปสะสางเรื่องที่ยังค้างคา ภายในใจครุกกรุ่นไปด้วยอารมณ์โกรธที่มีต่อษอร ...หรือแม่บัว... เมื่อนึกถึงความจริงที่ว่าเธอคนนั้นเป็นผู้ให้กำเนิดตนออกมา ทั้งร่างก็สั่นสะท้านไปด้วยความเสียใจ แม้จะเข้าใจเจตนาของบัวดี แต่ทว่า.... การกระทำบาปในหนนั้น ผลของมันช่างร้ายแรงนัก

แก้วในร่างของอินทนิลเดินลงมาที่หน้าบ้าน ได้ยินเสียงพรวนดินมาจากในสวน นายชมกำลังก้มหน้าก้มตาดูแลสวน

“ชม”แก้วเอ่ยเรียก ชายแก่ที่ถูกเรียกถึงกับสะดุ้งเมื่อได้ยินน้ำเสียงเรียบเฉยจากอินทนิล “อินน์”

“ไปตามคนงาน ฉันจะต้องการดูว่าที่โกศของท่านอามีสิ่งอื่นหรือไม่ เหมือนนางมณี”แก้วเอ่ย นายชมถึงกับรีบก้มหน้าหลบเมื่อรู้ตัวว่ากำลังคุยกับใคร

“ได้ครับ ผมจะไปจัดการให้”นายชมตอบทันที แก้วมองอย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะเหลียวมองไปรอบบ้าน  “ษอรไปไหน”

“อยู่ที่เรือนเล็กครับ”นายชมตอบ แก้วพยักหน้ารับรู้ ไม่รั้งถามอะไรอีก เพียงมองตามร่างของคนสวนที่กึ่งเดินกึ่งวิ่ง จากนั้นก็เดินไปตามรั้วบ้านเพื่อไปยังเรือนหลังเก่าที่ครั้งอดีตตนเคยอาศัยอยู่


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-02-2018 21:58:10 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
ษอรหญิงท้วมในวัยห้าสิบตอนปลาย กำลังเก็บดอกแก้วใส่ถาด คงเก็บไปใส่บาตรเช้ากระมัง แก้วยิ้ม “ษอร”

“อ้าว อินน์ ตื่นเช้านะวันนี้”หญิงผู้ดูแลบ้านหันมองตนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่แก้วเพียงแค่มองอีกฝ่ายอย่างเรียบเฉย

“ฉันมาคุยกับเธอ และอาจเป็นครั้งสุดท้าย”ตนเอ่ยกับอีกฝ่าย ษอรถึงกับอ้ำอึ้ง จ้องมองมาที่ตนด้วยแววตาตื่นตระหนก ถาดที่เก็บดอกแก้วไว้ล่วงหล่นลงพื้น เธอขยับเดินมาหาก่อนจะเอ่ยเรียกอย่างมั่นคง

“....คุณแก้ว”

“เป็นยังไงบ้างล่ะ”เขาเอ่ยถามไปแบบนั้น ไม่ได้เจาะจงไปที่เรื่องใด ษอรมองเดกหนุ่มด้วยแววตาที่ต่างจากตอนที่มองอินทนิลในเวลาปกติ แก้วไม่เคยพูดคุยกับษอรโดยตรงเช่นนี้มาก่อน อย่างมากอีกฝ่ายแค่รับรู้ว่าเขานั้นยังไม่จากไปไหน

“คะ?....เอ่อ ป้าสบายดีค่ะ”อีกฝ่ายตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ก่อนจะกวาดสายตามองไปทั่วใบหน้าของอินทนิล แก้วยิ้ม

“ฉันหมายถึงแม่บัวน่ะ”ตนเอ่ยออกไปช้าๆ อีกฝ่ายอึ้งไป ก่อนจะเอ่ยเรียกชื่อเขาอย่างสั่นเครือ แววตาของหญิงท้วมคล้ายจะหลั่งน้ำตา “...แก้ว”

“ฉันไม่รื้อฟื้นเรื่องเก่าหรอก แค่อยากมาบอกว่าให้ล้มเลิกสิ่งที่เธอตั้งมั่นไว้เสีย”แก้วรีบเอ่ยขึ้นอย่างไม่คิดจะเอ่ยยืดยาว อีกฝ่ายชะงักไปก่อนจะส่ายหน้าช้า ๆ

“ป้าทำไม่ได้หรอกค่ะ ป้าพยายามแล้ว”ษอรพึมพำ

“พยายามของเธอนี่คือเท่าใดกัน ไม่รู้หรือว่าคุณภูกำลังป่วย ซ้ำอินทนิลก็ไม่ได้แข็งแรงสักเท่าไหร่”แก้วเดินเข้าไปหาจนอยู่ในระยะประชิดไม่เกิดหนึ่งช่วงแขน ษอรเม้มปาก ค่อยๆคว้ามือของตนไปจับราวกับว่าเพิ่งเคยได้สัมผัส

“อิฉันเข้าใจค่ะ”

“บัว...ฉันไม่ถือโทษเธอหรอกนะ สิ่งที่เธอทำฉันไม่สรรเสริญยินดี การกระทำครั้งนั้นมันส่งผลมาที่ฉัน”เขาเอ่ยเบาๆ ในใจไม่นึกโทษบัวอีก เขาไม่อยากมีความโกรธแค้นต่อบัว

“...ขอโทษค่ะ”ษอรเอ่ยอย่างนึกเสียใจ สิ่งที่เธอต้องการคือความสุขของแก้วเท่านั้น แม้สิ่งที่ส่งผลกลับมามันร้ายแรงเกินกว่าที่เธอคาดเอาไว้มาก

“ฉันรู้ว่าบัวทุกข์ใจไม่น้อยไปกว่าฉันเลยนะ แต่เวลานี้ทุกคนต่างมีชีวิตเป็นของตนเองไม่ใช่หรือ บัวเองก็มีชีวิตใหม่...เธอคือษอร เป็นแม่บ้านที่ใจดีของอินทนิลเสมอ”แก้วเอ่ยยิ้ม ในใจพลันเศร้าลงเมื่อเห็นสภาพของคนที่ตนเคยสนิทสนมด้วย สิ่งที่แบกรับมาเนิ่นนานมักกัดกินผู้ที่ยึดถือมัน

“ค่ะ อิฉันรู้”

“แล้วดูฉัน เจ็ดสิบกว่าปีที่ฉันต้องอยู่ คิดว่าฉันได้เวียนว่ายตายเกิดหรือ ไม่ใช่เช่นนั้น จิตของฉันไม่ได้ดับไปไหน ฉันอยู่คนเดียวมานาน มาตอนนี้แม้กระทั่งร่างกายของตนก็ไม่มี ไม่ต่างอะไรจากกาฝากเลย”แก้วถอนหายใจ ส่งยิ้มเศร้าไปให้อีกฝ่าย ษอรเหมือนไม่คิดว่าตนจะเอ่ยเช่นนี้ จ้องมองไปทั่วร่างของอินทนิล แล้วส่ายหน้าไม่ยอมรับ

“คุณไม่ได้เป็นเช่นนั้น”

“มันเป็นเช่นนั้นบัว มองที่ฉันสิ....นี่คืออินทนิลนะ ฉันช่วยอินน์ไว้ก็จริง แต่ร่างกายล้วนกอบเกิดมาจากอินทนิล แล้วดูพวกเธอสิ ได้ใช้ชีวิต แม้นว่าเธอจะบอกว่ามันเป็นสิ่งจองจำ ต้องแบกรับบาปครั้งอดีตของตนเอง”แก้วเอ่ยไปตามตรง มีเพียงเขาเท่านั้นที่ยังติดอยู่ในรูปอดีต ไม่มีร่างกาย ชีวิตที่ได้มาจากอินทนิลนั้นไม่ต่างอะไรจากช่วงชิง

“แก้ว....อิฉันไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องเป็นเช่นนี้เลย ฉันอยากให้ท่านมีความสุข แต่ท่านหมื่นกลับทำให้คุณเสียใจอยู่ร่ำไป กว่าจะสำนึกได้ก็ตอนท่านจากไปแล้ว...ฉันในฐานะที่เลี้ยงดูท่านมา ทนดูไม่ไหวหรอก”หญิงร่างท้วมเอ่ย ในใจนึกอาทรแก้วอยู่ร่ำไป

“แต่มันผ่านมานานมากแล้วบัว ท่านอาในตอนนั้นก็ได้รับความทุกข์ไม่ต่างกัน มณีก็ตายในเงื้อมือท่านแล้ว ท่านได้อย่างสมใจแล้วไม่ใช่หรือ แล้วเหตุใดยังไม่พอใจอีก”

“...”ษอรพูดไม่ออก 

“ตอนนี้ฉันเหนื่อยเหลือเกิน ฉันอยากมีความสุขนะ อยากมีรักเช่นผู้อื่น ฉันไม่อยากใช้เวลาไปกับความโกรธแค้นไม่จบไม่สิ้น”ถ้อยคำอ่อนล้าจากปากของอินทนิลทำให้หญิงรับใช้เงยมองอีกฝ่ายอย่างเจ็บในใจ ไม่ว่าจะกี่ภพชาติ แก้วก็ยังทุกข์ใจอยู่เสมอ....เพราะคำสาปแช่งของมณี....และคำสาปแช่งของบัวที่มีต่อหมื่นนรินทร์

“ตัวป้าไม่รู้ว่าต้องทำเช่นไร แม้ใจของษอรไม่มีความแค้น แต่ว่าบัวนั้น....”

“ท่านอาตายไปแล้ว ไม่อาจชดใช้ให้บัวได้ ตอนนี้ก็มีแต่คุณภู... เขาไม่ใช่คนเลว”แก้วเอ่ย อีกฝ่ายไม่ตอบคำใดกลับมา มีเพียงเสียงร้องไห้สะอื้นของหญิงตรงหน้า แก้วถอนหายใจ

“รู้หรือไม่ แต่ก่อนท่านอาเขียนจดหมายหาเราบ่อยๆ แต่ก่อนใช่ว่าท่านอาไม่คิดรักเรานะบัว เมื่อก่อนท่านก็ดีอยู่ เพียงแต่เพราะความมักใหญ่ใฝ่สูงของท่านนั่นเองที่บ่อนทำลายความรักของเราไป ฉันไม่แค้นเคืองท่านอาหรอกนะ... ที่สุสานเหมือนว่ามีคนเก็บของส่วนตัวของท่านอาไปซ่อนไว้ที่นั่น...เธอทำหรือบัว”

“ของหรือคะ...เปล่าค่ะ หลังที่ปลงศพหมื่นนรินทร์ไป อิฉันก็ไม่ได้ไปยุ่งอะไรกับโกศของท่านเลย”

“อืม สงสัยจะเป็นมณีนะ...”แก้วนึกไปถึงมณีอีกครั้ง คงจะเป็นหล่อนนั่นแหละที่เอาขอใช้ส่วนตัวของท่านหมื่นไปฝังพร้อมกับโกศ

“มีอะไรหรือคะ”ษอรเงยหน้าถาม

“เราให้นายชมไปทุบโกฏิของท่านอา เผื่อว่าจะของของท่าน....เรามั่นใจว่าคงเจอ”แก้วเอ่ยบอก

“คุณแก้วคะ....”

“บัว ...หากบัวยังมีจิตใจดี แม่ของฉันไม่ใช่คนชั่วนะ”เขาพูดด้วยใจจริง บัวที่ตนเคยรู้จักไม่ใช่คนใจคอโหดร้าย หวังว่าคนตรงหน้าจะคิดได้ และเลิกยึดติดกับความแค้นเคืองครั้งอดีต

“แต่บัว...”ษอรพยายามแก้ต่าง แก้วจึงรีบเอ่ยต่อไป

“ลองเก็บเอาไปคิดนะบัว ฉันคงไม่สามารถใช้ร่างของอินทนิลได้เช่นวันนี้อีก อาจจะใช้ไม่ได้ตลอดไป”แก้วเอ่ยน้ำเสียงเศร้า ษอรมองมาที่ตนด้วยสายตาหลายความรู้สึก

“ท่านพูดเช่นนี้...”

“ดูแลอินทนิลให้ดี...ชีวิตเด็กคนนี้อาภัพแม่ ใช้เวลาที่เหลือใส่ใจอินทนิลเถิดบัว ชะตาของเรากับบัวคงสิ้นสุดกันไปแล้ว”แก้วเอ่ยอย่างจนใจ อยากให้คนตรงหน้าคิดได้และปล่อยวางความอาฆาตลง ให้มันสิ้นสุดลงกันที่ชาตินี้ และตนจะได้หลุดจากวังวนนี้เสียที

ษอรสองตาแดงก่ำ น้ำตายังคงไหลรินอยู่เนืองๆ แก้วถอนหายใจ ในใจคล้ายถูกบีบ แม้ใจอยากจะเอ่ยถ้อยคำอื่นอีกมาก แต่กลับทำไม่ได้ ไม่อยากให้บัวมองอินทนิลเป็นตัวแทนของตน แก้วปล่อยให้ษอรใช้เวลาอยู่กับตัวเอง

เขาเดินไปสำรวจงานที่สุสานอยู่ห่างๆ ไม่คิดอยากไปโผล่หน้าให้คนงานเห็น สองหูได้ยินเสียงคนงานสองสามคนกำลังพูดคุยกัน เสียงเครื่องมือกำลังแซะเอายอดโกฏิออก จนเหลือครึ่งเดียว สามารถหยิบโกศเก็บอัฐิของท่านอาออกมาได้ ในนั้นมีกล่องสี่เหลี่ยมมองไปแล้วไม่ใหญ่ไปกว่าแผ่นกระดาษ แก้วหันหลังเดินออกจากสุสานมาเงียบๆ ผ่านมาที่เรือนปั้นหยา เขาหยุด ยืนมองเรือนหลังเล็กที่เคยพักอาศัย ในใจสงบลงทีละน้อย บ้านหลังนี้มีทั้งเรื่องดีและร้าย แต่แก้วเลือกจำเรื่องดีๆเอาไว้มากกว่า เขาเดินเข้าเหยียบบันไดบ้านจนส่งเสียงลั่นของเนื้อไม้เก่าแก่ ประตูบ้านถูกคล้องด้วยโซ่ขึ้นสนิม ถูกล็อกกุญแจไว้อีกชั้น เดินมองไปที่หน้าต่าง ผ้าม่านสีขาวปกคลุมจนมองไม่เห็นด้านใน แก้วยิ้มเศร้า อารมณ์หม่นหมองเข้ามาครอบคลุมแทน หัวใจที่แบกรับความเจ็บปวดมาเนิ่นนานไม่ได้รู้สึกทุรนทุรายมากไปกว่าเดิม...

แก้วเดินกลับเข้าไปในบ้าน เมื่อเดินมาหน้าบันไดก็เจอเข้ากับนายชมที่ถือถังน้ำขนาดเล็กไว้ในมือ คงเอาไปทำความสะอาดโกศเก็บอัฐิของท่านอากระมัง อีกฝ่ายดูเกรงกลัวเขาไม่น้อย แก้วยิ้ม

“นำกล่องไม้ของท่านอามาให้ฉันที่ห้องหนังสือด้วยแล้วกัน”แก้วบอก นายชมรับคำ เขาเดินกลับไปยังชั้นบน เด็กหนุ่มก้มมองเท้าของตนเอง ยังคงรู้สึกประหลาดใจ ที่อินทนิลไม่ยอมสวมรองเท้า จึงเดินกลับเข้าไปในห้องของภูวรินทร์เพื่อเข้าไปทำความสะอาด แก้วยังเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงไม่ตื่น เขาล้างเท้าตนเองช้าๆ มองเห็นกำไลข้อเท้า ลักษณะคล้ายกับที่ตนเคยใส่ก่อนที่ยังมีชีวิต... กำไลที่ได้มาจากท่านอา สมบัติส่วนตัวของตน พอได้มาอยู่ในร่างของอินทนิลจึงเอามาสวมไว้ด้วยความเคยชิน อินทนิลเองก็ชอบไม่ต่างกัน ลึกๆแล้วเขารู้ดีว่าอินน์นั้นมีบางสิ่งเชื่อมโยงกัน  ไม่ว่าจะชาติกำเนิด อุปนิสัย เด็กคนภักดีต่อตนมาก ราวกับเป็นทาส

แก้วออกมาจากห้องน้ำ เดินเข้าไปดูภูวรินทร์อีกครั้ง แล้วเหลือบมองเวลาบนหน้าปัดนาฬิกา ตอนนี้ก็สายโด่งแล้ว อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปแตะหน้าผากอีกรอบ ษอรก็ไม่ได้ขึ้นมาดูอาการภูวรินทร์เลย ตนถอนหายใจ ก่อนจะเดินออกจากห้องไปเงียบๆ

แก้วเดินตรงไปยังห้องหนังสือ นานแล้วที่ไม่ได้เข้ามาเหยียบที่ห้องอ่านหนังสือ ครั้งที่ท่านอาแต่งงานกับมณี ตนก็ย้ายออกมาอยู่ที่เรือนหลังเล็กแบบถาวร ทั้งไม่อยากเห็นหน้ามณีให้บาดตาบาดใจ และลองใจท่านอา แต่อีกฝ่ายไม่คิดจะรั้งตนไว้ด้วยซ้ำ เจ็บแสบเหลือเกิน ความเย็นชาของท่านอานั้นยังคงติดอยู่ในใจ เขาเข้าไปในห้อง เปิดประตูไว้ ห้องหนังสือยังคงไม่เปลี่ยนไป ยกเว้นพวกโต๊ะเก้าอี้เปลี่ยนไปใช้แบบสมัยใหม่ แก้วนั่งลงที่เก้าอี้ที่บริเวณใจกลางห้อง ตำแหน่งนี้จำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยมานั่งอ่านหนังสือกับท่านอาด้วย เขาหวนระลึกไปถึงความทรงจำครั้งอดีต

... ในปีนั้นแก้วอายุยี่สิบสามปี ชายหนุ่มกำลังก้มหน้าอ่านหนังสือพิมพ์ในมืออย่างตั้งใจ รูปร่างสันทัด ร่างกายมีกล้ามเนื้อสมวัย ส่วนหมื่นนรินทร์ในวัยหนุ่มแน่นอายุสามสิบต้นๆ ผู้เป็นอานั่งมองหลานรักอยู่ข้างๆ สายตาคล้ายกับกำลังลังเล

“นี่แก้ว”เสียงเอ่ยเรียกดังมาจากหมื่นนรินทร์ “หืม”แก้วส่งเสียงตอบรับ ยังคงไม่ละสายตาไปจากหน้าหนังสือพิมพ์ ท่านอาเอ่ยออกมาเบาๆ

“ถ้าหากว่าฉันอยากมีลูก เธอจะห้ามฉันหรือไม่”เพียงประโยคเดียว ทำให้แก้วเงยหน้ามองชายในดวงใจทัน แววตาวูบไหว อกคล้ายเหมือนโดนบีบรัดแน่นจนจุกไปหมด

“...ท่านอยากมีลูกหรือ”แก้วเอ่ยถามอย่างไร้อารมณ์ แม้จะตกใจ แต่ส่วนลึกในใจนั้นคาดเดาได้ว่าต้องมีสักวันที่ท่านอาของตนต้องเอ่ยถึงเรื่องนี้

“ฉันอายุสามสิบสามแล้วนี่ ต้องมีทายาทไว้สืบสกุลสิ”ผู้เป็นอาเอ่ย แววตาคล้ายกับไม่มั่นใจ แต่ยังคงจับจ้องมาที่แก้วไม่เปลี่ยน แก้วมองนิ่งๆ เม้มปากแน่น ในใจร้อนรน แต่แสร้งทำสงบนิ่ง

“...ท่านอามีหญิงที่ถูกใจแล้วใช่หรือไม่”

“เปล่านะแก้ว ฉันแค่ถามความเห็นเธอเท่านั้น”เจ้าตัวรีบปฏิเสธ แต่คำที่เอ่ยออกมาไม่ทำให้แก้คลายความกังวลใจไปได้

“ถ้าเราบอกว่าไม่ล่ะ ท่านจะทำตามคำของั้นสิ”แก้วเอ่ยเรียบๆ อีกฝ่ายเงียบไป “นั่นสิ เราไม่สามารถมีลูกได้ แต่ ลูกพี่กิ่งกับพี่ไกรกำลังโต ท่านไม่อยากรับอุปการะไว้สักคนหรือ”แก้วยังคงเอ่ยเลี่ยง นึกถึงลูกของพี่สาวกับพี่ชายที่เพิ่งโตได้ไม่กี่ขวบก็อดเสนอเช่นนั้นไม่ได้ มองท่านอาที่เหมือนไม่ยินดีในคำตอบของตนนัก

“หมายถึงลูกของฉันเองนะแก้ว สายเลือดโดยตรงของฉัน”ท่านอาย้ำ จนแก้วคิ้วขมวด ในใจปั่นป่วนลางสังหรณ์ของตนเริ่มส่งสัณญาณไม่ดี ชายหนุ่มเม้มปากก่อนจะเอ่ยออกมา

“เพราะเหตุใดกัน”

“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ฉันแค่เอ่ยถึงอนาคตเองนะ”ท่านอายื่นมือมาจับมือของตนไว้แทน แต่แก้วชักมือกลับคืน ใบหน้าเรียบเฉย ทว่าในใจกลับร่ำร้อง

“ท่านคิดไว้เสียดิบดี คงเตรียมการไว้พร้อมเป็นแน่”แก้วส่ายหน้า มองไปทางท่านอา ตนรู้จักอีกฝ่ายดี ยามคิดอ่านกระทำสิ่งใดล้วนผ่านการไตร่ตรองมาแล้ว

“แก้ว”เจ้าตัวเอ่ยชื่อตนด้วยน้ำเสียงปราม

“เราให้ท่านได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งบ้านหลังนี้ เราก็ให้ได้ และท่านก็รับไปแล้ว เหตุใดถึงยังไม่พอใจ”แก้วเอ่ยอย่างผิดหวัง ไม่ใช่ไม่รู้ว่าท่านอาต้องการครอบครองบ้านใหญ่หลังนี้ แก้วไม่สนใจมูลค่าของมัน เพียงแค่หวังอยู่อย่างสงบสุขกับคนที่รักเท่านั้น แต่ท่านอามักคิดใหญ่อยู่เสมอ ต้องการมีหน้ามีตาในสังคม

“ฉันไม่ต้องการบ้านถึงเพียงนั้นหรอกแก้ว ฉันเป็นถึงหมื่น จะไม่มีครอบครัวได้อย่างไรกัน”ท่านอาเอ่ยแย้ง ใบหน้าปราศจากรอยยิ้ม

“แล้วเราล่ะ ท่านจะเอาเก็บไปที่ตรงไหน”แก้วเอ่ยถาม ในใจพลันเศร้าลง เมื่อเห็นปฏิกิริยาของคนรัก “ตั้งแต่เจ้าคุณพ่อจากไป เหมือนว่าเราเหินห่างกันมากขึ้น คิดว่าเราไม่รู้หรือ”

“ไม่ใช่อย่างนั้นนะแก้ว ฉันเดินทางบ่อยเพราะไปราชการต่างหาก”อีกฝ่ายรีบเอ่ยทันที ใบหน้าเคร่งขรึม แก้วถอนหายใจอย่างนึกรำคาญในคำโกหก แก้วพอจะมีหูตากว้างไกล มีข่าวคราวว่าท่านอาออกไปราชการที่มณฑลอื่นก็จริง แต่คอยเกรี้ยวหญิงสาวต่างเมืองอยู่บ่อยครั้ง จนตนเริ่มไม่แน่ใจในตัวท่านอาเสียแล้ว

“ช่างเถิด”แก้วตัดบท

“แก้ว ไม่เชื่อใจฉันงั้นเหรอ”ผู้เป็นอาเอ่ยถาม สายตาดุดันจับจ้องใบหน้าของหลานชายไม่ห่าง แก้วยิ้มเยาะตนเอง ก่อนจะเอ่ยตอบไปตามตรง

“...ใช่ ไม่เชื่อท่านอีกต่อไป”

“บัวคงพูดอะไรไม่ดีกับเธอล่ะสิ ถึงได้กระด้างกระเดื่องกับฉันขนาดนี้”ท่านอาเอ่ยอย่างมีโทสะ แก้วส่ายศีรษะระอา เอ่ยอย่างไม่พอใจเช่นกัน

“เห็นเราโง่หรือไง”

“พอดีกว่า คุยไม่รู้เรื่องแล้ว ฉันแค่อยากปรึกษากับเธอเท่านั้นเอง”ท่านอายกมือยอมแพ้ แต่ยังไม่ละสายตาไปจากแก้ว คงมีเรื่องอื่นให้พูดคุย

“ท่านอาไม่คิดว่าเราจะรู้สึกเสียใจงั้นหรือ”

“ฉันขอโทษนะ แต่ถ้าไม่ทำเช่นนี้ แล้วต่อไป คนภิรมย์สุขจะเป็นอย่างไรต่อ”อีกฝ่ายเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนลง

“กิ่งกับไกรก็เป็นหลานท่าน ให้สองคนนั้นมาอยู่ในบ้านด้วย ก็คงไม่เกินกำลังนัก”

“เธอไม่เข้าใจ ฉันหมายถึงครอบครัวที่เป็นสายเลือดของฉัน กิ่งกับไกรชอบหน้าฉันที่ไหน”

“ท่านกำลังหาข้ออ้างเพื่อแต่งกับหญิงอื่นมากกว่า บอกความจริงมาเถิด ท่านปิดเราไว้ได้ไม่นานหรอก”

“...ฉันไม่ได้ชอบพอหล่อนนักหรอก”คำตอบของหมื่นนรินทร์ ทำให้แก้วถึงกับน้ำตาคลอ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยออกมาได้ง่ายดายเพียงนี้ แก้วนิ่งไป รู้สึกสับสน ชายหนุ่มมองใบหน้าของผู้เป็นที่รักอย่างค้นหา ทบทวนความสัมพันธ์ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ยิ่งพักหลังท่านอาเริ่มเปลี่ยนไปจนสังเกตได้ชัดเจน จากที่เคยได้ความรักมาตั้งแต่อายุสิบห้าจวบจนป่านนี้แล้ว แก้วปักใจต่อท่านอาจนไม่อาจมองผู้ใดได้อีก

“...ท่านอารู้สึกอย่างไรกับหลานกันแน่”แก้วเอ่ยถามชายข้างกายด้วยเสียงแผ่วเบา ในเวลานี้ตนไม่อาจมั่นใจในรักของท่านอาได้อีกแล้ว คำบอกรักที่เคยเอื้อนเอ่ยเป็นเพียงลมปากของชายมากรักไปเสียแล้ว

“ฉันยังรักเธอไม่เปลี่ยนนะแก้ว”ท่านอาเอ่ยน้ำเสียงหนักแน่น แต่แก้วไม่วางใจเลยแม้แต่น้อย  “เชื่อได้หรือ”

“แก้ว...เชื่อฉันสิ ฉันยังไม่เปลี่ยนใจจากเธอนะ”อีกฝ่ายย้ำ แววตาสีดำไม่ปรากฏแววอ่อนโยนเหมือนแต่ก่อน ในวันที่เจ้าคุณพ่อยังไม่จากไป ท่านอาดีต่อตนกว่านี้หลายเท่านัก

“ถ้าเช่นนั้นสาบานสิ ท่านกล้าหรือไม่เล่า”

“...กล้าสิ...ฉัน หมื่นนรินทร์คนนี้จะรักแก้วเพียงคนเดียว”ท่านอาเอ่ยคำสาบานออกมา แก้วพยักหน้า แต่ในใจกลับมืดหม่นลง เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าคำสาบานของชายคนนี้เชื่อถือไม่ได้

“ดี จำคำท่านเอาไว้ก็แล้วกัน หากท่านผิดคำพูด ท่านจะต้องเสียใจภายหลังอย่างแน่นอน”แก้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ในใจไม่ได้แค้นเคืองเพียงแค่ขู่อีกฝ่ายให้เกรงกลัวต่อคำสาบานที่กล่าวออกมาบ้าง เห็นท่านอาขมวดคิ้ว แววตาเหมือนกังวลใจอยู่ไม่น้อย

“เธอคงโกรธฉันเข้าเสียแล้ว”

“เราพูดจริงนะ ท่านเอ่ยออกมาอย่างลมๆแล้งๆไม่ได้ พูดแล้วห้ามคืนคำ”แก้วบอกห้วนๆก่อนจะเก็บหนังสือพิมพ์ไว้ที่เดิม เดินออกจากห้องหนังสือด้วยใจเจ็บแปลบ เหมือนว่าท่านอาจจะเปลี่ยนไปจริงๆด้วยนะบัว...แก้วรำพึงในใจ ชายหนุ่มเดินลงบันได ออกไปเดินเล่นในเรือนกระจกระบายความอัดอั้นในใจ

“หากท่านอารักเราเช่นเดิมก็คงดีไม่น้อย”แก้วพึมพำกับต้นดอกพุด สองมือกำดอกพุดออกมาด้วยใจมีรอยรั่ว ในหัวกำลังใคร่ครวญว่าตนทำผิดอะไร หากว่าท่านผิดคำพูดล่ะก็...ท่านต้องตายด้วยน้ำมือเรา แก้วหวนนึกถึงดอกดองดึงที่ปลูกไว้โดยไม่บอกใครอื่น ดอกไม้มีพิษร้ายแรง หากดื่มมันเข้าไปล่ะก็ คงไม่รอด แก้วเดินออกไปที่ริมรั้วใกล้กับเรือนกระจก ก้มมองดองดองดึงหัวขวานที่กำลังออกผลสีเขียวหลายฝัก เอาไปตากแห้งดีไหมนะ เผื่อว่าจะผสมในชาของท่านอา...... แก้วเม้มปากแน่น หักใจไม่เก็บผลของมันออกมาก่อนจะสะบัดศีรษะไล่ความคิดชั่วช้าออกจากศีรษะไป พยายามทำให้ใจสงบลงทีละน้อย

...แก้วเหม่อลอยปล่อยใหจิตใจด่ำดิ่งไปหาอดีตเมื่อเจ็ดสิบปีก่อน จนไม่ได้สังเกตผู้มาเยือนที่ยืนอยู่ที่หน้าห้องหนังสือ

“คุณแก้วครับ....”เสียงเอ่ยเรียกดังมาจากหน้าประตู นายชมยืนถืออกล่องไม้เก่าๆในมือ แก้วพยักหน้าให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาด้านใน ชายแก่วางกล่องลงกับโต๊ะ “ษอรอยู่ด้านล่าง ให้เรียกขึ้นมาไหมครับ”

“...อีกสักพักค่อยเรียกขึ้นมาก็แล้วกัน...หวังว่าจะมีเรื่องดีให้ได้ยินนะ”แก้วเอ่ยกับนายชม เจ้าตัวมองตน แต่ไม่ได้เอ่ยอะไร เดินกลับออกไปเงียบๆเท่านั้น แก้วใจเต้นด้วยความยินดี กล่องไม้นั้นบรรจุของใช้ส่วนตัวของท่านอา ส่วนมากเป็นจดหมายเก่าๆที่โต้ตอบระหว่างกัน รวมถึงแหวน และนาฬิกาเก่าโบราณที่ใช้การไม่ได้แล้ว แก้เปิดอ่านจดหมาย มีถ้อยคำห่วงใยของท่านอาที่อ่านแล้วเผลอยิ้มออกมา จดหมายเหล่านี้ท่านอาเขียนถึงตนตั้งแต่อายุยังน้อย จำได้ก็เมื่อตอนสิบเอ็ดขวบ ท่านอาก็ส่งถึงตนบ่อยๆ กลัวว่าจะเหงา ท่านดีต่อเรา แต่ก็ร้ายต่อเราเท่าๆกัน

แก้วแยกจดหมายออกจากกล่อง หยิบแหวนออกมาดูอย่างดูแคลน เป็นแหวนแต่งงานของท่านอากับมณี หักใจไม่โยนทิ้งลงหน้าต่าง แค่วางลงที่เดิม ไม่นานนักษอรก็เข้ามาหา

“มานี่สิ จำได้ไหม สมัยฉันยังเด็ก ท่านอาส่งจดหมายมาบ่อยๆ...ลองอ่านสิ”แก้วเอ่ย ยื่นปึกจดหมายไปให้ษอร เธอมีท่าทีตกใจ ไม่คิดจะรับไว้

“อย่าดีกว่าค่ะ”เธอส่ายหน้า เพราะเป็นของส่วนตัว

“อ่านเถิด...เผื่อว่าเธอจะใจอ่อน อย่างน้อยบัวคงได้รู้ว่าครั้งหนึ่งท่านอารักฉันด้วยใจจริง...”เขาบอก ษอรจำต้องรับจดหมายไปอ่าน สีหน้าของเธอเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอระหว่างที่อ่าน มองแล้วก็น่าตลก อ่านไม่ชินกับคำหวานหูของท่านอาตอนยังหนุ่ม

“...ขอป้าอยู่คนเดียวเงียบๆนะคะ”ษอรเงยหน้าขึ้นจากจดหมาย แววตาคล้ายสับสน แก้วเม้มปาก แต่ก็ยอมพยักหน้าตกลง เขาลุกขึ้นยืน มองหญิงที่นั่งถือจดหมายด้วยใจมีความหวังมากขึ้น อย่างน้อยก็เป็นสัญญาณดี “ฉันจะไปดูคุณภู เขาป่วยอีกแล้ว...”แก้วเอ่ยทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกจากห้อง ปล่อยษอรไว้กับความเงียบงัน

นี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็ได้... แก้วคิดเมื่อเดินมาหยุดอยู่ที่ห้องของภูวรินทร์ ใจพลันเศร้าลง เขากำมือแน่น ยามจะหักใจจากอีกฝ่าย ภูวรินทร์นั้นกลับดึงรั้ง แล้วเช่นนี้ตนจะสงบใจได้หรือ...


 
+++++++++




มาต่ออีกตอน
 :เฮ้อ:
จะถึงจุดจบแล้ว  :L1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-02-2018 22:16:01 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ สาว801

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
ยังติดตามไม่หายไปไหน คู่กันทั้งหมดเลยได้มั้ย สงสารทุกคนยกเว้นท่านหมื่น :hao5:

ออฟไลน์ Mod40

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เห้อคับก็สงสารแก้วมากกว่าคนอื่น :เฮ้อ:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
เห้ออออ จะไหวมั้ยยย

ออฟไลน์ หมอตัวเปียก

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1874
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
อ่านแล้วก็ได้แต่สงสารคุณแก้ว แม่บัว

ออฟไลน์ net. net_n2537

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 305
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ พันธุ์ไทย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ เป็ดอนุบาล

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
       ทุกอย่างจะเดินหน้าไปได้ถ้ารู้จักคำว่าปล่อยวางและให้อภัย
ในอดีตท่านอานนั้นทำเรื่องที่ทำร้ายจิตใจใครต่อใครไปทั่วเพราะความมักใหญ่ไฝ่สูง
แต่ในปัจจุบัน ท่านไม่ใช่ท่านอา และคนอื่นๆก็ไม่ใช่คนในอดีตแล้วเช่นกัน
       เพราะฉะนั้น ทุกความแค้น ทุกแรงอาฆาตควรจบได้แล้วเพื่อชีวิตใหม่ที่มีความสุข ในปัจจุบัน
สงสารคุณแก้วมากกว่าใคร และก็สงสารบัวด้วย :hao5: :hao5:หวังว่าทั้งคู้จะมีความสุขในปัจจุบันนะค่ะ
สู้ๆนะค่ะไรต์รออ่านตอนต่อไปค่ะ :mew1: :mew1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด