สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนจบ 10/06/2018 หน้า 4
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนจบ 10/06/2018 หน้า 4  (อ่าน 17246 ครั้ง)

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ตอนที่สี่สิบหก



“ด็อกเตอร์ครับ สัญญาณโทรศัพท์ของคุณชวิศาถูกตรวจจับด้วยแอปพลิเคชันติดตามครับ” เสียงรายงานของสเตบาสเตียนทำให้สุดฟ้าหันไปมอง ก่อนเอี้ยวคอไปมองคนที่ถูกกล่าวถึงในประโยคนั้น

ชวิศาออกอาการตื่นเต้นรีบหยิบโทรศัพท์มือในความครอบครองออกมา นั่นทำให้สุดฟ้าเห็นว่า

“เครื่องที่ฉันเคยให้นาย”

โทรศัพท์เครื่องนั้นเป็นเครื่องที่สุดฟ้าเคยให้ชวิศาสมัยที่เจ้าตัวโมเมแกล้งเป็นหุ่นยนต์คนรักและเข้ามาอยู่ในบ้าน

“ก็คุณสุดฟ้าไม่ได้ขอคืน แล้วมันก็ใช้ดีด้วย” ชวิศาพูดบอกคล้ายจะแก้ตัว

“อือ ไม่ได้ว่าอะไร เพราะนายเก็บไว้นั่นแหละ เราถึงรู้ว่าสัญญาณโทรศัพท์ของนายโดนติดตาม” เนื่องจากสุดฟ้าได้ทำการดัดแปลงมันเพื่อให้ตัวเองสามารถดักฟังข้อความที่ชวิศาพูดคุยผ่านโทรศัพท์ได้ โทรศัพท์เครื่องที่ว่าจึงถูกเชื่อมโยงเข้ากับระบบเซิร์ฟเวอร์หลักที่มีสเตบาสเตียนคอยดูแลอยู่

สุดฟ้านิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง

“ก็เปลี่ยนตำแหน่งสัญญาณสิครับ แบบนี้ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ จะหลอกให้ใครที่พยายามติดตามด็อกเตอร์ผ่านคุณชวิศาไปซ้ายหรือขวาก็ได้ทั้งนั้น”

“ได้ เดี๋ยวฉันจัดการเอง”

สุดฟ้ากดปุ่มที่อยู่แถวคอนโซลด้านหน้าฉับพลันพื้นที่ตรงหน้าก็มีแป้นคีย์บอร์ดยื่นออกมาพร้อมแสงไฟที่ถูกยิงขึ้นไปเป็นหน้าจอแสดงภาพหน้าต่างการทำงาน

ชายหนุ่มเรียกโปรแกรมเขียนคำสั่งเพื่อปรับเปลี่ยนตำแหน่งสัญญาณโทรศัพท์ขึ้นมา จากนั้นจึงรัวนิ้วเพื่อเขียนโค้ดคำสั่ง มาริเอะจึงขยับมาเกาะที่ด้านหลังของเบาะที่นั่งด้วยความอยากรู้อยากเห็น ทั้งที่เจ้าตัวก็สามารถเชื่อมต่อกับระบบกลางเพื่อตรวจสอบได้เช่นเดียวกัน และพอเห็นมาริเอะทำแบบนั้น ชวิศาจึงทำตามบ้างราวกับจะน้อยหน้าไม่ได้

ใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีคำสั่งลวงตำแหน่งสัญญาณก็เสร็จเรียบร้อย

“หาพื้นที่ปลอดคนแล้วขึ้นบินได้เลย” สุดฟ้าหันไปสั่งสเตบาสเตียนให้มุ่งหน้าไปยังจุดหมายใหม่หลังจากที่กดเอนเทอร์ แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาเปิดโปรแกรมติดตามสัญญาณโทรศัพท์ กรอกหมายเลขเบอร์โทรศัพท์ของชวิศาลงไป

เขายกยิ้มเมื่อตำแหน่งของสัญญาณโทรศัพท์เป็นไปตามที่เขากำหนดไว้

“เรียบร้อยแล้ว หัวใสดีมาก” เขาหันไปเอ่ยชมมาริเอะ

“ถ้าอย่างนั้น ด็อกเตอร์ต้องให้รางวัลผมด้วย” หุ่นยนต์สมองกลอย่างมาริเอะไม่ปล่อยให้เสียโอกาส

“ได้ อยากได้อะไรล่ะ”

“หอมแก้มทีนึง”

คนที่ต้องให้รางวัลถึงกับส่งเสียงหัวเราะเพราะเป็นของรางวัลที่หาง่ายอย่างเหลือเชื่อ “มา ๆ เดี๋ยวแถมให้อีกสองทีเลย”

สุดฟ้าจึงขยับเอี้ยวตัวมากดจมูกบนแก้มของมาริเอะทั้งซ้ายขวาและแถมที่หน้าผากให้อีกที ก่อนจะหันไปหาชวิศา “ด้วยไหม”

“ไม่ครับ เพราะครั้งนี้ผมไม่ได้ทำอะไรเลย แถมยังสร้างปัญหาให้คุณสุดฟ้าตั้งหลายอย่าง”

“อย่าคิดมากไปเลยน่า” สุดฟ้าพูดปลอบ ชวิศาจึงตอบรับว่าจะไม่คิดมาก

มอเตอร์สเปซเคลื่อนที่ไปตามท้องถนนออกจากตัวเมืองเข้าสู่เขตปริมณฑล แล้วเลี้ยวอีกทีเข้าสู่ถนนเทปูนที่ดูเหมือนว่าเจ้าของที่ตั้งใจจะสร้างบ้านจัดสรร แต่อาจจะเจอพิษเศรษฐกิจหรือขาดเงินทุนเสียก่อน จึงต้องปล่อยทิ้งโครงการ ทำให้ที่ดินสองข้างทางกลายเป็นที่รกร้าง

สุดฟ้าเห็นว่าน่าจะปลอดคนแน่แล้วจึงเอ่ยว่า “เปลี่ยนโหมดได้”

สองมือของสเตบาสเตียนยังจับอยู่ที่พวงมาลัย ทว่าเมื่อระบบสมองกลรับคำสั่งเสียงมาแล้ว มันได้ควบคุมสั่งการต่อเนื่องให้ยานพาหนะที่ยังวิ่งอยู่บนพื้นเริ่มลอยตัวขึ้น

“โหมดอากาศยานเริ่มต้นทำงาน” เสียงประดิษฐ์ของระบบขับเคลื่อนดังออกมาจากลำโพงแจ้งเตือนขั้นตอนการทำงาน ก่อนมีเสียงเตือนอีกครั้งให้พวกเขาคาดเข็มขัดนิรภัย

ชายหนุ่มที่มีหน้าตาเหมือนกันสองคนซึ่งนั่งอยู่ที่นั่งตอนหลังจึงดึงเข็มขัดออกมาพาดข้ามตัวแล้วกดลงในช่องตัวจับล็อก

ครั้งนี้มอเตอร์สเปซไม่ได้ลอยขึ้นในแนวดิ่งแต่มันบินขึ้นด้วยวิธีการเดียวกับเครื่องบินลำใหญ่ เพราะระบบขับเคลื่อนทำงานอยู่แล้วทั้งยังมีพื้นที่พอ ความเร็วในการเคลื่อนที่บินขึ้นจึงพุ่งพรวด

สุดฟ้ายกมือโบกให้สัญญาณกับสเตบาสเตียน ส่วนมืออีกข้างยกขึ้นปิดปากเพราะรู้สึกมวนท้องพะอืดพะอมอยากจะขย้อนอาหารมื้อเช้าออกมาทางปาก หรืออีกความหมายหนึ่งคือ เขากำลังเมาเครื่อง!!!

หุ่นยนต์คุณพ่อบ้านก็ช่างรู้ใจดึงถุงกระดาษมาส่งให้อย่างรวดเร็ว  สุดฟ้าจึงจัดการถ่ายเทของเหลวจนกระทั่งหมดกระเพาะ ก่อนจะพิงศีรษะกับเบาะด้วยท่าทางหมดเรี่ยวแรง ขณะที่สเตบาสเตียนจัดการรับถุงอาเจียนมามัดปากถุงเสียแน่น พร้อมกันนั้นช่องวางของระหว่างที่นั่งตอนหน้าได้เปิดออกให้เห็นว่าข้างในกลวงเปล่า สเตบาสเตียนทิ้งของในมือลงไปในนั้น

“ไหวไหมครับ” ชวิศาเอ่ยถาม พนักพิงของสุดฟ้าค่อย ๆ เอนลงเพื่อเปลี่ยนอิริยาบถให้ชายหนุ่มได้นอนอย่างสบายตัวมากขึ้น เห็นใบหน้าซีดเซียวของสุดฟ้าแล้วชวิศานึกสงสารขึ้นมาทันที

อีกพักใหญ่ ๆ ต่อมา มอเตอร์สเปซก็ถึงระดับเพดานบิน การเคลื่อนที่จึงนิ่งเงียบราวกับวิ่งอยู่บนพื้นและแม้ระดับเพดานบินที่ว่าจะอยู่สูงเหนือเมฆแต่กลับไม่รู้สึกถึงแรงกดอากาศจากภายนอก

“ยังพอทนได้ไหว” สุดฟ้าตอบทั้งที่ยังนอนหลับตา

“ผมต้องขอโทษด้วยครับ” สเตบาสเตียนเอ่ยขึ้นมาบ้าง เพราะทุกครั้งที่ใช้โหมดอากาศยาน มอเตอร์สเปซจะถูกสั่งให้ลอยขึ้นในแนวดิ่ง ระบบของสเตบาสเตียนจึงไม่มีข้อมูลในส่วนนี้ แม้แต่สุดฟ้าเองก็ตาม เขาเข้าใจเพียงแค่ว่าตนเองเมาเครื่องบิน จึงได้สร้างยานพาหนะที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศได้มาแทนที่ โดยไม่รู้ว่าวิธีการนำเครื่องขึ้นนั่นต่างหากที่ทำให้เขามึนศีรษะ

“ไม่เป็นไรหรอก ไม่ใช่ความผิดของนายเสียหน่อย”

“มีน้ำเย็นกับผ้าขนหนูบ้างไหม” ชวิศาเอ่ยถามอีกครั้ง ซึ่งคุณพ่อบ้านก็จัดสรรมาให้โดยมันถูกเลื่อนขึ้นมาจากช่องเก็บของระหว่างที่นั่งตอนหน้า จนชวิศาเริ่มแปลกใจว่า มันมีอะไรถูกเก็บไว้ภายในบ้าง

อย่างไรก็ดี ชวิศาได้ลงมือจัดการเทน้ำเย็นลงบนผ้า ขยำดูว่ามันพอหมาดแล้วซับลงบนใบหน้าของสุดฟ้า

“ขอบใจน้า”

“ทานยาดีไหมครับ มียาหรือเปล่าคุณสเตบาสเตียน” ชวิศาถามสุดฟ้าก่อนหันไปคุยกับคุณพ่อบ้าน เมื่อได้ยินคำถามที่ว่านั้น สเตบาสเตียนก็หยิบยาออกมาจากกระเป๋าทันทีซึ่งยาที่ว่าคือยานอนหลับที่สุดฟ้าต้องทานทุกครั้งก่อนขึ้นเครื่องบิน

“ด็อกเตอร์ อ้าปากครับ”

สุดฟ้าอ้าปากให้สเตบาสเตียนหย่อนเม็ดยาลงไป ชวิศาจึงพูดต่อ

“ทานน้ำหน่อยไหมครับ”

สุดฟ้าโบกมือปฏิเสธ “ไม่ล่ะ” แล้ววางมือประสานบนอก เงียบเสียงไม่พูดอะไรอีกเพียงครู่เดียวลมหายใจของชายหนุ่มก็ทอดยาวสม่ำเสมอ

“คุณสุดฟ้าหลับแล้วเหรอ” ชวิศากระซิบถามเสียงเบา ซึ่งมีสเตบาสเตียนเป็นคนตอบคำถามนั้น “ครับ ยานอนหลับตัวนี้ออกฤทธิ์เร็วมาก”

“คุณชวิศาไม่ต้องเป็นห่วงหรอก สเตบาสเตียนอยู่กับด็อกเตอร์มานานแล้ว เป็นคุณพ่อบ้านที่รู้ใจเจ้านายสุด ๆ” มาริเอะพูดแบบนั้นได้เพราะสามารถเข้าถึงล็อกไฟล์การทำงานของสเตบาสเตียนที่ถูกบันทึกอยู่ในระบบกลาง

“แต่คุณสเตบาสเตียนเพิ่งถูกเปลี่ยนมาอยู่ในรูปลักษณ์นี้เมื่อไม่นานเองนะ” ชวิศาเอ่ยแย้งแต่เสียงที่ใช้พูดเบาลงกว่าปกติเพราะไม่อยากรบกวนคนที่กำลังนอนหลับ

“เมื่อก่อนผมอยู่บนโทรศัพท์มือถือของด็อกเตอร์ด้วยครับ เป็นโปรแกรมที่มีหน้าตาประมาณเกมจีบหนุ่ม”

“เอ๋ งั้นคุณสเตบาสเตียนก็มีรูปลักษณ์หน้าตามาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วเหรอ”

“หน้าตาเหมือนคิขุแมนนะครับ” เสียงพูดของมาริเอะเหมือนทั้งเบื่อทั้งระอา

มนุษย์ที่เป็นคนฟังถึงกับหัวเราะ “คิขุแมนก็น่ารักดีออก” มาริเอะจึงย่นจมูก

“คุณชวิศาเนี่ยหลงด็อกเตอร์สุด ๆ เลย ด็อกเตอร์ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้แล้วเนี่ย”

“ถ้าสุภาษิตที่ถูกต้องมันคือ ชี้นกเป็นไม้ ชี้ไม้เป็นนกครับ” คุณพ่อบ้านพูดแก้ ขณะที่ชวิศายังยกยิ้มขำขันฟังมาริเอะเถียงกลับไปว่า

“ก็ด็อกเตอร์ไม่มีทางเห็นนกเป็นไม้และเห็นไม้เป็นนกนี่ ถ้าเป็นแบบนั้นต้องพาไปตรวจแล้ว ต้องเกิดอะไรผิดปกติขึ้นสักอย่างแน่”

“มันแค่เปรียบเทียบไงครับ” ชวิศาพูด “แต่ผมหลงคุณสุดฟ้าจริง ๆ แหละ หลงรักหมดใจเลย” พลางยกมือขึ้นมาประกบเป็นรู้หัวใจไว้กลางอก เอียงคอยิ้มหวานซ้ำยังขยิบตาให้ มาริเอะที่นิ่งมองกะพริบตาปริบ ๆ แต่การกะพริบตานั้นเป็นการจับภาพเพื่อลอกเลียนแบบ จากนั้นมาริเอะจึงทำท่าแบบนั้นออกมาบ้าง

“หลงรักหมดใจเลย”

“งุ้ย!!! ดีง่ะ คุณสเตบาสเตียนถ่ายรูปให้หน่อย” ชวิศารีบยื่นโทรศัพท์มือถือไปให้คุณพ่อบ้าน ทว่าโดนคนที่หน้าเหมือนกันห้ามไว้ก่อน

“ไม่ต้องใช้กล้องโทรศัพท์หรอกครับ” แล้วมาริเอะก็พยักพเยิดให้ออกท่าออกทาง แม้จะประกบมือเป็นรูปหัวใจแต่ชวิศายังมีทีท่างุนงง อย่างไรก็ดีครู่ต่อมา มาริเอะได้บอกให้ชวิศาเปิดดูภาพในโทรศัพท์

“เฮ้ย! ทำได้ไงอะ”

“อย่าลืมสิครับ พวกผมเป็นซูเปอร์หุ่นยนต์มากความสามารถนะครับ” มาริเอะพูดตอบพร้อมรอยยิ้มแฉ่ง

“งั้น ถ่ายอีก ถ่ายอีก ภาพเมื่อกี้ยังไม่ดีเลย”

หลังจากนั้น ชวิศาจึงเอ่ยปากบอกท่าทางแอ็กต์ท่าถ่ายรูปคู่กับมาริเอะอีกหลายภาพ พอได้ภาพมาอยู่ในโทรศัพท์มือถือก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่หยุด ทำให้มาริเอะเอ่ยปากถาม

“คุณชวิศาดูมีความสุข ทั้งที่แค่ดูรูปตัวเองเท่านั้นเอง อย่างในซีรี่ส์ถ้านางเอกหรือพระเอก เปิดโทรศัพท์เพื่อดูรูปคนที่ชอบแล้วยกยิ้มมีความสุข ผมยังพอเข้าใจได้”

“ก็รูปมันน่ารัก”

“รูปตัวเองนะหรือ”

“อืม เพราะเราถ่ายรูปคู่กันด้วย ดูดิหน้าตาดีคูณสอง”

“อย่างนี้เขาเรียกว่าหลงตัวเองหรือเปล่า”

“ใช่เลย แต่หน้าตาดีมีชัยไปกว่าครึ่ง” ชวิศาหัวเราะก่อนพูดตอบกลับไปอย่างมั่นใจ “พี่โยยังชอบให้ผมไปออกงานบ่อย ๆ ทั้งที่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ แต่พี่ชายผมเขาบอกว่า ‘เอาไว้โชว์’ ดูดิโคตรใจร้ายทำอย่างกับเราเป็นของประดับ” กระนั้นเจ้าตัวกลับไม่มีทางทางเศร้าใจตามคำที่พูด

“ตอนที่คุณมาริอยู่กับพี่โยเป็นยังไงบ้างล่ะ”

มาริเอะเบะปากยักไหล่ “ไม่รู้สิครับ ชอบจ้องไม่วางตาเลย”

“ก็คงแปลกใจแหละว่าทำไมคุณถึงหน้าตาเหมือนผมนัก เออ... ว่าแต่พี่โยรู้หรือเปล่าว่าคุณมาริเป็นหุ่นยนต์”

“รู้ครับ ตั้งแต่แรกเลย เพราะด็อกเตอร์ต้องการให้ผมอยู่ที่บ้านนั้น ตอนช่วงที่แม่ของคุณชวิศากลับมา”

“หวา... เท่ากับว่าคุณสุดฟ้าจับโกหกผมได้ตั้งนานแล้วสิเนี่ย”

“จับได้ตั้งแต่วันแรกที่คุณชวิศาเข้ามาอยู่ในบ้านแล้วครับ” สเตบาสเตียนพูดขึ้นมาบ้างเพราะไม่เคยได้รับคำสั่งว่าต้องปิดเป็นความลับ ซึ่งถ้าชวิศามีการถามถึงประเด็นนี้ก่อนหน้า หุ่นยนต์พ่อบ้านก็ยังจะตอบความจริงไปตามตรงอยู่ดี

“อะไรเนี่ย เพราะอะไรล่ะ”

“เพราะคุณชวิศาทานข้าวครับ”

“ฮะ?”

หุ่นยนต์ทั้งสองตนปล่อยให้ชวิศานิ่งคิดประมวลผล เป็นครู่ใหญ่ถึงจะเข้าใจคำพูดของสเตบาสเตียน “โธ่ ผมเป็นคน ไม่กินข้าวก็ตายสิครับ แล้วตอนนั้นใครจะไปคิดว่าคุณมาริเป็นหุ่นยนต์” จากนั้นพูดต่ออีกว่า ยังกังวลแทบตายที่คุณมาริหลับไม่ตื่นเป็นสัปดาห์ทั้งที่ดูเหมือนว่าหายใจปกติ

ชวิศายังซักถามสองหุ่นยนต์อีกหลายเรื่องและชวนพูดคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปเรื่อย เนื่องจากการเดินทางครั้งนี้ต้องใช้ระยะเวลานานกว่าจะถึงจุดหมาย ระหว่างทางสเตบาสเตียนได้นำอาหารกล่องอุ่นร้อนมาเสิร์ฟให้มนุษย์คนเดียวที่ยังตื่นอยู่

เมื่อท้องร้องชวิศาก็เกิดกังวลว่าสุดฟ้าจะหิวด้วยหรือไม่

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ปกติด็อกเตอร์ก็นอนเป็นวัน ๆ อยู่แล้ว” สเตบาสเตียนพูดอธิบาย ชายหนุ่มร่างเล็กจึงละความสนใจกลับมาอยู่กับการนำอาหารใส่กระเพาะตัวเอง

หลังทานอาหารเสร็จ ชวิศาก็เริ่มง่วงแต่เพราะพื้นที่ในมอเตอร์สเปซค่อนข้างคับแคบ ชายหนุ่มจึงได้เอนหลังพิงเบาะหลับตา ก่อนจะถูกดึงให้ไปวางศีรษะบนตักของมาริเอะ จากนั้นชวิศาก็หลับสนิทลงอย่างรวดเร็ว ตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะหิวข้าวและคุณพ่อบ้านก็ช่างแสนรู้ใจ เตรียมข้าวกล่องอุ่น ๆ ไว้ให้พร้อม

“มีแต่ข้าวกล่องนะครับ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมกินได้”

ก่อนหน้าเดินทางพวกเขาจัดการกำจัดของสดในตู้เย็นลงกระเพาะให้หมดเหมือนเมื่อครั้งที่เดินทางไปฮัชดาลลาร์ แต่เขากับสุดฟ้าไม่มีใครนึกถึงอาหารระหว่างการเดินทาง เพราะถ้าเดินทางด้วยเครื่องบินโดยสารก็ไม่จำเป็นต้องห่วงในเรื่องนี้ อย่างสุดฟ้าคงไม่ต้องเป็นห่วงนักเนื่องจากชายหนุ่มชอบหลับยาวตลอดการเดินทาง แต่ชวิศาดันลืมนึกถึงตัวเอง โชคดีที่คุณพ่อบ้านช่างละเอียดรอบคอบ เขาถึงไม่ต้องอดตาย

“ผมน่าจะเอาอาหารเก็บไว้ในอัญมณีช่องว่างมิติบ้างเนอะ” ชวิศาพูดออกมาลอย ๆ

“อัญมณีใช้เก็บพวกอาหารได้ด้วยหรือครับ” มาริเอะจึงเอ่ยถามเพื่อต่อบทสนทนา

“อืม... ไม่รู้อะ ผมไม่เคยลอง” เขาแค่รู้สึกว่ามันน่าจะเก็บได้ซึ่งถ้าทำได้จริงก็นับว่าสะดวกมาก เขาจะได้ไม่ต้องลำบากเวลาเดินทางไปไหนอีก ส่วนในตอนแรกที่เขาพูดออกมา นั่นหมายถึงอาหารสำเร็จรูปหรือพวกขนม

เมื่อได้ยินคำตอบแบบลังเลไม่แน่ใจ มาริเอะจึงเสนอว่า “อย่างนั้นทดลองง่าย ๆ ดูก่อนไหมครับ ว่ามันเก็บของพวกอาหารได้หรือเปล่า”

ชวิศาพยักหน้า มาริเอะจึงหันไปขอน้ำแข็งจากสเตบาสเตียนและมันก็ปรากฏออกมาจากช่องใส่ของนั่นอีกแล้ว เขารู้สึกว่าช่องใส่ของระหว่างที่นั่งตอนหน้ามันช่างเทพจริง ๆ จนสเตบาสเตียนอธิบายว่า

“มันไม่ได้พิเศษขนาดนั้นหรอกครับ แค่มีระบบทำน้ำร้อนน้ำเย็น และช่องว่างสำหรับสิ่งของอีกเล็กน้อย ที่ผมเตรียมไว้ก็พวกเครื่องดื่มกับอาหารเพราะเห็นว่าต้องใช้เวลาเดินทางนาน เผื่อด็อกเตอร์กับคุณชวิศาจะหิว”

ชวิศายิ่งทึ่ง

“แปลกอะไรละครับ สเตบาสเตียนเป็นพ่อบ้าน ด็อกเตอร์ลงโปรแกรมให้ดูแลเรื่องอาหารการกิน การทำความสะอาดดูแลความเรียบร้อยของบ้านเป็นหลัก ในระบบประมวลผลหลักก็มีแต่เรื่องพวกนี้” มาริเอะรีบพูดบอกเมื่อเห็นว่า ชวิศาส่งสายตาชื่นชมสเตบาสเตียนออกนอกหน้า

คุณพ่อบ้านจึงยิ้มรับ “ใช่ครับ ลำดับความสำคัญในการทำงานของผมจะเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนั้นเป็นหลัก”

“คุณชวิศาเอาแก้วน้ำแข็งนี่ใส่ไว้ในอัญมณีนะครับ แล้วทิ้งไว้สักสองชั่วโมงค่อยนำออกมาดูว่าน้ำแข็งละลายหรือไม่”

ชายหนุ่มเจ้าของชื่อพยักหน้ารับ วางมือไว้บนอัญมณีสีนิล สายตาจ้องมองแก้วน้ำแข็งพลางกำหนดในใจว่า ‘เก็บ’ ฉับพลันนั้นมันก็หายไปจากมือของมาริเอะ

“ทานข้าวต่อเถอะครับ” มาริเอะเอ่ยอีกครั้ง กลิ่นหอมฉุยยั่วยวนทำให้ชวิศาลงมือทานอาหารอย่างไม่รอช้า จนอาหารหมดแล้วคนทานถึงเพิ่งรู้สึกว่า “กลิ่นกับข้าวหึ่งเลย”

“ไม่รู้สิครับ พวกผมรับกลิ่นไม่ได้”

“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมเปิดระบบดูดอากาศให้นะครับ” สเตบาสเตียนพูด เพียงสองสามนาทีต่อจากนั้น อากาศภายในก็กลับมาสดชื่นดุจเดิม

อิ่มหนำสำราญทั้งยังเพิ่งตื่น ชวิศาจึงสดชื่นเต็มที่ เขากวาดสายตาหันมองรอบตัวถึงได้เห็นบรรยากาศภายนอกยานพาหนะ

ยานยนต์คันนั้นลอยอยู่เหนือเมฆจึงเห็นกลุ่มก้อนไอน้ำจับตัวกันมองคล้ายพื้นราบกว้างสุดสายตา ที่สุดขอบท้องฟ้ามีสีแดงอมส้มซึ่งแม้จะมองไม่เห็นพระอาทิตย์ดวงโตที่ใกล้ลาลับ ทว่าผืนฟ้าที่เห็นก็ดูสวยจับตา

ชวิศาจึงขยับตัวไปเกาะกระจก มองดูปุยเมฆสีขาวที่น่าล้มตัวลงนอนด้วยรอยยิ้ม นั่งนิ่งมองกระทั่งแสงสีส้มหายไปกลายเป็นสีน้ำเงิน

พวกเขายังต้องเดินทางกันอีกหลายชั่วโมง แต่ในระหว่างนั้นเมื่อครบสองชั่วโมงของการทดลองที่ชวิศาลืมไปแล้ว มาริเอะได้เตือนให้เขานำแก้วน้ำแข็งออกมาดู ปรากฏว่าน้ำแข็งนั้นยังไม่ละลาย

“โห เจ๋งสุด ๆ ต่อไปก็ไม่ต้องกลัวอดแล้ว” ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของอัญมณีร้องออกมาอย่างตื่นเต้น

“น่าแปลกนะครับ ตอนนั้นที่เราสองคนถูกจับ พื้นที่ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยเวทมนตร์กลับสามารถให้มนุษย์อยู่อาศัยและมีอากาศหายใจได้”

ชวิศายิ้มแหยไม่มีความคิดเห็น

“อ้อ ไม่ต้องคิดมากครับ ผมแค่ลองตั้งข้อสังเกตเท่านั้น”

มอเตอร์สเปซยังเคลื่อนที่ไปตามเส้นทางในความมืดมิด ด้วยระบบนำทางและการควบคุมการขับเคลื่อนด้วยหุ่นยนต์สมองกลทำให้ไฟส่องสว่างไร้ความจำเป็น นอกเหนือไปกว่านั้นเพราะมันบินอยู่สูงกว่าระดับการบินของเครื่องบินทั่วไป

และในที่สุด พวกเขาก็ถึงจุดหมายปลายทาง เสียงเตือนให้ตรวจสอบเข็มขัดนิรภัยดังขึ้นก่อนที่มอเตอร์สเปซจะเริ่มลดระดับลงเรื่อย ๆ

ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของยานพาหนะยังคงหลับสนิทไม่หือไม่อืออยู่เช่นเดิม

และถึงชวิศาจะรู้ว่า ยานพาหนะกำลังลดระดับแต่ก็ใช้เวลาอีกร่วมชั่วโมงกว่าล้อทั้งสี่จะแตะพื้นดิน รอบด้านมืดสนิทไร้แสงใด ๆ กระนั้นชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของใบหน้าสวยก็ยังเหลียวซ้ายแลขวาด้วยอาการอยากรู้อยากเห็น และในตอนนั้น สุดฟ้าได้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา

“เอายังไงดี” สุดฟ้าพูดก่อนหันไปถามชวิศา “คืนนี้ต้องนอนในรถนะ ได้ไหม”

“ผมไม่มีปัญหาครับ” เพราะนอนหลับมาตื่นแล้วเลยไม่มีปัญหาอะไรอีก

“เอาเป็นหาจุดที่มีสันเขาหน่อยแล้วกันจะได้บังลม เผื่อมีพายุหิมะจะได้ไม่ต้องผวา” สุดฟ้าออกคำสั่งกับสเตบาสเตียน ได้ยินอย่างนั้นชวิศาถึงเอะใจ

“จะมีพายุหิมะด้วยหรือครับ นี่เราอยู่ที่ไหนกันเหรอ” แต่ละครั้งที่เขาใช้มนตราเพื่อตรวจสอบสถานะความเป็นอยู่บุพการีทั้งสองของสุดฟ้า เขาก็พอเห็นว่าท่านทั้งสองอยู่ในพื้นที่ที่มีอากาศหนาวจัด แต่ยอมรับเลยว่าเขาไม่รู้จริง ๆ ว่าท่านทั้งสองอยู่ที่ไหนและไม่เคยเอ่ยถามด้วย พอเขาไม่เคยถาม สุดฟ้าก็ไม่เคยบอกเขาเช่นเดียวกัน

“ทวีปแอนตาร์กติกา”

“ทวีปแอนตาร์กติกา!!!” ชวิศาทวนคำตอบนั้นซ้ำด้วยความตื่นเต้น นี่เขามาถึงทวีปแอนตาร์กติกาเลยเหรอเนี่ยก่อนเอ่ยอีกคำถาม

“แล้ว ‘ทวีปแอนตาร์กติกา’ มันคือที่ไหนหรือครับ”


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ตอนที่สี่สิบเจ็ด



ชวิศาเหมือนคุ้น ๆ ว่าเคยได้ยินชื่อ ‘ทวีปแอนตาร์กติกา’ อยู่เหมือนกันแต่เขานึกไม่ออกว่าอยู่ในประเทศอะไร

สุดฟ้าส่งเสียงหัวเราะดังลั่นเลยเมื่อเขาพูดแบบนั้นออกไป “เข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว ประเทศเล็กกว่าทวีปนะ และแอนตาร์กติกาก็คือขั้วโลกใต้ที่ไม่มีประเทศใดเป็นเจ้าของ แต่มีการลงนานสนธิสัญญาเพื่อการสำรวจ พ่อแม่ฉันก็เป็นหนึ่งในคณะสำรวจที่อยู่ที่นี่”

หน้าแตกดังเพล้ง! เพล้ง! และดังเพล้ง! เลย

ชวิศายกสองมือขึ้นกุมใบหน้า อาการหน้าแตกทำให้เขาอายแทบแทรกแผ่นดินหนี สุดฟ้าส่งเสียงหัวเราะกระทั่งมาริเอะพูดปราม

“ด็อกเตอร์หัวเราะเยอะเกินไปแล้วครับ มนุษย์ทุกคนไม่ได้รู้ทุกเรื่องเสียหน่อยอย่างด็อกเตอร์เองก็เถอะ รู้จักใบกะเพรากับโหระพาหรือเปล่าเหอะ”

“ทำไมฉันต้องรู้จักด้วย ฉันมีหน้าที่กินก็ต้องกินอย่างเดียวอยู่แล้ว” สุดฟ้าตอบอย่างไม่ยี่หระ เขาทำโครงสร้างร่างกายให้สเตบาสเตียนเพื่อให้เป็นพ่อครัวทำอาหารได้ เพราะฉะนั้นเขาไม่จำเป็นต้องรู้จักใบไม้สองชนิดนั่นอยู่แล้ว

ส่วนชวิศาเมื่อได้ยินมาริเอะพูดแก้ต่างเข้าข้างจึงใจชื้นขึ้นมา เขาไม่จำเป็นต้องรู้ทุกอย่างเสียหน่อย ชายหนุ่มคิดในใจพลางพยักหน้างึมงำกับตัวเอง

จากนั้นต่างก็นิ่งเงียบไปอีกร่วมสิบนาทีกว่าที่มอเตอร์สเปซจะจอดนิ่งสนิท แสงไฟภายในห้องโดยสารจึงสว่างขึ้น เมื่อเป็นแบบนั้น รอบข้างภายนอกหน้าต่างที่คล้ายกับไม่ได้มืดสนิทนั้นมืดมิดลงทันใด และถึงสุดฟ้าจะเคยพูดไว้ว่าต้องนอนในรถแต่ตัวเขาเองเพิ่งตื่น จะให้หลับอีกรอบก็ดูท่าว่าจะเป็นเรื่องยาก

“ทำอะไรกันดี”

“เอ๋...  มาพูดชวนโต้ง ๆ แบบนี้ ด็อกเตอร์ทะลึ่งอ้ะ” มาริเอะพูดพร้อมทำท่าบิดไปบิดมา ทว่าสุดฟ้ากลับถามหน้าตาย

“เป็นอะไรหรือเปล่า ทำท่าเหมือนไส้เดือนโดนขี้เถ้า”

“ใช่ครับคุณมาริ อย่าเอาใบหน้าที่เหมือนผมไปทำท่าทางแบบนั้นสิ มันดูแปลก ๆ น่ะ”

“เมื่อกี้ผมอุตส่าห์เข้าข้างคุณนะครับคุณชวิศา” มาริเอะรีบหันไปตอบกลับ

“ผมก็ไม่ได้ว่าคุณมาริ แต่ว่านะ ถึงเราสองคนจะหน้าตาดีมากแต่การแสดงออกท่าทางบางอย่างก็ไม่ได้เหมาะกับพวกเราเสมอไปนะครับ” คงเพราะโทนเสียงของชวิศาไม่ได้แฝงอาการประชดเหน็บแนม หลังจากวิเคราะห์ประมวลผลเรียบร้อย หุ่นยนต์อย่างมาริเอะจึงยอมเลิกราง่าย ๆ

“อีกอย่างฉันยังไม่ได้คิดถึงเรื่องอะไรที่ทะลึ่งเลยด้วย” สุดฟ้าพูดเสริม

“ก็ด็อกเตอร์พูดชวน มนุษย์ชอบบอกว่าหนาว ๆ อย่างนี้ต้องทำเรื่องพรรค์นั้นไม่ใช่หรือครับ”

“หนาวเหรอ ไม่เห็นจะหนาวเลย” ชวิศาแสดงความคิดเห็น

 “ตอนนี้อุณหภูมิข้างนอกติดลบสามสิบเก้าองศาเซลเซียสครับ” เสียงพูดประโยคนั้นเป็นของสเตบาสเตียน “ภายในห้องโดยสารอบอุ่นเพราะระบบปรับอากาศครับ”

“งั้นฉันนอนแล้วนะ” สุดฟ้าเปลี่ยนไปพูดความต้องการของตัวเองอย่างรวดเร็ว เขาถอนหายใจแล้วล้มตัวลงนอน คิดในใจว่า เมื่อไม่รู้จะทำอะไรก็นอนเก็บแรงไว้เผื่อวันอื่นแล้วกัน

“คุณสุดฟ้านอนมาทั้งวัน ไม่รู้สึกหิวข้าวบ้างหรือครับ”

เมื่อโดนถาม ชายหนุ่มถึงเริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาตงิด ๆ เขายกมือกุมท้องตัวเอง “ก็หิวนะ มีอะไรกินบ้างล่ะ” ประโยคสุดท้ายเขาหันไปถามสเตบาสเตียน

“มีข้าวกล่องอยู่ครับ” พร้อมกับที่วางของระหว่างเบาะคู่หน้าเปิดขึ้นให้เห็นกล่องข้าวถูกเลื่อนขึ้นมา สุดฟ้ารับไปจัดการเติมอาหารลงกระเพาะและปรับเบาะเอนตัวลงนอนหลังจากนั้น

ชวิศาถูกมาริเอะดึงตัวให้วางศีรษะบนตักอีกครั้งยังไม่ทันหลับตาไฟในห้องโดยสารก็ดับลง เขาจึงต้องหลับตาลงอย่างช่วยไม่ได้ พร้อมกันนั้นทั้งมาริเอะและสเตบาสเตียนต่างก็เข้าสู่โหมดประหยัดพลังงาน

มอเตอร์สเปซที่จอดนิ่งจึงกลายเป็นแค่เงาตะคุ่มท่ามกลางความมืดยามค่ำคืน จนเวลาเคลื่อนคล้อยผ่านไปดึกสงัด สเตบาสเตียนถึงได้ลืมตาและกลับมาทำงานอีกครั้งเมื่อจับสัญญาณการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตที่อยู่ห่างออกไปร่วมหนึ่งกิโลเมตรได้

“อะไร” มาริเอะก็ออกจากระบบประหยัดพลังงานเช่นกัน แต่การสื่อสารของพวกเขาทั้งสองเป็นการพูดคุยผ่านระบบช่องสื่อสารไม่มีเสียงใด ๆ เล็ดรอดออกมารบกวนการนอนของมนุษย์ในห้องโดยสาร

“จู่ ๆ ก็มีกลุ่มสิ่งมีชีวิตปรากฏตัวขึ้นในเขตสัญญาณตรวจจับ ผมจะออกไปดู” เมื่อกล่าวจบประตูของมอเตอร์สเปซก็ถูกเปิดออกโดยที่สเตบาสเตียนไม่ได้สัมผัส ลมหนาวจากภายนอกกรูเข้าสู่ด้านในวูบหนึ่งก่อนที่ประตูของยานพาหนะจะถูกปิดลงอัตโนมัติ

สเตบาสเตียนมองตรงไป ระบบประมวลผลกำลังสั่งการให้กล้องที่ดวงตาเพิ่มกำลังขยายเพื่อตรวจสอบสิ่งมีชีวิตที่ตรวจจับได้ ภาพที่จับได้เป็นกลุ่มคนห้าคนภายใต้ชุดคลุมปิดหน้าปิดตาทว่าแค่พริบตาเดียวหนึ่งในห้าคนกลับมาปรากฏอยู่ตรงหน้าเสียแล้ว

หุ่นยนต์พ่อบ้านยกฝ่ามือขึ้นรับหมัดที่พุ่งตรงเข้าหาด้วยความว่องไวไม่แพ้กัน ปลายนิ้วชี้ของมือข้างซ้ายถูกปรับเปลี่ยนให้ปลายกระบอกปืนเพื่อโจมตีโต้กลับกระนั้นลูกกระสุนกลับโดนแรงสะท้อนที่มองไม่เห็น ขณะเดียวกันนั้น มอเตอร์สเปซได้ถูกสั่งให้ลอยขึ้น

แต่ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ปล่อยให้เป้าหมายทำได้อย่างที่ใจคิด

ด้านบนเหนือศีรษะกลับปรากฏเป็นตาข่ายอันใหญ่ยักษ์ที่กำลังร่วงลงมา สเตบาสเตียนจึงดีดตัวขึ้นสูงพร้อมมืออีกข้างถูกเปลี่ยนเป็นใบมีดเลเซอร์ที่ตัดได้ทุกอย่าง เขาวาดมือกวัดแกว่งทำลายตาข่ายยักษ์ มืออีกข้างคอยยิงต้านศัตรูอีกสี่คนที่เหลือไม่ให้เข้ามารุมกลุ้ม ตลอดเวลานั้นทุกอย่างเงียบกริบไร้เสียงอัดอากาศยามที่ลูกกระสุนชนิดพิเศษที่สุดฟ้าผลิตขึ้นมาเองเคลื่อนพ้นปลายปล่องกระบอก มนุษย์ทั้งสองคนในห้องโดยสารจึงยังหลับสนิทไม่รู้เรื่อง ทั้งการเคลื่อนที่ของมอเตอร์สเปซก็ยังนุ่มนวลไม่ต่างจากเดิม

“ให้ช่วยไหม” มาริเอะส่งเสียถามผ่านระบบ

“คิดว่ายังจัดการได้ครับ”

อย่างไรก็ดี หลังจบข้อความสื่อสารตอบกลับของหุ่นยนต์พ่อบ้าน ยานพาหนะที่กำลังลอยขึ้นสูงจากพื้นดินกลับโดนลูกบอลแสงสีเหลืองหุ้มคลุมไว้ทั้งคัน ทำให้มันหยุดนิ่งไม่สามารถเคลื่อนที่ลอยขึ้นได้อีกคล้ายกำลังชนกำแพงที่แข็งแรงมากและการปะทะนั้นทำให้มอเตอร์สเปซสะเทือนจนสุดฟ้าและชวิศารู้สึกตัวตื่น

“เกิดอะไรขึ้น” ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของพาหนะสุดล้ำถามด้วยอาการงัวเงีย

“พวกเราโดนโจมตีครับ” มาริเอะรายงาน

“ฮะ!!!” สองเสียงประสานร้องด้วยความตกใจก่อนทั้งคู่จะแนบหน้าเข้ากับกระจกประตู

แค่เห็นแสงสว่างจ้าที่อยู่ด้านนอกนั่น ชวิศาก็รู้ได้ทันที “ผู้ใช้เวท” เขากล่าวต่อ “เราคงโดนขังอยู่ในม่านพลังเวท”

“ชวิศา กระดาษคาถา” สุดฟ้าร้องบอกพลางรื้อหาปากกา แต่เขากลับได้สิ่งที่มองหามาพร้อมกระดาษคาถาที่ชวิศาส่งมาให้

สุดฟ้าไม่ได้เชี่ยวชาญการอ่านไอเวทเช่นนักเวทที่ฝึกฝนมายาวนานจึงได้แต่เดาว่าม่านพลังที่ล้อมรอบพวกเขาอยู่ควรก่อเกิดจากธาตุใด เขาเขียนวงเวทหักล้างจากธาตุโลหะเพราะคิดง่าย ๆ ว่าแสงสีเหลืองนี่มันควรเป็นธาตุดิน ก่อนส่งกระดาษใบนั้นให้ชวิศา

เมื่อชายหนุ่มผู้ใช้เวทรับกระดาษมาถือในมือก็ไม่รอช้า เรียกใช้พลังเวทในกายทำให้กระดาษคาถาในมือทำงาน ด้วยพลังที่มากกว่าม่านพลังที่กักขังพวกเขาอยู่พลันสลายไปอย่างรวดเร็ว

“เรียกสเตบาสเตียนกลับมา” สุดฟ้าออกคำสั่งกับมาริเอะขณะที่ลงมือเขียนวงเวทบนกระดาษอีกแผ่น แม้ภายในใจจะยังลังเลแต่มือของเขากลับเขียนอักขระต่าง ๆ อย่างคล่องแคล่ว

ประตูตรงตำแหน่งที่นั่งคนขับเลื่อนลงหายไปในพื้นยานยนต์ซึ่งนั่นเป็นการออกแบบแก้ไขหลังจากที่สุดฟ้าพบปัญหาเมื่อครั้งก่อนกรณีที่ต้องการเข้าออกจากมอเตอร์สเปซเมื่อมันลอยอยู่เหนือพื้นดิน

เนื่องจากมอเตอร์สเปซยังลอยตัวสูงจากพื้นไม่มากนัก ห่างจากพื้นราว ๆ สามเมตร สเตบาสเตียนจึงใช้แค่แรงดีดตัวก็สามารถมาเกาะอยู่ที่ขอบประตูได้แล้ว เขายังยิงกระสุนอย่างต่อเนื่องแม้ว่ามันจะถูกแรงสะท้อนที่มองไม่เห็นทำให้ไม่สามารถทำอันตรายศัตรูได้เลยก็ตาม แต่อย่างน้อยมันทำให้ฝ่ายตรงข้ามชะงักช้าลงไม่เข้าประชิดตัวสุ่มสี่สุ่มห้า

สุดฟ้าส่งกระดาษที่เขียนวงเวทเสร็จแล้วให้ชวิศา “เราจะวาร์ป แต่ต้องให้แน่ใจว่าพวกเราจะไปด้วยกันทั้งหมด ไม่ใช่แค่นายคนเดียว”

ได้ยินอย่างนั้นชวิศาจึงเกิดอาการใจฝ่อ เขากล่าวปฏิเสธ “งั้นอย่าดีกว่า ใช้วิธีอื่นไม่ได้หรือครับ ให้มอเตอร์สเปซบินหนีไปเลยง่ายกว่านะ”

“อัตราเร็วในการบินขึ้นมันคงที่ ฉันสร้างมอเตอร์สเปซมาเพื่อแก้ปัญหาการเมาเครื่องและฉันไม่มีวันปรับความเร็วของโปรแกรมการนำเครื่องขึ้นในแนวดิ่งเด็ดขาด”

พูดคุยกันไม่ทันจบดียานพาหนะของพวกเขาก็เหมือนชนเข้ากับอะไรอีกแล้ว หันมองรอบข้าง พวกเขาจึงเห็นว่ายานยนต์ลอยได้ถูกกักอยู่ในม่านพลัง

“เหมือนพวกมันไม่ได้ตั้งใจฆ่าพวกเรา” มาริเอะพูด เขาเคยเห็นเวทที่มีพลังทำลายล้างแบบราบคาบมาแล้ว แม้กล้องจับภาพที่ดวงตาจะไม่สามารถจับภาพแสงที่เกิดจากพลังเวทชัดเจนแต่คลื่นพลังงานที่เซนเซอร์ตรวจจับได้ก็บ่งบอกว่ามันไม่แค่พลังงานความร้อนธรรมดา

“พวกมันไม่ได้ตั้งใจฆ่าฉัน ถ้าฉันตายมันจะเอาแบบแปลนจากที่ไหน” สุดฟ้าพูด

“แล้วถ้าปล่อยให้ถูกจับล่ะครับ” ระบบประมวลผลของมาริเอะกำลังให้วางเหยื่อล่อเพื่อดักกินฝ่ายตรงข้าม

“ฉันไม่อยากเสี่ยง”

“แต่วงเวทของคุณสุดฟ้าก็เสี่ยงเหมือนกันนะครับ” ชวิศาพูดขึ้นบ้าง แต่คนฟังกลับตีความไปอีกอย่าง “นายคิดว่าวงเวทของฉันมันผิดเหรอ”

“มอเตอร์สเปซกำลังถูกบังคับให้ลดระดับลง” เสียงรายงานของสเตบาสเตียนดังขึ้นแทรกขัดจังหวะการโต้ตอบของชวิศาเสียก่อน

“ระงับสถานะบินขึ้นให้คงไว้แต่การลอยตัว” ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของหันไปเอ่ยสั่ง จากนั้นหันไปหาชวิศา “ฉันให้นายเลือก จะทำตามที่ฉันสั่งหรือให้ฉันส่งนายกลับบ้าน”

คนฟังถึงกับชะงักไป

“อ้อ... ตอนนี้ฉันคงไม่สะดวกส่งนายกลับบ้าน คงได้แต่ทิ้งนายไว้ที่นี่”

“โหดร้าย!!!” ชวิศาร้องบอกด้วยใบหน้าบูดบึ้ง คว้ากระดาษคาถามาคีบถือด้วยสองนิ้ว หลับตาตั้งสมาธิ อยากให้วาร์ป เขาก็อยากวาร์ปไปให้สุดโลกแต่ติดที่ชวิศากลัวว่าพลังของตนจะไม่ครอบคลุมยานพาหนะทั้งคันและเหมือนสุดฟ้าจะรู้ขอบเขตมนตราที่ชวิศาใช้ได้เช่นกัน

ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของพลังเวทมหาศาลไม่มีปัญหาถ้าเป็นมนตราสำหรับการสร้าง แต่มีปัญหาถ้ามนตรานั้นเกี่ยวกับควบคุมหรือแปรผันปรับเปลี่ยน สุดฟ้าถึงได้กล่าวย้ำสิ่งที่ต้องระวัง

ทันทีที่ชวิศาปล่อยให้พลังเวทของตนขับเคลื่อนวงเวทให้ทำงาน สุดฟ้าสัมผัสได้ว่ามันเป็นช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เพียงเสี้ยววินาทีที่เหมือนว่าพวกเขาถูกดูดเข้าไปในหลุมดำมืดไร้ซึ่งอากาศหายใจทั้งที่ยังอยู่ในห้องโดยสารของยานยนต์ ก่อนสภาพรอบด้านจะกลับมาอยู่ในสภาวะอากาศอบอุ่นของห้องโดยสารเช่นเดิม ต่างกันตรงที่ม่านพลังที่ห้อมล้อมพวกเขาหายไปแล้ว และกระดาษคาถาในมือของผู้ใช้เวทได้กลายเป็นเถ้าถ่านเช่นกัน

“เช็กตำแหน่งที่อยู่ปัจจุบัน”

“ห่างจากพิกัดเดิมห้าเมตรครับ”

โครตสั้น!!! ชายหนุ่มผู้เขียนวงเวทอุทานในใจแต่เขาไม่มีเวลามาคิดวิเคราะห์ปัญหาที่ทำให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นอย่างนี้ เขาออกคำสั่งอีกคำ

“ยกเลิกสถานะลอยตัว”

เมื่อสิ้นสุดคำสั่งนั้นมอเตอร์สเปซก็ร่วงลงพื้นแต่สุดฟ้าคำนวณไว้แล้ว ระยะความสูงแค่นี้ไม่ทำให้เกิดความเสียหายกับโครงสร้างและระบบขับเคลื่อนนอกจากแรงกระแทกในห้องผู้โดยสารที่ทำให้พวกเขากระเด้งกระดอน

“วิ่งไปเลย เร่งความเร็วสูงสุด” ชายหนุ่มพูดสั่งอีกครั้งในจังหวะที่ล้อทั้งสี่ของยานพาหนะยังไม่สัมผัสพื้นดีด้วยซ้ำ และเมื่อยานยนต์ถึงพื้นดินประตูฝั่งคนขับจึงเคลื่อนปิดโดยอัตโนมัติ สองมือของเขาจับเบาะไว้แน่นพลางพยายามดึงเข็มขัดนิรภัยออกมาคาดข้ามตัว

และถึงจะออกคำสั่งให้มอเตอร์สเปซเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงสุดกระนั้นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนยังต้องใช้เวลาสองสามนาทีเพื่อทำรอบ ทว่ามันเพิ่งเคลื่อนที่ไปได้ระยะทางไม่ไกลกลับเกิดเหตุการณ์ชนปะทะที่ทำให้มอเตอร์สเปซต้องหยุดนิ่งกับที่

ชวิศาที่ยังไม่ทันได้คาดเข็มขัดนิรภัยถึงกับพุ่งตัวไปข้างหน้าโชคดีที่มาริเอะคว้าจับได้ทันพร้อมกับดึงหัวเข็มขัดมากดเข้ากับแผ่นล็อก

“ชนอะไร”

“มนุษย์ครับ” สเตบาสเตียนกล่าวตอบพร้อมสั่งการระบบให้แสดงภาพจากกล้องอินฟราเรดบนกระจกหน้า

รอบข้างมืดสนิทจนมนุษย์ธรรมมองสิ่งใดไม่ชัดเจน แต่กลุ่มคนที่มาโจมตีพวกเขายังปรากฏตัวขวางเส้นทางการเคลื่อนที่ของมอเตอร์สเปซได้อย่างเหมาะเหม็ง ทว่าเพราะโครงสร้างของยานยนต์ที่ถูกผลิตมาจากวัสดุที่มีความแข็งแรงทนทาน มอเตอร์สเปซจึงไม่เกิดการบุบสลายและฝ่ายศัตรูต้องกระเด็นถอยห่างออกไปหลายช่วงตัว กระนั้นช่วงเวลาที่พวกเขาหยุดชะงักก็นานพอให้อีกฝ่ายเข้ามาล้อมกรอบ

“ไปทางอื่น”

“ให้พวกผมลงไปถ่วงเวลาไว้ก่อนดีไหมครับ” มาริเอะเอ่ย

ศัตรูของพวกเขาสามารถปรากฏตัวตรงโน้นตรงนี้ได้ฉับพลันต่อให้พยายามหนีก็คงไม่สามารถหนีไปได้ง่าย ๆ “อย่างน้อยให้ด็อกเตอร์กับคุณชวิศาไปถึงสถานีวิจัยแล้วเราสองคนค่อยตามไปสมทบ”

“ก็ได้” สุดฟ้าตัดใจตอบตกลง

หุ่นยนต์สมองกลทั้งสองตนจึงลงจากยานยนต์เพื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่รายล้อมอยู่รอบด้าน แต่เนื่องจากมาริเอะเป็นหุ่นยนต์ที่มีอุปนิสัยเฉพาะเป็นของตัวเอง เขาจึงยกยิ้มมองคนทั้งห้าซึ่งกระจายตัวล้อมกันระวังไม่ให้พวกเขาหลบหนี

“สวัสดีครับ ผมมีข้อสงสัยสักหนึ่งข้อที่อยากจะเอ่ยถาม” มาริเอะเอ่ยทักทายด้วยภาษาไทย เมื่อไม่ได้รับเสียงตอบรับจึงเปลี่ยนไปพูดภาษาของฮัชดาลลาร์

“ผมแค่อยากรู้ว่าพวกคุณต้องการอะไรกันแน่”

หนึ่งในห้านั้นส่งเสียงหัวเราะ “พวกเราแค่ต้องการเชิญเจ้านายของคุณไปคุยธุระ”

คำตอบฟังดูคุ้นเคยจนมาริเอะนึกอยากจะกลอกตามองบนอย่างที่พวกมนุษย์เขาทำกัน “มาเชิญแต่ใช้กำลังโดยไม่พูดไม่จากล่าวบอกล่วงหน้านะหรือครับ พวกคุณไร้มารยาทจัง”

“พวกแกจะไปกับพวกเราดี ๆ หรือเปล่าล่ะ ถ้าไม่ก็ต้องลงมือ”

สิ้นสุดคำพูดประโยคนั้นก็เหมือนสัญญาณให้พวกเขาตะลุมบอนกัน มาริเอะและสเตบาสเตียนมีเป้าหมายที่จะดึงความสนใจของฝ่ายตรงข้ามให้ออกห่างจากมอเตอร์สเปซมากที่สุด จึงพุ่งตัวไปด้านหน้าพร้อมอาวุธหนักที่สุดฟ้าอนุญาตให้ใช้ได้เต็มที่

มาริเอะเปลี่ยนมือทั้งสองข้างให้กลายเป็นปลายกระบอกปืนและสาดกระสุนใส่ผู้ที่มุ่งเข้ามาโจมตีไม่ยั้ง ด้วยสังเกตเห็นตั้งแต่ที่หุ่นยนต์พ่อบ้านต่อสู้กับกลุ่มคนแปลกหน้าเมื่อไม่กี่นาทีก่อน อาวุธของพวกเขาทำอะไรฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ก็จริงแต่พวกนั้นก็ทำอันตรายพวกเขาไม่ได้เช่นกัน ราวกับว่ายามที่เรียกใช้กำแพงโปร่งใสป้องกันอาวุธที่มุ่งเข้ามาทำร้าย ฝ่ายนั้นจะไม่สามารถเรียกใช้มนตราอื่นได้ รวมกับความเร็วในการระดมยิงที่เหนือกว่ามนุษย์ธรรมดาทำให้อีกฝ่ายต้องถอยร่นไปเรื่อย ๆ

เมื่อเห็นเป็นจังหวะเหมาะ ระบบประมวลผลของสเตบาสเตียนจึงสั่งให้มอเตอร์เคลื่อนที่ออกไปด้วยความเร็ว

ฝ่ายนั้นก็ราวกับจะรู้ตัวว่าโดนล่อลวง หนึ่งในนั้นที่น่าจะใช้มนตราเคลื่อนย้ายตำแหน่งได้จึงพยายามที่จะเรียกใช้มนตราเพื่อตามไปแต่มาริเอะยิงสกัดไว้ทว่าก็โดนฝ่ายศัตรูอีกคนมาขวาง มาริเอะยังยกยิ้มขณะที่เจ้าของมนตราเคลื่อนย้ายหายไปภาพเบื้องหน้าแล้ว

“นายไปจัดการทางนั้น สี่คนที่เหลือฉันจัดการเอง” มาริเอะส่งข้อความสื่อสารผ่านระบบ พริบตาต่อมาสเตบาสเตียนก็หายไปจากตำแหน่งนั้น

ฝ่ายศัตรูจึงมีท่าทางชะงักไป

หลังการปรับปรุงครั้งล่าสุด พวกเขาสามารถเคลื่อนที่ได้เท่ากับความเร็วเสียงโดยไม่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างซึ่งมาริเอะไม่รู้ฝ่ายตรงข้ามจะรู้หรือไม่ว่าพวกเขาไม่ใช่มนุษย์จริง ๆ ถึงได้ทำท่าเหมือนตกใจกับความสามารถนั้น

“ลองเอาจริงกันหน่อยไหนครับ” มาริเอะเอ่ยถาม ด้วยความสามารถที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวระบบประมวลผลประเมินว่าเขาจะเป็นฝ่ายชนะกระนั้นก็ยังมีเปอร์เซ็นต์ที่จะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำจากบันทึกความสามารถของผู้ใช้เวทที่เคยเจอมา มาริเอะจึงเป็นฝ่ายลงมือก่อน

เขาพุ่งตัวเข้าหาหนึ่งในสี่ที่ใกล้ตัวที่สุด วาดขาเตะสูงเป้าหมายอยู่ที่ก้านคอหวังเล่นทีเผลอแต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ง่ายอย่างที่ต้องการ ฝ่ายนั้นยกแขนขึ้นกันได้อย่างฉิวเฉียดแต่ความสามารถของซูเปอร์หุ่นยนต์อย่างมาริเอะไม่ได้มีแค่นั้น เสี้ยววินาทีต่อมา เขากลับปรากฏตัวที่เบื้องหลังศัตรูอีกคนพร้อมลูกกระสุนที่พุ่งออกไปในระยะประชิด!!!

+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ตอนที่สี่สิบแปด



ฝ่ายสุดฟ้าและชวิศาที่อยู่ภายในห้องโดยสารของมอเตอร์สเปซต้องผวารีบคว้าจับสายเข็มขัดนิรภัยอีกหนเมื่อยานพาหนะหักเลี้ยวกะทันหัน หน้าจอคำสั่งบริเวณคอนโซลที่สุดฟ้าเพิ่งเปิดเพื่อควบคุมการเคลื่อนที่ของมอเตอร์สเปซแสดงล็อกคำสั่งที่แทรกมาจากสเตบาสเตียน แต่ช่วงเวลาฉุกละหุกชายหนุ่มผู้ที่เป็นเจ้าของยานยนต์จึงยังไม่ทันสังเกตนอกจากภาพขาวดำที่แสดงผลบนกระจกหน้าซึ่งเขาเห็นเหมือนฝ่ายตรงข้ามมาปรากฏตัวขวางทาง กระนั้นมันก็เพียงเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้นก่อนที่ภาพนั้นจะเปลี่ยนไปเพราะยานยนต์กำลังเคลื่อนที่เปลี่ยนทิศทาง

กระทั่งมอเตอร์สเปซขับเคลื่อนด้วยความนุ่มนวลดุจเดิมแล้ว สุดฟ้าจึงได้ให้ความสนใจกับหน้าจอโปรแกรมอีกครั้ง เขาเขียนคำสั่งดึงตำแหน่งที่อยู่ปัจจุบันบนแผนที่ออกมา ทีแรกเขาตั้งใจว่าจะไปหาบิดามารดาช่วงเช้าหลังจากที่มีแสงสว่างแล้ว แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้เขาคงต้องเปลี่ยนแผน

ฝ่ายชวิศาก็ได้แต่นั่งลุกลี้ลุกลนใจไม่เป็นสุขอยู่ที่เบาะหลัง เห็นสุดฟ้าก้มหน้าง่วนอยู่กับคีย์บอร์ดและหน้าจอแสดงผลยิ่งไม่กล้าส่งเสียงรบกวน ภายในใจนึกเป็นห่วงกลัวสองหุ่นยนต์ที่สุดฟ้าสร้างจะเป็นอันตราย ถึงจะรู้ว่าทั้งมาริเอะและสเตบาสเตียนเป็นหุ่นยนต์ที่มากความสามารถแต่เพราะครั้งก่อนมาริเอะยังแพ้ให้กับผู้ใช้เวทในฮัชดาลลาร์อยู่เลย

จนทนไม่ไหวแล้วนั่นล่ะ ชวิศาถึงได้ส่งเสียง

“คุณสุดฟ้า” แต่ดูท่าเสียงของเขาจะเบาเกินไปสุดฟ้าถึงยังก้มหน้าก้มตาอยู่เช่นเดิม ชายหนุ่มจึงเพิ่มความดังเสียงขึ้นอีกหน่อย ทว่าอีกฝ่ายกลับแค่ขานเสียงในลำคอตอบมาแล้วส่งเสียงถามซ้ำเมื่อยังไม่ได้ยินประโยคถัดไปจากเขา

“มีอะไรล่ะ”

“พวกเราไม่ต้องกลับไปช่วยคุณมาริกับคุณสเตบาสเตียนหรือครับ”

“ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันเพิ่งปรับปรุงสองคนนั้นไปใหม่ก่อนเดินทางมา” ขณะเดียวกันตรงหน้าของชวิศาก็ค่อย ๆ มีจอภาพเลื่อนลงมา ภาพบนหน้าจอแสดงให้เห็นรูปโครงสร้างของร่างกายพร้อมเส้นกราฟเปอร์เซ็นต์ตัวเลขและชาร์ตสีที่เขาดูไม่รู้เรื่องอยู่แทบทุกจุดซึ่งนั่นคือรายงานประสิทธิผลการทำงานที่หุ่นยนต์สมองกลส่งกลับมาสู่เข้าระบบกลาง

ส่วนอีกฝั่งหนึ่งของหน้าจอเป็นภาพแผนที่ในระยะสิบกิโลเมตรรอบมอเตอร์สเปซ

ทวีปแอนตาร์กติกาไม่มีแผนที่อยู่บนเบราว์เซอร์ทั่วไปแต่สุดฟ้าแอบใช้ดาวเทียมของนาซ่าในการตรวจสอบพื้นที่ ถ้าเดินทางเข้ามาทวีปนี้อย่างปกติ นักบินคงพาพวกเขาลงสนามบินหลักและคงมีรถมารับพวกเขาถึงที่ แต่ในเมื่อครั้งนี้พวกเขาลักลอบแอบเข้ามาและเป็นการมาทวีปที่อยู่สุดขอบโลกเป็นครั้งแรก สุดฟ้าจึงต้องหาเส้นทางด้วยตัวเอง

ชวิศามองดูแผนที่ดาวเทียมด้วยความสนใจ “นี่มันอะไรหรือครับ”

สุดฟ้าหันไปเหลือบมองเพียงชั่วพริบตา “แผนที่ดาวเทียมบริเวณตำแหน่งที่อยู่ปัจจุบัน”

คนฟังพยักหน้ารับ มองจุดสีน้ำเงินซึ่งกำลังเคลื่อนที่บนแผนที่ตาไม่กะพริบทว่าความสนใจของชวิศาต้องหยุดชะงักไปเมื่อมอเตอร์สเปซเกิดการชนกระแทกอีกครั้งและเหมือนว่าจะไม่ใช่การชนวัตถุแบบธรรมดา เพราะเขารู้สึกได้ว่าร่างกายซึ่งถูกยึดติดกับเบาะที่นั่งด้วยเข็มขัดนิรภัยกำลังลอยตัวไปด้านหน้า ก่อนที่ทุกอย่างจะหยุดลงและโดนแรงโน้มถ่วงของโลกดึงให้ร่วงมากระแทกกับพื้นอีกครั้ง

โชคดีว่าเข็มขัดนิรภัยทำหน้าที่ของมันได้อย่างดีเยี่ยม ร่างกายของเขาจึงถูกยึดนิ่งไว้กับเบาะตลอดเวลา

“อะไรวะ” สุดฟ้าสบถออกมาพยายามมองหาสาเหตุที่ทำให้ยานยนต์ประสบเหตุการณ์เช่นนั้น แต่ภาพจากกล้องที่ถูกฉายให้ปรากฏบนกระจกหน้ากับสั่นพร่าคล้ายโทรทัศน์รุ่นเก่าที่ไม่มีสัญญาณ ทั้งรอบด้านที่ยังมืดมิดไร้แสงใดในเวลากลางคืน พวกเขาจึงเหมือนคนตาบอด

จากนั้นประตูยานยนต์ฝั่งที่นั่งข้างคนขับก็ถูกดึงกระชากด้วยแรงมหาศาลจนมันหลุดออกไป ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของยานพาหนะตื่นตระหนกกับความเสียหายที่เกิดขึ้นมากกว่าการปรากฏตัวของคนแปลกหน้า

“ลงมา” ชายคนนั้นพูดด้วยภาษาอื่นแต่ชวิศาเข้าใจประโยคนั้นด้วยอำนาจของแหวนที่สวมอยู่

“ไอ้บ้าเอ้ย ทำอะไรของแกวะ” สุดฟ้าร้องโวยวายแต่ไม่ใช่เพราะการฉุดกระชากลากถู เนื่องจากเจ้าตัวยังติดเข็มขัดนิรภัยซึ่งปลายด้านหนึ่งอยู่ในแผ่นล็อก เขาร้องโวยวายเสียใจกับการเห็นประตูมอเตอร์สเปซเสียหายไปต่อหน้าต่อตา

“ลงมา” ชายคนนั้นพูดเสียงเข้มซึ่งสุดฟ้ายังไม่เข้าใจความหมายของประโยคนั้นเหมือนเดิม อย่างไรก็ดีเขาได้สะบัดมือของอีกฝ่ายให้ออกห่าง ปลดล็อกอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยและลงไปเผชิญหน้า ตอนนี้สุดฟ้าโมโหมากที่อีกฝ่ายมาทำของของเขาพัง!!!

“แกเป็นใครวะ กล้าดียังไงมาดึงประตูรถของฉันจนหลุด”

ชวิศาเห็นท่าไม่ดีจึงรีบออกไปข้างนอกบ้างนั่นเป็นช่วงจังหวะที่ชายหนุ่มคนรักกำลังถลากำหมัดเข้าไปชกอีกฝ่าย กระนั้นก็โดนฝ่ายตรงข้ามคว้าจับข้อมือบิดพลิกและกดสุดฟ้าลงกับพื้นได้อย่างง่ายดาย เขาจึงเรียกใช้กระดาษคาถาให้พลังเวทสร้างค้อนอันมหึมาฟาดใส่ อีกฝ่ายจึงต้องกระโดดถอยหนีไป

“คุณสุดฟ้าเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ชวิศาเอ่ยถามพลางช่วยพยุงสุดฟ้าให้ลุกขึ้น สายตาจับจ้องอีกฝ่ายไม่วางตา

“ฉันไม่เป็นไรหรอก แต่รถของฉัน รถของฉัน” คนถูกถามได้แค่คร่ำครวญซ้ำไปซ้ำมาและดูเหมือนว่าสุดฟ้าจะไม่รู้สึกถึงอากาศเย็นเยียบจนร่างกายสั่นสะท้านนี่ด้วย

แต่ชวิศารู้สึก!!!

ออกมาจากมอเตอร์สเปซแค่ครู่เดียว ชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าสวยก็ตัวสั่นงกปากและมือกลายเป็นสีเขียวซีด

“หนาวอะ”

ดูท่าว่าชายแปลกหน้าคนนั้นจะเข้าใจคำพูดของเขาด้วยเช่นกัน “อย่างนั้นก็ไปด้วยกันดีไหม พวกแกจะได้ไม่ต้องทนหนาวกับสภาพอากาศเลวร้ายนี้อีก”

“พวกแกเป็นใครก็แน่ ทำไมถึงต้องทำขนาดนี้ด้วย” สุดฟ้าตวาดเสียงกร้าว

“เจ้านั่นมันพูดว่าอะไร” อีกฝ่ายเอ่ยถาม

“อ้าว... เอ๊ะ...” ชวิศามีสีหน้างุนงง “ฟังไม่ออกเหรอ”

“พวกแกต้องชดใช้ ฉันจะให้พวกแกจ่ายค่าเสียหายให้หมดตัวเลย”

“ที่โวยวายนั่น จะไม่ไปด้วยกันดี ๆ หรือไง บอกไว้ก่อน ต่อให้หักแขนหักขา ฉันก็จะจับตัวพวกแกไป”

“เดี๋ยว!!!” ชวิศารีบส่งเสียงปรามไว้ก่อน เขาฟังออกว่าทั้งสองคนพูดอะไรและเล่นพูดโต้ตอบกันไปมาอย่างนี้พานให้นึกว่าฟังคำพูดของฝ่ายตรงข้ามรู้เรื่องเสียอีก

“ตกลงที่พูดโต้ตอบกันไปมาเมื่อกี้ ฟังกันไม่รู้เรื่องใช่ไหม”

“ไม่รู้เรื่อง”

“ฉันจะเข้าใจได้อย่างไร”

ทั้งสองตอบออกมาพร้อมกันแต่เป็นคนละภาษากระนั้นชวิศาก็เข้าใจทั้งสองภาษาอยู่ดี

“เอาล่ะอย่างนั้นเดี๋ยวผมจะเป็นล่ามแปลให้” ถึงจะพูดเช่นนั้น ชวิศาก็แค่พูดทวนประโยคที่แต่ละฝั่งพูดด้วยภาษาไทยเหมือนเดิม ดังนั้นแทนที่สุดฟ้าจะสนใจจุดประสงค์ที่ชายแปลกหน้าตามล่าพวกเขาไม่ปล่อยกลับสงสัยชวิศาเสียแทน

“ไหนบอกว่าจะเป็นล่ามไง เห็นพูดภาษาเดียวตลอด”

“อ้าว! ก็คุณตรงนั้นเขาเข้าใจนี่ครับ ใช่ไหมครับ”ประโยคสุดท้ายเขาหันไปถามอีกฝ่าย และบอกว่าถ้าเข้าใจที่พูดให้พยักหน้าสองครั้งซึ่งอีกฝ่ายก็ทำตาม

“เห็นไหม” ชวิศาพูดย้ำ สุดฟ้ายังมีสีหน้าแปลกใจก่อนจะนึกได้ว่าชวิศาเคยเล่าเรื่องแหวนที่ได้จากกรินให้ฟัง เพราะเขาไม่เคยเห็นตอนที่ชวิศาใช้งานจึงไม่รู้ว่าประสิทธิภาพของมันยอดเยี่ยมถึงขนาดนี้

“ชวิศายืมแหวนหน่อย” ซึ่งเจ้าของชื่อก็ใจง่ายถอดให้สุดฟ้ายืมแต่โดยดี ทว่าแหวนที่ชวิศาสวมนิ้วกลางกลับมีขนาดเล็กว่านิ้วของเขา จะสวมนิ้วนางก็คับจะใส่นิ้วก้อยก็หลวมไปนิดกระนั้นสุดฟ้าได้สวมมันไว้ที่นิ้วก้อย

“ฮัลโหล ฮัลโหลเทสต์ คุณตรงนั้นเข้าใจคำพูดของผมไหม”

“เข้าใจ” สุดฟ้าไม่รู้ว่าอีกฝ่ายตอบกลับมาเป็นภาษาอะไรแต่เขาเข้าใจคำพูดของฝ่ายนั้น ทำให้ต้องยกมือขึ้นมามองแหวนอีกครั้ง เพราะมันช่างเยี่ยมยอดมากก่อนจะระงับอาการตื่นเต้นกับความยอดเยี่ยมของแหวนมาที่ประเด็นที่เขาควรจะพูดคุย

“แกทำประตูรถของฉันพัง เพราะฉะนั้นชดใช้ค่าเสียหายมาซะดี ๆ”

“หึ”

สุดฟ้าได้ยินเหมือนเสียงหัวเราะ

“อ้อได้ แต่วันนี้ฉันไม่ได้เตรียมเงินมา แกต้องกลับไปพร้อมกับฉันแล้วกัน”

“ได้ แต่รอแป๊บนะ” แล้วหันไปพูดกับชวิศา “นายหนาวใช่ไหม เอาของเบอร์หนึ่งออกมาสิ”

ตอนที่สุดฟ้าเตรียมของ เขาพูดคุยกับชวิศามาก่อนแล้วว่าวิธีการเก็บหรือเรียกดึงของจากอัญมณีช่องว่ามิติของชวิศาต้องทำอย่างไรซึ่งมีทั้งเปิดช่องให้เขาหยิบเองได้ แต่ให้ชวิศาสั่งดึงออกมาเฉพาะสิ่งที่ต้องการจะง่ายกว่า สุดฟ้าจึงแพ็กของระบุหมายเลขเพื่อให้พวกเขาเข้าใจตรงกัน

ของที่ชวิศาดึงออกมาจากอัญมณียังอยู่ซองซิปมิดชิด เป็นซองแบนหนาประมาณสองนิ้ว เมื่อเขารูดซิปเปิดความหนาของซองจึงขยายเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย ด้านในเป็นสูทสวมทั้งตัวสีดำคล้ายชุดหมีของช่างเครื่องหรือก็คือสูทต่อสู้ที่สองพี่น้องฝาแฝดและโยธินเคยได้สวมนั่นเอง

“สวมเลย เนี่ยชุดนี้กันหนาวดีมาก” สุดฟ้าโฆษณาเพิ่มเติมขณะดึงชุดของตัวเองมาสวม

หลังจากที่ชวิศาสวมชุดนั้นเสร็จเรียบร้อย เขารู้สึกได้ว่าภายในชุดอุ่นมากและความหนาวเย็นของอากาศภายนอกทำอะไรเขาไม่ได้อีก ชุดนั้นคลุมร่างกายทั้งตัวไม่ว่าจะเป็นมือหรือเท้า ซ้ำยังมีหมวกคล้ายฮู้ดที่คลุมทั้งศีรษะ

“โอเค เสร็จแล้ว”

“ดีจะได้ไปกันเสียที” ชายคนนั้นพูดบ่นพร้อมเดินเข้ามาหา

คนยืนรอยืนนิ่งได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นโครมคราม แน่นอนว่าเขาไม่ยอมไปด้วยง่าย ๆ เขามีแผนอยู่ในใจ ดังนั้นจึงต้องพยายามปั้นหน้านิ่งทั้งที่เหงื่อเริ่มซึมเพราะความตื่นเต้น กระทั่งอีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้มากพอแล้วสุดฟ้าจึงชักปืนออกมาจ่อเตรียมยิง แผนของเขาก็ทื่อ ๆ แบบนี้แหละ

ชายคนนั้นชะงักไปชั่วครู่เหลือบมองอาวุธสีดำด้านในมือของสุดฟ้าและยกยิ้มออกมา

“เอาปืนของเล่นมาขู่ใครที่ไหนจะกลัว”

สุดฟ้ายกยิ้มเช่นเดียวกัน “จะลองดูก็ได้ แต่ปืนกระบอกนี้ฉันสร้างเองเลยใส่ลูกเล่นไว้เยอะ ยังไม่เคยลองลูกเล่นที่ว่านั่นสักที พอดีเลยแกมาเป็นหนูทดลองให้หน่อยละกัน”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ฝ่ายนั้นหัวเราะเสียงดัง “แกตลกดีนะ น่าจะทำธุรกิจร่วมกันได้ ไม่สนใจร่วมมือกันหน่อยเหรอ”

“แล้วแกใช่คนที่ส่งอีเมลเรื่องพ่อแม่ฉันมาขู่หรือเปล่า”

“ถึงไม่ใช่ฉันแต่คงปฏิเสธไม่ได้เต็มปากเหมือนกัน แต่พ่อแม่แกยังอยู่ดีนี่”

“เพราะฉันไม่แน่ใจถึงได้ต้องมาดูต่างหาก”

ฝ่ายนั้นยักไหล่ “เอายังไงเรื่องทำธุรกิจ”

“เมื่อกี้ยังบอกว่า ต่อให้หักแขนหักขาก็จะจับฉันไปให้ได้อยู่เลย”

“ก็แกมันเรื่องมาก เพื่อนฉันติดต่อไปตั้งหลายครั้งกลับไม่ตอบอะไรมาเลย”

สุดฟ้าถึงขั้นต้องกลอกตานึก “เหรอ ไม่เห็นจำได้”

คำตอบพานให้คนฟังบันดาลโทสะ เขาไม่กลัวลูกกระสุนหนึ่งแม็กกาซีน แต่ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้อาวุธสีดำที่เจ้าตัวบอกว่ามีลูกเล่นมากมายมาจ่ออยู่ตรงหน้า เขาคงไม่ยอมยืนนิ่งอยู่นานขนาดนี้ เนื่องจากต่อให้มีมนตราสร้างเกาะคุ้มกันร่างกายก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นอมตะ

“ตกลงเอาไง เห็นเพื่อนฉันบอกว่าแกรับจ้างทำงานสารพัด ทีงี้ทำไมคิดนานนักวะ”

“ก็ไม่อยากทำงานที่น่าเบื่อ”

“ยังไม่ลองคุยรายละเอียดเลย จะรู้ได้ยังไงว่าน่าเบื่อ”

“ลองคุยก็ได้” สุดฟ้าตอบอย่างขอไปที เขายอมลดอาวุธลงเสียบใส่ช่องเก็บที่สุดปลายมือก่อนจะล้วงโทรศัพท์มือถือออกมา แม้ไม่ควรไว้ใจอีกฝ่ายแต่สุดฟ้าถือคติว่าเขาทำงานอย่างเป็นมืออาชีพ คนว่าจ้างอุตส่าห์พยายามท่อมาคุยถึงที่ เขาจะลองคุยเนื้อหางานดูก่อน ไม่พอใจค่อยปฏิเสธก็ยังไม่สาย

“มีเบอร์ไหมล่ะ”

ถามออกไปอย่างนั้นแต่มือกดคำสั่งแจ้งยกเลิกการต่อสู้กับหุ่นยนต์ทั้งสอง พลางอ่านข้อความของมาริเอะที่ส่งตอบกลับมา

“คนของแกตายไปสองแล้วล่ะ”

คนฟังกัดฟันกรอด

ชวิศาเห็นท่าไม่ดีจึงก้าวเท้ามาบังสุดฟ้าไว้ เขาไม่รู้ว่าทั้งคู่ตกลงเจรจากันเรื่องอะไรเพราะเข้าใจประโยคคำพูดของสุดฟ้าแต่เพียงฝ่ายเดียว กระนั้นก็พอเดาท่าทีไม่พอใจของฝ่ายตรงข้ามได้

ค้อนเวทในมือเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปเล็กน้อย

กระดาษคาถาของกรินเขียนวงเวทให้มันใช้พลังของธาตุโลหะเป็นหลักทว่ายามนี้ลักษณะของมันกลับคล้ายค้อนที่ทำมาจากโลหะชัดเจน ส่วนปลายอีกด้านกลับมองคล้ายเปลวเพลิงกำลังลุกไหม้

“ช่วยไม่ได้นี่ แทนที่จะเข้ามาคุยดี ๆ” สุดฟ้าตอบอย่างไม่ยี่หระ

ชายคนนั้นได้แต่ข่มกลั้นอารมณ์ เมื่อเขาแบมือขึ้นพลันปรากฏเป็นลูกศรขนาดเล็ก นั่นทำให้ชวิศายิ่งกระชับค้อนเวทในมือเพียงแต่ลูกศรกลับพุ่งตัวไปที่อื่น

“วันนี้เราคุยกันแค่นี้ก่อนก็ได้แล้วฉันจะติดต่อมาทีหลัง”

“ก็แล้วแต่”

ชายแปลกหน้าหายไปหลังจากจบประโยคของตน สุดฟ้านึกว่าจะได้พะบู๊มากกว่านี้เสียอีกแต่เมื่อหันมาเห็นมอเตอร์สเปซเขาก็เหมือนหัวใจจะสลายอีกรอบ เมื่อสำรวจโดยรอบแล้วนอกจากประตูที่ถูกดึงจนเสียหาย กระโปรงหน้ายังยุบเป็นรอยอีกด้วย

เขายืนคร่ำครวญเสียใจอยู่ไม่นาน สเตบาสเตียนและมาริเอะก็ตามมาสมทบ

“ด็อกเตอร์เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ” สเตบาสเตียนรีบเอ่ยถามทันทีที่มาถึง เขาเข้าถึงรายงานความเสียหายของยานยนต์แต่เพราะติดพันอยู่กับฝ่ายตรงข้ามจึงไม่สามารถกลับมาสมทบเพื่อให้การช่วยเหลือได้

“ฉันไม่เป็นไรหรอกแต่ดูมอเตอร์สเปซดิ ฮึกฮือ... เสียใจ...”

กระนั้นสองหุ่นยนต์กลับยืนนิ่งไม่มีปฏิกิริยาใดทั้งสิ้นและชวิศาเองก็ได้แต่ยืนทำหน้าแหย เนื่องด้วยรู้สึกว่าชายหนุ่มออกจะเศร้าโศกเกินควรไปมาก

อย่างไรก็ตาม สุดฟ้าใช้เวลาในการเสียใจเพียงไม่นานเขาก็ลุกขึ้นยืนและบอกให้ชวิศาเก็บมอเตอร์สเปซใส่ไว้ในอัญมณีมิติเวทให้ด้วย

“แล้วเราจะเดินทางอย่างไรละครับ” เจ้าของอัญมณีที่มีคุณสมบัติเก็บของได้หลากหลายเอ่ยถาม

“ฉันเตรียมสกูตเตอร์ไฟฟ้ามาด้วย แต่ฉันว่าจะไม่ใช้” อีกฝ่ายพูดมาอย่างนั้นจนชวิศาอยากถามว่าแล้วจะพูดทำไมแต่เพราะสุดฟ้ากล่าวประโยคถัดมาเสียก่อน

“ฉันจะใช้พลังเวทของนาย แบบวาร์ปเดียวถึงศูนย์วิจัยเลย”

“ทำไมต้องไปศูนย์วิจัยอีกล่ะครับ ไม่ใช่คุณสุดฟ้าตกลงไปกับคนพวกนั้นแล้วหรือ”

“เอ๋... ตกลงเรื่องราวมันเป็นอย่างไรครับ” มาริเอะถามแทรก กระนั้นคุณพ่อบ้านกลับเอ่ยเสนอแนะขัดจังหวะทุกคนขึ้นมาอีกว่า “ถ้าต้องตกลงพูดคุยกัน ผมขอแนะนำให้ด็อกเตอร์หาที่ตั้งแคมป์ก่อนดีกว่าครับ”

เป็นอันว่าสุดฟ้าตอบตกลงกับข้อเสนอของสเตบาสเตียน

ชายหนุ่มเตรียมอุปกรณ์แคมป์ปิ้งมาพร้อมสรรพแต่ ที่แรกที่บอกให้ชวิศานอนในมอเตอร์สเปซเพราะมันอุ่นกว่าอากาศข้างนอกเนื่องจากเต็นท์สำหรับค้างแรมของเขาไม่มีระบบปรับอากาศ มันก็คือเต็นท์เดินป่าขนาดใหญ่แบบธรรมดา ๆ นั่นแหละ

หลังจากกางเต็นท์เรียบร้อยซึ่งคือที่เดิมที่พวกเขายืนคุยกันล่าสุด พวกเขาทั้งสี่ได้เริ่มประชุมเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นอีกครั้ง และเมื่อมาริเอะได้ยินคำบอกเล่าเกี่ยวกับประโยคสนทนาของสุดฟ้ากับฝ่ายตรงข้าม เขาได้โวยวายออกมาว่า

“แล้วด็อกเตอร์ก็ตอบตกลงยอมไปกับพวกมันอยู่ดี อย่างนี้จะขัดขืนทำไมตั้งแต่แรก ที่มอเตอร์ต้องพังก็เป็นความผิดของด็อกเตอร์แหละครับ”

“ฉันเป็นคนทำพังซะที่ไหน เจ้าคนนั้นต่างหากที่กระโดดใส่รถแล้วก็ดึงประตูจนหลุด” สุดฟ้าโวยวายตอบกลับ

“ก็ถ้าด็อกเตอร์ยอมทำตามแผนของผมตั้งแต่แรก เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นไหมล่ะครับ”

“แล้วนายรู้เหรอว่าถ้ายอมไปกับพวกมันจะเจออะไรบ้าง ถ้ามันจับนายกับชวิศาไปปู้ยี่ปู้ยำ หรือจับพวกนายสองคนเป็นตัวประกันบังคับให้ฉันทำเรื่องเลว ๆ ขึ้นมาจะทำอย่างไร”

“คุณเป็นห่วงผมด้วยเหรอ” ชวิศาถามแต่หน้าตาของเขาเหมือนไม่ได้ซาบซึ้งกับความห่วงใยที่สุดฟ้ามีให้ หมดช่วงวิกฤตเขาจึงระลึกได้ว่าสุดฟ้าเคยพูดจาโหดร้ายอะไรไว้ “ตอนนั้นคุณยังบอกว่าจะทิ้งผมบ้างล่ะ ส่งผมกลับบ้านบ้างล่ะอยู่เลย”

“เอ้ย... เป็นห่วงสิ ที่พูดไปนั่นเพราะไม่อยากให้นายโดนลูกหลงไปด้วยหรอกนะ”

ชวิศากอดอกจ้องหน้าชายหนุ่มด้วยสายตาไม่เชื่อถือ จนสุดฟ้าต้องกล่าวย้ำทำหน้าให้ซื่อและดูจริงใจที่สุด “จริง ๆ นะ ฉันพูดจริง”

“เรื่องที่พวกผมจะโดนทำอะไรนั่นน่ะ ด็อกเตอร์ควรห่วงตัวเองมากกว่านะครับ” มาริเอะพูด

“หมายความว่าไง”

“ในหมู่พวกเราทุกคน มีด็อกเตอร์คนเดียวที่... เอ่อ...เดี๋ยวนี้เขาใช้คำว่า ‘กาก’ ที่สุดนะครับ”

“มาริ๊!!!” สุดฟ้าร้องเรียกชื่อเจ้าของประโยคนั้นเสียงสูง สีหน้าบ่งบอกว่าไม่พอใจอย่างมากและพร้อมจะหาเรื่อง “ฉันกากยังไงไม่ทราบ”

“ผมเป็นหุ่นยนต์ซึ่งหลังจากที่ด็อกเตอร์ปรับปรุงอีกครั้ง ประสิทธิภาพของผมก็เพิ่มขึ้นและผลงานวันนี้ก็เป็นตัวพิสูจน์แล้ว ส่วนคุณชวิศา ผมยิ่งคิดว่ามันเป็นอะไรที่ยากมากที่จะมีอะไรทำอันตรายคุณชวิศาได้ เท่าที่คุณชวิศาเคยเล่าให้ฟัง ผมว่าคุณกรินสอนการใช้มนตราให้มากเพียงพอที่คุณชวิศาจะรักษาตัวรอดได้ นี่ยังไม่นับเรื่องคืนโกลาหลวันแต่งงานของคุณกรินอีกนะ”

สุดฟ้าเองก็จำเรื่องนั้นที่ชวิศาเล่าให้ฟังได้ ที่เจ้าตัวเผลอใช้เวทหยุดเวลาตอนที่ขบวนงานแต่งโดนโจมตี

“เท่ากับว่าในกลุ่มพวกเรามีเพียงด็อกเตอร์เท่านั้นที่เป็นมนุษย์ธรรมดาไม่มีความสามารถพิเศษใดนอกจากความฉลาดเหนือปุถุชนทั่วไป อย่างนี้ไม่เรียกว่า ‘กาก’ แล้วจะให้เรียกว่าอะไรครับ”

“ใช้คำว่า ‘อ่อน’ ก็ได้ครับ แต่คุณกรินชอบพูดว่า ‘อ่อนด้อย’ ผมว่ามันฟังดูดีกว่านะ” ชวิศาพูด

ซึ่งสุดฟ้าอยากจะตะโกนบอกว่า มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย!!!!!!!!!



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ตอนที่สี่สิบเก้า



“ฉันไม่ได้ ‘กาก’ ไม่ได้ ‘อ่อน’ หรือ ‘อ่อนด้อย’ อะไรด้วย ถามสเตบาสเตียนได้ ก่อนที่ฉันจะสร้างนาย ฉันก็ใช้ชีวิตอยู่มายี่สิบห้ายี่สิบหกปี ถ้าฉันไม่มีความสามารถจริง ฉันไม่มีชีวิตอยู่มาถึงป่านนี้หรอก” ชายหนุ่มโวยวายเสียงแข็งพลางนึกว่าบทสนทนามันมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร

“หยุดพูดเรื่องกากอะไรนี่ซะที เข้าเรื่องแผนการที่ฉันจะทำดีกว่า ในเมื่อนาย” สุดฟ้าชี้มือไปทางมาริเอะ “คิดว่าตัวเองเอาตัวรอดและคิดว่าชวิศาเอาตัวรอดได้ เพราะฉะนั้นฉันจะทำอะไรก็อย่ามีปัญหาเพราะฉันก็เอาตัวรอดได้เหมือนกัน”

“รับทราบครับ” มาริเอะตอบรับด้วยท่าทางขึงขังจนชายหนุ่มผู้สร้างคิ้วกระตุกแต่ก็บ่นอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงบอกตัวเองว่า นั่นคือหุ่นยนต์ที่เขาสร้างขึ้นมา ระบบประมวลผลโปรแกรมเรียนรู้ทั้งหลายเขาก็เป็นคนเขียนทั้งนั้น

“พรุ่งนี้เช้าฉันจะไปหาพ่อกับแม่เพื่อดูให้แน่ใจว่าท่านทั้งสองสบายดี และรอเวลาที่พวกนั้นติดต่อมาอีกครั้ง ฉันจะลองคุยข้อธุรกิจที่ว่านั่นก่อนแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อ”

ทุกคนได้แต่พยักหน้ารับ อย่างชวิศา เขาได้แต่ตามชายหนุ่มคนรักมา ไม่มีความคิดเห็นอะไรอยู่แล้ว

“กี่โมงแล้ว”

“สี่นาฬิกาสิบสองนาทีครับ” สเตบาสเตียนเอ่ยตอบ

“เออ… ฉันจะนอน หกโมงเช้าเมื่อไหร่ปลุกด้วย” พูดจบก็ล้มตัวลงนอนโดยไม่สนใจใครอีก มาริเอะจึงหันไปคุยกับชวิศา

“คุณชวิศาจะนอนต่ออีกสักหน่อยก็ได้ครับ คงไม่มีเรื่องตื่นเต้นอะไรเกิดขึ้นอีกแล้ว”

“และถึงอย่างไรพวกผมก็คอยเฝ้าระวังอยู่” สเตบาสเตียนกล่าวเสริมขึ้นมาอีก ดังนั้นชวิศาจึงยอมล้มตัวลงนอนและเพราะยังสวมชุดกันหนาวของสุดฟ้า เขาจึงไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็นและหลับสนิทลงอย่างรวดเร็ว

ครั้นเวลาหกโมงเช้ามาถึงสุดฟ้ากลับตื่นลืมตาขึ้นมาราวกับมีนาฬิกาปลุกอยู่กับตัว และเมื่อหนึ่งมนุษย์ขยับตัว หุ่นยนต์ทั้งสองก็ออกจากระบบประหยัดพลังงานทันทีเช่นเดียวกัน สุดฟ้าเปิดเต็นท์มองดูด้านนอกซึ่งท้องฟ้ายังเป็นสีน้ำเงินเข้มไร้แสงสีส้มของด้วยอาทิตย์ยามเช้า

“ให้ปลุกคุณชวิศาเลยไหมครับ” คุณพ่อบ้านเอ่ยถาม

“ยังไม่ต้องหรอกให้นอนต่อไปก่อน” เขาพูดพลางสั่งให้สเตบาสเตียนกางผ้าใบกันน้ำค้างให้ นอกจากเต็นท์แล้วพวกเขายังมีอุปกรณ์แคมป์ปิ้งอื่น ๆ ครบครัน

สุดฟ้าหิ้วตะเกียงดวงไฟมาเปิดให้แสงสว่าง กางโต๊ะพับเพื่อวางดิจิตอลไลต์มอเตอร์ เปิดการทำงานของอุปกรณ์เรียกโปรแกรมจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ขึ้นมา ขณะที่สเตบาสเตียนเริ่มตั้งเตาเพื่อต้มน้ำร้อนและเนื่องจากมอเตอร์สเปซถูกเก็บเข้าคลังไปแล้วจึงไม่มีระบบอุ่นอาหารให้ใช้ คุณพ่อบ้านจำต้องเตรียมอาหารง่าย ๆ ให้แทน ส่วนมาริเอะที่ว่างงานได้แต่นั่งชมท้องฟ้าไปพลาง

หลังจากกู้จดหมายเก่า ๆ ขึ้นมาย้อนดูได้ไม่เกินสิบฉบับ ชายหนุ่มก็ล้มเลิกความตั้งใจและเปลี่ยนไปเปิดโปรแกรมเกมปลูกผักขึ้นมานั่งเล่นเสียแทน

“รับมื้อเช้าเลยไหมครับด็อกเตอร์”

“อืม... ได้” เมื่อรับคำ โกโก้อุ่นร้อนและขนมปังย่างกรอบเป็นสีน้ำตาลเหลืองสวยก็ถูกยื่นมาเสิร์ฟอยู่ตรงหน้า

“เอ้า เออ... ยังไม่ได้แปรงฟัน” ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นเลี่ยงไปหาพื้นที่สำหรับล้างหน้าแปรงฟัน ช่างเป็นยามเช้าที่สงบสุขจนนึกว่าเรื่องเมื่อคืนอาจจะเป็นเพียงความฝัน

สุดฟ้ากลับมาละเลียดจิบเครื่องดื่มเพียงครู่เดียวชวิศาก็เดินงัวเงียออกมาจากเต็นท์ เขาจึงบอกให้อีกฝ่ายไปล้างหน้าเพื่อมาทานอาหารเช้า

เมื่อจัดการธุระและเติมพลังงานให้ร่างกายเรียบร้อย สุดฟ้าจึงสั่งให้เก็บของและให้ชวิศาเรียกพาหนะเดินทางฉุกเฉินออกมาจากอัญมณี

“ไหนว่าจะให้ผมวาร์ปไป” ชวิศาเอ่ยถาม

“ก็พอคิดได้ว่ามันสว่างแล้ว และจู่ ๆ ถ้าโผล่พรวดขึ้นมาเฉย ๆ ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องตกใจนะสิ” สุดฟ้าตอบพร้อมกดปุ่มสตาร์ทพาหนะขนาดเล็ก ก่อนจะพูดเร่งให้ชายหนุ่มอีกคนขึ้นซ้อน

“มันจะวิ่งบนหิมะแบบนี้ได้หรือครับ” ชวิศายังถามอย่างไม่แน่ใจ มองมาริเอะและสเตบาสเตียนที่นั่งซ้อนอยู่บนสกูตเตอร์คันจ้อยอีกคัน

ที่จริงสุดฟ้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกันแต่จะทำอย่างไรได้ “ถ้ามันวิ่งไม่ได้แล้วจะให้เดินทางไปยังไง” เสียงของชายหนุ่มติดจะรำคาญอยู่ไม่น้อยซึ่งชวิศาก็รับรู้ได้ ใบหน้าสวยจึงง้ำลง ยืนนิ่งไม่ยอมขยับจนเกิดเป็นบรรยากาศอึดอัดหนักหน่วง และความฉุนเฉียวของสุดฟ้าก็เพิ่มขึ้นอีก

คนขับบิดคันเร่งออกตัวโดยไม่นึกอยากรออีกฝ่าย อารมณ์ของเขาประสมด้วยความขุ่นเคืองโมโหซึ่งอาจจะตกค้างมาตั้งแต่เมื่อวานทว่าเร่งเครื่องเคลื่อนตัวไปไม่ไกล สกูตเตอร์คันน้อยก็ไถลลื่นล้มลงกับพื้น

ชวิศารีบวิ่งเข้าไปดูชายหนุ่มคนรัก หุ่นยนต์ทั้งสองต่างก็ลงจากรถวิ่งเข้าไปหา

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ความไม่พอใจก่อนหน้าจางหายไปในพริบตา ชวิศาช่วยประคองสุดฟ้าให้ลุกขึ้นขณะที่สเตบาสเตียนยกสกูตเตอร์ขึ้นและเตะขาตั้งยันกับพื้น

“เจ็บนะสิถามได้!!!” ชายหนุ่มตวาดตอบเสียงดัง ชวิศาหน้าเสียในอกแปลบวาบทั้งเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ น้ำตารื้นขึ้นมาอย่างไม่อาจห้าม เพื่อข่มไม่ให้เสียงสั่นเครือเจ้าตัวจึงตะเบ็งเสียงกลับไป

“ทำไมต้องตะคอกด้วยล่ะ ตอบกลับมาดี ๆ ก็ได้”

“ที่ฉันต้องเจ็บตัวแบบนี้ก็เพราะนายไม่ใช่หรือไง ถ้าขึ้นมาซ้อนซะตั้งแต่แรกไม่ถามมากป่านนี้ก็ไปถึงไหนแล้ว”

“ความผิดของผมอย่างนั้นเหรอ” ถามออกไปเช่นนั้นก็จริงแต่ชวิศาไม่เข้าใจสักนิด

และยิ่งพวกเขาถกเถียงกัน ความโกรธเคืองก็เพิ่มพูนอยู่ในน้ำเสียงพร้อมกับความดังเสียงในแต่ละประโยค “มันความผิดของผมตรงไหน ผมแค่สงสัยว่าพื้นมันลื่นจะตาย ไอ้สกูตเตอร์บ้าบอของคุณมันสามารถทรงตัวได้แน่เหรอก็เท่านั้น แล้วดูสิแค่คุณขี่คนเดียวมันยังล้มเลยไม่มีทางที่จะให้ผมซ้อนไปด้วยได้อยู่แล้ว”

“เรื่องนั้นฉันรู้อยู่แล้ว ไม่โง่ขนาดนั้นหรอกน่า ฉันมีวิธีแล้วกัน นายแค่หุบปากแล้วทำตามที่ฉันสั่งไม่ได้หรือไง”

ชวิศาชะงักไม่ได้พูดอะไรอีก รับรู้แค่นัยน์ตากับโพรงจมูกที่ร้อนผ่าว เขาหมุนตัวหันหลังเดินหนีไปอีกทาง

“ชวิศา” สุดฟ้าร้องเรียกแต่เจ้าของชื่อก็ไม่หยุดเดิน

“ชวิศาจะไปไหน”

ไม่มีทั้งเสียงตอบทั้งปฏิกิริยาตอบรับ ชายหนุ่มร่างเล็กบางยังเดินต่อไปเรื่อย ๆ มันทำให้สุดฟ้าหัวเสียมากขึ้น เขาหันไปหันมาก่อนวิ่งตามไปคว้าท่อนแขนของชวิศาไว้ ดึงหันกลับมาก็เห็นน้ำตาที่ไหลท่วมบนใบหน้าเนียนใส

มาริเอะและสเตบาสเตียนได้แต่ยืนมองเป็นตัวประกอบ และแม้มาริเอะจะเป็นหุ่นยนต์ที่มีระบบความคิดเป็นของตัวเองแต่ในกรณีที่เจ้านายผู้สร้างกำลังหงุดหงิดขั้นสุดโดยสาเหตุที่ทำให้อารมณ์เสียไม่ได้เกี่ยวกับตนนั้น ระบบประมวลผลก็ตัดสินใจว่า เขาควรจะอยู่เฉย ๆ

กลับมาที่สุดฟ้า

พอเห็นอีกฝ่ายน้ำตานองความรู้สึกผิดก็บังเกิดขึ้นมาในทันใด คราวนี้เขาหันรีหันขวางด้วยอาการทำอะไรไม่ถูกของแท้ ก่อนที่ชวิศาจะรู้สึกตัวกระชากข้อมือที่โดนจับยึดไว้

“ปล่อย!!! ปล่อยเลยนะ ผมจะกลับแล้ว”

“กลับไปไหน จะบ้าเหรอ จะกลับยังไง”

“ผมจะกลับยังไงหรือกลับไปไหนมันก็เรื่องของผม คุณไม่เกี่ยว” คราวนี้ชวิศาเริ่มสะบัดมือแรงขึ้นหวังให้หลุดจากการจับกุมให้ได้

“อย่างี่เง่าน่าชวิศา นี่มันแอนตาร์กติกานะไม่ใช่พารากอน ถึงได้โมโหอยากกลับบ้านก็กลับได้”

ในประโยคยืดยาวนั้น คนฟังรับรู้แค่คำเดียว “ใช่สิ ผมมันงี่เง่านี่ โง่ด้วย ทำอะไรก็ไม่ดีสักอย่าง ดีแต่ถามอะไรไร้สาระแล้วก็สร้างปัญหา ไม่เคยทำอะไรถูกใจคุณอยู่แล้ว”

“ไปกันใหญ่แล้วเนี่ย ฉันยังไม่ว่านายแบบนั้นสักคำ”

“ไม่ว่าอะไร” ชวิศาเถียงกลับทันควัน “เมื่อกี้คุณยังพูดว่าผมงี่เง่าอยู่เลย”

“เออ ๆ ขอโทษ ฉันแค่พลั้งปากไป”

“พลั้งปาก? แสดงว่าคุณคิดว่าผมโง่งี่เง่าอยู่ตลอดเวลาเลยใช่ไหม”

ปัดโธ่! ที่อย่างนี้กลับเอามาผูกเชื่อมโยงกันซะเร็วเชียว สุดฟ้าคิดอยู่ในใจ อารมณ์หงุดหงิดฉุนเฉียวเริ่มสงบลงแล้ว หรือถ้าเรียกให้ถูกคือเขาเริ่มสำนึกผิดที่เอาความหงุดหงิดโมโหที่ตนมีไปลงกับอีกฝ่าย เขาจึงยอมเอ่ยปากออกไปง่าย ๆ

“เอาเป็นว่า ฉันขอโทษนะ ขอโทษที่เสียงดังใส่ ขอโทษที่พูดจาไม่ดี ยกโทษให้ฉันเถอะ”

ชวิศาเบะปากสะอึกสะอื้นพลางนิ่งคิดก่อนจะโถมเข้ากอดชายหนุ่มร่างสูงกว่า “ยกโทษให้ก็ได้” สรุปแล้วก็ยอมใจอ่อนคืนดีด้วยง่าย ๆ

สุดฟ้าจูงมือชวิศาพาเดินกลับมาหาสองหุ่นยนต์ที่ยืนนิ่งชมเหตุการณ์

“เอาเป็นว่าเดี๋ยวนายไปซ้อนคันของสเตบาสเตียน แล้วมาริก็มาขี่คันนี้ ฉันจะเป็นคนซ้อนเอง”

“ตกลงมันวิ่งบนหิมะลื่น ๆ แบบนี้ได้จริงหรือครับ ไม่ใช่พากันไปล้มอีกล่ะ”

“การเคลื่อนที่ของพาหนะสองล้อมันขึ้นอยู่กับความสามารถในการทรงตัวของผู้ขับขี่ เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วง”

“ถ้าตอบคุณชวิศาแบบนี้ไปตั้งแต่แรกก็ไม่ต้องมาทะเลาะกันแล้วแท้ ๆ” มาริเอะพูดซึ่งทำให้สุดฟ้าตวัดสายตาไปมอง ชายหนุ่มเคยชินกับนิสัยปากเสียของตัวเองและคิดว่าหุ่นยนต์อย่างมาริเอะก็คงไม่ถือสาเก็บมาคิดมากอย่างชวิศา กระนั้นคำพูดของเขาก็จะกลายเป็นคำสั่งที่บันทึกลงระบบสมองกล เขาจึงต้องยั้งปากตัวเอง

“ขึ้นรถดิ จะได้ไปซะที”

เมื่อได้รับคำสั่งทั้งมาริเอะและสเตบาสเตียนต่างส่งเสียงตอบรับก้าวเท้าขึ้นคร่อมเบาะสกูตเตอร์ รอให้มนุษย์ทั้งสองคนขึ้นซ้อนท้ายจึงกดปุ่มสตาร์ทและบิดเร่งเครื่อง พาหนะสองล้อเคลื่อนที่ไปบนแผ่นหิมะซึ่งจับแน่นแข็งตัวอย่างราบรื่นจนชวิศาไม่แน่ใจว่ามันมีอาการไถลลื่นล้อฟรีแบบที่ควรเป็นหรือไม่

หุ่นยนต์ทั้งสองตนขับขี่ยานพาหนะไปตามเส้นทางที่สุดฟ้ากำหนดไว้ก่อนหน้า และใช้เวลาราว ๆ สามชั่วโมงพวกเขาทั้งสี่ก็ถึงจุดหมาย

อาคารศูนย์วิจัยตั้งอยู่บนเสาซึ่งยกสูงจากพื้นที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งและหิมะ ตัวอาคารรูปทรงเรขาคณิตสีน้ำเงินตั้งเรียงต่อกันมองเห็นว่าแยกเป็นโมดูลอย่างชัดเจน

มาริเอะและสเตบาสเตียนขับขี่พาหนะตรงเข้าไปหารถยนต์ที่จอดอยู่ใกล้อาคาร การมาถึงของสกูตเตอร์คันจ้อยสองคันคงสร้างความแปลกกลุ่มชายหญิงซึ่งยืนอยู่ใกล้รถยนต์ลุยหิมะได้เป็นอย่างดี

หลังมาริเอะจับคันเบรกห้ามล้อให้สกูตเตอร์จอดนิ่งสนิทแล้ว สุดฟ้าก็ลงจากรถเดินตรงเข้าไปหาคนกลุ่มนั้น

“สวัสดีครับ ผมมาหาคุณสุดเขตและคุณปานฟ้า” เขาพูดถามออกไปเป็นภาษาอังกฤษ พวกเขาหันมองหน้ากันเองก่อนปล่อยให้ชายร่างสูงเจ้าของเส้นผมสีน้ำตาลทองเป็นคนพูดตอบ

“พวกคุณมาหามิสเตอร์สุดเขตและมิสปานฟ้าด้วยธุระอะไรหรือครับ”

“ผมเป็นลูกชาย อยากจะมาเยี่ยมพ่อกับแม่”

“ลูกชาย?”

เมื่อได้ยินคำตอบ ผู้หญิงอีกคนจึงหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมาใกล้ริมฝีปากและกรอกเสียงพูดลง เนื้อหาใจความตามที่สุดฟ้าได้บอกออกไป ชายหนุ่มได้บอกชื่อของตนสำทับไปอีก

“ผมชื่อสุดฟ้า ศิริกรครับ”

ยืนรออยู่แค่ครู่เดียวก็ปรากฏร่างหญิงชายวัยกลางคนเดินลงมาจากบันไดของโมดูล

“สุดฟ้าลูกรัก” แม่ของเขาวิ่งมาหา ทันทีที่มาถึงตัวก็รวบเขาเข้าไปกอดรัด ชายหนุ่มทำหน้าเหนื่อยหน่ายฉายชัดจนเธอสังเกตเห็น

“อะไรกัน เจ้าลูกคนนี้ไม่เจอแม่ตั้งนานแทนที่จะทำหน้าดีใจ”

“เย้! ดีใจจัง ผมคิดถึงแม่มากเลยครับ” ทว่าน้ำเสียงและท่าทางกลับสวนทางกับคำพูดอย่างชัดเจน

“แหมเจ้าลูกคนนี้ไม่ต้องมาทำตัวซึน กับแม่เลยนะ” เธอพูดก่อนวาดมือตีแขนเขาดังป้าบสีหน้ารื่นเริงดีใจแม้จะได้เห็นท่าทางกับคำตอบแบบนั้นจากบุตรชายก็ตาม ขณะที่สุดฟ้าต้องยกมือขึ้นมาลูบตำแหน่งที่โดนทำร้ายป้อย ๆ

“มาหาพ่อแม่ถึงที่นี่มีอะไรหรือเปล่า” สุดเขตเอ่ยถามหลังได้ช่องโอกาสจากช่วงแสดงความรักของภรรยากับบุตรชาย

“เปล่า... ไม่มีอะไรครับ ผมแค่... คิดถึง” พูดออกไปแล้วสุดฟ้าถึงกับชะงักอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้ หันไปทางมารดาที่ถึงกับทำตาโตปิ๊ง ๆ ใส่พร้อมสีหน้าเปี่ยมด้วยความปลื้มปริ่มอิ่มเอมใจ ก่อนจะถลาเข้ามากอดรัดเขาไว้อีกรอบ โชคดีว่าเขาตัวโตและสูงขึ้นมากไม่เช่นนั้นคงโดนรัดจนหายใจไม่ออกไปแล้ว

“คุณพาลูกขึ้นไปข้างบนดีกว่าไหม ข้างนอกนี่อากาศเย็นเดี๋ยวลูกจะไม่สบาย”

ปานฟ้าได้ฟังคำพูดของสามีเธอก็รีบผละตัวออกจากการกอดรัดบุตรชาย “เออนั่นสิ ขึ้นไปข้างบนกันเถอะ เดี๋ยวแม่จะทำอะไรให้กิน”

หึ้ย!!!!!

สุดฟ้าสะดุ้งโหยงขนลุกเกรียวพลันนึกไปถึงประสบการณ์รสชาติอาหารฝีมือมารดาครั้งล่าสุดที่เคยได้ชิมซึ่งชายหนุ่มรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่รอดตายมาได้ เขาจึงรีบพูดปฏิเสธ “ไม่ต้องหรอกครับ ผมเกรงใจ อ้อ... อีกอย่างผมมีพ่อบ้านส่วนตัวมาด้วย” เขาดึงสเตบาสเตียนให้มายืนด้านหน้าพร้อมเอ่ยแนะนำให้บิดามารดารู้จัก

“จำที่ผมเคยเล่าเรื่องระบบเอไอที่ผมเป็นคนเขียนได้ไหมครับ” สุดฟ้าพูดพลางรุนหลังมารดาให้ออกเดิน บิดาจึงเดินนำไปยังทางขึ้นโมดูลโดยมีสเตบาสเตียน มาริเอะและชวิศาเดินตามมา ปิดท้ายด้วยกลุ่มนักสำรวจชาวต่างชาติที่สุดฟ้าคุยด้วยในทีแรก

 “ผมทำโครงสร้างโรบอตเพิ่มและเอาระบบที่เขียนใส่ลงไป ก็เลยกลายเป็นหุ่นยนต์พ่อบ้านที่ชื่อว่าสเตบาสเตียน”

พวกเขามาหยุดยืนที่โถงรับรองของโมดูลแรกซึ่งไม่เชิงว่า ควรถูกเรียกเป็นโถงรับรองเท่าไหร่นักแต่เพราะมันมีพื้นที่ว่างให้พวกเขายืนคุยกันได้สะดวก และเมื่อประตูของโมดูลถูกปิดลงก็ทำให้สัมผัสอากาศหนาวเย็นของอุณหภูมิภายนอกได้น้อยลง เว้นแต่สุดฟ้ากับชวิศาที่สวมชุดสูทดัดแปลงซึ่งมีความสามารถปรับอุณหภูมิภายในชุดให้ใกล้เคียงกับอุณหภูมิผิวหนังของผู้สวมใส่ เขาทั้งคู่จึงไม่อาจสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว

หลังจบประโยคนำเสนอหุ่นยนต์ของบุตรชาย สุดเขตและปานฟ้าจึงหันไปให้ความสนใจกับหุ่นยนต์พ่อบ้าน พวกเขาจับยกแขนที่ห่มคลุมด้วยหนังเทียมเข้ามาดูใกล้ ๆ จับสเตบาสเตียนให้อ้าปาก เหลือกเปลือกตาเพื่อตรวจสอบ เลิกชายเสื้อชุดกันหนาวที่สเตบาสเตียนสวมใส่เพื่อมองช่องเสียบชาร์จกำลังไฟฟ้า

และคำถามเกี่ยวกับแบตเตอรี่ของหุ่นยนต์ก็ถูกส่งมา สุดฟ้าจึงอธิบายถึงระบบพลังงานที่เขาใช้ซึ่งเต็มไปด้วยศัพท์เทคนิคจนชวิศานึกว่าตนกำลังอยู่ต่างดาวทั้งที่สวมแหวนแปลภาษาซึ่งไปรับคืนมาก่อนหน้า

“แล้วสองคนนี้ล่ะ” มารดาของสุดฟ้าหมายถึงชายหนุ่มสองคนที่มีใบหน้าเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว

“แฟนผมเอง” คำตอบของชายหนุ่มทำให้ชวิศาเขินอาย ขณะที่มาริเอะยกยิ้มรับการแนะนำตัวเช่นนั้น

“ทั้งสองคนเลยหรือ หรือคนใดคนหนึ่ง”

“ทั้งสองคนสิครับ ชวิศากับมาริเป็นฝาแฝดกัน บางครั้งนิสัยเหมือนจะไม่เหมือนกันแต่ก็ชอบอะไรเหมือนกัน เขาทั้งคู่แอบชอบผมมานานแล้ว ผมไม่อยากให้คนใดคนหนึ่งเสียใจเลยตอบรับเป็นแฟนกับทั้งคู่เลย”

ปานฟ้าฟังคำตอบแล้วรู้สึกว่ามันทะแม่ง ๆ มองใบหน้าฝาแฝดพี่น้องที่สุดฟ้าอุปโลกน์ขึ้นมาด้วยความกังขา คนหนึ่งยังยิ้มรับเช่นเดิมแต่อีกคนกลับทำท่าราวกับกำลังเจอเรื่องน่างุนงง

“หนูสองคนชอบลูกชายของน้าทั้งคู่จริงหรือจ๊ะ”

“ใช่ครับ” ชวิศาและมาริเอะตอบคำถามพร้อมกันอย่างพร้อมเพรียง

“แต่ว่าผมกับคุณมาริ...” ชวิศากำลังจะพูดต่อแต่โดนสุดฟ้าตรงเข้ามากอดคอพลางกล่าวแทรก

“เอ้อ... พ่อกับแม่พอจะมีที่พักให้พวกผมหรือเปล่าครับ พอดีเกิดปัญหาติดขัดหลายอย่างการเดินทางเลยทุลักทุเลไม่น้อย ผมจึงอยากพักสักหน่อยก่อนจะโทรแจ้งคุณธีรวัฒน์เพื่อให้ส่งเครื่องไอวีบีมารับกลับ”

“ได้เลยเดี๋ยวแม่ไปจัดการเรื่องห้องให้แล้วลูกทานอะไรมาหรือยังล่ะ”

“เรื่องอาหารผมขอยืมแค่ครัวกับของสดเท่านั้นก็พอ เดี๋ยวสเตบาสเตียนจัดการให้ผมเองครับ”

ปานฟ้าพยักหน้ารับก่อนหมุนตัวหันหลังเดินนำเข้าไปด้านใน ขณะที่ผู้เป็นบิดาชะลอฝีเท้าและส่งเสียงพูดคุยด้วยระดับความดังที่ถูกจำกัดความว่าเป็นการกระซิบ

“พี่น้องฝาแฝดคู่นี้แอบชอบผมมานานแล้ว ผมไม่อยากให้คนใดคนหนึ่งเสียใจเลยตอบรับเป็นแฟนกับทั้งคู่” สุดเขตทวนคำพูดของบุตรชาย “พ่อแม่เขารู้หรือเปล่าว่าลูกไปล่อลวงลูกเขามา”

“ผมไม่ได้ล่อลวง” สุดฟ้ากระซิบตอบ

“แต่พ่อบอกได้เลยว่าที่ลูกอ้างมาแม่เขาไม่เชื่อหรอก เขาต้องไปหาทางแอบซักฟอกทั้งสองคนแน่นอน”

“ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะพ่อ หน้าตาอย่างผมไม่น่ามีคนมาแอบชอบขนาดนั้นเลยเหรอ” สุดฟ้าสงสัยทั้งที่เขาไม่ได้โกหกทั้งหมดเสียหน่อย ชวิศาแอบชอบเขามาตั้งนานแล้วจริง ๆ ถึงจะเพิ่งหายโกรธเขาไปไม่นานแต่คงไม่เลิกชอบเขาง่าย ๆ หรอกมั้ง

“ไม่ใช่เรื่องหน้าตา แต่ไม่รู้สิมันเป็นเซนส์ของพ่อแม่ล่ะมั้ง รู้สึกว่าประโยคที่ลูกพูดมาน่าจะโกหกแล้วยิ่งพยายามเปลี่ยนเรื่องด้วยแล้ว มันน่าสงสัย”

สุดฟ้าเริ่มคิดเสียแล้วว่า การที่มาหาพ่อแม่ครั้งนี้เป็นความคิดที่ถูกต้องหรือไม่


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

*//แม้ช่วงนี้จะลงแบบอาทิตย์เว้นอาทิตย์แต่รับรองว่าจะพยายามไม่หายไปนาน ๆ บางอาทิตย์ที่ไม่ได้ลงเพราะติดอ่านนิยายประกอบกับถึงจะมีพล็อตคร่าว ๆ ในหัวแต่ยังลังเลใจอยู่ สถานการณ์ในนิยายเรื่องนี้เลยขึ้นอยู่สภาพการเขียน ณ ตอนนั้น ขอบคุณทุกท่านที่ยังติดตามค่ะ//*

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ตอนที่ห้าสิบ



เมื่อเปิดใช้งานดิจิตอลไลต์มอนิเตอร์อีกครั้ง สุดฟ้าพบว่าอีเมลแจ้งนัดหมายส่งมาถึงแล้ว เขาเปิดอ่านรายละเอียดที่ถูกระบุไว้ด้านใน

ฝ่ายนั้นนัดหมายเวลาและเขียนระบุท้ายข้อความไว้ว่า ‘จะให้คนของทางตนมารับ’

แต่ใครจะยอมเป็นหมูในอวย ชายหนุ่มคิดในใจ ก่อนตอบกลับไปว่าจะเดินทางไปด้วยตัวเองตามวันและเวลาที่กำหนด แต่คิดไปคิดมาอีกที ทำไมเขาถึงไม่โทรศัพท์คุยให้รู้เรื่องไปเลยเล่า เมื่อคิดได้เขาจึงส่งอีเมลอีกครั้งเพื่อขอหมายเลขโทรศัพท์

ครู่หนึ่งต่อมา ข้อความแจ้งหมายเลขโทรศัพท์ก็ส่งมาถึง

เขากดเรียกโปรแกรมดึงเรียกเบอร์โทรศัพท์ที่จะใช้โทรออก เมื่อกดปุ่มตกลงแล้วจึงล้วงหยิบโทรศัพท์ออกมาปลดล็อกหน้าจอเพื่อโทรออก

เขารอสายเพียงชั่วอึดใจเดียว ทางนั้นก็กดรับและกรอกเสียงกลับมา

“Hello”

สุดฟ้าจึงแนะนำตัวออกไปเป็นภาษาอังกฤษเช่นกัน อันที่จริง เขาพูดได้แต่ภาษาอังกฤษ ถึงจะยอมรับว่าตัวเองอัจฉริยะมาก แต่เขาไม่เคยสนใจเรียนภาษาที่สามหรือสี่ ห้า หก เพราะฉะนั้นเขาพูดได้แค่ภาษาอังกฤษกับภาษาไทยน่ะถูกแล้ว

“ที่ใจที่ได้คุยกับคุณครับ คุณสุดฟ้า ผมเคยพยายามหาทางติดต่อคุณตั้งหลาย...”

“ช่วยเข้าประเด็นสักที ถ้าไม่ต้องการคุยธุระผมจะได้วาง” สุดฟ้าพูดแทรกขึ้นไปอย่างไม่เกรงใจ เขาไม่ได้รำคาญนะแค่ขี้เกียจฟัง อีกประการหนึ่งคือมันเปลืองค่าโทรศัพท์ ถึงเขาใช้โปรแกรมแก้เบอร์โทรที่แสดงบนหน้าจอโทรศัพท์ของอีกฝ่ายได้ แต่ถึงอย่างไรเบอร์ที่เขาใช้งานอยู่ยังต้องจ่ายเงินให้ผู้บริการเครือข่าย ส่วนการที่ตัวเขาอยู่แอนตาร์กติกาแต่ยังใช้โทรศัพท์ได้สัญญาณชัดแจ๋ว นั่นเพราะเขาทำให้โทรศัพท์ของตนใช้งานได้ทั่วโลกเท่านั้นเอง

“อ้อ” ฝ่ายนั้นลากเสียงเหมือนจะอารมณ์เสียซะแล้ว

“ผมนับแค่สาม... หนึ่ง...”

“ผมแค่ต้องการแบบแปลนระเบิดของคุณเท่านั้น”

“อย่างนั้นคุณก็น่าจะรู้ว่ามันไม่มี”

“แต่คุณเคยสร้างให้เจ้าชายฟาลิฮ์”

“ผมสร้างมาแค่สามนัดซึ่งใช้ไปหมดตั้งแต่ที่ผมอยู่ฮัชดาลลาร์แล้ว”

“อย่างนั้นผมขอจ้างให้คุณเขียนแบบให้ใหม่”

“ถ้าคุณโอนเงินเข้าบัญชีให้ผมได้หนึ่งหมื่นล้านยูเอสผมจะส่งแบบให้คุณทันที” จบประโยคนั้นกลับมาแต่ความเงียบตอบกลับมาอยู่ร่วมนาที

“จะขูดเลือดขูดเนื้อไปหน่อยไหม” เสียงที่ดังจากปลายสายเหี้ยมเกรียมขึ้นทันควัน

“แล้วคุณคิดว่าจะสร้างกำไรจากระเบิดของผมได้เท่าไหร่ล่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยลองเชิง เขาไม่คิดว่าจะมีใครบ้าซื้อระเบิดของเขาไประเบิดหินอยู่แล้ว อีกอย่างฝั่งนั้นพูดถึงเจ้าชายฟาลิฮ์และฮัชดาลลาร์ซึ่งสุดฟ้ายังจำได้ว่า ที่เจ้าชายหลอกล่อโน้มน้าวสร้างความน่าสงสารทั้งหมดทั้งปวงนั่นเพราะโดนข่มขู่ให้หาวิธีเอาบอมบ์พินาศจากเขาไปให้ได้

“แต่ถ้าต้นทุนสูงขนาดนั้น ใครที่ไหนจะมาซื้อของของผม”

“งั้นผมก็ไม่จำเป็นต้องขายให้คุณ” เขาตัดสายทันทีที่พูดประโยคนั้นจบและที่สำคัญอีกฝ่ายจะโทรกลับหาเขาไม่ได้ในเมื่อเบอร์ที่โชว์บนหน้าจออีกฝั่งมันเบอร์ปลอม

ฝ่ายนั้นจึงส่งข้อความเข้ามาทางกล่องจดหมายอีกรอบว่าจะตกลงจ่ายเงินให้ เขาจึงส่งเลขบัญชีกลับไปและบอกว่าเขาเห็นยอดเงินเมื่อไหร่จะส่งแบบแปลนไปให้ทันที จากนั้นเปิดหน้าต่างสนทนาที่ไว้ใช้คุยกับสเตบาสเตียนและมาริเอะ เขียนคำสั่งลงไปว่า

‘ถ้ามีอีเมลเข้าให้รีบแจ้ง’

แล้วจึงปิดการทำงานของดิจิตอลไลต์มอนิเตอร์ พุ่งตรงไปหาชวิศาที่นั่งคุยกับมาริเอะแถวเตียงนอน สอดแขนกอดเอวหนุ่มคนรัก ชวิศาถึงกับหันมองอย่างแปลกใจ

“อะไร”

“คุณสุดฟ้าน่ะแหละเป็นอะไรหรือเปล่า”

ชายหนุ่มเกยคางบนลาดไหล่ แนบแก้มกับใบหน้าเรียบเนียน ขยับศีรษะถูกไถไปพลาง

ในห้องแคบ ๆ สำหรับพักอาศัยคนเดียวนั้นมีเพียงเตียงนอน โต๊ะเขียนหนังและตู้ใส่เสื้อผ้า สีของเฟอร์นิเจอร์เป็นสีขาวตัดกับพื้นพรมสีฟ้า

หลังจากแยกกับมารดาโดยอ้างว่าขอเวลาพักผ่อน เขาก็ยังไม่อนุญาตให้ทั้งสองคนออกไปไหนเพื่อป้องกันไม่ให้มารดาของตนซักไซ้แฝดคนละฝาอย่างชวิศาและมาริเอะ

“ตัวเองรักเค้าไหม” สุดฟ้าถาม

“ผมรักด็อกเตอร์มากที่สุดในโลกเลยครับ” มาริเอะตอบกลับมาอย่างไม่ลังเลจนชายหนุ่มกลอกนัยน์ด้วยอาการเซ็ง เขารู้อยู่แล้วว่ามาริเอะต้องรักเขามากที่สุดในโลก ก็สุดฟ้าเป็นคนเขียนโปรแกรมคำสั่งเองกับมือ ต่อให้นิสัยผิดเพี้ยนจากที่ตั้งใจไปอย่างไร คำถามนี้ก็ถูกเข้ารหัสล็อกการเปลี่ยนแปลง

“ถามชวิศาล่ะมาริ”

“แต่ด็อกเตอร์หันหน้ามาทางผม”

บางครั้งสุดฟ้าก็รู้สึกว่ามาริเอะจงใจกวนประสาท

ชายหนุ่มตั้งคำถามอีกหน คราวนี้เขาทำเสียงหล่อพร้อมเอ่ยชื่อผู้ถูกถาม

“ชวิศา นายรักฉันหรือเปล่า”

“แล้วคุณล่ะครับ คุณสุดฟ้ารักผมบ้างหรือเปล่า”

สุดฟ้ายังเก๊กหน้าและดัดเสียงให้ฟังดูหล่อต่อไป “แรก ๆ ฉันอาจจะเฉย ๆ แต่ตอนนี้ฉันยอมรับตามตรงว่าฉันรักนาย”

มาริเอะเบ้ปาก ขอย้ำว่า ‘เบ้ปากมองบน’ จริง ๆ ก่อนพูดออกไปว่า “หมั่นไส้”

“อย่าเพิ่งขัดได้ไหม” เสียงสองหายไปทันควัน

“แล้วผมล่ะครับ ด็อกเตอร์ไม่รักผมเหรอหรือเห็นผมเป็นแค่ของเล่นชั่วครั้งชั่วคราว” ตัดพ้อไม่พอยังเสี้ยมเป่าหูชวิศาอีกด้วย “คุณชวิศาคิดดูนะครับ ผมยังจำได้วันที่สร้างผมขึ้นมาวันแรก ด็อกเตอร์ยังตระกองกอดพูดคุยกับผมกะหนุงกะหนิงด้วยความรัก แต่ดูวันนี้สิ ผมกลับกลายเป็นของไร้ค่าสำหรับด็อกเตอร์ไปเสียแล้ว” เพื่อให้คำพูดของตนน่าเชื่อมากขึ้น มาริเอะจึงแสร้งบีบน้ำตาอีกเล็กน้อย แล้วมีหรือที่ชวิศาไม่คล้อยตาม

“คุณมาริ” เขาเอ่ยเรียกเสียงอ่อนด้วยความสงสารเห็นใจ

สุดฟ้าขมวดคิ้วฉับ รู้สึกว่ามันชักเลยเถิดไปไกล “เดี๋ยวนะ เดี๋ยวก่อน ฉันว่ามันไม่ใช่แล้ว”

“ไม่ใช่อะไร!!!” แฝดคนละฝาประสานเสียงถามจนต้องแกล้งยกมือปิดหู แถมยังตีหน้าขึ้งโกรธเหมือนกันอีก

“เอาล่ะ” สุดฟ้าทำหน้าขึงขังจริงจังบ้าง “พวกเราควรเข้าเรื่องที่ควรพูดคุยกันเสียที”

“คุณสุดฟ้าจะบอกว่าที่ถามรักไม่รักนั่น แค่ถามเล่น ๆ หรือครับ”

จะผิดไหมเนี่ยถ้าเขาคิดว่าชวิศากำลังเหวี่ยงชวนหาเรื่องให้ทะเลาะกัน กระนั้นก็ตาม เขาได้แต่บอกให้ตัวเองสงบใจไว้เพื่อแสดงความเป็นผู้ชายที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วให้แฟนทั้งสองคนเชื่อถือ

“ไม่ใช่อย่างที่นายคิด ฉันถามเพื่ออยากรู้จริง ๆ” แค่เริ่มต้นพูดชายหนุ่มก็รู้สึกออร่าความเท่ที่พวยพุ่งออกมาพลั่ก ๆ

“แต่มันเป็นคำถามเกริ่นของเรื่องที่ฉันอยากจะพูดกับพวกนายสองคน”

เห็นทั้งสองคนตั้งใจฟังเขาจึงกล่าวต่อ

“อย่างที่ฉันบอกแม่ว่าพวกนายสองคนคือแฟนฉัน และฉันก็รักพวกนายสองคนจริง ๆ” สุดฟ้ารีบเอ่ยเมื่อเห็นสายตาจ้องจับผิดของทั้งคู่ “แต่แม่ของฉันไม่เชื่อและฉันก็ไม่อยากให้เรื่องที่มาริเป็นหุ่นยนต์หลุดออกไป”

“แล้ว?”

“ถ้าแม่ฉันมาชวนคุยถามโน่นถามนี้ ให้ตอบว่าพวกนายเป็นฝาแฝดกันจริง ๆ”

“คุณสุดฟ้าจะอยู่ที่นี่อีกนานเลยหรือครับ” ชวิศาถาม

“ฉัน…” สุดฟ้าลังเล เขาไม่ค่อยได้อยู่กับพ่อแม่ ความผูกพันแบบครอบครัวทั่วไปอาจน้อยกว่าคนอื่น แต่หญิงชายผู้เป็นบุพการีก็สำคัญต่อตนอยู่ดี

“ถ้าอยู่นาน ผมว่าเราไม่ควรอยู่ในโมดูลของสถาบัน” ชวิศาเอ่ยต่อ “ผมจะโทรบอกให้พี่โยส่งบ้านน็อคดาวน์มาให้”

ยังไม่ทันได้ตัดสินใจ มาริเอะก็พูดแทรกขึ้นมาว่า “ด็อกเตอร์ครับ สเตบาสเตียนแจ้งว่ามีอีเมลเข้าครับ”

“ขอโทษนะ ไว้ฉันกลับมาคุยต่อ แต่ช่วยเตี๊ยมกันเรื่องที่จะบอกแม่ฉันด้วย” สุดฟ้าบอกก่อนหันไปเปิดดิจิตอลไลต์มอนิเตอร์เพื่อเช็กข้อความ ไม่ทันสนใจแฝดคนละฝาที่ขยับมาชะโงกหน้ามุงดูด้วย

ข้อความที่ส่งมาไม่ได้แจ้งว่าโอนเงินมาให้ตามที่บอกราคาไปแต่เป็นการเจรจาว่าจะโอนเงินให้ครึ่งหนึ่งก่อน และถ้าเขาส่งแบบแปลนให้แล้วจะโอนเงินอีกครึ่งหนึ่งมาให้

สุดฟ้าจึงส่งเสียงสบถ เขาขายของ… เงินไม่มาของก็ไม่ไปเหมือนกัน

ชายหนุ่มยกโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก กรอกประโยคคำพูดภาษาอังกฤษลงไปทันทีที่ปลายสายกดรับ

“ผมไม่คิดเจรจาอะไรอีกทั้งนั้น ผมทำงานเพื่อเงิน ถ้าคุณไม่มีเงินผมก็ไม่อยากคุยกับคุณอีก” สุดฟ้ากำลังจะกดวางสาย เขาไม่คิดเสียเวลาคุยกับพวกที่หวังแต่ของต้นทุนต่ำแต่ปลายสายร้องเรียกไว้ก่อน

“ผมมีเงินจ่ายแต่ผมไม่แน่ใจว่าคุณมีของจริง ไม่ได้คิดดูถูกแต่คุณเคยบอกว่าไม่มีแบบแปลน ถ้าผมโอนเงินไปแล้วคุณโกงผมจะเรียกร้องที่ใครได้”

“ไม่เชื่อก็เรื่องของคุณ”

“ไม่ใช่ไม่เชื่อ แต่ผมอยากเห็นของก่อน”

คิดว่าเขาจะโง่ส่งให้ดูหรือไง อีกอย่างสุดฟ้าไม่ได้คิดอยากขายทว่าคนพวกนี้คงตามตื๊อไม่เลิก ขนาดกล้าเอาเรื่องพ่อแม่เขามาขู่ ซ้ำยังตามมาดักจับตัวพวกเขาถึงขั้วโลกใต้ได้อีก ความปรารถนาแรงกล้าขนาดนี้ ชายหนุ่มไม่รู้ว่าจะต่อกรอย่างไรจริง ๆ

มาริเอะขยับไปตรงหน้าสุดฟ้ายกฝ่ามือขึ้นแตะกันเป็นรูปตัวที สัญลักษณ์ขอเวลานอกที่พวกโค้ชและผู้จัดการทีมฟุตบอลใช้กัน สุดฟ้าเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม อีกฝ่ายจึงชี้นิ้วมาที่โทรศัพท์

“ถ้าคุณอยากเห็นก็ได้ เดี๋ยวผมส่งให้” จบประโยคชายหนุ่มก็ตัดสายทันที

“มีอะไรว่ามา”

“ด็อกเตอร์ไม่คิดที่จะส่งแบบแปลนบอมบ์พินาศของจริงไปให้ไม่ใช่หรือครับ” คำพูดของมาริเอะช่างตรงใจ เขาไม่เอาของอันตรายแบบนั้นให้ใครไปง่าย ๆ หรอก ถึงอย่างไรเขาก็ยังมีสามัญสำนึกที่ดีอยู่

“ซึ่งถ้าฝ่ายนั้นมารู้ทีหลังว่ามันเป็นของปลอมคงตามรังควานไม่เลิก ด็อกเตอร์จะทำอย่างไรล่ะครับ”

“ก็…” ชายหนุ่มทำท่าคิด

“อย่างครั้งนี้พวกนั้นเอาเรื่องคุณสุดเขตกับคุณปานฟ้ามาขู่ ด็อกเตอร์ก็ต้องถ่อมาถึงสุดขั้วโลก แล้วถ้าครั้งหน้าพวกมันจับทั้งสองท่านไปเป็นตัวประกันได้จริงจะทำอย่างไรล่ะครับ” มาริเอะพูดถามแม้ระบบจะคิดหาคำตอบได้แล้วก็จริง และดูเหมือนว่าชายหนุ่มผู้ที่สร้างหุ่นยนต์สมองกลแสนอัจฉริยะขึ้นมาก็รู้ตัวแล้ว

“อย่างนั้นพูดมาเลย ต้องการให้ฉันทำอย่างไร”

“อันดับแรกคือต้องหาที่ซ่อนตัวที่ปลอดภัย สอง ด็อกเตอร์ต้องไปหาอีกฝ่าย ตอนนี้พวกเราพูดกับพวกนั้นผ่านตัวอักษรและสัญญาณโทรศัพท์ เท่ากับไม่รู้เลยว่าฝ่ายตรงข้ามคือใคร ไม่แน่ว่าพวกนั้นอาจมีค่าหัวที่รัฐบาลบางประเทศต้องการตัว”

เมื่อมาริเอะพูดออกมาอย่างนั้น สุดฟ้าก็เข้าใจได้ทันที ถ้าต้องการสลัดอีกฝ่ายให้หลุดเขาต้องจัดการให้เด็ดขาด แต่ประชาชนคนธรรมดาแบบเขาจะให้ควงปืนไปถล่มไล่ฆ่าแกงเจ้าพวกนั้นมันก็เป็นเรื่องที่ไม่ถูกไม่ควร

วิธีที่ควรทำคือแจ้งตำรวจทางการของประเทศที่ฝ่ายตรงข้ามมีปัญหาอยู่ แม้จะสลัดให้หลุดอย่างถาวรไม่ได้แต่มันน่าจะมีระยะเวลาเพียงพอที่ทำให้ใครต่อใครหาเขาไม่เจอ

ใช่! ตอนนี้สุดฟ้ามีความคิดที่จะเฟดตัวเองหายไปจากโลกนี้ ใช้คำว่าโลกนี้อาจจะเป็นโครงการที่ใหญ่ไปเสียหน่อย เขาตั้งใจแค่หายตัวไปแบบไม่ให้ใครหาเจอนั่นล่ะ

“แต่ตอนนี้ถ้าจู่ ๆ บอกว่าจะไปหา ฝ่ายนั้นคงสงสัย” มาริเอะพูดเตือนอีกประโยค

“อืม ฉันจะส่งไฟล์แบบแปลนไปให้พวกนั้นดูก่อน” ชายหนุ่มตัดบางส่วนในไฟล์และส่งอีเมลกลับไปให้

“แต่แบบแปลนที่ฉันเพิ่งเขียนขึ้นมาใหม่ก็ใช้งานไม่ได้อยู่แล้วละนะ”

“คนพวกนั้นคงโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงถ้ารู้ทีหลัง” ชวิศาพูดขึ้นบ้าง “แล้วเอาอย่างไรต่อดีละครับ”

“ฉันอยากได้เกาะร้างเป็นส่วนตัวสักเกาะ ถ้าย้ายไปอยู่ที่แบบนั้นคงไม่มีใครหาเจอ”

“อีกเรื่องหนึ่งครับ” มาริเอะพูดแทรกขึ้นมาอีก “ผมติดใจที่พวกผู้ใช้เวทตามพวกเราเจอ”

“เออใช่… ฝาแฝดน่ะตามสัญญาณโทรศัพท์ของฉันไม่ได้อยู่แล้ว” ซึ่งความจริง ไม่ว่าใครก็ติดตามที่อยู่ของสุดฟ้าจากสัญญาณโทรศัพท์ไม่ได้อยู่แล้ว

“ส่วนสัญญาณโทรศัพท์ของชวิศาฉันก็จัดการเปลี่ยนตำแหน่งไปแล้ว เอ…แล้วมันยังไงกันนะ”

“สำหรับผู้ใช้เวทมันก็มนตราบางอย่างซึ่งสามารถหาตำแหน่งที่อยู่ของคนที่เราต้องการตามหาได้ อย่างผม คุณกรินก็เคยสอนให้ใช้มนตราประเภทนั้นมาบ้างเหมือนกัน”

“แล้วขอบเขตการตามหาจะกว้างไกลขนาดข้ามทวีปได้เลยเหรอ”

“มันก็… น่าจะไม่ได้นะ เหมือนว่า…ไม่ว่ามนตราอะไรขอบเขตการใช้งานก็ล้วนขึ้นอยู่กับพลังที่มีน่ะครับ” ชวิศาตอบอย่างไม่แน่ใจ ก่อนจะพูดต่อด้วยความกระตือรือร้นว่า

“เออ… เรื่องแบบนี้ถามเจ้าชายฟาลิฮ์ไม่ดีกว่าหรือครับ ผมว่าคงได้คำตอบแน่ชัดกว่าผมมาก”

“อืม อย่างนั้น มนตราตามหาจำพวกนั้นยึดหลักเกณฑ์อะไรในการจะหาใครสักคน”

“หลักเกณฑ์?” ดูท่าสิ่งที่สุดฟ้าถามจะยากเกินการทำความเข้าใจของชวิศา

“หมายถึงต้องทำอย่างไรถึงจะหาคนคนหนึ่งเจอ”

“อ้อ… ก็เรียกใช้พลังอำนาจธาตุตามที่มนตราระบุ และตั้งจิตนึกถึงคนที่จะตามหา”

“อย่างนั้นพอจะอนุมานได้แล้วละว่า พวกนั้นรู้จักหรือเคยเห็นนายกับฉัน” ชายหนุ่มหมายถึงตัวเองและชวิศา มาริเอะและสเตบาสเตียนเป็นหุ่นยนต์ซึ่งน่าจะไม่มีทางตามหาด้วยเวทมนตร์ได้อยู่แล้ว ก็ขนาดอาจารย์สูงวัยที่เจ้าชายพาพวกเขาไปพบเมื่อครั้งนั้น ยังบอกชัดเจนว่าไม่มีพลังชีวิตด้วยเสียงหนักแน่นแข็งขัน เหมือนจะไม่เกี่ยวกันแต่ชายหนุ่มคิดว่านี่คือเหตุผลรองรับความคิดของเขา

“ถ้าพูดถึงผู้ใช้เวทก็ต้องเกี่ยวพันกับฮัชดาลลาร์อยู่แล้วไม่ใช่หรือครับ” มาริเอะพูด

สุดฟ้าถอนหายใจ เขานึกว่าจะหลุดพ้นแล้วเสียอีก

“ด็อกเตอร์ครับมีอีเมลเข้าอีกแล้วครับ” มาริเอะแจ้งเตือนตามที่สเตบาสเตียนส่งข้อความผ่านระบบมาหา

สุดฟ้าจึงหันกลับไปมองหน้าจอไลต์มอนิเตอร์อีกครั้ง กดเรียกเปิดข้อความ รายละเอียดภายในบ่งบอกว่าโอนเงินให้เขาแล้ว ชายหนุ่มจึงเข้าเว็บไซต์ของธนาคาร จะเรียกว่าเป็นความเผอเรอของเขาเองก็ได้ หน้าเมนของธนาคารเป็นหน้าเว็บไซต์ของจริงแต่พอเขาคลิกเข้าหน้าเช็กบัญชีออนไลน์กลับลิงก์เข้าแอดเดรสที่เป็นของปลอม

มันแค่ชั่วพริบตาเดียวก่อนการเชื่อมต่อจะถูกตัดไปกลายเป็นหน้าจอที่บ่งบอกว่าไม่มีสัญญาณ

“เอ๊ะ”

“สเตบาสเตียนแจ้งมาว่า การเชื่อมต่อสัญญาณโดนแทรกแซงครับ”

คำว่า ‘แทรกแซง’ ของคุณพ่อบ้านหมายถึงการถูกแฮ็ก มันเป็นศัพท์ที่ตัวสุดฟ้าใช้เพราะคิดว่ามันค่อนข้างตรงกับสภาพการณ์ของเขามากกว่า มีความหมายตรงตัวว่า ‘โดนแทรกแซง’ จากภายนอก แต่คำว่า ‘แฮ็ก’ ในความเข้าใจของเขาคือโดนขโมยข้อมูลไปแล้วซึ่งถ้ามันเกิดขึ้นจริง เขาคงชีช้ำและรู้สึกเหมือนโดนหยามมาก

“แทรกแซง?” สุดฟ้าทวนคำซ้ำ “เว็บของธนาคารเนี่ยนะ แฮกเกอร์ที่ไหนเนี่ย จะขโมยเงินในบัญชีฉันหรือไง”

“สักครู่ครับ” มาริเอะพูดพร้อมเดินไปเปิดประตูห้องและเป็นสเตบาสเตียนที่เดินเข้ามา

“ตำแหน่งไอพีที่เดียวกับอีเมลที่ส่งมาครับ”

“คือ? พวกนั้นจะขโมยเงินฉัน?”

ไม่มีใครตอบคำถามนั้นได้ มาริเอะจึงพูดขึ้น “อาจจะแค่ปรับยอดตัวเลขให้ด็อกเตอร์เห็นว่าโอนเงินมาแล้ว หรือพยายามหาตำแหน่งที่อยู่ของด็อกเตอร์”

“จะหาตำแหน่งของฉันทำไมในเมื่อพวกมันก็รู้ว่าฉันอยู่ไหน”

“จากวันที่เจอผู้ใช้เวท พวกเราเดินทางต่อโดยใช้สกูตเตอร์อีกร่วมหนึ่งร้อยกิโลเมตรนะครับ”

“เอ่อ… บางทีมนตราที่อีกฝ่ายใช้ อาจจะใช้ไม่ได้บ่อย ๆ ก็ได้ หรือไม่คนที่คุณมาริเอะทำให้เสียชีวิตอาจเป็นเจ้าของมนตรา” ชวิศากล่าวเสริมคำพูดของหุ่นยนต์ที่มีหน้าตาเหมือนตน

ง่ะ… นี่ไม่เท่ากับว่าเขาจะเป็นคนพาอันตรายมาให้บุพการีเหรอเนี่ย คิดได้เช่นนั้น ชายหนุ่มจึงยกโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก

“สวัสดีครับ ผมจะไปพบคุณ” สุดฟ้าไม่อ้อมค้อมกล่าวจบก็วางก่อนติดต่อหาอาผู้ชายของสองฝาแฝด

“พอดีมอเตอร์สเปซมันเสียหายนะครับ ผมอยากใช้เครื่องไอวีบี แต่ขอกำชับว่า ห้ามบอกอาทกับไอซ์เด็ดขาดนะครับ”


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

*//ไอวีบี ย่อมาจากอะไร เราก็จำไม่ค่อยได้แล้ว ตอนที่หาชื่อก็ลืมจดไว้แต่น่าจะมาจากคำว่า invisible mobility เป็นพาหนะประเภทเครื่องบินที่สุดฟ้าร่วมออกแบบระบบการทำงานไว้เมื่อนานมาแล้ว//*

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ตอนที่ห้าสิบเอ็ด



เครื่องบินขนาดเล็กลงจอดยังจุดที่ชายหนุ่มกำหนดไว้ซึ่งเป็นพื้นที่โล่งห่างจากศูนย์วิจัยไปอีกหลายร้อยกิโลเมตร ลำตัวเครื่องสีขาวคาดฟ้าอ่อน ไม่มีหางเสือมีเฉพาะแพนหาง  ทำมุมเป็นรูปตัววี ที่นั่งภายในเคบินนอกจากนักบินสองคนแล้วรองรับผู้โดยสารได้อีกสี่ที่นั่ง มีประตูขึ้นเครื่องอยู่หน้าปีก แต่มันพิเศษตรงที่เป็นอากาศยานที่ไม่สามารถตรวจจับได้เช่นเดียวกับมอเตอร์สเปซในโหมดอากาศยาน

สุดฟ้าชื่นชอบภาพยนตร์การ์ตูนฮีโร่มาตั้งแต่เด็ก เขาจึงพยายามทำตัวเองให้ดูลึกลับเข้าไว้

เครื่องไอวีบีก็เป็นยานพาหนะลำดับแรก ๆ ที่เขาเข้าไปมีส่วนร่วมในการออกแบบผลิตซึ่งขณะนั้นเป็นโปรเจกต์ในเครือของตระกูลสุวราลักษณ์ ด้วยแนวคิดสร้างความลึกลับ เขาจึงทำให้สัญญาณของเครื่องหายไปจากจอเรดาร์ของทางการและทำให้เครื่องหายไปจากวิสัยทัศน์ของผู้คน

แต่แม้จะเป็นเครื่องบินส่วนบุคคลขนาดเล็กกระนั้นมันก็ใหญ่เกินกว่าที่เขาจะหาที่เก็บได้ รวมถึงเงินทุนครึ่งหนึ่งนั้นมาจากครอบครัวสุวราลักษณ์ เขาจึงตัดปัญหาโดยยกการดูแลและใช้งานให้บริษัทการบินที่อาผู้ชายของฝาแฝดเพื่อนซี้ดูแลอยู่เป็นผู้คอยดำเนินงานจัดการ

และแน่นอนว่าเครื่องบินลับ ๆ ลำนี้ ไม่เคยขึ้นบินอย่างถูกกฎหมายทว่ากลับมีคนยอมจ่ายเงินใช้บริการอยู่เนือง ๆ เพราะฉะนั้นเพื่อไม่ให้มีปัญหาตามมาทีหลัง การนำเครื่องขึ้นแต่ละครั้งจึงต้องได้รับการอนุมัติจากตัวสุดฟ้า ธัชนนท์และธีรวัฒน์ชายหนุ่มผู้มีศักดิ์เป็นอาของพี่น้องคู่แฝดผ่านแอปพลิเคชันเฉพาะที่สุดฟ้าเขียนไว้

ธัชนนท์ต้องรู้แน่ว่าพวกเขาจะนำเครื่องไปที่ไหนกระนั้นสุดฟ้าเชื่อว่า ธีรวัฒน์จะจัดการเก็บความลับนี้ให้เขาได้

หลังขึ้นมาบนเครื่อง สุดฟ้ากินยานอนหลับเช่นปกติพลางดึงผ้าปิดตาขึ้นมาคาดก่อนโบกมือให้นำเครื่องขึ้น หูได้ยินเสียงชวิศากับมาริเอะคุยกันเบา ๆ ชั่วครู่หนึ่งสรรพเสียงทุกอย่างก็หายไป

เขารู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อร่างกายโดนเขย่าปลุก ตอนที่สะลึมสะลือตื่นขึ้นมา สเตบาสเตียนได้เปิดประตูเครื่องและลงไปยืนลงที่พื้นแล้ว

สภาพด้านนอกซึ่งเห็นจากช่องประตูเป็นบรรยากาศยามค่ำคืนที่มืดมิดเห็นเพียงแสงดวงไฟ

สุดฟ้าขยี้ตาอ้าปากหาวพลางเดินตามทุกคนลงจากเครื่อง มารู้ตัวว่าประเทศที่เพิ่งเหยียบเท้าถึงพื้นอยู่ในฤดูหนาวก็ตอนได้สัมผัสปรอยหิมะที่ร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า

“ยินดีต้อนรับครับ รถอยู่ทางนี้ เชิญครับ” ชายวัยสามสิบกลาง ๆ เดินตรงเข้ามาหา เขาผายมือดึงสายตาแขกผู้เยือนให้มองเห็นรถยนต์ลีมูซีนคันยาวซึ่งจอดอยู่ห่างออกไป ความหรูหราของรถยนต์ยิ่งขับเน้นให้เห็นความธรรมดาของลานปูนกว้างล้อมด้วยรั้วปิดทึบและอาคารที่เห็นเพียงเงาตะคุ่มให้ดูยิ่งโดดเดี่ยวเก่าร้าง

รถยนต์คันนั้นพาพวกเขาไปส่งยังโรงแรมหรูระดับห้าดาว

พวกเขาไม่ต้องทำสิ่งใดแม้กระทั่งการติดต่อห้องพัก มีคนเดินนำไปกดลิฟต์ให้ เปิดประตูห้องให้และค่ำคืนนั้นพวกเขาได้พักผ่อนอย่างปกติสุข

แต่เช้าขึ้นมา สุดฟ้ากลับได้พบสองศรีพี่น้องนั่งจิบกาแฟอยู่ในห้องพร้อมหุ่นยนต์ทั้งสองตน

“อรุณสวัสดิ์ เพื่อนรัก” ธัชนันท์ส่งเสียงทัก “เช้านี้จะทานอะไรดีฉันจะสั่งรูมเซอร์วิสมาให้”

“พวกแกมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

“ฉันนั่งเครื่องและขับรถมา” ฝาแฝดคนพี่กล่าวตอบพร้อมรอยยิ้ม แฝดคนน้องพูดเสริมขึ้นมาอีกว่า

“พอดีฉันกับพี่เคลียร์งานเสร็จแล้วเลยแวะมาเที่ยว”

“แล้ว?”

“ก็ไม่มีอะไร เมื่อคืนเห็นแกเดินเข้าโรงแรมเลยแวะมาทักทาย”

“บังเอิญจังเนอะ”

ระหว่างนั้นชวิศาที่จัดการธุระส่วนตัวเสร็จแล้วเดินออกมาจากห้องนอน เขาส่งเสียงทักทายฝาแฝดสองพี่น้องด้วยความแปลกใจไม่ต่างจากแฟนหนุ่ม จากนั้นเอ่ยบอกว่าจะลงไปหาอะไรทาน มาริเอะจึงจับมือเดินตามกันไป

ก่อนธัชนนท์จะวกกลับมาไขความกระจ่างความบังเอิญที่สุดฟ้าทิ้งไว้

“อาอาร์มเขาไม่ได้พูดอะไร แต่คิดดู พวกฉันรู้ว่าแกอยู่ต่างประเทศ ยิ่งไม่บอกว่าไปไหน ทำไมพวกฉันจะไม่จับตาดูเป็นพิเศษ”

“แล้วเมื่อคืนขึ้นเครื่องอะ แกว่าไง บินนิ่งดีไหม” แฝดคนน้องถามต่อ

“อย่าบอกนะว่าแกขับ”

ธัชนันท์หัวเราะ “ไม่ถึงขนาดนั้น แต่เป็นนักบินที่สอง”

“ตกลงเกิดเรื่องอะไรแน่วะ เดี๋ยวไปโน่นเดี๋ยวไปนี่ แล้วได้เจอคุณลุงคุณป้าไหม”

“ไม่มีอะไร แค่เบื่อ ๆ” สุดฟ้าพูดพลางหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาทำท่าทำทางว่ากำลังกดเล่นทว่าที่จริงแล้วกลับกดพิมพ์ข้อความบางอย่าง

“เบื่อเหรอ แกเพิ่งกลับมาอยู่บ้านเองเนี่ยนะ ปกติแกติดบ้านจะตาย ไม่เป็นอะไรแน่เหรอ” ธัชนันท์ถาม ฟังดูซอกแซกวุ่นวายแต่สุดฟ้าเข้าใจว่า ถ้าเป็นสองคนนั้นที่ทำตัวติดหนึบกับเขามาตั้งแต่ตอนอายุสิบแปดต้องสงสัยเป็นธรรมดา

“ระหว่างท่องเที่ยวฉันเจออะไรน่าสนใจด้วย” เขาส่งโทรศัพท์ซึ่งมีข้อความที่ตัวเองพิมพ์ไปให้พี่ชายคนโตบ้านสุวราลักษณ์ ฝ่ายน้องชายก็ชะโงกหน้ามาดูตามนิสัยที่ต้องรู้ทุกอย่างรอบตัว

“น่าสนใจดีนี่”

ธัชนนท์พยักหน้าพึมพำพร้อมส่งโทรศัพท์ไปให้น้องชาย

“ฉันไม่รู้ว่าพวกแกยังไว้ใจได้หรือเปล่า อาจจะมีคนสอดแนมฉันผ่านพวกแกเพราะตอนที่ท่องเที่ยวอยู่ มีคนไปตามล่าฉันด้วย”

“แกไปเจอที่ไหน” ธัชนนท์ยังถามต่อ

“ก็บอกว่าระหว่างเดินทาง”

“แล้วจะให้ทำยังไง”

แต่แฝดผู้น้องกลับพูดแทรกขึ้นมา “ฉันว่าน่าจะทำกำไรได้อยู่นะ หรือพี่ไอซ์ไม่คิดอย่างนั้น” และด้วยกระแสจิตสื่อสารอันแรงกล้าของฝาแฝด พวกเขาทั้งคู่ได้เข้าใจความคิดกันและกันพร้อมต่อประโยคได้อย่างลื่นไหล

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไม่ควรปล่อยไป แกยกให้พวกฉันได้ไหมล่ะ” ธัชนนท์ถามด้วยรอยยิ้มมั่นใจ

“งั้นแล้วแต่”

“แล้วต้องไปไหนหรือเปล่า” อีกฝ่ายยังส่งคำถามมาต่อเนื่อง สุดฟ้าคิดว่าไม่มีเหตุผลที่จะต้องปิดบังเพราะถึงอย่างไรถ้าฝาแฝดสองพี่น้องอยากรู้ เจ้าพวกนั้นก็พยายามสืบหาจนได้

“ฉันมีเจรจาธุรกิจร้อยล้าน”

“หือ” สองคนนั้นขานเสียงออกมาพร้อมกัน จากนั้นธัชนันท์พูดว่า “มูลค่าเยอะขนาดนี้ไม่อยากได้บอดี้การ์ด นักกฎหมายหรือคนเจรจาแทนหรือไง”

“ไม่ต้องหรอก ไม่จำเป็น”




แม้ว่าจะตอบออกไปอย่างชัดเจนทว่าสุดท้ายแล้วกลับไม่อาจห้ามไม่ให้สองพี่น้องคู่นั้นตามมาได้ ทั้งคู่ยังทำเหมือนกำลังมาทัศนาจรไม่มีผิด

สุดฟ้าระบายลมหายใจเฮือก ไม่อยากพูดต่อว่าให้ตัวเองหงุดหงิดจึงได้เดินนำเข้าร้านอาหารโดยไม่คิดจะหันมองว่ามีใครตามมาหรือไม่

เจ้าภาพของเขาจองห้องอาหารส่วนตัวไว้ เมื่อแจ้งชื่อ พนักงานในชุดเครื่องแบบบริกรสีดำได้ผายมือพลางเดินนำเขาตรงเข้าไปด้านใน

ตอนแรกสุดฟ้าคิดว่าจะได้ไปเจออีกฝ่ายที่โกดังร้างหรืออะไรทำนองนี้เสียอีก

ห้องนั้นกว้างขวางสำหรับรับรองลูกค้าสิบถึงยี่สิบที่นั่งได้สบาย คู่ธุรกิจของสุดฟ้าก็พาคนมาเยอะแต่กระนั้นคนที่นั่งประจำเก้าอี้ของโต๊ะกลับมีแต่สองคน

ครั้นทั้งสองคนเห็นพวกเขาเปิดประตูเดินเข้าไปก็ลุกขึ้นยืนเดินมาต้อนรับ

“ผมยินดีมากที่คุณตอบรับการเชิญเสียที มิสเตอร์ศิริกร”

สุดฟ้าฝืนปั้นหน้ายกยิ้มตอบรับให้ชายตรงหน้า

ชายคนนั้นแนะนำตัวว่าชื่ออัลเบีย ฟาซองส์ สีผิวของเขาดูคล้ำแดด นัยน์ตาสีฟ้าเจ้าเล่ห์ทันคน ไว้หนวดเคราทิ้งเป็นไรบาง ๆ อายุประมาณสี่สิบถึงห้าสิบปี รูปร่างดูสมส่วนไร้ไขมันส่วนเกินภายใต้สูทสามชิ้นแบบสากล

ส่วนชายอีกคนเป็นผู้ใช้เวทที่เขาเคยเจอ ได้เห็นใบหน้าใต้แสงสว่างของดวงไฟชัดเจนอย่างนี้ทำให้เขาต้องหันกลับไปมองหน้าชวิศาเปรียบเทียบ ไม่ใช่ว่าเหมือนกันราวกับโขกออกมา แต่โครงหน้าคล้ายกันจนบอกว่าเป็นญาติพี่น้องก็มีคนเชื่อ

แต่ชายคนนั้นไม่ได้มีท่าทีตื่นเต้นเมื่อเห็นชวิศา

สุดฟ้าเลือกเก้าอี้ที่นั่งฝั่งตรงข้าม ถัดไปคือแฝดคนละฝาอย่างชวิศาและมาริเอะ ที่ปิดท้ายเป็นของสองพี่น้องสุวราลักษณ์ที่พาตัวมามีส่วนร่วมอย่างถือวิสาสะ

“ผมสั่งอาหารไว้แล้ว” เขากดกระดิ่งทรงกลมสีเงินบนโต๊ะ ครู่ต่อมาบริกรเปิดประตูนำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ

อัลเบียและชายผู้ใช้เวทดื่มไวน์แดง

สุดฟ้าและชวิศาแจ้งขอน้ำเปล่า ที่เสิร์ฟให้มาริเอะจึงเป็นน้ำเปล่าไปโดยปริยาย ส่วนของฝาแฝดเป็นไวน์แดงเช่นกัน

“ผมขอดูของได้ไหมครับ” อัลเบียเอ่ยถามอย่างไม่อ้อมค้อมทันทีที่บริกรพ้นจากห้องไป

“ผมยังไม่เห็นเงิน” ชายหนุ่มเอ่ยความต้องการของตนและเขาก็ยังไม่ได้เข้าไปตรวจสอบในเว็บไซต์ของธนาคารอีกเลย

กระเป๋าเดินทางสองใบซึ่งบรรจุธนบัตรชนิดหนึ่งร้อยดอลล่าสหรัฐจึงถูกนำมาวางตรงหน้าแต่ชายหนุ่มว่ามันไม่น่าจะใช่เงินทั้งหมดอย่างมากก็น่าจะไม่เกินสามสิบล้าน

“ผมบอกตามตรงเลยนะ ผมไม่มีเงินมากเท่าที่คุณต้องการหรอก”

อ้าว! สุดฟ้าส่งเสียงอุทานในใจ

“เพราะฉะนั้นผมอยากจะเสนอข้อแลกเปลี่ยนที่ทั้งคุณและผมได้ประโยชน์”

“แต่…”

“ด็อกเตอร์ครับ ฟังที่คุณอัลเบียพูดสักหน่อยก็ไม่เสียหายนะครับ” มาริเอะรีบพูดแทรกเสียงหวาน

“นั่นสิ เจรจาธุรกิจน่ะมันต้องฟังเงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงให้ครบถึงจะตัดสินใจรู้หรือเปล่า” ธัชนนท์รีบเอ่ยสนับสนุนขึ้นมาทันที

ชายหนุ่มที่โดนรบเร้าพูดกล่อมชักจูงกลอกตาทำหน้าเบื่อหน่าย ก่อนพยักพเยิดยอมให้อีกฝ่ายพรีเซนต์ข้อเสนอ

“ผมมีลูกค้าที่สนใจสั่งซื้อระเบิดการทำลายล้างสูงอยู่หลายราย ทีนี้ผมจะเป็นคนลงทุนด้านการผลิตให้ส่วนมิสเตอร์ศิริกรแค่รับส่วนแบ่งก็พอ ผมให้หกสิบเปอร์เซ็นต์ คุณสนใจไหมครับ”

“ทำไมสุดฟ้าต้องร่วมมือกับคุณในเมื่อเขาก็มีโรงงานผลิตเป็นของตัวเองอยู่แล้ว” ธัชนนท์โพล่งถาม

ช่างรู้ใจ สุดฟ้าจึงไปยกนิ้วโป้งชมเพื่อนสนิท

“แต่ผมมีลูกค้า”

“มิสเตอร์ฟาซองส์ คุณเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า” ฝาแฝดผู้พี่กล่าวต่อ “ถ้าสุดฟ้าคิดสร้างระเบิดเพื่อจัดจำหน่ายขึ้นมาจริงทำไมต้องผ่านคนกลาง ถึงเพื่อนผมคนนี้จะดูธรรมดาบ้า ๆ บวม ๆ แต่เขาก็ได้รับการยอมรับจากสถาบันวิจัยชั้นนำที่อยู่ในการสนับสนุนของประเทศมหาอำนาจ”

ชายหนุ่มที่ถูกกล่าวถึงมุ่นคิ้วฟังเหมือนดูดี แต่ฟังให้ชัดอีกทีเหมือนว่าเขาจะโดนด่าอย่างไรก็ไม่รู้

“ผมคิดว่าความจริงแล้ว สุดฟ้าไม่จำเป็นต้องลดตัวมาคุยกับคุณด้วยซ้ำ”

โอ้ย คำพูดนี้โดน สุดฟ้ายิ้มกริ่มจนคู่สนทนาจ้องเขม็งด้วยความไม่ชอบใจ

“ตกลงพวกแกตัดสินใจอยู่ข้างตระกูลอัสมานร์ละสิ” ชายผู้ใช้เวทเอ่ยเป็นภาษาอังกฤษ

“ตระกูลอัสมานร์?”

ชวิศาจึงกระซิบบอกว่าเป็นพระนามราชวงศ์เจ้าชายฟาลิฮ์

“เปล่า แค่รู้จักพูดคุยธรรมดา”

“ถึงขนาดเดินทางเข้าประเทศในฐานะแขกของราชวงศ์ ยังโกหกว่าแค่รู้จักธรรมดา”

“ถ้าฉันจะรู้จักสนิทสนมกับใครแล้วแกเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ” สุดฟ้าถามชวนทะเลาะและก็ได้อาวุธมีคมส่งมาให้ตามคำขอ แต่มาริเอะก็ไวมากพอที่จะหยุดคมมีดไว้ได้ก่อนจะถึงตัวชายหนุ่ม มาริเอะทรุดตัวลงนั่งเหมือนเดิมและเนียนซ่อนมีดไว้ในซอกรองเท้า

สุดฟ้าเข่นเขี้ยวหลังหายจากอาการใจร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม

“แบบนี้กะหาเรื่องกันเลยใช่ไหม” เขาตบโต๊ะข่มขู่แต่กลับมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะพร้อมกับบริกรที่ยกอาหารเข้ามา ชายหนุ่มจึงลดมือลงไปไว้ใต้โต๊ะ

เขาเคยเห็นมุกตบโต๊ะและเจ็บมือในโทรทัศน์ แต่ไม่คิดว่ามันจะเจ็บจริง จนมาได้ทดลองตบเองซึ่งมันเจ็บมาก ๆ ด้วย

อารมณ์ฉุนเฉียวถูกขัดจังหวะโดยบริกรซ้ำร้ายยังมีจานอาหารวางตรงหน้า ชายหนุ่มตัดสินใจไม่ถูกเลยว่าควรตัดสินใจอย่างไรต่อไป

ทว่าอีกฝ่ายกลับผายมือเชิญเขาทานอาหารเสียอย่างนั้น “เชิญทานได้เลยครับ ผมสั่งอาหารขึ้นชื่อของร้านไว้ให้พวกคุณเลยทีเดียว”

สุดฟ้าหันไปมองหน้าคนอื่นเพื่อดูว่าใครตัดสินใจอย่างไรบ้าง ที่แน่ ๆ มาริเอะหยิบช้อนกับส้อมขึ้นมาตักอาหารโดยไม่รอคำอนุญาตจากเขา ฝาแฝดธัชนนท์กับธัชนันท์ก็เหมือนกัน แต่ยังดีที่ชวิศาหันมามองหน้าเขาราวกับรอให้ตัดสินใจ

เออวะ… กินก็กิน

“กินก่อนเถอะ” สุดฟ้าบอกชวิศา

คู่เจรจาธุรกิจลงมือทานไปล่วงหน้าก่อนแล้ว อาหารในจานจึงพร่องไปเยอะ ว่ากันตามจริงนะ สภาพแบบนี้มันทะแม่ง ๆ ชอบกล รู้สึกราวกับมีเรื่องร้าย

“รสชาติแปลก ๆ” ชวิศาเอ่ยขึ้น ทำให้สุดฟ้าหันไปมอง ไม่ใช่แค่เขา ทุกคนเลยด้วยซ้ำ

“ทำไมเหรอ”

“อือ บอกไม่ถูกว่ามันเป็นรสชาติของวัตถุดิบหรือเครื่องปรุงตัวไหน”

ทว่าชวิศายังงุนงงไม่ทันจบ สองฝาแฝดก็ล้มคว่ำหน้าลงกับโต๊ะ มาริเอะจึงฟุบหน้าลงตามทันที

“เฮ้ย!!!” ที่ร้องอุทานไม่ใช่เพราะตกใจกับการสลบของมาริเอะแต่ตกใจที่มันจะสลบไปกับพวกนั้นทำไม!!!

กระนั้นสุดฟ้ากลับไม่สามารถทำอะไรได้มาก เขาพยายามลุกขึ้นยืนแต่สารอะไรก็ตามที่ชายหนุ่มหลงกินเข้าไปกำลังออกฤทธิ์ ภาพตรงหน้าพร่ามัว เขามองเห็นสเตบาสเตียนส่งเสียงร้องเรียกโดยที่โดนฝ่ายตรงข้ามนำอาวุธเข้ามาคุมตัวไว้เหมือนกัน

ชวิศาล้มฟุบไปแล้ว

“แก!!!” สุดฟ้าพยายามเปล่งเสียง ในภาพยนตร์เวลาพระเอกหรือตัวร้ายโดนยาพิษต้องพูดอะไรได้อีกหลายคำสิ เขาเพิ่งอ้าปากพูดได้คำเดียวเองนะ ทำไมภาพตรงหน้ามันมืดดำรวดเร็วอย่างนี้ล่ะ

ฝากไว้ก่อนเถอะ… สุดฟ้าได้แต่คิดในใจก่อนสติจะดับวูบไป


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ตอนจบ



สุดฟ้าไม่แน่ใจว่าควรลืมตาหรือยังแม้ว่าเขาจะรู้สึกตัวแล้วก็ตามกระนั้นกลับนึกอยากรู้สภาพรอบตัวจนอดรนทนไม่ไหว ก่อนจะฉุกใจคิดว่าควรสำรวจสภาพร่างกายตัวเองเสียก่อน เขารู้สึกว่าตัวเองนอนอยู่แต่น่าจะนอนอยู่ในท่านี้มานานพอดูเพราะแขนขาชาไปทุกส่วน จึงแสร้งเป็นขยับตัวพลิกเปลี่ยนท่า

“ถ้ารู้สึกตัวแล้วก็ลืมตาขึ้นมาซะที” เสียงพูดประโยคนั้นเป็นของคนคุ้นเคย สุดฟ้าจึงลืมตาพรึบ

ภายในห้องนั้นมีสมาชิกในก๊วนอยู่กันครบ สองฝาแฝดสุวราลักษณ์ แฝดคนละฝาชวิศามาริเอะและสเตบาสเตียน ทุกคนถูกใส่กุญแจมือคล้องไว้กับโซ่ซึ่งโยงกับห่วงเหล็กบนผนัง ระยะโซ่คงสั้นจนไม่สามารถเดินมาหากันได้ สุดฟ้าประหลาดใจที่ฝ่ายตรงข้ามใจดีกับพวกเขาไม่น้อยเพราะนึกว่าจะได้แขวนต่องแต่งแบบในหนังเสียอีก

“นอนนานเว่อร์ แกควรจะกินเข้าไปน้อยกว่าพวกฉันไม่ใช่เหรอ” ธัชนันท์ถาม

เขากำลังจะอ้าปากด่าแต่แฝดคนโตพูดขึ้นมาอีกว่า

“ไอ้ของที่แกเจอระหว่างทางน่ะ ฉันรู้แล้วนะว่าเป็นอะไร”

สุดฟ้าใช้เวลานึกและแปลความหมายอยู่ชั่วพริบตา ก่อนส่งเสียงถามออกไป “แกรู้ได้ไง”

“ฉันเก่ง” ธัชนนท์ยิ้มยิงฟันอย่างน่าหมั่นไส้พานให้รู้สึกโมโหขึ้นมาอีก

“เก่งบ้าเก่งบออะไรวะเพราะพวกแกทำให้ฉันต้องโดนจับมาอย่างนี้ ส่วนนายก็เหมือนกันมาริเอะ ทำ…”

“ห้องนี้มีกล้องและมีไมโครโฟนด้วยนะครับ” มาริเอะพูดแทรก คนฟังได้แต่สบถ

“แล้วก็ดิจิตอลไลต์มอนิเตอร์โดนพวกนั้นจิ๊กไปแล้วนะครับ ตอนที่ด็อกเตอร์ยังหลับอยู่มีคนมาจับมือด็อกเตอร์เปิดเครื่องด้วยป่านนี้คงเจอไฟล์แบบแปลนในเครื่องแล้วละมั้ง”

สุดฟ้าอยากสบถอีกหลาย ๆ คำ เพราะฟังที่มาริเอะรายงานแล้วยังต้องถอดความแปลภาษาอีก อะไรบ้างล่ะ พวกนั้นได้ดิจิตอลไลต์มอนิเตอร์ไปแล้ว ...ป่านนี้คงเจอไฟล์ในเครื่อง

เขาค่อยโล่งอกขึ้นมาทันที

สรุปว่านี่อาจจะเป็นแผนของมาริเอะหรือหนึ่งในฝาแฝด

เขากังวลแค่ข้อมูลทั้งหลายทั้งแหล่แต่เหมือนว่ามาริเอะจะสั่งให้สเตบาสเตียนตัดการเชื่อมต่อระหว่างไลต์มอนิเตอร์กับแม่ข่ายหลักที่บ้านไว้แล้ว

“อ้อ” สุดฟ้าขานเสียงรับ ฝาแฝดสองพี่น้องถึงกับกลอกตาด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายพร้อมกัน

“แกควรตื่นเต้นหน่อยไหม คอมพิวเตอร์… แบบนั้นควรเรียกว่าคอมพิวเตอร์หรือเปล่าวะ เออ…ช่างมันเถอะ พวกนั้นมันกำลังขโมยข้อมูลในเครื่องของแกนะเว้ย แกไม่เดือดร้อนหน่อยเหรอ”

“ทำไมฉันต้องเดือดร้อน ใน…”

“ต้องเดือดร้อนสิครับด็อกเตอร์ แบบแปลนบอมบ์พินาศกำลังจะถูกเอาไปแล้วนะ”

ก็แบบแปลนอันนั้นมันใช้ไม่ได้ สุดฟ้าพูดในใจนึกอยากจะเกรียนขัดคอเจ้าพวกนั้นอยู่แต่เห็นแก่ที่เขาตื่นขึ้นมาแบบมึน ๆ สมองยังคิดอะไรไม่ทันจะยอมเล่นตามน้ำละนะ

“อ๊ากกกกกก” ชายหนุ่มร้องตะโกนพานให้คนทั้งห้องสะดุ้งโหยง จนเจ้าตัวแอบคิดในใจว่า อ้าว! ไหนอยากให้ตื่นเต้นเดือดร้อน เขาชะงักไปชั่วพริบตาแต่เหมือนว่าแฝดคนพี่จะตั้งสติได้เร็ว รีบขยิบตาให้เขาแสดงอาการเดือดร้อนต่อ

“แบบแปลนของฉัน ไอ้เจ้าพวกบ้านั่นเอาของของฉันคืนมานะเฟ้ยยย” เขาพยายามเขย่ากุญแจมือโวยวาย ร้องเสียงลั่นอยู่ครู่หนึ่งประตูห้องก็ถูกเปิดออก

“หยุดส่งเสียงโวยวายได้แล้วมิสเตอร์ศิริกร”

“พวกคุณควรปล่อยพวกเราไปได้แล้ว ของที่คุณต้องการก็ได้ไปแล้วไม่ใช่เหรอ” ธัชนันท์รีบพูดออกไป

“จับพวกเราไว้อย่างนี้ก็ไม่มีประโยชน์หรอก” มาริเอะต่อบทสนทนาอย่างทันท่วงที

“อย่าคิดว่าฉันโง่ แบบแปลนนั่นมันใช้งานไม่ได้” อัลเบียพูดด้วยน้ำเสียงที่หงุดหงิดขึ้นและประโยคคำพูดนั้นก็ทำให้สุดฟ้าประหลาดใจ เขาเขียนแบบของปลอมก็จริงแต่อีกฝ่ายควรจะรู้ว่ามันใช้งานไม่ได้ก็ต่อเมื่อสร้างตัวต้นแบบออกมาสิ ที่พวกเขาโดนจับมาน่าจะเพิ่งผ่านไปไม่นานเท่านั้นนั่นเท่ากับว่า

“พวกแกหักหลังฉันเหรอ” สุดฟ้าหันไปถามฝาแฝดสองพี่น้อง

“จะบ้าเรอะ” คนที่ถูกกล่าวหาประสานเสียงตอบพร้อมกัน

“ด็อกเตอร์ใจเย็นก่อนครับ ถ้าคุณธัชนนท์และคุณธัชนันท์หักหลังด็อกเตอร์จริงคงไม่โดนจับมาแบบนี้ด้วยหรอก” มาริเอะพูดไกล่เกลี่ย

“และอีกอย่างแบบแปลนบอมบ์พินาศก็มีแค่ฉบับเดียวที่ด็อกเตอร์ใช้งานอยู่ ไอ้ที่มิสเตอร์ฟาซองส์บอกว่าใช้งานไม่ได้มันจะใช่ได้อย่างไร”

ป้าดโถ่ เกือบแล้วไหมล่ะ สุดฟ้าสบถในใจ

“เออใช่ เอาอะไรมาบอกว่าใช้งานไม่ได้” สุดฟ้าจึงหันไปตามน้ำต่ออย่างฉลาดว่องไว

เนี่ยแหละน้าเพราะไม่รู้ว่าแผนการของเจ้าพวกนี้ ถ้าไม่ฉลาดอย่างเขาเนี่ยเนียนตามน้ำไม่ทันหรอก

“อย่าพยายามแถโกหกเลย”

“อะไรทำให้คุณคิดว่าผมโกหก”

“ตัวผมอย่างไรล่ะครับ” จู่ ๆ ก็มีตัวละครมาเพิ่ม

สุดฟ้าไม่รู้จักผู้ชายคนที่เพิ่งเดินเข้ามา เขาสวมเสื้อกาวน์ขาวสวมแว่นตากรอบหนาเหมือนเป็นพวกเนิร์ดแต่เพราะทรงผมอันเดอร์คัตไถข้าง ทำให้ดูเท่ไปอีก ชายหนุ่มที่เป็นแว่นเนิร์ดตัวจริงเกิดความอิจฉาขึ้นมาตงิด ๆ

“ฉันจะแนะนำให้รู้จัก หมอนี่ชื่อราเชน” ธัชนนท์พูดเป็นภาษาไทย “เคยอยู่ทีมดิวิลอฟที่บริษัท”

“ที่จริงผมชื่อราเชลครับท่านประธาน” ฝ่ายนั้นพูดแก้ด้วยรอยยิ้ม เปลี่ยนมาใช้การสื่อสารด้วยภาษาไทยเช่นเดียวกัน “ผมเป็นพนักงานที่ท่านประธานชื่นชมมากเลยทีเดียวล่ะ เพราะสามารถถอดประกอบหุ่นยนต์ของคุณสุดฟ้าได้โดยไม่ต้องใช้แบบแปลน”

“อ้อ นายนี่เองแล้วใช่คนที่ซ่อมน้ำด้วยหรือเปล่า”

“ใช่” ฝาแฝดคนพี่กล่าวตอบ สุดฟ้าจึงปะติดปะต่อเรื่องราวได้ คนที่เพียงดูแบบแปลนบอมบ์พินาศแล้วบอกว่ามันใช้งานได้หรือไม่ก็คงเป็นหมอนี่เหมือนกัน

“แล้วน้ำ... ตอนนี้อยู่ที่ไหน” สุดฟ้าถามเมื่อนึกถึงหุ่นยนต์ที่ถูกตัดการเชื่อมต่อจากการดูแลของสเตบาสเตียน

“ไม่ต้องห่วงครับ ท่านประธานทิ้งไว้ที่โรงแรมก็ยังอยู่ที่โรงแรมครับ” ราเชลตอบและพูดต่อไปว่า “กลับมาคุยธุระของพวกเราต่อดีกว่า ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วคุณสุดฟ้าส่งแบบตัวจริงมาให้พวกเราเถอะ คุณจะได้กลับไปใช้ชีวิตแบบปกติของคุณ”

“พูดแบบนี้ราวกับว่าถ้าฉันให้แบบแปลนไป นายจะยอมปล่อยตัวฉันง่าย ๆ”

“แน่นอนครับ พวกเราร่วมมือทำธุรกิจก็เพื่อเงิน ไม่ได้คิดจะฆ่าแกงใครเสียหน่อย”

โอย... ถ้าคนพูดไม่ได้อยากได้แบบแปลนระเบิดเขาคงหลงเชื่อไปเต็มเปา

สุดฟ้าถอนหายใจ “พูดจริงนะ แบบแปลนบอมบ์พินาศน่ะไม่มีหรอก ถ้าพวกคุณรู้ ผมสร้างมันขึ้นมาตอนอายุสิบกว่า ๆ และทั้งแบบทั้งโปรแกรมก็โดนพ่อกับแม่ยึดไปหมด ล่าสุดผมถามแล้ว ของทุกอย่างโดนทำลายไปตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน และที่ผมทำให้เจ้าชายมันเป็นแค่ตัวจำลอง ยังไงดีล่ะ ผมแค่ทำให้เจ้าชายดูเฉย ๆ ว่ามันใช้งานยังไงซึ่งมีชิ้นเดียวที่ซัคเซส นอกนั้นคือเฟล” เขาอธิบายด้วยท่าทีจริงจัง

“คุณสร้างและทำมันได้ คุณแค่ทำมันขึ้นมาอีกครั้ง”

สุดฟ้านิ่งเงียบ ฉับพลันเขาส่งเสียงโวยวายขึ้นมาอีกรอบ “อ๊ากกกก ช่วยด้วย ผมปวดหัว ผมปวดหัวเหลือเกิน จะตายแล้วช่วยผมด้วย”

ชายหนุ่มทิ้งตัวลงกับพื้น ดิ้นทุรนทุรายคล้ายทรมานพานให้ทุกคนตื่นตกใจ

“คุณสุดฟ้าเป็นอะไรครับ” ชวิศาร้องอย่างตระหนก พยายามเข้าไปหาแต่ติดที่โซ่กุญแจซึ่งล่ามมืออยู่ เขากระชากดึงเมื่อไม่หลุดจึงใช้เวทสลาย ส่วนมาริเอะและสเตบาสเตียนกระชากทีเดียวสายโซ่ที่พันธนาการไว้ก็หลุดจากกัน

พวกเขาตรงเข้าไปหาสุดฟ้าที่ยังส่งเสียงร้องทรมานอยู่บนพื้น

ชายหนุ่มเห็นทั้งสามคนหลุดออกมาง่าย ๆ จึงลุกขึ้นนั่งด้วยท่าทางโมโหและไร้อาการเจ็บป่วย

“ฮ่วย!!! ดึงโซ่ได้ง่าย ๆ แบบนี้ทำไมไม่ทำแต่แรกฮะ”

ชวิศาชะงัก “ก็คุณมาริบอกให้อยู่เฉย ๆ”

“ก็แหมมันต้องมีการเตรียมการนี่ครับ”

ไม่ทันได้พูดคุยกลับเกิดเหตุการณ์ชุลมุนขึ้นฉับพลัน

อัลเบียกับราเชลที่ยืนอยู่หน้าห้องเห็นกลุ่มของสุดฟ้าหลุดจากกุญแจมือจึงส่งเสียงเรียกคนคุ้มกันทว่ากลับได้รับแจ้งว่ามีกองกำลังไม่ทราบฝ่ายพยายามบุกเข้ามา

“จับตัวพวกมันไว้ก่อน” อัลเบียร้องบอกชายร่างยักษ์ถือปืนทว่าประตูบานนั้นกว้างขนาดมาตรฐาน ชายร่างยักษ์เหล่านั้นจึงสามารถผ่านเข้าประตูมาได้ทีละคนและเมื่อคนแรกผ่านเข้ามาก็โดนสเตบาสเตียนจัดการให้ลงไปนอนหมดสติบนพื้นอย่างง่ายดาย

คนอื่นที่อยู่ด้านนอกเห็นเหตุการณ์เป็นไปอย่างนั้นจึงได้จด ๆ จ้อง ๆ อย่างระวังตัวและนับว่าเป็นโชคดีของพวกเขาที่ห้องนั้นเป็นห้องผนังทึบซึ่งถูกออกแบบเป็นที่คุมขัง ฝ่ายตรงข้ามจะสาดกระสุนเข้ามาก็ทำไม่ได้ง่ายอย่างใจคิด

“คุณชวิศาดูแลด็อกเตอร์ด้วยนะครับ” มาริเอะหันไปบอก แล้วขยับไปช่วยดึงโซ่ซึ่งลิดรอนอิสรภาพของสองพี่น้องสุวราลักษณ์ ขณะนั้นสเตบาสเตียนก็พุ่งออกไปนอกห้องเพื่อจัดการกับชายร่างยักษ์ทั้งหลาย

“ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง” ธัชนนท์ถาม

“เฮลิคอปเตอร์กำลังมาครับ คนของคุณไอซ์กับคุณโยธินกำลังจัดการพวกที่ขวางทางอยู่”

“ฝากกำชับด้วย ถ้าใครยอมแพ้ให้กุมตัวไว้”

“รับทราบครับ”

สุดฟ้าฟังประโยคสนทนาด้วยความมึนงง “เดี๋ยวนะ มารินี่นายกลายเป็นคนของไอ้ไอซ์ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ด็อกเตอร์เข้าใจผิดแล้วครับ ผมมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของคุณชวิศาและปกป้องคุ้มครองคุณเพราะฉะนั้นแผนการใดที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายผมเลือกใช้ทั้งนั้น”

“และที่ฉันกับพี่ชายเดือดร้อนคอยช่วยแกเพราะแกคือมันสมองของบริษัท ฉันมีหน้าที่รักษาผลประโยชน์ เข้าใจไว้ด้วย” ธัชนันท์เอ่ย

“ถุย! ถึงพวกแกจะช่วยฉันด้วยจิตพิศวาส ฉันก็ไม่ซาบซึ้งหรอกเว้ย”

“อย่าเพิ่งกัดกันน่า พยายามออกไปให้ได้ก่อนเถอะ” แฝดผู้พี่ร้องปราม

พากันออกมาด้านนอกห้องคุมขังปรากฏว่าราเชลกำลังโดนสเตบาสเตียนจับกดลงกับพื้น รอบกายหุ่นยนต์พ่อบ้านเกลื่อนกลาดด้วยสารร่างของชายร่างยักษ์ที่อัลเบียส่งมาจัดการพวกเขา ขณะที่เจ้าตัวหายหน้าไปไหนแล้ว

สุดฟ้ารู้สึกสะใจที่อีกฝ่ายอ่อนแอเหมือนเนิร์ดทั่วไปโดยลืมไปเสียสนิทว่าประสิทธิภาพของสเตบาสเตียนเกินมนุษย์ปกติไปไกล

ธัชนันท์เดินเข้าไปหาราเชล “ตกลงว่าสวัสดิการของบริษัทฉันไม่ดีเหรอ ถึงต้องมาเข้ากับไอ้พวกบ้านั่น”

“ผมร่วมมือกับพวกเขาก่อนต่างหาก”

“ตอนจบของเรื่องมันควรแฮปปี้เอนดิ้งน่ะ เพราะงั้นเลิกยุ่งกับเจ้าพวกนั้นแล้วมาเข้ากับพวกฉันดีกว่า”

ราเชลไม่ตอบ ธัชนันท์จึงฝากให้สเตบาสเตียนแบกร่างของอีกฝ่ายไปด้วย มาริเอะจึงไปดึงโซ่ยาวจากในห้องมาส่งให้ คุณพ่อบ้านจัดการมัดราเชลและแบกขึ้นบ่า

“เฮ้ย!!! มอนิเตอร์ไลต์ของฉันอยู่ไหน มาริเช็กทีดิ”

“ยังจะมาห่วงอยู่อีก” แฝดน้องแค่นเสียงอย่างระอา “ไม่ใช่ว่ามันเข้าถึงข้อมูลของแกไม่ได้แล้วไม่ใช่เรอะ แล้วก็ไม่ต้องบอกว่าแพงมากด้วย ชิ้นเล็กแค่นั้นเสียเวลาแค่ออกแบบผังวงจรกับคิดโปรแกรมเท่านั้นแหละ” เขารีบพูดต่อเมื่อเห็นเพื่อนสมัยเด็กทำท่าจะเถียง

“เออ… แต่ฉันก็รักของฉันแหละ” สุดฟ้าตอบเสียงห้วนแล้วหันไปเร่งถามมาริเอะ

“มาริตกลงว่าอยู่ไหน”

“ทางนี้เลยครับ”

พอเจ้าของชื่อเอ่ยตอบสุดฟ้าจึงหันไปพูดกับแฝดน้อง

“พวกแกไปก่อนได้เลย เดี๋ยวฉันได้ของคืนแล้วจะตามไป” สุดฟ้าก้าวเท้าเดินตามการนำทางของมาริเอะ มีชวิศาเดินตามหลังมา พอแฝดพี่เดินตามไปแฝดน้องก็ต้องติดตามไปด้วยอย่างเสียไม่ได้และปิดท้ายขบวนด้วยสเตบาสเตียน

มาริเอะพาเดินผ่านเส้นทางในอาคารซึ่งฟากหนึ่งเป็นกระจกใส สุดฟ้าจึงเห็นว่าใต้หลังคาโรงเรือนสูงเป็นเครื่องจักรหลายชนิดแต่ไม่เห็นแม้แต่เงาผู้คนคงเพราะเสียงปืนที่ดังแว่วมาให้ได้ยินเป็นระยะ

จังหวะที่เดินมาถึงทางแยกบันไดกลับเป็นช่วงเหมาะเจาะที่คนของฝ่ายตรงข้ามเดินลงบันไดมาพอดี ทั้งสี่คนชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะยกปืนขึ้นถือข่มขู่

“ไอ้พวกนี้คือศัตรู” ราเชลรีบร้องบอกพร้อมกับมาริเอะที่พุ่งตรงเข้าไปจัดการปืนในมือของชายทั้งสี่ เมื่อสังเกตให้ชัดจะเห็นว่าพวกเขาใส่เครื่องแบบคล้ายกันทั้งดูผอมแห้งแรงน้อย

“เอาละครับ ถ้าพวกคุณตอบคำถามมาตามตรงผมจะปล่อยพวกคุณไป พวกคุณกำลังจะไปไหนกัน”

“หนีนะสิถามได้ ตอนนี้โรงงานกำลังโดนตำรวจปิดล้อมหมดแล้ว ‘นาย’ เองก็บอกให้กำลังคนถอยหนีและตอนนี้ ‘นาย’ ก็กำลังจะหนีไปแล้วด้วย” ชายหนุ่มหนึ่งในสี่นั้นพูดบอกออกมาโดยไม่ต้องถามต่อ

สุดฟ้างุนงงตามเรื่องไม่ทัน

“งั้นพวกคุณก็รีบไปซะ” มาริเอะไล่ก่อนหันมาหาชวิศา “คุณชวิศาครับช่วยตามหามิสเตอร์ฟาซองส์ให้ที”

ถึงสเตบาสเตียนจะส่งพิกัดของดิจิตอลไลต์มอนิเตอร์มาให้แต่มันไม่ใช่ตำแหน่งที่แน่ชัด มาริเอะแค่เพียงวิเคราะห์ผังอาคารเพื่อหาเปอร์เซ็นต์ความเป็นไปได้เท่านั้น

ด้วยความสามารถของซูเปอร์คอมพิวเตอร์อย่างหุ่นยนต์พ่อบ้าน การสแกนและสร้างแบบจำลองผังอาคารหลังนี้จึงเป็นเรื่องง่ายเพียงแต่ต้องใช้เวลาเล็กน้อย ตั้งแต่ที่พวกเขาถูกพาตัวมาถึงสเตบาสเตียนก็เริ่มทำงานมาตลอด

หรือว่ากันตามจริงมาริเอะเริ่มทำตามแผนตั้งแต่ที่พบอัลเบียที่ร้านอาหาร

“ตามมันไปเลยครับ” ชวิศาพูดหลังใช้มนตราบันดาลให้เกิดผีเสื้อตัวน้อยคอยบินนำทางทว่าคราวนี้มันกลับเคลื่อนที่ได้เร็วกว่าครั้งที่ตามหากรินและสุดฟ้ามากนัก

มันบินขึ้นไปชั้นบนและหยุดที่หน้าประตูห้องหนึ่ง มาริเอะเปิดประตูเข้าไปอย่างไม่รอช้า ปรากฏว่าอัลเบียกำลังก้าวเข้าไปในวงเวทมนตราเพื่อหลบหนีพอดี

สเตบาสเตียนโยนร่างที่แบกอยู่ลงกับพื้นกระโจนตัวพุ่งเข้าไปหาชายหนุ่มที่กำลังร่ายเวท ครั้นฝ่ายนั้นเสียสมาธิวงแหวนเวทจึงหายไปและอัลเบียก็ถูกดีดกลับออกมาจากช่องว่างเคลื่อนที่ เป็นจังหวะเดียวกับที่มาริเอะเข้าไปประชิดตัวนำปืนจ่อศีรษะอีกฝ่ายไว้ วินาทีต่อมากลุ่มคนซึ่งถืออาวุธครบมือก็กรูเข้ามาในห้องทว่าพวกเขาตรงเข้าไปจับกุมอัลเบียและพวก

สุดฟ้าได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความงงงวยไม่เข้าใจ

มาริเอะเดินกลับมาหาพร้อมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชิ้นเล็ก เมื่อมันถูกยื่นส่งมาให้ สุดฟ้าก็รับไว้

“ฉันเตรียมเรือไว้ให้แล้ว” ธัชนนท์พูดพลางรุนหลังให้เขาเดินออกไปด้านนอกและเมื่อชวิศาเห็นพี่ชายจึงตรงเข้าไปหาเพียงแต่โยธินกลับตรงเข้ามาหาสุดฟ้าด้วยสีหน้าถมึงทึง

“ฉันไม่ประทับใจเลยนะที่นายพาน้องชายของฉันมาเสี่ยงอันตรายอย่างนี้”

“พี่โย คุณสุดฟ้าเขาไม่ตั้งใจหรอก”

“อีกอย่างนี่ก็เป็นแผนของผม” มาริเอะพูดเสริม โยธินถึงกับอึกอักจะต่อว่าก็ทำไม่ได้เต็มปาก

“เอ่อ... แบบนะ แบบว่า... ช่วยอธิบายให้เข้าใจหน่อยได้ไหมว่าเรื่องมันเป็นไงมาไง คือต่อให้ฉันฉลาดแต่ก็ไม่ได้ขี้มโน มาแบบอย่างนี้คือไม่รู้เรื่อง”

“อ้าว! นี่แกยังไม่รู้เรื่องอีกเหรอ” ธัชนันท์ทำหน้าตาเหลอหลาที่ดูออกว่ากำลังโกหกและขำขัน

สุดฟ้าจึงอ้าปากด่าแบบเต็มคำ

“ไอ้สถุล ไอ้ซกมก ##$$%%#@#$$” ธัชนันท์ด่ากลับไปยาวเหยียด

แฝดผู้พี่ยกมือขึ้นกุมขมับก่อนโบกมือห้ามทั้งคู่ “พอเถอะ เดี๋ยวฉันจะเล่าให้แกฟังเอง” เขารุนหลังให้น้องชายและสุดฟ้าเดินนำไป

“แต่คิดว่าแกก็น่าจะรู้คร่าว ๆ เพราะเห็นมาริบอกว่าคุยกับแกไว้แล้ว”

สุดฟ้าจึงหันไปหาหุ่นยนต์ของตน

“อย่างที่ผมบอกไว้ตอนแรกว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นใคร พอได้เจอหน้าผมก็สั่งให้สเตบาสเตียนจับภาพใบหน้าค้นหาเปรียบกับฐานข้อมูลทุกประเทศแล้วก็พบว่ามิสเตอร์ฟาซองส์เป็นผู้ผลิตอาวุธผิดกฎหมายรายใหญ่ แล้วส่งข้อมูลพวกนี้ไปให้คุณโยธินกับเลขาของคุณธัชนนท์”

“ทำไมฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลย”

“แกเป็นนกต่อไง” ธัชนันท์ตอบ “ไม่รู้อะไรเลยแกจะได้เป็นตัวเองเต็มที่”

“แล้วเรือ?” สุดฟ้าถามต่อ

“มาริบอกพวกฉันว่า แกอยากเฟดตัวไปหาที่อยู่เงียบ ๆ พอดีว่าฉันมีเกาะส่วนตัวอยู่เลยจะยกเกาะนั้นให้แก ที่เกาะนั่นฉันสร้างบ้านพักไว้แล้วแต่ข้าวของอื่น ๆ ต้องรออีกหน่อยฉันจะทยอยขนไปให้” แฝดพี่พูดจบแฝดน้องจึงพูดต่อ

“ไม่ต้องห่วงนะ เกาะนั้นพวกฉันยกให้แลกกับหุ่นยนต์ที่แกสร้าง”

“เกาะมันถูกขนาดนั้นเชียว”

สองพี่น้องยกยิ้มหวานที่สุดฟ้ารู้สึกเสียวสันหลัง ก่อนโดนตัดบทด้วยการถูกรุนหลังให้ขึ้นเฮลิคอปเตอร์และถึงธัชนนท์จะบอกว่าเตรียมเรือไว้ให้ อีกฝ่ายยังต้องพาเขาเปลี่ยนขึ้นเครื่องบินมาลงอีกที่แล้วถึงจะได้ขึ้นเรือ มิหนำซ้ำเกาะส่วนตัวที่ว่ายังไกลชนิดที่ต้องอยู่บนเรือเป็นสัปดาห์

“บ้าหรือเปล่าวะ ไกลขนาดนี้ถ้าอาหารการกินหมดจะทำยังไง” สุดฟ้าร้องถามหลังลงจากเรือเล็กมาเหยียบผืนทรายละเอียดสะอาดตา ทะเลต้นไม้สวยงามดีนะแต่วังเวงว่างเปล่าจนน่าเบื่อกระนั้นกลับมีคนที่ตื่นเต้นอยู่เหมือนกันอย่างเช่นชวิศา ที่วิ่งไปวิ่งมาไม่หยุด

“แกก็ซ่อมมอเตอร์สเปซดิ”

“ฉันไม่อยากอยู่แล้วว่ะ กลับดีกว่าอยู่ที่นี่จะไปงานคิกขุแมนเฟสติวัลก็ไม่ได้”

“ซีก็อยู่กับแก มันน่าจะมีเวทมนตร์ที่ทำให้เดินทางไปโน่นไปนี่ด้วยพริบตาเดียวอยู่ไม่ใช่เหรอ” ธัชนันท์เสนอความคิดเห็นพลางเดินนำไปตามทางเทปูนตรงไปสู่บ้าน

“สวยจัง” ชวิศาร้องบอก

“จ้างบริษัทของพี่โยมาทำให้” ธัชนนท์บอก

รูปทรงคล้ายกระท่อมไม้ชั้นเดียวแต่เสริมความโมเดิร์นด้วยกระจกใสที่ทำให้บ้านโล่งโปร่ง มีชานด้านนอกให้นั่งเล่นแบบใกล้ชิดธรรมชาติ แถมท้ายด้วยลานหินกรวดสำหรับแคมป์ปิ้ง

“คุณสุดฟ้าอยู่ที่นี่กันสักพักเถอะ ถ้าเบื่อเมื่อไหร่เราค่อยกลับกันนะครับ” ชวิศาพยายามอ้อนสุดฤทธิ์ สุดฟ้าจึงพยักหน้ารับอย่างจำยอม

ธัชนนท์จึงหันไปสั่งให้คนขนของสดขึ้นมาพร้อมกับพากลุ่มเพื่อนสนิทเดินชมบ้านซึ่งมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันทั้งไฟฟ้า โทรทัศน์ เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น รวมถึงอุปกรณ์ทำครัวทั้งหลายและเมื่อพามาชมถึงห้องครัว แฝดพี่สั่งให้สเตบาสเตียนทำอาหาร ขณะที่แฝดน้องพาสุดฟ้าไปนั่งหน้าจอโทรทัศน์พลางต่อสายเล่นเกม

กิจวัตรทุกอย่างไม่ต่างกับตอนที่เขาอยู่บ้าน ชายหนุ่มจึงรู้สึกวางใจและปล่อยตัวให้ผ่อนคลาย หลังสองพี่น้องสุวราลักษณ์ทานอาหารเสร็จพวกเขาไปขึ้นเรือเพื่อเดินทางกลับ

และเมื่อยามอาทิตย์อัสดงมาเยือนทั้งชวิศาและมาริเอะได้จูงมือเขาให้ไปดูพระอาทิตย์ตกด้วยกัน เว้นแต่สเตบาสเตียนที่โดนสั่งให้รออยู่ที่บ้าน

“ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันอย่างนี้ก็ดีเหมือนกันนะครับ” ชวิศาพูดขณะกอดแขนซบศีรษะพิงหัวไหล่เขาไว้ ส่วนอีกข้างเป็นตำแหน่งของมาริเอะ

“นั่นสิ นั่นสิ”

“เหมือนมาฮันนีมูนเลย”

“คุณชวิศาพูดอะไรแบบนั้น” มาริเอะตอบกลับด้วยท่าทางเขินอาย “ไหน ๆ เกาะนี้ก็มีแต่พวกเรา มาลองทำแบบเอาต์ดอร์ดีไหมครับ”

“เฮ้ย!!!” สุดฟ้าร้องแต่ชวิศากลับบอกว่าจะดีเหรอด้วยเสียงอ้อมแอ้มเหมือนเห็นด้วย

“บ้าเหรอ ไม่อายผีสางเทวดาหรือไง” สุดฟ้าพูดขัด

“ด็อกเตอร์เชื่อเรื่องแบบนั้นด้วยหรือครับ”

“ไม่ล่ะแต่เกาะนี้เป็นของเจ้าพวกนั้น ไม่ใช่ว่ามันจะติดกล้องเกิ้งไว้”

“ถ้าอย่างนั้นในบ้านคงไม่ปลอดภัยเหมือนกัน” ชวิศาพูด

“ผมลองตรวจสอบดูแล้วครับ ไม่มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใด ๆ ถูกติดตั้งอยู่แถวนี้แน่ ทำนะครับ” มาริเอะอ้อนตาใสด้วยท่าทางที่ลอกเลียนมาจากชวิศาแทบทุกกระเบียดนิ้วก่อนผลักชายหนุ่มร่างสูงให้นอนลงกับผืนทรายพร้อมกดริมฝีปากจูบอย่างรวดเร็ว

“คุณมาริ” แฝดคนละฝาอย่างชวิศาร้องเรียกท่าทีขัดเขิน มาริเอะผละตัวออกขยับไปจัดการปลดอาภรณ์ท่อนล่าง

“เฮ้ย! ใจเย็น ๆ ก่อน” สุดฟ้าใช้แขนยันตัวลุกขึ้นห้ามปรามทว่ามาริเอะกลับสั่งให้ชวิศาขึ้นมานั่งคร่อมทับอกเขาไว้

“คุณชวิศาทับไว้ครับอย่าให้ด็อกเตอร์ลุกขึ้นมาได้” จากนั้นเขาก็โดนจัดการทั้งมือและปากแล้วสุดฟ้าจะขัดขืนอะไรได้นอกจากส่งเสียงคราง

“อ๊าง~”


-   จบละจ้า -

*//ทุกท่านอาจจะรู้สึก อ้าว! เฮ้ย! เอางี้เลยเหรอ อืม...แบบว่าเรากำลังหาทางจบ ในเมื่อจบได้ก็รีบจบซะ ขอบคุณทุกท่านค่ะที่ให้ความกรุณาติดตามอ่านมาจนถึงตอนจบ กราบขอบพระคุณอีกครั้งค่ะ//*

ออฟไลน์ Gatjang_naka

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ต่อก่อนได้ไหมคะ อย่าแพลนมุมกล้องฉากสุดท้าย :hao7:

ออฟไลน์ abcee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
ตอนเห็นชื่อของนิยายเรื่องนี้ ก้อหลงคิดว่าแนวน่ารักขำขันเฉยๆ แต่มันไม่ใช่อ่ะ มันมีทุกแนวๆ เลยอ่ะ แล้วมันก็สนุกมากๆด้วย มี51ตอนให้อ่าน แต่ละตอนก็ยาวมากแต่ไม่เยินเยอ ชอบมากเลย ให้คะแนนเต็มเลยจ้า ใครที่ไม่ได้อ่านนิยายเรื่องนี้ ต้องอ่านเลยมีทุกรสชาติจริงๆ

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ สีหราช

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด