❀ สาปดอกแก้ว ❀ จบแล้ว >> แจ้งข่าวเปิด Pre-Order 3 มิ.ย. ถึง 3 ก.ค 61 หน้า 9 <<
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❀ สาปดอกแก้ว ❀ จบแล้ว >> แจ้งข่าวเปิด Pre-Order 3 มิ.ย. ถึง 3 ก.ค 61 หน้า 9 <<  (อ่าน 38488 ครั้ง)

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
 :o12: :o12: :o12: แง้ น้ำตาไหลเลยคุณนักเขียนใจร้ายยยยย ทำไมต้องให้อินท์ตายด้วยค่ะ ฮืออ สงสารน้อง คุณภูก็เหมือนจะรู้ตัวเมื่อสายไปแล้วแล้วนี่ที่ตกบันไดจะเป็นอะไรมากมั้ยคะ หรือคุณภูจะตายแล้วไปเกิดใหม่แล้วก็ไปรักกันกับคุณแก้วและอินท์ในชาติหน้า แล้วเสียงที่ได้ยินนี่เสียงคุณแก้วจริงๆเหรอ

ออฟไลน์ junpa

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 322
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
เสียใจมากกกก จะจบแบบแฮปปี้ใช่มั้ย หรือว่าจริงๆ แล้ว คุณภูแค่ฝัน อยากให้ได้สมหวังกัน
 :hao5:

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
ตอนที่ ๑๘


ภูวรินทร์เจ็บแปลบที่ศีรษะ ร่างกายปวดเมื่อยไปทุกส่วน โดยเฉพาะที่แผ่นหลัง เขาพยายามลืมตาขึ้นมอง เปลือกตาค่อยๆเปิดออก ทำให้มองเห็นภาพเพดานสีขาวสะอาด ชายหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงพูดคุยดังแว่วเข้าหู

“เดี๋ยวผมคุยกับภูเองครับ...”เสียงที่กำลังสนทนาอยู่นั้นเป็นของโชติ  ทำให้เขาหันไปมองทางด้านข้าง เห็นเป็นโซฟาที่สีน้ำตาลวางอยู่ริมห้อง หันมองที่ปรายเตียงอีกครั้ง พบว่าตนเองนอนอยู่ที่โรงพยาบาล

“ฟื้นแล้วค่ะ”เสียงของป้าษอรดังมาจากทางด้านข้าง ชายหนุ่มมองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ งุนงง เธอยังสวมชุดสีดำเรียบร้อย เขาขมวดคิ้วรู้สึกคอแห้งไปหมด

“ฉันตกใจแทบแย่แน่ะ เพราะแกตกบันไดบ้านน่ะสิ หัวแตกเย็บไปสี่เข็ม ยังดีที่ไม่มีอะไรแตกหัก”โชติบอกแล้วเดินมานั่งข้างเตียง เขาจ้องมองคนในห้องอีกครั้ง เห็นว่ามีแต่ป้าษอร กับนิรุทเท่านั้น ภูวรินทร์หลับตาลง คนที่ควรมาอยู่ที่นี่ควรเป็นพ่อแม่ของเขาไม่ใช่หรือไง

“แล้วแม่ผมล่ะ”เขาถามทุกคนในห้อง สีหน้าของนิรุทเปลี่ยนไปเป็นนิ่งเฉยขึ้นมา เขามองอีกฝ่ายแต่ไม่ได้รับคำตอบ จึงหันไปทางเพื่อนสนิทแทน

“แม่แกกลับไปเมื่อไม่นานนี่เอง เดี๋ยวก็คงกลับมาใหม่”โชติบอก ชายหนุ่มพยักหน้า กระทั่งรู้สึกเจ็บที่ศีรษะทางด้านหลัง พอยกมือขึ้นไปจับทางด้านหลังพบว่า ผมของเขาโดนตัดออกไปเล็กน้อยเพื่อเย็บแผลและติดผ้าก๊อซไว้

“ฉันอยู่ที่ไหน”เขาเอ่ยอย่างสับสน โชติเลิกคิ้วสูง เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ก็ที่ร.พ xxx น่ะสิ”โชติบอกน้ำเสียงยินดีอย่างไม่ปกปิด เพราะฉีกฝ่ายต้องการให้เขากลับมาอยู่บ้านในเมืองใหญ่มากกว่าบ้านในชนบทที่มีแต่ความน่ากลัว  เขาถอนหายใจออกมา  ก่อนจะหลับตาลง ยังคงไม่ลืมเรื่องราวในบ้านภิรมย์สุขแม้แต่นิดเดียว  อกซ้ายเหมือนจะบีบแน่นจนหายใจลำบาก ร่องรอยความเสียใจยังมีให้เห็นอยู่  ป้าษอรลูบไหล่ของเขาอย่างแผ่วเบาเป็นการปลอบประโลม ความอุ่นแผ่จากฝ่ามือของเธอ   

“พักผ่อนเถอะค่ะ เรื่องบ้านเดี๋ยวป้าดูแลให้ค่ะ”เธอเอ่ยออกมา เขาขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจนัก

“ผมไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นครับ”เขาบอกน้ำเสียงเเข็งกระด้าง ชายหนุ่มลืมตามองหญิงท้วมทันที

“ป้ารู้ค่ะ”ป้าษอรบอกเสียงอ่อนลง เธอยิ้มอย่างเศร้าสร้อย

“ตอนนี้เธอกลับมาอยู่กับพ่อแม่น่าจะดีกว่านะ อย่าให้เขาสองคนเป็นห่วงมากกว่านี้เลย”มีเสียงของนิรุทเอ่ยแทรกอย่างเข้มงวด ใบหน้าของอีกฝ่ายฉายแวววิตกกังวล  ภูวรินทร์เงียบ ถูกเช่นนิรุทพูด เขาเข้าใจดี จึงได้แต่พยักหน้าเงียบๆ ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบน่าอึดอัด ชายหนุ่มนอนหลับตารู้สึกว่างเปล่า ต่อจากนี้ไปเขาคงไม่มีวันที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก 

“...นี่ภู พอดีว่ามีเรื่องสำคัญจะบอกแกด้วยเพื่อน”โชติเอ่ยออกมา สีหน้าและแววตาของเจ้าตัวฉายความไม่มั่นใจออกมา เขามองอย่างสังเกต

“อะไรล่ะ”ภูวรินทร์ถาม เหลือบมองหน้าป้าษอรและนิรุทไปด้วย อีกฝ่ายมีท่าทีและแสดงสีหน้าแปลกๆ กันทั้งคู่ ชายหนุ่มเบนหน้าออกจากการจ้องมองของป้าษาอรหันไปหาโชติแทน เจ้าตัวดูหวั่นวิตก

“แกทำใจไว้หน่อยนะ”โชติบอก คิ้วขมวดแน่นสีหน้าเอาจริงเอาจัง เขาลอบเก็บความวิตกเอาไว้ในใจ แสร้งทำเป็นเหมือนไม่ใส่ใจนัก เขาเห็นปฏิกิริยาของทุกคนแล้วคิดว่าเป็นเรื่องร้าย

“อืม”เขาพนักหน้า โชติเม้มปากสูดหายใจเข้าออกลึกๆเพื่อเรียกความมั่นใจจนเขานึกขำ

“หมอตรวจว่าแกเป็นโรคหัวใจ”สิ้นคำบอกกล่าวของโชติ ภูวรินทร์แทบไม่เชื่อหูตัวเอง เขามองหน้าของโชติที่มีสีหน้าหวั่นเกรง

“อะไรนะ”แม้ว่าร่างกายของเขาจะดูไม่แข็งแรงอยู่บ่อยไม่ มีอาการที่ชวนวิตกบ่อยๆ แต่ก็ไม่ใจหายเท่านาทีที่ได้ยินจากปากคนอื่น ตอนนี้เขาอยู่ในโรงพยาบาล ไม่มีทางที่โชติจะโกหก

“แกเป็นโรคหัวใจชนิดกล้ามเนื้อหัวใจหนาผิดปกติ”เพื่อนสนิทอธิบายต่อ ชายหนุ่มถอนหายใจ รู้สึกเหมือนของสำคัญปลิวหายไปจากใจอีกแล้ว ภูวรินทร์พูดไม่ออก เขานิ่ง จ้องมองเพดานอย่างเหนื่อยหน่าย นั่นสินะ นอกจากจะไร้คู่แล้วยังจะโชคร้ายอีกด้วย สิ่งไม่ดีมันมาตกที่ตัวเขาทั้งนั้น

“อย่าห่วงเลย ตอนนี้มีหมอเก่งอีกเยอะแยะ ผ่าตัดแปบเดียวก็หายแล้ว ถึงว่าจะเป็นจากกรรมพันธุ์ก็เถอะ แต่หมอบอกว่ารักษาได้”นิรุทเอ่ยเสียงขรึมเพื่อให้เขาคลายใจ อีกฝ่ายพูดมานั้นไม่ผิด การแพทย์ก้าวไกลมากไม่มีทางที่เขาจะมีจุดจบเช่นเดียวกับท่านหมื่น

“งั้นก็ดีสิ”เขาพึมพำ รู้สึกใจแกว่งไม่หาย แต่ก็ทำให้เขาไม่อาจฝืนยิ้มได้อีก

“พักผ่อนเถอะค่ะ”ป้าษอรเอ่ย ก่อนจะจัดแจงดึงผ้าห่มให้เขา ชายหนุ่มหลับตาลงช้าๆ รู้สึกว่าเริ่มง่วงนอนและไม่มีสมาธิ ก่อนจะปิดตาสนิท เขามองเห็นนิรุทเดินเข้ามาหา ท่าทางห่วงใย ชายหนุ่มกลับไปอีกครั้งเพราะฤทธิ์ยา

ภูวรินทร์ฝัน ล่องลอยในถนนที่เต็มไปด้วยหมอกเต็มไปหมด เส้นทางยาวไกลสุดสายตา เขาองไปรอบกายไม่เห็นใครผ่านม่านหมอกสักคน ตะโกนเรียกชื่อคนที่รักอย่างอินทนิล หรือแม้แต่คุณแก้ว เขามึนงงไม่รู้ว่ากำลังเผชิญหน้ากับอะไร

“มีใครได้ยินไหม!”เขาร้องเรียก มีเสียงเรียกชื่อเขาสะท้อนก้องไปมา ชายหนุ่มเดินหาต้นตอของเสียง เขาวิ่งไปตามเส้นถนนที่ทอดยาวอย่างไร้จุดหมาย เขามองตรงไปข้างหน้าเสียงเรียกยังดังเป็นระยะ ไม่ใช่เสียงของอินทนิล

“ไม่ทันได้ร่ำลาท่านเลยนะภูวรินทร์”กระแสเสียงของชายหนุ่ม คล้ายกับเสียงอินทนิลแต่ไม่ใช่

“คุณแก้ว”เขายินดี มองหาต้นตอของเสียงแต่ไม่เห็นแม้เงาคน

“ต่อจากนี้เราอาจไม่ได้มีชื่อนี้ ทั้งเราทั้งอินน์ หากชะตาลิขิตให้เกิดมาคู่กันจริงคงได้พบเจอกันอีก”เสียงนั้นยังคงดังก้อง เขาหันซ้ายขวา

“แก้ว…คุณอยู่ที่ไหน ยังอยู่ที่บ้านภิรมย์สุขอีกเหรอ”เขาอยากรู้เรื่องนี้มากที่สุด เสียงของคุณแก้วหัวเราะออกมา

“เปล่า เรามีทางของเราเอง”ฝ่ายนั้นตอบกลับมา ภูวรินทร์นิ่งคิด หมายความว่ายังไงกัน คุณแก้วจะไปเกิดยังภพอื่นแล้วงั้นเหรอ ถึงได้พูดเช่นนี้

“ผม…”เขาอยากพูดสิ่งที่รู้สึกอยู่ในใจ แต่พอจะเอ่ยคำพูดคุณแก้วกลับเอ่ยเสียงเสียก่อน ถ้อยคำนั้นฝังลงในใจเขา

“อย่าเอ่ยโดยไม่ไตร่ตรองเสียก่อน อาจสร้างพันธะผูกพันไม่จบไม่สิ้น เราจะอยู่กับท่านเสมอ…”

“แก้ว!”เขาร้องตะโกนอย่างสุดเสียง

พอรู้ตัวอีกทีภูวรินทร์กำลังลืมตามองเพดานอยู่ในห้องพิเศษเช่นเดิม เขาสูดลมหายใจเข้าออกยาวๆ รู้สึกว่าคอแห้งผาดไปหมด ชายหนุ่มเหลียวหน้าไปมองทางตู้ลิ้นชัก เจอกับสายตาของโชติ เพื่อนสนิทนั่งอยู่ที่โซฟาสีหน้าห่วงใย

“ฝันร้ายเหรอ”อีกฝ่ายเอ่ยถาม เขาพยักหน้า

“อืม โทษทีแต่ขอน้ำให้ฉันหน่อย”ชายหนุ่มเอ่ยบอก เพราะเอื้อมไปไม่ถึง โชติลูกจาก็โซฟาเดินมารินน้ำใส่แก้วน้ำ แล้วยื่นแก้วน้ำมาให้ เขาค่อยๆยันร่างกายลุกขึ้นมานั่ง รับแก้วน้ำมาถือไว้บอกขอบใจก่อนจะยกแก้วน้ำมาดื่มอย่างกระหาย

“ขอถามอะไรอย่างสิ”โชติเอ่ยด้วยความเคร่งเครียด ลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียง ภูวรินทร์มองอย่างสงสัยก่อนจะพยักหน้าตกลง ส่งแก้วน้ำที่ดื่มหมดแล้วไปให้โชติ

“ว่ามาสิ”พอเขาตกลง ฝ่ายนั้นก็อ้ำอึ้งอยู่นานจนกว่าจะกล้าเอ่ยออกมา “แกเป็นอะไรกันแน่”โชติมองหน้า แววตาดูมีประกายแปลกไป เขาขมวดคิ้ว

“อะไรนะ”เขางุนงง รู้สึกกังวลอยู่บ้างแต่ไม่แสดงออกมาก โชติถอนหายใจ หน้านิ่วคิ้วขมวด

“คืนที่แกตกบันได ก่อนหน้านั้นแกออกจากห้องแล้วไปที่สวนของอีกบ้านหนึ่ง ฉันนึกว่าแกละเมอซะอีก”เพื่อนคนสนิทพูดออกมาช้าๆ ระหว่างนั้นเจ้าตัวสังเกตท่าทีของเขาไปด้วย สายตาของอีกฝ่ายทำให้นิ่งงัน เหมือนถูกมองว่าเป็นคนบ้า ภูวรินทร์ยิ้มออกมา

“อืม แค่เดินไปดูอะไรนิดหน่อย”เขาตอบไปสั้นๆ ซึ่งก็ไม่ได้ผิดไปจากความเป็นจริงนัก เขาไม่แปลกใจเลยที่โชติจะคิดว่าเขาทำตัวแปลก

“นั่นมันน่ากลัวออกนะ ดึกดื่นขนาดนั้น …แกทำตัวเป็นพวกเพ้อพกไปได้”โชติเอียอย่างกังวลใจ เขามองเพื่อนคนนี้อย่างตั้งใจ อีกฝ่ายไม่มีเจตนาจะมองเขาไม่ดี แต่คงเพราะความเป็นห่วงนั่นแหละ

“…ผิดด้วยเหรอ”ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะตอโต้กลับไป โชติย่นหน้า

“ฉันป็นห่วงแก”อีกฝ้ายย้ำ เขายิ้มออกมา

“ฉันรู้น่า ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง”ชายหนุ่มบอกด้วยความรู้สึกผิด นึกถึงคำพูดของนิรุทอีกครั้ง เรื่องทำตัวใหัคนอื่นเป็นห่วง เขามองเพื่อนสนิทอย่างซึ้งใจ

“ช่างเถอะ ฉันพยายามจะเข้าใจ”เจ้าตัวถอนหายใจ ส่งยิ้มมาให้เขา ภูวรินทร์มองไปรอบห้องอย่างผิดหวัง “แล้วพ่อกับแม่ล่ะ”

“เดี๋ยวก็มานั่นแหละ อาจติดงานอยู่”โชติตอบเสียงเบา เขารู้สึกว่าพ่อกับแม่กลายเป็นคนแปลกหน้าไปแล้ว หลังจากที่เขาผ่านเรื่องของบ้านภิรมย์สุขมาจนถึงตอนนี้ คำว่าครอบครัวสำหรับตนนั้นดูห่างเหินเหลือเกิน โชติตบไหล่เขาเพื่อไม่ให้คิดมาก

“ฉันรู้สึกว่าพ่อกับแม่พยายามตีตัวห่างกับฉันยังไงไม่รู้”เขาบอกออกมา บางทีพ่อกับแม่อาจกลัวเรื่องคำแช่งขึ้นมาก็ได้ ถึงได้ไม่ติดต่อกลับมาแบบนี้ เขาไม่ได้มองโลกในแง่ร้าย แต่ลางสังหรณ์และพฤติกรรมของพ่อกับแม่ที่ดูเหมือนไม่แยแสต่อความเป็นไปของลูกชายเช่นเขา...โดยเฉพาะกับพ่อ ต่อให้โชติบอกว่าท่านเป็นห่วงเขาก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วท่านก็รู้ความจริงที่เขาไม่ได้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่าน ความสัมพันธ์อาจมีการเปลี่ยนแปลง

“คิดมากน่าเพื่อน”โชติรีบปราม ชายหนุ่มพยายามยิ้ม มองไปรอบห้องอย่างไร้อารมณ์

“...นั่นสิ”

สุดท้ายพ่อกับแม่ก็มาเยี่ยมเขาจนได้ ส่วนใหญ่ถามถึงโรคหัวใจของเขามากกว่า และเร่งรัดให้เข้าเขารับการรักษาอย่างเร่งด่วนทันที เขาขัดอะไรไม่ได้ ระหว่างพ่อกับแม่ดูไม่เหมือนเดิมอีก มีความเย็นชาจนสังเกตเห็นได้

ช่วงที่เขาเตรียมร่างกายสำหรับการผ่าตัดรักษาโรคหัวใจ เขามอบฉันทะให้โชติไปเข้าประชุมผู้ถือหุ้นให้ และชี้แจงถึงอาการป่วยของเขา เรื่องหุ้นที่เขาถือครองอยู่ เขาโอนให้พ่อไป10% อีก20%เขายังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะมอบให้แม่ หรือว่าให้พี่น้องคนอื่นดี นิรูทยังอยู่ในลิสต์ของเขาอยู่ ได้ยินว่าเจ้าตัวย้ายมาอยู่ไทยแบบถาวรแล้ว ป้าษอรกับลุงชมกลับไปดูแลบ้านภิรมย์สุขให้เขา เหมือนว่าเรื่องราวทุกอย่างกลับเข้าสู่ที่ทางของมัน ร่องรอยของอินทนิลกับคุณแก้วหายไปอย่างง่ายดาย เขาไม่เอ่ยถึง แต่ในใจยังไม่ลืมอยู่ดี

“พ่อมาคุยกับแกให้เข้าใจ”ก่อนวันผ่าตัดหนึ่งวัน พ่อเข้ามาคุยกับเขา พอมองสำรวจท่านแล้ว เส้นผมสีดำแซมสีขาวมากขึ้น ร่างสูงใหญ่กำยำต่างจากเขาที่ผอมสูงมากกว่าตัวหนา เขามันผ่าเหลาต่างจากพี่น้องในบ้านจริงๆนั่นแหละ ภูวรินทร์มองผู้เป็นพ่อ

“ครับ...”

“พ่อไม่ได้รังเกียจอะไรแกเลยนะภู เรื่องแม่ของแก...ถึงมันจะไม่เหมือนเดิม แต่เราก็ยังเป็นครอบครัวกันอยู่ พ่อไม่อยากให้บ้านเราแตกเพราะเรื่องนี้... พี่ๆน้องๆของแกไม่มีใครรู้ และทุกคนก็ยังรักเป็นห่วงแกเหมือนเดิม”พ่อบอก แววตาสีดำนั้นจ้องมองเขาอย่างจริงใจ เขาได้ยินจากปากของพ่อจึงยิ้มออกได้

“ขอโทษครับพ่อ ที่ผมทำตัวไม่เอาไหน...เรื่องงานก็ด้วยที่ผมทิ้งมา”ภูวรินทร์เอ่ยอย่างรู้สึกผิด พ่อมองเขาก่อนจะเอื้อมมาจับแขนของเขาเบาๆ

“ถ้าแกรู้สึกผิดก็กลับเข้าไปทำงานให้ดี รู้ไหมว่าพ่อพยายามคุยกับผู้ถือหุ้นรายอื่นให้ผ่อนปรนให้แกแค่ไหน พวกเขายอมใจอ่อน เชื่อใจแกอีกครั้ง คราวนี้ก็อย่าทำให้พวกเขาผิดหวังอีก”พ่อบอก ชายหนุ่มรับคำ

“...พ่อ ถ้าหากว่า”อยู่ๆเขาก็พูดไม่ออก การผ่าตัดกล้ามเนื้อหัวใจที่หนาผิดปกติ ทำให้หายขาดได้ก็จริง แต่เขายังต้องระมัดระวังโรคแทรกซ้อนชนิดอื่นด้วย

“แกยังไม่ตายตอนนี้หรอกน่า...พ่อได้ยินเรื่องของแกจากโชติมาบ้าง บ้านหลังนั้นน่ะ ถ้าหากว่ามันมีแต่เรื่องไม่ดีก็อย่ากลับไปอยู่อีกเลย ถึงจะเป็นสมบัติของนายนิรุทนั่น แต่ถ้าบ้านไม่เกื้อหนุนเรา ก็อย่าไปอาศัยเลย”พ่อเอ่ยด้วยเสียงเคร่งขรึม ภูวรินทร์เงียบ ที่พ่อพูดมันก็มีส่วนถูก แต่บ้านก็ไม่ได้มีแต่เรื่องไม่ดี เขาไม่ได้ตอบอะไร

หลังการผ่าตัดผ่านไปด้วยดี ภูวรินทร์ต้องพักฟื้นอีกหลายสัปดาห์ ยังคงต้องเช็กเรื่องอัตราการเต้นของหัวใจว่าปกติหรือไม่ ชายหนุ่มเหมือนกึ่งหลับกึ่งตื่น เงาร่างที่ไม่ชัดเจนกำลังก้มตัวมองตนอยู่ เขาพยายามเพ่งมองอีกฝ่าย แต่กลับพบเพียงร่างเบลอพร่ามัว ที่กำลังขยับห่างออกไป ชายหนุ่มหลับตาลงอีกครั้ง หากเขาลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ทุกอย่างจะกลับเข้าสู่วังวนเดิม ที่มีพ่อแม่ และโชติดูแล

++++++++++++

เวลาช่วยเยียวยาทุกสิ่ง กาลเวลาไม่หยุดนิ่งผันผ่านไปวันแล้ววันเล่า จากเดือนเป็นปี

ชื่อของอินทนิลและแก้วยังไม่จางหายไปจากใจ หากว่ามีเวลาว่าง เขาจะกลับไปพักผ่อนที่บ้านภิรมย์สุข อยู่กับความอ้างว้างเงียบสงบของบ้าน ป้าษอรยังคงอยู่ดูแลบ้านไม่จากไปไหน

ชายหนุ่มไม่เผชิญกับฝันร้ายมาตั้งแต่การขอขมากรรม หากแต่ฝันถึงเด็กหนุ่มที่เฝ้าคิดถึงไม่ห่างหาย เป็นฝันดีจนแทบไม่อยากตื่น

ในระยะเวลา 7 ปีที่ผ่านมา ภูวรินทร์กลับมาทำงานที่บริษัทเช่นเคย มีการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการบริษัทใหม่ เขายังเป็นหนึ่งในนั้น แต่อำนาจน้อยกว่าเดิม ส่วนหุ้นที่เหลือ เขาขายหุ้นให้บริษัท และนิรุทก็เข้ามาซื้อหุ้นส่วนนั้นแทน เขาถือโอกาสไปบ้านภิรมย์สุขในช่วงที่ต้องการพักผ่อนเท่านั้น เพราะบรรยากาศในบ้านมันทำให้เศร้า เขายังคงนึกถึงอินทนิลเสมอ ยิ่งกลับไปบ้านหลังนั้นยิ่งทำให้เขาไม่สามารถเริ่มใหม่ได้ ถ้อยคำของหลวงตายังคงไม่ต่างไปจากสมอง อย่ายึดติดอดีต อย่าไปคาดหวังกับอนาคต แค่อยู่กับปัจจุบันก็เพียงพอ

ส่วนป้าษอร นานครั้งที่อีกฝ่ายจะโทรศัพท์มาพูดคุยกับเขา หากไม่มีธุระเร่งด่วน หรือมีเรื่องสำคัญที่ต้องรายงาน เขาไว้ใจให้เธอดูแลความเป็นไปของบ้าน ป้าษอรมีลูกมือมาช่วยสองสามคน เพราะตอนนี้เธอแก่ตัวลงมาก อายุขึ้นเลขหก ผมเผ้ากลายเป็นสีขาวไปเกือบครึ่งศีรษะ

ขณะที่ภูวรินทร์เพิ่งกลับมาจากการประชุมผู้ถือหุ้น เขาไม่ได้มีบทบาทในการบริหารมากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นพ่อกับพี่ชายของเขา เพราะหุ้นของเขาไม่ได้มากเท่าเมื่อก่อน เขากลับไปอยู่ที่บ้านกับแม่ที่เริ่มป่วยออดแอดอยู่บ่อยครั้ง

โทรศัพท์ของสั่น มีเบอร์ของป้าษอรโชว์อยู่ที่หน้าจอ ชายหนุ่มมองโทรศัพท์อยู่นาน หากเขารับสายนี้อาจมีเรื่องให้ต้องกลับไปที่บ้านภิรมย์สุขอีก

“ว่าไงครับป้า”ภูวรินทร์ในวัยสามสิบสี่เอ่ยกลับคนปรายสาย น้ำเสียงที่โรยราไปตามวัยตอบกลับมา

“ขอโทษที่รบกวนเวลาพักค่ะ พอดีว่าคุณธิชาเธอมาที่บ้านค่ะ เห็นว่าจะมาซ่อมเรือนเล็กหลังนั้นให้ลูกชายของเธอ”ป้าษอรบอก เขาถึงกับแปลกใจมาก คุณป้าธิชาคนนี้ห่างหายไปจากบ้านภิรมย์สุขเกือบสิบปี ที่ดินของเรือนหลังเล็กเป็นของเธอ ในตอนนั้นเธอไม่ต้องการบ้านหลังนั้นด้วยซ้ำ 

“อืม ลืมไปเลยว่าบ้านหลังนั้นเป็นของเธอ”ภูวรินทร์ไม่เคยได้เจอ หรือพูดคุยกับคุณป้าท่านนี้มาก่อน เป็นอีกครั้งที่เขาหวนนึกถึงอินทนิลอีกแล้ว เพราะคุณป้าธิชาเป็นแม่แท้ๆของอินน์ ทำให้วกไปเรื่องที่เธอทิ้งอินน์ไป แล้วให้ป้าษอรดูแลอินทนิลเอง เขาพยายามไม่ใช่อารมณ์ของตัวเองไปตัดสินคุณป้าท่านนี้

“งั้นป้าเลยจัดเรือนรับรองให้ที่บ้านนะคะ เพราะเธอจะอยู่ดูแลอยู่สักสองสามอาทิตย์”คู่สนทนาเอ่ยต่อ เขาส่งเสียงรับรู้

“ครับ ตามสบายเลย”

“คุณภูจะแวะมาใหมคะ คุณธิชาเธออยากพบคุณเหมือนกัน...”อีกฝ่ายเอ่ยถาม ภูวรินทร์ลังเล แต่ความอยากเจอกับผู้มาเยือนคนใหม่ทำให้เขาตกลง

“...ได้ครับ เดี๋ยวผมหาวันว่างก่อน”เขาบอก หลังจากนั้นป้าษอรก็รายงานเรื่องทั่วไปที่ไม่มีความสลักสำคัญมากนัก เขาคิดว่าป้าษอรคงเหงามากกว่าเพราะแก่ตัวลงมาก ลุงชมเองก็โรยราแล้วเช่นกัน คนสวนคนใหม่ก็เป็นลูกน้องของแกเอง

คุณธิชามีศักดิ์เป็นป้าของเขา อายุอานามไล่เลี่ยกับคุณนิรุท แต่เอาเข้าจริงเธออายุมากกว่านิรุทอยู่หลายปี   

ช่วงหลายปีที่ผ่านมาชายหนุ่มมีโอกาสศึกษาเรื่องการเพาะจำพืชไม้ประดับอยู่บ้าง เพราะที่เรือนเพาะชำมีดอกไม้หลายชนิด ลุงชมคอยดูแลไม่ให้มันตาย แม้ว่าจะออกดอกออกต้นเยอะ ลุงชมขยับขยายหาทางเอาพันธ์ไม้ดอกไม้ประดับเหล่านั้นไปขาย ให้แก่พวกร้านอาหารที่ต้องการดอกไม้สด ภูวรินทร์เคยเป็นธุระให้หลายครั้งเรื่องการติดต่อขายดอกไม้ตามตลาดต่างๆ

ช่วง5ปีก่อนเขาบอกให้ป้าษอรนำต้นแก้วไปปลูกไว้รอบรั้วบ้านแทน ตอนที่ภูวรินทร์กลับไปเคยไปเยี่ยมอีกฝ่าย ดอกแก้วขาวสะพรั่ง มองแล้วสบายตา ยิ่งทำให้ชาวบ้านยิ่งซุบซิบว่าบ้านภิรมย์สุขยังมีอาถรรพณ์ไม่หาย เขานึกขำอยู่บ้าง ยิ่งเวลาไปเดินตลาดในหมูบ้านมีแต่สายตาจับจ้อง ผ่านมา7ปีแล้ว เขาคิดว่าคำสาปแช่งหมดลงที่รุ่นของเขานี่แหละ

ก่อนเดินทางไปที่ต่างจังหวัด ภูวรินทร์นำต้นแก้วแคระจำนวนหลายสิบต้นติดไปด้วย เพราะต้องการเอาไปปลูกแทนเทียนหยด เส้นทางขึ้นเขาไปบ้านภิรมย์สุขดีขึ้นกว่าเมื่อ 7 ปีก่อน ดังนั้นการเดินทางไม่จำเป็นต้องพึ่งรถไฟอย่างเดียว เขาขับรถกระบะไปเอง เส้นทางที่เต็มไปด้วยขุนเขาและผืนป้าอุดมสมสมบูรณ์ การเดินทางครั้งนี้ทำให้เขาตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย

เขาใช้เวลา 5-6 ชั่วโมงในการเดินทาง จนกระทั่งเริ่มเข้าสู่ตัวหมู่บ้าน เขาขับผ่านถนนที่ฟุ้งไปด้วยฝุ่นดิน เพื่อมุ่งหน้าไปยังบ้านหลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านท่ามกลางป่าไม้ ตัวบ้านอยู่ห่างจากหมู่บ้านและผู้คนหลายกิโลฯ จนเขาเริ่มเห็นรั้วบ้านสูง ประตูรั้วใหญ่เปิดอ้าไว้รอ เขาขับรถเข้าไปตามทาง มองด้านข้างเห็นต้นแก้วสูงประมาณหนึ่งเมตรกว่าๆแล้ว เขาขับผ่านลานบ่อน้ำเข้าไปจอดที่โรงจอดรถทางด้านขวามือ เขาเห็นป้าษอรกับเด็กรับใช้สองคนเดินออกมาต้อนรับ

ภูวรินทร์ดับเครื่อง ลงจากรถด้วยท่าทางปลอดโปรง เขาอ้อมไปยกกระเป๋าเดินทางออกมาวาง เขากวาดสายตามองไปยังทางฝั่งของเรือนหลังเล็ก เขาเห็นว่าตัวบ้านกำลังถูกรื้อออกเพื่อซ่อมแซมใหม่

“สวัสดีค่ะคุณภู สบายดีไหมคะ”ป้าษอรเอ่ยถาม เขายิ้ม มองแม่บ้านที่ร่างกายผ่ายผอมลงเยอะ เธอแก่ตัวลงมากจริงๆ เส้นผมสีขาวแซมออกมาชัดเจน เขาเหลือบมองเด็กรับใช้สาวสองคนที่ยกมือไหว้เขา

“สบายดีครับ แล้วป้าเป็นอย่างไงบ้าง”เขาถาม อีกฝ่ายยิ้มบางๆ บอกกล่าวว่าสบายดีตามอัตภาพ ลุงชมวิ่งมาหาที่รถ อีกฝ่ายก็ผอมลงเช่นกัน เขาคิดว่าถึงเวลาที่สองคนอาจต้องพักบ้าง เพราะอายุขนาดนี้แล้ว ทำงานหนักๆก็คงไม่ไหว ลุงชมให้คนสวนสองคนยกกระถางต้นแก้วแคระออกไปวาง

ป้าษอรพาเขาไปที่โถงรับแขก บ้านยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน สิ่งที่เปลี่ยนก็คงเป็นพวกเขา ระหว่างที่เดินมานั่งโซฟา เขาเจอกับหญิงผิวขาว ท่าทางเรียบร้อย ใบหน้ายังคงเต่งตรึง มีริ้วรอยของวัยประปราย

“สวัสดีครับคุณป้า”เขาเอ่ยทักทาย

“สวัสดีจ้ะภู”เธอเอ่ยทักทาย น้ำเสียงใจดี จนเขาไม่คิดว่าเธอจะเป็นคนเดียวกับที่ทิ้งอินทนิลไป เขารู้สึกไม่ดีกับเธอเท่าไหร่ แต่ก็ยังเคารพอีกฝ่ายตามมารยาท

“คุณป้ามาถึงนานแล้วเหรอครับ”เขาถาม

“เพิ่งมาถึงได้สองวันเองจ้ะ ว่าแต่เราเถอะ สบายดีนะจ๊ะ”คุณธิชาเอ่ยถามอย่างห่วงใย เขามองอย่างแปลกใจ เห็นเศษเสี้ยวความเศร้าหมองในดวงตาของเธอ อีกฝ่ายกำลังเอ่ยถึงอินทนิลงั้นเหรอ เขาเงียบไป

“ผมสบายดีครับ แล้วคุณป้าดูบ้านหมดหรือยังครับ...เอ่อ ลืมไปเลยครับว่าคุณป้าก็เคยอยู่ที่นี่มาก่อน”ภูวรินทร์เอ่ยอย่างลืมตัว แม้ว่าเขาจะเป็นเจ้าของบ้าน แต่คุณป้าคงจะรู้จักทุกซอกทุกมุมอยู่แล้ว ความอึดอัดเข้ามาครอบคลุมแทน

“อรคงบอกเราแล้วนะ ว่าป้ากำลังซ่อมบ้านหลังนั้นอยู่...ไม่คิดเหมือนกันว่าจะได้กลับมา”เธอเอ่ยเศร้าๆ เขาพยักหน้า เหลือบมองไปรอบห้องโถงอย่างอึดอัด เขามองไปทางบันไดบ้าน ปรากฏว่ามีคนยืนอยู่ที่ชั้นบน เขาแอบตกใจเงียบๆเพราะอีกฝ่ายน่าจะยืนอยู่นานแล้ว ธิชามองตาสายตาเขาไป เธอหัวเราะเบาๆ

“นั่นลูกชายป้าเองจ้ะ ชื่อพุด”อีกฝ่ายเอ่ยบอก ภูวรินทร์มองไปที่ชายหนุ่มนามว่าพุดอย่างไม่วางตา ลักษณะผอมบางรูปร่างสูงโปร่ง ไม่โดดเด่นออกไปทางจืดชืดเสียมากกว่า ใบหน้าเรียว ปากนิดจมูกหน่อย ผิวขาวสะอาด ธิชาเอ่ยเรียกลูกชายของเธอให้ลงมาไหว้เขาด้วยน้ำเสียงเคร่งครัด แต่เขาไม่ถือสาอะไรคนหนุ่มนั่นหรอก

หนุ่มวัยรุ่นชื่อพุด เดินลงจากบันไดด้วยท่าทางสบาย อีกฝ่ายอายุอานามประมาณสิบแปดปีหรืออาจมากกว่านั้นเพราะน้ำเสียงที่เปล่งออกมาเป็นหนุ่มแล้ว

“สวัสดีครับน้าภู”

“สวัสดี”เขาเอ่ยสั้นๆ จ้องมองไปที่เด็กหนุ่มที่กำลังเดินมานั่งข้างๆผู้เป็นแม่ของตนเอง ธิชามองเขาก่อนจะค่อยๆพูด

“เด็กนี่เพิ่งเรียนจบค่ะ เลยอยากได้บ้านไว้พักผ่อน ป้าเลยนึกที่นี่ขึ้นมา...ยังไงป้าก็รบกวนเราหน่อยนะจ้ะ คงต้องค้างที่บ้านของภูอีกหลายสัปดาห์”ธิชาเอ่ยบอก พุดเหลือบมองเขาอยู่นาน

“ไม่เป็นอะไรหรอกครับ ดีเสียอีก ผมจะได้มีเพื่อนบ้าน”ภูวรินทร์เอ่ยยิ้มๆ 

“งั้นคุยกันไปก่อนนะ เดี๋ยวป้าขอไปที่ครัวหน่อย เราทานอะไรมาหรือยังจ้ะ”

“ยังเลยครับ...”เขาบอก ธิชาลุกยืนเดินหายเข้าไปในครัว ภูวรินทร์หันกลับมามองลูกชายของธิชาอีกครั้ง เพราะชื่อเรียบง่าย สั้นๆของเจ้าตัวทำให้เขานึกถึงคุณแก้วขึ้นมา

“เธอเรียนด้านไหนเหรอ”ภูวรินทร์เอ่ยถามออกมาก่อน พุดยิ้มให้เขา ก่อนจะขยับมานั่งทางฝั่งซ้ายมือของเขาแทน

“ทัศนศิลป์ครับ”คำตอบของอีกฝ่ายทำให้เขาแปลกใจมาก เขามองเจ้าตัวอีกครั้ง “งั้นเหรอ หน้าไม่ให้เลย”

“ฮ่ะๆ มีคนพูดบ่อยเหมือนกันครับ”พุดเอ่ยยิ้มๆ ระหว่างนั้นมีเด็กรับใช้เอาน้ำชากับของว่างมาเสิร์ฟ รวมไปถึงอาหารเที่ยวของเขาด้วย ภูวรินทร์ไม่เห็นว่าคุณป้าท่านนี้ออกมาด้านนอกอีกเลย เขาหันไปมองเด็กหนุ่มข้างๆอย่างสนใจ อีกฝ่ายกำลังเอื้อมมาหยิบถ้วยน้ำชา

“ทำไมถึงอยากมาอยู่ที่นี่ละ เด็กสมัยนี้ต้องอยู่ในเมือง หางานทำสบายกว่าเยอะ”เขาถาม พุดพยักหน้า ก่อนจะพูดด้วยท่าทีไม่อินังขังขอบอะไร

“ผมขอแม่ว่าจะหางานอิสระทำสักปีสองปีก่อนครับ จากนั้นค่อยไปทำงานกับที่บริษัทของครอบครัว”เด็กหนุ่มเอ่ย เขาเงียบไป เพราะต้นทุนดีจะทำอะไรก็ได้น่ะสิ เขามองพุดอย่างพิจารณาอีกครั้ง เด็กหนุ่มคนนี้ท่าทางเป็นคนไม่คิดอะไรมาก ดูสดใสสมวัยดี

“ทานข้าวเที่ยงหรือยังล่ะ มาทานด้วยกันสิ”เขาเอ่ยชวนไปตามมารยาท พุดมองอาหารในสำรับด้วยสีหน้าไตร่ตรอง ก่อนจะเลื่อนสายตามองเขาอีกรอบ เด็กนี่ชอบจ้องหน้า แถมถามแล้วไม่ตอบอีก

“...งั้นรบกวนด้วยนะครับ ผมจะไม่แย่งคุณน้าใช่ไหม”อีกฝ่ายพูดติดตลก ก่อนจะมองอาหารด้วยสายตาสนใจ ตอนนั้นมีเด็กรับใช้ยกจานกับเครื่องดื่มออกมาพอดี ไม่แน่อาจแอบฟังเขาคุยกันก็เป็นได้ 

“ที่นี่เงียบดีนะครับ แถมยังมีดอกไม้เยอะด้วย”พุดชวนคุย เขามอง

“อืม ปลูกไว้ตั้งนาน ไปดูที่เรือนเพาะชำหรือยังล่ะ”

“ไปมาแล้วครับ ในนั้นเหมือนขุมทรัพย์ของตาชมเลยครับ”พุดยิ้ม เขามองนิ่งๆ “ไม่ใช่ของชมมันหรอก...”เขาพึมพำเบาๆ เด็กหนุ่มเงยมองด้วยแววตาวิบวับ

“น้าภูชอบดอกไม้เหรอครับ”

 “ก็ชอบนะ”

“ถึงว่า น้าภูถึงเอาต้นไม้ติดมาด้วย”อีกฝ่ายพึมพำ ภูวรินทร์ชะงักไป ก่อนจะมองคนตรงหน้า

“ต้นแก้วแคระน่ะ ว่าจะเอามาเปลี่ยนแทนเทียนหยด”เขาบอก ก่อนจะหยิบช้อนขึ้นมา ทานอาหารบ้าง ถึงพุดจะเป็นคนแปลกหน้า แต่เด็กหนุ่มคนนี้ค่อนข้างคุยด้วยง่าย เขาไม่เห็นท่าทีอึดอัดหรือความเก้อเขินของอีกฝ่ายเวลาที่ชวนเขาคุย มองไปแล้วก็สบายตาดี

“นี่...”

“ครับ”อีกฝ่ายเงยมองเขาด้วยสีหน้ามีคำถาม แววตาสีดำใสกระจ่างมองเขา ภูวรินทร์เก็บคำถามเอาไว้ในใจ เขาเบือนหน้าออกจากอีกฝ่าย เด็กนี่ไม่มีอะไรคล้ายกับอินทนิลสักนิด กว่าจะรู้ตัวเองเขาก็เอาเด็กที่เพิ่งเจอไปเปรียบเทียบกับอินทนิลซะแล้ว เขานึกขำตัวเอง ไม่มีทางที่ลูกของธิชาจะเป็นคนที่เขาคิดถึงไปได้ เด็กคนนี้เรียนจบแล้วก็คงอายุยี่สิบสองยี่สิบสาม เขาแปลกใจมากกว่าว่าทำไมธิชาถึงมีลูกอีก และยังพามาที่บ้านหลังนี้ คุณป้าไม่รู้สึกผิดหรือละอายแก่ใจบ้างหรือไงกันนะ

แล้วเด็กคนนี้รู้เรื่องของอินทนิลหรือไม่กัน...

+++++++++++

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-02-2018 19:20:08 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
ภูวรินทร์เลือกที่จะเก็บตัวอยู่ในห้องมากกว่าออกไปเดินเล่นที่ด้านนอก เขาสั่งให้คนสวนถอนรื้อต้นเทียนหยดออกเพื่อเอาต้นแก้วแคระไปปลูกแทน แต่กว่าที่จะรักษาหน้าดินที่รอบบ่อน้ำพุอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ เขาอยากให้ต้นแก้วแคระปลูกลงดินมากกว่าลงกระถางเลย รอให้คนสวนใส่ปุ๋ยดูแลหน้าดินให้กลับมาสมบูรณ์ ส่วนสองแม่ลูกที่มาใหม่นั้น เขาไม่อยากเจอหน้านัก เมื่อคืนป้าษอรเล่าให้ฟังว่า ตอนที่จัดงานศพให้อินทนิล ธิชาก็มางานด้วยเป็นเจ้าภาพให้ และหอบลูกชายคนใหม่มาด้วย ยิ่งทำให้ใจป้าษอรแทบขาด เธอโกรธมาก จนไม่อยากให้คุณป้ามาเหยียบงานศพ แต่พุด ไม่ใช่ลูกชายแท้ๆของป้าธิชา

พุดเป็นบุตรบุญธรรม เป็นลูกชายของลูกพี่ลูกน้องของป้าธิชานั่นแหละ แต่ญาติคนนั้นเสียไปก่อน ธิชาเลยรับมาดูแลตั้งแต่สามขวบ ภูวรินทร์จึงรู้สึกดีกับอีกฝ่ายมากขึ้น แต่ก็ยังไม่สามามรถมองหน้าเธอได้แบบเต็มตา เขาคิดว่าเธอเองน่าจะรู้เลยเลือกไม่เข้าหาเขาอีก เสียงซ่อมแซมจากบ้านข้างๆทำให้จิตใจของเขาปั่นป่วน บ้านที่เคยเป็นของคุณแก้วกำลังถูกถอนทิ้ง เขามองกองไม้ที่กองอยู่ทางด้านหลัง สวนต้นแก้วยังอยู่ดีเช่นเคย ป้าธิชาไม่กล้าตัดทิ้ง นอกจากจะเป็นของดูต่างหน้าที่ท่านหมื่นปลูกไว้ให้คุณแก้วแล้วภูวรินทร์ยังชอบสวนแห่งนั้น หาตัดทิ้งคงต้องมีเรื่องกับเขา

พอมาอยู่ในห้องของตนเองอีกครั้ง แม้เวลาจะผ่านมาหลายปี แต่ความรู้สึกเดิมๆมันยังกลับมาหลอกหลอนเขาอยู่เสมอ ชายหนุ่มเลือกไปอยู่ที่เรือนเพาะชำ อากาศไม่ร้อน อยู่กับของสวยงามทำให้จิตใจเขาดีขึ้น

ที่เรือนเพาะชำถูกจัดเป็นโซนแยกระหว่างโซนเพาะปลูกทางขวามือมีชั้นวางอุปกรณ์ทำสวน พวกกระถางขนาดเล็กไปจนใหญ่ กรรไกรตัดแต่ง โต๊ะตัวยาว ส่วนทางซ้ายมือจะเป็นโต๊ะเพาะตัวยาวไปสุดเรือนเพาะ มีสามตัว เต็มไปด้วยพันธ์ไม้หลายชนิด มีดอกไม้ใหม่ๆเข้าบ้าง ทั้งไม้ดอก ไม้พุ่มเช่นอังกาบ หลิวไต้หวัน แพงพวยสีขาว สีม่วง

ชายหนุ่มนำเมล็ดบานเช้าออกมาเพาะ หยิบถุงเพาะชำออกมา ใส่ดินซุยลงไป พืชชนิดนี้ขึ้นได้ในดินทุกชนิด ออกดอกเฉพาะตอนเช้าตามชื่อ เขาอยากลองเพาะดูบ้าง เขาเพาะเมล็ดไปสี่ถุงจัดวางใส่ตะกร้าสำหรับการรดน้ำ หากว่ามันโตจนออกดอก มันสามารถขยายพันธ์ได้เองจากการแตกของเมล็ด ทำให้ไม้พุ่มชนิดนี้ปลูกง่ายโตเร็ว

ระหว่างนั้นเขาเห็นว่าประตูเรือนเพาะชำเปิดออก ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ ไม่ต้องเดาว่าเป็นใคร ฟังจากน้ำหนักเท้าและจังหวะการเดิน คงเป็นพุด

“ผมมารบกวนน้าภูหรือเปล่าครับ”อีกฝ่ายเดินอ้อมมาทางด้านหน้าโต๊ะเพาะตัวที่สูงแค่สะโพกของตน เขามองผู้มาเยือนเด็กหนุ่มสวมเสื้อสีน้ำตาลกับกางเกงขาสั้นเหมาะกับสภาพอากาศ เขาส่ายหน้า

“เปล่าหรอก”

“ไม่เห็นน้าภูลงมาด้านล่างบ้างเลย...”

“ฉันอยากอยู่เงียบๆน่ะ”เขาตอบโดยไม่คิดอะไร แต่ทำให้คู่สนทนาเงียบ เขาโบกมือไปมา “ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นหรอก ฉันชอบอยู่คนเดียวน่ะ”ชายหนุ่มอธิบายอีกครั้ง พุดจึงเหลียวมองไปที่ต้นไม้ในกระถางที่วางเรียงอยู่ทางฝั่งซ้ายมือไปพลางๆ

“งั้นเหรอครับ นึกว่าน้าไม่ชอบพวกเราซะอีก”

“พูดอะไรแบบนั้น”

“ก็คนในบ้านพูด...เขาซุบซิบกัน”พุดหันมาพูดเบาๆ ใบหน้าเรียบเฉย ภูวรินทร์ส่ายหน้า “ไม่คิดว่าคนจะเอาไปพูดกันเรื่อยเปื่อย...ไม่ใช่อะไรแบบนั้นหรอก”เขายิ้มให้เด็กหนุ่ม พุดเกาจมูกก่อนจะเดินไปดูดอกไม้

“มีดอกอะไรบ้างครับเนี่ย ผมขออนุญาตเอาไปเป็นแบบสักต้นได้ไหมครับ”อีกฝ่ายหันมาถาม เขาวางของในมือลง ก่อนจะเดินไปหาเจ้าตัวที่ทางฝั่งซ้ายของเรือนเพาะชำ มองกระถางดอกไม้ที่วางเรียงกันหลายต้น

“เอาไปสิ...ที่จริง ก็เข้าออกที่นี่ได้ตามสะดวกเถอะ ฉันไม่ได้ขี้เหนียวขนาดนั้นหรอก”เขาบอกยิ้มๆ เด็กหนุ่มก้มมอง

“อันนั้นดอกคืออะไรเหรอครับ”พุดเลือกดอกไม้อยู่นาน จนกระทั่งชี้มือไปที่กระถางใหญ่ ลำต้นยาวไม่ถึงศอก มีดอกสีชมพูเข้ม เขาชะงัก ไป

“ชวนชมแคระน่ะ...”ภูวรินทร์บอก สายตามองกระถางดินเผา มีต้นชวนชมชูช่อออกดอกอยู่ ด้วยความที่ลำต้นอ้วน ไม่มีกิ่งก้านแผ่ออกมาเป็นกิ่งก้าน พุดเงียบไป จับจ้องดอกสีชมพู นัยน์ตาเป็นประกาย เจ้าตัวหันมาพูดด้วยรอยยิ้ม

“รู้หรือเปล่าครับว่าดอกไม้นี้มีพิษด้วยนะ”

“หือ ชวนชมน่ะเหรอ”ชายหนุ่มเลิกคิ้วมองต้นไม้ตรงหน้าอย่างแปลกใจ เขาไม่ได้สนใจมันนัก ต้นชวนชมมักโตจนสูง เขาเลยเลือกเพาะต้นแคระ ลักษณะสวยงามของมันไม่ยักรู้ว่าจะมีพิษ

“ใช่ครับ แต่มีนิดเดียวเอง ไม่อันตรายอะไรด้วยครับ”พุดบอก 

“สนใจดอกไม้ด้วยเหรอ”

“ผมชอบเพราะว่ามันสวย ใครๆก็ชอบของสวยงามนี่ครับ”ชายหนุ่มชะงักไปเมื่อ ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย เขาเงยมองพุด แต่เด็กหนุ่มกำลังก็มองกระถางดอกไม้อันอื่นอยู่

ภูวรินทร์มองอีกฝ่ายอยู่นานจนเจ้าตัวเงยหน้ามามองเขา พุดมองเขาด้วยสีหน้าแปลกใจ ก่อนจะเหลียวมองไปดูกระถางอื่นต่อ  ‘ช่างเถอะ อยู่กับปัจจุบันก็พอ’เขาละสายตาออกจากเด็กหนุ่มตรงหน้า ในใจเหมือนโดนบีบ

“งั้นผมขอยืมไปก่อนนะครับน้าภู”พุดเอ่ยขอ เขาพยักหน้าตกลง เจ้าตัวคว้าขอบกระถางพยายามยกมันขึ้น น้ำหนักของกระถางดินเผาบวกกับดินที่อัดไว้มาหลายปีคงหนักพอสมควร เจ้าขบฟันแน่น สีหน้าเหมือนขบขัน

“ฮ่ะๆ หนักเหมือนกันครับ”พุดบอก ก่อนจะหอบกระถางดินเผาออกไป ทุลักทุเลในการเปิดประตูเรือนเพาะชำ เขามองอยู่อย่างนั้น จนเจ้าตัวเปิดประตูออกไปจนได้ ร่างของพุดหายไปจากสายตา ประตูเรือนเพาะชำปิดลง 

คิดถึง... จู่ๆ เขาก็นึกถึงอินทนิลขึ้นมาอีก เขาจับจ้องอยู่ที่ประตูบานนั้นอยู่นาน ก่อนจะสะบัดศีรษะไปมาไล่ความคิดหม่นหมองออกไป

ภูวรินทร์เก็บของในเรือนเพาะเงียบๆ ไม่สนใจรอบข้างอีก

จนกระทั่งตะวันพ้นขอบฟ้าไป คนงานที่มาทำงานให้ป้าธิชาทยอยกลับกันไป เสียงวุ่นวายเงียบลง ทำให้รอบบ้านกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ภูวรินทร์จึงสงบใจได้มากขึ้น เขาทานมื้อเย็นที่ห้องอาหาร มีแขกทั้งสองคนมาร่วมทานด้วย แต่วันนี้เขามาทานจนพร้อมหน้าเป็นวันแรก บนโต๊ะอาหารมีกับข้าวหลายอย่าง จนเลือกทานไม่หมด ป้าษอรและลุงชมอยู่ทานด้วย

“คุณป้าเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”ภูวรินทร์ถาม เมื่อเห็นว่าสีหน้าของป้าธิชาดูซีดเซียว เขาหันมองไปที่ป้าษอร เธอแค่มองเขาเงียบๆ พุดมีสีหน้ากังวล

“แม่ทานยาบ้างไหมครับ เดี๋ยวก็ป่วยอีกหรอก”ผู้เป็นลูกเอ่ยอย่างเป็นห่วง สีหน้ายับย่น ป้าธิชาส่งยิ้มให้เขา

“ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ แค่ปวดหัวนิดหน่อย”เธอบอก ชายหนุ่มไม่เซ้าซี้ถามต่อ เขาลงมือทานข้าวเงียบๆ แม้อาหารรสชาติอร่อย แต่เขาไม่อยากอาหารนัก เลยได้แต่ทานให้พอเป็นพิธี เขาอยากทานของหวานมากกว่าข้าวซะอีก แต่เห็นสายตาจากป้าษอรแล้วก็ต้องทานให้มากที่สุด

“คุณภูทานเยอะๆหน่อยสิ ป้าอุตส่าห์ทำของชอบคุณทั้งนั้น”เธอบอกอย่างกดดันเขาไปในตัว ภูวรินทร์ยิ้ม เหลือบมองพุดที่นั่งอยู่ทางฝั่งตรงข้าม เจ้าตัวดูเอร็ดอร่อยกับมื้อเย็น

ชายหนุ่มอยู่ในครัวต่อ เขามีเรื่องอยากพูดกับป้าษอรกับลุงชม จนทั้งสองเก็บครัวเสร็จ “ป้าครับ ผมว่าป้าควรพักบ้างดีไหม ในเมื่อก็มีเด็กมาช่วยแล้ว เดี๋ยวก็เจ็บป่วยเอานะครับ”เขาพูด ยังคงเป็นห่วงสองลุงป้าเช่นเคย อีกฝ่ายอายุเยอะแล้ว

“เฮ้อ ป้าก็อยากพักค่ะ แต่ให้ป้าอยู่เฉยๆแล้วมันไม่สบายใจ เลยต้องออกมาทำงาน สงสัยทั้งชีวิตป้าคงต้องเฝ้าบ้านนี้ไปจนตาย”เธอเอ่ยเสียงหม่นหมอง ลุงชมเหลือบมองป้าษอรด้วยสายตาห้ามปราม

“ลุงก็บอกแกนะ แต่ก็อย่างที่เห็น”

“ถ้าอย่างนั้นก็ทำเท่าที่ทำได้ดีกว่าครับ เรื่องงานครัวป้าทำต่อได้ แต่งานอื่นไม่ต้องไปทำแล้วครับ”เขาเอ่ยบอก มองดูป้าษอรตอนนี้แล้วร่างกายของเธอไม่เหมือนเมื่อก่อน คิดว่าเธอน่าจะป่วยเช่นกัน เขายังไม่อยากเจอความสูญเสีย ป้าษอรก็ไม่ต่างอะไรจากคนในครอบครัว ส่วนเรื่องงานในสวน เขาให้ลุงชมดูแลแค่ในเรือนเพาะชำก็พอ สวนหน้าบ้านให้พวกเด็กๆทำ 

ภูวรินทร์อยากกลับไปไหว้หลวงตา ได้ยินมาว่าท่านชราภาพลงมากกำลังจะกลับไปประจำที่วัดที่หมู่บ้านแล้ว ส่วนที่อาศรมหลังนั้นคงมีหลวงพี่รูปใหม่มาพำนักต่อ 

ตกดึกชายหนุ่มนอนไม่หลับ จึงออกเดินเล่นที่บริเวณบ่อน้ำพุ ตอนนี้ไม่มีน้ำไหลออกมาแล้ว เขามองดินร่วนๆที่อยู่รอบบ่อน้ำพุทรงกลม ต้นเทียนหยดถูกถอนออกไปแล้ว เขาเดินวนเวียนอยู่นาน เงยมองท้องฟ้าเบื้องบน มืดครึ้มจนมองไม่เห็นดาวบนฟ้า บรรยากาศเหมือนจะมีพายุเข้า ความเงียบในยามค่ำคืนทำให้เขาได้ยินเสียงรอบข้างได้ดีมากขึ้น เมื่อมีเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ เขาหันไปมอง ปรากฏว่าเป็นพุด เด็กหนุ่มแต่งตัวเหมือนคนเข้านอนไปแล้ว

“นึกว่าเข้านอนไปแล้ว”เขาทักอีกฝ่าย พุดมองบ่อน้ำพุ ความมืดสลัวรอบตัวทำให้มองเห็นแววตาที่สะท้อนในความมืดวิบวับ 

“ผมนอนไม่หลับครับ”

“อืม กะว่าจะมาดูจันทร์ดูดาว แต่ฟ้ามืดซะอย่างนั้น”ภูวรินทร์ถอนหายใจ

“แต่ว่าบรรยากาศก็น่าออกมาเดินเล่นเหมือนกันครับ”พุดเดินไปนั่งที่เก้าอี้ข้างบ่อน้ำพุ ภูวรินทร์ไม่อยากมองเห็นใครเป็นตัวแทนของอินทนิล พูดรูปร่างหน้าต่างจากอินทนิล นิสัยบางอย่างมีส่วนคล้าย ทว่าพุดก็คือพุด

“มีอะไรเหรอครับน้าภู”อีกฝ่ายถามเมื่อเห็นว่าเขาจ้องอยู่นาน ชายหนุ่มหันมองทางอื่นแทน “เปล่า”

“มุมนี้ก็เอามาวาดรูปได้เลยนะครับเนี่ย”พุดเอ่ยอย่างตื่นเต้น ก่อนจะยกมือสองข้าง ยื่นนิ้วชี้กับนิ้วโป้งมาประกบกันเป็นรูปสี่เหลี่ยม แล้วยื่นมือไปมอง ทำท่าเทียบกับบ่อน้ำพุ

“ฝีมือขั้นไหนกัน”

“ไม่อยากได้ราคาคุย รอเห็นของจริงเลยดีกว่า”พุดเอ่ย ก่อนจะหัวเราะเบาๆ  จากนั้นทั้งคู่เงียบไปนาน เขาคิดอะไรอยู่ในใจ

“ผมได้ยินเรืองน้าภูมาเยอะเลย”

“อืม ฟังมาจากไหน”เขาถาม รู้สึกสนใจในตัวเด็กคนนี้ไม่น้อย ท่าทางของอีกฝ่ายเหมือนไม่สนใจอะไรนัก แต่เอาเข้าจริงก็เก็บรายละเอียดเรื่องในบ้านเยอะ

“ตาชมน่ะครับ”พุดตอบ เขาส่ายหน้ายิ้มๆ ไม่ยักรู้ว่าลุงชมไปเล่าอะไรให้เจ้าตัวฟังบ้าง  “ยังไงก็ฟังหูไว้หูนะ”

“พอได้ฟังเรื่องเก่าๆแล้วมันก็น่าคิดนะครับว่าพรมลิขิตมีจริงไหม”พุดพึมพำ สายตามองไปทางรั้วบ้าน ต้นดอกแก้วริมรั้วเรียงราย เขามองอีกฝ่ายอย่างค้นหา ทำไมพุดต้องเอ่ยถึงเรื่องนี้ด้วยนะ เขายังมองไม่เห็นถึงความเชื่อมโยงของพุดกับอินทนิลหรือคุณแก้ว มีเพียงแค่อีกฝ่ายเป็นญาติห่างๆกับอินทนิลเท่านั้น ภูวรินทร์ไม่คิดจะรื้อฟื้นเรื่องในอดีต สิ่งที่ผ่านมาแล้วล้วนสร้างความเจ็บปวดให้แก่ผู้ที่ยึดถือมัน เขาจึงเลือกไม่เอ่ยถึงความเป็นมาของบ้านนี้ให้พุดฟัง อีกฝ่ายไม่เคยถามเขาด้วยเหมือนกัน

“อืม ชีวิตคนเราไม่ได้ขึ้นกับพรมลิขิตหรอก มันขึ้นกับการกระทำของเราต่างหาก มันมีผลต่อๆไปเหมือนโดนิโน่ มีเหตุมีผลของมันเอง”ภูวรินทร์ตอบ พุดหันมองเขาช้าๆ แววตาเหมือนกำลังพิจารณาตามที่เขาเอ่ย

“คงจะใช่ครับ”พุดตอบ

ชายหนุ่มเงียบ “เข้าบ้านเถอะ เหมือนฝนจะตก”เขาบอก ก่อนจะหันหลังเดินเข้าบ้านไป พอเดินเข้ามาถึงในตัวบ้านผ่านบันไดที่ทอดยาวไปชั้นบน เขารู้สึกแปลกๆกับเด็กคนนั้นทุกครั้งที่ได้คุยด้วย ภูวรินทร์หลับตา เดินกลับเข้าห้องของตนเอง ภายในห้องนอน ที่บริเวณหัวเตียงมีช่อดอกแก้ววางไว้ที่พาน เขาขมวดคิ้ว เพราะไม่ได้สั่งป้าษอรให้เอามา ภูวรินทร์เดินเข้าไปใกล้ๆ กลิ่นหอมของดอกแก้วชวนให้อึดอัด เขานึกถึงพุด

เขาเดินไปที่หน้าต่าง มองลงไปที่สวน ยังคงเห็นร่างของเด็กหนุ่มนั่งอยู่ที่เดิม จ้องมองมาที่ภูวรินทร์ แม้ว่ารอบตัวจะรายล้อมด้วยความมืดสลัวก็ตาม อีกฝ่ายดูไม่สะทกสะท้านกับความจริงนี้ เหลือบไปมองที่สวนต้นแก้วของเรือนข้างๆ ต้นไม้พลิ้วไหว ดอกแก้วยังคงบานอยู่ สีขาวที่โรยร่วงอยู่ที่พื้นมองเห็นเกลื่อน เขาหันกลับมามองที่ลานน้ำพุอีกครั้ง พุดหายไปแล้ว

ภูวรินทร์ปิดหน้าต่าง ลงกลอนให้สนิท เขาหวนกลับมารู้สึกเหมือนวันแรกของการมาเยือนที่บ้านหลังนี้ ค่ำคืนแรกของเมื่อ 7 ปีก่อน...



++++++++++++



มาต่อกันจ้า อีกสองตอนจะเป็นอย่างไงต่อนะ??

ขอบคุณสำหรับการติดตามเสมอมาค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-02-2018 19:14:52 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ ANIKI.

  • 兄貴
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 190
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
ถ้าสมมติ ภูกับพุดได้คู่กัน จะเข้าตำราเดิมกับ ท่านภูรินทร์ กับแก้ว ตอนนั้นเลยเชียว..

ออฟไลน์ หมอตัวเปียก

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1874
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
มาต่อ ๆ อีกสองตอน ลุ้นมาก ๆ

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
จะบอกว่าพุดคือคนเดียวกับอินท์และคุณแก้วก็พูดได้ไม่เต็มปากเพราะยังไม่เห็นจุดเชื่อมโยงอย่างที่คุณภูบอก แต่ใจนึงก็เดาเอาลางๆแล้วว่าน่าจะเป็นแบบนั้นแบบนี้ ตอนท้ายตอนแอบหลอนนิดๆ พุดนี่เป็นคนจริงๆใช่ปะ ฮ่าๆๆ ถ้าสองคนนี้คู่กันจริงก็เหมือนเรื่องราวได้ย้อนกลับมาสู่จุดเริ่มต้นสมัยท่านอากับคุณแก้วนะ

ออฟไลน์ junpa

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 322
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
ถ้าพุดคืออินหละ คิดว่านะ เพราะอินเคยตายไปแล้วตอนสามขวบนี่ คำนวนเวลาแล้วอาจจะเป็นอิน

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ทำไมรู้สึกเหมือนจะมีอะไรพลิกล็อกอีกก็ไม่รู้

ออฟไลน์ เป็ดอนุบาล

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
              ลุ้นมาก ๆ :mew6: :mew6: :mew6:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ snpmrth

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อ่านแล้วจะเป็นโรคหัวใจตามคุณภูแล้วค่ะ แง้
ป็นกำลังใจให้คุณคนแต่งนะคะ แต่งเรื่องใหม่อีก บอกกันด้วยนะคะ อยากติดตามไปเรื่อยๆเลย ชอบภาษาการเขียนมากเลยค่ะ

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
เด๋วๆ อีกละหรา

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
ตอนที่ ๑๙

เป็นครั้งแรกที่ภูวรินทร์รู้สึกไม่ปลอดภัยในห้องของตนเอง เพราะคนนอกเข้าออกห้องเขาได้ง่ายๆแบบนี้ ชายหนุ่มเดินไปล็อกกลอนอีกชั้นให้แน่นหนา คืนนั้นเขานอนไม่หลับนัก อากาศเริ่มเย็นจนทำให้เขาต้องเอาผ้าห่มออกมาใช้ บ้านทั้งหลังเงียบสงัด เขานอนฟังเสียงลม เสียงใบไม้สั่นอย่างอดทน ก่อนที่เขาจะรับเหมือนว่ามีเสียงฝีเท้าเดินวนไปวนมาอยู่ที่หน้าห้อง

เช้าวันต่อมา ภูวรินทร์เตรียมของงไปไหว้บรรพบุรุษที่สุสาน เลยเอ่ยชวนป้าธิชากับพุด ทั้งสองยอมตามมาด้วย แม้ว่าคุณป้าจะมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก เขาเดินเข้ามาด้านในสุสาน เขาเพิ่งเห็นว่ามีโกฏิอันใหม่เข้ามา เป็นของอินทนิล และของคุณแก้วด้วย เขาแปลกใจเพราะป้าษอรไม่เคยบอกเขาเลย สังเกตว่าป้าธิชาดูเหมือนจะอึดอัด เธอหน้าเปลี่ยนสีเมื่อเห็นโกฎิของอินทนิล

เขาจุดธูปวางดอกไม้ที่หน้าโกศของหมื่นนรินทร์ และมณี เขาแผ่เมตตาให้ทั้งสองคนก่อนจะลุกไปไหว้โกศของอินทนิลต่อ ปกติเขาก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้อินทนิลกับคุณแก้วบ่อยๆอยู่แล้ว พุดเดินมาจุดธูปด้วยเช่นกันคุกเข่าลงข้างๆเขา ชายหนุ่มหันมองอีกฝ่ายที่มีสีหน้าสงบนิ่ง

“จะว่าไปแล้ว อินทนิลเหมือนเป็นลูกพี่ลูกน้องของผมเช่นกัน”พุดหันมายิ้มให้เขา ภูวรินทร์ไม่สนใจอีกฝ่ายนัก เพราะแววตาที่จับจ้องมาเหมือนมีความรู้สึกบางอย่างอยู่ เขามองแล้วไม่สบายใจ ส่วนป้าธิชาก็ยอมมาไหว้โกศของอินทนิล เขาขยับไปจุดธูปวางดอกไม้ที่หน้าโกฏิของคุณแก้ว เขาหลับตา

ภูวรินทร์ถอยออกห่างจากโกฏิแถวสุดท้าย ปล่อยให้สองแม่ลูกใช้เวลากันแบบส่วนตัว เขาเดินจากออกมา มองเรือนปั้นหยาที่ตอนนี้เหลือแต่โครงบ้านเท่านั้น เขากลับมานั่งอ่านหนังสือพิมพ์ที่ห้องหนังสือ เปิดประตูไว้เผื่อว่ามีคนเข้ามาหา เขาหยิบหนังสืออ่านเล่นมาเปิด เผลอนึกถึงหนังสือที่แก้วเคยอ่าน เขาเดินไปหาชื่อหนังสือที่ตู้ชั้นเดิม แต่ว่าหาอย่างไรก็ไม่เจอ มองดูจากจำนวนหนังสือที่ลดลงและเอียงชิดกัน มีช่องว่างเว้นไว้เยอะ แสดงว่ามีคนมาหยิบหนังสือไปอ่าน

‘พืชและพิษ’ใครบ้างที่สนใจจะหยิบมาอ่าน เขาคิดว่าเป็นเด็กพุดนั่นแน่ๆ อีกฝ่ายชักเข้าออกบ้านอย่างถือวิสาสะไปซะหมด ที่เขาอนุญาตก็เฉพาะเรือนเพาะชำเท่านั้นเอง เขาหนักใจเรื่องของพุด อีกฝ่ายเป็นใครกันแน่ อยากได้บ้านไว้พักผ่อนงั้นหรือ ในที่ชนบทห่างไกลผู้คนเช่นนี้งั้นเหรอ ไม่คิดว่าป้าธิชาจะยอมมาเหยียบที่นี่ด้วยซ้ำ

ภูวรินทร์รู้สึกไม่สบอารมณ์ ก่อนจะเดินออกจากห้องหนังสือกลับไปที่ห้องนอน เดินไปหยิบกุญแจบ้านออกมา เขาเดินลงบันได ที่โถงใหญ่ไม่มีใครอยู่ บ้านเงียบกริบ เขาเดินผ่านเข้าไปในห้องครัว อ้อมไปทางด้านหลังเพื่อไปยังห้องพักของคนงาน

เขาเดินเข้าไปในบ้านแถวหลังใหญ่ ก่อนจะเลือกกุญแจห้องนอนของอินทนิลออกมาไข เปิดประตูเข้าไป ห้องของอินทนิลยังคงสภาพเดิม แม้ผ่านมาหลายปี แต่ไม่มีฝุ่นหรือสิ่งของแปลกปลอม เขาเดินไปนั่งบนเตียงที่ไร้ผ้าปูที่นอน มองไปรอบห้องอย่างเหงาหงอย สายตากวาดมองไปที่ตู้หนังสืออย่างไร้จุดพักสายตา ชายหนุ่มเดินไปยังตู้เสื้อผ้า เปิดตู้ออกดูด้านในยังคงเสื้อแขวนไว้อยู่เช่นเดิม เขาหยิบเสื้อออกมา จะว่าไปเขาไม่เคยเห็นใครแต่งตัวแบบที่อินทนิลแต่งเลย เขาลูบเนื้อผ้าอ่อนนุ่ม กลิ่นของอินทนิลยังคงไม่จางหายไป

ขณะนั้นเองเขาได้เสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้ประตูห้อง ตามมาด้วยเสียงไขกุญแจเข้ามา เขามองอย่างแปลกใจว่าใครกำลังเข้ามาในห้องของอินทนิล แม้จะคาดเดาไว้แล้ว

“...อ่ะ”เสียงตกใจดังมาจากผู้มาเยือน พุด เปิดประตูเข้ามา สีหน้าตื่นตระหนกที่เห็นเขายืนอยู่ ภูวรินทร์ไม่แปลกใจ แต่ที่น่าสงสัยคือพุดมีกุญแจห้องของอินทนิล เขามองไปที่ของในมือก็ยิ่งทำให้ในใจเต้นรัวมากกว่าเดิม นั่นมันแฟ้มเก็บภาพดอกไม้ของอินทนิล เหมือนอีกฝ่ายเป็นเด็กที่โดนจับได้ แม้จะเอาเก็บไปให้พ้นสายตาของเขาแล้วก็ตาม

“เอากุญแจมาจากไหน”เขาถามอย่างไม่พอใจนัก เด็กหนุ่มมีกุญแจบ้านครบชุด คงได้มาจากป้าษอรแน่นอน เขาไม่พอใจเพราะว่าเขาเป็นเจ้าของบ้าน ต่อให้อีกฝ่ายจะมีเหตุผลในการถือครองกุญแจก็ตาม พุดมองหน้าเขา สีหน้ากลับมาสงบดังเดิม อีกฝ่ายเงียบ แววตาสีดำสนิทไม่ละไปจากใบหน้าเขา

“ยังไม่ตอบอีก”ข้อเสียของพุดคือถามแล้วไม่ตอบในทันที อีกฝ่ายชอบจ้องหน้าเขา

“ยายอรให้มา”อีกฝ่ายอบ เขาถอนหายใจ ก่อนจะเก็บเสื้อเข้าตู้ตามเดิม ภูวรินทร์หันมาเผชิญหน้ากับพุด เขาอยากรู้เหตุผลของเจ้าตัวว่ามาทำแบบนี้เพื่ออะไร หรือต้องการอะไรจากบ้านนี้หรือจากเขากันแน่ ทำไมถึงไม่พูดออกมาตรงๆ

“...เธอทำตัวแปลกๆนะ”เขาเอ่ย เดินเข้าไปหา ยังคงมองแฟ้มสีดำที่ซ่อนอยู่ด้านหลัง พุดแค่เงียบ ไม่ได้ตอบโต้อะไร เหมือนทดสอบความอดทนของเขา

“ผมรู้ว่าน้าคงคิดมาก แต่ผมแค่เห็นว่าแฟ้มอันนี้มันน่าสนใจดี เลยเอาออกมาดู...ขอโทษครับ”อีกฝ่ายยอมถอย ก่อนจะยื่นแฟ้มคืนแก่เขา ชายหนุ่มรับมาถือไว้ยังคงไม่ไว้วางใจเด็กหนุ่ม เขาสบตากับคนตัวเตี้ยกว่า ด้วยวัยยี่สิบต้นๆของอีกฝ่ายก็น่าจะตัวสูงกว่านี้ อีกฝ่ายสูงแค่ปรายคางของเขาเอง พุดไม่ได้มองเขา

“งั้นเหรอ...นี่มันของส่วนตัวของอินน์นะ เธอจะเอาไปโดยไม่รับอนุญาตไม่ได้”เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย คนตรงหน้าแค่เงยหน้ามองเขา ท่าทางหลุกหลิก

“อ่า...ต้องขออนุญาตน้าภูก่อนเหรอครับ”

“ใช่ ของทุกอย่างในบ้าน ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม อย่าหยิบจับไปมั่วๆ ฉันไม่ได้หวง แต่น่าจะมีมารยาทหน่อย”คำตอบของพุดทำให้เขารู้สึกโกรธ เลยเอ่ยเตือน แม้ว่าใจของเขาจะไม่ได้นึกตำหนิการกระทำของเด็กหนุ่มอย่างที่เอ่ยไป พุดหน้าแดงก่ำ ก่อนจะพยักหน้าเข้าใจ

“เข้าใจแล้วครับ แต่อินทนิลก็เป็นพี่ของผมเหมือนกัน ผมก็น่าจะมีสิทธ์เข้ามาดูข้าวของบ้าง แล้วถ้าเป็นแม่ผม เขาต้องขอน้าภูก่อนไหม”พุดตอบกลับมา เขามองอย่างไม่เข้าใจนักกับปฏิกิริยานี้ ‘ไม่น่ารัก’เอาซะเลย เขาส่ายหน้าพยายามอดทนกับเด็กหนุ่มให้มากที่สุด เหมือนว่าอีกฝ่ายต้องการให้เขาโมโห

“อย่านอกประเด็น เธอออกไปได้แล้ว”ภูวรินทร์บอกนิ่งๆ พุดเหลือบมองเขาด้วยแววตามีประกายแปลกๆ อีกฝ่ายคล้ายกับลังเลว่าควรจะเดินออกไปให้เร็วที่สุดหรือว่าจะอยู่ต่อ

“ครับ ถ้างั้น.....”เจ้าตัวมีท่าทางอึกอัก เขามองอากัปกริยาของอีกฝ่ายอย่างสนใจ มีหลายพฤติกรรมของคนตรงหน้าที่ทำให้เขาใจเต้นรัวด้วยความอยากรู้ เขาคาดเดาเรื่องราวเอาไว้ราวกับคนฟุ้งซ่าน

“อยากบอกอะไรไหม”ชายหนุ่มถาม พุดมองหน้าเขา นัยน์ตาที่สะท้อนกลับมาสงบนิ่ง

“...ไม่มีครับ”เด็กหนุ่มตอบเบาๆก่อนจะส่งยิ้มให้เขา แล้วเดินออกจากห้องไปโดยไม่หันกลับมามองอีก ภูวรินทร์มองความว่างเปล่าเบื้องหน้าด้วยใจที่สั่นคลอน เพราะอะไรกันนะ เขาถึงไม่กล้ามั่นใจว่าพุดจะเกี่ยวโยงกับอินทนิลและคุณแก้ว นิสัยงั้นเหรอ... คงใช่ อินทนิลไม่ก้าวร้าวกับเขามาก่อน แต่กับพุด...เขาบอกไม่ถูก ชายหนุ่มก้มมองแฟ้มในมือ เปิดดูภายในแฟ้มคร่าวๆ ว่ามีอะไรเสียหายหรือผิดแปลกไปหรือไม่ เพราะว่าพุดเอาแฟ้มออกไป เมื่อเปิดไปยังหน้าสุดท้าย เขาเห็นว่ามันเป็นภาพใหม่ เป็นกลีบดอกชวนชมและคุณสมบัติ

ทั้งร่างชาวาบไปหมด เขาแทบปล่อยแฟ้มหล่นลงพื้น หัวใจพลันเต้นแรง เขาหันไปมองประตูห้องที่เปิดอ้าไว้อยู่นาน ความยินดีปรีดาแล่นมาจุกอก 

อินน์งั้นเหรอ

หากพุดไม่ใช่อินทนิล แล้วจะทำแบบนี้ไปทำไมกัน เขาพลิกหน้ากระดาษย้อนกลับไป มีดอกไม้ชนิดใหม่ที่เพิ่มมาจากอันเดิม ภูวรินทร์ยิ้มออกมา แม้ว่าใจจะยินดีมากแค่ไหน แต่ครู่เดียวก็พลันเศร้าลง ก้อนเนื้อที่อกซ้ายเหมือนเจ็บแปลบขึ้นมา เขาคิดว่ามันมาจากความรู้สึกมากกว่าอาการเจ็บปวดจากโรคภัย มีเหตุผลอะไรหรือที่พุดทำตัวแบบนี้ ทำเหมือนว่าไม่ใช่อินทนิลหรือคุณแก้ว มองเขาด้วยสายตาของคนแปลกหน้า เขาไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง ภาพเบื้องหน้าพร่ามัว รู้ตัวอีกทีเขายกมือไล่รอยน้ำตาที่เอ่อออกมา

ชายหนุ่มนั่งลงบนเตียง เขาไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไงหรือเป็นเพราะอะไรกัน เท่าที่รู้ในตอนนี้ พุดไม่ได้ต้องการบอกความจริง

ดูท่าอีกฝ่ายจะใจร้ายกับเขาไปเรื่อยๆ

ภูวรินทร์กลับออกจากห้องของอินทนิลหลังจากที่นั่งเงียบๆอยู่นานเกือบยี่สิบนาที เขาแค่ใจลอยเท่านั้น ชายหนุ่มเดินกลับออกจากบ้านพัก รู้สึกว่าร่างกายไร้กำลัง เมื่อเดินออกจากห้องครัว เขาไม่เห็นคนรับใช้ในบ้าน จึงเดินไปนั่งที่โซฟาบริเวณโถงรับแขก เขาเอนพิงพนักโซฟาอย่างอ่อนล้า แค่นี้เพียงพอแล้วหรือยัง ที่จะมั่นใจว่าอีกฝ่ายคืออินทนิล เขาหยิบโทรศัพท์ออกมา ส่งข้อความหาโชติ ให้สืบเสาะหาประวัติของพุดให้หน่อย เขาคิดว่ามันไม่ยากอะไร เพราะอีกฝ่ายไม่ใช่คนนอก เป็นญาติพี่น้องทางสายของคุณแก้ว ไม่ว่าจะทายาททางฝั่งกิ่งและไกรต่างก็มีลูกหลานออกมาหลายรุ่นแล้ว

เมื่อคืนเขานอนไม่หลับนัก เพราะความรู้สึกโหวงเหวงแปลกๆที่เกิดขึ้นกับตัวเอง มันเหมือนว่าภายในบ้านมีสิ่งที่มองไม่เห็น เขาไม่เคยคิดกลัวบ้านหลังนี้ แม้ว่าที่ผ่านมาบ้านเผชิญเหตุการณ์ไม่ดีมามาก หากเป็นคนอื่นคงไม่กลับมาเหยียบบ้านอีก แต่เขาแค่ไม่อยากปล่อยบ้านหลังนี้เอาไว้ให้เงียบเหงา ร้าง เหมือนอย่างเรือนหลังเล็กข้างๆ

ระหว่างที่เขาไม่ได้ระวังตัว ป้าธิชาโผล่มาจากจากทางประตูหลังบ้าน พอเห็นเธอ เขาจึงขยับลุกมานั่งให้เป็นผู้เป็นคนมากขึ้น เธอเปิดประตูทางด้านหลังไว้ สีหน้าของป้าธิชาดีขึ้นกว่าเมื่อวาน เธอเดินมานั่งทางฝั่งตรงข้ามกับเขาเพราะคราวนี้คงหลีกเลี่ยงไม่คุยไม่ได้แล้ว ป้าธิชามองเขาด้วยสายตาห่วงใย

“เราดูเหนื่อยๆนะ เป็นอะไรหรือเปล่าจ้ะ”

“เปล่าหรอกครับ...ว่าแต่พุดไปไหนแล้วครับ”เขาตอบยิ้มๆ ก่อนจะเอ่ยถามถึงลูกชายของเธอ เขาสังเกตว่าแววตาของเธอดูกังวลขึ้นมาทันทีที่เขาเอ่ยถึงพุด ป้าธิชาเปลี่ยนสีหน้าทันที เธอยิ้ม

“อยู่ที่เรือนเล็กน่ะค่ะ คงไปคุยกับช่าง ...พุดทำอะไรให้เราไม่พอใจหรือเปล่าจ้ะ”เธอเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงหวั่นใจ ดูจากปฏิกิริยาของเธอแล้ว คงรู้จักนิสัยของลูกชาย

“ไม่—อืม พุดเข้ามาในห้องผม โดยไม่ได้รับอนุญาต”เขาบอกไปตรงๆ เห็นป้าธิชาทำหน้าตกใจ เธอบีบมือแน่นก่อนจะส่ายหน้า

“ไม่คิดว่าพุดจะเสียมารยาทแบบนั้นเลย ป้าขอโทษด้วยนะจ๊ะ”เธอมองเขาด้วยสายตาขอโทษขอโพย ภูวรินทร์ถอนหายใจยาว

“ผมแค่แปลกใจเท่านั้นเอง...เหมือนว่าเขาจะสนใจของของคนอื่นนะครับ”เขาบอกช้าๆ มองคู่สนทนาอย่างจับสังเกต ป้าธิชายิ้มเจื่อนๆ

“ปกติพุดก็ไม่ได้ทำตัวแบบนี้ คงเพราะป้าตามใจมากไป”เธอพึมพำอย่างเหนื่อยใจ เขาคิดว่าอีกฝ่ายคงตามใจลูกชายทุกอย่าง ดูจากพฤติกรรมแล้วพูดคงเป็นเด็กเอาแต่ใจ ยิ่งป้าธิชาเคยทิ้งอินทนิลมาก่อนเธอคงเลี้ยงดูลูกชายคนใหม่อย่างพระเน้าพะนอ

“ช่างเถอะครับ ผมไม่ได้อยากจะดุด่าอะไรเจ้าตัวหรอก ...ว่าแต่คุณป้าจะย้ายมาอยู่ที่นี่เลยไหมครับ”ภูวรินทร์ลองเอ่ยถามอีกฝ่ายดู เธอมองเขานิ่งๆ สีหน้าแสดงความวิตก

“ไม่หรอกค่ะ ป้าต้องกลับไปดูงานต่อ คงให้พุดอยู่ที่นี่”ป้าธิชาบอก เธอพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย

“งั้นเหรอครับ”ชายหนุ่มพนักหน้ารับ เจ้าตัวยิ้มนิดๆเมื่อเอ่ยถึงลูกชายคนนี้

“ในเมื่ออยากมาอยู่นัก ก็ต้องอยู่ให้นานสมกับค่าสร้างบ้าน”เธอเอ่ยติดตลก  ภูวรินทร์แค่ยิ้มเขาหมดเรื่องจะคุยกับอีกฝ่าย บรรยากาศเริ่มอึดอัดขึ้นมา ป้าธิชาเหลียวมองไปรอบบ้านพยายามหาเรื่องสนทนาต่อ เธอเอ่ยคำถาม “แล้วภูล่ะ ต้องรีบกลับไปทำงานหรือเปล่า”

“ผมว่าจะอยู่ที่นี่สักหนึ่งอาทิตย์แล้วค่อยกลับครับ”เขาตอบ เพราะตั้งใจว่าจะอยู่ที่บ้านหลังนี้ไม่นาน เขาแค่มาที่นี่เพราะว่าอยากเห็นหน้าของป้าธิชาแล้วก็มาดูความเรียบร้อย ถือโอกาสเอาต้นแก้วแคระมาปลูกไปในตัว 
เธอยิ้ม ไม่ถามอะไรเขาต่อ จึงขอตัวออกไปเดินที่สวนหน้าบ้าน เขามองตามเธอไปจนสุดสายตา เพราะพุดอยากได้บ้านพักตากอากาศ ป้าธิชาจึงยอมกลับมาที่นี่งั้นสินะ เขาพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวของพุดให้มากที่สุด จากที่ตั้งใจว่าจะอยู่เงียบๆคนเดียว แต่พฤติกรรมของเด็กหนุ่มคนนี้ทำให้เขาคิดมาก

ภูวรินทร์นั่งอยู่ในบ้านคนเดียว หยิบโทรศัพท์ออกมาเช็คข้อความ โชติตอบกลับมาว่าจะหาข้อมูลให้ หนำซ้ำยังเตือนเขาว่าอย่าไปทำอะไรแปลกๆอีก เขายิ้มขำกับความคิดของเพื่อนสนิท ขณะเดียวกันก็มีเสียงเคาะดังกึกๆมาจากทางหน้าต่างด้านหลัง เขาหันไปมอง ก่อนจะเห็นว่าเป็นพุดที่ยืนอยู่ที่ริมหน้าต่าง ในมือถือกิ่งดอกแก้วช่อใหญ่ที่มีทั้งพุ่มใบไม้ติดมาด้วย คิดว่าอีกฝ่ายคงไปเก็บมาระหว่างที่คนสวนกำลังตัดแต่งต้นแก้ว

“...น้าภูยังโกรธผมอยู่อีกเหรอเนี่ย”อีกฝ่ายพูดไม่มีหางเสียง แต่ไม่ได้ใช้น้ำเสียงแข็งกระด้าง ชายหนุ่มมองพุดอีกครั้ง สีหน้าเหมือนแสดงความรู้สึกผิด คงเป็นเรื่องที่เข้าออกบ้านนี้โดยไม่ได้รับอนุญาต เขาจ้องมองใบหน้าขาวสะอาดที่ชื้นเหงื่อ

“...ไปทำอะไรตรงนั้น เข้ามาในบ้านสิ”เขาไม่ตอบ แต่เปลี่ยนเรื่องคุยแทน เด็กหนุ่มมองเขาก่อนจะยิ้มแย้มออกมา เจ้าตัวเดินหายไปจากหน้าต่าง เขาเรียกเด็กรับใช้ให้เอาเครื่องดื่มเย็นมาเสิร์ฟให้เขากับพุด ระหว่างนั้นพุดก็เดินเข้ามาด้านใน ถือกิ่งดอกแก้วเข้ามาด้วย ท่าทางผ่อนคลาย

“เอามาทำไม ไม่เห็นหรือว่าดอกมันร่วงลงพื้นหมดแล้ว”เขาปรามอย่างไม่จริงจังนัก มองกลีบดอกแก้วที่ปลิวหล่นอแกมาจากช่อในมือ เด็กหนุ่มเดินมานั่งที่โซฟาตัวเล็กข้างๆเขา

“ผมได้ยินมาว่าน้าภูชอบดอกแก้วนี่ครับ...เอ หรือว่าไม่ชอบงั้นเหรอ”พุดวางกิ่งดอกแก้วลงข้างๆตัว สีหน้าเหมือนผิดหวัง คิ้วเข้มย่นเข้าหากัน

“ไม่ใช่ไม่ชอบ แต่เอามาเป็นกิ่งขนาดนี้ กลิ่นมันแรงไป”เขาบอก มองเด็กรับใช้ยกเครื่องดื่มมาเสิร์ฟให้เขา จากนั้นก็เดินจากไปเงียบๆ พุดก้มมองกิ่งดอกแก้วอยู่นาน

“งั้นเหรอครับ”

“เป็นเธอใช่ไหมที่เอาดอกแก้วไปวางในห้องของฉัน”ภูวรินทร์ได้โอกาสถาม พอเขาพูดจบ พูดก็ชะงักไป สีหน้ากลับมาสงบนิ่ง นัยน์ตาสีดำเป็นประกายสดใสหดหายไป

“...ครับ...ขอโทษครับ”เด็กหนุ่มเอ่ยออกมาเบาๆ สีหน้าแสดงความรู้สึกผิด เขาจับจ้องเด็กหนุ่มมองดูมากำลังเสแสร้งแกล้งทำหรือไม่ เขาไม่ได้พูดอะไรจนพุดเงยมองเขา แววตาคู่นั้นสะท้อนความรู้สึกเศร้าก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มรู้สึกไหววูบไป เขาอยากเข้าไปกอดเด็กหนุ่มตรงหน้าเหลือเกิน ร่างกายผอมบางของอีกฝ่ายที่อยู่ภายใต้เสื้อผ้าสีสดใสผิดกับที่อินทนิลหรือคุณแก้วเคยสวมใส่มาก่อน จะอบอุ่นแค่ไหนกัน เขาได้สติหันมาสนใจเรื่องที่คุยค้างไว้ 

“ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีก”เขาบอกช้าๆ มองเข้าไปในแววตาสีดำ พุดพยักหน้าช้าๆจ้องมองเขาไม่ต่างกัน ก่อนจะขยับปากพูด

“...ก็....โอเคครับ”เจ้าตัวพึมพำ ภูวรินทร์มองอีกฝ่าย พยายามค้นหาความจริงจากคนตรงหน้า

“เธอต้องการอะไรกันแน่”เขาเผลอถามออกไป เด็กหนุ่มที่กำลังเอื้อมมือไปจับแก้วเครื่องดื่มชะงักงันไป มองเขาด้วยความเฉยชา ชายหนุ่มขมวดคิ้ว

“หมายถึงอะไรเหรอครับ”พุดเอ่ยด้วยน้ำเสียงงงงวย แววตาดำขลับกระพริบช้าๆ

“อย่ามาทำเป็นเฉไฉ เธอก็รู้ว่าฉันกำลังพูดถึงอะไรอยู่”ชายหนุ่มพูดเสียงดังกว่าเดิม ร้อนรนอยู่ในใจยิ่งต้องมาเห็นอีกฝ่ายทำเป็นทองไม่รู้ร้อนเช่นนี้เขาก็ยิ่งโมโห และผิดหวัง

“...ผมไม่รู้จริงๆนี่ครับ”พุดตอบ ยังคงไม่แสดงตัวตนออกมา เขาถอนหายใจ

“...กลับมาได้ยังไง”ภูวรินทร์ถามเป็นครั้งสุดท้าย หากว่าไม่ได้คำตอบเขาจะไม่สนใจอีก เด็กหนุ่มมองเขาอยู่นาน แววตามีประกายบางอย่างเต้นเร่า 'ความรู้สึกพอใจ'หรือเปล่านะ เขาไม่แน่ใจนัก ยิ่งมองก็ยิ่งเดาใจพุดไม่ออก

“ว่าไงนะครับ...”อีกฝ่ายถามกลับด้วยเสียงงุนงง ภูวรินทร์นิ่งไป รู้สึกผิดหวังอีกครั้ง ความเสียใจกำลังกัดกินอยู่ภายในใจ มองแววตาของคนที่ทำเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร พุดไม่หลบตาเขาไปไหน

“...ช่างเถอะ... ต่อไปก็อย่ามาเข้าห้องฉันมั่วๆอีก แล้วกุญแจน่ะ คืนป้าษอรไปหรือยัง”เขาเอ่ยถามเรียบๆ กลับมาควบคุมอารมณ์ให้เหมือนเก่า

“คืนแล้วครับ”อีกฝ่ายตอบ แต่เขาไม่เชื่อถือนัก ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าป้าษอรเอากุญแจบ้านให้เจ้าตัวง่ายๆได้ยังไง พุดไม่รู้จักอินทนิลด้วยซ้ำ

“เรื่องบ้านเป็นยังไงบ้าง”ชายหนุ่เปลี่ยนเรื่องคุย พุดยิ้มแย้มทันที เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างร่าเริง

“วันพรุ่งนี้คงเริ่มสร้างต่อแล้วครับ เมื่อกี้ช่างเพิ่งกลับไปเองครับ”เจ้าตัวบอก เอ่ยอธิบายเรื่องบ้านที่ออกแบบไว้เองให้เขาฟังอย่างตั้งใจ ส่วนเรื่องการซ่อมแซมบ้านในส่วนของการรื้อถอน ตอนนี้มีช่างรับเหมามาสร้างเรือนต่อ เขาเห็นว่าพุดต้องการได้บ้านเป็นลักษณะเดิม แต่ปรับโครงสร้างให้มีสองชั้นแทน

หลังจากนั้น ภูวรินทร์กับพุดไม่มีอะไรให้ต้องคุยอีก ชายหนุ่มลุกเดินเข้าไปในครัวเพื่อคุยกับป้าษอร เห็นว่าหญิงแม่บ้านอยู่ด้านในพอดี เขาเคาะประตูส่งเสียงให้เธอรู้ตัว เขาเดินไปนั่งที่โต๊ะอาหาร

“ป้าให้กุญแจบ้านกับพุดเหรอครับ”ชายหนุ่มถาม ขณะที่นั่งมองป้าษอรที่กำลังง่วนอยู่กับการเตรียมวัตถุดิบทำอาหาร เธอเงยมองเขาด้วยสายตาแปลกใจ

“ค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ”

“ผมก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ถ้าหากว่าเขาไม่ได้เอาไปเปิดสุ่มสี่สุ่มห้า”เขาบอกก่อนจะถอนหายใจ ป้าษอรวางมือจากการเตรียมอาหารเดินอ้อมครัวมาหาเขาที่โต๊ะ

เธอมองเขาอยู่นาน คล้ายจะเอ่ยอะไรออกมา แต่เขาดักคอไว้ก่อน “ผมไม่ได้คิดอะไรไม่ดีกับพุดหรอกครับ”

“ป้าไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้นค่ะ...แต่ป้าเป็นห่วงคุณ”หญิงแม่บ้านเอ่ยน้ำเสียงสั่นเครือ แววตาพลันหม่นลง เขาเบนหน้าหนีเจ้าตัว

“ทำไมครับ”

“คิดว่าเจ็ดปีที่ผ่านมาคุณจะทำใจได้แล้วซะอีก”ถ้อยคำของป้าษอรทำให้ภูวรินทร์สะอึกไป เขาเงียบ ตอนแรกก็คิดเช่นนีัแต่พอได้กลับมาทบทวนความรู้สึกทั้งหมดแล้วกลับพบคำตอบที่น่าเจ็บใจ

“หึ นั่นสิ ผมก็คิดว่าจะดีขึ้น แต่ไม่รู้สิครับ พอกลับมาบ้านที่ไร ผมก็จิตตกทุกที...”เขาบอก อยู่ๆขอบตาก็ร้อน ยิ่งกลับมาเห็นคนที่มีบางอย่างเกี่ยงข้องกับอินทนิลและคุณแก้วแล้วก็ยิ่งรู้สึกเสียใจ เวลาที่ผ่านมาเหมือนไม่ได้เยียวยาความสูญเสีย เขาแค่ยังวาดหวังว่าจะได้เจอกับคนที่สามารถรักได้อีก อาจใช่หรือไม่ใช่อินทนิลหรือคุณแก้วนั้นไม่สำคัญ

“ป้าเข้าใจค่ะ”เธอเข้ามาปลอบใจเขา ชายหนุ่มไร้คำพูด หลับตาลงอย่างยอมแพ้

ภูวรินทร์กลับขึ้นไปบนห้อง ขังตัวเองอยู่ด้านในแทน เขาเดินไปนั่งที่ริมหน้าต่าง เฝ้ามองคนสวนกำลังพรวนดินที่รอบบ่อน้ำพุ หากพุดไม่อยากพูดถึงเรื่องเก่าๆ เขาก็จะไม่พูด เป็นแค่คนแปลกหน้ากันไปก็คงดีแล้ว เขาคิดว่านี่อาจเป็นทางออกที่ดีก็ได้ ส่วนเรื่องของหลวงตาเขาไปถามลุงชมได้คำตอบว่าตอนนี้ท่านออกธุดงค์ไปแล้ว ภูวรินทร์รู้สึกเสียดายมาก โชติส่งข้อมูลของพุดมาให้เขา เขาไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วพุดเป็นลูกของคุณกนก หญิงสาวที่เป็นหลานของไกร พี่ชายของคุณแก้ว และพุดเคยเข้าโรงพยาบาลเมื่อตอนอายุ 15 สาเหตุคืออีกฝ่ายจมน้ำ และเกือบตายมาแล้วมันทำให้เห็นถึงความเชื่อมโยงกับคุณแก้วและอินทนิลไปหมด แต่มันจะเป็นไปได้หรือ... อีกฝ่ายจะเป็น‘ใคร’กัน บางทีเขาอาจไม่ต้องการคำตอบ เพียงแค่กลัวว่าสิ่งที่กำลังดำเนินอยู่นี้ ‘พันธะ’ระหว่างเขากับพุดคือเรื่องใดกัน เขามั่นใจว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับคำแช่งเก่าแก่ของบ้าน คำแช่งพวกนั้นน่าจะจบลงไปแล้ว แล้วพุดต้องการอะไรกันล่ะ...

หลังจากการสนทนากับพุดในคราวนั้น เขาไม่เห็นหน้าของอีกฝ่ายอีก เพราะเจ้าตัวกำลังใช้สมาธิกับการวาดภาพ ป้าธิชาบอกว่าอีกฝ่ายทำฟรีแลนซ์รับงานอาร์ตต่างๆทั้งการทำการ์ด วาดภาพ เพ้นท์สี เป็นภาพแขวนหรืองานเครื่องประดับชิ้นเล็กอย่างเช่นกรอบรูปแบบสื่อผสม เขาจึงไม่ได้เจอหน้าของพุดบ่อยนัก 

และสิ่งที่ไม่มีใครในบ้านเอ่ยถึงคือเสียงฝีเท้าที่วนเวียนอยู่หน้าห้องนอนของตน และไม่ใช่แค่คืนเดียวด้วย แต่เขาพบว่าไม่มีคนเอ่ยถึง เขาไม่คิดว่าเป็นผี คงเป็นคนนี่แหละ…

หนึ่งคืนก่อนที่ภูวรินทร์จะกลับไปทำงานต่อ ในกลางดึก เวลาล่วงเลยมาถึงเที่ยงคืน ภูวรินทร์จัดกระเป๋าเดินทางเรียบร้อยแล้ว จึงเตรียมตัวเข้านอน พอเห็นชายผ้าม่านสะบัดไปมาก็พบว่าหน้าต่างยังเปิดอ้าไว้ จะว่าไปเขากลับมาประสบปัญหากับหน้าต่างอีกแล้ว ปิดเหมือนไม่ได้ปิด  คืนนี้มีลมพัดเข้าบ้านตลอด ทำให้เขาต้องเดินไปปิดหน้าต่างเพราะลมเย็นทำให้นอนไม่หลับ เขาไม่เคยรู้สึกหวั่นในใจเช่นนี้มาก่อน เพราะเขาไม่กล้ามองออกไปด้านล่างหรือแม้แต่จะหันไปมองที่สวนต้นแก้ว เพราะคืนนี้มันมีอะไรแปลกไปจนเขารู้สึกได้

แต่ภูวรินทร์ห้ามตัวเองไม่ได้ เขากวาดสายตามองออกไปในความมืด คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงสว่างสไวทำให้การมองเห็นไม่แย่นัก ลางสังหรณ์ดลใจให้มองไปที่สวนต้นแก้วของเรือนข้างๆ เขายืนนิ่ง ใจหล่นวูบเมื่อเห็นว่าท่ามกลางต้นแก้วสูงจนท่วมศีรษะ มีร่างของเด็กหนุ่มในชุดนอนสีขาวยืนอยู่

‘พุด…’

เขามองอยู่นานร่างนั้นไม่ไหวติง ดอกแก้วสีขาวห้อมล้อมร่างของพูดประหนึ่งดาวล้อมจันทร์ ชายหนุ่มลังเลใจอยู่นานว่าจะเดินไปหาอีกฝ่ายดีหรือไม่เพราะเขานึกถึงเหตุการณ์เมื่อ7ปีก่อนขึ้นมา เกรงว่าจะตกหลุมพราง

แต่นี่คือพุดไม่ใช่หรือ

พอคิดเช่นนี้จึงรีบหันกายเดินออกจากห้องนอน ฝ่าความมิดสลัวลงบันไดไปช้าๆ หัวใจเต้นรัว เขาเนื้อตัวเย็นเยียบ สองเท้าเหยียบลงพื้นบ้านเย็นๆจนออกมาถึงที่หน้าบ้าน เขารีบสวมรองเท้าเดินเลาะไปตามทางริมรั้ว มุ่งสู่ประตูเล็กเข้าสู่เขตเรือนปั้นหยาหลังเก่าที่ตอนนี้กำลังต่อเติมเสาบ้านอันใหญ่เพื่อพยุงน้ำหนักบ้านสองชั้น

ภูวรินทร์มองไปที่ร่างของพูด เขาก้าวเดินรวดเร็วเพื่อไปถึงตัวของพุด

“นี่พุด”เขาเรียกกอนจะยื่นมือไปแตะไหล่ อีกฝ่ายยืนหันหลัง ไม่มีเสียงตอบรับกลับมาเขาจึงคว้าไหล่ผอมให้หันมาพร้อมเอ่ยเรียกสติ

“พุด!”ภูวรินทร์จับไหล่ทั้งสองข้างไว้ ท่าทางของอีกฝ่ายเหมือนคนละเมอ ไม่ต่างจากที่อินทนิลเคยเป็นก็ยิ่งทำให้เขาใจสั่นไหว เด็กหนุ่มสะดุ้งลืมตาตื่น พอมองเห็นเขายืนอยู่ตรงหน้าก็ร้องออกมาอย่างตกใจ

“น้าภู!”อีกฝ่ายผงะถอยหลัง มองไปรอบตัวแล้วใบหน้าซีดเผือด แววตาหวาดกลัว เขาสัมผัสได้ว่าร่างกายของเจ้าตัวสั่นเทา

“ใจเย็นๆ”เขาบอกด้วยความปลอบประโลมเมื่อพุดสะบัดตัวออกห่าง เหลียวมองไปรอบข้างอย่างตื่นตระหนกเมื่อพบว่าอยู่ในสวนของเรือนเล็ก

“…ผมมาที่นี่เองเหรอ”พุดเหมือนทรงตัวไม่อยู่ เขาเข้าไปพยุงร่างของเจ้าตัวไว้ได้ทัน

“อืม ฉันเห็นเธอยืนอยู่ก่อนแล้ว เลยมาตาม”ภูวรินทร์บอกก่อนจะพาร่างของพุดเดินกลับเข้าไปในบ้าน ระหว่างทางเจ้าตัวเงียบไม่เอ่ยอะไรออกมา เขาไม่ได้ถามซักไซ้

เมื่อพ้นเขตเรือนเล็ก พูดถอนหายใจก่อนจะขยับออกห่างจากภูวรินทร์ทันที อีกฝ่ายเดินเข้าไปในบ้านใหญ่เงียบๆ

“น้าภูยังไม่เข้านอนอีกเหรอครับ ดึกขนาดนี้แล้ว”พุดเอ่ยถามเมื่อเดินขึ้นบันได เขามองตามหลังเด็กหนุ่มอย่างนึกห่วง

“กำลังจะนอนนั่นล่ะ แต่เห็นเธอเข้าก่อน…”เขาตอบ อีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไร เมื่อเดินมาถึงที่หน้าห้อง เขาหยุดเดินมองพุดอย่างไม่วางตา จนเกิดความอึดอัดก่อตัวขึ้น

“พรุ่งนี้น้าต้องขับรถกลับไม่ใช่เหรอครับ เดี๋ยวก็เกิดอันตรายหรอก”พุดเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม มองเขาด้วยแววตาเป็นห่วง ภูวรินทร์จึงยิ้มออก

“ไม่เป็นอะไรหรอก …ว่าแต่เธอเถอะ…เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้บ่อยหรือเปล่า”เขาถาม มองพุดอย่างเป็นห่วง เจ้าตัวก้มมองพื้นห้อง

“…ไม่บ่อยหรอกครับ สงสัยจะเพลียหนัก น้าภูคงไม่กลัวผมนะครับ”พุดเอ่ย ต้องมองเขาด้วยนัยน์ตาวิบวับเหมือนแมงมุม

“ไม่หรอก”เขาตอบไปตามตรง มาถึงขั้นนี้แล้วมีอะไรที่ต้องกลัวอีกกัน ได้ฟังคำตอบของเขาพุดจึงค่อยๆยิ้มออกมา

“งั้นราตรีสวัสดิ์ครับ”พุดบอก สีหน้าดีขึ้น กลับมาสงบนิ่งตามเดิม เขาพยักหน้าให้ส่งเสียงอือออไป มองร่างผอมเดินกลับไปยังห้องนอนของตัวเอง ห้องเก่าของคุณแก้ว จนอีกฝ่ายปิดประตูไปแล้ว ภูวรินทร์ยังคงยืนอยู่ที่เดิมจนกระทั่งเหน็บเริ่มลามเลียท่อนขาจึงกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง นอนหลับไปอย่างง่ายดาย


++++++++++


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-02-2018 03:52:54 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
เช้าวันรุ่งขึ้น ภูวรินทร์ตื่นสายกว่าทุกที กว่าจะยกกระเป๋าลงมาจากห้องก็ปาไปแปดโมงครึ่งแล้ว พอเดินเข้าไปที่ห้องอาหาร เจอกับสองแม่ลูกและป้าษอรที่ตั้งโต๊ะอาหารรอเขา ภายในห้องอาหารไม่มีเสียงพูดคุย เขาสัมผัสได้ถึงความแปลกประหลาดในท่าทีของป้าธิชา เธอเหลือบมองไปที่ป้าษอรแล้วก็หันกลับไปมองลูกชายของเธอ

พุดแค่ทานมื้อเช้าอย่างเจริญอาหารเช่นเคย เขามองอีกฝ่ายเงียบไปก่อนจะันไปเจอสายตาของป้าษาอรเขาลอบถอนหายใจเบาๆ สายตาแบบนี้อีกฝ่ายรู้เรื่องอะไรหรือเปล่านะ บรรยากาศแปลกเช่นนี้เขาไม่ได้คิดไปเอง หลังจากทานอาหารอิ่มแล้ว ป้าษอรเสิร์ฟกาแฟให้เขาต่อ

“กาแฟค่ะ”ป้าษอรเลื่อนแก้วกาแฟมาให้เขา กาแฟดำใส่น้ำตาลช้อนเดียว เขายิ้มขอบคุณ ก่อนจะยกมาดื่ม พุดจ้องมองเขาอยู่ตรงหน้า

“กลับไปคราวนี้ จะไม่กลับมาแล้วใช่ไหมคะ”ป้าษอรถามออกมา เขาคิ้วขมวดทันทีที่ได้ยิน เขามองอีกฝ่ายอย่างนิ่งเฉย พูดแบบนี้มีความหมายอะไรหรือเปล่า

“ไม่ใช่หรอกครับ ถ้าว่างก็จะแวะมาหาป้าอยู่แล้วครับ”ภูวรินทร์ตอบด้วยรอยยิ้ม เธอเลิกคิ้วสูง ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา มีเพียงสายตาจับจ้องมาจากพุดเท่านั้น ป้าธิชาออกไปข้างนอกเงียยๆ เขาดื่มกาแฟจนหมด แล้วลุกออกจากโต๊ะ เตรียมตัวเดินทางกลับ คนงานยกกระเป๋าไปวางไว้ในรถให้เขาแล้ว ภูวรินทร์เดินออกจากบ้าน แหงนหน้ามองท้องฟ้าปรอดโปร่ง มองไปทางเรือนหลังเล็ก ตอนนี้กำลังเริ่มทำพื้นบ้านชั้นบน หลังคายังเป็นทรงเดิมคือปั้นหยาแต่เพิ่มห้องใต้หลังคาเข้าไปด้วย ป้าษอรออกมาส่งเขา

“เดินทางกลับโดยปลอดภัยนะคะ ถ้าง่วงก็แวะจอดข้างทางก่อนได้”เธอบอกก่อนจะยื่นกระบอกน้ำเก็บความร้อนมาให้ เขารับมาคงเป็นกาแฟร้อน เขายิ้มก่อนจะเอ่ยขอบคุณอีกฝ่าย

“ฝากดูแลบ้านด้วยครับ”ภูวรินทร์เอ่ย ป้าษอรยิ้มพยักหน้าเป็นคำตอบ เขามองป้าธิชาที่ยืนอยู่หน้าบ้านเธอมีสีหน้ากังวลใจ ไม่ได้เข้ามาพูดคุยกับเขา

ภูวรินทร์เดินไปที่รถ เปิดประตูเข้าไปนั่งประจำที่เบาะคนขับ เสียบกุญแจก่อนจะสตาร์ทเครื่อง เสียงเครื่องยนต์ดังกลบเสียงคนงานที่กำลังทำบ้านหลังข้างๆ เขามองกระจกข้างเห็นว่าพุดกำลังเดินมาหา เขาจึงลดกระจกลง

“เดินทางปลอดภัยนะครับน้าภู”พุดเอ่ยบอก เขาพยักหน้า และไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยื่นหน้าเข้ามาทางหน้าต่าง “ผมให้ครับ”พุดยิ้มแล้วยื่นการ์ดสีขาวมุกมาให้ กระดาษมีกลิ่นหอมอ่อนๆ เขารับมา บริเวณด้านหน้ามีลวดลายดอกไม้พันเกี่ยวกันอย่างอ่อนช้อยที่ขอบกระดาษมองไปคล้ายการ์ดแต่งงาน เขายังไม่เปิดเข้าไปดูแค่นำมาเก็บไว้ก่อน

“ขอบใจนะ”ภูวรินทร์บอก มองใบหน้าของพุดอยู่นาน ใบหน้าอ่อนเยาว์ไม่มีอะไรโดดเด่น แต่มีรอยยิ้มที่สะกดใจได้ไม่ยาก เด็กหนุ่มดวงตาเป็นประกายสดใส

“เราคงได้เจอกันอีกครับน้าภู”นั่นคือคำพูดสุดท้ายของพุดก่อนที่จะถอยตัวออกห่างจากรถ ชายหนุ่มพยายามไม่หวั่นไหวไปกับถ้อยคำนั้นแต่ก็อดยิ้มไม่ได้

แน่ล่ะ…เพราะเขาต้องกลับมาที่บ้านหลังนี้อีกครั้งอย่างแน่นอน


การเดินทางกลับเป็นไปได้ด้วยดี เขามาถึงบ้านอย่างปลอดภัย ชายหนุ่มเปิดการ์ดที่พุดให้มา ด้านในมีภาพสีน้ำ รูปเรือนปั้นหยาสีขาว สองชั้น รายละเอียดชัดเจนทั้งลายฉลุที่หน้าต่าง มีเฉลียงบ้านกว้าง โทนสีที่ใช้สีขาวชมพูและฟ้าอ่อน มีอักษรสลักไว้ที่ใต้ภาพว่า 'เรือนมาลา' และมีกลอนที่เขียนด้วยลายมือบรรจงอยู่ทางด้านหลังกระดาษ ซ้ายมือของรูปเรือนปั้นหยา

ภูวรินทร์รู้สึกเศร้านิดหน่อยเมื่อเห็นชื่อเรือนเขาไม่รู้ว่าพุดจะตั้งชื่อเรือนตามนี้เลยหรือไม่ …มาลา ที่แปลว่าดอกไม้…มันทำให้เขานึกถึงทั้งคุณแก้ว อินทนิล...และพุดด้วยเช่นกัน

ระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ภูวรินทร์กลับมาทำงาน นิรุทโทรหาเขาด้วยเรื่องที่ทำให้ประหลาดใจในรอบหลายปี เขาคิดว่าฟังไม่ผิด นิรุทหัวเราะออกมาเบาๆ

 “งานอะไรนะครับ”

“งานเลี้ยงรวมตระกูลน่ะ กว่าที่ทางญาติฝั่งพี่จะรวมตัวกันได้อีก ใช้เวลานานหลายปีเลยนะภู ฉันถึงอยากให้เธอมาสักครั้ง อยากน้อยมาเจอหน้ากันสักแปบก็พอ”นิรุทเอ่ยย้ำ ตั้งแต่บ้านภิรมย์สุขสาแหรกขาดไปตั้งแต่รุ่นคุณนิรุท ญาติทางฝั่งคุณกิ่งและไกรต่างไม่มีปฏิสัมพันธ์กับพวกเชื้อสายของท่านหมื่น เช่นนิรุท คงเพราะเรื่องบาดหมางในอดีต ซ้ำยังไม่อยากข้องเกี่ยวกับเรื่องอาถรรพ์เก่าๆ คนตระกูลนี้จึงไม่ได้ติดต่อกันมานาน เขาแปลกใจที่งานรวมตระกูลเกิดขึ้นมาได้ แถมยังอยากเจอหน้าเขาอีก 

“พวกเขาจะไม่ตกใจกันหรือไง”ภูวรินทร์เอ่ยถาม ได้ยินนิรุทหัวเราะอีกรอบ

“...ไม่หรอก ฉันเอารูปของเธอให้พวกเขาดูกันไปแล้ว เจอตัวจริงคงไม่ช็อกตาตั้งแน่ๆ”คนปรายสายเอ่ยติดตลก เขาถอนหายใจ การไปเจอญาติพี่น้องไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร อีกอย่างเพราะเรื่องคำแช่งจางหายไป ทำให้ญาติเหล่านั้นกลับมากลมเกลียวกันอีก ก็ถือเป็นเรื่องที่ดี

“ได้ครับ ผมไปก็ได้”เขายอมตอบตกลง

“ขอบคุณมากนะ”นิรุทเอ่ยเบาๆ

ส่วนทางบ้านภิรมย์สุข ป้าษอรไม่ได้โทรมารายงานเขาบ่อยนัก แต่ทุกครั้งที่โทรมาก็จะเป็นเรื่องความคืบหน้าของการสร้างบ้านหลังใหม่ของพุด เขาได้ยินว่ามันราบรื่นดี และพุดก็ชอบเก็บตัวเงียบในห้องเช่นเคย ส่วนป้าธิชาก็ไม่ได้พูดคุยกับป้าษอรมากนัก เขาเข้าใจดีเพราะเธอไม่ชอบป้าธิชามากเท่าไหร่ เพราะเรื่องอินทนิล แต่ในฐานะคนดูแลบ้าน ป้าษอรจึงต้องรักษามารยาทเอาไว้

งานรวมญาติจัดขึ้นที่บ้านของญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ภูวรินทร์เข้าไปในงานพร้อมกับนิรุท เขาค่อนข้างตื่นเต้นอยู่มากเพราะยังไม่เคยเจอญาติผู้ใหญ่ของตนเองมาก่อน วันนี้นิรุทจึงพาเขาเข้าไปในฐานะ พ่อกับลูก ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์จะไม่ได้แน่นแฟ้น แต่เขาก็เคารพอีกฝ่ายในฐานะญาติผู้ใหญ่ นิรุทเองก็ดีกับเขาจริงๆ

“คนที่อาวุโสที่สุดก็คือลุงณรงค์ เป็นพ่อของกนกน่ะ เพราะเสียลูกสาวไปเลยไม่ค่อยจะแข็งแรงนัก”

“แล้วทำไมท่านถึงยอมให้ธิชาเอาลูกของคุณกนกไปเลี้ยงล่ะครับ”เขาเอ่ยถาม นิรุทมีสีหน้าแปลกใจ

“เธอรู้ด้วยเหรอเนี่ย..ก็ไม่มีอะไรมาก เพราะธิชามีลูกยาก แถมคุณณรงค์ก็แก่ตัวแล้ว พุดอายุแค่สามขวบเอง ถึงจะมีพี่เลี้ยงคอยดู แต่การมีแม่น่าจะดีกว่าไม่ใช่เหรอ”นิรุทเอ่ยเบาๆ มองเขาอย่างนึกเสียใจ เขาเงียบไป

“แล้วป้าธิชามาด้วยไหม”

“ไม่มาหรอก ก็อยู่ที่บ้านเก่าไม่ใช่เหรอ”นิรุทมองเขา ภูวรินทร์พยักหน้า จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องจัดเลี้ยง บ้านหลังใหญ่โตกว่าของท่านหมื่นเสียอีก ที่หน้าห้องมีผู้ชายวัยกลางคนศีรษะล้าน นิรุทบอกว่าเป็นทนายประจำบ้าน ชื่อว่าบดินทร์ เข้ามาต้อนรับเขากับนิรุท ทนายบดินทร์ชะงักไปเมื่อเห็นหน้าของเขา

“คุณณรงค์อยู่ด้านในแล้วครับ”ทนายเอ่ยกับนิรุท ก่อนจะเปิดประตูเข้าไป ภายในห้องกว้าง ใจกลางห้องมีโต๊ะตัวยาวตั้งอยู่ มีดอกไม้ประดับพร้อมกับในระยะห่างเท่าๆกัน ที่หัวโต๊ะมีชายชรารูปร่างสมบูรณ์ไม่ผอมไม่อ้วนเกินไปนั่งอยู่ ทางซ้ายมือมีหญิงชราหน้าตาบึ้งตึงนั่งอยู่ข้างๆ และมีญาติผู้ใหญ่อายุเท่าๆกับนิรุทนั่งอยู่ลำดับถัดมาสามคน

“สวัสดีครับคุณณรงค์”นิรุทพาเขาเดินไปไหว้ชายชราท่านนั้น นิรุทไม่ได้เรียกว่าคุณลุง เช่นนั้นแล้วเขาจะเรียกว่าคุณปู่ได้อย่างไร เขายกมือไหว้ผู้อาวุโสตามลำดับ พวกเขารับไหว้หน้าตายิ้มแย้ม ไม่เก็บความประหลาดใจเอาไว้สักคน มีแต่หญิงชราผู้เป็นภรรยาของณรงค์ที่ไม่ยิ้มแย้ม คงเพราะเขาหน้าตาเหมือนหมื่นนรินทร์จนไม่นึกดีใจที่เห็นเขา

“เอ้า ให้ลูกของลื้อนั่งข้างๆพิชัยสิ”คุณปู่ณรงค์บอก นิรุทพาเขาไปนั่งเก้าอี้ทางฝั่งคุณพิชัย สามีของป้าธิชา อีกฝ่ายแค่เหลือบมองเขานิ่งๆ ภูวรินทร์รู้สึกอึดอัดจนไม่อยากจะมองหน้าใครนัก แขกคนใหม่เข้ามา เป็นหญิงชราอายุเท่าๆกับคุณณรงค์ ทุกคนลุกขึ้นต้อนรับแขกท่านนี้ เห็นเรียกคุณพิชัยว่าเขย ทำให้เขารู้ว่าหญิงชราท่านนี้คือคุณแม่ของธิชา นิรุทเอนตัวมาคุยเบาๆ

“คนนี้ชื่อนงลักษณ์ เป็นคนใจดีมากไม่เหมือนคุณณรงค์”เขาพยักหน้า  นิรุททักทายผู้มาเยือนคนใหม่ “คุณป้าครับ นี่ภูวรินทร์ ลูกชายของผมเอง”เจ้าตัวเอ่ยอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ ภูวรินทร์ยกไหว้คุณย่าท่านนี้ หญิงชรามองเขาอยู่นานก่อนจะส่งยิ้มมาให้เขา

“อืม หน้าตาเหมือนกันเลยนะ”ย่านงลักษณ์เอ่ยเบาๆ ก่อนจะนั่งลงใกล้ๆกับทางคุณตาณรงค์ผู้เป็นญาติผู้น้อง

“แล้วอาพุดไปไหนล่ะ ทำยังไม่มาอีก”คุณปู่ณรงค์เอ่ยขึ้นมา ภูวรินทร์ยิ่งกว่าแปลกใจ เขาหันไปมองนิรุท อีกฝ่ายส่ายหน้าเป็นคำตอบเหลือบมองทางคุณพิชัยผู้เป็นพ่อเลี้ยงของพุด

“เมื่อกี้บอกผมว่าไปเข้าห้องน้ำ เดี๋ยวก็คงมาครับ”

“อืม หลานคนนี้ไม่รู้จักมารยาทเอาซะเลย”หญิงชราที่นั่งข้างๆกับคุณปู่ณรงค์เอ่ยพึมพำ ไม่ทันขาดคำ พุดเดินเข้ามาท่ามกลางสายตาตำหนิ เด็กหนุ่มเดินค้อมตัวมานั่งข้างๆผู้เป็นพ่อเลี้ยงอย่างคุณพิชัย พุดเหลือบมองมาทาเขาด้วยสีหน้ามีรอยยิ้ม ที่จริงการนับญาติของคนตระกูลนี้ทำให้เขามึนงง เพราะทั้งสองฝั่งเป็นพี่เป็นน้องกันทั้งนั้น ไหนจะพุดที่ถูกรับเลี้ยงจากธิชา ลูกสาวของคุณย่านงลักษณ์ผู้เป็นญาติผู้พี่ของคุณปู่ณรงค์ การมาของนิรุทกับภูวรินทร์จึงเหมือนผ่าเหล่าไปหน่อย เพราะทายาททางฝั่งหมื่นนรินทร์ไม่มีเลยนอกจากเขาทั้งสองคน ที่มาดองกันได้ก็เพราะเรื่องในอดีตของหมื่นนรินทร์กับคุณแก้ว ทำให้ฝั่งคุณย่านงลักษณ์ และคุณตาณรงค์ยังนับญาติกับเขาอยู่

“จะว่าไปไม่ได้มาเจอหน้ากันตั้งเกือบสิบปีเลยนะ จนตอนนี้หัวหงอกกันไปหลายคน”คุณปู่ณรงค์เอ่ยกับทุกคน ภูวรินทร์กลั้นความเบื่อหน่ายเอาไว้เพราะส่วนใหญ่ที่คุยกับก็มีแต่พวกอาวุโส คนนอกเช่นเขาเลยไม่รู้จะมีตัวตนไปทำไม ไม่ต่างจากพุด เพราะอายุน้อยสุดการรวมญาติเช่นนี้จึงเป็นเรื่องน่าเบื่อพอๆกัน

พอผ่านช่วงที่ทานอาหารไปเรียบร้อย เวลานี้จึงไม่ต้องนั่งอยู่กับที่เพราะเป็นเวลาผ่อนคลาย เขาพยายามปลีกตัวออกมาจากวงสนทนา ปล่อยให้นิรุทคุยกับพวกอาวุโสสามสี่ท่าน เขาเห็นพ่อเลี้ยงของพุด คุณพิชัยกำลังนั่งจิบเหล้าแอบมองมาทางเขาอยู่หลายหน อาจมีเรื่องคุยด้วย แต่เขาไม่นึกอยากจะคุยกับคนพวกนี้จริงๆ ภูวรินทร์เดินออกจากห้องจัดเลี้ยงไปเงียบๆ เดินออกไปทางหลังบ้านเพราะมีประตูเปิดไว้ เจอเข้ากับสระน้ำใหญ่เป็นน้ำสีฟ้าใสสะท้อนแสงอยู่ เขาเจอพุดนั่งอยู่ที่เก้าอี้ริมสระ ชายหนุ่มกำลังหันหลังเดินกลับเข้าไปด้านใน แต่พุดดันหันหน้ามาเจอซะก่อน เด็กหนุ่มยิ้มให้ โบกมือให้เขา ภูวรินทร์เดินเข้าไปหาพุด

เมื่อเดินไปใกล้ เขาเลือกนั่งที่เก้าอี้ตัวถัดไป เห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าเรียบเฉยมาตั้งแต่ในงาน “เบื่อหรือไง”เขาถาม

“แฮะๆ ก็นิดหน่อยครับ”พุดหัวเราะเจื่อนๆ ก่อนจะมองไปที่สระน้ำ แววตาดูล่องลอยๆ เขาอยากถามเรื่องของอีกฝ่าย แต่ต้องรอจังหวะ

“ก็แบบนี้นะมีแต่คนสูงวัย”เขาส่ายหน้า ขนาดตัวเขายังเบื่อ ไม่น่ารับปากนิรุทมางานนี้เลยจริงๆ พุดหันขวับมองเขาทันทีก่อนจะเอ่ยเบาๆ

“น้าภูยังไม่แก่ขนาดนั้นซะหน่อย”

“หึ......”ภูวรินทร์ยิ้ม เด็กหนุ่มถอนหายใจเบาๆก่อนจะมองเขา “จะไม่กลับไปอยู่บ้านแล้วเหรอครับ”คำถามของอีกฝ่ายทำให้เขานึกไม่ถึง ไม่คิดว่าจะถามเรื่องนี้

“เปล่าซะหน่อย ฉันมีงานต้องรับผิดชอบนะ เลยไม่ค่อยได้ไปบ่อยๆ”เขาบอก พุดย่นคิ้ว

“ว้า แย่เลย แบบนี้ผมก็อยู่บ้านคนเดียวน่ะสิ ไหนว่าน้าภูอยากมีเพื่อนบ้าน”เจ้าตัวเอ่ยอย่างเสียดาย ทำให้เขาหัวเราะ

“จริงด้วยนะ บ้านคงเงียบ”เขาตอบ ก่อนที่คนทั้งคู่จะเงียบไปนาน เขาหันไปจ้องมองน้ำในสระที่สงบนิ่งแทน ใบหน้าของพุดมีแสงสะท้อนจากผิวน้ำ เป็นพุดที่เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นซะก่อน “...ผมคิดว่าผมเกลียดแม่ตัวเอง”คำพูดของอีกฝ่ายทำให้เขาตกใจไม่น้อย เขามองคนตรงข้าม เจ้าตัวมีสีหน้าเรียบเฉย จ้องตาเขาเขม็ง

“พุด”

“จริงๆนะครับ ขนาดงานวันนี้แม่ยังไม่ยอมมา...เพราะเรื่องที่แม่เคยทำไว้”พุดเอ่ยเสียงเฉยชา ภูวรินทร์รู้สึกกังวลใจอย่างบอกไม่ถูก “มันเป็นสิ่งผิดพลาดในอดีตไม่ใช่เหรอ อีกอย่างป้าธิชาก็เลี้ยงดูเธอมาอย่างดี เรื่องนี้เธอไปเอามาจากไหน”เขามองเด็กหนุ่ม เจ้าตัวเม้มปากก่อนจะไหวไหล่อย่างไม่แยแสนัก

“ได้ยินมาตั้งนานแล้วครับ ถึงท่านจะไม่ใช่แม่แท้ๆของผม แต่ผมก็คิดว่าท่านคือแม่ที่ให้กำเนิดเสมอ แต่เรื่องเก่าๆมันทำให้ผมรู้สึกเจ็บเมื่อคิดถึงเด็กที่ชื่ออินทนิล”ถ้อยคำของพุดประดังประเดออกมา ทำให้เขากลั้นหายใจ เขามองอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ ชาวาบไปทั้งร่าง เขาไม่ได้พูดอะไรออกมา แค่รอฟังอีกฝ่ายพูดให้หมด เหมือนว่าเจ้าตัวแค่ระบายเรื่องในใจ

“ผมไม่มีความทรงจำในวัยเด็ก...”พุดเอ่ยน้ำเสียงแข็งกระด้าง มองไปที่สระน้ำอีกครั้ง แววตาหม่นเหม่ออ “หมายความว่ายังไง”เขาถามออกไปแบบนั้น ทั้งๆที่รู้ว่าน่าจะเกี่ยวกับเรื่องที่อีกฝ่ายต้องเข้าโรงพยาบาล พุดเงียบ เลื่อนสายตากลับมามองที่เขา

“...ก็ช่วงที่ผมจมน้ำไปน่ะครับ มีความเป็นความตายรออยู่ ผมจึงต้องเลือก”เจ้าตัวเอ่ยเสียงเบา แววตาวูบไหว เขากลืนน้ำลายลงคออย่างลำบาก ใจเต้นแรงเมื่ออีกฝ่ายเริ่มบอกเล่าเรื่องของตัวเอง

“เลือกอะไร”เขาถาม พุดยังคงเงียบ เหมือนไม่กล้าเอ่ยออกมา เด็กหนุ่มสบตากับเขาอยู่นาน จนเขาต้องเอ่ยเรียกชื่อเพื่อเรียกสติ

“พุด”คำเรียกของภูวรินทร์ทำให้เด็กหนุ่มยิ้มออกมา ชายหนุ่มรอฟังคำตอบของเจ้าตัว เขาเคยคิดว่าหากได้รู้ความจริงบ้างก็คงดี ความรู้สึกของเขาคงไม่เปลี่ยนแปลง พุดหลับตาก่อนจะเอ่ยเสียงไร้อารมณ์

“...เลือกว่าระหว่างได้เริ่มชีวิตใหม่กับการเริ่มต้นเป็นเดรัจฉาน”เขาตกใจกับคำตอบของพุดจริงๆ ภูวรินทร์ขมวดคิ้ว หัวใจเหมือนโดนเจาะลมจนแห้งเหี่ยว สีหน้าของอีกฝ่ายดูแปลกไป คล้ายกับว่างเปล่า แววตาสีดำที่มีประกายสดใสกระพริบหายไป เหลือแค่ความเย็นชา

“พูดอะไรแบบนั้นกัน”ชายหนุ่มเอื้อมไปดึงไหล่อีกฝ่าย เพื่อจะมองใบหน้าของคนพูดอย่างชัดเจนมากขึ้น พุดไม่ขัดขืนอะไร แค่ส่งยิ้มมาให้เขาแทน รอยยิ้มเศร้า

“ผมได้คนใจดีช่วยซีพีอาร์ให้ จึงยื้อชีวิตเอาไว้ได้”พุดเล่าช้าๆ สายตาจับจ้องมาที่เขาไม่ละไปไหน ภูวรินทร์นิ่งไป เพราะสาเหตุนี้น่ะเหรอ ถึงได้กลับมา เขาแค่แปลกใจ ที่อีกฝ่ายยังสามารถทำแบบเดิมได้ เหมือนที่ทำกับอินทนิล เขาไม่รู้เลยว่าคนตรงหน้าเขาคือใคร

“ผมอยากให้น้าภูจดจำพุดเอาไว้... ผมมีชีวิตของตัวเองมาตลอด 8 ปี และมันก็เป็นสิ่งที่ผมต้องการจริงๆครับ”พุดเอ่ยออกมา ถ้อยคำเหล่านี้กรีดลงใจเขาไปทีละนิด เขาไม่แปลกใจ เพียงแค่ตกใจมากกว่า เพราะอะไรถึงกลับมาได้ หากว่าจิตที่หลุดออกจากร่างของอินทนิลไปไม่ได้เกิดการดับและไปจุติใหม่ แสดงว่าที่เขาเห็นเมื่อ 7 ปีก่อนคือความจริงงั้นสิ...เขาเห็นคุณแก้วที่บ้าน 

“เธอชื่อพุด...ฉันจะจำเอาไว้”เขาเอ่ย หากว่ามันคือความต้องการของอีกฝ่ายเขาก็ไม่ขัด เพราะความจริงเขาไม่ต้องการพูดถึงเรื่องเก่าๆอีก เขายึดคำของหลวงตามาดำเนินชีวิต เขาไม่รู้เรื่องหนนี้จะดีหรือร้าย แต่เขาเชื่อว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคำแช่งของบัวอีกต่อไปแล้ว

“ผมทำให้น้าโกรธหรือเปล่า”พุดถามขึ้นมา ภูวรินทร์พยายามนึกถึงเรื่องที่เขาต้องโกรธ เขาไม่รู้ว่าหมายถึงเรื่องใด เรื่องที่เข้าห้องอินทนิล เรื่องมีกุญแจบ้านไว้กับตัว หรือเรื่องที่ทำให้เขาสับสน ชายหนุ่มส่ายหน้า “ไม่หรอก”เด็กหนุ่มยังคงมองเขาต่อไป

“รอนานไหมครับ”พุดเอ่ยถาม เขาตกใจที่ได้ยินเช่นนี้ เหมือนแผลเก่าถูกเปิดออก และไม่ใช่แค่แผลเป็น มันยังไม่หายดีนัก เขารู้ดี ชายหนุ่มพูดอะไรไม่ออก รู้สึกว่าใจของเขากำลังดิ่งลงเหวมากกว่า

“ไม่นี่ เจ็ดปีเทียบอะไรกับเธอได้”ภูวรินทร์พึมพำ ไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่ายนัก

“ไม่เอาสิ ไม่พูดแบบนี้”พุดส่ายหน้า ใบหน้ามีรอยยิ้มปรากฏอยู่ อีกฝ่ายยื่นมือมากุมมือของเขาไว้แน่น ความอุ่นแผ่ซ่านจากฝ่ามือของอีกฝ่าย 

“ขอกอดคุณได้ไหมครับ”พุดถาม ดวงตาสีดำสะท้อนใบหน้าของเขาให้เห็นอยู่ ชายหนุ่มไม่ตอบ แต่ขยับเข้าไปดึงไหล่ของพุดเข้ามาหา ยกแขนโอบกอดอีกฝ่ายไว้ ความรู้สึกนี้ราวกับว่าเปราะบาง เขากอดร่างผอมของอีกฝ่ายไว้ รับรู้ว่าเจ้าตัวกำลังกอดเขาเช่นกัน พุดก้มหน้าลงซุกกับบ่าของเขา ความอบอุ่นที่ไม่ได้รับจากใครมายาวนานสิ้นสุดลง

“...น้าภูไม่ต้องกังวลว่าจะรักผิดคน”อีกฝ่ายเอ่ยกับเขา ภูวรินทร์หลับตาแน่น เขาไม่ได้กังวลเรื่องนี้ ถ้อยคำที่ใส่ใจเขาเสมอจะเป็นใครไปได้ เรื่องเหนือธรรมชาติเกินกว่าที่เขาจะเข้าใจ หากอีกฝ่ายไม่คิดจะเอ่ยบอก เขาจะไม่ตั้งคำถาม

“ฉันรักไม่ผิดคนหรอก ขอแค่เป็นเธอก็พอ”เขาบอก รู้สึกได้ว่าร่างกายของพุดกำลังสั่นเทา ความเปียกชื้นไหลซึมอยู่ตรงบ่าของเขา ชายหนุ่มค่อยๆดึงร่างของอีกฝ่ายออก เด็กหนุ่มขยับมานั่งข้างๆเขาแทน สองตาแดงก่ำ ไม่มีเสียงสะอื้นให้ได้ยิน

“แต่ว่าน้าภูไม่ชอบผมเท่าไหร่นะ”อีกฝ่ายเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดตลก เขามองคนข้างกายอย่างพิจารณา หัวใจของเขายังเต้นแรงกับพุดอยู่ คงไม่หนีไปจากคำว่าชอบได้หรอก

“...ฉันว่าเธอดื้อนะ”หากมาวิเคราะห์จริงๆแล้ว นิสัยแบบนี้ยังก้ำกึ่งระหว่างอินทนิลและคุณแก้ว ไม่บอบบางและไม่แข็งกร้าวเกินไป คุณแก้วก่อนหน้านั้นไม่ได้เป็นคนอ่อนแอนัก ที่อ่อนแอคงเป็นร่างกาย ส่วนอินทนิลนั้น...เป็นเด็กจิตใจดี เหมาะสมกับชื่อพุด เป็นดอกไม้มงคลเช่นเดียวกับดอกแก้ว ดอกพุดขาวสะอาด เป็นตัวแทนของความบริสุทธิ์   

“เพราะว่าผมคือพุดไงครับ”อีกฝ่ายเอ่ยอย่างทะเล้น ดวงตาเป็นประกาย “ว่าแต่บ้านเสร็จหรือยังล่ะ”

“ใกล้แล้วครับ...ผมตั้งใจจะตั้งชื่อให้มันด้วย”พุดเอ่ยเสียงต่ำลง เขานึกถึงการ์ดใบนั้น มันบอกอะไรๆหลายอย่างโดยที่พุดไม่ต้องพูดออกมาเองด้วยซ้ำ

“อืม การ์ดที่เธอให้ฉันมาน่ะเหรอ”เขายิ้ม พุดพยักหน้า “รู้หรือเปล่าว่าทำไมถึงเป็นเรือนมาลา”

“...รู้สิ”ภูวรินทร์ตอบ เรือนมาลา เป็นของคุณแก้ว อินทนิลและพุด 

“ตอนนี้พุดจะอยู่เป็นเพื่อนน้าภูเอง ถ้าเกิดว่าเบื่อๆก็กลับมาอยู่บ้านได้นะครับ จะหลังไหนก็ไม่ว่าหรอก”พุดเอ่ยน้ำเสียงต่างจากเดิม มีความอบอุ่นอยู่ในเนื้อเสียงที่เปล่งออกมา ภูวรินทร์จึงยิ้ม เขาดึงพุดมากอดอีกครั้ง กอดนี้นานกว่าเดิม อีกฝ่ายแทนตัวเองว่าพุด ยิ่งย้ำให้เขารู้ตนรักไม่ผิดคน

“คราวนี้ก็อย่าจากฉันไปเร็วนักล่ะ”ภูวรินทร์พึมพำ พอคิดเรื่องนี้ก็เหมือนโดนทำร้ายซ้ำๆ

“หนนี้ไม่เหมือนก่อน...”คนในอ้อมกอดบอกเขาอย่างหนักแน่น เขาคิดว่าจิตของอินทนิลกับคุณแก้วคงไม่แยกจากกันอีกต่อไป “หลวงตายังให้พรผมเลยนะ”อีกฝ่ายบอก ทำให้เขาชะงักไป...พุดไปหาหลวงตามางั้นเหรอ เขาผละออกจากอีกฝ่ายมองคนตรงหน้าอย่างค้นหาอีกครั้ง ดวงตาสีดำเป็นประกายวิบวับ

“เธอไปหาหลวงตามาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”เขาถาม

“นานแล้วครับ เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ผมขอให้ท่านอวยพรให้”พุดเอ่ย ภูวรินทร์มองอยู่เงียบๆ เขาบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร

“หลวงตาว่าอย่างไรบ้าง”เขาถาม

“ท่านแค่ยินดีกับผมที่ได้ใช้ชีวิตอีกครั้ง ผมไม่ได้เชื่อผีสาง ผมเชื่อในธรรมของพระพุทธองค์ สิ่งที่เกิดขึ้นกับเราเป็นเรื่องของชะตากรรม ผมถึงได้ถามน้าภูไงครับว่าเชื่อในพรมลิขิตหรือไม่...แล้วน้าภูว่าพรมลิขิตมีจริงไหมครับ”พุดเอ่ยถาม ชายหนุ่มจึงยิ้มบางๆ ในใจลังเลอยู่บ้าง...เขาไม่เชื่อ

“ตอนนี้ฉันเชื่อ”เขาตอบ สบตากับพุด มองเห็นระลอกแห่งความสุขฉายชัดขึ้นเรื่อยๆ ภูวรินทร์ยังเสียดายอยู่เลยว่าหลวงตาไปออกธุดงค์ซะแล้ว คลาดไปแค่ไม่กี่วันเอง เขามองพุดอีกรอบ เด็กหนุ่มยิ้มสดใส

“บอกไปตั้งนานก็ไม่เชื่อ”คนพูดหัวเราะในลำคอ ก่อนจะดึงมือของเขาออกมา แล้วใช้นิ้วชี้ขีดเขียนลงไปช้าๆว่า ชายหนุ่มจับใจความได้ว่า ‘แก้ว’ เจ้าตัวถอนมือออก แล้วขีดลงไปใหม่ว่า ‘อิน’ แล้วเปลี่ยนมากุมมือเขาไว้แทน

เด็กหนุ่มเงยหน้ามองพร้อมรอยยิ้ม ภูวรินทร์เงียบไป มองนัยน์ตาสีดำที่จดจ้อง หัวใจเต้นถี่ขึ้น ไตร่ตรองแล้วว่าเขายินดีที่อีกฝ่ายกลับมา เขาแย้มยิ้มให้คนตรงหน้า จับมืออีกฝ่ายไว้ไม่ปล่อย คงไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้แล้วล่ะ...เรื่องราวทุกอย่างได้รับการคลี่คลาย พุดมีเหตุผลในการกระทำเหล่านั้น

ภูวรินทร์รำพึงในใจว่าเขาช่างมีกิเลสในใจมากมายเหลือเกิน

 
+++++++++++


เรื่องเป็นมายังไง ตอนสุดท้ายคงเฉลย เราค่อนข้างลังเลกับตอนจบเหมือนกันนะ แต่เราเลือกแล้วล่ะ   o22
หนำซ้ำเรื่องนี้ไม่มีน้ำตาลเลย  ไม่แน่ถ้าขยันอาจมีตอนพิเศษสักตอน(ยังไม่คอนเฟิร์มน้า)

ขอบคุณสำหรับการติดตามเช่นเคยค่ะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-02-2018 21:28:25 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ หมอตัวเปียก

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1874
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
ดีใจ อย่างน้อยก็ได้กลับมาหากัน ขอมอบเพลงนี้ให้เลย

"เหมือนสายลมที่พัดคืนย้อนมา ให้ความอบอุ่นกับใจฉัน
เหมือนเสียงเพลงแห่งคืนที่เงียบงัน เริ่มดังกังวานอีกครั้งหนึ่ง

ไม่นึกจริงๆ ว่าฝันที่เคยหลุดลอยลับตา จะกลับคืนมาที่เดิม

การรอคอยที่นานแสนนาน ได้สิ้นสุดลงแล้ว เมื่อเธอกลับมาตรงนี้
ความในใจมากมายที่มี ยากจะบอกให้รู้ด้วยคำๆไหน (ขอบใจที่เธอกลับมา)

เหมือนแสงจันทร์แห่งคืนที่มืดมน ช่วยนำทางคนที่อ่อนล้า
แม้ต้องมองหน้าเธอด้วยน้ำตา ก็เต็มใจมองอย่างตื้นตัน

การรอคอยที่นานแสนนาน ได้สิ้นสุดลงแล้ว เมื่อเธอกลับมาตรงนี้
ความในใจมากมายที่มี ยากจะบอกให้รู้ด้วยคำๆไหน (ขอบใจที่เธอกลับมา)

ไม่นึกจริงๆ ว่ารักที่เคยจากไปลับตา จะกลับคืนมาที่ใจ

การรอคอยที่นานแสนนาน ได้สิ้นสุดลงแล้ว เมื่อเธอกลับมาตรงนี้
ความในใจมากมายที่มี ยากจะบอกให้รู้ด้วยคำๆไหน (ขอบใจที่เธอกลับมา)

การรอคอยที่นานแสนนาน ได้สิ้นสุดลงแล้ว เมื่อเธอกลับมาตรงนี้
ความในใจมากมายที่มี ยากจะบอกให้รู้ด้วยคำๆไหน (ขอบใจที่เธอกลับมา)"

ออฟไลน์ เป็ดอนุบาล

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
 :pig4: :pig4: :pig4: ดีงามมากค่ะเนื้อเรื่องสนุกมีให้หน่วงมีให้ลุ้นมีทุกรสเลยค่ะรออ่านตอนต่อไปนะค่ะ

ออฟไลน์ ANIKI.

  • 兄貴
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 190
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
โอ้โห... ตอนแรกนึกว่าแก้วคนเดียวที่ได้กลับมา ... เป็นอินนี่เอง

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
เราตีความหมายของตอนนี้ไม่แตกง่ะ งื้ออออออออ

ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
 :o12: สงสารอินน์ สงสารคุณแก้ว  :sad12:

ขอให้พุดกับคุณภูวรินทร์ได้สมหวังกันสักทีเถอะนะ  :m15:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
โห ได้อีกอะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
ตอนแรกหวังไว้ว่าคงมีแค่อินท์ที่กลับมาเพราะคุณแก้วคงไปสู่สุคติแล้ว แต่กลายเป็นว่ากลับมาทั้งสองเพราะดวงจิตของทั้งคู่เหมือนยึดติดกันแล้ว ดีใจที่นักเขียนไม่ใจร้ายกับเราแล้ว แต่กฌยังมีจุดที่งงๆก็คือทำไมถึงกลับมาได้ ฮ่าๆ ถามเหมือนคุณภูเลยเพราะช่วงที่พุดจมน้ำมันก็ช่วงเดียวกับที่อินท์ด้วยพิษเมื่อตอนเด็กไม่ใช่เหรอก็ไม่น่าจะเอาจิตไปเข้าร่างพุดได้นะ หรือเราเข้าใจผิดเวลาคลาดเคลื่อนเหรอ แล้วก็งงๆตอนที่พุดบอกเรื่องตอนที่จมน้ำด้วย กลับมาเพราะมีคนช่วยแต่กลับมาก็ไม่ใช่พุดอีก แล้วไหนจะทางเลือกที่พุดบอกด้วย รบกวนช่วยอธิบายเราหน่อยนะคะ

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
ตอนที่ ๒๐ (ตอนจบ)
   
ภูวรินทร์กับพุดไม่ทันได้แยกจากกัน นิรุทก็เดินออกมาพอดี อีกฝ่ายมีสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนก่อนจะหันไปมองพุดที่ยืนขึ้นด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม

“คุณณรงค์กับป้านงลักษณ์อยากคุยเธอ”นิรุทเอ่ยบอก ภูวรินทร์พยักหน้ารับรู้ก่อนจะเดินไปตามริมสระน้ำแล้วเดินเข้าไปทางประตูที่เปิดไว้ พุดเดินตามหลังมาแค่ส่งยิ้มให้นิรุท อีกฝ่ายมีทีท่าอ้ำอึ้ง เขาได้แต่ทำเป็นไม่ใส่ใจ เมื่อกลับเข้ามาในห้องจัดเลี้ยง ที่โต๊ะตัวยาวตอนนี้คุณปู่ณรงค์กับย่านงลักษณ์นั่งอยู่ คนอื่นๆบ้างก็จับคู่คุยยืนจิบเครื่องดื่ม สายตาจับจ้องมาที่เขาอย่าอึดอัด ชายหนุ่มปั้นหน้ายิ้มให้ผู้ใหญ่ทั้งสอง ทั้งสองคนบอกให้เขานั่งที่เก้าอี้อีกตัว ส่วนพุดนั่งลงข้างเขา “ว่าแต่เราเถอะ หายหน้าหายตาไปเลย ไปอยู่กับภูวรินทร์ก็ไม่บอกอั๊ว”คุณปู่ณรงค์เอ่ยกับพุด เจ้าตัวแค่ยิ้มเจื่อนๆ

“นึกว่าแม่จะบอกปู่กับย่าทวดซะอีกครับ”

“หึ คุยกับอั๊วที่ไหน....อ้อ นี่คงรู้จักกันแล้วล่ะสิ พุดมันไปทำให้ลื้อลำบากหรือเปล่า”ชายชราเอ่ยถามกับเขา ภูวรินทร์จึงส่ายหน้า “เปล่าเลยครับ”

“อืม ภูหน้าตาอย่างกับหมื่นนรินทร์จริงๆเลยนะ ขนาดเห็นรูปมาก่อนแล้ว ฉันยังตกใจเลยนะ...เธอสบายดีแล้วใช่ไหม”คุณย่านงลักษณ์เอ่ยเสียงแหบแห้ง แววตาดูหม่นเศร้าลง เธอยื่นมือมาจับมือเขาไว้แน่น ชายหนุ่มรู้สึกอุ่นใจที่มีคนเป็นห่วง เขาไม่รู้ว่าคนตระกูลนี้ทราบเรื่องของเขามากน้อยแค่ไหน คุณปู่จ้องเขาไม่กระพริบ

“...ผมสบายดีครับ...”
   
“ฉันยังจำที่พ่อแม่เล่าเรื่องของท่านหมื่นให้ฟัง...เรื่องของปู่น้อยน่ะ”คุณย่าเอ่ย กำลังพูดถึงคุณแก้วงั้นเหรอ เขาหันไปมองพุด เจ้าตัวแค่จ้องมองเขานิ่งๆ ริมฝีปากคล้ายยิ้มไม่ยิ้ม ชายหนุ่มหันกลับไปมองคุณปู่และคุณย่า

“อืม ที่ไม่ยอมให้ลูกหลานกลับเข้าไปอยู่ในบ้านน่ะ บ้านหลังนั้น...เฮ้อ ก็ใช่ว่าจะมีเรื่องราวที่ดีนัก ตอนที่ไอ้ภัทรเสีย อั๊วตกใจมากนะ รถตกเขาเฉยเลย ไม่นับที่เมียมันตายหลังคลอดเจ้านิรุทออกมา... ก็คิดแล้วว่าบ้านหลังนั้นคงไม่เหมาะที่คนตระกูลนี้จะอยู่ หมายถึงเหล่าก่อของท่านหมื่นน่ะ”คุณปู่พึมพำเสียงข่มขื่นเมื่อเอ่ยถึงญาติฝ่ายน้องเช่นคุณภัทร เขาคิดว่าคนเก่าแก่เคยพบเจอกันบ้าง

“แต่เธออยู่ได้ ฉันแปลกใจจริงๆ แต่พอเห็นหน้าเข้า ก็ไม่มีอะไรกังขาอีก...”

“คุณปู่ คุณย่าต้องการพูดอะไรกันแน่ครับ”เขาถาม ไม่คิดว่าสองท่านนี้จะเรียกเขามาเพื่อย้ำอดีตครั้งเก่าก่อน

“มีคนเล่าลือว่าเธอคือท่านหมื่น... แล้วก็เรื่องลูกของธิชา... ฉันรู้มาหลายปีแล้วว่าเกิดเรื่องแปลกๆขึ้นอีก...”คุณย่าเอ่ย จ้องมองเขาในแววตามีความหวั่นใจอยู่ไม่น้อย เขามองไปที่คุณปู่ อีกฝ่ายมีท่าทีเฉยชาขึ้นมา

“จะจริงหรือไม่จริง ผมก็คือภูวรินทร์ ลูกชายของคุณนิรุท”ภูวรินทร์เอ่ย

“อั๊วไม่ได้ว่าอะไรลื้อนะ แต่อั๊วไม่อยากให้พวกเด็กๆเจอเรื่องร้ายๆ”คุณปู่เอ่ย เหลือบมองไปที่พุด เขาขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจผู้ใหญ่ทั้งสองท่าน

“หมายความว่ายังไงครับ”

“อินทนิลมันตายไปแล้วไม่ใช่หรือ... หวังว่าลื้อจะไม่เข้ามาข้องเกี่ยวกับอาพุดให้มีเรื่องไม่ดีตามมา บ้านหลังนั้นอย่ากลับไปอีกเลย”คุณปู่เอ่ยน้ำเสียงห้วนขึ้นมา ภูวรินทร์ตกใจที่ได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนี้ เขามองหน้าคุณย่าท่านแค่มองเขาด้วยความกังวล พุดขบฟันแน่น

“ทวดรู้เรื่องอะไรบ้างหรือเปล่า ถึงได้พูดแบบนี้ออกมา”เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่เคารพนับถือผู้ใหญ่ เขาดึงแขนอีกฝ่ายไว้ คุณปู่คุณย่ามองหน้ากันทันที

“ลื้อทำตัวก้าวร้าวอีกแล้ว ธิชามันเลี้ยงลูกยังไงกัน รู้แบบนี้อั๊วเลี้ยงเองดีกว่า”

“ผมไม่—”พุดทำท่าจะสวนกลับ แต่ชายหนุ่มรีบพูดแทรกเพราะพุดดูอารมณ์รุนแรงมากกว่าทุกที

“ผมไม่ได้ทำเรื่องไม่ดีอะไรครับ ส่วนเรื่องบ้าน ผมตั้งใจเอาไว้ตั้งนานแล้วครับว่าจะกลับไปอยู่”ภูวรินทร์เอ่ยอย่างใจเย็น พุดหันมองเขาด้วยแววตายินดีอย่างไม่ปิดบัง ทั้งสองท่านเงียบไป

“เพราะอาพุดไปอยู่ที่เรือนหลังนั้นน่ะเหรอ”คุณปู่เอ่ย เขาส่ายหน้า

“...ไม่เกี่ยวกันหรอกครับ ผมก็แค่อยากได้ที่พักพิง”

“บ้านหลังนั้นน่ะเหรอ บ้านที่มีแต่คนตาย”คุณย่าเอ่ยเสียงแหบแห้ง ชายหนุ่มอดกลั้นความหงุดหงิด พุดนั่งมองผู้ใหญ่ทั้งสามคนอย่างไม่กริ่งเกรง

“ใช่ครับ แต่มันก็ไม่ได้เลวร้ายไปทั้งหมดหรอก... คุณปู่คุณย่าไม่ได้ห่วงเรื่องบ้าน แต่ห่วงเรื่องพุดมากกว่าใช่ไหมครับ”เขาเอ่ยไปตรงๆ ไม่รู้ว่าท่านสองคนจะรู้เรื่องของเขา บางทีอาจเป็นป้าธิชาที่บอกเรื่องของเขากับอินทนิล เธอคงกลัวว่าเขาจะชอบลูกชายของเธอ มิน่าล่ะ เธอดูกังวลใจมากเมื่อเห็นเขามีท่าทีสนใจพุด

“ใช่...สงสัยตั้งแต่ที่ลื้อเอาแต่อยากได้เรือนเก่าๆหลังนั้นแล้ว...อั๊วไม่ยอมให้คนในเหล่าก่อของตัวเองไปข้องแวะกับพวกท่านหมื่นหรอก”คุณปู่เอ่ยเสียงดังขึ้น ภายในห้องเหมือนจะเงียบกริบลงทันที ภูวรินทร์เงียบ ในใจรู้สึกโกรธ เขาหันมองนิรุทด้วยความไม่พอใจ เขาอุตส่าห์มาที่นี่เพื่อหวังว่าคนตระกูลนี้จะญาติดีต่อกัน แต่การเอ่ยเช่นนี้ก็เท่ากับไม่ต้องการเกี่ยวข้องกันอีก อย่างกับว่าเขาต้องการนัก

“ถ้าเช่นนั้น ผมขอตัวกลับก่อนดีกว่า ขอบคุณที่ให้เกียรติผมมาทานอาหารครับ ลาล่ะครับ”ภูวรินทร์เอ่ยเรียบๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน ยกมือไหว้อีกฝ่ายตามมารยาท ทั้งสองท่านมองเขาด้วยท่าทีตกใจ เขาไม่รับปากอะไรทั้งนั้น

“ลื้อก็รู้ดีแก่ใจว่าเรื่องมันยุ่งเพราะ พวกลื้อเอาแต่ได้ มายุ่งกับญาติพี่น้องตัวเอง ผิดปกติกันไปหมด”คุณปู่เอ่ยเสียงดังด้วยความโมโห ผุดลุกจากเก้าอี้ มืออีกข้างมีไม้เท้าพยุงตัวไว้ นิรุทเดินมาหาเขาทันทีก่อนจะกระซิบ “อย่าไปตอบโต้”เขามองหน้าอีกฝ่ายนิ่งๆ ความโกรธลาดแล่นไปสรรพางค์กาย พุดค่อยๆลุกยืนถอยห่างจากญาติผู้ใหญ่ด้วยท่าทีเยือกเย็น

“ผมขอโทษครับหากว่าทำให้พวกคุณไม่พอใจ แต่เรื่องเก่าๆผมไม่เก็บเอามาทะเลาะกันคงจะดีกว่า...ลาล่ะครับ”ภูวรินทร์เอ่ยอย่างนอบน้อม เขาส่งสายตาเรียบเฉยให้คนพวกนี้ นิรุทก้มศีรษะให้พวกผู้ใหญ่ พุดกุมมือเข้าหากันอย่างกระวนกระวายใจ เด็กหนุ่มเดินตามเขาออกมา แต่มีเสียงฉุดรั้งไว้

“แม่ลื้อกำลังตามกลับมา ไม่ต้องกลับไปที่เรือนหลังนั้นแล้ว”เหมือนเป็นประกาศิตที่ออกมาจากแม่ทัพ ทั้งห้องเงียบกริบ ชายหนุ่มหยุดชะงักไป หากมาคิดทบทวนเรื่องที่คุณปู่ท่านนี้เอ่ย มันก็จริง เขามายุ่งวุ่นวายกับญาติพี่น้องของตัวเอง ไม่ใช่คนไกลตัวอีกด้วย แต่เรื่องของเขากับพุดมันไม่ได้ตื้นเขิน เพียงน้าหลาน คนอื่นไม่ล่วงรู้ความสัมพันธ์ ป้าธิชาก่อปัญหาให้เขา

“ทวดอนุญาตผมแล้วไม่ใช่เหรอครับ คืนคำได้ยังไงกัน ผมจะกลับกับน้าภู ปู่ทวดย่าทวดอย่าเป็นห่วงเลยครับ เรื่องน่ากลัวๆผมไม่กลัวหรอก ผมชอบเรื่องลี้ลับนะ”พุดเอ่ยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ เจ้าตัวหันมาส่งยิ้มให้เขาหน้าตาเฉย ชายหนุ่มไม่รู้เจตนาของพุดเลยว่าจะไปยั่วยุให้ญาติผู้ใหญ่โกรธเคืองไปทำไม ภายในห้องเหมือนมีเสียงซุบซิบเหมือนผึ้ง

“พุด พูดแบบนี้ได้ยังไง...”คุณพิชัยรีบพูดขึ้นมา ก่อนจะสาวเท้าเดินมาหาลูกเลี้ยง นิรุทมองเขาอย่างฉงน

“มันเกิดอะไรขึ้นกัน”อีกฝ่ายงุนงง เขาถอนหายใจ คิดว่าเรื่องคงไม่ง่ายดายนัก พวกผู้ใหญ่คงตกใจที่พุดเข้ามาเกี่ยวข้องกับเขา เพราะคนอื่นๆรู้แค่ว่าพุดไม่เคยเจอกับเขามาก่อน แต่เพียงแค่เจ้าตัวกลับไปที่บ้านภิรมย์สุขไม่ถึงเดือน ก็มีท่าทีกระด้างกระเดื่อง ซ้ำยังจะเอนเอียงมาหาเขา จึงเป็นเหตุให้พวกเขาไม่เข้าใจ

“ผมว่าค่อยๆคุยกันดีกว่าครับ...ผมไม่อยากให้พวกเราต้องแตกคอกันอีก”นิรุทเอ่ยขึ้นเพื่อให้สถานการณ์ไม่บานปลาย แต่ไม่มีประโยชน์ “ตระกูลของเราไม่แตกคอกัน มีแต่ฝั่งของลื้อที่เข้ามาทำความเดือดร้อนให้”

ภูวรินทร์ทำอะไรไม่ถูก เขาไม่คิดว่างานรวมตระกูลจะออกมาหน้านี้ หรือนี่จะเป็นความตั้งใจของคุณปู่คุณย่า เพื่อไม่ให้เขามีสิทธิ์เข้าใกล้พุดงั้นเหรอ เพราะเรื่องที่เขารักอินทนิล และเด็กหนุ่มก็ตายไป เป็นเหตุให้คนพวกนี้กลัว ไม่มีประโยชน์เลยจริงๆ ต่อให้ไม่มีคำสาปแช่งของตระกูล คนพวกนี้ไม่มีทางปรองดองกับเขาได้ เรื่องราวทุกอย่างมันวนกลับมาที่เดิม ปัญหาที่เริ่มจากความเป็นน้าหลาน และบ้านหลังนั้น

ไม่มีทางที่เขาจะอยู่เฉย เขาได้พุดกลับมาแทน หากต้องสูญเสียไปอีก เขายอมไม่ได้หรอก เจ็ดปีที่ผ่านมาเขาใช้ชีวิตของตัวเอง เขาต้องเสียอะไรไปมากเพื่อหยุดคำแช่งบ้าๆพวกนั้น จากเหตุที่ภูวรินทร์คนนี้ไม่ได้ก่อ...เป็นเรื่องของท่านหมื่น ไม่ว่าจะกี่ปี ชื่อนี้ก็ทำให้เขามีแต่ทุกข์ใจ

“...ผมขอโทษครับ”นิรุทดึงแขนเขาให้กลับ ชายหนุ่มหันมองพุด อีกฝ่ายยิ้ม สีหน้าไม่เดือดเนื้อร้อนใจ พยักหน้าให้เขา “เดี๋ยวไปหาครับ”เด็กหนุ่มอ้าปากพูดแบบไร้เสียง ภูวรินทร์จึงหันหลังเดินออกไปจากห้องจัดเลี้ยง พอพ้นเขตบ้านเขาพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ

“มันเกิดอะไรขึ้น...อย่าบอกนะว่าเธอกับพุด...”

“ถ้าผมบอกว่าใช่ แล้วคุณจะมีปัญหากับผมหรือเปล่า”เขาถามอีกฝ่าย นิรุทมองหน้าเขาอยู่นาน แววตาเลื่อนไปทั่วใบหน้าของเขา

“มันคงจะเป็นชะตาของเธอนะ ที่ต้องมารักกับหลานของตัวเอง”อีกฝ่ายพึมพำ เขาไม่พร้อมที่จะเล่าความจริงของพุด ให้อีกฝ่ายเข้าไปแบบนี้ก็ดีแล้ว

“...คงจะเป็นแบบนั้น ผมไม่คิดว่าจะเป็นพุดด้วยซ้ำ”ภูวรินทร์เอ่ยเบาๆ นึกด่าทอโชคชะตา นิรุทไปส่งเขาที่บ้าน ระหว่างที่ขับรถ อีกฝ่ายเหมือนขบคิดเรื่องใดอยู่

“รู้ไหม ฉันคิดอะไรอยู่”

“ไมรู้สิครับ”

“ฉันกำลังคิดเรื่องของทวดน้อย”

“บางทีท่านหมื่นกับทวดน้อยคงเป็นคู่กัน กว่าจะเจอกันก็ผ่านมาเกือบเจ็ดสิบปี ทวดไม่ได้ไปเกิด เหมือนรอเธอมาเกิดเป็นภูวรินทร์”

“หากเป็นคู่กันจริง แล้วตอนนี้ล่ะ”ภูวรินทร์หันไปถามอีกฝ่าย นิรุทขมวดคิ้ว ไตร่ตรองอยู่นาน เจ้าตัวหัวเราะเบาๆ

“นั่นสินะ ถ้าเป็นคู่แท้ก็คงกลับมาเจอกันอีก”นิรุทพึมพำก่อนจะชะงักไป อีกฝ่ายเหลือบมองเขาแต่ไม่ได้พูดอะไร บางทีนิรุทอาจคิดอะไรขึ้นมาได้ เขาแค่หลับตาลง คนพวกนั้นไม่รู้จักแยกแยะอดีต ปัจจุบันเอาซะเลย ‘พวกเอาแต่ได้’งั้นเหรอ เขาดูเป็นเช่นนั้นหรือไงกัน ใช่หรือเปล่านะ?

ชายหนุ่มกลับมาถึงบ้านก็ผ่านเวลาไปเกือบสี่ทุ่ม นิรุทมองเขาอย่างเป็นห่วง “มีอะไรก็โทรหานะ...ฉันจะช่วยเธอเอง”อีกฝ่ายบอกอย่างหนักแน่น เขายิ้ม

“แม้จะเป็นเรื่องผิดๆน่ะเหรอครับ”ชายหนุ่มถาม นิรุทเลิกคิ้วสูง แล้วหัวเราะในลำคอ “คิดว่าฉันไม่เคยทำเรื่องผิดๆหรือไงกัน...สงสัยว่าเชื้อท่านหมื่นจะแรงอย่างที่พวกเขาว่า”เจ้าตัวเอ่ยอย่างขบขัน ชายหนุ่มผุดยิ้ม ใช่ มันก็จริงทั้งนั้น

“เดินทางปลอดภัยครับ หากมีปัญหา ผมจะโทรไป”เขาบอกนิรุท ก่อนที่รถยนต์จะเคลื่อนตัวออกจากหน้าบ้านไปช้าๆ

ภูวรินทร์กลับเข้ามาในบ้าน พ่อกับแม่อยู่แยกบ้านกัน เพราะบ้านหลังนี้อยู่ห่างจากบริษัท จึงเป็นข้ออ้างในการที่จะแยกกันอยู่ ภายในบ้านเงียบกริบ แม่บ้านคงเข้านอนไปกันหมด แม่ก็คงหลับไปแล้ว ชายหนุ่มเดินไปยังชั้นสอง เข้าไปอาบน้ำที่ห้องนอนของตนเอง พลางคิดถึงพุดต่อ อีกฝ่ายจะจัดการปัญหาอย่างไร แต่เห็นท่าทีที่ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ เขาคิดว่าคงไม่เป็นปัญหา การแตกหักของคนในตระกูลก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกนัก เขาแทบไม่ข้องเกี่ยวกันอยู่แล้ว

พอออกมาจากห้องน้ำ ชายหนุ่มสวมชุดนอน เดินไปหยิบโทรศัพท์ออกมาเช็คแก้เบื่อ ชายหนุ่มนึกถึงใบหน้าพุดอีกครั้ง
ภูวรินทร์เปิดโคมไฟเอาไว้ระหว่างที่นอนหลับ เขากระสับกระส่ายยังคงพระวงกับเรื่องของพุดอยู่ เขาพลิกตัวกับมานอนหงาย นอนมองห้องนอนภายใต้แสงสีนวลตา บ้านหลังนี้ต่างจากที่บ้านภิรมย์สุขทั้งในแง่ของบรรยากาศและสไตล์ของบ้าน ส่วนใหญ่บ้านจัดสรรก็สร้างสไตล์โมเดิร์น ห้องนอนของเขาจึงเป็นสีขาวซะส่วนใหญ่ เครื่องใช้ในห้องถูกจัดเป็นสัดส่วน

ระหว่างนั้นมีข้อความเด้งขึ้นมาที่หน้าจอ เป็นเบอร์แปลก

‘ผมอยู่ด้านล่างครับ ออกมาหาหน่อย’ ชายหนุ่มมองข้อความอย่างตกใจ เขาคิดว่าเป็นพุด เหลือบมองนาฬิกาตอนนี้ก็เกือบจะเที่ยงคืนแล้ว ภูวรินทร์ลงจากเตียงก่อนจะลุกไปที่หน้าต่างมองไปที่หน้าบ้าน แสงไฟข้างถนนสาดส่องให้เห็นร่างของเด็กหนุ่มยืนอยู่ที่หน้าประตูบ้านของเขา ชายหนุ่มรีบออกจากห้องลงไปหาพุด อีกฝ่ายน่าจะบอกเขาให้เร็วกว่านี้หากคิดจะมาหากัน เมื่อเดินมาถึงชั้นล่าง เขาเปิดไฟที่ห้องโถง ก่อนจะเดินไปเลื่อนประตูกระจกแล้วเดินออกไปที่หน้ารั้ว มองเห็นพุดในเสื้อตัวเดิม สะพายกระเป๋าไว้ด้านหลัง อีกฝ่ายยิ้มทันทีที่เห็นเขา

“มาได้ยังไงกัน น่าจะบอกกันก่อนนะ”ภูวรินทร์เอ่ยถามเสียงดุ เลื่อนประตูบ้านออกให้พุดเข้ามาด้านใน เด้กหนุ่มแค่ยิ้มก่อนจะเหลียวมองไปรอบบ้าน เขาล็อกประตูแล้วเดินนำอีกฝ่ายเข้าบ้าน

“กินอะไรมาหรือยังล่ะ”เขาถาม พุดพยักหน้า “เรียบร้อยแล้วครับ”

“ที่บ้านไม่ว่าหรือไง”ชายหนุ่มหันไปถามเด็กหนุ่มที่เดินตามหลังมา เจ้าตัวมีสีหน้าเฉยชาทันทีที่เขาเอ่ยถึงคนบ้านนั้น “ไม่หรอกครับ เขาจะมาก้าวก่ายอะไรชีวิตของผม”

ฟังพุดตอบแล้วรู้สึกไม่สบายใจนัก ชายหนุ่มพาพุดขึ้นไปยังห้องนอนอย่างเงียบเชียบเพราะไม่อยากปลุกใครให้ตื่น เด็กหนุ่มหันซ้ายหันขวามองไปรอบบ้าน เขาเปิดประตูให้พุดเดินเข้าไป ชายหนุ่มเดินตามเข้าไปแล้วปิดประตูตามหลัง เอื้อมไปเปิดไฟในห้องให้สว่างวาบ พุดเดินเอากระเป๋าไปวางไว้ที่เก้าอี้หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ

“ไปอาบน้ำก่อน แล้วค่อยมาอธิบาย”ภูวรินทร์บอกเรียบๆ เห็นพุดทำหน้าสลดก่อนจะยอมทำตามที่เขาบอกอย่างว่าง่าย ชายหนุ่มยื่นผ้าเช็ดตัวไปให้ “มีเสื้อผ้าหรือเปล่า”

“มีครับ เตรียมมาครบ”พุดเอ่ยยิ้มๆ ก่อนจะเปิดกระเป๋าหยิบเอาเสื้อผ้าออกมาจนครบ แล้วเดินตัวลีบเข้าห้องน้ำไปเงียบๆ ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอก จะไปว่าพุดก็ไม่ได้อีกฝ่ายโตแล้ว รับผิดชอบตัวเองได้ เขาเพียงแค่เป็นห่วงมากเกินไป นึกว่าอีกฝ่ายยังเป็นเด็กอายุสิบห้าปีไม่เปลี่ยนแปลง เขาส่ายหน้าได้ยินเสียงน้ำไหลอยู่เนืองๆ ชายหนุ่มเห็นว่าในกระเป๋าสะพายของพุดยังมีสมุดสเก็ตซ์สีดำเล่มใหญ่กว่าเอสี่

เขาเดินไปหยิบออกมาดูอย่างเสียมารยาท มีกล่องสีอุปกรณ์การเขียนภาพอยู่ในกระเป๋า เขาเปิดสมุดภาพออกมา ภาพที่เห็นเป็นลายเส้นดินสอธรรมดา เป็นภาพบ้านภิรมย์สุขแบบลวกๆไม่ลงรายละเอียด ดูจากลายเส้นแล้วนี่อาจเป็นภาพแรกๆที่อีกฝ่ายยังไม่ได้เริ่มเรียนจริงจัง ภาพถัดมาเป็นรูปบ่อน้ำพุ ภาพต้นแก้ว และภาพของหมื่นนรินทร์ เพราะสวมเสื้อสูทกับนุ่งโจงกระเบน  ภาพหลังๆเริ่มมีสี แต่เป็นสีช็อกสีเทียนเหมือนเด็กวาดมากกว่า ภูวรินทร์ชาวาบ เมื่อเห็นภาพสีฉูดฉาดสีดำสีแดง เป็นภาพของเด็กผู้ชายนอนอยู่บนเตียง พื้นหลังดูยุ่งเหยิง ลายเส้นไม่สม่ำเสมอเหมือนวาดจากอารมณ์ที่ไม่ปกติ ภาพต่อมา เป็นสีน้ำเงินสีดำ เหมือนเป็นห้วงน้ำลึก ภูวรินทร์รู้ได้ทันทีว่าเป็นภาพตอนที่พุดจมน้ำ ใจเริ่มสั่นคลอนด้วยความสงสาร กลายเป็นเจ็บปวดเมื่อเห็นภาพต่อมาคือเงาร่างดำทะมึนเหมือนคนนั่งคุดคู้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ยุ่งเหยิง พอจ้องมองดีๆแล้วมันเป็นเงาร่างสะโหลสะเหลที่รายล้อมเงาดำนั้นดูไม่น่ามองนัก

หรือนี่คือ ‘ทางเลือก’ที่พุดเอ่ยถึง มันหมายถึงการเริ่มต้นชีวิตใหม่และการเป็นเดรัจฉานงั้นเหรอ เขาใจเต้นระส่ำ รู้สึกหดหู่ขึ้นมา เขาไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น

ภาพต่อมาทำให้เขาโหวงเหวงในใจขึ้นมาทุกที รูปของเด็กหนุ่มคนนึงกำลังอุ้มทารกที่นอนอยู่ในอ้อมอก ยืนมองต้นแก้ว มันทำให้เขานึกถึงเรื่องราวเก่าๆอีกครั้งก็ยิ่งคิดถึงคนๆนั้น ภาพต่อมาเป็นภาพของเด็กชายนั่งยองๆเก็บต้นไม้ใบหญ้า แต่ที่เด่นชัดคือกำไลข้อเท้าสีทองอันนั้นต่างหาก อินทนิล...เด็กคนนี้คงไม่มีอีกแล้ว แม้คนที่กลับมาจะเป็นเด็กคนนี้ก็ตาม แต่อินทนิลคนนั้นได้ตายไปแล้วจริงๆ เขาจะเป็นคนใจร้ายหรือไม่ หากอยากถวิลหาเด็กหนุ่มคนนั้นอยู่ ไม่ยุติธรรมเลยสินะ พุดกลับมาหาเขาแล้ว ผ่านความหวาดกลัว ช่วงเวลาความเป็นความตายที่เขาไม่เคยได้สัมผัส แต่กว่าที่จะกลายมาเป็นพุด เด็กหนุ่มคนนี้เผชิญหน้ากับความตายมาแล้วสามครั้ง เทียบกันแล้วภูวรินทร์แค่รอเพียงเจ็ดปียังน้อยเกินไปด้วยซ้ำ เขามันเอาแต่ได้จริงๆนั่นแหละ ชายหนุ่มยิ้มเศร้า ขับไล่น้ำตาที่กำลังจะไหลออกมา เขาอ่อนแอขนาดนี้เชียวหรือ

ภูวรินทร์มองรูปอยู่นานจนรู้สึกว่าเจ้าของภาพออกมาจากหองน้ำแล้ว เขาเก็บสมุดเขากระเป๋าดังเดิม เห็นว่าพุดสวมเสื้อผ้าออกมาแล้ว ใบหน้าว่างเปล่ามองเขาอยู่นาน อีกฝ่ายมองเขา

“...ขอโทษนะที่เปิดดูโดยไม่ได้รับอนุญาต”เขาบอก รู้สึกละอายใจที่ก่อนหน้านั้นเขาเคยตำหนิพุดเรื่องการหยิบของในบ้านโดยพละการ ชายหนุ่มไม่ได้มองพุด แต่ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้าหา จากนั้นสัมผัสอุ่นของอ้อมกอดก็ถ้าโถมเข้าใส่ เขาหันมองเด็กหนุ่มที่กำลังกอดเขาเต็มสองแขน

“อย่าเศร้าสิ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอดีตไปแล้วครับ”พุดเอ่ยเสียงแผ่วเบา ในน้ำเสียงยังมีร่องรอยของความหวาดหวั่นอยู่ ชายหนุ่มเปลี่ยนมากอดเด็กหนุ่มแทน ร่างผอมในอ้อมกอดนี้เข้มแข็งกว่าที่เขาคิด

“แต่เธอเก็บเอาไว้”เขาพึมพำ เด็กหนุ่มตบหลังเขาเบาๆ “อืม ช่างเถอะครับ ที่จริงรูปพวกนี้แม่ผมเห็นหมดแล้ว”

“จริงเหรอ”เขาดึงคนในอ้อมกอดออก เด็กหนุ่มพยักหน้า เขารู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาอีกครั้ง แต่พุดกลับยิ้ม

“เพราะแบบนี้แม่เลยจับผมไปหาหมอน่ะ จริงๆแล้วเรื่องเดินละเมอก็ด้วย หมอคิดว่าผมเข้าข่ายอาการจิตเวชนิดๆ แต่ผมรู้ว่ามันมาจากอดีตของตัวเอง...มันทำให้ผมฝันร้ายบ่อยๆ”พุดเอ่ยเบาๆ แววตาพลันหม่นลง ภูวรินทร์จับไหล่ของอีกฝ่ายไว้ รู้สึกเป็นห่วงเด็กหนุ่มมากจริงๆ ยิ่งได้มาฟังเรื่องราวเก่าๆของพุดแล้วเขาก็ยิ่งหวั่นในใจ

“ฝันร้ายมากเลยเหรอ”

“เป็นความทรงจำมากกว่า เรื่องเก่าๆ”พุดเอ่ย จดจ้องเขาไปด้วย เขารู้ดีว่าความทรงจำที่ว่าคงเป็นเรื่องของแก้วและอินทนิล มันคงทำให้อีกฝ่ายทุกข์ใจเพราะมันเคยเกิดขึ้นจริงมาก่อน อารมณ์ ความรู้สึกจากจิตใต้สำนึกคงรับรู้สัมผัสความทรงจำผ่านความฝันได้อย่างชัดเจน ยิ่งทำให้ภูวรินทร์เป็นห่วงเหลือเกิน

“เธอจะไม่เป็นอะไรนะ”ชายหนุ่มถามด้วยใจไม่มั่นคง พุดพยักหน้าแววตานิ่งเฉย “ครับ...ต้องเชื่อผมสิ”

“แล้วเรื่องที่บ้านล่ะว่ายังไงบ้าง”เขาถาม ก่อนจะพาเด็กหนุ่มไปคุยที่เตียง พุดเดินไปนั่งบนเตียงก่อนจะล้มตัวนอน ชายหนุ่มเข้าไปนั่งบนเตียง มองเด็กหนุ่มอย่างรอคำตอบ

“พวกผู้ใหญ่แค่กังวลเรื่องตัวเองมากกว่า ไม่ได้เป็นห่วงอะไรผมจริงๆหรอก เขาแค่กลัวเรื่องคำแช่งมากกว่า ก่อนหน้าที่น้าภูจะขอขมากรรม ช่วงนั้นพวกเขาทำอะไรไม่ประสบผลสำเร็จ แต่หลังจากนั้นสองสามปีทุกอย่างค่อยๆดีขึ้นเหมือนฟ้าหลังฝน...คงกลัวว่าน้าภูกับผมจะทำให้เกิดเภทภัยอีก”

“แล้วจะเอายังไงต่อล่ะ”

“ก็...ผมไม่กังวลหรอกครับ เรื่องคำแช่งมันผ่านมาแล้วจะไปสนใจคนเฒ่าคนแก่อีกทำไมกัน เรามีชีวิตของเราเองนี่นา ไปรับฟังคนอื่นอย่างเดียวก็ไม่ได้ใช้ชีวิตจริงๆสักที”พุดเอ่ย สบตากับเขา ภูวรินทร์นึกถึงคำพูดของอินทนิลขึ้นมา เจ้าตัวเคยเอ่ยเช่นนี้ด้วยเหมือนกัน เขายิ้มบางๆ

“ที่จริงฉันก็ไม่แคร์นักหรอก แต่แม่ของเธอจะยอมหรือไง...”เขาถาม เด็กหนุ่มทำหน้าบึ้งตึง

“แม่ไม่ขัดอะไรผมหรอกครับ ท่านแค่เป็นห่วงผมมากกว่า อาจจะมากเกินไปด้วยซ้ำ...ผมก็พอจะรู้แหละครับว่าทำไม”พุดเอ่ย ชายหนุ่มเงียบ เพราะเธอไม่อยากสูญเสียลูกชายไปน่ะสิ ภูวรินทร์ก้มมองเด็กหนุ่มที่แกล้งหลับตา เขายื่นมือไปลูบศีรษะของอีกฝ่ายเล่นๆ เจ้าตัวยิ้มมุมปาก

“งั้นก็นอนเถอะ...เรื่องอื่นค่อยว่ากันเถอะ”ชายหนุ่มเอ่ยบอกเบาๆ ก่อนจะโน้มไปจูบลงที่กระหม่อมของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา พุดลืมตาขึ้นมอง นัยน์ตาที่จับจ้องมานั้นสั่นไหว เด็กหนุ่มเหมือนตื้นตันที่เขาทำดีด้วย ภูวรินทร์ยิ้มก่อนจะลุกไปปิดไฟดวงใหญ่ เหลือแค่โคมไฟไว้ แล้วลงไปนอนข้างกายของพุด อีกฝ่ายขยับเข้ามานอนใกล้ๆเขา ไออุ่นจากอีกฝ่ายทำให้เขาผ่อนคลายเรื่องในใจลงก่อนจะค่อยๆหลับตาลง


 
+++++++++


- ❀ พุด ❀ -

ความปรารถนาเดียวของจิตดวงนี้คือภูวรินทร์ มนุษย์เกิดมาพร้อมกิเลส ทว่าตัวเขานั้นไม่ได้เกิดและดับมาเนิ่นนานเสียแล้ว กาลเวลาเหล่านั้นหล่อหลอมให้เขามีเพียงความรัก ความหลง ความโกรธ จากชีวิตรักวัยหนุ่มที่ไม่สมหวัง จวบจนการจากลาของเด็กหนุ่มผู้น่าสงสาร กระทั่งกลายเป็นหนุ่มวัยรุ่นเช่นพุด ในตอนนี้เขามีอีกชื่อ

‘พุด’ สิ่งที่เกิดขึ้นควรเรียกว่า‘ชะตาลิขิต’ เขาเชื่อเช่นนี้ จึงจะรักษาหัวจิตหัวใจเอาไว้ได้

ที่จริงพุดไม่คิดจะรื้อฟื้นถึงสิ่งที่เป็นอดีตไปแล้ว เพราะไม่อยากใช้เรื่องราวนั้นเป็นพันธะระหว่างชายผู้เป็นที่รัก ทั้งชีวิตเขามีแค่ภูวรินทร์ไม่ใช่หรือ ในอดีตเก่าก่อน แก้วมีเพียงท่านอา จึงรักอย่างลึกซึ้ง ไม่ต่างอะไรจากอินทนิลเช่นกัน เด็กหนุ่มคนนั้นเคยเอ่ยวาจาเอาไว้ว่ามีชีวิตอยู่เพื่อภูวรินทร์

เมื่อดวงจิตนับแต่หลุดจากร่างของอินทนิล ไม่มีการเกิดและดับไปในทันที ซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติ ความจริงนั้น เมื่อจิตขณะสุดท้ายที่ดับและออกจากร่างไป จะเกิดการจุติ จิตขณะแรกของชาติต่อไปจะเกิดสืบต่อทันที แล้วแต่ว่าจิตนั้นเป็นผลของกรรมใดที่จะทำให้ไปเกิดในภพภูมิไหน หากไม่สามารถกลับไปจุติได้จะเป็นเช่นไร จิตดวงนี้ คือจิตที่ผ่านกาลเวลามานาน จนไม่อาจกลับสู่สังสารวัฏได้อีก มันเข้าสู่ภูมิที่เป็นเปรตหรืออสุรกาย นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาคาดหวังไว้   

ดวงจิตร่อนเร่ หวนกลับไปยังถิ่นเดิมที่เคยอาศัยอยู่ เห็นบุคคลที่รักยังคงไม่จากไปไหน กลับยิ่งทำให้จิตดวงนี้ตระหนักถึงความจริงที่ว่ามนุษย์ไม่ควรยึดติด เช่นเดียวกับเขา ชีวิตของคนๆหนึ่งจะต้องเดินหน้าต่อไป จึงได้กลับมาเพื่อกล่าวอำลา ภายภพหน้าจิตดวงนี้คงทิ้งชื่อเก่านามเดิม และเริ่มต้นชีวิตใหม่ แม้จะตัดใจไม่ขาด ความปรารถนายังคงเดิม   

ทว่ามีเสียงหนึ่งกำลังร้องเรียกแทบขาดใจ ฟังไปแล้วคล้ายกับคนในอดีตที่เคยเอ่ยเรียกชื่อเพียงแต่เป็นนามเดิม แต่ในเวลานั้นเสียงเอ่ยเรียกเป็นนามอื่น แต่กลับฉุดดึงเหนี่ยวนำจิตดวงนี้ให้เข้าหา แล้วควรทำเช่นไรดีล่ะ หนทางชีวิตกำลังร้องเรียกอยู่เบื้องหน้า

ความเย็นเยียบซาดซัดเข้าสู่จิตใจ อัดแน่นราวกับหายใจไม่ออก เนิ่นนานเจียนตายไปอีกหน แสงสว่างจ้าจนทุกอย่างพร่าเลือน เป็นแค่การเปรียบเปรยเพราะจิตดวงนี้ไม่มีรูปร่าง เสียงอันคุ้นหูร้องเรียกไม่หยุด เด็กน้อยจดจำได้ว่าเสียงนี้...เนิ่นนานแล้วที่ไม่ได้ยิน ไม่เคยเรียกเขาด้วยน้ำเสียงเช่นนี้มาก่อน

แม่...
ผู้ที่เคยเป็นแม่...

กระแสอุ่นแผ่ไปทั่ว ดวงจิตดวงนี้กำลังยุ่งเหยิง มันน่าเจ็บปวดไม่ใช่หรือ ย้อนกลับไปในพิธีศพของดวงจิตนี้ แม้แต่ความตายของอดีตลูกชาย หญิงคนนี้กลับนำพาเด็กชายวัยใกล้เคียงกับเขาในยามมีชีวิต อายุเท่าไหร่กันนะ? อืม 15 ปี นั่นเท่ากับอินทนิลเลยไม่ใช่หรือ ผู้เป็นใหญ่กว่ารับรู้ได้ว่าเด็กน้อยกำลังเจ็บปวด หญิงนางนี้แต่ก่อนเคยด่าท่อว่าสารเลว ดวงจิตคิดอาฆาตแต่พลันชะงักงันเมื่อกระแสอบอุ่นของเด็กน้อยเข้ามาปลอบประโลม หนึ่งดวงจิตที่มีสองวิญญาณ

ความเย็นคล้ายกระแสน้ำไหลเข้ามาในความคิด ทำให้อึดอัดเสียดแน่นจนทำให้รู้สึกว่าหายใจไม่ออก ความแสบร้อนในโพรงจมูก รับรู้ถึงมวลน้ำหนักในร่างกาย จิตดวงนี้ผวากลัวกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น หนึ่งดวงจิตผู้เป็นเจ้าของร่างอันแท้จริงหลุดออกจากร่างไปอย่างไม่หวนกลับมา เพียงเสี้ยววินาที ดวงวิญญาณที่แบ่งแยกรวมเป็นหนึ่งเดียวไม่แบ่งแยกว่าเป็นของผู้ใด ผนวกเป็นดวงจิตเดียว มีสำนึกคิดเดียวกัน สะดุ้งลืมตากลับมองเห็นทุกสิ่งพร่ามัว ร่างกายดิ่งลงสู่ห้วงธารา

ห้ามตายสิ เราต้องรอดต่อไป แม้ต้องตกนรกหมกไหม้ เขาก็ยินดี หากใจดังสมปรารถนาแล้วจะมีสิ่งใดต้องหวั่นกลัวอีก

ความรู้สึกปวดร้าวที่อกซ้ายกำลังลามเลียไปทั่ว จนร้าวระบม เสียงเรียกของใครคนหนึ่งกำลังดังไม่หยุด เขาอาจจินตนาการไปเอง อาจเป็นเสียงของชายที่รัก...ภูวรินทร์ ตะโกนเรียกชื่อเก่าของเขาอีกแล้ว

เฮือก

‘อุ้ก’ร่างของเด็กหนุ่มกระอักเอาน้ำใสออกมา เสียงรอบข้างคล้ายจะชัดเจนขึ้น มีมืออุ่นเข้ามาบีบนวดที่ท่อนแขนอยู่เรื่อยๆ ค่อยๆลืมตา แสงสว่างเข้ามาทีละนิด สองหูพลันได้ยินเสียงเรียก

 ‘พุด...’

อืม...พุด...เขาชื่อพุด ชื่อนี้เอ่ยเรียกไม่นานก็ชินปากได้ง่าย ร่างกายอ่อนล้าพลันจะหลับใหลไปอีกครั้ง เหมือนร่างถูกยกขึ้นไปที่ไหนสักแห่ง เสียงแว่วที่ได้ยินนั้นทำให้เด็กหนุ่มอุ่นในใจ...โรงพยาบาล อย่างน้อยก็ปลอดภัยแล้ว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-02-2018 21:53:27 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
“ฝันร้ายเหรอ”น้ำเสียงห่วงใยดังมาจากคนข้างกาย พุดลืมตาอยู่ในความมืด สายตาหันไปมองทางด้านข้าง เห็นใบหน้าของชายที่รักกำลังจดจ้อง อีกฝ่ายกำลังเป็นห่วง เขายิ้มออกมา 

“ก็แค่เรื่องเก่าๆ”เขาบอกช้าๆ รู้สึกว่าเสียงสั่นเครือ ลำคอแห้งผาด เขาค่อยๆยันตัวลุกมานั่ง ภูวรินทร์รีบลุกออกไปรินน้ำให้เขา

“ฉันตกใจแทบแย่ ตอนเธอละเมอออกมา”อีกฝ่ายเดินกลับมาพร้อมแก้วน้ำ พุดชะงักไป เหลือบมองผู้เป็นน้าแล้วเอื้อมไปรับแก้วมาดื่ม

“ผมละเมอด้วยเหรอ”เขาถามอย่างกังวลใจ อยู่หัวใจก็ห่อเหี่ยวลงทุกขณะ การฝันร้าย...ไม่สิ การฝันถึงความทรงจำเก่าก่อนทำให้เขาเจ็บปวด การจากลาของอดีต หมอเคยบอกว่าเป็นภาวะ parasomnia มีพฤติกรรมก้าวร้าวในขณะนอนหลับอยู่ เมื่อก่อนเขามีอาการมากกว่านี้กรีดร้องด้วยความหวาดกลัว จากการวินิจฉัยแยกโรคเขามีภาวะฝันร้าย sleep terror และภาวะชักในระหว่างที่หลับ ช่วงที่ฟื้นจากการซีพีอาร์หลังจมน้ำ เขามีอาการหนักและใช้ยารักษาร่วมกว่า 3 ปี เขาถึงดีขึ้น อย่างน้อยฝันร้ายไม่จางหายไป แต่เขาไม่ได้มีอาการรุนแรงอีก

ภูวรินทร์ยื่นมือไปมาแตะที่ข้างแก้ม เขาจึงรู้ว่ามีหยาดน้ำตาด้วย เขาลูบไปทั่วใบหน้า

“อืม เธอร้องไห้น่ะ แล้วพูดพึมพำ”อีกฝ่ายเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแต่มีความเศร้าเจือปนอยู่ พุดถอนหายใจ คืนแก้วน้ำไปให้ภูวรินทร์ก่อนจะล้มตัวลงนอน ดึงให้คนอายุมากกว่าเข้ามานอนข้างๆ เห็นคนที่รักกำลังไม่สบายใจ อาจคิดมากเรื่องของเขา

“ช่างเถอะครับ มันเป็นรอยแผลของผมเอง อย่างน้อยจดจำเอาไว้ก็พอ ไม่ต้องเอ่ยถึงอีก”พุดเอ่ยเบาๆ การกลับมาของเขามันไม่ถูกต้อง เขาจึงเลือกจะไม่เอ่ยถึงอดีตของคนก่อน พุดขยับเข้ามากอดอีกฝ่ายไว้ ภูวรินทร์ขมวดคิ้วเมื่อเห็นเขาทำตัวสนิทสนมมากกว่าเดิม เจ้าตัวคงแปลกใจ เพราะก่อนหน้านั้นเขาก็ไม่ได้มีท่าทีชิดใกล้ขนาดนี้ 

“ถึงจะรู้จักกันอยู่แล้ว แต่เธอนี่พัฒนาขึ้นเยอะเลยนะ”อีกฝ่ายหัวเราะออกมาเบาๆ ถ้อยคำนี้ทำให้เขายิ้ม ขยับเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น

“วัยรุ่นสมัยนี้เขาไม่ลีลากันนี่ครับ”พุดหัวเราะ ยิ้มกว้างจนเห็นฟัน เห็นภูวรินทร์มีสีหน้านิ่งเฉยแล้วอยากจะแกล้งให้ทรมานเล่นๆ พุดใช้ชีวิตอย่างอิสระมา 8 ปี ตั้งแต่เรียนมหา’ลัย เขาได้สังคมใหม่ และมีเพื่อนใหม่ด้วย แต่เขาก็ยังชอบอยู่กับตัวเอง อยากได้บ้านที่เอาไว้พักผ่อน ที่จริงเขาอยากได้เรือนปั้นหยาต่างหาก แต่ว่าแม่ของเขา...ธิชา... ไม่ประสงค์จะมาเหยียบที่นี่อีก พุดเลยงอแงร้องขอด้วยน้ำเสียงปั้นปึง ฟังแล้วไม่น่ารักเท่าไหร่

‘ไม่คิดจะเก็บรักษาบ้านของคนรุ่นปู่รุ่นย่าเอาไว้เหรอครับ จนตายจะไม่ไปเหยียบที่นั่นจริงๆน่ะเหรอ’พุดพูดด้วยความโกรธ เหมือนเป็นข้อผิดพลาดของเขา ความก้าวร้าวนี้ไม่มีในตัวของพุดผู้ผุดผ่อง บริสุทธิ์ดั่งชื่อ แม่ธิชาจึงมองเขาด้วยสายตาแปลกไป บางที...เธอ‘อาจจะ’รู้ แต่ทุกสิ่งล้วนเป็นการคาดเดา เขาทำหน้าที่ลูกที่ดีต่อธิชา เธอเป็นผู้มีพระคุณต่อพุด เขาจึงใช้ชีวิตในฐานะลูกชายที่ดีของแม่ ไม่ใช่แค่การเสแสร้งหรอก เขายินดีมาก ที่ผ่านมา ใช่ว่าจะมีแม่ให้ปฏิบัติดีด้วย

“นั่นสินะ...”ภูวรินทร์พึมพำ แค่นอนนิ่งให้พุดกอด เขาแค่ต้องการไออุ่นจากอีกฝ่าย ยิ่งได้ใกล้ชิดเช่นนี้แล้วเขายิ่งโลภมาก ไม่อยากจะสูญเสียภูวรินทร์ไปอีก ...ไม่ได้อีกเด็ดขาด ปรารถนาของเขาเป็นจริงแล้ว การรอคอยมันสิ้นสุดลง

“ผมรักคุณนะ รักมากด้วย...”พุดเอ่ยจากหัวใจ โอบกอดคนที่รักไว้ไม่ปล่อย หากได้รักแล้วยากที่จะลืมเลือน หวงแหนดั่งเป็นจอมขวัญ



+++++++++



ภูวรินทร์ก้มมองคนในอ้อมกอด แววตาสีดำสบตาเขาไม่ห่าง คำว่ารักของเขา เขารู้ดีว่าไม่เท่ากับอีกฝ่าย ร่างของเด็กหนุ่มแนบชิด

“ฉันรู้ ฉันเองก็...รักเธอ”เขาบอกออกไป ไม่เก็บงำความรู้สึกจะมากจะน้อย แต่คนในอ้อมกอดควรได้รับมัน ความอุ่นแผ่ไปทั้งใจ ชายหนุ่มเอื้อมไปสัมผัสเรือนผมนุ่ม เลื่อนลงมาถึงคิ้วที่พอดีกับใบหน้าไม่ได้หนาหรือบางเกินไป จมูกที่ไม่โด่งมาก แค่พอมีให้เห็นและรับกับริมฝีปากสีอ่อนชมพูเพราะเป็นคนผิวขาว อีกฝ่ายเมื่อได้ยินคำเอ่ยของเขาก็ยิ่งกอดแน่นขึ้น ซุกศีรษะลงกับหัวไหล่ของเขาเป็นหมอน

เรื่องราวการกลับมาของพุด อีกฝ่ายเล่าให้เขาฟัง แม้เจอเรื่องแปลกมามากแต่คราวนี้ เขาบอกไม่ถูกนักแต่ความยินดีมีมากกว่า นึกถึงคำพูดของหลวงตาแล้วเขาเก็บเอาไว้ในใจ อยู่กับปัจจุบันงั้นเหรอ เขาก็มีพุดแล้วนี่ไง พุดเลือกจะมีชีวิตอยู่ต่อ แทนที่จะเข้าสู่ภพภูมิที่เลวร้าย เขาไม่ปรารถนาให้อีกฝ่ายต้องทุกข์อีก ‘ดีแล้วที่เลือกกลับมา’





        หลังจากที่ภูวรินทร์กลับมาอยู่ที่บ้านภิรมย์สุข ตั้งแต่กลับมาจากงานรวมตระกูลอะไรนั่น คนตระกูลนั้นไม่ได้เข้ามาข้องเกี่ยวอะไรกับเขาอีก คงเพราะยังคงรักพุด เพราะอีกฝ่ายดื้อดึง และโตพอที่จะตัดสินใจได้เอง คุณปู่คุณย่าจึงพูดอะไรไม่ได้อีก ได้แต่ถอยทัพคอยมองอยู่ห่างๆ ส่วนคุณนิรุททำหน้าที่เป็นทูตที่ดีระหว่างภูวรินทร์กับญาติผู้ใหญ่

เรือนมาลาของพุดสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ระยะเวลาเกือบ 7 เดือน และป้าธิชากลับไปทำงานต่อ ไม่ได้มีปากมีเสียงกับลูกชาย เขาคิดว่าอีกฝ่ายคงรู้ว่าระหว่างเขากับพุดเป็นเช่นไร เธอไม่ได้เอ่ยห้าม เพียงแค่ไม่เอ่ยถึง ชายหนุ่มเปลี่ยนรั้วบ้านที่เชื่อมระหว่างเรือนมาลา เขาเปลี่ยนจากรั้วอันเล็กๆเป็นซุ้มประตูโค้งแทน เรือนมาลาหลังนี้ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว พุดสร้างมันให้ทันสมัยขึ้น อย่างน้อยก็มีสองชั้น ฟอร์นิเจอร์ไม่เก่าโบราณอย่างที่บ้านใหญ่ใช้

“ตกลงเธอไปพูดอะไรกับหลวงตากันแน่”ภูวรินทร์เอ่ยถาม วันนี้เขาออกมานั่งรับลมเล่นที่หน้าเฉลียงเรือนมาลา พุดยังคงเหมือนเดิม เจ้าตัวยังคงชอบดอกไม้ เชี่ยวชาญการร้อยมาลัยสำหรับนำไปใส่บาตรเช้าวันพรุ่งนี้ พุดถือเข็มอันยาวไว้ในมือ มีใบตองสี่เหลี่ยมเป็นฐานรองมาลัย ดอกพุดสีขาวถูกเสียบลงเข็มช้าๆ

“ทำไมน้าภูถามแบบนี้ล่ะครับ”อีกฝ่ายเงยมอง ดวงตาสีดำเป็นประกาย รอยยิ้มค่อยๆปรากฏที่มุมปาก ชายหนุ่มรู้สึกไม่ดีกับการออกธุดงค์ของหลวงตาเท่าไหร่ เพียงแต่ว่าไม่ได้เอ่ยถามพุดไปตรงๆในวันนั้น เขายิ้ม

“ฉันแค่สงสัย ว่าเพราะอะไรหลวงตาถึงย้ายออกจากที่นี่ ทั้งที่อยู่มาหลายสิบปีแล้ว”เขาเอ่ย พุดไม่ได้มีสีหน้ากระอักกระอ่วนแค่หยิบดอกพุดมมาเสียบลงเข็มเรื่อยๆ

“...ผมไม่ได้ทำอะไรจริงๆนี่ครับ ผมไปขอให้ท่านให้พร ผมจะได้สบายใจ ท่านไม่ได้ว่ากล่าวเตือนอะไร อีกอย่าง...ตอนที่ผมไปหากราบไหว้ท่านครั้งล่าสุดตอนที่ผมมากับแม่ ผมบอกท่านว่าจะย้ายมาอยู่ที่บ้าน ผมจึงบอกไปว่าเราคงเจอกันบ่อยๆ”พุดเอ่ยเสียงเรียบ ภูวรินทร์ฟังคำตอบแล้วยิ่งต้องมองเด็กหนุ่มใหม่อีกครั้ง บางที...พุดอาจจะน่ากลัวกว่าที่เขาคาดเอาไว้

“แล้วเธอสบายใจขึ้นไหม”เขาถาม ตอนนี้หลวงตาไม่อยู่แล้ว พุดยิ้ม

“สบายใจครับ หลวงตาให้หนังสือธรรมมะมาให้ผมอ่านด้วย....ผมเองก็อยากให้น้าภูสบายใจด้วยเช่นกัน การที่หลวงตาออกธุดงค์ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผมซะหน่อย ท่านตัดสินใจเองครับ”เด็กหนุ่มอธิบาย นัยน์ตาที่จดจ้องมีประกายอ่อนโยน เขามองคนตรงหน้าอยู่นาน

“ฉันก็ปกติดี”

“น้าภูกำลังกังวลใจเรื่องของผมมากกว่า ผมบอกแล้วไงครับว่าจะไม่จากไปไหนอีก...”พุดวางเข็มร้อยมาลัยลงกับพาน เท้าแขนมองเขานิ่งๆ ชายหนุ่มหันไปมองสวนต้นแก้วที่ออกดอกท้าแดดยามเช้า ทุกอย่างสงบนิ่งเช่นนี้มานานแล้ว คงเพราะเขาไม่อยากเจอการพลัดพรากจากลาอีก มันคงไม่จบไม่สิ้น อีกฝ่ายมองเขานานจนกว่าเขาจะมีรอยยิ้มออกมา การที่หลวงตาออกธุดงค์เขาไม่ได้คิดในแง่ร้าย เพียงแต่ว่าท่านคงไม่ปรารถนาอยู่ที่นี่เพื่อเจอกับสิ่งที่ท่านไม่เห็นดีเห็นงามด้วย ชายหนุ่มหันกลับมองคนตรงหน้าอีกครั้ง จึงรู้ว่าดีแล้วหากหลวงตายังอยู่ เขาคงไปเพื่อพบท่าน และนำคำสอนของท่านกลับมาพิจารณา

...กิเลสของเขาเยอะเกินกว่าที่ปลงตกกับเรื่องความรักความหลง ภูวรินทร์ยิ้ม เอื้อมไปหยิบกลีบดอกกุสีแดงออกมาดู พุดชอบร้อยอุบะด้วยดอกกุหลาบ

“ป้าษอรบอกว่าเธอมาที่นี่บ่อยๆไม่ใช่เหรอ...”ภูวรินทร์เอ่ยถึงเรื่องอื่นแทน ก่อนหน้านั้นป้าษอรมาเล่าให้เขาฟังทีหลังมาพุดกลับมาที่บ้านหลังจากที่เขาไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลไม่กี่วัน พิจารณาดูแล้วพุดอายุแค่ 15-16 ปีเท่านั้น เขาแปลกใจที่อีกฝ่ายไปไหนมาไหนตัวคนเดียว พุดยิ้มบางๆจับเข็มมาลัยขึ้นมาอีกครั้ง

“ก็เผื่อว่าจะเจอน้าภูอีก...แต่น้าก็ไม่ค่อยกลับมา”เจ้าตัวเอ่ยเบาๆ ดวงตากลมใสกระพริบช้าๆ เขาเงียบไปนั่งมองเด็กหนุ่มไปเรื่อยๆอย่างไม่รู้เบื่อ

“ถ้าหากว่าครบกำหนดที่เธอจะต้องกลับไปทำงานล่ะ...”ชายหนุ่มแกล้งเอ่ยขึ้นมา พุดย่นคิ้วทันทีก่อนจะถอนหายใจยาว “นั่นสิ...กลับไปอยู่ที่บ้านกับแม่อาจจะดีกว่าอยู่เป็นขี้ปากชาวบ้านที่นี่นะครับ”อีกฝ่ายเอ่ยน้ำเสียงขุ่นมัว ทำให้เขาหัวเราะในใจ เรื่องติฉินนินทาเป็นเรื่องปกติ หลังจากที่เขากลับมาอยู่บ้านใหญ่อีกครั้ง มีเสียงเล่าลือถึงคำแช่งของตระกูลภิรมย์สุขและเรื่องราวของสองอาหลานที่ยังไม่จางหายไปไหนแม้จะผันผ่านเวลามาเกือบแปดสิบปี

“ฉันคงต้องเป็นฝ่ายรอบ้างใช่ไหม”ภูวรินทร์เอ่ย คำพูดของเขาทำให้เด็กหนุ่มตวัดตามองเขม็ง นัยน์ตาวาววับ เจ้าตัวแกว่งเข็มมาลัยไปมา มาลัยพุดโอนเอนอยู่ในเข็ม

“จริงด้วยสินะ พูดอีกก็ถูกอีก แต่ว่าผมไม่ใช่คนใจร้าย ผมคงกลับไปทำงานให้พ่อแม่ วันหยุดก็กลับมาหาน้าภูไง...เอ หรือน้าจะย้ายมาอยู่กับผมเลยไหมครับ”

“...ไม่ล่ะ เดี๋ยวจะดูไม่ดี”เขาบอก ถึงอย่างไรซะ เขาก็ยังต้องระวังเรื่องการวางตัวด้วย พุดพยักหน้าหงอยๆ “แล้วน้าภูจะเพาะดอกไม้ขายอย่างเดียวเหรอครับ”อีกฝ่ายถาม ตั้งแต่กลับมาอยู่บ้านหลังนี้ เขาใช้เวลาส่วนใหญ่เพาะชำดอกไม้ เรื่องานที่บริษัทเขาไม่ได้อยู่ในกรรมการฯบริษัทแล้ว แค่ถือหุ้นไว้เท่านั้น คุณนิรุทช่วยเขาหาตลาดสำหรับขายพันธุ์ไม้เหล่านี้ กำไรที่ได้ในแต่ละเดือนไม่ได้เยอะมาก แต่เขามีความสุขดีกับการอยู่เงียบๆ ส่วนเรื่องโรคภัยของเขาก็ไม่ถึงร้ายแรงนัก เขาทานยาสม่ำเสมอ แม้ว่าจะผ่าตัดสำเร็จแล้วก็ตาม

“ทำไมล่ะ คนสวนไม่ดีตรงไหนกัน”

“หึหึ ก็ดีครับ น้าภูจะได้เป็นของผมคนเดียว”พุดเอ่ยขึ้นมาเหมือนคนหวงของ เด็กหนุ่มตั้งหน้าตั้งตาร้อยมาลัยดอกพุดต่อ สีหน้ามีความสุข ภูวรินทร์มองอีกฝ่ายด้วยใจสงบนิ่ง สายลมเอื่อยๆพัดเข้ามาหาตัวบ้าน กลิ่นดอกแก้วลอยเข้ามา เขามองพุดอีกครั้ง เด็กหนุ่มยังมีรอยยิ้มอยู่ ใบหน้าไม่โดดเด่นแต่ให้ความรู้สึกสบายใจเมื่อได้อยู่ใกล้ เขาคิดว่าตนเองเลือกไม่ผิดเช่นกัน







     ท่ามกลางบรรยากาศเย็นสบาย แสงแดดอ่อนยามเช้าขับให้ผู้คนอารมณ์ดี หญิงร่างผอมในชุดเสื้อผ้าฝ้ายกับกางเกงสีครีมกำลังเปิดสายยางเพื่อมารดน้ำต้นแก้วแคระที่รอบบ่อน้ำพุ สายตาจับจ้องไปที่สองน้าหลานที่กำลังหยอกล้อกันด้วยท่าทีเป็นสุข มีรอยยิ้ม มีเสียงหัวเราะ เรือนหลังเล็กกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง แม้ว่าในยามสว่างรอบบ้านจะสดใสเหมือนดอกไม้แย้มบาน ทว่ายามมืดกลางคืนรอบบ้านจะหวนกลับมาเงียบสงัดอึมครึมคล้ายมีพายุอยู่ตลอดเวลา และวันดีคืนดีน้าหลานคู่นี้จะตามกันออกมาปลุกอีกคนให้ลืมตาตื่นจากภวังค์ที่ห้อมล้อมไปด้วยต้นแก้ว  ษอรแย้มยิ้มแววตาสงบนิ่ง เมื่อเห็นดอกแก้วที่เป็นอนุสรณ์แห่งรักของท่านหมื่นเมื่อนานมาแล้วยังคงเติมโตมาถึงภูวรินทร์กับพุด สมแล้วที่เป็นเรือนมาลา

 ษอรเฝ้ามองความเป็นไปของทั้งเจ้าของบ้านและบ้านหลังใหญ่จนกว่าสังขารนี้จะร่วงโรยไปจนเดินไม่ได้ ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน คงจะเป็นหน้าที่เดียวของเธอกระมัง ไม่ว่าจะอดีตชาติหรือในปัจจุบันก็ตาม มนุษย์นั้นไม่อาจหลุดจากวังวนแห่งรักโลภโกรธหลงไปได้จริงๆ 





❀ ❀   End ❀ ❀



จบเเล้วค่ะ
ขอบคุณสำหรับการติดตามเสมอมาค่ะ
หวังว่าจะเคลียร์ทุกประเด็นแล้ว ที่จริงเรามีความลังเลอยู่มาก ไม่กล้าฆ่าตัวละครทิ้งด้วย
ทำให้คิดหนักว่าจะปิดเรื่องอย่างไรดี

ขอไปปั่นตอนพิเศษก่อนนะ เพื่อปิดต้นฉบับค่ะ

ป.ล สามารถติดแท็กตามชื่อนิยายได้เลยเน้อไว้เราจะตามส่องค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-03-2018 15:01:55 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ ANIKI.

  • 兄貴
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 190
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
จบดีอะ... ขอบคุณคนเขียนมากค่ะ

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
ขอบคุณคนเขียนมากค่ะ เป็นนิยายที่อ่านเลยหลอนได้เกือบทั้งเรื่องเลยจริงๆ

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ junpa

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 322
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
จบดีมากๆ เลยคะ :pig4:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
ขอบคุณครับที่เขียนให้อ่านจนจบ!!

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
ยาวนานกันมากจริงๆกับเรื่องนี้ ถือเป็นนิยายเรื่องผีเรื่องแรกที่เราอ่านและมีปมเยอะขนาดนี้ ขอบคุณนักเขียนสำหรับนิยายสนุกๆนะคะ อยากอ่านตอนพิเศษที่หวานๆของสองน้าหลานจังเลยค่ะ เครียดกันมาทั้งเรื่องแล้วไม่ค่อยมีโมเม้นท์หวานๆกันเลย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด