ตอนใหม่มาแล้วค่ะ คิดถึงคนอ่านทุกๆ คนน้า 
++------++
27.ภายในโรงแรมระดับสี่ดาวกลางใจเมืองแห่งหนึ่ง หลังจากเช็คอินที่เคาน์เตอร์เรียบร้อยแล้ว ตระการก็รับคีย์การ์ดก่อนจะพาพรพฤกษ์ไปห้องอาหารซึ่งตั้งอยู่ที่ชั้นกราวด์ ความจริงแล้วฐานะของเขานั้นสามารถเลือกที่จะเข้าพักห้องที่ดีที่สุดในโรงแรมที่หรูและแพงที่สุดในกรุงเทพฯได้อย่างสบายๆ หรือถ้าหากต้องการ เขาจะโทรแจ้งผู้จัดการโรงแรมให้มาคอยต้อนรับเป็นพิเศษก็ยังได้ แต่โดยส่วนตัวแล้วเขาไม่ได้ชื่นชอบความฟู่ฟ่าหรือเป็นจุดสนใจ ประกอบกับตระหนักดีว่าพรพฤกษ์เองก็คงไม่ได้ต้องการพักในที่หรูหราเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศมากเท่ากับต้องการเป็นอิสระจากคนในครอบครัวของเขาชั่วคราว ตระการจึงเลือกโรงแรมที่ดีเพียงพอจะอำนวยความสะดวกในการมาพักค้างคืนเท่านั้น
เนื่องจากห้องอาหารที่นี่เป็นแบบบุฟเฟต์ หลังจากเลือกที่นั่งซึ่งใกล้กับกระจกแล้วทั้งคู่ก็ลุกไปตักอาหารและเดินกลับมานั่งทานที่โต๊ะ แต่พรพฤกษ์ทานได้เพียงไม่กี่คำก็เขี่ยอาหารไปมาก่อนจะวางมีดกับส้อมลง ทั้งๆ ที่อาหารที่ตักมาก็มีปริมาณน้อยอยู่แล้ว ตระการเห็นจึงถามขึ้นอย่างเป็นห่วง
“ไผ่อิ่มแล้วเหรอ?”
คนถูกถามพยักหน้า “เมื่อบ่ายกินของว่างที่ออฟฟิศไปแล้ว มันก็เลยไม่ค่อยหิวล่ะมั้ง”
พรพฤกษ์ตอบแล้วก็ยกมือขึ้นวางประสานบนโต๊ะพลางมองไปด้านนอก แต่พอเห็นจากหางตาว่าตระการวางมีดกับส้อมลงบ้างก็หันกลับไปหา
“ถ้าต้นยังไม่อิ่มก็กินต่อสิ เดี๋ยวนั่งรอก็ได้ เสียดายค่าบุฟเฟต์”
ตระการส่ายหน้าพลางยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม จากนั้นก็ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นเท้าคาง “อาหารโรงแรมมันไม่ค่อยอร่อย ต้นอยากกินที่ไผ่ทำมากกว่า”
พรพฤกษ์กะพริบตา จากนั้นหัวคิ้วที่มุ่นน้อยๆ มาตลอดตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลโดยไม่รู้ตัวก็คลายลง ริมฝีปากบางค่อยคลี่ยิ้มได้เมื่อได้ยินที่ตระการพูด
“เอาไว้กลับไปเชียงใหม่ก่อนสิจะทำกับข้าวให้ทุกมื้อเลย อยู่ที่นี่ต้นมีแม่บ้านทำให้อยู่แล้วนี่”
ทั้งคู่เงียบไปหลังจากนั้น ตระการมองพรพฤกษ์ที่กำลังหลุบตาลงมองโต๊ะ จากนั้นก็ยื่นมืออีกข้างไปวางทับบนมืออีกฝ่าย
“พ่อเขาพูดอะไรกับไผ่บ้าง เล่าให้ฟังได้มั้ย?”
พรพฤกษ์เหลือบตาขึ้น จากนั้นก็เบนสายตาลงอีกครั้งก่อนจะถอนหายใจ ชายหนุ่มตัดสินใจเล่าบทสนทนาสั้นๆ ในห้องผู้ป่วยให้ตระการฟังโดยพยายามเลือกใช้คำให้อ่อนกว่าที่ตฤณพูดจริง แต่ตระการก็เดาได้เองว่าด้วยนิสัยแล้วพ่อของเขาคงใช้คำที่ตรงไปตรงมายิ่งกว่าที่พรพฤกษ์ใช้อย่างแน่นอน
ทั้งสองนั่งฟังเสียงการเคลื่อนไหวของแขกคนอื่นๆ ในห้องอาหารอย่างเงียบๆ หลังพรพฤกษ์เล่าจบ ครู่หนึ่งตระการก็เรียกพนักงานมาเก็บค่าอาหารแล้วเดินนำพรพฤกษ์ขึ้นไปที่ล็อบบี้
“ไผ่จะขึ้นห้องเลยหรือเปล่า? หรือว่าอยากออกไปเดินเล่นก่อน? กลางคืนแถวนี้มีตลาดอยู่”
ตระการเอ่ยหลังจากดูนาฬิกาข้อมือและเห็นว่าเพิ่งจะสองทุ่ม พรพฤกษ์จึงมองไปยังถนนด้านนอกที่เห็นได้ผ่านกระจกล็อบบี้ จากนั้นก็หันกลับมามองตระการที่ยังอยู่ในชุดสูทแม้ว่าจะคลายเนคไทให้หลวมและปลดกระดุมเม็ดบนไว้ พอก้มมองตัวเองที่อยู่ในเสื้อผ้าฝ้ายแขนยาวกับกางเกงยีนส์และรองเท้าผ้าใบ ชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นยิ้มแล้วส่ายหน้า
“อย่าดีกว่า เดี๋ยวดูเหมือนเสี่ยหิ้วเด็กไปเดินช้อปปิ้ง”
ชายหนุ่มหัวเราะเมื่อเห็นตระการทำหน้างง เขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะการได้อยู่ห่างไกลสายตาของคนในครอบครัวของตระการ หรือเป็นเพราะได้บรรเทาความขุ่นมัวในใจด้วยการเล่าเรื่องที่คุยกับตฤณให้อีกฝ่ายฟัง แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่าความทุกข์ในใจได้รับการปลดปล่อยจนอารมณ์ดีขึ้นมาก และไม่อยากจะคิดถึงเรื่องที่ทำให้เครียดอีกอย่างน้อยก็ตลอดคืนนี้ จึงดันหลังร่างสูงใหญ่ให้เดินไปที่ลิฟต์ด้วยกัน
“พวกเราขึ้นห้องกันเถอะ ตลาดแถวนี้มีแต่เสื้อผ้ากับของสำหรับขายฝรั่ง ถึงดูไปก็ไม่ซื้ออยู่ดี”
พรพฤกษ์พูดอย่างคุ้นเคย เพราะสมัยที่ยังทำงานในกรุงเทพฯ เขาก็เคยต้องมาทำธุระแถบย่านนี้บ่อยครั้ง จึงพอจะรู้ว่าถนนฝั่งตรงข้ามโรงแรมที่มาพักนั้นขึ้นชื่อในเรื่องอะไร แต่ก็เข้าใจว่าตระการคงไม่ทันได้คิดถึงจุดนี้เพราะเพียงต้องการพาเขามาหาที่พักค้างคืนตามที่ขอเท่านั้น
ทั้งสองกดลิฟต์ซึ่งอยู่บนชั้นลอยถัดจากล็อบบี้ แต่ขณะที่รอให้ลิฟต์ลงมาถึงและคนข้างในเดินออกมาก่อนนั่นเอง หญิงสาวซึ่งเดินควงแขนชายหนุ่มคนหนึ่งออกมาจากในลิฟต์ก็เหลือบมองพวกเขาแล้วชะงัก
“พี่ต้น?”
ตระการกับพรพฤกษ์หันไปตามเสียงเรียก และถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยพบตัวจริงของอีกฝ่ายมาก่อน แต่ภาพในข่าวที่เคยได้เห็นเมื่อนานมาแล้วยังคงติดตา พรพฤกษ์จึงจำได้ทันทีว่าสาวสวยตรงหน้าคือลลิตา นางแบบสาวที่เคยเป็นข่าวกับตระการ
“สวัสดีครับลิลลี่ มาทานข้าวที่นี่หรือ?”
ตระการค้อมศีรษะแล้วเอ่ยทัก อาจเพราะเขาไม่เคยคิดอะไรกับเธออยู่แล้ว ดังนั้นแม้ว่าจู่ๆ จะมาพบกันก็ไม่ทำให้ตกใจเหมือนตอนที่เจอเจนใจที่เชียงใหม่
ลลิตาเหลือบมองผู้ชายที่ตนยืนควงแขนอยู่อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หันกลับมายิ้มให้ตระการ แต่พรพฤกษ์ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือไม่ที่รอยยิ้มนั้นดูฝืดเฝือเล็กน้อย
“ค่ะ พอดีขึ้นไปคุยงานที่บาร์ข้างบนเพิ่งจะเสร็จ แล้วพี่ต้นมาทำอะไรที่นี่คะ ลี่นึกว่าพี่ต้นยังไม่กลับมาเมืองไทยเสียอีก”
“ก็กลับมาได้สักพักแล้วล่ะครับ ทันได้ข่าวของลิลลี่กับหนุ่มนักร้องพอดี ยินดีด้วยนะครับ ถ้ายังไงผมขอพาแฟนขึ้นไปที่ห้องก่อน”
พรพฤกษ์กะพริบตาปริบเมื่อจู่ๆ ตระการก็ยกแขนขึ้นโอบบ่าเขาแล้วรั้งตัวเข้าไปในลิฟต์ ก่อนที่ประตูลิฟต์จะปิดลงเขายังทันเห็นสีหน้าตกใจของชายหนุ่มกับหญิงสาวที่ยังยืนตะลึงอยู่ตรงนั้นได้ชัดเจน นัยน์ตาสีนิลวาวตวัดขึ้นมองคนข้างตัวเพราะรู้สึกได้ว่าร่างอีกฝ่ายกำลังสั่น และทำให้พบว่าตระการกำลังกลั้นหัวเราะอยู่
“นี่! เมื่อกี้จะไปบอกเขาแบบนั้นทำไมเล่า! เดี๋ยวก็ได้เป็นข่าวหรอก!!”
พรพฤกษ์ตำหนิทั้งที่ความร้อนเริ่มแผ่บนผิวหน้า เพราะเขารู้ดีว่าด้วยฐานะของตระการนั้นไม่ยากเลยที่จะเป็นข่าวโดยเฉพาะกับเรื่องส่วนตัวแบบนี้ แต่คนถูกว่าดูจะไม่ได้รู้ร้อนรู้หนาวแม้แต่น้อย ตระการเพียงแต่กอดอกพิงผนังลิฟต์แล้วมองเขายิ้มๆ
“ต้นไม่ได้เป็นดารานะไผ่จะได้เป็นข่าวง่ายๆ แล้วกับลิลลี่น่ะไม่ต้องห่วงหรอก อีกอย่างถ้าต้นไม่ทำแบบนี้เดี๋ยวไผ่ก็หึงเหมือนตอนที่เจอเจนอีกน่ะสิ”
ร่างสูงใหญ่ยิ้มชอบใจเมื่อเห็นพรพฤกษ์จ้องเขาตาขุ่นทั้งที่โหนกแก้มเป็นสีเข้มขึ้น เมื่อมาถึงชั้นที่ต้องการแล้ว ตระการจึงกุมมืออีกฝ่ายไว้แล้วก็จูงไปที่ห้องอย่างอารมณ์ดีจนคนที่เดินตามแปลกใจ
“เป็นอะไรน่ะต้น ดีใจที่เจอแฟนเก่าขนาดนั้นเลยหรือไง?”
ชายหนุ่มเอ่ยถาม แล้วก็ส่งเสียงร้องอย่างตกใจเมื่อหลังจากปิดประตูแล้วตระการรั้งเขาเหวี่ยงลงไปนอนบนเตียงก่อนจะตามขึ้นทาบทับทั้งที่อยู่ในชุดสูท ยังไม่ทันที่เขาจะยันตัวขึ้นนั่งแล้วถามว่าเกิดบ้าอะไรขึ้นมา อีกฝ่ายก็จับมือทั้งสองข้างของเขาตรึงไว้กับเตียงแล้วแนบริมฝีปากลงบนริมฝีปากของเขา
นัยน์ตาสีนิลเบิ่งกว้างอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูกเพราะถูกจู่โจมอย่างกะทันหัน แต่เมื่อตระการเลื่อนมือหนึ่งขึ้นแนบแก้มของเขาแล้วเปลี่ยนมุมจูบ พรพฤกษ์ก็เลิกตั้งคำถามแล้วยกมือข้างที่เพิ่งเป็นอิสระขึ้นโอบคออีกฝ่ายไว้ ชายหนุ่มไล้เรียวลิ้นและขบกลีบปากของตระการเช่นเดียวกับที่อีกฝ่ายทำให้ ก่อนจะส่งเสียงครางในคออย่างขัดใจเมื่อร่างสูงใหญ่ผละออก เพียงเพื่อจะพบว่าตระการเพียงแต่ลุกขึ้นถอดเสื้อสูทและเชิ้ตออกก่อนจะทาบร่างที่เปลือยท่อนบนลงหาเขาอีกครั้ง
“อื้อ...ต้น ไม่ได้บอกว่าอยากมานอนนอกบ้านเพื่อให้ทำอย่างนี้นะ”
พรพฤกษ์ท้วงทั้งที่ร่างกายโอนอ่อนไปตามการปลุกเร้า อาจเพราะความอ่อนเพลียในวันนี้ประกอบกับความดีใจลึกๆ กับเรื่องเมื่อครู่ทำให้เขาไม่นึกอยากปฏิเสธสัมผัสจากร่างสูงใหญ่ เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจึงทอยิ้มยั่วก่อนจะก้มลงจูบพรพฤกษ์เร็วๆ จนเกิดเสียงดัง จากนั้นก็รั้งชายเสื้อผ้าฝ้ายขึ้นโดยไม่ได้รับการขัดขืน ชายหนุ่มใช้ฝ่ามือแข็งแรงลูบไปตามผิวกายที่ลื่นละมุนมือก่อนจะก้มลงจูบบนหน้าท้องของพรพฤกษ์อย่างแผ่วเบา
“ไหนๆ ก็อุตส่าห์ออกมานอนนอกบ้านกันแล้วนี่นา แถมต้นก็ไม่ได้กอดไผ่มาหลายคืนแล้วด้วย พี่ชายใจดีกับต้นหน่อยนะ”
พรพฤกษ์ฟังแล้วให้นึกอยากถองคนเบื้องบนขึ้นมาติดหมัด ทีแบบนี้ล่ะทำปากดีมาเรียกพี่ชาย ทั้งที่ปกติต่อให้เขาแค่แทนตัวเองเล่นๆ ด้วยคำนี้ก็จะเห็นตระการทำหน้านิ่วทุกครั้ง แต่แล้วชายหนุ่มก็ได้แต่ยกมือขึ้นอุดเสียงร้องหลังตระการรั้งกางเกงของเขาลงแล้วใช้ริมฝีปากดุนที่ส่วนอ่อนไหว
“ต้น...อื้อ...ม”
เขาไม่รู้ว่ากางเกงถูกดึงไปจนพ้นขาได้อย่างไร หรือว่าตระการใช้วิธีไหนถอดเสื้อผ้าที่เหลือโดยที่เขาไม่รู้สึกว่าอีกฝ่ายผละไปสักเสี้ยววินาที แต่เมื่อรู้ตัวอีกครั้ง เรือนร่างที่แน่นไปด้วยกล้ามเนื้ออุ่นจัดก็แนบชิดลงมาจนไม่เหลือที่ว่างระหว่างทั้งคู่ ตระการไล้ปลายลิ้นเคลียไปบนแผ่นอกเรียบที่เริ่มกระเพื่อมถี่ตามแรงหอบหายใจ ส่วนมือทั้งสองข้างก็ลูบสะโพกตึงแน่นและเรียวขาเพรียวไปมาอย่างไม่รีบร้อน พรพฤกษ์รู้ดีว่าเนื่องจากนี่เป็นเพียงครั้งที่สอง ตระการจึงยังแตะต้องเขาอย่างระมัดระวังและอ่อนโยน และถึงแม้ครั้งแรกนั้นเขาจะตอบรับอย่างเงอะงะไม่เต็มใจ แต่ครั้งนี้เขาต้องการจะมอบทุกสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการให้โดยไม่อิดออดอีก จึงแนบฝ่ามือทั้งสองลงบนแก้มของคนที่กำลังพรมจูบบนยอดอกของเขาแล้วเอ่ยเสียงพร่า
“ต้น...จะทำเต็มที่ก็ได้นะ”
ตระการชะงักและเงยหน้าขึ้นสบนัยน์ตาสีนิลที่ฉ่ำเยิ้มด้วยความปรารถนาซึ่งถูกทำให้ตื่นตัว ร่างสูงใหญ่ค่อยๆ เลื่อนตัวขึ้นจนสายตาของทั้งสองเสมอกันแล้วใช้มือหนึ่งเสยผมพรพฤกษ์ที่แนบติดหน้าผากให้
“ไผ่แน่ใจเหรอ?”
นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มสะท้อนความรู้สึกห่วงใยอันลึกซึ้ง ขณะเดียวกันก็ไม่อาจบดบังประกายไฟของความปรารถนาซึ่งลุกโชนอยู่ภายใน และบัดนี้พรพฤกษ์ก็ตระหนักแล้วว่าอีกฝ่ายใช้แววตาแบบนี้เพื่อมองเขาเพียงคนเดียว จึงพยักหน้าโดยไม่ตะขิดตะขวงใจถึงแม้ว่ายิ่งถูกจ้องมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเขินก็ตาม
ร่างสูงใหญ่คำรามในคอเมื่อรู้สึกถึงการเสียดสีจากร่างกายท่อนล่างที่กำลังบดเบียดกัน และนั่นก็ราวกับเป็นสัญญาณให้เขาปลดปล่อยความต้องการที่กักเก็บไว้ออกมา พรพฤกษ์รู้สึกราวกับในหัวว่างเปล่าจนจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น รู้แต่ว่าการเคลื่อนไหวที่สอดประสานกันของทั้งคู่เป็นไปอย่างเร่าร้อนและบ้าคลั่ง ขณะเดียวกันก็อ่อนโยนและหวานซึ้งจนเขาไม่คิดว่าคนคนหนึ่งจะปลุกทุกความรู้สึกในตัวเขาให้ปะทุขึ้นพร้อมกันได้แบบนี้ และนั่นก็ทำให้เขายิ่งโหยหาอยากจะเก็บความอบอุ่นและเร่าร้อนนี้ให้เป็นของเขาเพียงคนเดียวตลอดไปเช่นกัน
ตระการแสดงความรักกับเขาอย่างเปิดเผย ชื่นชมร่างกายของเขาโดยไม่ปิดซ่อนความพึงพอใจ ตักตวงความสุขจากเขาโดยไม่ลืมที่จะมอบสิ่งเดียวกันตอบแทนให้ และพรพฤกษ์ก็พบว่ายิ่งตระการปรนเปรอสิ่งเหล่านี้ให้กับเขาด้วยความทะนุถนอมมากแค่ไหน เขาก็ยิ่งอยากตอบสนองผ่านการแสดงออกเพื่อให้อีกฝ่ายได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่เขามีให้มากขึ้นเท่านั้น
ตราบจนพายุอารมณ์ที่ปั่นป่วนพัดโหมขึ้นถึงขีดสุด ตระการก็ก้มลงจูบและกอดพรพฤกษ์เอาไว้แน่นราวกับแทนคำสัญญาว่าจะไม่มีวันปล่อยมือชั่วชีวิต และพรพฤกษ์ก็มั่นใจว่าต่อให้ใครจะไม่ยอมรับหรือขัดขวาง เขาก็จะไม่ยอมปล่อยอีกฝ่ายไปจากชีวิตเขาอย่างแน่นอน ชายหนุ่มฟังเสียงหอบหายใจที่คลุกเคล้าอย่างไม่เป็นจังหวะขณะที่ร่างเบื้องบนยังไซ้ปลายจมูกกับซอกคอของเขาอย่างอ้อยอิ่ง และรับรู้ได้ถึงอุณหภูมิที่ถ่ายทอดผ่านทางผิวชื้นเหงื่อและร่างกายที่ยังคงประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน จากนั้นจึงเอียงหน้าไปยิ้มอย่างอ่อนเพลียพลางกระซิบคำที่รู้ดีว่าตระการชอบฟังที่สุด
“พี่ชายรักต้นนะ”
++------++
สายน้ำที่ไหลวนในอ่างส่งเสียงตามการเคลื่อนไหวของสองร่างที่นั่งแช่น้ำอุ่นด้วยกัน พรพฤกษ์นั่งพิงอกของตระการซึ่งใช้อ้อมแขนโอบเขาไว้หลวมๆ พลางยกมือหนึ่งรองน้ำขึ้นแล้วดูหยาดหยดที่ไหลผ่านร่องนิ้วของเขาซ้ำๆ อย่างไม่เบื่อหน่าย ครู่หนึ่งตระการจึงกดปลายจมูกลงบนแก้มของเขาแล้วเอ่ยถาม
“ไผ่หายเมื่อยหรือยัง?”
พรพฤกษ์หยุดเล่นกับน้ำในมือแล้วก็หันไปยิ้มให้คนข้างหลัง “ดีขึ้นแล้วล่ะ แต่ขออยู่แบบนี้ต่ออีกหน่อยได้หรือเปล่า? ยังไม่อยากลุกไปนอนเลย”
“เอาสิ ไผ่อยากขึ้นเมื่อไหร่ก็บอกแล้วกัน”
ตระการเอ่ยพลางรั้งเอวของพรพฤกษ์ให้เอนลงพิงเขาอีกจะได้นั่งสบายขึ้น จากนั้นก็ใช้สองมือบีบไปตามไหล่และแขนให้เพื่อช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ พรพฤกษ์จึงระบายลมหายใจยาวแล้วก็หลับตาลง ริมฝีปากบางยกยิ้มน้อยๆ เมื่อรู้สึกถึงริมฝีปากชื้นของคนข้างหลังที่แนบลงบนหัวไหล่
เมื่อครู่นี้หลังจากที่ทั้งสองนอนพักสั้นๆ จนเริ่มหายเหนื่อย ตระการก็เริ่มท่วงทำนองรักกับเขาใหม่อีกครั้ง แต่ว่าครั้งหลังเป็นไปด้วยความอ่อนโยน ละมุนละไมและใช้เวลานานกว่าครั้งแรก ราวกับอีกฝ่ายอยากยืดเวลาที่จะมอบความสุขและเชยชมร่างกายของเขาให้นานที่สุด จวบจนการแสดงความรักบทนั้นจบลงแล้ว ตระการจึงอุ้มเขาที่เหนื่อยจนลุกเองไม่ไหวมาอาบน้ำให้และลงแช่น้ำอุ่นด้วยกัน
เนื่องจากห้องนอนของพวกเขาอยู่ชั้นค่อนข้างสูง ดังนั้นเมื่อมองผ่านผ้าม่านโปร่งตรงกระจกออกไปจึงสามารถเห็นแสงไฟจากถนนและตึกรามในย่านใกล้เคียงได้อย่างชัดเจน พรพฤกษ์เหม่อมองภาพภายนอกอยู่ครู่หนึ่งก็หันไปหาคนที่เขานั่งพิงอยู่
“ต้น...ถามหน่อยสิ”
“อื้อ?”
“ลิลลี่น่ะ ที่ต้นบอกว่าไม่ต้องห่วงตอนที่เรายังอยู่ในลิฟต์กัน...มันหมายความว่ายังไง?”
ตระการมองแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของพรพฤกษ์ จากนั้นก็ยิ้มบางๆ “ถ้าต้นเล่าให้ฟัง ไผ่ต้องสัญญาว่าจะไม่ไปเล่าให้ใครฟังต่อนะ?”
พรพฤกษ์กลอกตา เขารู้ว่าถึงจุดนี้ตระการคงพร้อมที่จะเล่าทุกเรื่องที่เขาขอให้ฟังอยู่แล้ว เพียงแต่ยังแกล้งทำเป็นเล่นตัวก็เท่านั้น “จะให้ไปเล่าให้ใครฟังล่ะ ไม่ได้เป็นนักเขียนข่าวกอสซิปนี่ ถ้าหากไม่อยากเล่านักก็ไม่ต้องเล่าก็ได้”
คราวนี้ตระการหัวเราะจนพรพฤกษ์รู้สึกได้ว่าแผ่นอกด้านหลังกระเพื่อม “ยอมเล่าแล้วก็ได้ครับ นี่ต้นยอมเสียวาจาลูกผู้ชายที่ว่าจะไม่บอกใครเรื่องนี้เด็ดขาดเลยนะเนี่ย”
คนที่ถูกกอดแน่นขึ้นแกล้งทำเสียงจึ๊กจั๊กในคอ แต่ก็รอให้อีกฝ่ายเริ่มเล่าเองโดยไม่เซ้าซี้ ชั่วอึดใจตระการจึงเอ่ยขึ้น
“จะว่าไปลิลลี่ก็เป็นเด็กน่าสงสาร พ่อเขาเจ้าชู้แล้วก็แอบมีเมียน้อยหลายคน ตอนที่ลิลลี่ไปเรียนภาษาที่อเมริกาก็เลยค่อนข้างจะติดต้นเพราะว่าเราเคยรู้จักกันก่อนหน้านั้น แต่พอต้นคบเจนแล้วลิลลี่ก็เริ่มไปเที่ยวกับเด็กต่างชาติที่ไปเรียนภาษาพร้อมกับเขา ตอนนั้นต้นก็ไม่รู้หรอกเพราะว่าไม่ได้ไปคอยติดตาม แล้วจู่ๆ วันหนึ่งก็มีโทรศัพท์มาจากผู้ชายฮ่องกงที่ลิลลี่คบอยู่ตอนนั้น เขาบอกว่าลิลลี่เพิ่งไปทำแท้งแล้วก็เรียกจะหาแต่ต้นคนเดียว ต้นเลยต้องไปหาที่อพาร์ตเม้นท์ของเขาทั้งที่ไม่ได้บอกให้เจนรู้ด้วยซ้ำ”
พรพฤกษ์ทำตาโตแล้วก็หันขวับไปหาคนเล่า สิ่งที่ได้รับรู้นั้นเหนือความคาดหมายจนเขาคิดไม่ออกในทันทีว่าควรจะแสดงความเห็นอย่างไร
“ตอนต้นไปถึงอพาร์ตเม้นท์คนฮ่องกงนั่นก็ยังรออยู่ แต่พอถามเขาก็บอกว่าเขาไม่ใช่พ่อของเด็กแล้วก็กลับไปเลย ช่วงนั้นต้นเลยต้องช่วยพยาบาลลิลลี่อยู่หนึ่งสัปดาห์เต็มๆ ทำเอาเกือบทะเลาะกับเจนเพราะต้นบอกเจนได้แค่ว่าลิลลี่ไม่สบาย แต่บอกเรื่องที่ไปทำแท้งมาไม่ได้”
เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ตระการก็ระบายลมหายใจเฮือกใหญ่ พรพฤกษ์จึงลูบแขนอีกฝ่ายที่โอบรอบเอวเขาเบาๆ และเริ่มจะเข้าใจว่าเพราะอะไรก่อนหน้านี้ลลิตาถึงชอบให้ข่าวว่ากำลังคบกับตระการ อาจจะทั้งเพราะความอ่อนโยนของอีกฝ่ายตอนที่ช่วยโอบอุ้มในช่วงที่ชีวิตลำบากที่สุดในต่างประเทศ และทั้งเพราะจะได้ปิดโอกาสไม่ให้ผู้ชายคนอื่นได้รับรู้ถึงประวัติอันไม่น่าเปิดเผยของเธออีก
“ถ้างั้น...ตอนนี้ต้นกับเขาก็ต่างคนต่างกุมความลับของอีกฝ่ายแล้วสิ?”
ชายหนุ่มถามขึ้น ตระการจึงทำท่าคิดแล้วก็ส่ายหน้า “ก็ไม่เชิงนะ เพราะถ้าพูดถึงความลับลิลลี่น่าจะมีเรื่องให้กังวลมากกว่าต้นเยอะ อย่างผู้ชายคนที่เราเจออยู่กับเขาที่หน้าลิฟต์นั่น...ถ้าต้นจำไม่ผิดรู้สึกว่าจะเป็นลูก ส.ส. ที่เพิ่งจะแต่งงานไป ก็น่าคิดเหมือนกันว่าแล้วนักร้องที่ลิลลี่กำลังควงอยู่เขารู้เรื่องนี้หรือเปล่า”
คราวนี้พรพฤกษ์เลิกคิ้วอย่างสงสัย เพราะตระการดูเหมือนจะรู้เรื่องต่างๆ ดีทั้งที่ไปคอยดูแลเขาที่เชียงใหม่อยู่ตั้งหลายเดือน จึงอดจะค่อนอย่างหมั่นไส้ไม่ได้
“รู้เยอะเหมือนกันนี่เราน่ะ”
“ก็แค่เก็บไว้เป็นข้อมูลเผื่อจำเป็น ต้นไม่ได้ตั้งใจจะเอาไปแฉให้ใครเดือดร้อนนี่นา นี่ก็เพิ่งจะเล่าให้ไผ่ฟังคนแรกเลยนะ”
ตระการยิ้มอย่างไม่รู้สึกรู้สาที่โดนเหน็บ พรพฤกษ์จึงได้แต่ถอนหายใจ แต่อย่างน้อยก็เบาใจว่าอีกฝ่ายรู้จักเล่ห์กลมากพอสำหรับหน้าที่ที่จะต้องสืบทอดกิจการอันใหญ่โตต่อไป “ก็ดีแล้วล่ะ ไม่ต้องไปเล่าให้ใครฟังอีกหรอก เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปเถอะ แค่รู้ว่าจากนี้เขาคงไม่มายุ่งกับต้นอีกก็พอแล้ว”
เช่นเดียวกับความขุ่นเคืองของเขาที่เคยมีให้ตระการกับพ่อของเจ้าตัว...เขาก็ยอมรับว่ามันเป็นเรื่องในอดีตที่ผ่านไปแล้วเช่นกัน และได้แต่หวังว่าสักวันตฤณจะก้าวผ่านความรู้สึกไม่ยอมรับพวกเขาไปได้ในที่สุด หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่เขาที่เป็นลูกของผู้หญิงที่รัก ก็เพื่อความสุขของตระการที่เป็นลูกชายคนเดียวก็ยังดี…
ร่างสูงใหญ่มองคนตรงหน้าที่นิ่งเงียบไป จากนั้นจึงเอาคางเกยบนไหล่แล้วโยกตัวเบาๆ “น้ำเริ่มจะเย็นแล้วนะ ไผ่อยากขึ้นหรือยัง?”
เมื่อถูกถาม พรพฤกษ์ก็ยกนิ้วมือของตัวเองซึ่งเริ่มย่นขึ้นดูแล้วก็หันไปพยักหน้า ตระการจึงลุกขึ้นก่อนพลางถอดจุกอุดน้ำออก จากนั้นก็เอาผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่มากางรอระหว่างที่เขาขึ้นจากอ่าง เมื่อซับหยดน้ำตามเนื้อตัวให้จนหมาดแล้วก็ช่วยอุ้มออกไปที่เตียง อาจเพราะช่วงที่เขายังใส่เฝือกหลังออกจากโรงพยาบาลใหม่ๆ นั้นตระการก็คอยทำแบบนี้ให้เป็นประจำอยู่แล้ว พรพฤกษ์จึงไม่ได้รู้สึกประดักประเดิดเท่าไหร่ที่ถูกทำเหมือนเป็นตุ๊กตาให้อีกฝ่ายแต่งตัวและเช็ดผมให้ และคิดว่าดีเหมือนกันที่มีคนมาคอยเอาใจ ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เขาอยู่คนเดียวแล้วต้องทำทุกอย่างเองตลอด
อาจจะเพราะเริ่มชินกับการอยู่ด้วยกันแล้วกระมัง...
หลังจากสวมเสื้อคลุมที่โรงแรมเตรียมไว้ให้ในห้องพักแทนชุดนอน ทั้งคู่ก็ปิดไฟแล้วล้มตัวลงบนเตียงด้วยกัน กระนั้นภายในห้องก็ไม่ถึงกับมืดสนิทเพราะเห็นแสงไฟจากในตัวเมืองผ่านผ้าม่านที่ไม่ได้รูดปิดจนสุดไว้ ทั้งสองนอนคุยกันเรื่องจิปาถะอีกเล็กน้อย และน่าแปลกที่ทั้งที่พรพฤกษ์น่าจะหลับก่อนเพราะความอ่อนเพลียจากกิจกรรมก่อนอาบน้ำ กลับกลายเป็นว่าตระการคือคนที่ผล็อยหลับก่อนหลังจากนอนคุยกันได้ไม่นาน แต่พรพฤกษ์ก็เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายจึงอ่อนเพลีย เพราะถ้าหากเทียบกันจริงๆ ตระการคือคนที่ต้องคอยรับเรื่องเครียดและน่าเหน็ดเหนื่อยมากกว่าเขามาตลอด ไม่ว่าจะเรื่องที่ต้องไปทำงานต่างประเทศแล้วบินกลับมาดูแลเขาหลังอุบัติเหตุ หรือเรื่องงานที่ต้องกลับมารับช่วงต่อและยังความกังวลกับอาการป่วยของพ่อที่เพิ่งจะกำเริบไปหยกๆ เมื่อตระหนักได้ถึงเรื่องเหล่านี้ พรพฤกษ์จึงคิดว่าไม่ควรเอาภาระในใจของตัวเองไปสุมเพิ่มให้อีกฝ่ายต้องหนักใจมากขึ้นไปอีก
แค่นี้ก็มีเรื่องให้ต้องคิดเยอะแล้วสินะต้น...บางทีอาจมีวิธีที่ทุกฝ่ายสามารถจะพบกันครึ่งทางและเราไม่ต้องทำร้ายความรู้สึกใครก็ได้...
พรพฤกษ์คิดในใจพลางยกมือหนึ่งขึ้นลูบแก้มของตระการอย่างแผ่วเบา แต่อาจเพราะอีกฝ่ายยังหลับไม่สนิท ตระการจึงปรือตาขึ้นแล้วก็ยกมือขึ้นทาบมือเขาเอาไว้ ร่างสูงใหญ่ยิ้มให้พลางถามด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความสะลึมสะลืออย่างปิดไม่มิด
“ยังไม่หลับอีกเหรอไผ่? ดึกแล้วนะ”
ชายหนุ่มยิ้มตอบ แม้จะไม่แน่ใจนักว่าท่ามกลางความมืดสลัวและความง่วงงุนของอีกฝ่ายจะทำให้รอยยิ้มของเขาส่งไปถึงหรือไม่ จากนั้นก็ขยับตัวไปแนบริมฝีปากลงกับริมฝีปากบางเบาๆ แล้วกระซิบ
“เดี๋ยวก็หลับแล้วล่ะ ต้นนอนต่อเถอะ”
ร่างสูงใหญ่ส่งเสียงรับในคอก่อนจะหลับตาอย่างว่าง่ายราวกับเด็กเล็กๆ ทว่าอ้อมแขนอุ่นก็กระชับให้ร่างของคนที่นอนข้างกายแนบชิดมากขึ้น พรพฤกษ์ระบายลมหายใจยาวออกมาเฮือกหนึ่งเมื่อคิดว่าพวกเขาต้องผ่านอะไรมาด้วยกันแค่ไหนกว่าจะถึงวันที่นอนเคียงกันได้อย่างเป็นธรรมชาติแบบนี้ และนับจากนี้ไปจะต้องพบเจอกับอะไรในอนาคตด้วยกันอีกมากสักเท่าไหร่ จากนั้นก็ยกแขนขึ้นโอบเอวของอีกฝ่ายบ้าง
นอนพักผ่อนเถอะนะต้น ต้นคอยทำอะไรๆ ให้มาเยอะแล้ว ต่อจากนี้ให้ไผ่ได้ทำอะไรเพื่อต้นบ้างก็แล้วกัน...
ภายในห้องนอนของโรงแรมที่มืดสลัว บนเตียงหนานุ่มขนาดใหญ่ซึ่งมีร่างสองร่างนอนเคียงคู่พลางแลกเปลี่ยนลมหายใจที่เต็มไปด้วยไออุ่นและกลิ่นอายของกันและกัน พรพฤกษ์นอนลืมตาขณะใช้ความคิดถึงเรื่องของเขากับตระการ ตลอดจนเรื่องของผู้คนรอบตัวพวกเขากลับไปกลับมาอย่างเงียบๆ โดยไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิดตราบจนค่อนคืน
++---tbc---++
See you again ตอนหน้าเด้อค่า 