❀ สาปดอกแก้ว ❀ จบแล้ว >> แจ้งข่าวเปิด Pre-Order 3 มิ.ย. ถึง 3 ก.ค 61 หน้า 9 <<
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❀ สาปดอกแก้ว ❀ จบแล้ว >> แจ้งข่าวเปิด Pre-Order 3 มิ.ย. ถึง 3 ก.ค 61 หน้า 9 <<  (อ่าน 38507 ครั้ง)

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
ถึงปริศนาจะเริ่มคลายขึ้นเรื่อยๆแต่เรื่องคำแช่งนี่ก็จะไม่แน่ใจอยู่ดีว่าเกิดจากใครกันแน่ เกิดจากมณีกับบัวจริงเหรอ หรือเกิดจากการไม่ซื่อสัตย์กับคำสาบานของท่านอา

ออฟไลน์ pui_noizๆ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เราขอถามนิดเดียวด้วยความไม่รู้หรือเข้าใจผิดไปเอง...
อย่างแก้วนี่ไม่ได้เรียกตายโหงหรือฮะ? ความเข้าใจ ตายโหงคือ ตายอย่างผิดธรรมชาติประมาณ อุบัติเหตุ ฆาตกรรม หรือ อัตวินิบาตกรรม ที่ไม่ใช่ป่วยตายเพราะโรคหรือชราภาพ เลยเข้าใจว่าการที่แก้วโดนวางยาจนเสียชีวิตนั้นคือตายโหง
ขอบคุณฮะ...

ออฟไลน์ Mod40

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
รออยู่คับบบ  :call: :katai5:

ออฟไลน์ Keiji

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
สงสารคุณแก้วจริงๆ

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
ตอนที่ ๑๕ 
ภูวรินทร์ปวดเมื่อยตามร่างกายไปหมด พอลืมตาขึ้นมาเขาพบว่าอินทนิลยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียง บอกไม่ถูกว่านั่นใช่อินน์หรือว่าเป็นคุณแก้วกันแน่ อาการปวดศีรษะทุเลาลง ได้กลิ่นหอมอ่อนๆของข้าวต้นหมูเช่นเคย เหลือบสายตาไปเห็นถาดวางถ้วยข้าวต้มที่มาของกลิ่นบนโต๊ะ

“เป็นยังไงบ้าง”เป็นลักษณะการพูดของคุณแก้ว เขามองร่างของเด็กหนุ่มที่จ้องมองมา นัยน์ตาอ่อนโยนแสดงความห่วงใย

“ก็ดีขึ้นบ้าง...ว่าแต่มันเกิดอะไรขึ้นครับ”ภูวรินทร์ค่อยๆยันร่างขึ้นมานั่ง สีหน้าที่เป็นของอินทนิลดูผ่อนคลายลง ยื่นมืออุ่นเข้ามาสัมผัสกับท่อนแขนของเขาเป็นการปลอบประโลม

“เราเจอของส่วนตัวของท่านอา พวกจดหมายเก่าๆ เราเลยเอาไปให้บัว...ษอรอ่าน เผื่อว่าเธอจะให้อภัยท่านอาได้”คุณแก้วตอบ ภูวรินทร์ถึงกับเครียด เขาลุกออกจากเตียง เหมือนว่าร่างกายเริ่มมีเรี่ยวแรงมากกว่าก่อนหน้านั้น คุณแก้วเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาให้ ชายหนุ่มขอตัวไปอาบน้ำก่อน เห็นคุณแก้วเก็บผ้าห่มให้ตนแล้วรู้สึกแปลกไป ก้นบึ้งในใจอุ่นซ่านขึ้นมาทีละน้อย ความห่วงใย เอาใจใส่ของอีกฝ่ายทำให้เขาใจอ่อนลง รวมถึงน้ำตาของอีกฝ่ายด้วย คล้ายกับมันหยดลงหัวใจของตน กัดเซาะจนเขาเองรู้สึกเจ็บปวดไปด้วย

ภูวรินทร์เลิกคิดมากเรื่องคุณแก้ว อีกฝ่ายไม่ใช่ใครอื่น เขายอมรับโชคชะตานี้ไว้แล้ว ทั้งคุณแก้วกับอินทนิล

เมื่อกลับออกมาจากห้องน้ำ เขาแต่งตัวด้วยความรวดเร็ว ช่วงที่เขานอนพักผ่อนไปเกือบครึ่งเช้า ตอนนี้เวลาคล้อยบ่ายโมง อากาศภายในห้องไม่อบอ้าว สายลมเอื่อยๆพัดเข้ามาจากหน้าต่าง ทำให้เขารู้สึกเย็นขึ้นมาบ้าง ส่วนคุณแก้วนั่งอยู่ที่โต๊ะทรงกลมริมห้อง บนโต๊ะมีถ้อยข้าวต้มกับยา ชายหนุ่มเดินไปหา เขานั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับอีกฝ่าย ข้าวต้มยังไม่หายร้อน เหลือบมองคุณแก้ว เจ้าตัวมองเขาทุกอิริยาบถจนเป็นเขาซะเองที่กระดากอาย

“คุณทานข้าวหรือยังครับ”เขาถาม เด็กหนุ่มค่อยๆยิ้ม วางมือลงบนโต๊ะ “เราทานเรียบร้อยแล้วล่ะ”

 “คุณคิดว่าป้าษอรจะยอมให้อภัยท่านหมื่นไหม”ภูวรินทร์ถือโอกาสถามเรื่องของป้าษอรขึ้นมา คุณแก้วเงียบไปอึดใจเดียว สบตากับเขาก่อนจะเอ่ยช้าๆ

“เท่าที่ดูแล้ว... เธอมีท่าทีอ่อนลงเยอะมาก หากว่าบัววางความแค้นลง ก็คงง่ายขึ้นเยอะ”คุณแก้วตอบ เขาพยักหน้า นั่นสิ ในตอนนี้ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของป้าษอร

“คุณว่าเพราะคำสาบานของท่านหมื่นหรือเปล่า เลยทำให้ผมมาเกิดในชาตินี้”

“เป็นไปได้ เราคิดว่ามันเกี่ยวพันกันหมดนะ คำสาบานที่ให้ไว้กับเรา คำแช่งของมณี และของบัว”คุณแก้วเอ่ย ใบหน้าไม่ปรากฏความรู้สึกใด ชายหนุ่มนิ่งเงียบ เขาเคยคิด ถ้าหากว่าคำสาปสิ้นสุดลงที่เขา อินทนิลและคุณแก้ว เรื่องราวมันจะลงเอยเช่นไร สิ่งเหล่านี้ทำให้ภูวรินทร์กลัวเหลือเกิน เขาไม่อาจวางใจได้

“ทุกอย่างจะไม่เป็นอะไรใช่ไหม”เขาวางช้อนลง รู้สึกไม่อยากอาหารอีกต่อไป เขาหยิบน้ำมาดื่ม คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาเพียงแค่ยิ้ม แววตาสงบนิ่ง

“คุณอย่าคิดอะไรที่มันบั่นทอนจิตใจเลยดีกว่า ในตอนนี้ทุกอย่างไม่มีอะไรน่ากลัว”คุณแก้วเอ่ยบอกด้วยความปลอบประโลม น้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนสายน้ำอุ่นๆผ่านร่างกาย ชายหนุ่มเม้มปาก พยายามเลิกฟุ้งซ่าน เขาทานยาไปสองสามเม็ด ก่อนจะดื่มน้ำจนหมดแก้ว

 “แล้วคุณไม่เป็นอะไรนะครับ”เขาเอ่ยถาม เมื่อสังเกตว่าใบหน้าของอีกฝ่ายดูซีดเซียวไปเหมือนกัน ร่างกายของอินทนิลในตอนนี้ดูจะซูบผอมกว่าเมื่อสองเดือนก่อนอยู่มาก

“เราสบายดี ท่านอย่าห่วงเลย”คุณแก้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม แต่เขาเห็นเศษเสี้ยวของความกังวลปรากฏอยู่ในแววตาสีนิลก่อนจะกะพริบหายไป

“พรุ่งนี้เช้าเราจะใส่บาตร คุณเองก็มาด้วยกันสิ เราไม่เคยตักบาตรร่วมขันกันมาก่อนเลยนะ”คุณแก้วเอ่ยต่อ เก็บถ้วยข้าวต้มที่ยังเหลืออยู่วางบนถาดพลาสติก ชายหนุ่มพยักหน้า ตั้งแต่มาที่บ้านหลังนี้เขาไม่เคยใส่บาตรไหว้พระตอนเช้าสักคราวเดียว

“ก็ดีครับ ผมเองจะได้สบายใจขึ้น”

หลังจากนั้นที่ภูวรินทร์ออกจากห้องนอน ลงไปเดินยืดเส้นยืดสายเพื่อออกมาผ่อนคลาย คุณแก้วตามติดเขาไม่ห่างไปไหน แต่เขาไม่นึกรำคาญอะไร เขาเดินผ่านโถงใหญ่ชั้นล่างไปยังประตูหลังบ้านเพื่อไปยังเรือนกระจก พอก้าวเท้าออกมาด้านนอก แสงแดดกัดกินผิวหนัง ดวงอาทิตย์เหนือศีรษะสว่างจ้า ต้นไม้รอบรั้วสูงคอยบดบังทำให้รอบเรือนกระจกดูร่มรื่นขึ้นมาได้ เขาเดินมาที่หน้าประตู บริเวณข้างคัวเรือนกระจกยังคงมีกระถางดอกไม้หลายชนิด รวมไปถึงกระสอบปุ๋ยวางซ้อนกันเป็นชั้น คุณแก้วหยุดเดิน สายตามองดอกสีขาวของดอกราชาวดี พวงมณีและดอกพุดซ้อน

“ต้นไม้ที่เหลืออยู่คุณว่าเอาไปทำอะไรดี ผมไม่อยากเอาไปทิ้งขว้าง”ชายหนุ่มหันไปถามความเห็นของอดีตเจ้าของสวนอย่างคุณแก้ว ร่างที่เตี้ยกว่าจ้องมองดอกไม้อย่างพิจารณา แขนทั้งสองไพล่อยู่ด้านหลัง

“อืม...น่าเสียดายเช่นกัน เอาไปไว้ในสุสานดีไหม ที่นั่นออกจะเงียบเหงา แถมยังไม่เจริญตา”คุณแก้วเอ่ยอย่างไม่นึกชอบ เจ้าตัวย่นจมูกระหว่างพูด ภูวรินทร์หัวเราะออกมา

“ก็สุสานนี่ครับ แต่ก็ดีเหมือนกัน เอาของสวยๆงามๆไว้จะได้ไม่น่ากลัว”เขาบอกอย่างเห็นด้วย คุณแก้วหันมองเขาด้วยสีหน้ายินดี แววตาประกายสุกใสออกมา ร่างของเด็กหนุ่มขยับเข้ามาหาก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงต่ำลง

“เราไม่มีโอกาสถามท่านเลย ตั้งแต่คุณมาอยู่บ้านหลังนี้ เคยเจอวิญญาณไหม”ถ้อยคำของอีกฝ่าย ฉุดให้ใจของภูวรินทร์ดิ่งลงทันที เขาก้มมองเด็กหนุ่มที่มีท่าทีนิ่งสงบ

“ผีสางน่ะเหรอ...ไม่เคยเลยครับ ผมเจอแค่ในฝัน....ทำไมเหรอ”เขาเอ่ยถาม คุณแก้วยังคงจ้องมองเขาด้วยแววตาเรียบเฉยจนต้องรู้สึกอึดอัดขึ้นมาอีกรอบ ริมฝีปากบางค่อยๆเอ่ยคำออกมา

“หมายถึงผีผู้อื่น”

“ผู้อื่น...หมายถึงใครกัน”ชายหนุ่มขมวดคิ้ว รู้สึกว่ารอบกายหนาวเย็นลงทั้งๆที่ยังกลางวันแสกๆ เขาไม่ปฏิเสธว่าบ้านหลังนี้ปกติ เพียงแต่ว่าในเวลากลางวันมันทำให้เขาอุ่นใจมากกว่าเวลากลางคืน แต่พอคุณแก้วเอ่ยแบบนี้เข้า เขาเกิดอาการหลอนขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่ไม่ได้รู้สึกเช่นนี้มานาน

“ก็มณีไง นางไม่ได้กลับมาเกิดใหม่”คุณแก้วเอ่ยอย่างเย็นชา ทำเอาชายหนุ่มพูดไม่ออกไปอยู่นาน หวนนึกถึงเรื่องราวเก่าๆของมณีแล้วก็อดเห็นใจไม่ได้ โดยเนื้อแท้แล้วนางไม่ได้เป็นคนโหดร้าย...เขาหลับตาลง นึกแปลกใจอยู่บ้าง ว่าเหตุมดมณีถึงไม่จากไปไหน

“...คุณรู้ได้ยังไงกัน”ภูวรินทร์พึมพำ จ้องมองคนข้างกายอย่างสงสัย คุณแก้วยิ้มมุมปาก ยกแขนขึ้นมากอดอก เหลียวมองไปรอบตัวบ้านอย่างใจลอย ก่อนที่จะเอ่ยคำตอบที่ทำให้เขานึกกลัวขึ้นมาได้ไม่น้อย

“รอคืนนี้เถิดแล้วคุณจะเห็น”

ภูวรินทร์ชาวาบ เหลือบมองเด็กหนุ่มทันที คุณแก้วยิ้มอย่างผ่อนคลาย เอื้อมมาจับมือเขาอย่างแผ่วเบา

“อย่ากลัวไปเลย นางไม่ได้มาร้ายนักหรอก”พอเอ่ยถึงมณียังไม่ไปไหนทำให้เขาขนหัวลุก

“คุณทำให้ผมกังวลนะ...แล้วเธออยู่ที่ไหนกัน...”ภูวรินทร์เอ่ยเสียงแหบแห้ง ในใจนึกหวั่นกลัวคำตอบของอีกฝ่าย คุณแก้วมองเขาอย่างนึกสนุก เพราะแววตาที่เป็นประกายคู่นี้กำลังหยอกล้อเขาอยู่

“...บอกไป เดี๋ยวท่านจะคิดมาก เอาเป็นว่านางไม่ได้อยู่ในบ้านหรอก อีกอย่างเราก็เพิ่งรู้ได้ไม่นาน มั่นใจก็ตอนที่ออกไปสุสาน”คุณแก้วเอ่ย ภูวรินทร์ไม่คิดจะถามต่อ เขาเดินไปหาลุงชมที่สวนหน้าบ้าน สั่งแกให้เอาดอกไม้ที่ยังเหลือไปปลูกที่สุสานให้เรียบร้อย ลุงชมรับคำ ไม่วายหันไปจ้องคุณแก้ว ร่างของอินทนิลโดยไม่วางตา ชายหนุ่มแอบขำในท่าทีของอีกฝ่าย คุณแกวหันมายิ้ม “ดูเหมือนว่าพวกคนรับใช้จะกลัวเราน่าดู”

“เพราะเรื่องเล่าลือของคุณน่ะสิ”เขาบอก เดินไปนั่งที่เก้าอี้ หันหน้าไปทางบ่อน้ำพุที่มีสายน้ำพุ่งออกมาจากโถของเทวดาที่อุ้มมันอยู่ เสียงน้ำกระเซ็นทำให้เขาผ่อนคลายความกังวลไปได้ เด็กหนุ่มเดินมานั่งเก้าอี้ทางซ้ายมือของเขา

“คุณรู้อยู่แล้วหรือเปล่า ว่าผมจะกลับมาที่บ้านหลังนี้”ภูวรินทร์เอ่ยถาม เขาอยากรู้เรื่องของคุณแก้วให้มากขึ้น ไม่ใช่เรื่องในอดีต อีกฝ่ายเท้าแขนมองเขาอย่างพิจารณา

“รู้สิ...ตลอดเวลาที่ติดอยู่ในบ้านหลังนี้ เรารับรู้ว่าท่านกำลังจะมาเกิด และกลับมายังบ้านหลังนี้อีกครั้ง”

“เลยช่วยอินทนิลด้วยใช่ไหมครับ”เขาพูดออกมา คงไม่ใช่เพราะคุณแก้วแค่มีใจเมตตาอยากจะช่วยญาติของตนเองเท่านั้น เป้าหมายของคุณแก้วคือกลับมาเจอท่านหมื่นนรินทร์อีก ซึ่งก็คือเขา

“...ใช่...แต่ต่อให้อินทนิลไม่ป่วยตาย เราก็สามารถเจอท่านได้อยู่ดี”คุณแก้วเอ่ย น้ำเสียงไม่สู้ดีนัก

“ด้วยวิธีไหน”

“หลอกลวงท่าน เหมือนใครๆเขาลือไง เป็นผีสิง ทำให้ติดอยู่ในบ้านหลังนี้ไปตลอดกาล”คุณแก้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา ชายหนุ่มมองคนพูดอย่างค้นหา อีกฝ่ายดูไม่เอาจริงเอาจังกับถ้อยคำนี้นัก แต่ลองคิดอีกที คุณแก้วก็จงใจจะหลอกล่อเขาอยู่แล้ว

“ไม่รู้ว่าโชคดีหรือร้ายนะ”เขาบ่นพึมพำ คุณแก้วหัวเราะออกมา

“คงเป็นเวรกรรมมากกว่าที่ทำให้อินน์ต้องตาย จนทำให้เราต้องมาอยู่ในร่างนี้ด้วย เป็นเจตจำนงชั่วร้ายของผู้สาปแช่ง มณี...ไม่ยอมให้เราได้ผุดได้เกิด นางจึงไม่จากไปไหนด้วยเช่นกัน”

“แล้วคุณว่ามันสาสมกันหรือไม่ล่ะ”เขาถาม นึกถึงมณีที่สูญเสียลูกไป

“นางมีจิตอาฆาตสาปแช่งเรา สาปแช่งท่าน การที่นางแท้งเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เป็นกรรมของบัว ซ้ำนางยังสร้างกรรมเพิ่มด้วยการฆ่าเรา...หากเทียบกับเราแล้วถือว่าสาสมกัน”คุณแก้วเอ่ยอย่างไม่แยแสกับเรื่องราวของมณี ภูวรินทร์มองใบหน้าว่างเปล่าของคนข้างกายแล้วก็สะท้อนใจ อยากบอกอีกฝ่ายไปว่าอย่าได้ถือโทษกับเรื่องเก่าๆ

“มันผ่านมาแล้ว”เขาเอ่ยเตือน คุณแก้วหันมองมาทางเขา แววตากลับมามีชีวิตชีวา เจ้าตัวยิ้มเศร้า “นั่นสิ การยึดติดเช่นนั้นเป็นดาบสองคม เหมือนที่บัวเป็น เราไม่อยากเป็นเช่นนั้น ไม่ยอมละไปไหน”คุณแก้วเอ่ย

“ผมเชื่อว่าคุณเป็นคนที่น่านับถือ”

“หึหึ เป็นคนอ่อนแอต่างหาก แต่ช่างเถอะ พอได้ออกมานั่งด้านนอกแล้ว รู้สึกดีไม่น้อย”คุณแก้วยิ้มแย้ม เขามองอีกฝ่ายด้วยความพอใจ

ทั้งสองคนเงียบเสียงลง ได้แต่จ้องมองกันเงียบๆ ส่วนป้าษอรหายเงียบไปเลย ชายหนุ่มไม่อยากเร่งรัดอะไรปล่อยให้ป้าษอรใช้เวลาทบทวนความรู้สึกเอง แม้ใจปั่นป่วน คุณแก้วจึงได้แต่กล่าวปลอบใจ

“ต้องให้เวลาษอรทบทวนทุกสิ่ง ปล่อยเธอไว้แบบนั้น หากพร้อมคงเข้ามาคุยกับเราเอง”


ตะวันจมหายไปพร้อมกับแสงเปลี่ยนความมืดเข้ามาแทนที่ อากาศคืนนี้ดูจะหนาวเย็นเป็นพิเศษ ภูวรินทร์ออกมาจากห้องน้ำ เห็นอินทนิลกำลังจัดเตียงอยู่ อีกฝ่ายหันหน้ามายิ้มให้เขา ก็พบว่ารอยยิ้มนั้นสดใสราวกับเด็ก คนบนเตียงคืออินทนิล “คืนนี้อากาศเย็น อินน์เอาผ้าห่มมาเพิ่ม”เจ้าตัวเอ่ย เขาเดินผ่านเตียงใหญ่ไปยังหน้าต่าง เอื้อมมือออกไปปิด  เหลือบไปมองทางเรือนเล็กหลังข้างๆอย่างเคยชิน บ้านหลังเก่ายังคงเงียบสงัด เสียงลม ใบไม้ได้ยินอยู่เนืองๆ ชายหนุ่มละสายตากลับมาดึงบานประตูเข้าหาตัวเอง สายตาสะดุดกับทางริมรั้วสูง อยู่ตรงทางเข้าสวนหน้าบ้าน ที่ผ่านมาภูวรินทร์ไม่เคยมองเพ่งพินิจเท่าวันนี้ ร่างกายแข็งทื่อเมื่อพบว่าเงาที่วูบไหวนั้นมีอยู่จริง

ภูวรินทร์กะพริบตา จ้องมองเงาดำที่ยืนนิ่งอยู่บริเวณหน้าประตูรั้ว เงาสูงเป็นทรวดทรงของหญิงสาว ชายหนุ่มพลันหดหู่ รีบปิดหน้าต่างทันที หมุนตัวกลับไปมองที่อินทนิล เด็กหนุ่มไม่มีรอยยิ้ม

“เธอเห็นด้วยหรือเปล่า”เขาเอ่ยถาม เดินถอยห่างจากหน้าต่าง อ้อมมานั่งที่เตียงนอนอีกฝั่ง อินทนิลยกมือลูบท้ายทอย ทำหน้าไตร่ตรอง

“ครับ...เพิ่งมาเห็นได้ไม่กี่วันเอง สงสัยว่าหล่อนคงอยู่ตรงนั้นมานานแล้ว”

“...งั้นเหรอ...”เขานิ่งไป รู้สึกแปลกพิกลเมื่อนึกถึงว่ามณียืนอยู่หน้าประตูรั้วอยู่ตลอดเจ็ดสิบกว่าปีที่ผ่านมา เด็กหนุ่มมองเขาอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยถาม “กลัวหรือเปล่าครับ”

“ก็นิดหน่อย”ชายหนุ่มหัวเราะในความขี้ขลาดตาขาวของตนเอง

“หล่อนเข้ามาไม่ได้หรอก ต่อให้ว่าครั้งหนึงเคยอาศัยอยู่ที่นี่ก็ตาม”อินทนิลบอก ชายหนุ่มไม่ติดใจอะไรกับเงาดำนั้น มีอินทนิลอยู่ข้างกายเขาก็เบาใจไปบ้าง เขาหยิบผ้าห่มออกมากางเป็นผืนใหญ่
 
“พรุ่งนี้ไปใส่บาตร ก็ทำบุญไปให้เธอก็แล้วกัน”ภูวรินทร์บอกก่อนจะล้มตัวลงนอนช้าๆ เขาดึงผ้าห่มมาจนถึงหน้าอก เหลียวมองเด็กหนุ่มที่นำดอกไม้ไปวางบนพานเช่นเคย เขาไม่แน่ใจว่าการบูชาพวกนี้มันส่งผลต่อสิ่งใดหรือไม่ หรือทำเพื่อความสบายใจของอินทนิลเอง เขาหลับตาลง หวังว่าฝันร้ายจะหายไปจากนินทราของตนเองสักที


ภูวรินทร์กึ่งหลับกึ่งตื่น รู้สึกว่าร่างกายไม่สบายตัว ร่างกายเหนียวเหนอะหนะราวกับอยู่ในที่ไม่สะอาด อาการบีบรัดที่หน้าอกกำลังกัดกินเขา จนเจ็บไปทั้งตัว เขาลืมตาขึ้นมาอย่างเจ็บปวด อ้าปากหายใจกอบโกยอากาศเข้าปอด อาการเสียดแน่นไม่คลายไปไหน

สองตามองเห็นเพียงความมืด สองหูได้ยินเสียงลั่นของไม้กระดาน เขาสับสน ตะเกียกตะกายลุกขึ้นนั่ง เขามองไม่เห็นราวกับว่าอยู่ในคืนอันมืดมิดไร้แสง แต่ทว่าร่างกายตอบสนองต่อสิ่งรอบตัว หูได้ยิน รับรู้สัมผัส เขาหัวรีหันขวาง ยื่นมือออกไปรอบๆ ปัดป่ายเจอกับความว่างเปล่า

“อินน์”เขาร้องเรียกอย่างหาทางออก เขามองไม่เห็น ทรุดตัวลงนั่งอยู่กับที่ ในหัวคิดอะไรไม่ออก เขาคลานไปช้าๆอย่างไม่รู้จุดหมาย

“ฉันสัญญาว่าจะรักแก้วเพียงคนเดียว”
“ฉันรักแก้ว”
“แกจำคำของฉันไว้ ไม่มีวันที่แกจะอยู่อย่างสงบ ท่านจะต้องทุกข์ใจไปจนตาย ลูกหลานไม่เหลียวแล ท่านจะไม่มีวันสมหวังอีกในชั่วชีวิตของท่าน อย่าหวังว่าท่านจะได้สมใจ”


ถ้อยคำในอดีตดังลั่นในความมืดกดดันให้ภูวรินทร์ไม่กล้าแม้แต่ขยับกาย สองตาหลับลง เขากลับต้องมาทรมานกลับเรื่องในอดีตอีกแล้วงั้นหรือ ...อย่างไม่จบไม่สิ้นเช่นนี้ เพราะคำสาปที่ฝังแน่น คนแช่งชักไม่ได้ตายจากไปไหน ยังคงอยู่ราวกับรอจุดจบสุดท้ายของเขา

ชายหนุ่มค่อยๆคลานไปทีละนิด ไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ใด เหงื่อค่อยๆไหลรินไปตามรูปหน้า ลมหายใจหนักหน่วง ไม่เห็นหนทาง แสงสว่าง มันเกิดอะไรขึ้นกัน หรือว่าคนในอดีตไม่ยอมรับในคำขอขมาของตนงั้นหรือ

เขาสัมผัสได้ว่ากำลังคลานอยู่บนพื้นดิน สองมือสัมผัสถึงดินแข็งๆ ก้อนกรวดและหินที่สากและทิ่มแทงหัวเข่าและฝ่ามือของตัวเอง

“ฉันจะชดใช้ให้เธอเองแก้ว อยู่ที่นี่ใช่ว่าจะเลวร้าย ที่นี่มีดอกไม้ที่เธอชอบไม่ใช่หรือ... บัวไม่คิดจะอภัยให้ฉันแม้แต่ส่วนเดียว มณีเป็นอยู่เบื้องหลัง ฉันไม่คิดว่าหล่อนจะกล้า”

สุ้มเสียงรู้สึกผิดดังขึ้นมาอีกครั้ง ภูวรินทร์ชะงักงัน ก่อนจะยื่นแขนออกไปด้านหน้าสัมผัสว่างเปล่า มีเพียงพื้นดินแข็ง ดินไม่อ่อน จนเขามั่นใจว่าที่นี่อาจเป็นในเรือนกระจกก็ได้... เขากลับมายังที่แห่งนี้อีกแล้ว เพราะคุณแก้วตายที่นี่ นึกถึงความฝันครั้งก่อน เขาฝันว่าคุณแก้วถูกขังเอาไว้ มันเป็นลางบอกเหตุถึงโครงกระดูกที่ถูกฝังเอาไว้มาเจ็ดสิบกว่าปีหรือไม่นะ

“ฮือ ฮือ ฮือ”อยู่ๆเสียงร้องไห้ต่ำก็ดังขึ้นมา ทำเอาภูวรินทร์หนาวสั่น เขามองไม่เห็นแต่เสียงร้องยังดังอยู่ใกล้ตัว ชายหนุ่มรีบคลานหนี เขาไม่อยากอยู่ใกล้กับเสียงที่ไร้ตัวตน เสียงร้องไห้ของหญิงสาวยังคงดัง เขาสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป

เขากำลังติดอยู่ในฝันร้ายอีกหน
ชายหนุ่มร่ำร้อง อยากออกไปจากความมืดมิดนี้

“ฮือ ฮือ ฮือ”

เขาลืมตามองอีกครั้ง ปรากฏว่าเขาไม่ได้ถูกห้อมล้อมในความมืดอีกต่อไป เพียงแต่ว่าติดอยู่ในเวลากลางคืน ชายหนุ่มกลืนน้ำลายเมื่อเห็นว่าตนเองกำลังทรุดนั่งอยู่ที่บริเวณทางเข้าบ้านหลังใหญ่ เขาเห็นประตูรั้วเปิดอ้าไว้ มันส่งเสียงเอี๊ยดอาดขยับเบาๆเพราะแรงลม ชายหนุ่มเนื้อตัวเย็นเฉียบ ไม่กล้าแม้แต่ขยับตัว

‘ได้โปรด อย่าเป็นอย่างที่คิดเลย’เขาติดอย่างหวาดผวา ภูวรินทร์ก้มมองพื้นดิน ไม่กล้าเหลียวมองซ้ายขวา เมื่อจิตใจอ่อนล้า เขาไม่สามารถหยุดจินตนาการของตัวเองได้ ‘มณีไม่จากไปไหน’ เขาหลับตาแน่น

เขาเพิ่งฉุกคิด มณี น่าจะโกรธเกลียดเขาไม่น้อยไปกว่าบัว เธอตามติดเขามาในรูปของป้าษอร แต่มณีกลับเงียบหาย... ความจริงจากปากของคุณแก้วทำให้ชายหนุ่มกลัว

“ฮือ ฮือ”เสียร่ำไห้ดังขึ้น ไม่ห่างไปไหน ชายหนุ่มกลั้นหายใจ เขาไม่คิดจะมาเจอดีเข้าจริงๆหรอก เขาอยากออกไปจากที่นี่ หลุดพ้นจากความฝันเสียที เขาไล่สิ่งที่คุกคามตนเองไปให้พ้น แต่ไม่เป็นผล เสียงร้องไห้ที่บางครั้งก็แผ่วเบาบางครั้งก็ดังขึ้นมายังคงไม่หายไปไหน บางครั้งเขารู้สึกว่าเสียงร้องไห้ยังอยู่ไม่ไกลตัวนัก

สายลมพัดเข้าหาร่างกาย ยิ่งทำให้เขาหนาวเหน็บไปทั้งใจและกาย เขาพะว้าพะวง ไม่กล้าขยับไปไหน รู้เพียงว่ายังคงนั่งคุกเข่าอยู่ที่เดิมราวกับคนโง่งมตาบอด จนนานเข้าภูวรินทร์ทนไม่ไหว เขาเหยียดแขนออกคลำไปยังทิศทางตรงหน้า สัมผัสอากาศว่างเปล่า ลดมือลง เจอกับผืนดินเย็น สากมือและเศษดินทรายทิ่มตำฝ่ามือ ชายหนุ่มหายอึดอัด อาการปวดหัวไหล่ซ้ายพลันแล่นจนต้องยกมือข้างถนัดกุม เขาหายใจแรงเมื่อรับรู้ถึงแรงเสียแน่นที่เกิดขึ้นที่อกด้านซ้าย ในใจพลันตื่นตระหนก เมื่อวิเคราะห์ดูแล้วอาการเดียวกับหมื่นนรินทร์ เขารีบหันตัวกลับ อยากจะวิ่งหนีไปจากบริเวณนี้แทบขาดใจ เสียงรอบกายเงียบสงัด ใบหน้าเย็น ลมที่พัดอยู่ตลอดทำให้หนาวกาย

เขาไม่มีทางเลือก ลืมตาขึ้นมอง ยังคงนั่งอยู่ที่บริเวณประตูรั้งใหญ่ทางเข้าบ้าน  ทำให้เขาใจหล่นวูบ ค่อยๆทรงตัวยืน ไม่ทันไรก็ต้องตื่นตระหนกเมื่อเห็นเงาดำทะมึนยืนอยู่ข้างกาย ชายหนุ่มก้าวขาไม่ออก เขาไม่เห็นใบหน้าหรือสิ่งอื่นใดของรูปเงานี้ เพียงแค่เป็นรูปร่างของหญิงสาว เมื่อมือดำเอื้อมมา ท่วงท่าเหมือนจะเข้ามาสัมผัสกาย ภูวรินทร์ได้สติรีบวิ่งหนี เข้าไปในบ้าน ระยะทางกว่าจะผ่านสวนบ่อน้ำพุก็ทำเอาเหนื่อย จนวิ่งต่อไปไม่ไหวเมื่อหายใจแล้วความปวดแปลบแล่นผ่าน เขาทรุดลงกุมหน้าอก หายใจหอบ ก่อนจะหนาวไปทั้งกายเมื่อเสียงร่ำไห้ดังมาจากข้างหู มองดูไปคล้ายกับเงาดำนั้นกำลังมองหน้าตนอยู่ข้างๆ 

ภูวรินทร์หลับตาลง ร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดจากหน้าอกซ้าย อาจรวมไปถึงร้องขอความช่วยเหลือ




      “โอ้ย!”ภูวรินทร์สะดุ้งเฮือก เหงื่อกาฬไหลเต็มแผ่นหลัง ตื่นมาอีกครั้ง เขาก็มองเห็นเพดานห้องนอนของตนเอง ที่อกซ้ายปวดแปลบยังไม่จางหาย ไม่ใช่ความฝัน เขาจับหน้าอก อินทนิลพลิกตัวมาหาเขา ท่าทางตกใจ เด็กหนุ่มลุกขึ้นนั่งทันที

“เป็นอะไรหรือครับ”

“ฉันฝันร้าย...อีกอย่างฉันเจ็บที่อกซ้ายด้วย”เขาลูบหน้า ก่อนจะขยับตัวลงขึ้นมานั่ง พยายามเหยียดแขนขยับไหล่ ความเจ็บปวดหายไปแล้ว ชายหนุ่มเครียดขึ้นมา เขากังวลใจเกี่ยวกับสุขภาพของตนเอง พักหลังร่างกายของเขาอ่อนแอ สัมผัสอุ่นจากฝ่ามือของอินทนิลกดลงที่ไหล่ของตน

“ฝันร้ายไม่จบง่ายๆแน่ คงต้องรอษอร ขมากรรมต่อเจ้ากรรมนายเวร”อินทนิลพึมพำ ชายหนุ่มถอนหายใจ รู้สึกว่าตนเองเหนื่อย เขาไม่อยากเจอความฝันที่บั่นทอนเข้มแข็งของตน หันมองเวลา ตอนนี้เช้าแล้ว 05:00 เขาเอนกายพิงผนังเตียงอย่างอ่อนเพลีย เด็กหนุ่มยื่นมือมาแตะหน้าผากของเขา

“ตัวอุ่นๆ คงต้องทานยาไปเรื่อยๆ ถ้าหากว่าไม่ดีขึ้น คุณภูไปหาหมอที่อนามัยน่าจะดีกว่า”อินทนิลเอ่ยด้วยความเป็นห่วง เขาพยักหน้า ก่อนจะลุกไปดื่มน้ำแก้กระหาย เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาเช็ค โชติไม่ได้ติดต่อมา ยิ่งพ่อกับแม่ยิ่งไร้การติดต่อ ภูวรินทร์เช็คไลน์ เลขาฯส่วนตัวส่งข้อความมาเตือน ว่าเขาหายไปจากบริษัทนานเกินไป จนผู้ใหญ่เริ่มไม่พอใจ คิดอยากจะลงมติปลดเขาออกจากฝ่ายบริหาร เขากุมขมับ ไม่มีทางที่เขาจะจากที่นี่ไปได้ จนกว่าจะสะสางเรื่องพวกนี้ให้เสร็จสิ้น

‘แม่ครับ...ฝากดูแลบริษัทด้วย หากมีเรื่องด่วน โทรหาผมได้เลย’ ชายหนุ่มส่งข้อความหาผู้เป็นแม่ อย่างน้อยๆแม่ยังมีหุ้นในบริษัทประมาณ10% ถึงจะน้อย แต่ก็พอมีปากมีเสียง เขาวางโทรศัพท์ลง อินทนิลยังคงนอนมองอย่างไม่วางตา เขาเดินไปนอนที่เตียงต่อ พยายามข่มตาให้หลับ

“กังวลเหรอครับ”อินทนิลถาม

“ไม่ใช่เรื่องของที่นี่หรอก เรื่องงานน่ะ”เขาบอกก่อนจะเงียบไป เด็กหนุ่มขยับมาใกล้ วางมือลงกับแขนของเขาก่อนจะตบลงมาเบาๆเหมือนจะปลอบใจ

หลังจากนั้นภูวรินทร์ก็หลับไปจนเช้า อินทนิลถอนหายใจก่อนจะนอนมองร่างของคนข้างกายไปเงียบๆ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-02-2018 16:31:51 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
+++++++++++

เช้าวันถัดมา ภูวรินทร์ต้องตื่นเพราะเสียงของรถยนต์ดังอยู่นานจนเขารู้สึกตัว พอลืมตาขึ้นมา ก็พบว่าเช้าแล้ว ที่มาของเสียงวุ่นวายที่ชั้นล่าง มีเสียงพูดคุยและเสียงลากของดังให้ได้ยิน ภูวรินทร์ลุกออกจากเตียง มองอินทนิลที่หลับสนิท เอื้อมมือไปสัมผัสเรือนผมนุ่ม ก่อนจะตรงไปอาบน้ำให้สดชื่น มองตนเองในกระจก เขายังคงปกติเช่นเคย เมื่อออกมาจากห้องน้ำ เขาแต่งตัวชุดลำลองสบายๆ จากนั้นจึงเดินออกจากห้องนอน พอเดินไปถึงที่หน้าบันได ชายหนุ่มมองลงไปเห็นผู้ชายรูปร่างสันทัด อายุอานามประมาณห้าสิบกว่าๆ ท่าทางทะมัดทะแมงในชุดเชิ้ตสีขาว กางเกงสแลคสีดำ เมื่อเขาเดินลงบันไดมาได้ไม่กี่ขั้น ชายคนนั้นหันหน้ามาทางภูวรินทร์พอดี เพียงวูบเดียวก็บอกได้ว่าชายคนนี้คือคุณนิรุท

ภูวรินทร์ประหลาดใจที่เห็นผู้ชายคนนี้มาที่บ้านหลังนี้ ที่บริเวณห้องโถงมีตะกร้าผลไม้สองสามอย่างใบใหญ่วางไว้ ลุงชมกำลังยกมันไปไว้ในครัว ในทีแรกเขาตั้งใจจะรอใส่บาตรเช้าเพื่อทำบุญแผ่เมตตาให้มณี แต่พอมาเจอกับผู้มาเยือนคนใหม่แล้ว เหมือนว่าเขาต้องเลื่อนไปก่อน

“เสียงของฉันคงทำให้เธอตื่น”น้ำเสียงที่เปล่งออกมาจากอีกฝ่าย ฟังดูแตกต่างจากตนเองอยู่มาก ค่อนข้างทุ้มไม่แหบแห้ง ชายคนนั้นยิ้มให้เขา

“คุณภูคะ คุณนิรุทเพิ่งเดินทางมาถึงค่ะ”ป้าษอรหันมาบอกเขาด้วยน้ำเสียงไม่มั่นคง ระหว่างพูดเธอหลบตาเขา ภูวรินทร์ไม่เก็บเอามาใส่ใจ เขาไม่คิดจะทวงถาม หากเธอวางใจคงเอ่ยบอกเขาเอง เขาเลื่อนสายตาไปมองนิรุทอย่างเต็มตาอีกครั้ง ส่วนสูงไม่ต่างกัน

“สวัสดีครับ”ชายหนุ่มเอ่ยตามมารยาท น้ำเสียงห่างเหิน ก่อนจะหันไปสนใจตะกร้าผลไม้พวกนั้นแทน

“ขอโทษค่ะคุณภู ป้าไม่ได้แจ้งให้ทราบล่วงหน้า ป้าเองก็เพิ่งทราบเมื่อตอนเช้ามืด”ป้าษอรเอ่ย ก้มศีรษะให้เขาเป็นการขอโทษ ชายหนุ่มมองไปที่คุณนิรุทอยู่นาน ชายคนนั้นยิ้มอย่างขอโทษขอโพย

“เป็นฉันที่ต้องขอโทษต่างหาก ที่มาบ้านโดยไม่บอกกล่าวเธอ ....มาคุยกันหน่อยสิ”นิรุทเอ่ยอย่างไม่ติดขัดก่อนจะเชื้อเชิญให้เขาไปนั่งที่โถงรับแขก เขาไม่ปฏิเสธ เลยเดินตามอีกฝ่ายไป ระหว่างที่เดินไปนั่งที่โซฟา ป้าษอรเดินหายไปในครัว ความรู้สึกอึดอัดเข้ามาครอบคลุมแทน ภูวรินทร์ไม่ได้สนใจในตัวคุณนิรุทมากนัก ถึงจะเป็นพ่อแต่ก็ไม่ได้มีความผูกพัน

“คุณมาที่นี่เพื่อมาเยี่ยมป้าษอรหรือว่ามาเรื่องของคนบ้านนี้”ชายหนุ่มเอ่ยถามทันที นิรุทมองเขาเงียบๆ ก่อนจะประสานมือเข้าหากัน ท่าทางไม่ตื่นตระหนกตกใจอะไรกับความเฉยชาของเขา

“ทั้งสองอย่างนะ พอได้มองเธอแล้ว เหมือนว่าฉันมองเห็นคุณทวดเลยนะ”อีกฝ่ายเอ่ย มองเขาอย่างสังเกต ภูวรินทร์ถอนหายใจแรง

“ผมชื่อภูวรินทร์ครับ”ชายหนุ่มย้ำอีกครั้ง นิรุทถึงกับหัวเราะออกมาอย่างเก้อเขิน อีกฝ่ายยิ้ม “ใช่ ที่ฉันมา อยากมาคุยเรื่องของเธอ เรื่องบ้านหลังนี้ด้วย”

“ครับ การมาของคุณจะช่วยผมได้หรือเปล่าล่ะ”เขาเอ่ยถาม

“...อาจช่วยได้ ฉันขอโทษนะ ที่ไม่ได้ติดต่อมาเลย”นิรุทเอ่ยช้าๆ สายตายังคงจับจ้องเขาไม่วางตา ชายหนุ่มคิดตามกับถ้อยคำของชายแปลกหน้าก่อนจะยิ้มออกมา

“ไม่เป็นอะไรหรอกครับ ผมไม่จำเป็นต้องรู้อยู่แล้วนี่”เขาเอ่ยอย่างเรียบเฉย อีกฝ่ายนิ่งไปก่อนจะพยักหน้าตาม “นั่นสินะ” คนทั้งคู่เงียบไป ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาอีก จนนิรุทเริ่มการสนทนาต่อ

“ตอนที่ฉันยังเด็ก มีคนพูดกรอกหูฉันเรื่องคำสาปของตระกูล เรื่องการตายของพ่อ ฉันไม่คิดว่ามันจะจริง จนกระทั่งมีพระมาทักฉันเรื่องของเด็กที่จะมาเกิด เป็นญาติผู้ใหญ่ในบ้าน ตอนนั้นฉันไม่เชื่อ...จนเธอเกิดมาได้สิบขวบ แม่เธอส่งรูปมาให้ฉันดู แม่ฉันเห็นเข้าก็ตกใจ เพราะว่าตอนเด็กเธอเหมือนคุณทวดมาก ยังกับเป็นคนเดียวกัน ฉันไม่ปักใจเชื่อนัก จนเธออายุได้สิบแปด คราวนี้ฉันไม่เห็นความต่างของคุณทวดตอนหนุ่มๆกับเธอเลย ฉันไม่อยากงมงายอะไรนัก แต่ก็อยากพิสูจน์เรื่องคำสาปแช่งของตระกูล เลยเอาปีเกิดของเธอไปให้พระรูปนั้นดู ท่านบอกว่าดวงชะตาของเธอต้องพัวพันกับคนที่ล่วงลับไปแล้ว”อีกฝ่ายอธิบาย ภูวรินทร์ฟังแล้วได้แต่เงียบ เพราะเกรงกลัวต่อคำสาปน่ะหรือ ถึงได้ทิ้งเขาไป พอได้ยินนิรุทเอ่ยเช่นนี้แล้ว เขาไม่คิดจะเห็นใจอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย

“คุณเลยปล่อยผมไว้แบบนี้งั้นเหรอ”

“ฉันคิดว่าให้เธออยู่ห่างๆก็คงจบเรื่อง แต่ไม่คิดว่าเธอจะซื้อบ้านเลยนะ”นิรุทเอ่ยเสียงเบาลง ยังคงมองมาที่ชายหนุ่มไม่วางตาจนเขาอึดอัด

“แต่คุณก็ขายให้ผม”

“ใช่ บ้านนี้ไม่มีอะไรน่าจดจำนักหรอก ต่อให้เป็นคนอื่นซื้อฉันก็ขาย เป็นเธอที่ซื้อก็ดีเหมือนกัน...ฉันคิดว่าคงไม่สามารถห้ามเธอได้ เลยโอนให้เธอแทน”นิรุทเอ่ย ทั้งสองเงียบ เขามองไปทางห้องครัว ป้าษอรหายไปไม่กลับมาอีก เขาเลยเอ่ยเข้าเรื่องเสียที

“คุณรู้เรื่องคำสาปแช่งมากน้อยแค่ไหน”พอสิ้นคำถาม นิรุทยิ้ม เหลียวมองไปทั่วบ้าน

“ก็เท่าที่คนอื่นรู้นั่นแหละ แต่ฉันไม่คิดว่าเธอจะต้องเจอกับ...คุณแก้ว...ที่จริงฉันได้ยินเรื่องของท่านมานานตั้งแต่เด็กๆว่า คุณแก้วยังอยู่ที่บ้านนี้ เรือนปั้นหยานั่นไง”นิรุทเอ่ย ภูวรินทร์เพียงแค่พยักหน้ารับ

“คุณรู้จักป้าษอรมานานหรือยัง”เขาเอ่ยถาม นิรุทมีสีหน้าแปลกไป

“เธออายุไล่เลี่ยกับฉัน ตอนที่อยู่บ้านหลังนี้ แม่ของอรเป็นแม่บ้านของที่นี่ด้วย”อีกฝ่ายเล่าด้วยน้ำเสียงปกติ ดูท่าจะยังไม่รู้ตื้นหนาบางอะไรมาก เขาเลยลังเลว่าจะบอกกับนิรุทดีไหม

“คุณเชื่อเรื่องอดีตชาติไหม”ชายหนุ่มถามอย่างจริงจัง นิรุทมองเขาก่อนหัวเราะออกมา

“ตัวเธอคือคำตอบนะ”

“แล้วคุณไม่คิดว่าจะมีใครกลับชาติมาเกิดบ้างเหรอครับ”เขาเอ่ยเบาๆ นิรุทมีสีหน้าประหลาดใจ ก่อนจะขมวดคิ้ว สีหน้าเวลาเคร่งเครียดมองไปก็คล้ายตนเองอยู่หลายส่วน เขามองใบหน้าของนิรุทอย่างสังเกต

“ใครกัน...”อีกฝ่ายเอ่ยอย่างฉงน

“ก็บัวไงครับ”ภูวรินทร์เฉลย เหลียวมองไปทางห้องครัว นิรุทถึงกับแสดงสีหน้างงงวยออกมา “บัว...อ้อ คนสนิทของคุณแก้ว”

“ใช่ ไม่คิดแบบนั้นเหรอครับ”เขาบอก นิรุทเงียบไป สีหน้าเคร่งคิด

“....จะบอกว่าเป็นอรน่ะเหรอ”อีกฝ่ายพึมพำอย่างไม่มั่นใจเท่าไหร่ เขาไหวไหล่ก่อนจะเอ่ยคำไปเรื่อยๆ

“ใช่สิ ป้าษอรรักอินน์อย่างกับอะไร ไม่ต่างจากที่บัวรักคุณแก้วเลย เธออยู่ดูแลบ้านมานาน เหมือนบัวเลยนะครับ ผมมั่นใจว่าป้าษอรคือบัวมาเกิดใหม่แน่ๆ”

“...ใช่ เรื่องนั้นไม่ปฏิเสธหรอกนะ แต่บัวเนี่ยนะ...”

“อืม เธอเกลียดหมื่นนรินทร์ เป็นคนสาปแช่งคนตระกูลนี้ไง”ภูวรินทร์เอ่ยอย่างหงุดหงิดใจ ที่อีกฝ่ายไม่ยอมเข้าใจง่ายๆเสียที อีกฝ่ายมีสีหน้ากระอักกระอ่วน

“ไม่ใช่เพราะคุณแก้วเหรอ”

“ไม่หรอก เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าไม่ใช่เหรอครับ ป้าษอรเล่ามาอีกอย่าง ความจริงอาจเป็นอีกอย่างก็ได้”ชายหนุ่มเอ่ย เขาคิดถึงวันแรกๆที่คุยกับป้าษอร ส่วนมากเรื่องที่เธอเล่าเป็นเพียงคำเล่าลือที่ได้ยินต่อๆกันมา

“อืม ก็ถูกนะเรื่องอินทนิล ...”นิรุทพึมพำเบาๆ เหลือบมองเขาอีกครั้งอย่างมีคำถาม

“บัวเป็นแม่ของคุณแก้ว”เขาบอกไป อีกฝ่ายเลิกคิ้วสูงอย่างงงงวย “จริงเหรอ แล้วเธอรู้ได้ยังไงกัน”

“ผมฝันถึงเรื่องเก่าๆตั้งมาก เลยทำให้รู้เรื่องอดีต”เขาตอบออกไป นิรุทหน้าเปลี่ยนสี มองมาที่ตนด้วยสายตาอ่อนลง

“ไม่ยักรู้เลย...เธอสบายดีใช่ไหม”อีกฝ่ายถามอย่างห่วงใย จนภูวรินทร์หัวเราะออกมา ไม่คิดว่าจะได้ยินคำนี้จากปากของอีกฝ่ายด้วยซ้ำ

“ก็ไม่แย่นักหรอกครับ นอกจากต้องทนฝันร้ายบ่อยๆ”

“ภู... ถึงเราจะไม่เคยได้คุยกัน แต่หากว่ามีเรื่องอะไร ติดต่อฉันได้เสมอ”นิรุทบอกเสียงห่วงใย ภูวรินทร์นิ่งเงียบ แม้ใจจะไม่คุ้นชินกับอีกฝ่าย แต่ก็อดรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้าง ที่บ้านหลังนี้ยังมีคนที่พึ่งพาได้

“งั้นผมคงต้องให้คุณช่วยเรื่องป้าษอร ...ตอนนี้คำสาปแช่งพวกนั้นส่งผลถึงผม กับอินทนิล เพราะบัวยังไม่วางอดีต ไม่ยอมให้อภัยแก่ท่านหมื่น ตอนนี้ผมยังคงฝันร้ายอยู่”

“อืม...ฉันมาที่นี่เพื่อมาเยี่ยมบ้าน ไหว้บรรพบุรุษ เรื่องนี้ฉันลองจะเอ่ยดู กับอร ฉันคิดว่าเธอน่าจะเคารพฉันพอสมควร ไม่เคยทำตัวไม่ดีเลยนะ...แล้วคำแช่งของบัวคืออะไรหรือ”นิรุทเอ่ยถาม เขาถอนหายใจ ลังเลอยู่ว่าจะบอกอีกฝ่ายดีไหม เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายหวั่นวิตก

 “บัวแช่งให้ท่านหมื่นต้องทุกข์ใจไปจนตาย ลูกหลานไม่เหลียวแล ไม่มีวันสมหวังอีกในชั่วชีวิตของท่าน คำแช่งส่งผลถึงตระกูลนี้โดยเฉพาะ ไม่เห็นหรือว่าญาติพี่น้องหายไปหมด”เขาบอก นิรุทนิ่งงัน สีหน้าไม่ดีเห็นได้ชัด

“เรื่องของคุณพ่อฉันก็คงจะจริง...”นิรุทพึมพำเสียงเครียด เขาหันไปมองทางบันไดเมื่อได้ยินเสียงก้าวเดินกับเสียงกำไลข้อเท้า อินทนิลตื่นนอนแล้ว นิรุทจ้องมองเด็กหนุ่ม

“อ้าว น้านิรุทนั่นเอง สวัสดีครับ”อินทนิลเดินเข้ามาหาก่อนจะเอ่ยทักทายนิรุท ภูวรินทร์เรียกให้เด็กหนุ่มมานั่งข้างตัว อีกฝ่ายเดินมาหาอย่างว่าง่าย

“สีหน้าดูซีดๆนะ ป่วยหรือไงเรา”นิรุทพูดกับอินทนิล เขามองอีกฝ่าย ไม่รู้ว่าเจ้าตัวทราบหรือไม่ว่าคุณแก้วอยู่ในร่างของอินทนิลด้วย

“สบายดีครับ”

“เอาแบบนี้ไหมภู วันนี้ไปทำบุญที่อาศรมหลวงตาดีไหม ฉันตั้งใจว่าจะเอาผลไม้ไปถวายท่านพอดี”อีกฝ่ายชวน เขาหันมองอินทนิล เด็กหนุ่มพยักหน้า

“งั้นก็ดีเลยครับ ผมเองก็อยากจะทำบุญกรวดน้ำอยู่เหมือนกัน”เขาบอก นึกถึงความฝันเมื่อคืนแล้วหวั่นใจ กับอาการเจ็บป่วยของตนเอง เขาไม่คิดว่าจะโชคร้ายถึงขนาดป่วยเช่นเดียวกับหมื่นนรินทร์



+++++++++++

กว่าที่ภูวรินทร์ นิรุทจะตกลงกับลุงชมและป้าษอรเรื่องไปวัดป่าได้ ก็ใช้เวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมงเพราะต้องเตรียมของที่นำไปถวาย นอกจากผลไม้แล้วยังมีสังฆทาน ระหว่างทางทั้งสี่คนไม่ได้พูดคุยกันมากนัก ด้วยสถานการณ์ของเขากับป้าษอรยังคงไม่คลาย และมีนิรุทมาเพิ่มความอึดอัดเข้าไปอีก ยิ่งทำให้การเดินทางไปยังอาศรมของหลวงตายาวนานกว่าปกติ

เมื่อมาถึงอาศรมของหลวงตาที่บริเวณเชิงเขา อากาศเย็นลง เมื่อมองไปที่อาศรมก็เห็นว่าหลวงตากำลังนั่งคุยอยู่กับชายชราหัวขาวโพลนไปทั้งศีรษะ ดูจากการแต่งกายแล้วคงเป็นชาวบ้าน ไม่ก็สัปเหร่อที่ลุงชมเคยติดต่อด้วย ภูวรินทร์ลงจากรถ ก่อนจะเดินไปพร้อมๆกับอินทนิล ส่วนลุงชมกำลังยกของตามหลังมา

“นมัสการครับหลวงตา”ผมยกมือไหว้หลวงตา ก่อนจะหันไปมองชายชราคนนั้นที่ขยับออกไปนั่งด้านในสุด สายตาของชายชราทำให้เขาไม่สบายใจนัก

“เจริญพร ญาติโยมทั้งหลาย อ้อ นี่โยมนัน สัปเหร่อที่วัด”หลวงตาผายมือไปยังชายชราคนดังกล่าว เขายกมือไหว้ตามมารยาท นิรุทเดินเข้ามานมัสการหลวงตาอย่างคุ้นเคย อินทนิลขยับมาทางใกล้กับเขา ส่วนลุงชมกับป้าษอรก็นำตะกร้าผลไม้และสังฆทานมาถวาย เขายกไปประเคนแก่หลวงตา พระท่านนำสวด พวกเขาทั้งสี่จึงเริ่มกรวดน้ำ และรับอาราธนาศีล สมาทานศีลจากหลวงตา ภูวรินทร์เหลือบมองป้าษอร เธอดูสงบนิ่งกว่าปกติ เขาเลื่อนสายตาไปที่สัปเหร่อ อีกฝ่ายยังคงมองเขาอยู่ ทำเอาภูวรินทร์หายใจไม่ทั่วท้อง เมื่อรับศีลจากหลวงตาจบ จึงได้พูดคุยกันต่อ

“วันนี้มากันพร้อมหน้าพร้อมตาเลยนะ เป็นอย่างไรบ้างล่ะ คุณ”หลวงเอ่ยกับนิรุท อีกฝ่ายยิ้มก่อนจะพูดคุยด้วยถ้อยทีสุภาพ

“ถ้าเรื่องสุขภาพ ผมสบายดีครับ แต่ช่วงหลังๆมานี้ผมไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ เลยกลับมากราบไหว้หลวงตาให้หายกังวลใจครับ”นิรุทกล่าว เขาเหลือบมองชายผู้มีศักดิ์เป็นพ่ออย่างแปลกใจ

“สุขทุกข์ล้วนอยู่ที่ใจ การยึดมั่นถือมั่นไปก็ไม่เกิดผลดี หนักที่ตัวเราเองทั้งนั้น”หลวงตาบอกด้วยน้ำเสียงเนิบช้า ชายหนุ่มคิดตาม ไม่รู้ว่าหลวงตากำลังบอกคุณนิรุทหรือว่าผู้อื่นอยู่ อินทนิลนั่งมองไปทางป้าษอรอย่างจดจ่อ

“ว่าแต่คุณเอง หายหน้าไปนานเลยนี่ ได้มีโอกาสมีโอกาสมาประสบพบเจอกันในวันนี้ถือว่ามีวาสนาต่อกันไม่น้อย ที่นั่งกันอยู่ก็เป็นคนบ้านภิรมย์สุขกันซะส่วนใหญ่ไม่ใช่หรือ”คำของหลวงตา ทำเอาสะดุ้งกันเป็นแถบ

“ผมไปทำงานที่อื่นครับ เลยกลับมากราบไหว้บรรพบุรุษเสียหน่อย”นิรุทเอ่ย หลวงตาพยักหน้าจ้องมองมาที่ภูวรินทร์ก่อนจะหันมองนิรุทอีกครั้ง ใบหน้ามีรอยยิ้ม

“อืม ดีๆ ไม่ลืมนึกถึงพระคุณของพ่อแม่ก็ดีแล้ว ว่าแต่คุณเถิด นอนหลับดีหรือไม่ สีหน้าไม่แจ่มใสเอาซะเลย อาตมาเห็นว่าแย่กว่าเมื่อครั้งก่อนที่มาอีกนะ”หลวงตาหันมาสนทนากับภูวรินทร์ ในใจพลันคลายกังวล เขารู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้างที่ท่านเอ่ยถึง

“ผมนอนไม่ค่อยหลับครับหลวงตา ชอบฝันร้ายอยู่บ่อยๆ”เขาเอ่ยบอก อินทนิลทำหน้าเคร่งขรึมจ้องมองไปที่สัปเหร่อ หลวงตาพยักหน้า

“ฝันร้ายเขาว่ามาจากจิตใจที่ตึงเครียด หากกังวลสิ่งใดอยู่ก็จะฝันคล้ายกับเรื่องที่กังวล แต่ในกรณีของคุณ อาตมาว่า ฝันร้ายบั่นทอดจิตใจ อาจมาจากความฆาตร้ายจากผู้อื่น ฟังไปก็เหมือนอาตมาขี้โม้ แต่ใครทำสิ่งใดย่อมรู้ตนเองดี อาตมาทำได้เพียงชี้แนะหนทางสว่างแก่ญาติโยมเท่านั้น ก็ตั้งจิตอธิษฐาน ขมากรรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรของเราเสีย”

“ช่วยได้หรือครับหลวงตา”

“ช่วยในที่นี้ ทำได้แค่ไม่ผูกจิตคิดร้ายต่อกันลง แต่คงไม่สามารถหลีกหนีกรรมของตนเองได้ ทำผิดย่อมมีบทลงโทษ การขอขมากรรมที่ว่า มิใช่การลดกรรมแต่อย่างใด แต่เป็นการขอขมาต่อสิ่งที่เคยล่วงเกินมาทุกภพ ทุกชาติของตัวเราโดยความไม่รู้หรือ จะตั้งใจก็ตามที เพื่อให้เขาเหล่านั้น อโหสิกรรมให้แก่เรา เพียงแค่อยากให้สีกาวางความทุกข์ลง น่าจะเป็นผลดีต่อคนบ้านภิรมย์สุข”หลวงตาเอ่ยช้าๆ เขาขมวดคิ้วทันที สีกาที่ว่าหมายถึงป้าษอรกับบัวงั้นหรือ นิรุทหันมองภูวรินทร์อย่างเป็นห่วง

“ต้องทำเช่นไรหรือครับ”เขาถาม

“อาตมาให้โยมนันเป็นผู้ทำพิธีให้คงจะเหมาะสมกว่า”หลวงตาหันไปมองสัปเหร่อ ชายชราคนนั้นหันมองภูวรินทร์ ใบหน้ามีรอยยิ้มออกมาบ้าง

“พวกคุณสะดวกวันไหนเหรอครับ ผมจะได้ไปหาถูกเวลา”สัปเหร่อถาม ทำเอาเขาพูดไม่ออก ป้าษอรเหลือบมองมาที่เขาอยู่นานก่อนจะหันมองอินทนิล

“พรุ่งนี้เช้าก็ได้จ้ะ”ป้าษอรเอ่ยกับชายชรา ทำให้ภูวรินทร์แปลกใจ

หลังจากที่จบการพูดคุย เขานำน้ำไปเทที่ต้นไม้เสร็จ เขาเจอกับสัปเหร่อวัยชรา ยืนอยู่ข้างๆอย่าเงียบเชียบ ทำให้เขาตกใจไม่น้อย

“หลวงตาบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่าไปผูกพันกับสิ่งที่ล่วงไปแล้ว”คำของอีกฝ่ายทำให้เขาหน้าซีดลง เหลือบมองอินทนิลที่กำลังเข้าไปนั่งในรถ

“ไม่มีทางอื่นเลยหรือครับ”

“...หากพรุ่งนี้ทำพิธีขอขมากรรม ทั้งจากผู้ที่ล่วงลับ ไม่ว่าจะภพนี้หรือภพที่ผ่าน ถือว่าทำบุญแผ่กุศลให้แก่กัน หากเป็นจิตวิญญาณที่ล่วงไปแล้ว คิดว่าการทำพิธีจะส่งผลเช่นไร”ชายชราเอ่ยเสียงแหบแห้ง ใบหน้าที่มีริ้วรอยแห่งวัยให้ความรู้สึกเหมือนใบไม้แห้งกรอบ


“...”ภูวรินทร์พูดไม่ออก อยู่ๆก็มือไม้สั่นขึ้นมา หมายความว่าทั้งอินน์และคุณแก้วจะละจากร่างกายไปงั้นหรือ เขาส่ายหน้า ไม่อยากนึกเชื่อนัก หลังกลับมาจากอาศรมของหลวงตา นิรุทก็เข้าไปอยู่ในห้องรับรอง ส่วนภูวรินทร์จิตใจปั่นป่วน เขาไปเดินเล่นผ่อนคลายอารมณ์ที่สวนต้นแก้วหน้าเรือนปั้นหยา พอนึกถึงคำของสัปเหร่อคนนั้นแล้วก็รู้สึกหม่นหมองขึ้นมา เขาหลับตา สูดเอากลิ่นหอมของดอกแก้วให้จิตใจผ่อนคลาย เขาไม่อยากสูญเสียสิ่งใดไป หากได้ผูกพันแล้วก็ไม่อยากจากลาไปไหน

ความรู้สึกบีบเค้นหัวใจ แม้จะรู้สึกเจ็บแสบ ไม่มีหยาดน้ำตา เป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก เขาไม่คร่ำครวญเหมือนคนไร้สติ เขารู้ว่าระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือนไม่อาจเปลี่ยนใจมากรักใคร่กับอินทนิลได้ แต่เขายังรู้สึกห่วงใย ผูกพันกันอยู่ ไม่ว่าจะอินทนิลหรือคุณแก้ว

“คุณภูคะ”เสียงเรียกจากป้าษอรดังขึ้น เขาหันไปมอง

“ครับ”

“...ป้าคิดดูแล้ว ป้าเห็นแก่คุณแก้ว เรื่องในอดีต ถึงป้าจะมีความรู้สึกไม่พอใจ แต่ป้าก็ไม่อยากให้อินทนิล คุณแก้ว คุณภูต้องมาทุกข์ทรมาน ป้าไม่รู้ว่าทำเช่นนี้จะช่วยอะไรได้บ้างไหม แต่ป้าอยากจะขอโทษคุณภูค่ะ”เธอเอ่ยช้าๆ เขาแค่ส่งเสียงรับคำในลำคอ รอฟังเธออธิบายต่อ

“มีหลายเรื่องที่ป้าไม่ได้บอกคุณให้รู้ ซ้ำยังปกปิดเอาไว้...ในส่วนของอดีตชาติ อย่างที่หลวงพ่อท่านว่าไว้ เราไม่ควรยึดมั่นถือมั่น บัวยังคงเกลียดชังท่านไม่เสื่อมคลาย แต่นางก็ไม่คิดจะสาปแช่ง อาฆาตมาตรร้ายท่านหมื่นต่อไปได้อีก”

“ผมไม่คิดจะโกรธป้าหรอกครับ สิ่งที่เกิดขึ้นมันมีเหตุผล ผมอยากให้เรื่องคำแช่งจบลงเสียที ไม่อยากให้ใครต้องมาเสียใจกับมันอีก”

“ค่ะ...แม้บัวจะไม่สาปแช่งคนภิรมย์สุข แต่ว่า...ผลของมันก็ปรากฏออกไปแล้ว เอากลับคืนมาหรือแก้ไขไม่ได้...เรื่องนี้ป้าหมดหนทางเหมือนกันค่ะ”เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ก้มหน้ามองพื้นไม่กล้าสบตามองเขาอีกต่อไป ชายหนุ่มนิ่งเงียบ พยายามสงบใจ ใบหน้าของอินทนิลยังคงวนเวียนปรากฏอย่างแจ่มชัด

“แม้จะทำพิธีงั้นสินะ...ทำได้เพียงอโหสิกรรม ให้อภัยต่อกันแค่นี้งั้นสิครับ”เขาเอ่ยด้วยใจซึมเศร้า “มีเรื่องเดียวที่ป้าไม่อาจวางใจได้ เรื่องของอินทนิล”

“ครับ ผมกังวลเหมือนกัน”ภูวรินทร์ถึงกับถอนหายใจออกมา แสดงสีหน้าเป็นกังวลออกมาอย่างไม่ปิดบัง ป้าษอรกำมือเข้าหากันแน่น ท่าทางเป็นไม่สบายใจ แววตาสั่นไหวจ้องมองเขาอย่างยึดถือ

“ป้าอยากให้อินน์ปลอดภัย...ถึงป้าจะขอร้องให้คุณคอยดูแลปกป้อง แต่ถ้าหากหลังจากนี้เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นมา ป้าไม่คิดจะกล่าวโทษคุณอีก”

“อย่าเพิ่งด่วนสรุปสิครับ หากผมกับอินทนิลมีวาสนาต่อกัน อย่างไรก็คงได้คู่กันอยู่ดี”ภูวรินทร์เอ่ยปลอบใจตนเองไปด้วย ป้าษอรมองเขา แววตาวิตกกังวล เธอไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก ทิ้งให้ชายหนุ่มจมกับความคิดที่ไร้ทางออก หากจะให้คำสาปแช่ง คำสาบานที่เคยกล่าวไว้มลายหายไป มันต้องแลกด้วยชีวิตคนเชียวหรือ ชายหนุ่มยิ้มอย่างเศร้าใจ ยกมือขึ้นมาจับหน้าอกซ้ายของตนเองช้า รับรู้ถึงอัตราการเต้นของหัวใจ...  ภูวรินทร์หวังว่าตนเองคงไม่อาภัพถึงขนาดนั้น ท้องฟ้าในยามสาย ไร้เมฆ และกระจ่างใส ซึ่งต่างจากจิตใจของคนภิรมย์สุขในขณะนี้


++++++++++


**โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน พิธีกรรมต่างๆในเรื่องเป็นเพียงจิตนาการเสริมแต่งเท่านั้น ไม่ใช่เหตุการณ์จริง**

มาต่อกันค่ะใกล้ถึงโค้งสุดท้ายแล้ว สำหรับเรื่องการตายโหงที่มีคนท้วงมา เราไม่ทันได้คิดให้ถี่ถ้วน ขอบคุณมากที่ทักท้วงค่ะ เราจะรีไรท์ใหม่อีกทีแต่ไม่มีผลต่อเนื้อเรื่องค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-02-2018 16:26:19 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
เครียดอ่ะ กลัวไปทุกอย่างเลยตอนนี้

ออฟไลน์ สาว801

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
อ่านตอนตีห้าแล้วหลอนนิดๆ ถึงขนาดต้องห่มผ้าาาา 55  :mew5:

ออฟไลน์ Mod40

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เม้นให้กำลังใจนักเขียนก่อน ค่อยไปอ่าน55
 ขอบคุณคับบบ  :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ANIKI.

  • 兄貴
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 190
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
ชอบเรื่องแนวนี้นะ แต่บอกตามตรง โคตรเครียดเลย 55555

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
เป็นนิยายที่ยิ่งคลายปมก็ยิ่งเครียด ใจสั่นไปกับคุณภูจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าพิธีกรรมที่ทำจะส่งผลอะไรบ้าง

ออฟไลน์ เป็ดอนุบาล

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ หมอตัวเปียก

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1874
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
รู้สึกตึงเครียด

ออฟไลน์ snpmrth

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
รู้สึกอ่านไปใจสั่นไปทุกๆตัวอักษรเลยค่ะ

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
ตอนที่ ๑๖


พิธีขอขมากรรมต้องทำก่อนเที่ยงวัน นันสัปเหร่อเฒ่ามาถึงบ้านภิรมย์สุขตั้งแต่เช้าตรู่ ป้าษอรเตรียมดอกบัวหนึ่งกำมือ ธูป 39 ดอก อันหมายถึงไตรภูมิทั้ง 36 ชั้น ประกอบด้วย 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน อบายภูมิ 4 มนุษย์โลก 1 รวมทั้งหมด 36 ชั้น

“คนเราเกิดมาหลายภาพหลายชาติ แต่ละคนมีเจ้ากรรมนายเวรที่ต่างกัน จึงควรสวดเพื่อขอขมา ต่อเจ้ากรรมนายเวร ทั่งอดีตชาติที่ผ่านมา หรือเคยล่วงเกินแก่ เทพยดา16ชั้นฟ้า15ชั้นดินหรือ เคยสาบาน บนบาน ต่อสิ่งศักดิ์ทั้งหลาย รวมทั้งสิ่งที่มองไม่เห็นทุกประการณ์”ชายชราเอ่ย

ภูวรินทร์แม้ใจจะรู้สึกประดักประเดิดกับการขมาเช่นนี้อยู่บ้าง แต่ก็ยอมทำตาม กระถางธูปถูกตั้งกลางแจ้งในลานบ่อน้ำพุ เขาไม่เห็นสิ่งบูชาอย่างอื่น ชายชราจับจ้องอินทนิลอยู่ตลอด เขาพยายามทำใจให้สงบ จดจ่ออยู่กับการตั้งจิตอธิษฐานขอขมาแก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย เขาหวังว่ามณีจะรับรู้ รวมไปถึงจิตใจของป้าษอรด้วย หญิงท้วมมีสีหน้าเคร่งเครียดระหว่างพิธีกรรม

 ท้องฟ้าแจ่มใส อากาศยามเช้าช่วยทำให้เขารูสึกดีขึ้น หลังจากที่สวดอธิษฐานตามสัปเหร่อ กลิ่นธูปลอยคลุ้งไปทั่วลานบ่อน้ำพุ

“...ขอถอนคำอธิษฐานคำสาบานที่จะติดตามคู่ในอดีต ขอให้ต่างฝ่ายต่างเป็นอิสระ”พอเอ่ยถึงประโยคนี้ ภูวรินทร์ชะงักไปอยู่นาน เหลียวมองอินทนิลที่หน้าซีด เม้มปาก มองมาที่เขาด้วยสายตาเศร้าสร้อย ตานันหันมองเขาอย่างกดดัน ชายหนุ่มท่องตาม พยายามตั้งจิตอธิษฐาน ไม่วอกแวก

และประโยคสุดท้ายที่เขาท่องตามสัปเหร่อ “...ขอให้ข้าพเจ้าพ้นจากคำสาปแช่งของปวงชน ของเจ้ากรรมนายเวร” และรอให้ธูปไหม้จนหมดก้าน ก็เป็นอันสิ้นเสร็จซึ่งภูวรินทร์ไม่เข้าใจนัก กับการต้องจ้องมองธูปเหล่านี้ สัปเหร่อเหลียวมองรอบบ้านก่อนจะพนมมือพึมพำอะไรสักอย่างไม่ชัดเจน หลังจากนั้นป้าษอรจึงนำดอกบัวเหล่านั้นไปถวายศาลพระภูมิต่อ

ชายหนุ่มเดินไปอินทนิลที่ดูเงียบไปตั้งแต่เมื่อคืน เด็กหนุ่มยืนมองก้านธูปที่ไหม้ไปจนหมดแล้ว “รู้สึกอย่างไรบ้าง”เขาถามอย่างเป็นห่วง อีกฝ่ายสะดุ้งก่อนจะหันมองเขา สีหน้าดูไม่ดีนัก แต่ก็พยายามยิ้ม

“ก็ไม่รู้สึกอะไรเลย....ตาคนนั้นเป็นพวกมิจฉาชีพหรือเปล่าก็ไม่รู้” อินทนิลจ้องไปที่ชายชราอย่างไม่ไว้ใจ เขามองตามเห็นว่าตานันกำลังจัดถาดสำหรับของเซ่นไหว้บรรพบุรุษกับนิรุทอยู่

“เขาไม่ได้มาเอาเงินจากเราไปนี่ เป็นมิจฉาชีพได้ยังไง...แต่ถึงพิธีจะแปลกไปหน่อย ฉันก็หวังว่ามันจะสำเร็จ”เขาบอกไปแม้จะรู้สึกไม่ดีนิดหน่อยที่เอ่ยถอดทอนคำสาบานแต่ครั้งอดีต แต่คิดอีกแง่ก็เป็นเรื่องดีที่จะไม่ต้องมีพันธะต่อกันให้เกิดเวรเกิดกรรม อินทนิลถอนหายใจ สองมือกำแน่นไม่คลายออก เขาขมวดคิ้ว ทุกครั้งที่อีกฝ่ายมีอาการแบบนี้ มักจะอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ดีนัก ท่าทีแบบนี้ของอินทนิลหายไปนาน หลังจากที่รู้ว่าคุณแก้วใช้ร่างของตนไปทำอะไรบ้าง

“อินน์ก็หวังไว้แบบนั้น คุณภูจะได้อยู่อย่างสงบสุข”เด็กหนุ่มบอก น้ำเสียงไม่ยินดีตามที่เอ่ยออกมานัก แววตาเป็นกังวล ชายหนุ่มเงียบไป เขายิ้มบางๆ รู้ดีว่าต่อจากนี้ เขาและอินทนิลจะไม่เหมือนเดิมอีก รวมทั้งคุณแก้วด้วย

“ฉันก็อยากให้คนบ้านนี้อยู่อย่างปกติกันมากกว่า”เขาบอก มองอินทนิลอย่างตั้งใจ เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง แววตาฉายความไม่มั่นใจออกมา

ขณะเดียวกันสัปเหร่อวัยชราเดินมาหาภูวรินทร์ ร่างกายผอมสีผิวเข้มคล้ำ “พ่อหนุ่ม มาคุยกับตาหน่อย”อีกฝ่ายเอ่ยเรียก มือผอมเห็นกระดูกยื่นมือมาจับต้นแขนของเขาไว้ ฝ่ามือนั้นยังแข็งแรงเพราะแรงบีบ เขาพยักหน้าตกลง สัปเหร่อเดินนำเข้าไปยังสุสานของบ้าน ระหว่างที่ก้าวผ่านรั้วบานเล็ก เขาหันไปมองอินทนิลที่ยังคงจับจ้องตามมาจนสุดสายตา

เมื่อเดินผ่านเรือนปั้นหยา เข้าไปสู่แนวป่า เขตสุสานอันเงียบสงบ กระถางดอกไม้ที่เหลือจากเรือนกระจกถูกนำมาตกแต่งสุสาน โดยเฉพาะรอบๆโกฏิ ดอกไม้วางเรียงเป็นแถว ทำให้สุสานดูมีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าเดิม ภายในสุสานมีกลิ่นธูปลอยคลุ้ง ก่อนหน้านั้นนิรุทเอาของมาไหว้พ่อของตนและของบรรพบุรุษ

“มีอะไรหรือครับ”ภูวรินทร์เอ่ยถาม มองชายชราที่เดินมาหยุดอยู่ที่โกฏิของมณี เขามองภาพเลือนลางของเธออย่างเศร้าหมอง

“คราวก่อนคุณเจอโถดองศพทารกไว้ไม่ใช่หรือ”ชายชราเริ่มการสนทนา เหลียวมองเขาไปด้วย ภูวรินทร์ขมวดคิ้ว ก่อนหน้าเขาให้ลุงชมไปจัดการเรื่องซากทารก คาดว่าคงได้สัปเหร่อคนนี้คงช่วยจัดการให้ เรื่องราวตอนนั้นเขาไม่รู้รายละเอียดมาก ลุงชมก็จัดการเอง

“ครับ แล้วมีอะไรหรือเปล่า”เขาถามด้วยความลังเล อีกฝ่ายถอนหายใจก่อนจะทอดสายตามองโกฏิของมณี ขณะที่ค่อยๆเอ่ยถ้อยคำออกมา

“ทารกนั่นถูกนำไปทำพิธี เพราะนางบัวน่าจะกลัวบาปกรรมจึงเอายันต์มาสะกดไว้”ชายชราเอ่ยถึงเรื่องที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน พอนึกถึงสาเหตุที่ทำให้บัวเกิดความกลัว คงไม่พ้นเรื่องผีสาง ชายหนุ่มกังวลใจ ยิ่งเจอเรื่องของมณีเขายิ่งรู้สึกระแวง เขามองโกฏิอยู่เงียบๆ นึกถึงว่าวิญญาณของเธอยังอยู่ไม่ไปไหนแล้วก็ได้แต่เห็นใจ

“แล้วจะเกิดผลร้ายหรือไม่ครับ”เขาถาม ชายชราหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้า “เป็นเรื่องงมงายน่ะคุณ สมัยนั้นอาจจะเชื่อกันอยู่มาก”ชายชราเอ่ยน้ำเสียงต่ำ จ้องมองเขาอีกครั้ง เขาลังเลที่จะเอ่ยถาม แต่หากต้องเก็บงำไว้ตนคงไม่สบายใจ

“....ตารู้ไหม มณียังไม่ไปเกิด ผมไม่รู้ว่าพิธีนี้เชื่อถือได้มากแค่ไหน แต่ผมหวังว่าเธอได้รับกุศลจากผม”เขาบอก มองชายชรานิ่งๆ เจ้าตัวถอนหายใจ ส่ายศีรษะท่าทางเหมือนเหนื่อยใจ

“อืม ตาก็พอจะได้ยินมาบ้าง รู้ไหมว่าทำไมบ้านนี้จึงไม่ค่อยมีคนอาศัย หรือมีคนอื่นอยู่ในบริเวณใกล้เคียง”ชายชราพูด เขาพยักหน้า

“เพราะเรื่องผีหรือครับ”เขาตอบ จะเป็นเรื่องอื่นไปได้อย่างไร ตานันหัวเราะออกมาเบาๆ

“ก็ถูก ชาวบ้านได้ยินอาถรรพ์ของคนภิรมย์สุขมานาน หากไม่จริงก็คงไม่มีคนเอาไปพูดกันทั่วแบบนี้หรอก ในสมัยรุ่นคุณภัทร พ่อของคุณนิรุท จำได้ว่าช่วงนั้นถือเป็นยุคมืดของคนบ้านนี้เลยก็ว่าได้ มีคนตาย และผีอาฆาต ทั้งคุณแก้ว มณีด้วย พอบ้านไร้คนสืบทอด ถึงจะมีคนคอยดูแล คุณว่าจะมีคนใจกล้าเข้ามาขโมยของดีในบ้านบ้างไหม”ชายชราเล่าถึงเรื่องราวที่เขาไม่เคยได้ยิน ชายหนุ่มองสัปเหร่อ

“แสดงว่ามีคนเจอผีจริงน่ะเหรอ”ภูวรินทร์งงงวย แม้ว่าเขาเจอมณีในรูปของสิ่งเหนือธรรมชาติ ใกล้เคียงกับคำว่าผี แต่ก็ได้มาหลอกหลอนอะไรเขา เหมือนต่างคนต่างอยู่

“อาจใช่หรือไม่ใช่ แต่ที่แน่ๆ คนที่เฝ้าบ้านคงไม่ปล่อยให้โจรทำสำเร็จ”อีกฝ่ายพูดถึง ‘คนเฝ้าบ้าน’ ใครกัน หมายถึงมนุษย์หรือว่าวิญญาณ

“แล้วโจรเป็นยังไงบ้างครับ”เขาถามต่อ คาดคะเนคำตอบเอาไว้ในใจแล้วเช่นกัน อีกฝ่ายไหวไหล่ผ่ายผอม

“โจรไม่ได้อะไรจากบ้าน แต่ก็ตาย เพราะเผลอไปกินพืชมีพิษเข้าให้ โง่จริงๆ”

“ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย ป้าษอรก็ไม่ได้เล่าให้ฟัง”ชายหนุ่มขมวดคิ้ว รู้สึกว่าป้าษอรไม่เล่าเรื่องสำคัญๆที่เกิดขึ้นในบ้านให้เขาฟัง

“อ้อ สมัยนั้น อรมันอายุเท่าไหร่กันเชียว ตอนนั้นคนดูแลบ้านเป็นแม่ของมัน...”ชายชราบอกต่อ คลายความข้องใจของเขาไปได้ไม่น้อย

“ตาจะบอกว่าที่โจรตายเพราะผีงั้นเหรอ”

“ไม่รู้สิ เป็นเรื่องเล่าจากคนเก่าแก่ แต่พวกเรื่องเล่าล้วนมีที่มา อยากให้คุณฟังไว้ก็เท่านั้น อีกเรื่องหนึงถ้าคุณกังวลเรื่องมณี.... คืนนี้ไม่ลองออกไปดูบ้างล่ะ”สัปเหร่อแนะ ทำเอาภูวรินทร์ถึงกับหลุดขำ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาพูดล้อเล่นกับเขา อีกฝ่ายมีสีหน้าเหมือนล้อเลียนเขา เขารู้ว่าตนเองขี้ขลาดตาขาว

“...พูดจริงหรือแค่อำผม”เขาเอ่ย มองอีกฝ่ายอย่างพิจารณา คราวนี้ชายชราหัวเราะออกมา

“ฮ่ะๆ ช่างเถอะ นางได้รับกุศลไปแล้ว วิญญาณก็คงได้รับการปลดปล่อย บางทีเพราะคนบ้านนี้ไม่เคยทำบุญให้นาง ไม่เคยมาขอขมากรรมต่อกัน จะว่าไป คนที่จะต้องขอมาก็คือตัวคุณ นางจึงต้องรอถึงเจ็ดสิบกว่าปี การที่คุณหวังให้เรื่องทุกอย่างจบลงที่พิธีขอขมากรรม คุณคาดหวังมากเกินไปหน่อย”ชายชราเอ่ย

“ผมแค่หวังให้ป้าษอรไม่แบกรับเรื่องในอดีต”คำพูดของเจ้าตัว เขาเองก็เข้าใจดี

“อืม นางคงคิดได้แล้วล่ะ ไม่เช่นนั้นคงไม่ทำพิธีนี้หรอก แต่คุณจะคาดหวังว่าให้ทุกสิ่งเป็นไปตามที่ปรารถนาก็คงไม่ได้ ทุกอย่างมีที่ทางของมันเอง”อีกฝ่ายเอ่ยช้าๆ น้ำเสียงคล้ายกับกำลังสอนสั่งเขาไปในตัว เขาฟังแล้วก็คิดตาม ยิ่งทำให้รู้สึกไม่หนักแน่นมั่นคงเอาเสียเลย เขาเงียบไปนาน ไม่สามารถโต้ตอบคู่สนทนาต่อ

“ไม่รู้หรือว่าคนบ้านนี้นับถือผี”หลังจากที่ตานันมองเขาอยู่นาน จู่ๆก็เอ่ยออกมาเรียบๆ สีหน้านิ่งเฉย ภูวรินทร์ตกใจกับสิ่งที่ได้ยินไม่น้อย

“อะไรนะ”คำบอกเล่าของอีกฝ่าย นับถือผีงั้นหรือ เขาจ้องสัปเหร่อด้วยท่าทีเคร่งขรึม ในใจนึกถึงคุณแก้วที่มักจะบูชาสิ่งที่ลาลับไปแล้วมากกว่าการบูชาพระ แต่ไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนี้ ทำเอาภูวรินทร์รู้สึกเหวาดกลัว ร่างกายเย็นเยียบ

“ไม่เห็นหรือว่า บ้านนี้ไม่มีพระบูชา หลวงตาท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ที่เคยมาธุดงค์ที่เนินเขาหลังอาศรม ตอนนั้นมาเจอคนภิรมย์สุขคนลูกของหมื่นนรินทร์ คนนี้อยู่ไม่นานนัก พอตายก็เผากันเอง ไม่ได้มาทำพิธีที่วัด”อีกฝ่ายเล่าด้วยน้ำเสียงปกติ ไม่สนใจที่เขาตกใจกับข้อเท็จจริงดังกล่าว

“แล้วตารู้ได้ยังไงล่ะครับ”ภูวรินทร์ตั้งสติ ก่อนจะถามต่อไป คราวนี้ชายชราขยับมาใกล้เขา สีหน้าขรึม แววตาจริงจังกว่าทุกครั้ง

“ตอนหลานมันตาย นังอรมันเรียกหมอขวัญมายื้อชีวิตหลานมันไว้ คล้ายกับการเรียกเอาจิตกลับสู่ร่างทำนองนี้ มันหมายความว่าคนที่ตายไปแล้วกลับเข้าร่างได้ มันไม่ใช่เรื่องดีนี่คุณ”ตานันเอ่ย เขาใจหายวาบเมื่อเรื่องวกกลับมาเกี่ยวพันกับอินทนิลกับคุณแก้ว เขานิ่งงัน รู้สึกจับต้นชนปรายไม่ถูก

“จะบอกว่าที่อินทนิลอยู่มาป่านนี้เพราะป้าษอรเรียกขวัญกลับมา แล้วเรื่องคุณแก้วล่ะ ไม่ใช่เพราะคำสาปงั้นเหรอถึงได้ไม่ไปไหน”เขาถามอย่างไม่เข้าใจนัก ทีแรกคิดว่าเป็นผลจากคำสาปแช่งซะอีก ชายชราพยักหน้า เหลือบมองเขาอย่างพิจารณาก่อนจะเอ่ยออกมา

“ใช่ เป็นเพราะคำแช่งเลยไปเกิดไม่ได้ แต่การที่จิตของท่านยังสามารถเข้าสู่ร่างของอินทนิลได้ น่าจะมาจากสาเหตุนี้ด้วยเช่นกัน ปกติวิญญาณที่ไม่ถูกเชื้อเชิญจะมาเข้าสิงสู่กับร่างกายมนุษย์ได้เช่นไร”อีกฝ่ายตอบ ภูวรินทร์ยิ่งรู้สึกไม่ดีมากกว่าเดิม อีกฝ่ายคอยจะเอ่ยเตือนเรื่องคนเป็นคนตายกับเขา แต่ครั้งนี้เขาคล้อยตามได้ไม่น้อย แม้ในใจอยากปฏิเสธข้อเท็จจริงนี้

“คงไม่ใช่แค่มีผีสิงร่างใช่ไหมครับ จิตของคุณแก้วกับอินน์เชื่อมต่อกัน”เขาบอก การที่คุณแก้วกับอินทนิลยังคงมีชีวิตอยู่ มีเลือดเนื้อ มันไม่ใช่การสิงสู่ของวิญญาณแบบทั่วไป ไม่คิดว่าป้าษอรจะใช้วิธีแบบนั้นมายื้อชีวิตของอินทนิล เขาถอนหายใจอย่างท้อใจ ความหวังในใจมลายสิ้น

“อืม ถูกต้อง...แต่แล้วอย่างไรล่ะ เขาคือคนที่ควรตายไปตามกรรมไม่ใช่หรือไง”ชายราเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง สายตาพร่ามองมาที่ตนไม่ไปไหน เขาเงียบ แม้ใจจะรู้ดีแต่ก็ไม่อาจอยู่นิ่งเฉยได้ เขารู้สึกเจ็บลึกๆ เขาส่ายหน้า ก่อนจะเอ่ยด้วยอารมณ์โกรธเคือง

“...ที่ตาพูดก็เพื่อให้ผมยอมให้อินน์ตายไปงั้นเหรอ”เสียงของเขาลั่นไปทั่วสุสาน จากนั้นก็เงียบไป ชายชราแค่มองเขาอย่างเฉยชาก่อนจะถอนหายใจแรง

“มันแล้วแต่เวรแต่กรรม คุณยุดยื้อไปก็เท่านั้น เมื่อถึงวาระ ก็คงยื้อไว้ไม่ได้”อีกฝ่ายเอ่ยอย่างไม่ไว้หน้า จากนั้นก็เดินไปจุดธูปไหว้โกฏิของมณี สวดพึมพำอะไรสักอย่าง เหมือนบทแผ่เมตตา ภูวรินทร์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามทำใจให้สงบ

“ตารู้เรื่องคำแช่งได้เช่นไรครับ”เขาเอ่ยถามอย่างนึกสงสัย

“เฮ้อ สงสัยว่าคงมีวาสนาต่อกันล่ะมั้ง รุ่นปู่ของตาเคยทำงานกับท่านหมื่น เป็นคนขับรถ พ่อของตาเคยเป็นคนสวนอยู่ที่นี่เหมือนกัน เลยได้ยินเรื่องเล่าจากบ้านหลังนี้ซะเยอะ”หลังจากที่ไหว้เสร็จ ชายชราก็ลุกขึ้นหันมาคุยกับเขา

“งั้นเหรอ...”เขาพึมพำ ทุกคนในบ้านล้วนแต่เคยพบเจอกันมาก่อน ไม่ก็เคยมีความเกี่ยวข้องกับบ้านภิรมย์สุขไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

“บ้านหลังนี้ไม่มีสิ่งเลวร้าย เพียงแค่มันเก่าไปหน่อย ก็ยิ่งทำให้น่ากลัวอีกอย่าง หากคุณเจอเสียงแปลกๆก็อย่าไปร้องทักเข้าล่ะ การไม่เชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น ใช่ว่าจะลบหลู่ได้ง่าย”

“ผมเชื่อนะ เจอมาขนาดนี้ถ้ายังจิตแข็งอยู่ ผมคงไม่ใช่คน”

อีกฝ่ายหัวเราะ “ถ้ามีอะไรก็เรียกหาตาได้ บอกผ่านไอ้ชมก็ได้ เพราะติดต่อกันตลอด”ชายชราเอ่ยบอก น้ำเสียงเป็นมิตร เขายิ้ม

“ขอบคุณมากครับ” อย่างน้อยสัปเหร่อคนนี้ก็เคยช่วยเขามาก่อน แล้วยังมาเป็นธุระเรื่องพิธีกรรมนี้อีก ชายหนุ่มไม่รู้ว่าพิธีกรรมจะสำเร็จมากแค่ไหน มันเป็นแค่เรื่องอุปโลกน์ขึ้นมาเองหรือเปล่า เขาไม่อาจปักใจเชื่อ แต่เขาไม่ประมาท อย่างน้อย...ก็ทำใจเอาไว้กับทุกผลลัพธ์

คล้อยหลังสัปเหร่อชรากลับไปไม่นาน ภูวรินทร์กุมศีรษะ คำบอกเล่าของตานันทำให้ปวดหัวมาก เขาทุกขใจ เรื่องคนบ้านนี้นับถือผี ทำให้เขาเข้าใจการบูชาของอินทนิล อีกฝ่ายไม่เคยไหว้พระขอพรเลยสักครั้ง มีแต่บูชาบรรพบุรุษ ป้าษอรเองแม้จะทำบุญเข้าวัด แต่ก็ศรัทธาในพิธีกรรมที่ไม่ใช่วิถีพุทธ 

เสียงผู้มาเยือนคนใหม่เดินเข้ามาในสุสาน ภูวรินทร์เห็นว่าเป็นป้าษอร เธอเดินถือธูปกับดอกแก้วมาด้วย เขาคิดว่าป้าษอรต้องการมาขอขมามณี เธอเดินไปนั่งหน้าโกฏิก่อนจะจุดธูปวางช่อดอกแก้วลงก่อนจะหลับตาพนมมือ ภูวรินทร์แค่ถอยออกมาดูเงียบๆที่ใต้ต้นไม้ สามารถบังแดดได้ดี

“…ดอกแก้วคือตัวแทนแห่งความบริสุทธิ์ เป็นดอกไม้สิริมงคล เหมาะสำหรับการพิธีทางศาสนา…อิฉันจึงขอแผ่เมตตาอโหสิกรรมแก่ท่านหมื่นนรินทร์ นางมณีและลูก การกระทำใดที่เคยล่วงเกิน เบียดเบียนแก่ท่านทั้งสาม ขอข้าพเจ้าอโหสิกรรม และไม่คิดจะอาฆาตพยาบาทท่านทั้งสามคนอีก ไม่ว่าจะภพเก่าหรือภพปัจจุบันก็ตาม ขอให้ท่านทั้งหลายรับกุศลที่ข้าพเจ้าส่งไปให้ด้วยเถิด...”ป้าษอรเอ่ย เขาไม่ได้เตรียมตัวมารับฟังถ้อยคำนี้ จึงแปลกใจมาก

ภูวรินทร์มองอยู่เงียบๆ เขายิ้ม แม้เป็นเรื่องน่ายินดีแต่อีกเสี้ยวในใจกลับพลันเศร้าลงเมื่อ รับรู้ว่าไม่สามารถหลีกหนีคำสาปแข่งได้ ลึกในใจไม่อาจละทิ้งบ้านหลังนี้ไปได้ เขาอยากรู้ว่าอะไรดลใจให้ป้าษอรคิดได้ อีกฝ่ายลุกขึ้นยืน เดินตรงมาหา

“...คุณคงสงสัย หากถามว่าเพราะอะไร ก็คงเป็นเพราะคุณแก้วมากกว่า ต่อให้ใจของบัวคิดอาฆาตเพียงใด แต่ตราบใดที่คุณแก้วไม่คิดจะโกรธเคือง ก็ไม่มีประโยชน์ใดต้องเก็บสิ่งที่แบกมานาน”

“...”ภูวรินทร์ไม่มีถ้อยคำใดตอบโต้ แค่เงียบ รับฟังอีกฝ่ายพูด

“อีกอย่างป้าเพิ่งรู้จากอินทนิลว่ามณียังไม่ได้จากไปไหน พอมารู้แบบนี้แล้ว ป้าเองก็รู้สึกสับสน มณีนางได้รับกรรมของนาง ป้าเองก็กำลังรับกรรมของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นท่านหมื่น คุณแก้ว ที่ยังต้องพบเจอกันอยู่ดี”ป้าษอรเอ่ยน้ำเสียงเหมือนคนปลงตก แววตาไม่สะท้อนความยึดถือเช่นครั้งก่อน

“ผมคิดว่ามณีคงจากไปแล้ว ในเมื่อเราทำพิธีขอขมากรรม...ก็คงจะเหลือแต่คนที่ยังอยู่”ภูวรินทร์พึมพำ แม้ว่าเขาจะรู้สึกสบายใจที่ได้แผ่กุศลไปให้ผู้อื่น

“หลวงตาพูดถูกค่ะ ว่าให้อยู่กับปัจจุบัน ในตอนนี้ป้าเองก็จะดูแลอินทนิลให้ดี ดูแลบ้านเช่นเดิม”เธอบอก ชายหนุ่มมองหน้าเธออยู่นาน เขายิ้มก่อนจะเอ่ยขอบคุณกับอีกฝ่าย “ไม่ว่าอย่างไร ป้าก็ยังนับถือคุณและอยากให้คุณดูแลอินทนิลให้ดี...ป้าไม่ใช่ว่าไม่ทราบว่าอินน์มันคิดอะไรอยู่...ป้าจึงรบกวนคุณให้ทำดีต่อมัน รวมถึงคุณแก้วด้วย”อีกฝ่ายเอ่ยบอก แววตานิ่งสงบ เขาหลับตา พยักหน้า เขาไม่คิดจะละเลยเด็กหนุ่มเลยนี่นา

“ครับ ผมเองก็ปรารถนาให้อินน์มีความสุข”เขาบอก

ภูวรินทร์กลับเข้ามาในบ้าน เขาไม่เห็นนิรุทเลย จึงเดินไปยังชั้นบน กลับเข้าไปห้องนอนของตนเอง ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งนิ่งๆอยู่บนเตียง ปล่อยใจสงบลง ในที่สุดป้าษอรละทิ้งความโกรธแค้นที่แบกมานับสิบปี แบกความทุกข์ของนางบัว ชายหนุ่มเองก็บอกไม่ถูกนักว่ารู้สึกดีใจหรือไม่ เพราะมีหลายเรื่องประดังประเดเข้ามาพร้อมๆกัน

มีเสียงเคาะประตู ภูวรินทร์ร้องบอกให้เข้ามาได้ เป็นอินทนิลที่เปิดประตูเข้ามาหา เด็กหนุ่มส่งยิ้มให้เขา ก่อนจะก้าวเดินเข้ามาหา เสียงกำไลข้อเท้ายังคงดังออกมาเบาๆ อีกฝ่ายเดินมานั่งลงข้างกายเขา แต่ไม่ได้เอ่ยเอื้อนคำใดออกมา เพียงแค่ยื่นมือมากุมมือของเขาไว้แน่นๆ ความอบอุ่นแผ่ไปทั่วฝ่ามือ ทำให้ชายหนุ่มยิ้มแย้มออกมาก่อนจะเหลียวมองคนข้างกาย

“ต่อจากนี้คงไม่มีเรื่องร้ายแล้วครับ”อินทนิลเอ่ยบอก นัยน์ตาสีนิลเปล่งประกายความยินดีออกมา ริมฝีปากเผยรอยยิ้มสดใส เขามองรอยยิ้มจนพบว่าตนเองไม่สามารถละทิ้งอินทนิลไปได้ หรือแม้แต่การจากลาของอีกฝ่าย ชายหนุ่มยิ้มให้อินทนิลแทน 

“นั่นสินะ”เขาบอก เด็กหนุ่มกระชับฝ่ามือแน่นขึ้น ร่างของเด็กหนุ่มขยับเข้ามาใกล้เอนตัวพิงกับไหล่ของเขาไปด้วย เขานิ่งไป แต่ในใจกลับยินดีที่เห็นอีกฝ่ายแสดงความรู้สึกต่อตนเอง เขายิ้มบางๆรู้สึกเวทนาตัวเองขึ้นมา ‘ไม่อยากอาภัพรัก’ ภูวรินทร์คิด ตลอดยี่สิบเจ็ดปีที่ผ่านมาทั้งชีวิต เขาไม่เคยมีความรัก เรียกว่าไม่เคยได้รักใครซะมากกว่า คนที่เขาเคยคบด้วยล้วนไม่จริงใจ จึงเป็นความสัมพันธ์ที่ชั่วคราว ต่างจากอินทนิลและคุณแก้ว ที่มอบความรักแก่ตนก่อน ไล่ตามเขา เปิดเผยความรู้สึกที่ชัดเจน มันทำให้เขาไม่อาจปฏิเสธความรู้สึกรักใคร่ของทั้งสองคนไปได้ เขารู้ดีว่าไม่อาจตัดขาดกับทั้งคู่ได้

“ตอนที่ทำพิธีอินน์กลัวแทบแย่แหน่ะ ว่าคุณภูจะเปลี่ยนใจ”อินทนิลเอ่ยออกมา เขาจึงขยับตัว หันมองอีกฝ่ายอย่างเต็มตา

“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ”เขาถาม อินทนิลจ้องมองเขาเหมือนเสียใจ “ก็แววตาของคุณดูมุ่งมั่น โดยเฉาะตอนที่เอ่ยถึงการตัดคำสาบานที่เคยเอ่ยไว้”อินทนิลพึมพำไม่เต็มเสียงเท่าไหร่ ไม่กล้าสบตา เขาจึงยื่นมือไปจับไหล่ผอม ก่อนจะออกแรงบีบเบาๆให้อีกฝ่ายหันกลับมา

“แล้วไม่ดีเหรอ มันเป็นเรื่องของอดีต ตอนนี้ฉันก็อยู่ที่นี่กับเธอไม่ใช่หรือไง”ชายหนุ่มตอบ อินทนิลเปลี่ยนสีหน้าจากซึมเศร้ากลายเป็นความยินดี เด็กหนุ่มยิ้มกว้างเข้ามากอดเขาแน่นเป็นเด็กๆ ภูวรินทร์กอดร่างอุ่นที่ผอมบาง เขาขมวดคิ้วให้กับร่างกายนี้ อินทนิลดูจีความสุขกับการกอดเขา เพราะไม่ยอมปล่อยมือ

“นี่อินน์...”เขาเรียก น้ำเสียงเจือความขบขัน เด็กหนุ่มยอมคลายกอด นัยน์ตาสีนิลวาววับ “คุณภูครับ อินน์ขอแค่ได้อยู่กับคุณก็เพียงพอแล้ว”สิ้นคำพูดของอินทนิล ภูวรินทร์กระพริบตาจ้องมองคนตรงหน้าโดยไม่ละสายตา หัวใจเหมือนมีดอกไม้ผลิบาน เขายิ้ม กวาดสายตาไปทั่วดวงหน้าเรียว ก่อนจะยื่นมือไปสัมผัสเส้นผมอ่อนนุ่มของอินทนิล เด็กหนุ่มยิ้มให้เขา นัยน์ตาอ่อนโยนลง สะท้อนภาพของเขา

“อินน์กับท่านจะอยู่เคียงข้างคุณเสมอ”เด็กหนุ่มเอ่ย นัยน์ตาสีนิลเริ่มแดงมีน้ำใสคลอไปด้วย จากที่ดอกไม้ผลิบานตอนนี้กลับแห้งเหี่ยวเฉาลงทันที หัวใจเหมือนโดนบีบรัดแน่น เขาเม้มปาก ไม่อยากคิดวุ่นวายกับประโยคเหล่านี้ของอินทนิล เขากอดอินทนิลไว้แน่น ยกมือลูบศีรษะเล็กอย่างถนอม

“ขอบคุณมากนะ ตอนนี้ฉันยอบรับในชะตาของตนเองแล้ว ยอมรับในตัวตนของเธอสองคนด้วยเช่นกัน...”ภูวรินทร์เอ่ยออกมาจากใจ แม้จะเป็นเรื่องน่ายินดีแค่ไหน แต่เขายังคงสุขใจได้ไม่เต็มที่ เด็กหนุ่มกระชับกอดแน่น

“เรารู้แล้ว”อินทนิลเอ่ยเบาๆ โอบกอดเขาเนิ่นนาน ชายหนุ่มผละออกมอง ยื่นมือเกลี่ยหยาดน้ำตาของอีกฝ่ายออกไปให้พ้นแก้ม เขาไม่ลังเลที่จะเข้าไปประทับจูบแก่อินทนิล เจ้าตัวตอบรับสัมผัสของเขาอย่างเต็มใจ ขยับตัวเข้าหากันอย่างโหยหา มือหนาโอบลำตัวของเด็กหนุ่มไว้ดึงรั้งเข้าหา มือที่ว่างเข้ามาหยอกเย้ากับร่างกายใต้สาบเสื้อ สองร่างแนบแน่น ด่ำดิ่งสู่ห้วงกามา แต่รสสัมผัสปราศจากความมัวเมาเพียงแค่ตัว ตอบรับกันและกันด้วยรักในใจ สอดแทรกกอดรัดให้หรรษาจนกว่าคนทั่งคู่จะพึงพอใจ 

ภูวรินทร์เพียงแค่อยากเชยชมเด็กหนุ่ม ตัวตนของอินทนิลสักครั้ง ไม่รู้ว่าเรื่องหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร แต่เขารับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง หากว่าไม่ใช่ฝันเฟื่อง เขาคงต้องติดต่อกับป้าธิชาดูสักครั้ง เพื่อคุยเรื่องของอินทนิล   



+++++++++++



นิรุทยังคงอาศัยอยู่ที่บ้าน อีกฝ่ายดูจะสนใจเรือนกระจกเป็นพิเศษ จึงทำให้เขาต้องมาคุยกับชายคนนี้อยู่บ่อยครั้ง “ไม่ยักรู้ว่าดอกไม้พวกนี้ยังรอดได้อีก”

“ป้าษอร ลุงชมดูแลมันไม่ใช่หรือไงครับ”เขาบอก อีกฝ่ายพยักหน้า ริมฝีปากแย้มยิ้ม “เธออึดอัดหรือ”

“ก็นิดหน่อยครับ...”ชายหนุ่มตอบไปตามตรง เขายังไม่ชินกับการพูดคุยกับนิรุทนัก อีกฝ่ายมองอยู่นาน เขาเงียบ ตั้งใจว่าหากไม่มีเรื่องจะพูดกัน เขาคงต้องเดินหนี

“ขอโทษนะ”นิรุทเอ่ยถ้อยคำออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ ภูวรินทร์ชะงักงันไปทันที

“ว่าไงนะครับ”ภูวรินทร์เอ่ยซ้ำ มองอีกฝ่ายนิ่งๆ เจ้าตัวแค่มองเขาอยู่นาน แววตาที่สะท้อนกลับมาเป็นความรู้สึกผิด

“ฉันเอ่ยคำขอโทษให้เธอ...ในฐานะพ่อที่ไม่ได้เรื่อง”นิรุทบอกเรียบๆ ภูวรินทร์นิ่งงัน “ช่างเถอะครับ... ว่าแต่คุณยังติดต่อกับป้าธิชาบ้างไหมครับ”เขาเอ่ยถาม

“ธิชา?...นานๆครั้ง ฝ่ายนั้นไม่ค่อยได้ติดต่อกลับมาหรอก...ทำไมหรือ”

“เรื่องอินทนิลน่ะครับ”ชายหนุ่มตอบ นิรุทมองหน้าเขาด้วยสายตาสงบนิ่ง เขาคิดว่าอีกฝ่ายรู้ความสัมพันธ์ของเขากับอินทนิล ป้าษอรอาจบอก

“...ฉันไม่อยากยุ่งเรื่องของเธอหรอก...แต่อินทนิลยังเด็กอยู่เลย”อีกฝ่ายพูด จนเขารู้สึกผิดบาปขึ้นมา ชายหนุ่มไม่อยากคุยกับนิรุทอีก

“ผมมันมีกิเลสเยอะ”เขาเอ่ยทิ้งท้าย ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากเรือนกระจกด้วยใจไม่สงบนัก ชายหนุ่มเดินกลับเข้าไปในบ้าน อินทนิลนั่งร้อยมาลัยอยู่ที่โถงรับแขก พอเห็นเขาเดินมาก็ส่งยิ้มทักทาย

“ทำอีกแล้วเหรอ เอาไปไหว้พระหรือไง”ภูวรินทร์เอ่ยถาม นึกถึงคำของสัปเหร่อที่บอกว่าคนบ้านนี้นับถือผี อินทนิลถือเข็มร้อยมาลัย กำลังหยิบดอกพุดเสียบลงเข็มช้าๆอย่างชำนาญ

“เปล่าครับ อินน์จะเอาไปไว้บนหัวนอน”เด็กหนุ่มตอบ เขาลอบถอนหายใจ  อินทนิลเงยหน้ามอง คิ้วขมวดเข้าหากัน “มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“ฉันไม่ฝันร้ายแล้วนะ ไม่ต้องทำหรอก”เขาบอกด้วยน้ำเสียงปกติ ไม่มีความดุดันให้ได้ยิน อินทนิลชะงักค้างไป

“คุณภูกังวลสิ่งที่อินน์ทำเหรอครับ”เด็กหนุ่มวางเข็มมาลัยในมือลง เขาส่ายหน้าปฏิเสธ “เปล่าหรอก..ฉันแค่เสียดายน่ะ พวงมาลัยไม่นานมันก็เหี่ยวเฉา”เขาบอก อินทนิลมองดอกพุดในมืออย่างไม่เข้าใจนัก

“เหรอ...คุณไม่ชอบเหรอครับ”

“ไม่ได้ไม่ชอบ...เอาเป็นแค่ดอกแก้วก็พอนะ อย่างน้อยกลิ่นของมันทำให้ฉันผ่อนคลายได้”เขาบอก พอได้ฟังคำเกลี้ยกล่อมอินทนิลคล้อยตามง่ายๆ

“ตามใจครับ แต่พวงนี้ทำให้เสร็จไปเลยดีกว่า เสียดายของ”เจ้าตัวตอบ เขาจึงพยักหน้าตกลง มองดูอินทนิลร้อยมาลัยอยู่เงียบๆ แม้ว่าอีกฝ่ายจะทำเป็นนิ่งเฉย เหมือนไม่สะทกสะท้านอะไร แต่เขาเห็นว่าเด็กหนุ่มประหม่า ภูวรินทร์ลอบยิ้ม ยอมหยิบหนังสือพิมพ์ออกมาอ่านฆ่าเวลาเล่น ไม่มีข่าวอะไรที่น่าสนใจ หรือเกี่ยวข้องกับคนภิรมย์สุข

 


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-02-2018 10:30:40 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
ทว่าสถานการณ์ของภูวรินทร์เหมือนเป็นคลื่นใต้น้ำ ทีแรกเหมือนว่าจะสงบนิ่ง จนเขาคลายความกังวลไปได้ แต่ทว่าในคืนนั้นอินทนิลไม่สบาย คลื่นไส้อาเจียนอย่างหนัก ร่างกายซีดเซียว เพ้อด้วยพิษไข้ไม่ได้สติ ยิ่งทานยาเข้าไปราวกับว่าไม่เป็นผลดี เนื้อตัวของอินทนิลเย็นลงอย่างน่าตกใจ

“เกิดอะไรขึ้นกัน เมื่อคืนยังดีอยู่เลย”ชายหนุ่มเอ่ยอย่างร้อนใจ ป้าษอรเข้ามาวัดไข้ เธอดูกังวลใจ เขาจุกในอก ไม่อยากคิดฟุ้งซ่านให้มากความ นิรุทเองก็กังวลใจไปไม่น้อย

“พาไปหาหมอดีกว่าครับ”ภูวรินทร์ทนดูไม่ไหว อินทนิลป่วยหนักเกินกว่าจะรักษาด้วยยาทั่วไป แต่ว่านิรุทกลับเข้ามาห้ามปราม

“ไม่ได้นะ ไม่รู้หรือไงว่าอินทนิลใช้ชื่อของคนอื่น หากไปส่งโรงพยาบาล คงมีเรื่องวุ่นวายตามหลังมาแน่ๆ”อีกฝ่ายเอ่ย ภูวรินทร์นิ่งงัน เหมือนเดินชนกำแพง เขามองไปที่ป้าษอร เธอหน้าซีด ท่าทางหมดคำพูด

“แต่ไม่เห็นเหรอว่าอินน์แย่แค่ไหน จะปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้...คุณหาหมอมารักษาที่บ้านก็ได้”เขาเอ่ยบอก นิรุทมีหน้าลังเลใจ เขายิ่งทวีความหงุดหงิด เข้าไปอุ้มอินทนิลออกจากเตียง นิรุทเข้ามาห้ามอีกครั้ง แต่ภูวรินทร์อยู่เฉยไม่ได้ ร่างของอินทนิลอ่อนเปลี้ยเหมือนคนไม่มีสติสัมปชัญญะ 

“อย่า...ไปไม่ได้ครับ”อินทนิลส่งเสียงออกมาอย่างแผ่วเบา แม้ว่าไม่ลืมตาแต่เปลือกตาของเด็กหนุ่มกระตุกไปมา มือผอมแห้งปัดป่ายเขาออกจากร่าง ภูวรินทร์มองอินทนิลอย่างไม่เข้าใจ

“เดี๋ยวฉันตามหมอมาดูให้”นิรุทเอ่ยบอก ชายหนุ่มปล่อยร่างของอินทนิลลงกับเตียงช้าๆ มองดูแล้วอินทนิลอาการหนัก เขายิ่งเครียดและจิตใจไม่อยู่กับตัว คำพูดของหลวงตาและตานันกลับเข้ามาซ้ำเติม ...พิธีขอขมากรรมส่งผลต่ออินทนิลจริงๆ เขาควรทำเช่นไรดี

“ฉันอยากให้เธอมีสติหน่อย ไม่เห็นหรือไงว่าอินน์แย่แล้ว”นิรุทเผลอพูดออกมา ภายในห้องเงียบกริบทันที ป้าษอรหลบตาเขา เม้มปากแน่นท่าทางเหมือนอดกลั้นอารมณ์เอาไว้

“จะปล่อยให้อินทนิลตายไปทั้งแบบนี้จริงๆน่ะเหรอ”เขาส่ายหน้า มันรวดเร็วเกินไป เขาไม่ทันได้เตรียมทำใจเลยด้วยซ้ำ นิรุทถอนหายใจ

“ถ้าอยากนั้น ป้าจะไปตามหมอขวัญมา”หญิงท้วมเอ่ยน้ำเสียงแหบแห้ง ภูวรินทร์เงยมอง ก่อนจะหันไปมองอินทนิลอีกครั้ง ร่างนั้นซีดเซียวจนน่ากลัว ริมฝีปากแห้งเริ่มคล้ำลง

“ผมไม่นับถือผี...”ชายหนุ่มเอ่ยออกไป ป้าษอรมีท่าทีเหมือนไม่พอใจ เธอเดินเข้ามาหาเขา

“หรือคุณจะปล่อยอินน์ไว้แบบนี้ ต่อให้หมอเก่งๆมารักษา ไม่มีทางที่จะรักษาให้หายได้หรอก....ร่างกายของอินน์ในตอนนี้เหมือนเมื่อตอนป่วยหนักเมื่อตอนกินผลเทียนหยดไปไม่มีผิด... อาการแบบนี้แหละ”ป้าษอรเอ่ยอย่างอับจนหนทาง ทำเอาภูวรินทร์แทบทรุด เขาอึ้งไป ร่างกายเหมือนยืนได้ไม่มั่นคงนัก ถ้อยคำเก่าๆของอินทนิลผุดขึ้นมาในหัวราวกับเปิดเทปไว้

‘ภาวะพร่องออกซิเจน...’

เขาส่ายศีรษะไม่อยากยอมรับความจริงนี้ ยิ่งนึกถึงภาพในฝันที่อินทนิลดูทุกข์ทรมานแบบนั้น ยังจำที่เคยอ่านอาการของพิษเทียนหยดได้ ยิ่งทำให้เขาไม่อาจห้ามให้น้ำตาค่อยๆเอ่อคลอออกมา ความตายที่เขาเคยเห็นในฝัน ในตอนนี้อินทนิลไม่อาจหลีกหนีได้จริงๆงั้นหรือ...

“...จะช่วยได้จริงๆเหรอครับ”ภูวรินทร์เอ่ย เสียงสั่นเครือ นิรุทมองเขาอย่างเป็นห่วง ป้าษอรไม่ตอบ เพียงแค่เดินออกจากห้องไป เสียงปิดประตูดังตามมา เขาเดินไปนั่งข้างเตียง ในใจไม่อาจรับรู้สิ่งใดอีก แค่มองร่างายของอินทนิลตรงหน้า มันทำให้เขาหมดหนทาง เขาอยากร้องไห้ออกมา เขาไม่เคยสูญคนที่รักมาก่อน เขาไม่อยากสูญใครไป

“อย่าจากไปตอนนี้สิ”เขาพึมพำก่อนจะปล่อยเสียงให้จมหายไป ...ไหนว่าจะอยู่เคียงข้างกันไง... ยื่นมือไปจับฝ่ามือที่เคยอุ่น ตอนนี้มันเย็นลงเรื่อยๆ เขาเอื้อมไปหยิบผ้าชุบน้ำอุ่นมาเช็ดตัวให้อินทนิล ทำแบบนี้เขาไม่รู้ว่ามันช่วยได้หรือไม่

“อย่าห่วงไปเลย...อินน์ต้องปลอดภัย”เสียงของนิรุทดังขึ้น ภูวรินทร์ทำได้แค่ยิ้ม รู้ดีว่าเป็นคำโกหก เขาไม่อาจทำใจให้นิ่งเฉยได้ เรี่ยวแรงที่มีหายไป เขาปล่อยผ้าเช็ดตัวผืนเล็กหล่นลงพื้น พบว่าสองมือนี้ไม่อาจแบกรับอะไรได้อีก อยู่ๆเขาก็เข้าใจ คุณแก้วเองเคยบอกว่ามีเวลาอยู่ไม่มาก ในเมื่อจิตวิญญาณของทั้งคู่ได้รับการขอขมา ผลบุญกุศลจากพิธีนั้น จิตของแก้วและอินทนิลจะกลับเข้าสู่สังสารวัฏ เกิดดับในภพถัดไป

ภูวรินทร์ทำใจไม่ได้จริงๆ แม้ใจจะคอยย้ำว่าไม่ได้รักคุณแก้วกับอินทนิลมากถึงเพียงนั้น มากไปกว่าที่ทั้งสองมีใจให้เขา ภายในใจเหมือนเต้นตุบๆอย่างเจ็บปวด เขาไม่รู้เลยว่ามันมาจากไหน เจ็บเพราะรัก หรือเจ็บเพราะอาการของคนป่วยกันแน่ แต่เขาก็ยังมีน้ำตาอยู่ดี

+++++++++++

เราตั้งใจว่า 20 ตอนจบค่ะ

ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ 

ออฟไลน์ junpa

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 322
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
อย่าตายน้าาา :sad4:

ออฟไลน์ พันธุ์ไทย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ANIKI.

  • 兄貴
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 190
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
เอาละ.... มันจะจบแบบไหน อีกสี่ตอนเท่านั้น สุดจะลุ้น

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
 :sad4: ฮือออ ไม่น้าาาาาา นี่เชียร์อินท์มากจริงๆไม่อยากให้อินท์เป็นอะไรไปเลย สงสารภูเลยตอนนี้พอเริ่มจะรักก็เหมือนจะพลัดพรากอีกแล้ว

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
โอ้ยๆๆๆๆๆ จะเป็นยังไงต่อเนี่ย
แต่ใจนึงก็อยากให้ทุกคนได้เริ่มต้นใหม่จัง

ออฟไลน์ net. net_n2537

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 305
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ เป็ดอนุบาล

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ หมอตัวเปียก

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1874
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
มีรักย่อมมีพราก อยากให้ตอนจบภูบวช

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
ตอนที่ ๑๗
นิรุทรักษาคำพูด ช่วงบ่ายอีกฝ่ายตามหมอที่รู้จักมาช่วยรักษาอินทนิล ในขณะที่ป้าษอรออกไปเตรียมพิธีเรียกขวัญ ภูวรินทร์ใจสั่น เขาไม่เชื่อพิธีกรรมที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่ไม่อาจขัดป้าษอรได้ หมอที่มาตรวจอินทนิล ท่าทางมีอายุมากกว่านิรุทเสียอีก หมอคนดังกล่าวเข้าไปเช็ครูม่านตาของอินทนิล ตรวจชีพจร ก่อนจะถามอาการของอินทนิลกับนิรุทอีกครั้ง สีหน้าเคร่งเครียด หมอหยิบขวดน้ำเกลือขนาดเล็กออกมา จากนั้นก็ต่อสายน้ำเกลือต่อให้อินทนิล

“ดูเหมือนว่าร่างกายจะขาดน้ำ ท่าทางเหมือนโดนพิษ”ลุงหมอเอ่ยระหว่างที่วัดไข้อินทนิลอีกรอบ ปรากฏว่าอุณหภูมิในร่างกายต่ำผิดปกติ เนื้อเย็นลงเรื่อยๆ หลังจากฉีดยาไปสองเข็ม เด็กหนุ่มก็อาเจียนออกมาหลายครั้ง

“รักษาได้ไหมครับ”นิรุทเอ่ยถาม ชายหนุ่มกลั้นใจฟังคำตอบ

“เฮ้อ เหมือนจะสายไปแล้วนะ แปลกมากจริงๆ ร่างกายของเด็กคนนี้ไม่รับยาที่ฉันให้ไปเลย คิดว่าร่างกายขาดสมดุลไปแล้วล่ะ...มันเกิดอะไรขึ้นกัน”หมอหันไปพึมพำกับนิรุท ภูวรินทร์เดินวนไปวนมาอย่างกระวนกระวายใจ นิรุทร้องขอให้หมอช่วยล้างท้องให้อินทนิล แต่การล้างท้องโดยไม่มีเครื่องมือแพทย์ช่วยก็ยิ่งทำให้อินทนิลสูญเสียน้ำในร่างกายไปเยอะ แม้จะมีน้ำเหลือให้อยู่ตลอดก็ตาม หมอล้างพิษในร่างกายของอินทนิลออกได้ แต่หมอไม่การันตีว่าอินทนิลจะอาการดีขึ้นในชั่วโมงหรือสองชั่วโมง ต้องรอดูอาการต่อไป ภูวรินทร์มองอินทนิลที่มีสีหน้าดีขึ้นมาบ้าง จนนิรุทเห็นว่าเขาไม่ได้โวยวาย จึงพาหมอออกไปส่ง ชายหนุ่มทรุดนั่งลงที่เตียง มองอินทนิลที่ยังนอนสงบนิ่งอยู่ แต่คิ้วยังขมวดเข้าหากัน

“นี่อินน์ ได้ยินหรือเปล่า”เขาลองเรียกอีกฝ่ายดู แต่ไร้การตอบสนอง

ระหว่างนั้นมีเสียงเปิดประตูเข้ามา ภูวรินทร์หันไปมอง ก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างตกใจ  เมื่อพบว่าป้าษอรมากับตานันสัปเหร่อคนนั้น ชายชราไม่ได้สนใจเขาเพียงแค่เดินเข้ามาดูอินทนิลที่เตียง สีหน้าเคร่งขรึมก่อนจะถอนหายใจ

 “อย่าบอกนะว่าตาคือหมอขวัญน่ะ”เขาเอ่ยถามอย่างมึนงง เหลือบมองป้าษอรอีกคน เธอพยักหน้าให้เขา สัปเหร่อชราเงยมองเขาด้วยสายตาเรียบเฉย

“ใช่ ...อืม อาการหนักถึงเพียงนี้เลยหรือ”อีกฝ่ายหันกลับไปมองอินทนิลต่อ

“เมื่อกี้หมอล้างท้องให้อินทนิลแล้วนี่ครับ”เขาบอกชายชรา แต่ว่าอีกฝ่ายขมวดคิ้วจ้องมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์นัก ว้ำยังไม่ได้ตอบอะไรเขา

“ช่วยได้ไหมจ้ะ”ป้าษอรเอ่ยถามแทรก น้ำเสียงไม่มั่นคง แววตาแดงก่ำเหมือนจะใกล้ร้องไห้ออกมา

“ขึ้นอยู่กับวาสนาของมันก็แล้วกัน”ชายชรารำพึง สายตามองร่างของเด็กหนุ่มอยู่นาน จังหวะเดียวกันลุงชมเข้ามาในห้องเปิดประตูไว้ ในมือถือขันโตกสามอันเข้ามาในห้อง ภูวรินทร์มองอยู่เงียบๆ รู้สึกว่ากำลังมองละครปาหี่อะไรสักอย่าง บนขันโตกมีเสื้อผ้าของอินทนิล ป้าษอรเดินเข้าไปหาร่างของเด็กหนุ่ม ค่อยๆถอดกำไลข้อเท้าออก ก่อนจะนำไปวางที่บนเสื้อผ้าบนขันโตกอีกที จากนั้นลุงชมนำไปตั้งไว้ที่หน้าประตูทางขวามือ 2 ชุด ซ้ายมือ 1 ชุด และนำอุปกรณ์และเครื่องเซ่นมาวางไว้ด้วย มีเงินเหรียญ ข้าวสุก หัวหมู ไก่ น้ำ เหล้า ข้าวโพด ธูป ด้ายสายสิญจน์ และเงินห้อยคอ ชายหนุ่มไม่คิดเลยว่าป้าษอรจะไปจัดหาของพวกนี้มาจนครบ ภายในเวลาไม่ถึงสองชั่วโมง

ชายชราเริ่มอธิบายพิธีในครั้งนี้ว่าทำเพื่อเรียก‘ขวัญ’ให้กลับคืนสู่ร่างของอินทนิล เพราะเชื่อกันว่าผู้ที่ขวัญล่องลอยออกจากร่าง จนทำให้ร่างกายไม่สบาย โดยขวัญผู้ชายจะมี 9 ดวง หากหายไปดวงใดดวงหนึ่ง จะทำให้ไม่สบายได้หรือกระทั่งถึงแก่ชีวิตได้

หลังจากที่ลุงชมนำขันโตกไปวางที่หน้าประตุจนครบ ตานันก็เริ่มพิธีใช้เครื่องเซ่นไหว้ที่จะเซ่นสังเวย โดยนำกิ่งไม้เล็กๆ 4 กิ่ง นำมาเสียบปักไว้บนโตกทั้งสามชุด เพื่อสร้างบรรยากาศให้เหมือนกับป่านอกหมู่บ้านที่ผีร้ายอาศัยอยู่ แล้วเอาน้ำ เหล้า ข้าว ธูป และไข่ 1 ฟอง และเริ่มพิธี สัปเหร่อเฒ่าค่อยๆสวดมนตร์ ภาวนาให้ผีร้ายที่กักขวัญของอินทนิลไว้ ให้ปล่อยขวัญกลับมาสู่ร่างกายของเจ้าของ พอสวดเสร็จแล้ว ชายชราเดินออกไปยืนที่ประตูห้อง โดยในมือถือไข่ไก่ และด้ายสายสิญจน์ไว้ สวดมนตร์ให้ผีบรรพบุรุษมากินอาหารที่เตรีอมเอาไว้ให้ จากนั้นตานันก็กลับเข้ามาในห้องทำพิธีต่อ

ภูวรินทร์ไม่เคยเห็นพิธีกรรมแบบนี้มาก่อน เลยพูดไม่ออก เขาเหลือบมองป้าษอรที่กระวนกระวายใจไม่น้อย แต่ท่าทางก็ศรัทธาสัปเหร่อคนนี้ด้วยเช่นกัน เขามองไปที่อินทนิล ร่างนั้นยังคงซีดเซียว ส่งเสียงอืออาออกมาเหมือนคนฝันร้ายมากกว่า เขามองชายชราที่หยิบสายสิญจน์ออกมา ปากก็สวดมนต์ไปด้วย อีกฝ่ายเดินไปที่เตียงแล้วนั่งลงข้างๆร่างของอินทนิล จากนั้นก็จับมือของอินทนิลขึ้นมาทั้งสองข้าง เขามองอย่างไม่วางใจ

“จะทำอะไรครับ”เขาท้วงออกมา เมื่อเห็นว่าชายชรากำลังมัดมือของอินทนิล ในท่วงท่าของคนที่จากไปแล้วแบบนั้น ชายหนุ่มมองไปที่ป้าษอรอย่างไม่เข้าใจ และรู้สึกไม่ดีเมื่อเห็นอินทนิลถูกกระทำเช่นนี้ ราวกับว่าภาพตรงหน้ากำลังตอกย้ำเขาว่าอินทนิลไม่ต่างอะไรกับคนที่ไร้ลมหายใจ

“ต้องทำให้จบพิธี เพื่อรับขวัญกลับมา”ชายชราเอ่ยเสียงแหบพร่า ก่อนจะพันสายสิญจน์จนแน่นรอบมือของอินทนิลที่พนมเข้าหากัน มองภาพตรงหน้าแล้วภูวรินทร์เจ็บจี๊ดในใจ

“ทำแบบนี้ อินน์ก็เหมือนคนตายน่ะสิ”เขาโวยวายเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังมัดสายสิญจน์ไปที่ลำคอของเด็กหนุ่มต่อ เจ้าตัวชะงักมือ เหลือบมองเขาอย่างเฉยชา

“แกพาเขาออกไปก่อนดีกว่า”ชายชราหันไปพูดกับป้าษอร เธอหน้าซีดเดินเข้ามาหาเขาก่อนจะเอ่ยเสียงเหมือนคนร้องไห้

“ถือว่าป้าขอร้องนะคะ คนอาจไม่เชื่อเรื่องเหล่านี้ แต่ป้าไม่อยากเสียอินน์ไป”เธอเอ่ย สองตาเริ่มแดงก่ำ แต่พยายามไม่ให้น้ำตาไหลออกมา ชายหนุ่มเม้มปากแน่น มองชายชราที่ละออกจากร่างของอินทนิล เขามองเด็กหนุ่มที่นอนไร้สติ มีสายสิญจน์พันทั้งมือและลำคอ ภูวรินทร์หันหลังเดินออกจากห้องไปเงียบๆ ก่อนจะเดินไปนั่งสงบสติอารมณ์ที่ห้องหนังสือ เขาหายใจช้าๆ รู้สึกว่าภาพของอินทนิลยังคงติดตา

ภูวรินทร์นั่งลงกับเก้าอี้ รู้สึกว่าร่างกายเหนื่อยล้ากว่าเดิมหลายเท่า เขาไม่คาดหวังกับพิธีกรรมของชายชรา ในใจของเขาได้ข้อสรุปมาตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าอาการของอินทนิลเหมือนกับเหตุการณ์เมื่อสิบปีก่อน มันชัดเจนพอแล้วว่าเวลาของอินทนิลกำลังหมดลง เขาระลึกถึงคุณแก้วขึ้นมา เมื่อสองวันก่อนที่อีกฝ่ายออกมาช่วยเขาเรื่องของป้าษอร บางทีการกระทำเหล่านั้นคงเป็นสัญญาณเตือนว่าเวลาของคุณแก้วกำลังหมดลงเช่นกัน แต่เขาไม่ได้เก็บเอามาคิดมาก มัวแต่ห่วงเรื่องคำแช่ง

เขาคิดว่าชีวิตของเขามันน่าตลก ได้เจออินทนิล แต่ยังไม่ได้ทันได้จะรักอีกฝ่ายอย่างจริงจัง กลับต้องมาเจอการสูญเสียแทน หรือว่าชะตาของเขาจะไร้คู่ อาภัพเหมือนที่บัวเคยกล่าวไว้จริงๆ พอคิดแบบนี้ เขารู้สึกโดดเดี่ยวมากกว่าเดิม ก้มหน้าซบลงกับฝ่ามือ ต่อให้มีเวลาทำใจ มันก็ยังคงยากอยู่ดี

ต่อจากนี้ เขาเองไม่อาจรู้ว่าจะสามารถอยู่ที่บ้านหลังนี้ได้อีกหรือเปล่า ชายหนุ่มหลับตาลงปล่อยความรู้สึกแย่ๆออกจากใจแต่ไม่สำเร็จใบหน้าของอินทนิลผุดให้เห็นอยู่ตลอด เขาไม่อาจสงบใจได้เลย ผ่านไปไม่ถึงสิบนาที มีเสียงฝีเท้าวิ่งมาหาที่ห้องหนังสือ

“คุณภูคะ! อินน์อยากเจอคุณค่ะ”ป้าษอรผุนพลันเข้ามาที่ห้องหนังสือ เขารีบลุกขึ้นยืนทันที น้ำเสียงตื่นตระหนกของป้าษอรปลุกให้เขาเร่งฝีเท้าวิ่งไปหาอินทนิล ประตูห้องนอนของเขายังเปิดอ้าไว้ เขาได้กลิ่นธูปลอยคลุ้งอยู่ในห้อง ร่างของเด็กหนุ่มยังคงนอนอยู่บนเตียง ตานันนั่งอยู่ริมหน้าต่างไม่ได้มองมาที่เขา ภูวรินทร์เข้าไปหาอินทนิล เจ้าตัวไม่ได้ขยับเปลี่ยนท่า แค่หน้ามาทางเขาช้าๆ แววตาที่เคยสดใสตอนนี้ดูพร่ามัว ใบหน้าซีด เหงื่อกาฬผุดเกาะอยู่ทั่วใบหน้า เขาเอื้อมไปจับมือเย็นชืดของอินทนิล

“คุณภู...สีหน้าดูไม่ดีเลย”อินทนิลเอ่ยด้วยน้ำเสียงโรยแรง เขายิ้มให้กับจิตใจดีของอีกฝ่าย ตอนนี้อินทนิลเหมือนคนไร้เรี่ยวแรง หายใจแผ่วเบา เขาหันไปมองป้าษอร เธอบิดมือไปมาอย่างกังวลใจ แววตาเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา

“พักผ่อนดีกว่า อีกเดี๋ยวก็ดีขึ้น”เขาบอกเสียงเรียบเฉย เขาอยากย้ำให้ตัวเองฟังด้วย อินทนิลเงียบไป แต่ก็ปรากฏรอยยิ้มบางๆ

“บางที อินน์ว่ามันคงถึงเวลาแล้วมากกว่า”เด็กหนุ่มเอ่ยน้ำเสียงแผ่วเบา ริมฝีปากที่ขยับพูดสั่นระริก  หัวใจของภูวรินทร์พลันชาวาบ เขานิ่งงัน บีบมือของอีกฝ่ายแน่น

“พูดะไรแบบนั้นกัน”เขาพึมพำ หันไปมองป้าษอรที่ทำหน้ากล้ำกลืนก้อนสะอึก เธอมองมาที่เขาด้วยสายตาหมดหวัง ก่อนจะส่ายศีรษะให้เขา ชายหนุ่มหันมองคนที่นอนหายใจแผ่วๆอีกครั้ง

“ฮึก...ท่านกำลังจากไปแล้ว...”อยู่ๆอินทนิลก็เอ่ยเสียงดังพร้อมกับเสียงสะอื้น เด็กหนุ่มตัวสั่นเทา พยายามกลั้นเสียงร้องไห้ เขาไม่รับรู้ถึงแรงฝ่ามือที่กำลังกุมมือของตนอยู่ รู้เพียงว่าเขากำลังสูญเสียการควบคุม

“อะไรนะ...”ภูวรินทร์กระพริบตามองร่างของอินทนิล ใจหล่นวูบทันที เขาหน้าซีด มองเด็กหนุ่มที่คล้ายกับอดกลั้นต่อความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นต่อร่างกายของตนเอง เขาเม้มปาก “อย่าพูดอะไรที่เป็นลางไม่ดีเลยนะ”เขาบอก ไม่อยากรับรู้เรื่องที่ทำให้ใจต้องหดหู่ อินทนิลดึงมือเข้าไปวางบนอก นัยน์ตาสีนิลหม่นลง อีกฝ่ายกำลังกุมมือของเขาไว้แน่น

“...มณีก็จากไปแล้วครับ ฮือ... อินน์ก็คงต้องจากไปเหมือนกัน”เด็กหนุ่มเอ่ยออกมาทั้งน้ำตา เขามองคนตรงหน้าอยู่นาน เหมือนบางอย่างในใจมันปลิวหายไป เขารู้สึกโหวงเหวง

“อินน์ แกอย่าพูดอะไรแบบนี้สิ”ป้าษอรเดินเข้ามาใกล้ นั่งลงอีกฝั่งหนึงของเตียง ชายหนุ่มแค่พูดอะไรไม่ออก เขาจ้องมองอินทนิลอีกครั้ง สำรวจไปทั่วทั้งตัวของอีกฝ่าย ร่างกายนี้เขาเคยได้เชยชมไปเลย จากที่เป็นกายอุ่น ขาวสะอาด ตอนนี้กลับกลายเป็นร่างที่เย็นลง เหงื่อโซมกาย สีผิวไม่ขาวใส แต่ดูคล้ำลงออกไปทางซีดเขียวราวกับร่างของคนที่ไร้ชีวิต 

“ฉัน...”เขามีถ้อยคำมากมายที่อยากเอ่ยออกมา มีหลายเรื่องที่อยากคุยกับอินทนิล อยู่ๆกระบอกตาก็ร้อนผ่าว เขาเห็นอินทนิลอย่างพร่ามัวผ่านม่านน้ำตา หากเปรียบความเสียใจเวลาที่ต้องเลิกรากับคนเก่าๆ มันเทียบไม่ได้กับสิ่งที่เขากำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้ ความรู้สึกที่มีให้อินทนิลกับคุณแก้วดูจะมีมากกว่าที่ตัวเขาเข้าใจเสียอีก

“อย่างน้อย ตอนตาย อินน์ยังมีคนที่รักอยู่ข้างๆ ฮือ ไม่เหมือนตอนนั้นเลย แม่ไม่หาอินน์ ทั้งๆที่อยากเจอแม่แทบใจจะขาด....แต่ตอนนี้ อินน์มีคุณภูแล้วก็ษอรอยู่ด้วย ถือว่าเป็นบุญของอินทนิลแล้วล่ะ”อินทนิลยิ้มให้เขา ก่อนจะหันไปมองป้าษอร เธอไม่สามารถกลั้นเสียงร้องไห้ได้อีกต่อไป เธอร้องไห้โฮออกมา ถ้อยคำของเด็กหนุ่มบาดลึกลงกลางใจของเขา อินทนิลยังคงเหมือนเดิม ยังคงเจียมตน ไม่ขออะไรจากเขานอกจากคอยอยู่ข้างๆ เหมือนที่อีกฝ่ายเคยพูดไว้ว่า ‘มีชีวิตอยู่เพื่อคุณ’

ภายในห้องเหมือนถูกปกคลุมไปด้วยเมฆมืดครึ้ม บรรยากาศหม่นเศร้า ลมหอบใหญ่พักเข้ามาทางหน้าต่าง ม่านสะบัดเบาๆ นำเอากลิ่นหอมของดอกแก้วเข้ามาด้วย กลบกลิ่นธูปไปจนหมดสิ้น

“ขอโทษนะ ที่ตลอดมาฉันไม่เอาใจใส่เธอเท่าไหร่”เขาเอ่ยบอกอย่างนึกเสียใจ แม้ว่าก่อนหน้าเขาจะได้ครอบครองอินทนิลมาก่อน แต่เขาไม่เคยปฏิบัติต่ออีกฝ่ายให้เท่าเทียมกับการที่ล่วงเกินไป เขารักษาระยะห่างไว้ มาคิดดูแล้วเขารู้สึกเสียใจไม่อาจใช้เวลากับอินทนิลได้มากกว่านี้

“อินน์ไม่โกรธหรอก.... แต่ ขออย่าเดียว หวังว่าคุณภูจะพบกับความสุขที่แท้จริง”อินทนิลเอ่ยเบาๆ แววตาที่จับจ้องมาเริ่มเลือนลอย เขาขยับเข้าไปใกล้ๆ ค่อยๆช้อนไหล่ของเด็กหนุ่มขึ้นมากอด ภูวรินทร์แค่อยากให้อินทนิลรับรู้ความรู้สึกของเขาบ้าง อย่างน้อย...จิตของอินทนิลจะได้ไม่ติดค้างอะไร...รวมถึงคุณแก้วด้วย อย่างน้อยในภพนี้ อีกฝ่ายก็ไม่ได้จากไปอย่างโดดเดี่ยว เขารู้หรอกว่าที่อินน์บอกว่าคุณแก้วจากไปแล้ว จิตของคุณแก้วยังสามารถรับรู้อะไรได้อีกหรือไม่

“ฉัน...แค่เสียดายน่ะ เราน่าจะมีเวลามากกว่านี้นะอินน์ ฉันคิดว่าฉันกำลังจะรักเธอได้อยู่แล้วเชียว”เขาเอ่ยให้อีกฝ่ายฟัง ป้าษอรเหลือบมองเขาด้วยใบหน้าเปื้อนน้ำตา เธอปาดน้ำตาข้างแก้มออก สูดจมูกเบาๆยื่นมือมาจับมือของอินทนิลไว้ ก่อนจะถอยห่างออกจากเตียง อินทนิลมองเขาด้วยสายตายินดี แววตาปราบปลื้มปรากฏให้เห็นก่อนจางหายไปช้าๆ

“หากว่าเราคู่กันจริง ก็คงได้ครองคู่กัน.....อินน์คงคิดผิดไปหน่อย...ฮึก...น่าเสียดายจริงๆนั่นแหละ”อินทนิลเอ่ยเบาๆ เสียงดังอยู่ข้างหู สุ้มเสียงของเจ้าตัวดูโรยแรง แหบแห้ง

ภูวรินทร์กอดเด็กหนุ่มอย่างแผ่วเบา เขาอยากทะนุถนอมอีกฝ่ายไปจนลมหายใจสุดท้าย อินทนิลโถมร่างเข้ามาหาเขา ทิ้งน้ำหนักตัวกอดเขาไว้ด้วยเรี่ยวแรงที่มี

“ฉันยังหวังให้เธอมีความสุขนะอินน์”ชายหนุ่มเอ่ยบอก น้ำเสียงเบาโหวง หัวใจที่เต้นตุบๆอยู่เหมือนกำลังรวดร้าวทีละนิด เขาคิดว่าตนเองกำลังป่วยจริงๆนั่นแหละ ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บทางกายและทางจิตใจ  ร่างในอ้อมกอดสั่นเทาจากการร้องไห้ เด็กหนุ่มหอบจนตัวโยนเหมือนหายใจไม่ทัน อีกฝ่ายผละจากอ้อมกอดเมื่อมีทีท่าจะอาเจียนขึ้นมาอีกรอบ เขารีบคว้าโถจากใต้เตียงยื่นให้อินทนิล เด็กหนุ่มอ้วกออกมาจนน้ำตาคลอ ไหลอาบใบหน้า เขาหยิบผ้ามาเช็ดปากให้อีกฝ่าย คราบสีเขียวจากการอาเจียนไหลเปื้อนคาง เด็กหนุ่มหายใจเข้าออกกระชั้นถี่

“ฮือ เหมือนว่าข้างในตัวอินน์มันไม่ทำงานแล้ว อินน์รู้สึกได้เลยว่า กำลังจะตายลงช้าๆ”อินทนิลพูดไปร้องไห้ไป กุมท้องอย่างทุรนทุรายขึ้นมา เขาทำอะไรไม่ถูก เข้าไปประคองร่างของเจ้าตัวให้นอนลง เด็กหนุ่มสายตาเลื่อนลอย นอนขดงอเป็นกุ้ง

“ทำยังไงดีล่ะ...เอายาหน่อยไหม”เขาเอ่ยอย่างกระวนกระวาย เด็กหนุ่มส่ายหน้า ใบหน้าเหยเก

“ไม่ๆ กินไม่ไหวแล้ว”เจ้าตัวตอบช้าๆ ภูวรินทร์มองคนตรงหน้าอย่างใจเสีย เขาหันมองป้าษอรที่ใบหน้าซีดเผือด เข้ามาดูอินทนิลด้วยใบหน้าชอกช้ำ ตาบวมปูดเพราะร้องไห้มาตลอด ชายหนุ่มกำมือแน่น รู้สึกหายใจไม่ออก เขาไม่อยากมองเห็นอินทนิลตายไปต่อหน้าต่อตาแบบนี้ แต่ก็ไม่อยากหนีออกไป แต่อารของอินทนิลเริ่มแย่ลง ร่างกายไม่ตอบสนองต่อตัวยาแล้ว ซ้ำยังอาเจียนจนแทบไม่เหลืออะไรออกมา ริมฝีปากที่เคยมีเลือดฝาดกลายเป็นแห้งแตกและเขียวคล้ำ

ภูวรินทร์ทำใจไม่ได้ การมองคนตายไปต่อหน้ามันทรมานเกินไป เขาไม่อยากจดจำนาทีสุดท้ายของอินทนิลแบบนี้เลย ไม่ต่างอะไรจากในฝันเลย... เขารู้ดีว่าอินทนิลจะอยู่ในสภาพไหน ในใจยิ่งร่ำร้อง เขาเริ่มแสบตา ต้องทำใจแข็งเพียงไหนถึงจะไม่สะเทือนต่อภาพตรงหน้า

เขาจับมือเด็กหนุ่มไว้ มันชุ่มเหงื่อและเย็นเช่นเคย เล็บที่เคยอมชมพูกลายเป็นซีดคล้ำเพราะพิษในร่างกาย  ยิ่งทำให้เขาเจ็บอยู่ลึกๆกับความเปลี่ยนแปลงนี้ 

“ฮึก อย่า ...มองอินน์เลย”อินทนิลพูดออกมา มือยิ่งบีบลงมาแน่นขึ้นไปอีก เขาก้มมอง แม้จะเจ็บเพราะแรงบีบนี้ ชายหนุ่มใจสั่นคลอน อินทนิลหลับตาลง

“ทำไงดีคะ อินน์กำลังแย่”ป้าษอรพึมพำเหมือนคนไร้สติ เขาหันไปมองชายชราที่นั่งอยู่เงียบๆ อีกฝ่ายแค่จ้องมองมาอย่างว่างเปล่าก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ

เขาไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมาอีก ไม่กล้าแม้แต่จะมองอินทนิล รับรู้แค่ว่าร่างของเด็กหนุ่มกำลังย่ำแย่ หายใจได้ตื้นลงทุกที นาทีนั้นเขานึกอยากโทรหานิรุทบอกให้หมอมาช่วยการุณฆาตแก่อินทนิลดีหรือไม่ แต่เมื่อมองไปที่เด็กหนุ่มอีกครั้ง ภาพตรงหน้าทำให้เขาลุกขึ้นยืน เดินหนีออกจากห้องทันที

ไม่ไหวหรอก ให้ทนมองแบบนั้นเขาไม่ใจแข็งพอ ภูวรินทร์รีบเดินหนีออกจากชั้นบน ทีแรกเขาตั้งใจจะไม่ล่อยให้อินทนิลตายไปคนเดียว แต่ป้าษอรยังอยู่ และเขาทนมองไม่ได้จริงๆ ชายหนุ่มเดินเนื้อตัวสั่นเทาไปที่ห้องพักของอินทนิล อย่างน้อยก็ให้เขามีที่พักใจบ้าง

ภูวรินทร์เดินเข้าไปในห้องอันอบอุ่นของอินทนิล ก่อนจะเดินไปนอนบนเตียง ทุกอย่างในห้องเหมือนหยุดนิ่ง เขาพลิกตัวนอนคว่ำลง ไม่อยากรับรู้อะไรอีก

ขอโทษนะ....ฉันไม่สามารถทนดูได้จริงๆ

เขานอนมองหน้าต่างห้องนอน หลับตาลงไม่ได้เพราะภาพการเจ็บป่วยของอินทนิลมันผุดขึ้นมาทุกที มันปนเปกับของจริงและในความฝันเก่าๆ อีกฝ่ายต้องทรมานมากแค่ไหนนะ พอคิดแบบนี้ เขากลับดูแลคนตัวเองขึ้นมา เพราะเขามันปอดแหก เห็นแก่ตัวอยู่ร่ำไป

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เขาไม่ได้ยินความเคลื่อนไหวของคนในบ้าน เขาไม่กล้าเข้าไปในบ้าน ได้เห็นได้ยินสิ่งที่กลัวที่สุดในตอนนี้

ชายหนุ่มใจเต้นรัวเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้ เขารู้ได้ทันทีว่าข่าวร้ายกำลังมาถึง จู่ๆน้ำตาก็ไหลออกมาเอง ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายเอ่ยบอก ก็รู้ว่าเป็นเรื่องใด

“...คุณภูครับ....อินน์มันเสียแล้วครับ คุณอยากจะไปดูหน้ามันหน่อยไหม... ตอนนี้...”เสียงของลุงชมดังมาจากด้านหลัง เขาไม่รับรู้ประโยคอื่นใดอีกต่อไป รู้แค่ว่าเขาสูญเสียสิ่งที่รักไปแล้ว

“...คุณภูครับ”เสียงของอีกฝ่ายดังเข้ามาใกล้มากขึ้น ชายหนุ่มพยายามกลั้นเสียงร้องไห้ ไม่อยากให้ใครได้ยิน

“เดี๋ยวผมไปเปลี่ยนชุดให้อินน์เอง”เขาบอก ได้ยินเสียงตอบรับมาจากลุงชม เสียงลากฝีเท้าห่างออกไป ภูวรินทร์สูดจมูก เขาหายใจไม่ออก ผุดลุกขึ้นมานั่งช้าๆ ลุกยืนให้มั่นคง เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าของอินทนิลออก เสื้อผ้าที่เคยเห็นจนชินตาเรียงอยู่เต็มตู้ กลิ่นหอมอ่อนๆ เขาดึงเสื้อออกมา เสื้อสีขาวที่อินทนิลชอบใส่เสมอ นาทีนั้นเหมือนว่าทุกอย่างมันจู่โจมเขา

“ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย...”ภูวรินทร์ร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ เขาปรารถนาที่จะรักทั้งคุณแก้วและอินทนิล พอความรู้สึกที่มีต่อคนทั้งสองมันชัดเจนขึ้นกลับยิ่งทำร้ายเขาได้มากขึ้น

หลังจากที่ภูวรินทร์สงบจิตใจได้มากกว่าเดิม เขานำเสื้อผ้าของอินทนิลกลับไปยังที่บ้านใหญ่ ที่ชั้นบนนิรุทกลับมาแล้ว ชายคนนั้นมองเขาด้วยสายตาเป็นห่วง เขาไม่เก็บมาใส่ใจให้รำคาญสายตา ป้าษอรอยู่ด้านในกำลังสะอื้นอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ เมื่อเห็นร่างของอินทนิลที่นอนแน่นิ่งบนเตียง ชายหนุ่มแทบก้าวขาไม่ออก

“เดี๋ยวผมจะเช็ดตัวให้อินน์เอง ป้าทำใจให้สงบเถอะครับ...เดี๋ยวจะแย่ไปอีกคน”ภูวรินทร์เอ่ยบอกอย่างนึกห่วง เธอไม่ขยับไปไหน ชายหนุ่มจึงไม่พูดซ้ำ เขาเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวกับชามใส่น้ำออกมา คนที่เหลือออกจากห้องไปแล้ว เหลือแค่เขากับป้าษอรเท่านั้น

“คุณรักอินน์บ้างหรือเปล่า”อยู่ๆป้าษอรก็เอ่ยถาม ทำให้เขาชะงักไป มองร่างผอมของเด็กหนุ่มด้วยใจอาทร เขาปลดกระดุมเสื้อทีละเม็ด

“...ผมรักอินทนิลครับ อาจไม่เท่าป้า แต่มันก็คือรักนั่นแหละครับ...”เขาเอ่ยเบาๆ ไม่ได้สบตากับอีกฝ่ายเพราะไม่อยากร้องไห้ออกมาอีก อินทนิลคล้ายกับคนนอนหลับ แต่เขาไม่ได้รู้สึกดีขึ้น มันแย่ลง ป้าษอรไม่ได้พูดอะไร เธอลุกจากเตียงเดินออกจากห้องไปเงียบๆ เสียงปิดประตูห้องดังเบาๆ

ภูวรินทร์ปล่อยมือออกจากเสื้อของอินทนิลทันที เขามองเด็กหนุ่มอีกครั้ง ก่อนจะเข้าไปกอดร่างไร้ลมหายใจทันที ร่างกายที่ไม่อุ่นอีกต่อไปแล้ว ยิ่งทำให้เขาทำเป็นเข้มแข็งไม่ไหวอีกต่อไป

อินทนิลอายุแค่ 15 ปีเท่านั้นเอง ยังเด็กอยู่เลยแท้ๆ

“ขอโทษ”เขาเอ่ยบอก ก่อนจะกอดร่างของเด็กหนุ่มไว้ “อินทนิล”เขาเรียกชื่อของอีกฝ่ายเบาๆ แต่เปล่าประโยชน์ ร่างกายนี้ไม่สามารถตอบสนองได้อีกต่อไป

“อินน์...ขอโทษนะ ฉันน่าจะรักเธอมากกว่านี้ ฮือๆ”เขาพึมพำกับร่างของอินทนิลอยู่แบบนั้น ใช่ เขาตั้งคำถามมากมายต่อตัวเอง ชายหนุ่มสงบจิตใจอีกครั้งก่อนจะถอดชุดของอินทนิลออก เช็ดตัวให้อีกฝ่ายจนสะอาด เขาเลื่อนไปเช็ดบริเวณใบหน้า เขายื่นมือไปแตะแก้มของเด็กหนุ่ม ไล่มือไปที่ริมฝีปาก แม้จะไม่เนียนนุ่ม แต่เขามองดูเด็กหนุ่มแล้วจึงได้รู้ว่ารักอินทนิลแค่ไหน ภูวรินทร์ก้มลงไปจูบริมฝีปากเย็นชืดของอินทนิล พอจูบเสร็จเขานึกหัวเราะตัวเอง ตอนที่ยังมีชีวิตเขาไม่คิดอยากจูบอินทนิลเลยสักครั้ง จะมาอยากทำอะไรตอนที่สายไปแล้ว เขายิ้มเศร้า หากมีใครมาเห็นอาจคิดว่าเขาบ้าไปแล้ว ชายหนุ่มจึงเช็ดร่างกายของอินทนิลให้สะอาด จากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อ กางเกงให้จนเสร็จเรียบร้อย เขาจับมือทั้งสองข้างมาวางไว้ที่ด้านบนลำตัว อีกเดี๋ยวสัปเหร่อก็จะเข้ามานำร่างของอินทนิลไปสวดที่ห้องเก่าของคุณแก้วแทน ถึงจะมีวัดอยู่ในหมู่บ้าน แต่คงจัดแบบเอิกเริกไม่ได้

ภูวรินทร์รู้ว่าคนที่เจ็บปวดที่สุดไม่ใช่เขา แต่เป็น ป้าษอร สิ่งที่ไม่สามารถแก้ไขได้อีกคือคำพูดของคน กล่าวออกไปแล้วถือว่าเป็นคำพูดนายตน แต่ในกรณีของป้าษอร ซึ่งคือบัวกลับชาติมาก่อน คำแช่งชักหักกระดูกคือวาจาสิทธิ์

++++++++++

หลังจากที่ลุงชมไปนิมนต์หลวงตากับพระอีกสามรูปมาสวดคืนแรกเสร็จ แขกในบ้านมีไม่กี่คนเท่านั้น ภูวรินทร์กลับมานั่งใจลอยอยู่ในห้อง เมื่อครู่ก่อนเขาได้ยินป้าษอรคุยกับคุณนิรุทว่าจะนำศพของอินทนิลไปทำพิธีศพในเมือง เพราะนิรุทเคยดูแลเรื่องความเป็นอยู่ของอินทนิลช่วงที่ไปเรียน เขาจึงไม่ปฏิเสธ แต่ชายหนุ่มตัดสินใจไม่ตามไปด้วย

นิรุทนำศพของอินทนิลไปทำพิธีในเมืองใหญ่ ป้าษอรกับลุงชมตามไปด้วย ภูวรินทร์เคยไปงานศพของญาติพี่น้องมิตรสหายมาก่อน แม้จะเศร้าไปกับพวกเขาแต่ไม่เคยเข้าใจความรู้สึกหรือหัวอกของคนสูญเสียว่าการที่ต้องเห็นร่างของคนที่รักถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน แม้ว่าการเกิดแก่เจ็บตายจะเป็นเรื่องธรรมชาติ มีพบมีจาก ไม่ใช่ไม่เข้าใจแต่... กับอินทนิลมันมีอะไรมากกว่านั้น มีจิตวิญญาณของคุณแก้วที่ปรารถนารัก 

ภูวรินทร์ตื่นนอนพบกับเช้าวันใหม่ ความรู้สึกโศกเศร้ายังคงไม่จากหายไปไหน ร่องรอยของความสูญเสียยังคงอยู่ ทั้งบ้านตกอยู่ในความเงียบ เป็นความเงียบที่มีชีวิต มันคืบคลานเข้ามาเกาะเกี่ยวจิตใจของเขา ร่างกาย การมองเห็น ชายหนุ่มเก็บตัวอยู่ในห้อง  เช้าที่เต็มไปด้วยแสงสว่างนั้นเหมือนเป็นฝันร้ายของเขามากกว่า เขามองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยอยู่ตามที่ทางของมัน ทว่ามันกลับทำร้ายเขาอย่างง่ายดาย ความเงียบที่น่ากลัว เขาอยากได้ยินเสียงฝีเท้า เสียงกรุ๋งกริ๋งของกำไลข้อเท้าเบาๆ เสียงลม เสียงใบไม้ที่ขยับไปมา ทำให้เขารู้สึกว่างเปล่าอย่างบอกไม่ถูก

อินทนิลจากเขาไปแล้ว คุณแก้วก็เช่นกัน ...บ้านหลังนี้เหลือแค่เขาคนเดียวจริงๆ

ต้นแก้วยังคงออกดอกเช่นเดิม ความตายที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน ไม่มีคนนอกรับรู้ ป้าษอรให้แม่บ้านคนใหม่มาดูแลบ้านชั่วคราวก่อน เพราะกลัวว่าเขาจะอยู่คนเดียวไม่ได้ แต่สิ่งที่น่าแปลกใจกว่าคือ เขาเห็นรถกระบะคันใหญ่ขับเข้ามาจอดในบ้าน ชายหนุ่มจึงต้องลุกออกไปต้อนรับ เมื่อเดินมาถึงหน้าบ้าน เขาเห็นชายร่างสูงโปรง พออีกฝ่ายเห็นเขาก็รีบเข้ามากอดอย่างดีอกดีใจ โชติเพื่อนสนิทของเขานั่นเอง 



ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
โชติมาหาเขาที่บ้าน อาจได้คำไหว้วานมาจากใครสักคน หมอนี่ถึงยอมถ่อมาถึงบ้านเก่าๆที่เจ้าตัวขยาดนักหนา ภูวรินทร์พาโชติเข้าไปนั่งที่โถงรับแขก แม่บ้านในวัยยี่สิบต้นๆ อายุน้อยกว่าเขาเสียอีก เดินออกมาปรากฏตัว

“ขอน้ำชากับขนมก็แล้วกัน”เขาบอกเธอ แม่บ้านที่เขาไม่รู้จักชื่อก้มศีรษะก่อนจะเดินหายไปในครัว โชตินั่งลงที่โซฟาอีกตัว มองเขาด้วยสายตาห่วงใย จนเขาหันไปมองทางอื่นแทน 

“ฉันรู้เรื่องทั้งหมดแล้วนะ”อีกฝ่ายเอ่ยบอก

“อืม”ภูวรินทร์รับคำเงียบๆ ทำเป็นหยิบหนังสือพิมพ์ฉบับเก่ามาอ่านฆ่าเวลา โชติจ้องมองเขาอยู่นาน เม้มปากแน่น สีหน้าเหมือนกังวล

“แกจะอยู่แบบนี้ไม่ได้ กลับบ้านกันดีกว่า...อย่างน้อย ชีวิตยังมีเรื่องอื่นที่ต้องทำนะเพื่อน”โชติเอ่ยออกมา น้ำเสียงไม่ดุดันอะไร เขารู้ดีว่าเพื่อนเป็นห่วงตนมากแค่ไหน แม้จะไม่ได้พูดคุยกันมาก แต่โชติเป็นเพื่อนที่ดีเสมอ ชายหนุ่มยิ้ม

“นั่นสิ”ระหว่างนั้นแม่บ้านก็เดินมาเสิร์ฟน้ำชากับขนมหวานสองอย่าง เป็นขนมตาลกับตะโก้ กลิ่นของมันหอมชวนน้ำลายสอ โชติยิ้มเอ่ยขอบคุณแม่บ้านสาว เธอเหลือบมองเขาก่อนจะเดินกลับไปประจำที่ครัวต่อ โชติยกถ้วยชามาจิบก่อนจะเอ่ยต่อ

“ฟังนะ เรื่องงานน่ะ ...ถ้าแกไม่อยากโดนออกจากคณะกรรมการฯ แกต้องกลับไปประชุมนะ ไปชี้แจงเรื่องการลางานของแกด้วย ไม่อย่างนั้นพวกนั้นคงหาเรื่องปลดแกแน่ๆ”โชติเอ่ยอย่างเป็นการเป็นงาน ภูวรินทร์รู้ดีว่าตนเองไม่สามารถยื้อตำแหน่งได้แล้ว หากต้องชี้แจงเขาก็ยังไม่อาจได้รับการไว้วางใจได้อีก

“ฉันยังไม่พร้อมทำงานตอนนี้หรอก”เขาตอบ พลางคิดหาทางหนีที่ไล่ไว้แล้ว โชติย่นหน้าขมวดคิ้ว ถอนหายใจอย่างแรง ก่อนจะขยับมาใกล้

“...แกจะอยู่ที่บ้านหลังนี้ตลอดไปไม่ได้หรอก”อีกฝ่ายพูดเสียงแข็ง เขายิ้มก่อนจะพยักหน้าตาม “รู้น่า...บางที ฉันกำลังคิดเรื่องโอนหุ้นอยู่เหมือนกัน”ชายหนุ่มบอก โชติทำหน้าไม่เห็นด้วย แต่ภูวรินทร์คิดมาตั้งแต่ตอนที่โชติส่งข้อความมาบอกว่าจะมีประชุมลงมติปลดเขาออกจากตำแหน่ง

“จะบ้าหรือไง นี่บริษัทของพ่อแกนะ”เพื่อนคนสนิทเอ่ยห้วนๆ สีหน้าเหมือนโดนเขาทรยศความเชื่อใจ ชายหนุ่มเงียบไป ก่อนจะคิดทบทวนอีกครั้ง

“...พูดถึงพ่อ  จะว่าไปพ่อของฉันรู้เรื่องของคุณนิรุทแล้ว บางทีเขาอาจหาทางไล่ฉันออกก็ได้”ภูวรินทร์เอ่ยช้าๆ พ่อไม่ได้ติดต่อเขามานาน ไม่แน่พ่ออาจจะเอือมระอาต่อเขามากจนขอซื้อหุ้นคืนก็เป็นไปได้

“แกคิดแง่ลบเกินไปแล้ว คุณอาเป็นห่วงแกจะตายไป เขาถามเรื่องแกกับฉันตลอดนะ แกไม่ติดต่อไปหาพ่อบ้างเลยหรือไง หรือคุยแต่พ่อใหม่....”โชติเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนลง เขาแปลกใจเรื่องที่ได้ยิน ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะคิดแบบนี้

“เฮ้ย โชติ แกพูดบ้าอะไร”

“...ช่างเถอะ แกจะคิดยังไงก็ช่าง แต่มีอีกหลายคนที่เป็นห่วงแกนะ”โชติมองหน้าเขา แววตาที่เชื่อมั่นในตัวเขายังไม่จางหายไปไหน ชายหนุ่มถอนหายใจ เขายังไม่มีสมาธิทำงาน หากเขากลับไปทำงานต่อ ยังไงซะ พวกผู้ถือหุ้นอาจจะเปิดประชุมถอดถอนเขาออกอยู่ดี

“อืม...ฉันตั้งใจจะลาออกจากกรรมการบริษัท โอนหุ้นคืนให้พ่อกับแม่ดีไหม ฉันขอแค่10%ไว้ก็พอ”ชายหนุ่มค่อยๆพูด อย่างน้อยแม่อาจมีสิทธ์มีเสียงมากขึ้น ส่วนพ่อจะได้ถือหุ้นมากอีกหน่อย เพราะยังไงพอปล่อยหุ้นพ่อก็ต้องซื้อกลับไปอยู่ดี

“นี่แกเอาจริงเหรอ”โชติเอ่ย ภูวรินทร์ถอนหายใจ เขายังคิดไม่ออกว่านอกจากพ่อกับแม่แล้ว พี่น้องคนอื่นๆเขาไม่สนิทนัก เลยไม่กล้าโอนหุ้นไปให้ หรือไม่ก็เขาอาจหาตัวแทนไว้

“พี่น้องฉันก็ยังอยู่อีกตั้งหลายคน เขาคงไม่มาคาดหวังที่ฉันคนเดียวหรอก”เขาบอก

“แกเป็นเอามากขนาดนี้เลย...แค่ไม่กี่เดือนเองนะ”โชติส่ายหน้า มองเขาอย่างไม่นึกเชื่อนัก

“ก็ใช่....”แต่เขารู้จักคุณแก้วนานกว่านั้น บอกไม่ถูกว่าเขารู้สึกรัก ผูกพันกับใครมากกว่ากัน อินทนิลหรือคุณแก้ว เขาไม่คิดจะทำร้ายอินทนิล ส่วนคุณแก้วเขาปรารถนาให้อีกฝ่ายมีความสุข

“เอาเถอะ...ช่วงนี้ฉันอยู่เป็นเพื่อนแกเอง”โชติเอ่ยต่อ เขายิ้ม นึกดีใจอยู่บ้างที่อีกฝ่ายแสดงความห่วงใยออกมา

“ทำไมกัน คิดว่าฉันจะคิดสั้นหรือไง”

“ก็ดูสภาพแกสิ ไม่ดูแลตัวเอง แกใจลอยบ่อยๆ ฉันเป็นห่วงนะ”เพื่อนคนสนิทมองเขาก่อนจะส่ายหน้า เขาก้มมองสำรวจตัวเองก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรสึกหรอตรงไหน

“อืม เดี๋ยวก็ดีขึ้นเองนั่นแหละ ขอแค่เวลาสักหน่อย”ภูวรินทร์บอก อะไรคงดีขึ้นหากเขาใช้เวลาอยู่กับตัวเองบ้าง ระหว่างนั้นโชติเหลียวมองไปรอบบ้าน ก่อนจะขยับมากระซิบ

“โอเค ว่าแต่...ฉันนอนกับแกได้ไหม ไม่กล้านอนคนเดียวว่ะ”

“ฮ่ะๆ แกนี่มันขี้กลัวเหมือนเดิม”เขาหัวเราะ นึกเห็นใจเพื่อนอยู่บ้าง ใครกันใช้หมอนี่มาดูแลเขา

“โธ่...ก็บ้านนี้มีแต่คน—”โชติกลืนคำพูดสุดท้ายลงคอได้ทัน ภูวรินทร์มองเพื่อนนิ่งๆ ไม่ได้สนใจกับถ้อยคำของอีกฝ่ายนัก เขาเข้าใจโชติดี

“อืม ตามใจเถอะ”เขาบอกอย่างไม่ถือสา แค่ส่งยิ้มไปให้อย่างเลื่อนลอย

หลังจากนั้นโชติก็คอยสอดส่องเขาอยู่ตลอด เขาได้รับโทรศัพท์จากนิรุท บอกว่าคราวนี้จะไม่กลับมาพร้อมกับป้าษอรเพราะว่าต้องทำธุระต่อ ภูวรินทร์ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะสนใจเขาขนาดนี้ แต่เขาก็ไม่ปฏิเสธไมตรี

“เดี๋ยวครับคุณ...”เขาเอ่ยก่อนที่อีกฝ่ายจะวางสาย

“ว่าไง”เสียงทุ้มตอบกลับมา

“...หากว่าในอนาคต ผมยังทำงานที่บริษัทอยู่...ผมอยากให้คุณเป็นตัวแทนของผมได้ไหม”เขาเอ่ยถาม คนปรายสายเงียบไปหลายอึดใจ

“ตัวแทน? ได้ยินว่าเธอเป็นกรรมการฯนี่ เกิดอะไรขึ้นล่ะ”

“ก็เผื่อว่าผมจะหมดสภาพการทำงาน เลยอยากมีคนที่ไว้ใจได้”เขาเอ่ย อีกฝ่ายเงียบ ภูวรินทร์ถอนหายใจ จะมีใครที่ไว้ใจได้เท่านิรุทอีกกัน แม้ไม่ได้พูดคุยกันมาก แต่อีกฝ่ายก็รู้เรื่องของเขาไม่น้อยเลย

“ฉันไม่ปฏิเสธหรอก แต่จะไม่มีปัญหาภายหลังนะ...”

“ไม่หรอกครับ ไม่แน่ผมขายหุ้นให้คุณก็ได้ เพราะไม่รู้ว่าผมจะโดนปลดตอนไหน”ภูวรินทร์เอ่ยขำๆ อีกฝ่ายทำเสียงตกใจ หากว่าพ่อไม่ยอมให้เขาลาออกหรือโดนปลด เขาอาจปรึกษานิรุทอีกที

“พูดอะไรแบบนั้น เอาเถอะ ไว้มาคุยกันอีกครั้งดีกว่า จะได้ไม่คลาดเคลื่อน”อีกฝ่ายตอบกลับมา เขาสบายใจไปเปราะหนึง ก่อนจะวางสายไป

.
.
ช่วงดึก โชติมีท่าทีหวาดระแวงไปทุกอย่าง เห็นแบบนั้นเขาจึงไม่บอกว่าเตียงที่อีกฝ่ายนอนนั้นคือเป็นที่อินทนิลเสียชีวิต บอกไปโชติคงไม่กล้านอนแน่ๆ ชายหนุ่มเปิดโคมไฟไว้เช่นเดิม เขานอนไม่หลับ หน้าต่างเปิดอ้าไว้ หลังจากที่อินทนิลจากไป เขาไม่กลัวเรื่องผีสางนัก แม้ว่าการเจอวิญญาณจะไม่ใช่เรื่องดี เขาปรารถนาให้ทั้งสองคนไปเกิดในภพภูมิที่ดีมากกว่า

โชติหลับไปก่อนเขา

ภูวรินทร์นั่งอยู่ริมหน้าต่าง มองไปฝ่าความมืดไปที่สวนบ่อน้ำพุ กวาดสายตาไปที่สวนต้นแก้วของเรือนเล็กข้างๆ เขามองอยู่นาน ใบไม้พลิ้วไหว เขาจับจ้องเงาดำที่ทอดตามรูปร่างของต้นไม้ไปเรื่อยๆ สมองจิตนาการไปเป็นสิ่งอื่น บ้านทั้งหลังตกอยู่ในความเงียบสงัด หากมีเสียงเล็ดรอดดังขึ้นมาเบาๆ เขาคงสะดุ้งตกใจได้ไม่ยาก ชายหนุ่มหันมองไปที่หัวเตียง พานทรงกลมยังคงวางอยู่ที่เดิม แต่ปราศจากดอกไม้

ภูวรินทร์มองต้นแก้วอยู่นานจนสายตาเมื่อยล้า เขามองเงาร่างที่วูบไหวไปตามต้นแก้ว เขามองอยู่นานเพราะคิดว่าสายตาจิตนาการรูปร่างไปเอง แต่พอเห็นผ้าสีขาวที่วับแวบไปตามต้นแก้วพวกนั้น ทำให้ภูวรินทร์ผุดลุกขึ้นยืนก่อนจะขยี้ตาอีกรอบ สองขาก้าวไม่ออก เมื่อมองไปอีกครั้ง เขาเห็นชายกางเกงที่โผล่พ้นจากลำต้นของต้นแก้ว

เขารีบวิ่งออกจากห้อง เขาไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือตาฝาด เขาไม่เคยเจอผีแบบจะตาเลยสักครั้ง แต่ว่าเป็นวิญญาณของแก้วหรือินทนิลคงเป็นเรื่องแปลกใจมาก เพราะหากเป็นทั้งสองคนจริงๆแสดงว่าคำแช่งคงไม่หยุดลงซะที

ชายหนุ่มเดินออกไปยังสวนต้นแก้ว เขาวิ่งมาที่นี่เหงื่อไหลท่วมตัว เขาหายใจเข้าออกแรงๆ มองไปตามต้นแก้วที่เรียงแถวเป็นทาง ความมืดมิดที่โอบล้อมไม่ทำให้เขากลัวอีกต่อไป รอบตัวไร้สิ่งที่เคลื่อนไหวได้ มองซ้ายมองขวาไม่พบสิ่งใดนอกจากต้นแก้ว และสายลม เขาคิดอย่างน่าสมเพช ถึงขนาดที่ว่าขอให้เจอวิญญาณ หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงกลัวหัวหดไปแล้ว แต่ตอนนี้เขาออกมาเดินกลางดึกที่เรือนร้างแห่งนี้ เขาทรุดลงนั่ง

เขาเสียใจ

มันคงเป็นความรัก สิ่งที่ผลักดันให้เขาต้องออกมาตามหาร่องรอยของเด็กหนุ่มในยามดึกก็เพราะความรู้สึกนี้ รัก เขาไม่คิดว่ามันจะเป็นรักที่ลึกซึ้ง มันอาจเป็นแค่ความชอบ หรือความหลงก็ตามที แต่อีกความจริงหนึ่งคือสิ่งที่เหนี่ยวรั้งอินทนิลไว้กับเขาคือคำสาปแช่ง

ภูวรินทร์หนาวเหน็บไปทั้งใจ พบว่า ทั้งกลางวันกลางคืนก็ทำร้ายเขาได้เท่าๆกัน

เขาไม่สามารถเอาอะไรกลับมาได้อีก คำแช่งนี้ยังไม่จางไปไหน ยอมรับชะตาของตัวเอง ที่คุณเคยพูดไว้ เขาจำได้ขึ้นใจ เขาไม่สมหวังในรักเช่นนี้ มันจะจบลงที่ภูวรินทร์ อินทนิลและคุณแก้ว

เขาเย็นวาบไปทั้งใบหน้า เพราะสายลมที่พัดเข้าหา หยาดน้ำตาที่ยังไม่แห้งไปไหน ชายหนุ่มเดินกลับเข้าบ้านด้วยความเหนื่อยล้า บ้านทั้งหลังมืดสลัว ระหว่างที่เดินขึ้นบันได เขาหยุดชะงักเมื่อคิดว่าตนหูฝาดหรือไม่ เสียงฝีเท้าเงียบลง เขาหันไปมองด้านหลัง พบเพียงความมืด ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนจะหันกลับมองเบื้องหน้า ก้าวขาเดินไป เขามองไปที่ห้องนอนของตนเอง ก่อนจะผงะตกใจ เมื่อเห็นว่าประตูห้องเปิดอ้าไว้ ร่างกายชะงักค้าง

‘นึกว่าจะมาส่งเราเสียอีก’

กระแสเสียงอ่อนวัยดังให้ได้ยิน พร้อมกับเงาร่างที่คาดว่าเป็นของเด็กหนุ่มที่เขาคิดถึง ทว่าปฏิกิริยาของร่างกายไม่สมดุล เขาก้าวขาพลาด กว่าจะรู้ตัวเขาขาพลิกกลิ้งตกไปตามขั้นบันได

พลั่ก

ทั้งร่างร้าวระบม ราวกับว่าทุดกอย่างเคลื่อนที่ช้าไปหมด เขามองเห็นแค่โคมไฟระย้าที่ห้อยอยู่เหนือศีรษะ ความเจ็บแล่นผ่านมาที่บริเวณหลังศีรษะ เขาย่นหน้าเมื่อรู้สึกว่ามีบางอย่างไหลออกมาตามเส้นผม เมื่อกี้ เขาหูฟาดหรือเปล่า เสียงนั้นคือคุณแก้วไม่ใช่เหรอ

เหตุใดถึงกลับมาที่บ้านอีกครั้งกัน ชายหนุ่มมองไม่เห็นอะไรอีก เขารู้สึกว่าร่างกายหนาวสะท้านไปหมด ภาพมืดมัว ก่อนที่สติจะหลุดลอย เขาเห็นเงาร่างของใครสักคนกำลังวิ่งลงบันไดมา นี่คงไม่ใช่ความฝันหรอกนะ หมอนั่นอาจเป็นโชติก็ได้



+++++++++++++

มีพบย่อมมีจาก  :hao5: อย่าสาปแช่งเราก็พอค่ะ

เรื่องยังไม่จบนี่นา 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-02-2018 18:04:41 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ Dark_Sky

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ถ้าหากคุณภูตายก็ขอให้เค้าไปเกิดใหม่แล้วได้ใข้ชีวิตคู่กันสมหวังซักที
 :o12:  :ling2:  :ling3:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด