หลังจากโดนทวงแล้วโดนทวงอีก ก็มาลงเสียทีค่ะ เล่นเอาไมเกรนพุ่งเลย (จริงๆ ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แค่เกือบๆ ก๊ากกก) ++------++
32.เสียงของไดร์เป่าผมในห้องน้ำปลุกให้ร่างบนเตียงที่ใส่กางเกงขายาวตัวเดียวค่อยๆ ตื่นจากการหลับใหล ตระการปรือตาขึ้นพลางหันไปมองที่ข้างตัวและพบเพียงความว่างเปล่า มือใหญ่จึงยกขึ้นขยี้ตาเบาๆ และดันตัวเองขึ้นจากเตียง ชายหนุ่มเดินไปหยุดยืนกอดอกพิงกรอบประตูห้องน้ำพลางดูคนที่กำลังยืนอยู่หน้ากระจก
พรพฤกษ์ที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วและกำลังเป่าผมอยู่ยิ้มเมื่อเห็นตระการยิ้มบางๆ ให้ จนกระทั่งเขารู้สึกว่าผมหมาดพอสมควรจึงปิดไดร์และเสียบเข้าที่เก็บ ตระการจึงเดินเข้าไปใกล้แล้วก็สางนิ้วเข้าในผมอีกฝ่ายเบาๆ
“ไผ่รีบตื่นทำไมเนี่ย? วันนี้เราไม่ได้อยู่บ้านนฤมิตรกันสักหน่อย”
คนถูกถามย่นจมูก “ก็คนมันตื่นเวลานี้ประจำอยู่แล้วนี่ ถ้าต้นง่วงก็ไปนอนต่อสิ”
ตระการยกมือปิดปากหาวแต่ก็ส่ายหน้า “ไม่เอาล่ะ ตื่นแล้วก็ตื่นเลย ถึงให้นอนต่อตอนนี้ก็คงไม่หลับง่ายๆ หรอก”
ร่างสูงเอ่ยพลางหันไปหยิบแปรงขึ้นมาบีบยาสีฟันใส่ และเนื่องจากบริเวณอ่างล้างหน้าซึ่งทำจากหินอ่อนนั้นเป็นเคาน์เตอร์ที่มีพื้นที่กว้างพอสมควร พรพฤกษ์จึงดันตัวขึ้นไปนั่งห้อยขาและเอนหลังพิงกระจก แต่ว่าไม่ได้ชวนคุยและเพียงแต่ดูตระการล้างหน้าแปรงฟันไปเงียบๆ ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่เขาทำไม่ได้เวลาอยู่ที่บ้านนฤมิตรเพราะห้องน้ำเล็กกว่าที่นี่มาก
วันนี้เป็นวันอาทิตย์หลังจากงานเลี้ยงครบรอบและฉลองผลประกอบการของสุวรรณฤทธิ์ เมื่อคืนหลังจากที่งานเลิกแล้วตระการกับพรพฤกษ์ไปนั่งดื่มกันที่บาร์บนดาดฟ้าต่ออีกหน่อยก่อนจะกลับมาที่ห้องพัก และเพราะพรพฤกษ์มีกำหนดเช็คเอ๊าท์และบินกลับในเช้าวันจันทร์ ดังนั้นวันนี้จึงเป็นวันว่างของทั้งคู่
พรพฤกษ์หยิบมีดโกนหนวดส่งให้เมื่อเห็นตระการฉีดโฟมแล้วโปะลงบนหน้า จากนั้นก็ชันเข่าข้างหนึ่งขึ้นกอด เขามองจนกระทั่งตระการโกนหนวดเสร็จและล้างหน้าแล้ว คนถูกมองจึงเลิกคิ้ว
“หน้าต้นมีอะไรเหรอ?”
“เปล่า...ก็แค่อยากมองเฉยๆ ไม่ได้หรือไง?”
ตระการเห็นรอยยิ้มล้อเลียนของคนตอบ จึงยิ้มบ้างขณะหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กขึ้นซับหน้า
“ทำไมจะไม่ได้ ถ้าไผ่จะทำมากกว่ามองก็ไม่ว่าหรอก ว่าแต่อยากอาบน้ำกับต้นอีกรอบหรือเปล่า? เพราะคราวนี้ต้นไม่ยอมให้ดูเฉยๆ แล้วนะ”
พรพฤกษ์เห็นท่าไม่ดีเพราะประกายตาวิบวับของคนพูด จึงเลื่อนตัวลงจากอ่างล้างหน้าแล้วก็เดินไปที่ประตู “อาบเสร็จแล้วจะอาบซ้ำอีกทำไมล่ะ เชิญอาบไปคนเดียวก็แล้วกัน”
ชายหนุ่มได้ยินเสียงหัวเราะจากอีกฝ่ายหลังปิดประตูห้องน้ำตามหลัง มุมปากบางยกยิ้มน้อยๆ อย่างระอาก่อนจะเดินไปนั่งลงบนเตียงและหยิบรีโมทมาเปิดโทรทัศน์
รายการยามเช้าของวันอาทิตย์มีทั้งละคร รายการสำหรับเด็กและข่าว พรพฤกษ์ชะงักมือที่กำลังกดเปลี่ยนช่องเมื่อเห็นว่ารายการหนึ่งฉายภาพงานเลี้ยงของสุวรรณฤทธิ์ในค่ำคืนที่ผ่านมา แต่ว่าตัดต่อมาเพียงช่วงที่ตระการขึ้นพูดบนเวทีและช่วงที่แขกเหรื่อถ่ายรูปกับตฤณที่ซุ้มด้านหน้า จากนั้นก็ตัดไปที่ข่าวของงานอื่นภายในเวลาสั้นๆ เหมือนแค่สรุปเหตุการณ์ให้คนดูเท่านั้น
พ่อลูกคู่นี้หน้าตาคล้ายกันจริงๆ...
พรพฤกษ์คิดในใจพลางกดรีโมทไปเรื่อยอย่างไม่ใส่ใจดูอะไรเป็นเรื่องราว สักพักก็กดปิดโทรทัศน์แล้วเอนหลังลงบนเตียง พลันบทสนทนากับตฤณเมื่อคืนก็วนกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง
“เธออาจจะไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น”
ประโยคที่ตฤณพูดหลังจากที่เขาบอกว่าจะไม่ยอมอยู่กับตระการต่อไปหากฝ่ายนั้นทิ้งพ่อตัวเองทำให้พรพฤกษ์สับสน อาจเพราะระหว่างเขากับผู้สูงวัยไม่เคยมีความทรงจำที่ดีต่อกันตั้งแต่แรก การที่ทั้งสองสนทนากันได้อย่างค่อนข้างปกติเมื่อคืนจึงนับว่าน่าแปลกใจมากแล้ว แต่ว่าพรพฤกษ์ก็ยังไม่ต้องการจะคิดเข้าข้างตัวเองว่านั่นเป็นสัญญาณว่าตฤณยอมรับเรื่องของเขากับตระการได้ เพราะการพบกันนานๆ ครั้งย่อมไม่เหมือนกับการที่ต้องอยู่ร่วมบ้านเดียวกันทุกวันอย่างแน่นอน
หรือต่อให้ตฤณยอมรับได้จริงก็ตาม...เขาพร้อมแล้วหรือเปล่าที่จะย้ายมาอยู่กับตระการที่นี่?
ชายหนุ่มนอนมองเพดานพลางใช้ความคิดไปเรื่อยๆ ครู่ใหญ่ตระการก็เดินออกมาจากห้องน้ำในเสื้อคลุมสีขาว ร่างสูงใหญ่เห็นคนที่ทำท่าใจลอยอยู่บนเตียงจึงเดินไปนั่งลงใกล้ๆ
“คิดอะไรอยู่?”
พรพฤกษ์เหลือบตาขึ้นมองตระการที่ก้มลงหา จากนั้นก็ส่ายหน้า “พอดีโทรทัศน์ไม่มีอะไรดูก็เลยนอนคิดอะไรเล่นไปเรื่อยน่ะ วันนี้ต้นมีโปรแกรมจะทำอะไรหรือเปล่า?”
ตระการยกผ้าขนหนูที่วางอยู่รอบคอขึ้นขยี้ผมที่ชุ่มน้ำพลางทำท่าคิด “ไม่รู้สิ เพราะปกติพอถึงวันหยุดต้นก็ขึ้นไปเชียงใหม่ทุกทีนี่นา ไผ่อยากไปไหนหรือเปล่าล่ะ?”
พรพฤกษ์ยันตัวขึ้นนั่งเอนหลังพิงหมอน นัยน์ตาสีนิลเหลือบมองท้องฟ้าภายนอกที่มีเพียงเมฆบางเบาแล้วก็เอ่ยขึ้น
“ไหนๆ มากรุงเทพฯ แล้วก็ไม่อยากอยู่แต่ในโรงแรมน่ะ ท่าทางวันนี้อากาศจะดีด้วย แต่ก็ไม่รู้ว่าอยากไปไหนเหมือนกัน”
ตระการทำเสียงในคอเหมือนกำลังใช้ความคิดขณะหยิบกางเกงยีนส์กับเสื้อยืดแขนสั้นออกจากตู้ พลันนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มก็เป็นประกายเมื่อนึกอะไรออก หลังสวมเสื้อผ้าแล้วจึงเดินกลับไปฉุดแขนพรพฤกษ์ที่นั่งอยู่บนเตียงให้ลุกขึ้น
“นึกออกแล้วว่าจะไปไหน ความจริงมันก็ยังไม่ค่อยเรียบร้อยหรอก แต่ไผ่อุตส่าห์มาทั้งทีต้นก็พาไปดูเลยดีกว่า เดี๋ยวกินข้าวเช้าแล้วเราไปกันเลย”
พรพฤกษ์เลิกคิ้วอย่างงุนงง แต่ว่าก็ไม่ได้ถามเซ้าซี้และเพียงแต่ตามอีกฝ่ายลงไปที่ห้องอาหาร หลังจากทานมื้อเช้าแบบบุฟเฟต์กันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตระการก็ขับรถพาเขาออกจากโรงแรมไปยังเส้นทางที่มุ่งออกย่านชานเมือง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพาเขาออกนอกเขตกรุงเทพฯ พรพฤกษ์จึงค่อยหันไปถามอย่างสงสัย
“นี่เราจะไปไหนกันน่ะ?”
“ไปดูหมู่บ้านทาวน์เฮ้าส์ที่ปทุมฯ อันนี้เป็นโครงการล่าสุดที่ต้นเพิ่งลงทุนไป ตอนนี้ก็สร้างเสร็จไปประมาณเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์แล้วล่ะ”
คำอธิบายนั้นช่วยให้พรพฤกษ์กระจ่างว่าตนกำลังถูกพาไปไหน หลังจากเริ่มเข้าเขตอำเภอเมือง ตระการก็หักเลี้ยวรถจากถนนใหญ่เข้าไปในซอยที่ดูเหมือนทางเข้าหมู่บ้านเพราะมียามมาเลื่อนที่กั้นให้ ทว่าพรพฤกษ์ให้รู้สึกประหลาดใจที่ไม่เห็นป้ายทางเข้าหมู่บ้านอยู่ตรงไหนเลย
“ไหนบอกว่าทำเสร็จไปเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์แล้วไงต้น? ทำไมแม้แต่ป้ายชื่อหมู่บ้านก็ไม่มีล่ะ?”
คำถามนั้นทำให้ตระการหันมายิ้ม “ก็ต้นพาเข้าด้านหลังนี่นา ถ้าทางด้านหน้าหมู่บ้านล่ะก็ตกแต่งเสร็จหมดแล้ว แต่เดี๋ยวค่อยออกไปดูกันตอนขากลับดีกว่า”
พรพฤกษ์ไม่เข้าใจว่าทางเข้าด้านหน้ามีอะไรพิเศษนักหนาถึงต้องเก็บไว้ดูทีหลัง แต่ก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายคงอยากให้เขาได้ตื่นเต้นกับความสำเร็จล่าสุดจึงไม่ได้ถาม พอเข้าไปถึงส่วนที่น่าจะเป็นใจกลางของหมู่บ้าน ตระการก็ชี้ให้ดูบ้านหลังหนึ่งแล้วอธิบาย
“ปกติพ่อของต้นเขาจะชอบทำหมู่บ้านใหญ่ๆ กับคอนโดในเมืองที่เน้นรองรับคนมีเงิน แต่ต้นคิดว่าตลาดบ้านสำหรับคู่แต่งงานใหม่แล้วก็ครอบครัวขนาดเล็กกำลังโตก็เลยเสนอโครงการนี้ขึ้นมา ของที่นี่ก็ถูกจองหมดทุกยูนิตแล้ว กำลังคิดว่าอาจจะเปิดโครงการสองเร็วๆ นี้ แต่กำลังดูอยู่ว่าจะสร้างที่ไหน”
ตระการเอ่ยพลางขับรถวนไปรอบหมู่บ้าน ทำให้ได้เห็นบ้านที่ตกแต่งเสร็จและมีคนย้ายเข้าแล้ว ขณะที่บางหลังยังว่างโล่งเหมือนรอคนย้ายเข้าอาศัย และบางหลังก็ยังมีคนงานกำลังทาสีหรือตกแต่งส่วนอื่นๆ อยู่โดยรอบ
พรพฤกษ์มองตระการขณะชี้ชวนให้ดูบ้านแบบต่างๆ แล้วก็ยิ้ม อาจเพราะเวลาอีกฝ่ายไปหาเขาที่เชียงใหม่ ตระการจะทิ้งเรื่องงานไว้ที่กรุงเทพฯ และพูดถึงน้อยมาก เขาจึงไม่เคยเห็นภาพว่าอีกฝ่ายทำอะไรไปบ้างเหมือนอย่างตอนนี้
“ต้นเป็นคนมีหัวเรื่องธุรกิจนะ รู้ตัวหรือเปล่า?”
พรพฤกษ์เอ่ยหลังจากที่นั่งรถชมรอบหมู่บ้านกันได้พักใหญ่ ตระการจึงหันมายิ้มให้
“ไผ่คิดแบบนั้นเหรอ?”
“ก็ต้องอย่างนั้นสิ ผลงานเมื่อปีที่ผ่านมาก็ฝีมือต้นทั้งนั้นนี่ ถ้าหากไม่คิดนอกกรอบจากที่พ่อเขาเคยคิดไว้ก็คงทำไม่ได้ขนาดนี้หรอก”
ตระการยิ้มกว้างขึ้น จากนั้นก็คว้าข้อมือพรพฤกษ์ข้างที่สวมสร้อยเงินไว้แล้วดึงไปจูบเบาๆ
“ถ้าไม่ใช่เพราะไผ่ ต้นก็คงมาไม่ถึงตรงนี้เหมือนกัน”
พรพฤกษ์ยิ้มบ้าง เพราะเขารู้ดีว่าตระการหมายความตามที่พูดจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าความมุ่งมั่นเพื่อให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นที่ยอมรับจะสร้างแรงผลักดันให้อีกฝ่ายได้มากถึงขนาดนี้ และตระการก็ทำได้ดีเยี่ยมจนเขาพลอยดีใจไปด้วย
และหากว่าไม่ใช่เพราะตระการ...เขาก็คงยังไม่รู้จักความสุขเช่นที่มีอยู่ในทุกวันนี้เช่นกัน...
ไม่กี่นาทีถัดมา ตระการก็ขับรถมาถึงด้านหน้าหมู่บ้านซึ่งเคยบอกว่าจะให้พรพฤกษ์ดูก่อนกลับ ประตูทางเข้าถูกออกแบบให้เป็นสองช่องทางสำหรับรถเข้าออกโดยมีเกาะกลางถนนกั้นเป็นแนวและมีน้ำพุตรงกลาง ยามที่นั่งเฝ้าในป้อมด้านหน้าจำตระการได้จึงรีบตะเบ๊ะต้อนรับและให้ชายหนุ่มจอดรถริมถนนใกล้ทางเข้าตามที่ต้องการ พรพฤกษ์เห็นว่าตระการดับเครื่องและลงจากรถจึงเดินตามลงไปบ้าง จนเมื่อได้เห็นป้ายชื่อซึ่งอยู่เหนือทางเข้าถนัดตา ชายหนุ่มก็สะดุดลมหายใจตัวเอง
‘หมู่บ้านนฤมิตรา”
สิ่งที่ทำให้พรพฤกษ์ตะลึงไม่ใช่ชื่อหมู่บ้านที่ชวนให้คิดถึงเกสต์เฮ้าส์ของเขาเท่านั้น ทว่าที่ทำให้เขายิ่งพูดอะไรไม่ออกมากขึ้นคืออาคารสำนักงานติดต่อซึ่งอยู่เยื้องไปจากทางเข้า อาคารไม้กึ่งปูนที่มีสวนดอกไม้รายล้อมอาจต่างจากบ้านของเขาเนื่องจากมีเพียงสองชั้นในขณะที่ของเขามีสี่ชั้น แต่ไม่ว่าจะรูปแบบหรือสีสันก็ต่างดูแล้วทำให้เขานึกถึงบ้านนฤมิตรทั้งนั้น
“เป็นไง? ไผ่ว่าเหมือนต้นแบบที่เชียงใหม่มั้ย? นี่ต้นให้เขาดูจากรูปถ่ายกับอธิบายเอาเท่านั้นเองนะ”
พรพฤกษ์หันไปมองคนถามแต่พูดอะไรไม่ออก ตระการจึงยิ้มให้แล้วก็บีบมือเขาเบาๆ จากนั้นก็ผละไปคุยกับยามก่อนจะเดินกลับมาหา
“พอดีวันนี้พวกเจ้าหน้าที่ไม่มาทำงาน แต่ต้นขอกุญแจสำรองจากยามมาแล้ว เข้าไปดูข้างในกันเถอะ”
พรพฤกษ์ได้แต่เดินตามอีกฝ่ายโดยไม่รู้จะพูดอะไร ยิ่งเมื่อเห็นด้านในอาคารก็ยิ่งอึ้งมากขึ้น เพราะแม้แต่สีและการจัดวางก็ยังดูแล้วแทบจะเหมือนยกบ้านนฤมิตรมาตั้งไว้ที่นี่ หากไม่ใช่เพราะเฟอร์นิเจอร์ที่ดูใหม่กว่าและโต๊ะทำงานซึ่งมีคอมพิวเตอร์ตั้งอยู่ เขาอาจจะเผลอนึกว่ากำลังอยู่ในบ้านนฤมิตรไปแล้ว เพราะแม้แต่เคาน์เตอร์ด้านในซึ่งเป็นจุดที่เขาชอบนั่งทำงานก็ยังลอกแบบมาอย่างไม่ผิดเพี้ยน
“ขอโทษนะที่ต้นเอาแบบกับชื่อมาใช้โดยไม่ปรึกษาก่อน”
หลังจากปล่อยให้เขาสำรวจภายในเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง ตระการที่ยืนล้วงกระเป๋าอยู่มุมหนึ่งของห้องก็เอ่ยขึ้น พรพฤกษ์จึงหันไปหาแล้วก็ส่ายหน้า
“เรื่องนั้นไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่...นี่นึกยังไง?”
ร่างสูงใหญ่ยิ้มพลางมองไปรอบๆ ห้องรับแขก “ช่วงที่เริ่มคิดโครงการนี้ต้นอยากให้มีอะไรที่เป็นตัวแทนของไผ่ได้บ้าง ก็เลยได้ความคิดว่าจะตั้งชื่อหมู่บ้านตามชื่อสถานที่ที่ต้นชอบที่สุด ตอนแรกถึงกับปรึกษาบริษัทออกแบบว่าจะสร้างบ้านทุกหลังให้ออกมาเหมือนบ้านนฤมิตรเลยด้วยซ้ำ แต่โดนติงกลับมาว่าอาจจะทำให้ขายออกยาก สุดท้ายต้นเลยให้ทำอาคารสำนักงานด้านหน้าเป็นแบบที่อยากได้แทน แล้วก็กะว่าสำหรับโครงการอื่นในอนาคตก็จะทำอาคารสำนักงานให้เป็นแบบนี้หมดเหมือนกัน”
พรพฤกษ์ฟังแล้วก็สบตาตระการเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หมุนตัวแล้วเดินไปที่หลังเคาน์เตอร์ ตรงนั้นไม่มีโน้ตบุ๊คเครื่องประจำของเขาก็จริง แต่ไม่ว่าจะสีของไม้ที่นำมาทำเคาน์เตอร์หรือแม้แต่เก้าอี้ก็ล้วนไม่ต่างจากที่เขาใช้ที่เชียงใหม่สักนิด
ชายหนุ่มรู้สึกว่าขอบตาร้อนผ่าวขึ้น แม้จะรู้ดีอยู่แล้วว่าที่ตระการทำงานหนักก็เพราะเขา แต่เมื่อได้มาเห็นว่าผลงานล่าสุดของอีกฝ่ายนั้นทำขึ้นเพื่ออุทิศให้เขาโดยเฉพาะ ความตื้นตันก็แล่นขึ้นมาจนแน่นไปทั้งอก
“นี่ถ้าบอกให้รู้กันก่อน...อาจจะยอมให้พวกสถาปนิกเขาได้ไปดูบ้านนฤมิตรเป็นตัวอย่างก็ได้ บ้าจริงๆ เลย”
พรพฤกษ์ท้วงขึ้นยิ้มๆ ทั้งที่ขอบตาสองข้างแดงก่ำ ตระการจึงเดินเข้าไปหาแล้วก็รวบตัวอีกฝ่ายไว้ในอ้อมกอด
“ขอโทษที ตอนนั้นต้นกลัวว่าบอกไปแล้วไผ่จะไม่ยอมนี่นา แต่ตอนนี้ทุกอย่างก็เสร็จแล้ว ต้นเลยอยากให้ไผ่ได้มาเห็น”
ตระการเอ่ยพลางจรดริมฝีปากลงบนขมับของคนในอ้อมแขน พรพฤกษ์จึงเงยหน้าขึ้นยิ้มแล้วสอดแขนกอดอีกฝ่ายตอบ
“ขอบคุณนะต้น”
ขอบคุณจริงๆ ที่คิดถึงเขามากขนาดนี้...
++------++
ทั้งสองนั่งเล่นในอาคารสำนักงานกันพักใหญ่ จนกระทั่งเข็มนาฬิกาชี้บอกว่าเป็นเวลาอาหารกลางวันจึงออกไปทานข้าวที่ร้านอาหารใกล้หมู่บ้าน จากนั้นตระการก็ขับรถพาพรพฤกษ์ไปไหว้พระและเดินเที่ยวตลาดน้ำที่อยุธยาในช่วงบ่าย ความที่วันนี้เป็นวันอาทิตย์ทำให้มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติพลุกพล่านในทุกที่ที่ทั้งสองไป แต่ทั้งสองก็ไม่ได้บ่นและต่างทำตัวกลมกลืนไปกับเหล่านักท่องเที่ยวโดยไม่ได้รู้สึกรำคาญแต่อย่างใด
ตลอดเวลาที่ได้เที่ยวด้วยกัน ทั้งพรพฤกษ์ทั้งตระการต่างตระหนักว่าเวลาที่พวกเขาได้ใช้ร่วมกันนั้นแม้จะน้อยแต่ก็มีค่า ดังนั้นจึงไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องขี้ปะติ๋วอย่างอากาศที่ร้อนหรือการต้องเสียเวลาหาที่จอดรถ และต่างไม่พะวงว่าเมื่อวันจันทร์มาถึงพวกเขาก็ต้องแยกกันอีก แต่พยายามใช้เวลาที่ได้อยู่ด้วยกันให้มีความสุขที่สุดเพื่อชดเชยที่จะไม่ได้เจอกันไปอีกหนึ่งสัปดาห์
วันนั้นกว่าตระการจะขับรถกลับเข้ากรุงเทพฯ ก็เมื่อเกือบจะหมดแสงสุดท้ายของวัน โดยทั้งคู่ตั้งใจกันว่าจะกลับไปทานมื้อเย็นที่ร้านอาหารแถวๆ โรงแรม ระหว่างทางกลับตระการแวะจอดรถที่ปั๊มเพื่อเติมน้ำมันและเข้าห้องน้ำ แต่ว่าพรพฤกษ์ไม่ได้ลงไปด้วยและนั่งรออยู่ในรถ
ช่วงเย็นวันอาทิตย์มีรถมาแวะจอดมากมายเนื่องจากผู้คนต่างมุ่งหน้ากลับเข้ากรุงเทพฯ พรพฤกษ์จึงไม่ค่อยแปลกใจว่าตระการคงต้องรอคิวค่อนข้างนาน ระหว่างที่นั่งรอโดยทอดสายตามองผู้คนที่เดินผ่านไปมา ชายหนุ่มก็สะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงโทรเข้าจากมือถือของตระการซึ่งวางไว้หน้ารถ แล้วก็ให้แปลกใจเมื่อหยิบเครื่องมาดูและเห็นว่าใครโทรมา
คุณตฤณ...
พรพฤกษ์เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ เพราะปกติแล้วตฤณแทบจะไม่โทรหาตระการในวันหยุดเพราะถือว่านั่นเป็นเวลาส่วนตัวที่ตระการเลือกจะใช้ร่วมกับเขา อีกอย่างผู้สูงวัยก็เพิ่งจะเจอพวกเขาไปเมื่อคืน จึงไม่น่าจะมีเหตุจำเป็นให้ต้องโทรมาหาในเย็นวันอาทิตย์แบบนี้
หรือว่าจะมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้น...
จู่ๆ ภาพเสี้ยวหน้าด้านข้างของตฤณตอนที่คุยกับเขาเมื่อคืนนี้ก็วาบเข้ามาในหัว พรพฤกษ์จึงตัดสินใจกดรับโทรศัพท์แทนตระการทันที เพราะหากมีเรื่องอะไรร้ายแรงจริงๆ เขาก็คงจะเพิกเฉยไม่ได้แน่
“ฮัลโหล?”
“ต้น? ไม่สิ...ไผ่รึ?”
“ต้นเข้าห้องน้ำอยู่ครับ คุณตฤณมีเรื่องอะไรด่วนหรือเปล่าครับ หรือว่าอาการกำเริบ?”
พรพฤกษ์รีบถามกลับโดยไม่ทันฉุกคิดว่านี่เป็นครั้งแรกที่ผู้สูงวัยเรียกเขาด้วยชื่อ ไม่ใช่สรรพนามอันห่างเหินว่า ‘เธอ’ เหมือนเช่นทุกครั้ง
“เปล่า ฉันสบายดี ถ้าต้นมาเมื่อไหร่บอกว่าเย็นนี้ให้เข้ามากินข้าวที่บ้านด้วย”
เมื่อจบประโยคตฤณก็วางสายทันที พรพฤกษ์จึงได้แต่มองหน้าจออย่างงุนงง ตระการที่กลับเข้ามานั่งในรถเหลือบเห็นว่าพรพฤกษ์กำลังถือโทรศัพท์ของเขาจึงถามขึ้น “มีคนโทรมาเหรอไผ่?”
พรพฤกษ์พยักหน้าขณะยื่นมือถือคืนให้เจ้าของ นัยน์ตาสีนิลยังฉายแววประหลาดใจไม่หาย “...คุณตฤณโทรมา บอกว่าให้ต้นไปกินข้าวเย็นที่บ้าน”
ตระการเลิกคิ้ว “พ่อโทรมา?”
ร่างสูงรับโทรศัพท์คืนแล้วก็โทรหาบิดาทันที และดูเหมือนปลายสายก็คงรอรับอยู่แล้ว เพราะตระการเอ่ยถามแทบจะทันทีที่ยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู
“พ่อ? ผมต้นนะ...เพิ่งไปอยุธยามาแล้วกำลังจะกลับโรงแรมครับ...แล้วไผ่ล่ะครับ? อ๋อ...งั้นคงอีกสักชั่วโมงน่ะครับเพราะรถค่อนข้างติด…เข้าใจแล้วครับ”
พรพฤกษ์ขมวดคิ้วเมื่อเห็นตระการชำเลืองมองเขาเป็นระยะ เมื่ออีกฝ่ายวางสายจึงถามอย่างข้องใจ
“คุณตฤณมีธุระด่วนเหรอ?”
ตระการส่ายหน้า “เปล่าหรอก แค่โทรมาบอกว่าให้ไปกินข้าวเย็นด้วยกันเฉยๆ แล้วก็ให้พาไผ่ไปด้วย”
คำตอบที่ได้ทำให้พรพฤกษ์ยิ่งงุนงงมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้คำอธิบายมากไปกว่านั้นจากคนขับรถที่อมยิ้มน้อยๆ ตลอดทาง ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงถัดมาทั้งสองก็มาถึงรั้วบ้านสูงใหญ่สีขาวที่พรพฤกษ์เคยมาเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว ทันทีที่ยามเฝ้าประตูเห็นรถของตระการก็รีบกดเปิดรั้วให้
ตระการพูดเปรยๆ ขณะนำรถเข้าจอดตรงที่ประจำข้างตัวบ้าน “จะว่าไป...นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่พ่อบอกให้ต้นพาไผ่มาที่บ้าน”
เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มพูดจบก็หันมายิ้มให้ พรพฤกษ์ที่นั่งเงียบมาตลอดทางจึงระบายลมหายใจยาวแล้วก็พยักหน้า ทว่าก็ยังอดไม่ได้ที่จะระแวงว่าทำไมจู่ๆ จึงถูกเรียกให้มาร่วมทานมื้อเย็นด้วย
เอ้า...ไหนๆ ก็มาถึงที่แล้ว อีกอย่างเมื่อวานก็นั่งกินข้าวโต๊ะเดียวกันไปแล้วครั้งนึง คงไม่มีอะไรหรอกน่า...
ชายหนุ่มลงจากรถแล้วเดินตามตระการเข้าไปในบ้าน ยายแสนที่คงจะรออยู่แล้วรีบเดินเข้ามาหาอย่างดีใจเมื่อเห็นทั้งคู่
“คุณไผ่มาจริงๆ ด้วย ไม่ได้เจอกันตั้งปีนึงแน่ะพ่อคุณ คิดถึงจังเลยค่ะ”
พรพฤกษ์ยิ้มให้หัวหน้าแม่บ้านที่แสดงความยินดีที่ได้พบเขาอย่างไม่ปิดบัง ตระการที่ยืนอยู่ข้างๆ จึงถามขึ้น “แล้วพ่ออยู่ไหนครับป้าแสน?”
“คุณท่านรออยู่ที่ห้องอาหารค่ะ ป้านี่ตกใจหมดเลยตอนที่คุณท่านบอกให้จัดสำรับสามที่เพราะคุณไผ่จะมา เมื่อกี้ได้ยินเสียงรถคุณต้นก็ยังนึกอยู่เลยว่าจะมาด้วยจริงๆ หรือเปล่า”
ทั้งสองเดินตามหัวหน้าแม่บ้านสูงวัยไปที่ห้องอาหาร ทำให้พบว่าตฤณนั่งรออยู่ที่หัวโต๊ะจริงๆ เมื่อผู้สูงวัยเหลือบตาขึ้นเห็นตระการกับพรพฤกษ์ก็ถอดแว่นและพับหนังสือพิมพ์ที่อ่านค้างไว้ ยายแสนจึงรีบเดินเข้าไปหาแล้วเก็บหนังสือพิมพ์กับแว่นออกจากโต๊ะ
“สวัสดีครับ คุณตฤณ”
พรพฤกษ์พนมมือทำความเคารพนายใหญ่ของบ้านโดยที่อีกฝ่ายพยักหน้ารับเรียบๆ และเมื่อเห็นตระการทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ด้านหนึ่งของบิดา เขาจึงเข้าไปนั่งตรงที่ว่างอีกด้านซึ่งมีสำรับวางรอไว้ ยายแสนเห็นว่าทุกคนนั่งที่เรียบร้อยแล้วก็เรียกให้เด็กแม่บ้านนำโถข้าวสวยกับกับข้าวออกมาจากในครัว