การจราจรที่ติดขัดเนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่โรงเรียนเลิกทำให้ตระการกับพรพฤกษ์ใช้เวลาร่วมหนึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงโรงพยาบาล หลังจากจอดรถแล้วทั้งสองก็เดินเข้าไปในอาคารผู้ป่วย ตระการมองพรพฤกษ์ที่ยืนอยู่ข้างๆ หลังจากเข้าลิฟต์แล้ว รอยฟกช้ำบนมุมปากที่ยังค่อนข้างชัดเจนทำให้คิ้วดกหนามุ่นเข้าหากัน เมื่อพรพฤกษ์ที่กำลังมองตัวเลขแสดงชั้นอยู่เหลือบมาสบตาเข้าจึงยิ้มให้
“เลิกทำหน้าแบบนั้นเสียทีน่า รอยแค่นี้อีกไม่กี่วันก็หายแล้ว”
“ตอนนั้นไผ่ไม่น่าเอาตัวออกมารับเลย”
ร่างสูงใหญ่เอ่ยพลางใช้ข้อนิ้วไล้บนแก้มพรพฤกษ์เบาๆ โดยระวังไม่ให้โดนรอยช้ำ พรพฤกษ์จึงยกมือขึ้นจับมือข้างนั้นไว้และยิ้มแบบที่คิดว่าจะทำให้ตระการหายกังวลได้มากที่สุด เพราะด้วยนิสัยของอีกฝ่าย เขารู้ดีว่าตระการคงไม่ได้โทษบิดาที่เป็นคนต่อยมากเท่ากับโทษตัวเองที่ปล่อยให้เขาออกมารับหมัดแทนอย่างแน่นอน
เมื่อมาถึงชั้นที่ต้องการ ทั้งสองก็เดินไปตามทางเดินซึ่งทอดไปสู่ห้องพักผู้ป่วยพิเศษด้วยกัน พรพฤกษ์ชะงักเมื่อจู่ๆ ตระการก็หยุดยืนที่หน้าประตูแล้วหันกลับมาหาเขา
“ไผ่จะรอข้างนอกก็ได้นะ”
พรพฤกษ์ขมวดคิ้ว เริ่มจะหงุดหงิดกับการที่ตระการพยายามจะปกป้องเขามากเกินไป ต่อให้รู้ว่าอีกฝ่ายทำเพราะความหวังดีก็ตาม ไอ้ความรู้สึกว่าถูกเป็นห่วงมันก็ดีอยู่หรอก แต่นี่ชักจะทำจนเขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นไข่ในหินเข้าไปทุกที...
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ตอนนี้คนที่ควรห่วงคือพ่อของต้นที่อยู่ในห้องต่างหาก อีกอย่างพ่อเขาคงลุกจากเตียงมาต่อยอีกทีไม่ไหวหรอก”
พรพฤกษ์เอ่ยแล้วก็เบียดตระการเพื่อเปิดประตูเข้าไปในห้องด้วยตัวเอง ถึงแม้ว่าในส่วนลึกเขาจะไม่ได้รู้สึกดีกับตฤณที่พรากแม่ไปจากเขาในวัยเด็ก แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายทรมานกับอาการของโรคประจำตัวเมื่อสองวันก่อน เขาเองก็ไม่ได้ใจดำจนถึงกับจะแช่งชักหักกระดูกลง
ที่สำคัญ...ถึงอย่างไรตฤณก็เป็นผู้ให้กำเนิดคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขาตอนนี้...และเขาก็ไม่ต้องการให้ตระการต้องพบกับความรู้สึกเดียวกับเขาตอนที่รู้ว่าในโลกนี้ไม่เหลือใครอีกเหมือนตอนที่ตาจากไป
ภายในห้องผู้ป่วยพิเศษมีการเปิดไฟบริเวณหน้าประตูกับเหนือหัวเตียงไว้ ส่วนผ้าม่านทึบถูกรูดออกบางส่วน แสงแดดสุดท้ายของวันจึงส่องทะลุผ่านผ้าม่านโปร่งที่กั้นไว้อีกชั้นเข้ามาได้
แม้ว่าพรพฤกษ์จะเป็นคนที่เปิดประตูเข้ามาในห้อง แต่เขาก็รอให้ตระการปิดประตูแล้วเดินเข้าไปใกล้เตียงก่อน เนื่องจากยังไม่แน่ใจว่าอาการของตฤณเป็นอย่างไร เขาจึงไม่อยากเสี่ยงกับการให้ผู้สูงวัยโมโหที่เห็นเขาจนเกิดกระทบกระเทือนหัวใจขึ้นมาอีก
เสียงหายใจสม่ำเสมอบอกให้รู้ว่าคนป่วยกำลังหลับพักผ่อน ทว่าเมื่อตระการเดินเข้าไปใกล้และแตะปลายนิ้วลงบนแขนอย่างแผ่วเบา ร่างบนเตียงก็รู้สึกตัวตื่นและเปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ อาจเพราะความสะลึมสะลือทำให้แววตาของตฤณดูเลื่อนลอยเหมือนยังจับไม่ได้ว่าใครอยู่ในห้อง ทว่าเมื่อตื่นเต็มตาและเห็นว่าชายหนุ่มสองคนที่ยืนอยู่ข้างเตียงเป็นใคร ใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกเมื่อครู่ก็ขรึมขึ้นโดยที่ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรงทันที
“พ่อ ผมพาไผ่มาเยี่ยมครับ พ่อหลับไปสองวันเต็มๆ เลยนะครับ”
“ฉันรู้ เกริกบอกแล้วเมื่อตอนกลางวัน”
ตฤณตอบคำบุตรชายสั้นๆ จากนั้นก็ทำท่าเหมือนจะลุกขึ้นนั่ง ตระการจึงช่วยเข้าไปปรับเตียงกับยกหมอนหนุนหลังให้เพื่อที่บิดาจะได้นั่งสบายขึ้น ทว่าต่างก็ไม่มีการแลกเปลี่ยนคำทักทายที่แสดงถึงความห่วงหากันเลย
พรพฤกษ์มองภาพตรงหน้า ในใจรู้สึกเจ็บปวดแทนตระการเพราะเคยได้ยินอีกฝ่ายเล่าให้ฟังว่าตอนเด็กห่างเหินกับบิดาแค่ไหน และถึงแม้พฤติกรรมเมื่อครู่จะชัดเจนว่าคนทั้งสองตรงหน้าต่างก็มีความผูกพันต่อกัน ทว่าการแสดงออกกลับดูห่างเหินและเหมือนเป็นไปตามหน้าที่จนน่าอึดอัด
ชั่ววูบหนึ่งพรพฤกษ์คิดว่าเห็นตฤณปรายตามาทางเขา ทว่าการเคลื่อนไหวนั้นรวดเร็วจนเขาไม่แน่ใจ เพราะวูบเดียวสายตาของผู้สูงวัยก็มองตรงไปที่ตระการเช่นเดิม และเมื่อได้ยินบทสนทนาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องงาน เขาก็เลือกถอยไปนั่งรอที่โซฟามุมห้องเงียบๆ
พรพฤกษ์ไม่รู้ว่าที่วันนี้ตฤณไม่ออกอาการเกรี้ยวกราดเป็นเพราะตั้งใจว่าจะทำเหมือนเขาเป็นอากาศธาตุที่ไม่มีตัวตนหรือเพราะมีใครไปพูดอะไรด้วย เขาจึงเลือกจะมองวิวนอกหน้าต่างที่เห็นผ่านผ้าม่านโปร่งไปเรื่อยเปื่อยเพื่อฆ่าเวลา แต่ครู่หนึ่งก็เริ่มเอะใจเมื่อเสียงพูดคุยกันของสองพ่อลูกแผ่วลงและเงียบไป เมื่อเขาเบนสายตากลับไปก็พบว่าคนทั้งสองกำลังมองตรงมาทางเขา ฝ่ายตฤณนั้นด้วยสายตาเย็นชาเช่นเดิมแม้จะดูเหมือนกำลังเก็บงำบางสิ่งไว้ ส่วนนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มของตระการฉายแววแปลกใจระคนกังวล พรพฤกษ์จึงลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปหาด้วยความสงสัย
ตระการเหลือบมองบิดาที่เอนหลังอยู่บนเตียง จากนั้นก็หันกลับมาและใช้ร่างสูงใหญ่ของตัวเองบังพรพฤกษ์เอาไว้จากสายตาของอีกฝ่ายจนมิด “พ่อจะขอคุยกับไผ่ตามลำพัง ไผ่สะดวกหรือเปล่า?”
พรพฤกษ์เลิกคิ้วเมื่อถูกกระซิบถาม แต่ตฤณคงได้ยินจึงเอ่ยแทรกขึ้น
“แกจะเป็นห่วงอะไรนักหนา ที่แกพาเขามานี่ก็เพื่อให้เจอฉันไม่ใช่หรือไง อีกอย่างตอนนี้ฉันแค่จะลุกเองยังไม่ไหว คนที่น่ากลัวว่าจะโดนบีบคอตายคาเตียงมันน่าจะเป็นฉันมากกว่า”
“ไผ่ไม่ทำแบบนั้นหรอกครับ”
ตระการหันขวับแล้วก็พูดแทนเขาด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ พรพฤกษ์จึงรีบดึงแขนเสื้ออีกฝ่ายเอาไว้
“ไม่เป็นไรต้น ต้นออกไปรอข้างนอกก่อนก็ได้”
เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มหันกลับมามองเขา จากนั้นก็เหลือบมองบิดาที่นั่งเอนหลังอยู่บนเตียงอีกครั้งอย่างไม่ใคร่วางใจ มือใหญ่บีบมือของพรพฤกษ์ที่ยังจับแขนข้างหนึ่งของตัวเองเบาๆ
“ต้นจะนั่งรอหน้าห้อง ถ้าไผ่คุยเสร็จเมื่อไหร่ก็เรียกเลยนะ”
พรพฤกษ์พยักหน้า จากนั้นก็มองตามจนกระทั่งตระการเดินออกไปและปิดประตูห้องตามหลังแล้ว จากนั้นจึงหันกลับมาหาตฤณอีกครั้ง ทำให้พบว่าผู้สูงวัยเบนสายตาลงมองปลายเตียงราวกำลังครุ่นคิดบางอย่าง เขาจึงค่อยๆ เดินห่างจากปลายเตียงไปอยู่ริมหน้าต่างแทน ทว่าไม่ได้นั่งลงบนเก้าอี้ที่วางอยู่ข้างเตียง การเคลื่อนไหวนั้นทำให้ตฤณหันกลับมาสนใจเขาเล็กน้อย
“เก้าอี้มี ถ้าหากจะนั่ง”
วิธีเชิญชวนนั้นทำให้พรพฤกษ์อดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายมีปัญหาในการใช้คำพูดสื่อสาร เพราะแทนที่ฟังแล้วจะทำให้อยากตอบรับ กลับจะทำให้คนที่ถูกชวนรู้สึกเกรงใจที่จะนั่งเสียมากกว่า แต่โชคดีที่เขาเองก็ไม่ได้อยากนั่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
“ขอบคุณครับ แต่วันนี้ผมนั่งมาทั้งวันแล้ว เดี๋ยวผมยืนตรงนี้ก็ได้”
แสงอาทิตย์แดงก่ำยามเย็นส่องทะลุผ้าม่านโปร่งเข้ามาทาบลงบนเสี้ยวหน้าด้านข้างของชายหนุ่มพอดี และแม้แสงนั้นจะช่วยพรางสีผิวให้บิดเบือนไป แต่ตฤณก็มองเห็นว่ามุมปากของพรพฤกษ์ยังมีรอยเขียวช้ำจากหมัดของเขาหลงเหลืออยู่
“ตอนนั้นคนที่ฉันตั้งใจจะต่อยไม่ใช่เธอ การเอาตัวออกมารับแบบนั้นก็ถือว่าเธอหาเรื่องใส่ตัวเอง”
พรพฤกษ์ฟังแล้วรู้สึกแปลกใจอีกครั้ง เขาเริ่มเข้าใจขึ้นมาเลาๆ ว่าทำไมตระการจึงไม่อยากปล่อยเขาไว้เพียงลำพังกับบิดา เพราะวิธีพูดของตฤณที่ฟังแล้วชวนให้รู้สึกโมโหนี่เอง เพราะแทนที่จะขอโทษแต่อีกฝ่ายกลับพูดเหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องสุดวิสัย แต่เขาก็ได้แต่เตือนตัวเองให้ใจเย็นเอาไว้
“ต้นทำเพื่อผมมามาก โดนต่อยแค่นั้นมันเทียบกับการที่เขาคอยดูแลผมมาตลอดสี่เดือนไม่ได้หรอกครับ”
นัยน์ตาของตฤณขุ่นขึ้นชั่วอึดใจ เขาเพ่งพินิจใบหน้าของพรพฤกษ์ที่กำลังจ้องเขากลับโดยไม่หลบสายตา และพบว่าถึงแม้ใบหน้าของอีกฝ่ายจะถอดมาจากพิมผกาอย่างไม่ผิดเพี้ยน แต่นัยน์ตาที่บ่งบอกว่าเอาเรื่องและฝีปากยามโต้เถียงนั้นไม่ใช่สิ่งที่ได้รับจากผู้เป็นแม่อย่างแน่นอน
อยากจะแสดงจุดยืนของตัวเองงั้นรึ...
“คุณตฤณ...ผมมีเรื่องอยากถามคุณ”
คราวนี้เป็นผู้สูงวัยกว่าที่แปลกใจ แต่ตฤณก็เก็บความสงสัยในสีหน้าได้อย่างมิดชิด เขาไม่ปฏิเสธหรือตอบรับว่าจะตอบคำถามหรือไม่ ซึ่งเป็นปฏิกิริยาโต้ตอบอัตโนมัติยามที่ต้องการดูท่าทีของคู่สนทนา และพรพฤกษ์ก็คิดว่าพอจะอ่านนิสัยของอีกฝ่ายได้ว่าคงจะแสดงออกเช่นนี้อยู่แล้ว
“ตอนที่แม่ผมอยู่กับคุณ...แม่มีความสุขไหมครับ?”
คำถามนั้นถูกตามติดมาด้วยความเงียบ ตฤณไม่ได้ตอบรับในทันที นัยน์ตาของผู้สูงวัยราวกับมองทะลุเขาไปเพื่อมองหาใครอีกคนที่ไม่มีตัวตนอยู่ในห้อง และพรพฤกษ์ก็ถือโอกาสระหว่างช่วงเวลาสั้นๆ นั้นในการลอบสำรวจอีกฝ่าย ตฤณไม่เหมือนกับภาพที่เขาเคยวาดเอาไว้ก่อนหน้านี้ เขาเคยนึกว่าบิดาของตระการที่ห่างเหินกับลูกแล้วยังบังคับภรรยาที่แต่งงานใหม่ด้วยไม่ให้ติดต่อกับครอบครัวคงเป็นคนก้าวร้าว เจ้าอารมณ์และชอบใช้ความรุนแรง แต่คนที่กำลังอยู่ตรงหน้านั้นไม่เข้ากับมโนภาพที่เขาวาดไว้เสียทีเดียว เพราะตฤณดูไม่ใช่คนที่น่าจะชื่นชอบการใช้ความรุนแรง แต่ด้วยบุคลิกที่เย็นชาและการชอบใช้คำพูดกดดันแล้วก็ไม่น่าแปลกใจสักนิดที่อีกฝ่ายจะทำเรื่องราวต่างๆ ที่ตระการเคยเล่าให้เขาฟังลงไป
“ฉันดูแลพิมอย่างดีมาตลอด ไม่เคยทำให้ต้องอับอายที่มาจากพื้นเพยากจน อะไรที่เขาขอแล้วฉันให้ได้ก็จะให้”
ยกเว้นเรื่องที่ขอกลับไปหาลูกชายที่เชียงใหม่...แม้ประโยคนี้จะไม่ถูกเอ่ยออกมา แต่คู่สนทนาทั้งสองต่างรู้แก่ใจ
พรพฤกษ์ยิ้มบางเบาจนแทบไม่เห็น “ถ้าอย่างนั้นก็ดีครับ ผมเองก็จำแม่ไม่ค่อยได้เพราะตอนที่แม่ลงมากรุงเทพฯ ผมยังเด็กมาก แต่ได้ยินว่าแม่มีความสุขผมก็ดีใจ”
ความเงียบตามมาหลังจากเขาเอ่ยประโยคนั้นออกไป ราวกับต่างฝ่ายต่างรู้ว่าคู่สนทนาไม่ได้พูดตรงกับที่ใจคิดร้อยเปอร์เซ็นต์ ครู่ใหญ่กว่าที่คนบนเตียงจะทำลายความเงียบขึ้น
“ฉันไม่ยอมรับหรอกนะเรื่องที่เธอกับต้นคบกัน”
พรพฤกษ์ที่มองไปยังพระอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าเบนสายตากลับมาหาคนพูด น่าแปลกที่เขาไม่ได้รู้สึกขุ่นเคืองหรือน้อยเนื้อต่ำใจกับคำพูดของตฤณแม้แต่น้อย อาจเพราะเขาคาดไว้อยู่แล้วว่านี่คือสิ่งที่จะได้ยิน และน้ำเสียงที่ราบเรียบของอีกฝ่ายก็เหมือนประโยคบอกเล่ามากกว่าจะเป็นคำขู่ แม้ว่าในแววตาที่มองตรงมาจะตอกย้ำว่าอีกฝ่ายหมายความตามที่พูดทุกคำก็ตาม
ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก การจะผ่านด่านนี้คงไม่ง่ายนัก และบางทีอาจจะเป็นด่านที่เขาไม่สามารถก้าวข้ามได้ตลอดไป แต่อย่างน้อยพรพฤกษ์ก็มั่นใจในสิ่งหนึ่งมากพอที่จะเอ่ยตอบ
“ตอนแรกที่ต้นบอกว่าจะพามาไหว้กระดูกของแม่กรุงเทพฯ ผมรู้ว่าที่จริงเขาอยากให้ผมได้มาแนะนำตัวกับคุณ ตอนนั้นผมเคยคิดเหมือนกันว่าจะมีประโยชน์อะไรในเมื่อพวกเราต่างก็รู้คำตอบอยู่แล้ว แต่สิ่งที่คุณพูดเมื่อกี้ทำให้ผมคิดได้...ว่าการตอบรับอาจไม่ใช่เรื่องจำเป็น การที่คุณรับรู้ถึงความตั้งใจของต้นต่างหาก...คือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขา”
นัยน์ตาของตฤณหรี่ลงอย่างเย็นชา “ต้นจะทำอะไรก็แล้วแต่ ตราบใดที่ธุรกิจของสุวรรณฤทธิ์ไม่เสียหายฉันจะถือว่ายังไม่ได้ทำอะไรบกพร่อง สำหรับสี่เดือนที่หมอนั่นหายไปฉันจะถือว่าไม่เคยเกิดขึ้นถึงแม้ความเห็นของฉันเรื่องพวกเธอสองคนจะเหมือนเดิม ฉันรักพิมก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันจะต้องรักลูกของเมียที่ไม่ได้เกิดจากฉัน”
พรพฤกษ์ระบายลมหายใจหนักหน่วง ถึงแม้เขากับตฤณจะเหมือนทางขนานที่ไม่มีวันบรรจบกัน อย่างน้อยทั้งสองก็ดูจะเข้าใจตรงกันเรื่องจุดยืนของอีกฝ่ายแล้วในตอนนี้ “เข้าใจแล้วครับ จะให้ผมเรียกต้นเข้ามาหาไหมครับ?”
ตฤณพยักหน้า “ฉันต้องการคุยกับลูกฉันตามลำพัง”
ชายหนุ่มค้อมศีรษะให้แล้วเดินออกไปเปิดประตู จากนั้นก็บุ้ยคางให้ตระการที่นั่งรออยู่ว่าถึงทีอีกฝ่ายต้องเข้าไปคุยกับพ่อของตัวเองบ้าง เมื่อปิดประตูตามหลังแล้วพรพฤกษ์ก็ทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้นวมหน้าห้องแทนที่ตระการซึ่งเพิ่งลุกไป ไออุ่นจากร่างอีกฝ่ายยังหลงเหลือบนเบาะพอให้สัมผัสจางๆ และนั่นก็ทำให้เขารู้สึกว่าความอึดอัดในอกถูกความอบอุ่นนั้นดูดซับให้จางหายลงบ้าง
เหนื่อยจริงๆ...
พรพฤกษ์ระบายลมหายใจยาวก่อนจะก้มหน้าลงซบบนหลังมือที่วางชันขึ้นบนเข่า ทั้งที่การสนทนากับตฤณเมื่อครู่น่าจะกินเวลาเพียงไม่ถึงสิบนาทีเท่านั้น และอาจจะเรียกว่าผ่านไปด้วยดีด้วยซ้ำเพราะไม่มีใครขึ้นเสียงหรือระบายอารมณ์ใส่ใคร ทว่าทั้งเนื้อหาและความกดดันในช่วงที่สนทนาก็สร้างความรู้สึกอันหนักอึ้งให้ตกค้างในใจมากกว่าที่คาด
จากท่าทีของอีกฝ่ายในตอนนี้ เขาค่อนข้างมั่นใจว่าการคาดหวังจะให้ตฤณยอมรับความสัมพันธ์ของพวกเขาคงเปล่าประโยชน์ ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจเดียดฉันท์จนออกนอกหน้าระหว่างที่คุยกันเมื่อครู่ ทว่าแววตาและน้ำเสียงก็บ่งบอกให้รู้ว่าสาเหตุที่ตฤณตั้งแง่กับเขานั้นลึกซึ้งกว่าแค่การที่เขาเป็นผู้ชาย และอาจเพราะที่ผ่านมาพรพฤกษ์ไม่เคยเจอญาติผู้ใหญ่ที่ทำให้รู้สึกกดดันแบบนี้ เพราะทั้งตาของเขา พ่อแม่ของนรพัฒน์หรือแม้แต่เจ้านายที่เคยทำงานด้วยต่างก็ใจดีและเอ็นดูเขาทั้งสิ้น พรพฤกษ์จึงรู้สึกว่าวาจาและท่าทีของตฤณทำให้เขาหนักใจไม่น้อย
หลังจากครู่ใหญ่ผ่านไปตระการก็เปิดประตูออกมา ร่างสูงใหญ่เลิกคิ้วเมื่อเห็นพรพฤกษ์นั่งหลับตาแล้วเอนหลังพิงพนัก จึงทรุดตัวลงบนเก้าอี้ตัวที่อยู่ข้างกันแล้วดึงมือเรียวข้างหนึ่งมาบีบเบาๆ
“ไผ่เป็นไงบ้าง?”
คำถามนั้นทำให้พรพฤกษ์ลืมตาขึ้นและยิ้มให้คนถาม “แค่เพลียนิดหน่อยน่ะ คืนนี้ต้นจะอยู่เฝ้าพ่อหรือเปล่า?”
ตระการสังเกตสีหน้าของคนพูด และดูออกว่าความเพลียที่ว่าคงมาจากการที่อีกฝ่ายได้พูดคุยกับพ่อของเขามากกว่าการพักผ่อนไม่พอ จึงกระชับมือของพรพฤกษ์แน่นขึ้นแล้วส่ายหน้า
“ไม่ต้องหรอก พ่อบอกว่าแจ้งอาหมอไว้แล้วว่าให้หาพยาบาลมาคอยเฝ้าให้ เพราะงั้นวันนี้เรากลับกันเลยก็ได้ ไผ่ก็หิวข้าวแล้วเหมือนกันล่ะสิ?”
พรพฤกษ์ไม่โต้แย้งและลุกตามอย่างง่ายดายเมื่อถูกมือแข็งแรงฉุด เขาคร้านจะถามว่าจะไม่ให้เขาลาตฤณก่อนหรือในเมื่อรู้แก่ใจว่าฝ่ายนั้นก็คงไม่อยากเห็นหน้าเขานานนัก ตลอดเวลาที่อยู่ในลิฟต์นั้นพรพฤกษ์เอาแต่เงียบและทำสีหน้าครุ่นคิดตลอดเวลา จวบจนเข้าไปนั่งในรถกันแล้ว ตระการจึงเลิกคิ้วเมื่ออีกฝ่ายเอนศีรษะมาพิงไหล่ของเขา
“ต้น...คืนนี้ไม่กลับไปนอนที่บ้านได้ไหม?”
พรพฤกษ์ถามขึ้น เขาไม่อยากกลับไปที่บ้านของตระการตอนนี้ ถึงแม้ว่าสองคืนที่ผ่านมาจะได้นอนที่ห้องรับแขกในบ้านหลังนั้นมาแล้วก็ตาม ความขุ่นมัวในใจทำให้เขาอยากไปอยู่ที่ไหนก็ได้ที่มีเพียงพวกเขาสองคนเหมือนตอนอยู่ที่เชียงใหม่มากกว่า
ตระการฟังเสียงอ่อนแรงของพรพฤกษ์แล้วก็ให้สงสัยว่าพ่อของเขาพูดอะไรบ้างจึงทำให้อีกฝ่ายเหนื่อยถึงขนาดนี้ แต่ว่าก็เข้าใจและเห็นด้วยสำหรับเรื่องที่ถูกขอ
“เอาสิ เดี๋ยวคืนนี้เราไปนอนโรงแรมที่ไหนสักที่ก็แล้วกัน ส่วนอาหารเย็นเดี๋ยวก็ทานกันที่นั่นไปเลย”
ชายหนุ่มเอ่ยก่อนจะหักเลี้ยวรถไปเส้นทางที่ไม่ใช่ทางกลับบ้าน พรพฤกษ์จึงพยักหน้า ตอนนี้ตระการจะพาไปที่ไหนก็ไม่สำคัญ ขอเพียงให้เป็นที่ที่ไม่มีใครรู้จักพวกเขาสองคนก็พอ จากนั้นบางทีเขาอาจจะเรียกความเข้มแข็งที่กำลังสั่นคลอนให้กลับคืนมาได้บ้าง ชายหนุ่มเอนลงซบไหล่หนามากขึ้นก่อนจะแหงนหน้ามองเสี้ยวหน้าของอีกฝ่ายที่กำลังมองถนนด้านหน้า จากนั้นก็บีบมือของตระการที่กุมมือเขาไว้แน่นเข้าพลางเอ่ยเสียงเบา
"ขอบคุณนะต้น"
++---tbc---++
ส่วนตอนใหม่ รอพบกันอาทิตย์หน้านะค้า 