❀ สาปดอกแก้ว ❀ จบแล้ว >> แจ้งข่าวเปิด Pre-Order 3 มิ.ย. ถึง 3 ก.ค 61 หน้า 9 <<
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❀ สาปดอกแก้ว ❀ จบแล้ว >> แจ้งข่าวเปิด Pre-Order 3 มิ.ย. ถึง 3 ก.ค 61 หน้า 9 <<  (อ่าน 38439 ครั้ง)

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************

### เรื่องย่อ


‘คุณสังเกตไหมล่ะครับ เวลากลางคืนดอกแก้วจะส่งกลิ่นรุนแรงกว่าตอนสว่าง ก็คงคล้ายกับอินน์…’

ถ้อยคำปริศนาจากปากของ ‘อินทนิล’ เด็กหนุ่มที่มีตัวตนอันลึกลับ ภูวรินทร์เข้าใจดีว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่อถึงเรื่องใด...

สองวิญญาณในหนึ่งร่างเด็กหนุ่มคนนั้น...

วิญญาณ...ของอดีตเจ้าของบ้านอย่าง ‘แก้ว ภิรมย์สุข’ ที่อาศัยร่างของอินทนิลวนเวียนด้วยใจยึดติดกับความหลังเมื่อครั้งอดีต

เรื่องราวลึกลับที่ตามหลอกหลอนภูวรินทร์ตั้งแต่ที่เขาตัดสินใจซื้อบ้านที่ตกทอดมาจากตระกูลผู้ดีเก่า บ้านหลังนั้นทำให้เขาเจอกับร่องรอยของอดีตเจ้าของบ้าน

ความรัก...และความชังของสองอาหลาน ‘แก้วและหมื่นนรินทร์’ ดึงดูดให้ภูวรินทร์ต้องสืบเสาะความจริงของเรื่องราวในอดีต

หนึ่งรักจากคนที่เฝ้ารอ...
อีกหนึ่งรักจากคนที่มีชีวิตเพื่อเขา…

ภูวรินทร์ต้องเลือกสิ่งใดเล่าถึงจะปลดพันธนาการที่เป็นเสมือนดั่งโซ่ตรวนคำสาปแช่งจองจำเขาไว้กับบ้านหลังนี้..

รายละเอียดการเปิดจอง




เริ่มเปิดจอง ตั้งแต่ วันที่ 3 มิ.ย.2561 เวลา 09.00 น.

ปิดจองวันที่ 3 ก.ค.2561 และ เริ่มจัดส่งตั้งแต่ 31 ก.ค.2561 ค่ะ

ราคาเต็ม 399 ราคารอบจอง 359 (ไม่รวมค่าจัดส่ง)


ของแถม: ที่คั่นแม็กเน็ต/ ที่คั่น/ โปสการ์ด

กดสั่งจองได้ที่ คลิก >> จองสาปดอกแก้ว


**มี Promotion ONE DAY สั่งจองและชำระเงินภายในเที่ยงคืนวันที่
3 มิ.ย. จะจัดส่ง EMS ฟรีทุกออเดอร์ เฉพาะลูกค้าที่สั่งซื้อกับสนพ.รักคุณโดยตรงเท่านั้น
**



รายละเอียดเพิ่มเติม สำหรับโปรโมชั่นอื่นๆ ของ สนพ.ในรอบจอง
สามารถเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ >>> คลิก FaceBook แฟนเพจของสนพ.รักคุณ หรือ เข้าไปที่ >> Website หลักของสนพ.รักคุณ

 :pig4:
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-06-2018 14:26:10 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ อรัมภบท ] 10.11.17
«ตอบ #1 เมื่อ10-11-2017 02:59:54 »



สาปดอกแก้ว
บทนำ


ภูวรินทร์รู้สึกเบื่อหน่ายระคนรำคาญใจขึ้นมาบ้างเมื่อได้ยินคำกล่าวเตือนของ โชติเพื่อนสนิทตั้งแต่เรียมหา’ลัย คอยพูดกรอกหูเขามาตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
“จะไปซื้อบ้านในที่กันดารแบบนั้นไปทำไมวะเพื่อน บ้านเก่าๆแบบนั้นมีอะไรดี”โชติมองเขาด้วยสายตาไม่เข้าใจราวกับว่าเห็นตนเป็นคนฟั่นเฟือน ชายร่างผอมในชุดเชิ้ตสีน้ำเงินมองภูวรินทร์ที่กำลังเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดินทาง ชายหนุ่มวัยยี่สิบแปดปีหลุดหัวเราะกับถ้อยคำของเพื่อนอย่างไม่ถือสา
“ก็เพราะว่าเป็นบ้านเก่าๆนั่นแหละ ถึงได้น่าสนใจ”ภูวรินทร์บอก ส่งยิ้มให้เพื่อนที่ยืนหน้าดำคล่ำเครียด เขาเช็คของส่วนตัวที่ต้องใช้ให้ครบ เขาไม่อยากถือสาเพื่อน เมื่อเขาตัดสินใจซื้อบ้านเก่าโบราณแบบร่วมสมัยผสมไม้สักสีขาว ที่เหมือนขายไม่ออกมาหลายปีในชนบทห่างไกลออกไปจากเมืองใหญ่เกือบร้อยกิโลฯ การสัญจรก็ไม่สะดวก ทำให้เขาต้องเตรียมตัวนั่งรถไฟเข้าไป
“แกไม่กลัวหรือไง”โชติเอ่ยเสียงขลาดเขลา ภูวรินทร์ส่ายศีรษะ รู้ดีแก่ใจว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยเตือนเรื่องอะไร
“กลัวอะไรล่ะ”ชายหนุ่มแกล้งถามซื่อ ทำเอาโชติมองเขาด้วยสายตาตำหนิ
“บ้านผีสิงไง”อีกฝ่ายกระแทกเสียงตอบ ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ
“ฮ่ะๆ นี่แกเชื่อเรื่องพวกนี้ด้วยเหรอ”เขาไม่เชื่อเรื่องผีสางอะไรแบบนั้น ถามว่าขี้ขลาดกับเรื่องพวกนี้หรือเปล่า เขาไม่กลัวผีสางหรอก แต่เขากลัวความมืดมากกว่า อ้อ อย่างที่ใครๆว่ากัน คนน่ากลัวว่าผีเสียอีก โชติส่ายหน้ามองเขาด้วยความระอา
“ก็ไม่ได้เชื่อ แต่แค่หวั่นๆไง...”โชติเอ่ยเสียงเบา ทอดถอนหายใจ เขาพอมองออกว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไร บ้านหลังเก่าที่เขาทุ่มซื้อไปนั้น อยู่ห่างไกลความเจริญ และสาธารณูปโภคดูจะยังไม่รองรับคนหนุ่มจากเมืองใหญ่เช่นเขา แต่ใช่ว่าเขาจะกลัวลำบาก ตอนตกลงราคา เขาเจอกับป้าษอร คนดูแลบ้านเก่าหลังนี้ เธอจะคอยอยู่ดูแลเขาในช่วงที่เขาไปสำรวจบ้านก่อนที่จะซ่อมแซมต่อเติม
“อย่าห่วงเลยน่า ฉันแค่ไปดูความเรียบร้อยเท่านั้นเอง ไม่ได้จะไปอยู่ที่นั่นซะหน่อย”ภูวรินทร์เอ่ย เขาแค่อยากหาบ้านดี ในสภาพแวดล้อมสบายใกล้ชิดธรรมชาติ เขาชอบสวนของบ้านเก่าหลังนั้นมาก มันสวยงามและร่มรื่นดี
“ระวังตัวด้วยล่ะ อย่าหาว่าฉันไม่เตือน”โชติเอ่ยเป็นครั้งสุดท้าย ชายหนุ่มยิ้มรับ แค่ฟังคำเตือนของเพื่อนอย่างไม่ใส่ใจ เพราะเขาตื่นเต้นอยากไปสัมผัสธรรมชาติที่บ้านต่างจังหวัดดูบ้าง



ภูวรินทร์เดินทางไปยังบ้านเก่าตกทอดมาตั้งแต่สมัย ต้น ร.5 เขาแปลกใจที่ลูกหลานของคนบ้านนี้ไม่รักษาของมีค่าไว้กับสกุล การเดินทางไปยังบ้านในหุบเขาแห่งนั้นต้องใช้รถไฟ ระหว่างสองข้างทางปรากฏทิวทัศน์ไม่คุ้นตา แมกไม้หายากซอมแซมตามทิวเขา อากาศเย็นชื้นจนเขารู้สึกไม่สบายตัวเท่าไหร่นัก หมู่บ้านที่ภูวรินทร์เดินทางไปเยือนนั้นเป็นป้ายสุดท้ายที่รถไฟขบวนนี้ลงจอด...


เขาเดินออกจากโบกี้รถไฟ เห็นมีผู้โดนสารสองสามคนลงบริเวณชานชาลาอันเงียบเหงาบางตา ชายหนุ่มหิ้วกระเป๋ามองหาผู้หญิงสูงวัยร่างท้วมในชุดแม่บ้านแบบเก่ากำลังยืนรอเขาอยู่ที่หน้าสถานีรถไฟเล็กๆ เธอขยับกายเข้ามาทางเขา เมื่อเห็นว่าตนเดินสาวเท้าฉับๆตรงไปหา
“สวัสดีค่ะ คุณภูวรินทร์”ป้าษอรยกมือไหว้ทักทายเขาเนื่องในฐานะเจ้านายคนใหม่ ชายหนุ่มผงกหัวรับก่อนจะยิ้มให้อีกฝ่าย
“สวัสดีครับ ป้าษอร รอนานหรือเปล่า”เขาเอ่ยถามไปตามมารยาท ก่อนจะเห็นว่ามีรถกระบะคันเก่ามาจอดเทียบรอแล้ว
“ไม่หรอกค่ะ ...ถือเป็นการออกมาเปิดหูเปิดตาบ้าง เชิญไปที่รถดีกว่าค่ะ จะได้ไม่ไปถึงบ้านตอนค่ำมืด”เธอเดินนำหน้าเขาไปยังรถกระบะคันดังกล่าว มีคนขับรถแก่ๆวัยไม่ห่างกันอาจเป็นสามีของเธอ ภูวรินทร์เหลือบมองรอบๆกาย แสงขอบฟ้ายามโพล้เพล้ชวนให้หวิวในใจ เขาไม่ได้คิดอะไรมาก เดินเข้าไปนั่งที่เบาะหลังเอ่ยทักทายคนขับรถไปด้วย
“สวัสดีครับ คุณภูวรินทร์ ลุงชื่อชม เป็นคนขับรถแล้วก็คนดูแลสวนที่บ้านครับ”ลุงชมเอ่ยทัก เขาพยักหน้ารับรู้ ลุงชมอยู่ในวัยหัวหงอก เส้นผมสีขาวเกือบครึ่งศีรษะ ใบหน้ามีร่องรอยแห่งกาลเวลา ผิวสีคล้ำแดดสวมเสื้อผ้าฝ้ายสีน้ำเงิน ป้าษอรหันมายิ้มใจดี
“เรียกผมว่าภูสั้นๆก็ได้ครับ”ชายหนุ่มบอก อย่างน้อยเขามาอยู่ที่นี่ปราณหนึ่งสัปดาห์
“ค่ะคุณภู สำหรับมื้อเย็นวันนี้ป้าทำมัสมั่นไก่กับแกงเทโพ คุณภูทานได้ใช่ไหมคะ”
“สบายมากครับ ผมทานง่ายอยู่ง่ายอยู่แล้วครับ”ภูวรินทร์เอ่ยบอก
ระหว่างทางที่ขับไปตามถนนเงียบๆ ไร้รถสวนทาง ทิศทัศน์สดชื่นของป่าไม้เขียวขจี สลับกับทิวเขาให้เห็นเป็นระยะ ที่นี่เหมือนเป็นเมืองลับแล บรรยากาศเย็นสบายเช่นนี้เล็ดลอดสายตาของนักท่องเที่ยวไปได้อย่างไร ที่นี่สมบูรณ์ไปด้วยอาการบริสุทธิ์ และต้นไม้นานาพันธุ์ ที่ขาดอาจจะเป็นเทคโนโลยี เช่นอินเตอร์เน็ต และร้านสะดวกซื้อ

ลุงชมขับรถขับเข้ามาเห็นแนวรั้วบ้านสูง ชายหนุ่มมองลอดหน้าต่างรถไปเห็นบ้านสีขาวสง่า เก่าแก่ตระหง่านอยู่ท่ามกลางมวลป่าไม้เขียวขจี รอบๆบ้านใหญ่ไม่มีบ้านของชาวบ้านอยู่ใกล้ๆ จากที่ศึกษามาบ้านหลังนี้เคยเป็นของตระกูลคหบดีที่ร่ำรวยมาก่อน ทำให้บริเวณรอบๆไม่มีผู้คนมาวุ่นวายให้รำคาญใจ

ป้าษอรลงไปเปิดรั้วช้าๆ ลุงชมขับรถเข้าไปจอดที่หน้าบ้าน เขามองทางลาดด้วยหินกรวด ระยะทางที่ขับเข้าไปจนถึงชานหน้าบ้านเป็นสวนใหญ่ บริเวณใจกลางสวนหน้าบ้านมีลานน้ำพุใหญ่ทรงกลม รูปปั้นในบ่อน้ำพุเป็นรูปเทวดาสยายปีก รอบๆบ่อมีต้มไม้พุ่มเตี้ยๆปลูกล้อมรอบ บริเวณริมกำแพงบ้านร่มรื่นไปด้วยดอกไม้สีขาว

ใช่ สีขาวเต็มไปหมด จนเขาสายตาพร่ามัว ภูวรินทร์ไม่สามรถบอกได้ว่าดอกไม้พวกนั้นคืออะไรบ้าง แต่มันสวยและหอมอบอวลไปทั่วสวนเขียวขจี

ภูวรินทร์หยิบแปลนบ้านติดมือมาด้วยระหว่างที่ลงจากรถเพื่อศึกษาเส้นทางในบ้าน และรอบตัวบ้าน มีเรือนเพาะชำอยู่ทางหลังบ้านด้วย ลุงชมยกกระเป๋าเดินทางให้เขานำไปไว้ในห้องรับรองให้โดยไม่ต้องบอกกล่าว ชายหนุ่มเดินไปที่บริเวณทางเข้าที่เป็นซุ้มโค้งรับกับบันไดเข้าบ้าน ลักษณะของบ้านหลังนี้ชั้นล่างเป็นปูน ชั้นบนเป็นไม้สัก มีระเบียงโปร่งรอบชั้นบนและหลังคาปั้นหยา หน้าต่างทรงสูงแบบฝรั่ง

ชายหนุ่มเดินมาหยุดอยู่ที่ไม้เลื้อยสีขาวในสวนเล็กๆติดกับใต้ริมหน้าต่าง ไม้เลื้อยออกดอกสีขาวเกาะพันเกี่ยวเป็นพุ่มใหญ่กับท่อนไม้ทรงสูง คงเป็นการแต่งสวนเล็กๆประดับริมบ้าน มันส่งกลิ่นหอมจางๆ

“นั่นดอกอะไรเหรอครับ”
 “พวงวิวาห์ค่ะคุณภู แต่จะเรียกว่าพวงแก้วมณีก็ได้”ป้าษอรเดินมาจากทางเข้า จนมาถึงหน้าบ้านใหญ่แล้ว เขามองไปรอบๆตัวบ้านอย่างพึงพอใจ จากนั้นก็เดินเข้าไปในตัวบ้าน โถงบ้านกว้าง โคมไฟระย้าห้อยเรียงตัวสวย เขาเหลือบมองโต๊ะอาหารที่ปูด้วยผ้าลูกไม้สีอ่อนสะอาดตา ดูเหมือนว่าอะไรๆในบ้านหลังนี้จะเน้นไปทางสีขาวซะส่วนใหญ่ ราวกับว่าเขาอยู่ท่ามกลางที่พำนักของเทวดา หลังจากที่ภูวรินทร์ทานมื้อเย็นเสร็จ เขาเหนื่อยเพลียเกินกว่าจะไปเดินสำรวจบ้าน แม้ว่าเขาจะอยากไปดูเรือนเพาะชำดอกไม้ก็ตามที


เมื่อตะวันตกลับขอบฟ้า ดวงดาราและจันทราเข้ามาแทนที่ ภายในบ้านเก่าแก่หลังใหญ่ไฟสว่างในห้องรับรองแขก ภูวรินทร์ที่ยังคงนอนไม่หลับเพราะเสียงหวีดหวิวจากสายลมด้านนอกทำให้ขนลุกเกรียว ร่างสูงในชุดนอนเรียบร้อยลงเดินเหยียบลงพรมบริเวณเตียงนอนก่อนจะเดินไปรูดม่านที่สะบัดพลิ้วที่ริมหน้าต่าง มือใหญ่เลื่อนไปดึงบานไม้เข้าหาตัวเพื่อลงกลอนปิด ทว่าสายตาเหลือบไปเห็นร่างขาวผ่อง ขาวมุกเพราะเสื้อที่สวมบนร่างนั้น เขาเพ่งสายตาจับจ้องไปที่ร่างนั้นที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของรั้วบ้าน ...เป็นเรือนปั้นหยาเก่าๆชั้นเดียวที่เงียบกริบข้างๆรั้วบ้านใหญ่ของภูวรินทร์นั่นเอง ทีแรกเขาคิดว่าไม่มีคนอยู่อาศัยเสียอีก

เสียงร้องหวีดหวิวของสายลม ใบไม้สั่นกราวตามแรงลม เขามองร่างนั้นของเด็กหนุ่มท่ามกลางพุ่มดอกไม้ทรงกลม ดอกไม้สีขาว...อาจเป็นดอกแก้ว ท่วงท่าไม่ยินดียินร้ายกับสภาพอากาศในยามนี้...ดึกดื่นขนาดนี้แล้วทำไมถึงออกมาเก็บดอกไม้อยู่ได้...คน...หรือเปล่านะ? ชายหนุ่มอดคิดในใจเช่นนี้ไม่ได้

ร่างนั้นผอมบางกางเกงสีขาวยาวถึงพื้น แขนเสื้อมีระบายลูกไม้การแต่งตัวออกไปทางยุคเก่าผสมผสานทรงฝรั่งเข้ามา เห็นได้ชัดจากจีบระบายที่ข้อมือ มือขาวนั้นที่กำลังเด็ดช่อดอกไม้สีขาวชะงักก่อนจะผินหน้ามาทางเขา จนภูวรินทร์สะดุ้งเฮือกอย่างไม่ทันตั้งตัว เขารีบหลบกายเข้าสู่หลังม่านอย่างคนขลาด ชายหนุ่มถอยห่างออกจากหน้าต่าง ปล่อยให้บานประตูนั้นเปิดแง้มไว้ข้างเดียว เขาเหลียวมองรอบห้องที่เงียบสงัด ร่างกายเย็นเยียบ นึกถึงคำพูดของเพื่อนแล้วหนาวไปถึงกระดูก ชายหนุ่มขยับไปที่หน้าต่างอีกครั้ง ก่อนจะมองไปยังทิศทางรั้วบ้านทางขวามือตามเดิม

สวนแห่งนั้นมีเพียงดอกไม้ที่สั่นไหวเด่นชัดหน้าเรือนปั้นหยา เงาร่างขาวของคนๆนั้นหายไปแล้ว เรือนหลังนั้นมืดสนิท เขามองบานประตูที่ปิดเงียบ จ้องมองอยู่สักพักก่อนจะดึงหน้าต่างให้ปิดสนิทพร้อมกับรูดม่านปิดไว้ เขากลับมานั่งที่เตียง
ชายหนุ่มไม่เชื่อเรื่องลี้ลับ แต่บ้านหลังนี้มีประวัติ บ้านเก่าสมัยปลาย ร.5 ต้องผ่านเรื่องราวมาเยอะ เขาสะบัดความคิดวุ่นวายออกจากศีรษะก่อนจะล้มตัวลงนอนเงียบๆ เขาไม่ได้ปิดโคมไฟ เพราะไม่ชินกับการนอนในแปลกถิ่นและความมืด พยายามหลับตา สองหูได้ยินเสียงลมตลอดทั้งคืนพร้อมกับเสียงเอี๊ยดอ๊าดลั่นของประตูไม้จากด้านล่าง เขานอนนิ่งไม่ไหวติง ประตูรั้วอาจปิดไม่สนิท พอลมพัดมันก็ขยับกระทบกันเป็นธรรมดา เขาคิดอยู่ในใจ รู้สึกว่าร่างกายอยู่ในภาวะตื่นกลัวขึ้นมาอีกครั้ง เหงื่อเย็นเฉียบกับใจที่เต้นระทึก ผ่านไปเนิ่นนานจนภูวรินทร์ผล็อยหลับไปอย่างอ่อนเพลีย



อรุณเบิกฟ้าวันใหม่ ยามเช้าขยับเข้ามาด้วยแสงอบอุ่น ภูวรินทร์ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าแสงสว่างจากดวงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาผ่านหน้าต่าง ชายหนุ่มบิดขี้เกียจก่อนจะลุกเดินไปอาบน้ำแปรงฟัน ระหว่างนั้นเขาเฉลียวใจนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนเขาปิดหน้าต่างไปแล้วแน่ๆ พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จเขาเดินไปที่หน้าต่างที่เปิดอ้าไว้จนสุด เหลือบมองไปที่เรือนไม้ปั้นหยาหลังข้างๆอย่างอดไม่ได้ บ้านเงียบกริบ ไร้ร่องรอยคนอาศัย

ภูวรินทร์ลงไปที่ชั้นล่าง เขาเห็นว่าป้าษอรกำลังจัดโต๊ะอาหารเช้าให้เขาอยู่ เธอเห็นเขาเดินลงบันไดก็เอ่ยทักสีหน้ายิ้มแย้ม
“สวัสดีค่ะ...คุณภู...เมื่อคืนนอนหลับสบายไหมคะ”เธอเอ่ยถามด้วยท่าทีปกติ สองมือวางแก้วกาแฟหอมกรุ่นลงบนโต๊ะ เขายิ้ม
“ครับ หลับเป็นตายเลยล่ะ”เขาแสร้งทำเป็นร่าเริงก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะเงียบๆ ภายในโถงบ้านดูสว่างสดใส ม่านสีขาวติดทางริมหน้าต่างพัดไหวน้อยๆ มองไปรอบๆแล้วก็ปกติ เหมือนบ้านมีชีวิตขึ้นมารับแสงอรุณ
“คุณภูอยากรับ ของว่างหลังอาหารไหมคะ วันนี้ป้ามีโอกาสทำบัวลอยไข่หวานหนึ่งหม้อ”เธอเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม เขาเหลือบมองใบหน้าขาวสะอาดไร้การแต่งแต้มจากเครื่องสำอาง แล้วพยักหน้าให้ป้าษอรเบาๆ
“อยากทานพอดีเลยครับ...ต้องรบกวนคุณป้าแล้ว”ภูวรินทร์เอ่ย ก่อนจะเริ่มทานโจ๊กปลากะพงในถ้วยเงียบๆ
“ตามสบายค่ะ อย่าเกรงใจป้าเลย มีอะไรก็เรียกใช้ป้าได้ตลอดค่ะ”ป้าษอรบอก
“ครับ...”ชายหนุ่มเอ่ยรับอย่างเลื่อนลอย ในใจยังคงเต็มไปด้วยความคืบแคลง ป้าษอรมองเขาอยู่เงียบๆก่อนจะถือวิสาสะเอ่ยถามเจ้านายคนใหม่ช้าๆ
“คุณภู...มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ผมแค่สงสัยน่ะครับ ว่าบ้านข้างๆเป็นของใคร ผมสังเกตว่ารอบบ้านใหญ่แล้ว ไม่มีบ้านหลังอื่นใกล้ๆกันอีกเลย เว้นแต่หลังนั้น”
“อ๋อ นั่นเป็นบ้านของคุณธิชาน่ะค่ะ เป็นญาติของเจ้าของคนเดิมของบ้านใหญ่ แต่เธอปล่อยร้างไว้ตั้งนานแล้ว ไม่มีใครมาดูดำดูดี ที่จริงเรือนหลังนั้นก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของบ้านใหญ่เหมือนกันนะคะ แต่ว่ายกให้เป็นของลูกหลานไปตั้งแต่สมัยก่อนนู้นแล้วค่ะ”ป้าษอรเล่าเสียงราบเรียบ เขาพยักหน้ารับรู้ก่อนจะยกแก้วกาแฟมาจิบ
“งั้นเหรอครับ...”ภูวรินทร์พึมพำก่อนจะเผยยิ้มให้ป้าษอรอย่างไม่คิดอะไร พลางคิดถึงร่างเด็กหนุ่มชุดขาวสะอาดคนนั้น... นึกภาพสุดท้าย เขาจำได้ติดตาดี ก่อนที่จะปิดหน้าต่างเหมือนเด็กคนนั้นหันมายิ้มให้เขาหรือเปล่านะ? เขาคงไม่ตาฟาดไปเองแน่ๆ แต่รอยยิ้มนั้นมันทำให้เขาขนลุกเกรียว แต่มั่นใจว่าไม่ใช่ภูตผี


ป้าษอรกลับไปอยู่ในห้องหลังครัวตามเดิม เขาถือโอกาสเดินสำรวจในสวนของบ้านอย่างละเอียดอีกครั้ง เขาเดินไปที่ลานน้ำพุ มองดอกไม้สีฟ้าอ่อนที่ปลูกล้อมรอบตัวบ่อ ก่อนหน้าที่เขาให้คนมาตรวจความเรียบร้อย น้ำพุแห่งนี้ ระบบน้ำไหลตามปกติ แต่ก็สกปรกไปด้วยตะไคร่น้ำหนาแน่นและรอยดำของกาลเวลา ถ้าหากว่าเขาต้องการทำบ้านหลังนี้ให้เป็นบ้านพักผ่อนจริงๆล่ะก็ คงต้องจัดสวนใหม่ สวนแห่งนี้มีแต่สีขาวออกจะจืดชืดไปหน่อย เขามองก้อนกรวดสีน้ำตาลที่พื้น
อากาศยามเช้าไม่ร้อน แสงแดดไม่ระคายผิวหนัง เขามองไปที่เรือนหลังนั้นอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจเดินไปยังรั้วบ้าน มีประตูเล็กๆเชื่อมกับรั้วบ้านเก่า สภาพเหมือนถูกใช้งานมาแล้ว เขามองอย่างโล่งใจเพราะมันยืนยันได้ว่ามีคนเคยเดินผ่านประตูนี้มาก่อน เขาดึงกลอนสนิมเขรอะออก ก่อนจะผลักบานรั้วเตี้ยๆออก ไม่ทันที่จะก้าวขาก็ถูกฟาดเข้าที่หลังด้วยอะไรสักอย่างที่ไม่แข็งแต่มีกลิ่นหอมและมีเสียงดังสวบ


เขาหันไปมอง ก็เห็นว่าช่อดอกแก้วปะปนกับดอกไม้สีม่วงขาวอื่นๆกำลังลอยมาหาเขา ชายหนุ่มคว้าช่อดอกไม้กำใหญ่ไว้ได้ ก่อนจะดึงออกไปให้พ้นตัว
“คนบุกรุก”เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กหนุ่มเอ่ยอย่างไม่พอใจ พร้อมๆกับช่อดอกไม้ร่วงกราวตกลงพื้น ภูวรินทร์มองร่างผอมบางในชุดสีขาวสะอาดไปทั้งร่าง ผมสีดำยาวประบ่าพลิ้วไหวเล็กน้อยเพราะแรงลมเอื่อยๆ กางเกงสีขาวพอดีตัวกับเสื้อแขนยาวมีจีบระบายที่ข้อมือ รวมไปถึงจีบลูกไม้บริเวณใต้ปกคอเสื้อและแนวกระดุม เขามองอีกฝ่ายอย่างเต็มตา เด็กหนุ่มคนนี้อายุราวสิบห้าสิบหกปี ผิวขาว ดวงตากลมใส ใบหน้าเรียวรูปหัวใจนั้นดูสะดุดตา คลับคล้ายกับคนที่เขาเห็นเมื่อคืน...ในใจรู้สึกคลายกังวลลงไปได้
“ฉันเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้”ภูวรินทร์เอ่ยบอก พลางกอดอกมองเด็กหนุ่มตรงหน้าที่ยืนกำมือแน่น สายตาเหลือบมองหน้าของเขาไปมาอย่างระวังระไว
“...อ้อ...”อีกฝ่ายเบะปากก่อนจะหันมองไปที่ตัวบ้านหลังใหญ่โออ่าแต่เก่าแก่ ภูวรินทร์มองเด็กหนุ่มคนนี้อีกครั้ง ท่าทางไม่เหมือนเป็นเด็กรับใช้ในบ้าน ถ้ามีคนอื่นๆอยู่ ป้าษอรต้องแจ้งบอกเขาแล้ว
“เธอเป็นใคร”เขาถาม
“ต้องบอกด้วยหรือ”เด็กหนุ่มจ้องหน้าเขาอย่างเสียมารยาท น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นดูฉงน ชายหนุ่มย่นคิ้วมองเด็กหนุ่มด้วยสายตาเรียบเฉย
“ฉันคิดว่าเธอเป็นผู้บุกรุกมากกว่า เธอเดินมาจากทางหลังบ้านใช่ไหม”เขาเอ่ยถาม คิ้วขมวดแน่นเพราะหลังบ้านมีเรือนเพาะดอกไม้อยู่ แต่เขายังไม่มีโอกาสไปเดินสำรวจ แต่มั่นใจว่ากองดอกไม้พวกนี้ที่เจ้าหนูคนนี้ถือมา ต้องลักลอบเอามาจากเรือนด้านหลังแน่
 “ก็ใช่...แต่ใครจะสน หากท่านเจ้าบ้านไม่อนุญาตใครจะอยู่ได้”เด็กหนุ่มมองเขาอย่างแข็งกร้าว ภูวรินทร์มองร่างเตี้ยกว่าอย่างสนใจ รวมถึงคำพูดของอีกฝ่ายด้วยที่ทำให้เขาสนใจ เด็กหนุ่มก้มลงเก็บดอกไม้กองใหญ่ที่ร่วงหล่นอยู่แทบเท้าของเขา
“หมายความว่าไง”ชายหนุ่มถาม มองเด็กหนุ่มที่รวบช่อดอกไม้เข้าหาตัว เขามองมือและเท้าที่เปื้อนดินอย่างสงสัย เขาเพิ่งสังเกตว่าเด็กหนุ่มคนนี้สวมกำไลข้อเท้าเก่าๆที่ข้างซ้าย และยังไม่ได้สวมรองเท้าด้วย ยิ่งทำให้เขาแปลกใจ เด็กที่ไหนจะเล่นซนเดินเท้าเปล่าไปมากัน แถมยังพูดจาประหลาดๆ คล้ายจะมีสุ้มเสียงสำเนียงเก่าๆ
“มาซื้อบ้านหลังนี้ ไม่รู้หรือว่าเจ้าของบ้านดุแค่ไหน”เด็กหนุ่มกระซิบเสียงต่ำลงมา เขาหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะคว้าตัวเด็กคนนี้ไว้ก่อน
“เดี๋ยว เธอเอาดอกไม้มาจากไหน”ภูวรินทร์ซัก คนเด็กกว่าเหลือบมองสายตามีพิรุธ
“...ต้องขออนุญาตก่อนเหรอ”เด็กหนุ่มเอ่ยถาม เอียงคออย่างใคร่รู้ มองเขาด้วยแววตากลมใส ทำทีเหมือนไร้เดียงสา เขามั่นใจว่าภายใต้ท่าทางใสซื่อนี้ไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น
“ฉันเป็นเจ้าของบ้าน แล้วเธอเป็นใคร”เขาย้ำอีกครั้ง คราวนี้ทำสีหน้าขึงขังให้อีกฝ่ายเกรงกลัวบ้าง
“...ชื่ออินน์ อินทนิล”เด็กหนุ่มบอกเสียงแผ่ว ขยับอ้อมแขนกอดกกดอกไม้ช่อใหญ่ไว้ราวกับว่าเป็นของมีค่า
“แล้วเข้ามาในบ้านได้ยังไง”ภูวรินทร์ไม่อยากใจดำคับแคบ แต่เขาไม่ชอบให้คนแปลกหน้าเข้ามาเดินเพ่นพ่านในบ้านหลังนี้ อีกอย่างเขายังไม่มั่นใจเลยว่าเด็กหนุ่มคนนี้ ใช่ คนที่เขาเห็นเมื่อคืนหรือไม่
“...อินน์เข้ามาได้เพราะท่านอนุญาต”เด็กอินน์เอ่ยเสียงเบา ดวงตากลมภายใต้คิ้วดกดำย่นเข้าหากันก่อนจะมองไปที่ตัวบ้านด้วยความหวาดเกรง‘ท่าน’ของเด็กอินน์คนนี้คงเป็นเจ้าของบ้านคนก่อนกระมัง เขาพ่นลมหายใจแรงอย่างหงุดหงิด
“พูดจาไม่รู้เรื่อง... งั้นเธออยู่บ้านหลังนั้นงั้นเหรอ”ภูวรินทร์ไม่สนใจเด็กเลอะเทอะคนนี้อีกต่อไป เขาหันไปมองเรือนปั้นเหยาที่ติดกับรั้วอย่างสนใจ บ้านชั้นเดียวสีขาวเก่าคล้ายจะเสื่อมโทรมถล่มลงมาหากว่ามีลมห่าใหญ่พัดมากระทบ เด็กอินน์กระพริบตามองเขา ก่อนจะหันไปทางทิศของบ้านข้างๆแล้วขมวดคิ้ว
“เปล่า...”เด็กหนุ่มส่ายหน้า ภูวรินทร์ถอนหายใจ
“แล้วเมื่อคืนล่ะ เธอไปอยู่ในสวนของบ้านนั้นได้ยังไง”ภูวรินทร์เริ่มไม่พอใจ เขามองเด็กหนุ่มคนนี้อีกครั้ง ดวงตากลมจ้องมองเขาเหมือนคนไม่รู้ความ เขาไม่ชอบใจแววตาดวงนี้เลย มันบอกไม่ถูก เหมือนไม่ใช่แววตาของเด็กอายุเพียงเท่านี้ มันทำให้เขาอึดอัดใจ
“...ก็เปล่า”เด็กอินน์ตอบคำเดิม เขาอดกลั้นโทสะ เป็นความตั้งใจจะกวนประสาทเขาหรือไม่นั้น เขาเองไม่รู้ แต่ถ้าใช่ มันได้ผลทีเดียว เขากำลังหงุดหงิด
“งั้นเธอเข้ามาได้ยังไง”ภูวรินทร์เอ่ยเสียงมีโทสะ มองเด็กหนุ่มร่างผอมที่ยืนมองเขานิ่งๆ ราวกับว่าเคยเจอกับอารมณ์ฉุนเฉียวของผู้คนมามากจนไม่สะทกสะท้าน ดอกไม้สีขาวแซมสีม่วงอ่อนในอ้อมแขนไม่ได้ประดับประดาให้เจ้าตัวดูอ่อนโยนซื่อบริสุทธิ์สมวัยเลยสักนิด
“...บอกไปแล้วนี่ ว่าท่านอนุญาตอินน์ให้เข้ามา คุณมาอยู่ใหม่ ไม่กลัวหรือ”อินทนิลเอ่ยซ้ำอีกรอบ ภูวรินทร์ส่งเสียงขัดใจ ก่อนจะเหลียวมองไปรอบๆอย่าหงุดหงิด หากเขาฟาดเด็กคนนี้สักสองสามทีคงไม่ผิดสินะ
“...ตอบคำถามฉันมาดีๆ อย่ามาเลอะเทอะ”เขาเอ่ยเสียงปราม มองคนตัวเล็กอย่างไม่พอใจ เขาก้าวเข้าไปหา อีกฝ่ายไม่ถอย ยืนนิ่งราวกับถูกตรึงไว้กับพื้น
“มากับษอร”เสียงนุ่มยังไม่แตกหนุ่มดีเอ่ยบอก
“ห้ามโกหก”ภูวรินทร์เอ่ยเสียงเรียบเฉย เมื่อเช้าป้าษอรไม่ได้บอกอะไรเขาเลยสักนิด ถ้าหากว่าเด็กอินน์คนนี้มากับป้า ก็ต้องบอกกล่าวกันบ้าง แต่เขาเองก็หาเหตุผลไม่ได้ว่าถ้าหากไม่ได้มากับผู้ใหญ่สักคน เด็กคนนี้จะมาอยู่ในบ้านหลังใหม่ของเขาได้ยังไง
“ใช่...ไม่เคยโกหก”เด็กหนุ่มเอ่ยตอบเสียงเบา


ระหว่างนั้นก็มีเสียงฝีเท้าหนักๆ ตามมาด้วยร่างท้วมของป้าษอร เธอเดินเข้ามาหาเขาด้วยสีหน้าตระหนกและรีบร้อน เขาจับปฏิกิริยานั้นอยู่เงียบๆ
“คุณภูคะ...อ้อ...นี่เจ้าอินน์ หลานของป้าเองค่ะ...เดินหลงมาทางนี้จนได้”ป้าษอรเข้ามาจับไหล่เล็กของอินน์ที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงมาตั้งแต่ครู่ก่อนแล้ว สายตาจับจ้องมาที่ภูวรินทร์ไม่ละไปไหน
“หลานป้างั้นเหรอครับ...แล้วหมายความว่ายังไง ที่ว่าเดินหลง”เขาถาม เพราะเนื้อที่ในบ้านก็มีแต่สวน และเรือนเพาะชำด้านหลังเท่านั้นเอง สำหรับเด็กอายุสิบหกคงไม่หลงหรอก
“แกไม่ค่อยจะดีน่ะค่ะ...ชอบเดินเล่นในบ้านเรื่อยเลย...”ป้าษอรดึงร่างของหลานชายให้ขยับเขยื้อน อินทนิลผุดยิ้มเล็กน้อยระหว่างที่เดินหลบไปด้านหลังของป้าษอร ภูวรินทร์ชะงักไป เขามอง รอยยิ้มนั้นดูอ่อนหวานผิดกับแววตากลมใสเย็นชาคู่นั้น
“กลับไปอยู่หลังบ้านนะอินน์”ป้าษอรเอ่ยเสียงอ่อนโยนกับหลานชาย อินทนิลผงกหัวก่อนจะเดินช้าๆหอบดอกไม้ไว้กับตัวเดินหลังตรงไปตามทาง “แกล่วงเกินอะไรคุณภูหรือเปล่าคะ”
“เปล่าหรอก ผมแค่แปลกใจที่เห็นเด็กแปลกหน้าเดินมาจากด้านหลังบ้าน”เขาชี้ไปทางเรือนหลังบ้าน ป้าษอรยิ้มจางๆ ใบหน้าดูจืดเจื่อนกว่าปกติ
“แกชอบดอกไม้น่ะค่ะ ชอบมาเล่นที่เรือนเพาะชำตลอด ป้าก็เกรงว่าจะบาดเจ็บเพราะเรือนมันเก่ามากแล้ว”
“อืม แล้วป้าก็ปล่อยให้เด็กนั่นมาเดินเพ่นพ่านตลอดเลยหรือไงครับ”ภูวรินทร์ไม่ได้ตั้งใจจะต่อว่าป้าษอร แต่ด้วยอารมณ์ที่เกิดเมื่อครู่ก่อนยังไม่จางหายไป ป้าษอรมองเขาด้วยสายตารู้สึกผิด
“ป้าขอโทษคุณภู แทนเจ้าอินน์มันด้วย เดี๋ยวป้าจะดูแลหลานให้ดีกว่านี้ค่ะ”ป้าษอรคร่อมตัวต่ำเป็นการขอโทษ
“แล้วบ้านหลังนั้นล่ะครับ ตกลงไม่มีคนอยู่จริงๆงั้นเหรอ”เขาเอ่ยถามด้วยความกังขา
“ไม่มีคนอยู่จริงๆค่ะ แต่อินน์ชอบเข้าไปเก็บดอกไม้ในสวนของบ้านนั้นเหมือนกัน”ป้าษอรเอ่ยเบาๆ ภูวรินทร์ขมวดคิ้วขรึม ทำไมหลานคนดูแลบ้านต้องมีอภิสิทธิ์เข้าออกบ้านตามใจชอบด้วยล่ะ เขารู้สึกไม่ชอบมาพากลเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าเรือนปั้นเหยาหลังนั้นจะไม่ใช่สมบัติของเขาก็ตาม แต่ในเวลานี้ทุกตาราวนิ้วในรั้วบ้านหลังใหญ่นี้เป็นของภูวรินทร์แล้ว
“อืม แล้วเด็กคนนั้นอยู่ที่นี่ตลอดเลยเหรอครับ”
“เปล่าหรอกค่ะ เพิ่งมาถึงบ้านใหญ่เมื่อวานเย็น ปกติก็ไปเรียนในเมืองค่ะ”ป้าษอรเอ่ยอย่างหวั่นเกรง คงกลัวว่าหลานตนเองจะทำเรื่องไม่ถูกใจคนอย่างเขา ในฐานะเจ้านายคนใหม่ของบ้านนี้
“งั้นเหรอ...ช่างเถอะ ผมไม่โกรธเด็กคนนั้นหรอก”ภูวรินทร์เอ่ยบอก ก่อนจะเดินไปยังทางหลังบ้านเพื่อไปดูเรือนเพาะชำ พอเดินพ้นตัวบ้าน ก็เจอกับเรือนกระจกสีขุ่นมัวขนาดใหญ่เป็นมีหลังคาทรงจั่ว สูงคล้ายบ้านเดี่ยว เขาเดินเข้าไปด้านในเรือนเพาะชำ มีดอกไม้สดสีขาวบานสะพรั่ง เท่าที่เขาบอกรายชื่อได้ ดอกแก้ว ดอกโมก ต้นพวงแก้วมณี   ต้นเข็มขาวหอม ต้นพุดซ้อนใบด่าง ต้นปริศนา เป็นไม้ดอกที่มีสีขาวทั้งนั้น และมีพยับหมอกและเทียนหยดที่เป็นสีอื่น เขามองไปที่โซนท้ายเรือน เป็นต้นไม้ที่แห้งกรังตายคากระถางไปเกือบทั้งหมด คงไม่มีใครมาดูแล ดอกไม้ในเรือนเพาะสินะ ชายหนุ่มเดินกลับออกจากเรือนเพาะชำ บอกให้ลุงชมหาคนมาดูแลเรือนกระจกโดยเฉพาะ เพราะดอกไม้บางชนิดต้องดูแลเป็นพิเศษ


เมื่อเข้าสู่เวลากลางคืน ภูวรินทร์เข้านอน ไม่ลืมที่จะปิดหน้าต่างไว้อย่างมิดชิด เพราะลมตอนกลางคืนพัดอยู่ตลอด เขานอนโดยที่ไม่ได้ปิดโคมไฟที่หัวเตียงตามเดิม ชายหนุ่มล้มตัวลงนอน ในหัวนึกถึงใบหน้าของอินทนิล เด็กหนุ่มวัยสิบห้าปีที่ดูไร้เดียงสา แต่ทว่าแววตากลมใสที่มองเขานั้นกลับไม่ใช่ความเดียงสา เหมือนคนผ่านโลกมานาน มันบอกไม่ถูก เวลาที่ถูกเด็กนั่นจ้องนานๆมันทำให้ขนลุก

ชายหนุ่มนึกถึงคำเตือนของเพื่อน ว่าเขาอะไรดลใจให้เขามาซื้อบ้านเก่าๆห่างไกลผู้คนเช่นนี้...นั่นสินะ อะไรดลใจให้เขาซื้อกัน เขาตั้งใจจะหาบ้านพักตากอากาศสำหรับวันพักผ่อน แต่แล้วก็มาลงเอยที่บ้านหลังนี้ ในนิตยสารแห่งหนึ่ง เขาเหลือบเห็นช่องโฆษณาประกาศขายบ้านอยู่ และชายหนุ่มตัดสินใจซื้อมัน เพราะความเก่าแก่ของบ้านนั่นล่ะ ที่ถูกใจเขา
เขาเลิกคิดฟุ้งซ่าน และผล็อยหลับไปในที่สุด...

ภูวรินทร์รู้สึกหนาวขึ้นมา เขาดึงผ้าห่มขึ้นมาชิดคาง แต่อะไรบางอย่างทำให้เขาลืมตาตื่น  เขานอนหงายอยู่บนเตียงหลังใหญ่ รู้สุกถึงสายลมที่พัดเข้ามาในห้อง เขาเหลียวไปมองทางด้านข้าง ปรากฏว่าหน้าต่างเปิดอ้า ผ้าม่านโปร่งลายลูกไม้สีขาวสะบัดพลิ้วตามแรงลม เขาขมวดคิ้ว จำได้ว่าก่อนนอนเขางกลอนปิดมันไว้อย่างแน่นหนาแล้ว
จากนั้นร่างกายก็ขนลุกซู่ทันทีเมื่อสัมผัสถึงความอุ่นร้อนของกายเนื้อจากใตผ้าห่ม ภูวรินทร์ตื่นตระหนก ดวงตาเบิกโพล่งเมื่อเห็นว่าผ้าห่มที่คลุมร่างกายของเขามีรอยนูนขึ้นคล้ายกับมีใครขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม เขาผวา อยากจะร้องตะโกนแต่ไร้เสียง เขาขยับตัวไม่ได้

สัมผัสอุ่นใต้ผ้าห่มนั้นลูบไล้ขึ้นมาตามท่อนขา หน้าท้องและแผ่นอก เขาเริ่มหายใจติดขัดเมื่อสัมผัสอุ่นของร่างกายมนุษย์ ไม่ก็คล้ายมนุษย์ สัมผัสอุ่นคล้ายฝ่ามือเลื่อนเข้ามาใต้เสื้อ ความอุ่นลูบไล้มายังหน้าอกมาจนถึงลำคอ เขาเห็นว่ามันเป็นท่อนแขน พร้อมๆกับใบหน้าของคนใต้ผ้าห่มก็ผุดออกมาราวกับปีศาจ

ใบหน้าเรียวรูปหัวใจ กับรอยยิ้มหวาน แววตากลมใสเย็นชาจับจ้องมาจากใต้ผ้าห่ม ภูวรินทร์ถึงกับผงะออกมาด้วยความตระหนกตกใจ เขาร้องลั่นด้วยความกลัว

“อ๊ากกกก”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-03-2018 01:22:57 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ อรัมภบท ] 10.11.17
«ตอบ #2 เมื่อ10-11-2017 03:02:46 »

ภูวรินทร์เหงื่อแตกพลั่ก ก่อนจะรู้ตัวว่ากำลังผุดลุกขึ้นนั่งอยู่บนเตียง หายใจหอบ ในใจยังคงเต้นรัวเหมือนกลอง เขาเนื้อตัวเยียบเย็น ยังจำฝันนั้นได้ดี เขาลูบใบหน้าที่เหนอะหนะ แสงไฟจากโคมไฟเหนือเตียงส่องสว่างอย่างอ่อนแรง เขาก้มมองลำตัวของตน ไร้ผ้าห่ม มันเลื่อนตกไปอยู่ข้างเตียง

ชายหนุ่มหนาวสั่นเพราะคนในนั้นฝันคือ อินทนิล เด็กคนนั้นกับรอยยิ้มที่น่ากลัว เขาขยับตัวทำท่าจะเก็บผ้าห่มที่ร่วงหล่น แต่สายตาเหลือบไปเห็นหน้าต่างที่เปิดอ้า ผ้าม่านปลิวสะบัดตามแรงลม เขาชะงัก

อีกแล้ว...หน้าต่างนั่นเขาปิดมันไว้อย่างดี ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอ มั่นใจว่าไม่ใช่เรื่องผีสาง อาจเพราะกระแสลมที่ตกระทบกับตัวบ้านอยู่ตลอด เสียงหวีดหวิว เสียงใบไม้ขยับเสียดสีกันในความมืด  ภูวรินทร์หัวเสียก่อนจะลุกลงเตียง เดินไปปิดหน้าต่าง เขาขยับตัวเอื้อมไปจับบานไม้สีขาวซีด แต่อดไม่ได้ที่จะหันไปมองความเวิ้งว้างท่ามกลางความมืดไปยังทิศทางในสวนของบ้านข้างๆกัน

ชายหนุ่มมองไปที่สวนก่อนจะชาวาบไปทั้งร่าง หัวใจเขาตกหล่นคล้ายก้าวบันใดผิดขั้น

อินน์งั้นเหรอ... ชายหนุ่มมองร่างผอมบางในชุดสีขาวตัวเดิม เสื้อแขนยาวมีจีบที่แขน กางเกงสีขาวพอดีตัวยาวกรอมพื้น เส้นผมยาวประบ่าพลิ้วไหลเบาๆ ยืนอยู่ท่ามกลางกอดอกแก้วสีขาว ในความมืดมันเด่นชัดทั้งคนทั้งดอกไม้

“อินน์...”ภูวรินทร์เอ่ยชื่อนั้นเบาๆ เขาขมวดคิ้ว ทำไมเด็กนั่นถึงมาเดินเตร่ตอนดึกเช่นนี้ เขากำลังจะดึงบานไม้ปิด แต่ร่างนั้นหันมามองทางเขา ชายหนุ่มชะงัก เพราะแววตากลมใสนั้นดูมีความสุข รอยยิ้มยังฉาบอยู่บนใบหน้า ภูวรินทร์ขยับกายไม่ออก ในหัวแม้จะสั่งให้ตนเองกลับเข้าไปนอน แต่ทว่าเขายังคงมองร่างของเด็กหนุ่มอยู่ราวกับโดนสะกด
ท่อนแขนเล็กเอื้อมไปเด็ดดอกไม้สีขาวขึ้นมา ก่อนจะเหน็บทัดไว้ที่ใบหู เหมือนว่ากำลังอยู่ท่ามกลางมวลดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิ มันไม่ปกติเพราะยามนี้มันดึกดื่น และบ้านหลังนั้นก็ไร้คนอาศัย เด็กอินน์คนนั้นเข้าไปได้ยังไง เขาจำได้ว่าบอกให้ลุงชมล็อกใส่แม่กุญแจไว้แล้ว

‘มาสิ...ภูวรินทร์’

อินทนิลเอ่ยเรียก เหมือนอยู่ห่างไกล แต่กลับว่าหูของเขาได้ยินเด็กหนุ่มเอ่ยพูด เขาประหลาดใจ พบว่าอินทนิลหันมายิ้มให้เขา ดวงหน้านั้นดูมีความสุข สายตามองมาที่ชายหนุ่มด้วยแววตาเฝ้ารอคอย ปู่ยาตายายเคยสั่งสอนว่าเวลามีคนเรียกชื่อตอนดึกห้ามขานรับหรือออกไปหาเด็ดขาด เขาควรจะเชื่อคำของคนโบราณ แต่ใจของเขาไม่อาจเชื่อเรื่องผีสาง แม้ว่าเขาจะเผชิญกับความฝันน่าสะพรึงมาแล้วก็เถอะ แต่นั่นมันเป็นแค่ความฝันไม่ใช่เหรอ

‘ภูวรินทร์’
เสียงเรียกนั้นเหมือนเอื้อนเอ่ยมาจากปีศาจจากขุมนรก ก้องกังวานอยู่ในหัวของเขา ร่างของอินทนิลยังคงยืนรอคอยอยู่ตรงนั้น ภูวรินทร์ขยับกายออกห่าง เขาเหลือบมองเวลาที่หน้าปัดนาฬิกาเก่าๆเหนือเตียงนอน ตีหนึ่งครึ่ง...เวลาเช่นนี้ เขาไม่ควรออกไปพบปะกันยามวิกาล แต่อะไรบางอย่างมันเต้นเร่าอยู่ในอก ผลักดันให้ชายหนุ่มก้าวเดินออกจากห้อง ก้าวลงจากบันไดใหญ่ลงไปยังชั้นล่าง ห้องโถงมืดสลัว เสียงสะบัดชายผ้าม่านดังให้ได้ยินเบาๆ เขาเคยกลัวความมืดแต่บัดนี้กลับเคลื่อนกายฝ่ามวลอากาศมืดมิดออกไป

สองเท้าเปล่าเปลือยสัมผัสกับพื้นหญ้าเย็นๆ ร่างกายรับสัมผัสเย็นจากสายลมกลางคืน เขาออกเดินไปยังทิศทางรั้วบ้านฝั่งเรือนปั้นหยา ภายในใจคร่ำครวญว่าเด็กหนุ่มยังรอเขาหรือไม่ เขาผลักประตูรั้วตัวเตี้ยออกช้าๆ ร่างผอมในชุดสีขาวยังคงอยู่อยู่ท่ามกลางต้นดอกแก้ว ชายหนุ่มไม่ได้มองไปยังตัวเรือนบ้านเก่าหลังนั้น สองขาก้าวเดินไปหาอินทนิลในความมืดสลัว แสงจันทร์เพียงพอให้เห็นว่า ร่างนั้นขาวนวล ใบหน้าเศร้าหมองไปชั่วขณะก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม รอยยิ้มที่เขาอึดอัดใจ ยิ้มหวานและแววตาเย็นชา ผิดกับความสดใสของวัยเด็กเช่นอินทนิล

“...เธอเป็นใคร”เขาเอ่ยถามด้วยใจสั่นไหว ทว่าเด็กหนุ่มไม่ตอบ เพียงยื่นช่อดอกแก้วสีขาวหอมจางมาให้เขาด้วยสองมือ ภูวรินทร์มองอีกฝ่ายอย่างสับสน ดอกแก้วสีขาว เด่นชัดในค่ำคืนนี้
“เธอ...”ชายหนุ่มกลืนคำถามลงคอไป เขารับดอกแก้วมาจากฝ่ามือของอินทนิล ดอกแก้วบานสวยไม่เหมาะกับสถานที่เก่าโทรมเช่นเรือนหลังนี้ น่าแปลก ต้นไม้เติบโตออกดอกมาได้จนป่านนี้ เพราะอินทนิลดูแลมันงั้นเหรอ
“ให้คุณ”
“เธอเป็นใครกันแน่”ภูวรินทร์เอ่ยถามอีกครั้ง สายตาจับจ้องดวงหน้าเรียว ใบหน้านั้นอ่อนโยนลง มีรอยยิ้มผุดที่มุมปาก แววตากลมใสเป็นประกาย

“...อยากให้จำเราได้เร็ววัน”อินทนิลเอ่ยเสียงเบา น้ำเสียงดูต่างจากเดิมเล็กน้อย แววตาคล้ายจะสะท้อนความเศร้าสร้อยไร้สาเหตุ เขามองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ ในเวลานี้เขานึกถึงคำพูดของโชติเพื่อนสนิทอีกครั้ง แต่อินทนิลตรงหน้าเขาไม่ใช่ผีสาง ชายหนุ่มเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าของเด็กหนุ่มแผ่วเบา ผิวเนื้อเย็นเยียบเพราะยืนตากอากาศมานาน ใบหน้าของเด็กหนุ่มไม่ขยับไปไหน แววตาจ้องมองเขาอยู่ไม่ห่าง สองมือกำแน่น เขาไม่รู้ว่าเพราะอะไรอินทนิลถึงแสดงอาการเช่นนี้
“หมายความว่ายังไง...เราไม่เคยเจอกันมาก่อน”ภูวรินทร์เอ่ย

“อาจต่างกรรมต่างวาระ...”อินทนิลยิ้ม เอียงคอมองเขาอย่างใคร่รู้ ท่วงท่าจากถ้อยคำที่เปล่งออกมาจนเขาสับสน
“แต่เธอคืออินน์”ภูวรินทร์เอ่ยเบาๆ มองร่างเด็กหนุ่มเบื้องหน้าอีกครั้ง ลดมือลงจากใบหน้าของอีกฝ่าย “กลับเข้าบ้านเถอะ”เขาบอก สองหูได้ยินเสียงลมและเสียงร้องของสัตว์กลางคืน อากาศหนาวยะเยือกจากทางด้านหลังทำเอาเขาขนลุกเกรียว เรือนหลังนั้น เขาไม่กล้าหันไปมอง อินทนิลหัวเราะเสียงสดใสของเด็กวัยซน
“กลางคืนเป็นเวลาของเรานะ”อินทนิลเอ่ยน้ำเสียงแปร่งๆ เมื่อวานก่อน เขายังคิดว่าเด็กอินน์คนนั้นมีสุ้มเสียงแปลกๆ เหมือนไม่ใช่คนในยุคสมัยนี้ ออกจะติดสำเนียงเก่าๆของคนสมัยก่อน

ภูวรินทร์มองร่างของเด็กหนุ่มชัดเจนขึ้น อีกฝ่ายขยับกายเข้าหา สายลมหวีดหวิวแข่งกับเสียงหัวใจที่เต้นรัวแทบทะลุจากอก ดวงตากลมใสนั้นจับจ้องไม่ห่าง สบตาเนิ่นนานจนทำให้เขานึกเกรงกลัว แววตาที่ไม่ต่างจากภาพฝันเมื่อครู่ก่อน... ทั้งร่างของชายหนุ่มสั่นสะท้าน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-03-2018 01:25:15 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
เกาะชอบจอ รอติดตาม

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
แอบหลอนอยู่นะ ดูท่าจะไม่ใช่แนวภพชาติแบบสดใส

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ๑] ๑๒.๑๑.๑๗
«ตอบ #5 เมื่อ12-11-2017 04:36:49 »

ตอนที่ 1 ภูตผีจากฝันร้าย


“คุณภูคะ คุณภู”เสียงของป้าษอรเหมือนดังมาจากที่แสนไกล ภูวรินทร์พยายามอย่างหนักหน่วงที่จะลืมตาตื่น เมื่อเปิดเปลือกตาขึ้นก็ต้องพบว่าแสงยามเช้าทำให้ดวงตาพร่ามัว ก่อนจะที่จะมองเห็นร่างท้วมของป้าษอร เขาได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักดังมาจากเด็กหนุ่ม เสียงหัวเราะชอบใจของอินทนิล
 
“ชู่ว อินน์...คุณภูอย่าถือสาแกเลยค่ะ”ป้าษอรรีบเอ่ย เขาเหลือบมองคนที่หลบอยู่หลังป้าษอร แต่ก่อนจะพูดอะไรเขาเหลือบมองไปรอบกาย ทั้งร่างกายสัมผัสได้ว่ากำลังนอนอยู่บนผืนหญ้าเย็นๆ พอได้สติเขาพบว่าตนเองกำลังนอนอยู่ในสวนใกล้กับลานน้ำพุ เขาตกใจผุดลุกขึ้นยืนทันที ป้าษอรมองเขาด้วยความกังวลใจ

“เกิดอะไรขึ้นครับ”
“ป้าเห็นว่าคุณไม่อยู่ในห้อง พอมองออกหน้าต่างเห็นว่าคุณนอนอยู่ที่นี่”เธอเล่า ภูวรินทร์ถึงกับยืนนิ่ง ก้าวขาไม่ออก เขามองไปรอบตัว ตอนนี้คงเช้าตรู่ เขามองไปที่อินทนิลที่กำลังยืนจับใบไม้ที่ถูกตัดแต่งเป็นชั้น รอบลานน้ำพุ
“อะไรนะครับ...”ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกตัว หันมองรอบกายด้วยความมึนงง
“คุณอาจเดินละเมอก็ได้นะคะ”

“...คงจะอย่างนั้น”ภูวรินทร์เอ่ยเบาๆ พลางนึกไปถึงเรื่องเมื่อคืน อินทนิลยืนมองเขา ใบหน้านั้นผุดรอยยิ้มหวานมาให้เขาอีกครั้งก่อนจะเดินเล่นไปตามสวนรอบลานน้ำพุ ภูวรินทร์สะบัดศีรษะไล่ความฟุ้งซ่านให้หลุดพ้นจากเหตุการณ์เมื่อคืน...ตอนนั้นเด็กนั่นมาหาเขาแล้วเกิดอะไรขึ้นต่อล่ะ...เขานึกไม่ออก จนชักไม่แน่ใจว่ามันเกิดขึ้นจริงหรือเป็นเพียงความฝันกันแน่ เด็กอินน์นั่นประหลาด ไม่ใช่ผีสาง แต่เป็นอะไรที่...บอกไม่ถูก


ภูวรินทร์กลับเข้าบ้านใหญ่ด้วยความรู้สึกพิกลในอก ป้าษอรเธอเดินตามหลังเขามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ชายหนุ่มไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเขาไม่คิดตนเองเดินละเมอ และป้าษอรคิดเช่นนั้นด้วยหรือ บ้านเก่าหลังนี้ไม่ชอบมาพากล เด็กอินน์นั่นก็ด้วย

“ป้าครับ เมื่อคืนอินน์ได้ออกไปไหนหรือเปล่า”ขณะที่เอ่ยถามด้วยความลังเล ชายหนุ่มพยายามไม่สบสายตาที่มองมาอย่างกังวลใจของแม่บ้านร่างท้วมที่เดินมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องนอน
“เปล่านี่คะ...อินน์ก็นอนกับป้าอยู่ตลอด...”ป้าษอรตอบ ภูวรินทร์พยักหน้ารับรู้ไม่ตอบอะไรเพียงเหลือบมองหญิงวัย 56 ปีโดยประมาณด้วยสายตาพินิจพิจารณาในสิ่งที่เธอพูด พลางนึกสงสัยว่ามันใช่ความจริงหรือเปล่า
“ไม่มีอะไรหรอก อ้อ แล้วลุงชมได้คนงานเพิ่มหรือยังครับ”เขาเอ่ยถามต่อเพราะไม่อยากให้ป้าษอรมาถามอะไรให้วุ่นวายแม้ว่าลุงชมและป้าศอรจะเคยทำงานให้แก่บ้านหลังนี้มาก่อน แต่ไม่มีทีท่าจะต่อต้านคนใหม่เช่นเขาที่พยายามจะปรับปรุงรื้อถอนบ้านหลังนี้ให้ทันสมัยขึ้นอีกหน่อย
“ได้แล้วค่ะ วันนี้ก็จะเข้ามาปรับปรุงเรือนเพาะชำใหม่”เธอบอกก่อนจะพูดถึงคนงานที่นำเข้ามาซ่อมแซมปรับภูมิทัศน์รอบๆเรือนเพาะชำ พูดอธิบายไม่นานเธอก็กลับออกไปทำงานต่อที่ชั้นล่าง ภูวรินทร์หยิบผ้าเช็ดตัวเตรียมเข้าไปอาบน้ำ แต่แล้วก็ชะงักนิ่งไปเมื่อสังเกตุเห็นดอกสีขาว คือดอกแก้วหนึ่งช่อวางอยู่บนหมอน ชายหนุ่มยืนนิ่งขึง จ้องมองอยู่นานพลางหวนนึกถึงอินทนิลที่ให้ดอกแก้วเขาเมื่อคืน แต่เท่าที่จำได้ตอนที่เขาถูกปลุกจากป้าษอรก็ไม่ได้มีดอกแก้วอยู่กับตัว เขาสงสัยว่ามันมาอยู่ที่ห้องของเขาได้อย่างไร


ชายหนุ่มขยับตัวก้าวเข้าไปหาดอกไม้บนเตียง เขาเอื้อมหยิบมันขึ้นมา ดอกไม้ยังดูสดสวยไม่เหี่ยวเฉา อดไม่ได้ที่จะยกขึ้นมาสูดดม มีกลิ่นหอมจางๆ ชายหนุ่มหลับตาผ่อนลมหายใจช้าๆ ไม่อยากให้ใจถวิลไปถึงเรื่องลี้ลับ เขาวางดอกไม้ไว้ที่หน้ากระจกก่อนจะเข้าไปอาบน้ำ เขาไม่รู้สึกกลัวบ้านหลังนี้ แต่...แค่หวั่นเกรงต่ออินทนิลอย่างบอกไม่ถูก โดยเฉพาะยามที่เด็กนั่นยิ้มให้เขา


ชายหนุ่มจากเมืองใหญ่เช่นเขาไม่ชินกับกิจวัตรของที่นี่ นอกจากอ่านหนังสือฆ่าเวลาแล้วและชมสวนดอกไม้ เขาก็ว่างไร้สิ่งน่าสนใจให้ทำ เวลานี้เขามานั่งผ่อนคลายอยู่ที่ห้องรับแขกติดกับหน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดอ้ารับสายลมและแสงอาทิตย์ที่ไม่ร้อนจัด เขาพกโน้ตบุกมาด้วยแม้พยายามแชร์อินเตอร์เน็ตจากสมาร์ทโฟนมายังโน้ตบุ๊ก แต่ทำได้เพียงเชื่อมต่อแต่เน็ตช้าไม่ทันใจ เขาทิ้งงานที่บริษัทมา แม้จะไม่ได้นั่งโต๊ะออกหน้าแต่ก็เป็นผู้ถือหุ้น 30% มีส่วนในการตัดสินใจในงานต่างๆ เขาอยากเช็คความเคลื่อนไหวของพวกนักบริหาร ระหว่างนั้นป้าษอร ในชุดแม่บ้านแบบเก่ายกถาดน้ำชามากับขนมคุกกี้เสิร์ฟที่โต๊ะ ชาลาเวนเดอร์หอมเหมาะสำหรับเช้าอันสดใส ภูวรินทร์เสิร์จหาประวัติของบ้านหลังนี้ในอินเตอร์เน็ตแต่ก็ไม่มีอะไรข้อมูลมากนักนอกจากเป็นบ้านเก่าสมัยร.5 ป้าษอรรินน้ำชาใส่แก้วให้เขา ชายหนุ่มรั้งตัวไว้ก่อนที่เธอจะเดินออกไป

“ป้าครับ บ้านหลังนี้มีความเป็นมายังไงกันแน่”ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เขาไม่อยากแสดงความใจเสาะให้เธอเห็น แม้ว่ามันจะพังทลายลงไปตั้งแต่เมื่อเช้า เหมือนเขาถูกมองว่าเป็นตัวประหลาดอย่างบอกไม่ถูก
“อย่างที่คุณภูทราบ บ้านหลังนี้เคยเป็นของคหบดีปลายสมัย ร.5 มาก่อน ป้าเองก็ไม่ค่อยทราบรายละเอียดมาก รู้แค่ว่าภายหลังตกเป็นของคนสกุล ภิรมย์สุข เจ้าของคนล่าสุด...คนรุ่นก่อนก็ทำงานเป็นคนต้นห้อง ดูแลเจ้านายสกุลนี้มาจนถึงรุ่นของป้า”เธอตอบด้วยท่าทีสงบเสงี่ยม เขามองเธอระหว่างที่ยกถ้วยชามาดื่ม
“แล้วบ้านหลังนี้ทำไมถึงถูกปล่อยขายล่ะครับ ผมนึกว่าบ้านเก่าแบบนี้เจ้าของอยากจะเก็บไว้เป็นสมบัติของตระกูล”เขาพูดอย่างสงสัยใคร่รู้ หากเป็นเขาล่ะก็จะอนุรักษ์โบราณเช่นนี้ไว้ไม่ให้ใครมาย่ามกายผ่านแน่นอน ป้าษอรมีท่าทีอึกอักไม่อยากเล่า ภูวรินทร์มองนิ่งๆก่อนจะเชื้อเชิญให้เธอนั่งโซฟาตัวข้างๆเขา

“…คือแบบนี้ค่ะ คุณภู ...ไม่มีใครอยากอยู่บ้านหลังนี้”ป้าษอรเอ่ยเบาๆก่อนจะเดินมานั่งที่โซฟาตัวเล็กกว่า ทางขวามือของภูวรินทร์ มือทั้งสองข้างของป้าษอรบีบกันแน่นเหมือนไม่อยากเอ่ยถึงเท่าไหร่นัก
“ทำไมเหรอครับ”ภูวรินทร์เชื่อว่าป้าษอรเธอต้องเล่าเรื่องตำนานผีสิงตามที่แบบฉบับเรื่องหลอนในบ้านหลังเก่าตามเคย ป้าษอรถอนหายใจ เธอเหลียวมองไปรอบบริเวณบ้านอย่างคนึงหาเรื่องในอดีต
“มีข่าวลือจากคนงานเก่าๆในบ้าน เล่าว่าคนสกุลนี้โดนสาปแช่งมาเกือบเจ็ดสิบปี”
“สาปแช่งเหรอครับ”คำตอบของป้าษอรสร้างความแปลกใจให้แก่ชายหนุ่มไม่น้อย เขาคิดว่าจะเป็นเรื่องราวแบบอื่นมากกว่าคำสาปจากคนในตระกูล เขาไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน
“ใช่ค่ะ มีคำแช่งจากเจ้าของบ้านคนเก่า เเช่งให้คนสกุลนี้ไร้คนสืบทอด”เธอพูดด้วยสุ้มเสียงหวั่นเกรง สีหน้าแววตาปรากฏความวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด เธอยิ้มจืดจางราวกับเวทนาคนสกุลเก่าแก่ที่เคยรับใช้

“แล้วป้าเชื่อเหรอครับ”ภูวรินทร์เอ่ยถาม มองดูเธออย่างไม่อยากเชื่อสายตานัก เรื่องในทำนองหาทางพิสูจน์ไม่ได้ สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดในบ้านหลังนี้คงจะเป็นเด็กอินน์คนนั้นมากกว่า ทำตัวประหลาดราวกับผีสางทั้งที่ไม่ใช่
“เรื่องนี้ป้าเองก็ไม่ปักใจเชื่อหรอกนะคะ แต่คนเก่าแก่ที่เคยทำงานก็พูดแบบเดียวกัน คนสกุลนี้อยู่ถึงรุ่นสุดท้ายก็คือคุณธิชา แม้ไม่ใช่ญาติสายตรงก็ตาม เพราะคนอื่นๆไม่มีทายาท ถึงจะมี ก็ไม่ปกติกันสักคน”ป้าษอรเม้มปากเป็นเส้นตรง เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงเห็นอดเห็นใจ เขาพยักหน้าเข้าใจไม่ได้แสดงท่าทีต่อต้านอะไรกับเรื่องพวกนี้ เขาอยากได้ข้อมูลเก่าๆมากกว่า ข้อมูลที่มีประโยชน์
“งั้นเหรอครับ... แล้วป้าอรได้ทันรับใช้เจ้านายคนก่อนไหมครับ”ภูวรินทร์เอ่ยถาม จู่ๆก็นึกถึง ‘ท่าน’ที่อินทนิลพูดถึงไม่ได้ มันสะกิดใจเขานิดหน่อย แม้ว่าในใจจะไม่เชื่อเรื่องวิญญาณสิงสถิตในบ้าน เพราะมันทำให้เขานึกถึงคำเตือนของโชติเพื่อนสนิท

“ทันค่ะ สมัยที่ป้ายังสาวๆ คนล่าสุดมาอยู่ได้ไม่นานนักตั้งแต่เมื่อยี่สิบปีก่อนแล้วค่ะ”เธอกล่าว
“อ้อ แปลกนะครับที่ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้”ชายหนุ่มเอนตัวพิงกับโซฟา เขายังแปลกใจตนเองที่ไม่คิดจะศึกษาพื้นเพของบ้านเก่าหลังนี้เพียงถูกใจก็ตัดสินใจตกลงซื้อทันที ค่อนข้างหุนหันจนคนใกล้ตัวแปลกใจ
“ถ้าคุณภูรู้ คุณจะยังซื้อบ้านอยู่ไหมละคะ”ป้าษอรเอ่ยถามได้ตรงประเด็น ภูวรินทร์เงียบไป ป้าษอรมองเขาด้วยสายตาเดาไม่ออก คล้ายจะเห็นใจอยู่บ้าง
“อืม...ถึงยังไงป้าก็เล่าให้เจ้าของคนใหม่ฟัง แล้วไม่กลัวว่าผมจะขายต่อหรือทุบทิ้งเหรอครับ”ภูวรินทร์หัวเราะเบาๆในลำคอพลางกอดอกมองไปรอบบ้าน ยังคงเห็นม่านสีขาวพลิ้วไหวอยู่รอบห้อง
“...คุณภูดูถูกใจบ้านหลังนี้นะคะ ถึงแม้ว่ามันจะเก่า แต่ป้าก็อยากเห็นบ้านตอนบูรณะไหมเช่นกัน คงสวยไม่แพ้ของเดิม”
“แล้วทำไมคนสกุลนี้ถึงโดนเเช่งละครับ”ชายหนุ่มวกกลับมาเข้าประเด็นเดิมต่อ ป้าษอรยิ้มท่าทางเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด เธอคล้ายไม่อยากเอ่ยถึง“เรื่องนี้...มันแค่เรื้องเล่าต่อๆกันมาน่ะค่ะ”

“แต่เจ้าของบ้านก็เชื่อนี่ครับ ไม่งั้นจะทิ้งบ้านไปทำไม”ชายหนุ่มเอ่ยอยากไม่ยอมลดราวาศอก
“แล้วคุณภูไม่กลัวเหรอคะ”เธอไม่ตอบคำถามแต่ย้อนกลับใส่เขาชายหนุ่มนิ่งงัน นั่นสิ ทั้งๆที่เขาเจออะไรแปลกๆมาหลายเรื่องแต่เขาไม่มีความคิดที่จะย้ายออก อาจเพราะความตั้งใจเดิมคือแต่แวะมาดูความเรียบร้อยแค่หนึ่งสัปดาห์เท่านั้นหรือไม่ก็เขาคงจะหลงเสน่ห์บ้านเก้าแก่หลังนี้เข้าจริงๆก็ได้
“...ถึงจะฟังดูแปลกๆ แต่ผมก็ยังไม่มีความคิดจะจากไปไหนนครับ”ภูวรินทร์เอ่ย ป้าษอรมองเขาเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไรแค่พยักหน้าเข้าใจ “แล้วป้าล่ะครับ คิดว่าบ้านหลังนี้เป็นยังไง...”
“อ้อ....ป้าเป็นคนดูแลบ้านมานาน ไม่คิดว่าบ้านหลังนี้แปลกพิสดารไปจากที่อื่นหรอกค่ะ”ป้าษอรยิ้มออกมาอย่างจริงใจ
“นั่นสิครับ...จะมีอะไรได้”ภูวรินทร์พึมพำเหมือนแค่รำพึงกับตนเอง จากนั้นป้าษอรก็กลับไปประจำที่ห้องพักหลังครัว ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์เพื่อโทรหาโชติ อยากบอกเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น แต่จะทำให้เจ้านั่นประสาทเสียมากกว่าเดิมน่ะสิ


ระหว่างนั้นภูวรินทร์ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆสั้นๆกำลังขยับเข้ามาใกล้ พอหันหน้าไปมองทางต้นเสียง เขาเห็นร่างผอมเพรียวของอินทนิลกำลังวิ่งวนไปมาอยู่บริเวณริมหน้าต่าง เท้าเปล่าเปลือย ในมือถือกิ่งดอกปริศนาชูสูงเหนือศีรษะวิ่งห้ออย่างสนุกสนานราวกับว่าอยู่ในความฝันของตนเอง ชายหนุ่มมองอยู่นานจนเจ้าตัวหันกลับมามองเขา ใบหน้าขาวกระจ่างมีเหงื่อซึม ริมฝีปากโค้งยิ้มจนเห็นฟันขาว

“คุณครับ...”เด็กอินน์เอ่ยเรียก พอเด็กหนุ่มหันมาจดจ้องเขาอีกครั้ง ภูวรินทร์ได้แค่ส่ายหน้า เลิกสนใจเด็กหนุ่มที่แปลกประหลาดคนนั้น เขาปิดโน้ตบุ๊กก่อนจะหยิบหนังสือพิมพ์ฉบับประจำวันมาอ่านฆ่าเวลา เสียงฝีเท้าดังเป็นจังหวะใกล้เข้ามา อินทนิลวิ่งเข้ามาในบ้าน เสียงกรุ๊งกริ๊งเบาๆจากกำไลข้อเท้าสอดแทรกมาด้วย เขาเหลือบมองเจ้าของเสียงที่วิ่งมาหยุดอยู่ที่หน้าโซฟารับแขกชุดใหญ่ที่เขานั่งอยู่ เขามองเห็นแค่เท้าเปลือยเปล่ากำลังขยับไปมา กางเกงสีขาวไร้รอยเปื้อน กับเสื้อสีขาวมุกมีระบายใต้คอปกเสื้อ แขนเสื้อถูกพักไว้เหนือข้อศอก คล้ายกับใส่เสื้อผ้าตัวเดิม


“อ่านอะไรอยู่หรือครับ”เด็กอินน์เอ่ยถาม ชายหนุ่มเงยหน้ามองอินทนิลที่มีแววตาสงสัยใคร่รู้ แววตาสำหรับเด็กวัยซน ใบหน้าแดงก่ำชื้นเหงื่อร่างนั้นขยับนั่งลงที่เบื้องหน้าเขา ราวกับเป็นข้าชั้นต่ำ
“นี่ ลุกขึ้นไม่ต้องคุกเข่า มานั่งนี่สิ”เขาชี้ไปที่โซฟาตัวข้างๆตัวเล็กกว่าของเขา อินทนิลส่ายหน้า โค้งกายมาหาเขา “เดี๋ยวโดนดุเอา”อินน์พูด เขาถอนหายใจบางครั้งเด็กคนนี้พูดไม่รู้เรื่องเท่าไหร่
“ใครดุ ป้าษอรเหรอไง”ชายหนุ่มวางหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะอย่างหมดความสนใจ สิ่งที่น่าดึงดูดใจกว่ามาอยู่เบื้องหน้าของเขาแล้ว ร่างผอมที่นั่งคุกเข่าตัวตรงมองมาที่เขาแล้วส่ายหน้า เส้นผมนุ่มสลวยประบ่าสะบัดตามไปด้วย
“เปล่า ท่านต่างหาก”อินทนิลกระซิบเสียงเบาบอกราวกับว่าหากการพูดเสียงดังจะทำให้เจ้าตัวโดนจับได้ ภูวรินทร์ส่ายหน้าหัวเราะเด็กหนุ่มกับคำพูดแปลกๆที่ได้ยิน เขาขยับตัวโน้มลงไปหาอีกฝ่ายอย่างให้ความสนใจ
“นี่ เลิกพูดเลอะเทอะดีกว่า มานั่งด้านบนสิ ฉันจะถามอะไรหน่อย”ภูวรินทร์เอนตัวกลับ ก่อนจะตบลงกับที่ว่างบนโซฟาข้างๆกายเขา อินทนิลมองมาที่โซฟาด้วยแววตาซุกซนเหมือนเด็กทั่วไปก่อนจะเหลียวมามองเขาแล้วเอ่ยเสียงลังเล ขยับกายอย่างไม่สบายใจนัก
“...แต่ว่า”อินทนิลอึกอัก สองมือกำแน่นวางอยู่บนเข่า ชายหนุ่มมองปฏิกิริยาของอีกฝ่ายอย่างสนใจ เขาคิดว่าอินทนิลมีความแปลกที่อธิบายไม่ได้ เขาไม่เคยเจอเด็กคนนี้มาก่อน ไม่มีแม้แต่ในเสี้ยวความทรงจำ
“ฉันเป็นเจ้าของบ้าน ตอนนี้เธอเป็นผู้อาศัยก็ต้องฟังฉันสิ”ชายหนุ่มพูดเสียงเคร่งขรึม อินทนิลเม้มปาก สองมือขยุ้มกำเนื้อผ้ากางเกงสีขาวเหนือเข่าอย่างอึดอัดใจ คิ้วดกดำขมวดมุ่น
“ถ้าเกิดท่านโกรธขึ้นมา คุณจะซวยเอา”อินทนิลส่ายหน้า ดวงตากลมใสดูกังวลใจไม่ปิดบัง

“อินน์”ชายหนุ่มเรียกชื่ออีกฝ่าย กดเน้นชัดถ้อยชัดคำ 'ท่าน'ของเด็กคนนี้หมายถึงอะไร...คนหรือว่าผีสาง ชายหนุ่มกำลังไม่สบอารมณ์เขาแสดงออกทางสีหน้าและน้ำเสียงที่ฟังแล้วเป็นประโยคคำสั่ง เด็กหนุ่มร่างผอมมองเขาตาละห้อย สุดท้ายก็ยอมขยับตัวลุกขึ้นยืนช้าๆ หันรีหันขวาก่อนจะก้าวขาทีละก้าวราวกับย่องเบา ภูวรินทร์ชี้ที่ว่างข้างกายบนโซฟาตัวเดียวกัน อินทนิลห่อไหล่เกรงกลัวก่อนจะขยับตัวนั่งลงเบาๆราวกับโซฟามันจะถล่มพังเอาได้

“ขอถามหน่อยสิ เมื่อคืนเธอได้ออกมาข้างนอกหรือเปล่า”ภูวรินทร์ถามเสียงปกติ ไม่มีข่มขู่ ออกจะเกลี้ยกล่อม เขามองร่างเล็กของอินทนิลโดยไม่ละสายตา พลอยให้นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เวลานั้นท่วงทีของเด็กหนุ่มแตกต่างจากในตอนนี้เหมือนฟ้ากับเหว อินทนิลกัดปากอย่างกังวลใจ
“เปล่าครับ”อีกฝ่ายส่ายหน้าช้าๆ แววตาเซื่องซึมเหมือนคนไม่รู้ความ
“แน่ใจนะ” เขาถามย้ำ มองปฏิกิริยาของเด็กหนุ่มอย่างจับผิดว่าโกหกหรือไม่ แต่แววตานั้นไม่ขยับไหวมองเขาอย่างแน่วแน่
“ครับ อินน์นอนหลับกับษอร”อินทนิลยืนยัน
“...เอาเถอะ...ฉันไม่ถือสาอะไรหรอก ว่าแต่ทำไมไม่ใส่รองเท้าล่ะ”ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่องสนทนา ในเมื่อถามไปก็ไร้ประโยชน์เขาก้มมองอุ้งเท้าเปล่าที่มีรอยเปื้อนฝุ่นดินของอินทนิล มองไปที่กำไลทองที่ข้อเท้าซ้ายมีลายสลักที่ดูไม่ออกว่าคืออะไร แต่คาดว่าเป็นลายดอกไม้ มันเก่าไม่อร่ามเป็นทองใหม่ เด็กหนุ่มขยับเท้าเข้าหากันเหมือนอายที่ถูกจับจ้อง 
“...อินน์ใส่ แต่ที่บ้านไม่ใส่”เด็กหนุ่มพึมพำ เขานึกถึงคำพูดของป้าษอรที่ว่าหลานชายของเธอไม่ปกติ แต่เขามองไม่เห็นถึงความบกพร่องอะไร นอกจากภาษากายแปลกๆและคำพูดแปร่งๆเท่านั้นเอง เด็กคนนี้พูดจารู้เรื่องและฟังเข้าใจ

“คุณชื่ออะไร”เด็กหนุ่มเอ่ยถามเสียงฉงน ทำเอาภูวรินทร์ก้มมองเด็กคนนี้อย่างสงสัย พยายามมองหาร่องรอยของคำโกหกจากเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว จำได้ว่าเมื่อคืนเด็กคนนี้เรียกชื่อเขาไม่ใช่หรือไม่ เล่นละครตบตากันหรือเปล่า เขามองไม่ออก
“ชื่อภูวรินทร์”เขาตอบสั้นๆ อินทนิลผงกหัวรับ ใบหน้าค่อยๆปรากฏรอยยิ้มไร้พิษภัย เส้นผมสีดำขลับขยับไปมาตามศีรษะที่ขยับไปมา “ชื่อเพราะ แปลว่าอะไรหรือ”เด็กหนุ่มคล้ายอยากรู้
“แปลว่าผู้ประเสริฐและเป็นใหญ่ในแผ่นดิน”ชายหนุ่มอธิบาย เด็กหนุ่มฟังแล้วขมวดคิ้วเข้าหากันก่อนจะเลื่อนสายตามองเขาอย่างสนใจ มองอยู่นาน แต่ครั้งนี้ไม่ทำให้อึดอัดใจ

“อ้อ...ถึงว่า”อินทนิลยิ้มจางๆ แววตาทอประกายโศกเศร้า แต่เดี๋ยวเดียวก็จางหายกลับมาเป็นปกติ
“หืม...ทำไมเหรอ”ภูวรินทร์ถามอย่างแปลกใจในท่าทีของอีกฝ่ายอยู่บ้าง เขาแปลกใจที่รู้สึกว่าการคุยกับอินทนิลนั้นทำให้ค้นพบว่าเด็กคนนี้เหมือนเป็นคนอื่นไปบ้างในชั่วครั้งชั่วคราว เดี๋ยวก็สงสัยใครรู้ราวกับเด็กวัยซุกซน บางครั้งก็นิ่งเฉยไร้อารมณ์เหมือนผู้ใหญ่
“เอ...ท่านชอบคนหนุ่มชื่อนรินทร์”นั่นประไร เด็กอินน์คนนี้มักวกวนพูดถึงท่านคนนี้เสมอ ชายหนุ่มข่มใจไม่ให้หงุดหงิด เขาไม่อยากฟังเรื่องลี้ลับที่พิสูจน์อะไรไม่ได้ ถึงแม้บ้านนี้จะน่ากลัวไปบ้างแต่ก็คงปกติสำหรับบ้านเก่าแก่ที่เป็นของตกทอดมาหลายรุ่นแบบนี้
“ตกลงท่านคือใครล่ะ บอกทีสิ”ภูวรินทร์เอ่ยถามห้วนๆ น้ำเสียงเริ่มปั้นปึงขึ้นมาบ้าง อินทนิลมองเขาด้วยความแปลกใจ ก่อนที่เจ้าตัวจะหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
“ชู่ว อินน์พูดถึงไม่ได้”เด็กหนุ่มยื่นหน้ามาหาก่อนจะยกมือแตะปากเบาๆไปด้วย แววตาสีดำใสจ้องมองภูวรินทร์จนเห็นภาพสะท้อนอยู่ในแก้วตา ชายหนุ่มรู้สึกว่าเด็กอินน์ชักเลอะเทอะไปทุกที ทำให้เขาเหมือนตัวโง่งม
“ก็ได้ยินเธอพูดมาตั้งหลายครั้งเเล้วนี่”
“คุกกี้ น่ากิน”อินทนิลเปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉย เขามองนิ่งๆ สายตาของเด็กหนุ่มจดจ้องอยู่ที่จานคุกกี้ ชายหนุ่มอยากหัวเราะออกมาดังๆนัก
“ทานสิ”เขาเลื่อนจานไปให้เด็กหนุ่มอย่างเหนื่อยหน่าย อีกฝ่ายเหลียวหน้ามองเขาด้วยสายตามีประกายวิบวับ ดวงตากลมใสมองเขาด้วยความดีใจก่อนจะเอื้อมไปหยิบชิ้นคุกกี้ก่อนจะชักหดมือกลับมาดังเดิม
“ไม่ได้ล้างมือเลย เปื้อน”ภูวรินทร์เลิกคิ้วมองอย่างสงสัยก่อนจะเอื้อมไปหยิบทิชชูออกมาหลายแผ่นแล้วหยิบคุกกี้วางใส่ไปหลายชิ้น

“อ่ะ”เขาส่งคุกกี้ห่อหุ้มด้วยทิชชูไปให้ อินทนิลยิ้มก่อนจะเอ่ยขอบคุณเขา “คุณใจดีนะ ไม่เห็นเหมือนคุณคนก่อน”
“เจ้าของบ้านคนเก่าเหรอ”เขาถาม หมายถึงคนสกุลนี้หรือคนที่มาซื้อใหม่ก่อนหน้าเขา อินทนิลส่ายหน้าไปมา พลางนิ่งคิดไปครู่เดียวก่อนจะขยับปากเอ่ยต่อ
“ไม่ใช่ ๆ ...เอ๊ะ ษอรไม่ได้เล่าให้ฟังบ้างหรือ”อินทนิลดูแปลกใจ ก่อนจะเหลือบมองไปทางครัวใหญ่ด้วยสายตาเรียบเฉย เขามองตาม ป้าษอรนั้นไม่ได้เล่าความจริงหลายเรื่องให้เขาฟัง ตัวเขาไม่ใช่ไม่รู้ แต่จะให้คาดคั้นเอากับคนที่ไม่ยอมเปิดปากพูดก็คงยากหน่อย
“เล่าเรื่องอะไร”ภูวรินทร์ถามอย่างสนใจ พลางคิดว่าสามารถหลอกล่อเด็กคนนี้ให้ตอบสิ่งที่สงสัยได้หรือไม่

“ก็เรื่องที่มีคนตา—“อินทนิลเอนตัวเข้าหาระหว่างที่พูด น้ำเสียงสูงต่ำเหมือนกำลังเล่านิทาน คล้ายกับสะกดให้ภูวรินทร์เชื่อฟัง ชายหนุ่มนิ่งฟังอย่างจดจ่อ มองริมฝีปากสีชมพูเป็นธรรมชาติอย่างลืมตัว
“เจ้าอินน์!”เสียงขอป้าษอรปลุกเขาออกจากมนตราจากการเล่าของอินทนิลได้ เขาหันไปยิ้มให้เธอ ป้าษอรก้าวฉับๆมาหาหลานชายที่ไม่เชื่อฟัง “มารบกวนคุณภูเขาได้ยังไง”

“ไม่เป็นไรครับ ดีซะอีก ผมจะได้ทีเพื่อนคุย”ภูวรินทร์เอ่ยบอกไม่ถือสาหาความอะไร คุยกับอินทนิลก็เพลินไปอีกแบบแม้จะชวนให้หัวเสียไปบ้าง อินทนิลยิ้มให้เขาอย่างยินดี
“ไม่ได้หรอกค่ะ เดี๋ยวอินน์จะลามปามคุณเอาได้”ป้าษอรเอ่ยเสียงเกรงใจ เหลือบมองภูวรินทร์เป็นระยะ
“ผมไม่ได้เข้มงวดขนาดนั้นหรอกครับ บ้านหลังนี้ออกตั้งกว้าง”ชายหนุ่มบอกด้วยรอยยิ้ม เขาเชื่อว่าก่อนหน้านั้นอินทนิลอาจเคยมาวิ่งเล่นในบ้านจนเคยตัว...ไม่แน่นะ...เขาหวนนึกไปถึงดอกแก้วที่วางอยู่บนหมอนของเขา เป็นใครไปไม่ได้หรอกนอกจากคนในบ้าน เขาไม่อยากเชื่อว่าสิ่งอื่นจะเป็นฝ่ายนำดอกแก้วมาวาง...มันไร้เหตุผล...
“...ตามใจคุณภูแล้วกันค่ะ แต่ป้าอยากปรามหลาน เพราะแกเอาแต่ใจ”เธอพึมพำอย่างปฏิเสธไม่ได้ 
“อ้อ ก็พอจะเข้าใจ”เขาพูด ขณะเดียวกันอินทนิลก็นั่งกินคุกกี้อย่างเอร็ดอร่อย ไม่เดือดร้อนอะไรกับเสียงของป้าษอร เธอมองหลานชายด้วยสายตาหวั่นเกรงก่อนจะเหลือบมองเจ้านายคนใหม่สลับกัน ภูวรินทร์แค่ยิ้มไม่สะทกสะท้านก่อนจะรินชาให้ตนเอง ป้าษอรมองเขาสองคนเงียบๆก่อนจะเดินหายออกไปทางครัว
เขาหันไปมองอินทนิล “เมื่อกี้ว่ายังไงนะ” อินทนิลจ้องเขานิ่งๆก่อนจะเหลียวมองไปทั่วห้องรับแขก
“เล่าดีไหมนะ”อินทนิลเอียงคออย่างเย้าหยอก ภูวรินทร์ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกล้ายียวนเขาแบบนี้

“อยากกินขนมอะไรล่ะ”เขาหลอกล่อเด็กหนุ่มด้วยขนมดู
“ไม่เอา ขอแค่คุณอนุญาตอินน์ให้ไปเรือนเพาะชำ”
“ไหนว่า'ท่านเจ้าบ้าน'ให้อนุญาตแล้วไง”เขาย้อนคำของอินทนิล เด็กหนุ่มทำตาเบิกโพลงเหมือนได้ยินเรื่องเหนือความคาดหมาย
“มันก็ใช่ แต่คุณภูวรินทร์ก็เป็นเจ้าบ้านเช่นกัน ต้องเชื่อฟังไม่ต่างกัน”เด็กหนุ่มพึมพำตอบกลับมา แววตาหลุบต่ำก้มมองมือตัวเองที่วางอยู่บนเข่า
“ทำไมถึงชอบดอกไม้ล่ะ”ชายหนุ่มเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอีกครั้ง พอสิ้นคำของเขา สายลมเอื่อยแผ่วเบาก็พัดผ่านกรอบหน้าต่างทรงสูง ผ้าม่านสีขาวสะบัดชายพลิ้วไหว 
“...ดอกไม้นั้นหอมดี แล้วก็สวยด้วย คุณไม่ชอบหรือไง”อินทนิลเอ่ยถามเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็นกลับมา เปลี่ยนท่าทีได้ราวกับกดสวิตซ์ เขายิ้มบางๆก่อนจะไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่ “ก็ชอบ” มันเป็นความชอบทั่วๆไป แต่ก็แปลก เขากลับชอบสวนสีขาวสะพรั่งของบ้านหลังนี้ด้วยเช่นกัน แม้ใจอยากจะโละดอกไม้พวกนั้นทิ้งไป แต่ก็นึกเสียดาย
“อ๋อ....”
“งั้นเธอชอบดอกแก้วงั้นเหรอ” อินทนิลเหลียวมองเขาด้วยความสนใจ แววตานั้นขยับมองไปทั่วใบหน้าราวกับจะพินิจเขาได้โดยการทำเช่นนั้น ชายหนุ่มจ้องตอบไม่ลดละ
“...ชอบหลายอย่าง แต่ สำคัญสุดคือดอกแก้ว”
“ถ้าฉันอนุญาตให้เธอไปเล่นทีเรือนหลังบ้าน เธอจะตอบคำถามใช่ไหม”ภูวรินทร์เอ่ยถามเสียงขึงขรึมขึ้นมา ยกแขนขึ้นกอดอก แววตากลมใสของเด็กหนุ่มไม่ขยับไปไหน ก่อนที่ศีรษะกลมจะพยักหน้าลง “ได้ครับ”
“งั้นดอกแก้วในห้องฉัน เป็นเธอสินะที่เอาไปวางไว้”เขาเอ่ยออกไปช้าๆ อินทนิลเงียบไปก่อนจะผงกหัวรับ
“...ใช่”
“ทำไมล่ะ”
“เพราะคุณถือมันอยู่ คิดว่าเป็นของคุณ”อยู่ๆเขาก็ชาวาบไปทั้งร่าง หวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ตกลงว่าอินทนิลตรงหน้าเขานั้นกำลังเล่นตบตาอะไรอยู่ เขามองเด็กหนุ่มวัยสิบห้าปีอย่างตื่นตระหนกไม่เบา อีกฝ่ายยิ้มมุมปาก 
“หมายความว่ายังไง”เขาเอ่ยถามเสียงแหบแห้ง
“ก็...เมื่อเช้านั้น ช่อดอกแก้วตกอยู่ข้างๆตัวคุณ อินน์เลยเก็บเอามาให้”อินทนิลเอ่ยราบเรียบ แววตาหวนกลับมาเย็นชาดังเดิม รอยยิ้มหวานปรากฏขึ้นอีกครั้ง ภูวรินทร์มองอย่างไม่เข้าใจเลยสักนิด
“แต่เมื่อเช้าฉันไม่เห็น”เขาพูดห้วนๆ รู้สึกมีโทสะขึ้นมา เด็กหนุ่มส่ายหน้าก่อนจะเอื้อนเอ่ย “ก่อนคุณตื่น ฟ้ายังมืดอยู่เลย”
“...นี่เธอ”
“อินน์ตื่นเช้าก่อนษอร”สิ้นคำของอินทนิล ภูวรินทร์ก็อ้ำอึ้ง นึกอยากจะจับเด็กคนนี้มาตีซะให้เข็ด เพื่อคลายความจริงออกมาให้หมด
“งั้นเมื่อคืนก็ใช่เธอน่ะสิ”ภูวรินทร์พูดเสียงแผ่วเบา เขาสับสนไปหมดกับสิ่งที่เกิดขึ้น มันเหมือนเด็กหนุ่มคนนี้ตามมาหลอกหลอนเขาอยู่ซ้ำๆ จนเขาไม่อาจรู้ได้ว่า สรุปแล้วเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเป็นความจริงหรือเพียงฝัน แต่จะให้เขายอมรับว่าเดินละเมอออกไปนอนในสวนงั้นเหรอ...เป็นไปไม่ได้หรอก

“...เปล่า”เด็กอินน์ส่ายหน้าอีกครั้ง ทำให้ความอดกลั้นของชายหนุ่มพังลง เขาถอนหายใจอย่างฉุนเฉียว
“ช่างเถอะ แต่ต่อไปอย่ามาเข้าห้องของฉันมั่วๆ...ห้ามเอาอะไรไปจากฉันโดยไม่บอกด้วย”

“ครับ”อินทนิลผงกศีรษะรับอย่างว่าง่าย ใบหน้านั้นไม่แสดงอารมณ์ใดๆออกมา เขาผ่อนลมหายใจเข้าออกช้าๆ ก่อนจะเอ่ยถึงเรื่องนี้เป็นครั้งสุดท้าย “เธอเห็นว่าฉันนอนด้านนอก ทำไมไม่ปลุก”
“...ต้องปลุกด้วยเหรอ นึกว่าคุณชอบเสียอีก”คำตอบของอีกฝ่ายทำเอาเขาถึงกับต้องถอนหายใจ เขาไม่ควรไปโกรธเคืองเด็กที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว
“....ช่างเถอะ”การพูดคุยกับอินทนิลไม่ได้ความอะไรมาก นอกจากคำพูดวกวนและการเอ่ยถึงท่านในจิตนาการของอินทนิล เขาทำใจให้เชื่อแบบนั้นมากกว่า ไม่อยากให้การมายังบ้านหลังนี้เป็นความทรงจำแย่ๆหรือว่าไม่อยากให้ตนต้องกลับเมืองใหญ่ก่อนกำหนดการ


ค่ำคืนวันนี้ ภูวรินทร์โทรหาเพื่อนสนิทไม่ติด สัญญาณไม่ดีซะหลายครั้งจนเขานึกหงุดหงิดเปลี่ยนใจไม่โทรออกไป เขากลับมาอยู่ในห้องนอนอันอุ่นสบาย ป้าษอรยกชาคาโมมายด์มาเสิร์ฟให้เขาสำหรับไว้ดื่มก่อนนอน เธอบอกว่าช่วยให้หลับสบาย ราวกับรู้ว่าเขามีปัญหาอยู่เช่นกัน แต่ป้าษอรไม่ได้แสดงอาการอะไรมากนัก เธอแค่ยิ้มสงวนท่าทีตามปกติ
ภูวรินทร์เดินไปปิดหน้าต่าง คราวนี้ลงกลอนให้แน่หนาจนแน่ใจแล้วว่าต่อให้ลมแรงแค่ไหนกลอนจะไม่หลุดออก เขาไม่ได้สนใจเรือนปั้นหยาหลังนั้นอีก เพียงแค่รู้สึกว่าคืนนี้ลมแรงผิดปกติ ภายในบ้านเงียบสงัด มีเพียงเสียงจากด้านนอกและความมืดมิดเป็นเพื่อนปลอบประโลม

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-03-2018 01:30:26 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ๑] ๑๒.๑๑.๑๗
«ตอบ #6 เมื่อ12-11-2017 04:43:02 »


ชายหนุ่มมองสัญญาณในสมาร์ทโฟนด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะวางลงกับโต๊ะติดกับเตียง เขายกถ้วยชาร้อนๆขึ้นมาดื่มให้ร่างกายอบอุ่น กลิ่นหอมอ่อนๆของชาคาโมมายด์ทำให้ใจของเขาสงบลงได้บ้าง เขาดื่มจนหมด ก่อนจะเข้านอน เมื่อเห็นว่ายามนี้ก็ล่วงเลยมาถึงสี่ทุ่มครึ่ง คนแถวนี้นอนกันเร็วมาก อาจปิดไฟกันตั้งแต่สามทุ่มได้ ในใจคิดว่าที่นี่เหมาะสำหรับวันพักผ่อนจริงๆนั่นแหละ ถ้าให้มาอยู่จริงๆล่ะก็คงไม่เหมาะนัก

ภูวรินทร์หลับตาลง ยังคงเปิดโคมไฟไว้ภายในห้องเช่นเคย เขาหลับๆตื่นๆเพราะเสียงค่ำคืนที่ดูจะเกรี้ยวกราดว่าคืนที่ผ่าน ในใจเต้นรัวมันเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า ชายหนุ่มเคร่งเครียด เสียงตึงตังของประตูรั้วจากหน้าบ้านดังให้ได้ยิน รุ่งเช้าต้องไปบอกลุงชมให้ไปจัดการซ่อมประตูนั่นซะให้สิ้นเรื่อง เขาพลิกกายนอนตะแคง ขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนใหม่ มันหนาขึ้นกว่าผืนเก่าเยอะ

เสียงสะบัดของผ้าม่านดังให้ได้ยินอยู่เป็นครั้งคราว พร้อมๆกับสายลมเย็นยะเยือกชวนให้หนาวเหน็บในใจ ชายหนุ่มขมวดคิ้วแน่น ร่างกายเข้าสู่ภาวะตื่นกลัวอีกครั้ง เขาไม่อยากลืมตาแล้วเห็นว่าหน้าต่างบานนี้เปิดอ้าอีกแล้ว แต่ประสาทสัมผัสการรับรู้ทั้งเสียง และร่างกายที่รู้สึกถึงสายลมปะทะตามใบหน้า ทำให้เขารู้อยู่แก่ใจว่าหน้าต่างนั้นเปิดออกอย่างไม่รู้ตัว...ตอนไหนกันล่ะ

“...ภูวรินทร์”น้ำเสียงของเด็กหนุ่มกระซิบข้างหู


ภูวรินทร์ลืมตาตื่นด้วยความสั่นสะท้าน ชายหนุ่มเปิดเปลือกตาหนักอึ้งขึ้น ในขณะนี้เขากำลังนอนจ้องไปทางหน้าต่างที่เปิดกว้างมองเห็นความมืดยามวิกาลที่บ้าคลั่ง เสียงของใบไม้ขยับดังให้ได้ยิน ชายผ้าม่านสะบัดไหวไปมาชวนให้หลอนอยู่เนืองๆ

ทั่วทั้งร่างของภูวรินทร์ตื่นตระหนก ขนลุกไปทั้งกายเมื่อรับรู้ถึงสัมผัสอบอุ่นราวกับมีร่างมนุษย์โอบกอดจากทางด้านหลัง เขารู้สึกเช่นนั้นจริงๆ ชายหนุ่มไม่กล้าหันกลับไปมองสัมผัสอุ่นนั้น เสียงในใจร่ำร้องว่าอย่ามองมันเลย ลมหายใจแผ่วเบาเป่ารดไปตามท้ายทอย ลำคอ จนเขาไม่อาจข่มความกลัวได้ ภูวรินทร์พยายามตั้งสติ เขาฝันหรือไม่...แต่สิ่งที่สัมผัสได้ล้วนมาจากใต้สำนึก

 “...ทำเราโกรธอีกแล้ว”เสียงนั้นกระซิบบอก...ซุ้มเสียงแผ่วเบาคล้ายจะหยอกล้อ เสียงของอินทนิล เขาสับสนงงงวย ทันใดนั้นเขาก็เห็นว่าท่อนแขนขาวซีดของเด็กหนุ่มก็เลื่อนโอบรัดเข้าหา ลมหายใจร้อนยิ่งชัดเจน ชายหนุ่มหลับตา ไม่อยากเห็น ‘ใคร’หรือ ‘สิ่งนั้น’แม้แต่น้อย ใบหน้าของเขารับรู้ถึงความนิ่ม อุ่นร้อนแนบลงกับข้างแก้ม ราวกับว่ามีคนแนบใบหน้าลงมา...

“ออกไป....”เขาบอกเสียงโกรธเคือง ต่อให้ตายยังไง เขาก็ไม่มีทางเปิดตามามองเห็น รับรู้สิ่งที่กำลังรบกวนตนเอง กายเนื้อของคนๆนั้นยังคงอยู่ แต่สัมผัสที่ใบหน้าหายไปแล้ว ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ชายหนุ่มถึงได้สติ รู้สึกได้ว่าการกอดรัดจากด้านหลังหายไปแล้ว เขาหายใจอย่างโล่งอก ร่างกายเย็นเยียบเหงื่อกาฬไหลลงตามแผ่นหลัง

ภูวรินทร์อยากปิดหน้าต่าง เพราะลมโกรกปะทะเข้ามาไม่หยุดหย่อน ชายหนุ่มไม่คิดว่าจะมีพายุเข้า เขาปวดเมื่อยไปทั้งร่าง ก่อนจะเหยียดแข้งขาให้คลายความเมื่อยนี้

ชายหนุ่มลืมตาเมื่อรู้สึกว่าทุกอย่างกลับสู่ปกติ เขายังคงหันหน้าไปทางหน้าต่างที่เปิดกว้าง เลื่อนลงมาที่ข้างเตียง เขาเลือดลมไม่ปกติ เมื่อเห็นร่างของเด็กหนุ่มอันคุ้นตาในเสื้อผ้าอาภรณ์ตัวเดิม กับแววตาเย็นชาและรอยยิ้มหวาน นั่งซบวางศีรษะกับเตียงจ้องมองเขาอยู่ข้างๆ   


“อ๊ากกกก ไปให้พ้น!”ภูวรินทร์ร้องตกใจ เขาผงะลุกออกจากเตียงมือปัดป่ายเป็นพัลวัน ในใจหวาดกลัวกับสิ่งที่เห็น เด็กอินน์ดูปกติดี แต่ใบหน้านั้นคล้ายกับมีเงาดำพาดผ่านยิ่งทำให้รอยยิ้มกับแววตาคู่นั้นเพิ่มความน่าสะพรึง และกลิ่นดอกแก้วจางๆ เขาเห็นว่ามันตกอยู่บนเตียง ราวกับร่วงโรยมาจากมวลอากาศที่มองไม่เห็น

ชายหนุ่มลุกหนีออกจากเตียงแบบไม่คิดชีวิต ภาพนั้นติดตาจนไม่ลืมเลือน ในตอนนี้เขาคิดว่าอินทนิลเป็นภูตผีจากนรก ไม่ต่างอะไรเลย

ภูวรินทร์ผวาสะดุ้งเฮือกจากอาการหวาดกลัวจากห้วงลึกในใจ เขาลืมตาตื่นจ้องมองเพดานสีขาวในห้องที่สว่างใต้โคมไฟสีนวลตา

“ฝันอีกแล้ว”เขาพึมพำ พลางมองไปที่ข้างกาย เตียงนอนกว้างไร้สิ่งผิดปกติ ในใจไม่คลายกังวลลงไปได้ ในฝันนั้นน่ากลัว ใบหน้าของเด็กนั่นทำให้เขาผวาไม่น้อย ทำไมกันนะ? ทำไมถึงต้องเป็นอินทนิล เขามองหน้าต่างที่เปิดอ้าอีกครั้ง ในใจหนาวเหน็บ ชายหนุ่มผุดลุกมานั่ง คราวนี้เขาไม่ได้ลุกไปปิดมัน เพียงแค่เอื้อมไปหยิบสมาร์ทโฟนบนโต๊ะลิ้นชักข้างเตียงมา เปิดดูสัญญาณที่ไร้วี่แววจะกู้กลับมา ในใจนึกถึงโชติเพื่อนสนิท... แค่คำเตือนของหมอนั่นน่ะ...

ภูวรินทร์นอนไม่หลับอีกต่อไป เขาแค่นั่งอยู่บนเตียงไม่ขยับกายไปไหน ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะกลับไปตั้งหลักในเมืองใหญ่บ้านเกิดของตนเองน่าจะดีที่สุด เขาไม่น่ามาเสียเวลาที่นี่ สิ่งที่ชายหนุ่มฝันต่อให้จะเป็นภูตผีหรือไม่นั้นมันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว เพราะเขารู้ตัวว่า คงไม่อาจหลุดจากฝันร้ายนี้ไปง่ายๆ

เช้าวันรุ่งขึ้น แสงยามเช้าไม่ทำให้ภูวรินทร์สดชื่นแม้แต่น้อย เสียงของไก่บ้านจากที่ไหนใกล้ๆ ดังให้ได้ยิน เขามองขอบฟ้าที่มีแสงสีส้มสีฟ้าเจือจางให้เห็นด้วยใจเหนื่อยล้า ชายหนุ่มเข้าไปอาบน้ำให้สดชื่น วันนี้เขาลงมาชั้นล่างเช้ากว่าปกติ ชายหนุ่มเดินไปยังห้องหลังครัว เป็นบ้านพักของลุงชมและป้าษอร

ภูวรินทร์เจอลุงชมกำลังฝ่าฟืนอยู่ ส่วนป้าษอรกำลังตากผ้า ทั้งคู่มองเขาเงียบๆ ดูไม่แปลกใจเท่าไหร่นัก แต่มีความกระอักกระอ่วนให้เห็น

“สวัสดีครับคุณภู วันนี้ตื่นแต่เช้าเลยนะครับ”ลุงชมเอ่ยทักด้วยรอยยิ้ม ชายหนุ่มโบกมือก่อนจะเปิดประเด็น
“ผมอยากถามเรื่องรถไฟเที่ยวแรกน่ะ...ผมคิดว่าจะกลับบ้านสักพัก”ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น ป้าษอรเงยหน้ามองเขาด้วยแววตาเห็นใจ ก่อนจะเหลือบมองลุงชมที่ละมือจากงานเดินมาหาเขาด้วยท่าทีเคร่งขรึมเหมือนมีเหตุร้าย
“คุณภูคงยังไม่ทราบ...เมื่อคืนมีพายุเข้าหนักเลยครับ ทำเอาดินถล่มตัดทางรถไฟ การรถไฟประกาศยกเลิกเทียวรถทั้งขาออกขาเข้าเลยครับคุณ”สิ่งที่ลุงชมบอกเขาเหมือนตัดความหวังในใจ ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปสักพัก ก่อนจะตั้งสติกลับมา
“งั้นเหรอ...อีกนานหรือเปล่า กว่ารถไฟจะเดินรถตามปกติ”
“...คงราวๆสองอาทิตย์ล่ะครับคุณ ว่าแต่ทำไมถึงจะกลับก่อนกำหนดล่ะครับ”ลุงชมเอ่ยถาม ภูวรินทร์ตวัดสายตามองอย่างเรียบเฉย เขาคิดว่าทั้งลุงชมและป้าษอรน่าจะรู้ถึงความผิดปกติของบ้านหลังนี้...ไม่สิ...ความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเขา ไม่แน่ใจนักว่าระหว่างที่ฝันร้ายนั้นเขาได้ร้องตะโกนโวยวายเสียงดังหรือไม่


“แล้วอินน์ล่ะ”ชายหนุ่มหันไปถามป้าษอร เธอเก็บไม้แขวนเสื้อเก่าๆลงตะกร้าผ้า ก่อนจะหันมาตอบเขาด้วยท่าทีไร้สิ่งผิดปกติ
“แกนอนหลับอยู่น่ะค่ะ...ทำไมหรือคะ”เธอถามอย่างกังวลใจ เขาไม่อาจรู้ว่าเธอแกล้งถามหรือเปล่า ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
“ผมว่าหลานป้าไม่ปกติ...ไม่รู้สิ มันรบกวนผมแปลกๆ”ภูวรินทร์เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ ป้าษอรมองเขาอย่างตกใจใบหน้าซีดเผือด ชายหนุ่มเดินกลับไปทางเดิมด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว เขาหงุดหงิดที่ออกไปจากบ้านหลังนี้ไม่ได้ เมื่อคืนพายุคงกระหน่ำจริงๆนั่นแหละ ให้เขาโทษธรรมชาติไปก็ไร้ประโยชน์ ชายหนุ่มก้าวเดินด้วยความเร็ว รู้ตัวอีกทีก็เดินมาถึงลานน้ำพุในสวน แสงแดดยามเช้าทำให้อบอุ่น ที่นี่สวยงาม แต่น่าหวาดหวั่น เขาจะจัดการยังไงกับเรื่องนี้ดีล่ะ

ฝันร้ายนั้นจะบอกอะไรเขาหรือ...ทำเราโกรธอีกแล้ว หมายความว่ายังไง ฉับพลันเขาก็นึกถึงถ้อยคำของอินทนิล “ถ้าเกิดท่านโกรธขึ้นมา คุณจะซวยเอา” อินทนิลเอ่ยถึง‘ท่านเจ้าบ้าน’ท่าทางหวั่นเกรง

ภูวรินทร์ไม่อยากเชื่อว่าเด็กอินน์จะพูดความจริง... เขาต้องยอมรับว่าเจ้าของบ้านคนเก่าไม่ต้อนรับเขางั้นหรือ แล้วเขาไม่ทำอะไรให้โกรธกันล่ะ...ซ่อมแซมบ้านอย่างนั้นเหรอ แต่ในใจเขาไม่เชื่ออย่างนั้น ฝันร้ายที่เกิดขึ้น อาจเกี่ยวข้องกับอินทนิลโดยตรงก็ได้

แหงล่ะ ในเมื่ออินทนิลตามมาหลอกหลอนเขาในฝัน จะให้คิดเป็นอื่นได้อย่างไร...

'อะไรดลใจให้ฉันซื้อบ้านหลังนี้นะ' ภูวรินทร์คิดด้วยใจอันหนักอึ้ง เขากำลังถูกความมืดมิดของบ้านหลังนี้ดึงดูดเข้าหาไปทีละน้อย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-03-2018 01:33:02 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ Babyboys

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
Re: +++ ภวังค์ รัก +++ [ ๑] ๑๒.๑๑.๑๗
«ตอบ #7 เมื่อ12-11-2017 11:23:24 »

กลัวอ่ะ :z3:

ออฟไลน์ Mod40

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ๑] ๑๒.๑๑.๑๗
«ตอบ #8 เมื่อ12-11-2017 16:04:17 »

รอติดตามคับ   :mew5:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ๑] ๑๒.๑๑.๑๗
«ตอบ #9 เมื่อ12-11-2017 17:25:50 »

ลึกลับซับซ้อนจังงง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ๑] ๑๒.๑๑.๑๗
« ตอบ #9 เมื่อ: 12-11-2017 17:25:50 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ๑] ๑๒.๑๑.๑๗
«ตอบ #10 เมื่อ12-11-2017 19:59:50 »

รอติดตามต่อฮับ ลุ้นมากเลย

ออฟไลน์ cheezett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ๑] ๑๒.๑๑.๑๗
«ตอบ #11 เมื่อ12-11-2017 21:59:01 »

มันจะหลอนๆหน่อย ลุ้นๆ :ling3: :ling3: :katai1:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ๑] ๑๒.๑๑.๑๗
«ตอบ #12 เมื่อ14-11-2017 20:57:26 »

หลอนๆดี

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ๒ ] ๑๗.๑๑.๑๗
«ตอบ #13 เมื่อ17-11-2017 00:02:13 »

ตอนที่ 2 เจ้าของบ้านคนเก่า

ภูวรินทร์รู้สึกไม่ดีอยู่บ้างที่เกิดเหตุขัดข้องจนเขาไม่สามารถกลับเข้าเมืองได้อีกหลายสัปดาห์ ชายหนุ่มพยายามไม่คิดถึงเรื่องราวลึกลับเกี่ยวกับผีสางเทวดา ในตอนนี้เขารู้สึกขยาดอินทนิลอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ไม่ได้นึกรังเกียจหรือหวาดกลัวไม่อยากเข้าใกล้ ช่วงสายเขาเห็นว่าคนงานเริ่มทยอยเข้ามาเช็คสภาพของเรือนเพาะชำ เขาเดินไปดูความเรียบร้อยอยู่สักพัก เห็นว่าอินทนิลยืนหลบอยู่ทางด้านหลังป้าษอร สายตามองจ้องไปที่เรือนเพาะชำอย่างแน่วแน่ ไม่ขยับไหวร่างกาย

“ดอกไม้ที่ยังไม่ตายก็แยกเก็บไว้ด้านนอกก่อนก็ได้ ไอ้ที่เหลือก็โละทิ้งไปได้เลย”ภวรินนทร์เอ่ยบอกคนงานประมาณหกชีวิตที่กำลังเดินเข้าเข้าเดินในเรือนเพาะชำอย่างขะมักเขม้น ลุงชมเดินมาหาเขาด้วยใบหน้าท่วมเหงื่อ

“มีบางต้นที่มันฝังรากลึก คุณภูจะให้ถอนเลยไหมครับ”ลุงชมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเกรงกลัว เขามองอีกฝ่ายอย่างไม่ใส่ใจนัก

“จะถอนก็เสียดายเหมือนกันยืนต้นมาตั้งหลายปี มีต้นอะไรบ้างล่ะครับ”

“ส่วนมากเป็นต้นแก้วครับ รากมันทะลุกระถางจนแตกไปหมด ถ้าจะถอนก็ต้องทำพื้นในเรือนเพาะใหม่”สิ้นคำของลุงชม ภูวรินทร์เย็นไปทั้งร่างเพราะต้นแก้ว คงเพราะภาพฝันเมื่อคืนยังติดตา เขาเบนสายตาออกจากลุงชมมองไปหาอินทนิลอีกครั้ง ปรากฏว่าเด็กอินน์นั่นกำลังมองเขาอยู่ด้วยแววตานิ่งเฉย มุมปากมีรอยยิ้มเล็กน้อย เป็นใบหน้าที่ไม่คล้ายกับเด็กวัยนี้ เขามองไม่ออกว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกอย่างไรผ่านใบหน้านั้น ป้าษอรมองมาที่ชายหนุ่มใบหน้าขาวซีด ดูเหมือนเหนื่อยล้าไปมากจากที่เจอกันเมื่อตอนเช้าตรู่

“...ปล่อยไว้แบบนั้นแหละ”เขาเอ่ยออกไปช้าๆ ไม่รู้สาเหตุว่าทำไมถึงอยากเก็บต้นไม้ชนิดนี้ไว้ ทั้งๆที่มันก็กวนใจเขาไม่น้อย ลุงชมผงกหัวรับรู้ ร่างผอมสีคล้ำผ่อนลมหายใจคล้ายกับโล่งอก ภูวรินทร์มองชายแก่อย่างสนใจ

“งั้นผมไปทำงานต่อนะครับ ถ้าคุณภูอยากเพิ่มเติมอะไรก็เรียกใช้ผมกับคนงานได้เลย”ลุงชมยังคงพูดเสียงเกรงกลัวเช่นเดิม ชายหนุ่มถอนหายใจโบกมือไล่อีกฝ่ายให้กลับไปทำงานอย่างไม่ติดใจอะไรอีก เขาเดินไปหาป้าษอร สายตาเหลือบมองเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ทางด้านหลัง สวมเสื้อผ้าชุดใหม่เป็นผ้าฝ้ายสีขาวแขนสั้น กับกางเกงสีครีมใหญ่กว่าตัว เส้นผมนุ่มล้อมใบหน้าอ่อนเยาว์ไว้ราวกับภาพวาด และยังไม่สวมรองเท้าเช่นเดิม

“มีอะไรหรือคะ คุณภู”ป้าษอรเอ่ยถาม เธอเหลียวไปมองหลานชายด้วยเช่นกัน อินทนิลยืมนิ่งไม่ขยับกาย แม้กระทั่งแววตาที่ไม่หวั่นเกรงอะไร เอาแต่จ้องภูวรินทร์

“ผมขอถามป้าอรตรงๆนะครับ ในบ้านใหญ่มีอะไรที่ผมต้องระวังหรือเปล่า”ภูวรินทร์เอ่ยด้วยน้ำเสียง ป้าษอรมองเขาด้วยความตกใจอยู่บ้าง เธอมีสีหน้ากระอักกระอ่วน

“ก็ไม่นี่คะ...”

“ดูเหมือนว่าฐานะเจ้าของบ้านคนใหม่ของผม คงไม่มีอำนาจพอจะทำให้ป้าบอกอะไรผมบ้าง...”ชายหนุ่มพูดอย่างชินชา เขาหวังคำตอบที่ดีกว่าคำว่าไม่ อยากได้คำตอบอย่างอื่น เขาคิดว่าทั้งป้าและลุงรู้ว่ามีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้น แต่ทำไมพวกเขาถึงไม่ชี้แจงให้เขาได้รู้บ้าง ภูวรินทร์ไม่อยากเห็นหน้าสองป้าหลานอีก จึงหันหลังเดินหนีออกจากบริเวณเรือนเพาะชำ แล้วเดินไปยังทิศทางริมรั้งใกล้กับเรือนปั้นหยาหลังข้างๆแทน จนกระทั่งเดินมาหยุดอยู่ที่ประตูรั้วสนิมเขรอะบานเล็กที่เชื่อมต่อกับเรือนเก่าหลังนั้น เขาดึงกลอนออก สองหูได้ยินเสียงฝีเท้าย่ำลงกับพื้นพร้อมเสียงกระดิ่งของกำไลข้อเท้าเบาๆมาจากด้านหลัง

“อินน์ชอบมาเล่นที่นี่”เสียงของอินทนิลดังมาจากด้านหลัง ชายหนุ่มหันไปมองเด็กชาย อินทนิลยืนอยู่ทางด้านหลัง มองมาที่เขาด้วยสายตาสดใสกว่าเมื่อครู่ก่อน เขามองอีกฝ่ายนิ่งๆ

“ทำไมล่ะ”

“อืม...ไม่รู้สิ เพราะมีต้นแก้ว”ชายหนุ่มมองอินทนิล เป็นเพราะต้นแก้วอีกแล้ว ในใจเขาเชื่อเต็มเปี่ยมว่าอินทนิลกับดอกแก้วน่าจะมีความเกี่ยวข้องกัน

“เหรอ ไปด้วยกันไหม”ภูวรินทร์ลองเอ่ยชวน เพราะเขาอยากลองเข้าไปสำรวจรอบๆเรือนดูบ้าง ไปกับอินทนิลบางทีอาจได้คำตอบอะไรคลายข้อสงสัยบ้าง อินทนิลคลี่ยิ้มออกมาก่อนจะผงกหัว อีกฝ่ายยื่นมือมาให้เขา

“หืม”ชายหนุ่มงุนงงไปชั่วขณะ แต่เมื่อมองเด็กหนุ่มที่ยื่นมือมาคล้ายกับอยากให้จับไว้ เขามองลังเลสักพักแต่สุดท้ายก็ยื่นมืออกไปจับมือของอินทนิล สัมผัสอุ่นยืนยันได้ว่าอินทนิลไม่ใช่สิ่งแปลกประหลาดใด ชายหนุ่มก้าวขาผ่านประตูทางเข้า อินทนิลกระชับมือแน่นขึ้นอีก เดินตามเขามาอย่างใกล้ชิดจนรู้สึกได้ถึงเนื้อผ้านุ่มของฝ้าฝ้ายที่อีกฝ่ายสวมใส่

“เคยเข้าไปในบ้านไหม”ภูวรินทร์เอ่ยถามกับอินทนิลที่จับมือเขาไว้ไม่ปล่อย แววตาสงบเสงี่ยมไม่ได้สนใจการเข้ามาสำรวจบริเวณเรือนหลังเก่าเท่าไหร่ เรือนปั้นหยามีสวนหย่อมหน้าบ้านนั่นก็คือต้นแก้วที่ออกดอกบานสะพรั่งเช่นเดิม ในตอนกลางวันดอกไม้ดูจะหม่นหมองไปผิดกับตอนที่มันต้องแสงจันทร์ยามดึก เช่นเดียวกับตัวเรือนสีขาวเก่าหลุดหลอกจนเห็นเนื้อไม้ดูไร้ความน่าสะพรึงไปบ้าง แต่ก็ยังรู้สึกน่ากลัวนิดหน่อย เขามองไปที่ตัวบ้าน มีผ้าม่านสีขาวเช่นเดียวกับในบ้านใหญ่อยู่หลังหน้าต่างทุกบาน

“ไม่เคยเหมือนกัน”อินทนิลพูด เด็กหนุ่มยื่นหน้ามาใกล้ ส่วนสูงของอินทนิลอยู่ต่ำกว่าหัวไหล่ของภูวรินทร์เสียอีก ศีรษะของของเจ้าตัวจึงคลอเคลียอยู่แถวต้นแขนของเขา ภูวรินทร์ก้มมองด้วยความอึดอัดใจเล็กน้อย เพราะความถึงเนื้อถึงตัวของอีกฝ่าย แต่จะไปว่าไม่ได้เพราะเขากำลังจับมือกับเด็กวัยสิบห้าปีที่ไม่ปกติ เขาเชื่อป้าษอรแล้วล่ะว่าไม่ปกติ เธออาจจะหมายถึงเรื่องนี้ก็ได้   

“แล้วมาเล่นที่นี่ไม่กลัวหรือไง”ภูวรินทร์พูดไปเรื่อยๆ ก่อนจะเดินขึ้นบันไดเรือนปั้นหยาที่ติดกับบันไดบ้านประมาณสี่ขั้นมีระเบียงโปร่งไว้สำหรับนั่งเล่น แต่ตอนนี้ไม่มีโต๊ะเก้าอี้วางไว้ มีเพียงฝุ่นและเศษใบไม้แห้งเหี่ยว เสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าดของไม้เก่าใต้ฝ่าเท้าดังไปทุกครั้งที่เขาก้าวเดิน

“ไม่ครับ อินน์ได้รับอนุญาตแล้วนี่”เด็กอินน์พูดถึงเรื่องนี้อีกแล้ว ชายหนุ่มรู้สึกสั่นไหวเล็กน้อย นึกถึงถ้อยคำในฝันที่ว่าทำให้โกรธ

“เธอจะบอกฉันไม่ได้เหรอ ว่ากำลังพูดถึงใคร”ชายหนุ่มก้มมองเด็กหนุ่มคนข้างกาย อินทนิลบีบมือเขาแน่นไปด้วย คิ้วดกดำขมวดเข้าหากันราวกับกังวลใจ

“อืม...ก็หมายถึงเจ้าของบ้านไง... แล้ว‘ท่าน’ไม่เคยมาหาคุณภูบ้างหรือ”อินทนิลยื่นหน้ามากระซิบบอก ภูวรินทร์ผงะออกจากอินทนิล แต่อีกฝ่ายไม่ยอมปล่อยมือไปจากเขา กลับยิ่งกระชับแน่นขึ้นอีก เขามองนัยน์ตาสีนิลดำสนิทราวกับถ่านขยับไหวเหมือนหยอกล้อ ลมหอบใหญ่พัดเข้าใส่ตัวเรือนปั้นหยา แรงพอจะพัดพากลิ่นของดอกแก้วปะทะกับจมูก ชายหนุ่มลูบใบหน้าอย่างหวั่นเกรง เขาไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงต้องมาเจอเรื่องเหนือธรรมชาติ อินทนิลขยับตัวมาใกล้ดึงมือของเขาที่เจ้าตัวจับไว้แล้วเปลี่ยนมากอบกุมไว้โดยมือทั้งสองข้างคล้ายจะปลอบประโลม ชายหนุ่มมองอินทนิลอย่างเต็มตา ใบหน้าขาว ดวงหน้ารูปหัวใจเงยมองเขาแววตาสะท้อนถึงความโศก

“...มีเจ้าของบ้านจริงๆเหรอ...เธอหมายถึงคนที่ตายไปแล้วหรือไง”ชายหนุ่มหายใจติดขัด ร่างกายคล้ายยืนไม่ยืน เหมือนเริ่มไร้เรี่ยวแรง เขารู้สึกเหมือนโดนหลอกในเวลากลางวันแสกๆ ขนที่ต้นคอลุกชันอย่างไม่ทราบสาเหตุ ไม่รู้เพราะจากเด็กอินน์หรือเพราะลมหอบใหญ่ที่มีกลิ่นดอกแก้ว

“...เปล่าซะหน่อย ไม่ได้จากไปไหนซะหน่อย ยังรอคอยเสมอ...ลืมไปแล้วหรือ”อินทนิลเอ่ยเอื้อยด้วยซุ้มเสียงคล้ายกับเสียงในฝันร้าย ชายหนุ่มไม่มีแรงดึงมือออกจากการกุมกอบของอินทนิล แค่ปล่อยให้อีกฝ่ายกุมไว้อย่างนั้น แก้วตาสีนิลคล้ายอ่อนโยนลงบ้าง อีกฝ่ายยิ้มให้เขา เขาอยากเผ่นกายออกไปจากเรือนหลังนี้และอินทนิล แต่ร่างกายไม่เป็นไปตามที่ใจอยาก เขาเหมือนถูกโอบกอดจากใครสักคนที่ไม่มองไม่เห็น ขยับเขยื้อนไม่ได้ราวกับถูกสะกดไปพร้อมกับแววตาของอินทนิล

“คุณภูคะ...เจ้าอินน์”เสียงเรียกของป้าษอรดังขึ้น พร้อมกับเสียงก้าวเท้าเดินมาหา ภูวรินทร์ได้สติ เขามองไปยังต้นเสียง ป้าษอรเหงื่อท่วมอาจเพราะวิ่งมาหาหลานชาย เธอมองหลานชายกับเจ้านายคนใหม่ด้วยสายตาตกใจ จนภูวรินทร์รู้สึกตัวจึงรีบดึงมือออกจากอินทนิล เด็กหนุ่มปล่อยท่อนแขนลงแนบลำตัวนิ่งๆสองมือกำแน่นเช่นเคย เขาถอยห่างออกจากอินทนิล แล้วเดินลงจากบันไดเรือนปั้นหยาทันที ป้าษอรเดินเข้ามาหาเขา

“มีอะไรหรือเปล่าคะ”เธอถามอย่างเป็นห่วง ชายหนุ่มยิ้มเจื่อน ปากคอแห้งผาด

“เปล่าหรอกครับ แต่ป้าดูแลอินน์ดีๆหน่อยนะครับ...เขาดูใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว”ชายหนุ่มเอ่ยบอกกับเธอเสียงแผ่ว เขาเหลือบมองอินทนิลที่ยังคงยืนอยู่กับที่ จ้องมองความว่างเปล่าเบื้องหน้าเหมือนคนล่องลอย เขามองด้วยใจหลากหลาย ทั้งกลัว และเป็นห่วง ไม่รู้ว่าป้าษอรเคยพาอินทนิลไปหาหมอตรวจอาการประหลาดนี่บ้างไหม ก่อนจะหันหลังกลับไปยังบ้านใหญ่ อินทนิลหันมาทางเขาพอดี ใบหน้านั้นดูเศร้าหมอง ชายหนุ่มรีบผลุนพลันกลับไปทางประตูรั้ว หัวใจเต้นรัวในอก 
ให้ตาย ชายหนุ่มอยากกลับบ้านเหลือเกิน เขาอาจปอดแหกขี้ขลาดตาขาวไปเอง แต่เจอแบบนี้เขาอยู่ไม่ไหว ‘ท่าน’ ของอินนทนิลหมายถึงเจ้าของบ้านคนเก่า เขายอมรับว่าท่านอาจเป็นผีสาง แต่ทำไมต้องมาหลอกหลอนเขาด้วย เขาทำผิดอะไรกัน

บางทีเขาควรถามป้าษอรเรื่องอดีตของบ้านใหญ่หลังนี้อีกครั้ง เจ้าของคนเก่า...คนที่สาปแช่งตระกูลตนเองคนนั้นเป็นใคร
สิ่งที่ภูวรินทร์กลัวมากกว่าอิทนิลก็คือเวลากลางคืน เขาขลาดขวัญกลัวว่าจะฝันร้ายอีก เขาดื่มกาแฟดำเข้าไปหนึ่งแก้ว จึงไม่รู้สึกง่วง บรรยากาศยามดึกเหมือนทุกคืน ลมแรง จนเขาเลิกสนใจเสียงลั่นของประตูไม้และเสียงสัตว์กลางคืน ชายหนุ่มหยิบสมาร์ทโฟนราคาแพงออกมาแต่ในเวลานี้กลับไร้ประโยชน์เพราะสัญญาณถูกตัดขาดราวกับติดอยู่ในเกาะร้าง เขาไม่คิดว่าตนเองจะต้องลงเอยในสภาพนี้เลย เขาอยากคุยกับโชติสักครั้ง เผื่อว่าหมอนี่จะช่วยอะไรได้ อย่างเช่นมารับเขากลับ อาจใช้เฮลิคอปเตอร์...

ประสาทจริงๆ เขาคิดไปถึงขั้นนั้นเลยหรือนี่ ชายหนุ่มหัวเราะเยาะในความขี้ขลาดของตนเอง เขานั่งลงกับเตียงก่อนจะเปิดดู
รูปภาพเก่าๆในอัลบั้มฆ่าเวลา ถ้าหากว่ารถไฟกลับมาเปิดบริการอีก เขาจะรีบออกไปจากบ้านหลังนี้ เขาคิดไม่ตกว่ายังอยากเก็บบ้านหลังนี้ไว้หรือไม่ แต่เขาไม่อยากโดนหัวเราะลับหลังจากคนใกล้ชิดว่าซื้อบ้านมาสุดท้ายก็ปล่อยขายตามเดิม เหมือนคนตาขาว

ชายหนุ่มหันไปมองหน้าต่างที่ปิดสนิทอย่างระแวง คราวนี้ถ้าหากว่ายังเปิดเองอีกล่ะก็ เขาจะให้ลุงชมมาตีปิดตายหน้าต่างไปซะเลย

ทันใดนั้นภูวรินทร์สะดุ้งวาบ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าหนักคล้ายคนวิ่งเล่นอยู่ในบ้านซึ่งเป็นชั้นเดียวกันกับตน...เขามองจ้องไปทางประตูห้อง ภายในบ้านเงียบสนิท เสียงวิ่งไปมายังคงดังอยู่ เขาวางโทรศัพท์ลงก่อนจะเงี่ยหูฟัง และเขากลับรู้สึกหนาวยะเยือก

ตึก ตึก ตึก

เพราะเสียงนั้นยังคงดังและวนเวียนอยู่หน้าห้องของเขาเอง เสียงกริ๊งคล้ายกระดิ่งดังให้ได้ยินแว่วๆยิ่งเพิ่มความหวาดกลัวให้แก่เขาหนักขึ้น

“ใครน่ะ”ภูวรินทร์อยากตบปากตนเองนัก เขาลุกขึ้นลงเดินในห้อง แล้วไปควานหยิบไฟฉายกระบอกใหญ่สีดำออกมาจากลิ้นชัก แม้ในใจจะประหวั่นเพียงใดแต่เขาต้องไปให้เห็นกับตาว่าเป็นคน หรือว่าสิ่งอื่น อาจเป็นอินทนิล แต่เด็กนั่นไม่เคยได้รับอนุญาตให้ขึ้นมาในบ้าน....ยกเว้นท่านไม่ใช่เหรอ...คิดได้ดังนี้เขาก็เหมือนโดนทุบที่ศีรษะ เขาไม่อยากคิดเช่นนั้นในเวลานี้ ถ้อยคำของอินทนิลเมื่อกลางวันยังวนเวียนอยู่ในหัวก็ยิ่งสร้างความน่าสะพรึงกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น

ชายหนุ่มเปิดไฟฉายก่อนจะเดินช้าๆไปที่ประตูเสียงวิ่งยังคงดังห่างออกไปแล้ว เขาเปิดประตูออกกว้าง ด้านนอกห้องมืดสลัว มีแสงไฟจากประตูห้องนอนของตนเองเป็นเครื่องนำทางด้วยส่วนหนึ่ง เขาสาดไฟไปตามระเบียงกว้าง ชั้นบนนอกจากห้องนอนแล้ว ยังมีห้องอื่นๆอีกเรียงกันไป ภายในบ้านเมื่อผ่านบันไดใหญ่ก็จะมีโถงทางเดินก่อนจะถึงห้องนอน ถัดออกไปก็จะมีห้องเรียงวนกันไป เมื่อเขาออกมายืนอยู่ที่โถงหน้าบันได ก็จะเห็นห้องฝั่งตรงข้ามและโถงรับแขกของขั้นล่างด้วย ชายหนุ่มพยายามไม่สนใจม่านที่กำลังพลิ้วไหว ท่ามกลางบ้านใหญ่ที่เงียบสงัด เขาสาดไฟฉายไปที่ห้องฝั่งขวามือ เขาได้ยินเสียงดังตุบ ถึงกับสะดุ้งตัวโยน เพราะเสียงมันดังมาจากห้องถัดไปจากในนั้น

เสียงแผ่วเบาจนคิดว่าตนหูฟาดไป เป็นเสียงหัวเราะ

จะมีใครในบ้านอีกล่ะนอกจากเขาแล้ว ภูวรินทร์กลั้นหายใจ ขับความกลัวออกไปจากใจ เขาเดินไปตามทาง สาดส่องลำแสงไปตามทางเดิน เขาส่องไปที่ประตูบานใหญ่ของห้องเบื้องหน้า เสียงหัวเราะหายไปแล้ว แต่เสียงทึบๆยังคงดังมาจากในห้อง ในบ้านเงียบซะจนเขานึกอยากจะร้องตะโกนออกมาดังๆให้คลายความหวาดกลัว ชายหนุ่มเอื้อมมือไปแตะลูกบิดแบบเก่า สีทองเหลือง เขาหมุนมันออก เสียงดังคลิก พร้อมกับเสียงลั่นแอ๊ดของประตูที่ไม่เคยเปิดใช้มานาน

เขาค่อยๆแง้มประตูออก หากเกิดอะไรขึ้นมา เขาอาจหัวใจวายได้ แต่ทว่าสิ่งที่สร้างความแปลกใจให้เขาคือลำแสงสว่างเล็ดรอดมาจากในห้อง เพราะเขาเห็นว่าทางริมห้องมีแสงสว่างเพราะมีดวงไฟติดพนังเปิดไว้สลัวๆราวกับหรี่ไฟให้ลดความจ้าลง เมื่อเขาเปิดประตูออกว้าง จากที่คิดว่าห้องนี้อาจเป็นห้องว่าง แต่มันเป็นห้องนอนเก่า เขาเห็นห้องแบบเต็มตา เตียงสี่เสาแบบเก่า แต่มีอะไรบางอย่างอยู่บนนั้น เงาร่างคล้ายมนุษย์

ภูวรินทร์หัวใจแทบหยุดเต้น เมื่อร่างนั้นพลิกตัวมาหาเขา ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจช้าๆ พยายามตั้งสติก่อนจะสาดไฟฉายไปทิศทางนั้นช้าๆ เขามือสั่นเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นว่าร่างนั้นที่นอนอยู่บนเตียงเขากลับโล่งใจขึ้นมาบ้าง

“คุณภู...”เสียงของอินทนิลเรียก ชายหนุ่มเม้มปาก รู้สึกโกรธเคืองที่อีกฝ่ายเข้ามาในบ้านและทำให้เขารู้สึกประสาทไปเอง เขาเดินตรงไปหาอีกฝ่ายบนเตียง

“เธอเข้ามาได้ยังไง”ชายหนุ่มเดินเอื้อมมือเปิดไฟดวงใหญ่ที่หัวเตียง ทันใดนั้นห้องก็สว่างขึ้นมา ทำให้เขาคลายความกลัวไป เขาวางไฟฉายลงกับโต๊ะข้างๆ อินทนิลยังคงอยู่ในชุดสีขาวแต่คราวนี้คล้ายกับเป็นเสื้อบางแขนยาวกับโสร่งผ้าโปร่งสีขาว

“พูดไป คุณคงโกรธใส่เรา”อินทนิลเอ่ยเบาๆ ภูวรินทร์เดินเข้าไปคว้าตัวเด็กหนุ่มให้ลุกขึ้นนั่ง ถึงคราวที่ป้าษอรต้องให้คำตอบแก่เขาได้สักทีว่าเพราะอะไรอินทนิลถึงต้องทำตัวประหลาด อินทนิลไม่ขัดขืนแต่ทว่าแววตาแข็งกร้าว ใบหน้านิ่งขึงไปราวกับโกรธ

“ไปกับฉัน”

“ลองมองรอบห้องนี้สิ”อินทนิลไม่สะทกสะท้านอะไรเพียงแค่หันหน้าไปมองทางริมห้องด้วยสายตานุ่มนวลลง ชายหนุ่มถอนหายใจแรงอย่างไม่พอใจ แต่ก็หันไปมองตาม เขาเห็นว่าเครื่องใช้ต่างๆภายในห้องเหมือนเป็นของเก่า ไม่ว่าจะเป็นตู้เสื้อผ้าสลักไม้ ผ้าม่านลูกไม้สีขาว โต๊ะรับแขกตัวยาวกับโต๊ะน้ำชาที่ริมห้องดูเก่าโทรม แต่สีไม้ของมันยังคงไม่ซีดจาง

“อินน์ เลิกทำให้ฉันประสาทเสียซะที”เขาพูดห้วนๆก่อนจะดึงแขนให้อีกฝ่ายลุกออกจากเตียง แต่อินทนิลขืนตัวไว้

“ไม่เอา ที่นี่เคยเป็นห้องของเรานะ”เด็กชายจ้องหน้าเขาด้วยสายตาเรียบเฉย เขาเกลียดแววตานี้ พยายามไม่สนใจว่าอีกฝ่ายพูดอะไร ‘เคยเป็น’มันเป็นรูปอดีต หมายถึงก่อนที่ตนจะมาซื้อบ้านหรือว่าเคยเป็นของ...

“...ช่างเถอะ ตอนนี้ฉันไม่อนุญาต”ภูวรินทร์พูดเสียงอ่อนลง เขามองอีกฝ่ายที่ยังคงนั่งอยู่บนเตียง ไม่ลดราวาศอกให้เขา จากนั้นอีกฝ่ายก็หันมายิ้มให้เขา

“คุณถามถึงเจ้าของบ้านคนเก่า...อยากรู้หรือเปล่าล่ะ”อินทนิลถามด้วยน้ำเสียงต่างไปจากเดิม ดูเค้นเสียงพูด เขาเขวไปบ้าง

“ตอนเช้าค่อยเล่าให้ฉันฟัง”

“ไม่ได้หรอก...ต้องเล่าตอนนี้ จำไม่ได้หรือไง ว่ากลางคืนเป็นของเรา”ภูวรินทร์บอกไม่ถูกกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับอินทนิล เขามองเด็กหนุ่มตรงหน้า มันทำให้เขานึกถึงคืนที่สองที่อยู่ในบ้านหลังนี้ อินทนิลเรียกเขาไปที่เรือนปั้นเหยาหลังนั้น พูดจาคล้ายๆกัน ‘เรา’ อินทนิลไม่เคยใช้เรากับภูวรินทร์ในตอนกลางวันเลยสักครั้ง จะเรียกแทนตัวเองแค่ว่า ‘อินน์’

“เธอเป็นใครกันแน่...”ชายหนุ่มเอ่ยเสียงแหบแห้ง เขารู้สึกเหมือนโดนหลอก ปั่นหัว เขาตามเรื่องราวไม่ทัน ทุกอย่างภายในบ้านนี้ดูลึกลับ แม้กระทั่งคน

อินทนิลยิ้ม “เคยบอกไปแล้ว... อยากฟังหรือเปล่าล่ะ มานี่สิ”เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้น ท่าทางมั่นใจ ดูไม่นิ่งงัน เงียบขรึมเหมือนในคราวก่อน เรียกว่าดูปกติกว่าเมื่อตอนกลางวัน ชายหนุ่มมองอย่างลังเล มีหลายเหตุผลที่กำลังเกิดขึ้นในหัว

“ไปคุยกันที่ห้องฉันก็ได้นะ”ชายหนุ่มลองเสนอ เขาอยากไปให้พ้นบรรยากาศอึดอัด อึมครึมในห้องนี้ไปเสีย อินทนิลหัวเราะเบาๆ หัวเราะเหมือนขำขัน

“เราทำคุณกลัวด้วยหรือ ...เล่าที่นี่นั่นแหละ ที่ของเรา”อินทนิลเอ่ยเสียงเรียบเฉย ใบหน้าขาวสะอาดเหลียวมองเขาอย่างรอคำตอบ ชายหนุ่มเย็นเยียบไปทั้งตัว เขาอยากกลับออกไป บางสิ่งเต้นเร่าในอก มันทำให้เขาไม่อาจก้าวขาออกไปไหนได้ ทำได้เพียงแค่เดินขึ้นไปนั่งบนเตียงช้าๆ ข้างกายอินทนิล

“ว่ามาสิ”เขาเอ่ยเบาๆ รู้สึกเกร็งไปทั้งกาย เมื่ออินทนิล ดึงแขนเขาให้นอนลงไปพร้อมๆกัน เขาตกใจเพราะไม่คิดจะมานอนกับอีกฝ่ายและภายในห้องนี้ ไม่ใช่ห้องของเขา อินทนิลหัวเราะแผ่วเบาส่งเสียงชู่วเหมือนปรามเขาที่ขืนตัวลุกขึ้นนั่ง ชายหนุ่มมองอีกฝ่ายด้วยใจหวาดหวั่น 

“จะทำอะไร”ชายหนุ่มดันร่างของอินทนิลออกห่างเพราะเจ้าตัวคล้ายกับจะเข้ามากอดเขาไว้ ทำให้ชายหนุ่มถึงกับตัวแข็งไปทั้งร่าง เด็กคนนี้เป็นอะไรกันแน่ ทำท่าประหลาดใส่เขามาตั้งแต่เมื่อกลางวัน การจับเนื้อต้องตัวน่ะ อินทนิลหัวเราะเสียงมีชีวิตชีวาคล้ายคนเดิม

“แค่นอนด้วยกันเอง...กลัวไปทำไม”เด็กชายบอก

“มันแปลก...ฉันกับเธอไม่สนิทกัน”ชายหนุ่มบอก แต่ก็ไม่ขยับตัวถอยห่างเด็กหนุ่ม มันสองจิตสองใจ ความรู้สึกที่ทั้งหวาดระแวงและน่าเข้าหามันตีกันสับสน อินทนิลขยับกายเข้ามาใกล้เหมือนจงใจแกล้ง เด็กหนุ่มตะแคงหันหน้าเข้าหา เท้าแขนมองเขาไปด้วย ใบหน้านั้นยิ้มอย่างนึกสนุก

“บ้านหลังนี้เดิมทีแล้วเป็นของผู้ดีเก่า นานมากจนตกทอดมาถึงต้นตระกูลของคนภิรมย์สุข...คนบ้านนี้อยากได้มรดก โดยเฉพาะที่ดินผืนนี้ ทางเดียวที่ทำได้คือ สอพลอใส่พ่อใหญ่ให้ท่านยกบ้านให้ แต่ว่าพ่อใหญ่รักลูกไม่เท่ากัน เขายกบ้านนี้ให้ลูกชายคนสุดท้องแทน จนพ่อใหญ่ตายไป บ้านทั้งหลังตกเป็นของลูกคนสุดท้องที่อายุยังน้อย พี่ๆไม่พอใจมาก ไม่ต้องการเป็นแค่ผู้อาศัย ด้วยอายุยังน้อยไม่ถึงสิบขวบดี ก็ถูกกลั่นแกล้ง จนต้องย้ายไปอยู่ที่เรือนข้างๆแทน...”อินทนิลเล่าช้าๆ มองเขานิ่งๆไม่ละไปไหน เหมือนว่าหน้าของเขามันน่าสนใจกว่าอะไรทั้งปวง

ชายหนุ่มนึกถึงเรือนปั้นหยาหลังนั้น เขาพอเดาเรื่องออกว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อ เขาแปลกใจที่ป้าษอรไม่เล่าให้เขาฟังเลย 

“แล้วเขาชื่ออะไรล่ะ”ภูวรินทร์อยากรู้ชื่อของอีกฝ่าย เจ้าของบ้านคนนั้นน่ะ... อินทนิลคลี่ยิ้ม แววตากลมสะท้อนใบหน้าเขาชัดเจน “ชื่อว่า...แก้ว กรินทร์”เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงราบเรียบ ชายหนุ่มนิ่งงัน ในใจบีบรัดแน่น สิ่งเชื่อมโยงอินทนิลเข้ากับ ‘ท่าน’เจ้าบ้านชัดเจนขึ้นมา เวลานี้เขาต้องยอมรับความจริง

ภูวรินทร์ไม่ได้พูดอะไรอีก แค่รอฟังเงียบๆเท่านั้น อินทนิลมองเขาก่อนจะขยับปากเล่าต่อ

“แต่โชคดีนะ มีเทพบุตรขี่ม้าขาวมาช่วย...เป็นท่านอาของแก้วเอง ท่านอาคนนี้เป็นคนหนุ่มใจดี คอยดูแลหลานชายอย่างใส่ใจ... สมัยก่อนการแต่งงานในหมู่เครือญาติมีให้เห็นในชนชั้นสูง เหมือนว่าพวกเขาจะรักใคร่กันมากกว่าอาหลาน แต่ไม่มีใครรับได้โดยเฉพาะยิ่งเป็นชายด้วยกันแล้วยิ่งเป็นการสร้างข้อครหา มันเป็นสัมพันธ์ลับๆ แก้วรักทานอาคนนี้มากจนกระทั่งเติบใหญ่ ท่านอาก็ยิ่งอายุมากขึ้นไปอีก ท่านต้องแต่งงานสืบสกุล แต่แก้วไม่ยอม ท่านอาผู้นั้นเลยขังหลายชายคนรักไว้ในบ้านไม่ให้เห็นเดือดเห็นตะวัน...เป็นทาสรัก จนกระทั่งหลานชายตายไป”

ภูวรินทร์นิ่งไป...เขารู้สึกแปลกๆในเรื่องเล่านี้ เรื่องเล่าลือมันถูกเสริมแต่ง ยิ่งมาจากปากของเด็กวัยสิบห้าปี เรื่องนี้เชื่อถือได้หรือไง

“แล้วยังไงต่อล่ะ ท่านอาคนนั้นเป็นยังไงต่อ”

“ที่จริงแล้วท่านอาหวังครอบครองบ้านหลังนี้ เขามีใจทรยศมาตั้งแต่แรก แต่แก้วกลับมองข้ามไป โง่สิ้นดี...เมื่อบ้านหลังนี้กลายเป็นของท่านอาในที่สุด แต่กลับไม่มีใครอยู่ได้สักคน มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นหลายอย่าง เล่าไปคุณอาจไม่เชื่อ แต่ท่านอาคนนี้มีชีวิตอยู่ได้ไม่นานหรอก อยู่ได้แค่สามปีหลังจากที่แก้วตายไป ว่ากันว่าเขาตรอมใจตาย แต่บ้างก็เล่าว่าแก้วเป็นคนฆ่าเขาเอง”อินทนิลเล่าด้วยใบหน้านิ่งเฉย แววตาไม่สะท้อนความรู้สึกใดออกมา ชายหนุ่มหายใจไม่สะดวก เหงื่อกาฬไหลไปทั่วทั้งแผ่นหลัง

“จะฆ่าได้ยังไง...”ชายหนุ่มพึมพำ อินทนิลเลื่อนสายตามองเขาก่อนจะเผยยิ้ม

“นั่นสินะ...แต่ลูกหลานของท่านอาอยู่บ้านนี้ไม่ได้สักคน แต่เรื่องมันก็เลยมาจนเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว คำสาปแช่งของแก้วไม่น่าจะคงทนมาถึงเจ็บสิบปีได้ เรื่องมันเกิดนานมาก”อินทนิลหัวเราะเสียงแปร่งๆ

“นั่นสิ...”

“เอ ตั้งแต่ปีอะไรนะ...อ้อ...พ.ศ.2480 โน้นแหนะ วิญญาณของแก้วจะอยู่ได้นานหรือ คุณภูคิดเห็นอย่างไรล่ะ”อินทนิลเอ่ยถาม ก้มมองเขา นัยน์ตาสีนิลเหมือนดูดเอาความรู้สึกนึกคิดของเขาไปหมด เขาคิดอะไรไม่ออก

“แล้วทำไมเธอ ถึงพูดถึง ‘ท่าน’ตลอดเลยล่ะ ถ้าหากว่าเรื่องมันผ่านมานานแล้ว”ภูวรินทร์ย้อนถาม อินทนิลหุบยิ้ม ใบหน้านั้นเรียบเฉย ก่อนจะก้มหน้าลงต่ำมาใกล้เขาจน เส้นผมที่ปรกบ่าเลื่อนไหลลงมาเขี่ยแก้มของชายหนุ่ม เขาหายใจไม่ออกขึ้นมาทันที เพราะ ‘กลิ่น’ของอินทนิล ...กลิ่นจางๆของดอกแก้ว

“นั่นสิ...คงเพราะว่าอินน์สื่อถึง ‘ท่าน’ได้ง่ายกระมัง”อินทนิลกระซิบพูด ดวงตาวาววับ ชายหนุ่มดันบ่าแคบของเด็กหนุ่มให้ออกห่าง เขาพยายามลุกขึ้นมานั่ง แต่อินทนิลดันตัวเขาลงนอนตามเดิม

“อย่าถอยห่างจากเราสิ...”เด็กหนุ่มพูด สีหน้าคล้ายเจ็บปวด คิ้วขมวดเข้าหากัน ริมฝีปากขบเม้มเข้าหากันเหมือนขัดใจ
อาการเดิมเหมือนเริ่มกลับมา ความอึกอัก กระวนกระวายใจ

“หมายถึงอะไรล่ะ ทำไมเธอต้องพยายามเข้าหาฉันด้วย...ทำไมกัน”ภูวรินทร์เอ่ยถามบ้าง เลิกต่อต้านเด็กหนุ่ม อินทนิลเหลียวหน้าเหลียวหลัง ก่อนจะเอื้อมมือมากุมมือข้างซ้ายของเขาไว้แน่น เขาตกใจพยายามดึงมือออกแต่อินทนิลจิกมือลงกับฝ่ามือของเขาแน่นจนเจ็บ

“แค่...อยากเตือนน่ะ...ว่าอย่าจากไปเลย”อินทนิลคลายปมที่คิ้ว ใบหน้าซีดไร้สีเลือด มองเขาอย่างสิ้นหวัง สองมือเล็กกว่านั้นกุมฝ่ามือของเขาไว้ไม่ปล่อย เขาไม่เข้าใจสักนิด อินทนิลกรอกตามองเขา สีนิลคู่นี้ทำให้เขารู้สึกเกรงกลัวเช่นเคย มันอ่อนหวานเป็นบางครา

“พูดถึงอะไร”

“ชู่ว แค่ฟังก็พอ...เดี๋ยวได้เดือดร้อนหรอก”อินทนิลเอ่ยเสียงต่ำ ปล่อยมือออกจากเขาแล้วเลื่อนมาจับผ้าห่มเลื่อนมาคลุมตัวเขาไว้ ชายหนุ่มไม่ทันลุกขึ้น อินทนิลก็กอดแน่นกดร่างของไว้กับเตียงนอน

“ไม่...ฉันจะกลับ”ภูวรินทร์กระแทกเสียง ผลักร่างของอินทนิลออกไปให้พ้นตัวอย่างง่ายดาย อินทนิลปราดเปรียว กลับเข้ามารั้งตัวเขาได้ดังเดิม

“ไม่ได้ นอนที่นี่”อินทนิลย้ำ

“เธอทำบ้าอะไร ปล่อย”ภูวรินทร์ขยับตัวไม่ได้คล้ายถูกกดจากคนที่มีน้ำหนักตัวมากกว่าเขา ทั้งๆที่อินทนิลตัวเล็กกว่า เขาจ้องอีกฝ่ายด้วยความตระหนก อากาศรอบตัวคล้ายเย็นเยียบไปอีกครั้ง ภูวรินทร์รู้สึกไม่ชอบห้องนอนแห่งนี้เลยสักนิด มันเก่าและอึดอัด อยู่ๆทั้งห้องก็ตกอยู่ในความมืดมิด ไฟอาจดับ... เขาไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น รู้แค่ว่าเขานอนตาเบิกโพล่งในความมืดนี้ ข้างกายมีอินทนิลกอดไว้ไม่ปล่อย

...เขากลัว อาจกลัวอินทนิลในเวลานี้เหลือเกิน

“อย่ากลัวเลย ไม่ทำร้ายคุณหรอก”อินทนิลกระซิบบอกข้างๆหู ‘...ไม่จริงน่า หากหวังดีควรปล่อยเขาไป’ชายหนุ่มคิดในใจ เขารู้สึกถึงความอุ่นของร่างกายของอีกฝ่ายอยู่ข้างกาย อย่างน้อยอินทนิลยังอยู่ เขาไม่ได้อยู่คนเดียว

ชายหนุ่มหลับตา สองหูได้ยินเสียงลมจากด้านนอก ที่นี่เหมือนมีลมกลางคนพัดเข้าใส่ตลอด

“เธอต้องการอะไรกันแน่...”ภูวรินทร์เอ่ยออกมา หมายถึงอินทนิลด้วยและอาจจะสื่อถึงสิ่งอื่นด้วย ถ้าให้พูดตรงๆเขากลัวเกิดไป อินทนิลไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่หายใจแรงขึ้น เบียดตัวเข้ามาใกล้มากขึ้นเท่านั้น บนเตียงสี่เสา ชายหนุ่มพยายามข่มตาให้หลับ เขาไม่ได้จ้องมองความมืดอีกต่อไปเพราะเขาเริ่มจินตนาการไปเป็นอย่างอื่นเพราะความกลัว เขากลัวความมืด อาจไม่ถึงขั้นโฟเบีย เป็นความกลัวในระดับปกติ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-03-2018 01:43:07 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ๒ ] ๑๗.๑๑.๑๗
«ตอบ #14 เมื่อ17-11-2017 00:10:19 »

กว่าภูวรินทร์จะรู้สึกตัวอีกครั้งเพราะเสียงหวีดหวิวของลมกลางคืน และเสียงร้องของสัตว์ดังอื้ออึ้งอยู่ใกล้ๆ ชายหนุ่มไม่สบายตัว เขาลืมตาตื่นก็พบกับความมืดสลัว เขาพยายามปรับสายตาให้ชินกับความมืด จนได้สติดี เขากำลังจ้องมองฝ้าเพดานเก่าๆ ที่ผุพังจนเห็นทะลุหลังคาบ้านไม้ เขานิ่งงันเมื่อรู้สึกว่ากำลังนอนอยู่บนพื้นแข็งๆจนเจ็บแปลบไปทั้งหลัง สักพักเขาได้ยินเสียงเคลื่อนไหว เหมือนเสียงลากอะไรสักอย่าง

...เสียงโซ่งั้นเหรอ... ภูวรินทร์เย็นเยียบอีกครั้ง เขาหลับตาพยายามตั้งสติอีกครั้ง แต่เสียงที่ได้ยินกลับชัดขึ้น เสียงขยับของโซ่ตรวน เรื่องราวที่อินทนิลเล่าให้ฟังนั้นผุดประดังประเดออกมา ชายหนุ่มพยายามขยับร่าง ไม่อยากพบเจอสิ่งน่ากลัวอีก เขากวาดแขนไปรอบตัว รู้สึกได้ถึงพื้นไม้สากๆและฝุ่นหนา จนเขาสำลักไอโขลก

เขาอยู่ที่ไหนกัน...

เมื่อภูวรินทร์ตะหนักได้ว่าตนเองไม่ได้นอนอยู่บนเตียงกับอินทนิลอีกต่อไปแล้ว เขาหวาดกลัว เพราะเมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง สายตาก็พลันไปเห็นผ้าม่านสีขาวติดอยู่รอบทั้งห้อง ตามบานหน้าต่างก็ด้วย เขาอยากร้องตะโกน ที่นี่มันเหมือนเรือนปั้นหยาเก่าร้างข้างบ้านใหญ่ไม่ใช่เหรอ เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง เป็นไปไม่ได้...

ฝันร้ายงั้นเหรอ... เขาตกอยู่ในความฝันอีกแล้วงั้นเหรอ

ความฝันที่เหมือนจริง เสียงโซ่ดังขึ้นมาอีก ไม่เพียงเท่านั้นเสียงลากเท้าก็ดังตามมา ภูวรินทร์ผุดลุกขึ้นยืนด้วยความโซเซ ตอนนี้เขาชินกับความมืด ภายในห้องสี่เหลี่ยมทรุดโทรม เขายืนอยู่ในบ้านหลังเก่า ไม่นับมุมมืดจากทางซ้ายมือที่อยู่สุดทางนั้น...ที่มาของเสียงนั่น ชายหนุ่มถอยห่างก่อนจะพยายามหาทางออก ประตู หน้าต่างเหมือนปิดตายไปหมด เขากระแทกหน้าต่างให้เปิดออกแต่ไม่สำเร็จ เขาไม่รู้ว่าอยู่ส่วนไหนในบ้าน

“ช่วยด้วย มีใครได้ยินไหม!”ภูวรินทร์ร้องเรียก เพราะไม่อาจทนอยู่ในบ้านเก่าหนาไปด้วยฝุ่นได้อีก เขาพยามเปิดประตูที่เหมือนจะพังเพราะสนิมเกาะจนปลดล็อกไม่ได้ เสียงโซ่ยังคงดังขึ้นอีก ยิ่งขับความกลัวมากขึ้นไปอีก

ไม่!

เสียงฝีเท้า พร้อมกับเสียงกริ๊งเบาๆเสียงกำไลข้อเท้าคล้ายของอินทนิลดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงลากโซ่ ชายหนุ่มเนื้อตัวเย็นเชียบ เหงื่อกาฬไหลเต็มแผ่นหลัง เขาหายใจติดขัด รู้สึกว่าหัวใจจะกระดอนออกมาจากอก มันเต้นรัวและดัง ในความเงียบและมืดสลัวนี้อาจมีสิ่งใดได้ยินเข้าก็ได้

“ป้าษอร! ลุงชม!”ภูวรินทร์ร้องเรียกอีก ไม่สนใจอีกว่าเขาจะเจอกับอะไร ความจริงหรือความฝัน ในเวลานี้สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เขาหวาดกลัวจับใจ

...ครืด...ครืด...

เสียงลากโซ่ใกล้เข้ามา

“นรินทร์...”

ภูวรินทร์สะดุ้งเมื่อมีเสียงเรียกชื่อ เสียงของอินทนิลเช่นเคย แต่ชื่อนั้นไม่ใช่เขา แต่คล้ายกันมาก ชายหนุ่มไม่หันไปมอง ชายหนุ่มทุบประตูแรงขึ้นอีกจนเจ็บไปทั้งตัว ไม่ได้ผล เขาเหมือนไร้เรี่ยวแรงขึ้นมา ไม่อยากติดอยู่ในนี้

...ครืด...ครืด...

เสียงนั้นขยับมาใกล้ คล้ายกับว่าอยู่ด้านหลังของเขา ชายหนุ่มหลับตา เกร็งไปทั้งร่างเมื่อรู้สึกถึงลมเย็นๆแผ่วเบาจากด้านหลัง เสียงขยับเท้าดังกรุ๊งกริ๊ง เสียงจากกำไลข้อเท้า ทำไมอินทนิลต้องมาหลอกหลอนเขา หรือว่าไม่ใช่...เจ้าของบ้านคนเก่างั้นเหรอ...ชายหนุ่มได้สติขึ้นมาว่าเรือนปั้นหยาเป็นที่ที่แก้วอาศัยอยู่ แต่เขาไม่รู้ว่าแก้วคนนั้นตายที่ไหน ไม่จริงน่า...

ได้โปรดเถอะ...

ภูวรินทร์ทรุดลงกับพื้นอย่างห้ามไม่อยู่ เขาไม่ทนรับความหวาดกลัวและความกดดันจากสิ่งที่อยู่ด้านหลังได้ จะเป็นใครก็ช่าง
ชายหนุ่มหายใจเข้าออกช้าๆ เสียงขยับตัวจากด้านหลังยังคงได้ยิน บริเวณที่เขานั่งลงอยู่นั้นอยู่บริเวณหน้าต่าง ม่านสีขาวห้อยตกลงมา เขาหวาดกลัว ไม่อยากมองออกไป หรืออาจเงาสะท้อนอะไรก็ช่าง มันน่ากลัว

“นรินทร์ไม่ใช่หรือ”เสียงนั้นดังมาจากด้านหลัง เขาตัวอ่อนยวบ มันยังคงเป็นเสียงของอินทนิลเช่นเคย เขาไม่มองเงาดำที่ทอดลงมาจากเบื้องหลัง เขาหายใจไม่ทั่วท้อง ทำไมต้องมาหลอกหลอนเขาด้วยล่ะ เขาทำอะไรผิดงั้นเหรอ...

“ไม่ใช่...”ชายหนุ่มตอบกลับไป ชายหนุ่มนิ่งงันเมื่อรู้สึกอุ่นๆสัมผัสที่ลำตัว เขาก้มมองปรากฏว่าท่อนแขนขาวซีดสกปรกไปด้วยฝุ่นดิน คราบดำตามท่อนแขนจากอะไรสักอย่าง

ภูวรินทร์เหมือนช็อกไป เขาพูดไม่ออก ชายหนุ่มหลับตา ในอกเต้นเร่าไปด้วยความกลัว ความรู้สึกนี้กรีดลึกลงไปในใจ มันไม่ใช่จิตนาการเพราะลมหายใจที่เป่ารดอยู่ที่ต้นคอ เขาหลับตาแน่น

“ไม่ ออกไป!!”เขาตวาดลั่น ขับความกลัวออกไปจากใจ ก่อนจะกระวีกระหวาด หาทางออก เขาดิ้นรน ขยับตัวไปให้พ้นท่อนแขนซีดสกปรกนั้นอย่างนึกกลัว เขาคลานไปหาประตูอีกครั้ง หมุนลูกบิดอย่างทดท้อ มันไม่เปิดออก

“ช่วยด้วย!! มีใครได้ยินไหม!!”เขาร้องตะโกน จนแสบคอ ทำไม่มีใครมาช่วยเขากันล่ะ ชายหนุ่มหมดหนทาง เขาหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แรงยืนแทบจะไม่มี

...ครืด...ครืด...

เสียงลากโซ่ดังห่างออกไป ภูวรินทร์รีบขยับตัวไปทางอื่น เขาทุบหน้าต่างอย่างแรง แต่มันเปิดไม่ออก เขาคิดไม่ตก อับจนหนทาง จะออกไปทางที่นี่ได้ยังไงกัน เขาดึงทึ้งผ้าม่านโปร่งออกจากไปจนขาดวิ่น มองไปด้านนอกอันเวิ้งว้างต้นแก้วเรียงตระหง่านอยู่ในสวน ดอกสีขาวสะท้อนแสงจันทร์ เขายืนนิ่งขึง ขาไร้แรงยืน ทิศทางนี้คือทางหน้าบ้าน เขามองไปอย่างไร้จุดหมาย ทำไมเขาต้องมาอยู่ที่นี่ด้วยล่ะ...ชายหนุ่มหลับตาแน่นจนเห็นภาพของอินทนิลในคืนนั้น คืนที่อีกฝ่ายให้ดอกแก้วแก่เขา...เพราะอะไรกันล่ะ

ภูวรินทร์อ่อนล้าขึ้นมา เหมือนไม่อาจหลุดพ้นไปจากที่นี่ได้ เมื่อกลางวัน ตอนที่มาหยุดอยู่ที่เรือนปั้นหยา อินทนิลก็พูดจาประหลาด ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้า เขาปวดร้าวไปทั้งร่าง อาจรวมไปถึงหัวใจด้วย มันบอกไม่ถูกแต่เขาไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน ความรู้สึกที่ไร้หนทาง ร้องหาคนช่วย เหมือนไม่มีใครได้ยินที่เขาร้องเรียกเลยสักนิด

“คุณล่ะ เคยได้ยินไหม...เสียงของเรา”ถ้อยคำนั้นทำให้ชายหนุ่มถึงกับอึ้งไป หมายความว่ายังไง น้ำเสียงที่ได้ยินยังคงเป็นเสียงของอินทนิล ใจของภูวรินทร์กลัว กลัวว่าคนด้านหลังจะเป็นอินทนิล...ชายหนุ่มส่ายศีรษะ เขาพูดไม่ออก คิดไม่ตกกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขามองพื้นบ้านที่ผุพัง ฝุ่นหนา บ่งบอกว่าเวลานี้คือปัจจุบัน

เสียงโซ่หายไป พลังกดดันจากด้านหลังหายไป ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจช้าๆก่อนจะขยับตัวไปทางประตูบ้านอีกครั้ง เขาหมุนลูกบิดแรงๆมันยังคงเปิดไม่ออก เขาทุบประตูอย่างหงุดหงิด

ภูวรินทร์ลูบเหงื่อที่ไหลย้อนตามหน้าผากออก เขาเหนื่อย เขาหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับความกลัว ชายหนุ่มแม้เตรียมใจว่าต้องเจอกับสิ่งนั้น แต่เมื่อเห็นร่างตรงหน้าเขาตกใจ จนถอยสะดุดจนล้มลงไปกองกับพื้น ร่างนั้นบอบช้ำ เสื้อสีขาวที่สวมใส่เปื้อนไม่ต่างอะไรจากท่อนแขน ชายหนุ่มตัวสั่น เมื่อเห็นว่าใบหน้าของอีกฝ่ายคืออินทนิล ที่น่าตกใจกว่าคือข้อเท้านั้นถูกล่ามโซ่ไว้หนาแน่น เท้าเปล่าเปลือยเปื้อนดำไปด้วยฝุ่น เสื้อแบบเดียวกันที่อินทนิลชอบใส่ ชายหนุ่มมองใบหน้านั้นด้วยความพรั่นพรึง ใบหน้าไม่ต่างกันกับอินทนิลเลย

“อินน์เหรอ”เขาพึมพำ เขาหวาดกลัวแต่ก็ยังคงเอ่ยออกไป ร่างนั้นนั่งคุดคู้อยู่ตรงหน้าเขาบ้าง

“แก้วเอง จำไม่ได้รึ”

ชายหนุ่มส่ายหน้า เขาถอยหลังอย่างเกรงกลัว รู้สึกเจ็บที่ฝ่ามืออาจไปโดนเศษไม้ที่ปริแตกตามกาลเวลา เขาถอยจนหลังชิดประตูบ้าน เมื่อท่อนแขนนั้นยื่นออกมาหา เขายิ่งปัดป่ายออกเป็นพัลวัน

“อย่าจากไปไหน”

“ไปให้พ้น”ภูวรินทร์กลัวจับจิตอย่างไม่ทราบสาเหตุ เขาหลับตาแน่นไม่อยากเห็นใบหน้าของภูตผีตนนี้อีก ใบหน้าของแก้วคล้ายอินทนิล หรือว่าเป็นเพียงสิ่งปั้นแต่งจากจิตสำนึกของเขากัน ผีสางตนนี้รูปร่างเหมือนอินทนิลไปหมด ความสูง น้ำเสียง ยกเว้น...ทรงผม เป็นทรงผมแสกกลางตามสมัยเก่า 

ชายหนุ่มถอยห่างออกจากร่างนั้นที่เริ่มขยับเข้ามาใกล้ รู้สึกเหมือนคนหายใจไม่ออก เขาขวนขายถดถอยจากอีกฝ่าย ใบหน้านั้นมีเงาดำพาดผาดเหมือนฝันครั้งก่อน คราวนี้มันสร้างความกลัวให้เขามากกว่าครั้งที่แล้วหลายเท่า เขากลัว กลัวอย่างบอกไม่ถูก มันไม่ใช่ความกลัวในเรื่องผีสางแต่เป็นอะไรบางอย่างที่บอกไม่ถูก ความชัง ความรัก ความหมดหนทาง ความกลัวเต้นเร่าอยู่ในอก บาดซึมลงในจิตใต้สำนึก


“คุณภูคะ ใจเย็นๆค่ะ...นี่ป้าษอรเอง”น้ำเสียงอบอุ่นชโลมจิตใจที่แตกพร่าไปด้วยความกลัวของเขา พร้อมกับอ้อมกอดอุ่นของร่างท้วมของป้าษอร ชายหนุ่มสะท้านเฮือกลืมตาขึ้นมาด้วยความทุรนทุราย แสงสว่างจ้าจนตาพร่ามัว เขาหรี่ตา เสียงขยับกายดังอยู่รอบห้อง เสียงฝีเท้า ตามมาด้วยเสียงรูดม่าน ภายในห้องมืดลงไปบ้าง ชายหนุ่มกระพริบตามอง เบื้องหน้าเขามีโต๊ะตัวยาวกับโต๊ะน้ำชาเก่าๆ เขาหันมองป้าษอรที่กำลังกอดร่างของเขาไว้เหมือนปลอบประโลม เขามองไปรอบๆตัวด้วยความมึนงง พบว่ายังคงนอนอยู่บนเตียง

ฝันร้ายอีกแล้ว

“...มันเกิดอะไรขึ้น”ชายหนุ่มเสียงแหบพร่า เขารู้สึกเจ็บคอขึ้นมา ถึงได้รู้ว่าเขาคงร้องตะโกนไปด้วยแน่ๆ ที่มุมห้องสุดเขาเห็นอินทนิลยืนกำมือแน่นอยู่เงียบๆ มองเขาด้วยสีหน้าเป็นห่วง อยู่ๆเขาเลื่อนสายตาลงต่ำมองเท้าเปลือยเปล่าของอีกฝ่าย กำไลทองเหลืองเก่าๆข้างซ้ายนั้นเหมือนของคุณแก้ว... ลุงชมเดินถือถาดน้ำชาเข้ามาในห้อง วางลงกับโต๊ะลิ้นชักข้างเตียง ใบหน้าคนแก่นั้นดูอ่อนโยนเป็นห่วงเขาชัดเจน

“คุณภูคงฝันร้าย จนอินน์มันวิ่งมาบอกป้า...คุณภูทำใจให้สงบก่อนดีกว่าค่ะ เดี๋ยวค่อยมาคุยกัน”ป้าษอรบอกเสียงอ่อนลง คลายอ้อมกอดออกไป เขาผุดลุกขึ้นนั่งด้วยท่าทีปกติ

“สรุปแล้วที่นี่มันบ้านผีสิงจริงๆงั้นเหรอเนี่ย”ภูวรินทร์พึมพำ เขาเสียงแหบก่อนจะลูบลำคอของตนเองไปด้วย

“หลังมื้อเช้า เดี๋ยวป้าจะเอาประวัติของเจ้าของบ้านเดิมมาให้คุณภูค่ะ...ป้าขอโทษที่ไม่บอกอะไรคุณภูเลย...ที่จริง ป้าก็เป็นห่วงคุณนะคะ”เธอเอ่ย บอกเขาด้วยสายตาละอายแก่ใจ ลุงชมเดินไปหาอินทนิลเหมือนจะพาเด็กหนุ่มออกไปด้านนอก เจ้าตัวมองเขาไม่ละสายตา

“ไปก่อนนะ”อินทนิลเอ่ยเบาๆ ชายหนุ่มไม่แสดงความรู้สึกอะไรออกมา เขามองหน้าลุงชมที่เหมือนจะทำอะไรไม่ถูก

“ผมเล่าความฝันให้ป้าฟังได้ไหมครับ...”

ภูวรินทร์เอ่ยออกไปเบาๆ ในใจหวนคิดไปถึงสิ่งต่างที่เกิดขึ้นภายในสัปดาห์นี้ เขาคงต้องติดอยู่ที่นี่ไม่อีกหลายสัปดาห์แต่ความกลัวของเขากำลังชัดเจนขึ้น กลัวว่าจะไม่ได้ออกจากบ้านหลังนี้ไปอีก...เขาแน่ใจว่าอะไรบางอย่างฉุดรั้งไม่ให้เขาจากไป คุณแก้ว...เจ้าของบ้านคนเก่าเป็น‘ท่าน’ที่อินทนิลเอ่ยถึง

หมายความว่าอินทนิลเคยเจอท่านมาก่อน หรือเป็นอะไรกันแน่ เพราะอะไรล่ะ ถึงต้องเหนี่ยงรั้งเอาไว้ หรือเป็นเพราะสิ่งลี้ลับที่ดลใจเขาให้ซื้อบ้านหลังนี้ไว้ในครอบครอง แต่ชายหนุ่มมั่นใจว่าตนเองไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับคนบ้านนี้มาก่อน

ทว่าภูวรินทร์ยังจดจำความรู้สึกสุดท้ายได้ดี...ความรู้สึกผิด
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-03-2018 01:46:28 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ ศตรัศมี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ๒ ] ๑๗.๑๑.๑๗
«ตอบ #15 เมื่อ17-11-2017 01:14:21 »

หลอนจริงๆ อ่านนิยายเรื่องนี้ตอนตีหนึ่งกับบรรยากาศที่บ้านของเราที่ต่างจังหวัดอันเงียบสงัด แถมด้วยกำลังอ่านตอนที่พีคสุดๆมีเสียงลากโซ่นู่นนี่นั่นต่างๆนานา แมวที่เราเลี้ยงดันกระโดดขึ้นมาบนเตียงพอดี ถึงกับสะดุ้งเลยทีเดียว

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ๒ ] ๑๗.๑๑.๑๗
«ตอบ #16 เมื่อ17-11-2017 01:49:53 »

หลอนจริง และดันเปิดอ่านตอนตีหนึ่ง เปิดไฟนอนไปจ้าคืนนี้

ออฟไลน์ พันธุ์ไทย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ๒ ] ๑๗.๑๑.๑๗
«ตอบ #17 เมื่อ17-11-2017 07:31:57 »

ตื่นมาอ่านตอนเช้า หลอนดี ภูคงจะเป็นคุณอามาเกิดชาตินี้ใช่ป่าวรึจะเป็นลูกหลาน :ling3:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-11-2017 07:39:25 โดย พันธุ์ไทย »

ออฟไลน์ wwss2220

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 58
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ๒ ] ๑๗.๑๑.๑๗
«ตอบ #18 เมื่อ17-11-2017 22:15:07 »

อ่านไปอืดอัดไปมาก
หลอนๆ
เขียนได้ดีมากคะ ตื้นเต้นตลอดเวลา

ออฟไลน์ @Sister

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ๒ ] ๑๗.๑๑.๑๗
«ตอบ #19 เมื่อ20-11-2017 11:08:46 »

หลอนอยู่นะ  :ling3:
สรุปภูเป็นคุณอากลับชาติมากเกิดสินะ??

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ๒ ] ๑๗.๑๑.๑๗
« ตอบ #19 เมื่อ: 20-11-2017 11:08:46 »





ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1001
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ๒ ] ๑๗.๑๑.๑๗
«ตอบ #20 เมื่อ20-11-2017 11:50:39 »

บวกเป็ดให้คนแรก  o13

อ่านชื่แล้วน่าอ่าน มาอ่านก็ติดเลย

รอ ๆ ๆ  :L1: :pig4:

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ๒ ] ๑๗.๑๑.๑๗
«ตอบ #21 เมื่อ20-11-2017 17:21:33 »

ทั้งลุ้นทั้งหลอน โอยยยย

ออฟไลน์ เป็ดอนุบาล

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ๒ ] ๑๗.๑๑.๑๗
«ตอบ #22 เมื่อ20-11-2017 23:26:02 »

      เราเห็นชื่อเรื่องเเล้วสนใจเลยเข้ามาอ่านค่ะสนุกนะค่ะเเละลุ้นไปด้วย
ถ้าเราเดาไม่ผิดภูวรินทร์คืออาที่คุณแก้วรักในชาติที่แล้วกลับชาติมาเกิดใช่ไหมค่ะ
ส่วนคุณแก้วคือวิญญาณที่ยังไม่ได้ไปไหนส่วนอินทนิลแค่เด็กที่หน้าคล้ายคุณแก้ว
และคล้ายๆจะเป็นตัวกลางที่คุณแก้วให้สื่อสารกับภูวรินทร์
สนุกมากนะค่ะและก็ลงตอนยายดีรออ่านนะค่ะหวังว่าจะไม่ดราม่านะค่ะ :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ๒ ] ๑๗.๑๑.๑๗
«ตอบ #23 เมื่อ23-11-2017 13:29:00 »

เป็นแนวหลอนที่น่าติดตามมาก นี่คิดว่าพระเอกน่าจะเป็นคุณอากลับชาติมาเกิดอะ และอินกับแก้วน่าจะมีความเกี่ยวพันกันแต่ก็ไม่รู้ว่าในแง่ไหน เพราะถ้าบอกว่าแก้วกลับชาติมาเกิดเป็นอินท์พระเอกก็ไม่น่าจะฝันร้ายแบบนี้นะ เหมือนอินท์เป็นร่างทรงให้แก้วยังไงก็ไม่รู้สิ คงต้องรอติดตามตอนต่อไป

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
(ครึ่งแรก)
ตอนที่ 3 ครั้งอดีต...มีสองอาหลาน

เริ่มต้นวันใหม่หลังจากที่ตื่นจากฝันร้าย ลุงชมยังคงดูแลคนงานมาซ่อมแซมเรือนกระจกหลังบ้านตั้งแต่เช้าตรู่ บริเวณบ้านจึงไม่เงียบสงัด มีเสียงคนงานพูดคุย และเสียงเครื่องจักรทำงานให้ได้ยิน ภายในห้องอาหาร ภูวรินทร์กินอะไรไม่ลงเท่าไหร่ แม้ถ้วยข้าวต้มเบื้องหน้านั้นดูน่าทานเพียงใดก็ตาม 

บนโต๊ะอาหารวันนี้ไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว อินทนิลนั่งทานข้าวต้มอยู่เก้าอี้ถัดจากเขา ส่วนป้าษอรก็ทยอยเสิร์ฟลอดช่องให้เขา อันที่จริงเขาไม่มีกะจิตกะใจทานข้างหวานต่อหรอก อินทนิลยิ้มให้เขาแล้วลุกออกจากโต๊ะ “เดี๋ยวอินน์ไปเอารูปมาให้ดู”เด็กหนุ่มพูดแล้วเดินหายไปทางประตูห้องครัว ภูวรินทร์สังหรณ์ใจพิกล เขามีธงคำตอบในใจว่าเรื่องนี้อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง โดยเฉพาะชื่อของท่านอาคนรักของคุณแก้ว...นรินทร์ ฟังดูคล้ายชื่อของเขา

“ตกลงเรื่องมันเป็นมายังไงกันครับ”ชายหนุ่มเอ่ยถาม เขาเลื่อนถ้วยข้าวต้มออกห่างจากตัว มองไปยังป้าษอรที่ถอดผ้ากันเปื้อนออกแล้วเดินมาที่โต๊ะก่อนจะเลื่อนเก้าอี้นั่งลงตรงหน้าเขา เธอมีสีหน้าไม่สบายใจนัก
“ที่ป้าไม่ได้เล่าเรื่องเก่าๆให้คุณฟัง ไม่ใช่ว่าอยากปิดบังหรือไม่เคารพคุณภูเลยนะคะ แต่ป้าไม่อยากให้คุณไม่สบายใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น”ป้าษอรเอ่ยขึ้น เธอรวมมือเข้าหากันวางบนโต๊ะอย่างเป็นกังวล แววตาของผู้ที่เห็นเรื่องราวมามากจ้องมองเขาคล้ายทดท้อใจ
“มีอะไรที่ผมต้องรู้เหรอครับ”เขาเอ่ยถาม
“คุณภูอาจจะทราบอยู่ลึกๆอยู่แล้วนะคะว่าคุณคล้ายเจ้าของบ้านคนก่อนมาก...ตอนที่ป้าเจอคุณทีแรก ป้าก็อดแปลกใจไม่ได้...เพราะคนสืบสกุลภิรมย์สุขบางคนก็ผ่าเหล่าผ่าก่อมาเยอะ ไม่คล้ายบรรพบุรุษนัก...”ป้าษอรเล่า ระหว่างนั้นได้ยินเสียงเดินของอินทนิล จังหวะก้าวเท่าๆกันพร้อมเสียงของกำไลข้อเท้า เด็กหนุ่มเดินถืออัลบั้มรูปปกหนังสีนำตาลเข้มเก่าๆอยู่ในมือ และช่อดอกแก้วที่วางอยู่เหนืออัลบั้มรูปด้วย ภูวรินทร์เหลือบมองด้วยความไม่สบายใจ

“จะบอกว่าเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นเพียงเพราะผมหน้าเหมือนเจ้าของบ้านคนก่อนงั้นเหรอครับ”เขาเอ่ยอย่างคืบแคลงใจ อันที่จริง เจ้าของบ้านคนล่าสุดนั้นคงเป็นท่านอาคนนั้นแน่ๆ เป็นเหตุผลง่ายๆที่เขาฝันร้ายถึงคุณแก้วผู้น่าสงสารคนนั้น อินทนิลเดินมานั่งข้างๆเขาตามเดิม ก่อนจะวางอัลบั้มรูปตรงหน้าเขาช้าๆ เด็กหนุ่มยังคงถือดอกแก้วในมือราวกับว่ามันเป็นสิ่งล้ำค่า ภูวรินทร์ก้มมองหน้าปกอัลบั้มรูปเก่าเปื้อนคราบฝุ่นที่สลักชื่อสกุลไว้เหลือตัวอักษรจางๆ ขนาดอัลบั้มรูปใหญ่กว่ากระดาษเอสี่อยู่บ้าง ขอบกระดาษเปื่อยยุ่ยเล็กน้อย

“อินน์เคยเห็นมาก่อน...ท่านอานรินทร์น่ะ คุณช่างเหมือนท่านจริงๆนะ นึกว่าคนเดียวกันซะอีก ตกใจแทบแย่”อินทนิลเอ่ยพูด ขณะนั้นก็ยื่นจมูกดอมดมกับช่อดอกแก้วที่เพิ่งเด็ดออกมาใหม่ๆ ภาพนั้นดูน่ามอง ชายหนุ่มละสายตาออกจากเด็กหนุ่ม เขาไม่รอช้าเปิดไปที่หน้าแรก รูปถ่ายขาวดำปรากฏให้เห็น ให้ความขึงขังอย่างประหลาด ในหน้าแรกๆเป็นรูปคนแก่ ถือไม้เท้านั่งอยู่บนโซฟาท่วงท่าสง่างาม

“นั่นคือท่านประดิษฐ์ค่ะ คุณพ่อของคุณแก้ว ส่วนข้างๆนั่นก็เป็นภรรยาของท่าน”ป้าษอรเอ่ยขึ้นเมื่อเขาไล่สายตามองไปตามหน้ากระดาษสีน้ำตาลไหม้ หากเปิดแรงเกรงว่าหน้ากระดาษจะหลุดออกได้ เขาเปิดไปเรื่อยๆจนมาสะดุดที่หน้ากระดาษที่เหมือนถูกเปิดดูบ่อยที่สุด คือรูปภาพเล็กๆแสดงผังสกุลภิรมย์สุข เนื่องจากเป็นผังแสดงเครือญาติจึงกินกระดาษไปสองหน้าติดกัน

“ผังนี้แสดงเฉพาะญาติสายตรงเท่านั้นค่ะ ไม่นับพวกที่แต่งเข้ามาใหม่...”เสียงของป้าษอรแทรกเข้ามาเรื่อยๆ เขาไล่สายตาไปที่แถวบนสุด ก่อนจะมองเส้นเล็กๆที่โยงถึงลูกชายคนแรกและหยุดอยู่ที่คุณแก้ว ถัดจากนั้นเป็นรูปเก่าซีดจางจนแทบมองไม่เห็นใบหน้า มีหมึกสีดำเขียนข้างใต้ว่า
 ‘นรินทร์ ภิรมย์สุข พ.ศ.2445-2486’ ชายหนุ่มหนาวไปทั้งใจ ชื่อคล้ายกันจริงๆด้วย ท่านอาคนนี้เป็นของน้องชายท่านประดิษฐ์

อินทนิลเอนตัวมากระซิบกับเขา “ลองดูหน้าอื่นสิ คุณเหมือนท่านอาเลย”อินทนิลมองเขา

ชายหนุ่มพลิกไปอีกหน้า มีรูปคู่ ของสามพี่น้อง ชายหนุ่มมองเด็กหนุ่มในรูปที่ยืนอยู่ข้างๆต้นแก้ว แม้จะเป็นภาพขาวดำแต่ใบหน้าตานั้นถอดแบบมาจากอินทนิลไม่มีผิด ไม่สิ พูดให้ถูก คุณแก้ว ลูกชายคนเล็กคนนี้ใบหน้าอ่อนโยน มองดูก็รู้ว่าเป็นคนจิตใจดี ในรูปอายุคงไม่เกินสิบแปดปี ใบหน้าอ่อนเยาว์ ข้างใต้รูปสลักชื่อ กรินทร์ ภิรมย์สุข พ.ศ. 2460-2483’ กำกับอยู่ หากบอกว่าเป็นพี่น้องกันกับอินทนิลเขาก็เชื่อสนิทใจ ภูวรินทร์มองป้าษอร เธอยิ้มบางๆให้เขา 

“นั่นคุณแก้วค่ะ คุณคงทราบแล้วว่าท่านเสียไปนานมาก ป้าเองก็เคยได้ยินแต่ชื่อ เห็นแต่รูปเท่านั้นเอง”เธอบอก ชายหนุ่มพยักหน้าเบาๆ สายตามองไปที่คุณแก้วอีกครั้ง ก่อนจะหันไปมองอินทนิลบ้าง ลักษณะบางอย่างไม่คล้ายกันบางส่วนแต่โครงหน้ารวมๆแล้วก็ใกล้เคียงกัน อินทนิลเหยียดยิ้ม มองตอบเขาด้วยแววตามีชีวิตชีวา สดใสเหมือนเช่นเด็กหนุ่มทั่วไป

“ทำไมอินทนิลถึงหน้าเหมือนคุณแก้วเลยล่ะครับ”ชายหนุ่มถามป้าษอร เธอถอนหายใจยาวแล้วส่ายศีรษะ
“ป้าก็สงสัย ตอนแรกพวกเราก็ตกใจกันมากคิดว่าเป็นคุณแก้วกลับชาติมาเกิดใหม่ซะอีก แต่ก็ไม่ใช่ เพราะนอกจากหน้าตาแล้วไม่มีอะไรคล้ายคุณแก้วเลย แม่ของเจ้าอินน์ก็เสียไปนานแล้ว ป้าเลี้ยงอินน์มากับมือ คิดว่าเจ้าเด็กคนนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคุณแก้วแน่ๆ...”เธอเหลือบมองไปที่อินทนิลด้วยสายตาอ่อนโยนลง แต่ก็มีบางอย่างที่สะกิดใจเขาอยู่ดี แต่เขาไม่ได้พูดออกไป กลับกันเขาคิดว่าอินทนิลคล้ายคุณแก้วมากเลยล่ะ แม้จะไม่เคยรู้จักกับคุณแก้ว แต่เท่าที่สังเกต อินทนิลสามารถเชื่อมต่อกับคุณแก้วได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แสดงว่าต้องมีอะไรคล้ายๆกันสิ ถ้านอกจากใบหน้า
ความจริงนี้สร้างความหนักใจให้แก่เขาไม่น้อย เขาไม่เคยเชื่อเรื่องภพชาติ กับท่านอานรินทร์คนนั้น ยังไงก็ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเขา มันมีหลักฐานอะไรนอกจากความเชื่อส่วนตัวว่าเขาอาจเป็นคุณอากลับชาติมาเกิดงั้นหรือ แต่เพราะใบหน้าต่างเหมือนคนในอดีตแบบนั้น เป็นใครก็อดคิดไม่ได้จริงๆ ลึกๆแล้วเขากลัวต่างหาก... เขายังจำฝันเมื่อคืนได้ดี หากว่าต้องไปติดอยู่ในเรือนปั้นหยาหลังนั้นอีกล่ะก็... เขาทนไม่ไหวแน่ บ้านหลังนั้นเขาไม่ถูกโฉลกด้วยจริงๆ
“คุณแก้วเขาตายที่ไหนหรือครับ”ภูวรินทร์เอ่ย ป้าษอรมองเขาด้วยแววตาเรียบนิ่งเงียบอยู่นานก่อนจะขยับปากพูด “ก็เสียที่เรือนข้างๆนั่นแหละค่ะ...”
“แล้วสาเหตุการตายล่ะครับ”ชายหนุ่มถามต่อ อินทนิลนั่งตัวตรง เหมือนอัดอัด ดอกแก้วในมือถูกกำแน่นจนยับย่น เขามองอยู่เงียบๆ แล้วหันไปสนใจป้าษอรอีกครั้ง เธอมองเขาอยู่อึดใจเดียว

“คงเพราะตรอมใจตายมั้งคะ...ป้าเองก็ไม่รู้แน่ชัด ฟังมาปากต่อปาก พูดกันไปคนละอย่าง อีกคนก็บอกว่าถูกขังจนตายไปเอง...ไม่ก็ถูกฆ่าตาย”เธอเอ่ยน้ำเสียงไม่มั่นคง ชายหนุ่มนิ่งฟังอย่างไม่เข้าใจนัก นึกถึงเรื่องที่อินทนิลเล่าเมื่อคืน เด็กหนุ่มก็ไม่ได้บอกว่าตายด้วยสาเหตุอะไร 
“งั้นเหรอครับ...แล้วท่านอาล่ะ ตายปริศนาหรือเปล่าครับ”ภูวรินทร์เอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ ถึงบรรยากาศในห้องอาหารจะอึดอัดไปบ้าง แต่เขาก็อยากหัวเราะออกมาเช่นกัน เรื่องเล่าผ่านมาเกือบเจ็ดสิบปี คงผ่านการแต่งเติมมาไม่น้อย 

“โดนฆ่าตายไง”อินทนิลเอ่ยแทนป้าษอร อีกฝ่ายเอนตัวมาหาเขา แววตาสีนิลสั่นไหวสะท้อนเงาหน้าของชายหนุ่มที่อยู่ไม่ห่างกัน เขาไม่ปักใจเชื่อเท่าไหร่ แต่หมื่นนรินทร์คนนี้อาจไม่ตายดีก็เป็นได้ ป้าษอรเธอส่ายศีรษะไปมา

“ท่านตายเพราะหัวใจวายค่ะ แกก็ไม่ใช่คนหนุ่มแล้ว คงไม่แปลกอะไรหรอกค่ะ”ป้าษอรบอก ภูวรินทร์เงียบ แค่เปิดไปดูรูปอื่นๆในหน้าถัดไป มีรูปคู่กันของคุณแก้วและหมื่นนรินทร์ เขาเห็นว่าท่านอาคนนี้เลี้ยงดูคุณแก้วมาตั้งแต่เล็กๆ
 
“จริงๆแล้วทั้งสองท่านสนิทกันนะคะ เพราะหมื่นนรินทร์เห็นคุณแก้วมาตั้งแต่เล็กๆ...ป้าก็ไม่รู้เรื่องราวสมัยนั้นมากหรอกค่ะ แต่ใครๆก็บอกว่าคุณแก้วชอบพอหมื่นนรินทร์มาก เพราะคอยอยู่เล่นกับคุณแก้วที่เรือนเล็กบ่อยๆ จนมาห่างกันช่วงที่เปลี่ยนการปกครอง ท่านหมื่นเข้าไปอยู่ที่บางกอกอยู่หลายเดือน พอกลับมาก็พาผู้หญิงมาด้วย”เสียงป้าษอรดังอยู่เรื่อยๆ

 เขาเปิดไปจนถึงรูปของหมื่นนรินทร์กับหญิงสาวคนหนึ่ง ใบหน้าซีดจางจนมองไม่เห็นว่าใบหน้าเป็นอย่างไร แต่เส้นผมหยิกเป็นลอนเล็กๆยาวถึงไหล่คงมัดใจท่านอาคนนี้ได้

“จริงๆแล้ว ท่านหมื่นกับคุณแก้วรักกันหรือเปล่าครับ”

“สำหรับหมื่นนรินทร์ป้าไม่แน่ใจ แต่คุณแก้วคงรักมากนั่นแหละค่ะ”ป้าษอรตอบ เขาเงียบ ก่อนจะปิดอัลบั้มรูป ไม่อยากให้ภาพพวกนี้ติดตาเขามากนัก บางที เรื่องที่อินทนิลหรือป้าษอรได้ยินมาอาจไม่ใช่ความจริงทั้งหมดก็ได้ ทุกอย่างอาจถูกลบเลือน ผันเปลี่ยนไปตามกาลเวลา 
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับดอกแก้วไหมครับ”ชายหนุ่มพึมพำ หันไปมองเด็กหนุ่มข้างๆตัวที่กำลังเด็ดกลีบดอกแก้วเล่นอย่างเหม่อลอย แววตาคู่นั้นจับจ้องอยู่ที่ดอกแก้วตรงหน้าแต่เหมือนจดจ่ออยู่กับการกระทำนั้น ป้าษอรมองหลานชายก่อนจะพึมพำเสียงเบา
 “ตอนป้ามาทำงานที่นี่วันแรก ก็เห็นต้นแก้วก็ปลูกอยู่เต็มบ้านแล้วค่ะ”
“คุณแก้วท่านชอบมาก”อยู่ๆอินทนิลเอ่ยขึ้นมา อีกฝ่ายเงยหน้ามองเขา ช่อดอกแก้วในมือหลงเหลืออยู่ดอกเดียว เป็นดอกที่สวยที่สุดในกิ่งนั้น เด็กหนุ่มหมุนมันไปมาๆ ชายหนุ่มถอนหายใจ การกระทำของอินทนิลทำให้เขาประสาทพอๆกับการฝันร้าย
 “แล้วป้าเชื่อเรื่องบ้านผีสิงไหมครับ เรื่องวิญญาณที่ยังไม่จากไปไหน”ภูวรินทร์พูดถึงเรื่องผีสางเป็นครั้งแรก เขาทำใจยอมรับตั้งแต่เมื่อตอนที่ตื่นจากฝันแล้ว อินทนิลเม้มปากแน่น มองเขาด้วยสายตาเป็นห่วง คิ้วดกดำขมวดเข้าหากันอยู่ตลอด ดูเหมือนเจ้าตัวหันมาสนใจประเด็นนี้ ไม่เหม่อลอยอีก ป้าษอรเงียบ
“คุณภูฝันว่าอะไรเหรอคะ”

“ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ ผมก็ฝันร้ายตลอด ในฝันผมเห็นอินทนิล ไม่แน่อาจเป็นคุณแก้วก็ได้ ไม่รู้สิครับ แค่มาปรากฏในความฝันเหมือนมาหา อยากจะบอกอะไรสักอย่างแต่เป็นภาพที่ไม่น่าจดจำเท่าไหร่ ผมคงไม่วิตกจริตกลัวบ้านหลังนี้แล้วเอามาฝันเองหรอกมั้งครับ...เมื่อคืนผมไปติดอยู่ในเรือนเก่าข้างๆนั่น แล้วก็เห็นคุณแก้วโดนล่ามโซ่อยู่ในนั้น...”ชายหนุ่มเล่าด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา หวนคิดถึงความกลัวของตนเองในฝันนั้น เป็นความกลัวที่สัมผัสได้จริง และน้ำเสียงของคุณแก้วยังคงก้องอยู่ในหัว
 
“...คงเพราะคุณคล้ายท่านหมื่นมาก คุณอาจสัมผัสถึงสิ่งลี้ลับได้”

 “แต่ผมไม่ได้มีอะไรเกี่ยวกับคนบ้านนี้เลย”ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเอง เพราะฝันร้ายเมื่อคืนยังหลอกหลอนเขา คุณแก้วดูเหมือนเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นท่านอาของตน แต่เขาไม่ใช่...เป็นแค่ความบังเอิญ ในโลกนี้มีคนหน้าตาคล้ายกันตั้งมาก แบบไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกัน ...เขาเชื่อแบบนี้ได้หรือไม่นะ
“แต่คุณก็ซื้อบ้านหลังนี้ไว้ด้วยความรู้สึกที่ยากอธิบายใช่ไหมล่ะคะ”
“มันก็ใช่...”

“บางที คุณอาจจะเคยมีเวรกรรมกับคุณแก้วก็ได้”ป้าษอรเอ่ยน้ำเสียงจริงจัง ใบหน้าเคร่งขรึมทำให้เขาคล้อยตามได้ไม่ยากนัก ชายหนุ่มอัดอั้นอยู่ในใจอย่างบอกไม่ถูก ถึงจะบอกว่าอย่างนั้นก็เถอะ
“ผมคงต้องเชื่อแบบนั้น”ภูวรินทร์หัวเราะอย่างไร้อารมณ์ขัน “อีกอย่างคือผมอยากกลับบ้าน”ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น เป็นอีกครั้งที่ภายในห้องอาหารสร้างความอึดอัดมากยิ่งขึ้น ป้าษอรมองเขาก่อนจะส่ายหน้า

“กลับไม่ได้...”อินทนิลพูดขึ้น ดวงหน้านั้นนิ่งขึงไป เจ้าตัววางดอกแก้วลง ขยับตัวหันมาทางเขา ภูวรินทร์หันไปมองป้าษอรอีกครั้ง  “ทำไมล่ะ”
“เมื่อคืน อินน์เตือนแล้วนะ”อินทนิลพูดไม่ละสายตาไปจากเขา เป็นอีกครั้งที่เขาต้องเบือนหน้าหนีอีกฝ่ายไปเอง ป้าษอรมองหลานชายอย่างหวั่นเกรง ก่อนจะมองเขาอย่างเห็นใจเป็นสายตาที่เขาไม่ชอบเลย

“ป้าเองก็ทำอะไรไม่ได้ ตอนนี้รถไฟยังปรับปรุงอยู่ แล้วคลื่นโทรศัพท์ก็ขัดข้อง ต้องรอแก้ไขอีกหลายวัน”เธอพูด ทำเอาเขาเหมือนตกอยู่ในก้นเหวที่ไร้แสงสว่างและไร้ทางขึ้นไปด้านบน

“ผมนี่มันดวงซวยจังนะ”ภูวรินทร์เอ่ยอย่างตัดพ้อต่อโชคชะตาของตัวเอง ‘คุณแก้ว’ไม่อยากให้เขาจากไปไหน...หมายถึงอยากให้เขาอยู่ที่บ้านหลังนี้ไปตลอดน่ะเหรอ เป็นไปไม่ได้หรอก

หลังจากพูดคุยกับป้าษอรจนเขาเริ่มเอียนกับเรื่องนี้เต็มทน ชายหนุ่มออกมาเดินเล่นในสวนให้คลายความกังวลออกไป เดินเรื่อยๆจนมาถึงใจกลางลานบ่อน้ำพุ เขายังไม่รู้เลยว่าพุ่มดอกไม้ที่ปลูกรอบๆบ่อน้ำพุคือดอกอะไร เสียงตกกระทบของน้ำที่ไหลจากโถในอ้อกอกของเทวดาทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายขึ้น เขายื่นมือไปสัมผัสมวลน้ำที่ไหลตกไปยังฐานน้ำพุ น้ำเย็นซึมสัมผัสฝ่ามือ

อากาศรอบกายภายใต้หมู่ใบไม้เขียวขจี เย็นสบายกว่าบริเวณอื่น สองหูได้ยินเสียงก้าวเดินเป็นจังหวะ พร้อมกับเสียงกระทบกันของขอบแก้ว ชายหนุ่มหันไปมอง อินทนิลกำลังเดินช้าๆในมือถือถาดน้ำชามาด้วย คงเพราะน้ำหนักจากถาดที่ถืออยู่ทำให้เด็กหนุ่มก้าวได้ช้าลง เจ้าตัวเดินมาหาเขา ใบหน้ายิ้มแย้มกว่าที่เคย

“น้ำชาครับ”อินทนิลเอ่ยก่อนจะนำถาดน้ำชากับขนมคุกกี้ไปวางที่โต๊ะกลมที่อยู่ชิดลานน้ำพุ ไม่ห่างจากบ่อน้ำพุนัก ภูวรินทร์สะบัดมือให้แห้งก่อนจะเดินไปหาเด็กหนุ่มที่โต๊ะ เขานั่งลงช้าๆก่อนจะมองเด็กอินน์ที่ยืนนิ่ง ไม่สวมรองเท้าเช่นเดิม บนพื้นหินกรวดแบบนี้ อีกฝ่ายไม่เจ็บเท้าหรือไงกัน
“นั่งก่อนสิ ไม่ต้องยืนหรอก”เขาบอก ก่อนจะหยิบกาน้ำชาร้อนมารินใส่แก้ว ไอร้อนปะทะออกจนขึ้นฝ้าบริเวณขอบแก้ว อินทนิลส่ายหน้า แต่ภูวรินทร์ไม่ยอม เขารินน้ำชาให้อีกฝ่าย แล้วเลื่อนถ้วยน้ำชาไปให้ พร้อมกับจานคุกกี้ด้วย อินทนิลเหลือบมองเขาก่อนจะค่อยๆเลื่อนเก้าอี้ออกแล้วนั่งลงเบาๆ

“ขอบคุณครับ”อินทนิลเอ่ย ดวงตาสีนิลมองเขาอย่างชอบใจชัดเจน ใบหน้านั้นมีรอยยิ้มมุมปากให้เห็น

“เมื่อคืน เธออยู่กับฉันใช่ไหม”ชายหนุ่มเอ่ยทันที เมื่อครู่ก่อนมีป้าษอรอยู่ด้วย ทำให้เขาไม่สะดวกจะคุยกับอินทนิล เหมือนอีกฝ่ายเลือกเวลาได้เหมาะเจาะ เจ้าตัวอาจทำสนิทสนมกับเขาเอง โดยการยกถาดน้ำชามาให้ เขามั่นใจว่าป้าษอรไม่ได้สั่ง
“ก็ไม่เชิงครับ”อินทนิลไม่แตะน้ำชา แต่หยิบคุกกี้เข้าปากแทน อีกฝ่ายพูดโดยไม่สนใจเขา ภูวรินทร์เบนสายตาไปมองน้ำพุแทน

“เมื่อคืนเธอทำให้ฉันกลัวนะ”ชายหนุ่มบอกไปตามตรง การที่อีกฝ่ายเข้าออกบ้านในยามดึกโดยไม่บอกกล่าวก่อนนั้นมันทำให้เขาวิตกไปด้วย อีกอย่างทำไมอินทนิลไม่ขอเขาก่อน ถ้าขอเขาก็อนุญาตอยู่แล้ว บ้านหลังนี้มีห้องตั้งมากมาย เขายังเดินสำรวจไม่หมดเลยด้วยซ้ำ แทบไม่เสียเวลาไปสำรวจชั้นบนเลยมากกว่า 

“อินน์ไม่ทำร้ายคุณหรอก ไม่มีใครทั้งนั้น”อินทนิลเอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยน เพราะว่ายังเป็นเพียงเด็ก อีกฝ่ายก็ไม่เคยเกรี้ยวโกรธใส่เขา ยกเว้นเมื่อคืนที่มีท่าทีไม่ยอมลดราวาศอก
“ฉันแค่สงสัยว่าคืนนี้จะฝันร้ายหรือเปล่า”เขาไหวไหล่ พยายามไม่ทำตัวเคร่งเครียดมากกว่าที่เคย เขารู้สึกว่าอินทนิลมองตนเองอยู่ แทบจ้องตาไม่กระพริบ
“ให้อินน์อยู่เป็นเพื่อนคุณเอาไหมครับ”เด็กหนุ่มค่อยๆเอ่ยบอก ท่าทางเหมือนหวังดี แต่เขาได้ยินกลับหัวเราะเบาๆ ก่อนจะมองอินทนิลที่ท่าทางกังวลใจ
“แบบนั้นแย่กว่า”ชายหนุ่มยิ้ม อินทนิลคลายคิ้วออกจากจากัน ใบหน้าเหมือนยิ้มไม่ออก เด็กหนุ่มกัดปากเหลือบมองเขาคล้ายกับลังเล
“เชื่อเถอะ คุณจะไม่ฝันร้ายแน่ๆ...ถ้าหากไม่จากไป”อินทนิลลุกขึ้นยืน ขยับเดินมาหาเขา ใบหน้าดูซีดเซียวอยู่บ้าง เขามองอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ แววตาสีนิลที่ไม่มั่นคงนัก
“จะให้ฉันติดอยู่ที่นี่น่ะเหรอ...ฉันมีงานต้องทำนะ”ภูวรินทร์ส่ายหน้าก่อนจะยกแก้วน้ำชามาดื่มแก้กระหาย เขาพูดออกไปแบบนั้นด้วยความไม่มั่นใจนัก เขาลังเลอยู่เช่นกัน แน่นอนว่าตนเองอยากออกไปจากที่นี่เต็มแก่ ถ้าหากว่ารถไฟกลับมาเดินรถตามปกติล่ะก็ เขาจะรีบเผ่นทันที แต่ทว่า...เขากลัว กล่าว่ามันจะไม่เป็นไปตามนั้นมากกว่า

“...เป็นสิ่งเดียวที่ช่วยคุณได้”เด็กหนุ่มพูดเบาๆ
“เธอ...สื่อสารกับคุณแก้วได้เหรอ”ภูวรินทร์ถาม อินทนิลเงียบไปก่อนจะขมวดคิ้ว เหมือนกำลังใคร่ครวญอะไรอยู่ เด็กหนุ่มก้มหน้าหลบตาเขาก่อนจะขยับเท้าข้างซ้ายที่มีกำไลสวมอยู่
“อืม บอกไม่ถูกนะครับ...มันเหมือนท่านอยู่กับอินน์ตลอด”อินทนิลเงยมองสบตาเขาระหว่างที่พูดทำเอาชายหนุ่มใจหายวาบไป เขาหวั่นใจต่ออินทนิลเป็นเรื่องที่ถูกแล้ว ชายหนุ่มคิดว่าอินทนิลไม่อยู่กับร้องกับรอยนัก มักเหม่ออยู่บ่อยๆ จ้องมองธาตุอากาศที่ว่างเปล่าอยู่หลายครั้ง

“...พูดจริงเหรอ”ภูวรินทร์ขยับไปใกล้ๆ มองเข้าไปในกระจกตาสีดำคู่นั้นอย่างจับสังเกต แก้วตาใสกระพริบเบาๆ เมื่อภูวรินทร์ขยับไปใกล้ สองมือกำแน่นก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงจริงจัง
“คุณอาจไม่เชื่อ แต่อินน์ไม่โกหก”เด็กหนุ่มจ้องเขาอย่างยึดมั่น ชายหนุ่มมองท่าทีของอีกฝ่ายไปด้วย ปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่าอินทนิลเกี่ยวข้องกับคุณแก้ว ภูวรินทร์อยากรู้เรื่องอีกมากมาย
“ทำไมคุณแก้วถึงไม่อยากให้ฉันจากไปล่ะ เธอรู้หรือเปล่า”เขาถาม อินทนิลนิ่วหน้าเม้มปาก ก่อนจะกระซิบเสียงเบา
“คุณอาจไม่เชื่อแต่ที่เรือนหลังนั้นเคยเป็นของท่านมาก่อน...นานมากเลยล่ะ เมื่อคืนกว่าอินน์จะปลุกคุณให้ตื่นก็ใช้เวลาตั้งนาน... ถ้าคุณจากไป ยังไงซะ คุณก็ต้องกลับมาที่นี่”ชายหนุ่มเงียบหลังจากที่ฟังเด็กหนุ่มพูด อินทนิลก็ไม่บอกเขาตรงๆว่าเพราะอะไร รู้หรือไม่รู้กันแน่ 
“เมื่อคืนเป็นเธอใช่ไหม อินทนิลน่ะ”เขาถามอีกครั้ง
“อินน์ก็อยู่กับคุณตลอด แต่คุณสังเกตไหมล่ะครับ เวลากลางคืนดอกแก้วจะส่งกลิ่นรุนแรงกว่าตอนสว่าง... ก็คงคล้ายกับอินน์...”อินทนิลพึมพำ  ชายหนุ่มถอนหายใจอีกระลอก เขาลูบใบหน้าอย่างเหนื่อยล้า สรุปแล้วเวลากลางคืนเป็นของคุณแก้วจริงๆน่ะเหรอ

“ท่านไม่ทำร้ายคุณ เหมือนที่อินน์ก็ไม่ทำร้ายคุณนะ”อินทนิลยืนยันอีกครั้ง ภูวรินทร์มองคนตรงหน้าอยู่นาน เขาเชื่ออินทนิล มากกว่า...ผีของคุณแก้ว ถ้าไม่อยากทำร้ายเขาก็ไม่ควรทำให้กลัวไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมต้องหลอกหลอนเขาอยู่หลายครั้ง
“งั้นไม่เป็นอะไรใช่ไหม ถ้าเธอจะมานอนเป็นเพื่อนฉันน่ะ”ชายหนุ่มเอ่ยถาม อินทนิลผงกศีรษะเร็วๆ ก่อนจะเผยยิ้มจนเห็นฝันเรียงตัวสวย “เป็นเรื่องที่ดีครับ”เด็กหนุ่มตอบ
“ว่าแต่เธอมาที่นี่บ่อยไหม”ภูวรินทร์เปลี่ยนเรื่องสนทนา อินทนิลเหลียวมองไปรอบสวนก่อนจะยิ้มตอบ “ทุกวันหยุด ถ้าปิดเทอมก็จะมาอยู่ที่นี่กับษอร”
“แล้วเธอชอบบ้านหลังนี้ไหม”ภูวรินทร์เอ่ยช้าๆ มองอินทนิลอย่างใคร่รู้ สังเกตปฏิกิริยาของอีกฝ่ายไปด้วย เด็กหนุ่มผ่อนคลายขึ้น “ชอบครับ”

“แล้วเธอ...ปกติดีใช่ไหม”ชายหนุ่มย้อนถาม อินทนิลถึงกับหลุดหัวเราะน้ำเสียงขบขัน เจ้าตัวเบนหน้าออกไปยิ้มขำก่อนจะจ้องมองเขาด้วยแววตาสดใส
“ปกติสิครับ แต่มีบางอย่างที่อินน์ชอบทำ มันทำให้ถูกมองว่าประหลาด”เด็กหนุ่มพูดเสียงไม่มั่นใจ ร่างนั้นยืนนิ่งไม่สบตาเขา ภูวรินทร์กอดอกถามด้วยความอยากรู้ “อะไรล่ะ”
“อินน์ชอบละเมอ”เด็กหนุ่มพึมพำ ใบหน้าเหยเกเพราะไม่นึกชอบนัก
“ละเมองั้นเหรอ”ชายหนุ่มถาม เขาไม่แปลกใจเท่าไหร่ อินทนิลกำมือแน่นก่อนจะมองเขาเหมือนเศร้าใจ
“เดินละเมอตอนดึกน่ะครับ”อินทนิลพูดต่อ ภูวรินทร์นึกถึงคืนแรกที่มานอนบ้านหลังนี้ การเดินละเมอของอินน์อาจมีส่วนกับการที่คุณแก้วเชื่อมโยงด้วยหรือเปล่า

“...มันทำให้เธอกลัวหรือเปล่า”ชายหนุ่มถาม อินทนิลไหวไหล่เตะขาไปมาอย่างใจลอยแล้วส่ายหน้า “ไม่ครับ...แต่มันแปลก”
“ฉันว่าบ้านหลังนี้แปลกกว่าเธอนะ”ภูวรินทร์พูด ทำให้อินทนิลยิ้มออกมาได้ เขาเลิกคิดมากเรื่องผีสางของคุณแก้ว หรือความประหลาดของเด็กอินน์คนนี้ ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนก่อนจะชี้มือไปที่พุ่มดอกไม้สีม่วงอมฟ้าที่อยู่รอบบ่อน้ำพุ “รู้ไหมว่าดอกอะไร”

อินทนิลอมยิ้มก่อนจะเอ่ยเสียงแจ่มใส “ดอกเทียนหยดครับ มันออกดอกทั้งปีเลยครับ” ภูวรินทร์พยักหน้าก่อนจะเด็ดกิ่งของมันออกมา เขามองอยู่นาน “ฉันว่ามันสวยกว่าดอกแก้วนะ”ชายหนุ่มหันไปมองอินทนิลที่เดินมาข้างๆมองดอกเทียนหยด
“...แปลก นึกว่าคุณภูจะชอบดอกแก้วซะอีก”อินทนิลเอื้อมมือไปเกี่ยวรั้งกิ่งเทียนหยดไว้ ดอกไม้สีเข้มตัดกับผิวขาวของเด็กหนุ่มได้ดี

“ทำไมฉันต้องชอบล่ะ”ภูวรินทร์ถาม

“ท่านอาเป็นคนปลูกต้นแก้วให้ท่าน นึกว่าคุณจะชอบเหมือนกันซะอีก”อินทนิลเอียงหน้าเอ่ยถาม ทำเอาภูวรินทร์ถึงกับชะงักไป เขาฉุกคิด ที่เขาไม่ชอบดอกแก้วเพราะมันมาพร้อมกับความฝันร้ายต่างหาก ส่วนต้นแก้วบางส่วนในเรือนเพาะชำ เขายังเก็บมันไว้เช่นเดิม...นั่นพอจะบอกอะไรได้ไหม แต่จะให้เขาเชื่อจริงๆน่ะเหรอว่าตัวเขาคือหมื่นนรินทร์กลับชาติมาเกิด...มันเป็นไปได้หรือไงกัน...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-03-2018 01:57:30 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ @Sister

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

สรุปอินน์นี่เป็นแค่เด็กที่เป็นสื่อกลางของคุณแก้วอย่างเดียวหรือมีอะไรมากกว่านั้นไหม
ตอนนี้ภูน่าจะเป็นคุณอากลับชาติเกิดมาจริงนั่นแหละ ตอนนี้ไม่หลอน  :pig4:

ออฟไลน์ สาว801

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
รอตอนครึ่งหลังจ้ะ :pig4:

ออฟไลน์ Mod40

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ดีหน่อยไม่หลอนเท่าไหร่แล้ว  รอติดตามคับ :ling3:

ออฟไลน์ net. net_n2537

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 305
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
รอๆ อยากรู้เรื่ออินทนิลมากกว่านี้

ออฟไลน์ หมอตัวเปียก

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1874
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
เหมือนอินน์มีจิตของคุณแก้วอยู่ด้วย...คิดว่าคนที่ทำแบบนั้นกับคุณแก้วน่าจะเป็น ผญ ที่มากับท่านอารึเปล่า

แต่อ่านแล้วก็รู้สึกหลอน ๆ อิน ๆ ไปด้วยนะ

ปล. กลัวมากกว่าในเรื่องคือกลัวไม่ได้อ่านต่อ

ปล. 2 เทียนหยดต้องมีความเกี่ยวข้องแน่ ๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด