ย้อนกลับไปดูตอนล่าสุดแล้วก็ต้องต๊กกะใจ เพราะห่างหายเรื่องนี้ไปเกือบๆสองเดือน ไม่รู้คนอ่านต้องรื้อฟื้นกันแค่ไหนนะนี่ (คนเขียนก็คือกัน เพราะห่างหายการเขียนแบบใช้บุรุษที่สามไปนานเหลือเกิน) ขอบคุณมิตรรักนักอ่านที่ช่วยกันจุดธูปเรียกและกำลังใจที่มีให้ค่า ว่าแล้วเราก็ไปลุ้นกับเรื่องราวของต้น-ไผ่กันต่อเลยนะ *************
20. ชายวัยกลางคนในชุดกาวน์สีขาวใช้นิ้วชี้ดันกรอบแว่นขึ้นขณะปรายตามองผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ไปยังชายอีกคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม ใบหน้าของผู้ถูกมองไม่แสดงอารมณ์ใดๆให้เห็น ทว่าริ้วรอยบนหางตาและเรือนผมที่เริ่มมีสีเทาแซมบ่งให้ทราบว่าเจ้าของใบหน้านิ่งเฉยนั้นสูงวัยวุฒิกว่าอีกฝ่าย ท่าทางที่เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ตามสบายตัดกันอย่างรุนแรงกับสายตาเฉียบคมที่จ้องกลับนิ่งราวกับแผ่รังสีคุกคามคนรอบตัวอยู่ตลอดเวลา
“ช่วงนี้ปริมาณโคเลสเตอรอลกับน้ำตาลค่อนข้างสูงนะครับ ยังไงคงต้องระมัดระวังเรื่องการทานอาหารมากขึ้น แล้วก็เดี๋ยวผมจะสั่งวิตามินกับยาตัวเดิมให้ ส่วนเรื่องการทำงานหนักก็ขอให้งดไว้ก่อน”
ผู้ฟังเพียงแค่นหัวเราะก่อนจะผินใบหน้ามองไปนอกหน้าต่าง “อีกแล้วรึ ชั้นอุตส่าห์หวังว่าจะได้ฟังอะไรน่าตกใจมากกว่านี้ อย่างเช่นหัวใจคุณใกล้จะล้มเหลวถาวรในเร็วๆนี้หรืออะไรเทือกนั้นเสียอีก”
ศาตราจารย์นายแพทย์เกริกมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของผู้เป็น “อดีต” พี่เขยแล้วก็ส่ายหน้าเบาๆ เขาเป็นแพทย์ประจำตัวตฤณมานานพอที่จะรับฟังคำพูดประชดประชันของอีกฝ่ายได้โดยไม่สะทกสะท้านนัก แม้ท่าทางของผู้พูดจะไม่แสดงออกถึงอารมณ์ที่สั่งสมอยู่ภายในออกนอกหน้า แต่เขาก็พอจะรู้ว่าสาเหตุที่ทำให้ท่านประธานใหญ่แห่งเครือสุวรรณฤทธิ์ต้องออกโรงมากุมบังเหียนดูแลงานเองตลอดช่วงเดือนที่ผ่านมาคืออะไร
“ตาต้นยังไม่ติดต่อกลับมาหรือครับ”
นัยน์ตาคมที่มองไปยังนอกหน้าต่างกระจกติดฟิล์มของห้องตรวจวาวโรจน์ขึ้นครู่หนึ่ง ทว่าผู้ถูกถามมิได้หันหน้ากลับไปมองคนที่นั่งตรงข้ามตัว
“ต้นมันโตแล้ว ถ้ามันแยกแยะระหว่างเรื่องส่วนตัวกับความรับผิดชอบไม่ได้ ก็ไม่สมควรสืบทอดหน้าที่การเป็นนายใหญ่ของเครือ”
“แต่ว่า...ทุกสิ่งที่คุณตฤณทำมา สุดท้ายแล้วก็เพื่อจะมอบให้กับต้นเขาไม่ใช่หรือครับ”
“เกริก เธอรู้หรือเปล่าว่าอะไรทำให้ลูกชายฉันหนีกลับมาเมืองไทยแล้วก็หายตัวไปทั้งที่มันก็รู้ว่ามีงานเปิดตัวโครงการใหญ่รอมันอยู่?”
สายตาวาววามที่มองกลับมาแฝงไปด้วยพายุอารมณ์ที่ถูกเก็บกักไว้ภายใน ทั้งความโกรธ ความผิดหวัง ความเจ็บใจและน้อยใจที่เลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่งและโผบินออกสู่อิสระที่หัวใจของตนเองเป็นผู้เลือก
เกริกประสานมือบนโต๊ะแล้วก็ถอนหายใจ ในใจหวนนึกถึงงานแถลงข่าวการเปิดตัวของโครงการคอนโดมิเนียมหรูขนาดใหญ่ในประเทศไทยสองแห่งและที่เกาหลีหนึ่งแห่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาซึ่งได้รับความสนใจจากสื่อทุกแขนงในประเทศไทยและสื่อต่างประเทศอีกหลายหัว ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะโครงการนี้เป็นการรวมหุ้นของกลุ่มสุวรรณฤทธิ์อันมีชื่อเสียงกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศเท่านั้น แต่เพราะการทุ่มงบประมาณการจัดอย่างอลังการโดยมีการจัดอิเว้นท์ควบคอนเสิร์ตและการเดินแบบด้วยทำให้งานมีสีสันและครอบคลุมสื่อทุกประเภทนอกเหนือไปจากสื่อธุรกิจจนเป็น "ทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์" ที่ไม่ค่อยมีใครกล้าทำนักในภาวะเศรษฐกิจที่อึมครึมเช่นนี้
ทว่าสิ่งที่หลายคนให้ความสนใจไม่แพ้กันคือกรอบข่าวซุบซิบเล็กๆในหนังสือพิมพ์หลายหัวที่พูดถึงการไร้วี่แววของทายาทหนุ่มตระกูลสุวรรณฤทธิ์ในงานที่จัดอย่างเชิดหน้าชูตาในรอบหลายปีเช่นนี้ ตามด้วยความเห็นเชิงสัพยอกที่ประธานของเครือซึ่งปกติไม่ค่อยออกงานนักเนื่องจากปัญหาทางสุขภาพเป็นผู้นำเปิดงานครั้งนี้เองจนสาวๆที่คาดหวังจะมาชื่นชมความหล่อเหลาของตระการ สุวรรณฤทธิ์ต้องผิดหวังกันไปถ้วนหน้า
เกริกเป็นน้องชายแท้ๆของกลอยตา ภรรยาคนแรกของตฤณ ดังนั้นตามศักดิ์เขาจึงเป็นน้าของตระการ แต่ตระการก็พึงเรียกเขาอย่างห่างเหินว่า “อาหมอ” แทนที่จะเป็น “น้าเกริก” มาตลอด แต่ถึงกระนั้นเกริกก็ไม่ได้นึกโทษเพราะเขารู้ดีว่าตัวเองไม่ได้ใกล้ชิดกับหลานเท่าไรนักช่วงที่ตระการยังเป็นเด็กอยู่ ผิดกับพิมผกา มารดาเลี้ยงที่ตฤณตบแต่งเข้ามาหลังพี่สาวของเขาเสียได้ไม่นานซึ่งตระการให้ความเคารพยิ่งกว่าแม่แท้ๆที่เสียไปตั้งแต่ตัวเองยังเด็กมาก
“บางทีตาต้นแกอาจมีเหตุจำเป็นที่ทำให้ไม่สะดวกที่จะกลับมาก็ได้ไม่ใช่หรือครับ? ยังไงคุณตฤณน่าจะลองยอมฟังแกบ้าง”
“ชั้นรู้อยู่แล้วว่ามันคิดอะไร ถ้ามันไม่ได้คิดจะทิ้งความรับผิดชอบมันก็ควรเข้ามาคุยกับชั้นตรงๆ ไม่ใช่หายไปเฉยๆแล้วฝากวรชัยให้ดูแลงานแทนมันแบบนี้!”
เกริกมองคนตรงหน้าอย่างเห็นใจ เขาพอรู้รายละเอียดจากวรชัยซึ่งเป็นที่ปรึกษาอาวุโสและมือขวาของตฤณอยู่บ้างเกี่ยวกับเรื่องที่ทำให้พ่อลูกไม่ค่อยลงรอยกันหลังจากตระการถูกเรียกตัวให้มาดูแลกิจการของเครือ แม้เรื่องที่ได้ฟังจะทำให้เขาตกใจ แต่ถึงกระนั้นเขาก็คิดว่าหลานชายมีวุฒิภาวะพอที่จะแยกแยะว่าอะไรเป็นอะไร ดังนั้นการที่ตระการหายไปในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาน่าจะมีสาเหตุหลักมาจากความต้องการที่จะแสดงจุดยืนกับบิดามากกว่า
“คุณตฤณคิดว่าถ้าตาต้นมาคุยด้วยตรงๆคุณจะรับฟังแกไหมครับ? ผมคิดว่าตรงนั้นก็อาจมีส่วนที่ทำให้แกเงียบหายไปนะครับ”
ผู้ถูกทักตวัดสายตาขึ้นมองนายแพทย์ประจำตัวและอดีตน้องเขยอย่างกราดเกรี้ยว ทว่าเกริกเพียงมองสบตากลับแน่วนิ่งไม่สื่ออารมณ์ใดจนตฤณพูดไม่ออก ผู้สูงวัยกว่าหลบตาก่อนจะคว้าเสื้อคลุมบนพนักเก้าอี้แล้วลุกขึ้น
“ชั้นยังไม่มีอารมณ์จะพูดเรื่องของต้นตอนนี้ ยังไงถ้าการตรวจเสร็จแล้วชั้นขอตัวกลับก่อน”
เกริกมองท่าทางเหมือนคนที่พยายามหลบหนีความจริงของชายสูงวัยกว่าตรงหน้าแล้วก็ถอนหายใจก่อนจะลุกตาม “ตามสบายครับ”
*************
ตฤณมองถุงยาในมือซึ่งไม่ต่างอะไรจากเครื่องมือยื้อชีวิตแล้วก็ยิ้มเหยียด ความจริงแล้วมีคนวัยเดียวกันกับเขามากมายที่ยังมีสุขภาพแข็งแรง แต่เพราะตนโหมทำงานหนักอย่างไม่ใส่ใจร่างกายมาตลอดวัยหนุ่ม ประกอบกับสาเหตุทางพันธุกรรมทำให้พบว่าตนเป็นโรคที่เป็นสาเหตุลำดับแรกๆของการเสียชีวิตของผู้คนทั่วไป เขาไม่แน่ใจว่าการที่บุตรชายมีร่างกายอ่อนแอในวัยเด็กนั้นเป็นเพราะได้รับสืบทอดไปจากเขาหรือจากกลอยตาซึ่งเป็นมารดา แต่อย่างน้อยตระการเคยตรวจเลือดและไม่พบภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ และการที่ตนมีบุตรชายคนเดียวทำให้ตฤณคาดหวังกับการฝากฝังธุรกิจที่สร้างมากับมือไว้ที่ตระการอย่างเต็มเปี่ยม
ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นมันเริ่มตั้งแต่ตรงไหนกัน? ตอนที่เขาเลือกกลอยตาเป็นภรรยา หรือตอนที่เขาเลือกพิมผกาให้มาเป็นแม่เลี้ยงของลูก หรือเพราะเขาเองที่ห่างเหินลูกไปในวัยเด็ก รอยร้าวที่ดูเหมือนจะขยายตัวใหญ่ขึ้นตั้งแต่เขาส่งตระการไปเรียนต่างประเทศจึงยิ่งแผ่กว้างออกจนไร้วี่แววจะประสานมากขึ้นทุกที
“คุณตฤณ ตรวจเสร็จแล้วใช่ไหมครับ”
เสียงเรียกชื่อที่ดังห่างไปไม่กี่เมตรทำให้เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นมองด้วยความหลากใจ แล้วก็พบลูกน้องเก่าแก่ซึ่งทำงานมาด้วยกันตั้งแต่สมัยที่เขาเพิ่งเริ่มตั้งบริษัทของตัวเองยืนรออยู่ไม่ห่างนัก จึงรีบปรับสีหน้าให้เรียบเฉยดังเดิมก่อนจะเดินเข้าไปหา
“ว่างงานนักหรือวี หรือมีเรื่องอะไรเร่งด่วนถึงต้องมารอฉันถึงโรงพยาบาล”
วรชัยหัวเราะเสียงเบา ความที่ทำงานใกล้ชิดผู้เป็นนายมาเกือบสามสิบปีทำให้เขาแยกแยะได้ว่าน้ำเสียงและท่าทางแบบไหนที่แสดงว่าท่านประธานอยู่ในอารมณ์ที่คุยโต้ตอบได้ และอารมณ์ไหนที่คู่สนทนาควรจะเงียบ โชคดีว่าตอนนี้เขาดูออกว่าตฤณอยู่ในอารมณ์แรก
“ผมโทรไปถามที่บ้าน เห็นยายแสนบอกว่าวันนี้คุณตฤณออกมาตรวจสุขภาพแต่ไม่ยอมให้คนขับรถขับมาส่ง ผมเลยว่าจะมาเป็นสารถีให้แทน”
ตฤณพ่นหายใจออกจมูกเสียงดังก่อนจะเดินนำเข้าลิฟต์เพื่อไปยังลานจอดรถ พอเดินไปถึงรถคันหรูสีดำสนิทในที่จอดวีไอพีแล้วก็เปิดล็อครถก่อนจะยื่นกุญแจให้ลูกน้องคนสนิทแต่โดยดี
“คุณตฤณหน้าซีดๆนะครับ”
ผู้เป็นนายเพียงชำเลืองมองสารถีชั่วคราวแวบหนึ่งก่อนจะหันไปมองนอกหน้าต่างตามเดิม
“สีหน้าฉันช่วงนี้มันก็เป็นแบบนี้ตลอดนั่นแหละ แต่หมอบอกว่าฉันยังไม่ตายในเร็วๆนี้หรอกไม่ต้องห่วง”
“ผมไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น เพียงแต่คิดว่ายังไงซะเราก็เปิดโครงการไปแล้ว ยอดขายก็กำลังไปได้ดี คุณตฤณน่าจะพักผ่อนบ้างจะดีกว่านะครับ”
ผู้เป็นนายเงียบไปจนวรชัยเหลือบมองด้วยความประหลาดใจ ปกติท่านประธานไม่ใช่คนที่นิ่งเงียบให้ใครมาสั่งสอนโดยไม่โต้ตอบไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้รู้หรือผู้เชี่ยวชาญมาจากไหน ยิ่งถ้าผู้พูดเป็นผู้ที่ฐานะหรือวัยวุฒิด้อยกว่าด้วยแล้วก็เตรียมล้างหูรอวาจาเชือดเฉือนกลับชนิดบาดลึกถึงหัวใจได้เลยทีเดียว
“ต้นมันติดต่อมาบ้างไหม”
น้ำเสียงที่ถามราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ แต่เนื้อหาของคำถามทำให้วรชัยอดรู้สึกยินดีไม่ได้ที่ผู้เป็นนายแสดงความสนใจข่าวคราวของบุตรชายตัวเองก่อนแทนที่เขาจะเป็นฝ่ายเปิดประเด็นเช่นทุกครั้ง
“หลังจากครั้งล่าสุดที่คุยกันเรื่องความคืบหน้างานเปิดตัวแล้วก็ไม่ได้ติดต่อมาอีกเลยครับ สงสัยว่าจะติดธุระอยู่”
“ติดธุระดูแลลูกของพิมน่ะรึ หึ” น้ำเสียงเยาะหยันทำให้ความรู้สึกชื่นชมของวรชัยเมื่อครู่ห่อแฟบลงแทบจะทันที “ก็ยังดีที่มันมีแก่ใจถามไถ่เรื่องงานที่ตัวเองผลักมาให้คนอื่นดูแล”
วรชัยถอนหายใจอย่างอับจนด้วยคำพูด ใช่ว่าความหมางใจของตฤณต่อลูกชายตัวเองจะเป็นสิ่งที่นอกเหนือการคาดหมาย ทว่าเขาได้ทำงานใกล้ชิดกับครอบครัวของผู้เป็นนายมาตั้งแต่ก่อนตระการเกิดจึงได้เห็นชายหนุ่มตั้งแต่ยังแบเบาะ และเพราะเขากับภรรยาไม่สามารถมีลูกเองได้วรชัยจึงค่อนข้างเอ็นดูลูกของนายเสมือนลูกตัวเอง และรับรู้ปัญหาภายในครอบครัวสุวรรณฤทธิ์มาตลอดว่าเพราะอะไรสองพ่อลูกจึงไม่ค่อยลงรอยกันนัก แต่ด้วยสถานะของตัวเองที่เป็นคนนอกทำให้ไม่สามารถเอื้อนเอ่ยอะไรได้
เขาเป็นคนแรกที่ตระการติดต่อมาหลังจากที่กลับมาเมืองไทย และเล่าเรื่องราวต่างๆให้ฟังเกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้ไม่สามารถจากเชียงใหม่มาร่วมงานใหญ่ตามกำหนดการที่กรุงเทพฯได้ แม้จะฟังแล้วทำใจให้ยอมรับและเสนอความช่วยเหลือในทันทีได้ยาก แต่เมื่อได้ฟังน้ำเสียงขอร้องจากฝ่ายนั้นซึ่งปกติไม่เคยก้มหัวให้ใครก็ทำให้ใจอ่อน พอคิดไปแล้วก็ไม่รู้ว่าเพราะกงกำกงเกวียนหรืออย่างไร ใครจะไปคิดว่าลูกชายของผู้หญิงที่ตฤณบังคับให้แต่งงานกับตัวเองจะกลายมาเป็นคนรักของลูกชายเจ้าตัวไปเสียได้
“คุณตฤณครับ บางทีสิ่งที่เราคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีสำหรับลูก อาจไม่ใช่สิ่งที่ดีในสายตาของเขาเสมอไปก็ได้นะครับ”
วรชัยเอ่ยไปแล้วก็รู้สึกเย็นสันหลังวาบ นานแล้วที่เขาไม่กล้าเสนอแนะความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของตฤณให้เจ้าตัวฟังเพราะรู้ดีว่าตัวเองมีจุดบอดตรงชีวิตคู่ที่ไร้ทายาท ทว่าหลังจากเงียบรอการระเบิดอารมณ์ที่มักตามมาด้วยวาจาเหน็บแนมจากนายแล้ววรชัยก็ต้องประหลาดใจที่อีกฝ่ายเพียงตอบรับเนิบๆ
“ว่าต่อไปสิ”
ผู้เป็นลูกน้องชำเลืองมองคนข้างตัวที่ตามองตรงไปข้างหน้า สีหน้านั้นเรียบเฉยไม่ได้บ่งบอกว่ากำลังโกรธหรือข่มอารมณ์อยู่ เขาจึงค่อยรวบรวมความกล้าก่อนที่จะแสดงความเห็นของตัวเองต่อ
“จะบอกว่าผมไม่ช็อคกับเรื่องคุณต้นเลยก็คงจะโกหก แต่ผมเห็นคุณต้นมาตั้งแต่ยังเด็ก และเชื่อว่าแกฉลาดพอที่จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร อีกอย่างสมัยนี้สังคมก็เปิดกว้างเรื่องพวกนี้มากขึ้นแล้วด้วย....”
“เพราะงั้นมันถึงได้มีข่าวคู่เกย์ฆ่ากันตายเพราะความหึงหวงเต็มหน้าหนังสือพิมพ์ไงล่ะ”
วรชัยยิ้มอย่างใจเย็นกับความเห็นเสียดสีของผู้เป็นนาย “แต่ผมว่าข่าวผัวเมียฆ่ากันตายนี่จะลงถี่ยิ่งกว่าข่าวของพวกคู่รักร่วมเพศเสียอีกนะครับ”
ตฤณหน้าตึงไป วรชัยรอให้ผู้เป็นนายแสดงความเห็นโต้ตอบ แต่เมื่อไม่ได้ยินอีกฝ่ายปริปากจึงพูดต่อ
“ผมคิดว่าคุณต้นแกรู้ตัวนะครับว่ากำลังทำอะไรอยู่เพราะแกก็โตเป็นหนุ่มแล้ว และถ้าหากลูกของคุณพิมคือคนที่คุณต้นเลือก เราก็น่าจะยอมรับการตัดสินใจของเขา ผมคิดว่าคุณต้นคงรู้วิธีวางตัวไม่ให้ใครเอาไปครหาได้หรอกครับ”
ตฤณเหม่อมองภายนอกรถขณะปล่อยให้สิ่งที่ได้ยินหลั่งไหลเข้าสู่สมอง สิ่งที่เกริกและวรชัยพร่ำบอกดูจะตอกย้ำว่าเขาคือต้นเหตุที่ทำให้เรื่องทุกอย่างดำเนินไปในทิศทางที่บิดเบี้ยวอย่างที่เป็นอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งที่ตัวเองเห็นว่าถูกและควรจนทำให้บุตรชายห่างเหิน หรือการพยายามปิดกั้นความสัมพันธ์ของตระการกับเลือดเนื้อเชื้อไขของพิมผกาจนอีกฝ่ายต้องแสดงการต่อต้านออกมาอย่างโจ่งแจ้งก็ตาม ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกเวียนหัวจนอึดอัดกับการมองไม่เห็นทางออกจากเขาวงกตที่ตัวเองเป็นผู้สร้าง
ไม่สิ...ทางออกน่ะมีอยู่ แต่เขาไม่ต้องการจะเปิดประตูออกไปก็เท่านั้นเอง
“คุณตฤณ? เป็นอะไรหรือเปล่าครับ สีหน้าไม่ค่อยดีเลย”
วรชัยเอ่ยถามขึ้นอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นผู้เป็นนายหลับตาลง ใบหน้าที่ซีดเผือดเป็นนิจดูจะยิ่งไร้สีสันมากกว่าเดิม
“ชั้นเหนื่อย บ่ายนี้ชั้นไม่เข้าออฟฟิศแล้ว พาชั้นไปส่งที่บ้านก็พอ”
นัยน์ตาที่ปิดสนิทและน้ำเสียงเรียบนิ่งบ่งให้รู้ว่านั่นคือจุดสิ้นสุดของบทสนทนา วรชัยเพียงพยักหน้าก่อนจะหักรถเข้าเลนสำหรับยูเทิร์นเพื่อพาท่านประธานกลับบ้านตามที่ได้รับมอบหมาย
*************
จะโดนตื้บไหมเนี่ยตอนนี้โฟกัสป๊ะป๋าเต็มๆเลย แต่มันจำเป็นกับเนื้อเรื่องนะจ๊ะทู้กโคน รับรองว่าตอนหน้าได้เจอพี่ไผ่น้องต้นแน่ๆค้าบ ยังไงอย่าเพิ่งทิ้งกันเน้อ