พิมพ์หน้านี้ - ❀ สาปดอกแก้ว ❀ จบแล้ว >> แจ้งข่าวเปิด Pre-Order 3 มิ.ย. ถึง 3 ก.ค 61 หน้า 9 <<

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: รินดาwดาริน ที่ 10-11-2017 02:50:52

หัวข้อ: ❀ สาปดอกแก้ว ❀ จบแล้ว >> แจ้งข่าวเปิด Pre-Order 3 มิ.ย. ถึง 3 ก.ค 61 หน้า 9 <<
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 10-11-2017 02:50:52
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************

### เรื่องย่อ


‘คุณสังเกตไหมล่ะครับ เวลากลางคืนดอกแก้วจะส่งกลิ่นรุนแรงกว่าตอนสว่าง ก็คงคล้ายกับอินน์…’

ถ้อยคำปริศนาจากปากของ ‘อินทนิล’ เด็กหนุ่มที่มีตัวตนอันลึกลับ ภูวรินทร์เข้าใจดีว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่อถึงเรื่องใด...

สองวิญญาณในหนึ่งร่างเด็กหนุ่มคนนั้น...

วิญญาณ...ของอดีตเจ้าของบ้านอย่าง ‘แก้ว ภิรมย์สุข’ ที่อาศัยร่างของอินทนิลวนเวียนด้วยใจยึดติดกับความหลังเมื่อครั้งอดีต

เรื่องราวลึกลับที่ตามหลอกหลอนภูวรินทร์ตั้งแต่ที่เขาตัดสินใจซื้อบ้านที่ตกทอดมาจากตระกูลผู้ดีเก่า บ้านหลังนั้นทำให้เขาเจอกับร่องรอยของอดีตเจ้าของบ้าน

ความรัก...และความชังของสองอาหลาน ‘แก้วและหมื่นนรินทร์’ ดึงดูดให้ภูวรินทร์ต้องสืบเสาะความจริงของเรื่องราวในอดีต

หนึ่งรักจากคนที่เฝ้ารอ...
อีกหนึ่งรักจากคนที่มีชีวิตเพื่อเขา…

ภูวรินทร์ต้องเลือกสิ่งใดเล่าถึงจะปลดพันธนาการที่เป็นเสมือนดั่งโซ่ตรวนคำสาปแช่งจองจำเขาไว้กับบ้านหลังนี้..

รายละเอียดการเปิดจอง

(https://www.uppic.org/image-4D88_5B12FB52.jpg) (https://www.uppic.org/share-4D88_5B12FB52.html)


เริ่มเปิดจอง ตั้งแต่ วันที่ 3 มิ.ย.2561 เวลา 09.00 น.

ปิดจองวันที่ 3 ก.ค.2561 และ เริ่มจัดส่งตั้งแต่ 31 ก.ค.2561 ค่ะ

ราคาเต็ม 399 ราคารอบจอง 359 (ไม่รวมค่าจัดส่ง)


ของแถม: ที่คั่นแม็กเน็ต/ ที่คั่น/ โปสการ์ด

กดสั่งจองได้ที่  คลิก >> จองสาปดอกแก้ว  (http://rakkunpublishing.lnwshop.com/product/65/pre-order%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%A7-%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A2-rindadarin)


**มี Promotion ONE DAY สั่งจองและชำระเงินภายในเที่ยงคืนวันที่
3 มิ.ย. จะจัดส่ง EMS ฟรีทุกออเดอร์ เฉพาะลูกค้าที่สั่งซื้อกับสนพ.รักคุณโดยตรงเท่านั้น
**



รายละเอียดเพิ่มเติม สำหรับโปรโมชั่นอื่นๆ ของ สนพ.ในรอบจอง
สามารถเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ >>>  คลิก FaceBook แฟนเพจของสนพ.รักคุณ  (https://www.facebook.com/RakKunPublishing/posts/1004940673007486) หรือ  เข้าไปที่ >> Website หลักของสนพ.รักคุณ  (http://rakkunpublishing.lnwshop.com/)

 :pig4:
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ อรัมภบท ] 10.11.17
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 10-11-2017 02:59:54


สาปดอกแก้ว
บทนำ


ภูวรินทร์รู้สึกเบื่อหน่ายระคนรำคาญใจขึ้นมาบ้างเมื่อได้ยินคำกล่าวเตือนของ โชติเพื่อนสนิทตั้งแต่เรียมหา’ลัย คอยพูดกรอกหูเขามาตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
“จะไปซื้อบ้านในที่กันดารแบบนั้นไปทำไมวะเพื่อน บ้านเก่าๆแบบนั้นมีอะไรดี”โชติมองเขาด้วยสายตาไม่เข้าใจราวกับว่าเห็นตนเป็นคนฟั่นเฟือน ชายร่างผอมในชุดเชิ้ตสีน้ำเงินมองภูวรินทร์ที่กำลังเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดินทาง ชายหนุ่มวัยยี่สิบแปดปีหลุดหัวเราะกับถ้อยคำของเพื่อนอย่างไม่ถือสา
“ก็เพราะว่าเป็นบ้านเก่าๆนั่นแหละ ถึงได้น่าสนใจ”ภูวรินทร์บอก ส่งยิ้มให้เพื่อนที่ยืนหน้าดำคล่ำเครียด เขาเช็คของส่วนตัวที่ต้องใช้ให้ครบ เขาไม่อยากถือสาเพื่อน เมื่อเขาตัดสินใจซื้อบ้านเก่าโบราณแบบร่วมสมัยผสมไม้สักสีขาว ที่เหมือนขายไม่ออกมาหลายปีในชนบทห่างไกลออกไปจากเมืองใหญ่เกือบร้อยกิโลฯ การสัญจรก็ไม่สะดวก ทำให้เขาต้องเตรียมตัวนั่งรถไฟเข้าไป
“แกไม่กลัวหรือไง”โชติเอ่ยเสียงขลาดเขลา ภูวรินทร์ส่ายศีรษะ รู้ดีแก่ใจว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยเตือนเรื่องอะไร
“กลัวอะไรล่ะ”ชายหนุ่มแกล้งถามซื่อ ทำเอาโชติมองเขาด้วยสายตาตำหนิ
“บ้านผีสิงไง”อีกฝ่ายกระแทกเสียงตอบ ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ
“ฮ่ะๆ นี่แกเชื่อเรื่องพวกนี้ด้วยเหรอ”เขาไม่เชื่อเรื่องผีสางอะไรแบบนั้น ถามว่าขี้ขลาดกับเรื่องพวกนี้หรือเปล่า เขาไม่กลัวผีสางหรอก แต่เขากลัวความมืดมากกว่า อ้อ อย่างที่ใครๆว่ากัน คนน่ากลัวว่าผีเสียอีก โชติส่ายหน้ามองเขาด้วยความระอา
“ก็ไม่ได้เชื่อ แต่แค่หวั่นๆไง...”โชติเอ่ยเสียงเบา ทอดถอนหายใจ เขาพอมองออกว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไร บ้านหลังเก่าที่เขาทุ่มซื้อไปนั้น อยู่ห่างไกลความเจริญ และสาธารณูปโภคดูจะยังไม่รองรับคนหนุ่มจากเมืองใหญ่เช่นเขา แต่ใช่ว่าเขาจะกลัวลำบาก ตอนตกลงราคา เขาเจอกับป้าษอร คนดูแลบ้านเก่าหลังนี้ เธอจะคอยอยู่ดูแลเขาในช่วงที่เขาไปสำรวจบ้านก่อนที่จะซ่อมแซมต่อเติม
“อย่าห่วงเลยน่า ฉันแค่ไปดูความเรียบร้อยเท่านั้นเอง ไม่ได้จะไปอยู่ที่นั่นซะหน่อย”ภูวรินทร์เอ่ย เขาแค่อยากหาบ้านดี ในสภาพแวดล้อมสบายใกล้ชิดธรรมชาติ เขาชอบสวนของบ้านเก่าหลังนั้นมาก มันสวยงามและร่มรื่นดี
“ระวังตัวด้วยล่ะ อย่าหาว่าฉันไม่เตือน”โชติเอ่ยเป็นครั้งสุดท้าย ชายหนุ่มยิ้มรับ แค่ฟังคำเตือนของเพื่อนอย่างไม่ใส่ใจ เพราะเขาตื่นเต้นอยากไปสัมผัสธรรมชาติที่บ้านต่างจังหวัดดูบ้าง



ภูวรินทร์เดินทางไปยังบ้านเก่าตกทอดมาตั้งแต่สมัย ต้น ร.5 เขาแปลกใจที่ลูกหลานของคนบ้านนี้ไม่รักษาของมีค่าไว้กับสกุล การเดินทางไปยังบ้านในหุบเขาแห่งนั้นต้องใช้รถไฟ ระหว่างสองข้างทางปรากฏทิวทัศน์ไม่คุ้นตา แมกไม้หายากซอมแซมตามทิวเขา อากาศเย็นชื้นจนเขารู้สึกไม่สบายตัวเท่าไหร่นัก หมู่บ้านที่ภูวรินทร์เดินทางไปเยือนนั้นเป็นป้ายสุดท้ายที่รถไฟขบวนนี้ลงจอด...


เขาเดินออกจากโบกี้รถไฟ เห็นมีผู้โดนสารสองสามคนลงบริเวณชานชาลาอันเงียบเหงาบางตา ชายหนุ่มหิ้วกระเป๋ามองหาผู้หญิงสูงวัยร่างท้วมในชุดแม่บ้านแบบเก่ากำลังยืนรอเขาอยู่ที่หน้าสถานีรถไฟเล็กๆ เธอขยับกายเข้ามาทางเขา เมื่อเห็นว่าตนเดินสาวเท้าฉับๆตรงไปหา
“สวัสดีค่ะ คุณภูวรินทร์”ป้าษอรยกมือไหว้ทักทายเขาเนื่องในฐานะเจ้านายคนใหม่ ชายหนุ่มผงกหัวรับก่อนจะยิ้มให้อีกฝ่าย
“สวัสดีครับ ป้าษอร รอนานหรือเปล่า”เขาเอ่ยถามไปตามมารยาท ก่อนจะเห็นว่ามีรถกระบะคันเก่ามาจอดเทียบรอแล้ว
“ไม่หรอกค่ะ ...ถือเป็นการออกมาเปิดหูเปิดตาบ้าง เชิญไปที่รถดีกว่าค่ะ จะได้ไม่ไปถึงบ้านตอนค่ำมืด”เธอเดินนำหน้าเขาไปยังรถกระบะคันดังกล่าว มีคนขับรถแก่ๆวัยไม่ห่างกันอาจเป็นสามีของเธอ ภูวรินทร์เหลือบมองรอบๆกาย แสงขอบฟ้ายามโพล้เพล้ชวนให้หวิวในใจ เขาไม่ได้คิดอะไรมาก เดินเข้าไปนั่งที่เบาะหลังเอ่ยทักทายคนขับรถไปด้วย
“สวัสดีครับ คุณภูวรินทร์ ลุงชื่อชม เป็นคนขับรถแล้วก็คนดูแลสวนที่บ้านครับ”ลุงชมเอ่ยทัก เขาพยักหน้ารับรู้ ลุงชมอยู่ในวัยหัวหงอก เส้นผมสีขาวเกือบครึ่งศีรษะ ใบหน้ามีร่องรอยแห่งกาลเวลา ผิวสีคล้ำแดดสวมเสื้อผ้าฝ้ายสีน้ำเงิน ป้าษอรหันมายิ้มใจดี
“เรียกผมว่าภูสั้นๆก็ได้ครับ”ชายหนุ่มบอก อย่างน้อยเขามาอยู่ที่นี่ปราณหนึ่งสัปดาห์
“ค่ะคุณภู สำหรับมื้อเย็นวันนี้ป้าทำมัสมั่นไก่กับแกงเทโพ คุณภูทานได้ใช่ไหมคะ”
“สบายมากครับ ผมทานง่ายอยู่ง่ายอยู่แล้วครับ”ภูวรินทร์เอ่ยบอก
ระหว่างทางที่ขับไปตามถนนเงียบๆ ไร้รถสวนทาง ทิศทัศน์สดชื่นของป่าไม้เขียวขจี สลับกับทิวเขาให้เห็นเป็นระยะ ที่นี่เหมือนเป็นเมืองลับแล บรรยากาศเย็นสบายเช่นนี้เล็ดลอดสายตาของนักท่องเที่ยวไปได้อย่างไร ที่นี่สมบูรณ์ไปด้วยอาการบริสุทธิ์ และต้นไม้นานาพันธุ์ ที่ขาดอาจจะเป็นเทคโนโลยี เช่นอินเตอร์เน็ต และร้านสะดวกซื้อ

ลุงชมขับรถขับเข้ามาเห็นแนวรั้วบ้านสูง ชายหนุ่มมองลอดหน้าต่างรถไปเห็นบ้านสีขาวสง่า เก่าแก่ตระหง่านอยู่ท่ามกลางมวลป่าไม้เขียวขจี รอบๆบ้านใหญ่ไม่มีบ้านของชาวบ้านอยู่ใกล้ๆ จากที่ศึกษามาบ้านหลังนี้เคยเป็นของตระกูลคหบดีที่ร่ำรวยมาก่อน ทำให้บริเวณรอบๆไม่มีผู้คนมาวุ่นวายให้รำคาญใจ

ป้าษอรลงไปเปิดรั้วช้าๆ ลุงชมขับรถเข้าไปจอดที่หน้าบ้าน เขามองทางลาดด้วยหินกรวด ระยะทางที่ขับเข้าไปจนถึงชานหน้าบ้านเป็นสวนใหญ่ บริเวณใจกลางสวนหน้าบ้านมีลานน้ำพุใหญ่ทรงกลม รูปปั้นในบ่อน้ำพุเป็นรูปเทวดาสยายปีก รอบๆบ่อมีต้มไม้พุ่มเตี้ยๆปลูกล้อมรอบ บริเวณริมกำแพงบ้านร่มรื่นไปด้วยดอกไม้สีขาว

ใช่ สีขาวเต็มไปหมด จนเขาสายตาพร่ามัว ภูวรินทร์ไม่สามรถบอกได้ว่าดอกไม้พวกนั้นคืออะไรบ้าง แต่มันสวยและหอมอบอวลไปทั่วสวนเขียวขจี

ภูวรินทร์หยิบแปลนบ้านติดมือมาด้วยระหว่างที่ลงจากรถเพื่อศึกษาเส้นทางในบ้าน และรอบตัวบ้าน มีเรือนเพาะชำอยู่ทางหลังบ้านด้วย ลุงชมยกกระเป๋าเดินทางให้เขานำไปไว้ในห้องรับรองให้โดยไม่ต้องบอกกล่าว ชายหนุ่มเดินไปที่บริเวณทางเข้าที่เป็นซุ้มโค้งรับกับบันไดเข้าบ้าน ลักษณะของบ้านหลังนี้ชั้นล่างเป็นปูน ชั้นบนเป็นไม้สัก มีระเบียงโปร่งรอบชั้นบนและหลังคาปั้นหยา หน้าต่างทรงสูงแบบฝรั่ง

ชายหนุ่มเดินมาหยุดอยู่ที่ไม้เลื้อยสีขาวในสวนเล็กๆติดกับใต้ริมหน้าต่าง ไม้เลื้อยออกดอกสีขาวเกาะพันเกี่ยวเป็นพุ่มใหญ่กับท่อนไม้ทรงสูง คงเป็นการแต่งสวนเล็กๆประดับริมบ้าน มันส่งกลิ่นหอมจางๆ

“นั่นดอกอะไรเหรอครับ”
 “พวงวิวาห์ค่ะคุณภู แต่จะเรียกว่าพวงแก้วมณีก็ได้”ป้าษอรเดินมาจากทางเข้า จนมาถึงหน้าบ้านใหญ่แล้ว เขามองไปรอบๆตัวบ้านอย่างพึงพอใจ จากนั้นก็เดินเข้าไปในตัวบ้าน โถงบ้านกว้าง โคมไฟระย้าห้อยเรียงตัวสวย เขาเหลือบมองโต๊ะอาหารที่ปูด้วยผ้าลูกไม้สีอ่อนสะอาดตา ดูเหมือนว่าอะไรๆในบ้านหลังนี้จะเน้นไปทางสีขาวซะส่วนใหญ่ ราวกับว่าเขาอยู่ท่ามกลางที่พำนักของเทวดา หลังจากที่ภูวรินทร์ทานมื้อเย็นเสร็จ เขาเหนื่อยเพลียเกินกว่าจะไปเดินสำรวจบ้าน แม้ว่าเขาจะอยากไปดูเรือนเพาะชำดอกไม้ก็ตามที


เมื่อตะวันตกลับขอบฟ้า ดวงดาราและจันทราเข้ามาแทนที่ ภายในบ้านเก่าแก่หลังใหญ่ไฟสว่างในห้องรับรองแขก ภูวรินทร์ที่ยังคงนอนไม่หลับเพราะเสียงหวีดหวิวจากสายลมด้านนอกทำให้ขนลุกเกรียว ร่างสูงในชุดนอนเรียบร้อยลงเดินเหยียบลงพรมบริเวณเตียงนอนก่อนจะเดินไปรูดม่านที่สะบัดพลิ้วที่ริมหน้าต่าง มือใหญ่เลื่อนไปดึงบานไม้เข้าหาตัวเพื่อลงกลอนปิด ทว่าสายตาเหลือบไปเห็นร่างขาวผ่อง ขาวมุกเพราะเสื้อที่สวมบนร่างนั้น เขาเพ่งสายตาจับจ้องไปที่ร่างนั้นที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของรั้วบ้าน ...เป็นเรือนปั้นหยาเก่าๆชั้นเดียวที่เงียบกริบข้างๆรั้วบ้านใหญ่ของภูวรินทร์นั่นเอง ทีแรกเขาคิดว่าไม่มีคนอยู่อาศัยเสียอีก

เสียงร้องหวีดหวิวของสายลม ใบไม้สั่นกราวตามแรงลม เขามองร่างนั้นของเด็กหนุ่มท่ามกลางพุ่มดอกไม้ทรงกลม ดอกไม้สีขาว...อาจเป็นดอกแก้ว ท่วงท่าไม่ยินดียินร้ายกับสภาพอากาศในยามนี้...ดึกดื่นขนาดนี้แล้วทำไมถึงออกมาเก็บดอกไม้อยู่ได้...คน...หรือเปล่านะ? ชายหนุ่มอดคิดในใจเช่นนี้ไม่ได้

ร่างนั้นผอมบางกางเกงสีขาวยาวถึงพื้น แขนเสื้อมีระบายลูกไม้การแต่งตัวออกไปทางยุคเก่าผสมผสานทรงฝรั่งเข้ามา เห็นได้ชัดจากจีบระบายที่ข้อมือ มือขาวนั้นที่กำลังเด็ดช่อดอกไม้สีขาวชะงักก่อนจะผินหน้ามาทางเขา จนภูวรินทร์สะดุ้งเฮือกอย่างไม่ทันตั้งตัว เขารีบหลบกายเข้าสู่หลังม่านอย่างคนขลาด ชายหนุ่มถอยห่างออกจากหน้าต่าง ปล่อยให้บานประตูนั้นเปิดแง้มไว้ข้างเดียว เขาเหลียวมองรอบห้องที่เงียบสงัด ร่างกายเย็นเยียบ นึกถึงคำพูดของเพื่อนแล้วหนาวไปถึงกระดูก ชายหนุ่มขยับไปที่หน้าต่างอีกครั้ง ก่อนจะมองไปยังทิศทางรั้วบ้านทางขวามือตามเดิม

สวนแห่งนั้นมีเพียงดอกไม้ที่สั่นไหวเด่นชัดหน้าเรือนปั้นหยา เงาร่างขาวของคนๆนั้นหายไปแล้ว เรือนหลังนั้นมืดสนิท เขามองบานประตูที่ปิดเงียบ จ้องมองอยู่สักพักก่อนจะดึงหน้าต่างให้ปิดสนิทพร้อมกับรูดม่านปิดไว้ เขากลับมานั่งที่เตียง
ชายหนุ่มไม่เชื่อเรื่องลี้ลับ แต่บ้านหลังนี้มีประวัติ บ้านเก่าสมัยปลาย ร.5 ต้องผ่านเรื่องราวมาเยอะ เขาสะบัดความคิดวุ่นวายออกจากศีรษะก่อนจะล้มตัวลงนอนเงียบๆ เขาไม่ได้ปิดโคมไฟ เพราะไม่ชินกับการนอนในแปลกถิ่นและความมืด พยายามหลับตา สองหูได้ยินเสียงลมตลอดทั้งคืนพร้อมกับเสียงเอี๊ยดอ๊าดลั่นของประตูไม้จากด้านล่าง เขานอนนิ่งไม่ไหวติง ประตูรั้วอาจปิดไม่สนิท พอลมพัดมันก็ขยับกระทบกันเป็นธรรมดา เขาคิดอยู่ในใจ รู้สึกว่าร่างกายอยู่ในภาวะตื่นกลัวขึ้นมาอีกครั้ง เหงื่อเย็นเฉียบกับใจที่เต้นระทึก ผ่านไปเนิ่นนานจนภูวรินทร์ผล็อยหลับไปอย่างอ่อนเพลีย



อรุณเบิกฟ้าวันใหม่ ยามเช้าขยับเข้ามาด้วยแสงอบอุ่น ภูวรินทร์ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าแสงสว่างจากดวงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาผ่านหน้าต่าง ชายหนุ่มบิดขี้เกียจก่อนจะลุกเดินไปอาบน้ำแปรงฟัน ระหว่างนั้นเขาเฉลียวใจนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนเขาปิดหน้าต่างไปแล้วแน่ๆ พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จเขาเดินไปที่หน้าต่างที่เปิดอ้าไว้จนสุด เหลือบมองไปที่เรือนไม้ปั้นหยาหลังข้างๆอย่างอดไม่ได้ บ้านเงียบกริบ ไร้ร่องรอยคนอาศัย

ภูวรินทร์ลงไปที่ชั้นล่าง เขาเห็นว่าป้าษอรกำลังจัดโต๊ะอาหารเช้าให้เขาอยู่ เธอเห็นเขาเดินลงบันไดก็เอ่ยทักสีหน้ายิ้มแย้ม
“สวัสดีค่ะ...คุณภู...เมื่อคืนนอนหลับสบายไหมคะ”เธอเอ่ยถามด้วยท่าทีปกติ สองมือวางแก้วกาแฟหอมกรุ่นลงบนโต๊ะ เขายิ้ม
“ครับ หลับเป็นตายเลยล่ะ”เขาแสร้งทำเป็นร่าเริงก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะเงียบๆ ภายในโถงบ้านดูสว่างสดใส ม่านสีขาวติดทางริมหน้าต่างพัดไหวน้อยๆ มองไปรอบๆแล้วก็ปกติ เหมือนบ้านมีชีวิตขึ้นมารับแสงอรุณ
“คุณภูอยากรับ ของว่างหลังอาหารไหมคะ วันนี้ป้ามีโอกาสทำบัวลอยไข่หวานหนึ่งหม้อ”เธอเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม เขาเหลือบมองใบหน้าขาวสะอาดไร้การแต่งแต้มจากเครื่องสำอาง แล้วพยักหน้าให้ป้าษอรเบาๆ
“อยากทานพอดีเลยครับ...ต้องรบกวนคุณป้าแล้ว”ภูวรินทร์เอ่ย ก่อนจะเริ่มทานโจ๊กปลากะพงในถ้วยเงียบๆ
“ตามสบายค่ะ อย่าเกรงใจป้าเลย มีอะไรก็เรียกใช้ป้าได้ตลอดค่ะ”ป้าษอรบอก
“ครับ...”ชายหนุ่มเอ่ยรับอย่างเลื่อนลอย ในใจยังคงเต็มไปด้วยความคืบแคลง ป้าษอรมองเขาอยู่เงียบๆก่อนจะถือวิสาสะเอ่ยถามเจ้านายคนใหม่ช้าๆ
“คุณภู...มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ผมแค่สงสัยน่ะครับ ว่าบ้านข้างๆเป็นของใคร ผมสังเกตว่ารอบบ้านใหญ่แล้ว ไม่มีบ้านหลังอื่นใกล้ๆกันอีกเลย เว้นแต่หลังนั้น”
“อ๋อ นั่นเป็นบ้านของคุณธิชาน่ะค่ะ เป็นญาติของเจ้าของคนเดิมของบ้านใหญ่ แต่เธอปล่อยร้างไว้ตั้งนานแล้ว ไม่มีใครมาดูดำดูดี ที่จริงเรือนหลังนั้นก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของบ้านใหญ่เหมือนกันนะคะ แต่ว่ายกให้เป็นของลูกหลานไปตั้งแต่สมัยก่อนนู้นแล้วค่ะ”ป้าษอรเล่าเสียงราบเรียบ เขาพยักหน้ารับรู้ก่อนจะยกแก้วกาแฟมาจิบ
“งั้นเหรอครับ...”ภูวรินทร์พึมพำก่อนจะเผยยิ้มให้ป้าษอรอย่างไม่คิดอะไร พลางคิดถึงร่างเด็กหนุ่มชุดขาวสะอาดคนนั้น... นึกภาพสุดท้าย เขาจำได้ติดตาดี ก่อนที่จะปิดหน้าต่างเหมือนเด็กคนนั้นหันมายิ้มให้เขาหรือเปล่านะ? เขาคงไม่ตาฟาดไปเองแน่ๆ แต่รอยยิ้มนั้นมันทำให้เขาขนลุกเกรียว แต่มั่นใจว่าไม่ใช่ภูตผี


ป้าษอรกลับไปอยู่ในห้องหลังครัวตามเดิม เขาถือโอกาสเดินสำรวจในสวนของบ้านอย่างละเอียดอีกครั้ง เขาเดินไปที่ลานน้ำพุ มองดอกไม้สีฟ้าอ่อนที่ปลูกล้อมรอบตัวบ่อ ก่อนหน้าที่เขาให้คนมาตรวจความเรียบร้อย น้ำพุแห่งนี้ ระบบน้ำไหลตามปกติ แต่ก็สกปรกไปด้วยตะไคร่น้ำหนาแน่นและรอยดำของกาลเวลา ถ้าหากว่าเขาต้องการทำบ้านหลังนี้ให้เป็นบ้านพักผ่อนจริงๆล่ะก็ คงต้องจัดสวนใหม่ สวนแห่งนี้มีแต่สีขาวออกจะจืดชืดไปหน่อย เขามองก้อนกรวดสีน้ำตาลที่พื้น
อากาศยามเช้าไม่ร้อน แสงแดดไม่ระคายผิวหนัง เขามองไปที่เรือนหลังนั้นอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจเดินไปยังรั้วบ้าน มีประตูเล็กๆเชื่อมกับรั้วบ้านเก่า สภาพเหมือนถูกใช้งานมาแล้ว เขามองอย่างโล่งใจเพราะมันยืนยันได้ว่ามีคนเคยเดินผ่านประตูนี้มาก่อน เขาดึงกลอนสนิมเขรอะออก ก่อนจะผลักบานรั้วเตี้ยๆออก ไม่ทันที่จะก้าวขาก็ถูกฟาดเข้าที่หลังด้วยอะไรสักอย่างที่ไม่แข็งแต่มีกลิ่นหอมและมีเสียงดังสวบ


เขาหันไปมอง ก็เห็นว่าช่อดอกแก้วปะปนกับดอกไม้สีม่วงขาวอื่นๆกำลังลอยมาหาเขา ชายหนุ่มคว้าช่อดอกไม้กำใหญ่ไว้ได้ ก่อนจะดึงออกไปให้พ้นตัว
“คนบุกรุก”เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กหนุ่มเอ่ยอย่างไม่พอใจ พร้อมๆกับช่อดอกไม้ร่วงกราวตกลงพื้น ภูวรินทร์มองร่างผอมบางในชุดสีขาวสะอาดไปทั้งร่าง ผมสีดำยาวประบ่าพลิ้วไหวเล็กน้อยเพราะแรงลมเอื่อยๆ กางเกงสีขาวพอดีตัวกับเสื้อแขนยาวมีจีบระบายที่ข้อมือ รวมไปถึงจีบลูกไม้บริเวณใต้ปกคอเสื้อและแนวกระดุม เขามองอีกฝ่ายอย่างเต็มตา เด็กหนุ่มคนนี้อายุราวสิบห้าสิบหกปี ผิวขาว ดวงตากลมใส ใบหน้าเรียวรูปหัวใจนั้นดูสะดุดตา คลับคล้ายกับคนที่เขาเห็นเมื่อคืน...ในใจรู้สึกคลายกังวลลงไปได้
“ฉันเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้”ภูวรินทร์เอ่ยบอก พลางกอดอกมองเด็กหนุ่มตรงหน้าที่ยืนกำมือแน่น สายตาเหลือบมองหน้าของเขาไปมาอย่างระวังระไว
“...อ้อ...”อีกฝ่ายเบะปากก่อนจะหันมองไปที่ตัวบ้านหลังใหญ่โออ่าแต่เก่าแก่ ภูวรินทร์มองเด็กหนุ่มคนนี้อีกครั้ง ท่าทางไม่เหมือนเป็นเด็กรับใช้ในบ้าน ถ้ามีคนอื่นๆอยู่ ป้าษอรต้องแจ้งบอกเขาแล้ว
“เธอเป็นใคร”เขาถาม
“ต้องบอกด้วยหรือ”เด็กหนุ่มจ้องหน้าเขาอย่างเสียมารยาท น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นดูฉงน ชายหนุ่มย่นคิ้วมองเด็กหนุ่มด้วยสายตาเรียบเฉย
“ฉันคิดว่าเธอเป็นผู้บุกรุกมากกว่า เธอเดินมาจากทางหลังบ้านใช่ไหม”เขาเอ่ยถาม คิ้วขมวดแน่นเพราะหลังบ้านมีเรือนเพาะดอกไม้อยู่ แต่เขายังไม่มีโอกาสไปเดินสำรวจ แต่มั่นใจว่ากองดอกไม้พวกนี้ที่เจ้าหนูคนนี้ถือมา ต้องลักลอบเอามาจากเรือนด้านหลังแน่
 “ก็ใช่...แต่ใครจะสน หากท่านเจ้าบ้านไม่อนุญาตใครจะอยู่ได้”เด็กหนุ่มมองเขาอย่างแข็งกร้าว ภูวรินทร์มองร่างเตี้ยกว่าอย่างสนใจ รวมถึงคำพูดของอีกฝ่ายด้วยที่ทำให้เขาสนใจ เด็กหนุ่มก้มลงเก็บดอกไม้กองใหญ่ที่ร่วงหล่นอยู่แทบเท้าของเขา
“หมายความว่าไง”ชายหนุ่มถาม มองเด็กหนุ่มที่รวบช่อดอกไม้เข้าหาตัว เขามองมือและเท้าที่เปื้อนดินอย่างสงสัย เขาเพิ่งสังเกตว่าเด็กหนุ่มคนนี้สวมกำไลข้อเท้าเก่าๆที่ข้างซ้าย และยังไม่ได้สวมรองเท้าด้วย ยิ่งทำให้เขาแปลกใจ เด็กที่ไหนจะเล่นซนเดินเท้าเปล่าไปมากัน แถมยังพูดจาประหลาดๆ คล้ายจะมีสุ้มเสียงสำเนียงเก่าๆ
“มาซื้อบ้านหลังนี้ ไม่รู้หรือว่าเจ้าของบ้านดุแค่ไหน”เด็กหนุ่มกระซิบเสียงต่ำลงมา เขาหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะคว้าตัวเด็กคนนี้ไว้ก่อน
“เดี๋ยว เธอเอาดอกไม้มาจากไหน”ภูวรินทร์ซัก คนเด็กกว่าเหลือบมองสายตามีพิรุธ
“...ต้องขออนุญาตก่อนเหรอ”เด็กหนุ่มเอ่ยถาม เอียงคออย่างใคร่รู้ มองเขาด้วยแววตากลมใส ทำทีเหมือนไร้เดียงสา เขามั่นใจว่าภายใต้ท่าทางใสซื่อนี้ไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น
“ฉันเป็นเจ้าของบ้าน แล้วเธอเป็นใคร”เขาย้ำอีกครั้ง คราวนี้ทำสีหน้าขึงขังให้อีกฝ่ายเกรงกลัวบ้าง
“...ชื่ออินน์ อินทนิล”เด็กหนุ่มบอกเสียงแผ่ว ขยับอ้อมแขนกอดกกดอกไม้ช่อใหญ่ไว้ราวกับว่าเป็นของมีค่า
“แล้วเข้ามาในบ้านได้ยังไง”ภูวรินทร์ไม่อยากใจดำคับแคบ แต่เขาไม่ชอบให้คนแปลกหน้าเข้ามาเดินเพ่นพ่านในบ้านหลังนี้ อีกอย่างเขายังไม่มั่นใจเลยว่าเด็กหนุ่มคนนี้ ใช่ คนที่เขาเห็นเมื่อคืนหรือไม่
“...อินน์เข้ามาได้เพราะท่านอนุญาต”เด็กอินน์เอ่ยเสียงเบา ดวงตากลมภายใต้คิ้วดกดำย่นเข้าหากันก่อนจะมองไปที่ตัวบ้านด้วยความหวาดเกรง‘ท่าน’ของเด็กอินน์คนนี้คงเป็นเจ้าของบ้านคนก่อนกระมัง เขาพ่นลมหายใจแรงอย่างหงุดหงิด
“พูดจาไม่รู้เรื่อง... งั้นเธออยู่บ้านหลังนั้นงั้นเหรอ”ภูวรินทร์ไม่สนใจเด็กเลอะเทอะคนนี้อีกต่อไป เขาหันไปมองเรือนปั้นเหยาที่ติดกับรั้วอย่างสนใจ บ้านชั้นเดียวสีขาวเก่าคล้ายจะเสื่อมโทรมถล่มลงมาหากว่ามีลมห่าใหญ่พัดมากระทบ เด็กอินน์กระพริบตามองเขา ก่อนจะหันไปทางทิศของบ้านข้างๆแล้วขมวดคิ้ว
“เปล่า...”เด็กหนุ่มส่ายหน้า ภูวรินทร์ถอนหายใจ
“แล้วเมื่อคืนล่ะ เธอไปอยู่ในสวนของบ้านนั้นได้ยังไง”ภูวรินทร์เริ่มไม่พอใจ เขามองเด็กหนุ่มคนนี้อีกครั้ง ดวงตากลมจ้องมองเขาเหมือนคนไม่รู้ความ เขาไม่ชอบใจแววตาดวงนี้เลย มันบอกไม่ถูก เหมือนไม่ใช่แววตาของเด็กอายุเพียงเท่านี้ มันทำให้เขาอึดอัดใจ
“...ก็เปล่า”เด็กอินน์ตอบคำเดิม เขาอดกลั้นโทสะ เป็นความตั้งใจจะกวนประสาทเขาหรือไม่นั้น เขาเองไม่รู้ แต่ถ้าใช่ มันได้ผลทีเดียว เขากำลังหงุดหงิด
“งั้นเธอเข้ามาได้ยังไง”ภูวรินทร์เอ่ยเสียงมีโทสะ มองเด็กหนุ่มร่างผอมที่ยืนมองเขานิ่งๆ ราวกับว่าเคยเจอกับอารมณ์ฉุนเฉียวของผู้คนมามากจนไม่สะทกสะท้าน ดอกไม้สีขาวแซมสีม่วงอ่อนในอ้อมแขนไม่ได้ประดับประดาให้เจ้าตัวดูอ่อนโยนซื่อบริสุทธิ์สมวัยเลยสักนิด
“...บอกไปแล้วนี่ ว่าท่านอนุญาตอินน์ให้เข้ามา คุณมาอยู่ใหม่ ไม่กลัวหรือ”อินทนิลเอ่ยซ้ำอีกรอบ ภูวรินทร์ส่งเสียงขัดใจ ก่อนจะเหลียวมองไปรอบๆอย่าหงุดหงิด หากเขาฟาดเด็กคนนี้สักสองสามทีคงไม่ผิดสินะ
“...ตอบคำถามฉันมาดีๆ อย่ามาเลอะเทอะ”เขาเอ่ยเสียงปราม มองคนตัวเล็กอย่างไม่พอใจ เขาก้าวเข้าไปหา อีกฝ่ายไม่ถอย ยืนนิ่งราวกับถูกตรึงไว้กับพื้น
“มากับษอร”เสียงนุ่มยังไม่แตกหนุ่มดีเอ่ยบอก
“ห้ามโกหก”ภูวรินทร์เอ่ยเสียงเรียบเฉย เมื่อเช้าป้าษอรไม่ได้บอกอะไรเขาเลยสักนิด ถ้าหากว่าเด็กอินน์คนนี้มากับป้า ก็ต้องบอกกล่าวกันบ้าง แต่เขาเองก็หาเหตุผลไม่ได้ว่าถ้าหากไม่ได้มากับผู้ใหญ่สักคน เด็กคนนี้จะมาอยู่ในบ้านหลังใหม่ของเขาได้ยังไง
“ใช่...ไม่เคยโกหก”เด็กหนุ่มเอ่ยตอบเสียงเบา


ระหว่างนั้นก็มีเสียงฝีเท้าหนักๆ ตามมาด้วยร่างท้วมของป้าษอร เธอเดินเข้ามาหาเขาด้วยสีหน้าตระหนกและรีบร้อน เขาจับปฏิกิริยานั้นอยู่เงียบๆ
“คุณภูคะ...อ้อ...นี่เจ้าอินน์ หลานของป้าเองค่ะ...เดินหลงมาทางนี้จนได้”ป้าษอรเข้ามาจับไหล่เล็กของอินน์ที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงมาตั้งแต่ครู่ก่อนแล้ว สายตาจับจ้องมาที่ภูวรินทร์ไม่ละไปไหน
“หลานป้างั้นเหรอครับ...แล้วหมายความว่ายังไง ที่ว่าเดินหลง”เขาถาม เพราะเนื้อที่ในบ้านก็มีแต่สวน และเรือนเพาะชำด้านหลังเท่านั้นเอง สำหรับเด็กอายุสิบหกคงไม่หลงหรอก
“แกไม่ค่อยจะดีน่ะค่ะ...ชอบเดินเล่นในบ้านเรื่อยเลย...”ป้าษอรดึงร่างของหลานชายให้ขยับเขยื้อน อินทนิลผุดยิ้มเล็กน้อยระหว่างที่เดินหลบไปด้านหลังของป้าษอร ภูวรินทร์ชะงักไป เขามอง รอยยิ้มนั้นดูอ่อนหวานผิดกับแววตากลมใสเย็นชาคู่นั้น
“กลับไปอยู่หลังบ้านนะอินน์”ป้าษอรเอ่ยเสียงอ่อนโยนกับหลานชาย อินทนิลผงกหัวก่อนจะเดินช้าๆหอบดอกไม้ไว้กับตัวเดินหลังตรงไปตามทาง “แกล่วงเกินอะไรคุณภูหรือเปล่าคะ”
“เปล่าหรอก ผมแค่แปลกใจที่เห็นเด็กแปลกหน้าเดินมาจากด้านหลังบ้าน”เขาชี้ไปทางเรือนหลังบ้าน ป้าษอรยิ้มจางๆ ใบหน้าดูจืดเจื่อนกว่าปกติ
“แกชอบดอกไม้น่ะค่ะ ชอบมาเล่นที่เรือนเพาะชำตลอด ป้าก็เกรงว่าจะบาดเจ็บเพราะเรือนมันเก่ามากแล้ว”
“อืม แล้วป้าก็ปล่อยให้เด็กนั่นมาเดินเพ่นพ่านตลอดเลยหรือไงครับ”ภูวรินทร์ไม่ได้ตั้งใจจะต่อว่าป้าษอร แต่ด้วยอารมณ์ที่เกิดเมื่อครู่ก่อนยังไม่จางหายไป ป้าษอรมองเขาด้วยสายตารู้สึกผิด
“ป้าขอโทษคุณภู แทนเจ้าอินน์มันด้วย เดี๋ยวป้าจะดูแลหลานให้ดีกว่านี้ค่ะ”ป้าษอรคร่อมตัวต่ำเป็นการขอโทษ
“แล้วบ้านหลังนั้นล่ะครับ ตกลงไม่มีคนอยู่จริงๆงั้นเหรอ”เขาเอ่ยถามด้วยความกังขา
“ไม่มีคนอยู่จริงๆค่ะ แต่อินน์ชอบเข้าไปเก็บดอกไม้ในสวนของบ้านนั้นเหมือนกัน”ป้าษอรเอ่ยเบาๆ ภูวรินทร์ขมวดคิ้วขรึม ทำไมหลานคนดูแลบ้านต้องมีอภิสิทธิ์เข้าออกบ้านตามใจชอบด้วยล่ะ เขารู้สึกไม่ชอบมาพากลเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าเรือนปั้นเหยาหลังนั้นจะไม่ใช่สมบัติของเขาก็ตาม แต่ในเวลานี้ทุกตาราวนิ้วในรั้วบ้านหลังใหญ่นี้เป็นของภูวรินทร์แล้ว
“อืม แล้วเด็กคนนั้นอยู่ที่นี่ตลอดเลยเหรอครับ”
“เปล่าหรอกค่ะ เพิ่งมาถึงบ้านใหญ่เมื่อวานเย็น ปกติก็ไปเรียนในเมืองค่ะ”ป้าษอรเอ่ยอย่างหวั่นเกรง คงกลัวว่าหลานตนเองจะทำเรื่องไม่ถูกใจคนอย่างเขา ในฐานะเจ้านายคนใหม่ของบ้านนี้
“งั้นเหรอ...ช่างเถอะ ผมไม่โกรธเด็กคนนั้นหรอก”ภูวรินทร์เอ่ยบอก ก่อนจะเดินไปยังทางหลังบ้านเพื่อไปดูเรือนเพาะชำ พอเดินพ้นตัวบ้าน ก็เจอกับเรือนกระจกสีขุ่นมัวขนาดใหญ่เป็นมีหลังคาทรงจั่ว สูงคล้ายบ้านเดี่ยว เขาเดินเข้าไปด้านในเรือนเพาะชำ มีดอกไม้สดสีขาวบานสะพรั่ง เท่าที่เขาบอกรายชื่อได้ ดอกแก้ว ดอกโมก ต้นพวงแก้วมณี   ต้นเข็มขาวหอม ต้นพุดซ้อนใบด่าง ต้นปริศนา เป็นไม้ดอกที่มีสีขาวทั้งนั้น และมีพยับหมอกและเทียนหยดที่เป็นสีอื่น เขามองไปที่โซนท้ายเรือน เป็นต้นไม้ที่แห้งกรังตายคากระถางไปเกือบทั้งหมด คงไม่มีใครมาดูแล ดอกไม้ในเรือนเพาะสินะ ชายหนุ่มเดินกลับออกจากเรือนเพาะชำ บอกให้ลุงชมหาคนมาดูแลเรือนกระจกโดยเฉพาะ เพราะดอกไม้บางชนิดต้องดูแลเป็นพิเศษ


เมื่อเข้าสู่เวลากลางคืน ภูวรินทร์เข้านอน ไม่ลืมที่จะปิดหน้าต่างไว้อย่างมิดชิด เพราะลมตอนกลางคืนพัดอยู่ตลอด เขานอนโดยที่ไม่ได้ปิดโคมไฟที่หัวเตียงตามเดิม ชายหนุ่มล้มตัวลงนอน ในหัวนึกถึงใบหน้าของอินทนิล เด็กหนุ่มวัยสิบห้าปีที่ดูไร้เดียงสา แต่ทว่าแววตากลมใสที่มองเขานั้นกลับไม่ใช่ความเดียงสา เหมือนคนผ่านโลกมานาน มันบอกไม่ถูก เวลาที่ถูกเด็กนั่นจ้องนานๆมันทำให้ขนลุก

ชายหนุ่มนึกถึงคำเตือนของเพื่อน ว่าเขาอะไรดลใจให้เขามาซื้อบ้านเก่าๆห่างไกลผู้คนเช่นนี้...นั่นสินะ อะไรดลใจให้เขาซื้อกัน เขาตั้งใจจะหาบ้านพักตากอากาศสำหรับวันพักผ่อน แต่แล้วก็มาลงเอยที่บ้านหลังนี้ ในนิตยสารแห่งหนึ่ง เขาเหลือบเห็นช่องโฆษณาประกาศขายบ้านอยู่ และชายหนุ่มตัดสินใจซื้อมัน เพราะความเก่าแก่ของบ้านนั่นล่ะ ที่ถูกใจเขา
เขาเลิกคิดฟุ้งซ่าน และผล็อยหลับไปในที่สุด...

ภูวรินทร์รู้สึกหนาวขึ้นมา เขาดึงผ้าห่มขึ้นมาชิดคาง แต่อะไรบางอย่างทำให้เขาลืมตาตื่น  เขานอนหงายอยู่บนเตียงหลังใหญ่ รู้สุกถึงสายลมที่พัดเข้ามาในห้อง เขาเหลียวไปมองทางด้านข้าง ปรากฏว่าหน้าต่างเปิดอ้า ผ้าม่านโปร่งลายลูกไม้สีขาวสะบัดพลิ้วตามแรงลม เขาขมวดคิ้ว จำได้ว่าก่อนนอนเขางกลอนปิดมันไว้อย่างแน่นหนาแล้ว
จากนั้นร่างกายก็ขนลุกซู่ทันทีเมื่อสัมผัสถึงความอุ่นร้อนของกายเนื้อจากใตผ้าห่ม ภูวรินทร์ตื่นตระหนก ดวงตาเบิกโพล่งเมื่อเห็นว่าผ้าห่มที่คลุมร่างกายของเขามีรอยนูนขึ้นคล้ายกับมีใครขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม เขาผวา อยากจะร้องตะโกนแต่ไร้เสียง เขาขยับตัวไม่ได้

สัมผัสอุ่นใต้ผ้าห่มนั้นลูบไล้ขึ้นมาตามท่อนขา หน้าท้องและแผ่นอก เขาเริ่มหายใจติดขัดเมื่อสัมผัสอุ่นของร่างกายมนุษย์ ไม่ก็คล้ายมนุษย์ สัมผัสอุ่นคล้ายฝ่ามือเลื่อนเข้ามาใต้เสื้อ ความอุ่นลูบไล้มายังหน้าอกมาจนถึงลำคอ เขาเห็นว่ามันเป็นท่อนแขน พร้อมๆกับใบหน้าของคนใต้ผ้าห่มก็ผุดออกมาราวกับปีศาจ

ใบหน้าเรียวรูปหัวใจ กับรอยยิ้มหวาน แววตากลมใสเย็นชาจับจ้องมาจากใต้ผ้าห่ม ภูวรินทร์ถึงกับผงะออกมาด้วยความตระหนกตกใจ เขาร้องลั่นด้วยความกลัว

“อ๊ากกกก”
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ อรัมภบท ] 10.11.17
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 10-11-2017 03:02:46
ภูวรินทร์เหงื่อแตกพลั่ก ก่อนจะรู้ตัวว่ากำลังผุดลุกขึ้นนั่งอยู่บนเตียง หายใจหอบ ในใจยังคงเต้นรัวเหมือนกลอง เขาเนื้อตัวเยียบเย็น ยังจำฝันนั้นได้ดี เขาลูบใบหน้าที่เหนอะหนะ แสงไฟจากโคมไฟเหนือเตียงส่องสว่างอย่างอ่อนแรง เขาก้มมองลำตัวของตน ไร้ผ้าห่ม มันเลื่อนตกไปอยู่ข้างเตียง

ชายหนุ่มหนาวสั่นเพราะคนในนั้นฝันคือ อินทนิล เด็กคนนั้นกับรอยยิ้มที่น่ากลัว เขาขยับตัวทำท่าจะเก็บผ้าห่มที่ร่วงหล่น แต่สายตาเหลือบไปเห็นหน้าต่างที่เปิดอ้า ผ้าม่านปลิวสะบัดตามแรงลม เขาชะงัก

อีกแล้ว...หน้าต่างนั่นเขาปิดมันไว้อย่างดี ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอ มั่นใจว่าไม่ใช่เรื่องผีสาง อาจเพราะกระแสลมที่ตกระทบกับตัวบ้านอยู่ตลอด เสียงหวีดหวิว เสียงใบไม้ขยับเสียดสีกันในความมืด  ภูวรินทร์หัวเสียก่อนจะลุกลงเตียง เดินไปปิดหน้าต่าง เขาขยับตัวเอื้อมไปจับบานไม้สีขาวซีด แต่อดไม่ได้ที่จะหันไปมองความเวิ้งว้างท่ามกลางความมืดไปยังทิศทางในสวนของบ้านข้างๆกัน

ชายหนุ่มมองไปที่สวนก่อนจะชาวาบไปทั้งร่าง หัวใจเขาตกหล่นคล้ายก้าวบันใดผิดขั้น

อินน์งั้นเหรอ... ชายหนุ่มมองร่างผอมบางในชุดสีขาวตัวเดิม เสื้อแขนยาวมีจีบที่แขน กางเกงสีขาวพอดีตัวยาวกรอมพื้น เส้นผมยาวประบ่าพลิ้วไหลเบาๆ ยืนอยู่ท่ามกลางกอดอกแก้วสีขาว ในความมืดมันเด่นชัดทั้งคนทั้งดอกไม้

“อินน์...”ภูวรินทร์เอ่ยชื่อนั้นเบาๆ เขาขมวดคิ้ว ทำไมเด็กนั่นถึงมาเดินเตร่ตอนดึกเช่นนี้ เขากำลังจะดึงบานไม้ปิด แต่ร่างนั้นหันมามองทางเขา ชายหนุ่มชะงัก เพราะแววตากลมใสนั้นดูมีความสุข รอยยิ้มยังฉาบอยู่บนใบหน้า ภูวรินทร์ขยับกายไม่ออก ในหัวแม้จะสั่งให้ตนเองกลับเข้าไปนอน แต่ทว่าเขายังคงมองร่างของเด็กหนุ่มอยู่ราวกับโดนสะกด
ท่อนแขนเล็กเอื้อมไปเด็ดดอกไม้สีขาวขึ้นมา ก่อนจะเหน็บทัดไว้ที่ใบหู เหมือนว่ากำลังอยู่ท่ามกลางมวลดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิ มันไม่ปกติเพราะยามนี้มันดึกดื่น และบ้านหลังนั้นก็ไร้คนอาศัย เด็กอินน์คนนั้นเข้าไปได้ยังไง เขาจำได้ว่าบอกให้ลุงชมล็อกใส่แม่กุญแจไว้แล้ว

‘มาสิ...ภูวรินทร์’

อินทนิลเอ่ยเรียก เหมือนอยู่ห่างไกล แต่กลับว่าหูของเขาได้ยินเด็กหนุ่มเอ่ยพูด เขาประหลาดใจ พบว่าอินทนิลหันมายิ้มให้เขา ดวงหน้านั้นดูมีความสุข สายตามองมาที่ชายหนุ่มด้วยแววตาเฝ้ารอคอย ปู่ยาตายายเคยสั่งสอนว่าเวลามีคนเรียกชื่อตอนดึกห้ามขานรับหรือออกไปหาเด็ดขาด เขาควรจะเชื่อคำของคนโบราณ แต่ใจของเขาไม่อาจเชื่อเรื่องผีสาง แม้ว่าเขาจะเผชิญกับความฝันน่าสะพรึงมาแล้วก็เถอะ แต่นั่นมันเป็นแค่ความฝันไม่ใช่เหรอ

‘ภูวรินทร์’
เสียงเรียกนั้นเหมือนเอื้อนเอ่ยมาจากปีศาจจากขุมนรก ก้องกังวานอยู่ในหัวของเขา ร่างของอินทนิลยังคงยืนรอคอยอยู่ตรงนั้น ภูวรินทร์ขยับกายออกห่าง เขาเหลือบมองเวลาที่หน้าปัดนาฬิกาเก่าๆเหนือเตียงนอน ตีหนึ่งครึ่ง...เวลาเช่นนี้ เขาไม่ควรออกไปพบปะกันยามวิกาล แต่อะไรบางอย่างมันเต้นเร่าอยู่ในอก ผลักดันให้ชายหนุ่มก้าวเดินออกจากห้อง ก้าวลงจากบันไดใหญ่ลงไปยังชั้นล่าง ห้องโถงมืดสลัว เสียงสะบัดชายผ้าม่านดังให้ได้ยินเบาๆ เขาเคยกลัวความมืดแต่บัดนี้กลับเคลื่อนกายฝ่ามวลอากาศมืดมิดออกไป

สองเท้าเปล่าเปลือยสัมผัสกับพื้นหญ้าเย็นๆ ร่างกายรับสัมผัสเย็นจากสายลมกลางคืน เขาออกเดินไปยังทิศทางรั้วบ้านฝั่งเรือนปั้นหยา ภายในใจคร่ำครวญว่าเด็กหนุ่มยังรอเขาหรือไม่ เขาผลักประตูรั้วตัวเตี้ยออกช้าๆ ร่างผอมในชุดสีขาวยังคงอยู่อยู่ท่ามกลางต้นดอกแก้ว ชายหนุ่มไม่ได้มองไปยังตัวเรือนบ้านเก่าหลังนั้น สองขาก้าวเดินไปหาอินทนิลในความมืดสลัว แสงจันทร์เพียงพอให้เห็นว่า ร่างนั้นขาวนวล ใบหน้าเศร้าหมองไปชั่วขณะก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม รอยยิ้มที่เขาอึดอัดใจ ยิ้มหวานและแววตาเย็นชา ผิดกับความสดใสของวัยเด็กเช่นอินทนิล

“...เธอเป็นใคร”เขาเอ่ยถามด้วยใจสั่นไหว ทว่าเด็กหนุ่มไม่ตอบ เพียงยื่นช่อดอกแก้วสีขาวหอมจางมาให้เขาด้วยสองมือ ภูวรินทร์มองอีกฝ่ายอย่างสับสน ดอกแก้วสีขาว เด่นชัดในค่ำคืนนี้
“เธอ...”ชายหนุ่มกลืนคำถามลงคอไป เขารับดอกแก้วมาจากฝ่ามือของอินทนิล ดอกแก้วบานสวยไม่เหมาะกับสถานที่เก่าโทรมเช่นเรือนหลังนี้ น่าแปลก ต้นไม้เติบโตออกดอกมาได้จนป่านนี้ เพราะอินทนิลดูแลมันงั้นเหรอ
“ให้คุณ”
“เธอเป็นใครกันแน่”ภูวรินทร์เอ่ยถามอีกครั้ง สายตาจับจ้องดวงหน้าเรียว ใบหน้านั้นอ่อนโยนลง มีรอยยิ้มผุดที่มุมปาก แววตากลมใสเป็นประกาย

“...อยากให้จำเราได้เร็ววัน”อินทนิลเอ่ยเสียงเบา น้ำเสียงดูต่างจากเดิมเล็กน้อย แววตาคล้ายจะสะท้อนความเศร้าสร้อยไร้สาเหตุ เขามองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ ในเวลานี้เขานึกถึงคำพูดของโชติเพื่อนสนิทอีกครั้ง แต่อินทนิลตรงหน้าเขาไม่ใช่ผีสาง ชายหนุ่มเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าของเด็กหนุ่มแผ่วเบา ผิวเนื้อเย็นเยียบเพราะยืนตากอากาศมานาน ใบหน้าของเด็กหนุ่มไม่ขยับไปไหน แววตาจ้องมองเขาอยู่ไม่ห่าง สองมือกำแน่น เขาไม่รู้ว่าเพราะอะไรอินทนิลถึงแสดงอาการเช่นนี้
“หมายความว่ายังไง...เราไม่เคยเจอกันมาก่อน”ภูวรินทร์เอ่ย

“อาจต่างกรรมต่างวาระ...”อินทนิลยิ้ม เอียงคอมองเขาอย่างใคร่รู้ ท่วงท่าจากถ้อยคำที่เปล่งออกมาจนเขาสับสน
“แต่เธอคืออินน์”ภูวรินทร์เอ่ยเบาๆ มองร่างเด็กหนุ่มเบื้องหน้าอีกครั้ง ลดมือลงจากใบหน้าของอีกฝ่าย “กลับเข้าบ้านเถอะ”เขาบอก สองหูได้ยินเสียงลมและเสียงร้องของสัตว์กลางคืน อากาศหนาวยะเยือกจากทางด้านหลังทำเอาเขาขนลุกเกรียว เรือนหลังนั้น เขาไม่กล้าหันไปมอง อินทนิลหัวเราะเสียงสดใสของเด็กวัยซน
“กลางคืนเป็นเวลาของเรานะ”อินทนิลเอ่ยน้ำเสียงแปร่งๆ เมื่อวานก่อน เขายังคิดว่าเด็กอินน์คนนั้นมีสุ้มเสียงแปลกๆ เหมือนไม่ใช่คนในยุคสมัยนี้ ออกจะติดสำเนียงเก่าๆของคนสมัยก่อน

ภูวรินทร์มองร่างของเด็กหนุ่มชัดเจนขึ้น อีกฝ่ายขยับกายเข้าหา สายลมหวีดหวิวแข่งกับเสียงหัวใจที่เต้นรัวแทบทะลุจากอก ดวงตากลมใสนั้นจับจ้องไม่ห่าง สบตาเนิ่นนานจนทำให้เขานึกเกรงกลัว แววตาที่ไม่ต่างจากภาพฝันเมื่อครู่ก่อน... ทั้งร่างของชายหนุ่มสั่นสะท้าน
หัวข้อ: Re: +++ ภว...ภวังค์ รัก ♥ +++ [ อรัมภบท ] 10.11.17
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 10-11-2017 05:20:03
เกาะชอบจอ รอติดตาม
หัวข้อ: Re: +++ ภว...ภวังค์ รัก ♥ +++ [ อรัมภบท ] 10.11.17
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 11-11-2017 09:08:04
แอบหลอนอยู่นะ ดูท่าจะไม่ใช่แนวภพชาติแบบสดใส
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ๑] ๑๒.๑๑.๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 12-11-2017 04:36:49
ตอนที่ 1 ภูตผีจากฝันร้าย


“คุณภูคะ คุณภู”เสียงของป้าษอรเหมือนดังมาจากที่แสนไกล ภูวรินทร์พยายามอย่างหนักหน่วงที่จะลืมตาตื่น เมื่อเปิดเปลือกตาขึ้นก็ต้องพบว่าแสงยามเช้าทำให้ดวงตาพร่ามัว ก่อนจะที่จะมองเห็นร่างท้วมของป้าษอร เขาได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักดังมาจากเด็กหนุ่ม เสียงหัวเราะชอบใจของอินทนิล
 
“ชู่ว อินน์...คุณภูอย่าถือสาแกเลยค่ะ”ป้าษอรรีบเอ่ย เขาเหลือบมองคนที่หลบอยู่หลังป้าษอร แต่ก่อนจะพูดอะไรเขาเหลือบมองไปรอบกาย ทั้งร่างกายสัมผัสได้ว่ากำลังนอนอยู่บนผืนหญ้าเย็นๆ พอได้สติเขาพบว่าตนเองกำลังนอนอยู่ในสวนใกล้กับลานน้ำพุ เขาตกใจผุดลุกขึ้นยืนทันที ป้าษอรมองเขาด้วยความกังวลใจ

“เกิดอะไรขึ้นครับ”
“ป้าเห็นว่าคุณไม่อยู่ในห้อง พอมองออกหน้าต่างเห็นว่าคุณนอนอยู่ที่นี่”เธอเล่า ภูวรินทร์ถึงกับยืนนิ่ง ก้าวขาไม่ออก เขามองไปรอบตัว ตอนนี้คงเช้าตรู่ เขามองไปที่อินทนิลที่กำลังยืนจับใบไม้ที่ถูกตัดแต่งเป็นชั้น รอบลานน้ำพุ
“อะไรนะครับ...”ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกตัว หันมองรอบกายด้วยความมึนงง
“คุณอาจเดินละเมอก็ได้นะคะ”

“...คงจะอย่างนั้น”ภูวรินทร์เอ่ยเบาๆ พลางนึกไปถึงเรื่องเมื่อคืน อินทนิลยืนมองเขา ใบหน้านั้นผุดรอยยิ้มหวานมาให้เขาอีกครั้งก่อนจะเดินเล่นไปตามสวนรอบลานน้ำพุ ภูวรินทร์สะบัดศีรษะไล่ความฟุ้งซ่านให้หลุดพ้นจากเหตุการณ์เมื่อคืน...ตอนนั้นเด็กนั่นมาหาเขาแล้วเกิดอะไรขึ้นต่อล่ะ...เขานึกไม่ออก จนชักไม่แน่ใจว่ามันเกิดขึ้นจริงหรือเป็นเพียงความฝันกันแน่ เด็กอินน์นั่นประหลาด ไม่ใช่ผีสาง แต่เป็นอะไรที่...บอกไม่ถูก


ภูวรินทร์กลับเข้าบ้านใหญ่ด้วยความรู้สึกพิกลในอก ป้าษอรเธอเดินตามหลังเขามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ชายหนุ่มไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเขาไม่คิดตนเองเดินละเมอ และป้าษอรคิดเช่นนั้นด้วยหรือ บ้านเก่าหลังนี้ไม่ชอบมาพากล เด็กอินน์นั่นก็ด้วย

“ป้าครับ เมื่อคืนอินน์ได้ออกไปไหนหรือเปล่า”ขณะที่เอ่ยถามด้วยความลังเล ชายหนุ่มพยายามไม่สบสายตาที่มองมาอย่างกังวลใจของแม่บ้านร่างท้วมที่เดินมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องนอน
“เปล่านี่คะ...อินน์ก็นอนกับป้าอยู่ตลอด...”ป้าษอรตอบ ภูวรินทร์พยักหน้ารับรู้ไม่ตอบอะไรเพียงเหลือบมองหญิงวัย 56 ปีโดยประมาณด้วยสายตาพินิจพิจารณาในสิ่งที่เธอพูด พลางนึกสงสัยว่ามันใช่ความจริงหรือเปล่า
“ไม่มีอะไรหรอก อ้อ แล้วลุงชมได้คนงานเพิ่มหรือยังครับ”เขาเอ่ยถามต่อเพราะไม่อยากให้ป้าษอรมาถามอะไรให้วุ่นวายแม้ว่าลุงชมและป้าศอรจะเคยทำงานให้แก่บ้านหลังนี้มาก่อน แต่ไม่มีทีท่าจะต่อต้านคนใหม่เช่นเขาที่พยายามจะปรับปรุงรื้อถอนบ้านหลังนี้ให้ทันสมัยขึ้นอีกหน่อย
“ได้แล้วค่ะ วันนี้ก็จะเข้ามาปรับปรุงเรือนเพาะชำใหม่”เธอบอกก่อนจะพูดถึงคนงานที่นำเข้ามาซ่อมแซมปรับภูมิทัศน์รอบๆเรือนเพาะชำ พูดอธิบายไม่นานเธอก็กลับออกไปทำงานต่อที่ชั้นล่าง ภูวรินทร์หยิบผ้าเช็ดตัวเตรียมเข้าไปอาบน้ำ แต่แล้วก็ชะงักนิ่งไปเมื่อสังเกตุเห็นดอกสีขาว คือดอกแก้วหนึ่งช่อวางอยู่บนหมอน ชายหนุ่มยืนนิ่งขึง จ้องมองอยู่นานพลางหวนนึกถึงอินทนิลที่ให้ดอกแก้วเขาเมื่อคืน แต่เท่าที่จำได้ตอนที่เขาถูกปลุกจากป้าษอรก็ไม่ได้มีดอกแก้วอยู่กับตัว เขาสงสัยว่ามันมาอยู่ที่ห้องของเขาได้อย่างไร


ชายหนุ่มขยับตัวก้าวเข้าไปหาดอกไม้บนเตียง เขาเอื้อมหยิบมันขึ้นมา ดอกไม้ยังดูสดสวยไม่เหี่ยวเฉา อดไม่ได้ที่จะยกขึ้นมาสูดดม มีกลิ่นหอมจางๆ ชายหนุ่มหลับตาผ่อนลมหายใจช้าๆ ไม่อยากให้ใจถวิลไปถึงเรื่องลี้ลับ เขาวางดอกไม้ไว้ที่หน้ากระจกก่อนจะเข้าไปอาบน้ำ เขาไม่รู้สึกกลัวบ้านหลังนี้ แต่...แค่หวั่นเกรงต่ออินทนิลอย่างบอกไม่ถูก โดยเฉพาะยามที่เด็กนั่นยิ้มให้เขา


ชายหนุ่มจากเมืองใหญ่เช่นเขาไม่ชินกับกิจวัตรของที่นี่ นอกจากอ่านหนังสือฆ่าเวลาแล้วและชมสวนดอกไม้ เขาก็ว่างไร้สิ่งน่าสนใจให้ทำ เวลานี้เขามานั่งผ่อนคลายอยู่ที่ห้องรับแขกติดกับหน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดอ้ารับสายลมและแสงอาทิตย์ที่ไม่ร้อนจัด เขาพกโน้ตบุกมาด้วยแม้พยายามแชร์อินเตอร์เน็ตจากสมาร์ทโฟนมายังโน้ตบุ๊ก แต่ทำได้เพียงเชื่อมต่อแต่เน็ตช้าไม่ทันใจ เขาทิ้งงานที่บริษัทมา แม้จะไม่ได้นั่งโต๊ะออกหน้าแต่ก็เป็นผู้ถือหุ้น 30% มีส่วนในการตัดสินใจในงานต่างๆ เขาอยากเช็คความเคลื่อนไหวของพวกนักบริหาร ระหว่างนั้นป้าษอร ในชุดแม่บ้านแบบเก่ายกถาดน้ำชามากับขนมคุกกี้เสิร์ฟที่โต๊ะ ชาลาเวนเดอร์หอมเหมาะสำหรับเช้าอันสดใส ภูวรินทร์เสิร์จหาประวัติของบ้านหลังนี้ในอินเตอร์เน็ตแต่ก็ไม่มีอะไรข้อมูลมากนักนอกจากเป็นบ้านเก่าสมัยร.5 ป้าษอรรินน้ำชาใส่แก้วให้เขา ชายหนุ่มรั้งตัวไว้ก่อนที่เธอจะเดินออกไป

“ป้าครับ บ้านหลังนี้มีความเป็นมายังไงกันแน่”ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เขาไม่อยากแสดงความใจเสาะให้เธอเห็น แม้ว่ามันจะพังทลายลงไปตั้งแต่เมื่อเช้า เหมือนเขาถูกมองว่าเป็นตัวประหลาดอย่างบอกไม่ถูก
“อย่างที่คุณภูทราบ บ้านหลังนี้เคยเป็นของคหบดีปลายสมัย ร.5 มาก่อน ป้าเองก็ไม่ค่อยทราบรายละเอียดมาก รู้แค่ว่าภายหลังตกเป็นของคนสกุล ภิรมย์สุข เจ้าของคนล่าสุด...คนรุ่นก่อนก็ทำงานเป็นคนต้นห้อง ดูแลเจ้านายสกุลนี้มาจนถึงรุ่นของป้า”เธอตอบด้วยท่าทีสงบเสงี่ยม เขามองเธอระหว่างที่ยกถ้วยชามาดื่ม
“แล้วบ้านหลังนี้ทำไมถึงถูกปล่อยขายล่ะครับ ผมนึกว่าบ้านเก่าแบบนี้เจ้าของอยากจะเก็บไว้เป็นสมบัติของตระกูล”เขาพูดอย่างสงสัยใคร่รู้ หากเป็นเขาล่ะก็จะอนุรักษ์โบราณเช่นนี้ไว้ไม่ให้ใครมาย่ามกายผ่านแน่นอน ป้าษอรมีท่าทีอึกอักไม่อยากเล่า ภูวรินทร์มองนิ่งๆก่อนจะเชื้อเชิญให้เธอนั่งโซฟาตัวข้างๆเขา

“…คือแบบนี้ค่ะ คุณภู ...ไม่มีใครอยากอยู่บ้านหลังนี้”ป้าษอรเอ่ยเบาๆก่อนจะเดินมานั่งที่โซฟาตัวเล็กกว่า ทางขวามือของภูวรินทร์ มือทั้งสองข้างของป้าษอรบีบกันแน่นเหมือนไม่อยากเอ่ยถึงเท่าไหร่นัก
“ทำไมเหรอครับ”ภูวรินทร์เชื่อว่าป้าษอรเธอต้องเล่าเรื่องตำนานผีสิงตามที่แบบฉบับเรื่องหลอนในบ้านหลังเก่าตามเคย ป้าษอรถอนหายใจ เธอเหลียวมองไปรอบบริเวณบ้านอย่างคนึงหาเรื่องในอดีต
“มีข่าวลือจากคนงานเก่าๆในบ้าน เล่าว่าคนสกุลนี้โดนสาปแช่งมาเกือบเจ็ดสิบปี”
“สาปแช่งเหรอครับ”คำตอบของป้าษอรสร้างความแปลกใจให้แก่ชายหนุ่มไม่น้อย เขาคิดว่าจะเป็นเรื่องราวแบบอื่นมากกว่าคำสาปจากคนในตระกูล เขาไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน
“ใช่ค่ะ มีคำแช่งจากเจ้าของบ้านคนเก่า เเช่งให้คนสกุลนี้ไร้คนสืบทอด”เธอพูดด้วยสุ้มเสียงหวั่นเกรง สีหน้าแววตาปรากฏความวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด เธอยิ้มจืดจางราวกับเวทนาคนสกุลเก่าแก่ที่เคยรับใช้

“แล้วป้าเชื่อเหรอครับ”ภูวรินทร์เอ่ยถาม มองดูเธออย่างไม่อยากเชื่อสายตานัก เรื่องในทำนองหาทางพิสูจน์ไม่ได้ สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดในบ้านหลังนี้คงจะเป็นเด็กอินน์คนนั้นมากกว่า ทำตัวประหลาดราวกับผีสางทั้งที่ไม่ใช่
“เรื่องนี้ป้าเองก็ไม่ปักใจเชื่อหรอกนะคะ แต่คนเก่าแก่ที่เคยทำงานก็พูดแบบเดียวกัน คนสกุลนี้อยู่ถึงรุ่นสุดท้ายก็คือคุณธิชา แม้ไม่ใช่ญาติสายตรงก็ตาม เพราะคนอื่นๆไม่มีทายาท ถึงจะมี ก็ไม่ปกติกันสักคน”ป้าษอรเม้มปากเป็นเส้นตรง เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงเห็นอดเห็นใจ เขาพยักหน้าเข้าใจไม่ได้แสดงท่าทีต่อต้านอะไรกับเรื่องพวกนี้ เขาอยากได้ข้อมูลเก่าๆมากกว่า ข้อมูลที่มีประโยชน์
“งั้นเหรอครับ... แล้วป้าอรได้ทันรับใช้เจ้านายคนก่อนไหมครับ”ภูวรินทร์เอ่ยถาม จู่ๆก็นึกถึง ‘ท่าน’ที่อินทนิลพูดถึงไม่ได้ มันสะกิดใจเขานิดหน่อย แม้ว่าในใจจะไม่เชื่อเรื่องวิญญาณสิงสถิตในบ้าน เพราะมันทำให้เขานึกถึงคำเตือนของโชติเพื่อนสนิท

“ทันค่ะ สมัยที่ป้ายังสาวๆ คนล่าสุดมาอยู่ได้ไม่นานนักตั้งแต่เมื่อยี่สิบปีก่อนแล้วค่ะ”เธอกล่าว
“อ้อ แปลกนะครับที่ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้”ชายหนุ่มเอนตัวพิงกับโซฟา เขายังแปลกใจตนเองที่ไม่คิดจะศึกษาพื้นเพของบ้านเก่าหลังนี้เพียงถูกใจก็ตัดสินใจตกลงซื้อทันที ค่อนข้างหุนหันจนคนใกล้ตัวแปลกใจ
“ถ้าคุณภูรู้ คุณจะยังซื้อบ้านอยู่ไหมละคะ”ป้าษอรเอ่ยถามได้ตรงประเด็น ภูวรินทร์เงียบไป ป้าษอรมองเขาด้วยสายตาเดาไม่ออก คล้ายจะเห็นใจอยู่บ้าง
“อืม...ถึงยังไงป้าก็เล่าให้เจ้าของคนใหม่ฟัง แล้วไม่กลัวว่าผมจะขายต่อหรือทุบทิ้งเหรอครับ”ภูวรินทร์หัวเราะเบาๆในลำคอพลางกอดอกมองไปรอบบ้าน ยังคงเห็นม่านสีขาวพลิ้วไหวอยู่รอบห้อง
“...คุณภูดูถูกใจบ้านหลังนี้นะคะ ถึงแม้ว่ามันจะเก่า แต่ป้าก็อยากเห็นบ้านตอนบูรณะไหมเช่นกัน คงสวยไม่แพ้ของเดิม”
“แล้วทำไมคนสกุลนี้ถึงโดนเเช่งละครับ”ชายหนุ่มวกกลับมาเข้าประเด็นเดิมต่อ ป้าษอรยิ้มท่าทางเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด เธอคล้ายไม่อยากเอ่ยถึง“เรื่องนี้...มันแค่เรื้องเล่าต่อๆกันมาน่ะค่ะ”

“แต่เจ้าของบ้านก็เชื่อนี่ครับ ไม่งั้นจะทิ้งบ้านไปทำไม”ชายหนุ่มเอ่ยอยากไม่ยอมลดราวาศอก
“แล้วคุณภูไม่กลัวเหรอคะ”เธอไม่ตอบคำถามแต่ย้อนกลับใส่เขาชายหนุ่มนิ่งงัน นั่นสิ ทั้งๆที่เขาเจออะไรแปลกๆมาหลายเรื่องแต่เขาไม่มีความคิดที่จะย้ายออก อาจเพราะความตั้งใจเดิมคือแต่แวะมาดูความเรียบร้อยแค่หนึ่งสัปดาห์เท่านั้นหรือไม่ก็เขาคงจะหลงเสน่ห์บ้านเก้าแก่หลังนี้เข้าจริงๆก็ได้
“...ถึงจะฟังดูแปลกๆ แต่ผมก็ยังไม่มีความคิดจะจากไปไหนนครับ”ภูวรินทร์เอ่ย ป้าษอรมองเขาเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไรแค่พยักหน้าเข้าใจ “แล้วป้าล่ะครับ คิดว่าบ้านหลังนี้เป็นยังไง...”
“อ้อ....ป้าเป็นคนดูแลบ้านมานาน ไม่คิดว่าบ้านหลังนี้แปลกพิสดารไปจากที่อื่นหรอกค่ะ”ป้าษอรยิ้มออกมาอย่างจริงใจ
“นั่นสิครับ...จะมีอะไรได้”ภูวรินทร์พึมพำเหมือนแค่รำพึงกับตนเอง จากนั้นป้าษอรก็กลับไปประจำที่ห้องพักหลังครัว ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์เพื่อโทรหาโชติ อยากบอกเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น แต่จะทำให้เจ้านั่นประสาทเสียมากกว่าเดิมน่ะสิ


ระหว่างนั้นภูวรินทร์ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆสั้นๆกำลังขยับเข้ามาใกล้ พอหันหน้าไปมองทางต้นเสียง เขาเห็นร่างผอมเพรียวของอินทนิลกำลังวิ่งวนไปมาอยู่บริเวณริมหน้าต่าง เท้าเปล่าเปลือย ในมือถือกิ่งดอกปริศนาชูสูงเหนือศีรษะวิ่งห้ออย่างสนุกสนานราวกับว่าอยู่ในความฝันของตนเอง ชายหนุ่มมองอยู่นานจนเจ้าตัวหันกลับมามองเขา ใบหน้าขาวกระจ่างมีเหงื่อซึม ริมฝีปากโค้งยิ้มจนเห็นฟันขาว

“คุณครับ...”เด็กอินน์เอ่ยเรียก พอเด็กหนุ่มหันมาจดจ้องเขาอีกครั้ง ภูวรินทร์ได้แค่ส่ายหน้า เลิกสนใจเด็กหนุ่มที่แปลกประหลาดคนนั้น เขาปิดโน้ตบุ๊กก่อนจะหยิบหนังสือพิมพ์ฉบับประจำวันมาอ่านฆ่าเวลา เสียงฝีเท้าดังเป็นจังหวะใกล้เข้ามา อินทนิลวิ่งเข้ามาในบ้าน เสียงกรุ๊งกริ๊งเบาๆจากกำไลข้อเท้าสอดแทรกมาด้วย เขาเหลือบมองเจ้าของเสียงที่วิ่งมาหยุดอยู่ที่หน้าโซฟารับแขกชุดใหญ่ที่เขานั่งอยู่ เขามองเห็นแค่เท้าเปลือยเปล่ากำลังขยับไปมา กางเกงสีขาวไร้รอยเปื้อน กับเสื้อสีขาวมุกมีระบายใต้คอปกเสื้อ แขนเสื้อถูกพักไว้เหนือข้อศอก คล้ายกับใส่เสื้อผ้าตัวเดิม


“อ่านอะไรอยู่หรือครับ”เด็กอินน์เอ่ยถาม ชายหนุ่มเงยหน้ามองอินทนิลที่มีแววตาสงสัยใคร่รู้ แววตาสำหรับเด็กวัยซน ใบหน้าแดงก่ำชื้นเหงื่อร่างนั้นขยับนั่งลงที่เบื้องหน้าเขา ราวกับเป็นข้าชั้นต่ำ
“นี่ ลุกขึ้นไม่ต้องคุกเข่า มานั่งนี่สิ”เขาชี้ไปที่โซฟาตัวข้างๆตัวเล็กกว่าของเขา อินทนิลส่ายหน้า โค้งกายมาหาเขา “เดี๋ยวโดนดุเอา”อินน์พูด เขาถอนหายใจบางครั้งเด็กคนนี้พูดไม่รู้เรื่องเท่าไหร่
“ใครดุ ป้าษอรเหรอไง”ชายหนุ่มวางหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะอย่างหมดความสนใจ สิ่งที่น่าดึงดูดใจกว่ามาอยู่เบื้องหน้าของเขาแล้ว ร่างผอมที่นั่งคุกเข่าตัวตรงมองมาที่เขาแล้วส่ายหน้า เส้นผมนุ่มสลวยประบ่าสะบัดตามไปด้วย
“เปล่า ท่านต่างหาก”อินทนิลกระซิบเสียงเบาบอกราวกับว่าหากการพูดเสียงดังจะทำให้เจ้าตัวโดนจับได้ ภูวรินทร์ส่ายหน้าหัวเราะเด็กหนุ่มกับคำพูดแปลกๆที่ได้ยิน เขาขยับตัวโน้มลงไปหาอีกฝ่ายอย่างให้ความสนใจ
“นี่ เลิกพูดเลอะเทอะดีกว่า มานั่งด้านบนสิ ฉันจะถามอะไรหน่อย”ภูวรินทร์เอนตัวกลับ ก่อนจะตบลงกับที่ว่างบนโซฟาข้างๆกายเขา อินทนิลมองมาที่โซฟาด้วยแววตาซุกซนเหมือนเด็กทั่วไปก่อนจะเหลียวมามองเขาแล้วเอ่ยเสียงลังเล ขยับกายอย่างไม่สบายใจนัก
“...แต่ว่า”อินทนิลอึกอัก สองมือกำแน่นวางอยู่บนเข่า ชายหนุ่มมองปฏิกิริยาของอีกฝ่ายอย่างสนใจ เขาคิดว่าอินทนิลมีความแปลกที่อธิบายไม่ได้ เขาไม่เคยเจอเด็กคนนี้มาก่อน ไม่มีแม้แต่ในเสี้ยวความทรงจำ
“ฉันเป็นเจ้าของบ้าน ตอนนี้เธอเป็นผู้อาศัยก็ต้องฟังฉันสิ”ชายหนุ่มพูดเสียงเคร่งขรึม อินทนิลเม้มปาก สองมือขยุ้มกำเนื้อผ้ากางเกงสีขาวเหนือเข่าอย่างอึดอัดใจ คิ้วดกดำขมวดมุ่น
“ถ้าเกิดท่านโกรธขึ้นมา คุณจะซวยเอา”อินทนิลส่ายหน้า ดวงตากลมใสดูกังวลใจไม่ปิดบัง

“อินน์”ชายหนุ่มเรียกชื่ออีกฝ่าย กดเน้นชัดถ้อยชัดคำ 'ท่าน'ของเด็กคนนี้หมายถึงอะไร...คนหรือว่าผีสาง ชายหนุ่มกำลังไม่สบอารมณ์เขาแสดงออกทางสีหน้าและน้ำเสียงที่ฟังแล้วเป็นประโยคคำสั่ง เด็กหนุ่มร่างผอมมองเขาตาละห้อย สุดท้ายก็ยอมขยับตัวลุกขึ้นยืนช้าๆ หันรีหันขวาก่อนจะก้าวขาทีละก้าวราวกับย่องเบา ภูวรินทร์ชี้ที่ว่างข้างกายบนโซฟาตัวเดียวกัน อินทนิลห่อไหล่เกรงกลัวก่อนจะขยับตัวนั่งลงเบาๆราวกับโซฟามันจะถล่มพังเอาได้

“ขอถามหน่อยสิ เมื่อคืนเธอได้ออกมาข้างนอกหรือเปล่า”ภูวรินทร์ถามเสียงปกติ ไม่มีข่มขู่ ออกจะเกลี้ยกล่อม เขามองร่างเล็กของอินทนิลโดยไม่ละสายตา พลอยให้นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เวลานั้นท่วงทีของเด็กหนุ่มแตกต่างจากในตอนนี้เหมือนฟ้ากับเหว อินทนิลกัดปากอย่างกังวลใจ
“เปล่าครับ”อีกฝ่ายส่ายหน้าช้าๆ แววตาเซื่องซึมเหมือนคนไม่รู้ความ
“แน่ใจนะ” เขาถามย้ำ มองปฏิกิริยาของเด็กหนุ่มอย่างจับผิดว่าโกหกหรือไม่ แต่แววตานั้นไม่ขยับไหวมองเขาอย่างแน่วแน่
“ครับ อินน์นอนหลับกับษอร”อินทนิลยืนยัน
“...เอาเถอะ...ฉันไม่ถือสาอะไรหรอก ว่าแต่ทำไมไม่ใส่รองเท้าล่ะ”ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่องสนทนา ในเมื่อถามไปก็ไร้ประโยชน์เขาก้มมองอุ้งเท้าเปล่าที่มีรอยเปื้อนฝุ่นดินของอินทนิล มองไปที่กำไลทองที่ข้อเท้าซ้ายมีลายสลักที่ดูไม่ออกว่าคืออะไร แต่คาดว่าเป็นลายดอกไม้ มันเก่าไม่อร่ามเป็นทองใหม่ เด็กหนุ่มขยับเท้าเข้าหากันเหมือนอายที่ถูกจับจ้อง 
“...อินน์ใส่ แต่ที่บ้านไม่ใส่”เด็กหนุ่มพึมพำ เขานึกถึงคำพูดของป้าษอรที่ว่าหลานชายของเธอไม่ปกติ แต่เขามองไม่เห็นถึงความบกพร่องอะไร นอกจากภาษากายแปลกๆและคำพูดแปร่งๆเท่านั้นเอง เด็กคนนี้พูดจารู้เรื่องและฟังเข้าใจ

“คุณชื่ออะไร”เด็กหนุ่มเอ่ยถามเสียงฉงน ทำเอาภูวรินทร์ก้มมองเด็กคนนี้อย่างสงสัย พยายามมองหาร่องรอยของคำโกหกจากเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว จำได้ว่าเมื่อคืนเด็กคนนี้เรียกชื่อเขาไม่ใช่หรือไม่ เล่นละครตบตากันหรือเปล่า เขามองไม่ออก
“ชื่อภูวรินทร์”เขาตอบสั้นๆ อินทนิลผงกหัวรับ ใบหน้าค่อยๆปรากฏรอยยิ้มไร้พิษภัย เส้นผมสีดำขลับขยับไปมาตามศีรษะที่ขยับไปมา “ชื่อเพราะ แปลว่าอะไรหรือ”เด็กหนุ่มคล้ายอยากรู้
“แปลว่าผู้ประเสริฐและเป็นใหญ่ในแผ่นดิน”ชายหนุ่มอธิบาย เด็กหนุ่มฟังแล้วขมวดคิ้วเข้าหากันก่อนจะเลื่อนสายตามองเขาอย่างสนใจ มองอยู่นาน แต่ครั้งนี้ไม่ทำให้อึดอัดใจ

“อ้อ...ถึงว่า”อินทนิลยิ้มจางๆ แววตาทอประกายโศกเศร้า แต่เดี๋ยวเดียวก็จางหายกลับมาเป็นปกติ
“หืม...ทำไมเหรอ”ภูวรินทร์ถามอย่างแปลกใจในท่าทีของอีกฝ่ายอยู่บ้าง เขาแปลกใจที่รู้สึกว่าการคุยกับอินทนิลนั้นทำให้ค้นพบว่าเด็กคนนี้เหมือนเป็นคนอื่นไปบ้างในชั่วครั้งชั่วคราว เดี๋ยวก็สงสัยใครรู้ราวกับเด็กวัยซุกซน บางครั้งก็นิ่งเฉยไร้อารมณ์เหมือนผู้ใหญ่
“เอ...ท่านชอบคนหนุ่มชื่อนรินทร์”นั่นประไร เด็กอินน์คนนี้มักวกวนพูดถึงท่านคนนี้เสมอ ชายหนุ่มข่มใจไม่ให้หงุดหงิด เขาไม่อยากฟังเรื่องลี้ลับที่พิสูจน์อะไรไม่ได้ ถึงแม้บ้านนี้จะน่ากลัวไปบ้างแต่ก็คงปกติสำหรับบ้านเก่าแก่ที่เป็นของตกทอดมาหลายรุ่นแบบนี้
“ตกลงท่านคือใครล่ะ บอกทีสิ”ภูวรินทร์เอ่ยถามห้วนๆ น้ำเสียงเริ่มปั้นปึงขึ้นมาบ้าง อินทนิลมองเขาด้วยความแปลกใจ ก่อนที่เจ้าตัวจะหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
“ชู่ว อินน์พูดถึงไม่ได้”เด็กหนุ่มยื่นหน้ามาหาก่อนจะยกมือแตะปากเบาๆไปด้วย แววตาสีดำใสจ้องมองภูวรินทร์จนเห็นภาพสะท้อนอยู่ในแก้วตา ชายหนุ่มรู้สึกว่าเด็กอินน์ชักเลอะเทอะไปทุกที ทำให้เขาเหมือนตัวโง่งม
“ก็ได้ยินเธอพูดมาตั้งหลายครั้งเเล้วนี่”
“คุกกี้ น่ากิน”อินทนิลเปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉย เขามองนิ่งๆ สายตาของเด็กหนุ่มจดจ้องอยู่ที่จานคุกกี้ ชายหนุ่มอยากหัวเราะออกมาดังๆนัก
“ทานสิ”เขาเลื่อนจานไปให้เด็กหนุ่มอย่างเหนื่อยหน่าย อีกฝ่ายเหลียวหน้ามองเขาด้วยสายตามีประกายวิบวับ ดวงตากลมใสมองเขาด้วยความดีใจก่อนจะเอื้อมไปหยิบชิ้นคุกกี้ก่อนจะชักหดมือกลับมาดังเดิม
“ไม่ได้ล้างมือเลย เปื้อน”ภูวรินทร์เลิกคิ้วมองอย่างสงสัยก่อนจะเอื้อมไปหยิบทิชชูออกมาหลายแผ่นแล้วหยิบคุกกี้วางใส่ไปหลายชิ้น

“อ่ะ”เขาส่งคุกกี้ห่อหุ้มด้วยทิชชูไปให้ อินทนิลยิ้มก่อนจะเอ่ยขอบคุณเขา “คุณใจดีนะ ไม่เห็นเหมือนคุณคนก่อน”
“เจ้าของบ้านคนเก่าเหรอ”เขาถาม หมายถึงคนสกุลนี้หรือคนที่มาซื้อใหม่ก่อนหน้าเขา อินทนิลส่ายหน้าไปมา พลางนิ่งคิดไปครู่เดียวก่อนจะขยับปากเอ่ยต่อ
“ไม่ใช่ ๆ ...เอ๊ะ ษอรไม่ได้เล่าให้ฟังบ้างหรือ”อินทนิลดูแปลกใจ ก่อนจะเหลือบมองไปทางครัวใหญ่ด้วยสายตาเรียบเฉย เขามองตาม ป้าษอรนั้นไม่ได้เล่าความจริงหลายเรื่องให้เขาฟัง ตัวเขาไม่ใช่ไม่รู้ แต่จะให้คาดคั้นเอากับคนที่ไม่ยอมเปิดปากพูดก็คงยากหน่อย
“เล่าเรื่องอะไร”ภูวรินทร์ถามอย่างสนใจ พลางคิดว่าสามารถหลอกล่อเด็กคนนี้ให้ตอบสิ่งที่สงสัยได้หรือไม่

“ก็เรื่องที่มีคนตา—“อินทนิลเอนตัวเข้าหาระหว่างที่พูด น้ำเสียงสูงต่ำเหมือนกำลังเล่านิทาน คล้ายกับสะกดให้ภูวรินทร์เชื่อฟัง ชายหนุ่มนิ่งฟังอย่างจดจ่อ มองริมฝีปากสีชมพูเป็นธรรมชาติอย่างลืมตัว
“เจ้าอินน์!”เสียงขอป้าษอรปลุกเขาออกจากมนตราจากการเล่าของอินทนิลได้ เขาหันไปยิ้มให้เธอ ป้าษอรก้าวฉับๆมาหาหลานชายที่ไม่เชื่อฟัง “มารบกวนคุณภูเขาได้ยังไง”

“ไม่เป็นไรครับ ดีซะอีก ผมจะได้ทีเพื่อนคุย”ภูวรินทร์เอ่ยบอกไม่ถือสาหาความอะไร คุยกับอินทนิลก็เพลินไปอีกแบบแม้จะชวนให้หัวเสียไปบ้าง อินทนิลยิ้มให้เขาอย่างยินดี
“ไม่ได้หรอกค่ะ เดี๋ยวอินน์จะลามปามคุณเอาได้”ป้าษอรเอ่ยเสียงเกรงใจ เหลือบมองภูวรินทร์เป็นระยะ
“ผมไม่ได้เข้มงวดขนาดนั้นหรอกครับ บ้านหลังนี้ออกตั้งกว้าง”ชายหนุ่มบอกด้วยรอยยิ้ม เขาเชื่อว่าก่อนหน้านั้นอินทนิลอาจเคยมาวิ่งเล่นในบ้านจนเคยตัว...ไม่แน่นะ...เขาหวนนึกไปถึงดอกแก้วที่วางอยู่บนหมอนของเขา เป็นใครไปไม่ได้หรอกนอกจากคนในบ้าน เขาไม่อยากเชื่อว่าสิ่งอื่นจะเป็นฝ่ายนำดอกแก้วมาวาง...มันไร้เหตุผล...
“...ตามใจคุณภูแล้วกันค่ะ แต่ป้าอยากปรามหลาน เพราะแกเอาแต่ใจ”เธอพึมพำอย่างปฏิเสธไม่ได้ 
“อ้อ ก็พอจะเข้าใจ”เขาพูด ขณะเดียวกันอินทนิลก็นั่งกินคุกกี้อย่างเอร็ดอร่อย ไม่เดือดร้อนอะไรกับเสียงของป้าษอร เธอมองหลานชายด้วยสายตาหวั่นเกรงก่อนจะเหลือบมองเจ้านายคนใหม่สลับกัน ภูวรินทร์แค่ยิ้มไม่สะทกสะท้านก่อนจะรินชาให้ตนเอง ป้าษอรมองเขาสองคนเงียบๆก่อนจะเดินหายออกไปทางครัว
เขาหันไปมองอินทนิล “เมื่อกี้ว่ายังไงนะ” อินทนิลจ้องเขานิ่งๆก่อนจะเหลียวมองไปทั่วห้องรับแขก
“เล่าดีไหมนะ”อินทนิลเอียงคออย่างเย้าหยอก ภูวรินทร์ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกล้ายียวนเขาแบบนี้

“อยากกินขนมอะไรล่ะ”เขาหลอกล่อเด็กหนุ่มด้วยขนมดู
“ไม่เอา ขอแค่คุณอนุญาตอินน์ให้ไปเรือนเพาะชำ”
“ไหนว่า'ท่านเจ้าบ้าน'ให้อนุญาตแล้วไง”เขาย้อนคำของอินทนิล เด็กหนุ่มทำตาเบิกโพลงเหมือนได้ยินเรื่องเหนือความคาดหมาย
“มันก็ใช่ แต่คุณภูวรินทร์ก็เป็นเจ้าบ้านเช่นกัน ต้องเชื่อฟังไม่ต่างกัน”เด็กหนุ่มพึมพำตอบกลับมา แววตาหลุบต่ำก้มมองมือตัวเองที่วางอยู่บนเข่า
“ทำไมถึงชอบดอกไม้ล่ะ”ชายหนุ่มเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอีกครั้ง พอสิ้นคำของเขา สายลมเอื่อยแผ่วเบาก็พัดผ่านกรอบหน้าต่างทรงสูง ผ้าม่านสีขาวสะบัดชายพลิ้วไหว 
“...ดอกไม้นั้นหอมดี แล้วก็สวยด้วย คุณไม่ชอบหรือไง”อินทนิลเอ่ยถามเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็นกลับมา เปลี่ยนท่าทีได้ราวกับกดสวิตซ์ เขายิ้มบางๆก่อนจะไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่ “ก็ชอบ” มันเป็นความชอบทั่วๆไป แต่ก็แปลก เขากลับชอบสวนสีขาวสะพรั่งของบ้านหลังนี้ด้วยเช่นกัน แม้ใจอยากจะโละดอกไม้พวกนั้นทิ้งไป แต่ก็นึกเสียดาย
“อ๋อ....”
“งั้นเธอชอบดอกแก้วงั้นเหรอ” อินทนิลเหลียวมองเขาด้วยความสนใจ แววตานั้นขยับมองไปทั่วใบหน้าราวกับจะพินิจเขาได้โดยการทำเช่นนั้น ชายหนุ่มจ้องตอบไม่ลดละ
“...ชอบหลายอย่าง แต่ สำคัญสุดคือดอกแก้ว”
“ถ้าฉันอนุญาตให้เธอไปเล่นทีเรือนหลังบ้าน เธอจะตอบคำถามใช่ไหม”ภูวรินทร์เอ่ยถามเสียงขึงขรึมขึ้นมา ยกแขนขึ้นกอดอก แววตากลมใสของเด็กหนุ่มไม่ขยับไปไหน ก่อนที่ศีรษะกลมจะพยักหน้าลง “ได้ครับ”
“งั้นดอกแก้วในห้องฉัน เป็นเธอสินะที่เอาไปวางไว้”เขาเอ่ยออกไปช้าๆ อินทนิลเงียบไปก่อนจะผงกหัวรับ
“...ใช่”
“ทำไมล่ะ”
“เพราะคุณถือมันอยู่ คิดว่าเป็นของคุณ”อยู่ๆเขาก็ชาวาบไปทั้งร่าง หวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ตกลงว่าอินทนิลตรงหน้าเขานั้นกำลังเล่นตบตาอะไรอยู่ เขามองเด็กหนุ่มวัยสิบห้าปีอย่างตื่นตระหนกไม่เบา อีกฝ่ายยิ้มมุมปาก 
“หมายความว่ายังไง”เขาเอ่ยถามเสียงแหบแห้ง
“ก็...เมื่อเช้านั้น ช่อดอกแก้วตกอยู่ข้างๆตัวคุณ อินน์เลยเก็บเอามาให้”อินทนิลเอ่ยราบเรียบ แววตาหวนกลับมาเย็นชาดังเดิม รอยยิ้มหวานปรากฏขึ้นอีกครั้ง ภูวรินทร์มองอย่างไม่เข้าใจเลยสักนิด
“แต่เมื่อเช้าฉันไม่เห็น”เขาพูดห้วนๆ รู้สึกมีโทสะขึ้นมา เด็กหนุ่มส่ายหน้าก่อนจะเอื้อนเอ่ย “ก่อนคุณตื่น ฟ้ายังมืดอยู่เลย”
“...นี่เธอ”
“อินน์ตื่นเช้าก่อนษอร”สิ้นคำของอินทนิล ภูวรินทร์ก็อ้ำอึ้ง นึกอยากจะจับเด็กคนนี้มาตีซะให้เข็ด เพื่อคลายความจริงออกมาให้หมด
“งั้นเมื่อคืนก็ใช่เธอน่ะสิ”ภูวรินทร์พูดเสียงแผ่วเบา เขาสับสนไปหมดกับสิ่งที่เกิดขึ้น มันเหมือนเด็กหนุ่มคนนี้ตามมาหลอกหลอนเขาอยู่ซ้ำๆ จนเขาไม่อาจรู้ได้ว่า สรุปแล้วเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเป็นความจริงหรือเพียงฝัน แต่จะให้เขายอมรับว่าเดินละเมอออกไปนอนในสวนงั้นเหรอ...เป็นไปไม่ได้หรอก

“...เปล่า”เด็กอินน์ส่ายหน้าอีกครั้ง ทำให้ความอดกลั้นของชายหนุ่มพังลง เขาถอนหายใจอย่างฉุนเฉียว
“ช่างเถอะ แต่ต่อไปอย่ามาเข้าห้องของฉันมั่วๆ...ห้ามเอาอะไรไปจากฉันโดยไม่บอกด้วย”

“ครับ”อินทนิลผงกศีรษะรับอย่างว่าง่าย ใบหน้านั้นไม่แสดงอารมณ์ใดๆออกมา เขาผ่อนลมหายใจเข้าออกช้าๆ ก่อนจะเอ่ยถึงเรื่องนี้เป็นครั้งสุดท้าย “เธอเห็นว่าฉันนอนด้านนอก ทำไมไม่ปลุก”
“...ต้องปลุกด้วยเหรอ นึกว่าคุณชอบเสียอีก”คำตอบของอีกฝ่ายทำเอาเขาถึงกับต้องถอนหายใจ เขาไม่ควรไปโกรธเคืองเด็กที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว
“....ช่างเถอะ”การพูดคุยกับอินทนิลไม่ได้ความอะไรมาก นอกจากคำพูดวกวนและการเอ่ยถึงท่านในจิตนาการของอินทนิล เขาทำใจให้เชื่อแบบนั้นมากกว่า ไม่อยากให้การมายังบ้านหลังนี้เป็นความทรงจำแย่ๆหรือว่าไม่อยากให้ตนต้องกลับเมืองใหญ่ก่อนกำหนดการ


ค่ำคืนวันนี้ ภูวรินทร์โทรหาเพื่อนสนิทไม่ติด สัญญาณไม่ดีซะหลายครั้งจนเขานึกหงุดหงิดเปลี่ยนใจไม่โทรออกไป เขากลับมาอยู่ในห้องนอนอันอุ่นสบาย ป้าษอรยกชาคาโมมายด์มาเสิร์ฟให้เขาสำหรับไว้ดื่มก่อนนอน เธอบอกว่าช่วยให้หลับสบาย ราวกับรู้ว่าเขามีปัญหาอยู่เช่นกัน แต่ป้าษอรไม่ได้แสดงอาการอะไรมากนัก เธอแค่ยิ้มสงวนท่าทีตามปกติ
ภูวรินทร์เดินไปปิดหน้าต่าง คราวนี้ลงกลอนให้แน่หนาจนแน่ใจแล้วว่าต่อให้ลมแรงแค่ไหนกลอนจะไม่หลุดออก เขาไม่ได้สนใจเรือนปั้นหยาหลังนั้นอีก เพียงแค่รู้สึกว่าคืนนี้ลมแรงผิดปกติ ภายในบ้านเงียบสงัด มีเพียงเสียงจากด้านนอกและความมืดมิดเป็นเพื่อนปลอบประโลม

หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ๑] ๑๒.๑๑.๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 12-11-2017 04:43:02

ชายหนุ่มมองสัญญาณในสมาร์ทโฟนด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะวางลงกับโต๊ะติดกับเตียง เขายกถ้วยชาร้อนๆขึ้นมาดื่มให้ร่างกายอบอุ่น กลิ่นหอมอ่อนๆของชาคาโมมายด์ทำให้ใจของเขาสงบลงได้บ้าง เขาดื่มจนหมด ก่อนจะเข้านอน เมื่อเห็นว่ายามนี้ก็ล่วงเลยมาถึงสี่ทุ่มครึ่ง คนแถวนี้นอนกันเร็วมาก อาจปิดไฟกันตั้งแต่สามทุ่มได้ ในใจคิดว่าที่นี่เหมาะสำหรับวันพักผ่อนจริงๆนั่นแหละ ถ้าให้มาอยู่จริงๆล่ะก็คงไม่เหมาะนัก

ภูวรินทร์หลับตาลง ยังคงเปิดโคมไฟไว้ภายในห้องเช่นเคย เขาหลับๆตื่นๆเพราะเสียงค่ำคืนที่ดูจะเกรี้ยวกราดว่าคืนที่ผ่าน ในใจเต้นรัวมันเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า ชายหนุ่มเคร่งเครียด เสียงตึงตังของประตูรั้วจากหน้าบ้านดังให้ได้ยิน รุ่งเช้าต้องไปบอกลุงชมให้ไปจัดการซ่อมประตูนั่นซะให้สิ้นเรื่อง เขาพลิกกายนอนตะแคง ขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนใหม่ มันหนาขึ้นกว่าผืนเก่าเยอะ

เสียงสะบัดของผ้าม่านดังให้ได้ยินอยู่เป็นครั้งคราว พร้อมๆกับสายลมเย็นยะเยือกชวนให้หนาวเหน็บในใจ ชายหนุ่มขมวดคิ้วแน่น ร่างกายเข้าสู่ภาวะตื่นกลัวอีกครั้ง เขาไม่อยากลืมตาแล้วเห็นว่าหน้าต่างบานนี้เปิดอ้าอีกแล้ว แต่ประสาทสัมผัสการรับรู้ทั้งเสียง และร่างกายที่รู้สึกถึงสายลมปะทะตามใบหน้า ทำให้เขารู้อยู่แก่ใจว่าหน้าต่างนั้นเปิดออกอย่างไม่รู้ตัว...ตอนไหนกันล่ะ

“...ภูวรินทร์”น้ำเสียงของเด็กหนุ่มกระซิบข้างหู


ภูวรินทร์ลืมตาตื่นด้วยความสั่นสะท้าน ชายหนุ่มเปิดเปลือกตาหนักอึ้งขึ้น ในขณะนี้เขากำลังนอนจ้องไปทางหน้าต่างที่เปิดกว้างมองเห็นความมืดยามวิกาลที่บ้าคลั่ง เสียงของใบไม้ขยับดังให้ได้ยิน ชายผ้าม่านสะบัดไหวไปมาชวนให้หลอนอยู่เนืองๆ

ทั่วทั้งร่างของภูวรินทร์ตื่นตระหนก ขนลุกไปทั้งกายเมื่อรับรู้ถึงสัมผัสอบอุ่นราวกับมีร่างมนุษย์โอบกอดจากทางด้านหลัง เขารู้สึกเช่นนั้นจริงๆ ชายหนุ่มไม่กล้าหันกลับไปมองสัมผัสอุ่นนั้น เสียงในใจร่ำร้องว่าอย่ามองมันเลย ลมหายใจแผ่วเบาเป่ารดไปตามท้ายทอย ลำคอ จนเขาไม่อาจข่มความกลัวได้ ภูวรินทร์พยายามตั้งสติ เขาฝันหรือไม่...แต่สิ่งที่สัมผัสได้ล้วนมาจากใต้สำนึก

 “...ทำเราโกรธอีกแล้ว”เสียงนั้นกระซิบบอก...ซุ้มเสียงแผ่วเบาคล้ายจะหยอกล้อ เสียงของอินทนิล เขาสับสนงงงวย ทันใดนั้นเขาก็เห็นว่าท่อนแขนขาวซีดของเด็กหนุ่มก็เลื่อนโอบรัดเข้าหา ลมหายใจร้อนยิ่งชัดเจน ชายหนุ่มหลับตา ไม่อยากเห็น ‘ใคร’หรือ ‘สิ่งนั้น’แม้แต่น้อย ใบหน้าของเขารับรู้ถึงความนิ่ม อุ่นร้อนแนบลงกับข้างแก้ม ราวกับว่ามีคนแนบใบหน้าลงมา...

“ออกไป....”เขาบอกเสียงโกรธเคือง ต่อให้ตายยังไง เขาก็ไม่มีทางเปิดตามามองเห็น รับรู้สิ่งที่กำลังรบกวนตนเอง กายเนื้อของคนๆนั้นยังคงอยู่ แต่สัมผัสที่ใบหน้าหายไปแล้ว ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ชายหนุ่มถึงได้สติ รู้สึกได้ว่าการกอดรัดจากด้านหลังหายไปแล้ว เขาหายใจอย่างโล่งอก ร่างกายเย็นเยียบเหงื่อกาฬไหลลงตามแผ่นหลัง

ภูวรินทร์อยากปิดหน้าต่าง เพราะลมโกรกปะทะเข้ามาไม่หยุดหย่อน ชายหนุ่มไม่คิดว่าจะมีพายุเข้า เขาปวดเมื่อยไปทั้งร่าง ก่อนจะเหยียดแข้งขาให้คลายความเมื่อยนี้

ชายหนุ่มลืมตาเมื่อรู้สึกว่าทุกอย่างกลับสู่ปกติ เขายังคงหันหน้าไปทางหน้าต่างที่เปิดกว้าง เลื่อนลงมาที่ข้างเตียง เขาเลือดลมไม่ปกติ เมื่อเห็นร่างของเด็กหนุ่มอันคุ้นตาในเสื้อผ้าอาภรณ์ตัวเดิม กับแววตาเย็นชาและรอยยิ้มหวาน นั่งซบวางศีรษะกับเตียงจ้องมองเขาอยู่ข้างๆ   


“อ๊ากกกก ไปให้พ้น!”ภูวรินทร์ร้องตกใจ เขาผงะลุกออกจากเตียงมือปัดป่ายเป็นพัลวัน ในใจหวาดกลัวกับสิ่งที่เห็น เด็กอินน์ดูปกติดี แต่ใบหน้านั้นคล้ายกับมีเงาดำพาดผ่านยิ่งทำให้รอยยิ้มกับแววตาคู่นั้นเพิ่มความน่าสะพรึง และกลิ่นดอกแก้วจางๆ เขาเห็นว่ามันตกอยู่บนเตียง ราวกับร่วงโรยมาจากมวลอากาศที่มองไม่เห็น

ชายหนุ่มลุกหนีออกจากเตียงแบบไม่คิดชีวิต ภาพนั้นติดตาจนไม่ลืมเลือน ในตอนนี้เขาคิดว่าอินทนิลเป็นภูตผีจากนรก ไม่ต่างอะไรเลย

ภูวรินทร์ผวาสะดุ้งเฮือกจากอาการหวาดกลัวจากห้วงลึกในใจ เขาลืมตาตื่นจ้องมองเพดานสีขาวในห้องที่สว่างใต้โคมไฟสีนวลตา

“ฝันอีกแล้ว”เขาพึมพำ พลางมองไปที่ข้างกาย เตียงนอนกว้างไร้สิ่งผิดปกติ ในใจไม่คลายกังวลลงไปได้ ในฝันนั้นน่ากลัว ใบหน้าของเด็กนั่นทำให้เขาผวาไม่น้อย ทำไมกันนะ? ทำไมถึงต้องเป็นอินทนิล เขามองหน้าต่างที่เปิดอ้าอีกครั้ง ในใจหนาวเหน็บ ชายหนุ่มผุดลุกมานั่ง คราวนี้เขาไม่ได้ลุกไปปิดมัน เพียงแค่เอื้อมไปหยิบสมาร์ทโฟนบนโต๊ะลิ้นชักข้างเตียงมา เปิดดูสัญญาณที่ไร้วี่แววจะกู้กลับมา ในใจนึกถึงโชติเพื่อนสนิท... แค่คำเตือนของหมอนั่นน่ะ...

ภูวรินทร์นอนไม่หลับอีกต่อไป เขาแค่นั่งอยู่บนเตียงไม่ขยับกายไปไหน ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะกลับไปตั้งหลักในเมืองใหญ่บ้านเกิดของตนเองน่าจะดีที่สุด เขาไม่น่ามาเสียเวลาที่นี่ สิ่งที่ชายหนุ่มฝันต่อให้จะเป็นภูตผีหรือไม่นั้นมันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว เพราะเขารู้ตัวว่า คงไม่อาจหลุดจากฝันร้ายนี้ไปง่ายๆ

เช้าวันรุ่งขึ้น แสงยามเช้าไม่ทำให้ภูวรินทร์สดชื่นแม้แต่น้อย เสียงของไก่บ้านจากที่ไหนใกล้ๆ ดังให้ได้ยิน เขามองขอบฟ้าที่มีแสงสีส้มสีฟ้าเจือจางให้เห็นด้วยใจเหนื่อยล้า ชายหนุ่มเข้าไปอาบน้ำให้สดชื่น วันนี้เขาลงมาชั้นล่างเช้ากว่าปกติ ชายหนุ่มเดินไปยังห้องหลังครัว เป็นบ้านพักของลุงชมและป้าษอร

ภูวรินทร์เจอลุงชมกำลังฝ่าฟืนอยู่ ส่วนป้าษอรกำลังตากผ้า ทั้งคู่มองเขาเงียบๆ ดูไม่แปลกใจเท่าไหร่นัก แต่มีความกระอักกระอ่วนให้เห็น

“สวัสดีครับคุณภู วันนี้ตื่นแต่เช้าเลยนะครับ”ลุงชมเอ่ยทักด้วยรอยยิ้ม ชายหนุ่มโบกมือก่อนจะเปิดประเด็น
“ผมอยากถามเรื่องรถไฟเที่ยวแรกน่ะ...ผมคิดว่าจะกลับบ้านสักพัก”ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น ป้าษอรเงยหน้ามองเขาด้วยแววตาเห็นใจ ก่อนจะเหลือบมองลุงชมที่ละมือจากงานเดินมาหาเขาด้วยท่าทีเคร่งขรึมเหมือนมีเหตุร้าย
“คุณภูคงยังไม่ทราบ...เมื่อคืนมีพายุเข้าหนักเลยครับ ทำเอาดินถล่มตัดทางรถไฟ การรถไฟประกาศยกเลิกเทียวรถทั้งขาออกขาเข้าเลยครับคุณ”สิ่งที่ลุงชมบอกเขาเหมือนตัดความหวังในใจ ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปสักพัก ก่อนจะตั้งสติกลับมา
“งั้นเหรอ...อีกนานหรือเปล่า กว่ารถไฟจะเดินรถตามปกติ”
“...คงราวๆสองอาทิตย์ล่ะครับคุณ ว่าแต่ทำไมถึงจะกลับก่อนกำหนดล่ะครับ”ลุงชมเอ่ยถาม ภูวรินทร์ตวัดสายตามองอย่างเรียบเฉย เขาคิดว่าทั้งลุงชมและป้าษอรน่าจะรู้ถึงความผิดปกติของบ้านหลังนี้...ไม่สิ...ความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเขา ไม่แน่ใจนักว่าระหว่างที่ฝันร้ายนั้นเขาได้ร้องตะโกนโวยวายเสียงดังหรือไม่


“แล้วอินน์ล่ะ”ชายหนุ่มหันไปถามป้าษอร เธอเก็บไม้แขวนเสื้อเก่าๆลงตะกร้าผ้า ก่อนจะหันมาตอบเขาด้วยท่าทีไร้สิ่งผิดปกติ
“แกนอนหลับอยู่น่ะค่ะ...ทำไมหรือคะ”เธอถามอย่างกังวลใจ เขาไม่อาจรู้ว่าเธอแกล้งถามหรือเปล่า ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
“ผมว่าหลานป้าไม่ปกติ...ไม่รู้สิ มันรบกวนผมแปลกๆ”ภูวรินทร์เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ ป้าษอรมองเขาอย่างตกใจใบหน้าซีดเผือด ชายหนุ่มเดินกลับไปทางเดิมด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว เขาหงุดหงิดที่ออกไปจากบ้านหลังนี้ไม่ได้ เมื่อคืนพายุคงกระหน่ำจริงๆนั่นแหละ ให้เขาโทษธรรมชาติไปก็ไร้ประโยชน์ ชายหนุ่มก้าวเดินด้วยความเร็ว รู้ตัวอีกทีก็เดินมาถึงลานน้ำพุในสวน แสงแดดยามเช้าทำให้อบอุ่น ที่นี่สวยงาม แต่น่าหวาดหวั่น เขาจะจัดการยังไงกับเรื่องนี้ดีล่ะ

ฝันร้ายนั้นจะบอกอะไรเขาหรือ...ทำเราโกรธอีกแล้ว หมายความว่ายังไง ฉับพลันเขาก็นึกถึงถ้อยคำของอินทนิล “ถ้าเกิดท่านโกรธขึ้นมา คุณจะซวยเอา” อินทนิลเอ่ยถึง‘ท่านเจ้าบ้าน’ท่าทางหวั่นเกรง

ภูวรินทร์ไม่อยากเชื่อว่าเด็กอินน์จะพูดความจริง... เขาต้องยอมรับว่าเจ้าของบ้านคนเก่าไม่ต้อนรับเขางั้นหรือ แล้วเขาไม่ทำอะไรให้โกรธกันล่ะ...ซ่อมแซมบ้านอย่างนั้นเหรอ แต่ในใจเขาไม่เชื่ออย่างนั้น ฝันร้ายที่เกิดขึ้น อาจเกี่ยวข้องกับอินทนิลโดยตรงก็ได้

แหงล่ะ ในเมื่ออินทนิลตามมาหลอกหลอนเขาในฝัน จะให้คิดเป็นอื่นได้อย่างไร...

'อะไรดลใจให้ฉันซื้อบ้านหลังนี้นะ' ภูวรินทร์คิดด้วยใจอันหนักอึ้ง เขากำลังถูกความมืดมิดของบ้านหลังนี้ดึงดูดเข้าหาไปทีละน้อย
หัวข้อ: Re: +++ ภวังค์ รัก +++ [ ๑] ๑๒.๑๑.๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: Babyboys ที่ 12-11-2017 11:23:24
กลัวอ่ะ :z3:
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ๑] ๑๒.๑๑.๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: Mod40 ที่ 12-11-2017 16:04:17
รอติดตามคับ   :mew5:
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ๑] ๑๒.๑๑.๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 12-11-2017 17:25:50
ลึกลับซับซ้อนจังงง
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ๑] ๑๒.๑๑.๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 12-11-2017 19:59:50
รอติดตามต่อฮับ ลุ้นมากเลย
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ๑] ๑๒.๑๑.๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 12-11-2017 21:59:01
มันจะหลอนๆหน่อย ลุ้นๆ :ling3: :ling3: :katai1:
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ๑] ๑๒.๑๑.๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 14-11-2017 20:57:26
หลอนๆดี
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ๒ ] ๑๗.๑๑.๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 17-11-2017 00:02:13
ตอนที่ 2 เจ้าของบ้านคนเก่า

ภูวรินทร์รู้สึกไม่ดีอยู่บ้างที่เกิดเหตุขัดข้องจนเขาไม่สามารถกลับเข้าเมืองได้อีกหลายสัปดาห์ ชายหนุ่มพยายามไม่คิดถึงเรื่องราวลึกลับเกี่ยวกับผีสางเทวดา ในตอนนี้เขารู้สึกขยาดอินทนิลอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ไม่ได้นึกรังเกียจหรือหวาดกลัวไม่อยากเข้าใกล้ ช่วงสายเขาเห็นว่าคนงานเริ่มทยอยเข้ามาเช็คสภาพของเรือนเพาะชำ เขาเดินไปดูความเรียบร้อยอยู่สักพัก เห็นว่าอินทนิลยืนหลบอยู่ทางด้านหลังป้าษอร สายตามองจ้องไปที่เรือนเพาะชำอย่างแน่วแน่ ไม่ขยับไหวร่างกาย

“ดอกไม้ที่ยังไม่ตายก็แยกเก็บไว้ด้านนอกก่อนก็ได้ ไอ้ที่เหลือก็โละทิ้งไปได้เลย”ภวรินนทร์เอ่ยบอกคนงานประมาณหกชีวิตที่กำลังเดินเข้าเข้าเดินในเรือนเพาะชำอย่างขะมักเขม้น ลุงชมเดินมาหาเขาด้วยใบหน้าท่วมเหงื่อ

“มีบางต้นที่มันฝังรากลึก คุณภูจะให้ถอนเลยไหมครับ”ลุงชมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเกรงกลัว เขามองอีกฝ่ายอย่างไม่ใส่ใจนัก

“จะถอนก็เสียดายเหมือนกันยืนต้นมาตั้งหลายปี มีต้นอะไรบ้างล่ะครับ”

“ส่วนมากเป็นต้นแก้วครับ รากมันทะลุกระถางจนแตกไปหมด ถ้าจะถอนก็ต้องทำพื้นในเรือนเพาะใหม่”สิ้นคำของลุงชม ภูวรินทร์เย็นไปทั้งร่างเพราะต้นแก้ว คงเพราะภาพฝันเมื่อคืนยังติดตา เขาเบนสายตาออกจากลุงชมมองไปหาอินทนิลอีกครั้ง ปรากฏว่าเด็กอินน์นั่นกำลังมองเขาอยู่ด้วยแววตานิ่งเฉย มุมปากมีรอยยิ้มเล็กน้อย เป็นใบหน้าที่ไม่คล้ายกับเด็กวัยนี้ เขามองไม่ออกว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกอย่างไรผ่านใบหน้านั้น ป้าษอรมองมาที่ชายหนุ่มใบหน้าขาวซีด ดูเหมือนเหนื่อยล้าไปมากจากที่เจอกันเมื่อตอนเช้าตรู่

“...ปล่อยไว้แบบนั้นแหละ”เขาเอ่ยออกไปช้าๆ ไม่รู้สาเหตุว่าทำไมถึงอยากเก็บต้นไม้ชนิดนี้ไว้ ทั้งๆที่มันก็กวนใจเขาไม่น้อย ลุงชมผงกหัวรับรู้ ร่างผอมสีคล้ำผ่อนลมหายใจคล้ายกับโล่งอก ภูวรินทร์มองชายแก่อย่างสนใจ

“งั้นผมไปทำงานต่อนะครับ ถ้าคุณภูอยากเพิ่มเติมอะไรก็เรียกใช้ผมกับคนงานได้เลย”ลุงชมยังคงพูดเสียงเกรงกลัวเช่นเดิม ชายหนุ่มถอนหายใจโบกมือไล่อีกฝ่ายให้กลับไปทำงานอย่างไม่ติดใจอะไรอีก เขาเดินไปหาป้าษอร สายตาเหลือบมองเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ทางด้านหลัง สวมเสื้อผ้าชุดใหม่เป็นผ้าฝ้ายสีขาวแขนสั้น กับกางเกงสีครีมใหญ่กว่าตัว เส้นผมนุ่มล้อมใบหน้าอ่อนเยาว์ไว้ราวกับภาพวาด และยังไม่สวมรองเท้าเช่นเดิม

“มีอะไรหรือคะ คุณภู”ป้าษอรเอ่ยถาม เธอเหลียวไปมองหลานชายด้วยเช่นกัน อินทนิลยืมนิ่งไม่ขยับกาย แม้กระทั่งแววตาที่ไม่หวั่นเกรงอะไร เอาแต่จ้องภูวรินทร์

“ผมขอถามป้าอรตรงๆนะครับ ในบ้านใหญ่มีอะไรที่ผมต้องระวังหรือเปล่า”ภูวรินทร์เอ่ยด้วยน้ำเสียง ป้าษอรมองเขาด้วยความตกใจอยู่บ้าง เธอมีสีหน้ากระอักกระอ่วน

“ก็ไม่นี่คะ...”

“ดูเหมือนว่าฐานะเจ้าของบ้านคนใหม่ของผม คงไม่มีอำนาจพอจะทำให้ป้าบอกอะไรผมบ้าง...”ชายหนุ่มพูดอย่างชินชา เขาหวังคำตอบที่ดีกว่าคำว่าไม่ อยากได้คำตอบอย่างอื่น เขาคิดว่าทั้งป้าและลุงรู้ว่ามีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้น แต่ทำไมพวกเขาถึงไม่ชี้แจงให้เขาได้รู้บ้าง ภูวรินทร์ไม่อยากเห็นหน้าสองป้าหลานอีก จึงหันหลังเดินหนีออกจากบริเวณเรือนเพาะชำ แล้วเดินไปยังทิศทางริมรั้งใกล้กับเรือนปั้นหยาหลังข้างๆแทน จนกระทั่งเดินมาหยุดอยู่ที่ประตูรั้วสนิมเขรอะบานเล็กที่เชื่อมต่อกับเรือนเก่าหลังนั้น เขาดึงกลอนออก สองหูได้ยินเสียงฝีเท้าย่ำลงกับพื้นพร้อมเสียงกระดิ่งของกำไลข้อเท้าเบาๆมาจากด้านหลัง

“อินน์ชอบมาเล่นที่นี่”เสียงของอินทนิลดังมาจากด้านหลัง ชายหนุ่มหันไปมองเด็กชาย อินทนิลยืนอยู่ทางด้านหลัง มองมาที่เขาด้วยสายตาสดใสกว่าเมื่อครู่ก่อน เขามองอีกฝ่ายนิ่งๆ

“ทำไมล่ะ”

“อืม...ไม่รู้สิ เพราะมีต้นแก้ว”ชายหนุ่มมองอินทนิล เป็นเพราะต้นแก้วอีกแล้ว ในใจเขาเชื่อเต็มเปี่ยมว่าอินทนิลกับดอกแก้วน่าจะมีความเกี่ยวข้องกัน

“เหรอ ไปด้วยกันไหม”ภูวรินทร์ลองเอ่ยชวน เพราะเขาอยากลองเข้าไปสำรวจรอบๆเรือนดูบ้าง ไปกับอินทนิลบางทีอาจได้คำตอบอะไรคลายข้อสงสัยบ้าง อินทนิลคลี่ยิ้มออกมาก่อนจะผงกหัว อีกฝ่ายยื่นมือมาให้เขา

“หืม”ชายหนุ่มงุนงงไปชั่วขณะ แต่เมื่อมองเด็กหนุ่มที่ยื่นมือมาคล้ายกับอยากให้จับไว้ เขามองลังเลสักพักแต่สุดท้ายก็ยื่นมืออกไปจับมือของอินทนิล สัมผัสอุ่นยืนยันได้ว่าอินทนิลไม่ใช่สิ่งแปลกประหลาดใด ชายหนุ่มก้าวขาผ่านประตูทางเข้า อินทนิลกระชับมือแน่นขึ้นอีก เดินตามเขามาอย่างใกล้ชิดจนรู้สึกได้ถึงเนื้อผ้านุ่มของฝ้าฝ้ายที่อีกฝ่ายสวมใส่

“เคยเข้าไปในบ้านไหม”ภูวรินทร์เอ่ยถามกับอินทนิลที่จับมือเขาไว้ไม่ปล่อย แววตาสงบเสงี่ยมไม่ได้สนใจการเข้ามาสำรวจบริเวณเรือนหลังเก่าเท่าไหร่ เรือนปั้นหยามีสวนหย่อมหน้าบ้านนั่นก็คือต้นแก้วที่ออกดอกบานสะพรั่งเช่นเดิม ในตอนกลางวันดอกไม้ดูจะหม่นหมองไปผิดกับตอนที่มันต้องแสงจันทร์ยามดึก เช่นเดียวกับตัวเรือนสีขาวเก่าหลุดหลอกจนเห็นเนื้อไม้ดูไร้ความน่าสะพรึงไปบ้าง แต่ก็ยังรู้สึกน่ากลัวนิดหน่อย เขามองไปที่ตัวบ้าน มีผ้าม่านสีขาวเช่นเดียวกับในบ้านใหญ่อยู่หลังหน้าต่างทุกบาน

“ไม่เคยเหมือนกัน”อินทนิลพูด เด็กหนุ่มยื่นหน้ามาใกล้ ส่วนสูงของอินทนิลอยู่ต่ำกว่าหัวไหล่ของภูวรินทร์เสียอีก ศีรษะของของเจ้าตัวจึงคลอเคลียอยู่แถวต้นแขนของเขา ภูวรินทร์ก้มมองด้วยความอึดอัดใจเล็กน้อย เพราะความถึงเนื้อถึงตัวของอีกฝ่าย แต่จะไปว่าไม่ได้เพราะเขากำลังจับมือกับเด็กวัยสิบห้าปีที่ไม่ปกติ เขาเชื่อป้าษอรแล้วล่ะว่าไม่ปกติ เธออาจจะหมายถึงเรื่องนี้ก็ได้   

“แล้วมาเล่นที่นี่ไม่กลัวหรือไง”ภูวรินทร์พูดไปเรื่อยๆ ก่อนจะเดินขึ้นบันไดเรือนปั้นหยาที่ติดกับบันไดบ้านประมาณสี่ขั้นมีระเบียงโปร่งไว้สำหรับนั่งเล่น แต่ตอนนี้ไม่มีโต๊ะเก้าอี้วางไว้ มีเพียงฝุ่นและเศษใบไม้แห้งเหี่ยว เสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าดของไม้เก่าใต้ฝ่าเท้าดังไปทุกครั้งที่เขาก้าวเดิน

“ไม่ครับ อินน์ได้รับอนุญาตแล้วนี่”เด็กอินน์พูดถึงเรื่องนี้อีกแล้ว ชายหนุ่มรู้สึกสั่นไหวเล็กน้อย นึกถึงถ้อยคำในฝันที่ว่าทำให้โกรธ

“เธอจะบอกฉันไม่ได้เหรอ ว่ากำลังพูดถึงใคร”ชายหนุ่มก้มมองเด็กหนุ่มคนข้างกาย อินทนิลบีบมือเขาแน่นไปด้วย คิ้วดกดำขมวดเข้าหากันราวกับกังวลใจ

“อืม...ก็หมายถึงเจ้าของบ้านไง... แล้ว‘ท่าน’ไม่เคยมาหาคุณภูบ้างหรือ”อินทนิลยื่นหน้ามากระซิบบอก ภูวรินทร์ผงะออกจากอินทนิล แต่อีกฝ่ายไม่ยอมปล่อยมือไปจากเขา กลับยิ่งกระชับแน่นขึ้นอีก เขามองนัยน์ตาสีนิลดำสนิทราวกับถ่านขยับไหวเหมือนหยอกล้อ ลมหอบใหญ่พัดเข้าใส่ตัวเรือนปั้นหยา แรงพอจะพัดพากลิ่นของดอกแก้วปะทะกับจมูก ชายหนุ่มลูบใบหน้าอย่างหวั่นเกรง เขาไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงต้องมาเจอเรื่องเหนือธรรมชาติ อินทนิลขยับตัวมาใกล้ดึงมือของเขาที่เจ้าตัวจับไว้แล้วเปลี่ยนมากอบกุมไว้โดยมือทั้งสองข้างคล้ายจะปลอบประโลม ชายหนุ่มมองอินทนิลอย่างเต็มตา ใบหน้าขาว ดวงหน้ารูปหัวใจเงยมองเขาแววตาสะท้อนถึงความโศก

“...มีเจ้าของบ้านจริงๆเหรอ...เธอหมายถึงคนที่ตายไปแล้วหรือไง”ชายหนุ่มหายใจติดขัด ร่างกายคล้ายยืนไม่ยืน เหมือนเริ่มไร้เรี่ยวแรง เขารู้สึกเหมือนโดนหลอกในเวลากลางวันแสกๆ ขนที่ต้นคอลุกชันอย่างไม่ทราบสาเหตุ ไม่รู้เพราะจากเด็กอินน์หรือเพราะลมหอบใหญ่ที่มีกลิ่นดอกแก้ว

“...เปล่าซะหน่อย ไม่ได้จากไปไหนซะหน่อย ยังรอคอยเสมอ...ลืมไปแล้วหรือ”อินทนิลเอ่ยเอื้อยด้วยซุ้มเสียงคล้ายกับเสียงในฝันร้าย ชายหนุ่มไม่มีแรงดึงมือออกจากการกุมกอบของอินทนิล แค่ปล่อยให้อีกฝ่ายกุมไว้อย่างนั้น แก้วตาสีนิลคล้ายอ่อนโยนลงบ้าง อีกฝ่ายยิ้มให้เขา เขาอยากเผ่นกายออกไปจากเรือนหลังนี้และอินทนิล แต่ร่างกายไม่เป็นไปตามที่ใจอยาก เขาเหมือนถูกโอบกอดจากใครสักคนที่ไม่มองไม่เห็น ขยับเขยื้อนไม่ได้ราวกับถูกสะกดไปพร้อมกับแววตาของอินทนิล

“คุณภูคะ...เจ้าอินน์”เสียงเรียกของป้าษอรดังขึ้น พร้อมกับเสียงก้าวเท้าเดินมาหา ภูวรินทร์ได้สติ เขามองไปยังต้นเสียง ป้าษอรเหงื่อท่วมอาจเพราะวิ่งมาหาหลานชาย เธอมองหลานชายกับเจ้านายคนใหม่ด้วยสายตาตกใจ จนภูวรินทร์รู้สึกตัวจึงรีบดึงมือออกจากอินทนิล เด็กหนุ่มปล่อยท่อนแขนลงแนบลำตัวนิ่งๆสองมือกำแน่นเช่นเคย เขาถอยห่างออกจากอินทนิล แล้วเดินลงจากบันไดเรือนปั้นหยาทันที ป้าษอรเดินเข้ามาหาเขา

“มีอะไรหรือเปล่าคะ”เธอถามอย่างเป็นห่วง ชายหนุ่มยิ้มเจื่อน ปากคอแห้งผาด

“เปล่าหรอกครับ แต่ป้าดูแลอินน์ดีๆหน่อยนะครับ...เขาดูใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว”ชายหนุ่มเอ่ยบอกกับเธอเสียงแผ่ว เขาเหลือบมองอินทนิลที่ยังคงยืนอยู่กับที่ จ้องมองความว่างเปล่าเบื้องหน้าเหมือนคนล่องลอย เขามองด้วยใจหลากหลาย ทั้งกลัว และเป็นห่วง ไม่รู้ว่าป้าษอรเคยพาอินทนิลไปหาหมอตรวจอาการประหลาดนี่บ้างไหม ก่อนจะหันหลังกลับไปยังบ้านใหญ่ อินทนิลหันมาทางเขาพอดี ใบหน้านั้นดูเศร้าหมอง ชายหนุ่มรีบผลุนพลันกลับไปทางประตูรั้ว หัวใจเต้นรัวในอก 
ให้ตาย ชายหนุ่มอยากกลับบ้านเหลือเกิน เขาอาจปอดแหกขี้ขลาดตาขาวไปเอง แต่เจอแบบนี้เขาอยู่ไม่ไหว ‘ท่าน’ ของอินนทนิลหมายถึงเจ้าของบ้านคนเก่า เขายอมรับว่าท่านอาจเป็นผีสาง แต่ทำไมต้องมาหลอกหลอนเขาด้วย เขาทำผิดอะไรกัน

บางทีเขาควรถามป้าษอรเรื่องอดีตของบ้านใหญ่หลังนี้อีกครั้ง เจ้าของคนเก่า...คนที่สาปแช่งตระกูลตนเองคนนั้นเป็นใคร
สิ่งที่ภูวรินทร์กลัวมากกว่าอิทนิลก็คือเวลากลางคืน เขาขลาดขวัญกลัวว่าจะฝันร้ายอีก เขาดื่มกาแฟดำเข้าไปหนึ่งแก้ว จึงไม่รู้สึกง่วง บรรยากาศยามดึกเหมือนทุกคืน ลมแรง จนเขาเลิกสนใจเสียงลั่นของประตูไม้และเสียงสัตว์กลางคืน ชายหนุ่มหยิบสมาร์ทโฟนราคาแพงออกมาแต่ในเวลานี้กลับไร้ประโยชน์เพราะสัญญาณถูกตัดขาดราวกับติดอยู่ในเกาะร้าง เขาไม่คิดว่าตนเองจะต้องลงเอยในสภาพนี้เลย เขาอยากคุยกับโชติสักครั้ง เผื่อว่าหมอนี่จะช่วยอะไรได้ อย่างเช่นมารับเขากลับ อาจใช้เฮลิคอปเตอร์...

ประสาทจริงๆ เขาคิดไปถึงขั้นนั้นเลยหรือนี่ ชายหนุ่มหัวเราะเยาะในความขี้ขลาดของตนเอง เขานั่งลงกับเตียงก่อนจะเปิดดู
รูปภาพเก่าๆในอัลบั้มฆ่าเวลา ถ้าหากว่ารถไฟกลับมาเปิดบริการอีก เขาจะรีบออกไปจากบ้านหลังนี้ เขาคิดไม่ตกว่ายังอยากเก็บบ้านหลังนี้ไว้หรือไม่ แต่เขาไม่อยากโดนหัวเราะลับหลังจากคนใกล้ชิดว่าซื้อบ้านมาสุดท้ายก็ปล่อยขายตามเดิม เหมือนคนตาขาว

ชายหนุ่มหันไปมองหน้าต่างที่ปิดสนิทอย่างระแวง คราวนี้ถ้าหากว่ายังเปิดเองอีกล่ะก็ เขาจะให้ลุงชมมาตีปิดตายหน้าต่างไปซะเลย

ทันใดนั้นภูวรินทร์สะดุ้งวาบ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าหนักคล้ายคนวิ่งเล่นอยู่ในบ้านซึ่งเป็นชั้นเดียวกันกับตน...เขามองจ้องไปทางประตูห้อง ภายในบ้านเงียบสนิท เสียงวิ่งไปมายังคงดังอยู่ เขาวางโทรศัพท์ลงก่อนจะเงี่ยหูฟัง และเขากลับรู้สึกหนาวยะเยือก

ตึก ตึก ตึก

เพราะเสียงนั้นยังคงดังและวนเวียนอยู่หน้าห้องของเขาเอง เสียงกริ๊งคล้ายกระดิ่งดังให้ได้ยินแว่วๆยิ่งเพิ่มความหวาดกลัวให้แก่เขาหนักขึ้น

“ใครน่ะ”ภูวรินทร์อยากตบปากตนเองนัก เขาลุกขึ้นลงเดินในห้อง แล้วไปควานหยิบไฟฉายกระบอกใหญ่สีดำออกมาจากลิ้นชัก แม้ในใจจะประหวั่นเพียงใดแต่เขาต้องไปให้เห็นกับตาว่าเป็นคน หรือว่าสิ่งอื่น อาจเป็นอินทนิล แต่เด็กนั่นไม่เคยได้รับอนุญาตให้ขึ้นมาในบ้าน....ยกเว้นท่านไม่ใช่เหรอ...คิดได้ดังนี้เขาก็เหมือนโดนทุบที่ศีรษะ เขาไม่อยากคิดเช่นนั้นในเวลานี้ ถ้อยคำของอินทนิลเมื่อกลางวันยังวนเวียนอยู่ในหัวก็ยิ่งสร้างความน่าสะพรึงกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น

ชายหนุ่มเปิดไฟฉายก่อนจะเดินช้าๆไปที่ประตูเสียงวิ่งยังคงดังห่างออกไปแล้ว เขาเปิดประตูออกกว้าง ด้านนอกห้องมืดสลัว มีแสงไฟจากประตูห้องนอนของตนเองเป็นเครื่องนำทางด้วยส่วนหนึ่ง เขาสาดไฟไปตามระเบียงกว้าง ชั้นบนนอกจากห้องนอนแล้ว ยังมีห้องอื่นๆอีกเรียงกันไป ภายในบ้านเมื่อผ่านบันไดใหญ่ก็จะมีโถงทางเดินก่อนจะถึงห้องนอน ถัดออกไปก็จะมีห้องเรียงวนกันไป เมื่อเขาออกมายืนอยู่ที่โถงหน้าบันได ก็จะเห็นห้องฝั่งตรงข้ามและโถงรับแขกของขั้นล่างด้วย ชายหนุ่มพยายามไม่สนใจม่านที่กำลังพลิ้วไหว ท่ามกลางบ้านใหญ่ที่เงียบสงัด เขาสาดไฟฉายไปที่ห้องฝั่งขวามือ เขาได้ยินเสียงดังตุบ ถึงกับสะดุ้งตัวโยน เพราะเสียงมันดังมาจากห้องถัดไปจากในนั้น

เสียงแผ่วเบาจนคิดว่าตนหูฟาดไป เป็นเสียงหัวเราะ

จะมีใครในบ้านอีกล่ะนอกจากเขาแล้ว ภูวรินทร์กลั้นหายใจ ขับความกลัวออกไปจากใจ เขาเดินไปตามทาง สาดส่องลำแสงไปตามทางเดิน เขาส่องไปที่ประตูบานใหญ่ของห้องเบื้องหน้า เสียงหัวเราะหายไปแล้ว แต่เสียงทึบๆยังคงดังมาจากในห้อง ในบ้านเงียบซะจนเขานึกอยากจะร้องตะโกนออกมาดังๆให้คลายความหวาดกลัว ชายหนุ่มเอื้อมมือไปแตะลูกบิดแบบเก่า สีทองเหลือง เขาหมุนมันออก เสียงดังคลิก พร้อมกับเสียงลั่นแอ๊ดของประตูที่ไม่เคยเปิดใช้มานาน

เขาค่อยๆแง้มประตูออก หากเกิดอะไรขึ้นมา เขาอาจหัวใจวายได้ แต่ทว่าสิ่งที่สร้างความแปลกใจให้เขาคือลำแสงสว่างเล็ดรอดมาจากในห้อง เพราะเขาเห็นว่าทางริมห้องมีแสงสว่างเพราะมีดวงไฟติดพนังเปิดไว้สลัวๆราวกับหรี่ไฟให้ลดความจ้าลง เมื่อเขาเปิดประตูออกว้าง จากที่คิดว่าห้องนี้อาจเป็นห้องว่าง แต่มันเป็นห้องนอนเก่า เขาเห็นห้องแบบเต็มตา เตียงสี่เสาแบบเก่า แต่มีอะไรบางอย่างอยู่บนนั้น เงาร่างคล้ายมนุษย์

ภูวรินทร์หัวใจแทบหยุดเต้น เมื่อร่างนั้นพลิกตัวมาหาเขา ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจช้าๆ พยายามตั้งสติก่อนจะสาดไฟฉายไปทิศทางนั้นช้าๆ เขามือสั่นเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นว่าร่างนั้นที่นอนอยู่บนเตียงเขากลับโล่งใจขึ้นมาบ้าง

“คุณภู...”เสียงของอินทนิลเรียก ชายหนุ่มเม้มปาก รู้สึกโกรธเคืองที่อีกฝ่ายเข้ามาในบ้านและทำให้เขารู้สึกประสาทไปเอง เขาเดินตรงไปหาอีกฝ่ายบนเตียง

“เธอเข้ามาได้ยังไง”ชายหนุ่มเดินเอื้อมมือเปิดไฟดวงใหญ่ที่หัวเตียง ทันใดนั้นห้องก็สว่างขึ้นมา ทำให้เขาคลายความกลัวไป เขาวางไฟฉายลงกับโต๊ะข้างๆ อินทนิลยังคงอยู่ในชุดสีขาวแต่คราวนี้คล้ายกับเป็นเสื้อบางแขนยาวกับโสร่งผ้าโปร่งสีขาว

“พูดไป คุณคงโกรธใส่เรา”อินทนิลเอ่ยเบาๆ ภูวรินทร์เดินเข้าไปคว้าตัวเด็กหนุ่มให้ลุกขึ้นนั่ง ถึงคราวที่ป้าษอรต้องให้คำตอบแก่เขาได้สักทีว่าเพราะอะไรอินทนิลถึงต้องทำตัวประหลาด อินทนิลไม่ขัดขืนแต่ทว่าแววตาแข็งกร้าว ใบหน้านิ่งขึงไปราวกับโกรธ

“ไปกับฉัน”

“ลองมองรอบห้องนี้สิ”อินทนิลไม่สะทกสะท้านอะไรเพียงแค่หันหน้าไปมองทางริมห้องด้วยสายตานุ่มนวลลง ชายหนุ่มถอนหายใจแรงอย่างไม่พอใจ แต่ก็หันไปมองตาม เขาเห็นว่าเครื่องใช้ต่างๆภายในห้องเหมือนเป็นของเก่า ไม่ว่าจะเป็นตู้เสื้อผ้าสลักไม้ ผ้าม่านลูกไม้สีขาว โต๊ะรับแขกตัวยาวกับโต๊ะน้ำชาที่ริมห้องดูเก่าโทรม แต่สีไม้ของมันยังคงไม่ซีดจาง

“อินน์ เลิกทำให้ฉันประสาทเสียซะที”เขาพูดห้วนๆก่อนจะดึงแขนให้อีกฝ่ายลุกออกจากเตียง แต่อินทนิลขืนตัวไว้

“ไม่เอา ที่นี่เคยเป็นห้องของเรานะ”เด็กชายจ้องหน้าเขาด้วยสายตาเรียบเฉย เขาเกลียดแววตานี้ พยายามไม่สนใจว่าอีกฝ่ายพูดอะไร ‘เคยเป็น’มันเป็นรูปอดีต หมายถึงก่อนที่ตนจะมาซื้อบ้านหรือว่าเคยเป็นของ...

“...ช่างเถอะ ตอนนี้ฉันไม่อนุญาต”ภูวรินทร์พูดเสียงอ่อนลง เขามองอีกฝ่ายที่ยังคงนั่งอยู่บนเตียง ไม่ลดราวาศอกให้เขา จากนั้นอีกฝ่ายก็หันมายิ้มให้เขา

“คุณถามถึงเจ้าของบ้านคนเก่า...อยากรู้หรือเปล่าล่ะ”อินทนิลถามด้วยน้ำเสียงต่างไปจากเดิม ดูเค้นเสียงพูด เขาเขวไปบ้าง

“ตอนเช้าค่อยเล่าให้ฉันฟัง”

“ไม่ได้หรอก...ต้องเล่าตอนนี้ จำไม่ได้หรือไง ว่ากลางคืนเป็นของเรา”ภูวรินทร์บอกไม่ถูกกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับอินทนิล เขามองเด็กหนุ่มตรงหน้า มันทำให้เขานึกถึงคืนที่สองที่อยู่ในบ้านหลังนี้ อินทนิลเรียกเขาไปที่เรือนปั้นเหยาหลังนั้น พูดจาคล้ายๆกัน ‘เรา’ อินทนิลไม่เคยใช้เรากับภูวรินทร์ในตอนกลางวันเลยสักครั้ง จะเรียกแทนตัวเองแค่ว่า ‘อินน์’

“เธอเป็นใครกันแน่...”ชายหนุ่มเอ่ยเสียงแหบแห้ง เขารู้สึกเหมือนโดนหลอก ปั่นหัว เขาตามเรื่องราวไม่ทัน ทุกอย่างภายในบ้านนี้ดูลึกลับ แม้กระทั่งคน

อินทนิลยิ้ม “เคยบอกไปแล้ว... อยากฟังหรือเปล่าล่ะ มานี่สิ”เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้น ท่าทางมั่นใจ ดูไม่นิ่งงัน เงียบขรึมเหมือนในคราวก่อน เรียกว่าดูปกติกว่าเมื่อตอนกลางวัน ชายหนุ่มมองอย่างลังเล มีหลายเหตุผลที่กำลังเกิดขึ้นในหัว

“ไปคุยกันที่ห้องฉันก็ได้นะ”ชายหนุ่มลองเสนอ เขาอยากไปให้พ้นบรรยากาศอึดอัด อึมครึมในห้องนี้ไปเสีย อินทนิลหัวเราะเบาๆ หัวเราะเหมือนขำขัน

“เราทำคุณกลัวด้วยหรือ ...เล่าที่นี่นั่นแหละ ที่ของเรา”อินทนิลเอ่ยเสียงเรียบเฉย ใบหน้าขาวสะอาดเหลียวมองเขาอย่างรอคำตอบ ชายหนุ่มเย็นเยียบไปทั้งตัว เขาอยากกลับออกไป บางสิ่งเต้นเร่าในอก มันทำให้เขาไม่อาจก้าวขาออกไปไหนได้ ทำได้เพียงแค่เดินขึ้นไปนั่งบนเตียงช้าๆ ข้างกายอินทนิล

“ว่ามาสิ”เขาเอ่ยเบาๆ รู้สึกเกร็งไปทั้งกาย เมื่ออินทนิล ดึงแขนเขาให้นอนลงไปพร้อมๆกัน เขาตกใจเพราะไม่คิดจะมานอนกับอีกฝ่ายและภายในห้องนี้ ไม่ใช่ห้องของเขา อินทนิลหัวเราะแผ่วเบาส่งเสียงชู่วเหมือนปรามเขาที่ขืนตัวลุกขึ้นนั่ง ชายหนุ่มมองอีกฝ่ายด้วยใจหวาดหวั่น 

“จะทำอะไร”ชายหนุ่มดันร่างของอินทนิลออกห่างเพราะเจ้าตัวคล้ายกับจะเข้ามากอดเขาไว้ ทำให้ชายหนุ่มถึงกับตัวแข็งไปทั้งร่าง เด็กคนนี้เป็นอะไรกันแน่ ทำท่าประหลาดใส่เขามาตั้งแต่เมื่อกลางวัน การจับเนื้อต้องตัวน่ะ อินทนิลหัวเราะเสียงมีชีวิตชีวาคล้ายคนเดิม

“แค่นอนด้วยกันเอง...กลัวไปทำไม”เด็กชายบอก

“มันแปลก...ฉันกับเธอไม่สนิทกัน”ชายหนุ่มบอก แต่ก็ไม่ขยับตัวถอยห่างเด็กหนุ่ม มันสองจิตสองใจ ความรู้สึกที่ทั้งหวาดระแวงและน่าเข้าหามันตีกันสับสน อินทนิลขยับกายเข้ามาใกล้เหมือนจงใจแกล้ง เด็กหนุ่มตะแคงหันหน้าเข้าหา เท้าแขนมองเขาไปด้วย ใบหน้านั้นยิ้มอย่างนึกสนุก

“บ้านหลังนี้เดิมทีแล้วเป็นของผู้ดีเก่า นานมากจนตกทอดมาถึงต้นตระกูลของคนภิรมย์สุข...คนบ้านนี้อยากได้มรดก โดยเฉพาะที่ดินผืนนี้ ทางเดียวที่ทำได้คือ สอพลอใส่พ่อใหญ่ให้ท่านยกบ้านให้ แต่ว่าพ่อใหญ่รักลูกไม่เท่ากัน เขายกบ้านนี้ให้ลูกชายคนสุดท้องแทน จนพ่อใหญ่ตายไป บ้านทั้งหลังตกเป็นของลูกคนสุดท้องที่อายุยังน้อย พี่ๆไม่พอใจมาก ไม่ต้องการเป็นแค่ผู้อาศัย ด้วยอายุยังน้อยไม่ถึงสิบขวบดี ก็ถูกกลั่นแกล้ง จนต้องย้ายไปอยู่ที่เรือนข้างๆแทน...”อินทนิลเล่าช้าๆ มองเขานิ่งๆไม่ละไปไหน เหมือนว่าหน้าของเขามันน่าสนใจกว่าอะไรทั้งปวง

ชายหนุ่มนึกถึงเรือนปั้นหยาหลังนั้น เขาพอเดาเรื่องออกว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อ เขาแปลกใจที่ป้าษอรไม่เล่าให้เขาฟังเลย 

“แล้วเขาชื่ออะไรล่ะ”ภูวรินทร์อยากรู้ชื่อของอีกฝ่าย เจ้าของบ้านคนนั้นน่ะ... อินทนิลคลี่ยิ้ม แววตากลมสะท้อนใบหน้าเขาชัดเจน “ชื่อว่า...แก้ว กรินทร์”เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงราบเรียบ ชายหนุ่มนิ่งงัน ในใจบีบรัดแน่น สิ่งเชื่อมโยงอินทนิลเข้ากับ ‘ท่าน’เจ้าบ้านชัดเจนขึ้นมา เวลานี้เขาต้องยอมรับความจริง

ภูวรินทร์ไม่ได้พูดอะไรอีก แค่รอฟังเงียบๆเท่านั้น อินทนิลมองเขาก่อนจะขยับปากเล่าต่อ

“แต่โชคดีนะ มีเทพบุตรขี่ม้าขาวมาช่วย...เป็นท่านอาของแก้วเอง ท่านอาคนนี้เป็นคนหนุ่มใจดี คอยดูแลหลานชายอย่างใส่ใจ... สมัยก่อนการแต่งงานในหมู่เครือญาติมีให้เห็นในชนชั้นสูง เหมือนว่าพวกเขาจะรักใคร่กันมากกว่าอาหลาน แต่ไม่มีใครรับได้โดยเฉพาะยิ่งเป็นชายด้วยกันแล้วยิ่งเป็นการสร้างข้อครหา มันเป็นสัมพันธ์ลับๆ แก้วรักทานอาคนนี้มากจนกระทั่งเติบใหญ่ ท่านอาก็ยิ่งอายุมากขึ้นไปอีก ท่านต้องแต่งงานสืบสกุล แต่แก้วไม่ยอม ท่านอาผู้นั้นเลยขังหลายชายคนรักไว้ในบ้านไม่ให้เห็นเดือดเห็นตะวัน...เป็นทาสรัก จนกระทั่งหลานชายตายไป”

ภูวรินทร์นิ่งไป...เขารู้สึกแปลกๆในเรื่องเล่านี้ เรื่องเล่าลือมันถูกเสริมแต่ง ยิ่งมาจากปากของเด็กวัยสิบห้าปี เรื่องนี้เชื่อถือได้หรือไง

“แล้วยังไงต่อล่ะ ท่านอาคนนั้นเป็นยังไงต่อ”

“ที่จริงแล้วท่านอาหวังครอบครองบ้านหลังนี้ เขามีใจทรยศมาตั้งแต่แรก แต่แก้วกลับมองข้ามไป โง่สิ้นดี...เมื่อบ้านหลังนี้กลายเป็นของท่านอาในที่สุด แต่กลับไม่มีใครอยู่ได้สักคน มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นหลายอย่าง เล่าไปคุณอาจไม่เชื่อ แต่ท่านอาคนนี้มีชีวิตอยู่ได้ไม่นานหรอก อยู่ได้แค่สามปีหลังจากที่แก้วตายไป ว่ากันว่าเขาตรอมใจตาย แต่บ้างก็เล่าว่าแก้วเป็นคนฆ่าเขาเอง”อินทนิลเล่าด้วยใบหน้านิ่งเฉย แววตาไม่สะท้อนความรู้สึกใดออกมา ชายหนุ่มหายใจไม่สะดวก เหงื่อกาฬไหลไปทั่วทั้งแผ่นหลัง

“จะฆ่าได้ยังไง...”ชายหนุ่มพึมพำ อินทนิลเลื่อนสายตามองเขาก่อนจะเผยยิ้ม

“นั่นสินะ...แต่ลูกหลานของท่านอาอยู่บ้านนี้ไม่ได้สักคน แต่เรื่องมันก็เลยมาจนเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว คำสาปแช่งของแก้วไม่น่าจะคงทนมาถึงเจ็บสิบปีได้ เรื่องมันเกิดนานมาก”อินทนิลหัวเราะเสียงแปร่งๆ

“นั่นสิ...”

“เอ ตั้งแต่ปีอะไรนะ...อ้อ...พ.ศ.2480 โน้นแหนะ วิญญาณของแก้วจะอยู่ได้นานหรือ คุณภูคิดเห็นอย่างไรล่ะ”อินทนิลเอ่ยถาม ก้มมองเขา นัยน์ตาสีนิลเหมือนดูดเอาความรู้สึกนึกคิดของเขาไปหมด เขาคิดอะไรไม่ออก

“แล้วทำไมเธอ ถึงพูดถึง ‘ท่าน’ตลอดเลยล่ะ ถ้าหากว่าเรื่องมันผ่านมานานแล้ว”ภูวรินทร์ย้อนถาม อินทนิลหุบยิ้ม ใบหน้านั้นเรียบเฉย ก่อนจะก้มหน้าลงต่ำมาใกล้เขาจน เส้นผมที่ปรกบ่าเลื่อนไหลลงมาเขี่ยแก้มของชายหนุ่ม เขาหายใจไม่ออกขึ้นมาทันที เพราะ ‘กลิ่น’ของอินทนิล ...กลิ่นจางๆของดอกแก้ว

“นั่นสิ...คงเพราะว่าอินน์สื่อถึง ‘ท่าน’ได้ง่ายกระมัง”อินทนิลกระซิบพูด ดวงตาวาววับ ชายหนุ่มดันบ่าแคบของเด็กหนุ่มให้ออกห่าง เขาพยายามลุกขึ้นมานั่ง แต่อินทนิลดันตัวเขาลงนอนตามเดิม

“อย่าถอยห่างจากเราสิ...”เด็กหนุ่มพูด สีหน้าคล้ายเจ็บปวด คิ้วขมวดเข้าหากัน ริมฝีปากขบเม้มเข้าหากันเหมือนขัดใจ
อาการเดิมเหมือนเริ่มกลับมา ความอึกอัก กระวนกระวายใจ

“หมายถึงอะไรล่ะ ทำไมเธอต้องพยายามเข้าหาฉันด้วย...ทำไมกัน”ภูวรินทร์เอ่ยถามบ้าง เลิกต่อต้านเด็กหนุ่ม อินทนิลเหลียวหน้าเหลียวหลัง ก่อนจะเอื้อมมือมากุมมือข้างซ้ายของเขาไว้แน่น เขาตกใจพยายามดึงมือออกแต่อินทนิลจิกมือลงกับฝ่ามือของเขาแน่นจนเจ็บ

“แค่...อยากเตือนน่ะ...ว่าอย่าจากไปเลย”อินทนิลคลายปมที่คิ้ว ใบหน้าซีดไร้สีเลือด มองเขาอย่างสิ้นหวัง สองมือเล็กกว่านั้นกุมฝ่ามือของเขาไว้ไม่ปล่อย เขาไม่เข้าใจสักนิด อินทนิลกรอกตามองเขา สีนิลคู่นี้ทำให้เขารู้สึกเกรงกลัวเช่นเคย มันอ่อนหวานเป็นบางครา

“พูดถึงอะไร”

“ชู่ว แค่ฟังก็พอ...เดี๋ยวได้เดือดร้อนหรอก”อินทนิลเอ่ยเสียงต่ำ ปล่อยมือออกจากเขาแล้วเลื่อนมาจับผ้าห่มเลื่อนมาคลุมตัวเขาไว้ ชายหนุ่มไม่ทันลุกขึ้น อินทนิลก็กอดแน่นกดร่างของไว้กับเตียงนอน

“ไม่...ฉันจะกลับ”ภูวรินทร์กระแทกเสียง ผลักร่างของอินทนิลออกไปให้พ้นตัวอย่างง่ายดาย อินทนิลปราดเปรียว กลับเข้ามารั้งตัวเขาได้ดังเดิม

“ไม่ได้ นอนที่นี่”อินทนิลย้ำ

“เธอทำบ้าอะไร ปล่อย”ภูวรินทร์ขยับตัวไม่ได้คล้ายถูกกดจากคนที่มีน้ำหนักตัวมากกว่าเขา ทั้งๆที่อินทนิลตัวเล็กกว่า เขาจ้องอีกฝ่ายด้วยความตระหนก อากาศรอบตัวคล้ายเย็นเยียบไปอีกครั้ง ภูวรินทร์รู้สึกไม่ชอบห้องนอนแห่งนี้เลยสักนิด มันเก่าและอึดอัด อยู่ๆทั้งห้องก็ตกอยู่ในความมืดมิด ไฟอาจดับ... เขาไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น รู้แค่ว่าเขานอนตาเบิกโพล่งในความมืดนี้ ข้างกายมีอินทนิลกอดไว้ไม่ปล่อย

...เขากลัว อาจกลัวอินทนิลในเวลานี้เหลือเกิน

“อย่ากลัวเลย ไม่ทำร้ายคุณหรอก”อินทนิลกระซิบบอกข้างๆหู ‘...ไม่จริงน่า หากหวังดีควรปล่อยเขาไป’ชายหนุ่มคิดในใจ เขารู้สึกถึงความอุ่นของร่างกายของอีกฝ่ายอยู่ข้างกาย อย่างน้อยอินทนิลยังอยู่ เขาไม่ได้อยู่คนเดียว

ชายหนุ่มหลับตา สองหูได้ยินเสียงลมจากด้านนอก ที่นี่เหมือนมีลมกลางคนพัดเข้าใส่ตลอด

“เธอต้องการอะไรกันแน่...”ภูวรินทร์เอ่ยออกมา หมายถึงอินทนิลด้วยและอาจจะสื่อถึงสิ่งอื่นด้วย ถ้าให้พูดตรงๆเขากลัวเกิดไป อินทนิลไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่หายใจแรงขึ้น เบียดตัวเข้ามาใกล้มากขึ้นเท่านั้น บนเตียงสี่เสา ชายหนุ่มพยายามข่มตาให้หลับ เขาไม่ได้จ้องมองความมืดอีกต่อไปเพราะเขาเริ่มจินตนาการไปเป็นอย่างอื่นเพราะความกลัว เขากลัวความมืด อาจไม่ถึงขั้นโฟเบีย เป็นความกลัวในระดับปกติ

หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ๒ ] ๑๗.๑๑.๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 17-11-2017 00:10:19
กว่าภูวรินทร์จะรู้สึกตัวอีกครั้งเพราะเสียงหวีดหวิวของลมกลางคืน และเสียงร้องของสัตว์ดังอื้ออึ้งอยู่ใกล้ๆ ชายหนุ่มไม่สบายตัว เขาลืมตาตื่นก็พบกับความมืดสลัว เขาพยายามปรับสายตาให้ชินกับความมืด จนได้สติดี เขากำลังจ้องมองฝ้าเพดานเก่าๆ ที่ผุพังจนเห็นทะลุหลังคาบ้านไม้ เขานิ่งงันเมื่อรู้สึกว่ากำลังนอนอยู่บนพื้นแข็งๆจนเจ็บแปลบไปทั้งหลัง สักพักเขาได้ยินเสียงเคลื่อนไหว เหมือนเสียงลากอะไรสักอย่าง

...เสียงโซ่งั้นเหรอ... ภูวรินทร์เย็นเยียบอีกครั้ง เขาหลับตาพยายามตั้งสติอีกครั้ง แต่เสียงที่ได้ยินกลับชัดขึ้น เสียงขยับของโซ่ตรวน เรื่องราวที่อินทนิลเล่าให้ฟังนั้นผุดประดังประเดออกมา ชายหนุ่มพยายามขยับร่าง ไม่อยากพบเจอสิ่งน่ากลัวอีก เขากวาดแขนไปรอบตัว รู้สึกได้ถึงพื้นไม้สากๆและฝุ่นหนา จนเขาสำลักไอโขลก

เขาอยู่ที่ไหนกัน...

เมื่อภูวรินทร์ตะหนักได้ว่าตนเองไม่ได้นอนอยู่บนเตียงกับอินทนิลอีกต่อไปแล้ว เขาหวาดกลัว เพราะเมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง สายตาก็พลันไปเห็นผ้าม่านสีขาวติดอยู่รอบทั้งห้อง ตามบานหน้าต่างก็ด้วย เขาอยากร้องตะโกน ที่นี่มันเหมือนเรือนปั้นหยาเก่าร้างข้างบ้านใหญ่ไม่ใช่เหรอ เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง เป็นไปไม่ได้...

ฝันร้ายงั้นเหรอ... เขาตกอยู่ในความฝันอีกแล้วงั้นเหรอ

ความฝันที่เหมือนจริง เสียงโซ่ดังขึ้นมาอีก ไม่เพียงเท่านั้นเสียงลากเท้าก็ดังตามมา ภูวรินทร์ผุดลุกขึ้นยืนด้วยความโซเซ ตอนนี้เขาชินกับความมืด ภายในห้องสี่เหลี่ยมทรุดโทรม เขายืนอยู่ในบ้านหลังเก่า ไม่นับมุมมืดจากทางซ้ายมือที่อยู่สุดทางนั้น...ที่มาของเสียงนั่น ชายหนุ่มถอยห่างก่อนจะพยายามหาทางออก ประตู หน้าต่างเหมือนปิดตายไปหมด เขากระแทกหน้าต่างให้เปิดออกแต่ไม่สำเร็จ เขาไม่รู้ว่าอยู่ส่วนไหนในบ้าน

“ช่วยด้วย มีใครได้ยินไหม!”ภูวรินทร์ร้องเรียก เพราะไม่อาจทนอยู่ในบ้านเก่าหนาไปด้วยฝุ่นได้อีก เขาพยามเปิดประตูที่เหมือนจะพังเพราะสนิมเกาะจนปลดล็อกไม่ได้ เสียงโซ่ยังคงดังขึ้นอีก ยิ่งขับความกลัวมากขึ้นไปอีก

ไม่!

เสียงฝีเท้า พร้อมกับเสียงกริ๊งเบาๆเสียงกำไลข้อเท้าคล้ายของอินทนิลดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงลากโซ่ ชายหนุ่มเนื้อตัวเย็นเชียบ เหงื่อกาฬไหลเต็มแผ่นหลัง เขาหายใจติดขัด รู้สึกว่าหัวใจจะกระดอนออกมาจากอก มันเต้นรัวและดัง ในความเงียบและมืดสลัวนี้อาจมีสิ่งใดได้ยินเข้าก็ได้

“ป้าษอร! ลุงชม!”ภูวรินทร์ร้องเรียกอีก ไม่สนใจอีกว่าเขาจะเจอกับอะไร ความจริงหรือความฝัน ในเวลานี้สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เขาหวาดกลัวจับใจ

...ครืด...ครืด...

เสียงลากโซ่ใกล้เข้ามา

“นรินทร์...”

ภูวรินทร์สะดุ้งเมื่อมีเสียงเรียกชื่อ เสียงของอินทนิลเช่นเคย แต่ชื่อนั้นไม่ใช่เขา แต่คล้ายกันมาก ชายหนุ่มไม่หันไปมอง ชายหนุ่มทุบประตูแรงขึ้นอีกจนเจ็บไปทั้งตัว ไม่ได้ผล เขาเหมือนไร้เรี่ยวแรงขึ้นมา ไม่อยากติดอยู่ในนี้

...ครืด...ครืด...

เสียงนั้นขยับมาใกล้ คล้ายกับว่าอยู่ด้านหลังของเขา ชายหนุ่มหลับตา เกร็งไปทั้งร่างเมื่อรู้สึกถึงลมเย็นๆแผ่วเบาจากด้านหลัง เสียงขยับเท้าดังกรุ๊งกริ๊ง เสียงจากกำไลข้อเท้า ทำไมอินทนิลต้องมาหลอกหลอนเขา หรือว่าไม่ใช่...เจ้าของบ้านคนเก่างั้นเหรอ...ชายหนุ่มได้สติขึ้นมาว่าเรือนปั้นหยาเป็นที่ที่แก้วอาศัยอยู่ แต่เขาไม่รู้ว่าแก้วคนนั้นตายที่ไหน ไม่จริงน่า...

ได้โปรดเถอะ...

ภูวรินทร์ทรุดลงกับพื้นอย่างห้ามไม่อยู่ เขาไม่ทนรับความหวาดกลัวและความกดดันจากสิ่งที่อยู่ด้านหลังได้ จะเป็นใครก็ช่าง
ชายหนุ่มหายใจเข้าออกช้าๆ เสียงขยับตัวจากด้านหลังยังคงได้ยิน บริเวณที่เขานั่งลงอยู่นั้นอยู่บริเวณหน้าต่าง ม่านสีขาวห้อยตกลงมา เขาหวาดกลัว ไม่อยากมองออกไป หรืออาจเงาสะท้อนอะไรก็ช่าง มันน่ากลัว

“นรินทร์ไม่ใช่หรือ”เสียงนั้นดังมาจากด้านหลัง เขาตัวอ่อนยวบ มันยังคงเป็นเสียงของอินทนิลเช่นเคย เขาไม่มองเงาดำที่ทอดลงมาจากเบื้องหลัง เขาหายใจไม่ทั่วท้อง ทำไมต้องมาหลอกหลอนเขาด้วยล่ะ เขาทำอะไรผิดงั้นเหรอ...

“ไม่ใช่...”ชายหนุ่มตอบกลับไป ชายหนุ่มนิ่งงันเมื่อรู้สึกอุ่นๆสัมผัสที่ลำตัว เขาก้มมองปรากฏว่าท่อนแขนขาวซีดสกปรกไปด้วยฝุ่นดิน คราบดำตามท่อนแขนจากอะไรสักอย่าง

ภูวรินทร์เหมือนช็อกไป เขาพูดไม่ออก ชายหนุ่มหลับตา ในอกเต้นเร่าไปด้วยความกลัว ความรู้สึกนี้กรีดลึกลงไปในใจ มันไม่ใช่จิตนาการเพราะลมหายใจที่เป่ารดอยู่ที่ต้นคอ เขาหลับตาแน่น

“ไม่ ออกไป!!”เขาตวาดลั่น ขับความกลัวออกไปจากใจ ก่อนจะกระวีกระหวาด หาทางออก เขาดิ้นรน ขยับตัวไปให้พ้นท่อนแขนซีดสกปรกนั้นอย่างนึกกลัว เขาคลานไปหาประตูอีกครั้ง หมุนลูกบิดอย่างทดท้อ มันไม่เปิดออก

“ช่วยด้วย!! มีใครได้ยินไหม!!”เขาร้องตะโกน จนแสบคอ ทำไม่มีใครมาช่วยเขากันล่ะ ชายหนุ่มหมดหนทาง เขาหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แรงยืนแทบจะไม่มี

...ครืด...ครืด...

เสียงลากโซ่ดังห่างออกไป ภูวรินทร์รีบขยับตัวไปทางอื่น เขาทุบหน้าต่างอย่างแรง แต่มันเปิดไม่ออก เขาคิดไม่ตก อับจนหนทาง จะออกไปทางที่นี่ได้ยังไงกัน เขาดึงทึ้งผ้าม่านโปร่งออกจากไปจนขาดวิ่น มองไปด้านนอกอันเวิ้งว้างต้นแก้วเรียงตระหง่านอยู่ในสวน ดอกสีขาวสะท้อนแสงจันทร์ เขายืนนิ่งขึง ขาไร้แรงยืน ทิศทางนี้คือทางหน้าบ้าน เขามองไปอย่างไร้จุดหมาย ทำไมเขาต้องมาอยู่ที่นี่ด้วยล่ะ...ชายหนุ่มหลับตาแน่นจนเห็นภาพของอินทนิลในคืนนั้น คืนที่อีกฝ่ายให้ดอกแก้วแก่เขา...เพราะอะไรกันล่ะ

ภูวรินทร์อ่อนล้าขึ้นมา เหมือนไม่อาจหลุดพ้นไปจากที่นี่ได้ เมื่อกลางวัน ตอนที่มาหยุดอยู่ที่เรือนปั้นหยา อินทนิลก็พูดจาประหลาด ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้า เขาปวดร้าวไปทั้งร่าง อาจรวมไปถึงหัวใจด้วย มันบอกไม่ถูกแต่เขาไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน ความรู้สึกที่ไร้หนทาง ร้องหาคนช่วย เหมือนไม่มีใครได้ยินที่เขาร้องเรียกเลยสักนิด

“คุณล่ะ เคยได้ยินไหม...เสียงของเรา”ถ้อยคำนั้นทำให้ชายหนุ่มถึงกับอึ้งไป หมายความว่ายังไง น้ำเสียงที่ได้ยินยังคงเป็นเสียงของอินทนิล ใจของภูวรินทร์กลัว กลัวว่าคนด้านหลังจะเป็นอินทนิล...ชายหนุ่มส่ายศีรษะ เขาพูดไม่ออก คิดไม่ตกกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขามองพื้นบ้านที่ผุพัง ฝุ่นหนา บ่งบอกว่าเวลานี้คือปัจจุบัน

เสียงโซ่หายไป พลังกดดันจากด้านหลังหายไป ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจช้าๆก่อนจะขยับตัวไปทางประตูบ้านอีกครั้ง เขาหมุนลูกบิดแรงๆมันยังคงเปิดไม่ออก เขาทุบประตูอย่างหงุดหงิด

ภูวรินทร์ลูบเหงื่อที่ไหลย้อนตามหน้าผากออก เขาเหนื่อย เขาหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับความกลัว ชายหนุ่มแม้เตรียมใจว่าต้องเจอกับสิ่งนั้น แต่เมื่อเห็นร่างตรงหน้าเขาตกใจ จนถอยสะดุดจนล้มลงไปกองกับพื้น ร่างนั้นบอบช้ำ เสื้อสีขาวที่สวมใส่เปื้อนไม่ต่างอะไรจากท่อนแขน ชายหนุ่มตัวสั่น เมื่อเห็นว่าใบหน้าของอีกฝ่ายคืออินทนิล ที่น่าตกใจกว่าคือข้อเท้านั้นถูกล่ามโซ่ไว้หนาแน่น เท้าเปล่าเปลือยเปื้อนดำไปด้วยฝุ่น เสื้อแบบเดียวกันที่อินทนิลชอบใส่ ชายหนุ่มมองใบหน้านั้นด้วยความพรั่นพรึง ใบหน้าไม่ต่างกันกับอินทนิลเลย

“อินน์เหรอ”เขาพึมพำ เขาหวาดกลัวแต่ก็ยังคงเอ่ยออกไป ร่างนั้นนั่งคุดคู้อยู่ตรงหน้าเขาบ้าง

“แก้วเอง จำไม่ได้รึ”

ชายหนุ่มส่ายหน้า เขาถอยหลังอย่างเกรงกลัว รู้สึกเจ็บที่ฝ่ามืออาจไปโดนเศษไม้ที่ปริแตกตามกาลเวลา เขาถอยจนหลังชิดประตูบ้าน เมื่อท่อนแขนนั้นยื่นออกมาหา เขายิ่งปัดป่ายออกเป็นพัลวัน

“อย่าจากไปไหน”

“ไปให้พ้น”ภูวรินทร์กลัวจับจิตอย่างไม่ทราบสาเหตุ เขาหลับตาแน่นไม่อยากเห็นใบหน้าของภูตผีตนนี้อีก ใบหน้าของแก้วคล้ายอินทนิล หรือว่าเป็นเพียงสิ่งปั้นแต่งจากจิตสำนึกของเขากัน ผีสางตนนี้รูปร่างเหมือนอินทนิลไปหมด ความสูง น้ำเสียง ยกเว้น...ทรงผม เป็นทรงผมแสกกลางตามสมัยเก่า 

ชายหนุ่มถอยห่างออกจากร่างนั้นที่เริ่มขยับเข้ามาใกล้ รู้สึกเหมือนคนหายใจไม่ออก เขาขวนขายถดถอยจากอีกฝ่าย ใบหน้านั้นมีเงาดำพาดผาดเหมือนฝันครั้งก่อน คราวนี้มันสร้างความกลัวให้เขามากกว่าครั้งที่แล้วหลายเท่า เขากลัว กลัวอย่างบอกไม่ถูก มันไม่ใช่ความกลัวในเรื่องผีสางแต่เป็นอะไรบางอย่างที่บอกไม่ถูก ความชัง ความรัก ความหมดหนทาง ความกลัวเต้นเร่าอยู่ในอก บาดซึมลงในจิตใต้สำนึก


“คุณภูคะ ใจเย็นๆค่ะ...นี่ป้าษอรเอง”น้ำเสียงอบอุ่นชโลมจิตใจที่แตกพร่าไปด้วยความกลัวของเขา พร้อมกับอ้อมกอดอุ่นของร่างท้วมของป้าษอร ชายหนุ่มสะท้านเฮือกลืมตาขึ้นมาด้วยความทุรนทุราย แสงสว่างจ้าจนตาพร่ามัว เขาหรี่ตา เสียงขยับกายดังอยู่รอบห้อง เสียงฝีเท้า ตามมาด้วยเสียงรูดม่าน ภายในห้องมืดลงไปบ้าง ชายหนุ่มกระพริบตามอง เบื้องหน้าเขามีโต๊ะตัวยาวกับโต๊ะน้ำชาเก่าๆ เขาหันมองป้าษอรที่กำลังกอดร่างของเขาไว้เหมือนปลอบประโลม เขามองไปรอบๆตัวด้วยความมึนงง พบว่ายังคงนอนอยู่บนเตียง

ฝันร้ายอีกแล้ว

“...มันเกิดอะไรขึ้น”ชายหนุ่มเสียงแหบพร่า เขารู้สึกเจ็บคอขึ้นมา ถึงได้รู้ว่าเขาคงร้องตะโกนไปด้วยแน่ๆ ที่มุมห้องสุดเขาเห็นอินทนิลยืนกำมือแน่นอยู่เงียบๆ มองเขาด้วยสีหน้าเป็นห่วง อยู่ๆเขาเลื่อนสายตาลงต่ำมองเท้าเปลือยเปล่าของอีกฝ่าย กำไลทองเหลืองเก่าๆข้างซ้ายนั้นเหมือนของคุณแก้ว... ลุงชมเดินถือถาดน้ำชาเข้ามาในห้อง วางลงกับโต๊ะลิ้นชักข้างเตียง ใบหน้าคนแก่นั้นดูอ่อนโยนเป็นห่วงเขาชัดเจน

“คุณภูคงฝันร้าย จนอินน์มันวิ่งมาบอกป้า...คุณภูทำใจให้สงบก่อนดีกว่าค่ะ เดี๋ยวค่อยมาคุยกัน”ป้าษอรบอกเสียงอ่อนลง คลายอ้อมกอดออกไป เขาผุดลุกขึ้นนั่งด้วยท่าทีปกติ

“สรุปแล้วที่นี่มันบ้านผีสิงจริงๆงั้นเหรอเนี่ย”ภูวรินทร์พึมพำ เขาเสียงแหบก่อนจะลูบลำคอของตนเองไปด้วย

“หลังมื้อเช้า เดี๋ยวป้าจะเอาประวัติของเจ้าของบ้านเดิมมาให้คุณภูค่ะ...ป้าขอโทษที่ไม่บอกอะไรคุณภูเลย...ที่จริง ป้าก็เป็นห่วงคุณนะคะ”เธอเอ่ย บอกเขาด้วยสายตาละอายแก่ใจ ลุงชมเดินไปหาอินทนิลเหมือนจะพาเด็กหนุ่มออกไปด้านนอก เจ้าตัวมองเขาไม่ละสายตา

“ไปก่อนนะ”อินทนิลเอ่ยเบาๆ ชายหนุ่มไม่แสดงความรู้สึกอะไรออกมา เขามองหน้าลุงชมที่เหมือนจะทำอะไรไม่ถูก

“ผมเล่าความฝันให้ป้าฟังได้ไหมครับ...”

ภูวรินทร์เอ่ยออกไปเบาๆ ในใจหวนคิดไปถึงสิ่งต่างที่เกิดขึ้นภายในสัปดาห์นี้ เขาคงต้องติดอยู่ที่นี่ไม่อีกหลายสัปดาห์แต่ความกลัวของเขากำลังชัดเจนขึ้น กลัวว่าจะไม่ได้ออกจากบ้านหลังนี้ไปอีก...เขาแน่ใจว่าอะไรบางอย่างฉุดรั้งไม่ให้เขาจากไป คุณแก้ว...เจ้าของบ้านคนเก่าเป็น‘ท่าน’ที่อินทนิลเอ่ยถึง

หมายความว่าอินทนิลเคยเจอท่านมาก่อน หรือเป็นอะไรกันแน่ เพราะอะไรล่ะ ถึงต้องเหนี่ยงรั้งเอาไว้ หรือเป็นเพราะสิ่งลี้ลับที่ดลใจเขาให้ซื้อบ้านหลังนี้ไว้ในครอบครอง แต่ชายหนุ่มมั่นใจว่าตนเองไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับคนบ้านนี้มาก่อน

ทว่าภูวรินทร์ยังจดจำความรู้สึกสุดท้ายได้ดี...ความรู้สึกผิด
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ๒ ] ๑๗.๑๑.๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: ศตรัศมี ที่ 17-11-2017 01:14:21
หลอนจริงๆ อ่านนิยายเรื่องนี้ตอนตีหนึ่งกับบรรยากาศที่บ้านของเราที่ต่างจังหวัดอันเงียบสงัด แถมด้วยกำลังอ่านตอนที่พีคสุดๆมีเสียงลากโซ่นู่นนี่นั่นต่างๆนานา แมวที่เราเลี้ยงดันกระโดดขึ้นมาบนเตียงพอดี ถึงกับสะดุ้งเลยทีเดียว
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ๒ ] ๑๗.๑๑.๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 17-11-2017 01:49:53
หลอนจริง และดันเปิดอ่านตอนตีหนึ่ง เปิดไฟนอนไปจ้าคืนนี้
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ๒ ] ๑๗.๑๑.๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: พันธุ์ไทย ที่ 17-11-2017 07:31:57
ตื่นมาอ่านตอนเช้า หลอนดี ภูคงจะเป็นคุณอามาเกิดชาตินี้ใช่ป่าวรึจะเป็นลูกหลาน :ling3:
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ๒ ] ๑๗.๑๑.๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: wwss2220 ที่ 17-11-2017 22:15:07
อ่านไปอืดอัดไปมาก
หลอนๆ
เขียนได้ดีมากคะ ตื้นเต้นตลอดเวลา
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ๒ ] ๑๗.๑๑.๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: @Sister ที่ 20-11-2017 11:08:46
หลอนอยู่นะ  :ling3:
สรุปภูเป็นคุณอากลับชาติมากเกิดสินะ??
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ๒ ] ๑๗.๑๑.๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 20-11-2017 11:50:39
บวกเป็ดให้คนแรก  o13

อ่านชื่แล้วน่าอ่าน มาอ่านก็ติดเลย

รอ ๆ ๆ  :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ๒ ] ๑๗.๑๑.๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 20-11-2017 17:21:33
ทั้งลุ้นทั้งหลอน โอยยยย
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ๒ ] ๑๗.๑๑.๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 20-11-2017 23:26:02
      เราเห็นชื่อเรื่องเเล้วสนใจเลยเข้ามาอ่านค่ะสนุกนะค่ะเเละลุ้นไปด้วย
ถ้าเราเดาไม่ผิดภูวรินทร์คืออาที่คุณแก้วรักในชาติที่แล้วกลับชาติมาเกิดใช่ไหมค่ะ
ส่วนคุณแก้วคือวิญญาณที่ยังไม่ได้ไปไหนส่วนอินทนิลแค่เด็กที่หน้าคล้ายคุณแก้ว
และคล้ายๆจะเป็นตัวกลางที่คุณแก้วให้สื่อสารกับภูวรินทร์
สนุกมากนะค่ะและก็ลงตอนยายดีรออ่านนะค่ะหวังว่าจะไม่ดราม่านะค่ะ :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ๒ ] ๑๗.๑๑.๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 23-11-2017 13:29:00
เป็นแนวหลอนที่น่าติดตามมาก นี่คิดว่าพระเอกน่าจะเป็นคุณอากลับชาติมาเกิดอะ และอินกับแก้วน่าจะมีความเกี่ยวพันกันแต่ก็ไม่รู้ว่าในแง่ไหน เพราะถ้าบอกว่าแก้วกลับชาติมาเกิดเป็นอินท์พระเอกก็ไม่น่าจะฝันร้ายแบบนี้นะ เหมือนอินท์เป็นร่างทรงให้แก้วยังไงก็ไม่รู้สิ คงต้องรอติดตามตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ๓ ครึ่งแรก] ๒๔.๑๑.๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 24-11-2017 21:39:40
(ครึ่งแรก)
ตอนที่ 3 ครั้งอดีต...มีสองอาหลาน

เริ่มต้นวันใหม่หลังจากที่ตื่นจากฝันร้าย ลุงชมยังคงดูแลคนงานมาซ่อมแซมเรือนกระจกหลังบ้านตั้งแต่เช้าตรู่ บริเวณบ้านจึงไม่เงียบสงัด มีเสียงคนงานพูดคุย และเสียงเครื่องจักรทำงานให้ได้ยิน ภายในห้องอาหาร ภูวรินทร์กินอะไรไม่ลงเท่าไหร่ แม้ถ้วยข้าวต้มเบื้องหน้านั้นดูน่าทานเพียงใดก็ตาม 

บนโต๊ะอาหารวันนี้ไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว อินทนิลนั่งทานข้าวต้มอยู่เก้าอี้ถัดจากเขา ส่วนป้าษอรก็ทยอยเสิร์ฟลอดช่องให้เขา อันที่จริงเขาไม่มีกะจิตกะใจทานข้างหวานต่อหรอก อินทนิลยิ้มให้เขาแล้วลุกออกจากโต๊ะ “เดี๋ยวอินน์ไปเอารูปมาให้ดู”เด็กหนุ่มพูดแล้วเดินหายไปทางประตูห้องครัว ภูวรินทร์สังหรณ์ใจพิกล เขามีธงคำตอบในใจว่าเรื่องนี้อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง โดยเฉพาะชื่อของท่านอาคนรักของคุณแก้ว...นรินทร์ ฟังดูคล้ายชื่อของเขา

“ตกลงเรื่องมันเป็นมายังไงกันครับ”ชายหนุ่มเอ่ยถาม เขาเลื่อนถ้วยข้าวต้มออกห่างจากตัว มองไปยังป้าษอรที่ถอดผ้ากันเปื้อนออกแล้วเดินมาที่โต๊ะก่อนจะเลื่อนเก้าอี้นั่งลงตรงหน้าเขา เธอมีสีหน้าไม่สบายใจนัก
“ที่ป้าไม่ได้เล่าเรื่องเก่าๆให้คุณฟัง ไม่ใช่ว่าอยากปิดบังหรือไม่เคารพคุณภูเลยนะคะ แต่ป้าไม่อยากให้คุณไม่สบายใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น”ป้าษอรเอ่ยขึ้น เธอรวมมือเข้าหากันวางบนโต๊ะอย่างเป็นกังวล แววตาของผู้ที่เห็นเรื่องราวมามากจ้องมองเขาคล้ายทดท้อใจ
“มีอะไรที่ผมต้องรู้เหรอครับ”เขาเอ่ยถาม
“คุณภูอาจจะทราบอยู่ลึกๆอยู่แล้วนะคะว่าคุณคล้ายเจ้าของบ้านคนก่อนมาก...ตอนที่ป้าเจอคุณทีแรก ป้าก็อดแปลกใจไม่ได้...เพราะคนสืบสกุลภิรมย์สุขบางคนก็ผ่าเหล่าผ่าก่อมาเยอะ ไม่คล้ายบรรพบุรุษนัก...”ป้าษอรเล่า ระหว่างนั้นได้ยินเสียงเดินของอินทนิล จังหวะก้าวเท่าๆกันพร้อมเสียงของกำไลข้อเท้า เด็กหนุ่มเดินถืออัลบั้มรูปปกหนังสีนำตาลเข้มเก่าๆอยู่ในมือ และช่อดอกแก้วที่วางอยู่เหนืออัลบั้มรูปด้วย ภูวรินทร์เหลือบมองด้วยความไม่สบายใจ

“จะบอกว่าเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นเพียงเพราะผมหน้าเหมือนเจ้าของบ้านคนก่อนงั้นเหรอครับ”เขาเอ่ยอย่างคืบแคลงใจ อันที่จริง เจ้าของบ้านคนล่าสุดนั้นคงเป็นท่านอาคนนั้นแน่ๆ เป็นเหตุผลง่ายๆที่เขาฝันร้ายถึงคุณแก้วผู้น่าสงสารคนนั้น อินทนิลเดินมานั่งข้างๆเขาตามเดิม ก่อนจะวางอัลบั้มรูปตรงหน้าเขาช้าๆ เด็กหนุ่มยังคงถือดอกแก้วในมือราวกับว่ามันเป็นสิ่งล้ำค่า ภูวรินทร์ก้มมองหน้าปกอัลบั้มรูปเก่าเปื้อนคราบฝุ่นที่สลักชื่อสกุลไว้เหลือตัวอักษรจางๆ ขนาดอัลบั้มรูปใหญ่กว่ากระดาษเอสี่อยู่บ้าง ขอบกระดาษเปื่อยยุ่ยเล็กน้อย

“อินน์เคยเห็นมาก่อน...ท่านอานรินทร์น่ะ คุณช่างเหมือนท่านจริงๆนะ นึกว่าคนเดียวกันซะอีก ตกใจแทบแย่”อินทนิลเอ่ยพูด ขณะนั้นก็ยื่นจมูกดอมดมกับช่อดอกแก้วที่เพิ่งเด็ดออกมาใหม่ๆ ภาพนั้นดูน่ามอง ชายหนุ่มละสายตาออกจากเด็กหนุ่ม เขาไม่รอช้าเปิดไปที่หน้าแรก รูปถ่ายขาวดำปรากฏให้เห็น ให้ความขึงขังอย่างประหลาด ในหน้าแรกๆเป็นรูปคนแก่ ถือไม้เท้านั่งอยู่บนโซฟาท่วงท่าสง่างาม

“นั่นคือท่านประดิษฐ์ค่ะ คุณพ่อของคุณแก้ว ส่วนข้างๆนั่นก็เป็นภรรยาของท่าน”ป้าษอรเอ่ยขึ้นเมื่อเขาไล่สายตามองไปตามหน้ากระดาษสีน้ำตาลไหม้ หากเปิดแรงเกรงว่าหน้ากระดาษจะหลุดออกได้ เขาเปิดไปเรื่อยๆจนมาสะดุดที่หน้ากระดาษที่เหมือนถูกเปิดดูบ่อยที่สุด คือรูปภาพเล็กๆแสดงผังสกุลภิรมย์สุข เนื่องจากเป็นผังแสดงเครือญาติจึงกินกระดาษไปสองหน้าติดกัน

“ผังนี้แสดงเฉพาะญาติสายตรงเท่านั้นค่ะ ไม่นับพวกที่แต่งเข้ามาใหม่...”เสียงของป้าษอรแทรกเข้ามาเรื่อยๆ เขาไล่สายตาไปที่แถวบนสุด ก่อนจะมองเส้นเล็กๆที่โยงถึงลูกชายคนแรกและหยุดอยู่ที่คุณแก้ว ถัดจากนั้นเป็นรูปเก่าซีดจางจนแทบมองไม่เห็นใบหน้า มีหมึกสีดำเขียนข้างใต้ว่า
 ‘นรินทร์ ภิรมย์สุข พ.ศ.2445-2486’ ชายหนุ่มหนาวไปทั้งใจ ชื่อคล้ายกันจริงๆด้วย ท่านอาคนนี้เป็นของน้องชายท่านประดิษฐ์

อินทนิลเอนตัวมากระซิบกับเขา “ลองดูหน้าอื่นสิ คุณเหมือนท่านอาเลย”อินทนิลมองเขา

ชายหนุ่มพลิกไปอีกหน้า มีรูปคู่ ของสามพี่น้อง ชายหนุ่มมองเด็กหนุ่มในรูปที่ยืนอยู่ข้างๆต้นแก้ว แม้จะเป็นภาพขาวดำแต่ใบหน้าตานั้นถอดแบบมาจากอินทนิลไม่มีผิด ไม่สิ พูดให้ถูก คุณแก้ว ลูกชายคนเล็กคนนี้ใบหน้าอ่อนโยน มองดูก็รู้ว่าเป็นคนจิตใจดี ในรูปอายุคงไม่เกินสิบแปดปี ใบหน้าอ่อนเยาว์ ข้างใต้รูปสลักชื่อ กรินทร์ ภิรมย์สุข พ.ศ. 2460-2483’ กำกับอยู่ หากบอกว่าเป็นพี่น้องกันกับอินทนิลเขาก็เชื่อสนิทใจ ภูวรินทร์มองป้าษอร เธอยิ้มบางๆให้เขา 

“นั่นคุณแก้วค่ะ คุณคงทราบแล้วว่าท่านเสียไปนานมาก ป้าเองก็เคยได้ยินแต่ชื่อ เห็นแต่รูปเท่านั้นเอง”เธอบอก ชายหนุ่มพยักหน้าเบาๆ สายตามองไปที่คุณแก้วอีกครั้ง ก่อนจะหันไปมองอินทนิลบ้าง ลักษณะบางอย่างไม่คล้ายกันบางส่วนแต่โครงหน้ารวมๆแล้วก็ใกล้เคียงกัน อินทนิลเหยียดยิ้ม มองตอบเขาด้วยแววตามีชีวิตชีวา สดใสเหมือนเช่นเด็กหนุ่มทั่วไป

“ทำไมอินทนิลถึงหน้าเหมือนคุณแก้วเลยล่ะครับ”ชายหนุ่มถามป้าษอร เธอถอนหายใจยาวแล้วส่ายศีรษะ
“ป้าก็สงสัย ตอนแรกพวกเราก็ตกใจกันมากคิดว่าเป็นคุณแก้วกลับชาติมาเกิดใหม่ซะอีก แต่ก็ไม่ใช่ เพราะนอกจากหน้าตาแล้วไม่มีอะไรคล้ายคุณแก้วเลย แม่ของเจ้าอินน์ก็เสียไปนานแล้ว ป้าเลี้ยงอินน์มากับมือ คิดว่าเจ้าเด็กคนนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคุณแก้วแน่ๆ...”เธอเหลือบมองไปที่อินทนิลด้วยสายตาอ่อนโยนลง แต่ก็มีบางอย่างที่สะกิดใจเขาอยู่ดี แต่เขาไม่ได้พูดออกไป กลับกันเขาคิดว่าอินทนิลคล้ายคุณแก้วมากเลยล่ะ แม้จะไม่เคยรู้จักกับคุณแก้ว แต่เท่าที่สังเกต อินทนิลสามารถเชื่อมต่อกับคุณแก้วได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แสดงว่าต้องมีอะไรคล้ายๆกันสิ ถ้านอกจากใบหน้า
ความจริงนี้สร้างความหนักใจให้แก่เขาไม่น้อย เขาไม่เคยเชื่อเรื่องภพชาติ กับท่านอานรินทร์คนนั้น ยังไงก็ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเขา มันมีหลักฐานอะไรนอกจากความเชื่อส่วนตัวว่าเขาอาจเป็นคุณอากลับชาติมาเกิดงั้นหรือ แต่เพราะใบหน้าต่างเหมือนคนในอดีตแบบนั้น เป็นใครก็อดคิดไม่ได้จริงๆ ลึกๆแล้วเขากลัวต่างหาก... เขายังจำฝันเมื่อคืนได้ดี หากว่าต้องไปติดอยู่ในเรือนปั้นหยาหลังนั้นอีกล่ะก็... เขาทนไม่ไหวแน่ บ้านหลังนั้นเขาไม่ถูกโฉลกด้วยจริงๆ
“คุณแก้วเขาตายที่ไหนหรือครับ”ภูวรินทร์เอ่ย ป้าษอรมองเขาด้วยแววตาเรียบนิ่งเงียบอยู่นานก่อนจะขยับปากพูด “ก็เสียที่เรือนข้างๆนั่นแหละค่ะ...”
“แล้วสาเหตุการตายล่ะครับ”ชายหนุ่มถามต่อ อินทนิลนั่งตัวตรง เหมือนอัดอัด ดอกแก้วในมือถูกกำแน่นจนยับย่น เขามองอยู่เงียบๆ แล้วหันไปสนใจป้าษอรอีกครั้ง เธอมองเขาอยู่อึดใจเดียว

“คงเพราะตรอมใจตายมั้งคะ...ป้าเองก็ไม่รู้แน่ชัด ฟังมาปากต่อปาก พูดกันไปคนละอย่าง อีกคนก็บอกว่าถูกขังจนตายไปเอง...ไม่ก็ถูกฆ่าตาย”เธอเอ่ยน้ำเสียงไม่มั่นคง ชายหนุ่มนิ่งฟังอย่างไม่เข้าใจนัก นึกถึงเรื่องที่อินทนิลเล่าเมื่อคืน เด็กหนุ่มก็ไม่ได้บอกว่าตายด้วยสาเหตุอะไร 
“งั้นเหรอครับ...แล้วท่านอาล่ะ ตายปริศนาหรือเปล่าครับ”ภูวรินทร์เอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ ถึงบรรยากาศในห้องอาหารจะอึดอัดไปบ้าง แต่เขาก็อยากหัวเราะออกมาเช่นกัน เรื่องเล่าผ่านมาเกือบเจ็ดสิบปี คงผ่านการแต่งเติมมาไม่น้อย 

“โดนฆ่าตายไง”อินทนิลเอ่ยแทนป้าษอร อีกฝ่ายเอนตัวมาหาเขา แววตาสีนิลสั่นไหวสะท้อนเงาหน้าของชายหนุ่มที่อยู่ไม่ห่างกัน เขาไม่ปักใจเชื่อเท่าไหร่ แต่หมื่นนรินทร์คนนี้อาจไม่ตายดีก็เป็นได้ ป้าษอรเธอส่ายศีรษะไปมา

“ท่านตายเพราะหัวใจวายค่ะ แกก็ไม่ใช่คนหนุ่มแล้ว คงไม่แปลกอะไรหรอกค่ะ”ป้าษอรบอก ภูวรินทร์เงียบ แค่เปิดไปดูรูปอื่นๆในหน้าถัดไป มีรูปคู่กันของคุณแก้วและหมื่นนรินทร์ เขาเห็นว่าท่านอาคนนี้เลี้ยงดูคุณแก้วมาตั้งแต่เล็กๆ
 
“จริงๆแล้วทั้งสองท่านสนิทกันนะคะ เพราะหมื่นนรินทร์เห็นคุณแก้วมาตั้งแต่เล็กๆ...ป้าก็ไม่รู้เรื่องราวสมัยนั้นมากหรอกค่ะ แต่ใครๆก็บอกว่าคุณแก้วชอบพอหมื่นนรินทร์มาก เพราะคอยอยู่เล่นกับคุณแก้วที่เรือนเล็กบ่อยๆ จนมาห่างกันช่วงที่เปลี่ยนการปกครอง ท่านหมื่นเข้าไปอยู่ที่บางกอกอยู่หลายเดือน พอกลับมาก็พาผู้หญิงมาด้วย”เสียงป้าษอรดังอยู่เรื่อยๆ

 เขาเปิดไปจนถึงรูปของหมื่นนรินทร์กับหญิงสาวคนหนึ่ง ใบหน้าซีดจางจนมองไม่เห็นว่าใบหน้าเป็นอย่างไร แต่เส้นผมหยิกเป็นลอนเล็กๆยาวถึงไหล่คงมัดใจท่านอาคนนี้ได้

“จริงๆแล้ว ท่านหมื่นกับคุณแก้วรักกันหรือเปล่าครับ”

“สำหรับหมื่นนรินทร์ป้าไม่แน่ใจ แต่คุณแก้วคงรักมากนั่นแหละค่ะ”ป้าษอรตอบ เขาเงียบ ก่อนจะปิดอัลบั้มรูป ไม่อยากให้ภาพพวกนี้ติดตาเขามากนัก บางที เรื่องที่อินทนิลหรือป้าษอรได้ยินมาอาจไม่ใช่ความจริงทั้งหมดก็ได้ ทุกอย่างอาจถูกลบเลือน ผันเปลี่ยนไปตามกาลเวลา 
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับดอกแก้วไหมครับ”ชายหนุ่มพึมพำ หันไปมองเด็กหนุ่มข้างๆตัวที่กำลังเด็ดกลีบดอกแก้วเล่นอย่างเหม่อลอย แววตาคู่นั้นจับจ้องอยู่ที่ดอกแก้วตรงหน้าแต่เหมือนจดจ่ออยู่กับการกระทำนั้น ป้าษอรมองหลานชายก่อนจะพึมพำเสียงเบา
 “ตอนป้ามาทำงานที่นี่วันแรก ก็เห็นต้นแก้วก็ปลูกอยู่เต็มบ้านแล้วค่ะ”
“คุณแก้วท่านชอบมาก”อยู่ๆอินทนิลเอ่ยขึ้นมา อีกฝ่ายเงยหน้ามองเขา ช่อดอกแก้วในมือหลงเหลืออยู่ดอกเดียว เป็นดอกที่สวยที่สุดในกิ่งนั้น เด็กหนุ่มหมุนมันไปมาๆ ชายหนุ่มถอนหายใจ การกระทำของอินทนิลทำให้เขาประสาทพอๆกับการฝันร้าย
 “แล้วป้าเชื่อเรื่องบ้านผีสิงไหมครับ เรื่องวิญญาณที่ยังไม่จากไปไหน”ภูวรินทร์พูดถึงเรื่องผีสางเป็นครั้งแรก เขาทำใจยอมรับตั้งแต่เมื่อตอนที่ตื่นจากฝันแล้ว อินทนิลเม้มปากแน่น มองเขาด้วยสายตาเป็นห่วง คิ้วดกดำขมวดเข้าหากันอยู่ตลอด ดูเหมือนเจ้าตัวหันมาสนใจประเด็นนี้ ไม่เหม่อลอยอีก ป้าษอรเงียบ
“คุณภูฝันว่าอะไรเหรอคะ”

“ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ ผมก็ฝันร้ายตลอด ในฝันผมเห็นอินทนิล ไม่แน่อาจเป็นคุณแก้วก็ได้ ไม่รู้สิครับ แค่มาปรากฏในความฝันเหมือนมาหา อยากจะบอกอะไรสักอย่างแต่เป็นภาพที่ไม่น่าจดจำเท่าไหร่ ผมคงไม่วิตกจริตกลัวบ้านหลังนี้แล้วเอามาฝันเองหรอกมั้งครับ...เมื่อคืนผมไปติดอยู่ในเรือนเก่าข้างๆนั่น แล้วก็เห็นคุณแก้วโดนล่ามโซ่อยู่ในนั้น...”ชายหนุ่มเล่าด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา หวนคิดถึงความกลัวของตนเองในฝันนั้น เป็นความกลัวที่สัมผัสได้จริง และน้ำเสียงของคุณแก้วยังคงก้องอยู่ในหัว
 
“...คงเพราะคุณคล้ายท่านหมื่นมาก คุณอาจสัมผัสถึงสิ่งลี้ลับได้”

 “แต่ผมไม่ได้มีอะไรเกี่ยวกับคนบ้านนี้เลย”ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเอง เพราะฝันร้ายเมื่อคืนยังหลอกหลอนเขา คุณแก้วดูเหมือนเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นท่านอาของตน แต่เขาไม่ใช่...เป็นแค่ความบังเอิญ ในโลกนี้มีคนหน้าตาคล้ายกันตั้งมาก แบบไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกัน ...เขาเชื่อแบบนี้ได้หรือไม่นะ
“แต่คุณก็ซื้อบ้านหลังนี้ไว้ด้วยความรู้สึกที่ยากอธิบายใช่ไหมล่ะคะ”
“มันก็ใช่...”

“บางที คุณอาจจะเคยมีเวรกรรมกับคุณแก้วก็ได้”ป้าษอรเอ่ยน้ำเสียงจริงจัง ใบหน้าเคร่งขรึมทำให้เขาคล้อยตามได้ไม่ยากนัก ชายหนุ่มอัดอั้นอยู่ในใจอย่างบอกไม่ถูก ถึงจะบอกว่าอย่างนั้นก็เถอะ
“ผมคงต้องเชื่อแบบนั้น”ภูวรินทร์หัวเราะอย่างไร้อารมณ์ขัน “อีกอย่างคือผมอยากกลับบ้าน”ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น เป็นอีกครั้งที่ภายในห้องอาหารสร้างความอึดอัดมากยิ่งขึ้น ป้าษอรมองเขาก่อนจะส่ายหน้า

“กลับไม่ได้...”อินทนิลพูดขึ้น ดวงหน้านั้นนิ่งขึงไป เจ้าตัววางดอกแก้วลง ขยับตัวหันมาทางเขา ภูวรินทร์หันไปมองป้าษอรอีกครั้ง  “ทำไมล่ะ”
“เมื่อคืน อินน์เตือนแล้วนะ”อินทนิลพูดไม่ละสายตาไปจากเขา เป็นอีกครั้งที่เขาต้องเบือนหน้าหนีอีกฝ่ายไปเอง ป้าษอรมองหลานชายอย่างหวั่นเกรง ก่อนจะมองเขาอย่างเห็นใจเป็นสายตาที่เขาไม่ชอบเลย

“ป้าเองก็ทำอะไรไม่ได้ ตอนนี้รถไฟยังปรับปรุงอยู่ แล้วคลื่นโทรศัพท์ก็ขัดข้อง ต้องรอแก้ไขอีกหลายวัน”เธอพูด ทำเอาเขาเหมือนตกอยู่ในก้นเหวที่ไร้แสงสว่างและไร้ทางขึ้นไปด้านบน

“ผมนี่มันดวงซวยจังนะ”ภูวรินทร์เอ่ยอย่างตัดพ้อต่อโชคชะตาของตัวเอง ‘คุณแก้ว’ไม่อยากให้เขาจากไปไหน...หมายถึงอยากให้เขาอยู่ที่บ้านหลังนี้ไปตลอดน่ะเหรอ เป็นไปไม่ได้หรอก

หลังจากพูดคุยกับป้าษอรจนเขาเริ่มเอียนกับเรื่องนี้เต็มทน ชายหนุ่มออกมาเดินเล่นในสวนให้คลายความกังวลออกไป เดินเรื่อยๆจนมาถึงใจกลางลานบ่อน้ำพุ เขายังไม่รู้เลยว่าพุ่มดอกไม้ที่ปลูกรอบๆบ่อน้ำพุคือดอกอะไร เสียงตกกระทบของน้ำที่ไหลจากโถในอ้อกอกของเทวดาทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายขึ้น เขายื่นมือไปสัมผัสมวลน้ำที่ไหลตกไปยังฐานน้ำพุ น้ำเย็นซึมสัมผัสฝ่ามือ

อากาศรอบกายภายใต้หมู่ใบไม้เขียวขจี เย็นสบายกว่าบริเวณอื่น สองหูได้ยินเสียงก้าวเดินเป็นจังหวะ พร้อมกับเสียงกระทบกันของขอบแก้ว ชายหนุ่มหันไปมอง อินทนิลกำลังเดินช้าๆในมือถือถาดน้ำชามาด้วย คงเพราะน้ำหนักจากถาดที่ถืออยู่ทำให้เด็กหนุ่มก้าวได้ช้าลง เจ้าตัวเดินมาหาเขา ใบหน้ายิ้มแย้มกว่าที่เคย

“น้ำชาครับ”อินทนิลเอ่ยก่อนจะนำถาดน้ำชากับขนมคุกกี้ไปวางที่โต๊ะกลมที่อยู่ชิดลานน้ำพุ ไม่ห่างจากบ่อน้ำพุนัก ภูวรินทร์สะบัดมือให้แห้งก่อนจะเดินไปหาเด็กหนุ่มที่โต๊ะ เขานั่งลงช้าๆก่อนจะมองเด็กอินน์ที่ยืนนิ่ง ไม่สวมรองเท้าเช่นเดิม บนพื้นหินกรวดแบบนี้ อีกฝ่ายไม่เจ็บเท้าหรือไงกัน
“นั่งก่อนสิ ไม่ต้องยืนหรอก”เขาบอก ก่อนจะหยิบกาน้ำชาร้อนมารินใส่แก้ว ไอร้อนปะทะออกจนขึ้นฝ้าบริเวณขอบแก้ว อินทนิลส่ายหน้า แต่ภูวรินทร์ไม่ยอม เขารินน้ำชาให้อีกฝ่าย แล้วเลื่อนถ้วยน้ำชาไปให้ พร้อมกับจานคุกกี้ด้วย อินทนิลเหลือบมองเขาก่อนจะค่อยๆเลื่อนเก้าอี้ออกแล้วนั่งลงเบาๆ

“ขอบคุณครับ”อินทนิลเอ่ย ดวงตาสีนิลมองเขาอย่างชอบใจชัดเจน ใบหน้านั้นมีรอยยิ้มมุมปากให้เห็น

“เมื่อคืน เธออยู่กับฉันใช่ไหม”ชายหนุ่มเอ่ยทันที เมื่อครู่ก่อนมีป้าษอรอยู่ด้วย ทำให้เขาไม่สะดวกจะคุยกับอินทนิล เหมือนอีกฝ่ายเลือกเวลาได้เหมาะเจาะ เจ้าตัวอาจทำสนิทสนมกับเขาเอง โดยการยกถาดน้ำชามาให้ เขามั่นใจว่าป้าษอรไม่ได้สั่ง
“ก็ไม่เชิงครับ”อินทนิลไม่แตะน้ำชา แต่หยิบคุกกี้เข้าปากแทน อีกฝ่ายพูดโดยไม่สนใจเขา ภูวรินทร์เบนสายตาไปมองน้ำพุแทน

“เมื่อคืนเธอทำให้ฉันกลัวนะ”ชายหนุ่มบอกไปตามตรง การที่อีกฝ่ายเข้าออกบ้านในยามดึกโดยไม่บอกกล่าวก่อนนั้นมันทำให้เขาวิตกไปด้วย อีกอย่างทำไมอินทนิลไม่ขอเขาก่อน ถ้าขอเขาก็อนุญาตอยู่แล้ว บ้านหลังนี้มีห้องตั้งมากมาย เขายังเดินสำรวจไม่หมดเลยด้วยซ้ำ แทบไม่เสียเวลาไปสำรวจชั้นบนเลยมากกว่า 

“อินน์ไม่ทำร้ายคุณหรอก ไม่มีใครทั้งนั้น”อินทนิลเอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยน เพราะว่ายังเป็นเพียงเด็ก อีกฝ่ายก็ไม่เคยเกรี้ยวโกรธใส่เขา ยกเว้นเมื่อคืนที่มีท่าทีไม่ยอมลดราวาศอก
“ฉันแค่สงสัยว่าคืนนี้จะฝันร้ายหรือเปล่า”เขาไหวไหล่ พยายามไม่ทำตัวเคร่งเครียดมากกว่าที่เคย เขารู้สึกว่าอินทนิลมองตนเองอยู่ แทบจ้องตาไม่กระพริบ
“ให้อินน์อยู่เป็นเพื่อนคุณเอาไหมครับ”เด็กหนุ่มค่อยๆเอ่ยบอก ท่าทางเหมือนหวังดี แต่เขาได้ยินกลับหัวเราะเบาๆ ก่อนจะมองอินทนิลที่ท่าทางกังวลใจ
“แบบนั้นแย่กว่า”ชายหนุ่มยิ้ม อินทนิลคลายคิ้วออกจากจากัน ใบหน้าเหมือนยิ้มไม่ออก เด็กหนุ่มกัดปากเหลือบมองเขาคล้ายกับลังเล
“เชื่อเถอะ คุณจะไม่ฝันร้ายแน่ๆ...ถ้าหากไม่จากไป”อินทนิลลุกขึ้นยืน ขยับเดินมาหาเขา ใบหน้าดูซีดเซียวอยู่บ้าง เขามองอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ แววตาสีนิลที่ไม่มั่นคงนัก
“จะให้ฉันติดอยู่ที่นี่น่ะเหรอ...ฉันมีงานต้องทำนะ”ภูวรินทร์ส่ายหน้าก่อนจะยกแก้วน้ำชามาดื่มแก้กระหาย เขาพูดออกไปแบบนั้นด้วยความไม่มั่นใจนัก เขาลังเลอยู่เช่นกัน แน่นอนว่าตนเองอยากออกไปจากที่นี่เต็มแก่ ถ้าหากว่ารถไฟกลับมาเดินรถตามปกติล่ะก็ เขาจะรีบเผ่นทันที แต่ทว่า...เขากลัว กล่าว่ามันจะไม่เป็นไปตามนั้นมากกว่า

“...เป็นสิ่งเดียวที่ช่วยคุณได้”เด็กหนุ่มพูดเบาๆ
“เธอ...สื่อสารกับคุณแก้วได้เหรอ”ภูวรินทร์ถาม อินทนิลเงียบไปก่อนจะขมวดคิ้ว เหมือนกำลังใคร่ครวญอะไรอยู่ เด็กหนุ่มก้มหน้าหลบตาเขาก่อนจะขยับเท้าข้างซ้ายที่มีกำไลสวมอยู่
“อืม บอกไม่ถูกนะครับ...มันเหมือนท่านอยู่กับอินน์ตลอด”อินทนิลเงยมองสบตาเขาระหว่างที่พูดทำเอาชายหนุ่มใจหายวาบไป เขาหวั่นใจต่ออินทนิลเป็นเรื่องที่ถูกแล้ว ชายหนุ่มคิดว่าอินทนิลไม่อยู่กับร้องกับรอยนัก มักเหม่ออยู่บ่อยๆ จ้องมองธาตุอากาศที่ว่างเปล่าอยู่หลายครั้ง

“...พูดจริงเหรอ”ภูวรินทร์ขยับไปใกล้ๆ มองเข้าไปในกระจกตาสีดำคู่นั้นอย่างจับสังเกต แก้วตาใสกระพริบเบาๆ เมื่อภูวรินทร์ขยับไปใกล้ สองมือกำแน่นก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงจริงจัง
“คุณอาจไม่เชื่อ แต่อินน์ไม่โกหก”เด็กหนุ่มจ้องเขาอย่างยึดมั่น ชายหนุ่มมองท่าทีของอีกฝ่ายไปด้วย ปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่าอินทนิลเกี่ยวข้องกับคุณแก้ว ภูวรินทร์อยากรู้เรื่องอีกมากมาย
“ทำไมคุณแก้วถึงไม่อยากให้ฉันจากไปล่ะ เธอรู้หรือเปล่า”เขาถาม อินทนิลนิ่วหน้าเม้มปาก ก่อนจะกระซิบเสียงเบา
“คุณอาจไม่เชื่อแต่ที่เรือนหลังนั้นเคยเป็นของท่านมาก่อน...นานมากเลยล่ะ เมื่อคืนกว่าอินน์จะปลุกคุณให้ตื่นก็ใช้เวลาตั้งนาน... ถ้าคุณจากไป ยังไงซะ คุณก็ต้องกลับมาที่นี่”ชายหนุ่มเงียบหลังจากที่ฟังเด็กหนุ่มพูด อินทนิลก็ไม่บอกเขาตรงๆว่าเพราะอะไร รู้หรือไม่รู้กันแน่ 
“เมื่อคืนเป็นเธอใช่ไหม อินทนิลน่ะ”เขาถามอีกครั้ง
“อินน์ก็อยู่กับคุณตลอด แต่คุณสังเกตไหมล่ะครับ เวลากลางคืนดอกแก้วจะส่งกลิ่นรุนแรงกว่าตอนสว่าง... ก็คงคล้ายกับอินน์...”อินทนิลพึมพำ  ชายหนุ่มถอนหายใจอีกระลอก เขาลูบใบหน้าอย่างเหนื่อยล้า สรุปแล้วเวลากลางคืนเป็นของคุณแก้วจริงๆน่ะเหรอ

“ท่านไม่ทำร้ายคุณ เหมือนที่อินน์ก็ไม่ทำร้ายคุณนะ”อินทนิลยืนยันอีกครั้ง ภูวรินทร์มองคนตรงหน้าอยู่นาน เขาเชื่ออินทนิล มากกว่า...ผีของคุณแก้ว ถ้าไม่อยากทำร้ายเขาก็ไม่ควรทำให้กลัวไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมต้องหลอกหลอนเขาอยู่หลายครั้ง
“งั้นไม่เป็นอะไรใช่ไหม ถ้าเธอจะมานอนเป็นเพื่อนฉันน่ะ”ชายหนุ่มเอ่ยถาม อินทนิลผงกศีรษะเร็วๆ ก่อนจะเผยยิ้มจนเห็นฝันเรียงตัวสวย “เป็นเรื่องที่ดีครับ”เด็กหนุ่มตอบ
“ว่าแต่เธอมาที่นี่บ่อยไหม”ภูวรินทร์เปลี่ยนเรื่องสนทนา อินทนิลเหลียวมองไปรอบสวนก่อนจะยิ้มตอบ “ทุกวันหยุด ถ้าปิดเทอมก็จะมาอยู่ที่นี่กับษอร”
“แล้วเธอชอบบ้านหลังนี้ไหม”ภูวรินทร์เอ่ยช้าๆ มองอินทนิลอย่างใคร่รู้ สังเกตปฏิกิริยาของอีกฝ่ายไปด้วย เด็กหนุ่มผ่อนคลายขึ้น “ชอบครับ”

“แล้วเธอ...ปกติดีใช่ไหม”ชายหนุ่มย้อนถาม อินทนิลถึงกับหลุดหัวเราะน้ำเสียงขบขัน เจ้าตัวเบนหน้าออกไปยิ้มขำก่อนจะจ้องมองเขาด้วยแววตาสดใส
“ปกติสิครับ แต่มีบางอย่างที่อินน์ชอบทำ มันทำให้ถูกมองว่าประหลาด”เด็กหนุ่มพูดเสียงไม่มั่นใจ ร่างนั้นยืนนิ่งไม่สบตาเขา ภูวรินทร์กอดอกถามด้วยความอยากรู้ “อะไรล่ะ”
“อินน์ชอบละเมอ”เด็กหนุ่มพึมพำ ใบหน้าเหยเกเพราะไม่นึกชอบนัก
“ละเมองั้นเหรอ”ชายหนุ่มถาม เขาไม่แปลกใจเท่าไหร่ อินทนิลกำมือแน่นก่อนจะมองเขาเหมือนเศร้าใจ
“เดินละเมอตอนดึกน่ะครับ”อินทนิลพูดต่อ ภูวรินทร์นึกถึงคืนแรกที่มานอนบ้านหลังนี้ การเดินละเมอของอินน์อาจมีส่วนกับการที่คุณแก้วเชื่อมโยงด้วยหรือเปล่า

“...มันทำให้เธอกลัวหรือเปล่า”ชายหนุ่มถาม อินทนิลไหวไหล่เตะขาไปมาอย่างใจลอยแล้วส่ายหน้า “ไม่ครับ...แต่มันแปลก”
“ฉันว่าบ้านหลังนี้แปลกกว่าเธอนะ”ภูวรินทร์พูด ทำให้อินทนิลยิ้มออกมาได้ เขาเลิกคิดมากเรื่องผีสางของคุณแก้ว หรือความประหลาดของเด็กอินน์คนนี้ ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนก่อนจะชี้มือไปที่พุ่มดอกไม้สีม่วงอมฟ้าที่อยู่รอบบ่อน้ำพุ “รู้ไหมว่าดอกอะไร”

อินทนิลอมยิ้มก่อนจะเอ่ยเสียงแจ่มใส “ดอกเทียนหยดครับ มันออกดอกทั้งปีเลยครับ” ภูวรินทร์พยักหน้าก่อนจะเด็ดกิ่งของมันออกมา เขามองอยู่นาน “ฉันว่ามันสวยกว่าดอกแก้วนะ”ชายหนุ่มหันไปมองอินทนิลที่เดินมาข้างๆมองดอกเทียนหยด
“...แปลก นึกว่าคุณภูจะชอบดอกแก้วซะอีก”อินทนิลเอื้อมมือไปเกี่ยวรั้งกิ่งเทียนหยดไว้ ดอกไม้สีเข้มตัดกับผิวขาวของเด็กหนุ่มได้ดี

“ทำไมฉันต้องชอบล่ะ”ภูวรินทร์ถาม

“ท่านอาเป็นคนปลูกต้นแก้วให้ท่าน นึกว่าคุณจะชอบเหมือนกันซะอีก”อินทนิลเอียงหน้าเอ่ยถาม ทำเอาภูวรินทร์ถึงกับชะงักไป เขาฉุกคิด ที่เขาไม่ชอบดอกแก้วเพราะมันมาพร้อมกับความฝันร้ายต่างหาก ส่วนต้นแก้วบางส่วนในเรือนเพาะชำ เขายังเก็บมันไว้เช่นเดิม...นั่นพอจะบอกอะไรได้ไหม แต่จะให้เขาเชื่อจริงๆน่ะเหรอว่าตัวเขาคือหมื่นนรินทร์กลับชาติมาเกิด...มันเป็นไปได้หรือไงกัน...
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ๓ ครึ่งแรก] ๒๔.๑๑.๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: @Sister ที่ 25-11-2017 04:11:29

สรุปอินน์นี่เป็นแค่เด็กที่เป็นสื่อกลางของคุณแก้วอย่างเดียวหรือมีอะไรมากกว่านั้นไหม
ตอนนี้ภูน่าจะเป็นคุณอากลับชาติเกิดมาจริงนั่นแหละ ตอนนี้ไม่หลอน  :pig4:
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ๓ ครึ่งแรก] ๒๔.๑๑.๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: สาว801 ที่ 25-11-2017 06:50:54
รอตอนครึ่งหลังจ้ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ๓ ครึ่งแรก] ๒๔.๑๑.๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: Mod40 ที่ 25-11-2017 11:18:55
ดีหน่อยไม่หลอนเท่าไหร่แล้ว  รอติดตามคับ :ling3:
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ๓ ครึ่งแรก] ๒๔.๑๑.๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: net. net_n2537 ที่ 25-11-2017 14:40:16
รอๆ อยากรู้เรื่ออินทนิลมากกว่านี้
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ๓ ครึ่งแรก] ๒๔.๑๑.๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 25-11-2017 17:26:34
เหมือนอินน์มีจิตของคุณแก้วอยู่ด้วย...คิดว่าคนที่ทำแบบนั้นกับคุณแก้วน่าจะเป็น ผญ ที่มากับท่านอารึเปล่า

แต่อ่านแล้วก็รู้สึกหลอน ๆ อิน ๆ ไปด้วยนะ

ปล. กลัวมากกว่าในเรื่องคือกลัวไม่ได้อ่านต่อ

ปล. 2 เทียนหยดต้องมีความเกี่ยวข้องแน่ ๆ
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ตอนที่ ๓ ครึ่งหลัง] ๒๕.๑๑.๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 25-11-2017 21:18:09

ภูวรินทร์กับอินทนิลเดินเล่นอยู่ในสวนก่อนจะเดินไปยังริมรั้วทางฝั่งเรือนปั้นหยา ชายหนุ่มยืนมองบ้านหลังเก่าอยู่เงียบๆแต่ไม่ได้เปิดประตูรั้วข้ามไป เด็กหนุ่มข้างกายเงยหน้ามองเขาก่อนเอ่ยถาม “มีอะไรหรือครับ”

“เธอจำวันแรกที่ฉันมาที่นี่ได้หรือเปล่า”ชายหนุ่มเอ่ยถาม วันนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาเจอกับอินทนิล เจ้าตัวยังคิดว่าเขาเป็นผู้บุกรุก พอตกดึกเขาก็เจอกับ‘คุณแก้ว’ที่เสมือนภูตผีดึงดูดให้เขาออกไปหา

“ครับ”อินทนิลเอ่ยรับ มองเขาด้วยความงุนงงราวกับตามเรื่องไม่ทัน แต่เขาคิดว่าอินทนิลแสร้งทำมากกว่า อยากที่เคยคิดไว้ อินทนิลไม่ใช่เด็กไม่รู้ความ อาจรู้เห็นอะไรมากกว่าผู้ใหญ่เช่นเขาก็เป็นได้

“คืนวันนั้น เธอรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมฉันถึงไปนอนในสวนได้ล่ะ”ชายหนุ่มย้อนความไปถึงวันนั้น กระทั่งตอนนี้เขายังจำไม่ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ มีแต่อินทนิลเท่านั้นที่รู้

“...ไม่รู้ เอ่อ...อินน์ตอบไม่ได้เหมือนกัน จำได้ว่าเห็นคุณนอนอยู่ตรงนั้น”อินทนิลตอบเสียงแผ่ว ส่ายศีรษะเบาๆ ใบหน้าเรียวมองเขาอย่างเกรงกลัวอยู่บ้าง

“แล้วเธอล่ะอยู่ที่ไหน”เขาไม่อยากเชื่อ เด็กอินน์ต้องปิดบังอะไรเขาอยู่แน่ๆ ไอ้ท่าทีแบบนี้ มีพิรุธชัดเจน แววตาเป็นกังวล กลับท่าทางกระสับกระส่าย

“อย่างที่บอก ผมชอบเดินละเมอ รู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ที่บ้านเก่า แล้วเห็นคุณนอนอยู่ด้านนอก...”เด็กหนุ่มพูดมองสบตาเขาอย่างไม่หวั่น เขาจ้องอยู่สักพัก อินทนิลก็ไม่หลบตาไปไหน เขาถอนหายใจ

“เรื่องนี้ป้าษอรรู้หรือเปล่า”

“ไม่ครับ อินน์บอกไม่ได้ แต่ษอรก็อาจเดาออก”อินทนิลตอบ ก่อนจะเหลือบเข้าไปมองสวนของเรือนหลังเก่าด้วยความเหม่อลอย   

“...เธอกลัวคุณแก้วไหม”ภูวรินทร์ถาม บางทีการที่คุณแก้วมาวุ่นวายกับอินทนิลเพราะเด็กนี่ไม่กล้าต่อต้านหรือต่อกรกับคุณแก้ว ไม่ต่างอะไรกับผู้อยู่ใต้อาณัติ ไม่แน่ตัวเขาก็ด้วยเช่นกัน

“เปล่าครับ”อินทนิลส่ายหน้า

“งั้นไปดูเรือนเพาะชำกันเถอะ”เขาบอก ไม่อยากคุยเรื่องที่ทำให้ใจหมองมากนัก อินทนิลยิ้มอย่างดีใจก่อนจะวิ่งนำหน้าเขาไป ลืมถามบางเรื่องไปว่าเพราะอะไรถึงไม่ยอมใส่รองเท้ากัน ภูวรินทร์เดินเลาะไปตาริมรั้วสีเขียวด้วยไม้เลื้อย ตัวเรือนเพาะชำถูกรื้อออกไปในส่วนที่แตกร้าว ส่วนตัวเสาคานของมันยังคงแข็งแรงดี คนงานกำลังต่อเติมฝ้าเพดานใหม่ ชายหนุ่มเหลือบมองบรรดากระถางต้นแก้วที่มีรากทะลุออกมาวางกองอยู่หน้าทางเข้าเรือนเพาะ

ส่วนมากดอกไม้ในเรือนกระจกจะเป็นพวกดอกไม้พุ่มมากกว่าไม้ยืนต้น ส่วนใหญ่จะปลูกลงกระถางมากกว่า และมีไม้ดอกไม้ประดับประปราย ส่วนมากเป็นสีขาว มีแม้กระทั่งดอกพุด ก่อนจะบอกลุงชมถ้าหากว่าต้นไหนใหญ่เกินไปก็เอาไปปลูกที่อื่นแทน อินทนิลสนุกกับการชี้บอกเขาว่าในกระถางมีดอกอะไรบ้าง บางต้นเขาไม่เคยได้ยินเลยด้วยซ้ำ ลุงชมมองอินทนิลด้วยสายตาห้ามปราม

“ดูนี่สิ ดอกราชาวดีออกดอกสวยเชียว คุณคงไม่เคยเห็นแน่ๆ กลิ่นหอมแรงด้วยครับ ลองดมดูสิ”อินทนิลดึงแขนเขาให้มาหยุดอยู่ที่หน้ากระถางไม้เลื้อยที่แตกกอจนรก ดอกไม้เป็นช่อยาวสีขาวเป็นพวงสวยส่งกลิ่นแรงจนเวียนหัวมาให้

“นั่นสิ สวยดีนะ”เขาบอก อินทนิลยิ้มก่อนจะเด็ดกิ่งดอกราชาวดีมาหนึ่งพวงก่อนจะหมุนไปมา

“เวลามันอยู่ในขวดก็สวย อินน์ชอบทำเก็บไปดูเล่น”เด็กหนุ่มหันมองเขาด้วยสีหน้าภูมิใจเหมือนเด็กที่ได้โชว์ของเล่น เขาแปลกใจนิดหน่อยกับสิ่งที่อินทนิลชอบ

“จริงเหรอ...เธอทำเป็นด้วยหรือไง”ภูวรินทร์ถามอย่างสนใจ เด็กหนุ่มรีบพยักหน้าบอกอย่างตื่นเต้น “เรียนมาจากโรงเรียนน่ะ คุณอยากเห็นไหม”เด็กหนุ่มมองเขาด้วยแววตากลมมีความคาดหวังอยู่ในนั้น เขาเหลือบมองลุงชมที่เดินเข้ามาหา

“เจ้าอินน์อย่าไปรบกวนคุณภูเขาสิ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมอยากหาอะไรทำอยู่พอดี”ชายหนุ่มยิ้มอย่างไม่ถือสาอะไร อินทนิลส่งยิ้มกว้างให้เขา ลุงชมเลยได้แต่มองเขาเงียบๆแล้วเดินเข้าไปในเรือนกระจกแทน อินทนิลดึงมือเขาให้ออกเดิน

“ปะ”บ้านพักของคนดูแลบ้านจะอยู่ทางท้ายครัว บริเวณนี้เป็นทางหลังบ้านนอกจากสวนหญ้าและเรือนกระจกปลูกต้นไม้ ก็ไม่มีสิ่งลูกสร้างอย่างอื่น หากจะไปบ้านพักของคนดูแลบ้านต้องเดินกลับเข้าทางประตูหลังบ้าน และเดินกลับไปยังห้องครัว เพื่อไปยังบ้านพักหลังห้องครัวใหญ่

ภูวรินทร์และอินทนิลเดินพ้นจากประตูท้ายห้องครัวก็เจอกับบริเวณลานบ้านพัก มีแคร่ไม้อยู่หน้าบ้าน เป็นห้องแถวเรียงยาวชั้นเดียว อินทนิลพาเขาไปยังห้องริมสุด ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปด้านในห้อง ภายในห้องสี่เหลี่ยมกว้างสีขาดสะอาดถูกจัดเป็นโซนเป็นระเบียบ เตียงนอนอยู่ท้ายห้องติดกับหน้าต่างที่ปิดสนิท ต่ำลงมาก็เป็นโต๊ะหนังสือและชั้นวางของชิดผนังห้อง ฝั่งตรงกันข้ามจะเป็นโทรทัศน์และตู้เย็น มีห้องน้ำแยกออกไปอีกห้องแทน อินทนิลเดินไปที่โต๊ะวางของบนชั้นแรกมีขวดโหลแก้วขนาดเล็กประมาณสองนิ้วถึงสามนิ้ว ในขวดแก้วใสนั้นมีดอกไม้คนละชนิดบรรจุอยู่

“นี่ไง”อินทนิลรับขวดแก้วขนาดเล็กมาจากเด็กหนุ่ม เขายกมันขึ้นมาดูในระยะประชิด ภายในบรรจุดอกไม้สีขาวอยู่ด้านใน ไม่แน่ใจว่าเป็นดอกซ่อนกลิ่นหรือเปล่า เขามองอินทนิล

“ทำไมถึงชอบดอกไม้ล่ะ”เขาคืนขวดแก้วให้เด็กหนุ่ม ก่อนจะเดินไปดูขวดแก้วอันอื่นๆที่วางเรียงกันไว้ หนึ่งในนั้นมีกลีบดอกแก้วบรรจุไว้ด้านในเช่นกัน

“ไม่รู้สิ ก็เหมือนชอบกินขนมไง กินเพราะอร่อย ชอบเพราะว่าสวย”คำตอบของอินทนิลทำให้เขายิ้ม เป็นคำตอบแบบเด็กๆเข้าใจง่ายไม่ลึกซึ้ง ชอบก็คือชอบอย่างนั้นสินะ

“นั่งลงสิ เดี๋ยวให้ดูแคตตาล็อกของอินน์”เด็กหนุ่มดึงมือของเขาให้มานั่งที่เตียงนอน เจ้าตัวเดินไปเปิดลิ้นชักที่ปลายเตียง มีเสียงกุกกักให้ได้ยินก่อนจะหยิบเอาแฟ้มสีดำออกมา เป็นแฟ้มแบบเก่าที่ไว้ใส่ผลงานของเด็กนักเรียนอะไรแบบนั้น
อินทนิลเดินมาหาเขาก่อนจะนั่งลงข้างๆ แล้วเปิดแฟ้มให้ดู ด้านในมีกระดาษที่แปะดอกไม้แห้งไว้ในแฟ้มใส ดูจากความหนาแล้วคงมีเกิน 20 แผ่นแน่ๆ ในหนึ่งหน้ากระดาษนอกจากจะมีดอกไม้แห้ง ถูกชำแหระออกมาเป็นส่วน เช่นกลีบ เกสร (ในกรณีที่เห็นชัด) มีชื่อดอกไม้ถูกเขียนด้วยลายมือ “เธอทำเองเหรอ”

“ท่านช่วยด้วยล่ะ”อินทนิลตอบ เขามองอีกฝ่าย ยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งพูดถึงคุณแก้วบ่อยมากขึ้น เขาพลิกข้ามเปิดไปที่หน้าอื่น ในแผ่นนี้เป็นดอกพยับหมอก

“งั้นเหรอ ดอกไหนบ้างล่ะที่เธอเก็บมาเอง”เขาตามน้ำไปด้วย หากบอกว่าคุณแก้วช่วยทำ ส่วนมากดอกไม้จะเป็นสีขาว และดอกเทียนหยดสองสี

“นี่ไงดอกแดนดิไลออน ตอนไปทัศนะศึกษากับโรงเรียน อินน์เก็บมาพอดี”อินทนิลยื่นมือมาพลิกหน้ากระดาษไปเรื่อยๆจนเจอดอกที่กล่าวถึง อินทนิลเก็บมาทั้งดอกที่กำลังตูมจนกระทั่งบานเป็นริ้วเล็กๆ

“ทำไมเธอถึงไม่ชอบใส่รองเท้าล่ะ”เขาเอ่ยถามอย่างสงสัย ครั้งก่อนที่ถามไปได้คำตอบมาไม่ชัดเจน ใครที่ไหนจะชอบการเดินเท้าเปล่ากัน

“อินน์ไม่ชอบใส่ มันอึดอัด อีกอย่างที่บ้านก็มีแต่สวน เดินสบาย”อินทนิลตอบเป็นงานเป็นการมากกว่าครั้งก่อน เขามองเด็กหนุ่มอย่างพิจารณา ดวงตาสีนิลใสกระจ่างจ้องกลับมา ริมฝีปากคลี่ยิ้มอ่อนโยน

“ป้าษอรดีกับเธอใช่ไหม”เขาถาม อินทนิลพยักหน้า “ดีสิ ไม่มีใครไม่กล้าทำไม่ดีใส่อินน์หรอก”เด็กหนุ่มพึมพำ แววตาหลุบต่ำลง เขาคิดว่าเพราะคุณแก้วมีส่วน ช่วย

“คุณไม่จากไปไม่ได้หรือครับ”อินทนิลมองเขาด้วยแววตาคาดหวัง เขามองอย่างชั่งใจ อีกฝ่ายกำลังจะทำอะไรหรือเปล่า
“ฉันเองก็มีครอบครัว มีเพื่อน พี่น้องคนอื่นๆอีก”ชายหนุ่มพึมพำ เด็กหนุ่มถอนหายใจแรง ก่อนจะดึงแฟ้มกลับมาที่ตัวเอง

“อยู่ที่นี่ก็สนุกดีไม่ใช่เหรอ อินน์ยังสนุกเลย ตอนอยู่กับคุณภูน่ะ”อินทนิลพึมพำเสียงแผ่ว สบตามองเขาก่อนจะหันหน้าไปอีกทางแทน แต่คำพูดนั้นเขาได้ยินชัดเจน อดรู้สึกแปลกๆไปด้วยไม่ได้ เขามองเด็กหนุ่มอยู่นาน จนเลิกให้ความสนใจ จึงลุกขึ้นยืน ก่อนจะสะดุดตากับกรอบรูปของอินทนิล มันวางหลบสายตาของเขา เพราะอยู่บนโต๊ะหนังสือ คว่ำหน้าลงบนสันหนังสือ เพราะยื่นออกมาด้านนอกเล็กน้อย ชายหนุ่มจึงเห็นเลยเอื้อมไปหยิบมาดู เป็นภาพถ่ายวัยเด็กของอินทนิล ประมาณ 5-6 ขวบได้ สีหน้ายิ้มแย้มจนตาหยีเป็นขีดเล็ก รอยยิ้มกว้าง เบื้องหลังเป็นกำแพงรั้วต้นไม้สีเขียว ในมือถือช่อดอกแก้วไว้ เขามองอย่างพิจารณา ใบหน้ายิ้มแย้มนั้นปกติดีไหม เหมือนว่าอินทนิลจะอยู่ที่บ้านหลังนี้ตั้งแต่ยังเด็ก

“อย่าพูดเรื่องไร้สาระเลยน่า อ้อ คืนนี้เธอจะมานอนเป็นเพื่อนฉันใช่ไหม”เขาถามอีกครั้ง วางกรอบรูปไว้ที่เดิม อินทนิลปิดแฟ้มวางไว้บนเตียง เจ้าตัวมองเขาก่อนจะพยักหน้ารับ


ยามค่ำคืนยังคงเป็นสิ่งที่น่าหวั่นวิตกแก่ภูวรินทร์ ลมในคืนนี้ยังคงพัดแรงเช่นเคย เขาปิดหน้าต่างลงกลอนไว้เรียบร้อย อินทนิลมาหาเขาตั้งแต่สามทุ่ม อีกฝ่ายนอนเร็วกว่าเขา แต่ชายหนุ่มไม่รู้สึกง่วงนัก เขาหยิบสมาร์ทโฟนออกมาเปิดข้อความ ที่ไร้คนติดต่อ เขาลองเขียนข้อความหาโชติเพื่อนสนิทอีกครั้ง แต่การส่งข้อความล้มเหลว ไร้สัญญาณโทรศัพท์ ไม่รู้ว่าคนที่นี่ใช้ชีวิตอยู่กันได้ยังไง เขาคิดอยู่เหมือนกันว่า พรุ่งนี้เช้าจะลงไปที่หมู่บ้าน ป้าษอรบอกว่ามีตลาดเช้าเล็กๆอยู่ด้วย เผื่อว่าจะเจออะไรใหม่ บ้านหลังนี้อาจอับสัญญาณก็เป็นได้

ชายหนุ่มปิดไฟในห้องเหลือไว้แค่โคมไฟเหนือเตียง พอศีรษะถึงหมอนเขากลับตาสว่าง ชายหนุ่มนอนมองเพดานด้วยใจล่องลอย  ขณะเดียวกันอินทนิลขยับหันหน้ามาทางเขา ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจอยู่บ้างเพราะอินทนิลไม่มีท่าทีประหลาดเมื่อคืนก่อน เขาคิดในใจแต่ไม่ได้เอ่ยถามออกไป

“กลัวงั้นหรือ”เด็กหนุ่มเอ่ยถาม ในบ้านเงียบสงัดมีเพียงเสียงธรรมชาติในยามค่ำคืนเป็นเครื่องขับกล่อมให้หลับใหล

“เปล่าหรอก แค่นอนไม่หลับน่ะ”ชายหนุ่มตอบน้ำเสียงเรียบเฉย ไม่ได้สนใจอินทนิลนัก เขาคิดถึงหนทางในการติดต่อเพื่อนไปพลางๆ ขณะนั้นอินทนิลก็ขยับมาใกล้จนเขาเกร็ง 

“เชื่อว่าเดี๋ยวคุณก็จะเข้าใจเรา”พอสิ้นคำพูดของอินทนิล เขาก็ใจเต้นไม่ปกติ ไอ้น้ำเสียงแบบนี้คงเป็นใครอื่นไปไม่ได้ ชายหนุ่มหันมองเด็กหนุ่มข้างๆอย่างสับสน

“ตอนนี้เธอเป็นใครกันแน่ อินทนิลหรือเป็นคนอื่น...”เขาถาม แต่อินทนิลไม่ตอบ ยิ่งเห็นอีกฝ่ายเงียบ ชายหนุ่มรู้สึกหงุดหงิด

 “ทำแบบนี้ทำไม ต้องการอะไรจากฉันเหรอ” ทำแค่จ้องมองเขาด้วยสายตาเรียบเฉยเหมือนไม่สะทกสะท้านอะไรทำให้เขาหัวเสียมากกว่าเดิม

“แค่คุณเท่านั้น”อินทนิลเอ่ย ภูวรินทร์นิ่งอึ้งไป เขานึกถึงคำพูดของอินทนิลขึ้นมา ชายหนุ่มดึงผ้าห่มขึ้นมาถึงอก ในใจเครียดเขม็ง แม้จะเบาใจที่มีคนนอนเป็นเพื่อน แต่การที่อินทนิลมาอยู่ข้างๆเขาแบบนี้ มันทำให้เขาอยากพิสูจน์ เมื่อคืน เขาฝันร้ายแตกต่างจากฝันครั้งก่อน ไม่รู้ว่ามีสาเหตุมาจากอะไร   

“ฉันไม่ใช่หมื่นนรินทร์คนนั้นหรอก...”ชายหนุ่มพึมพำ เขาถอนหายใจ รู้สึกได้ว่าอินทนิลกำลังนอนมองเขาอยู่ด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปจากเดิม ไม่ใช่แววตาสดใสของอินทนิลอีกต่อไป มันเป็นดวงตาเย็นชาของคนอื่น ...ของคุณแก้วงั้นเหรอ

“ความฝันของคุณ ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเราหรอก”อินทนิลเอ่ยน้ำเสียงเรียบเฉย ชายหนุ่มหันไปมองเจ้าตัว เขาไม่เข้าใจ

“หมายความว่ายังไง...”

“มันเกิดขึ้นเพราะคุณอยู่ที่แห่งนี้ ...ความรัก ความโกรธแค้น ความกลัว ความรู้สึกผิด...เป็นสิ่งที่คุณต้องเผชิญอยู่แล้ว ต่อให้ไม่มีเรา คุณก็จะฝันร้ายต่อไป”

“เกี่ยวอะไรกับคำสาปแช่งด้วยหรือเปล่า”เขาพึมพำ รู้สึกโง่งมขึ้นมา อินทนิลยิ้ม “แล้วคุณเชื่อไหมเล่า ถ้าเชื่อ มันย่อมมี แต่ถ้าไม่ คุณก็แค่โชคร้ายที่ครอบครองบ้านหลังนี้”เด็กหนุ่มพูดช้าๆด้วยนำเสียงโอหังถือดี

“ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี...”ภูวรินทร์พึมพำ ก่อนจะรู้สึกว่าในห้องหนาวเย็นขึ้นมากว่าปกติ ลมแผ่วเบาพัดเข้ามาในห้อง เขาเหลือบไปมองหน้าต่างที่ปิดสนิท ม่านสีขาวกวัดแกว่งเบาๆ เขาเลื่อนสายตาลงมองอินทนิลอีกครั้ง

“ไม่ต้องกังวลน่า...เราอยู่กับท่าน”


ชายหนุ่มหลับตาลงอย่างไม่สบายใจนัก เขานอนไม่หลับรู้สึกว่าค่ำคืนนี้มันไม่น่าพิสมัยจนทำให้ใจเต้นเร็วขึ้น เขาสงสัยว่าตัวเองจะหลุดจากฝันร้ายหรือไม่ คิดเช่นนี้แล้วมันทำให้เขาหายใจไม่สะดวกนัก พลิกตัวนอนหันหลังให้อินทนิล เขาลืมตามอง อีกด้านของผนังห้องมีเก้าอี้วางชิดอยู่ เขาจ้องมันอยู่อย่างนั้นก่อนจะปิดเปลือกตาลงอย่างเมื่อยล้า ไม่รับรู้ความเคลื่อนไหวจากด้านหลัง

ภูวรินทร์สะดุ้งตื่นเพราะลมที่พัดเข้ามา เสียงผ้าม่านสะบัดดังพรึบพับอย่างน่ารำคาญ คืนนี้ลมแรงกว่าเมื่อคืนอีก ส่วนหน้าต่างนั้นก็คงเปิดออกเองอีกเช่นเคย ราวกับถูกฉายเทปซ้ำไปซ้ำมา เขาพลิกนอนหงาย ก่อนจะมองไปทางหน้าต่างที่เปิดอ้าเห็นความมืดมิดของด้านนอก เขามองเตียงที่ว่างเปล่าข้างๆตัว

“ไปไหน...”ชายหนุ่มพึมพำ ก่อนจะเหลือบมองนาฬิกา เวลานี้เกือบตีหนึ่งแล้ว อินทนิลกลับไปนอนที่ห้อง หรือหายไปที่อื่น ชายหนุ่มเอนตัวนอนลง ก่อนจะสะดุ้งตกใจเมื่อได้ยินเสียงอะไรสักอย่างกลิ้งไปมา คล้ายดังมาจากนอกห้องแถวบันได เขาสูดลมหายใจเข้าออก สองจิตสองใจว่าควรออกไปหรือไม่ดี แต่ถ้าออกไปเขาอาจต้องเจอกับความกลัว เขานึกขึ้นได้ว่าตนเองกำลังฝันอยู่หรือเปล่า เขาเอื้อมไปเปิดลิ้นชักข้างเตียงก่อนจะหยิบไฟฉายออกมาถือไว้

ชายหนุ่มลุกออกจากเตียงก่อนจะเดินไปดูในห้องน้ำ ไร้วี่แววของอินทนิล เขาก้าวเดินไปยังหน้าต่างที่เปิดกว้าง สายลมเย็นปะทะใบหน้า เขายื่นหน้าออกไปมองในสวน ที่มืดสนิทก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังสวนหน้าเรือนปั้นหยา ที่เฉลียงหน้าเรือนเขาเห็นเงาร่างสีขาวกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะหน้าเรือน ดึกดื่นปานนี้แล้ว อินทนิลหรือเปล่านะ หรือว่าเป็นคุณแก้ว

เขากระชับไฟฉายในมือแน่นก่อนจะเดินช้าๆไปยังไปประตูห้อง สาดส่องไฟฉายไปยังโถงทางเดินด้านหน้า เขาปิดประตูก่อนจะเดินไปทางบันไดบ้าน เขาส่องไฟไปตามทาง สิ่งที่เห็นทำให้เขาหายใจติดขัด ร่องรอยของเสียงเมื่อครู่ก่อนอาจมาจากสิ่งนี้ รอยเท้าดำๆเปื้อนเศษดิน น่าจะมาจากอินทนิลหรือเปล่า เขาส่องไฟไปยังมุกบันได ห้องโถงชั้นล่างไร้การเคลื่อนไหว เขาส่องไปที่พรมหน้าบันไดเพราะสะดุดกับอะไรสักอย่างที่สะท้อนกลับมา ...กำไลข้อเท้าตกอยู่ที่พรมหน้าบันได หรือไม่ก็ใครบางคนถอดมันโยนลงมา จนทำให้เกิดเสียงดังเมื่อครู่ก่อน เขาหวาดกลัวขึ้นมา

อินทนิลไปไหนกัน... แม้ใจเต็มไปด้วยความขวาดกลัว แต่สองขากลับก้าวเดินลงไปตามบันไดทีละก้าว มือซ้ายจับยึดราวบันไดไว้แน่น สัมผัสของเนื้อไม้สากและเย็น

ภูวรินทร์เดินลงมาถึงหน้าพรมเขาก้มเก็บกำไลข้อเท้าขึ้นมาไว้ในมือ กำแน่นจนสัมผัสความเย็นของทองเหลือง มันมีน้ำหนักอยู่บ้างไม่เบาหวิว ชายหนุ่มส่องไฟฉายไปทั่วห้อง ก่อนจะเดินไปเปิดสวิตซ์ไฟที่อยู่ทางห้องรับแขกติดกับเสาริมห้อง เขาเปิดสวิตซ์แต่ทว่าไฟไม่สว่าง เขาเปิดอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่ติด

ชายหนุ่มนิ่งงันเมื่อเห็นเงาร่างที่ผ่านทางหางตาไปแวบเดียว เขาลังเลเพราะทิศทางนั้นเป็นทางยาวสู่ประตูหลังบ้านเพื่อไปยังเรือนเพาะชำ เขาสาดไฟไปตามทางเดิน รอยเท้าเปื้อนฝุ่นทิ้งให้เห็นอยู่บนพื้น บ่งบอกว่ามีคนเดินไปทางนั้น เขายังไม่แน่ใจเพราะอินทนิลเหมือนอยู่ที่เรือนปั้นหยาไม่ใช่หรือไง เขาหายใจแรง นั่นอาจเป็นคุณแก้วก็เป็นได้
เขาเดินตามร่องรอยนี้ไปเรื่อยๆ จนมาถึงประตูหลังบ้านที่ปิดไม่สนิท เขายื่นมือไปผลักประตูไม้ออกเสียงลั่นของประตูทำให้
เขาไม่สบายใจนัก ความมืดจากเบื้องหน้าทำให้เขาหนาวเหน็บ “อินน์...”เขาเรียก เสียงไม่ดังนัก ก่อนจะส่องไฟฉายไปตาม

บริเวณสวนหน้าเรือนเพาะชำ ชายหนุ่มเห็นร่างนั้นหายไปด้านในเรือนเพาะมีเสียงฝีเท้าดังให้ได้ยิน เขาสูดลมหายใจยาวเพื่อเรียกความกล้า ก่อนจะก้าวเดินตามเข้าไปด้านใน เมื่อก้าวเข้ามาถึงเรือนเพาะชำ ต้นไม้ดอกไม้ประดับต่างๆ วางเรียงกันเป็นระเบียบ แม้จะเป็นเวลาค่ำคืนแต่ดอกสีขาว สีฟ้าบานสะพรั่ง กลิ่นที่แรงที่สุดคงเป็นดอกแก้ว...

ตอนกลางคืนดอกแก้วจะส่งกลิ่นรุนแรงกว่าตอนสว่าง คำบอกเล่าของอินทนิลดังขึ้นมาในหัว นี่เขากำลังตกอยู่ในกำมือของภูตผี คำสาปแช่งของคนบ้านนี้หรือไงกัน เขานึกขึ้นได้ว่าที่นี่ไม่ใช่ความจริง เมื่อเช้าลุงชมเอาต้นไม้ดอกไม้ออกจากเรือนเพาะชำเพื่อสร้างฝ้าเพดาน ไม่มีทางที่จะมีดอกไม้อยู่เต็ม


บ้าน่า นี่เขาฝันอีกแล้วงั้นเหรอ เขานึกว่ามันคือความจริงเสียอีก แต่อินทนิลหายไปจากเตียงจริงๆ หรือว่าไม่ได้หายกันนะ พอทบทวนดูดีๆแล้วเรือนปั้นหยาไม่มีเก้าอี้อยู่หน้าเฉลียงไม่ใช่หรือ...ความฝัน...


    ภูวรินทร์ก้าวขาไม่ออก เมื่อได้ยินเสียงดังอยู่ไม่ไกล เขาฉายไฟไปทางขวามือ ที่มีโต๊ะวางอุปกรณ์ตัดแต่งต้นไม้เต็มไปหมด เสียงเหมือนใครกำลังขุดอะไรสักอย่าง เขาเลื่อนลงต่ำพบว่าร่างสวมเสื้อสีขาวกางเกงขายาวเหมือนเช่นเคยนั่งหันหลัง สองมือถือจอบอันเล็กจ้วงแทงลงไปในดินเบื้องหน้า เสียงขุดดินทำให้เขารู้สึกขนลุกขนพอง


ฉึก... เสียงเงียบหายไป เขาเดินถอยหลังจนไปชนกับโต๊ะวางไม้ดอกไม้ประดับเต็มแรง เขาเจ็บแต่รีบก้าวเดินออกจากที่นี่ แต่เมื่อมองไปทางประตูเรือนเพราะชำที่ปิดสนิทอยู่ เขาไม่แน่ใจว่าจะออกไปได้ง่ายๆหรือเปล่า

“เรือนเพาะชำ ไม่ได้มีไว้กักขังผู้ใด ไม่ว่าจะทั้งคนเป็นและคนตาย”

ภูวรินทร์ชะงักก้าวขาไม่ออก เสียงของคุณแก้ว ซุ้มเสียงคล้ายอินทนิลแต่ฟังดีๆแล้วไม่เหมือนนัก เขากำมือแน่น รู้สึกได้ถึงความเย็นของกำไลข้อเท้าในมือ... คุณแก้วทิ้งมันทำไม ชายหนุ่มส่องไฟฉายไปที่แผ่นหลังแคบในวัยหนุ่มของคุณแก้ว จะว่าไปคุณแก้วก็อายุสั้น ร่างที่เขาเห็นเป็นของเด็กหนุ่มประมาณวัยสิบเจ็ดสิบแปดปี แผ่นหลังนั้นไม่ขยับเขยื้อน 

“หมายถึงอะไร”ชายหนุ่มเอ่ยพูดเสียงแหบพร่า ในเรือนเพาะชำแห่งนี้เคยเป็นที่กักขังคุณแก้วด้วยหรือ เขาคิดอะไรไม่ออกนัก ชายหนุ่มนิ่งถอยห่างจากอีกฝ่าย เขาเดินไปถึงประตู ไม่สนใจเสียงจากทางด้านหลัง เสียงฝีเท้าไล่ตามมา คุณแก้วต่างหากที่ตามหลอกหลอนเขาไม่จบไม่สิ้น ไหนว่าไม่ทำร้ายกัน แล้วทำไมถึง...

“ที่ว่ารัก คงเป็นเพียงลมปากของชายผู้มีใจไม่สะอาด บ้านหลังนี้เราไม่ต้องการ แต่ผู้อื่นกลับยิ่งแย่งชิง ในเมื่อได้ครอบครองแล้ว เหตุใดยังคิดจะจากไปอีกเล่า”

มือที่แตะอยู่กับประตูค้างเติ่ง ไฟฉายในมือหล่นลงไปกับพื้น เขาตกใจที่เจ้าตัวพูดเช่นนี้ มันก็ถูกเขาต้องการบ้านหลังนี้...ในตอนแรก ถ้าเป็นไปได้เขาอยากจะปล่อยมันไว้แบบนี้ ให้ล่วงโรยไปตามกาลเวลา และออกไปจากที่แห่งนี้ซะที แต่เพราะอะไรคุณแก้วไม่ยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ...เพราะเขาเหมือนท่านอา...หรือจะเกี่ยวข้องในเรื่องของภพชาติ ชายหนุ่มผลักประตูเต็มแรงแต่มันไม่เปิดออก เขาหัวเสีย ก่อนจะผลักประตูออกด้วยแรงทั้งหมดที่มี แต่ไม่สำเร็จ มันทำให้เขาเหนื่อยเปล่า

“ไม่”

ชายหนุ่มยืนนิ่ง ร่างด้านหลังขยับมาใกล้ หากเป็นความฝันใยเขาต้องเหนื่อย หรือเป็นเพียงความทรงจำปะปนกับฝันร้ายนี้ สัมผัสที่แผ่นหลังคล้ายกับมีมือมาแตะ เขากลั้นหายใจ เขาไม่อยากเผชิญกับคุณแก้วในสภาพที่ไม่น่ามอง เชื่อว่าไม่ต่างจากฝันคราวก่อน 

    “อยู่กับเราไปจนตัวตายเช่นอดีตไม่ได้หรือ”ภูวรินทร์ถึงกับพูดไม่ออก ไม่มีทางที่เขาจะอยู่บ้านหลังนี้ได้แน่ เขาคงประสาทเสียเป็นบ้าไปก่อนที่จะตายมากกว่า เขาหลับตาส่ายหน้าช้าๆ

“คนก็อยู่ส่วนคน ผีก็อยู่ส่วนผีไปสิ”

 “เราไม่ใช่ผี คุณไม่มีวันหนีชะตาตนเองได้พ้น บ้านหลังนี้เป็นของคุณและมันจะเป็นตลอดไป”

ชายหนุ่มทนฟังไม่ไหว เขาหันหน้ามาเผชิญกับคุณแก้ว ในทีแรกเขาคาดว่าจะเจอกับใบหน้า และความสกปรกจากเมื่อครั้งก่อน แต่ครานี้กลับต่างกันอย่างสิ้นเชิง คุณแก้วในวัยหนุ่ม เมื่อเทียบความสูงแล้วตอนนี้เขากำลังมองใบหน้าขาวสะอาด รูปหน้าเรียว เส้นผมสีดำเรียบกับเสื้อสีขาวเช่นเดิม นัยน์ตาสีนิลสะท้อนความโศก สองมือเปื้อนดิน ชายหนุ่มนิ่งงันคิดอะไรไม่ออก ร่างนี้ต่างจากอินทนิล มีบางอย่างที่แตกต่าง อายุงั้นเหรอ

“ผมไม่รู้เรื่องราวในอดีตเป็นยังไง แต่เวลานี้ผมคือภูวรินทร์ ไม่ใช่ท่านอา”เขาพูด พยายามไม่สบตากับร่างของคุณแก้ว เขามองไปทางอื่น ก่อนจะเห็นว่าที่ข้อเท้าของอีกฝ่ายไร้กำไล เขามองกำไลข้อเท้าในมือซ้าย ก่อนจะปล่อยให้มันหล่นลงพื้น

“ทุกสิ่งล้วนเป็นของคุณ”คุณแก้วเอ่ย เขาขมวดคิ้วไม่เข้าใจอีกฝ่ายแม้แต่น้อย เมื่อเงยหน้าขึ้น เขาสบตากับคนตรงหน้า แววตาสีนิลมีชีวิตชีวาขึ้นมา มันสั่นไหว ก่อนที่มือของคุณแก้วเลื่อนเข้ามาสัมผัสกับข้างแก้มทั้งสองข้างของชายหนุ่ม เขาสะท้านเพราะความเย็นและความสากของเศษดินจากมือของอีกฝ่าย ก้นบึ้งในใจหวั่นเกรงคนตรงหน้า มีบางอย่างที่คุณแก้วเหนือกว่าเขา

“แท้จริงแล้วคนที่สาปแช่งสกุลนี้ ไม่ใช่ผู้อื่น แต่เป็นคุณไม่ใช่หรือ” 

ภูวรินทร์คล้ายตกอยู่ในภวังค์ เหตุการณ์นี้เหมือนเคยเกิดขึ้น เขานึกถึงคืนแรกที่มาบ้านหลังนี้ ถูกอินทนิลเรียกหา แต่เขาแน่ใจแล้วว่านั่นไม่ใช่อินทนิล เป็นคุณแก้ว...  ชายหนุ่มปัดมือของอีกฝ่ายออกก่อนจะถอยหลังไปจนชิดประตู แต่แล้วทั้งร่างของเขาก็เอนล้มหงายหลังไปกองกับพื้น ประตูไม้เปิดอ้ากว้างไปด้วย เขาเจ็บไปทั่วทั้งหลังคล้ายกับโดนกระแทกเต็มแรง

ชายหนุ่มเพ่งมองร่างของคุณแก้วที่สาวเท้าเข้ามาหา ใบหน้าเย็นชา แววตาสีนิลจ้องเขาเหมือนโกรธเคือง
เขาตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืน ก่อนจะออกวิ่งแบบไม่รู้ทิศรู้ทาง เสียงฝีเท้าไล่ประชิดตามมา เขาตระหนกเมื่อเห็นเงาทาบลงมาจากด้านหลัง อีกฝ่ายต้องการอะไรกันแน่

ชายหนุ่มมองเห็นประตูรั้วที่เปิดอ้าไว้ เลือดในกายเย็นเยียบ ใจห้ามไม่ให้ก้าวเข้าไป แต่ร่างกายไม่ปฏิบัติตาม เขาวิ่งทะเล่อทะล่าเข้ามาในเขตของเรือนปั้นหยา ลมแรงพัดประทะร่างกาย เขาสั่นสะท้านก่อนจะเห็นว่าอินทนิลยังคงนั่งอยู่ที่เก้าอี้... เขางง บ้านหลังนี้ไม่มีเก้าอี้ ชายหนุ่มยืนนิ่งคล้ายถูกตรึงไว้กับที่

“...อินน์หรือเปล่า”เขาเอ่ยเรียก เพราะชุดที่สวมใส่คือตัวเดียวกับก่อนเข้านอน ชายหนุ่มเหลียวหน้ามองหลัง ร่างของคุณแก้วหายไปแล้ว ร่างของอินน์นั่งนิ่งไม่ขยับ

“อินน์!”เขาเรียกดังๆ เหมือนอินทนิลสะดุ้งตื่นจากการหลับใหล เด็กหนุ่มหันหน้ามาตามเสียงเรียกด้วยสีหน้ามึนงง อีกฝ่ายมองเขาอย่างเหม่อลอย ชายหนุ่มก้าวเท้าเดินเข้าไปหาลืมเลือนไปชั่วขณะ แยกไม่ออกว่าตกลงความจริงหรือความฝันกันแน่ เขาเดินขึ้นบันไดบ้านก่อนจะตรงปรี่เข้าไปคว้าท่อนแขนของอินทนิล ใจหวาดหวั่นกลัวเรือนเก่าหลังนี้ไม่แปรเปลี่ยน

“กลับเข้าบ้านเถอะ”เขาบอก อินทนิลเงยหน้ามองเขาก่อนจะพยักหน้า แววตาสีนิลคู่นี้สะท้อนความหวาดกลัวออกมา

“อินน์เตือนคุณแล้ว”อินทนิลบอกเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนตามแรงฉุดดึงของเขา ชายหนุ่มหนาวไปทั้งใจและกาย กลิ่นดอกแก้วรุนแรงกว่าทุกที พัดเข้าปะทะกับตัวบ้าน เสียงไม้ใต้ฝ่าเท้าลั่นให้ได้ยิน 

“อะไรนะ”เขาไม่เข้าใจ อินทนิลก้มหน้าต่ำมองพื้น เขาสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงกุกกักจากข้างในบ้าน เขาเดินก่อนจะดึงแขนอินทนิลให้ตามมาด้วย

“ไปไม่ได้”อินทนิลรั้งตัวไว้ คำพูดนี้ไม่รู้ว่าบอกตนเองหรือบอกเขา มือข้างถนัดเกาะราวระเบียงไว้ ชายหนุ่มหันมองอินทนิลอย่างไม่สบอารมณ์นัก ก่อนที่ความสนใจจะไปอยู่ที่ผ้าม่านสีขาวหลังหน้าต่างที่พัดสะบัด เขาหันกลับมามองเด็กหนุ่ม ที่จ้องเขาด้วยแววตาเย็นชา ไม่ยอมขยับกายไปไหน

ปัง

ภูวรินทร์สะดุ้งเฮือกใจหล่นหาย เมื่อที่มาของเสียงคือร่างของคุณแก้วจากด้านในบ้าน หลังบานหน้าต่างทางด้านหลังของอินทนิล คุณแก้วในร่างที่สกปรกมอมแมมนั้นยังติดตาเขาไม่สร่างซา ชายหนุ่มเซถอยหลังก่อนจะสะดุดบันไดไม่กี่ขั้นก่อนจะล้มลุกคุกคลานอยู่บนผืนหญ้า เขามองไปทางประตูรั้วที่ปิดสนิท...ไม่จริงน่า...

หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ตอนที่ ๓ ครึ่งหลัง] ๒๕.๑๑.๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 25-11-2017 21:21:19

“ภูวรินทร์”ชายหนุ่มยังจำความรู้สึกหวาดกลัวที่เรือนปั้นหยาได้ดี เขาลืมตาขึ้น ฝ้าเพดานห้องอยู่เหนือศีรษะ เขาหายใจแรง รู้สึกว่าอินทนิลกำลังลูบใบหน้าของเขาอย่างปลุกปลอบ เขาหันมองอีกฝ่ายชัดๆ ก่อนจะเห็นว่าภายใต้เรือนผมยาวประบ่าที่กำลังก้มตัวอยู่เหนือตัวของเขานั้นไร้เครื่องหน้า มันดำมืดไร้อวัยวะใดๆ ชายหนุ่มตระหนก ดวงตาเบิกโพรงจ้องอีกฝ่ายอย่างไร้การปกป้อง อินทนิลโน้มหน้าลงมาใกล้ ลมหายใจเต็มไปด้วยกลิ่นดอกแก้วรุนแรงจนหายใจไม่ออก เขาหลับตาแน่นก่อนจะร้องตะโกน ปัดป่ายสิ่งอัปมงคลไปให้พ้นตัว

“ออกไป!”ชายหนุ่มเหนื่อยหอบ เขาควรตื่นจากฝันร้ายนี้ได้เสียที ร่างกายที่เหมือนวิ่งมายาวนานทั้งเหนื่อยและเมื่อยล้า


พลั่ก!


ความเจ็บที่แผ่นหลังทำให้เขาลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาหายใจแรงถี่ หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลนตามจังหวะการหายใจ เขามองไปรอบๆตัว ปรากฏว่าเขานอนอยู่ที่พื้นห้องนอน ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นนั่งก่อนจะมองไปที่เตียงว่างเปล่า แล้วเลื่อนสายตาไปที่หน้าต่างเปิดอ้ากว้าง เขาสะบัดศีรษะ หยิกแขนตนเองแรงๆ จนเจ็บแปลบขึ้นมา นี่คือความจริงงั้นเหรอ...เขาหันไปมองนาฬิกา ตอนนี้เป็นเวลาเกือบตีหนึ่ง...


เขาชะงักในฝันเมื่อกี้ก็เวลาเกือบตีหนึ่งเช่นกัน ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน สำรวจร่างกายตนเอง เขายังคงรู้สึกขนลุกเพราะสัมผัสตามใบหน้าคล้ายกับยังคงอยู่ เขามองไปทั่วห้อง อินทนิลหายไป... ชายหนุ่มถอนหายใจ เขาไม่ควรไปตามหา ไม่อยากซ้ำรอยความฝันอีก เขาเดินเข้าห้องน้ำล้างหน้าให้สดชื่น 


ลมเย็นตอนกลางคืนพัดเข้ามาเอื่อยๆ เขาเดินเพื่อไปปิดมัน ก่อนจะเหลือบไปเห็นร่างของเด็กหนุ่ม อินทนิลกำลังยืนอยู่ที่หน้าเรือนปั้นหยา คล้ายกับหุ่น เขามองไปที่ประตูรั้วเล็กๆที่เปิดอ้าไว้

เดินละเมองั้นเหรอ

ชายหนุ่มปิดหน้าต่างลงกลอนอย่างแน่นหนา เขาเดินไปเดินมาอย่างไม่สบายใจนัก อินทนิลทำตัวประหลาดอีกแล้ว ที่สำคัญเขาไม่กล้าลงไปขางล่างอีก กลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำเดิม เขาทำเป็นไม่ยินดียินร้าย จนกระทั่งผ่านไปสิบนาที เขาร้อนใจอินทนิลไม่กลับมา เขาเดินไปที่หน้าต่างเปิดออกดู พบว่าอินทนิลก็ยังอยู่ที่เดิม เขาหายใจติดขัดก่อนจะมองไปที่หน้าเฉลียงเรือนเก่า ไม่มีเก้าอี้อยู่ แสดงว่าตอนนี้คือความจริง อินทนิลละเมองั้นเหรอ

ภูวรินทร์เดินไปหยิบไฟฉายมา ก่อนจะก้าวลงเดินออกไปชั้นล่าง เขาเดินไปเปิดไฟไว้ ไฟในบ้านใช้ได้ตามปกติ เขาเดินย่ำไปตามสวนของบ้าน เดินไปจนสุดทางจนเจอกับประตูทางเข้าเล็กๆ เขาเดินเข้าไปในเขตเรือนหลังเก่า
ชายหนุ่มไม่สบายใจเลยแม้แต่น้อย อินทนิลเดินไปที่ต้นแก้วในสวนแทน เขาเอ่ยเรียก “อินน์!”ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่มอย่างรวดเร็ว พยายามไม่สนใจเสียงหวีดหวิวของสายลมจากด้านหลัง เขายื่นมือไปจับไหล่ของอินทนิล ร่างนั้นนิ่งไม่ขยับ

“อินทนิล”เขาเรียกก่อนจะกระชากร่างของเด็กหนุ่มให้หันมา อินทนิลเหมือนสะดุ้งตื่นจากความฝัน อีกฝ่ายมองเขาด้วยความมึนงง ก่อนจะกรอกตามองไปรอบกายอย่างตื่นกลัว เด็กหนุ่มมองเขาอีกครั้งด้วยแววตาเดาไม่ออก

“คุณมาที่นี่ทำไม”

“กลับเข้าบ้านเถอะ เดี๋ยวค่อยพูด”ภูวรินทร์ตัดบทก่อนจะเลื่อนไปจับข้อมือผอมของเด็กหนุ่ม แล้วออกแรงดึง เขาไม่อยากมองเข้าไปในเรือนปั้นหยาหลังนั้น เด็กหนุ่มเดินตามเขามาอย่างว่าง่าย ท่ามกลางค่ำคืนที่โหมกระหน่ำไปด้วยลมพายุ ลมเย็นๆยังคงพัดไปตลอดคืน ชายหนุ่มปิดประตูรั้ว กลิ่นดอกแก้วจางลงไปบ้าง เขาพาอินทนิลกลับเข้าไปในบ้าน ตลอดทางอีกฝ่ายเงียบ ไม่พูดไม่จาอะไร ก่อนจะเข้านอน อินทนิลไปล้างเท้าให้สะอาด เขาเดินไปปิดหน้าต่างให้ปิดสนิท ลงกลอนทั้งบนและล่าง

ภูวรินทร์เดินไปดูกาน้ำร้อนที่โต๊ะ มันยังคงอุ่นอยู่ เขาเลยชงนมให้อินทนิลดื่มก่อนนอน ท่าทางอีกฝ่ายจะดูหวาดกลัวกว่าปกติ อินทนิลเดินออกจากห้องน้ำ ใบหน้าเปียกชื้น เท้าเปล่าเปลือยสะอาด เด็กหนุ่มเช็ดเท้าให้แห้งก่อนจะเดินไปนั่งที่เตียงฝั่งทางริมหน้าต่าง เขาถือแก้วนมใส่น้ำผึ้งที่พออุ่นให้อีกฝ่าย เด็กหนุ่มมองเขาก่อนจะรับแก้วไปดื่ม

“เกิดอะไรขึ้น”เขาถามเสียงเข้ม เด็กหนุ่มมองไปทางอื่นก่อนจะตอบเสียงเบา “...อินน์คงละเมออีกแล้ว”

“เธอกลัวใช่ไหม”

“...เปล่าหรอกครับ ไม่ได้กลัวท่าน แต่แค่ตกใจ ที่มาอยู่ในสวนมืดๆ”อินทนิลเอ่ยเสียงแผ่ว ภูวรินทร์ถอนหายใจ ฝันร้ายเมื่อครู่ก่อนทำให้เขาหายกลัวไปบ้าง แต่เขากังวลเรื่องของอินทนิลมากกว่า

“แล้วปกติเธอละเมอที่ไหนบ้างล่ะ”เขาถาม ก่อนจะจัดหมอนให้เข้าที่ เขามองใบหน้าขาวใส เส้นผมถูกมัดลวกๆไว้ไม่ให้เกะกะ

“ปกติแค่มาอยู่ที่เรือนเพาะชำ ไม่ก็ในบ้าน”อินทนิลมองเขาด้วยความกังวลใจ คิ้วดกดำขยับเข้าหากันแน่น ชายหนุ่มนิ่งไป อาการเดินละเมอของอินทนิลจะเกี่ยวข้องกับการที่สื่อถึงคุณแก้วได้หรือไม่

“คงเพราะคุณแก้วทำให้เธอไม่รู้สึกตัวมากกว่า”ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบเฉย พลางนึกถึงถ้วยคำของคุณแก้วในฝัน ดูเหมือนว่าท่านจะเชื่อว่าเขาคือคุณอา คนในบ้านนี้ต่างเชื่อกันแบบนี้ทั้งนั้น

“คุณฝันร้ายหรือเปล่า”อินทนิลเอ่ยถาม ก่อนจะยื่นแก้วเครื่องดื่มคืนกลับให้เขา ชายหนุ่มรับแก้วเปล่าไปวางไว้ที่โต๊ะข้างเตียง “ก็ไม่เชิงหรอก...เรื่องนี้บอกป้าษอรไม่ดีกว่าเหรอ”เขาถาม อินทนิลกลับรีบส่ายหน้า โบกมือเป็นพัลวัน

“บอกไม่ได้ อินน์ไม่ได้เป็นบ่อยๆหรอก...ง่วงแล้วล่ะ นอนดีกว่า”เด็กหนุ่มเอ่ยพึมพำก่อนจะเอนตัวลงนอนโดยไม่สนใจเขา อีกฝ่ายดึงผ้าห่มมาคลุมจนถึงคอ ชายหนุ่มโน้มตัวลงนอนบ้าง คืนนี้เป็นอีกคืนที่เขาไม่กล้าปิดไฟในห้อง เขาคิดไม่ตกว่าเพราะอะไรคุณแก้วถึงคลุ้มคลั่งมาหลอกหลอนเขา

“เธอบอกว่าคุณแก้วจะไม่ทำร้ายฉัน แล้วทำไมถึงต้องมาหลอกหลอนถึงในฝันด้วย”เขาพึมพำ ได้ยินเสียงขยับกายของอินทนิล

“ท่านไม่ได้เป็นผี แต่เพราะคุณขวัญอ่อน แถมยังมีเรื่องติดค้างท่านอยู่หลายอย่าง ประจวบเหมาะกับบ้านหลังนี้ล้วนมีร่อยรอยในอดีต”เด็กหนุ่มเอ่ยตอบกลับ เขาขมวดคิ้ว ฟังแล้วยังไม่เข้าใจ ที่เขาเจอในฝันนั้นไม่ใช่ผีของคุณแก้วหรือไงกัน

“ฉันไม่เข้าใจ”

“เรือนปั้นหยาหลังนั้นไม่ต่างจากที่คุมขังแก่ท่าน ที่ห้องนอนแห่งนี้เจ้าของคนเก่าก็ตายที่นี่”อินทนิลหันมาทางเขา ชายหนุ่มผงะไป เขาวิตกกังวล แต่ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวมากนัก เขามองอินทนิลที่นอนตะแคงข้างมองมาอย่างเศร้าสร้อย

“หมื่นนรินทร์น่ะเหรอ”เขาพึมพำ อินทนิลพยักหน้า

“ห้องเก่าของท่านอา และเคยร่วมเตียงกับท่าน ในวันที่ยังรักแน่นแฟ้น”เด็กหนุ่มผุดยิ้มเย็นชา สายตามองเขาจนทำให้อึดอัด เขาหวั่นในใจ ความจริงที่ว่าฝันร้ายของเขาไม่ได้มาจากคุณแก้ว นึกถึงคำพูดของเจ้าตัว คำสาปมาจากหมื่นนรินทร์งั้นเหรอ...

“ตกลงคำสาปแช่งของคุณแก้วมีจริงไหม”

“มีสิ ไม่อย่างนั้นทายาทของภิรมย์สุขจะหนีหายไปจากบ้านหลังนี้ทำไมกัน แต่มาจากการผิดคำสาบานของท่านอา ท่านอาพาหญิงอื่นเข้าบ้าน ตั้งแต่นั้นมาท่านอาก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะว่าอยากมีทายาท”เด็กหนุ่มเล่าคล้ายกับรู้เรื่องราวดี

“คุณแก้วเล่าให้เธอฟังหรือไง”

“เปล่า แต่อินน์รับรู้ได้ถึงความเศร้าโศกเสียใจของท่านเสมอมา”อินทนิลเอ่ย น้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย แววตาสีนิลสั่นไหว เด็กหนุ่มหลับตาลง คล้ายกับไม่อยากมองหน้าเขาต่อไป ภูวรินทร์คลายความสงสัยลงไปบ้าง แต่เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นในอดีตชาติที่เขาเองก็จดจำไม่ได้ ทำไมเขาต้องมารับเคราะห์กรรมจากคนในอดีตอีกล่ะ

“นอนซะเถอะ พรุ่งนี้ค่อยคุยกันอีกที”ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนจะขยับตัวนอนหันหลังให้อีกฝ่าย เขารู้สึกแย่อย่างบอกไม่ถูก ความสับสนยังคงก่อตัวอยู่ก้นบึ้งในใจ ยังไม่เข้าใจเจตนาของคุณแก้วเช่นเคย หรืออยากให้เขาทรมานเหมือนที่เคยเจองั้นเหรอ ถูกกักขัง เหนี่ยวรั้งไม่ให้ไปในนอกจากอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ เหมือนที่เขากำลังเผชิญ





++++++++++


.มาต่อครึ่งหลังจ้า
ตอนนี้ไม่หลอน ฝากติดตามด้วยค่ะ
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ตอนที่ ๓ ครึ่งหลัง] ๒๕.๑๑.๑๗ หน้า๒
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 25-11-2017 22:28:04
ท่านอาทำอะไรกับแก้วกัน
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ตอนที่ ๓ ครึ่งหลัง] ๒๕.๑๑.๑๗ หน้า๒
เริ่มหัวข้อโดย: @Sister ที่ 26-11-2017 11:56:27
ตามต่อ  :katai5:
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ตอนที่ ๓ ครึ่งหลัง] ๒๕.๑๑.๑๗ หน้า๒
เริ่มหัวข้อโดย: Mod40 ที่ 26-11-2017 16:38:04
จัดหนักจัดเต็มมาเลยคับภูมิต้านวิญญาณเต็มเปี่ยม :ling1:
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ตอนที่ ๓ ครึ่งหลัง] ๒๕.๑๑.๑๗ หน้า๒
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 26-11-2017 19:11:54
       อ่านไปได้บรรยายกาศสีเทามากรู้สึกหดหู่มาก
อยากรู้จังว่าปมหลักคืออะไรยิ่งอ่านยิ่งคิดไปได้หลายทางรออ่านตอนต่อไปนะค่ะ :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ตอนที่ ๓ ครึ่งหลัง] ๒๕.๑๑.๑๗ หน้า๒
เริ่มหัวข้อโดย: Fallinlove ที่ 26-11-2017 20:52:27
สนุกมากกก  หลอนเหลือเกิน  ลึกลับซับซ้อน น่าติดตามมาก ๆ เลยค่ะ
ชอบภาษาบรรยายมากเลย อ่านเพลิน คนเขียนเก่งจัง > <
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ตอนที่ ๓ ครึ่งหลัง] ๒๕.๑๑.๑๗ หน้า๒
เริ่มหัวข้อโดย: Keiji ที่ 26-11-2017 23:20:50
ค้นนิยายอ่านไปเรื่อยเรื่องเก่าก็ยังอ่านไม่จบเปิดมาเจอเรื่องนี้ก็หลอนดีแท้หักล้างนิยายรักแฟนนาซีก่อนหน้านี้ไปเลย อ่านตอนกลางคืนอีก :ling3:   ติดตามๆ o13
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ตอนที่ ๓ ครึ่งหลัง] ๒๕.๑๑.๑๗ หน้า๒
เริ่มหัวข้อโดย: ชานมเย็น ที่ 29-11-2017 00:21:25
 :ling3: คงไม่หลอนทั้งเรื่องนะ อยากรู้ปมมาก
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ตอนที่ ๓ ครึ่งหลัง] ๒๕.๑๑.๑๗ หน้า๒
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 29-11-2017 22:43:47
อ่านแล้วรู้สึกหลอน ว่าแต่ตกลงอินทร์อายุเท่าไรกันแน่
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ ตอนที่ 4 ลางร้ายจากความฝัน
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 07-12-2017 03:52:33
ตอนที่ 4 ลางร้ายจากความฝัน


ช่วงเช้าลุงชมกับป้าษอรพาภูวรินทร์ไปตลาดเช้าของหมู่บ้าน นอกจากคฤหาสน์หลังเก่านี้แล้วยังมีหมู่บ้านเล็กๆที่อาศัยอยู่ห่างออกไปประมาณสองกิโลฯ เขานั่งอยู่เบาะหลัง พลางมองป่าไม้ริมสองข้างทางไปด้วยใจหนาวเหน็บอย่างไร้สาเหตุ บรรยากาศยามเช้าไม่สดใสนักราวกับจะมีเค้าลางของพายุฝน

“ปกติชาวบ้านเค้าเดินทางไปในเมืองยังไงเหรอครับ ถ้าหากเกิดเหตุการณ์แบบนี้”

“ปกติก็ขับรถลงไปเอง ถ้าหากเป็นเรื่องด่วนจริงๆ แต่เส้นทางมันไม่สะดวกน่ะครับ ปลอดภัยกว่าถ้าจะรอเวลาสักหน่อย”ลุงชมตอบกลับมา พลางเหลือบมองเขาผ่านกระจกด้านบน ชายหนุ่มขยับตัวอย่างไม่สบายใจนัก เมื่อเช้าตื่นขึ้นมาอินทนิลก็หายไปแล้ว

“แล้วอินน์ไปไหนแล้วล่ะครับ”เขาถาม ป้าอรเหลียวมองเขาครู่หนึ่ง

“เมื่อเช้าเห็นว่าดูตัวร้อนๆ เลยให้นอนพักสักหน่อย นี่ป้าก็กะจะซื้อไก่มาตุ๋นยาสักหม้อค่ะ”ชายหนุ่มหันไปมองข้างทางแทน พยายามไม่คิดมากเรื่องของคุณแก้วและอินทนิล ป้าษอรกับลุงชมเลี่ยงที่จะพูดถึงผีคุณแก้ว เขาเองก็ไม่อยากเปิดประเด็นให้ตนเองดูเป็นคนงมงายและอ่อนแอมากไปกว่าเดิม

เมื่อลุงชมขับรถมาถึงภายในตลาดของหมูบ้าน เรียกว่าเป็นตลาดภายในของชาวบ้านที่ตั้งร้านไว้สองข้างทางของตรอกถนนเล็กๆในหมู่บ้าน ชายหนุ่มลงจากรถ ก่อนจะเดินตามหลังป้าษอรไป

“ส่วนมากมีแต่ของสดค่ะ คุณอยากทานอะไรไหมคะ ป้าจะได้ซื้อไปเก็บไว้”

“ซื้อปลามาสักสองสามโลก็ได้ครับ ผมอยากทาน”ภูวรินทร์เอ่ยบอก ก่อนจะเดินแยกไปเดินตามทาง เห็นว่ามีร้านขนมหวานอยู่ตรงมุมถนน ระหว่างทางชาวบ้านจำนวนไม่ถึงยี่สิบคนแต่งตัวคล้ายๆกัน ไม่ได้หรูหราเหมือนคนเมือง ส่วนมากจะเป็นรุ่นคนเฒ่าคนแก่หรือวัยกลางคน

ชายหนุ่มหยิบถุงขนมหวานเป็นสาคูกะทิกับตะโก้ “เลือกเลยจ๊ะ สิบบาททุกอย่างเลย”แม่ค้าผู้เฒ่าในวัยหัวหงอกเอ่ยบอกท่าทางยิ้มแย้ม เขาเลือกมาสองสามอย่าง หญิงเฒ่าหยิบถุงขนมหวานใส่ถุงให้เขาเงียบๆก่อนจะเหลือบมองเขาไปด้วย พอจ่ายเงินเสร็จ หญิงเฒ่าก็ยื่นหน้ามากระซิบ

“มีใครบอกคุณหรือยังจ๊ะ ว่าคุณหน้าเหมือนท่านนรินทร์เจ้าของบ้านใหญ่ๆที่เนินเขาตรงนู้นน่ะจ้ะ”เธอเล่า เขานิ่งไป เมื่อคุณลุงที่นั่งขายกับข้าวถุงหันมามองเขาอย่างเห็นด้วยกับหญิงเฒ่าคนนี้เช่นกัน

“ผมก็อยู่ที่บ้านใหญ่นั่นแหละครับ อีกเดี๋ยวก็กลับแล้วครับ”ภูวรินทร์ตอบก่อนจะเดินหนี แต่ไม่วายก็ได้ยินเสียงของหญิงเฒ่าคนดังกล่าวเอ่ยไล่หลัง “คนบ้านนี้มันเหมือนกันไปหมด”

ชายหนุ่มฟังถอยคำนั้นด้วยใจไม่สู้ดีนัก เขาเดินกลับไปหาป้าษอรที่กำลังเลือกปลาอยู่ แต่พอเห็นสายตาของคนในตลาดแล้วเขาก็เดินกลับไปทางที่จอดรถเพราะไม่อยากถูกจับจ้อง อากาศชื้นๆของที่นี่ทำให้เขาไม่นึกชอบ เขาเห็นว่ามีร้านขายดอกไม้สดด้วย สงสัยว่าจะมีวัดอยู่ตามแถวนี้ด้วยล่ะ

เขาหยิบสมาร์ทโฟนออกมาอีกครั้ง พยายามหาสัญญาณโทรศัพท์ เขาเห็นร้านขายของชำเล็กๆที่อยู่ห่างออกไปอีกซอยหนึ่งของตลาดเล็กๆนี้ เลยเดินไปตามทิศทางนั้น เดินไม่นานก็มาหยุดอยู่ที่แผงหน้าร้าน เจ้าของเป็นเถ้าแก่ท่าทางใจดีสวมแว่นตากำลังอ่านหนังสือพิมพ์เหลือบมองเขาอยู่หลายครั้ง

“เอาอะไรดีล่ะพ่อหนุ่ม”

“ผมขอถามอะไรหน่อยครับ แถวนี้มีวัดไหมครับ”เขาถาม เถ้าแก่ยิ้มก่อนจะพับหนังสือพิมพ์ลง พร้อมกับลุกขึ้นยืนพูด “มีนะ แต่เป็นวัดเล็กๆอยู่หมู่บ้านด้านล่าง แต่ถ้าไม่อยากไปไกลมากก็ไปอาศรมหลวงตาก็ได้ ถ้าจะไปก็ต้องขับไปอีกหลายกิโลฯเลย มันไม่เชิงเป็นวัดหรอกนะ ชาวบ้านจะเอาของไปถวายหลวงตาบ่อยๆ อยู่ติดกับเนินเขาเลยล่ะ”เถ้าแก่บอก ก่อนจะมองเขาโดยไม่ละสายตาไปไหน คล้ายกับเจอเรื่องน่าสนใจ ชายหนุ่มกระอักกระอ่วนใจอยู่บ้าง

“เหรอครับ...แล้วแถวนี้โทรศัพท์ได้ไหม ของผมมันไม่ขึ้นเลย”เขาบอกพลางหยิบสมาร์ทโฟนออกมาดูด้วยความหงุดหงิด ไม่รู้ว่าคนแถวนี้ใช้เครือข่ายอะไร 

“ได้สิ แต่ลุงไม่ได้ใช้แบบคุณน่ะ เนี่ย...เป็นของเก่าหน่อย มาใช้สิ”เถ้าแก่พาเขาไปที่โทรศัพท์บ้านเครื่องเก่าที่ซีดจนเหลือง เขานึกดีใจ “ขอบคุณครับ”ภูวรินทร์บอกก่อนจะดูเบอร์ของโชติแล้วกดเบอร์ไปที่แป้นโทรศัพท์บ้าน จากนั้นก็รอสายอยู่นาน

“สวัสดีครับ โชติพูดครับ”ไม่นานเสียงของคู่สนทนาก็ดังขึ้นในสาย ทำให้หัวใจของเขาพองโต

“เฮ้ยโชติ นี่ฉันเอง ภู”ภูวรินทร์รีบพูด ไม่อยากเสียเวลานัก คนปลายสายดูแปลกใจไม่น้อย

“เอ้า ไอ้ภู หายหน้าไปเลย ฉันนึกว่าไปติดสาวแถวนั้นซะแล้ว”โชติพูดจาติดตลก ผิดกับเขาที่เคร่งเครียด เขาไม่ใส่ใจคำแซ็วพวกนี้มากนัก เลยเข้าเรื่องสำคัญต่อ

“อย่าเพิ่งพูดมากน่า แกช่วยหารถมารับฉันที่นี่หน่อย ตอนนี้รถไฟท่านี้มันปิดซ่อมแซม คงอีกหลายอาทิตย์กว่าจะเสร็จ ฉันอยากกลับบ้าน”

“รอไม่ได้เลยหรือไง เฮ้ย อย่าบอกนะว่าเจอดีเข้าแล้ว”โชติมีซุ้มเสียงตกใจไม่เบา เขาถอนหายใจ เหลือบมองเถ้าแก่ไปพลางที่กลับไปนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ต่อแต่สายตาเหลือบมองเขาอยู่เช่นเคย

“เชื่อเถอะน่า แกแค่หารถที่สมบุกสมบันมารับฉันก็พอ ทางมาไม่ค่อยสะดวก อีกอย่างตอนนี้ ฉันติดต่อใครไม่ได้เลย สัญญาณที่นี่เน่ามากๆ ถ้าใครถามถึงฉัน แกก็บอกไปแบบนี้แล้วกัน”

“ได้ๆ ว่าแต่แกโอเคนะ”โชติรับปาก ไม่ลืมจะถามสารทุกข์สุขดิบของเขา ชายหนุ่มไม่กล้าพูดอะไรมากนัก กลัวเสียหน้าเพื่อน

“ก็...ไม่รู้สิ...บางทีนะ ฉันน่าจะเชื่อแก”ภูวรินทร์พึมพำ ไม่ทันที่โชติจะทันพูดได้จบประโยคอยู่ๆการสนทนาก็ขาดหายไปอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

“นี่ภู—ตู๊ด ตู๊ด”ชายหนุ่มมองโทรศัพท์ในมือด้วยงงๆ ก่อนจะกดเบอร์โทรออกไปใหม่อีกครั้ง แต่ปรากฏว่าเบอร์ปิดใช้บริการไปแล้ว “อ้าว โทรไม่ได้แล้ว”ชายหนุ่มพึมพำแล้ววางหูลงกับแป้นโทรศัพท์ เถ้าแก่เดินมามองด้วยความงงไม่ต่างกัน

“สงสัยมันคงเก่าจนรวน แล้วคุณโทรไปรู้เรื่องไหมครับ”เถ้าแก่หันมาถามต่อ ชายหนุ่มยิ้มรับก่อนจะเดินมาที่หน้าร้าน “ครับ ผมต้องจ่ายเงินไหม”เขาถามอย่างมึนงง แต่เถ้าแก่โบกมือใส่เขาด้วยความไม่พอใจเท่าไหร่

“โธ่ ไม่ต้องหรอกคุณ อะไรก็ใช้เงินลูกเดียว เหมือนกันไม่มีผิด”ชายหนุ่มนิ่งไป เมื่อได้ยินเถ้าแก่พูด แม้ถ้อยคำสุดท้ายจะเบามากก็ตาม เขาเงียบไป และรู้สึกไม่ดีขึ้นมาเหมือนตอนอยู่ในตลาด ชายหนุ่มบอกขอบคุณเถ้าแก่ก่อนจะรีบเดินย้อนกลับไปยังรถของลุงชม พอข้ามถนนเขาหันกลับไปมองร้านขายของชำหลังนั้น เห็นว่าเถ้าแก่คนนั้นยืนมองเขาอยู่ไม่ไปไหน เขาเดินกลับมาที่รถ เห็นลุงชมยืนรอเขาอยู่ สีหน้าท่าทางคงเป็นห่วงเขา ชายหนุ่มรู้สึกเบื่อหน่ายที่ลุงชมกับป้าษอรทำเหมือนเขาเป็นเด็กๆ

“ซื้อของครบแล้วเหรอครับลุง”เขาถามไปอย่างไม่ใส่ใจนัก

“ครบแล้วครับ เหมือนฝนจะตกเลย รีบไปเถอะครับคุณภู”ลุงชมบอก ท่าทางรีบเร่ง เขาเลยรีบขึ้นไปนั่งในรถ ก่อนจะถอนหายใจอย่างไม่สบายใจนัก ยิ่งออกมาด้านนอกเขายิ่งอยากออกไปจากที่แห่งนี้จริงๆ ที่คนพวกนั้นพูดหมายความว่ายังไงกัน


ภูวรินทร์นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับใหม่แก้เบื่อ พยายามหาข่าวที่น่าสนใจอ่าน ระหว่างนั้นป้าษอรก็เดินมาเสิร์ฟของว่างให้เขาตามเวลา ซึ่งป้าษอรก็เสิร์ฟตรงตามเวลาเป๊ะไม่พลาดแม้แต่วันเดียว แม้ว่าเขาจะไม่ได้ร้องขอ ทำให้เหมือนอยู่ในบ้านเก่าที่ลายล้อมไปด้วยคนประหลาด  แต่เขาพูดออกไปไม่ได้

“ที่นี่มีหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นไหมครับ”

“มีค่ะ คุณภูอยากได้ เดี๋ยวป้าจะบอกให้คนงานเอามาส่งค่ะ”

“ดีครับ”เขาบอก ก่อนจะเงียบไป นึกถึงอินทนิลที่หายหน้าไปอย่างบอกไม่ถูก “ตกลงอินน์ป่วยไปแล้วเหรอครับ”เขาถาม ป้าษอรมองเขาก่อนจะส่ายศีรษะ

“เปล่าหรอกค่ะ แต่ป้าไม่อยากให้อินน์มากวนคุณภูบ่อยๆ”

“ผมไม่ถือหรอก ให้แกมาก็ได้ ถ้าอยากมาน่ะ”ภูวรินทร์เอ่ย ป้าษอรมองเขาด้วยสายตาเป็นประกายประหลาดก่อนจะพยักหน้ารับ ไม่ได้ขัดคำสั่งเขา ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย ชีวิตที่นี่เงียบเหงา ทั้งบ้านมีแต่เขาที่คอยเคลื่อนไหว ยิ่งบ้านชั้นบนเขาไม่รู้สึกอยากเฉียดกายเข้าไปใกล้ ความคิดที่ว่าเขาจะต้องติดอยู่ที่นี่ไปตลอดทำให้ใจไม่สงบ รู้สึกทุรนทุรายอยู่บ้าง แค่ไม่กี่อาทิตย์เขาก็แทบอยากกลับบ้าน หากนานกว่านั้นเขาจะไม่แย่ยิ่งกว่านี้หรือ ไม่นับฝันร้าย ความรู้สึกน่ากลัวพวกนั้นอีก

รอไม่นาน อินทนิลก็เดินเข้ามาในบ้าน มาจากทางประตูหลังบ้าน เขาแปลกใจนิดหน่อยที่เห็นเจ้าตัวเดินมาจากทางนั้น นึกว่าจะอยู่ในบ้านพักซะอีก เขามองใบหน้าที่ดูสดใสไม่เหมือนคนป่วยเท่าไหร่นัก

“นึกว่าป่วย”

“เปล่าครับ ษอรกังวลไปเอง อันที่จริงอินน์น่ะไม่เคยป่วยหรอก”อินทนิลพูดก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ ยืนอยู่ตรงหน้าเขา ชายหนุ่มไม่สนใจคำพูดแปลกๆของอีกฝ่ายเท่าไหร่ เลยดึงให้อินทนิลนั่งลงข้างๆ

“มีอะไรอยากพูดไหม”

“...เมื่อคืนน่ะ อินน์กลัวเหมือนกันนะ”

“ก็น่าอยู่หรอก บ้านนี้มีผีสิง”ภูวรินทร์พูดแล้วหัวเราะ อินทนิลมองเขาสายตาละห้อยแปลกๆ ก่อนจะก้มหน้ามองนิ้วมือของตนเองแล้วพูดพึมพำ

“พูดอย่างนั้นก็ไม่ถูก ...คุณอยากเห็นท่านไหม”อินทนิลเงยหน้ามองเขาเมื่อพูดจบ ชายหนุ่มฟังแล้วตกใจในทีแรกก่อนจะถามซ้ำ

“อะไรนะ”ชายหนุ่มเหลือบมองไปรอบบ้านก่อนจะหันมามองอินทนิลตามเดิม เด็กหนุ่มมองเขาด้วยแววตาจริงจังก่อนจะลดเสียงพูดลงมาคล้ายกับกระซิบ

“หมายถึงของของท่านน่ะ”อินทนิลโน้มตัวมาหาเขา

“เธอมีของของคุณแก้วเหรอ”ภูวรินทร์พูดออกมาให้ชัดเจนขึ้นอีก อินทนิลเอนตัวกลับด้วยความตกใจก่อนจะส่ายศีรษะ

“ไม่ใช่อยู่ที่อินน์หรอก แต่มันอยู่ในบ้านนี้นี่แหละครับ”เด็กหนุ่มบอก เขาคิดว่าเจ้าตัวคงจะเล่าอะไรลึกลับให้เขาฟัง ในบางครั้งเขาลังเลใจอยู่เหมือนกันว่าจะเชื่ออีกฝ่ายดีไหม เพราะคนตรงหน้าเขาเหมือนไม่ปกตินัก ดูลุกลี้ลุกลน สมาธิไม่อยู่กับตัวเอง

“...ที่ไหน”เขาเอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะหยิบหนังสือพิมพ์มาเปิดอ่านไปเรื่อยๆ ระหว่างนั้นอินทนิลก็ยื่นหน้ามาใกล้ๆแล้วพูด

“...ในเรือนเพาะชำ”ใบหน้าสะอาด มองเขาอย่างตื่นเต้นเหมือนรอให้เขาตื่นตกใจ ชายหนุ่มอดกลั้นกับความรู้สึกพวกนี้ เขาก็ใจหายไปไม่น้อยกับคำตอบของอินทนิล แต่เขาคาดเดาเด็กคนนี้ไม่ออกจริงๆว่าต้องการอะไรกันแน่

“จริงเหรอ”แต่ความแน่วแน่ในแววตาของเด็กหนุ่มทำให้ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะล้อเล่น

“ของสำคัญ...คุณอยากไปดูไหม อยู่ในเรือนเพาะน่ะ”อินทนิลย้ำ ภูวรินทร์เงียบ คงไม่ใช่สมบัติหรืออะไรน่ากลัวๆหรอกนะ ชายหนุ่มส่ายศีรษะ เขาไม่อยากเข้าไปรื้ออะไรออกมามั่วๆหรอก ที่สำคัญเรือนเพาะชำกำลังซ่อมแซมอยู่ ไม่สะดวกที่จะเข้า
ไปด้านในเลย

“อย่าไปวุ่นวายในเรือนเพาะชำสิ ไม่ต้องพูดเรื่องนี้แล้ว”เขาตัดบทอีกฝ่าย เจ้าตัวถอนหายใจ มองเขาอย่างผิดหวัง ก่อนจะมองถ้วยสาคูกะทิบนโต๊ะอย่างสนใจ

“แต่คุณอยากออกไปจากที่นี่จริงๆน่ะเหรอ”อินทนิลหันมาสนใจเขาต่อ ชายหนุ่มได้ยินคำถามนี้แล้วต้องถอนหายใจ แน่นอนความตั้งใจเดิมแค่มาดูบ้านหลังนี้แค่หนึ่งอาทิตย์แล้วก็กลับเพียงแค่นั้น

“ที่นี่ไม่ใช่บ้านของฉันจริงๆซะหน่อย”

“...น่าเสียดายนะ”อินทนิลพึมพำก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาทางจมูกก่อนจะเหลียวไปมองทางหน้าต่างอยู่เงียบๆ ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไร อันที่จริงเขาค่อนข้างเป็นห่วงอินทนิลอยู่เหมือนกัน ไม่อยากให้เด็กหนุ่มอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ บ้านหลังเก่าอาจทำให้อินทนิลดูแย่กว่าเดิม เขาไม่รู้ว่าอาการไม่ปกติของอินทนิลที่ป้าษอรบอกเป็นแบบไหนบ้าง


เป็นอีกคืนที่อินทนิลมานอนกับภูวรินทร์ เขาไม่ใจว่าเป็นความต้องการของใครกันแน่ อินทนิล หรือคุณแก้วกัน แต่ชายหนุ่มก็ขัดไม่ได้ เรียกว่าไม่ปฏิเสธซะมากกว่า แม้ว่าทุกครั้งที่มีอินทนิลอยู่ด้วยก็ใช่ว่าเขาจะหลับสนิทนัก เขายังคงฝันร้ายไม่จบไม่สิ้น นั่นคงไม่ได้ขึ้นอยู่กับอินทนิลหรือคุณแก้วจริงๆงั้นเหรอ เขาไม่อยากเชื่อมั่นนัก

“ป้าษอรรู้หรือเปล่าว่าเธออยู่ที่นี่”เขาเอ่ยถาม เด็กหนุ่มที่สวมชุดนอนสีขาวเช่นเคย กำลังจัดที่นอนให้เขาโดยไม่ใช่หน้าที่ ร่างนั้นหันมามองเขาเงียบๆ ดูจากแววตาสีนิลที่เย็นชาแล้ว คงไม่ใช่อินทนิลหรอก

“รู้ รู้ทุกเรื่อง ไม่อย่างนั้นหล่อนคงไม่ยอมอยู่ดูแลบ้านเก่าๆหลังนี้หรอก”อินทนิลเอ่ยพูดอย่างไม่ชอบใจนัก เขาเดินไปที่หน้าต่าง ไม่ชอบให้ลมพัดเข้ามาจนหนาว แต่ไม่ทันจะดึงบานหน้าต่างปิด

“ไม่ต้องปิด ปล่อยไว้แบบนั้นเถอะ ตอนดึกดอกไม้หอมออกนะ”เสียงอินทนิลดังผ่านห้วงความคิด ชายหนุ่มเม้มปาก มองอินทนิลที่นั่งมองเขาอยู่เช่นกัน บ้านหลังนี้เป็นของเขาไม่ใช่หรือ ชายหนุ่มเป็นเจ้าของบ้าน ไม่ใช่อินทนิลเสียหน่อย แต่เพราะคุณแก้ว ที่อยู่ตรงหน้าเขา ไม่สิ...เขาไม่คิดว่านี่คือร่างทรงอะไรทำนองนั้น อาจเป็นจิตที่เปราะบางของอินทนิลเปิดรับจิตแรงกล้าของคุณแก้วหรือเปล่านะ อีกฝ่ายชอบวางอำนาจให้เหนือกว่าเขาอยู่เสมอ เขารู้สึกแบบนั้นจริงๆ

“...ฉันไม่ชอบนักหรอก”ภูวรินทร์บอกก่อนจะละจากหน้าต่างที่เปิดอ้าดังเดิม เขาเดินกลับมาที่เตียงไม่อยากมองใบหน้าพึงพอใจของอินทนิลนัก

“คุณไปตลาดมา”น้ำเสียงของอีกฝ่ายเย็นชา เขามองร่างของเด็กหนุ่มอย่างสังเกต

“ป้าษอรพาไป”เขาตอบสั้นๆ

“เพราะคุณอยากไปไม่ใช่หรือ พยายามจะหนีไปอีก ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วย”

“ทำไมฉันจะไปไม่ได้ ไม่ต้องอ้างเรื่องสมัยพระเจ้าเหาหรอก ฉันไม่รู้ด้วยหรอก...มีอะไรหลายอย่างที่ฉันต้องทำ”เขาบอก เรื่องงานที่บริษัท ไหนจะเรื่องครอบครัวของตนอีก แค่เขาขาดการติดต่อไปหลายอาทิตย์แบบนี้ก็ทำให้พวกนั้นเป็นห่วง ไม่ก็วิ่งเต้นกันไม่น้อย อินทนิลมีท่าทีไม่พอใจ เพราะเอาแต่จ้องหน้าเขาเขม็ง

“คิดว่าเราอยากอยู่หรือ... ดูเหมือนคุณจะไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นดีนัก ไม่รู้ว่าทำไมหล่อนถึงไม่ยอมเล่าเรื่องพวกนั้นกัน”อินทนิลพูดนิ่งๆ ปลายสายตามองเขาอย่างไม่พอใจ ชายหนุ่มถอนหายใจทีแรกก็ไม่อยากจะทำใจเชื่อนักว่าทีคุยอยู่ตอนนี้ไม่ใช่อินทนิล แต่คำพูดและสายตาที่พูดถึงป้าษอรแบบนั้นคงไม่ใช่อินน์แน่ๆ ไหนจะทีท่าเย็นชาต่างจากอินทนิล เมื่อคืนอินทนิลยังคงเป็นอินทนิลไม่ใช่เหรอ ถึงแม้จะมีบางช่วงที่เป็นคุณแก้วขึ้นมาแทน พอมาคิดทบทวนดูดีๆแล้ว หากเลิกเชื่อเรื่องงมงาย อินทนิลอาจป่วย ป่วยเป็น โรคบุคลิกภาพแตกแยก(DID) มากกว่าจะโดนผีสิง ถ้าไม่เพราะเขาเห็นเจอด้วยตัวเอง เขาคงคิดแบบนี้แน่ๆ แต่ในความจริงที่เขาเผชิญอยู่มันไม่ใช่แบบนั้น

“แล้วเธอเล่าให้ฉันไม่ได้หรือไง”ชายหนุ่มถาม อินทนิลเงียบไปก่อนจะล้มตัวลงนอนโดยที่ไม่ตอบอะไรกลับมา เขายังคงเปิดไฟในห้องไว้เช่นเดิม เวลาแบบนี้เขาไม่อยากนอนกับอินทนิลในความมืด

“ทำไมถึงอยากมานอนที่นี่ล่ะ”เขาถาม เหลือบมองเด็กหนุ่มที่นอนหันหลังอยู่ ร่างนั้นขยับเล็กน้อยตามจังหวะหายใจเข้าออก

“แค่อยากอยู่ด้วยมากกว่า”อินทนิลหันหน้ากลับมาหาเขา ชายหนุ่มมองคนข้างกายด้วยใจสั่นไหวไม่ใช่เพราะความรู้สึกอะไรแบบนั้น แต่เป็นความกลัวประหลาดๆ เหมือนเขาเห็นอนาคตของตนเองที่ต้องจมอยู่ในที่แห่งนี้ อินทนิลมองเขาด้วยแววตาสะท้อนอารมณ์ความรู้สึก ไม่ใช่ความรัก แต่เป็นความเศร้ามากกว่า

“มันผ่านมานานแล้วไม่ใช่เหรอ...”ชายหนุ่มเอ่ยเบาๆ น้ำเสียงแหบแห้ง การพูดแบบนี้อาจทำให้เจ้าตัวโกรธขึ้นมา แต่มันก็คือความเป็นจริง อินทนิลหายใจแรง ก่อนจะเม้มปากจ้องมองเขาอยู่อย่างนั้น

“...ไม่คิดว่าทุกสิ่งล้วนถูกลิขิตไว้บ้างหรือ ต่อให้หลีกหนียังไงก็ไม่อาจหลุดพ้น ความรู้สึกเหล่านี้คล้ายจองจำเรา จะให้ปล่อยวางเรื่องครั้งอดีตก็ทำไม่ได้ มันไม่ง่ายเพียงแค่ลืมมันไปหรือแค่ปล่อยผ่านไปเท่านั้น”เด็กหนุ่มเอ่ย เหมือนใจไม่ได้อยู่กับเขา แววตาสองข้างเหม่อลอยก่อนจะหันกลับมามองเขา ชายหนุ่มหายใจไม่ทั่วท้องนัก จะให้ยอมรับกับทุกสิ่ง จำนนต่อคุณแก้วอยู่อย่างนี้น่ะเหรอ

“ทำไมเธอถึงมาอยู่กับอินน์ได้ล่ะ”ภูวรินทร์เอ่ยถาม หวังว่าจะได้รับคำตอบกลับมาบ้าง อินทนิลเพียงแค่ยิ้ม “คุณไม่อยากรู้จริงๆหรอก...มันอาจเปลี่ยนแปลงความรู้สึกของคุณต่ออินน์ไปเลย น่าสงสารนะแบบนั้น”อินทนิลหัวเราะเบาๆ ยังคงจ้องมองเขาอย่างหยอกล้อ ชายหนุ่มนิ่วหน้าขมวดคิ้วเมื่อได้ยินแบบนั้น เขาไม่ชอบใจนัก

“หมายถึงอะไรล่ะ”เขาถามห้วนๆ อยู่ๆอารมณ์ก็กลับมาครุกกรุ่น อินทนิลมองเขานิ่งๆ ไม่ยิ้มเช่นเคย

“เด็กคนนี้ไม่ค่อยมีคนใจดีด้วยนักหรอก เด็กน่ะถูกชักจูงได้ง่าย แต่คุณเหมือนลืมความจริงไป อินทนิลไม่ใช่ไร้เดียงสาซะหน่อย อายุสิบห้าก็ไม่เด็กแล้ว ถึงจะสมองช้าไปบ้าง แต่ใช่ว่าจะเป็นเด็กไม่สมประกอบ”เด็กหนุ่มเอ่ยน้ำเสียงเยือกเย็น แววตาสีนิลสะท้อนความสั่นไหววิบวับ เขามองนิ่งๆ

“อินน์ป่วยจริงๆน่ะเหรอ”ชายหนุ่มถามอย่างสนใจ อินทนิลที่นอนใบหน้าแนบหมอน ขยับลุกเอาแขนเท้าศีรษะไว้จ้องมองเขาอย่างเย้ยหยัน

“ก็ใช่ ไปถามหล่อนสิว่าหลานชายเป็นอะไร แต่เรารู้ว่าเด็กคนนี้พัฒนาการไม่ดี น่าเศร้านะ”อินทนิลพูดเสียงเรียบ ไม่ละสายตาไปจากใบหน้าของเขา ชายหนุ่มเบนสายตาจ้องมองฝ้าเพดานห้องนอน ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่สังเกตความผิดปกติของอินทนิล เพราะอินน์ดูจะเด็กกว่าอายุจริง ไม่ว่าจะกิริยา การแสดงออกและความคิดในบางครั้ง

 “ใจที่ไม่สะอาด จะซักล้างยังไงให้ผุดผ่องล่ะ”อยู่ๆอินทนิลก็เอ่ยขึ้นมา เจ้าตัวล้มตัวลงนอนด้วยสีหน้าประทับรอยยิ้ม ภูวรินทร์มองอีกฝ่ายด้วยความไม่เข้าใจ คุณแก้ว คนนี้ชอบปั่นหัวผู้อื่น และดูจะไม่ใช่คนอ่อนโยนเท่าไหร่ บางครั้งเรื่องในอดีตอาจไม่ใช่อย่างที่อินทนิลหรือป้าษอรเคยเล่าให้ฟัง พอนึกถึงผู้คนในตลาด ดูท่าทางชาวบ้านพวกนั้นจะไม่ค่อยชอบหมื่นนรินทร์คนนั้นมากนัก ไม่ก็ไม่ชอบคนสกุลภิรมย์สุขรุ่นหลังๆก็เป็นได้

“พูดอะไร”ชายหนุ่มถามอินทนิลที่นอนหลับตาคล้ายกับไม่สนใจเขาอีก

“เกรงว่าคุณไม่ต่างจากกาลก่อนนัก ในอดีตก็ใช่ว่ารักเราเพราะความเดียงสา”เด็กหนุ่มเผยยิ้มอย่างนึกสนุก ชายหนุ่มรู้สึกโกรธขึ้นมาบ้าง แต่ก็อดกลั้นไม่ให้กระชากตัวอินทนิลขึ้นมาต่อว่า เพราะยังไงคนที่อยู่กับเขาตอนนี้ก็ไม่ใช่อินน์จริงๆซะหน่อย

“...เลิกพูดแบบนี้ได้แล้ว”ภูวรินทร์พูดห้วนๆก่อนจะนอนหันหลังให้อินทนิลแทน ภายในใจร้อนรุ่มไปด้วยความกังวล เขาไม่ชอบที่คุณแก้วพูดแบบนี้ ทำเหมือนว่าเขาคือท่านอานรินทร์นั่น เขานอนไม่หลับนัก ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พอหลับตาภาพถ่ายเก่าๆขาวดำก็ผุดเข้าในหัวอยู่ตลอด ใบหน้าแจ่มใสของคุณแก้ว ผิดแผกปนเปไปกับอินทนิลมั่วไปหมด เขาไม่อาจฝืนทนห้วงฝันได้ ยามกลางคืน กลิ่นดอกแก้วมันแรงกว่ายามสว่างเสียอีก  ถ้อยคำของอินทนิลประดังประเดเข้ามา ไหนจะคำพูดตัดพ้อของคุณแก้วในฝันคราวก่อนอีก


“ภูวรินทร์”เสียงเรียกดังจากที่ห่างไกล เขารู้สึกว่าที่แห่งนี้คือความฝัน แต่ก็ไม่อาจตื่นได้ง่ายๆ มารู้ตัวอีกทีเหมือนร่างกายซวนเซ ยืนไม่ติดพื้น ร่างกายสัมผัสถึงความเย็นแผ่วเบาที่พัดปะทะเข้าหา เปลือกตาค่อยๆขยับลืมขึ้น ก่อนจะพบว่าตนยืนอยู่ท่ามกลางแสงสว่างของดวงจันทร์ ยืนอยู่บนผืนหญ้าชื้นแฉะด้วยไอน้ำที่เกาะบนยอดหญ้า สายตากวาดมองไปเบื้องหน้าพบว่าตนเองยืนอยู่ตรงประตูทางเข้าของเรือนเพาะชำ ชายหนุ่มใจเต้นรัว ก่อนจะเหลียวมองไปรอบกายที่มีความมืดโอบล้อม บางครั้งฝันอาจเป็นการเล่าเรื่อง สองขาก้าวเดินเข้าไปด้านใน เท้าสัมผัสกับพื้นดินของเรือนเพาะหลังนี้ พยายามมองหาใครคนหนึ่ง ก่อนที่จะได้ยินเสียงขุดดินอยู่เนืองๆ จากนั้นก็ดังขึ้นเรื่อยๆ

“คุณแก้วเหรอ”ชายหนุ่มทัก ถึงอย่างไร ในฝันนี้เขาต้องโดนหลอกหลอนอยู่แล้ว เขาคงหนีไม่พ้นจริงๆ ชายหนุ่มเดินไปตามเสียงขุดที่อยู่ทางสุดเรือนเพาะชำ ที่ตอนแรกมองไม่เห็นเพราะว่า ร่างของเด็กหนุ่มผอมแห้งกำลังก้มๆเงยๆขุดดินอยู่ ฉับพลันเขาก็กลัวขึ้นมา นึกถึงอินน์เคยบอกว่าของของคุณแก้วอยู่ในเรือนเพาะชำ

เหมือนร่างกายจดจำความหวาดกลัวของเขาได้มันสั่นเล็กน้อยแต่ก็ยังคงก้าวเท้าไปหาอยู่เรื่อยๆ พอพ้นโต๊ะไม้ตัวยาวเขาก็เห็นร่างผอมของอินทนิล ที่ไม่ใช่คุณแก้วจากฝันเมื่อคืนก่อนไม่มีผิด อินทนิลกำลังลงแรงขุดเอาดินออกมาจากหลุมลึก แต่หลุมนี้มันใหญ่เกินกว่าคนๆเดียวขุดไหว ราวกับหลุมศพ

ชายหนุ่มชะงักอยู่กับที่มองเนินดินที่กองอยู่ข้างๆ คุณแก้วไมได้สนใจเขาแค่ก้มตัวลงไปขุดดินต่อ เขามองอย่างไม่เข้าใจ ความรู้สึกตีกันไปหมด

“ทำอะไรน่ะอินน์”เขาร้องห้ามออกไป อินทนิลหยุดนิ่งก่อนจะหันมองมาหาเขา ใบหน้านั้นยังคงเหมือนเดิม เปื้อนไปด้วยฝุ่นดิน สองมือและชุดสีขาวที่สวมใส่เปรอะไปด้วยรอยสีดำ ที่มาของมันคือดินตรงหน้า สองเท้าว่างเปล่า มีกำไลทองเหลืองอยู่ที่ข้อเท้าซ้ายตามเดิม

“เป็นเพราะคุณ เพราะคุณ”ระหว่างที่ว่ากล่าวดังลั่น ร่างนั้นก็โถมแรงลงไปขุดดินต่อ ภูวรินทร์เดินเข้าไปหาช้าๆเพราะเจ้าตัวเหมือนคนไม่มีสติ เขาเข้าไปคว้าแขนของอินทนิลไว้ แม้จะรู้ว่าเป็นฝันแต่ก็ยังคงเข้ามาห้ามปราม อินทนิลเงยหน้ามองเขานิ่งๆ สีหน้าเหมือนไม่เข้าใจนัก แววตาที่ดูกล่าวโทษเขายังคงอยู่

“อินน์เจอแล้ว”เด็กหนุ่มพูดขึ้นมา ชายหนุ่มมองเด็กหนุ่มอย่างมึนงง จากนั้นก็ค่อยๆเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงอะไร อินทนิลพยายามจะขุดดินอีกครั้ง แต่เขาห้าม

“อย่านะ”ชายหนุ่มร้องบอกก่อนจะผลักร่างของเด็กหนุ่มออกไปให้พ้นหลุมลึก แม้แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจตัวเองนัก เขามองอินทนิลก่อนจะก้มมองเข้าไปในหลุมดำมืดนั้น เพราะไร้แสงไฟทำให้เขามองไม่เห็นว่ามันมีอะไรอยู่ แต่เมื่อไล่สายตามาจนถึงท้ายหลุมเขาเห็นแสงสะท้อนวิบวับจากด้านล่าง ชั่วขณะนั้นเขาใจหล่นหายไปพร้อมๆกับแรงผลักจากด้านหลัง มันแรงพอจนทำให้เขาหล่นตกลงไปในหลุมโดยไม่ทันระวัง

“อินน์!”ชายหนุ่มตกใจก่อนที่จะกระแทกลงสู่หลุมด้านล่าง มันลึกประมาณสองเมตรหรืออาจมากกว่านั้น เขาเจ็บไปทั้งร่างก่อนที่พยายามจะลุกขึ้นยืนแต่กลับมีกลุ่มดินใหญ่โยนลงมาในหลุมไม่หยุด มันเข้าปากเข้าจมูกเข้าไปด้วย เขาไอโขกก่อนจะปัดป่ายดินหยาบๆออกไปจากใบหน้า เขาคลุกเข่าอยู่กับที่ สองตามองไม่เห็นเพราะเศษดิน ก่อนที่จะตระหนกกับดินที่ไหลลงมาไม่หยุด สองมือเขากดไปสัมผัสกับของแข็งบางอย่างที่ทำให้เลือดในร่างกายเย็นเยียบ แม้จะรู้แล้วว่าหลุมนี้มันคล้ายกับหลุมศพ แต่ก็ไม่คิดว่าในหลุมนี้จะมีศพจริงๆหรอก 

 “คุณอยากเห็นท่านไหม...หมายถึงของของท่านน่ะ” 

“ไม่ใช่อยู่ที่อินน์ แต่มันอยู่ในบ้านนี้นี่แหละครับ ...ในเรือนเพาะชำ”

ชายหนุ่มสัมผัสของแข็งคล้ายกับซี่โครงบริเวณกระบังลมแล้วก็เกิดอาการอยากสำรอกออกมา เขาผุดลุกออกห่างจากโครงกระดูกนี้แต่จังหวะนั้นกลับมีกลุ่มดินหนักๆถล่มลงมาจนเขาต้องก้มหลบ มันเยอะกว่าครั้งก่อน เขาเงยหน้ามองไปด้านบน  ตอนนี้ดินมันกลืนกินมาถึงขาของเขาไปแล้วอย่างไม่น่าเชื่อ

“ทำบ้าอะไรของเธอห๊ะ”ชายหนุ่มตะโกนบอกก่อนจะไอออกมา เงาดำผาดผ่านเข้ามาในหลุม ร่างของอินทนิลตอนไร้แสงไฟมันดำทะมึน เขานึกกลัวขึ้นมา

“ท่านอยู่ในนั้น... เพราะคุณไง”อินทนิลพูด ก่อนจะโกยดินลงมาอีก ภูวรินทร์รู้สึกขนลุกขนพองเมื่อสองขาเหมือนถูกตรึงไว้ด้วยมือที่มองไม่เห็น เขาสะบัดออกไม่ได้เพราะไม่อยู่ในท่าทางที่ถนัด แต่ในหลุมนี้เหมือนมีอะไรที่น่ากลัวกว่าโครงกระดูกเจ็ดปีกว่าปีของคุณแก้ว

“อินน์ พอได้แล้ว!”ชายหนุ่มร้องบอกก่อนจะสำลักไอออกมาทั้งน้ำลายและดินที่เข้ามาในปาก เมื่ออินทนิลไม่มีเหนื่อยกับการโกยดินลงมาในหลุม ภูวรินทร์ขยับไม่ได้ ดินที่ถูกกลบลงมาเรื่อยๆราวกับเป็นโคลนดูดเพราะมันเหมือนดึงให้เขาจมลงไปใต้หลุมลงเรื่อยๆ ราวกับว่าจะให้เขาตายตกไปพร้อมๆกับซากโครงกระดูกของคุณแก้วเช่นกัน

หรือว่าต้องการเช่นนี้จริงๆ ภูวรินทร์หายใจเข้าเพื่อสูดเอาอากาศเข้าปอดแต่กลับกลายเป็นเพียงดินร่วนๆที่เข้ามาทั้งทางปากและจมูก เขาเสียดแน่นไปทั้งอก ในหัวปวดร้าวราวกับจะระเบิด เขาหายใจไม่ออก พยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืนแต่ทำไม่ได้ ร่างกายสัมผัสถึงความเย็นเยียบของผิวเนื้อ เขาไม่รู้ว่ามันมาจากไหน แต่มันโอบรัดเขาไว้แน่น แน่นจนเห็นเป็นสองแขนที่ซีดเซียวมันรั้งกดลำคอของเขาให้จมลงไปกับดิน

ไม่นะ...! ชายหนุ่มดิ้นสุดแรง พยายามสะบัดศีรษะออกจากกองดิน แต่กลุ่มดินที่เข้ามากลบใส่ใบหน้าของเขาจากด้านบน อินทนิลก็ทำหน้าที่นั้นไปเรื่อยๆ เขาไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น สองตาพร่ามัว รสชาติดินเย็นๆ ขมแปลกๆเข้าสู่ปากและจมูก เขาคิดว่ามันทรมานอย่างบอกไม่ถูก ถ้าให้เลือกการจมน้ำอาจทรมานน้อยกว่าการขาดอากาศหายใจที่แบบนี้ ในปอดของเขาต้องมีดินอยู่ไม่มากก็น้อย เขาสำลักจนหายใจไม่ออก ภาพเหมือนเลือนราง ในหัวปวดแทบระเบิด ปวดร้าวไปทั่วทั้งโพรงจมูกและลำคอ

“อยู่ด้วยกันไปตลอดนะ”เสียงของอินทนิลดังมาจากด้านบน เขาเห็นอินทนิลก้มตัวเหนือหลุม ภาพสุดท้ายของอินทนิลยังคงเหมือนเดิม มันไร้เครื่องหน้านอกจากใบหน้าเรียวนั้น ความดำมืดพาดผ่านมองไม่เห็นอวัยวะใดๆ เขาพรั่นพรึงในสิ่งที่เห็น

หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ตอนที่ ๔ ครึ่งแรก] ๗.๑๒.๑๗ หน้า๒
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 07-12-2017 03:53:47

เฮือก!

ชายหนุ่มพยายามหายใจ พยามยามยื้อชีวิตของตน อาการเสียดแน่นร้าวไปทั้งอก พยายามหายใจเพื่อกอบโกยอากาศเพียงน้อยนิดแต่ได้กลับมาแค่เศษดินที่เข้าอุดในลำคอและโพรงจมูก จนสำลักออกมาและรวดร้าวจากการไร้อากาศอีกครั้ง มันวนเวียนไปอยู่แบบนั้น จนทั้งร่างขยับไปไหนไม่ได้ สองมือไขว่คว้าไม่ไหว และทุกอย่างดำมืด เขาคิดว่ามันจะหยุด เผชิญกับความตายแล้วเขาต้องตื่นจากฝัน แต่มันไม่เป็นเช่นนั้น เหมือนภูตผีร้ายอยากให้เขาสนองต่อการทรมานก่อนจะสิ้นใจตาย ให้เขาได้หายใจเฮือกสุดท้ายแล้วก็ทรมานเข้าแทนที่

พรึ่บ

ภูวรินทร์ลืมตาขึ้นมาพร้อมกับๆการหายใจที่สะดวกมากขึ้น ทั้งร่างสั่นเทิ้มไปด้วยราวกับขาดอากาศหายใจมายาวนาน เขาเพ่งมองฝ้าเพดานด้านบน ก่อนจะกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก

“คุณฝันร้าย”เสียงของอินทนิลดังขึ้น เตียงยวบลงมาคล้ายกับมีคนขยับเข้ามาใกล้ ชายหนุ่มรู้สึกว่ามีมือเข้าจับใบหน้าของเขาไว้ จากนั้นสัมผัสก็หายไป ชายหนุ่มลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะเหลียวมองไปรอบๆตัว เขายังคงนอนอยู่บนเตียง ได้ยินเสียงน้ำไหลรินลงแก้ว เสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาหาของอินทนิล ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่งพิงเตียงด้วยใจสั่นคลอน   

“ดื่มน้ำก่อนสิ”อินทนิลเดินมานั่งบนเตียงข้างๆเขาก่อนจะยื่นแก้วน้ำมาให้ เขารับมาเงียบๆก่อนจะดื่มน้ำด้วยความกระหาย โดยอยู่ในสายตาของอินทนิล อีกฝ่ายมองเขาอย่างเป็นห่วง แต่เขาไม่แน่ใจว่ามันจริงใจหรือเปล่า เพราะคุณแก้วคนนี้ดูไม่ค่อยหวังดีกับเขานัก ความฝันครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงอะไรกัน นอกจากหลุมศพของคุณแก้ว และอินทนิลที่ดูไร้สติ แถมยังมาคล้ายความฝันเก่าๆ ไอ้การไร้หน้าของอินทนิลมีที่มาที่ไปอย่างไรกัน เพราะอะไรถึงเป็นแบบนั้น

“ทำไมยังฝันร้ายอยู่อีก”ชายหนุ่มพึมพำอย่างทดท้อใจ อินทนิลมองเขานิ่งๆ ก่อนจะขยับเข้ามาหา “ไม่ใช่เพราะเราหรอกนะ บอกไว้ก่อน”ร่างของอินทนิลที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขามองยังไงก็ไม่ชินตา เหมือนมองคนที่ไม่รู้จัก

“ออกไปไม่ได้หรือไง”อยู่ๆภูวรินทร์ก็เอ่ยออกมา เขาชะงักไปก่อนจะเงียบ ไม่สนใจอินทนิลอีก เขาวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะก่อนจะล้มตัวลงนอนเงียบๆ เขาคิดว่าการที่คนที่ตายไปนานแล้วยังมาวุ่นวายกับคนเป็นอย่างอิทนิลจะส่งผลดี ถึงเด็กอินน์คนนี้จะไม่ใช่เด็กปกติก็ตาม แม้ว่าจะดูเหม่อๆ แต่ผลพวงของการที่คุณแก้วเข้ามาวุ่นวายกับอินทนิล เจ้าตัวมีพฤติกรรมแปลกๆ คนที่ตายไปแล้วมาแย่งการมีชีวิตของอินทนิลไปเช่นนี้ เด็กหนุ่มยินยอมแต่โดยดีหรือว่าเพราะความกลัว เพราะความเป็นคนเจียมตัวของอินทนิล การที่เป็นหลานของคนรับใช้ในบ้านมันทำให้อินทนิลไม่กล้าขัดขืนต่อคุณแก้วอย่างนั้นเหรอ

“...ไม่ได้หรอก...ถึงคุณจะอยากให้เราไป หรือต่อให้เราอยากไปก็เถอะ...แสดงว่าคุณก็ยอมรับแล้วสิว่าคิดไม่ดีกับเด็กคนนี้”เสียงของอินทนิลทำให้เขาไม่สบายใจนัก น้ำเสียงที่เหมือนจะดูแคลนเขาไปพร้อมๆกับอินทนิล

“เปล่าหรอก ฉันแค่สงสารเท่านั้นแหละ ...ไม่คิดบ้างเหรอว่าท่านอานั่นอาจจะสงสารคุณไม่ต่างกันหรอก...”ภูวรินทร์ลืมตามองอินทนิลที่ยังคงนั่งอยู่ข้างๆกายเขาไม่ไปไหน เพียงจ้องมองด้วยความนิ่งเฉย ภาพนั้นทำให้เขาใจไม่เป็นสุขนัก อินทนิลนิ่ง แววตาเย็นชาก่อนจะผุดยิ้มออกมา เหมือนลางร้าย

“คุณบอกว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านผีสิง เพราะว่ามันมีคนตายไม่ใช่หรือ ถ้าอย่างนั้น...แล้วร่างนี้ล่ะ ร่างอินทนิลมีเราได้ มันหมายความว่าอะไรหรือ”อินทนิลพูด ภูวรินทร์มองอย่างตกใจ ในใจเหมือนโดนทุบแทงให้แตกกระจาย

“หมายความว่ายังไง”

“คุณฉลาดพอที่จะรู้...ราตรีสวัสดิ์นะ ภูวรินทร์”อินทนิล...ไม่สิ คุณแก้วยิ้มกว้างก่อนจะลุกเดินขึ้นมานอนบนเตียงตามเดิม จากนั้นก็ขยับเข้ามาใกล้เขายื่นหน้ามาจ้องเขาอย่างสนใจแล้วโน้มหน้ามาจูบแก้มของเขาอย่างรวดเร็ว จนภูวินทร์เองยังตกใจ เขานิ่งงัน แต่อินทนิลเพียงแค่ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างอย่างไม่สะทกสะท้าน ปล่อยให้เขานั่งนิ่งขึงกับใจที่เงียบงัน เขามองผ่านหน้าต่างที่ส่องถึงความมืดที่มีซุ้มเสียง เสียงโหยหวนของความเศร้า

หมายความว่าอย่างไรกัน อินทนิลตายไปแล้วงั้นเหรอ ไม่จริงน่า




+++++++++++++++



มาต่อกันค่ะ ค่อยๆเฉลยกันไป พยายามไม่หลุดโทนเรื่อง อยากให้มันหลอนๆอึมครึมไปทั้งเรื่อง
มันไม่ใช่งานดราม่าน้ำตาไหล แต่อาจจะหน่วงๆบ้างนะคะ
อีกอย่างเรื่องนี้ก็ไม่เชิงว่ามีผีมีวิญญาณให้เห็นขนาดนั้นด้วย คนไม่ค่อยนิยมอ่านแนวนี้กันด้วยแหละ
ยังไงก็ขอบคุณทุกคนค่ะ
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ตอนที่ ๔ ] ๗.๑๒.๑๗ หน้า๒
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 07-12-2017 09:52:34
มาต่ออีก ๆ

มีแต่ ??? เต็มหัวเลยตอนนี้
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ตอนที่ ๔ ] ๗.๑๒.๑๗ หน้า๒
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 07-12-2017 10:52:23
ขอบคุณที่มาต่อนะค่ะและเป็นกำลังใจให้ค่ะ
จริงๆมันสนุกนะค่ะเพียงแต่เรื่องราวมันดูมีปมที่รอการคลี่คลายอีกเยอะยังไงก็สู้ๆนะค่ะ o13 o13
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ตอนที่ ๔ ] ๗.๑๒.๑๗ หน้า๒
เริ่มหัวข้อโดย: net. net_n2537 ที่ 07-12-2017 13:50:37
 :a5: ❓❓❓อ่านมา4ตอนล่ะก็ยังไม่มีความกระจ่างเลย วนลูปแต่เดิมๆ
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ตอนที่ ๔ ] ๗.๑๒.๑๗ หน้า๒
เริ่มหัวข้อโดย: ชานมเย็น ที่ 07-12-2017 17:59:21
รอๆตอนต่อไป
ภูคงฝันไปเรื่อยๆแน่ๆ ความฝันคงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาก่อนไหม  :katai1:
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ตอนที่ ๔ ] ๗.๑๒.๑๗ หน้า๒
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 07-12-2017 20:45:27
เป็นความหลอนที่เต็มไปด้วยเรื่องชวนสงสัย ตกลงอะไรยังไงคนที่ทำให้ภูฝันร้ายเป็นใครกันแน่ แล้วอินตายไปแล้วจริงๆเหรอ มีแต่ปริศนาให้คิดเต็มไปหมด รู้สึกทรมานแทนภูมากที่ฝันแต่อะไรแบบนี้
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ [ ตอนที่ ๔ ] ๗.๑๒.๑๗ หน้า๒
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 07-12-2017 23:07:59
ตกลงยังไงกันเนี้ยะ ทั้งหลอน ทั้งงง...
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ ตอนที่ 5 ร่องรอยจากอดีตเจ้าของบ้าน
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 08-12-2017 02:51:49
ตอนที่ 5 ร่องรอยจากอดีตเจ้าของบ้าน

ภูวรินทร์ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ฟ้าสว่างแล้ว แต่สิ่งที่แปลกก็คือเขาเห็นอินทนิลนั่งมองเขาอยู่ที่ข้างเตียง เหมือนรอให้เขาตื่นอะไรแบบนั้น ชายหนุ่มรีบผุดลุกขึ้นนั่งพลางนึกถึงเรื่องที่คุณแก้วพูด แต่เด็กหนุ่มตรงหน้าแค่ยิ้มกว้างเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ษอรตั้งโต๊ะอาหารเช้าแล้ว วันนี้คุณตื่นสายแหนะ”อินทนิลเอ่ยขึ้น ทำให้เขาหันไปมองนาฬิกาข้างๆโดยทันที ปรากฏว่านี่มันเก้าโมงเช้าแล้ว ชายหนุ่มไม่เคยนอนตื่นสายขนาดนี้มาก่อน เขารีบลงจากเตียง ก่อนจะหันไปพูดกับเด็กหนุ่ม

“ไปบอกให้ลุงชมไปขุดหลุมตรงท้ายห้องเรือนเพาะชำที เผื่อว่าจะเจออะไร...”เขาบอก อินทนิลเดินเข้ามาหาเขา

“เจออยู่แล้วล่ะ อินน์บอกไปแล้วก็ไม่เชื่อ”เด็กหนุ่มพูดก่อนจะค่อยๆเดินออกจากห้องของเขาไป ชายหนุ่มโล่งอกขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังไม่ปักใจเชื่อนักว่าร่างของคุณแก้วจะถูกฝังอยู่ในเรือนเพาะชำ หมายความว่าการตายของคุณแก้วเป็นการฆาตกรรมหรือว่าตายโดยธรรมชาติ ทำไมถึงไม่ทำพิธีตามศาสนาล่ะ

ชายหนุ่มรีบอาบน้ำให้เสร็จโดยเร็ว พอมานึกใคร่ครวญดูอีกครั้ง ความฝันที่เขาเผชิญอยู่ทั้งหมดเหมือนมันกำลังบอกอะไรเขาอยู่ การตายของคุณแก้วงั้นเหรอ

ภูวรินทร์ลงมาทานมื้อเช้าที่โต๊ะอาหารเช่นเดิม ที่ด้านนอกมีคนงานมาทำงานเช่นเคย เขาถือโอกาสถามป้าษอร

“ตกลงแล้วอินน์เขาป่วยเป็นโรคอะไรเหรอครับ”

“...แกเป็นเด็กคลอดก่อนกำหนดน่ะค่ะ เลยทำให้สมองช้าพัฒนาการไม่เหมือเด็กคนอื่นๆ กว่าจะเข้าเรียนประถมได้กว่าช้าไปหลายปี...”

“งั้นเหรอ”เขาพึมพำอย่างไม่ปักใจเชื่อนัก อีกฝ่ายมีท่าทีประหลาดใจ “มีอะไรหรือเปล่าคะ”

“เปล่าหรอก แล้วอินน์บอกลุงชมหรือยังครับว่าผมสั่งให้ขุดดินที่ท้ายเรือนเพาะชำ”ภูวรินทร์ถามถึงเรื่องสำคัญ ป้าษอรมองเขาด้วยสายตามมีคำถาม เธอตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงกังขา

“บอกแล้วค่ะ ว่าแต่คุณภูจะทำอะไรเหรอคะ”

“ผมอยากหาของของคุณแก้ว”เขาบอกไปตามตรง อันที่จริง‘ของ’ที่ว่าอาจเป็นเหมือนในความฝันของตนก็ได้ โครงกระดูกของคุณแก้ว เขารู้สึกแย่ไม่น้อยกับความฝันเมื่อคืน ป้าษอรตกใจจนชะงักค้างไป สีหน้าดูไม่ดีนัก

“ของเหรอคะ ป้าอยู่มาตั้งนานไม่ยักรู้เลยนะคะ”

“ผมแค่เดาสุ่มน่ะ อาจจะเจอ หรือไม่เจอก็ได้”

หลังอาหารเช้า ชายหนุ่มเดินออกไปดูคนงานที่เรือนเพาะชำ เขายืนมองอยู่ด้านนอก เห็นคนงานสี่คนกำลังลงมือถือจอบเสียมขุดดินตามที่เขาสั่งอยู่ ลุงชมเดินมาหาเขา

“คุณภูกำลังหาอะไรหรือครับ”

“ผมแค่อยากพิสูจน์อะไรนิดๆหน่อยๆครับ ว่าแต่มันใช้เวลานานไหมกว่าจะขุดได้ลึก”เขาถาม ลุงชมมองเขาอย่างไม่สบายใจนัก “ก็ใช้เวลาสักพักใหญ่ๆ ผมไม่มีเครื่องขุดด้วย”

“ถ้าหากว่าขุดเจออะไรก็มาบอกผมด้วยแล้วกัน”ภูวรินทร์เดินอ้อมไปทางริมรั้วเพื่อเดินไปยังสวนหน้าบ้าน ที่ใจกลางลานน้ำพุเขาเห็นอินทนิลกำลังนั่งขีดเขียนอะไรอยู่ที่พื้นหิน เขาสาวเท้าเดินเข้าไปหาเงียบๆ แต่เด็กหนุ่มเงยหน้ามาทางเขาก่อนจะโบกมือให้

“มาทำอะไรตรงนี้”เขาถาม เมื่อเห็นว่าอินทนิลเด็ดผลของต้นเทียนหยดออกมาเล่น เขาพยายามมองหาสิ่งผิดปกติของอินทนิลตามที่คุณแก้วบอก จะเป็นไปได้ยังไงหากเด็กหนุ่มตายไปแล้วจริงๆจะมีชีวิตอยู่แบบนี้ได้เหรอ

“คุณรู้หรือเปล่าว่าผลของมันมีพิษด้วยล่ะ”

“ไม่เคยได้ยินเลยแฮะ”

“ใช่ครับ ผลสีส้มแบบนี้ ยิ่งเด็กเคี้ยวมันเข้าไปยิ่งอันตรายเลยล่ะครับ ขนาดสัตว์กินพืชยังไม่เข้าใกล้มันเลย”อินทนิลพูดก่อนจะยื่นผลสีส้มมาให้เขา ภูวรินทร์มองผลสีส้มในมืออย่างใคร่ครวญ ไม่คิดว่าดอกไม้สีสวยเช่นนี้จะมีอันตราย การที่อินทนิลพูดแบบนี้มันมีความหมายแฝงอะไรหรือเปล่า

“เมื่อวานเธอบอกว่าในเรือนเพาะชำมีของของคุณแก้ว บอกได้ไหมว่าคืออะไร”ภูวรินทร์เดินไปนั่งที่เก้าอี้ พลางมองเด็กหนุ่มที่นั่งยองๆถือผลเทียนหยุดสีส้มพยายามเรียงต่อกันเป็นรูป

“อืม...อินน์ว่าคุณรู้อยู่แล้วนะ”เด็กหนุ่มเอ่ยโดยไม่มองมาทางเขา สายตาจับจ้องอยู่กับการเรียงผลสีส้มไปเรื่อยๆ เขาถอนหายใจ เวลาที่จะถามเอาความจริงกับอินทนิลเขาต้องใช้ความอดทนไม่น้อยเลยกับการตอบไม่ตรงคำถามของอีกฝ่าย

“แล้วเธอรู้ได้ยังไงกัน”

“ก็เพราะว่าท่านอยู่กับอินน์ตลอดไง คุณเข้าใจไหมครับ”อินทนิลเอ่ยก่อนจะหยุดมือ แล้วเงยหน้ามองเขา แววตาที่มองมาดูเศร้าสร้อยระคนโกรธเคือง เขาใจสั่นคลอนเพราะคำพูดของคุณแก้ว อินน์พูดอยู่เสมอว่า ‘ท่าน’อยู่กับตนเอง ท่าทีที่อีกฝ่ายดูระแวงระวังคุณแก้วแม้แต่ในยามสว่างแบบนั้น มันพอจะตอบคำถามที่เขาสงสัยได้ไหม

“มันเกิดเรื่องร้ายแรงมากเลยเหรอ ที่บ้านหลังนี้น่ะ”ชายหนุ่มเอ่ยลอยๆ เขามองไปที่บ้านหลังใหญ่ ท่ามกลางแสงแดดเจิดจ้ามันดูสง่างามในแบบดั้งเดิม แต่ก็ยังให้ความรู้สึกลึกลับ

“...อินน์เห็นแต่ความเศร้าของท่านเสมอ ความรู้สึกเหมือนโลกกำลังจะแตก อินน์ไม่ค่อยเข้าใจหรอก...แต่ษอรมักจะไม่ให้อินน์พูดถึงเรื่องของท่าน...”เด็กหนุ่มย่นหน้าพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่เหมือนหน่ายกับป้าของตนเอง เขามองท่าทางนั้นอยู่นาน มองยังไงอินทนิลก็มีเลือดเนื้อ ไม่เห็นเหมือนคนที่ตายไปแล้ว อินทนิลยังคงเป็นเด็กหนุ่มที่สดใสตามวัยไม่ใช่เหรอ

“...เธอ...มีชีวิตอยู่จริงๆหรือเปล่า”ภูวรินทร์ไม่คิดว่าตนจะพูดเช่นนี้ เขาแปลกใจตัวเอง อินทนิลเบนหน้าไปมองทางอื่น สองมือกำแน่นเช่นเคย

“ตอนนี้อินน์ก็มีชีวิตอยู่ไม่ใช่เหรอครับ ทำไมถึงถามแบบนี้ล่ะ”อินทนิลพึมพำ ลอบมองเขาเหมือนเสียใจแล้วลุกขึ้นยืนปัดมือที่เปื้อนฝุ่นดินไปมา แต่เขาไม่ทันจะพูดอะไรก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากทางหลังบ้าน ชายหนุ่มรีบลุกเดินไปทิศทางดังกล่าวทันที อินทนิลก็ตามเขามาด้วย

เขาเดินไปยังเรือนเพาะพบว่าคนงานดูแตกตื่น ออกมายืนด้านนอกกันหมด ยกเว้นลุงชมที่ยืนอยู่ด้านในเรือนเพาะชำ ชายหนุ่มเดินเข้าไปด้านในบ้าง ตลาดทางได้ยินพวกคนงานซุบซิบกันว่าเจอโครงกระดูกคน แม้ในใจจะคาดเดาไว้ได้แล้ว แต่พอมาเจอเข้าจริงๆเขารู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูก ลุงชมยืนอยู่หน้าปากหลุมกว้าง เหมือนคนงานจะขุดกินที่ไปเรื่อยๆจนมาเจอมากกว่า

“แจ้งตำรวจดีไหมครับ”ลุงชมหันมาถามเขา

“นั่นไม่ใช่โครงกระดูกของคุณแก้วหรือไงครับ”เขาถาม ลุงชมเหมือนหน้าซีดไปไม่น้อย ป้าษอรตามเข้ามาทีหลังด้วยท่าทีตกอกตกใจ เขาแปลกใจอยู่เหมือนกันที่คนบ้านนี้ไม่มีใครรู้ว่าร่างของคุณแก้วไม่ได้ถูกเผาจัดพิธีตามศาสนา อินทนิลยื่นหน้าไปมองบ้าง แต่ถูกป้าษอรดึงตัวไว้ก่อน

“ผมไม่แน่ใจเหมือนกันครับ”ลุงชุมพูดเบาๆ เขาเดินเข้าไปใกล้ๆปากหลุม มองเข้าไปที่ด้านล่างดินที่ถูกขุดลึกลงไปประมาณหนึ่งเมตรกว่าๆ ก้นหลุมมีกระดูกเก่าส่วนเชิงกราน และส่วนกะโหลกศีรษะที่ผุกร่อนโผล่มาให้เห็น เขามองไปทางส่วนล่างที่น่าจะเป็นขา เขาไม่เห็นกำไลข้อเท้าของคุณแก้ว

“โครงกระดูกนี่น่าจะเก่ามากแล้ว ผมควรทำยังไงดีล่ะ...”เขาหันไปถามป้าษอร การเรียกตำรวจมาก็ไม่มีความหมายมากไปกว่าการแพร่กระจายข่าวของบ้านหลังนี้ ทุกคนก็รู้ว่าต้นตระกูลตายไปนานแล้ว แต่ใครจะคาดคิดว่าศพของคุณแก้วถูกฝังอยู่ใต้ดินมากว่าเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว

“ให้ป้าเรียกสัปเหร่อมาช่วยก็ได้นะคะ”เธอเสนอ เขายังลังเลอยู่ แต่ก็เขาไม่คิดว่าการแจ้งตำรวจมันจะมีผลดีอะไร ชายหนุ่มเหลือบมองอินทนิลที่ยืนอยู่ข้างๆป้าษอรสีหน้าซีดเซียวอยู่บ้าง ท่าทางเหมือนหวาดกลัว

“แต่ผมไม่แน่ใจว่าใช่ร่างของคุณแก้วไหม...คงต้องเอาไปตรวจ”ชายหนุ่มพูดกับลุงชม เจ้าตัวพยักหน้า “งั้นให้ป้าไปปรึกษากับตำรวจดูก่อนดีไหมคะ เผื่อว่าจะช่วยอะไรได้”เธอเสนอขึ้นมา

“อืม...คงต้องเป็นแบบนั้นล่ะครับ ลุงช่วยหาคนมาจัดการเรื่องโครงกระดูกด้วยนะครับ ผมไม่รู้ว่าต้องแจ้งญาติพี่น้องของสกุลภิรมย์สุขด้วยหรือเปล่า...ไม่ยักรู้ว่าคุณแก้วจะถูกฝังตรงนี้ ป้าไม่รู้เหรอครับว่าท่าไม่ได้ถูกเผา”

“ป้าก็ไม่เคยทราบมาก่อนเหมือนกันค่ะ...”เธอก้มหน้าตอบไม่กล้ามองลงไปในหลุมเช่นกัน ลุงชมเม้มปากก่อนจะหันมาพูดกับเขา “ให้ผมเรียกพระมาทำพิธีดีไหมครับ เผื่อว่าคุณภูไม่สบายใจ”

ภูวรินทร์ก้มมองโครงกระดูกในหลุมนั้นอย่างใจลอย ใครเป็นคนฝั่งร่างของคุณแก้วกัน หมื่นนรินทร์เป็นคนทำจริงๆเหรอ ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณแก้วกันแน่ เรื่องไหนคือความจริงและความลวง ถ้าหากว่าคุณแก้วถูกทำร้ายจนตายจริงๆล่ะก็ เขาก็พอจะเข้าใจได้ว่าเพราะอะไรอีกฝ่ายถึงยังไม่จากไปไหน ...เพราะคำสาปแช่งงั้นเหรอ...คำสาปแช่งอะไรกัน

“ได้ก็ดีครับ ไล่ความอัปมงคลไปบ้างก็ดี”ชายหนุ่มเอ่ยตอบเบาๆ ก่อนจะเหลียวมองอินทนิลที่ยืนจ้องหน้าเขาไม่หลบไปไหน เขาเดินออกจากเรือนเพาะชำด้วยใจที่ครุมเครือ พวกคนงานยืนจับกลุ่มคุยกันถึงสิ่งที่เจอ เขามองอย่างไม่สบายใจนัก

ภูวรินทร์กลับเข้าไปทางประตูหลังบ้าน เดินผ่านห้องโถงใหญ่ไปยังห้องรับแขก มองเห็นสวนดอกไม้ที่ชูช่อท่ามกลางแสงแดด เป็นส่วนเดียวในบ้านที่เขาชอบมากที่สุด ชายหนุ่มเดินไปยังชั้นสอง เข้าไปหยิบกุญแจบ้าน รวมถึงแปลนบ้านในห้องนอนมาเปิดดู เขาอยากลองเดินสำรวจให้ครบทุกห้องเผื่อว่ามีอะไรที่เขาพลาดไป นอกจากห้องนอนแล้วยังมีห้องอ่านหนังสืออยู่ เขาเดินไปตามทางระเบียงหน้าห้อง ห้องนี้อยู่ริมสุด แล้วไขกุญแจเปิดเข้าไป

ห้องสี่เหลี่ยมกว้างลายล้อมไปด้วยชั้นหนังสือ ที่ใจกลางห้องมีโต๊ะนั่งอ่านหนังสือกับโซฟาตั้งไว้ โคมไฟเหนือศีรษะเป็นทรงกลมใหญ่ บริเวณรอบห้องมีชั้นหนังสือเรียงตัวไปจนสุด หนังสือพวกนั้นเขาเห็นว่ามีตั้งแต่หนังสือนิทานไปจนถึงหนังสือประวัติศาสตร์ บางชั้นก็ไม่ได้มีหนังสือวางไว้ ปล่อยโล่งไว้แบบนั้น เขาเดินเข้าไปจับดู ยังคงมีฝุ่นจับตัวอยู่เช่นกัน บางชั้นก็มีหนังสือพิมพ์ฉบับเก่าวางพับไว้เป็นตั้งสูง เขาเดินไปเห็นหนังสือพฤกษาศาสตร์ที่อยู่ระดับสายตา เหมือนว่าชั้นนี้จะถูกหยิบอ่านบ่อยที่สุด

 เขาหยิบหนังสือเล่มหนาออกมาช้าๆเพราะเกรงว่ามันจะขาด ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าหนังสือพวกนี้ใครเป็นคนจัดเก็บ เพราะวันเดือนปีที่ผลิตอยู่ในช่วง พ.ศ.2470 เป็นต้นไป บางชั้นก็เป็นหนังสือสมัยใหม่ผสมกันไป ชายหนุ่มเปิดอ่านอย่างสนใจ ส่วนมากเป็นข้อมูลพืชไม้ประดับ เขาเปิดผ่านๆเห็นว่าดอกไม้บางชนิดก็ยังพบเห็นในสวนและเรือนเพาะชำด้วยเช่นกัน จากนั้นก็เหลือบไปเห็นหนังสืออีกเล่ม ‘พืชและพิษ’

เขาเก็บหนังสือเล่มเดิมคืนที่เก่าแล้วหยิบหนังสือเล่มนี้ออกมา เป็นหนังสือปกบางๆ ที่สันมีด้ายเย็บแทนสันกาวไปแล้ว เขาเปิดดูอย่างสนใจ หวนนึกถึงคำพูดของอินทนิล ลองไล่เปิดดูตามสารบัญ ดอกไม้ที่ถูกแยกไปตามวงษ์ของมัน ตามลักษณะพิษที่ส่งผลต่อร่างกายในแต่ละส่วน เช่น กระเพาะ ผิวหนัง ชายหนุ่มเปิดไปเรื่อยๆ จนมาเจอรูปเทียนหยดที่อยู่หน้าท้ายๆ ข้อมูลในหนังสือมีไม่เยอะ แต่อ่านแล้วก็การันตีได้ว่าอินทนิลพูดจริง

ผลและใบของเทียนหยดมีพิษต่อเด็กเล็กมากกว่าผู้ใหญ่ หากกินผลมันเข้าไปจะทำให้เนื้อเยื่อลำไส้ถูกทำลาย หากดูดซึมสารพิษเข้าไปหนักสุดคือเสียชีวิต อาการอื่นๆก็มีท้องเสีย คลื่นไส้ ชัก หากกินใบของเทียนหยดจะขาดออกซิเจน เพราะมีสาร HCN ทำให้เกิดอาการตัวเขียว การที่อินน์พูดถึงมันหมายความว่าอะไรกัน มีใครตายเพราะใบและผลเทียนหยดด้วยหรือไง ภูวรินทร์เก็บหนังสือเล่มนี้มาอ่านต่อ ชายหนุ่มชักอยากจะรู้ประวัติของตระกูลนี้มากยิ่งขึ้น เขาไม่คิดว่าคนบ้านนี้จะเขียนหนังสือเก็บไว้ ชายหนุ่มออกจากห้องมาก็ต้องสะดุ้งเพราะอินทนิลยืนอยู่นอกห้องแบบไร้ซุ้มเสียง

“โครงกระดูกเป็นของท่านนะ”อินทนิลเอ่ย ชายหนุ่มล็อกประตูห้องหนังสือแล้วมองเด็กหนุ่มที่ยืนมองอยู่ เขาถอนหายใจเบาๆ

“เธออยากให้ฉันไปเจอโครงกระดูกของคุณแก้ว เพราะอะไรกันล่ะ”ชายหนุ่มหันมาเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มที่ยืนห่างไปไม่กี่ก้าว ใบหน้าสงบนิ่ง ความหวาดกลัวที่เคยเห็นในเรือนเพาะชำหายไปแล้ว

“คุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่คุณแก้วไม่ได้จากไปอย่างสงบ”อินทนิลพูดต่อ น้ำเสียงเคร่งเครียด เขาจ้องมองใบหน้าขาวสะอาดนั้นอยู่ครู่เดียว ก่อนจะเดินถือหนังสือไปตามบันไดบ้าน

“ฉันไม่รู้จะเชื่ออะไรแล้ว คุณแก้วตายเพราะโดนขังที่ไหนกันแน่ แล้วในเรือนปั้นหยาหลังนั้นล่ะ”เขายังจำความฝันที่เห็นคุณแก้วโดนล่ามโซ่ไว้ในนั้นได้ ตอนนี้เขาไม่มั่นใจนักว่าความฝันเป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นจริงหรือเปล่า แต่ตอนนี้พิสูจน์ไปแล้วหนึ่งเรื่องคือ โครงกระดูกของคุณแก้ว

“ก็เป็นเรือนของท่านตอนเด็กๆน่ะสิ ส่วนเรือนเพาะชำท่านชอบไปอยู่บ่อยๆ ท่านชอบปลูกดอกไม้”อินทนิลเอ่ย เดินลงบันไดตามหลังเขามาเช่นกัน ชายหนุ่มเดินผ่านห้องโถงใหญ่แล้วเดินไปนั่งที่โซฟาติดกับหน้าต่างทรงสูง เปิดอ้ารับแสงแดด

“งั้นเหรอ ชอบดอกไม้มีพิษด้วยหรือเปล่า”ภูวรินทร์เอ่ยขึ้น อินทนิลดูไม่แปลกใจ เจ้าตัวมายืนอยู่ตรงหน้าเขา คิ้วขมวดแน่น สายตาจดจ้องเขาอย่างไม่พอใจนัก

“มันเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งไม่ใช่หรือ แต่ความสวยงามมักบดบังความชั่วร้ายของมัน อินน์ว่ามันก็เหมือนมนุษย์นะ ภายนอกดูดี แต่ในใจกลับเน่าหนอนไม่ต่างอะไรกับดอกไม้พิษเลย”อินทนิลพูดเสียงราบเรียบ เขามองอีกฝ่ายอย่างจับสังเกต คำพูดคำจาของเด็กหนุ่มดูจะลึกซึ้งกว่าเด็กทั่วไป แววตาสีนิลไม่กระพริบไหว จับจ้องเขาไม่หลบเลี่ยง

“เพราะมนุษย์มันคาดเดายากไม่ใช่เหรอ แต่ละคนใช่ว่าจะเหมือนกันไปหมด มีทั้งดีและไม่ดี”เขาพูดอย่างไม่ใส่ใจนัก ไม่ได้เจาะจงว่าพูดถึงใคร เด็กหนุ่มตรงหน้ายิ่งมีสีหน้าบึ้งตึงท่าทางเหมือนโกรธเคือง ชายหนุ่มไม่เข้าใจอีกฝ่ายสักเท่าไหร่กับอากัปกิริยาเหล่านี้

“...แต่ก็ไม่อาจลบความจริงที่ว่าท่านอาเป็นคนไม่ดี”

“เกี่ยวกันด้วยหรือ”เขาถาม ไม่คิดว่าบทสนทนาจะเลยเถิดมาถึงเรื่องที่ผ่านมาเนิ่นนาน พูดไปก็เท่านั้น ต่อให้เขาจะใช่ท่านอากลับชาติมาเกิดหรือไม่ มันก็ไม่ทำให้เขาจดจำเรื่องในอดีตขึ้นมาได้

“เกี่ยวสิ คิดว่าดอกไม้บ้านนี้ปลูกขึ้นมาอย่างไร้เหตุผลเหรอครับ ดอกแก้วเป็นแทนของท่าน...”อินทนิลพูด ภูวรินทร์มองเด็กหนุ่มนิ่งๆ รู้สึกว่าวันนี้อินทนิลจะโกรธเกรี้ยวกว่าทุกที เขามองอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ ทุกการกระทำของเจ้าตัวล้วนมีความหมายงั้นสิ ถ้าหากว่าดอกไม้ในบ้านนี้สื่อถึงความในใจของผู้ที่ปลูกมันงั้นหรือ

“แล้วเทียนหยดล่ะ...”

“หมายถึงผู้หญิงที่มาทีหลัง สวยแต่เป็นเสนียด”อินทนิลกล่าวอย่างมาดร้าย “นี่...”เขาตกใจที่ได้ยินคำนี้ออกมาจากปากอินทนิล เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายเปลี่ยนไปจริงๆ “เธอโกรธอะไรหรือเปล่า”

“คุณบอกว่าท่านเป็นสิ่งอัปมงคลไม่ใช่หรือ ถ้าเทียบกันแล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นเสนียด เป็นภัยต่อท่านจริงๆ ผู้ชายโง่งมมัวลุ่มหลงรูปโฉม”ฟังไปฟังมากลายเป็นอินทนิลออกปากปกป้องคุณแก้วเหลือเกิน บางทีเขาควรไปนิมนต์พระมาทำบุญให้บ้านหลังนี้บ้างก็ดีเหมือนกัน เผื่อว่าคุณแก้วจะได้เลิกจองเวรจองกรรมต่อเขา

“เอาเถอะ...เรื่องในอดีตฉันไม่รู้ด้วยหรอก ว่าแต่เธอไปเอาอัลบั้มรูปของบ้านนี้มาจากไหน พอจะมีหนังสือเขียนเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือเปล่า”เขาลองถาม อินทนิลเดินมานั่งข้างๆเขา ก่อนจะส่ายศีรษะ “ไม่มีหรอกครับ... จะมีก็แค่อัลบั้มรูปเท่านั้น...อ้อ มีจดหมายของท่านอาส่งหาท่านตอนไปบางกอกด้วย แต่มันหายไปแล้ว ป้าษอรยังหาไม่เจอเลย”พอเขาเลิกพูดถึงเรื่องดอกไม้ไป อินทนิลดูเหมือนจะอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง

“จริงเหรอ หายไปได้ยังไง”เขาถามอย่างสนใจ

“คงหายไปตอนทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่ก่อนหน้าที่คุณจะมาล่ะมั้ง”

“เธอไม่กลัวเหรอไง”ชายหนุ่มเอ่ยถาม อินทนิลมองเขาด้วยแววตาของคนไม่เข้าใจนัก เด็กหนุ่มส่ายหน้า

“กลัวอะไร”

“ก็คุณแก้วไง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในบ้านหลังนี้น่ะ”ภูวรินทร์เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์นัก เด็กหนุ่มมองเขาด้วยแววตาเป็นกังวล คิ้วดกดำขมวดเข้าหากัน เจ้าตัวดูไม่แน่ใจนัก แต่ก็ยังยิ้มได้

“...ต่อให้กลัว อินน์ก็เลือกไม่ได้หรอก...ไม่รู้ว่าท่านจะทำอะไรบ้าง”

“งั้นเธอก็จำเรื่องเมื่อคืนไม่ได้งั้นสิ”ทั้งคำพูดและการกระทำ

“จำไม่ได้ แต่ก็ยังสามารถจับอารมณ์ความรู้สึกได้อยู่...เหมือนว่าท่านจะโกรธอินน์”อินทนิลพูดเสียงแผ่ว ก่อนจะหลบสายตาเขาไปมองหนังสือพืชและพิษบนโต๊ะแทน

“ทำไมล่ะ นึกว่าจะโกรธฉันซะอีก”ภูวรินทร์เอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ คุณแก้วโกรธเขาน่าจะเข้าท่ากว่าไปไม่ใช่หรือไง

“ท่านไม่โกรธคุณหรอก ตราบใดที่คุณจะไม่ไปไหน”เด็กหนุ่มหันมองเขาด้วยแววตาคาดหวัง เขาส่ายศีรษะระบายลมหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย

“...พูดถึงเรื่องนี้แล้วก็น่าโมโหนะ”

“คุณโชติอาจมีปัญหา”อินทนิลพูดเสียงแข็งกร้าวและห้วน ตัดอารมณ์ของชายหนุ่มไปทันที

“เดี๋ยว เธอรู้จักเพื่อนฉันได้ยังไง”ภูวรินทร์ตกใจเมื่ออินทนิลเอ่ยเช่นนี้ บางทีเพราะผีคุณแก้วงั้นเหรอ เขาไม่คิดว่าวิญญาณจะสามารถทำอะไรแบบนั้นได้ เด็กหนุ่มสบตากับเขา

“...คุณฝันร้ายเพราะคำแช่ง”อินทนิลพูดต่อราวกับไม่ได้ฟังคำถามของเขา ชายหนุ่มอดกลั้นความโกรธไว้ในใจ

“คำแช่งของใคร”

“จะว่าเป็นของคุณแก้วก็ไม่ถูก เพราะคุณผิดคำสาบาน คำแช่งเลยเป็นผล ใครจะไปรู้ว่าคำแช่งจะสำฤทธิ์ผล ท่านอาแม้จะมีทายาทสืบสกุลแต่ไม่ปกติสักคน ไม่ได้หมายถึงเป็นบ้า แบบว่ามีลูกยาก ครอบครัวแตก กำพร้าพ่อแม่ ที่จริงผู้หญิงคนนั้นต่างหากที่เป็นพิษร้ายของคนบ้านนี้”อีกฝ่ายเอ่ยอย่างเย็นชา ดูเหมือนว่าจะเอ่ยถึงมณีด้วยหรือเปล่า เขาไม่เชื่อนักและคงแสดงสีหน้ามากเกินไป อินทนิลได้แต่ยิ้ม

“คุณจะไม่เชื่อก็ไม่แปลก”

“แล้วคุณแก้วล่ะ ยอมได้เหรอตอนที่หมื่นนรินทร์พาผู้หญิงกลับมาที่บ้าน”เขาถาม อินทนิลเงียบ ใบหน้าไม่เหลือรอยยิ้ม เจ้าตัวเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างก่อนจะพึมพำเบาๆ

“...ยอมไม่ยอม เธอก็เข้ามาอยู่ในบ้านแล้วนี่ ท่านอาเชิดหน้าชูตาเธอได้ ประจวบเหมาะกับที่เทียนหยดพวกนั้น...ออกผลซะเต็มต้น”เด็กหนุ่มหันหน้ามามองเขา

ชายหนุ่มนิ่งงัน เขาไม่อยากคิดว่าคุณแก้วจะใจร้ายถึงขนาดฆ่าลูกของหญิงสาวคนนั้น แต่มันก็สอดคล้องหากว่าท่านอานรินทร์จะโกรธแค้นถึงกับต้องกักขังคุณแก้วไว้ แบบนี้ใครกันแน่ที่ผิดมากกว่ากัน

“ลองเล่าให้ฉันฟังหน่อยสิ ว่าคุณแก้วเป็นคนยังไง...”เขาเอ่ย อินทนิลยังคงมองเขาอยู่

“ก็ไม่ใช่คนเลวร้ายหรอกครับ แต่เพราะคำเล่าลือไม่ดีเกี่ยวกับท่าน ทำให้ไม่ว่าอินน์หรือคนในบ้านถึงได้หนีหายไปกันหมด ที่มารับใช้ต่อก็คงเพราะเกรงกลัวท่าน”

“ดูจากภายนอกแล้วไม่น่าจะเป็นคนใจร้ายเลยนะ ไม่ต่างอะไรจากดอกไม้พิษเหมือนกัน”เขาพูด ถ้าเป็นแบบนั้นจริง หมื่นนรินทร์ไม่น่าสงสารกว่าหรือ ข้างกายก็มีหญิงที่นำภัยมาสู่ตน ไหนจะคนรักหรืออดีตคนรักอย่างคุณแก้วก็ร้ายกาจไม่เบา ความจริงจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ สุดท้ายคนที่ได้รับผลกระทบคงจะเป็นทายาทของคนสกุลนี้ซะมากกว่า รวมถึงตนเองด้วย 
เรื่องโครงกระดูกในเรือนกระจกตอนนี้ลุงชมหยุดการซ่อมแซมไปชั่วคราว ป้าษอรแจ้งไปยังตำรวจในสถานีเล็กๆใกล้กับหมู่บ้านในตลาด พวกเขาช่วยกันขุดและเก็บโครงกระดูกของคุณแก้วไปตรวจ ไม่แน่ใจว่าต้องเอาไปตรวจ DNA ในเมืองหรือเปล่า เพราะสถานีอนามัยเล็กๆของหมู่บ้านไม่ได้มีเครื่องมือทันสมัยพร้อมที่จะตรวจดีเอ็นเอในกระดูกได้ อีกปัญหาที่น่าเป็นห่วงกว่าคือ ไม่รู้ว่าทางโรงพยาบาลจะมีข้อมูลดีเอ็นเอของคุณแก้วเก็บไว้เทียบด้วยหรือเปล่า เขาไม่ได้สนใจมากนักเพราะในใจก็ปักธงลงไปแล้วว่าคือคุณแก้ว ตำรวจมาสอบปากคำเขาตามหน้าที่ แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับการสอบถามเจ้าของบ้านคนใหม่เรื่องโครงกระดูกที่มีอายุนานกว่าเจ็ดสิบกว่าปี

กว่าบ้านจะคืนกลับสู่ความสงบก็กินเวลาไปนานจนฟ้าเริ่มไร้แสง ตำรวจกลับออกจากบ้านไปแล้ว เหมือนป้าษอรและลุงชมจะโล่งใจเมื่อคนแปลกหน้าออกไปพ้นบ้านได้ ภูวรินทร์เข้าไปนั่งที่โต๊ะอาหาร เพื่อทานมื้อเย็น ระหว่างนั้นจึงมีโอกาสคุยกับป้าษอรเรื่องของอินทนิล เพราะเจ้าตัวกลับเข้าไปอยู่ในห้องพักตามเดิม ท่าทางเหงาหงอยหลังจากที่คุยกับเขาไปเมื่อช่วงบ่าย พอตำรวจเอาโครงกระดูกกลับไป อินทนิลก็เดินหายไปในห้องพัก

“ป้าครับ ผมขอถามเป็นครั้งสุดท้ายว่าอินน์ป่วยเป็นอะไรกันแน่”เขาเอ่ยถามน้ำเสียงตึงเครียด ป้าษอรที่กำลังยกถาดกับข้าวมาให้เขาถึงกับสะดุดนิ่งไปบ้าง เธอเพียงแค่วางสำรับอาหาร ตักข้าวใส่จานให้เขาไปเรื่อยๆ

“ผมต้องมาเจอเรื่องร้ายๆ ไม่ว่าจะจากคุณแก้วหรือจากอินทนิลก็ตาม ผมควรจะรู้เรื่องอะไรมากกว่านี้หรือเปล่า ป้าทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นในบ้านหลังนี้ ใช้ชีวิตปกติ ทั้งๆที่อินน์ดูผิดแปลก บ้านหลังนี้ก็มีวิญญาณเจ้าของเก่า และเจ้าของคนใหม่ที่ฝันประหลาดๆ”ภูวรินทร์พูดจาเหน็บแหนมไปด้วย ระหว่างที่หยิบช้อนขึ้นมาตักข้าว ในใจขุ่นมัว เขาไม่พอใจป้าษอร ส่วนลุงชมนอกจากคอยขับรถและดูแลสวนก็ไม่ได้มาให้เขาเห็นหน้านัก ป้าษอรทำท่าอึกอักเหมือนตกใจที่ได้ยินเขาพูดเช่นนี้

“...คุณภูคะ ป้าไม่ได้ปิดบังอะไรทั้งนั้น ป้าเล่าในสิ่งที่ป้าเคยได้ยินมาให้คุณฟังไปหมดแล้ว...”

“เรื่องอินน์ล่ะ...ป้ารู้หรือเปล่าว่าอินน์สามามารถเชื่อมต่อกับคุณแก้วได้”ชายหนุ่มพูดต่อ ป้าษอรมองเขาอึ้งๆสีหน้าดูอดกลั้นความรู้สึก เธอเม้มปากแน่น

“อินน์ทำตัวประหลาดมาแต่ไหนแต่ไร... ตอนแรกก็คิดว่าเพราะเป็นเด็กพัฒนาการช้า อาจจะดูไม่ค่อยมีสมาธิ พูดจาเหมือนผู้ใหญ่ในบางที ...พระท่านเคยพูดถึงอินน์ว่าเป็นเด็กชะตาขาดมานานแล้ว”ป้าษอรเล่าเสียงสั่นเครือเล็กน้อย เขาแค่นั่งฟังเงียบๆ

“ที่จริงป้าก็ไม่เชื่อเรื่องคำแช่งของตระกูลนี้หรอกค่ะ...แต่พอมาเจอกับอินน์เข้าเลยรู้ว่านั่นเป็นผลจากคำสาปแช่งจริงๆ”

“เกี่ยวอะไรกับคำแช่งเหรอครับ”

“...ป้าไม่ได้บอกคุณตั้งแต่แรก ที่จริง อินน์ไม่ใช่หลานของป้าหรอกค่ะ แกเป็นลูกของคุณธิชาเจ้าของเรือนปั้นเหยาข้างๆนั่น แต่เธอไม่ต้องการเลี้ยงอินน์ เพราะหวาดกลัวเรื่องคำแช่งของต้นตระกูล เธอเลยทิ้งบ้านและลูกไว้ให้ป้าเลี้ยงแทน”ป้าษอรพูดแล้วส่านหน้า ชายหนุ่มถึงกับร้องอ้อในใจ การที่อินทนิลสามารถเป็นสื่อให้คุณแก้วเพราะสืบเชื้อสายมาจากคนสกุลภิรมย์สุข ไม่คิดว่าเชื้อจะแรงเพียงนี้

“แล้วอินทนิลรู้ไหมครับ”

“ป้าคิดว่าแกน่าจะรู้...เรื่องคุณแก้ว ป้าเองก็กลัวนะคะ ยิ่งโตมาแกก็ยิ่งเหมือนคุณแก้วมากๆ แต่ป้าก็ไม่คิดว่าจะเป็นท่านมาเกิดใหม่แน่ๆ...”เธอเหลือบมองเขาไปด้วย นั่นสิ แค่อินทนิลบังเอิญหน้าตาคล้ายกับคุณแก้ว

“ว่าแต่ป้าเคยเห็นจดหมายของท่านอาบ้างไหมครับ อินน์บอกว่าท่านส่งมาหาคุณแก้วด้วย”เขาถาม เพราะอยากรู้เรื่องราวระหว่างหมื่นนรินทร์และคุณแก้วในสมัยนั้น ป้าษอรส่ายศีรษะ

“ป้าก็ไม่เคยเห็นนะคะ ตอนที่เก็บบ้านคราวนั้น ป้าก็เจอแต่อัลบั้มรูปของตระกูล แต่จดหมายไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้ว ที่จริงป้าก็ไม่เคยเห็นตัวจดหมายมาก่อน ไม่รู้ว่าอินน์รู้ได้ยังไง มันอาจจะหายไปนานแล้วก็ได้นะคะ”เธอบอก ชายหนุ่มพยักหน้าเงียบๆ

“แล้ว...อินน์เคยประสบอุบัติเหตุหรือป่วยถึงขั้นอันตรายถึงชีวิตบ้างไหมครับ”ภูวรินทร์เอ่ยถามช้าๆ ทำเหมือนไม่ได้สนใจประเด็นนี้มากนัก ป้าษอรมองเขาอย่างสงสัย เธอยังคงไม่เปิดปาก แต่สำหรับเขา ศพไม่มีทางฟื้นคืนมาได้หรอก อินทนิลยังมีชีวิตอยู่ไม่ใช่เหรอ ยังคงหายใจ

“...ถ้าไม่สะดวกจะเล่าก็ไม่เป็นอะไรหรอกครับ”เขาพูดต่อ เพราะไม่อยากสร้างความลำบากใจระหว่างกัน ป้าษอรเธอยิ้มให้เขาบางๆ

“อินน์เคยป่วยไปพักใหญ่ๆค่ะ ตอนสักสามขวบมั้งค่ะ แกเผลอไปกินผลเทียนหยดเข้า เล่นเอานอนซมไปหลายอาทิตย์ ป้ากังวลแทบตาย บอกให้ตาชมตัดทิ้งไปให้หมดแต่ก็ไม่ตัดสักที...เลยอยู่ออกดอกซะสวยจนป่านนี้...”ป้าษอรบอก สีหน้าดูไม่สู้ดี แววตาหม่นลงเมื่อเล่าถึงเรื่องเก่าๆ

ภูวรินทร์เงียบไปพักใหญ่และไม่ได้ถามอะไรอีก เขาแค่ทานข้าวเงียบๆอย่างไร้ความเอร็ดอร่อย ในอดีตนั้นไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าระหว่างท่านอากับคุณแก้วใครกันแน่ที่ร้ายกว่ากัน แต่ที่แน่ๆ คำสาปของพวกเขาเหมือนจะส่งผลร้ายแก่คนรุ่นต่อมาจริงๆด้วย



+++++++++

(http://www.mx7.com/i/248/ClZ4Hc.jpg) (http://www.mx7.com/view2/AhZWrZpI5QE8NRFO)
มาต่อกันค่ะ ทุกอย่างมีที่มาที่ไป
ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ อัพ [ ตอนที่ ๕ ] ๘.๑๒.๑๗ หน้า๒
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 08-12-2017 09:22:50
โอย ยิ่งอ่านยิ่งงง ยิ่งสับสน ไม่เข้าใจว่าใครดีใครร้าย

แต่ที่แน่ ๆ คืออินน์อาจจะตายไปแล้ว แต่มีคุณแก้วมาเชื่อมวิญญานเลยยังมีชีวิตอยู่
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ อัพ [ ตอนที่ ๕ ] ๘.๑๒.๑๗ หน้า๒
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 08-12-2017 09:53:20
    :pig4: :pig4: :pig4:     สนุกค่ะอ่านไปเหมือนตัวเองเป็นโคนันเลยค่ะ   :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ อัพ [ ตอนที่ ๕ ] ๘.๑๒.๑๗ หน้า๒
เริ่มหัวข้อโดย: net. net_n2537 ที่ 08-12-2017 12:35:25
ใครร้ายกว่าใคร ใครกันที่น่าสงสาร รอๆๆๆ
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ อัพ [ ตอนที่ ๕ ] ๘.๑๒.๑๗ หน้า๒
เริ่มหัวข้อโดย: สาว801 ที่ 08-12-2017 12:44:20
ยังคุมโทนหลอนได้ดีและเราก็ชอบมากค่ะ5555 คุณแก้วสรุปนี่ยังไงๆ เราจะรอตามอ่านต่อไป :katai4:
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ อัพ [ ตอนที่ ๕ ] ๘.๑๒.๑๗ หน้า๒
เริ่มหัวข้อโดย: @Sister ที่ 08-12-2017 16:23:58
สนุกกก แอบอยากรู้เรื่องของคุณแก้ว  :ling1:
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ อัพ [ ตอนที่ ๕ ] ๘.๑๒.๑๗ หน้า๒
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 08-12-2017 16:46:25
อ่านแล้วก็งงแต่ก็พยายามทำความเข้าใจซึ่งไม่รู้ว่าเข้าใจถูกไหมนี่สิ แต่ที่อ่านๆมาสงสารอินนะเรายังอยากให้อินเป็นนายเอกก็ไม่รู้ว่าจะเป็นไปได้ไหม
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ อัพ [ ตอนที่ ๕ ] ๘.๑๒.๑๗ หน้า๒
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 14-12-2017 06:41:15
รวดเดียวจบ รีบมาต่อนัา
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ อัพ [ ตอนที่ ๕ ] ๘.๑๒.๑๗ หน้า๒
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 15-12-2017 23:31:25
ึตอนนี้เบรคเรื่องผีไปนิดนึง
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ อัพ [ ตอนที่ ๕ ] ๘.๑๒.๑๗ หน้า๒
เริ่มหัวข้อโดย: Keiji ที่ 16-12-2017 21:23:25
รอไรท์อยู่ที่ท่าเล้าเป็ดทุกวันเลยจ้าาาาาา
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ ตอนที่ 6 ความทรงจำครั้งอดีต
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 20-12-2017 05:14:16
ตอนที่ 6 ความทรงจำครั้งอดีต


ภายในบ้านหลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านแยกตัวออกจากความวุ่นวายของชาวเมืองที่สอดรู้สอดเห็น บ้านใหญ่ที่ผสมผสานความเป็นฝรั่งและไทยไว้อย่างลงตัว ว่ากันว่าต้นตระกูลของเจ้าหมื่นภิรมย์สุข เป็นคหบดีที่อพยพมาจากทางล้านนา เดิมทีเจ้าหมื่นภิรมย์สุขเคยเป็นถึงข้าหลวงกรมมหาดเล็กในพระราชวัง หลังจากออกจากราชการเพราะโรคประจำตัว ด้วยลูกหลานไม่ได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็ก เริ่มจาก แก้ว ลูกชายคนเล็ก ไกร ลูกชายรอง กิ่ง ลูกสาวคนโต ส่วนนรินทร์ผู้มีศักดิ์น้องชายของเจ้าหมื่นภิรมย์สุข หรือจะเรียกว่า หมื่นนรินทร์ หลังจากที่เข้ารับราชการในมณฑลพิษณุโลก จึงได้พักอาศัยอยู่ที่บ้านของเจ้าหมื่นผู้เป็นพี่ชาย

หลังเปลี่ยนการปกครอง ในคืนหนึ่ง วันที่ฝนห่าใหญ่กระหน่ำตกลงมาตลอดทั้งคืน ผสานกับเสียงกัปนาทที่ผ่าลงมาคล้ายกับกำลังโกรธเคืองสรรพสิ่งบนโลก

ปัง ปัง ปัง

เสียงเคาะประตูดังติดต่อกันหลายครั้งจนคนบนเตียงใหญ่สะดุ้งตื่น

‘ท่านหมื่นครับ...เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ’เสียงด้านนอกร้องบอกอย่างเร่งร้อน ทำให้เจ้าของบ้านลุกออกจากเตียงนอนอย่างกระฉับกระเฉง ในใจพลันกลัดกลุ้มเมื่อถูกปลุกในยามวิกาลเช่นนี้ ราวกับมีลางสังหรณ์ร้าย

‘มีเรื่องอะไร ไอ้หวั่น’หมื่นนรินทร์เปิดประตูห้องออกอย่างเร่งร้อน เห็นร่างเปียกปอนของคนรับใช้ประจำตัวยืนสั่นงันงกด้วยสีหน้าซีดเผือด

‘ค...คุณแก้วครับ ท่านเสียแล้ว’คนตรงหน้าละล่ำละลักเอ่ยบอก พลันได้ยินหมื่นนรินทร์ถึงกับอึ้งไป ภายในใจเหมือนเต้นช้าลง

‘ว่าไงนะ...’ฉับพลันหมื่นนรินทร์อื้ออึ้งไร้คำพูด คิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ บอกไม่ถูกว่ารู้สึกเช่นไร

‘คุณแก้วเสียแล้วครับ อยู่ในเรือนเพาะชำ’

‘เรือนเพาะชำเหรอ ทำไมถึงไปอยู่ที่นั่นได้’ตนนั้นถึงกับงงงวยว่าแก้วไปทำอะไรที่เรือนเพาะในเวลานี้ เกือบจะเที่ยงคืนแล้ว ไม่ใช่เวลาที่แก้วจะออกมาวุ่นวายอยู่ด้านนอกแบบผิดวิสัย

‘สงสัยบัวจะปลดกุญแจให้ท่านกระมัง ผมไม่แน่ใจครับ’นายหวั่นบอกไปตามที่คิด หมื่นนรินทร์ทำตัวไม่ถูก เขากระสับกระส่าย ก่อนจะถามอีกครั้งอย่างเน้นหนัก หมื่นนรินทร์คว้าไหล่เปียกชื้นของนายหวั่นไว้แน่น

‘ตายจริงๆเหรอ ไม่ใช่แค่แกล้งใช่ไหม’

‘จริงครับ ท่านไม่หายใจแล้ว’นายหวั่นยืนยันเช่นเดิม

หมื่นนรินทร์รีบเดินลงไปทางหลังบ้าน มีนายหวั่นเดินตามาทีหลังไม่ทันที่จะกางร่มให้ผู้เป็นนาย เพราะเจ้าตัวเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปในเรือนเพาะ ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งได้ยินเสียงร้องห่มร้องไห้ของนางบัว หญิงรับใช้คนสนิทของแก้ว หมื่นนรินทร์เดินเข้าไปด้านใน

‘ท่านหมื่น...คุณแก้วเสียแล้วค่ะ’หล่อนหันหน้ามาบอกผู้เป็นนาย ใบหน้าเปื้อนเปรอะไปด้วยคราบน้ำตา มือข้างหนึ่งกุมฝ่ามือซีดขาวไร้ลมหายใจไว้อย่างโศกเศร้า ร่างนั้นคล้ายกับคนหลับใหล นอนทอดกายบนพื้นดิน กับผ้าผ่อนสีขาวตัวเดิมที่เคยเห็นจนชินตา

‘เกิดอะไรขึ้น’ท่านหมื่นเอ่ยถามช้าๆ ไม่แน่ใจนักว่าตนกำลังรู้สึกอย่างไรกันแน่ แต่ภายในใจกลับไม่เหมือนดังเดิม จากที่คิดว่าหากแก้วหายไปจากชีวิตตนได้นั้นคงเป็นเรื่องน่ายินดีแท้ๆ แต่ทว่าเขากลับนึกเสียใจ เสียดายอยู่มาก เพราะแก้วเป็นคนที่เขาเคยอุ้มชูเลี้ยงดูมาแต่เล็กแต่น้อย 

‘อิฉันไม่แน่ใจ ปกติคุณแก้วจะขอป้ามาที่เรือนเพาะอยู่เป็นประจำ ตามที่เคยขออนุญาตท่านหมื่นไว้เมื่อปีที่แล้ว ก็ไม่เห็นว่าจะมีเรื่องใดผิดปกติ มาวันนี้...ไม่นึกว่า...’แม่บัวไม่พูดมากความได้แต่กล้ำกลืนหยาดน้ำตาอยู่เงียบๆ

‘ออกไปก่อน’ตนบอก

‘ได้ค่ะ’หล่อนรับคำเบาๆ เหลือบมองใบหน้าตนอยู่หลายครั้งอย่างไม่วางใจนักก่อนจะเดินออกไปจากเรือนเพาะชำหลังนี้ไป หมื่นนรินทร์มองร่างไร้ลมหายใจนั้นอยู่นาน ไม่คิดว่าเรื่องราวของตนกับหลานชายจะดำเนินมาถึงจุดนี้ ย้อนไปถึงวันวานที่แก้วยังเป็นเด็กหนุ่มจิตใจดี ตนคิดว่าหากขาดแก้วไปยังไงซะตนก็ต้องอยู่ได้ เขาคิดว่าครอบครัวของตนเองดีพร้อม เขาเชื่อเช่นนั้น แต่รู้อยู่เต็มอกว่ามันเพียงภาพลวงตา เอาไว้โอ้อวดญาติสนิทมิตรสหายที่คอยจ้องจับผิดอยู่ร่ำไป 

‘เป็นเพราะฉันที่ผิดงั้นเหรอ...’ตนพึมพำ ก้มตัวลงไปสัมผัสผิวหน้าของแก้วที่เริ่มเย็นขึ้นมาบ้าง เขาไม่อยากเชื่อนักว่าแก้วเลือกจะจากไปเช่นนี้จริงๆ ไม่มีแม้แต่คำลาด้วยซ้ำ เป็นไปได้งั้นหรือ 

‘หวั่น’หมื่นนรินทร์เรียกคนสนิทเข้ามาหา เสียงฝีเท้าเร่งรีบขยับเข้ามาใกล้ ‘ครับ ท่านหมื่น’

‘พอจะรู้สาเหตุการตายไหม...’

“...แม่บัวบอกว่าคุณแก้วตาย เพราะกินพิษเข้าไป สืบจากคุณแก้วศึกษาเรื่องดอกไม้มีพิษมานานครับ ผมคิดว่าคุณแก้วคงกินมันไปทุกวัน ร่างกายเลยรับไม่ไหว ปกติท่านก็สุขภาพไม่สู้ดีมานานแล้ว’หวั่นบอกเสียงเคร่งขรึม ท่านหมื่นนิ่งเงียบ กำลังไตร่ตรองถึงมูลเหตุดังกล่าว

‘ฉันไม่คิดว่าจะมีฤทธิ์พอที่จะฆ่าคนให้ตายได้...แล้วแน่ใจเหรอว่าไม่ได้ตายเพราะสาเหตุอื่น’ตนเอ่ยถามด้วยความข้องใจ

‘...ถ้าเอาให้แน่ใจคงต้องตามหมอฝรั่งมาตรวจ คงต้องใช้เงินกับเวลาอีกนานเลยครับ เกรงว่าร่างจะเน่าไปซะก่อน’หวั่นตอบ หมื่นนรินทร์ถอนหายใจ ก่อนจะหันไปมองร่างของแก้ว

‘แล้วมณีล่ะ’เอ่ยถามถึงภรรยาที่หนีหน้าไปอยู่ที่บางกอก

‘ยังอยู่บ้านคุณพระครับ....’

‘...ไม่คิดว่าแก้วจะฆ่าตัวตายไปแบบนี้’หมื่นนรินทร์พึมพำกับตนเอง มองใบหน้าสงบนิ่งอยู่นาน นึกถึงคำของแก้วที่เคยบอกกับตนไว้ ‘สิ่งเดียว ที่สามารถพรากฉันไปจากท่านหมื่นได้คือความตาย’ เป็นคำที่เอ่ยอยากโกรธเคืองเขา ในตอนยามที่รู้ว่าตนกำลังจะแต่งกับมณี ลูกสาวของคุณพระที่บางกอก ตนบอกให้แก้วไปอยู่กับคุณกิ่งที่เมืองฝรั่ง แต่ไม่ยอมท่าเดียว ซ้ำยังคลุ้มคลั่งทำลายข้าวของเสียป่นปี้ เวลานี้บ้านเมืองกำลังลุกเป็นไฟ พวกผู้ดีชั้นสูงต่างก็เร่งหนีไปเมืองนอกเมืองนากันหมด คิดว่าแก้วอยากรอวันเห็นเขาพินาศมากกว่า

ชั่วขณะหนึ่งเขาเกิดความรู้สึกเศร้าโศกขึ้นมา ทั้งที่คิดว่าหมดรักแก้วไปนานแล้ว เขาเชื่อว่าตนเองไม่ได้ปักใจรักในตัวหลานคนนี้มากนัก มันเป็นเรื่องเลวร้ายของเขา หากเองนี้แพร่งพรายให้คนอื่นรู้ มีหวังเขาคงถูกตราหน้าว่าวิปริต ตัวหมื่นนรินทร์นั้นคงโดนจับ ชีวิตย่อยยับภายในพริบตาเดียว

‘ไปตามหมอฝรั่งมา แต่อย่าไปแพร่งพรายให้ใครรู้’ท่านหมื่นเอ่ยน้ำเสียงต่ำ ในใจยังคงไม่ปักใจเชื่อกับการตายของแก้วนัก




ลมหนาวพัดผ่านหน้าต่างบานเดิม เช่นเคยภูวรินทร์ไม่ได้ปิดมัน เมื่อครู่ก่อนเขาฝัน...ไม่แน่ใจนักว่าเป็นความฝันหรือว่าความจริงที่เคยเกิดขึ้น ชายหนุ่มผุดลุกจากเตียง ใจเต้นระส่ำอย่างไม่สบายใจ เขาพะอืดพะอมอยากอาเจียนจนต้องลุกไปเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าให้สดชื่น เขาเหม่ออยู่นานยังคงจำภาพของคุณแก้วในภาพฝันได้ชัดเจน ดูสงบนิ่งคล้ายกับหลับใหลไปเท่านั้น

ชายหนุ่มเดินออกมาจากห้องน้ำ อยู่ๆสภาพในห้องนอนกลับแปรเปลี่ยน เตียงนอนสี่เสาเปลี่ยนสภาพไปจากเดิม ทั้งผ้าคลุมเสา ผ้าปูที่นอน ลวดลายบนหมอน ทุกอย่างดูเก่า ของใช้ภายในห้องเปลี่ยนไป เขามึนงงอยู่กับที่ก้มมองพรมหน้าห้องน้ำ ก่อนจะเหลือบไปเห็นโต๊ะกระจกติดกับตู้เสื้อผ้า เครื่องใช้บนโต๊ะมีของใช้ของผู้หญิงปนอยู่ หวีแบบเก่า ที่ด้านนอกหน้าต่างดำมืดของยามวิกาลมีสายฝนตกลงมาเบาๆ เขาแปลกใจ เหมือนอยู่ผิดที่ผิดทาง

กว่าจะรู้ตัวว่ามีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอกห้อง ตามมาด้วยเสียงเคาะประตูติดกันหลายครั้งดังขึ้น 

“ท่านหมื่นครับ...เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ”เสียงชายวัยกลางคนคลับคล้ายเหมือนเคยได้ยินมาก่อน มันคุ้นหูเขาเหลือเกิน ภูวรินทร์ตกใจ หันไปมองรอบๆห้อง รู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูก เอื้อมมือไปเปิดประตู เผยให้เห็นชายร่างสูงใหญ่ อายุอานามประมาณห้าสิบปีได้ สวมเสื้อสีน้ำตาลกับกางเกงสีดำคล้ายชุดนอน

“คุณแก้วเสียแล้วครับ”

“อะไรนะ”ภูวรินทร์เอ่ยอย่างงงงวย เหตุการณ์นี้เหมือนในฝันที่เขาเห็นเลย หรือว่าเขากำลังฝันอยู่งั้นเหรอ ชายหนุ่มมองหน้าคนรับใช้ที่ยืนเนื้อตัวเปียกปอนเหมือนในความฝันไม่ผิดแผกเลย เขาอ้ำอึ้งก้าวขาไม่ออก

“คุณแก้วเสียแล้วครับ อยู่ที่เรือนเพาะชำ...”คนรับใช้เอ่ยย้ำอีกครั้ง สองตามองผู้เป็นนายอย่างหวั่นเกรง ภูวรินทร์รู้สึกประดักประเดิดกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขามองหน้านายหวั่นคนเดิมอีกครั้ง ภายในใจเต้นถี่ ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องมาเผชิญกับเหตุการณ์ในฝันด้วย แต่สองขาก็ก้าวออกจากห้องไปจนได้ เขาแค่เดินไปตามทาง ไปยังประตูหลังบ้านเพื่อออกไปหาคุณแก้ว...ร่างของคุณแก้ว

เสียงฝนฟ้าที่ยังคงตกลงมาไม่หยุดหย่อนผนวกกับเสียงฟ้าร้องดังครืนใหญ่ทำให้สะดุ้งอย่างไม่ทันตั้งตัว เขาไม่รอร่มจากนายหวั่น สองขาก้าวไปยังเรือนเพาะชำ เม็ดฝนเย็นกระทบกับผิวหนัง เขาได้ยินเสียงร่ำไห้ของคนรับใช้ของคุณแก้ว ที่ชื่อบัวมาจากด้านใน เขาเดินเข้าไปหา

“ท่านหมื่น คุณแก้วจากไปแล้วค่ะ”ภูวรินทร์แค่ยืนมองหญิงร่างท้วมที่กำลังกุมมือของคุณแก้วอยู่ ร่างไร้ลมหายใจของคุณแก้วไม่ต่างจากในฝันเลยแม้แต่น้อย ทุกอย่างดำเนินไปในทิศทางเดียวกัน เขาชะงัก รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา ดูเหมือนคนในบ้านนี้จะเรียกเขาว่า ‘ท่านหมื่น’ หมายความว่าในตอนนี้เขาคือท่านอางั้นสิ... เขาเม้มปากแน่น สองขาก้าวถอยหลังโดยอัตโนมัติ บัวหันมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า เหมือนรอคอยให้เขาเปิดปากพูด

“ท่านหมื่นครับ!”เสียงของนายหวั่นร้องเรียกอย่างตื่นตระหนก เมื่อชายหนุ่มก้าวเท้าวิ่งออกจากเรือนเพาะชำหลังนี้ไป เขาไม่ทันได้บอกหน้าคนรับใช้คนนั้น  เกิดบ้าอะไรขึ้นมา ฝันครั้งนี้แปลกกว่าครั้งอื่น ทุกทีจะเป็นเรื่องของคุณแก้ว หรือไม่ก็อินทนิล แต่คราวนี้...กลับกลายเป็นเขา...เป็นท่านอาแทน เพราะอะไรกัน

ชายหนุ่มวิ่งโซเซไปตามริมรั้ว เขาหยุดอยู่บริเวณประตูเล็กๆ เป็นทางเข้าเรือนปั้นหยาหลังข้างๆ เม็ดฝนทำให้ชายหนุ่มเปียกปอน จนเริ่มหนาวกายขึ้นมา เขามองแสงไฟภายในเรือนนั้น ก่อนจะวิ่งเข้าไปด้านใน เขากลัว หากว่าในฝันนี้ตนได้กลายเป็นหมื่นนรินทร์ เขาจะต้องเจออะไรอีก ฝันนี้จบลงที่ตรงไหน

ภูวรินทร์เดินเข้าไปด้านในเรือนไม้ที่อบอุ่น เขาเปิดประตูเข้าไปช้าๆ ภายในห้องสี่เหลี่ยมสว่างจ้าไปด้วยแสงไฟ เขากำลังมองห้องว่างเปล่า มีเพียงโต๊ะเขียนหนังสือ ตู้หนังสือเล็กๆเท่านั้น ที่ทางขวาริมห้องมีทางเดินแคบๆเยื้องออกไป เขาสงสัยว่ามีใครหรืออะไรถูกล่ามโซ่ไว้หรือเปล่า ชายหนุ่มเหลียวมองไปรอบๆห้องที่เงียบสงัดมีเพียงเสียงสายฝนและจิ้งหรีดร้องระงม

เขาเดินไปหาทางเดินแคบๆที่อยู่ริมห้อง ทางเดินแคบมืดสลัวลงเพราะไม่ได้เปิดไฟ เขาเดินต่อไปอีกเล็กน้อย ก็พบว่ามีห้องนอนอยู่ด้านใน ที่ขาเตียงนั้นมีโซ่อันหนายาวหลายเมตรวางไว้ เขาหนักอึ้งในใจ คุณแก้วโดนขังไว้จริงๆด้วย ดูเหมือนว่าป้าบัวคนนั้นจะคอยดูแลคุณแก้ว ทำไมถึงยอมกันล่ะ ชายหนุ่มนึกสงสัย เขามองเครื่องใช้ในบ้านอย่างสังเกต เขาเอื้อมไปดึงลิ้นชักบนตู้ที่อยู่ติดกับเตียง ด้านในมีกล่องบรรจุซองจดหมายไว้อยู่หลายฉบับ
มีจดหมายจริงๆด้วย เขาเอื้อมไปหยิบ

ปัง!

เสียงประตูปิดดังลั่นเหมือนอัดแน่นไปด้วยแรงโกรธ เขาสะดุ้งเฮือก เหมือนใจหล่นหายไป ฉับพลันเขาหนาวเหน็บขึ้นมา เสียงกรอบแกรบจากทางด้านหลังดังขึ้นเรื่อยๆ

“เป็นความผิดของคุณ”

“อินน์”ชายหนุ่มหมุนตัวไปเผชิญหน้ากับเสียงอันคุ้นเคย น้ำเสียงของเด็กหนุ่มในโลกแห่งความจริง ชายหนุ่มมองอินทนิลที่ยืนเปียกปอนอยู่ตรงหน้าแล้วถึงกับผงะถอยหลัง ทุกครั้งที่เผชิญหน้ากับอินทนิลในความฝัน เหตุใดใบหน้าของเด็กหนุ่มต้องไร้อวัยวะด้วยล่ะ

ภูวรินทร์ลูบท่อนแขนของตนเอง อินทนิลจ้องเขา แน่ล่ะ ใบหน้าดำทะมึนนั้นกำลังจ้องเขาด้วยแววตาวาวๆเหมือนแมงมุม มันทำให้เลือดในกายเย็นเยียบ

“ทำไมล่ะ”

“ท่านตายเพราะคุณ สุดท้ายแล้วท่านก็เน่าเปื่อยอยู่ในหลุม เหมือนผีไม่มีญาติ”น้ำเสียงที่พูดออกมาเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆและแข็งกร้าว เหมือนอาฆาตเขานักหนา ชายหนุ่มส่ายหน้า ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่อินทนิลในร่างนี้ไม่เคยประสงค์ดีต่อเขา ฝันคราวก่อนเขาตายซ้ำซากกว่าจะตื่นจากฝัน ร่างของเด็กหนุ่มขยับเข้ามาเรื่อยๆ ชายหนุ่มไม่มีที่ให้ถอย

“นั่นเป็นความผิดของท่านอา ไม่ใช่ของฉัน”ชายหนุ่มบอก แต่เขาไม่มั่นใจเลยสักนิดว่าร่างกายนี้เป็นของใคร

“ไม่! ความผิดของคุณ หากคุณรับผิดชอบคำสาบานแล้วล่ะก็ อินน์ก็คงไม่มาลงเอยแบบนี้ คนสกุลนี้ต้องมารับผลกรรมแทนคุณน่ะเหรอ หนีไม่พ้นหรอก ท่านโดดเดี่ยวรอคุณกลับมายังบ้านหลังนี้นานถึงเจ็ดสิบกว่าปี ถึงคราวต้องสิ้นสุดที่คุณภูนั่นแหละ สมควรแล้ว!”อินทนิลกล่าว ใบหน้าไร้ริมฝีปาก แต่ลั่นวาจาออกมาได้ ดวงตาแวววาวทำให้เขาไม่อยากจ้องมอง เขาเบนหน้าออกไปทางอื่น ถอยหลังกลับไปไหนไม่ได้

ถ้าเป็นไปได้เขาก็ไม่อยากให้อินทนิลตายก่อนวัยอันควรหรอก เขาเองก็ไม่อยากปักใจเชื่อนัก ทันใดนั้นร่างชุ่มโชกเปียกปอนขยับมาใกล้ราวกับหายวับมาหยุดที่ตรงหน้า มือเย็นเอื้อมมาจับที่ลำคอของเขาไว้แน่นจนขนลุกซู่ไปด้วย เขาหลับตาแน่นไม่อยากมองภาพไม่น่าจดจำ ลมหายใจเย็นเป่ารด ทำให้รู้ว่าร่างนี้อยู่ใกล้แค่ไหน

“ลืมตา”

“ไม่”

“มองหน้าอินน์สิ”เสียงนั้นยังคงดังลั่นอยู่ในหู มือสองข้างบีบแน่นพร้อมเข่นฆ่าเขาให้ตายจริงๆ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเสมือนจริง นิ้วโป้งทั้งสองข้างกดลงต่ำกว่าลูกกระเดือก คาดว่าอาจเป็นหลอดลมเป็นจุดตายของมนุษย์ เหมือนว่าอีกฝ่ายจะให้เขาตายจริงๆ แรงกดเพิ่มมากขึ้นยิ่งทำให้เขาเจ็บและหายใจลำบากขึ้นทุกที เขาหายใจได้สั้นลง ชายหนุ่มยกมือจับเข้าที่ข้อมือของอินทนิลดึงออกอย่างแรง แต่ว่าไม่เป็นผลเหมือนร่างตรงหน้ามีแรงมหาศาล

“ปะ...ปล่อย...”เขาละล่ำละลักพูด ออกแรงดึงแขนของอินทนิลออก ทั้งกดเล็บลงไปในเนื้อหนังเย็นๆนั่นอย่างเต็มแรง แต่อีกฝ่ายไม่สะดุ้งสะเทือน

“คนนั้นฝนตกหนักเหมือนกัน อินน์ป่วยหนัก เหมือนน้ำในกายเหือดหาย หายใจไม่ออก แรงขยับกายยังไม่มี อวัยวะภายในเริ่มบกพร่องไปทีละนิด ร่างกายของคนที่ขาดออกซิเจนมันเป็นยังไงน่ะเหรอ มองที่อินน์สิ” เสียงนั้นกระซิบกระซาบพร้อมกับแรงบีบและกดแรงขึ้นจนเขาต้องลืมตาขึ้นมอง เป็นภาพที่ทำให้เขาลืมไม่ลง น้ำตาเอ่อคลออาจเพราะหายใจไม่ออก หรือเพราะสภาพของอินทนิล เขาบอกไม่ถูก แต่หัวใจบีบรัดแน่น เป็นความรู้สึกเสียใจใช่หรือไม่ หรือความรู้สึกผิด ชายหนุ่มพูดไม่ออก แต่ถ้าหากญาติสนิทคนรักของเขาต้องเผชิญกับสภาพนี้ล่ะก็...เขาคงทำใจไม่ได้แน่ๆ

...ความผิดของเขาหรือไง...โทษคุณแก้วไม่ดีกว่าเหรอ ‘ไม่หรอก’ เสียงในหัวกระซิบบอก ราวกับรู้ดีว่าต้นเหตุแห่งความอัปมงคลนี้เริ่มมาจากผู้ใด


ภูวรินทร์คิดว่าตนเองตายไปแล้วจริงๆ วินาทีที่แรงบีบของอินทนิลเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ เขาก็ยิ่งเจ็บที่ลำคอและเสียดแน่นที่หน้าอก เหมือนตายไปแล้วจริงๆนั่นแหละ ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าอย่างเต็มปอด เขาผงะไปอีกครั้งเมื่อเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของเด็กหนุ่ม ใบหน้าเรียวรูปหัวใจกำลังมองเขาอยู่

“คุณดูตกใจ”

“อืม... เธอมาอีกแล้วนะ”ภูวรินทร์ขยับตัวออกห่างจากอินทนิล บนเตียงเย็นเพราะแรงลมจากหน้าต่างทำให้เขาห่อตัวในผ้าห่มผืนบาง อินทนิลที่นั่งอยู่ริมเตียงมองเขาอย่างขบขัน ในมือถือพวงมาลัยที่ร้อยจากดอกไม้ในสวน เป็นสีขาวทั้งหมด เขามองอีกฝ่ายด้วยมึนงง

“อินน์มาดูคุณเพราะเป็นห่วง กลัวว่าจะฝันร้าย แต่ดูท่าจะสายไปซะแล้ว...ฝันร้ายเหรอครับ”เด็กหนุ่มหันมาถาม ก่อนจะลงจากเตียงแล้วเดินอ้อมไปปิดหน้าต่างให้เขาเงียบๆ ชายหนุ่มมองร่างนั้นอย่างไม่วางตา ชายหนุ่มลูบหน้าอย่างวิตกกังวล เขากลัวนิดหน่อยเรื่องอินทนิล ในเวลานี้เขาไม่รู้ว่าแบบไหนน่ากลัวกว่ากัน อิทนิล หรือว่าคุณแก้วกัน

“ใช่...ฝันถึงเธอด้วยนะ มันหมายถึงอะไรล่ะ”ภูวรินทร์พึมพำก่อนจะหัวเราะอย่างไร้อารมณ์ขัน เขาถอนหายใจหนักหน่วง

“สิ่งที่คุณฝัน มาจากตัวคุณเองทั้งนั้นแหละ...”อินทนิลหันมาพูดกับเขา ก่อนจะเดินมาหาพร้อมกับวางพวงมาลัยดอกไม้ไว้ที่หัวเตียง

“เอามาไว้ทำไม”เขามองอย่างหวาดระแวง อินทนิลยิ้ม “หอมออกนะ เผื่อคุณจะหลับสบายขึ้น ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกครับ”เด็กหนุ่มบอก ยังคงจัดวางพวงมาลัยไว้ที่หัวเตียงอยู่ ที่ตัวพวงมาลัยกลมนั้นทำมาจากดอกพุดเรียงตัวสวยเป็นเกลียว ส่วนปลายพู่เป็นดอกรัก ปิดท้ายด้วยดอกแก้วสามสี่ดอก

“...แล้ว‘ท่าน’ไปไหนซะล่ะ”เขาถาม เพราะแปลกใจ ปกติอินทนิลจะทำตัวแปลกๆใส่เขามากกว่านี้ หรือไม่ก็คุณแก้วจะโผล่มาเยี่ยมเยียนเขาบ้าง อินทนิลเข้ามานั่งบนเตียงฝั่งที่ว่างอยู่ อีกฝ่ายแค่ยิ้ม

“มีแค่อินน์นี่แหละ คุณไม่ชอบท่านไม่ใช่เหรอ”เด็กหนุ่มพูด

“...บอกไม่ถูก แต่ไม่สบายใจมากกว่า แล้วป้าษอรรู้ไหมว่ามาหาฉันน่ะ”เขาถามแม้จะรู้คำตอบดี อินทนิลส่ายหน้าก่อนจะจ้องมองเขาอีก

“คุณกลัวอินน์เหรอ”อินทนิลมองเขาอย่างกังวลใจ นัยน์ตาสีดำหม่นลงตามคำถามที่เอ่ยออกมา เขาเองบอกไม่ถูกนัก มันไม่ใช่ความกลัว แต่มันรู้สับสนปะปนกัน เขาไม่อาจแยกว่าในความฝันกับความเป็นจริง แบบไหนคือตัวตนของอินทนิลกันแน่

“...ก็...มันแปลกๆ ที่ได้ยินว่าเธอป่วยหนักแล้วก็...ตายไปแล้วน่ะ”ชายหนุ่มบอก เขาจับสังเกตอีกฝ่ายอยู่เงียบๆ เจ้าตัวยกมือเกาต้นคอ เส้นผมอ่อนนุ่มเรียบร้อยยาวปกบ่าแคบ

“ อินน์ไม่ได้ตายซะหน่อย ไม่อย่างนั้นจะมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง เนี่ย อินน์ก็หายใจได้ ตัวก็อุ่น”เด็กหนุ่มพูดอย่างไม่ยอมแพ้ ก่อนจะยื่นมือมาแตะที่ท่อนแขนของเขาเบาๆแบบไม่เต็มมือ เหมือนไม่กล้าจับตัวเขาตรงๆ สัมผัสนั้นอุ่น เขาไม่แปลกใจหรอกที่อินทนิลยังมีชีวิตอยู่เติบโตมาขนาดนี้ ก็เพราะคุณแก้วนั่นแหละ แบบนี้เรียกว่าการสิงสู่ได้หรือไม่ ถ้าหากไล่ผีคุณแก้วออกไป อินทนิลจะเป็นยังไงล่ะ... ชายหนุ่มมองเด็กหนุ่มที่มีชีวิตชีวา ดวงตากลมแจ่มใสจับจ้องเขาไม่เว้นเช่นกัน 

“ไม่ใช่เพราะคุณแก้วเหรอ”

“...ก็อาจจะ...แต่อินน์ก็ยังเป็นอินน์อยู่ ไม่รู้ว่ามันต่างจากท่านไหม แต่ก็รู้สึกได้ว่านี่คืออินทนิล”เด็กหนุ่มเอ่ยบอก ชายหนุ่มนิ่งเงียบ มองคนข้างๆอย่างตั้งใจ

“ฉันฝันไม่ดี ฝันถึงเรื่องเก่าๆ ฝันถึงท่านอาและคุณแก้ว แล้วก็เธอด้วย เหมือนเธอโกรธแค้นฉันนะ เพราะคำสาปของคนสกุลนี้ เลยทำให้เธอต้องตาย”เขาเล่า

“แต่ความฝันก็แค่ความฝัน อินน์ไม่ได้โกรธคุณซะหน่อย อีกอย่างน่าดีใจออกที่คุณมาที่นี่”อินทนิลพูด เขาหันไปมองอีกครั้ง เด็กหนุ่มคนนี้ก็ยังคงแปลกประหลาดสำหรับเขา

“อย่างกับว่าเธอรู้จักฉันงั้นแหละ”ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆกับคำพูดของอีกฝ่าย

“พูดแบบนั้นก็ไม่ถูก คุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่อินน์รู้สึกได้นะ รู้สึกมานานเลยแหละว่าคุณภูต้องมาที่นี่...มันเหมือนอยู่ในตัวเรา ลุงชมยังบอกว่าคำสาปแช่งนั้นฝังลึกอยู่ในเลือดของสกลุภิรมย์สุข ไม่ว่าจะลูกหลานของท่านอา หรือพี่น้องของท่านก็ตามที...บางทีจิตวิญญาณส่วนหนึ่งของคุณภูคงเป็นท่านอาจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่ยึดติดกับบ้านหลังนี้ หรือไม่ก็...คุณภูมีเลือดของสกุลนี้อยู่ก็ได้มั้งครับ”

“...ว่าไงนะ”ภูวรินทร์ถึงกับถามซ้ำ เป็นเรื่องเหลือเชื่อ ถ้าหากเขาเป็นคนในสาแหรกของบ้านนี้ เป็นไปไม่ได้ พ่อแม่ของเขาเป็นคนธรรมดาไม่ได้มีต้นตระกูลมาจากพวกขุนนางเก่า ไม่ว่าจะทางพ่อหรือทางแม่ก็ตาม แต่คำพูดของอินทนิลสะกิดใจเขามากจนรู้สึกไม่ดี

“เป็นไปไม่ได้หรอก”เขาพึมพำ ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง เขาก็เป็นญาติของอินทนิลงั้นเหรอ...ไม่มีทางหรอก มันไม่บังเอิญไปหรือไง…เป็นไปไม่ได้

“มันก็แค่ความเป็นไปได้น่ะครับ ดึกแล้ว นอนดีกว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้ คงมีเรื่องให้คุณต้องทำ”อินทนิลยิ้ม เขามองท่าทีอีกฝ่าย “จะนอนด้วยเหรอ”เขาแปลกใจ ไม่อยากคิดมากที่อินทนิลชอบมาอยู่กับเขาแบบนี้ ไม่อยากให้ใจคิดในทางที่ไม่ดี

“...คุณจะไล่อินน์หรือเปล่าล่ะ”อินทนิลถาม เขาไหวไหล่ ไม่ได้ให้คำตอบแก่อีกฝ่าย เด็กหนุ่มเลยยิ้มกว้าง จัดแจงที่นอนของตนเองเงียบ เขาถอนหายใจเหลือบไปมองนาฬิกา ตีสองครึ่งแล้ว ยังนึกสงสัยว่าอะไรทำให้อินทนิลมาหาเขาที่ห้องได้ในเวลาแบบนี้...ออกจะน่ากลัวไม่เบา

“เอาผ้าห่มเพิ่มไหมล่ะ”เขาถาม อินทนิลส่ายหน้า แต่เอาผ้าห่มของเขาไปห่มเอง ชายหนุ่มเลยต้องลุกจากเตียงเดินไปหยิบผ้าห่มในตู้มาเพิ่ม อากาศในบ้านไม่หนาว แต่เวลานอนเขาต้องมีผ้าห่มไว้เป็นเกราะกำบังจากความมืด เขาปิดไฟในห้องเหลือเพียงแสงนวลจากโคมไฟไว้เท่านั้น

ภูวรินทร์เดินมาที่เตียง เขาเหลือบมองพวงมาลัยบนหัวเตียงก่อนจะมองอินทนิลที่นอนหลับตาอยู่ แน่ใจว่ายังไม่ได้หลับ เขาล้มตัวลงนอนก่อนจะห่มผ้าไว้ จ้องมองฝ้าเพดานอยู่เงียบๆ คิดวนเวียนกับเรื่องราวในฝัน...มันน่าประหลาดที่เขาไม่ได้มองเรื่องราวนั้นเหมือนคนนอก แต่กลับเป็นคนดำเนินเรื่องราวซะเอง...

ท่านอาเป็นถึงหมื่น ยศของพ่อภรรยาก็สูงศักดิ์ไม่เบา เป็นถึงพระในบางกอก ในช่วงเวลานั้น เหมือนว่าท่านอาจะแต่งงานกับสาวบางกอกคนนั้นแล้ว นอกจากปัญหาการเงินขางบ้านทำให้ภรรยาย้ายไปอยู่ที่บ้านพ่อของเธอ แล้วยังมีเรื่องอื่นๆเกี่ยวข้องไหม...โดยเฉพาะเรื่องของคุณแก้ว...หากคนนอกล่วงรู้สัมพันธ์ของคนทั้งคู่ คงเป็นเรื่องฉาวโฉ่ และอาจถึงขั้นติดคุกติดตาราง แล้วการตายของคุณแก้วเอง ท่านอายังมีข้อแคลงใจเช่นกัน ฆ่าตัวตายเองจริงๆเหรอ หรือว่าถูกฆ่าตาย แล้วทำไมถึงปล่อยให้ฝังในเรือนเพาะชำแบบนั้นได้

‘เป็นความผิดของเขา...ไม่สิ ของท่านอาจริงๆหรือ’ ชายหนุ่มหลับไม่ลง ถ้อยคำคลั่งแค้นของอินทนิลยังดังก้องในหู และภาพของอินทนิลในห้วงสุดท้ายนั่น ก็ทำให้เขาใจไม่ปกติ ใบหน้าซีดเขียวนั่นก็ทำสะเทือนใจไม่น้อย ดวงตาที่จ้องจนแทบหลุดจากเบ้านั่นทำให้เขาหนาวไปกาย

“ไม่สบายใจเหรอครับ”เสียงของอินทนิลดังมาจากข้างกาย

“...อืม มีหลายเรื่องให้คิด”ชายหนุ่มพึมพำบอก เขายอมรับอย่างเต็มอกก็วันนี้ว่าเขาเป็นท่านอามาเกิดใหม่ มันดูเหลือเชื่อในยุคสมัยที่เทคโนโลยีเฟื่องฟู แต่ครั้งนี้ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ

“เรื่องของท่านเหรอ”

“ใช่ คืนที่คุณแก้วเสียน่ะ...”เขาบอก ยังคงมีอารมณ์เศร้าติดอยู่ในใจ

“อ้อ...ท่านไม่เต็มใจที่จะตายแต่ยังหนุ่ม คุณไม่คิดว่าที่ท่านยังคงสถิตอยู่นานหลายปีเพราะท่านจากไปอย่างไม่สงบ”อินทนิลพูด ภูวรินทร์ไม่เคยตระหนักถึงเรื่องนี้เลย แต่ไม่มีอะไรยืนยันได้
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ ตอนที่ 6 ความทรงจำครั้งอดีต
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 20-12-2017 05:17:19

“ไม่มีใครล่วงรู้อยู่ดี”เขาถอนหายใจ

“อะไรที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามนั้น ยิ่งดิ้นรนยิ่งแย่ หากคุณคิดมากเรื่องอินน์ ไม่ต้องกังวลไปหรอกครับ อินน์ไม่ได้รู้สึกเครียดแค้น ถ้าจะให้แค้นคงเป็นเพราะชะตาสั้นกุดของตัวเองมากกว่า...ที่จริงแล้ว...”อินทนิลเงียบเสียงลงเหมือนลังเลใจที่เอ่ยถึง ชายหนุ่มเหลียวมองไปหา อินทนิลมองเขาอยู่ ในแววตานั้นเหมือนครุกกรุ่นไปด้วยความรู้สึกบางอย่าง

“อะไรเหรอ”เขาถาม อินทนิลเม้มปาก

“ท่านกลัวน่ะ....”

“กลัวอะไร”

“พูดไปอาจไม่เป็นผลดี...แต่อยากให้รู้ไว้ ว่า‘ท่าน’กลัวสูญเสียคนที่รักไปอีก ท่านกลัวอินน์น่ะ”

“ทำไมล่ะ”ชายหนุ่มขมวดคิ้วแปลกใจ อินทนิลยิ้มอย่างข่มขื่น

“กลัวว่าคุณจะใจอ่อนกับอินน์มากกว่าตัวท่าน ตอนเด็ก อินน์จำได้ว่าป่วยหนักมากๆ มันเหมือนว่าบางส่วนในตัวอินน์ตายไปแล้วจริงๆ ผลของเทียนหยดทำลายอวัยวะภายใน อาจไม่ทั้งหมด...มันแค่บางส่วนน่ะ”อินทนิลเอ่ยเสียงแผ่ว ในแววตานั้นยังมีความเศร้า ว่างเปล่าของนัยน์ตาสีนิลที่สะท้อนดวงหน้าของเขาอยู่ในนั้น หากเข้าใจไม่ผิดดูเหมือนว่าคุณแก้วช่วงชิงชีวิต จิตวิญญาณของเด็กน้อยไปเกือบครึ่ง

ภูวรินทร์ยิ้มขำให้กับคุณแก้ว ดูเหมือนว่าวิญญาณที่ถูกจองจำด้วยความเศร้า ความโกรธแค้นมานับเจ็ดสิบปีกำลังทำลายคนอื่น โดยเฉพาะคนตรงหน้าเขา คุณแก้วมีความกลัวเช่นนี้ได้ คงเพราะพลังบวก ความดีงามของจิตใจล่ะมั้ง ซึ่งฝ่ายนั้นไม่มี

“ภาวะพร่องออกซิเจน”อินทนิลบอก น้ำเสียงติดแหบ เขานิ่งคิด อาการป่วยของอินทนิลน่ะเหรอ “เพราะผลเทียนหยดน่ะเหรอ”เขาถาม

“ก็มีส่วน...แต่ร่างกายของอินน์ไม่แข็งแรงอยู่แล้ว ทำให้มีอาการแทรกซ้อนได้ง่าย...”

“เธอโกรธคุณแก้วไหม”เขาถาม อินทนิลเงียบไปหลายอึดใจ

“ไม่หรอกครับ มาคิดดูอีกที อินน์อาจไม่ได้อยู่เห็นโลกนานขนาดนี้ก็ได้ ใช่ไหมครับ”อินทนิลยิ้ม เขามองอยู่นาน เรื่องนี้เขาเองก็ชี้ถูกผิดไม่ได้หรอก เขาไม่รู้ว่าต้องโทษอะไร หรือใคร

“ไม่เสียใจงั้นสิ ที่มีชีวิตอยู่ต่อ”ชายหนุ่มพูด หันหน้ามองเพดานห้องต่ออย่างใจลอย

“ไม่ครับ”อินทนิลตอบเสียงชัดถ้อยชัดคำ ทำให้ภูวรินทร์นิ่งเงียบ จมอยู่กับตนเอง เขารู้สึกโหวงเหวงในใจ ยิ่งรู้เรื่องของอินทนิลมากขึ้นยิ่งทำให้เขารู้สึกแย่ไปหมด ต้นเหตุมาจากใคร เพราะคุณแก้ว หรือว่ามาจากเขากัน...
นรินทร์ในอดีตน่ะ ‘หมดรักคุณแก้วไปแล้วจริงๆน่ะเหรอ เพียงเพราะผู้หญิงคนเดียวหรือ’ ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าถามคนในอดีตหรือว่าถามตนเองกันแน่

พอใกล้ย่ำรุ่ง อินทนิลออกจากห้องไปแล้ว โดยที่เขาไม่รู้ตัว อินทนิลยังคงไปมาอย่างเงียบงัน ชายหนุ่มลุกไปอาบน้ำ เขาไม่ได้ฝันร้ายอีก ราวกับว่าฝันร้ายพวกนี้จะมาเยี่ยมเยียนคืนละครั้ง เขาไม่รู้ว่าจะต้องเผชิญกับมันไปถึงเมื่อไหร่ มันจะร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆหรือไม่ ในฝันนั้น เขาได้ตายไปแล้ว แล้วเขาก็จะตายอีกในคืนวันพรุ่งนี้

นี่มันยิ่งกว่าฝันร้ายอีก

เสียงสั่นของโทรศัพท์ดังขึ้น จนเขารีบคว้าผ้าเช็ดตัวออกจากห้องน้ำด้วยความว่องไว เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาดู บนหน้าจอมีเบอร์ของโชติปรากฏอยู่ เขายิ้มอย่างยินดี แสดงว่าสัญญาณกลับมาเป็นปกติแล้ว

“ไงโชติ โทรมาสักทีนะ”ชายหนุ่มรีบรับสาย

“เออ ฉันกำลังไปหาแกนะเว้ย ถ้าแกอยากจะกลับก็เตรียมเก็บของรอได้เลย...เพราะฉันจะไม่ค้างที่บ้านนั้นเด็ดขาด”คู่สนทนาเอ่ยกลับมาด้วยน้ำเสียงดีอกดีใจ เขานิ่งไป

“ทำไมเร็วจังล่ะ”

“อ้าว ก็แกบอกเป็นเรื่องด่วน สรุปอยากกลับหรือเปล่าเนี่ย”คนปลายสายหัวเราะออกมา

“อยากสิ ฉันก็แค่แปลกใจที่แกทำอะไรรวดเร็ว แต่จะไม่ค้างจริงๆน่ะเหรอ กว่าแกจะมาถึงที่นี่ก็ปาไปครึ่งวันแล้ว ขากลับคงค่ำมืด ถนนหนทางอันตรายด้วย”ชายหนุ่มเอ่ยอย่างกังวลใจ

“...ไม่รู้ล่ะ ไว้ไปถึง ค่อยคุยกันอีกที ฉันเอารถออฟโรดมารับแกเลยนะเว้ย อย่าลืมข้าวเที่ยงฉันนะ เตรียมไว้ให้พร้อม”โชติบอกเป็นการทิ้งท้าย เขามองจอโทรศัพท์อย่างแปลกใจ ทุกอย่างดูราบรื่น ลึกๆเขากังวลเพราะอิทนิลเคยพูดเตือนถึงโชติด้วย

ภูวรินทร์แต่งตัวอย่างเชื่องช้าเพราะมัวแต่ใจลอย เขาลงไปยังชั้นล่าง เจอป้าษอรกำลังเตรียมอาหารเช้าอยู่ในครัว เธอแปลกใจที่เห็นเขาลงมาตั้งแต่เช้าตรู่

“อรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณภู”เธอเอ่ยทักทาย กำลังหั่นผักอยู่ หม้อต้มกำลังเดือดส่งไอร้อนออกมาลอยเหนือหม้อ 

“วันนี้เพื่อนผมจะมารับกลับบ้านน่ะครับ ผมอยากให้ป้าทราบไว้”ชายหนุ่มเอ่ยบอกน้ำเสียงปกติ เขาเองก็ไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจนัก แต่เมื่อมีโอกาสออกจากบ้านหลังนี้ เขาต้องรีบคว้าไว้ ป้าษอรมองเขาอย่างตกใจ เธอวางมือจากการเตรียมอาหารเช้า

“อ้าว ทำไมกะทันหันจังคะ”

“ครับ ผมเองก็มีธุระที่ต้องสะสางเหมือนกัน ยังไงบ้านหลังนี้ก็ต้องให้ป้าคอยดูแลอยู่เรื่อยๆ”เขายิ้มผ่อนคลาย ไม่แน่ใจว่าจะหลับมาเหยียบบ้านหลังนี้อีกเมื่อไหร่ อาจไม่มีกำหนดไปตลอดกาล

“ค่ะ...แล้วนี่ คุณภูบอกอินน์มันหรือยังคะ”ป้าษอรถามเขา ก่อนจะหันไปสนใจหม้อต้มที่เดือดปุดๆส่งเสียงดัง เธอปิดแก๊ส  เขาส่ายศีรษะ

“ยังครับ... ว่าแต่ป้ามีกุญแจเรือนปั้นหยาข้างๆไหมครับ”ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่องสนทนาอย่างอึดอัดใจ ป้าษอรมองเขาอยู่นานเหมือนจ้องมองหาความจริง

“มีค่ะ แต่แม่กุญแจคงสนิมกินไปหมดแล้วมั้งคะ”

“ผมอยากไปดูเรือนหลังนั้นสักหน่อยน่ะครับ”เขาบอก อย่างน้อยเขาต้องได้รู้ว่าภายในบ้านหลังนั้นมีอะไร เขาคิดเอาเองว่ามันคงไม่ต่างจากในฝันนักหรอก อาจเจอจดหมายของคุณแก้วก็ได้ เขาหวังอย่างนั้น

“เดี๋ยวนี้เลยเหรอคะ”

“ครับ”เขาบอก เธอมองเขาเงียบๆก่อนจะเดินหายไปทางประตูหลังห้องครัว เขาเหลียวมองไปรอบๆบ้านใหญ่ที่เงียบสงบแล้วอดใจหายไม่ได้ มันกะทันหันอย่างที่ป้าษอรบอก แต่เขาก็ไม่อยากอยู่ที่นี่นานๆหรอก... แม้ว่าอีกใจหนึ่งก็ยังคงค้างคาอยู่ ป้าษอรหายไปไม่นาน ไม่ถึงห้านาทีเธอเดินกลับมาพร้อมพวงกุญแจดอกใหญ่เป็นพวง

“นี่ค่ะ”ป้าษอรแยกกุญแจของเรือนปั้นหยาก่อนจะยื่นมาให้เขา ชายหนุ่มรับมาเงียบๆแล้วเดินออกจากห้องครัว เขาลูบสัมผัสผิวเนื้อขรุขระของกุญแจไปมา มีสนิมเกาะและเปลี่ยนสีไปตามกาลเวลา เขาเดินผ่านสวน ที่ลานบ่อน้ำพุถูกเปิดตามปกติ เสียงสาดซ่าของน้ำดังให้ได้ยินอยู่เรื่อยๆ เขาเดินไปตามริมรั้วอย่างไม่เร่งรีบอะไร

ภูวรินทร์ผลักประตูรั้วเข้าไป ก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน ต้นแก้วบริเวณหน้าเรือนผลิดอกบานสะพรั่งเช่นเคย กลิ่นของมันทำให้เขาเวียนศีรษะ ชายหนุ่มเดินขึ้นบันได ก่อนจะหยิบแม่กุญแจตัวใหญ่ที่คล้องโซ่อีกชั้นหนึ่ง เขาพยายามไขกุญแจที่ฝืดเคือง หมุนกุญแจจนส่งเสียงดังคลิกเบาๆ จากนั้นก็ปลดแม่กุญแจออก ดึงโซ่ออกจากบานประตู เสียงครืดคราดดังทำลายความเงียบ เขาวางโซ่ลงกับพื้น ค่อยๆผลักบานประตูเข้าไป

เสียงเอี๊ยดอ๊าดจากไม้กระดานทั้งมาจากพื้นใต้ฝ่าเท้าและบานประตู ชายหนุ่มก้าวเข้าไปด้านใน มองหาสวิตซ์ไฟ ลองเปิดดูแต่ไม่ติด คงตัดน้ำตัดไฟไปนานแล้ว ภายในมีฝุ่นลอยฟุ้งทันที เขาจามก่อนจะใช้มือปิดจมูก ภายในห้องสี่เหลี่ยมกว้าง ปราศจากเครื่องใช้ ไม่มีโต๊ะเขียนหนังสือ ตู้หนังสืออยู่เลย ม่านสีขาวไม่ไหวติง หยากไย่ห้อยย้อยเต็มฝ้าเพดาน ที่นี่เป็นแหล่งชุ่มไปด้วยยุงและแมลงกินไม้ เขาลังเลอยู่บ้างที่จะเข้าไปในห้องนอน เพราะฝุ่นหนามากกว่ากลัว

แต่สุดท้ายเขาก็เดินเข้าไปจนได้ ทางแคบ กลิ่นอับชื้นของไม้เก่าฉุนจมูก พ้นทางเดิน เบื้องหน้าคือห้องนอนสี่เหลี่ยม เตียงเหล็กเหลือแต่โครง โซ่ขึ้นสนิมกองอยู่ข้างใต้ โต๊ะลิ้นชักเก่าตั้งอยู่ข้างๆ เขามองกรอบรูปบานเล็กที่มีฝุ่นเกาะจนมองไม่เห็นรูปภาพ แต่เขาเอื้อมไปดึงลิ้นชักชั้นแรกเปิดออกก่อน ด้านในมีกล่องสี่เหลี่ยมขนาดเอห้า เขาหยิบมันออกมา ฝุ่นจับแน่น น้ำหนักของกล่องทำให้แปลกใจ เขาเขย่ากล่องได้ยินเสียงกุกกักจากด้านใน จากนั้นก็เปิดลิ้นชักอีกสองชั้นดู ไม่มีอะไร

เขาหยิบกรอบรูปติดมาด้วย แล้วเดินออกจากห้องนอน เขาไม่อยากอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยกลิ่นอับ ไอฝุ่น และความเก่า

ภูวรินทร์เดินออกมาสูดอากาศสะอาดที่ด้านนอกชานบ้าน เขาปิดประตู ล็อกกุญแจไว้ตามเดิม แสงอาทิตย์ค่อยๆโผล่ออกมาโลมเลียขอบฟ้าจนสว่าง ชายหนุ่มเดินออกจากบริเวณเรือนปั้นหยาโดยไม่หันไปมองมันอีก ไม่มีอะไรน่าจดจำเลย เรือนหลังนั้นน่าอึดอัด ชายหนุ่มสบายใจขึ้นเมื่อเดินมาที่ลานบ่อน้ำพุ เขานั่งลงที่โต๊ะกลม ใช้มือปัดฝุ่นออกจากกรอบรูปจนเผยให้เห็นถึงรูปถ่ายของคุณแก้วกับท่านอานั่งอยู่ข้างๆกัน มองจากทิวทัศน์ด้านหลังคงถ่ายที่ลานน้ำพุแห่งนี้ เขามองใบหน้ายิ้มแย้มของคุณแก้ว อายุคงเท่าอินทนิลในเวลานี้ สิบสี่สิบห้าปีได้ ส่วนท่านอาคงจะสามสิบ


ชายหนุ่มมองใบหน้าของคุณแก้ว เขาเลื่อนนิ้วไปปัดฝุ่นที่เหลือเล็กน้อยให้ออกไปจากใบหน้าของคนในรูป บางส่วนในโครงนี้หน้าคล้ายกับอินทนิล เขาคิด หากคุณแก้วไม่ตายไปตั้งแต่ยังหนุ่มแน่น คนสกุลนี้คงอยู่เย็นเป็นสุข เขามองใบหน้าของท่านอา แล้วสะท้อนใจ เหมือนตนเองมากซะจนคิดว่าเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน เพราะความโลภ กิเลสของท่านที่ทำให้เรื่องทุกอย่างแย่ลงหรือเปล่า ในเมื่อท่านสร้างสัมพันธ์นี้ขึ้นมา แล้วทำไมถึงไม่รักษามันไปให้สุดกัน เขาส่ายหน้า เรื่องของคนรุ่นก่อน ทำลายคนรุ่นหลังซะป่นปี้

ภูวรินทร์มองคนทั้งสองในรูปอยู่นาน นึกสงสารคุณแก้วขึ้นมาบ้าง เขาวางกรอบรูปเปลี่ยนไปหยิบกล่องไม้ออกมา มันไม่ได้ล็อกใส่กุญแจไว้ เขาเปิดฝาออก ปัดไล่ไอฝุ่นที่ลอยตัวออกมา ภายในกล่องมีจดหมายอยู่หลายฉบับ กระดาษเปลี่ยนสีจนกลายเป็นสีเหลือง นอกจากนั้นยังมีแหวนเก่าๆสองวง ผ้าเช็ดหน้าหนึ่งผืนพับสี่เหลี่ยมเรียบร้อย เขาหยิบมาดูมีลายปักสะกดตัวย่อได้ว่า น.ภ น่าจะเป็นของท่านอา เขาหยิบจดหมายมาหนึ่งฉบับ ลายมือบรรจงสวยสะกดชื่อของกรินทร์ ตัวใหญ่

 เขาเปิดอ่านเนื้อหาด้านใน เป็นลายมือตวัดอ่านค่อนข้างยาก จับใจความได้ว่า 


‘ถึงแก้ว... บอกไม่ถูกว่าครั้งนี้ที่เดินทางมาบางกอกรู้สึกเช่นไร ที่นี่ต่างจากบ้านเรามากโข ฉันคงเขียนจดหมายถึงเธอบ่อยไม่ได้เสียแล้ว มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นที่นี่ เอาเป็นว่าเรื่องนี้จะกระทบต่อสถานะของเจ้าหมื่นไม่เบา รวมทั้งผู้ดีทั่วทั้งสยาม ฉันคงเล่ามากความไม่ได้ เอาเป็นว่าแม่บัวคงดูแลเธอดีเช่นเดิม เราทั้งคู่ยังคงเหมือนเก่า รักเสมอ... น.ภ’


จากเนื้อความดูไร้เยื่อใยจริงๆ เขาไล่หาจดหมายฉบับเก่ากว่านี้ เขาเจออยู่สองฉบับที่ส่งมาหาตั้งแต่ ร.ศ.140 ชายหนุ่มเปิดอ่านช้าๆ กลัวว่ากระดาษจะขาดซะก่อน


 ‘ถึงแก้ว... ป่านนี้คงโตเป็นหนุ่มแล้วกระมัง อาทิตย์หน้าฉันมีของขวัญให้เธอ ฉลองวันเกิดไง เอาเป็นว่าหากมีใครรังแกเธออีก ก็บอกพวกมันไปเสียว่าท่านหมื่นจะขึ้นไปทำโทษซะให้เข็ด หรือไม่ก็ให้แม่บัวไปบอกนายหวั่นซะก็สิ้นเรื่อง ส่วนผ้าเช็ดหน้าที่ฝากแม่จิตมา ฉันได้รับแล้ว ขอบคุณแก้วมาก ฉันจะถนอมไว้ก็แล้วกัน หากเอาออกมาใช้คงเสียของแย่กระมัง...ด้วยรักและห่วงใยเสมอมา... นรินทร์’


ภูวรินทร์อ่านจบถึงกลับหัวเราะขบขัน ผ่านมาสิบปี ความรักความเอ็นดูห่างหายไปหมดอยากเห็นได้ชัด ชายหนุ่มเก็บจดหมายใส่กล่องตามเดิม ดูท่าท่านอาคงเป็นพวกรักง่ายหน่ายเร็ว ต่างจากคุณแก้วที่ละเอียดอ่อนกว่ามาก
ทว่าโทรศัพท์สั่นขึ้น หันเหความสนใจของภูวรินทร์ เขาหยิบโทรศัพท์ออกมา โชติโทรมาหาเขา นี่เพิ่งหกโมงเช้าเอง ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะโทรมาในเวลานี้เลย

“มีอะไร”ชายหนุ่มถาม

“แย่จริงๆ ฉันคงไปรับแกไม่ได้แล้วล่ะ ดันประสานงากับต้นไม้ข้างทาง”พอได้ฟังโชติเล่าแล้วเขาถึงกลับกำมือแน่น เขาเหลือบมองหน้าของคุณแก้วในกรอบรูป

“เป็นอะไรมากหรือเปล่า”เขาเอ่ยถามอย่างร้อนรน แต่ได้สติขึ้นมาว่าโชติคงไม่เป็นอะไรเพราะไม่เช่นนั้นคงไม่โทรมาบอกเขาด้วยท่าทีปกติ

“ไม่หรอก แค่บาดเจ็บเล็กน้อย ตลอดนี้ฉันทำแผลที่คลินิก โทษทีนะเพื่อน ปล่อยแกรอเก้อ”โชติเอ่ยบอกอย่างรู้สึกผิด เขาฟังแล้วถอนหายใจ คู่สนทนาดูกังวลใจ

“ช่างเถอะ แกไปลอดภัยก็ดีแล้ว...มันเกิดอะไรขึ้นล่ะ”ชายหนุ่มถาม พยายามเข้าข้างตัวเองว่าเหตุที่เกิดขึ้นเป็นเพราะอุบัติเหตุที่ไม่ได้มาจากสิ่งเหนือธรรมชาติ

“คนขับก็ขับปกติแหละ อยู่ๆก็มีวัววิ่งผ่านหน้ารถเฉย หวิดไปแล้วไหมล่ะ”คนปลายสายหัวเราะแห้งๆมาให้ เหมือนไม่สบายใจนัก

“แน่ใจนะว่าไม่เป็นอะไร”ชายหนุ่มย้ำอีกครั้ง ปลายสายถอนหายใจ

“อืม สบายมาก ฉันห่วงแกมากกว่าว่ะ”เสียงของเพื่อนสนิทเป็นกังวล เขานิ่งงันไป

“ทำไมล่ะ”

“ฟังหูไว้หูก็แล้วกัน คนขับรถเล่าให้ฉันฟังว่าตอนที่หักหลบไปข้างทางน่ะ เหมือนว่ามันเห็นคนอื่นอยู่หลังรถ”ถ้อยคำของโชติทำให้เขาขนลุกไปทั้งกาย อยู่ๆก็นึกถึงคุณแก้วขึ้นมา เขาเงียบ โชติถอนหายใจให้ได้ยิน

“ตกลงมันยังไงกันแน่...แกจะไม่เป็นอะไรแน่นะเพื่อน”

“อืม ไม่หรอก...บางที ฉันอาจไม่ได้กลับไปหาแกก็ได้นะ”ภูวรินทร์หัวเราะ เขาเหมือนโดนทำลายความหวังไปต่อหน้าต่อตา เขาวางสายจากโชติ ไม่อยากพูดอะไรมากไปกว่านี้ อยู่ๆก็หนักใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เขาคงหนีไปไหนไม่ได้จริงๆ




 
++++++++++++

*เจ้าหมื่น เป็นยศพิเศษ ตำแหน่งของมหาดเล็กในพระราชวัง
**หมื่น เป็นศักดิ์ของขุนนางที่รับราชการอยู่ตามมณฑลต่างๆ (อิงกับสมัยร.๖ )


มาต่อแล้วววว
ช่วงนี้งดเรื่องผีไปก่อนค่ะ
เราไม่แม่นเรื่องประวัติศาสตร์นัก อาจมีคลาดเคลื่อนเช่น เรื่องนามสกุล (ที่จริงเพิ่งมีใช้ในช่วง กลางหรือปลายร.๖ ไม่แน่ใจเท่าไหร่ค่ะ ) เดิมทีจะต้องได้มาจากราชทินนามเปลี่ยนมาใช้แทนนามสกุล แต่ในนิยายเรื่องนี้เราให้มีนามสกุลไปเลยค่ะ ไทม์ไลน์ในเรื่องของท่านอากับแก้ว อยู่ในช่วง ร.๖ เรื่อยมาจนถึง ถลางๆ ร.๘ ประมาณนี้ค่ะ
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ อัพ [ ตอนที่ ๖ ] ๒๐.๑๒.๑๗ หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 20-12-2017 07:58:45
มาต่อแล้ว มาอีก ๆ
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ อัพ [ ตอนที่ ๖ ] ๒๐.๑๒.๑๗ หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: net. net_n2537 ที่ 20-12-2017 16:41:42
 :katai4:เอาอีกๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ อัพ [ ตอนที่ ๖ ] ๒๐.๑๒.๑๗ หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 20-12-2017 18:27:13
ก็ยังเป็นปริศนาอยู่ดี ว่าเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นจากใคร
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ อัพ [ ตอนที่ ๖ ] ๒๐.๑๒.๑๗ หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 20-12-2017 19:37:18
เรื่องเริ่มคลายปม ดูต่อปายยย
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ อัพ [ ตอนที่ ๖ ] ๒๐.๑๒.๑๗ หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: naya-devil ที่ 20-12-2017 20:35:50
รอต่อไปปปป  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ อัพ [ ตอนที่ ๖ ] ๒๐.๑๒.๑๗ หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 20-12-2017 21:33:55
สงสัยมากกกกกก ว่าใครกันที่เป็นคนเริ่มเรื่อง
งื้อออ
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ อัพ [ ตอนที่ ๖ ] ๒๐.๑๒.๑๗ หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: @Sister ที่ 21-12-2017 02:12:31
ปมเริ่มคายไปบ้าง อยากต้นสายปลายเหตุว่าเกิดจสกอะไร  :ling1:
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ อัพ [ ตอนที่ ๖ ] ๒๐.๑๒.๑๗ หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 22-12-2017 20:48:32
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ อัพ [ ตอนที่ ๖ ] ๒๐.๑๒.๑๗ หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 23-12-2017 20:47:34
กลัว
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ อัพ [ ตอนที่ ๖ ] ๒๐.๑๒.๑๗ หน้า ๒
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 24-12-2017 01:55:30
นี่ขนาดงดยังหลอนเลยค่ะ และก็ยังงงๆเช่นกันว่าตกลงยังไงแน่
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ ตอนที่ 7 อดีตชาติของภูวรินทร์
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 06-01-2018 02:09:33
ตอนที่ 7 อดีตชาติของภูวรินทร์


“คุณภูไม่กลับแล้วหรือคะ”ป้าษอรเอ่ยถามเขาด้วยน้ำเสียงแปลกใจ สีหน้าของเธอดูจะเหลือเชื่อที่เขายังยืนอยู่ต่อหน้าของเธอ เขาไม่อาจรู้เลยว่าเธอแกล้งทำหรือเปล่า ทั้งที่รู้แก่ใจว่าเจ้าของบ้านหลังนี้กับเขามีความหลังกัน

“ครับ พอดีโชติมันเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย”ภูวรินทร์ตอบ เหลือบมองปฏิกิริยาของอีกฝ่ายอยู่เงียบ ๆ

“ตายจริง เป็นอะไรมากไหมคะ”ป้าษอรตกใจ เธอมีแววตากังวลใจอย่างเห็นได้ชัด ริ้วรอยของกาลเวลาเหมือนจะมีชัดเจนกว่าครั้งแรกที่เจอกัน เธออยู่รับใช้คนบ้านนี้มานาน แต่ไม่ทันคุณแก้ว แต่เธอยังภักดีต่อท่านเจ้าของบ้านผู้จากไปมากกว่าตัวเขาซะอีก

“ไม่ครับ ผมเลยไม่ให้มันมาแล้ว”ภูวรินทร์เอ่ย มันน่ากลัวหากว่าอุบัติเหตุนั่นเกิดขึ้นเพราะเขาต้องการที่จะหนีออกจากบ้านหลังนี้ ถ้าเป็นเรื่องจริง เขาเองก็อยากรู้ว่าทำไม ตั้งแต่เช้าเขายังไม่เห็นอินทนิลเลย เขาไม่อยากถามเอากับป้าษอรเลยออกไปเดินรอบบ้าน ‘ถ้าหากว่าคุณแก้วถูกคนอื่นฆ่าตายจริงๆล่ะ...ใครเป็นคนทำ’เขาฉุกคิดถึงฝันคืนนั้น ใจจริงเขาอยากรู้เรื่องราวในครั้งอดีตว่าเกิดอะไรขึ้น คุณแก้ว...จะบอกเขาได้หรือเปล่า

รู้ตัวอีกที ชายหนุ่มเดินมาถึงหน้าเรือนเพาะชำแล้ว ไม้ประดับวางเรียงกันอยู่ข้างๆตัวเรือน ยังคงออกดอกสวยอยู่ เขาเปิดประตูเข้าไปด้านใน ปรากฏว่าอินทนิลมานั่งกอดเข่าอยู่ตรงปากหลุม คล้ายกับงีบหลับ บริเวณรอบๆหลุดถูกล้มไว้ด้วยเส้นสีเหลืองไว้ มองแล้วไม่สบายใจ

“มาทำอะไรตรงนี้”เขาเอ่ยถาม รู้สึกเป็นห่วงอินทนิลขึ้นมา เจ้าตัวไม่ขยับไปไหน เขาแน่ใจว่าอินทนิลได้ยินเสียงของตนแน่ๆ ไม่นานนักอีกฝ่ายก็ขยับตัว 

“อินน์รู้สึกหดหู่ คุณก็กำลังจากไป แล้วท่านก็เหมือนจะไม่คุยกับอินน์แล้ว”ถ้อยคำของอินทนิลทำให้เขานิ่งเงียบ รู้สึกลังเลอยู่ในใจ ความปรารถนาที่จะจากออกไปจากบ้านหลังนี้โดยเร็วเริ่มลดทอดลงไปมาก ไม่รู้ว่ามาจากสาเหตุอะไร

“หมายถึงวิญญาณของท่านเหรอ”เขาถาม แล้วเดินไปหาอีกฝ่าย อินทนิลเงยหน้ามองเขา ใบหน้านั้นเซื่องซึม นัยน์ตาสีนิลหม่นหมองลง ท่าทางเศร้าโศกราวกับสูญเสียคนในครอบครัวไป ชายหนุ่มมองเด็กหนุ่มอยู่นาน

“ร่างของท่านจากไปแล้ว เวลาของท่านก็เริ่มเหลือน้อยลงเช่นกัน”เด็กหนุ่มส่ายหน้า ร่างกายไม่ขยับไปไหน ภูวรินทร์ อยู่ๆก็รู้สึกโหวงเหวงในใจขึ้นมา

“ออกจากที่นี่เถอะ อยู่ไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก”เขาบอกเสียงปราม แล้วก้าวไปหาอีกฝ่าย เอื้อมไปจับไหล่ของเจ้าตัวที่ห่อเหี่ยว อินทนิลมองเขา สายตาลังเลกัดปากเหมือนกำลังขบคิด

“คุณจะไม่จากไปใช่ไหม”อินทนิลถามขึ้นมา ชายหนุ่มถึงกับถอนหายใจ เขาไม่ได้รู้สึกอะไรมากไปกว่าความต้องการอยู่อย่างสงบสุข ไม่มีฝันร้ายมากร่ำกราย

“...ฉันจะยังไม่ไปไหน”เขาบอกด้วยรอยยิ้ม อินทนิลไม่ใช่เด็กไร้เดียงสาซะทีเดียว แต่บางครั้งก็ทำตัวเหมือนเด็กไม่โต เจ้าตัวลุกขึ้นยืนก่อนจะปัดเศษดินออกจากกางเกง สิ่งที่ยังไม่เปลี่ยนไปคือเสื้อผ้าอาภรณ์และเท้าเปล่าเปลือยนั่น   

“งั้นก็ดีสิครับ”อินทนิลพูด เหลือบตามองเขา นัยน์ตานั้นเหมือนมีประกายความหวัง ชายหนุ่มไม่ติดใจอะไร เขาเดินออกจากห้องเรือนกระจก กระถางดอกไม้เลื้อยและพันธุ์ไม้ยืนต้นเล็กๆไม่ช่วยให้เขารู้สึกดี ส่วนอินทนิลเดินตามหลังเขามา

“เธอสบายดีนะ”ภูวรินทร์หันไปถามเด็กหนุ่มเพื่อความแน่ใจ อินทนิลยิ้มออกมาแล้วส่านศีรษะ “อินน์สบายดีครับ แต่ว่า ขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหมครับ”

“อะไรล่ะ”เขาแปลกใจที่อีกฝ่ายเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากตน

“...มันอาจรบกวนคุณ แต่อินน์ต้องการความช่วยเหลือ”เขาปล่อยให้อินทนิลพูดไปเรื่อยๆ “คือว่า ช่วยอินน์ตามหา...เอ่อ...ศพทารกหน่อย”สิ้นคำของเด็กหนุ่ม ภูวรินทร์ถึงกับอึ้งไป

“ศพทารกเหรอ”เขาตกใจกับเรื่องที่ได้ยิน อินทนิลมองเขาก่อนจะหัวเราะเบาๆยกมือโบกพัลวัน

“จะว่าอย่างไงดี ระยะหลังมานี้ เหมือนว่า‘ท่าน’จะระแคะระคายเรื่องคำสาปของตระกูล ทีแรกคิดว่าคุณภู เอ่อ ท่านอาเป็นคนแช่ง แต่กลับไม่ใช่”อินทนิลเกาศีรษะ ดวงตากลมใสมองเขาอย่างสนใจ

“เธอรู้ความจริงงั้นเหรอ”เขารีบถาม เผลอตัวเข้าไปจับไหล่ของอีกฝ่ายไว้ อินทนิลเม้มปากมองเขา ร่างกายเหมือนเกร็งขึ้นมา ชายหนุ่มรู้ถึงความผิดปกตินี้ แต่ไม่ได้ปล่อยมือออก เขาเองก็แปลกใจเรื่องของอินทนิลไม่น้อย การแสดงออกทางร่างกายมันทำให้เขาสงสัย และอยากหาคำตอบ ว่ามาจากตัวของอินทนิลหรือว่ามาจากคุณแก้วกันแน่

เขาเชื่อว่าคุณแก้วรับรู้ทุกการกระทำของอินทนิล เหมือนจิตวิญญาณครึ่งหนึ่งเป็นของคุณแก้วด้วย... อีกครึ่งเป็นของอินทนิล เด็กหนุ่มผู้ซึ่งชะตาขาดไปกว่าครึ่ง แต่เขาเลือกจะยอมรับอินทนิลในฐานะมนุษย์ปกตินั่นแหละ มีเลือดมีเนื้อ และหัวใจ แต่คงเป็นหัวใจที่ไม่บริสุทธิ์

“ครับ... เหมือนว่าจะเกี่ยวข้องกับมณี เมียของท่านอา”อินทนิลพูดห้วนขึ้นและใส่อารมณ์ต่างจากเวลาปกติ แววตาแข็งกร้าวขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เขาแทบไม่ได้นึกถึงผู้หญิงอีกคนที่เป็นตัวแปรของเรื่องในอดีตนี้ ...แล้วเกี่ยวอะไรกับศพทารกกัน... เขามองอินทนิลทันควัน เด็กหนุ่มยิ้มเย็นชาราวกับอ่านใจเขาได้

“เธอแท้งลูกของท่านอา และหล่อนก็โทษว่าเป็นความผิดของท่าน”อินทนิลย่นหน้า ริมฝีปากยกขึ้นอย่างถือดี

“...แล้วใช่เรื่องจริงไหม”เขาถาม ในใจรู้สึกหวาดหวั่น เขาไม่อยากรับรู้ว่าแท้จริงแล้วคุณแก้วเป็นคนโหดร้าย แม้ที่เคยสัมผัสรับรู้ตัวตนของคุณแก้วนั้นอันตรายและไม่น่าเข้าหานัก   

“...แค่มีส่วนน่ะ แต่เรื่องนี้ต้องโทษท่านอา! เขาผิดคำพูด หนำซ้ำยังไปเอาหญิงชาวบ้านมาเป็นเมียอีกคน”ความจริงต่อมาทำให้เขาแทบไร้เรี่ยวแรง มันเหมือนถูกดึงจิตวิญญาณ เป็นเรื่องในอดีต แต่ทว่าเขากลับรู้สึกปั่นป่วนไปด้วย ลมหอบใหญ่ปะทะผ่านร่างของเขาไปทำให้ชายหนุ่มร่างกายไม่สมดุล

“คุณภู! เป็นอะไรครับ”อินทนิลทำหน้าตกใจรีบเข้ามาประคองร่างของเขาไว้เต็มแขน ร่างกายของเด็กหนุ่มแข็งแรงน้อยกว่าไม่สามารถพยุงนำหนักตัวของเขาได้ดีพอ ทั้งคู่เซล้มไปด้วยกัน

ภูวรินทร์รู้สึกเวียนหัว โลกทั้งใบหมุนไปหมด เป็นความรู้สึกที่ไม่ดีจริงๆ ร่างกายเย็นวาบไปชั่วขณะ มองเห็นอินทนิลกอดร่างของตนไว้ด้วยอาการผวาเกินกว่าเหตุ ในหัวเหมือนได้ยินเสียงของเด็กหนุ่มร้องเรียกชื่อของตัวเองและของคุณแก้ว ปกติอินทนิลจะเรียกอีกฝ่ายว่าท่านเสมอมา

สติของชายหนุ่มดับวูบ มืดดำไปหมด เขาคิดว่าตนเองเป็นลมไป แต่คงไม่ใช่ ไม่อย่างนั้นตนเองคงไม่สามารถรู้สึกนึกคิดขึ้นมาได้แบบนี้ อาการคลื่นไส้เวียนหัวเริ่มหายไป แต่ความปั่นป่วน หนาวเย็นไปทั้งร่างยังคงอยู่ ไม่อาจรู้ได้ว่าตนกำลังเผชิญหน้ากับอะไร



 ‘แก้ว’

เป็นเสียงของหมื่นนรินทร์ เสียงเรียกคล้ายกับกำลังโกรธเคือง เขาได้ยินเช่นนั้น แต่สองตามองไม่เห็นเหมือนติดอยู่ในหลุมดำที่พันธนาการโอบล้อมทั้งร่างไว้

 ‘เหตุใดต้องใช้น้ำเสียงเช่นนั้นใส่เราด้วย”สุ้มเสียงของแก้วโต้ตอบกลับมา น้ำเสียงที่ต่างจากอินทนิล มีความถือดีปรากฏชัด

‘คิดว่าฉันไม่รู้จริงๆหรือว่าเธอทำอะไรลงไป”เสียงที่คล้ายคลึงกับภูวรินทร์เอ่ยโต้ตอบกลับมา มีความขุ่นเคืองอยู่ในนั้น

‘ความผิดของเรางั้นหรือ ถือว่าเราสงสารหล่อนซะมากกว่า ที่มีสามีผิดครรลองคลองธรรม ไม่ผิดที่หล่อนจะโศกเศร้าซะจนแท้งลูก’แก้วเอ่ยด้วยความเย้ยหยัน

‘พูดความจริงมาเดี๋ยวนี้!”เหมือนผู้เป็นอาโกรธจัด ตวาดดังลั่น ไม่มีวี่แววของความอบอุ่น เวลานี้คงหมดสิ้นความรักไปซะแล้ว

‘เราพูดไปหมดแล้ว ท่านอาไม่เชื่อ ก็อับจนถ้อยคำ”แก้วยังคงไม่ยอมลงให้

ท่ามกลางความมืดมิด ภูวรินทร์มองไม่เห็นร่างของใครทั้งสิ้น สองหูเพียงได้ยินเสียงโต้ตอบไปมาของคนทั้งคู่ เรื่องราวในอดีต นี่ไม่ใช่ความทรงจำ อาจเป็นฝันร้ายมากกว่า ชายหนุ่มเชื่อเช่นนี้ ทุกสิ่งที่เจอและได้ยินเกี่ยวกับเรื่องเมื่อแปดสิบปีก่อนนั้นเขาไม่เคยได้สัมผัสมันจริงๆ มันมาในรูปของฝันทั้งสิ้น

 ‘คิดว่าฉันไม่กล้าทำอะไรเธอหรือไงแก้ว’หมื่นนรินทร์ข่มขู่

‘เปล่า ท่านทำได้ทุกอย่างเสมอ บ้านทั้งหลังยังเอาไปได้ นับประสาอะไรกับชีวิตของหลานโง่เขลาคนนี้’ถ้อยคำนี้เหมือนเป็นการพูดถากถางตัวเองอีกครั้ง

‘เธอคิดว่าเพียงเท่านี้จะหยุดฉันได้หรือ คิดว่าฆ่าลูกมณีไปแล้ว เราจะกลับมาเป็นเหมือนก่อนรึไง ไม่มีทาง ฉันอยากมีลูก และคนตระกูลภิรมย์สุขต้องมีลูกของฉันสืบสกุล ไม่ใช่จากพี่น้องของเธอ’หมื่นนรินทร์พ่นความจริงนี้ออกมาด้วยโทสะ ทั้งเห็นแก่ตัว ไร้สำนึก

‘ลูกของพี่กิ่งและพี่ไกร ไม่ใช่เลือดของภิรมย์สุขหรือ’แก้วถามกลับมาอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ

‘อย่าหาเรื่องเฉไฉ ไม่อย่างนั้นฉันจะส่งเธอไปเข้าตารางเสีย’

‘หากท่านอาไปกับเรา เราก็ยินดี’คุณแก้วเอ่ย น้ำเสียงไม่มีความกังวลหรือการประชดใดๆ แต่นั่นเหมือนเป็นการราดน้ำมันใส่กองไฟให้ลุกโหมหนักกว่าเก่า

‘แก้ว! พอเสียที!’

‘ผู้ใดควรพอ คิดว่าเราไม่รู้เห็นหรือว่า ท่านไปทำผิดผีกับลูกสาวชาวบ้านข้างล่างนั่น...ไม่คิดว่าคนที่เรารักจะทำเรื่องบัดสีได้ วันหน้าตระกูลเราเสื่อมเสียเพราะท่านอา’

‘ไม่ใช่เพราะเธอรึไง มณีไม่ต้องการมีทายาทให้ฉันอีกต่อไป ฉันก็ต้องหาทางอื่นมันก็ถูกแล้ว’

‘เราไม่ได้ทำร้ายลูกของมณี...’แก้วยืนยัน

‘ฉันให้หมอฝรั่งมาตรวจ มณีแท้งลูกเพราะพิษ ในบ้านนี้มีใครใช้พิษงั้นหรือ นอกจากเธอที่มีพืชพิษอยู่ในเรือนเพาะนั่น และมันก็ตรงกันเสียด้วย คำแก้ตัวไม่ได้เรื่องเช่นนี้ คิดว่าฉันโง่หรือไง’หมื่นนรินทร์ไม่ปักใจเชื่อ ยังคงยกเหตุผลมาสู้

‘...อ้อ อย่างกับว่าเรือนเพาะของเราใส่โซ่ตรวนไว้แน่นหนา ใครๆก็เข้าออกได้ คิดว่าเราอยากให้ลูกของท่านตายงั้นหรือ ท่านไม่น่ามาใส่ร้ายเราแบบนี้ ถึงจะไม่พอใจที่ท่านอาหมางเมินต่อกัน แต่เราไม่ได้โหดเหี้ยมเพียงนั้นหรอก’แก้วพูดช้าๆ ดูเหมือนว่าหมดแรงจะพูดต่อจากที่เคยโต้เถียง โทสะ และความหลงผิดบดบังทัศนะของท่านอาโดยแท้

‘ต่อไปนี้อย่าก้าวขาออกมาในบ้านของฉันอีก ...บัว! คอยเฝ้าแก้วไว้ให้ดี อย่าให้ไปไหนเด็ดขาด!’ท่านอาสั่งคนรับใช้ของคนสนิทของแก้ว 

‘ค่ะ ท่านหมื่น’

‘อา...ไม่ต้อง ฉันจะลงโทษคุณแก้วเสียหน่อย ให้ไอ้หวั่นเอาโซ่มาล่ามแก้วไว้’หมื่นนรินทร์ประกาศกร้าว 

‘ท่านหมื่น...!’หล่อนดูตกใจจนโพล่งออกมา 

‘อย่าคิดแม้แต่จะช่วยนายของตัวเองล่ะ ไม่อย่างนั้น แม่บัวจะเงาหัวไม่มี’หมื่นนรินทร์พูดสำทับน้ำเสียงไร้เยื่อใย


สมองของภูวรินทร์ว่างเปล่า เขามองไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพียงสัมผัสได้จากความรู้สึกรุนแรงของทั้งสองฝ่าย ทั้งคุณแก้วและท่านอา ฝ่ายคุณแก้ว นอกจากความแค้นเคืองในตอนหลังก็มีเพียงความรู้สึกผิดหวัง เสียใจซะมากกว่า มันหนักหน่วงจนชายหนุ่มรับรู้ความรู้สึกเช่นนั้นได้แบบเต็มอก

ส่วนท่านอา นอกจากโกรธแค้นแล้ว...ไม่มีความรู้สึกใดเลยที่บ่งบอกว่ายังหลงเหลือเยื่อใยให้คุณแก้ว เพราะอะไรกัน เหตุใดท่านอานรินทร์ถึงหมดรักในตัวคุณแก้ว หรือไม่ได้รักมาแต่ต้นงั้นเหรอ? จากจดหมายที่ตนอ่าน ฉบับแรกๆที่เขียนถึงกัน ถ้อยคำที่ใช้ส่งถึงยังอ่อนหวาน รักใคร่คุณแก้วดีๆอยู่ ในใจอันบิดเบี้ยวของท่านอาไม่หลงเหลือความห่วงใยต่อแก้วแล้ว ในฐานะหลานชายก็ไม่อาจเหลือถึงสองในสี่ส่วน มันน้อยนัก ทั้งยังถือศักดิ์ศรีเหนือสิ่งอื่นใด และขาดสติ

ไม่คิดว่าท่านอาจะอยากมีลูกไว้สืบสกุลถึงขนาดต้องไปเอาหญิงชาวบ้านมาเป็นเมีย เรื่องนี้คุณมณีรับรู้ด้วยไหม คำสาปแช่งของมณี แท้จริงแล้วเป็นมายังไง ศพทารกนั่น....หมายถึงตอนแท้งลูกในครั้งนั้นน่ะเหรอ

ทันใดนั้นเอง ราวกับว่าเขาตกอยู่ในกลุ่มสายหมอก ความหนาวเหน็บย่ามกรายเข้ามาหา ร่างที่เคยไร้น้ำหนักเหมือนกับว่าทรงตัวอยู่บนพื้นหญ้าเย็นๆ ภูวรินทร์รู้ตัวอีกทีก็พบว่าตนเองนั่งคุกเข่าอยู่ใกล้กับต้นแก้วใหญ่ มองไปแล้วคล้ายกับในสวนหน้าเรือนปั้นหยา ชายหนุ่มผงะตกใจ ฝันงั้นหรือ...

เสียงกริ๊งๆของกำไลข้อเท้าทีเคยได้ยินมาก่อน เสียงย่ำเท้าเดินมาใกล้ เขาเห็นฝ่าเท้าขาวเปลือยเปล่าขยับมาหา พร้อมกับกลุ่มหมอกสีขาวเข้ามารวมเป็นรูปร่างมนุษย์

...แก้ว เพราะอะไรกัน ภูวรินทร์รู้สึกเศร้ากับอีกฝ่ายจริงๆ บางทีคนทีร้ายที่สุดอาจไม่ใช่คุณแก้ว หรือมณี อาจเป็นเพราะหมื่นนรินทร์ทั้งสิ้น

“ทำไมคุณไม่ปล่อยวางไปซะล่ะ ในเมื่อมันไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีก พวกเขาก็ตายจากไปหมดแล้ว”ชายหนุ่มพึมพำกับร่างนั้นที่ประกอบกลายเป็นใบหน้า กายเนื้อของคุณแก้วในลักษณะเดิม เขาไม่รู้ว่ากำลังตกอยู่ในห้วงเวลาไหน ความฝันมืดมิดที่กักขังเขาไว้แบบนี้

“...ปล่อยวางหรือ เราทำไม่ได้ คิดว่าชีวิตหลังความตายเป็นเช่นไร เราวนเวียนอยู่ที่เดิม ติดอยู่ในเรือนหลังนั้นมาเกือบแปดสิบปี ผ่านเรื่องราวซ้ำซาก เพียงคิดว่าขอเจอคุณอีกสักครั้งคงดี...เราหรือที่มีความแค้น ก็ไม่ถึงเพียงนั้น เราโกรธท่านในอดีตที่หลอกใช้ความรักของเรา”น้ำเสียงเยียบเย็นเอ่ยออกมา ทำให้ภูวรินทร์ตื่นตัว มองร่างในสายหมอกอย่างถนัดถนี่ขึ้น

“ตอนนี้ก็เจอแล้วไม่ใช่เหรอ”เขาพูด

“ใช่ เจอคุณ ยิ่งตอกย้ำว่าคุณคือท่านอาไม่ผิดแน่... อินน์คงบอกคุณไปแล้วว่าเราใกล้จะหมดเวลาในภพนี้ไปทุกที เราไม่สามารถจากไปได้หากว่าสิ่งที่ปรารถนาไม่สามารถลุล่วงไปได้”คุณแก้วเอ่ยเสียงแผ่วเบา เดินมานั่งข้างๆเขา นัยน์ตาวาววับคู่นี้จ้องมองเขา ใบหน้านี้น่าจดจำกว่าในฝันครั้งอื่น

“อะไรล่ะครับ”ชายหนุ่มถาม ใจหนึ่งอยากรู้ อกใจกลับหวั่นความจริงนี้เช่นกัน คุณแก้วยิ้ม

“มันไม่ใช่สิ่งที่ได้มาโดยง่าย...”คุณแก้วเอ่ยน้ำเสียงคลุมเครือ แววตาหลุบต่ำ จากนั้นก็ยื่นมือมากุมมือภูวรินทร์ไว้ เขาชักมือกลับมาแต่อีกฝ่ายไม่ปล่อย มือนี้เย็นไม่ต่างกัน แต่ถ้อยคำถัดมาทำให้เขาถึงกับพูดไม่ออก “เรายังเหมือนเดิม รักคุณเหมือนเดิม สิ่งที่เราต้องการคือรักของคุณ อะไรที่สามารถรั้งให้คุณอยู่ที่นี่ต่อเราก็ทำ”


ภูวรินทร์บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร เขามองแววตาของคุณแก้ว อีกฝ่ายดูสิ้นหวังเป็นแววตาที่เขาไม่เคยเห็นจากครั้งก่อนๆ แต่แล้วเขาฉุกคิดไปตามคำพูดของอีกฝ่าย   

“...โดยใช้อินน์น่ะเหรอ”เขาเอ่ย พอมาคิดไตร่ตรองเรื่องอินทนิลที่คอยตามติดเขาแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าคุณแก้วกำลังบรรลุผลหรือไม่ เขาส่ายหน้า ไม่อยากให้ตนเองหรือใครอื่นเป็นเครื่องมือของอีกฝ่ายเลย คุณแก้วเม้มปากแน่น ก่อนจะคลายมือออกจากเขา ไหล่ทั้งสองข้างตกลงอย่างไร้เรี่ยวแรง รอยยิ้มขมขื่นผุดเผยออกมาแทน

“...เด็กคนนี้ไม่ต่างจากลูกหลานของเราไม่ใช่หรือ อินทนิลมีสายเลือดทางฝั่งพี่กิ่ง พี่สาวของเราเอง...แต่กลับชะตาสั้น เราเห็นโอกาส เลยถือว่าช่วยเด็กคนนี้เอาไว้ เราไม่สนผิดหรือถูกหรอก ไม่คิดว่าจะสามารถต่อชีวิตครึ่งๆกลางๆของตนเองและอินน์ได้นานขนาดนี้... ในทีแรกเราคิดว่าเป็นเพราะคำสาปแช่งของเราทั้งสองคนเอง... แต่มันกลับไม่ใช่ เหมือนเราเพิ่งจดจำเรื่องราวในครั้งก่อนได้มากขึ้น”

“หมายความว่าไง”

“เราเป็นเพียงจิตที่ไม่ละกิเลส จิตนั้นยังคงเดิม รูปลักษณ์ ความรู้สึกและปรารถนา แต่ไม่ได้มีความทรงจำในตอนมีชีวิตมากถึงเพียงนั้น เจ็ดสิบกว่าปีเชียวนะ”คุณแก้วเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ แววตาดำสนิทไม่กระพริบหลบไปจากเขา ที่เจ้าตัวพูดนั้นไม่ใช่คำโกหก

ภูวรินทร์ไร้คำพูด เขาคิ้วขมวด รู้สึกก้ำกึ่ง ในเวลานี้เขามองเห็นเพียงคุณแก้วที่ยึดติดกับอดีต ไม่รู้สึกถึงความรักของอีกฝ่าย มันส่งไม่ถึงเขา แม้ในโลกจริง เขายังไม่เคยเห็นคุณแก้วโดยผ่านร่างอินทนิลมีความรักใคร่ในตัวเขานัก อีกฝ่ายแค่อยากแก้แค้นเขา ไม่สิ ท่านอาให้เจ็บปวดบ้างก็เท่านั้นเอง ให้เขาได้รู้สึกถึงการหมดหนทางสู้ล่ะมั้ง อีกฝ่ายเห็นเขาไม่ตอบอะไร เลยเอ่ยต่อไปอีก

“มณีน่ะ หล่อนเป็นผู้ดีจากบางกอก เกลียดเราอย่างกับอะไร ยิ่งมารู้เรื่องของเรากับท่านอาอีก เธอรับไม่ได้ และไม่ยอมมีลูกอีก ท่านอาโทษเรา กลับไม่โทษตัวเองเลยสักคราเดียว”

“...มณีแช่งเรา เอ่อ ตระกูลภิรมย์สุขเหรอ”ภูวรินทร์เผลอถามออกไป คุณแก้วมองเขาสายตาคมกริบ

“เป็นเพียงการคาดเดา... เพราะเราตายก่อนหล่อนนี่นา เราไม่รู้ว่าหล่อนตายยังไง คงต้องหาบันทึกของท่านอา และร่องรอยสาปแช่งของหล่อน ตอนหล่อนแท้งลูก เห็นว่าเธอฟูมฟายนัก ไม่ยอมให้เอาศพไปฝัง”

“...แล้วคุณได้ทำอะไรมณีหรือเปล่า”คุณแก้วมองหน้าเขาด้วยสายโกรธเคือง “เราคิดอยากฆ่าหล่อนเองกับมือ แต่ไม่ใช่ด้วยทางสกปรกเช่นนั้น ไม่คิดว่าจะต้องมาตอบคำถามนี้อีก”

“แล้วคิดว่าจะเจองั้นเหรอ ผ่านมานานขนาดนี้ ศพทารกคงเป็นปุ๋ยไปแล้ว”เขาพูด

“อินน์อาจมีคำตอบให้คุณ...”คุณแก้วกระซิบบอก พออีกฝ่ายเอ่ยถึงอินทนิล เขารู้สึกไม่พอใจ เขาอยากถามอีกฝ่ายให้แน่ใจ

“คุณจงใจให้อินน์ตายหรือเปล่า”คุณแก้วหัวเราะ

“วิญญาณเช่นเราทำอะไรได้ อินน์ต้องตายแต่ยังเด็กซะด้วยซ้ำ แต่รอดมาได้เพราะเรา”ชายหนุ่มมองร่างขาวสะอาดของคุณแก้วด้วยหลากหลายความรู้สึก ไม่ชิงชังแต่ก็ไม่รักใคร่ แต่อาจมีเยื่อใยบางๆ

“...คุณต้องการอะไรจากอินน์ จากผม”ชายหนุ่มรู้สึกโกรธ เขากำมือแน่น คุณแก้วหัวเราะออกมา

“เรื่องของคุณ เราบอกไปแล้ว ส่วนอินน์... เราเป็นฝ่ายมอบชีวิตให้ไม่ใช่หรือ”เจ้าตัวไม่ตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก

“คุณคิดจะใช้ร่างของอินน์ใช่ไหม”เขาดึงดันถามต่อ เป็นอีกเรื่องที่เขากังวล กลัวว่าอินทนิลจะกลายไปเป็นอย่างอื่น คุณแก้วมองเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง

“คิดสิ ยิ่งมีคุณใกล้ๆยิ่งดี...แต่เราทำไม่ได้ ไม่สามารถควบคุมอินทนิลได้ทั้งหมด ถึงเวลากลางคืนจะเป็นเราที่อยู่กับคุณ แต่มันก็ยังเป็นอินทนิล เหมือนว่าเด็กนั่นกับเราจะเกื้อกูลกันซะมากกว่า”

“ตอนคุณเสีย มันเกิดขึ้นอย่างไง”ภูวรินทร์ถาม คุณแก้วใบหน้านิ่งขึงไร้รอยยิ้ม “เคยได้ยินเรื่องหมองูตายเพราะงูไหม”ภูวรินทร์เงียบ คุณแก้วยิ้มจางๆ แววตาหรี่ลง ซุ้มเสียงเหมือนเย้ยหยันตัวเอง

“มันคล้ายกันนะ เราตายเพราะพืชพิษของตัวเอง...แต่จากมือคนอื่น”

“มณีเหรอ”เขาพึมพำ คุณแก้วนิ่งงัน

 “ใกล้หมดเวลาของเราแล้ว ร่างของเราถูกฝังมานาน เราเองก็ไม่รู้มาก่อน คิดว่าถูกเผาไปแล้วซะอีก...”อีกฝ่ายเอ่ยอย่างเศร้าใจ เขาเงียบ

 “ตอบมาสิ ว่าคุณจะไม่จากเราไป”คุณแก้วถาม นัยน์ตากลับมาสงบนิ่ง น้ำเสียงพูดราบเรียบจนเขาหวั่นกลัว ชายหนุ่มไม่คิดว่าตนเองจะออกจากหนทางนี้ได้ง่ายๆ

“...ผมไปไม่ได้อยู่แล้วนี่ จะถามไปทำไมกัน”

“ขอโทษนะ แต่เราก็ทรมานไม่ต่างกัน เพราะฉะนั้น ได้โปรด ทำดีกับเรา”สิ้นเสียงนั้น สายหมกสีขาวก็พลันเข้ามาปกคลุมไปทั่วบริเวณ เขามองไม่เห็นร่างของคุณแก้วอีกต่อไป วินาทีต่อมา ทั้งสวนแห่งนี้มีเพียงเขากับต้นแก้วที่บานสะพรั่ง เขากำมือแน่น รู้สึกอัดแน่นไปหมด ตกลงแล้วคุณแก้วและอินทนิลไม่อาจแยกกันได้ และท่านอามีหญิงอื่น...แถมยังเอามาไว้สืบสกุลอีก มณีคงสาปแช่งหนักกว่าเดิม


กว่าจะรู้สึกตัวอีกครั้งร่างกายของภูวรินทร์ถูกพยุงเข้าไปด้านในบ้านโดยอินทนิลกับลุงชม สติเลือนรางก่อนที่จะดับวูบไป

 “ตามหมอมาดูอาการดีไหม ตาชม เผื่อว่าคุณเค้าจะเป็นอะไรหนัก”เสียงพูดคุยเคร่งเครียดของป้าษอรแว่วเข้ามาในหู ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนกับตนเองยังเบลอๆตื่นไม่เต็มที่ เสียงฝีเท้าเดินไปมาในห้อง ร่างกายของเขากำลังนอนเหยียดอยู่บนบางสิ่งที่นุ่มนิ่ม 
    “คุณภูไม่เป็นอะไรมากหรอกน่า ใช่ไหมอินน์”ลุงชมเอ่ยขึ้น เจ้าของชื่อส่งเสียงอือออกลับไป เขารับสัมผัสอุ่นจากฝ่ามือของเจ้าตัวที่กำลังลูบใบหน้าของเขาไปมา มันทำให้ภูวรินทร์คิ้วขมวดทันที
    “คุณภูรู้สึกตัวแล้ว”อินทนิลส่งเสียงดีใจดังใกล้ๆ เขาค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นมองภาพตรงหน้า เหนือศีรษะของเขาเป็นใบหน้าโล่งอกของเด็กหนุ่ม อินทนิลยิ้มกว้าง
    “รู้สึกยังไงบ้างครับ”อีกฝ่ายถามก่อนจะถอยลงไปนั่งข้างๆ ชายหนุ่มเลื่อนความสนใจไปความเคลื่อนไหวรอบข้าง เป็นป้าษอรกับลุงชมที่ยืนมองเขาอยู่ ทั้งสองคนส่งยิ้มใบหน้าผ่อนคลาย คล้ายกลัวว่าเขาจะเป็นอะไรมาก พอมองรอบกายแล้วพบว่าเขานอนอยู่บนโซฟาที่โถงรับแขก
    “นี่ผมเป็นลมหรือไงเนี่ย”เขาพึมพำอย่างไม่อยากเชื่อนัก อินทนิลเงียบ มองเขาด้วยแววตาห่วงใย “คุณปกติก็ดีแล้ว อยู่ๆก็ล้มพับไป ดีนะที่อินน์เข้าไปจับทัน”อินทนิลรีบพูด เขาแค่พยายามยิ้มให้ทุกคนสบายใจ
    “ฉันไม่เป็นอะไรหรอกน่า... ป้าษอรครับ ผมขอชาสักแก้วหน่อยครับ”เขาเอ่ยกับป้าษอร เธอพยักหน้าก่อนจะรีบเดินเข้าไปในครัวพร้อมกับลุงชม ในตอนนี้อยากได้อะไรร้อนๆมากลบความหนักหน่วงในใจ เขายังจำคำพูดของคุณแก้วได้...ให้ทำดีด้วยงั้นเหรอ อับจนหนทางถึงขนาดมาขอร้องเขางั้นเหรอ คิดแล้วก็อยากหัวเราะออกมา ภูวรินทร์ขยับตัวลุกขึ้นมานั่งแทน ส่วนอินทนิลขยับมานั่งข้างกายเขาทันที พร้อมจ้องมองเขาอยู่ไม่ห่าง
    “เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ”อินทนิลเอ่ยถาม น้ำเสียงห่วงใย มันปรากฏชัดที่แววตาด้วย เขายิ้มออกมาให้อีกฝ่ายสบายใจ
    “ฉันฝันไป ไม่รู้สิ อาจเห็นนิมิตประหลาด แล้วก็ได้คุยกับคุณแก้ว”ภูวรินทร์เล่ากับอินทนิล เด็กหนุ่มทำตาวาวก่อนจะขยับมาใกล้ด้วยความสนใจ
    “ท่านว่าอะไรบ้าง”อีกฝ่ายถาม
    “คุณแก้วบอกว่าเธออาจช่วยได้เรื่องหาศพทารก...แต่ฉันไม่คิดว่าจะเหลือร่องรอยอะไรไว้หรอก...ตอนนี้คงไม่เหลืออะไรแล้ว”เขาบอก ไม่รู้ว่าทารกนั่นมีอายุกี่เดือนตอนที่มณีแท้ง อินทนิลพยักหน้าก่อนจะกระซิบกับเขา
    “อ้อ ว่ากันว่าสมัยก่อนมีการดองศพแล้วนะครับ”
    “เธอคิดแบบนั้นเหรอ”ฟังอินทนิลพูดแล้วเขาไม่แน่ใจนัก แต่ลึกๆก็เชื่อคำพูดของคุณแก้วได้ อินทนิลพยักหน้ารับ
    “ครับ เป็นไปได้ การใช้ทารกมาเป็นเครื่องสังเวยคำแช่งว่ากันตามตรงแล้วถือว่าได้ผล แต่ต้องดูให้แน่ใจว่าหล่อนได้ทำจริงหรือเปล่า”เด็กหนุ่มพูด แววตาหรี่ลงอย่างไม่นึกชอบ
    “คิดเหรอว่านั่นคือทางแก้ปัญหา หมายถึง นั่นสามารถลบล้างคำสาปของคนบ้านนี้ได้เหรอ”ชายหนุ่มไม่มั่นใจเลยแม้แต่น้อย อยากออกจากวังวนแห่งความแค้นความรักพวกนี้โดยเร็ววัน หากทำได้ล่ะก็นะ... เด็กหนุ่มถอนหายใจยาว ปัดเส้นผมที่ปกลงมาข้างแก้มออกลวกๆ แล้วมองเขาแน่วแน่
    “...ไม่รู้สิครับ แต่อย่างน้อยก็ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน”
    พออินทนิลพูดจบ ระหว่างนั้นป้าษอรก็เดินมาเสิร์ฟชาให้เขาพอดี เธอไม่ได้พูดอะไร แค่รินน้ำชาใส่แก้วไว้สองใบ สำหรับเขาและหลานชาย “มีอะไรก็เรียกป้ากับตาชมได้นะคะ”เธอทิ้งไว้แล้วมองไปทางอินทนิลด้วยความกังวลใจก่อนจะรีบเดินกลับไปทางห้องครัว ภูวรินทร์ยกถ้วยชามาจิบ เลื่อนถ้วยน้ำชาร้อนๆอีกหนึ่งใบไปให้อินทนิล เจ้าตัวส่ายหน้าไม่รับน้ำชา
    
“...คุณแก้วกำลังหลอกใช้เธออยู่”เขาบอก หลังจากวางถ้วยชาลง อินทนิลทำหน้าไม่เข้าใจ
    “ทำไมล่ะครับ”เจ้าตัวถามทันที แววตาสีนิลวาววับขึ้นมา
    “ก็เพื่อให้ฉันอยู่ที่นี่ไง”ชายหนุ่มตอบ ก่อนจะเหลียวมองไปทางหน้าต่างใกล้กัน ลานน้ำพุยังคงสวยงาม ดอกเทียนหยดมองไกลๆแล้วส่งเสริมให้บ่อน้ำพุมีชีวิตชีวาขึ้นมา เขาหันกลับมามองเด็กหนุ่มอีกครั้ง ชั่งใจอยู่นานว่าตนเองรู้สึกผูกพันกับอีกฝ่ายไม่น้อย แม้จะไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากมาย 
    “แล้วทำไมคุณต้องอยู่เพราะอินน์ด้วยล่ะ”คำถามของอินทนิลทำให้เขาแทบหัวเราะออกมา ไม่คิดว่าเจ้าตัวจะทำเป็นไร้เดียงสา ไม่รู้เหตุผล
    “...นั่นมัน...เฮ้อ เธอแกล้งไม่เข้าใจใช่ไหม”เขาเอ่ยอย่างขุ่นเคือง เด็กหนุ่มรีบส่ายศีรษะทันที
     “แต่คุณก็ไม่คิดจะอยู่ไม่ใช่หรือ ...อินน์ก็อยากให้คุณอยู่ที่นี่ต่อไป ด้วยเจตนาของอินน์เอง”อินทนิลเอ่ย นัยน์ตามองเขาอย่างชัดแจ้ง ประกายของความสุขปรากฏอยู่ในนั้น ภูวรินทร์อึดอัดใจขึ้นมา
    “...ทำไมล่ะ”เขาถาม
    “อินน์ไม่ได้คุยกับคนอื่นมานาน คุณเป็นคนแรกที่อยู่กับอินน์”เด็กหนุ่มให้เหตุผล เขาเงียบ “แล้วป้าษอรล่ะ”ชายหนุ่มสงสัย อินทนิลมองเขาด้วยแววตาอ่อนโยนมากกว่าเดิม
    “อินน์หมายถึงความสัมพันธ์แบบอื่น ไม่ใช่จากญาติพี่น้องน่ะ”อีกฝ่ายพูดทำเอาตนเองพูดไม่ออก แม้จะดูออกว่าอินทนิลดูสนใจในตัวเขาอยู่ก็ตาม แต่เขาเลือกจะมองไม่เห็น
    “...แต่เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน”ภูวรินทร์พูดอย่างไม่เข้าใจนัก ไม่เข้าใจว่าทำไมอินทนิลถึงได้ปักใจต่อเขาขนาดนี้ อยากให้เขาอยู่ที่นี่ต่อ ทั้งๆที่รู้ว่ามันส่งผลร้ายต่อเขามากแท้ๆ
    “ไม่สำคัญหรอกครับ คุณภูไม่เชื่อเรื่องชะตาลิขิตเหรอ”อินทนิลมองเขาด้วยดวงตากลมใส นัยน์ตาสีนิลไม่หลบหลีกจากตน
    “ไม่รู้สิ”ภูวรินทร์ไม่ตอบ เพราะไม่รู้จริงๆว่าตอนนี้จะเชื่ออะไรได้บ้าง อินทนิลหลุบตาต่ำลง สองมือกำแน่นอย่างผิดหวัง เขาเลื่อนสายตามองสองเท้าเปลือยเปล่าที่มีรอยเปื้อนฝุ่นดินให้เห็น มองเห็นกำไลสีทองเหลืองข้างซ้ายสวมอยู่เช่นเดิม แต่ยังไม่เคยถามว่าอีกฝ่ายไปเอากำไลข้อเท้ามาจากไหน เพราะจากหลุมฝังร่างของคุณแก้วก็ยังมีกำไลข้อเท้าอยู่
    “ถ้าหากว่าฝันร้าย คำแช่งมาจากมณีจริงๆล่ะก็...เป็นตัวคุณเองที่ต้องรับผลนั้น”เด็กหนุ่มเอ่ยต่อด้วยความกังวล คิ้วเข้มย่นเข้าหากัน
    
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ อัพ [ ตอนที่๗ ครึ่งแรก ] ๐๖.๐๑.๖๑ หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: net. net_n2537 ที่ 06-01-2018 04:10:47
สรุปเรื่องอินนี่ยังไงกันแน่  :katai1: อยากรู้แล้ว
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ อัพ [ ตอนที่๗ ครึ่งแรก ] ๐๖.๐๑.๖๑ หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 06-01-2018 07:47:15
ความผิดท่านอาคนเดียว

แต่ในใจรู้สึกว่ามันต้องมีตัวแปรมากกว่านี้ อาจจะเป็นคนใกล้ชิดที่คาดไม่ถึงก็ได้ที่ก่อเรื่องทั้งหมด
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ อัพ [ ตอนที่๗ ครึ่งแรก ] ๐๖.๐๑.๖๑ หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 06-01-2018 14:43:44
ตายๆ
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ อัพ [ ตอนที่๗ ครึ่งแรก ] ๐๖.๐๑.๖๑ หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: J029 ที่ 06-01-2018 16:20:59
พึ่งเข้ามาอ่าน เราว่ามันเป็นคำสาปซ้ำซ้อน คำสาปของท่านหมื่นกับมณี คำสาปแรกคือระหว่างท่านหมื่นคุณแก้ว อาจจะประมาณว่าสาบานรักอะไรต่อกัน แต่ถ้าใครผิดสัญญาก็แช่งอีกฝ่ายไว้ด้วย แล้วก็ของมณีที่รู้เรื่องเรื่องท่านหมื่นกับคุณแก้วอีก อมก คิดไปมั่วๆเว่อร์
หัวข้อ: Re: +++ สาปดอกแก้ว +++ อัพ [ ตอนที่๗ ครึ่งแรก ] ๐๖.๐๑.๖๑ หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 06-01-2018 20:04:44
สงสารคุณแก้ว ไม่น่ารักท่านอาเลย
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ +
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 07-01-2018 01:21:45
มาถึงตอนนี้ภูวรินทร์ไม่อาจทำใจยอมรับง่ายๆว่าต้องมารับบาปจากอดีตชาติ ...ท่านอานรินทร์ในชาติก่อนก็เลวร้ายซะจนเขาไม่อยากเชื่อว่าคนๆนี้คือตนเอง แต่ภูวรินทร์ไม่สามารถโต้แย้งได้ หากไม่ใช่เพราะเขากับอานรินทร์เชื่อมโยงกัน เพราะเหตุใดเขาถึงฝันถึงเรื่องราวในอดีต มันชัดเจนพออยู่แล้วจนไม่อาจคิดเป็นอื่นได้
    “...ฉันคนเดียวงั้นสิ”ชายหนุ่มยกยิ้ม พึมพำกับตัวเอง อินทนิลหายใจแรง เม้มปากแน่นมองเขาราวกับจะรับผลของการสาปแช่งนั้นเอง อีกฝ่ายโน้มตัวมาใกล้
    “อินน์ก็แค่ได้รับผลกระทบ คำสาปแช่งนั้นลงทัณฑ์ที่ท่านอานำลูกของหญิงอื่นเข้าในตระกูล เลี้ยงดูปูเสื่อให้เป็นเจ้าคนนายคน มณีไม่มีทางยอมอยู่แล้ว แต่เธอมีลูกยาก และไม่ปรารถนาจะท้องอีก เธอเกลียดชังสามี ก่อนตายสาปแช่งท่านอาไว้ ขอให้ทายาทของท่านอาภัพ ไร้รัก ไร้ครอบครัว และจงตายอย่างโดดเดี่ยว”อินทนิลกล่าวน้ำเสียงล่องลอยไปกับอดีตอันข่มขื่นของคนสกุลภิรมย์สุข ภูวรินทร์ส่ายศีรษะเบาๆ
    “เธอรู้ได้ยังไงกัน”เขาถาม อินทนิลมองเขาอย่างสับสน เด็กหนุ่มนิ่งคิดก่อนจะตอบออกมา
    “...อยู่ๆมันก็ผุดมาในหัว สงสัยมณีต้องสาปแช่ง‘ท่าน’ด้วยแน่ๆ จนทำให้อินน์เป็นแบบนี้ได้”ร่างกายของเด็กหนุ่มข้างๆเกร็งจนไหล่ตึง อยู่ๆเจ้าตัวก็เหมือนจะโกรธขึ้นมา โกรธต่อมณี ไม่ใช่เพราะคุณแก้ว เขาแปลกใจจริงๆ
    “คิดแบบนั้นจริงๆเหรอ”ภูวรินทร์ถามอย่างไม่เชื่อนัก อินทนิลเงยมองเขาด้วยสายตาเรียบเฉย ใบหน้าบึ้งตึงเหมือนไม่สบอารมณ์
    “ครับ คุณภูอย่ากังวลว่าอินน์ถูกบังคับ ชีวิตของอินน์มันจบสิ้นไปนานแล้ว เวลานี้มันเหมือนเป็นของท่านและก็ของอินน์ด้วย”เด็กหนุ่มพูดออกมาอย่างเด็ดขาดซะจนเขาไม่สามารถไปแย้งต่อการตัดสินใจแบบนี้
    “นั่นสินะ”เขาพึมพำ เป็นความจริงที่ว่าอินทนิลกับคุณแก้วแยกจากกันไม่ได้ มีอินน์ก็ต้องมีคุณแก้ว หากไม่มีล่ะก็...มันจะเกิดอะไรขึ้นกันนะ ชายหนุ่มถึงกับใจไม่ปกติ มองเด็กหนุ่มข้างๆอย่างใจลอย จนอินทนิลต้องยื่นมือมาโบกผ่านใบหน้าของเขา จนได้สติ “เธอว่าอะไรนะ”เขาถาม อินทนิลเผยยิ้ม
    “แต่อินน์ไม่เกลียดคุณภูหรอก ถึงแม้ว่าในอดีตคุณจะทำตัวไม่ดี”ถ้อยคำของอีกฝ่ายทำให้ใจของตนคลายความหดหู่ออกไปได้บ้าง
    หลังจากได้ฟังการสนทนาของท่านอากับคุณแก้วแล้ว ทำให้เขารู้ว่าท่านอาเป็นคนไม่รักษาสัจจะเอาซะเลย และการที่ตนเองต้องมาติดกับอดีต และคำแช่งของบ้านหลังนี้ ถือว่าเป็นการชดใช้งั้นเหรอ คุณมณีไม่น่าทำเช่นนั้นเลย แต่เธอก็ไม่ได้ผิดอะไร คุณแก้วก็ไม่ได้ผิดหนักสากัลป์ ความผิดอยู่ที่ท่านอานรินทร์แท้ๆ แล้วลูกหลานของสกุลนี้ต้องมารับกรรมไปด้วย อย่างอินทนิล ไหนจะหลานเหลนทางฝั่งของท่านอาอีก 
    “มีใครรู้เรื่องนี้อีกไหม เรื่องทารกนั่น”เขาถามต่อ อินทนิลส่ายหน้า
    “มีแค่อินน์และคุณภูเท่านั้น แต่ถ้าคุณอยากให้ป้าช่วย ก็ทำได้นะครับ”
    “ไม่ล่ะ...”เขาส่ายหน้า
    “เมื่อคืนก่อน ตอนที่เจอร่างของท่าน...อินน์ละเมออีกแล้ว”เด็กหนุ่มบอก ทำให้ภูวรินทร์ เข้าใจขึ้นมาในทันที เพราะเวลาตื่นมาก็ไม่เจออินทนิลแล้ว เหตุเพราะเจ้าตัวเดินละเมอออกไป
     “ไปเจอกับร่องรอยคำสาปสินะ...”ชายหนุ่มพูดต่อ
    “ไม่แน่ใจว่าใช่หรือเปล่า”
    “อยู่ที่ไหนล่ะ”ชายหนุ่มถาม อินทนิลเหลือบมองสายตานิ่งเฉย พร้อมเอ่ยน้ำเสียงเยือกเย็น “...สุสานของตระกูล”
ภูวรินทร์ถึงกับชาไปทั้งร่าง เพราะไม่คิดว่าตนเองจะต้องไปเจอกับอัฐิของท่านอาในชาติก่อน “งั้นเหรอ ไปกันเถอะ”

   สุสานของตระกลภิรมย์สุข คล้ายกับเป็นสวนมากกว่า ในตอนแรกเขาคิดว่าอยู่ไกลจากตัวบ้านซะอีก แต่ที่ไหนได้ สุสานกลับอยู่ในป่าที่ติดกับเรือนปั้นเหยานั่นเอง ซึ่งเขาไม่รู้มาก่อน แสดงว่าอินน์ละเมอไปถึงสุสานเลยงั้นเหรอ เหลือเชื่อจริงๆ
    หรือว่าไม่ใช่... หรือคุณแก้วจะเป็นฝ่ายนำทางไปหรือเปล่า นึกถึงคืนแรกตอนที่มาอยู่ที่นี่ กลางดึกคืนนั้น เป็นคุณแก้ว อินทนิลคิดว่าตนเองนอนละเมองั้นสินะ ป่านนี้แล้วยังไม่รู้อีกเหรอว่าคุณแก้วครอบงำเจ้าตัวได้ โดยเฉพาะเวลากลางคืน เมื่อเดินพ้นป่าเข้ามา ที่กลางทุ่งโล่งโอบล้อมด้วยต้นไม้สูง บริเวณตรงกลางมีลานตั้งอัฐิสีขาว มีคราบตระไข้น้ำรอยดำจากน้ำฝนและรอยแตกประปราย มีโกฏิบรรจุอัฐิหลายสิบอันเรียงเป็นแถว อินทนิลเดินพาเขาไปยังทางฝั่งซ้ายมือ เป็นฝั่งของท่านอาแน่ๆ
    ภูวรินทร์อาการไม่ดี พอเข้าใกล้เขตของท่านอา เขายิ่งคลื่นเหียนรุนแรง เนื้อตัวเย็นเยียบ  “คุณไหวไหมครับ อินน์เป็นห่วง”อีกฝ่ายขมวดคิ้วแน่น มองเขาอย่างกังวลใจ แล้วเดินกลับเข้ามาหาชายหนุ่ม
    “ไม่เป็นไรหรอก”เขาฝืนพูดไป แค่เดินก็รู้สึกเหมือนวิ่งมาหลายกิโลฯ เขาคงโดดเล่นงานอีกแล้ว สิ่งเหนือธรรมชาตินั้นเอาชนะไม่ง่ายเลย อินทนิลเดินไปยังโกฏิเก็บอัฐิสูงระดับหนึ่งเมตร ที่หน้ามีรูปและชื่อสลักลงแผ่นหินสีดำไว้ แต่ด้วยกาลเวลาและธรรมชาติทำให้แผ่นป้ายเลอะเลือนไปบ้าง แต่ก็ยังเห็นชื่อได้ชัด เมื่อมายืนข้างหน้าอัฐิของมณี เขาเดินเข้าไปใกล้อีก มองเห็นใบหน้าที่หายไปของผูหญิงคนนี้ด้วยใจย่ำแย่ หัวใจในอกด้านซ้ายเหมือนโดนบีบรัด ภูวรินทร์ไม่ทราบสาเหตุเช่นกัน อินทนิลหันมองเขา
    “คงถูกฝังไปด้วยกันแน่ๆ เอาไงดี”เด็กหนุ่มกระวนกระวาย
    “บอกลุงชมมาช่วยดีไหม”ชายหนุ่มเสนอวิธีที่เร็วที่สุด เพราะถ้าหากให้เขามัวชักช้าทุบอัฐิเองก็คงจะเสียเวลาไปนาน เด็กหนุ่มผงกศีรษะ ก่อนเอ่ยกับตน
    “...นั่นสิ งั้นอินน์ไปตามลุงก่อน คุณอยู่ที่นี่ไปนะครับ อินน์ไปแปบเดียว”เด็กหนุ่มบอก ส่งยิ้มให้เขา ก่อนจะรีบวิ่งออกผ่านแนวป่าออกไปพร้อมกับเสียงกระทบของกำไลข้อเท้าที่ค่อยๆจางหายไป ทั่วบริเวณตกอยู่ในความเงียบ อากาศเย็นสบายจากความร่มรื่นสมบูรณ์ของป่าไม้ เสียงนกบินเหนือแนวป่าดังให้ได้ยินพรึบพรับ 
    ภูวรินทร์รีบเดินไปทรุดนั่งที่โคนต้นไม้ใกล้ๆ ก่อนจะหลับตาสูดอาการบริสุทธิ์ เขาใจไม่ดี เหมือนคนหน้ามืดคล้ายเป็นลม แต่ไม่ใช่ ชายหนุ่มยกแขนจับที่หน้าอกที่หายใจติดขัดไปบ้าง
    “มันเกิดอะไรขึ้นกัน”วินาทีนั้นเขาก็นึกถึงคำของป้าษอรที่เคยกล่าวถึงท่านอาว่าท่านเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจวาย ชายหนุ่มไม่คิดว่าตนเองจะโชคร้ายป่านนั้นหรอก ผ่านไปไม่นาน อินทนิลกลับมาพร้อมลุงชมที่ถือเครื่องมือสำหรับทุบปูนและขุดดินมาด้วย มีคนงานตามมาสองคน
    “คุณภูนั่งไปก่อนดีกว่า เดี๋ยวให้ไอ้พวกนี้ทุบโกฏิให้เสร็จก่อน”ลุงชมบอกเขาที่กำลังจะขยับตัวลุก คนงานสองคนยกมือขอขมา พึมพำบทสวด อินทนิลเดินถอยหลังมาหาเขา สีหน้าไม่ดีเท่าไหร่ สองมือกำแน่น
    “เหมือนว่า‘ท่าน’จะไม่สบายใจนัก”เด็กหนุ่มยื่นหน้ามากระซิบกับเขาใกล้ๆ ชายหนุ่มมองคนงานสองคนที่เริ่มใช้อุปกรณ์แซะยอกโกฏิเสียงดังกึกก้อง เสียงทุบที่ดังไปเรื่อยเหมือนเป็นการตอกย้ำความกลัวของเขา ...อะไรบางอย่างมันทำให้เขาอยู่ไม่สุข และรู้สึกหดหู่ขึ้นมา
    พลั่ก
    ยอดโกฏิเก็บอัฐถูกขยับเลื่อนออก จากนั้นยกเอาโกศอัฐิทรงสูงสีทองเหลืองเก่าซีดออกมาวางไว้ และก็ทุบให้ฐานเจดีย์ราบไปกับดิน ลุงชมถือจอบมาถากหน้าดินออกไป บอกให้คนงานสองคนกลับไปก่อน ลุงชมถือว่ารอบคอบเพื่อรักษาหน้าตาชื่อเสียงของสกุลภิรมย์สุข สองคนนั้นพากันเดินกลับผ่านพ้นแนวป่าไปจนลับตา 
    จากนั้นลุงชมก็ค่อยๆแทงจอบลงดินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเป็นหลุมลึก ภูวรินทร์ยืนลุ้นกับอินทนิล เสียงจอบกระทบเข้ากับของแข็ง ลุงชมทำท่าตระหนกก่อนที่จะเร่งขุดเอาของในนั้นออกมา เขาเห็นว่ามันเป็นหีบไม้เก่าถูกฝังไปพร้อมกับอัฐิของมณี ลุงชมยกมันออกมาวางไว้บนพื้น เขารีบตามเข้าไปดู
     “เปิดเลยครับ”เขาบอก อินทนิลขยับมานั่งข้างๆ ลุงชมมีสีหน้าลังเลแต่ก็ยื่นมือออกไปเปิดฝากล่องช้าๆ สิ่งที่อยู่ด้านในทำเอาชายหนุ่มพะอืดพะอม เวียนหัวอย่างรุนแรง ในกล่องมีขวดโหลขนาดเล็กด้านในบรรจุน้ำสีเหลืองมีเศษไรฝุ่น หรือเศษซากจากร่างเล็กๆคล้ายก้อนเนื้อแต่เห็นเป็นรูปร่างของทารกที่ไม่สมประกอบ เขาแทบอ้วก รีบผลีผลามออกไปอาเจียนที่ใต้ต้นไม้ ร่างกายไร้เรี่ยวแรงขึ้นมา
    “คุณภู!”อินทนิลวิ่งตามมา ชายหนุ่มยกมือปิดปากกลั้นอาการสำรอกไว้ และความรู้สึกหดหู่ที่ตีรวนขึ้นมาในอก เหมือนทั้งร่างหนาวเหน็บไปหมด เขาหน้าซีดเซียว
    “...เด็กนั่น...”เขาพึมพำ รู้สึกอัดแน่นจนอกแทบระเบิด มันไม่บอกไม่ถูก แต่วินาทีที่เขาจ้องขวดโหลที่บรรจุซากทารกนั่นทำให้เขารู้สึกเศร้า คับแค้นขึ้นมาทันที
    “คุณภู...”อินทนิลเข้ามาประคองเขาไว้ พยายามลูบหลังให้เขา อยู่ๆภูวรินทร์ก็ฉุนเฉียวขึ้นมา
    “ตอบมาสิ ว่าเธอไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้!”เขาตะคอกถามออกไป ตั้งใจจะพูดกับคุณแก้ว มั่นใจว่าคุณแก้วต้องรับรู้ อินทนิลจ้องเขาอย่างตกใจ แววตานั้นดูซึมเศร้าขึ้นมา ร่างของเด็กหนุ่มทรุดนั่งลงข้างเขา
    “ไม่เกี่ยว ท่านไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้”เด็กหนุ่มส่ายหน้า มองเขาด้วยสายตาประหลาดราวกับเห็นผี
    “แต่เธอพูดเองไม่ใช่เหรอว่าคุณแก้วมีส่วน!”ชายหนุ่มยังจำได้กับคำพูดของอินทนิล เขาสะบัดศีรษะไปมา ไม่น่ามารับรู้เรื่องน่ากลัวนี้เลย หนำซ้ำยังดูทารุณเกินไป
    “ก็เพราะดอกไม้พิษพวกนั้นไง มีคนเอามันไปใช้ ท่านเป็นคนดูแลมาตลอดมันก็เหมือนกรุยทางให้ฆาตกร จนตอนนี้ ไม่มีอะไรพิสูจน์ได้ว่าเป็นฝีมือของท่านซะหน่อย คุณภูต้องเชื่ออินน์นะ”อินทนิลเข้ามาจับตัวเขาไว้ ชายหนุ่มยกมือกุมศีรษะ ความรู้สึกพวกนี้กำลังพลั่งพลูใส่เขาไม่หยุด ความทุกข์ของการเสียลูกไปมันนับไม่ถ้วน ท่านอาเสียใจไม่ได้ครึ่งของมณีด้วยซ้ำ
    “ให้ตายสิ ตอนนี้ฉันไม่รู้ว่ากำลังเผชิญกับอะไร ทำไมต้องเป็นฉันคนเดียวที่ต้องมาทนทุกข์กับเรื่องบ้าๆพวกนี้! มณีปรารถนาให้ฉันทนทุกข์ คุณแก้ว ปรารถนาให้ฉันมอบรักให้ ฉันต้องทำยังไงดีล่ะ อินน์”ชายหนุ่มร่ำร้อง เขาเอนตัวพิงกับลำต้นไม้ใหญ่ ถ้าหากเขาหายไปจากเรื่องนี้ได้จริงก็คงดี
    “ไม่เป็นไรครับ เรื่องนี้มันต้องยุติลง อินน์จะช่วยคุณเอง”อินทนิลพูด ขยับกายมาใกล้เขา พร้อมกับกอดแน่น ชายหนุ่มชะงัก พลางได้สติ เขาส่ายหน้า เหลือบมองลุงชมที่ยืนมองโหลขวดนั้นอย่างจดจ่อ พยายามดันร่างของเด็กหนุ่มออกไป แต่เจ้าตัวยิ่งรัดแน่นไม่ปล่อย

“ลุงช่วยจัดการโหลนั่นได้ไหมครับ ผมไม่รู้ว่ามันเกี่ยวข้องกับคำแช่งด้วยไหม”เขาบอกลุงชม โดยไม่มองหน้าเจ้าตัว
    “ได้ครับ เดี๋ยวผมจะเอาไปให้สัปเหร่อที่วัดตรงเชิงเขาทำพิธี คุณภูอย่าห่วงไปเลย พวกเราจะคอยช่วยอีกแรง”ลุงชมบอก ก้มหยิบกล่องไม้ขึ้นมาถือแนบอก มองเขาด้วยสายเห็นอกเห็นใจ ก่อนจะเดินออกไปจากลานสุสาน ปล่อยให้เขาอยู่กับอินทนิลที่ยังคงไม่ขยับไปไหน
    “คุณภู โอเคขึ้นหรือยัง”อินทนิลเอ่ย น้ำเสียงห่วงใยไม่เปลี่ยน เขาแหงนมองฟ้าด้านบน มองผ่านกลุ่มใบไม้หนา ฝูงนกกาดำหายไปหมดแล้ว เขาพยายามไม่ฟุ้งซ่าน
    “อืม ขอโทษนะที่ฉันเผลอตะคอกใส่”ภูวรินทร์พึมพำ อินทนิลผละออกจากตัวของเขาก่อนจะจ้องมองอยู่ไม่ห่าง
    “อินน์รู้ว่าคุณไม่ตั้งใจหรอก...เรื่องในอดีตมันทำร้ายคุณขึ้นเรื่อยๆ อินน์อยากให้คุณมีสติ”อินทนิลบอก เอื้อมมือมาจับมือของเขาไว้ ชายหนุ่มนึกแปลกใจว่าอะไรทำให้อีกฝ่ายต้องมาทำดีต่อเขา ทั้งๆที่เพิ่งรู้จักกันไม่นาน เห็นได้ชัดว่าเพราะคุณแก้วอยู่ในร่างเลยทำให้รับเอาอารมณ์ความรู้สึกมาด้วย 
     “ถามจริงๆนะ ทำไมเธอถึงอยากอยู่กับฉันล่ะ”ภูวรินทร์ถามออกไปตรงๆ เป็นอีกครั้งที่เขาสงสัยและตั้งคำถามต่อเด็กหนุ่ม อินทนิลมองเขา
    “คงเพราะคุณภูดีต่ออินน์ไง ไม่เกี่ยวกับว่าท่านผ่านอะไรมา แต่คุณจะมองว่าอินน์เป็นแค่อินทนิลไม่ได้เหรอครับ”แต่เท่าที่เห็นอินทนิลดูไม่หน่ายกับการตอบคำถามเขาเลย
    “มันก็จริงอย่างที่ว่า แต่...”ชายหนุ่มยอมรับว่าบางครั้ง เวลามองอินทนิลใจก็นึกถึงคุณแก้วไปด้วย
    “อย่ากังวลเลยครับ”เด็กหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงปลอบประโลม
    “แล้วเธอรู้มาก่อนหรือเปล่า ว่าคุณแก้วสามารถควบคุมเธอได้ โดยเฉพาะการเดินละเมอของเธอ”ภูวรินทร์ไม่ทิ้งข้อสงสัยนี้ เขาพูดกับคนข้างกาย เจ้าตัวไม่แปลกใจ นัยน์ตาแสดงออกถึงความยึดมั่น
    “อินน์ก็คิดเหมือนคุณ แต่ท่าน...คุณแก้วน่ะ ไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้น ท่านไม่ได้คิดจะเอาชีวิตของอินน์ไป ทำไม่ได้หรอก คนที่จากไปแล้วจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้ยังไงกัน”อินทนิลพูด สายตาที่เหม่อมองเขาแสดงออกถึงความเศร้า ดวงตาสีนิลหม่นหมองลงไปบ้าง
    “เธอจะไม่ได้มีชีวิตของตัวเอง”
    “คุณภูไม่เชื่อในชะตาลิขิตจริงๆน่ะเหรอ อินน์เชื่อนะ มันมีเหตุผลที่คุณมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ เพราะในชาติก่อนคุณคือท่านอาอย่างเดียวน่ะเหรอ ทั้งใบหน้าที่คล้ายคลึงกัน... อีกอย่าง มีสิ่งหนึ่งที่คุณภูจะต้องเตรียมใจ”อินทนิลพูดเสียงสั่นเครือเล็กน้อย คิ้วขมวดมุ่น ชายหนุ่มมองเด็กหนุ่มอย่างตั้งใจ
    “ว่ามาสิ”เขาบอก ไม่มีอะไรทำให้เขาตกใจไปมากกว่านี้แล้วล่ะ นัยน์ตาของอินทนิลมีประกายความห่วงใยชัดเจน
    “...ไม่แน่ว่าคุณอาจจะเป็นคนสกุลนี้ก็ได้ เพราะคุณรับผลคำแช่งมาหนักหนา มากกว่าตัวอินน์ซะอีก”อินทนิลบอก ภูวรินทร์นิ่งค้างไป ในใจต่อต้าน ในข้อนี้เขาเคยคิดอยู่เช่นกัน แต่ว่าพ่อแม่ของเขาไม่ใช่พวกผู้ดีเก่า เป็นแค่นักธุรกิจธรรมดาเท่านั้น และเขาก็ไม่ใช่ลูกคนเดียว ซ้ำยังมีพี่น้องอีกสองคน
    “จะเป็นไปได้ยังไง”เขาไม่เชื่อ
    “ลูกหลานฝั่งท่านอาที่เหลืออยู่คงจะมีแค่ คุณนิรุท เป็นหลานของลูกชายท่านอา ตอนนี้เหมือนว่าจะอยู่ต่างประเทศ อินน์เคยได้ยินป้าษอรคุยกับลุงชมว่าคุณนิรุทมีลูกชายอยู่หนึ่งคน ”
    “จะบอกว่าเป็นฉันงั้นเหรอ”ภูวรินทร์หัวเราะแกนๆ พยายามนึกหาเหตุผลมาประกอบ อินทนิลมองเขาอยู่เงียบไม่แย้งอะไรออกมา แต่สังเกตจากสายตาอีกฝ่ายคงเชื่อว่าเขามีเชื้อสายของคนสกุลนี้
    “เรื่องนี้...ษอรเคยเล่าให้อินน์ฟัง ตอนที่เขามาจัดการโฉนดที่ดิน เขามอบอำนาจให้ษอรดำเนินการเรื่องที่ดิน”
“อะไรนะ พูดเรื่องอะไร”ภูวรินทร์รีบผลุดลุกขึ้นยืนทันที เขางงงวย คว้าแขนอินทนิลไว้แน่น จนเจ้าตัวย่นหน้า
    “...ตอนที่โอนย้ายที่ดิน...ษอรคงไม่กล้าบอกคุณ คงหาโอกาสดีๆบอก คุณนิรุทใช้หนังสือมอบอำนาจการรับโอนมรดก”อินทนิลพูดช้าๆ กลัวว่าเขาจะไม่เข้าใจ ภูวรินทร์อ้ำอึ้ง เขาปฏิเสธมาตลอดว่าไม่มีทางเป็นไปได้ แต่นี่...มรดกงั้นเหรอ ชายหนุ่มเซถอยหลัง
    “ไม่จริงน่า ฉันเนี่ยนะ”เขาไม่ยอมเชื่อ เหมือนร่างกายไม่รับรู้ความจริงนี้ เขาส่ายหน้า ก่อนจะออกวิ่งออกจากสุสานเพื่อไปหาป้าษอรให้เร็วที่สุด ในหัวคิดอะไรไม่ออก ‘ไม่ใช่เรื่องจริง’ ‘เป็นไปได้ยังไงกัน’ ‘เขาถูกหลอกมาตลอด ป้าษอรทำเหมือนเขาโง่’ ‘พ่อกับแม่ไม่เคยบอกอะไรเขาเลยด้วยซ้ำ ทำไมกัน’

ภูวรินทร์ความคิดสับสนตีกันให้วุ่น อินทนิลวิ่งตามเขามาด้วย เมื่อวิ่งผ่านเรือนปั้นเหยามาจนถึงสวนหน้าบ้าน เขาตะโกนเรียกป้าษอรเสียงดัง
    “ป้าษอร! ออกมาหาผมเดี๋ยวนี้!”ชายหนุ่มทั้งเหนื่อย ทั้งสับสน เขายืนหายใจหอบอยู่ที่บันไดทางเข้าบ้านใหญ่ อินทนิลวิ่งมาหาเขาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
    “เธอรู้ แต่ไม่ยอมบอกฉันเนี่ยนะ”เขาโกรธ มันชัดเจนพอ มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เขามายังบ้านหลังนี้ เป็นคำสาปแช่งที่ร้ายแรง ส่งผลโดยตรงต่อลูกหลานของท่านอา ...เป็นไปได้ยังไง...
    “ขอโทษครับ แต่อินน์ไม่รู้จะบอกคุณยังไง”
    ป้าษอรเดินออกมาจากทางโถงรับแขกด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม ใบหน้าของเธอยังรักษาอาการสงบนิ่งไว้ได้ดี แต่เขาร้อนใจ
    “ป้าเห็นผมเป็นอะไรกัน ทำไมต้องปิดบังเรื่องสำคัญขนาดนี้ด้วย”เขาพูดเสียงดัง ก้าวเท้าไปหาป้าษอรที่เหลือบมองอินทนิลก่อนจะมองเขาด้วยแววตาลำบากใจ
    “คุณภูใจเย็นๆก่อนค่ะ เรื่องนี้มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เข้าไปด้านในบ้านเถอะค่ะ”เธอไม่ตอบคำถาม แต่ทำทีเป็นห่วงเขาแทน ชายหนุ่มไม่สบอารมณ์
    “...เชื่อษอรเถอะ จำที่บอกไม่ได้เหรอครับ คุณต้องมีสติให้มากๆ”อินทนิลเดินเข้ามาแทรกกลางระหว่างเขากับป้าษอร คนเด็กกว่าจ้องเขาอย่างไม่เกรงกลัว เขามองแววตาเอาเรื่องนั้นอย่างหงุดหงิด
    “ฉันมีสติดี คิดว่าฉันบ้าหรือไง”
    “...คุณภูครับ”อินทนิลเรียกเขา
    ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าออกยาวๆ พยายามไม่ระเบิดโทสะออกไป เขาเดินกลับเข้าไปในบ้าน เดินไปนั่งที่โถงรับแขก คิดทบทวนกับตัวเอง จะไปโทษป้าษอรฝ่ายเดียวก็ไม่ถูก พ่อแม่ของเขายังไม่แม้แต่จะบอกความจริงทั้งๆที่เขามาซื้อบ้านหลังนี้ สองคนนั้นก็รับรู้
    อินทนิลค่อยๆเดินมาหาเขา เหมือนมาสำรวจว่าเขาอารมณ์กลับมาปกติแล้วหรือยัง อีกฝ่ายยังคงเข้ามานั่งข้างกายเขา ในมือถือดอกแก้วมา กลิ่มหอมอ่อนๆของมันทำให้เขาผ่อนคลายขึ้นอย่างประหลาด ป้าษอรยังไม่โผล่มาให้เขาเห็นหน้า
    “อีกเดี๋ยวษอรจะมาคุยด้วย”อินทนิลบอก
    “อืม”เขาตอบสั้นๆ ซบหน้าลงกับฝ่ามืออย่างเหนื่อยล้า วันนี้เขาเจอเรื่องมามากเหลือเกินจนไม่อยากรับรู้อะไรอีก เวลาผ่านไปนานจนเขาหันไปมองอินทนิลที่นั่งไม่ขยับไปไหน เจ้าตัวยื่นดอกไม้ให้เขา
    “กลิ่นดอกแก้ว ช่วยให้ปลอดโปร่งขึ้นใช่ไหม”เด็กหนุ่มเอ่ยถาม เขารับช่อดอกแก้วมาถือไว้ เขาจับกลีบสีขาวเล็กไว้ สายตาเหม่อลอย “ใช่...”ชายหนุ่มพยายามยิ้มออกมา อินทนิลจ้องเขา ในใจคงอยากเอ่ยคำปลอบประโลมเขา แต่ไม่กล้า กว่าที่การรอคอยของเขาจะสิ้นสุดลงก็กินเวลาไปถึงสิบนาที ป้าษอรเดินเข้ามาในโถงรับแขกพร้อมกับกระเป๋าเอกสารสีดำ
    ภูวรินทร์ยืดตัวอย่างกังวลใจ วางดอกแก้วลงกับโต๊ะ “ขอโทษค่ะที่ป้าให้คุณภูรอเสียนาน แต่ป้าอยากให้คุณใจเย็นลง”เธอพูดอย่างไม่ถือสา แล้วนั่งลงทางขวามือที่เก้าอี้อีกตัว เธอเปิดกระเป๋าเอกสาร ดึงซองสีน้ำตาลด้านในออกมา ชายหนุ่มพยายามไม่คว้ามันมาจากมือของป้าษอร
    “นี่เป็นเอกสารตอนที่คุณนิรุทมอบอำนาจให้ป้าค่ะ”เธอยื่นเอกสารมาให้เขา ภูวรินทร์รีบรับมาอ่าน ในมือของเขาเป็นเอกสารรับโอนมรดกที่ดิน ในนี้มันระบุไว้ชัดเจนว่าคุณนิรุทมอบที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่ป้าษอรเป็นผู้จัดการมรดก ส่วนใบถัดไป เป็นสำเนาการรับรองบุตรของคุณนิรุทให้กับแม่ของเขา แสดงว่าแม่กับเขาไม่ได้แต่งงานกันงั้นสินะ
    ภูวรินทร์พูดไม่ออก ทำไมแม่ไม่เคยบอกเขา “ป้าเข้าใจว่าคุณกำลังสับสน”เธอพูด แต่ชายหนุ่มไม่มีคำพูดตอบกลับไป เขาคิดอะไรไม่ออก
    “ไม่มีใครอยากได้บ้านหลังนี้ คุณนิรุทคงรั้งคุณไม่ให้มาที่บ้านนี้ไม่ได้จริงๆ ยิ่งคุณเติบโตมาเหมือนกับท่านอานรินทร์ก็ยิ่งทำให้เขามั่นใจว่าคุณคือท่านอาในอดีตแน่ๆ”
    “ทำไมถึงมั่นใจ”
    “ก่อนหน้านั้น มีพระท่านทักคุณนิรุทตั้งแต่ท่านยังหนุ่มๆว่าจะได้ญาติผู้ใหญ่กลับมาอยู่ด้วย แต่ไม่มีใครสนใจนัก”
    “แล้วแม่ผมไปรู้จักกับคนบ้านนี้ได้ยังไง”
    “คุณแม่ของคุณกับคุณนิรุทแค่คบหากัน ไม่ทันได้แต่งงานหรอกค่ะ เพราะช่วงนั้นสถานการณ์ของที่บ้านไม่ค่อยดี”เธอเล่า สรุปแล้วแม่ของเขาก็แค่คู่นอนของนายนิรุท... พอท้องก็คงไม่อยากให้เด็กไม่มีพ่อ เลยต้องมารับรองบุตรให้เขาทีหลังงั้นสิ
    คนตระกูลนี้ก็เหมือนๆกันหมด
    ชายหนุ่มรู้สึกเฉยชากับชายคนนี้จริงๆ ในซองเอกสารมีภาพถ่ายเก่าๆติดมาด้วย เป็นภาพถ่ายระหว่างพ่อกับแม่ของเขาและมีนายนิรุทยืนอยู่ข้างๆ ส่วนเขานั้นยังแบเบาะอยู่ในอ้อมอกของชายคนนี้
    “เหมือนว่านี่เป็นความจริงเรื่องคำแช่ง”เขาพึมพำ วางเอกสารลงบนโต๊ะ ในใจยังคงขัดแย้งกันอยู่ เขาไม่อยากเชื่อด้วยซ้ำ ทางที่ดีควรโทรไปหาแม่เพื่อถามความจริง เขาควานหาโทรศัพท์ แต่มันไม่ได้อยู่กับตัวเขา
    “ถ้าคุณภูอยากได้หลักฐานจริงๆ ป้าจะไปขอกับทางคุณนิรุท ท่านคงส่งหลักฐาน—”
    “ไม่ต้องหรอกครับ มันไม่ได้สำคัญขนาดนั้น”ชายหนุ่มพูดห้วนๆ ป้าษอรมองเขาอย่างเห็นใจ เธอเก็บเอกสารใส่กระเป๋าวางมันไว้ที่โต๊ะ ก่อนจะเดินกลับไปที่ห้องครัวตามเดิม ชายหนุ่มกุมศีรษะ
    “ฉันคงต้องเชื่อเรื่องชะตาลิขิตจริงๆซะแล้วสิ”ภูวรินทร์พูด คำแช่งของมณีเป็นผล ไหนจะคำแช่งจากคุณแก้วอีกที่ท่านอาผิดคำสาบาน คนตระกูลนี้ทำลายกันเองแท้ๆ ชายหนุ่มหันมองอินทนิลด้วยใจต่างจากเดิม ตอนแรกเขากำลังรู้สึกดีกับอีกฝ่ายอยู่เเล้วเชียว แต่...มันไม่มีทางเป็นไปได้หรอกนะอินน์
    “คุณภูครับ...”อินทนิลมองเขา ท่าทางกระวนกระวายใจ มันน่าตกใจกว่า ที่เขากับอินทนิลเป็นญาติพี่น้องกัน... แล้วแบบนี้มันจะไปจบที่ตรงไหน ระหว่างเขากับอินน์มันจะลงเอยอย่างไร 
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ [ ตอนที่๗ ครึ่งหลัง ] ๐๗.๐๑.๖๑ หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 07-01-2018 01:24:10

 
หลังจากที่ภูวรินทร์รู้ความจริงเรื่องชาติกำเนิดของตนเอง เขายังไม่อยากคุยกับอินทนิล จึงกลับขึ้นไปยังชั้นบน เขาหาโทรศัพท์เจอจนได้ มันอยู่ใต้หมอน เขาโทรหาผู้เป็นมารดา แต่ทว่าเธอไม่รับสาย ชายหนุ่มมองหน้าจอที่ดับลงอย่างขัดใจ เขาจึงโทรหาโชติต่อ “มีอะไรเหรอภู”
“แกช่วยฉันหาข้อมูลของคุณนิรุท เจ้าของบ้านคนเก่าที่ฉันซื้อได้ไหม ขอเป็นเรื่องรักๆใครๆของเขาน่ะ”ภูวรินทร์จำต้อเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากเพื่อน แม้ว่าอีกฝ่ายจะต้องเจอความจริงเรื่องชาติกำเนิดของตนก็ตาม แต่โชติเป็นเพื่อนที่ดีและไว้ใจได้
“อ้อ ได้สิ ว่าแต่แกเป็นอะไรหรือเปล่า”คู่สนทนาเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
“เปล่า ฉันสบายดี ...”
“แกจะกลับมาทำงานเมื่อไหร่”
“...ฉันก็อยากกลับ แต่ขอสะสางเรื่องที่นี่ก่อน ฝากแกดูแลงานให้หน่อยก็แล้วกัน”
“อืมได้ แต่แกอย่าอยู่ที่นั่นนานไปล่ะ ฉันรู้สึกไม่ดียังไงก็ไม่รู้”
“อย่าห่วงเลย ฉันคงได้กลับไปแน่ๆ”เขาพึมพำ จากนั้นก็ทรุดตัวนั่งลงเตียงอย่างเหนื่อยล้า เรื่องโหลดองทารกนั่น ไม่รู้ว่าลุงชมจะได้เรื่องอะไรไหม เขาถอนหายใจ แม้จะตกใจและไม่ยอมรับความจริงที่ว่าเขาเป็นลูกหลานของสกุลนี้ ทั้งยังเป็นญาติกับอินทนิลด้วย มันทำให้เขาหนักใจอยู่บ้าง มันจะซ้ำรอยท่านอาหรือเปล่านะ?
เย็นวันนั้น ภูวรินทร์ไม่เจริญอาหาร แม้จะมีของโปรดหลายอย่าง บนโต๊ะอาหารวันนี้เงียบกว่าปกติ อินทนิลไม่ได้มาทานข้าวด้วย เหลือแค่เขาเท่านั้น ชายหนุ่มเดินไปรอบๆบ้านอย่างเหม่อลอย บ้านหลังใหญ่โต แต่มีเพียงเขา ลูกหลานคนอื่นๆก็หายไปหมด มันทำให้เขาโดดเดี่ยวขึ้นมา คำแช่งของมณีดังก้องอยู่ในหู จุดจบของเขาจะเป็นเช่นไร และในอดีตชาตินั้นท่านอาตายอย่างไร้ญาติขาดมิตรหรือไม่
ตกดึก รอบข้างเงียบสงัด ความมืดและเสียงหวีดหวิวคืบคลานเข้ามาเรื่อยๆ เข็มนาฬิกาขยับไปทีละนิด ชายหนุ่มยังคงนั่งอยู่ในห้องอ่านหนังสือ เขาแค่อยากหาที่สงบใจ ทีแรกเขาอยากเข้าวัด แต่คงต้องบอกลุงชมให้เตรียมรถอีก
ภูวรินทร์เดินไปยังหน้าต่างบานใหญ่ มองออกไปที่สวนด้านหน้า พอมองสวนในเวลานี้แล้ว ลานน้ำพุกลับดูร้างเงียบเหงา ไม่น่าเข้าใกล้ สายน้ำพุหยุดไหลไปตั้งแต่เมื่อเย็น  เป็นเช่นนี้ทุกวัน เขาสังเกตกิจวัตรของคนงานในบ้าน พบว่ามันซ้ำเดิม อย่างป้าษอรที่อยู่ในครัว ลุงชมดูแลสวน คนงานอื่นๆสองสามคนดูแลความสะอาด แต่เขาไม่เคยเจอหน้าตานัก ยกเว้นก็ตอนที่ไปทุบโกฏิของมณี พอนึกถึงเรื่องนี้แล้วเขาก็หนาวเหน็บขึ้นมา
...กลัว...
เขากำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้ เขาเดินออกห่างจากหน้าต่าง เก็บหนังสือราชนิพนธ์เล่มเก่าไปเข้าชั้น แล้วเดินกลับไปยังห้องนอน ทุกย่างก้าว เขากังวลใจ ระยะทางไม่ไกล แต่เขากลับรู้สึกว่ามันนาน เสียงฝีเท้าของตนดังให้ได้ยิน พยายามไม่ฟุ้งซ่านกับค่ำคืนของบ้านหลังนี้
นาทีนี้เขานึกถึงอินทนิล เด็กหนุ่มหายไปตั้งแต่เมื่อเย็นแล้ว อาจโกรธเขาอยู่งั้นเหรอ คงไม่ใช่... หรือคุณแก้วกำลังใช้เวลานี้อยู่ ชายหนุ่มถอนหายใจยาวๆก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในห้องอุ่นสบาย พอเดินเข้าไปเขาถึงกับผงะตกใจ ก้าวถอยหลังโดยสัญชาติญาณ ที่ริมหน้าต่างเปิดกว้าง เห็นร่างของอินทนิลนั่งห้อยขาอยู่อย่างนั้น เส้นผมยาวปกบ่า ศีรษะก้มต่ำ เขาหายใจไม่ทั่วท้อง บอกให้ตนเองหันหน้าหนีและออกจากห้องนี้ไป แต่เหมือนร่างถูกตรึงไว้
นั่นไม่ใช่อินน์...คุณแก้วงั้นเหรอ ทำไมต้องมาหลอนกับเขาอีก
“...แก้วเหรอ”เขาถาม ในเมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่มีเหตุผลที่ต้องหนีอีก เขาไม่ได้ก้าวเท้าไปหา ร่างนั้นไม่ขยับ เขยื้อน ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจ ค่อยๆขยับกายเข้าไปหาช้าๆ พยายามมองไปทั่วห้องนอน ที่นี่ดูเป็นปกติดี ยังเป็นห้องของเขา
“แม้จะเป็นเพียงอีกชาติที่ผันผ่านมาแล้ว แต่กรรมที่ติดตัวมามันชะล้างออกไปไม่ได้ ถึงบอกไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ก็ยังมีชะตาที่ผูกติดกันไม่ขาดไปไหน”เสียงนั้นเอ่ย เป็นเสียงของอินทนิล ชายหนุ่มฟังแล้วปวดใจ เขาส่ายศีรษะไม่ยอมรับ
“ลงมาเถอะ”เขาบอก หากเป็นอินทนิลจริง ก็คงจะทำตามที่เขาบอก แต่ร่างนั้นกลับโงนเงน ความกลัวของเขาเป็นจริง เมื่อชายหนุ่มก้าวเท้าไปหา แต่ฉับพลันร่างของอินทนิลก็ปล่อยตัวล้มลงไปทางหน้าต่าง เขาตะลึงตะลาน ได้ยินเสียงดังพลั่กจากด้านล่างแล้วก็รีบปรี่เข้าไปดู
“อินน์!!”เขาก้มลงไปมองอย่างเคว้างคว้าง สองมือกำแน่นที่ขอบหน้าต่าง แต่ที่เบื้องล่างนั้นปราศจากร่างของอินทนิล เขาใจหายไป เมื่อคิดได้ว่ากำลังเผชิญกับสิ่งผิดปกติ ชายหนุ่มหมุนตัวกลับเข้ามาด้านใน ก็ยิ่งทำให้ช็อกหนักกว่าเดิม ร่างซีดเซียวของอินทนิลยืนอยู่ตรงหน้าจนชิดกับเขา ชายหนุ่มร้องไม่ออก เมื่อเห็นใบหน้าของอีกฝ่าย สบตากับดวงตาวาววับสีดำนั้นเข้าเต็มเปา เหมือนอย่างเคยอินทนิลที่เป็นภาพหลอน น่าสยดสยอง เห็นได้ชัดว่าร่างนี้เหมือนตายไปแล้ว ผมเผ้าปกรกใบหน้า ดวงตาที่ดูจะเบิกกว้างกว่าปกติจ้องมาที่เขา
ชายหนุ่มตื่นตระหนก ไม่สามารถควบคุมร่างกายได้ดั่งใจ เหมือนทุกอย่างเคลื่อนไหวช้าลง เขาถูกมือซีดขาว เล็บม่วงช้ำเลือด เหมือนเลือดคลั่งผลักเขาเต็มแรง อินทนิลที่โกรธแค้นอย่างรุนแรง เขาทำอะไรไม่ได้ แม้ใจจะอยากให้เอื้อมมือไปคว้ากรอบหน้าต่างไว้ แต่ไม่ทันซะแล้ว
ร่างของตกกระแทกพื้นดินเบื้องหลังดังอั้กใหญ่ เขาเจ็บร้าวไปทั้งตัว เหมือนว่าอะไรบางอย่างไหลไปตามแผ่นหลัง อาจเป็นเลือด บนหน้าต่างร่างของอินทนิลยืนจ้องเขาอย่างถมึงทึง ก่อนที่ร่างนั้นจะโดดตามลงมาอีกครั้ง
ไม่นะ!!
ภูวรินทร์สะดุ้งตื่น เมื่อศีรษะเอนเองไปโขกกระทบกับผนังเก้าอี้ เสียงของหนักหล่นตกพื้นปลุกให้ชายหนุ่มลืมตาขึ้นมา ความกลัวพลันจู่โจมไปถึงขั้วหัวใจ เขามองไปทางเบื้องหน้า เจอกับตู้หนังสือ...เขามาหลับอยู่ในนี้เอง ไม่ทันจะลุก เขาเหลือบไปมองไปทางที่เท้าแขนของเก้าอี้นวมตัวเก่า เจอเข้ากับร่างของเด็กหนุ่มที่นั่งเท้าคางมองเขาด้วยใบหน้ายิ้มกว้าง แต่...ดวงตาพร่ามัวขุ่นขาว เหมือนกระจกตาของคนที่ตายไปแล้ว เนื้อตัวซีดเขียวเหมือนคนขาดอากาศหายใจ เขาหวนนึกถึงสาเหตุที่อินน์ต้องป่วยหนักแล้วก็ยิ่งทวีคูณความหวาดผวา 
“ออกไปนะ”ชายหนุ่มผวากลัว ผุดลุกขึ้นยืนอย่างไร้สติ เขาสะดุดล้มลงไปพร้อมกับเก้าอี้ ครั้งนี้ในฝันเขาไม่ได้ตายซ้ำซาก แต่กลับมาเจออินทนิลในสภาพตายไปแล้ว
มันน่ากลัวไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ เขารีบพลิกตัวหาประตูทางออก สองขาไร้เรี่ยวแรงจะลุกขึ้นยืน น้ำตาปริ่มออกมาทั้งความกลัว ความหดหู่ ...เป็นความกลัวที่ว่าหากตนต้องเผชิญกับภาพอันน่าสะพรึงแบบนี้ต่อไป เขาคงรับไม่ไหวแน่ๆ เขาสติแตก และคงจะเป็นบ้าไปจริงๆ
นี่มันน่ากลัวกว่าครั้งไหนๆอีก
“ช่วยด้วย!”เขาร้องเรียกเสียงดังลั่น สองหูได้ยินเสียงก้าวเดินของร่างด้านหลัง ภูวรินทร์รีบทรงตัวลุกขึ้นยืน เขาตรงไปที่ประตูห้อง หมุนลูกบิดอย่างรวดเร็ว ประตูเปิดออกกว้าง เขาผงะถอยหลังเมื่อเจอเข้ากับร่างผอมบางของคุณแก้ว เพราะร่างตรงหน้าสูงกว่าอินทนิล แต่คุณแก้วไม่ได้น่ากลัว แต่การมายืนขวางทางไว้แบบนี้ไม่ใช่เจตนาดี
“คุณหนีเราไม่พ้นหรอก ต่อให้ไปเกิดใหม่อีกกี่ภพ สักวันก็ต้องมาบรรจบกัน”
“ในเมื่อทั้งเรา อินน์ และคุณก็ไม่อาจแยกจากกันได้ เหตุใดถึงไม่มาอยู่ด้วยกันเล่า มันคงง่ายกว่าเยอะ หากคุณยินยอม”
“ไม่!”
ภูวรินทร์ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อ เพราะคุณแก้วไม่ขยับไหน จ้องเขาเขม็ง สวมเสื้อผ้าชุดเดิม ชุดสีขาวเปื้อนดินสกปรก คงเป็นสภาพตอนที่ท่านเสียชีวิตที่เรือนเพาะชำ ยิ่งทางด้านหลัง ชายหนุ่มแทบไม่ต้องเดาว่าป่านนี้คงมายืนชิดเขาจนขยับไม่ได้ เขาหลับตาแน่นเมื่อเห็นเสื้อขาวๆของอินทนิลใกล้เข้ามาบริเวณลำตัว
ขอร้องล่ะ ไปให้พ้น !
ชายหนุ่มคิดอยู่ในใจ ไม่อยากเห็นใบหน้าพวกนี้อีกแล้ว

“เพราะแบบนี้ไงคุณถึงต้องมีเราเคียงข้าง”เสียงหนึ่งปลุกให้ภูวรินทร์ตื่นออกจากห้วงฝันร้าย ชายหนุ่มผวา สองมือตะเกียกตะกาย ปัดป่ายสัมผัสที่เข้ามาใกล้ พอมองดีๆแล้วเขาเห็นอินทนิลนั่งอยู่ข้างกายในเก้าอี้ทางฝั่งขวามือ ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าช้าๆ พยายามตั้งสติกลับมา ตนเองยังคงนอนเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้ในห้องหนังสือ ที่ตักของเขามีหนังสือกางคว่ำหน้าไว้
“อินน์”เขาหลุดปากเรียกออกไป แต่คนข้างกายไม่ใช่...ในเวลานี้กลายเป็นคุณแก้ว ชายหนุ่มหน้าหม่นหมอง เขาขยับตัวลุกขึ้นนั่งในท่าทางปกติ เก็บหนังสือวางไว้ที่โต๊ะด้านหน้า ร่างของอินทนิลลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาหยุดตรงเก้าอี้ของเขา
“เสียใจด้วย ที่วันนี้อินน์ไม่ได้อยู่ด้วย แต่เป็นเราแทน”เสียงนั้นต่างจากอินทนิลอยู่บ้าง มันช่างแปลกที่เขามองเห็นอินทนิลที่ไม่ใช่อินทนิล มันทำให้เขาสับสน
“งั้นเหรอ ผมจะไปทำอะไรได้ล่ะ”เขาพูด ลุกขึ้นยืนแต่คุณแก้วกลับดันไหล่เขาให้นั่งลงต่อไป อย่างที่คิดอีกฝ่ายต้องการอยู่เหนือกว่าเขา ชายหนุ่มขมวดคิ้ว คุณแก้วยิ้มหยัน
“ไม่พอใจงั้นเหรอ แย่หน่อยนะ ที่เราไม่ใจดีเช่นอินน์ แต่วันนี้ไม่ได้มาชวนทะเลาะ ไม่เห็นหรือไง ว่าเราช่วยคุณตื่นจากฝันร้าย”เจ้าตัวพูดทวงบุญคุณ ชายหนุ่มเงียบไป ใช่ เขารู้สึกขอบคุณคุณแก้วอยู่ในใจ แต่ไม่รู้ว่าเจ้าตัวนั้นทราบหรือเปล่าว่าฝันร้ายที่เขาเผชิญอยู่ คือใคร
“คุณโกรธแค้นผมเหรอ”ชายหนุ่มถาม เขาอยากรู้ว่าจริงๆแล้วใจของคุณแก้วแค้นเคืองเขาอยู่หรือไม่ ร่างผอมบางที่เป็นของอินทนิลขยับเข้ามาหา สีหน้าราบเรียบ แต่แววตาสะท้อนความเย็นชา
“ไม่ได้แค้น แต่เรามีสิทธิ์ที่จะไม่พอใจ...แต่ตอนนี้ไม่มีเวลามาทำแบบนั้นหรอก เรามีโอกาสได้เจอคุณ สิ่งที่เราอยากบอกก็คือ ให้คุณรำลึกถึงอดีตของเราต่างหาก ยิ่งรู้มากก็ยิ่งคลายปัญหาได้มากขึ้น เราช่วยมากไม่ได้หรอก ลำพังจะใช้ร่างกายของอินน์ก็ทำได้ไม่ง่าย...”คุณแก้วพูดเบาๆ คิ้วขยับเข้าหากันอย่างปวดในใจ
“ผมต้องทำยังไง”เขาถาม
“ที่คุณสามารถฝันถึงเรื่องในอดีตได้ก็เพราะเจอโครงกระดูกของเรา บ้านหลังนี้มีร่องรอยอดีตตั้งมาก ไม่แน่ คุณอาจฝันอีก อาจเป็นเรื่องของมณี...”คุณแก้วบอก คงรู้ว่าเขาเจอกับทารกนั่นแล้ว
“จะทำยังไงเรื่องคำแช่งดีล่ะ ทำให้มันหายไปไม่ได้เหรอ”เขาพูดอย่างคนจนตรอก คุณแก้วมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า
“...ทำไม่ได้หรอก คำแช่ง คำสาบานศักดิ์สิทธิ์กว่าที่เราคาดไว้ แต่เราก็พยายามจะช่วยให้ถึงที่สุด...โดยผ่านอินน์”
“การละเมอน่ะเหรอ”
“ใช่...แต่มีข้อเสียคืออินน์จะจดจำอะไรไม่ได้ มันคงทำให้เด็กนั่นกลัวขึ้นมาหากลืมตาตื่นมาในสถานที่ไม่คุ้นเคย”
“อย่างนี้นี่เอง....งั้นเรื่องในคืนที่ละเมอออกไปที่สวน คุณเรียกผมไปงั้นเหรอ”เขาถาม มีข้อสงสัยในวันนั้นว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาจำไม่ได้ อินทนิลจำไม่ได้ คุณแก้วต้องรู้อยู่แก่ใจ
“คืนนั้น...”คุณแก้วค่อยๆยิ้ม ถึงจะเป็นร่างของอินทนิล แต่การยิ้มเยาะเช่นนี้ก็ไม่น่ามองนัก เขาย่นคิ้ว รู้สึกถึงลางร้ายขึ้นมา คุณแก้วโน้มตัวลงมาหาเขา แล้วกระซิบบอก
“เราจะบอกอะไรให้ มนุษย์นั้นมีกิเลสมาร ตัวเราที่คงอยู่ก็เพราะขันธมาร...กิเลสมารของคุณ คือโลภะ โทสะ โมหะ เห็นได้จากชีวิตประจำวัน รัก โลภโกรธ หลง โดยเฉพาะ โมหะที่เป็นความหลง ความไม่รู้ผิดชอบชั่วดี เป็นปัจจัยทำให้เกิดทั้ง โลภะ และ โทสะ  เมื่อโมหะทำให้ไม่เห็นถูกในธรรม มันทำลายซึ่งความดีไป ดังนั้นสัตว์โลกจึงต้องไม่พ้นไปจากสังสารวัฏ”
“คุณพูดเรื่องอะไร”ชายหนุ่มพยายามปะติดปะต่อเรื่องราว คุณแก้วเล่าธรรมมะให้เขาฟัง มันเกี่ยวข้องกับเรื่องคืนนั้นด้วยงั้นเหรอ ‘กิเลสมาร’งั้นเหรอ มันหมายความว่ายังไง จับต้นชนปลายไม่ถูก
 “เราจะบอกว่า เป็นเรื่องยากที่มนุษย์จะดับกิเลสมารได้ เหมือนกับตัวคุณไง เพราะยังมีกิเลสมารนี้อยู่ จึงยังต้องมีการเกิดและตายอย่างไม่มีวันจบสิ้น….”คุณแก้วพูดช้าๆให้เขาเข้าใจ ชายหนุ่มนิ่งงัน เขาสบตากับอีกฝ่าย
“คุณจะบอกว่าผมมีกิเลสมาร โดยเฉพาะโมหะ”ความหลงผิด ไม่ว่าจะเป็นท่านอานรินทร์ในอดีตชาติ หรือว่าจะเป็นเขาในชาตินี้ก็ตามที... คุณแก้วยิ้ม “ใช่... คืนนั้นเราเรียกคุณ คุณก็มา”
เขากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก คำพูดต่อไปของคุณแก้วอาจเปลี่ยนทุกสิ่ง...
“แล้วไงต่อ”
“ที่สวนในเรือนปั้นหยานั่น...กิเลสมารนำพาคุณมา ความหลงคือสิ่งมืดมิด มันบดบังธรรมดีในใจของคุณ”คุณแก้วเอ่ยช้าๆ เขามองอีกฝ่ายอย่างใจเย็น ไม่อยากฟุ้งซ่านคิดอะไรที่น่ากลัว
“คุณอย่ามาทำตัวสูงส่ง ร่ายธรรมให้ผมฟัง คุณทำอะไรกันแน่...”ทำอะไรกับอินน์ และเขากันแน่
“เรามีสิ่งที่ปรารถนา เราพูดไปแล้ว...”คุณแก้วย้ำอีกครั้ง แววตาแสดงถึงความถือดีไม่ยอมลดราวาศอก นัยน์ตาสีนิลวาวโกรธขึ้นมา “คุณใช้ร่างของอินน์ทำอะไร”
เหมือนว่าชายหนุ่มจะรู้ได้จากลางสังหรณ์ เขาหวนนึกถึงอากัปกิริยาของอินทนิลที่มีต่อเขา ความแปลกใจที่เขามีต่อเด็กหนุ่มกับการรั้งตัวเขาให้อยู่ต่อ พังทลายลง ภูวรินทร์จ้องอีกฝ่ายอย่างโกรธเคือง ในใจเหมือนถูกราดด้วยเชื้อเพลิง
“คุณบ้าไปแล้วเหรอ ทำแบบนี้ทำไม...คุณทำให้อินทนิลแปดเปื้อน ที่จริงอินน์ควรไปอยู่ในภพภูมิที่ดีกว่านี้ แต่คุณปล่อยให้ความหลงงมงายมันครอบงำ ใช้เด็กเล็กเป็นเครื่องมือ อย่ามาอ้างว่าเป็นเพราะคำแช่ง ผมกับอินน์ต่างหากที่รับผลกรรมนั้น ไม่ใช่คุณ!”
“แล้วเราล่ะ คุณไม่มีสิทธิมาเพิกเฉยต่อเรา เรื่องในอดีต คุณคิดหรือว่ามันแยกกันได้หรือ ไม่มีทาง ไม่อย่างนั้น จะมีการเกิดและดับไปไม่จบสิ้นได้ยังไง ก็เพราะว่าทุกสิ่งล้วนเกี่ยวพันกันไง เข้าใจเสียบ้างภูวรินทร์ คิดว่าเราอยากติดอยู่ที่งั้นเหรอ”
“แล้วคิดว่าผมเต็มใจจะอยู่กับคุณงั้นเหรอ”เขาพูดอย่างไม่นึกถึงน้ำใจอีกฝ่ายนัก เหมือนว่าคุณแก้วไม่สามารถรับความจริงนี้ได้ ฉับพลันก็ขว้างปาข้าวของ ผลักเก้าอี้ล้มคะมำด้วยความโกรธ
“แม้ว่าท่านจะดับไปแล้วเกิดใหม่ แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนเลยก็คือใจของท่าน ท่านที่ไม่รักเราแม้แต่น้อย หลอกเรามาตลอดสิบกว่าปี!”คุณแก้วขึ้นเสียง ด่าทอเขา ทำราวกับว่าเขาที่ยืนอยู่คือ หมื่นนรินทร์ ในสายตาของอีกฝ่ายคงมองเขาเป็นท่านอาอยู่เสมอ
“ตอนนี้ผมคือภูวรินทร์ หมื่นนรินทร์ตายไปตั้งแต่แปดสิบปีก่อนแล้ว เขาจากไปแล้ว คุณจากไปแล้ว...ที่ยังอยู่ คือผมคนนี้ไม่ใช่เหรอ ผมไม่ปฏิเสธหรอกว่ามันไม่ได้เกี่ยวข้องกัน มันคงเป็นชะตาบ้าบอที่ทำร้ายลูกหลานสกุลนี้ไม่จบไม่สิ้น”
“สิ้นสิ ตราบใดที่มันจบลงที่ท่าน และอินทนิล และเรา”
“หมายความว่ายังไง”ชายหนุ่มเอ่ยถามช้าๆ
“ยอมรับมันสิ”คุณแก้วเอ่ยกลับมาอย่างไม่ยอมแพ้ ทำให้ภูวรินทร์เงียบ พูดไม่ออก มองอีกฝ่ายด้วยสายตาไม่เข้าใจ
“คำแช่งของมณีรุนแรงนัก เพราะท่านอาเอาลูกหญิงอื่นมาเป็นทายาท ลูกหลานจะต้องอาภัพ ไร้รัก และตายอย่างโดดเดี่ยว ...แถมคุณหลีกหนีชะตาแปดเปื้อนนี้ไม่ได้ บิดาของคุณมีลูกกับหญิงอื่นที่ไม่ใช่ภรรยาตนเอง ดูแล้ว สันดารเดิมของเชื้อชาติท่านหมื่นคงเป็นเช่นนี้ไม่ต่างกัน”
“พอที ผมไม่อยากฟังเรื่องนี้”ภูวรินทร์ผลักร่างของเด็กหนุ่มออกไปให้พ้นทาง คุณแก้วไม่ยอมให้เขาได้ดั่งใจหวังตามมาพูดจากรอกหูเขา
 “ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าเลือดในตัวคุณมันมาจากท่านหมื่น ยิ่งอินทนิลที่ต้องตายกลับไม่ตาย...คิดว่ามันบังเอิญรึ คิดว่าแค่เราช่วงชิงร่างและจิตกับเด็กนั่นมาเพียงเพื่อเจอคุณในชาตินี้งั้นเหรอ...ที่มันเป็นเช่นนี้เพราะมณี เราต้องวนเวียนอยู่เพราะคำแช่งของมณี”
ผนวกกับความรัก โลภ โกรธ หลงของคุณแก้ว ห้วงคำนึงก่อนจิตออกจากร่าง คงเป็นความห่วงที่ยังละไปไหนไม่ได้
“ถึงจะเป็นแบบนั้น คุณก็ทำให้ร่างของอินทนิล— แล้วนี่อินน์รู้หรือเปล่า”เขาไม่อยากพูดถึง อีกฝ่ายแค่มองเขา
“แม้จิตในขณะนั้นเป็นของเรา กายหยาบเป็นอินทนิล”คุณแก้วตอบ หมายความว่าอินทนิลย่อมรู้อยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น “คิดว่าเราบังคับเด็กคนนั้นงั้นสินะ หึ เราไม่ได้บังคับ ก็ถือว่าเราต่างไม่แตกคอกัน”อีกฝ่ายเอ่ยออกมาอย่างง่ายดาย ชายหนุ่มไม่มีอะไรจะพูด เรื่องนี้ต้องถามเอากับอินน์โดยตรง ไม่ใช่คำพร่ำเพ้อของคุณแก้ว
“อินทนิลคือลูกหลานเรา คุณว่าเราจะทำใจดำได้หรือไง ปล่อยให้ตายไปงั้นเหรอ ธิชา ทิ้งลูก ทิ้งบ้านไป เพราะกลัวตนเองจะโดนคำแช่ง สารเลวจริงๆ หล่อนไม่มีสำนึกซักนิด แม้แต่ตอนป่วยเจียนตายยังไม่มาแล”
คนตระกูลนี้จิตใจหยาบกระด้างทั้งนั้นงั้นสิ...แต่พอต่อว่าแบบนี้ เหมือนเข้าตัวเองซะมากกว่า เพราะอย่างที่คุณแก้วบอก เขามีเชื้อสายของท่านหมื่น... อดีตชาติของเขา แล้วที่บอกว่าชะตาเลวร้ายจะสิ้นสุดลงที่ชาตินี้ของเขาได้ มันคืออะไร ต้องตายกันไปข้างงั้นเหรอ ถึงจะทำให้ปรารถนาของมณีเป็นจริง
ชายหนุ่มเหมือนโดนชก หมดความพูด
ภูวรินทร์ไม่หันกลับไปมองร่างของเด็กหนุ่มอีก เขาเปิดประตูออกจากห้องอ่านหนังสือแล้วเดินกลับไปยังห้องนอนของตน ระหว่างทางเขาเหลียวมองไปรอบบ้าน เดินเรื่อยมาจนถึงหน้าระเบียงห้อง มองไปที่เห็นโถงรับแขกชั้นล่างที่มืดสลัว แสงสว่างจากด้านนอกสาดส่องผ่านหน้าต่างทรงสูงติดกับโซฟารับแขก ม่านสีขาวลอยสะบัดอยู่อย่างนั้น
เขาจำไม่ได้...ว่าคืนนั้นมันเริ่มขึ้นได้ยังไง มีใครรู้เห็นบ้างไหมนะ ชายหนุ่มก้าวเดินต่อ หยุดอยู่หน้าประตูห้อง มือจับลูกบิดแน่น เงาดำจากด้านหลังสาดมายังบานประตู...
"คุณเสียใจงั้นเหรอ”คุณแก้วถามเบาๆ เสียงนั้นสั่นเครือเล็กน้อย สุ้มเสียงปรากฏความเศร้า 
“อืม ผมไม่คิดจะทำอะไรกับเด็กที่ยังไม่พ้นสิบแปดหรอกนะ”ที่ผ่านมาเขาระวังตัวเสมอ ไม่เข้าใกล้อินทนิลมากไป มันมีระยะห่างระหว่างเขากับอินน์ สองหูได้ยินเสียงถอดถอนหายใจ ฝ่ามือผอมเข้ามาคว้าแขนเขาไว้แน่น
“คุณยังคิดจะมานอนกับผมอีกหรือไง”เขาเลิกคิ้วสงสัย มองมือที่กำรอบแขนข้างซ้ายของตนแน่น คุณแก้วเดินมาใกล้ไม่ห่าง ร่างของอินทนิลไม่สูงนัก แค่ไหล่ของเขาเอง ถ้าหากโอบกอดได้คงทำ แต่เลือกที่จะเลื่อนมากุมมือของเขาไว้เท่านั้น
“ต่อให้เกลียดเรามากแค่ไหน แต่คุณต้องการเรา ฝันร้ายนั้นยังดำเนินต่อไป มันกำลังใช้ความกลัวของคุณเป็นตัวกระตุ้น ก็เหมือนมารในใจมากกว่า คำแช่งของมณีล้ำลึก กัดกร่อนจิตใจของคุณได้ หล่อนไม่ได้ต้องการให้คุณเจ็บปวดทางกายหรอก...”คุณแก้วบอก
เกลียดเหรอ เขาไม่ได้เกลียด แค่โกรธเคืองกับความหลงผิดของอีกฝ่าย ไม่สนผิดหรือถูกเลยงั้นสิ “คุณต้องการแบบนี้เหรอ อยู่กับผมไปจนแห้งเหี่ยว”ดีกว่าโดดเดี่ยวลงโลงไปคนเดียวน่ะเหรอ
“ชะตาของเราก็ไม่ต่างกันนักหรอก เราตายเพียงลำพัง จิตของเราตั้งมั่นที่จะพรากท่านไปด้วย แต่มันสายไป...คิดว่าเราเกลียดท่านมากหรือไม่ล่ะภูวรินทร์”เจ้าตัวเอ่ยชื่อเขา เขานิ่งไป น้ำเสียงของคุณแก้วอ่อนแรงลงไปมาก เขาก้มมองเจ้าตัวที่ไม่ได้มองเขาอีก
“ไม่รู้ แต่ก็คงเกลียด ไม่เช่นนั้นในฝันจะเป็นผีร้ายไปทำไม”
“ผีไม่มีอยู่จริงนะ มีเพียงจิตเท่านั้นแหละ จิตคือวิญญาณ พอมนุษย์ดับลง จิตก็เกิดใหม่ สืบเนื่องไปเรื่อยๆจนกว่าจะดับกิเลสมารได้ แต่ก็ไม่พ้นหรอก...”
“งั้นก็คงไม่มีมนุษย์หน้าไหนทำได้หรอก”เขาพูด
“ในฝันเป็นรูปที่ท่านปรุงแต่งเองทั้งนั้น มาจากคำแช่งน่ะ จำไม่ได้เหรอที่บอกว่าเราไม่ได้เป็นฝ่ายทำให้ท่านเกิดฝันร้าย แต่เป็นเพราะบ้านหลังนี้มีร่องรอยอดีต... อดีตของมณีด้วยเช่นกัน”ร่างของเด็กหนุ่มสั่นด้วยความอัดอั้น น้ำเสียงเก็บอารมณ์ความรู้สึก ชายหนุ่มไม่ตอบโต้อะไร
 “เรามีรัก แต่ท่านกลับไม่มี เรารอมานานเพื่อเจอกับสิ่งนี้น่ะหรือ ทำไมเป็นเราฝ่ายเดียวที่ต้องตรมตรอมอยู่กับมัน ผ่านมาแปดสิบปีกว่าจะเจอกันอีก ท่านว่ายุติธรรมดีหรือไม่”คุณแก้วเอ่ยถ้อยคำออกมาอย่างช้าๆ น้ำเสียงเจือความโศกเศร้าจนเขาสัมผัสได้ และจิตใจสั่นคลอนไปด้วย
“...พอเถอะ”ภูวรินทร์ไม่อาจทนฟังต่อไปได้อีก เขาหลับตาแน่น ภายในใจเหมือนถูกบีบคั้นจากมือที่มองไม่เห็น เขามีความรู้สึกหลายหลาย เขาเห็นใจคุณแก้วที่ต้องเจอเรื่องราวเช่นนั้น แต่เขาทำไม่ได้จริงๆ เพิกเฉยต่อความจริงที่ว่าร่างของเด็กหนุ่มวัยสิบห้าปี ยังมีจิตของอินทนิลอยู่
“ท่านถามเรานี่ ว่าต้องการเช่นนั้นหรือไม่ ...ใช่ เราจะอยู่ จนกว่าจะดับไปในภพหน้าที่ไม่อาจเจอท่านอีก”คุณแก้วเอ่ยย้ำอย่างชัดเจน เขายืนนิ่ง รู้สึกสับสน
“แล้วอินทนิลล่ะ”ชายหนุ่มเอ่ยถาม อีกฝ่ายถอนหายใจเอ่ยคำพูดอ่อนลง “อินน์ก็อยู่กับเราไง”
“แต่มันเป็นชีวิตของอินน์”เขายังคงค้างคาใจ พอมาทบทวนอีกครั้ง ชีวิตของอินทนิล คุณแก้วจะชิงมันมาไม่ได้
“ถ้าอินน์ไม่ยินยอม เราก็อยู่ไม่ได้หรอก...”
“ไปให้พ้น”เขาดึงมือของคุณแก้วออกหมดคำพูดกับเจ้าตัวแล้ว
“...เราคิดมาตลอดว่าหากไม่รู้อารมณ์ ไร้ความรู้สึกได้ก็คงดี ...ดูเหมือนว่าท่านจะไร้เยื่อใยต่อเราไปแล้วจริงๆ เราไม่เข้าใจ ทุกสิ่งของเรายังคงเดิม ตั้งอยู่ไม่ดับไปไหน แต่กลับผู้อื่น มันปราศสิ้นไปหมด แล้วเราต้องทำยังไง...ท่านไม่รู้สึก ไม่รู้ ไม่เห็นเรื่องในอดีต”
“เพราะในอดีตชาติ ผมคงไม่ปรารถนาจะอยู่ร่วมกับคุณอีกล่ะมั้ง”เขาบอก นี่เป็นไปได้สุดแล้ว นึกถึงจิตใจของท่านหมื่นที่หมดรักในตัวหลานชาย เมียหนีหน้า ในใจของอีกฝ่ายก็คงขยาดคุณแก้วไปไม่น้อย
“พูดเหมือนทุกสิ่งมันผิดที่เรา! ท่านเริ่มมันก่อนเอง แล้วกลับโทษชะตาของผู้อื่น โทษคำแช่งที่เกิดขึ้นภายหลังของมณี แต่ต้นเหตุแล้วคือผู้ใดเล่า เพราะท่านไม่ซื่อสัตย์ ทรยศความเชื่อใจของผู้อื่น ทั้งเรา ทั้งมณี ไปจนถึงเจ้าคุณพ่ออีก ไม่นับที่ขับไล่พี่ของเราไปภายหลัง หากเราไม่เขียนพินัยกรรมยกบ้านให้ลูกสาวของพี่กิ่ง เรือนหลังนั้นก็คงไม่เป็นของตกทอดมาถึงปัจจุบันนี้ หนำซ้ำท่านก็มาหักหาญใจเราซ้ำแล้วซ้ำเล่า....มาชาตินี้ก็ยังคงไม่นึกถึงผู้อื่น เราผิดเองที่ใช้อินน์ แต่ทุกสิ่งมันเริ่มต้นจากการกระทำของท่านไม่ใช่หรือ”
คำเรียกของคุณแก้วเปลี่ยนไป ‘ท่าน’ หมายถึงทั้งเขาและหมื่นนรินทร์ ชายหนุ่มมองใบหน้าที่เป็นของอินทนิล เจอเข้ากับใบหน้าที่วาบวับเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา เขานิ่งงันอยู่กับที่ มองนัยน์ตาสีนิลที่สั่นไหวเหมือนสูญสิ้นทุกอย่าง คิ้วสองข้างย่นเข้ากัน ร่างกายนั้นเหมือนไร้เรี่ยวแรง เจ้าตัวไม่ส่งเสียงให้ได้ยิน แต่น้ำใสยังไหลรินลงมาเรื่อยเหมือนเขื่อนทำนบแตก คุณแก้วฟุบลงกับพื้น มีเสียงสูดจมูกดังให้ได้ยิน
“ได้โปรด...”เสียงนั้นพูดขึ้น มันอัดแน่นไปด้วยความสิ้นหวังและเจ็บปวด สัมผัสหนักแน่นโถมเข้าใส่ท่อนขาข้างซ้ายของเขา ดวงตาของภูวรินทร์เบิกกว้างขึ้นมาบ้าง ก้นบึ้งหัวใจเหมือนมีเสียงสะท้อนกลับมา
ชายหนุ่มกำมือแน่น พยายามไม่ใจอ่อน แต่ทุกถ้อยคำของคุณแก้วมันบาดลึกอยู่ในใจของเขาไม่ต่างกัน ปฏิเสธไม่ได้ จุกจนพูดไม่ออก
‘ใช่ มันผิดที่ท่านเองแต่เพียงผู้เดียว’เขานึกตอบคำถาม ครั้งอดีตหมื่นนรินทร์เคยรำพันกับตนเองในยามที่คุณแก้วสิ้นลมไปแล้ว หมื่นนรินทร์ หน้าด้านเพียงใดที่ต้องถามตนเอง ต่อหน้าร่างของคุณแก้ว มันก็เห็นอยู่ได้ชัดอยู่แล้ว
ค่ำคืนนี้มันช่างหดหู่เหลือเกิน แล้วใจเขาดูเหมือนจะปวดร้าวทีละนิด เสียงสายลมกลางคืนดังอยู่ในความมืดพร้อมกับเสียงสะอื้นของเด็กหนุ่มที่ดังออกมาเป็นระยะ
ภูวรินทร์เลิกดิ้นรน เขายอมแพ้ เพราะยังไงก็คงไม่ชนะ

ชายหนุ่มเปิดประตูเข้าไปในห้อง มีคุณแก้วเดินตามเข้ามา เมื่อครู่ก่อนเขาไม่ได้เอ่ยตอบอะไรกลับไป แต่อีกฝ่ายไม่ได้เค้นเอาคำตอบ ภายในห้องนอนอุ่นสบาย ยังคงดูปลอดภัยสำหรับเขา แม้ว่าหน้าต่างบานนั้นยังคงหลอกหลอนเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เขาเข้าไปอาบน้ำต่อ ไม่ได้พูดจากับคุณแก้วอีก แต่จากเมื่อครู่เจ้าตัวเดินไปปิดหน้าต่างให้เขา
นึกถึงถ้อยคำของอินทนิลที่บอกว่าให้มองเห็นตน แม้ในความจริง แววตาของเด็กหนุ่มไม่ได้บริสุทธิ์ ‘ถ้าอินน์ รู้อยู่ก่อนแล้ว ทำไมถึงไม่พูดอะไร ยินดีงั้นเหรอ ทำไมล่ะ’ เป็นตั้งคำถามอย่างไม่สิ้นสุด เขาค้นพบว่ามันบั่นทอนจิตใจ
คิดวนไปมาก็หยุดอยู่ที่หมื่นนรินทร์ เขาอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างสองอาหลาน ในใจเจ็บแปลบ เขายังมีความเห็นใจให้อีกฝ่ายอยู่ไม่น้อยเลย ไม่ว่าจะชาตินี้หรือในอดีตชาติ เขายังคงทำไม่ดีกับอีกฝ่าย อาจไม่เลวร้ายเท่าในอดีตแต่การตัดรอนหัวใจมันยิ่งเจ็บปวดกว่า เพราะคุณแก้วอยู่มานานขนาดนั้น ใช้ความอดทนไม่น้อย ถ้าหากว่าในชาตินี้เขายังคงหักหาญใจของคุณแก้วอีก เจ้าตัวจะทำอย่างไร จะทำร้ายอินน์ด้วยไหม ถ้าลงเอยแบบนั้น คงสมใจมณี เพราะคำสาปแช่งก็ยิ่งเป็นผลดี
 ไม่สมหวังในรัก ทั้งเขา อินทนิล และคุณแก้ว 
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ [ ตอนที่๗ ครึ่งหลัง ] ๐๗.๐๑.๖๑ หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 07-01-2018 02:56:56
         แสดงว่าอินก็ไม่สมหวังในรักซิ อย่าเลยสงสารอิน
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ [ ตอนที่๗ ครึ่งหลัง ] ๐๗.๐๑.๖๑ หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: Jthida ที่ 07-01-2018 11:04:49
ขอบคุณค่า
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ [ ตอนที่๗ ครึ่งหลัง ] ๐๗.๐๑.๖๑ หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 07-01-2018 13:42:03
โอ้ยยยย น่าติดตาม
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ [ ตอนที่๗ ครึ่งหลัง ] ๐๗.๐๑.๖๑ หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 07-01-2018 13:44:33
มันก็แค่ญาติพี่น้องไหม ว่าแต่ทำไมท่านอาต้องหมกมุ่นกับการมีทายาทขนาดนั้น

คิดไว้แล้วว่าภูต้องเป็นทายาทตระกูลนี้
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ [ ตอนที่๗ ครึ่งหลัง ] ๐๗.๐๑.๖๑ หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: net. net_n2537 ที่ 07-01-2018 15:21:49
คิดไว้แล้วว่าต้องเป็นญาติกันดั่งในอดีตชาติ :o8:
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ [ ตอนที่๗ ครึ่งหลัง ] ๐๗.๐๑.๖๑ หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 07-01-2018 23:35:36
เห่อออ
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ ตอนที่ 9 ร่องรอยจากคำสาปแช่ง
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 10-01-2018 02:11:18
ตอนที่ 9 ร่องรอยจากคำสาปแช่ง
   ที่เตียงนอนหลังใหญ่ ร่างของอินทนิลยังคงนั่งเรียบร้อยอยู่บนเตียง ช่วงที่ชายหนุ่มเข้าไปอาบน้ำเหมือนว่าคุณแก้วจะออกไปเอาพานเล็กๆสำหรับถวายดอกไม้ เพราะที่หัวเตียงพานไม้ทรงกลมตั้งอยู่ ในมือของอีกฝ่ายถือเข็มร้อยมาลัย เขามองนิ่งๆ พยายามไม่คิดว่าดึกดื่นป่านนี้แล้ว คุณแก้วยังมีอารมณ์มานั่งร้อยดอกไม้อยู่อีก ทั้งที่ก่อนหน้านั้นร้องไห้ไม่หยุด
“เราถวายดอกไม้ เพื่อให้ท่านหลับสบาย”เจ้าตัวเอ่ย ภูวรินทร์เดินไปที่เตียง มองดอกพุดที่เรียงตัวเป็นเกลียวสวย เขานั่งลงกับเตียง ถอนหายใจทิ้งขว้าง เข็มนาฬิกาชี้ไปที่เลข 3 แล้ว ทว่าเขายังไม่รู้สึกง่วงเลยด้วยซ้ำ “ถวายให้ใคร”เขาถามอย่างไม่สบายใจ คุณแก้วมองเขาด้วยแววตานิ่งสงบ
“ถวายบรรพบุรุษให้คุ้มครองท่านและอินทนิลไง”เจ้าตัวบอก ระหว่างนั้นก็หยิบดอกพุดเสียบลงเข็มมาลัยเรื่อยๆ ชายหนุ่มไม่คิดว่าบรรพบุรุษบ้านนี้จะรักใคร่กลมเกลียวต่อเขา ชายหนุ่มเอนหลังลงนอนกับเตียง เฝ้ามองอีกฝ่ายร้อยพวงมาลัยเงียบๆ ร่างของเด็กหนุ่มนั้นดูทะมัดทะแมง มืออีกข้างถือเข็มไว้ ส่วนมือข้างถนัดหยิบดอกพุดอันเล็กๆเสียบลงเข็มอย่างชำนิชำนาญ
“ไม่ง่วงหรือไง”ชายหนุ่มเอ่ยถามขึ้นมา  อีกฝ่ายหันมายิ้ม
“ยังหรอก อยากให้คุณหลับไปก่อน”คุณแก้วตอบ ก่อนจะรูดตัวดอกพุดบนเข็มลงเส้นด้ายที่ก้นเข็มไปช้าๆ จนกลายเป็นพวงเล็ก เจ้าตัวดูสงบกับการร้อยมาลัยพวงนี้
“ผมไม่ซึ้งใจที่คุณทำแบบนี้หรอกนะ”ภูวรินทร์พูดทิ้งศีรษะลงกับหมอน คุณแก้วเงยมอง แล้วหัวเราะออกมา เห็นได้ชัดเจนว่าที่ใต้ตาบวมช้ำ นัยน์ตาสีนิลมองเขา
“ที่เราทำก็เพื่อความสบายใจ และก็หวังดีต่อท่านด้วย ท่านไม่ยินดี ก็ไม่เป็นไรหรอก”เจ้าตัวพูดเสียงราบเรียบ ทำเอาเขาถึงกับพูดไม่ออกไปเอง เขามองร่างของอินทนิลที่กำลังเอื้อมแขนนำพวงมาลัยสีขาวเรียบๆไร้การตกแต่งให้สวยงามขึ้นไปวางบนพานเหนือเตียง
“งั้นผมนอนก่อนแล้วกัน”ชายหนุ่มบอก แม้ว่ายังไม่ง่วง แต่ไม่อยากตื่นพูดคุยกับคุณแก้ว เขาเปลี่ยนท่า นอนหันหลังให้อีกฝ่าย จ้องมองผนังห้องไปเรื่อยๆ ระหว่างนั้นมีเสียงขยับตัวของคุณแก้วดังอยู่ข้างกาย เตียงนอนอ่อนยวบตามมา
“ให้ดับไฟไหม”อีกฝ่ายถาม
“อืม”ชายหนุ่มตอบสั้นๆ คุณแก้วลงจากเตียงแล้วเดินไปปิดไฟที่หน้าประตู เขาเอื้อมไปเปิดโคมไฟไว้ เพราะยังขยาดกับความมืดมิดอยู่ กลิ่นดอกพุดหอมบางเบา ผ่อนคลายเขาได้ไม่น้อย ที่เตียงนอนยวบลงตามน้ำหนักตัวของเด็กหนุ่ม อีกฝ่ายนอนลงข้างกายเขา
“ต่อให้คุณเพิกเฉยใส่ เราไม่สนหรอก ไม่มีเวลามากขนาดนั้น”เสียงพึมพำของคุณแก้วดังอยู่ใกล้ตัว ชายหนุ่มถึงกับขมวดคิ้ว รู้สึกโหวงเหวงในใจ ความรู้สึกผิดกัดกร่อนหัวใจทีละน้อย เขาเริ่มตระหนักถึงอดีตชาติที่เป็นจุดเริ่มต้นวังวนแห่งคำสาปแช่งนี้ เริ่มจากแก้ว มาถึงมณีและจบท้ายด้วยท่านหมื่น
คำแช่งที่ต่างกันออกไป แต่ให้ผลลัพธ์สิ่งเดียวกัน คือ ความทุกข์ของคนภิรมย์สุข
“ให้เวลาเรา เหมือนที่ให้เวลาอินน์ไม่ได้หรือ”เสียงนั้นเอ่ยถาม ภูวรินทร์ขมวดคิ้วจนหน้าผากยับย่น รู้สึกปวดหัวขึ้นมา เขายังไม่เผชิญหน้ากับคุณแก้ว รู้สึกได้อย่างเดียวคือ เขาไม่ต้องการเห็นอีกฝ่ายนัก
“ผมไม่ได้ให้อะไรทั้งนั้น...กับอินทนิล ก็เห็นอยู่ว่าเป็นเพราะเรื่องคำแช่ง ถึงได้มาช่วยผม”ชายหนุ่มตอบกลับไป
“โกหก ท่านรู้ว่าอินน์รู้สึกยังไง อย่ามาปฏิเสธหน่อยเลย หรือเห็นเราเป็นเพียงวิญญาณร้ายที่ช่วงชิงเวลาของร่างนี้ไป”คุณแก้วพูดด้วยน้ำเสียไม่สบอารมณ์นัก เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายคงจ้องเขาอยู่
“เปล่า”ชายหนุ่มตอบไปตรงๆ มาถึงขั้นนี้แล้วเขาเองก็ไม่ได้รู้สึกเกลียดชังคุณแก้ว อีกฝ่ายสูดหายใจแรง รับรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังขยับเข้ามาหาใกล้ๆ
“ถ้าเช่นนั้น...เพราะเหตุใด...”คุณแก้วเอ่ยถามเสียงสั่นเครือ ภูวรินทร์หลับตาถอนหายใจ
“มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ใช้ร่างของอินน์เพื่อยึดเหนี่ยวผมไว้ แล้วอินน์ล่ะ คุณบอกเป็นห่วงเชื้อสายตนเอง แต่กลับทำลายช่วงชีวิตของเขางั้นเหรอ”
“...อินทนิลยังคงอยู่ เราไม่ได้คิดจะใช้ชีวิตของผู้อื่น...ท่านปล่อยอคติบังตามากไปแล้ว เพราะเช่นนี้ เราถึงกลัว... อินน์เหมือนผูกพันกับท่าน มากกว่าเราที่เคยมีอดีตต่อกัน ...ให้นิ่งเฉยก็คงไม่ได้”คุณแก้วเอ่ยอย่างเย็นชา ภูวรินทร์หันกลับไปทางคนพูด เผชิญหน้ากับคุณแก้ว ที่นอนจ้องเขาตาไม่กระพริบ
“แต่ความรัก มันห้ามไม่ได้ บังคับไม่ได้ไม่ใช่เหรอ”เขาพูดเรียบๆ ไม่หลบสายตาของอีกฝ่าย คุณแก้วนิ่งไป ใบหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก นัยน์ตาสีนิลยังคงจดจ้องมาที่เขา บอกไม่ถูกว่าเจ้าตัวกำลังรู้สึกอย่างไร
“ใช่...เรารู้แก่ใจดี ยังมาย้ำต่อเราถึงเพียงนี้”
ชายหนุ่มเงียบ ละสายตาจากใบหน้าของอีกฝ่าย จ้องมองเพดานในความมืดสลัว ปล่อยให้คนข้างๆเอ่ยถอยคำต่อไปอย่างช้าๆ เขาแค่รับฟังไม่ตอบสนองอะไร
“ขอแค่อยู่กับท่านก็เพียงพอ”เสียงนั้นกดต่ำลง เขาไม่ตอบ คิ้วขมวดเข้าหากันโดยอัตโนมัติ อยู่ด้วยกันงั้นเหรอ ไม่มีทางหรอก...
“ได้หรือไม่...”เจ้าตัวยังคงเอื้อนเอ่ยต่อมา
“คุณจะไม่ทำร้ายอินน์ใช่ไหม”ภูวรินทร์ไม่ตอบ แต่เอ่ยคำถามกลับไป ข้อนี้เขาอยากรู้มากที่สุด หากให้เลือกจริงๆล่ะก็ เขาคงเลือกอินทนิล หรือต่อให้ยังรู้สึกห่วงใยต่อคุณแก้วเพียงสักเล็กน้อย เขาก็ยังไม่สามารถตัดใจเลือกคุณแก้วได้ เรื่องของอินน์ยังคงติดอยู่ในใจเขา อาจจะตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันก็ได้ คุณแก้วเงียบ มีเพียงเสียงถอนหายใจเบาๆ ร่างของเด็กหนุ่มดูไร้เรี่ยวแรง เพียงนอนอยู่นิ่งๆ ก่อนจะค่อยๆเอ่ยคำพูด
“เราไม่คิดทำร้ายอยู่แล้ว... ถึงแม้ว่าอินน์อาจได้รักของท่านไป...”เสียงแผ่วเบาไม่เต็มเสียงนั้นทำให้เขาเหลียวไปมองอีกฝ่าย คุณแก้วมองเขาอยู่ ใบหน้าจมลงแนบหมอน นัยน์ตาสีนิลขยับไหวเพราะขับไล่น้ำตา เมื่อเห็นใบหน้าของคุณแก้วที่ดูสับสน เขาถึงกับลังเลใจขึ้นมา
“พอเถอะ อย่าพูดอีกเลย”เขาบอก เบนหน้าหนีความอ่อนแอของอีกฝ่าย ไม่อยากเห็นน้ำตาของใคร
“เราอยากบอกท่านมาหลายครั้ง แต่เกรงว่าจะโกรธเคืองเรา ท่านเหมือนเขามาก ต่างกันที่จิตใจยังอ่อนโยนกว่าหลายเท่า”คุณแก้วว่า มีรอยยิ้มฉาบอยู่ใบหน้า มือของอีกฝ่ายเลื่อนมาสัมผัสข้างแก้มของเขาแผ่วเบา ภูวรินทร์กลั้นใจไม่ตอบกลับไป ใช่...ตัวเขานั้นต่างจากในอดีตชาติ
“ทำไมถึงยังรักท่านอาล่ะ”ทั้งที่ทำร้ายซะขนาดนั้น กักขัง แถมยังทรยศต่อความเชื่อใจ และแต่งไปอยู่กับคนอื่น หยามเหยียดน้ำใจกันชัดๆ
“การตัดใจจากรักไม่ใช่เรื่องง่ายดาย เรารักท่านอามานาน อาจเพราะความสนิทสนมในวัยเด็ก ท่านอาในสมัยนั้นยังปกป้องเราได้เสมอ และคอยห่วงใยอยู่เสมอ เรารักกันอยู่ช่วงหนึ่ง...แต่พอหลังจากที่ได้บ้านหลังนี้ไปแล้ว ทุกอย่างแย่ลง กลับตาลปัตร เขามาหาเราน้อยลง เทียวมาเทียวไประหว่างบางกอกและที่นี่ เราคิดว่าคงเป็นเรื่องของราชการ แต่กลับไม่ใช่...เป็นเพราะผู้หญิง...เราเคยอาละวาดไปครั้งสองครั้ง แต่ท่านอาไม่เคยลงมือ ไม่เคยตบตี”คุณแก้วเล่าด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ไม่มีความเสียใจอยู่ในเนื้อเสียง แต่นัยน์ทั้งสองข้างกลับหลุบต่ำไม่ได้จับจ้องมาที่เขา
“แต่ขังคุณไว้แทน ...ทำไมคุณไม่หนีไปล่ะ”ภูวรินทร์ถาม จะมีสักกี่คนที่ทนอยู่ในสภาพแบบนั้น จิตใจของอีกฝ่ายทำด้วยอะไร ถึงได้ยอมอยู่แบบนั้น เพราะรักงั้นเหรอ? เขาคิดว่ามันเป็นความหลงงมงายมากกว่า
“หนีไปไหน...บ้านของเราคือที่นี่”คุรณแก้วขมวดคิ้ว น้ำเสียงห้วน แววตาคู่นี้ไม่พอใจ
“ได้ข่าวว่าคุณกิ่งอยู่เมืองนอกไม่ใช่เหรอ ไม่คิดอยากใช้ชีวิตอิสระหรือ”ภูวรินทร์ไม่เข้าใจจิตใจของคุณแก้วเลยสักนิด ท่านอาทำไม่ดี กักขังไว้ไม่มีอิสระ แต่เจ้าตัวกลับไม่คิดหลีกหนี ทนอยู่อย่างเต็มใจ แม้ตัวตายก็ยังไม่จากไปไหน แม้มีผลพวงมาจากคำแช่งก็ตามที
“ที่ว่าอิสระของเรา แล้วมันคืออะไรล่ะ หนีออกจากบ้านของตัวเอง หึ ทิ้งให้พวกนั้นเสวยสุขงั้นเหรอ...”เขาฟังอีกฝ่ายพูดแล้ว ถึงกับสะท้อนใจ คุณแก้วนั้นยึดติด งมงายในรักอย่างแท้จริง
“ความสุขไง หากคุณเลือกไปกับพี่สาว ป่านนี้คุณคงมีครอบครัวที่ดี”
“คิดเช่นนั้นหรือ... แต่มันผ่านมานานแล้ว ที่เรายอมเพราะยังห่วงบ้าน ยังห่วงของตกทอดจากเจ้าคุณพ่อ ท่านอาเอาไปหมด เราไม่เคยโลภอยากได้บ้าน แต่เจ้าคุณพ่อมอบมันให้เรา แล้วกลับรักษาไว้ไม่ได้ ถึงเจ้าของคนต่อมาเป็นท่านอา แต่บ้านหลังนี้คือน้ำพักน้ำแรงของเจ้าคุณพ่อผู้คนเดียว สมัยนั้นท่านอายังเป็นแค่คุณชายที่บางกอกอยู่เลย แต่เขาหลอกใช้เรา...และเราก็โง่งมยกให้ด้วยใจยินดี”คุณแก้วยิ้มขมขื่น ใบหน้านั้นไม่มีความเจ็บแค้น มีเพียงความอ้างว่าง
“ท่านอาตายยังไง คุณรู้หรือเปล่า”ภูวรินทร์นึกถึงการตายของท่านอาขึ้นมา เขามองคุณแก้วที่ดูสงบลงกว่าเมื่อสักครู่ เจ้าตัวยกริมฝีปากเหมือนเย้ยหยัน
“หัวใจวายตายอย่างสงบ น่าขันนัก ทำผู้อื่นทุกข์ระทม แต่เขากลับจากไปอย่างสงบ”น้ำเสียงที่เปล่งดูประชดประชัน
สิ้นบทสนทนานี้กลายเป็นเพียงความเงียบระหว่างกัน ชายหนุ่มหลับตาลง คนข้างกายยังคงหายใจไม่สม่ำเสมอ และไม่ได้เอ่ยอะไรขึ้นมาอีก มีเพียงความเคลื่อนไหวที่ขยับเข้ามาใกล้ชิด หัวใจของภูวรินทร์พลันหนักอึ้งขึ้นมา
   
วันใหม่มาเยือน ครั้งนี้ภูวรินทร์กลับเป็นฝ่ายตื่นนอนก่อนเด็กหนุ่ม อินทนิลยังคงหลับ เขาลุกออกจากเตียง เหลือบมองพวงมาลัยสีขาวบนหัวเตียงที่เริ่มเฉาไปบ้างแล้วถอนหายใจ เขาเข้าไปอาบน้ำทำธุระส่วนตัวให้เร็วที่สุดแล้วลงไปยังเรือนเพาะชำที่หลังบ้าน อากาศยามเช้าแจ่มใส เสียงสัตว์เล็กใหญ่ส่งเสียงเซ็งแซ่มีชีวิตชีวา เขาเปิดประตูเข้าไปด้านใน  แสงยามเช้าส่องผ่านไปทั่วบานกระจกของตัวเรือน เขามองสายคาดสีเหลืองที่ล้อมรอบบริเวณหลุมอยู่เงียบๆ
“คุณภูครับ”เสียงเรียกของลุงชมดังมาจากหน้าประตูเรือน เขาหันกลับไปมอง
“เรื่องทารกนั่นหรือเปล่า”เขารีบพูดขึ้น แล้วเดินไปหาอีกฝ่าย ลุงชมสวมเสือม่อฮ่อมสีน้ำเงินเข้ม เดินถือถังใบเก่าที่มีอุปกรณ์ทำสวน
“ครับ ผมเอาไปให้พระท่านดูแล้ว ดูเหมือนว่าศพทารกเพศชายคนนี้จะผ่านการทำคุณไสยมา”ลุงชมพูด เหลือบมองเขาท่าทางเป็นกังวล ภูวรินทร์นิ่งไป ก่อนจะเดินมองดอกไม้ประดับในกระถางที่ยังสภาพดีอยู่ เขายังไม่มีโอกาสแยกประเภทของพวกมันเลย ดอกไม้พวกนี้ล้วนปลูกมาจากความพอใจของคุณแก้ว
“เรื่องคำสาปแช่งเหรอครับ”เขาเอ่ยถาม
“ก็ไม่เชิงครับ เรารู้แค่ว่ามันถูกผ่านพิธีกรรมมาก่อนเพราะรอยยันต์ข้างใต้ขวด แต่จะเพื่ออะไรก็คงไม่ทราบ แต่จากการคาดเดาจากสัปเหร่อแล้ว น่าจะเกี่ยวกับคำแช่ง แต่มันน้อยมากที่จะเจอคนใช้ทารกบูชาพิธี ปกติจะเป็นเรื่องของการบูชาเลี้ยงไว้เป็นกุมาร เป็นอวิชชา”ลุงชมตอบ เหลียวมองไปรอบเรือนเพาะชำด้วยความระมัดระวัง ท่าทางของอีกฝ่ายทำให้เขาอึดอัดอยู่พอสมควร
“อืม...”ชายหนุ่มรับรู้ เดินไปดูดอกพุดในกระถางที่วางอยู่มุมห้อง ถัดจากประตูเรือน อินทนิลคงเอาดอกไม้มาจากตรงนี้สินะ
“แต่เท่าที่ลุงทราบมาหากเป็นคำแช่งจริงๆ ตัวคนแช่งย่อมได้รับการสะท้อนกลับของแรงแช่งเช่นกัน เพราะจิตอกุศลร้ายแรง ลุงว่าคุณมณีท่านคงทรมานจนสิ้นชีวิต ไปจนหลายภพหลายชาติ”
“มันไม่มีทางแก้เลยเหรอครับ”ชายหนุ่มหันไปถาม เขายังพอมีพื้นที่สำหรับความหวังอันน้อยนิดเพื่อหลุดพ้นต่อคำแช่พวกนี้ ลุงชมเม้มปากแน่น
“...ทางเดียวคือการอโหสิกรรม แต่คำสาปแช่งของคุณมณีร้ายแรงกว่าเพราะมันกินเวลามานานปี สำแดงผลเอาตอนนี้ สิ่งที่ทำได้คือทำพิธีทางศาสนา แต่จะช่วยหรือได้หรือไม่ผมไม่ทราบเหมือนกัน”อีกฝ่ายตอบกลางๆ ไม่มั่นใจว่าจะสามารถทำได้หรือไม่ เขาถอนหายใจ ก่อนจะยิ้มเยาะเย้ยตัวเอง คงหนีไม่ได้จริงๆ มืดแปดด้านอย่างแท้จริง หมาจนตรอกมันยังพอจะสู้เอาดาบหน้าได้ แต่เขาไม่มีหนทางสู้... ที่คุณแก้วเคยพูด..ยอมรับมัน หมายถึงโชคชะตานี้น่ะเหรอ
กรรมใดใครก่องั้นสินะ
“แล้วตำรวจติดต่อมาบ้างไหมครับ”ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่องคุย ลุงชมมีสีหน้าดีขึ้นมาทันที
“เรื่องดีเอ็นเอคงต้องใช้เวลาสักหนึ่งเดือนครับ เพราะยังระบุตัวตนไม่ได้ ถึงเราจะรู้ว่าเป็นคุณแก้ว แต่ทางตำรวจก็ต้องทำตามขั้นตอน”
“ครับ ผมรู้”
“...คุณภูไม่สบายใจเหรอครับ”อีกฝ่ายเอ่ยถาม เขานึกอยากหัวเราะออกมา มันยังไงกันนะคนบ้านนี้ ในเมื่อเขาเผชิญเรื่องหนักใจมาไม่เว้นวันแท้ๆ
“ผมควรสบายใจได้เหรอ น่าแปลกนะ เกิดเรื่องร้ายขึ้นที่นี่ ทั้งผมทั้งอินน์ แต่ลุงกับป้าไม่เดือดร้อนอะไร ผมสงสัยว่าจริงๆแล้วคนที่นี่เป็นอะไรกันไปหมด”ภูวรินทร์พูดเสียงดังด้วยโทสะ เขาเท้าเอวมองไปรอบๆเรือนเพาะชำที่ดูเงียบสงบ ลุงชมขมวดคิ้วทำหน้าหนักใจ ก่อนจะส่ายศีรษะไปมา
“...ไม่ใช่ว่าผมไม่ตกใจหรือสะทกสะท้าน แต่เรื่องคำแช่งของบ้านนี้ ชาวบ้านเค้ารู้กันทั่ว เรื่องของท่านหมื่นกับคุณแก้วยิ่งพูดกันปากต่อปากมานานแล้ว ผมทำอะไรไม่ได้หรอก”
 “มีใครรู้บ้างไหมว่าอินน์เป็นลูกหลานของที่นี่”
“ก็ไม่ค่อยทราบกันหรอกครับ มันไม่ได้มาอยู่ที่นี่ตลอด มาแค่ช่วงปิดเทอม อีกเดี๋ยวก็ต้องกลับไปเรียน”ลุงชมพูด ภูวรินทร์ไม่อยากอยู่ในเรือนเพาะชำนานกว่านี้ เลยชวนลุงชมออกไปคุยบริเวณออกไปด้านนอก ชายหนุ่มเดินออกมารับแสงยามเช้า รอบตัวบ้านหลังใหญ่ร่มรื่น และอากาศเย็นสบายจนหนาวขึ้นมาเล็กน้อย เขามองลุงชมที่เดินมาหา
 “...ทำไมถึงไม่ยอมบอกผม เรื่องคุณนิรุท รู้มานานหรือยังว่าผมเป็นลูกของเขา”ชายหนุ่มถาม ถึงมันจะแปลกแต่การปกปิดความจริงต่อเขาไปเรื่อยๆ ไม่คิดว่ามันจะเป็นผลดีอะไร ลุงชมแค่ยิ้มเจื่อน
“แม่อรก็เป็นแบบนั้นแหละครับ อย่าโกรธเคืองกันเลยนะคุณ ผมกับอรก็พร้อมช่วยคุณ ไอ้ผมเองก็ไม่รู้มาก่อน จนกระทั่งช่วงที่อินน์มันป่วยหนักมาก คุณธิชาก็ไม่มาดูใจมัน ตอนนั้นแม่อรมันหลุดปากมาว่า กลัวลูกคุณนิรุทมีอันเป็นไปเช่นกัน ผมเองเคยอยู่ทำงานให้คุณนิรุทอยู่ระยะหนึ่ง แต่พอพ้นสิบแปดท่านก็ย้ายไปอยู่ที่อื่น”ลุงชมเล่า นี่เป็นเรื่องใหม่ที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน
“แล้วตอนนี้ลูกหลานทางฝั่งของท่านอาโดยตรง เหลือใครบ้างครับ”ชายหนุ่มถามช้าๆ แม้ว่าในใจจะมีคำตอบอยู่แล้วก็ตาม ลุงชมยิ้มเศร้าๆ
“เหลือเพียงคุณนิรุท และคุณภูเท่านั้นครับ...”พอได้ฟังเองกับหูแล้วเขาถึงกลับจุกในอก ญาติพี่น้องตระกูลเก่าแก่ กลับหนีหายตายไปจากหมด
“นึกว่าจะเหลืออยู่เยอะซะอีกนะ”ภูวรินทร์พึมพำ เบนสายตาไปมองประตูหลังบ้านแทน มันเปิดอ้าไว้ เขาจ้องมันอยู่อย่างนั้น เหมือนว่ามีใครกำลังมองอยู่ ชายหนุ่มขนลุกที่ท้ายทอยขึ้นมากะทันหัน ปกติ เวลาช่วงสว่าง จะไม่มีความรู้สึกแปลกประหลาดของสิ่งที่มองไม่เห็นมารบกวนเขาเลย ในบ้านหลังนี้ที่ทรมานตนได้ก็มีเพียงฝันร้าย และการไปมาอย่างเงียบเชียบของคุณแก้วและอินทนิลเท่านั้น
“ส่วนมากเป็นญาติห่างๆ ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกันนัก บางคนแทบไม่ข้องแวะกันเลย”เสียงของลุงชมดังเข้าหูแว่วๆ ชายหนุ่มหันกลับมาสนใจเรื่องที่กำลังสนทนาต่อ “จริงๆท่านหมื่นนรินทร์มีเมียน้อยสองคน มีลูกให้ท่านคนละ1 คน เป็นลูกชายกับลูกสาว”พอได้ฟังลุงชมเล่าจบ เขาถึงกับอึ้งไป ไม่คิดว่าท่านอาจะต้องการมีลูกขนาดนั้น ถึงขั้นหาผู้หญิงมาสองคน ไม่นึกถึงใจคนอื่นเลยแท้ๆ
“ทำไมท่านอาถึงอยากได้ทายาทนักล่ะครับ ลูกคุณกิ่งกับไกรไม่ได้เหรอ”ภูวรินทร์ถามอย่างสงสัย
“...ก็เพราะว่าท่านหมื่นเอาบ้านมาจากคุณแก้ว สมบัติของของเจ้าหมื่นประดิษฐ์ ลูกๆคงโกรธเป็นธรรมดา ...ตามที่ผมได้ยินมาจากคนงานเก่าๆ เจ้าหมื่นประดิษฐ์เองก็รู้เรื่องของท่านหมื่นกับคุณแก้ว เห็นว่าไม่ได้โกรธเคือง แต่ทว่าก่อนที่เจ้าหมื่นจะเสีย ท่านเรียกท่านหมื่นมาพบ ไม่รู้ว่าคุยเรื่องอะไรกัน ผ่านไม่ถึงครึ่งวันท่านก็เสีย”ลุงชมเล่า
“ไม่มีใครรู้งั้นสิครับ”ชายหนุ่มพึมพำ
“ครับ อรมันก็ไม่รู้”ลุงชมเอ่ย
“แล้วท่านอาได้เอาผู้หญิงมาเป็นภรรยารองที่บ้านหรือเปล่า”ภูวรินทร์ถามต่อ นึกสภาพภายในครอบครับท่านหมื่นนรินทร์คงไม่สงบสุขนัก เขาไม่คิดว่าคุณมณีจะยอม
“เท่าที่ได้ยินมา ไม่ได้แต่งตั้งพวกเธอ พอหลังคุณแก้วเสีย ท่านหมื่นก็ให้สองคนนั้นอยู่ที่เรือนคุณแก้ว คอยเลี้ยงลูก แต่ท่านก็เสียไปก่อนทันจะเห็นลูกโต...พอลูกสองคนนี้แต่งงานออกไป ก็มีลูก แต่ไม่นานลูกชายก็ตายไป ส่วนลูกสาวที่แต่งออกไปอีกคน ก็ตายไปทั้งแม่ทั้งลูกเลย ...แต่ไม่รู้ว่าท่านไปทำอีท่าไหน ถึงมีลูกจนได้ ชื่อว่า ภัทร ซึ่งเป็นคุณพ่อของคุณนิรุท มันน่าเหลือเชื่อกว่าคือ พอนิรุทเกิดได้เพียงวันเดียว คุณภัทรก็เสีย เกิดอุบัติเหตุ รถตกเขาตอนจะไปเยี่ยมภรรยาที่รพ.”ลุงชมเล่าด้วยสีหน้าไม่สู้ดี ใบหน้าเห็นริ้วรอยผิวหนัง น้ำเสียงดูสะท้อนใจ เขานิ่งงันไป
 “จริงเหรอครับ”
“เผื่อคุณไม่รู้ คุณภัทรประสบอุบัติเหตุก็ตรงทางขึ้นเขามาที่บ้านนี่แหละครับ ตอนนั้นก็สะเทือนใจไปทั้งบ้าน กลัวคำแช่งกันเป็นท่องเป็นแถว จากที่ไม่เชื่อก็เชื่อกันจนอยู่ไม่ได้...ไหนจะเรื่องผีคุณแก้วอีก เรื่องมันเล่ามาปากต่อปากจนมั่วไปหมด แต่ถ้าสังเกตจริงๆแล้ว คำแช่งก็ไม่ได้ส่งผลถึงลูกหลานทุกคนนัก อย่างคุณนิรุทเองก็ไม่ได้มีความผิดปกติ ทั้งๆที่เป็นหลานของลูกชายท่านหมื่นโดยตรงแท้ๆ ผิดกับคุณภัทร ซ้ำยังตายไม่ดีด้วย...ส่วนฝั่งคุณกนกเชื้อสายของคุณไกรก็ปกติดี แต่ตอนนี้เสียไปแล้ว ส่วนคุณธิชา แม่ของอินน์ ก็ไม่ได้ผิดปกติอะไร ยกเว้นทำมาค้าขายไม่ขึ้น”ลุงชมเล่าเหมือนเป็นนิทานหนึ่งเล่ม 
“แล้วมณีล่ะ เธอไปอยู่ไหน”ภูวรินทร์ถาม เพราะลุงชมแทบไม่ได้เอ่ยถึงเธอเลย อีกฝ่ายส่ายศีรษะ
“คุณมณีย้ายไปอยู่กับพ่อที่บางกอก แต่หลังๆที่ท่านหมื่นป่วย เธอก็กลับมาดูใจ...หลังจากนั้นก็อยู่ที่บ้านมาตลอดจนเสีย”
“...ทราบหรือเปล่าว่าเสียเพราะอะไร”
“อืม เห็นว่าโดนพิษเสียชีวิตครับ”คำบอกเล่าของลุงชมทำให้ภูวรินทร์ถึงกับตาโต เขายกแขนขึ้นกอดอก พลางฉุกคิดถึงจุดแปลกๆของเรื่องในอดีต
“พิษงั้นเหรอ”
“ครับ...ว่ากันว่าพิษแบบเดียวกับที่คุณแก้วมีในร่างกาย คนเขาเชื่อว่าคุณแก้วเป็นคนฆ่า”ลุงชมพูด ชายหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ อีกฝ่ายเหลือบมองเขางงๆ
“เป็นไปไม่ได้นี่ครับ”เขาพูด ถ้าบอกว่าเป็นผีมาหลอกหลอน คงน่าเชื่อกว่าเยอะ “ก็นั่นล่ะครับ แต่มาจนวันนี้ก็ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนทำ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ถือเป็นฆาตกรคนเดียวกับที่ฆ่าคุณแก้วหรือเปล่า”ภูวรินทร์ถาม นึกถึงฝันที่เห็นว่าท่านอาเองก็ไม่ปักใจเชื่อต่อการตายของคุณแก้วเหมือนกัน การตายของอีกฝ่ายจะเกี่ยวข้องอะไรกับมณีหรือเปล่า แต่ชายหนุ่มเองก็เห็นว่ามันชัดเจน แต่มันจะง่ายดายขนาดนั้นเลยหรือ ที่มณีจะเป็นฝ่ายใช้พิษกับคุณแก้ว
“...ก็อาจเป็นไปได้ครับ แต่ เรื่องมันก็นานแล้ว สืบไปก็คงไม่ได้อะไรขึ้นมา”ลุงชมถอนหายใจ เขาพยักหน้าตาม มันก็จริง แต่ความจริงเป็นสิ่งเที่ยงแท้ไม่ใช่หรือไง อย่างน้อย ก็ได้รู้ความจริงบ้าง
อีกประเด็นหนึ่งที่ภูวรินทร์สงสัย การที่มณีเสียชีวิตเพราะพิษ หมายถึงถูกฆ่าไม่ใช่การตายโดยธรรมชาติ คนร้ายทำไปเพื่ออะไรกัน เหตุใดต้องให้มณีตายเหมือนคุณแก้วด้วย มันบอกอะไรหรือเปล่า...เป็นกรรมตามสนองหรือไม่นะ เมื่อหมดข้อสงสัย เขาไม่รั้งตัวลุงชมไว้นาน อีกฝ่ายเดินเข้าไปในเรือนเพาะชำตามเดิม
ภูวรินทร์เดินกลับเข้าไปทางประตูหลังบ้าน เมื่อเดินพ้นทางเดิน เขาแวะไปทางห้องครัว เขาอยากจะลองเข้าไปดูที่ห้องนอนของอินทนิล ป่านนี้แล้วยังไม่ลุกจากเตียงอีก เขาเห็นป้าษอรกำลังทำอาหารเช้าอยู่ กลิ่นหอมจากใบมะกรูดและตระไคร้ฉุนจมูก พร้อมกับกลิ่นเนื้อไก่ที่ปลุกสุกแล้ว
“ว่าแต่อินน์ล่ะคะ”ป้าษอรเอ่ยถาม เมื่อเห็นภูวรินทร์
“...นอนอยู่ครับ”เขาตอบสั้นๆ
“...แปลก ปกติไม่ตื่นสาย ป้าขึ้นไปดูหน่อยดีกว่า”เธอมองเขาด้วยสายตาเหมือนจับผิด ชายหนุ่มหลุดยิ้ม “ผมไม่ได้ทำอะไรอินน์นะ หากจะโทษ โทษคุณแก้วเถอะ”เขาบอก ป้าษอรหน้าเสียไป ก่อนจะยกหม้อแกงลงจากเตาแล้วเดินหายไปยังโถงใหญ่
ภูวรินทร์เดินทะลุจากประตูห้องครัว เข้าไปด้านในห้องพักหลังใหญ่ไม่ต่างจากห้องแถว เขาเดินไปยังห้องของอินทนิล ห้องนอนของเด็กหนุ่ม เป็นระเบียบ แม้จะแออัดไปด้วยข้างของ ชายหนุ่มเดินไปหยิบแคตตาล็อกดอกไม้ที่วางอยู่บนชั้นหนังสือทางตรงกันข้ามกับเตียงนอนที่ไร้ร่องรอยการยับย่น เขาสนใจ อยากรู้เรื่องพืชพิษขึ้นมา ถ้าโชคเข้าข้าง ดอกไม้พิษอาจอยู่ในแคตตาล็อกเล่มนี้ เขาจำได้ว่าอินน์บอกว่าคุณแก้วช่วยทำด้วยเช่นกัน นั่นอาจหมายถึงคุณแก้วกำลังจะบอกอะไรอินน์หรือเปล่า แต่เจ้าตัวไม่รู้
ชายหนุ่มเปิดดูภาพตั้งแต่หน้าแรก เป็นดอกไม้ประดับที่ปลูกในสวนและในเรือนเพาะชำ ทั้งในปัจจุบันและที่โดนรื้อทิ้งไปบ้างก็มี เจ้าตัวคงเก็บมานานหลายสิบปีแล้ว แต่พลิกดูทั้งเล่มมีแต่ดอกไม้สวยงามเท่านั้น เทียนหยดไม่เพียงพอทำให้ผู้ใหญ่เสียชีวิตได้
เมื่อไล่สายตาไปรอบห้อง จนหยุดอยู่ที่ตู้วางของที่บรรจุโหลแก้วเล็กๆที่เรียงรายอยู่เต็มชั้น เขามองดูด้วยความสนใจ ส่วนมากเป็นกลีบดอกไม้ทั้งนั้น ก่อนจะเห็นว่ามีแสงสะท้อนมาจากที่ใต้ชั้น เขามองดูอีกครั้ง เห็นว่ามีขวดแก้วอันเล็กตกอยู่เขาลุกไปควานหยิบมันออกมา ภูวรินทร์เห็นว่ามันมีฝุ่นเต็มเป็นคราบไม่น่าจับ คงตกมานานและอินน์ไม่คิดจะเก็บ
เขาเช็ดฝุ่นออกจากขวด ขวดเล็กขนาดสองนิ้ว ภายในบรรจุผลสีส้มแดงสองสามลูกอยู่ คล้ายกับมะเขือแดงลูกเล็กๆ ที่ตอนนี้แม้จะเริ่มมีเชื้อราเกาะกินให้เห็น และเน่าไปบางส่วน มีกระดาษสีขุ่นแปะไว้ที่ข้างขวดพออ่านจับใจความได้ว่าว่า ‘ผลของดองดึงมีพิษ’ เขาอึ้งไป
ชายหนุ่มเดินตรงไปที่ชั้นหนังสือ ไล่หาแฟ้มสีดำแบบเดิม เขาเจอมันซ่อนหลบมุมอยู่บนสันหนังสือ กว่าจะดึงออกมาก็ใช้เวลาเพราะมันแน่นขนัดเหมือนถูกจับยัดเข้าไป เป็นแฟ้มสีดำที่เก่ากว่ามาก โดยเฉพาะเนื้อหาด้านใน มันรวมไปถึงไม้ประดับ ไม้ยืนต้น และไม้เลื้อยด้วย เขาเปิดไปเรื่อยๆ จนมาถึงประมาณหน้ากลางๆ เขาเห็นกระดาษสีเก่าเหลือง โผล่แลบมาจากสันกระดาษ เขารีบดึงออกมา เป็นเหมือนบทความจากหนังสือพิมพ์
‘...ดอกไม้พิษในบ้านที่ควรระวัง’
ภูวรินทร์ไล่สายตาไปตามรายชื่อกว่าสิบชนิดแยกไปตามชนิดพิษของมัน ‘ดองดึงหัวขวาน’ และสารพิษ โดยพิษของดองดึงจะพบมากสุดคือที่ผลของมัน เป็นรูปกระสวยสามเส้าแฝดติดกัน ดูคล้ายกับผลของตะลิงปลิง ส่วนเมล็ดสีส้มในขวดเก่าของอินทนิลนั้นจะอยู่ในผลของดองดึง และรองลงมาคือเหง้า ส่วนนี้คล้ายรากเหมือนหัวกลอย อาการพิษ คือ คลื่นไส้ อาเจียน ลำไส้อักเสบ ระบบไหลเวียนเลือดผิดปกติ คลื่นหัวใจผิดปกติจนวัดไม่ได้ ไตอาจจะถูกทำลาย กล้ามเนื้อเปลี้ย และระบบประสาทส่วนกลางเป็นอัมพาต และอาจทำให้เสียชีวิตในที่สุด นอกจากนี้ยังมีรายงานข่าวการเสียชีวิตของคนที่กินผลดองดึงเข้าไป โดยการต้มมาดื่มเพราะนำมารักษาโรคปวดข้อ
 ภูวรินทร์เห็นว่าพิษของมันรุนแรงมาก หากรับประทานหรือดื่มมันเข้าไปโดยตรง จะเสียชีวิตในเวลา 3-4 ชั่วโมง หรือไม่ก็ภายในหนึ่งวัน เขาปิดแฟ้มด้วยใจหม่นหมองคุณแก้วคงเสียชีวิตด้วยพิษพืชชนิดนี้ แต่การที่จะถูกพิษชนิดนี้เข้าร่างกายมันไม่ง่ายเลย เพราะคุณแก้วก็น่าจะทราบว่ามันมีพิษ.... อีกอย่างการจะให้พิษเข้าสู่ร่างกายโดยตรงไม่ว่าจะกินหรือดื่มเข้าไป แต่การจะให้คุณแก้วดื่มยาพิษเข้าไป คงทำไม่ได้ง่ายๆ นอกจากจะเป็นคนใกล้ชิด
 ใครกัน หากเป็นมณีจริง เธอใช้วิธีไหนให้คุณแก้วดื่มมันเข้าไป... พลันนึกไปถึงเหตุการณ์ในฝัน วันที่คุณแก้วตาย แม่บัวบอกว่าคุณแก้วร่างกายไม่แข็งแรง หากนำเมล็ดของดองดึงไปต้ม แล้วนำมาเปลี่ยนเป็นยาแทนก็อาจเป็นไปได้ 


หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ [ ตอนที่ ๘ ] ๑๐.๐๑.๖๑ หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 10-01-2018 08:23:30
เหมือนไม่เจอจุดสิ้นสุดจริง ๆ
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ [ ตอนที่ ๘ ] ๑๐.๐๑.๖๑ หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: สาว801 ที่ 10-01-2018 16:33:56
สงสารคุณแก้ว แต่รอดูตอนจบเพื่อสงสารผิดคน  :ling3:
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ [ ตอนที่ ๘ ] ๑๐.๐๑.๖๑ หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 10-01-2018 22:25:52
หน่วงใจ
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ [ ตอนที่ ๘ ] ๑๐.๐๑.๖๑ หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 10-01-2018 22:48:50
 :pig4:
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ [ ตอนที่ ๘ ] ๑๐.๐๑.๖๑ หน้า ๓
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 11-01-2018 21:52:04
เห้อเ
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ [ ตอนที่ ๙ ครึ่งแรก ] ๑๕.๐๑.๖๑ หน้า ๔
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 14-01-2018 23:54:37
ตอนที่ 10 ผู้คาดหวังในรัก

ภูวรินทร์อยู่ในห้องพักของอินทนิลอยู่นาน จนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าเดินใกล้เข้ามา ประตูห้องเปิดออกเบาๆ ปรากฏเป็นร่างของอินทนิลเดินมาในห้อง ด้วยสีหน้าง่วงงุน พร้อมกับป้าษอรที่เดินตามเข้ามาทีหลัง

“อินน์มีไข้ค่ะ”ป้าษอรบอกเขา ชายหนุ่มปิดแฟ้มลงก่อนจะเก็บมันเข้าที่ อินทนิลเดินเข้ามาในห้อง 
“งั้นผมดูแลอินน์เองครับ”เขาบอก เธอมองเขาอีกครั้ง มีความกังขาแสดงอยู่บนใบหน้าของเธอ “ป้าให้อินน์ทานยาแล้วค่ะ เหลือแค่เช็ดตัวเท่านั้นค่ะ...”เธอบอกเขาด้วยท่าทีนิ่งๆ จากนั้นเดินจากห้องออกไปพร้อมปิดประตูให้ เขามองทิศทางที่เธอเดินออกไปอยู่นาน ก่อนจะหันกลับมามองอินทนิลเดินไปนอนบนเตียงอย่างเงียบเชียบ
“เกิดอะไรขึ้น”เขาถาม
“อืม เมื่อวานเย็นอินน์ไปที่สุสานมา”อินทนิลตอบน้ำเสียงราบเรียบ ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างตัวเองจนถึงหน้าอก เขานั่งลงบนเตียงมองอีกฝ่ายอย่างใกล้ชิด
“...ทำไมล่ะ”ภูวรินทร์ถามอย่างไม่เข้าใจนัก เด็กหนุ่มมักทำเรื่องที่เขาไม่คาดไม่ถึงมาก่อน ส่วนมากมาจากความอ่อนไหวของตัวเองทั้งนั้น
“ไม่รู้สิครับ...มณีเป็นคนทำร้ายท่าน อินน์เลยเกลียด”เจ้าตัวทำหน้ายับย่น แววตาเย็นชาฉายออกมาทุกครั้งเวลาที่เอ่ยถึงมณี
“เรื่องมันนานมาแล้ว เธอเองเป็นคนนอกนะอินน์”เขาบอก เรื่องมณีกับคุณแก้ว ควรปล่อยให้เป็นเรื่องของฝ่ายนั้นไปเถอะ อินทนิลมองเขาแล้วส่ายหน้า
“ไม่ได้หรอก อินน์เชื่อมโยงกับท่าน ไม่ยุ่งไม่ได้”เจ้าตัวแย้ง
“แต่เธอป่วยอยู่”ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่อง มองร่างของอินทนิลที่ดูซูบผอมลงไปบ้าง ใบหน้าซีดเซียวฉายแววอ่อนล้าออกมาให้เห็น อินทนิลยิ้มบางๆออกมา
“คุณห่วงอินน์เหรอ”เจ้าตัวถาม หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน เขามองทุกอากัปกิริยาของอินทนิล ก่อนจะพยักหน้าตอบไปสั้นๆ
“ใช่สิ”คำตอบของเขา ทำให้อินทนิลยิ้มกว้าง เจ้าตัวขยับร่างนอนตะแคงมาทางเขา “...แล้วห่วงท่านไหม”ภูวรินทร์นิ่งไป เขาไม่ตอบ ไม่คิดว่าอินทนิลจะยึดติดกับคุณแก้วมากถึงขนาดนี้ ทุกครั้งเจ้าตัวจะต้องพูดถึงคุณแก้วอยู่เสมอ ราวกับว่าเป็นส่วนหนึ่งของสำนึก เด็กหนุ่มนอนนิ่งอยู่บนเตียง ใบหน้าแนบหมอนกำลังจับจ้องเขา
“...ไม่หรอก ท่านไม่ใช่คนนี่นะ ไม่มีร่างด้วยซ้ำ เขาใช้ร่างของเธอ...”เขาพูดนิ่งๆ พูดถึงคุณแก้วแล้วพาลไปนึกถึงใบหน้าเศร้าโศกเต็มไปด้วยย้ำตาของฝ่ายนั้นตลอด
“ใช่ครับ...แต่อินน์ไม่ได้ต่อต้าน”อินทนิลพูดยืนยันเสียงแข็ง ท่าทางเหมือนไม่ได้ถูกบังคับให้ยินยอม ชายหนุ่มจ้องเด็กหนุ่มอย่างไม่วางตา มองเข้าในนัยน์ตากลมใสทั้งสองคู่นี้อย่างค้นหา มีเพียงความจริงใจของอีกฝ่ายปรากฏให้เห็น เขาถอนหายใจอย่างอดทน
“ทำไมกันล่ะ...ยิ่งเรื่องในวันนั้น...เธอก็รู้ไม่ใช่เหรอ คุณแก้วควบคุมเธอ”ภูวรินทร์ด้วยความอึดอัด เขาจำไม่ได้ นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก เหมือนความทรงจำโดนปิดผนึก ชายหนุ่มไม่ชอบความรู้สึกพวกนี้ และเขาก็ไม่เข้าใจอินทนิลด้วย เด็กหนุ่มมองเขา 
“มันบอกไม่ถูกครับ...ที่บอกว่าไม่โกรธ ไม่ต่อต้าน เป็นความจริง อินน์แค่ยอมรับมันก็เท่านั้นเอง เพราะใจของอินน์ ไม่ใช่อินน์เพียงอย่างเดียว ...ถึงแม้ว่าอินน์อยากให้คุณมองเห็นแค่อินทนิล”เด็กหนุ่มพูดช้าๆ เสียงแผ่วเบาไม่ต่างจากกระซิบ ราวกับกลัวใครจะได้ยิน
“อืม เธอเป็นอินทนิลสำหรับฉันนะ”แม้ว่าเขาจะฉุกคิดไปถึงคุณแก้วอยู่บ้าง เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่นึกถึง ใบหน้าคล้ายคลึงกันขนาดนั้น
“คุณแก้วท่านน่าสงสารออก คุณไม่เห็นใจท่านเหรอ ไปไหนไม่ได้เพราะมณีแช่งไว้ ต้นเหตุมาจากที่ท่านอาไม่ซื่อสัตย์”อินทนิลเอ่ยออกมา เขาผ่อนลมหายใจเบาๆอย่างอดทน แม้แต่อินทนิลก็คิดแบบนี้งั้นหรือ
“เอาเถอะ ตอนนี้เธอพักผ่อนก่อนดีกว่า”ภูวรินทร์ถาม อินทนิลผงกศีรษะเบาๆ “...คุณภู”อินทนิลเอ่ยเรียกอย่างไม่มั่นใจ เขามอง ท่าทางของอินทนิลดูกล้าๆกลัวๆที่เปิดปากพูดออกมา เขาคิดว่าคงเป็นเรื่องสำคัญ ชายหนุ่มยิ้มใจดีให้อีกฝ่ายเบาใจ
“ว่าไงล่ะ”เขาถามเบาๆ อินทนิลเม้มปาก นัยน์ตาสีนิลขยับไหวไปมา ก่อนจะฉายแววแน่วแน่ออกมาเป็นครั้งสุดท้าย
“อินน์ว่า...อินน์ชอบคุณครับ”เด็กหนุ่มพูดเสียงเบา ใบหน้านั้นไม่มีความเขินอาย มีเพียงความขลาดกลัวต่อเขามากกว่า ภูวรินทร์ได้ฟังถึงกับเบิกตากว้าง เขาไม่ตกใจกับคำสารภาพนี้ แต่เขาประหลาดใจมากกว่าที่อีกฝ่ายกล้าพูดมันออกมาตรงๆ และเขาไม่ทันได้ตั้งสติ ชายหนุ่มกลับมาสงบเสงี่ยมก่อนจะค่อยๆพูด
“...เข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า อาจเพราะคุณแก้วทำให้เธอรู้สึกแบบนี้”ชายหนุ่มบอก หากว่าอินทนิลเป็นเด็กชายธรรมดา ก็คงไม่คิดมาพิศวาสเขาแน่ๆ ตั้งแต่เขามาอยู่ที่บ้านหลังนี้ไม่เคยแสดงท่าทีที่ให้อีกฝ่ายรู้สึกลึกซึ้งด้วยเลย
“มันก็มีส่วนครับ แต่แล้วยังไงล่ะ มันก็ปฏิเสธไม่ได้ อินน์รู้ว่าคุณจะมาที่นี่ ในตอนที่ใกล้ตาย ท่านมาช่วยอินน์ไว้ เวลานี้อินน์ยังไม่ตายแต่วิญญาณของเราผูกกันไว้แทน”อินทนิลพูดไม่ละสายตาไปจากเขา ใบหน้านั้นสะท้อนความจริงไม่ปกปิดอีกต่อไป อาจเป็นแววตาที่คาดหวังคำตอบที่ชโลมใจ
“ทำไมเธอถึงยอมรับง่ายๆล่ะ”เขาถามต่อ
“อินน์อาจอยู่ได้ไม่นาน”เด็กหนุ่มห่อไหล่ท่าทางเหมือนหนาวเหน็บขึ้นมา ชายหนุ่มหายใจติดขัด ข้อเท็จจริงนี้เขาเองก็เคยเก็บเอามาคิดเช่นกัน
“พูดอะไรแบบนั้น มันเป็นลางไม่ดี”ชายหนุ่มบอกอย่างไม่ใส่ใจ เจ้าตัวมองเขา แววตาสีนิลหม่นลง จากนั้นก็พูดพึมพำออกมา
 “อินน์แค่อยากใช้ชีวิตบ้างก็เท่านั้นเอง”เจ้าตัวมองไปทางบานหน้าต่างที่ติดกับเตียงนอน แววตานั้นเหมือนโหยหาอะไรบางอย่าง ชายหนุ่มเงียบ เขาคิดตามที่เด็กหนุ่มพูด อยากใช้ชีวิตงั้นเหรอ หมายถึงแบบไหนกันล่ะ ไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องในอดีตน่ะเหรอ
“ใช้ชีวิต...”เขามองคนพูดอย่างตั้งใจ อินทนิลนัยน์ตาสั่นไหว “ครับ อินน์ไม่ได้อยากมีชีวิตอยู่เพียงแค่เป็นร่างให้ท่านยืมใช้ ไม่ได้ต้องการให้คุณภูมองเห็นเป็นแค่เด็กน้อยที่น่าสงสาร อยากให้มองอินน์เป็นคนธรรมดาเท่านั้น ต่อให้จะมีท่านหรือไม่ก็ตาม”อินทนิลพูดออกมาจนหมดเปลือก เขามองเด็กหนุ่มด้วยใจลังเล เข้าใจในสิ่งที่อินน์ต้องการเช่นกัน บางคราวหากว่าหลุดพ้นจากเรื่องนี้ได้จริงๆ เขาก็อยากไป‘ใช้ชีวิต’อย่างที่ใจปรารถนา
“ไม่ใช่ว่าฉันมองเธอเป็นอย่างอื่น เธอก็ยังเป็นอินทนิล”เขาตอบ
“ชีวิตมันไม่มีอะไรแน่นอนหรอกครับ... ต่อให้เราจะมีสายเลือดเดียวกัน แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงไม่ใช่เหรอ ถึงคุณจะไม่ชอบอินน์ก็เถอะ”เด็กหนุ่มพูดช้าๆ มองเขาอย่างผิดหวัง ภูวรินทร์ถึงกับส่ายหน้า เขายิ้มให้กับความคิดของเด็กหนุ่ม
“...ไม่ใช่ไม่ชอบ แต่เธอยังเด็กนะ”เขาพูด มันคงแปลกที่เขามาชอบเด็กอายุสิบห้าปี อายุห่างจากเขาตั้งเท่าไหร่ เรื่องศีลธรรมมันกำลังกัดกินใจของตนอยู่ ไม่นับที่อีกฝ่ายเป็นญาติพี่น้องของตนอีก
“นั่นสิ คุณภูอายุใกล้สามสิบแล้ว อินน์คงต้องเรียกคุณว่าคุณอาแทน”อินทนิลพูด ใบหน้าของเจ้าตัวเรียบเฉยขึ้นมา ชายหนุ่มนิ่งไป เขาแสลงใจกับคำว่าอา มันทำให้คิดวกกลับไปที่ท่านอา.....อดีตชาติของเขา ...ชะตาไม่แปรเปลี่ยน ภูวรินทร์ปรับสีหน้าให้ยิ้มแย้ม

“อย่าเลย เรียกชื่อฉันเหมือนเดิมเถอะ”เขาบอก อินทนิลเผยยิ้ม “ก็ได้ครับ”ขยับตัวนอนอย่างสบายใจขึ้น ร่างกายไม่เกร็งต่อเขา
“แล้วจะอาบน้ำหรือว่าจะเช็ดตัว”เขาถาม เพราะป้าษอรทิ้งท้ายไว้แบบนั้น เขามองเด็กหนุ่มนิ่งๆ
“...เช็ดตัวดีกว่าครับ”อินทนิลตอบ แววตากระวนกระวาย จากนั้นก็มีท่าทีอึกอักขึ้นมา “เรียกษอรมาก็ได้ครับ”เจ้าตัวรีบพูด เขายิ้มออกจางๆ ไม่คิดมากกับเรื่องดูแลคนป่วย
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันช่วย”ภูวรินทร์บอก ก่อนจะลุกขึ้นยืน เดินออกไปบอกลุงชมให้เอาน้ำอุ่นมาให้ ลุงชมมองเขาก่อนจะรับคำ อินทนิลแววตาเป็นประกายขึ้นมา  “...ขอบคุณครับ”

ภูวรินทร์มองเด็กหนุ่มเงียบๆ เขาบอกไม่ถูกว่าชอบอินทนิลในแบบไหน แต่ถ้าเกิดอันตรายกับอินน์ เขาคงยอมไม่ได้เหมือนกัน หลังจากที่ภูวรินทร์เช็ดตัวให้อินทนิลเสร็จเรียบร้อยแล้ว อินทนิลเริ่มจะเคลิ้มหลับไปเต็มแก่ ชายหนุ่มหยิบขวดแก้วใบเล็กออกมายื่นให้อีกฝ่ายดู

“เธอจำได้ไหมว่าไปเอามันมาจากไหน”เขาถาม อินทนิลเพ่งสายตามองขวดแก้วใบเล็กก่อนจะเอื้อมมาจับขวดแก้วไปมองอย่างชัดๆ คิ้วขมวดมุ่นอย่างพิจารณา
“อืม... มันอยู่กับอินน์มาตั้งแต่เด็กๆแล้ว...”เจ้าตัวพูด แล้วยื่นมันให้เขาตามเดิม
“คุณแก้วรู้ด้วยไหม”ชายหนุ่มถาม เขามองอินทนิลส่ายศีรษะ แววตามึนงง “ไม่รู้นะครับ เพราะพวกขวดแก้วเก่าๆพวกนี้ก็อยู่รวมกับพวกของใช้ในห้องอินน์มานานแล้ว...มีอะไรเหรอครับ”อินทนิลถาม
“ไม่มีอะไรหรอก เธอนอนได้แล้ว”ชายหนุ่มยิ้มตอบ อินทนิลหายใจเข้าออกช้าๆ ก่อนจะรั้งตัวเขาไว้ด้วยถ้อยคำนี้ “คุณจะไม่ไปไหนใช่ไหมครับ”อินทนิลมองเขา เอื้อมมาจับมือเขาไว้ สัมผัสนั้นอุ่น ชายหนุ่มยิ้ม
“ไม่หรอก ฉันอยู่ที่นี่แหละ”เขาบอก ยอมจับมือผอมนั้นไว้ อินทนิลคลี่ยิ้ม แววตามีชีวิตชีวาขึ้น มือนั้นกระชับแน่นไม่ปล่อย ...เขายอมรับในชะตาของตัวเองแล้ว แต่เขากลับจุกในอกมากกว่า... การติดอยู่ที่บ้านหลังนี้ อาจจะเป็นหนทางที่ดีแล้ว
หลังจากที่อินทนิลหลับไปได้สักพัก ภูวรินทร์ถึงค่อยเดินออกจากห้อง พอเปิดประตูก็เจอเข้ากับลุงชมกับป้าษอรที่ยืนรออยู่ด้านนอก ชายหนุ่มทำหน้านิ่งเฉย ไม่กระโตกกระตากอะไร จะว่าไปเท่าที่สังเกตมา ในระยะหลัง ป้าษอรดูไม่ไว้ใจเขาเท่าไหร่ คงเพราะเป็นห่วงอินทนิล ไม่ก็...อาจรู้เรื่องที่คุณแก้วทำก็ได้ 
“อินน์นอนแล้วล่ะครับ”เขาบอกอีกฝ่าย ก่อนจะเดินกลับไปทางห้องครัว แต่เสียงพูดจากป้าษอรทำให้เขาหยุดเดินจนได้
 “อินน์จะไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ”เธอพูด ภูวรินทร์เครียดขึ้นมาทันที เขาหันกลับไปมองสองคนนั้นอย่างลังเลใจ ก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ไม่นี่ครับ”
“คุณก็น่าจะรู้ว่าป้าหมายถึงอะไร ถึงป้าจะไม่ใช่แม่แท้ๆ แต่ก็เลี้ยงมากับมือไม่ว่าจะตอนมีหรือไม่มีคุณแก้ว”ป้าษอรเอ่ย สองมือกุมกันแน่นอย่างกังวลใจ ชายหนุ่มนิ่งคิด ก่อนจะยิ้มออกมาให้พวกเขาสบายใจ
“ครับ ผมเข้าใจ”
“ป้าอยากขอร้องคุณ อยากให้ช่วยอินน์ อย่างน้อยก็ขอให้คุณดูแลอินน์ให้ปลอดภัย”เธอพูดต่อ เป็นคำขอที่หนักหน่วง เขายืนนิ่ง ความปลอดภัยงั้นเหรอ...ดูเป็นเรื่องยาก ถ้าทำได้เขาก็อยากทำ
“ครับ...ผมจะทำ”ชายหนุ่มบอก ก่อนจะเดินกลับเข้าไปทางประตูห้องครัว รู้สึกอัดอึดเหมือนจะระเบิดออกมา เมื่อเดินมายังห้องอาหาร บนโต๊ะอาหารมีสำรับอาหารของเขาตั้งรอไว้เช่นเคย



ภูวรินทร์ฝัน คราวนี้เป็นฝันในอดีต เขามองเห็นสวนหน้าบ้าน ทุกอย่างล้วนคงเดิมแต่ทว่าบ้านยังใหม่เอี่ยม เหมือนเขามองเห็นความเป็นไปของบ้านนี้
‘ตอบมาสิคะ!’เสียงของผู้หญิงดังขึ้นจากทางเรือนปั้นหยา ทำให้เขาเดินเข้าไป ไม่สิ เขาไม่มีร่าง คล้ายกับเป็นมุมมองจากคนนอก มณี เธอเป็นผู้หญิงสวย มองปราดแรกก็ต้องอุทานว่างดงามอย่างไทย ใบหน้าเรียว เรือนผมสีเข้มเป็นลอนถึงบ่า เธอกำลังทุ่มเถียงกับท่านหมื่นนรินทร์ที่มีสีหน้าเคร่งเครียด ขณะเดียวกันในบริเวณเฉลียงบ้าน มีแก้วนั่งอยู่ที่เก้าอี้หน้าเฉลียงเรือน อายุอานามคงยี่สิบปีหรือมากกว่านั้นไม่มาก ข้างกายมีแม่บัวคนรับใช้ที่กำลังจ้องมองสองสามีภรรยาราวกับรอชมละคร
‘...มณี ฟังฉันก่อน เรื่องนี้มีคำอธิบาย’ท่านหมื่นเอ่ยอย่างประนีประนอม คงกลัวว่าภรรยาจะสติแตกไปซะก่อน
‘ท่านหมื่นจะแก้ตัวเรื่องแก้วว่าอย่างไร ที่เขาพูดมันจริงหรือไม่คะ’มณีถามเสียงดัง ท่าทางเหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้ หมื่นนรินทร์ขยับเดินเข้าหามณีช้าๆ
‘...มณี’หมื่นนรินทร์พยายามจะเกลี้ยกล่อมให้ภรรยาตนคลายอารมณ์ที่พร้อมจะระเบิดทุกสิ่ง
‘ไม่อย่างนั้น อิฉันจะบอกคุณพ่อ และเด็กคนนี้จะไม่ใช่ลูกของท่านอีกต่อไป’เธอขู่ ใบหน้ามีน้ำตาวาววับ ท่านหมื่นดูตกใจกับคำพูดของมณี ถึงกับหยุดนิ่งไป
‘หมายความว่ายังไง เรื่องนี้จะถึงหูผู้อื่นไม่ได้นะ’
‘คิดว่าอิฉันจะยอมรับเรื่องเช่นนี้ งั้นเหรอ ท่านมีอิฉันไปเพื่ออะไรคะ... หรือต้องการเพียงทายาทเท่านั้น’มณีเค้นเสียงถาม มือของเธอกุมท้องที่กลมโป่งออกมาจากชุดกระโปรงลูกไม้สีฟ้าอ่อนอย่างโกรธเคือง ไม่ทันที่ท่านหมื่นจะอ้าปากตอบ เสียงหนึ่งก็แทรกออกมาแทน
‘ถูกต้อง ท่านนรินทร์ต้องการเพียงลูกสืบสกุลเท่านั้น แม่มณีไม่เห็นหรือว่าลูกของพี่หญิงชายของเราล้วนอยู่ที่อื่นหมดแล้ว ไม่อุปการะเลี้ยงดูไว้ในบ้าน’แก้วเป็นฝ่ายพูดออกมา น้ำเสียงที่ใช้ฟังแล้วเหมือนกำลังเยาะเย้ยมณีอยู่
‘แก้ว หยุดพูดเดี๋ยวนี้!’ท่านหมื่นทำอะไรไม่ถูก
‘คุณพี่!’มณีกรีดร้อง ก่อนจะมองไปที่หนามตำใจของเธออย่างไม่อยากเชื่อสายตา แม้คนรับใช้ในบ้านจะมองเธอแปลกๆ แต่ก็ไม่เก็บมาคิดมาก ได้ยินคำพูดติฉินนินทาท่านหมื่นมาโดยตลอดแต่ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องน่าอับอายถึงเพียงนี้ เธอกุมท้อง ในใจรู้สึกสะอิดสะเอียน สามีที่เธอร่วมเตียงเคียงหมอนมาเกือบปี ไม่ใช่อย่างที่เธอคาดฝัน....
‘แม่มณี เห็นแล้วนี่ว่าเราถูกกักขัง เราผู้เป็นหลานแม้จะชังหน้าท่านอา แต่เรากลับไม่ไปไหน เท่านี้ก็น่าจะบอกอะไรคุณได้บ้าง ...อีกอย่าง ลูกของท่าน หากเติบโตมา รู้ว่าบิดามีหลานชายเอาไว้คลายกำหนัดจะรับได้หรือ’แก้วพูดจายุแยงอีกฝ่ายอย่างสบายใจ
‘คุณพี่คะ...’
‘ฟังนะมณี ฉันแต่งกับเธอเพราะผูกรักสมัครใจ ไม่ใช่เพราะเรื่องไร้สาระที่แก้วพูด เชื่อฉันนะ’ท่านหมื่นพูดอย่างใจเย็น น้ำเสียงปลอบประโลม
‘...ท่านยังมีสัมพันธ์กับแก้วอีกเหรอคะ’เธอเอ่ยถามผู้เป็นสามีด้วยน้ำเสียงไม่อยากเชื่อถือนัก สีหน้าคล้ายคนร่ำไห้
‘....ใจเย็นก่อนสิมณี’หมื่นนรินทร์รีบเอ่ย แม้ใจจะอยากปลอบภรรยาทว่าไม่อาจหาคำพูดอื่นใดออกมาได้ เพราะความเป็นจริงนั้นกำลังทำลายตนทีละนิด
‘แม้จะมีอิฉันแล้วหรือ’มณีแทบยืนไม่อยู่ เรื่องอัปยศเพียงนี้เธอรับไม่ได้จริงๆ มองไปที่ท่านหมื่น สามีที่กินนอนด้วยกันมาหลายปีแล้วก็ยิ่งช้ำใจ
‘ย่อมใช่ เธอท้องไม่ใช่หรือ ท่านหมื่นจะไปหาหญิงนอกบ้านอีกทำไม ในเมื่อมีของเก่าอยู่ใกล้ๆ’แก้วพูดอย่างไม่สะทกสะท้าน แม่บัวคนรับใช้ข้างกายไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่ก้มหน้าต่ำๆไม่อยากมองเห็นสายตาของผู้เป็นนาย อย่างหมื่นนรินทร์
‘ขอร้องนะแก้ว หยุดพดเถอะ อย่าทำลายครอบครัวฉัน’ท่านหมื่นพูด ยังคงทำอะไรไม่ถูก ควรเข้าไปกอดปลอบภรรยา หรือควรเข้าไปห้ามแก้วดี ทางไหนก็มีแต่ไม่ช่วยให้ดีขึ้น
‘พูดมาได้นะ ครอบครัวหรือ ท่านทำลายคำว่าครอบครัวมานานแล้ว เราเองก็ไม่ใช่ครอบครัวท่านหรือ’แก้วพูดอย่างไม่พอใจ
‘คุณพี่ยังอยากให้อิฉันอยู่ด้วยหรือไม่คะ’มณีถามขึ้นมา ทำเอาหมื่นนรินทร์ถึงกับพูดไม่ออก
‘มณี เธอเป็นภรรยาของฉันนะ’
‘แล้วคุณพี่ทำแบบนี้ได้เช่นไร ตอบมาสิคะ ว่าที่แก้วพูดไม่จริง’เมื่อมณีเห็นปฏิกิริยาของท่านหมื่นแล้ว มณีแทบไม่ต้องการคำยืนยันอะไรอีกต่อไป เธอมองไปทางแก้วอย่างรังเกียจ
‘นั่นหลานของคุณนะคะ ซ้ำยัง...’ เธอส่ายศีรษะ ‘หากอิฉันไม่รู้เข้า คุณพี่จะหลอกลวงกันไปจนตายเลยหรือ แล้วลูกของเราละคะ ท่านทำผิด ท่านทำเรื่องผิดธรรมเนียมต่ออิฉัน’มณีตะโกนใส่ท่านหมื่นก่อนจะวิ่งกลับไปทางประตูรั้วบ้านไป ท่านหมื่นรีบตามภรรยาไป
 ‘แก้ว...นี่เธอ!’ก่อนหันกลับมามองหลานชายด้วยความโกรธเคือง เหมือนในอกสุมไฟไว้ จากนั้นก็วิ่งตามมณีไป ส่วนแก้วกับแม่บัวเพียงแค่นั่งนิ่ง ไร้ความรู้สึกใด
‘ไม่เกรงว่าท่านหมื่นจะกลับมาทำร้ายคุณหรือคะ’บัวถามอย่างกังวลใจ
‘ไม่หรอก ถึงเขาจะเลว แต่ไม่มีทางทำร้ายเราหรอก’
‘มั่นใจรึคะ ยามโมโหคราวก่อน ท่านหมื่นก็ไม่ยอมปล่อยให้คุณออกจากห้อง มัดไว้อย่างกับไม่ใช่คน’บัวเอ่ยอย่างไม่พอใจนัก
‘ใช่สิ เกรงว่าสำหรับท่านอา เราคงไม่ใช่คนอีกต่อไปแล้ว...คงเป็นเพียง...’แก้วเงียบไปพร้อมกับก้อนสะอื้น ร่างนั้นแค่สั่นไหว ไม่มีเสียงร่ำไห้ออกมา


ฉับพลันเรือนปั้นหยาก็มืดลงคล้ายกับเวลากลางคืน ฝันนี้คงไม่ใช่ฝันที่ต่อเนื่องนัก ภายในเรือน แก้วนั่งหวีผมอยู่ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งที่เบื้องหลังมีร่างสูงของหมื่นนรินทร์ยืนจ้องอย่างไม่พอใจ ส่วนแม่บัวนั่งอยู่ที่ริมห้องไม่กล้าขยับไปไหน
‘ต้องการเช่นนี้หรือ แก้ว’
‘ท่านทำลายเรา เราก็จะทำลายท่าน’แก้วเอ่ยอย่างไม่หยี่ระต่อความโทสะของท่านอา เพียงแค่มองสบตาผ่านกระจกเงาเบื้องหน้าแทน
‘แก้ว...เพราะเหตุใดกัน’หมื่นนรินทร์อดกลั้นความโกรธ เอ่ยถามออกไป แก้วแค่ยิ้ม
‘ยังกล้าถามคำถามนี้กับเราหรือ ท่านทำผิดต่อเรา... ใยถึงได้ทำเป็นไม่รู้’
‘ขอโทษ แต่...ฉันกำลังสร้างครอบครัว อย่าให้ฉันต้องโหดร้ายกับเธอ’ท่านหมื่นพูดช้าๆ มองหลานชายผ่านกระจก
‘ทำไมหรือ จะฆ่าเรา หรือจะไล่เราไป’
‘ไม่หรอก ฉันไม่ไล่ หากฉันย่อยยับ เธอก็ต้องไปพร้อมกับฉันแก้ว เพราะเธอเป็นต้นเหตุ’ชายผู้เป็นอาเดินไปยังด้านข้างของคุณแก้ว จับไหล่ผอมบางนั้นเอาไว้ราวกับบีบให้แตกสลายไปกับมือ คุณแก้วจ้องตากลับอย่างไม่ยอมลดละ
‘คำขู่ของท่าน เราจะรับไว้เป็นคำบอกรักก็แล้วกัน’แก้วยิ้มกว้าง ใบหน้าไม่น่ามองเท่าไหร่ ท่านหมื่นกระซิบลอดไรฟันอย่างขุ่นเคือง
‘แก้ว...’
‘ท่านหมดรักเราไปแล้วจริงๆ ...ในตอนนี้เราคงเป็นกระโถนของท่านสินะ โยนสิ่งเน่าเหม็นมาให้เรา ในตอนนี้ก็คงถูกเมียท่านชังน้ำหน้าไปซะแล้ว คำพูดรื่นหูคงใช้กับนางได้สินะ’แก้วหัวเราะเบาๆ หมื่นนรินทร์ส่ายศีรษะ มองหลานชายอย่างผิดหวัง
‘ถึงฉันหมดรัก แต่ใช่จะไม่มีเยื่อใย’ไม่อย่างนั้นตนคงเอาแก้วไปตีให้ตายไปตั้งแต่ตอนที่อาละวาดในบ้านคราวนั้นหรอก
‘อ้อ ท่านกำลังบอกว่าหวังดีกับเราแล้วหรือ แม้จะนอนเรือนเดียวกับท่านยังทำไม่ได้’แก้วเอ่ยด้วยใจที่สงบนิ่ง แม้จะเสียใจอยู่ ทว่าในตอนนี้ตนนั้นชาชินไปเสียแล้ว
‘เพราะเธอดื้อรั้นไม่ใช่เหรอ’
‘เพราะผิดต่อเราต่างหาก ท่านคิดว่าจะอยู่เป็นสุขหรือ’
‘จะแช่งชักฉันงั้นเหรอ’หมื่นนรินทร์เอ่ยถาม มองตาคุณแก้วอย่างไม่หลบหนี
‘หึ ไม่ต้องแช่งหรอก คำสาบัตย์สาบานที่เราเคยกล่าว มันจะย้อนมาทำลายท่านเอง เราก็แค่จะรอดูท่านพินาศอยู่ตรงนี้ มองครอบครัวของท่านล่มจมด้วยน้ำมือท่านเอง’แก้วลุกจากเก้าอี้ แล้วเดินไปนั่งที่เตียงอย่างไม่สะทกสะท้านอะไร ท่านหมื่นเดินตาม แม้ใจอยากจะตะโกนใส่อีกฝ่ายให้คลายโทสะ
‘ถ้าเธอทำร้ายครอบครัวฉันล่ะก็ ฉันจะไม่ปล่อยเธอไว้ จำเอาไว้ให้ดี’ผู้เป็นอาเอ่ยอย่างเย็นชา
‘เราจะจำไว้ให้ขึ้นใจ’แก้วรับคำด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แน่นอนว่าในใจช้ำเลือดช้ำหนอง หมื่นนรินทร์มองหน้าหลานชายอยู่นาน เขาไม่คิดจะทำร้ายแก้ว หลังจากได้บ้านมา เขาอยากทำดีไถ่โทษ แต่แก้วทำตัวไม่น่ารัก หากเขาไม่ระงับไว้ทันท่วงที ป่านนี้ชีวิตของตนก็คงแหลกเหลว แก้วคิดจะทำลายเขานับแต่วันทีประกาศแต่งงานกับมณี
‘ฉันให้เธอไม่พอหรือ’ผู้เป็นเอ่ยถามด้วยใจที่เจ็บแปลบทีละน้อย การเอ่ยเช่นนี้เท่ากับเขาทำร้ายความรู้สึกของหลานรัก
‘นั่นควรเป็นเราที่ถามมากกว่านะท่านอา...’แต่ก่อนที่เคยคิดว่าขอเพียงได้อยู่เคียงข้างไปตลอดก็เป็นสุข แต่มาบัดนี้ มันแหลกสลาย เหมือนเป็นภาพฝันเลือนราง อดีตที่ดีต่อกัน แก้วถวิลหายิ่งนัก แต่ภาพจริงเบื้องหน้าคือท่านอามีภรรยาและไมต้องการตนอีกต่อไปแล้ว
‘...เพียงขอให้เธออยู่เงียบๆ ฉันก็ยังเอ็นดูเธอเหมือนเดิมนะแก้ว’
‘อยู่เงียบๆรึ ต่อจากนี้คิดว่าเราจะอยู่อย่างสงบสุขหรือ ท่านอา’แก้วขมวดคิ้ว จ้องมองผู้เป็นอาอย่างไม่พอใจอยู่ลึกๆ หลังจากนี้ตนไม่มีทางอยู่อย่างสงบสุขได้
‘...ฉันขอโทษ’หมื่นนรินทร์พึมพำ ไม่ใช่ว่าเขาจิตใจต่ำช้าจนไม่รู้ถูกผิด
‘เรื่องทายาท ท่านนำลูกของท่านพี่เรามาอุปการะไม่ได้หรือ’แก้วถามอย่างอดทน
หมื่นนิรนทร์เงียบเสียงไป แก้วมองผู้เป็นอาด้วยแววตาเสียใจ แม่บัวแต่ก้มหน้าต่ำไม่กล้ามองผู้เป็นนาย ‘ดูแลนายของเธอให้ดี อย่าให้ออกมาอาละวาดอีก’ท่านหมื่นหันมาพูดกับคนรับใช้

‘ค่ะ ท่านหมื่น’
‘ส่วนเรื่องเรือนเพาะ ฉันไม่ได้ห้ามหรอก แต่ก็ระวังไว้บ้าง อย่าให้มีพืชประหลาดโผล่ออกมาอีก’หมื่นนรินทร์ทิ้งท้ายกำชับกับแม่บัว หล่อนผงกศีรษะรับ หมื่นนรินทร์เหลียวมองหลายชายอีกครั้ง ก่อนจะเดินออกจากเรือนไปเงียบๆ เหลือเพียงใบหน้าว่างเปล่าของแก้ว ที่นั่งไม่ขยับเขยื้อนไปไหน
‘คุณแก้วคะ อิฉันว่าส่งจดหมายหาคุณกิ่งดีหรือไม่ อย่าทนอยู่ที่นี่เลยค่ะ’แม่บัวเอ่ยน้ำตานองหน้า เดินเข้าไปหาคุณแก้วที่เตียงก่อนจะจับมือของคุณชายเอาไว้ แก้วคนนี้ เธอเลี้ยงมากับมือ เป็นทั้งแม่นม เป็นทั้งคนรับใช้ ตลอดชั่วชีวิตของเธอนั้นปรารถนาให้ผู้เป็นนายมีความสุข เธอไม่เคยขัดยามที่คุณแก้วปลูกต้นรักกับอาของตน เพียงมีความสุข เธอก็สนับสนุน
แต่หลังจากท่านอาได้บ้านไป จวบจนมีภรรยา ชีวิตของคุณกลับทุกข์ทน หล่อนก็เจ็บปวดไปด้วย

‘คิดว่าเราไปแล้วจะเป็นสุขหรือ เรายังห่วงที่นี่ สมบัติของเจ้าคุณพ่อ’แก้วพูดน้ำเสียงเจือความเศร้า
‘ช่างมันเถอะค่ะ ของนอกกายพวกนี้ มีแล้วทำให้ทุกข์ก็ปล่อยไปเถอะ’แม่บัวพูด
‘เจ้าคุณพ่อฝากฝังบ้านหลังนี้ไว้กับเรา แต่เรายกมันให้ผู้อื่น เพราะความโง่เขลา ตามืดบอด เหลือเพียงเรือนเล็กหลังนี้ แม้จะไม่ใหญ่โตโออ่า แต่ยังมีมุมสวยงาม... เราอยากเขียนพินัยกรรม’
‘ต้องเรียกทนายมา... หมื่นนรินทร์คงทราบแน่ๆ’
‘เราจะเขียนเอง...บัวไปหาคนที่ไว้ใจได้มาให้เราอีกคนหนึงก็พอ...’แก้วบอก
‘ได้ค่ะ อิฉันจะเรียกใช้นางษุมาเป็นพยานให้ค่ะ’แม่บัวรับปาก สองตาจ้องมองผู้เป็นนายด้วยสายตาเห็นใจ ก่อนจะหวนนึกถึงคนที่ทำให้คนตรงหน้าเจ็บช้ำน้ำใจ พลางคิดอย่างโกรธเคือง
หมื่นนรินทร์ท่านต้องไม่ตายดีแน่



 
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ [ ตอนที่ ๙ ครึ่งแรก ] ๑๕.๐๑.๖๑ หน้า ๔
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 15-01-2018 01:09:36
เงื่อนงำเต็มไปหมด
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ [ ตอนที่ ๙ ครึ่งแรก ] ๑๕.๐๑.๖๑ หน้า ๔
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 15-01-2018 03:29:13
''งง ใน งง ''
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ [ ตอนที่ ๙ ครึ่งแรก ] ๑๕.๐๑.๖๑ หน้า ๔
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 15-01-2018 11:14:28
สงสารคุณแก้วอ่ะ
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ :ตอนที่ 10 ผู้คาดหวังในรัก
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 15-01-2018 14:45:45
(ต่อ)


  ชายหนุ่มสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกอีกครั้ง อากาศหนาวเย็นขึ้นมา คาดว่าคงลืมปิดหน้าต่างอีกตามเคย เขาเหลียวมองข้างกาย แล้วเจอกับอินทนิลกำลังนั่งมองเขาอยู่ ชายหนุ่มใจหายวาบ เจ้าตัวยังคงมีลักษณะเช่นเดิมไม่ต่างจากวันแรก ในมือถือพวงมาลัยมาด้วย เขาได้กลิ่นหอมอ่อนๆชวนให้สดชื่น

“มานานแล้วเหรอ”เขาถาม นึกแปลกใจที่เห็นอินทนิลมาที่ห้องของเขา เพราะคิดว่ายังไม่หายป่วย

“สักพักแล้วครับ เห็นคุณดูกระสับกระส่าย”อินทนิลนั่งอยู่บนพื้นข้างเตียงมองเขาอย่างเป็นห่วง ภูวรินทร์ลุกขึ้นนั่งพิงกับพนักเตียง ก่อนจะตบที่นอนข้างตัวที่ยังว่างอยู่

“มานั่งบนเตียงสิ”ชายหนุ่มบอก อินทนิลค่อยๆขยับตัวขึ้นมานั่งบนเตียง แล้วเอื้อมเอาพวงมาลัยมาวางไว้บนพานเหนือหัวเตียง เขามองอีกฝ่ายอย่างชั่งใจ

“คุณเป็นยังไงครับ”อินทนิลหันมาถาม ขยับมานั่งใกล้ๆมองเขาอย่างสนใจอีกครั้ง ภูวรินทร์ไหวไหล่ ก่อนจะยกแขกขึ้นมากอดอกเพราะหวิวที่ลำตัวขึ้นมา

“ก็แค่ฝันเรื่องอดีต”เขาบอก ไม่ใช่ฝันร้ายด้วย ถือว่าเป็นเรื่องดี เขาเบื่อที่จะต้องเผชิญกับผีสางในฝันนั้นอีก อินทนิลพยักหน้า

“คุณจำได้เหรอครับ”

“อืม ไม่เชิงหรอก ฉันมีความรู้สึกนึกคิดของคนอื่นด้วย”ชายหนุ่มบอกอย่างแปลกใจ ดูเหมือนว่าในฝันนั้นคือจุดแตกหักของท่านอากับมณี ส่วนคุณแก้ว ท่านอายังคงไม่ตัดรอนน้ำใจขนาดนั้น...มณียังไม่แท้งลูกเลย แท้งเพราะใครกัน...

“ว่าแต่หายไข้แล้วสิ”ชายหนุ่มมองเด็กหนุ่มที่ดูแจ่มใสขึ้น ต่างจากเมื่อตอนเช้าที่ดูหม่นหมอง ไม่กระฉับกระเฉง อินทนิลยิ้มกว้าง แววตาสดใส

“อินน์แข็งแรง นอนพักสักเดี๋ยวก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม คุณภูเองควรจะผ่อนคลายบ้าง ไม่อย่างนั้นคงเครียดแย่”เด็กหนุ่มพูดอย่างห่วงใย เขายิ้ม ไม่คิดว่ามันจะแย่ไปกว่านี้หรอก

“ฉันยังคงนอนฝันร้าย จะไม่ให้เครียดได้ยังไง”ภูวรินทร์ตอบ เขาอยากหาวิธีที่จะเอาชนะฝันร้ายให้ได้ อินทนิลเงียบไป ท่าทางดูสงสัยใคร่รู้ก่อนจะยื่นหน้ามาถาม

“ฝันร้ายมากเหรอครับ”

“อืม ฝันถึงเธอกับคุณแก้ว...เธอสองคนมีใบหน้าคล้ายกันมากเลยนะ”เขาพึมพำ ไม่ได้มองอินทนิล ภายในห้องนอนยังคงสว่าง ชายหนุ่มไม่ได้ปิดไฟในห้อง ปกติเขาล็อกประตูห้องนอนอยู่แล้ว แต่อินทนิลก็เข้าออกห้องเขาได้อย่างสบายใจทุกครั้งไป

“อินน์เป็นเชื้อสายของท่านนี่ครับ...อีกอย่าง คุณกลัวอินน์ด้วยเหรอ”เด็กหนุ่มถาม หากพดถึงในฝันก็คงใช่ เขากลัวทั้งคุณแก้วและอินน์ ชายหนุ่มเงยหน้ามองคนข้างกาย

“มันก็แปลกนะ ตอนนี้ฉันไม่กลัวหรอก แต่ในฝันนั้น ฉันกลัว”เขาบอกไปตรงๆ อินทนิลเหลียวมองพานพวงมาลัยที่วางอยู่ใกล้ๆ จากนั้นก็ขยับปากพูดเบาๆ

“ท่านว่าความฝันมาจากสิ่งปลุกแต่งจากจิตใจของคุณภูเอง...คุณแก้วถึงได้ถวายพวงมาลัยให้”

“ฉันไม่คิดว่ามันจะช่วยหรอกนะ”ภูวรินทร์ส่ายหน้า

“อินน์เชื่อนะครับ...”อินทนิลย้ำเสียงหนักแน่น ชายหนุ่มไม่ได้ตอบอะไรกลับไป “จริงๆนะครับ อินน์ว่ามันช่วยได้จริงๆ ถ้าหากอินน์ช่วยกล่อมคุณไปด้วย”

“จริงเหรอ”ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูงอย่างแปลกใจ ไม่คิดว่าวิธีของอินน์จะช่วย แต่มองแววตาของอีกฝ่ายแล้วก็ไม่คิดว่าจะโกหก เด็กหนุ่มทำหน้านึกไปด้วยระหว่างที่พูดกับเขา

“ครับ ษอรก็ทำแบบนี้ให้อินน์ ตอนที่นอนฝันร้าย”อินทนิลพูดจบแล้วจ้องเขา ชายหนุ่มเงียบ ไม่คิดว่าวิธีกล่อมนอนของเด็กจะช่วยให้นอนหลับฝันดีได้ อีกอย่าง....กับอินทนิลเนี่ยนะ ชายหนุ่มคิดว่าเป็นวิธีของอินน์ที่จะใกล้ชิดกับเขามากกว่า เขาหวนนึกถึงคำของคุณแก้วอยู่บ่อยๆ ว่าอินน์ไม่ได้ไร้เดียงสา และคำพูดที่บอกว่าเขาควรยอมรับโชคชะตานี้ ...หมายถึงการอยู่กับอินทนิล รวมทั้งคุณแก้วด้วยงั้นสิ

“...ตามใจ”ภูวรินทร์เอ่ยอย่างไม่แน่ใจนักแต่ก็ยอมขยับเอนตัวลงนอนบนเตียงช้าๆ เขามองเด็กหนุ่มไม่วางตา ขณะที่ศีรษะถึงหมอนแล้ว อินทนิลดูขำขันกับท่าทางของเขา

“คุณกลัวอินน์ด้วยเหรอเนี่ย”เจ้าตัวหัวเราะเหย้าหยอก ‘กลัว’ของอินน์ ไม่ใช่เรื่องทำนองผีสางหรอก หมายถึงความระวังตัวของเขาต่อท่าทีของอินทนิลน่ะ

“เปล่าซะหน่อย ฉันแค่ไม่ชิน”ชายหนุ่มตอบ พยายามไม่คิดฟุ้งซ่านอะไร อีกอย่างสงสัยว่าอินทนิลกำลังจะทำอะไรมากกว่า เด็กหนุ่มขยับเข้ามาใกล้ เอนตัวลงข้างกายเขาเหมือนกึ่งนอนกึ่งนั่งมากกว่า ชายหนุ่มได้กลิ่นหอมจางๆมาจากตัวของอีกฝ่าย เขาเคยได้ยินว่ากลิ่นหอมช่วยทำให้คนนอนหลับได้ กลิ่นหอมจากดอกไม้ ไม่ใช่จากกลิ่นกายคนซะหน่อย... ชายหนุ่มเหม่อมองเพดาน


“คุณนอนหันมาทางอินน์ดีกว่า จะได้ถนัด ตอนษอรกล่อมอินน์นอนก็ทำแบบนี้”อินทนิลพูด เขามองเจ้าตัวอีกครั้ง ค้นหาความจริงในดวงหน้านั้น

“เห็นฉันเป็นเด็กสินะ”ชายหนุ่มพูดไปแบบนั้นเพื่อประวิงเวลา เขาพลิกตัวนอนหันไปทางอินทนิล อยู่ๆในใจกลับเต้นรัวซะได้ อินทนิลเอื้อมมือมาลูบหลังให้เขา ชายหนุ่มขมวดคิ้วแบบนี้มันเหมือนแม่กล่อมลูกนอนเลยนี่ ใจเขานึกไปหาแม่จริงๆด้วย

“แม่ของคุณภูเป็นคนแบบไหนเหรอครับ”อินทนิลถาม เขานิ่งไป นึกถึงภาพของผู้เป็นแม่ที่นานวันกลับห่างเหิน เขาจำช่วงเวลาที่ยังเป็นเด็กได้ แม่เลี้ยงเขามาอย่างใกล้ชิด แต่พอเขาอายุยี่สิบ แม่ไม่ค่อยพูดคุยกับเขานัก ในทีแรกคงเป็นเพราะความห่างเหินระหว่างแม่กับลูกชาย แต่พอตอนนี้ชายหนุ่มรู้ความจริง บางที แม่อาจไม่ได้รักใคร่เขาอย่างที่ตนคิดก็ได้...

“อืม...ท่านก็เป็นคนดีคนหนึ่ง ไม่รู้สิ ก็อ่อนโยน ใจดี”ภูวรินทร์ตอบ

“เหรอครับ...ดีจังนะ”อินทนิลพูดเบาๆ เขาเหลือบตามองอีกฝ่าย จะว่าไปคุณธิชา แม่ของอินน์ก็ไม่กลับมาอีกเลย

“คิดถึงแม่เหรอ”เขาถาม

“...ก็นิดนึงครับ...แต่อินน์มีษอร ตาชมแล้วนี่...ตอนนี้ก็มีท่านและคุณภูแล้ว คงไม่คิดถึงเท่าไหร่”อินทนิลตอบกลับมาเหมือนเด็กเล็กๆ ชายหนุ่มหลับตาลง พยายามไม่คิดอะไร ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน แต่สองหูเขายังคงได้ยินเสียงรอบกาย อินทนิลถอนหายใจ

“อินน์ก็ฝันร้ายเหมือนกันนะ ไม่รู้ว่าน่ากลัวเท่าของคุณภูไหม”

“ลองเล่าสิ”ภูวรินทร์พูดออกมา อินทนิลเงียบไป หายใจขาดห้วง คงคิดว่าเขาใกล้หลับไปแล้ว เขาลืมตามองเด็กหนุ่มที่เปลี่ยนท่า มานอนข้างๆเขาแทน

“ไม่เอาหรอก เดี๋ยวคุณกลัวไปเปล่าๆ”อินทนิลบอก เขาเลิกคิ้ว ไม่คิดว่าฝันร้ายของอินน์จะน่ากลัวกว่า “...เกี่ยวกับฉันหรือเปล่า”

“อืม ก็นิดนึง”เด็กหนุ่มพึมพำ

“...เล่ามาเถอะ”เขาย้ำ อินทนิลถอนหายใจเสียงดัง ก่อนจะหันมองเขาอยู่ไม่ห่างตา “ในฝันนั้น คุณภูเหมือนเดิมทุกอย่าง อยู่ที่บ้านหลังนี้ แล้วก็มี...ท่านด้วย”

“แล้วเธอล่ะ”ชายหนุ่มถาม อินทนิลหัวเราะออกมา

“อ้อ อินน์น่ะ...กำลังจะตาย”

“...มันเป็นแค่ความฝันไม่ใช่เหรอ”เขาใจหายไปบ้างก่อนจะพูดเสียงหนักแน่น เหมือนยืนยันเรื่องเดิมๆ ด้วยใจเต้นรัว

“อืม เหมือนจริงมากเลย คุณคงรู้ดีว่าเวลาที่จะตายมันเป็นยังไง”

“มันก็แค่ฝัน”ภูวรินทร์พูดเหมือนเดิม อินทนิลยิ้ม

“เพราะว่าอินน์จะตายเพราะขาดออกซิเจน ท่านก็ตายเพราะหัวใจเต้นไม่ปกติ”เด็กหนุ่มเล่าต่อ คำพูดของอีกฝ่ายเหมือนปลดคลายความสงสัยของเขาไปได้บ้าง

“ดอกดองดึงน่ะเหรอ”ชายหนุ่มถามกลับ อินทนิลพยักหน้าก่อนจะตอบสั้น ๆ “ใช่...”

“เธอรู้การตายของคุณแก้วนานหรือยัง”เขาถาม

“เพิ่งรู้ครับ”เด็กหนุ่มตอบ มองแล้วไม่เหมือนคนโกหกปิดบัง เขาผ่อนลมหายใจเบาๆ “จะว่าไป เป็นความตายที่คล้ายๆกันเลยนะ”ชายหนุ่มตั้งข้อสังเกตขึ้นมา

“นั่นสิครับ คงเป็นชะตาลิขิตจริงๆ”อินทนิลบอก

“...แต่ตอนนี้เธอยังมีชีวิตอยู่”ภูวรินทร์ย้ำความจริงข้อนี้อีกครั้ง ไม่ว่าจะตายในฝันหรือในอดีตมันก็ไม่สำคัญหรอก ตราบใดที่ปัจจุบัน ทั้งเขาและอินน์ยังมีชีวิตอยู่

“ครับ...”อินทนิลทำหน้าเหมือนอยากจะเอ่ยอะไรออกมา แต่ยังคงอ้ำอึ้ง

“มีอะไรหรือเปล่า”

“อินน์รู้สึกว่า อินน์มีชีวิตอยู่เพื่อคุณ”คำพูดของอินทนิลทำให้เขาหนักใจขึ้นมากกว่าเดิม เหมือนว่าเด็กหนุ่มจะยึดติดต่อเขาไม่ต่างจากคุณแก้วเท่าไหร่นัก ชายหนุ่มเม้มปากแน่น

“...ทำไมล่ะ”อีกครั้งที่เขาตั้งคำถามต่ออินทนิล

“หมายถึง เรื่องคำแช่ง ไม่ใช่เพื่อท่าน...แต่มันเพื่อช่วยคุณด้วย อินน์เลยคิดว่าเป็นแบบนี้ก็ไม่เสียใจหรอก”เด็กหนุ่มพูดด้วยความหนักแน่น นัยน์ตาสีนิลฉายแววเชื่ออย่างสนิทใจ เขามองอินทนิล

“อย่าพูดอะไรที่มันน่ากลัวนักสิ”เขาบอก

“อินน์แค่อยากบอกให้คุณรู้”

“อืม ฉันรู้แล้วน่า...เธอก็นอนเถอะ”เขาบอก เพราะเวลานี้ก็ดึกมากแล้ว อินทนิลส่ายหน้าก่อนจะมองเขาอยู่ มือข้างถนัดเอื้อมมาตบลงที่หน้าอกของเขาเบาๆเหมือนจะกล่อม

“คุณนอนก่อนสิ... เดี๋ยวอินน์จะเฝ้าคุณเอง”เด็กหนุ่มพูด

“ไม่เป็นไรหรอกน่า”เขาบอก

“อินน์ตั้งใจแล้วครับ”อินทนิลย้ำชัดเจน จนเขายอมถอย ยังไงก็ขัดความตั้งใจของอินทนิลไม่ได้ ชายหนุ่มนอนหลับตาลง ทั้งๆที่ไม่ง่วงนอนแม้แต่น้อย เขาไม่มีทางนอนหลับลงไปแบบนี้แน่ๆ ขณะเดียวกันอินทนิลขยับกายมาใกล้ เอามือจับเส้นผมของเขาไว้ เหมือนกล้าๆกลัวๆ

“ไม่โกรธกันนะ”เหมือนอีกฝ่ายกำลังเล่นหัวเขามากกว่า

“หึ อยากให้ฉันนอนหรือขำกันแน่”ภูวรินทร์พึมพำออกมา อินทนิลถึงกับหัวเราะแผ่วๆ ก่อนจะดึงผ้าห่มผืนบางมาห่มให้เขา

“ราตรีสวัสดิ์ครับ”อินทนิลกระซิบบอกใกล้ๆใบหน้าเขา ชายหนุ่มลืมตาขึ้นมา เห็นว่าอินทนิลขยับมานั่งข้างๆตัว ใบหน้ายิ้มอ่อนโยน เหมือนกำลังมองสัตว์เลี้ยงที่แสนรักใคร่


ภูวรินทร์หลับตา ฉุกคิดขึ้นมาว่า อินทนิลก็น่ากลัวไม่ต่างจากคุณแก้วเลย คนที่เต็มไปด้วยความคาดหวังในรัก

หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๙ ครึ่งหลัง ... ๑๕.๐๑.๖๑ .... หน้า ๔
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 15-01-2018 14:47:04
 :pig4:
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๙ ครึ่งหลัง ... ๑๕.๐๑.๖๑ .... หน้า ๔
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 15-01-2018 18:12:44
       ลุ้นมากค่ะรออ่านต่อนะรีบๆมาต่อนะค่ะ  :pig4: :mew1:
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๙ ครึ่งหลัง ... ๑๕.๐๑.๖๑ .... หน้า ๔
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 15-01-2018 22:02:14
คิดว่าน่าจะเป็นคนสนิทของคุณแก้วเป็นคนทำเรื่องทั้งหมด...ยิ่งนางรักคุณแก้วดั่งลูกด้วย หากคุณแก้วตายนางก็คงร้ายได้อีก
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๙ ครึ่งหลัง ... ๑๕.๐๑.๖๑ .... หน้า ๔
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 15-01-2018 22:59:24
ยังไงกันนนน
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๙ ครึ่งหลัง ... ๑๕.๐๑.๖๑ .... หน้า ๔
เริ่มหัวข้อโดย: net. net_n2537 ที่ 16-01-2018 00:42:22
หรือจะเป็นบัวที่ทำให้เรื่องมันเป็นแบบนั้น
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๙ ครึ่งหลัง ... ๑๕.๐๑.๖๑ .... หน้า ๔
เริ่มหัวข้อโดย: shannara ที่ 16-01-2018 02:48:24
เมื่อไหร่จะเฉลยทุกอย่างน้อ
ปมเยอะจนน่าเบื่ออะ
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๙ ครึ่งหลัง ... ๑๕.๐๑.๖๑ .... หน้า ๔
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 16-01-2018 06:55:29
ลึกขึ้นเรื่อยๆหลุมนี้
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๙ ครึ่งหลัง ... ๑๕.๐๑.๖๑ .... หน้า ๔
เริ่มหัวข้อโดย: smmikie ที่ 16-01-2018 20:25:52
อินขึ้นเรื่อยๆ
ตอนแรกๆที่อ่าน พูด้ลยง่สและหลอนมากกกก
พอมาตอนหลังๆ ร้องไห้ จ้า :hao5:
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ :ตอนที่ 11 อดีตของหมื่นนรินทร์
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 21-01-2018 23:53:01
ตอนที่ 11 อดีตของหมื่นนรินทร์



คำอธิษฐานของอินทนิลเป็นจริง เพราะคืนนี้ภูวรินทร์ไม่ได้เผชิญกับฝันร้าย และเหมือนเช่นทุกทั้ง อินทนิลมานอนกับชายหนุ่ม ก่อนนอนก็นำพวงมาลัยมาวางที่พานเหนือเตียงนอน เด็กหนุ่มไม่ยอมนอนหลับ ถ้าหากเขาไม่หลับไปก่อน แม้ว่าตัวเขาไม่ต้องการ ภูวรินทร์ไม่แน่ใจว่า อินทนิลในเวลานี้คือ อินน์ หรือว่าคุณแก้ว เพราะสนทนากันน้อยลงไปทุกที 

ค่ำคืนนี้ต่างจากคืนอื่นๆ ท้องฟ้าไม่กระจ่างใส ดวงจันทร์มืดมิด ได้ยินอินทนิลเปรยว่าเป็นคืนเดือนดับ หรือวันที่จันทร์ดับ ฟ้าฝนไม่เป็นใจนัก ทั้งลมแรง และฝนตกลงมาไม่ขาดสาย

ความหนาวเย็นทำให้ชายหนุ่มลืมตาตื่นขึ้นมา ไม่ทันขยับตัวเขา พบว่าร่างอุ่นของอินทนิลกำลังนอนซบช่วงอกของเขาอยู่มือข้างถนัดวางอยู่ที่อกซ้ายคล้ายกับกำลังกล่อมเขานอน เหมือนคืนก่อน ภูวรินทร์ตกใจ แล้วดันไหล่ของอินทนิลออก แต่เสียงของเจ้าตัวดังขึ้นมาก่อน ชายหนุ่มหยุดการกระทำ แล้วมองคุณแก้วอยู่เงียบๆ

“แปลกนัก ท่านไม่เคยจำเรื่องราวของเราได้เลย”คนที่นอนพิงอกของเขาพึมพำอย่างนึกน้อยใจ เขาชายก้มมองเด็กหนุ่มอีกครั้ง อีกฝ่ายเงยหน้ามองขึ้นมาพอดี เขาสบตาสีนิลคู่นั้น

“คุณแก้ว”เขาล้มตัวนอนลงกับหมอน รู้สึกว่าคงไม่สามารถเอาชนะคุณแก้วได้ เขาเหลือบไปมองหน้าต่างที่ปิดสนิท ถึงจะมีร่างกายอุ่นจากอินทนิล แต่เขาหนาวขึ้นมา ไม่ทันจะดึงเอาผ้าห่มขึ้นมาห่ม คุณแก้วเอื้อมแขนไปจับชายผ้าห่มขึ้นมาห่มให้เขาทั้งแบบนั้น

“ถือว่าให้เวลาเราก็แล้วกัน”คุณแก้วเหลือบมองเขา ก่อนจะกลับมานอนวางศีรษะลงที่ไหล่ของเขาแทน ภูวรินทร์ขมวดคิ้ว นึกหาคำพูดไม่ออก

“เป็นอะไรหรือเปล่า”เขาถามอย่างนึกห่วงขึ้นมา พักหลัง อีกฝ่ายไม่ค่อยพูดจาท้าทายเขานัก ถ้าหากคุณแก้วต้องจากไปจริงๆ มันจะเป็นเรื่องดีหรือร้ายกัน คุณแก้วส่ายหน้า

 “ก็แค่นึกถึงวันวาน ตอนที่ท่านบอก—ท่านอาบอกว่าปลูกต้นแก้วไว้รับขวัญเรา”เจ้าตัวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือความอาลัยอาวรณ์ ร่างนั้นขยับนอนลง เขามองไม่เห็นแววตาของคุณแก้ว 

“จริงเหรอ”ชายหนุ่มพึมพำ ท่านอาเป็นคนปลูกต้นแก้วไว้นี่เอง เพื่อรับขวัญหลานชายที่กำลังกำเนิดงั้นเหรอ ฟังแล้วก็เหมือนว่าท่านอาคนนั้นคงจะเอ็นดูคุณแก้วในฐานะหลานชาย

“อือ พอจำความได้ เรามีแต่เจ้าคุณพ่อที่คอยห่วงใย พี่น้องต่างก็รังแกเราบ่อย ๆ พี่กิ่งและไกรน่ะ คงเห็นว่าเราเด็กกว่า และร่างกายไม่แข็งแรงนัก แต่พอท่านอามาที่นี่ทีไร ในตอนนั้นเหมือนว่าดอกแก้วกำลังบาน ตั้งแต่ตอนนั้นท่านอาก็ดีต่อเรา...”คุณแก้วเอ่ย ฟังจากน้ำเสียงแล้วอีกฝ่ายคงเล่าด้วยใจเป็นสุข จนเขารู้สึกถึงอารมณ์อ่อนไหวของตัวเอง ชายหนุ่มมองฝ้าเพดานอย่างใจลอย

“แล้วคุณแม่ของคุณล่ะ”ภูวรินทร์เอ่ยถาม ร่างของเด็กหนุ่มหายใจติดขัด เขารู้สึกถึงความอึดอัดจากอีกฝ่าย เจ้าตัวเงียบไปนาน

“แม่จากเราไปนานเเล้ว...”อีกฝ่ายพึมพำเสียงเบา เขานิ่งคิด คล้ายกับอินน์เช่นกัน เหมือนว่าคุณแก้วกับอินทนิลจะมีอะไรหลายอย่างที่คล้ายคลึงกัน ไม่แปลกเลยที่วิญญาณของคุณแก้วสามารถเข้ามาผูกจิตเอาไว้กับของอินทนิล

“เพราะแบบนี้ คุณถึงรักท่านอามากงั้นเหรอ”เขาถามด้วยความแคลงใจ คุณแก้วถอนหายใจเบาๆ

“ใช่ รักมาก แต่ก็โดนทำลายย่อยยับ เราเสียใจเพียงใด ท่านอาไม่อาจรู้ ทั้งที่เราต้องการเพียงรักก็เท่านั้นเอง”อีกฝ่ายพูดอย่างอัดอั้น เขานิ่งเงียบปล่อยให้คุณแก้วเล่าอดีตต่อไป

“พอได้ตำแหน่งที่นี่ ท่านอาย้ายมาอยู่ที่บ้านด้วยกัน ...ในตอนนั้นเราเพิ่งสิบขวบ ...สิบกว่าปีที่ท่านอาดีต่อเรา ไม่ใช่แค่อาหลาน..ก็ไม่ใช่ว่าเราไม่มีสำนึก แต่พวกขุนนางเก่าๆยังคว้าญาติพี่น้องแต่งเข้าบ้านเพื่อสืบสกุล เราก็คงไม่ผิด”คุณแก้วเล่า เหมือนว่าทั้งชีวิตของเจ้าตัวจะมีแค่ท่านอาที่รักและห่วงใยเท่านั้น

“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับท่านอาเหรอครับ ทำไมเขาถึง...ไม่เหมือนเดิม”ภูวรินทร์ถาม อยากรู้ว่าจริงๆแล้วท่านอารักคุณแก้วบ้างไหม จากในฝัน เขาเห็นแต่ชายที่หมดรักคุณแก้วไปหมดแล้ว

ร่างของเด็กหนุ่มคลายแรงกอด อีกฝ่ายเงยหน้ามองเขา ดวงตาสีนิลจับจ้องอย่างตั้งใจ แววตานั้นมีความเศร้าหมอง ความคนึงหาไม่แปรเปลี่ยน

“หลังจากเจ้าคุณพ่อเสีย ...ท่านอาค่อยๆเปลี่ยนไป ไม่ได้ปุบปับ วันหนึ่งท่านอาเอ่ยถึงบ้าน บอกว่าเจ้าคุณพ่ออยากให้บ้านอยู่ในสกุลภิรมย์สุข เรายังเด็กไม่สนใจเรื่องบ้านมาตั้งแต่แรก พี่กิ่งและไกรออกเรือนกันไปหมด ...ตอนนั้นเลยเขียนพินัยกรรมขึ้นใหม่ มอบแก่หมื่นนรินทร์... ท่านอามักเปรยเรื่องทายาทอยู่บ่อยๆ ไม่คิดว่าตอนไปราชการที่บางกอก ไปหลงชมชอบดอกไม้งามที่นั่น แม่มณีนั่นไง”

ชายหนุ่มนิ่งเงียบ จุกในอก ทำไมกันล่ะ เพราะอะไรกัน ท่านถึงมีใจที่แปรเปลี่ยน

“ท่านอาได้อธิบายให้คุณฟังบ้างไหม”

“...บอกแค่ว่า ไม่ได้รักใคร่มณีด้วยใจจริง ท่านอาอยากได้แค่ทายาท แม้เราจะไม่เข้าใจ เรื่องทายาทนำลูกของกิ่งมาก็ไม่เสียหาย...ไม่คิดว่าเขาจะโลภ คิดอยากได้บ้านหลังนี้เท่านั้น”คุณแก้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา ชายหนุ่มก้มมองอีกฝ่าย

“แล้วไม่แค้นท่านอาเหรอครับ”เขาเอ่ยถาม การกระทำของหมื่นนรินทร์ไม่ต่างจากการหักหลังคุณแก้ว

“ก็แค้น แต่ทำอะไรไม่ได้ เลือกที่จะอยู่เงียบๆ หวังว่าท่านอาจะทำดีต่อเราบ้าง คงเป็นเพราะเราที่รักท่านมากเกินไป”คุณเอ่ย กอดรัดเขามากกว่าเดิม ชายหนุ่มลังเลใจ เลิกไม่สนทนาเรื่องความรักความชังของเจ้าตัวมากนัก เขาเลยเลือกพูดถึงพืชพิษแทน 

“เรื่องดอกดองดึง คุณทราบหรือเปล่า”นึกถึงรูปร่างของดอกไม้ชนิดนี้แล้วก็อดกลัวไม่ได้ สีสันแดงสด ทุกส่วนของต้นมีพิษ

“อ้อ รู้แล้วล่ะ มันทรมานมาก เหมือนว่าร่างกายร้อนเป็นไฟ พิษของมันไม่ได้ฆ่าเรารวดเร็วนัก มันค่อยๆ ทำลายอวัยวะภายใน ทำให้อ่อนแรง ตอนนั้น ไม่มีใครมาช่วยเราได้”

“เกิดอะไรขึ้นเหรอ”เขาถาม

“เท่าที่จำได้ คืนนั้นเราตื่นมากลางดึก...แอบบัวออกมา เพื่อหาร่องรอยของพืชพิษในสวน แต่ฝนกลับตกหนัก เราเข้าไปหลบด้านในเรือนกระจกก่อน แต่พิษดันออกฤทธิ์ขึ้นมาตอนนั้น”เจ้าตัวเล่า

“คุณจำได้หรือเปล่า ว่าใครวางยาคุณ”ภูวรินทร์ถามทันที

“...อาจเป็นมณี”คุณแก้วตอบ

“คุณดูไม่มั่นใจ”

“อืม มีแต่นางที่แค้นเรา เพราะคิดว่าเราเป็นต้นเหตุให้หล่อนแท้ง”คุณแก้วตอบน้ำเสียงเรียบเฉย

“คุณไม่ได้ทำงั้นเหรอ”ชายหนุ่มเผลอพูดออกมา

“เปล่า”คุณแก้วตอบเสียงห้วน ร่างกายเหมือนเกร็งขึ้นมา ภูวรินทร์มองมือที่กำแน่นของอีกฝ่ายแล้วเกิดลังเลที่จะเอ่ยออกไป “คุณคิดว่าใครเป็นคนทำล่ะ”

“เรื่องนั้น...คืนที่เราออกไปดูพืช คิดว่าคงแคลงใจสงสัยใครสักคน เป็นคืนที่เราเก็บผลดองดึงใส่ไว้ในขวดแก้ว...จำได้ว่ายังกำมันไว้ในมือแท้ๆ...”เจ้าตัวเงียบ ก่อนจะขยับศีรษะ เงยหน้ามองเขาด้วยแววตาสั่นไหว เขารอให้อีกฝ่ายพูดต่อ

“บัว”คุณแก้วเอ่ยชื่อหญิงรับใช้ออกมา ภูวรินทร์คิ้วขมวด ก่อนจะมองอีกฝ่ายอย่างตกใจ

“อะไรนะ”

“เราว่าบัวทำ... เพราะเธอดูแลเรามาตั้งแต่ยังเล็ก คงคิดว่าเราเป็นลูกในไส้”พูดจบเจ้าตัวก็หลบตาเขา สีหน้าดูผิดหวัง ชายหนุ่มอึ้งไป

“...แน่ใจเหรอ”

“ใช่...บัวไม่ชอบมณี พูดให้ถูก เกลียดท่านอามากกว่า ที่ปฏิบัติไม่ดีกับเรา...”ภูวรินทร์นิ่งเงียบ เขาพยายามนึกถึงใบหน้าของบัวขึ้นมา แต่นึกไม่ออกนัก พอได้ประติดประต่อเรื่องเข้าด้วยกันแล้ว เขาก็เข้าใจได้ทันที เพราะบัวเป็นคนรับใช้ที่เลี้ยงดูคุณแก้วมาตั้งแต่เล็ก คงรักผูกพันกันไม่น้อย แต่ไม่คิดว่าจะลงมือทำร้ายลูกของมณีเลย

“ตอนมณีแท้ง ท่านอาโกรธเรามาก”ร่างที่เป็นของอินทนิลขยับออกมานอนเท้าแขนหันหน้าเข้าหาเขา ตอนที่เอ่ยถึงท่านอานรินทร์ คุณแก้วเต็มไปด้วยความทุกข์

 “...มณีเองก็ตายเหมือนคุณ โดนยาพิษเหมือนกัน”ชายหนุ่มบอกให้ฟัง เขาคลางแคลงใจกับสาเหตุการตายของสองคนนี้

“อืม...”คุณแก้วมองเขา สีหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ คิ้วขมวดมุ่น

“มีอะไรเหรอ”เขามอง

“ต้นดองดึงหน้าตาน่ากลัว ไม่ง่ายที่จะเอาไปให้ผู้อื่นดื่มโดยที่ไม่แปรสภาพมันก่อน อย่างน้อยต้องดื่มมันเข้าไป เหมือนตอนที่เราโดนพิษ ไม่รู้ว่ากินพิษไปตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็อาการกำเริบออกมาแล้ว”

“...จะบอกว่าคุณโดนวางยามานานแล้วเหรอ”

“อืม คงเป็นเช่นนั้น... เพราะ ช่วงหลังเราป่วยบ่อย เคยดื่มยาที่ถูกควบคุมโดยแม่บัว เป็นยาสมุนไพรคงง่ายสำหรับการสับเปลี่ยนเป็นยาพิษ ไม่รู้ว่าใช้วิธีใด... แต่ดอกดองดึงแม้ดื่มในปริมานเล็กน้อยมันจะสะสมในร่างกาย”คุณแก้วพึมพำ

ภูวรินทร์เงียบ ปล่อยให้เจ้าตัวทบทวนเรื่องในอดีต

“ถึงว่า ก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน เราแสบร้อนไปทั้งลำคอและปาก ซ้ำยังคลื่นไส้อาเจียนอยู่บ่อยๆ ทีแรกบัวยังอำเราเล่นว่าท้องหรือเปล่า”คุณแก้วเล่าเจือเสียงหัวเราะในตอนท้าย ก่อนที่แววตาพลันเศร้าลง ใบหน้าค่อยๆไร้รอยยิ้ม อีกฝ่ายสบตาเขาระหว่างที่เอ่ยถ้อยคำ

“เราเสียใจที่ไม่อาจเคียงข้างท่านได้ คิดว่าต่อให้ถูกเกลียดชังเพียงใดก็ไม่สนใจ ขอแค่มีชีวิตอยู่ต่อไปเท่านั้น”สุ้มเสียงของคุณแก้วสั่นเครืออยู่บ้าง ใบหน้าของเจ้าตัวเหมือนพยายามกลั้นน้ำตา ชายหนุ่มเบือนหน้าหนี ไม่นึกอยากมองใบหน้าเศร้าหมองของอีกฝ่าย

“มณี เกลียดเรา แช่งเราไม่ให้ได้ผุดได้เกิด ตายไปก็ไม่เผาผี แต่มันก็จริง แม้แต่เถ้ากระดูก เราก็ไม่มี”คุณแก้วเอ่ยอยากเจ็บช้ำ สีหน้าคล้ายไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น... นั่นสิ เขาเองก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงไม่ทำตามพิธีศาสนา

 ภูวรินทร์พูดไม่ออก เขาเข้าใจคุณแก้ว ที่ผ่านมาคงเจ็บปวดมามาก เขายอมรับว่าไม่อาจทำเป็นลืมเรื่องในอดีต อดีตชาติของตนเอง

“ผมเคยฝันถึงท่านอา...ตอนที่คุณเสีย ท่านดูตกใจนะไม่เชื่อว่าคุณจะฆ่าตัวตาย”ชายหนุ่มเอ่ยช้าๆ นึกถึงภาพในฝัน หมื่นนรินทร์ก็ดูจะเสียใจอยู่บ้างที่เห็นหลานรักสิ้นใจไป คุณแก้วมองเขาอยู่นาน ก่อนจะพึมพำเสียงเบา

“...แต่ท่านอาไม่เผาเรา กลับฝังลงดิน”คุณแก้วเอ่ยอย่างคับข้องใจ แววตาหม่นหมองจับจ้องใบหน้าของเขา ชายหนุ่มส่ายศีรษะ

“ผมไม่รู้เหตุผลหรอก”เขาตอบเรียบๆ ไม่มีทางรู้จนกว่าจะฝันถึงเหตุการณ์เหล่านั้น คุณแก้วเงียบ ก่อนจะยิ้มกับตัวเอง แจ่ทว่ามองแล้วเห็นถึงความอาลัยอาวรณ์

“นั่นสิ คิดอยู่เรื่อยว่าท่านคือท่านอา ...”

อีกฝ่ายมองเขา ดวงตาวาบวับ ใบหน้าใกล้ซะจนเขามองเห็นขนตาและหยาดน้ำใสที่เปื้อนติดอยู่ด้วย

“แต่เรารักท่านไม่เปลี่ยน” คุณแก้วบอก ชายหนุ่มจ้องอีกฝ่าย ขณะนั้นคุณแก้วยื่นหน้ามาหาค่อยๆแตะริมฝีปากลงบนแก้มของชายหนุ่ม ก่อนที่ใบหน้าของอินทนิลเลื่อนลงมาจูบประทับที่ริมฝีปากของตน ภูวรินทร์หายใจไม่ปกติ คิดอะไรไม่ออก ราวกับว่าการผลักไสอีกฝ่ายไปเป็นเรื่องยาก ศีลธรรมในใจที่สั่นคลอนมานานวันเริ่มพังทลายจากการปลุกปั่นจากร่างกายอุ่น กลิ่นกายหอม จนร่างกายของเด็กหนุ่มเข้ามาแนบชิดมากยิ่งขึ้น โลมเร้าให้ใจเต้นระส่ำ

ถ้าหากเปรียบคุณแก้วเป็นวิญญาณแสนยึดติดในรัก จิตวิญญาณของภูวรินทร์ คงยึดติดกับกิเลส ที่ไม่อาจดับได้อย่างใจหวัง แท้จริงแล้วคืนเดือนมืดนี้ อาจเป็นฝันร้ายของเขาก็เป็นได้


      ภูวรินทร์ไม่สามารถข่มตานอนได้อีก นับแต่ล่วงเกินเด็กหนุ่มไปอย่างที่มีสติแจ่มแจ้ง ทำเช่นนี้ เป็นการทำผิดต่ออินน์หรือไม่นะ ร่างกายของเด็กหนุ่มที่ถูกเขาย่ำยีไปโดยไม่รู้ความ คงมีบทลงโทษสำหรับความบิดเบี้ยวในใจ ไม่ต่างจากท่านหมื่นในอดีต เมื่อได้กระทำสิ่งใดไปแล้วย่อมมีผลกระทบตอบกลับมา เหมือนโยนหินลงในแม่น้ำ

“เธอโอเคนะ”ภูวรินทร์เอ่ยถามอินทนิลที่ยังคงนอนไม่ขยับไปไหนมาตั้งแต่เช้า จนตอนนี้ใกล้เที่ยงแล้วก็ยังคงไม่ลุกไปไหน ชายหนุ่มรู้สึกผิดขึ้นมาอีกระลอก ส่วนป้าษอรไม่ได้ขึ้นมาตาม ผิดกับทุกที

“..มันไม่ได้ร้ายแรงอะไรหรอกครับ”อินทนิลเอ่ยเสียงแหบแห้ง หันมองเขา ใบหน้ายังมีรอยยิ้มอยู่ เขาคลายความกังวลใจลง

“....แล้วจำได้ไหม” เขาถามด้วยความละอาย อินทนิลส่ายหน้า ก่อนจะทำหน้าอึกอีกกวักมือเรียกเขาไปใกล้ๆ

 “ตอนนั้นคุณภูคิดถึงใครอยู่” อีกฝ่ายกระซิบถาม ทำเอาเขาอึ้ง แน่นอน ณ เวลานั้น...เป็นคุณแก้ว...

ชายหนุ่มกลับมาตระหนักว่าแท้จริงเเล้วรักคืออะไร ความชิดใกล้ผันเปลี่ยนเป็นความผูกพันที่มากยิ่งขึ้น ความสงสารอาทรอีกฝ่ายกลายเป็นความทะนุถนอม มันจะเลยเถิดไปถึงความรักไหมนะ

“ถามทำไมกัน ฉันแยกได้นะ”ชายหนุ่มเอ่ย เข้าไปสัมผัสศีรษะของเด็กหนุ่มอย่างแผ่วเบา แววตาของเจ้าตัวสั่นไหว

“...แต่อินน์รู้สึกแปลกๆ”อินทนิลพึมพำ คิ้วขมวดแน่นนอนงอตัวราวกับหนาวเหน็บ ภูวรินทร์หนักอึ้งในใจ เขาจับไหล่ของอินทนิลไว้เบาๆ

“ฉันขอโทษนะ”

“อืม”อินทนิลส่งเสียงกลับมา ก่อนจะหลับตาลง เขามองอินทนิลอยู่อย่างนั้นจนเจ้าตัวหลับไปอีกครั้ง ภูวรินทร์ลงไปชั้นล่าง เข้าไปในครัวก็เจอกับป้าษอร เธอกำลังเตรียมอาหารมื้อเที่ยงให้เขา ท่าทางเหมือนไม่สนใจตนนัก

“...ขึ้นไปดูอินน์หน่อยสิครับ ป่านนี้ยังไม่ยอมลุก”เขาบอก ตอนนี้ต้องให้ป้าษอรช่วย เธอเงยหน้ามองเขาช้าๆ หยุดมือจากการทำครัว

“ได้ค่ะ...”เธอตอบ ไม่ยิ้มแย้ม แต่ก็ยอมถอดผ้ากันเปื้อนแล้วเดินออกจากห้องครัวไป ชายหนุ่มถอนหายใจด้วยความอึดอัด นี่เขาจะโดนเกลียดหรือไม่นะ

ภูวรินทร์เดินไปที่เรือนกระจกอีกครั้ง เขาเดินเข้าไปด้านใน หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาผู้เป็นมารดา เขารอสายไม่นาน อีกฝ่ายก็รับสายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“สวัสดีจ้ะ”ปลายสายเอ่ย

“แม่ครับ...รู้ใช่ไหมว่า ผมต้องการถามอะไร”เขาไม่รอช้า เอ่ยขึ้นมาทันที ในตอนนี้ความโกรธลดลงไปมากเหลือเพียงความข้องใจเท่านั้น

“...เรื่องนั้น แม่ขอโทษนะ ที่ไม่ได้บอกความจริง แม่ไม่อยากให้ลูกรู้”แม่พูดด้วยความรู้สึกผิด ชายหนุ่มถอนหายใจ หากเขารู้ความจริงซะก่อน เรื่องคงออกมาต่างจากนี้

“ทำไมล่ะครับ ถ้าผมรู้ ผมคงไม่มาที่นี่”ผมพูด

“คิดแบบนั้นเหรอ แม่อุตส่าห์ให้แกไปทำงานที่เมืองนอก กลับทำตัวไม่เอาถ่านจนต้องมาอยู่บ้าน...”แม่เปลี่ยนมาฉุนเฉียวใส่เขาขึ้นมา.

“งั้นแม่รู้สถานการณ์ของผมหรือเปล่า เรื่องคำแช่งนี่ด้วย”เขาบอกต่อ

“ใช่ แม่รู้ แต่แม่พยายามแก้มาหลายสิบปีนี้ ทั้งเขาและแม่”คู่สนทนาพูดอย่างทดท้อใจ ชายหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเช่นนี้

“...แม่ยังคุยกับเขาอยู่ไหม”ภูวรินทร์ถาม หวังว่าแม่จะไม่ทำให้เขาผิดหวังมากไปกว่านี้

“ภู แกคิดแบบนี้ได้ยังไง”แม่ตอบกลับมาอย่างมีโทสะ ชายหนุ่มนิ่งเงียบ ก่อนจะเอ่ยไปตามที่ใจคิด

“ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวแล้วก็ดีครับ ไม่อยากให้บ้านเราแปดเปื้อน”มากไปกว่านี้ แม่ทำเสียงอึกอัก ก่อนจะพูดขึ้นมาเรียบๆ

“ตอนนี้แม่อยู่ที่วัด มาทำบุญ”

“ผมต้องทำอย่างไง”เขาพึมพำออกมา ดูเหมือนว่าแม่ไม่ห่วงใยเขามากนัก จนเขาพลอยรู้สึกแย่ไปด้วย

“โทรหานิรุทเถอะ เขาคงช่วยได้”แม่บอก

“แม่”เขาโอดครวญ ผู้ชายที่เขาไม่รู้จัก และหนีหายไปแบบนั้น สมควรแก่การพูดคุยด้วยหรือ

“ลูกเชื่อเรื่องกงกรรมกงเกวียนไหม”อยู่ๆแม่ก็เอ่ยออกมา เขาถอนหายใจ

“ตอนนี้ก็ต้องเชื่อแล้วครับ ถ้าหาก...”ชายหนุ่มพูดไม่เต็มเสียง เขากังวลว่าถ้าหากมีใครต้องตายล่ะ เขาจะทำอย่างไร

“อย่ากลัวไปเลยภู ไม่มีใครหนีผลแห่งกรรมได้หรอก”แม่เอ่ยเสียงเศร้า เขาไม่ตอบอะไร แค่รู้สึกหดหู่ขึ้นมาแทน

“....เรื่องนี้อย่าคุยกับพ่อเลยนะ เขาไม่รู้”แม่พูด ชายหนุ่มชะงักงัน

“ไม่รู้เรื่องของผมเหรอ”เขาถามช้าๆ อยากปฏิเสธความจริงของผู้เป็นแม่

“ใช่จ้ะ...แม่ขอโทษนะลูก”

“หมายความว่ายังไงเหรอครับ”

“...ตอนนั้นแม่มีคุณพ่อแล้วแต่….”เขาแทบไม่ต้องฟังผู้เป็นแม่เล่าจนจบ ก็เดาเรื่องได้ ชายหนุ่มกดวางสายทันที เขารู้สึกอยากอาเจียน นึกถึงคำพูดของคุณแก้ว...ที่บอกเขามีสายเลือดของท่านหมื่น คุณนิรุทไม่ต่างไปจากรุ่นทวด ส่วนแม่ของเขา…ก็ไม่ได้ดีกว่านัก

ทำผิดซ้ำซากเสียจริง ไม่ผิดที่สกุลนี้โดนสาปแช่ง แม้แต่ตัวเขาก็ด้วย….


 ภูวรินทร์ปล่อยแขนลงข้างตัว ก่อนจะตั้งสติ พยายามสงบจิตใจ จากนั้นก็เดินกลับออกมาจากเรือนเพาะชำ เจอเข้ากับลุงชมเดินมาหาเขา

 “เจอคุณภูพอดี ผมให้คนเอาศพทารกไปประกอบพิธี และฝังลงที่โกฏิของคุณมณีแล้ว คุณภูจะไปตรวจดูไหมครับ”ลุงชม

“...ไม่ล่ะ”เขาตอบ ไม่อยากไปเจอเรื่องให้หดหู่อีก ลุงชมพยักหน้ารับ มองเขาเหมือนอยากพูดอะไรแต่ก็ไม่กล้าเอ่ย

 “มีอะไรเหรอครับ”เขาถามด้วยความสงสัย

“จำที่ผมเคยบอกไปได้ไหมครับ มีอาศรมตรงเชิงเขา ถ้าคุณอยากไปกราบไหว้ ผมพาไปได้”ลุงชมบอก ที่แท้ก็เป็นเรื่องนี้ ชายหนุ่มพิจารณาถ้อยคำของอีกฝ่าย

“แล้วมันจะช่วยผมได้เหรอครับ”เขาพูด ตอนนี้ชายหนุ่มยอมรับกับชะตาของตัวเองไปแล้ว คงไม่มีทางออกสำหรับคำแช่งอายุ
เกือบเจ็ดสิบปี ลุงชมจับจ้องเขาด้วยสายตาไม่พอใจนัก

“คุณไม่เชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหรอครับ”

“ไม่ใช่ไม่เชื่อ...แต่เรื่องคำสาปแช่ง มันไม่ใช่คุณไสยไม่ใช่เหรอ...เท่าที่ผมทราบ ตัวคนแช่งต้องอโหสิกรรมต่อผม และผมต้องไม่ถืออกุศลจิต”ชายหนุ่มบอก จำได้ขึ้นใจว่าอ่านจากหนังสือธรรมในห้องหนังสือในบ้าน ลุงชมเงียบไป

“คนแช่งเป็นมณี...”

“ถ้าหากไม่ใช่มณีล่ะครับ...ถ้าหากว่ามณีแช่งคุณแก้วที่คิดว่าท่านเป็นคนทำให้ตนเองแท้งลูก”ภูวรินทร์เอ่ยออกมา ตอนนี้เรื่องในอดีตที่ผ่านปากของผู้อื่นล้วนถูกแต่งเติม เขายึดความจริงที่เห็นในความฝันคงช่วยได้มากกว่าคำเล่าลือ ลุงชมเลิกคิ้วสูงอย่างไม่ปักใจเชื่อ

“งั้นเหรอครับ”

“ลุงเคยได้ยินชื่อคนรับใช้ของคุณแก้วไหม ที่ชื่อบัว...”เขาเอ่ยถาม อีกฝ่ายขมวดคิ้ว ทบทวนความทรงจำ ไม่นานก็เอ่ยบอกเขา

“อ้อ ครับ เคยได้ยินมาจาก ปู่ย่าของแม่อร...”

“พอจะรู้จักลูกหลานของบัวบ้างไหมครับ”

“...ไม่น่าจะอยู่แถวนี้กันแล้ว มีอะไรหรือเปล่าครับ”ลุงชมถาม ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าควรบอกอีกฝ่ายดีหรือไม่

“ไม่หรอก ผมแค่สงสัยเธอน่ะครับ”ภูวรินทร์ตอบ จากนั้นก็เดินไปดูปุ๋ยกับดอกไม้ประดับที่ถูกมัดกองกันไว้อย่างไร้ประโยชน์ นึกเสียดาย ไม่อยากเอาไปทิ้ง เพราะมันยังเติบโตได้ดี

“พวกนี้ยังมีประโยชน์อยู่…ไม่อยากเอาไปทิ้งขว้าง”เขาพูดออกมา ลุงชมเงียบ

“ในสวนก็จัดจนเต็มไปหมดแล้วครับ ผมเอาไปให้คนในหมู่บ้านเป็นบางส่วน”

“พวกเขาไม่ชอบคนบ้านนี้เหรอครับ”

“ก็ไม่ใช่ว่าไม่ชอบ คนรุ่นก่อนรู้เรื่องของหมื่นนรินทร์กันทั้งนั้น คนเขาคิดว่าคนสกุลนี้เป็นกาลกิณี”คำพูดของอีกฝ่ายระคายหูไม่เบา เขายิ้มไม่ถือสา ลุงชมเหลือบมองเขาแล้วเหลียวไปมองทางประตูหลังบ้านที่เปิดไว้ อีกฝ่ายเอ่ยอย่างเกรงกลัว

“ดูเหมือนว่าคุณภูจะทำให้แม่อรโกรธนะครับ”จบคำพูด ลุงชมหลบตาเขา คงเพราะเป็นเรื่องส่วนตัวของตน

“โกรธเหรอ”เขาไม่แปลกใจนัก ไม่คิดว่าลุงชมจะมาบอกเขาแบบนี้

“ใช่ครับ เรื่องอินน์ คุณน่าจะไปขอโทษนะครับ”

“ทำไมผมต้องขอโทษด้วยล่ะ”ภูวรินทร์ถาม อาจจะฟังดูถือดีก็เถอะ แต่เขาต้องไปขอโทษแม่บ้านน่ะเหรอ ชายหนุ่มส่ายหน้า

“ษอรก็เหมือนแม่อินน์นั่นแหละครับ เป็นห่วงเป็นธรรมดา”ลุงชมบอก ทำให้เขากลับเอามาคิด

“คงรักเหมือนลูกนะ”เขาพึมพำ ก่อนจะปล่อยให้รอยยิ้มเลือนหายไป... รักดั่งลูก เขานึกไปถึงบัว

 ลุงชมเหลือบมองเขาเงียบๆ ก่อนจะเดินกลับไปทำงานในสวนต่อ ชายหนุ่มรู้สึกมืดแปดด้าน จะว่าไปป้าษอรก็อยู่ดูแลบ้านมาตลอด คงจะทราบความเป็นไปของคนในบ้านเป็นอย่างดี ชายหนุ่มสะบัดศีรษะไล่ความคิดไร้สาระออกไป

ภูวรินทร์ได้ยินเสียงคนงานดังมาจากทางเรือนปั้นหยา เขาเดินตรงไปทิศทางนั้น เดินลัดเลาะไปตามรั้วบ้านใหญ่ ก่อนจะเดินข้ามประตูขนาดเล็กที่เปิดอ้าไว้ ที่สวนของเรือนปั้นหยา มีคนงานสองคนที่พอคุ้นหน้าคุ้นตากำลังตัดแต่งต้นแก้วอยู่ ทั้งสองคนยกมือไหว้เขาตามมารยาท

“ทำโกฏิเสร็จแล้วเหรอ”เขาถาม เหลือบมองไปทางชายป่าใกล้กับเรือน มีเสียงนกร้องดังเซ็งแซ่ออกมา

“เสร็จแล้วครับคุณ ให้ผมพาไปไหมครับ”

“ไม่ต้องหรอก ว่าแต่ สวนของที่นี่ ลุงชมดูแลด้วยเหรอ”ชายหนุ่มถาม เพราะบ้านหลังนี้ไม่ได้รับการดูแล มันเก่าโทรมต่างจากบ้านใหญ่ มันแปลกที่ลุงชมเลือกดูแลแค่สวนต้นแก้วเท่านั้น หรือเพราะอินทนิลกันนะ

“ครับ เพราะไม่อยากปล่อยให้รกไปเปล่าๆ สวนที่นี่ยังพอดูแลรักษาได้ครับ”อีกคนที่อายุน้อยกว่าตอบ

“งั้นเหรอ...ว่าแต่เคยเห็นอะไรแปลกๆที่บ้านนี้ไหม”เขาลองเอ่ยออกไปดู หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงหัวเราะเรื่องพวกนี้แน่นอน คนงานทั้งสองคนเก็บกรรไกรตัดหญ้า ก่อนจะเหลียวมองกันไปมา

“จะว่าแปลก ผมว่ามันคงแปลกตั้งแต่คุณมาอยู่ที่นี่แล้วนั่นแหละ...”เขาชะงักค้าง ไม่คิดว่าคนงานจะพูดต่อหน้าเขาเช่นนี้ แต่ชายหนุ่มไม่ถือสา “ทำไมล่ะ”

“บ้านนี้มันเก่า ไม่มีคนอยู่มาจะสิบปีแล้วครับ เจ้าของคนก่อนยังไม่มาชายตาแล จะมีก็แค่ตาชมกับป้าษอรที่คอยมาอยู่ที่นี่”สองคนนั้นจ้องไปทางรั้วบ้านก่อนจะส่ายหน้า

เขาไม่เอ่ยอะไร สองคนนั้นเลยพูดต่อ

“เขาว่ามีผีเด็กด้วยนะ”อีกคนเล่า

“ผีเด็ก...”ภูวรินทร์หน้าเปลี่ยนสี

“ไม่ใช่ผีทารกในโหลนั่นนะคุณ....เป็นผีเด็กในบ้าน เมื่อก่อนป้าษอรมีหลานอยู่คน แต่ก็หมดบุญไปซะก่อน”

“ก็ยังอยู่ไม่ใช่เหรอ...”ภูวรินทร์บอก นึกถึงอินน์ขึ้นมา เขาแน่ใจว่าเจ้าตัวไม่ใช่ผีสาง คนงานทำหน้ามึนงง ก่อนจะมองหน้ากันแล้วเอ่ยช้าๆ

“หืม หมายถึงอะไรเหรอครับ”

“หมายถึงหลานป้าษอรน่ะ”อินทนิล สองคนนั้นมองหน้าเขาเขม็ง

“เอ่อ ไม่น่านะครับ ตอนนั้นป้ามันยังตามหมอมาดูเลย แต่ก็ไม่รอด”

“อ้อ....เข้าใจล่ะ”ภูวรินทร์พึมพำ รีบเดินออกห่างจากคนงานสองคนนี้ ด้วยความสับสน ทำไมไม่มีใครรู้ว่าอินทนิลยังอยู่ล่ะ วันที่เจอโครงกระดูกคุณแก้ว อินทนิลยังอยู่กับป้าษอรเลยไม่ใช่เหรอ “สงสัยคุณจะโดนผีหลอกแล้วล่ะ”สองคนนั้นเอ่ยพึมพำ ภูวรินทร์ไม่เข้าใจคนบ้านนี้เลยสักคนเดียว เป็นบ้าอะไรกันหมด ป้าษอรเหมือนจะเป็นตัวต้นเหตุ เพราะอินน์เกือบเอาชีวิตไม่รอด เลยไม่ป่าวประกาศว่าหลานยังไม่ตายงั้นหรือ

ชายหนุ่มเดินเข้าไปในครัว แต่ไม่เจอเธอ เขาเดินกลับไปยังห้องนอน พบว่าป้าษอรกำลังป้อนยาให้อินทนิล เด็กหนุ่มสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ ใบหน้าสดชื่นกว่าตอนที่เขาเห็นครั้งล่าสุด อินทนิลมองภูวรินทร์ที่เดินเข้ามาหาที่เตียงก่อนจะหลบสายตาเขาไปมองทางหน้าต่างแทน

ชายหนุ่มมองไปที่หัวเตียงมีช่อดอกแก้ววางไว้แทนพวงมาลัยเมื่อเช้า. ป้าษอรเก็บยาและถ้วยข้าวต้มใส่ถาด

“ผมมีเรื่องจะคุยกับป้าครับ ขอคุยด้วยหน่อยสิ”เขาบอก อินทนิลหันมองเขา

“ได้ค่ะ ไปรอป้าที่ห้องหนังสือก่อน ป้าขอเก็บของสักครู่ค่ะ”เธอบอกจากนั้นก็ยกถาดออกไปด้านนอกห้อง ทำเอาภูวรินทร์ถึงกับอึ้งไป ใครเป็นเจ้าของบ้านกันแน่…อย่างกับว่าเขาเป็นแขก และเธอเป็นเจ้าบ้านยังไงยังงั้น เขาส่ายหน้า นึกถึงคำพูดของคนงาน ที่ว่าป้าษอรอยู่ดูแลบ้านมานาน บางทีเธออาจจะเผลอตัวคิดส่าบ้านหลังนี้ไม่ต่างอะไรจากบ้านของเธอ…
‘ไม่เจียมตัว'เสียงเล็กๆจากก้นบึ้งเอ่ยกระซิบ ชายหนุ่มรีบสะหลัดความคิดก้าวร้าวถือดีออกจากศีรษะไป บ้าจริงๆ
ต่อให้บ้านหลังนี้เป็นของเขา แต่ก็ได้มันมาอย่างไม่ถูกต้องจากคนรุ่นก่อน

“อย่าคิดมากเลยครับ…ษอรแค่เคืองคุณภูนิดหน่อย ไม่ได้คิดถือดีกับคุณหรอก”อินทนิลเอ่ยขึ้นมา ชายหนุ่มหันไปมองเจ้าตัวอีกครั้ง เด็กหนุ่มยิ้ม เขาเดินเข้าไปใกล้ ยื่นมือไปแตะหน้าผาก สัมผัสอุณหภูมิของร่างกายของอีกฝ่าย อินทนิลหน้าแดงขึ้นมา

“หากไม่ดีขึ้น คงต้องพาไปโรงพยาบาลแล้วล่ะ”เขาบอก

“ไม่ครับ อินน์ไปไม่ได้หรอก”

“ทำไมล่ะ”เขาถาม

“…คนที่ตายไปแล้ว จะไปหาหมอได้ยังไงกัน”อินทนิลมองเขาด้วยความเศร้า นัยน์ตาสีนิลหม่นลง

“งั้นก็หายไวๆนะ ฉันเป็นห่วง”ภูวรินทร์กล่าว ยิ้มให้อีกฝ่าย เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ ก่อนจะเอนตัวลงนอนกับเตียง ชายหนุ่มเห็นว่าอินทนิลกำลังจะงีบหลับเลยเดินออกมาจากห้อง เขามองไปยังโถงชั้นล่าง ไม่เห็นเงาของป้าษอร เขาจึงเดินไปตามทางเดิน ผ่านห้องเดิมที่เป็นของคุณแก้วมาก่อนที่จะถึงห้องหนังสือ เขาเปิดประตูเข้าไป เปิดอ้ากว้างไว้แบบนั้นก่อนจะเดินไปเปิดหน้าต่างไว้ ได้ยินเสียงสาดซ่าของน้ำพุที่สวน

จากนั้นจึงนั่งที่โซฟารอคอยเวลาอยู่เงียบๆ นึกถึงคำพูดของอินน์แล้วใจสั่นคลอน คนที่ตายไปแล้วงงั้นเหรอ... อินทนิลมีตัวตนแค่ภายในบ้านหลังนี้ เจ้าตัวเคยออกไปไหนหรือเปล่า แต่อินทนิลยังไปเรียนหนังสือในเมืองเลยไม่ใช่หรือ

หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ 11 อดีตของหมื่นนรินทร์
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 21-01-2018 23:54:27
(ต่อ ตอนที่ 11 อดีตของหมื่นนรินทร์)

รอไม่นาน ป้าษอรเดินเข้ามาที่ห้องหนังสือ เธอไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมากนัก ชายหนุ่มมองไม่ออกว่าอีกฝ่ายกำลังอยู่ในอารมณ์ไหน “นั่งก่อนสิครับ”เขาบอก เพราะป้าษอรยังไม่ยอมนั่งลง เธอยืนอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามกับเขา เธอยิ้มใจดี

“ไม่ดีกว่าค่ะ...”เธอบอก ภูวรินทร์ยิ้มออกมาอย่างอดทน ก่อนจะเริ่มเข้าเรื่องทันที “ผมเจอคนงานที่สวน บอกว่าที่นี่มีผีเด็ก”เขาเอ่ย มองไปที่ป้าษอร

“เป็นธรรมดาค่ะ พวกคนงานบางคนไม่ค่อยได้เห็นอินน์บ่อย อินน์ก็เพิ่งออกมาด้านนอกบ่อยๆ ก็ตอนที่คุณมา อีกอย่างถ้ามาเจออินน์ช่วงมืดค่ำ วิ่งเล่นอยู่ในบ้าน ก็คงตกใจกันไปเอง พอดีกับที่บ้านหลังนี้มีเรื่องเล่าลือก็ยิ่งกลัวกันไปใหญ่…”

 เขาถอนหายใจ “อินน์ป่วย แต่ป้าไม่ยอมพาไปโรงพยาบาล...เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ”ป้าษอรยิ้มเจื่อนลง เธอดูเสียใจ “แค่เฉพาะกับที่นี่ค่ะ …”

“คนที่นี่รับรู้ว่า อินทนิลตายไปตั้งแต่สิบปีก่อนแล้วค่ะ ตอนที่อินน์ป่วยหนัก หมอก็ยังมาดูอาการอยู่ที่บ้าน…คนในหมู่บ้านก็รู้ว่าอินน์มันคงไม่รอด รู้แบบนี้ ป้าคงไปตั้งแต่แรกว่าอินน์มันฟื้นปาฏิหาริย์ก็ดีนะคะ อินน์จะได้กลับมาอยู่ที่นี่แบบไม่ต้องหลบซ่อน”เธอเอ่ย มองมาที่เขานานจนอึดอัด

“งั้นในทางกฎหมายอินน์ก็ไม่มีตัวตนน่ะสิ แล้วเข้าเรียนได้ยังไงกัน”เขาถาม มองป้าษอรนิ่งๆ เธอมีท่าทีกังวลใจ

“...มันคงไม่ยากอะไรนี่คะ...มีคุณนิรุทช่วย แต่ก็ต้องใช้ชื่อของคนอื่น”ป้าษอรเอ่ยด้วยความรู้สึกผิด ชายหนุ่มเงียบ หมายความว่าสวมบัตรคนอื่นงั้นเหรอ

“คุณช่วยลืมเรื่องนี้ไปได้ไหมคะ ป้าแค่หวังให้อินน์ปลอดภัย ถึงได้ขอให้คุณช่วยดูแลอินน์มัน”ป้าษอรเอ่ยกับเขา ชายหนุ่มอึดอัดกับสายตาที่จ้องมาจากเธอ แน่ล่ะ เรื่องนี้เขาไม่สนใจนักหรอก

“ช่างเถอะครับ...ว่าแต่ทำไมถึงยังดูแลสวนที่เรือนหลังนั้นล่ะครับ”

“อินน์อยากให้ดูแลค่ะ คงน่าเสียดายถ้าปล่อยให้ตายไป ในเมื่อบ้านไม่มีใครต้องการแล้ว อินน์มันเลยอยากเก็บสวนไว้ค่ะ”

“ป้าคิดว่าคำแช่งของคนสกุลภิรมย์สุขมาจากใครเหรอครับ”ภูวรินทร์เอ่ยช้าๆ เขามองป้าษอรอยู่ตลอด เธอดูแปลกใจที่เขาถามขึ้นมาแบบนี้ เธอเหลือบมองไปที่หน้าต่างทางด้านหลังของเขา

“...ไม่ได้มาจากคุณแก้วเหรอคะ”ป้าษอรพูด แววตาเหมือนสั่นไหว ชายหนุ่มถอนหายใจ พิจารณาหญิงท้วมคนนี้ไปด้วย จำครั้งแรกที่ติดต่อเธอเรื่องการซื้อบ้าน เธอดูสุภาพ ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องประวัติของเจ้าของคนเก่า โดยเฉพาะเขาที่หน้าตาถอดแบบมาจากท่านอา หากเขาไม่ถาม ป้าษอรไม่เคยแง้มเอ่ยความจริงออกมา

“ผมว่าไม่ใช่หรอก คุณแก้วน่าสงสาร ไม่ได้มีความโกรธแค้นคนสกุลนี้ จะเป็นบัวได้ไหมครับ พอรู้มาบ้างว่าเธอรักเอ็นดูคุณแก้วเหมือนลูก คุณแก้วก็มั่นใจว่าบัวเป็นคนทำมณีแท้ง... ซ้ำยังเกลียดท่านอาไม่ต่างกัน”ชายหนุ่มพูด ป้าษอรนิ่งเงียบ เธอยืนมองเขาอยู่แบบนั้น

“บัวน่ะเหรอคะ... คนรับใช้ของคุณแก้ว คุณทราบได้ยังไงกัน”

“ป้าก็น่าจะรู้ว่าบ้านหลังนี้มีอดีต อีกอย่างวิญญาณของคุณแก้วก็ยังคงอยู่ ถึงไม่เคยออกมาปรากฏในรูปของผีสาง”เขาเอ่ย แต่มาปรากฏในร่างของอินทนิลแทน ทำให้อินทนิลที่เหมือนตายไปแล้ว ได้ต่อชีวิต ที่ครึ่งๆกลางๆ ป้าษอรกุมมือเข้าหากัน

“ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ คุณภูจะแก้ไขอย่างไรเหรอคะ”

“...ไม่รู้เหมือนกัน... คำสาปแช่งไม่ใช่สิ่งดี ทั้งต่อผู้แช่งและผู้ถูกแช่ง คงต้องให้อีกฝ่ายยอมอโหสิกรรมแก่กันล่ะมั้งครับ แต่ผลของมันทำลายครอบครัวนี้ไปเยอะ...”ภูวรินทร์มองป้าษอรอยู่เงียบๆ เขาไม่มีหลักฐาน ไม่สามารถกล่าวอ้างออกมาได้ ว่าป้าษอรอาจเป็นคนในอดีตชาติมาเกิด ...เช่นเดียวกับเขาหรือไม่

“นั่นสิคะ จิตใจคนแช่งจะต้องโหดร้าย ไม่อย่างนั้นคงแช่งไม่ขึ้นหรอกค่ะ”เธอบอก ชายหนุ่มผงะไป ...โหดร้ายงั้นเหรอ... บัวเอง ก็โหดร้ายพอจะฆ่าชีวิตของทารกที่ยังไม่ลืมตามองโลกเช่นกัน... เขาลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินไปหาป้าษอร

“ไม่ต้องห่วงว่าผมจะไม่ดูแลอินน์ ผมไม่ใช่คนใจร้ายขนาดนั้น”เขาบอก ก่อนจะเดินออกจากห้องหนังสือด้วยใจที่หนักอึ้ง ต่อให้อินทนิลจะมีชีวิตหรือไม่มี เขาก็ต้องอยู่ดูแล ไม่ใช่เหรอ ถ้าหากสิ่งที่เขาคาดเดาเป็นจริง บัวคือคนที่แช่งคนสกุลภิรมย์สุข ไม่ว่าจะด้วยเรื่องอะไรก็ตาม เธอคงต้องเจอกับความทุกข์ไม่ต่างจากเขาหรอก

ภูวรินทร์เดินกลับไปที่ห้องนอน เห็นอินทนิลยังคงนอนอยู่เช่นเดิม ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาก่อนจะนั่งลงบนเตียง มองใบหน้ายามหลับของเด็กหนุ่ม ผิวพรรณของเจ้าตัวเริ่มดีขึ้นเพราะได้ยา และนอนพักผ่อน เหมือนว่าตั้งแต่เจอโครงกระดูกของคุณแก้วไป อินน์ก็ดูไม่แข็งแรงเหมือนเก่า ลึกในใจภูวรินทร์กลัว เขาไม่อยากให้เด็กคนนี้ต้องทุกข์ทรมาน เหมือนเช่นในความฝันของเขา

ชายหนุ่มเอื้อมไปสัมผัสแก้มของอินทนิล แต่แล้วก็ชะงักมือไป เพราะเขาไม่ใช่เหรอ ที่ทำให้อินน์เป็นแบบนี้ เขาละอายใจ พลันนึกถึงคุณแก้ว อีกฝ่ายจะมีความละอายใจบ้างหรือเปล่า

ขณะเดียวกันภูวรินทร์รู้สึกถึงฝ่ามืออุ่นร้อนที่เข้ามาจับมือเขาไว้

“...ตื่นแล้วเหรอ”ชายหนุ่มถาม มองอินทนิลที่ลืมตา มองเขาอยู่เช่นกัน

“คุณไม่ต้องรู้สึกผิดหรอก อินน์แค่ป่วยนิดหน่อย เดี๋ยวก็หายแล้วล่ะ”อินทนิลบอก น้ำเสียงใสกว่าเมื่อครั้งก่อน เขายิ้ม เมื่ออีกฝ่ายขยับร่าง เอนศีรษะลงนอนกับต้นขาของเขา อินทนิลนอนหันหลังให้ เหมือนว่าช่วงบ่าของเจ้าตัวจะดูเล็กไปถนัดตาเพราะผอมลงไปเยอะ

“เธอเป็นเด็กดีนะ ฉันคงเสียใจแย่ ถ้าเธอต้องหายไป”เขาพูดออกมาตรงๆ อินทนิลหายใจสะดุด แต่ยังคงนอนซบกับต้นขาของเขา

“อินน์ไม่ไปไหนหรอก เชื่อสิ ว่าท่านจะต้องช่วยอินน์ได้”อินทนิลเอ่ย ทำเอาเขาขมวดคิ้ว เจ้าตัวเอ่ยถึงคุณแก้วอีกแล้ว แล้วก้มมองเด็กหนุ่มที่นอนหลับตา ยังคงจับมือเขาไม่ปล่อย จนเขาเลิกกังวลใจ

“เธอเข้าวัดได้หรือเปล่า”สิ้นคำพูดของเขา อินทนิลปล่อยเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วลืมตาขึ้น พลิกตัวนอนหงายเพื่อคุยกับเขาให้สะดวก

“วัดหรือ... ที่นี่มีแค่อาศรมของพระรูปหนึ่ง คงเข้าได้ครับ”อินทนิลตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ เขาเลิกคิ้วแปลกใจ

“ยังไม่เคยเข้าวัดงั้นเหรอ”เขาถาม ไม่น่าเชื่อว่าจะมีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้น เด็กหนุ่มย่นคิ้ว ดวงตาใสจ้องมองเขา

“อืม ไม่เคยนะครับ แต่อินน์ไม่ใช่ภูตผีปีศาจที่ไม่สามารถเข้าใกล้พระพุทธองค์ไม่ได้”เจ้าตัวตอบ ทำให้เขาผ่อนคลายจิตใจลงได้บ้าง “ทำไมเหรอครับ”

“บางครั้งคนเราก็ต้องมีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจไว้บ้าง... อย่างน้อยใจของฉันจะได้ไม่มีอกุศลจิตมากนัก”ภูวรินทร์เอ่ยเบาๆ จ้องมองลงไปในนัยน์ตาสีนิลที่ดูเจิดจ้าสำหรับเขา อินทนิลคลี่ยิ้ม “ถ้าคุณภูอยากไป อินน์ก็ไปด้วย”เด็กหนุ่มพูดก่อนจะหลับตาลง ชายหนุ่มนั่งนิ่ง เขาคิด อย่างน้อย กิเลสมารของตนเองจะได้ไม่กัดกินจิตใจมากไปกว่านี้

มันชัดเจนเมื่อเขารู้สึกละโมบต่อบ้านหลังนี้ บ้านเก่าที่ไม่มีใครต้องการ นี่คงไม่ใช่ผลจากคำสาปแช่งสินะ


ค่ำคืนที่คล้ายกับมีลางร้ายกำลังก่อตัว หมื่นนรินทร์ยังคงกระสับกระส่ายอยู่เตียงหลังใหญ่ ฝนกระหน่ำลงมาไม่หยุด เสียงกัมปนาทของฟ้าร้องผสานให้ค่ำคืนนี้ดูน่ากลัวมากขึ้น ภายในห้องกว้างมีเพียงตน ภรรยาย้ายหนีหน้าเขาไปนับแต่รู้เรื่องของตนและแก้ว แม้แต่การสัมผัสท้องของหล่อนกไม่อาจทำได้ ยามนี้คงท้องได้เจ็ดเดือนแล้ว

ระหว่างนั้นเองมีเสียงเอะอะดังมาจากด้านนอกห้อง หมื่นนรินทร์ขยับตัวลุกลงจากเตียงหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาสวมแล้วรีบเดินออกจากห้อง เมื่อเปิดประตูออก ภายในบ้านสว่าง เสียงฟ้าร้องคำรามดังเป็นระยะ ขับให้บ้านหลังนี้เหมือนตกอยู่ในหายนะ เขาเดินไปทางระเบียงหน้าห้อง มองไปทางฝั่งขวามือ เดิมทีห้องนี้ เป็นห้องของแก้วมาก่อน ในตอนนี้เป็นของมณีไปแล้ว คนรับใช้วิ่งกันให้วุ่น

‘เกิดอะไรขึ้น’หมื่นนรินทร์ถามอย่างร้อนใจ สาวใช้หน้าซีดตัวสั่น

‘คุณผู้หญิงอาเจียนไม่หยุดเลยค่ะ ไม่ใช่เพราะคลื่นไส้แพ้ท้อง แต่อาเจียนรุนแรงมากค่ะ เป็นแบบนี้มา...’หมื่นนรินทร์ไม่ฟังคำของสาวใช้จนจบ รีบเข้าไปหามณีโดยเร็ว เข้าไปภายในห้อง บนเตียงร่างของหญิงสาวในชุดคลุมท้องกำลังร้องไห้โอดอวย ใบหน้าเปื้อนน้ำตา รอบเตียงมีคนรับใช้คนสนิทกำลังป้อนยาให้

‘ไปบอกให้หวั่นเตรียมรถ เร็วเข้า’หมื่นนรินทร์ออกคำสั่งอย่างร้อนรน ก่อนก้มมองมณีที่ใบหน้าซีดเซียวราวกับคนขาดน้ำ คนรับใช้รับคำ วิ่งออกไปนอกห้อง หมื่นนรินทร์ก้าวไปหาภรรยา เข้าไปดูอาการของเธอ ก่อนจะเอื้อมไปจับท้องของมณี แต่แล้วเธอก็ปัดป่ายมือของเขาออก ดิ้นรนไปมา จนสาวใช้ต้องมาประคอง มณีน้ำตาไหลพราก

‘เธออดทนหน่อยนะ’หมื่นนรินทร์เอ่ยอย่างปลอบประโลม ใบหน้าซีดเผือก สายตาจ้องมองท้องกลมโตที่ดูแปลกพิกล
มณีหวีดร้อง สองมือกุมท้องกลมโตไว้แน่น ใบหน้าวาววับด้วยน้ำตา เธอร้องไห้สะอื้นไม่ขาดสาย ท่านหมื่นถอยหลัง เลือดกองโตไหลซึมผ่านชุดคลุมท้องจนแผ่กระจายไปทั่งเตียงนอน

‘เร็วเข้าสิ ช่วยลูกฉันสิ’ท่านหมื่นกระวีกระวาดใส่คนรับใช้ เขาไม่อาจรีรอให้คนไปตามหมอมา ในเวลานี้พามณีไปส่งโรงหมอน่าจะรวดเร็วกว่า คนรับใช้ชายรูปร่างสูงใหญ่หอบร่างของมณีลงจากเตียงอย่างระมัดระวัง แม้ว่าฟ้าฝนกำลังตกลงมาอย่างหนัก
เพียงไม่นานนายหวั่นก็เอารถออกมาจอดรอที่หน้าชานบ้าน ในใจของหมื่นนรินทร์ร้อนรน มองเลือดที่ซึมผ่านชุดคลุมท้องอย่างพูดไม่ออก ลึกในใจตนนั้นรู้ดีว่า เด็กในท้องอาจไม่รอด..

 ‘อย่าให้ลูกฉันตายนะท่านหมื่น’มณีร้องบอก ระหว่างถูกนำตัวเข้าไปด้านในรถ สายตาที่มองมองมาเหมือนเกลียดชังเขาเหลือล้น นายหวั่นเข้าไปประจำที่คนขับรถ หมื่นนรินทร์ตามเข้าไปนั่งข้างภรรยาอย่างเป็นห่วง พยายามปลอบเธอให้สงบลง แม้ว่าตลอดทางมณีเอาแต่สะอื้น เมื่อส่งตัวมณีถึงโรงหมอ ตนก็เบาใจ ได้แต่รอฟังอาการอยู่ด้านนอก เดินวนเวียนอยู่หน้าห้อง นายหวั่นยืนนิ่ง ไม่ได้พูด

‘ตอนเกิดเรื่อง แก้วอยู่ไหน’หมื่นนรินทร์หันไปถามนายหวั่น

‘อยู่ที่เรือนครับท่าน’อีกฝ่ายตอบ หมื่นนรินทร์ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หากลูกของเขาไม่รอดล่ะก็... เขาไม่ปล่อยคนที่ทำเรื่องบัดซบไว้อย่างแน่นอน แก้ว....อย่าบอกนะว่าเธอทำสิ่งเลวร้ายลงไป เขาไม่อยากให้เป็นแบบนั้น เชื่ออย่างหนักแน่นว่าแก้วไม่น่าใจคอโหดร้าย

“หมอช่วยแม่เด็กได้...ส่วนเด็กไม่รอดครับ เหมือนว่าภรรยาของคุณจะถูกพิษ”หมอเดินมาบอกผลรักษา ราวกับว่าท่องหนังสือให้เขาฟัง ท่านหมื่นกำมือแน่น ก่อนจะปิดปากคล้ายอยากอาเจียน ทรุดลงนั่ง ภรรยาเกลียดชังเขาไม่เหลือดี เขาเสียลูก....เสียไปแล้ว...นึกถึงคำพูดของเจ้าหมื่น ผู้เป็นพี่ชายแล้วต้องก้มหน้าลง ปิดซ่อนความอัปยศไว้

‘เรื่องแก้ว ฉันไม่โกรธเกลียดแกเลย แค่แกดูแลลูกฉันให้ดีๆก็พอ...’เจ้าหมื่นประดิษฐ์เอ่ยอย่างอ่อนแรง ใบหน้าซีดเซียว ร่างที่เคยสมบูรณ์บัดนี้ผ่ายผอม มองดูปราดเดียวก็รู้ว่าป่วยหนัก ผู้เป็นน้องชายเช่นหมื่นนรินทร์พูดไม่ออก อย่างน้อยผู้เป็นพี่ยังเข้าใจเขา

'เกิดอะไรขึ้นรึ'

'...แกก็รู้ว่ากิ่งกับไกรรังแกแก้วบ่อยๆ’เจ้าหมื่นส่ายหน้า แววตาเศร้าลง

'อย่าห่วงเลย ยังมีฉันอยู่'หมื่นนรินทร์บอก อย่างน้อยกิ่งกับไกรไม่ได้มารังแกแก้วอีก เมื่อมีตนอยู่

'ดีๆ ฉันอยู่ได้ไม่นาน... มีเรื่องสำคัญที่ฉันอยากบอก...แค่แกห้ามบอกใครนะนรินทร์'เจ้าหมื่นประดิษฐ์เรียกให้ผู้เป็นน้องขยับเข้ามาใกล้ หมื่นนรินทร์รับคำ 'ได้สิ'

'บ้านหลังนี้กว่าจะสมบูรณ์ได้ ฉันต้องต่อเติมเปลี่ยนอะไรไปตั้งมาก ยังดีที่คหบดีคนก่อนไม่ได้ทำลายส่วนเก่าแก่งดงามไปซะก่อน สมัยนี้น้อยคนนักที่จะมีบ้านร่วมสมัยเช่นนี้ ฉันจึงอยากให้บ้านเป็นสมบัติของตระกูล’

'อืม ได้สิ มันก็ต้องเป็นอย่างนั้น’หมื่นนรินทร์พูด แม้ใจจะอยากได้บ้านหลังนี้มาครอบครอง แต่ถ้าเป็นของแก้วก็คงไม่ต่างกัน

'แต่....แกจำเมียฉันได้ไหม'อีกฝ่ายเอ่ยก่อนจะไปออกมาหลายครั้งจนตัวโยน หมื่นนรินทร์มองอย่างกังวลใจ

'กว่าฉันจะมาที่นี่ เมียพี่ก็เสียไปก่อน มีอะไรหรือ'

'ตอนที่เมียฉันคลอดลูกคนสุดท้าย...เด็กคนนั้นหมดบุญไปซะก่อน'เจ้าหมื่นเอ่ยอย่างหมดแรง

'...อย่าอำน่า'หมื่นนรินทร์รีบพูด คนสุดท้องหมายถึงแก้วน่ะเหรอ...

'แก้ว เป็นลูกหญิงอื่น'เจ้าหมื่นเอ่ยช้าๆ หมื่นนรินทร์นิ่งงัน มองไปที่พี่ชายอย่างไม่นึกเชื่อ พูดอะไรไม่ออก ...แก้ว เป็นลูกของใครกัน...

'แต่ก็ยังเป็นลูกที่เกิดจากฉัน แต่ไม่มีใครรู้เรื่องนี้...'

‘จะบอกว่าท่านมีหญิงอื่นหรือ หล่อนท้องลูกของท่านพอดีงั้นสินะ ถึงได้นำลูกของนางมาให้เมียท่านเลี้ยง’หมื่นนรินทร์เอ่ยอย่างไม่อยากเชื่อ เจ้าหมื่นนิ่งเงียบ พยายามอธิบายสิ่งที่อยากร้องขอแก่น้องชาย

'แก้วเป็นลูกของใคร...'หมื่นนรินทร์ถาม เจ้าหมื่นไม่ตอบ เพียงแค่ยื่นมือผอมบางไปจับมือหนุ่มแน่นของอีกฝ่าย

‘ฉันถึงได้บอกว่า ฝากแกดูแก้วด้วย เด็กคนนั้นจิตใจดี และฉันยกบ้านให้แก้ว อย่างน้อยยังมีแกที่คอยดูแลลูกฉันอีกที’

‘ไม่ลำเอียงไปหรือ’

‘ไม่หรอก...กิ่งและไกรไม่เหมาะสม’

‘ท่านไม่รักลูกของเมียเอกงั้นเหรอ ...ท่านคงจะรักแม่ของแก้วมากสินะ’หมื่นนรินทร์เอ่ย รู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูก พี่ชายของตนทำไม่ถูก ยกบ้านให้ลูกคนเล็ก ซ้ำยังเป็นลูกของ..ชู้รัก

‘แค่รับปากฉัน’

‘...ได้สิ’หมื่นนรินทร์ยอมรับปาก แม้ใจจะปฏิเสธ เขาหวนนึกถึงแก้ว ทั้งๆที่เด็กคนนี้ไม่สามารถมีทายาทสืบสกุลไว้แท้ๆ เหตุใดพี่ชายตนถึงยังคิดมอบบ้านให้สืบทอด ไม่ยุติธรรมต่อลูกอีกสองคนที่เกิดกับหญิงตามกฎหมาย แล้วแม่ของแก้ว เป็นผู้หญิงบ้านไหนกัน

หมื่นนรินทร์เคร่งคิด พิจารณาว่าหญิงคนนั้นเป็นรักของเจ้าหมื่น ไม่อย่างนั้นจะยกบ้านให้ลูกชายเธอไปทำไม ใครกันนะ...ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ถามเจ้าหมื่นก็คงไม่ตอบ

หรือว่าจะเป็น...บัว?

หญิงรับใช้ที่คอยดูแลแก้วมาตั้งแต่เล็กๆ หลังจากที่เมียเจ้าหมื่นเสียไปหลังจากที่เอาแก้วมาเลี้ยงได้สองปี หญิงรับใช้คนนี้ก็โผล่มาที่บ้าน มิน่าเล่า หล่อนถึงไม่ชอบหน้าตนนัก คงรู้ว่าตนคิดละโมบอยากครอบครองบ้านหลังนี้


หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๐ l ๒๒.๐๑.๖๑ หน้า ๔
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 22-01-2018 01:00:03
อ้าว ปมใหม่
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๐ l ๒๒.๐๑.๖๑ หน้า ๔
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 22-01-2018 07:03:54
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๐ l ๒๒.๐๑.๖๑ หน้า ๔
เริ่มหัวข้อโดย: สาว801 ที่ 22-01-2018 14:30:54
เหมือนจะคลี่คลายแต่กลายเป็นการเพิ่มปมขึ้นมาซะงั้น รอต่อปรั๊ย ยิ่งอ่านยิ่งอิน  :katai4:
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๐ l ๒๒.๐๑.๖๑ หน้า ๔
เริ่มหัวข้อโดย: naya-devil ที่ 22-01-2018 17:38:33
ยิ่งอ่านยิ่งซับซ้อน 
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๐ l ๒๒.๐๑.๖๑ หน้า ๔
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 22-01-2018 22:35:43
อ้าว ๆ
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๐ l ๒๒.๐๑.๖๑ หน้า ๔
เริ่มหัวข้อโดย: Pa'veaw ที่ 23-01-2018 01:39:19
เมื่ออ่านเรื่องนี้ถึงประมาณตีสาม สนุกมาก อยากรู้ทุกเฉลยแล้ว

แอบหลอนนิดๆ หรือไม่นิดนะ55

ปล.พอเช้าวันรุ่งขึ้นตื่นไปทำงานแทบไม่ไหว
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๐ l ๒๒.๐๑.๖๑ หน้า ๔
เริ่มหัวข้อโดย: net. net_n2537 ที่ 23-01-2018 02:18:23
บัวเป็นแม่แก้ว?  :ruready
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ 12 เจ้าของคำแช่งที่แท้จริง
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 25-01-2018 05:47:44
ตอนที่ 12 เจ้าของคำแช่งที่แท้จริง

ฝนยังคงตกหนัก ทำให้แก้วไม่สามารถออกไปจากเรือนกระจกได้ ระหว่างนั้นเกิดอาการกลัวขึ้นมา ร่างผอมขยับลงไปนั่งอยู่หลังโต๊ะเพาะดอกพวงแก้วมณี มือข้างถนัดล้วงขวดแก้วขนาดเล็กออกมากำแน่นในมือ ในนั้นบรรจุผลของดอกดองดึง ในใจพลันหดรัด นึกไม่ถึงว่าพืชชนิดนี้จะอยู่บ้านของตน

  ...บัวหรือเปล่านะ... ภาพซ้อนทับระหว่างบัวที่แสนใจดีกับบัวที่ใจร้าย ตนรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ชอบมณี และโกรธเคืองท่านหมื่น
เพราะเหตุใดกัน เป็นเพราะเราเองงั้นหรือ คิดเช่นนั้นแล้วก็อดเสียใจไม่ได้ เสียงฟ้าร้องดังสนั่น ทำเอาสะดุ้งไปทั้งตัว หนาวสั่นเพราะตากฝน คิดในใจว่าคงป่วยอีกเป็นแน่ แม้ว่าตนจะอายุอานามไม่น้อยแล้ว ยี่สิบหกปีเต็มแล้ว ทว่าช่วงห้าหกปีที่ผ่านมา ร่างกายของตนไม่สมบูรณ์เหมือนแต่ก่อน 

‘แปลก ใยถึงแสบร้อยเช่นนี้’ แก้วอดไม่ได้ที่จะบ้วนน้ำลายทิ้ง เพราะอาการร้อนชาด้านในปาก และลำคอทำให้ต้องรู้สึกคลื่นไส้อาเจียน ท้องไส้บิดมวนจนตัวงอ ไม่สามารถขยับร่างไปไหนได้สักพัก แก้วร้องครางออกมาอย่างเจ็บปวด สายตาพร่ามัวมองพยายามมองหาทางออก รีบผุดลุกขึ้นยืนพยายามวิ่งออกจากเรือนเพาะชำ อย่างน้อยต้องออกไปหาบัว

‘โอ้ย’ทั้งร่างทรุดลงกับพื้น ใจเต้นระส่ำ จนหายใจติดขัด ความรวดร้าวตีขึ้นมากลางอกจนน้ำตาซึม
...ดอกดองดึงจริงๆด้วย เป็นไปได้อย่างไร แก้วฝืนตัวให้ลุกขึ้นแต่กลับทรุดลงไปอีก ประกอบกับร่างกายไม่แข็งแรงเจอพิษร้ายของดอกดองดึงจึงยิ่งส่งผลร้ายหนักเข้า ร่างกายเริ่มอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเรื่อยๆ

‘ช...ช่วยด้วย บัว! ท่านอา!’แก้วร้องเรียกสุดแรง จนเหนื่อยหอบ ยิ่งออกแรงมากก็ยิ่งสิ้นเปลืองแรง ร่างกายคล้ายอ่อนเปลี้ยเพลียแรง เรี่ยวแรงที่มีหายไปปลิดทิ้ง โก่งตัวอาเจียนออกมาอีกระลอก แต่ไร้ซึ่งเศษอาหารมีเพียงน้ำเปรี้ยวขมตีขึ้นมาแทน น้ำตาเอ่อคลอไปทั้งสองตา

แก้วไม่คิดว่าจะต้องมาจบชีวิตลงที่นี่ด้วยซ้ำ ต้องไม่ใช่เช่นนี้

ลำคอแสบชาไปหมดจนกลืนน้ำลายแทบไม่ได้ ขณะนั้นทั้งร่างคล้ายโดนไฟเผา เคยอ่านถึงพิษร้ายของเทียนหยด แต่ยังไม่เท่ากับดองดึงที่มันมีพิษไปทุกส่วน 

ผ่านนานเท่าใดไม่อาจรู้ จนกระทั่งประตูเรือนเพาะชำเปิดออกกว้างพร้อมกับร่างของหญิงคนหนึ่งวิ่งถลาเข้ามาหา สองตาพร่ามัวอย่างหนัก ภาพที่เห็นเบลอจนมองไม่ออก แต่ตนจำเสียงที่ร้องเรียกได้

บัว...

‘คุณแก้ว! เกิดอะไรขึ้น ลืมตาขึ้นมาสิ บัวจะไปตามคนมาช่วย ทำใจดีๆไว้ค่ะ’เธอร้องเรียกปนเสียงร้องไห้จนฟังออกยาก ภาพตรงหน้าคือคนรับใช้คนสนิทกำลังผุดลุกออกวิ่ง แต่แก้วออกแรงยื่นมือไปจับขาของอีกฝ่ายไว้ ไม่แรงที่จะฉุดรั้งได้ แต่ทำให้เจ้าตัวหันกลับมามองด้วยอารามตกใจ โถมตัวมาโอบทั้งร่างไว้แน่น

‘คุณแก้ว...’เสียงเรียกชื่อนั้นช่างเสียดแทงใจตน เหมือนว่าอีกฝ่ายจะร้องไห้งั้นหรือ ถึงได้มีหยดน้ำหล่นลงมาบนแก้มของตนได้ ช่างรักเราเสียจริง

‘...ตอบเรามาสิ เป็นบัวหรือไม่ ที่ทำ...’แก้วพยายามเอ่ยออกมา แม้ทั่วทั้งลำคอจะถูกเผาไหม้จากพิษร้าย ปากแห้งแตกจนเจ็บไปหมด แต่ตนต้องเอ่ยออกไป ไม่อย่างนั้น คงไม่อาจตายอย่างสงบ

‘อย่าเพิ่งพูดเลยค่ะ พยายามอีกนิดนะคะ’บัวร้องไห้ วางร่างของแก้วลงช้าๆ พยายามไม่ให้ร่างกายเจ็บปวด แต่ดูเหมือนจะสายไปเสียแล้ว

‘เราอยู่ไม่ไหวหรอก....โอ้ย...’แก้วไม่ทันพูดจบ ดิ้นพราด เมื่อแรงบิดจากด้านในกระเพราะทำให้เจ็บปวด ทำท่าอาเจียนออกมา แต่เช่นเดิมไม่มีสิ่งใดออกมา ได้ยินเสียงคนรับใช้ร้องไห้เหมือนจะขาดใจ บัวลุกขึ้น ไม่วายคว้าขวดแก้วในมือของแก้วมาด้วย สองขาวิ่งออกไปให้เร็วที่สุด ปากร้องเรียกนายหวั่นให้ตามหมอมา 

ประตูเรือนเพาะชำปิดลง มองไม่เห็นบัวแล้ว เสียงก็ไม่ได้ยิน แก้วร้องไห้ เพราะเช่นนี้ตนจึงถูกท่านอาเกลียด ทั้งๆที่ไม่ใช่ความผิด เพราะเหตุใดกัน …หรือว่าที่ตนต้องมาตกอยู่ในห้วงความเป็นความตายเช่นนี้เพราะมณี…ใช่สิ…มณีแท้ง เพราะพิษของดองดึง ในคราวนั้นจับมือใครดมไม่ได้ แต่มณีกล่าวโทษตน ทีแรกคิดว่าท่านอาจะเชื่อคำของตนแท้ๆ แต่ไม่เป็นผล เขากลับจองจำเราแทน

เหมือนว่าทุกอย่างเนิ่นนาน แก้วกึ่งหลับกึ่งตื่น สติสัมปชัญญะเลอะเลือน ได้ยินเสียงทุ้มต่ำของใครสักคนร้องโวยวาย มีเสียงบัวเอ่ยแทรกออกมา อาจเป็นนายหวั่น

‘นายเอ็งไม่น่ารอดแล้ว โดนพิษไปเสียเยอะเพียงนี้’

‘ไม่จริง แกเอายามารักษาท่านสิ’เสียงบัวร้องอย่างหมดหนทาง แก้วพยายามลืมตาขึ้นมองภาพตรงหน้า เหมือนทุกอย่างมันหนักอึ้งไปหมด แม้กระทั่งจะขยับตัวยังทำไม่ได้ดั่งใจ

‘ที่ลูกมณีต้องตายเป็นเพราะเธอหรือ’แก้วเอ่ยช้าๆ บัวเข้ามาประคองร่างไว้ 

‘...อย่าบอกว่าทำเพื่อเรา เราไม่เคยร้องขอ’

‘หมื่นนรินทร์ไม่ใช่คนดีค่ะ ทำไมคุณถึงไม่เลิกหวังในตัวของท่านล่ะคะ’บัวเอ่ยทั้งน้ำตา มองดูแก้วแล้วคงไม่อาจยื้อชีวิตไว้ได้

‘...เรียกท่านอามา’แก้วบอก อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่มองหน้าของบัว และของท่านอาด้วย แม้ใจจะดิ้นรนเพียงใดแต่ก็ไม่อาจฝืนร่างกายได้ไปมากกว่านี้ น้ำตาไหลออกมาจนสิ้น ตอนที่ท่านอาตัดขาดกับเรายังไม่เสียใจเท่านี้

     ‘แก้ว!’เสียงเรียกสุดท้ายเหมือนกลั่นออกมาจากใจ ฟังแล้วดูเศร้ากว่ายามที่ตนเรียกท่านอาซะอีก บัวหายไป พร้อมๆกับจิตวิญญาณของแก้ว





       เหมือนฝันร้ายที่สุดในชีวิตของบัว แม้จะกล้ำกลืนความช้ำจากการต้องตกเป็นเพียงคนใช้ต่ำต้อย มอบลูกให้แก่ผู้อื่น มองดูคนอื่นอุ้มชูลูกในไส้ของตนเอง นางเบ่งลูกคนนี้ออกมาเองแท้ๆ แต่เหตุใดท่านประดิษฐ์กลับห่วงน้ำใจภรรยามากกว่าน้ำใจของตน นางมิใช่แม่คนเช่นกันหรือ

แต่ฝันร้ายของนางจบลงเมื่อภรรยาท่านประดิษฐ์ตายไป นางได้โอกาสเลี้ยงดูลูกชายผู้บอบบางจนเติบใหญ่ ไม่คิดว่าร่างกายจะอ่อนแอ มีโรคภัยบ่อยยิ่งกว่าคนรับใช้ชั้นแรงงาน พี่น้องในบ้านไม่รักใคร่ นอกจากพ่อแล้วใครจะดีต่อลูกชายของนาง... จนหมื่นนรินทร์ย่างกายเข้ามาในบ้านหลังนี้ คอยอุ้มชูแก้วตาดวงใจ ซ้ำยังลงทุนปลูกต้นแก้วไว้รอหลานชายเติบโต ไม่คิดว่าอาหลานจะรักใคร่กันกว่าที่ควร

นางคิดว่าดีแล้ว หมื่นนรินทร์ไม่ใช่ใครอื่น ซ้ำยังรักแก้ว ดูแลแก้วดีเพียงนี้ นางก็เบาใจ แต่ไฉนเลย พอสิ้นบุญของเจ้าหมื่นไป หมื่นนรินทร์กลับเปลี่ยนไป... ไม่รู้ว่าเจ้าหมื่นไปพูดเรื่องใดกับหมื่นนรินทร์ เขาถึงเปลี่ยนใจจากแก้วไป หัวอกแม่มีหรือจะทนได้
นางไปถามไถ่หมื่นนรินทร์อยู่หลายครั้ง แต่ไม่ได้รับคำตอบ มีเพียงสายตาระแวงระวังจากอีกฝ่าย

...หรือว่าท่านประดิษฐ์จะเอ่ยความจริงกับหมื่นนรินทร์เข้า... รู้ว่านางเป็นแม่ของแก้วงั้นหรือ

‘เหตุใดท่านถึงทำร้ายคุณแก้ว’วันหนึ่งนางหมดความอดกลั้น เพียงไม่กี่ปีหลังท่านประดิษฐ์เสีย หมิ่นรินทร์เริ่มตีตัวออกห่างจากแก้ว ไปมาหาสู่น้อยลง สายตาไม่รักใคร่เช่นเดิม ยิ่งนานวันยิ่งห่างเหิน ไปราชการมณฑลอื่นบ่อยๆ

‘...แล้วเหตุใดเธอถึงเป็นเดือดเป็นร้อนนัก เป็นเพียงคนรับใช้ กล้าใช้น้ำเสียงเช่นนั้นกับฉันได้อย่างไร’หมื่นนรินทร์ในวัยสามสิบห้าปีเอ่ยอย่างถือดี

‘...เลิกแสร้งเป็นไม่รู้เรื่องเสียที อิฉันรู้ว่าเจ้าหมื่นบอกความจริงท่าน’

‘...เป็นเธอเอง...ไม่น่าเชื่อว่าพี่ชายฉันจะตาต่ำนัก เอาคนรับใช้เป็นเมีย ร้ายยิ่งกว่ายกบ้านให้ลูกของชู้ รู้ไปถึงไหนอับอายกันทั้งสกุล’หมื่นนรินทร์ตอกกลับอย่างมีโทสะ แม้อีกฝ่ายจะเป็นผู้ให้กำเนิดแก้ว แต่ก็เป็นแค่หญิงรับใช้ หาใช่ผู้ดีมาจากไหน ให้ตนมาทำนอบน้อมด้วยเพียงเพราะเป็นแม่ของแก้วงั้นหรือ….ไม่มีทาง

‘หึ บ้านหลังนี้เจ้าหมื่นสร้างมันมาด้วยน้ำพักน้ำแรง จะยกให้ใครเป็นสิทธิของเจ้าหมื่น ท่านไม่มีสิทธ์ออกความเห็นใด นอกซะจาก...ท่านริอาจครอบครองบ้านไปจากแก้ว’นางเอ่ยอย่างไม่นึกชอบ รู้ดีว่าอีกฝ่ายอยากครอบครองบ้าน และยังมีใจมักใหญ่ใฝ่สูง

‘แก้วไม่มีทางดูแลบ้านได้อยู่แล้ว’หมื่นนรินทร์เอ่ยออกมาอย่างตรงไปตรงมา นางคิดไม่ผิดเสียจริง ชายคนนี้ไม่ควรอยู่ในบ้านหลังนี้ด้วยซ้ำ เว้นแต่แก้วรักหมื่นนรินทร์เกินไป เห็นแก่ความสัมพันธ์แต่เล็กแต่น้อย ในตอนนี้กิ่งกับไกรแต่งออกไปแล้ว ทั้งบ้านก็เหลือแก้วเพียงผู้เดียว

‘เช่นนั้นแล้ว ท่านจะเอาไปเป็นของตนงั้นเหรอ’

‘เรื่องนี้แก้วเป็นคนตัดสินใจ ไม่ใช่เธอ’หมื่นนรินทร์เอ่ยเรียบๆ มองหญิงรับใช้นางนี้ด้วยความไม่ชอบ

‘..อิฉันแค่อยากบอกว่าไม่ต้องการได้บ้าน ...เพียงแค่ท่านดีต่อแก้วก็พอ’นางพูดช้า ๆของนอกกายนางไม่สนใจอีก ขอแค่ให้แก้วมีความสุขก็เพียงพอแล้ว

‘แค่นั้นเองหรือ’

‘ใช่ค่ะ กลับไปดูแลเช่นเดิม แล้วฉันจะลืมเรื่องนี้ไปให้สิ้น ไม่เอ่ยถึงอีก’

‘...เธอพูดเองนะ ตกลงฉันจะดูแลแก้วให้ดี’

แต่หมื่นนรินทร์กลับไม่รักษาคำพูด ชายเช่นนี้สมควรได้รับการเชิดชูงั้นหรือ ไม่มีทาง นางยอมไม่ได้ ยิ่งแก้วเสียน้ำตาไปมากเท่าใด ใจบัวมีหรือจะไม่เจ็บยิ่งกว่า แม้อยากจะโอบกอดยังทำไม่ได้ ได้แต่เป็นห่วงเป็นใยในฐานะบ่าวรับใช้
ความลับนี้บอกแก่ใครไม่ได้ หากกิ่งกับไกรรู้มีหวัง แก้วคงอยู่ไม่ได้ พวกนั้นคงไม่ยินยอมให้บ้านสมบัติต่างๆตกมาถึงมือแก้วแน่ๆ บัวจึงเลือกเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ

…มาจนวันนี้ นางเสียใจสุดซึ้งคิดอยากย้อนเวลา บอกความจริงแก่ลูกบ้างก็คงดี …แก้วตายแล้ว ลูกชายของเธอจากไปแล้ว หมอมาช่วยไว้ไม่ทัน ต่อให้ทันแก้วคงไม่อาจสู้ได้ถึงสองชั่วโมง บัวคิดชิงชังคนใจบาป… ใช่สิ เป็นตนที่ทำบาปก่อน ผู้อื่นเลยมาทวงคืนความแค้นแก่ลูกชายของนาง นางมณี ต้องเป็นหล่อนอยู่แล้ว แม้ตัวจะย้ายไปอยู่กับบิดาเมื่อสองวันก่อน…

บัวเช็ดคราบสกปรกออกจากใบหน้าของแก้วช้าๆ …มองดูดวงหน้าขาวซีดไร้ลมหายใจบนพื้นดินแล้วนางถึงกับกลั้นสะอื้นไม่อยู่ เอื้อมไปจับมือที่เริ่มเย็นลงมากุมไว้แน่น

แก้ว…เจ้าช่างอาภัพนัก

จนหมื่นนรินทร์เข้ามาไล่นางออกไป บัวมองอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้ใจนัก หมื่นนรินทร์คือความทุกข์ของนาง ทั้งของแก้วด้วย  กว่าที่ค่ำคืนอัปยศจะเงียบสงบจากพายุฝน ก็เกือบเช้า นางพยายามห้ามใจไม่ให้เข้าไปกอดร่างของแก้ว เหมือนว่าหมื่นนรินทร์จะเอาร่างของแก้วไปตรวจแบบเงียบเชียบ ไม่มีข่าวการตายของแก้วแพร่งพรายออกไป

ผ่านไปหลายสัปดาห์ บัวทนไม่ไหวเข้าไปหาหมื่นนรินทร์ที่ห้องหนังสือ เพราะอีกฝ่ายไม่ทำพิธีศพให้แก้ว เมื่อครู่ก่อนบัวบุกเข้าไปในเรือนเพราะชำที่ถูกปิดตาย มีคนเฝ้าไว้ไม่ยอมให้เข้าไป นางตั้งใจจะไปขุดดินนำร่างของแก้วออกไปทำพิธีทางศาสนา

 บัวโกรธแค้นหมื่นนรินทร์ พยายามจะเข้าพบอีกฝ่าย แต่ไอ้หวั่นมันห้ามไว้ “แกมันร้ายพอๆกับนายของแก แกดูสิ เหตุใดถึงไม่เอาคุณแก้วไปสู่ภพที่ดีกว่านี้”

‘เอาน่า แกอย่าตีโพยตีพายไปเอง ท่านทำเช่นนี้มีเหตุผล เป็นแค่คนรับใช้แกจะเผยอกับท่านรึ’

‘เหตุผลกลใดกัน ฟังขึ้นงั้นหรือ แกก็เห็นว่ามันทำไม่ดีกับคุณแก้วเพียงใด’

‘...ท่านเศร้าใจที่คุณแก้วเสียไปแบบนี้’นายหวั่นพยายามห้ามปรามบัวแต่ไม่เป็นผล นางผลักไอ้หวั่นออกไปเต็มแรงก่อนจะเปิดประตูห้องหนังสือออก

  ‘ท่านต้องตามหาคนที่ทำร้ายคุณแก้ว’นางเอ่ยน้ำเสียงไม่พอใจ

‘อย่ามาสั่งฉัน”หมื่นนรินทร์ตอบกลับน้ำเสียงห้วนไม่ต่างกัน ไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองนาง ปีนี้หมื่นนรินทร์อายุสามสิบเก้าปีเต็ม เป็นหนุ่มใหญ่

‘อิฉันไม่ยอมหรอก แก้วตายไปแบบนี้ คนที่ทำไม่มีวันได้อยู่อย่างสงบแน่’นางร่ำร้องเสียงดัง หมื่นนรินทร์เงยหน้ามอง คิ้วขมวดอย่างไม่ชอบใจ

‘บัว’

‘คิดว่าอิฉันไม่รู้หรือว่าใจท่านต้องการอะไร บ้านงั้นเหรอ หึ ก็ได้ไปครอบครองแล้วไม่ใช่รึ ต้องการอะไรอีก’

‘เธอเกลียดฉันถึงเพียงนี้เลยหรือ’หมื่นนรินทร์เอ่ยอย่างเหนื่อยหน่าย

‘ใช่ เกลียดสิ เพราะท่านละโมบ ไม่ต้องห่วงหรอกบ้านหลังนี้ ฉันไม่ต้องการหรอก ฉันต้องการแค่ฆาตกรที่ฆ่าแก้ว’นางบอก หมื่นนรินทร์ปิดหนังสือ แล้วลุกเดินอ้อมโต๊ะทำงานออกมา

‘...พิษแบบเดียวกับที่ฆ่าลูกของมณี น่าสงสัยไม่ใช่เหรอ’นางแค่นเสียงไม่หวั่นเกรงต่อหมื่นนรินทร์

‘ดอกดองดึงปลูกอยู่ในบ้าน แสดงว่ามีคนหยิบมันไป’

‘อ้อ ขนาดฉันยังไม่รู้ แต่เธอรู้’

‘อิฉันย่อมรู้ เป็นเพียงขี้ข้า แต่ท่านเป็นถึงเจ้าของบ้าน”นางเหน็บแนม หมื่นนรินทร์เดินเข้ามาหาใกล้ๆ สีหน้าจงเกลียดจงชังไม่ต่างกัน

‘บัว เลิกบ้าได้แล้ว ฉันจะจัดการเรื่องแก้วเอง’

‘หึ จัดการ ท่านจะเอาคนร้ายมาลงโทษจริงงั้นเหรอ...คิดว่าท่านคงรู้อยู่แก่ใจว่าฝีมือของใคร’บัวอดกลั้นพยายามไม่ผลผลีผลามเข้าไปทำร้ายอีกฝ่าย

‘... ฉันจะสืบเอง’หมื่นนิรนทร์เอ่ยทิ้งท้าย ปล่อยให้นางทรุดลงนั่ง น้ำตาเอ่อคลอเมื่อนึกถึงแก้ว หากหมื่นนรินทร์ไม่ลงโทษคนผิดจริง นางไม่ยินยอม หมื่นนรินทร์จะต้องเจ็บปวดให้เท่าที่แก้วเคยเจอ

‘จำคำของฉันไว้ ไม่มีวันที่แกจะอยู่อย่างสงบ แกทำร้ายแก้วของฉัน ไม่มีวันที่แกจะจะเจริญก้าวหน้าหรอก หมื่นนรินทร์!’บัวสาปส่ง หมื่นนรินทร์ชะงักไป

‘ฉันยอมรับว่าตัวเองเลว แต่แกชั่วช้ากว่า แม้แก้วจะรักแกมาก แต่ไม่ใช่กับฉัน แกจะต้องทุกข์ใจไปจนตาย ลูกหลานไม่เหลียวแล ไม่ว่าลูกเมียน้อยของแกจะทันโตรึไม่ แกจะไม่มีวันสมหวังอีกในชั่วชีวิตนี้และต่อๆไป’

‘คิดว่าฉันมีความสุขรึไง อย่ามาแช่งชักครอบครัวของฉันนะ’

‘ไม่เผาลูกฉัน ก็เท่ากับไม่ให้เกียรติแก่ภิรมย์สุข อย่าหวังว่าแกจะได้สมใจ’บัวเอ่ยอย่างเครียดแค้น ความชังต่อหมื่นนรินทร์มีมากนัก ทำร้ายลูกชายของนางไม่พอ การฝังร่างของแก้วลงดินแบบไร้เกียรตินางยอมไม่ได้

หมื่นนรินทร์ฟังคำพูดที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นด้วยใจไม่มั่นคงนัก ถ้อยคำนั้นฝังลึกลงไปก้นบึ้งหัวใจ …แก้ว…ไม่ใช่ว่าตนไม่รู้สึกอะไรเมื่อเด็กคนนั้นจากไป เขาเสียใจที่ไม่อาจกล่าวขอโทษแก้วได้…เรื่องการแท้งของมณี วันนี้ตนมั่นใจว่าบัวเป็นผู้กระทำ
ส่วนมณี…..เธอวางแผนฆ่าแก้วมานาน หมอบอกว่าในร่างของแก้วมีพิษดองดึงเจือปนมาเป็นเวลานาน ยิ่งร่างกายป่วยมาหลายปียิ่งทำให้อาการไม่ดีขึ้น พอพิษออกฤทธิ์จึงยิ่งทำให้ร่างกายเสียสมดุล ใจหมื่นนรินทร์ไม่ได้หมดรักแก้วไปซะหมด ยังเยื่อใยอยู่ เพียงแต่…สายไปเสียเเล้ว

บางครั้งตนก็หวนนึกถึงคำพูดของแก้วบ่อยๆ ไม่ใช่คำโกรธที่เอ่ยออกมาไม่ยั้งคิด ‘ว่าความตายเท่านั้นจะพรากเราไปจากท่านอาได้' แต่เป็นประโยคตัดพ้อ ‘ว่าไม่มีใครดีต่อท่านมากไปกว่าเรา’ ก็คงจะจริงนั่นแหละ ในโลกนี้มีใครรักตนได้มากเท่าแก้วหรือไม่…ไม่มี…มณีเกลียดชังเขาหนักขึ้นเมื่อ ตนไปหาหญิงอื่นเพื่อมีทายาท ในเมื่อมณีไม่เต็มใจมีให้ เขาก็ไม่สน และคล้ายกับแก้วกำลังลงทัณฑ์เขาไปทีละนิด


        ภูวรินทร์ลืมตาตื่นจากฝัน เป็นฝันที่เคยเกิดในอดีต เขาสูดจมูก รู้สึกว่าหายใจยากลำบาก ก่อนจะยกมือมาลูบใบหน้า มีรอยน้ำตาเปรอะเปื้อนอยู่ข้างแก้ม ชายหนุ่มกลืนน้ำลาย นึกถึงเรื่องในฝันแล้วสะท้อนในใจ  โหดร้ายจริงๆ คุณแก้วต้องมาตายเพราะการกระทำไม่ยั้งคิดของบัว…. แม่ของตัวเอง…

คุณแก้ว…รู้หรือไม่

ชายหนุ่มหันมองข้างกาย บนเตียงมีแค่เขา…หายไปไหน เขาคิดพลางเหลียวมองไปที่นาฬิกา เข็มชี้ไปที่เลขสอง คืนนี้ไม่ได้ฝันร้าย

เขาสะดุ้ง เมื่อได้ยินเสียงดังมาจากนอกห้อง บทเรียนที่ผ่านมาทำให้เขาไม่ลุกออกจากเตียง ภูวรินทร์หยิบผ้าห่มมาคลุมตัว รู้สึกขนลุกขนชันไปทั้งร่าง เกิดอะไรขึ้น คุณแก้วเหรอ…เสียงกระดิ่งดังเบาๆให้ได้ยิน ทำเอาเขาหนาวไปทั้งใจเสียงรั้วไม้ลั่นมาจากแถวเรือนปั้นหยา เขาใจเต้นระส่ำ

ตึก ตึก ตึก

เสียงวิ่งดังไปทั่วระเบียงหน้าห้อง น้ำหนักเท้าเหมือนเป็นของเด็ก…อินทนิล นี่ฝันหรือเรื่องจริงกัน ภูวรินทร์ไม่มีทางออกไปดูเด็ดขาด ลมหนาวพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง พร้อมกับกลิ่นดอกแก้วจางๆเข้าจมูก

เสียงกระดิ่งดังมาใกล้กับห้องนอน เขาแทบหยุดหายใจ เมื่อเสียงฝีเท้าหนักๆหยุดอยู่หน้าห้อง เขากำมือแน่น คิดอย่างหวาดระแวง อย่าเข้ามา…

กึก

ภูวรินทร์หยุดหายใจเมื่อประตูค่อยๆเปิดออกช้าๆเหมือนถูกแตะเบาๆ น่ากลัวกว่าคือเขาล็อกห้องไปแล้ว…แก้ว…ได้โปรด เขาคิดในใจ ไม่ว่าจะเป็นผีสางหรือเป็นจิตจากอะไรก็ตาม ขอเถอะ อย่ายุ่งกับเขาเลย

ชายหนุ่มตกใจนั่งนิ่งไม่ขยับ หากว่ามีอะไรปรากฏอยู่หน้าประตู…เขาจะไม่มองไปเด็ดขาด มีเสียงขยับเท้า เสียงกระดิ่งดังออกมา

ตึก ตึก ตึก

เขาหลับตาแน่น เมื่อเสียงเริ่มมันดังเข้ามาใกล้ๆ

ได้โปรด…

เสียงลากเท้าเดินมาหยุดอยู่ที่ข้างเตียง ก่อนจะเงียบหายไป  ชายหนุ่มกลั้นหายใจนาน ยังคงไม่กล้าลืมตา จนเวลาผ่านไปนานไม่มีเสียงแปลกประหลาดให้ได้ยิน ชายหนุ่มค่อยๆลืมตาขึ้น แต่บนเตียงไม่ได้มีแค่เขา แต่กับเป็นร่างซีดเขียวไม่น่ามองของทารกวัยแปดเดือนยังไม่สมบูรณ์ดี ร่างนั้นจมกองเลือดเจิ่งนองบนผ้าปูสีขาว

“อ….”ภูวรินทร์พูดไม่ออกตัวแข็งทื่อ เมื่อร่างของแก้วขยับเข้ามาใกล้ เดินมานั่งปลายเตียงเสื้อสีขาวเลอะเทอะ รอยอาเจียน….ใช่แล้ว คราบสกปรกที่ติดตามแขนและเสื้อผ้าของอีกฝ่ายอยู่ทุกครั้งคือสภาพหลังเสียชีวิตของอีกฝ่าย

ชายหนุ่มรีบถอยตัวออกห่างจากภาพสยดสยองนี้จนตกเตียงลงไป เขารีบตะเกียกตะกายลุกหนี สองหูได้ยินคุณแก้วพึมพำ ‘บอกแล้วว่าเราไม่ได้ฆ่าลูกท่านเสียหน่อย…’

เขารีบวิ่งสะเปะสะปะออกจากห้อง ภาพเมื่อครู่ชวนอาเจียนออกมา เขาวิ่งลงบันไดบ้าน ในสมองไม่กลัวความมืดใด นอกจากคุณแก้ว เสียงกรุ๊งกริ๊งยังคงตามมาไม่ห่าง

ไปให้พ้นเถอะคุณแก้ว เพราะอะไรต้องมาหลอกหลอนเขาในฝันด้วย

“อินน์อยู่ไหนกัน อินทนิล”เขาร้องเรียก รู้ตัวอีกทีก็ออกมาหยุดที่หน้าเรือนปั้นหยา ชายหนุ่มสั่นสะท้านทรุดตัวนั่งลงที่สวนหน้าบ้านอย่างหมดแรง

พอแล้ว….ฉันขอโทษ

ภูวรินทร์ยอมรับโทษทัณฑ์นี้เอง รู้ดีว่าหากเขาไม่ยอมรับในเรื่องนี้ก็คงไม่มีวันหลุดพ้น

“ได้ยินไหมแก้วฉันขอโทษ!”เขาตะโกน

    “บอกแล้วไงว่านอกจากเรา ไม่มีใครดีกับท่านเท่าเราแน่”เสียงของคุณแก้วดังมาจากด้านหลัง กลิ่นดอกแก้วรุนแรงขึ้น

“จำได้ไหมเล่า ดอกแก้วในสวนนี่ท่านปลูกไว้ให้เรา มอบให้แก่เรา นี่คงเป็นชะตานี่ท่านก่อ…เราชอบดอกแก้วมากเพราะท่านมอบให้ ดูแลอย่างดี”

“เพียงแค่สิบปี…ท่านก็แปรเปลี่ยนไปทีละนิด”

“เวลาของเราน้อยนัก ภาวนาว่าภพหน้าขอให้เจอท่านอีก…และเราก็ได้พบกัน เราทั้งรักทั้งแค้นเคืองท่าน…ไม่ใช่เพราะหลอกเอาบ้านไป เราเต็มใจให้ แต่เพราะท่านไม่เคยเชื่อใจเราสักครั้ง หากวันนั้นท่านเอ่ยว่าเชื่อเราสักนิด เราคงไม่เจ็บปวดมากนัก แก้วที่ดีต่อท่านจะทำร้ายท่านได้อย่างไร เท่านี้ยังคิดไม่ออก! ฝังเราลงดินไปเพื่อเหตุใด…”คุณแก้วเอ่ยยืดยาว ท่อนแขนเย็นเยียบเข้ามากอดรัดจากทางด้านหลังโอบเอวเขาไว้แน่นจนหายใจลำยาก ก้มมองแล้วเห็นแขนซีดสกปรกเช่นเคย…

เขาเลิกหนี

เพราะคุณแก้วไม่ได้ทำร้ายเขา

“…ไม่รู้ ผม…ในอดีตผมไม่รู้”ชายหนุ่มเอ่ยอย่างอับจนถ้อยคำ เพราะอะไรถึงต้องฝังลงดิน เขาไม่รู้ มีแต่ท่านอาเท่านั้น ที่ล่วงรู้ มา
ถามเขาเอาป่านนี้ก็ไม่ได้อะไร

“ยกโทษให้ฉันไม่ได้เหรอ”เขาเอ่ยออกมา

“ยกโทษหรือ...เรื่องนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรา”

“ฉันขอโทษนะ”เขาเอ่ย เอ่ยแทนท่านอา แรงกอดคลายลง ท่อนแขนนั้นหดกลับไป ภูวรินทร์ไม่กล้ามองไปทางอื่นอีก นอกจากผืนหญ้าเบื้องหน้าตนเอง

“ถ้าเช่นนั้น…อยู่กับเราสิ”ประโยคนั้นกระซิบอยู่ข้างหู ลมหายใจเย็นเป่ารดข้างแก้ม เขากำมือแน่น

“…ไม่ได้…”เขาพึมพำ ส่ายศีรษะไปมา

“ท่านอา!”เสียงนั้นตวาดลั่น มือเย็นเข้ามารั้งใบหน้าให้เงยขึ้น

“กว่าเราจะเป็นจิตที่มีรูปร่างได้ ก็จนท่านตายไป รู้หรือไม่ท่านตายอย่างไร… ท่านนอนตายอยู่ในห้อง มณีไม่อยู่ดูใจท่าน ลูกชู้ของท่านก็ไม่ได้เห็นหน้า”

ภูวรินทร์ไม่คิดว่าจะได้ยินเรื่องนี้ออกจากปากคุณแก้ว เขาลืมตามอง หัวใจแทบหยุดเต้นเมื่อ พบว่าใบหน้าของคุณแก้วอยู่ตรงหน้าในระยะประชิด …ใบหน้าซีดขาว ริมฝีปากแห้งแตกจนมีเลือดซิบ

แก้ว…

“จำเรื่องวันนั้นให้ได้…ก่อนท่านตาย มีคนท่านตาย มีคนมาพบท่าน”อีกฝ่ายพูด เขาอึ้ง จ้องมองแววตาสีนิลไร้แววของคุณแก้ว

ปึก!

ภูวรินทร์สะดุ้งและเจ็บที่ศีรษะเมื่อลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตนเองนอนอยู่กลางสุสานของตระกูล เขาผวาลุกขึ้นนั่ง ศีรษะเกิดไปกระแทกโกฏิเข้าให้ ชายหนุ่มผงะ ขยับมองโกฏิสีขาวที่มีร่องรอยแห่งกาลเวลาเด่นชัด มีชื่อเจ้าหมื่นประดิษฐ์ แต่สายตาเขาไปสะดุดกับโกฏิเก็บอัฐิอันเล็กวางอยู่ใกล้กับของเจ้าหมื่น… ของบัวงั้นหรือ

เขาได้ยินเสียงนกร้องแตกรังในยามเช้า จากนั้นมีเสียงเดินอย่างรีบเร่งเข้ามาหา

“คุณภู”เป็นอินทนิลที่วิ่งเข้ามาหาเขาด้วยท่าทีแตกตื่น ชายหนุ่มพยายามลุกขึ้นยืน เด็กหนุ่มเข้ามาประคองร่างของเขาไว้ ชายหนุ่มเซเพราะลุกกะทันหัน ภาพในฝันปรากฏชัดเจน… ทั้งคุณแก้ว…ทั้งทารกนั่น…

“อินน์ ฉันฝันน่ากลัวมากเลยล่ะ”เขาบอกก่อนจะพยายามก้าวเดิน อินทนิลจับแขนของเขาไว้แน่น พยายามประคองให้เดินตรงทาง เขาเหมือนแน่นหน้าอก อยากอาเจียนตลอดเวลา อยู่ๆภาพทารกก็ปรากฏขึ้นอีก

“ลืมไปเถอะครับ ตอนนี้คุณอยู่กับอินน์แล้ว…ผมตกใจแทบแย่ตอนไม่เห็นคุณอยู่ที่เตียง”อินทนิลบอก หันมองเขาอย่างห่วงใย ภูวรินทร์ฝืนยิ้ม

ก่อนจะค่อยๆเดินออกจากสุสาน จนพ้นป่ามาเจอกับเรือนปั้นหยา เขาชะงักไปแต่ก็เดินต่อ ความรู้สึกอึดอัดจากบ้านหลังนี้ยังคงอยู่ ต้นดอกแก้วดูสั่นไหวจนไม่น่ามอง อินทนิลจับแขนเขาไว้ ก่อนจะสอดแขนเข้ามาจับเอวเขาไว้เพื่อพยุงเดิน

“เธอตัวแค่นี้ เดี๋ยวได้ล้มหรอก”

“อย่าห่วงอินน์เลย คุณภูน่าห่วงกว่า สีหน้าดูไม่ดีเลย”อินทนิลบอกก่อนจะพยุงร่างเขาออกไปให้พ้นรั้วบ้านจนสำเร็จ ลุงชมที่อยู่ในสวนเห็นท่าทางทุลักทุเลของเขาสองคนก็ปรี่เข้ามาช่วย ดึงแขนของชายหนุ่มมาพาดไหล่แล้วพาเดินเข้าบ้านไป เขาชะงักนึกถึงในฝันแล้วยังกลัวไม่หาย

“ผมยังไม่อยากเข้าห้องนอน”ภูวรินทร์เอ่ยห้วนๆ ในฝันนั้นยังฝังหัวเขาอยู่

“ไปห้องอินน์ก็ได้”อินทนิลเอ่ยขึ้นมา ลุงชมพยุงชายหนุ่มมาจนถึงห้องของอินทนิลจนได้ เขารู้สึกหนาวไปทั้งตัว รีบลงนอนบนเตียงของอินทนิลทันที ร่างกายเหมือนได้พักผ่อน เขาเหนื่อยล้า และง่วงนอน

“คุณคงป่วย”ลุงชมเอ่ย อินทนิลเข้ามาจับมือของเขาไว้ก่อนจะใช้มืออีกข้างแตะหน้าผาก

“คุณตัวร้อนนี่”อีกฝ่ายพูดอย่างกังวลใจ

“ตาไปบอกษอรให้เอายากับข้าวต้มมาให้คุณภูหน่อยครับ”อินทนิลหันไปบอกกับคนที่แก่กว่า เขาได้ยินลุงชมรับคำก่อนจะเดินออกไป ภูวรินทร์นอนนิ่ง อินทนิลห่มผ้าให้เขา

“น่าอายจริงๆ ให้เธอเห็นสภาพนี้”เขาพึมพำ ยังคงไม่ลืมตาขึ้นมอง

“ไม่หรอกครับ เดี๋ยวอินน์ดูแลคุณเอง อยากนอนพักสักเดี๋ยวหรือว่าจะอาบน้ำ เช็ดตัว”เด็กหนุ่มเอ่ย เขาค่อยๆลืมตาขึ้นมองเจ้าตัว แววตาสีนิลของอินทนิลจับจ้องไม่วางตา แววตาเป็นห่วงน่าดู เขายิ้ม

“ขอฉันนอนสักพักก่อนนะ”ภูวรินทร์เอ่ยเบาๆ ไม่คิดว่าร่างกายจะอ่อนล้าแบบนี้ ราวกับว่าเขาใช้กำลังไปพร้อมๆกับในฝัน…. เขานอนละเมองั้นเหรอ

อินทนิลก้มมองเขา ส่งรอยยิ้มอบอุ่นมาให้ เจ้าตัวยังจับมือเขาไม่ปล่อย “งั้นคุณพักผ่อนเพียงพอเมื่อไหร่ค่อยทานข้าวเเล้วกันครับ”

“อืม ขอบใจมาก”ภูวรินทร์เอ่ย มองเด็กหนุ่มอีกครั้ง รู้สึกดีกับอีกฝ่ายขึ้นมาเยอะ อินทนิลมองเขา รอจนให้ชายหนุ่มผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว

“เห็นที ต้องพาคุณไปหาหลวงตาที่อาศรมซะแล้ว”อินทนิลพึมพำออกมา สิ่งศักดิ์สิทธิ์อาจช่วยคุณภูได้ อีกอย่างเจ้าตัวก็ตั้งใจจะชวนอินทนิลไปด้วยอยู่แล้ว ไปหาเร็วหน่อยคงไม่เป็นไรนะ…หลวงตา

หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๑ l ๒๕.๐๑.๖๑ หน้า ๔
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 25-01-2018 06:33:14
คุณแก้วยังรักอยู่เหรอ รักไปก็เท่านั้น อ่านแล้วพระเอกในอดีตก็ไม่ได้มีใจให้แล้ว คนปัจจุบันก็ไม่ได้รัก
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๑ l ๒๕.๐๑.๖๑ หน้า ๔
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 25-01-2018 08:39:35
สงสารคุณแก้ว
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๑ l ๒๕.๐๑.๖๑ หน้า ๔
เริ่มหัวข้อโดย: @Sister ที่ 25-01-2018 18:50:35
 :sad4:
แก้วน่าสงสารสุด
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๑ l ๒๕.๐๑.๖๑ หน้า ๔
เริ่มหัวข้อโดย: Pui5264 ที่ 25-01-2018 23:02:40
ตกลงภูวรินทร์รักใครกันหนอ
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๑ l ๒๕.๐๑.๖๑ หน้า ๔
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 25-01-2018 23:58:10
เวรกรรมแท้ๆ
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๑ l ๒๕.๐๑.๖๑ หน้า ๔
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 26-01-2018 18:21:11
   คนที่เป็นต้นตอของเรื่องร้ายๆทั้งหมดคือท่านอานี่แหละ เพราะความมากรักความไม่มั่นคง ไม่จริงใจ จึงนำมาซึ่งความเสียใจของใคหรลายๆคน
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๑ l ๒๕.๐๑.๖๑ หน้า ๔
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 27-01-2018 13:20:12
เริ่มคลีคลาย รอๆนะ
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๑ l ๒๕.๐๑.๖๑ หน้า ๔
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 27-01-2018 18:29:23
สรุปแล้วอิท่านอาที่ถอยห่างนี่เพราะแค่ว่าแก้วเป็นลูกชู้เหรอ? โหห ถ้าแบบนั้นนี่เลวสิ้นดีเลยนะทั้งๆที่ตัวเองเป็นคนดึงแก้วลงมาให้ตกอยู่ในวังวนนี้แท้ๆ คนที่รับกรรมก็เป็นคนที่อยู่ในปัจจุบันอย่างภูกับอินทั้งที่คนก่อเรื่องมันก็คนในอดีตไหมละ แต่นี่ก็แอบสงสัยษอรนะเหมือนที่ภูคิดอะว่าษอรอาจเป็นใครกลับชาติมาเกิดก็ได้ ดีไม่ดีก็เป็นบัวมาเกิดนี่แหละ
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ 13 ผู้เอ่ยคำแช่งกับผู้ที่ถูกแช่ง
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 29-01-2018 01:13:18
ตอนที่ 13 ผู้เอ่ยคำแช่งกับผู้ที่ถูกแช่ง


ภูวรินทร์รู้สึกไม่ดี  หลังจากที่ฝันถึงคุณแก้วไปเมื่อคืน  เขาเหมือนคนผะอืดผะอมอยู่ตลอดเวลา เช้าวันนี้โชติโทรมาหาเขาเรื่องของคุณนิรุท และเอ่ยถึงเรื่องแม่ของเขาตามเคย เขาไม่ได้สนใจเรื่องนี้อีก โชติไม่วายส่งเบอร์และที่อยู่ติดต่อของคุณนิรุทมาให้เขา แม้ว่าใจจะไม่อยากเกี่ยวข้องอะไรกับชายคนนี้อีก ตอนเช้าเขาลงมาจากห้องและไม่เห็นป้าษอร ลุงชมอาสาพาเขาไปหาหลวงตา มีอินทนิลตามติดมาด้วย การไปเยือนอาศรมหลวงตาที่เชิงเขาครั้งนี้ทำให้เขาไม่สบายใจมากว่าเดิม

เมื่อรถเข้าสู่เขตป่า สองข้างทางไร้คนสัญจรผ่านทั้งป่ามัน ป่าไผ่ ระยะทางห่างจากหมู่บ้านพอสมควร นั่งรถนานถึงครึ่งชั่วโมงจนเห็นป้ายบอกชื่ออาศรมเก่าๆ รถเลี้ยวเข้าไป  สองข้างทางยังเป็นป่าอับชื้นจนรถเข้ามาจอดในพื้นที่โล่งมีอาศรมตั้งอยู่ ป้ายประวัติของอาศรมและองค์เจดีย์ที่บนเขาแปะติดอยู่ซีดเก่า อาศรมแห่งนี้ตั้งติดอยู่กับเชิงเขา ที่ด้านบนเขามีเจดีย์อยู่หนึ่งองค์ นานๆครั้งจะมีพระไปธุดงค์ที่ด้านบน

..ลุงชมบอกว่าโชคดีที่หลวงตาไม่ขึ้นไปธุดงค์ด้านบนซะก่อน

“นมัสการครับหลวงตา”พวกเขาสามคนเข้าไปไหว้หลวงตาวัยชรา แต่ท่าทางยังคงกระปรี้กระเปร่า หลวงตานั่งอยู่บนพรมกวาดสายตามองมาที่เขาก่อนจะเลื่อนไปมองลุงชมตามเดิม

“อาตมาไม่เห็นหน้าเห็นตานานเลย…แล้วคนหนุ่มนั้นมาใหม่หรือ ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน”

“เป็นคนบ้านภิรมย์สุขครับ”ลุงชมเอ่ยบอก

“อ้อ…”หลวงตาเอ่ย เหลือบมองเขาอยู่นิ่งๆ จากนั้นลุงชมถวายสังฆทานกับปัจจัยให้หลวงตา เสร็จแล้วก็ออกไปเดินดูนกดูไม้เพื่อให้เขากับอินทนิลได้สนทนากับหลวงตา

“เอ้า เข้ามาใกล้อาตมาสิ”หลวงตาเอ่ยกับคนทั้งสอง ทั้งอินทนิลและเขาขยับเข้าไปหาท่านใกล้ๆ จากนั้นก็เงียบ เขามองอินทนิลที่ก้มหน้านิ่ง

“หลวงตาครับ ผมมีเรื่องอยากให้หลวงตาช่วยเหลือ”ชายหนุ่มเอ่ยออกไป

“ใช่เรื่องคำสาปแช่งหรือไม่ ถ้าเป็นเรื่องนั้นอาตมาเกรงว่าจะช่วยได้ไม่มาก”หลวงตาเอ่ยช้าๆ ทำลายความหวังสุดท้ายในใจของเขาไม่มีเหลือ อินทนิลเงยหน้ามองหลวงตา คิ้วขมวดแน่น สีหน้าเป็นกังวล

“ทำไมล่ะครับ”

“วิธีที่คุณถามหาคงไม่มี การอโหสิกรรมไม่ใช่การตัดกรรม ลดคำแช่ง...แต่ที่แน่ๆ คนที่จะแช่งใครได้นั้นต้องมีความอาฆาต พยาบาท คิดมุ่งร้าย มีอกุศลเจตนา และจัดเป็นกรรมชั่ว ซึ่งจะทำให้ตัวคนที่ทำนั่นแหละที่เป็นผู้เดือดร้อนเอง ส่วนผู้ที่ถูกแช่ง คงไม่เกี่ยวเพราะไม่รู้ไม่เห็นอะไรด้วย แต่ยิ่งถ้ารู้แล้วเฉยๆหรือให้อภัย กลายเป็นคนโดนแช่งจะได้บุญเอานะ”หลวงตาพูดอย่างลื่นไหล เหลือบมองเขาไปด้วย ภูวรินทร์นึกถึงคำสาปแช่งจากบัวขึ้นมา

“ส่วนเรื่องที่เขาไปทำชั่วอะไรไว้จนต้องโดนคนสาปแช่งนั้น ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ทำชั่วก็ทำชั่ว สาปแช่งก็สาปแช่ง คนละเวลา คนละวาระ กรรมคนละอย่างกัน”

 “เพราะเรื่องในอดีตชาติของผมงั้นเหรอ แล้วไม่สามารถแก้ได้เลยหรือครับ”เขาเอ่ยอย่างหมดหวัง หลวงตาจ้องมองเขาอย่างมีเมตตาก่อนจะหันไปมองอินทนิลบ้าง เด็กหนุ่มหลบตาทันที

“…อดีตชาติ สร้างมาเพื่อสิ่งใด”หลวงตาเอ่ยถาม ภูวรินทร์ถึงกับนิ่งงัน

 “เป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้วไม่ใช่หรือ ถึงเรียกว่าอดีต การยึดติดกับอดีตชาติเหล่านั้นไม่ได้ช่วยอะไร มีแต่เจ้าไม่ใช่หรือที่ทุกข์…ถ้าหากทุกข์นักก็สมควรแก่เวลาที่จะปล่อยไป แต่โยมทั้งหลายยังคงยึดติด มนุษย์มีเกิดมีดับ วนเวียนอยู่สังสารวัฏ”หลวงตาสนทนาธรรมให้ฟัง สองตาจ้องมองอย่างทะลุปรุโปร่ง ภูวรินทร์พูดไม่ออก เขาเหลือบมองอินทนิลอีกครั้ง เจ้าตัวยังคงนั่งเงียบ 

 “หากเป็นเรื่องของอดีต ทำไมผมต้องเจอเรื่องเหล่านั้นด้วยล่ะ”ชายหนุ่มเอ่ยอย่างอับจนหนทาง คิ้วขมวด มองไปที่หลวงตาอย่างไม่เข้าใจนัก หลวงตายิ้มบางๆ

“เขาเรียกว่ากรรมเก่าที่ติดตัวมาอย่างไร คนละวาระกับอดีตชาตินะ อาตมามีคำสอนของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ให้คุณได้คิด ท่านกล่าวไว้ว่า ‘สิ่งที่ล่วงไปแล้ว ไม่ควรทำความผูกพัน เพราะเป็นสิ่งที่ล่วงไปแล้วอย่างแท้จริง แม้กระทำความผูกพันและหมายมั่นให้สิ่งนั้นกลับมาเป็นปัจจุบัน ก็เป็นไปไม่ได้ ผู้ทำความสำคัญมั่นหมายนั้นเป็นทุกข์แต่ผู้เดียว โดยความไม่สมหวังตลอดไป อนาคตที่ยังมาไม่ถึงนั้น เป็นสิ่งไม่ควรไปยึดเหนี่ยวเกี่ยวข้องเช่นกัน อดีตปล่อยไว้ตามอดีต อนาคตปล่อยไว้ตามกาลของมัน ปัจจุบันเท่านั้นจะสำเร็จประโยชน์ได้ เพราะอยู่ในฐานะที่ควรทำได้ อยากให้โยมจำคำของอาตมาไว้เตือนใจ แม้เป็นเรื่องยากที่จะหักใจ’…”ราวกับคิดอ่านเรื่องราวในใจของภูวรินทร์ได้ หลวงตาเหลียวมองอินทนิลอีกหน เจ้าตัวขยับตัวอย่างอึดอัดก่อนจะเอ่ยกับหลวงตา

“หลวงตาไม่คิดว่าทั้งหมดนี่เป็นชะตาหรือครับ”เด็กหนุ่มเอ่ยถาม ไม่มีความแข็งกร้าว แต่เต็มไปด้วยข้อสงสัย

“ชะตางั้นเหรอ... สิ่งที่ทั้งสองคนเผชิญอยู่ไม่เรียกว่าชะตาหรอก อาตมาว่าเป็นกรรมซะมากกว่า ทั้งกรรมดีและร้าย”

“แม้ว่าอดีตไม่ใช่เรื่องเลวร้าย ก็ไม่อาจเอามาเป็นอัตตาได้งั้นเหรอครับ”อินทนิลยังคงเอ่ยต่อ หลวงตาถอนหายใจ เหลือบมองมาทางเขาอย่างมีเมตตา

“นั่นสินะ มนุษย์ไม่สามารถดับกิเลสได้ รัก โลภ โกรธ หลง วนเวียนอยู่อย่างนั้น อาตมาไม่หวังให้คุณถือไปปฏิบัติ แต่ก็จดจำคำของอาตมาไว้ในใจก็พอ อะไรที่ทำได้จงทำ ที่ทำไม่ได้ ควรปล่อยไป”หลวงตาเอ่ย ก่อนจะส่งยิ้มให้อินทนิล เด็กหนุ่มก้มหน้าลงทันที ราวกับไม่กล้าสบตากับพระท่าน

“หลวงตาครับ ถ้าหากว่าผมไม่สามารถหักใจได้ล่ะครับ ผิดด้วยเหรอครับ”เขาเอ่ยเบาๆ นึกถึงคุณแก้วขึ้นมาอีกหน อินทนิลเหลือบมองเขา

“อืม... ในเรื่องร้ายอาจมีเรื่องดีอยู่ก็เป็นได้ อาตมาเป็นสงฆ์ ย่อมแนะนำตามหลักธรรม สุดท้ายแล้วก็แต่บุญพาวาสนาส่งเอ้า มาใกล้ๆสิพ่อหนุ่ม”หลวงตากวักมือเรียกเขาให้เข้าไปใกล้ หลวงตาขยับจีวร เอื้อมไปหยิบของในกล่องไม้ใกล้ๆกัน หยิบของเล็กๆยื่นส่งให้เขา

“ของชิ้นนี้ไม่มีมูลค่าอะไรมาก แต่อาตมาอยากให้โยมมีติดตัว ไม่ได้ช่วยไล่ผีหรอกนะโยม”หลวงตาหัวเราะเบาๆ เขายกมือไหว้รับของมาจากหลวงตา ในมือของตนมีตะกุดเก่าๆร้อยกับเชือกเทียนสีดำไว้

“ขอบคุณครับหลวงตา”

“อินน์มานี่สิ รับไว้ จะช่วยปกปักรักษาขวัญของเธอไว้ได้ เป็นของที่ทำให้ช่วยสงบใจก็แล้วกัน อย่ายึดถือเป็นจริงเป็นจังถึงขั้นงมงาย”หลวงตามอบพระกลับบัวเนื้อดินเผาสีออกดำเนื้อละเอียดด้านหน้าเป็นองค์พระปฏิมานั่งปางสมาธิให้แก่อินทนิล เด็กหนุ่ม
มองหลวงตาอย่างซาบซึ้ง ยกมือกราบไหว้ด้วยความนอบน้อม ใจของภูวรินทร์คลายไปได้ส่วนเดียว หลังจากที่หลวงตาให้พร คนทั้งสามจึงกราบลาหลวงตา เตรียมตัวกลับเข้าหมู่บ้าน

พวกเขาเดินทางกลับจากวัดป่าด้วยใจอึมครึม ในทีแรกเขาคิดว่าควรสบายใจเมื่อได้เข้ากราบไหว้หลวงตา แต่คำสอนของท่านทำให้เขายิ่งคิดมาก อินทนิลก็ไม่ต่างกัน

“ป้าษอรไปไหนเหรอครับ”เขาถาม เมื่อลงจากรถบริเวณบ้านดูเงียบกริบ ลุงชมมองเขาด้วยท่าทีอึกอัก “ลงไปทำธุระในเมืองครับ”อีกฝ่ายเอ่ยตอบช้าๆ ชายหนุ่มเลิกคิ้วแปลกใจก่อนจะถอนหายใจ

“งั้นเหรอ…น่าจะบอกกันบ้างนะ”เขาเอ่ย ก่อนจะหันไปมองทางอินทนิลแทน ไม่ได้สนใจลุงชมอีก เด็กหนุ่มดูซึมเงียบไปตั้งแต่ออกจากวัด ภูวรินทร์เข้าไปจับไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆให้รู้สึกตัว

“เธอโอเคนะ”เขาถามอย่างเป็นห่วง อินทนิลเงยหน้ามองเขา นัยน์ตาสีนิลหม่นลง แต่ยังคงส่งยิ้มมาให้เขา

“ครับ แค่รู้สึกไม่ดีนิดหน่อย”เอ่ยจบ อินทนิลไม่สดชื่นเท่าไหร่ เขายื่นมือไปแตะหน้าผากของอีกฝ่าย ตัวไม่ร้อนกว่าที่ควรจะเป็น เขาเหลียวมองรอบบ้าน

“ไปนั่งในสวนก่อนไหม”เขาเอ่ยชวน อากาศในตอนนี้ยังไม่ร้อน แม้จะมีแสงแดดแจ่มจ้าก็ตาม แต่ไม่แสบผิว เมฆฟ้ากระจ่างใส อินทนิลพยักหน้า ชายหนุ่มเดินเข้าไปในสวน เสียงแว่วของบ่อน้ำพุทำให้เขาสบายใจขึ้นไม่น้อย เมื่อมาถึงที่ลานน้ำพุ เขานั่งลงที่เก้าอี้ อินทนิลเดินตามมาใกล้ๆ เหลียวมองดอกไม้ในสวนอย่างหงอยเหงาก่อนจะเอ่ยถาม

“คุณภู คิดยังไงกับคำที่หลวงตาพูด”

“อืม ไม่ปฏิเสธหรอกว่าฉันกังวล …หลวงตาพูดมีเหตุผล ฉันฟังแล้วก็คิดอะไรได้บ้าง”ภูวรินทร์ตอบตามตรง ยิ่งคิดยิ่งหนักใจเข้าไปใหญ่ อินทนิลเดินเข้ามาหาเขาใกล้ๆ ยังคงไม่นั่งลงที่เก้าอี้ สายตาจ้องมองเขาอย่างคาดหวัง ก่อนจะเอ่ยถามออกมา

“จะทิ้งอินน์ไปไหม”สิ้นคำของอินทนิล เขาเงียบ มองอินทนิลอย่างตกใจ เขาไม่มีความคิดนั้นในหัวเลย ในเมื่อรับปากป้าษอรไว้แล้วว่าจะดูแลอินน์ เขาคงไม่ปัดความรับผิดชอบ ทำตัวกลับกรอกไปได้หรอก ชายหนุ่มยิ้มบางๆ

“ไม่ทิ้งหรอก”

“คุณภูพูดจริงนะครับ”อินทนิลมองเขา สายตาเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง เขารู้ได้ทันทีว่าคำตกลงนี้จะผูกมัดตน

“จริงสิ”ภูวรินทร์ยิ้ม บางที…เขาพอจะมองเห็นทางออกของทั้งสองฝ่าย…กรรมของเขาเกี่ยวข้องกับคุณแก้วในอดีตชาติ ต่อให้ไม่มีคำสาปก็คงเกี่ยวพันกันจนได้ ส่วนผู้สาปแช่งเขา..ทั้งบัว ทั้งมณี หากทั้งสองคนเลิกจองกรรมต่อตนได้ก็คงดี  เขาจะไม่ถือโทษโกรธเคืองใครอีก 

อินทนิลยิ้มรับคำตอบของเขาด้วยความยินดี ก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ข้างกายเขา เด็กหนุ่มเลื่อนสายตาไปมองบ่อน้ำพุข้างๆอย่างใจลอย

“คุณภูเชื่อเรื่องพรมลิขิตไหมครับ”เจ้าตัวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกังขา

“อืม ไม่รู้สิ ฉันบอกไม่ได้หรอก”เขาตอบช้าๆ พลางคิดตามไปด้วย ถ้าให้ตอบจริงๆ ก็คงไม่เชื่อนักหรอก เขาหันมองอินทนิลบ้าง เด็กหนุ่มยิ้ม นัยน์ตาวูบไหว

“แต่อินน์ว่าพรมลิขิตมีจริงๆนะครับ”

“งั้นเหรอ”เขามองคนที่เด็กกว่า มองแววตาจริงใจของอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ

“อือ คนที่เคยมีชะตาต้องกัน ไม่ว่ากี่ภพกี่ชาติก็ต้องได้ครองคู่กันจนได้”คำพูดของอินทนิลดังเข้าหูเขาไปเรื่อยๆ ได้ครองคู่กันงั้นเหรอ? เขาแค่ยิ้มไม่ได้ตอบอะไรกลับไป จะเป็นไปได้งั้นเหรอ

“จริงสิ อินน์อยู่กับป้าษอรมานาน ป้าเขาเป็นคนแบบไหน”ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่องสนทนา อินทนิลย่นคิ้ว แต่ยังคงมีรอยยิ้มประดับใบหน้า

“ก็ใจดี ไม่เคยดุด่าอินน์เลยสักครั้ง จนถึงตอนนี้อินน์รักษอรไม่ต่างจากคนให้กำเนิด เหมือนผูกพันกันมานาน”อินทนิลเอ่ย เขานิ่งเงียบไปก่อนจะส่งยิ้มกลบเกลื่อน

“...แล้วป้าษอรคิดยังไงเรื่องคุณแก้วบ้าง เรื่องที่คุณแก้วช่วยเธอ ผูกจิตวิญญาณเอาไว้ที่เธอน่ะ”เขาค่อยๆเอ่ยถามต่อ สังเกตปฏิกิริยาของอีกฝ่ายไปด้วย อินทนิลทำหน้าใคร่ครวญก่อนจะเอ่ยตอบ

“อืม...ษอรมักพูดอยู่เสมอว่าคุณแก้วไม่มีเจตนาร้าย ท่านเป็นคนน่าสงสาร อินน์ก็คิดแบบเดียวกันนะครับ ท่านเป็นคนน่าสงสาร”อินทนิลเอ่ย มองตาเขาอย่างลึกซึ้ง

“...ใช่”เขาพึมพำเบาๆ คุณแก้วเป็นคนน่าสงสารจริงๆนั่นแหละ เขาเงียบจดจ้องกับลวดลายของโต๊ะกลมตัวนี้อย่างเหม่อลอย

“มีอะไรหรือเปล่าครับคุณภู”อินทนิลที่มองอยู่เอ่ยถาม

“...ฉันแค่นึกสงสัยว่านอกจากฉันแล้ว คนในอดีตชาติ ได้กลับมาเวียนว่ายตายเกิดกันอีกหรือเปล่า”ภูวรินทร์หันมองเด็กหนุ่ม

“ทั้งมณี ทั้งบัวน่ะเหรอ”อินทนิลเอ่ย สีหน้าไม่เข้าใจนัก

“ใช่ ก็แค่คิดเท่านั้นเอง”เขาพึมพำ หลบสายตามีคำถามจากอินทนิลไปมองดอกไม้รอบพ่อน้ำพุแทน ดอกเทียนหยดสีม่วงกำลังชูช่อเย้ยแสงแดด พุ่มสูงไม่ทำให้มันลดทอนความสวยไปได้ สองหูยังคงได้ยินอินทนิลเอ่ย

“อืม...คงแล้วแต่บุญแต่กรรมมั้งครับ”

“...ไม่คิดว่าบัว...จะอยู่ใกล้ตัวเราเหรอ”ชายหนุ่มเอ่ยออกมา เขาทบทวนเรื่องนี้อย่างจริงจัง คิดแล้วก็มีความเป็นไปได้อยู่เหมือนกัน อินทนิลมีสีหน้าหนักใจ คิ้วขมวดมุ่น

“หมายถึง...ษอรเหรอ”เจ้าตัวเอ่ยอย่างไม่มั่นใจ น้ำเสียงไม่ปักใจเชื่อเท่าไหร่ เขาไหวไหล่

“แค่คาดเดา ฉันแค่สังเกตว่าป้าษอรรักเธอเหมือนลูก ไม่ต่างจากที่บัวรักคุณแก้ว”

“อืม...อินน์ไม่รู้ แต่ษอรก็คือษอร เป็นคนที่เลี้ยงอินน์มาไม่ใช่เหรอ”อินทนิลเอ่ยด้วยความรั้น เขาพยักหน้าตาม นั่นแหละคือประเด็นของทุกเรื่องเลยไม่ใช่หรือไง

“ใช่ มันก็เหมือนกับฉันที่เป็นแค่ภูวรินทร์ ไม่ใช่ท่านอา”ชายหนุ่มเอ่ย อินทนิลหน้าซีดไป เจ้าตัวเหมือนพูดไม่ออกนัก พอมาคิดแล้ว เรื่องของบัวที่กลับชาติมาเกิดใหม่ยังรบกวนใจเขา และบาปของบัวที่ตามติด...ป้าษอรมา ถ้าหากว่าเธอคือบัวในอดีตชาติจริงล่ะก็

“...นั่นสิ ลืมไปทุกที ว่าคุณก็คือคุณ...เป็นภูวรินทร์ แต่โชคร้ายมีกรรมเก่าของท่านอาติดมาด้วย อินน์เข้าใจที่หลวงตาพูดดี แต่...อินน์ไม่สนใจว่าคุณจะเคยทำไม่ดีในอดีต เช่นเดียวกับคุณแก้ว”พออินทนิลเอ่ยถึงคุณแก้ว เขาก็เครียดขึ้นมา เด็กหนุ่มเงยมองเขาอย่างกังวลใจ

“เหมือนว่าคุณแก้วจะเงียบไปเลยนะ”เขาพึมพำ ตั้งแต่คืนนั้น เจ้าตัวก็ไม่ได้มาหาชายหนุ่มอีก ยกเว้นในฝันร้ายเพียงเท่านั้น อินทนิลถอนหายใจ

“ท่านสื่อสารได้น้อยลง”อินทนิลบอกเบาๆ

“หมายความว่า คุณแก้วจะจากไปเหรอ”เขาถาม ในใจรู้สึกแปลกไปบ้าง มองเด็กหนุ่มที่ดูลังเลใจอยู่เช่นกัน เขาหันมองทางอื่นแทน

“อินน์ไม่รู้ เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับคุณภูกับท่าน”อีกฝ่ายพึมพำแผ่วเบา เหมือนไม่แน่ใจในคำพูดตน เขาเงียบ พยายามใช้ความคิด ความเดาเรื่องทุกอย่างที่เป็นไปได้

“แล้วเธอจะปลอดภัยใช่ไหม”เขาถามอย่างเป็นห่วง อินทนิลเงียบ “น่าจะปลอดภัย”

“ดูไม่มั่นใจเลยนะ”ชายหนุ่มหัวเราะฝืนๆ อินทนิลมองอยู่นาน

“คุณต้องเชื่อใจท่านสิ ท่านไม่ปล่อยให้อินน์เป็นอันตรายหรอก เราไม่ต่างจากสองวิญญาณในหนึ่งร่างหรอก อินน์ไม่สมบูรณ์ ท่านเข้ามาเติมเต็ม อินน์ถึงรอดมาได้”อินทนิลเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ เอื้อมมาจับมือเขาไว้แน่นๆ

“เธอยอมรับได้เหรอ”เขาเอ่ยอย่างนึกกลัว อินทนิลขมวดคิ้วงุนงง “อะไรเหรอครับ”

ภูวรินทร์ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง เรื่องนี้เป็นปัญหาที่กวนใจรองลงมาจากเรื่องคำแช่ง

“...เรื่องฉันกับคุณแก้วไง”เขาเอ่ย มองลงไปในนัยน์ตาของเด็กหนุ่มอย่างพิจารณา อินทนิลส่ายหน้าเบาๆ แววตาไม่ปกปิดความจริง

“ท่านไม่ได้เอาเวลาทั้งชีวิตของอินน์ไปนี่ครับ”เด็กหนุ่มเอ่ยพูด ทำให้เขานิ่งเงียบไป ลึกลงในใจ ภูวรินทร์อยากจะชดเชยให้คุณแก้ว หลวงตาบอกว่าไม่ยึดติดกับอดีต แต่สิ่งที่กำลังผูกติดเขากับคุณแก้วไว้คือเรื่องในอดีตไม่ใช่หรือ ถ้าหากว่าไม่ต้องมาสนใจอดีตที่ผ่านมา เขาสามารถตัดคุณแก้วออกจากชีวิตได้ง่ายๆ แต่...อินทนิลล่ะ
ถ้าตัดคุณแก้วก็ต้องตัดอินทนิลออกจากชีวิตไปด้วย

ส่วนเรื่องคำสาปแช่ง เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ต่อให้เขาไม่ได้ยึดติดกับอดีต ไม่เครียดแค้นเอาคืนบัว จองเวรจองกรรมกันอีกต่อไป มันก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้ ปัจจุบันก็คือปัจจุบัน ยังดำเนินอยู่ กับคำสาปแช่งพวกนั้น มันคือผลกรรมที่ไม่อาจย้อนกลับไปแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงได้เลย

ภูวรินทร์เข้าใจที่หลวงตาพูดอย่างแจ่มแจ้ง

“เข้าใจแล้ว...”เขาบอก

“คุณภูไม่โกรธท่านแล้วสินะครับ”อินทนิลเอ่ยช้าๆ เขาเลิกคิ้วแปลกใจ

“โกรธงั้นเหรอ”

“ก็เรื่องที่ท่านใช้ร่างกายของอินน์ไง คุณภูไม่พอใจท่านไม่ใช่เหรอ”อินทนิลพูดด้วยท่าทีเรียบเฉย แต่แก้มแดงระเรื่อขึ้นมา

“ฉันหรือจะโกรธ โกรธได้ด้วยเหรอไง ในเมื่อฉันเองก็...”ภูวรินทร์เงียบเสียงลง.... ‘ในเมื่อฉันเองก็เต็มใจ ไม่ได้ถูกบังคับเสียหน่อย’ ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ รู้สึกไม่อยากดิ้นรนอะไรอีก เขาแค่อยากมีชีวิตเงียบสงบ เรื่องที่จะออกไปจากบ้านหลังนี้...หากหยุดฝันร้ายได้ เขาก็ไม่ปฏิเสธที่จะอยู่ที่นี่ต่อ ในเมื่อมันคือบ้านของเขาเอง 

“รู้หรือเปล่า วันที่อินน์เห็นคุณครั้งแรก อินน์ก็รู้สึกผูกพันกับคุณ”เด็กหนุ่มเอ่ยออกมา เขาหันมอง

“ที่บ้านน่ะเหรอ”เขาถาม อินทนิลส่ายหน้า

“เปล่า ในรูปถ่ายต่างหาก”เด็กหนุ่มย่นคิ้ว “รูปถ่ายฉันเหรอ”เขาเอ่ยงงๆ

“ษอรเอามาให้ดู บอกว่าเป็นเจ้าของบ้านคนใหม่ อินน์มองดูรูปแล้วตกใจมาก เหมือนท่าอาไม่มีผิด... แต่คุณภูต่างจากท่านอาที่จิตใจดีกว่า”

“จิตใจดีกว่า...เรื่องนั้นมันก็ถูก แต่ยังมีบางเรื่องก็คล้ายอยู่”เขาเอ่ย ทบทวนดูแล้วคือเรื่องความไม่หนักแน่น ข้อนี้เป็นต้นเหตุที่ทำให้เรื่องทุกอย่างยุ่งยากขึ้นมา เพราะท่านอาไม่หนักแน่นในรักต่อคุณแก้ว

“คงอย่างนั้น ท่านอาเป็นอดีตชาติของคุณ มันย่อมมีบางส่วนที่คล้ายคลึงกัน”

“เธอมีความทรงจำของคุณแก้วไหม”

“ไม่มีหรอก แต่อินน์แค่รู้สึกได้น่ะครับ เช่นรัก โกรธ ความเศร้า แต่ก่อนท่านมีเพียงแค่ความโดดเดี่ยว เศร้าสร้อย อาจจะโกรธแค้นเป็นบางครั้ง แต่พอคุณภูมาที่บ้านหลังนี้ เหมือนว่าท่านไม่ได้โดดเดี่ยว แต่ก็เศร้าหนักกว่าเก่า”

“แล้วเธอล่ะอินน์”เขาถาม อยากรู้ความรู้สึกของอีกฝ่าย อินทนิลชะงัก จ้องมองเขานิ่งๆ

“...อินน์ไม่เศร้า เมื่อก่อนแค่รู้สึกเหงามากหน่อย แต่มีคุณเข้ามาดูเหมือนว่าจะดีขึ้น”อินทนิลตอบยิ้มๆ เขารู้สึกเบาใจขึ้นมาได้บ้าง

“อ้อ ฉันบำบัดพวกเธอได้งั้นสิ”เขาเอ่ยล้อเล่นไปตามอารมณ์ เด็กหนุ่มยิ้มขำ

“คุณภูรู้หรือไม่ว่า ดอกไม้ในบ้านปลูกมาเพื่ออะไรบ้าง... ต้นแก้วคุณภูคงทราบแล้ว เทียนหยดเป็นของท่านอาปลูก เพราะชอบดอกของมัน แน่นอนท่านไม่รู้ว่ามีพิษ... พวงแก้วมณี ก็ตามชื่อเลย ปลูกให้มณี...ดอกพุดปลูกให้ท่านเช่นกัน สีขาวสะอาดตา คล้ายดอกแก้ว หมายถึงความรักที่มั่นคงด้วยนะ หึ”อินทนิลเหยียดปากไปด้วย เขาถอนหายใจตาม หากท่านอาเป็นได้อย่างดอกไม้ก็ดีสิ

“ดอกดองดึงล่ะ”เขาถาม ดอกไม้มีพิษเช่นนี้ไม่น่าเอามาปลูกในบ้านได้

“ท่านปลูกไว้ต้นเดียว ไม่ได้อยู่ในสวน มันอยู่ติดกับรั้วบ้าน เอาไว้ป้องกันพวกแมลง”อินทนิลบอก เขาคิดว่าทุกส่วนของมันมีพิษปลูกไว้เพื่อความสวยงาม และเอาไว้ขู่ขวัญ ชายหนุ่มมองออกจากสวนไล่สายตาไปตามรั้วใกล้กับสวนหน้าเรือนปั้นหยาที่เงียบงัน ต้นแก้วพวกนั้นยังคงออกดอกเช่นเคย มันออกดอกทั้งปี

“ไม่คิดว่าหมื่นนรินทร์จะปลูกต้นแก้วรับขวัญคุณแก้วเลยนะ กว่าต้นแก้วจะโตได้ขนาดนั้น ต้องใช้เวลา”ภูวรินทร์มองต้นแก้วที่อยู่ห่างออกไป อยู่ๆก็นึกถึงเรื่องเก่าๆขึ้นมา อินทนิลเท้าแขนมองออกไปทิศทางเดียวกัน

“แต่แรกท่านอาก็ไม่ได้รักท่าน เพียงแต่เพราะท่านไม่มีใคร ท่านอาเลยคอยดูแลบ่อยๆ พอนานเข้าคงเป็นความรัก”เด็กหนุ่มเอ่ยเบาๆ แววตานิ่งสงบ เขาส่ายหน้า

 “ไม่รู้ว่ามาจากความสงสารหรือเปล่า”

“แต่มันก็คือความรัก”อินทนิลเอ่ยย้ำ

“สุดท้ายมันก็หมดลงอยู่ดี เพราะมันเริ่มต้นจากความสงสารไม่ใช่เหรอ หากว่ามาจากใจที่รักจริงล่ะก็ รักของท่านอาคงไม่เสื่อมลงเร็วแบบนั้นหรอก”เขาพูด พลางคิดหาสาเหตุที่ทำให้หมื่นนรินทร์หมดรักในตัวแก้วไป

“แน่ใจได้อย่างไรว่าถ้าเป็นรักจริง ท่านอาจะไม่ทำร้ายใจท่าน”อินทนิลพูดจาใส่อารมณ์ เขาเงียบไปไม่ขัดอีกฝ่าย

“เพราะแม่ของท่านไม่ใช่คนสูงศักดิ์ เป็นแค่คนรับใช้ ไม่มากทรัพย์ ยิ่งรู้ว่าเจ้าหมื่นมอบบ้านให้ท่าน ที่เป็นลูกของหญิงอื่น ท่านอากลับรับไม่ได้ คงกลัวว่าสมบัติจะตกไปอยู่ในมือของบัวมากกว่า เพราะว่าหากเป็นท่าน ท่านย่อมไม่มีทายาทสืบสกุลได้อยู่แล้ว ครั้นจะให้กิ่งกับไกร ก็ไม่ได้ เพราะไม่อยากเป็นผู้อาศัยคนอื่นกิน หึ”

“อินน์”เขาเอ่ยเรียก เหมือนว่าอินทนิลจะพูดเยอะกว่าปกติ เจ้าตัวจ้องมองเขาด้วยสายตาเฉียบคม ไม่ฉายแววรักใคร่ในนั้นเหมือนก่อนหน้านี้

“แต่ก็เป็นอย่างที่คุณภูบอก หากรักจริง เรื่องแค่นี้คงไม่เอามาคิดมาก...ท่านอาไม่ได้รักจริงนั่นแหละคือข้อสำคัญ”อินทนิลเอ่ย คนทั้งคู่ตกอยู่ในความเงียบที่น่าอึดอัด

“คำสาบานไม่ควรเอ่ยมาแบบขอไปที ท่านอาดันกล่าวสาบัตย์สาบานรักกับท่านไว้เสียดิบดี ทรยศใจไม่พอ ดันทรยศคำสาบานอีก”เป็นเด็กหนุ่มที่เอ่ยขึ้นมาก่อน ถ้อยคำเรียบเฉย ฟังแล้วไม่รู้ถึงอารมณ์ในน้ำเสียงนั้น ชายหนุ่มหันไปมองเด็กหนุ่มข้างกาย ตอนนี้อีกฝ่ายกำลังมองเขา

“คำสาบานที่ว่า รู้ไหมว่ากล่าวว่าอะไรบ้าง”เขาเอ่ยถาม อินทนิลเหยียดปากเหมือนดูแคลนคำกล่าวนั้น

“จะรักแก้วคนเดียว หากผิดคำสาบาน ขอให้ฟ้าดินลงโทษ ท่านอากล่าวไว้แบบนั้น ภายหลังคงไปถอนคำสาบาน”

“งั้นเหรอ”เขาแปลกใจ อินทนิลยิ้ม “ไม่เช่นนั้นแล้ว ท่านอาจะกล้ามีหญิงอื่นได้โดยไม่กลัวต่อคำสาบานหรือ”

“อืม ก็ถูก”ชายหนุ่มพยักหน้า ก็จริงอย่างที่อีกฝ่ายเล่า ใครจะกล้าผิดคำสาบานกัน แต่ไม่คิดว่าคำสาบานจะถอนได้จริงๆ เห็นอยู่ชัดๆว่าในตอนนี้มันส่งผลอย่างไร

“ไม่พูดแล้วดีกว่า อินน์รู้สึกไม่ดี”อินทนิลเอ่ยเบาๆก่อนจะเงียบไป ภูวรินทร์ได้แต่นั่งนิ่ง ฟังเสียงน้ำไหลจากบ่อน้ำพุให้ใจสงบลง อินทนิลนั่งนิ่งหลับตาเหมือนเหนื่อยหน่าย ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด 

“กลับเข้าไปในบ้านดีกว่า”เขาบอก เมื่อหมดอารมณ์จะมานั่งเงียบๆแบบนี้ อินทนิลพยักหน้าก่อนจะลุกขึ้นยืน เขาเดินกลับเข้าไปในบ้านที่เงียบสงบเช่นเคย ลุงชมหายหน้าไปอีกตามเคย อาจอยู่ในบ้านพัก เขาเดินเข้าไปที่ห้องอาหาร ไม่มีการจัดโต๊ะอาหารไว้

“ษอรยังไม่กลับ อินน์ทำอาหารให้คุณทานได้นะ”อินทนิลบอกอย่างนึกสนุก ก่อนจะเดินอ้อมไปที่เคาร์เตอร์ครัว เข้าไปเปิดตู้เย็นมองหาวัตถุดิบ เขามองอย่างประหลาดใจ

“ทำเป็นด้วยเหรอ”

“แน่นอนครับ เป็นลูกมือในครัวบ่อยๆ”เด็กหนุ่มตอบกลับมา “ตามใจเธอแล้วกัน”เขาตอบยิ้มๆ ก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะอาหาร เอื้อมไปหยิบหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นมาอ่านฆ่าเวลา ส่วนมากเป็นสกรู๊ปข่าวเกี่ยวกับตัวเมืองด้านล่างมากกว่าเรื่องราวของชาวบ้านบนเขาแห่งนี้ ชายหนุ่มพลิกหน้ากระดาษอย่างหมดความสนใจ ก่อนจะไล่สายตาไปเจอกรอบข่าวเล็กๆ ที่มีหัวข้อข่าวดึงความสนใจของชายหนุ่ม เป็นสกรู๊ปข่าวของคนบ้านภิรมย์สุข เกี่ยวกับการพบโครงกระดูกของคุณแก้ว...ใช่ พบแล้ว...ในข่าวเขียนเช่นนี้ แสดงว่านำไปได้ผลตรวจดีเอ็นเอแล้วงั้นสิ เขาเงยหน้ามองอินทนิลที่กำลังง่วนกับการทำปลา

“นี่อินน์”เขาเอ่ยเสียงเข้ม เจ้าตัวชะงักมองเขาด้วยท่าทีตกใจ “ครับ”

“ตำรวจได้ดีเอ็นเอจากโครงกระดูกแล้วเหรอ”

“...ไม่รู้เหมือนกันครับ ถ้าตรวจเสร็จแล้ว ลุงชมก็คงบอก”อินทนิลเอ่ยบอก ท่าทางเหมือนมึนงง ชายหนุ่มเลิกคิ้วอย่างสงสัย ทำไมลุงชมไม่บอกเขา หรือบอกแค่ป้าษอร เขานึกถึงปฏิกิริยาที่ลุงชมมองเขาตอนที่ถามถึงป้าษอร...เป็นแบบนี้นี่เอง แล้วทำไมต้องมาปิดบังเขาด้วย ในเมื่อก็รู้กันอยู่แล้วว่าเป็นโครงกระดูกของคุณแก้ว ชายหนุ่มพับหนังสือลง รู้สึกไม่ชอบมาพากล

“ฉันออกไปหาลุงชมก่อนนะ”ชายหนุ่มบอก แต่ไม่ทันจะได้ลุกอย่างเต็มภูมิ อินทนิลรับพูดทันที “ลุงออกไปรับษอรน่ะ”

“เหรอ...”ชายหนุ่มพึมพำ ก่อนจะนั่งลงต่อไปเงียบๆ คนบ้านนี้ไม่เห็นเป็นเจ้าของบ้านเลยหรือไง ปากก็บอกว่านับถือเขาเป็นนายแท้ๆ เขาได้แต่มองอินทนิลอยู่ในครัว ก่อนจะเบื่อกับการรอคอยเข้าไปช่วยเด็กหนุ่มอีกแรง เรื่องเข้าครัวเขาไม่ถนัดเท่าไหร่ แต่ก็พอถูไถไปได้ ผ่านไปเกือบชั่วโมงกว่าที่ทุกอย่างจะเรียบร้อย เขาได้ยินเสียงรถเข้ามาจอดที่ริมรั้ว มองออกไปทางหน้าต่างห้องครัวเห็นว่าเป็นรถของลุงชม ภูวรินทร์ไม่ได้สนใจมองนัก เตรียมโต๊ะอาหารสำหรับมื้อเที่ยงเงียบๆ อินทนิลที่ล้างมือจนสะอาดเดินมานั่งที่เก้าอี้ข้างๆกับเขา

หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ 13 ผู้เอ่ยคำแช่งกับผู้ที่ถูกแช่ง
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 29-01-2018 01:14:36
(ต่อ )

“ไข้ลดหรือยังครับ”เด็กหนุ่มมองไม่กล้าเอื้อมมือมาแตะหน้าผากเขา

“เบาแล้วล่ะ ปวดหัวนิดหน่อย แต่ไม่ได้เป็นอะไรมานักหรอก”ชายหนุ่มตอบ อินทนิลมองเขาเงียบๆแต่ไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะก้มหน้าทานข้าว ข้าวทานข้าวอย่างไม่เจริญอาหาร รู้สึกว่าทานข้าวไม่ลงนัก ไม่ใช่เพราะรสมือของอินทนิลไม่ดี แต่เขาปากจืดปากจางอย่างบอกไม่ถูก

“อิ่มแล้วเหรอครับ”อินทนิลถามน้ำเสียงไม่ดีนัก “ฉันไม่ค่อยหิวน่ะ ไม่ใช่ว่าฝีมือเธอไม่อร่อย”เขาบอกให้อีกฝ่ายเบาใจ เด็กหนุ่มมองอาหารบนโต๊ะเงียบๆ ก่อนจะยิ้มให้เขา

“ตามใจครับ”อินทนิลพึมพำ ชายหนุ่มเหลียวมองไปทางประตูห้องครัวที่ยังไร้วี่แววของป้าษอร เขาแปลกใจอยู่บ้างที่อีกฝ่ายไม่เตรียมอาหารเที่ยงไว้ ชายหนุ่มขอตัวออกไปหาป้าษอร

ภูวรินทร์เดินออกมาจนถึงบริเวณโถงใหญ่ หยุดอยู่หน้าบันได หันซ้ายหันขวาไม่เจอใคร ที่สวนก็ไร้เงาของลุงชม เขาถอนหายใจ ก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าจากทางบันไดด้านหลัง เขาหันไปมอง ป้าษอรเดินลงบันไดเงียบๆ สวมเสื้อต่างจากทุกวัน เธอสวมเสื้อผ้าสุภาพสีดำขาว ผ้าลูกไม้กับผ้าซิ่น ราวกับไว้ทุกข์ เขามองอย่างประหลาดใจ

ป้าษอรทำให้เขาพรั่นพรึงไม่น้อย

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”เขาเอ่ยถาม มองคนที่เดินลงมาจนถึงบันได้ขั้นสุดท้าย อีกฝ่ายเดินสำรวมเข้ามาหาเขา สีหน้ามีแววหม่นเศร้า นัยน์ตาสีดำคู่นั้นสะท้อนความเสียใจออกมา

“...ป้าไปรับคุณแก้วมา”เธอบอก ผมยืนนิ่ง รู้สึกถึงความโกรธที่พุ่งออกมา เขาอดกลั้น

“ป้าไปรับโครงกระดูกของคุณแก้วโดยไม่บอกกล่าวผมสักคำเนี่ยนะ”ชายหนุ่มเอ่ยถาม น้ำเสียงเจือโทสะอยู่บ้าง ป้าษอรเงยสบตากับเขา เสี้ยววินาทีเหมือนเขามองเห็นความเย็นชาจากอีกฝ่ายก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว ปกติป้าษอรเป็นคนนอบน้อม เอื้ออารี ไม่เคยมึนตึงใส่เขาด้วยซ้ำ ...หรือที่ผ่านมาแค่แสร้งทำดี

“คุณไม่พอใจหรือคะ ป้าแค่ไม่อยากรบกวนคุณเท่านั้นเองค่ะ คุณภูไม่ชอบเรื่องอัปมงคล ป้าก็เลยไม่ได้บอกคุณก่อน”ป้าษอรเอ่ย
เขาอึ้งไปไม่น้อย อีกฝ่ายย้อนเอาคำพูดของตนมาตอกหน้า ภูวรินทร์มองอีกฝ่ายอย่างพิจารณา

“มันก็ถูก แต่ผมเป็นเจ้าของบ้าน ในเมื่อป้ารับปากว่าจะดูแลความเรียบร้อยของบ้านหลังนี้ เรื่องโครงกระดูกก็ควรจะบอกผมไม่ใช่เหรอ”เขาถามอย่างตรงไปตรงมา ป้าษอรทำอะไรข้ามหน้าข้ามตาเขาไปมาก เขาโกรธ ที่อีกฝ่ายไม่เห็นเขาเป็นเจ้านาย

“ป้าขอโทษค่ะ ไม่คิดว่าคุณจะสนใจจริงๆ”

“ถึงผมจะเหนื่อยหน่ายกับเรื่องในอดีต แต่เรื่องนี้มันสำคัญ”เขาเอ่ยเสียงแข็ง มองป้าษอรอย่างพิจารณา

“ป้าขอโทษจริงๆค่ะที่ไม่ได้ปรึกษาคุณภูก่อน... แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ ป้าจัดการเรื่องพิธีเผาไปแล้ว”ป้าษอรเอ่ย ก้มหน้าลงไม่ได้มองหน้าเขา ชายหนุ่มยิ่งพูดไม่ออก พิธีเผา? หมายถึงเผาโครงกระดูกของคุณแก้วไปแล้วงั้นหรือ เขามองปาษอรอีกครั้ง เธอยังคงสงบเสงี่ยม

“เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ยังไม่บอกผมอีก”ภูวรินทร์ถอนหายใจแรง เพื่อคลายความหงุดหงิด

“คุณภูต้องการเคารพคุณแก้วจริงๆเหรอคะ”ป้าษอรเงยหน้าพูด เขามองแววตานั้นอย่างไม่เข้าใจนัก ถ้านับกันตามจริง คุณแก้วก็ถือเป็นญาติโกโหติกาของเขาบ้าง แม้จะห่างกันมาหลายรุ่นก็ตาม

“ทำไมจะทำไม่ได้ล่ะครับ อย่างน้อย ผมก็มีเชื้อสายของคนภิรมย์สุขอยู่บ้าง แต่ป้าล่ะครับเป็นใคร ปกติเรื่องพิธีศาสนาพวกนี้ต้องเป็นญาติของคนตาย ในเมื่อคุณแก้วไม่มีใครแล้ว ก็สมควรจะเป็นผมมากกว่าไม่ใช่เหรอครับ”เขาเอ่ยด้วยเหตุผล จ้องมองหญิงร่างท้วมอย่างไม่ละไปไหน เธอมีสีหน้าอ่อนลงมา แววตาเหมือนจะสั่นไหว ไม่มั่นใจเหมือนก่อนหน้านี้

“...ป้านึกว่าไม่มีคนสนใจแล้ว เลยถือเป็นธุระแทน”

“ผมถึงได้บอกไงครับว่าควรแจ้งผมก่อน ก็เท่านั้นเอง”ภูวรินทร์ถอนหายใจ ก่อนจะเบนหน้าออกจากอีกฝ่ายอย่างนึกหงุดหงิด

“คุณน่าจะทราบ ว่าในอดีตหมื่นนรินทร์ไม่ได้เผาคุณแก้ว”

“เกี่ยวอะไรกับผมล่ะ ในเมื่อเวลานี้ก็มีแต่ผมเท่านั้น ป้าคิดว่าผมจะเหมือนท่านอางั้นเหรอ ดูถูกผมไปหรือเปล่า ผมไม่ได้ใจคับแคบขนาดนั้นหรอก”เขาเอ่ยบอก พูดไปแล้วก็เหมือนด่าบรรพบุรุษตัวเอง ป้าษอรหน้าเจื่อนลง

“ขอโทษค่ะ....ป้าทำโดยพลการ ป้าจัดการเรื่องลอยอังคารไปแล้ว”

“ก็ดี ในเมื่อป้าทำไปแล้ว ผมโกรธไปก็เท่านั้น”ชายหนุ่มพึมพำอย่างเหนื่อยหน่าย เขาเดินผ่านป้าษอรขึ้นบันไดไปช้าๆ

“คุณภูว่าคุณแก้วจะจากไปอย่างสงบสุขไหมคะ ตามโบราณเขาว่าการลอยอังคารจะช่วยส่งดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับไปสู่ภพภูมิที่ดี ...”เสียงของป้าษอรดังมาจากด้านหลัง รั้งให้ทั้งกายของชายหนุ่มหยุดเดิน ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับหญิงท้วม พอได้เห็นสีหน้าของเธอ เสียงในใจย้ำเตือนว่าการคาดเดาของเขาไม่ผิด

“ต้องการคำตอบจริงงั้นเหรอ ป้าก็รู้ว่าคุณแก้วยังไม่ไปไหน”เขาเอ่ย นึกถึงคุณแก้วขึ้นมา ก้นบึ้งในใจรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา

“...จริงด้วยค่ะ ไม่มีทางที่คุณแก้วจะจากไปอย่างสงบได้”ป้าษอรเอ่ย เขาเงียบ “ถ้าหากว่าหมื่นนรินทร์จัดงานศพให้คุณแก้วตั้งแต่ครานั้น ป่านนี้ท่านคงไปอยู่ภพภูมิที่ดีกว่านี้”เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้า

“จะโทษว่าเป็นความผิดท่านอางั้นสินะ...”เขาเอ่ย

“ใช่ค่ะ หมื่นนรินทร์ไม่ให้เกียรติท่านเลยสักนิด ถ้าไม่อยากเก็บอัฐิเอาไว้ ก็ควรเผาแล้วนำไปลอยอังคารก็คงไม่ยากนัก แต่หมื่นนรินทร์ไม่ทำแบบนั้น”

นั่นสิ ทำไมกันล่ะหมื่นนรินทร์

“คุณภูอยากรู้เหตุผลไหมคะ”เธอเอ่ยช้าๆ เหลือบตามองเขานิ่งๆ ภูวรินทร์ชาไปทั้งร่าง มันเหมือนว่าหญิงคนนี้ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรแก่เขา ปกติ เธอจะเก็บอารมณ์ได้ดีกว่านี้ ชายหนุ่มไม่ขยับลงจากบันได เขายืนอยู่ที่เดิม แค่มองป้าษอรเล่นบทโศกใส่เขา

“บอกมาสิครับ”เขาเอ่ยบอก ไม่ถามว่าทำไมป้าษอรถึงได้รู้เรื่องในอดีต

“...เหมือนว่าก่อนตาย หมื่นนรินทร์เรียกหาบัว บอกเหตุผลว่าทำไมไม่เผาคุณแก้ว หมื่นนรินทร์รู้ความจริงเรื่องที่มณีแท้งเป็นฝีมือของนาง ท่านเลยเอาคืน ด้วยการไม่ทำพิธีศพให้คุณแก้วเพราะต้องการเห็นบัวทรมานบ้าง ในเมื่อท่านหาหลักฐานไม่ได้และไม่สามารถจับนางเข้าคุก เพราะนางกุมความลับไว้เยอะ”ป้าษอรเล่า ราวกับว่าล่วงรู้เหตุการณ์ ภูวรินทร์ไม่คิดว่าหมื่นนรินทร์จะเจ้าคิดเจ้าแค้นถึงขนาดใช้คุณแก้วเป็นเครื่องมือ...โหดร้ายจริงๆ ชายหนุ่มสังเกตป้าษอรไปด้วย เธอไม่ได้แสดงความรู้สึกใด นอกจากแววตาที่กระพริบไหว เหมือนแมงมุมที่จ้องมองเหยื่อมันวาบวับในความมืด

“...ไม่น่าเชื่อนะ”เขาพึมพำ รู้สึกว่าคอแห้งผาด หากว่าป้าษอร คือบัวกลับชาติมาเกิดจริงๆล่ะก็ เธอคลายความเครียดแค้นลงหรือยัง หลังจากที่ผ่านมานับเจ็ดสิบปี

“แต่รู้ไหมคะ ว่าบัวตอบโต้ท่านหมื่นอย่างไร นางขู่คนใกล้ตายว่าจะฆ่ามณีทิ้งแล้วจะเลี้ยงลูกท่านหมื่นเอง บอกว่าจะกรอกหูหลานชายหลานสาวว่าคนตระกูลนี้มีคนชักแช่งไว้เยอะ”

“...บัวนี่เลวจริงๆ”เขาเอ่ย มิน่าถึงได้สาปแช่งท่านหมื่นสำเร็จ พยายามนึกภาพหมื่นนรินทร์ที่เวลานั้นจะรู้สึกอย่างไร โกรธแค้น บ้าคลั่ง หรือแค่หมดแรงเหมือนคนใกล้ตาย ภูวรินทร์มองป้าษอรด้วยสายตาเรียบเฉย

“ไม่ต่างจากหมื่นนรินทร์หรอก นางได้รับกรรมของนาง แล้วท่านหมื่นล่ะ...แค่จากไปอย่างสงบก็ถือว่ารับกรรมแล้วหรือคะ”ป้าษอรเอ่ยช้าๆ กรีดลงใจของเขาไม่น้อย กรรมของเขางั้นเหรอหรือของท่านหมื่นคนนั้น... ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นเขา ชายหนุ่มนึกถึงคำของหลวงตาอยู่ในใจ มือที่กำแน่นคลายออก เขามองเธออยู่นานก่อนจะหันกายเดินกลับไปยังชั้นบนเงียบๆ เขาเห็นว่าเธอยังคงยืนมองเขาอยู่ที่ตีนบันได

ที่ป้าษอรเล่าให้เขาฟัง เธอต้องการอะไร ให้เขานึกกลัวเหรอไง

ชายหนุ่มเปิดประตูเข้าไป เดินเข้าไปในห้องก่อนที่จะผงะอยู่กับที่ ใจหล่นวูบ เมื่อเห็นกรอบรูปบานใหญ่ตั้งอยู่ที่ปลายเตียง ภาพของคุณแก้วถูกขยายใหญ่ เป็นสีขาวดำที่เหมือนรูปในงานศพ เป็นภาพที่ยังมีรอยยิ้มอยู่ ชายหนุ่มเหลียวไปมองทางประตูที่ปิดสนิท ก่อนจะก้าวขาเดินไปหยิบกรอบรูปขึ้นมาดู
ในใจพลันเศร้าลง

หมื่นนรินทร์ช่างใจร้ายเหลือเกิน เพราะเหตุผลที่ป้าษอรบอกอย่างนั้นเหรอ เพราะโกรธแค้นบัว จึงฝังแก้วไปทั้งอย่างนั้น ไม่มีทางที่คุณแก้วจะจากไปอย่างสงบ และมันก็เป็นไปตามนั้น

“ท่านไม่รักแก้วจริงๆงั้นเหรอ”เขาเผลอพึมพำออกมา สายตาจ้องมองรอยยิ้มของคุณแก้ว แววตาในกรอบรูปยังเปล่งประกายความสุขอยู่เลย

“ความทรงจำพวกนั้นคืนแก่ผมไม่ได้เหรอ”เขาเอ่ย นึกถึงคำพูดในฝัน ที่คุณแก้วบอกว่าให้จำคืนสุดท้ายของหมื่นนรินทร์ให้ได้ มันเกิดอะไรขึ้นกันนะ ชายหนุ่มมองกรอบรูปอยู่เงียบๆ นึกภาพป้าษอรลอยอังคารของคุณแก้วไป มันพิลึก หากเธอเป็นเพียงแค่แม่บ้านที่ไม่รู้จักเจ้าของบ้านคนเก่า เคยได้ยินแต่คำเล่า มองผ่านรูปถ่ายเก่าๆเท่านั้น ...เขามั่นใจว่าป้าษอรเป็นบัวในอดีตชาติ ท่าทีของเธอ เขาเดาไม่ออกว่าวางเรื่องอดีตลงไปแล้วหรือยัง

หากภูวรินทร์สามารถจดจำเรื่องในอดีตได้บ้าง เขาก็คงมีความรู้สึกรักคุณแก้วได้มากกว่านี้ ชายหนุ่มนั่งลงกับเตียง วางกรอบรูปลง เถ้ากระดูกของคุณแก้วถูกโปรยลงน้ำไปเสียแล้ว ไม่รู้ว่าคุณแก้วจะรับรู้ไหม เสียงฝีเท้าและเสียงกำไลข้อเท้าคู่กายของอินทนิล จากนั้นประตูก็เปิดออก ร่างของเด็กหนุ่มกำลังเดินเข้ามาหา

“รู้หรือยัง เรื่องคุณแก้วน่ะ”เขาเอ่ยถาม ไม่ได้มองหน้าอินทนิล เจ้าตัวคงรู้เมื่อครู่นี้จากปากป้าษอร หรือไม่ก็รู้มาก่อนหน้านั้นแล้ว

“อือ”

“จากไปแล้วหรือยัง”เขาถามไปแบบนั้น

“...อยากให้จากไปจริงๆหรือ”เสียงนั้นเศร้าลงทันที เมื่อมองไปที่คนพูด เด็กหนุ่มตรงหน้า ไม่ใช่คนเดิมอีก ทั้งลักษณะการยืนและการพูด เป็นเครื่องยืนยันว่าอีกฝ่ายยังอยู่ เขาเงียบ

“เปล่า”เขาตอบไปตรงๆไม่ปิดบัง

“ท่านดูเศร้า รู้สึกไม่ดีที่ป้าษอรเอ่ยเช่นนั้นเหรอ”คุณแก้วเอ่ย เขานึกสงสัยว่าเหตุใดถึงสื่อสารในเวลานี้ได้ ตะวันยังไม่ลับจากฟ้า

“คิดว่าคุณจะสื่อสารได้น้อยลงซะอีก”เขาถาม อินทนิลก็บอกแบบนี้ ร่างของเด็กหนุ่มเดินเข้ามาหาเขา

“ก็คงใช่ เถ้ากระดูกของเราถูกโปรยไปแล้ว...แต่เรายังติดอยู่ที่นี่ไม่เปลี่ยน”

“คุณได้ฟังหลวงตาแล้ว คิดเห็นยังไงล่ะ”เขาเอ่ยถาม คุณแก้วแววตาหม่นลง ขยับเดินมาหาแล้วนั่งลงข้างกายเขาเงียบๆ

“มันก็ถูกอย่างที่พระท่านว่าไว้...เราเป็นแค่อดีตของคุณมาช้านาน ท่านอาเป็นอดีตของคุณด้วยเช่นกัน เพียงแต่ว่า เพราะคำสาปแช่งมันผูกมัดเราไว้กับท่านไม่ไปไหน”

“นั่นสิ”ชายหนุ่มพึมพำ

“ท่านไล่ เราก็จะไป ออกจากร่างอินทนิลไปเสีย แต่จิตเสี้ยวเดียวของอินน์ก็จะไปกับเราด้วยเช่นกัน นี่ไม่ใช่คำขู่เพื่อให้เราอยู่ต่อ แต่เราพูดจริง จิตของอินน์ผูกกับจิตวิญญาณของเราไปแล้ว มันเชื่อมกันราวกับเป็นดวงวิญญาณเดียว”คำของคุณแก้วไม่ทำให้ภูวรินทร์ตกใจนัก เขาคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว

“อืม ผมไม่แปลกใจนักหรอก”

“ดูเหมือนท่านจะผิดหวัง”

“...ไม่หรอก ผมแค่คิดอยู่เหมือนกันว่า ถ้าหากได้ความทรงจำครั้งอดีตมาบ้างก็คงดี”ชายหนุ่มเอ่ย เขามองใบหน้าของอินทนิล เวลานี้กลับไม่เหมือนอินทนิลนัก เป็นคุณแก้วในสายตาของเขา ภูวรินทร์แยกแยะได้

ใช่ อดีตก็คืออดีต ปัจจุบันนี้ เขามีอินทนิลกับคุณแก้วอยู่

“ผมฝันร้ายถึงคุณอีกแล้ว”

“เป็นอย่างไรบ้าง”อีกฝ่ายเอ่ยถามน้ำเสียงอ่อนลง ฟังเหมือนคลายความเศร้าไปเยอะ

“มีคุณ แล้วก็ซากทารกของมณี มีเหตุการณ์ในอดีตด้วย คืนที่คุณเสีย”เขาเอ่ย มองคุณแก้วที่เหมือนจะหน้าซีดไป เจ้าตัวถอนหายใจ

“เราก็เพิ่งรู้เรื่องบัว... ไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนั้น”คนข้างกายพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ส่ายศีรษะอย่างไม่นึกเชื่อ

“แต่มีเหตุผลไม่ใช่เหรอครับ กับทุกสิ่งที่ทำเพื่อคุณ”

“ใช่...แต่เรารับไม่ได้หรอก...ความโหดร้ายเหล่านั้น”

“ท่านหมื่นก็ด้วย เรื่องที่ฝังคุณ ป้าอษรพูดถูกหรือเปล่า”ชายหนุ่มหันหน้าถามคุณแก้ว เจ้าตัวกระพริบตาไล่หยาดน้ำตา   

“คงจริงนั่นแหละ...”คุณแก้วเอ่ยสั้นๆ แววตาสงบลง ภูวรินทร์ถอนหายใจ เหมือนว่าเขารับรู้ถึงความเจ็บปวดของอีกฝ่ายได้ ความรักมันคืออะไรกันล่ะ หากท่านอาเริ่มจากความสงสาร แล้วเขาล่ะ...เป็นความสงสารเหมือนกันไหม มันพัฒนาเป็นความรักได้หรือไม่

“ท่านอารักคุณจริงๆหรือ”คำถามของเขา ทำให้คุณแก้วนั่งนิ่ง ร่างกายเกร็งขึ้นมาทันที เขาเหลียวมองใบหน้านั้นอยู่ไม่วางตา เจ้าตัวขยับปากเล็กน้อย

“ท่านเคยรัก”อีกฝ่ายเอ่ยเบาๆ น้ำเสียงเหมือนกระซิบ จนเขารู้สึกผิดเองที่ไปถามแบบนี้กับเจ้าตัว

“หากอินน์ปลอดภัยเพราะมีคุณ ผมก็ทำอะไรไม่ได้”ชายหนุ่มเอ่ย จำต้องพูดเช่นนี้ออกไป เขาไม่ได้มองคนข้างกายอีก แต่จากปรายตายังมองเห็นมือของคุณแก้ว เขาจ้องมองมันอยู่อย่างนั้น

“...ก็ดีแล้ว”คุณแก้วตอบ น้ำเสียงไม่มั่นคง   

“ผม...ขอโทษนะ”เขาเอ่ยอย่างยากลำบาก ชั่วอึดใจคุณแก้วเหมือนหายใจติดขัดไป จนคนข้างกายผ่อนลมหายใจช้าๆออกมา ขยับมือเข้ามากุมกันไว้

“ด้วยเรื่องใดล่ะ”คุณแก้วถามเบาๆ ชายหนุ่มเม้มปาก เงียบไปก่อนจะเอ่ยขึ้น “ทุกอย่าง”

“ท่านเคยบอกให้เราลืมเรื่องในอดีต ให้เราปล่อยวางมันไปไม่ใช่หรือ ถ้าเช่นนั้นเราก็จะลืมไปซะ ดังนั้นท่านอย่าขอโทษและรู้สึกไม่ดีอีกเลย หลวงตาเองก็บอกให้ท่านอยู่กับปัจจุบัน...เราเองก็จะอยู่กับปัจจุบัน ท่านไม่ใช่ท่านอา ท่านคือภูวรินทร์ ...แค่ภูวริ
นทร์”คุณแก้วพูดช้าๆ แม้น้ำเสียงจะไม่แสดงความเศร้าเสียใจ แต่ในถ้อยคำนั้นไม่มั่นคงนัก อีกฝ่ายยังคงนั่งนิ่งงัน ไม่ขยับไหน ภูวรินทร์ไม่รับรู้สิ่งใด หัวสมองตื้อตัน

ต้องทำอย่างไรดี ไม่อยากให้คุณต้องเจ็บปวดช้ำใจอีก มันไม่ต่างกันเลยไม่ใช่หรือ ไม่ว่าจากหมื่นนรินทร์ หรือจากตัวเขาเอง เขาต้องทำอย่างไรถึงจะถูก ภายในห้องเงียบ คุณแก้วยังคงเงียบ แต่เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายกำลังก้ำกลืนก้อนสะอื้นและหยาดน้ำตา

“หากทำได้ เราก็อยากหายไป ปลดความทุกข์ที่เกาะกุมเรามานานได้ก็คงดีไม่น้อย”อีกฝ่ายค่อยลุกขึ้นจากเตียง เมื่อกลับมายืนบนพื้นห้อง เจ้าตัวยื่นมือมาจับกรอบรูปของตนเอง “เราขอเก็บไว้ดีกว่า”คุณแก้วเอ่ยเบาๆ ถือกรอบรูปไว้ ชายหนุ่มเงยมองอีกฝ่าย

คนตรงหน้ามองเขาอย่างช้ำชอก สองตาแดงก่ำ ไม่มีหยาดน้ำตาออกมา แต่ยังเห็นร่องรอยของมันอยู่ เขามองอยู่อย่างนั้น

“ท่านควรพักผ่อน จะได้ไม่ป่วยอีก”คุณแก้วเอ่ยทิ้งท้ายก่อนจะเดินหันหลังเดินกลับออกไปเงียบๆ ประตูห้องค่อยๆปิดลง ภูวรินทร์ขยับตัวลุกขึ้นยืนอย่างงงงัน ก่อนจะทรุดลงนั่งต่อ เขายิ้มเศร้า ขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมา ในเมื่อไม่รู้ ไม่เห็น ไม่รู้สึกถึงเรื่องในอดีต เขาจะทำอะไรได้

คุณแก้วมาดหมายในรักของเขานั้นไม่ผิด สมแล้วที่บัวสาปแช่งท่านนะหมื่นนรินทร์
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๒ l ๒๙.๐๑.๖๑ หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: @Sister ที่ 29-01-2018 14:44:04
จะเป็นไงต่อ  เห็นใจคุณแก้วเหมือนกัน  :mew6:
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๒ l ๒๙.๐๑.๖๑ หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 29-01-2018 16:25:31
เห็นใจคุณแก้วนะ ไม่ได้ทำอะไรเลย กลับต้องทนทุกข์ทรมานเพราะคนอื่น
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๒ l ๒๙.๐๑.๖๑ หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 29-01-2018 16:48:27
 :serius2:
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๒ l ๒๙.๐๑.๖๑ หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: sweet98 ที่ 29-01-2018 18:52:25
ยิ่งอ่านยิ่งงง เนื้อเรื่องมันยังกำกวม  รู้อย่างเดียวว่าคุณแก้วเป็นลูกแม่บัว

แต่แค่เหตุผลว่าเป็นลูกคนรับใช่้ ท่านอาถึงกับหมดรัก หมดความผูกพันเลยหรือ

มันน่าจะมีเหตุผลมากกว่านี้นะ อะไรคือเหตุผลที่แท้จริง รออ่านต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๒ l ๒๙.๐๑.๖๑ หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 29-01-2018 20:34:25
 :pig4:
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๒ l ๒๙.๐๑.๖๑ หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 29-01-2018 21:07:32
จุกพูดไม่ออก
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๒ l ๒๙.๐๑.๖๑ หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 29-01-2018 23:51:18
สงสารจัง ทุกคนเลย
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๒ l ๒๙.๐๑.๖๑ หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 30-01-2018 16:42:08
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๒ l ๒๙.๐๑.๖๑ หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 30-01-2018 18:36:36
ตอนนี้คือสงสารคุณภู อินและคุณแก้ว ถ้าเรื่องทุกอย่างมันเริ่มที่บัว บัวที่เป็นป้าษอรก็ควรปล่อยวางได้แล้วนะ ไม่เห็นเหรอว่าคนที่อยู่ตอนนี้ทุกข์กันแค่ไหน นี่อ่านแล้วอึดอัดแทนเลยจริงๆ แต่ดูเหมือนตอนนี้ภูจะเริ่มมีใจให้ทั้งคุณแก้วและอินแล้วนะก็หวังว่าเรื่องราวจะจบลงด้วยดี ยังอยากให้อินเป็นนายเอกอยู่นะ
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๒ l ๒๙.๐๑.๖๑ หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 02-02-2018 12:59:30
เหมือนรักสามเศร้าเลย
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๓ l ๕.๐๒.๖๑ หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 04-02-2018 23:39:22
ตอนที่ ๑๓


เสียงลมยังคงปลุกปั่นให้ภูวรินทร์นอนไม่หลับ คืนนี้อินทนิลไม่ได้มานอนกับเขา ชายหนุ่มนอนไม่หลับ ทั้งกังวลเรื่องคุณแก้วทั้งเรื่องของอินทนิล เขาลุกจากเตียงไปเปิดไฟดวงใหญ่ของห้องนอน ชายหนุ่มเดินไปเปิดหน้าต่างออกรับสายลมให้สดชื่น ตั้งแต่คุณแก้วและอินทนิลนำดอกไม้มาถวายแก่บรรพบุรุษ เขาไม่นึกกลัวความมืดมากเท่าเมื่อก่อน เดินไปลากเก้าอี้ออกมานั่งริมหน้าต่าง สอดสายตามองไปที่เรือนปั้นหยาหลังข้างๆด้วยใจเงียบเหงา ดอกแก้วขาวผ่องยังเด่นในความมืดเจือแสงจันทร์ที่ลอยเด่น เสียงหวีดหวิวดังให้ได้ยินอยู่เสมอ

บ้านหลังนี้ครอบคลุมด้วยบรรยากาศเงียบสงัด เขามองไปที่สวนต้นแก้วอย่างใจลอย

ความรักของท่านหมื่นเป็นเช่นไรหรือ มันไม่เหลือที่ไว้ให้คุณแก้วอีกเลยงั้นเหรอ ในฝันนั้นท่านอาบอกว่ายังเหลือเยื่อใยให้แก้วอยู่ เป็นเยื่อใยแบบไหนกัน

ใบหน้าของภูวรินทร์เย็นเยียบ เขายกมือลูบทั่วใบหน้า เมื่อมองไปทางสวนต้นแก้วอีกครั้ง เขาเพ่งมองแสงประหลาดจากทางชายป่าข้างๆ ทิศทางมาจากสุสานของตระกูล เขาชาไปทั้งร่าง เหลือบมองไปรอบห้องที่เงียบกริบ เขาหันไปมองทางชายป่าอีกครั้ง แสงนั้นวูบไหวไปมา แสงสีขาวคล้ายกับไฟดวงเล็ก หากมองในแง่ดีอาจเป็นแสงไฟจากตะเกียง แต่นี่เวลาแบบนี้ ใครกันนะ? ผีสางหรือ? ตั้งแต่มาอยู่ที่บ้านหลังนี้เขายังไม่เคยเจอวิญญาณสักครั้ง มีเพียงในฝันร้ายเท่านั้น เขาขมวดคิ้วลุกจากเก้าอี้ เดินไปยังตู้ลิ้นชักข้างเตียงเลื่อนไปหยิบเอาไฟฉายกระบอกใหญ่ออกมา เวลาบนหน้าปัดนาฬิกาชี้ที่เลขสอง ชายหนุ่มนึกอยากไปหาอินทนิลหรือลุงชมเพื่อไปดูร่องรอยของแสงนั้น

ภูวรินทร์หยิบเอาสร้อยตะกรุดที่หลวงตาให้มา ก่อนจะหลุดขำออกมาเมื่อนึกถึงคำของท่านว่าไม่ช่วยไล่ผี แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังเอาติดตัวไป เขาเดินออกจากห้อง จนมาถึงบริเวณหน้าบันได ห้องโถงกว้างยังคงมืดสลัว แสงสิบวับสะท้อนมาจากโคมไฟระย้าด้านบน เขานึกถึงคุณแก้ว แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ได้เป็นผีสาง แต่ก็อยากให้มาคุ้มครองตนได้

‘บ้าจริงๆเรา หักน้ำใจของคุณแก้วไปซะขนาดนั้นแล้ว’ ชายหนุ่มเดินลงบันได ในใจยังมีความกลัว แต่ก็มีความอยากอยากรู้และความกล้ามากกว่า ที่เขาเจอมาทั้งหมดคงไม่มีอะไรให้หวาดกลัวอีก เขาเดินไปจนถึงหน้าประตูใหญ่ที่เปิดอ้าไว้เป็นปกติ ออกเดินมาจนถึงทางหน้าบ้าน ไร้เสียงน้ำพุในสวน ลมกลางคืนทำให้หนาวกายไม่เบา

เขาเดินไปตามทาง มุ่งหน้าไปยังประตูเล็กข้างรั้วบ้านเพื่อผ่านเข้าไปในสวนหน้าเรือนปั้นเหยา ยอมรับตามตรงว่าเขากลัวเรือนปั้นหยามากกว่าสุสานเสียอีก คงเพราะเรือนเล็กหลังนั้นเป็นที่อาศัยของคุณแก้ว เขาเร่งฝีเท้าเดินผ่านสวนหน้าบ้านไปยังชายป่า ยิ่งเข้าไปใกล้ เสียงเสียดสีของใบไม้สั่นกราวมาให้ได้ยินอยู่ตลอด เขาส่องไฟไปตามทางเดิน ตัดสินใจแน่วแน่ก้าวเท้าเข้าไปในสวนสุสานด้านใน

ความมืดโอบล้อมอาณาบริเวณ เงามืดจากต้นไม้เล็กใหญ่ที่สูงต่ำต่างกัน เขาฉายไฟไปตามโกฏิที่เรียงรายเป็นแถวสั้นๆ เลือดในกายหนาวเย็น แสงสว่างที่เห็นเมื่อคู่ก่อนหายไปแล้ว เขาไม่คิดว่าตนเองตาฝาดไป พยายามไม่สนใจความวูบไหวของเงามืดรอบๆกาย เขาหายใจกระชั้นถี่ เมื่อมายืนอยู่ในสุสาน ภูวรินทร์พบว่าความกลัวของตนเองมีมากกว่าครั้งไหนๆ

มือซ้ายกำสร้อยไว้แน่น ไม่ว่ามันจะช่วยหรือไม่เขาก็เบาใจไปส่วนเดียว เพ่งสมาธิไปที่การมองเห็นข้างหน้ามากกว่าเสียงที่ได้ยินจากสองหู

ไม่มีอะไรเกิดขึ้นสักนิด

สุสานแห่งนี้มีอะไรซ่อนอยู่หรือไม่นะ เขาส่องไฟไปที่โกฏิแถวแรก เป็นของเจ้าหมื่น มีโกฏิอันเล็กวางอยู่ใกล้กัน ไม่มีชื่อติดไว้แต่เดาได้ว่าเป็นของบัว เขานั่งลงมองโกฏิอันเล็กนิ่งๆ ชื่อนี้ทำให้เขาหวั่นใจนัก หากเธอไปเกิดใหม่เป็นป้าษอรแล้วจริงๆล่ะก็...ขอเถอะ เลิกแล้วต่อกันจะดีกว่า

ไม่ทันที่จะลุกขึ้นยืน เสียงกรอบแกรบของใบไม้ คล้ายมีคนย่ำเหยียบมันตามมาด้วยเสียงกรุ๊งกริ๊งของกำไลข้อเท้า ภูวรินทร์ชะงักงัน มือเย็นเยียบทันที ...อินทนิล...คุณแก้วงั้นสิ ชายหนุ่มสาดแสงไฟฉายไปตามทิศทางที่ได้ยิน เสียงนั้นดังมาจากทางด้านหลังของสุสาน เขาลุกขึ้นยืน พบว่าร่างของอินทนิลยืนนิ่งอยู่ ตรงท้ายโกฏิแถวหลังสุด เขาคลายความกลัว แต่กลับกังวลใจเรื่องอินทนิล

 “อินน์”เขาเรียก ก้าวเดินไปหาอีกฝ่ายใกล้ๆ ส่องไฟไปหาเจ้าตัว พบว่าอินทนิลดูไร้ความรู้สึก สองตาไม่ได้จับจ้องเขาเลย มือข้างถนัดถือไฟฉายที่ไร้แสงไว้ด้วย

ละเมองั้นเหรอ เขาเดินเข้าไปหา เอื้อมมือไปจับไหล่ของอีกฝ่ายอย่างเป็นห่วง

“อินทนิล”เขาเรียก ออกแรงเขย่าเบาๆให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับมา เขาเลยดึงไหล่เข้ามาใกล้แล้วบีบแรงๆ

“อินน์!”เขาเรียกเสียงดังขึ้น เด็กหนุ่มสะดุ้ง ผงะออกห่างเขาโดยทันที เขาเห็นว่าอินทนิลดูตื่นกลัว เมื่อเห็นรอบข้างมืดสลัวห้อมล้อมไปด้วยป่า

“นี่ฉันเอง”เขาบอก ส่องไฟไปหาเจ้าตัว อินทนิลเซถอยหลัง หรี่ตามองเขาให้ชัดเจนขึ้น สองมือกำแน่นเช่นเคย

“...คุณภู”อินทนิลเอ่ยเสียงสั่นกลัว ก่อนจะเดินเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว เขาจับฝ่ามือของอีกฝ่ายไว้ มันเย็น “เธอละเมออีกแล้ว”เขาบอก ก่อนจะส่องไฟฉายไปรอบๆกาย ไม่มีวี่แววของสิ่งประหลาด เด็กหนุ่มพยักหน้าก่อนจะกระชับมือเขาไว้แน่น ภูวรินทร์พาอินทนิลกลับออกจากสุสาน พยายามไม่เหลียวหน้าเหลียวหลัง

“คุณมาที่สุสานทำไมครับ”

“ฉันเห็นแสงไฟของเธอน่ะสิ เลยออกมาดู”เขาตอบ ร่างของอินทนิลสั่นเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ชิดเขามากขึ้น ชายหนุ่มเดินผ่านเรือนปั้นหยา ส่องไฟไปเบื้องหน้า พอมองจากสายตาคนนอกแล้ว บ้านใหญ่ดูเงียบร้างไม่น่ามองนัก ระหว่างที่เดินผ่านสวนต้นแก้ว ลมหอบใหญ่ก็พัดเข้ามา เสียงขยับไหวของกิ่งก้านต้นไม้สั่นกราว เสียงกรอบแกรบของใบไม้ทำให้คนทั้งสองหยุดนิ่ง อินทนิลจับมือเขาแน่น ภูวรินทร์ส่องไฟไปยังต้นเสียง ในความมืดของสวนหย่อมเล็กๆ มีเพียงต้นแก้วที่ส่งกลิ่นออกมาอย่างรุนแรง เสียงเอี๊ยดอาดของหน้าต่างที่ตัวเรือนปั้นหยาทำให้เขาไม่สบายใจ อินทนิลกระตุกมือของเขาให้เดินต่อ แววตาของเด็กหนุ่มสั่นไหวอย่างหวาดระแวง

คนทั้งคู่เดินผ่านประตูเล็ก ก่อนจะปิดมันแบบลวกๆไม่ได้ลงกลอน พาอินทนิลกลับเข้าไปด้านในบ้าน

“เธอละเมอไปที่นั่นทำไมกัน”เขาเอ่ยถาม อินทนิลไม่ได้เงยหน้ามองเขา แค่เดินเข้ามาในบ้านเงียบๆ เขาเอื้อมไปเปิดไฟของโถงใหญ่จนสว่างไปทั้งบ้าน

“...ไม่รู้เหมือนกันครับ อินน์เข้านอนปกติ สงสัยว่าจะเป็นท่านมากกว่า”เด็กหนุ่มส่ายหน้า เอ่ยนำเสียงสั่นเครือ มีความหวาดหวั่นชัดเจน ชายหนุ่มเหลียวมองคนข้างกายอย่างสงสัยขึ้นมา

“คุณแก้วน่ะเหรอ ทำไมกันล่ะ”

“ท่านคงระแคะระคายบางอย่างในสุสานกระมังครับ”เด็กหนุ่มบอกเบาๆ ไม่ได้เงยหน้ามามองเขา

“แล้วท่านไม่ได้บอกอะไรเธอเหรอ”เขาถาม อินทนิลส่ายหน้า ยังไม่ยอมปล่อยมือจากตน ชายหนุ่มเดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ คนข้างกายดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะคุณแก้วเริ่มสื่อสารได้น้อยลง เวลาแบบนี้ควรเป็นคุณแก้วไม่ใช่หรือ เขาคิดว่าที่อินทนิลไม่มานอนด้วยกัน คงเพราะคุณแก้วเลือกจะไม่มาเห็นหน้าเขา แต่กลายเป็นว่าอินทนิลนอนละเมอ

เขากับอินทนิลกลับเข้าไปในห้องนอน อินทนิลยังคงไม่สวมรองเท้าเช่นเคย เจ้าตัวไปล้างหน้าทำความสะอาดร่างกายในห้องน้ำ เขาเก็บไฟฉาย เดินไปชงชามาสองแก้ว  พอดีกับที่อินทนิลออกมาจากห้องน้ำ แต่เจ้าตัวไม่ขยับเขยื้อน มองตนอยู่หน้าห้องน้ำ ภูวรินทร์วางถ้วยชาลงกับเตียง ก่อนจะเดินนั่งลง หันมองไปทางอินทนิลอย่างสงสัย

“เป็นอะไรไป”เขาถาม มองท่าทีของอีกฝ่ายไม่วางตา อินทนิลเงียบผิดปกติมาตั้งแต่เข้ามาในบ้านแล้ว แต่ไม่ยอมบอกอะไรให้รู้เสียที

“...ตอนที่ท่านอาใกล้ตาย ท่านเขียนพินัยกรรมฉบับใหม่ไว้”อินทนิลพึมพำ ยังคงยืนนิ่งอยู่แบบนั้น เขามองอีกฝ่ายอย่างไม่แน่ใจนัก เพราะในใบโอนมรดกที่ดินนั้นโอนมาจากชื่อของคุณนิรุท แสดงว่าบ้านหลังนี้ถูกมอบให้ทายาทของหมื่นนรินทร์ไปเรื่อยๆไม่ผิดแน่

“แล้วฉบับเก่า มอบพินัยกรรมให้ใคร”เขาเอ่ยถาม แม้ว่าตนเองจะคาดเดาคำตอบได้บ้างแล้ว เด็กหนุ่มยิ้มบางๆก่อนจะเอ่ยต่อ

“ฉบับเก่าก็ให้ลูกชายของตนเองนั่นแหละ...แต่ฉบับใหม่ที่เขียนก่อนจะสิ้นลม ท่านมอบบ้านหลังนี้คืนแก่คุณกิ่ง”อินทนิลมองเขาอย่างไม่วางตา

“...แต่บ้านนี้ยังเป็นของลูกหลานท่านอาไม่ใช่เหรอ”เขาเอ่ย

“เพราะมันถูกทำลายไป”อินทนิลบอก

“ถูกทำลายงั้นเหรอ”เขาถาม ในใจรู้สึกโหวงเหวงขึ้นมา อินทนิลขยับตัว ก้าวเดินเข้ามาหาเขาช้าๆ ปากขยับเล่าเรื่องต่อไปเรื่อยๆ

“ใช่ครับ บัวทำลายทิ้ง”เด็กหนุ่มเฉลย ภูวรินทร์นิ่วหน้า เมื่อนึกถึงบัวแล้วเกิดอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาอยู่บ้าง หญิงคนนี้เจ้าคิดเจ้าแค้นมากจริงๆ ไม่ผิดที่หมื่นนรินทร์จะโดนคำแช่งแรงถึงขนาดนี้ เขานิ่งไป ขณะนั้นอินทนิลเดินมาหาเขาที่เตียง ก่อนจะนั่งลงที่ปรายเตียง อีกฝั่งหนึ่งของถ้วยน้ำชา สายตาจับจ้องมาที่ควันที่ลอยอยู่เหนือถ้วยน้ำชาไปด้วย   

“เพราะบัวเป็นคนดูแลบ้าน ดูแลลูกของท่านอา อีกอย่าง พยานในพินัยกรรมของท่านก็เป็นนายหวั่น กับบัว”

“ทำไมล่ะ”เขาแปลกใจ หมื่นนรินทร์ยังกล้าให้บัวเป็นพยานอีกหรือ

“คงเพราะท่านอาสำนึกได้แล้ว เลยเลือกจะคืนบ้านให้กิ่ง แต่ดูเหมือนว่าบัวไม่ต้องการแบบนั้น นายหวั่นเองก็ร่วมมือกับบัว ไม่เชิงว่าสมรู้ร่มคิดหรอก แค่ทำเป็นมองไม่เห็น พินัยกรรมฉบับเก่าเลยได้รับการถ่ายทอดออกมาแทน ทำให้บ้านก็ยังเป็นของลูกหลานทานอาอยู่ดี”อินทนิลเอ่ย เหลือบมองเขาด้วยแววตาเรียบเฉย ภูวินทร์อึดอัดขึ้นมา

“เพราะบัวอยากเอาคืนท่านหมื่นหรือ”เขาเอ่ย คิดว่าส่งที่บัวต้องการคือความทุกข์ยากของคนภิรมย์สุขที่เป็นลูกหลานของหมื่นนรินทร์ ถึงได้ปล่อยให้บ้านอยู่ในการครอบครองของลูกหลานท่านอา

“คงเป็นแบบนั้น ในตอนนั้นมณีเริ่มป่วยขึ้นมาอีกคนแล้ว”เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างไม่แยแสนัก เขาส่ายหน้า นึกรังเกียจบัวในอดีตขึ้นมา

“บัวนี่เลวจริงๆ”ชายหนุ่มพึมพำ ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบขับไล่ความหวั่นเกรง อินทนิลในตอนนี้รู้เรื่องราวในอดีตได้อย่างไรกัน เหมือนว่าเด็กหนุ่มเดาสายตาของเขาได้จึงเอ่ยต่อมา นัยน์ตาสีนิลฉายแววหม่นไม่สดใส “ก่อนนอน ษอรมาเล่าให้อินน์ฟัง”

“ทำไมป้าเขาถึงบอกเธอล่ะ”เขาแปลกใจ ไม่คิดว่าป้าษอรจะเปิดเผยถึงขนาดนั้น อินทนิลยิ้ม

“อ้อ อันที่จริงบอกท่านมากกว่า ที่อินน์ละเมอไปที่สุสานคงเพราะท่านคงระแคะระคายอะไรบางอย่าง”อินทนิลเอ่ยนิ่งๆ ภูวรินทร์เหมือนมีความหวังขึ้นมา “แน่ใจเหรอ”

“ครับ...”เจ้าตัวพยักหน้า แววตาไม่สั่นไหวดูมั่นใจกับคำตอบ “เรื่องษอร...อินน์ว่าคงเป็นเหมือนที่คุณภูสงสัย”

“แล้วเธอคิดว่าป้าษอรเลิกจงเกลียดจงชังท่านอาแล้วหรือยัง”เขาถอนหายใจเมื่อนึกถึงเรื่องเก่าๆ อินทนิลเม้มปาก

“คงเฉยชาแล้วมากกว่า ษอรดีกับคุณภูไม่ใช่เหรอครับ”

“มันก็ใช่...แต่ไม่รู้สิ...เรื่องที่ไปลอยอังคารคุณแก้ว ก็ไม่บอกฉันสักคำ”ภูวรินทร์ขมวดคิ้ว แม้แต่เถ้ากระดูกก็ไม่ได้เห็น ไม่ได้สัมผัส แม้ใจจะไม่ได้รักคุณแก้วเช่นในอดีต แต่มันก็ทำให้เขาอดโหวงเหวงในใจไม่ได้ เขาไม่ปฏิเสธว่าคุณแก้วเข้ามาอยู่ในใจตนได้สำเร็จ ไม่ว่าจะมาจากความสงสารเห็นใจ หรือมาจากความผูกพันในหนก่อนก็ตาม

“คุณเสียใจงั้นเหรอครับ”อินทนิลเอ่ย เอื้อมมือมาแตะแขนของเขาอย่างแผ่วเบา มือของเจ้าตัวอุ่นและนุ่ม ราวกับผิวเด็ก ภูวรินทร์สบตาสีนิลของอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ ก่อนจะเอ่ยสั้นๆ “ใช่สิ...”

“ไม่สำคัญหรอกครับ ท่านคงดีใจ ที่คุณรู้สึกเช่นนี้”อินทนิลเอ่ย แววตาที่จับจ้องมาส่งประกายจริงใจออกมา เขานึกไม่ออกเลยว่าอินทนิลยินดีที่เขาจะแบ่งปันความรู้สึกไปให้ผู้อื่นได้อย่างไร แม้ว่าจิตวิญญาณจะผสานเป็นหนึ่งเดียว แต่คุณแก้วกับอินทนิลนั้นแตกต่างกัน หากอินน์คือความอบอุ่นในยามเช้าที่เข้ามากล่อมเกลาจิตใจที่ขาดเขลาและหวั่นกลัวของตน คุณแก้วก็คงเหมือนความหนาวเย็นของสายลมที่พัดผ่านในตอนกลางคืน ไม่ได้ทำให้หนาวสั่นแต่ทำให้จิตใจสงบลงได้

“บางทีในตอนเช้า ฉันอาจไปตรวจสอบที่สุสานอีกรอบ เผื่อว่าเจอร่องรอยขึ้นมาบ้าง”ภูวรินทร์เอ่ยเบาๆ ก่อนจะยกชาดื่มเพื่อดับความวุ่นวายในใจ อินทนิลมองเขายิ้มๆก่อนจะยกชามาดื่มเงียบๆ

ตลอดทั้งคืนภูวรินทร์นอนไม่หลับไปจนถึงเช้า ส่วนอินทนิลหลับไปอย่างง่ายดาย คิดว่าคงใช้พลังงานเยอะ เขาตัดใจจากคุณแก้วไม่ลงจริงๆด้วย หลวงตาบอกว่าอย่าไปทำความผูกพันกับสิ่งที่ล่วงลับไปแล้ว แต่ว่าทั้งคุณแก้วและอินทนิลต่างก็เป็นคนที่ล่วงลับไปแล้วไม่ใช่หรือ จะให้เขาละทิ้งอินทนิลไปงั้นเหรอ ตนในเวลานี้ไม่ได้มีความรักลึกซึ้งกับอินน์ แต่ยังทีความผูกพันกันอยู่ อย่างน้อยเขาก็มีใจให้อินทนิลไม่น้อย หากว่าเขาเลือกปล่อยอินน์กับคุณแก้วไป คำที่เคยรับปากป้าษอรไว้...ที่ว่าจะดูอินน์ให้ปลอดภัย ก็คงทำไม่ได้ เธอคงแค้นเคืองเขาขึ้นมาอีกครั้ง ในฐานะภูวรินทร์ด้วยอีกคน คงไม่ดีแน่....

ภูวรินทร์รู้ซึ้งว่าคำสาปของมณีกับบัวยังคงอยู่ไปจนกว่าเขาจะตายไปด้วย มณีสาปแช่งหมื่นนรินทร์ แช่งแก้วให้ไม่ได้ผุดได้เกิด บัวสาปแช่งหมื่นนรินทร์ คำแช่งที่ร้ายแรงพวกนี้มันไม่อาจแก้ไขได้จริงๆ


+++++++++++++



เสียงนกแตกรังในยามเช้าปลุกให้ภูวรินทร์ลืมตาตื่น เขานอนเหยียดอยู่ข้างๆอินทนิลที่ยังคงหลับสนิท ชายหนุ่มย่นหน้าเมื่อเจอแสงจากยามเช้าส่องเข้าที่ดวงตา เขาเหลียวไปมองนาฬิกาพบว่าเพิ่งเจ็ดโมงเช้าอยู่เลย ชายหนุ่มค่อยๆขยับตัวลุกออกจากเตียง ก่อนจะจัดการอาบน้ำให้ร่างกายสดชื่น เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าไม่อ่อนเพลียเท่าเมื่อวาน ออกมาจากห้องน้ำอินทนิลยังคงไม่ตื่น เขาเข้าไปมองเด็กหนุ่มที่หลับใหลอย่างมีความสุข เขายิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเดินออกจากห้อง เช้านี้เขาถือโอกาสไปเคารพโกศของหมื่นนรินทร์ เป็นครั้งแรกที่เขาคิดจะไปกราบไหว้บรรพบุรุษ ชายหนุ่มเดินลงบันไดก่อนจะเข้าไปในครัว เขาเจอป้าษอรเช่นเคย เธอส่งยิ้มให้เขา ภูวรินทร์ยิ้มแย้มตอบกลับไป ราวกับว่าเสแสร้งต่อกันทั้งที่รู้ดีแก่ใจว่าป้าษอรกับเขานั้นต่างแปลกออกไป เขาเดินไปหยิบธูปติดมือออกมา

“มีอะไรหรือเปล่าคะคุณภู”เธอเอ่ยถาม เขาหันมองเธออย่างใคร่ครวญ “ผมกะว่าจะไปไหว้โกศของหมื่นนรินทร์บ้างน่ะครับ...”เขาบอก ป้าษอรมีสีหน้าประหลาดใจ เธอมองเขาด้วยสายตาอ่อนโยนลง เขาไม่สนใจเธออีก เดินออกไปที่หน้าบ้าน เอ่ยทักทายลุงชมที่กำลังยืนรดน้ำต้นพวงมณีที่ใต้หน้าต่างของห้องโถง ชายหนุ่มเดินลัดเลาะไปตามรั้วบ้านก่อนจะเปิดประตูรั้วขนาดเล็กเข้าไปที่เรือนปั้นหยา เขาเดินไปเด็ดช่อดอกแก้วมาสองช่อ กลีบดอกที่โรยราร่วงลงพื้นมองไปก็สวยไปอีกแบบ

ภูวรินทร์เดินไปยังสุสาน เขาไม่ได้ทำมาพิธีรีตอง แค่อยากมาเคารพอัฐิของหมื่นนรินทร์ แล้วก็ไปเคารพอัฐิของบัวก็ไม่เสียหายอะไร รวมถึงไปสำรวจสุสานอีกสักรอบ เขาเดินไปที่โกฏิแถวแรก เป็นของเจ้าหมื่น ทว่าอัฐิของบัวที่อยู่ข้างกันนั้นยังไม่เก่าซีด ชัดเจนว่ามีคนคอยทำความสะอาด ภูวรินทร์จุดธูป วางดอกแก้วลงที่ข้างโกศของบัว ตั้งจิตแผ่กุศลให้แก่เธอ

‘บุญใดที่ข้าพเจ้าได้ทำมาแล้วตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันขอให้นางบัวจงได้รับเหมือนกับข้าพเจ้าเช่นกัน จงมาอนุโมทนาบุญนั้นด้วยเทอญ สาธุ’ เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าบัวจะได้รับกุศลนี้หรือไม่ เพราะจิตของบัวไปเกิดแก่ป้าษอรแล้ว แต่ช่างเถอะ เพราะว่าเขาอยากแผ่เมตตาให้บัว ไม่ได้สนใจเรื่องอื่นมากนัก

ชายหนุ่มเดินไปยังโกฏิแถวที่สอง ก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ที่โกฏิใส่อัฐิของหมื่นนรินทร์ ชายหนุ่มนั่งคุกเข่าลงกับพื้น จุดธูป วางดอกแก้วลงที่ฐานโกฏิ เอ่ยบทสวดแผ่เมตตา มองรูปซีดจางมองไม่เห็นใบหน้า เด่นชัดสุดคงเป็นชื่อ และวันมรณะ เมื่อสวดเสร็จ ชายหนุ่มทรุดลงนั่งลงหน้าโกฏิของหมื่นนรินทร์ ก่อนจะยื่นมือไปสัมผัสรอยสลักชื่อบนแท่นปูนตรงหน้า เขาหลับตาลง พยายามสื่อความปรารถนาไปให้เถ้ากระดูกของอีกฝ่าย ...อดีตชาติของตนเอง...

ได้โปรด ช่วยผมด้วย ไม่รู้ว่าทำแบบนี้ไปจะได้ผลอะไร เพราะจิตวิญญาณของหมื่นนรินทร์มาเกิดเป็นเขาแล้ว

เสียงฝีเท้าดังมาจากทางด้านหลัง เสียงเหยียบใบไม้แห้งทำให้ภูวรินทร์หันไปมอง ปรากฏว่าเป็นป้าษอร เธอมองมาที่เขา กลิ่นธูปปะปนกับกลิ่นดอกแก้วลอยละล่องอยู่ภายในสุสาน ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน หันมองหญิงร่างท้วม สายตาของเธอมองดอกแก้วที่วางอยู่หน้าโกศของบัว เห็นรอยขมวดคิ้วชัดเจน เธอมองมาที่เขาอีกครั้ง ราวกับว่าบริเวณนี้ไร้อากาศถ่ายเทสะดวก ชายหนุ่มหายใจไม่สะดวกนัก เป็นความอึดอัดเข้ามาครอบคลุม

“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”ป้าษอรเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง ชายหนุ่มยิ้มมุมปาก นึกขำในท่าทีของเธอ

“เปล่าหรอกครับ”เขาปฏิเสธไป ป้าษอรเม้มปาก เธอจ้องเขาอีกครั้ง“อินน์เป็นห่วงคุณมาก”

“...แล้วป้าล่ะครับ อยากให้ผมเป็นอะไรหรือเปล่า”ภูวรินทร์ไม่อ้อมค้อมอีกต่อไป เขากลับมาสงบจิตใจอีกครั้ง การที่ป้าษอรยอมเล่าเรื่องอดีตชาติแก่อินทนิลฟัง แสดงว่าเจ้าตัวพร้อมจะเผชิญหน้ากับเขาแล้ว เขาที่เป็นภูวรินทร์ และเป็นอดีตท่านหมื่นนรินทร์

“คุณภูคะ”เธอเรียกชื่อเขาด้วยท่าทีนอบน้อย แววตาเป็นกังวลที่เขาเอ่ยเช่นนี้ออกมา ภูวรินทร์หัวเราะออกมา

“ป้าอย่ามาเล่นละครใส่ผมเลยดีกว่า เราต่างก็รู้ดีแก่ใจว่า มันเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้ผมเหนื่อยจริงๆนะครับ”เขาบอก มองไปทั่วทั้งสุสานอย่างเหนื่อยหน่าย กลิ่นธูปลอยมาแตะจมูกจนเหม็นอึดอัด

“...ป้าก็ไม่มีทางออกให้หรอกค่ะ”ป้าษอรเอ่ยอย่างไร้เยื่อใย เขามองไม่ออกว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่

“โกรธแค้นผมเหรอ”เขาถามอีกครั้ง เธอมองเขาด้วยความละอายใจ ก่อนจะส่ายหน้า

“เปล่าหรอกค่ะ”

“หมื่นนรินทร์ล่ะ”ชายหนุ่มเอ่ยออกมา ป้าษอรชะงักไป เธอเงียบไปนาน ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาคล้ายกับเบื่อหน่าย

“ถ้าหากเป็นบัวก็คงเกลียดชังท่านหมื่นอยู่ดี แต่หากถามป้า ป้ายังคงหวังดีกับคุณภูนะคะ”เธอตอบ เขาส่ายหน้า แล้วมันต่างอะไรกันล่ะ เขาไม่อาจทนต่อสภาพนี้ได้ไปตลอดแน่ๆ

“ผมอยากให้คำสาปแช่งพวกนี้สิ้นสุดลง ผมไม่อยากให้ใครต้องมาเผชิญชะตาเหล่านี้อีก”ภูวรินทร์โพล่งออกมาอย่างมีโทสะ เขาเดินเข้าไปหาฝ่ายตรงข้ามช้าๆ ป้าษอรแค่ยิ้มเศร้า

“...ค่ะ”เธอตอบมาสั้นๆ ไม่ได้ให้คำตอบแก่เขาสักนิด จนชายหนุ่มพยายามอดกลั้นอารมณ์หงุดหงิดไม่ให้ผลีผลามเข้าไปหาอีกฝ่าย

“ป้าครับ...ผมไม่ถือโทษโกรธเคืองต่อใครอีก ไม่ว่าจะบัว แก้ว หรือคนในอดีต”

“เพราะคุณภูไม่รู้เห็นเรื่องในอดีตหรือเปล่าคะ เลยปล่อยวางได้ง่าย”

“ก็คงถูก แต่ป้าไม่เห็นเหรอว่าทุกข์แค่ไหน คุณแก้วมีสภาพเป็นอย่างไร อินน์ต้องอยู่ยังไง”เขาเอ่ยจากใจ ไม่ได้ขอความสงสารเห็นใจ แต่ให้มองไปที่อินทนิลและคุณแก้ว ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันผิดธรรมชาติไปหมดเพราะเรื่องความรักความแค้นของคนในอดีตทั้งนั้น

“ป้ารู้ค่ะ แต่ป้าทำอะไรไม่ได้ พอคิดแบบนี้แล้วก็ยิ่งเจ็บใจ กลายเป็นโทษหมื่นนรินทร์ไป ใจก็ยิ่งด่ำดิ่งไปกับความแค้นของบัวมากขึ้น”เธอเอ่ยอย่างควบคุมอารมณ์ไม่ได้ แต่แววตาของเธอยังทีสำนึกดี เธอกำลังรู้สึกผิด หาหนทางแก้ไขไม่ได้ เขานิ่งเงียบ

“ตอนนี้ป้าคือป้าษอร อินน์ยังเชื่อแบบนี้เลยครับ”

“ต่อให้ป้าปล่อยวาง มันก็แก้ไขอะไรไม่ได้”เธอส่ายหน้า เม้มปากแน่น ใบหน้าว่างเปล่า ทิ้งให้บทสนทนาเงียบลงไป ถ้อยคำของเธอมันก้องลงในใจภูวรินทร์ซ้ำไปซ้ำมา แก้ไขอะไรไม่ได้เลย...

“เพราะอะไรป้าถึงยังอยู่ดูแลที่บ้านหลังนี้”เขาเปลี่ยนเรื่องคุยแทน ชายหนุ่มเดินอ้อมโกฏิออกมายืนพิงใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ห่างจากสุสานไม่ถึงสองเมตร เขามองไปที่ป้าษอร

“...เพราะคนรุ่นปู่ย่าของป้าเคยทำงานอยู่ที่บ้านหลังนี้ เรามีกุญแจสำรองของบ้านอยู่เสมอ เหมือนตกทอดกันมา...ได้มาจากบัวนั่นแหละค่ะ”

“นั่นสินะ แท้จริงแล้วคนที่เป็นเจ้าของบ้านคงเป็นพวกคนเฝ้าบ้าน”ชายหนุ่มเอ่ย หวนนึกไปถึงบัวอีกครั้งเธอคือคนที่กุมความลับของตระกูลภิรมย์สุขอย่างแท้จริง

“เปล่านะคะ ป้าไม่ได้คิดอยากครอบครองบ้าน ก็แค่ทำตามเจตนารมณ์ของคนรุ่นก่อน”เธอรีบเอ่ยทันที ราวกับว่ากลัวเขาเข้าใจผิด ชายหนุ่มถอนหายใจ

“ป้ารู้ตัวเองได้ยังไงกัน...เรื่องอดีตชาติน่ะ”ภูวรินทร์ถามด้วยความอยากรู้ เธอมองเขาอย่างลังเล ก่อนจะตัดสินใจเล่าออกมา

“...ตอนแรกป้าก็ไม่รู้หรอกค่ะ ช่วงที่ยังอายุสักยี่สิบปี ป้าแค่รู้สึกแปลกกับคนบ้านภิรมย์สุข พอคุณนิรุทย้ายออกจากบ้านไป ป้ามีโอกาสเก็บกวาดบ้าน มันเหมือนได้กลับมาอยู่บรรยากาศเก่าๆ ป้าเห็นความจำมากมาย มันทำให้ป้าสับสน ความรู้สึกของบัวป้ารับมาจนหมด แต่พอเจอคุณเข้า ในใจป้าก็ยังมีความชิงชังอยู่ แต่เท่าที่ป้าได้รู้จักคุณภูมา คุณแตกต่างจากท่านหมื่น...มีเพียงแค่หน้าตาที่เหมือนกันเท่านั้น”เธอเอ่ยช้าๆ ชายหนุ่มจึงเอ่ยถามต่อ

“แต่ป้าก็ไม่เลิกชิงชังต่อท่านหมื่นไม่ใช่หรือ”

“...”ป้าษอรเงียบ ทำให้เขาถึงกับอับจนถ้อยคำ ป้าษอรไม่แยกแยะ แม้จะบอกว่าเขาไม่เหมือนหมื่นนรินทร์ก็ตาม แต่ป้าษอรในปัจจุบันนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับกับท่านหมื่นแล้ว แต่ป้าษอรกลับเอาความรู้สึกของบัวมาแบกไว้แทน ภูวรินทร์จึงไม่สามารถกล่อมอีกฝ่ายได้ ต้องให้เธอวางความรู้สุกเหล่านั้นเอง จึงจะเรียกว่าเลิกแล้วต่อกันอย่างแท้จริง 

“เขาเป็นบรรพบุรุษของผม ไม่แปลกเลยที่ผมจะเจอคำแช่งชักถึงกระดูกดำขนาดนี้ เพาะป้าไม่ยอมปล่อยวางเสียที หากว่าผมต้องทุกข์ทน ป้าจะมีความสุขหรือเปล่า เห็นอินทนิล คุณแก้วต้องวนเวียนกับความรักที่ไม่สมหวังเช่นนี้”ภูวรินทร์หันมองอีกฝ่าย ยิ่งเอ่ยถึงเรื่องนี้เขายิ่งรู้สึกถดท้อ หมดแรงใจลงไปทุกที

“...ป้าเข้าใจค่ะ ป้าไม่อยากให้อินน์หรือคุณแก้วต้องทุกข์อีก...แต่มันเป็นไปไม่ได้เลย”เธอบอกอีกครั้ง เขายิ้มเยาะตนเอง

“นั่นสินะ คำแช่งมันกำลังกัดกินผมอยู่ไปทีละนิด”ภูวรินทร์พึมพำ รู้สึกว่าอกข้างซ้ายมันเต้นเร่าด้วยอาการปวดแปลบอย่างแปลกประหลาดคล้ายอาการปวดฟันรุนแรง

ป้าษอรไม่เอ่ยคำใดออกมาอีก ภูวรินทร์ได้แต่เพ่งมองต้นไม้ใบหญ้าอย่างเหม่อลอย จนเธอเดินหายออกไปจากสุสาน เขาถอนหายใจ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งพิงต้นไม้ใหญ่เงียบๆ ที่นี่ยังมีมุมสวยงามเขาอยากจะใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข ไม่รู้ว่าความปรารถนาของตนจะเป็นไปได้ไหม

“ท่านโกหก”

“ใครน่ะ”ภูวรินทร์เหลียวมองรอบตัวเมื่อได้ยินเสียงดังขึ้นมา เป็นเสียงของผู้หญิง รอบกายเงียบสงบเช่นเคย เขาลุกขึ้นยืน อาการหนาวเย็นลามไปทั่วสรรพางค์กาย

“ไหนว่าท่านจะลงโทษคนที่ฆ่าแก้ว”

เสียงนั้นยังคงดังอยู่ เขาไม่แน่ใจว่ามันมาจากไหน จากในหัวของเขาเองหรือจากในสุสาน ชายหนุ่มบอกไม่ถูกว่าตอนนี้กำลังรู้สึกอย่างไร มีความรู้สึกหลากหลาย เศร้า รู้สึกผิดเต็มไปหมด ขณะเดียวกันร่างกายรู้สึกหนาววูบวาบ คล้ายอาการหน้ามืด เขาคิดว่าตนเองกำลังเป็นลม ภาพเหตุการณ์แปลกๆปรากฏขึ้นในหัว ทำเอาใจเต้นแรง ความทรงจำแปลกประหลาดหลั่งไหลอยู่ในหัวทำเอาเขาปวดหัวรุนแรง เขากุมศีรษะไว้แน่น ไม่สามารถควบคุมร่างกายให้ยืนอยู่ได้อย่างมั่นคงบนพื้นดิน เขาเซล้มลง อาการดังกล่าวคล้ายกับตอนที่เห็นภาพความทรงจำในอดีตในครั้งแรก
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๓ l ๕.๐๒.๖๑ หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 04-02-2018 23:46:08
ภาพเหตุการณ์หนึ่งปรากฏขึ้นในหัว ห้องนอนในสภาพที่แตกต่างจากปัจจุบัน แม้ว่าเครื่องใช้ดูใหม่เอี่ยมแต่ทว่าคนที่นอนหายใจเข้าออกช้าๆอยู่บนเตียงหลังใหญ่นั้นคือหมื่นนรินทร์ ใบหน้าซีดเซียว ผ่ายผอมลงไปมาก หนวดเคราทีเริ่มมีให้เห็นคงเพราะไม่มีผู้ใดคอยปรนนิบัติ ในยามนี้หมื่นนรินทร์โรยราไปทั้งแรงกายแรงใจด้วยวัยย่างสี่สิบปีถือว่ายังเป็นวัยหนุ่มใหญ่ ทว่าโชคร้ายนักที่มีอาการป่วยด้วยโรคประจำตัวเฉกเช่นพี่ชาย

หมื่นนรินทร์นึกถึงคำทายทักของหลวงปู่ที่บอกว่าเรือนชะตาของตนอายุไม่ยืน ซ้ำแก้วหลานรักมีเรือนชะตาเป็นอริ ทำให้ดวงของตนวิบัติ เมื่อยี่สิบปีก่อนเขาไม่อาจปักใจเชื่อเนื่องด้วยแก้วเป็นคนดี เป็นเด็กหนุ่มที่บริสุทธิ์เช่นเดียวกับดอกแก้ว สีขาว หอม และเป็นสิริมงคลเหมาะแก่งานพิธีมงคล

แต่เหตุใดกัน เจ้าหนุ่มนั่นถึงได้ศึกษาการใช้พิษจากดอกไม้ ซ้ำยังเป็นดอกไม้ในเรือนเพาะอีกด้วย ใต้ชายคาบ้านของตนเองแท้ๆ แก้วช่างหาญกล้า ภายหลังเขาจับได้ว่าแก้วคิดจะเอาพิษมาใช้กับตนเสียด้วยซ้ำ เพียงเพราะเขาไม่รักษาสัญญา แล้วไม่ผิดหรือที่ตนจะระแวงสงสัยในพฤติกรรมเช่นนั้น ไหนจะนางบัวที่มองเขาอย่างมาดร้าย นางเป็นหนามตำใจแก่หมื่นนรินทร์โดยแท้ มาจนตอนนี้ แก้วจากเขาไปได้สามปีแล้ว ด้วยวัยหนุ่มแน่น ช่างน่าเสียดาย

หมื่นนรินทร์หวนนึกถึงเรื่องราวเมื่อสิบปีก่อนนั้นแล้วอดนึกเสียใจไม่ได้ แม้ไม่ได้รักแก้วดังเดิม แต่ใช่จะเกลียดชัง เขาไม่ไล่แก้วออกจากบ้านไปทั้งที่เจ้าตัวเคยมาอาละวาดในบ้านเรื่องที่ตนตัดสินใจแต่งงานกับมณี ถ้าหากว่าในปีนั้นตนส่งแก้วไปอยู่กับกิ่งที่เมืองนอกได้สำเร็จ เรื่องอาจไม่ลงเอยเช่นนี้

“ท่านโกหก”เสียงของหญิงที่ตามหลอกหลอนเขามาหลายปี หมื่นนรินทร์เพ่งมองผู้มาเยือน ร่างนั้นเดินเข้ามาในห้องท่าทีผยองราวกับเป็นเจ้าของบ้าน หมื่นนรินทร์จับจ้องหญิงคนนั้นด้วยสายตาเรียบเฉย ตนในเวลานี้หมดสิ้นทุกอย่างไปแล้ว

“ไหนว่าท่านจะลงโทษคนที่ฆ่าแก้ว”บัวก้าวมาหาหมื่นนรินทร์ที่ข้างเตียง สายตาของเธอมีความโกรธแค้นชิงชังอยู่ หมื่นนรินทร์ถอนหายใจช้าๆ

“...ลูกของฉันต้องมีแม่”หมื่นนรินทร์เอ่ย ไม่มองหน้าบัว สายตาจ้องมองเพดานห้องอย่างจดจ่อ บัวเม้มปากแน่น

“งั้นรึ ท่านคิดว่ามณีจะเลี้ยงลูกของหญิงอื่นออกมาดีนักเหรอ ไอ้ลูกของหญิงชาวบ้านไม่มีหัวนอนปรายเท้าเช่นนั้น นางจะรักเอ็นดูหรือ”

“ทำไมจะไม่รักได้เล่า อย่างน้อยก็ลูกของฉัน”

“อ้อ นึกว่าจะเหมือนท่านหมื่นเสียอีก ที่ไม่เอ็นดูลูกของหญิงขี้ข้าเช่นอิฉัน... มิใช่หรือ แต่ท่านกลับดูแคลนแม่ของเขา”บัวเอ่ยช้าๆ สายตามองไปที่หมื่นนรินทร์ไม่ปิดบังความรู้สึก หมื่นนรินทร์หันมองหญิงที่ยืนอยู่ด้วยสายตาเรียบเฉย แต่ในใจเหมือนโดนมีดกรีด 

“ฉันไม่ได้เกลียดแก้ว”หมื่นนรินทร์เอ่ยเสียงแข็ง บัวมองชายอมโรคที่นอนบนเตียงด้วยสายตาเย็นชา

“ท่านไม่เผาลูกของอิฉัน”

“ใช่...ที่ไม่เผา ไม่ใช่เพราะฉันไม่รักแก้วหรอก แต่ฉันคิดไม่ผิดใช่ไหมล่ะ ที่ฝังแก้วไปทั้งแบบนั้น เพราะเธออย่างไรที่ทำร้ายลูกของฉัน มณีแท้งเพราะเธอ หึ เวลานี้ฉันไม่มีอำนาจสั่งคนในบ้านแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดไม่ขุดร่างแก้วออกมาเผาเล่า”หมื่นนรินทร์เอ่ยออกมา ก่อนจะหายใจแรง หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงจนเห็นได้ชัด คล้ายกับว่าหายใจลำบาก

“ผ่านเวลาปลงศพมานานปีแล้ว ทำพิธีเรียก ‘ขวัญ’ส่งคนตายไปไม่ได้แล้ว ท่านย่อมรู้ดีว่าขุดร่างขึ้นมาปลงศพภายหลังเป็นเรื่องไม่ดี แก้วไม่ได้ตายโหง”บัวเอ่ยอย่างมีโทสะ หมื่นนรินทร์หลับตาแน่น ไม่คิดอยากนึกสภาพของแก้วที่ล่วงเลยมาเกือบสามปีแล้วจะเป็นเช่นไร แต่ถึงเขาไม่ปลงศพให้แก้ว ตนก็ได้ทำพิธีสวดให้แก้วไปแล้ว ไม่ถือว่าเขาไม่ให้เกียรติแก่หลานรัก ผืนดินบริเวณนั้นเขาไม่ให้ผู้ใดไปเหยียบย่ำ โรงเพาะก็แทบปิดสนิทเพราะนอกจากแก้วแล้วใครเล่าจะชมชอบการเพาะปลูกดอกไม้อีก... ไม่มีอีกแล้ว ตัวเขาไม่อาจลงเรือนไปดูแลพันธุ์ไม้ในสวนได้

“เธออายุปูนนี้แล้วยังไม่เลิกอาฆาตพยาบาทอีกหรือ”เขาเอ่ยเสียงแหบแห้ง มองหญิงที่ยืนอยู่อย่างไม่เข้าใจ เธอแก่ตัวลงไปเยอะ แต่ท่าทีและสายตาที่จ้องมองเขานั้นไม่เปลี่ยน

“ท่านไม่สำนึก อิฉันก็ตายตาไม่หลับหรอก”บัวเอ่ยอย่างไม่แยแส

“...ฉันจะคืนบ้านให้กิ่ง อย่างน้อยก็ยังอยู่ในญาติฝั่งของแก้ว”หมื่นนรินทร์บอกอย่างเหนื่อยอ่อน เขายอมแพ้แล้ว หากว่าคืนทุกสิ่งให้อีกฝ่ายไปก็คงจบเรื่อง

“อิฉันไม่ต้องการ คิดว่าที่ฉันยังอยู่ในบ้านนี้เพราะต้องการครอบครองมันงั้นรึ”บัวเอ่ยน้ำเสียงขึ้นจมูกราวกับว่าคำพูดของหมื่นนรินทร์นั้นดูแคลนตน

“เธอต้องการอะไร”หมื่นนรินทร์เอ่ยเบาๆ มองบัวอย่างหวั่นเกรง หญิงนางนี้โหดร้ายกว่าที่ตนคาดไว้เยอะ มองหน้าเธอแล้วก็พานให้นึกถึงสิ่งที่เธอทำลงไป

“...ดูท่านตายไปช้าๆ แล้วก็คอยดูบุตรหลานของท่านเติบโตทีละน้อย คงเป็นภาพที่น่างดงามแน่ๆ”บัวยิ้มแย้ม แววตาเยืกเย็น หมื่นนรินทร์ใจหายวาบ “นี่เธอคิดจะทำอะไรกันแน่บัว”

“มณีไม่มีทางได้เสวยสุขเด็ดขาด ไม่มีทางที่ฉันจะยอมเสียแก้วไปอย่างเสียเปล่า”บัวเอ่ยยืนยันคำของตนอย่างเด็ดขาด ทำเอาหมื่นนรินทร์รีบผุดลุกขึ้นมานั่งอย่างยากลำบาก บัวมองอย่างไม่สนใจ หมื่นนรินทร์นิ่วหน้ายกมือกุมหน้าอกตนเองด้วยท่าทีเจ็บปวด

“ไม่คิดว่าเธอจะเลวเช่นนี้ เจ้าหมื่นหน้ามืดรักเธอไปได้อย่างไร”

“ไม่ต่างจากที่แก้วรักท่านมานับสิบปีหรอกหรือ”คำตอบของบัว ทำให้หมื่นนรินทร์พูดไม่ออก

“ฉันคงอยู่ได้ไม่นานนัก ก่อนตายฉันหวังว่าจะได้เห็นหน้าลูกบ้าง บอกมณีให้พาลูกมาเยี่ยมฉันบ้างสิ”หมื่นนรินทร์เอ่ยเบาๆ ลูกสาวลูกชายของตนอาศัยอยู่ที่เรือนหลังเล็ก ทั้งมณีและแม่นมต่างไม่ยอมพาเด็กๆมาหาเขา ตั้งแต่เด็กเกิดมา เขาได้อุ้มชูไม่ถึงปี ก็ล้มหมอนนอนเสื่อ ป่วยหนักอยู่หลายเดือน กว่าจะดีขึ้นได้ เด็กๆทั้งสองก็ไม่ร้องหาพ่อเช่นเขาแล้ว

“คิดว่านางจะยอมหรือ นางเกลียดท่านไม่แปรเปลี่ยน”

“อืม ใช่”หมื่นนรินทร์ยอมรับโดยง่าย เอนพิงกับหัวเตียงอย่างเหนื่อยล้า เหงื่อไหลซึมใบหน้าซีดลงอย่างเห็นได้ชัด ร่างกายคล้ายคนหมดแรง แข้งขาอ่อนเปลี้ยไปด้วยเพราะผลจากโรคหัวใจ เกี่ยวข้องกับเส้นเลือดในร่างกาย

“รู้หรือไม่ ว่ามีพวกปากบอนปล่อยข่าวลือว่าเจอผีแก้วอาละวาด”บัวเปลี่ยนเรื่องสนทนา หมื่นนรินทร์หัวเราะอย่างไร้อารมณ์ขัน เหลือบมองหญิงที่ตนเกลียดจับใจ “แล้วจริงหรือไม่”

“ท่านคงตอบอิฉันได้ดีกว่า หากมีผีแก้วจริง คงไม่มัวไปหลอกหลอนผู้อื่น อิฉันว่าแก้วคงมาเยี่ยมเยียนท่านบ่อยๆมากกว่า”เธอเอ่ยช้าๆ มองใบหน้าของหมื่นนรินทร์ ตั้งแต่แก้วจากไป เธอไม่เคยเจอวิญญาณอะไรทั้งสิ้น เหลวไหลทั้งเพ

“นั่นสิ...”หมื่นนรินทร์พึมพำอย่างหดหู่ นัยน์ตาพลันหมองลง สามปีที่ผ่านมา เขาไม่เจอแม้แต่เสียงกระซิบ

“แต่คนในหมู่บ้านเขาพูดกันลือลั่น ว่าบ้านใหญ่ใกล้เชิงเขามีอาถรรพ์”บัวเอ่ยต่อไป แววตาวาววับ หมื่นนรินทร์หันมองคนพูด มองแววตาของอีกฝ่ายแล้วก็เข้าใจได้ทันที เขาหลุบตามองมือซูบผอมของตนเองนิ่งๆ

“หึ เธอปล่อยข่าวลือบ้าๆพวกนี้ไปเพื่อเหตุใด”

“ตระกูลที่ท่านวาดฝันไว้หนักหนาคงจะรื่นรมย์ไม่น้อย ลองนึกดูสิ ลูกท่านเติบโตไป ชาวบ้านคงเหม็นเบื่อ”

“เธอกำลังทำลายสิ่งที่เจ้าหมื่นสร้างมานะบัว”หมื่นนรินทร์เอ่ย นึกถึงเจ้าหมื่นที่พยายามสร้างความเป็นปึกแผ่นของของคนภิรมย์สุขมาเกือบตลอดชีวิตการออกราชการ

“ไม่ใช่เรื่องที่อิฉันต้องเก็บมาใส่ใจหรอก”

“ฉันไม่ขอโทษเธอหรอกบัว เธอเลวไม่ต่างจากฉันหรอก แต่ว่าฉันไม่เคยฆ่าคนเลยแม้แต่น้อย”หมื่นนรินทร์ส่ายหน้า

“ใช่ อิฉันเลวจนกู่ไม่กลับ คราวนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะมือเปื้อนเลือด”ถ้อยคำขู่ขวัญของบัวทำให้หมื่นนรินทร์ใบหน้าเปลี่ยนสี เพ่งมองบัวอย่างไม่นึกเชื่อ

“มณีเข้าใจผิดไม่ใช่หรือ!เพราะเธอไม่ใช่หรือบัว ที่ทำให้แก้วต้องมารับเคราะห์แทน เป็นแม่ประสาอะไรถึงทำให้ลูกตาย”หมื่นนรินทร์เค้นเสียงด่าทอต่อหญิงใจมาร บัวสะอึกไป ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด เธอโทษตนเองไม่ต่างกัน

“ใช่ ฉันยอมรับว่าเป็นเพราะฉันเอง แต่มณีคือฆาตกรไม่ต่างกัน จนป่านนี้แล้วท่านยังจะปกป้องนางอีกรึไง”บัวปรี่เข้าไปตบหน้าหมื่นนรินทร์ด้วยโทสะ ที่ผ่านมาเธอไม่เคยลงมือทำร้ายอีกฝ่ายมาก่อน แม้ใจอยากจะให้เจ้าตัวเจ็บปวดบ้างก็ตาม

“ฉันไม่ได้ปกป้องมณี คิดว่าฉันพอใจที่แก้วตายไปอย่างนั้นเหรอ”เขาเอ่ยอย่างอดทนไม่ไหว

“หึ อย่ามาเล่นบทโศกกับอิฉันหน่อยเลย เพราะท่านไม่ซื่อสัตย์ต่อแก้ว เรื่องมันถึงลงเอยเช่นนี้ หากท่านรักแก้วด้วยใจจริง ป่านนี้แก้วคงจะเป็นสุข”บัวเอ่ยเสียงดัง การที่หมื่นนรินทร์เอ่ยเช่นนี้เหมือนไปกระตุ้นความเจ็บปวดของเธอ หมื่นนรินทร์ก้มหน้าลง

“ยังคงโทษฉันแต่เพียงผู้เดียวงั้นสิ”สุ้มเสียงที่เอ่ยออกมาเจือความเสียใจให้ได้ยิน

“เพราะท่านต้องการบ้านไม่ใช่หรือ ต้องการเป็นใหญ่เป็นโต คนโลภเช่นท่าน คงไม่มีทางรักผู้ใดด้วยใจจริงนอกจากหวังผลประโยชน์”บัวเดินเข้าไปหาหมื่นนรินทร์ จ้องเข้าไปในดวงตาอิดโรยคู่นั้นอย่างถือโทษ

“...แก้วเป็นหลานของฉัน ถึงฉันจะโหดร้ายกับแก้วไปบ้าง แต่ก็ไม่เคยผลักไสไล่สง”หมื่นนรินทร์พยายามเอ่ยเพื่อแก้ต่างให้ตนเอง อาจเพื่อให้บัวคลายโทสะลง

“...ช่างเถอะ ตอนนี้ไม่มีประโยชน์ที่จะรื้อฟื้นเรื่องที่ผ่านมาแล้ว แก้วจากไปแล้ว ฉันไม่ยอมหรอก ท่านหมื่น หึ ท่านเองยังรักลูกของท่าน ฉันนั้นรักมากกว่าท่านเป็นร้อยเท่า ฉันไม่ปล่อยมณีไว้ รอให้ท่านตายไปก่อนแล้วฉันจะส่งนางตามไปทีหลัง”บัวเอ่ยอย่างเลือดเย็น หมื่นนรินทร์กำมือแน่น รู้สึกหมดสิ้นหนทาง

“บัว! พอทีเถอะ!”เขาหมายจะคว้าแขนของบัว แต่ร่างของหญิงสูงวัยเบนกายหนี เธอส่ายหน้า จากนั้นก็หันหลังแล้วเดินไปที่หน้าประตูห้อง ผินหน้าปรายตามองร่างอมโรคของคนบนเตียงอย่างเฉยชา

“ท่านพักผ่อนเถอะ อีกเดี๋ยวนายหวั่นจะมาดูแลท่านเอง”บัวบอกก่อนจะเปิดประตูห้อง

“ฉันยอมแล้ว บัว เธออยากได้อะไรล่ะ”หมื่นนรินทร์ยังคงตะโกนออกมาอย่างไม่ยอมแพ้ บัวส่ายหน้า แววตาไร้ซึ่งความเห็นใจ

“อิฉันบอกไปแล้ว ดูเหมือนท่านจะเลอะเลือนนะท่านหมื่น”

“คิดว่าฉันไม่เสียใจรึไง บัว!”หมื่นนรินทร์ตวาดลั่น จนหอบตัวโยน ร่างผ่ายผอมไอโขลก เขานอนลงอย่างหมดแรง สองตาไร้ความหวัง นางบัวจะไม่ให้เขาเหลือสิ่งใดไว้เลยหรือ หากว่าลูกทั้งสองคนเติบโตภายใต้การดูแลของบัว มันจะเกิดอะไรขึ้นกัน

 “หวั่น ไอ้หวั่น”หมื่นนรินทร์ร้องเรียกคนรับใช้คนสนิทอยู่หลายครั้งจนเสียแหบแห้ง แต่ก็ไร้เงาของมัน เขาถอนหายใจยิ้มเยาะตนเอง ขนาดนายหวั่นยังระอานายเช่นตน บ้านหลังนี้เขาไม่สามารถออกคำสั่งได้อีกแล้ว... บัว นางคิดจะบงการคนในบ้านให้กระด้างกระเดื่องต่อเขางั้นหรือ หมื่นนรินทร์นิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวดบริเวณกลางหน้าอกทั้งสองด้านเยื้องลงมาทางลิ้นปี่เล็กน้อย เจ็บแน่นจนอึดอัดจนลามไปถึงคอหอย ไหล่ซ้าย

คนพวกนี้จะปล่อยให้ตนตายไปเช่นนี้น่ะรึ หมื่นนรินทร์เอนตัวออกไปด้านข้าง อาการคลื่นไส้อาเจียนเริ่มกลับมาอีกครั้ง เนื้อตัวเย็นเยียบจนรู้สึกใจสั่นขึ้นมา เขาหลับตาแน่นพยายามผ่อนคลาย หากถึงเวลาตายขึ้นมา อย่างน้อยควรจะมีญาติพี่น้องมาดูใจสักครั้ง ในเวลานี้แม้แต่คนที่รักยังไม่เห็นหน้า ลูกชายและลูกสาวที่น่ารักทั้งคู่เหมือนอยู่ห่างไกลจากตนเหลือเกิน หมื่นนรินทร์ไม่ยินดีเลยสักนิด แม้ว่าจะมีทายาทไว้สืบสกุลสมใจก็ตามที หากว่าบัวคิดหาทางทำลายคนภิรมย์สุขในภายภาคหน้า คงเป็นความผิดของตน...

แก้ว... ตอนเธอตายอยู่คนเดียว เธอรู้สึกเช่นไรกัน หมื่นนรินทร์คิดวนเวียนเรื่องความตายไปตลอดวัน พลังใจของตนเองนั้นเหลือน้อยเต็มที หมื่นนรินทร์นิ่วหน้าอย่างเจ็บปวดเมื่ออาการเสียดแน่นกำเริบขึ้นมาอีก แม้มีหมอประจำบ้านแต่ทว่าหมอหนุ่มคนนั้น มาตรวจเขาเป็นเวลา อาการของตนนั้นคงที่ ไม่ได้ทรุดลงมาเกือบเดือน

ราวกับว่าประวิงเวลาไปเรื่อยๆ แก้ว...นี่เธอกำลังมองฉันอยู่หรือเปล่า

ไม่ถึงสัปดาห์อาการของหมื่นนรินทร์ทรุดลงไปเรื่อยๆ จนเขาไม่คิดอยากจะรักษาต่อ ราวกับว่าถูกเลี้ยงไข้ไปเรื่อยๆ อาการปวดหน้าอกบางครั้งก็รุนแรงจนแทบหายใจลำบาก บางครั้งก็เล่นเอาหมื่นนรินทร์นอนไม่หลับ ในหนึ่งวันเขานั้นคิดจะตายไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราวอยู่หลายครั้ง

กลางดึกคืนหนึ่งหลังจากที่หลับไปเพราะฤทธิ์ยา หมื่นนรินทร์ลืมตาตื่นขึ้นมา อาการเจ็บจี๊ดที่หน้าอกลามไปจนถึงหัวไหล่และกรามด้านซ้าย ร่างกายเย็นลงมีเหงื่อซึมไปทั่วสรรพางค์กาย หมื่นนรินทร์เหลียวมองไปรอบกาย ก่อนจะชะงักงัน ในใจพลันหม่นหมองขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นกรอบรูปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างเตียง เหมือนว่าบัวจะนำมาวางไว้ ในกรอบรูปเป็นภาพถ่ายของตนกับแก้ว ตอนนั้นแก้วอายุสิบแปดปีเต็ม กำลังเป็นหนุ่มแน่น เป็นรูปคู่ที่ถ่ายในสวนของเรือนเล็ก ตอนนั้นดอกแก้วบานสะพรั่ง

หมื่นนรินทร์เอื้อมไปหยิบกรอบรูปมาดู จู่ๆก็พลันเศร้าลง โหยหาอดีตเหล่านั้นขึ้นมา


....ในตอนที่ตนนั้นอายุได้สิบแปดปี สองแขนกำลังอุ้มเด็กชายวัยสามขวบไว้ในอ้อมอก เด็กน้อยหลับสนิทศีรษะวางเกยไหล่ของเจ้าตัว นรินทร์กำลังมองต้นแก้วที่กำลังโตได้ไม่ถึงเมตร เพาะมาได้สี่ปีกว่าๆแล้วต้นแก้วค่อยๆเติบโต แม้ตอนนี้ยังไม่ออกดอก แต่อีกสิบปีข้างหน้ามันต้องออกดอกสวย ส่งกลิ่นหอมไปทั่วเรือนแน่ๆ แก้ว...ชื่อนี้เหมาะแก่หลานคนนี้เสียจริง ที่ตนเลือกต้นแก้วก็เพราะคล้องกับชื่อหลานชาย ซ้ำยังขาวบริสุทธิ์ กลิ่นหอม แก้วโตมาต้องเป็นหนุ่มหล่ออย่างแน่นอน ใบหน้ายิ้มแย้มของนรินทร์ค่อยๆหุบลง เมื่อนึกถึงคำทักของพระรูปหนึ่ง หลวงปู่ท่านนั้นทักว่าเขาจะเจอกับดวงอริ เป็นผู้ชายหน้าตางาม เกิดในวันที่จันทร์ดับ... มันตรงกับแก้ว หลานชายของตนเอง คงเป็นเพราะหลวงปู่ทายทักไว้เช่นนี้เขาถึงได้ใส่ใจกับเด็กน้อยคนนี้เป็นพิเศษ ทีแรกนรินทร์ไม่ปักใจเชื่อนัก แต่ก็ยังหวั่นในใจ บอกตนเองไม่ให้งมงาย แม้ว่าพระรูปนี้จะเป็นที่เลื่อมใสของคนในมณฑลนี้ 

จวบจนกระทั่งเขาได้เลื่อนเป็นหมื่น เข้ารับราชการที่มณฑลนี้ได้สำเร็จย้ายมาอยู่บ้านเดียวกับเจ้าหมื่นที่ออกจากกรมหมาดเล็กมารักษาตัวเพราะโรคประจำตัว นรินทร์เจอกับแก้วอีกครั้งในวัยสิบห้าปี เด็กหนุ่มคนนั้นหน้าตาดีไม่ต่างจากพี่ชายตนในสมัยหนุ่ม แม้ดูอ่อนแอ เปราะบางไม่ต่างจากหญิงสาว พอถามไถ่เจ้าหมื่นก็พบว่าแก้วป่วยบ่อยเลยร่างกายผ่ายผอมไปบ้าง ต่างจากกิ่งและไกรรายนั้นรูปร่างสูง แข็งแรงดี ไม่แปลกที่แก้วโดนรังแกบ่อย พี่น้องพวกนี้ไม่รักใคร่กันเลย นรินทร์คอยห้ามทัพอยู่หลายหน เป็นเพื่อนคุยกับแก้วบ่อยๆ จนสนิทสนม มองไปมองมา หนุ่มน้อยคนนี้ถูกใจตนนัก จนลืมเสียสนิทว่าเป็นหลานชายแท้ๆ พอนึกขึ้นได้ยิ่งพลอยรู้สึกผิดบาป ได้โอกาสไปกราบไหว้หลวงปู่อีกครั้ง คราวนี้ท่านยังทักเช่นเดิมว่าจะเดือดร้อนจากเด็กหนุ่มที่มาติดพันตน หมื่นนรินทร์ประหลาดใจ “ดวงอริที่หลวงปู่เอ่ยถึง หมายความเช่นไร”

“เจ้าของเรือนชะตาอริกุมลัคน์ คือ ลักษณะของคนอมโรค ถ้าไม่ป่วยให้เห็นได้ชัด ก็มักจะมีโรคประจำตัวไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง บุคคลแบบนี้จะต้องมีโรคประจำตัว เจ็บป่วยง่าย หรือเป็นโรคเรื้อรังรักษายาก”

 “เรือนชะตาของโยมนั้นสถิตอยู่ภพมรณะ มรณะ หมายถึง ความตายและการดับสูญ มักจะมีสาเหตุของการเสียชีวิตอย่างกะทันหัน อายุไม่ยืนนัก หรือถ้าอายุยืนก็หาความเจริญได้ยาก คือ ตายทั้งเป็น แสดงว่าโยมจะเป็นคนอาภัพอับโชค ไม่มีวาสนา แต่เรื่องอายุสั้นนั้นมีอยู่อย่างชัดเจน เมื่อถึงวัยกลางคนจะต้องผ่านภัยมาแล้วหลายครั้ง และมีสิทธิวิบัติ หรือดับสูญได้เพราะอริ หรืออย่างน้อยก็อาจเกิดอุบัติเหตุที่ผู้อื่นทำให้เกิดได้ มีโอกาสที่ทำให้ชะตาของโยมต้องกระทบกระเทือน และชีวิตไม่ราบรื่นนัก”

ในตอนนั้นหมื่นนรินทร์รับฟังคำทายทักมาเงียบๆ ไม่นำมาคิดมาก เพราะเกรงว่าจะระแวงไปเสียทุกเรื่อง อีกอย่างแก้วเองเป็นเด็กดี ไม่คิดร้ายกับใคร เห็นทีหลวงปู่คงทำนายผิดเสียกระมัง ตนกับแก้วสนิทสนมกันตามประสาอาหลาน ในตอนแรกเขาไม่ได้สังเกตว่าแก้วปฏิบัติต่อคนอย่างไร เขาปฏิบัติต่อแก้วอย่างไร จนมีคนเอ่ยเตือนเข้าถึงได้มีเวลาทบทวน

เมื่อแก้วอายุสิบแปดปีแล้ว หน้าตาดีไม่เปลี่ยน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตนไม่ชมชอบหลานชายคนนี้  “รู้หรือไม่ ว่าต้นแก้วพวกนี้อายุกี่ปีแล้ว”

“เอ ตอนหลานจำความได้ก็เห็นพวกมันโตจนออกดอกเต็มไปหมด คงมากกว่าสิบปี”เสียงของเด็กหนุ่มวัยสิบแปดปีเอ่ยขึ้น ใบหน้ายิ้มแย้ม สายตามองต้นแก้วที่แซมไปด้วยช่อดอกแก้วสีขาวสะพรั่ง ผู้เป็นอาเหลียวมองหลานชายด้วยรอยยิ้มเช่นกัน

“คาดเดาได้ถูก ตอนฉันมาเยี่ยมเจ้าหมื่น ตอนนั้นเธอยังอยู่ในท้องแม่ สักแปดเดือนได้กระมัง ตอนนั้นฉันนำต้นแก้วมาเพาะไว้เป็นของขวัญแก่เธอเชียวนะ ต้นแก้วเหล่านี้อายุยี่สิบปีแล้ว”

“อ้อ จริงด้วย แปลกใจเสียจริง ที่ท่านอาปลูกต้นไม้ให้หลาน”แก้วเอ่ยยิ้มๆ หมื่นนรินทร์หันมองเด็กหนุ่มอย่างยินดี

“เพราะเจ้าหมื่นตั้งชื่อให้ว่าแก้วกระมัง ฉันเลยนึกขึ้นได้ว่าต้นแก้วคงเหมาะกับเธอ”

“ขอบคุณท่านอา”แก้วเอ่ยเบาๆ อยู่ๆก็รู้สึกยินดีในใจไม่น้อย

“มาตอนนี้ฉันคิดไม่ผิดจริงๆที่ปลูกให้เธอนะ ดูสิ มันเติบโตออกดอกสวย ดอกสีขาวพวกนี้มองไปแล้วเหมาะกับเธอ”

“ท่านอาพูดยอหลานถึงเพียงนี้ สงสัยคงมีเรื่องดีเกิดขึ้น”

“พูดได้ถูก ได้ข่าวว่าเธอเรียนจบแล้วไม่ใช่หรือ ฉันมีของขวัญให้ มาด้วยกันสิ”หมื่นนรินทร์เอ่ยบอกก่อนจะจับมือของแก้วให้เดินไปด้วยกัน ผ่านประตูรั้วบานเล็กลัดเลาะไปตามรั้วบ้าน เพื่อไปยังเรือนกระจก ในตอนนั้นแก้วดูตื่นเต้นจนเขาแอบยิ้มในใจ

“หวังว่าจะถูกใจเธอนะแก้ว”หมื่นนรินทร์เอ่ย เปิดประตูให้แก้วเข้าไปด้านใน จนกระทั่งประตูเปิดออกกว้างจนเห็นสิ่งที่วางไว้ที่โต๊ะเพาะเบื้องหน้า ท่ามกลางดอกไม้สีขาว จึงเห็นดอกไม้นั้นชัดเจนเด่นกว่าสิ่งอื่นใด กลีบเรียวขอบชมพูด้านในสีขาว มองไปคล้ายดาวห้าแฉก ดอกไม้ชนิดนี้หาไม่ง่ายนัก ดอกสีชมพูขาวสดชูช่อเด่น ประกอบกับลำต้นขนาดเล็กในกระถางขนาดประมาณหนึ่งช่วงแขน

“นั่นดอกชวนชมนี่”แก้วเอ่ยอย่างตกใจระคนแปลกใจรีบปรี่เข้าไปสำรวจดอกไม้ดังกล่าวทันที ใบหน้าประดับรอยยิ้มจนแก้มขึ้นเป็นลูกชัดเจน

“ไม่ใช่ของมีราคาด้วยสิ”หมื่นนรินทร์เอ่ยยิ้มๆ แก้วรีบปล่อยดอกไม้ ก่อนจะหันมองผู้เป็นอาด้วยสายตาไม่เห็นด้วยนัก

“พูดเช่นนั้นผิดแล้ว หลานชอบ แถวนี้หาดอกไม้ฝรั่งได้ที่ไหนกัน ขอบคุณท่านอามาก”แก้วยิ้มดีใจ นรินทร์อดไม่ไหวเข้าไปกอดหลานชายเอาไว้แน่น คนถูกกอดดูตกใจไม่น้อย...

 นึกถึงเรื่องเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนแล้วทำให้ในใจอดเศร้าไม่ได้ เวลานี้หมื่นนรินทร์จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ‘หรือเป็นอาการของคนใกล้ตาย’ หมื่นนรินทร์ส่ายหน้า มองแววตาสุกใสของหลานรัก

แก้ว...โชคร้ายเสียจริง

“ขอโทษนะ”หมื่นนรินทร์พึมพำแผ่วเบา ก้อนเนื้อในอกซ้ายมันบีบรัดจนเจ็บปวด ไม่ทราบว่าเพราะอาการของโรคหัวใจกำลังออกฤทธิ์หรือเพราะความรู้สึกที่มีต่อแก้วกันแน่

“คงเกลียดฉันมากเลยสินะ จนตายก็ไม่มาหลอกหลอนฉัน คงดีใจเสียมากกว่าที่มีอิสระเสียที...ใช่หรือไม่”หมื่นนรินทร์เอ่ยกับตนเอง ในเวลานี้เขาแทบไม่เหลือคนเป็นให้พูดคุย หากการมีชีวิตอยู่นั้นยากถึงเพียงนี้ เหตุใดเขาจึงไม่รีบลาโลกไปเสีย

หมื่นนรินทร์ถอนหายใจ ยิ่งมองภาพนั้นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องในครานั้น... วันที่ต้นแก้วออกดอกสวยงาม ที่สวนหญ้าขนาดเล็กหน้าเรือนปั้นหยาขาวละลานตาไปด้วยกลีบดอกแก้วที่ล่วงหล่นบนพื้นหญ้า มองไปก็สวยเพลินตา ถ้าหากว่าตนไม่มายุ่งเกี่ยวกับแก้วล่ะก็ คงไม่ลงเอยอีหรอบนี้

‘ไม่...ไม่ใช่หรอก เป็นเพราะฉันสินะ’หมื่นนรินทร์คิดวนไปวนมา คำกล่าวโทษของบัวยังแจ่มชัดในหัว ‘เป็นความผิดของท่านหมื่น’

“ถ้าเช่นนั้น ฉันขอชดใช้ให้เธอเองแก้ว... ฉันผิดเองที่รักษาคำพูด ไม่ควรเอ่ยคำสาบานแบบขอไปที คำบอกรักก็เช่นกัน ฉันไม่ควรเอ่ยไปง่ายๆเช่นนั้น”หมื่นนรินทร์พึมพำ ก่อนจะมองกรอบรูปอย่างไม่วางตา ภายในห้องนอนอันเงียบสงบ เหมือนจะหม่นลงด้วยอารมณ์ของเจ้าของห้อง เสียงลมหอบใหญ่พัดเข้าหาตัวบ้านจนได้ยินเสียงหวีดหวิวของลม เสียงชายผ้าม่านสะบัดไปมา หมื่นนรินทร์หันมองไปทางหน้าต่างทรงสูงที่เปิดอ้ากว้างไว้ จ้องมองไปที่ความมืดจากด้านนอกบ้าน สองหูพลันได้ยินเสียงกรุ๊งกริ๊งเบาๆสองสามครั้งเป็นจังหวะ เขาชะงักไป พยายามฟังเสียงสรรพสิ่งรอบกายอีกครั้ง เขาก้มมองคนในรูปอีกครั้ง

แก้วงั้นเหรอ...

สามปีที่ผ่านมา หมื่นนรินทร์ไม่เคยสัมผัสถึงสิ่งที่ล่วงลับไปแล้ว ไม่มีแม้แต่เงา ความฝัน จะมีก็แต่ความทรงจำเก่าที่คอยตอกย้ำว่าแก้วดีต่อตนเพียงใด ทว่าคืนนี้กลับแปลกไปกว่าทุกที เขากระสับกระส่าย เมื่อเวลาผ่านไปนานจนแน่ใจแล้วว่าตนอาจหูฟาดไปเอง หมื่นนรินทร์เก็บกรอบรูปวางไว้ที่เดิม ก่อนจะหลับตาลงอย่างอ่อนเพลีย อาการเจ็บปวดยังไม่จางหายไปจากก้อนเนื้อที่อกซ้าย มันยังคงออกฤทธิ์ลามไปทั่วร่างกายซีกซ้ายอยู่เป็นระยะ

หมื่นนรินทร์คล้ายกึ่งหลับกึ่งตื่น ราวกับตกอยู่ในฝันอันหอมหวาน กลิ่นดอกแก้วหอมบางเบา เขาลืมตาตื่น พบว่ายังคงนอนอยู่บนเตียง แต่ทว่าคนตรงหน้ากลับกลายเป็นแก้ว หลานผู้ล่วงลับไปแล้ว หมื่นนรินทร์ผงะไป ก่อนจะรู้ตัวว่าตนนั้นกำลังนอนอยู่บนตักของแก้ว

“อย่าตกใจไป นี่หลานเอง ไม่ใช่ใครอื่น”แก้วหัวเราะเบาๆ แววตาอ่อนโยนคู่นี้เจือความเศร้า หมื่นนรินทร์หมายจะผุดลุกหนีหลานรัก แต่แก้วกลับกดบ่าของตนไว้ให้นอนลงเช่นเดิม

“แก้ว...นี่ เธอมาได้ยังไงกัน”หมื่นนรินทร์เอ่ยถามแผ่วเบา กลิ่นดอกแก้วยังคงไม่จางหายไปไหน กลิ่นกายเดิมของหลานรักไม่เปลี่ยน แก้วยิ้มบางๆ

“คิดว่าหลานมาได้เช่นไรเล่า หากไม่ใช่ความฝัน”

“ฝันงั้นเหรอ”

“...จำคำของท่านอาไว้ให้ดี ท่านเอ่ยออกมาแล้วมิอาจคืนคำได้”แก้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ก้มหน้ามองผู้เป็นอาด้วยสายตาเศร้าสร้อย หมื่นนรินทร์นิ่งงัน นึกถึงคำพูดก่อนหน้านั้นของตน

“ฉันจะชดใช้ให้เธอเอง”เขาเอ่ยเช่นเดิม

“...ดีๆ”แก้วพึมพำ น้ำเสียงขาดห้วนไป แววตาเหม่อลอย “ท่านอาน่าจะรู้ตัวเองว่าคงเหลือเวลาไม่มาก... ท่านกำลังจะตาย”

“ใช่ ฉันรู้ตัวดี”

“หลานไม่สามารถจากไปไหนได้....”คำพูดของแก้วทำให้หมื่นนรินทร์คิ้วขมวด มองหน้าหลานรักอย่างแปลกใจ

“หมายความว่าอย่างไร งั้นก็จริงอย่างที่คนอื่นลือ”

“ไม่จริง... จิตของหลานไม่ได้กลับสู่สังสารวัฏ หลานไม่ได้ผุดได้เกิด...เพราะคำแช่งของมณี...ท่านอาโปรดระวัง คำสาบัตย์สาบานมีอำนาจมากกว่าที่ท่านคิด คำที่ท่านเคยเอ่ยจะย้อนกลับมาทำลายท่านและลูกหลานในภายหลัง”แก้วเอ่ยเสียงเศร้า ใบหน้าเปื้อนยิ้มที่มองอย่างไรก็ไม่ใช่ความสุข เป็นความทุกข์ หมื่นนรินทร์ขยับปากกำลังจะเอ่ยถ้อยคำสำคัญ แต่เสียงโครมครามจากรอบกายทำให้หมื่นนรินทร์ตื่น

“ท่านหมื่น!”เสียงเรียกดังลั่น ตนสะดุ้ง ความเจ็บปวดพลันแล่นไปทั่วร่างกาย โดยเฉพาะที่หน้าอก สองตาพลันมองเห็นใบหน้าของหมอหนุ่มประจำบ้าน ก่อนที่สายตาจะพร่าเบลอ สองหูอื้ออึ้งไม่อาจได้ยินคำใดจากคนรอบกาย ดูเหมือนว่าสรพยางค์กายของตนไม่อาจรับการรักษาต่อไปได้ ความเจ็บปวดร้าวรานไปทั่วอกซ้ายและหัวไหล่ แล่นแปลบมาถึงกรามด้านซ้าย ความเจ็บปวดคราวนี้ดูท่าจะยาวนานกว่าปกติและสามารถหยุดยื้อช่วงชิงลมหายใจของหมื่นนรินทร์ไปได้


เฮือก

“โอ้ย....”ภูวรินทร์กุมหน้าอกซ้ายอย่างเจ็บปวดคล้ายกับอาการเหล่านี้กำลังเกิดกับตนเอง เขาอ้าปากหายใจกอบโกยเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดอย่างช้าๆ พยายามหายใจด้วยจมูก ทั้งร่างเกลือกกลิ้งกับพื้นดิน เขานอนหมดแรงอยู่ที่พื้น สองตาจับจ้องท้องฟ้าแจ่มใสเหนือร่างตน

เขายังคงอยู่ที่สุสาน

ให้ตาย ช่างทรมานราวกับเป็นเรื่องจริง เขาหยิกแขนตนเองให้รู้ตัว ก่อนจะยกมือลูบที่อกซ้ายเบาๆ ความทรงจำสุดท้ายของหมื่นนรินทร์ เหมือนว่าอีกฝ่ายจะยอมแพ้ต่อความเจ็บป่วยและยอมรับความผิดของตนเอง เขาผุดลุกมานั่งก่อนจะปัดเศษดินเศษหญ้าออกจากลำตัวและท่อนแขน ก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นยืนช้าๆ สูดหายใจเข้าออกยาวๆ

เพราะคำมั่นที่เอ่ยไว้ต่อคุณแก้ว หมื่นนรินทร์จึงกลับมาเกิดเป็นตนเองในที่สุด แต่คุณแก้วต้องรอถึงเจ็ดสิบกว่าปี ซ้ำยังไม่มีร่างเป็นของตนเอง ต้องพึ่งพาร่างกายของอินทนิล นี่มันเป็นโชคชะตา หรือว่าเวรกรรมกันแน่นะ แต่คุณแก้วผิดอะไรกันล่ะ นอกจากจะเป็นผู้เคราะห์ร้ายจากความอาฆาตของผู้อื่นทั้งสิ้น  ยิ่งเห็น ภูวรินทร์ก็ยิ่งสูญสิ้นกำแพงในใจลงไปทุกที


+++++++++++

ตอนนี้ยาวไปหน่อย ไม่รู้จะตัดบทตอนไหนดี
พยายามสร้างโม้เมนต์หวานๆท่ามกลางความหม่นหมอง แต่ก็ได้เท่านี้จริงๆ 555  :ling2:

ขอบคุณสำหรับการติดตามเช่ยเคยจ้า
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๓ l ๕.๐๒.๖๑ หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: @Sister ที่ 05-02-2018 03:10:06
 :hao4: บอกไม่ถูกเลยตอนนี้
ไม่อยากให้เศร้า
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๓ l ๕.๐๒.๖๑ หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 05-02-2018 07:50:25
ยิ่งอ่านยิ่งเศร้า
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๓ l ๕.๐๒.๖๑ หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: allegiant1994 ที่ 05-02-2018 09:36:02
หมื่นนรินทร์เป็นคนทีทเห็นแก่ตัวมาก
น่าเสียดายที่เกือบจะได้มีรักแท้แล้ว
แต่กลับถูกความเห็นแก่ตัวครอบงำ
สงสารก็แต่ชาติปัจจุบันที่ต้องมาทนรับกรรม
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๓ l ๕.๐๒.๖๑ หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 05-02-2018 14:25:20
       ความเลวร้ายที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นอย่าได้โทษใครเลยท่านอา
เพราะหมื่นนริมทร์เป็นคนเริ่มทุกอย่างขึ้นมาเอง
ทั้งคำสาบานที่มีต่อแก้วความไม่ซื่อสัตย์ต่อความรัก
       ส่วนบัวจะว่าไปที่นางเเค้นได้ขนาดนี้ไม่แปลกเลย
เพราะตั้งแต่ที่นางท้องนางก็ยอมเสียสละมามากแล้วที่ต้องยอมยกลูกให้คนอื่นเลี้ยงดู
และตัวเองมาเป็นแค่แม่นม จะบอกว่าตนเป็นแม่ก็ไม่ได้
เวลาเห็นลูกเจ็บปวดเสียใจทั้งจากความรัก และ การแกล้งจากพี่ๆน้องๆด้วยกัน นางจะเสียใจแค่ไหนที่ทำหน้าที่แม่ไม่ได้ทำได้แค่บ่าวที่เลี้ยงแค่นั้น
       เพราะฉะนั้นไม่แปลกที่นางจะรักและอยากทำให้ลูกมีความสุขถึงวิธีจะดูใจร้ายไปมาก แต่ ก็มาจากความรัก และสาเหตุก็เพราะหมื่อนนรินทร์ทั้งนั้น ท่านอาตอนท้ายในช่วงชีวิตคิดได้เพราะตัวเองไม่เหลือใครเลยต่างหากลองท่านอามีสุขซิท่านอาจะคิดอะไรได้บ้าง
       เรื่องนี้ตัวละครที่น่าสงสารคือบัวกับแก้วต่างหาก มณีที่ว่าน่าสงสารยังไม่เท่า
เพราะในเมื่อรู้ตัวว่าแก้วคือใครนางสามารถถอยออกมาได้นิ
แล้วนางก็จะไม่แท้งด้วยถ้านางใจเเข็งไม่กลับมาที่บ้านของท่านหมื่นอีกแต่นางก็มีความถือดีไง
       บทสรุปจะออกมาแบบไหนรออ่านต่อนะค่ะ :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๓ l ๕.๐๒.๖๑ หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 05-02-2018 17:49:30
สงสัยใครดี เห้ออเ
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๓ l ๕.๐๒.๖๑ หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 05-02-2018 21:23:41
 :pig4:
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๔ l ๖.๐๒.๖๑ หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 06-02-2018 21:18:27
ตอนที่ ๑๔

ภูวรินทร์เดินกลับเข้าไปในบ้านตามเดิม เจออินทนิลอยู่ในครัว อีกฝ่ายดูตกใจที่เห็นเขาเนื้อตัวเปื้อนฝุ่นเข้ามาถามไถ่เป็นการใหญ่ เขามองแล้วนึกขำอยู่บ้าง

“ฉันไม่เป็นอะไรหรอกน่า”เขาบอก ส่งยิ้มให้เด็กหนุ่ม อินทนิลมองเขา ขมวดคิ้วจนเคยชิน

“คุณยิ่งไม่สบายอยู่นะครับ เดี๋ยวก็ป่วยอีกหรอก”อินทนิลเอ่ย มองเขาด้วยสายตาเป็นห่วง ชายหนุ่มเดินไปที่โต๊ะอาหาร เห็นว่าเช้านี้เป็นข้าวต้มหมูธรรมดา เขาไม่อยากอาหารเท่าไหร่ แต่ก็จำใจทานมื้อเช้า เพราะอินทนิลไม่ยอมท่าเดียว

“ใครกันแน่ที่ทำตัวเด็ก”อินทนิลเอ่ยเบาๆ ภูวรินทร์ยิ้มเซื่องซึมเพราะภาพในอดีตบั่นทอนจิตใจไม่น้อย แต่ไม่ได้บอกเล่าให้อีกฝ่ายฟัง มันเป็นเรื่องของหมื่นนรินทร์ เขาเองก็ไม่อยากให้อินทนิลมาแบกรับด้วย

“ป้าษอรไปไหนแล้วล่ะ”เขาถาม

“ออกไปตลาดกับตาชมน่ะครับ อยากได้อะไรหรือเปล่า”อินทนิลมองเขาตาไม่กระพริบ ชายหนุ่มส่ายหน้า

“ไม่มีหรอก แค่สงสัย ไม่เห็นหน้าแต่เช้า”เขาบอกไปแบบนั้น

“มีอะไรหรือเปล่าครับ อินน์ได้กลิ่นธูปด้วย ษอรก็มีกลิ่นเหมือนกัน”อินทนิลถามทันที แววตากระจางใสมองมาที่ตนอย่างค้นหา ภูวรินทร์ยิ้มจาง

“ฉันแค่ไปไหว้บรรพบุรุษที่สุสานมาน่ะ ไม่มีอะไรหรอก”เขาบอก อินทนิลเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ  “อา งั้นเหรอครับ...นึกว่าคุณภูจะไม่นับญาติกับท่านอาแล้วซะอีก”อีกฝ่ายเอ่ยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง แต่ก็ทำให้เขาอดหัวเราะไม่ได้

“หนีความจริงไม่ได้นี่”เขาบอก ก้มตักข้าวต้มที่ยังร้อนอยู่ขึ้นมาเป่าก่อนจะเอาเข้าปาก เขาไม่หิว การทานข้าวต้มจึงเป็นการทานอาหารที่ไร้รส

“คุณภูไม่ฝันร้ายแล้วใช่ไหม”

“อือ แต่กลายเป็นฝันเรื่องในอดีตแทน ดีเหมือนกันนะ”

“เหรอ”อินทนิลพึมพำอย่างไม่เข้าใจ

“เธอเองก็อย่าเก็บเรื่องคุณแก้วไปคิดมากจะดีกว่า ละเมอบ่อยๆคงไม่ดีนัก”ภูวรินทร์เอ่ยขึ้นมา เมื่อนึกขึ้นได้ อินทนิลมองเขาด้วยแววตาอบอุ่น “จะพยายามครับ”


เมื่อตะวันลับฟ้าไป รอบบริเวณบ้านเก่าตกอยู่ในความมืด เสียงสัตว์กลางคืนส่งเสียงระงม ชายหนุ่มเดินไปปิดหน้าต่าง เห็นพระจันทร์เต็มดวง แสงสีเหลืองอร่ามกระจ่างไปทั่วผืนฟ้า ค่ำคืนนี้ไม่มืดหม่นนัก อินทนิลกลับมานอนกับเขาเช่นเดิมแล้ว ยังคงนำดอกแก้วกลับมาด้วยเสมอ นอกจากจะถวายพวงมาลัยไว้เหนือเตียงนอนแล้ว ดอกแก้วที่นำมาไว้ข้างหมอน ส่งกลิ่นหอม อาจหอมเกินกว่าที่เขาจะหลับลงได้

“รู้สึกไม่ดีหรือครับ”อินทนิลเอ่ยถาม เมื่อเขาขยับหมอนออกห่างจากดอกแก้ว ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ

“ไม่ใช่ว่าไม่ชอบดอกแก้วหรอก แต่แค่กลิ่นมันแรงไปหน่อย”เขาบอก เด็กหนุ่มย่นคิดอย่างไม่เห็นด้วย แต่ก็ยอมย้ายดอกแก้วไปไว้ฝั่งตนเองแทน ภูวรินทร์ถอนหายใจอย่างแผ่วเบา เพราะคุณแก้วเชื่อมโยงกับดอกแก้ว จนทำให้อินทนิลมีนิสัยชอบดอกแก้วไปด้วย เรียกว่าเป็นการแบ่งปันสำนึกคิดหรือเปล่านะ แล้วอย่างนี้อินทนิลยังเป็นอินทนิลอยู่หรือไม่ ชายหนุ่มไม่แน่ใจนัก

“นี่อินน์...ตอนนี้คุณแก้วยังอยู่กับเธอใช่ไหม”เขาหันไปถาม เด็กหนุ่มที่กำลังเอนตัวลงนอนถึงกับชะงักไป เจ้าตัวขยับมานอนตะแคงหันหน้ามาทางเขาแทน

“ใช่ อินน์ยังรู้สึกถึงท่านอยู่”อินทนิลตอบ แววตามีคำถาม

“เธอรู้สึกยังไงล่ะ”เขาถามด้วยความอยากรู้ อินทนิลมีสีหน้ายุ่งยากใจขึ้นมา

“เอ...บอกไม่ถูกครับ อินน์แค่รู้สึกว่าท่านยังคงอยู่ เหมือนว่าในร่างกายนี้มีความรู้สึกของท่านร่วมด้วย แต่ไม่ใช่สิ่งไม่ดีนะครับ”อินทนิลเอ่ยช้า ๆ สายตามีความกังวลเมื่อเห็นเขาขมวดคิ้วกับคำตอบนี้ ชายหนุ่มมองอินทนิลอยู่นาน ใบหน้าเรียว กับเรือนผมอ่อนนุ่มยาวคลอเคลียบ่าแคบนั้นทำให้เขาถอนสายตาไปได้ยาก เขาเองก็เห็นเต็มตาว่าอินทนิลโตเกินวัยเด็กสิบห้าปีเสียแล้ว ในใจรู้สึกผิดบาปขึ้นมาบ้างจนต้องหาเรื่องสนทนา

“อืม แล้วทำไมท่านไม่ออกมาล่ะ”ชายหนุ่มถามถึงคุณแก้วแทน 

“การลอยอังคารเถ้ากระดูกของท่าน ส่งผลให้จิตท่านไม่แข็งแรงเหมือนเก่า คล้ายกับคลื่นวิทยุที่จูนไม่ติด อินน์ก็รับมาได้ไม่ชัดเจน...”เด็กหนุ่มเอ่ย เม้มปากเมื่อหมดคำเล่า ท่าทางกังวลใจกับข้อสงสัยของเขา

“ฉันแค่อยากรู้เท่านั้นเอง อย่ากังวลไปเลย”ภูวรินทร์เอ่ย เอื้อมไปดึงผ้าห่มมาคลุมลำตัวตนเองไว้อย่างเคยชิน อินทนิลยิ้มแย้มก่อนจะนอนลงกับเตียง ยังคงหันกายมาทางเขา “ขอให้คุณภูหลับฝันดีครับ”เด็กหนุ่มบอก ชายหนุ่มหันมายิ้ม พยายามทำใจให้ปลอดโปร่ง อินทนิลหลับตาลง เหมือนว่าการนอนหลับจะเป็นเรื่องง่ายสำหรับเด็กหนุ่ม ต่างจากตนนัก เขายังคงนอนไม่หลับ ชายหนุ่มนอนมองเพดานอยู่ในแสงสลัวจากโคมไฟอยู่เกือบชั่วโมง จนเปลือกตาเริ่มล้า ร่างกายเริ่มอ่อนเพลีย ก่อนจะเข้าสู่ห้วงนินทราไปช้าๆ

          บริเวณบ้านเงียบสงัด มีกระแสลมพัดผ่านเข้ามาใส่ตัวบ้านอยู่เนืองๆ จนได้ยินเสียงของมันเป็นเครื่องขับกล่อม ค่ำคืนนี้พระจันทร์เต็มดวง คล้ายกับเต็มใจให้คนออกมาเชยชม ไม่ต่างอะไรกับหมื่นนรินทร์ที่ออกมาเดินเล่นในสวนเหมือนอย่างเคยในเวลาที่ตนนอนไม่หลับ แต่ไม่นึกว่าจะเจอกับแก้วในเวลานี้ ยิ่งมองเห็นแก้วแล้ว เขาจึงรู้ว่าความรู้สึกที่มีต่อหลานชายคนนี้แตกต่างจากคนอื่นอยู่มาก เพราะเอาใจใส่มากเกินไป อาจจะรักใคร่เอ็นดูมากเกินกว่าอาหลาน

“นอนไม่หลับหรือ”แก้วเอ่ยถาม เมื่อเดินมาหยุดที่ใจกลางลานบ่อน้ำพุ แก้วสวมชุดนอนสีเรียบเดินไขว่แขนไปด้านหลัง ใบหน้าที่สะท้อนผ่านแสงสว่างยามค่ำคืนดูงดงามไปอีกแบบ

“เปล่า แค่อยากออกมาชมจันทร์ก็เท่านั้น ไม่นึกว่าจะเจอแก้วด้วยซ้ำ”เขาเอ่ยออกไป

“วันนี้พระจันทร์สว่างมาก”แก้วพึมพำ แหงนหน้ามองพระจันทร์ที่ลอยเด่นเหนือศีรษะอย่างใจลอย หมื่นนรินทร์ยิ้มออก ลอบสังเกตสีหน้าของหลานชายที่เหมือนจะหม่นเศร้าลงไปถนัดตา

“เป็นอะไร ทำหน้าโศกเศร้าอีกแล้ว”

“ได้ข่าวว่าท่านอากำลังจะหมั้นหมาย”แก้วเอ่ย ไม่ได้หันมองมาทางผู้เป็นอา

“ฮ่าๆ ว่าไปเรื่อย ฉันยังไม่ถึงวัยออกเรือน ไม่คิดจะมีเมียเร็วหรอก อย่าไปฟังแม่ฉันมากเลย”หมื่นนรินทร์ส่ายหน้า แววตาเปล่งประกายคลายกับขบขันออกมา แก้วจึงหันมองเขา

“ก็เห็นคนรับใช้พูดกันบ่อย”

“ฉันยังไม่มีคนที่ชอบหรอก”หมื่นนรินทร์เอ่ยเบาๆ เหลือบมองหลานชายด้วยสายตาจับสังเกต เห็นเจ้าตัวยังคงเงียบจึงเอ่ยต่อไป “ไม่สิ ฉันไม่ถูกใจหญิงสาวเท่าไหร่”

แก้วหันมาจ้องเขาทันทีที่เอ่ยจนจำคำ สีหน้าดูประหลาดใจ เพียงไม่นานใบหน้าที่เคยหม่นหมองกลับมีสีหน้าดีขึ้นมาอย่างไม่ปกปิด หมื่นนรินทร์ยิ้ม ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้หลานชาย

“นี่แก้ว เธอว่าฉันแปลกประหลาดไหม”เขาเอ่ยน้ำเสียงเคร่งขรึมจริงจัง สายตาไม่ละไปจากใบหน้านุ่มนวลของวัยหนุ่มสะพรั่งของหลานชาย แก้วมองเขาอยู่นานแล้วส่ายหน้า

“ไม่เลยครับ”

“จริงหรือ หากไปบอกคนอื่น เขาคงจับฉันเข้าโรงหมอแน่ๆ”หมื่นนรินทร์หัวเราะไปด้วย แก้วมีสีหน้าเป็นกังวล “ร้ายแรงถึงเพียงนั้นเลยหรือ”

“ฉันถึงไม่เปิดเผยนัก โดยเฉพาะกับคนในบ้านนี้”หมื่นนรินทร์เอ่ยเบาๆ มองแก้วไม่วางตา อีกฝ่ายเบือนหน้าหนีไปมองต้นไม้แทน เขายิ้ม “ฉันเห็นแก้วมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ไม่คิดว่าตนเองจะมองแก้วต่างจากคนอื่น”หมื่นนรินทร์เอ่ยความในใจออกไป ที่จริงเขาไม่คิดจะเปิดเผยไปจนหมด แต่เห็นแก้วยังไม่ตอบสนองต่อคำหวานของตนแล้วก็อดอยากเห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่ายบ้าง แก้วนิ่งไป แววตาสั่นไหว

“ท่านอา”

“เธอไม่รู้จริงๆหรือ”หมื่นนรินทร์เอ่ย ขยับไปยืนตรงหน้าของแก้ว ไม่ยอมให้เจ้าตัวเสไปมองทางอื่น

“...ท่านอาพูดจริงหรือไม่เล่า อย่ามาอำกันเลย”แก้วเอ่ยเสียงเรียบ มองเขาอย่างค้นหา หมื่นนรินทร์ยิ้มกว้าง ในใจนึกยินดีกับท่าทีของหลานชายไม่น้อย ดอกไม้ในใจเบ่งบาน

“เปล่า ฉันพูดจริง ไม่เห็นหรือว่าฉันดีแค่แก้วคนเดียว”หมื่นนรินทร์เอ่ยกระซิบ ถ้อยคำนี้ไม่ผิดกับความจริง เขาดีกับแก้วมากกว่าผู้ใด แก้วยังคงเงียบ แววตายังสับสนอยู่ไม่น้อย ผู้เป็นอาข่มความร้อนรนเอาไว้ จึงเอ่ยปากเร่งเร้าต่อ

“แล้วแก้วล่ะ คิดกับฉันเช่นไร”จบคำของตน แก้วหายใจติดขัด ขบปากเข้าหากันราวกับกำลังใคร่ครวญอย่างหนัก เขาไม่เร่งรัด รอคอยอีกฝ่ายอย่างใจเย็น

“...หลานบอกไม่ถูก แต่ในบ้านนี้มีเพียงท่านอาที่ดีกับหลาน”แก้วเงยมองผู้เป็นอา แววตามีความรักความผูกพันไม่ปิดบัง หมื่นนรินทร์ยิ้มออก

“ถ้าเช่นนั้น เราถือว่ารับรู้กันสองคนนะ”เขาเอ่ยเบาๆ ก้มมองหลานชายอย่างยินดี แก้วมองเขาอยู่นาน สุดท้ายก็ยอมพยักหน้าตกลง

“แล้วท่านอย่าทำให้หลานเสียใจล่ะ”แก้วเอ่ยเบาๆ “ฉันไม่คิดทำร้ายเธอหรอกแก้ว”หมื่นนรินทร์ตอบ แก้วจึงยิ้มอย่างพอใจหมื่นนรินทร์รู้สึกยินดีที่เห็นเด็กน้อยที่เคยอุ้มชูยังรักเขาไม่เปลี่ยน ใครอื่นต่างปรามาสตนว่าด้อยกว่าเจ้าหมื่นประดิษฐ์ ที่มีอายุห่างจากเขาเกือบสิบปี มองอย่างไรก็ไม่นับว่าเป็นพี่ คล้ายกับเป็นพ่อคนที่สองของตน คงเพราะหน้าที่การงานของเจ้าหมื่นที่ห่างจากเขาลิบลับ หมื่นนรินทร์มีตำแหน่งแค่หมื่นธรรมดาๆเท่านั้น อยู่ในบ้านหลังนี้มีคนก้มหัวให้ พอออกไปราชการ กลับต้องไปก้มหัวให้ผู้อื่นอยู่ดี ขณะนั้นเองหมื่นนรินทร์รีบคว้าแขนแก้วมาหลบหลังบ่อน้ำพุ เหลียวมองดูรอบกายแล้วไม่มีใครอื่นนอกจากคนทั้งคู่ แก้วตกใจ “มีอะไรหรือท่านอา”

“เห็นแก้วตอนนี้แล้ว ฉันอดใจไม่ไหวจริงๆ”นรินทร์เอ่ย ก่อนจะเข้าไปหาหลานชายช้าๆ เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายตกใจมากกว่าเดิม แก้วชะงักเหลือบมองเขาด้วยแววตาอ่อนโยน เขายิ้ม โน้มหน้าลงไปหา จูบแก้วอย่างแผ่วเบา หัวใจเต้นระส่ำ เพราะเป็นครั้งแรกที่สัมผัสเนื้อต้องตัวกับชายด้วยกัน และยังเป็นหลานชายของตนอีกด้วย แก้วยืนนิ่งงัน ทำอะไรไม่ถูกแต่ก็ยอมโอนอ่อนตาม

“ฉันรักแก้วนะ”นรินทร์เอ่ยกระซิบออกไป แม้ว่าคำ‘รัก’ของตนในเวลานั้นอาจไม่ใช่รักที่สุดของหัวใจ แต่ก็เป็นรักในวัยหนุ่มของตน แก้วกระพริบตา ยังคงมึนงง แต่กลับยิ้มอย่างเขินอาย

“รักหรือ”

“ใช่สิ ฉันว่าฉันรักแก้วนะ”หมื่นนรินทร์บอก ไม่รู้ว่ารักเพราะผูกพันในฐานะอาหลานด้วย หรือรักเพราะแก้วดีต่อตนเองด้วยเช่นกัน ในเวลาเขาลืมเลือนคำทำนายเหล่านั้นไปจนหมดสิ้น เจ้าชะตาอริงั้นเหรอ ไม่เห็นเหรอ แก้วดีต่อเขาถึงเพียงนี้ ไม่มีวันทำร้ายตนได้แน่ๆ หลังจากแก้วอายุยี่สิบปีเต็ม เจ้าหมื่นก็ป่วยหนักจนร่างกายเริ่มผ่ายผอม อาการไม่ดีมาหลายสัปดาห์ ดูแล้วคงอยู่ได้ไม่นานนัก เจ้าหมื่นเรียกนรินทร์ไปคุยก่อนจะสิ้นใจ บอกความลับอันน่าตกใจให้ตนได้รู้ แก้วเป็นลูกของหญิงอื่น...ไม่น่าเชื่อ หมื่นนรินทร์ออกมายังคงพูดไม่ออก ก่อนจะค่อยๆคิดอย่างมีสติ ....บัวหรือเปล่านะ...

บัวงั้นเหรอ...

หมื่นนรินทร์หัวเราะในใจ หลังงานศพของเจ้าหมื่นเสร็จสิ้น แก้วอยู่ในสภาวะซึมเศร้า เขาต้องมาอยู่เป็นเพื่อน เมื่อเจอบัวเข้า สายตาของนางมองมาที่ตนอย่างสังเกต แววตาที่หวาดระแวงอยู่เสมอ ที่แท้เพราะเธอเป็นแม่ของแก้วนี่เอง มิน่า ถึงได้มองตนแปลกๆ ช่วงนั้นหมื่นนรินทร์อยู่ปลอบแก้วอยู่นาน เขาคิดทบทวนเรื่องของแก้วอีกครั้ง เจ้าหมื่นยกบ้านหลังนี้ให้แก้ว แล้วภายภาคหน้าล่ะ บ้านจะเป็นของใคร ในเมื่อแก้วเองก็ไม่คิดจะแต่งเมีย หรือจะยกให้ตนดูแล... เป็นไปได้หรือ

แล้วบัวล่ะ จะยอมให้เขาได้บ้านไปง่ายๆหรือเปล่า มาคิดไปคิดมา ทรัพย์สินของตนยังมีไม่เท่าที่แก้วมี ทั้งๆที่แก้วก็เป็นแค่คนป่วยแท้ๆ ต่างจากตนนัก สมบัติส่วนตัวไม่มีสักชิ้น บ้านสักหลังยังไม่มีเลย หากจะสร้างเนื้อสร้างตัวคงต้องใช้เวลาอีกหลายสิบปีกว่าจะมีเท่าเจ้าหมื่น เงินเดินหมื่นจะได้สักเท่าไหร่กันเชียว หมื่นนรินทร์คิดอย่างอดสู รู้สึกโทษตัวเองไปเสียทุกเรื่อง รู้เช่นนี้ไม่ย้ายมาทำงานที่มณฑลเหนือซะก็ดี ‘เป็นเพียงคนอาศัย’ ตนได้ยินนินทาของคนรับใช้ในบ้านอยู่บ่อยครั้ง 

พออายุสามสิบปีเต็มหมื่นนรินทร์ออกเดินทางบ่อยเพื่อไปพบปะกับเพื่อนฝูง หลายคนเจริญก้าวหน้าไปมาก เพราะเส้นสายใหญ่โต ผิดกับตน ต่อให้อ้างชื่อเจ้าหมื่น แล้วจะได้อะไร เขาไม่ทำงานในพระราชวัง ยังดีที่มีคนนึกเกรงใจอยู่บ้าง ไม่นานก็เกิดเหตุการณ์บ้านเมืองวุ่นวายอยู่พักใหญ่ ผู้ดีในเมืองหลวงต่างก็หนีออกนอกประเทศ ตนกลัวอยู่เหมือนกัน เห็นว่าในหลวงองค์ใหม่จะเปลี่ยนการปกครอง ตำแหน่งในมณฑลต้องมีการปรับเปลี่ยนไป งานราชการทำให้ตนห่างจากแก้วไปพักใหญ่ แต่ก็ยังส่งจดหมายไปหากันหากว่าไปราชการที่มณฑลใกล้เคียง ทว่ายิ่งห่าง หมื่นนรินทร์ยิ่งถวิลหาแก้วน้อยลง แต่ใจก็ยังผูกพันต่อแก้วเช่นเดิม ประจวบกับหมื่นนรินทร์เข้าบางกอกไปพบเพื่อน เจอมณี คุยถูกคอกันหลายส่วน แถมคุณพ่อของเธอเป็นถึงคุณพระ มีอำนาจไม่น้อย ถึงช่วงนี้จะอยู่อย่างเงียบๆ จึงเป็นการเหมาะหากว่าหมื่นนรินทร์คิดหาหนทางขยายความมั่งคั่ง พอรู้จักกันอยู่หลายเดือน หมื่นนรินทร์พอมองออกว่ามณีชอบพอตนเองไม่น้อย แต่น่าหนักใจ หากต้องบอกแก่แก้ว...หลานรักจะทนได้หรือไม่...


ภูวรินทร์ตัวเย็นเยียบ รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมา เขาหายใจแรงก่อนจะพบว่าตนเองนอนอยู่บนเตียง จ้องมองเพดานห้องนอนอันคุ้นเคย ในห้องมีแสงยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาทำให้เขางุนงงเพราะเพิ่งจำได้ว่านอนหลับไปแท้ๆ ชายหนุ่มหันหน้ามองไปรอบตัว เขาเจออินทนิลที่นั่งมองตนอยู่ กลิ่นกายของเด็กหนุ่มทำให้เขาผ่อนคลาย กลิ่นจากดอกแก้ว

“คุณฝันอีกแล้ว”อินทนิลมองเขาด้วยสายตาห่วงใย ชายหนุ่มลูบใบหน้าร้อนผ่าวของตนเอง “ฉันนี่อ่อนแอจริงๆ”

“คุณน่าเป็นห่วงจัง”เด็กหนุ่มยังคงไม่ละสายตาไปจากเขา เอื้อมมาจับเนื้อตัวเขาเพื่อสำรวจอุณหภูมิของร่างกาย เขายิ้มให้อีกฝ่าย

“ฉันไม่เป็นอะไรมากนักหรอก ไม่ใช่ฝันร้ายอะไร แค่เรื่องในอดีต”เขาตอบ น้ำเสียงแหบแห้ง เขากลืนน้ำลายลงคอไปอย่างยากลำบาก อาการปวดล้าตามร่างกายเข้ามากัดกิน เขาขมวดคิ้ว รู้สึกว่าร่างกายอ่อนเพลียกว่าปกติ เขาขยับแขนออกมาจากผ้าห่ม ลองขยับไหล่ซ้ายดู พบว่าไม่มีปัญหาที่น่ากังวลใจ พอได้รู้อาการป่วยของหมื่นนรินทร์ในอดีตแล้ว เขากลับจิตตกขึ้นมาไม่น้อย อินทนิลมองเขาอย่างสังเกต

 “คุณโอเคนะครับ”

“ไม่รู้สิ บอกไม่ถูก...เรื่องของคุณแก้วทำให้ฉันเศร้า”ภูวรินทร์เอ่ยออกมา ไม่รู้ว่าอินทนิลเอ่ยถามถึงเรื่องใดด้วยซ้ำ แต่ใจของเขารับเรื่องของคุณแก้วมาซ้ำไปมา จนเผลอคล้อยตามไปด้วย อินทนิลจับมือของเขาไว้แน่น

“ท่านไม่โกรธเคืองคุณภูเลยนะ ไม่ว่าจะหมื่นนรินทร์ หรือคุณภูก็ตาม”

“นั่นสิ มนุษย์นี่อ่อนแอจริงๆ”เขาพึมพำ ในขณะที่แก้วเห็นแก่ความสัมพันธ์ตั้งแต่ยังเล็ก แต่ท่านอากลับค่อยๆลดทอนความรู้สึกต่อแก้วไปเพราะเรื่องชาติกำเนิด กับเรื่องของนอกกาย ภูวรินทร์หลับตา เอาเข้าจริงท่านอาไม่เหมาะสมกับคุณแก้วเลยแม้แต่น้อย ช่างเป็นคนที่โชคร้ายจริงๆ

 “คุณตัวร้อนๆนะ ดูท่าคงจะป่วยอีกรอบ”อินทนิลยื่นมือมาแตะหน้าผากของเขาระหว่างที่พูด

“อา คงใช่”ภูวรินทร์พึมพำ ทั้งที่ปกติเวลาตื่นนอนมาแล้วเขาจะต้องลุกออกไปล้างหน้าอาบน้ำ แต่คราวนี้ร่างกายอ่อนเพลียจนต้องยอมแพ้ เขานอนหลับตาลง รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของอินทนิล เด็กหนุ่มยื่นมือมาสัมผัสใบหน้าของเขาอย่างแผ่วเบา ปล่อยให้อินทนิลสัมผัสเนื้อตัวของเขาตามใจชอบ จนเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่เขาก็ลืมเลือน เพราะเกือบจะเคลิ้มหลับไปอีกรอบ

“หวังว่าท่านจะไม่ใช้ความสงสารเห็นใจเพื่อมาชดใช้แก่เราหรอกนะ”

“...แล้วทำไม่ได้เหรอ”

“...มันไม่ใช่ความรักอยู่ดีภูวรินทร์ เราทราบดีว่าท่านมีใจให้ใคร”

“ผมไม่อยากให้คุณเศร้านะ...”เขามองร่างของเด็กหนุ่มที่ในเวลานี้ยืนอยู่ข้างเตียง แววตาที่มองมาเรียบเฉยคล้ายกับตัดสินใจในบางอย่างได้แล้ว เขาคิ้วขมวด

“เราไม่เศร้ามากไปกว่าที่เป็นอยู่หรอก”คุณแก้วเอ่ยบอก กระแสเสียงยังเจือความเศร้า แต่ใบหน้ายังประดับรอยยิ้มไว้ อีกฝ่ายหันร่างเดินกลับออกไปจนถึงหน้าประตูห้อง ชายหนุ่มข่มใจไว้ไม่ได้ เขาไม่อาจหักใจได้จริงๆ มองแผ่นหลังของเด็กหนุ่มที่ห่างออกไป

 “แก้ว...”ภูวรินทร์เอ่ยเรียก รั้งอีกฝ่ายไว้ได้ทัน ร่างของอินทนิลหยุดนิ่ง รออยู่นานกว่าที่ร่างนั้นจะหันกลับมาหาเขา คุณแก้วในร่างของอินทนิลมองเขาอย่างแปลกใจ 

“...มีอะไรหรือ”คุณแก้วถาม ชายหนุ่มมองอีกฝ่ายให้แน่ใจ เขาหลับตาลง สำรวจใจตนเองกับการตัดสินใจในหนนี้ ไม่อาจถอนตัวได้อีก

“ผมจะลืม”ภูวรินทร์เอ่ยออกไป คุณแก้วยืนนิ่ง แววตาฉายแววไม่นึกเชื่อ เผลอเม้มปากไปด้วย เขามองอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ

“ลืมว่ามีอะไรเกิดขึ้นในอดีต ไม่ว่าหมื่นนรินทร์จะรักหรือไม่รักคุณ ผมไม่สนใจอีกแล้ว เพราะเรื่องเหล่านั้นมันเป็นเพียงอดีต”เขาเอ่ย แม้ว่าจิตใจจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แต่สิ่งที่เอ่ยออกไปไม่ใช่คำล่องลอย คุณแก้วมองเขาด้วยความลังเล ขยับเดินเข้ามาใกล้อีกสามสี่เก้า

“เราเข้าใจดี”

“แต่ผมไม่อยากให้คุณเสียใจ ได้ยินไหม”ชายหนุ่มเอ่ยเศร้าๆ จ้องมองเด็กหนุ่มอย่างตั้งใจ ในใจระลึกถึงเรื่องที่ผ่านมาจนกระทั่งในปัจจุบันนี้ คุณแก้วมีสีหน้าคลายความกังวลใจ แปรเปลี่ยนเป็นหม่นเศร้า

“...เพราะรู้สึกผิดหรือ”คุณแก้วพึมพำเสียงสั่นเครือ

“คงไม่หรอก... ผมแค่อยากเห็นคุณมีความสุขมากกว่า”ภูวรินทร์เอ่ยออกไปช้าๆ เขาแน่ใจแล้วว่าตนเองไม่อยากเห็นอีกฝ่ายเสียน้ำตา เขาไม่สนใจเรื่องความรักลึกซึ้งพวกนั้นหรอก หากว่าการมีอยู่ของแก้วและอินทนิลมันทำให้ตัวเขาเองรู้สึกดีไม่ต่างกัน เขาก็ไม่อยากไปทำลายมันไป ชายหนุ่มไม่รู้หรอกว่าเรื่องต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร

“ท่านอยากพูดอะไรกันแน่”

“ตอนนี้มีแค่ผม ผมก็อยากให้คุณมองผมเป็นแค่ภูวรินทร์เท่านั้นเอง เลิกโหยหาถึงอดีตได้ไหม”เขาเอ่ย ร่างของเด็กหนุ่มเดินกลับมาหาเขาที่เตียง นัยน์ตาของอินทนิลแต่ในเวลานี้คือคุณแก้วกำลังสับสน

“...ท่านเอ่ยจริงหรือ”คุณแก้วเอ่ยเสียงเครือขม

“จริงสิ”ชายหนุ่มเอ่ยอย่างมั่นใจ คุณแก้วนั่งลงบนเตียง ส่งยิ้มจืดจางมาให้

“แต่ท่านชอบอินน์ไม่น้อยเลย เรารู้สึกได้”

“ก็ใช่...แต่ไม่ว่าจะอินน์หรือคุณ ยังไงก็คนเดียวกันอยู่ดี”ภูวรินทร์พึมพำ ร่างของเด็กหนุ่มนั่งลงบนเตียง ยื่นมือมาจับมือเขาไว้ แววตาเป็นประกายเพราะน้ำตาเอ่อคลอ อีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยถ้อยคำใด เพียงแค่นั่งมองเขาด้วยสายตาเปรี่ยมความรู้สึก คล้ายจะขอบคุณเขา

“ท่านดีต่อเราจริงๆ...”คุณแก้วเอ่ยแผ่วเบา

“ผมอยากสะสางเรื่องคำแช่งมากกว่า ไม่อยากปล่อยเวลาให้เสียไปเปล่าๆอีกแล้ว”เขาเอ่ยอย่างเหนื่อยล้า คุณแก้วในเวลานี้มองเขาด้วยสายตามีความอ่อนโยนขึ้นมาบ้าง ความหม่นหมองจางหายไปบ้างแล้ว เจ้าตัวยื่นมือมาแตะหน้าผากเขา

“อืม แต่ก่อนอื่น ท่านควรดูแลตัวเองนะ คุณป่วยบ่อยเหลือเกิน”เจ้าตัวขมวดคิ้ว สายตาจับจ้องไปทั่งใบหน้าของเขา

“คงเพราะเรื่องในอดีตล่ะมั้งครับ”

“อย่ากังวลไปเลย... ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราก็ยังคงอยู่ตลอดไป มีอินน์ก็ย่อมมีเรา ต่อให้เราไม่ปรากฏออกมา ก็ใช่ว่าไม่รับรู้”คุณแก้วเอ่ยให้เขาคลายใจได้ไม่น้อย

“ถ้าอย่างนั้น คุณคงไม่แบ่งแยกเวลาแล้วงั้นสิ... คิดว่าคุณจะมีตัวตนเฉพาะในยามดึกเท่านั้นเสียอีก”เขายึดตามคำที่อีกฝ่ายเคยบอก

“มันก็ใช่...แต่เวลานี้เราไม่สามารถควบคุมจิตของตนเองได้อีกแล้ว อินทนิลเป็นหลักในการดึงพลังชีวิตของเรา ร่างกายนี้เป็นของอินทนิล เราย่อมให้อิสระแก่เจ้าของร่างไม่ใช่หรือไง”

“หมายความว่าคุณไม่สามารถควบคุมอินน์ได้แล้วใช่ไหม”ภูวรินทร์เอ่ยถาม อีกฝายมีสีหน้าลำบากใจขึ้นมา

“เราไม่เคยบีบบังคับเพื่อครอบงำร่างนี้ ตอนที่อินทนิลละเมอ คงเพราะจิตของอินน์กำลังผ่อนคลาย มันก็เลยเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น”

“งั้นเหรอ”เขาหลับตาลง เชื่อในคำพูดของอีกฝ่าย

“พักเถอะ... เราคิดว่าเจอบางสิ่งที่สุสานเข้า”คุณแก้วเอ่ยเสียงอ่อนนุ่ม  “เป็นเรื่องจริงเหรอ คุณเจออะไร”เขาลืมตามองโดยทันที ทำท่าจะลุกขึ้นแต่คุณแก้วค่อยๆดันให้เขานอนลงไปตามเดิม

“จริง...เรื่องนี้เราจัดการเองดีกว่า ท่านพักผ่อน ไม่อย่างนั้นทั้งเราและอินน์ไม่อาจสบายใจได้”อีกฝ่ายเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมขึ้นมาบ้าง เขาจึงได้แต่จ้องมองอย่างร้อนรนในใจ แต่เมื่อมองเห็นแววตาสีนิลที่ไม่พริบไหวจดจ้องอยู่ที่ตนเองอยู่นาน เขาจึงเอ่ยออกมาอย่างเสียไม่ได้

“ครับ...”ภูวรินทร์ยอมถอย เขาปล่อยร่างกายผ่อนคลาย หลับตาลงอย่างอ่อนเพลีย สองหูยังคงได้ยินเสียงขยับร่างกายจากร่างของอินทนิล “ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกรรมของมันเถิด”น้ำเสียงเครือขมดังมาจากคุณแก้วเบาๆ ชายหนุ่มรู้สึกว่าร่างกายหนักอึ้ง สองตาไม่อาจฝืนลืมขึ้นมาได้อีก

+++++++++

ร่างที่เป็นของอินทนิลมองใบหน้านิ่งสงบของภูวรินทร์ด้วยสายตาลึกซึ้ง มองหัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อยของชายที่ตนปักใจมาเนิ่นนาน เจ้าตัวบอกให้ลืมรักครั้งอดีตแล้วให้มองที่ปัจจุบัน แก้วยิ้มออก แม้ใจจะยังเต้นเร่าด้วยความเจ็บ เมื่อหวนคิดถึงข้อเท็จจริงที่ว่าภูวรินทร์นั้นมีใจแก่อินทนิลมากกว่าตน แต่เอาเถิด ผ่านมาเจ็ดสิบกว่าปีที่ทนทรมานกับความรู้สึกเดิมๆ ได้มีโอกาสได้รับความรักจากผู้อื่น ในใจที่เหือดแห้งมาช้านานคล้ายกับมีน้ำเย็นไหลรินลงมา ร่างของเด็กหนุ่มค่อยๆขยับไปหาคนที่นอนสงบอยู่บนเตียง ก้มหน้าจุมพิตลงที่หน้าผากอุ่นของเจ้าตัว

“พักผ่อนนะภูวรินทร์”แก้วเอ่ยเบาๆ ก่อนจะผละออกจากเตียง แล้วเดินออกจากห้อง แก้วไม่เคยครอบงำอินทนิลมาก่อน แต่เวลานี้ ตนต้องเสี่ยงฝืนใช้จิตที่ไม่แกรงกล้าของตนเพื่อไปสะสางเรื่องที่ยังค้างคา ภายในใจครุกกรุ่นไปด้วยอารมณ์โกรธที่มีต่อษอร ...หรือแม่บัว... เมื่อนึกถึงความจริงที่ว่าเธอคนนั้นเป็นผู้ให้กำเนิดตนออกมา ทั้งร่างก็สั่นสะท้านไปด้วยความเสียใจ แม้จะเข้าใจเจตนาของบัวดี แต่ทว่า.... การกระทำบาปในหนนั้น ผลของมันช่างร้ายแรงนัก

แก้วในร่างของอินทนิลเดินลงมาที่หน้าบ้าน ได้ยินเสียงพรวนดินมาจากในสวน นายชมกำลังก้มหน้าก้มตาดูแลสวน

“ชม”แก้วเอ่ยเรียก ชายแก่ที่ถูกเรียกถึงกับสะดุ้งเมื่อได้ยินน้ำเสียงเรียบเฉยจากอินทนิล “อินน์”

“ไปตามคนงาน ฉันจะต้องการดูว่าที่โกศของท่านอามีสิ่งอื่นหรือไม่ เหมือนนางมณี”แก้วเอ่ย นายชมถึงกับรีบก้มหน้าหลบเมื่อรู้ตัวว่ากำลังคุยกับใคร

“ได้ครับ ผมจะไปจัดการให้”นายชมตอบทันที แก้วมองอย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะเหลียวมองไปรอบบ้าน  “ษอรไปไหน”

“อยู่ที่เรือนเล็กครับ”นายชมตอบ แก้วพยักหน้ารับรู้ ไม่รั้งถามอะไรอีก เพียงมองตามร่างของคนสวนที่กึ่งเดินกึ่งวิ่ง จากนั้นก็เดินไปตามรั้วบ้านเพื่อไปยังเรือนหลังเก่าที่ครั้งอดีตตนเคยอาศัยอยู่


หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๔ l ๖.๐๒.๖๑ หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 06-02-2018 21:20:27
ษอรหญิงท้วมในวัยห้าสิบตอนปลาย กำลังเก็บดอกแก้วใส่ถาด คงเก็บไปใส่บาตรเช้ากระมัง แก้วยิ้ม “ษอร”

“อ้าว อินน์ ตื่นเช้านะวันนี้”หญิงผู้ดูแลบ้านหันมองตนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่แก้วเพียงแค่มองอีกฝ่ายอย่างเรียบเฉย

“ฉันมาคุยกับเธอ และอาจเป็นครั้งสุดท้าย”ตนเอ่ยกับอีกฝ่าย ษอรถึงกับอ้ำอึ้ง จ้องมองมาที่ตนด้วยแววตาตื่นตระหนก ถาดที่เก็บดอกแก้วไว้ล่วงหล่นลงพื้น เธอขยับเดินมาหาก่อนจะเอ่ยเรียกอย่างมั่นคง

“....คุณแก้ว”

“เป็นยังไงบ้างล่ะ”เขาเอ่ยถามไปแบบนั้น ไม่ได้เจาะจงไปที่เรื่องใด ษอรมองเดกหนุ่มด้วยแววตาที่ต่างจากตอนที่มองอินทนิลในเวลาปกติ แก้วไม่เคยพูดคุยกับษอรโดยตรงเช่นนี้มาก่อน อย่างมากอีกฝ่ายแค่รับรู้ว่าเขานั้นยังไม่จากไปไหน

“คะ?....เอ่อ ป้าสบายดีค่ะ”อีกฝ่ายตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ก่อนจะกวาดสายตามองไปทั่วใบหน้าของอินทนิล แก้วยิ้ม

“ฉันหมายถึงแม่บัวน่ะ”ตนเอ่ยออกไปช้าๆ อีกฝ่ายอึ้งไป ก่อนจะเอ่ยเรียกชื่อเขาอย่างสั่นเครือ แววตาของหญิงท้วมคล้ายจะหลั่งน้ำตา “...แก้ว”

“ฉันไม่รื้อฟื้นเรื่องเก่าหรอก แค่อยากมาบอกว่าให้ล้มเลิกสิ่งที่เธอตั้งมั่นไว้เสีย”แก้วรีบเอ่ยขึ้นอย่างไม่คิดจะเอ่ยยืดยาว อีกฝ่ายชะงักไปก่อนจะส่ายหน้าช้า ๆ

“ป้าทำไม่ได้หรอกค่ะ ป้าพยายามแล้ว”ษอรพึมพำ

“พยายามของเธอนี่คือเท่าใดกัน ไม่รู้หรือว่าคุณภูกำลังป่วย ซ้ำอินทนิลก็ไม่ได้แข็งแรงสักเท่าไหร่”แก้วเดินเข้าไปหาจนอยู่ในระยะประชิดไม่เกิดหนึ่งช่วงแขน ษอรเม้มปาก ค่อยๆคว้ามือของตนไปจับราวกับว่าเพิ่งเคยได้สัมผัส

“อิฉันเข้าใจค่ะ”

“บัว...ฉันไม่ถือโทษเธอหรอกนะ สิ่งที่เธอทำฉันไม่สรรเสริญยินดี การกระทำครั้งนั้นมันส่งผลมาที่ฉัน”เขาเอ่ยเบาๆ ในใจไม่นึกโทษบัวอีก เขาไม่อยากมีความโกรธแค้นต่อบัว

“...ขอโทษค่ะ”ษอรเอ่ยอย่างนึกเสียใจ สิ่งที่เธอต้องการคือความสุขของแก้วเท่านั้น แม้สิ่งที่ส่งผลกลับมามันร้ายแรงเกินกว่าที่เธอคาดเอาไว้มาก

“ฉันรู้ว่าบัวทุกข์ใจไม่น้อยไปกว่าฉันเลยนะ แต่เวลานี้ทุกคนต่างมีชีวิตเป็นของตนเองไม่ใช่หรือ บัวเองก็มีชีวิตใหม่...เธอคือษอร เป็นแม่บ้านที่ใจดีของอินทนิลเสมอ”แก้วเอ่ยยิ้ม ในใจพลันเศร้าลงเมื่อเห็นสภาพของคนที่ตนเคยสนิทสนมด้วย สิ่งที่แบกรับมาเนิ่นนานมักกัดกินผู้ที่ยึดถือมัน

“ค่ะ อิฉันรู้”

“แล้วดูฉัน เจ็ดสิบกว่าปีที่ฉันต้องอยู่ คิดว่าฉันได้เวียนว่ายตายเกิดหรือ ไม่ใช่เช่นนั้น จิตของฉันไม่ได้ดับไปไหน ฉันอยู่คนเดียวมานาน มาตอนนี้แม้กระทั่งร่างกายของตนก็ไม่มี ไม่ต่างอะไรจากกาฝากเลย”แก้วถอนหายใจ ส่งยิ้มเศร้าไปให้อีกฝ่าย ษอรเหมือนไม่คิดว่าตนจะเอ่ยเช่นนี้ จ้องมองไปทั่วร่างของอินทนิล แล้วส่ายหน้าไม่ยอมรับ

“คุณไม่ได้เป็นเช่นนั้น”

“มันเป็นเช่นนั้นบัว มองที่ฉันสิ....นี่คืออินทนิลนะ ฉันช่วยอินน์ไว้ก็จริง แต่ร่างกายล้วนกอบเกิดมาจากอินทนิล แล้วดูพวกเธอสิ ได้ใช้ชีวิต แม้นว่าเธอจะบอกว่ามันเป็นสิ่งจองจำ ต้องแบกรับบาปครั้งอดีตของตนเอง”แก้วเอ่ยไปตามตรง มีเพียงเขาเท่านั้นที่ยังติดอยู่ในรูปอดีต ไม่มีร่างกาย ชีวิตที่ได้มาจากอินทนิลนั้นไม่ต่างอะไรจากช่วงชิง

“แก้ว....อิฉันไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องเป็นเช่นนี้เลย ฉันอยากให้ท่านมีความสุข แต่ท่านหมื่นกลับทำให้คุณเสียใจอยู่ร่ำไป กว่าจะสำนึกได้ก็ตอนท่านจากไปแล้ว...ฉันในฐานะที่เลี้ยงดูท่านมา ทนดูไม่ไหวหรอก”หญิงร่างท้วมเอ่ย ในใจนึกอาทรแก้วอยู่ร่ำไป

“แต่มันผ่านมานานมากแล้วบัว ท่านอาในตอนนั้นก็ได้รับความทุกข์ไม่ต่างกัน มณีก็ตายในเงื้อมือท่านแล้ว ท่านได้อย่างสมใจแล้วไม่ใช่หรือ แล้วเหตุใดยังไม่พอใจอีก”

“...”ษอรพูดไม่ออก 

“ตอนนี้ฉันเหนื่อยเหลือเกิน ฉันอยากมีความสุขนะ อยากมีรักเช่นผู้อื่น ฉันไม่อยากใช้เวลาไปกับความโกรธแค้นไม่จบไม่สิ้น”ถ้อยคำอ่อนล้าจากปากของอินทนิลทำให้หญิงรับใช้เงยมองอีกฝ่ายอย่างเจ็บในใจ ไม่ว่าจะกี่ภพชาติ แก้วก็ยังทุกข์ใจอยู่เสมอ....เพราะคำสาปแช่งของมณี....และคำสาปแช่งของบัวที่มีต่อหมื่นนรินทร์

“ตัวป้าไม่รู้ว่าต้องทำเช่นไร แม้ใจของษอรไม่มีความแค้น แต่ว่าบัวนั้น....”

“ท่านอาตายไปแล้ว ไม่อาจชดใช้ให้บัวได้ ตอนนี้ก็มีแต่คุณภู... เขาไม่ใช่คนเลว”แก้วเอ่ย อีกฝ่ายไม่ตอบคำใดกลับมา มีเพียงเสียงร้องไห้สะอื้นของหญิงตรงหน้า แก้วถอนหายใจ

“รู้หรือไม่ แต่ก่อนท่านอาเขียนจดหมายหาเราบ่อยๆ แต่ก่อนใช่ว่าท่านอาไม่คิดรักเรานะบัว เมื่อก่อนท่านก็ดีอยู่ เพียงแต่เพราะความมักใหญ่ใฝ่สูงของท่านนั่นเองที่บ่อนทำลายความรักของเราไป ฉันไม่แค้นเคืองท่านอาหรอกนะ... ที่สุสานเหมือนว่ามีคนเก็บของส่วนตัวของท่านอาไปซ่อนไว้ที่นั่น...เธอทำหรือบัว”

“ของหรือคะ...เปล่าค่ะ หลังที่ปลงศพหมื่นนรินทร์ไป อิฉันก็ไม่ได้ไปยุ่งอะไรกับโกศของท่านเลย”

“อืม สงสัยจะเป็นมณีนะ...”แก้วนึกไปถึงมณีอีกครั้ง คงจะเป็นหล่อนนั่นแหละที่เอาขอใช้ส่วนตัวของท่านหมื่นไปฝังพร้อมกับโกศ

“มีอะไรหรือคะ”ษอรเงยหน้าถาม

“เราให้นายชมไปทุบโกฏิของท่านอา เผื่อว่าจะของของท่าน....เรามั่นใจว่าคงเจอ”แก้วเอ่ยบอก

“คุณแก้วคะ....”

“บัว ...หากบัวยังมีจิตใจดี แม่ของฉันไม่ใช่คนชั่วนะ”เขาพูดด้วยใจจริง บัวที่ตนเคยรู้จักไม่ใช่คนใจคอโหดร้าย หวังว่าคนตรงหน้าจะคิดได้ และเลิกยึดติดกับความแค้นเคืองครั้งอดีต

“แต่บัว...”ษอรพยายามแก้ต่าง แก้วจึงรีบเอ่ยต่อไป

“ลองเก็บเอาไปคิดนะบัว ฉันคงไม่สามารถใช้ร่างของอินทนิลได้เช่นวันนี้อีก อาจจะใช้ไม่ได้ตลอดไป”แก้วเอ่ยน้ำเสียงเศร้า ษอรมองมาที่ตนด้วยสายตาหลายความรู้สึก

“ท่านพูดเช่นนี้...”

“ดูแลอินทนิลให้ดี...ชีวิตเด็กคนนี้อาภัพแม่ ใช้เวลาที่เหลือใส่ใจอินทนิลเถิดบัว ชะตาของเรากับบัวคงสิ้นสุดกันไปแล้ว”แก้วเอ่ยอย่างจนใจ อยากให้คนตรงหน้าคิดได้และปล่อยวางความอาฆาตลง ให้มันสิ้นสุดลงกันที่ชาตินี้ และตนจะได้หลุดจากวังวนนี้เสียที

ษอรสองตาแดงก่ำ น้ำตายังคงไหลรินอยู่เนืองๆ แก้วถอนหายใจ ในใจคล้ายถูกบีบ แม้ใจอยากจะเอ่ยถ้อยคำอื่นอีกมาก แต่กลับทำไม่ได้ ไม่อยากให้บัวมองอินทนิลเป็นตัวแทนของตน แก้วปล่อยให้ษอรใช้เวลาอยู่กับตัวเอง

เขาเดินไปสำรวจงานที่สุสานอยู่ห่างๆ ไม่คิดอยากไปโผล่หน้าให้คนงานเห็น สองหูได้ยินเสียงคนงานสองสามคนกำลังพูดคุยกัน เสียงเครื่องมือกำลังแซะเอายอดโกฏิออก จนเหลือครึ่งเดียว สามารถหยิบโกศเก็บอัฐิของท่านอาออกมาได้ ในนั้นมีกล่องสี่เหลี่ยมมองไปแล้วไม่ใหญ่ไปกว่าแผ่นกระดาษ แก้วหันหลังเดินออกจากสุสานมาเงียบๆ ผ่านมาที่เรือนปั้นหยา เขาหยุด ยืนมองเรือนหลังเล็กที่เคยพักอาศัย ในใจสงบลงทีละน้อย บ้านหลังนี้มีทั้งเรื่องดีและร้าย แต่แก้วเลือกจำเรื่องดีๆเอาไว้มากกว่า เขาเดินเข้าเหยียบบันไดบ้านจนส่งเสียงลั่นของเนื้อไม้เก่าแก่ ประตูบ้านถูกคล้องด้วยโซ่ขึ้นสนิม ถูกล็อกกุญแจไว้อีกชั้น เดินมองไปที่หน้าต่าง ผ้าม่านสีขาวปกคลุมจนมองไม่เห็นด้านใน แก้วยิ้มเศร้า อารมณ์หม่นหมองเข้ามาครอบคลุมแทน หัวใจที่แบกรับความเจ็บปวดมาเนิ่นนานไม่ได้รู้สึกทุรนทุรายมากไปกว่าเดิม...

แก้วเดินกลับเข้าไปในบ้าน เมื่อเดินมาหน้าบันไดก็เจอเข้ากับนายชมที่ถือถังน้ำขนาดเล็กไว้ในมือ คงเอาไปทำความสะอาดโกศเก็บอัฐิของท่านอากระมัง อีกฝ่ายดูเกรงกลัวเขาไม่น้อย แก้วยิ้ม

“นำกล่องไม้ของท่านอามาให้ฉันที่ห้องหนังสือด้วยแล้วกัน”แก้วบอก นายชมรับคำ เขาเดินกลับไปยังชั้นบน เด็กหนุ่มก้มมองเท้าของตนเอง ยังคงรู้สึกประหลาดใจ ที่อินทนิลไม่ยอมสวมรองเท้า จึงเดินกลับเข้าไปในห้องของภูวรินทร์เพื่อเข้าไปทำความสะอาด แก้วยังเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงไม่ตื่น เขาล้างเท้าตนเองช้าๆ มองเห็นกำไลข้อเท้า ลักษณะคล้ายกับที่ตนเคยใส่ก่อนที่ยังมีชีวิต... กำไลที่ได้มาจากท่านอา สมบัติส่วนตัวของตน พอได้มาอยู่ในร่างของอินทนิลจึงเอามาสวมไว้ด้วยความเคยชิน อินทนิลเองก็ชอบไม่ต่างกัน ลึกๆแล้วเขารู้ดีว่าอินน์นั้นมีบางสิ่งเชื่อมโยงกัน  ไม่ว่าจะชาติกำเนิด อุปนิสัย เด็กคนภักดีต่อตนมาก ราวกับเป็นทาส

แก้วออกมาจากห้องน้ำ เดินเข้าไปดูภูวรินทร์อีกครั้ง แล้วเหลือบมองเวลาบนหน้าปัดนาฬิกา ตอนนี้ก็สายโด่งแล้ว อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปแตะหน้าผากอีกรอบ ษอรก็ไม่ได้ขึ้นมาดูอาการภูวรินทร์เลย ตนถอนหายใจ ก่อนจะเดินออกจากห้องไปเงียบๆ

แก้วเดินตรงไปยังห้องหนังสือ นานแล้วที่ไม่ได้เข้ามาเหยียบที่ห้องอ่านหนังสือ ครั้งที่ท่านอาแต่งงานกับมณี ตนก็ย้ายออกมาอยู่ที่เรือนหลังเล็กแบบถาวร ทั้งไม่อยากเห็นหน้ามณีให้บาดตาบาดใจ และลองใจท่านอา แต่อีกฝ่ายไม่คิดจะรั้งตนไว้ด้วยซ้ำ เจ็บแสบเหลือเกิน ความเย็นชาของท่านอานั้นยังคงติดอยู่ในใจ เขาเข้าไปในห้อง เปิดประตูไว้ ห้องหนังสือยังคงไม่เปลี่ยนไป ยกเว้นพวกโต๊ะเก้าอี้เปลี่ยนไปใช้แบบสมัยใหม่ แก้วนั่งลงที่เก้าอี้ที่บริเวณใจกลางห้อง ตำแหน่งนี้จำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยมานั่งอ่านหนังสือกับท่านอาด้วย เขาหวนระลึกไปถึงความทรงจำครั้งอดีต

... ในปีนั้นแก้วอายุยี่สิบสามปี ชายหนุ่มกำลังก้มหน้าอ่านหนังสือพิมพ์ในมืออย่างตั้งใจ รูปร่างสันทัด ร่างกายมีกล้ามเนื้อสมวัย ส่วนหมื่นนรินทร์ในวัยหนุ่มแน่นอายุสามสิบต้นๆ ผู้เป็นอานั่งมองหลานรักอยู่ข้างๆ สายตาคล้ายกับกำลังลังเล

“นี่แก้ว”เสียงเอ่ยเรียกดังมาจากหมื่นนรินทร์ “หืม”แก้วส่งเสียงตอบรับ ยังคงไม่ละสายตาไปจากหน้าหนังสือพิมพ์ ท่านอาเอ่ยออกมาเบาๆ

“ถ้าหากว่าฉันอยากมีลูก เธอจะห้ามฉันหรือไม่”เพียงประโยคเดียว ทำให้แก้วเงยหน้ามองชายในดวงใจทัน แววตาวูบไหว อกคล้ายเหมือนโดนบีบรัดแน่นจนจุกไปหมด

“...ท่านอยากมีลูกหรือ”แก้วเอ่ยถามอย่างไร้อารมณ์ แม้จะตกใจ แต่ส่วนลึกในใจนั้นคาดเดาได้ว่าต้องมีสักวันที่ท่านอาของตนต้องเอ่ยถึงเรื่องนี้

“ฉันอายุสามสิบสามแล้วนี่ ต้องมีทายาทไว้สืบสกุลสิ”ผู้เป็นอาเอ่ย แววตาคล้ายกับไม่มั่นใจ แต่ยังคงจับจ้องมาที่แก้วไม่เปลี่ยน แก้วมองนิ่งๆ เม้มปากแน่น ในใจร้อนรน แต่แสร้งทำสงบนิ่ง

“...ท่านอามีหญิงที่ถูกใจแล้วใช่หรือไม่”

“เปล่านะแก้ว ฉันแค่ถามความเห็นเธอเท่านั้น”เจ้าตัวรีบปฏิเสธ แต่คำที่เอ่ยออกมาไม่ทำให้แก้คลายความกังวลใจไปได้

“ถ้าเราบอกว่าไม่ล่ะ ท่านจะทำตามคำของั้นสิ”แก้วเอ่ยเรียบๆ อีกฝ่ายเงียบไป “นั่นสิ เราไม่สามารถมีลูกได้ แต่ ลูกพี่กิ่งกับพี่ไกรกำลังโต ท่านไม่อยากรับอุปการะไว้สักคนหรือ”แก้วยังคงเอ่ยเลี่ยง นึกถึงลูกของพี่สาวกับพี่ชายที่เพิ่งโตได้ไม่กี่ขวบก็อดเสนอเช่นนั้นไม่ได้ มองท่านอาที่เหมือนไม่ยินดีในคำตอบของตนนัก

“หมายถึงลูกของฉันเองนะแก้ว สายเลือดโดยตรงของฉัน”ท่านอาย้ำ จนแก้วคิ้วขมวด ในใจปั่นป่วนลางสังหรณ์ของตนเริ่มส่งสัณญาณไม่ดี ชายหนุ่มเม้มปากก่อนจะเอ่ยออกมา

“เพราะเหตุใดกัน”

“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ฉันแค่เอ่ยถึงอนาคตเองนะ”ท่านอายื่นมือมาจับมือของตนไว้แทน แต่แก้วชักมือกลับคืน ใบหน้าเรียบเฉย ทว่าในใจกลับร่ำร้อง

“ท่านคิดไว้เสียดิบดี คงเตรียมการไว้พร้อมเป็นแน่”แก้วส่ายหน้า มองไปทางท่านอา ตนรู้จักอีกฝ่ายดี ยามคิดอ่านกระทำสิ่งใดล้วนผ่านการไตร่ตรองมาแล้ว

“แก้ว”เจ้าตัวเอ่ยชื่อตนด้วยน้ำเสียงปราม

“เราให้ท่านได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งบ้านหลังนี้ เราก็ให้ได้ และท่านก็รับไปแล้ว เหตุใดถึงยังไม่พอใจ”แก้วเอ่ยอย่างผิดหวัง ไม่ใช่ไม่รู้ว่าท่านอาต้องการครอบครองบ้านใหญ่หลังนี้ แก้วไม่สนใจมูลค่าของมัน เพียงแค่หวังอยู่อย่างสงบสุขกับคนที่รักเท่านั้น แต่ท่านอามักคิดใหญ่อยู่เสมอ ต้องการมีหน้ามีตาในสังคม

“ฉันไม่ต้องการบ้านถึงเพียงนั้นหรอกแก้ว ฉันเป็นถึงหมื่น จะไม่มีครอบครัวได้อย่างไรกัน”ท่านอาเอ่ยแย้ง ใบหน้าปราศจากรอยยิ้ม

“แล้วเราล่ะ ท่านจะเอาเก็บไปที่ตรงไหน”แก้วเอ่ยถาม ในใจพลันเศร้าลง เมื่อเห็นปฏิกิริยาของคนรัก “ตั้งแต่เจ้าคุณพ่อจากไป เหมือนว่าเราเหินห่างกันมากขึ้น คิดว่าเราไม่รู้หรือ”

“ไม่ใช่อย่างนั้นนะแก้ว ฉันเดินทางบ่อยเพราะไปราชการต่างหาก”อีกฝ่ายรีบเอ่ยทันที ใบหน้าเคร่งขรึม แก้วถอนหายใจอย่างนึกรำคาญในคำโกหก แก้วพอจะมีหูตากว้างไกล มีข่าวคราวว่าท่านอาออกไปราชการที่มณฑลอื่นก็จริง แต่คอยเกรี้ยวหญิงสาวต่างเมืองอยู่บ่อยครั้ง จนตนเริ่มไม่แน่ใจในตัวท่านอาเสียแล้ว

“ช่างเถิด”แก้วตัดบท

“แก้ว ไม่เชื่อใจฉันงั้นเหรอ”ผู้เป็นอาเอ่ยถาม สายตาดุดันจับจ้องใบหน้าของหลานชายไม่ห่าง แก้วยิ้มเยาะตนเอง ก่อนจะเอ่ยตอบไปตามตรง

“...ใช่ ไม่เชื่อท่านอีกต่อไป”

“บัวคงพูดอะไรไม่ดีกับเธอล่ะสิ ถึงได้กระด้างกระเดื่องกับฉันขนาดนี้”ท่านอาเอ่ยอย่างมีโทสะ แก้วส่ายศีรษะระอา เอ่ยอย่างไม่พอใจเช่นกัน

“เห็นเราโง่หรือไง”

“พอดีกว่า คุยไม่รู้เรื่องแล้ว ฉันแค่อยากปรึกษากับเธอเท่านั้นเอง”ท่านอายกมือยอมแพ้ แต่ยังไม่ละสายตาไปจากแก้ว คงมีเรื่องอื่นให้พูดคุย

“ท่านอาไม่คิดว่าเราจะรู้สึกเสียใจงั้นหรือ”

“ฉันขอโทษนะ แต่ถ้าไม่ทำเช่นนี้ แล้วต่อไป คนภิรมย์สุขจะเป็นอย่างไรต่อ”อีกฝ่ายเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนลง

“กิ่งกับไกรก็เป็นหลานท่าน ให้สองคนนั้นมาอยู่ในบ้านด้วย ก็คงไม่เกินกำลังนัก”

“เธอไม่เข้าใจ ฉันหมายถึงครอบครัวที่เป็นสายเลือดของฉัน กิ่งกับไกรชอบหน้าฉันที่ไหน”

“ท่านกำลังหาข้ออ้างเพื่อแต่งกับหญิงอื่นมากกว่า บอกความจริงมาเถิด ท่านปิดเราไว้ได้ไม่นานหรอก”

“...ฉันไม่ได้ชอบพอหล่อนนักหรอก”คำตอบของหมื่นนรินทร์ ทำให้แก้วถึงกับน้ำตาคลอ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยออกมาได้ง่ายดายเพียงนี้ แก้วนิ่งไป รู้สึกสับสน ชายหนุ่มมองใบหน้าของผู้เป็นที่รักอย่างค้นหา ทบทวนความสัมพันธ์ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ยิ่งพักหลังท่านอาเริ่มเปลี่ยนไปจนสังเกตได้ชัดเจน จากที่เคยได้ความรักมาตั้งแต่อายุสิบห้าจวบจนป่านนี้แล้ว แก้วปักใจต่อท่านอาจนไม่อาจมองผู้ใดได้อีก

“...ท่านอารู้สึกอย่างไรกับหลานกันแน่”แก้วเอ่ยถามชายข้างกายด้วยเสียงแผ่วเบา ในเวลานี้ตนไม่อาจมั่นใจในรักของท่านอาได้อีกแล้ว คำบอกรักที่เคยเอื้อนเอ่ยเป็นเพียงลมปากของชายมากรักไปเสียแล้ว

“ฉันยังรักเธอไม่เปลี่ยนนะแก้ว”ท่านอาเอ่ยน้ำเสียงหนักแน่น แต่แก้วไม่วางใจเลยแม้แต่น้อย  “เชื่อได้หรือ”

“แก้ว...เชื่อฉันสิ ฉันยังไม่เปลี่ยนใจจากเธอนะ”อีกฝ่ายย้ำ แววตาสีดำไม่ปรากฏแววอ่อนโยนเหมือนแต่ก่อน ในวันที่เจ้าคุณพ่อยังไม่จากไป ท่านอาดีต่อตนกว่านี้หลายเท่านัก

“ถ้าเช่นนั้นสาบานสิ ท่านกล้าหรือไม่เล่า”

“...กล้าสิ...ฉัน หมื่นนรินทร์คนนี้จะรักแก้วเพียงคนเดียว”ท่านอาเอ่ยคำสาบานออกมา แก้วพยักหน้า แต่ในใจกลับมืดหม่นลง เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าคำสาบานของชายคนนี้เชื่อถือไม่ได้

“ดี จำคำท่านเอาไว้ก็แล้วกัน หากท่านผิดคำพูด ท่านจะต้องเสียใจภายหลังอย่างแน่นอน”แก้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ในใจไม่ได้แค้นเคืองเพียงแค่ขู่อีกฝ่ายให้เกรงกลัวต่อคำสาบานที่กล่าวออกมาบ้าง เห็นท่านอาขมวดคิ้ว แววตาเหมือนกังวลใจอยู่ไม่น้อย

“เธอคงโกรธฉันเข้าเสียแล้ว”

“เราพูดจริงนะ ท่านเอ่ยออกมาอย่างลมๆแล้งๆไม่ได้ พูดแล้วห้ามคืนคำ”แก้วบอกห้วนๆก่อนจะเก็บหนังสือพิมพ์ไว้ที่เดิม เดินออกจากห้องหนังสือด้วยใจเจ็บแปลบ เหมือนว่าท่านอาจจะเปลี่ยนไปจริงๆด้วยนะบัว...แก้วรำพึงในใจ ชายหนุ่มเดินลงบันได ออกไปเดินเล่นในเรือนกระจกระบายความอัดอั้นในใจ

“หากท่านอารักเราเช่นเดิมก็คงดีไม่น้อย”แก้วพึมพำกับต้นดอกพุด สองมือกำดอกพุดออกมาด้วยใจมีรอยรั่ว ในหัวกำลังใคร่ครวญว่าตนทำผิดอะไร หากว่าท่านผิดคำพูดล่ะก็...ท่านต้องตายด้วยน้ำมือเรา แก้วหวนนึกถึงดอกดองดึงที่ปลูกไว้โดยไม่บอกใครอื่น ดอกไม้มีพิษร้ายแรง หากดื่มมันเข้าไปล่ะก็ คงไม่รอด แก้วเดินออกไปที่ริมรั้วใกล้กับเรือนกระจก ก้มมองดองดองดึงหัวขวานที่กำลังออกผลสีเขียวหลายฝัก เอาไปตากแห้งดีไหมนะ เผื่อว่าจะผสมในชาของท่านอา...... แก้วเม้มปากแน่น หักใจไม่เก็บผลของมันออกมาก่อนจะสะบัดศีรษะไล่ความคิดชั่วช้าออกจากศีรษะไป พยายามทำให้ใจสงบลงทีละน้อย

...แก้วเหม่อลอยปล่อยใหจิตใจด่ำดิ่งไปหาอดีตเมื่อเจ็ดสิบปีก่อน จนไม่ได้สังเกตผู้มาเยือนที่ยืนอยู่ที่หน้าห้องหนังสือ

“คุณแก้วครับ....”เสียงเอ่ยเรียกดังมาจากหน้าประตู นายชมยืนถืออกล่องไม้เก่าๆในมือ แก้วพยักหน้าให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาด้านใน ชายแก่วางกล่องลงกับโต๊ะ “ษอรอยู่ด้านล่าง ให้เรียกขึ้นมาไหมครับ”

“...อีกสักพักค่อยเรียกขึ้นมาก็แล้วกัน...หวังว่าจะมีเรื่องดีให้ได้ยินนะ”แก้วเอ่ยกับนายชม เจ้าตัวมองตน แต่ไม่ได้เอ่ยอะไร เดินกลับออกไปเงียบๆเท่านั้น แก้วใจเต้นด้วยความยินดี กล่องไม้นั้นบรรจุของใช้ส่วนตัวของท่านอา ส่วนมากเป็นจดหมายเก่าๆที่โต้ตอบระหว่างกัน รวมถึงแหวน และนาฬิกาเก่าโบราณที่ใช้การไม่ได้แล้ว แก้เปิดอ่านจดหมาย มีถ้อยคำห่วงใยของท่านอาที่อ่านแล้วเผลอยิ้มออกมา จดหมายเหล่านี้ท่านอาเขียนถึงตนตั้งแต่อายุยังน้อย จำได้ก็เมื่อตอนสิบเอ็ดขวบ ท่านอาก็ส่งถึงตนบ่อยๆ กลัวว่าจะเหงา ท่านดีต่อเรา แต่ก็ร้ายต่อเราเท่าๆกัน

แก้วแยกจดหมายออกจากกล่อง หยิบแหวนออกมาดูอย่างดูแคลน เป็นแหวนแต่งงานของท่านอากับมณี หักใจไม่โยนทิ้งลงหน้าต่าง แค่วางลงที่เดิม ไม่นานนักษอรก็เข้ามาหา

“มานี่สิ จำได้ไหม สมัยฉันยังเด็ก ท่านอาส่งจดหมายมาบ่อยๆ...ลองอ่านสิ”แก้วเอ่ย ยื่นปึกจดหมายไปให้ษอร เธอมีท่าทีตกใจ ไม่คิดจะรับไว้

“อย่าดีกว่าค่ะ”เธอส่ายหน้า เพราะเป็นของส่วนตัว

“อ่านเถิด...เผื่อว่าเธอจะใจอ่อน อย่างน้อยบัวคงได้รู้ว่าครั้งหนึ่งท่านอารักฉันด้วยใจจริง...”เขาบอก ษอรจำต้องรับจดหมายไปอ่าน สีหน้าของเธอเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอระหว่างที่อ่าน มองแล้วก็น่าตลก อ่านไม่ชินกับคำหวานหูของท่านอาตอนยังหนุ่ม

“...ขอป้าอยู่คนเดียวเงียบๆนะคะ”ษอรเงยหน้าขึ้นจากจดหมาย แววตาคล้ายสับสน แก้วเม้มปาก แต่ก็ยอมพยักหน้าตกลง เขาลุกขึ้นยืน มองหญิงที่นั่งถือจดหมายด้วยใจมีความหวังมากขึ้น อย่างน้อยก็เป็นสัญญาณดี “ฉันจะไปดูคุณภู เขาป่วยอีกแล้ว...”แก้วเอ่ยทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกจากห้อง ปล่อยษอรไว้กับความเงียบงัน

นี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็ได้... แก้วคิดเมื่อเดินมาหยุดอยู่ที่ห้องของภูวรินทร์ ใจพลันเศร้าลง เขากำมือแน่น ยามจะหักใจจากอีกฝ่าย ภูวรินทร์นั้นกลับดึงรั้ง แล้วเช่นนี้ตนจะสงบใจได้หรือ...


 
+++++++++




มาต่ออีกตอน
 :เฮ้อ:
จะถึงจุดจบแล้ว  :L1:
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๔ l ๖.๐๒.๖๑ หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: สาว801 ที่ 06-02-2018 22:02:42
ยังติดตามไม่หายไปไหน คู่กันทั้งหมดเลยได้มั้ย สงสารทุกคนยกเว้นท่านหมื่น :hao5:
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๔ l ๖.๐๒.๖๑ หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: Mod40 ที่ 07-02-2018 02:20:05
เห้อคับก็สงสารแก้วมากกว่าคนอื่น :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๔ l ๖.๐๒.๖๑ หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 07-02-2018 06:59:45
เห้ออออ จะไหวมั้ยยย
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๔ l ๖.๐๒.๖๑ หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 07-02-2018 07:35:32
อ่านแล้วก็ได้แต่สงสารคุณแก้ว แม่บัว
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๔ l ๖.๐๒.๖๑ หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: net. net_n2537 ที่ 07-02-2018 14:27:45
 :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๔ l ๖.๐๒.๖๑ หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: พันธุ์ไทย ที่ 07-02-2018 16:55:19
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๔ l ๖.๐๒.๖๑ หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 07-02-2018 19:18:03
       ทุกอย่างจะเดินหน้าไปได้ถ้ารู้จักคำว่าปล่อยวางและให้อภัย
ในอดีตท่านอานนั้นทำเรื่องที่ทำร้ายจิตใจใครต่อใครไปทั่วเพราะความมักใหญ่ไฝ่สูง
แต่ในปัจจุบัน ท่านไม่ใช่ท่านอา และคนอื่นๆก็ไม่ใช่คนในอดีตแล้วเช่นกัน
       เพราะฉะนั้น ทุกความแค้น ทุกแรงอาฆาตควรจบได้แล้วเพื่อชีวิตใหม่ที่มีความสุข ในปัจจุบัน
สงสารคุณแก้วมากกว่าใคร และก็สงสารบัวด้วย :hao5: :hao5:หวังว่าทั้งคู้จะมีความสุขในปัจจุบันนะค่ะ
สู้ๆนะค่ะไรต์รออ่านตอนต่อไปค่ะ :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๔ l ๖.๐๒.๖๑ หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 08-02-2018 16:35:42
ถึงปริศนาจะเริ่มคลายขึ้นเรื่อยๆแต่เรื่องคำแช่งนี่ก็จะไม่แน่ใจอยู่ดีว่าเกิดจากใครกันแน่ เกิดจากมณีกับบัวจริงเหรอ หรือเกิดจากการไม่ซื่อสัตย์กับคำสาบานของท่านอา
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๔ l ๖.๐๒.๖๑ หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: pui_noizๆ ที่ 10-02-2018 22:46:33
เราขอถามนิดเดียวด้วยความไม่รู้หรือเข้าใจผิดไปเอง...
อย่างแก้วนี่ไม่ได้เรียกตายโหงหรือฮะ? ความเข้าใจ ตายโหงคือ ตายอย่างผิดธรรมชาติประมาณ อุบัติเหตุ ฆาตกรรม หรือ อัตวินิบาตกรรม ที่ไม่ใช่ป่วยตายเพราะโรคหรือชราภาพ เลยเข้าใจว่าการที่แก้วโดนวางยาจนเสียชีวิตนั้นคือตายโหง
ขอบคุณฮะ...
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๔ l ๖.๐๒.๖๑ หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: Mod40 ที่ 11-02-2018 00:27:31
รออยู่คับบบ  :call: :katai5:
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๔ l ๖.๐๒.๖๑ หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: Keiji ที่ 11-02-2018 15:32:40
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๔ l ๖.๐๒.๖๑ หน้า ๕
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 14-02-2018 22:18:38
สงสารคุณแก้วจริงๆ
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๕ l ๑๘.๐๒.๖๑ หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 17-02-2018 23:55:49
ตอนที่ ๑๕ 
ภูวรินทร์ปวดเมื่อยตามร่างกายไปหมด พอลืมตาขึ้นมาเขาพบว่าอินทนิลยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียง บอกไม่ถูกว่านั่นใช่อินน์หรือว่าเป็นคุณแก้วกันแน่ อาการปวดศีรษะทุเลาลง ได้กลิ่นหอมอ่อนๆของข้าวต้นหมูเช่นเคย เหลือบสายตาไปเห็นถาดวางถ้วยข้าวต้มที่มาของกลิ่นบนโต๊ะ

“เป็นยังไงบ้าง”เป็นลักษณะการพูดของคุณแก้ว เขามองร่างของเด็กหนุ่มที่จ้องมองมา นัยน์ตาอ่อนโยนแสดงความห่วงใย

“ก็ดีขึ้นบ้าง...ว่าแต่มันเกิดอะไรขึ้นครับ”ภูวรินทร์ค่อยๆยันร่างขึ้นมานั่ง สีหน้าที่เป็นของอินทนิลดูผ่อนคลายลง ยื่นมืออุ่นเข้ามาสัมผัสกับท่อนแขนของเขาเป็นการปลอบประโลม

“เราเจอของส่วนตัวของท่านอา พวกจดหมายเก่าๆ เราเลยเอาไปให้บัว...ษอรอ่าน เผื่อว่าเธอจะให้อภัยท่านอาได้”คุณแก้วตอบ ภูวรินทร์ถึงกับเครียด เขาลุกออกจากเตียง เหมือนว่าร่างกายเริ่มมีเรี่ยวแรงมากกว่าก่อนหน้านั้น คุณแก้วเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาให้ ชายหนุ่มขอตัวไปอาบน้ำก่อน เห็นคุณแก้วเก็บผ้าห่มให้ตนแล้วรู้สึกแปลกไป ก้นบึ้งในใจอุ่นซ่านขึ้นมาทีละน้อย ความห่วงใย เอาใจใส่ของอีกฝ่ายทำให้เขาใจอ่อนลง รวมถึงน้ำตาของอีกฝ่ายด้วย คล้ายกับมันหยดลงหัวใจของตน กัดเซาะจนเขาเองรู้สึกเจ็บปวดไปด้วย

ภูวรินทร์เลิกคิดมากเรื่องคุณแก้ว อีกฝ่ายไม่ใช่ใครอื่น เขายอมรับโชคชะตานี้ไว้แล้ว ทั้งคุณแก้วกับอินทนิล

เมื่อกลับออกมาจากห้องน้ำ เขาแต่งตัวด้วยความรวดเร็ว ช่วงที่เขานอนพักผ่อนไปเกือบครึ่งเช้า ตอนนี้เวลาคล้อยบ่ายโมง อากาศภายในห้องไม่อบอ้าว สายลมเอื่อยๆพัดเข้ามาจากหน้าต่าง ทำให้เขารู้สึกเย็นขึ้นมาบ้าง ส่วนคุณแก้วนั่งอยู่ที่โต๊ะทรงกลมริมห้อง บนโต๊ะมีถ้อยข้าวต้มกับยา ชายหนุ่มเดินไปหา เขานั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับอีกฝ่าย ข้าวต้มยังไม่หายร้อน เหลือบมองคุณแก้ว เจ้าตัวมองเขาทุกอิริยาบถจนเป็นเขาซะเองที่กระดากอาย

“คุณทานข้าวหรือยังครับ”เขาถาม เด็กหนุ่มค่อยๆยิ้ม วางมือลงบนโต๊ะ “เราทานเรียบร้อยแล้วล่ะ”

 “คุณคิดว่าป้าษอรจะยอมให้อภัยท่านหมื่นไหม”ภูวรินทร์ถือโอกาสถามเรื่องของป้าษอรขึ้นมา คุณแก้วเงียบไปอึดใจเดียว สบตากับเขาก่อนจะเอ่ยช้าๆ

“เท่าที่ดูแล้ว... เธอมีท่าทีอ่อนลงเยอะมาก หากว่าบัววางความแค้นลง ก็คงง่ายขึ้นเยอะ”คุณแก้วตอบ เขาพยักหน้า นั่นสิ ในตอนนี้ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของป้าษอร

“คุณว่าเพราะคำสาบานของท่านหมื่นหรือเปล่า เลยทำให้ผมมาเกิดในชาตินี้”

“เป็นไปได้ เราคิดว่ามันเกี่ยวพันกันหมดนะ คำสาบานที่ให้ไว้กับเรา คำแช่งของมณี และของบัว”คุณแก้วเอ่ย ใบหน้าไม่ปรากฏความรู้สึกใด ชายหนุ่มนิ่งเงียบ เขาเคยคิด ถ้าหากว่าคำสาปสิ้นสุดลงที่เขา อินทนิลและคุณแก้ว เรื่องราวมันจะลงเอยเช่นไร สิ่งเหล่านี้ทำให้ภูวรินทร์กลัวเหลือเกิน เขาไม่อาจวางใจได้

“ทุกอย่างจะไม่เป็นอะไรใช่ไหม”เขาวางช้อนลง รู้สึกไม่อยากอาหารอีกต่อไป เขาหยิบน้ำมาดื่ม คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาเพียงแค่ยิ้ม แววตาสงบนิ่ง

“คุณอย่าคิดอะไรที่มันบั่นทอนจิตใจเลยดีกว่า ในตอนนี้ทุกอย่างไม่มีอะไรน่ากลัว”คุณแก้วเอ่ยบอกด้วยความปลอบประโลม น้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนสายน้ำอุ่นๆผ่านร่างกาย ชายหนุ่มเม้มปาก พยายามเลิกฟุ้งซ่าน เขาทานยาไปสองสามเม็ด ก่อนจะดื่มน้ำจนหมดแก้ว

 “แล้วคุณไม่เป็นอะไรนะครับ”เขาเอ่ยถาม เมื่อสังเกตว่าใบหน้าของอีกฝ่ายดูซีดเซียวไปเหมือนกัน ร่างกายของอินทนิลในตอนนี้ดูจะซูบผอมกว่าเมื่อสองเดือนก่อนอยู่มาก

“เราสบายดี ท่านอย่าห่วงเลย”คุณแก้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม แต่เขาเห็นเศษเสี้ยวของความกังวลปรากฏอยู่ในแววตาสีนิลก่อนจะกะพริบหายไป

“พรุ่งนี้เช้าเราจะใส่บาตร คุณเองก็มาด้วยกันสิ เราไม่เคยตักบาตรร่วมขันกันมาก่อนเลยนะ”คุณแก้วเอ่ยต่อ เก็บถ้วยข้าวต้มที่ยังเหลืออยู่วางบนถาดพลาสติก ชายหนุ่มพยักหน้า ตั้งแต่มาที่บ้านหลังนี้เขาไม่เคยใส่บาตรไหว้พระตอนเช้าสักคราวเดียว

“ก็ดีครับ ผมเองจะได้สบายใจขึ้น”

หลังจากนั้นที่ภูวรินทร์ออกจากห้องนอน ลงไปเดินยืดเส้นยืดสายเพื่อออกมาผ่อนคลาย คุณแก้วตามติดเขาไม่ห่างไปไหน แต่เขาไม่นึกรำคาญอะไร เขาเดินผ่านโถงใหญ่ชั้นล่างไปยังประตูหลังบ้านเพื่อไปยังเรือนกระจก พอก้าวเท้าออกมาด้านนอก แสงแดดกัดกินผิวหนัง ดวงอาทิตย์เหนือศีรษะสว่างจ้า ต้นไม้รอบรั้วสูงคอยบดบังทำให้รอบเรือนกระจกดูร่มรื่นขึ้นมาได้ เขาเดินมาที่หน้าประตู บริเวณข้างคัวเรือนกระจกยังคงมีกระถางดอกไม้หลายชนิด รวมไปถึงกระสอบปุ๋ยวางซ้อนกันเป็นชั้น คุณแก้วหยุดเดิน สายตามองดอกสีขาวของดอกราชาวดี พวงมณีและดอกพุดซ้อน

“ต้นไม้ที่เหลืออยู่คุณว่าเอาไปทำอะไรดี ผมไม่อยากเอาไปทิ้งขว้าง”ชายหนุ่มหันไปถามความเห็นของอดีตเจ้าของสวนอย่างคุณแก้ว ร่างที่เตี้ยกว่าจ้องมองดอกไม้อย่างพิจารณา แขนทั้งสองไพล่อยู่ด้านหลัง

“อืม...น่าเสียดายเช่นกัน เอาไปไว้ในสุสานดีไหม ที่นั่นออกจะเงียบเหงา แถมยังไม่เจริญตา”คุณแก้วเอ่ยอย่างไม่นึกชอบ เจ้าตัวย่นจมูกระหว่างพูด ภูวรินทร์หัวเราะออกมา

“ก็สุสานนี่ครับ แต่ก็ดีเหมือนกัน เอาของสวยๆงามๆไว้จะได้ไม่น่ากลัว”เขาบอกอย่างเห็นด้วย คุณแก้วหันมองเขาด้วยสีหน้ายินดี แววตาประกายสุกใสออกมา ร่างของเด็กหนุ่มขยับเข้ามาหาก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงต่ำลง

“เราไม่มีโอกาสถามท่านเลย ตั้งแต่คุณมาอยู่บ้านหลังนี้ เคยเจอวิญญาณไหม”ถ้อยคำของอีกฝ่าย ฉุดให้ใจของภูวรินทร์ดิ่งลงทันที เขาก้มมองเด็กหนุ่มที่มีท่าทีนิ่งสงบ

“ผีสางน่ะเหรอ...ไม่เคยเลยครับ ผมเจอแค่ในฝัน....ทำไมเหรอ”เขาเอ่ยถาม คุณแก้วยังคงจ้องมองเขาด้วยแววตาเรียบเฉยจนต้องรู้สึกอึดอัดขึ้นมาอีกรอบ ริมฝีปากบางค่อยๆเอ่ยคำออกมา

“หมายถึงผีผู้อื่น”

“ผู้อื่น...หมายถึงใครกัน”ชายหนุ่มขมวดคิ้ว รู้สึกว่ารอบกายหนาวเย็นลงทั้งๆที่ยังกลางวันแสกๆ เขาไม่ปฏิเสธว่าบ้านหลังนี้ปกติ เพียงแต่ว่าในเวลากลางวันมันทำให้เขาอุ่นใจมากกว่าเวลากลางคืน แต่พอคุณแก้วเอ่ยแบบนี้เข้า เขาเกิดอาการหลอนขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่ไม่ได้รู้สึกเช่นนี้มานาน

“ก็มณีไง นางไม่ได้กลับมาเกิดใหม่”คุณแก้วเอ่ยอย่างเย็นชา ทำเอาชายหนุ่มพูดไม่ออกไปอยู่นาน หวนนึกถึงเรื่องราวเก่าๆของมณีแล้วก็อดเห็นใจไม่ได้ โดยเนื้อแท้แล้วนางไม่ได้เป็นคนโหดร้าย...เขาหลับตาลง นึกแปลกใจอยู่บ้าง ว่าเหตุมดมณีถึงไม่จากไปไหน

“...คุณรู้ได้ยังไงกัน”ภูวรินทร์พึมพำ จ้องมองคนข้างกายอย่างสงสัย คุณแก้วยิ้มมุมปาก ยกแขนขึ้นมากอดอก เหลียวมองไปรอบตัวบ้านอย่างใจลอย ก่อนที่จะเอ่ยคำตอบที่ทำให้เขานึกกลัวขึ้นมาได้ไม่น้อย

“รอคืนนี้เถิดแล้วคุณจะเห็น”

ภูวรินทร์ชาวาบ เหลือบมองเด็กหนุ่มทันที คุณแก้วยิ้มอย่างผ่อนคลาย เอื้อมมาจับมือเขาอย่างแผ่วเบา

“อย่ากลัวไปเลย นางไม่ได้มาร้ายนักหรอก”พอเอ่ยถึงมณียังไม่ไปไหนทำให้เขาขนหัวลุก

“คุณทำให้ผมกังวลนะ...แล้วเธออยู่ที่ไหนกัน...”ภูวรินทร์เอ่ยเสียงแหบแห้ง ในใจนึกหวั่นกลัวคำตอบของอีกฝ่าย คุณแก้วมองเขาอย่างนึกสนุก เพราะแววตาที่เป็นประกายคู่นี้กำลังหยอกล้อเขาอยู่

“...บอกไป เดี๋ยวท่านจะคิดมาก เอาเป็นว่านางไม่ได้อยู่ในบ้านหรอก อีกอย่างเราก็เพิ่งรู้ได้ไม่นาน มั่นใจก็ตอนที่ออกไปสุสาน”คุณแก้วเอ่ย ภูวรินทร์ไม่คิดจะถามต่อ เขาเดินไปหาลุงชมที่สวนหน้าบ้าน สั่งแกให้เอาดอกไม้ที่ยังเหลือไปปลูกที่สุสานให้เรียบร้อย ลุงชมรับคำ ไม่วายหันไปจ้องคุณแก้ว ร่างของอินทนิลโดยไม่วางตา ชายหนุ่มแอบขำในท่าทีของอีกฝ่าย คุณแกวหันมายิ้ม “ดูเหมือนว่าพวกคนรับใช้จะกลัวเราน่าดู”

“เพราะเรื่องเล่าลือของคุณน่ะสิ”เขาบอก เดินไปนั่งที่เก้าอี้ หันหน้าไปทางบ่อน้ำพุที่มีสายน้ำพุ่งออกมาจากโถของเทวดาที่อุ้มมันอยู่ เสียงน้ำกระเซ็นทำให้เขาผ่อนคลายความกังวลไปได้ เด็กหนุ่มเดินมานั่งเก้าอี้ทางซ้ายมือของเขา

“คุณรู้อยู่แล้วหรือเปล่า ว่าผมจะกลับมาที่บ้านหลังนี้”ภูวรินทร์เอ่ยถาม เขาอยากรู้เรื่องของคุณแก้วให้มากขึ้น ไม่ใช่เรื่องในอดีต อีกฝ่ายเท้าแขนมองเขาอย่างพิจารณา

“รู้สิ...ตลอดเวลาที่ติดอยู่ในบ้านหลังนี้ เรารับรู้ว่าท่านกำลังจะมาเกิด และกลับมายังบ้านหลังนี้อีกครั้ง”

“เลยช่วยอินทนิลด้วยใช่ไหมครับ”เขาพูดออกมา คงไม่ใช่เพราะคุณแก้วแค่มีใจเมตตาอยากจะช่วยญาติของตนเองเท่านั้น เป้าหมายของคุณแก้วคือกลับมาเจอท่านหมื่นนรินทร์อีก ซึ่งก็คือเขา

“...ใช่...แต่ต่อให้อินทนิลไม่ป่วยตาย เราก็สามารถเจอท่านได้อยู่ดี”คุณแก้วเอ่ย น้ำเสียงไม่สู้ดีนัก

“ด้วยวิธีไหน”

“หลอกลวงท่าน เหมือนใครๆเขาลือไง เป็นผีสิง ทำให้ติดอยู่ในบ้านหลังนี้ไปตลอดกาล”คุณแก้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา ชายหนุ่มมองคนพูดอย่างค้นหา อีกฝ่ายดูไม่เอาจริงเอาจังกับถ้อยคำนี้นัก แต่ลองคิดอีกที คุณแก้วก็จงใจจะหลอกล่อเขาอยู่แล้ว

“ไม่รู้ว่าโชคดีหรือร้ายนะ”เขาบ่นพึมพำ คุณแก้วหัวเราะออกมา

“คงเป็นเวรกรรมมากกว่าที่ทำให้อินน์ต้องตาย จนทำให้เราต้องมาอยู่ในร่างนี้ด้วย เป็นเจตจำนงชั่วร้ายของผู้สาปแช่ง มณี...ไม่ยอมให้เราได้ผุดได้เกิด นางจึงไม่จากไปไหนด้วยเช่นกัน”

“แล้วคุณว่ามันสาสมกันหรือไม่ล่ะ”เขาถาม นึกถึงมณีที่สูญเสียลูกไป

“นางมีจิตอาฆาตสาปแช่งเรา สาปแช่งท่าน การที่นางแท้งเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เป็นกรรมของบัว ซ้ำนางยังสร้างกรรมเพิ่มด้วยการฆ่าเรา...หากเทียบกับเราแล้วถือว่าสาสมกัน”คุณแก้วเอ่ยอย่างไม่แยแสกับเรื่องราวของมณี ภูวรินทร์มองใบหน้าว่างเปล่าของคนข้างกายแล้วก็สะท้อนใจ อยากบอกอีกฝ่ายไปว่าอย่าได้ถือโทษกับเรื่องเก่าๆ

“มันผ่านมาแล้ว”เขาเอ่ยเตือน คุณแก้วหันมองมาทางเขา แววตากลับมามีชีวิตชีวา เจ้าตัวยิ้มเศร้า “นั่นสิ การยึดติดเช่นนั้นเป็นดาบสองคม เหมือนที่บัวเป็น เราไม่อยากเป็นเช่นนั้น ไม่ยอมละไปไหน”คุณแก้วเอ่ย

“ผมเชื่อว่าคุณเป็นคนที่น่านับถือ”

“หึหึ เป็นคนอ่อนแอต่างหาก แต่ช่างเถอะ พอได้ออกมานั่งด้านนอกแล้ว รู้สึกดีไม่น้อย”คุณแก้วยิ้มแย้ม เขามองอีกฝ่ายด้วยความพอใจ

ทั้งสองคนเงียบเสียงลง ได้แต่จ้องมองกันเงียบๆ ส่วนป้าษอรหายเงียบไปเลย ชายหนุ่มไม่อยากเร่งรัดอะไรปล่อยให้ป้าษอรใช้เวลาทบทวนความรู้สึกเอง แม้ใจปั่นป่วน คุณแก้วจึงได้แต่กล่าวปลอบใจ

“ต้องให้เวลาษอรทบทวนทุกสิ่ง ปล่อยเธอไว้แบบนั้น หากพร้อมคงเข้ามาคุยกับเราเอง”


ตะวันจมหายไปพร้อมกับแสงเปลี่ยนความมืดเข้ามาแทนที่ อากาศคืนนี้ดูจะหนาวเย็นเป็นพิเศษ ภูวรินทร์ออกมาจากห้องน้ำ เห็นอินทนิลกำลังจัดเตียงอยู่ อีกฝ่ายหันหน้ามายิ้มให้เขา ก็พบว่ารอยยิ้มนั้นสดใสราวกับเด็ก คนบนเตียงคืออินทนิล “คืนนี้อากาศเย็น อินน์เอาผ้าห่มมาเพิ่ม”เจ้าตัวเอ่ย เขาเดินผ่านเตียงใหญ่ไปยังหน้าต่าง เอื้อมมือออกไปปิด  เหลือบไปมองทางเรือนเล็กหลังข้างๆอย่างเคยชิน บ้านหลังเก่ายังคงเงียบสงัด เสียงลม ใบไม้ได้ยินอยู่เนืองๆ ชายหนุ่มละสายตากลับมาดึงบานประตูเข้าหาตัวเอง สายตาสะดุดกับทางริมรั้วสูง อยู่ตรงทางเข้าสวนหน้าบ้าน ที่ผ่านมาภูวรินทร์ไม่เคยมองเพ่งพินิจเท่าวันนี้ ร่างกายแข็งทื่อเมื่อพบว่าเงาที่วูบไหวนั้นมีอยู่จริง

ภูวรินทร์กะพริบตา จ้องมองเงาดำที่ยืนนิ่งอยู่บริเวณหน้าประตูรั้ว เงาสูงเป็นทรวดทรงของหญิงสาว ชายหนุ่มพลันหดหู่ รีบปิดหน้าต่างทันที หมุนตัวกลับไปมองที่อินทนิล เด็กหนุ่มไม่มีรอยยิ้ม

“เธอเห็นด้วยหรือเปล่า”เขาเอ่ยถาม เดินถอยห่างจากหน้าต่าง อ้อมมานั่งที่เตียงนอนอีกฝั่ง อินทนิลยกมือลูบท้ายทอย ทำหน้าไตร่ตรอง

“ครับ...เพิ่งมาเห็นได้ไม่กี่วันเอง สงสัยว่าหล่อนคงอยู่ตรงนั้นมานานแล้ว”

“...งั้นเหรอ...”เขานิ่งไป รู้สึกแปลกพิกลเมื่อนึกถึงว่ามณียืนอยู่หน้าประตูรั้วอยู่ตลอดเจ็ดสิบกว่าปีที่ผ่านมา เด็กหนุ่มมองเขาอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยถาม “กลัวหรือเปล่าครับ”

“ก็นิดหน่อย”ชายหนุ่มหัวเราะในความขี้ขลาดตาขาวของตนเอง

“หล่อนเข้ามาไม่ได้หรอก ต่อให้ว่าครั้งหนึงเคยอาศัยอยู่ที่นี่ก็ตาม”อินทนิลบอก ชายหนุ่มไม่ติดใจอะไรกับเงาดำนั้น มีอินทนิลอยู่ข้างกายเขาก็เบาใจไปบ้าง เขาหยิบผ้าห่มออกมากางเป็นผืนใหญ่
 
“พรุ่งนี้ไปใส่บาตร ก็ทำบุญไปให้เธอก็แล้วกัน”ภูวรินทร์บอกก่อนจะล้มตัวลงนอนช้าๆ เขาดึงผ้าห่มมาจนถึงหน้าอก เหลียวมองเด็กหนุ่มที่นำดอกไม้ไปวางบนพานเช่นเคย เขาไม่แน่ใจว่าการบูชาพวกนี้มันส่งผลต่อสิ่งใดหรือไม่ หรือทำเพื่อความสบายใจของอินทนิลเอง เขาหลับตาลง หวังว่าฝันร้ายจะหายไปจากนินทราของตนเองสักที


ภูวรินทร์กึ่งหลับกึ่งตื่น รู้สึกว่าร่างกายไม่สบายตัว ร่างกายเหนียวเหนอะหนะราวกับอยู่ในที่ไม่สะอาด อาการบีบรัดที่หน้าอกกำลังกัดกินเขา จนเจ็บไปทั้งตัว เขาลืมตาขึ้นมาอย่างเจ็บปวด อ้าปากหายใจกอบโกยอากาศเข้าปอด อาการเสียดแน่นไม่คลายไปไหน

สองตามองเห็นเพียงความมืด สองหูได้ยินเสียงลั่นของไม้กระดาน เขาสับสน ตะเกียกตะกายลุกขึ้นนั่ง เขามองไม่เห็นราวกับว่าอยู่ในคืนอันมืดมิดไร้แสง แต่ทว่าร่างกายตอบสนองต่อสิ่งรอบตัว หูได้ยิน รับรู้สัมผัส เขาหัวรีหันขวาง ยื่นมือออกไปรอบๆ ปัดป่ายเจอกับความว่างเปล่า

“อินน์”เขาร้องเรียกอย่างหาทางออก เขามองไม่เห็น ทรุดตัวลงนั่งอยู่กับที่ ในหัวคิดอะไรไม่ออก เขาคลานไปช้าๆอย่างไม่รู้จุดหมาย

“ฉันสัญญาว่าจะรักแก้วเพียงคนเดียว”
“ฉันรักแก้ว”
“แกจำคำของฉันไว้ ไม่มีวันที่แกจะอยู่อย่างสงบ ท่านจะต้องทุกข์ใจไปจนตาย ลูกหลานไม่เหลียวแล ท่านจะไม่มีวันสมหวังอีกในชั่วชีวิตของท่าน อย่าหวังว่าท่านจะได้สมใจ”


ถ้อยคำในอดีตดังลั่นในความมืดกดดันให้ภูวรินทร์ไม่กล้าแม้แต่ขยับกาย สองตาหลับลง เขากลับต้องมาทรมานกลับเรื่องในอดีตอีกแล้วงั้นหรือ ...อย่างไม่จบไม่สิ้นเช่นนี้ เพราะคำสาปที่ฝังแน่น คนแช่งชักไม่ได้ตายจากไปไหน ยังคงอยู่ราวกับรอจุดจบสุดท้ายของเขา

ชายหนุ่มค่อยๆคลานไปทีละนิด ไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ใด เหงื่อค่อยๆไหลรินไปตามรูปหน้า ลมหายใจหนักหน่วง ไม่เห็นหนทาง แสงสว่าง มันเกิดอะไรขึ้นกัน หรือว่าคนในอดีตไม่ยอมรับในคำขอขมาของตนงั้นหรือ

เขาสัมผัสได้ว่ากำลังคลานอยู่บนพื้นดิน สองมือสัมผัสถึงดินแข็งๆ ก้อนกรวดและหินที่สากและทิ่มแทงหัวเข่าและฝ่ามือของตัวเอง

“ฉันจะชดใช้ให้เธอเองแก้ว อยู่ที่นี่ใช่ว่าจะเลวร้าย ที่นี่มีดอกไม้ที่เธอชอบไม่ใช่หรือ... บัวไม่คิดจะอภัยให้ฉันแม้แต่ส่วนเดียว มณีเป็นอยู่เบื้องหลัง ฉันไม่คิดว่าหล่อนจะกล้า”

สุ้มเสียงรู้สึกผิดดังขึ้นมาอีกครั้ง ภูวรินทร์ชะงักงัน ก่อนจะยื่นแขนออกไปด้านหน้าสัมผัสว่างเปล่า มีเพียงพื้นดินแข็ง ดินไม่อ่อน จนเขามั่นใจว่าที่นี่อาจเป็นในเรือนกระจกก็ได้... เขากลับมายังที่แห่งนี้อีกแล้ว เพราะคุณแก้วตายที่นี่ นึกถึงความฝันครั้งก่อน เขาฝันว่าคุณแก้วถูกขังเอาไว้ มันเป็นลางบอกเหตุถึงโครงกระดูกที่ถูกฝังเอาไว้มาเจ็ดสิบกว่าปีหรือไม่นะ

“ฮือ ฮือ ฮือ”อยู่ๆเสียงร้องไห้ต่ำก็ดังขึ้นมา ทำเอาภูวรินทร์หนาวสั่น เขามองไม่เห็นแต่เสียงร้องยังดังอยู่ใกล้ตัว ชายหนุ่มรีบคลานหนี เขาไม่อยากอยู่ใกล้กับเสียงที่ไร้ตัวตน เสียงร้องไห้ของหญิงสาวยังคงดัง เขาสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป

เขากำลังติดอยู่ในฝันร้ายอีกหน
ชายหนุ่มร่ำร้อง อยากออกไปจากความมืดมิดนี้

“ฮือ ฮือ ฮือ”

เขาลืมตามองอีกครั้ง ปรากฏว่าเขาไม่ได้ถูกห้อมล้อมในความมืดอีกต่อไป เพียงแต่ว่าติดอยู่ในเวลากลางคืน ชายหนุ่มกลืนน้ำลายเมื่อเห็นว่าตนเองกำลังทรุดนั่งอยู่ที่บริเวณทางเข้าบ้านหลังใหญ่ เขาเห็นประตูรั้วเปิดอ้าไว้ มันส่งเสียงเอี๊ยดอาดขยับเบาๆเพราะแรงลม ชายหนุ่มเนื้อตัวเย็นเฉียบ ไม่กล้าแม้แต่ขยับตัว

‘ได้โปรด อย่าเป็นอย่างที่คิดเลย’เขาติดอย่างหวาดผวา ภูวรินทร์ก้มมองพื้นดิน ไม่กล้าเหลียวมองซ้ายขวา เมื่อจิตใจอ่อนล้า เขาไม่สามารถหยุดจินตนาการของตัวเองได้ ‘มณีไม่จากไปไหน’ เขาหลับตาแน่น

เขาเพิ่งฉุกคิด มณี น่าจะโกรธเกลียดเขาไม่น้อยไปกว่าบัว เธอตามติดเขามาในรูปของป้าษอร แต่มณีกลับเงียบหาย... ความจริงจากปากของคุณแก้วทำให้ชายหนุ่มกลัว

“ฮือ ฮือ”เสียร่ำไห้ดังขึ้น ไม่ห่างไปไหน ชายหนุ่มกลั้นหายใจ เขาไม่คิดจะมาเจอดีเข้าจริงๆหรอก เขาอยากออกไปจากที่นี่ หลุดพ้นจากความฝันเสียที เขาไล่สิ่งที่คุกคามตนเองไปให้พ้น แต่ไม่เป็นผล เสียงร้องไห้ที่บางครั้งก็แผ่วเบาบางครั้งก็ดังขึ้นมายังคงไม่หายไปไหน บางครั้งเขารู้สึกว่าเสียงร้องไห้ยังอยู่ไม่ไกลตัวนัก

สายลมพัดเข้าหาร่างกาย ยิ่งทำให้เขาหนาวเหน็บไปทั้งใจและกาย เขาพะว้าพะวง ไม่กล้าขยับไปไหน รู้เพียงว่ายังคงนั่งคุกเข่าอยู่ที่เดิมราวกับคนโง่งมตาบอด จนนานเข้าภูวรินทร์ทนไม่ไหว เขาเหยียดแขนออกคลำไปยังทิศทางตรงหน้า สัมผัสอากาศว่างเปล่า ลดมือลง เจอกับผืนดินเย็น สากมือและเศษดินทรายทิ่มตำฝ่ามือ ชายหนุ่มหายอึดอัด อาการปวดหัวไหล่ซ้ายพลันแล่นจนต้องยกมือข้างถนัดกุม เขาหายใจแรงเมื่อรับรู้ถึงแรงเสียแน่นที่เกิดขึ้นที่อกด้านซ้าย ในใจพลันตื่นตระหนก เมื่อวิเคราะห์ดูแล้วอาการเดียวกับหมื่นนรินทร์ เขารีบหันตัวกลับ อยากจะวิ่งหนีไปจากบริเวณนี้แทบขาดใจ เสียงรอบกายเงียบสงัด ใบหน้าเย็น ลมที่พัดอยู่ตลอดทำให้หนาวกาย

เขาไม่มีทางเลือก ลืมตาขึ้นมอง ยังคงนั่งอยู่ที่บริเวณประตูรั้งใหญ่ทางเข้าบ้าน  ทำให้เขาใจหล่นวูบ ค่อยๆทรงตัวยืน ไม่ทันไรก็ต้องตื่นตระหนกเมื่อเห็นเงาดำทะมึนยืนอยู่ข้างกาย ชายหนุ่มก้าวขาไม่ออก เขาไม่เห็นใบหน้าหรือสิ่งอื่นใดของรูปเงานี้ เพียงแค่เป็นรูปร่างของหญิงสาว เมื่อมือดำเอื้อมมา ท่วงท่าเหมือนจะเข้ามาสัมผัสกาย ภูวรินทร์ได้สติรีบวิ่งหนี เข้าไปในบ้าน ระยะทางกว่าจะผ่านสวนบ่อน้ำพุก็ทำเอาเหนื่อย จนวิ่งต่อไปไม่ไหวเมื่อหายใจแล้วความปวดแปลบแล่นผ่าน เขาทรุดลงกุมหน้าอก หายใจหอบ ก่อนจะหนาวไปทั้งกายเมื่อเสียงร่ำไห้ดังมาจากข้างหู มองดูไปคล้ายกับเงาดำนั้นกำลังมองหน้าตนอยู่ข้างๆ 

ภูวรินทร์หลับตาลง ร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดจากหน้าอกซ้าย อาจรวมไปถึงร้องขอความช่วยเหลือ




      “โอ้ย!”ภูวรินทร์สะดุ้งเฮือก เหงื่อกาฬไหลเต็มแผ่นหลัง ตื่นมาอีกครั้ง เขาก็มองเห็นเพดานห้องนอนของตนเอง ที่อกซ้ายปวดแปลบยังไม่จางหาย ไม่ใช่ความฝัน เขาจับหน้าอก อินทนิลพลิกตัวมาหาเขา ท่าทางตกใจ เด็กหนุ่มลุกขึ้นนั่งทันที

“เป็นอะไรหรือครับ”

“ฉันฝันร้าย...อีกอย่างฉันเจ็บที่อกซ้ายด้วย”เขาลูบหน้า ก่อนจะขยับตัวลงขึ้นมานั่ง พยายามเหยียดแขนขยับไหล่ ความเจ็บปวดหายไปแล้ว ชายหนุ่มเครียดขึ้นมา เขากังวลใจเกี่ยวกับสุขภาพของตนเอง พักหลังร่างกายของเขาอ่อนแอ สัมผัสอุ่นจากฝ่ามือของอินทนิลกดลงที่ไหล่ของตน

“ฝันร้ายไม่จบง่ายๆแน่ คงต้องรอษอร ขมากรรมต่อเจ้ากรรมนายเวร”อินทนิลพึมพำ ชายหนุ่มถอนหายใจ รู้สึกว่าตนเองเหนื่อย เขาไม่อยากเจอความฝันที่บั่นทอนเข้มแข็งของตน หันมองเวลา ตอนนี้เช้าแล้ว 05:00 เขาเอนกายพิงผนังเตียงอย่างอ่อนเพลีย เด็กหนุ่มยื่นมือมาแตะหน้าผากของเขา

“ตัวอุ่นๆ คงต้องทานยาไปเรื่อยๆ ถ้าหากว่าไม่ดีขึ้น คุณภูไปหาหมอที่อนามัยน่าจะดีกว่า”อินทนิลเอ่ยด้วยความเป็นห่วง เขาพยักหน้า ก่อนจะลุกไปดื่มน้ำแก้กระหาย เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาเช็ค โชติไม่ได้ติดต่อมา ยิ่งพ่อกับแม่ยิ่งไร้การติดต่อ ภูวรินทร์เช็คไลน์ เลขาฯส่วนตัวส่งข้อความมาเตือน ว่าเขาหายไปจากบริษัทนานเกินไป จนผู้ใหญ่เริ่มไม่พอใจ คิดอยากจะลงมติปลดเขาออกจากฝ่ายบริหาร เขากุมขมับ ไม่มีทางที่เขาจะจากที่นี่ไปได้ จนกว่าจะสะสางเรื่องพวกนี้ให้เสร็จสิ้น

‘แม่ครับ...ฝากดูแลบริษัทด้วย หากมีเรื่องด่วน โทรหาผมได้เลย’ ชายหนุ่มส่งข้อความหาผู้เป็นแม่ อย่างน้อยๆแม่ยังมีหุ้นในบริษัทประมาณ10% ถึงจะน้อย แต่ก็พอมีปากมีเสียง เขาวางโทรศัพท์ลง อินทนิลยังคงนอนมองอย่างไม่วางตา เขาเดินไปนอนที่เตียงต่อ พยายามข่มตาให้หลับ

“กังวลเหรอครับ”อินทนิลถาม

“ไม่ใช่เรื่องของที่นี่หรอก เรื่องงานน่ะ”เขาบอกก่อนจะเงียบไป เด็กหนุ่มขยับมาใกล้ วางมือลงกับแขนของเขาก่อนจะตบลงมาเบาๆเหมือนจะปลอบใจ

หลังจากนั้นภูวรินทร์ก็หลับไปจนเช้า อินทนิลถอนหายใจก่อนจะนอนมองร่างของคนข้างกายไปเงียบๆ

หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๕ l ๑๘.๐๒.๖๑ หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 17-02-2018 23:58:54
+++++++++++

เช้าวันถัดมา ภูวรินทร์ต้องตื่นเพราะเสียงของรถยนต์ดังอยู่นานจนเขารู้สึกตัว พอลืมตาขึ้นมา ก็พบว่าเช้าแล้ว ที่มาของเสียงวุ่นวายที่ชั้นล่าง มีเสียงพูดคุยและเสียงลากของดังให้ได้ยิน ภูวรินทร์ลุกออกจากเตียง มองอินทนิลที่หลับสนิท เอื้อมมือไปสัมผัสเรือนผมนุ่ม ก่อนจะตรงไปอาบน้ำให้สดชื่น มองตนเองในกระจก เขายังคงปกติเช่นเคย เมื่อออกมาจากห้องน้ำ เขาแต่งตัวชุดลำลองสบายๆ จากนั้นจึงเดินออกจากห้องนอน พอเดินไปถึงที่หน้าบันได ชายหนุ่มมองลงไปเห็นผู้ชายรูปร่างสันทัด อายุอานามประมาณห้าสิบกว่าๆ ท่าทางทะมัดทะแมงในชุดเชิ้ตสีขาว กางเกงสแลคสีดำ เมื่อเขาเดินลงบันไดมาได้ไม่กี่ขั้น ชายคนนั้นหันหน้ามาทางภูวรินทร์พอดี เพียงวูบเดียวก็บอกได้ว่าชายคนนี้คือคุณนิรุท

ภูวรินทร์ประหลาดใจที่เห็นผู้ชายคนนี้มาที่บ้านหลังนี้ ที่บริเวณห้องโถงมีตะกร้าผลไม้สองสามอย่างใบใหญ่วางไว้ ลุงชมกำลังยกมันไปไว้ในครัว ในทีแรกเขาตั้งใจจะรอใส่บาตรเช้าเพื่อทำบุญแผ่เมตตาให้มณี แต่พอมาเจอกับผู้มาเยือนคนใหม่แล้ว เหมือนว่าเขาต้องเลื่อนไปก่อน

“เสียงของฉันคงทำให้เธอตื่น”น้ำเสียงที่เปล่งออกมาจากอีกฝ่าย ฟังดูแตกต่างจากตนเองอยู่มาก ค่อนข้างทุ้มไม่แหบแห้ง ชายคนนั้นยิ้มให้เขา

“คุณภูคะ คุณนิรุทเพิ่งเดินทางมาถึงค่ะ”ป้าษอรหันมาบอกเขาด้วยน้ำเสียงไม่มั่นคง ระหว่างพูดเธอหลบตาเขา ภูวรินทร์ไม่เก็บเอามาใส่ใจ เขาไม่คิดจะทวงถาม หากเธอวางใจคงเอ่ยบอกเขาเอง เขาเลื่อนสายตาไปมองนิรุทอย่างเต็มตาอีกครั้ง ส่วนสูงไม่ต่างกัน

“สวัสดีครับ”ชายหนุ่มเอ่ยตามมารยาท น้ำเสียงห่างเหิน ก่อนจะหันไปสนใจตะกร้าผลไม้พวกนั้นแทน

“ขอโทษค่ะคุณภู ป้าไม่ได้แจ้งให้ทราบล่วงหน้า ป้าเองก็เพิ่งทราบเมื่อตอนเช้ามืด”ป้าษอรเอ่ย ก้มศีรษะให้เขาเป็นการขอโทษ ชายหนุ่มมองไปที่คุณนิรุทอยู่นาน ชายคนนั้นยิ้มอย่างขอโทษขอโพย

“เป็นฉันที่ต้องขอโทษต่างหาก ที่มาบ้านโดยไม่บอกกล่าวเธอ ....มาคุยกันหน่อยสิ”นิรุทเอ่ยอย่างไม่ติดขัดก่อนจะเชื้อเชิญให้เขาไปนั่งที่โถงรับแขก เขาไม่ปฏิเสธ เลยเดินตามอีกฝ่ายไป ระหว่างที่เดินไปนั่งที่โซฟา ป้าษอรเดินหายไปในครัว ความรู้สึกอึดอัดเข้ามาครอบคลุมแทน ภูวรินทร์ไม่ได้สนใจในตัวคุณนิรุทมากนัก ถึงจะเป็นพ่อแต่ก็ไม่ได้มีความผูกพัน

“คุณมาที่นี่เพื่อมาเยี่ยมป้าษอรหรือว่ามาเรื่องของคนบ้านนี้”ชายหนุ่มเอ่ยถามทันที นิรุทมองเขาเงียบๆ ก่อนจะประสานมือเข้าหากัน ท่าทางไม่ตื่นตระหนกตกใจอะไรกับความเฉยชาของเขา

“ทั้งสองอย่างนะ พอได้มองเธอแล้ว เหมือนว่าฉันมองเห็นคุณทวดเลยนะ”อีกฝ่ายเอ่ย มองเขาอย่างสังเกต ภูวรินทร์ถอนหายใจแรง

“ผมชื่อภูวรินทร์ครับ”ชายหนุ่มย้ำอีกครั้ง นิรุทถึงกับหัวเราะออกมาอย่างเก้อเขิน อีกฝ่ายยิ้ม “ใช่ ที่ฉันมา อยากมาคุยเรื่องของเธอ เรื่องบ้านหลังนี้ด้วย”

“ครับ การมาของคุณจะช่วยผมได้หรือเปล่าล่ะ”เขาเอ่ยถาม

“...อาจช่วยได้ ฉันขอโทษนะ ที่ไม่ได้ติดต่อมาเลย”นิรุทเอ่ยช้าๆ สายตายังคงจับจ้องเขาไม่วางตา ชายหนุ่มคิดตามกับถ้อยคำของชายแปลกหน้าก่อนจะยิ้มออกมา

“ไม่เป็นอะไรหรอกครับ ผมไม่จำเป็นต้องรู้อยู่แล้วนี่”เขาเอ่ยอย่างเรียบเฉย อีกฝ่ายนิ่งไปก่อนจะพยักหน้าตาม “นั่นสินะ” คนทั้งคู่เงียบไป ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาอีก จนนิรุทเริ่มการสนทนาต่อ

“ตอนที่ฉันยังเด็ก มีคนพูดกรอกหูฉันเรื่องคำสาปของตระกูล เรื่องการตายของพ่อ ฉันไม่คิดว่ามันจะจริง จนกระทั่งมีพระมาทักฉันเรื่องของเด็กที่จะมาเกิด เป็นญาติผู้ใหญ่ในบ้าน ตอนนั้นฉันไม่เชื่อ...จนเธอเกิดมาได้สิบขวบ แม่เธอส่งรูปมาให้ฉันดู แม่ฉันเห็นเข้าก็ตกใจ เพราะว่าตอนเด็กเธอเหมือนคุณทวดมาก ยังกับเป็นคนเดียวกัน ฉันไม่ปักใจเชื่อนัก จนเธออายุได้สิบแปด คราวนี้ฉันไม่เห็นความต่างของคุณทวดตอนหนุ่มๆกับเธอเลย ฉันไม่อยากงมงายอะไรนัก แต่ก็อยากพิสูจน์เรื่องคำสาปแช่งของตระกูล เลยเอาปีเกิดของเธอไปให้พระรูปนั้นดู ท่านบอกว่าดวงชะตาของเธอต้องพัวพันกับคนที่ล่วงลับไปแล้ว”อีกฝ่ายอธิบาย ภูวรินทร์ฟังแล้วได้แต่เงียบ เพราะเกรงกลัวต่อคำสาปน่ะหรือ ถึงได้ทิ้งเขาไป พอได้ยินนิรุทเอ่ยเช่นนี้แล้ว เขาไม่คิดจะเห็นใจอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย

“คุณเลยปล่อยผมไว้แบบนี้งั้นเหรอ”

“ฉันคิดว่าให้เธออยู่ห่างๆก็คงจบเรื่อง แต่ไม่คิดว่าเธอจะซื้อบ้านเลยนะ”นิรุทเอ่ยเสียงเบาลง ยังคงมองมาที่ชายหนุ่มไม่วางตาจนเขาอึดอัด

“แต่คุณก็ขายให้ผม”

“ใช่ บ้านนี้ไม่มีอะไรน่าจดจำนักหรอก ต่อให้เป็นคนอื่นซื้อฉันก็ขาย เป็นเธอที่ซื้อก็ดีเหมือนกัน...ฉันคิดว่าคงไม่สามารถห้ามเธอได้ เลยโอนให้เธอแทน”นิรุทเอ่ย ทั้งสองเงียบ เขามองไปทางห้องครัว ป้าษอรหายไปไม่กลับมาอีก เขาเลยเอ่ยเข้าเรื่องเสียที

“คุณรู้เรื่องคำสาปแช่งมากน้อยแค่ไหน”พอสิ้นคำถาม นิรุทยิ้ม เหลียวมองไปทั่วบ้าน

“ก็เท่าที่คนอื่นรู้นั่นแหละ แต่ฉันไม่คิดว่าเธอจะต้องเจอกับ...คุณแก้ว...ที่จริงฉันได้ยินเรื่องของท่านมานานตั้งแต่เด็กๆว่า คุณแก้วยังอยู่ที่บ้านนี้ เรือนปั้นหยานั่นไง”นิรุทเอ่ย ภูวรินทร์เพียงแค่พยักหน้ารับ

“คุณรู้จักป้าษอรมานานหรือยัง”เขาเอ่ยถาม นิรุทมีสีหน้าแปลกไป

“เธออายุไล่เลี่ยกับฉัน ตอนที่อยู่บ้านหลังนี้ แม่ของอรเป็นแม่บ้านของที่นี่ด้วย”อีกฝ่ายเล่าด้วยน้ำเสียงปกติ ดูท่าจะยังไม่รู้ตื้นหนาบางอะไรมาก เขาเลยลังเลว่าจะบอกกับนิรุทดีไหม

“คุณเชื่อเรื่องอดีตชาติไหม”ชายหนุ่มถามอย่างจริงจัง นิรุทมองเขาก่อนหัวเราะออกมา

“ตัวเธอคือคำตอบนะ”

“แล้วคุณไม่คิดว่าจะมีใครกลับชาติมาเกิดบ้างเหรอครับ”เขาเอ่ยเบาๆ นิรุทมีสีหน้าประหลาดใจ ก่อนจะขมวดคิ้ว สีหน้าเวลาเคร่งเครียดมองไปก็คล้ายตนเองอยู่หลายส่วน เขามองใบหน้าของนิรุทอย่างสังเกต

“ใครกัน...”อีกฝ่ายเอ่ยอย่างฉงน

“ก็บัวไงครับ”ภูวรินทร์เฉลย เหลียวมองไปทางห้องครัว นิรุทถึงกับแสดงสีหน้างงงวยออกมา “บัว...อ้อ คนสนิทของคุณแก้ว”

“ใช่ ไม่คิดแบบนั้นเหรอครับ”เขาบอก นิรุทเงียบไป สีหน้าเคร่งคิด

“....จะบอกว่าเป็นอรน่ะเหรอ”อีกฝ่ายพึมพำอย่างไม่มั่นใจเท่าไหร่ เขาไหวไหล่ก่อนจะเอ่ยคำไปเรื่อยๆ

“ใช่สิ ป้าษอรรักอินน์อย่างกับอะไร ไม่ต่างจากที่บัวรักคุณแก้วเลย เธออยู่ดูแลบ้านมานาน เหมือนบัวเลยนะครับ ผมมั่นใจว่าป้าษอรคือบัวมาเกิดใหม่แน่ๆ”

“...ใช่ เรื่องนั้นไม่ปฏิเสธหรอกนะ แต่บัวเนี่ยนะ...”

“อืม เธอเกลียดหมื่นนรินทร์ เป็นคนสาปแช่งคนตระกูลนี้ไง”ภูวรินทร์เอ่ยอย่างหงุดหงิดใจ ที่อีกฝ่ายไม่ยอมเข้าใจง่ายๆเสียที อีกฝ่ายมีสีหน้ากระอักกระอ่วน

“ไม่ใช่เพราะคุณแก้วเหรอ”

“ไม่หรอก เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าไม่ใช่เหรอครับ ป้าษอรเล่ามาอีกอย่าง ความจริงอาจเป็นอีกอย่างก็ได้”ชายหนุ่มเอ่ย เขาคิดถึงวันแรกๆที่คุยกับป้าษอร ส่วนมากเรื่องที่เธอเล่าเป็นเพียงคำเล่าลือที่ได้ยินต่อๆกันมา

“อืม ก็ถูกนะเรื่องอินทนิล ...”นิรุทพึมพำเบาๆ เหลือบมองเขาอีกครั้งอย่างมีคำถาม

“บัวเป็นแม่ของคุณแก้ว”เขาบอกไป อีกฝ่ายเลิกคิ้วสูงอย่างงงงวย “จริงเหรอ แล้วเธอรู้ได้ยังไงกัน”

“ผมฝันถึงเรื่องเก่าๆตั้งมาก เลยทำให้รู้เรื่องอดีต”เขาตอบออกไป นิรุทหน้าเปลี่ยนสี มองมาที่ตนด้วยสายตาอ่อนลง

“ไม่ยักรู้เลย...เธอสบายดีใช่ไหม”อีกฝ่ายถามอย่างห่วงใย จนภูวรินทร์หัวเราะออกมา ไม่คิดว่าจะได้ยินคำนี้จากปากของอีกฝ่ายด้วยซ้ำ

“ก็ไม่แย่นักหรอกครับ นอกจากต้องทนฝันร้ายบ่อยๆ”

“ภู... ถึงเราจะไม่เคยได้คุยกัน แต่หากว่ามีเรื่องอะไร ติดต่อฉันได้เสมอ”นิรุทบอกเสียงห่วงใย ภูวรินทร์นิ่งเงียบ แม้ใจจะไม่คุ้นชินกับอีกฝ่าย แต่ก็อดรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้าง ที่บ้านหลังนี้ยังมีคนที่พึ่งพาได้

“งั้นผมคงต้องให้คุณช่วยเรื่องป้าษอร ...ตอนนี้คำสาปแช่งพวกนั้นส่งผลถึงผม กับอินทนิล เพราะบัวยังไม่วางอดีต ไม่ยอมให้อภัยแก่ท่านหมื่น ตอนนี้ผมยังคงฝันร้ายอยู่”

“อืม...ฉันมาที่นี่เพื่อมาเยี่ยมบ้าน ไหว้บรรพบุรุษ เรื่องนี้ฉันลองจะเอ่ยดู กับอร ฉันคิดว่าเธอน่าจะเคารพฉันพอสมควร ไม่เคยทำตัวไม่ดีเลยนะ...แล้วคำแช่งของบัวคืออะไรหรือ”นิรุทเอ่ยถาม เขาถอนหายใจ ลังเลอยู่ว่าจะบอกอีกฝ่ายดีไหม เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายหวั่นวิตก

 “บัวแช่งให้ท่านหมื่นต้องทุกข์ใจไปจนตาย ลูกหลานไม่เหลียวแล ไม่มีวันสมหวังอีกในชั่วชีวิตของท่าน คำแช่งส่งผลถึงตระกูลนี้โดยเฉพาะ ไม่เห็นหรือว่าญาติพี่น้องหายไปหมด”เขาบอก นิรุทนิ่งงัน สีหน้าไม่ดีเห็นได้ชัด

“เรื่องของคุณพ่อฉันก็คงจะจริง...”นิรุทพึมพำเสียงเครียด เขาหันไปมองทางบันไดเมื่อได้ยินเสียงก้าวเดินกับเสียงกำไลข้อเท้า อินทนิลตื่นนอนแล้ว นิรุทจ้องมองเด็กหนุ่ม

“อ้าว น้านิรุทนั่นเอง สวัสดีครับ”อินทนิลเดินเข้ามาหาก่อนจะเอ่ยทักทายนิรุท ภูวรินทร์เรียกให้เด็กหนุ่มมานั่งข้างตัว อีกฝ่ายเดินมาหาอย่างว่าง่าย

“สีหน้าดูซีดๆนะ ป่วยหรือไงเรา”นิรุทพูดกับอินทนิล เขามองอีกฝ่าย ไม่รู้ว่าเจ้าตัวทราบหรือไม่ว่าคุณแก้วอยู่ในร่างของอินทนิลด้วย

“สบายดีครับ”

“เอาแบบนี้ไหมภู วันนี้ไปทำบุญที่อาศรมหลวงตาดีไหม ฉันตั้งใจว่าจะเอาผลไม้ไปถวายท่านพอดี”อีกฝ่ายชวน เขาหันมองอินทนิล เด็กหนุ่มพยักหน้า

“งั้นก็ดีเลยครับ ผมเองก็อยากจะทำบุญกรวดน้ำอยู่เหมือนกัน”เขาบอก นึกถึงความฝันเมื่อคืนแล้วหวั่นใจ กับอาการเจ็บป่วยของตนเอง เขาไม่คิดว่าจะโชคร้ายถึงขนาดป่วยเช่นเดียวกับหมื่นนรินทร์



+++++++++++

กว่าที่ภูวรินทร์ นิรุทจะตกลงกับลุงชมและป้าษอรเรื่องไปวัดป่าได้ ก็ใช้เวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมงเพราะต้องเตรียมของที่นำไปถวาย นอกจากผลไม้แล้วยังมีสังฆทาน ระหว่างทางทั้งสี่คนไม่ได้พูดคุยกันมากนัก ด้วยสถานการณ์ของเขากับป้าษอรยังคงไม่คลาย และมีนิรุทมาเพิ่มความอึดอัดเข้าไปอีก ยิ่งทำให้การเดินทางไปยังอาศรมของหลวงตายาวนานกว่าปกติ

เมื่อมาถึงอาศรมของหลวงตาที่บริเวณเชิงเขา อากาศเย็นลง เมื่อมองไปที่อาศรมก็เห็นว่าหลวงตากำลังนั่งคุยอยู่กับชายชราหัวขาวโพลนไปทั้งศีรษะ ดูจากการแต่งกายแล้วคงเป็นชาวบ้าน ไม่ก็สัปเหร่อที่ลุงชมเคยติดต่อด้วย ภูวรินทร์ลงจากรถ ก่อนจะเดินไปพร้อมๆกับอินทนิล ส่วนลุงชมกำลังยกของตามหลังมา

“นมัสการครับหลวงตา”ผมยกมือไหว้หลวงตา ก่อนจะหันไปมองชายชราคนนั้นที่ขยับออกไปนั่งด้านในสุด สายตาของชายชราทำให้เขาไม่สบายใจนัก

“เจริญพร ญาติโยมทั้งหลาย อ้อ นี่โยมนัน สัปเหร่อที่วัด”หลวงตาผายมือไปยังชายชราคนดังกล่าว เขายกมือไหว้ตามมารยาท นิรุทเดินเข้ามานมัสการหลวงตาอย่างคุ้นเคย อินทนิลขยับมาทางใกล้กับเขา ส่วนลุงชมกับป้าษอรก็นำตะกร้าผลไม้และสังฆทานมาถวาย เขายกไปประเคนแก่หลวงตา พระท่านนำสวด พวกเขาทั้งสี่จึงเริ่มกรวดน้ำ และรับอาราธนาศีล สมาทานศีลจากหลวงตา ภูวรินทร์เหลือบมองป้าษอร เธอดูสงบนิ่งกว่าปกติ เขาเลื่อนสายตาไปที่สัปเหร่อ อีกฝ่ายยังคงมองเขาอยู่ ทำเอาภูวรินทร์หายใจไม่ทั่วท้อง เมื่อรับศีลจากหลวงตาจบ จึงได้พูดคุยกันต่อ

“วันนี้มากันพร้อมหน้าพร้อมตาเลยนะ เป็นอย่างไรบ้างล่ะ คุณ”หลวงเอ่ยกับนิรุท อีกฝ่ายยิ้มก่อนจะพูดคุยด้วยถ้อยทีสุภาพ

“ถ้าเรื่องสุขภาพ ผมสบายดีครับ แต่ช่วงหลังๆมานี้ผมไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ เลยกลับมากราบไหว้หลวงตาให้หายกังวลใจครับ”นิรุทกล่าว เขาเหลือบมองชายผู้มีศักดิ์เป็นพ่ออย่างแปลกใจ

“สุขทุกข์ล้วนอยู่ที่ใจ การยึดมั่นถือมั่นไปก็ไม่เกิดผลดี หนักที่ตัวเราเองทั้งนั้น”หลวงตาบอกด้วยน้ำเสียงเนิบช้า ชายหนุ่มคิดตาม ไม่รู้ว่าหลวงตากำลังบอกคุณนิรุทหรือว่าผู้อื่นอยู่ อินทนิลนั่งมองไปทางป้าษอรอย่างจดจ่อ

“ว่าแต่คุณเอง หายหน้าไปนานเลยนี่ ได้มีโอกาสมีโอกาสมาประสบพบเจอกันในวันนี้ถือว่ามีวาสนาต่อกันไม่น้อย ที่นั่งกันอยู่ก็เป็นคนบ้านภิรมย์สุขกันซะส่วนใหญ่ไม่ใช่หรือ”คำของหลวงตา ทำเอาสะดุ้งกันเป็นแถบ

“ผมไปทำงานที่อื่นครับ เลยกลับมากราบไหว้บรรพบุรุษเสียหน่อย”นิรุทเอ่ย หลวงตาพยักหน้าจ้องมองมาที่ภูวรินทร์ก่อนจะหันมองนิรุทอีกครั้ง ใบหน้ามีรอยยิ้ม

“อืม ดีๆ ไม่ลืมนึกถึงพระคุณของพ่อแม่ก็ดีแล้ว ว่าแต่คุณเถิด นอนหลับดีหรือไม่ สีหน้าไม่แจ่มใสเอาซะเลย อาตมาเห็นว่าแย่กว่าเมื่อครั้งก่อนที่มาอีกนะ”หลวงตาหันมาสนทนากับภูวรินทร์ ในใจพลันคลายกังวล เขารู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้างที่ท่านเอ่ยถึง

“ผมนอนไม่ค่อยหลับครับหลวงตา ชอบฝันร้ายอยู่บ่อยๆ”เขาเอ่ยบอก อินทนิลทำหน้าเคร่งขรึมจ้องมองไปที่สัปเหร่อ หลวงตาพยักหน้า

“ฝันร้ายเขาว่ามาจากจิตใจที่ตึงเครียด หากกังวลสิ่งใดอยู่ก็จะฝันคล้ายกับเรื่องที่กังวล แต่ในกรณีของคุณ อาตมาว่า ฝันร้ายบั่นทอดจิตใจ อาจมาจากความฆาตร้ายจากผู้อื่น ฟังไปก็เหมือนอาตมาขี้โม้ แต่ใครทำสิ่งใดย่อมรู้ตนเองดี อาตมาทำได้เพียงชี้แนะหนทางสว่างแก่ญาติโยมเท่านั้น ก็ตั้งจิตอธิษฐาน ขมากรรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรของเราเสีย”

“ช่วยได้หรือครับหลวงตา”

“ช่วยในที่นี้ ทำได้แค่ไม่ผูกจิตคิดร้ายต่อกันลง แต่คงไม่สามารถหลีกหนีกรรมของตนเองได้ ทำผิดย่อมมีบทลงโทษ การขอขมากรรมที่ว่า มิใช่การลดกรรมแต่อย่างใด แต่เป็นการขอขมาต่อสิ่งที่เคยล่วงเกินมาทุกภพ ทุกชาติของตัวเราโดยความไม่รู้หรือ จะตั้งใจก็ตามที เพื่อให้เขาเหล่านั้น อโหสิกรรมให้แก่เรา เพียงแค่อยากให้สีกาวางความทุกข์ลง น่าจะเป็นผลดีต่อคนบ้านภิรมย์สุข”หลวงตาเอ่ยช้าๆ เขาขมวดคิ้วทันที สีกาที่ว่าหมายถึงป้าษอรกับบัวงั้นหรือ นิรุทหันมองภูวรินทร์อย่างเป็นห่วง

“ต้องทำเช่นไรหรือครับ”เขาถาม

“อาตมาให้โยมนันเป็นผู้ทำพิธีให้คงจะเหมาะสมกว่า”หลวงตาหันไปมองสัปเหร่อ ชายชราคนนั้นหันมองภูวรินทร์ ใบหน้ามีรอยยิ้มออกมาบ้าง

“พวกคุณสะดวกวันไหนเหรอครับ ผมจะได้ไปหาถูกเวลา”สัปเหร่อถาม ทำเอาเขาพูดไม่ออก ป้าษอรเหลือบมองมาที่เขาอยู่นานก่อนจะหันมองอินทนิล

“พรุ่งนี้เช้าก็ได้จ้ะ”ป้าษอรเอ่ยกับชายชรา ทำให้ภูวรินทร์แปลกใจ

หลังจากที่จบการพูดคุย เขานำน้ำไปเทที่ต้นไม้เสร็จ เขาเจอกับสัปเหร่อวัยชรา ยืนอยู่ข้างๆอย่าเงียบเชียบ ทำให้เขาตกใจไม่น้อย

“หลวงตาบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่าไปผูกพันกับสิ่งที่ล่วงไปแล้ว”คำของอีกฝ่ายทำให้เขาหน้าซีดลง เหลือบมองอินทนิลที่กำลังเข้าไปนั่งในรถ

“ไม่มีทางอื่นเลยหรือครับ”

“...หากพรุ่งนี้ทำพิธีขอขมากรรม ทั้งจากผู้ที่ล่วงลับ ไม่ว่าจะภพนี้หรือภพที่ผ่าน ถือว่าทำบุญแผ่กุศลให้แก่กัน หากเป็นจิตวิญญาณที่ล่วงไปแล้ว คิดว่าการทำพิธีจะส่งผลเช่นไร”ชายชราเอ่ยเสียงแหบแห้ง ใบหน้าที่มีริ้วรอยแห่งวัยให้ความรู้สึกเหมือนใบไม้แห้งกรอบ


“...”ภูวรินทร์พูดไม่ออก อยู่ๆก็มือไม้สั่นขึ้นมา หมายความว่าทั้งอินน์และคุณแก้วจะละจากร่างกายไปงั้นหรือ เขาส่ายหน้า ไม่อยากนึกเชื่อนัก หลังกลับมาจากอาศรมของหลวงตา นิรุทก็เข้าไปอยู่ในห้องรับรอง ส่วนภูวรินทร์จิตใจปั่นป่วน เขาไปเดินเล่นผ่อนคลายอารมณ์ที่สวนต้นแก้วหน้าเรือนปั้นหยา พอนึกถึงคำของสัปเหร่อคนนั้นแล้วก็รู้สึกหม่นหมองขึ้นมา เขาหลับตา สูดเอากลิ่นหอมของดอกแก้วให้จิตใจผ่อนคลาย เขาไม่อยากสูญเสียสิ่งใดไป หากได้ผูกพันแล้วก็ไม่อยากจากลาไปไหน

ความรู้สึกบีบเค้นหัวใจ แม้จะรู้สึกเจ็บแสบ ไม่มีหยาดน้ำตา เป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก เขาไม่คร่ำครวญเหมือนคนไร้สติ เขารู้ว่าระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือนไม่อาจเปลี่ยนใจมากรักใคร่กับอินทนิลได้ แต่เขายังรู้สึกห่วงใย ผูกพันกันอยู่ ไม่ว่าจะอินทนิลหรือคุณแก้ว

“คุณภูคะ”เสียงเรียกจากป้าษอรดังขึ้น เขาหันไปมอง

“ครับ”

“...ป้าคิดดูแล้ว ป้าเห็นแก่คุณแก้ว เรื่องในอดีต ถึงป้าจะมีความรู้สึกไม่พอใจ แต่ป้าก็ไม่อยากให้อินทนิล คุณแก้ว คุณภูต้องมาทุกข์ทรมาน ป้าไม่รู้ว่าทำเช่นนี้จะช่วยอะไรได้บ้างไหม แต่ป้าอยากจะขอโทษคุณภูค่ะ”เธอเอ่ยช้าๆ เขาแค่ส่งเสียงรับคำในลำคอ รอฟังเธออธิบายต่อ

“มีหลายเรื่องที่ป้าไม่ได้บอกคุณให้รู้ ซ้ำยังปกปิดเอาไว้...ในส่วนของอดีตชาติ อย่างที่หลวงพ่อท่านว่าไว้ เราไม่ควรยึดมั่นถือมั่น บัวยังคงเกลียดชังท่านไม่เสื่อมคลาย แต่นางก็ไม่คิดจะสาปแช่ง อาฆาตมาตรร้ายท่านหมื่นต่อไปได้อีก”

“ผมไม่คิดจะโกรธป้าหรอกครับ สิ่งที่เกิดขึ้นมันมีเหตุผล ผมอยากให้เรื่องคำแช่งจบลงเสียที ไม่อยากให้ใครต้องมาเสียใจกับมันอีก”

“ค่ะ...แม้บัวจะไม่สาปแช่งคนภิรมย์สุข แต่ว่า...ผลของมันก็ปรากฏออกไปแล้ว เอากลับคืนมาหรือแก้ไขไม่ได้...เรื่องนี้ป้าหมดหนทางเหมือนกันค่ะ”เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ก้มหน้ามองพื้นไม่กล้าสบตามองเขาอีกต่อไป ชายหนุ่มนิ่งเงียบ พยายามสงบใจ ใบหน้าของอินทนิลยังคงวนเวียนปรากฏอย่างแจ่มชัด

“แม้จะทำพิธีงั้นสินะ...ทำได้เพียงอโหสิกรรม ให้อภัยต่อกันแค่นี้งั้นสิครับ”เขาเอ่ยด้วยใจซึมเศร้า “มีเรื่องเดียวที่ป้าไม่อาจวางใจได้ เรื่องของอินทนิล”

“ครับ ผมกังวลเหมือนกัน”ภูวรินทร์ถึงกับถอนหายใจออกมา แสดงสีหน้าเป็นกังวลออกมาอย่างไม่ปิดบัง ป้าษอรกำมือเข้าหากันแน่น ท่าทางเป็นไม่สบายใจ แววตาสั่นไหวจ้องมองเขาอย่างยึดถือ

“ป้าอยากให้อินน์ปลอดภัย...ถึงป้าจะขอร้องให้คุณคอยดูแลปกป้อง แต่ถ้าหากหลังจากนี้เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นมา ป้าไม่คิดจะกล่าวโทษคุณอีก”

“อย่าเพิ่งด่วนสรุปสิครับ หากผมกับอินทนิลมีวาสนาต่อกัน อย่างไรก็คงได้คู่กันอยู่ดี”ภูวรินทร์เอ่ยปลอบใจตนเองไปด้วย ป้าษอรมองเขา แววตาวิตกกังวล เธอไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก ทิ้งให้ชายหนุ่มจมกับความคิดที่ไร้ทางออก หากจะให้คำสาปแช่ง คำสาบานที่เคยกล่าวไว้มลายหายไป มันต้องแลกด้วยชีวิตคนเชียวหรือ ชายหนุ่มยิ้มอย่างเศร้าใจ ยกมือขึ้นมาจับหน้าอกซ้ายของตนเองช้า รับรู้ถึงอัตราการเต้นของหัวใจ...  ภูวรินทร์หวังว่าตนเองคงไม่อาภัพถึงขนาดนั้น ท้องฟ้าในยามสาย ไร้เมฆ และกระจ่างใส ซึ่งต่างจากจิตใจของคนภิรมย์สุขในขณะนี้


++++++++++


**โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน พิธีกรรมต่างๆในเรื่องเป็นเพียงจิตนาการเสริมแต่งเท่านั้น ไม่ใช่เหตุการณ์จริง**

มาต่อกันค่ะใกล้ถึงโค้งสุดท้ายแล้ว สำหรับเรื่องการตายโหงที่มีคนท้วงมา เราไม่ทันได้คิดให้ถี่ถ้วน ขอบคุณมากที่ทักท้วงค่ะ เราจะรีไรท์ใหม่อีกทีแต่ไม่มีผลต่อเนื้อเรื่องค่ะ
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๕ l ๑๘.๐๒.๖๑ หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 18-02-2018 00:26:29
เครียดอ่ะ กลัวไปทุกอย่างเลยตอนนี้
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๕ l ๑๘.๐๒.๖๑ หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: สาว801 ที่ 18-02-2018 05:27:52
อ่านตอนตีห้าแล้วหลอนนิดๆ ถึงขนาดต้องห่มผ้าาาา 55  :mew5:
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๕ l ๑๘.๐๒.๖๑ หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: Mod40 ที่ 18-02-2018 05:40:51
เม้นให้กำลังใจนักเขียนก่อน ค่อยไปอ่าน55
 ขอบคุณคับบบ  :pig4:
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๕ l ๑๘.๐๒.๖๑ หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: ANIKI. ที่ 18-02-2018 10:23:43
ชอบเรื่องแนวนี้นะ แต่บอกตามตรง โคตรเครียดเลย 55555
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๕ l ๑๘.๐๒.๖๑ หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 18-02-2018 12:58:15
เป็นนิยายที่ยิ่งคลายปมก็ยิ่งเครียด ใจสั่นไปกับคุณภูจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าพิธีกรรมที่ทำจะส่งผลอะไรบ้าง
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๕ l ๑๘.๐๒.๖๑ หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 18-02-2018 16:51:11
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๕ l ๑๘.๐๒.๖๑ หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 18-02-2018 17:22:42
โอ้ยยยย
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๕ l ๑๘.๐๒.๖๑ หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 18-02-2018 20:39:21
รู้สึกตึงเครียด
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๕ l ๑๘.๐๒.๖๑ หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: snpmrth ที่ 19-02-2018 01:04:24
รู้สึกอ่านไปใจสั่นไปทุกๆตัวอักษรเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๖ l ๑๙.๐๒.๖๑ หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 19-02-2018 10:24:12
ตอนที่ ๑๖


พิธีขอขมากรรมต้องทำก่อนเที่ยงวัน นันสัปเหร่อเฒ่ามาถึงบ้านภิรมย์สุขตั้งแต่เช้าตรู่ ป้าษอรเตรียมดอกบัวหนึ่งกำมือ ธูป 39 ดอก อันหมายถึงไตรภูมิทั้ง 36 ชั้น ประกอบด้วย 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน อบายภูมิ 4 มนุษย์โลก 1 รวมทั้งหมด 36 ชั้น

“คนเราเกิดมาหลายภาพหลายชาติ แต่ละคนมีเจ้ากรรมนายเวรที่ต่างกัน จึงควรสวดเพื่อขอขมา ต่อเจ้ากรรมนายเวร ทั่งอดีตชาติที่ผ่านมา หรือเคยล่วงเกินแก่ เทพยดา16ชั้นฟ้า15ชั้นดินหรือ เคยสาบาน บนบาน ต่อสิ่งศักดิ์ทั้งหลาย รวมทั้งสิ่งที่มองไม่เห็นทุกประการณ์”ชายชราเอ่ย

ภูวรินทร์แม้ใจจะรู้สึกประดักประเดิดกับการขมาเช่นนี้อยู่บ้าง แต่ก็ยอมทำตาม กระถางธูปถูกตั้งกลางแจ้งในลานบ่อน้ำพุ เขาไม่เห็นสิ่งบูชาอย่างอื่น ชายชราจับจ้องอินทนิลอยู่ตลอด เขาพยายามทำใจให้สงบ จดจ่ออยู่กับการตั้งจิตอธิษฐานขอขมาแก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย เขาหวังว่ามณีจะรับรู้ รวมไปถึงจิตใจของป้าษอรด้วย หญิงท้วมมีสีหน้าเคร่งเครียดระหว่างพิธีกรรม

 ท้องฟ้าแจ่มใส อากาศยามเช้าช่วยทำให้เขารูสึกดีขึ้น หลังจากที่สวดอธิษฐานตามสัปเหร่อ กลิ่นธูปลอยคลุ้งไปทั่วลานบ่อน้ำพุ

“...ขอถอนคำอธิษฐานคำสาบานที่จะติดตามคู่ในอดีต ขอให้ต่างฝ่ายต่างเป็นอิสระ”พอเอ่ยถึงประโยคนี้ ภูวรินทร์ชะงักไปอยู่นาน เหลียวมองอินทนิลที่หน้าซีด เม้มปาก มองมาที่เขาด้วยสายตาเศร้าสร้อย ตานันหันมองเขาอย่างกดดัน ชายหนุ่มท่องตาม พยายามตั้งจิตอธิษฐาน ไม่วอกแวก

และประโยคสุดท้ายที่เขาท่องตามสัปเหร่อ “...ขอให้ข้าพเจ้าพ้นจากคำสาปแช่งของปวงชน ของเจ้ากรรมนายเวร” และรอให้ธูปไหม้จนหมดก้าน ก็เป็นอันสิ้นเสร็จซึ่งภูวรินทร์ไม่เข้าใจนัก กับการต้องจ้องมองธูปเหล่านี้ สัปเหร่อเหลียวมองรอบบ้านก่อนจะพนมมือพึมพำอะไรสักอย่างไม่ชัดเจน หลังจากนั้นป้าษอรจึงนำดอกบัวเหล่านั้นไปถวายศาลพระภูมิต่อ

ชายหนุ่มเดินไปอินทนิลที่ดูเงียบไปตั้งแต่เมื่อคืน เด็กหนุ่มยืนมองก้านธูปที่ไหม้ไปจนหมดแล้ว “รู้สึกอย่างไรบ้าง”เขาถามอย่างเป็นห่วง อีกฝ่ายสะดุ้งก่อนจะหันมองเขา สีหน้าดูไม่ดีนัก แต่ก็พยายามยิ้ม

“ก็ไม่รู้สึกอะไรเลย....ตาคนนั้นเป็นพวกมิจฉาชีพหรือเปล่าก็ไม่รู้” อินทนิลจ้องไปที่ชายชราอย่างไม่ไว้ใจ เขามองตามเห็นว่าตานันกำลังจัดถาดสำหรับของเซ่นไหว้บรรพบุรุษกับนิรุทอยู่

“เขาไม่ได้มาเอาเงินจากเราไปนี่ เป็นมิจฉาชีพได้ยังไง...แต่ถึงพิธีจะแปลกไปหน่อย ฉันก็หวังว่ามันจะสำเร็จ”เขาบอกไปแม้จะรู้สึกไม่ดีนิดหน่อยที่เอ่ยถอดทอนคำสาบานแต่ครั้งอดีต แต่คิดอีกแง่ก็เป็นเรื่องดีที่จะไม่ต้องมีพันธะต่อกันให้เกิดเวรเกิดกรรม อินทนิลถอนหายใจ สองมือกำแน่นไม่คลายออก เขาขมวดคิ้ว ทุกครั้งที่อีกฝ่ายมีอาการแบบนี้ มักจะอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ดีนัก ท่าทีแบบนี้ของอินทนิลหายไปนาน หลังจากที่รู้ว่าคุณแก้วใช้ร่างของตนไปทำอะไรบ้าง

“อินน์ก็หวังไว้แบบนั้น คุณภูจะได้อยู่อย่างสงบสุข”เด็กหนุ่มบอก น้ำเสียงไม่ยินดีตามที่เอ่ยออกมานัก แววตาเป็นกังวล ชายหนุ่มเงียบไป เขายิ้มบางๆ รู้ดีว่าต่อจากนี้ เขาและอินทนิลจะไม่เหมือนเดิมอีก รวมทั้งคุณแก้วด้วย

“ฉันก็อยากให้คนบ้านนี้อยู่อย่างปกติกันมากกว่า”เขาบอก มองอินทนิลอย่างตั้งใจ เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง แววตาฉายความไม่มั่นใจออกมา

ขณะเดียวกันสัปเหร่อวัยชราเดินมาหาภูวรินทร์ ร่างกายผอมสีผิวเข้มคล้ำ “พ่อหนุ่ม มาคุยกับตาหน่อย”อีกฝ่ายเอ่ยเรียก มือผอมเห็นกระดูกยื่นมือมาจับต้นแขนของเขาไว้ ฝ่ามือนั้นยังแข็งแรงเพราะแรงบีบ เขาพยักหน้าตกลง สัปเหร่อเดินนำเข้าไปยังสุสานของบ้าน ระหว่างที่ก้าวผ่านรั้วบานเล็ก เขาหันไปมองอินทนิลที่ยังคงจับจ้องตามมาจนสุดสายตา

เมื่อเดินผ่านเรือนปั้นหยา เข้าไปสู่แนวป่า เขตสุสานอันเงียบสงบ กระถางดอกไม้ที่เหลือจากเรือนกระจกถูกนำมาตกแต่งสุสาน โดยเฉพาะรอบๆโกฏิ ดอกไม้วางเรียงเป็นแถว ทำให้สุสานดูมีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าเดิม ภายในสุสานมีกลิ่นธูปลอยคลุ้ง ก่อนหน้านั้นนิรุทเอาของมาไหว้พ่อของตนและของบรรพบุรุษ

“มีอะไรหรือครับ”ภูวรินทร์เอ่ยถาม มองชายชราที่เดินมาหยุดอยู่ที่โกฏิของมณี เขามองภาพเลือนลางของเธออย่างเศร้าหมอง

“คราวก่อนคุณเจอโถดองศพทารกไว้ไม่ใช่หรือ”ชายชราเริ่มการสนทนา เหลียวมองเขาไปด้วย ภูวรินทร์ขมวดคิ้ว ก่อนหน้าเขาให้ลุงชมไปจัดการเรื่องซากทารก คาดว่าคงได้สัปเหร่อคนนี้คงช่วยจัดการให้ เรื่องราวตอนนั้นเขาไม่รู้รายละเอียดมาก ลุงชมก็จัดการเอง

“ครับ แล้วมีอะไรหรือเปล่า”เขาถามด้วยความลังเล อีกฝ่ายถอนหายใจก่อนจะทอดสายตามองโกฏิของมณี ขณะที่ค่อยๆเอ่ยถ้อยคำออกมา

“ทารกนั่นถูกนำไปทำพิธี เพราะนางบัวน่าจะกลัวบาปกรรมจึงเอายันต์มาสะกดไว้”ชายชราเอ่ยถึงเรื่องที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน พอนึกถึงสาเหตุที่ทำให้บัวเกิดความกลัว คงไม่พ้นเรื่องผีสาง ชายหนุ่มกังวลใจ ยิ่งเจอเรื่องของมณีเขายิ่งรู้สึกระแวง เขามองโกฏิอยู่เงียบๆ นึกถึงว่าวิญญาณของเธอยังอยู่ไม่ไปไหนแล้วก็ได้แต่เห็นใจ

“แล้วจะเกิดผลร้ายหรือไม่ครับ”เขาถาม ชายชราหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้า “เป็นเรื่องงมงายน่ะคุณ สมัยนั้นอาจจะเชื่อกันอยู่มาก”ชายชราเอ่ยน้ำเสียงต่ำ จ้องมองเขาอีกครั้ง เขาลังเลที่จะเอ่ยถาม แต่หากต้องเก็บงำไว้ตนคงไม่สบายใจ

“....ตารู้ไหม มณียังไม่ไปเกิด ผมไม่รู้ว่าพิธีนี้เชื่อถือได้มากแค่ไหน แต่ผมหวังว่าเธอได้รับกุศลจากผม”เขาบอก มองชายชรานิ่งๆ เจ้าตัวถอนหายใจ ส่ายศีรษะท่าทางเหมือนเหนื่อยใจ

“อืม ตาก็พอจะได้ยินมาบ้าง รู้ไหมว่าทำไมบ้านนี้จึงไม่ค่อยมีคนอาศัย หรือมีคนอื่นอยู่ในบริเวณใกล้เคียง”ชายชราพูด เขาพยักหน้า

“เพราะเรื่องผีหรือครับ”เขาตอบ จะเป็นเรื่องอื่นไปได้อย่างไร ตานันหัวเราะออกมาเบาๆ

“ก็ถูก ชาวบ้านได้ยินอาถรรพ์ของคนภิรมย์สุขมานาน หากไม่จริงก็คงไม่มีคนเอาไปพูดกันทั่วแบบนี้หรอก ในสมัยรุ่นคุณภัทร พ่อของคุณนิรุท จำได้ว่าช่วงนั้นถือเป็นยุคมืดของคนบ้านนี้เลยก็ว่าได้ มีคนตาย และผีอาฆาต ทั้งคุณแก้ว มณีด้วย พอบ้านไร้คนสืบทอด ถึงจะมีคนคอยดูแล คุณว่าจะมีคนใจกล้าเข้ามาขโมยของดีในบ้านบ้างไหม”ชายชราเล่าถึงเรื่องราวที่เขาไม่เคยได้ยิน ชายหนุ่มองสัปเหร่อ

“แสดงว่ามีคนเจอผีจริงน่ะเหรอ”ภูวรินทร์งงงวย แม้ว่าเขาเจอมณีในรูปของสิ่งเหนือธรรมชาติ ใกล้เคียงกับคำว่าผี แต่ก็ได้มาหลอกหลอนอะไรเขา เหมือนต่างคนต่างอยู่

“อาจใช่หรือไม่ใช่ แต่ที่แน่ๆ คนที่เฝ้าบ้านคงไม่ปล่อยให้โจรทำสำเร็จ”อีกฝ่ายพูดถึง ‘คนเฝ้าบ้าน’ ใครกัน หมายถึงมนุษย์หรือว่าวิญญาณ

“แล้วโจรเป็นยังไงบ้างครับ”เขาถามต่อ คาดคะเนคำตอบเอาไว้ในใจแล้วเช่นกัน อีกฝ่ายไหวไหล่ผ่ายผอม

“โจรไม่ได้อะไรจากบ้าน แต่ก็ตาย เพราะเผลอไปกินพืชมีพิษเข้าให้ โง่จริงๆ”

“ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย ป้าษอรก็ไม่ได้เล่าให้ฟัง”ชายหนุ่มขมวดคิ้ว รู้สึกว่าป้าษอรไม่เล่าเรื่องสำคัญๆที่เกิดขึ้นในบ้านให้เขาฟัง

“อ้อ สมัยนั้น อรมันอายุเท่าไหร่กันเชียว ตอนนั้นคนดูแลบ้านเป็นแม่ของมัน...”ชายชราบอกต่อ คลายความข้องใจของเขาไปได้ไม่น้อย

“ตาจะบอกว่าที่โจรตายเพราะผีงั้นเหรอ”

“ไม่รู้สิ เป็นเรื่องเล่าจากคนเก่าแก่ แต่พวกเรื่องเล่าล้วนมีที่มา อยากให้คุณฟังไว้ก็เท่านั้น อีกเรื่องหนึงถ้าคุณกังวลเรื่องมณี.... คืนนี้ไม่ลองออกไปดูบ้างล่ะ”สัปเหร่อแนะ ทำเอาภูวรินทร์ถึงกับหลุดขำ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาพูดล้อเล่นกับเขา อีกฝ่ายมีสีหน้าเหมือนล้อเลียนเขา เขารู้ว่าตนเองขี้ขลาดตาขาว

“...พูดจริงหรือแค่อำผม”เขาเอ่ย มองอีกฝ่ายอย่างพิจารณา คราวนี้ชายชราหัวเราะออกมา

“ฮ่ะๆ ช่างเถอะ นางได้รับกุศลไปแล้ว วิญญาณก็คงได้รับการปลดปล่อย บางทีเพราะคนบ้านนี้ไม่เคยทำบุญให้นาง ไม่เคยมาขอขมากรรมต่อกัน จะว่าไป คนที่จะต้องขอมาก็คือตัวคุณ นางจึงต้องรอถึงเจ็ดสิบกว่าปี การที่คุณหวังให้เรื่องทุกอย่างจบลงที่พิธีขอขมากรรม คุณคาดหวังมากเกินไปหน่อย”ชายชราเอ่ย

“ผมแค่หวังให้ป้าษอรไม่แบกรับเรื่องในอดีต”คำพูดของเจ้าตัว เขาเองก็เข้าใจดี

“อืม นางคงคิดได้แล้วล่ะ ไม่เช่นนั้นคงไม่ทำพิธีนี้หรอก แต่คุณจะคาดหวังว่าให้ทุกสิ่งเป็นไปตามที่ปรารถนาก็คงไม่ได้ ทุกอย่างมีที่ทางของมันเอง”อีกฝ่ายเอ่ยช้าๆ น้ำเสียงคล้ายกับกำลังสอนสั่งเขาไปในตัว เขาฟังแล้วก็คิดตาม ยิ่งทำให้รู้สึกไม่หนักแน่นมั่นคงเอาเสียเลย เขาเงียบไปนาน ไม่สามารถโต้ตอบคู่สนทนาต่อ

“ไม่รู้หรือว่าคนบ้านนี้นับถือผี”หลังจากที่ตานันมองเขาอยู่นาน จู่ๆก็เอ่ยออกมาเรียบๆ สีหน้านิ่งเฉย ภูวรินทร์ตกใจกับสิ่งที่ได้ยินไม่น้อย

“อะไรนะ”คำบอกเล่าของอีกฝ่าย นับถือผีงั้นหรือ เขาจ้องสัปเหร่อด้วยท่าทีเคร่งขรึม ในใจนึกถึงคุณแก้วที่มักจะบูชาสิ่งที่ลาลับไปแล้วมากกว่าการบูชาพระ แต่ไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนี้ ทำเอาภูวรินทร์รู้สึกเหวาดกลัว ร่างกายเย็นเยียบ

“ไม่เห็นหรือว่า บ้านนี้ไม่มีพระบูชา หลวงตาท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ที่เคยมาธุดงค์ที่เนินเขาหลังอาศรม ตอนนั้นมาเจอคนภิรมย์สุขคนลูกของหมื่นนรินทร์ คนนี้อยู่ไม่นานนัก พอตายก็เผากันเอง ไม่ได้มาทำพิธีที่วัด”อีกฝ่ายเล่าด้วยน้ำเสียงปกติ ไม่สนใจที่เขาตกใจกับข้อเท็จจริงดังกล่าว

“แล้วตารู้ได้ยังไงล่ะครับ”ภูวรินทร์ตั้งสติ ก่อนจะถามต่อไป คราวนี้ชายชราขยับมาใกล้เขา สีหน้าขรึม แววตาจริงจังกว่าทุกครั้ง

“ตอนหลานมันตาย นังอรมันเรียกหมอขวัญมายื้อชีวิตหลานมันไว้ คล้ายกับการเรียกเอาจิตกลับสู่ร่างทำนองนี้ มันหมายความว่าคนที่ตายไปแล้วกลับเข้าร่างได้ มันไม่ใช่เรื่องดีนี่คุณ”ตานันเอ่ย เขาใจหายวาบเมื่อเรื่องวกกลับมาเกี่ยวพันกับอินทนิลกับคุณแก้ว เขานิ่งงัน รู้สึกจับต้นชนปรายไม่ถูก

“จะบอกว่าที่อินทนิลอยู่มาป่านนี้เพราะป้าษอรเรียกขวัญกลับมา แล้วเรื่องคุณแก้วล่ะ ไม่ใช่เพราะคำสาปงั้นเหรอถึงได้ไม่ไปไหน”เขาถามอย่างไม่เข้าใจนัก ทีแรกคิดว่าเป็นผลจากคำสาปแช่งซะอีก ชายชราพยักหน้า เหลือบมองเขาอย่างพิจารณาก่อนจะเอ่ยออกมา

“ใช่ เป็นเพราะคำแช่งเลยไปเกิดไม่ได้ แต่การที่จิตของท่านยังสามารถเข้าสู่ร่างของอินทนิลได้ น่าจะมาจากสาเหตุนี้ด้วยเช่นกัน ปกติวิญญาณที่ไม่ถูกเชื้อเชิญจะมาเข้าสิงสู่กับร่างกายมนุษย์ได้เช่นไร”อีกฝ่ายตอบ ภูวรินทร์ยิ่งรู้สึกไม่ดีมากกว่าเดิม อีกฝ่ายคอยจะเอ่ยเตือนเรื่องคนเป็นคนตายกับเขา แต่ครั้งนี้เขาคล้อยตามได้ไม่น้อย แม้ในใจอยากปฏิเสธข้อเท็จจริงนี้

“คงไม่ใช่แค่มีผีสิงร่างใช่ไหมครับ จิตของคุณแก้วกับอินน์เชื่อมต่อกัน”เขาบอก การที่คุณแก้วกับอินทนิลยังคงมีชีวิตอยู่ มีเลือดเนื้อ มันไม่ใช่การสิงสู่ของวิญญาณแบบทั่วไป ไม่คิดว่าป้าษอรจะใช้วิธีแบบนั้นมายื้อชีวิตของอินทนิล เขาถอนหายใจอย่างท้อใจ ความหวังในใจมลายสิ้น

“อืม ถูกต้อง...แต่แล้วอย่างไรล่ะ เขาคือคนที่ควรตายไปตามกรรมไม่ใช่หรือไง”ชายราเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง สายตาพร่ามองมาที่ตนไม่ไปไหน เขาเงียบ แม้ใจจะรู้ดีแต่ก็ไม่อาจอยู่นิ่งเฉยได้ เขารู้สึกเจ็บลึกๆ เขาส่ายหน้า ก่อนจะเอ่ยด้วยอารมณ์โกรธเคือง

“...ที่ตาพูดก็เพื่อให้ผมยอมให้อินน์ตายไปงั้นเหรอ”เสียงของเขาลั่นไปทั่วสุสาน จากนั้นก็เงียบไป ชายชราแค่มองเขาอย่างเฉยชาก่อนจะถอนหายใจแรง

“มันแล้วแต่เวรแต่กรรม คุณยุดยื้อไปก็เท่านั้น เมื่อถึงวาระ ก็คงยื้อไว้ไม่ได้”อีกฝ่ายเอ่ยอย่างไม่ไว้หน้า จากนั้นก็เดินไปจุดธูปไหว้โกฏิของมณี สวดพึมพำอะไรสักอย่าง เหมือนบทแผ่เมตตา ภูวรินทร์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามทำใจให้สงบ

“ตารู้เรื่องคำแช่งได้เช่นไรครับ”เขาเอ่ยถามอย่างนึกสงสัย

“เฮ้อ สงสัยว่าคงมีวาสนาต่อกันล่ะมั้ง รุ่นปู่ของตาเคยทำงานกับท่านหมื่น เป็นคนขับรถ พ่อของตาเคยเป็นคนสวนอยู่ที่นี่เหมือนกัน เลยได้ยินเรื่องเล่าจากบ้านหลังนี้ซะเยอะ”หลังจากที่ไหว้เสร็จ ชายชราก็ลุกขึ้นหันมาคุยกับเขา

“งั้นเหรอ...”เขาพึมพำ ทุกคนในบ้านล้วนแต่เคยพบเจอกันมาก่อน ไม่ก็เคยมีความเกี่ยวข้องกับบ้านภิรมย์สุขไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

“บ้านหลังนี้ไม่มีสิ่งเลวร้าย เพียงแค่มันเก่าไปหน่อย ก็ยิ่งทำให้น่ากลัวอีกอย่าง หากคุณเจอเสียงแปลกๆก็อย่าไปร้องทักเข้าล่ะ การไม่เชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น ใช่ว่าจะลบหลู่ได้ง่าย”

“ผมเชื่อนะ เจอมาขนาดนี้ถ้ายังจิตแข็งอยู่ ผมคงไม่ใช่คน”

อีกฝ่ายหัวเราะ “ถ้ามีอะไรก็เรียกหาตาได้ บอกผ่านไอ้ชมก็ได้ เพราะติดต่อกันตลอด”ชายชราเอ่ยบอก น้ำเสียงเป็นมิตร เขายิ้ม

“ขอบคุณมากครับ” อย่างน้อยสัปเหร่อคนนี้ก็เคยช่วยเขามาก่อน แล้วยังมาเป็นธุระเรื่องพิธีกรรมนี้อีก ชายหนุ่มไม่รู้ว่าพิธีกรรมจะสำเร็จมากแค่ไหน มันเป็นแค่เรื่องอุปโลกน์ขึ้นมาเองหรือเปล่า เขาไม่อาจปักใจเชื่อ แต่เขาไม่ประมาท อย่างน้อย...ก็ทำใจเอาไว้กับทุกผลลัพธ์

คล้อยหลังสัปเหร่อชรากลับไปไม่นาน ภูวรินทร์กุมศีรษะ คำบอกเล่าของตานันทำให้ปวดหัวมาก เขาทุกขใจ เรื่องคนบ้านนี้นับถือผี ทำให้เขาเข้าใจการบูชาของอินทนิล อีกฝ่ายไม่เคยไหว้พระขอพรเลยสักครั้ง มีแต่บูชาบรรพบุรุษ ป้าษอรเองแม้จะทำบุญเข้าวัด แต่ก็ศรัทธาในพิธีกรรมที่ไม่ใช่วิถีพุทธ 

เสียงผู้มาเยือนคนใหม่เดินเข้ามาในสุสาน ภูวรินทร์เห็นว่าเป็นป้าษอร เธอเดินถือธูปกับดอกแก้วมาด้วย เขาคิดว่าป้าษอรต้องการมาขอขมามณี เธอเดินไปนั่งหน้าโกฏิก่อนจะจุดธูปวางช่อดอกแก้วลงก่อนจะหลับตาพนมมือ ภูวรินทร์แค่ถอยออกมาดูเงียบๆที่ใต้ต้นไม้ สามารถบังแดดได้ดี

“…ดอกแก้วคือตัวแทนแห่งความบริสุทธิ์ เป็นดอกไม้สิริมงคล เหมาะสำหรับการพิธีทางศาสนา…อิฉันจึงขอแผ่เมตตาอโหสิกรรมแก่ท่านหมื่นนรินทร์ นางมณีและลูก การกระทำใดที่เคยล่วงเกิน เบียดเบียนแก่ท่านทั้งสาม ขอข้าพเจ้าอโหสิกรรม และไม่คิดจะอาฆาตพยาบาทท่านทั้งสามคนอีก ไม่ว่าจะภพเก่าหรือภพปัจจุบันก็ตาม ขอให้ท่านทั้งหลายรับกุศลที่ข้าพเจ้าส่งไปให้ด้วยเถิด...”ป้าษอรเอ่ย เขาไม่ได้เตรียมตัวมารับฟังถ้อยคำนี้ จึงแปลกใจมาก

ภูวรินทร์มองอยู่เงียบๆ เขายิ้ม แม้เป็นเรื่องน่ายินดีแต่อีกเสี้ยวในใจกลับพลันเศร้าลงเมื่อ รับรู้ว่าไม่สามารถหลีกหนีคำสาปแข่งได้ ลึกในใจไม่อาจละทิ้งบ้านหลังนี้ไปได้ เขาอยากรู้ว่าอะไรดลใจให้ป้าษอรคิดได้ อีกฝ่ายลุกขึ้นยืน เดินตรงมาหา

“...คุณคงสงสัย หากถามว่าเพราะอะไร ก็คงเป็นเพราะคุณแก้วมากกว่า ต่อให้ใจของบัวคิดอาฆาตเพียงใด แต่ตราบใดที่คุณแก้วไม่คิดจะโกรธเคือง ก็ไม่มีประโยชน์ใดต้องเก็บสิ่งที่แบกมานาน”

“...”ภูวรินทร์ไม่มีถ้อยคำใดตอบโต้ แค่เงียบ รับฟังอีกฝ่ายพูด

“อีกอย่างป้าเพิ่งรู้จากอินทนิลว่ามณียังไม่ได้จากไปไหน พอมารู้แบบนี้แล้ว ป้าเองก็รู้สึกสับสน มณีนางได้รับกรรมของนาง ป้าเองก็กำลังรับกรรมของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นท่านหมื่น คุณแก้ว ที่ยังต้องพบเจอกันอยู่ดี”ป้าษอรเอ่ยน้ำเสียงเหมือนคนปลงตก แววตาไม่สะท้อนความยึดถือเช่นครั้งก่อน

“ผมคิดว่ามณีคงจากไปแล้ว ในเมื่อเราทำพิธีขอขมากรรม...ก็คงจะเหลือแต่คนที่ยังอยู่”ภูวรินทร์พึมพำ แม้ว่าเขาจะรู้สึกสบายใจที่ได้แผ่กุศลไปให้ผู้อื่น

“หลวงตาพูดถูกค่ะ ว่าให้อยู่กับปัจจุบัน ในตอนนี้ป้าเองก็จะดูแลอินทนิลให้ดี ดูแลบ้านเช่นเดิม”เธอบอก ชายหนุ่มมองหน้าเธออยู่นาน เขายิ้มก่อนจะเอ่ยขอบคุณกับอีกฝ่าย “ไม่ว่าอย่างไร ป้าก็ยังนับถือคุณและอยากให้คุณดูแลอินทนิลให้ดี...ป้าไม่ใช่ว่าไม่ทราบว่าอินน์มันคิดอะไรอยู่...ป้าจึงรบกวนคุณให้ทำดีต่อมัน รวมถึงคุณแก้วด้วย”อีกฝ่ายเอ่ยบอก แววตานิ่งสงบ เขาหลับตา พยักหน้า เขาไม่คิดจะละเลยเด็กหนุ่มเลยนี่นา

“ครับ ผมเองก็ปรารถนาให้อินน์มีความสุข”เขาบอก

ภูวรินทร์กลับเข้ามาในบ้าน เขาไม่เห็นนิรุทเลย จึงเดินไปยังชั้นบน กลับเข้าไปห้องนอนของตนเอง ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งนิ่งๆอยู่บนเตียง ปล่อยใจสงบลง ในที่สุดป้าษอรละทิ้งความโกรธแค้นที่แบกมานับสิบปี แบกความทุกข์ของนางบัว ชายหนุ่มเองก็บอกไม่ถูกนักว่ารู้สึกดีใจหรือไม่ เพราะมีหลายเรื่องประดังประเดเข้ามาพร้อมๆกัน

มีเสียงเคาะประตู ภูวรินทร์ร้องบอกให้เข้ามาได้ เป็นอินทนิลที่เปิดประตูเข้ามาหา เด็กหนุ่มส่งยิ้มให้เขา ก่อนจะก้าวเดินเข้ามาหา เสียงกำไลข้อเท้ายังคงดังออกมาเบาๆ อีกฝ่ายเดินมานั่งลงข้างกายเขา แต่ไม่ได้เอ่ยเอื้อนคำใดออกมา เพียงแค่ยื่นมือมากุมมือของเขาไว้แน่นๆ ความอบอุ่นแผ่ไปทั่วฝ่ามือ ทำให้ชายหนุ่มยิ้มแย้มออกมาก่อนจะเหลียวมองคนข้างกาย

“ต่อจากนี้คงไม่มีเรื่องร้ายแล้วครับ”อินทนิลเอ่ยบอก นัยน์ตาสีนิลเปล่งประกายความยินดีออกมา ริมฝีปากเผยรอยยิ้มสดใส เขามองรอยยิ้มจนพบว่าตนเองไม่สามารถละทิ้งอินทนิลไปได้ หรือแม้แต่การจากลาของอีกฝ่าย ชายหนุ่มยิ้มให้อินทนิลแทน 

“นั่นสินะ”เขาบอก เด็กหนุ่มกระชับฝ่ามือแน่นขึ้น ร่างของเด็กหนุ่มขยับเข้ามาใกล้เอนตัวพิงกับไหล่ของเขาไปด้วย เขานิ่งไป แต่ในใจกลับยินดีที่เห็นอีกฝ่ายแสดงความรู้สึกต่อตนเอง เขายิ้มบางๆรู้สึกเวทนาตัวเองขึ้นมา ‘ไม่อยากอาภัพรัก’ ภูวรินทร์คิด ตลอดยี่สิบเจ็ดปีที่ผ่านมาทั้งชีวิต เขาไม่เคยมีความรัก เรียกว่าไม่เคยได้รักใครซะมากกว่า คนที่เขาเคยคบด้วยล้วนไม่จริงใจ จึงเป็นความสัมพันธ์ที่ชั่วคราว ต่างจากอินทนิลและคุณแก้ว ที่มอบความรักแก่ตนก่อน ไล่ตามเขา เปิดเผยความรู้สึกที่ชัดเจน มันทำให้เขาไม่อาจปฏิเสธความรู้สึกรักใคร่ของทั้งสองคนไปได้ เขารู้ดีว่าไม่อาจตัดขาดกับทั้งคู่ได้

“ตอนที่ทำพิธีอินน์กลัวแทบแย่แหน่ะ ว่าคุณภูจะเปลี่ยนใจ”อินทนิลเอ่ยออกมา เขาจึงขยับตัว หันมองอีกฝ่ายอย่างเต็มตา

“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ”เขาถาม อินทนิลจ้องมองเขาเหมือนเสียใจ “ก็แววตาของคุณดูมุ่งมั่น โดยเฉาะตอนที่เอ่ยถึงการตัดคำสาบานที่เคยเอ่ยไว้”อินทนิลพึมพำไม่เต็มเสียงเท่าไหร่ ไม่กล้าสบตา เขาจึงยื่นมือไปจับไหล่ผอม ก่อนจะออกแรงบีบเบาๆให้อีกฝ่ายหันกลับมา

“แล้วไม่ดีเหรอ มันเป็นเรื่องของอดีต ตอนนี้ฉันก็อยู่ที่นี่กับเธอไม่ใช่หรือไง”ชายหนุ่มตอบ อินทนิลเปลี่ยนสีหน้าจากซึมเศร้ากลายเป็นความยินดี เด็กหนุ่มยิ้มกว้างเข้ามากอดเขาแน่นเป็นเด็กๆ ภูวรินทร์กอดร่างอุ่นที่ผอมบาง เขาขมวดคิ้วให้กับร่างกายนี้ อินทนิลดูจีความสุขกับการกอดเขา เพราะไม่ยอมปล่อยมือ

“นี่อินน์...”เขาเรียก น้ำเสียงเจือความขบขัน เด็กหนุ่มยอมคลายกอด นัยน์ตาสีนิลวาววับ “คุณภูครับ อินน์ขอแค่ได้อยู่กับคุณก็เพียงพอแล้ว”สิ้นคำพูดของอินทนิล ภูวรินทร์กระพริบตาจ้องมองคนตรงหน้าโดยไม่ละสายตา หัวใจเหมือนมีดอกไม้ผลิบาน เขายิ้ม กวาดสายตาไปทั่วดวงหน้าเรียว ก่อนจะยื่นมือไปสัมผัสเส้นผมอ่อนนุ่มของอินทนิล เด็กหนุ่มยิ้มให้เขา นัยน์ตาอ่อนโยนลง สะท้อนภาพของเขา

“อินน์กับท่านจะอยู่เคียงข้างคุณเสมอ”เด็กหนุ่มเอ่ย นัยน์ตาสีนิลเริ่มแดงมีน้ำใสคลอไปด้วย จากที่ดอกไม้ผลิบานตอนนี้กลับแห้งเหี่ยวเฉาลงทันที หัวใจเหมือนโดนบีบรัดแน่น เขาเม้มปาก ไม่อยากคิดวุ่นวายกับประโยคเหล่านี้ของอินทนิล เขากอดอินทนิลไว้แน่น ยกมือลูบศีรษะเล็กอย่างถนอม

“ขอบคุณมากนะ ตอนนี้ฉันยอบรับในชะตาของตนเองแล้ว ยอมรับในตัวตนของเธอสองคนด้วยเช่นกัน...”ภูวรินทร์เอ่ยออกมาจากใจ แม้จะเป็นเรื่องน่ายินดีแค่ไหน แต่เขายังคงสุขใจได้ไม่เต็มที่ เด็กหนุ่มกระชับกอดแน่น

“เรารู้แล้ว”อินทนิลเอ่ยเบาๆ โอบกอดเขาเนิ่นนาน ชายหนุ่มผละออกมอง ยื่นมือเกลี่ยหยาดน้ำตาของอีกฝ่ายออกไปให้พ้นแก้ม เขาไม่ลังเลที่จะเข้าไปประทับจูบแก่อินทนิล เจ้าตัวตอบรับสัมผัสของเขาอย่างเต็มใจ ขยับตัวเข้าหากันอย่างโหยหา มือหนาโอบลำตัวของเด็กหนุ่มไว้ดึงรั้งเข้าหา มือที่ว่างเข้ามาหยอกเย้ากับร่างกายใต้สาบเสื้อ สองร่างแนบแน่น ด่ำดิ่งสู่ห้วงกามา แต่รสสัมผัสปราศจากความมัวเมาเพียงแค่ตัว ตอบรับกันและกันด้วยรักในใจ สอดแทรกกอดรัดให้หรรษาจนกว่าคนทั่งคู่จะพึงพอใจ 

ภูวรินทร์เพียงแค่อยากเชยชมเด็กหนุ่ม ตัวตนของอินทนิลสักครั้ง ไม่รู้ว่าเรื่องหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร แต่เขารับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง หากว่าไม่ใช่ฝันเฟื่อง เขาคงต้องติดต่อกับป้าธิชาดูสักครั้ง เพื่อคุยเรื่องของอินทนิล   



+++++++++++



นิรุทยังคงอาศัยอยู่ที่บ้าน อีกฝ่ายดูจะสนใจเรือนกระจกเป็นพิเศษ จึงทำให้เขาต้องมาคุยกับชายคนนี้อยู่บ่อยครั้ง “ไม่ยักรู้ว่าดอกไม้พวกนี้ยังรอดได้อีก”

“ป้าษอร ลุงชมดูแลมันไม่ใช่หรือไงครับ”เขาบอก อีกฝ่ายพยักหน้า ริมฝีปากแย้มยิ้ม “เธออึดอัดหรือ”

“ก็นิดหน่อยครับ...”ชายหนุ่มตอบไปตามตรง เขายังไม่ชินกับการพูดคุยกับนิรุทนัก อีกฝ่ายมองอยู่นาน เขาเงียบ ตั้งใจว่าหากไม่มีเรื่องจะพูดกัน เขาคงต้องเดินหนี

“ขอโทษนะ”นิรุทเอ่ยถ้อยคำออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ ภูวรินทร์ชะงักงันไปทันที

“ว่าไงนะครับ”ภูวรินทร์เอ่ยซ้ำ มองอีกฝ่ายนิ่งๆ เจ้าตัวแค่มองเขาอยู่นาน แววตาที่สะท้อนกลับมาเป็นความรู้สึกผิด

“ฉันเอ่ยคำขอโทษให้เธอ...ในฐานะพ่อที่ไม่ได้เรื่อง”นิรุทบอกเรียบๆ ภูวรินทร์นิ่งงัน “ช่างเถอะครับ... ว่าแต่คุณยังติดต่อกับป้าธิชาบ้างไหมครับ”เขาเอ่ยถาม

“ธิชา?...นานๆครั้ง ฝ่ายนั้นไม่ค่อยได้ติดต่อกลับมาหรอก...ทำไมหรือ”

“เรื่องอินทนิลน่ะครับ”ชายหนุ่มตอบ นิรุทมองหน้าเขาด้วยสายตาสงบนิ่ง เขาคิดว่าอีกฝ่ายรู้ความสัมพันธ์ของเขากับอินทนิล ป้าษอรอาจบอก

“...ฉันไม่อยากยุ่งเรื่องของเธอหรอก...แต่อินทนิลยังเด็กอยู่เลย”อีกฝ่ายพูด จนเขารู้สึกผิดบาปขึ้นมา ชายหนุ่มไม่อยากคุยกับนิรุทอีก

“ผมมันมีกิเลสเยอะ”เขาเอ่ยทิ้งท้าย ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากเรือนกระจกด้วยใจไม่สงบนัก ชายหนุ่มเดินกลับเข้าไปในบ้าน อินทนิลนั่งร้อยมาลัยอยู่ที่โถงรับแขก พอเห็นเขาเดินมาก็ส่งยิ้มทักทาย

“ทำอีกแล้วเหรอ เอาไปไหว้พระหรือไง”ภูวรินทร์เอ่ยถาม นึกถึงคำของสัปเหร่อที่บอกว่าคนบ้านนี้นับถือผี อินทนิลถือเข็มร้อยมาลัย กำลังหยิบดอกพุดเสียบลงเข็มช้าๆอย่างชำนาญ

“เปล่าครับ อินน์จะเอาไปไว้บนหัวนอน”เด็กหนุ่มตอบ เขาลอบถอนหายใจ  อินทนิลเงยหน้ามอง คิ้วขมวดเข้าหากัน “มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“ฉันไม่ฝันร้ายแล้วนะ ไม่ต้องทำหรอก”เขาบอกด้วยน้ำเสียงปกติ ไม่มีความดุดันให้ได้ยิน อินทนิลชะงักค้างไป

“คุณภูกังวลสิ่งที่อินน์ทำเหรอครับ”เด็กหนุ่มวางเข็มมาลัยในมือลง เขาส่ายหน้าปฏิเสธ “เปล่าหรอก..ฉันแค่เสียดายน่ะ พวงมาลัยไม่นานมันก็เหี่ยวเฉา”เขาบอก อินทนิลมองดอกพุดในมืออย่างไม่เข้าใจนัก

“เหรอ...คุณไม่ชอบเหรอครับ”

“ไม่ได้ไม่ชอบ...เอาเป็นแค่ดอกแก้วก็พอนะ อย่างน้อยกลิ่นของมันทำให้ฉันผ่อนคลายได้”เขาบอก พอได้ฟังคำเกลี้ยกล่อมอินทนิลคล้อยตามง่ายๆ

“ตามใจครับ แต่พวงนี้ทำให้เสร็จไปเลยดีกว่า เสียดายของ”เจ้าตัวตอบ เขาจึงพยักหน้าตกลง มองดูอินทนิลร้อยมาลัยอยู่เงียบๆ แม้ว่าอีกฝ่ายจะทำเป็นนิ่งเฉย เหมือนไม่สะทกสะท้านอะไร แต่เขาเห็นว่าเด็กหนุ่มประหม่า ภูวรินทร์ลอบยิ้ม ยอมหยิบหนังสือพิมพ์ออกมาอ่านฆ่าเวลาเล่น ไม่มีข่าวอะไรที่น่าสนใจ หรือเกี่ยวข้องกับคนภิรมย์สุข

 


หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๖ l ๑๙.๐๒.๖๑ หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 19-02-2018 10:26:05
ทว่าสถานการณ์ของภูวรินทร์เหมือนเป็นคลื่นใต้น้ำ ทีแรกเหมือนว่าจะสงบนิ่ง จนเขาคลายความกังวลไปได้ แต่ทว่าในคืนนั้นอินทนิลไม่สบาย คลื่นไส้อาเจียนอย่างหนัก ร่างกายซีดเซียว เพ้อด้วยพิษไข้ไม่ได้สติ ยิ่งทานยาเข้าไปราวกับว่าไม่เป็นผลดี เนื้อตัวของอินทนิลเย็นลงอย่างน่าตกใจ

“เกิดอะไรขึ้นกัน เมื่อคืนยังดีอยู่เลย”ชายหนุ่มเอ่ยอย่างร้อนใจ ป้าษอรเข้ามาวัดไข้ เธอดูกังวลใจ เขาจุกในอก ไม่อยากคิดฟุ้งซ่านให้มากความ นิรุทเองก็กังวลใจไปไม่น้อย

“พาไปหาหมอดีกว่าครับ”ภูวรินทร์ทนดูไม่ไหว อินทนิลป่วยหนักเกินกว่าจะรักษาด้วยยาทั่วไป แต่ว่านิรุทกลับเข้ามาห้ามปราม

“ไม่ได้นะ ไม่รู้หรือไงว่าอินทนิลใช้ชื่อของคนอื่น หากไปส่งโรงพยาบาล คงมีเรื่องวุ่นวายตามหลังมาแน่ๆ”อีกฝ่ายเอ่ย ภูวรินทร์นิ่งงัน เหมือนเดินชนกำแพง เขามองไปที่ป้าษอร เธอหน้าซีด ท่าทางหมดคำพูด

“แต่ไม่เห็นเหรอว่าอินน์แย่แค่ไหน จะปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้...คุณหาหมอมารักษาที่บ้านก็ได้”เขาเอ่ยบอก นิรุทมีหน้าลังเลใจ เขายิ่งทวีความหงุดหงิด เข้าไปอุ้มอินทนิลออกจากเตียง นิรุทเข้ามาห้ามอีกครั้ง แต่ภูวรินทร์อยู่เฉยไม่ได้ ร่างของอินทนิลอ่อนเปลี้ยเหมือนคนไม่มีสติสัมปชัญญะ 

“อย่า...ไปไม่ได้ครับ”อินทนิลส่งเสียงออกมาอย่างแผ่วเบา แม้ว่าไม่ลืมตาแต่เปลือกตาของเด็กหนุ่มกระตุกไปมา มือผอมแห้งปัดป่ายเขาออกจากร่าง ภูวรินทร์มองอินทนิลอย่างไม่เข้าใจ

“เดี๋ยวฉันตามหมอมาดูให้”นิรุทเอ่ยบอก ชายหนุ่มปล่อยร่างของอินทนิลลงกับเตียงช้าๆ มองดูแล้วอินทนิลอาการหนัก เขายิ่งเครียดและจิตใจไม่อยู่กับตัว คำพูดของหลวงตาและตานันกลับเข้ามาซ้ำเติม ...พิธีขอขมากรรมส่งผลต่ออินทนิลจริงๆ เขาควรทำเช่นไรดี

“ฉันอยากให้เธอมีสติหน่อย ไม่เห็นหรือไงว่าอินน์แย่แล้ว”นิรุทเผลอพูดออกมา ภายในห้องเงียบกริบทันที ป้าษอรหลบตาเขา เม้มปากแน่นท่าทางเหมือนอดกลั้นอารมณ์เอาไว้

“จะปล่อยให้อินทนิลตายไปทั้งแบบนี้จริงๆน่ะเหรอ”เขาส่ายหน้า มันรวดเร็วเกินไป เขาไม่ทันได้เตรียมทำใจเลยด้วยซ้ำ นิรุทถอนหายใจ

“ถ้าอยากนั้น ป้าจะไปตามหมอขวัญมา”หญิงท้วมเอ่ยน้ำเสียงแหบแห้ง ภูวรินทร์เงยมอง ก่อนจะหันไปมองอินทนิลอีกครั้ง ร่างนั้นซีดเซียวจนน่ากลัว ริมฝีปากแห้งเริ่มคล้ำลง

“ผมไม่นับถือผี...”ชายหนุ่มเอ่ยออกไป ป้าษอรมีท่าทีเหมือนไม่พอใจ เธอเดินเข้ามาหาเขา

“หรือคุณจะปล่อยอินน์ไว้แบบนี้ ต่อให้หมอเก่งๆมารักษา ไม่มีทางที่จะรักษาให้หายได้หรอก....ร่างกายของอินน์ในตอนนี้เหมือนเมื่อตอนป่วยหนักเมื่อตอนกินผลเทียนหยดไปไม่มีผิด... อาการแบบนี้แหละ”ป้าษอรเอ่ยอย่างอับจนหนทาง ทำเอาภูวรินทร์แทบทรุด เขาอึ้งไป ร่างกายเหมือนยืนได้ไม่มั่นคงนัก ถ้อยคำเก่าๆของอินทนิลผุดขึ้นมาในหัวราวกับเปิดเทปไว้

‘ภาวะพร่องออกซิเจน...’

เขาส่ายศีรษะไม่อยากยอมรับความจริงนี้ ยิ่งนึกถึงภาพในฝันที่อินทนิลดูทุกข์ทรมานแบบนั้น ยังจำที่เคยอ่านอาการของพิษเทียนหยดได้ ยิ่งทำให้เขาไม่อาจห้ามให้น้ำตาค่อยๆเอ่อคลอออกมา ความตายที่เขาเคยเห็นในฝัน ในตอนนี้อินทนิลไม่อาจหลีกหนีได้จริงๆงั้นหรือ...

“...จะช่วยได้จริงๆเหรอครับ”ภูวรินทร์เอ่ย เสียงสั่นเครือ นิรุทมองเขาอย่างเป็นห่วง ป้าษอรไม่ตอบ เพียงแค่เดินออกจากห้องไป เสียงปิดประตูดังตามมา เขาเดินไปนั่งข้างเตียง ในใจไม่อาจรับรู้สิ่งใดอีก แค่มองร่างายของอินทนิลตรงหน้า มันทำให้เขาหมดหนทาง เขาอยากร้องไห้ออกมา เขาไม่เคยสูญคนที่รักมาก่อน เขาไม่อยากสูญใครไป

“อย่าจากไปตอนนี้สิ”เขาพึมพำก่อนจะปล่อยเสียงให้จมหายไป ...ไหนว่าจะอยู่เคียงข้างกันไง... ยื่นมือไปจับฝ่ามือที่เคยอุ่น ตอนนี้มันเย็นลงเรื่อยๆ เขาเอื้อมไปหยิบผ้าชุบน้ำอุ่นมาเช็ดตัวให้อินทนิล ทำแบบนี้เขาไม่รู้ว่ามันช่วยได้หรือไม่

“อย่าห่วงไปเลย...อินน์ต้องปลอดภัย”เสียงของนิรุทดังขึ้น ภูวรินทร์ทำได้แค่ยิ้ม รู้ดีว่าเป็นคำโกหก เขาไม่อาจทำใจให้นิ่งเฉยได้ เรี่ยวแรงที่มีหายไป เขาปล่อยผ้าเช็ดตัวผืนเล็กหล่นลงพื้น พบว่าสองมือนี้ไม่อาจแบกรับอะไรได้อีก อยู่ๆเขาก็เข้าใจ คุณแก้วเองเคยบอกว่ามีเวลาอยู่ไม่มาก ในเมื่อจิตวิญญาณของทั้งคู่ได้รับการขอขมา ผลบุญกุศลจากพิธีนั้น จิตของแก้วและอินทนิลจะกลับเข้าสู่สังสารวัฏ เกิดดับในภพถัดไป

ภูวรินทร์ทำใจไม่ได้จริงๆ แม้ใจจะคอยย้ำว่าไม่ได้รักคุณแก้วกับอินทนิลมากถึงเพียงนั้น มากไปกว่าที่ทั้งสองมีใจให้เขา ภายในใจเหมือนเต้นตุบๆอย่างเจ็บปวด เขาไม่รู้เลยว่ามันมาจากไหน เจ็บเพราะรัก หรือเจ็บเพราะอาการของคนป่วยกันแน่ แต่เขาก็ยังมีน้ำตาอยู่ดี

+++++++++++

เราตั้งใจว่า 20 ตอนจบค่ะ

ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ 
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๖ l ๑๙.๐๒.๖๑ หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: junpa ที่ 19-02-2018 11:38:39
อย่าตายน้าาา :sad4:
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๖ l ๑๙.๐๒.๖๑ หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: พันธุ์ไทย ที่ 19-02-2018 12:01:06
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๖ l ๑๙.๐๒.๖๑ หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: ANIKI. ที่ 19-02-2018 12:10:11
เอาละ.... มันจะจบแบบไหน อีกสี่ตอนเท่านั้น สุดจะลุ้น
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๖ l ๑๙.๐๒.๖๑ หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 19-02-2018 19:04:44
 :sad4: ฮือออ ไม่น้าาาาาา นี่เชียร์อินท์มากจริงๆไม่อยากให้อินท์เป็นอะไรไปเลย สงสารภูเลยตอนนี้พอเริ่มจะรักก็เหมือนจะพลัดพรากอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๖ l ๑๙.๐๒.๖๑ หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 19-02-2018 19:24:27
โอ้ยๆๆๆๆๆ จะเป็นยังไงต่อเนี่ย
แต่ใจนึงก็อยากให้ทุกคนได้เริ่มต้นใหม่จัง
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๖ l ๑๙.๐๒.๖๑ หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: net. net_n2537 ที่ 19-02-2018 21:10:51
 :o12:
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๖ l ๑๙.๐๒.๖๑ หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 20-02-2018 05:39:33
 :sad4: :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๖ l ๑๙.๐๒.๖๑ หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 20-02-2018 06:59:34
ไหงงั้นละ
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๖ l ๑๙.๐๒.๖๑ หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 20-02-2018 08:36:01
มีรักย่อมมีพราก อยากให้ตอนจบภูบวช
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๗ l ๒๑.๐๒.๖๑ หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 20-02-2018 23:52:26
ตอนที่ ๑๗
นิรุทรักษาคำพูด ช่วงบ่ายอีกฝ่ายตามหมอที่รู้จักมาช่วยรักษาอินทนิล ในขณะที่ป้าษอรออกไปเตรียมพิธีเรียกขวัญ ภูวรินทร์ใจสั่น เขาไม่เชื่อพิธีกรรมที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่ไม่อาจขัดป้าษอรได้ หมอที่มาตรวจอินทนิล ท่าทางมีอายุมากกว่านิรุทเสียอีก หมอคนดังกล่าวเข้าไปเช็ครูม่านตาของอินทนิล ตรวจชีพจร ก่อนจะถามอาการของอินทนิลกับนิรุทอีกครั้ง สีหน้าเคร่งเครียด หมอหยิบขวดน้ำเกลือขนาดเล็กออกมา จากนั้นก็ต่อสายน้ำเกลือต่อให้อินทนิล

“ดูเหมือนว่าร่างกายจะขาดน้ำ ท่าทางเหมือนโดนพิษ”ลุงหมอเอ่ยระหว่างที่วัดไข้อินทนิลอีกรอบ ปรากฏว่าอุณหภูมิในร่างกายต่ำผิดปกติ เนื้อเย็นลงเรื่อยๆ หลังจากฉีดยาไปสองเข็ม เด็กหนุ่มก็อาเจียนออกมาหลายครั้ง

“รักษาได้ไหมครับ”นิรุทเอ่ยถาม ชายหนุ่มกลั้นใจฟังคำตอบ

“เฮ้อ เหมือนจะสายไปแล้วนะ แปลกมากจริงๆ ร่างกายของเด็กคนนี้ไม่รับยาที่ฉันให้ไปเลย คิดว่าร่างกายขาดสมดุลไปแล้วล่ะ...มันเกิดอะไรขึ้นกัน”หมอหันไปพึมพำกับนิรุท ภูวรินทร์เดินวนไปวนมาอย่างกระวนกระวายใจ นิรุทร้องขอให้หมอช่วยล้างท้องให้อินทนิล แต่การล้างท้องโดยไม่มีเครื่องมือแพทย์ช่วยก็ยิ่งทำให้อินทนิลสูญเสียน้ำในร่างกายไปเยอะ แม้จะมีน้ำเหลือให้อยู่ตลอดก็ตาม หมอล้างพิษในร่างกายของอินทนิลออกได้ แต่หมอไม่การันตีว่าอินทนิลจะอาการดีขึ้นในชั่วโมงหรือสองชั่วโมง ต้องรอดูอาการต่อไป ภูวรินทร์มองอินทนิลที่มีสีหน้าดีขึ้นมาบ้าง จนนิรุทเห็นว่าเขาไม่ได้โวยวาย จึงพาหมอออกไปส่ง ชายหนุ่มทรุดนั่งลงที่เตียง มองอินทนิลที่ยังนอนสงบนิ่งอยู่ แต่คิ้วยังขมวดเข้าหากัน

“นี่อินน์ ได้ยินหรือเปล่า”เขาลองเรียกอีกฝ่ายดู แต่ไร้การตอบสนอง

ระหว่างนั้นมีเสียงเปิดประตูเข้ามา ภูวรินทร์หันไปมอง ก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างตกใจ  เมื่อพบว่าป้าษอรมากับตานันสัปเหร่อคนนั้น ชายชราไม่ได้สนใจเขาเพียงแค่เดินเข้ามาดูอินทนิลที่เตียง สีหน้าเคร่งขรึมก่อนจะถอนหายใจ

 “อย่าบอกนะว่าตาคือหมอขวัญน่ะ”เขาเอ่ยถามอย่างมึนงง เหลือบมองป้าษอรอีกคน เธอพยักหน้าให้เขา สัปเหร่อชราเงยมองเขาด้วยสายตาเรียบเฉย

“ใช่ ...อืม อาการหนักถึงเพียงนี้เลยหรือ”อีกฝ่ายหันกลับไปมองอินทนิลต่อ

“เมื่อกี้หมอล้างท้องให้อินทนิลแล้วนี่ครับ”เขาบอกชายชรา แต่ว่าอีกฝ่ายขมวดคิ้วจ้องมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์นัก ว้ำยังไม่ได้ตอบอะไรเขา

“ช่วยได้ไหมจ้ะ”ป้าษอรเอ่ยถามแทรก น้ำเสียงไม่มั่นคง แววตาแดงก่ำเหมือนจะใกล้ร้องไห้ออกมา

“ขึ้นอยู่กับวาสนาของมันก็แล้วกัน”ชายชรารำพึง สายตามองร่างของเด็กหนุ่มอยู่นาน จังหวะเดียวกันลุงชมเข้ามาในห้องเปิดประตูไว้ ในมือถือขันโตกสามอันเข้ามาในห้อง ภูวรินทร์มองอยู่เงียบๆ รู้สึกว่ากำลังมองละครปาหี่อะไรสักอย่าง บนขันโตกมีเสื้อผ้าของอินทนิล ป้าษอรเดินเข้าไปหาร่างของเด็กหนุ่ม ค่อยๆถอดกำไลข้อเท้าออก ก่อนจะนำไปวางที่บนเสื้อผ้าบนขันโตกอีกที จากนั้นลุงชมนำไปตั้งไว้ที่หน้าประตูทางขวามือ 2 ชุด ซ้ายมือ 1 ชุด และนำอุปกรณ์และเครื่องเซ่นมาวางไว้ด้วย มีเงินเหรียญ ข้าวสุก หัวหมู ไก่ น้ำ เหล้า ข้าวโพด ธูป ด้ายสายสิญจน์ และเงินห้อยคอ ชายหนุ่มไม่คิดเลยว่าป้าษอรจะไปจัดหาของพวกนี้มาจนครบ ภายในเวลาไม่ถึงสองชั่วโมง

ชายชราเริ่มอธิบายพิธีในครั้งนี้ว่าทำเพื่อเรียก‘ขวัญ’ให้กลับคืนสู่ร่างของอินทนิล เพราะเชื่อกันว่าผู้ที่ขวัญล่องลอยออกจากร่าง จนทำให้ร่างกายไม่สบาย โดยขวัญผู้ชายจะมี 9 ดวง หากหายไปดวงใดดวงหนึ่ง จะทำให้ไม่สบายได้หรือกระทั่งถึงแก่ชีวิตได้

หลังจากที่ลุงชมนำขันโตกไปวางที่หน้าประตุจนครบ ตานันก็เริ่มพิธีใช้เครื่องเซ่นไหว้ที่จะเซ่นสังเวย โดยนำกิ่งไม้เล็กๆ 4 กิ่ง นำมาเสียบปักไว้บนโตกทั้งสามชุด เพื่อสร้างบรรยากาศให้เหมือนกับป่านอกหมู่บ้านที่ผีร้ายอาศัยอยู่ แล้วเอาน้ำ เหล้า ข้าว ธูป และไข่ 1 ฟอง และเริ่มพิธี สัปเหร่อเฒ่าค่อยๆสวดมนตร์ ภาวนาให้ผีร้ายที่กักขวัญของอินทนิลไว้ ให้ปล่อยขวัญกลับมาสู่ร่างกายของเจ้าของ พอสวดเสร็จแล้ว ชายชราเดินออกไปยืนที่ประตูห้อง โดยในมือถือไข่ไก่ และด้ายสายสิญจน์ไว้ สวดมนตร์ให้ผีบรรพบุรุษมากินอาหารที่เตรีอมเอาไว้ให้ จากนั้นตานันก็กลับเข้ามาในห้องทำพิธีต่อ

ภูวรินทร์ไม่เคยเห็นพิธีกรรมแบบนี้มาก่อน เลยพูดไม่ออก เขาเหลือบมองป้าษอรที่กระวนกระวายใจไม่น้อย แต่ท่าทางก็ศรัทธาสัปเหร่อคนนี้ด้วยเช่นกัน เขามองไปที่อินทนิล ร่างนั้นยังคงซีดเซียว ส่งเสียงอืออาออกมาเหมือนคนฝันร้ายมากกว่า เขามองชายชราที่หยิบสายสิญจน์ออกมา ปากก็สวดมนต์ไปด้วย อีกฝ่ายเดินไปที่เตียงแล้วนั่งลงข้างๆร่างของอินทนิล จากนั้นก็จับมือของอินทนิลขึ้นมาทั้งสองข้าง เขามองอย่างไม่วางใจ

“จะทำอะไรครับ”เขาท้วงออกมา เมื่อเห็นว่าชายชรากำลังมัดมือของอินทนิล ในท่วงท่าของคนที่จากไปแล้วแบบนั้น ชายหนุ่มมองไปที่ป้าษอรอย่างไม่เข้าใจ และรู้สึกไม่ดีเมื่อเห็นอินทนิลถูกกระทำเช่นนี้ ราวกับว่าภาพตรงหน้ากำลังตอกย้ำเขาว่าอินทนิลไม่ต่างอะไรกับคนที่ไร้ลมหายใจ

“ต้องทำให้จบพิธี เพื่อรับขวัญกลับมา”ชายชราเอ่ยเสียงแหบพร่า ก่อนจะพันสายสิญจน์จนแน่นรอบมือของอินทนิลที่พนมเข้าหากัน มองภาพตรงหน้าแล้วภูวรินทร์เจ็บจี๊ดในใจ

“ทำแบบนี้ อินน์ก็เหมือนคนตายน่ะสิ”เขาโวยวายเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังมัดสายสิญจน์ไปที่ลำคอของเด็กหนุ่มต่อ เจ้าตัวชะงักมือ เหลือบมองเขาอย่างเฉยชา

“แกพาเขาออกไปก่อนดีกว่า”ชายชราหันไปพูดกับป้าษอร เธอหน้าซีดเดินเข้ามาหาเขาก่อนจะเอ่ยเสียงเหมือนคนร้องไห้

“ถือว่าป้าขอร้องนะคะ คนอาจไม่เชื่อเรื่องเหล่านี้ แต่ป้าไม่อยากเสียอินน์ไป”เธอเอ่ย สองตาเริ่มแดงก่ำ แต่พยายามไม่ให้น้ำตาไหลออกมา ชายหนุ่มเม้มปากแน่น มองชายชราที่ละออกจากร่างของอินทนิล เขามองเด็กหนุ่มที่นอนไร้สติ มีสายสิญจน์พันทั้งมือและลำคอ ภูวรินทร์หันหลังเดินออกจากห้องไปเงียบๆ ก่อนจะเดินไปนั่งสงบสติอารมณ์ที่ห้องหนังสือ เขาหายใจช้าๆ รู้สึกว่าภาพของอินทนิลยังคงติดตา

ภูวรินทร์นั่งลงกับเก้าอี้ รู้สึกว่าร่างกายเหนื่อยล้ากว่าเดิมหลายเท่า เขาไม่คาดหวังกับพิธีกรรมของชายชรา ในใจของเขาได้ข้อสรุปมาตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าอาการของอินทนิลเหมือนกับเหตุการณ์เมื่อสิบปีก่อน มันชัดเจนพอแล้วว่าเวลาของอินทนิลกำลังหมดลง เขาระลึกถึงคุณแก้วขึ้นมา เมื่อสองวันก่อนที่อีกฝ่ายออกมาช่วยเขาเรื่องของป้าษอร บางทีการกระทำเหล่านั้นคงเป็นสัญญาณเตือนว่าเวลาของคุณแก้วกำลังหมดลงเช่นกัน แต่เขาไม่ได้เก็บเอามาคิดมาก มัวแต่ห่วงเรื่องคำแช่ง

เขาคิดว่าชีวิตของเขามันน่าตลก ได้เจออินทนิล แต่ยังไม่ได้ทันได้จะรักอีกฝ่ายอย่างจริงจัง กลับต้องมาเจอการสูญเสียแทน หรือว่าชะตาของเขาจะไร้คู่ อาภัพเหมือนที่บัวเคยกล่าวไว้จริงๆ พอคิดแบบนี้ เขารู้สึกโดดเดี่ยวมากกว่าเดิม ก้มหน้าซบลงกับฝ่ามือ ต่อให้มีเวลาทำใจ มันก็ยังคงยากอยู่ดี

ต่อจากนี้ เขาเองไม่อาจรู้ว่าจะสามารถอยู่ที่บ้านหลังนี้ได้อีกหรือเปล่า ชายหนุ่มหลับตาลงปล่อยความรู้สึกแย่ๆออกจากใจแต่ไม่สำเร็จใบหน้าของอินทนิลผุดให้เห็นอยู่ตลอด เขาไม่อาจสงบใจได้เลย ผ่านไปไม่ถึงสิบนาที มีเสียงฝีเท้าวิ่งมาหาที่ห้องหนังสือ

“คุณภูคะ! อินน์อยากเจอคุณค่ะ”ป้าษอรผุนพลันเข้ามาที่ห้องหนังสือ เขารีบลุกขึ้นยืนทันที น้ำเสียงตื่นตระหนกของป้าษอรปลุกให้เขาเร่งฝีเท้าวิ่งไปหาอินทนิล ประตูห้องนอนของเขายังเปิดอ้าไว้ เขาได้กลิ่นธูปลอยคลุ้งอยู่ในห้อง ร่างของเด็กหนุ่มยังคงนอนอยู่บนเตียง ตานันนั่งอยู่ริมหน้าต่างไม่ได้มองมาที่เขา ภูวรินทร์เข้าไปหาอินทนิล เจ้าตัวไม่ได้ขยับเปลี่ยนท่า แค่หน้ามาทางเขาช้าๆ แววตาที่เคยสดใสตอนนี้ดูพร่ามัว ใบหน้าซีด เหงื่อกาฬผุดเกาะอยู่ทั่วใบหน้า เขาเอื้อมไปจับมือเย็นชืดของอินทนิล

“คุณภู...สีหน้าดูไม่ดีเลย”อินทนิลเอ่ยด้วยน้ำเสียงโรยแรง เขายิ้มให้กับจิตใจดีของอีกฝ่าย ตอนนี้อินทนิลเหมือนคนไร้เรี่ยวแรง หายใจแผ่วเบา เขาหันไปมองป้าษอร เธอบิดมือไปมาอย่างกังวลใจ แววตาเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา

“พักผ่อนดีกว่า อีกเดี๋ยวก็ดีขึ้น”เขาบอกเสียงเรียบเฉย เขาอยากย้ำให้ตัวเองฟังด้วย อินทนิลเงียบไป แต่ก็ปรากฏรอยยิ้มบางๆ

“บางที อินน์ว่ามันคงถึงเวลาแล้วมากกว่า”เด็กหนุ่มเอ่ยน้ำเสียงแผ่วเบา ริมฝีปากที่ขยับพูดสั่นระริก  หัวใจของภูวรินทร์พลันชาวาบ เขานิ่งงัน บีบมือของอีกฝ่ายแน่น

“พูดะไรแบบนั้นกัน”เขาพึมพำ หันไปมองป้าษอรที่ทำหน้ากล้ำกลืนก้อนสะอึก เธอมองมาที่เขาด้วยสายตาหมดหวัง ก่อนจะส่ายศีรษะให้เขา ชายหนุ่มหันมองคนที่นอนหายใจแผ่วๆอีกครั้ง

“ฮึก...ท่านกำลังจากไปแล้ว...”อยู่ๆอินทนิลก็เอ่ยเสียงดังพร้อมกับเสียงสะอื้น เด็กหนุ่มตัวสั่นเทา พยายามกลั้นเสียงร้องไห้ เขาไม่รับรู้ถึงแรงฝ่ามือที่กำลังกุมมือของตนอยู่ รู้เพียงว่าเขากำลังสูญเสียการควบคุม

“อะไรนะ...”ภูวรินทร์กระพริบตามองร่างของอินทนิล ใจหล่นวูบทันที เขาหน้าซีด มองเด็กหนุ่มที่คล้ายกับอดกลั้นต่อความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นต่อร่างกายของตนเอง เขาเม้มปาก “อย่าพูดอะไรที่เป็นลางไม่ดีเลยนะ”เขาบอก ไม่อยากรับรู้เรื่องที่ทำให้ใจต้องหดหู่ อินทนิลดึงมือเข้าไปวางบนอก นัยน์ตาสีนิลหม่นลง อีกฝ่ายกำลังกุมมือของเขาไว้แน่น

“...มณีก็จากไปแล้วครับ ฮือ... อินน์ก็คงต้องจากไปเหมือนกัน”เด็กหนุ่มเอ่ยออกมาทั้งน้ำตา เขามองคนตรงหน้าอยู่นาน เหมือนบางอย่างในใจมันปลิวหายไป เขารู้สึกโหวงเหวง

“อินน์ แกอย่าพูดอะไรแบบนี้สิ”ป้าษอรเดินเข้ามาใกล้ นั่งลงอีกฝั่งหนึงของเตียง ชายหนุ่มแค่พูดอะไรไม่ออก เขาจ้องมองอินทนิลอีกครั้ง สำรวจไปทั่วทั้งตัวของอีกฝ่าย ร่างกายนี้เขาเคยได้เชยชมไปเลย จากที่เป็นกายอุ่น ขาวสะอาด ตอนนี้กลับกลายเป็นร่างที่เย็นลง เหงื่อโซมกาย สีผิวไม่ขาวใส แต่ดูคล้ำลงออกไปทางซีดเขียวราวกับร่างของคนที่ไร้ชีวิต 

“ฉัน...”เขามีถ้อยคำมากมายที่อยากเอ่ยออกมา มีหลายเรื่องที่อยากคุยกับอินทนิล อยู่ๆกระบอกตาก็ร้อนผ่าว เขาเห็นอินทนิลอย่างพร่ามัวผ่านม่านน้ำตา หากเปรียบความเสียใจเวลาที่ต้องเลิกรากับคนเก่าๆ มันเทียบไม่ได้กับสิ่งที่เขากำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้ ความรู้สึกที่มีให้อินทนิลกับคุณแก้วดูจะมีมากกว่าที่ตัวเขาเข้าใจเสียอีก

“อย่างน้อย ตอนตาย อินน์ยังมีคนที่รักอยู่ข้างๆ ฮือ ไม่เหมือนตอนนั้นเลย แม่ไม่หาอินน์ ทั้งๆที่อยากเจอแม่แทบใจจะขาด....แต่ตอนนี้ อินน์มีคุณภูแล้วก็ษอรอยู่ด้วย ถือว่าเป็นบุญของอินทนิลแล้วล่ะ”อินทนิลยิ้มให้เขา ก่อนจะหันไปมองป้าษอร เธอไม่สามารถกลั้นเสียงร้องไห้ได้อีกต่อไป เธอร้องไห้โฮออกมา ถ้อยคำของเด็กหนุ่มบาดลึกลงกลางใจของเขา อินทนิลยังคงเหมือนเดิม ยังคงเจียมตน ไม่ขออะไรจากเขานอกจากคอยอยู่ข้างๆ เหมือนที่อีกฝ่ายเคยพูดไว้ว่า ‘มีชีวิตอยู่เพื่อคุณ’

ภายในห้องเหมือนถูกปกคลุมไปด้วยเมฆมืดครึ้ม บรรยากาศหม่นเศร้า ลมหอบใหญ่พักเข้ามาทางหน้าต่าง ม่านสะบัดเบาๆ นำเอากลิ่นหอมของดอกแก้วเข้ามาด้วย กลบกลิ่นธูปไปจนหมดสิ้น

“ขอโทษนะ ที่ตลอดมาฉันไม่เอาใจใส่เธอเท่าไหร่”เขาเอ่ยบอกอย่างนึกเสียใจ แม้ว่าก่อนหน้าเขาจะได้ครอบครองอินทนิลมาก่อน แต่เขาไม่เคยปฏิบัติต่ออีกฝ่ายให้เท่าเทียมกับการที่ล่วงเกินไป เขารักษาระยะห่างไว้ มาคิดดูแล้วเขารู้สึกเสียใจไม่อาจใช้เวลากับอินทนิลได้มากกว่านี้

“อินน์ไม่โกรธหรอก.... แต่ ขออย่าเดียว หวังว่าคุณภูจะพบกับความสุขที่แท้จริง”อินทนิลเอ่ยเบาๆ แววตาที่จับจ้องมาเริ่มเลือนลอย เขาขยับเข้าไปใกล้ๆ ค่อยๆช้อนไหล่ของเด็กหนุ่มขึ้นมากอด ภูวรินทร์แค่อยากให้อินทนิลรับรู้ความรู้สึกของเขาบ้าง อย่างน้อย...จิตของอินทนิลจะได้ไม่ติดค้างอะไร...รวมถึงคุณแก้วด้วย อย่างน้อยในภพนี้ อีกฝ่ายก็ไม่ได้จากไปอย่างโดดเดี่ยว เขารู้หรอกว่าที่อินน์บอกว่าคุณแก้วจากไปแล้ว จิตของคุณแก้วยังสามารถรับรู้อะไรได้อีกหรือไม่

“ฉัน...แค่เสียดายน่ะ เราน่าจะมีเวลามากกว่านี้นะอินน์ ฉันคิดว่าฉันกำลังจะรักเธอได้อยู่แล้วเชียว”เขาเอ่ยให้อีกฝ่ายฟัง ป้าษอรเหลือบมองเขาด้วยใบหน้าเปื้อนน้ำตา เธอปาดน้ำตาข้างแก้มออก สูดจมูกเบาๆยื่นมือมาจับมือของอินทนิลไว้ ก่อนจะถอยห่างออกจากเตียง อินทนิลมองเขาด้วยสายตายินดี แววตาปราบปลื้มปรากฏให้เห็นก่อนจางหายไปช้าๆ

“หากว่าเราคู่กันจริง ก็คงได้ครองคู่กัน.....อินน์คงคิดผิดไปหน่อย...ฮึก...น่าเสียดายจริงๆนั่นแหละ”อินทนิลเอ่ยเบาๆ เสียงดังอยู่ข้างหู สุ้มเสียงของเจ้าตัวดูโรยแรง แหบแห้ง

ภูวรินทร์กอดเด็กหนุ่มอย่างแผ่วเบา เขาอยากทะนุถนอมอีกฝ่ายไปจนลมหายใจสุดท้าย อินทนิลโถมร่างเข้ามาหาเขา ทิ้งน้ำหนักตัวกอดเขาไว้ด้วยเรี่ยวแรงที่มี

“ฉันยังหวังให้เธอมีความสุขนะอินน์”ชายหนุ่มเอ่ยบอก น้ำเสียงเบาโหวง หัวใจที่เต้นตุบๆอยู่เหมือนกำลังรวดร้าวทีละนิด เขาคิดว่าตนเองกำลังป่วยจริงๆนั่นแหละ ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บทางกายและทางจิตใจ  ร่างในอ้อมกอดสั่นเทาจากการร้องไห้ เด็กหนุ่มหอบจนตัวโยนเหมือนหายใจไม่ทัน อีกฝ่ายผละจากอ้อมกอดเมื่อมีทีท่าจะอาเจียนขึ้นมาอีกรอบ เขารีบคว้าโถจากใต้เตียงยื่นให้อินทนิล เด็กหนุ่มอ้วกออกมาจนน้ำตาคลอ ไหลอาบใบหน้า เขาหยิบผ้ามาเช็ดปากให้อีกฝ่าย คราบสีเขียวจากการอาเจียนไหลเปื้อนคาง เด็กหนุ่มหายใจเข้าออกกระชั้นถี่

“ฮือ เหมือนว่าข้างในตัวอินน์มันไม่ทำงานแล้ว อินน์รู้สึกได้เลยว่า กำลังจะตายลงช้าๆ”อินทนิลพูดไปร้องไห้ไป กุมท้องอย่างทุรนทุรายขึ้นมา เขาทำอะไรไม่ถูก เข้าไปประคองร่างของเจ้าตัวให้นอนลง เด็กหนุ่มสายตาเลื่อนลอย นอนขดงอเป็นกุ้ง

“ทำยังไงดีล่ะ...เอายาหน่อยไหม”เขาเอ่ยอย่างกระวนกระวาย เด็กหนุ่มส่ายหน้า ใบหน้าเหยเก

“ไม่ๆ กินไม่ไหวแล้ว”เจ้าตัวตอบช้าๆ ภูวรินทร์มองคนตรงหน้าอย่างใจเสีย เขาหันมองป้าษอรที่ใบหน้าซีดเผือด เข้ามาดูอินทนิลด้วยใบหน้าชอกช้ำ ตาบวมปูดเพราะร้องไห้มาตลอด ชายหนุ่มกำมือแน่น รู้สึกหายใจไม่ออก เขาไม่อยากมองเห็นอินทนิลตายไปต่อหน้าต่อตาแบบนี้ แต่ก็ไม่อยากหนีออกไป แต่อารของอินทนิลเริ่มแย่ลง ร่างกายไม่ตอบสนองต่อตัวยาแล้ว ซ้ำยังอาเจียนจนแทบไม่เหลืออะไรออกมา ริมฝีปากที่เคยมีเลือดฝาดกลายเป็นแห้งแตกและเขียวคล้ำ

ภูวรินทร์ทำใจไม่ได้ การมองคนตายไปต่อหน้ามันทรมานเกินไป เขาไม่อยากจดจำนาทีสุดท้ายของอินทนิลแบบนี้เลย ไม่ต่างอะไรจากในฝันเลย... เขารู้ดีว่าอินทนิลจะอยู่ในสภาพไหน ในใจยิ่งร่ำร้อง เขาเริ่มแสบตา ต้องทำใจแข็งเพียงไหนถึงจะไม่สะเทือนต่อภาพตรงหน้า

เขาจับมือเด็กหนุ่มไว้ มันชุ่มเหงื่อและเย็นเช่นเคย เล็บที่เคยอมชมพูกลายเป็นซีดคล้ำเพราะพิษในร่างกาย  ยิ่งทำให้เขาเจ็บอยู่ลึกๆกับความเปลี่ยนแปลงนี้ 

“ฮึก อย่า ...มองอินน์เลย”อินทนิลพูดออกมา มือยิ่งบีบลงมาแน่นขึ้นไปอีก เขาก้มมอง แม้จะเจ็บเพราะแรงบีบนี้ ชายหนุ่มใจสั่นคลอน อินทนิลหลับตาลง

“ทำไงดีคะ อินน์กำลังแย่”ป้าษอรพึมพำเหมือนคนไร้สติ เขาหันไปมองชายชราที่นั่งอยู่เงียบๆ อีกฝ่ายแค่จ้องมองมาอย่างว่างเปล่าก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ

เขาไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมาอีก ไม่กล้าแม้แต่จะมองอินทนิล รับรู้แค่ว่าร่างของเด็กหนุ่มกำลังย่ำแย่ หายใจได้ตื้นลงทุกที นาทีนั้นเขานึกอยากโทรหานิรุทบอกให้หมอมาช่วยการุณฆาตแก่อินทนิลดีหรือไม่ แต่เมื่อมองไปที่เด็กหนุ่มอีกครั้ง ภาพตรงหน้าทำให้เขาลุกขึ้นยืน เดินหนีออกจากห้องทันที

ไม่ไหวหรอก ให้ทนมองแบบนั้นเขาไม่ใจแข็งพอ ภูวรินทร์รีบเดินหนีออกจากชั้นบน ทีแรกเขาตั้งใจจะไม่ล่อยให้อินทนิลตายไปคนเดียว แต่ป้าษอรยังอยู่ และเขาทนมองไม่ได้จริงๆ ชายหนุ่มเดินเนื้อตัวสั่นเทาไปที่ห้องพักของอินทนิล อย่างน้อยก็ให้เขามีที่พักใจบ้าง

ภูวรินทร์เดินเข้าไปในห้องอันอบอุ่นของอินทนิล ก่อนจะเดินไปนอนบนเตียง ทุกอย่างในห้องเหมือนหยุดนิ่ง เขาพลิกตัวนอนคว่ำลง ไม่อยากรับรู้อะไรอีก

ขอโทษนะ....ฉันไม่สามารถทนดูได้จริงๆ

เขานอนมองหน้าต่างห้องนอน หลับตาลงไม่ได้เพราะภาพการเจ็บป่วยของอินทนิลมันผุดขึ้นมาทุกที มันปนเปกับของจริงและในความฝันเก่าๆ อีกฝ่ายต้องทรมานมากแค่ไหนนะ พอคิดแบบนี้ เขากลับดูแลคนตัวเองขึ้นมา เพราะเขามันปอดแหก เห็นแก่ตัวอยู่ร่ำไป

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เขาไม่ได้ยินความเคลื่อนไหวของคนในบ้าน เขาไม่กล้าเข้าไปในบ้าน ได้เห็นได้ยินสิ่งที่กลัวที่สุดในตอนนี้

ชายหนุ่มใจเต้นรัวเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้ เขารู้ได้ทันทีว่าข่าวร้ายกำลังมาถึง จู่ๆน้ำตาก็ไหลออกมาเอง ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายเอ่ยบอก ก็รู้ว่าเป็นเรื่องใด

“...คุณภูครับ....อินน์มันเสียแล้วครับ คุณอยากจะไปดูหน้ามันหน่อยไหม... ตอนนี้...”เสียงของลุงชมดังมาจากด้านหลัง เขาไม่รับรู้ประโยคอื่นใดอีกต่อไป รู้แค่ว่าเขาสูญเสียสิ่งที่รักไปแล้ว

“...คุณภูครับ”เสียงของอีกฝ่ายดังเข้ามาใกล้มากขึ้น ชายหนุ่มพยายามกลั้นเสียงร้องไห้ ไม่อยากให้ใครได้ยิน

“เดี๋ยวผมไปเปลี่ยนชุดให้อินน์เอง”เขาบอก ได้ยินเสียงตอบรับมาจากลุงชม เสียงลากฝีเท้าห่างออกไป ภูวรินทร์สูดจมูก เขาหายใจไม่ออก ผุดลุกขึ้นมานั่งช้าๆ ลุกยืนให้มั่นคง เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าของอินทนิลออก เสื้อผ้าที่เคยเห็นจนชินตาเรียงอยู่เต็มตู้ กลิ่นหอมอ่อนๆ เขาดึงเสื้อออกมา เสื้อสีขาวที่อินทนิลชอบใส่เสมอ นาทีนั้นเหมือนว่าทุกอย่างมันจู่โจมเขา

“ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย...”ภูวรินทร์ร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ เขาปรารถนาที่จะรักทั้งคุณแก้วและอินทนิล พอความรู้สึกที่มีต่อคนทั้งสองมันชัดเจนขึ้นกลับยิ่งทำร้ายเขาได้มากขึ้น

หลังจากที่ภูวรินทร์สงบจิตใจได้มากกว่าเดิม เขานำเสื้อผ้าของอินทนิลกลับไปยังที่บ้านใหญ่ ที่ชั้นบนนิรุทกลับมาแล้ว ชายคนนั้นมองเขาด้วยสายตาเป็นห่วง เขาไม่เก็บมาใส่ใจให้รำคาญสายตา ป้าษอรอยู่ด้านในกำลังสะอื้นอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ เมื่อเห็นร่างของอินทนิลที่นอนแน่นิ่งบนเตียง ชายหนุ่มแทบก้าวขาไม่ออก

“เดี๋ยวผมจะเช็ดตัวให้อินน์เอง ป้าทำใจให้สงบเถอะครับ...เดี๋ยวจะแย่ไปอีกคน”ภูวรินทร์เอ่ยบอกอย่างนึกห่วง เธอไม่ขยับไปไหน ชายหนุ่มจึงไม่พูดซ้ำ เขาเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวกับชามใส่น้ำออกมา คนที่เหลือออกจากห้องไปแล้ว เหลือแค่เขากับป้าษอรเท่านั้น

“คุณรักอินน์บ้างหรือเปล่า”อยู่ๆป้าษอรก็เอ่ยถาม ทำให้เขาชะงักไป มองร่างผอมของเด็กหนุ่มด้วยใจอาทร เขาปลดกระดุมเสื้อทีละเม็ด

“...ผมรักอินทนิลครับ อาจไม่เท่าป้า แต่มันก็คือรักนั่นแหละครับ...”เขาเอ่ยเบาๆ ไม่ได้สบตากับอีกฝ่ายเพราะไม่อยากร้องไห้ออกมาอีก อินทนิลคล้ายกับคนนอนหลับ แต่เขาไม่ได้รู้สึกดีขึ้น มันแย่ลง ป้าษอรไม่ได้พูดอะไร เธอลุกจากเตียงเดินออกจากห้องไปเงียบๆ เสียงปิดประตูห้องดังเบาๆ

ภูวรินทร์ปล่อยมือออกจากเสื้อของอินทนิลทันที เขามองเด็กหนุ่มอีกครั้ง ก่อนจะเข้าไปกอดร่างไร้ลมหายใจทันที ร่างกายที่ไม่อุ่นอีกต่อไปแล้ว ยิ่งทำให้เขาทำเป็นเข้มแข็งไม่ไหวอีกต่อไป

อินทนิลอายุแค่ 15 ปีเท่านั้นเอง ยังเด็กอยู่เลยแท้ๆ

“ขอโทษ”เขาเอ่ยบอก ก่อนจะกอดร่างของเด็กหนุ่มไว้ “อินทนิล”เขาเรียกชื่อของอีกฝ่ายเบาๆ แต่เปล่าประโยชน์ ร่างกายนี้ไม่สามารถตอบสนองได้อีกต่อไป

“อินน์...ขอโทษนะ ฉันน่าจะรักเธอมากกว่านี้ ฮือๆ”เขาพึมพำกับร่างของอินทนิลอยู่แบบนั้น ใช่ เขาตั้งคำถามมากมายต่อตัวเอง ชายหนุ่มสงบจิตใจอีกครั้งก่อนจะถอดชุดของอินทนิลออก เช็ดตัวให้อีกฝ่ายจนสะอาด เขาเลื่อนไปเช็ดบริเวณใบหน้า เขายื่นมือไปแตะแก้มของเด็กหนุ่ม ไล่มือไปที่ริมฝีปาก แม้จะไม่เนียนนุ่ม แต่เขามองดูเด็กหนุ่มแล้วจึงได้รู้ว่ารักอินทนิลแค่ไหน ภูวรินทร์ก้มลงไปจูบริมฝีปากเย็นชืดของอินทนิล พอจูบเสร็จเขานึกหัวเราะตัวเอง ตอนที่ยังมีชีวิตเขาไม่คิดอยากจูบอินทนิลเลยสักครั้ง จะมาอยากทำอะไรตอนที่สายไปแล้ว เขายิ้มเศร้า หากมีใครมาเห็นอาจคิดว่าเขาบ้าไปแล้ว ชายหนุ่มจึงเช็ดร่างกายของอินทนิลให้สะอาด จากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อ กางเกงให้จนเสร็จเรียบร้อย เขาจับมือทั้งสองข้างมาวางไว้ที่ด้านบนลำตัว อีกเดี๋ยวสัปเหร่อก็จะเข้ามานำร่างของอินทนิลไปสวดที่ห้องเก่าของคุณแก้วแทน ถึงจะมีวัดอยู่ในหมู่บ้าน แต่คงจัดแบบเอิกเริกไม่ได้

ภูวรินทร์รู้ว่าคนที่เจ็บปวดที่สุดไม่ใช่เขา แต่เป็น ป้าษอร สิ่งที่ไม่สามารถแก้ไขได้อีกคือคำพูดของคน กล่าวออกไปแล้วถือว่าเป็นคำพูดนายตน แต่ในกรณีของป้าษอร ซึ่งคือบัวกลับชาติมาก่อน คำแช่งชักหักกระดูกคือวาจาสิทธิ์

++++++++++

หลังจากที่ลุงชมไปนิมนต์หลวงตากับพระอีกสามรูปมาสวดคืนแรกเสร็จ แขกในบ้านมีไม่กี่คนเท่านั้น ภูวรินทร์กลับมานั่งใจลอยอยู่ในห้อง เมื่อครู่ก่อนเขาได้ยินป้าษอรคุยกับคุณนิรุทว่าจะนำศพของอินทนิลไปทำพิธีศพในเมือง เพราะนิรุทเคยดูแลเรื่องความเป็นอยู่ของอินทนิลช่วงที่ไปเรียน เขาจึงไม่ปฏิเสธ แต่ชายหนุ่มตัดสินใจไม่ตามไปด้วย

นิรุทนำศพของอินทนิลไปทำพิธีในเมืองใหญ่ ป้าษอรกับลุงชมตามไปด้วย ภูวรินทร์เคยไปงานศพของญาติพี่น้องมิตรสหายมาก่อน แม้จะเศร้าไปกับพวกเขาแต่ไม่เคยเข้าใจความรู้สึกหรือหัวอกของคนสูญเสียว่าการที่ต้องเห็นร่างของคนที่รักถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน แม้ว่าการเกิดแก่เจ็บตายจะเป็นเรื่องธรรมชาติ มีพบมีจาก ไม่ใช่ไม่เข้าใจแต่... กับอินทนิลมันมีอะไรมากกว่านั้น มีจิตวิญญาณของคุณแก้วที่ปรารถนารัก 

ภูวรินทร์ตื่นนอนพบกับเช้าวันใหม่ ความรู้สึกโศกเศร้ายังคงไม่จากหายไปไหน ร่องรอยของความสูญเสียยังคงอยู่ ทั้งบ้านตกอยู่ในความเงียบ เป็นความเงียบที่มีชีวิต มันคืบคลานเข้ามาเกาะเกี่ยวจิตใจของเขา ร่างกาย การมองเห็น ชายหนุ่มเก็บตัวอยู่ในห้อง  เช้าที่เต็มไปด้วยแสงสว่างนั้นเหมือนเป็นฝันร้ายของเขามากกว่า เขามองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยอยู่ตามที่ทางของมัน ทว่ามันกลับทำร้ายเขาอย่างง่ายดาย ความเงียบที่น่ากลัว เขาอยากได้ยินเสียงฝีเท้า เสียงกรุ๋งกริ๋งของกำไลข้อเท้าเบาๆ เสียงลม เสียงใบไม้ที่ขยับไปมา ทำให้เขารู้สึกว่างเปล่าอย่างบอกไม่ถูก

อินทนิลจากเขาไปแล้ว คุณแก้วก็เช่นกัน ...บ้านหลังนี้เหลือแค่เขาคนเดียวจริงๆ

ต้นแก้วยังคงออกดอกเช่นเดิม ความตายที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน ไม่มีคนนอกรับรู้ ป้าษอรให้แม่บ้านคนใหม่มาดูแลบ้านชั่วคราวก่อน เพราะกลัวว่าเขาจะอยู่คนเดียวไม่ได้ แต่สิ่งที่น่าแปลกใจกว่าคือ เขาเห็นรถกระบะคันใหญ่ขับเข้ามาจอดในบ้าน ชายหนุ่มจึงต้องลุกออกไปต้อนรับ เมื่อเดินมาถึงหน้าบ้าน เขาเห็นชายร่างสูงโปรง พออีกฝ่ายเห็นเขาก็รีบเข้ามากอดอย่างดีอกดีใจ โชติเพื่อนสนิทของเขานั่นเอง 


หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๗ l ๒๑.๐๒.๖๑ หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 20-02-2018 23:53:35
โชติมาหาเขาที่บ้าน อาจได้คำไหว้วานมาจากใครสักคน หมอนี่ถึงยอมถ่อมาถึงบ้านเก่าๆที่เจ้าตัวขยาดนักหนา ภูวรินทร์พาโชติเข้าไปนั่งที่โถงรับแขก แม่บ้านในวัยยี่สิบต้นๆ อายุน้อยกว่าเขาเสียอีก เดินออกมาปรากฏตัว

“ขอน้ำชากับขนมก็แล้วกัน”เขาบอกเธอ แม่บ้านที่เขาไม่รู้จักชื่อก้มศีรษะก่อนจะเดินหายไปในครัว โชตินั่งลงที่โซฟาอีกตัว มองเขาด้วยสายตาห่วงใย จนเขาหันไปมองทางอื่นแทน 

“ฉันรู้เรื่องทั้งหมดแล้วนะ”อีกฝ่ายเอ่ยบอก

“อืม”ภูวรินทร์รับคำเงียบๆ ทำเป็นหยิบหนังสือพิมพ์ฉบับเก่ามาอ่านฆ่าเวลา โชติจ้องมองเขาอยู่นาน เม้มปากแน่น สีหน้าเหมือนกังวล

“แกจะอยู่แบบนี้ไม่ได้ กลับบ้านกันดีกว่า...อย่างน้อย ชีวิตยังมีเรื่องอื่นที่ต้องทำนะเพื่อน”โชติเอ่ยออกมา น้ำเสียงไม่ดุดันอะไร เขารู้ดีว่าเพื่อนเป็นห่วงตนมากแค่ไหน แม้จะไม่ได้พูดคุยกันมาก แต่โชติเป็นเพื่อนที่ดีเสมอ ชายหนุ่มยิ้ม

“นั่นสิ”ระหว่างนั้นแม่บ้านก็เดินมาเสิร์ฟน้ำชากับขนมหวานสองอย่าง เป็นขนมตาลกับตะโก้ กลิ่นของมันหอมชวนน้ำลายสอ โชติยิ้มเอ่ยขอบคุณแม่บ้านสาว เธอเหลือบมองเขาก่อนจะเดินกลับไปประจำที่ครัวต่อ โชติยกถ้วยชามาจิบก่อนจะเอ่ยต่อ

“ฟังนะ เรื่องงานน่ะ ...ถ้าแกไม่อยากโดนออกจากคณะกรรมการฯ แกต้องกลับไปประชุมนะ ไปชี้แจงเรื่องการลางานของแกด้วย ไม่อย่างนั้นพวกนั้นคงหาเรื่องปลดแกแน่ๆ”โชติเอ่ยอย่างเป็นการเป็นงาน ภูวรินทร์รู้ดีว่าตนเองไม่สามารถยื้อตำแหน่งได้แล้ว หากต้องชี้แจงเขาก็ยังไม่อาจได้รับการไว้วางใจได้อีก

“ฉันยังไม่พร้อมทำงานตอนนี้หรอก”เขาตอบ พลางคิดหาทางหนีที่ไล่ไว้แล้ว โชติย่นหน้าขมวดคิ้ว ถอนหายใจอย่างแรง ก่อนจะขยับมาใกล้

“...แกจะอยู่ที่บ้านหลังนี้ตลอดไปไม่ได้หรอก”อีกฝ่ายพูดเสียงแข็ง เขายิ้มก่อนจะพยักหน้าตาม “รู้น่า...บางที ฉันกำลังคิดเรื่องโอนหุ้นอยู่เหมือนกัน”ชายหนุ่มบอก โชติทำหน้าไม่เห็นด้วย แต่ภูวรินทร์คิดมาตั้งแต่ตอนที่โชติส่งข้อความมาบอกว่าจะมีประชุมลงมติปลดเขาออกจากตำแหน่ง

“จะบ้าหรือไง นี่บริษัทของพ่อแกนะ”เพื่อนคนสนิทเอ่ยห้วนๆ สีหน้าเหมือนโดนเขาทรยศความเชื่อใจ ชายหนุ่มเงียบไป ก่อนจะคิดทบทวนอีกครั้ง

“...พูดถึงพ่อ  จะว่าไปพ่อของฉันรู้เรื่องของคุณนิรุทแล้ว บางทีเขาอาจหาทางไล่ฉันออกก็ได้”ภูวรินทร์เอ่ยช้าๆ พ่อไม่ได้ติดต่อเขามานาน ไม่แน่พ่ออาจจะเอือมระอาต่อเขามากจนขอซื้อหุ้นคืนก็เป็นไปได้

“แกคิดแง่ลบเกินไปแล้ว คุณอาเป็นห่วงแกจะตายไป เขาถามเรื่องแกกับฉันตลอดนะ แกไม่ติดต่อไปหาพ่อบ้างเลยหรือไง หรือคุยแต่พ่อใหม่....”โชติเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนลง เขาแปลกใจเรื่องที่ได้ยิน ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะคิดแบบนี้

“เฮ้ย โชติ แกพูดบ้าอะไร”

“...ช่างเถอะ แกจะคิดยังไงก็ช่าง แต่มีอีกหลายคนที่เป็นห่วงแกนะ”โชติมองหน้าเขา แววตาที่เชื่อมั่นในตัวเขายังไม่จางหายไปไหน ชายหนุ่มถอนหายใจ เขายังไม่มีสมาธิทำงาน หากเขากลับไปทำงานต่อ ยังไงซะ พวกผู้ถือหุ้นอาจจะเปิดประชุมถอดถอนเขาออกอยู่ดี

“อืม...ฉันตั้งใจจะลาออกจากกรรมการบริษัท โอนหุ้นคืนให้พ่อกับแม่ดีไหม ฉันขอแค่10%ไว้ก็พอ”ชายหนุ่มค่อยๆพูด อย่างน้อยแม่อาจมีสิทธ์มีเสียงมากขึ้น ส่วนพ่อจะได้ถือหุ้นมากอีกหน่อย เพราะยังไงพอปล่อยหุ้นพ่อก็ต้องซื้อกลับไปอยู่ดี

“นี่แกเอาจริงเหรอ”โชติเอ่ย ภูวรินทร์ถอนหายใจ เขายังคิดไม่ออกว่านอกจากพ่อกับแม่แล้ว พี่น้องคนอื่นๆเขาไม่สนิทนัก เลยไม่กล้าโอนหุ้นไปให้ หรือไม่ก็เขาอาจหาตัวแทนไว้

“พี่น้องฉันก็ยังอยู่อีกตั้งหลายคน เขาคงไม่มาคาดหวังที่ฉันคนเดียวหรอก”เขาบอก

“แกเป็นเอามากขนาดนี้เลย...แค่ไม่กี่เดือนเองนะ”โชติส่ายหน้า มองเขาอย่างไม่นึกเชื่อนัก

“ก็ใช่....”แต่เขารู้จักคุณแก้วนานกว่านั้น บอกไม่ถูกว่าเขารู้สึกรัก ผูกพันกับใครมากกว่ากัน อินทนิลหรือคุณแก้ว เขาไม่คิดจะทำร้ายอินทนิล ส่วนคุณแก้วเขาปรารถนาให้อีกฝ่ายมีความสุข

“เอาเถอะ...ช่วงนี้ฉันอยู่เป็นเพื่อนแกเอง”โชติเอ่ยต่อ เขายิ้ม นึกดีใจอยู่บ้างที่อีกฝ่ายแสดงความห่วงใยออกมา

“ทำไมกัน คิดว่าฉันจะคิดสั้นหรือไง”

“ก็ดูสภาพแกสิ ไม่ดูแลตัวเอง แกใจลอยบ่อยๆ ฉันเป็นห่วงนะ”เพื่อนคนสนิทมองเขาก่อนจะส่ายหน้า เขาก้มมองสำรวจตัวเองก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรสึกหรอตรงไหน

“อืม เดี๋ยวก็ดีขึ้นเองนั่นแหละ ขอแค่เวลาสักหน่อย”ภูวรินทร์บอก อะไรคงดีขึ้นหากเขาใช้เวลาอยู่กับตัวเองบ้าง ระหว่างนั้นโชติเหลียวมองไปรอบบ้าน ก่อนจะขยับมากระซิบ

“โอเค ว่าแต่...ฉันนอนกับแกได้ไหม ไม่กล้านอนคนเดียวว่ะ”

“ฮ่ะๆ แกนี่มันขี้กลัวเหมือนเดิม”เขาหัวเราะ นึกเห็นใจเพื่อนอยู่บ้าง ใครกันใช้หมอนี่มาดูแลเขา

“โธ่...ก็บ้านนี้มีแต่คน—”โชติกลืนคำพูดสุดท้ายลงคอได้ทัน ภูวรินทร์มองเพื่อนนิ่งๆ ไม่ได้สนใจกับถ้อยคำของอีกฝ่ายนัก เขาเข้าใจโชติดี

“อืม ตามใจเถอะ”เขาบอกอย่างไม่ถือสา แค่ส่งยิ้มไปให้อย่างเลื่อนลอย

หลังจากนั้นโชติก็คอยสอดส่องเขาอยู่ตลอด เขาได้รับโทรศัพท์จากนิรุท บอกว่าคราวนี้จะไม่กลับมาพร้อมกับป้าษอรเพราะว่าต้องทำธุระต่อ ภูวรินทร์ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะสนใจเขาขนาดนี้ แต่เขาก็ไม่ปฏิเสธไมตรี

“เดี๋ยวครับคุณ...”เขาเอ่ยก่อนที่อีกฝ่ายจะวางสาย

“ว่าไง”เสียงทุ้มตอบกลับมา

“...หากว่าในอนาคต ผมยังทำงานที่บริษัทอยู่...ผมอยากให้คุณเป็นตัวแทนของผมได้ไหม”เขาเอ่ยถาม คนปรายสายเงียบไปหลายอึดใจ

“ตัวแทน? ได้ยินว่าเธอเป็นกรรมการฯนี่ เกิดอะไรขึ้นล่ะ”

“ก็เผื่อว่าผมจะหมดสภาพการทำงาน เลยอยากมีคนที่ไว้ใจได้”เขาเอ่ย อีกฝ่ายเงียบ ภูวรินทร์ถอนหายใจ จะมีใครที่ไว้ใจได้เท่านิรุทอีกกัน แม้ไม่ได้พูดคุยกันมาก แต่อีกฝ่ายก็รู้เรื่องของเขาไม่น้อยเลย

“ฉันไม่ปฏิเสธหรอก แต่จะไม่มีปัญหาภายหลังนะ...”

“ไม่หรอกครับ ไม่แน่ผมขายหุ้นให้คุณก็ได้ เพราะไม่รู้ว่าผมจะโดนปลดตอนไหน”ภูวรินทร์เอ่ยขำๆ อีกฝ่ายทำเสียงตกใจ หากว่าพ่อไม่ยอมให้เขาลาออกหรือโดนปลด เขาอาจปรึกษานิรุทอีกที

“พูดอะไรแบบนั้น เอาเถอะ ไว้มาคุยกันอีกครั้งดีกว่า จะได้ไม่คลาดเคลื่อน”อีกฝ่ายตอบกลับมา เขาสบายใจไปเปราะหนึง ก่อนจะวางสายไป

.
.
ช่วงดึก โชติมีท่าทีหวาดระแวงไปทุกอย่าง เห็นแบบนั้นเขาจึงไม่บอกว่าเตียงที่อีกฝ่ายนอนนั้นคือเป็นที่อินทนิลเสียชีวิต บอกไปโชติคงไม่กล้านอนแน่ๆ ชายหนุ่มเปิดโคมไฟไว้เช่นเดิม เขานอนไม่หลับ หน้าต่างเปิดอ้าไว้ หลังจากที่อินทนิลจากไป เขาไม่กลัวเรื่องผีสางนัก แม้ว่าการเจอวิญญาณจะไม่ใช่เรื่องดี เขาปรารถนาให้ทั้งสองคนไปเกิดในภพภูมิที่ดีมากกว่า

โชติหลับไปก่อนเขา

ภูวรินทร์นั่งอยู่ริมหน้าต่าง มองไปฝ่าความมืดไปที่สวนบ่อน้ำพุ กวาดสายตาไปที่สวนต้นแก้วของเรือนเล็กข้างๆ เขามองอยู่นาน ใบไม้พลิ้วไหว เขาจับจ้องเงาดำที่ทอดตามรูปร่างของต้นไม้ไปเรื่อยๆ สมองจิตนาการไปเป็นสิ่งอื่น บ้านทั้งหลังตกอยู่ในความเงียบสงัด หากมีเสียงเล็ดรอดดังขึ้นมาเบาๆ เขาคงสะดุ้งตกใจได้ไม่ยาก ชายหนุ่มหันมองไปที่หัวเตียง พานทรงกลมยังคงวางอยู่ที่เดิม แต่ปราศจากดอกไม้

ภูวรินทร์มองต้นแก้วอยู่นานจนสายตาเมื่อยล้า เขามองเงาร่างที่วูบไหวไปตามต้นแก้ว เขามองอยู่นานเพราะคิดว่าสายตาจิตนาการรูปร่างไปเอง แต่พอเห็นผ้าสีขาวที่วับแวบไปตามต้นแก้วพวกนั้น ทำให้ภูวรินทร์ผุดลุกขึ้นยืนก่อนจะขยี้ตาอีกรอบ สองขาก้าวไม่ออก เมื่อมองไปอีกครั้ง เขาเห็นชายกางเกงที่โผล่พ้นจากลำต้นของต้นแก้ว

เขารีบวิ่งออกจากห้อง เขาไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือตาฝาด เขาไม่เคยเจอผีแบบจะตาเลยสักครั้ง แต่ว่าเป็นวิญญาณของแก้วหรือินทนิลคงเป็นเรื่องแปลกใจมาก เพราะหากเป็นทั้งสองคนจริงๆแสดงว่าคำแช่งคงไม่หยุดลงซะที

ชายหนุ่มเดินออกไปยังสวนต้นแก้ว เขาวิ่งมาที่นี่เหงื่อไหลท่วมตัว เขาหายใจเข้าออกแรงๆ มองไปตามต้นแก้วที่เรียงแถวเป็นทาง ความมืดมิดที่โอบล้อมไม่ทำให้เขากลัวอีกต่อไป รอบตัวไร้สิ่งที่เคลื่อนไหวได้ มองซ้ายมองขวาไม่พบสิ่งใดนอกจากต้นแก้ว และสายลม เขาคิดอย่างน่าสมเพช ถึงขนาดที่ว่าขอให้เจอวิญญาณ หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงกลัวหัวหดไปแล้ว แต่ตอนนี้เขาออกมาเดินกลางดึกที่เรือนร้างแห่งนี้ เขาทรุดลงนั่ง

เขาเสียใจ

มันคงเป็นความรัก สิ่งที่ผลักดันให้เขาต้องออกมาตามหาร่องรอยของเด็กหนุ่มในยามดึกก็เพราะความรู้สึกนี้ รัก เขาไม่คิดว่ามันจะเป็นรักที่ลึกซึ้ง มันอาจเป็นแค่ความชอบ หรือความหลงก็ตามที แต่อีกความจริงหนึ่งคือสิ่งที่เหนี่ยวรั้งอินทนิลไว้กับเขาคือคำสาปแช่ง

ภูวรินทร์หนาวเหน็บไปทั้งใจ พบว่า ทั้งกลางวันกลางคืนก็ทำร้ายเขาได้เท่าๆกัน

เขาไม่สามารถเอาอะไรกลับมาได้อีก คำแช่งนี้ยังไม่จางไปไหน ยอมรับชะตาของตัวเอง ที่คุณเคยพูดไว้ เขาจำได้ขึ้นใจ เขาไม่สมหวังในรักเช่นนี้ มันจะจบลงที่ภูวรินทร์ อินทนิลและคุณแก้ว

เขาเย็นวาบไปทั้งใบหน้า เพราะสายลมที่พัดเข้าหา หยาดน้ำตาที่ยังไม่แห้งไปไหน ชายหนุ่มเดินกลับเข้าบ้านด้วยความเหนื่อยล้า บ้านทั้งหลังมืดสลัว ระหว่างที่เดินขึ้นบันได เขาหยุดชะงักเมื่อคิดว่าตนหูฝาดหรือไม่ เสียงฝีเท้าเงียบลง เขาหันไปมองด้านหลัง พบเพียงความมืด ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนจะหันกลับมองเบื้องหน้า ก้าวขาเดินไป เขามองไปที่ห้องนอนของตนเอง ก่อนจะผงะตกใจ เมื่อเห็นว่าประตูห้องเปิดอ้าไว้ ร่างกายชะงักค้าง

‘นึกว่าจะมาส่งเราเสียอีก’

กระแสเสียงอ่อนวัยดังให้ได้ยิน พร้อมกับเงาร่างที่คาดว่าเป็นของเด็กหนุ่มที่เขาคิดถึง ทว่าปฏิกิริยาของร่างกายไม่สมดุล เขาก้าวขาพลาด กว่าจะรู้ตัวเขาขาพลิกกลิ้งตกไปตามขั้นบันได

พลั่ก

ทั้งร่างร้าวระบม ราวกับว่าทุดกอย่างเคลื่อนที่ช้าไปหมด เขามองเห็นแค่โคมไฟระย้าที่ห้อยอยู่เหนือศีรษะ ความเจ็บแล่นผ่านมาที่บริเวณหลังศีรษะ เขาย่นหน้าเมื่อรู้สึกว่ามีบางอย่างไหลออกมาตามเส้นผม เมื่อกี้ เขาหูฟาดหรือเปล่า เสียงนั้นคือคุณแก้วไม่ใช่เหรอ

เหตุใดถึงกลับมาที่บ้านอีกครั้งกัน ชายหนุ่มมองไม่เห็นอะไรอีก เขารู้สึกว่าร่างกายหนาวสะท้านไปหมด ภาพมืดมัว ก่อนที่สติจะหลุดลอย เขาเห็นเงาร่างของใครสักคนกำลังวิ่งลงบันไดมา นี่คงไม่ใช่ความฝันหรอกนะ หมอนั่นอาจเป็นโชติก็ได้



+++++++++++++

มีพบย่อมมีจาก  :hao5: อย่าสาปแช่งเราก็พอค่ะ

เรื่องยังไม่จบนี่นา 

หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๗ l ๒๑.๐๒.๖๑ หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: Dark_Sky ที่ 21-02-2018 07:23:37
ถ้าหากคุณภูตายก็ขอให้เค้าไปเกิดใหม่แล้วได้ใข้ชีวิตคู่กันสมหวังซักที
 :o12:  :ling2:  :ling3:
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๗ l ๒๑.๐๒.๖๑ หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 21-02-2018 14:30:56
 :o12: :o12: :o12: แง้ น้ำตาไหลเลยคุณนักเขียนใจร้ายยยยย ทำไมต้องให้อินท์ตายด้วยค่ะ ฮืออ สงสารน้อง คุณภูก็เหมือนจะรู้ตัวเมื่อสายไปแล้วแล้วนี่ที่ตกบันไดจะเป็นอะไรมากมั้ยคะ หรือคุณภูจะตายแล้วไปเกิดใหม่แล้วก็ไปรักกันกับคุณแก้วและอินท์ในชาติหน้า แล้วเสียงที่ได้ยินนี่เสียงคุณแก้วจริงๆเหรอ
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๗ l ๒๑.๐๒.๖๑ หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: junpa ที่ 21-02-2018 15:37:55
เสียใจมากกกก จะจบแบบแฮปปี้ใช่มั้ย หรือว่าจริงๆ แล้ว คุณภูแค่ฝัน อยากให้ได้สมหวังกัน
 :hao5:
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ : ตอนที่ ๑๘ l ๒๑.๐๒.๖๑ หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 21-02-2018 18:18:22
ตอนที่ ๑๘


ภูวรินทร์เจ็บแปลบที่ศีรษะ ร่างกายปวดเมื่อยไปทุกส่วน โดยเฉพาะที่แผ่นหลัง เขาพยายามลืมตาขึ้นมอง เปลือกตาค่อยๆเปิดออก ทำให้มองเห็นภาพเพดานสีขาวสะอาด ชายหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงพูดคุยดังแว่วเข้าหู

“เดี๋ยวผมคุยกับภูเองครับ...”เสียงที่กำลังสนทนาอยู่นั้นเป็นของโชติ  ทำให้เขาหันไปมองทางด้านข้าง เห็นเป็นโซฟาที่สีน้ำตาลวางอยู่ริมห้อง หันมองที่ปรายเตียงอีกครั้ง พบว่าตนเองนอนอยู่ที่โรงพยาบาล

“ฟื้นแล้วค่ะ”เสียงของป้าษอรดังมาจากทางด้านข้าง ชายหนุ่มมองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ งุนงง เธอยังสวมชุดสีดำเรียบร้อย เขาขมวดคิ้วรู้สึกคอแห้งไปหมด

“ฉันตกใจแทบแย่แน่ะ เพราะแกตกบันไดบ้านน่ะสิ หัวแตกเย็บไปสี่เข็ม ยังดีที่ไม่มีอะไรแตกหัก”โชติบอกแล้วเดินมานั่งข้างเตียง เขาจ้องมองคนในห้องอีกครั้ง เห็นว่ามีแต่ป้าษอร กับนิรุทเท่านั้น ภูวรินทร์หลับตาลง คนที่ควรมาอยู่ที่นี่ควรเป็นพ่อแม่ของเขาไม่ใช่หรือไง

“แล้วแม่ผมล่ะ”เขาถามทุกคนในห้อง สีหน้าของนิรุทเปลี่ยนไปเป็นนิ่งเฉยขึ้นมา เขามองอีกฝ่ายแต่ไม่ได้รับคำตอบ จึงหันไปทางเพื่อนสนิทแทน

“แม่แกกลับไปเมื่อไม่นานนี่เอง เดี๋ยวก็คงกลับมาใหม่”โชติบอก ชายหนุ่มพยักหน้า กระทั่งรู้สึกเจ็บที่ศีรษะทางด้านหลัง พอยกมือขึ้นไปจับทางด้านหลังพบว่า ผมของเขาโดนตัดออกไปเล็กน้อยเพื่อเย็บแผลและติดผ้าก๊อซไว้

“ฉันอยู่ที่ไหน”เขาเอ่ยอย่างสับสน โชติเลิกคิ้วสูง เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ก็ที่ร.พ xxx น่ะสิ”โชติบอกน้ำเสียงยินดีอย่างไม่ปกปิด เพราะฉีกฝ่ายต้องการให้เขากลับมาอยู่บ้านในเมืองใหญ่มากกว่าบ้านในชนบทที่มีแต่ความน่ากลัว  เขาถอนหายใจออกมา  ก่อนจะหลับตาลง ยังคงไม่ลืมเรื่องราวในบ้านภิรมย์สุขแม้แต่นิดเดียว  อกซ้ายเหมือนจะบีบแน่นจนหายใจลำบาก ร่องรอยความเสียใจยังมีให้เห็นอยู่  ป้าษอรลูบไหล่ของเขาอย่างแผ่วเบาเป็นการปลอบประโลม ความอุ่นแผ่จากฝ่ามือของเธอ   

“พักผ่อนเถอะค่ะ เรื่องบ้านเดี๋ยวป้าดูแลให้ค่ะ”เธอเอ่ยออกมา เขาขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจนัก

“ผมไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นครับ”เขาบอกน้ำเสียงเเข็งกระด้าง ชายหนุ่มลืมตามองหญิงท้วมทันที

“ป้ารู้ค่ะ”ป้าษอรบอกเสียงอ่อนลง เธอยิ้มอย่างเศร้าสร้อย

“ตอนนี้เธอกลับมาอยู่กับพ่อแม่น่าจะดีกว่านะ อย่าให้เขาสองคนเป็นห่วงมากกว่านี้เลย”มีเสียงของนิรุทเอ่ยแทรกอย่างเข้มงวด ใบหน้าของอีกฝ่ายฉายแวววิตกกังวล  ภูวรินทร์เงียบ ถูกเช่นนิรุทพูด เขาเข้าใจดี จึงได้แต่พยักหน้าเงียบๆ ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบน่าอึดอัด ชายหนุ่มนอนหลับตารู้สึกว่างเปล่า ต่อจากนี้ไปเขาคงไม่มีวันที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก 

“...นี่ภู พอดีว่ามีเรื่องสำคัญจะบอกแกด้วยเพื่อน”โชติเอ่ยออกมา สีหน้าและแววตาของเจ้าตัวฉายความไม่มั่นใจออกมา เขามองอย่างสังเกต

“อะไรล่ะ”ภูวรินทร์ถาม เหลือบมองหน้าป้าษอรและนิรุทไปด้วย อีกฝ่ายมีท่าทีและแสดงสีหน้าแปลกๆ กันทั้งคู่ ชายหนุ่มเบนหน้าออกจากการจ้องมองของป้าษาอรหันไปหาโชติแทน เจ้าตัวดูหวั่นวิตก

“แกทำใจไว้หน่อยนะ”โชติบอก คิ้วขมวดแน่นสีหน้าเอาจริงเอาจัง เขาลอบเก็บความวิตกเอาไว้ในใจ แสร้งทำเป็นเหมือนไม่ใส่ใจนัก เขาเห็นปฏิกิริยาของทุกคนแล้วคิดว่าเป็นเรื่องร้าย

“อืม”เขาพนักหน้า โชติเม้มปากสูดหายใจเข้าออกลึกๆเพื่อเรียกความมั่นใจจนเขานึกขำ

“หมอตรวจว่าแกเป็นโรคหัวใจ”สิ้นคำบอกกล่าวของโชติ ภูวรินทร์แทบไม่เชื่อหูตัวเอง เขามองหน้าของโชติที่มีสีหน้าหวั่นเกรง

“อะไรนะ”แม้ว่าร่างกายของเขาจะดูไม่แข็งแรงอยู่บ่อยไม่ มีอาการที่ชวนวิตกบ่อยๆ แต่ก็ไม่ใจหายเท่านาทีที่ได้ยินจากปากคนอื่น ตอนนี้เขาอยู่ในโรงพยาบาล ไม่มีทางที่โชติจะโกหก

“แกเป็นโรคหัวใจชนิดกล้ามเนื้อหัวใจหนาผิดปกติ”เพื่อนสนิทอธิบายต่อ ชายหนุ่มถอนหายใจ รู้สึกเหมือนของสำคัญปลิวหายไปจากใจอีกแล้ว ภูวรินทร์พูดไม่ออก เขานิ่ง จ้องมองเพดานอย่างเหนื่อยหน่าย นั่นสินะ นอกจากจะไร้คู่แล้วยังจะโชคร้ายอีกด้วย สิ่งไม่ดีมันมาตกที่ตัวเขาทั้งนั้น

“อย่าห่วงเลย ตอนนี้มีหมอเก่งอีกเยอะแยะ ผ่าตัดแปบเดียวก็หายแล้ว ถึงว่าจะเป็นจากกรรมพันธุ์ก็เถอะ แต่หมอบอกว่ารักษาได้”นิรุทเอ่ยเสียงขรึมเพื่อให้เขาคลายใจ อีกฝ่ายพูดมานั้นไม่ผิด การแพทย์ก้าวไกลมากไม่มีทางที่เขาจะมีจุดจบเช่นเดียวกับท่านหมื่น

“งั้นก็ดีสิ”เขาพึมพำ รู้สึกใจแกว่งไม่หาย แต่ก็ทำให้เขาไม่อาจฝืนยิ้มได้อีก

“พักผ่อนเถอะค่ะ”ป้าษอรเอ่ย ก่อนจะจัดแจงดึงผ้าห่มให้เขา ชายหนุ่มหลับตาลงช้าๆ รู้สึกว่าเริ่มง่วงนอนและไม่มีสมาธิ ก่อนจะปิดตาสนิท เขามองเห็นนิรุทเดินเข้ามาหา ท่าทางห่วงใย ชายหนุ่มกลับไปอีกครั้งเพราะฤทธิ์ยา

ภูวรินทร์ฝัน ล่องลอยในถนนที่เต็มไปด้วยหมอกเต็มไปหมด เส้นทางยาวไกลสุดสายตา เขาองไปรอบกายไม่เห็นใครผ่านม่านหมอกสักคน ตะโกนเรียกชื่อคนที่รักอย่างอินทนิล หรือแม้แต่คุณแก้ว เขามึนงงไม่รู้ว่ากำลังเผชิญหน้ากับอะไร

“มีใครได้ยินไหม!”เขาร้องเรียก มีเสียงเรียกชื่อเขาสะท้อนก้องไปมา ชายหนุ่มเดินหาต้นตอของเสียง เขาวิ่งไปตามเส้นถนนที่ทอดยาวอย่างไร้จุดหมาย เขามองตรงไปข้างหน้าเสียงเรียกยังดังเป็นระยะ ไม่ใช่เสียงของอินทนิล

“ไม่ทันได้ร่ำลาท่านเลยนะภูวรินทร์”กระแสเสียงของชายหนุ่ม คล้ายกับเสียงอินทนิลแต่ไม่ใช่

“คุณแก้ว”เขายินดี มองหาต้นตอของเสียงแต่ไม่เห็นแม้เงาคน

“ต่อจากนี้เราอาจไม่ได้มีชื่อนี้ ทั้งเราทั้งอินน์ หากชะตาลิขิตให้เกิดมาคู่กันจริงคงได้พบเจอกันอีก”เสียงนั้นยังคงดังก้อง เขาหันซ้ายขวา

“แก้ว…คุณอยู่ที่ไหน ยังอยู่ที่บ้านภิรมย์สุขอีกเหรอ”เขาอยากรู้เรื่องนี้มากที่สุด เสียงของคุณแก้วหัวเราะออกมา

“เปล่า เรามีทางของเราเอง”ฝ่ายนั้นตอบกลับมา ภูวรินทร์นิ่งคิด หมายความว่ายังไงกัน คุณแก้วจะไปเกิดยังภพอื่นแล้วงั้นเหรอ ถึงได้พูดเช่นนี้

“ผม…”เขาอยากพูดสิ่งที่รู้สึกอยู่ในใจ แต่พอจะเอ่ยคำพูดคุณแก้วกลับเอ่ยเสียงเสียก่อน ถ้อยคำนั้นฝังลงในใจเขา

“อย่าเอ่ยโดยไม่ไตร่ตรองเสียก่อน อาจสร้างพันธะผูกพันไม่จบไม่สิ้น เราจะอยู่กับท่านเสมอ…”

“แก้ว!”เขาร้องตะโกนอย่างสุดเสียง

พอรู้ตัวอีกทีภูวรินทร์กำลังลืมตามองเพดานอยู่ในห้องพิเศษเช่นเดิม เขาสูดลมหายใจเข้าออกยาวๆ รู้สึกว่าคอแห้งผาดไปหมด ชายหนุ่มเหลียวหน้าไปมองทางตู้ลิ้นชัก เจอกับสายตาของโชติ เพื่อนสนิทนั่งอยู่ที่โซฟาสีหน้าห่วงใย

“ฝันร้ายเหรอ”อีกฝ่ายเอ่ยถาม เขาพยักหน้า

“อืม โทษทีแต่ขอน้ำให้ฉันหน่อย”ชายหนุ่มเอ่ยบอก เพราะเอื้อมไปไม่ถึง โชติลูกจาก็โซฟาเดินมารินน้ำใส่แก้วน้ำ แล้วยื่นแก้วน้ำมาให้ เขาค่อยๆยันร่างกายลุกขึ้นมานั่ง รับแก้วน้ำมาถือไว้บอกขอบใจก่อนจะยกแก้วน้ำมาดื่มอย่างกระหาย

“ขอถามอะไรอย่างสิ”โชติเอ่ยด้วยความเคร่งเครียด ลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียง ภูวรินทร์มองอย่างสงสัยก่อนจะพยักหน้าตกลง ส่งแก้วน้ำที่ดื่มหมดแล้วไปให้โชติ

“ว่ามาสิ”พอเขาตกลง ฝ่ายนั้นก็อ้ำอึ้งอยู่นานจนกว่าจะกล้าเอ่ยออกมา “แกเป็นอะไรกันแน่”โชติมองหน้า แววตาดูมีประกายแปลกไป เขาขมวดคิ้ว

“อะไรนะ”เขางุนงง รู้สึกกังวลอยู่บ้างแต่ไม่แสดงออกมาก โชติถอนหายใจ หน้านิ่วคิ้วขมวด

“คืนที่แกตกบันได ก่อนหน้านั้นแกออกจากห้องแล้วไปที่สวนของอีกบ้านหนึ่ง ฉันนึกว่าแกละเมอซะอีก”เพื่อนคนสนิทพูดออกมาช้าๆ ระหว่างนั้นเจ้าตัวสังเกตท่าทีของเขาไปด้วย สายตาของอีกฝ่ายทำให้นิ่งงัน เหมือนถูกมองว่าเป็นคนบ้า ภูวรินทร์ยิ้มออกมา

“อืม แค่เดินไปดูอะไรนิดหน่อย”เขาตอบไปสั้นๆ ซึ่งก็ไม่ได้ผิดไปจากความเป็นจริงนัก เขาไม่แปลกใจเลยที่โชติจะคิดว่าเขาทำตัวแปลก

“นั่นมันน่ากลัวออกนะ ดึกดื่นขนาดนั้น …แกทำตัวเป็นพวกเพ้อพกไปได้”โชติเอียอย่างกังวลใจ เขามองเพื่อนคนนี้อย่างตั้งใจ อีกฝ่ายไม่มีเจตนาจะมองเขาไม่ดี แต่คงเพราะความเป็นห่วงนั่นแหละ

“…ผิดด้วยเหรอ”ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะตอโต้กลับไป โชติย่นหน้า

“ฉันป็นห่วงแก”อีกฝ้ายย้ำ เขายิ้มออกมา

“ฉันรู้น่า ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง”ชายหนุ่มบอกด้วยความรู้สึกผิด นึกถึงคำพูดของนิรุทอีกครั้ง เรื่องทำตัวใหัคนอื่นเป็นห่วง เขามองเพื่อนสนิทอย่างซึ้งใจ

“ช่างเถอะ ฉันพยายามจะเข้าใจ”เจ้าตัวถอนหายใจ ส่งยิ้มมาให้เขา ภูวรินทร์มองไปรอบห้องอย่างผิดหวัง “แล้วพ่อกับแม่ล่ะ”

“เดี๋ยวก็มานั่นแหละ อาจติดงานอยู่”โชติตอบเสียงเบา เขารู้สึกว่าพ่อกับแม่กลายเป็นคนแปลกหน้าไปแล้ว หลังจากที่เขาผ่านเรื่องของบ้านภิรมย์สุขมาจนถึงตอนนี้ คำว่าครอบครัวสำหรับตนนั้นดูห่างเหินเหลือเกิน โชติตบไหล่เขาเพื่อไม่ให้คิดมาก

“ฉันรู้สึกว่าพ่อกับแม่พยายามตีตัวห่างกับฉันยังไงไม่รู้”เขาบอกออกมา บางทีพ่อกับแม่อาจกลัวเรื่องคำแช่งขึ้นมาก็ได้ ถึงได้ไม่ติดต่อกลับมาแบบนี้ เขาไม่ได้มองโลกในแง่ร้าย แต่ลางสังหรณ์และพฤติกรรมของพ่อกับแม่ที่ดูเหมือนไม่แยแสต่อความเป็นไปของลูกชายเช่นเขา...โดยเฉพาะกับพ่อ ต่อให้โชติบอกว่าท่านเป็นห่วงเขาก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วท่านก็รู้ความจริงที่เขาไม่ได้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่าน ความสัมพันธ์อาจมีการเปลี่ยนแปลง

“คิดมากน่าเพื่อน”โชติรีบปราม ชายหนุ่มพยายามยิ้ม มองไปรอบห้องอย่างไร้อารมณ์

“...นั่นสิ”

สุดท้ายพ่อกับแม่ก็มาเยี่ยมเขาจนได้ ส่วนใหญ่ถามถึงโรคหัวใจของเขามากกว่า และเร่งรัดให้เข้าเขารับการรักษาอย่างเร่งด่วนทันที เขาขัดอะไรไม่ได้ ระหว่างพ่อกับแม่ดูไม่เหมือนเดิมอีก มีความเย็นชาจนสังเกตเห็นได้

ช่วงที่เขาเตรียมร่างกายสำหรับการผ่าตัดรักษาโรคหัวใจ เขามอบฉันทะให้โชติไปเข้าประชุมผู้ถือหุ้นให้ และชี้แจงถึงอาการป่วยของเขา เรื่องหุ้นที่เขาถือครองอยู่ เขาโอนให้พ่อไป10% อีก20%เขายังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะมอบให้แม่ หรือว่าให้พี่น้องคนอื่นดี นิรูทยังอยู่ในลิสต์ของเขาอยู่ ได้ยินว่าเจ้าตัวย้ายมาอยู่ไทยแบบถาวรแล้ว ป้าษอรกับลุงชมกลับไปดูแลบ้านภิรมย์สุขให้เขา เหมือนว่าเรื่องราวทุกอย่างกลับเข้าสู่ที่ทางของมัน ร่องรอยของอินทนิลกับคุณแก้วหายไปอย่างง่ายดาย เขาไม่เอ่ยถึง แต่ในใจยังไม่ลืมอยู่ดี

“พ่อมาคุยกับแกให้เข้าใจ”ก่อนวันผ่าตัดหนึ่งวัน พ่อเข้ามาคุยกับเขา พอมองสำรวจท่านแล้ว เส้นผมสีดำแซมสีขาวมากขึ้น ร่างสูงใหญ่กำยำต่างจากเขาที่ผอมสูงมากกว่าตัวหนา เขามันผ่าเหลาต่างจากพี่น้องในบ้านจริงๆนั่นแหละ ภูวรินทร์มองผู้เป็นพ่อ

“ครับ...”

“พ่อไม่ได้รังเกียจอะไรแกเลยนะภู เรื่องแม่ของแก...ถึงมันจะไม่เหมือนเดิม แต่เราก็ยังเป็นครอบครัวกันอยู่ พ่อไม่อยากให้บ้านเราแตกเพราะเรื่องนี้... พี่ๆน้องๆของแกไม่มีใครรู้ และทุกคนก็ยังรักเป็นห่วงแกเหมือนเดิม”พ่อบอก แววตาสีดำนั้นจ้องมองเขาอย่างจริงใจ เขาได้ยินจากปากของพ่อจึงยิ้มออกได้

“ขอโทษครับพ่อ ที่ผมทำตัวไม่เอาไหน...เรื่องงานก็ด้วยที่ผมทิ้งมา”ภูวรินทร์เอ่ยอย่างรู้สึกผิด พ่อมองเขาก่อนจะเอื้อมมาจับแขนของเขาเบาๆ

“ถ้าแกรู้สึกผิดก็กลับเข้าไปทำงานให้ดี รู้ไหมว่าพ่อพยายามคุยกับผู้ถือหุ้นรายอื่นให้ผ่อนปรนให้แกแค่ไหน พวกเขายอมใจอ่อน เชื่อใจแกอีกครั้ง คราวนี้ก็อย่าทำให้พวกเขาผิดหวังอีก”พ่อบอก ชายหนุ่มรับคำ

“...พ่อ ถ้าหากว่า”อยู่ๆเขาก็พูดไม่ออก การผ่าตัดกล้ามเนื้อหัวใจที่หนาผิดปกติ ทำให้หายขาดได้ก็จริง แต่เขายังต้องระมัดระวังโรคแทรกซ้อนชนิดอื่นด้วย

“แกยังไม่ตายตอนนี้หรอกน่า...พ่อได้ยินเรื่องของแกจากโชติมาบ้าง บ้านหลังนั้นน่ะ ถ้าหากว่ามันมีแต่เรื่องไม่ดีก็อย่ากลับไปอยู่อีกเลย ถึงจะเป็นสมบัติของนายนิรุทนั่น แต่ถ้าบ้านไม่เกื้อหนุนเรา ก็อย่าไปอาศัยเลย”พ่อเอ่ยด้วยเสียงเคร่งขรึม ภูวรินทร์เงียบ ที่พ่อพูดมันก็มีส่วนถูก แต่บ้านก็ไม่ได้มีแต่เรื่องไม่ดี เขาไม่ได้ตอบอะไร

หลังการผ่าตัดผ่านไปด้วยดี ภูวรินทร์ต้องพักฟื้นอีกหลายสัปดาห์ ยังคงต้องเช็กเรื่องอัตราการเต้นของหัวใจว่าปกติหรือไม่ ชายหนุ่มเหมือนกึ่งหลับกึ่งตื่น เงาร่างที่ไม่ชัดเจนกำลังก้มตัวมองตนอยู่ เขาพยายามเพ่งมองอีกฝ่าย แต่กลับพบเพียงร่างเบลอพร่ามัว ที่กำลังขยับห่างออกไป ชายหนุ่มหลับตาลงอีกครั้ง หากเขาลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ทุกอย่างจะกลับเข้าสู่วังวนเดิม ที่มีพ่อแม่ และโชติดูแล

++++++++++++

เวลาช่วยเยียวยาทุกสิ่ง กาลเวลาไม่หยุดนิ่งผันผ่านไปวันแล้ววันเล่า จากเดือนเป็นปี

ชื่อของอินทนิลและแก้วยังไม่จางหายไปจากใจ หากว่ามีเวลาว่าง เขาจะกลับไปพักผ่อนที่บ้านภิรมย์สุข อยู่กับความอ้างว้างเงียบสงบของบ้าน ป้าษอรยังคงอยู่ดูแลบ้านไม่จากไปไหน

ชายหนุ่มไม่เผชิญกับฝันร้ายมาตั้งแต่การขอขมากรรม หากแต่ฝันถึงเด็กหนุ่มที่เฝ้าคิดถึงไม่ห่างหาย เป็นฝันดีจนแทบไม่อยากตื่น

ในระยะเวลา 7 ปีที่ผ่านมา ภูวรินทร์กลับมาทำงานที่บริษัทเช่นเคย มีการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการบริษัทใหม่ เขายังเป็นหนึ่งในนั้น แต่อำนาจน้อยกว่าเดิม ส่วนหุ้นที่เหลือ เขาขายหุ้นให้บริษัท และนิรุทก็เข้ามาซื้อหุ้นส่วนนั้นแทน เขาถือโอกาสไปบ้านภิรมย์สุขในช่วงที่ต้องการพักผ่อนเท่านั้น เพราะบรรยากาศในบ้านมันทำให้เศร้า เขายังคงนึกถึงอินทนิลเสมอ ยิ่งกลับไปบ้านหลังนั้นยิ่งทำให้เขาไม่สามารถเริ่มใหม่ได้ ถ้อยคำของหลวงตายังคงไม่ต่างไปจากสมอง อย่ายึดติดอดีต อย่าไปคาดหวังกับอนาคต แค่อยู่กับปัจจุบันก็เพียงพอ

ส่วนป้าษอร นานครั้งที่อีกฝ่ายจะโทรศัพท์มาพูดคุยกับเขา หากไม่มีธุระเร่งด่วน หรือมีเรื่องสำคัญที่ต้องรายงาน เขาไว้ใจให้เธอดูแลความเป็นไปของบ้าน ป้าษอรมีลูกมือมาช่วยสองสามคน เพราะตอนนี้เธอแก่ตัวลงมาก อายุขึ้นเลขหก ผมเผ้ากลายเป็นสีขาวไปเกือบครึ่งศีรษะ

ขณะที่ภูวรินทร์เพิ่งกลับมาจากการประชุมผู้ถือหุ้น เขาไม่ได้มีบทบาทในการบริหารมากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นพ่อกับพี่ชายของเขา เพราะหุ้นของเขาไม่ได้มากเท่าเมื่อก่อน เขากลับไปอยู่ที่บ้านกับแม่ที่เริ่มป่วยออดแอดอยู่บ่อยครั้ง

โทรศัพท์ของสั่น มีเบอร์ของป้าษอรโชว์อยู่ที่หน้าจอ ชายหนุ่มมองโทรศัพท์อยู่นาน หากเขารับสายนี้อาจมีเรื่องให้ต้องกลับไปที่บ้านภิรมย์สุขอีก

“ว่าไงครับป้า”ภูวรินทร์ในวัยสามสิบสี่เอ่ยกลับคนปรายสาย น้ำเสียงที่โรยราไปตามวัยตอบกลับมา

“ขอโทษที่รบกวนเวลาพักค่ะ พอดีว่าคุณธิชาเธอมาที่บ้านค่ะ เห็นว่าจะมาซ่อมเรือนเล็กหลังนั้นให้ลูกชายของเธอ”ป้าษอรบอก เขาถึงกับแปลกใจมาก คุณป้าธิชาคนนี้ห่างหายไปจากบ้านภิรมย์สุขเกือบสิบปี ที่ดินของเรือนหลังเล็กเป็นของเธอ ในตอนนั้นเธอไม่ต้องการบ้านหลังนั้นด้วยซ้ำ 

“อืม ลืมไปเลยว่าบ้านหลังนั้นเป็นของเธอ”ภูวรินทร์ไม่เคยได้เจอ หรือพูดคุยกับคุณป้าท่านนี้มาก่อน เป็นอีกครั้งที่เขาหวนนึกถึงอินทนิลอีกแล้ว เพราะคุณป้าธิชาเป็นแม่แท้ๆของอินน์ ทำให้วกไปเรื่องที่เธอทิ้งอินน์ไป แล้วให้ป้าษอรดูแลอินทนิลเอง เขาพยายามไม่ใช่อารมณ์ของตัวเองไปตัดสินคุณป้าท่านนี้

“งั้นป้าเลยจัดเรือนรับรองให้ที่บ้านนะคะ เพราะเธอจะอยู่ดูแลอยู่สักสองสามอาทิตย์”คู่สนทนาเอ่ยต่อ เขาส่งเสียงรับรู้

“ครับ ตามสบายเลย”

“คุณภูจะแวะมาใหมคะ คุณธิชาเธออยากพบคุณเหมือนกัน...”อีกฝ่ายเอ่ยถาม ภูวรินทร์ลังเล แต่ความอยากเจอกับผู้มาเยือนคนใหม่ทำให้เขาตกลง

“...ได้ครับ เดี๋ยวผมหาวันว่างก่อน”เขาบอก หลังจากนั้นป้าษอรก็รายงานเรื่องทั่วไปที่ไม่มีความสลักสำคัญมากนัก เขาคิดว่าป้าษอรคงเหงามากกว่าเพราะแก่ตัวลงมาก ลุงชมเองก็โรยราแล้วเช่นกัน คนสวนคนใหม่ก็เป็นลูกน้องของแกเอง

คุณธิชามีศักดิ์เป็นป้าของเขา อายุอานามไล่เลี่ยกับคุณนิรุท แต่เอาเข้าจริงเธออายุมากกว่านิรุทอยู่หลายปี   

ช่วงหลายปีที่ผ่านมาชายหนุ่มมีโอกาสศึกษาเรื่องการเพาะจำพืชไม้ประดับอยู่บ้าง เพราะที่เรือนเพาะชำมีดอกไม้หลายชนิด ลุงชมคอยดูแลไม่ให้มันตาย แม้ว่าจะออกดอกออกต้นเยอะ ลุงชมขยับขยายหาทางเอาพันธ์ไม้ดอกไม้ประดับเหล่านั้นไปขาย ให้แก่พวกร้านอาหารที่ต้องการดอกไม้สด ภูวรินทร์เคยเป็นธุระให้หลายครั้งเรื่องการติดต่อขายดอกไม้ตามตลาดต่างๆ

ช่วง5ปีก่อนเขาบอกให้ป้าษอรนำต้นแก้วไปปลูกไว้รอบรั้วบ้านแทน ตอนที่ภูวรินทร์กลับไปเคยไปเยี่ยมอีกฝ่าย ดอกแก้วขาวสะพรั่ง มองแล้วสบายตา ยิ่งทำให้ชาวบ้านยิ่งซุบซิบว่าบ้านภิรมย์สุขยังมีอาถรรพณ์ไม่หาย เขานึกขำอยู่บ้าง ยิ่งเวลาไปเดินตลาดในหมูบ้านมีแต่สายตาจับจ้อง ผ่านมา7ปีแล้ว เขาคิดว่าคำสาปแช่งหมดลงที่รุ่นของเขานี่แหละ

ก่อนเดินทางไปที่ต่างจังหวัด ภูวรินทร์นำต้นแก้วแคระจำนวนหลายสิบต้นติดไปด้วย เพราะต้องการเอาไปปลูกแทนเทียนหยด เส้นทางขึ้นเขาไปบ้านภิรมย์สุขดีขึ้นกว่าเมื่อ 7 ปีก่อน ดังนั้นการเดินทางไม่จำเป็นต้องพึ่งรถไฟอย่างเดียว เขาขับรถกระบะไปเอง เส้นทางที่เต็มไปด้วยขุนเขาและผืนป้าอุดมสมสมบูรณ์ การเดินทางครั้งนี้ทำให้เขาตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย

เขาใช้เวลา 5-6 ชั่วโมงในการเดินทาง จนกระทั่งเริ่มเข้าสู่ตัวหมู่บ้าน เขาขับผ่านถนนที่ฟุ้งไปด้วยฝุ่นดิน เพื่อมุ่งหน้าไปยังบ้านหลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านท่ามกลางป่าไม้ ตัวบ้านอยู่ห่างจากหมู่บ้านและผู้คนหลายกิโลฯ จนเขาเริ่มเห็นรั้วบ้านสูง ประตูรั้วใหญ่เปิดอ้าไว้รอ เขาขับรถเข้าไปตามทาง มองด้านข้างเห็นต้นแก้วสูงประมาณหนึ่งเมตรกว่าๆแล้ว เขาขับผ่านลานบ่อน้ำเข้าไปจอดที่โรงจอดรถทางด้านขวามือ เขาเห็นป้าษอรกับเด็กรับใช้สองคนเดินออกมาต้อนรับ

ภูวรินทร์ดับเครื่อง ลงจากรถด้วยท่าทางปลอดโปรง เขาอ้อมไปยกกระเป๋าเดินทางออกมาวาง เขากวาดสายตามองไปยังทางฝั่งของเรือนหลังเล็ก เขาเห็นว่าตัวบ้านกำลังถูกรื้อออกเพื่อซ่อมแซมใหม่

“สวัสดีค่ะคุณภู สบายดีไหมคะ”ป้าษอรเอ่ยถาม เขายิ้ม มองแม่บ้านที่ร่างกายผ่ายผอมลงเยอะ เธอแก่ตัวลงมากจริงๆ เส้นผมสีขาวแซมออกมาชัดเจน เขาเหลือบมองเด็กรับใช้สาวสองคนที่ยกมือไหว้เขา

“สบายดีครับ แล้วป้าเป็นอย่างไงบ้าง”เขาถาม อีกฝ่ายยิ้มบางๆ บอกกล่าวว่าสบายดีตามอัตภาพ ลุงชมวิ่งมาหาที่รถ อีกฝ่ายก็ผอมลงเช่นกัน เขาคิดว่าถึงเวลาที่สองคนอาจต้องพักบ้าง เพราะอายุขนาดนี้แล้ว ทำงานหนักๆก็คงไม่ไหว ลุงชมให้คนสวนสองคนยกกระถางต้นแก้วแคระออกไปวาง

ป้าษอรพาเขาไปที่โถงรับแขก บ้านยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน สิ่งที่เปลี่ยนก็คงเป็นพวกเขา ระหว่างที่เดินมานั่งโซฟา เขาเจอกับหญิงผิวขาว ท่าทางเรียบร้อย ใบหน้ายังคงเต่งตรึง มีริ้วรอยของวัยประปราย

“สวัสดีครับคุณป้า”เขาเอ่ยทักทาย

“สวัสดีจ้ะภู”เธอเอ่ยทักทาย น้ำเสียงใจดี จนเขาไม่คิดว่าเธอจะเป็นคนเดียวกับที่ทิ้งอินทนิลไป เขารู้สึกไม่ดีกับเธอเท่าไหร่ แต่ก็ยังเคารพอีกฝ่ายตามมารยาท

“คุณป้ามาถึงนานแล้วเหรอครับ”เขาถาม

“เพิ่งมาถึงได้สองวันเองจ้ะ ว่าแต่เราเถอะ สบายดีนะจ๊ะ”คุณธิชาเอ่ยถามอย่างห่วงใย เขามองอย่างแปลกใจ เห็นเศษเสี้ยวความเศร้าหมองในดวงตาของเธอ อีกฝ่ายกำลังเอ่ยถึงอินทนิลงั้นเหรอ เขาเงียบไป

“ผมสบายดีครับ แล้วคุณป้าดูบ้านหมดหรือยังครับ...เอ่อ ลืมไปเลยครับว่าคุณป้าก็เคยอยู่ที่นี่มาก่อน”ภูวรินทร์เอ่ยอย่างลืมตัว แม้ว่าเขาจะเป็นเจ้าของบ้าน แต่คุณป้าคงจะรู้จักทุกซอกทุกมุมอยู่แล้ว ความอึดอัดเข้ามาครอบคลุมแทน

“อรคงบอกเราแล้วนะ ว่าป้ากำลังซ่อมบ้านหลังนั้นอยู่...ไม่คิดเหมือนกันว่าจะได้กลับมา”เธอเอ่ยเศร้าๆ เขาพยักหน้า เหลือบมองไปรอบห้องโถงอย่างอึดอัด เขามองไปทางบันไดบ้าน ปรากฏว่ามีคนยืนอยู่ที่ชั้นบน เขาแอบตกใจเงียบๆเพราะอีกฝ่ายน่าจะยืนอยู่นานแล้ว ธิชามองตาสายตาเขาไป เธอหัวเราะเบาๆ

“นั่นลูกชายป้าเองจ้ะ ชื่อพุด”อีกฝ่ายเอ่ยบอก ภูวรินทร์มองไปที่ชายหนุ่มนามว่าพุดอย่างไม่วางตา ลักษณะผอมบางรูปร่างสูงโปร่ง ไม่โดดเด่นออกไปทางจืดชืดเสียมากกว่า ใบหน้าเรียว ปากนิดจมูกหน่อย ผิวขาวสะอาด ธิชาเอ่ยเรียกลูกชายของเธอให้ลงมาไหว้เขาด้วยน้ำเสียงเคร่งครัด แต่เขาไม่ถือสาอะไรคนหนุ่มนั่นหรอก

หนุ่มวัยรุ่นชื่อพุด เดินลงจากบันไดด้วยท่าทางสบาย อีกฝ่ายอายุอานามประมาณสิบแปดปีหรืออาจมากกว่านั้นเพราะน้ำเสียงที่เปล่งออกมาเป็นหนุ่มแล้ว

“สวัสดีครับน้าภู”

“สวัสดี”เขาเอ่ยสั้นๆ จ้องมองไปที่เด็กหนุ่มที่กำลังเดินมานั่งข้างๆผู้เป็นแม่ของตนเอง ธิชามองเขาก่อนจะค่อยๆพูด

“เด็กนี่เพิ่งเรียนจบค่ะ เลยอยากได้บ้านไว้พักผ่อน ป้าเลยนึกที่นี่ขึ้นมา...ยังไงป้าก็รบกวนเราหน่อยนะจ้ะ คงต้องค้างที่บ้านของภูอีกหลายสัปดาห์”ธิชาเอ่ยบอก พุดเหลือบมองเขาอยู่นาน

“ไม่เป็นอะไรหรอกครับ ดีเสียอีก ผมจะได้มีเพื่อนบ้าน”ภูวรินทร์เอ่ยยิ้มๆ 

“งั้นคุยกันไปก่อนนะ เดี๋ยวป้าขอไปที่ครัวหน่อย เราทานอะไรมาหรือยังจ้ะ”

“ยังเลยครับ...”เขาบอก ธิชาลุกยืนเดินหายเข้าไปในครัว ภูวรินทร์หันกลับมามองลูกชายของธิชาอีกครั้ง เพราะชื่อเรียบง่าย สั้นๆของเจ้าตัวทำให้เขานึกถึงคุณแก้วขึ้นมา

“เธอเรียนด้านไหนเหรอ”ภูวรินทร์เอ่ยถามออกมาก่อน พุดยิ้มให้เขา ก่อนจะขยับมานั่งทางฝั่งซ้ายมือของเขาแทน

“ทัศนศิลป์ครับ”คำตอบของอีกฝ่ายทำให้เขาแปลกใจมาก เขามองเจ้าตัวอีกครั้ง “งั้นเหรอ หน้าไม่ให้เลย”

“ฮ่ะๆ มีคนพูดบ่อยเหมือนกันครับ”พุดเอ่ยยิ้มๆ ระหว่างนั้นมีเด็กรับใช้เอาน้ำชากับของว่างมาเสิร์ฟ รวมไปถึงอาหารเที่ยวของเขาด้วย ภูวรินทร์ไม่เห็นว่าคุณป้าท่านนี้ออกมาด้านนอกอีกเลย เขาหันไปมองเด็กหนุ่มข้างๆอย่างสนใจ อีกฝ่ายกำลังเอื้อมมาหยิบถ้วยน้ำชา

“ทำไมถึงอยากมาอยู่ที่นี่ละ เด็กสมัยนี้ต้องอยู่ในเมือง หางานทำสบายกว่าเยอะ”เขาถาม พุดพยักหน้า ก่อนจะพูดด้วยท่าทีไม่อินังขังขอบอะไร

“ผมขอแม่ว่าจะหางานอิสระทำสักปีสองปีก่อนครับ จากนั้นค่อยไปทำงานกับที่บริษัทของครอบครัว”เด็กหนุ่มเอ่ย เขาเงียบไป เพราะต้นทุนดีจะทำอะไรก็ได้น่ะสิ เขามองพุดอย่างพิจารณาอีกครั้ง เด็กหนุ่มคนนี้ท่าทางเป็นคนไม่คิดอะไรมาก ดูสดใสสมวัยดี

“ทานข้าวเที่ยงหรือยังล่ะ มาทานด้วยกันสิ”เขาเอ่ยชวนไปตามมารยาท พุดมองอาหารในสำรับด้วยสีหน้าไตร่ตรอง ก่อนจะเลื่อนสายตามองเขาอีกรอบ เด็กนี่ชอบจ้องหน้า แถมถามแล้วไม่ตอบอีก

“...งั้นรบกวนด้วยนะครับ ผมจะไม่แย่งคุณน้าใช่ไหม”อีกฝ่ายพูดติดตลก ก่อนจะมองอาหารด้วยสายตาสนใจ ตอนนั้นมีเด็กรับใช้ยกจานกับเครื่องดื่มออกมาพอดี ไม่แน่อาจแอบฟังเขาคุยกันก็เป็นได้ 

“ที่นี่เงียบดีนะครับ แถมยังมีดอกไม้เยอะด้วย”พุดชวนคุย เขามอง

“อืม ปลูกไว้ตั้งนาน ไปดูที่เรือนเพาะชำหรือยังล่ะ”

“ไปมาแล้วครับ ในนั้นเหมือนขุมทรัพย์ของตาชมเลยครับ”พุดยิ้ม เขามองนิ่งๆ “ไม่ใช่ของชมมันหรอก...”เขาพึมพำเบาๆ เด็กหนุ่มเงยมองด้วยแววตาวิบวับ

“น้าภูชอบดอกไม้เหรอครับ”

 “ก็ชอบนะ”

“ถึงว่า น้าภูถึงเอาต้นไม้ติดมาด้วย”อีกฝ่ายพึมพำ ภูวรินทร์ชะงักไป ก่อนจะมองคนตรงหน้า

“ต้นแก้วแคระน่ะ ว่าจะเอามาเปลี่ยนแทนเทียนหยด”เขาบอก ก่อนจะหยิบช้อนขึ้นมา ทานอาหารบ้าง ถึงพุดจะเป็นคนแปลกหน้า แต่เด็กหนุ่มคนนี้ค่อนข้างคุยด้วยง่าย เขาไม่เห็นท่าทีอึดอัดหรือความเก้อเขินของอีกฝ่ายเวลาที่ชวนเขาคุย มองไปแล้วก็สบายตาดี

“นี่...”

“ครับ”อีกฝ่ายเงยมองเขาด้วยสีหน้ามีคำถาม แววตาสีดำใสกระจ่างมองเขา ภูวรินทร์เก็บคำถามเอาไว้ในใจ เขาเบือนหน้าออกจากอีกฝ่าย เด็กนี่ไม่มีอะไรคล้ายกับอินทนิลสักนิด กว่าจะรู้ตัวเองเขาก็เอาเด็กที่เพิ่งเจอไปเปรียบเทียบกับอินทนิลซะแล้ว เขานึกขำตัวเอง ไม่มีทางที่ลูกของธิชาจะเป็นคนที่เขาคิดถึงไปได้ เด็กคนนี้เรียนจบแล้วก็คงอายุยี่สิบสองยี่สิบสาม เขาแปลกใจมากกว่าว่าทำไมธิชาถึงมีลูกอีก และยังพามาที่บ้านหลังนี้ คุณป้าไม่รู้สึกผิดหรือละอายแก่ใจบ้างหรือไงกันนะ

แล้วเด็กคนนี้รู้เรื่องของอินทนิลหรือไม่กัน...

+++++++++++

หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ : ตอนที่ ๑๘ l ๒๑.๐๒.๖๑ หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 21-02-2018 18:23:02
ภูวรินทร์เลือกที่จะเก็บตัวอยู่ในห้องมากกว่าออกไปเดินเล่นที่ด้านนอก เขาสั่งให้คนสวนถอนรื้อต้นเทียนหยดออกเพื่อเอาต้นแก้วแคระไปปลูกแทน แต่กว่าที่จะรักษาหน้าดินที่รอบบ่อน้ำพุอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ เขาอยากให้ต้นแก้วแคระปลูกลงดินมากกว่าลงกระถางเลย รอให้คนสวนใส่ปุ๋ยดูแลหน้าดินให้กลับมาสมบูรณ์ ส่วนสองแม่ลูกที่มาใหม่นั้น เขาไม่อยากเจอหน้านัก เมื่อคืนป้าษอรเล่าให้ฟังว่า ตอนที่จัดงานศพให้อินทนิล ธิชาก็มางานด้วยเป็นเจ้าภาพให้ และหอบลูกชายคนใหม่มาด้วย ยิ่งทำให้ใจป้าษอรแทบขาด เธอโกรธมาก จนไม่อยากให้คุณป้ามาเหยียบงานศพ แต่พุด ไม่ใช่ลูกชายแท้ๆของป้าธิชา

พุดเป็นบุตรบุญธรรม เป็นลูกชายของลูกพี่ลูกน้องของป้าธิชานั่นแหละ แต่ญาติคนนั้นเสียไปก่อน ธิชาเลยรับมาดูแลตั้งแต่สามขวบ ภูวรินทร์จึงรู้สึกดีกับอีกฝ่ายมากขึ้น แต่ก็ยังไม่สามามรถมองหน้าเธอได้แบบเต็มตา เขาคิดว่าเธอเองน่าจะรู้เลยเลือกไม่เข้าหาเขาอีก เสียงซ่อมแซมจากบ้านข้างๆทำให้จิตใจของเขาปั่นป่วน บ้านที่เคยเป็นของคุณแก้วกำลังถูกถอนทิ้ง เขามองกองไม้ที่กองอยู่ทางด้านหลัง สวนต้นแก้วยังอยู่ดีเช่นเคย ป้าธิชาไม่กล้าตัดทิ้ง นอกจากจะเป็นของดูต่างหน้าที่ท่านหมื่นปลูกไว้ให้คุณแก้วแล้วภูวรินทร์ยังชอบสวนแห่งนั้น หาตัดทิ้งคงต้องมีเรื่องกับเขา

พอมาอยู่ในห้องของตนเองอีกครั้ง แม้เวลาจะผ่านมาหลายปี แต่ความรู้สึกเดิมๆมันยังกลับมาหลอกหลอนเขาอยู่เสมอ ชายหนุ่มเลือกไปอยู่ที่เรือนเพาะชำ อากาศไม่ร้อน อยู่กับของสวยงามทำให้จิตใจเขาดีขึ้น

ที่เรือนเพาะชำถูกจัดเป็นโซนแยกระหว่างโซนเพาะปลูกทางขวามือมีชั้นวางอุปกรณ์ทำสวน พวกกระถางขนาดเล็กไปจนใหญ่ กรรไกรตัดแต่ง โต๊ะตัวยาว ส่วนทางซ้ายมือจะเป็นโต๊ะเพาะตัวยาวไปสุดเรือนเพาะ มีสามตัว เต็มไปด้วยพันธ์ไม้หลายชนิด มีดอกไม้ใหม่ๆเข้าบ้าง ทั้งไม้ดอก ไม้พุ่มเช่นอังกาบ หลิวไต้หวัน แพงพวยสีขาว สีม่วง

ชายหนุ่มนำเมล็ดบานเช้าออกมาเพาะ หยิบถุงเพาะชำออกมา ใส่ดินซุยลงไป พืชชนิดนี้ขึ้นได้ในดินทุกชนิด ออกดอกเฉพาะตอนเช้าตามชื่อ เขาอยากลองเพาะดูบ้าง เขาเพาะเมล็ดไปสี่ถุงจัดวางใส่ตะกร้าสำหรับการรดน้ำ หากว่ามันโตจนออกดอก มันสามารถขยายพันธ์ได้เองจากการแตกของเมล็ด ทำให้ไม้พุ่มชนิดนี้ปลูกง่ายโตเร็ว

ระหว่างนั้นเขาเห็นว่าประตูเรือนเพาะชำเปิดออก ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ ไม่ต้องเดาว่าเป็นใคร ฟังจากน้ำหนักเท้าและจังหวะการเดิน คงเป็นพุด

“ผมมารบกวนน้าภูหรือเปล่าครับ”อีกฝ่ายเดินอ้อมมาทางด้านหน้าโต๊ะเพาะตัวที่สูงแค่สะโพกของตน เขามองผู้มาเยือนเด็กหนุ่มสวมเสื้อสีน้ำตาลกับกางเกงขาสั้นเหมาะกับสภาพอากาศ เขาส่ายหน้า

“เปล่าหรอก”

“ไม่เห็นน้าภูลงมาด้านล่างบ้างเลย...”

“ฉันอยากอยู่เงียบๆน่ะ”เขาตอบโดยไม่คิดอะไร แต่ทำให้คู่สนทนาเงียบ เขาโบกมือไปมา “ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นหรอก ฉันชอบอยู่คนเดียวน่ะ”ชายหนุ่มอธิบายอีกครั้ง พุดจึงเหลียวมองไปที่ต้นไม้ในกระถางที่วางเรียงอยู่ทางฝั่งซ้ายมือไปพลางๆ

“งั้นเหรอครับ นึกว่าน้าไม่ชอบพวกเราซะอีก”

“พูดอะไรแบบนั้น”

“ก็คนในบ้านพูด...เขาซุบซิบกัน”พุดหันมาพูดเบาๆ ใบหน้าเรียบเฉย ภูวรินทร์ส่ายหน้า “ไม่คิดว่าคนจะเอาไปพูดกันเรื่อยเปื่อย...ไม่ใช่อะไรแบบนั้นหรอก”เขายิ้มให้เด็กหนุ่ม พุดเกาจมูกก่อนจะเดินไปดูดอกไม้

“มีดอกอะไรบ้างครับเนี่ย ผมขออนุญาตเอาไปเป็นแบบสักต้นได้ไหมครับ”อีกฝ่ายหันมาถาม เขาวางของในมือลง ก่อนจะเดินไปหาเจ้าตัวที่ทางฝั่งซ้ายของเรือนเพาะชำ มองกระถางดอกไม้ที่วางเรียงกันหลายต้น

“เอาไปสิ...ที่จริง ก็เข้าออกที่นี่ได้ตามสะดวกเถอะ ฉันไม่ได้ขี้เหนียวขนาดนั้นหรอก”เขาบอกยิ้มๆ เด็กหนุ่มก้มมอง

“อันนั้นดอกคืออะไรเหรอครับ”พุดเลือกดอกไม้อยู่นาน จนกระทั่งชี้มือไปที่กระถางใหญ่ ลำต้นยาวไม่ถึงศอก มีดอกสีชมพูเข้ม เขาชะงัก ไป

“ชวนชมแคระน่ะ...”ภูวรินทร์บอก สายตามองกระถางดินเผา มีต้นชวนชมชูช่อออกดอกอยู่ ด้วยความที่ลำต้นอ้วน ไม่มีกิ่งก้านแผ่ออกมาเป็นกิ่งก้าน พุดเงียบไป จับจ้องดอกสีชมพู นัยน์ตาเป็นประกาย เจ้าตัวหันมาพูดด้วยรอยยิ้ม

“รู้หรือเปล่าครับว่าดอกไม้นี้มีพิษด้วยนะ”

“หือ ชวนชมน่ะเหรอ”ชายหนุ่มเลิกคิ้วมองต้นไม้ตรงหน้าอย่างแปลกใจ เขาไม่ได้สนใจมันนัก ต้นชวนชมมักโตจนสูง เขาเลยเลือกเพาะต้นแคระ ลักษณะสวยงามของมันไม่ยักรู้ว่าจะมีพิษ

“ใช่ครับ แต่มีนิดเดียวเอง ไม่อันตรายอะไรด้วยครับ”พุดบอก 

“สนใจดอกไม้ด้วยเหรอ”

“ผมชอบเพราะว่ามันสวย ใครๆก็ชอบของสวยงามนี่ครับ”ชายหนุ่มชะงักไปเมื่อ ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย เขาเงยมองพุด แต่เด็กหนุ่มกำลังก็มองกระถางดอกไม้อันอื่นอยู่

ภูวรินทร์มองอีกฝ่ายอยู่นานจนเจ้าตัวเงยหน้ามามองเขา พุดมองเขาด้วยสีหน้าแปลกใจ ก่อนจะเหลียวมองไปดูกระถางอื่นต่อ  ‘ช่างเถอะ อยู่กับปัจจุบันก็พอ’เขาละสายตาออกจากเด็กหนุ่มตรงหน้า ในใจเหมือนโดนบีบ

“งั้นผมขอยืมไปก่อนนะครับน้าภู”พุดเอ่ยขอ เขาพยักหน้าตกลง เจ้าตัวคว้าขอบกระถางพยายามยกมันขึ้น น้ำหนักของกระถางดินเผาบวกกับดินที่อัดไว้มาหลายปีคงหนักพอสมควร เจ้าขบฟันแน่น สีหน้าเหมือนขบขัน

“ฮ่ะๆ หนักเหมือนกันครับ”พุดบอก ก่อนจะหอบกระถางดินเผาออกไป ทุลักทุเลในการเปิดประตูเรือนเพาะชำ เขามองอยู่อย่างนั้น จนเจ้าตัวเปิดประตูออกไปจนได้ ร่างของพุดหายไปจากสายตา ประตูเรือนเพาะชำปิดลง 

คิดถึง... จู่ๆ เขาก็นึกถึงอินทนิลขึ้นมาอีก เขาจับจ้องอยู่ที่ประตูบานนั้นอยู่นาน ก่อนจะสะบัดศีรษะไปมาไล่ความคิดหม่นหมองออกไป

ภูวรินทร์เก็บของในเรือนเพาะเงียบๆ ไม่สนใจรอบข้างอีก

จนกระทั่งตะวันพ้นขอบฟ้าไป คนงานที่มาทำงานให้ป้าธิชาทยอยกลับกันไป เสียงวุ่นวายเงียบลง ทำให้รอบบ้านกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ภูวรินทร์จึงสงบใจได้มากขึ้น เขาทานมื้อเย็นที่ห้องอาหาร มีแขกทั้งสองคนมาร่วมทานด้วย แต่วันนี้เขามาทานจนพร้อมหน้าเป็นวันแรก บนโต๊ะอาหารมีกับข้าวหลายอย่าง จนเลือกทานไม่หมด ป้าษอรและลุงชมอยู่ทานด้วย

“คุณป้าเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”ภูวรินทร์ถาม เมื่อเห็นว่าสีหน้าของป้าธิชาดูซีดเซียว เขาหันมองไปที่ป้าษอร เธอแค่มองเขาเงียบๆ พุดมีสีหน้ากังวล

“แม่ทานยาบ้างไหมครับ เดี๋ยวก็ป่วยอีกหรอก”ผู้เป็นลูกเอ่ยอย่างเป็นห่วง สีหน้ายับย่น ป้าธิชาส่งยิ้มให้เขา

“ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ แค่ปวดหัวนิดหน่อย”เธอบอก ชายหนุ่มไม่เซ้าซี้ถามต่อ เขาลงมือทานข้าวเงียบๆ แม้อาหารรสชาติอร่อย แต่เขาไม่อยากอาหารนัก เลยได้แต่ทานให้พอเป็นพิธี เขาอยากทานของหวานมากกว่าข้าวซะอีก แต่เห็นสายตาจากป้าษอรแล้วก็ต้องทานให้มากที่สุด

“คุณภูทานเยอะๆหน่อยสิ ป้าอุตส่าห์ทำของชอบคุณทั้งนั้น”เธอบอกอย่างกดดันเขาไปในตัว ภูวรินทร์ยิ้ม เหลือบมองพุดที่นั่งอยู่ทางฝั่งตรงข้าม เจ้าตัวดูเอร็ดอร่อยกับมื้อเย็น

ชายหนุ่มอยู่ในครัวต่อ เขามีเรื่องอยากพูดกับป้าษอรกับลุงชม จนทั้งสองเก็บครัวเสร็จ “ป้าครับ ผมว่าป้าควรพักบ้างดีไหม ในเมื่อก็มีเด็กมาช่วยแล้ว เดี๋ยวก็เจ็บป่วยเอานะครับ”เขาพูด ยังคงเป็นห่วงสองลุงป้าเช่นเคย อีกฝ่ายอายุเยอะแล้ว

“เฮ้อ ป้าก็อยากพักค่ะ แต่ให้ป้าอยู่เฉยๆแล้วมันไม่สบายใจ เลยต้องออกมาทำงาน สงสัยทั้งชีวิตป้าคงต้องเฝ้าบ้านนี้ไปจนตาย”เธอเอ่ยเสียงหม่นหมอง ลุงชมเหลือบมองป้าษอรด้วยสายตาห้ามปราม

“ลุงก็บอกแกนะ แต่ก็อย่างที่เห็น”

“ถ้าอย่างนั้นก็ทำเท่าที่ทำได้ดีกว่าครับ เรื่องงานครัวป้าทำต่อได้ แต่งานอื่นไม่ต้องไปทำแล้วครับ”เขาเอ่ยบอก มองดูป้าษอรตอนนี้แล้วร่างกายของเธอไม่เหมือนเมื่อก่อน คิดว่าเธอน่าจะป่วยเช่นกัน เขายังไม่อยากเจอความสูญเสีย ป้าษอรก็ไม่ต่างอะไรจากคนในครอบครัว ส่วนเรื่องงานในสวน เขาให้ลุงชมดูแลแค่ในเรือนเพาะชำก็พอ สวนหน้าบ้านให้พวกเด็กๆทำ 

ภูวรินทร์อยากกลับไปไหว้หลวงตา ได้ยินมาว่าท่านชราภาพลงมากกำลังจะกลับไปประจำที่วัดที่หมู่บ้านแล้ว ส่วนที่อาศรมหลังนั้นคงมีหลวงพี่รูปใหม่มาพำนักต่อ 

ตกดึกชายหนุ่มนอนไม่หลับ จึงออกเดินเล่นที่บริเวณบ่อน้ำพุ ตอนนี้ไม่มีน้ำไหลออกมาแล้ว เขามองดินร่วนๆที่อยู่รอบบ่อน้ำพุทรงกลม ต้นเทียนหยดถูกถอนออกไปแล้ว เขาเดินวนเวียนอยู่นาน เงยมองท้องฟ้าเบื้องบน มืดครึ้มจนมองไม่เห็นดาวบนฟ้า บรรยากาศเหมือนจะมีพายุเข้า ความเงียบในยามค่ำคืนทำให้เขาได้ยินเสียงรอบข้างได้ดีมากขึ้น เมื่อมีเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ เขาหันไปมอง ปรากฏว่าเป็นพุด เด็กหนุ่มแต่งตัวเหมือนคนเข้านอนไปแล้ว

“นึกว่าเข้านอนไปแล้ว”เขาทักอีกฝ่าย พุดมองบ่อน้ำพุ ความมืดสลัวรอบตัวทำให้มองเห็นแววตาที่สะท้อนในความมืดวิบวับ 

“ผมนอนไม่หลับครับ”

“อืม กะว่าจะมาดูจันทร์ดูดาว แต่ฟ้ามืดซะอย่างนั้น”ภูวรินทร์ถอนหายใจ

“แต่ว่าบรรยากาศก็น่าออกมาเดินเล่นเหมือนกันครับ”พุดเดินไปนั่งที่เก้าอี้ข้างบ่อน้ำพุ ภูวรินทร์ไม่อยากมองเห็นใครเป็นตัวแทนของอินทนิล พูดรูปร่างหน้าต่างจากอินทนิล นิสัยบางอย่างมีส่วนคล้าย ทว่าพุดก็คือพุด

“มีอะไรเหรอครับน้าภู”อีกฝ่ายถามเมื่อเห็นว่าเขาจ้องอยู่นาน ชายหนุ่มหันมองทางอื่นแทน “เปล่า”

“มุมนี้ก็เอามาวาดรูปได้เลยนะครับเนี่ย”พุดเอ่ยอย่างตื่นเต้น ก่อนจะยกมือสองข้าง ยื่นนิ้วชี้กับนิ้วโป้งมาประกบกันเป็นรูปสี่เหลี่ยม แล้วยื่นมือไปมอง ทำท่าเทียบกับบ่อน้ำพุ

“ฝีมือขั้นไหนกัน”

“ไม่อยากได้ราคาคุย รอเห็นของจริงเลยดีกว่า”พุดเอ่ย ก่อนจะหัวเราะเบาๆ  จากนั้นทั้งคู่เงียบไปนาน เขาคิดอะไรอยู่ในใจ

“ผมได้ยินเรืองน้าภูมาเยอะเลย”

“อืม ฟังมาจากไหน”เขาถาม รู้สึกสนใจในตัวเด็กคนนี้ไม่น้อย ท่าทางของอีกฝ่ายเหมือนไม่สนใจอะไรนัก แต่เอาเข้าจริงก็เก็บรายละเอียดเรื่องในบ้านเยอะ

“ตาชมน่ะครับ”พุดตอบ เขาส่ายหน้ายิ้มๆ ไม่ยักรู้ว่าลุงชมไปเล่าอะไรให้เจ้าตัวฟังบ้าง  “ยังไงก็ฟังหูไว้หูนะ”

“พอได้ฟังเรื่องเก่าๆแล้วมันก็น่าคิดนะครับว่าพรมลิขิตมีจริงไหม”พุดพึมพำ สายตามองไปทางรั้วบ้าน ต้นดอกแก้วริมรั้วเรียงราย เขามองอีกฝ่ายอย่างค้นหา ทำไมพุดต้องเอ่ยถึงเรื่องนี้ด้วยนะ เขายังมองไม่เห็นถึงความเชื่อมโยงของพุดกับอินทนิลหรือคุณแก้ว มีเพียงแค่อีกฝ่ายเป็นญาติห่างๆกับอินทนิลเท่านั้น ภูวรินทร์ไม่คิดจะรื้อฟื้นเรื่องในอดีต สิ่งที่ผ่านมาแล้วล้วนสร้างความเจ็บปวดให้แก่ผู้ที่ยึดถือมัน เขาจึงเลือกไม่เอ่ยถึงความเป็นมาของบ้านนี้ให้พุดฟัง อีกฝ่ายไม่เคยถามเขาด้วยเหมือนกัน

“อืม ชีวิตคนเราไม่ได้ขึ้นกับพรมลิขิตหรอก มันขึ้นกับการกระทำของเราต่างหาก มันมีผลต่อๆไปเหมือนโดนิโน่ มีเหตุมีผลของมันเอง”ภูวรินทร์ตอบ พุดหันมองเขาช้าๆ แววตาเหมือนกำลังพิจารณาตามที่เขาเอ่ย

“คงจะใช่ครับ”พุดตอบ

ชายหนุ่มเงียบ “เข้าบ้านเถอะ เหมือนฝนจะตก”เขาบอก ก่อนจะหันหลังเดินเข้าบ้านไป พอเดินเข้ามาถึงในตัวบ้านผ่านบันไดที่ทอดยาวไปชั้นบน เขารู้สึกแปลกๆกับเด็กคนนั้นทุกครั้งที่ได้คุยด้วย ภูวรินทร์หลับตา เดินกลับเข้าห้องของตนเอง ภายในห้องนอน ที่บริเวณหัวเตียงมีช่อดอกแก้ววางไว้ที่พาน เขาขมวดคิ้ว เพราะไม่ได้สั่งป้าษอรให้เอามา ภูวรินทร์เดินเข้าไปใกล้ๆ กลิ่นหอมของดอกแก้วชวนให้อึดอัด เขานึกถึงพุด

เขาเดินไปที่หน้าต่าง มองลงไปที่สวน ยังคงเห็นร่างของเด็กหนุ่มนั่งอยู่ที่เดิม จ้องมองมาที่ภูวรินทร์ แม้ว่ารอบตัวจะรายล้อมด้วยความมืดสลัวก็ตาม อีกฝ่ายดูไม่สะทกสะท้านกับความจริงนี้ เหลือบไปมองที่สวนต้นแก้วของเรือนข้างๆ ต้นไม้พลิ้วไหว ดอกแก้วยังคงบานอยู่ สีขาวที่โรยร่วงอยู่ที่พื้นมองเห็นเกลื่อน เขาหันกลับมามองที่ลานน้ำพุอีกครั้ง พุดหายไปแล้ว

ภูวรินทร์ปิดหน้าต่าง ลงกลอนให้สนิท เขาหวนกลับมารู้สึกเหมือนวันแรกของการมาเยือนที่บ้านหลังนี้ ค่ำคืนแรกของเมื่อ 7 ปีก่อน...



++++++++++++



มาต่อกันจ้า อีกสองตอนจะเป็นอย่างไงต่อนะ??

ขอบคุณสำหรับการติดตามเสมอมาค่ะ
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ : ตอนที่ ๑๘ l ๒๑.๐๒.๖๑ หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: ANIKI. ที่ 21-02-2018 18:48:08
ถ้าสมมติ ภูกับพุดได้คู่กัน จะเข้าตำราเดิมกับ ท่านภูรินทร์ กับแก้ว ตอนนั้นเลยเชียว..
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ : ตอนที่ ๑๘ l ๒๑.๐๒.๖๑ หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 21-02-2018 19:18:10
มาต่อ ๆ อีกสองตอน ลุ้นมาก ๆ
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ : ตอนที่ ๑๘ l ๒๑.๐๒.๖๑ หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 21-02-2018 19:24:42
จะบอกว่าพุดคือคนเดียวกับอินท์และคุณแก้วก็พูดได้ไม่เต็มปากเพราะยังไม่เห็นจุดเชื่อมโยงอย่างที่คุณภูบอก แต่ใจนึงก็เดาเอาลางๆแล้วว่าน่าจะเป็นแบบนั้นแบบนี้ ตอนท้ายตอนแอบหลอนนิดๆ พุดนี่เป็นคนจริงๆใช่ปะ ฮ่าๆๆ ถ้าสองคนนี้คู่กันจริงก็เหมือนเรื่องราวได้ย้อนกลับมาสู่จุดเริ่มต้นสมัยท่านอากับคุณแก้วนะ
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ : ตอนที่ ๑๘ l ๒๑.๐๒.๖๑ หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: junpa ที่ 21-02-2018 20:09:20
ถ้าพุดคืออินหละ คิดว่านะ เพราะอินเคยตายไปแล้วตอนสามขวบนี่ คำนวนเวลาแล้วอาจจะเป็นอิน
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ : ตอนที่ ๑๘ l ๒๑.๐๒.๖๑ หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 21-02-2018 21:30:07
ทำไมรู้สึกเหมือนจะมีอะไรพลิกล็อกอีกก็ไม่รู้
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ : ตอนที่ ๑๘ l ๒๑.๐๒.๖๑ หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 21-02-2018 22:32:43
              ลุ้นมาก ๆ :mew6: :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ : ตอนที่ ๑๘ l ๒๑.๐๒.๖๑ หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: snpmrth ที่ 22-02-2018 03:17:24
อ่านแล้วจะเป็นโรคหัวใจตามคุณภูแล้วค่ะ แง้
ป็นกำลังใจให้คุณคนแต่งนะคะ แต่งเรื่องใหม่อีก บอกกันด้วยนะคะ อยากติดตามไปเรื่อยๆเลย ชอบภาษาการเขียนมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ : ตอนที่ ๑๘ l ๒๑.๐๒.๖๑ หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 22-02-2018 17:37:13
เด๋วๆ อีกละหรา
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ : ตอนที่ ๑๙ l ๒๓.๐๒.๖๑ หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 23-02-2018 03:28:47
ตอนที่ ๑๙

เป็นครั้งแรกที่ภูวรินทร์รู้สึกไม่ปลอดภัยในห้องของตนเอง เพราะคนนอกเข้าออกห้องเขาได้ง่ายๆแบบนี้ ชายหนุ่มเดินไปล็อกกลอนอีกชั้นให้แน่นหนา คืนนั้นเขานอนไม่หลับนัก อากาศเริ่มเย็นจนทำให้เขาต้องเอาผ้าห่มออกมาใช้ บ้านทั้งหลังเงียบสงัด เขานอนฟังเสียงลม เสียงใบไม้สั่นอย่างอดทน ก่อนที่เขาจะรับเหมือนว่ามีเสียงฝีเท้าเดินวนไปวนมาอยู่ที่หน้าห้อง

เช้าวันต่อมา ภูวรินทร์เตรียมของงไปไหว้บรรพบุรุษที่สุสาน เลยเอ่ยชวนป้าธิชากับพุด ทั้งสองยอมตามมาด้วย แม้ว่าคุณป้าจะมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก เขาเดินเข้ามาด้านในสุสาน เขาเพิ่งเห็นว่ามีโกฏิอันใหม่เข้ามา เป็นของอินทนิล และของคุณแก้วด้วย เขาแปลกใจเพราะป้าษอรไม่เคยบอกเขาเลย สังเกตว่าป้าธิชาดูเหมือนจะอึดอัด เธอหน้าเปลี่ยนสีเมื่อเห็นโกฎิของอินทนิล

เขาจุดธูปวางดอกไม้ที่หน้าโกศของหมื่นนรินทร์ และมณี เขาแผ่เมตตาให้ทั้งสองคนก่อนจะลุกไปไหว้โกศของอินทนิลต่อ ปกติเขาก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้อินทนิลกับคุณแก้วบ่อยๆอยู่แล้ว พุดเดินมาจุดธูปด้วยเช่นกันคุกเข่าลงข้างๆเขา ชายหนุ่มหันมองอีกฝ่ายที่มีสีหน้าสงบนิ่ง

“จะว่าไปแล้ว อินทนิลเหมือนเป็นลูกพี่ลูกน้องของผมเช่นกัน”พุดหันมายิ้มให้เขา ภูวรินทร์ไม่สนใจอีกฝ่ายนัก เพราะแววตาที่จับจ้องมาเหมือนมีความรู้สึกบางอย่างอยู่ เขามองแล้วไม่สบายใจ ส่วนป้าธิชาก็ยอมมาไหว้โกศของอินทนิล เขาขยับไปจุดธูปวางดอกไม้ที่หน้าโกฏิของคุณแก้ว เขาหลับตา

ภูวรินทร์ถอยออกห่างจากโกฏิแถวสุดท้าย ปล่อยให้สองแม่ลูกใช้เวลากันแบบส่วนตัว เขาเดินจากออกมา มองเรือนปั้นหยาที่ตอนนี้เหลือแต่โครงบ้านเท่านั้น เขากลับมานั่งอ่านหนังสือพิมพ์ที่ห้องหนังสือ เปิดประตูไว้เผื่อว่ามีคนเข้ามาหา เขาหยิบหนังสืออ่านเล่นมาเปิด เผลอนึกถึงหนังสือที่แก้วเคยอ่าน เขาเดินไปหาชื่อหนังสือที่ตู้ชั้นเดิม แต่ว่าหาอย่างไรก็ไม่เจอ มองดูจากจำนวนหนังสือที่ลดลงและเอียงชิดกัน มีช่องว่างเว้นไว้เยอะ แสดงว่ามีคนมาหยิบหนังสือไปอ่าน

‘พืชและพิษ’ใครบ้างที่สนใจจะหยิบมาอ่าน เขาคิดว่าเป็นเด็กพุดนั่นแน่ๆ อีกฝ่ายชักเข้าออกบ้านอย่างถือวิสาสะไปซะหมด ที่เขาอนุญาตก็เฉพาะเรือนเพาะชำเท่านั้นเอง เขาหนักใจเรื่องของพุด อีกฝ่ายเป็นใครกันแน่ อยากได้บ้านไว้พักผ่อนงั้นหรือ ในที่ชนบทห่างไกลผู้คนเช่นนี้งั้นเหรอ ไม่คิดว่าป้าธิชาจะยอมมาเหยียบที่นี่ด้วยซ้ำ

ภูวรินทร์รู้สึกไม่สบอารมณ์ ก่อนจะเดินออกจากห้องหนังสือกลับไปที่ห้องนอน เดินไปหยิบกุญแจบ้านออกมา เขาเดินลงบันได ที่โถงใหญ่ไม่มีใครอยู่ บ้านเงียบกริบ เขาเดินผ่านเข้าไปในห้องครัว อ้อมไปทางด้านหลังเพื่อไปยังห้องพักของคนงาน

เขาเดินเข้าไปในบ้านแถวหลังใหญ่ ก่อนจะเลือกกุญแจห้องนอนของอินทนิลออกมาไข เปิดประตูเข้าไป ห้องของอินทนิลยังคงสภาพเดิม แม้ผ่านมาหลายปี แต่ไม่มีฝุ่นหรือสิ่งของแปลกปลอม เขาเดินไปนั่งบนเตียงที่ไร้ผ้าปูที่นอน มองไปรอบห้องอย่างเหงาหงอย สายตากวาดมองไปที่ตู้หนังสืออย่างไร้จุดพักสายตา ชายหนุ่มเดินไปยังตู้เสื้อผ้า เปิดตู้ออกดูด้านในยังคงเสื้อแขวนไว้อยู่เช่นเดิม เขาหยิบเสื้อออกมา จะว่าไปเขาไม่เคยเห็นใครแต่งตัวแบบที่อินทนิลแต่งเลย เขาลูบเนื้อผ้าอ่อนนุ่ม กลิ่นของอินทนิลยังคงไม่จางหายไป

ขณะนั้นเองเขาได้เสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้ประตูห้อง ตามมาด้วยเสียงไขกุญแจเข้ามา เขามองอย่างแปลกใจว่าใครกำลังเข้ามาในห้องของอินทนิล แม้จะคาดเดาไว้แล้ว

“...อ่ะ”เสียงตกใจดังมาจากผู้มาเยือน พุด เปิดประตูเข้ามา สีหน้าตื่นตระหนกที่เห็นเขายืนอยู่ ภูวรินทร์ไม่แปลกใจ แต่ที่น่าสงสัยคือพุดมีกุญแจห้องของอินทนิล เขามองไปที่ของในมือก็ยิ่งทำให้ในใจเต้นรัวมากกว่าเดิม นั่นมันแฟ้มเก็บภาพดอกไม้ของอินทนิล เหมือนอีกฝ่ายเป็นเด็กที่โดนจับได้ แม้จะเอาเก็บไปให้พ้นสายตาของเขาแล้วก็ตาม

“เอากุญแจมาจากไหน”เขาถามอย่างไม่พอใจนัก เด็กหนุ่มมีกุญแจบ้านครบชุด คงได้มาจากป้าษอรแน่นอน เขาไม่พอใจเพราะว่าเขาเป็นเจ้าของบ้าน ต่อให้อีกฝ่ายจะมีเหตุผลในการถือครองกุญแจก็ตาม พุดมองหน้าเขา สีหน้ากลับมาสงบดังเดิม อีกฝ่ายเงียบ แววตาสีดำสนิทไม่ละไปจากใบหน้าเขา

“ยังไม่ตอบอีก”ข้อเสียของพุดคือถามแล้วไม่ตอบในทันที อีกฝ่ายชอบจ้องหน้าเขา

“ยายอรให้มา”อีกฝ่ายอบ เขาถอนหายใจ ก่อนจะเก็บเสื้อเข้าตู้ตามเดิม ภูวรินทร์หันมาเผชิญหน้ากับพุด เขาอยากรู้เหตุผลของเจ้าตัวว่ามาทำแบบนี้เพื่ออะไร หรือต้องการอะไรจากบ้านนี้หรือจากเขากันแน่ ทำไมถึงไม่พูดออกมาตรงๆ

“...เธอทำตัวแปลกๆนะ”เขาเอ่ย เดินเข้าไปหา ยังคงมองแฟ้มสีดำที่ซ่อนอยู่ด้านหลัง พุดแค่เงียบ ไม่ได้ตอบโต้อะไร เหมือนทดสอบความอดทนของเขา

“ผมรู้ว่าน้าคงคิดมาก แต่ผมแค่เห็นว่าแฟ้มอันนี้มันน่าสนใจดี เลยเอาออกมาดู...ขอโทษครับ”อีกฝ่ายยอมถอย ก่อนจะยื่นแฟ้มคืนแก่เขา ชายหนุ่มรับมาถือไว้ยังคงไม่ไว้วางใจเด็กหนุ่ม เขาสบตากับคนตัวเตี้ยกว่า ด้วยวัยยี่สิบต้นๆของอีกฝ่ายก็น่าจะตัวสูงกว่านี้ อีกฝ่ายสูงแค่ปรายคางของเขาเอง พุดไม่ได้มองเขา

“งั้นเหรอ...นี่มันของส่วนตัวของอินน์นะ เธอจะเอาไปโดยไม่รับอนุญาตไม่ได้”เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย คนตรงหน้าแค่เงยหน้ามองเขา ท่าทางหลุกหลิก

“อ่า...ต้องขออนุญาตน้าภูก่อนเหรอครับ”

“ใช่ ของทุกอย่างในบ้าน ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม อย่าหยิบจับไปมั่วๆ ฉันไม่ได้หวง แต่น่าจะมีมารยาทหน่อย”คำตอบของพุดทำให้เขารู้สึกโกรธ เลยเอ่ยเตือน แม้ว่าใจของเขาจะไม่ได้นึกตำหนิการกระทำของเด็กหนุ่มอย่างที่เอ่ยไป พุดหน้าแดงก่ำ ก่อนจะพยักหน้าเข้าใจ

“เข้าใจแล้วครับ แต่อินทนิลก็เป็นพี่ของผมเหมือนกัน ผมก็น่าจะมีสิทธ์เข้ามาดูข้าวของบ้าง แล้วถ้าเป็นแม่ผม เขาต้องขอน้าภูก่อนไหม”พุดตอบกลับมา เขามองอย่างไม่เข้าใจนักกับปฏิกิริยานี้ ‘ไม่น่ารัก’เอาซะเลย เขาส่ายหน้าพยายามอดทนกับเด็กหนุ่มให้มากที่สุด เหมือนว่าอีกฝ่ายต้องการให้เขาโมโห

“อย่านอกประเด็น เธอออกไปได้แล้ว”ภูวรินทร์บอกนิ่งๆ พุดเหลือบมองเขาด้วยแววตามีประกายแปลกๆ อีกฝ่ายคล้ายกับลังเลว่าควรจะเดินออกไปให้เร็วที่สุดหรือว่าจะอยู่ต่อ

“ครับ ถ้างั้น.....”เจ้าตัวมีท่าทางอึกอัก เขามองอากัปกริยาของอีกฝ่ายอย่างสนใจ มีหลายพฤติกรรมของคนตรงหน้าที่ทำให้เขาใจเต้นรัวด้วยความอยากรู้ เขาคาดเดาเรื่องราวเอาไว้ราวกับคนฟุ้งซ่าน

“อยากบอกอะไรไหม”ชายหนุ่มถาม พุดมองหน้าเขา นัยน์ตาที่สะท้อนกลับมาสงบนิ่ง

“...ไม่มีครับ”เด็กหนุ่มตอบเบาๆก่อนจะส่งยิ้มให้เขา แล้วเดินออกจากห้องไปโดยไม่หันกลับมามองอีก ภูวรินทร์มองความว่างเปล่าเบื้องหน้าด้วยใจที่สั่นคลอน เพราะอะไรกันนะ เขาถึงไม่กล้ามั่นใจว่าพุดจะเกี่ยวโยงกับอินทนิลและคุณแก้ว นิสัยงั้นเหรอ... คงใช่ อินทนิลไม่ก้าวร้าวกับเขามาก่อน แต่กับพุด...เขาบอกไม่ถูก ชายหนุ่มก้มมองแฟ้มในมือ เปิดดูภายในแฟ้มคร่าวๆ ว่ามีอะไรเสียหายหรือผิดแปลกไปหรือไม่ เพราะว่าพุดเอาแฟ้มออกไป เมื่อเปิดไปยังหน้าสุดท้าย เขาเห็นว่ามันเป็นภาพใหม่ เป็นกลีบดอกชวนชมและคุณสมบัติ

ทั้งร่างชาวาบไปหมด เขาแทบปล่อยแฟ้มหล่นลงพื้น หัวใจพลันเต้นแรง เขาหันไปมองประตูห้องที่เปิดอ้าไว้อยู่นาน ความยินดีปรีดาแล่นมาจุกอก 

อินน์งั้นเหรอ

หากพุดไม่ใช่อินทนิล แล้วจะทำแบบนี้ไปทำไมกัน เขาพลิกหน้ากระดาษย้อนกลับไป มีดอกไม้ชนิดใหม่ที่เพิ่มมาจากอันเดิม ภูวรินทร์ยิ้มออกมา แม้ว่าใจจะยินดีมากแค่ไหน แต่ครู่เดียวก็พลันเศร้าลง ก้อนเนื้อที่อกซ้ายเหมือนเจ็บแปลบขึ้นมา เขาคิดว่ามันมาจากความรู้สึกมากกว่าอาการเจ็บปวดจากโรคภัย มีเหตุผลอะไรหรือที่พุดทำตัวแบบนี้ ทำเหมือนว่าไม่ใช่อินทนิลหรือคุณแก้ว มองเขาด้วยสายตาของคนแปลกหน้า เขาไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง ภาพเบื้องหน้าพร่ามัว รู้ตัวอีกทีเขายกมือไล่รอยน้ำตาที่เอ่อออกมา

ชายหนุ่มนั่งลงบนเตียง เขาไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไงหรือเป็นเพราะอะไรกัน เท่าที่รู้ในตอนนี้ พุดไม่ได้ต้องการบอกความจริง

ดูท่าอีกฝ่ายจะใจร้ายกับเขาไปเรื่อยๆ

ภูวรินทร์กลับออกจากห้องของอินทนิลหลังจากที่นั่งเงียบๆอยู่นานเกือบยี่สิบนาที เขาแค่ใจลอยเท่านั้น ชายหนุ่มเดินกลับออกจากบ้านพัก รู้สึกว่าร่างกายไร้กำลัง เมื่อเดินออกจากห้องครัว เขาไม่เห็นคนรับใช้ในบ้าน จึงเดินไปนั่งที่โซฟาบริเวณโถงรับแขก เขาเอนพิงพนักโซฟาอย่างอ่อนล้า แค่นี้เพียงพอแล้วหรือยัง ที่จะมั่นใจว่าอีกฝ่ายคืออินทนิล เขาหยิบโทรศัพท์ออกมา ส่งข้อความหาโชติ ให้สืบเสาะหาประวัติของพุดให้หน่อย เขาคิดว่ามันไม่ยากอะไร เพราะอีกฝ่ายไม่ใช่คนนอก เป็นญาติพี่น้องทางสายของคุณแก้ว ไม่ว่าจะทายาททางฝั่งกิ่งและไกรต่างก็มีลูกหลานออกมาหลายรุ่นแล้ว

เมื่อคืนเขานอนไม่หลับนัก เพราะความรู้สึกโหวงเหวงแปลกๆที่เกิดขึ้นกับตัวเอง มันเหมือนว่าภายในบ้านมีสิ่งที่มองไม่เห็น เขาไม่เคยคิดกลัวบ้านหลังนี้ แม้ว่าที่ผ่านมาบ้านเผชิญเหตุการณ์ไม่ดีมามาก หากเป็นคนอื่นคงไม่กลับมาเหยียบบ้านอีก แต่เขาแค่ไม่อยากปล่อยบ้านหลังนี้เอาไว้ให้เงียบเหงา ร้าง เหมือนอย่างเรือนหลังเล็กข้างๆ

ระหว่างที่เขาไม่ได้ระวังตัว ป้าธิชาโผล่มาจากจากทางประตูหลังบ้าน พอเห็นเธอ เขาจึงขยับลุกมานั่งให้เป็นผู้เป็นคนมากขึ้น เธอเปิดประตูทางด้านหลังไว้ สีหน้าของป้าธิชาดีขึ้นกว่าเมื่อวาน เธอเดินมานั่งทางฝั่งตรงข้ามกับเขาเพราะคราวนี้คงหลีกเลี่ยงไม่คุยไม่ได้แล้ว ป้าธิชามองเขาด้วยสายตาห่วงใย

“เราดูเหนื่อยๆนะ เป็นอะไรหรือเปล่าจ้ะ”

“เปล่าหรอกครับ...ว่าแต่พุดไปไหนแล้วครับ”เขาตอบยิ้มๆ ก่อนจะเอ่ยถามถึงลูกชายของเธอ เขาสังเกตว่าแววตาของเธอดูกังวลขึ้นมาทันทีที่เขาเอ่ยถึงพุด ป้าธิชาเปลี่ยนสีหน้าทันที เธอยิ้ม

“อยู่ที่เรือนเล็กน่ะค่ะ คงไปคุยกับช่าง ...พุดทำอะไรให้เราไม่พอใจหรือเปล่าจ้ะ”เธอเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงหวั่นใจ ดูจากปฏิกิริยาของเธอแล้ว คงรู้จักนิสัยของลูกชาย

“ไม่—อืม พุดเข้ามาในห้องผม โดยไม่ได้รับอนุญาต”เขาบอกไปตรงๆ เห็นป้าธิชาทำหน้าตกใจ เธอบีบมือแน่นก่อนจะส่ายหน้า

“ไม่คิดว่าพุดจะเสียมารยาทแบบนั้นเลย ป้าขอโทษด้วยนะจ๊ะ”เธอมองเขาด้วยสายตาขอโทษขอโพย ภูวรินทร์ถอนหายใจยาว

“ผมแค่แปลกใจเท่านั้นเอง...เหมือนว่าเขาจะสนใจของของคนอื่นนะครับ”เขาบอกช้าๆ มองคู่สนทนาอย่างจับสังเกต ป้าธิชายิ้มเจื่อนๆ

“ปกติพุดก็ไม่ได้ทำตัวแบบนี้ คงเพราะป้าตามใจมากไป”เธอพึมพำอย่างเหนื่อยใจ เขาคิดว่าอีกฝ่ายคงตามใจลูกชายทุกอย่าง ดูจากพฤติกรรมแล้วพูดคงเป็นเด็กเอาแต่ใจ ยิ่งป้าธิชาเคยทิ้งอินทนิลมาก่อนเธอคงเลี้ยงดูลูกชายคนใหม่อย่างพระเน้าพะนอ

“ช่างเถอะครับ ผมไม่ได้อยากจะดุด่าอะไรเจ้าตัวหรอก ...ว่าแต่คุณป้าจะย้ายมาอยู่ที่นี่เลยไหมครับ”ภูวรินทร์ลองเอ่ยถามอีกฝ่ายดู เธอมองเขานิ่งๆ สีหน้าแสดงความวิตก

“ไม่หรอกค่ะ ป้าต้องกลับไปดูงานต่อ คงให้พุดอยู่ที่นี่”ป้าธิชาบอก เธอพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย

“งั้นเหรอครับ”ชายหนุ่มพนักหน้ารับ เจ้าตัวยิ้มนิดๆเมื่อเอ่ยถึงลูกชายคนนี้

“ในเมื่ออยากมาอยู่นัก ก็ต้องอยู่ให้นานสมกับค่าสร้างบ้าน”เธอเอ่ยติดตลก  ภูวรินทร์แค่ยิ้มเขาหมดเรื่องจะคุยกับอีกฝ่าย บรรยากาศเริ่มอึดอัดขึ้นมา ป้าธิชาเหลียวมองไปรอบบ้านพยายามหาเรื่องสนทนาต่อ เธอเอ่ยคำถาม “แล้วภูล่ะ ต้องรีบกลับไปทำงานหรือเปล่า”

“ผมว่าจะอยู่ที่นี่สักหนึ่งอาทิตย์แล้วค่อยกลับครับ”เขาตอบ เพราะตั้งใจว่าจะอยู่ที่บ้านหลังนี้ไม่นาน เขาแค่มาที่นี่เพราะว่าอยากเห็นหน้าของป้าธิชาแล้วก็มาดูความเรียบร้อย ถือโอกาสเอาต้นแก้วแคระมาปลูกไปในตัว 
เธอยิ้ม ไม่ถามอะไรเขาต่อ จึงขอตัวออกไปเดินที่สวนหน้าบ้าน เขามองตามเธอไปจนสุดสายตา เพราะพุดอยากได้บ้านพักตากอากาศ ป้าธิชาจึงยอมกลับมาที่นี่งั้นสินะ เขาพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวของพุดให้มากที่สุด จากที่ตั้งใจว่าจะอยู่เงียบๆคนเดียว แต่พฤติกรรมของเด็กหนุ่มคนนี้ทำให้เขาคิดมาก

ภูวรินทร์นั่งอยู่ในบ้านคนเดียว หยิบโทรศัพท์ออกมาเช็คข้อความ โชติตอบกลับมาว่าจะหาข้อมูลให้ หนำซ้ำยังเตือนเขาว่าอย่าไปทำอะไรแปลกๆอีก เขายิ้มขำกับความคิดของเพื่อนสนิท ขณะเดียวกันก็มีเสียงเคาะดังกึกๆมาจากทางหน้าต่างด้านหลัง เขาหันไปมอง ก่อนจะเห็นว่าเป็นพุดที่ยืนอยู่ที่ริมหน้าต่าง ในมือถือกิ่งดอกแก้วช่อใหญ่ที่มีทั้งพุ่มใบไม้ติดมาด้วย คิดว่าอีกฝ่ายคงไปเก็บมาระหว่างที่คนสวนกำลังตัดแต่งต้นแก้ว

“...น้าภูยังโกรธผมอยู่อีกเหรอเนี่ย”อีกฝ่ายพูดไม่มีหางเสียง แต่ไม่ได้ใช้น้ำเสียงแข็งกระด้าง ชายหนุ่มมองพุดอีกครั้ง สีหน้าเหมือนแสดงความรู้สึกผิด คงเป็นเรื่องที่เข้าออกบ้านนี้โดยไม่ได้รับอนุญาต เขาจ้องมองใบหน้าขาวสะอาดที่ชื้นเหงื่อ

“...ไปทำอะไรตรงนั้น เข้ามาในบ้านสิ”เขาไม่ตอบ แต่เปลี่ยนเรื่องคุยแทน เด็กหนุ่มมองเขาก่อนจะยิ้มแย้มออกมา เจ้าตัวเดินหายไปจากหน้าต่าง เขาเรียกเด็กรับใช้ให้เอาเครื่องดื่มเย็นมาเสิร์ฟให้เขากับพุด ระหว่างนั้นพุดก็เดินเข้ามาด้านใน ถือกิ่งดอกแก้วเข้ามาด้วย ท่าทางผ่อนคลาย

“เอามาทำไม ไม่เห็นหรือว่าดอกมันร่วงลงพื้นหมดแล้ว”เขาปรามอย่างไม่จริงจังนัก มองกลีบดอกแก้วที่ปลิวหล่นอแกมาจากช่อในมือ เด็กหนุ่มเดินมานั่งที่โซฟาตัวเล็กข้างๆเขา

“ผมได้ยินมาว่าน้าภูชอบดอกแก้วนี่ครับ...เอ หรือว่าไม่ชอบงั้นเหรอ”พุดวางกิ่งดอกแก้วลงข้างๆตัว สีหน้าเหมือนผิดหวัง คิ้วเข้มย่นเข้าหากัน

“ไม่ใช่ไม่ชอบ แต่เอามาเป็นกิ่งขนาดนี้ กลิ่นมันแรงไป”เขาบอก มองเด็กรับใช้ยกเครื่องดื่มมาเสิร์ฟให้เขา จากนั้นก็เดินจากไปเงียบๆ พุดก้มมองกิ่งดอกแก้วอยู่นาน

“งั้นเหรอครับ”

“เป็นเธอใช่ไหมที่เอาดอกแก้วไปวางในห้องของฉัน”ภูวรินทร์ได้โอกาสถาม พอเขาพูดจบ พูดก็ชะงักไป สีหน้ากลับมาสงบนิ่ง นัยน์ตาสีดำเป็นประกายสดใสหดหายไป

“...ครับ...ขอโทษครับ”เด็กหนุ่มเอ่ยออกมาเบาๆ สีหน้าแสดงความรู้สึกผิด เขาจับจ้องเด็กหนุ่มมองดูมากำลังเสแสร้งแกล้งทำหรือไม่ เขาไม่ได้พูดอะไรจนพุดเงยมองเขา แววตาคู่นั้นสะท้อนความรู้สึกเศร้าก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มรู้สึกไหววูบไป เขาอยากเข้าไปกอดเด็กหนุ่มตรงหน้าเหลือเกิน ร่างกายผอมบางของอีกฝ่ายที่อยู่ภายใต้เสื้อผ้าสีสดใสผิดกับที่อินทนิลหรือคุณแก้วเคยสวมใส่มาก่อน จะอบอุ่นแค่ไหนกัน เขาได้สติหันมาสนใจเรื่องที่คุยค้างไว้ 

“ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีก”เขาบอกช้าๆ มองเข้าไปในแววตาสีดำ พุดพยักหน้าช้าๆจ้องมองเขาไม่ต่างกัน ก่อนจะขยับปากพูด

“...ก็....โอเคครับ”เจ้าตัวพึมพำ ภูวรินทร์มองอีกฝ่าย พยายามค้นหาความจริงจากคนตรงหน้า

“เธอต้องการอะไรกันแน่”เขาเผลอถามออกไป เด็กหนุ่มที่กำลังเอื้อมมือไปจับแก้วเครื่องดื่มชะงักงันไป มองเขาด้วยความเฉยชา ชายหนุ่มขมวดคิ้ว

“หมายถึงอะไรเหรอครับ”พุดเอ่ยด้วยน้ำเสียงงงงวย แววตาดำขลับกระพริบช้าๆ

“อย่ามาทำเป็นเฉไฉ เธอก็รู้ว่าฉันกำลังพูดถึงอะไรอยู่”ชายหนุ่มพูดเสียงดังกว่าเดิม ร้อนรนอยู่ในใจยิ่งต้องมาเห็นอีกฝ่ายทำเป็นทองไม่รู้ร้อนเช่นนี้เขาก็ยิ่งโมโห และผิดหวัง

“...ผมไม่รู้จริงๆนี่ครับ”พุดตอบ ยังคงไม่แสดงตัวตนออกมา เขาถอนหายใจ

“...กลับมาได้ยังไง”ภูวรินทร์ถามเป็นครั้งสุดท้าย หากว่าไม่ได้คำตอบเขาจะไม่สนใจอีก เด็กหนุ่มมองเขาอยู่นาน แววตามีประกายบางอย่างเต้นเร่า 'ความรู้สึกพอใจ'หรือเปล่านะ เขาไม่แน่ใจนัก ยิ่งมองก็ยิ่งเดาใจพุดไม่ออก

“ว่าไงนะครับ...”อีกฝ่ายถามกลับด้วยเสียงงุนงง ภูวรินทร์นิ่งไป รู้สึกผิดหวังอีกครั้ง ความเสียใจกำลังกัดกินอยู่ภายในใจ มองแววตาของคนที่ทำเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร พุดไม่หลบตาเขาไปไหน

“...ช่างเถอะ... ต่อไปก็อย่ามาเข้าห้องฉันมั่วๆอีก แล้วกุญแจน่ะ คืนป้าษอรไปหรือยัง”เขาเอ่ยถามเรียบๆ กลับมาควบคุมอารมณ์ให้เหมือนเก่า

“คืนแล้วครับ”อีกฝ่ายตอบ แต่เขาไม่เชื่อถือนัก ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าป้าษอรเอากุญแจบ้านให้เจ้าตัวง่ายๆได้ยังไง พุดไม่รู้จักอินทนิลด้วยซ้ำ

“เรื่องบ้านเป็นยังไงบ้าง”ชายหนุ่เปลี่ยนเรื่องคุย พุดยิ้มแย้มทันที เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างร่าเริง

“วันพรุ่งนี้คงเริ่มสร้างต่อแล้วครับ เมื่อกี้ช่างเพิ่งกลับไปเองครับ”เจ้าตัวบอก เอ่ยอธิบายเรื่องบ้านที่ออกแบบไว้เองให้เขาฟังอย่างตั้งใจ ส่วนเรื่องการซ่อมแซมบ้านในส่วนของการรื้อถอน ตอนนี้มีช่างรับเหมามาสร้างเรือนต่อ เขาเห็นว่าพุดต้องการได้บ้านเป็นลักษณะเดิม แต่ปรับโครงสร้างให้มีสองชั้นแทน

หลังจากนั้น ภูวรินทร์กับพุดไม่มีอะไรให้ต้องคุยอีก ชายหนุ่มลุกเดินเข้าไปในครัวเพื่อคุยกับป้าษอร เห็นว่าหญิงแม่บ้านอยู่ด้านในพอดี เขาเคาะประตูส่งเสียงให้เธอรู้ตัว เขาเดินไปนั่งที่โต๊ะอาหาร

“ป้าให้กุญแจบ้านกับพุดเหรอครับ”ชายหนุ่มถาม ขณะที่นั่งมองป้าษอรที่กำลังง่วนอยู่กับการเตรียมวัตถุดิบทำอาหาร เธอเงยมองเขาด้วยสายตาแปลกใจ

“ค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ”

“ผมก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ถ้าหากว่าเขาไม่ได้เอาไปเปิดสุ่มสี่สุ่มห้า”เขาบอกก่อนจะถอนหายใจ ป้าษอรวางมือจากการเตรียมอาหารเดินอ้อมครัวมาหาเขาที่โต๊ะ

เธอมองเขาอยู่นาน คล้ายจะเอ่ยอะไรออกมา แต่เขาดักคอไว้ก่อน “ผมไม่ได้คิดอะไรไม่ดีกับพุดหรอกครับ”

“ป้าไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้นค่ะ...แต่ป้าเป็นห่วงคุณ”หญิงแม่บ้านเอ่ยน้ำเสียงสั่นเครือ แววตาพลันหม่นลง เขาเบนหน้าหนีเจ้าตัว

“ทำไมครับ”

“คิดว่าเจ็ดปีที่ผ่านมาคุณจะทำใจได้แล้วซะอีก”ถ้อยคำของป้าษอรทำให้ภูวรินทร์สะอึกไป เขาเงียบ ตอนแรกก็คิดเช่นนีัแต่พอได้กลับมาทบทวนความรู้สึกทั้งหมดแล้วกลับพบคำตอบที่น่าเจ็บใจ

“หึ นั่นสิ ผมก็คิดว่าจะดีขึ้น แต่ไม่รู้สิครับ พอกลับมาบ้านที่ไร ผมก็จิตตกทุกที...”เขาบอก อยู่ๆขอบตาก็ร้อน ยิ่งกลับมาเห็นคนที่มีบางอย่างเกี่ยงข้องกับอินทนิลและคุณแก้วแล้วก็ยิ่งรู้สึกเสียใจ เวลาที่ผ่านมาเหมือนไม่ได้เยียวยาความสูญเสีย เขาแค่ยังวาดหวังว่าจะได้เจอกับคนที่สามารถรักได้อีก อาจใช่หรือไม่ใช่อินทนิลหรือคุณแก้วนั้นไม่สำคัญ

“ป้าเข้าใจค่ะ”เธอเข้ามาปลอบใจเขา ชายหนุ่มไร้คำพูด หลับตาลงอย่างยอมแพ้

ภูวรินทร์กลับขึ้นไปบนห้อง ขังตัวเองอยู่ด้านในแทน เขาเดินไปนั่งที่ริมหน้าต่าง เฝ้ามองคนสวนกำลังพรวนดินที่รอบบ่อน้ำพุ หากพุดไม่อยากพูดถึงเรื่องเก่าๆ เขาก็จะไม่พูด เป็นแค่คนแปลกหน้ากันไปก็คงดีแล้ว เขาคิดว่านี่อาจเป็นทางออกที่ดีก็ได้ ส่วนเรื่องของหลวงตาเขาไปถามลุงชมได้คำตอบว่าตอนนี้ท่านออกธุดงค์ไปแล้ว ภูวรินทร์รู้สึกเสียดายมาก โชติส่งข้อมูลของพุดมาให้เขา เขาไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วพุดเป็นลูกของคุณกนก หญิงสาวที่เป็นหลานของไกร พี่ชายของคุณแก้ว และพุดเคยเข้าโรงพยาบาลเมื่อตอนอายุ 15 สาเหตุคืออีกฝ่ายจมน้ำ และเกือบตายมาแล้วมันทำให้เห็นถึงความเชื่อมโยงกับคุณแก้วและอินทนิลไปหมด แต่มันจะเป็นไปได้หรือ... อีกฝ่ายจะเป็น‘ใคร’กัน บางทีเขาอาจไม่ต้องการคำตอบ เพียงแค่กลัวว่าสิ่งที่กำลังดำเนินอยู่นี้ ‘พันธะ’ระหว่างเขากับพุดคือเรื่องใดกัน เขามั่นใจว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับคำแช่งเก่าแก่ของบ้าน คำแช่งพวกนั้นน่าจะจบลงไปแล้ว แล้วพุดต้องการอะไรกันล่ะ...

หลังจากการสนทนากับพุดในคราวนั้น เขาไม่เห็นหน้าของอีกฝ่ายอีก เพราะเจ้าตัวกำลังใช้สมาธิกับการวาดภาพ ป้าธิชาบอกว่าอีกฝ่ายทำฟรีแลนซ์รับงานอาร์ตต่างๆทั้งการทำการ์ด วาดภาพ เพ้นท์สี เป็นภาพแขวนหรืองานเครื่องประดับชิ้นเล็กอย่างเช่นกรอบรูปแบบสื่อผสม เขาจึงไม่ได้เจอหน้าของพุดบ่อยนัก 

และสิ่งที่ไม่มีใครในบ้านเอ่ยถึงคือเสียงฝีเท้าที่วนเวียนอยู่หน้าห้องนอนของตน และไม่ใช่แค่คืนเดียวด้วย แต่เขาพบว่าไม่มีคนเอ่ยถึง เขาไม่คิดว่าเป็นผี คงเป็นคนนี่แหละ…

หนึ่งคืนก่อนที่ภูวรินทร์จะกลับไปทำงานต่อ ในกลางดึก เวลาล่วงเลยมาถึงเที่ยงคืน ภูวรินทร์จัดกระเป๋าเดินทางเรียบร้อยแล้ว จึงเตรียมตัวเข้านอน พอเห็นชายผ้าม่านสะบัดไปมาก็พบว่าหน้าต่างยังเปิดอ้าไว้ จะว่าไปเขากลับมาประสบปัญหากับหน้าต่างอีกแล้ว ปิดเหมือนไม่ได้ปิด  คืนนี้มีลมพัดเข้าบ้านตลอด ทำให้เขาต้องเดินไปปิดหน้าต่างเพราะลมเย็นทำให้นอนไม่หลับ เขาไม่เคยรู้สึกหวั่นในใจเช่นนี้มาก่อน เพราะเขาไม่กล้ามองออกไปด้านล่างหรือแม้แต่จะหันไปมองที่สวนต้นแก้ว เพราะคืนนี้มันมีอะไรแปลกไปจนเขารู้สึกได้

แต่ภูวรินทร์ห้ามตัวเองไม่ได้ เขากวาดสายตามองออกไปในความมืด คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงสว่างสไวทำให้การมองเห็นไม่แย่นัก ลางสังหรณ์ดลใจให้มองไปที่สวนต้นแก้วของเรือนข้างๆ เขายืนนิ่ง ใจหล่นวูบเมื่อเห็นว่าท่ามกลางต้นแก้วสูงจนท่วมศีรษะ มีร่างของเด็กหนุ่มในชุดนอนสีขาวยืนอยู่

‘พุด…’

เขามองอยู่นานร่างนั้นไม่ไหวติง ดอกแก้วสีขาวห้อมล้อมร่างของพูดประหนึ่งดาวล้อมจันทร์ ชายหนุ่มลังเลใจอยู่นานว่าจะเดินไปหาอีกฝ่ายดีหรือไม่เพราะเขานึกถึงเหตุการณ์เมื่อ7ปีก่อนขึ้นมา เกรงว่าจะตกหลุมพราง

แต่นี่คือพุดไม่ใช่หรือ

พอคิดเช่นนี้จึงรีบหันกายเดินออกจากห้องนอน ฝ่าความมิดสลัวลงบันไดไปช้าๆ หัวใจเต้นรัว เขาเนื้อตัวเย็นเยียบ สองเท้าเหยียบลงพื้นบ้านเย็นๆจนออกมาถึงที่หน้าบ้าน เขารีบสวมรองเท้าเดินเลาะไปตามทางริมรั้ว มุ่งสู่ประตูเล็กเข้าสู่เขตเรือนปั้นหยาหลังเก่าที่ตอนนี้กำลังต่อเติมเสาบ้านอันใหญ่เพื่อพยุงน้ำหนักบ้านสองชั้น

ภูวรินทร์มองไปที่ร่างของพูด เขาก้าวเดินรวดเร็วเพื่อไปถึงตัวของพุด

“นี่พุด”เขาเรียกกอนจะยื่นมือไปแตะไหล่ อีกฝ่ายยืนหันหลัง ไม่มีเสียงตอบรับกลับมาเขาจึงคว้าไหล่ผอมให้หันมาพร้อมเอ่ยเรียกสติ

“พุด!”ภูวรินทร์จับไหล่ทั้งสองข้างไว้ ท่าทางของอีกฝ่ายเหมือนคนละเมอ ไม่ต่างจากที่อินทนิลเคยเป็นก็ยิ่งทำให้เขาใจสั่นไหว เด็กหนุ่มสะดุ้งลืมตาตื่น พอมองเห็นเขายืนอยู่ตรงหน้าก็ร้องออกมาอย่างตกใจ

“น้าภู!”อีกฝ่ายผงะถอยหลัง มองไปรอบตัวแล้วใบหน้าซีดเผือด แววตาหวาดกลัว เขาสัมผัสได้ว่าร่างกายของเจ้าตัวสั่นเทา

“ใจเย็นๆ”เขาบอกด้วยความปลอบประโลมเมื่อพุดสะบัดตัวออกห่าง เหลียวมองไปรอบข้างอย่างตื่นตระหนกเมื่อพบว่าอยู่ในสวนของเรือนเล็ก

“…ผมมาที่นี่เองเหรอ”พุดเหมือนทรงตัวไม่อยู่ เขาเข้าไปพยุงร่างของเจ้าตัวไว้ได้ทัน

“อืม ฉันเห็นเธอยืนอยู่ก่อนแล้ว เลยมาตาม”ภูวรินทร์บอกก่อนจะพาร่างของพุดเดินกลับเข้าไปในบ้าน ระหว่างทางเจ้าตัวเงียบไม่เอ่ยอะไรออกมา เขาไม่ได้ถามซักไซ้

เมื่อพ้นเขตเรือนเล็ก พูดถอนหายใจก่อนจะขยับออกห่างจากภูวรินทร์ทันที อีกฝ่ายเดินเข้าไปในบ้านใหญ่เงียบๆ

“น้าภูยังไม่เข้านอนอีกเหรอครับ ดึกขนาดนี้แล้ว”พุดเอ่ยถามเมื่อเดินขึ้นบันได เขามองตามหลังเด็กหนุ่มอย่างนึกห่วง

“กำลังจะนอนนั่นล่ะ แต่เห็นเธอเข้าก่อน…”เขาตอบ อีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไร เมื่อเดินมาถึงที่หน้าห้อง เขาหยุดเดินมองพุดอย่างไม่วางตา จนเกิดความอึดอัดก่อตัวขึ้น

“พรุ่งนี้น้าต้องขับรถกลับไม่ใช่เหรอครับ เดี๋ยวก็เกิดอันตรายหรอก”พุดเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม มองเขาด้วยแววตาเป็นห่วง ภูวรินทร์จึงยิ้มออก

“ไม่เป็นอะไรหรอก …ว่าแต่เธอเถอะ…เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้บ่อยหรือเปล่า”เขาถาม มองพุดอย่างเป็นห่วง เจ้าตัวก้มมองพื้นห้อง

“…ไม่บ่อยหรอกครับ สงสัยจะเพลียหนัก น้าภูคงไม่กลัวผมนะครับ”พุดเอ่ย ต้องมองเขาด้วยนัยน์ตาวิบวับเหมือนแมงมุม

“ไม่หรอก”เขาตอบไปตามตรง มาถึงขั้นนี้แล้วมีอะไรที่ต้องกลัวอีกกัน ได้ฟังคำตอบของเขาพุดจึงค่อยๆยิ้มออกมา

“งั้นราตรีสวัสดิ์ครับ”พุดบอก สีหน้าดีขึ้น กลับมาสงบนิ่งตามเดิม เขาพยักหน้าให้ส่งเสียงอือออไป มองร่างผอมเดินกลับไปยังห้องนอนของตัวเอง ห้องเก่าของคุณแก้ว จนอีกฝ่ายปิดประตูไปแล้ว ภูวรินทร์ยังคงยืนอยู่ที่เดิมจนกระทั่งเหน็บเริ่มลามเลียท่อนขาจึงกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง นอนหลับไปอย่างง่ายดาย


++++++++++


หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ : ตอนที่ ๑๙ l ๒๓.๐๒.๖๑ หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 23-02-2018 03:30:55
เช้าวันรุ่งขึ้น ภูวรินทร์ตื่นสายกว่าทุกที กว่าจะยกกระเป๋าลงมาจากห้องก็ปาไปแปดโมงครึ่งแล้ว พอเดินเข้าไปที่ห้องอาหาร เจอกับสองแม่ลูกและป้าษอรที่ตั้งโต๊ะอาหารรอเขา ภายในห้องอาหารไม่มีเสียงพูดคุย เขาสัมผัสได้ถึงความแปลกประหลาดในท่าทีของป้าธิชา เธอเหลือบมองไปที่ป้าษอรแล้วก็หันกลับไปมองลูกชายของเธอ

พุดแค่ทานมื้อเช้าอย่างเจริญอาหารเช่นเคย เขามองอีกฝ่ายเงียบไปก่อนจะันไปเจอสายตาของป้าษาอรเขาลอบถอนหายใจเบาๆ สายตาแบบนี้อีกฝ่ายรู้เรื่องอะไรหรือเปล่านะ บรรยากาศแปลกเช่นนี้เขาไม่ได้คิดไปเอง หลังจากทานอาหารอิ่มแล้ว ป้าษอรเสิร์ฟกาแฟให้เขาต่อ

“กาแฟค่ะ”ป้าษอรเลื่อนแก้วกาแฟมาให้เขา กาแฟดำใส่น้ำตาลช้อนเดียว เขายิ้มขอบคุณ ก่อนจะยกมาดื่ม พุดจ้องมองเขาอยู่ตรงหน้า

“กลับไปคราวนี้ จะไม่กลับมาแล้วใช่ไหมคะ”ป้าษอรถามออกมา เขาคิ้วขมวดทันทีที่ได้ยิน เขามองอีกฝ่ายอย่างนิ่งเฉย พูดแบบนี้มีความหมายอะไรหรือเปล่า

“ไม่ใช่หรอกครับ ถ้าว่างก็จะแวะมาหาป้าอยู่แล้วครับ”ภูวรินทร์ตอบด้วยรอยยิ้ม เธอเลิกคิ้วสูง ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา มีเพียงสายตาจับจ้องมาจากพุดเท่านั้น ป้าธิชาออกไปข้างนอกเงียยๆ เขาดื่มกาแฟจนหมด แล้วลุกออกจากโต๊ะ เตรียมตัวเดินทางกลับ คนงานยกกระเป๋าไปวางไว้ในรถให้เขาแล้ว ภูวรินทร์เดินออกจากบ้าน แหงนหน้ามองท้องฟ้าปรอดโปร่ง มองไปทางเรือนหลังเล็ก ตอนนี้กำลังเริ่มทำพื้นบ้านชั้นบน หลังคายังเป็นทรงเดิมคือปั้นหยาแต่เพิ่มห้องใต้หลังคาเข้าไปด้วย ป้าษอรออกมาส่งเขา

“เดินทางกลับโดยปลอดภัยนะคะ ถ้าง่วงก็แวะจอดข้างทางก่อนได้”เธอบอกก่อนจะยื่นกระบอกน้ำเก็บความร้อนมาให้ เขารับมาคงเป็นกาแฟร้อน เขายิ้มก่อนจะเอ่ยขอบคุณอีกฝ่าย

“ฝากดูแลบ้านด้วยครับ”ภูวรินทร์เอ่ย ป้าษอรยิ้มพยักหน้าเป็นคำตอบ เขามองป้าธิชาที่ยืนอยู่หน้าบ้านเธอมีสีหน้ากังวลใจ ไม่ได้เข้ามาพูดคุยกับเขา

ภูวรินทร์เดินไปที่รถ เปิดประตูเข้าไปนั่งประจำที่เบาะคนขับ เสียบกุญแจก่อนจะสตาร์ทเครื่อง เสียงเครื่องยนต์ดังกลบเสียงคนงานที่กำลังทำบ้านหลังข้างๆ เขามองกระจกข้างเห็นว่าพุดกำลังเดินมาหา เขาจึงลดกระจกลง

“เดินทางปลอดภัยนะครับน้าภู”พุดเอ่ยบอก เขาพยักหน้า และไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยื่นหน้าเข้ามาทางหน้าต่าง “ผมให้ครับ”พุดยิ้มแล้วยื่นการ์ดสีขาวมุกมาให้ กระดาษมีกลิ่นหอมอ่อนๆ เขารับมา บริเวณด้านหน้ามีลวดลายดอกไม้พันเกี่ยวกันอย่างอ่อนช้อยที่ขอบกระดาษมองไปคล้ายการ์ดแต่งงาน เขายังไม่เปิดเข้าไปดูแค่นำมาเก็บไว้ก่อน

“ขอบใจนะ”ภูวรินทร์บอก มองใบหน้าของพุดอยู่นาน ใบหน้าอ่อนเยาว์ไม่มีอะไรโดดเด่น แต่มีรอยยิ้มที่สะกดใจได้ไม่ยาก เด็กหนุ่มดวงตาเป็นประกายสดใส

“เราคงได้เจอกันอีกครับน้าภู”นั่นคือคำพูดสุดท้ายของพุดก่อนที่จะถอยตัวออกห่างจากรถ ชายหนุ่มพยายามไม่หวั่นไหวไปกับถ้อยคำนั้นแต่ก็อดยิ้มไม่ได้

แน่ล่ะ…เพราะเขาต้องกลับมาที่บ้านหลังนี้อีกครั้งอย่างแน่นอน


การเดินทางกลับเป็นไปได้ด้วยดี เขามาถึงบ้านอย่างปลอดภัย ชายหนุ่มเปิดการ์ดที่พุดให้มา ด้านในมีภาพสีน้ำ รูปเรือนปั้นหยาสีขาว สองชั้น รายละเอียดชัดเจนทั้งลายฉลุที่หน้าต่าง มีเฉลียงบ้านกว้าง โทนสีที่ใช้สีขาวชมพูและฟ้าอ่อน มีอักษรสลักไว้ที่ใต้ภาพว่า 'เรือนมาลา' และมีกลอนที่เขียนด้วยลายมือบรรจงอยู่ทางด้านหลังกระดาษ ซ้ายมือของรูปเรือนปั้นหยา

ภูวรินทร์รู้สึกเศร้านิดหน่อยเมื่อเห็นชื่อเรือนเขาไม่รู้ว่าพุดจะตั้งชื่อเรือนตามนี้เลยหรือไม่ …มาลา ที่แปลว่าดอกไม้…มันทำให้เขานึกถึงทั้งคุณแก้ว อินทนิล...และพุดด้วยเช่นกัน

ระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ภูวรินทร์กลับมาทำงาน นิรุทโทรหาเขาด้วยเรื่องที่ทำให้ประหลาดใจในรอบหลายปี เขาคิดว่าฟังไม่ผิด นิรุทหัวเราะออกมาเบาๆ

 “งานอะไรนะครับ”

“งานเลี้ยงรวมตระกูลน่ะ กว่าที่ทางญาติฝั่งพี่จะรวมตัวกันได้อีก ใช้เวลานานหลายปีเลยนะภู ฉันถึงอยากให้เธอมาสักครั้ง อยากน้อยมาเจอหน้ากันสักแปบก็พอ”นิรุทเอ่ยย้ำ ตั้งแต่บ้านภิรมย์สุขสาแหรกขาดไปตั้งแต่รุ่นคุณนิรุท ญาติทางฝั่งคุณกิ่งและไกรต่างไม่มีปฏิสัมพันธ์กับพวกเชื้อสายของท่านหมื่น เช่นนิรุท คงเพราะเรื่องบาดหมางในอดีต ซ้ำยังไม่อยากข้องเกี่ยวกับเรื่องอาถรรพ์เก่าๆ คนตระกูลนี้จึงไม่ได้ติดต่อกันมานาน เขาแปลกใจที่งานรวมตระกูลเกิดขึ้นมาได้ แถมยังอยากเจอหน้าเขาอีก 

“พวกเขาจะไม่ตกใจกันหรือไง”ภูวรินทร์เอ่ยถาม ได้ยินนิรุทหัวเราะอีกรอบ

“...ไม่หรอก ฉันเอารูปของเธอให้พวกเขาดูกันไปแล้ว เจอตัวจริงคงไม่ช็อกตาตั้งแน่ๆ”คนปรายสายเอ่ยติดตลก เขาถอนหายใจ การไปเจอญาติพี่น้องไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร อีกอย่างเพราะเรื่องคำแช่งจางหายไป ทำให้ญาติเหล่านั้นกลับมากลมเกลียวกันอีก ก็ถือเป็นเรื่องที่ดี

“ได้ครับ ผมไปก็ได้”เขายอมตอบตกลง

“ขอบคุณมากนะ”นิรุทเอ่ยเบาๆ

ส่วนทางบ้านภิรมย์สุข ป้าษอรไม่ได้โทรมารายงานเขาบ่อยนัก แต่ทุกครั้งที่โทรมาก็จะเป็นเรื่องความคืบหน้าของการสร้างบ้านหลังใหม่ของพุด เขาได้ยินว่ามันราบรื่นดี และพุดก็ชอบเก็บตัวเงียบในห้องเช่นเคย ส่วนป้าธิชาก็ไม่ได้พูดคุยกับป้าษอรมากนัก เขาเข้าใจดีเพราะเธอไม่ชอบป้าธิชามากเท่าไหร่ เพราะเรื่องอินทนิล แต่ในฐานะคนดูแลบ้าน ป้าษอรจึงต้องรักษามารยาทเอาไว้

งานรวมญาติจัดขึ้นที่บ้านของญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ภูวรินทร์เข้าไปในงานพร้อมกับนิรุท เขาค่อนข้างตื่นเต้นอยู่มากเพราะยังไม่เคยเจอญาติผู้ใหญ่ของตนเองมาก่อน วันนี้นิรุทจึงพาเขาเข้าไปในฐานะ พ่อกับลูก ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์จะไม่ได้แน่นแฟ้น แต่เขาก็เคารพอีกฝ่ายในฐานะญาติผู้ใหญ่ นิรุทเองก็ดีกับเขาจริงๆ

“คนที่อาวุโสที่สุดก็คือลุงณรงค์ เป็นพ่อของกนกน่ะ เพราะเสียลูกสาวไปเลยไม่ค่อยจะแข็งแรงนัก”

“แล้วทำไมท่านถึงยอมให้ธิชาเอาลูกของคุณกนกไปเลี้ยงล่ะครับ”เขาเอ่ยถาม นิรุทมีสีหน้าแปลกใจ

“เธอรู้ด้วยเหรอเนี่ย..ก็ไม่มีอะไรมาก เพราะธิชามีลูกยาก แถมคุณณรงค์ก็แก่ตัวแล้ว พุดอายุแค่สามขวบเอง ถึงจะมีพี่เลี้ยงคอยดู แต่การมีแม่น่าจะดีกว่าไม่ใช่เหรอ”นิรุทเอ่ยเบาๆ มองเขาอย่างนึกเสียใจ เขาเงียบไป

“แล้วป้าธิชามาด้วยไหม”

“ไม่มาหรอก ก็อยู่ที่บ้านเก่าไม่ใช่เหรอ”นิรุทมองเขา ภูวรินทร์พยักหน้า จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องจัดเลี้ยง บ้านหลังใหญ่โตกว่าของท่านหมื่นเสียอีก ที่หน้าห้องมีผู้ชายวัยกลางคนศีรษะล้าน นิรุทบอกว่าเป็นทนายประจำบ้าน ชื่อว่าบดินทร์ เข้ามาต้อนรับเขากับนิรุท ทนายบดินทร์ชะงักไปเมื่อเห็นหน้าของเขา

“คุณณรงค์อยู่ด้านในแล้วครับ”ทนายเอ่ยกับนิรุท ก่อนจะเปิดประตูเข้าไป ภายในห้องกว้าง ใจกลางห้องมีโต๊ะตัวยาวตั้งอยู่ มีดอกไม้ประดับพร้อมกับในระยะห่างเท่าๆกัน ที่หัวโต๊ะมีชายชรารูปร่างสมบูรณ์ไม่ผอมไม่อ้วนเกินไปนั่งอยู่ ทางซ้ายมือมีหญิงชราหน้าตาบึ้งตึงนั่งอยู่ข้างๆ และมีญาติผู้ใหญ่อายุเท่าๆกับนิรุทนั่งอยู่ลำดับถัดมาสามคน

“สวัสดีครับคุณณรงค์”นิรุทพาเขาเดินไปไหว้ชายชราท่านนั้น นิรุทไม่ได้เรียกว่าคุณลุง เช่นนั้นแล้วเขาจะเรียกว่าคุณปู่ได้อย่างไร เขายกมือไหว้ผู้อาวุโสตามลำดับ พวกเขารับไหว้หน้าตายิ้มแย้ม ไม่เก็บความประหลาดใจเอาไว้สักคน มีแต่หญิงชราผู้เป็นภรรยาของณรงค์ที่ไม่ยิ้มแย้ม คงเพราะเขาหน้าตาเหมือนหมื่นนรินทร์จนไม่นึกดีใจที่เห็นเขา

“เอ้า ให้ลูกของลื้อนั่งข้างๆพิชัยสิ”คุณปู่ณรงค์บอก นิรุทพาเขาไปนั่งเก้าอี้ทางฝั่งคุณพิชัย สามีของป้าธิชา อีกฝ่ายแค่เหลือบมองเขานิ่งๆ ภูวรินทร์รู้สึกอึดอัดจนไม่อยากจะมองหน้าใครนัก แขกคนใหม่เข้ามา เป็นหญิงชราอายุเท่าๆกับคุณณรงค์ ทุกคนลุกขึ้นต้อนรับแขกท่านนี้ เห็นเรียกคุณพิชัยว่าเขย ทำให้เขารู้ว่าหญิงชราท่านนี้คือคุณแม่ของธิชา นิรุทเอนตัวมาคุยเบาๆ

“คนนี้ชื่อนงลักษณ์ เป็นคนใจดีมากไม่เหมือนคุณณรงค์”เขาพยักหน้า  นิรุททักทายผู้มาเยือนคนใหม่ “คุณป้าครับ นี่ภูวรินทร์ ลูกชายของผมเอง”เจ้าตัวเอ่ยอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ ภูวรินทร์ยกไหว้คุณย่าท่านนี้ หญิงชรามองเขาอยู่นานก่อนจะส่งยิ้มมาให้เขา

“อืม หน้าตาเหมือนกันเลยนะ”ย่านงลักษณ์เอ่ยเบาๆ ก่อนจะนั่งลงใกล้ๆกับทางคุณตาณรงค์ผู้เป็นญาติผู้น้อง

“แล้วอาพุดไปไหนล่ะ ทำยังไม่มาอีก”คุณปู่ณรงค์เอ่ยขึ้นมา ภูวรินทร์ยิ่งกว่าแปลกใจ เขาหันไปมองนิรุท อีกฝ่ายส่ายหน้าเป็นคำตอบเหลือบมองทางคุณพิชัยผู้เป็นพ่อเลี้ยงของพุด

“เมื่อกี้บอกผมว่าไปเข้าห้องน้ำ เดี๋ยวก็คงมาครับ”

“อืม หลานคนนี้ไม่รู้จักมารยาทเอาซะเลย”หญิงชราที่นั่งข้างๆกับคุณปู่ณรงค์เอ่ยพึมพำ ไม่ทันขาดคำ พุดเดินเข้ามาท่ามกลางสายตาตำหนิ เด็กหนุ่มเดินค้อมตัวมานั่งข้างๆผู้เป็นพ่อเลี้ยงอย่างคุณพิชัย พุดเหลือบมองมาทาเขาด้วยสีหน้ามีรอยยิ้ม ที่จริงการนับญาติของคนตระกูลนี้ทำให้เขามึนงง เพราะทั้งสองฝั่งเป็นพี่เป็นน้องกันทั้งนั้น ไหนจะพุดที่ถูกรับเลี้ยงจากธิชา ลูกสาวของคุณย่านงลักษณ์ผู้เป็นญาติผู้พี่ของคุณปู่ณรงค์ การมาของนิรุทกับภูวรินทร์จึงเหมือนผ่าเหล่าไปหน่อย เพราะทายาททางฝั่งหมื่นนรินทร์ไม่มีเลยนอกจากเขาทั้งสองคน ที่มาดองกันได้ก็เพราะเรื่องในอดีตของหมื่นนรินทร์กับคุณแก้ว ทำให้ฝั่งคุณย่านงลักษณ์ และคุณตาณรงค์ยังนับญาติกับเขาอยู่

“จะว่าไปไม่ได้มาเจอหน้ากันตั้งเกือบสิบปีเลยนะ จนตอนนี้หัวหงอกกันไปหลายคน”คุณปู่ณรงค์เอ่ยกับทุกคน ภูวรินทร์กลั้นความเบื่อหน่ายเอาไว้เพราะส่วนใหญ่ที่คุยกับก็มีแต่พวกอาวุโส คนนอกเช่นเขาเลยไม่รู้จะมีตัวตนไปทำไม ไม่ต่างจากพุด เพราะอายุน้อยสุดการรวมญาติเช่นนี้จึงเป็นเรื่องน่าเบื่อพอๆกัน

พอผ่านช่วงที่ทานอาหารไปเรียบร้อย เวลานี้จึงไม่ต้องนั่งอยู่กับที่เพราะเป็นเวลาผ่อนคลาย เขาพยายามปลีกตัวออกมาจากวงสนทนา ปล่อยให้นิรุทคุยกับพวกอาวุโสสามสี่ท่าน เขาเห็นพ่อเลี้ยงของพุด คุณพิชัยกำลังนั่งจิบเหล้าแอบมองมาทางเขาอยู่หลายหน อาจมีเรื่องคุยด้วย แต่เขาไม่นึกอยากจะคุยกับคนพวกนี้จริงๆ ภูวรินทร์เดินออกจากห้องจัดเลี้ยงไปเงียบๆ เดินออกไปทางหลังบ้านเพราะมีประตูเปิดไว้ เจอเข้ากับสระน้ำใหญ่เป็นน้ำสีฟ้าใสสะท้อนแสงอยู่ เขาเจอพุดนั่งอยู่ที่เก้าอี้ริมสระ ชายหนุ่มกำลังหันหลังเดินกลับเข้าไปด้านใน แต่พุดดันหันหน้ามาเจอซะก่อน เด็กหนุ่มยิ้มให้ โบกมือให้เขา ภูวรินทร์เดินเข้าไปหาพุด

เมื่อเดินไปใกล้ เขาเลือกนั่งที่เก้าอี้ตัวถัดไป เห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าเรียบเฉยมาตั้งแต่ในงาน “เบื่อหรือไง”เขาถาม

“แฮะๆ ก็นิดหน่อยครับ”พุดหัวเราะเจื่อนๆ ก่อนจะมองไปที่สระน้ำ แววตาดูล่องลอยๆ เขาอยากถามเรื่องของอีกฝ่าย แต่ต้องรอจังหวะ

“ก็แบบนี้นะมีแต่คนสูงวัย”เขาส่ายหน้า ขนาดตัวเขายังเบื่อ ไม่น่ารับปากนิรุทมางานนี้เลยจริงๆ พุดหันขวับมองเขาทันทีก่อนจะเอ่ยเบาๆ

“น้าภูยังไม่แก่ขนาดนั้นซะหน่อย”

“หึ......”ภูวรินทร์ยิ้ม เด็กหนุ่มถอนหายใจเบาๆก่อนจะมองเขา “จะไม่กลับไปอยู่บ้านแล้วเหรอครับ”คำถามของอีกฝ่ายทำให้เขานึกไม่ถึง ไม่คิดว่าจะถามเรื่องนี้

“เปล่าซะหน่อย ฉันมีงานต้องรับผิดชอบนะ เลยไม่ค่อยได้ไปบ่อยๆ”เขาบอก พุดย่นคิ้ว

“ว้า แย่เลย แบบนี้ผมก็อยู่บ้านคนเดียวน่ะสิ ไหนว่าน้าภูอยากมีเพื่อนบ้าน”เจ้าตัวเอ่ยอย่างเสียดาย ทำให้เขาหัวเราะ

“จริงด้วยนะ บ้านคงเงียบ”เขาตอบ ก่อนที่คนทั้งคู่จะเงียบไปนาน เขาหันไปจ้องมองน้ำในสระที่สงบนิ่งแทน ใบหน้าของพุดมีแสงสะท้อนจากผิวน้ำ เป็นพุดที่เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นซะก่อน “...ผมคิดว่าผมเกลียดแม่ตัวเอง”คำพูดของอีกฝ่ายทำให้เขาตกใจไม่น้อย เขามองคนตรงข้าม เจ้าตัวมีสีหน้าเรียบเฉย จ้องตาเขาเขม็ง

“พุด”

“จริงๆนะครับ ขนาดงานวันนี้แม่ยังไม่ยอมมา...เพราะเรื่องที่แม่เคยทำไว้”พุดเอ่ยเสียงเฉยชา ภูวรินทร์รู้สึกกังวลใจอย่างบอกไม่ถูก “มันเป็นสิ่งผิดพลาดในอดีตไม่ใช่เหรอ อีกอย่างป้าธิชาก็เลี้ยงดูเธอมาอย่างดี เรื่องนี้เธอไปเอามาจากไหน”เขามองเด็กหนุ่ม เจ้าตัวเม้มปากก่อนจะไหวไหล่อย่างไม่แยแสนัก

“ได้ยินมาตั้งนานแล้วครับ ถึงท่านจะไม่ใช่แม่แท้ๆของผม แต่ผมก็คิดว่าท่านคือแม่ที่ให้กำเนิดเสมอ แต่เรื่องเก่าๆมันทำให้ผมรู้สึกเจ็บเมื่อคิดถึงเด็กที่ชื่ออินทนิล”ถ้อยคำของพุดประดังประเดออกมา ทำให้เขากลั้นหายใจ เขามองอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ ชาวาบไปทั้งร่าง เขาไม่ได้พูดอะไรออกมา แค่รอฟังอีกฝ่ายพูดให้หมด เหมือนว่าเจ้าตัวแค่ระบายเรื่องในใจ

“ผมไม่มีความทรงจำในวัยเด็ก...”พุดเอ่ยน้ำเสียงแข็งกระด้าง มองไปที่สระน้ำอีกครั้ง แววตาหม่นเหม่ออ “หมายความว่ายังไง”เขาถามออกไปแบบนั้น ทั้งๆที่รู้ว่าน่าจะเกี่ยวกับเรื่องที่อีกฝ่ายต้องเข้าโรงพยาบาล พุดเงียบ เลื่อนสายตากลับมามองที่เขา

“...ก็ช่วงที่ผมจมน้ำไปน่ะครับ มีความเป็นความตายรออยู่ ผมจึงต้องเลือก”เจ้าตัวเอ่ยเสียงเบา แววตาวูบไหว เขากลืนน้ำลายลงคออย่างลำบาก ใจเต้นแรงเมื่ออีกฝ่ายเริ่มบอกเล่าเรื่องของตัวเอง

“เลือกอะไร”เขาถาม พุดยังคงเงียบ เหมือนไม่กล้าเอ่ยออกมา เด็กหนุ่มสบตากับเขาอยู่นาน จนเขาต้องเอ่ยเรียกชื่อเพื่อเรียกสติ

“พุด”คำเรียกของภูวรินทร์ทำให้เด็กหนุ่มยิ้มออกมา ชายหนุ่มรอฟังคำตอบของเจ้าตัว เขาเคยคิดว่าหากได้รู้ความจริงบ้างก็คงดี ความรู้สึกของเขาคงไม่เปลี่ยนแปลง พุดหลับตาก่อนจะเอ่ยเสียงไร้อารมณ์

“...เลือกว่าระหว่างได้เริ่มชีวิตใหม่กับการเริ่มต้นเป็นเดรัจฉาน”เขาตกใจกับคำตอบของพุดจริงๆ ภูวรินทร์ขมวดคิ้ว หัวใจเหมือนโดนเจาะลมจนแห้งเหี่ยว สีหน้าของอีกฝ่ายดูแปลกไป คล้ายกับว่างเปล่า แววตาสีดำที่มีประกายสดใสกระพริบหายไป เหลือแค่ความเย็นชา

“พูดอะไรแบบนั้นกัน”ชายหนุ่มเอื้อมไปดึงไหล่อีกฝ่าย เพื่อจะมองใบหน้าของคนพูดอย่างชัดเจนมากขึ้น พุดไม่ขัดขืนอะไร แค่ส่งยิ้มมาให้เขาแทน รอยยิ้มเศร้า

“ผมได้คนใจดีช่วยซีพีอาร์ให้ จึงยื้อชีวิตเอาไว้ได้”พุดเล่าช้าๆ สายตาจับจ้องมาที่เขาไม่ละไปไหน ภูวรินทร์นิ่งไป เพราะสาเหตุนี้น่ะเหรอ ถึงได้กลับมา เขาแค่แปลกใจ ที่อีกฝ่ายยังสามารถทำแบบเดิมได้ เหมือนที่ทำกับอินทนิล เขาไม่รู้เลยว่าคนตรงหน้าเขาคือใคร

“ผมอยากให้น้าภูจดจำพุดเอาไว้... ผมมีชีวิตของตัวเองมาตลอด 8 ปี และมันก็เป็นสิ่งที่ผมต้องการจริงๆครับ”พุดเอ่ยออกมา ถ้อยคำเหล่านี้กรีดลงใจเขาไปทีละนิด เขาไม่แปลกใจ เพียงแค่ตกใจมากกว่า เพราะอะไรถึงกลับมาได้ หากว่าจิตที่หลุดออกจากร่างของอินทนิลไปไม่ได้เกิดการดับและไปจุติใหม่ แสดงว่าที่เขาเห็นเมื่อ 7 ปีก่อนคือความจริงงั้นสิ...เขาเห็นคุณแก้วที่บ้าน 

“เธอชื่อพุด...ฉันจะจำเอาไว้”เขาเอ่ย หากว่ามันคือความต้องการของอีกฝ่ายเขาก็ไม่ขัด เพราะความจริงเขาไม่ต้องการพูดถึงเรื่องเก่าๆอีก เขายึดคำของหลวงตามาดำเนินชีวิต เขาไม่รู้เรื่องหนนี้จะดีหรือร้าย แต่เขาเชื่อว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคำแช่งของบัวอีกต่อไปแล้ว

“ผมทำให้น้าโกรธหรือเปล่า”พุดถามขึ้นมา ภูวรินทร์พยายามนึกถึงเรื่องที่เขาต้องโกรธ เขาไม่รู้ว่าหมายถึงเรื่องใด เรื่องที่เข้าห้องอินทนิล เรื่องมีกุญแจบ้านไว้กับตัว หรือเรื่องที่ทำให้เขาสับสน ชายหนุ่มส่ายหน้า “ไม่หรอก”เด็กหนุ่มยังคงมองเขาต่อไป

“รอนานไหมครับ”พุดเอ่ยถาม เขาตกใจที่ได้ยินเช่นนี้ เหมือนแผลเก่าถูกเปิดออก และไม่ใช่แค่แผลเป็น มันยังไม่หายดีนัก เขารู้ดี ชายหนุ่มพูดอะไรไม่ออก รู้สึกว่าใจของเขากำลังดิ่งลงเหวมากกว่า

“ไม่นี่ เจ็ดปีเทียบอะไรกับเธอได้”ภูวรินทร์พึมพำ ไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่ายนัก

“ไม่เอาสิ ไม่พูดแบบนี้”พุดส่ายหน้า ใบหน้ามีรอยยิ้มปรากฏอยู่ อีกฝ่ายยื่นมือมากุมมือของเขาไว้แน่น ความอุ่นแผ่ซ่านจากฝ่ามือของอีกฝ่าย 

“ขอกอดคุณได้ไหมครับ”พุดถาม ดวงตาสีดำสะท้อนใบหน้าของเขาให้เห็นอยู่ ชายหนุ่มไม่ตอบ แต่ขยับเข้าไปดึงไหล่ของพุดเข้ามาหา ยกแขนโอบกอดอีกฝ่ายไว้ ความรู้สึกนี้ราวกับว่าเปราะบาง เขากอดร่างผอมของอีกฝ่ายไว้ รับรู้ว่าเจ้าตัวกำลังกอดเขาเช่นกัน พุดก้มหน้าลงซุกกับบ่าของเขา ความอบอุ่นที่ไม่ได้รับจากใครมายาวนานสิ้นสุดลง

“...น้าภูไม่ต้องกังวลว่าจะรักผิดคน”อีกฝ่ายเอ่ยกับเขา ภูวรินทร์หลับตาแน่น เขาไม่ได้กังวลเรื่องนี้ ถ้อยคำที่ใส่ใจเขาเสมอจะเป็นใครไปได้ เรื่องเหนือธรรมชาติเกินกว่าที่เขาจะเข้าใจ หากอีกฝ่ายไม่คิดจะเอ่ยบอก เขาจะไม่ตั้งคำถาม

“ฉันรักไม่ผิดคนหรอก ขอแค่เป็นเธอก็พอ”เขาบอก รู้สึกได้ว่าร่างกายของพุดกำลังสั่นเทา ความเปียกชื้นไหลซึมอยู่ตรงบ่าของเขา ชายหนุ่มค่อยๆดึงร่างของอีกฝ่ายออก เด็กหนุ่มขยับมานั่งข้างๆเขาแทน สองตาแดงก่ำ ไม่มีเสียงสะอื้นให้ได้ยิน

“แต่ว่าน้าภูไม่ชอบผมเท่าไหร่นะ”อีกฝ่ายเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดตลก เขามองคนข้างกายอย่างพิจารณา หัวใจของเขายังเต้นแรงกับพุดอยู่ คงไม่หนีไปจากคำว่าชอบได้หรอก

“...ฉันว่าเธอดื้อนะ”หากมาวิเคราะห์จริงๆแล้ว นิสัยแบบนี้ยังก้ำกึ่งระหว่างอินทนิลและคุณแก้ว ไม่บอบบางและไม่แข็งกร้าวเกินไป คุณแก้วก่อนหน้านั้นไม่ได้เป็นคนอ่อนแอนัก ที่อ่อนแอคงเป็นร่างกาย ส่วนอินทนิลนั้น...เป็นเด็กจิตใจดี เหมาะสมกับชื่อพุด เป็นดอกไม้มงคลเช่นเดียวกับดอกแก้ว ดอกพุดขาวสะอาด เป็นตัวแทนของความบริสุทธิ์   

“เพราะว่าผมคือพุดไงครับ”อีกฝ่ายเอ่ยอย่างทะเล้น ดวงตาเป็นประกาย “ว่าแต่บ้านเสร็จหรือยังล่ะ”

“ใกล้แล้วครับ...ผมตั้งใจจะตั้งชื่อให้มันด้วย”พุดเอ่ยเสียงต่ำลง เขานึกถึงการ์ดใบนั้น มันบอกอะไรๆหลายอย่างโดยที่พุดไม่ต้องพูดออกมาเองด้วยซ้ำ

“อืม การ์ดที่เธอให้ฉันมาน่ะเหรอ”เขายิ้ม พุดพยักหน้า “รู้หรือเปล่าว่าทำไมถึงเป็นเรือนมาลา”

“...รู้สิ”ภูวรินทร์ตอบ เรือนมาลา เป็นของคุณแก้ว อินทนิลและพุด 

“ตอนนี้พุดจะอยู่เป็นเพื่อนน้าภูเอง ถ้าเกิดว่าเบื่อๆก็กลับมาอยู่บ้านได้นะครับ จะหลังไหนก็ไม่ว่าหรอก”พุดเอ่ยน้ำเสียงต่างจากเดิม มีความอบอุ่นอยู่ในเนื้อเสียงที่เปล่งออกมา ภูวรินทร์จึงยิ้ม เขาดึงพุดมากอดอีกครั้ง กอดนี้นานกว่าเดิม อีกฝ่ายแทนตัวเองว่าพุด ยิ่งย้ำให้เขารู้ตนรักไม่ผิดคน

“คราวนี้ก็อย่าจากฉันไปเร็วนักล่ะ”ภูวรินทร์พึมพำ พอคิดเรื่องนี้ก็เหมือนโดนทำร้ายซ้ำๆ

“หนนี้ไม่เหมือนก่อน...”คนในอ้อมกอดบอกเขาอย่างหนักแน่น เขาคิดว่าจิตของอินทนิลกับคุณแก้วคงไม่แยกจากกันอีกต่อไป “หลวงตายังให้พรผมเลยนะ”อีกฝ่ายบอก ทำให้เขาชะงักไป...พุดไปหาหลวงตามางั้นเหรอ เขาผละออกจากอีกฝ่ายมองคนตรงหน้าอย่างค้นหาอีกครั้ง ดวงตาสีดำเป็นประกายวิบวับ

“เธอไปหาหลวงตามาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”เขาถาม

“นานแล้วครับ เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ผมขอให้ท่านอวยพรให้”พุดเอ่ย ภูวรินทร์มองอยู่เงียบๆ เขาบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร

“หลวงตาว่าอย่างไรบ้าง”เขาถาม

“ท่านแค่ยินดีกับผมที่ได้ใช้ชีวิตอีกครั้ง ผมไม่ได้เชื่อผีสาง ผมเชื่อในธรรมของพระพุทธองค์ สิ่งที่เกิดขึ้นกับเราเป็นเรื่องของชะตากรรม ผมถึงได้ถามน้าภูไงครับว่าเชื่อในพรมลิขิตหรือไม่...แล้วน้าภูว่าพรมลิขิตมีจริงไหมครับ”พุดเอ่ยถาม ชายหนุ่มจึงยิ้มบางๆ ในใจลังเลอยู่บ้าง...เขาไม่เชื่อ

“ตอนนี้ฉันเชื่อ”เขาตอบ สบตากับพุด มองเห็นระลอกแห่งความสุขฉายชัดขึ้นเรื่อยๆ ภูวรินทร์ยังเสียดายอยู่เลยว่าหลวงตาไปออกธุดงค์ซะแล้ว คลาดไปแค่ไม่กี่วันเอง เขามองพุดอีกรอบ เด็กหนุ่มยิ้มสดใส

“บอกไปตั้งนานก็ไม่เชื่อ”คนพูดหัวเราะในลำคอ ก่อนจะดึงมือของเขาออกมา แล้วใช้นิ้วชี้ขีดเขียนลงไปช้าๆว่า ชายหนุ่มจับใจความได้ว่า ‘แก้ว’ เจ้าตัวถอนมือออก แล้วขีดลงไปใหม่ว่า ‘อิน’ แล้วเปลี่ยนมากุมมือเขาไว้แทน

เด็กหนุ่มเงยหน้ามองพร้อมรอยยิ้ม ภูวรินทร์เงียบไป มองนัยน์ตาสีดำที่จดจ้อง หัวใจเต้นถี่ขึ้น ไตร่ตรองแล้วว่าเขายินดีที่อีกฝ่ายกลับมา เขาแย้มยิ้มให้คนตรงหน้า จับมืออีกฝ่ายไว้ไม่ปล่อย คงไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้แล้วล่ะ...เรื่องราวทุกอย่างได้รับการคลี่คลาย พุดมีเหตุผลในการกระทำเหล่านั้น

ภูวรินทร์รำพึงในใจว่าเขาช่างมีกิเลสในใจมากมายเหลือเกิน

 
+++++++++++


เรื่องเป็นมายังไง ตอนสุดท้ายคงเฉลย เราค่อนข้างลังเลกับตอนจบเหมือนกันนะ แต่เราเลือกแล้วล่ะ   o22
หนำซ้ำเรื่องนี้ไม่มีน้ำตาลเลย  ไม่แน่ถ้าขยันอาจมีตอนพิเศษสักตอน(ยังไม่คอนเฟิร์มน้า)

ขอบคุณสำหรับการติดตามเช่นเคยค่ะ

หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ : ตอนที่ ๑๙ l ๒๓.๐๒.๖๑ หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 23-02-2018 12:14:55
ดีใจ อย่างน้อยก็ได้กลับมาหากัน ขอมอบเพลงนี้ให้เลย

"เหมือนสายลมที่พัดคืนย้อนมา ให้ความอบอุ่นกับใจฉัน
เหมือนเสียงเพลงแห่งคืนที่เงียบงัน เริ่มดังกังวานอีกครั้งหนึ่ง

ไม่นึกจริงๆ ว่าฝันที่เคยหลุดลอยลับตา จะกลับคืนมาที่เดิม

การรอคอยที่นานแสนนาน ได้สิ้นสุดลงแล้ว เมื่อเธอกลับมาตรงนี้
ความในใจมากมายที่มี ยากจะบอกให้รู้ด้วยคำๆไหน (ขอบใจที่เธอกลับมา)

เหมือนแสงจันทร์แห่งคืนที่มืดมน ช่วยนำทางคนที่อ่อนล้า
แม้ต้องมองหน้าเธอด้วยน้ำตา ก็เต็มใจมองอย่างตื้นตัน

การรอคอยที่นานแสนนาน ได้สิ้นสุดลงแล้ว เมื่อเธอกลับมาตรงนี้
ความในใจมากมายที่มี ยากจะบอกให้รู้ด้วยคำๆไหน (ขอบใจที่เธอกลับมา)

ไม่นึกจริงๆ ว่ารักที่เคยจากไปลับตา จะกลับคืนมาที่ใจ

การรอคอยที่นานแสนนาน ได้สิ้นสุดลงแล้ว เมื่อเธอกลับมาตรงนี้
ความในใจมากมายที่มี ยากจะบอกให้รู้ด้วยคำๆไหน (ขอบใจที่เธอกลับมา)

การรอคอยที่นานแสนนาน ได้สิ้นสุดลงแล้ว เมื่อเธอกลับมาตรงนี้
ความในใจมากมายที่มี ยากจะบอกให้รู้ด้วยคำๆไหน (ขอบใจที่เธอกลับมา)"
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ : ตอนที่ ๑๙ l ๒๓.๐๒.๖๑ หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 23-02-2018 12:21:07
 :pig4: :pig4: :pig4: ดีงามมากค่ะเนื้อเรื่องสนุกมีให้หน่วงมีให้ลุ้นมีทุกรสเลยค่ะรออ่านตอนต่อไปนะค่ะ
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ : ตอนที่ ๑๙ l ๒๓.๐๒.๖๑ หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: ANIKI. ที่ 23-02-2018 13:17:39
โอ้โห... ตอนแรกนึกว่าแก้วคนเดียวที่ได้กลับมา ... เป็นอินนี่เอง
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ : ตอนที่ ๑๙ l ๒๓.๐๒.๖๑ หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 23-02-2018 14:37:17
เราตีความหมายของตอนนี้ไม่แตกง่ะ งื้ออออออออ
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + ... อัพ : ตอนที่ ๑๗ l ๒๑.๐๒.๖๑ หน้า ๖
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 23-02-2018 14:41:25
 :o12: สงสารอินน์ สงสารคุณแก้ว  :sad12:

ขอให้พุดกับคุณภูวรินทร์ได้สมหวังกันสักทีเถอะนะ  :m15:
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ : ตอนที่ ๑๙ l ๒๓.๐๒.๖๑ หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 23-02-2018 22:59:28
โห ได้อีกอะ
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ : ตอนที่ ๑๙ l ๒๓.๐๒.๖๑ หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 24-02-2018 00:01:09
ตอนแรกหวังไว้ว่าคงมีแค่อินท์ที่กลับมาเพราะคุณแก้วคงไปสู่สุคติแล้ว แต่กลายเป็นว่ากลับมาทั้งสองเพราะดวงจิตของทั้งคู่เหมือนยึดติดกันแล้ว ดีใจที่นักเขียนไม่ใจร้ายกับเราแล้ว แต่กฌยังมีจุดที่งงๆก็คือทำไมถึงกลับมาได้ ฮ่าๆ ถามเหมือนคุณภูเลยเพราะช่วงที่พุดจมน้ำมันก็ช่วงเดียวกับที่อินท์ด้วยพิษเมื่อตอนเด็กไม่ใช่เหรอก็ไม่น่าจะเอาจิตไปเข้าร่างพุดได้นะ หรือเราเข้าใจผิดเวลาคลาดเคลื่อนเหรอ แล้วก็งงๆตอนที่พุดบอกเรื่องตอนที่จมน้ำด้วย กลับมาเพราะมีคนช่วยแต่กลับมาก็ไม่ใช่พุดอีก แล้วไหนจะทางเลือกที่พุดบอกด้วย รบกวนช่วยอธิบายเราหน่อยนะคะ
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ : ตอนที่ ๒๐ l The End l ๒๔.๐๒.๖๑ หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 24-02-2018 21:10:35
ตอนที่ ๒๐ (ตอนจบ)
   
ภูวรินทร์กับพุดไม่ทันได้แยกจากกัน นิรุทก็เดินออกมาพอดี อีกฝ่ายมีสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนก่อนจะหันไปมองพุดที่ยืนขึ้นด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม

“คุณณรงค์กับป้านงลักษณ์อยากคุยเธอ”นิรุทเอ่ยบอก ภูวรินทร์พยักหน้ารับรู้ก่อนจะเดินไปตามริมสระน้ำแล้วเดินเข้าไปทางประตูที่เปิดไว้ พุดเดินตามหลังมาแค่ส่งยิ้มให้นิรุท อีกฝ่ายมีทีท่าอ้ำอึ้ง เขาได้แต่ทำเป็นไม่ใส่ใจ เมื่อกลับเข้ามาในห้องจัดเลี้ยง ที่โต๊ะตัวยาวตอนนี้คุณปู่ณรงค์กับย่านงลักษณ์นั่งอยู่ คนอื่นๆบ้างก็จับคู่คุยยืนจิบเครื่องดื่ม สายตาจับจ้องมาที่เขาอย่าอึดอัด ชายหนุ่มปั้นหน้ายิ้มให้ผู้ใหญ่ทั้งสอง ทั้งสองคนบอกให้เขานั่งที่เก้าอี้อีกตัว ส่วนพุดนั่งลงข้างเขา “ว่าแต่เราเถอะ หายหน้าหายตาไปเลย ไปอยู่กับภูวรินทร์ก็ไม่บอกอั๊ว”คุณปู่ณรงค์เอ่ยกับพุด เจ้าตัวแค่ยิ้มเจื่อนๆ

“นึกว่าแม่จะบอกปู่กับย่าทวดซะอีกครับ”

“หึ คุยกับอั๊วที่ไหน....อ้อ นี่คงรู้จักกันแล้วล่ะสิ พุดมันไปทำให้ลื้อลำบากหรือเปล่า”ชายชราเอ่ยถามกับเขา ภูวรินทร์จึงส่ายหน้า “เปล่าเลยครับ”

“อืม ภูหน้าตาอย่างกับหมื่นนรินทร์จริงๆเลยนะ ขนาดเห็นรูปมาก่อนแล้ว ฉันยังตกใจเลยนะ...เธอสบายดีแล้วใช่ไหม”คุณย่านงลักษณ์เอ่ยเสียงแหบแห้ง แววตาดูหม่นเศร้าลง เธอยื่นมือมาจับมือเขาไว้แน่น ชายหนุ่มรู้สึกอุ่นใจที่มีคนเป็นห่วง เขาไม่รู้ว่าคนตระกูลนี้ทราบเรื่องของเขามากน้อยแค่ไหน คุณปู่จ้องเขาไม่กระพริบ

“...ผมสบายดีครับ...”
   
“ฉันยังจำที่พ่อแม่เล่าเรื่องของท่านหมื่นให้ฟัง...เรื่องของปู่น้อยน่ะ”คุณย่าเอ่ย กำลังพูดถึงคุณแก้วงั้นเหรอ เขาหันไปมองพุด เจ้าตัวแค่จ้องมองเขานิ่งๆ ริมฝีปากคล้ายยิ้มไม่ยิ้ม ชายหนุ่มหันกลับไปมองคุณปู่และคุณย่า

“อืม ที่ไม่ยอมให้ลูกหลานกลับเข้าไปอยู่ในบ้านน่ะ บ้านหลังนั้น...เฮ้อ ก็ใช่ว่าจะมีเรื่องราวที่ดีนัก ตอนที่ไอ้ภัทรเสีย อั๊วตกใจมากนะ รถตกเขาเฉยเลย ไม่นับที่เมียมันตายหลังคลอดเจ้านิรุทออกมา... ก็คิดแล้วว่าบ้านหลังนั้นคงไม่เหมาะที่คนตระกูลนี้จะอยู่ หมายถึงเหล่าก่อของท่านหมื่นน่ะ”คุณปู่พึมพำเสียงข่มขื่นเมื่อเอ่ยถึงญาติฝ่ายน้องเช่นคุณภัทร เขาคิดว่าคนเก่าแก่เคยพบเจอกันบ้าง

“แต่เธออยู่ได้ ฉันแปลกใจจริงๆ แต่พอเห็นหน้าเข้า ก็ไม่มีอะไรกังขาอีก...”

“คุณปู่ คุณย่าต้องการพูดอะไรกันแน่ครับ”เขาถาม ไม่คิดว่าสองท่านนี้จะเรียกเขามาเพื่อย้ำอดีตครั้งเก่าก่อน

“มีคนเล่าลือว่าเธอคือท่านหมื่น... แล้วก็เรื่องลูกของธิชา... ฉันรู้มาหลายปีแล้วว่าเกิดเรื่องแปลกๆขึ้นอีก...”คุณย่าเอ่ย จ้องมองเขาในแววตามีความหวั่นใจอยู่ไม่น้อย เขามองไปที่คุณปู่ อีกฝ่ายมีท่าทีเฉยชาขึ้นมา

“จะจริงหรือไม่จริง ผมก็คือภูวรินทร์ ลูกชายของคุณนิรุท”ภูวรินทร์เอ่ย

“อั๊วไม่ได้ว่าอะไรลื้อนะ แต่อั๊วไม่อยากให้พวกเด็กๆเจอเรื่องร้ายๆ”คุณปู่เอ่ย เหลือบมองไปที่พุด เขาขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจผู้ใหญ่ทั้งสองท่าน

“หมายความว่ายังไงครับ”

“อินทนิลมันตายไปแล้วไม่ใช่หรือ... หวังว่าลื้อจะไม่เข้ามาข้องเกี่ยวกับอาพุดให้มีเรื่องไม่ดีตามมา บ้านหลังนั้นอย่ากลับไปอีกเลย”คุณปู่เอ่ยน้ำเสียงห้วนขึ้นมา ภูวรินทร์ตกใจที่ได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนี้ เขามองหน้าคุณย่าท่านแค่มองเขาด้วยความกังวล พุดขบฟันแน่น

“ทวดรู้เรื่องอะไรบ้างหรือเปล่า ถึงได้พูดแบบนี้ออกมา”เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่เคารพนับถือผู้ใหญ่ เขาดึงแขนอีกฝ่ายไว้ คุณปู่คุณย่ามองหน้ากันทันที

“ลื้อทำตัวก้าวร้าวอีกแล้ว ธิชามันเลี้ยงลูกยังไงกัน รู้แบบนี้อั๊วเลี้ยงเองดีกว่า”

“ผมไม่—”พุดทำท่าจะสวนกลับ แต่ชายหนุ่มรีบพูดแทรกเพราะพุดดูอารมณ์รุนแรงมากกว่าทุกที

“ผมไม่ได้ทำเรื่องไม่ดีอะไรครับ ส่วนเรื่องบ้าน ผมตั้งใจเอาไว้ตั้งนานแล้วครับว่าจะกลับไปอยู่”ภูวรินทร์เอ่ยอย่างใจเย็น พุดหันมองเขาด้วยแววตายินดีอย่างไม่ปิดบัง ทั้งสองท่านเงียบไป

“เพราะอาพุดไปอยู่ที่เรือนหลังนั้นน่ะเหรอ”คุณปู่เอ่ย เขาส่ายหน้า

“...ไม่เกี่ยวกันหรอกครับ ผมก็แค่อยากได้ที่พักพิง”

“บ้านหลังนั้นน่ะเหรอ บ้านที่มีแต่คนตาย”คุณย่าเอ่ยเสียงแหบแห้ง ชายหนุ่มอดกลั้นความหงุดหงิด พุดนั่งมองผู้ใหญ่ทั้งสามคนอย่างไม่กริ่งเกรง

“ใช่ครับ แต่มันก็ไม่ได้เลวร้ายไปทั้งหมดหรอก... คุณปู่คุณย่าไม่ได้ห่วงเรื่องบ้าน แต่ห่วงเรื่องพุดมากกว่าใช่ไหมครับ”เขาเอ่ยไปตรงๆ ไม่รู้ว่าท่านสองคนจะรู้เรื่องของเขา บางทีอาจเป็นป้าธิชาที่บอกเรื่องของเขากับอินทนิล เธอคงกลัวว่าเขาจะชอบลูกชายของเธอ มิน่าล่ะ เธอดูกังวลใจมากเมื่อเห็นเขามีท่าทีสนใจพุด

“ใช่...สงสัยตั้งแต่ที่ลื้อเอาแต่อยากได้เรือนเก่าๆหลังนั้นแล้ว...อั๊วไม่ยอมให้คนในเหล่าก่อของตัวเองไปข้องแวะกับพวกท่านหมื่นหรอก”คุณปู่เอ่ยเสียงดังขึ้น ภายในห้องเหมือนจะเงียบกริบลงทันที ภูวรินทร์เงียบ ในใจรู้สึกโกรธ เขาหันมองนิรุทด้วยความไม่พอใจ เขาอุตส่าห์มาที่นี่เพื่อหวังว่าคนตระกูลนี้จะญาติดีต่อกัน แต่การเอ่ยเช่นนี้ก็เท่ากับไม่ต้องการเกี่ยวข้องกันอีก อย่างกับว่าเขาต้องการนัก

“ถ้าเช่นนั้น ผมขอตัวกลับก่อนดีกว่า ขอบคุณที่ให้เกียรติผมมาทานอาหารครับ ลาล่ะครับ”ภูวรินทร์เอ่ยเรียบๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน ยกมือไหว้อีกฝ่ายตามมารยาท ทั้งสองท่านมองเขาด้วยท่าทีตกใจ เขาไม่รับปากอะไรทั้งนั้น

“ลื้อก็รู้ดีแก่ใจว่าเรื่องมันยุ่งเพราะ พวกลื้อเอาแต่ได้ มายุ่งกับญาติพี่น้องตัวเอง ผิดปกติกันไปหมด”คุณปู่เอ่ยเสียงดังด้วยความโมโห ผุดลุกจากเก้าอี้ มืออีกข้างมีไม้เท้าพยุงตัวไว้ นิรุทเดินมาหาเขาทันทีก่อนจะกระซิบ “อย่าไปตอบโต้”เขามองหน้าอีกฝ่ายนิ่งๆ ความโกรธลาดแล่นไปสรรพางค์กาย พุดค่อยๆลุกยืนถอยห่างจากญาติผู้ใหญ่ด้วยท่าทีเยือกเย็น

“ผมขอโทษครับหากว่าทำให้พวกคุณไม่พอใจ แต่เรื่องเก่าๆผมไม่เก็บเอามาทะเลาะกันคงจะดีกว่า...ลาล่ะครับ”ภูวรินทร์เอ่ยอย่างนอบน้อม เขาส่งสายตาเรียบเฉยให้คนพวกนี้ นิรุทก้มศีรษะให้พวกผู้ใหญ่ พุดกุมมือเข้าหากันอย่างกระวนกระวายใจ เด็กหนุ่มเดินตามเขาออกมา แต่มีเสียงฉุดรั้งไว้

“แม่ลื้อกำลังตามกลับมา ไม่ต้องกลับไปที่เรือนหลังนั้นแล้ว”เหมือนเป็นประกาศิตที่ออกมาจากแม่ทัพ ทั้งห้องเงียบกริบ ชายหนุ่มหยุดชะงักไป หากมาคิดทบทวนเรื่องที่คุณปู่ท่านนี้เอ่ย มันก็จริง เขามายุ่งวุ่นวายกับญาติพี่น้องของตัวเอง ไม่ใช่คนไกลตัวอีกด้วย แต่เรื่องของเขากับพุดมันไม่ได้ตื้นเขิน เพียงน้าหลาน คนอื่นไม่ล่วงรู้ความสัมพันธ์ ป้าธิชาก่อปัญหาให้เขา

“ทวดอนุญาตผมแล้วไม่ใช่เหรอครับ คืนคำได้ยังไงกัน ผมจะกลับกับน้าภู ปู่ทวดย่าทวดอย่าเป็นห่วงเลยครับ เรื่องน่ากลัวๆผมไม่กลัวหรอก ผมชอบเรื่องลี้ลับนะ”พุดเอ่ยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ เจ้าตัวหันมาส่งยิ้มให้เขาหน้าตาเฉย ชายหนุ่มไม่รู้เจตนาของพุดเลยว่าจะไปยั่วยุให้ญาติผู้ใหญ่โกรธเคืองไปทำไม ภายในห้องเหมือนมีเสียงซุบซิบเหมือนผึ้ง

“พุด พูดแบบนี้ได้ยังไง...”คุณพิชัยรีบพูดขึ้นมา ก่อนจะสาวเท้าเดินมาหาลูกเลี้ยง นิรุทมองเขาอย่างฉงน

“มันเกิดอะไรขึ้นกัน”อีกฝ่ายงุนงง เขาถอนหายใจ คิดว่าเรื่องคงไม่ง่ายดายนัก พวกผู้ใหญ่คงตกใจที่พุดเข้ามาเกี่ยวข้องกับเขา เพราะคนอื่นๆรู้แค่ว่าพุดไม่เคยเจอกับเขามาก่อน แต่เพียงแค่เจ้าตัวกลับไปที่บ้านภิรมย์สุขไม่ถึงเดือน ก็มีท่าทีกระด้างกระเดื่อง ซ้ำยังจะเอนเอียงมาหาเขา จึงเป็นเหตุให้พวกเขาไม่เข้าใจ

“ผมว่าค่อยๆคุยกันดีกว่าครับ...ผมไม่อยากให้พวกเราต้องแตกคอกันอีก”นิรุทเอ่ยขึ้นเพื่อให้สถานการณ์ไม่บานปลาย แต่ไม่มีประโยชน์ “ตระกูลของเราไม่แตกคอกัน มีแต่ฝั่งของลื้อที่เข้ามาทำความเดือดร้อนให้”

ภูวรินทร์ทำอะไรไม่ถูก เขาไม่คิดว่างานรวมตระกูลจะออกมาหน้านี้ หรือนี่จะเป็นความตั้งใจของคุณปู่คุณย่า เพื่อไม่ให้เขามีสิทธิ์เข้าใกล้พุดงั้นเหรอ เพราะเรื่องที่เขารักอินทนิล และเด็กหนุ่มก็ตายไป เป็นเหตุให้คนพวกนี้กลัว ไม่มีประโยชน์เลยจริงๆ ต่อให้ไม่มีคำสาปแช่งของตระกูล คนพวกนี้ไม่มีทางปรองดองกับเขาได้ เรื่องราวทุกอย่างมันวนกลับมาที่เดิม ปัญหาที่เริ่มจากความเป็นน้าหลาน และบ้านหลังนั้น

ไม่มีทางที่เขาจะอยู่เฉย เขาได้พุดกลับมาแทน หากต้องสูญเสียไปอีก เขายอมไม่ได้หรอก เจ็ดปีที่ผ่านมาเขาใช้ชีวิตของตัวเอง เขาต้องเสียอะไรไปมากเพื่อหยุดคำแช่งบ้าๆพวกนั้น จากเหตุที่ภูวรินทร์คนนี้ไม่ได้ก่อ...เป็นเรื่องของท่านหมื่น ไม่ว่าจะกี่ปี ชื่อนี้ก็ทำให้เขามีแต่ทุกข์ใจ

“...ผมขอโทษครับ”นิรุทดึงแขนเขาให้กลับ ชายหนุ่มหันมองพุด อีกฝ่ายยิ้ม สีหน้าไม่เดือดเนื้อร้อนใจ พยักหน้าให้เขา “เดี๋ยวไปหาครับ”เด็กหนุ่มอ้าปากพูดแบบไร้เสียง ภูวรินทร์จึงหันหลังเดินออกไปจากห้องจัดเลี้ยง พอพ้นเขตบ้านเขาพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ

“มันเกิดอะไรขึ้น...อย่าบอกนะว่าเธอกับพุด...”

“ถ้าผมบอกว่าใช่ แล้วคุณจะมีปัญหากับผมหรือเปล่า”เขาถามอีกฝ่าย นิรุทมองหน้าเขาอยู่นาน แววตาเลื่อนไปทั่วใบหน้าของเขา

“มันคงจะเป็นชะตาของเธอนะ ที่ต้องมารักกับหลานของตัวเอง”อีกฝ่ายพึมพำ เขาไม่พร้อมที่จะเล่าความจริงของพุด ให้อีกฝ่ายเข้าไปแบบนี้ก็ดีแล้ว

“...คงจะเป็นแบบนั้น ผมไม่คิดว่าจะเป็นพุดด้วยซ้ำ”ภูวรินทร์เอ่ยเบาๆ นึกด่าทอโชคชะตา นิรุทไปส่งเขาที่บ้าน ระหว่างที่ขับรถ อีกฝ่ายเหมือนขบคิดเรื่องใดอยู่

“รู้ไหม ฉันคิดอะไรอยู่”

“ไมรู้สิครับ”

“ฉันกำลังคิดเรื่องของทวดน้อย”

“บางทีท่านหมื่นกับทวดน้อยคงเป็นคู่กัน กว่าจะเจอกันก็ผ่านมาเกือบเจ็ดสิบปี ทวดไม่ได้ไปเกิด เหมือนรอเธอมาเกิดเป็นภูวรินทร์”

“หากเป็นคู่กันจริง แล้วตอนนี้ล่ะ”ภูวรินทร์หันไปถามอีกฝ่าย นิรุทขมวดคิ้ว ไตร่ตรองอยู่นาน เจ้าตัวหัวเราะเบาๆ

“นั่นสินะ ถ้าเป็นคู่แท้ก็คงกลับมาเจอกันอีก”นิรุทพึมพำก่อนจะชะงักไป อีกฝ่ายเหลือบมองเขาแต่ไม่ได้พูดอะไร บางทีนิรุทอาจคิดอะไรขึ้นมาได้ เขาแค่หลับตาลง คนพวกนั้นไม่รู้จักแยกแยะอดีต ปัจจุบันเอาซะเลย ‘พวกเอาแต่ได้’งั้นเหรอ เขาดูเป็นเช่นนั้นหรือไงกัน ใช่หรือเปล่านะ?

ชายหนุ่มกลับมาถึงบ้านก็ผ่านเวลาไปเกือบสี่ทุ่ม นิรุทมองเขาอย่างเป็นห่วง “มีอะไรก็โทรหานะ...ฉันจะช่วยเธอเอง”อีกฝ่ายบอกอย่างหนักแน่น เขายิ้ม

“แม้จะเป็นเรื่องผิดๆน่ะเหรอครับ”ชายหนุ่มถาม นิรุทเลิกคิ้วสูง แล้วหัวเราะในลำคอ “คิดว่าฉันไม่เคยทำเรื่องผิดๆหรือไงกัน...สงสัยว่าเชื้อท่านหมื่นจะแรงอย่างที่พวกเขาว่า”เจ้าตัวเอ่ยอย่างขบขัน ชายหนุ่มผุดยิ้ม ใช่ มันก็จริงทั้งนั้น

“เดินทางปลอดภัยครับ หากมีปัญหา ผมจะโทรไป”เขาบอกนิรุท ก่อนที่รถยนต์จะเคลื่อนตัวออกจากหน้าบ้านไปช้าๆ

ภูวรินทร์กลับเข้ามาในบ้าน พ่อกับแม่อยู่แยกบ้านกัน เพราะบ้านหลังนี้อยู่ห่างจากบริษัท จึงเป็นข้ออ้างในการที่จะแยกกันอยู่ ภายในบ้านเงียบกริบ แม่บ้านคงเข้านอนไปกันหมด แม่ก็คงหลับไปแล้ว ชายหนุ่มเดินไปยังชั้นสอง เข้าไปอาบน้ำที่ห้องนอนของตนเอง พลางคิดถึงพุดต่อ อีกฝ่ายจะจัดการปัญหาอย่างไร แต่เห็นท่าทีที่ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ เขาคิดว่าคงไม่เป็นปัญหา การแตกหักของคนในตระกูลก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกนัก เขาแทบไม่ข้องเกี่ยวกันอยู่แล้ว

พอออกมาจากห้องน้ำ ชายหนุ่มสวมชุดนอน เดินไปหยิบโทรศัพท์ออกมาเช็คแก้เบื่อ ชายหนุ่มนึกถึงใบหน้าพุดอีกครั้ง
ภูวรินทร์เปิดโคมไฟเอาไว้ระหว่างที่นอนหลับ เขากระสับกระส่ายยังคงพระวงกับเรื่องของพุดอยู่ เขาพลิกตัวกับมานอนหงาย นอนมองห้องนอนภายใต้แสงสีนวลตา บ้านหลังนี้ต่างจากที่บ้านภิรมย์สุขทั้งในแง่ของบรรยากาศและสไตล์ของบ้าน ส่วนใหญ่บ้านจัดสรรก็สร้างสไตล์โมเดิร์น ห้องนอนของเขาจึงเป็นสีขาวซะส่วนใหญ่ เครื่องใช้ในห้องถูกจัดเป็นสัดส่วน

ระหว่างนั้นมีข้อความเด้งขึ้นมาที่หน้าจอ เป็นเบอร์แปลก

‘ผมอยู่ด้านล่างครับ ออกมาหาหน่อย’ ชายหนุ่มมองข้อความอย่างตกใจ เขาคิดว่าเป็นพุด เหลือบมองนาฬิกาตอนนี้ก็เกือบจะเที่ยงคืนแล้ว ภูวรินทร์ลงจากเตียงก่อนจะลุกไปที่หน้าต่างมองไปที่หน้าบ้าน แสงไฟข้างถนนสาดส่องให้เห็นร่างของเด็กหนุ่มยืนอยู่ที่หน้าประตูบ้านของเขา ชายหนุ่มรีบออกจากห้องลงไปหาพุด อีกฝ่ายน่าจะบอกเขาให้เร็วกว่านี้หากคิดจะมาหากัน เมื่อเดินมาถึงชั้นล่าง เขาเปิดไฟที่ห้องโถง ก่อนจะเดินไปเลื่อนประตูกระจกแล้วเดินออกไปที่หน้ารั้ว มองเห็นพุดในเสื้อตัวเดิม สะพายกระเป๋าไว้ด้านหลัง อีกฝ่ายยิ้มทันทีที่เห็นเขา

“มาได้ยังไงกัน น่าจะบอกกันก่อนนะ”ภูวรินทร์เอ่ยถามเสียงดุ เลื่อนประตูบ้านออกให้พุดเข้ามาด้านใน เด้กหนุ่มแค่ยิ้มก่อนจะเหลียวมองไปรอบบ้าน เขาล็อกประตูแล้วเดินนำอีกฝ่ายเข้าบ้าน

“กินอะไรมาหรือยังล่ะ”เขาถาม พุดพยักหน้า “เรียบร้อยแล้วครับ”

“ที่บ้านไม่ว่าหรือไง”ชายหนุ่มหันไปถามเด็กหนุ่มที่เดินตามหลังมา เจ้าตัวมีสีหน้าเฉยชาทันทีที่เขาเอ่ยถึงคนบ้านนั้น “ไม่หรอกครับ เขาจะมาก้าวก่ายอะไรชีวิตของผม”

ฟังพุดตอบแล้วรู้สึกไม่สบายใจนัก ชายหนุ่มพาพุดขึ้นไปยังห้องนอนอย่างเงียบเชียบเพราะไม่อยากปลุกใครให้ตื่น เด็กหนุ่มหันซ้ายหันขวามองไปรอบบ้าน เขาเปิดประตูให้พุดเดินเข้าไป ชายหนุ่มเดินตามเข้าไปแล้วปิดประตูตามหลัง เอื้อมไปเปิดไฟในห้องให้สว่างวาบ พุดเดินเอากระเป๋าไปวางไว้ที่เก้าอี้หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ

“ไปอาบน้ำก่อน แล้วค่อยมาอธิบาย”ภูวรินทร์บอกเรียบๆ เห็นพุดทำหน้าสลดก่อนจะยอมทำตามที่เขาบอกอย่างว่าง่าย ชายหนุ่มยื่นผ้าเช็ดตัวไปให้ “มีเสื้อผ้าหรือเปล่า”

“มีครับ เตรียมมาครบ”พุดเอ่ยยิ้มๆ ก่อนจะเปิดกระเป๋าหยิบเอาเสื้อผ้าออกมาจนครบ แล้วเดินตัวลีบเข้าห้องน้ำไปเงียบๆ ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอก จะไปว่าพุดก็ไม่ได้อีกฝ่ายโตแล้ว รับผิดชอบตัวเองได้ เขาเพียงแค่เป็นห่วงมากเกินไป นึกว่าอีกฝ่ายยังเป็นเด็กอายุสิบห้าปีไม่เปลี่ยนแปลง เขาส่ายหน้าได้ยินเสียงน้ำไหลอยู่เนืองๆ ชายหนุ่มเห็นว่าในกระเป๋าสะพายของพุดยังมีสมุดสเก็ตซ์สีดำเล่มใหญ่กว่าเอสี่

เขาเดินไปหยิบออกมาดูอย่างเสียมารยาท มีกล่องสีอุปกรณ์การเขียนภาพอยู่ในกระเป๋า เขาเปิดสมุดภาพออกมา ภาพที่เห็นเป็นลายเส้นดินสอธรรมดา เป็นภาพบ้านภิรมย์สุขแบบลวกๆไม่ลงรายละเอียด ดูจากลายเส้นแล้วนี่อาจเป็นภาพแรกๆที่อีกฝ่ายยังไม่ได้เริ่มเรียนจริงจัง ภาพถัดมาเป็นรูปบ่อน้ำพุ ภาพต้นแก้ว และภาพของหมื่นนรินทร์ เพราะสวมเสื้อสูทกับนุ่งโจงกระเบน  ภาพหลังๆเริ่มมีสี แต่เป็นสีช็อกสีเทียนเหมือนเด็กวาดมากกว่า ภูวรินทร์ชาวาบ เมื่อเห็นภาพสีฉูดฉาดสีดำสีแดง เป็นภาพของเด็กผู้ชายนอนอยู่บนเตียง พื้นหลังดูยุ่งเหยิง ลายเส้นไม่สม่ำเสมอเหมือนวาดจากอารมณ์ที่ไม่ปกติ ภาพต่อมา เป็นสีน้ำเงินสีดำ เหมือนเป็นห้วงน้ำลึก ภูวรินทร์รู้ได้ทันทีว่าเป็นภาพตอนที่พุดจมน้ำ ใจเริ่มสั่นคลอนด้วยความสงสาร กลายเป็นเจ็บปวดเมื่อเห็นภาพต่อมาคือเงาร่างดำทะมึนเหมือนคนนั่งคุดคู้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ยุ่งเหยิง พอจ้องมองดีๆแล้วมันเป็นเงาร่างสะโหลสะเหลที่รายล้อมเงาดำนั้นดูไม่น่ามองนัก

หรือนี่คือ ‘ทางเลือก’ที่พุดเอ่ยถึง มันหมายถึงการเริ่มต้นชีวิตใหม่และการเป็นเดรัจฉานงั้นเหรอ เขาใจเต้นระส่ำ รู้สึกหดหู่ขึ้นมา เขาไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น

ภาพต่อมาทำให้เขาโหวงเหวงในใจขึ้นมาทุกที รูปของเด็กหนุ่มคนนึงกำลังอุ้มทารกที่นอนอยู่ในอ้อมอก ยืนมองต้นแก้ว มันทำให้เขานึกถึงเรื่องราวเก่าๆอีกครั้งก็ยิ่งคิดถึงคนๆนั้น ภาพต่อมาเป็นภาพของเด็กชายนั่งยองๆเก็บต้นไม้ใบหญ้า แต่ที่เด่นชัดคือกำไลข้อเท้าสีทองอันนั้นต่างหาก อินทนิล...เด็กคนนี้คงไม่มีอีกแล้ว แม้คนที่กลับมาจะเป็นเด็กคนนี้ก็ตาม แต่อินทนิลคนนั้นได้ตายไปแล้วจริงๆ เขาจะเป็นคนใจร้ายหรือไม่ หากอยากถวิลหาเด็กหนุ่มคนนั้นอยู่ ไม่ยุติธรรมเลยสินะ พุดกลับมาหาเขาแล้ว ผ่านความหวาดกลัว ช่วงเวลาความเป็นความตายที่เขาไม่เคยได้สัมผัส แต่กว่าที่จะกลายมาเป็นพุด เด็กหนุ่มคนนี้เผชิญหน้ากับความตายมาแล้วสามครั้ง เทียบกันแล้วภูวรินทร์แค่รอเพียงเจ็ดปียังน้อยเกินไปด้วยซ้ำ เขามันเอาแต่ได้จริงๆนั่นแหละ ชายหนุ่มยิ้มเศร้า ขับไล่น้ำตาที่กำลังจะไหลออกมา เขาอ่อนแอขนาดนี้เชียวหรือ

ภูวรินทร์มองรูปอยู่นานจนรู้สึกว่าเจ้าของภาพออกมาจากหองน้ำแล้ว เขาเก็บสมุดเขากระเป๋าดังเดิม เห็นว่าพุดสวมเสื้อผ้าออกมาแล้ว ใบหน้าว่างเปล่ามองเขาอยู่นาน อีกฝ่ายมองเขา

“...ขอโทษนะที่เปิดดูโดยไม่ได้รับอนุญาต”เขาบอก รู้สึกละอายใจที่ก่อนหน้านั้นเขาเคยตำหนิพุดเรื่องการหยิบของในบ้านโดยพละการ ชายหนุ่มไม่ได้มองพุด แต่ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้าหา จากนั้นสัมผัสอุ่นของอ้อมกอดก็ถ้าโถมเข้าใส่ เขาหันมองเด็กหนุ่มที่กำลังกอดเขาเต็มสองแขน

“อย่าเศร้าสิ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอดีตไปแล้วครับ”พุดเอ่ยเสียงแผ่วเบา ในน้ำเสียงยังมีร่องรอยของความหวาดหวั่นอยู่ ชายหนุ่มเปลี่ยนมากอดเด็กหนุ่มแทน ร่างผอมในอ้อมกอดนี้เข้มแข็งกว่าที่เขาคิด

“แต่เธอเก็บเอาไว้”เขาพึมพำ เด็กหนุ่มตบหลังเขาเบาๆ “อืม ช่างเถอะครับ ที่จริงรูปพวกนี้แม่ผมเห็นหมดแล้ว”

“จริงเหรอ”เขาดึงคนในอ้อมกอดออก เด็กหนุ่มพยักหน้า เขารู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาอีกครั้ง แต่พุดกลับยิ้ม

“เพราะแบบนี้แม่เลยจับผมไปหาหมอน่ะ จริงๆแล้วเรื่องเดินละเมอก็ด้วย หมอคิดว่าผมเข้าข่ายอาการจิตเวชนิดๆ แต่ผมรู้ว่ามันมาจากอดีตของตัวเอง...มันทำให้ผมฝันร้ายบ่อยๆ”พุดเอ่ยเบาๆ แววตาพลันหม่นลง ภูวรินทร์จับไหล่ของอีกฝ่ายไว้ รู้สึกเป็นห่วงเด็กหนุ่มมากจริงๆ ยิ่งได้มาฟังเรื่องราวเก่าๆของพุดแล้วเขาก็ยิ่งหวั่นในใจ

“ฝันร้ายมากเลยเหรอ”

“เป็นความทรงจำมากกว่า เรื่องเก่าๆ”พุดเอ่ย จดจ้องเขาไปด้วย เขารู้ดีว่าความทรงจำที่ว่าคงเป็นเรื่องของแก้วและอินทนิล มันคงทำให้อีกฝ่ายทุกข์ใจเพราะมันเคยเกิดขึ้นจริงมาก่อน อารมณ์ ความรู้สึกจากจิตใต้สำนึกคงรับรู้สัมผัสความทรงจำผ่านความฝันได้อย่างชัดเจน ยิ่งทำให้ภูวรินทร์เป็นห่วงเหลือเกิน

“เธอจะไม่เป็นอะไรนะ”ชายหนุ่มถามด้วยใจไม่มั่นคง พุดพยักหน้าแววตานิ่งเฉย “ครับ...ต้องเชื่อผมสิ”

“แล้วเรื่องที่บ้านล่ะว่ายังไงบ้าง”เขาถาม ก่อนจะพาเด็กหนุ่มไปคุยที่เตียง พุดเดินไปนั่งบนเตียงก่อนจะล้มตัวนอน ชายหนุ่มเข้าไปนั่งบนเตียง มองเด็กหนุ่มอย่างรอคำตอบ

“พวกผู้ใหญ่แค่กังวลเรื่องตัวเองมากกว่า ไม่ได้เป็นห่วงอะไรผมจริงๆหรอก เขาแค่กลัวเรื่องคำแช่งมากกว่า ก่อนหน้าที่น้าภูจะขอขมากรรม ช่วงนั้นพวกเขาทำอะไรไม่ประสบผลสำเร็จ แต่หลังจากนั้นสองสามปีทุกอย่างค่อยๆดีขึ้นเหมือนฟ้าหลังฝน...คงกลัวว่าน้าภูกับผมจะทำให้เกิดเภทภัยอีก”

“แล้วจะเอายังไงต่อล่ะ”

“ก็...ผมไม่กังวลหรอกครับ เรื่องคำแช่งมันผ่านมาแล้วจะไปสนใจคนเฒ่าคนแก่อีกทำไมกัน เรามีชีวิตของเราเองนี่นา ไปรับฟังคนอื่นอย่างเดียวก็ไม่ได้ใช้ชีวิตจริงๆสักที”พุดเอ่ย สบตากับเขา ภูวรินทร์นึกถึงคำพูดของอินทนิลขึ้นมา เจ้าตัวเคยเอ่ยเช่นนี้ด้วยเหมือนกัน เขายิ้มบางๆ

“ที่จริงฉันก็ไม่แคร์นักหรอก แต่แม่ของเธอจะยอมหรือไง...”เขาถาม เด็กหนุ่มทำหน้าบึ้งตึง

“แม่ไม่ขัดอะไรผมหรอกครับ ท่านแค่เป็นห่วงผมมากกว่า อาจจะมากเกินไปด้วยซ้ำ...ผมก็พอจะรู้แหละครับว่าทำไม”พุดเอ่ย ชายหนุ่มเงียบ เพราะเธอไม่อยากสูญเสียลูกชายไปน่ะสิ ภูวรินทร์ก้มมองเด็กหนุ่มที่แกล้งหลับตา เขายื่นมือไปลูบศีรษะของอีกฝ่ายเล่นๆ เจ้าตัวยิ้มมุมปาก

“งั้นก็นอนเถอะ...เรื่องอื่นค่อยว่ากันเถอะ”ชายหนุ่มเอ่ยบอกเบาๆ ก่อนจะโน้มไปจูบลงที่กระหม่อมของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา พุดลืมตาขึ้นมอง นัยน์ตาที่จับจ้องมานั้นสั่นไหว เด็กหนุ่มเหมือนตื้นตันที่เขาทำดีด้วย ภูวรินทร์ยิ้มก่อนจะลุกไปปิดไฟดวงใหญ่ เหลือแค่โคมไฟไว้ แล้วลงไปนอนข้างกายของพุด อีกฝ่ายขยับเข้ามานอนใกล้ๆเขา ไออุ่นจากอีกฝ่ายทำให้เขาผ่อนคลายเรื่องในใจลงก่อนจะค่อยๆหลับตาลง


 
+++++++++


- ❀ พุด ❀ -

ความปรารถนาเดียวของจิตดวงนี้คือภูวรินทร์ มนุษย์เกิดมาพร้อมกิเลส ทว่าตัวเขานั้นไม่ได้เกิดและดับมาเนิ่นนานเสียแล้ว กาลเวลาเหล่านั้นหล่อหลอมให้เขามีเพียงความรัก ความหลง ความโกรธ จากชีวิตรักวัยหนุ่มที่ไม่สมหวัง จวบจนการจากลาของเด็กหนุ่มผู้น่าสงสาร กระทั่งกลายเป็นหนุ่มวัยรุ่นเช่นพุด ในตอนนี้เขามีอีกชื่อ

‘พุด’ สิ่งที่เกิดขึ้นควรเรียกว่า‘ชะตาลิขิต’ เขาเชื่อเช่นนี้ จึงจะรักษาหัวจิตหัวใจเอาไว้ได้

ที่จริงพุดไม่คิดจะรื้อฟื้นถึงสิ่งที่เป็นอดีตไปแล้ว เพราะไม่อยากใช้เรื่องราวนั้นเป็นพันธะระหว่างชายผู้เป็นที่รัก ทั้งชีวิตเขามีแค่ภูวรินทร์ไม่ใช่หรือ ในอดีตเก่าก่อน แก้วมีเพียงท่านอา จึงรักอย่างลึกซึ้ง ไม่ต่างอะไรจากอินทนิลเช่นกัน เด็กหนุ่มคนนั้นเคยเอ่ยวาจาเอาไว้ว่ามีชีวิตอยู่เพื่อภูวรินทร์

เมื่อดวงจิตนับแต่หลุดจากร่างของอินทนิล ไม่มีการเกิดและดับไปในทันที ซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติ ความจริงนั้น เมื่อจิตขณะสุดท้ายที่ดับและออกจากร่างไป จะเกิดการจุติ จิตขณะแรกของชาติต่อไปจะเกิดสืบต่อทันที แล้วแต่ว่าจิตนั้นเป็นผลของกรรมใดที่จะทำให้ไปเกิดในภพภูมิไหน หากไม่สามารถกลับไปจุติได้จะเป็นเช่นไร จิตดวงนี้ คือจิตที่ผ่านกาลเวลามานาน จนไม่อาจกลับสู่สังสารวัฏได้อีก มันเข้าสู่ภูมิที่เป็นเปรตหรืออสุรกาย นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาคาดหวังไว้   

ดวงจิตร่อนเร่ หวนกลับไปยังถิ่นเดิมที่เคยอาศัยอยู่ เห็นบุคคลที่รักยังคงไม่จากไปไหน กลับยิ่งทำให้จิตดวงนี้ตระหนักถึงความจริงที่ว่ามนุษย์ไม่ควรยึดติด เช่นเดียวกับเขา ชีวิตของคนๆหนึ่งจะต้องเดินหน้าต่อไป จึงได้กลับมาเพื่อกล่าวอำลา ภายภพหน้าจิตดวงนี้คงทิ้งชื่อเก่านามเดิม และเริ่มต้นชีวิตใหม่ แม้จะตัดใจไม่ขาด ความปรารถนายังคงเดิม   

ทว่ามีเสียงหนึ่งกำลังร้องเรียกแทบขาดใจ ฟังไปแล้วคล้ายกับคนในอดีตที่เคยเอ่ยเรียกชื่อเพียงแต่เป็นนามเดิม แต่ในเวลานั้นเสียงเอ่ยเรียกเป็นนามอื่น แต่กลับฉุดดึงเหนี่ยวนำจิตดวงนี้ให้เข้าหา แล้วควรทำเช่นไรดีล่ะ หนทางชีวิตกำลังร้องเรียกอยู่เบื้องหน้า

ความเย็นเยียบซาดซัดเข้าสู่จิตใจ อัดแน่นราวกับหายใจไม่ออก เนิ่นนานเจียนตายไปอีกหน แสงสว่างจ้าจนทุกอย่างพร่าเลือน เป็นแค่การเปรียบเปรยเพราะจิตดวงนี้ไม่มีรูปร่าง เสียงอันคุ้นหูร้องเรียกไม่หยุด เด็กน้อยจดจำได้ว่าเสียงนี้...เนิ่นนานแล้วที่ไม่ได้ยิน ไม่เคยเรียกเขาด้วยน้ำเสียงเช่นนี้มาก่อน

แม่...
ผู้ที่เคยเป็นแม่...

กระแสอุ่นแผ่ไปทั่ว ดวงจิตดวงนี้กำลังยุ่งเหยิง มันน่าเจ็บปวดไม่ใช่หรือ ย้อนกลับไปในพิธีศพของดวงจิตนี้ แม้แต่ความตายของอดีตลูกชาย หญิงคนนี้กลับนำพาเด็กชายวัยใกล้เคียงกับเขาในยามมีชีวิต อายุเท่าไหร่กันนะ? อืม 15 ปี นั่นเท่ากับอินทนิลเลยไม่ใช่หรือ ผู้เป็นใหญ่กว่ารับรู้ได้ว่าเด็กน้อยกำลังเจ็บปวด หญิงนางนี้แต่ก่อนเคยด่าท่อว่าสารเลว ดวงจิตคิดอาฆาตแต่พลันชะงักงันเมื่อกระแสอบอุ่นของเด็กน้อยเข้ามาปลอบประโลม หนึ่งดวงจิตที่มีสองวิญญาณ

ความเย็นคล้ายกระแสน้ำไหลเข้ามาในความคิด ทำให้อึดอัดเสียดแน่นจนทำให้รู้สึกว่าหายใจไม่ออก ความแสบร้อนในโพรงจมูก รับรู้ถึงมวลน้ำหนักในร่างกาย จิตดวงนี้ผวากลัวกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น หนึ่งดวงจิตผู้เป็นเจ้าของร่างอันแท้จริงหลุดออกจากร่างไปอย่างไม่หวนกลับมา เพียงเสี้ยววินาที ดวงวิญญาณที่แบ่งแยกรวมเป็นหนึ่งเดียวไม่แบ่งแยกว่าเป็นของผู้ใด ผนวกเป็นดวงจิตเดียว มีสำนึกคิดเดียวกัน สะดุ้งลืมตากลับมองเห็นทุกสิ่งพร่ามัว ร่างกายดิ่งลงสู่ห้วงธารา

ห้ามตายสิ เราต้องรอดต่อไป แม้ต้องตกนรกหมกไหม้ เขาก็ยินดี หากใจดังสมปรารถนาแล้วจะมีสิ่งใดต้องหวั่นกลัวอีก

ความรู้สึกปวดร้าวที่อกซ้ายกำลังลามเลียไปทั่ว จนร้าวระบม เสียงเรียกของใครคนหนึ่งกำลังดังไม่หยุด เขาอาจจินตนาการไปเอง อาจเป็นเสียงของชายที่รัก...ภูวรินทร์ ตะโกนเรียกชื่อเก่าของเขาอีกแล้ว

เฮือก

‘อุ้ก’ร่างของเด็กหนุ่มกระอักเอาน้ำใสออกมา เสียงรอบข้างคล้ายจะชัดเจนขึ้น มีมืออุ่นเข้ามาบีบนวดที่ท่อนแขนอยู่เรื่อยๆ ค่อยๆลืมตา แสงสว่างเข้ามาทีละนิด สองหูพลันได้ยินเสียงเรียก

 ‘พุด...’

อืม...พุด...เขาชื่อพุด ชื่อนี้เอ่ยเรียกไม่นานก็ชินปากได้ง่าย ร่างกายอ่อนล้าพลันจะหลับใหลไปอีกครั้ง เหมือนร่างถูกยกขึ้นไปที่ไหนสักแห่ง เสียงแว่วที่ได้ยินนั้นทำให้เด็กหนุ่มอุ่นในใจ...โรงพยาบาล อย่างน้อยก็ปลอดภัยแล้ว
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ : ตอนที่ ๒๐ l The End l ๒๔.๐๒.๖๑ หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 24-02-2018 21:16:24
“ฝันร้ายเหรอ”น้ำเสียงห่วงใยดังมาจากคนข้างกาย พุดลืมตาอยู่ในความมืด สายตาหันไปมองทางด้านข้าง เห็นใบหน้าของชายที่รักกำลังจดจ้อง อีกฝ่ายกำลังเป็นห่วง เขายิ้มออกมา 

“ก็แค่เรื่องเก่าๆ”เขาบอกช้าๆ รู้สึกว่าเสียงสั่นเครือ ลำคอแห้งผาด เขาค่อยๆยันตัวลุกมานั่ง ภูวรินทร์รีบลุกออกไปรินน้ำให้เขา

“ฉันตกใจแทบแย่ ตอนเธอละเมอออกมา”อีกฝ่ายเดินกลับมาพร้อมแก้วน้ำ พุดชะงักไป เหลือบมองผู้เป็นน้าแล้วเอื้อมไปรับแก้วมาดื่ม

“ผมละเมอด้วยเหรอ”เขาถามอย่างกังวลใจ อยู่หัวใจก็ห่อเหี่ยวลงทุกขณะ การฝันร้าย...ไม่สิ การฝันถึงความทรงจำเก่าก่อนทำให้เขาเจ็บปวด การจากลาของอดีต หมอเคยบอกว่าเป็นภาวะ parasomnia มีพฤติกรรมก้าวร้าวในขณะนอนหลับอยู่ เมื่อก่อนเขามีอาการมากกว่านี้กรีดร้องด้วยความหวาดกลัว จากการวินิจฉัยแยกโรคเขามีภาวะฝันร้าย sleep terror และภาวะชักในระหว่างที่หลับ ช่วงที่ฟื้นจากการซีพีอาร์หลังจมน้ำ เขามีอาการหนักและใช้ยารักษาร่วมกว่า 3 ปี เขาถึงดีขึ้น อย่างน้อยฝันร้ายไม่จางหายไป แต่เขาไม่ได้มีอาการรุนแรงอีก

ภูวรินทร์ยื่นมือไปมาแตะที่ข้างแก้ม เขาจึงรู้ว่ามีหยาดน้ำตาด้วย เขาลูบไปทั่วใบหน้า

“อืม เธอร้องไห้น่ะ แล้วพูดพึมพำ”อีกฝ่ายเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแต่มีความเศร้าเจือปนอยู่ พุดถอนหายใจ คืนแก้วน้ำไปให้ภูวรินทร์ก่อนจะล้มตัวลงนอน ดึงให้คนอายุมากกว่าเข้ามานอนข้างๆ เห็นคนที่รักกำลังไม่สบายใจ อาจคิดมากเรื่องของเขา

“ช่างเถอะครับ มันเป็นรอยแผลของผมเอง อย่างน้อยจดจำเอาไว้ก็พอ ไม่ต้องเอ่ยถึงอีก”พุดเอ่ยเบาๆ การกลับมาของเขามันไม่ถูกต้อง เขาจึงเลือกจะไม่เอ่ยถึงอดีตของคนก่อน พุดขยับเข้ามากอดอีกฝ่ายไว้ ภูวรินทร์ขมวดคิ้วเมื่อเห็นเขาทำตัวสนิทสนมมากกว่าเดิม เจ้าตัวคงแปลกใจ เพราะก่อนหน้านั้นเขาก็ไม่ได้มีท่าทีชิดใกล้ขนาดนี้ 

“ถึงจะรู้จักกันอยู่แล้ว แต่เธอนี่พัฒนาขึ้นเยอะเลยนะ”อีกฝ่ายหัวเราะออกมาเบาๆ ถ้อยคำนี้ทำให้เขายิ้ม ขยับเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น

“วัยรุ่นสมัยนี้เขาไม่ลีลากันนี่ครับ”พุดหัวเราะ ยิ้มกว้างจนเห็นฟัน เห็นภูวรินทร์มีสีหน้านิ่งเฉยแล้วอยากจะแกล้งให้ทรมานเล่นๆ พุดใช้ชีวิตอย่างอิสระมา 8 ปี ตั้งแต่เรียนมหา’ลัย เขาได้สังคมใหม่ และมีเพื่อนใหม่ด้วย แต่เขาก็ยังชอบอยู่กับตัวเอง อยากได้บ้านที่เอาไว้พักผ่อน ที่จริงเขาอยากได้เรือนปั้นหยาต่างหาก แต่ว่าแม่ของเขา...ธิชา... ไม่ประสงค์จะมาเหยียบที่นี่อีก พุดเลยงอแงร้องขอด้วยน้ำเสียงปั้นปึง ฟังแล้วไม่น่ารักเท่าไหร่

‘ไม่คิดจะเก็บรักษาบ้านของคนรุ่นปู่รุ่นย่าเอาไว้เหรอครับ จนตายจะไม่ไปเหยียบที่นั่นจริงๆน่ะเหรอ’พุดพูดด้วยความโกรธ เหมือนเป็นข้อผิดพลาดของเขา ความก้าวร้าวนี้ไม่มีในตัวของพุดผู้ผุดผ่อง บริสุทธิ์ดั่งชื่อ แม่ธิชาจึงมองเขาด้วยสายตาแปลกไป บางที...เธอ‘อาจจะ’รู้ แต่ทุกสิ่งล้วนเป็นการคาดเดา เขาทำหน้าที่ลูกที่ดีต่อธิชา เธอเป็นผู้มีพระคุณต่อพุด เขาจึงใช้ชีวิตในฐานะลูกชายที่ดีของแม่ ไม่ใช่แค่การเสแสร้งหรอก เขายินดีมาก ที่ผ่านมา ใช่ว่าจะมีแม่ให้ปฏิบัติดีด้วย

“นั่นสินะ...”ภูวรินทร์พึมพำ แค่นอนนิ่งให้พุดกอด เขาแค่ต้องการไออุ่นจากอีกฝ่าย ยิ่งได้ใกล้ชิดเช่นนี้แล้วเขายิ่งโลภมาก ไม่อยากจะสูญเสียภูวรินทร์ไปอีก ...ไม่ได้อีกเด็ดขาด ปรารถนาของเขาเป็นจริงแล้ว การรอคอยมันสิ้นสุดลง

“ผมรักคุณนะ รักมากด้วย...”พุดเอ่ยจากหัวใจ โอบกอดคนที่รักไว้ไม่ปล่อย หากได้รักแล้วยากที่จะลืมเลือน หวงแหนดั่งเป็นจอมขวัญ



+++++++++



ภูวรินทร์ก้มมองคนในอ้อมกอด แววตาสีดำสบตาเขาไม่ห่าง คำว่ารักของเขา เขารู้ดีว่าไม่เท่ากับอีกฝ่าย ร่างของเด็กหนุ่มแนบชิด

“ฉันรู้ ฉันเองก็...รักเธอ”เขาบอกออกไป ไม่เก็บงำความรู้สึกจะมากจะน้อย แต่คนในอ้อมกอดควรได้รับมัน ความอุ่นแผ่ไปทั้งใจ ชายหนุ่มเอื้อมไปสัมผัสเรือนผมนุ่ม เลื่อนลงมาถึงคิ้วที่พอดีกับใบหน้าไม่ได้หนาหรือบางเกินไป จมูกที่ไม่โด่งมาก แค่พอมีให้เห็นและรับกับริมฝีปากสีอ่อนชมพูเพราะเป็นคนผิวขาว อีกฝ่ายเมื่อได้ยินคำเอ่ยของเขาก็ยิ่งกอดแน่นขึ้น ซุกศีรษะลงกับหัวไหล่ของเขาเป็นหมอน

เรื่องราวการกลับมาของพุด อีกฝ่ายเล่าให้เขาฟัง แม้เจอเรื่องแปลกมามากแต่คราวนี้ เขาบอกไม่ถูกนักแต่ความยินดีมีมากกว่า นึกถึงคำพูดของหลวงตาแล้วเขาเก็บเอาไว้ในใจ อยู่กับปัจจุบันงั้นเหรอ เขาก็มีพุดแล้วนี่ไง พุดเลือกจะมีชีวิตอยู่ต่อ แทนที่จะเข้าสู่ภพภูมิที่เลวร้าย เขาไม่ปรารถนาให้อีกฝ่ายต้องทุกข์อีก ‘ดีแล้วที่เลือกกลับมา’





        หลังจากที่ภูวรินทร์กลับมาอยู่ที่บ้านภิรมย์สุข ตั้งแต่กลับมาจากงานรวมตระกูลอะไรนั่น คนตระกูลนั้นไม่ได้เข้ามาข้องเกี่ยวอะไรกับเขาอีก คงเพราะยังคงรักพุด เพราะอีกฝ่ายดื้อดึง และโตพอที่จะตัดสินใจได้เอง คุณปู่คุณย่าจึงพูดอะไรไม่ได้อีก ได้แต่ถอยทัพคอยมองอยู่ห่างๆ ส่วนคุณนิรุททำหน้าที่เป็นทูตที่ดีระหว่างภูวรินทร์กับญาติผู้ใหญ่

เรือนมาลาของพุดสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ระยะเวลาเกือบ 7 เดือน และป้าธิชากลับไปทำงานต่อ ไม่ได้มีปากมีเสียงกับลูกชาย เขาคิดว่าอีกฝ่ายคงรู้ว่าระหว่างเขากับพุดเป็นเช่นไร เธอไม่ได้เอ่ยห้าม เพียงแค่ไม่เอ่ยถึง ชายหนุ่มเปลี่ยนรั้วบ้านที่เชื่อมระหว่างเรือนมาลา เขาเปลี่ยนจากรั้วอันเล็กๆเป็นซุ้มประตูโค้งแทน เรือนมาลาหลังนี้ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว พุดสร้างมันให้ทันสมัยขึ้น อย่างน้อยก็มีสองชั้น ฟอร์นิเจอร์ไม่เก่าโบราณอย่างที่บ้านใหญ่ใช้

“ตกลงเธอไปพูดอะไรกับหลวงตากันแน่”ภูวรินทร์เอ่ยถาม วันนี้เขาออกมานั่งรับลมเล่นที่หน้าเฉลียงเรือนมาลา พุดยังคงเหมือนเดิม เจ้าตัวยังคงชอบดอกไม้ เชี่ยวชาญการร้อยมาลัยสำหรับนำไปใส่บาตรเช้าวันพรุ่งนี้ พุดถือเข็มอันยาวไว้ในมือ มีใบตองสี่เหลี่ยมเป็นฐานรองมาลัย ดอกพุดสีขาวถูกเสียบลงเข็มช้าๆ

“ทำไมน้าภูถามแบบนี้ล่ะครับ”อีกฝ่ายเงยมอง ดวงตาสีดำเป็นประกาย รอยยิ้มค่อยๆปรากฏที่มุมปาก ชายหนุ่มรู้สึกไม่ดีกับการออกธุดงค์ของหลวงตาเท่าไหร่ เพียงแต่ว่าไม่ได้เอ่ยถามพุดไปตรงๆในวันนั้น เขายิ้ม

“ฉันแค่สงสัย ว่าเพราะอะไรหลวงตาถึงย้ายออกจากที่นี่ ทั้งที่อยู่มาหลายสิบปีแล้ว”เขาเอ่ย พุดไม่ได้มีสีหน้ากระอักกระอ่วนแค่หยิบดอกพุดมมาเสียบลงเข็มเรื่อยๆ

“...ผมไม่ได้ทำอะไรจริงๆนี่ครับ ผมไปขอให้ท่านให้พร ผมจะได้สบายใจ ท่านไม่ได้ว่ากล่าวเตือนอะไร อีกอย่าง...ตอนที่ผมไปหากราบไหว้ท่านครั้งล่าสุดตอนที่ผมมากับแม่ ผมบอกท่านว่าจะย้ายมาอยู่ที่บ้าน ผมจึงบอกไปว่าเราคงเจอกันบ่อยๆ”พุดเอ่ยเสียงเรียบ ภูวรินทร์ฟังคำตอบแล้วยิ่งต้องมองเด็กหนุ่มใหม่อีกครั้ง บางที...พุดอาจจะน่ากลัวกว่าที่เขาคาดเอาไว้

“แล้วเธอสบายใจขึ้นไหม”เขาถาม ตอนนี้หลวงตาไม่อยู่แล้ว พุดยิ้ม

“สบายใจครับ หลวงตาให้หนังสือธรรมมะมาให้ผมอ่านด้วย....ผมเองก็อยากให้น้าภูสบายใจด้วยเช่นกัน การที่หลวงตาออกธุดงค์ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผมซะหน่อย ท่านตัดสินใจเองครับ”เด็กหนุ่มอธิบาย นัยน์ตาที่จดจ้องมีประกายอ่อนโยน เขามองคนตรงหน้าอยู่นาน

“ฉันก็ปกติดี”

“น้าภูกำลังกังวลใจเรื่องของผมมากกว่า ผมบอกแล้วไงครับว่าจะไม่จากไปไหนอีก...”พุดวางเข็มร้อยมาลัยลงกับพาน เท้าแขนมองเขานิ่งๆ ชายหนุ่มหันไปมองสวนต้นแก้วที่ออกดอกท้าแดดยามเช้า ทุกอย่างสงบนิ่งเช่นนี้มานานแล้ว คงเพราะเขาไม่อยากเจอการพลัดพรากจากลาอีก มันคงไม่จบไม่สิ้น อีกฝ่ายมองเขานานจนกว่าเขาจะมีรอยยิ้มออกมา การที่หลวงตาออกธุดงค์เขาไม่ได้คิดในแง่ร้าย เพียงแต่ว่าท่านคงไม่ปรารถนาอยู่ที่นี่เพื่อเจอกับสิ่งที่ท่านไม่เห็นดีเห็นงามด้วย ชายหนุ่มหันกลับมองคนตรงหน้าอีกครั้ง จึงรู้ว่าดีแล้วหากหลวงตายังอยู่ เขาคงไปเพื่อพบท่าน และนำคำสอนของท่านกลับมาพิจารณา

...กิเลสของเขาเยอะเกินกว่าที่ปลงตกกับเรื่องความรักความหลง ภูวรินทร์ยิ้ม เอื้อมไปหยิบกลีบดอกกุสีแดงออกมาดู พุดชอบร้อยอุบะด้วยดอกกุหลาบ

“ป้าษอรบอกว่าเธอมาที่นี่บ่อยๆไม่ใช่เหรอ...”ภูวรินทร์เอ่ยถึงเรื่องอื่นแทน ก่อนหน้านั้นป้าษอรมาเล่าให้เขาฟังทีหลังมาพุดกลับมาที่บ้านหลังจากที่เขาไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลไม่กี่วัน พิจารณาดูแล้วพุดอายุแค่ 15-16 ปีเท่านั้น เขาแปลกใจที่อีกฝ่ายไปไหนมาไหนตัวคนเดียว พุดยิ้มบางๆจับเข็มมาลัยขึ้นมาอีกครั้ง

“ก็เผื่อว่าจะเจอน้าภูอีก...แต่น้าก็ไม่ค่อยกลับมา”เจ้าตัวเอ่ยเบาๆ ดวงตากลมใสกระพริบช้าๆ เขาเงียบไปนั่งมองเด็กหนุ่มไปเรื่อยๆอย่างไม่รู้เบื่อ

“ถ้าหากว่าครบกำหนดที่เธอจะต้องกลับไปทำงานล่ะ...”ชายหนุ่มแกล้งเอ่ยขึ้นมา พุดย่นคิ้วทันทีก่อนจะถอนหายใจยาว “นั่นสิ...กลับไปอยู่ที่บ้านกับแม่อาจจะดีกว่าอยู่เป็นขี้ปากชาวบ้านที่นี่นะครับ”อีกฝ่ายเอ่ยน้ำเสียงขุ่นมัว ทำให้เขาหัวเราะในใจ เรื่องติฉินนินทาเป็นเรื่องปกติ หลังจากที่เขากลับมาอยู่บ้านใหญ่อีกครั้ง มีเสียงเล่าลือถึงคำแช่งของตระกูลภิรมย์สุขและเรื่องราวของสองอาหลานที่ยังไม่จางหายไปไหนแม้จะผันผ่านเวลามาเกือบแปดสิบปี

“ฉันคงต้องเป็นฝ่ายรอบ้างใช่ไหม”ภูวรินทร์เอ่ย คำพูดของเขาทำให้เด็กหนุ่มตวัดตามองเขม็ง นัยน์ตาวาววับ เจ้าตัวแกว่งเข็มมาลัยไปมา มาลัยพุดโอนเอนอยู่ในเข็ม

“จริงด้วยสินะ พูดอีกก็ถูกอีก แต่ว่าผมไม่ใช่คนใจร้าย ผมคงกลับไปทำงานให้พ่อแม่ วันหยุดก็กลับมาหาน้าภูไง...เอ หรือน้าจะย้ายมาอยู่กับผมเลยไหมครับ”

“...ไม่ล่ะ เดี๋ยวจะดูไม่ดี”เขาบอก ถึงอย่างไรซะ เขาก็ยังต้องระวังเรื่องการวางตัวด้วย พุดพยักหน้าหงอยๆ “แล้วน้าภูจะเพาะดอกไม้ขายอย่างเดียวเหรอครับ”อีกฝ่ายถาม ตั้งแต่กลับมาอยู่บ้านหลังนี้ เขาใช้เวลาส่วนใหญ่เพาะชำดอกไม้ เรื่องานที่บริษัทเขาไม่ได้อยู่ในกรรมการฯบริษัทแล้ว แค่ถือหุ้นไว้เท่านั้น คุณนิรุทช่วยเขาหาตลาดสำหรับขายพันธุ์ไม้เหล่านี้ กำไรที่ได้ในแต่ละเดือนไม่ได้เยอะมาก แต่เขามีความสุขดีกับการอยู่เงียบๆ ส่วนเรื่องโรคภัยของเขาก็ไม่ถึงร้ายแรงนัก เขาทานยาสม่ำเสมอ แม้ว่าจะผ่าตัดสำเร็จแล้วก็ตาม

“ทำไมล่ะ คนสวนไม่ดีตรงไหนกัน”

“หึหึ ก็ดีครับ น้าภูจะได้เป็นของผมคนเดียว”พุดเอ่ยขึ้นมาเหมือนคนหวงของ เด็กหนุ่มตั้งหน้าตั้งตาร้อยมาลัยดอกพุดต่อ สีหน้ามีความสุข ภูวรินทร์มองอีกฝ่ายด้วยใจสงบนิ่ง สายลมเอื่อยๆพัดเข้ามาหาตัวบ้าน กลิ่นดอกแก้วลอยเข้ามา เขามองพุดอีกครั้ง เด็กหนุ่มยังมีรอยยิ้มอยู่ ใบหน้าไม่โดดเด่นแต่ให้ความรู้สึกสบายใจเมื่อได้อยู่ใกล้ เขาคิดว่าตนเองเลือกไม่ผิดเช่นกัน







     ท่ามกลางบรรยากาศเย็นสบาย แสงแดดอ่อนยามเช้าขับให้ผู้คนอารมณ์ดี หญิงร่างผอมในชุดเสื้อผ้าฝ้ายกับกางเกงสีครีมกำลังเปิดสายยางเพื่อมารดน้ำต้นแก้วแคระที่รอบบ่อน้ำพุ สายตาจับจ้องไปที่สองน้าหลานที่กำลังหยอกล้อกันด้วยท่าทีเป็นสุข มีรอยยิ้ม มีเสียงหัวเราะ เรือนหลังเล็กกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง แม้ว่าในยามสว่างรอบบ้านจะสดใสเหมือนดอกไม้แย้มบาน ทว่ายามมืดกลางคืนรอบบ้านจะหวนกลับมาเงียบสงัดอึมครึมคล้ายมีพายุอยู่ตลอดเวลา และวันดีคืนดีน้าหลานคู่นี้จะตามกันออกมาปลุกอีกคนให้ลืมตาตื่นจากภวังค์ที่ห้อมล้อมไปด้วยต้นแก้ว  ษอรแย้มยิ้มแววตาสงบนิ่ง เมื่อเห็นดอกแก้วที่เป็นอนุสรณ์แห่งรักของท่านหมื่นเมื่อนานมาแล้วยังคงเติมโตมาถึงภูวรินทร์กับพุด สมแล้วที่เป็นเรือนมาลา

 ษอรเฝ้ามองความเป็นไปของทั้งเจ้าของบ้านและบ้านหลังใหญ่จนกว่าสังขารนี้จะร่วงโรยไปจนเดินไม่ได้ ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน คงจะเป็นหน้าที่เดียวของเธอกระมัง ไม่ว่าจะอดีตชาติหรือในปัจจุบันก็ตาม มนุษย์นั้นไม่อาจหลุดจากวังวนแห่งรักโลภโกรธหลงไปได้จริงๆ 





❀ ❀   End ❀ ❀



จบเเล้วค่ะ
ขอบคุณสำหรับการติดตามเสมอมาค่ะ
หวังว่าจะเคลียร์ทุกประเด็นแล้ว ที่จริงเรามีความลังเลอยู่มาก ไม่กล้าฆ่าตัวละครทิ้งด้วย
ทำให้คิดหนักว่าจะปิดเรื่องอย่างไรดี

ขอไปปั่นตอนพิเศษก่อนนะ เพื่อปิดต้นฉบับค่ะ

ป.ล สามารถติดแท็กตามชื่อนิยายได้เลยเน้อไว้เราจะตามส่องค่ะ
หัวข้อ: Re: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ : ตอนที่ ๑๙ l ๒๓.๐๒.๖๑ หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: ANIKI. ที่ 24-02-2018 22:04:40
จบดีอะ... ขอบคุณคนเขียนมากค่ะ
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ : ตอนที่ ๒๐ l The End l ๒๔.๐๒.๖๑ หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 24-02-2018 22:46:52
ขอบคุณคนเขียนมากค่ะ เป็นนิยายที่อ่านเลยหลอนได้เกือบทั้งเรื่องเลยจริงๆ
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ : ตอนที่ ๒๐ l The End l ๒๔.๐๒.๖๑ หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 24-02-2018 22:58:58
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ : ตอนที่ ๒๐ l The End l ๒๔.๐๒.๖๑ หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 24-02-2018 23:08:27
 :pig4:
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ : ตอนที่ ๒๐ l The End l ๒๔.๐๒.๖๑ หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: junpa ที่ 24-02-2018 23:14:07
จบดีมากๆ เลยคะ :pig4:
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ : ตอนที่ ๒๐ l The End l ๒๔.๐๒.๖๑ หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 25-02-2018 00:04:51
ขอบคุณครับที่เขียนให้อ่านจนจบ!!
หัวข้อ: Re: ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ : ตอนที่ ๒๐ l The End l ๒๔.๐๒.๖๑ หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 25-02-2018 10:44:34
ยาวนานกันมากจริงๆกับเรื่องนี้ ถือเป็นนิยายเรื่องผีเรื่องแรกที่เราอ่านและมีปมเยอะขนาดนี้ ขอบคุณนักเขียนสำหรับนิยายสนุกๆนะคะ อยากอ่านตอนพิเศษที่หวานๆของสองน้าหลานจังเลยค่ะ เครียดกันมาทั้งเรื่องแล้วไม่ค่อยมีโมเม้นท์หวานๆกันเลย
หัวข้อ: Re: ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ : ตอนที่ ๒๐ l The End l ๒๔.๐๒.๖๑ หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 25-02-2018 12:42:27
       ขอบคุณนะค่ะที่แต่งนิยายเรื่องนี้อออกมาสนุกมากเลยค่ะ
และตอนจบก็สมเหตุสมผลดีค่ะรู้สึกสงบเหมือนว่าการคอยทุกอย่างได้จบลงเเล้วทุกคนได้กลับมาแก้ไขและได้มีความสุขกับชวิตที่เหลือในภพปัจจุบันแล้วค่ะ :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ : ตอนที่ ๒๐ l The End l ๒๔.๐๒.๖๑ หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: snpmrth ที่ 25-02-2018 13:55:34
เค้าคิดว่าเป็นตอบจบที่เหมาะสมแล้ว ดีแล้วที่จบแบบนี้ค่ะ
เพราะว่าทั้งคุณภู คุณแก้ว คุณอิน ต่างก็ไม่มีใครอยากปล่อยมือ แม้กระทั้งตอนอินตายทั้ง3คนก็ยังคงยึดติดกันและกันอยู่เลยค่ะ เลยคิดว่าจบแบบนี้นี่ดีจังเลยค่ะ

เป็นกำลังใจให้คุณคนเขียนนะคะ♡
หัวข้อ: Re: ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ : ตอนที่ ๒๐ l The End l ๒๔.๐๒.๖๑ หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: net. net_n2537 ที่ 25-02-2018 19:15:53
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ : ตอนที่ ๒๐ l The End l ๒๔.๐๒.๖๑ หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: Gear77 ที่ 26-02-2018 10:16:46
เพิ่งได้มาอ่านเรื่องนี้หลังเห็นว่าจบไปแล้ว เลยลองเข้ามาอ่านดู
อ่านไปอ่านมาตั้งแต่ตอนแรกถึงตอนจบไม่ได้หลับได้นอนกันเลยทีเดียว
หัวข้อ: Re: ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ : ตอนที่ ๒๐ l The End l ๒๔.๐๒.๖๑ หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: Premo1492 ที่ 26-02-2018 12:44:13
ติดงอมแงม2วัน2คืนเลย รวดเดียวจบ5555 :mew1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ : ตอนที่ ๒๐ l The End l ๒๔.๐๒.๖๑ หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 28-02-2018 12:34:52
อ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ
ตอนแรกก็เรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีก็ติดงอมแงม
ปมค่อยๆ เผยมาทีละนิดๆ
มีหักมุมช่วงท้าย กลับมาอีกรอบ
กลับมาแบบแพ็คคู่ด้วยนะ
ประทับใจมากค่ะ แต่งเก่งมากเลย
ไม่ได้น่ากลัว แต่หลอนมาก
รออ่านตอนพิเศษนะคะ
หัวข้อ: Re: + ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ : ตอนที่ ๒๐ l The End l ๒๔.๐๒.๖๑ หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 28-02-2018 15:02:28
ลุ้นมาก ขอบคุณมากค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ : ตอนที่ ๒๐ l End l ๒๔.๐๒.๖๑ หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: @Sister ที่ 03-03-2018 16:05:16

ชอบตอนจบมาก มันสมบูรณ์ในตัวแล้วค่ะ
ตอนแรกคิดว่าพุดจะเป็นแค่คุณแก้ว
เอาเข้าจริงเราลุ้นมาก สงสารสุดก็คุณแก้ว แต่พอตอบจบออกมาแบบนี้ เราดีใจมาก
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ สาปดอกแก้ว ❀ + อัพ : ตอนที่ ๒๐ l End l ๒๔.๐๒.๖๑ หน้า ๗
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 03-03-2018 18:34:34
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วพลาดไม่ได้ทุกบรรทัดเลยอยากขอร้องนักเขียนว่าขอตอนพิเศษของพุดกับภูหวานๆสักตอนเถอะนะคะเราหน่วงจนจบเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: ❀ สาปดอกแก้ว ❀ ตอนที่ ๒๐ l End l หน้า ๗ ตีพิมพ์กับสนพ.รักคุณ
เริ่มหัวข้อโดย: fahdekkom ที่ 04-03-2018 08:12:47
ชอบเรื่องนี้มากเลยค่ะ เป็นเรื่องที่เดาทางไม่ได้จริงๆ
ภาษาก็สวยมากๆเลย ชื่นชอบเรื่องนี้มากจริงๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ❀ สาปดอกแก้ว ❀ ตอนที่ ๒๐ l End l หน้า ๗ ตีพิมพ์กับสนพ.รักคุณ
เริ่มหัวข้อโดย: piengtavan ที่ 04-03-2018 20:08:16
เราชอบมากเลย อ่านรวดเดียวจบเลย
คุณเขียนดีมากเลยค่ะ หลอน เศร้า เหงาทรวง สุขลึก สุขปริ่มๆ มาครบทุกอารมณ์ แม้ความหฃอนจะมาเยอะหน่อยก็ตาม ถ้าออกหนังสือเราจะรอนะคะ
หัวข้อ: Re: ❀ สาปดอกแก้ว ❀ l จบแล้ว l หน้า 8 ตอนพิเศษ ปัจจุบัน...ยังมีสองน้าหลาน
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 05-03-2018 08:41:22


ตอนพิเศษ  ปัจจุบันยังมี...สองน้าหลาน



 ภายหลังการกลับมาอยู่ของภูวรินทร์กับพุด เสียงเล่าลือของคนในหมู่บ้านได้กลับมาอีกครั้ง ไม่ใช่เรื่องราวของอาหลานเช่นหมื่นนรินทร์กับแก้ว แต่เป็นเรื่องราวของญาติคนสนิทภูวรินทร์กับพุดแทน บ้านหลังใหญ่ที่รายล้อมไปด้วยต้นแก้วและสวนดอกไม้นานาพันธุ์เป็นที่กล่าวขวัญว่ามีเรื่องราวลี้ลับประจำบ้าน กลางดึกอันเงียบสงัด กับเงาร่างที่ออกมาเผชิญหน้ากับความมืดมิดใต้แสงจันทร์ ใครจะรู้เล่า ว่าภายใต้อากัปกิริยาเช่นนั้นจะเป็นผลมาจากการ‘เกิด’ใหม่ของหนึ่งชีวิต


   เด็กรับใช้รุ่นใหม่ ต่างก็เอ่ยเป็นเสียงเดียวกันว่าน้าภูวรินทร์เจ้าของบ้านคนปัจจุบันนั้นหลงรักผู้เป็นหลานชายมากเหลือเกิน ถึงขนาดยอมตบแต่งพุดเข้ามาอยู่ด้วย รับรู้กันภายในตระกูล จึงไม่แปลกหากเรือนมาลาจะเป็นเขตหวงห้าม ไม่ให้ผู้ใดได้ย่างกายเขาไปโดยไม่ได้รับอนุญาต เว้นแต่ษอร หญิงดูแลบ้านที่รับใช้มาแล้วสองรุ่น ยิ่งทวีเรื่องเล่าลือถึงคำแช่งชักหักกระดูกของคนตระกูลนี้อย่างไม่สร่างซาไปไหน


   “ผิดปกติไปหมด ดูสินั่น คุณพุดคนนั้นออกจะยังหนุ่มแน่น ดันมาเสียท่าให้น้าชายไปซะได้”

   “ไม่รู้หรือว่า คุณภูคนนี้คือท่านหมื่นไง หน้าตาเหมือนกันอย่างกับแกะพิมพ์เดียวกันมา”

“มิน่าล่ะ....น่าเห็นใจคนสกุลนี้จริงๆ วนเวียนไม่จบไม่สิ้นกับบ้านไม่เป็นมงคลเช่นนั้น ไม่นับที่ว่ามีเด็กที่หน้าตาคล้ายๆคุณแก้วอยู่ด้วยนะ สักแปดปีก่อนเห็นจะได้...”

“หมายความว่าผีงั้นเหรอ”

“ไม่รู้สิ แกอยากไปลองดีบ้างไหม กลางดึกก็ออกไปที่เรือนหลังข้างๆสิ เดี๋ยวได้เจอคุณพุดเข้าหรอก รายนี้น่ากลัวกว่าผีอีก แววตานี่นะ อย่างกับจะจ้องกินเลือดกินเนื้อ”หญิงรับใช้คนแรกออกจะพูดเกินจริงไปบ้าง


“ไม่กินเลือดกินเนื้อพวกเธอหรอก หากไม่มานินทาเจ้านายลับหลังเช่นนี้”เจ้าของชื่อผู้ถูกเอาไปนินทายืนฟังเรื่องราวไร้สาระอยู่นาน เด็กรับใช้รีบก้มหน้าก้มตาทำงานทันที ภายในครัวที่เปลี่ยนผู้ดูแลใหม่ หัวหน้าแม่ครัวคือพลอย ส่วนษอรตอนนี้ดูแลแค่เรือนมาลาเท่านั้น เพราะเธอแก่ตัวลงมาก พุดจ้องมองเด็กรับใช้สามคนที่กำลังขะมักเขม้นเช็ดจานเช็ดช้อนต่อ พวกนั้นไม่กล้าสบตากับผู้เป็นนาย


“ขอโทษค่ะ คุณพุด”


“ทีหน้าทีหลังอย่าเอาเรื่องในบ้านไปพูดกันสนุกปาก...ฉันอุตส่าห์ใจดีด้วยไม่รู้ตั้งเท่าไหร่...ตั้งใจทำงานล่ะ”พุดเอ่ยอย่างเหนื่อยหน่ายเพราะเคยเอ่ยเตือนคนรับใช้ปากมากพวกนี้ไปแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องตลกหรืออย่างไร เพราะเรื่องลือของเขากับน้าภูขยับขยายออกไปสู่คนในหมู่บ้านได้รวดเร็ว..เรื่องที่เขากับน้าภูชอบละเมอบ่อยๆ นั่นคือสิ่งที่แก้ไม่ได้อีกเลย มันคือร่องรอยคำสาปใช่หรือไม่...


พุดเดินออกจากโถงบ้านใหญ่เดินไปยังเรือนมาลา เห็นซุ้มโค้งสีเขียวขจีเป็นไม้เลื้อยที่ออกดอกออกก่อปกคลุมซุ้มประตู จึงร่มรื่นไปถนัดตา เขาจึงยิ่งชอบ พอเข้ามาในเขตเรือนมาลา สายตามองหาชายผู้เป็นคนรัก อีกฝ่ายกำลังนั่งเล่นอยู่ในศาลาใกล้กับสวนต้นแก้ว สวมชุดเชิ้ตสีฟ้าอ่อนกับกางเกงขาสั้นเสมอเข่ารับอากาศเย็นสบายในยามเย็น


ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาภูวรินทร์ เสียงก้าวเดินของตนทำให้ผู้เป็นน้าเงยหน้ามองจากหนังสืออ่านเล่น ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาทันที เขานึกถึงคำพูดของเด็กรับใช้ว่าน้าชายคนนี้กำลังหลงรักเขาหัวปักหัวปำแล้วอยู่ๆก็อารมณ์ดีขึ้นมาซะอย่างนั้น


“ทำหน้าแบบนั้น มีเรื่องดีหรือไง”อีกฝ่ายเอ่ยทักเขา


“ก็ไม่ดีนักหรอกครับ ไปปรามเด็กขี้นินทามา”พุดยิ้มก่อนจะตอบอย่างไม่สะทกสะท้านอะไร


“ฮ่าๆ พวกนั้นแค่คะนองปากไปก็เท่านั้น คำนินทาไม่สามารถห้ามได้หรอกนะ”ผู้เป็นน้าถึงกับส่ายหน้าเมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้


“ครับ ผมรู้ แต่ก็อดไม่ได้ ถ้าไม่ว่ากล่าวหาว่าผมน่ากลัวกว่าผี”คำพูดของเขาทำให้ภูวรินทร์หัวเราะออกมาทันที เขาไม่แปลกใจนัก เพราะเจ้าตัวก็เคยเอ่ยหยอกล้อเขามาแล้วว่าเขาช่างหวงแหนราวกับผีเฝ้าทรัพย์


“นึกว่าคนของป้าษอรจะดีกว่านี้ซะอีกนะ”ภูวรินทร์เอ่ย ก่อนจะวางหนังสือลง หยิบแก้วน้ำขึ้นดื่ม สายลมเอื่อยๆพัดเข้าหา ทำให้ภายในศาลาเย็นสบาย


“เพราะว่าเจ้านายบ้านนี้ใจดีไปหน่อย ผมถึงต้องออกโรงเรื่อยเลย”


“เธอก็เป็นเจ้าของบ้านเหมือนกันนี่”คำตอบของชายคนรักทำให้ตนยิ้มออกมาอีกครั้ง


“ปากหวานเสมอต้นเสมอปรายจริงๆเลย”มองภูวรินทร์ที่ลุกจากเก้าอี้ สีหน้าผ่อนคลายเดินเข้ามาหาเขา


“ออกไปเดินเล่นกับฉันสิ”ภูวรินทร์เรียก พุดจึงลุกจากเก้าอี้เดินไปหาอีกฝ่ายอย่างใกล้ชิด บางที่เขาต้องไปตรวจสอบแล้วล่ะว่าน้าภูของตนโดนทำของใส่หรือเปล่า เพราะตั้งแต่กลับมาจากพิธีรับไหว้ เจ้าตัวอ่อนหวานกับเขามากขึ้นซะจนเขาทำตัวไม่ถูก ประหม่าไปหมด ชายหนุ่มเดินเคียงคู่ไปกับภูวรินทร์ อีกฝ่ายจับมือเขาไว้ไม่ห่าง พาเขาเดินเข้าไปในสวนต้นแก้ว


“มีอะไรหรือเปล่าครับ”


“เปล่านี่ แค่อยากเดินเล่นกับเธอ”ภูวรินทร์เอ่ย หันมองเขายิ้มๆ เมื่อเดินมาจนสุดทาง ที่ท้ายสวนมีต้นแดนดิไลออนเบ่งบานอยู่ทั้ง

ดอกสีเหลืองเข้มเตรียมร่วงโรยกับดอกสีขาวที่พร้อมจะโบยบิน พุดค่อยๆยิ้ม นึกถึงเวลาที่ประคบประหงมเจ้าดอกไม้นี้กลัวว่ามันจะไม่ออกดอกดังใจหวัง แต่มันก็ติดดอกออกต้นจนโตไปเรื่อยๆ ชายคนรักดึงมือเขาให้นั่งลง บริเวณนี้มีสวนหญ้าขึ้นเขียวขจี ยามอากาศเป็นใจเขามักมานั่งเล่นมองนกมองต้นไม้กับน้าภูบ่อยๆ


“รู้สึกว่าแดนดิไลออนสองดอกกำลังจะออกเดินทางแล้วนะ”ภูวรินทร์เอ่ย นั่งลงกับพื้นหญ้าเหยียดขายาวเพื่อคลายความเมื่อยขบ พุดนั่งลงข้างกายของอีกฝ่าย ยื่นหน้าไปมองหาความจริงจากน้าภู


“น้าภูกำลังจะวางแผนอะไรอยู่ใช่ไหม ถึงได้ผมออกมานั่งตรงนี้”


“เดาได้ถูกต้อง ฉันมีของจะให้เธอนะพุด”อีกฝ่ายเอ่ย เขามองไปตามร่างกายของภูวรินทร์เพื่อมองหาของที่ว่า แต่ไม่พบ


“อะไรเหรอครับ”


“หลับตาสิ”ภูวรินทร์บอก ใบหน้าคมเข้มกำลังจดจ้องเขาอย่างจริงจัง จนพุดเริ่มประหม่า หัวใจเต้นระส่ำขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ แววตาคมกล้าประสานมองไม่ละไปไหน


“...อย่ามาอำผมนะ”พุดเอ่ยเสียงเบา ผู้เป็นน้าเผยยิ้มออกมาเล็กน้อย


“จริงๆน่า หลับตาเถอะ”ภูวรินทร์เอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยนลง ในน้ำเสียงเจือความขบขันไว้ พุดมองใบหน้าของคมเข้มของน้าภูก่อนจะค่อยๆปิดตาลง เขามองไม่เห็น ทุกอย่างมืดสนิท รับสัมผัสทางกายว่ามีลมพัดเข้าหา บรรยากาศเย็นชื้น กลิ่นดอกแก้วหอมอบอวลชวนให้ผ่อนคลาย เขาไดยินเสียงเคลื่อนไหวสวบสาบจากเสื้อผ้า หัวใจเต้นแรงแทบจะกระดอนออกมา ในหัวคาดเดาไปต่างๆนาๆ


“ลืมตาสิพุด”อีกฝ่ายเอ่ย เสียงของเจ้าตัวอยู่ใกล้มาก ลมหายใจเป่ารดบริเวณใบหน้าของตนไปด้วย พุดกลั้นยิ้มไว้ ค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นมา เขาพบแววตาสีดำกระจางใสของคนตรงหน้าตน น้าภูกำลังยิ้มอย่างมีความสุข มือของอีกฝ่ายเข้ามากุมมือเขาไว้ จนพุดสัมผัสถึงผิวความเย็น จนต้องก้มมอง หัวใจยังคงเต้นระส่ำ ใบหน้าแดงก่ำเมื่อเห็นว่าของขวัญในมือที่ภูวรินทร์มอบให้คือแหวนทองคำขาว พุดเงยมองคนตรงหน้าอีกครั้ง อยู่ๆก็รู้สึกอยากร้องไห้ออกมาเพราะความยินดี


“นี่ แอบไปซื้อแหวนตอนไหนมาครับ”เขาเอ่ยพึมพำ สูดจมูกก่อนจะสัมผัสผิวของแหวนวงขนาดพอดีนิ้วของตนเอง


“นานแล้วล่ะ...แต่กำลังคิดอยู่ว่าจะสวมให้ตอนไหน ฉันคิดว่าคงถึงเวลาแล้ว”


“ผมไม่มีอะไรมอบให้น้าภูเลย”


“ไม่ต้องหรอก แค่อยู่กับฉันไปตลอดก็พอ...”ภูวรินทร์เอ่ยน้ำเสียงมั่นคง ความอบอุ่นในสุ้มเสียงทำให้เขาอยากเข้าไปกอดอีกฝ่ายซะตรงนี้ อยากจะครอบครองน้าภูเพียงผู้เดียว...ไม่สิ เขาได้รักจากน้าภูมานานแล้วต่างหาก ชายคนรักจับมือข้างซ้ายของเขาไว้ ก่อนจะค่อยๆสวมแหวนให้บนนิ้วนาง รอยยิ้มค่อยๆเผยออกจากใบหน้าของพุด


“ขอบคุณมากครับ”พุดเอ่ยจากใจ จับมือของภูวรินทร์ไว้ และเห็นว่าเจ้าตัวยังไม่ได้สวมแหวน


“ฉันก็มีนะ...แต่ลองหาหน่อยสิ จะได้สวมให้ฉันไง”อยู่ๆคนที่อายุมากกว่าก็นึกอยากจะเล่นสนุกกับเขาซะแล้ว พุดมีหรือจะปฏิเสธ จึงขยับเข้าไปใกล้อีกฝ่าย ยื่นมือไปสัมผัสบริเวณที่หน้าอกเพราะมีกระเป๋าเสื้ออยู่ลูบไล้ไปมาพบว่าไม่มีสิ่งใด จึงเลื่อนมือลงมาจับที่สะโพก กระเป๋ากางเกงขาสั้นตัวนี้ยังคงไร้สิ่งที่ต้องการ พุดเงยมองใบหน้าของน้าภูอีกครั้ง แววตาของเจ้าตัวสั่นไหว เขาจึงยิ้มยื่นหน้าไปจูบอีกฝ่ายแทน


“เล่นเป็นเด็กๆไปได้นะครับ”พุดกระซิบที่ข้างหูหลังจากที่ได้เชยชิมรสจูบจากคนรัก อีกฝ่ายหัวเราะในลำคอรวบเอวของเขาเข้าหา จนพุดต้องปรับท่านั่งเพราะแทบจะขึ้นไปเกยตักของภูวรินทร์ซะแล้ว หากมีใครมาเห็นเดี๋ยวเอาไปนินทาอีก


“แค่แกล้งเล่นน่ะ...แหวนของฉัน ไว้ให้เธอสวมทีหลัง”ภูวรินทร์เอ่ยบอก ริมฝีปากยกยิ้มออกมา พุดย่นคิ้วมองนิ้วมือข้างซ้ายของตนเองอย่างพอใจ ก่อนจะเข้าไปคลอเคลียกับใบหูของน้าภูอย่างหยอกเอิน รู้ดีว่าคนรักอ่อนไหวที่ตรงไหน ชายหนุ่มหอมแก้มของน้าภูอีกหลายฟอด


“ขอบคุณมากครับ”พุดเอ่ยอีกครั้ง ก่อนจะกอดคนตรงหน้าเอาไว้ไม่ปล่อย อยู่ๆสายลมหอบใหญ่ก็พัดเข้ามา เสียงเสียดสีของใบไม้ดังเป็นระยะ สองตาตนจับจ้องไปที่ดอกแดนดิไลออนที่พลิ้วไหว พุดลอบยิ้มก่อนจะดันร่างของผู้ใหญ่กว่าให้ลงไปนอนกับพื้นหญ้า อีกฝ่ายมีท่าทีขัดขืน แต่พุดจุ๊ปากกดบ่ากว้างของน้าภูให้ลงนอน เขาทิ้งตัวลงนอนข้างกายอีกฝ่าย


“ดูสิ...ดอกไม้กำลังบินล่ะครับ”พุดเอ่ยกระซิบนอนลงกับหัวไหล่ของอีกฝ่ายแทนหมอน เฝ้ามองท้องนภาเบื้องบน ขมุกขมัวด้วยกลุ่มก้อนเมฆ มีริ้วดอกไม้กลุ่มเล็กๆกำลังลอยละล่องขึ้นไปในอากาศยามที่สายลมพัดแรงขึ้น หอบเอาปุยดอกสีขาวลอยผ่านหน้าเขาสองคนไปช้าๆ อาจไปตกอยู่ในสวนนี่แหละ วันหน้าคงต้องถอนทิ้งเพราะมันจะขึ้นตามพื้นหญ้าได้เอง ขยายพันธุ์ตามธรรมชาติ หากดอกของมันลอยละล่องไปตกที่ไหนก็จะขึ้นที่บริเวณนั้น หากว่าดินไม่แข็งเกินไป


“นึกว่าจะปลุกปล้ำฉันซะอีก”ภูวรินทร์หัวเราะออกมา เขาหันไปมองอย่างมีเล่ห์กล แน่นอนล่ะ เขาก็คิดอยู่ว่าจะเพิ่มประสบการณ์ใหม่ แต่ทว่าเขายังอายต่อเทวดาฟ้าดินและมนุษย์มากกว่า หากทำประเจิดประเจ้อคงกลายเป็นเรื่องฉาวมากขึ้น เพิ่มความเสียหายให้แก่น้าภูของตนไป


“ผมไม่ใจกล้าขนาดนั้นหรอกครับ”พุดเอ่ย ยังคงมองมือซ้ายของตนเองอย่างสุขใจ น้าภูยิ้มเอื้อมมากุมมือเขาไว้ด้วย ฝ่ามือใหญ่กว่าแผ่ความอบอุ่นให้ตน นิ้วมือของอีกฝ่ายลากสัมผัสลงที่นิ้วนางที่สวมแหวนอยู่ หมุนกลึงไปมาก่อนจะดึงมือเขาไปจูบ


“ทำแบบนี้ คนเขาก็คิดว่าน้าโดนเสน่ห์นะครับ”


“คงจะใช่...ฉันหลงเสน่ห์เธอเข้าให้แล้ว”อีกฝ่ายพูดออกมาหน้าตาเฉย พุดย่นคิ้ว ไอเย็นจากผืนหญ้าสดซึมผ่านแผ่นหลังจนอยากจะนอนอยู่ตรงนี้อีกนานสองนาน เคียงข้างชายคนรัก มองท้องฟ้าที่เริ่มมีแสงสีส้มเข้ามาแต่งแต้มบ่งบอกว่าพระอาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้า


   “หึหึ ปากหวานจริง”พุดเอ่ย ยิ้มกว้างจนปวดแก้มขึ้นมา คนข้างกายยันตัวลุกขึ้นมานั่ง ก่อนจะหันไปมองดอกแดนดิไลออนที่ตอนนี้เหลือแต่ดอกสีเหลืองแล้ว ภูวรินทร์ลุกขึ้นยืนส่งมือมาให้เขา พุดยื่นมือออกไปจับอีกฝ่ายไว้แน่นก่อนจะยันตัวลุกขึ้น อีกฝ่ายออกแรงดึงแขนให้ลุกขึ้นโดยไม่ยากเย็นนัก


“เข้าไปในบ้านดีกว่า”


“ยังไม่ทันจะมืดค่ำเลยนี่ครับ”พุดเอ่ย เหลียวมองไปทั่วสวนต้นแก้ว ปัดเศษหญ้าและดอกแดนดิไลออนออกจากเสื้อผ้าไปพลาง


“ไม่ไปหาแหวนของฉันหรือไง”เจ้าตัวว่า ก่อนจะยิ้มอย่างนึกสนุก พุดถึงกับระบายลมหายใจออกมายาวๆ แล้วเดินจูงมือน้าภูกลับเข้าไปในเรือนมาลา บรรยากาศยามพลบค่ำค่อยๆกลืนกินแสงสว่างไปทีละน้อย พอเข้าไปภายในบ้านชั้นล่าง ที่ไม่มีเครื่องใช้อะไรนอกจากชุดโซฟาริมห้องเท่านั้น ที่เหลือเขามีพื้นที่ไว้สำหรับทำงานของตัวเอง พุดจึงเดินเข้าไปแนบชิด โอบแขนรอบลำคอแกร่งของน้าภูไว้ นัยน์ตาเป็นประกาย กระซิบเสียงเบา


“คิดจะแกล้งพุดเหรอ ไม่ได้เอาแหวนมาใช่ไหมครับ”ชายหนุ่มเอ่ย หรี่ตามองคนใกล้ชิด อีกฝ่ายโน้มมาใกล้ ปรายจมูกแตะกับหน้าผากของเขาเบาๆ


“เปล่านะ แหวนของฉันอยู่ตรงนี้”คนตัวสูงกว่าเอ่ย นัยน์ตาสะท้อนดวงหน้าของตนออกมา เจ้าตัวยื่นมือดึงสร้อยคอออกมา ในนั้นมีแหวนชนิดเดียวกันห้อยไว้อยู่ เมื่อครู่ก่อนเขาเพียงแค่ลูบมือไปที่หน้าอกทางฝั่งซ้ายที่มีกระเป๋าเล็กๆ จึงไม่ได้สัมผัสกับสร้อยคอของอีกฝ่าย เขาแทบไม่ได้สังเกตเลยด้วยซ้ำ พุดแย้มยิ้ม


“น้าภูแค่อยากให้ผมเข้ามาปลุกปล้ำตัวเองใช่ไหมล่ะ”ชายหนุ่มพูดออกมา ปกติเรื่องบนเตียง ส่วนมากเขาเป็นฝ่ายเร่งเร้าภูวรินทร์มากกว่า ไม่ใช่เพราะว่าเจ้าตัวไม่หื่นกระหายในตัวของเขา เพียงแต่น้าภูของเขาชอบให้เป็นฝ่ายเข้าหามากกว่า ไม่รู้เหตุผลใดเหมือนกัน เงยมองใบหน้าของอีกฝ่ายแล้วเขาพูดไม่ผิดไปเลย ภูวรินทร์ยิ้มกริ่ม ก้มลงจูบประทับ มือปลดกระดุมเสื้อของผู้เป็นน้าออก ก่อนจะผละออกจากรสจูบ ขยับเข้าไปซอนไซร้แผ่นอกของอีกฝ่าย เจ้าตัวหลับตารับความรัญจวนจากรสสัมผัสของปลายลิ้นนุ่ม ภูวรินทร์กอดเขาไว้ในอ้อมแขนก่อนจะเอ่ยเบาๆ


“ไปชั้นบนดีกว่า”อีกฝ่ายเอ่ย พุดหัวเราะอย่างเคอะเขิน แม้ว่าจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อนจะตนก็ไม่สามารถต้านทานสายตาที่กำลังสำรวจไปทั่วใบหน้าของเขาอยู่แบบนี้ อาจจะสำรวจไปทั้งตัวเหมือนเช่นทุกครั้ง นึกถึงริมฝีปากร้อนที่พรมประทับไปทั่วกาย ก็อดสั่นสะท้านไม่ได้


สองน้าหลานพากันขึ้นไปยังชั้นบนของเรือนมาลา ไม่ลืมที่จะล็อกกลอนไว้ก่อนที่ชายคนรักจะรวบตัวของตนไปวางลงบนเตียงนุ่ม ร่างกายสมบูรณ์ของภูวรินทร์เข้ามาทาบทับ ปลดปรารถนาที่กำลังซอนไซร้ไปทั่งร่าง ต่างฝ่ายต่างปฏิบัติต่อกันอย่างนุ่มนวล ด้วยใจรักที่มากกว่ากามอารมณ์ พุดสะท้านเฮือกเมื่อรับสัมผัสจากคนด้านบนที่คร่อมกายอยู่เหนือร่าง เขายกแขนโอบกอดโลมไล้ให้เพลิดเพลิน ภูวรินทร์แนบชิดจับตัวเขากระชับแน่นครอบครองเขาไปทั้งกายและใจอย่างไม่อาจลบเลือน


  พุดซบลงกับอกอุ่นของภูวรินทร์เงยหน้ารับจุมพิตจากคนรัก หยอกเย้าคลอเคลียอยู่นานก่อนจะยื่นมือไปจับสร้อยคอของภูวรินทร์ เจ้าตัวระบายยิ้มอ่อนโยน ถอดสร้อยออกมาพร้อมกับดึงตะขอหยิบแหวนทองคำขาวออกมา พุดรับแหวนมาสอดส่องมองเห็นความเหมือนกันของลักษณะแหวนต่างแค่เพียงตัวอักษรที่สลักไว้เป็นชื่อของตนเอง ‘พุด’


“มาครับ ผมจะสวมแหวนให้”เขายิ้ม รู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้า ร่างกายที่สัมผัสชิดใกล้ทำให้วูบไหวอยู่ภายในอก อีกฝ่ายก้มมองเขาราวกับกลัวว่าตนจะหายไป พุดจับมือข้างซ้ายของน้าภูออกมา ก่อนจะสวมแหวนบนนิ้วนางช้าๆ ใบหน้าคมเข้มของคนรักฉาบด้วยรอยยิ้ม ยื่นหน้ามาจูบประทับที่แก้มอย่างรักใคร่


“ฉันไม่มีคำสาบานหรอก เพียงแค่จะบอกว่าขอให้เธอเป็นพุดที่น่ารักเช่นนี้เรื่อยไป”ภูวรินทร์เอ่ยด้วยความห่วงใย ในแววตาที่มองมาหามีประกายความรักลึกซึ้งไม่เสื่อมคลาย พุดพยักหน้ากุมมือข้างซ้ายของอีกฝ่ายไว้


 “ครับ ผมเป็นพุดของน้าภูเสมอ ขอบคุณนะครับ”เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ยังคงเคยชินกับการเอ่ยขอบคุณในรักของภูวรินทร์เสมอไม่เปลี่ยนแปลง คนชิดใกล้กระชับอ้อมกอดไว้อย่างทะนุถนอม หวนนึกถึงคำมั่นของชายผู้เป็นที่รักในพิธีรับไหว้แล้วความอบอุ่นก็แผ่ซ่านไปทั่วทั้งใจ


‘ผมมีชีวิตอยู่เพื่อน้าภูเสมอ’ พุดคิดอยู่ในใจ เป็นสุขกับทุกส่งที่ได้รับจนกระทั่งวันนี้


ขอบคุณอดีตครั้งก่อนเก่าของตนด้วยเช่นกัน...ที่ไม่ลืมเลือนรักลึกซึ้งในใจ  จิตใจดวงนี้ที่ปรารถนาในรักอย่างแท้จริง ทำให้เขา

ได้รับรักของคนที่วาดหวังไว้ คือภูวรินทร์แต่เพียงผู้เดียว ใจสมดั่งปรารถนาแล้ว



(จบ)




ตอนพิเศษสั้นไปหน่อย สองคนนี้ก็หวานกันแล้ว :ling1:

ขอบคุณทุกคนเลยน้า ที่ติดตาม
หัวข้อ: Re: ❀ สาปดอกแก้ว ❀ l จบแล้ว l หน้า 8 ตอนพิเศษ ปัจจุบัน...ยังมีสองน้าหลาน
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 05-03-2018 09:55:11
ดีกับใจเหลือเกินเป็นความหวานที่เหมาะกับคู่นี้ดีมันไม่ได้หวือหวาแต่มันเป็นความหวานของคนที่รักกันมานานมากๆแล้ว ยอมรับว่าเครียดกับเรื่องนี้มานานจริงๆเดาเรื่องไปต่างๆนานาแต่ก็ไม่เคยจะเดาถูกซะที ตอนอินท์ตายนี่น้ำตาไหลเลยกลัวจบแบบแบดเอนด์ แต่พอมีพุดมาและอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็ใจชื้นแล้วว่านักเขียนคงไม่ใจร้ายกับเรา ฮ่าๆๆๆ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ❀ สาปดอกแก้ว ❀ l จบแล้ว l หน้า 8 ตอนพิเศษ ปัจจุบัน...ยังมีสองน้าหลาน
เริ่มหัวข้อโดย: piengtavan ที่ 05-03-2018 17:59:08
ดีใจที่สองคนนี้มีความสุขต่อกันเสียที
หัวข้อ: Re: ❀ สาปดอกแก้ว ❀ l จบแล้ว l หน้า 8 ตอนพิเศษ ปัจจุบัน...ยังมีสองน้าหลาน
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 05-03-2018 18:30:31
 :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: ❀ สาปดอกแก้ว ❀ l จบแล้ว l หน้า 8 ตอนพิเศษ ปัจจุบัน...ยังมีสองน้าหลาน
เริ่มหัวข้อโดย: express_men ที่ 05-03-2018 18:44:05
เป็นนิยายที่ดีมากครับ
แต่เหมือนอารมณ์ช่วงย้อนยุคจะไม่ชัดมาก ถ้าเติมกลิ่นอายวัฒนธรรมช่วงนั้นให้เข้มข้นขึ้น รสชาตินิยายจะกลมกล่อมมาก กับ เรารู้สึกพระเอก ขี้กลัวเกินกว่าเหตุ น่าจะมีพัฒนาการด้านอารมณ์มากขึ้น เมื่อเจอเหตุการณ์เหนือธรรมชาติบ่อยๆ และสุดท้าย คาแรคเตอของแก้วกับอิน การแยกแค่เสียงเป็นหลักทำให้เราไม่อินเท่าไรอยากให้เติมให้ชัดขึ้น เป็นสองบุคลิกเลย ถ้าคอนฟลิกกันเลยมันจะยิ่งชัดเจน

แต่ยังไงก็ชอบมาก ขอบคุณผู้เขียนสำหรับนิยายดีๆครับ
หัวข้อ: Re: ❀ สาปดอกแก้ว ❀ จบแล้ว หน้า 8 ตอนพิเศษ ปัจจุบัน..ยังมีน้าหลาน
เริ่มหัวข้อโดย: Monnee ที่ 07-03-2018 11:59:27
เป็นรักและผูกพันที่รุนแรงมากเลย  เขียนเนื้อเรื่องภาษาได้สนุกมากๆเลยค่ะ รู้สึกอินไปกับตัวละคร รู้สึกดีในจิตใจที่ดีงามของแก้วอินพุด ที่ก็ยังอยู่บนพื้นฐานความจริงว่าไม่ถึงกับแอ๊บทนทุกข์เกินเหตุ ก็ยังเป็นนิสัยกิเลสมนุษย์ทั่วไป.แต่เธอยึดมั่นในรักของเธอมาก ดีใจกับน้องด้วยที่มีความสุขที่เฝ้าหาสักที ขอบคุณผู้แต่งที่มีเรื่องดีๆออกมาให้อ่านนะคะ.ขอบคุณมากค่ะ เป็นอีกเรื่องที่อยากให้ใครๆได้ลองอ่านเช่นกันค่ะ=^0^=
หัวข้อ: Re: ❀ สาปดอกแก้ว ❀ จบแล้ว หน้า 8 ตอนพิเศษ ปัจจุบัน..ยังมีน้าหลาน
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 08-03-2018 01:19:25
ฮือ เป็นตอนพิเศษที่ดีมากๆเลยค่ะ  :mew1:  สวีทหวานสุดๆ

ในที่สุดทั้งคู่ก็มีความสุขกันเสียที ส่วนตอนจบก็ถือว่าจบดีแล้วค่ะ

แง้ แต่ก็คิดถึงอินท์เฉยเลย 


ขอบคุณอีกรอบนะคะ แต่งได้ดีมาก บีบใจเราไปทุกตัวอักษรเลย
หัวข้อ: Re: ❀ สาปดอกแก้ว ❀ จบแล้ว หน้า 8 ตอนพิเศษ ปัจจุบัน..ยังมีน้าหลาน
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 08-03-2018 12:19:42
 :pig4: :z2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ สาปดอกแก้ว ❀ จบแล้ว หน้า 8 ตอนพิเศษ ปัจจุบัน..ยังมีน้าหลาน
เริ่มหัวข้อโดย: duckka ที่ 08-03-2018 20:09:58
 :katai1:ยาวมาก ลุ้นมากทุกตอน มีปมตลอดจนจบเรืีอง
หัวข้อ: Re: ❀ สาปดอกแก้ว ❀ จบแล้ว หน้า 8 ตอนพิเศษ ปัจจุบัน..ยังมีน้าหลาน
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 09-03-2018 10:45:07
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ สาปดอกแก้ว ❀ จบแล้ว หน้า 8 ตอนพิเศษ ปัจจุบัน..ยังมีน้าหลาน
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 09-03-2018 12:37:55
ตอนพิเศษมาแล้ว
หวานกันซักที
ลุ้นตั้งนานเลย
หัวข้อ: Re: ❀ สาปดอกแก้ว ❀ จบแล้ว หน้า 8 ตอนพิเศษ ปัจจุบัน..ยังมีน้าหลาน
เริ่มหัวข้อโดย: Monamod ที่ 09-03-2018 18:44:48
สนุกมากกกกกกกกกกกกกกกก
ปกติเราไม่ค่อยอ่านนิยายประเภทนี้เลย คือกลัวแล้วก็หลอน
แต่เรื่องนี้ยิ่งอ่านยิ่งว่างไม่ลง แม้จะกลัวแต่ก็กยุดอ่านไม่ได้จริง
ตอนใกล้จะจบเราอ่านตอนเที่ยงคืนกว่าเกือบตีหนึ่ง ขนงี้ลุกกราว
อ่านไปได้นิดต้องปิดกลับไปอ่านตอนเช้าสว่างๆ ไม่ไหว 5555
นักเขียนเขียนได้ดีมากเลยค่ะสนุกน่าติดตาแล้วก็หลอนมากด้วย
ดีใจที่สุดท้ายแล้วทุกอย่างคลี่คลายไปด้วยดี
แม้จะยังหลงเหลือร่องรอยของคำสาป แต่ที่เปนอยุ่แบบน้าภูกะหลานก็ดีมากแล้ว
ถ้าเรื่องนี้ไม่มีตอนพิเศษ ก้จะไม่มีความหวีทหวานอยุ่เลยนะเนี่ย ฮ่าาาาา
เรื่องนี้สอนให้เรารรู้สึกว่าคนเราไม่ควรพูดอะไรพล่อยๆเพราะคำนั้นหากพูดออกไปแล้วมันแก้ไขอะไรไม่ได้จริงๆ
หัวข้อ: Re: ❀ สาปดอกแก้ว ❀ จบแล้ว หน้า 8 ตอนพิเศษ ปัจจุบัน..ยังมีน้าหลาน
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 09-03-2018 20:41:21
ขอบคุณสำหรับตอนพิเศษนี้นะคะ
หัวข้อ: Re: ❀ สาปดอกแก้ว ❀ จบแล้ว หน้า 8 ตอนพิเศษ ปัจจุบัน..ยังมีน้าหลาน
เริ่มหัวข้อโดย: TheGraosiao ที่ 10-03-2018 11:31:34
ขอบคุณมากๆเลยค่ะ สนุกมากกกกก

 :L2:
หัวข้อ: Re: ❀ สาปดอกแก้ว ❀ จบแล้ว หน้า 8 ตอนพิเศษ ปัจจุบัน..ยังมีน้าหลาน
เริ่มหัวข้อโดย: Psycho ที่ 10-03-2018 14:53:44
 o13 o13
หัวข้อ: Re: ❀ สาปดอกแก้ว ❀ จบแล้ว หน้า 8 ตอนพิเศษ ปัจจุบัน..ยังมีน้าหลาน
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 11-03-2018 00:33:01
แงงงง รู้สึกเสียดายเลยคะที่มาตอนช้าไป 5555555
อ่านตอนกลางคืนก็จะหลอนๆนิดนึงค่ะ :mew2:
ก่อนอื่นขอบคุณนะคะสำหรับนิยายดีๆ
ส่วนเอเรื่องก็แอบร้องไห้ไปหลายตอนอยู่เลยค่ะ
ทุกคนเหมือนจะมีเหตุผลเป็นของตัวเอง ต่างก็มองในมุมของตัวเองทั้งนั้น เหมือนเราแค่เอาความสุขของตัวเองเป็นที่ตั้ง
เป็นเรื่องที่ดีมากๆเลยค่ะ ชอบน้องพุด -/////-
หัวข้อ: Re: ❀ สาปดอกแก้ว ❀ จบแล้ว หน้า 8 ตอนพิเศษ ปัจจุบัน..ยังมีน้าหลาน
เริ่มหัวข้อโดย: ณ ที่เดิม™ ที่ 11-03-2018 11:52:29
ดีใจที่เรื่องนี้จบแบบแฮปปี้
อ่านไปหลอนไป ชอบการใช้ภาษาในเรื่องมากๆ

ขอบคุณสำหรับเรื่องราวที่นำมาแบ่งปันครับ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ❀ สาปดอกแก้ว ❀ จบแล้ว หน้า 8 ตอนพิเศษ ปัจจุบัน..ยังมีน้าหลาน
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 13-03-2018 16:21:35
ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: ❀ สาปดอกแก้ว ❀ จบแล้ว หน้า 8 ตอนพิเศษ ปัจจุบัน..ยังมีน้าหลาน
เริ่มหัวข้อโดย: กาลครั้งหนึ่ง. ที่ 24-05-2018 07:39:54
แอบหลอนอ่ะ สงสารภู แก้ว น้องอินน์
หัวข้อ: Re: ❀ สาปดอกแก้ว ❀ จบแล้ว หน้า 8 ตอนพิเศษ ปัจจุบัน..ยังมีน้าหลาน
เริ่มหัวข้อโดย: yin ที่ 25-05-2018 21:12:41
เป็นนิยายที่หน่วงจริงๆ แอบหลอนเบาๆ แต่พีคเศร้านี่ก็บีบคั้นอารมณ์สุดๆ แต่งเก่งจริงๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ❀ สาปดอกแก้ว ❀ จบแล้ว >> แจ้งข่าวเปิด Pre-Order หน้า 9 <<
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 03-06-2018 14:21:12

รายละเอียดการเปิดจอง

(https://www.uppic.org/image-4D88_5B12FB52.jpg) (https://www.uppic.org/share-4D88_5B12FB52.html)


เริ่มเปิดจอง ตั้งแต่ วันที่ 3 มิ.ย.2561 เวลา 09.00 น.

ปิดจองวันที่ 3 ก.ค.2561 และ เริ่มจัดส่งตั้งแต่ 31 ก.ค.2561 ค่ะ

ราคาเต็ม 399 ราคารอบจอง 359 (ไม่รวมค่าจัดส่ง)


ของแถม: ที่คั่นแม็กเน็ต/ ที่คั่น/ โปสการ์ด

กดสั่งจองได้ที่  คลิก >> จองสาปดอกแก้ว  (http://rakkunpublishing.lnwshop.com/product/65/pre-order%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%A7-%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A2-rindadarin)


**มี Promotion ONE DAY สั่งจองและชำระเงินภายในเที่ยงคืนวันที่
3 มิ.ย. จะจัดส่ง EMS ฟรีทุกออเดอร์ เฉพาะลูกค้าที่สั่งซื้อกับสนพ.รักคุณโดยตรงเท่านั้น
**



รายละเอียดเพิ่มเติม สำหรับโปรโมชั่นอื่นๆ ของ สนพ.ในรอบจอง
สามารถเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ >>>  คลิก FaceBook แฟนเพจของสนพ.รักคุณ  (https://www.facebook.com/RakKunPublishing/posts/1004940673007486) หรือ  เข้าไปที่ >> Website หลักของสนพ.รักคุณ  (http://rakkunpublishing.lnwshop.com/)
หัวข้อ: Re: ❀ สาปดอกแก้ว ❀ จบแล้ว >> แจ้งข่าวเปิด Pre-Order 3 มิ.ย. ถึง 3 ก.ค 61 หน้า 9 <<
เริ่มหัวข้อโดย: janehsih ที่ 05-07-2018 00:43:20
อ่านรวดเดียวจบเลย สนุกมากๆ ค่ะ ถึงจะหลินและหน่วงมากแต่ก็สู้อ่านจนจบ มันดีมากจริงๆ ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: ❀ สาปดอกแก้ว ❀ จบแล้ว >> แจ้งข่าวเปิด Pre-Order 3 มิ.ย. ถึง 3 ก.ค 61 หน้า 9 <<
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 28-09-2018 19:39:17
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ สาปดอกแก้ว ❀ จบแล้ว >> แจ้งข่าวเปิด Pre-Order 3 มิ.ย. ถึง 3 ก.ค 61 หน้า 9 <<
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 14:50:13
 :pig4: