❀ สาปดอกแก้ว ❀ จบแล้ว >> แจ้งข่าวเปิด Pre-Order 3 มิ.ย. ถึง 3 ก.ค 61 หน้า 9 <<
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❀ สาปดอกแก้ว ❀ จบแล้ว >> แจ้งข่าวเปิด Pre-Order 3 มิ.ย. ถึง 3 ก.ค 61 หน้า 9 <<  (อ่าน 38454 ครั้ง)

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2

ภูวรินทร์กับอินทนิลเดินเล่นอยู่ในสวนก่อนจะเดินไปยังริมรั้วทางฝั่งเรือนปั้นหยา ชายหนุ่มยืนมองบ้านหลังเก่าอยู่เงียบๆแต่ไม่ได้เปิดประตูรั้วข้ามไป เด็กหนุ่มข้างกายเงยหน้ามองเขาก่อนเอ่ยถาม “มีอะไรหรือครับ”

“เธอจำวันแรกที่ฉันมาที่นี่ได้หรือเปล่า”ชายหนุ่มเอ่ยถาม วันนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาเจอกับอินทนิล เจ้าตัวยังคิดว่าเขาเป็นผู้บุกรุก พอตกดึกเขาก็เจอกับ‘คุณแก้ว’ที่เสมือนภูตผีดึงดูดให้เขาออกไปหา

“ครับ”อินทนิลเอ่ยรับ มองเขาด้วยความงุนงงราวกับตามเรื่องไม่ทัน แต่เขาคิดว่าอินทนิลแสร้งทำมากกว่า อยากที่เคยคิดไว้ อินทนิลไม่ใช่เด็กไม่รู้ความ อาจรู้เห็นอะไรมากกว่าผู้ใหญ่เช่นเขาก็เป็นได้

“คืนวันนั้น เธอรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมฉันถึงไปนอนในสวนได้ล่ะ”ชายหนุ่มย้อนความไปถึงวันนั้น กระทั่งตอนนี้เขายังจำไม่ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ มีแต่อินทนิลเท่านั้นที่รู้

“...ไม่รู้ เอ่อ...อินน์ตอบไม่ได้เหมือนกัน จำได้ว่าเห็นคุณนอนอยู่ตรงนั้น”อินทนิลตอบเสียงแผ่ว ส่ายศีรษะเบาๆ ใบหน้าเรียวมองเขาอย่างเกรงกลัวอยู่บ้าง

“แล้วเธอล่ะอยู่ที่ไหน”เขาไม่อยากเชื่อ เด็กอินน์ต้องปิดบังอะไรเขาอยู่แน่ๆ ไอ้ท่าทีแบบนี้ มีพิรุธชัดเจน แววตาเป็นกังวล กลับท่าทางกระสับกระส่าย

“อย่างที่บอก ผมชอบเดินละเมอ รู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ที่บ้านเก่า แล้วเห็นคุณนอนอยู่ด้านนอก...”เด็กหนุ่มพูดมองสบตาเขาอย่างไม่หวั่น เขาจ้องอยู่สักพัก อินทนิลก็ไม่หลบตาไปไหน เขาถอนหายใจ

“เรื่องนี้ป้าษอรรู้หรือเปล่า”

“ไม่ครับ อินน์บอกไม่ได้ แต่ษอรก็อาจเดาออก”อินทนิลตอบ ก่อนจะเหลือบเข้าไปมองสวนของเรือนหลังเก่าด้วยความเหม่อลอย   

“...เธอกลัวคุณแก้วไหม”ภูวรินทร์ถาม บางทีการที่คุณแก้วมาวุ่นวายกับอินทนิลเพราะเด็กนี่ไม่กล้าต่อต้านหรือต่อกรกับคุณแก้ว ไม่ต่างอะไรกับผู้อยู่ใต้อาณัติ ไม่แน่ตัวเขาก็ด้วยเช่นกัน

“เปล่าครับ”อินทนิลส่ายหน้า

“งั้นไปดูเรือนเพาะชำกันเถอะ”เขาบอก ไม่อยากคุยเรื่องที่ทำให้ใจหมองมากนัก อินทนิลยิ้มอย่างดีใจก่อนจะวิ่งนำหน้าเขาไป ลืมถามบางเรื่องไปว่าเพราะอะไรถึงไม่ยอมใส่รองเท้ากัน ภูวรินทร์เดินเลาะไปตาริมรั้วสีเขียวด้วยไม้เลื้อย ตัวเรือนเพาะชำถูกรื้อออกไปในส่วนที่แตกร้าว ส่วนตัวเสาคานของมันยังคงแข็งแรงดี คนงานกำลังต่อเติมฝ้าเพดานใหม่ ชายหนุ่มเหลือบมองบรรดากระถางต้นแก้วที่มีรากทะลุออกมาวางกองอยู่หน้าทางเข้าเรือนเพาะ

ส่วนมากดอกไม้ในเรือนกระจกจะเป็นพวกดอกไม้พุ่มมากกว่าไม้ยืนต้น ส่วนใหญ่จะปลูกลงกระถางมากกว่า และมีไม้ดอกไม้ประดับประปราย ส่วนมากเป็นสีขาว มีแม้กระทั่งดอกพุด ก่อนจะบอกลุงชมถ้าหากว่าต้นไหนใหญ่เกินไปก็เอาไปปลูกที่อื่นแทน อินทนิลสนุกกับการชี้บอกเขาว่าในกระถางมีดอกอะไรบ้าง บางต้นเขาไม่เคยได้ยินเลยด้วยซ้ำ ลุงชมมองอินทนิลด้วยสายตาห้ามปราม

“ดูนี่สิ ดอกราชาวดีออกดอกสวยเชียว คุณคงไม่เคยเห็นแน่ๆ กลิ่นหอมแรงด้วยครับ ลองดมดูสิ”อินทนิลดึงแขนเขาให้มาหยุดอยู่ที่หน้ากระถางไม้เลื้อยที่แตกกอจนรก ดอกไม้เป็นช่อยาวสีขาวเป็นพวงสวยส่งกลิ่นแรงจนเวียนหัวมาให้

“นั่นสิ สวยดีนะ”เขาบอก อินทนิลยิ้มก่อนจะเด็ดกิ่งดอกราชาวดีมาหนึ่งพวงก่อนจะหมุนไปมา

“เวลามันอยู่ในขวดก็สวย อินน์ชอบทำเก็บไปดูเล่น”เด็กหนุ่มหันมองเขาด้วยสีหน้าภูมิใจเหมือนเด็กที่ได้โชว์ของเล่น เขาแปลกใจนิดหน่อยกับสิ่งที่อินทนิลชอบ

“จริงเหรอ...เธอทำเป็นด้วยหรือไง”ภูวรินทร์ถามอย่างสนใจ เด็กหนุ่มรีบพยักหน้าบอกอย่างตื่นเต้น “เรียนมาจากโรงเรียนน่ะ คุณอยากเห็นไหม”เด็กหนุ่มมองเขาด้วยแววตากลมมีความคาดหวังอยู่ในนั้น เขาเหลือบมองลุงชมที่เดินเข้ามาหา

“เจ้าอินน์อย่าไปรบกวนคุณภูเขาสิ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมอยากหาอะไรทำอยู่พอดี”ชายหนุ่มยิ้มอย่างไม่ถือสาอะไร อินทนิลส่งยิ้มกว้างให้เขา ลุงชมเลยได้แต่มองเขาเงียบๆแล้วเดินเข้าไปในเรือนกระจกแทน อินทนิลดึงมือเขาให้ออกเดิน

“ปะ”บ้านพักของคนดูแลบ้านจะอยู่ทางท้ายครัว บริเวณนี้เป็นทางหลังบ้านนอกจากสวนหญ้าและเรือนกระจกปลูกต้นไม้ ก็ไม่มีสิ่งลูกสร้างอย่างอื่น หากจะไปบ้านพักของคนดูแลบ้านต้องเดินกลับเข้าทางประตูหลังบ้าน และเดินกลับไปยังห้องครัว เพื่อไปยังบ้านพักหลังห้องครัวใหญ่

ภูวรินทร์และอินทนิลเดินพ้นจากประตูท้ายห้องครัวก็เจอกับบริเวณลานบ้านพัก มีแคร่ไม้อยู่หน้าบ้าน เป็นห้องแถวเรียงยาวชั้นเดียว อินทนิลพาเขาไปยังห้องริมสุด ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปด้านในห้อง ภายในห้องสี่เหลี่ยมกว้างสีขาดสะอาดถูกจัดเป็นโซนเป็นระเบียบ เตียงนอนอยู่ท้ายห้องติดกับหน้าต่างที่ปิดสนิท ต่ำลงมาก็เป็นโต๊ะหนังสือและชั้นวางของชิดผนังห้อง ฝั่งตรงกันข้ามจะเป็นโทรทัศน์และตู้เย็น มีห้องน้ำแยกออกไปอีกห้องแทน อินทนิลเดินไปที่โต๊ะวางของบนชั้นแรกมีขวดโหลแก้วขนาดเล็กประมาณสองนิ้วถึงสามนิ้ว ในขวดแก้วใสนั้นมีดอกไม้คนละชนิดบรรจุอยู่

“นี่ไง”อินทนิลรับขวดแก้วขนาดเล็กมาจากเด็กหนุ่ม เขายกมันขึ้นมาดูในระยะประชิด ภายในบรรจุดอกไม้สีขาวอยู่ด้านใน ไม่แน่ใจว่าเป็นดอกซ่อนกลิ่นหรือเปล่า เขามองอินทนิล

“ทำไมถึงชอบดอกไม้ล่ะ”เขาคืนขวดแก้วให้เด็กหนุ่ม ก่อนจะเดินไปดูขวดแก้วอันอื่นๆที่วางเรียงกันไว้ หนึ่งในนั้นมีกลีบดอกแก้วบรรจุไว้ด้านในเช่นกัน

“ไม่รู้สิ ก็เหมือนชอบกินขนมไง กินเพราะอร่อย ชอบเพราะว่าสวย”คำตอบของอินทนิลทำให้เขายิ้ม เป็นคำตอบแบบเด็กๆเข้าใจง่ายไม่ลึกซึ้ง ชอบก็คือชอบอย่างนั้นสินะ

“นั่งลงสิ เดี๋ยวให้ดูแคตตาล็อกของอินน์”เด็กหนุ่มดึงมือของเขาให้มานั่งที่เตียงนอน เจ้าตัวเดินไปเปิดลิ้นชักที่ปลายเตียง มีเสียงกุกกักให้ได้ยินก่อนจะหยิบเอาแฟ้มสีดำออกมา เป็นแฟ้มแบบเก่าที่ไว้ใส่ผลงานของเด็กนักเรียนอะไรแบบนั้น
อินทนิลเดินมาหาเขาก่อนจะนั่งลงข้างๆ แล้วเปิดแฟ้มให้ดู ด้านในมีกระดาษที่แปะดอกไม้แห้งไว้ในแฟ้มใส ดูจากความหนาแล้วคงมีเกิน 20 แผ่นแน่ๆ ในหนึ่งหน้ากระดาษนอกจากจะมีดอกไม้แห้ง ถูกชำแหระออกมาเป็นส่วน เช่นกลีบ เกสร (ในกรณีที่เห็นชัด) มีชื่อดอกไม้ถูกเขียนด้วยลายมือ “เธอทำเองเหรอ”

“ท่านช่วยด้วยล่ะ”อินทนิลตอบ เขามองอีกฝ่าย ยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งพูดถึงคุณแก้วบ่อยมากขึ้น เขาพลิกข้ามเปิดไปที่หน้าอื่น ในแผ่นนี้เป็นดอกพยับหมอก

“งั้นเหรอ ดอกไหนบ้างล่ะที่เธอเก็บมาเอง”เขาตามน้ำไปด้วย หากบอกว่าคุณแก้วช่วยทำ ส่วนมากดอกไม้จะเป็นสีขาว และดอกเทียนหยดสองสี

“นี่ไงดอกแดนดิไลออน ตอนไปทัศนะศึกษากับโรงเรียน อินน์เก็บมาพอดี”อินทนิลยื่นมือมาพลิกหน้ากระดาษไปเรื่อยๆจนเจอดอกที่กล่าวถึง อินทนิลเก็บมาทั้งดอกที่กำลังตูมจนกระทั่งบานเป็นริ้วเล็กๆ

“ทำไมเธอถึงไม่ชอบใส่รองเท้าล่ะ”เขาเอ่ยถามอย่างสงสัย ครั้งก่อนที่ถามไปได้คำตอบมาไม่ชัดเจน ใครที่ไหนจะชอบการเดินเท้าเปล่ากัน

“อินน์ไม่ชอบใส่ มันอึดอัด อีกอย่างที่บ้านก็มีแต่สวน เดินสบาย”อินทนิลตอบเป็นงานเป็นการมากกว่าครั้งก่อน เขามองเด็กหนุ่มอย่างพิจารณา ดวงตาสีนิลใสกระจ่างจ้องกลับมา ริมฝีปากคลี่ยิ้มอ่อนโยน

“ป้าษอรดีกับเธอใช่ไหม”เขาถาม อินทนิลพยักหน้า “ดีสิ ไม่มีใครไม่กล้าทำไม่ดีใส่อินน์หรอก”เด็กหนุ่มพึมพำ แววตาหลุบต่ำลง เขาคิดว่าเพราะคุณแก้วมีส่วน ช่วย

“คุณไม่จากไปไม่ได้หรือครับ”อินทนิลมองเขาด้วยแววตาคาดหวัง เขามองอย่างชั่งใจ อีกฝ่ายกำลังจะทำอะไรหรือเปล่า
“ฉันเองก็มีครอบครัว มีเพื่อน พี่น้องคนอื่นๆอีก”ชายหนุ่มพึมพำ เด็กหนุ่มถอนหายใจแรง ก่อนจะดึงแฟ้มกลับมาที่ตัวเอง

“อยู่ที่นี่ก็สนุกดีไม่ใช่เหรอ อินน์ยังสนุกเลย ตอนอยู่กับคุณภูน่ะ”อินทนิลพึมพำเสียงแผ่ว สบตามองเขาก่อนจะหันหน้าไปอีกทางแทน แต่คำพูดนั้นเขาได้ยินชัดเจน อดรู้สึกแปลกๆไปด้วยไม่ได้ เขามองเด็กหนุ่มอยู่นาน จนเลิกให้ความสนใจ จึงลุกขึ้นยืน ก่อนจะสะดุดตากับกรอบรูปของอินทนิล มันวางหลบสายตาของเขา เพราะอยู่บนโต๊ะหนังสือ คว่ำหน้าลงบนสันหนังสือ เพราะยื่นออกมาด้านนอกเล็กน้อย ชายหนุ่มจึงเห็นเลยเอื้อมไปหยิบมาดู เป็นภาพถ่ายวัยเด็กของอินทนิล ประมาณ 5-6 ขวบได้ สีหน้ายิ้มแย้มจนตาหยีเป็นขีดเล็ก รอยยิ้มกว้าง เบื้องหลังเป็นกำแพงรั้วต้นไม้สีเขียว ในมือถือช่อดอกแก้วไว้ เขามองอย่างพิจารณา ใบหน้ายิ้มแย้มนั้นปกติดีไหม เหมือนว่าอินทนิลจะอยู่ที่บ้านหลังนี้ตั้งแต่ยังเด็ก

“อย่าพูดเรื่องไร้สาระเลยน่า อ้อ คืนนี้เธอจะมานอนเป็นเพื่อนฉันใช่ไหม”เขาถามอีกครั้ง วางกรอบรูปไว้ที่เดิม อินทนิลปิดแฟ้มวางไว้บนเตียง เจ้าตัวมองเขาก่อนจะพยักหน้ารับ


ยามค่ำคืนยังคงเป็นสิ่งที่น่าหวั่นวิตกแก่ภูวรินทร์ ลมในคืนนี้ยังคงพัดแรงเช่นเคย เขาปิดหน้าต่างลงกลอนไว้เรียบร้อย อินทนิลมาหาเขาตั้งแต่สามทุ่ม อีกฝ่ายนอนเร็วกว่าเขา แต่ชายหนุ่มไม่รู้สึกง่วงนัก เขาหยิบสมาร์ทโฟนออกมาเปิดข้อความ ที่ไร้คนติดต่อ เขาลองเขียนข้อความหาโชติเพื่อนสนิทอีกครั้ง แต่การส่งข้อความล้มเหลว ไร้สัญญาณโทรศัพท์ ไม่รู้ว่าคนที่นี่ใช้ชีวิตอยู่กันได้ยังไง เขาคิดอยู่เหมือนกันว่า พรุ่งนี้เช้าจะลงไปที่หมู่บ้าน ป้าษอรบอกว่ามีตลาดเช้าเล็กๆอยู่ด้วย เผื่อว่าจะเจออะไรใหม่ บ้านหลังนี้อาจอับสัญญาณก็เป็นได้

ชายหนุ่มปิดไฟในห้องเหลือไว้แค่โคมไฟเหนือเตียง พอศีรษะถึงหมอนเขากลับตาสว่าง ชายหนุ่มนอนมองเพดานด้วยใจล่องลอย  ขณะเดียวกันอินทนิลขยับหันหน้ามาทางเขา ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจอยู่บ้างเพราะอินทนิลไม่มีท่าทีประหลาดเมื่อคืนก่อน เขาคิดในใจแต่ไม่ได้เอ่ยถามออกไป

“กลัวงั้นหรือ”เด็กหนุ่มเอ่ยถาม ในบ้านเงียบสงัดมีเพียงเสียงธรรมชาติในยามค่ำคืนเป็นเครื่องขับกล่อมให้หลับใหล

“เปล่าหรอก แค่นอนไม่หลับน่ะ”ชายหนุ่มตอบน้ำเสียงเรียบเฉย ไม่ได้สนใจอินทนิลนัก เขาคิดถึงหนทางในการติดต่อเพื่อนไปพลางๆ ขณะนั้นอินทนิลก็ขยับมาใกล้จนเขาเกร็ง 

“เชื่อว่าเดี๋ยวคุณก็จะเข้าใจเรา”พอสิ้นคำพูดของอินทนิล เขาก็ใจเต้นไม่ปกติ ไอ้น้ำเสียงแบบนี้คงเป็นใครอื่นไปไม่ได้ ชายหนุ่มหันมองเด็กหนุ่มข้างๆอย่างสับสน

“ตอนนี้เธอเป็นใครกันแน่ อินทนิลหรือเป็นคนอื่น...”เขาถาม แต่อินทนิลไม่ตอบ ยิ่งเห็นอีกฝ่ายเงียบ ชายหนุ่มรู้สึกหงุดหงิด

 “ทำแบบนี้ทำไม ต้องการอะไรจากฉันเหรอ” ทำแค่จ้องมองเขาด้วยสายตาเรียบเฉยเหมือนไม่สะทกสะท้านอะไรทำให้เขาหัวเสียมากกว่าเดิม

“แค่คุณเท่านั้น”อินทนิลเอ่ย ภูวรินทร์นิ่งอึ้งไป เขานึกถึงคำพูดของอินทนิลขึ้นมา ชายหนุ่มดึงผ้าห่มขึ้นมาถึงอก ในใจเครียดเขม็ง แม้จะเบาใจที่มีคนนอนเป็นเพื่อน แต่การที่อินทนิลมาอยู่ข้างๆเขาแบบนี้ มันทำให้เขาอยากพิสูจน์ เมื่อคืน เขาฝันร้ายแตกต่างจากฝันครั้งก่อน ไม่รู้ว่ามีสาเหตุมาจากอะไร   

“ฉันไม่ใช่หมื่นนรินทร์คนนั้นหรอก...”ชายหนุ่มพึมพำ เขาถอนหายใจ รู้สึกได้ว่าอินทนิลกำลังนอนมองเขาอยู่ด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปจากเดิม ไม่ใช่แววตาสดใสของอินทนิลอีกต่อไป มันเป็นดวงตาเย็นชาของคนอื่น ...ของคุณแก้วงั้นเหรอ

“ความฝันของคุณ ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเราหรอก”อินทนิลเอ่ยน้ำเสียงเรียบเฉย ชายหนุ่มหันไปมองเจ้าตัว เขาไม่เข้าใจ

“หมายความว่ายังไง...”

“มันเกิดขึ้นเพราะคุณอยู่ที่แห่งนี้ ...ความรัก ความโกรธแค้น ความกลัว ความรู้สึกผิด...เป็นสิ่งที่คุณต้องเผชิญอยู่แล้ว ต่อให้ไม่มีเรา คุณก็จะฝันร้ายต่อไป”

“เกี่ยวอะไรกับคำสาปแช่งด้วยหรือเปล่า”เขาพึมพำ รู้สึกโง่งมขึ้นมา อินทนิลยิ้ม “แล้วคุณเชื่อไหมเล่า ถ้าเชื่อ มันย่อมมี แต่ถ้าไม่ คุณก็แค่โชคร้ายที่ครอบครองบ้านหลังนี้”เด็กหนุ่มพูดช้าๆด้วยนำเสียงโอหังถือดี

“ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี...”ภูวรินทร์พึมพำ ก่อนจะรู้สึกว่าในห้องหนาวเย็นขึ้นมากว่าปกติ ลมแผ่วเบาพัดเข้ามาในห้อง เขาเหลือบไปมองหน้าต่างที่ปิดสนิท ม่านสีขาวกวัดแกว่งเบาๆ เขาเลื่อนสายตาลงมองอินทนิลอีกครั้ง

“ไม่ต้องกังวลน่า...เราอยู่กับท่าน”


ชายหนุ่มหลับตาลงอย่างไม่สบายใจนัก เขานอนไม่หลับรู้สึกว่าค่ำคืนนี้มันไม่น่าพิสมัยจนทำให้ใจเต้นเร็วขึ้น เขาสงสัยว่าตัวเองจะหลุดจากฝันร้ายหรือไม่ คิดเช่นนี้แล้วมันทำให้เขาหายใจไม่สะดวกนัก พลิกตัวนอนหันหลังให้อินทนิล เขาลืมตามอง อีกด้านของผนังห้องมีเก้าอี้วางชิดอยู่ เขาจ้องมันอยู่อย่างนั้นก่อนจะปิดเปลือกตาลงอย่างเมื่อยล้า ไม่รับรู้ความเคลื่อนไหวจากด้านหลัง

ภูวรินทร์สะดุ้งตื่นเพราะลมที่พัดเข้ามา เสียงผ้าม่านสะบัดดังพรึบพับอย่างน่ารำคาญ คืนนี้ลมแรงกว่าเมื่อคืนอีก ส่วนหน้าต่างนั้นก็คงเปิดออกเองอีกเช่นเคย ราวกับถูกฉายเทปซ้ำไปซ้ำมา เขาพลิกนอนหงาย ก่อนจะมองไปทางหน้าต่างที่เปิดอ้าเห็นความมืดมิดของด้านนอก เขามองเตียงที่ว่างเปล่าข้างๆตัว

“ไปไหน...”ชายหนุ่มพึมพำ ก่อนจะเหลือบมองนาฬิกา เวลานี้เกือบตีหนึ่งแล้ว อินทนิลกลับไปนอนที่ห้อง หรือหายไปที่อื่น ชายหนุ่มเอนตัวนอนลง ก่อนจะสะดุ้งตกใจเมื่อได้ยินเสียงอะไรสักอย่างกลิ้งไปมา คล้ายดังมาจากนอกห้องแถวบันได เขาสูดลมหายใจเข้าออก สองจิตสองใจว่าควรออกไปหรือไม่ดี แต่ถ้าออกไปเขาอาจต้องเจอกับความกลัว เขานึกขึ้นได้ว่าตนเองกำลังฝันอยู่หรือเปล่า เขาเอื้อมไปเปิดลิ้นชักข้างเตียงก่อนจะหยิบไฟฉายออกมาถือไว้

ชายหนุ่มลุกออกจากเตียงก่อนจะเดินไปดูในห้องน้ำ ไร้วี่แววของอินทนิล เขาก้าวเดินไปยังหน้าต่างที่เปิดกว้าง สายลมเย็นปะทะใบหน้า เขายื่นหน้าออกไปมองในสวน ที่มืดสนิทก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังสวนหน้าเรือนปั้นหยา ที่เฉลียงหน้าเรือนเขาเห็นเงาร่างสีขาวกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะหน้าเรือน ดึกดื่นปานนี้แล้ว อินทนิลหรือเปล่านะ หรือว่าเป็นคุณแก้ว

เขากระชับไฟฉายในมือแน่นก่อนจะเดินช้าๆไปยังไปประตูห้อง สาดส่องไฟฉายไปยังโถงทางเดินด้านหน้า เขาปิดประตูก่อนจะเดินไปทางบันไดบ้าน เขาส่องไฟไปตามทาง สิ่งที่เห็นทำให้เขาหายใจติดขัด ร่องรอยของเสียงเมื่อครู่ก่อนอาจมาจากสิ่งนี้ รอยเท้าดำๆเปื้อนเศษดิน น่าจะมาจากอินทนิลหรือเปล่า เขาส่องไฟไปยังมุกบันได ห้องโถงชั้นล่างไร้การเคลื่อนไหว เขาส่องไปที่พรมหน้าบันไดเพราะสะดุดกับอะไรสักอย่างที่สะท้อนกลับมา ...กำไลข้อเท้าตกอยู่ที่พรมหน้าบันได หรือไม่ก็ใครบางคนถอดมันโยนลงมา จนทำให้เกิดเสียงดังเมื่อครู่ก่อน เขาหวาดกลัวขึ้นมา

อินทนิลไปไหนกัน... แม้ใจเต็มไปด้วยความขวาดกลัว แต่สองขากลับก้าวเดินลงไปตามบันไดทีละก้าว มือซ้ายจับยึดราวบันไดไว้แน่น สัมผัสของเนื้อไม้สากและเย็น

ภูวรินทร์เดินลงมาถึงหน้าพรมเขาก้มเก็บกำไลข้อเท้าขึ้นมาไว้ในมือ กำแน่นจนสัมผัสความเย็นของทองเหลือง มันมีน้ำหนักอยู่บ้างไม่เบาหวิว ชายหนุ่มส่องไฟฉายไปทั่วห้อง ก่อนจะเดินไปเปิดสวิตซ์ไฟที่อยู่ทางห้องรับแขกติดกับเสาริมห้อง เขาเปิดสวิตซ์แต่ทว่าไฟไม่สว่าง เขาเปิดอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่ติด

ชายหนุ่มนิ่งงันเมื่อเห็นเงาร่างที่ผ่านทางหางตาไปแวบเดียว เขาลังเลเพราะทิศทางนั้นเป็นทางยาวสู่ประตูหลังบ้านเพื่อไปยังเรือนเพาะชำ เขาสาดไฟไปตามทางเดิน รอยเท้าเปื้อนฝุ่นทิ้งให้เห็นอยู่บนพื้น บ่งบอกว่ามีคนเดินไปทางนั้น เขายังไม่แน่ใจเพราะอินทนิลเหมือนอยู่ที่เรือนปั้นหยาไม่ใช่หรือไง เขาหายใจแรง นั่นอาจเป็นคุณแก้วก็เป็นได้
เขาเดินตามร่องรอยนี้ไปเรื่อยๆ จนมาถึงประตูหลังบ้านที่ปิดไม่สนิท เขายื่นมือไปผลักประตูไม้ออกเสียงลั่นของประตูทำให้
เขาไม่สบายใจนัก ความมืดจากเบื้องหน้าทำให้เขาหนาวเหน็บ “อินน์...”เขาเรียก เสียงไม่ดังนัก ก่อนจะส่องไฟฉายไปตาม

บริเวณสวนหน้าเรือนเพาะชำ ชายหนุ่มเห็นร่างนั้นหายไปด้านในเรือนเพาะมีเสียงฝีเท้าดังให้ได้ยิน เขาสูดลมหายใจยาวเพื่อเรียกความกล้า ก่อนจะก้าวเดินตามเข้าไปด้านใน เมื่อก้าวเข้ามาถึงเรือนเพาะชำ ต้นไม้ดอกไม้ประดับต่างๆ วางเรียงกันเป็นระเบียบ แม้จะเป็นเวลาค่ำคืนแต่ดอกสีขาว สีฟ้าบานสะพรั่ง กลิ่นที่แรงที่สุดคงเป็นดอกแก้ว...

ตอนกลางคืนดอกแก้วจะส่งกลิ่นรุนแรงกว่าตอนสว่าง คำบอกเล่าของอินทนิลดังขึ้นมาในหัว นี่เขากำลังตกอยู่ในกำมือของภูตผี คำสาปแช่งของคนบ้านนี้หรือไงกัน เขานึกขึ้นได้ว่าที่นี่ไม่ใช่ความจริง เมื่อเช้าลุงชมเอาต้นไม้ดอกไม้ออกจากเรือนเพาะชำเพื่อสร้างฝ้าเพดาน ไม่มีทางที่จะมีดอกไม้อยู่เต็ม


บ้าน่า นี่เขาฝันอีกแล้วงั้นเหรอ เขานึกว่ามันคือความจริงเสียอีก แต่อินทนิลหายไปจากเตียงจริงๆ หรือว่าไม่ได้หายกันนะ พอทบทวนดูดีๆแล้วเรือนปั้นหยาไม่มีเก้าอี้อยู่หน้าเฉลียงไม่ใช่หรือ...ความฝัน...


    ภูวรินทร์ก้าวขาไม่ออก เมื่อได้ยินเสียงดังอยู่ไม่ไกล เขาฉายไฟไปทางขวามือ ที่มีโต๊ะวางอุปกรณ์ตัดแต่งต้นไม้เต็มไปหมด เสียงเหมือนใครกำลังขุดอะไรสักอย่าง เขาเลื่อนลงต่ำพบว่าร่างสวมเสื้อสีขาวกางเกงขายาวเหมือนเช่นเคยนั่งหันหลัง สองมือถือจอบอันเล็กจ้วงแทงลงไปในดินเบื้องหน้า เสียงขุดดินทำให้เขารู้สึกขนลุกขนพอง


ฉึก... เสียงเงียบหายไป เขาเดินถอยหลังจนไปชนกับโต๊ะวางไม้ดอกไม้ประดับเต็มแรง เขาเจ็บแต่รีบก้าวเดินออกจากที่นี่ แต่เมื่อมองไปทางประตูเรือนเพราะชำที่ปิดสนิทอยู่ เขาไม่แน่ใจว่าจะออกไปได้ง่ายๆหรือเปล่า

“เรือนเพาะชำ ไม่ได้มีไว้กักขังผู้ใด ไม่ว่าจะทั้งคนเป็นและคนตาย”

ภูวรินทร์ชะงักก้าวขาไม่ออก เสียงของคุณแก้ว ซุ้มเสียงคล้ายอินทนิลแต่ฟังดีๆแล้วไม่เหมือนนัก เขากำมือแน่น รู้สึกได้ถึงความเย็นของกำไลข้อเท้าในมือ... คุณแก้วทิ้งมันทำไม ชายหนุ่มส่องไฟฉายไปที่แผ่นหลังแคบในวัยหนุ่มของคุณแก้ว จะว่าไปคุณแก้วก็อายุสั้น ร่างที่เขาเห็นเป็นของเด็กหนุ่มประมาณวัยสิบเจ็ดสิบแปดปี แผ่นหลังนั้นไม่ขยับเขยื้อน 

“หมายถึงอะไร”ชายหนุ่มเอ่ยพูดเสียงแหบพร่า ในเรือนเพาะชำแห่งนี้เคยเป็นที่กักขังคุณแก้วด้วยหรือ เขาคิดอะไรไม่ออกนัก ชายหนุ่มนิ่งถอยห่างจากอีกฝ่าย เขาเดินไปถึงประตู ไม่สนใจเสียงจากทางด้านหลัง เสียงฝีเท้าไล่ตามมา คุณแก้วต่างหากที่ตามหลอกหลอนเขาไม่จบไม่สิ้น ไหนว่าไม่ทำร้ายกัน แล้วทำไมถึง...

“ที่ว่ารัก คงเป็นเพียงลมปากของชายผู้มีใจไม่สะอาด บ้านหลังนี้เราไม่ต้องการ แต่ผู้อื่นกลับยิ่งแย่งชิง ในเมื่อได้ครอบครองแล้ว เหตุใดยังคิดจะจากไปอีกเล่า”

มือที่แตะอยู่กับประตูค้างเติ่ง ไฟฉายในมือหล่นลงไปกับพื้น เขาตกใจที่เจ้าตัวพูดเช่นนี้ มันก็ถูกเขาต้องการบ้านหลังนี้...ในตอนแรก ถ้าเป็นไปได้เขาอยากจะปล่อยมันไว้แบบนี้ ให้ล่วงโรยไปตามกาลเวลา และออกไปจากที่แห่งนี้ซะที แต่เพราะอะไรคุณแก้วไม่ยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ...เพราะเขาเหมือนท่านอา...หรือจะเกี่ยวข้องในเรื่องของภพชาติ ชายหนุ่มผลักประตูเต็มแรงแต่มันไม่เปิดออก เขาหัวเสีย ก่อนจะผลักประตูออกด้วยแรงทั้งหมดที่มี แต่ไม่สำเร็จ มันทำให้เขาเหนื่อยเปล่า

“ไม่”

ชายหนุ่มยืนนิ่ง ร่างด้านหลังขยับมาใกล้ หากเป็นความฝันใยเขาต้องเหนื่อย หรือเป็นเพียงความทรงจำปะปนกับฝันร้ายนี้ สัมผัสที่แผ่นหลังคล้ายกับมีมือมาแตะ เขากลั้นหายใจ เขาไม่อยากเผชิญกับคุณแก้วในสภาพที่ไม่น่ามอง เชื่อว่าไม่ต่างจากฝันคราวก่อน 

    “อยู่กับเราไปจนตัวตายเช่นอดีตไม่ได้หรือ”ภูวรินทร์ถึงกับพูดไม่ออก ไม่มีทางที่เขาจะอยู่บ้านหลังนี้ได้แน่ เขาคงประสาทเสียเป็นบ้าไปก่อนที่จะตายมากกว่า เขาหลับตาส่ายหน้าช้าๆ

“คนก็อยู่ส่วนคน ผีก็อยู่ส่วนผีไปสิ”

 “เราไม่ใช่ผี คุณไม่มีวันหนีชะตาตนเองได้พ้น บ้านหลังนี้เป็นของคุณและมันจะเป็นตลอดไป”

ชายหนุ่มทนฟังไม่ไหว เขาหันหน้ามาเผชิญกับคุณแก้ว ในทีแรกเขาคาดว่าจะเจอกับใบหน้า และความสกปรกจากเมื่อครั้งก่อน แต่ครานี้กลับต่างกันอย่างสิ้นเชิง คุณแก้วในวัยหนุ่ม เมื่อเทียบความสูงแล้วตอนนี้เขากำลังมองใบหน้าขาวสะอาด รูปหน้าเรียว เส้นผมสีดำเรียบกับเสื้อสีขาวเช่นเดิม นัยน์ตาสีนิลสะท้อนความโศก สองมือเปื้อนดิน ชายหนุ่มนิ่งงันคิดอะไรไม่ออก ร่างนี้ต่างจากอินทนิล มีบางอย่างที่แตกต่าง อายุงั้นเหรอ

“ผมไม่รู้เรื่องราวในอดีตเป็นยังไง แต่เวลานี้ผมคือภูวรินทร์ ไม่ใช่ท่านอา”เขาพูด พยายามไม่สบตากับร่างของคุณแก้ว เขามองไปทางอื่น ก่อนจะเห็นว่าที่ข้อเท้าของอีกฝ่ายไร้กำไล เขามองกำไลข้อเท้าในมือซ้าย ก่อนจะปล่อยให้มันหล่นลงพื้น

“ทุกสิ่งล้วนเป็นของคุณ”คุณแก้วเอ่ย เขาขมวดคิ้วไม่เข้าใจอีกฝ่ายแม้แต่น้อย เมื่อเงยหน้าขึ้น เขาสบตากับคนตรงหน้า แววตาสีนิลมีชีวิตชีวาขึ้นมา มันสั่นไหว ก่อนที่มือของคุณแก้วเลื่อนเข้ามาสัมผัสกับข้างแก้มทั้งสองข้างของชายหนุ่ม เขาสะท้านเพราะความเย็นและความสากของเศษดินจากมือของอีกฝ่าย ก้นบึ้งในใจหวั่นเกรงคนตรงหน้า มีบางอย่างที่คุณแก้วเหนือกว่าเขา

“แท้จริงแล้วคนที่สาปแช่งสกุลนี้ ไม่ใช่ผู้อื่น แต่เป็นคุณไม่ใช่หรือ” 

ภูวรินทร์คล้ายตกอยู่ในภวังค์ เหตุการณ์นี้เหมือนเคยเกิดขึ้น เขานึกถึงคืนแรกที่มาบ้านหลังนี้ ถูกอินทนิลเรียกหา แต่เขาแน่ใจแล้วว่านั่นไม่ใช่อินทนิล เป็นคุณแก้ว...  ชายหนุ่มปัดมือของอีกฝ่ายออกก่อนจะถอยหลังไปจนชิดประตู แต่แล้วทั้งร่างของเขาก็เอนล้มหงายหลังไปกองกับพื้น ประตูไม้เปิดอ้ากว้างไปด้วย เขาเจ็บไปทั่วทั้งหลังคล้ายกับโดนกระแทกเต็มแรง

ชายหนุ่มเพ่งมองร่างของคุณแก้วที่สาวเท้าเข้ามาหา ใบหน้าเย็นชา แววตาสีนิลจ้องเขาเหมือนโกรธเคือง
เขาตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืน ก่อนจะออกวิ่งแบบไม่รู้ทิศรู้ทาง เสียงฝีเท้าไล่ประชิดตามมา เขาตระหนกเมื่อเห็นเงาทาบลงมาจากด้านหลัง อีกฝ่ายต้องการอะไรกันแน่

ชายหนุ่มมองเห็นประตูรั้วที่เปิดอ้าไว้ เลือดในกายเย็นเยียบ ใจห้ามไม่ให้ก้าวเข้าไป แต่ร่างกายไม่ปฏิบัติตาม เขาวิ่งทะเล่อทะล่าเข้ามาในเขตของเรือนปั้นหยา ลมแรงพัดประทะร่างกาย เขาสั่นสะท้านก่อนจะเห็นว่าอินทนิลยังคงนั่งอยู่ที่เก้าอี้... เขางง บ้านหลังนี้ไม่มีเก้าอี้ ชายหนุ่มยืนนิ่งคล้ายถูกตรึงไว้กับที่

“...อินน์หรือเปล่า”เขาเอ่ยเรียก เพราะชุดที่สวมใส่คือตัวเดียวกับก่อนเข้านอน ชายหนุ่มเหลียวหน้ามองหลัง ร่างของคุณแก้วหายไปแล้ว ร่างของอินน์นั่งนิ่งไม่ขยับ

“อินน์!”เขาเรียกดังๆ เหมือนอินทนิลสะดุ้งตื่นจากการหลับใหล เด็กหนุ่มหันหน้ามาตามเสียงเรียกด้วยสีหน้ามึนงง อีกฝ่ายมองเขาอย่างเหม่อลอย ชายหนุ่มก้าวเท้าเดินเข้าไปหาลืมเลือนไปชั่วขณะ แยกไม่ออกว่าตกลงความจริงหรือความฝันกันแน่ เขาเดินขึ้นบันไดบ้านก่อนจะตรงปรี่เข้าไปคว้าท่อนแขนของอินทนิล ใจหวาดหวั่นกลัวเรือนเก่าหลังนี้ไม่แปรเปลี่ยน

“กลับเข้าบ้านเถอะ”เขาบอก อินทนิลเงยหน้ามองเขาก่อนจะพยักหน้า แววตาสีนิลคู่นี้สะท้อนความหวาดกลัวออกมา

“อินน์เตือนคุณแล้ว”อินทนิลบอกเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนตามแรงฉุดดึงของเขา ชายหนุ่มหนาวไปทั้งใจและกาย กลิ่นดอกแก้วรุนแรงกว่าทุกที พัดเข้าปะทะกับตัวบ้าน เสียงไม้ใต้ฝ่าเท้าลั่นให้ได้ยิน 

“อะไรนะ”เขาไม่เข้าใจ อินทนิลก้มหน้าต่ำมองพื้น เขาสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงกุกกักจากข้างในบ้าน เขาเดินก่อนจะดึงแขนอินทนิลให้ตามมาด้วย

“ไปไม่ได้”อินทนิลรั้งตัวไว้ คำพูดนี้ไม่รู้ว่าบอกตนเองหรือบอกเขา มือข้างถนัดเกาะราวระเบียงไว้ ชายหนุ่มหันมองอินทนิลอย่างไม่สบอารมณ์นัก ก่อนที่ความสนใจจะไปอยู่ที่ผ้าม่านสีขาวหลังหน้าต่างที่พัดสะบัด เขาหันกลับมามองเด็กหนุ่ม ที่จ้องเขาด้วยแววตาเย็นชา ไม่ยอมขยับกายไปไหน

ปัง

ภูวรินทร์สะดุ้งเฮือกใจหล่นหาย เมื่อที่มาของเสียงคือร่างของคุณแก้วจากด้านในบ้าน หลังบานหน้าต่างทางด้านหลังของอินทนิล คุณแก้วในร่างที่สกปรกมอมแมมนั้นยังติดตาเขาไม่สร่างซา ชายหนุ่มเซถอยหลังก่อนจะสะดุดบันไดไม่กี่ขั้นก่อนจะล้มลุกคุกคลานอยู่บนผืนหญ้า เขามองไปทางประตูรั้วที่ปิดสนิท...ไม่จริงน่า...

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-03-2018 10:26:54 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2

“ภูวรินทร์”ชายหนุ่มยังจำความรู้สึกหวาดกลัวที่เรือนปั้นหยาได้ดี เขาลืมตาขึ้น ฝ้าเพดานห้องอยู่เหนือศีรษะ เขาหายใจแรง รู้สึกว่าอินทนิลกำลังลูบใบหน้าของเขาอย่างปลุกปลอบ เขาหันมองอีกฝ่ายชัดๆ ก่อนจะเห็นว่าภายใต้เรือนผมยาวประบ่าที่กำลังก้มตัวอยู่เหนือตัวของเขานั้นไร้เครื่องหน้า มันดำมืดไร้อวัยวะใดๆ ชายหนุ่มตระหนก ดวงตาเบิกโพรงจ้องอีกฝ่ายอย่างไร้การปกป้อง อินทนิลโน้มหน้าลงมาใกล้ ลมหายใจเต็มไปด้วยกลิ่นดอกแก้วรุนแรงจนหายใจไม่ออก เขาหลับตาแน่นก่อนจะร้องตะโกน ปัดป่ายสิ่งอัปมงคลไปให้พ้นตัว

“ออกไป!”ชายหนุ่มเหนื่อยหอบ เขาควรตื่นจากฝันร้ายนี้ได้เสียที ร่างกายที่เหมือนวิ่งมายาวนานทั้งเหนื่อยและเมื่อยล้า


พลั่ก!


ความเจ็บที่แผ่นหลังทำให้เขาลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาหายใจแรงถี่ หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลนตามจังหวะการหายใจ เขามองไปรอบๆตัว ปรากฏว่าเขานอนอยู่ที่พื้นห้องนอน ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นนั่งก่อนจะมองไปที่เตียงว่างเปล่า แล้วเลื่อนสายตาไปที่หน้าต่างเปิดอ้ากว้าง เขาสะบัดศีรษะ หยิกแขนตนเองแรงๆ จนเจ็บแปลบขึ้นมา นี่คือความจริงงั้นเหรอ...เขาหันไปมองนาฬิกา ตอนนี้เป็นเวลาเกือบตีหนึ่ง...


เขาชะงักในฝันเมื่อกี้ก็เวลาเกือบตีหนึ่งเช่นกัน ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน สำรวจร่างกายตนเอง เขายังคงรู้สึกขนลุกเพราะสัมผัสตามใบหน้าคล้ายกับยังคงอยู่ เขามองไปทั่วห้อง อินทนิลหายไป... ชายหนุ่มถอนหายใจ เขาไม่ควรไปตามหา ไม่อยากซ้ำรอยความฝันอีก เขาเดินเข้าห้องน้ำล้างหน้าให้สดชื่น 


ลมเย็นตอนกลางคืนพัดเข้ามาเอื่อยๆ เขาเดินเพื่อไปปิดมัน ก่อนจะเหลือบไปเห็นร่างของเด็กหนุ่ม อินทนิลกำลังยืนอยู่ที่หน้าเรือนปั้นหยา คล้ายกับหุ่น เขามองไปที่ประตูรั้วเล็กๆที่เปิดอ้าไว้

เดินละเมองั้นเหรอ

ชายหนุ่มปิดหน้าต่างลงกลอนอย่างแน่นหนา เขาเดินไปเดินมาอย่างไม่สบายใจนัก อินทนิลทำตัวประหลาดอีกแล้ว ที่สำคัญเขาไม่กล้าลงไปขางล่างอีก กลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำเดิม เขาทำเป็นไม่ยินดียินร้าย จนกระทั่งผ่านไปสิบนาที เขาร้อนใจอินทนิลไม่กลับมา เขาเดินไปที่หน้าต่างเปิดออกดู พบว่าอินทนิลก็ยังอยู่ที่เดิม เขาหายใจติดขัดก่อนจะมองไปที่หน้าเฉลียงเรือนเก่า ไม่มีเก้าอี้อยู่ แสดงว่าตอนนี้คือความจริง อินทนิลละเมองั้นเหรอ

ภูวรินทร์เดินไปหยิบไฟฉายมา ก่อนจะก้าวลงเดินออกไปชั้นล่าง เขาเดินไปเปิดไฟไว้ ไฟในบ้านใช้ได้ตามปกติ เขาเดินย่ำไปตามสวนของบ้าน เดินไปจนสุดทางจนเจอกับประตูทางเข้าเล็กๆ เขาเดินเข้าไปในเขตเรือนหลังเก่า
ชายหนุ่มไม่สบายใจเลยแม้แต่น้อย อินทนิลเดินไปที่ต้นแก้วในสวนแทน เขาเอ่ยเรียก “อินน์!”ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่มอย่างรวดเร็ว พยายามไม่สนใจเสียงหวีดหวิวของสายลมจากด้านหลัง เขายื่นมือไปจับไหล่ของอินทนิล ร่างนั้นนิ่งไม่ขยับ

“อินทนิล”เขาเรียกก่อนจะกระชากร่างของเด็กหนุ่มให้หันมา อินทนิลเหมือนสะดุ้งตื่นจากความฝัน อีกฝ่ายมองเขาด้วยความมึนงง ก่อนจะกรอกตามองไปรอบกายอย่างตื่นกลัว เด็กหนุ่มมองเขาอีกครั้งด้วยแววตาเดาไม่ออก

“คุณมาที่นี่ทำไม”

“กลับเข้าบ้านเถอะ เดี๋ยวค่อยพูด”ภูวรินทร์ตัดบทก่อนจะเลื่อนไปจับข้อมือผอมของเด็กหนุ่ม แล้วออกแรงดึง เขาไม่อยากมองเข้าไปในเรือนปั้นหยาหลังนั้น เด็กหนุ่มเดินตามเขามาอย่างว่าง่าย ท่ามกลางค่ำคืนที่โหมกระหน่ำไปด้วยลมพายุ ลมเย็นๆยังคงพัดไปตลอดคืน ชายหนุ่มปิดประตูรั้ว กลิ่นดอกแก้วจางลงไปบ้าง เขาพาอินทนิลกลับเข้าไปในบ้าน ตลอดทางอีกฝ่ายเงียบ ไม่พูดไม่จาอะไร ก่อนจะเข้านอน อินทนิลไปล้างเท้าให้สะอาด เขาเดินไปปิดหน้าต่างให้ปิดสนิท ลงกลอนทั้งบนและล่าง

ภูวรินทร์เดินไปดูกาน้ำร้อนที่โต๊ะ มันยังคงอุ่นอยู่ เขาเลยชงนมให้อินทนิลดื่มก่อนนอน ท่าทางอีกฝ่ายจะดูหวาดกลัวกว่าปกติ อินทนิลเดินออกจากห้องน้ำ ใบหน้าเปียกชื้น เท้าเปล่าเปลือยสะอาด เด็กหนุ่มเช็ดเท้าให้แห้งก่อนจะเดินไปนั่งที่เตียงฝั่งทางริมหน้าต่าง เขาถือแก้วนมใส่น้ำผึ้งที่พออุ่นให้อีกฝ่าย เด็กหนุ่มมองเขาก่อนจะรับแก้วไปดื่ม

“เกิดอะไรขึ้น”เขาถามเสียงเข้ม เด็กหนุ่มมองไปทางอื่นก่อนจะตอบเสียงเบา “...อินน์คงละเมออีกแล้ว”

“เธอกลัวใช่ไหม”

“...เปล่าหรอกครับ ไม่ได้กลัวท่าน แต่แค่ตกใจ ที่มาอยู่ในสวนมืดๆ”อินทนิลเอ่ยเสียงแผ่ว ภูวรินทร์ถอนหายใจ ฝันร้ายเมื่อครู่ก่อนทำให้เขาหายกลัวไปบ้าง แต่เขากังวลเรื่องของอินทนิลมากกว่า

“แล้วปกติเธอละเมอที่ไหนบ้างล่ะ”เขาถาม ก่อนจะจัดหมอนให้เข้าที่ เขามองใบหน้าขาวใส เส้นผมถูกมัดลวกๆไว้ไม่ให้เกะกะ

“ปกติแค่มาอยู่ที่เรือนเพาะชำ ไม่ก็ในบ้าน”อินทนิลมองเขาด้วยความกังวลใจ คิ้วดกดำขยับเข้าหากันแน่น ชายหนุ่มนิ่งไป อาการเดินละเมอของอินทนิลจะเกี่ยวข้องกับการที่สื่อถึงคุณแก้วได้หรือไม่

“คงเพราะคุณแก้วทำให้เธอไม่รู้สึกตัวมากกว่า”ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบเฉย พลางนึกถึงถ้วยคำของคุณแก้วในฝัน ดูเหมือนว่าท่านจะเชื่อว่าเขาคือคุณอา คนในบ้านนี้ต่างเชื่อกันแบบนี้ทั้งนั้น

“คุณฝันร้ายหรือเปล่า”อินทนิลเอ่ยถาม ก่อนจะยื่นแก้วเครื่องดื่มคืนกลับให้เขา ชายหนุ่มรับแก้วเปล่าไปวางไว้ที่โต๊ะข้างเตียง “ก็ไม่เชิงหรอก...เรื่องนี้บอกป้าษอรไม่ดีกว่าเหรอ”เขาถาม อินทนิลกลับรีบส่ายหน้า โบกมือเป็นพัลวัน

“บอกไม่ได้ อินน์ไม่ได้เป็นบ่อยๆหรอก...ง่วงแล้วล่ะ นอนดีกว่า”เด็กหนุ่มเอ่ยพึมพำก่อนจะเอนตัวลงนอนโดยไม่สนใจเขา อีกฝ่ายดึงผ้าห่มมาคลุมจนถึงคอ ชายหนุ่มโน้มตัวลงนอนบ้าง คืนนี้เป็นอีกคืนที่เขาไม่กล้าปิดไฟในห้อง เขาคิดไม่ตกว่าเพราะอะไรคุณแก้วถึงคลุ้มคลั่งมาหลอกหลอนเขา

“เธอบอกว่าคุณแก้วจะไม่ทำร้ายฉัน แล้วทำไมถึงต้องมาหลอกหลอนถึงในฝันด้วย”เขาพึมพำ ได้ยินเสียงขยับกายของอินทนิล

“ท่านไม่ได้เป็นผี แต่เพราะคุณขวัญอ่อน แถมยังมีเรื่องติดค้างท่านอยู่หลายอย่าง ประจวบเหมาะกับบ้านหลังนี้ล้วนมีร่อยรอยในอดีต”เด็กหนุ่มเอ่ยตอบกลับ เขาขมวดคิ้ว ฟังแล้วยังไม่เข้าใจ ที่เขาเจอในฝันนั้นไม่ใช่ผีของคุณแก้วหรือไงกัน

“ฉันไม่เข้าใจ”

“เรือนปั้นหยาหลังนั้นไม่ต่างจากที่คุมขังแก่ท่าน ที่ห้องนอนแห่งนี้เจ้าของคนเก่าก็ตายที่นี่”อินทนิลหันมาทางเขา ชายหนุ่มผงะไป เขาวิตกกังวล แต่ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวมากนัก เขามองอินทนิลที่นอนตะแคงข้างมองมาอย่างเศร้าสร้อย

“หมื่นนรินทร์น่ะเหรอ”เขาพึมพำ อินทนิลพยักหน้า

“ห้องเก่าของท่านอา และเคยร่วมเตียงกับท่าน ในวันที่ยังรักแน่นแฟ้น”เด็กหนุ่มผุดยิ้มเย็นชา สายตามองเขาจนทำให้อึดอัด เขาหวั่นในใจ ความจริงที่ว่าฝันร้ายของเขาไม่ได้มาจากคุณแก้ว นึกถึงคำพูดของเจ้าตัว คำสาปมาจากหมื่นนรินทร์งั้นเหรอ...

“ตกลงคำสาปแช่งของคุณแก้วมีจริงไหม”

“มีสิ ไม่อย่างนั้นทายาทของภิรมย์สุขจะหนีหายไปจากบ้านหลังนี้ทำไมกัน แต่มาจากการผิดคำสาบานของท่านอา ท่านอาพาหญิงอื่นเข้าบ้าน ตั้งแต่นั้นมาท่านอาก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะว่าอยากมีทายาท”เด็กหนุ่มเล่าคล้ายกับรู้เรื่องราวดี

“คุณแก้วเล่าให้เธอฟังหรือไง”

“เปล่า แต่อินน์รับรู้ได้ถึงความเศร้าโศกเสียใจของท่านเสมอมา”อินทนิลเอ่ย น้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย แววตาสีนิลสั่นไหว เด็กหนุ่มหลับตาลง คล้ายกับไม่อยากมองหน้าเขาต่อไป ภูวรินทร์คลายความสงสัยลงไปบ้าง แต่เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นในอดีตชาติที่เขาเองก็จดจำไม่ได้ ทำไมเขาต้องมารับเคราะห์กรรมจากคนในอดีตอีกล่ะ

“นอนซะเถอะ พรุ่งนี้ค่อยคุยกันอีกที”ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนจะขยับตัวนอนหันหลังให้อีกฝ่าย เขารู้สึกแย่อย่างบอกไม่ถูก ความสับสนยังคงก่อตัวอยู่ก้นบึ้งในใจ ยังไม่เข้าใจเจตนาของคุณแก้วเช่นเคย หรืออยากให้เขาทรมานเหมือนที่เคยเจองั้นเหรอ ถูกกักขัง เหนี่ยวรั้งไม่ให้ไปในนอกจากอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ เหมือนที่เขากำลังเผชิญ





++++++++++


.มาต่อครึ่งหลังจ้า
ตอนนี้ไม่หลอน ฝากติดตามด้วยค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-03-2018 10:29:24 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ หมอตัวเปียก

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1874
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
ท่านอาทำอะไรกับแก้วกัน

ออฟไลน์ @Sister

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ Mod40

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
จัดหนักจัดเต็มมาเลยคับภูมิต้านวิญญาณเต็มเปี่ยม :ling1:

ออฟไลน์ เป็ดอนุบาล

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
       อ่านไปได้บรรยายกาศสีเทามากรู้สึกหดหู่มาก
อยากรู้จังว่าปมหลักคืออะไรยิ่งอ่านยิ่งคิดไปได้หลายทางรออ่านตอนต่อไปนะค่ะ :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ Fallinlove

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
สนุกมากกก  หลอนเหลือเกิน  ลึกลับซับซ้อน น่าติดตามมาก ๆ เลยค่ะ
ชอบภาษาบรรยายมากเลย อ่านเพลิน คนเขียนเก่งจัง > <

ออฟไลน์ Keiji

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ค้นนิยายอ่านไปเรื่อยเรื่องเก่าก็ยังอ่านไม่จบเปิดมาเจอเรื่องนี้ก็หลอนดีแท้หักล้างนิยายรักแฟนนาซีก่อนหน้านี้ไปเลย อ่านตอนกลางคืนอีก :ling3:   ติดตามๆ o13

ออฟไลน์ ชานมเย็น

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :ling3: คงไม่หลอนทั้งเรื่องนะ อยากรู้ปมมาก

ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
อ่านแล้วรู้สึกหลอน ว่าแต่ตกลงอินทร์อายุเท่าไรกันแน่

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
ตอนที่ 4 ลางร้ายจากความฝัน


ช่วงเช้าลุงชมกับป้าษอรพาภูวรินทร์ไปตลาดเช้าของหมู่บ้าน นอกจากคฤหาสน์หลังเก่านี้แล้วยังมีหมู่บ้านเล็กๆที่อาศัยอยู่ห่างออกไปประมาณสองกิโลฯ เขานั่งอยู่เบาะหลัง พลางมองป่าไม้ริมสองข้างทางไปด้วยใจหนาวเหน็บอย่างไร้สาเหตุ บรรยากาศยามเช้าไม่สดใสนักราวกับจะมีเค้าลางของพายุฝน

“ปกติชาวบ้านเค้าเดินทางไปในเมืองยังไงเหรอครับ ถ้าหากเกิดเหตุการณ์แบบนี้”

“ปกติก็ขับรถลงไปเอง ถ้าหากเป็นเรื่องด่วนจริงๆ แต่เส้นทางมันไม่สะดวกน่ะครับ ปลอดภัยกว่าถ้าจะรอเวลาสักหน่อย”ลุงชมตอบกลับมา พลางเหลือบมองเขาผ่านกระจกด้านบน ชายหนุ่มขยับตัวอย่างไม่สบายใจนัก เมื่อเช้าตื่นขึ้นมาอินทนิลก็หายไปแล้ว

“แล้วอินน์ไปไหนแล้วล่ะครับ”เขาถาม ป้าอรเหลียวมองเขาครู่หนึ่ง

“เมื่อเช้าเห็นว่าดูตัวร้อนๆ เลยให้นอนพักสักหน่อย นี่ป้าก็กะจะซื้อไก่มาตุ๋นยาสักหม้อค่ะ”ชายหนุ่มหันไปมองข้างทางแทน พยายามไม่คิดมากเรื่องของคุณแก้วและอินทนิล ป้าษอรกับลุงชมเลี่ยงที่จะพูดถึงผีคุณแก้ว เขาเองก็ไม่อยากเปิดประเด็นให้ตนเองดูเป็นคนงมงายและอ่อนแอมากไปกว่าเดิม

เมื่อลุงชมขับรถมาถึงภายในตลาดของหมูบ้าน เรียกว่าเป็นตลาดภายในของชาวบ้านที่ตั้งร้านไว้สองข้างทางของตรอกถนนเล็กๆในหมู่บ้าน ชายหนุ่มลงจากรถ ก่อนจะเดินตามหลังป้าษอรไป

“ส่วนมากมีแต่ของสดค่ะ คุณอยากทานอะไรไหมคะ ป้าจะได้ซื้อไปเก็บไว้”

“ซื้อปลามาสักสองสามโลก็ได้ครับ ผมอยากทาน”ภูวรินทร์เอ่ยบอก ก่อนจะเดินแยกไปเดินตามทาง เห็นว่ามีร้านขนมหวานอยู่ตรงมุมถนน ระหว่างทางชาวบ้านจำนวนไม่ถึงยี่สิบคนแต่งตัวคล้ายๆกัน ไม่ได้หรูหราเหมือนคนเมือง ส่วนมากจะเป็นรุ่นคนเฒ่าคนแก่หรือวัยกลางคน

ชายหนุ่มหยิบถุงขนมหวานเป็นสาคูกะทิกับตะโก้ “เลือกเลยจ๊ะ สิบบาททุกอย่างเลย”แม่ค้าผู้เฒ่าในวัยหัวหงอกเอ่ยบอกท่าทางยิ้มแย้ม เขาเลือกมาสองสามอย่าง หญิงเฒ่าหยิบถุงขนมหวานใส่ถุงให้เขาเงียบๆก่อนจะเหลือบมองเขาไปด้วย พอจ่ายเงินเสร็จ หญิงเฒ่าก็ยื่นหน้ามากระซิบ

“มีใครบอกคุณหรือยังจ๊ะ ว่าคุณหน้าเหมือนท่านนรินทร์เจ้าของบ้านใหญ่ๆที่เนินเขาตรงนู้นน่ะจ้ะ”เธอเล่า เขานิ่งไป เมื่อคุณลุงที่นั่งขายกับข้าวถุงหันมามองเขาอย่างเห็นด้วยกับหญิงเฒ่าคนนี้เช่นกัน

“ผมก็อยู่ที่บ้านใหญ่นั่นแหละครับ อีกเดี๋ยวก็กลับแล้วครับ”ภูวรินทร์ตอบก่อนจะเดินหนี แต่ไม่วายก็ได้ยินเสียงของหญิงเฒ่าคนดังกล่าวเอ่ยไล่หลัง “คนบ้านนี้มันเหมือนกันไปหมด”

ชายหนุ่มฟังถอยคำนั้นด้วยใจไม่สู้ดีนัก เขาเดินกลับไปหาป้าษอรที่กำลังเลือกปลาอยู่ แต่พอเห็นสายตาของคนในตลาดแล้วเขาก็เดินกลับไปทางที่จอดรถเพราะไม่อยากถูกจับจ้อง อากาศชื้นๆของที่นี่ทำให้เขาไม่นึกชอบ เขาเห็นว่ามีร้านขายดอกไม้สดด้วย สงสัยว่าจะมีวัดอยู่ตามแถวนี้ด้วยล่ะ

เขาหยิบสมาร์ทโฟนออกมาอีกครั้ง พยายามหาสัญญาณโทรศัพท์ เขาเห็นร้านขายของชำเล็กๆที่อยู่ห่างออกไปอีกซอยหนึ่งของตลาดเล็กๆนี้ เลยเดินไปตามทิศทางนั้น เดินไม่นานก็มาหยุดอยู่ที่แผงหน้าร้าน เจ้าของเป็นเถ้าแก่ท่าทางใจดีสวมแว่นตากำลังอ่านหนังสือพิมพ์เหลือบมองเขาอยู่หลายครั้ง

“เอาอะไรดีล่ะพ่อหนุ่ม”

“ผมขอถามอะไรหน่อยครับ แถวนี้มีวัดไหมครับ”เขาถาม เถ้าแก่ยิ้มก่อนจะพับหนังสือพิมพ์ลง พร้อมกับลุกขึ้นยืนพูด “มีนะ แต่เป็นวัดเล็กๆอยู่หมู่บ้านด้านล่าง แต่ถ้าไม่อยากไปไกลมากก็ไปอาศรมหลวงตาก็ได้ ถ้าจะไปก็ต้องขับไปอีกหลายกิโลฯเลย มันไม่เชิงเป็นวัดหรอกนะ ชาวบ้านจะเอาของไปถวายหลวงตาบ่อยๆ อยู่ติดกับเนินเขาเลยล่ะ”เถ้าแก่บอก ก่อนจะมองเขาโดยไม่ละสายตาไปไหน คล้ายกับเจอเรื่องน่าสนใจ ชายหนุ่มกระอักกระอ่วนใจอยู่บ้าง

“เหรอครับ...แล้วแถวนี้โทรศัพท์ได้ไหม ของผมมันไม่ขึ้นเลย”เขาบอกพลางหยิบสมาร์ทโฟนออกมาดูด้วยความหงุดหงิด ไม่รู้ว่าคนแถวนี้ใช้เครือข่ายอะไร 

“ได้สิ แต่ลุงไม่ได้ใช้แบบคุณน่ะ เนี่ย...เป็นของเก่าหน่อย มาใช้สิ”เถ้าแก่พาเขาไปที่โทรศัพท์บ้านเครื่องเก่าที่ซีดจนเหลือง เขานึกดีใจ “ขอบคุณครับ”ภูวรินทร์บอกก่อนจะดูเบอร์ของโชติแล้วกดเบอร์ไปที่แป้นโทรศัพท์บ้าน จากนั้นก็รอสายอยู่นาน

“สวัสดีครับ โชติพูดครับ”ไม่นานเสียงของคู่สนทนาก็ดังขึ้นในสาย ทำให้หัวใจของเขาพองโต

“เฮ้ยโชติ นี่ฉันเอง ภู”ภูวรินทร์รีบพูด ไม่อยากเสียเวลานัก คนปลายสายดูแปลกใจไม่น้อย

“เอ้า ไอ้ภู หายหน้าไปเลย ฉันนึกว่าไปติดสาวแถวนั้นซะแล้ว”โชติพูดจาติดตลก ผิดกับเขาที่เคร่งเครียด เขาไม่ใส่ใจคำแซ็วพวกนี้มากนัก เลยเข้าเรื่องสำคัญต่อ

“อย่าเพิ่งพูดมากน่า แกช่วยหารถมารับฉันที่นี่หน่อย ตอนนี้รถไฟท่านี้มันปิดซ่อมแซม คงอีกหลายอาทิตย์กว่าจะเสร็จ ฉันอยากกลับบ้าน”

“รอไม่ได้เลยหรือไง เฮ้ย อย่าบอกนะว่าเจอดีเข้าแล้ว”โชติมีซุ้มเสียงตกใจไม่เบา เขาถอนหายใจ เหลือบมองเถ้าแก่ไปพลางที่กลับไปนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ต่อแต่สายตาเหลือบมองเขาอยู่เช่นเคย

“เชื่อเถอะน่า แกแค่หารถที่สมบุกสมบันมารับฉันก็พอ ทางมาไม่ค่อยสะดวก อีกอย่างตอนนี้ ฉันติดต่อใครไม่ได้เลย สัญญาณที่นี่เน่ามากๆ ถ้าใครถามถึงฉัน แกก็บอกไปแบบนี้แล้วกัน”

“ได้ๆ ว่าแต่แกโอเคนะ”โชติรับปาก ไม่ลืมจะถามสารทุกข์สุขดิบของเขา ชายหนุ่มไม่กล้าพูดอะไรมากนัก กลัวเสียหน้าเพื่อน

“ก็...ไม่รู้สิ...บางทีนะ ฉันน่าจะเชื่อแก”ภูวรินทร์พึมพำ ไม่ทันที่โชติจะทันพูดได้จบประโยคอยู่ๆการสนทนาก็ขาดหายไปอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

“นี่ภู—ตู๊ด ตู๊ด”ชายหนุ่มมองโทรศัพท์ในมือด้วยงงๆ ก่อนจะกดเบอร์โทรออกไปใหม่อีกครั้ง แต่ปรากฏว่าเบอร์ปิดใช้บริการไปแล้ว “อ้าว โทรไม่ได้แล้ว”ชายหนุ่มพึมพำแล้ววางหูลงกับแป้นโทรศัพท์ เถ้าแก่เดินมามองด้วยความงงไม่ต่างกัน

“สงสัยมันคงเก่าจนรวน แล้วคุณโทรไปรู้เรื่องไหมครับ”เถ้าแก่หันมาถามต่อ ชายหนุ่มยิ้มรับก่อนจะเดินมาที่หน้าร้าน “ครับ ผมต้องจ่ายเงินไหม”เขาถามอย่างมึนงง แต่เถ้าแก่โบกมือใส่เขาด้วยความไม่พอใจเท่าไหร่

“โธ่ ไม่ต้องหรอกคุณ อะไรก็ใช้เงินลูกเดียว เหมือนกันไม่มีผิด”ชายหนุ่มนิ่งไป เมื่อได้ยินเถ้าแก่พูด แม้ถ้อยคำสุดท้ายจะเบามากก็ตาม เขาเงียบไป และรู้สึกไม่ดีขึ้นมาเหมือนตอนอยู่ในตลาด ชายหนุ่มบอกขอบคุณเถ้าแก่ก่อนจะรีบเดินย้อนกลับไปยังรถของลุงชม พอข้ามถนนเขาหันกลับไปมองร้านขายของชำหลังนั้น เห็นว่าเถ้าแก่คนนั้นยืนมองเขาอยู่ไม่ไปไหน เขาเดินกลับมาที่รถ เห็นลุงชมยืนรอเขาอยู่ สีหน้าท่าทางคงเป็นห่วงเขา ชายหนุ่มรู้สึกเบื่อหน่ายที่ลุงชมกับป้าษอรทำเหมือนเขาเป็นเด็กๆ

“ซื้อของครบแล้วเหรอครับลุง”เขาถามไปอย่างไม่ใส่ใจนัก

“ครบแล้วครับ เหมือนฝนจะตกเลย รีบไปเถอะครับคุณภู”ลุงชมบอก ท่าทางรีบเร่ง เขาเลยรีบขึ้นไปนั่งในรถ ก่อนจะถอนหายใจอย่างไม่สบายใจนัก ยิ่งออกมาด้านนอกเขายิ่งอยากออกไปจากที่แห่งนี้จริงๆ ที่คนพวกนั้นพูดหมายความว่ายังไงกัน


ภูวรินทร์นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับใหม่แก้เบื่อ พยายามหาข่าวที่น่าสนใจอ่าน ระหว่างนั้นป้าษอรก็เดินมาเสิร์ฟของว่างให้เขาตามเวลา ซึ่งป้าษอรก็เสิร์ฟตรงตามเวลาเป๊ะไม่พลาดแม้แต่วันเดียว แม้ว่าเขาจะไม่ได้ร้องขอ ทำให้เหมือนอยู่ในบ้านเก่าที่ลายล้อมไปด้วยคนประหลาด  แต่เขาพูดออกไปไม่ได้

“ที่นี่มีหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นไหมครับ”

“มีค่ะ คุณภูอยากได้ เดี๋ยวป้าจะบอกให้คนงานเอามาส่งค่ะ”

“ดีครับ”เขาบอก ก่อนจะเงียบไป นึกถึงอินทนิลที่หายหน้าไปอย่างบอกไม่ถูก “ตกลงอินน์ป่วยไปแล้วเหรอครับ”เขาถาม ป้าษอรมองเขาก่อนจะส่ายศีรษะ

“เปล่าหรอกค่ะ แต่ป้าไม่อยากให้อินน์มากวนคุณภูบ่อยๆ”

“ผมไม่ถือหรอก ให้แกมาก็ได้ ถ้าอยากมาน่ะ”ภูวรินทร์เอ่ย ป้าษอรมองเขาด้วยสายตาเป็นประกายประหลาดก่อนจะพยักหน้ารับ ไม่ได้ขัดคำสั่งเขา ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย ชีวิตที่นี่เงียบเหงา ทั้งบ้านมีแต่เขาที่คอยเคลื่อนไหว ยิ่งบ้านชั้นบนเขาไม่รู้สึกอยากเฉียดกายเข้าไปใกล้ ความคิดที่ว่าเขาจะต้องติดอยู่ที่นี่ไปตลอดทำให้ใจไม่สงบ รู้สึกทุรนทุรายอยู่บ้าง แค่ไม่กี่อาทิตย์เขาก็แทบอยากกลับบ้าน หากนานกว่านั้นเขาจะไม่แย่ยิ่งกว่านี้หรือ ไม่นับฝันร้าย ความรู้สึกน่ากลัวพวกนั้นอีก

รอไม่นาน อินทนิลก็เดินเข้ามาในบ้าน มาจากทางประตูหลังบ้าน เขาแปลกใจนิดหน่อยที่เห็นเจ้าตัวเดินมาจากทางนั้น นึกว่าจะอยู่ในบ้านพักซะอีก เขามองใบหน้าที่ดูสดใสไม่เหมือนคนป่วยเท่าไหร่นัก

“นึกว่าป่วย”

“เปล่าครับ ษอรกังวลไปเอง อันที่จริงอินน์น่ะไม่เคยป่วยหรอก”อินทนิลพูดก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ ยืนอยู่ตรงหน้าเขา ชายหนุ่มไม่สนใจคำพูดแปลกๆของอีกฝ่ายเท่าไหร่ เลยดึงให้อินทนิลนั่งลงข้างๆ

“มีอะไรอยากพูดไหม”

“...เมื่อคืนน่ะ อินน์กลัวเหมือนกันนะ”

“ก็น่าอยู่หรอก บ้านนี้มีผีสิง”ภูวรินทร์พูดแล้วหัวเราะ อินทนิลมองเขาสายตาละห้อยแปลกๆ ก่อนจะก้มหน้ามองนิ้วมือของตนเองแล้วพูดพึมพำ

“พูดอย่างนั้นก็ไม่ถูก ...คุณอยากเห็นท่านไหม”อินทนิลเงยหน้ามองเขาเมื่อพูดจบ ชายหนุ่มฟังแล้วตกใจในทีแรกก่อนจะถามซ้ำ

“อะไรนะ”ชายหนุ่มเหลือบมองไปรอบบ้านก่อนจะหันมามองอินทนิลตามเดิม เด็กหนุ่มมองเขาด้วยแววตาจริงจังก่อนจะลดเสียงพูดลงมาคล้ายกับกระซิบ

“หมายถึงของของท่านน่ะ”อินทนิลโน้มตัวมาหาเขา

“เธอมีของของคุณแก้วเหรอ”ภูวรินทร์พูดออกมาให้ชัดเจนขึ้นอีก อินทนิลเอนตัวกลับด้วยความตกใจก่อนจะส่ายศีรษะ

“ไม่ใช่อยู่ที่อินน์หรอก แต่มันอยู่ในบ้านนี้นี่แหละครับ”เด็กหนุ่มบอก เขาคิดว่าเจ้าตัวคงจะเล่าอะไรลึกลับให้เขาฟัง ในบางครั้งเขาลังเลใจอยู่เหมือนกันว่าจะเชื่ออีกฝ่ายดีไหม เพราะคนตรงหน้าเขาเหมือนไม่ปกตินัก ดูลุกลี้ลุกลน สมาธิไม่อยู่กับตัวเอง

“...ที่ไหน”เขาเอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะหยิบหนังสือพิมพ์มาเปิดอ่านไปเรื่อยๆ ระหว่างนั้นอินทนิลก็ยื่นหน้ามาใกล้ๆแล้วพูด

“...ในเรือนเพาะชำ”ใบหน้าสะอาด มองเขาอย่างตื่นเต้นเหมือนรอให้เขาตื่นตกใจ ชายหนุ่มอดกลั้นกับความรู้สึกพวกนี้ เขาก็ใจหายไปไม่น้อยกับคำตอบของอินทนิล แต่เขาคาดเดาเด็กคนนี้ไม่ออกจริงๆว่าต้องการอะไรกันแน่

“จริงเหรอ”แต่ความแน่วแน่ในแววตาของเด็กหนุ่มทำให้ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะล้อเล่น

“ของสำคัญ...คุณอยากไปดูไหม อยู่ในเรือนเพาะน่ะ”อินทนิลย้ำ ภูวรินทร์เงียบ คงไม่ใช่สมบัติหรืออะไรน่ากลัวๆหรอกนะ ชายหนุ่มส่ายศีรษะ เขาไม่อยากเข้าไปรื้ออะไรออกมามั่วๆหรอก ที่สำคัญเรือนเพาะชำกำลังซ่อมแซมอยู่ ไม่สะดวกที่จะเข้า
ไปด้านในเลย

“อย่าไปวุ่นวายในเรือนเพาะชำสิ ไม่ต้องพูดเรื่องนี้แล้ว”เขาตัดบทอีกฝ่าย เจ้าตัวถอนหายใจ มองเขาอย่างผิดหวัง ก่อนจะมองถ้วยสาคูกะทิบนโต๊ะอย่างสนใจ

“แต่คุณอยากออกไปจากที่นี่จริงๆน่ะเหรอ”อินทนิลหันมาสนใจเขาต่อ ชายหนุ่มได้ยินคำถามนี้แล้วต้องถอนหายใจ แน่นอนความตั้งใจเดิมแค่มาดูบ้านหลังนี้แค่หนึ่งอาทิตย์แล้วก็กลับเพียงแค่นั้น

“ที่นี่ไม่ใช่บ้านของฉันจริงๆซะหน่อย”

“...น่าเสียดายนะ”อินทนิลพึมพำก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาทางจมูกก่อนจะเหลียวไปมองทางหน้าต่างอยู่เงียบๆ ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไร อันที่จริงเขาค่อนข้างเป็นห่วงอินทนิลอยู่เหมือนกัน ไม่อยากให้เด็กหนุ่มอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ บ้านหลังเก่าอาจทำให้อินทนิลดูแย่กว่าเดิม เขาไม่รู้ว่าอาการไม่ปกติของอินทนิลที่ป้าษอรบอกเป็นแบบไหนบ้าง


เป็นอีกคืนที่อินทนิลมานอนกับภูวรินทร์ เขาไม่ใจว่าเป็นความต้องการของใครกันแน่ อินทนิล หรือคุณแก้วกัน แต่ชายหนุ่มก็ขัดไม่ได้ เรียกว่าไม่ปฏิเสธซะมากกว่า แม้ว่าทุกครั้งที่มีอินทนิลอยู่ด้วยก็ใช่ว่าเขาจะหลับสนิทนัก เขายังคงฝันร้ายไม่จบไม่สิ้น นั่นคงไม่ได้ขึ้นอยู่กับอินทนิลหรือคุณแก้วจริงๆงั้นเหรอ เขาไม่อยากเชื่อมั่นนัก

“ป้าษอรรู้หรือเปล่าว่าเธออยู่ที่นี่”เขาเอ่ยถาม เด็กหนุ่มที่สวมชุดนอนสีขาวเช่นเคย กำลังจัดที่นอนให้เขาโดยไม่ใช่หน้าที่ ร่างนั้นหันมามองเขาเงียบๆ ดูจากแววตาสีนิลที่เย็นชาแล้ว คงไม่ใช่อินทนิลหรอก

“รู้ รู้ทุกเรื่อง ไม่อย่างนั้นหล่อนคงไม่ยอมอยู่ดูแลบ้านเก่าๆหลังนี้หรอก”อินทนิลเอ่ยพูดอย่างไม่ชอบใจนัก เขาเดินไปที่หน้าต่าง ไม่ชอบให้ลมพัดเข้ามาจนหนาว แต่ไม่ทันจะดึงบานหน้าต่างปิด

“ไม่ต้องปิด ปล่อยไว้แบบนั้นเถอะ ตอนดึกดอกไม้หอมออกนะ”เสียงอินทนิลดังผ่านห้วงความคิด ชายหนุ่มเม้มปาก มองอินทนิลที่นั่งมองเขาอยู่เช่นกัน บ้านหลังนี้เป็นของเขาไม่ใช่หรือ ชายหนุ่มเป็นเจ้าของบ้าน ไม่ใช่อินทนิลเสียหน่อย แต่เพราะคุณแก้ว ที่อยู่ตรงหน้าเขา ไม่สิ...เขาไม่คิดว่านี่คือร่างทรงอะไรทำนองนั้น อาจเป็นจิตที่เปราะบางของอินทนิลเปิดรับจิตแรงกล้าของคุณแก้วหรือเปล่านะ อีกฝ่ายชอบวางอำนาจให้เหนือกว่าเขาอยู่เสมอ เขารู้สึกแบบนั้นจริงๆ

“...ฉันไม่ชอบนักหรอก”ภูวรินทร์บอกก่อนจะละจากหน้าต่างที่เปิดอ้าดังเดิม เขาเดินกลับมาที่เตียงไม่อยากมองใบหน้าพึงพอใจของอินทนิลนัก

“คุณไปตลาดมา”น้ำเสียงของอีกฝ่ายเย็นชา เขามองร่างของเด็กหนุ่มอย่างสังเกต

“ป้าษอรพาไป”เขาตอบสั้นๆ

“เพราะคุณอยากไปไม่ใช่หรือ พยายามจะหนีไปอีก ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วย”

“ทำไมฉันจะไปไม่ได้ ไม่ต้องอ้างเรื่องสมัยพระเจ้าเหาหรอก ฉันไม่รู้ด้วยหรอก...มีอะไรหลายอย่างที่ฉันต้องทำ”เขาบอก เรื่องงานที่บริษัท ไหนจะเรื่องครอบครัวของตนอีก แค่เขาขาดการติดต่อไปหลายอาทิตย์แบบนี้ก็ทำให้พวกนั้นเป็นห่วง ไม่ก็วิ่งเต้นกันไม่น้อย อินทนิลมีท่าทีไม่พอใจ เพราะเอาแต่จ้องหน้าเขาเขม็ง

“คิดว่าเราอยากอยู่หรือ... ดูเหมือนคุณจะไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นดีนัก ไม่รู้ว่าทำไมหล่อนถึงไม่ยอมเล่าเรื่องพวกนั้นกัน”อินทนิลพูดนิ่งๆ ปลายสายตามองเขาอย่างไม่พอใจ ชายหนุ่มถอนหายใจทีแรกก็ไม่อยากจะทำใจเชื่อนักว่าทีคุยอยู่ตอนนี้ไม่ใช่อินทนิล แต่คำพูดและสายตาที่พูดถึงป้าษอรแบบนั้นคงไม่ใช่อินน์แน่ๆ ไหนจะทีท่าเย็นชาต่างจากอินทนิล เมื่อคืนอินทนิลยังคงเป็นอินทนิลไม่ใช่เหรอ ถึงแม้จะมีบางช่วงที่เป็นคุณแก้วขึ้นมาแทน พอมาคิดทบทวนดูดีๆแล้ว หากเลิกเชื่อเรื่องงมงาย อินทนิลอาจป่วย ป่วยเป็น โรคบุคลิกภาพแตกแยก(DID) มากกว่าจะโดนผีสิง ถ้าไม่เพราะเขาเห็นเจอด้วยตัวเอง เขาคงคิดแบบนี้แน่ๆ แต่ในความจริงที่เขาเผชิญอยู่มันไม่ใช่แบบนั้น

“แล้วเธอเล่าให้ฉันไม่ได้หรือไง”ชายหนุ่มถาม อินทนิลเงียบไปก่อนจะล้มตัวลงนอนโดยที่ไม่ตอบอะไรกลับมา เขายังคงเปิดไฟในห้องไว้เช่นเดิม เวลาแบบนี้เขาไม่อยากนอนกับอินทนิลในความมืด

“ทำไมถึงอยากมานอนที่นี่ล่ะ”เขาถาม เหลือบมองเด็กหนุ่มที่นอนหันหลังอยู่ ร่างนั้นขยับเล็กน้อยตามจังหวะหายใจเข้าออก

“แค่อยากอยู่ด้วยมากกว่า”อินทนิลหันหน้ากลับมาหาเขา ชายหนุ่มมองคนข้างกายด้วยใจสั่นไหวไม่ใช่เพราะความรู้สึกอะไรแบบนั้น แต่เป็นความกลัวประหลาดๆ เหมือนเขาเห็นอนาคตของตนเองที่ต้องจมอยู่ในที่แห่งนี้ อินทนิลมองเขาด้วยแววตาสะท้อนอารมณ์ความรู้สึก ไม่ใช่ความรัก แต่เป็นความเศร้ามากกว่า

“มันผ่านมานานแล้วไม่ใช่เหรอ...”ชายหนุ่มเอ่ยเบาๆ น้ำเสียงแหบแห้ง การพูดแบบนี้อาจทำให้เจ้าตัวโกรธขึ้นมา แต่มันก็คือความเป็นจริง อินทนิลหายใจแรง ก่อนจะเม้มปากจ้องมองเขาอยู่อย่างนั้น

“...ไม่คิดว่าทุกสิ่งล้วนถูกลิขิตไว้บ้างหรือ ต่อให้หลีกหนียังไงก็ไม่อาจหลุดพ้น ความรู้สึกเหล่านี้คล้ายจองจำเรา จะให้ปล่อยวางเรื่องครั้งอดีตก็ทำไม่ได้ มันไม่ง่ายเพียงแค่ลืมมันไปหรือแค่ปล่อยผ่านไปเท่านั้น”เด็กหนุ่มเอ่ย เหมือนใจไม่ได้อยู่กับเขา แววตาสองข้างเหม่อลอยก่อนจะหันกลับมามองเขา ชายหนุ่มหายใจไม่ทั่วท้องนัก จะให้ยอมรับกับทุกสิ่ง จำนนต่อคุณแก้วอยู่อย่างนี้น่ะเหรอ

“ทำไมเธอถึงมาอยู่กับอินน์ได้ล่ะ”ภูวรินทร์เอ่ยถาม หวังว่าจะได้รับคำตอบกลับมาบ้าง อินทนิลเพียงแค่ยิ้ม “คุณไม่อยากรู้จริงๆหรอก...มันอาจเปลี่ยนแปลงความรู้สึกของคุณต่ออินน์ไปเลย น่าสงสารนะแบบนั้น”อินทนิลหัวเราะเบาๆ ยังคงจ้องมองเขาอย่างหยอกล้อ ชายหนุ่มนิ่วหน้าขมวดคิ้วเมื่อได้ยินแบบนั้น เขาไม่ชอบใจนัก

“หมายถึงอะไรล่ะ”เขาถามห้วนๆ อยู่ๆอารมณ์ก็กลับมาครุกกรุ่น อินทนิลมองเขานิ่งๆ ไม่ยิ้มเช่นเคย

“เด็กคนนี้ไม่ค่อยมีคนใจดีด้วยนักหรอก เด็กน่ะถูกชักจูงได้ง่าย แต่คุณเหมือนลืมความจริงไป อินทนิลไม่ใช่ไร้เดียงสาซะหน่อย อายุสิบห้าก็ไม่เด็กแล้ว ถึงจะสมองช้าไปบ้าง แต่ใช่ว่าจะเป็นเด็กไม่สมประกอบ”เด็กหนุ่มเอ่ยน้ำเสียงเยือกเย็น แววตาสีนิลสะท้อนความสั่นไหววิบวับ เขามองนิ่งๆ

“อินน์ป่วยจริงๆน่ะเหรอ”ชายหนุ่มถามอย่างสนใจ อินทนิลที่นอนใบหน้าแนบหมอน ขยับลุกเอาแขนเท้าศีรษะไว้จ้องมองเขาอย่างเย้ยหยัน

“ก็ใช่ ไปถามหล่อนสิว่าหลานชายเป็นอะไร แต่เรารู้ว่าเด็กคนนี้พัฒนาการไม่ดี น่าเศร้านะ”อินทนิลพูดเสียงเรียบ ไม่ละสายตาไปจากใบหน้าของเขา ชายหนุ่มเบนสายตาจ้องมองฝ้าเพดานห้องนอน ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่สังเกตความผิดปกติของอินทนิล เพราะอินน์ดูจะเด็กกว่าอายุจริง ไม่ว่าจะกิริยา การแสดงออกและความคิดในบางครั้ง

 “ใจที่ไม่สะอาด จะซักล้างยังไงให้ผุดผ่องล่ะ”อยู่ๆอินทนิลก็เอ่ยขึ้นมา เจ้าตัวล้มตัวลงนอนด้วยสีหน้าประทับรอยยิ้ม ภูวรินทร์มองอีกฝ่ายด้วยความไม่เข้าใจ คุณแก้ว คนนี้ชอบปั่นหัวผู้อื่น และดูจะไม่ใช่คนอ่อนโยนเท่าไหร่ บางครั้งเรื่องในอดีตอาจไม่ใช่อย่างที่อินทนิลหรือป้าษอรเคยเล่าให้ฟัง พอนึกถึงผู้คนในตลาด ดูท่าทางชาวบ้านพวกนั้นจะไม่ค่อยชอบหมื่นนรินทร์คนนั้นมากนัก ไม่ก็ไม่ชอบคนสกุลภิรมย์สุขรุ่นหลังๆก็เป็นได้

“พูดอะไร”ชายหนุ่มถามอินทนิลที่นอนหลับตาคล้ายกับไม่สนใจเขาอีก

“เกรงว่าคุณไม่ต่างจากกาลก่อนนัก ในอดีตก็ใช่ว่ารักเราเพราะความเดียงสา”เด็กหนุ่มเผยยิ้มอย่างนึกสนุก ชายหนุ่มรู้สึกโกรธขึ้นมาบ้าง แต่ก็อดกลั้นไม่ให้กระชากตัวอินทนิลขึ้นมาต่อว่า เพราะยังไงคนที่อยู่กับเขาตอนนี้ก็ไม่ใช่อินน์จริงๆซะหน่อย

“...เลิกพูดแบบนี้ได้แล้ว”ภูวรินทร์พูดห้วนๆก่อนจะนอนหันหลังให้อินทนิลแทน ภายในใจร้อนรุ่มไปด้วยความกังวล เขาไม่ชอบที่คุณแก้วพูดแบบนี้ ทำเหมือนว่าเขาคือท่านอานรินทร์นั่น เขานอนไม่หลับนัก ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พอหลับตาภาพถ่ายเก่าๆขาวดำก็ผุดเข้าในหัวอยู่ตลอด ใบหน้าแจ่มใสของคุณแก้ว ผิดแผกปนเปไปกับอินทนิลมั่วไปหมด เขาไม่อาจฝืนทนห้วงฝันได้ ยามกลางคืน กลิ่นดอกแก้วมันแรงกว่ายามสว่างเสียอีก  ถ้อยคำของอินทนิลประดังประเดเข้ามา ไหนจะคำพูดตัดพ้อของคุณแก้วในฝันคราวก่อนอีก


“ภูวรินทร์”เสียงเรียกดังจากที่ห่างไกล เขารู้สึกว่าที่แห่งนี้คือความฝัน แต่ก็ไม่อาจตื่นได้ง่ายๆ มารู้ตัวอีกทีเหมือนร่างกายซวนเซ ยืนไม่ติดพื้น ร่างกายสัมผัสถึงความเย็นแผ่วเบาที่พัดปะทะเข้าหา เปลือกตาค่อยๆขยับลืมขึ้น ก่อนจะพบว่าตนยืนอยู่ท่ามกลางแสงสว่างของดวงจันทร์ ยืนอยู่บนผืนหญ้าชื้นแฉะด้วยไอน้ำที่เกาะบนยอดหญ้า สายตากวาดมองไปเบื้องหน้าพบว่าตนเองยืนอยู่ตรงประตูทางเข้าของเรือนเพาะชำ ชายหนุ่มใจเต้นรัว ก่อนจะเหลียวมองไปรอบกายที่มีความมืดโอบล้อม บางครั้งฝันอาจเป็นการเล่าเรื่อง สองขาก้าวเดินเข้าไปด้านใน เท้าสัมผัสกับพื้นดินของเรือนเพาะหลังนี้ พยายามมองหาใครคนหนึ่ง ก่อนที่จะได้ยินเสียงขุดดินอยู่เนืองๆ จากนั้นก็ดังขึ้นเรื่อยๆ

“คุณแก้วเหรอ”ชายหนุ่มทัก ถึงอย่างไร ในฝันนี้เขาต้องโดนหลอกหลอนอยู่แล้ว เขาคงหนีไม่พ้นจริงๆ ชายหนุ่มเดินไปตามเสียงขุดที่อยู่ทางสุดเรือนเพาะชำ ที่ตอนแรกมองไม่เห็นเพราะว่า ร่างของเด็กหนุ่มผอมแห้งกำลังก้มๆเงยๆขุดดินอยู่ ฉับพลันเขาก็กลัวขึ้นมา นึกถึงอินน์เคยบอกว่าของของคุณแก้วอยู่ในเรือนเพาะชำ

เหมือนร่างกายจดจำความหวาดกลัวของเขาได้มันสั่นเล็กน้อยแต่ก็ยังคงก้าวเท้าไปหาอยู่เรื่อยๆ พอพ้นโต๊ะไม้ตัวยาวเขาก็เห็นร่างผอมของอินทนิล ที่ไม่ใช่คุณแก้วจากฝันเมื่อคืนก่อนไม่มีผิด อินทนิลกำลังลงแรงขุดเอาดินออกมาจากหลุมลึก แต่หลุมนี้มันใหญ่เกินกว่าคนๆเดียวขุดไหว ราวกับหลุมศพ

ชายหนุ่มชะงักอยู่กับที่มองเนินดินที่กองอยู่ข้างๆ คุณแก้วไมได้สนใจเขาแค่ก้มตัวลงไปขุดดินต่อ เขามองอย่างไม่เข้าใจ ความรู้สึกตีกันไปหมด

“ทำอะไรน่ะอินน์”เขาร้องห้ามออกไป อินทนิลหยุดนิ่งก่อนจะหันมองมาหาเขา ใบหน้านั้นยังคงเหมือนเดิม เปื้อนไปด้วยฝุ่นดิน สองมือและชุดสีขาวที่สวมใส่เปรอะไปด้วยรอยสีดำ ที่มาของมันคือดินตรงหน้า สองเท้าว่างเปล่า มีกำไลทองเหลืองอยู่ที่ข้อเท้าซ้ายตามเดิม

“เป็นเพราะคุณ เพราะคุณ”ระหว่างที่ว่ากล่าวดังลั่น ร่างนั้นก็โถมแรงลงไปขุดดินต่อ ภูวรินทร์เดินเข้าไปหาช้าๆเพราะเจ้าตัวเหมือนคนไม่มีสติ เขาเข้าไปคว้าแขนของอินทนิลไว้ แม้จะรู้ว่าเป็นฝันแต่ก็ยังคงเข้ามาห้ามปราม อินทนิลเงยหน้ามองเขานิ่งๆ สีหน้าเหมือนไม่เข้าใจนัก แววตาที่ดูกล่าวโทษเขายังคงอยู่

“อินน์เจอแล้ว”เด็กหนุ่มพูดขึ้นมา ชายหนุ่มมองเด็กหนุ่มอย่างมึนงง จากนั้นก็ค่อยๆเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงอะไร อินทนิลพยายามจะขุดดินอีกครั้ง แต่เขาห้าม

“อย่านะ”ชายหนุ่มร้องบอกก่อนจะผลักร่างของเด็กหนุ่มออกไปให้พ้นหลุมลึก แม้แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจตัวเองนัก เขามองอินทนิลก่อนจะก้มมองเข้าไปในหลุมดำมืดนั้น เพราะไร้แสงไฟทำให้เขามองไม่เห็นว่ามันมีอะไรอยู่ แต่เมื่อไล่สายตามาจนถึงท้ายหลุมเขาเห็นแสงสะท้อนวิบวับจากด้านล่าง ชั่วขณะนั้นเขาใจหล่นหายไปพร้อมๆกับแรงผลักจากด้านหลัง มันแรงพอจนทำให้เขาหล่นตกลงไปในหลุมโดยไม่ทันระวัง

“อินน์!”ชายหนุ่มตกใจก่อนที่จะกระแทกลงสู่หลุมด้านล่าง มันลึกประมาณสองเมตรหรืออาจมากกว่านั้น เขาเจ็บไปทั้งร่างก่อนที่พยายามจะลุกขึ้นยืนแต่กลับมีกลุ่มดินใหญ่โยนลงมาในหลุมไม่หยุด มันเข้าปากเข้าจมูกเข้าไปด้วย เขาไอโขกก่อนจะปัดป่ายดินหยาบๆออกไปจากใบหน้า เขาคลุกเข่าอยู่กับที่ สองตามองไม่เห็นเพราะเศษดิน ก่อนที่จะตระหนกกับดินที่ไหลลงมาไม่หยุด สองมือเขากดไปสัมผัสกับของแข็งบางอย่างที่ทำให้เลือดในร่างกายเย็นเยียบ แม้จะรู้แล้วว่าหลุมนี้มันคล้ายกับหลุมศพ แต่ก็ไม่คิดว่าในหลุมนี้จะมีศพจริงๆหรอก 

 “คุณอยากเห็นท่านไหม...หมายถึงของของท่านน่ะ” 

“ไม่ใช่อยู่ที่อินน์ แต่มันอยู่ในบ้านนี้นี่แหละครับ ...ในเรือนเพาะชำ”

ชายหนุ่มสัมผัสของแข็งคล้ายกับซี่โครงบริเวณกระบังลมแล้วก็เกิดอาการอยากสำรอกออกมา เขาผุดลุกออกห่างจากโครงกระดูกนี้แต่จังหวะนั้นกลับมีกลุ่มดินหนักๆถล่มลงมาจนเขาต้องก้มหลบ มันเยอะกว่าครั้งก่อน เขาเงยหน้ามองไปด้านบน  ตอนนี้ดินมันกลืนกินมาถึงขาของเขาไปแล้วอย่างไม่น่าเชื่อ

“ทำบ้าอะไรของเธอห๊ะ”ชายหนุ่มตะโกนบอกก่อนจะไอออกมา เงาดำผาดผ่านเข้ามาในหลุม ร่างของอินทนิลตอนไร้แสงไฟมันดำทะมึน เขานึกกลัวขึ้นมา

“ท่านอยู่ในนั้น... เพราะคุณไง”อินทนิลพูด ก่อนจะโกยดินลงมาอีก ภูวรินทร์รู้สึกขนลุกขนพองเมื่อสองขาเหมือนถูกตรึงไว้ด้วยมือที่มองไม่เห็น เขาสะบัดออกไม่ได้เพราะไม่อยู่ในท่าทางที่ถนัด แต่ในหลุมนี้เหมือนมีอะไรที่น่ากลัวกว่าโครงกระดูกเจ็ดปีกว่าปีของคุณแก้ว

“อินน์ พอได้แล้ว!”ชายหนุ่มร้องบอกก่อนจะสำลักไอออกมาทั้งน้ำลายและดินที่เข้ามาในปาก เมื่ออินทนิลไม่มีเหนื่อยกับการโกยดินลงมาในหลุม ภูวรินทร์ขยับไม่ได้ ดินที่ถูกกลบลงมาเรื่อยๆราวกับเป็นโคลนดูดเพราะมันเหมือนดึงให้เขาจมลงไปใต้หลุมลงเรื่อยๆ ราวกับว่าจะให้เขาตายตกไปพร้อมๆกับซากโครงกระดูกของคุณแก้วเช่นกัน

หรือว่าต้องการเช่นนี้จริงๆ ภูวรินทร์หายใจเข้าเพื่อสูดเอาอากาศเข้าปอดแต่กลับกลายเป็นเพียงดินร่วนๆที่เข้ามาทั้งทางปากและจมูก เขาเสียดแน่นไปทั้งอก ในหัวปวดร้าวราวกับจะระเบิด เขาหายใจไม่ออก พยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืนแต่ทำไม่ได้ ร่างกายสัมผัสถึงความเย็นเยียบของผิวเนื้อ เขาไม่รู้ว่ามันมาจากไหน แต่มันโอบรัดเขาไว้แน่น แน่นจนเห็นเป็นสองแขนที่ซีดเซียวมันรั้งกดลำคอของเขาให้จมลงไปกับดิน

ไม่นะ...! ชายหนุ่มดิ้นสุดแรง พยายามสะบัดศีรษะออกจากกองดิน แต่กลุ่มดินที่เข้ามากลบใส่ใบหน้าของเขาจากด้านบน อินทนิลก็ทำหน้าที่นั้นไปเรื่อยๆ เขาไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น สองตาพร่ามัว รสชาติดินเย็นๆ ขมแปลกๆเข้าสู่ปากและจมูก เขาคิดว่ามันทรมานอย่างบอกไม่ถูก ถ้าให้เลือกการจมน้ำอาจทรมานน้อยกว่าการขาดอากาศหายใจที่แบบนี้ ในปอดของเขาต้องมีดินอยู่ไม่มากก็น้อย เขาสำลักจนหายใจไม่ออก ภาพเหมือนเลือนราง ในหัวปวดแทบระเบิด ปวดร้าวไปทั่วทั้งโพรงจมูกและลำคอ

“อยู่ด้วยกันไปตลอดนะ”เสียงของอินทนิลดังมาจากด้านบน เขาเห็นอินทนิลก้มตัวเหนือหลุม ภาพสุดท้ายของอินทนิลยังคงเหมือนเดิม มันไร้เครื่องหน้านอกจากใบหน้าเรียวนั้น ความดำมืดพาดผ่านมองไม่เห็นอวัยวะใดๆ เขาพรั่นพรึงในสิ่งที่เห็น

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-03-2018 10:37:16 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2

เฮือก!

ชายหนุ่มพยายามหายใจ พยามยามยื้อชีวิตของตน อาการเสียดแน่นร้าวไปทั้งอก พยายามหายใจเพื่อกอบโกยอากาศเพียงน้อยนิดแต่ได้กลับมาแค่เศษดินที่เข้าอุดในลำคอและโพรงจมูก จนสำลักออกมาและรวดร้าวจากการไร้อากาศอีกครั้ง มันวนเวียนไปอยู่แบบนั้น จนทั้งร่างขยับไปไหนไม่ได้ สองมือไขว่คว้าไม่ไหว และทุกอย่างดำมืด เขาคิดว่ามันจะหยุด เผชิญกับความตายแล้วเขาต้องตื่นจากฝัน แต่มันไม่เป็นเช่นนั้น เหมือนภูตผีร้ายอยากให้เขาสนองต่อการทรมานก่อนจะสิ้นใจตาย ให้เขาได้หายใจเฮือกสุดท้ายแล้วก็ทรมานเข้าแทนที่

พรึ่บ

ภูวรินทร์ลืมตาขึ้นมาพร้อมกับๆการหายใจที่สะดวกมากขึ้น ทั้งร่างสั่นเทิ้มไปด้วยราวกับขาดอากาศหายใจมายาวนาน เขาเพ่งมองฝ้าเพดานด้านบน ก่อนจะกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก

“คุณฝันร้าย”เสียงของอินทนิลดังขึ้น เตียงยวบลงมาคล้ายกับมีคนขยับเข้ามาใกล้ ชายหนุ่มรู้สึกว่ามีมือเข้าจับใบหน้าของเขาไว้ จากนั้นสัมผัสก็หายไป ชายหนุ่มลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะเหลียวมองไปรอบๆตัว เขายังคงนอนอยู่บนเตียง ได้ยินเสียงน้ำไหลรินลงแก้ว เสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาหาของอินทนิล ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่งพิงเตียงด้วยใจสั่นคลอน   

“ดื่มน้ำก่อนสิ”อินทนิลเดินมานั่งบนเตียงข้างๆเขาก่อนจะยื่นแก้วน้ำมาให้ เขารับมาเงียบๆก่อนจะดื่มน้ำด้วยความกระหาย โดยอยู่ในสายตาของอินทนิล อีกฝ่ายมองเขาอย่างเป็นห่วง แต่เขาไม่แน่ใจว่ามันจริงใจหรือเปล่า เพราะคุณแก้วคนนี้ดูไม่ค่อยหวังดีกับเขานัก ความฝันครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงอะไรกัน นอกจากหลุมศพของคุณแก้ว และอินทนิลที่ดูไร้สติ แถมยังมาคล้ายความฝันเก่าๆ ไอ้การไร้หน้าของอินทนิลมีที่มาที่ไปอย่างไรกัน เพราะอะไรถึงเป็นแบบนั้น

“ทำไมยังฝันร้ายอยู่อีก”ชายหนุ่มพึมพำอย่างทดท้อใจ อินทนิลมองเขานิ่งๆ ก่อนจะขยับเข้ามาหา “ไม่ใช่เพราะเราหรอกนะ บอกไว้ก่อน”ร่างของอินทนิลที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขามองยังไงก็ไม่ชินตา เหมือนมองคนที่ไม่รู้จัก

“ออกไปไม่ได้หรือไง”อยู่ๆภูวรินทร์ก็เอ่ยออกมา เขาชะงักไปก่อนจะเงียบ ไม่สนใจอินทนิลอีก เขาวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะก่อนจะล้มตัวลงนอนเงียบๆ เขาคิดว่าการที่คนที่ตายไปนานแล้วยังมาวุ่นวายกับคนเป็นอย่างอิทนิลจะส่งผลดี ถึงเด็กอินน์คนนี้จะไม่ใช่เด็กปกติก็ตาม แม้ว่าจะดูเหม่อๆ แต่ผลพวงของการที่คุณแก้วเข้ามาวุ่นวายกับอินทนิล เจ้าตัวมีพฤติกรรมแปลกๆ คนที่ตายไปแล้วมาแย่งการมีชีวิตของอินทนิลไปเช่นนี้ เด็กหนุ่มยินยอมแต่โดยดีหรือว่าเพราะความกลัว เพราะความเป็นคนเจียมตัวของอินทนิล การที่เป็นหลานของคนรับใช้ในบ้านมันทำให้อินทนิลไม่กล้าขัดขืนต่อคุณแก้วอย่างนั้นเหรอ

“...ไม่ได้หรอก...ถึงคุณจะอยากให้เราไป หรือต่อให้เราอยากไปก็เถอะ...แสดงว่าคุณก็ยอมรับแล้วสิว่าคิดไม่ดีกับเด็กคนนี้”เสียงของอินทนิลทำให้เขาไม่สบายใจนัก น้ำเสียงที่เหมือนจะดูแคลนเขาไปพร้อมๆกับอินทนิล

“เปล่าหรอก ฉันแค่สงสารเท่านั้นแหละ ...ไม่คิดบ้างเหรอว่าท่านอานั่นอาจจะสงสารคุณไม่ต่างกันหรอก...”ภูวรินทร์ลืมตามองอินทนิลที่ยังคงนั่งอยู่ข้างๆกายเขาไม่ไปไหน เพียงจ้องมองด้วยความนิ่งเฉย ภาพนั้นทำให้เขาใจไม่เป็นสุขนัก อินทนิลนิ่ง แววตาเย็นชาก่อนจะผุดยิ้มออกมา เหมือนลางร้าย

“คุณบอกว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านผีสิง เพราะว่ามันมีคนตายไม่ใช่หรือ ถ้าอย่างนั้น...แล้วร่างนี้ล่ะ ร่างอินทนิลมีเราได้ มันหมายความว่าอะไรหรือ”อินทนิลพูด ภูวรินทร์มองอย่างตกใจ ในใจเหมือนโดนทุบแทงให้แตกกระจาย

“หมายความว่ายังไง”

“คุณฉลาดพอที่จะรู้...ราตรีสวัสดิ์นะ ภูวรินทร์”อินทนิล...ไม่สิ คุณแก้วยิ้มกว้างก่อนจะลุกเดินขึ้นมานอนบนเตียงตามเดิม จากนั้นก็ขยับเข้ามาใกล้เขายื่นหน้ามาจ้องเขาอย่างสนใจแล้วโน้มหน้ามาจูบแก้มของเขาอย่างรวดเร็ว จนภูวินทร์เองยังตกใจ เขานิ่งงัน แต่อินทนิลเพียงแค่ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างอย่างไม่สะทกสะท้าน ปล่อยให้เขานั่งนิ่งขึงกับใจที่เงียบงัน เขามองผ่านหน้าต่างที่ส่องถึงความมืดที่มีซุ้มเสียง เสียงโหยหวนของความเศร้า

หมายความว่าอย่างไรกัน อินทนิลตายไปแล้วงั้นเหรอ ไม่จริงน่า




+++++++++++++++



มาต่อกันค่ะ ค่อยๆเฉลยกันไป พยายามไม่หลุดโทนเรื่อง อยากให้มันหลอนๆอึมครึมไปทั้งเรื่อง
มันไม่ใช่งานดราม่าน้ำตาไหล แต่อาจจะหน่วงๆบ้างนะคะ
อีกอย่างเรื่องนี้ก็ไม่เชิงว่ามีผีมีวิญญาณให้เห็นขนาดนั้นด้วย คนไม่ค่อยนิยมอ่านแนวนี้กันด้วยแหละ
ยังไงก็ขอบคุณทุกคนค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-03-2018 10:38:56 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ หมอตัวเปียก

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1874
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
มาต่ออีก ๆ

มีแต่ ??? เต็มหัวเลยตอนนี้

ออฟไลน์ เป็ดอนุบาล

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
ขอบคุณที่มาต่อนะค่ะและเป็นกำลังใจให้ค่ะ
จริงๆมันสนุกนะค่ะเพียงแต่เรื่องราวมันดูมีปมที่รอการคลี่คลายอีกเยอะยังไงก็สู้ๆนะค่ะ o13 o13

ออฟไลน์ net. net_n2537

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 305
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
 :a5: ❓❓❓อ่านมา4ตอนล่ะก็ยังไม่มีความกระจ่างเลย วนลูปแต่เดิมๆ

ออฟไลน์ ชานมเย็น

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
รอๆตอนต่อไป
ภูคงฝันไปเรื่อยๆแน่ๆ ความฝันคงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาก่อนไหม  :katai1:

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
เป็นความหลอนที่เต็มไปด้วยเรื่องชวนสงสัย ตกลงอะไรยังไงคนที่ทำให้ภูฝันร้ายเป็นใครกันแน่ แล้วอินตายไปแล้วจริงๆเหรอ มีแต่ปริศนาให้คิดเต็มไปหมด รู้สึกทรมานแทนภูมากที่ฝันแต่อะไรแบบนี้

ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
ตกลงยังไงกันเนี้ยะ ทั้งหลอน ทั้งงง...

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
ตอนที่ 5 ร่องรอยจากอดีตเจ้าของบ้าน

ภูวรินทร์ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ฟ้าสว่างแล้ว แต่สิ่งที่แปลกก็คือเขาเห็นอินทนิลนั่งมองเขาอยู่ที่ข้างเตียง เหมือนรอให้เขาตื่นอะไรแบบนั้น ชายหนุ่มรีบผุดลุกขึ้นนั่งพลางนึกถึงเรื่องที่คุณแก้วพูด แต่เด็กหนุ่มตรงหน้าแค่ยิ้มกว้างเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ษอรตั้งโต๊ะอาหารเช้าแล้ว วันนี้คุณตื่นสายแหนะ”อินทนิลเอ่ยขึ้น ทำให้เขาหันไปมองนาฬิกาข้างๆโดยทันที ปรากฏว่านี่มันเก้าโมงเช้าแล้ว ชายหนุ่มไม่เคยนอนตื่นสายขนาดนี้มาก่อน เขารีบลงจากเตียง ก่อนจะหันไปพูดกับเด็กหนุ่ม

“ไปบอกให้ลุงชมไปขุดหลุมตรงท้ายห้องเรือนเพาะชำที เผื่อว่าจะเจออะไร...”เขาบอก อินทนิลเดินเข้ามาหาเขา

“เจออยู่แล้วล่ะ อินน์บอกไปแล้วก็ไม่เชื่อ”เด็กหนุ่มพูดก่อนจะค่อยๆเดินออกจากห้องของเขาไป ชายหนุ่มโล่งอกขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังไม่ปักใจเชื่อนักว่าร่างของคุณแก้วจะถูกฝังอยู่ในเรือนเพาะชำ หมายความว่าการตายของคุณแก้วเป็นการฆาตกรรมหรือว่าตายโดยธรรมชาติ ทำไมถึงไม่ทำพิธีตามศาสนาล่ะ

ชายหนุ่มรีบอาบน้ำให้เสร็จโดยเร็ว พอมานึกใคร่ครวญดูอีกครั้ง ความฝันที่เขาเผชิญอยู่ทั้งหมดเหมือนมันกำลังบอกอะไรเขาอยู่ การตายของคุณแก้วงั้นเหรอ

ภูวรินทร์ลงมาทานมื้อเช้าที่โต๊ะอาหารเช่นเดิม ที่ด้านนอกมีคนงานมาทำงานเช่นเคย เขาถือโอกาสถามป้าษอร

“ตกลงแล้วอินน์เขาป่วยเป็นโรคอะไรเหรอครับ”

“...แกเป็นเด็กคลอดก่อนกำหนดน่ะค่ะ เลยทำให้สมองช้าพัฒนาการไม่เหมือเด็กคนอื่นๆ กว่าจะเข้าเรียนประถมได้กว่าช้าไปหลายปี...”

“งั้นเหรอ”เขาพึมพำอย่างไม่ปักใจเชื่อนัก อีกฝ่ายมีท่าทีประหลาดใจ “มีอะไรหรือเปล่าคะ”

“เปล่าหรอก แล้วอินน์บอกลุงชมหรือยังครับว่าผมสั่งให้ขุดดินที่ท้ายเรือนเพาะชำ”ภูวรินทร์ถามถึงเรื่องสำคัญ ป้าษอรมองเขาด้วยสายตามมีคำถาม เธอตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงกังขา

“บอกแล้วค่ะ ว่าแต่คุณภูจะทำอะไรเหรอคะ”

“ผมอยากหาของของคุณแก้ว”เขาบอกไปตามตรง อันที่จริง‘ของ’ที่ว่าอาจเป็นเหมือนในความฝันของตนก็ได้ โครงกระดูกของคุณแก้ว เขารู้สึกแย่ไม่น้อยกับความฝันเมื่อคืน ป้าษอรตกใจจนชะงักค้างไป สีหน้าดูไม่ดีนัก

“ของเหรอคะ ป้าอยู่มาตั้งนานไม่ยักรู้เลยนะคะ”

“ผมแค่เดาสุ่มน่ะ อาจจะเจอ หรือไม่เจอก็ได้”

หลังอาหารเช้า ชายหนุ่มเดินออกไปดูคนงานที่เรือนเพาะชำ เขายืนมองอยู่ด้านนอก เห็นคนงานสี่คนกำลังลงมือถือจอบเสียมขุดดินตามที่เขาสั่งอยู่ ลุงชมเดินมาหาเขา

“คุณภูกำลังหาอะไรหรือครับ”

“ผมแค่อยากพิสูจน์อะไรนิดๆหน่อยๆครับ ว่าแต่มันใช้เวลานานไหมกว่าจะขุดได้ลึก”เขาถาม ลุงชมมองเขาอย่างไม่สบายใจนัก “ก็ใช้เวลาสักพักใหญ่ๆ ผมไม่มีเครื่องขุดด้วย”

“ถ้าหากว่าขุดเจออะไรก็มาบอกผมด้วยแล้วกัน”ภูวรินทร์เดินอ้อมไปทางริมรั้วเพื่อเดินไปยังสวนหน้าบ้าน ที่ใจกลางลานน้ำพุเขาเห็นอินทนิลกำลังนั่งขีดเขียนอะไรอยู่ที่พื้นหิน เขาสาวเท้าเดินเข้าไปหาเงียบๆ แต่เด็กหนุ่มเงยหน้ามาทางเขาก่อนจะโบกมือให้

“มาทำอะไรตรงนี้”เขาถาม เมื่อเห็นว่าอินทนิลเด็ดผลของต้นเทียนหยดออกมาเล่น เขาพยายามมองหาสิ่งผิดปกติของอินทนิลตามที่คุณแก้วบอก จะเป็นไปได้ยังไงหากเด็กหนุ่มตายไปแล้วจริงๆจะมีชีวิตอยู่แบบนี้ได้เหรอ

“คุณรู้หรือเปล่าว่าผลของมันมีพิษด้วยล่ะ”

“ไม่เคยได้ยินเลยแฮะ”

“ใช่ครับ ผลสีส้มแบบนี้ ยิ่งเด็กเคี้ยวมันเข้าไปยิ่งอันตรายเลยล่ะครับ ขนาดสัตว์กินพืชยังไม่เข้าใกล้มันเลย”อินทนิลพูดก่อนจะยื่นผลสีส้มมาให้เขา ภูวรินทร์มองผลสีส้มในมืออย่างใคร่ครวญ ไม่คิดว่าดอกไม้สีสวยเช่นนี้จะมีอันตราย การที่อินทนิลพูดแบบนี้มันมีความหมายแฝงอะไรหรือเปล่า

“เมื่อวานเธอบอกว่าในเรือนเพาะชำมีของของคุณแก้ว บอกได้ไหมว่าคืออะไร”ภูวรินทร์เดินไปนั่งที่เก้าอี้ พลางมองเด็กหนุ่มที่นั่งยองๆถือผลเทียนหยุดสีส้มพยายามเรียงต่อกันเป็นรูป

“อืม...อินน์ว่าคุณรู้อยู่แล้วนะ”เด็กหนุ่มเอ่ยโดยไม่มองมาทางเขา สายตาจับจ้องอยู่กับการเรียงผลสีส้มไปเรื่อยๆ เขาถอนหายใจ เวลาที่จะถามเอาความจริงกับอินทนิลเขาต้องใช้ความอดทนไม่น้อยเลยกับการตอบไม่ตรงคำถามของอีกฝ่าย

“แล้วเธอรู้ได้ยังไงกัน”

“ก็เพราะว่าท่านอยู่กับอินน์ตลอดไง คุณเข้าใจไหมครับ”อินทนิลเอ่ยก่อนจะหยุดมือ แล้วเงยหน้ามองเขา แววตาที่มองมาดูเศร้าสร้อยระคนโกรธเคือง เขาใจสั่นคลอนเพราะคำพูดของคุณแก้ว อินน์พูดอยู่เสมอว่า ‘ท่าน’อยู่กับตนเอง ท่าทีที่อีกฝ่ายดูระแวงระวังคุณแก้วแม้แต่ในยามสว่างแบบนั้น มันพอจะตอบคำถามที่เขาสงสัยได้ไหม

“มันเกิดเรื่องร้ายแรงมากเลยเหรอ ที่บ้านหลังนี้น่ะ”ชายหนุ่มเอ่ยลอยๆ เขามองไปที่บ้านหลังใหญ่ ท่ามกลางแสงแดดเจิดจ้ามันดูสง่างามในแบบดั้งเดิม แต่ก็ยังให้ความรู้สึกลึกลับ

“...อินน์เห็นแต่ความเศร้าของท่านเสมอ ความรู้สึกเหมือนโลกกำลังจะแตก อินน์ไม่ค่อยเข้าใจหรอก...แต่ษอรมักจะไม่ให้อินน์พูดถึงเรื่องของท่าน...”เด็กหนุ่มย่นหน้าพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่เหมือนหน่ายกับป้าของตนเอง เขามองท่าทางนั้นอยู่นาน มองยังไงอินทนิลก็มีเลือดเนื้อ ไม่เห็นเหมือนคนที่ตายไปแล้ว อินทนิลยังคงเป็นเด็กหนุ่มที่สดใสตามวัยไม่ใช่เหรอ

“...เธอ...มีชีวิตอยู่จริงๆหรือเปล่า”ภูวรินทร์ไม่คิดว่าตนจะพูดเช่นนี้ เขาแปลกใจตัวเอง อินทนิลเบนหน้าไปมองทางอื่น สองมือกำแน่นเช่นเคย

“ตอนนี้อินน์ก็มีชีวิตอยู่ไม่ใช่เหรอครับ ทำไมถึงถามแบบนี้ล่ะ”อินทนิลพึมพำ ลอบมองเขาเหมือนเสียใจแล้วลุกขึ้นยืนปัดมือที่เปื้อนฝุ่นดินไปมา แต่เขาไม่ทันจะพูดอะไรก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากทางหลังบ้าน ชายหนุ่มรีบลุกเดินไปทิศทางดังกล่าวทันที อินทนิลก็ตามเขามาด้วย

เขาเดินไปยังเรือนเพาะพบว่าคนงานดูแตกตื่น ออกมายืนด้านนอกกันหมด ยกเว้นลุงชมที่ยืนอยู่ด้านในเรือนเพาะชำ ชายหนุ่มเดินเข้าไปด้านในบ้าง ตลาดทางได้ยินพวกคนงานซุบซิบกันว่าเจอโครงกระดูกคน แม้ในใจจะคาดเดาไว้ได้แล้ว แต่พอมาเจอเข้าจริงๆเขารู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูก ลุงชมยืนอยู่หน้าปากหลุมกว้าง เหมือนคนงานจะขุดกินที่ไปเรื่อยๆจนมาเจอมากกว่า

“แจ้งตำรวจดีไหมครับ”ลุงชมหันมาถามเขา

“นั่นไม่ใช่โครงกระดูกของคุณแก้วหรือไงครับ”เขาถาม ลุงชมเหมือนหน้าซีดไปไม่น้อย ป้าษอรตามเข้ามาทีหลังด้วยท่าทีตกอกตกใจ เขาแปลกใจอยู่เหมือนกันที่คนบ้านนี้ไม่มีใครรู้ว่าร่างของคุณแก้วไม่ได้ถูกเผาจัดพิธีตามศาสนา อินทนิลยื่นหน้าไปมองบ้าง แต่ถูกป้าษอรดึงตัวไว้ก่อน

“ผมไม่แน่ใจเหมือนกันครับ”ลุงชุมพูดเบาๆ เขาเดินเข้าไปใกล้ๆปากหลุม มองเข้าไปที่ด้านล่างดินที่ถูกขุดลึกลงไปประมาณหนึ่งเมตรกว่าๆ ก้นหลุมมีกระดูกเก่าส่วนเชิงกราน และส่วนกะโหลกศีรษะที่ผุกร่อนโผล่มาให้เห็น เขามองไปทางส่วนล่างที่น่าจะเป็นขา เขาไม่เห็นกำไลข้อเท้าของคุณแก้ว

“โครงกระดูกนี่น่าจะเก่ามากแล้ว ผมควรทำยังไงดีล่ะ...”เขาหันไปถามป้าษอร การเรียกตำรวจมาก็ไม่มีความหมายมากไปกว่าการแพร่กระจายข่าวของบ้านหลังนี้ ทุกคนก็รู้ว่าต้นตระกูลตายไปนานแล้ว แต่ใครจะคาดคิดว่าศพของคุณแก้วถูกฝังอยู่ใต้ดินมากว่าเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว

“ให้ป้าเรียกสัปเหร่อมาช่วยก็ได้นะคะ”เธอเสนอ เขายังลังเลอยู่ แต่ก็เขาไม่คิดว่าการแจ้งตำรวจมันจะมีผลดีอะไร ชายหนุ่มเหลือบมองอินทนิลที่ยืนอยู่ข้างๆป้าษอรสีหน้าซีดเซียวอยู่บ้าง ท่าทางเหมือนหวาดกลัว

“แต่ผมไม่แน่ใจว่าใช่ร่างของคุณแก้วไหม...คงต้องเอาไปตรวจ”ชายหนุ่มพูดกับลุงชม เจ้าตัวพยักหน้า “งั้นให้ป้าไปปรึกษากับตำรวจดูก่อนดีไหมคะ เผื่อว่าจะช่วยอะไรได้”เธอเสนอขึ้นมา

“อืม...คงต้องเป็นแบบนั้นล่ะครับ ลุงช่วยหาคนมาจัดการเรื่องโครงกระดูกด้วยนะครับ ผมไม่รู้ว่าต้องแจ้งญาติพี่น้องของสกุลภิรมย์สุขด้วยหรือเปล่า...ไม่ยักรู้ว่าคุณแก้วจะถูกฝังตรงนี้ ป้าไม่รู้เหรอครับว่าท่าไม่ได้ถูกเผา”

“ป้าก็ไม่เคยทราบมาก่อนเหมือนกันค่ะ...”เธอก้มหน้าตอบไม่กล้ามองลงไปในหลุมเช่นกัน ลุงชมเม้มปากก่อนจะหันมาพูดกับเขา “ให้ผมเรียกพระมาทำพิธีดีไหมครับ เผื่อว่าคุณภูไม่สบายใจ”

ภูวรินทร์ก้มมองโครงกระดูกในหลุมนั้นอย่างใจลอย ใครเป็นคนฝั่งร่างของคุณแก้วกัน หมื่นนรินทร์เป็นคนทำจริงๆเหรอ ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณแก้วกันแน่ เรื่องไหนคือความจริงและความลวง ถ้าหากว่าคุณแก้วถูกทำร้ายจนตายจริงๆล่ะก็ เขาก็พอจะเข้าใจได้ว่าเพราะอะไรอีกฝ่ายถึงยังไม่จากไปไหน ...เพราะคำสาปแช่งงั้นเหรอ...คำสาปแช่งอะไรกัน

“ได้ก็ดีครับ ไล่ความอัปมงคลไปบ้างก็ดี”ชายหนุ่มเอ่ยตอบเบาๆ ก่อนจะเหลียวมองอินทนิลที่ยืนจ้องหน้าเขาไม่หลบไปไหน เขาเดินออกจากเรือนเพาะชำด้วยใจที่ครุมเครือ พวกคนงานยืนจับกลุ่มคุยกันถึงสิ่งที่เจอ เขามองอย่างไม่สบายใจนัก

ภูวรินทร์กลับเข้าไปทางประตูหลังบ้าน เดินผ่านห้องโถงใหญ่ไปยังห้องรับแขก มองเห็นสวนดอกไม้ที่ชูช่อท่ามกลางแสงแดด เป็นส่วนเดียวในบ้านที่เขาชอบมากที่สุด ชายหนุ่มเดินไปยังชั้นสอง เข้าไปหยิบกุญแจบ้าน รวมถึงแปลนบ้านในห้องนอนมาเปิดดู เขาอยากลองเดินสำรวจให้ครบทุกห้องเผื่อว่ามีอะไรที่เขาพลาดไป นอกจากห้องนอนแล้วยังมีห้องอ่านหนังสืออยู่ เขาเดินไปตามทางระเบียงหน้าห้อง ห้องนี้อยู่ริมสุด แล้วไขกุญแจเปิดเข้าไป

ห้องสี่เหลี่ยมกว้างลายล้อมไปด้วยชั้นหนังสือ ที่ใจกลางห้องมีโต๊ะนั่งอ่านหนังสือกับโซฟาตั้งไว้ โคมไฟเหนือศีรษะเป็นทรงกลมใหญ่ บริเวณรอบห้องมีชั้นหนังสือเรียงตัวไปจนสุด หนังสือพวกนั้นเขาเห็นว่ามีตั้งแต่หนังสือนิทานไปจนถึงหนังสือประวัติศาสตร์ บางชั้นก็ไม่ได้มีหนังสือวางไว้ ปล่อยโล่งไว้แบบนั้น เขาเดินเข้าไปจับดู ยังคงมีฝุ่นจับตัวอยู่เช่นกัน บางชั้นก็มีหนังสือพิมพ์ฉบับเก่าวางพับไว้เป็นตั้งสูง เขาเดินไปเห็นหนังสือพฤกษาศาสตร์ที่อยู่ระดับสายตา เหมือนว่าชั้นนี้จะถูกหยิบอ่านบ่อยที่สุด

 เขาหยิบหนังสือเล่มหนาออกมาช้าๆเพราะเกรงว่ามันจะขาด ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าหนังสือพวกนี้ใครเป็นคนจัดเก็บ เพราะวันเดือนปีที่ผลิตอยู่ในช่วง พ.ศ.2470 เป็นต้นไป บางชั้นก็เป็นหนังสือสมัยใหม่ผสมกันไป ชายหนุ่มเปิดอ่านอย่างสนใจ ส่วนมากเป็นข้อมูลพืชไม้ประดับ เขาเปิดผ่านๆเห็นว่าดอกไม้บางชนิดก็ยังพบเห็นในสวนและเรือนเพาะชำด้วยเช่นกัน จากนั้นก็เหลือบไปเห็นหนังสืออีกเล่ม ‘พืชและพิษ’

เขาเก็บหนังสือเล่มเดิมคืนที่เก่าแล้วหยิบหนังสือเล่มนี้ออกมา เป็นหนังสือปกบางๆ ที่สันมีด้ายเย็บแทนสันกาวไปแล้ว เขาเปิดดูอย่างสนใจ หวนนึกถึงคำพูดของอินทนิล ลองไล่เปิดดูตามสารบัญ ดอกไม้ที่ถูกแยกไปตามวงษ์ของมัน ตามลักษณะพิษที่ส่งผลต่อร่างกายในแต่ละส่วน เช่น กระเพาะ ผิวหนัง ชายหนุ่มเปิดไปเรื่อยๆ จนมาเจอรูปเทียนหยดที่อยู่หน้าท้ายๆ ข้อมูลในหนังสือมีไม่เยอะ แต่อ่านแล้วก็การันตีได้ว่าอินทนิลพูดจริง

ผลและใบของเทียนหยดมีพิษต่อเด็กเล็กมากกว่าผู้ใหญ่ หากกินผลมันเข้าไปจะทำให้เนื้อเยื่อลำไส้ถูกทำลาย หากดูดซึมสารพิษเข้าไปหนักสุดคือเสียชีวิต อาการอื่นๆก็มีท้องเสีย คลื่นไส้ ชัก หากกินใบของเทียนหยดจะขาดออกซิเจน เพราะมีสาร HCN ทำให้เกิดอาการตัวเขียว การที่อินน์พูดถึงมันหมายความว่าอะไรกัน มีใครตายเพราะใบและผลเทียนหยดด้วยหรือไง ภูวรินทร์เก็บหนังสือเล่มนี้มาอ่านต่อ ชายหนุ่มชักอยากจะรู้ประวัติของตระกูลนี้มากยิ่งขึ้น เขาไม่คิดว่าคนบ้านนี้จะเขียนหนังสือเก็บไว้ ชายหนุ่มออกจากห้องมาก็ต้องสะดุ้งเพราะอินทนิลยืนอยู่นอกห้องแบบไร้ซุ้มเสียง

“โครงกระดูกเป็นของท่านนะ”อินทนิลเอ่ย ชายหนุ่มล็อกประตูห้องหนังสือแล้วมองเด็กหนุ่มที่ยืนมองอยู่ เขาถอนหายใจเบาๆ

“เธออยากให้ฉันไปเจอโครงกระดูกของคุณแก้ว เพราะอะไรกันล่ะ”ชายหนุ่มหันมาเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มที่ยืนห่างไปไม่กี่ก้าว ใบหน้าสงบนิ่ง ความหวาดกลัวที่เคยเห็นในเรือนเพาะชำหายไปแล้ว

“คุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่คุณแก้วไม่ได้จากไปอย่างสงบ”อินทนิลพูดต่อ น้ำเสียงเคร่งเครียด เขาจ้องมองใบหน้าขาวสะอาดนั้นอยู่ครู่เดียว ก่อนจะเดินถือหนังสือไปตามบันไดบ้าน

“ฉันไม่รู้จะเชื่ออะไรแล้ว คุณแก้วตายเพราะโดนขังที่ไหนกันแน่ แล้วในเรือนปั้นหยาหลังนั้นล่ะ”เขายังจำความฝันที่เห็นคุณแก้วโดนล่ามโซ่ไว้ในนั้นได้ ตอนนี้เขาไม่มั่นใจนักว่าความฝันเป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นจริงหรือเปล่า แต่ตอนนี้พิสูจน์ไปแล้วหนึ่งเรื่องคือ โครงกระดูกของคุณแก้ว

“ก็เป็นเรือนของท่านตอนเด็กๆน่ะสิ ส่วนเรือนเพาะชำท่านชอบไปอยู่บ่อยๆ ท่านชอบปลูกดอกไม้”อินทนิลเอ่ย เดินลงบันไดตามหลังเขามาเช่นกัน ชายหนุ่มเดินผ่านห้องโถงใหญ่แล้วเดินไปนั่งที่โซฟาติดกับหน้าต่างทรงสูง เปิดอ้ารับแสงแดด

“งั้นเหรอ ชอบดอกไม้มีพิษด้วยหรือเปล่า”ภูวรินทร์เอ่ยขึ้น อินทนิลดูไม่แปลกใจ เจ้าตัวมายืนอยู่ตรงหน้าเขา คิ้วขมวดแน่น สายตาจดจ้องเขาอย่างไม่พอใจนัก

“มันเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งไม่ใช่หรือ แต่ความสวยงามมักบดบังความชั่วร้ายของมัน อินน์ว่ามันก็เหมือนมนุษย์นะ ภายนอกดูดี แต่ในใจกลับเน่าหนอนไม่ต่างอะไรกับดอกไม้พิษเลย”อินทนิลพูดเสียงราบเรียบ เขามองอีกฝ่ายอย่างจับสังเกต คำพูดคำจาของเด็กหนุ่มดูจะลึกซึ้งกว่าเด็กทั่วไป แววตาสีนิลไม่กระพริบไหว จับจ้องเขาไม่หลบเลี่ยง

“เพราะมนุษย์มันคาดเดายากไม่ใช่เหรอ แต่ละคนใช่ว่าจะเหมือนกันไปหมด มีทั้งดีและไม่ดี”เขาพูดอย่างไม่ใส่ใจนัก ไม่ได้เจาะจงว่าพูดถึงใคร เด็กหนุ่มตรงหน้ายิ่งมีสีหน้าบึ้งตึงท่าทางเหมือนโกรธเคือง ชายหนุ่มไม่เข้าใจอีกฝ่ายสักเท่าไหร่กับอากัปกิริยาเหล่านี้

“...แต่ก็ไม่อาจลบความจริงที่ว่าท่านอาเป็นคนไม่ดี”

“เกี่ยวกันด้วยหรือ”เขาถาม ไม่คิดว่าบทสนทนาจะเลยเถิดมาถึงเรื่องที่ผ่านมาเนิ่นนาน พูดไปก็เท่านั้น ต่อให้เขาจะใช่ท่านอากลับชาติมาเกิดหรือไม่ มันก็ไม่ทำให้เขาจดจำเรื่องในอดีตขึ้นมาได้

“เกี่ยวสิ คิดว่าดอกไม้บ้านนี้ปลูกขึ้นมาอย่างไร้เหตุผลเหรอครับ ดอกแก้วเป็นแทนของท่าน...”อินทนิลพูด ภูวรินทร์มองเด็กหนุ่มนิ่งๆ รู้สึกว่าวันนี้อินทนิลจะโกรธเกรี้ยวกว่าทุกที เขามองอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ ทุกการกระทำของเจ้าตัวล้วนมีความหมายงั้นสิ ถ้าหากว่าดอกไม้ในบ้านนี้สื่อถึงความในใจของผู้ที่ปลูกมันงั้นหรือ

“แล้วเทียนหยดล่ะ...”

“หมายถึงผู้หญิงที่มาทีหลัง สวยแต่เป็นเสนียด”อินทนิลกล่าวอย่างมาดร้าย “นี่...”เขาตกใจที่ได้ยินคำนี้ออกมาจากปากอินทนิล เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายเปลี่ยนไปจริงๆ “เธอโกรธอะไรหรือเปล่า”

“คุณบอกว่าท่านเป็นสิ่งอัปมงคลไม่ใช่หรือ ถ้าเทียบกันแล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นเสนียด เป็นภัยต่อท่านจริงๆ ผู้ชายโง่งมมัวลุ่มหลงรูปโฉม”ฟังไปฟังมากลายเป็นอินทนิลออกปากปกป้องคุณแก้วเหลือเกิน บางทีเขาควรไปนิมนต์พระมาทำบุญให้บ้านหลังนี้บ้างก็ดีเหมือนกัน เผื่อว่าคุณแก้วจะได้เลิกจองเวรจองกรรมต่อเขา

“เอาเถอะ...เรื่องในอดีตฉันไม่รู้ด้วยหรอก ว่าแต่เธอไปเอาอัลบั้มรูปของบ้านนี้มาจากไหน พอจะมีหนังสือเขียนเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือเปล่า”เขาลองถาม อินทนิลเดินมานั่งข้างๆเขา ก่อนจะส่ายศีรษะ “ไม่มีหรอกครับ... จะมีก็แค่อัลบั้มรูปเท่านั้น...อ้อ มีจดหมายของท่านอาส่งหาท่านตอนไปบางกอกด้วย แต่มันหายไปแล้ว ป้าษอรยังหาไม่เจอเลย”พอเขาเลิกพูดถึงเรื่องดอกไม้ไป อินทนิลดูเหมือนจะอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง

“จริงเหรอ หายไปได้ยังไง”เขาถามอย่างสนใจ

“คงหายไปตอนทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่ก่อนหน้าที่คุณจะมาล่ะมั้ง”

“เธอไม่กลัวเหรอไง”ชายหนุ่มเอ่ยถาม อินทนิลมองเขาด้วยแววตาของคนไม่เข้าใจนัก เด็กหนุ่มส่ายหน้า

“กลัวอะไร”

“ก็คุณแก้วไง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในบ้านหลังนี้น่ะ”ภูวรินทร์เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์นัก เด็กหนุ่มมองเขาด้วยแววตาเป็นกังวล คิ้วดกดำขมวดเข้าหากัน เจ้าตัวดูไม่แน่ใจนัก แต่ก็ยังยิ้มได้

“...ต่อให้กลัว อินน์ก็เลือกไม่ได้หรอก...ไม่รู้ว่าท่านจะทำอะไรบ้าง”

“งั้นเธอก็จำเรื่องเมื่อคืนไม่ได้งั้นสิ”ทั้งคำพูดและการกระทำ

“จำไม่ได้ แต่ก็ยังสามารถจับอารมณ์ความรู้สึกได้อยู่...เหมือนว่าท่านจะโกรธอินน์”อินทนิลพูดเสียงแผ่ว ก่อนจะหลบสายตาเขาไปมองหนังสือพืชและพิษบนโต๊ะแทน

“ทำไมล่ะ นึกว่าจะโกรธฉันซะอีก”ภูวรินทร์เอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ คุณแก้วโกรธเขาน่าจะเข้าท่ากว่าไปไม่ใช่หรือไง

“ท่านไม่โกรธคุณหรอก ตราบใดที่คุณจะไม่ไปไหน”เด็กหนุ่มหันมองเขาด้วยแววตาคาดหวัง เขาส่ายศีรษะระบายลมหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย

“...พูดถึงเรื่องนี้แล้วก็น่าโมโหนะ”

“คุณโชติอาจมีปัญหา”อินทนิลพูดเสียงแข็งกร้าวและห้วน ตัดอารมณ์ของชายหนุ่มไปทันที

“เดี๋ยว เธอรู้จักเพื่อนฉันได้ยังไง”ภูวรินทร์ตกใจเมื่ออินทนิลเอ่ยเช่นนี้ บางทีเพราะผีคุณแก้วงั้นเหรอ เขาไม่คิดว่าวิญญาณจะสามารถทำอะไรแบบนั้นได้ เด็กหนุ่มสบตากับเขา

“...คุณฝันร้ายเพราะคำแช่ง”อินทนิลพูดต่อราวกับไม่ได้ฟังคำถามของเขา ชายหนุ่มอดกลั้นความโกรธไว้ในใจ

“คำแช่งของใคร”

“จะว่าเป็นของคุณแก้วก็ไม่ถูก เพราะคุณผิดคำสาบาน คำแช่งเลยเป็นผล ใครจะไปรู้ว่าคำแช่งจะสำฤทธิ์ผล ท่านอาแม้จะมีทายาทสืบสกุลแต่ไม่ปกติสักคน ไม่ได้หมายถึงเป็นบ้า แบบว่ามีลูกยาก ครอบครัวแตก กำพร้าพ่อแม่ ที่จริงผู้หญิงคนนั้นต่างหากที่เป็นพิษร้ายของคนบ้านนี้”อีกฝ่ายเอ่ยอย่างเย็นชา ดูเหมือนว่าจะเอ่ยถึงมณีด้วยหรือเปล่า เขาไม่เชื่อนักและคงแสดงสีหน้ามากเกินไป อินทนิลได้แต่ยิ้ม

“คุณจะไม่เชื่อก็ไม่แปลก”

“แล้วคุณแก้วล่ะ ยอมได้เหรอตอนที่หมื่นนรินทร์พาผู้หญิงกลับมาที่บ้าน”เขาถาม อินทนิลเงียบ ใบหน้าไม่เหลือรอยยิ้ม เจ้าตัวเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างก่อนจะพึมพำเบาๆ

“...ยอมไม่ยอม เธอก็เข้ามาอยู่ในบ้านแล้วนี่ ท่านอาเชิดหน้าชูตาเธอได้ ประจวบเหมาะกับที่เทียนหยดพวกนั้น...ออกผลซะเต็มต้น”เด็กหนุ่มหันหน้ามามองเขา

ชายหนุ่มนิ่งงัน เขาไม่อยากคิดว่าคุณแก้วจะใจร้ายถึงขนาดฆ่าลูกของหญิงสาวคนนั้น แต่มันก็สอดคล้องหากว่าท่านอานรินทร์จะโกรธแค้นถึงกับต้องกักขังคุณแก้วไว้ แบบนี้ใครกันแน่ที่ผิดมากกว่ากัน

“ลองเล่าให้ฉันฟังหน่อยสิ ว่าคุณแก้วเป็นคนยังไง...”เขาเอ่ย อินทนิลยังคงมองเขาอยู่

“ก็ไม่ใช่คนเลวร้ายหรอกครับ แต่เพราะคำเล่าลือไม่ดีเกี่ยวกับท่าน ทำให้ไม่ว่าอินน์หรือคนในบ้านถึงได้หนีหายไปกันหมด ที่มารับใช้ต่อก็คงเพราะเกรงกลัวท่าน”

“ดูจากภายนอกแล้วไม่น่าจะเป็นคนใจร้ายเลยนะ ไม่ต่างอะไรจากดอกไม้พิษเหมือนกัน”เขาพูด ถ้าเป็นแบบนั้นจริง หมื่นนรินทร์ไม่น่าสงสารกว่าหรือ ข้างกายก็มีหญิงที่นำภัยมาสู่ตน ไหนจะคนรักหรืออดีตคนรักอย่างคุณแก้วก็ร้ายกาจไม่เบา ความจริงจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ สุดท้ายคนที่ได้รับผลกระทบคงจะเป็นทายาทของคนสกุลนี้ซะมากกว่า รวมถึงตนเองด้วย 
เรื่องโครงกระดูกในเรือนกระจกตอนนี้ลุงชมหยุดการซ่อมแซมไปชั่วคราว ป้าษอรแจ้งไปยังตำรวจในสถานีเล็กๆใกล้กับหมู่บ้านในตลาด พวกเขาช่วยกันขุดและเก็บโครงกระดูกของคุณแก้วไปตรวจ ไม่แน่ใจว่าต้องเอาไปตรวจ DNA ในเมืองหรือเปล่า เพราะสถานีอนามัยเล็กๆของหมู่บ้านไม่ได้มีเครื่องมือทันสมัยพร้อมที่จะตรวจดีเอ็นเอในกระดูกได้ อีกปัญหาที่น่าเป็นห่วงกว่าคือ ไม่รู้ว่าทางโรงพยาบาลจะมีข้อมูลดีเอ็นเอของคุณแก้วเก็บไว้เทียบด้วยหรือเปล่า เขาไม่ได้สนใจมากนักเพราะในใจก็ปักธงลงไปแล้วว่าคือคุณแก้ว ตำรวจมาสอบปากคำเขาตามหน้าที่ แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับการสอบถามเจ้าของบ้านคนใหม่เรื่องโครงกระดูกที่มีอายุนานกว่าเจ็ดสิบกว่าปี

กว่าบ้านจะคืนกลับสู่ความสงบก็กินเวลาไปนานจนฟ้าเริ่มไร้แสง ตำรวจกลับออกจากบ้านไปแล้ว เหมือนป้าษอรและลุงชมจะโล่งใจเมื่อคนแปลกหน้าออกไปพ้นบ้านได้ ภูวรินทร์เข้าไปนั่งที่โต๊ะอาหาร เพื่อทานมื้อเย็น ระหว่างนั้นจึงมีโอกาสคุยกับป้าษอรเรื่องของอินทนิล เพราะเจ้าตัวกลับเข้าไปอยู่ในห้องพักตามเดิม ท่าทางเหงาหงอยหลังจากที่คุยกับเขาไปเมื่อช่วงบ่าย พอตำรวจเอาโครงกระดูกกลับไป อินทนิลก็เดินหายไปในห้องพัก

“ป้าครับ ผมขอถามเป็นครั้งสุดท้ายว่าอินน์ป่วยเป็นอะไรกันแน่”เขาเอ่ยถามน้ำเสียงตึงเครียด ป้าษอรที่กำลังยกถาดกับข้าวมาให้เขาถึงกับสะดุดนิ่งไปบ้าง เธอเพียงแค่วางสำรับอาหาร ตักข้าวใส่จานให้เขาไปเรื่อยๆ

“ผมต้องมาเจอเรื่องร้ายๆ ไม่ว่าจะจากคุณแก้วหรือจากอินทนิลก็ตาม ผมควรจะรู้เรื่องอะไรมากกว่านี้หรือเปล่า ป้าทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นในบ้านหลังนี้ ใช้ชีวิตปกติ ทั้งๆที่อินน์ดูผิดแปลก บ้านหลังนี้ก็มีวิญญาณเจ้าของเก่า และเจ้าของคนใหม่ที่ฝันประหลาดๆ”ภูวรินทร์พูดจาเหน็บแหนมไปด้วย ระหว่างที่หยิบช้อนขึ้นมาตักข้าว ในใจขุ่นมัว เขาไม่พอใจป้าษอร ส่วนลุงชมนอกจากคอยขับรถและดูแลสวนก็ไม่ได้มาให้เขาเห็นหน้านัก ป้าษอรทำท่าอึกอักเหมือนตกใจที่ได้ยินเขาพูดเช่นนี้

“...คุณภูคะ ป้าไม่ได้ปิดบังอะไรทั้งนั้น ป้าเล่าในสิ่งที่ป้าเคยได้ยินมาให้คุณฟังไปหมดแล้ว...”

“เรื่องอินน์ล่ะ...ป้ารู้หรือเปล่าว่าอินน์สามามารถเชื่อมต่อกับคุณแก้วได้”ชายหนุ่มพูดต่อ ป้าษอรมองเขาอึ้งๆสีหน้าดูอดกลั้นความรู้สึก เธอเม้มปากแน่น

“อินน์ทำตัวประหลาดมาแต่ไหนแต่ไร... ตอนแรกก็คิดว่าเพราะเป็นเด็กพัฒนาการช้า อาจจะดูไม่ค่อยมีสมาธิ พูดจาเหมือนผู้ใหญ่ในบางที ...พระท่านเคยพูดถึงอินน์ว่าเป็นเด็กชะตาขาดมานานแล้ว”ป้าษอรเล่าเสียงสั่นเครือเล็กน้อย เขาแค่นั่งฟังเงียบๆ

“ที่จริงป้าก็ไม่เชื่อเรื่องคำแช่งของตระกูลนี้หรอกค่ะ...แต่พอมาเจอกับอินน์เข้าเลยรู้ว่านั่นเป็นผลจากคำสาปแช่งจริงๆ”

“เกี่ยวอะไรกับคำแช่งเหรอครับ”

“...ป้าไม่ได้บอกคุณตั้งแต่แรก ที่จริง อินน์ไม่ใช่หลานของป้าหรอกค่ะ แกเป็นลูกของคุณธิชาเจ้าของเรือนปั้นเหยาข้างๆนั่น แต่เธอไม่ต้องการเลี้ยงอินน์ เพราะหวาดกลัวเรื่องคำแช่งของต้นตระกูล เธอเลยทิ้งบ้านและลูกไว้ให้ป้าเลี้ยงแทน”ป้าษอรพูดแล้วส่านหน้า ชายหนุ่มถึงกับร้องอ้อในใจ การที่อินทนิลสามารถเป็นสื่อให้คุณแก้วเพราะสืบเชื้อสายมาจากคนสกุลภิรมย์สุข ไม่คิดว่าเชื้อจะแรงเพียงนี้

“แล้วอินทนิลรู้ไหมครับ”

“ป้าคิดว่าแกน่าจะรู้...เรื่องคุณแก้ว ป้าเองก็กลัวนะคะ ยิ่งโตมาแกก็ยิ่งเหมือนคุณแก้วมากๆ แต่ป้าก็ไม่คิดว่าจะเป็นท่านมาเกิดใหม่แน่ๆ...”เธอเหลือบมองเขาไปด้วย นั่นสิ แค่อินทนิลบังเอิญหน้าตาคล้ายกับคุณแก้ว

“ว่าแต่ป้าเคยเห็นจดหมายของท่านอาบ้างไหมครับ อินน์บอกว่าท่านส่งมาหาคุณแก้วด้วย”เขาถาม เพราะอยากรู้เรื่องราวระหว่างหมื่นนรินทร์และคุณแก้วในสมัยนั้น ป้าษอรส่ายศีรษะ

“ป้าก็ไม่เคยเห็นนะคะ ตอนที่เก็บบ้านคราวนั้น ป้าก็เจอแต่อัลบั้มรูปของตระกูล แต่จดหมายไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้ว ที่จริงป้าก็ไม่เคยเห็นตัวจดหมายมาก่อน ไม่รู้ว่าอินน์รู้ได้ยังไง มันอาจจะหายไปนานแล้วก็ได้นะคะ”เธอบอก ชายหนุ่มพยักหน้าเงียบๆ

“แล้ว...อินน์เคยประสบอุบัติเหตุหรือป่วยถึงขั้นอันตรายถึงชีวิตบ้างไหมครับ”ภูวรินทร์เอ่ยถามช้าๆ ทำเหมือนไม่ได้สนใจประเด็นนี้มากนัก ป้าษอรมองเขาอย่างสงสัย เธอยังคงไม่เปิดปาก แต่สำหรับเขา ศพไม่มีทางฟื้นคืนมาได้หรอก อินทนิลยังมีชีวิตอยู่ไม่ใช่เหรอ ยังคงหายใจ

“...ถ้าไม่สะดวกจะเล่าก็ไม่เป็นอะไรหรอกครับ”เขาพูดต่อ เพราะไม่อยากสร้างความลำบากใจระหว่างกัน ป้าษอรเธอยิ้มให้เขาบางๆ

“อินน์เคยป่วยไปพักใหญ่ๆค่ะ ตอนสักสามขวบมั้งค่ะ แกเผลอไปกินผลเทียนหยดเข้า เล่นเอานอนซมไปหลายอาทิตย์ ป้ากังวลแทบตาย บอกให้ตาชมตัดทิ้งไปให้หมดแต่ก็ไม่ตัดสักที...เลยอยู่ออกดอกซะสวยจนป่านนี้...”ป้าษอรบอก สีหน้าดูไม่สู้ดี แววตาหม่นลงเมื่อเล่าถึงเรื่องเก่าๆ

ภูวรินทร์เงียบไปพักใหญ่และไม่ได้ถามอะไรอีก เขาแค่ทานข้าวเงียบๆอย่างไร้ความเอร็ดอร่อย ในอดีตนั้นไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าระหว่างท่านอากับคุณแก้วใครกันแน่ที่ร้ายกว่ากัน แต่ที่แน่ๆ คำสาปของพวกเขาเหมือนจะส่งผลร้ายแก่คนรุ่นต่อมาจริงๆด้วย



+++++++++


มาต่อกันค่ะ ทุกอย่างมีที่มาที่ไป
ขอบคุณมากค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-03-2018 10:45:42 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ หมอตัวเปียก

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1874
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
โอย ยิ่งอ่านยิ่งงง ยิ่งสับสน ไม่เข้าใจว่าใครดีใครร้าย

แต่ที่แน่ ๆ คืออินน์อาจจะตายไปแล้ว แต่มีคุณแก้วมาเชื่อมวิญญานเลยยังมีชีวิตอยู่

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ เป็ดอนุบาล

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
    :pig4: :pig4: :pig4:     สนุกค่ะอ่านไปเหมือนตัวเองเป็นโคนันเลยค่ะ   :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ net. net_n2537

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 305
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ใครร้ายกว่าใคร ใครกันที่น่าสงสาร รอๆๆๆ

ออฟไลน์ สาว801

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
ยังคุมโทนหลอนได้ดีและเราก็ชอบมากค่ะ5555 คุณแก้วสรุปนี่ยังไงๆ เราจะรอตามอ่านต่อไป :katai4:

ออฟไลน์ @Sister

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สนุกกก แอบอยากรู้เรื่องของคุณแก้ว  :ling1:

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
อ่านแล้วก็งงแต่ก็พยายามทำความเข้าใจซึ่งไม่รู้ว่าเข้าใจถูกไหมนี่สิ แต่ที่อ่านๆมาสงสารอินนะเรายังอยากให้อินเป็นนายเอกก็ไม่รู้ว่าจะเป็นไปได้ไหม

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
รวดเดียวจบ รีบมาต่อนัา

ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
ึตอนนี้เบรคเรื่องผีไปนิดนึง

ออฟไลน์ Keiji

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
รอไรท์อยู่ที่ท่าเล้าเป็ดทุกวันเลยจ้าาาาาา

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
ตอนที่ 6 ความทรงจำครั้งอดีต


ภายในบ้านหลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านแยกตัวออกจากความวุ่นวายของชาวเมืองที่สอดรู้สอดเห็น บ้านใหญ่ที่ผสมผสานความเป็นฝรั่งและไทยไว้อย่างลงตัว ว่ากันว่าต้นตระกูลของเจ้าหมื่นภิรมย์สุข เป็นคหบดีที่อพยพมาจากทางล้านนา เดิมทีเจ้าหมื่นภิรมย์สุขเคยเป็นถึงข้าหลวงกรมมหาดเล็กในพระราชวัง หลังจากออกจากราชการเพราะโรคประจำตัว ด้วยลูกหลานไม่ได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็ก เริ่มจาก แก้ว ลูกชายคนเล็ก ไกร ลูกชายรอง กิ่ง ลูกสาวคนโต ส่วนนรินทร์ผู้มีศักดิ์น้องชายของเจ้าหมื่นภิรมย์สุข หรือจะเรียกว่า หมื่นนรินทร์ หลังจากที่เข้ารับราชการในมณฑลพิษณุโลก จึงได้พักอาศัยอยู่ที่บ้านของเจ้าหมื่นผู้เป็นพี่ชาย

หลังเปลี่ยนการปกครอง ในคืนหนึ่ง วันที่ฝนห่าใหญ่กระหน่ำตกลงมาตลอดทั้งคืน ผสานกับเสียงกัปนาทที่ผ่าลงมาคล้ายกับกำลังโกรธเคืองสรรพสิ่งบนโลก

ปัง ปัง ปัง

เสียงเคาะประตูดังติดต่อกันหลายครั้งจนคนบนเตียงใหญ่สะดุ้งตื่น

‘ท่านหมื่นครับ...เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ’เสียงด้านนอกร้องบอกอย่างเร่งร้อน ทำให้เจ้าของบ้านลุกออกจากเตียงนอนอย่างกระฉับกระเฉง ในใจพลันกลัดกลุ้มเมื่อถูกปลุกในยามวิกาลเช่นนี้ ราวกับมีลางสังหรณ์ร้าย

‘มีเรื่องอะไร ไอ้หวั่น’หมื่นนรินทร์เปิดประตูห้องออกอย่างเร่งร้อน เห็นร่างเปียกปอนของคนรับใช้ประจำตัวยืนสั่นงันงกด้วยสีหน้าซีดเผือด

‘ค...คุณแก้วครับ ท่านเสียแล้ว’คนตรงหน้าละล่ำละลักเอ่ยบอก พลันได้ยินหมื่นนรินทร์ถึงกับอึ้งไป ภายในใจเหมือนเต้นช้าลง

‘ว่าไงนะ...’ฉับพลันหมื่นนรินทร์อื้ออึ้งไร้คำพูด คิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ บอกไม่ถูกว่ารู้สึกเช่นไร

‘คุณแก้วเสียแล้วครับ อยู่ในเรือนเพาะชำ’

‘เรือนเพาะชำเหรอ ทำไมถึงไปอยู่ที่นั่นได้’ตนนั้นถึงกับงงงวยว่าแก้วไปทำอะไรที่เรือนเพาะในเวลานี้ เกือบจะเที่ยงคืนแล้ว ไม่ใช่เวลาที่แก้วจะออกมาวุ่นวายอยู่ด้านนอกแบบผิดวิสัย

‘สงสัยบัวจะปลดกุญแจให้ท่านกระมัง ผมไม่แน่ใจครับ’นายหวั่นบอกไปตามที่คิด หมื่นนรินทร์ทำตัวไม่ถูก เขากระสับกระส่าย ก่อนจะถามอีกครั้งอย่างเน้นหนัก หมื่นนรินทร์คว้าไหล่เปียกชื้นของนายหวั่นไว้แน่น

‘ตายจริงๆเหรอ ไม่ใช่แค่แกล้งใช่ไหม’

‘จริงครับ ท่านไม่หายใจแล้ว’นายหวั่นยืนยันเช่นเดิม

หมื่นนรินทร์รีบเดินลงไปทางหลังบ้าน มีนายหวั่นเดินตามาทีหลังไม่ทันที่จะกางร่มให้ผู้เป็นนาย เพราะเจ้าตัวเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปในเรือนเพาะ ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งได้ยินเสียงร้องห่มร้องไห้ของนางบัว หญิงรับใช้คนสนิทของแก้ว หมื่นนรินทร์เดินเข้าไปด้านใน

‘ท่านหมื่น...คุณแก้วเสียแล้วค่ะ’หล่อนหันหน้ามาบอกผู้เป็นนาย ใบหน้าเปื้อนเปรอะไปด้วยคราบน้ำตา มือข้างหนึ่งกุมฝ่ามือซีดขาวไร้ลมหายใจไว้อย่างโศกเศร้า ร่างนั้นคล้ายกับคนหลับใหล นอนทอดกายบนพื้นดิน กับผ้าผ่อนสีขาวตัวเดิมที่เคยเห็นจนชินตา

‘เกิดอะไรขึ้น’ท่านหมื่นเอ่ยถามช้าๆ ไม่แน่ใจนักว่าตนกำลังรู้สึกอย่างไรกันแน่ แต่ภายในใจกลับไม่เหมือนดังเดิม จากที่คิดว่าหากแก้วหายไปจากชีวิตตนได้นั้นคงเป็นเรื่องน่ายินดีแท้ๆ แต่ทว่าเขากลับนึกเสียใจ เสียดายอยู่มาก เพราะแก้วเป็นคนที่เขาเคยอุ้มชูเลี้ยงดูมาแต่เล็กแต่น้อย 

‘อิฉันไม่แน่ใจ ปกติคุณแก้วจะขอป้ามาที่เรือนเพาะอยู่เป็นประจำ ตามที่เคยขออนุญาตท่านหมื่นไว้เมื่อปีที่แล้ว ก็ไม่เห็นว่าจะมีเรื่องใดผิดปกติ มาวันนี้...ไม่นึกว่า...’แม่บัวไม่พูดมากความได้แต่กล้ำกลืนหยาดน้ำตาอยู่เงียบๆ

‘ออกไปก่อน’ตนบอก

‘ได้ค่ะ’หล่อนรับคำเบาๆ เหลือบมองใบหน้าตนอยู่หลายครั้งอย่างไม่วางใจนักก่อนจะเดินออกไปจากเรือนเพาะชำหลังนี้ไป หมื่นนรินทร์มองร่างไร้ลมหายใจนั้นอยู่นาน ไม่คิดว่าเรื่องราวของตนกับหลานชายจะดำเนินมาถึงจุดนี้ ย้อนไปถึงวันวานที่แก้วยังเป็นเด็กหนุ่มจิตใจดี ตนคิดว่าหากขาดแก้วไปยังไงซะตนก็ต้องอยู่ได้ เขาคิดว่าครอบครัวของตนเองดีพร้อม เขาเชื่อเช่นนั้น แต่รู้อยู่เต็มอกว่ามันเพียงภาพลวงตา เอาไว้โอ้อวดญาติสนิทมิตรสหายที่คอยจ้องจับผิดอยู่ร่ำไป 

‘เป็นเพราะฉันที่ผิดงั้นเหรอ...’ตนพึมพำ ก้มตัวลงไปสัมผัสผิวหน้าของแก้วที่เริ่มเย็นขึ้นมาบ้าง เขาไม่อยากเชื่อนักว่าแก้วเลือกจะจากไปเช่นนี้จริงๆ ไม่มีแม้แต่คำลาด้วยซ้ำ เป็นไปได้งั้นหรือ 

‘หวั่น’หมื่นนรินทร์เรียกคนสนิทเข้ามาหา เสียงฝีเท้าเร่งรีบขยับเข้ามาใกล้ ‘ครับ ท่านหมื่น’

‘พอจะรู้สาเหตุการตายไหม...’

“...แม่บัวบอกว่าคุณแก้วตาย เพราะกินพิษเข้าไป สืบจากคุณแก้วศึกษาเรื่องดอกไม้มีพิษมานานครับ ผมคิดว่าคุณแก้วคงกินมันไปทุกวัน ร่างกายเลยรับไม่ไหว ปกติท่านก็สุขภาพไม่สู้ดีมานานแล้ว’หวั่นบอกเสียงเคร่งขรึม ท่านหมื่นนิ่งเงียบ กำลังไตร่ตรองถึงมูลเหตุดังกล่าว

‘ฉันไม่คิดว่าจะมีฤทธิ์พอที่จะฆ่าคนให้ตายได้...แล้วแน่ใจเหรอว่าไม่ได้ตายเพราะสาเหตุอื่น’ตนเอ่ยถามด้วยความข้องใจ

‘...ถ้าเอาให้แน่ใจคงต้องตามหมอฝรั่งมาตรวจ คงต้องใช้เงินกับเวลาอีกนานเลยครับ เกรงว่าร่างจะเน่าไปซะก่อน’หวั่นตอบ หมื่นนรินทร์ถอนหายใจ ก่อนจะหันไปมองร่างของแก้ว

‘แล้วมณีล่ะ’เอ่ยถามถึงภรรยาที่หนีหน้าไปอยู่ที่บางกอก

‘ยังอยู่บ้านคุณพระครับ....’

‘...ไม่คิดว่าแก้วจะฆ่าตัวตายไปแบบนี้’หมื่นนรินทร์พึมพำกับตนเอง มองใบหน้าสงบนิ่งอยู่นาน นึกถึงคำของแก้วที่เคยบอกกับตนไว้ ‘สิ่งเดียว ที่สามารถพรากฉันไปจากท่านหมื่นได้คือความตาย’ เป็นคำที่เอ่ยอยากโกรธเคืองเขา ในตอนยามที่รู้ว่าตนกำลังจะแต่งกับมณี ลูกสาวของคุณพระที่บางกอก ตนบอกให้แก้วไปอยู่กับคุณกิ่งที่เมืองฝรั่ง แต่ไม่ยอมท่าเดียว ซ้ำยังคลุ้มคลั่งทำลายข้าวของเสียป่นปี้ เวลานี้บ้านเมืองกำลังลุกเป็นไฟ พวกผู้ดีชั้นสูงต่างก็เร่งหนีไปเมืองนอกเมืองนากันหมด คิดว่าแก้วอยากรอวันเห็นเขาพินาศมากกว่า

ชั่วขณะหนึ่งเขาเกิดความรู้สึกเศร้าโศกขึ้นมา ทั้งที่คิดว่าหมดรักแก้วไปนานแล้ว เขาเชื่อว่าตนเองไม่ได้ปักใจรักในตัวหลานคนนี้มากนัก มันเป็นเรื่องเลวร้ายของเขา หากเองนี้แพร่งพรายให้คนอื่นรู้ มีหวังเขาคงถูกตราหน้าว่าวิปริต ตัวหมื่นนรินทร์นั้นคงโดนจับ ชีวิตย่อยยับภายในพริบตาเดียว

‘ไปตามหมอฝรั่งมา แต่อย่าไปแพร่งพรายให้ใครรู้’ท่านหมื่นเอ่ยน้ำเสียงต่ำ ในใจยังคงไม่ปักใจเชื่อกับการตายของแก้วนัก




ลมหนาวพัดผ่านหน้าต่างบานเดิม เช่นเคยภูวรินทร์ไม่ได้ปิดมัน เมื่อครู่ก่อนเขาฝัน...ไม่แน่ใจนักว่าเป็นความฝันหรือว่าความจริงที่เคยเกิดขึ้น ชายหนุ่มผุดลุกจากเตียง ใจเต้นระส่ำอย่างไม่สบายใจ เขาพะอืดพะอมอยากอาเจียนจนต้องลุกไปเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าให้สดชื่น เขาเหม่ออยู่นานยังคงจำภาพของคุณแก้วในภาพฝันได้ชัดเจน ดูสงบนิ่งคล้ายกับหลับใหลไปเท่านั้น

ชายหนุ่มเดินออกมาจากห้องน้ำ อยู่ๆสภาพในห้องนอนกลับแปรเปลี่ยน เตียงนอนสี่เสาเปลี่ยนสภาพไปจากเดิม ทั้งผ้าคลุมเสา ผ้าปูที่นอน ลวดลายบนหมอน ทุกอย่างดูเก่า ของใช้ภายในห้องเปลี่ยนไป เขามึนงงอยู่กับที่ก้มมองพรมหน้าห้องน้ำ ก่อนจะเหลือบไปเห็นโต๊ะกระจกติดกับตู้เสื้อผ้า เครื่องใช้บนโต๊ะมีของใช้ของผู้หญิงปนอยู่ หวีแบบเก่า ที่ด้านนอกหน้าต่างดำมืดของยามวิกาลมีสายฝนตกลงมาเบาๆ เขาแปลกใจ เหมือนอยู่ผิดที่ผิดทาง

กว่าจะรู้ตัวว่ามีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอกห้อง ตามมาด้วยเสียงเคาะประตูติดกันหลายครั้งดังขึ้น 

“ท่านหมื่นครับ...เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ”เสียงชายวัยกลางคนคลับคล้ายเหมือนเคยได้ยินมาก่อน มันคุ้นหูเขาเหลือเกิน ภูวรินทร์ตกใจ หันไปมองรอบๆห้อง รู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูก เอื้อมมือไปเปิดประตู เผยให้เห็นชายร่างสูงใหญ่ อายุอานามประมาณห้าสิบปีได้ สวมเสื้อสีน้ำตาลกับกางเกงสีดำคล้ายชุดนอน

“คุณแก้วเสียแล้วครับ”

“อะไรนะ”ภูวรินทร์เอ่ยอย่างงงงวย เหตุการณ์นี้เหมือนในฝันที่เขาเห็นเลย หรือว่าเขากำลังฝันอยู่งั้นเหรอ ชายหนุ่มมองหน้าคนรับใช้ที่ยืนเนื้อตัวเปียกปอนเหมือนในความฝันไม่ผิดแผกเลย เขาอ้ำอึ้งก้าวขาไม่ออก

“คุณแก้วเสียแล้วครับ อยู่ที่เรือนเพาะชำ...”คนรับใช้เอ่ยย้ำอีกครั้ง สองตามองผู้เป็นนายอย่างหวั่นเกรง ภูวรินทร์รู้สึกประดักประเดิดกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขามองหน้านายหวั่นคนเดิมอีกครั้ง ภายในใจเต้นถี่ ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องมาเผชิญกับเหตุการณ์ในฝันด้วย แต่สองขาก็ก้าวออกจากห้องไปจนได้ เขาแค่เดินไปตามทาง ไปยังประตูหลังบ้านเพื่อออกไปหาคุณแก้ว...ร่างของคุณแก้ว

เสียงฝนฟ้าที่ยังคงตกลงมาไม่หยุดหย่อนผนวกกับเสียงฟ้าร้องดังครืนใหญ่ทำให้สะดุ้งอย่างไม่ทันตั้งตัว เขาไม่รอร่มจากนายหวั่น สองขาก้าวไปยังเรือนเพาะชำ เม็ดฝนเย็นกระทบกับผิวหนัง เขาได้ยินเสียงร่ำไห้ของคนรับใช้ของคุณแก้ว ที่ชื่อบัวมาจากด้านใน เขาเดินเข้าไปหา

“ท่านหมื่น คุณแก้วจากไปแล้วค่ะ”ภูวรินทร์แค่ยืนมองหญิงร่างท้วมที่กำลังกุมมือของคุณแก้วอยู่ ร่างไร้ลมหายใจของคุณแก้วไม่ต่างจากในฝันเลยแม้แต่น้อย ทุกอย่างดำเนินไปในทิศทางเดียวกัน เขาชะงัก รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา ดูเหมือนคนในบ้านนี้จะเรียกเขาว่า ‘ท่านหมื่น’ หมายความว่าในตอนนี้เขาคือท่านอางั้นสิ... เขาเม้มปากแน่น สองขาก้าวถอยหลังโดยอัตโนมัติ บัวหันมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า เหมือนรอคอยให้เขาเปิดปากพูด

“ท่านหมื่นครับ!”เสียงของนายหวั่นร้องเรียกอย่างตื่นตระหนก เมื่อชายหนุ่มก้าวเท้าวิ่งออกจากเรือนเพาะชำหลังนี้ไป เขาไม่ทันได้บอกหน้าคนรับใช้คนนั้น  เกิดบ้าอะไรขึ้นมา ฝันครั้งนี้แปลกกว่าครั้งอื่น ทุกทีจะเป็นเรื่องของคุณแก้ว หรือไม่ก็อินทนิล แต่คราวนี้...กลับกลายเป็นเขา...เป็นท่านอาแทน เพราะอะไรกัน

ชายหนุ่มวิ่งโซเซไปตามริมรั้ว เขาหยุดอยู่บริเวณประตูเล็กๆ เป็นทางเข้าเรือนปั้นหยาหลังข้างๆ เม็ดฝนทำให้ชายหนุ่มเปียกปอน จนเริ่มหนาวกายขึ้นมา เขามองแสงไฟภายในเรือนนั้น ก่อนจะวิ่งเข้าไปด้านใน เขากลัว หากว่าในฝันนี้ตนได้กลายเป็นหมื่นนรินทร์ เขาจะต้องเจออะไรอีก ฝันนี้จบลงที่ตรงไหน

ภูวรินทร์เดินเข้าไปด้านในเรือนไม้ที่อบอุ่น เขาเปิดประตูเข้าไปช้าๆ ภายในห้องสี่เหลี่ยมสว่างจ้าไปด้วยแสงไฟ เขากำลังมองห้องว่างเปล่า มีเพียงโต๊ะเขียนหนังสือ ตู้หนังสือเล็กๆเท่านั้น ที่ทางขวาริมห้องมีทางเดินแคบๆเยื้องออกไป เขาสงสัยว่ามีใครหรืออะไรถูกล่ามโซ่ไว้หรือเปล่า ชายหนุ่มเหลียวมองไปรอบๆห้องที่เงียบสงัดมีเพียงเสียงสายฝนและจิ้งหรีดร้องระงม

เขาเดินไปหาทางเดินแคบๆที่อยู่ริมห้อง ทางเดินแคบมืดสลัวลงเพราะไม่ได้เปิดไฟ เขาเดินต่อไปอีกเล็กน้อย ก็พบว่ามีห้องนอนอยู่ด้านใน ที่ขาเตียงนั้นมีโซ่อันหนายาวหลายเมตรวางไว้ เขาหนักอึ้งในใจ คุณแก้วโดนขังไว้จริงๆด้วย ดูเหมือนว่าป้าบัวคนนั้นจะคอยดูแลคุณแก้ว ทำไมถึงยอมกันล่ะ ชายหนุ่มนึกสงสัย เขามองเครื่องใช้ในบ้านอย่างสังเกต เขาเอื้อมไปดึงลิ้นชักบนตู้ที่อยู่ติดกับเตียง ด้านในมีกล่องบรรจุซองจดหมายไว้อยู่หลายฉบับ
มีจดหมายจริงๆด้วย เขาเอื้อมไปหยิบ

ปัง!

เสียงประตูปิดดังลั่นเหมือนอัดแน่นไปด้วยแรงโกรธ เขาสะดุ้งเฮือก เหมือนใจหล่นหายไป ฉับพลันเขาหนาวเหน็บขึ้นมา เสียงกรอบแกรบจากทางด้านหลังดังขึ้นเรื่อยๆ

“เป็นความผิดของคุณ”

“อินน์”ชายหนุ่มหมุนตัวไปเผชิญหน้ากับเสียงอันคุ้นเคย น้ำเสียงของเด็กหนุ่มในโลกแห่งความจริง ชายหนุ่มมองอินทนิลที่ยืนเปียกปอนอยู่ตรงหน้าแล้วถึงกับผงะถอยหลัง ทุกครั้งที่เผชิญหน้ากับอินทนิลในความฝัน เหตุใดใบหน้าของเด็กหนุ่มต้องไร้อวัยวะด้วยล่ะ

ภูวรินทร์ลูบท่อนแขนของตนเอง อินทนิลจ้องเขา แน่ล่ะ ใบหน้าดำทะมึนนั้นกำลังจ้องเขาด้วยแววตาวาวๆเหมือนแมงมุม มันทำให้เลือดในกายเย็นเยียบ

“ทำไมล่ะ”

“ท่านตายเพราะคุณ สุดท้ายแล้วท่านก็เน่าเปื่อยอยู่ในหลุม เหมือนผีไม่มีญาติ”น้ำเสียงที่พูดออกมาเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆและแข็งกร้าว เหมือนอาฆาตเขานักหนา ชายหนุ่มส่ายหน้า ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่อินทนิลในร่างนี้ไม่เคยประสงค์ดีต่อเขา ฝันคราวก่อนเขาตายซ้ำซากกว่าจะตื่นจากฝัน ร่างของเด็กหนุ่มขยับเข้ามาเรื่อยๆ ชายหนุ่มไม่มีที่ให้ถอย

“นั่นเป็นความผิดของท่านอา ไม่ใช่ของฉัน”ชายหนุ่มบอก แต่เขาไม่มั่นใจเลยสักนิดว่าร่างกายนี้เป็นของใคร

“ไม่! ความผิดของคุณ หากคุณรับผิดชอบคำสาบานแล้วล่ะก็ อินน์ก็คงไม่มาลงเอยแบบนี้ คนสกุลนี้ต้องมารับผลกรรมแทนคุณน่ะเหรอ หนีไม่พ้นหรอก ท่านโดดเดี่ยวรอคุณกลับมายังบ้านหลังนี้นานถึงเจ็ดสิบกว่าปี ถึงคราวต้องสิ้นสุดที่คุณภูนั่นแหละ สมควรแล้ว!”อินทนิลกล่าว ใบหน้าไร้ริมฝีปาก แต่ลั่นวาจาออกมาได้ ดวงตาแวววาวทำให้เขาไม่อยากจ้องมอง เขาเบนหน้าออกไปทางอื่น ถอยหลังกลับไปไหนไม่ได้

ถ้าเป็นไปได้เขาก็ไม่อยากให้อินทนิลตายก่อนวัยอันควรหรอก เขาเองก็ไม่อยากปักใจเชื่อนัก ทันใดนั้นร่างชุ่มโชกเปียกปอนขยับมาใกล้ราวกับหายวับมาหยุดที่ตรงหน้า มือเย็นเอื้อมมาจับที่ลำคอของเขาไว้แน่นจนขนลุกซู่ไปด้วย เขาหลับตาแน่นไม่อยากมองภาพไม่น่าจดจำ ลมหายใจเย็นเป่ารด ทำให้รู้ว่าร่างนี้อยู่ใกล้แค่ไหน

“ลืมตา”

“ไม่”

“มองหน้าอินน์สิ”เสียงนั้นยังคงดังลั่นอยู่ในหู มือสองข้างบีบแน่นพร้อมเข่นฆ่าเขาให้ตายจริงๆ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเสมือนจริง นิ้วโป้งทั้งสองข้างกดลงต่ำกว่าลูกกระเดือก คาดว่าอาจเป็นหลอดลมเป็นจุดตายของมนุษย์ เหมือนว่าอีกฝ่ายจะให้เขาตายจริงๆ แรงกดเพิ่มมากขึ้นยิ่งทำให้เขาเจ็บและหายใจลำบากขึ้นทุกที เขาหายใจได้สั้นลง ชายหนุ่มยกมือจับเข้าที่ข้อมือของอินทนิลดึงออกอย่างแรง แต่ว่าไม่เป็นผลเหมือนร่างตรงหน้ามีแรงมหาศาล

“ปะ...ปล่อย...”เขาละล่ำละลักพูด ออกแรงดึงแขนของอินทนิลออก ทั้งกดเล็บลงไปในเนื้อหนังเย็นๆนั่นอย่างเต็มแรง แต่อีกฝ่ายไม่สะดุ้งสะเทือน

“คนนั้นฝนตกหนักเหมือนกัน อินน์ป่วยหนัก เหมือนน้ำในกายเหือดหาย หายใจไม่ออก แรงขยับกายยังไม่มี อวัยวะภายในเริ่มบกพร่องไปทีละนิด ร่างกายของคนที่ขาดออกซิเจนมันเป็นยังไงน่ะเหรอ มองที่อินน์สิ” เสียงนั้นกระซิบกระซาบพร้อมกับแรงบีบและกดแรงขึ้นจนเขาต้องลืมตาขึ้นมอง เป็นภาพที่ทำให้เขาลืมไม่ลง น้ำตาเอ่อคลออาจเพราะหายใจไม่ออก หรือเพราะสภาพของอินทนิล เขาบอกไม่ถูก แต่หัวใจบีบรัดแน่น เป็นความรู้สึกเสียใจใช่หรือไม่ หรือความรู้สึกผิด ชายหนุ่มพูดไม่ออก แต่ถ้าหากญาติสนิทคนรักของเขาต้องเผชิญกับสภาพนี้ล่ะก็...เขาคงทำใจไม่ได้แน่ๆ

...ความผิดของเขาหรือไง...โทษคุณแก้วไม่ดีกว่าเหรอ ‘ไม่หรอก’ เสียงในหัวกระซิบบอก ราวกับรู้ดีว่าต้นเหตุแห่งความอัปมงคลนี้เริ่มมาจากผู้ใด


ภูวรินทร์คิดว่าตนเองตายไปแล้วจริงๆ วินาทีที่แรงบีบของอินทนิลเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ เขาก็ยิ่งเจ็บที่ลำคอและเสียดแน่นที่หน้าอก เหมือนตายไปแล้วจริงๆนั่นแหละ ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าอย่างเต็มปอด เขาผงะไปอีกครั้งเมื่อเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของเด็กหนุ่ม ใบหน้าเรียวรูปหัวใจกำลังมองเขาอยู่

“คุณดูตกใจ”

“อืม... เธอมาอีกแล้วนะ”ภูวรินทร์ขยับตัวออกห่างจากอินทนิล บนเตียงเย็นเพราะแรงลมจากหน้าต่างทำให้เขาห่อตัวในผ้าห่มผืนบาง อินทนิลที่นั่งอยู่ริมเตียงมองเขาอย่างขบขัน ในมือถือพวงมาลัยที่ร้อยจากดอกไม้ในสวน เป็นสีขาวทั้งหมด เขามองอีกฝ่ายด้วยมึนงง

“อินน์มาดูคุณเพราะเป็นห่วง กลัวว่าจะฝันร้าย แต่ดูท่าจะสายไปซะแล้ว...ฝันร้ายเหรอครับ”เด็กหนุ่มหันมาถาม ก่อนจะลงจากเตียงแล้วเดินอ้อมไปปิดหน้าต่างให้เขาเงียบๆ ชายหนุ่มมองร่างนั้นอย่างไม่วางตา ชายหนุ่มลูบหน้าอย่างวิตกกังวล เขากลัวนิดหน่อยเรื่องอินทนิล ในเวลานี้เขาไม่รู้ว่าแบบไหนน่ากลัวกว่ากัน อิทนิล หรือว่าคุณแก้วกัน

“ใช่...ฝันถึงเธอด้วยนะ มันหมายถึงอะไรล่ะ”ภูวรินทร์พึมพำก่อนจะหัวเราะอย่างไร้อารมณ์ขัน เขาถอนหายใจหนักหน่วง

“สิ่งที่คุณฝัน มาจากตัวคุณเองทั้งนั้นแหละ...”อินทนิลหันมาพูดกับเขา ก่อนจะเดินมาหาพร้อมกับวางพวงมาลัยดอกไม้ไว้ที่หัวเตียง

“เอามาไว้ทำไม”เขามองอย่างหวาดระแวง อินทนิลยิ้ม “หอมออกนะ เผื่อคุณจะหลับสบายขึ้น ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกครับ”เด็กหนุ่มบอก ยังคงจัดวางพวงมาลัยไว้ที่หัวเตียงอยู่ ที่ตัวพวงมาลัยกลมนั้นทำมาจากดอกพุดเรียงตัวสวยเป็นเกลียว ส่วนปลายพู่เป็นดอกรัก ปิดท้ายด้วยดอกแก้วสามสี่ดอก

“...แล้ว‘ท่าน’ไปไหนซะล่ะ”เขาถาม เพราะแปลกใจ ปกติอินทนิลจะทำตัวแปลกๆใส่เขามากกว่านี้ หรือไม่ก็คุณแก้วจะโผล่มาเยี่ยมเยียนเขาบ้าง อินทนิลเข้ามานั่งบนเตียงฝั่งที่ว่างอยู่ อีกฝ่ายแค่ยิ้ม

“มีแค่อินน์นี่แหละ คุณไม่ชอบท่านไม่ใช่เหรอ”เด็กหนุ่มพูด

“...บอกไม่ถูก แต่ไม่สบายใจมากกว่า แล้วป้าษอรรู้ไหมว่ามาหาฉันน่ะ”เขาถามแม้จะรู้คำตอบดี อินทนิลส่ายหน้าก่อนจะจ้องมองเขาอีก

“คุณกลัวอินน์เหรอ”อินทนิลมองเขาอย่างกังวลใจ นัยน์ตาสีดำหม่นลงตามคำถามที่เอ่ยออกมา เขาเองบอกไม่ถูกนัก มันไม่ใช่ความกลัว แต่มันรู้สับสนปะปนกัน เขาไม่อาจแยกว่าในความฝันกับความเป็นจริง แบบไหนคือตัวตนของอินทนิลกันแน่

“...ก็...มันแปลกๆ ที่ได้ยินว่าเธอป่วยหนักแล้วก็...ตายไปแล้วน่ะ”ชายหนุ่มบอก เขาจับสังเกตอีกฝ่ายอยู่เงียบๆ เจ้าตัวยกมือเกาต้นคอ เส้นผมอ่อนนุ่มเรียบร้อยยาวปกบ่าแคบ

“ อินน์ไม่ได้ตายซะหน่อย ไม่อย่างนั้นจะมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง เนี่ย อินน์ก็หายใจได้ ตัวก็อุ่น”เด็กหนุ่มพูดอย่างไม่ยอมแพ้ ก่อนจะยื่นมือมาแตะที่ท่อนแขนของเขาเบาๆแบบไม่เต็มมือ เหมือนไม่กล้าจับตัวเขาตรงๆ สัมผัสนั้นอุ่น เขาไม่แปลกใจหรอกที่อินทนิลยังมีชีวิตอยู่เติบโตมาขนาดนี้ ก็เพราะคุณแก้วนั่นแหละ แบบนี้เรียกว่าการสิงสู่ได้หรือไม่ ถ้าหากไล่ผีคุณแก้วออกไป อินทนิลจะเป็นยังไงล่ะ... ชายหนุ่มมองเด็กหนุ่มที่มีชีวิตชีวา ดวงตากลมแจ่มใสจับจ้องเขาไม่เว้นเช่นกัน 

“ไม่ใช่เพราะคุณแก้วเหรอ”

“...ก็อาจจะ...แต่อินน์ก็ยังเป็นอินน์อยู่ ไม่รู้ว่ามันต่างจากท่านไหม แต่ก็รู้สึกได้ว่านี่คืออินทนิล”เด็กหนุ่มเอ่ยบอก ชายหนุ่มนิ่งเงียบ มองคนข้างๆอย่างตั้งใจ

“ฉันฝันไม่ดี ฝันถึงเรื่องเก่าๆ ฝันถึงท่านอาและคุณแก้ว แล้วก็เธอด้วย เหมือนเธอโกรธแค้นฉันนะ เพราะคำสาปของคนสกุลนี้ เลยทำให้เธอต้องตาย”เขาเล่า

“แต่ความฝันก็แค่ความฝัน อินน์ไม่ได้โกรธคุณซะหน่อย อีกอย่างน่าดีใจออกที่คุณมาที่นี่”อินทนิลพูด เขาหันไปมองอีกครั้ง เด็กหนุ่มคนนี้ก็ยังคงแปลกประหลาดสำหรับเขา

“อย่างกับว่าเธอรู้จักฉันงั้นแหละ”ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆกับคำพูดของอีกฝ่าย

“พูดแบบนั้นก็ไม่ถูก คุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่อินน์รู้สึกได้นะ รู้สึกมานานเลยแหละว่าคุณภูต้องมาที่นี่...มันเหมือนอยู่ในตัวเรา ลุงชมยังบอกว่าคำสาปแช่งนั้นฝังลึกอยู่ในเลือดของสกลุภิรมย์สุข ไม่ว่าจะลูกหลานของท่านอา หรือพี่น้องของท่านก็ตามที...บางทีจิตวิญญาณส่วนหนึ่งของคุณภูคงเป็นท่านอาจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่ยึดติดกับบ้านหลังนี้ หรือไม่ก็...คุณภูมีเลือดของสกุลนี้อยู่ก็ได้มั้งครับ”

“...ว่าไงนะ”ภูวรินทร์ถึงกับถามซ้ำ เป็นเรื่องเหลือเชื่อ ถ้าหากเขาเป็นคนในสาแหรกของบ้านนี้ เป็นไปไม่ได้ พ่อแม่ของเขาเป็นคนธรรมดาไม่ได้มีต้นตระกูลมาจากพวกขุนนางเก่า ไม่ว่าจะทางพ่อหรือทางแม่ก็ตาม แต่คำพูดของอินทนิลสะกิดใจเขามากจนรู้สึกไม่ดี

“เป็นไปไม่ได้หรอก”เขาพึมพำ ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง เขาก็เป็นญาติของอินทนิลงั้นเหรอ...ไม่มีทางหรอก มันไม่บังเอิญไปหรือไง…เป็นไปไม่ได้

“มันก็แค่ความเป็นไปได้น่ะครับ ดึกแล้ว นอนดีกว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้ คงมีเรื่องให้คุณต้องทำ”อินทนิลยิ้ม เขามองท่าทีอีกฝ่าย “จะนอนด้วยเหรอ”เขาแปลกใจ ไม่อยากคิดมากที่อินทนิลชอบมาอยู่กับเขาแบบนี้ ไม่อยากให้ใจคิดในทางที่ไม่ดี

“...คุณจะไล่อินน์หรือเปล่าล่ะ”อินทนิลถาม เขาไหวไหล่ ไม่ได้ให้คำตอบแก่อีกฝ่าย เด็กหนุ่มเลยยิ้มกว้าง จัดแจงที่นอนของตนเองเงียบ เขาถอนหายใจเหลือบไปมองนาฬิกา ตีสองครึ่งแล้ว ยังนึกสงสัยว่าอะไรทำให้อินทนิลมาหาเขาที่ห้องได้ในเวลาแบบนี้...ออกจะน่ากลัวไม่เบา

“เอาผ้าห่มเพิ่มไหมล่ะ”เขาถาม อินทนิลส่ายหน้า แต่เอาผ้าห่มของเขาไปห่มเอง ชายหนุ่มเลยต้องลุกจากเตียงเดินไปหยิบผ้าห่มในตู้มาเพิ่ม อากาศในบ้านไม่หนาว แต่เวลานอนเขาต้องมีผ้าห่มไว้เป็นเกราะกำบังจากความมืด เขาปิดไฟในห้องเหลือเพียงแสงนวลจากโคมไฟไว้เท่านั้น

ภูวรินทร์เดินมาที่เตียง เขาเหลือบมองพวงมาลัยบนหัวเตียงก่อนจะมองอินทนิลที่นอนหลับตาอยู่ แน่ใจว่ายังไม่ได้หลับ เขาล้มตัวลงนอนก่อนจะห่มผ้าไว้ จ้องมองฝ้าเพดานอยู่เงียบๆ คิดวนเวียนกับเรื่องราวในฝัน...มันน่าประหลาดที่เขาไม่ได้มองเรื่องราวนั้นเหมือนคนนอก แต่กลับเป็นคนดำเนินเรื่องราวซะเอง...

ท่านอาเป็นถึงหมื่น ยศของพ่อภรรยาก็สูงศักดิ์ไม่เบา เป็นถึงพระในบางกอก ในช่วงเวลานั้น เหมือนว่าท่านอาจะแต่งงานกับสาวบางกอกคนนั้นแล้ว นอกจากปัญหาการเงินขางบ้านทำให้ภรรยาย้ายไปอยู่ที่บ้านพ่อของเธอ แล้วยังมีเรื่องอื่นๆเกี่ยวข้องไหม...โดยเฉพาะเรื่องของคุณแก้ว...หากคนนอกล่วงรู้สัมพันธ์ของคนทั้งคู่ คงเป็นเรื่องฉาวโฉ่ และอาจถึงขั้นติดคุกติดตาราง แล้วการตายของคุณแก้วเอง ท่านอายังมีข้อแคลงใจเช่นกัน ฆ่าตัวตายเองจริงๆเหรอ หรือว่าถูกฆ่าตาย แล้วทำไมถึงปล่อยให้ฝังในเรือนเพาะชำแบบนั้นได้

‘เป็นความผิดของเขา...ไม่สิ ของท่านอาจริงๆหรือ’ ชายหนุ่มหลับไม่ลง ถ้อยคำคลั่งแค้นของอินทนิลยังดังก้องในหู และภาพของอินทนิลในห้วงสุดท้ายนั่น ก็ทำให้เขาใจไม่ปกติ ใบหน้าซีดเขียวนั่นก็ทำสะเทือนใจไม่น้อย ดวงตาที่จ้องจนแทบหลุดจากเบ้านั่นทำให้เขาหนาวไปกาย

“ไม่สบายใจเหรอครับ”เสียงของอินทนิลดังมาจากข้างกาย

“...อืม มีหลายเรื่องให้คิด”ชายหนุ่มพึมพำบอก เขายอมรับอย่างเต็มอกก็วันนี้ว่าเขาเป็นท่านอามาเกิดใหม่ มันดูเหลือเชื่อในยุคสมัยที่เทคโนโลยีเฟื่องฟู แต่ครั้งนี้ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ

“เรื่องของท่านเหรอ”

“ใช่ คืนที่คุณแก้วเสียน่ะ...”เขาบอก ยังคงมีอารมณ์เศร้าติดอยู่ในใจ

“อ้อ...ท่านไม่เต็มใจที่จะตายแต่ยังหนุ่ม คุณไม่คิดว่าที่ท่านยังคงสถิตอยู่นานหลายปีเพราะท่านจากไปอย่างไม่สงบ”อินทนิลพูด ภูวรินทร์ไม่เคยตระหนักถึงเรื่องนี้เลย แต่ไม่มีอะไรยืนยันได้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-03-2018 10:53:26 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2

“ไม่มีใครล่วงรู้อยู่ดี”เขาถอนหายใจ

“อะไรที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามนั้น ยิ่งดิ้นรนยิ่งแย่ หากคุณคิดมากเรื่องอินน์ ไม่ต้องกังวลไปหรอกครับ อินน์ไม่ได้รู้สึกเครียดแค้น ถ้าจะให้แค้นคงเป็นเพราะชะตาสั้นกุดของตัวเองมากกว่า...ที่จริงแล้ว...”อินทนิลเงียบเสียงลงเหมือนลังเลใจที่เอ่ยถึง ชายหนุ่มเหลียวมองไปหา อินทนิลมองเขาอยู่ ในแววตานั้นเหมือนครุกกรุ่นไปด้วยความรู้สึกบางอย่าง

“อะไรเหรอ”เขาถาม อินทนิลเม้มปาก

“ท่านกลัวน่ะ....”

“กลัวอะไร”

“พูดไปอาจไม่เป็นผลดี...แต่อยากให้รู้ไว้ ว่า‘ท่าน’กลัวสูญเสียคนที่รักไปอีก ท่านกลัวอินน์น่ะ”

“ทำไมล่ะ”ชายหนุ่มขมวดคิ้วแปลกใจ อินทนิลยิ้มอย่างข่มขื่น

“กลัวว่าคุณจะใจอ่อนกับอินน์มากกว่าตัวท่าน ตอนเด็ก อินน์จำได้ว่าป่วยหนักมากๆ มันเหมือนว่าบางส่วนในตัวอินน์ตายไปแล้วจริงๆ ผลของเทียนหยดทำลายอวัยวะภายใน อาจไม่ทั้งหมด...มันแค่บางส่วนน่ะ”อินทนิลเอ่ยเสียงแผ่ว ในแววตานั้นยังมีความเศร้า ว่างเปล่าของนัยน์ตาสีนิลที่สะท้อนดวงหน้าของเขาอยู่ในนั้น หากเข้าใจไม่ผิดดูเหมือนว่าคุณแก้วช่วงชิงชีวิต จิตวิญญาณของเด็กน้อยไปเกือบครึ่ง

ภูวรินทร์ยิ้มขำให้กับคุณแก้ว ดูเหมือนว่าวิญญาณที่ถูกจองจำด้วยความเศร้า ความโกรธแค้นมานับเจ็ดสิบปีกำลังทำลายคนอื่น โดยเฉพาะคนตรงหน้าเขา คุณแก้วมีความกลัวเช่นนี้ได้ คงเพราะพลังบวก ความดีงามของจิตใจล่ะมั้ง ซึ่งฝ่ายนั้นไม่มี

“ภาวะพร่องออกซิเจน”อินทนิลบอก น้ำเสียงติดแหบ เขานิ่งคิด อาการป่วยของอินทนิลน่ะเหรอ “เพราะผลเทียนหยดน่ะเหรอ”เขาถาม

“ก็มีส่วน...แต่ร่างกายของอินน์ไม่แข็งแรงอยู่แล้ว ทำให้มีอาการแทรกซ้อนได้ง่าย...”

“เธอโกรธคุณแก้วไหม”เขาถาม อินทนิลเงียบไปหลายอึดใจ

“ไม่หรอกครับ มาคิดดูอีกที อินน์อาจไม่ได้อยู่เห็นโลกนานขนาดนี้ก็ได้ ใช่ไหมครับ”อินทนิลยิ้ม เขามองอยู่นาน เรื่องนี้เขาเองก็ชี้ถูกผิดไม่ได้หรอก เขาไม่รู้ว่าต้องโทษอะไร หรือใคร

“ไม่เสียใจงั้นสิ ที่มีชีวิตอยู่ต่อ”ชายหนุ่มพูด หันหน้ามองเพดานห้องต่ออย่างใจลอย

“ไม่ครับ”อินทนิลตอบเสียงชัดถ้อยชัดคำ ทำให้ภูวรินทร์นิ่งเงียบ จมอยู่กับตนเอง เขารู้สึกโหวงเหวงในใจ ยิ่งรู้เรื่องของอินทนิลมากขึ้นยิ่งทำให้เขารู้สึกแย่ไปหมด ต้นเหตุมาจากใคร เพราะคุณแก้ว หรือว่ามาจากเขากัน...
นรินทร์ในอดีตน่ะ ‘หมดรักคุณแก้วไปแล้วจริงๆน่ะเหรอ เพียงเพราะผู้หญิงคนเดียวหรือ’ ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าถามคนในอดีตหรือว่าถามตนเองกันแน่

พอใกล้ย่ำรุ่ง อินทนิลออกจากห้องไปแล้ว โดยที่เขาไม่รู้ตัว อินทนิลยังคงไปมาอย่างเงียบงัน ชายหนุ่มลุกไปอาบน้ำ เขาไม่ได้ฝันร้ายอีก ราวกับว่าฝันร้ายพวกนี้จะมาเยี่ยมเยียนคืนละครั้ง เขาไม่รู้ว่าจะต้องเผชิญกับมันไปถึงเมื่อไหร่ มันจะร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆหรือไม่ ในฝันนั้น เขาได้ตายไปแล้ว แล้วเขาก็จะตายอีกในคืนวันพรุ่งนี้

นี่มันยิ่งกว่าฝันร้ายอีก

เสียงสั่นของโทรศัพท์ดังขึ้น จนเขารีบคว้าผ้าเช็ดตัวออกจากห้องน้ำด้วยความว่องไว เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาดู บนหน้าจอมีเบอร์ของโชติปรากฏอยู่ เขายิ้มอย่างยินดี แสดงว่าสัญญาณกลับมาเป็นปกติแล้ว

“ไงโชติ โทรมาสักทีนะ”ชายหนุ่มรีบรับสาย

“เออ ฉันกำลังไปหาแกนะเว้ย ถ้าแกอยากจะกลับก็เตรียมเก็บของรอได้เลย...เพราะฉันจะไม่ค้างที่บ้านนั้นเด็ดขาด”คู่สนทนาเอ่ยกลับมาด้วยน้ำเสียงดีอกดีใจ เขานิ่งไป

“ทำไมเร็วจังล่ะ”

“อ้าว ก็แกบอกเป็นเรื่องด่วน สรุปอยากกลับหรือเปล่าเนี่ย”คนปลายสายหัวเราะออกมา

“อยากสิ ฉันก็แค่แปลกใจที่แกทำอะไรรวดเร็ว แต่จะไม่ค้างจริงๆน่ะเหรอ กว่าแกจะมาถึงที่นี่ก็ปาไปครึ่งวันแล้ว ขากลับคงค่ำมืด ถนนหนทางอันตรายด้วย”ชายหนุ่มเอ่ยอย่างกังวลใจ

“...ไม่รู้ล่ะ ไว้ไปถึง ค่อยคุยกันอีกที ฉันเอารถออฟโรดมารับแกเลยนะเว้ย อย่าลืมข้าวเที่ยงฉันนะ เตรียมไว้ให้พร้อม”โชติบอกเป็นการทิ้งท้าย เขามองจอโทรศัพท์อย่างแปลกใจ ทุกอย่างดูราบรื่น ลึกๆเขากังวลเพราะอิทนิลเคยพูดเตือนถึงโชติด้วย

ภูวรินทร์แต่งตัวอย่างเชื่องช้าเพราะมัวแต่ใจลอย เขาลงไปยังชั้นล่าง เจอป้าษอรกำลังเตรียมอาหารเช้าอยู่ในครัว เธอแปลกใจที่เห็นเขาลงมาตั้งแต่เช้าตรู่

“อรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณภู”เธอเอ่ยทักทาย กำลังหั่นผักอยู่ หม้อต้มกำลังเดือดส่งไอร้อนออกมาลอยเหนือหม้อ 

“วันนี้เพื่อนผมจะมารับกลับบ้านน่ะครับ ผมอยากให้ป้าทราบไว้”ชายหนุ่มเอ่ยบอกน้ำเสียงปกติ เขาเองก็ไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจนัก แต่เมื่อมีโอกาสออกจากบ้านหลังนี้ เขาต้องรีบคว้าไว้ ป้าษอรมองเขาอย่างตกใจ เธอวางมือจากการเตรียมอาหารเช้า

“อ้าว ทำไมกะทันหันจังคะ”

“ครับ ผมเองก็มีธุระที่ต้องสะสางเหมือนกัน ยังไงบ้านหลังนี้ก็ต้องให้ป้าคอยดูแลอยู่เรื่อยๆ”เขายิ้มผ่อนคลาย ไม่แน่ใจว่าจะหลับมาเหยียบบ้านหลังนี้อีกเมื่อไหร่ อาจไม่มีกำหนดไปตลอดกาล

“ค่ะ...แล้วนี่ คุณภูบอกอินน์มันหรือยังคะ”ป้าษอรถามเขา ก่อนจะหันไปสนใจหม้อต้มที่เดือดปุดๆส่งเสียงดัง เธอปิดแก๊ส  เขาส่ายศีรษะ

“ยังครับ... ว่าแต่ป้ามีกุญแจเรือนปั้นหยาข้างๆไหมครับ”ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่องสนทนาอย่างอึดอัดใจ ป้าษอรมองเขาอยู่นานเหมือนจ้องมองหาความจริง

“มีค่ะ แต่แม่กุญแจคงสนิมกินไปหมดแล้วมั้งคะ”

“ผมอยากไปดูเรือนหลังนั้นสักหน่อยน่ะครับ”เขาบอก อย่างน้อยเขาต้องได้รู้ว่าภายในบ้านหลังนั้นมีอะไร เขาคิดเอาเองว่ามันคงไม่ต่างจากในฝันนักหรอก อาจเจอจดหมายของคุณแก้วก็ได้ เขาหวังอย่างนั้น

“เดี๋ยวนี้เลยเหรอคะ”

“ครับ”เขาบอก เธอมองเขาเงียบๆก่อนจะเดินหายไปทางประตูหลังห้องครัว เขาเหลียวมองไปรอบๆบ้านใหญ่ที่เงียบสงบแล้วอดใจหายไม่ได้ มันกะทันหันอย่างที่ป้าษอรบอก แต่เขาก็ไม่อยากอยู่ที่นี่นานๆหรอก... แม้ว่าอีกใจหนึ่งก็ยังคงค้างคาอยู่ ป้าษอรหายไปไม่นาน ไม่ถึงห้านาทีเธอเดินกลับมาพร้อมพวงกุญแจดอกใหญ่เป็นพวง

“นี่ค่ะ”ป้าษอรแยกกุญแจของเรือนปั้นหยาก่อนจะยื่นมาให้เขา ชายหนุ่มรับมาเงียบๆแล้วเดินออกจากห้องครัว เขาลูบสัมผัสผิวเนื้อขรุขระของกุญแจไปมา มีสนิมเกาะและเปลี่ยนสีไปตามกาลเวลา เขาเดินผ่านสวน ที่ลานบ่อน้ำพุถูกเปิดตามปกติ เสียงสาดซ่าของน้ำดังให้ได้ยินอยู่เรื่อยๆ เขาเดินไปตามริมรั้วอย่างไม่เร่งรีบอะไร

ภูวรินทร์ผลักประตูรั้วเข้าไป ก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน ต้นแก้วบริเวณหน้าเรือนผลิดอกบานสะพรั่งเช่นเคย กลิ่นของมันทำให้เขาเวียนศีรษะ ชายหนุ่มเดินขึ้นบันได ก่อนจะหยิบแม่กุญแจตัวใหญ่ที่คล้องโซ่อีกชั้นหนึ่ง เขาพยายามไขกุญแจที่ฝืดเคือง หมุนกุญแจจนส่งเสียงดังคลิกเบาๆ จากนั้นก็ปลดแม่กุญแจออก ดึงโซ่ออกจากบานประตู เสียงครืดคราดดังทำลายความเงียบ เขาวางโซ่ลงกับพื้น ค่อยๆผลักบานประตูเข้าไป

เสียงเอี๊ยดอ๊าดจากไม้กระดานทั้งมาจากพื้นใต้ฝ่าเท้าและบานประตู ชายหนุ่มก้าวเข้าไปด้านใน มองหาสวิตซ์ไฟ ลองเปิดดูแต่ไม่ติด คงตัดน้ำตัดไฟไปนานแล้ว ภายในมีฝุ่นลอยฟุ้งทันที เขาจามก่อนจะใช้มือปิดจมูก ภายในห้องสี่เหลี่ยมกว้าง ปราศจากเครื่องใช้ ไม่มีโต๊ะเขียนหนังสือ ตู้หนังสืออยู่เลย ม่านสีขาวไม่ไหวติง หยากไย่ห้อยย้อยเต็มฝ้าเพดาน ที่นี่เป็นแหล่งชุ่มไปด้วยยุงและแมลงกินไม้ เขาลังเลอยู่บ้างที่จะเข้าไปในห้องนอน เพราะฝุ่นหนามากกว่ากลัว

แต่สุดท้ายเขาก็เดินเข้าไปจนได้ ทางแคบ กลิ่นอับชื้นของไม้เก่าฉุนจมูก พ้นทางเดิน เบื้องหน้าคือห้องนอนสี่เหลี่ยม เตียงเหล็กเหลือแต่โครง โซ่ขึ้นสนิมกองอยู่ข้างใต้ โต๊ะลิ้นชักเก่าตั้งอยู่ข้างๆ เขามองกรอบรูปบานเล็กที่มีฝุ่นเกาะจนมองไม่เห็นรูปภาพ แต่เขาเอื้อมไปดึงลิ้นชักชั้นแรกเปิดออกก่อน ด้านในมีกล่องสี่เหลี่ยมขนาดเอห้า เขาหยิบมันออกมา ฝุ่นจับแน่น น้ำหนักของกล่องทำให้แปลกใจ เขาเขย่ากล่องได้ยินเสียงกุกกักจากด้านใน จากนั้นก็เปิดลิ้นชักอีกสองชั้นดู ไม่มีอะไร

เขาหยิบกรอบรูปติดมาด้วย แล้วเดินออกจากห้องนอน เขาไม่อยากอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยกลิ่นอับ ไอฝุ่น และความเก่า

ภูวรินทร์เดินออกมาสูดอากาศสะอาดที่ด้านนอกชานบ้าน เขาปิดประตู ล็อกกุญแจไว้ตามเดิม แสงอาทิตย์ค่อยๆโผล่ออกมาโลมเลียขอบฟ้าจนสว่าง ชายหนุ่มเดินออกจากบริเวณเรือนปั้นหยาโดยไม่หันไปมองมันอีก ไม่มีอะไรน่าจดจำเลย เรือนหลังนั้นน่าอึดอัด ชายหนุ่มสบายใจขึ้นเมื่อเดินมาที่ลานบ่อน้ำพุ เขานั่งลงที่โต๊ะกลม ใช้มือปัดฝุ่นออกจากกรอบรูปจนเผยให้เห็นถึงรูปถ่ายของคุณแก้วกับท่านอานั่งอยู่ข้างๆกัน มองจากทิวทัศน์ด้านหลังคงถ่ายที่ลานน้ำพุแห่งนี้ เขามองใบหน้ายิ้มแย้มของคุณแก้ว อายุคงเท่าอินทนิลในเวลานี้ สิบสี่สิบห้าปีได้ ส่วนท่านอาคงจะสามสิบ


ชายหนุ่มมองใบหน้าของคุณแก้ว เขาเลื่อนนิ้วไปปัดฝุ่นที่เหลือเล็กน้อยให้ออกไปจากใบหน้าของคนในรูป บางส่วนในโครงนี้หน้าคล้ายกับอินทนิล เขาคิด หากคุณแก้วไม่ตายไปตั้งแต่ยังหนุ่มแน่น คนสกุลนี้คงอยู่เย็นเป็นสุข เขามองใบหน้าของท่านอา แล้วสะท้อนใจ เหมือนตนเองมากซะจนคิดว่าเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน เพราะความโลภ กิเลสของท่านที่ทำให้เรื่องทุกอย่างแย่ลงหรือเปล่า ในเมื่อท่านสร้างสัมพันธ์นี้ขึ้นมา แล้วทำไมถึงไม่รักษามันไปให้สุดกัน เขาส่ายหน้า เรื่องของคนรุ่นก่อน ทำลายคนรุ่นหลังซะป่นปี้

ภูวรินทร์มองคนทั้งสองในรูปอยู่นาน นึกสงสารคุณแก้วขึ้นมาบ้าง เขาวางกรอบรูปเปลี่ยนไปหยิบกล่องไม้ออกมา มันไม่ได้ล็อกใส่กุญแจไว้ เขาเปิดฝาออก ปัดไล่ไอฝุ่นที่ลอยตัวออกมา ภายในกล่องมีจดหมายอยู่หลายฉบับ กระดาษเปลี่ยนสีจนกลายเป็นสีเหลือง นอกจากนั้นยังมีแหวนเก่าๆสองวง ผ้าเช็ดหน้าหนึ่งผืนพับสี่เหลี่ยมเรียบร้อย เขาหยิบมาดูมีลายปักสะกดตัวย่อได้ว่า น.ภ น่าจะเป็นของท่านอา เขาหยิบจดหมายมาหนึ่งฉบับ ลายมือบรรจงสวยสะกดชื่อของกรินทร์ ตัวใหญ่

 เขาเปิดอ่านเนื้อหาด้านใน เป็นลายมือตวัดอ่านค่อนข้างยาก จับใจความได้ว่า 


‘ถึงแก้ว... บอกไม่ถูกว่าครั้งนี้ที่เดินทางมาบางกอกรู้สึกเช่นไร ที่นี่ต่างจากบ้านเรามากโข ฉันคงเขียนจดหมายถึงเธอบ่อยไม่ได้เสียแล้ว มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นที่นี่ เอาเป็นว่าเรื่องนี้จะกระทบต่อสถานะของเจ้าหมื่นไม่เบา รวมทั้งผู้ดีทั่วทั้งสยาม ฉันคงเล่ามากความไม่ได้ เอาเป็นว่าแม่บัวคงดูแลเธอดีเช่นเดิม เราทั้งคู่ยังคงเหมือนเก่า รักเสมอ... น.ภ’


จากเนื้อความดูไร้เยื่อใยจริงๆ เขาไล่หาจดหมายฉบับเก่ากว่านี้ เขาเจออยู่สองฉบับที่ส่งมาหาตั้งแต่ ร.ศ.140 ชายหนุ่มเปิดอ่านช้าๆ กลัวว่ากระดาษจะขาดซะก่อน


 ‘ถึงแก้ว... ป่านนี้คงโตเป็นหนุ่มแล้วกระมัง อาทิตย์หน้าฉันมีของขวัญให้เธอ ฉลองวันเกิดไง เอาเป็นว่าหากมีใครรังแกเธออีก ก็บอกพวกมันไปเสียว่าท่านหมื่นจะขึ้นไปทำโทษซะให้เข็ด หรือไม่ก็ให้แม่บัวไปบอกนายหวั่นซะก็สิ้นเรื่อง ส่วนผ้าเช็ดหน้าที่ฝากแม่จิตมา ฉันได้รับแล้ว ขอบคุณแก้วมาก ฉันจะถนอมไว้ก็แล้วกัน หากเอาออกมาใช้คงเสียของแย่กระมัง...ด้วยรักและห่วงใยเสมอมา... นรินทร์’


ภูวรินทร์อ่านจบถึงกลับหัวเราะขบขัน ผ่านมาสิบปี ความรักความเอ็นดูห่างหายไปหมดอยากเห็นได้ชัด ชายหนุ่มเก็บจดหมายใส่กล่องตามเดิม ดูท่าท่านอาคงเป็นพวกรักง่ายหน่ายเร็ว ต่างจากคุณแก้วที่ละเอียดอ่อนกว่ามาก
ทว่าโทรศัพท์สั่นขึ้น หันเหความสนใจของภูวรินทร์ เขาหยิบโทรศัพท์ออกมา โชติโทรมาหาเขา นี่เพิ่งหกโมงเช้าเอง ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะโทรมาในเวลานี้เลย

“มีอะไร”ชายหนุ่มถาม

“แย่จริงๆ ฉันคงไปรับแกไม่ได้แล้วล่ะ ดันประสานงากับต้นไม้ข้างทาง”พอได้ฟังโชติเล่าแล้วเขาถึงกลับกำมือแน่น เขาเหลือบมองหน้าของคุณแก้วในกรอบรูป

“เป็นอะไรมากหรือเปล่า”เขาเอ่ยถามอย่างร้อนรน แต่ได้สติขึ้นมาว่าโชติคงไม่เป็นอะไรเพราะไม่เช่นนั้นคงไม่โทรมาบอกเขาด้วยท่าทีปกติ

“ไม่หรอก แค่บาดเจ็บเล็กน้อย ตลอดนี้ฉันทำแผลที่คลินิก โทษทีนะเพื่อน ปล่อยแกรอเก้อ”โชติเอ่ยบอกอย่างรู้สึกผิด เขาฟังแล้วถอนหายใจ คู่สนทนาดูกังวลใจ

“ช่างเถอะ แกไปลอดภัยก็ดีแล้ว...มันเกิดอะไรขึ้นล่ะ”ชายหนุ่มถาม พยายามเข้าข้างตัวเองว่าเหตุที่เกิดขึ้นเป็นเพราะอุบัติเหตุที่ไม่ได้มาจากสิ่งเหนือธรรมชาติ

“คนขับก็ขับปกติแหละ อยู่ๆก็มีวัววิ่งผ่านหน้ารถเฉย หวิดไปแล้วไหมล่ะ”คนปลายสายหัวเราะแห้งๆมาให้ เหมือนไม่สบายใจนัก

“แน่ใจนะว่าไม่เป็นอะไร”ชายหนุ่มย้ำอีกครั้ง ปลายสายถอนหายใจ

“อืม สบายมาก ฉันห่วงแกมากกว่าว่ะ”เสียงของเพื่อนสนิทเป็นกังวล เขานิ่งงันไป

“ทำไมล่ะ”

“ฟังหูไว้หูก็แล้วกัน คนขับรถเล่าให้ฉันฟังว่าตอนที่หักหลบไปข้างทางน่ะ เหมือนว่ามันเห็นคนอื่นอยู่หลังรถ”ถ้อยคำของโชติทำให้เขาขนลุกไปทั้งกาย อยู่ๆก็นึกถึงคุณแก้วขึ้นมา เขาเงียบ โชติถอนหายใจให้ได้ยิน

“ตกลงมันยังไงกันแน่...แกจะไม่เป็นอะไรแน่นะเพื่อน”

“อืม ไม่หรอก...บางที ฉันอาจไม่ได้กลับไปหาแกก็ได้นะ”ภูวรินทร์หัวเราะ เขาเหมือนโดนทำลายความหวังไปต่อหน้าต่อตา เขาวางสายจากโชติ ไม่อยากพูดอะไรมากไปกว่านี้ อยู่ๆก็หนักใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เขาคงหนีไปไหนไม่ได้จริงๆ




 
++++++++++++

*เจ้าหมื่น เป็นยศพิเศษ ตำแหน่งของมหาดเล็กในพระราชวัง
**หมื่น เป็นศักดิ์ของขุนนางที่รับราชการอยู่ตามมณฑลต่างๆ (อิงกับสมัยร.๖ )


มาต่อแล้วววว
ช่วงนี้งดเรื่องผีไปก่อนค่ะ
เราไม่แม่นเรื่องประวัติศาสตร์นัก อาจมีคลาดเคลื่อนเช่น เรื่องนามสกุล (ที่จริงเพิ่งมีใช้ในช่วง กลางหรือปลายร.๖ ไม่แน่ใจเท่าไหร่ค่ะ ) เดิมทีจะต้องได้มาจากราชทินนามเปลี่ยนมาใช้แทนนามสกุล แต่ในนิยายเรื่องนี้เราให้มีนามสกุลไปเลยค่ะ ไทม์ไลน์ในเรื่องของท่านอากับแก้ว อยู่ในช่วง ร.๖ เรื่อยมาจนถึง ถลางๆ ร.๘ ประมาณนี้ค่ะ
ขอบคุณค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-03-2018 10:58:03 โดย รินดาwดาริน »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด