แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษที่หน้า 21จ้า [28/02/13]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษที่หน้า 21จ้า [28/02/13]  (อ่าน 223922 ครั้ง)

ออฟไลน์ indy❣zaka

  • กระซิกๆ เบื่อดราม่า...
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4582
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +625/-26
จะจบแว้วววววววว  :monkeysad:
ซึ้งๆแต่กินใจดีค่ะ เรื่องนี้  ชอบๆ  :กอด1:

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
โห คู่นี้ รันทดใจมาก ไกลกันอีกแล้ว  :o12:

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
สวัสดีปีใหม่ย้อนหลังคุณ kakuro, คุณ yayee2, คุณ Little Devil, คุณ ZakuPz และคุณผึ้งด้วยนะคะ ขอโทษทีที่ช้าไปวันนึง มัวฉลองปีใหม่เพลินค่ะ แหะๆ แล้วก็ตอนนี้ยังไม่เป็นตอนจบล่ะ ตอนนี้เลยไม่กล้าเดาแล้วว่าจะจบในอีกตอนหรือสองตอน เอาเป็นว่าจบเมื่อไหร่เมื่อนั้นละกันนะคะ (อิป้าไม่เคยซื้อหวยเพราะแบบนี้แหละ 555555)  :z6:

++------++


30.

ยอดรวมผลประกอบการปลายปีของบริษัทในเครือสุวรรณฤทธิ์หลังตระการเข้าบริหารพุ่งทะลุหลักหมื่นล้านเป็นครั้งแรก

ปัจจัยหลายประการที่เอื้อให้รองประธานหนุ่มสามารถขยายผลกำไรให้ธุรกิจที่พ่อของเขาเริ่มไว้ไม่ได้มาจากดวง แต่เพราะตระการมุ่งมั่นทำงานหนักตลอดนับตั้งแต่ที่ได้รับมอบหมายจากตฤณให้กุมบังเหียนแทน นอกจากการเดินหน้ากับโครงการคอนโดมิเนียมและหมู่บ้านจัดสรรใหม่ๆ ในพื้นที่ที่ประมูลซื้อมาได้ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ชายหนุ่มยังก้าวไปไกลกว่านั้นด้วยการกระจายความเสี่ยงผ่านการลงทุนร่วมกับพันธมิตรที่หลากหลาย ซึ่งเป็นนโยบายที่บิดาไม่ค่อยทำสมัยที่ยังดูแลเครือสุวรรณฤทธิ์เต็มตัว แต่ตระการค้นคว้าข้อมูลและวิเคราะห์แนวโน้มตลาดมามากพอว่าแม้ธุรกิจของเขาจะยิ่งใหญ่ แต่การไม่ปรับตัวให้เข้ากับกระแสที่เปลี่ยนไปก็ย่อมเสี่ยงที่จะล้มเพราะความผันผวนของเศรษฐกิจ ดังนั้นนอกจากโครงการหลักๆ ที่ดำเนินในชื่อของสุวรรณฤทธิ์โดยตรงแล้ว เขาจึงได้แตกหน่อเปิดบริษัทย่อยเพื่อทำธุรกิจด้านอื่นอีกมากมาย ทั้งธุรกิจแฟรนไชส์ร้านอาหาร ธุรกิจสินเชื่อบ้าน ธุรกิจรีสอร์ทและสปา แม้กระทั่งธุรกิจสนามกอล์ฟและฟิตเนส

ตระการทำงานหนักตลอดห้าวันต่อสัปดาห์อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ยามใดที่ได้รับเชิญไปร่วมกินเลี้ยงในงานสังคม เขาจะเลือกไปงานที่รู้รายชื่อแขกเหรื่อแน่นอนว่าสามารถสานสัมพันธ์เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจที่กำลังขยับขยาย ใช่ว่าสักแต่ไปทุกงานเพียงเพื่อจะได้มีหน้ามีตาในข่าวโทรทัศน์หรือตีพิมพ์ลงนิตยสาร นอกจากนี้ยังไม่ตอบรับเทียบเชิญออกรายการโทรทัศน์ และน้อยครั้งที่จะยอมให้สัมภาษณ์ ซึ่งตระการก็จะเลือกอีกว่าต้องเป็นสื่อที่เน้นด้านธุรกิจเป็นหลักเท่านั้น โดยที่แทบจะไม่แย้มพรายเรื่องส่วนตัวไม่ว่าจะถูกซักถามสักแค่ไหน

คุณสมบัติที่ประกอบไปด้วยการประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ก็ทำตัวลึกลับนั้นเป็นดั่งแม่เหล็กที่ดึงดูดหญิงสาวในแวดวงนักธุรกิจหรือชนชั้นสูงให้ยิ่งอยากเข้าใกล้ทายาทหนึ่งเดียวของสุวรรณฤทธิ์ ทว่าตระการก็ระมัดระวังด้วยการไม่ทำตัวเป็นข่าวกับใครสักคน จนแม้แต่นักข่าวที่พยายามจะสร้างภาพของนักบริหารหนุ่มให้เป็นคาสโนว่าเพื่อเติมเต็มความเพ้อฝันของนักซุบซิบทั้งหลายก็คว้าน้ำเหลว

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น...ก็เป็นเพราะนอกจากคนที่ใกล้ชิดกับตระการจริงๆ แล้ว ไม่มีใครได้ล่วงรู้เลยว่าเขาได้มอบหัวใจให้ใครคนหนึ่งไปนับตั้งแต่ก่อนที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้บริหารของเครืออสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ นอกจากนี้ใจดวงนั้นยังมีแต่จะถูกพันธนาการไว้อย่างแน่นหนาด้วยความเต็มใจของเขาเองมากขึ้นทุกวัน...


++------++


ที่โต๊ะอาหารในบ้านสุวรรณฤทธิ์ตอนเช้าตรู่ ตระการนั่งทานอาหารเช้าที่โต๊ะพร้อมกับตฤณโดยมียายแสนคอยยืนดูแลอยู่ไม่ห่าง หลังจากที่จัดการมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อย ตระการก็ยกกาแฟขึ้นดื่มก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้

“ผมไปก่อนนะครับพ่อ วันนี้ต้องออกไปดูไซต์งานที่ปทุมธานีกับคุณใหญ่”

ตระการหมายถึงซีอีโอของบริษัทด้านการออกแบบซึ่งถูกจ้างให้มาดูแลโครงการหมู่บ้านจัดสรรแห่งใหม่ ตฤณจึงถามด้วยเสียงเนือยๆ โดยไม่ละสายตาจากหนังสือพิมพ์ในมือ

“เย็นนี้ก็จะไปสินะ”

คนถูกถามหยิบเนคไทที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาผูกขณะตอบรับ “ครับ คงจะกลับมาวันจันทร์เช้าแล้วตรงเข้าออฟฟิศเหมือนเดิม ถ้าพ่อมีอะไรด่วนระหว่างนี้ก็โทรหาผมก็แล้วกัน”

ผู้สูงวัยกว่ามองตามจนร่างของบุตรชายเดินออกไปจากห้องอาหาร จากนั้นก็วางหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะแล้วยกถ้วยชาขึ้นจิบ ยายแสนที่ยืนรออยู่แล้วจึงเข้ามาเก็บสำรับของตระการเพื่อนำไปล้าง ขณะเดียวกันก็พูดเปรยๆ ไปด้วย

“คุณต้นกับคุณไผ่นี่อดทนดีจริงๆ นะคะคุณท่าน นี่ก็ร่วมปีแล้วที่คุณต้นเธอบินไปๆ มาๆ กรุงเทพฯ – เชียงใหม่ทุกวันหยุด แถมวันธรรมดาก็ทำงานหนักจนกลับดึกดื่นทุกวันอีก ไม่รู้ถ้าเป็นคนอื่นจะขยันได้อย่างนี้หรือเปล่า”

แม้จะไม่รู้รายละเอียดในเชิงลึกว่าตฤณเคยพูดอะไรกับพรพฤกษ์ แต่หญิงวัยกลางคนก็พอจะรู้ว่านายใหญ่ไม่ใคร่ชอบใจในตัวคนรักของตระการซึ่งเป็นลูกชายแท้ๆ ของภรรยาคนที่สองนัก ดังนั้นการที่นายน้อยของเธอต้องทำงานหนักควบกับการเดินทางไกลทุกสุดสัปดาห์เช่นนี้ก็คงจะมีสาเหตุมาจากตฤณอย่างไม่ต้องสงสัย

นายใหญ่ของบ้านสุวรรณฤทธิ์ไม่เอ่ยตอบ เพียงแต่นั่งจิบน้ำชาเงียบๆ ระหว่างที่อีกฝ่ายเดินนำถาดเข้าไปในห้องครัว เมื่อยายแสนเดินกลับมาที่ห้องอาหารอีกครั้งเผื่อจะถูกเรียกใช้ ตฤณก็เอ่ยขึ้นเปรยๆ

“ดูท่าทางฉันจะโดนมองว่าเป็นผู้ร้ายที่ทำให้คู่รักเขาไม่ได้อยู่ด้วยกันอยู่สินะ?”

สายตาเฉียบคมของคนถามที่ปรายตามามองทำให้หัวหน้าแม่บ้านตระหนกเล็กน้อย แต่เพราะความที่ทำงานรับใช้บ้านสุวรรณฤทธิ์มาตั้งแต่ตฤณแต่งงานกับกลอยตาซึ่งเป็นนายหญิงคนแรก ยายแสนจึงค่อนข้างมั่นใจว่าถึงอย่างไรตนก็คงไม่โดนบริภาษอย่างรุนแรงแน่

“อิฉันไม่กล้าหรอกค่ะ เพียงแต่คิดไปก็สงสารคุณต้น คนที่สำคัญกับเธอทุกคนอายุสั้นเหลือเกิน ทั้งคุณกลอยแม่แท้ๆ ทั้งคุณพิมที่เป็นแม่เลี้ยง พอเกิดจะมีคนรักก็ดันไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดเสียอีก อิฉันก็เลยพูดเพราะเห็นใจเธอเท่านั้นล่ะค่ะ”

“ฮึ”

ตฤณทำเสียงขึ้นจมูก แต่ฉับพลันสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ของนายใหญ่บ้านสุวรรณฤทธิ์ก็บิดเบ้ ร่างผอมเกร็งยกมือหนึ่งขึ้นกุมหน้าอกแล้วก็ปิดตาแน่นพลางขบฟันด้วยความเจ็บที่แล่นขึ้นมา ยายแสนเห็นดังนั้นก็รีบถลาเข้าไปหาด้วยความตกใจทันที

“คุณท่าน! เจ็บหน้าอกอีกแล้วหรือคะ!? ให้อิฉันโทรเรียกคุณเกริกมาตรวจไหมคะ?”

“ไม่ต้อง...เดี๋ยวมันก็หาย”

ตฤณเอ่ยพลางบีบมือของยายแสนแน่นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำท่าจะวิ่งไปที่โทรศัพท์ ยายแสนจึงหันกลับมาแล้วก็ทำสีหน้าลำบากใจ

“โธ่...คุณท่าน เดี๋ยวนี้คุณท่านอาการกำเริบบ่อยมากเลยนะคะ แล้วยังไม่ยอมบอกให้คุณต้นรู้อีก”

ตฤณยังขบฟันแน่น ใบหน้าที่ซีดราวกระดาษมีเหงื่อเม็ดละเอียดผุดซึมไปทั่วหน้าผาก ผู้สูงวัยพยายามหายใจเข้าออกยาวๆ เพื่อให้ความเจ็บทุเลาลง จนเมื่อรู้สึกว่าอาการเสียดแน่นที่หน้าอกเริ่มลดลงกว่าในตอนแรก ร่างผอมเกร็งจึงค่อยเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างเหนื่อยล้า

“ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว อาจเพราะเดี๋ยวนี้นอนไม่ค่อยหลับร่างกายมันก็เลยประท้วงเท่านั้นเอง ยังไงอาทิตย์หน้าฉันก็มีนัดต้องไปเจอเกริกที่โรงพยาบาล เดี๋ยวค่อยให้ตรวจทีเดียวตอนนั้นก็ได้”

“แต่ว่า...”

คราวนี้ตฤณเหลือบตามองหัวหน้าแม่บ้านด้วยสายตาที่ไม่ปกปิดความรำคาญ “บอกว่าไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไรสิ ไปเอาน้ำอุ่นกับยามาให้ฉันก็พอ”

ยายแสนมองนายใหญ่ที่หลับตาลงอีกครั้งพลางบังคับลมหายใจให้เป็นปกติทั้งที่มือข้างหนึ่งยังกุมอยู่บนอก จากนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจและตอบรับ แม้ว่าจะไม่สบายใจกับอาการของผู้เป็นนายเลยสักนิด

“เข้าใจแล้วค่ะ”

ตฤณลืมตาขึ้นเมื่อคล้อยหลังหัวหน้าแม่บ้านที่เดินหายเข้าไปในครัว มือข้างที่กุมหน้าอกขยุ้มแน่นขึ้นขณะที่นัยน์ตาทอดมองไปข้างหน้าอย่างครุ่นคิด

แม้จะไม่ต้องให้แพทย์มาช่วยวินิจฉัย นายใหญ่ของสุวรรณฤทธิ์ก็รู้ตัวดีว่าอาการของเขามีแต่จะแย่ลงทุกวัน ถึงแม้ว่าจะปฏิบัติตัวตามที่เกริกแนะนำมาตลอดก็ตาม และจุดวิกฤติของเขาจะมาถึงเมื่อไรก็สุดจะคาดเดาได้ อย่างนานก็อาจจะอีกปีหรือสองปี...แต่ถ้าเลวร้ายกว่านั้น...เขาเองก็ไม่รู้ว่าวันที่ตระการจะได้ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานอย่างเต็มตัวแทนเขาทั้งในทางปฏิบัติและในนามจะมาถึงเมื่อไหร่

ตลอดหนึ่งปีนับตั้งแต่ที่บุตรชายเข้ามาทำหน้าที่บริหารแทน ธุรกิจที่เขาเป็นผู้เริ่มก็ก้าวกระโดดจากอัตราที่เติบโตอย่างสม่ำเสมอในแต่ละปีอยู่แล้วจนน่าตกใจ แต่ตฤณก็ทำตามที่เคยลั่นวาจาไว้จริงๆ ว่าตราบใดที่ตระการไม่ทำหน้าที่บกพร่องก็จะไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวเด็ดขาด และการที่อีกฝ่ายทุ่มเทให้กับสุวรรณฤทธิ์มากขนาดนี้จนเรียกได้ว่าเกินความคาดหมาย แต่ขณะเดียวกันก็เดินทางไปหาพรพฤกษ์ที่เชียงใหม่อย่างสม่ำเสมอก็อาจนับว่าเป็นวิธีแสดงความไม่เห็นด้วยที่เขาไม่ยอมรับพรพฤกษ์ได้สมกับเป็นเจ้าตัวที่สุดเหมือนกัน เพราะตั้งแต่เล็กจนโตนั้นบุตรชายของเขาไม่เคยแสดงความสนใจในการทำธุรกิจมาก่อนเลย

นัยน์ตาของผู้สูงวัยหรี่ลงเมื่อนึกถึงภาพของพรพฤกษ์ในวันที่คุยกับเขาตามลำพังในห้องพยาบาล คำตอบของอีกฝ่ายที่ยอมรับคำขาดของเขาซึ่งตัดกับประกายตาเด็ดเดี่ยวแทบจะซ้อนเป็นภาพเดียวกับแววตาที่เขาเห็นจากบุตรชายบ่อยครั้งในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา เมื่อรวมกับสังขารของเขาที่ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ อย่างสวนทางกับธุรกิจที่กำลังรุ่งเรือง ตฤณก็อดจะตั้งคำถามกับตนเองไม่ได้ว่า ถึงเวลาที่เขาจะต้องปรับเปลี่ยนความคิดใหม่ในบางเรื่องเพื่อทายาทเพียงคนเดียวแล้วหรือไม่...


++------++


ท่ามกลางเสียงเอะอะจอแจภายในร้าน ‘ดื่ม-เล่า’ ในช่วงค่ำของคืนวันศุกร์ พรพฤกษ์ซึ่งกำลังช่วยงานที่หลังเคาน์เตอร์เหลือบดูเวลาบนนาฬิกาแขวนผนัง จากนั้นก็หันไปตบไหล่เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ

“บอย เดี๋ยวพี่ไปสนามบินก่อนนะ”

“อ๋อ ได้ครับพี่ไผ่ คืนนี้พี่ต้นมาไฟลต์ดึกเชียวนะเนี่ย”

พรพฤกษ์ยิ้ม จากนั้นก็เดินออกจากเคาน์เตอร์แล้วแวะลาเพื่อนๆ ที่กำลังนั่งคุยกันอยู่ที่โต๊ะด้านในเนื่องจากวันนี้มีแขกเต็มทุกโต๊ะ เมื่อนรพัฒน์หันมาเห็นจึงเอ่ยทัก

“จะไปรับต้นแล้วเหรอไผ่?”

“อื้อ โทรมาบอกไว้ก่อนแล้วว่าไฟลต์จะมาถึงตอนสี่ทุ่ม กว่าจะไปถึงสนามบินก็คงออกมาจากเครื่องพอดี”

ดิษยะที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโดยมีปฏิมานั่งข้างๆ เอ่ยถามบ้าง “แล้วคืนพรุ่งนี้จะมาร้านกันหรือเปล่า? นี่กูกะจะประกาศเชิญทุกคนมางานหมั้นของกูกับปาล์มตอนขึ้นเล่นบนเวทีเลยนา”

ปฏิมาหันไปเลิกคิ้วมองคนพูด “จะบ้ารึไง!? งานหม้งงานหมั้นอะไรกัน ยังไม่เคยคุยกันเรื่องนี้ซะหน่อย!”

“อ้าว...ไหนๆ สักวันเราก็ต้องแต่งงานกันอยู่แล้วนี่นา ผมก็ประกาศเชิญทุกคนเผื่อไว้ก่อนเลยไม่ดีกว่าเหรอ? หรือว่าปาล์มเขิน?”

นรพัฒน์ฟังแล้วก็ส่ายหน้าด้วยความระอาเพื่อน ส่วนพรพฤกษ์มองปฏิมาที่กำลังทุบดิษยะแล้วก็หัวเราะ นับตั้งแต่ที่เพื่อนของเขาเพียรตามตื๊อหญิงสาวได้ปีกว่า ในที่สุดปฏิมาก็แพ้แรงตื๊อและยอมตกลงคบหากับดิษยะในที่สุดเมื่อครึ่งปีก่อน และตอนนี้ก็ได้ลาออกจากบริษัทเดิมเพื่อมาทำงานนิตยสารที่เชียงใหม่อย่างเต็มตัวโดยเช่าอพาร์ทเม้นต์อยู่ไม่ห่างจากสตูดิโอที่ดิษยะเช่าไว้สอนดนตรี ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะไม่เลิกพฤติกรรมที่ชอบปะทะคารมกันแล้วทำตัวหวานแหววเหมือนคู่รักคู่อื่นๆ แต่พรพฤกษ์ก็นับถือความใจเด็ดของปฏิมาที่ยอมย้ายงานและบ้านมาอาศัยในต่างถิ่นเพื่อจะได้ใช้เวลากับคนที่รักเช่นนี้

ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เขาเองก็ยังไม่มีความกล้าพอที่จะทำ...

ชายหนุ่มรีบปัดความคิดนั้นออกจากหัวอย่างรวดเร็ว “เดี๋ยวขอดูก่อนก็แล้วกัน ถ้าหากแขกที่จองห้องไว้คืนพรุ่งนี้แคนเซิลก็อาจจะมา แต่ถ้ามีแขกมาเข้าพักก็คงมาไม่ได้”

ดิษยะยกแก้วเบียร์ในมือขึ้นแล้วก็ชี้ไปทางพรพฤกษ์ “อย่าใช้งานท่านรองประธานหนักนักล่ะมึง อยู่ที่กรุงเทพฯ ก็เห็นว่างานรัดตัวจะแย่อยู่แล้ว ขึ้นมาเชียงใหม่ก็ยังต้องช่วยแฟนดูแลเกสต์เฮ้าส์อีก กูละนับถือในความอึดจริงๆ นี่ถ้ากูเป็นมึงนะไผ่ กูรักต้นตายเลย”

พรพฤกษ์ย่นจมูก “ไม่ต้องบอกเขาก็รักกันอยู่แล้วล่ะน่า”

คำตอบนั้นเรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนทั้งวง นรพัฒน์มองสีหน้ายิ้มแย้มของพรพฤกษ์แล้วก็ยกมือขึ้นตบไหล่เบาๆ โดยไม่ได้ลุกขึ้นจากเก้าอี้

“งั้นก็รีบไปเถอะไผ่ เดี๋ยวต้นรอนาน พรุ่งนี้จะมาหรือไม่มาก็โทรมาบอกแล้วกัน”

พรพฤกษ์พยักหน้าแล้วก็เดินออกไปจากร้าน เมื่อลับหลังชายหนุ่มแล้ว ปฏิมาจึงค่อยถามขึ้นลอยๆ “เมื่อไหร่สองคนนี้เขาจะได้อยู่ด้วยกันเสียทีนะ”

เหล่าผองเพื่อนต่างรู้ดีว่าตระการไปๆ มาๆ ระหว่างกรุงเทพฯ กับเชียงใหม่แทบทุกอาทิตย์ ขณะเดียวกันก็ทำงานหนักเผื่อขยายรากฐานให้ธุรกิจของบิดาอยู่ที่กรุงเทพฯ แต่กระนั้นนิสัยสุภาพและเป็นมิตรของเจ้าตัวเวลาที่ได้เจอพวกเขาก็ไม่เคยเปลี่ยนไป และแม้ตอนแรกทุกคนจะตั้งคำถามว่าความสัมพันธ์เช่นนี้ของตระการกับพรพฤกษ์จะดำเนินไปได้นานแค่ไหน แต่เมื่อเห็นว่าตระการยังคงเดินทางมาพบพรพฤกษ์อย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งพรพฤกษ์เองก็ดูจะไม่ได้เป็นทุกข์กับการใช้ชีวิตแบบนี้ ความกังวลใจที่มีก็พากันคลายลง และเมื่อผ่านไประยะหนึ่งทุกคนก็เริ่มชินกับตารางเวลาของทั้งคู่ ถึงแม้ว่าในใจจะยังคงเอาใจช่วยให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งย้ายไปอยู่กับอีกฝ่ายเสียที และฝ่ายที่ว่าก็คงไม่พ้นพรพฤกษ์ซึ่งมีภาระต้องดูแลน้อยกว่านั่นเอง

“ไผ่มันก็ไม่เคยเล่าให้ฟังด้วยสิว่าตอนไปเจอพ่อของต้นนั่นเป็นยังไงบ้าง แต่ถ้าผ่านไปด้วยดีก็คงไม่เลือกจะกลับมาทำเกสต์เฮ้าส์ที่นี่ต่อหรอกมั้ง”

ดิษยะเอ่ยตอบพลางพาดแขนข้างหนึ่งอ้อมไปบนไหล่ของปฏิมาแล้วลูบต้นแขนอีกฝ่ายเบาๆ นรพัฒน์ที่เพิ่งจะยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่มจึงวางแก้วลงแล้วทำตาครุ่นคิด

“ก็ไม่แน่ว่าจะมีสาเหตุมาจากเรื่องนั้นเรื่องเดียวหรอก เพราะไผ่ก็คงจะห่วงบ้านนฤมิตรด้วย ถึงยังไงก็เป็นบ้านที่อยู่กับตามาตั้งแต่เด็ก จู่ๆ จะให้ทิ้งไปก็คงทำใจลำบาก”

ดิษยะฟังแล้วก็เอียงคอ จากนั้นก็ใช้มือข้างที่ถือแก้วเบียร์ทำท่าบุ้ยใบ้ไปทางเคาน์เตอร์ซึ่งอยู่เยื้องไปทางด้านหลังของนรพัฒน์

“แล้วมึงล่ะว่าไง?”

“หือ?”

หุ้นส่วนใหญ่ของร้านเลิกคิ้วมองเพื่อนอย่างไม่เข้าใจ ดิษยะจึงยิ่งทำท่าชี้แก้วเบียร์ไปทางหลังเคาน์เตอร์มากขึ้นพร้อมกับทำสีหน้าพยักเพยิดด้วย แต่กลับกลายเป็นว่าการแสดงท่าทางนั้นทำให้คนที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์นึกว่ากำลังถูกเรียก เด็กหนุ่มจึงเดินตรงมาที่โต๊ะพร้อมกับสีหน้ามีคำถาม

“พี่ย่ามจะเอาอะไรเหรอ?”

ดิษยะชักมือที่อ้อมไปโอบไหล่ปฏิมาเมื่อครู่กลับมาแปะบนหน้าผากตัวเองอย่างขัดใจ “เปล่าเว้ย! กูแค่ชี้อะไรให้ไอ้นอดูเฉยๆ ถ้าอยากได้อะไรเดี๋ยวกูเดินไปบอกเอง มึงกลับไปทำงานของมึงไปไอ้บอย”

เด็กหนุ่มเหลือบตาลงสบตากับนรพัฒน์ที่นั่งอยู่ จากนั้นก็เกาศีรษะอย่างงุนงงแล้วเดินกลับไปที่หลังเคาน์เตอร์ ปฏิมาจึงหัวเราะแล้วก็เอาศอกกระทุ้งเอวของดิษยะเบาๆ

“สมน้ำหน้า แทนที่จะพูดออกไปให้ชัดๆ ก็หมดเรื่อง หน้าแตกเลยเห็นไหมล่ะ?”

นรพัฒน์ยังแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ “ตกลงมึงอยากบอกอะไรกูเหรอย่าม?”

ดิษยะเหล่ตาใส่เพื่อนด้วยความหมั่นไส้ “เอ๊ออ ทำเป็นอินโนเซนต์เข้าไป มัวแต่ห่วงคนอื่นจนเพื่อนๆ มึงมีแฟนกันหมดแล้ว ของตัวเองล่ะเมื่อไหร่จะรุกเสียที หรือกลัวจะโดนหาว่าเป็นสมภารกินไก่วัด?”

นรพัฒน์หัวเราะพลางยกเบียร์ขึ้นดื่ม เพราะเขารู้ดีตั้งแต่ตอนที่ดิษยะทำท่าบุ้ยใบ้ไปที่เคาน์เตอร์ตอนแรกแล้วว่าต้องการจะสื่ออะไร

“บอยยังเรียนไม่จบเลย จะรีบไปคาดคั้นเอากับน้องมันทำไม ทำงานด้วยกันไปแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว”

หนุ่มเคราเฟิ้มจุ๊ปาก “หมดเทอมนี้มันก็เรียนจบแล้ว หรือมึงต้องรอให้มันรับปริญญาแล้วลาออกไปทำงานประจำก่อนถึงค่อยจีบวะ จะว่าไปมึงน่ะความอดทนสูงสุดที่กูเคยเห็นมาแล้วมั้ง เอาแต่มองเฉยๆ ไม่จีบ ไม่พูด ไม่ทำแป๊ะอะไรสักอย่างทั้งที่เห็นหน้ามันทุกวันจนจะสี่ปีแล้วเนี่ย”

นรพัฒน์เพียงแต่อมยิ้มก่อนจะหันกลับไปมองคนที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ เด็กหนุ่มที่กำลังถูกพาดพิงถึงดูจะไม่รู้ตัวสักนิดว่ากำลังถูกจับจ้องเพราะมัวแต่ยืนผสมเครื่องดื่มอย่างขะมักเขม้น ผิวขาวจัดถูกแสงไฟสีส้มอ่อนบริเวณเหนือเคาน์เตอร์ฉาบย้อมจนเรื่อเรืองเป็นสีทอง ชายหนุ่มส่ายหน้าให้กับความคิดของตัวเองแล้วก็หันกลับมาหาเพื่อนอีกครั้ง

“เอาน่ะ กูมีไทม์ลิมิตของกู เดี๋ยวถึงเวลาสมควรเมื่อไหร่ก็รู้เอง”


++------++
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-01-2011 12:48:26 โดย bellbomb »

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ภายในห้องนอนของเกสต์เฮ้าส์บนเชิงเขานอกตัวเมืองเชียงใหม่ แสงจันทร์เต็มดวงที่ส่องผ่านหน้าต่างมุ้งลวดช่วยกระจายความสลัวละมุนตาในห้องที่ปิดไฟมืด ทว่าแม้เข็มนาฬิกาจะชี้บอกว่าได้ผ่านเข้าสู่วันใหม่แล้ว ร่างของชายหนุ่มสองคนที่ขึ้นไปบนเตียงตั้งแต่หนึ่งชั่วโมงก่อนกลับยังเคลื่อนไหวเป็นจังหวะที่สอดประสาน เรือนร่างอันเปลือยเปล่าถ่ายทอดความคะนึงหาในกันและกันผ่านคำหวานและความร้อนรุ่มของผิวกายชื้นเหงื่อ จวบจนเวลาล่วงเลยไปครู่ใหญ่ ตระการจึงก้มลงจูบหัวไหล่ของพรพฤกษ์ที่ระบายลมหายใจยาวแล้วค่อยถอยร่างออกจากอีกฝ่ายอย่างช้าๆ

“คิดถึงไผ่จัง”

ร่างสูงใหญ่เอ่ยพลางก้มลงไล้ปลายลิ้นที่ซอกคอชื้นเหงื่อของพรพฤกษ์จนชายหนุ่มจั๊กกะจี้ เจ้าของบ้านนฤมิตรหัวเราะในคอก่อนจะพลิกตัวนอนหงายแล้วยิ้มให้อีกฝ่าย

“คิดถึงต้นเหมือนกัน ไม่ได้เจอกันตั้งสองอาทิตย์นี่นา”

“ขอโทษนะที่อาทิตย์ที่แล้วมาไม่ได้เพราะติดงานด่วน”

ตระการนอนคร่อมพรพฤกษ์โดยยันตัวไว้บนข้อศอกเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรับน้ำหนักเขามากเกินไป ชายหนุ่มใช้มือหนึ่งเกลี่ยผมที่ชื้นเหงื่อออกจากหน้าผากเนียนให้ คนที่นอนอยู่ข้างล่างจึงหลับตาลงแล้วส่ายหน้า บนมุมปากยังมีรอยยิ้มแตะแต้มบางเบา

“ไม่เป็นไรหรอกน่า เคยบอกแล้วนี่ว่าอยากให้ต้นมาแบบไม่ต้องกังวลเรื่องงาน ไม่อย่างนั้นก็จะเอาแต่พะวักพะวนแล้วไม่มีความสุขซะเปล่าๆ”

ตระการยิ้มเมื่อได้ยินคำตอบ จากนั้นก็ก้มจูบหน้าผากของพรพฤกษ์แล้วพลิกตัวลงนอนตะแคงข้างๆ มือใหญ่ข้างหนึ่งยกขึ้นเสยผมที่ลงมาปรกหน้าผากตัวเองขึ้นไป “เหนียวเหงื่อไปทั้งตัวเลย ไผ่อยากอาบน้ำก่อนมั้ย?”

พรพฤกษ์ลืมตาขึ้น แต่ว่าไม่ได้หันไปหาคนถาม “…อืม...อีกสักแป๊บก็แล้วกัน คืนนี้ลมเย็นดี ขออยู่แบบนี้ก่อน”

ตระการพยักหน้าแล้วก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างของทั้งสองจนถึงช่วงเอว เพราะแม้ว่าลมเย็นที่โชยเข้ามาทางหน้าต่างจะช่วยทำให้รู้สึกสบายผิวเพียงไร แต่ถ้าหากนอนตากลมนานๆ ทั้งที่ไม่ได้สวมเสื้อผ้าก็อาจทำให้ทั้งคู่เป็นหวัดเอาได้

หลังจากความเงียบอันอ่อนโยนดำเนินไปครู่ใหญ่ ตระการก็ชันตัวขึ้นบนศอกข้างหนึ่งพลางใช้มืออีกข้างเกี่ยวปอยผมของพรพฤกษ์ขึ้นม้วนเล่น

“ไผ่...”

“หือ?”

พรพฤกษ์ที่ทำท่าเหมือนกำลังจะเคลิ้มหลับเอ่ยตอบ นัยน์ตาสีนิลเหลือบขึ้นสบตากับนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่มองเห็นได้ลางเลือนใต้แสงจันทร์นวล

“เดี๋ยวต้นเดือนหน้า...ที่บริษัทจะจัดงานเลี้ยงฉลองที่ผลประกอบการทะลุหมื่นล้าน ไผ่จะมาร่วมงานได้มั้ย?”

คำถามนั้นทำให้พรพฤกษ์กะพริบตาปริบๆ ความง่วงงุนที่มาเยือนเมื่อครู่ค่อยๆ สลายไปทีละน้อย

“...ต้องไปด้วยเหรอ?”

พรพฤกษ์ถามหลังจากมองตาคนชวนอยู่นาน ตระการจึงยิ้มให้ “มันเป็นงานเลี้ยงใหญ่เพราะว่าครบรอบวันก่อตั้งด้วยน่ะ แล้วก็จะเชิญแขกสำคัญมาหลายคนทั้งผู้ถือหุ้นแล้วก็พวกพาร์ทเนอร์ แล้วต้นก็ต้องขึ้นไปพูดเกี่ยวกับผลงานที่ผ่านมาบนเวทีด้วย ต้นอยากให้ไผ่ไปอยู่ตรงนั้น…ไปฉลองความสำเร็จของเราด้วยกัน”

พรพฤกษ์สบตาของตระการที่ยังคงจ้องเขาอย่างแน่วนิ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ พลิกตัวนอนคว่ำแล้วก้มหน้าลง ร่างเพรียวระบายลมหายใจยาวออกมาทีหนึ่งขณะชั่งน้ำหนักของคำชวนในใจ

“ที่ว่าแขกสำคัญมากันหมด...พ่อของต้นก็คงมาด้วยสินะ?”

ชายหนุ่มพูดเปรยๆ แม้จะรู้ดีว่ากำลังถามคำถามที่แสนจะไร้สาระออกไป เพราะในเมื่อตฤณคือผู้ที่ก่อร่างสร้างฐานให้สุวรรณฤทธิ์และยังดำรงตำแหน่งประธานกรรมการแม้จะเพียงในนาม การที่อีกฝ่ายจะมาร่วมฉลองให้กับความสำเร็จของบุตรชายก็เป็นเรื่องที่พึงกระทำอยู่แล้ว

“อืม...แต่ไม่ต้องห่วงหรอก พ่อเขาก็เคยบอกไผ่นี่ว่าจะทำเป็นปิดหูปิดตาเรื่องของพวกเรา อีกอย่างต้นทำงานให้จนได้ผลกำไรขนาดนี้ พ่อเขาว่าอะไรไม่ได้อยู่แล้วล่ะ”

ตระการพูดพลางลูบแผ่นหลังของพรพฤกษ์ขึ้นลงเบาๆ เหมือนจะให้กำลังใจ พรพฤกษ์จึงระบายลมหายใจยาวอีกครั้ง เขารู้ดีมาตลอดว่าที่ตระการมุทำงานหนักมาตลอดหนึ่งปีกว่านี้ นอกจากเพราะต้องการสร้างผลงานให้เหล่ากรรมการบริหารคนอื่นๆ เลิกกังขาในความสามารถแล้ว ที่สำคัญก็เพื่อแสดงผลงานให้ตฤณเห็นเพื่อจะได้ตำหนิเรื่องที่มาคบกับเขาไม่ได้ด้วย

หากมองในแง่นี้...เขาเสียอีกที่อาจจะต้องขอบคุณตระการมากยิ่งกว่าผู้ถือหุ้นของบริษัทรายไหนๆ...เพราะท้ายที่สุดแล้วอีกฝ่ายตั้งใจทำทุกอย่างก็เพื่อเขาเพียงคนเดียว การที่อีกฝ่ายบอกว่าอยากให้เขาไปร่วมฉลอง ‘ความสำเร็จของเรา’ คือหลักฐานที่ชัดเจนยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

“ไผ่?”

ร่างสูงใหญ่เรียกซ้ำอย่างขอคำตอบ พรพฤกษ์จึงหันไปหาคนเรียก จากนั้นก็ยกยิ้มบางๆ ให้

ในเวลาที่คนที่รักประสบความสำเร็จแบบนี้...เขาก็ควรจะไปให้กำลังใจสินะ...

“เข้าใจล่ะ ถ้างั้นจะได้เร่งแปลงานด่วนทั้งหลายให้เสร็จก่อนลงไปกรุงเทพฯ แต่ว่าต้นคงต้องออกค่าชุดสูทสำหรับใส่ไปงานให้นะ เพราะว่าไม่เคยซื้อเก็บเอาไว้สักชุด”

คำตอบที่อยากได้ยินทำให้ตระการยิ้มกว้าง ร่างสูงใหญ่ดึงตัวพรพฤกษ์เข้าไปกอดแน่นแล้วก็หอมแก้มแรงๆ อย่างดีใจ

“เรื่องแค่นั้นไม่มีปัญหา ไผ่อยากได้สีไหนแบบไหนไปชี้หรือสั่งตัดได้เลย ให้ต้นซื้อให้สักโหลนึงก็ยังได้”

พรพฤกษ์หัวเราะกับคำตอบนั้นและโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโดนอีกฝ่ายตะโบมจูบไปทั้งหน้า ชายหนุ่มหอบเพราะหัวเราะหนักจนอกกระเพื่อม แต่เมื่อถูกปลายนิ้วแข็งแรงเลื่อนลงไปลูบที่ร่างกายด้านล่าง นัยน์ตาสีนิลก็เหลือบขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างมีคำถาม

“ไหนเมื่อกี้บอกว่าอยากไปอาบน้ำไม่ใช่เหรอ?”

ตระการมองตอบแววตาของพรพฤกษ์ด้วยยิ้มซุกซน จากนั้นก็ก้มลงใช้ปลายจมูกดุนกับปลายจมูกของคนถามอย่างมันเขี้ยว พรพฤกษ์สะดุ้งเมื่อถูกดึงมือให้ไปสัมผัสกับความต้องการของอีกฝ่ายที่กำลังตื่นตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม

“เมื่อกี้ก็ตั้งใจจะไปอาบอยู่ แต่เอาไว้หลังจบยกนี้แล้วค่อยไปอาบด้วยกันก็ได้”


++------++


ค่ำคืนนั้น หลังจากที่ตระการอุ้มพรพฤกษ์เข้าไปอาบน้ำแล้ว ทั้งสองก็ใส่ชุดนอนแล้วเอนหลังลงบนเตียงด้วยกัน ฝ่ายผู้มาเยือนนั้นนอนหลับไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่เจ้าของบ้านยังนอนมองเพดานเงียบๆ บางทีก็จะหันไปทางคนที่กำลังนอนหายใจสม่ำเสมออยู่ข้างๆ บ้าง

คำชวนของตระการเป็นสาเหตุเดียวที่ทำให้เขายังนอนไม่หลับ...

พรพฤกษ์นอนนับวันในใจ การที่บริษัทของตระการจะจัดงานฉลองในต้นเดือนหน้าก็เท่ากับเขามีเวลาอีกสัปดาห์กว่าๆ ในการเตรียมตัวไปพบกับตฤณ และเขาก็ไม่สามารถหลอกตัวเองได้ว่าไม่รู้สึกหนักใจกับการต้องไปพบฝ่ายนั้นอีกครั้ง

นับตั้งแต่กลับมาเชียงใหม่หลังจากไปไหว้กระดูกแม่ที่บ้านของตระการ พรพฤกษ์ก็ไม่เคยเดินทางลงไปกรุงเทพฯ อีกเลย แม้จะตระหนักดีว่าเขาเห็นแก่ตัวด้วยการปล่อยให้อีกฝ่ายต้องเหนื่อยกับการเดินทางอยู่คนเดียว แต่พรพฤกษ์ก็อยากทำเป็นลืมเสียว่าเขาพบเจออะไรบ้างระหว่างการเดินทางครั้งนั้น จึงพยายามหลีกเลี่ยงที่จะไปหาตระการก่อนตลอดมา และนับเป็นโชคดีที่อีกฝ่ายก็ไม่เคยเซ้าซี้ให้เขาเป็นฝ่ายไปหาที่กรุงเทพฯ เลยสักครั้ง

ถ้าจะมีเรื่องเดียวที่ตระการเพียรตื๊อจนเขาเบื่อจะนับครั้ง...ก็เห็นจะเป็นเรื่องที่เจ้าตัวเปรยความในใจที่อยากให้เขาไปอยู่ด้วยกันที่กรุงเทพฯ เพียงแต่อีกฝ่ายก็ฉลาดพอที่จะไม่เอ่ยขอออกมาตรงๆ ให้เขาปฏิเสธได้เต็มปากเต็มคำ เพียงแต่เลือกใช้คำพูดที่เหมือนพูดลอยๆ ให้เขาตีความเอง แต่เขาก็รู้ว่าตระการต้องรู้แน่นอนว่าเขาเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ และเพราะรู้ว่าตระการตั้งใจแบบนั้น ดังนั้นเมื่อไหร่ที่เจ้าตัวพูดเรื่องทำนองว่าถ้าเขาไปอยู่กรุงเทพฯ แล้วจะหาซื้ออะไรได้สะดวกอย่างไร ทั้งคู่ก็จะได้เล่นเกมเอาเถิดเจ้าล่อกันตลอดเวลา เพราะเขาก็จะแกล้งเฉไฉไปเรื่องอื่น ขณะที่ตระการก็จะพยายามดึงกลับมาเรื่องเดิมแบบอ้อมๆ ไปเสียทุกครั้ง

พรพฤกษ์พลิกตัวนอนตะแคงแล้วหันหน้าไปหาคนข้างตัว สายตาที่ชินกับความมืดบวกกับแสงจันทร์ทำให้พอจะมองเห็นใบหน้าของตระการได้เลือนลาง แต่ความสลัวก็ทำให้ไม่สามารถเห็นรอยคล้ำจางๆ ใต้ตาทั้งสองข้างได้ชัดเหมือนตอนที่เขาไปรับเจ้าตัวที่สนามบิน และถึงแม้จะไม่ได้เอ่ยทักขึ้นมา ก็ไม่ได้หมายความว่าพรพฤกษ์จะไม่สังเกตเห็นว่าตระการผอมลงไปกว่าตอนที่เจอกันครั้งที่แล้วเล็กน้อย

คงทำงานหนักมากสินะต้น...ทั้งเพื่อพิสูจน์ตัวเองให้พ่อกับทุกคนได้เห็น...ทั้งเพื่อให้เราสองคนได้ใช้เวลาด้วยกันแบบนี้ด้วย...

ชายหนุ่มยกมือขึ้นแตะที่แก้มอีกฝ่ายเบาๆ จู่ๆ ก็แน่นหน้าอกขึ้นมาเมื่อตระหนักว่าตระการอุทิศตัวเองมากแค่ไหนเพื่อรักษาความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งคู่เอาไว้ จึงขยับตัวเข้าไปซุกกับอกของอีกฝ่ายแล้วก็ระบายลมหายใจยาว การเคลื่อนไหวนั้นทำให้ตระการสะลึมสะลือขึ้นมาวูบหนึ่งแล้วก็รั้งตัวเขาเข้าไปกอด พรพฤกษ์จึงยกมือขึ้นกอดเอวอีกฝ่ายตอบก่อนจะหลับตาลง

ถึงแม้เขาจะได้ยินอะไรที่ทำร้ายจิตใจหลังได้พบตฤณอีกก็ช่างเถิด...ถ้าหากการที่เขาไปร่วมงานฉลองครั้งนี้มีความหมายกับตระการ เขาก็ยินดีที่จะไป...


++---tbc---++


เจอกันตอนหน้า สัปดาห์หน้า (แต่ไม่รับประกันว่าเป็นวันจันทร์) เด้อค่าเด้อ  :z13:

ออฟไลน์ indy❣zaka

  • กระซิกๆ เบื่อดราม่า...
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4582
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +625/-26
^
^
^
จิ้ม จึ้กกกกกกก  :z13:
เมื่อไหร่จะได้ลีฟทูเก็ทเตอร์ด้วยกันแบบจริงจังๆสักที  :serius2:
ตอนนี้ก็หวานแล้ว แต่อยากให้หวานแบบล้วนๆไม่มีความขมเจือมาค่ะ  :sad4: รอๆ   :monkeysad:

จิ้มล่างอีกจึ้กกกกกก  :z13: อิอิ  :laugh:
v
v
v
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-01-2011 13:29:40 โดย ZakuPz »

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
^
^
อุ๊บส์ โดนจิ้ม อิอิ

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
555 ดีใจจริงได้อ่านตอนใหม่ต่อเลย

แ่ต่ว่า อ่านแล้วเหนื่อยแทนต้นนะ ทั้งทำงานทั้งวิ่งรอกขึ้นเชียงใหม่ สงสัยที่แท้ต้นเป็น Superman แน่ๆ เลย เก่งมากกกกกกกก
หวังว่า คุณพ่อ คงเปิดใจยอมรับมากขึ้นนะ

ปล. สวัสดีปีต่ายน้อยเหมือนกันค่ะ  :mc4:

yayee2

  • บุคคลทั่วไป
คุณพ่อตฤณ สงสารลูกบ้างนะคร้าบ ทำงานหนักจนผอมซะ
หลังจากปิดหูปิดตาแล้วก็ เปิดอกเปิดใจให้กว้างด้วยนะคะคุณตฤณ
เอาใจช่วยต้น+ไผ่ ให้ได้อยู่ด้วยกันจริงๆแบบไม่มีอะไรขวางกั้น

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26

pinkky_kiku

  • บุคคลทั่วไป
เอาใจช่วยทั้งคู่เลย  :เฮ้อ: :เฮ้อ: ลุ้นเหนื่อยหล่ะ อิอิ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






lasom

  • บุคคลทั่วไป
ผู้ชายดีๆแบบต้นยังเหลือสักคนมั้ยค่ะป้า อยากได้มากมาย :-[

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ผู้ชายดีๆแบบต้นยังเหลือสักคนมั้ยค่ะป้า อยากได้มากมาย :-[

อยากได้เหมือนกันค่ะคุณ lasom อาไร้จาหายากหาเย็นปานน้านน ขอบคุณนะคะที่มาติดตามเรื่องนี้ด้วย   :man1:

สำหรับตอนใหม่ ถ้าไม่มาวันจันทร์ก็วันอังคารนะคะทุกโคนนนน จุ๊บๆ
   :impress2:

ออฟไลน์ som

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2708
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +230/-2
มารอในวันจันทร์ด้วยเหมือนกัน

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
^
^
แหะๆ ขอกระมิดกระเมี้ยนเลื่อนเป็นพรุ่งนี้นะคะ ยังปั่นไม่เสร็จง่า T^T ระหว่างนี้ไปอ่านเรื่องสั้นอีกเรื่องคั่นเวลาก่อนน้า เพิ่งโพสต์สดๆ ร้อนๆ เลย เรื่องนี้ค่า ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก

พรุ่งนี้จะพยายามรีบเอาตอนต่อมาลงให้เร็วที่สุดค่า รอกันหน่อยเด้อ ฮึบๆๆ
   :z10:

ออฟไลน์ evilheart

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-3
อ่านทันแล้ว
ต้นไผ่รักกันได้มั่นคงมาก
ความอดทนหลายปีที่ผ่านมา คงจะทำให้พ่อสามีเห็นใจได้บ้างนะ
รอตอนใหม่เด้อน้องริน

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
หลังจากเลื่อนไปอีกวัน ตอนใหม่ก็ได้มาลงกันเสียทีค่ะ รู้สึกเขินเล็กน้อยถึงปานกลาง แต่ว่ามาช้าดีกว่าไม่มา หรือมาช้ายิ่งกว่านี้ ชิมิๆ  :o8:

สำหรับตอนนี้ก็...ยังไม่ใช่ตอนจบอีกแล้ว ฮา แบบว่าเนื้อเรื่องช่วงท้ายนี้ดำเนินไปต่างจากที่เคยคิดไว้นิดหน่อย เวลาเขียนก็เลยต้องใช้ขมองอิ่มคิดถึงตอนต่อไปล่วงหน้าด้วย มันเลยใช้เวลาเขียนนานขึ้นน่ะค่ะ (จริงๆ แล้วคือใช้เวลานั่งจ้องหน้าจอเปล่าๆ สลับเช็ค facebook เป็นชั่วโมง แต่พอได้ไอเดียทีก็จะพิมพ์ไหลพรวดเดียว) หวังว่าได้อ่านแล้วคงหายคิดถึงกันไปได้อีกสักสัปดาห์นึงน้า แล้วพบกันตอนใหม่วันจันทร์ / อังคารหน้าค่า (ไม่วันใดก็วันนึงนะล่ะ ฮิๆๆ)
   :laugh:

++------++


31.


ในชั่วโมงหัวเลี้ยวหัวต่อก่อนที่ยามเย็นจะแปรเป็นยามค่ำของวันเสาร์ ผืนฟ้าส่วนใหญ่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเทาแกมน้ำเงิน โดยที่ขอบฟ้าด้านล่างยังมีริ้วสีส้มแดงแขวนอยู่เบาบาง บ่งบอกให้รู้ว่าแสงอาทิตย์สุดท้ายของวันกำลังจะหมดลงในไม่ช้า

พรพฤกษ์ยืนมองความเปลี่ยนแปลงของสีสันบนผืนฟ้าจากภายในห้องพักบนชั้นยี่สิบของโรงแรม เนื่องจากงานเลี้ยงฉลองในวาระครบรอบการก่อตั้งของเครือสุวรรณฤทธิ์จะมีขึ้นในคืนนี้ เขาจึงต้องเดินทางลงมาจากเชียงใหม่ตั้งแต่ช่วงสายของเมื่อวาน แล้วก็เข้าพักในโรงแรมเดียวกับสถานที่จัดงานเพื่อเลี่ยงการเข้าไปที่บ้านสุวรรณฤทธิ์ เพราะแม้จะตระหนักดีว่าถึงอย่างไรก็เลี่ยงการพบปะกับตฤณไม่พ้น เขาก็ยังไม่อยากเพิ่มเวลาที่ได้อยู่ในสายตาของฝ่ายนั้นอยู่ดี

ชายหนุ่มยืนอยู่กับที่ได้ครู่หนึ่ง เสียงเปิดประตูห้องน้ำก็เรียกให้หันหลังกลับไป ค่ำคืนที่ผ่านมาตระการมาค้างที่โรงแรมกับเขาด้วย เมื่อเช้าทั้งคู่ออกไปไหว้พระที่วัดพระแก้วด้วยกัน จากนั้นก็ทานข้าวกลางวันก่อนจะกลับมาที่โรงแรมเพื่อเตรียมตัวตั้งแต่ช่วงบ่าย ร่างสูงใหญ่ที่เพิ่งเดินออกจากห้องน้ำหันไปหยิบเสื้อสูทที่แขวนอยู่ในตู้ออกมาสวม จากนั้นก็เช็คเวลาจากนาฬิกาข้อมือแล้วหันมาหาพรพฤกษ์

“พร้อมหรือยังไผ่?”

“อื้อ ก็คงไม่พร้อมไปกว่านี้ได้อีกแล้วล่ะ”

พรพฤกษ์ตอบพลางเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วหันกลับไปมองฟ้าภายนอกเช่นเดิม ตระการฟังคำตอบแล้วก็ยิ้ม ร่างสูงใหญ่สาวเท้าไปหาคนที่ยืนหันหลังให้แล้วก็จับให้หมุนตัวกลับมาหา

“ไหนดูซิ...สูทชุดนี้เข้ากับไผ่จริงๆ ด้วย”

ตระการเอ่ยชมพลางช่วยจับคอปกเสื้อและดึงสูทของพรพฤกษ์ให้เรียบ พรพฤกษ์จึงเหลือบตาลงมองตัวเองซึ่งอยู่ในสูทสีน้ำเงินเข้มแบบสองกระดุมและเข้ารูปเล็กน้อยช่วงเอว เนื้อผ้ามีการเดินลายทางเส้นเล็กๆ ด้วยไหมสีน้ำเงินคนละเฉดกับเนื้อผ้า ส่วนเนคไทเป็นผ้าไหมเงามันสีเทาเหลือบม่วงอ่อนกับเชิ้ตสีขาวซึ่งตระการเลือกให้ทั้งหมด ซึ่งต่างกับอีกฝ่ายที่ใส่สูทสีดำ เชิ้ตตัวในเป็นสีครีมและเนคไทเป็นผ้าไหมสีน้ำเงิน ทรงของสูทไม่เข้ารูปตรงเอวเหมือนกับของพรพฤกษ์และเสริมช่วงไหล่มากกว่า แต่ดูแล้วเสริมความภูมิฐานและดูเหมาะสมกับตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง

“แหงล่ะสิ คนใส่แทบไม่ได้เลือกอะไรเองเลยนี่นา”

พรพฤกษ์เหลือบตากลับขึ้นมองตระการพร้อมกับตอบอย่างหมั่นไส้หน่อยๆ เพราะว่าหลังจากที่เขาตอบรับว่าจะมาร่วมงานเลี้ยงคราวนี้ด้วยเมื่อคืนวันศุกร์ที่แล้ว อีกฝ่ายก็โทรให้ช่างจากร้านสูทที่ใช้บริการประจำบินจากกรุงเทพฯ ขึ้นไปวัดตัวเขาและเอาแคทตาล็อกแบบชุดสูทไปให้เลือกที่บ้านนฤมิตรตั้งแต่วันอาทิตย์ จากนั้นตระการก็ยังช่วยเจ้ากี้เจ้าการเลือกแบบกับเนื้อผ้าให้โดยที่เขาแทบจะไม่ได้ออกความเห็น ถึงแม้พรพฤกษ์จะรู้ว่าห้องเสื้อดังๆ มีบริการวัดตัวเพื่อตัดสูทให้นอกสถานที่ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าที่ถึงกับให้ช่างจากร้านที่กรุงเทพฯ บินไปหาเขาที่เชียงใหม่นี่ก็ค่อนข้างสุดโต่งไปหน่อย แต่นับว่าร้านที่ตระการเลือกใช้บริการก็มีฝีมือจริงๆ เพราะหลังจากเขามาถึงกรุงเทพฯ เมื่อวานและอีกฝ่ายพาไปลองสูทที่ตัดเสร็จแล้ว ก็ปรากฏว่าเขาได้ชุดที่ตัดเย็บอย่างประณีตและพอดีตัวโดยที่ไม่ต้องปรับแก้เลย

ตระการฟังแล้วก็หัวเราะ จากนั้นก็ดึงข้อมือพรพฤกษ์แล้วจูงไปที่ประตูห้อง “ถ้างั้นก็ไปห้องจัดงานกันเถอะ ป่านนี้คงเริ่มมีคนมากันแล้ว เมื่อกี้อาวีก็โทรมาบอกว่ามาถึงแล้วเหมือนกัน”

พรพฤกษ์ได้รู้ว่าวรชัยมาด้วยก็สบายใจขึ้น เพราะงานเลี้ยงในคืนนี้เป็นแบบนั่งโต๊ะ ไม่ใช่งานแบบค็อกเทลที่เขาสามารถเดินไปเดินมาได้ พรพฤกษ์จึงจำเป็นต้องนั่งโต๊ะเดียวกับตระการซึ่งตฤณก็จะนั่งด้วยอย่างไม่มีทางเลือก การได้รู้ว่าวรชัยซึ่งเป็นมิตรกับเขาจะนั่งที่โต๊ะเดียวกันทำให้พรพฤกษ์ใจชื้นขึ้น ไม่เช่นนั้นช่วงไหนที่ตระการต้องขึ้นไปพูดหรือมอบรางวัลให้พนักงานบนเวทีเขาคงจะอึดอัดแน่ๆ

ทั้งคู่ขึ้นลิฟต์จากชั้นห้องพักไปยังห้องจัดงานซึ่งอยู่บนชั้นสามสิบห้า บริเวณโถงด้านหน้าห้องจัดงานมีโต๊ะลงทะเบียนสำหรับแขกเหรื่อซึ่งกำลังทยอยกันมา และมีซุ้มถ่ายภาพที่ระลึกพร้อมกับป้ายแสดงความยินดีในวาระครบรอบและฉลองความสำเร็จของผลประกอบการที่ทะลุหมื่นล้าน อารยาซึ่งเป็นเลขาของตระการและวันนี้ใส่ชุดกระโปรงสีเบจหันมาเห็นทั้งคู่จากโต๊ะลงทะเบียนจึงรีบเดินเข้ามาหา

“คุณต้น คุณไผ่ สวัสดีค่ะ เอ๋กำลังรอจะพาไปที่โต๊ะอยู่เชียว คุณตฤณกับพวกคุณวีอยู่ด้านในกันแล้ว จะเข้าไปกันเลยไหมคะ?”

“ก็ดีเหมือนกัน ผมยังไม่อยากถ่ายรูปตอนนี้”

ตระการเอ่ยพลางเหลือบตามองพรพฤกษ์ อารยาจึงพยักหน้าแล้วก็เดินนำทั้งคู่ไปยังประตูด้านข้างของห้องบอลรูม

“งั้นเดี๋ยวเราเข้าประตูข้างดีกว่าค่ะ จะได้เดินเข้าไปที่โต๊ะได้ง่ายหน่อย เพราะถ้าเข้าทางประตูหน้าเลยคุณต้นต้องโดนแขกยึดตัวไว้ถ่ายรูปแน่ๆ”

พรพฤกษ์ฟังแล้วก็อดขำและชื่นชมความรู้ใจนายของเลขาสาวไม่ได้ หลังจากนำทั้งคู่เข้าไปด้านในแล้ว อารยาก็ผายมือไปทางโต๊ะที่อยู่ตรงกลางด้านหน้าเวที “โต๊ะที่มีป้ายเขียนว่าวีไอพี 1 ค่ะคุณต้น อยู่ตรงกลางหน้าเวทีเลย เดี๋ยวเอ๋ขอตัวไปดูแลจุดลงทะเบียนก่อนนะคะ”

“เดี๋ยวคุณเอ๋จะมานั่งกับพวกผมหรือเปล่าครับ?”

พรพฤกษ์ถาม เนื่องจากหญิงสาวเป็นอีกคนเดียวที่เขารู้จักในบริษัทนี้นอกจากวรชัย อารยาจึงรีบยกมือทั้งสองขึ้นโบกเป็นพัลวัน

“อุ้ย! เอ๋นั่งกับพวกท่านประธานไม่ได้หรอกค่ะ โต๊ะของเอ๋จะอยู่กับพวกเลขาของคณะกรรมการท่านอื่น แต่กว่าจะได้เข้ามานั่งก็คงต้องช่วยพวกพีอาร์ดูความเรียบร้อยหน้างานให้เสร็จก่อน ยังไงสู้ๆ นะคะคุณไผ่”

หญิงสาวเอ่ยแล้วก็เดินออกไปจากประตูข้างที่เดินนำพวกเขาเข้ามา พรพฤกษ์รู้สึกงงนิดหน่อยตรงที่อีกฝ่ายบอกเขาว่าให้ “สู้ๆ” แต่ก็เดาเอาว่าคงหมายถึงการที่เขาต้องไปเจอตฤณ พอชายหนุ่มเหลือบตาขึ้นก็เห็นตระการกำลังยิ้มขำ

“ยิ้มอะไรต้น?”

“ก็...เปล่า...แต่เห็นไหมล่ะว่าไผ่มีบุคลิกที่คนชอบง่ายจริงๆ ด้วย ขนาดเอ๋เขาได้เจอไผ่ไม่เท่าไหร่ยังชอบเลย”

พรพฤกษ์ยิ้มแล้วก็ส่ายหน้า แต่ว่าไม่ได้พูดอะไรและเพียงแต่เดินตามตระการไปที่โต๊ะ เพราะใครจะบอกได้ว่าอารยาชอบเขาจริงๆ หรือเพียงแต่สุภาพด้วยเพราะเห็นว่าเป็นคนสำคัญของเจ้านาย แม้เขาจะค่อนข้างแน่ใจว่ารอยยิ้มที่หญิงสาวมอบให้เวลาพบกันจะดูจริงใจเกินกว่าจะเสแสร้งก็ตาม

รอยยิ้มของชายหนุ่มค่อยจางลงเมื่อเดินเข้าไปใกล้โต๊ะที่อารยาบอกเมื่อครู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นร่างผอมสูงในชุดสูทสีครีมซึ่งนั่งหันหลังให้ แม้ว่าจะยังไม่เห็นหน้าชัดๆ แต่แผ่นหลังที่ตั้งตรงอย่างผู้ที่ไม่ยอมก้มหัวให้ใครก็ทำให้เขารู้ตัวตนของคนที่นั่งอยู่ได้ทันที

“สวัสดีครับพ่อ สวัสดีครับอาวี อาดาว”

เสียงทักทายของตระการทำให้คนทั้งสามซึ่งนั่งที่โต๊ะอยู่แล้วหันมา พรพฤกษ์จึงสังเกตเห็นว่าข้างๆ วรชัยมีหญิงวัยกลางคนดูท่าทางภูมิฐานแต่นัยน์ตาอ่อนโยนนั่งอยู่ด้วย จึงเดาว่าคงเป็นภรรยาของเจ้าตัว เขาจึงยกมือทำความเคารพทุกคนบ้าง

“สวัสดีครับ คุณ..ตฤณ คุณวี คุณดาว”

พรพฤกษ์รู้สึกเหมือนตัวเองได้สบตากับตฤณแวบหนึ่ง แต่ก็ไม่แน่ใจนักเพราะวูบเดียวอีกฝ่ายก็หันกลับ

และที่น่าแปลกใจกว่านั้น...ก็คือเขาคิดว่าแววตาที่ได้สบกันเมื่อครู่ดูไร้ซึ่งประกายของความไม่เป็นมิตร แต่ดูเหมือนเพียงแค่ ‘มองเห็นและรับรู้’ ว่าเขายืนอยู่ตรงนั้นเสียมากกว่า

“อะไรกัน ไม่ต้องเรียกพวกอาห่างเหินขนาดนั้นก็ได้ เรียกอาวีกับอาดาวเหมือนต้นเขานั่นแหละ นั่งกันก่อนสิ เดี๋ยวอีกสักพักแขกคนอื่นก็คงมากันแล้วล่ะ”

วรชัยเอ่ยบอกพรพฤกษ์อย่างใจดี พรพฤกษ์จึงสบตากับตระการแล้วก็หันไปพยักหน้าให้วรชัย แต่หลังจากที่มองไปรอบโต๊ะซึ่งมีสิบที่นั่งแล้วเห็นว่าผู้สูงวัยทั้งสองนั่งถัดไปทางด้านซ้ายของตฤณ เขาจึงคิดว่าตระการคงจะต้องนั่งข้างบิดา แต่ขณะที่กำลังจะเข้าไปนั่งตรงที่ซึ่งถัดไปจากนั้น ตระการกลับเลื่อนเก้าอี้ตัวที่อยู่ข้างตฤณออกแล้วดึงแขนเขาไว้

“ไผ่นั่งนี่สิ”

“หา?”

พรพฤกษ์หันไปมองตระการแล้วเลิกคิ้วสูง และนั่นก็เป็นปฏิกิริยาเดียวกับวรชัยและเดือนดาราเช่นกัน เพราะแม้จะรู้ดีว่าพรพฤกษ์เป็นคนรักของตระการ แต่ทั้งสองก็พอจะรู้ท่าทีของตฤณที่มีต่อพรพฤกษ์ด้วย จึงไม่คิดว่าทายาทหนุ่มจะกล้าถึงกับส่งพรพฤกษ์เข้าใกล้ ‘โซนอันตราย’ เช่นนั้น

ทว่าคนเดียวที่ดูจะไม่แปลกใจเลยสักนิด หรืออย่างน้อยก็ไม่แสดงความแปลกใจทางสีหน้าก็คือตฤณซึ่งเพียงแต่ยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม

หลังจากที่เห็นชายหนุ่มทำท่ารีรออยู่ครู่หนึ่งราวกับไม่แน่ใจ คราวนี้คนที่ดูเหมือนกำลังกลายเป็นจุดสนใจจึงตวัดสายตาแล้วถามเสียงเรียบ

“จะนั่งก็นั่งสิ จะยืนค้ำหัวผู้ใหญ่อีกนานไหม?”

“เอ่อ...ครับ ขอโทษครับ”

พรพฤกษ์เอ่ยตอบแล้วก็ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ใกล้กับตฤณซึ่งตระการเลื่อนไว้ให้ จากนั้นก็หันไปทำสายตาเขม่นใส่ตระการที่นั่งลงบนเก้าอี้ตัวถัดไปซึ่งยิ้มตอบเขาอย่างไม่รู้สึกรู้สา

กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่นะ!?

“เอ้อ...ที่จริงไผ่นั่งตรงนั้นก็ดีแล้วเหมือนกัน เพราะเดี๋ยวจะมีคณะกรรมการคนอื่นมานั่งกับพวกเราอีก เผื่อเขาชวนคุยขึ้นมาจะลำบาก ต้นนั่งตรงนั้นช่วยกันไว้ให้แหละดีแล้ว”

วรชัยเอ่ยขึ้นราวกับเพิ่งนึกได้ว่าทำไมตระการถึงให้พรพฤกษ์นั่งติดกับตฤณอย่างนั้น ชายหนุ่มจึงเพียงหันไปมองผู้สูงวัยแล้วพยักหน้า แต่เขาไม่แน่ใจนักว่านั่นเป็นเหตุผลเดียวที่ตระการจับให้เขานั่งตรงกลางระหว่างตัวเองกับบิดาเช่นนี้

อึดใจถัดมาแขกเหรื่อที่ลงทะเบียนและถ่ายรูปด้านหน้ากันเสร็จแล้วก็เริ่มทยอยเข้ามาในห้องบอลรูม ดูเหมือนเจ้าหน้าที่ลงทะเบียนจะให้หมายเลขโต๊ะที่นั่งกับแขกไว้ก่อนแล้ว ดังนั้นแต่ละคนจึงเดินตรงไปหาโต๊ะซึ่งมีป้ายหมายเลขของตนวางอยู่โดยไม่ขลุกขลัก หลังจากแขกนั่งประจำที่ทั้งหมดและประตูด้านหน้าปิดลง แสงไฟบนเวทีก็ฉายไปที่พิธีกรคู่ชายหญิงซึ่งเดินขึ้นไปประจำที่ตรงหลังแท่นโพเดียมทางมุมด้านหนึ่งของเวที

หลังจากการกล่าวแนะนำตัวและเปิดงานจบไป พิธีกรทั้งสองก็เอ่ยเชิญตระการในฐานะตัวแทนของท่านประธานขึ้นกล่าวขอบคุณแขกเหรื่อในวาระครบรอบการก่อตั้งและผลการปฏิบัติงานในปีที่ผ่านมา ตระการจึงยิ้มให้พรพฤกษ์และบีบมือเขาที่วางอยู่ใต้โต๊ะเบาๆ จากนั้นก็เดินขึ้นไปบนเวที โดยตลอดทางมีแสงสปอตไลท์ฉายตามตัวชายหนุ่มตลอด และมีภาพเคลื่อนไหวจากจอวีดีโอฉายขึ้นที่จอซึ่งตั้งเยื้องกับเวทีเพื่อให้แขกที่นั่งโต๊ะด้านหลังได้เห็นชัดๆ ด้วย

พรพฤกษ์ปรบมือให้ผู้บริหารหนุ่มเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ในห้องจัดงาน ถึงแม้ว่าเขาจะได้แต่คอยให้กำลังใจตระการอยู่ห่างๆ และไม่เคยได้เห็นเวลาที่อีกฝ่ายทำงานสักครั้ง แต่เมื่อได้มาเห็นยามที่ตระการขึ้นไปอยู่บนเวทีซึ่งมีแสงไฟสาดส่องและสายตาหลายร้อยคู่จับจ้องที่เจ้าตัวด้วยแววตาชื่นชม เขาก็อดจะปลื้มใจแทนไม่ได้

ดูดีมากเลยนะต้น...ต้นเหมาะสมแล้วที่จะอยู่ตรงนั้นจริงๆ ด้วย...

“เอ...ขอโทษนะคะ เมื่อกี้ตอนแนะนำตัวกันดิฉันก็ไม่ทันฟังให้ละเอียด คุณชื่ออะไรนะคะ?”

ขณะที่ตระการกำลังกล่าวรายงานผลงานที่ผ่านมาอยู่บนเวที ซึ่งพรพฤกษ์จำได้ว่าเป็นบทพูดที่เจ้าตัวเขียนเองแล้วเอามาให้เขาช่วยดูเมื่อคืน หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งซึ่งพรพฤกษ์จำได้ว่าเป็นภรรยาของหนึ่งในคณะกรรมการที่นั่งโต๊ะเดียวกันก็ขยับมานั่งที่ของตระการและถามเขา พรพฤกษ์จึงเลิกคิ้วเล็กน้อยและหันไปตอบ

“ผมชื่อพรพฤกษ์ครับ เรียกไผ่ก็ได้”

“อ๋อ...แล้วคุณไผ่มีตำแหน่งอะไรเหรอคะ? ทำไมไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย?”

พรพฤกษ์มองอีกฝ่ายแล้วก็ได้แต่อ้ำอึ้ง เพราะถึงแม้มือที่ยื่นมาแตะแขนเขาเบาๆ นั้นจะดูเหมือนการแสดงออกอย่างมีไมตรี แต่นัยน์ตาที่สะท้อนความอยากรู้อยากเห็นอย่างออกนอกหน้าก็ทำให้เขาอึดอัดไม่ใช่น้อย และท่าทางวรชัยที่นั่งถัดไปจากตฤณก็จะสังเกตเห็นได้เหมือนกัน จึงรีบหันมาช่วยตอบ

“คุณเรืองครับ ไผ่เขาเป็น…”

“หลานของผมเองครับ คงไม่แปลกที่คุณเรืองจะไม่เคยเห็นหน้า พอดีแกเพิ่งกลับมาจากเมืองนอก”

คำตอบจากคนที่ไม่คิดว่าจะช่วยออกโรงปกป้องทำให้พรพฤกษ์หันขวับไปหาตฤณอย่างไม่อยากเชื่อหู เช่นเดียวกับวรชัยที่อ้าปากค้างเพราะยังพูดไม่ทันจบก็ถูกตัดหน้า ฝ่ายคนที่ถูกเรียกว่า ‘คุณเรือง’ จึงยกมือข้างที่แตะแขนพรพฤกษ์เมื่อครู่กลับไปทาบอกตัวเอง

“อ้าว! ตายจริง คุณตฤณมีหลานชายด้วยหรือคะนี่? เพิ่งกลับจากเมืองนอกนี่เองถึงไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน แหม...หน้าตาดีสมกับเป็นหลานคุณตฤณจริงๆ เชียว หวังว่าหลังจากนี้คงได้เจอกันบ่อยๆ นะคะ”

พรพฤกษ์ฟังแล้วได้แต่ยิ้มแห้งๆ ด้วยไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรกับคำชมดี ในเมื่อเขาไม่ได้มีสายเลือดเกี่ยวพันกับตฤณเลยแม้แต่นิด ชายหนุ่มลอบถอนใจอย่างโล่งอกเมื่ออีกฝ่ายถูกสามีสะกิดให้กลับไปนั่งที่เดิมด้วยรู้ว่าภรรยากำลังเสียมารยาท ขณะเดียวกันนั้นก็เป็นเวลาที่ตระการกำลังกล่าวสรุปพอดี

“...ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้รับความไว้วางใจจากท่านประธานให้ได้ทำหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อพัฒนาธุรกิจในเครือสุวรรณฤทธิ์ให้มั่นคงยิ่งขึ้น และความสำเร็จนั้นก็มาจากความร่วมมือของคณะกรรมการบริหาร พนักงานทุกท่าน รวมทั้งผู้ถือหุ้นที่ให้ความไว้วางใจเรามาตลอด และผมก็คงจะทำงานอย่างทุ่มเทเหมือนทุกวันนี้ไม่ได้ถ้าไม่ใช่เพราะกำลังใจจากคนสำคัญที่สุดของผมซึ่งอยู่ตรงที่นี้ด้วย ขอบคุณจริงๆ ที่อยู่เคียงข้างกันตลอดมา สุดท้ายนี้ ขอให้คืนนี้เป็นคืนที่ดีสำหรับทุกท่านครับ”

หลังจากตระการพูดจบ เสียงปรบมือก็ดังกึกก้องไปทั่วห้องจัดงาน แสงสปอตไลท์ยังคงจับที่ร่างสูงใหญ่ขณะอีกฝ่ายเดินกลับมาที่โต๊ะ เช่นเดียวกับจอภาพที่กำลังฉายภาพเคลื่อนไหวขึ้นบนจอข้างเวที ก่อนที่จะตัดกลับไปที่ภาพของพิธีกรคู่ซึ่งเดินกลับขึ้นไปบนแท่นโพเดียม ขณะเดียวกันพนักงานโรงแรมก็เริ่มนำอาหารจานแรกมาเสิร์ฟตามโต๊ะต่างๆ ไปด้วย

ตระการเดินมานั่งประจำที่ของตัวเอง จากนั้นก็ดึงมือพรพฤกษ์ไปกุมไว้ใต้โต๊ะ สายตาสองคู่ลอบประสานกันสั้นๆ แต่ต่างรู้ดีว่าด้วยความรู้สึกอย่างไร สำหรับคนอื่นๆ ที่ได้ฟังผู้บริหารหนุ่มพูดเมื่อครู่อาจจะคิดไปว่า ‘คนสำคัญที่สุด’ ซึ่งตระการพูดถึงบนเวทีนั้นหมายถึงบิดาที่วันนี้มาร่วมงานด้วย แต่อย่างน้อยที่โต๊ะนี้ก็มีคนห้าคนที่รู้ว่าแท้จริงแล้วคนที่ตระการพาดพิงถึงโดยไม่เอ่ยชื่อนั้นคือใคร

“พูดได้ดีมากต้น สมแล้วที่ทำหน้าที่ได้ดีมาตลอดทั้งปี”

“ขอบคุณครับอาวี”

ตระการเอ่ยขอบคุณวรชัย จากนั้นก็เหลือบตาไปทางบิดาซึ่งนั่งอยู่อีกด้านของพรพฤกษ์ แต่ผู้สูงวัยกว่าไม่สบตาด้วยและทำทีเป็นใช้มีดกับส้อมหั่นอาหารในจาน

“ก็ดี...จากนี้ไปฉันจะได้วางมือได้อย่างไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังเสียที”

“โธ่ คุณตฤณพูดอะไรอย่างนั้นครับ คุณตฤณยังดูแล้วแข็งแรงกว่าผมเสียอีก”

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
หนึ่งในคณะกรรมการบริหารอีกคนซึ่งไม่ได้พาภรรยามาด้วยเอ่ยขึ้น จากนั้นทุกคนก็เริ่มทานอาหารและพูดคุยกันเรื่องอื่น ซึ่งหลักๆ ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจหรือคนในแวดวงที่พรพฤกษ์ไม่รู้จักทั้งสิ้น ขณะที่อาหารแต่ละคอร์สถูกนำมาเสิร์ฟก็จะมีการแสดงหรือการมอบรางวัลบนเวทีหมุนเวียนไปตลอดเวลา บางครั้งคนที่ต้องขึ้นไปมอบก็จะเป็นตฤณบ้าง ตระการบ้าง หรือแม้แต่วรชัยซึ่งเป็นที่ปรึกษาอาวุโสด้วย

ตลอดเวลาที่นั่งทานอาหารนั้นตระการมีคนแวะเวียนมาหาแทบจะไม่เคยว่าง หากว่าไม่ติดพูดคุยกับคณะกรรมการบริหารซึ่งนั่งที่โต๊ะเดียวกัน ก็จะมีใครสักคนเดินมาที่โต๊ะและกล่าวอวยพรหรือแสดงความยินดีกับผู้บริหารหนุ่มตลอดเวลา และตระการก็จะยิ้มและพูดคุยกับทุกคนอย่างไม่ถือตัวว่ามีตำแหน่งสูงกว่า แต่ในขณะเดียวกัน มือข้างหนึ่งที่กุมมือของพรพฤกษ์อยู่ใต้โต๊ะก็แทบจะไม่ปล่อยออกเลยเช่นเดียวกัน และพรพฤกษ์ก็ไม่ปฏิเสธว่าการแสดงออกอันใกล้ชิดเช่นนั้นทำให้เขาอบอุ่นกับตัวตนที่ไม่เคยเปลี่ยนไปของตระการนับตั้งแต่ได้พบกันเมื่อสามปีก่อน

ทั้งสองรู้ดีพอที่จะไม่พยายามสบตาหรือส่งยิ้มให้กันมากนักด้วยอาจทำให้คนที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางผิดสังเกต แต่แน่นอนว่าคนที่รู้ความสัมพันธ์ที่แท้จริงของทั้งคู่ย่อมจับได้ เช่นเดียวกับวรชัยและเดือนดารา บางครั้งผู้สูงวัยทั้งสองก็จะมองตระการกับพรพฤกษ์แล้วยิ้มอ่อนๆ ด้วยความเอ็นดูเนื่องจากทั้งคู่ต่างก็ไม่มีทายาท

และแน่นอนว่าตฤณก็สังเกตเห็นท่าทางของบุตรชายและคนรักที่นั่งอยู่ทางขวาของเขาได้เช่นกัน

เมื่องานดำเนินไปเรื่อยจนถึงช่วงที่พนักงานนำของหวานมาเสิร์ฟ พรพฤกษ์ก็อิ่มจนท้องตื้อไปหมด แม้ว่าช็อกโกแลตซูเฟล่กับผลไม้สดที่ทางโรงแรมนำมาเสิร์ฟจะน่าทานและรสชาติดีแค่ไหน แต่เขาตักทานได้ไม่ถึงครึ่งชิ้นก็ต้องยอมแพ้

“ต้น ไปห้องน้ำแป๊บนึง เดี๋ยวกลับมานะ”

พรพฤกษ์กระซิบกับตระการพลางเขย่ามือที่กุมกันอยู่เบาๆ ตระการจึงหันไปถามยิ้มๆ

“ให้ต้นไปด้วยมั้ย?”

พรพฤกษ์ไม่ตอบ เพียงแต่ทำตาดุใส่คนถาม ตระการจึงหัวเราะเบาๆ และยอมปล่อยมือเขาแต่โดยดี และพรพฤกษ์ก็ค่อนข้างมั่นใจว่าถ้าไม่ใช่เพราะมีคนอื่นอยู่ที่โต๊ะด้วย อีกฝ่ายคงได้ดึงมือเขาไปจูบเพราะความมันเขี้ยวก่อนจะยอมปล่อยให้ลุกออกมาแน่ๆ

หลังจากทำธุระที่ห้องน้ำเสร็จ พรพฤกษ์ไม่ได้เดินกลับไปที่ห้องจัดงานในทันที ชายหนุ่มเลือกเดินไปทางเทอเรซซึ่งอยู่ด้านข้างห้องจัดงานเลี้ยงซึ่งไม่มีหลังคาและมีเพียงแสงสลัวจากโคมไฟซึ่งติดตั้งไว้เป็นจุดๆ บนกำแพง ทำให้เขามองเห็นดวงดาวของท้องฟ้ายามค่ำเช่นเดียวกับทิวทัศน์ของกรุงเทพฯ ได้ถนัดตา

อยากเปลี่ยนชุดชะมัด...

พรพฤกษ์คิดในใจขณะยืนเท้ากำแพงและมองภาพวิวตรงหน้า จริงอยู่ว่าสูทชุดนี้ตัดมาพอดีตัวเขา แต่ก็ไม่ได้ฟิตเข้ารูปจนถึงกับทำให้อึดอัดหรือขยับตัวลำบาก แต่เพราะปกติเขาชอบใส่กางเกงยีนส์หรือกางเกงผ้าโปร่งกับเสื้อตัวหลวมๆ มากกว่า พอต้องมาใส่ชุดสูทราคาแพงจึงทำให้ไม่ชินและรู้สึกเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเองสักเท่าไหร่

หลังจากยืนสูดอากาศบริสุทธิ์ภายนอกและได้ทอดสายตาไปไกลๆ ครู่หนึ่ง พรพฤกษ์ก็ค่อยรู้สึกดีขึ้นและคิดว่าควรจะกลับเข้าไปข้างในเสียที เพราะเสียงพูดคุยอื้ออึงที่เล็ดลอดมาจากประตูหน้าห้องบอลรูมทำให้เขาเดาได้ว่างานเลี้ยงคงจบและแขกเริ่มทยอยกันกลับแล้ว ทว่าเมื่อหันหลังกลับไป พรพฤกษ์ก็ชะงักเมื่อพบว่าใครบางคนเดินออกมาที่เทอเรซเช่นเดียวกัน

“คุณตฤณ...”

ผู้สูงวัยเลิกคิ้ว แววตาที่แสดงความแปลกใจเล็กน้อยทำให้พรพฤกษ์คิดว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้ตั้งใจตามเขามาที่นี่ แต่แค่บังเอิญเดินออกมาแล้วเจอเขาตรงนี้มากกว่า

“อยู่นี่หรอกรึ ลูกชายฉันก็มัวแต่กังวลว่าเธอหายไปไหนตั้งนาน”

ผู้สูงวัยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเชิงบอกเล่า ไม่ได้แฝงแววเยาะหยัน ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ฟังแล้วทำให้รู้สึกอบอุ่น พรพฤกษ์จึงเพียงแต่หลบตาแล้วก็จะเดินผ่านอีกฝ่ายเพื่อกลับเข้าไปข้างใน

“เข้าใจแล้วครับ ผมก็กำลังคิดว่าจะกลับเข้าไปอยู่พอดี”

“เดี๋ยว”

พรพฤกษ์ชะงักเมื่อถูกเรียกไว้ เมื่อหันกลับไป ตฤณก็พยักหน้าไปทางม้านั่งตัวยาวที่วางเรียงกันเป็นระยะบนเทอเรซ

“ตอนนี้หมอนั่นโดนจับถ่ายรูปกับพวกคณะกรรมการแล้วก็แขกคนอื่นๆ อยู่ คงไม่ถูกปล่อยตัวออกมาง่ายๆ หรอก ระหว่างนี้ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ ไปนั่งตรงนั้นด้วยกันก่อน”

เมื่อเอ่ยจบ ร่างผอมสูงในสูทสีครีมก็เดินหลังตรงไปยังม้านั่งตัวหนึ่งก่อนจะนั่งลงอย่างไม่รอฟังคำตอบ ฝ่ายพรพฤกษ์ได้แต่ยืนงงด้วยไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรแน่ แต่เมื่อเห็นสายตาที่เหลือบมามองก็รีบสืบเท้าเข้าไปหา โชคดีว่าตฤณนั่งที่ริมขวาสุดของม้านั่ง เขาจึงเลือกนั่งลงที่ริมด้านซ้ายสุด ซึ่งเป็นระยะที่ห่างกันมากพอชนิดที่ถ้าไม่เอื้อมแขนออกไปก็ไม่มีทางโดนตัวกันเด็ดขาด

พรพฤกษ์รู้สึกว่าในใจเต้นแรงขึ้น พลันมือทั้งสองก็กำแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว จริงอยู่ว่าเมื่อครู่ตอนที่เขาถูกคนไม่รู้จักถามว่าเป็นใครนั้นตฤณจะช่วยตอบให้ ซึ่งเป็นการแสดงน้ำใจที่เขาไม่คาดคิดว่าจะได้รับ แต่กระนั้นชายหนุ่มก็ยังไม่กล้าวางใจว่าจะอีกฝ่ายจะไม่ใช้คำพูดเชือดเฉือนน้ำใจเหมือนตอนที่คุยกันในโรงพยาบาลเมื่อหนึ่งปีก่อนอีก

“เธอคิดยังไงกับงานวันนี้?”

หลังจากต่างคนต่างเงียบไปพักหนึ่ง ตฤณซึ่งเป็นคนรั้งตัวเขาเอาไว้ก็ถามขึ้น พรพฤกษ์จึงเหลือบตามองอีกฝ่ายก่อนจะก้มลงมองมือตัวเองที่วางประสานกันอยู่บนตัก ชายหนุ่มใช้ความคิดเรียบเรียงคำพูดครู่หนึ่งก่อนจะตอบ

“ก็ดีครับ...ผมดีใจที่ได้เห็นว่าต้นประสบความสำเร็จแล้วก็เป็นที่ยกย่องแค่ไหน เขาทำงานหนักมากมาตลอดจริงๆ สมควรแล้วที่ทุกคนจะได้รู้เรื่องนั้น”

“หลายคนคงคิดว่า ‘คนสำคัญที่สุด’ ที่หมอนั่นพูดขอบคุณตอนอยู่บนเวทีคือฉัน แต่ฉันคิดว่าเธอเองก็คงจะรู้ ว่าคนที่หมอนั่นหมายถึงจริงๆ คือเธอ”

“...เรื่องนั้นผมไม่ทราบครับ”

พรพฤกษ์โกหกแม้จะรู้แก่ใจว่าตฤณพูดถูก แต่เพราะเขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะนำบทสนทนาไปทางไหน จึงไม่อยากจะพูดทุกสิ่งตามที่คิดมากนัก

ตฤณได้ยินคำตอบก็แค่นยิ้ม ทว่าไม่ได้หันหน้าหรือเหลือบตามาหา “เวลาผู้ใหญ่ถามอย่าเล่นลิ้น ถ้าเธอคิดอะไรก็ตอบมาตรงๆ ตกลงเมื่อกี้เธอรู้ใช่ไหม?”

พรพฤกษ์เม้มปาก จากนั้นจึงยอมตอบตามตรง “ครับ”

ทั้งสองเงียบไปครู่ใหญ่หลังจากนั้น พรพฤกษ์ค่อยๆ ระบายลมหายใจยาว ทำให้พบว่าเมื่อครู่ตนกลั้นหายใจไว้จนเกือบแน่นหน้าอก เมื่อหัวใจของเขาเริ่มกลับมาเต้นเป็นจังหวะปกติ หูก็เริ่มได้ยินเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะที่ดังแว่วมาจากในห้องจัดงานอีกครั้ง

“คุณตฤณ...ช่วงนี้อาการเป็นยังไงบ้างครับ?”

เมื่อเห็นแล้วว่าหากจู่ๆ ก็ขอตัวลุกหนีจะทำให้เขาดูเหมือนคนขี้ขลาด และท่าทางอีกฝ่ายก็คงไม่คิดจะปล่อยตัวเขาไปง่ายๆ พรพฤกษ์จึงทำลายความเงียบด้วยการถามก่อนบ้างเสียเลย

“ยังสบายดี น่าแปลกนะที่เธอถามขึ้นมา เพราะลูกฉันยังไม่เคยถามสักครั้ง”

คำตอบนั้นทำให้พรพฤกษ์หันไปทางคนข้างตัวทันที และพบว่าตฤณก็ยังคงนั่งหลังตรงและตามองไปข้างหน้าเช่นเดิม ดูจากท่าทางภายนอกแล้วก็ยากที่จะบอกหากเจ้าตัวมีอาการเจ็บไข้ที่คนอื่นไม่รู้

“อาจเพราะต้นเห็นคุณตฤณทุกวันอยู่แล้ว แล้วก็มัวแต่ทุ่มเทกับงานอยู่เลยไม่ทันได้ถามมั้งครับ ผมคิดว่าไม่ใช่เพราะเขาไม่สนใจพ่อของตัวเองหรอก”

พรพฤกษ์รู้ดีเพราะเคยมีประสบการณ์มาก่อน ช่วงที่เขายังทำงานที่กรุงเทพฯ และเดินทางไปเยี่ยมตาที่เชียงใหม่เป็นระยะนั้น ตาของเขาไม่เคยปริปากบอกให้รู้ว่ากำลังเป็นมะเร็งเลยสักครั้ง พรพฤกษ์จึงแค่ไถ่ถามตามปกติทั่วไปว่าไม่สบายบ้างไหมหรือว่าเจ็บข้อประสาคนแก่บ้างหรือเปล่า กว่าเขาจะรู้ว่าตาเป็นมะเร็งขั้นสุดท้ายซึ่งหมดทางจะรักษาก็หลังจากนรพัฒน์โทรมาบอก ทำให้เขาเสียใจที่ไม่เคยสังเกตให้ดีว่าก่อนหน้านั้นตาเคยมีอาการที่บ่งบอกว่าน่าจะเป็นมะเร็งหรือไม่ และทำให้เขาตัดสินใจเด็ดขาดลาออกจากงานเพื่อกลับไปดูแลผู้มีพระคุณให้ถึงที่สุด

“เธอคิดอย่างนั้นจริงๆ รึ?”

คราวนี้ตฤณหันมามองพรพฤกษ์ตรงๆ และชายหนุ่มก็สบตากลับอย่างไม่หลบเลี่ยง ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงช้าชัด

“ครับ ผมอาจจะคบต้นมาแค่ไม่กี่ปีก็จริง แต่ผมมั่นใจว่าเขาไม่ใช่คนที่จะเนรคุณแน่ หรือถ้าหากต้นละเลยคุณจริงๆ ต่อให้รักเขาแค่ไหน ผมก็จะตัดใจทิ้งเขาเหมือนกัน”

ทั้งสองจ้องตากันอย่างไม่มีใครหลบตาก่อน จากนั้นก็เป็นตฤณที่เบนสายตาไปอีกทางและลุกขึ้นก่อน

“เธออาจจะไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น”

ผู้สูงวัยทิ้งท้ายอย่างกำกวมแล้วก็เดินกลับเข้าไปข้างใน ทิ้งให้พรพฤกษ์มองตามอย่างงุนงงกับประโยคที่ได้ยิน หลังจากอีกฝ่ายคล้อยหลังไปไม่นานและพรพฤกษ์กำลังจะตามเข้าไปบ้าง ตระการก็เดินเร็วๆ ออกมาหาจนทั้งสองเกือบจะชนกัน

“ไผ่! ต้นโทรไปก็ไม่รับ ขึ้นไปดูบนห้องก็ไม่เจอ มาทำอะไรอยู่แถวนี้น่ะ?”

พอตระการทักขึ้น พรพฤกษ์จึงเอามือตบไปตามกระเป๋าเสื้อกับกระเป๋ากางเกง ทำให้นึกขึ้นได้ว่าคงจะลืมโทรศัพท์ไว้บนห้องเพราะเสียบปลั๊กชาร์จแบตเตอรีไว้ตั้งแต่ช่วงบ่าย

“ขอโทษที สงสัยจะลืมเอามือถือลงมา แล้วนี่ต้นถ่ายรูปเสร็จแล้วเหรอ?”

ตระการส่ายหน้า จากนั้นก็ดึงแขนพรพฤกษ์ให้กลับไปนั่งที่ม้านั่งซึ่งเขาเพิ่งจะลุกมาหยกๆ “ต้นขอตัวออกมาก่อน โชคดีว่าพ่อเดินเข้าไปแล้วบอกว่าไผ่อยู่นี่ ตอนนี้ทุกคนก็คงถ่ายรูปกับพ่ออยู่ ก็ดีแล้วล่ะ เขาน่าจะอยากถ่ายกับท่านประธานตัวจริงกันมากกว่า”

ตระการเอ่ยพลางใช้มือข้างที่ไม่ได้จับมือพรพฤกษ์เอาไว้คลายเนคไทบนคอ พรพฤกษ์มองเสี้ยวหน้าที่ดูอิดโรยเล็กน้อยแล้วก็เขย่ามืออีกฝ่ายเบาๆ

“เมื่อกี้...พ่อของต้นเขามานั่งคุยด้วยนะ”

ตระการชะงักมือแล้วก็หันมาขมวดคิ้วทันที “พ่อมาคุยกับไผ่? คุยอะไรบ้าง? ไม่ได้ว่าอะไรไผ่ใช่ไหม?”

พรพฤกษ์ยิ้มแล้วส่ายหน้า “เปล่า แค่คุยถามเรื่องทั่วไปเฉยๆ ไม่ได้พูดอะไรไม่ดีเลยสักคำ”

ตระการยังทำหน้าไม่เชื่อ พรพฤกษ์จึงกลอกตาก่อนจะยกมือขึ้นบีบจมูกอีกฝ่ายเบาๆ “บอกว่าไม่ได้พูดอะไรไม่ดีจริงๆ ไง อย่ามองพ่อตัวเองว่าต้องร้ายตลอดเวลาแบบนั้นสิ เรื่องแบบนี้ไม่โกหกกันหรอกน่า”

“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็แล้วไป...ต้นไม่อยากให้คนสำคัญของต้นทั้งสองคนมีปัญหากัน”

ตระการเอ่ยพลางรวบเอวพรพฤกษ์ไปกอดแล้วซบหน้าลงบนไหล่ พรพฤกษ์จึงยกมือหนึ่งอ้อมไปโอบไหล่กว้างไว้แล้วแนบแก้มลงบนขมับอีกฝ่าย จากนั้นก็ใช้ปลายนิ้วสางผมตรงท้ายทอยให้เบาๆ

“ไม่ต้องคิดมากหรอกต้น ไม่ใช่ว่าเขาไม่ถูกชะตาด้วยแล้วจะต้องโดนเย็นชาใส่ไปตลอดนี่ บางทีพอไม่ได้เจอกันนานๆ คุณตฤณก็เลยเริ่มปลงได้แล้วล่ะมั้ง?”

พรพฤกษ์พูดเรื่อยๆ โดยไม่ได้คิดอะไรมากเพื่อให้คนฟังคลายใจ แต่ดูเหมือนคำพูดของเขาจะตรงกับสิ่งที่ตระการกำลังคิดอย่างจัง ร่างสูงใหญ่จึงโอบเอวผอมแน่นขึ้น

“แล้วถ้าหากพ่อเขาปลงได้จริงๆ ล่ะ? ไผ่จะยอมมาอยู่กับต้นเสียทีได้หรือยัง?”

คำถามนั้นทำให้พรพฤกษ์เงียบไป นี่อาจเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เขากลับไปเชียงใหม่ที่ตระการถามเรื่องนี้ตรงๆ โดยไม่ยกข้ออ้างล้านแปดมาโน้มน้าวให้เขาเห็นดีกับการย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ และยังเป็นการถามโดยยกเงื่อนไขข้อใหญ่ที่สุดมาใช้อีกด้วย

แต่ว่าคนที่เป็นเงื่อนไข...จะพร้อมอ่อนข้อให้พวกเขาทั้งคู่แล้วจริงล่ะหรือ...

“...อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้กันเลยต้น คอยดูไปเรื่อยๆ ก่อนดีกว่า อย่างน้อยถึงไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่เราก็ยังได้เจอกันทุกอาทิตย์นี่นา”

คำตอบนั้นทำให้คนถามเพียงแต่ถอนหายใจแล้วก็ไม่พูดอะไรอีก ตระการเพียงแต่กอดพรพฤกษ์เงียบๆ และพรพฤกษ์ก็ปล่อยให้อีกฝ่ายซบบ่าเงียบๆ อยู่อย่างนั้น ต่างฝ่ายต่างคิดถึงวันคืนนับตั้งแต่ที่เริ่มคบกันมา ความสัมพันธ์ทางไกลที่กำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบัน รวมทั้งวันข้างหน้าที่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรต่อไปหรือว่าจะได้อยู่ด้วยกันจริงๆ เมื่อไหร่ แล้วก็ต่างไม่รู้จะคุยอะไรต่อนอกจากให้กำลังใจกันผ่านการยืนยันว่าทั้งสองยังอยู่เคียงข้างกันในนาทีนี้

ท่ามกลางไอเย็นของอากาศยามค่ำคืนและแสงดาวที่กะพริบตัดกับผืนฟ้าที่ทวีความเข้มจนลึกล้ำ ทั้งพรพฤกษ์และตระการที่นั่งคู่กันบนม้านั่งต่างไม่รู้เลยว่ามีใครคนหนึ่งยืนฟังบทสนทนาของพวกเขาอยู่ในมุมมืดหลังประตูที่เชื่อมต่อระหว่างห้องจัดงานกับเทอเรซอยู่เป็นนาน และสิ่งที่ได้ยินรวมทั้งภาพที่เห็นก็ทำให้คนคนนั้นตัดสินใจบางสิ่งได้ และครู่หนึ่งก็เดินย้อนกลับเข้าไปภายในห้องจัดงานด้วยแววตาของผู้ที่ยอมรับความจริงได้ในที่สุด


++---tbc---++

 :bye2:

Little Devil

  • บุคคลทั่วไป

yayee2

  • บุคคลทั่วไป
คงเป็นคุณตฤณนะที่มาแอบฟัง(ไม่รู้โดยตั้งใจหรือไม่)น่ะ
และหวังว่าสิ่งที่ตัดสินใจทำคราวนี้
คงเป็นสิ่งดีๆสำหรับต้นกับไผ่นะคะ

ออฟไลน์ evilheart

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-3
หวังว่าคนที่แอบฟังอยู่จะเป็นพ่อสามีนะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-01-2011 21:09:22 โดย evilheart »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
^
^
มารอลุ้นกันอาทิตย์หน้านะค้า หุหุหุ
  :really2:

kakuro

  • บุคคลทั่วไป
 :กอด1:คุณริน
สัญญานะจันทร์หน้าเจอกัน อิอิ

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
^
^
เจี๊ยกกก จันทร์ หรือ อังคารแล้วกันนะค้า คุณ kakuro (ขอเชลยต่อรองเวลาเพิ่ม 24 ชั่วโมงน้า 5555)
  :z2:

mumoo

  • บุคคลทั่วไป
เพิ่งเคยอ่านเรื่องนี้ค่ะ สนุกมากกกก!!!
ต้องขอบคุณคนที่ขุดขึ้นมาอ่านจริงๆที่ทำให้คุณคนเขียนท่านมาต่อให้จนเห็นแววว่าจะได้อ่านจนจบ(^/l\^)
เพราะยิ่งอ่านยิ่งลุ้น อยากเอาใจช่วยให้ความรักของคนคู่นี้ก้าวผ่านอุปสรรคได้ในที่สุด (อินจนน้ำตาไหลคลอแทบจะตลอดการอ่าน)
ปล.ที่สำคัญที่สุด ดีใจที่เจอคนเกิดปี1981 เหมือนกัน กรี๊ดดดด~!! สมาคมผู้สูงอายุยินดีต้อนรับคร่า (แต่ไม่อยากบอกว่า...เค้าเกิดค่อนข้างต้นๆปีอะ เค้าแก่กว่าหรอเนี่ยTT^TT)

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
เพิ่งเคยอ่านเรื่องนี้ค่ะ สนุกมากกกก!!!
ต้องขอบคุณคนที่ขุดขึ้นมาอ่านจริงๆที่ทำให้คุณคนเขียนท่านมาต่อให้จนเห็นแววว่าจะได้อ่านจนจบ(^/l\^)
เพราะยิ่งอ่านยิ่งลุ้น อยากเอาใจช่วยให้ความรักของคนคู่นี้ก้าวผ่านอุปสรรคได้ในที่สุด (อินจนน้ำตาไหลคลอแทบจะตลอดการอ่าน)
ปล.ที่สำคัญที่สุด ดีใจที่เจอคนเกิดปี1981 เหมือนกัน กรี๊ดดดด~!! สมาคมผู้สูงอายุยินดีต้อนรับคร่า (แต่ไม่อยากบอกว่า...เค้าเกิดค่อนข้างต้นๆปีอะ เค้าแก่กว่าหรอเนี่ยTT^TT)

แหะๆ เวลาย้อนกลับไปดูวันที่เริ่มโพสต์เมื่อไหร่ก็เขินทุกทีเลยค่ะ ต้องขอบคุณคนอ่านที่คอยทวงจริงๆ ที่ทำให้ขุดเรื่องนี้มาเขียนต่อ ขอบคุณคุณ mumoo ที่มาติดตามด้วยนะคะ

สำหรับปีเกิด มานเป็นเพียงตัวเลขขขขค่ะ ตอนนี้ท่องแบบนี้ตลอดเวลาโดนถามอายุ 55555
  :mc4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-01-2011 17:43:07 โดย bellbomb »

mumoo

  • บุคคลทั่วไป
เข้ามารอคร่า+ดันด้วย^^

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
ถ้าสมมุติว่า หมดปัญหาเรื่องของพ่อแล้ว มันจะเจอปัญหาเกี่ยวกับการตัดสินของไผ่อีกหรือเปล่า  :z10:

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
หลังจากโดนทวงแล้วโดนทวงอีก ก็มาลงเสียทีค่ะ เล่นเอาไมเกรนพุ่งเลย (จริงๆ ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แค่เกือบๆ ก๊ากกก)  :laugh:

++------++

32.

เสียงของไดร์เป่าผมในห้องน้ำปลุกให้ร่างบนเตียงที่ใส่กางเกงขายาวตัวเดียวค่อยๆ ตื่นจากการหลับใหล ตระการปรือตาขึ้นพลางหันไปมองที่ข้างตัวและพบเพียงความว่างเปล่า มือใหญ่จึงยกขึ้นขยี้ตาเบาๆ และดันตัวเองขึ้นจากเตียง ชายหนุ่มเดินไปหยุดยืนกอดอกพิงกรอบประตูห้องน้ำพลางดูคนที่กำลังยืนอยู่หน้ากระจก

พรพฤกษ์ที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วและกำลังเป่าผมอยู่ยิ้มเมื่อเห็นตระการยิ้มบางๆ ให้ จนกระทั่งเขารู้สึกว่าผมหมาดพอสมควรจึงปิดไดร์และเสียบเข้าที่เก็บ ตระการจึงเดินเข้าไปใกล้แล้วก็สางนิ้วเข้าในผมอีกฝ่ายเบาๆ

“ไผ่รีบตื่นทำไมเนี่ย? วันนี้เราไม่ได้อยู่บ้านนฤมิตรกันสักหน่อย”

คนถูกถามย่นจมูก “ก็คนมันตื่นเวลานี้ประจำอยู่แล้วนี่ ถ้าต้นง่วงก็ไปนอนต่อสิ”

ตระการยกมือปิดปากหาวแต่ก็ส่ายหน้า “ไม่เอาล่ะ ตื่นแล้วก็ตื่นเลย ถึงให้นอนต่อตอนนี้ก็คงไม่หลับง่ายๆ หรอก”

ร่างสูงเอ่ยพลางหันไปหยิบแปรงขึ้นมาบีบยาสีฟันใส่ และเนื่องจากบริเวณอ่างล้างหน้าซึ่งทำจากหินอ่อนนั้นเป็นเคาน์เตอร์ที่มีพื้นที่กว้างพอสมควร พรพฤกษ์จึงดันตัวขึ้นไปนั่งห้อยขาและเอนหลังพิงกระจก แต่ว่าไม่ได้ชวนคุยและเพียงแต่ดูตระการล้างหน้าแปรงฟันไปเงียบๆ ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่เขาทำไม่ได้เวลาอยู่ที่บ้านนฤมิตรเพราะห้องน้ำเล็กกว่าที่นี่มาก

วันนี้เป็นวันอาทิตย์หลังจากงานเลี้ยงครบรอบและฉลองผลประกอบการของสุวรรณฤทธิ์ เมื่อคืนหลังจากที่งานเลิกแล้วตระการกับพรพฤกษ์ไปนั่งดื่มกันที่บาร์บนดาดฟ้าต่ออีกหน่อยก่อนจะกลับมาที่ห้องพัก และเพราะพรพฤกษ์มีกำหนดเช็คเอ๊าท์และบินกลับในเช้าวันจันทร์ ดังนั้นวันนี้จึงเป็นวันว่างของทั้งคู่

พรพฤกษ์หยิบมีดโกนหนวดส่งให้เมื่อเห็นตระการฉีดโฟมแล้วโปะลงบนหน้า จากนั้นก็ชันเข่าข้างหนึ่งขึ้นกอด เขามองจนกระทั่งตระการโกนหนวดเสร็จและล้างหน้าแล้ว คนถูกมองจึงเลิกคิ้ว

“หน้าต้นมีอะไรเหรอ?”

“เปล่า...ก็แค่อยากมองเฉยๆ ไม่ได้หรือไง?”

ตระการเห็นรอยยิ้มล้อเลียนของคนตอบ จึงยิ้มบ้างขณะหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กขึ้นซับหน้า

“ทำไมจะไม่ได้ ถ้าไผ่จะทำมากกว่ามองก็ไม่ว่าหรอก ว่าแต่อยากอาบน้ำกับต้นอีกรอบหรือเปล่า? เพราะคราวนี้ต้นไม่ยอมให้ดูเฉยๆ แล้วนะ”

พรพฤกษ์เห็นท่าไม่ดีเพราะประกายตาวิบวับของคนพูด จึงเลื่อนตัวลงจากอ่างล้างหน้าแล้วก็เดินไปที่ประตู “อาบเสร็จแล้วจะอาบซ้ำอีกทำไมล่ะ เชิญอาบไปคนเดียวก็แล้วกัน”

ชายหนุ่มได้ยินเสียงหัวเราะจากอีกฝ่ายหลังปิดประตูห้องน้ำตามหลัง มุมปากบางยกยิ้มน้อยๆ อย่างระอาก่อนจะเดินไปนั่งลงบนเตียงและหยิบรีโมทมาเปิดโทรทัศน์

รายการยามเช้าของวันอาทิตย์มีทั้งละคร รายการสำหรับเด็กและข่าว พรพฤกษ์ชะงักมือที่กำลังกดเปลี่ยนช่องเมื่อเห็นว่ารายการหนึ่งฉายภาพงานเลี้ยงของสุวรรณฤทธิ์ในค่ำคืนที่ผ่านมา แต่ว่าตัดต่อมาเพียงช่วงที่ตระการขึ้นพูดบนเวทีและช่วงที่แขกเหรื่อถ่ายรูปกับตฤณที่ซุ้มด้านหน้า จากนั้นก็ตัดไปที่ข่าวของงานอื่นภายในเวลาสั้นๆ เหมือนแค่สรุปเหตุการณ์ให้คนดูเท่านั้น

พ่อลูกคู่นี้หน้าตาคล้ายกันจริงๆ...

พรพฤกษ์คิดในใจพลางกดรีโมทไปเรื่อยอย่างไม่ใส่ใจดูอะไรเป็นเรื่องราว สักพักก็กดปิดโทรทัศน์แล้วเอนหลังลงบนเตียง พลันบทสนทนากับตฤณเมื่อคืนก็วนกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง

“เธออาจจะไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น”

ประโยคที่ตฤณพูดหลังจากที่เขาบอกว่าจะไม่ยอมอยู่กับตระการต่อไปหากฝ่ายนั้นทิ้งพ่อตัวเองทำให้พรพฤกษ์สับสน อาจเพราะระหว่างเขากับผู้สูงวัยไม่เคยมีความทรงจำที่ดีต่อกันตั้งแต่แรก การที่ทั้งสองสนทนากันได้อย่างค่อนข้างปกติเมื่อคืนจึงนับว่าน่าแปลกใจมากแล้ว แต่ว่าพรพฤกษ์ก็ยังไม่ต้องการจะคิดเข้าข้างตัวเองว่านั่นเป็นสัญญาณว่าตฤณยอมรับเรื่องของเขากับตระการได้ เพราะการพบกันนานๆ ครั้งย่อมไม่เหมือนกับการที่ต้องอยู่ร่วมบ้านเดียวกันทุกวันอย่างแน่นอน

หรือต่อให้ตฤณยอมรับได้จริงก็ตาม...เขาพร้อมแล้วหรือเปล่าที่จะย้ายมาอยู่กับตระการที่นี่?

ชายหนุ่มนอนมองเพดานพลางใช้ความคิดไปเรื่อยๆ ครู่ใหญ่ตระการก็เดินออกมาจากห้องน้ำในเสื้อคลุมสีขาว ร่างสูงใหญ่เห็นคนที่ทำท่าใจลอยอยู่บนเตียงจึงเดินไปนั่งลงใกล้ๆ

“คิดอะไรอยู่?”

พรพฤกษ์เหลือบตาขึ้นมองตระการที่ก้มลงหา จากนั้นก็ส่ายหน้า “พอดีโทรทัศน์ไม่มีอะไรดูก็เลยนอนคิดอะไรเล่นไปเรื่อยน่ะ วันนี้ต้นมีโปรแกรมจะทำอะไรหรือเปล่า?”

ตระการยกผ้าขนหนูที่วางอยู่รอบคอขึ้นขยี้ผมที่ชุ่มน้ำพลางทำท่าคิด “ไม่รู้สิ เพราะปกติพอถึงวันหยุดต้นก็ขึ้นไปเชียงใหม่ทุกทีนี่นา ไผ่อยากไปไหนหรือเปล่าล่ะ?”

พรพฤกษ์ยันตัวขึ้นนั่งเอนหลังพิงหมอน นัยน์ตาสีนิลเหลือบมองท้องฟ้าภายนอกที่มีเพียงเมฆบางเบาแล้วก็เอ่ยขึ้น

“ไหนๆ มากรุงเทพฯ แล้วก็ไม่อยากอยู่แต่ในโรงแรมน่ะ ท่าทางวันนี้อากาศจะดีด้วย แต่ก็ไม่รู้ว่าอยากไปไหนเหมือนกัน”

ตระการทำเสียงในคอเหมือนกำลังใช้ความคิดขณะหยิบกางเกงยีนส์กับเสื้อยืดแขนสั้นออกจากตู้ พลันนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มก็เป็นประกายเมื่อนึกอะไรออก หลังสวมเสื้อผ้าแล้วจึงเดินกลับไปฉุดแขนพรพฤกษ์ที่นั่งอยู่บนเตียงให้ลุกขึ้น

“นึกออกแล้วว่าจะไปไหน ความจริงมันก็ยังไม่ค่อยเรียบร้อยหรอก แต่ไผ่อุตส่าห์มาทั้งทีต้นก็พาไปดูเลยดีกว่า เดี๋ยวกินข้าวเช้าแล้วเราไปกันเลย”

พรพฤกษ์เลิกคิ้วอย่างงุนงง แต่ว่าก็ไม่ได้ถามเซ้าซี้และเพียงแต่ตามอีกฝ่ายลงไปที่ห้องอาหาร หลังจากทานมื้อเช้าแบบบุฟเฟต์กันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตระการก็ขับรถพาเขาออกจากโรงแรมไปยังเส้นทางที่มุ่งออกย่านชานเมือง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพาเขาออกนอกเขตกรุงเทพฯ พรพฤกษ์จึงค่อยหันไปถามอย่างสงสัย

“นี่เราจะไปไหนกันน่ะ?”

“ไปดูหมู่บ้านทาวน์เฮ้าส์ที่ปทุมฯ อันนี้เป็นโครงการล่าสุดที่ต้นเพิ่งลงทุนไป ตอนนี้ก็สร้างเสร็จไปประมาณเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์แล้วล่ะ”

คำอธิบายนั้นช่วยให้พรพฤกษ์กระจ่างว่าตนกำลังถูกพาไปไหน หลังจากเริ่มเข้าเขตอำเภอเมือง ตระการก็หักเลี้ยวรถจากถนนใหญ่เข้าไปในซอยที่ดูเหมือนทางเข้าหมู่บ้านเพราะมียามมาเลื่อนที่กั้นให้ ทว่าพรพฤกษ์ให้รู้สึกประหลาดใจที่ไม่เห็นป้ายทางเข้าหมู่บ้านอยู่ตรงไหนเลย

“ไหนบอกว่าทำเสร็จไปเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์แล้วไงต้น? ทำไมแม้แต่ป้ายชื่อหมู่บ้านก็ไม่มีล่ะ?”

คำถามนั้นทำให้ตระการหันมายิ้ม “ก็ต้นพาเข้าด้านหลังนี่นา ถ้าทางด้านหน้าหมู่บ้านล่ะก็ตกแต่งเสร็จหมดแล้ว แต่เดี๋ยวค่อยออกไปดูกันตอนขากลับดีกว่า”

พรพฤกษ์ไม่เข้าใจว่าทางเข้าด้านหน้ามีอะไรพิเศษนักหนาถึงต้องเก็บไว้ดูทีหลัง แต่ก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายคงอยากให้เขาได้ตื่นเต้นกับความสำเร็จล่าสุดจึงไม่ได้ถาม พอเข้าไปถึงส่วนที่น่าจะเป็นใจกลางของหมู่บ้าน ตระการก็ชี้ให้ดูบ้านหลังหนึ่งแล้วอธิบาย

“ปกติพ่อของต้นเขาจะชอบทำหมู่บ้านใหญ่ๆ กับคอนโดในเมืองที่เน้นรองรับคนมีเงิน แต่ต้นคิดว่าตลาดบ้านสำหรับคู่แต่งงานใหม่แล้วก็ครอบครัวขนาดเล็กกำลังโตก็เลยเสนอโครงการนี้ขึ้นมา ของที่นี่ก็ถูกจองหมดทุกยูนิตแล้ว กำลังคิดว่าอาจจะเปิดโครงการสองเร็วๆ นี้ แต่กำลังดูอยู่ว่าจะสร้างที่ไหน”

ตระการเอ่ยพลางขับรถวนไปรอบหมู่บ้าน ทำให้ได้เห็นบ้านที่ตกแต่งเสร็จและมีคนย้ายเข้าแล้ว ขณะที่บางหลังยังว่างโล่งเหมือนรอคนย้ายเข้าอาศัย และบางหลังก็ยังมีคนงานกำลังทาสีหรือตกแต่งส่วนอื่นๆ อยู่โดยรอบ

พรพฤกษ์มองตระการขณะชี้ชวนให้ดูบ้านแบบต่างๆ แล้วก็ยิ้ม อาจเพราะเวลาอีกฝ่ายไปหาเขาที่เชียงใหม่ ตระการจะทิ้งเรื่องงานไว้ที่กรุงเทพฯ และพูดถึงน้อยมาก เขาจึงไม่เคยเห็นภาพว่าอีกฝ่ายทำอะไรไปบ้างเหมือนอย่างตอนนี้

“ต้นเป็นคนมีหัวเรื่องธุรกิจนะ รู้ตัวหรือเปล่า?”

พรพฤกษ์เอ่ยหลังจากที่นั่งรถชมรอบหมู่บ้านกันได้พักใหญ่ ตระการจึงหันมายิ้มให้

“ไผ่คิดแบบนั้นเหรอ?”

“ก็ต้องอย่างนั้นสิ ผลงานเมื่อปีที่ผ่านมาก็ฝีมือต้นทั้งนั้นนี่ ถ้าหากไม่คิดนอกกรอบจากที่พ่อเขาเคยคิดไว้ก็คงทำไม่ได้ขนาดนี้หรอก”

ตระการยิ้มกว้างขึ้น จากนั้นก็คว้าข้อมือพรพฤกษ์ข้างที่สวมสร้อยเงินไว้แล้วดึงไปจูบเบาๆ

“ถ้าไม่ใช่เพราะไผ่ ต้นก็คงมาไม่ถึงตรงนี้เหมือนกัน”

พรพฤกษ์ยิ้มบ้าง เพราะเขารู้ดีว่าตระการหมายความตามที่พูดจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าความมุ่งมั่นเพื่อให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นที่ยอมรับจะสร้างแรงผลักดันให้อีกฝ่ายได้มากถึงขนาดนี้ และตระการก็ทำได้ดีเยี่ยมจนเขาพลอยดีใจไปด้วย

และหากว่าไม่ใช่เพราะตระการ...เขาก็คงยังไม่รู้จักความสุขเช่นที่มีอยู่ในทุกวันนี้เช่นกัน...

ไม่กี่นาทีถัดมา ตระการก็ขับรถมาถึงด้านหน้าหมู่บ้านซึ่งเคยบอกว่าจะให้พรพฤกษ์ดูก่อนกลับ ประตูทางเข้าถูกออกแบบให้เป็นสองช่องทางสำหรับรถเข้าออกโดยมีเกาะกลางถนนกั้นเป็นแนวและมีน้ำพุตรงกลาง ยามที่นั่งเฝ้าในป้อมด้านหน้าจำตระการได้จึงรีบตะเบ๊ะต้อนรับและให้ชายหนุ่มจอดรถริมถนนใกล้ทางเข้าตามที่ต้องการ พรพฤกษ์เห็นว่าตระการดับเครื่องและลงจากรถจึงเดินตามลงไปบ้าง จนเมื่อได้เห็นป้ายชื่อซึ่งอยู่เหนือทางเข้าถนัดตา ชายหนุ่มก็สะดุดลมหายใจตัวเอง

‘หมู่บ้านนฤมิตรา”

สิ่งที่ทำให้พรพฤกษ์ตะลึงไม่ใช่ชื่อหมู่บ้านที่ชวนให้คิดถึงเกสต์เฮ้าส์ของเขาเท่านั้น ทว่าที่ทำให้เขายิ่งพูดอะไรไม่ออกมากขึ้นคืออาคารสำนักงานติดต่อซึ่งอยู่เยื้องไปจากทางเข้า อาคารไม้กึ่งปูนที่มีสวนดอกไม้รายล้อมอาจต่างจากบ้านของเขาเนื่องจากมีเพียงสองชั้นในขณะที่ของเขามีสี่ชั้น แต่ไม่ว่าจะรูปแบบหรือสีสันก็ต่างดูแล้วทำให้เขานึกถึงบ้านนฤมิตรทั้งนั้น

“เป็นไง? ไผ่ว่าเหมือนต้นแบบที่เชียงใหม่มั้ย? นี่ต้นให้เขาดูจากรูปถ่ายกับอธิบายเอาเท่านั้นเองนะ”

พรพฤกษ์หันไปมองคนถามแต่พูดอะไรไม่ออก ตระการจึงยิ้มให้แล้วก็บีบมือเขาเบาๆ จากนั้นก็ผละไปคุยกับยามก่อนจะเดินกลับมาหา

“พอดีวันนี้พวกเจ้าหน้าที่ไม่มาทำงาน แต่ต้นขอกุญแจสำรองจากยามมาแล้ว เข้าไปดูข้างในกันเถอะ”

พรพฤกษ์ได้แต่เดินตามอีกฝ่ายโดยไม่รู้จะพูดอะไร ยิ่งเมื่อเห็นด้านในอาคารก็ยิ่งอึ้งมากขึ้น เพราะแม้แต่สีและการจัดวางก็ยังดูแล้วแทบจะเหมือนยกบ้านนฤมิตรมาตั้งไว้ที่นี่ หากไม่ใช่เพราะเฟอร์นิเจอร์ที่ดูใหม่กว่าและโต๊ะทำงานซึ่งมีคอมพิวเตอร์ตั้งอยู่ เขาอาจจะเผลอนึกว่ากำลังอยู่ในบ้านนฤมิตรไปแล้ว เพราะแม้แต่เคาน์เตอร์ด้านในซึ่งเป็นจุดที่เขาชอบนั่งทำงานก็ยังลอกแบบมาอย่างไม่ผิดเพี้ยน

“ขอโทษนะที่ต้นเอาแบบกับชื่อมาใช้โดยไม่ปรึกษาก่อน”

หลังจากปล่อยให้เขาสำรวจภายในเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง ตระการที่ยืนล้วงกระเป๋าอยู่มุมหนึ่งของห้องก็เอ่ยขึ้น พรพฤกษ์จึงหันไปหาแล้วก็ส่ายหน้า

“เรื่องนั้นไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่...นี่นึกยังไง?”

ร่างสูงใหญ่ยิ้มพลางมองไปรอบๆ ห้องรับแขก “ช่วงที่เริ่มคิดโครงการนี้ต้นอยากให้มีอะไรที่เป็นตัวแทนของไผ่ได้บ้าง ก็เลยได้ความคิดว่าจะตั้งชื่อหมู่บ้านตามชื่อสถานที่ที่ต้นชอบที่สุด ตอนแรกถึงกับปรึกษาบริษัทออกแบบว่าจะสร้างบ้านทุกหลังให้ออกมาเหมือนบ้านนฤมิตรเลยด้วยซ้ำ แต่โดนติงกลับมาว่าอาจจะทำให้ขายออกยาก สุดท้ายต้นเลยให้ทำอาคารสำนักงานด้านหน้าเป็นแบบที่อยากได้แทน แล้วก็กะว่าสำหรับโครงการอื่นในอนาคตก็จะทำอาคารสำนักงานให้เป็นแบบนี้หมดเหมือนกัน”

พรพฤกษ์ฟังแล้วก็สบตาตระการเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หมุนตัวแล้วเดินไปที่หลังเคาน์เตอร์ ตรงนั้นไม่มีโน้ตบุ๊คเครื่องประจำของเขาก็จริง แต่ไม่ว่าจะสีของไม้ที่นำมาทำเคาน์เตอร์หรือแม้แต่เก้าอี้ก็ล้วนไม่ต่างจากที่เขาใช้ที่เชียงใหม่สักนิด

ชายหนุ่มรู้สึกว่าขอบตาร้อนผ่าวขึ้น แม้จะรู้ดีอยู่แล้วว่าที่ตระการทำงานหนักก็เพราะเขา แต่เมื่อได้มาเห็นว่าผลงานล่าสุดของอีกฝ่ายนั้นทำขึ้นเพื่ออุทิศให้เขาโดยเฉพาะ ความตื้นตันก็แล่นขึ้นมาจนแน่นไปทั้งอก

“นี่ถ้าบอกให้รู้กันก่อน...อาจจะยอมให้พวกสถาปนิกเขาได้ไปดูบ้านนฤมิตรเป็นตัวอย่างก็ได้ บ้าจริงๆ เลย”

พรพฤกษ์ท้วงขึ้นยิ้มๆ ทั้งที่ขอบตาสองข้างแดงก่ำ ตระการจึงเดินเข้าไปหาแล้วก็รวบตัวอีกฝ่ายไว้ในอ้อมกอด

“ขอโทษที ตอนนั้นต้นกลัวว่าบอกไปแล้วไผ่จะไม่ยอมนี่นา แต่ตอนนี้ทุกอย่างก็เสร็จแล้ว ต้นเลยอยากให้ไผ่ได้มาเห็น”

ตระการเอ่ยพลางจรดริมฝีปากลงบนขมับของคนในอ้อมแขน พรพฤกษ์จึงเงยหน้าขึ้นยิ้มแล้วสอดแขนกอดอีกฝ่ายตอบ

“ขอบคุณนะต้น”

ขอบคุณจริงๆ ที่คิดถึงเขามากขนาดนี้...


++------++


ทั้งสองนั่งเล่นในอาคารสำนักงานกันพักใหญ่ จนกระทั่งเข็มนาฬิกาชี้บอกว่าเป็นเวลาอาหารกลางวันจึงออกไปทานข้าวที่ร้านอาหารใกล้หมู่บ้าน จากนั้นตระการก็ขับรถพาพรพฤกษ์ไปไหว้พระและเดินเที่ยวตลาดน้ำที่อยุธยาในช่วงบ่าย ความที่วันนี้เป็นวันอาทิตย์ทำให้มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติพลุกพล่านในทุกที่ที่ทั้งสองไป แต่ทั้งสองก็ไม่ได้บ่นและต่างทำตัวกลมกลืนไปกับเหล่านักท่องเที่ยวโดยไม่ได้รู้สึกรำคาญแต่อย่างใด

ตลอดเวลาที่ได้เที่ยวด้วยกัน ทั้งพรพฤกษ์ทั้งตระการต่างตระหนักว่าเวลาที่พวกเขาได้ใช้ร่วมกันนั้นแม้จะน้อยแต่ก็มีค่า ดังนั้นจึงไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องขี้ปะติ๋วอย่างอากาศที่ร้อนหรือการต้องเสียเวลาหาที่จอดรถ และต่างไม่พะวงว่าเมื่อวันจันทร์มาถึงพวกเขาก็ต้องแยกกันอีก แต่พยายามใช้เวลาที่ได้อยู่ด้วยกันให้มีความสุขที่สุดเพื่อชดเชยที่จะไม่ได้เจอกันไปอีกหนึ่งสัปดาห์

วันนั้นกว่าตระการจะขับรถกลับเข้ากรุงเทพฯ ก็เมื่อเกือบจะหมดแสงสุดท้ายของวัน โดยทั้งคู่ตั้งใจกันว่าจะกลับไปทานมื้อเย็นที่ร้านอาหารแถวๆ โรงแรม ระหว่างทางกลับตระการแวะจอดรถที่ปั๊มเพื่อเติมน้ำมันและเข้าห้องน้ำ แต่ว่าพรพฤกษ์ไม่ได้ลงไปด้วยและนั่งรออยู่ในรถ

ช่วงเย็นวันอาทิตย์มีรถมาแวะจอดมากมายเนื่องจากผู้คนต่างมุ่งหน้ากลับเข้ากรุงเทพฯ พรพฤกษ์จึงไม่ค่อยแปลกใจว่าตระการคงต้องรอคิวค่อนข้างนาน ระหว่างที่นั่งรอโดยทอดสายตามองผู้คนที่เดินผ่านไปมา ชายหนุ่มก็สะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงโทรเข้าจากมือถือของตระการซึ่งวางไว้หน้ารถ แล้วก็ให้แปลกใจเมื่อหยิบเครื่องมาดูและเห็นว่าใครโทรมา

คุณตฤณ...

พรพฤกษ์เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ เพราะปกติแล้วตฤณแทบจะไม่โทรหาตระการในวันหยุดเพราะถือว่านั่นเป็นเวลาส่วนตัวที่ตระการเลือกจะใช้ร่วมกับเขา อีกอย่างผู้สูงวัยก็เพิ่งจะเจอพวกเขาไปเมื่อคืน จึงไม่น่าจะมีเหตุจำเป็นให้ต้องโทรมาหาในเย็นวันอาทิตย์แบบนี้

หรือว่าจะมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้น...

จู่ๆ ภาพเสี้ยวหน้าด้านข้างของตฤณตอนที่คุยกับเขาเมื่อคืนนี้ก็วาบเข้ามาในหัว พรพฤกษ์จึงตัดสินใจกดรับโทรศัพท์แทนตระการทันที เพราะหากมีเรื่องอะไรร้ายแรงจริงๆ เขาก็คงจะเพิกเฉยไม่ได้แน่

“ฮัลโหล?”

“ต้น? ไม่สิ...ไผ่รึ?”

“ต้นเข้าห้องน้ำอยู่ครับ คุณตฤณมีเรื่องอะไรด่วนหรือเปล่าครับ หรือว่าอาการกำเริบ?”

พรพฤกษ์รีบถามกลับโดยไม่ทันฉุกคิดว่านี่เป็นครั้งแรกที่ผู้สูงวัยเรียกเขาด้วยชื่อ ไม่ใช่สรรพนามอันห่างเหินว่า ‘เธอ’ เหมือนเช่นทุกครั้ง

“เปล่า ฉันสบายดี ถ้าต้นมาเมื่อไหร่บอกว่าเย็นนี้ให้เข้ามากินข้าวที่บ้านด้วย”

เมื่อจบประโยคตฤณก็วางสายทันที พรพฤกษ์จึงได้แต่มองหน้าจออย่างงุนงง ตระการที่กลับเข้ามานั่งในรถเหลือบเห็นว่าพรพฤกษ์กำลังถือโทรศัพท์ของเขาจึงถามขึ้น “มีคนโทรมาเหรอไผ่?”

พรพฤกษ์พยักหน้าขณะยื่นมือถือคืนให้เจ้าของ นัยน์ตาสีนิลยังฉายแววประหลาดใจไม่หาย “...คุณตฤณโทรมา บอกว่าให้ต้นไปกินข้าวเย็นที่บ้าน”

ตระการเลิกคิ้ว “พ่อโทรมา?”

ร่างสูงรับโทรศัพท์คืนแล้วก็โทรหาบิดาทันที และดูเหมือนปลายสายก็คงรอรับอยู่แล้ว เพราะตระการเอ่ยถามแทบจะทันทีที่ยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู

“พ่อ? ผมต้นนะ...เพิ่งไปอยุธยามาแล้วกำลังจะกลับโรงแรมครับ...แล้วไผ่ล่ะครับ? อ๋อ...งั้นคงอีกสักชั่วโมงน่ะครับเพราะรถค่อนข้างติด…เข้าใจแล้วครับ”

พรพฤกษ์ขมวดคิ้วเมื่อเห็นตระการชำเลืองมองเขาเป็นระยะ เมื่ออีกฝ่ายวางสายจึงถามอย่างข้องใจ

“คุณตฤณมีธุระด่วนเหรอ?”

ตระการส่ายหน้า “เปล่าหรอก แค่โทรมาบอกว่าให้ไปกินข้าวเย็นด้วยกันเฉยๆ แล้วก็ให้พาไผ่ไปด้วย”

คำตอบที่ได้ทำให้พรพฤกษ์ยิ่งงุนงงมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้คำอธิบายมากไปกว่านั้นจากคนขับรถที่อมยิ้มน้อยๆ ตลอดทาง ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงถัดมาทั้งสองก็มาถึงรั้วบ้านสูงใหญ่สีขาวที่พรพฤกษ์เคยมาเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว ทันทีที่ยามเฝ้าประตูเห็นรถของตระการก็รีบกดเปิดรั้วให้

ตระการพูดเปรยๆ ขณะนำรถเข้าจอดตรงที่ประจำข้างตัวบ้าน “จะว่าไป...นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่พ่อบอกให้ต้นพาไผ่มาที่บ้าน”

เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มพูดจบก็หันมายิ้มให้ พรพฤกษ์ที่นั่งเงียบมาตลอดทางจึงระบายลมหายใจยาวแล้วก็พยักหน้า ทว่าก็ยังอดไม่ได้ที่จะระแวงว่าทำไมจู่ๆ จึงถูกเรียกให้มาร่วมทานมื้อเย็นด้วย

เอ้า...ไหนๆ ก็มาถึงที่แล้ว อีกอย่างเมื่อวานก็นั่งกินข้าวโต๊ะเดียวกันไปแล้วครั้งนึง คงไม่มีอะไรหรอกน่า...

ชายหนุ่มลงจากรถแล้วเดินตามตระการเข้าไปในบ้าน ยายแสนที่คงจะรออยู่แล้วรีบเดินเข้ามาหาอย่างดีใจเมื่อเห็นทั้งคู่

“คุณไผ่มาจริงๆ ด้วย ไม่ได้เจอกันตั้งปีนึงแน่ะพ่อคุณ คิดถึงจังเลยค่ะ”

พรพฤกษ์ยิ้มให้หัวหน้าแม่บ้านที่แสดงความยินดีที่ได้พบเขาอย่างไม่ปิดบัง ตระการที่ยืนอยู่ข้างๆ จึงถามขึ้น “แล้วพ่ออยู่ไหนครับป้าแสน?”

“คุณท่านรออยู่ที่ห้องอาหารค่ะ ป้านี่ตกใจหมดเลยตอนที่คุณท่านบอกให้จัดสำรับสามที่เพราะคุณไผ่จะมา เมื่อกี้ได้ยินเสียงรถคุณต้นก็ยังนึกอยู่เลยว่าจะมาด้วยจริงๆ หรือเปล่า”

ทั้งสองเดินตามหัวหน้าแม่บ้านสูงวัยไปที่ห้องอาหาร ทำให้พบว่าตฤณนั่งรออยู่ที่หัวโต๊ะจริงๆ เมื่อผู้สูงวัยเหลือบตาขึ้นเห็นตระการกับพรพฤกษ์ก็ถอดแว่นและพับหนังสือพิมพ์ที่อ่านค้างไว้ ยายแสนจึงรีบเดินเข้าไปหาแล้วเก็บหนังสือพิมพ์กับแว่นออกจากโต๊ะ

“สวัสดีครับ คุณตฤณ”

พรพฤกษ์พนมมือทำความเคารพนายใหญ่ของบ้านโดยที่อีกฝ่ายพยักหน้ารับเรียบๆ และเมื่อเห็นตระการทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ด้านหนึ่งของบิดา เขาจึงเข้าไปนั่งตรงที่ว่างอีกด้านซึ่งมีสำรับวางรอไว้ ยายแสนเห็นว่าทุกคนนั่งที่เรียบร้อยแล้วก็เรียกให้เด็กแม่บ้านนำโถข้าวสวยกับกับข้าวออกมาจากในครัว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-01-2011 11:07:56 โดย bellbomb »

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ไม่รู้ว่าเพราะตฤณสั่งให้ทำอาหารหลายอย่างเพราะมีสมาชิกร่วมโต๊ะเพิ่มอีกหนึ่งคน หรือเพราะยายแสนตื่นเต้นที่พรพฤกษ์มาถึงได้แสดงฝีมือเต็มที่ แต่พรพฤกษ์ก็แปลกใจไม่น้อยว่าปกติแล้วบ้านนี้ต้องทำกับข้าวถึงหกเจ็ดอย่างสำหรับคนแค่สามคนด้วยหรือ และดูเหมือนความแปลกใจในแววตาของเขาจะฉายออกมาอย่างชัดเจน ตระการที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามจึงอธิบายยิ้มๆ

“ปกติมื้อเย็นป้าแสนจะทำกับข้าวอย่างมากก็สามอย่างเท่านั้นแหละ แต่คงเห็นว่าวันนี้พิเศษก็เลยทำเพิ่มซะเยอะเลยน่ะ”

ชายหนุ่มเอ่ยพลางเหลือบตามองบิดาที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ แต่ตฤณก็ไม่ได้พูดอะไรและเพียงแต่ตักกับข้าวใส่จาน เป็นสัญญาณว่ามื้อเย็นได้เริ่มแล้ว ผู้อ่อนวัยกว่าทั้งสองจึงเริ่มตักข้าวทานบ้าง

“วันนี้ไปไหนกันมา?”

หลังจากต่างนั่งทานข้าวกันในความเงียบได้สักครู่ ตฤณก็เอ่ยขึ้นลอยๆ โดยไม่ระบุว่าถามใคร แต่ตระการดูออกว่าพรพฤกษ์ยังเกร็งอยู่จึงตอบให้เสียเอง

“เมื่อเช้าผมพาไผ่ไปดูโครงการที่ปทุมฯ มาครับ พอตอนบ่ายก็เลยไปไหว้พระที่อยุธยากันต่อ ความจริงพวกผมซื้อขนมมาฝากด้วยแต่อยู่ท้ายรถ เดี๋ยวผมให้เด็กไปเอามาให้”

ตฤณฟังแล้วก็พยักหน้ารับรู้ ผู้สูงวัยเหลือบตามองไปยังปลาราดพริกซึ่งตั้งอยู่หน้าพรพฤกษ์ก่อนจะตักแกงจืดสาหร่ายที่อยู่ใกล้ตัวใส่จานแทน ทว่าพรพฤกษ์ก็ทันสังเกตเห็นสายตาเมื่อครู่ จึงใช้ช้อนส้อมแกะเนื้อส่วนท้องปลาแล้วก็ยื่นใส่ในจานให้

“ปลาครับคุณตฤณ ถ้าอยากได้อย่างอื่นก็บอกนะครับ เดี๋ยวผมตักให้”

ผู้สูงวัยเงยหน้าขึ้นจากจานข้าวและมองพรพฤกษ์ และชายหนุ่มคิดว่านี่อาจเป็นครั้งแรกของวันนี้ที่ตฤณมองเขาเต็มๆ ตา แววตาของอีกฝ่ายยังคงยากที่จะตีความหมายไม่ต่างจากทุกครั้ง แต่ประกายที่ได้เห็นก็ทำให้พรพฤกษ์รู้สึกว่าน้ำหนักที่ถ่วงในใจถูกปลดจนเบาขึ้น

“ขอบใจ”

ตฤณเอ่ยสั้นๆ ก่อนจะตักอาหารทานต่อ เมื่อพรพฤกษ์เหลือบมองไปฝั่งตรงข้ามก็เห็นว่าตระการกำลังยิ้มให้ และรอยยิ้มนั้นก็ทำให้มุมปากของเขาค่อยๆ ยกขึ้นบ้าง

ชายหนุ่มทานอาหารต่อด้วยความปลอดโปร่งมากขึ้น ความเกร็งและระวังตัวในตอนแรกค่อยๆ เลือนหาย บางครั้งเขาก็จะตักอาหารที่อยู่ใกล้ตัวใส่ในจานของตฤณเองโดยไม่รอให้ผู้สูงวัยขอ และเริ่มกล้าที่จะตอบเวลาที่นายใหญ่ของบ้านถามคำถามลอยๆ ที่ไม่ระบุตัวคนตอบมากขึ้น

กว่าอาหารเย็นมื้อนั้นจะจบลงก็กินเวลาไปเกือบหนึ่งชั่วโมง ยายแสนที่กำกับเด็กแม่บ้านให้มาช่วยเก็บสำรับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่อเห็นว่าอาหารที่ตนทำถูกทานจนหมดเกลี้ยง

“ดีจริง คุณไผ่มาทานด้วยแค่วันเดียว ทั้งคุณท่านทั้งคุณต้นเจริญอาหารกันใหญ่เลย”

หัวหน้าแม่บ้านเอ่ยพลางยิ้มอย่างชื่นชมให้พรพฤกษ์ ชายหนุ่มจึงยิ้มตอบแม้จะไม่คิดว่าตัวเองมีอิทธิพลกับมื้อที่เพิ่งผ่านไปมากขนาดนั้น หลังจากที่เด็กแม่บ้านเช็ดโต๊ะจนสะอาดแล้ว ตฤณก็หันไปสั่งยายแสนที่เพิ่งเดินกลับออกมาจากครัวอีกครั้ง

“เดี๋ยวฉันจะคุยกับสองคนนี้ที่ห้องนั่งเล่น เดี๋ยวเอาน้ำไปเสิร์ฟให้ด้วย”

ยายแสนพยักหน้ารับแล้วหันไปสั่งเด็กต่อ ตระการกับพรพฤกษ์จึงสบตากัน จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วเดินตามหลังตฤณที่เดินนำเข้าไปในห้องนั่งเล่น ตระการถือโอกาสนั้นดึงมือคนข้างตัวไปจับไว้แล้วก็บีบแน่นๆ ทีหนึ่ง เมื่อพรพฤกษ์หันไปเห็นแววตาของอีกฝ่ายก็รีบหลบตาลงทันที

อย่าเพิ่งทำตาแบบนั้นเลยต้น...ยังไม่รู้ว่าคุณตฤณจะพูดอะไรด้วยเลยแท้ๆ...

ทั้งสามนั่งลงบนโซฟาในห้องนั่งเล่น โดยตฤณนั่งที่โซฟาตัวเล็กสำหรับนั่งคนเดียว ราวกับจงใจเหลือโซฟาตัวยาวไว้ให้ตระการกับพรพฤกษ์นั่งด้วยกัน ชายหนุ่มทั้งสองจึงสบตากันอีกครั้งก่อนจะนั่งลงโดยเว้นที่ระหว่างกันไว้เล็กน้อย

เด็กสาวแม่บ้านคนหนึ่งเดินนำถาดซึ่งมีชุดน้ำชากับคุ้กกี้มาวางให้บนโต๊ะเตี้ยกลางห้องรับแขกแล้วก็กลับออกไป เมื่อลับหลังเด็กสาวแล้ว ตฤณก็หยิบถ้วยน้ำชาของตัวเองขึ้นมาจิบ ทว่าไม่ได้พูดอะไรอยู่เป็นนาน สุดท้ายกลับเป็นตระการที่ทนความเงียบไม่ไหวและเอ่ยขึ้นมาก่อน

“พ่อครับ?”

ตฤณเลิกคิ้วขึ้นและเหลือบตามองบุตรชาย แต่ไม่ใช่ด้วยแววตามีคำถาม เหมือนกับเพียงรอฟังว่าตระการจะพูดอะไร ต่างกับพรพฤกษ์ที่เลิกคิ้วมองคนข้างตัวอย่างสงสัย ร่างสูงใหญ่จึงชำเลืองมองคนข้างตัวก่อนจะหันไปหาบิดาอีกครั้ง

“ผมไม่แน่ใจว่าที่พ่อบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับพวกผมน่ะมันเรื่องอะไร แต่ถ้าหากพ่อจะอนุญาต ผมมีเรื่องอยากจะบอกพ่อก่อน”

ผู้สูงวัยสบตากับบุตรชายนิ่ง จากนั้นก็วางถ้วยชาในมือลงแล้ววางมือทั้งสองประสานไว้บนตักอย่างเงียบๆ แต่จากท่าทางก็บอกเป็นนัยว่าอนุญาตให้เขาพูดได้ ตระการจึงชำเลืองมองพรพฤกษ์แวบหนึ่ง และความมุ่งมั่นในแววตาคู่นั้นก็ทำเอาพรพฤกษ์หัวใจกระตุก

จะทำอะไรน่ะต้น...

ชายหนุ่มเริ่มสังหรณ์ใจแปลกๆ พลันนัยน์ตาสีนิลก็เบิกกว้างเมื่อจู่ๆ คนข้างตัวก็ทรุดลงไปนั่งบนพื้นแล้วกราบลงบนตักพ่อตัวเอง และดูเหมือนการกระทำนั้นก็จะเกินความคาดหมายของตฤณเช่นกันเพราะผู้สูงวัยเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ

“ที่ผ่านมาผมอาจไม่เคยสนใจสิ่งที่พ่อทำให้ อาจจะทำให้พ่อไม่พอใจที่ผมไม่เป็นลูกที่ดีอย่างที่ต้องการ ผมรู้และขอโทษที่ไม่เคยทำให้พ่อได้ภาคภูมิใจอย่างที่ควรจะทำ แต่นับจากนี้ไปผมสัญญาว่าจะดูแลธุรกิจที่พ่อมอบให้ผมให้ดีที่สุด ผมจะทำหน้าที่ไม่ให้ขาดตกบกพร่องหรือปล่อยให้ใครมาครหาได้ เพราะฉะนั้นผมอยากจะขอร้องพ่อเรื่องเดียวเท่านั้นเป็นการตอบแทน ขอให้พ่ออนุญาตให้ไผ่มาอยู่กับผมที่นี่เถอะครับ”

พรพฤกษ์รู้สึกหูอื้อตาลายกับภาพตรงหน้า จนกระทั่งถึงวินาทีก่อนที่ตระการจะลงไปกราบบิดาและเอ่ยขอร้องเรื่องเกี่ยวกับเขา พรพฤกษ์ไม่เคยเอะใจมาก่อนเลยว่าอีกฝ่ายเก็บกดความต้องการที่อยากให้เขามาอยู่ด้วยไว้ลึกถึงเพียงนี้ เพราะที่ผ่านมาตระการจะเอ่ยชวนเขาแบบอ้อมๆ เท่านั้น ทำให้เขาไม่ค่อยลำบากใจที่จะทำเป็นไขหูหรือบอกปัดเหมือนกำลังคุยกันเล่นๆ แต่บัดนี้เขาได้รู้แล้วว่าที่ผ่านมาตระการทำแบบนั้นเพื่อเลี่ยงการกดดันเขานี่เอง

ชายหนุ่มรู้สึกราวกับสีเลือดหายไปจากหน้า ขณะเดียวกันมือทั้งสองข้างที่วางอยู่บนเข่าก็กำแน่นจนจิกเข้าไปในฝ่ามือ นัยน์ตาสีนิลจับจ้องแผ่นหลังกว้างที่ยังไม่เงยหน้าขึ้นจากตักของพ่อตัวเอง และรู้สึกเหมือนเห็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่งที่มีความต้องการจะอยู่กับคนที่ตัวเองรักเท่านั้นไม่ว่าจะต้องใช้วิธีไหนก็ตาม

ขอโทษนะต้น...ที่ผ่านมาคำปฏิเสธของไผ่ทำร้ายจิตใจต้นไปกี่ครั้งแล้ว...ทำไมถึงไม่เคยบอกให้รู้กันบ้างเลย...

การถูกปฏิเสธจากคนที่รักนั้นเจ็บปวดแค่ไหนพรพฤกษ์ไม่อยากคิด เพราะที่ผ่านมาตระการตามใจเขาตลอดเวลาจนไม่เคยได้สัมผัสความรู้สึกดังกล่าว แต่นี่นอกจากบิดาจะไม่เห็นดีด้วย เขาเองที่เป็นคนรักก็ยังคอยแต่จะบ่ายเบี่ยงเสียอีก ตระการจะต้องแบกรับความอึดอัดใจที่มาจากทั้งสองด้านในฐานะคนกลางมากสักเพียงไหนกัน

ตฤณทอดสายตานิ่งไปที่โต๊ะซึ่งอยู่ห่างไปไม่ไกล จากหางตาเขาเห็นสีหน้าซีดเผือดและขอบตาที่แดงเรื่อของพรพฤกษ์ซึ่งกำลังจับจ้องตระการได้ ขณะเดียวกันน้ำหนักที่อยู่บนตักก็ช่างแจ่มชัดจนผู้สูงวัยต้องพยายามควบคุมร่างกายไม่ให้สั่น ความห่างเหินระหว่างเขากับบุตรชายทำให้ตฤณแทบจำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เขากับตระการได้ใกล้ชิดกันขนาดนี้เกิดขึ้นเมื่อกี่ปีมาแล้ว บางทีอาจจะนานพอๆ กับอายุของอีกฝ่ายเลยก็เป็นได้ เพราะเขาเองที่ละเลยและแทบไม่เคยได้มอบความอบอุ่นอย่างที่คนเป็นพ่อควรจะทำให้ลูกคนเดียว ทุกสิ่งที่ตระการเพิ่งเอ่ยไป ไม่ว่าจะเรื่องที่ไม่ทำตัวเป็นลูกที่ดีหรือทำตัวไม่น่าภูมิใจ ทั้งหมดนั้นไม่ต่างอะไรกับลูกศรที่พุ่งกลับเข้ามาทิ่มแทงจิตใจเขาเองทั้งสิ้น

นิ้วมือผอมเกร็งขยับราวจะยกขึ้นลูบศีรษะที่ปกคลุมด้วยเรือนผมสีดำของบุตรชายคนเดียว แต่แล้วมือนั้นก็กำแน่นเข้าแล้ววางลงที่เดิม ตฤณหลับตาแล้วสูดหายใจเข้าลึกเพื่อรวบรวมสติและความกล้า อย่างน้อยตลอดชีวิตหกสิบกว่าปีที่ผ่านมาของเขา...นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่เขาได้ตัดสินใจในสิ่งที่ถูกต้องเสียที

“...อย่าขอโทษ เอาความคิดที่จะขอโทษไปตั้งใจทำงานให้ดีอย่างที่แกบอกจะดีกว่า”

ตฤณเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้งกว่าที่ตั้งใจ ทว่าตระการก็ยังคงไม่เงยหน้าขึ้น ราวกับจะไม่ยอมลุกจากตรงนั้นถ้าหากยังไม่ได้คำตอบที่ต้องการ ผู้สูงวัยจึงระบายลมหายใจยาวก่อนจะเบนสายตาไปยังพรพฤกษ์ที่ยังนั่งนิ่งบนโซฟา บนใบหน้าที่มีเค้าละม้ายกับผู้หญิงที่เขารักที่สุดมีน้ำตาไหลอาบเต็มสองแก้ม และภาพที่เห็นก็ทำให้นัยน์ตาที่กร้าวอยู่เป็นนิจของตฤณฉายประกายอ่อนโยนลง

“ไผ่...”

พรพฤกษ์กะพริบตา ทำให้เพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองน้ำตาไหล ชายหนุ่มจึงรีบยกมือขึ้นปาดคราบน้ำตาบนหน้าและตอบรับ “ครับ?”

“ฉันอายุไม่น้อยแล้ว ถึงจะเคยบอกว่าสบายดีแต่ก็ไม่รู้หรอกว่าจะตายวันตายพรุ่งเมื่อไหร่ ฉันรู้ว่าเธออาจจะโกรธแค้นฉันที่เคยพรากแม่มาจากเธอ แต่ถ้าหากเธอจะยอมอโหสิให้ตาแก่คนนี้ได้...จะยอมฟังคำขอของฉัน...จะยอมทำให้คำขอของลูกชายฉันเป็นจริงได้ไหม?”

พรพฤกษ์สบตากับผู้สูงวัยนิ่ง เขาพยายามจะกลั้นน้ำตาที่ทำท่าจะเอ่อขึ้นมาอีกหนเอาไว้ แต่ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์

วันนี้เขาได้ยินชื่อของเขาจากปากของตฤณสองครั้งแล้ว และพรพฤกษ์คิดว่าคงจะมีครั้งที่สามและครั้งต่อไปอีกอย่างแน่นอน

ร่างเพรียวทรุดตัวลงนั่งบนพื้นข้างตระการ จากนั้นก็แตะมือลงบนบ่ากว้างเบาๆ ร่างสูงใหญ่จึงค่อยๆ ยกศีรษะขึ้นจากตักของบิดาและนั่งตัวตรง ขอบตาทั้งสองข้างของตระการแดงช้ำ แต่ว่าไม่มีร่องรอยของน้ำตา เป็นพรพฤกษ์เสียอีกที่หยาดน้ำไหลเอ่อออกมามากขึ้นเมื่อได้เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายชัดๆ

“ต้น...ขอโทษนะที่ไม่เคยรู้เลยว่าต้นอดทนมากขนาดนี้ หลังจากนี้ต้นไม่ต้องอดทนแล้วล่ะนะ”

ชายหนุ่มเอ่ยก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองตฤณ และเป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าได้เห็นความเข้าใจในแววตาคู่นั้น ความเข้าใจในความสำคัญของอีกฝ่ายที่มีต่อคนที่พวกเขาต่างก็รักเหมือนกัน ชายหนุ่มยกมือทั้งสองขึ้นแล้วก็กราบลงบนตักอีกฝ่ายช้าๆ

“ผมยินดีอโหสิให้คุณตฤณ แล้วก็ยินดีจะทำตามที่คุณตฤณกับต้นต้องการครับ”

ชายหนุ่มระบายลมหายใจยาวเมื่อรู้สึกถึงมือผอมเกร็งที่วางลงบนศีรษะเบาๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็คิดว่าเห็นมุมปากของผู้สูงวัยที่ยกขึ้นเล็กน้อยจนแทบสังเกตไม่เห็น แต่เขาก็ยิ้มตอบพลางยกมือขึ้นเช็ดหยาดน้ำตาบนหน้า ยังไม่ทันที่เขาจะหันไปหาตระการ อีกฝ่ายก็รั้งตัวเขาไปกอดแน่นจนพรพฤกษ์แทบหายใจไม่ออก

“ขอบคุณนะไผ่ ขอบคุณมาก”

ตระการกระซิบเสียงแผ่ว พรพฤกษ์ไม่แน่ใจว่าที่เขารู้สึกว่าอ้อมแขนของอีกฝ่ายสั่นนิดๆ นั้นเป็นเพราะตระการกอดเขาแน่นเกินไปหรือเปล่า แต่เมื่อเหลือบตาไปทางตฤณและเห็นผู้สูงวัยไม่ได้ทำแววตารังเกียจ เขาจึงยกมือขึ้นลูบแผ่นหลังกว้างเบาๆ

“อื้อ”

ทั้งสองขยับตัวเมื่อตฤณลุกขึ้นและลุกตาม แต่เมื่อจะเข้าไปประคอง ผู้สูงวัยก็โบกมือไล่พร้อมกับทำเสียงจึ๊กจั๊กในคอ “ฉันยังไม่ได้เป็นอะไรจะมาประคองทำไม สำหรับวันนี้ฉันถือว่าพวกเราคุยกันเข้าใจแล้ว ส่วนจะเก็บของย้ายมาเมื่อไหร่ก็ไปตกลงกันเองก็แล้วกัน”

ตฤณเอ่ยพลางเดินไปที่บันได แต่ก็ชะงักเมื่อได้ยินเสียงจากบุตรชายที่ดังขึ้นข้างหลัง

“ขอบคุณนะครับพ่อ”

ผู้สูงวัยเหลียวกลับไปมองตระการกับพรพฤกษ์ที่ยืนจับมือกันอยู่ที่กลางห้องนั่งเล่น จากนั้นก็เพียงพยักหน้าและเดินต่อขึ้นไปชั้นบน เมื่อคล้อยหลังบิดาแล้ว ตระการก็หันกลับมาแล้วดึงพรพฤกษ์กลับไปกอดอีกครั้ง ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้เอ่ยอะไร ตระการก็ช้อนท้ายทอยเขาขึ้นแล้วแนบริมฝีปากลงหา

พรพฤกษ์ทำตาโตด้วยไม่คิดว่าตระการจะกล้าทำแบบนี้กลางบ้านแถมยังเพิ่งจะลับหลังพ่อตัวเองอีกด้วย แต่ความอบอุ่นและเร่าร้อนที่ถูกถ่ายทอดมาก็ทำให้เขาพบว่าตนก็ต้องการสิ่งนี้ในเวลานี้เช่นกัน มือทั้งสองที่กำเสื้อบนไหล่อีกฝ่ายจึงเลื่อนไปทาบแผ่นหลังกว้างและยึดเอาไว้แน่น

ทั้งสองแลกเปลี่ยนลมหายใจและความรู้สึกอันหลากหลายที่อัดแน่นผ่านการสัมผัส ทั้งความดีใจ ความโล่งใจ ความคาดหวัง ความตื้นตัน และที่สำคัญที่สุด ความรู้สึกว่าพวกเขาประสบความสำเร็จในการก้าวข้ามกำแพงที่ใหญ่ที่สุดมาด้วยกันได้แล้ว…นับจากวันที่ตระการเริ่มก้าวเข้าไปในชีวิตของพรพฤกษ์เมื่อสามปีก่อน รวมถึงอุปสรรคทั้งหลายที่เคยต้องฝ่าฟันผ่านความหวาดหวั่นและไม่มั่นใจมาด้วยกัน

ในที่สุดตระการก็ยอมผละจากความหอมหวานของรสจูบตรงหน้า ชายหนุ่มไล้ริมฝีปากไปบนผิวแก้มเนียนละเอียด เรื่อยไปบนเปลือกตาที่ยังมีหยดน้ำเกาะด้วยความอ่อนโยนราวกำลังแตะต้องสมบัติล้ำค่าที่ในที่สุดก็คว้ามาได้ จากนั้นจึงใช้มือใหญ่ทั้งสองประคองหน้าของอีกฝ่ายเอาไว้และแนบหน้าผากลงบนหน้าผากของพรพฤกษ์อย่างแผ่วเบา

“คราวนี้ไผ่เอาเรื่องพ่อมาอ้างกับต้นไม่ได้แล้วนะ”

ตระการเอ่ยพลางจ้องเข้าไปในแววตาสีนิล พรพฤกษ์จึงหัวเราะเบาๆ และยกมือขึ้นทาบบนมือทั้งสองของอีกฝ่ายบ้าง ระยะที่ใกล้กันเช่นนั้นทำให้ลมหายใจของทั้งคู่เป่ารดบนปลายจมูกของกันและกัน เช่นเดียวกับแววตาที่สะท้อนแต่คนตรงหน้า และพรพฤกษ์ก็รู้ดีว่าเขาไม่มีทางบ่ายเบี่ยงข้อเรียกร้องของตระการได้อีกจริงๆ

ดูท่าเขาคงต้องเริ่มคิดเรื่องการย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ อย่างจริงจังเสียที...

พรพฤกษ์คิดในใจ แต่ตระการคงไม่โกรธถ้าหากเขาจะยังขอไม่คิดถึงเรื่องนั้นในนาทีนี้ เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดในวินาทีนี้ก็คือ นับจากวันพรุ่งนี้ไป...พวกเขาจะได้เริ่มชีวิตใหม่ด้วยกันโดยไม่ต้องกลัวว่าจะทำร้ายความรู้สึกใครอีก

เช่นเดียวกับคำสัญญาของตระการที่เคยบอกว่าจะทำให้พวกเขา ‘เป็นไปได้’ ตอนที่ทั้งสองตกลงว่าจะเริ่มคบกัน

วันนี้...คำสัญญาเป็นจริงแล้ว...


++---END---++


A/N: ไม่รู้ว่าเซลส์สมองโดนทำลายไปกี่เซลส์ระหว่างเขียนตอนนี้ แต่พอพิมพ์ประโยคสุดท้ายไปแล้ว ความรู้สึกแรกที่พุ่งขึ้นมาเลยคือ speechlost ค่ะ (หนักกว่า speechless) แบบว่า โอ้...นี่ฉันพาคู่นี้มาถึงจุดนี้ได้แล้วหรือนี่ มาไกลจากตอนเริ่มเขียนเมื่อปี 08 มากทีเดียว แทบไม่อยากเชื่อว่าในที่สุดก็พาต้นกับไผ่มาถึงบทสรุปได้ ความจริงรู้สึกเหมือนมีอะไรอยากพูดอีกเยอะแยะมาก แต่ตอนนี้เรียบเรียงความคิดไม่ได้เลย แต่ไม่ต้องห่วงไปว่าพอขึ้นว่า END แล้วจะไม่ได้เจอกันอีกค่ะ เพราะเดี๋ยวตอนหน้าจะเอาบทส่งท้ายมาลงต่อ ดังนั้นเรายังจะได้เจอต้นไผ่กันอีกนะ แต่สัปดาห์หน้านี่ออกตัวไว้เลยว่าขอเป็นวันอังคารนะเจ้าคะ แหะๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-01-2011 09:15:21 โดย bellbomb »

ออฟไลน์ indy❣zaka

  • กระซิกๆ เบื่อดราม่า...
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4582
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +625/-26
กรี๊ซซซซซซซ  :-[ :-[
จบได้ซึ้งซาบปลาบปลื้มมว๊ากค่ะ  :monkeysad: o13
ในที่สุดต้นไผ่ ต้นนี้ก็จะได้ย้ายมาปลูกในเมืองหลวงแล้วสินะ   :o8:
เอาความรักเป็นน้ำ ความห่วงใยเป็นปุ๋ย ความเข้าใจเป็นแสงแดด นะคะ  แล้วค่อยๆเติบโตผลิบานไปพร้อมๆกันทั้งคู่..ด้วยกันตลอดไปค่ะ  :กอด1:

ปล.ต้นไผ่ ถ้าจะแต่งอย่าลืมร่้อนการ์ดมาให้เค้ามั่งนะ  :laugh:

กอดคนแต่งส่งท้ายค่ะ  :กอด1:
รอตอนหน้าด้วยคนนะคะ  :bye2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-01-2011 22:02:54 โดย ZakuPz »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด