พิมพ์หน้านี้ - แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษที่หน้า 21จ้า [28/02/13]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: bellbomb ที่ 25-09-2008 23:39:34

หัวข้อ: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษที่หน้า 21จ้า [28/02/13]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 25-09-2008 23:39:34
AVAILABLE: "แม้นมั่นคำสัญญา"

ปกเล่ม 1
(http://farm6.static.flickr.com/5220/5384089799_7927d29772.jpg)

ปกเล่ม 2
(http://farm6.static.flickr.com/5215/5384694454_91e9d1c77f.jpg)

บ็อกซ์เซ็ท หมดแล้วตั้งแต่การพิมพ์ครั้งที่ 1 และไม่มีการทำเพิ่มนะคะ
(http://farm6.static.flickr.com/5136/5388736059_9a8b7c0198.jpg)

บ็อกซ์เซ็ทแบบ 3D
(http://farm6.static.flickr.com/5299/5389342320_123872887e.jpg)


เรื่องย่อ:
อะไรคือสิ่งที่ชักนำคนสองคนให้โคจรมาพบกันบนโลกใบนี้?
โชคชะตา พรหมลิขิต หรือเจตจำนงของใครบางคน?
การได้ใช้เวลาร่วมกับคนที่ทำให้หัวใจอบอุ่น...แม้เป็นช่วงเวลาเพียงไม่นาน
แต่ก็อาจก่อให้เกิดความประทับใจ และความผูกพันของใจสองดวงที่ยั่งยืนตราบชั่วชีวิต

ข้อมูลหนังสือ:
• ทั้งชุดมีสองเล่มจบ หนาเล่มละ 300+ หน้า
• ราคาหนังสือ 700 บาท/ 1 ชุด (ไม่ขายแยกเล่ม) + ค่าส่งลงทะเบียน 60 บาท รวมเป็น 760 บาทต่อชุด
• ไซส์ A5 พิมพ์ด้วยกระดาษถนอมสายตา
• ตอนพิเศษเฉพาะในหนังสือสี่ตอน
• ของแถม 1: ที่คั่นหนังสือ


Special Note:

จะเรียกว่านิยายเรื่องนี้ได้ถือกำเนิดเพราะเล้าก็คงได้ เพราะว่าเริ่มเอามาลงที่นี่ที่แรกก่อนจะเริ่มขยับขยายไปบอร์ดอื่น เป็นที่ที่ทำให้คนเขียนรู้สึกอบอุ่นเสมอยามที่เห็นคอมเมนต์ทวงตอนใหม่ ถึงแม้ว่าจะหยุดพักไปเป็นปีก็ตาม (me/ หัวโขกโต๊ะ) ทีนี้เนื่องจากตอนที่เอามาเขียนใหม่ ป้าได้รีไรท์ตอนแรกๆ และโพสต์ที่บล็อกส่วนตัวกับอีกบอร์ดหนึ่ง ซึ่งเนื้อหาส่วนที่รีไรท์เป็นการเขียนเสริมช่วงกลางๆ ของเรื่องเข้าไป และเนื้อหาที่เขียนใหม่คือเวอร์ชันที่จะเอามารวมเล่มค่ะ คิดว่าต้องอธิบายไว้ก่อน เผื่อว่าใครติดตามอ่านในเล้ามาตลอดจะได้ไม่งงว่าทำไมเนื้อหาบางส่วนไม่เหมือนที่เคยอ่าน ถ้าสงสัยว่าต่างกันตรงไหนก็ไปแซมเปิลที่บล็อกของป้าได้ หรือจะรออ่านรวมเล่มเลยก็ได้ค่ะ

สำหรับรายละเอียดการโอนเงินตามด้านล่างนี้ค่ะ

ธนาคารกรุงเทพ สาขาสะพานพระปิ่นเกล้า
บัญชีสะสมทรัพย์ เลขที่ 162-4-13857-2
ชื่อบัญชี SIRIN SIRIMONTRI


** ถ้าหากใครจะสั่งซื้อมากกว่า 1 ชุด ให้เพิ่มค่าส่งอีก 20 บาท เช่น ถ้าสั่งชุดเดียวบวกค่าส่ง จะโอน 760 บาท ถ้าสั่ง 2 ชุด ค่าส่งจะเป็น 80 บาท ก็คือ 700 x 2 + 80 = 1480 บาท ถ้าสั่ง 3 ชุด ก็ 700 x 3 + 100 = 2200 บาท

หลังจากโอนเงินแล้ว ส่งอีเมล์มาที่ bellbomb แอท ฮอทเมล ดอท คอม พร้อมข้อมูลต่อไปนี้:

Subject: สั่งซื้อแม้นมั่นคำสัญญา
ชื่อ+นามสกุล : (ส่งแบบลงทะเบียนรบกวนขอชื่อ-นามสกุลเต็มนะคะ)
จำนวนที่สั่ง : (เช่น 1 ชุด, 2 ชุด etc.)
ที่อยู่สำหรับจัดส่ง : ____________________________
วัน/เวลาที่โอน : ______________________
จำนวนเงินที่โอน : (ถ้าเป็นไปได้ขอให้โอนแบบมีจุดทศนิยม จะได้เช็คง่ายค่ะ เช่น 760.10 หรือ 760.20 บาท)
หมายเลขอ้างอิงการโอน: ____________________
**หรือจะสแกน/ถ่ายรูปสลิปแล้วแนบไฟล์มาก็ได้ค่ะ

เนื่องในโอกาสที่ทำเรื่องนี้ ก็เลยมีการรีปริ๊นท์ "ลำนำรักสีรุ้ง" กับ "เมื่อหัวใจเราใกล้กัน" ด้วย ถ้าหากสนใจจะสั่งซื้อแต่ไม่แน่ใจว่ายอดรวมเท่าไหร่ก็เมล์มาถามเพื่อความชัวร์ก่อนได้ค่ะ

{{ ข้อมูลหนังสือ ลำนำรักสีรุ้ง }} (http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=bellbomb&date=19-08-2010&group=13&gblog=1)
{{ ข้อมูลหนังสือ เมื่อหัวใจเราใกล้กัน }} (http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=bellbomb&date=19-08-2010&group=13&gblog=2)

****************************************************

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2. ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0)


****************************************************


แม้นมั่นคำสัญญา


บทนำ



อะไรคือเหตุผลในการโคจรมาพบกันของคนสองคนบนโลกใบนี้ โชคชะตา พรหมลิขิต หรือเจตจำนงของใครบางคน?

การได้ใช้วันเวลากับคนที่ทำให้หัวใจอบอุ่น...แม้เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ
ทว่าความประทับใจที่ตราตรึงอยู่ในความทรงจำของกันและกันนั้นสถิตอยู่นานเนิ่นเหนือขีดจำกัดของกาลเวลา



*************

นิ้วมือเรียวแต่แข็งแรงจับไม้ขนไก่ปัดฝุ่นที่เกาะอยู่บนชั้นวางหนังสือขนาดกะทัดรัดซึ่งตั้งอยู่ข้างๆบันไดไม้ซึ่งทอดตัวสู่ชั้นบนของอาคารกึ่งไม้กึ่งปูนสูงสี่ชั้นซึ่งดัดแปลงจากบ้านเก่า ทั่วทั้งบ้านเงียบเชียบยกเว้นเสียงเข็มนาฬิกา เสียงไม้ปัดขนไก่กระทบชั้นหนังสือ และเสียงหายใจของเจ้าของบ้านที่อีกมือหนึ่งคอยจัดหนังสือให้เป็นระเบียบเท่านั้น

เสียงเปาะแปะค่อยๆดังขึ้นภายนอก ตามมาด้วยเสียงซู่ซ่าที่ดังมากขึ้นๆจนอื้ออึงพร้อมกับความรู้สึกเย็นชื้นที่สัมผัสได้ทางผิวกาย ร่างสูงถอนหายใจก่อนจะละมือจากไม้ปัดขนไก่เดินไปเลื่อนปิดประตูกระจกหลังบานมุ้งลวดตรงระเบียงที่ตอนแรกเปิดไว้ให้ไอเย็นที่อวลอยู่ในอากาศตั้งแต่เช้ามืดได้ถ่ายเทเข้ามาภายในบ้าน นัยน์ตาคมใต้คิ้วโก่งได้รูปทอดมองไปยังร่มไม้ดกครึ้มรอบบริเวณบ้านที่ดูจะปรีดีไปกับสายฝนที่เทลงมาราวได้น้ำทิพย์ชโลม แล้วใบหน้าเนือยๆเมื่อชั่ววินาทีก่อนก็คลี่ยิ้มบางๆ

“เอาเถอะ ยังไงหน้าฝนอย่างนี้ก็คงไม่ค่อยมีคนขึ้นมาพักที่เกสต์เฮ้าส์เล็กๆ บนตีนเขานอกเมืองอย่างนี้สักเท่าไหร่”


เสียงทุ้มทว่าใสราวกระดิ่งเงินพึมพำกับตนเองเบาๆ ก่อนนัยน์ตาคู่สวยจะฉายแววเหงาๆ ออกมา ความทรงจำหวนกระหวัดไปยังเหตุการณ์เมื่อสองปีก่อนหน้า วันนั้น ฝนก็ตกกระหน่ำเหมือนกับวันนี้...........


*************




* แนะนำตัวกันโหน่ยยยยย *

เป็นสมาชิกบอร์ดมาได้พักนึงแล้วค่ะ หลังจากอ่านนิยายไปประมาณครึ่งบอร์ด (ส่วนมากอ่านระหว่างเวลางาน ใครได้ยัยนี่ไปเป็นพนักงานน่าเห็นใจจริงๆ  :a4: ) แล้วก็รู้สึกคันมือคันไม้อยากร่ายกาพย์ของตัวเองบ้าง(ว่าไปนู่น) แรงจูงใจในการเขียนเรื่องนี้คือการทำตามสัญญาซึ่งเกิดจากความรัก ซึ่งไม่ใช่รักแบบคนรักอย่างเดียว มีแบบเพื่อนและครอบครัวด้วย อยากรู้ว่าเป็นไงก็ต้องตามอ่านเอานะ

ขอดูฟีดแบ็คบทนำหน่อยจิ๊ แล้วเดี๋ยวค่อยเอาบทที่ 1 มาลงให้นะ เนื่องจากเป็นนิยายที่โพสต์ลงบอร์ดเรื่องแรก ช่วยชี้แนะกันด้วยนะจ๊ะ   :m13:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญ&#
เริ่มหัวข้อโดย: pickki_a ที่ 25-09-2008 23:53:38
 :mc4: :mc4:
จิ้มจึ๊ก
ปฐมฤกษ์คร้าบ.....
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญ&#
เริ่มหัวข้อโดย: gigabeam ที่ 25-09-2008 23:56:00
เป็นกำลังใจครับ สู้ สู้  :a2:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญ&#
เริ่มหัวข้อโดย: juuuno99 ที่ 25-09-2008 23:56:58
^
^
^
^จิ้มๆๆๆๆๆๆ :mc4: :mc4: มาต้อนรับเรื่องใหม่คับ


เห็นชื่อเรื่องแล้ว :เฮ้อ: เศร้าป่าวคับเนีย
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญ&#
เริ่มหัวข้อโดย: kampanat02 ที่ 26-09-2008 00:03:58
ว้าวๆๆ

แทงทะลุคน(แก่)แต่ง
 :oni2: :m4: :pig4:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 26-09-2008 00:11:54
อุๆ เจ้าของนิยายที่เราโปรดเข้ามาอ่านด้วย ดีจายยยยย  :mc4:

pickki_a  ขอบใจจ้า รออ่านนิยายตอนต่อไปอยู่นะจ๊ะ

iami   ยินดีที่รู้จักและขอบคุณสำหรับกำลังใจคับ

Ju!_Ju!  มะเศร้าจ้ะมะเศร้า (เพราะเป็นคนหัวใจอ่อนแอ ชอบเรื่องที่จบแฮปปี้ แต่ถ้าระหว่างเขียนๆไปมีฉากที่ทำให้น้ำตาซึมมั่งก็อย่าว่ากันเน้อ) ว่าแล้วก็รออ่าน Max Lovely อยู่นะ เมื่อไหร่จะมาอะ  :oni2:

kampanat02   กรี๊ดดดด อิเจ้เพิ่งผ่านเบญจเพสมาปีกว่าๆเอ๊ง (แต่ถ้าเทียบกับหลายๆคนในบอร์ดนี้ก็คงแก่ว่ะ -*-)
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญ&#
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 26-09-2008 00:37:58
 :m4: เรื่องใหม่ มาให้กำลังใจจ้า เดี๋ยวมาตามอ่านนะ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญ&#
เริ่มหัวข้อโดย: YO DEA ที่ 26-09-2008 00:57:21
 :m1:

มาให้กำลังใจนะครับ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญ&#
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 26-09-2008 01:15:23
 :n1: เข้ามาให้กำลังใจจ้ะ สู้สู้
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญ&#
เริ่มหัวข้อโดย: MoOkRaPoOk ที่ 26-09-2008 01:27:23
 :oni2: :oni2:

เข้ามาจับจองคร่า
ปูเสื่อรออ่าน
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญ&#
เริ่มหัวข้อโดย: Givesza ที่ 26-09-2008 03:18:49
ต้อนรับเรื่องใหม่

ชื่อเรื่องน่าติดตามมาก

ปล.แอบเอากำลังใจมาให้คนเขียน งิงิ  :oni2:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 1
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 26-09-2008 09:30:06
1.


เสียงคนผลักบานประตูอย่างเร่งรีบผสานกับเสียงพายุฝนที่ดังชัดเจนขึ้นชั่วครู่ก่อนจะกลายเป็นเสียงทึบๆหลังบานประตูปิดสะท้อนก้อง จนพรพฤกษ์ที่กำลังกวาดบันไดอยู่บนชั้นสองหลังทานอาหารกลางวันเสร็จต้องวิ่งลงมาที่เคาน์เตอร์รับแขกด้านล่างด้วยความประหลาดใจ เนื่องจากเขาเป็นผู้เดียวที่ดูแลเกสต์เฮ้าส์หลังนี้ และวันนี้ก็ไม่มีแขกที่ติดต่อเข้ามาจองที่พักล่วงหน้าไว้ มีบ้างที่ลูกค้าวอล์คอินเข้ามาเองเพราะเคยอ่านเจอคำแนะนำจากในบลอกหรือเว็บบอร์ดของผู้ที่เคยมาพักที่นี่แล้วติดใจจนนำไปบอกต่อ แต่ด้วยทำเลที่ตั้งที่อยู่นอกเมืองออกมาพอสมควรและไม่มีสิ่งจูงใจหรือสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในบริเวณใกล้เคียง ทำให้โดยปกติเกสต์เฮ้าส์ที่มีห้องพักหกห้องแห่งนี้มีห้องเหลือว่างเสมอๆ ยิ่งฤดูฝนที่ทำให้ถนนทางเข้าซึ่งมีหลุมบ่อเป็นระยะเฉอะแฉะมีน้ำขังจนรถโดยสารแทบไม่วิ่งผ่านถ้าไม่มีผู้โดยสารโบกรถมาล่ะก็ เกสต์เฮ้าส์แห่งนี้ก็แทบร้างผู้มาเยือนได้เป็นเดือนๆเลยทีเดียว

“สวัสดีครับ บ้านนฤมิตรยินดีต้อนรับครับ”

ชายหนุ่มแย้มยิ้มต้อนรับชายร่างสูงที่สวมเสื้อกันฝนทับเสื้อผ้าและเป้สะพายหลังผู้กำลังมองไปรอบๆบริเวณโถงรับแขกที่ไม่ใหญ่นัก ทว่าได้รับการดูแลทำความสะอาดอย่างดี มีภาพวาดสีน้ำมันใส่กรอบประดับบนฝาผนังไม้ทาสีอ่อนสบายตาอย่างสนใจ ก่อนจะเลื่อนเสื้อกันฝนส่วนที่คลุมหมวกแก๊ปบนศีรษะลงพร้อมกับถอดหมวกและเสยผมที่ฉ่ำหยดน้ำจนระหน้าผากไปด้านหลัง ริมฝีปากบางที่ประดับอยู่ใต้จมูกโด่งเป็นสันยิ้มบางๆให้กับเจ้าของบ้านที่ยื่นผ้าขนหนูเนื้อนุ่มให้เพื่อเช็ดหน้าและผม ปลายนิ้วของทั้งสองสัมผัสกันแผ่วเบา

“ขอบคุณครับ ขอโทษด้วยที่ไม่ได้จองล่วงหน้าเข้ามาก่อน ตอนนี้มีห้องว่างหรือเปล่าครับ?”

เจ้าของมือเรียวที่กำลังกดน้ำร้อนจากกระติกไฟฟ้าลงในแก้วชาสมุนไพรหัวเราะร่วนก่อนจะยื่นแก้วพร้อมจานรองให้แขก แล้วเดินกลับไปที่หลังเคาน์เตอร์ซึ่งมีสมุดลงทะเบียนสำหรับแขกเข้าพักวางอยู่ “ตอนนี้ว่างทุกห้องแหละครับ หน้าฝนอย่างนี้ไม่ค่อยมีใครอยากมาพักไกลๆตัวเมืองแบบนี้เท่าไหร่ เอ่อ...เสื้อกันฝนกับรองเท้าบู๊ตวางไว้ตรงใกล้ๆประตูก็ได้ครับ คุณ....”

“ตระการครับ ตระการ รัตนวงศ์” นัยน์ตาคมปลาบสีน้ำตาลเข้มใต้คิ้วดกหนาสบตากับเจ้าของที่พักแวบหนึ่งก่อนจะยกแก้วชาหอมกรุ่นที่มีน้ำสีเขียวอำพันอ่อนจางขึ้นจิบแล้วเอ่ยปากชม

“ชาหอมดีนะครับ หวานๆด้วย”

พรพฤกษ์เงยหน้าขึ้นจากการกรอกข้อมูลผู้เข้าพักลงในสมุดลงทะเบียนแล้วเงยหน้าขึ้นยิ้มๆ “หญ้าหวานน่ะครับ เป็นชาสมุนไพรแบบไม่มีคาเฟอีน ผมชอบเพราะมันหวานธรรมชาติดี ว่าแต่คุณตระการจะพักกี่คืนดีครับ?”

แขกผู้มาเยือนอ้ำอึ้งไปชั่วอึดใจ “ผม...ยังไม่แน่ใจวันกลับเหมือนกัน ถ้ายังไงยังไม่ลงวันเช็คเอาท์ได้ไหมครับ?”

คิ้วเรียวเลิกขึ้นเล็กน้อยอย่างแปลกใจ แขกลองสเตย์งั้นรึ? ใช่ว่าเกสต์เฮ้าส์ของเขาไม่เคยรับแขกลองสเตย์มาก่อน แต่ส่วนมากแขกที่ตั้งใจจะมาพักในลักษณะดังกล่าวมักวางแผนไว้ก่อนและแจ้งเขาล่วงหน้า ไม่บ่อยนักที่จะมีแขกเดินวอล์คอินเข้ามาโดยไม่แน่ใจระยะเวลาที่จะพัก โดยเฉพาะแขกชาวไทยซึ่งมักมีข้อจำกัดด้านวันหยุด ไม่ว่าจะเพราะกำลังเรียนอยู่หรือทำงานแล้วก็ตาม แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเพราะยังไงช่วงนี้ก็โลว์ซีซันส์และห้องพักของเขาก็พร้อมเสมออยู่แล้ว

“ไม่มีปัญหาครับ ยังไงเดี๋ยวผมพาขึ้นไปดูห้องก่อน เอ้อ ผมชื่อพรพฤกษ์ เรียกไผ่ก็ได้ครับ”

ริมฝีปากบางได้รูปของเจ้าของที่พักยิ้มอย่างเป็นมิตรขณะรับแก้วชากลับคืนจากผู้มาเยือน แล้วก็ฉวยขวดน้ำดื่มสองขวดจากตู้เย็นเล็กหลังเคาน์เตอร์และพวงกุญแจห้องพัก ก่อนออกเดินนำขึ้นไปยังชั้นสี่โดยอธิบายลักษณะที่พักของตนไปด้วย “เกสต์เฮ้าส์หลังนี้ดัดแปลงมาจากบ้านเก่าของคุณตา แล้วผมก็มาดัดแปลงต่อเติมอีกนิดหน่อย ห้องพักทั้งหมดมีหกห้องบนชั้นสามและชั้นสี่ชั้นละสามห้อง ส่วนห้องน้ำจะเป็นห้องน้ำรวม มีชั้นละห้อง บนชั้นสองจะเป็นห้องสมุดกับห้องพักของผมเองครับ”

พรพฤกษ์ไขกุญแจเข้าไปในห้องพักซึ่งมีระเบียงเล็กๆที่มองออกไปเห็นตัวเมืองและทิวสันเขาสีเทาขุ่นๆที่แผ่เรียงรายในระยะไกลท่ามกลางม่านน้ำฝนที่เริ่มซาเม็ดลง ร่างสูงแข็งแรงของตระการวางกระเป๋าสะพายหลังใบใหญ่ลงที่มุมห้อง ขณะที่ร่างบางเจ้าของที่พักวางขวดน้ำดื่มสำหรับแขกบนโต๊ะเตี้ยข้างหัวเตียงก่อนจะเดินไปเปิดหน้าต่างให้อากาศเย็นๆได้ไหลเข้ามาเมื่อเห็นว่าพายุฝนเบาลงแล้ว “เดี๋ยวขอเชิญคุณตระการตามสบายนะครับ ผมขอตัวลงไปด้านล่างก่อน ถ้าขาดเหลืออะไรตามผมได้เลยนะครับ”

 แขกผู้มาเยือนยิ้มบางๆขณะถอดแจ็กเกตที่เพียงพรพฤกษ์เหลือบเห็นยี่ห้อที่ปักอยู่ก็รู้ทันทีว่าเป็นของมีราคา “ขอบคุณครับ แล้วก็เรียกผมว่าต้นก็ได้ครับ”

“คุณต้น” นัยน์ตาสีนิลน้ำงามสบตากับดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่ทอดมองเขาแน่วนิ่งอยู่ก่อนแล้วก็รู้สึกอุ่นวูบขึ้นที่ใบหน้า จึงเสขอตัวเดินลงด้านล่างอย่างรวดเร็ว ร่างสูงได้กลิ่นหอมจางๆจากเจ้าของร่างเพรียวที่เดินเฉียดผ่านใต้จมูกผ่านประตูแคบๆออกไปจึงเผลอสูดเข้าเต็มปอด เขามองแผ่นหลังของผู้ที่เดินลงบันไดไปอย่างโหยหาก่อนจะงับประตูปิดเบาๆ
 

*************


ขอบคุณเสียงต้อนรับอย่างอบอุ่นคับ ว่าแล้ววันนี้ก่อนเริ่มทำงานก็อัพบทที่ 1 ให้ซะเลย ตอนนี้ต้นฉบับที่พิมพ์ไปแล้วมีประมาณถึงแค่ตอนที่ 3   :try2: แถมก็ยังตรวจแก้คำนู่นนี่ไปเรื่อยๆ (ติดมาจากงานอะ เลยอยากให้ภาษามันออกมาดูดี ไม่มีตัวสะกดผิด) แต่โครงเรื่องวางไว้ถึงตอนจบแล้ว อยู่ที่ว่าต้องเขียนกี่บทถึงจะไปถึงตอนจบนั้น   :a10:  ยังไงจะพยายามมาอัพบ่อยๆนะ

ใครอ่านเรื่องนี้ขอให้มีแฟนหน้าตาดี อิอิ  :haun5:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญ&#
เริ่มหัวข้อโดย: nana ที่ 26-09-2008 09:39:08
 :L2:มาให้กำลังใจ :L2:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญ&#
เริ่มหัวข้อโดย: ben~ya ที่ 26-09-2008 10:54:04
 :ped149: ให้กำลังใจคนแต่ง  o13
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญ&#
เริ่มหัวข้อโดย: krappom ที่ 26-09-2008 13:08:09
 :mc4: :mc4: :mc4: :mc4:

เจิมเรื่องใหม่

หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญ&#
เริ่มหัวข้อโดย: kampanat02 ที่ 26-09-2008 13:44:19
เจ้ รู้ม่ะ อายุเจ้เท่ากะครูสอนพิเศษภาษาฝรั่งเศสผมเลย ฮ่าๆๆๆ

แก่จิงๆๆอิอิ :laugh:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญ&#
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 26-09-2008 13:48:45
 :angry2: อร้ากกกซ์ ไอ้เด็กบ้า


ว่าแต่ครูนี่ผู้ชายหรือผู้หญิงอะ   :m13:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญ&#
เริ่มหัวข้อโดย: inimeg ที่ 26-09-2008 14:16:12
มาเป็นกำลังใจเรื่องใหม่คร้าบ...
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญ&#
เริ่มหัวข้อโดย: ben~ya ที่ 26-09-2008 14:23:49
ชะอุ๊ย! เพิ่งเห็น
"ใครอ่านเรื่องนี้ขอให้มีแฟนหน้าตาดี"
เดี๋ยวจะให้คนที่บ้านไปทำศัลยกรรมหน้า
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญ&#
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 26-09-2008 14:36:26

เข้ามาทักทายแล้วจ้า

ใครจะเป็น ชายจริง หญิงแท้ ชะนีแก่ยักแย่ยักยัน  ยังไงก็ช่าง

แต่เจ้ก็ภูมิใจในความเป็นกะเทยของเจ้คะ

ตามนั้น
(http://i132.photobucket.com/albums/q8/oaw_eang/91149.jpg)

อร๊างงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงส์
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 26-09-2008 15:20:54

ใครจะเป็น ชายจริง หญิงแท้ ชะนีแก่ยักแย่ยักยัน ยังไงก็ช่าง



.............โดนจริงๆค่ะเจ้  o17


 :pig4:  ขอบคุณทุกเสียงที่เข้ามาเจิมคับ  :pig4:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญ&#
เริ่มหัวข้อโดย: kampanat02 ที่ 26-09-2008 15:27:17
ครูผู้หญิงครับ

คนไทยอ่ะครับเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนเหมือนเจ็แหละAFSประเทศฝรั่งเศส

พูดเก่งๆๆ

หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญ&#
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 26-09-2008 15:58:10
งั้นถ้าอายุใกล้ๆเจ้ก็อาจรุ่นเดียวกัน เจ้ AFS รุ่น 37 (ว้อย เขินรุ่นน้อง ไม่รู้ล่าสุดรุ่นอะไรกันแล้ว) แต่ปกติเด็กเอเอฟเอสที่ไปกันคนละโซนประเทศจะไม่ค่อยรู้จักกันเท่าไหร่อะ เพราะปฐมนิเทศกับปัจฉิมนิเทศแยกกัน
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญ&#
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 26-09-2008 16:58:26
 :oni1: รีบมาอ่าน
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญ&#
เริ่มหัวข้อโดย: kampanat02 ที่ 26-09-2008 17:09:33
เจ้คร๊าบ

มันรุ่นที่48แล้ว
เจ้แก่อย่างแรงอ๊าก
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญ&#
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 26-09-2008 17:22:07
เจ้คร๊าบ

มันรุ่นที่48แล้ว
เจ้แก่อย่างแรงอ๊าก


 :จุ๊บๆ: อยากโดนเจ้ตบจูบใช่ม้ายยยยย นู๋ขวัญใจหน้าหนวด เหอๆๆ   


ไม่พ้นคืนนี้น่าจะได้ลงอีกบทนะคับพี่น้อง เพิ่งโพสท์เรื่องใหม่ต้องขยันอัพหน่อย  :laugh:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญ&#
เริ่มหัวข้อโดย: juuuno99 ที่ 26-09-2008 17:24:36
อ่านแล้วแฟนหล่อจริงอ่ะ   ขอหันมองคนข้างๆก่อน    :oอ๊ากกกกกกกกกก  น้องมาริโอ้มาได้ไง  :laugh: :laugh:




เห็นรีบนๆว่า เจ๊แก่ แก่จริงป่าวคับ  :m29: งั้นไอ้เอเรียก เจ๊ว่าป้าอ่ะกัน นะ :laugh:






รึว่าตูจะแก่กว่าฟะ :m28:
หัวข้อ: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 2
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 26-09-2008 19:00:20
 :o  ช่างเป็นกระทู้ที่อุดมไปด้วยคำแสลงใจจริงๆ  :m2: :m2:  กะ กะ กะต๊าก (ใบ้ปีเกิดซะงั้น)

ก่อนจะได้อ่านคำว่าแก่มากไปกว่านี้ มาอัพตอนใหม่ให้ละกันนะ -*-   


*************


2.


ทั้งสองทานอาหารเย็นด้วยกันในวันนั้น เนื่องจากเกสต์เฮ้าส์ของพรพฤกษ์ไม่มีร้านอาหาร มีเพียงครัวที่เขาใช้ปรุงอาหารส่วนตัวและอนุญาตให้แขกซื้อของสดมาเก็บและประกอบอาหารทานเองได้เท่านั้น ร้านอาหารที่ใกล้ที่สุดคือร้านอาหารตามสั่งและขายของชำทั่วไปซึ่งตั้งอยู่ตรงหัวมุมทางขึ้นมายังเกสต์เฮ้าส์ “บ้านนฤมิตร” ซึ่งกินเวลาเดินประมาณ 10 นาทีหากไม่ขับรถ แต่เนื่องจากฝนที่เริ่มเทลงมาอีกครั้งในยามบ่ายแก่ๆเขาจึงตัดสินใจเตรียมอาหารเย็นเผื่อตระการไปด้วยเลย

ตอนแรกพรพฤกษ์คาดว่าชายหนุ่มผู้เลือกมาพักในเกสต์เฮ้าส์ห่างไกลตัวเมืองเพียงลำพังคงไม่ใช่คนคุยเก่ง แต่ตระการกลับเป็นคนอัธยาศัยดีผิดคาด แม้จะไม่นับว่าเป็นคนคุยฟุ้งจนเจื้อยแจ้ว แต่ตระการก็สรรหาเรื่องราวต่างๆมาคุยกับเจ้าของเกสต์เฮ้าส์ “บ้านนฤมิตร” ได้เรื่อยๆ ทำให้บรรยากาศที่พรพฤกษ์เกรงว่าจะอึดอัดในตอนแรกผ่อนคลายลงมากและมีเสียงหัวเราะเจืออยู่ในบทสนทนาเป็นระยะๆ

ตระการได้รู้ว่าชายหนุ่มผู้ดูแลเกสต์เฮ้าส์แห่งนี้โดยลำพังมีอายุมากกว่าเขาสองปีแม้ใบหน้าจะดูอ่อนเยาว์เหมือนเด็กนักศึกษา เรียนจบคณะมนุษยศาสตร์จากมหาวิทยาลัยประจำจังหวัดและเคยทำงานในกองบรรณาธิการนิตยสารมีชื่อก่อนจะผันตัวเองมาดูแลกิจการเกสต์เฮ้าส์หลังจากได้รับมรดกจากคุณตาที่เสียไปเป็นที่ดินพร้อมบ้านหลังนี้ โดยรับแปลหนังสือและพิสูจน์อักษรเป็นงานพาร์ทไทม์ควบคู่ไป นอกจากนั้นก็มีหุ้นส่วนในกิจการร้านอาหารที่ลงขันกับเพื่อนๆในตัวเมืองซึ่งเป็นร้านอาหารกึ่งผับขนาดเล็กแต่ก็ค่อนข้างเป็นที่นิยมในหมู่เด็กมหาวิทยาลัย ดังนั้นแม้ช่วงที่ไม่มีแขกมาเข้าพักนานๆก็ไม่เดือดร้อนทางการเงินนัก

ฝ่ายพรพฤกษ์เองก็ทึ่งที่ชายหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาอบอุ่นผู้อ่อนวัยกว่าทว่ามีบุคลิกดูเป็นผู้ใหญ่เกินตัวนั้น มีดีกรีเรียนจบปริญญาตรีและโทด้านการออกแบบจากต่างประเทศ และเคยทำงานเป็นสถาปนิกในบริษัทมีชื่อที่มีสาขาในหลายประเทศเป็นระยะเวลาหนึ่ง ก่อนที่จะถูกเรียกตัวกลับเมืองไทยเพราะต้องมาเรียนรู้กิจการของทางบ้านเพื่อเตรียมขึ้นเป็นผู้บริหารแทนบิดาที่กำลังล้มป่วย

เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ นัยน์ตาที่ดูเป็นประกายยามกล่าวถึงวันเวลาที่เรียนและทำงานอยู่ต่างประเทศอย่างสนุกก็หมองลงวูบหนึ่ง แต่แล้วเจ้าตัวก็ยิ้มบางๆก่อนตัดบทเรียบๆโดยไม่ขยายความถึงกิจการดังกล่าว “พอดีช่วงที่ผ่านมาต้องปรับตัวกับตำแหน่งใหม่แล้วก็ทำงานหนัก ช่วงนี้ผมเลยขอพักร้อนให้ผู้ช่วยดูแลธุรกิจแทนไปก่อน แล้วก็หลบขึ้นมาพักไกลๆแบบนี้ล่ะครับ นี่แม้แต่มือถือผมก็ไม่ได้เอามา”

พรพฤกษ์เลิกคิ้วมองชายตรงหน้าที่กำลังนั่งกอดอก สายตาที่อ่านความรู้สึกไม่ออกจับอยู่ที่แก้วกาแฟที่เขาชงเสิร์ฟหลังอาหารเย็น เพราะยุคสมัยนี้แทบไม่มีใครไม่พกโทรศัพท์มือถือติดตัว ไม่ว่าจะเป็นแม่ค้าร้านตลาดหรือคนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ต่อให้ไม่อยากคุยหรือติดต่อกับใครจริงๆก็เพียงแค่เลือกปิดเสียงหรือปิดเครื่องเสียก็ได้ การเป็นนักธุรกิจระดับผู้บริหารที่ต้องคุยเรื่องงานแม้ในวันหยุดพักผ่อนแต่กลับไม่พกเครื่องมือสื่อสารใดๆติดตัวจึงเป็นเรื่องแปลกทีเดียว นี่ท่าทางแขกของเขาจะตั้งใจไม่ให้ใครตามตัวได้เลยสินะ

“เหมือนเด็กหนีออกจากบ้านเลยนะครับนั่น” พรพฤกษ์กระเซ้ายิ้มๆเพื่อบรรเทาบรรยากาศหนักอึ้งที่จู่ๆก็โรยตัวอยู่รายรอบคนทั้งสองชั่วขณะ เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มปรายตาขึ้นมองใบหน้าที่มีรอยยิ้มอ่อนๆระบายอยู่ของเจ้าของที่พักแล้วก็หัวเราะเบาๆตามไปด้วย “ผมก็ว่างั้นเหมือนกัน”

ทั้งสองนั่งคุยสัพเพเหระกันอีกสักพักก่อนจะช่วยกันเก็บล้างจานชาม ร่างสูงเพรียวเจ้าของบ้านนฤมิตรเลื่อนประตูกระจกตรงระเบียงแล้วสวมรองเท้าแตะก้าวออกไปยืนบนพื้นที่ยังคงมีหยดน้ำเกาะพราว พายุฝนพัดผ่านไปแล้ว เมฆบนท้องฟ้าค่อยๆคลายแรงยึดเหนี่ยวจากกัน เผยให้เห็นจันทร์เสี้ยวลางๆราวใครจับแขวนไว้กลางผืนฟ้าสีน้ำเงินเข้มอมเทา เขายื่นหน้ากลับเข้ามาในโถงรับแขกก่อนเอ่ยปากชวนชายหนุ่มที่กำลังนั่งพลิกดูหนังสือรวมภาพการจัดสวนอยู่ตรงโซฟา

“คุณต้น สนใจไปดูวิวบนภูเขาด้วยกันไหมครับ”



*************

หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 2
เริ่มหัวข้อโดย: juuuno99 ที่ 26-09-2008 19:16:07
ชวนไปดูวิวบนเขา เป็นเรา ช่วนเที่ยวป่าด้วยกันซะเลย :laugh: :laugh:

มารออ่านตอนต่อไปนะ ป้า กร๊ากๆๆๆ:laugh: :laugh:
หัวข้อ: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 3
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 27-09-2008 01:47:28
3.


“ตาๆ เมื่อกี้ไผ่เห็นดาวตกตรงนู้นด้วยล่ะ”

เสียงใสๆของเด็กชายตัวน้อยตะโกนอย่างตื่นเต้นพลางชี้ชวนชายชราที่จูงมือตนอยู่ให้มองไปยังทิศที่เห็นแสงผีพุ่งใต้เมื่อครู่

ผู้เป็นตาหัวเราะเสียงดังก่อนกุมมือเล็กป้อมกระชับขึ้น เพราะเกรงเจ้าตัวดีจะตื่นเต้นแล้วออกวิ่งจนสะดุดจนหกล้มได้แผลอย่างที่เกิดขึ้นเป็นประจำ แล้วพาก้าวเดินเอื่อยๆต่อไปบนทางเดินเลียบไหล่เขาในขณะที่อีกมือถือตะเกียงน้ำมันส่องทาง

“จุ๊ๆ โบราณเขาว่าอย่าไปทักดาวตก ว่าแต่เมื่อกี้ไอ้หน่อไม้ของตาอธิษฐานขอพรอะไรไปรึเปล่า”

ไผ่ หรือสมญาไอ้หน่อไม้ที่ตาชอบเรียกเงยหน้าเล็กๆขึ้นฉีกยิ้มกว้างให้กับชายชราที่เลี้ยงดูตนเองมาตั้งแต่แบเบาะ มือเล็กแกว่งไกวไปมาในอุ้งมือหนาอบอุ่นตามประสาเด็กอยู่ไม่สุข นัยน์ตาโตดำขลับเป็นประกายเมื่อนึกถึงสิ่งที่ตนอ้อนวอนต่อดาวตกไปเมื่อครู่

“ไผ่ขอพรว่า.........”



*************


“ฮู่ววววว”

ชายหนุ่มร่างเพรียวเป่าลมเข้าฝ่ามือที่ยกขึ้นมากุมไว้อย่างหลวมๆเพื่อสร้างความอบอุ่นให้ตนเอง จุดชมวิวบริเวณที่ชายหนุ่มทั้งสองยืนอยู่ต้องขับรถเลยเกสต์เฮ้าส์ของเขาขึ้นมาประมาณ 20 นาที มีศาลาไม้ขนาดไม่ใหญ่นักและชุดโต๊ะเก้าอี้หินอ่อนตั้งอยู่สำหรับให้ผู้มาชมวิวได้แวะพักก่อนขับรถขึ้นเขาต่อ สายลมที่พัดกรูช่วยปัดเป่าสายหมอกจางๆที่หลงเหลือหลังพายุฝนให้คลายออก และเมฆก็สลายตัวมากพอจะเผยให้เห็นหมู่ดาวต่างๆเปล่งแสงระยิบระยับล้อมรอบจันทร์เสี้ยวได้อย่างชัดเจน

อากาศยามหัวค่ำบนที่ราบสูงในปลายฤดูฝนเย็นลงอย่างรวดเร็ว แม้จะไม่ถึงกับหนาว แต่สายลมที่พัดล้อปลายหญ้าจนไหวเอนก็ทำให้พรพฤกษ์ต้องกระชับเสื้อแจ็กเกตผ้าฝ้ายที่สวมทับเสื้อยืดข้างในเข้าหาตัวแน่นขึ้น เขาเป็นเด็กเหนือโดยกำเนิดก็จริงแต่ก็ไม่เคยชินกับอากาศหนาวได้เลย ผิดกับร่างหนาสูงใหญ่ของคนข้างๆที่เพียงสอดมือเข้าในกระเป๋าเสื้อแจ็กเกตที่ไม่ได้รูดซิปไว้ด้วยท่าทางสบายๆ คงเพราะเคยชินกับการใช้ชีวิตในเมืองหนาวที่หนาวเย็นกว่านี้หลายเท่ามานานกระมัง

“วิวสวยจริงๆครับ”

แม้ท่าทางและสีหน้าของตระการจะไม่แสดงอารมณ์จนสังเกตได้ชัดเจน แต่น้ำเสียงที่แสดงความชื่นชมอย่างจริงใจก็ทำให้ร่างบางที่กำลังจุดไฟตะเกียงน้ำมันที่เขาพกติดตัวมาด้วยอมยิ้ม

“จุดชมวิวตรงนี้มองลงไปเห็นตัวเมืองได้กว้างขวางดี แล้วก็เป็นจุดที่มองพระอาทิตย์ตกได้สวยด้วย ปกติเวลามีแขกมาพักที่บ้านนฤมิตรผมจะแนะนำให้ขับรถหรือเดินขึ้นมาชมวิวบนนี้ทุกราย ตาผมเป็นคนสร้างศาลาหลังนี้เอง ตอนเด็กๆท่านพาผมขึ้นมาบนนี้บ่อย บางทีผมก็แอบหนีขึ้นมาวิ่งเล่นคนเดียว”

ตระการมองเจ้าของใบหน้าอ่อนเยาว์ที่บางมุมก็ดูหวานกว่าผู้ชายทั่วไปยิ้มๆก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม “ดูไม่ออกเลยนะครับว่าคุณไผ่จะเคยเป็นเด็กซน”

คนถูกพูดถึงนัยน์ตาเป็นประกายและย่นจมูกนิดๆ กริยาเช่นนั้นทำให้ใบหน้าที่ดูเด็กกว่าอายุจริงอยู่แล้วยิ่งดูเด็กลงไปอีกราวกับเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่น ประกอบกับเจ้าตัวชอบใส่กางเกงยีนส์ขายาวกับรองเท้าผ้าใบและเสื้อยืดง่ายๆเลยยิ่งดูเหมือนเด็กเข้าไปใหญ่ 

“ตอนเด็กๆก็ซุกซนไปตามประสาละครับ ตาค่อนข้างจะตามใจผม เพราะทั้งครอบครัวมีกันแค่ตาหลานสองคน เพื่อนเล่นวัยไล่ๆกันก็ไม่ค่อยมี”

“แล้ว เอ่อ...คุณพ่อคุณแม่?”

น้ำเสียงที่ตระการใช้ถามดูจะกระอักกระอ่วนนิดหน่อย แต่พรพฤกษ์ตีความว่าเพราะชายหนุ่มเกรงใจที่ถามละลาบละล้วงจึงโบกมืออย่างไม่ถือสา

“พ่อผมเสียไปตั้งแต่เด็กๆ ส่วนแม่รู้สึกว่าจะไปหางานทำที่กรุงเทพตอนผมเริ่มเรียนชั้นประถม แล้วก็ขาดการติดต่อไปเลย ยายก็เสียตั้งแต่ก่อนผมเกิด ญาติๆคนอื่นก็อยู่กันคนละจังหวัด ผมเลยโตมากับตาคนเดียว”

“คงลำบากสินะครับ”

พรพฤกษ์เอียงคอทำท่าคิด “จะว่าไงดี ก็...ไม่ถึงกับลำบากอะไรมากหรอกครับ โชคดีว่าตาพอมีเงินเพราะแกรับจ้างซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้ากับรับจ้างทั่วไป ผมเองตอนเด็กๆถ้าไม่เล่นซนข้างนอกก็นอนอ่านหนังสืออยู่กับบ้าน เราไม่ได้อยู่กันแบบฟุ่มเฟือยก็เลยไม่ลำบาก”

ชายร่างสูงพยักหน้ารับรู้แล้วก็ไม่ถามอะไรต่อ พรพฤกษ์ชี้ชวนให้เขาดูสถานที่ต่างๆจากแสงไฟที่เห็นจากในตัวเมือง และออกปากรับเป็นไกด์นำชายหนุ่มเที่ยวในวันรุ่งขึ้น

ระหว่างเดินกลับไปที่รถของพรพฤกษ์ ร่างบางเดินคุยกับแขกเพลินจนไม่ทันมองทางเดินจึงสะดุดหินก้อนใหญ่เกือบล้มหัวทิ่ม โชคดีที่แขนแข็งแรงของคนข้างๆคว้าตัวไว้ทันเหมือนคอยสังเกตเขาอยู่แล้ว พอร่างบางทรงตัวได้จากอาการเสียศูนย์ก็พบว่าอ้อมแขนคนข้างๆยังโอบเอวเขาอยู่เลยยิ้มแหยๆให้

“ขอบคุณครับคุณต้น โทษทีบางครั้งผมก็ซุ่มซ่ามงี้แหละ”

ความใกล้ชิดทำให้พรพฤกษ์รู้สึกได้ถึงไออุ่นจากร่างกายของอีกฝ่าย พอๆกับจมูกโด่งที่ดูจะได้ระดับกับขมับของเขาพอดี ร่างบางเริ่มรู้สึกแปลกๆกับสถานการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่

“คุณต้น”

ตระการกระพริบตาเหมือนเพิ่งรู้สึกตัว “เอ้อ ขอโทษ ทางเดินมันมีก้อนหินเยอะ ยังไงเวลาเดินระวังหน่อยนะ”

ร่างสูงผละจากเขาก่อนจะเดินนำไปที่รถ ใบหน้าหวานมองตามแล้วขมวดคิ้ว รู้สึกประหลาดๆที่คนท้องถิ่นอย่างเขากลับเป็นฝ่ายโดนตักเตือนจากแขกเสียเอง พรพฤกษ์ส่ายหน้ายิ้มๆก่อนจะเร่งฝีเท้าตามพร้อมกับล้วงพวงกุญแจจากกระเป๋ากางเกงเพื่อไขเปิดประตูรถ


*************

 :onion_asleep: ง่วงแระ ป้าไปนอนก่อนดีกว่า (โดนยัดเยียดให้เป็นป้า เป็นป้าก็ได้ฟระ)

ขี้เกียจเข้างานวันเสาร์ง่า กรรรรร  :o211:

หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 3
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 27-09-2008 10:28:55
นึกภาพตามตอนนางเอกสะดุดก้อนหินแล้วพระเอกคว้าตัวไว้ทัน  :o8:



ป้าเกิดปีระกา..งั้นก็1981ชิมิ โอ้วววววววยังเอ๊าะๆอยู่เลย ใครว่าแก่  :man1: (แต่ก็แอบเรียกเค้าว่าป้า  :jul3: )
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 3
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 27-09-2008 11:22:00
น่านสิ ใครกันนะมาเรียกเราว่าป้า เค้าออกจะใสเช้งกระเด๊ะขนาดนี้  :laugh: (ช่างกล้า)

อย่างงี้ท่าทางคนในบอร์ดจะมี generation gap เยอะเหมือนกันนะนี่ น้องนู๋ kampanat02 เพิ่งม.ปลายเอง แล้วคนที่อายุมากที่สุดที่เข้าบอร์ดนี้อายุเท่าไหร่หว่า   :jul3: (คำถามล่อเป้าจริงๆ)
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 3
เริ่มหัวข้อโดย: juuuno99 ที่ 27-09-2008 11:32:23
มาต่ออีกนะคับ


ป้า เกิด 1981 ใช่ป่ะ :m12:  อืมๆๆๆๆๆๆ ก็ยังไม่แก่นี่เนอะ :m21:


ยังไงซะ :a11: :a4:


ก็แก่กว่าไอ้เออยู่ดี เพราะฉะนั้นขอเรียกป้าเหมือนเดิมละกัน กร๊ากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 3
เริ่มหัวข้อโดย: kampanat02 ที่ 27-09-2008 11:51:01
โอ้ยตายเจ้เกิด  1981หรอ

ผมเกิด1993
เกิดก่อนตั้ง12ปีแหนะ

อ๊ากกๆๆๆ

หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 3
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 27-09-2008 12:18:20
ไอ้นี่ เล่นไม่เลิก  o12


เดี๋ยวคืนนี้จุดธูปไว้นะ เจ้จะไปหา เหอๆ  o18
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 3
เริ่มหัวข้อโดย: juuuno99 ที่ 27-09-2008 12:32:07
ป้า จะไปหาใครอ่ะ

แล้วให้จุดธูปเนียะ ให้จุดเท่าจำนวนอายุด้วยป่ะล่ะ  :laugh: :laugh:

กี่ดอกน้าาาาาาา อ่ะ ตั้งเกือบสามสิบดอกแนะ  :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 3
เริ่มหัวข้อโดย: krappom ที่ 27-09-2008 12:39:18

กลายเป็นกระทู้ประจานอายุไปแล้วมั้งเนี่ย

 :laugh: :laugh:

หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 3
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 27-09-2008 13:05:52
ป้า จะไปหาใครอ่ะ

แล้วให้จุดธูปเนียะ ให้จุดเท่าจำนวนอายุด้วยป่ะล่ะ  :laugh: :laugh:

กี่ดอกน้าาาาาาา อ่ะ ตั้งเกือบสามสิบดอกแนะ  :laugh: :laugh:


ก็ยังขาดอีกหลายดอกย่ะ  :angry2:  ป้าเกิดปลายปี เพราะงั้นยังอ้อมแอ้มได้ว่ายังเด็กกว่าเพื่อนๆที่เกิดปีเดียวกันอยู่ (แต่ก็เหลือเวลาให้ยืดได้อีกไม่กี่เดือน ง่ะ  :o11: )



กลายเป็นกระทู้ประจานอายุไปแล้วมั้งเนี่ย

 :laugh: :laugh:



ใครนะใครเป็นคนเริ่ม แง่มๆๆ  :เตะ1:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 3
เริ่มหัวข้อโดย: pickki_a ที่ 27-09-2008 21:36:26
บทพรรณาดีมากเลยคับ ภาพพจน์ชัดเจนดี
ยังไม่ขอเดาเรื่องนะคับ

ส่วนที่ว่าป้านั้นแก่ ก็ไม่รู้สินะคับ แฮ่ะๆๆ  :m23:

หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 3
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 27-09-2008 23:14:11
แก่สุดในเล้านี้เหรอ เท่าที่รู้จักก็ประมาณ40ได้อ่ะ ป้ายังไม่แก่สุด ไม่ต้องกลัวปายยยย  :กอด1:

ถึงจะแก่ก็แก่ประสบกามไม่ใช่แก่กะโหลกกะลาชิมิเคอะ เพราะฉนั้นเราต้องภูมิใจในความแก่เคอะ
 :laugh: ที่สำคัญ...แก่แต่สวยเคอะ  :oni1: อวยป้าเต็มที่  :man1: มิได้หวังผลใดๆเร้ยยยย  :m13:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 3
เริ่มหัวข้อโดย: YO DEA ที่ 27-09-2008 23:37:48
 :m1:


ใช่ครับ

เห็นด้วยกับคุณ pickki_a

บรรยายได้เห็นภาพดีมากๆ

เป็นกำลังใจให้อีกทีครับ

 :bye2:
หัวข้อ: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 28-09-2008 13:08:53
4.

เสียงกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้นเป็นจังหวะ อุ้งมือแข็งแรงจึงยกหูโทรศัพท์ขึ้นรับก่อนกรอกเสียงทุ้มลงไป

“สวัสดีครับ บ้านนฤมิตรครับ วันเสาร์อาทิตย์ที่ 28-29 เดือนนี้นะครับ.....ครับว่างครับ ตกลงเป็นทวินเบดสองห้องนะครับ ค่าห้องพักมาจ่ายวันเช็คอินได้เลยครับ ชื่อคุณปลานะครับ ครับสวัสดีครับ”

เจ้าของที่พักตัวจริงชะโงกหน้าออกมาจากในครัวโดยมือหนึ่งถือตะหลิว เสียงใสเอ่ยกระเซ้าแขกของตนเองที่ตอนนี้ทำตัวเสมือนผู้ช่วยดูแลเกสต์เฮ้าส์ของเขาไปแล้ว

“เริ่มคล่องแล้วนะเนี่ย เดี๋ยวเราให้ต้นดูแลที่นี่แทนแล้วหนีไปพักร้อนซักระยะดีกว่า”

“ก็เอาสิ แต่กลับมาเจอบ้านร้างไม่รู้ด้วย”

ชายหนุ่มเย้ากลับขำๆ แล้วเดินตามเข้าไปในครัวที่อวลกรุ่นด้วยกลิ่นหอมของอาหารเช้า

“โอ้โฮ ABF เลยเหรอวันนี้”

พ่อครัวยักคิ้วหน่อยๆ “ตอนนี้กำลังช่วยแปลนิยายแนวคันทรีในชนบทอเมริกาอยู่ เลยสร้างบรรยากาศนิดนึง จะได้เหมือนกินอาหารเช้าอยู่ในกระท่อมแถวเทือกเขาร็อกกี้ไง”

“ครับๆ เชื่อแล้วว่าวันนี้นึกครึ้มจริงๆ”

เวลาผ่านไปสัปดาห์กว่าตั้งแต่วันที่ตระการเข้าพักที่บ้านนฤมิตร ด้วยความที่ไม่มีแขกอื่นมาพักในช่วงเดียวกัน และคนทั้งสองคุยกันถูกคอจึงสนิทสนมกันอย่างรวดเร็วจนเปลี่ยนมาเรียกชื่อเล่นโดยไม่มีสรรพนามนำหน้าตั้งแต่วันที่สอง เนื่องจากตระการมาพักแบบไม่ได้ศึกษาข้อมูลท่องเที่ยวใดๆมาเลย พรพฤกษ์จึงรับเป็นธุระพาตระเวนเที่ยวตามสถานที่ขึ้นชื่อต่างๆทั้งในจังหวัดและจังหวัดใกล้เคียงทั้งที่เจ้าตัวพยายามปฏิเสธด้วยความเกรงใจ ดังนั้นตระการจึงมักเสนอตัวช่วยเหลืออะไรในเกสต์เฮ้าส์นิดๆหน่อยๆแล้วแต่จะจำเป็นด้วยความเต็มใจในวันที่ทั้งสองไม่ได้ออกไปไหน

“ไผ่ทำอาหารเก่งจัง”

พรพฤกษ์เงยหน้าขึ้นจากการกัดขนมปังปิ้ง “เก่งตรงไหน อาหารเช้าแบบอเมริกันทำง่ายจะตาย แค่ปิ้งขนมปัง ทอดไข่ดาว ไส้กรอก เบคอนก็เสร็จ”

“ไม่ใช่ๆ หมายถึงทั่วไปต่างหาก กับข้าวทุกมื้อตั้งแต่ต้นมาพักที่นี่ก็เห็นไผ่ทำเองตลอด”

พรพฤกษ์ยิ้มเขินๆ “ก็ตาชอบสอนให้ทำกับข้าวเองตั้งแต่เด็กเพราะมันประหยัดกว่าไปหาซื้อข้างนอก ทำไปทำมานานๆเข้ามันเลยชินไปเอง”

“อย่างนี้ใครได้ไปเป็นพ่อบ้านสบายเลย”

พรพฤกษ์หัวเราะพลางเหยาะซอสลงไข่ดาวในจานของตัวเอง  “สนใจจ้างไปทำกับข้าวที่บ้านมั้ยล่ะ แต่ค่าจ้างแพงนะ”

มือแข็งแรงของร่างสูงจิ้มเบคอนทอดใส่ปากแล้วเอ่ยตอบเรียบๆ “เอา ถ้าเป็นไผ่ แพงแค่ไหนก็จ่าย”

พรพฤกษ์อ้าปากค้างกับประโยคชวนให้คิดลึก ตระการเห็นคู่สนทนาเงียบไปเลยเงยหน้าขึ้นมอง พอเห็นใบหน้าใสๆของอีกฝ่ายที่ดูจะซับสีเลือดขึ้นมาจางๆก็เหมือนจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองพูดอะไรออกไป ชายหนุ่มรีบเปลี่ยนเรื่องตะกุกตะกัก

“เอ่อ วันนี้ต้นว่าจะยืมรถเข้าเมืองไปร้านหนังสือ ไผ่จะไปด้วยกันมั้ย จะฝากซื้ออะไรหรือเปล่า เหมือนผงซักฟอกใกล้หมดแล้วไม่ใช่เหรอ ทิชชูด้วย กาแฟด้วยใช่มั้ย”

ร่างบางกระพริบตากับประโยคคำถามรัวเร็ว แล้วก็หัวเราะพรืด “ขออยู่บ้านแล้วกัน ต้องแปลงานสิบบทแรกให้เสร็จทันวันพรุ่งนี้ เดี๋ยวจดของที่จะฝากซื้อให้”

ร่างสูงพยักหน้าแล้วช่วยเก็บจานชามล้างเหมือนทุกครั้ง แต่เมื่อใดที่มือหรือร่างกายของทั้งสองสัมผัสเฉียดกันไปเฉียดกันมาในห้องครัวเล็กๆทั้งสองจะยิ้มให้กันแบบเขินๆ

เพื่อไม่ให้บรรยากาศแปลกๆไปกว่าที่เป็นอยู่ พรพฤกษ์รีบยัดกระดาษจดรายการของที่จะฝากซื้อพร้อมกับแบ๊งค์พันสองใบและกุญแจรถใส่มือแขกที่ตอนนี้รับตำแหน่งผู้ช่วยดูแลเกสต์เฮ้าส์จำเป็นชั่วคราวก่อนจะรุนหลังไปทางโรงรถ

ตระการเรียกอีกฝ่ายไว้ก่อนจะผละไปตากผ้าที่หลังบ้าน “ไผ่อยากกินขนมอะไรมั้ย เดี๋ยวซื้อมาฝาก”

พรพฤกษ์ส่ายหน้า “ต้นอยากกินอะไรก็ซื้อมาได้เลย ฝากเติมน้ำมันกับเช็คลมยางรถให้ด้วยแล้วกัน”

“แล้วจะรีบกลับนะ”

ร่างสูงยิ้มให้ก่อนเดินออกไปที่โรงรถ พรพฤกษ์ยื่นหน้าออกไปมองตระการถอยรถ พอชายหนุ่มเห็นเขาก็โบกมือให้ก่อนหักพวงมาลัยแล้วขับออกไป ทิ้งรอยล้อรถไว้บนถนนโรยกรวดแฉะๆ

ร่างบางเดินกลับมาเอาผ้าที่ปั่นแล้วออกจากเครื่องซักใส่ตะกร้า พร้อมๆกับความรู้สึกอบอุ่นที่ซ่านขึ้นและหัวใจที่ดูจะเต้นเร็วไม่หยุดมาตั้งแต่เมื่อครู่


*************


กะมาลงตอนใหม่ตั้งแต่เมื่อคืน แต่บังเอิญไปกินเลี้ยงกับเพื่อนเลยกลับดึกไปหน่อย ว่าแต่มีใครเคยไปร้านตักสุราสาขาสี่แยกคอกวัวบ้าง บรรยากาศบ้านเก่าบนชั้นสองหลอนได้ใจมากๆ  o21นั่งดริ๊งค์กันไปผวาไปว่าจะมีแขกไม่ได้รับเชิญมาแจม เด็กเสิร์ฟก็ช่างกวนทีนดีเหลือเกิน รู้งี้เมื่อคืนลากกลับบ้านมาด้วยก็ดี กร๊ากกก (ป้าเริ่มหื่น)   :laugh3:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 4 [อัพ 28/9/08]
เริ่มหัวข้อโดย: juuuno99 ที่ 28-09-2008 13:17:48
จิ้มๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ป้า


เมื่อคืนหนีเที่ยวเหรอ ปล่อยให้เค้านั่งคอย o12


ดีแล้วแหละที่ป้าไม่ลากเด็กมันมาด้วย  สงสารเด็กมัน ปล่อยให้มันเจอสิ่งๆดีเหอะนะป้า :laugh: :laugh: :laugh:



อ๊ะ ป๋มล้อเล่น อย่าโกรธเค้านะตะเอง :m13:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 4 [อัพ 28/9/08]
เริ่มหัวข้อโดย: krappom ที่ 28-09-2008 14:15:13

เริ่มมีรู้สึกอะไรๆ แล้วใช่มั้ยสองคนนี้อ่ะ

 :m1:


เด็กเสิร์ฟก็ช่างกวนทีนดีเหลือเกิน รู้งี้เมื่อคืนลากกลับบ้านมาด้วยก็ดี กร๊ากกก (ป้าเริ่มหื่น)   :laugh3:

น่าจะเอากลับมาด้วย
ถึงป้าไม่เอาเอง
แต่เอามาฝากน้อง ฝากหลานก็ยังดี
 :oni2:

หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 4 [อัพ 28/9/08]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 28-09-2008 15:17:24

ดีแล้วแหละที่ป้าไม่ลากเด็กมันมาด้วย  สงสารเด็กมัน ปล่อยให้มันเจอสิ่งๆดีเหอะนะป้า :laugh: :laugh: :laugh:


:a14:  นี่แหละสิ่งดีที่สุดในชีวิตที่มันจะได้เจอ (กล้าเนาะคนเรา)



เริ่มมีรู้สึกอะไรๆ แล้วใช่มั้ยสองคนนี้อ่ะ

 :m1:



รอดูกันต่อปายยยย.... o3
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 4 [อัพ 28/9/08]
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 28-09-2008 22:05:50
 :m32:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 4 [อัพ 28/9/08]
เริ่มหัวข้อโดย: pickki_a ที่ 28-09-2008 22:12:46
ป้าไปเที่ยวไม่มีไรมาฝากหลานๆมั่งเหรอคับ
 o12
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 4 [อัพ 28/9/08]
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 29-09-2008 01:02:09
 :m4: :m4:อิอิอยู่ได้ไม่นานจะยกให้เค้าซะงั้น
รออ่านตอนต่อไปค้าบบบบบ
น่ารักดี
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 4 [อัพ 28/9/08]
เริ่มหัวข้อโดย: BeePed ที่ 29-09-2008 08:41:40
เพิ่งเข้ามาอ่านเรื่องใหม่ แหะ....แหะ....

ชอบการเขียนค่ะ ไม่มีคำผิดเลย ยอดเยี่ยมมาก  :oni2: :oni2:

ถ้าพูดถึงอายุสงสัยเราจะแก่สุดในกระทู้นี้ แต่เราไม่ยอมเป็นป้าหรอก หน้าเด็กซะอย่าง ไม่กลัว  :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 4 [อัพ 28/9/08]
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 29-09-2008 11:31:19
พรพฤกษ์ เป็นอะไรกับ พันธ์พฤกษ์ หว่า  :confuse:

ระวังเน้อ ขับรถไปแล้วเชิดเงินหนีด้วย 2000  :laugh:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 4 [งานยุ่งแต่อยากรีพลาย^^"]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 29-09-2008 12:13:30
ป้าไปเที่ยวไม่มีไรมาฝากหลานๆมั่งเหรอคับ
 o12

หลานบรรลุนิติภาวะยังล่ะ เอิ๊กๆๆๆ  :laugh:

เพิ่งเข้ามาอ่านเรื่องใหม่ แหะ....แหะ....

ชอบการเขียนค่ะ ไม่มีคำผิดเลย ยอดเยี่ยมมาก  :oni2: :oni2:

ถ้าพูดถึงอายุสงสัยเราจะแก่สุดในกระทู้นี้ แต่เราไม่ยอมเป็นป้าหรอก หน้าเด็กซะอย่าง ไม่กลัว  :laugh: :laugh:


ขอบคุณจ้า เราว่าคงมีคนแอบเข้ามาอ่านหลายคนแต่ไม่ลงอายุตัวเองไว้กันละ สงสัยเขิน  :t2:

พรพฤกษ์ เป็นอะไรกับ พันธ์พฤกษ์ หว่า  :confuse:

ระวังเน้อ ขับรถไปแล้วเชิดเงินหนีด้วย 2000  :laugh:

เออเนอะ สงสัยเป็นพี่น้องที่ถูกพลัดพราดจากกันเมื่อตอนเด็ก ว่าแต่ความเห็นหลังนี่น่าสน เดี๋ยวเปลี่ยนพล็อตเป็นไผ่ออกตามล่าต้นที่เชิดเงินกับรถหนีไปดีกว่า :jul3:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 4 [งานยุ่งแต่อยากรีพลาย ^^"]
เริ่มหัวข้อโดย: juuuno99 ที่ 29-09-2008 12:20:08
ป้าไม่คิดจะต่อจริงอ่ะวันนี้

ไม่ฉงฉานป๋มหน่อยเหยอ :m13:

คิดเสียว่าเห็นแก่ไอ้เอตัวน้อยๆที่แสนจะน่ารักน่าเอ็นดู คนนี้หน่อยนะคับ :impress:

เอาตอนต่อไปมาลงส่งผมหน่อยน้าๆๆๆ ป้าคนสวย สวยที่สุดในปฐพี :m1:
หัวข้อ: !Up! แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 5 [แอบนายพิมพ์นิยาย ลุ้นเจงๆ 29/9/08]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 29-09-2008 16:46:36
ป้าไม่คิดจะต่อจริงอ่ะวันนี้

ไม่ฉงฉานป๋มหน่อยเหยอ :m13:

คิดเสียว่าเห็นแก่ไอ้เอตัวน้อยๆที่แสนจะน่ารักน่าเอ็นดู คนนี้หน่อยนะคับ :impress:

เอาตอนต่อไปมาลงส่งผมหน่อยน้าๆๆๆ ป้าคนสวย สวยที่สุดในปฐพี :m1:

 พอจะอ้อนขึ้นมาล่ะเห็นป้าสวยขึ้นมาทันที   o12

ไม่รู้ได้อ่านทันก่อนไปขึ้นรถรึเปล่านะ  :a14: โชคดีบ่ายนี้นายไม่เข้าออฟฟิศเลยพอปั่นนิยายได้ แล้วก็เดี๋ยวทั้งอาทิตย์นี้ป้าโดนงานนอกรุมเร้า ทั้งแปลบทความให้นศ.ปริญญาโท ทั้งวาดภาพประกอบนิทานให้ธีสิสของญาติ บทต่อไปจะได้มาลงเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เง้อออ ~ เวลานอนของช้านนนนน    :dont2:

*************

5.

ตระการชะลอรถและแตะเบรกเมื่อเห็นสัญญานไฟบริเวณสี่แยกเริ่มเปลี่ยนสี สัญญานไฟสำหรับคนข้ามถนนสว่างวาบขึ้นพร้อมกับเสียงสัญญานเร่งให้คนเดินข้าม สามีภรรยาชาวต่างชาติคู่หนึ่งจูงเด็กชายผมสีอ่อนแก้มแดงยุ้ยน่ารักข้ามบริเวณทางม้าลายก่อนเดินหายลับไปในซอยเล็กๆ เขามองภาพครอบครัวอบอุ่นนั้นแน่วนิ่ง ทำไมกันนะ ภาพความทรงจำในวัยเด็กของเขาจึงไม่เคยมีบรรยากาศแห่งความชื่นมื่นเช่นนั้นอยู่เลย


*************


“คุณคะ ให้ต้นได้เลือกเรียนอย่างที่เค้าชอบเถอะนะคะ”

“เธอก็ดีแต่ตามใจ มันก็รู้ว่ายังไงมันก็ต้องกลับมาดูแลกิจการของกลุ่ม ทำไมฉันต้องให้มันเสียเวลาไปเรียนอะไรที่ไม่มีประโยชน์อย่างนั้นด้วย”

“คุณตฤณ ถือว่าเห็นแก่พิม อย่างน้อยตอนนี้ให้แกได้ทำสิ่งที่แกอยากทำเถอะค่ะ”



*************


ตระการสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงแตรรถคันหลังบีบไล่ นัยน์ตาคมเหลือบมองไฟสัญญานที่เปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้วจึงเหยียบคันเร่งออกตัวอย่างแรงจนยางล้อรถบดถนนเสียงดังแสบแก้วหู

ชายหนุ่มถอยรถเข้าซองในลานจอดรถหลังตลาด หลังเช็คว่าล็อคประตูเรียบร้อยก็เดินหาตู้โทรศัพท์แบบใช้บัตรที่จำได้ว่าเคยเห็นตอนเข้าเมืองมาซื้อของกับพรพฤกษ์เมื่อครั้งก่อน ร่างสูงแข็งแรงสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนสอดบัตรเข้าเครื่องแล้วกดหมายเลขเก้าหลักที่เขาจำได้ขึ้นใจ หลังฟังสัญญานเรียกครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นจากปลายสาย

“สวัสดีค่ะ ที่นี่บ้านสุวรรณฤทธิ์ค่ะ”

“ป้าแสน ผมต้นนะ พ่ออยู่ไหมครับ?”

เสียงปลายสายดังขึ้นอย่างตื่นเต้น “คุณต้น!! ตายแล้วพ่อคุณ อยู่ดีๆก็ผลุนผลันหายไปจากบ้าน คุณท่านก็อารมณ์เสียตลอดที่ติดตามคุณต้นไม่ได้เลย แล้วนี่คุณต้นอยู่ที่ไหนคะ?”

ตระการตัดบทโดยเลือกไม่ตอบคำถามของหญิงวัยกลางคนเลยสักคำถาม

“ถ้าพ่ออยู่ขอผมคุยด้วยหน่อยครับป้า”

เสียงเครียดๆเหมือนกำลังข่มอารมณ์ทำให้หญิงวัยกลางคนรีบละล่ำละลักรับคำก่อนจะไปตามคู่สนทนาให้เขา ไม่นานชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำแหบๆดังขึ้นจากปลายสาย

“แกอยู่ที่ไหน?”

คำถามสั้นห้วน น้ำเสียงนิ่งแต่ทรงพลังราวจะคุกคามเขาอยู่ในที ไม่มีแม้คำถามไถ่สารทุกข์สุขดิบตามแบบที่บิดาทั่วไปพึงถามบุตรที่จู่ๆหายตัวไปจากบ้าน ทว่าตระการก็มิได้คาดหวังอยู่แล้วว่าจะได้ยินคำพูดที่แสดงความห่วงใยจากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ให้กำเนิด ชีวิตที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนสร้างฐานะพิสูจน์ตนเองมาตลอดในวัยหนุ่มคงเผาผลาญความรู้สึกอ่อนโยนของพ่อเขาให้เหือดแห้งไปหมดแล้วกระมัง

ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆโดยระวังไม่ให้เสียงลอดเข้าหูโทรศัพท์ก่อนกรอกเสียงลงไป “ผมเขียนจดหมายทิ้งไว้ให้แล้วนี่ครับว่าไม่ต้องเป็นห่วง ส่วนเรื่องงานผมก็ฝากคุณวรชัยไว้แล้ว ตอนนี้ไม่มีเรื่องที่ต้องตัดสินใจเร่งด่วน อาวีเขาจัดการได้พ่อก็รู้”

“แต่ตอนนี้เรามีโครงการแพนดิโมเนียมที่ต้องคุยกับทางคุณลิขิตอยู่นะ”

“เราไม่ใช่รายเดียวที่ทางนั้นกำลังเจรจาอยู่นี่ครับ”

เสียงปลายสายเริ่มเข้มขึ้นด้วยความฉุนเฉียว “แกไม่ต้องมาเถียงฉัน แกคิดว่าแกมีสิทธิ์อะไรถึงจะมาทำให้กลุ่มสุวรรณฤทธิ์ที่ฉันสร้างมาต้องตกต่ำเพราะแกไม่ดิ้นรน ฉันให้อิสระที่แกต้องการมามากเกินพอแล้วต้น ตื่นจากความฝันแล้วมาเจอกับชีวิตจริงได้แล้ว!”

มาแล้ว คำพูดเดิมๆที่ทำร้ายจิตใจ บทสนทนาที่ซ้ำซากอยู่กับเรื่องเก่าๆเหมือนอัดเทปไว้ บางครั้งเขาก็รู้สึกเหมือนกับตัวเองเกิดมาผิดที่ ถ้าเขาได้อยู่ในครอบครัวชนชั้นกลางที่ไม่ใช่นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์พันล้านชีวิตเขาจะปลอดโปร่งสักแค่ไหน ยังไม่ทันจะได้อ้าปากพูดอะไรตอบ พ่อของเขาก็สำทับใส่โทรศัพท์ตามมาอีก

“แล้วก็หนูลิลลี่น่ะ เขาโทรมาหาแกหลายรอบแล้ว ยังไงฝ่ายนั้นก็เป็นผู้หญิง อย่าทำให้เขาต้องงามหน้าไปมากกว่านี้ ติดต่อไปหาเขาซะด้วย”

ตระการจับอะไรบางอย่างได้จากน้ำเสียงของบิดาจึงรีบแก้ตัว “พ่อครับ ผมกับลิลลี่ไม่ได้เป็นอะไรกันนะครับ เราเจอกันในงานเลี้ยงบ้างก็จริง แต่นักข่าวเอาไปเขียนข่าวกันเอง ผมไม่เคยนัดเจอเขาเป็นการส่วนตัวเลยสักครั้ง”

“งั้นที่เขาให้สัมภาษณ์สื่อไปปาวๆว่าพวกแกสนิทสนมกันมากนั่นจะว่ายังไง ยังไงบ้านเขาก็มีหน้ามีตา ชั้นไม่ได้ว่าอะไรถ้าแกจะดองกับเขา” น้ำเสียงลงท้ายนั้นมีประกายเหยียดหยันอยู่ในที

ตระการกำหูโทรศัพท์แน่น ที่จริงเขาควรจะชินได้แล้วที่บิดาเห็นความสัมพันธ์ของคนเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ ถ้าไม่เพียงเพราะเขาเคยประสบมาแล้วด้วยตนเองว่าอย่างน้อยผู้ให้กำเนิดก็ยังมีความรู้สึกรัก โลภ โกรธ หลงตามประสาผู้ชายทั่วไปกับผู้หญิงธรรมดาๆคนหนึ่ง เขาคงคิดว่าตฤณ สุวรรณฤทธิ์ ผู้ได้รับการจัดอันดับว่าเป็นหนึ่งในนักธุรกิจชั้นนำของประเทศนั้นมีหัวใจที่ตายด้านไปแล้วจริงๆ

“เอาเป็นว่า เดี๋ยวผมจะติดต่อคุณวีเรื่องโปรเจ็กต์ของคุณลิขิตก็แล้วกัน ส่วนเรื่องลิลลี่ อย่างน้อยผมขอตัดสินใจเองว่าจะทำยังไงต่อไป”

“แกจะทำอะไรก็รีบทำ แล้วก็รีบๆกลับมากรุงเทพฯได้แล้ว อย่าให้ฉันต้องจ้างคนไปตามแกกลับมา รู้ไว้ว่าจะตามตัวแกน่ะไม่ใช่เรื่องยากสำหรับฉัน”

ตระการนิ่งไปชั่วอึดใจ เขาตระหนักดีอยู่แล้วว่าเวลาแห่งความสุขอันหอมหวานที่ตนเองได้ลิ้มรสอยู่นั้นกำลังหดสั้นลงเพียงใด แต่อย่างน้อยเขาก็อยากจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนจะต้องกลับไปเผชิญกับชีวิตที่แตกต่างไปจากตอนนี้ราวพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ

“ผมรู้ว่าพ่อทำได้ อย่างน้อย ขอผมทำตามคำขอของแม่ให้เรียบร้อยก่อน แล้วราวสัปดาห์หน้าผมจะกลับไป”

ปลายสายวางหูไปแล้ว ตระการวางหูโทรศัพท์แต่ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ความทรงจำตลอดช่วงเวลาตั้งแต่วันแรกที่ได้ออกจากเมืองหลวงมาใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองเหนือนี้เกือบสองสัปดาห์ฉายซ้ำไปมาในหัว ความทรงจำที่มีแต่ภาพของคนอีกคนหนึ่งยิ้มและหัวเราะที่ทำให้หัวใจของเขาพองฟูด้วยความอิ่มเอมในใจ

ขอเพียงตอนนี้ แม้มันจะเป็นแค่ความฝัน ก็อย่าให้เขาต้องรีบตื่นขึ้นมาพบความจริงเลย...
หัวข้อ: Re: !Up! แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 5 [แอบนายพิมพ์นิยาย ลุ้นเจงๆ 29/9/08]
เริ่มหัวข้อโดย: juuuno99 ที่ 29-09-2008 17:41:26
ขอบคุณมากคับป้าคนสวยของไอ้เอ  :o8:

ดีที่ตัดสินใจเข้าบอร์ดก่อนจะไปเก็บของนะเนีย เลยได้อ่าน

ชอบการใช้ภาษามาคับ


ไอ้เอหวังว่าไอ้เอกลับมาคงจะได้อ่านนิยายป้าหลายตอนนะคับ :m13:
หัวข้อ: Re: !Up! แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 5 [แอบนายพิมพ์นิยาย ลุ้นเจงๆ 29/9/08]
เริ่มหัวข้อโดย: krappom ที่ 29-09-2008 18:11:03

อย่างนี้แสดงว่าพระเอกของเราใกล้ต้องกลับแล้วอ่ะดิ่

งี้ก็แสรดดดดดดดดดดดดสิ
 :serius2:

หัวข้อ: Re: !Up! แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 5 [แอบนายพิมพ์นิยาย ลุ้นเจงๆ 29/9/08]
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 29-09-2008 20:28:13
น่าสงสารจัง พ่อจายร้ายยยยย โฮๆๆๆๆ :o12:
หัวข้อ: Re: !Up! แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 5 [แอบนายพิมพ์นิยาย ลุ้นเจงๆ 29/9/08]
เริ่มหัวข้อโดย: pickki_a ที่ 29-09-2008 22:54:09
ค้างเหมือนเรื่องของผมเลยป้า :laugh:
หัวข้อ: Re: !Up! แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 5 [แอบนายพิมพ์นิยาย ลุ้นเจงๆ 29/9/08]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 30-09-2008 00:31:50
ค้างเหมือนเรื่องของผมเลยป้า :laugh:

งั้นป้ารออัพตอนใหม่หลังหนูอัพเรื่องของหนูก่อนละกันนะ  :laugh: (ไม่ได้กดดันน้า จริงจริ๊งงงงง)
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 4 [งานยุ่งแต่อยากรีพลาย^^"]
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 30-09-2008 06:35:59
พรพฤกษ์ เป็นอะไรกับ พันธ์พฤกษ์ หว่า  :confuse:

ระวังเน้อ ขับรถไปแล้วเชิดเงินหนีด้วย 2000  :laugh:

เออเนอะ สงสัยเป็นพี่น้องที่ถูกพลัดพราดจากกันเมื่อตอนเด็ก ว่าแต่ความเห็นหลังนี่น่าสน เดี๋ยวเปลี่ยนพล็อตเป็นไผ่ออกตามล่าต้นที่เชิดเงินกับรถหนีไปดีกว่า :jul3:
หง่ะ ... :o
แต่อย่าเอาชื่อพันธ์พฤกษ์ไปใช้เน้อ เดี๋ยวต้องคิดชื่อตัวละครฉานใหม่อีก  :angry2:
 :laugh: :laugh: :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: !Up! แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 5 [แอบนายพิมพ์นิยาย ลุ้นเจงๆ 29/9/08]
เริ่มหัวข้อโดย: The Living River Ping ที่ 30-09-2008 11:37:31
เจ้านายยังจับไม่ได้ใช่ไม๊จ๊ะเนี่ย อิอิ

เอ่อ คุณพ่อ ใจร้ายจังเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 5 [แวะมารีพลาย]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 30-09-2008 17:31:45
หง่ะ ... :o
แต่อย่าเอาชื่อพันธ์พฤกษ์ไปใช้เน้อ เดี๋ยวต้องคิดชื่อตัวละครฉานใหม่อีก  :angry2:
 :laugh: :laugh: :laugh: :laugh:

ตอนนี้คิดชื่อไพรพฤกษ์ได้อีกชื่อ อันนี้เข้าป่าสุดๆไปเลย มีใครสนใจเอาไปใช้มั้ย โปรโมชันนำไปใช้วันนี้ได้อ่านนิยายป้าฟรีจนจบ  :laugh: (แจกและแถมสุดฤทธิ์)

เจ้านายยังจับไม่ได้ใช่ไม๊จ๊ะเนี่ย อิอิ

เอ่อ คุณพ่อ ใจร้ายจังเลยอ่ะ

ว้าย นักเขียนขวัญใจเข้ามาเม้นท์ด้วย ขอบคุณคับ  :m13:

เจ้านายน่าจะยังจับไม่ได้นะ แต่ไมวันนี้เหล่มาทางจอเราบ่อยจังหว่า เหอๆๆ

ส่วนป๊ะป๋า ร้ายได้อีก... :oni3:
หัวข้อ: !Up! แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 6 [มาแบบยาวๆ 1/10/08]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 01-10-2008 18:18:38
อัพตอนใหม่ซะหน่อยก่อนกลับบ้าน   :m18:


6.

“ไอ้หน่อไม้ ไม่ต้องขูดแรงขนาดนั้นลูก เดี๋ยวเปลือกมันหลุดติดออกมากับเนื้อมะพร้าวกันพอดี”

เสียงชายชราทักยิ้มๆเมื่อเห็นหลานชายตัวน้อยขะมักเขม้นนั่งขูดมะพร้าวกับกระต่ายขูดงกๆจนเหงื่อซึม เด็กชายพรพฤกษ์พยักหน้าแล้วก้มขูดมะพร้าวต่อโดยระมัดระวังมากขึ้น ส่วนตาก็กำลังหั่นไก่เป็นชิ้นๆเตรียมสำหรับทำแกงเขียวหวานเป็นมื้อเย็น เด็กชายใช้หลังมือปาดเหงื่อหลังขูดมะพร้าวเสร็จแล้วร้องบอกตาด้วยเสียงดังใสแจ๋ว

“ตาจ๋า ไผ่ขูดมะพร้าวเสร็จแล้ว”

ผู้เป็นตารับอ่างใบย่อมที่มีมะพร้าวขูดฝอยสีขาวฟูกองเป็นพูนไปเติมน้ำอุ่นพอประมาณ แล้วก็ไล่หลานชายจอมซนไปล้างมือให้สะอาดเพื่อจะได้มาคั้นกะทิ เด็กชายขยำมะพร้าวขูดกับน้ำอุ่นไปปากก็ชวนตาคุย “ตาๆ วันศุกร์นี้ที่โรงเรียนไผ่มีแข่งกีฬาสีแหละ ไผ่อยู่สีฟ้านะ ไผ่จะแข่งบอลกับชักเย่อด้วย ตาต้องไปดูนะ”

“เออๆ หลานตาเก่ง เดี๋ยวตาไปดู”

เด็กชายยิ้มแป้น “ไอ้อ้นมันชอบหาว่าไผ่เป็นลูกไม่มีพ่อมีแม่ แต่เวลามีงานโรงเรียนทีไรพ่อแม่มันไม่เห็นเคยมาดู สู้ไผ่ก็ไม่ได้ ตามาดูไผ่ทุกงานเลย”

ชายชราชะงักไปเล็กน้อย “อ้นมันเรียกไผ่อย่างงั้นเหรอลูก แล้ว...มีใครเรียกไผ่แบบนั้นอีกหรือเปล่า?”

เด็กชายเอียงคอ โดยปกติตาจะไม่ค่อยเรียกชื่อเล่นจริงๆของเขายกเว้นเวลาดุหรือเวลาจะคุยเรื่องสำคัญ เด็กน้อยจึงพยายามคิดทบทวนว่าตัวเองพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า

“ไม่มีนะตา เพราะเวลาไอ้อ้นเรียกไผ่อย่างนี้ทีไรมันโดนครูนาดุทุกที ครูนาขู่ว่าถ้าได้ยินใครพูดอย่างนี้อีกจะตี เลยไม่มีใครกล้า”

“แล้วไผ่คิดมากหรือเปล่าลูก เรื่องพ่อแม่น่ะ”

เด็กชายวัยแปดขวบมองหน้าเศร้าๆของตาอย่างตื่นๆ แล้วเลยลุกขึ้นเอามือชุ่มน้ำกะทิกับเศษมะพร้าวขูดเช็ดเสื้อตัวเองก่อนเดินไปทรุดตัวกอดเอวตาอย่างประจบ “ไผ่ไม่มีพ่อแม่ก็ไม่เป็นไร ไผ่มีตาเป็นทั้งพ่อทั้งแม่อยู่แล้ว ชีวิตไผ่มีตาคนเดียวก็พอ”

ชายชรายิ้มเศร้าๆแล้วกอดหลานตัวเล็กแน่นขึ้นอย่างมันเขี้ยว “ตาก็รักไผ่ แม่เค้าก็รักไผ่ แต่เค้าอยู่กับไผ่ไม่ได้ แต่ไม่ว่ายังไงตาก็จะเลี้ยงไผ่ให้โตเป็นคนดีนะลูกเอ๊ย”




*************


พรพฤกษ์สะดุ้งลืมตาอย่างงัวเงีย หน้าจอโน้ตบุ๊คที่เขาเปิดไฟล์แปลงานเปลี่ยนเป็นภาพสกรีนเซฟเวอร์ไปแล้ว ชายหนุ่มเหลือบมองนาฬิกาแขวนผนังก็พบว่าเข็มนาฬิกาชี้เวลาเกือบห้าโมงเย็น นิ้วมือเรียวนวดคลึงขมับตนเองเบาๆแล้วก็ลุกขึ้นบิดขี้เกียจก่อนจะเดินไปล้างหน้าที่อ่างในห้องครัว พอเงยหน้าขึ้นก็ได้ยินเสียงเปาะแปะๆดังเบาๆห่างๆก่อนจะเริ่มถี่และดังขึ้นเรื่อยๆ

“เฮ้ย!! ฝนตกอีกแล้วเหรอเนี่ย”

ร่างสูงเพรียวรีบเช็ดหน้าตนเองลวกๆก่อนวิ่งผ่านประตูหลังบ้านไปเก็บผ้าที่ตากไว้ โชคดีที่เสื้อผ้าที่ซักมีน้อยชิ้นจึงเก็บได้เร็ว มีเพียงเสื้อไม่กี่ตัวที่ซึมน้ำฝนจนเห็นเป็นรอยด่างวงเล็กๆ พรพฤกษ์จึงเอาใส่ไม้แขวนเสื้อแล้วผึ่งไว้ที่เก้าอี้ในห้องนั่งเล่น ชายหนุ่มเลื่อนปิดประตูกระจกเพื่อกันฝนสาดเข้ามาในบ้าน มือข้างหนึ่งยกทาบที่ประตูก่อนจะแนบหน้าผากของตนตามลงไป สัมผัสเย็นๆจากแผ่นกระจกใสที่มีหยาดน้ำฝนอาบไล้เป็นสายอยู่ด้านนอกทำให้รู้สึกดี

“ต้นจะขับรถกลับมาอยู่หรือเปล่านะ ถนนทางขึ้นเขาตอนฝนตกมันลื่นด้วยสิ”

เจ้าของเกสต์เฮ้าส์หนุ่มพึมพำเบาๆอย่างเป็นห่วง จะว่าไป เป็นเวลานานหลายปีแล้วที่เขาไม่ได้สัมผัสบรรยากาศของการใช้ชีวิตกับใครอีกคนแบบนี้ เพราะตั้งแต่เรียนจบมัธยมก็ออกจากบ้านไปอยู่หอ จากนั้นเมื่อได้งานทำในกองบรรณาธิการนิตยสารในกรุงเทพฯก็เช่าห้องพักอยู่คนเดียว จนเมื่อตาล้มป่วยจึงตัดสินใจลาออกจากงานเพื่อมาดูแลผู้เป็นบุพการี และหลังจากชายชราที่เขาเทิดทูนดั่งพ่อและแม่จากไปก็ตัดสินใจเปลี่ยนบ้านให้เป็นเกสต์เฮ้าส์เพราะจะได้ไม่ต้องขายบ้านให้แก่คนอื่น โชคดีที่บรรณาธิการที่พรพฤกษ์เคยร่วมงานด้วยเอ็นดูเขาเหมือนลูกหลานคนหนึ่ง จึงคอยป้อนงานแปลและงานเขียนบทความเล็กๆน้อยๆให้อย่างสม่ำเสมอ พรพฤกษ์จึงมีรายได้เสริมเพียงพอที่จะอยู่ได้อย่างไม่ขัดสน

ร่างสูงเพรียวหวนนึกถึงช่วงเวลาหนึ่งในวัยเด็กที่ยังคงประทับอยู่ในความทรงจำ ชายหนุ่มไม่ได้ฝันถึงวัยเด็กที่ใช้ชีวิตอยู่กับตามานานแล้ว การที่มีตระการเข้ามาอยู่ในบ้านตลอดเวลาสองสัปดาห์ที่ผ่านมา คอยช่วยหยิบจับทำงานบ้านเล็กๆน้อยๆและให้ความสนิทสนมราวคุ้นเคยกันมานานคงสะกิดต่อมความคิดถึงบรรยากาศครอบครัวขึ้นมากระมัง

เสียงบีบแตรจากรถยนต์คุ้นตาที่เลี้ยวเข้ามาตามถนนโรยกรวดฉุดพรพฤกษ์จากภวังค์ ชายหนุ่มคว้าร่มที่เสียบอยู่ในตะกร้าข้างประตูบ้านกางออกแล้ววิ่งฝ่าไปรับตระการที่เปิดประตูรถลงมา

“โห ทำไมต้นเปียกงี้ล่ะ ฝนเพิ่งตกเมื่อกี้เองนะ”

“พอดีในเมืองฝนมันตกไปก่อนแล้ว จะรอจนฝนหยุดก็กลัวมันจะค่ำมืด ไม่อยากให้ไผ่เป็นห่วงเลยรีบฝ่าฝนขับรถกลับมา”

น้ำเสียงและหน้าตาของอีกฝ่ายแสดงให้เห็นว่ากลัวอีกฝ่ายจะเป็นห่วงจริงๆไม่ใช่แกล้งพูดเอาใจ จนคนถูกเป็นห่วงต้องยิ้มแล้วส่ายหน้า

“ขับรถขึ้นเขาฝ่าฝนแบบนี้สิจะทำให้เป็นห่วงมากกว่า มา รีบเอาของเข้าบ้านแล้วไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ เดี๋ยวเป็นหวัด”

ตระการฉวยถุงจากร้านสะดวกซื้อหลายใบที่วางอยู่บนเบาะหลังแล้วหิ้วเข้าบ้านโดยมีพรพฤกษ์กางร่มให้ตลอดทาง ร่างสูงเอาของเข้าไปวางบนโต๊ะในครัวขณะเจ้าของที่พักเดินไปหยิบผ้าขนหนูมาให้ ตระการเช็ดหน้าเช็ดผมลวกๆแล้วก็หันมาเห็นสีหน้ายิ้มๆของอีกคนจึงขมวดคิ้ว

“อะไรไผ่ ขำอะไร”

พรพฤกษ์พูดกลั้วหัวเราะ “ก็...ตอนที่ต้นมาพักที่นี่วันแรกก็เปียกฝนมาแบบนี้เหมือนกัน ยังกับโดนเจ้าที่เจ้าทางกลั่นแกล้งเลย”

นัยน์ตาคมสีน้ำตาลเข้มตวัดมองใบหน้ายามหัวเราะของคู่สนทนาแล้วก็ยิ้มตาม ได้แต่คิดในใจว่า ถ้าโดนเจ้าที่เจ้าทางแกล้งแล้วทำให้ได้อยู่ข้างๆพรพฤกษ์อย่างนี้ล่ะก็ เขายอมโดนแกล้งตลอดชีวิตก็ได้ แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา

“เดี๋ยวต้นไปอาบน้ำก่อนนะ แล้วเดี๋ยวกินข้าวเย็นกัน ซื้อขนมจีนแกงเขียวหวานมาด้วย เห็นที่ตลาดเขาว่าเจ้านี้อร่อย”

พรพฤกษ์กระพริบตาในความบังเอิญ เพราะเขาก็เพิ่งฝันว่าทำแกงเขียวหวานกับตาไปเมื่อครู่ ชายหนุ่มส่ายศีรษะไล่ความคิดประหลาดๆออกไป

“โอเค งั้นต้นขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน เดี๋ยวเราอุ่นแกงให้”


*************
หัวข้อ: Re: !UP! แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 6 [มาแบบยาวๆ 1/10/08]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 01-10-2008 18:27:42
[ตอนที่ 6 ต่ออีกหน่อย]  :m13:

หลังจากทั้งสองทานอาหารเย็นและเก็บล้างจานชามเสร็จ พรพฤกษ์ก็ขอตัวไปอาบน้ำบ้าง ตระการนั่งว่างๆอยู่ที่ห้องรับแขกคนเดียวจึงเปิดโทรทัศน์ดู ข่าวประจำวันยังคงเต็มไปด้วยการนำเสนอการโต้เถียงกันด้านนโยบายเศรษฐกิจระหว่างพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลและพรรคฝ่ายค้าน ชายหนุ่มหยิบหนังสือนิตยสารท่องเที่ยวที่วางอยู่แถวๆโต๊ะรับแขกขึ้นพลิกดูอย่างไม่ได้ใส่ใจเนื้อหาในโทรทัศน์นัก แต่แล้วหูก็ได้ยินชื่อที่คุ้นเคยจากพิธีกรสาวเสียงใสจึงเงยหน้าขึ้นดู และได้พบว่าตอนนี้ทางสถานีเปลี่ยนรายการเป็นช่วงข่าวซุบซิบเกี่ยวกับดาราและแวดวงชนชั้นสูงไปแล้ว

“และวันนี้เหยี่ยวข่าวสาวของเราจะไปเกาะติดสาวสวยที่กำลังฮอตสุดๆในขณะนี้ เพราะเธอเพิ่งถ่ายแบบลงนิตยสารชื่อดังและกำลังจะเปิดร้านเสื้อผ้าที่ออกแบบด้วยตัวเอง คุณลิลลี่ หรือลลิตา ธนประสิทธิ์ค่ะ”

ภาพตัดไปที่หญิงสาวใบหน้าสวยสะดุดตาที่เขารู้จักดี ใบหน้านั้นได้รับการแต่งแต้มอย่างพิถีพิถัน ผมยาวสลวยเป็นลอนล้อมกรอบใบหน้ารูปไข่ ชุดที่ใส่และแสงแฟลชที่เห็นวูบวาบเป็นระยะทำให้รู้ได้ว่าหญิงสาวคงกำลังอยู่ในงานสังคมที่ใดสักแห่ง

หญิงสาวหันมายังผู้สื่อข่าวของช่องที่เขากำลังดูอยู่เมื่อถูกส่งเสียงเรียก “ลิลลี่คะ แล้วข่าวลือที่ว่าตอนนี้ลิลลี่กับคุณตระการ สุวรรณฤทธิ์กำลังคบหาดูใจกันอยู่นี่จริงหรือปล่าคะ?”

ตระการแทบสำลักกาแฟเมื่อได้ยินคำถาม แล้วก็ต้องอึ้งเป็นคำรบสองเมื่อได้ยินคำตอบจากปากนางแบบสาว “อ๋อ ตอนนี้พี่ต้นงานยุ่งมากค่ะก็เลยไม่ค่อยได้นัดเจอกัน แต่เราก็โทรคุยกันตลอดนะคะ เวลาเค้าไม่สบายใจอะไรก็จะโทรมาปรึกษาลิลลี่ นี่ก็คุยกันอยู่ว่าพองานซาๆลงเมื่อไหร่จะนัดไปเที่ยวต่างประเทศกัน”

แล้วภาพในจอก็ตัดไปเป็นวิดีโอที่เป็นภาพของเขาและหญิงสาวกำลังยืนคุยกันอยู่ท่ามกลางแขกเหรื่อในงานสังคมงานหนึ่งที่เขาเคยถูกบิดาบังคับให้ไปเพราะเป็นงานเลี้ยงของหุ้นส่วนสำคัญ และมีนักข่าวเข้าไปขอถ่ายภาพ หญิงสาวจึงคล้องแขนเขาพลางหันยิ้มให้กล้องทันที ในตอนนั้นชายหนุ่มเกรงจะเสียมารยาทหากปฏิเสธจึงต้องปล่อยเลยตามเลย

ตระการบีบขมับ ไม่น่าแปลกใจหากสื่อมวลชนหรือคนทั่วไปที่รู้จักเขาเพียงผิวเผินจะเชื่อเรื่องที่ลลิตาแต่งขึ้น ในเมื่อภาพที่ได้เห็นนั้นแสดงความสนิทสนมจนยากจะคิดเป็นอื่น ทว่าความเป็นจริงก็คือเขาไม่มีแม้แต่เบอร์โทรศัพท์ของหญิงสาวและไม่เคยคิดจะขอ เพียงแค่คิดว่าเมื่อกลับไปเขาจะโดนทั้งคนรู้จักและสื่อมวลชนซักถามเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับลลิตา ชายหนุ่มก็ยิ่งไม่อยากกลับกรุงเทพฯมากขึ้นทุกที

“ดูอะไรอยู่เหรอต้น?”

ตระการสะดุ้งพลางคว้ารีโมตปิดโทรทัศน์อย่างรวดเร็วก่อนหันมายิ้ม “ข่าวซุบซิบดาราไร้สาระน่ะ เดี๋ยวต้นว่าจะอ่านหนังสือสักหน่อย ไผ่จะทำงานต่อข้างล่างนี่หรือเปล่า เดี๋ยวชงกาแฟให้นะ”

พรพฤกษ์ขยำผ้าขนหนูผืนเล็กซับผมที่เพิ่งสระให้หมาดน้ำ ใบหน้าและผิวขาวยังแดงเรื่อๆจากการอาบน้ำอุ่น

“ขอเป็นชาดีกว่า วันนี้ซัดกาแฟไปหลายแก้วแล้ว ถ้ากินอีกแก้วปวดหัวจนนอนไม่หลับแน่”

“ได้ งั้นเอาเป็นเอิร์ลเกรย์แล้วกันนะ เห็นไผ่ชอบนี่”

ใบหน้าหวานยิ้มตามหลังชายหนุ่มที่เดินหายลับเข้าไปในครัวก่อนโยนผ้าขนหนูผืนเล็กใส่ตะกร้าผ้ารอซักที่วางอยู่ข้างบันได แล้วจึงเดินไปนั่งหลังเคาน์เตอร์ที่มีโน้ตบุ๊คคู่ใจวางอยู่และเปิดหนังสือต้นฉบับไปยังหน้าที่แปลค้างไว้



*************


ตระการเหลือบตามองนาฬิกาที่แขวนบนฝาผนังก็เห็นว่าเป็นเวลาเกือบตีสามแล้ว ชายหนุ่มสังเกตว่าเสียงพิมพ์คีย์บอร์ดที่ดังเป็นระยะบริเวณเคาน์เตอร์ที่พรพฤกษ์ทำงานอยู่เงียบไปแล้วจึงลุกขึ้นไปดู แล้วก็พบว่าร่างบางฟุบหลับอยู่หน้าจอ เขาชะโงกมองข้ามไหล่ไปยังกระดาษโน้ตที่ดูเหมือนเจ้าตัวจะเขียนไว้ให้เขาโดยเฉพาะ

“ปวดตาของีบก่อน ถ้าต้นจะไปนอนช่วยปลุกด้วย”

ใบหน้าคมเข้มอมยิ้ม เขาก้มลงตั้งท่าจะปลุกพรพฤกษ์ให้ตื่นแล้วไปนอนต่อบนห้องเพราะดูท่าทางคงทำงานต่อคืนนี้ไม่ไหว แต่พอก้มลงก็ได้กลิ่นหอมของแชมพูสระผมที่เจ้าตัวใช้เมื่อหัวค่ำ ชายหนุ่มชะงัก มือหนาที่ตั้งใจจะเขย่าปลุกจึงเปลี่ยนเป็นสางเข้าไปในเรือนผมนุ่มเบาๆอย่างพยายามไม่ให้เจ้าตัวรู้สึกตัวตื่น

“ไผ่ ไผ่จะรู้ไหมว่าต้นอยากเจอไผ่มานานแค่ไหนแล้ว ต้นจะทำไงดี ต้นไม่อยากกลับเลย ถ้าต้นกลับไปกรุงเทพฯไผ่จะคิดถึงต้นหรือเปล่า”

ร่างบางส่งเสียงครางในลำคอเบาๆจนชายหนุ่มสะดุ้งเพราะนึกว่าพรพฤกษ์จะตื่นขึ้นมา แต่แล้วก็เพียงแค่ขยับหันหน้าไปอีกด้านเท่านั้นเหมือนละเมอ เมื่อรอจนแน่ใจว่าคนตรงหน้าจะยังไม่ตื่นขึ้นมาชายหนุ่มก็ค่อยๆผ่อนลมหายใจ นัยน์ตาคมทอดมองแผ่นหลังของคนตรงหน้าอย่างหลงใหล ก่อนจะก้มลงประทับริมฝีปากที่ต้นคอด้านหลังเบาๆ

พรพฤกษ์รู้สึกถึงลมหายใจอุ่นร้อนที่คลอเคลียอยู่ด้านหลัง แต่ด้วยความอ่อนเพลียและง่วงงุนจึงไม่ทันได้สนใจ ได้แต่ส่งเสียงคำรามเบาๆในคอเหมือนขัดใจที่มีคนมารบกวนการนอน ตระการหัวเราะกับอากัปกริยานั้นและตัดสินใจเขย่าปลุกร่างตรงหน้าอย่างจริงจัง

“ไผ่ ไผ่ลุกเร็ว ง่วงก็ไปนอนบนห้องเถอะ งานน่ะค่อยมาทำต่อพรุ่งนี้”

ร่างบางผงกหัวขึ้นอย่างเสียไม่ได้เมื่อโดนเร้ามากๆเข้า หน้าตาง่วงงุนเหมือนคนยังไม่ตื่นดีทำให้ตระการยิ้ม เขาอยากเก็บภาพทุกอากัปกิริยาของอีกฝ่ายไว้ ทั้งเวลาตื่นและเวลาหลับ และถ้าเป็นไปได้ เขาก็ไม่อยากให้ช่วงเวลาอันเปี่ยมไปด้วยความทรงจำอันมีค่านี้ต้องจบลงเลย


*************

ติดตามตอนต่อไปกันด้วยนะจ๊ะ  :a11:
หัวข้อ: Re: !Up! แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 6 [มาแบบยาวๆ 1/10/08]
เริ่มหัวข้อโดย: CMYK ที่ 01-10-2008 18:29:20
ความยาว ค่อนข้างสั้น นะคับ เอ๊ะยังไง 555
หัวข้อ: Re: !Up! แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 6 [มาแบบยาวๆ 1/10/08]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 01-10-2008 18:34:10
ความยาว ค่อนข้างสั้น นะคับ เอ๊ะยังไง 555

หมายถึงนิยายของป้าหรืออะไรอะ  :jul3:
หัวข้อ: Re: !Up! แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 6 [มาแบบยาวๆ 1/10/08]
เริ่มหัวข้อโดย: The Living River Ping ที่ 02-10-2008 08:01:00
อ้างจาก: bellbomeb
พรพฤกษ์รู้สึกถึงลมหายใจอุ่นร้อนที่คลอเคลียอยู่ด้านหลัง
จินตนาการเข้าไปเรา โฮะๆๆ ลมหายใจอย่างเดียวเท่านั้นหรือ โฮะๆๆๆ  :oni3:
หัวข้อ: Re: !Up! แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 6 [มาแบบยาวๆ 1/10/08]
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 02-10-2008 13:09:43
ใกล้จะถึงเวลาพรัดพรากกันแล้วใช่มั้ยคู่นี้  :m15:
หัวข้อ: Re: !Up! แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 6 [มาแบบยาวๆ 1/10/08]
เริ่มหัวข้อโดย: pickki_a ที่ 03-10-2008 22:54:48
ป้าคับ
ค้างคับป้า
 :serius2:

อ่านไปแล้วผมชอบมากเลยคับ โดยเฉพาะบทที่ต้นไม่อยากกลับอ่ะคับป้า ผมชอบจริงๆ นึกถึง location ตามที่ป้าบรรยายเลยคับ  :m23:
หัวข้อ: Re: !Up! แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 6 [มาแบบยาวๆ 1/10/08]
เริ่มหัวข้อโดย: juuuno99 ที่ 04-10-2008 00:43:06
 :m22:ชะแว้บบบบ แอบเข้ามาอ่าน  :laugh:  ลงบ่อยๆนะป้า ได้อ่านอีกทีนสงสัยคงตอนกลับบ้านแหระ


ป้าๆๆ มีแต่คนเรียกว่า ป้า ทั้งนั้นเลยนะ  :laugh:  :laugh: :laugh:


มาอ่านแล้ว สะใจแล้ว ไปละค๊าบบบบบบบบบ ชะแว้บบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ :oni1: :oni1:
หัวข้อ: >>แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 7 [อัพ 4/10/08]<<
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 04-10-2008 01:45:41
คิดถึงแฟนๆขาประจำทุกท่านเจ้าค่า~

เอ็ดเวิร์ด เฉิน ไม่แน่ใจที่ว่าสั้นนี่คือนิยายของป้าหรืออะไร แต่หลังๆนี้ก็พยายามเขียนแต่ละตอนให้ยาวขึ้นแล้วนะ กลัวคนอ่านไม่จุใจ
The Living Rive   พลังจิ้นเท่านั้นที่ครองโลกจ้า~~ โฮะๆๆๆ
ที่รักของ...  ไม่เอา ไม่สปอยล์ กิ๊วๆ
บุหรง     ช่วงนี้หายไปเลยแฮะ ปั่นนิยายตัวเองอยู่อะดิ คิดถึงนะตะเอ๊ง
pickki_a  แท็งกิ้วหลานรัก อย่าว่าแต่ป้าเลย เรื่องของตัวเองก็ค้างได้ที่พอกัน ยังไงก็ขอบคุณที่ชอบสำนวนป้านะจ๊ะ
Ju!_Ju!   ไปภูเก็ตเจแตกไปมั่งยังเนี่ย แล้วก็คิดว่าเพราะใครยะป้าถึงได้กลายเป็นป้าอย่างทุกวันนี้ โฮก! :angry2:

*************



7.


พรพฤกษ์สะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือเสียดก้องเข้ามาในโสตประสาท ชายหนุ่มหยีตาขึ้นข้างหนึ่งมองออกไปที่หน้าต่างก็เห็นว่าภายนอกสว่างสดใส แสดงให้เห็นว่าพระอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้านานพอสมควรแล้ว ร่างเพรียวหลับตาลงอย่างเก่าพลางขยับตัวและกวาดมือเปะปะไปยังโต๊ะเล็กข้างหัวเตียง พอคว้าได้โทรศัพท์มือถือก็กลั้นหาวก่อนกดปุ่มรับสายทันที

“สวัสดีครับ”

เสียงหัวเราะก๊ากดังมาจากปลายสาย “ไอ้เสียงเหมือนคนยังไม่ตื่นนั่นมันอะไรวะ คุณท่านพรพฤกษ์คร้าบ ถือว่าเป็นเจ้าของเกสต์เฮ้าส์แล้วนอนอืดกินบ้านกินเมืองอย่างงี้ได้เรอะ?”

พรพฤกษ์ขมวดคิ้วแล้วยกโทรศัพท์ขึ้นดูหน้าจอ เมื่อเห็นชื่อว่าใครเป็นคนโทรมาก็ยิ้มขำ นิ้วมือเรียวยกขึ้นขยี้ตาพลางตอบรับ

“ขออู้มั่งสิ เมื่อคืนทำงานดึก กว่าจะได้นอนก็ตีสาม แขกก็ไม่มีมาพัก”

เอ...จริงๆก็มีอยู่คนหนึ่งล่ะนะ แต่ทำไมไม่รู้สึกเหมือนเป็นแขกก็ไม่รู้เหมือนกัน พรพฤกษ์คิดช้าๆเหมือนสมองยังไม่ตื่นตัวดี

“อู๊ยยยย ชีวิตเอกเขนอกจริงโว้ย ว่าแต่ช่วงนี้เงียบหายไปนานแล้วนะ คนเค้าไม่ได้ชวนลงหุ้นทำร้านให้รอรับทรัพย์อย่างเดียวนะเว้ย ว่างๆก็ลงมาเป็นนางกวักเรียกลูกค้ามั่งซิ”

“เฮ่ย...ไม่ใช่ผู้หญิง”

พรพฤกษ์ติงอย่างไม่ใส่ใจนักพลางยันตัวขึ้นแล้ววาดขาลงข้างเตียง “แล้วส่วนที่เราลงขันไปก็ส่วนเล็กๆเอง นอมันยังบอกว่าไม่ต้องลงไปบ่อยๆก็ได้ พนักงานในร้านก็มีตั้งเยอะแยะ”

“ไอ้นี่ กวนนะ เอาเหอะ พอดีคืนนี้น้องแนนเค้าจะจัดงานวันเกิดที่ร้านแล้วบ่นคิดถึงพี่ไผ่ๆ ไอ้นอเลยฝากให้โทรมาชวน ตกลงว่างมาแจมมั้ยล่ะ”

พรพฤกษ์เหลือบดูปฏิทินแขวนข้างประตู พรุ่งนี้เป็นวันที่จะมีแขกมาเข้าพักสองห้องตามที่เคยโทรมาจองไว้กับตระการ ถ้าเขาเตรียมห้องไว้ให้เรียบร้อยก่อนตั้งแต่วันนี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

“ไปก็ได้ ไม่ได้เข้าร้านมาเป็นเดือนแล้วนี่ เอ้อ...เฮ้ยย่าม คืนนี้เราพาเพื่อนไปด้วยได้มั้ย”

“หือ ไปแอบมีเพื่อนที่ไหนแล้วไม่บอกเพื่อนฝูงด้วยเหรอวะ ก็เอาดิคนเยอะๆจะได้คึกคัก”

พรพฤกษ์ไม่ทันรู้สึกถึงน้ำเสียงกระเซ้าๆของอีกฝ่ายตอนที่พูดคำว่า “เพื่อน” จึงกลั้นหาวอีกครั้งก่อนตัดบท

“เอาเหอะ ยังไงไว้คืนนี้เจอกันที่ร้านแล้วค่อยคุยกัน”

นิ้วเรียวกดปิดโทรศัพท์มือถือก่อนลุกเข้าห้องน้ำ ห้องนอนของเขาเป็นห้องเดียวในบ้านที่มีห้องน้ำในตัวเพราะเป็นห้องนอนหลักและเพื่อความเป็นส่วนตัว พรพฤกษ์เงยหน้าขึ้นมองกระจกหลังแปรงฟันล้างหน้าเสร็จพลางเอาผ้าขนหนูซับใบหน้า จะว่าไป เมื่อคืนเขาจำได้ว่าเหนื่อยมากจนฟุบหลับไปหน้าคอมพิวเตอร์ แล้วก็รู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อตระการมาเรียก แต่กระนั้นก็จำไม่ได้ว่าตนเองเดินขึ้นมาบนห้องนอนตอนไหน ท่าทางเขาคงเพลียมากไปจนละเมอเดินตามคนปลุกขึ้นมากระมัง

เมื่อพรพฤกษ์เดินลงมาชั้นล่างก็พบว่าตระการกำลังเตรียมอาหารเช้าอยู่ พ่อครัวจำเป็นหันมาเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านหลัง

“ตื่นแล้วเหรอ หิวมั้ย? ต้นทำข้าวต้มปลาไว้ กินก่อนค่อยทำงานต่อนะ”

ร่างเพรียวเลื่อนเก้าอี้ออกนั่งแล้วรับถ้วยข้าวต้มควันกรุ่นมาไว้ตรงหน้า “เมื่อคืนแปลไปได้เยอะแล้ว วันนี้บ่ายๆก็น่าจะเสร็จแล้วล่ะ ว่าแต่คืนนี้เพื่อนโทรมาชวนให้ไปที่ร้าน ต้นอยากไปด้วยกันมั้ย”

ร่างสูงชะงักมือแข็งแรงที่กำลังตักข้าวต้มเข้าปาก นัยน์ตาคมตวัดขึ้นมองอีกฝ่ายยิ้มๆ

“ไปอยู่แล้วสิ เรื่องอะไรจะเฝ้าบ้านเหงาอยู่คนเดียวล่ะ”



*************


พรพฤกษ์จอดรถเลียบถนนในตรอกเล็กๆไม่ห่างจากร้านอาหารกึ่งผับที่ตนเป็นหุ้นส่วนกับเพื่อนก่อนจะเดินนำตระการไปที่ร้าน เนื่องจากทั้งสองเดินทางมาถึงเมื่อเวลาล่วงเลยหัวค่ำไปมากแล้วทั้งร้านจึงมีคนแน่น ตระการสังเกตเห็นว่าลูกค้าส่วนมากเป็นนักศึกษาหรือไม่ก็พนักงานบริษัทที่อายุไม่มากนัก และมีบางโต๊ะที่เป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติแบบแบ็คแพ็ค ด้วยสไตล์การแต่งร้านแนวป๊อบอาร์ตย้อนยุคและโต๊ะเก้าอี้ที่เป็นไม้ทาสีดูดิบๆบวกกับการเปิดดนตรีป๊อบสไตล์อังกฤษจึงไม่น่าแปลกใจที่ทางร้านจะมีลูกค้าประจำที่ชื่นชอบบรรยากาศแนวนี้ได้ไม่ยาก

ร่างเพรียวเดินนำคนตัวสูงกว่าเข้าไปนั่งบริเวณเคาน์เตอร์ด้านในซึ่งยังไม่มีคนจับจองแล้วก็สั่งเครื่องดื่มกับพนักงานหลังเคาน์เตอร์ทันที

“บอย ขอสิงห์ไลท์สองขวด”

“อ้าวพี่ไผ่ หูยไม่ได้มาตั้งนานแนะพี่ แป๊บนะ”

เด็กหนุ่มหน้าอ่อนผมตัดสั้นเกรียนซึ่งฟอกจนเป็นสีทองไปทั้งหัว หูข้างหนึ่งใส่ต่างหูสตั๊ดประดับเพชรเทียมเม็ดใหญ่ ท่าทางยังเป็นแค่นักศึกษายกมือไหว้พรพฤกษ์ก่อนหายเข้าไปห้องด้านหลังเคาน์เตอร์แล้วนำเครื่องดื่มที่สั่งมาให้

“พี่นอบอกผมไว้แล้วแหละว่าพี่ไผ่จะมาคืนนี้ แต่ไม่เห็นมาซักทีเลยไม่รู้เฮียเค้าหายไปไหนแล้ว เดี๋ยวผมไปตามให้นะ”

มือหนาหนักตบบ่าบางของพรพฤกษ์ที่หันไปพยักหน้าให้เด็กเสิร์ฟในร้านอย่างไม่เบามือนัก “ไงไอ้เสือภูเขา นึกว่าวันนี้จะไม่ลงมาจากเขาแล้วซะอีก”

ร่างบางหันกลับไปมองต้นเสียงแล้วก็แขวะกลับเข้าให้ยิ้มๆ

“ก็คุณไม่ใช่เหรอครับที่โทรตามผมลงมา ไอ้คุณย่าม ยังดีหน่อยนะที่คราวนี้เลื่อนขั้นให้เป็นเสือภูเขา คราวที่แล้วยังเรียกแพะภูเขาอยู่เลย”

ผู้มาใหม่หัวเราะร่วน ร่างท้วมเล็กน้อยใส่เสื้อยืดสีขาวตุ่นๆตัดกับผิวสีคล้ำและกางเกงขาสามส่วนลายพรางกับรองเท้าผ้าใบหุ้มข้อบ่งบอกความเป็นศิลปินเต็มตัว ดวงตาคมดูฉลาดทันคนบนใบหน้าที่มีหนวดเครารุงรังดูเปิดเผยและใจดี ชายหนุ่มหันมาทางตระการก่อนเอ่ยทัก

“หวัดดีครับ เพื่อนไอ้ไผ่ใช่มั้ยเนี่ย?”

ตระการนึกชอบความมีอัธยาศัยดีโดยไม่เสแสร้งของคนตรงหน้าทันที “ครับ ผมต้นครับ ตอนนี้มาอาศัยบ้านไผ่อยู่ครับ”

ชายหนุ่มพูดติดตลก อีกฝ่ายเกาคางหลังจากได้ยินคำตอบ

“เหอ แปลกดี ไม่เห็นไอ้ไผ่เคยเล่าให้ฟังว่ามีเพื่อนชื่อต้น”

พรพฤกษ์กระทุ้งศอกใส่เอวตระการที่นั่งอยู่ข้างกันเบาๆก่อนจะแก้ให้

“เป็นแขกต่างหาก แต่ท่าทางตอนนี้หาทางกลับบ้านไม่เจอเลยมานอนที่เกสต์เฮ้าส์เกือบสองอาทิตย์แล้ว ต้น นี่เพื่อนไผ่ชื่อย่าม เรียนด้วยกันมาตั้งแต่ประถมแล้ว”

ดิษยะลอบมองคนทั้งสองด้วยสายตาประเมินอย่างรวดเร็วโดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัวแล้วก็ยิ้มเผล่ แต่ไม่ทันอ้าปากพูดอะไรก็มีชายหนุ่มร่างผอม ใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นปล่อยชายและกางเกงยีนส์สีเข้มเดินตรงเข้ามาทักพรพฤกษ์เสียก่อน

“ไงเรา หาทางมาร้านเจอแล้วเหรอ ตอนไอ้ย่ามบอกว่าไผ่จะลงมาวันนี้เรายังไม่ค่อยเชื่อมันเลยนะเนี่ย”

พรพฤกษ์ยิ้มแห้งๆแล้วก็แนะนำตระการให้รู้จักกับนรพัฒน์ซึ่งเป็นเพื่อนอีกคน ทั้งสามร่วมกันลงขันเปิดร้านนี้ขึ้นเมื่อปีกลาย แต่เจ้าของหลักคือนรพัฒน์เนื่องจากใช้พื้นที่ส่วนหนึ่งของบ้านมาดัดแปลงทำเป็นร้าน และเป็นคนที่ออกเงินลงทุนเยอะที่สุด ส่วนดิษยะนั้นเป็นครูพิเศษสอนดนตรีและมีวงของตัวเอง และในสัปดาห์หนึ่งๆก็จะมาเล่นสดที่ร้านสามวัน

ทั้งสามพูดคุยกันสัพเพเหระตามประสาเพื่อนที่นานครั้งจะได้เจอกัน โดยมีดิษยะคอยเล่าวีรกรรมสมัยเด็กของพรพฤกษ์ให้ตระการฟังและมีนรพัฒน์คอยขัดจังหวะเป็นระยะ ตระการนั่งยิ้มฟังเรื่องราวที่เขาไม่เคยรับรู้มาก่อนของคนข้างตัวและคอยลอบสังเกตพฤติกรรมของร่างบางเวลาพูดคุยกับเพื่อนสนิทซึ่งแตกต่างจากเวลาอยู่กับเขาอย่างเพลิดเพลิน

“จะว่าไป รู้สึกตอนนี้ไอ้อ้นมันจะกลับมาอยู่เมืองไทยแล้วนะ”

พรพฤกษ์หันไปถามเพื่อนร่างท้วมด้วยสีหน้าแปลกใจ

“อ้น อภิสิทธิ์ที่เคยไปโรงเรียนเดียวกันกับเราตอนเด็กน่ะเหรอ”

ดิษยะหยิบถั่วลิสงทอดใส่ปาก “อ้นนั้นน่ะแหละ พอดีวันก่อนกูไปเล่นดนตรีที่ร้านอาหารริมแม่น้ำแล้วเจอมันเดินเข้ามาทัก เห็นว่าเพิ่งกลับมาจากไปช่วยญาติทำร้านอาหารที่ญี่ปุ่น เห็นว่าตอนนี้จะกลับมาอยู่ที่นี่ถาวรเพราะที่บ้านมันก็ทำร้านอาหาร มันถามถึงมึงด้วยว่ะ”

“ถามถึงทำไม ตั้งแต่เด็กก็ไม่ได้สนิทกัน ยิ่งสมัยมัธยมนี่คุยกันนับครั้งได้เลยมั้ง”

พรพฤกษ์ทำหน้าฉงน ตระการสังเกตเห็นท่าทางอมยิ้มของดิษยะแล้วก็ให้รู้สึกอคติกับคนที่อีกฝ่ายพูดถึงขึ้นมาเสียดื้อๆ

นรพัฒน์ขอยืมตัวพรพฤกษ์ไปทักทายน้องสาวของตนซึ่งกำลังนั่งฉลองวันเกิดกับเพื่อนๆอยู่ที่โต๊ะด้านนอก ตรงเคาน์เตอร์จึงเหลือเพียงดิษยะกับตระการเท่านั้น

“นี่...ต้นไม่เคยรู้จักกับไผ่มันมาก่อนจริงๆเหรอ”

ตระการเงยหน้าขึ้นมองคนถามแล้วก็ตอบกลับยิ้มๆ

“ก็เพิ่งเจอตัวตอนที่ผมไปพักที่บ้านนฤมิตรนี่แหละครับ ทำไมเหรอ?”

คนถูกถามเกาคาง ซึ่งตระการคาดว่าคงเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติของเจ้าตัวเวลาใช้ความคิด

“อืม...ก็เห็นสนิทกันขนาดนั้น ปกติไผ่มันแนะนำแขกที่เกสต์เฮ้าส์ให้มาที่ร้านก็จริง แต่มันไม่เคยพาแขกมาเองแบบนี้ซักครั้ง”

ตระการได้ยินดังนั้นก็ยิ้มเขินๆ “เพราะผมมาพักคนเดียวแบบไม่มีแผนการเที่ยวล่ะมั้งครับ แล้วก็อายุน้อยกว่าด้วย ไผ่คงสงสารเลยพาไปโน่นไปนี่”

“เห...นี่เด็กกว่าไอ้ไผ่เหรอ”

ไม่ทันที่ย่ามจะพูดอะไรต่อพรพฤกษ์กับนอก็เดินกลับมาที่เคาน์เตอร์ หลังจากทั้งหมดดื่มเบียร์หมดไปอีกขวดและเพลงในร้านเริ่มเปลี่ยนเป็นจังหวะเร็วขึ้นสำหรับลูกค้าที่อยากเต้น พรพฤกษ์กับตระการก็ขอตัวกลับก่อนเพราะยังต้องขับรถกลับบ้านอีกไกล

“วันหลังมาอีกนะ มากันวันที่พี่ร้องเพลงก็ได้ จะได้รู้ว่าป๊อบ แคลอรี่ บลาบลายังชิดซ้าย ฮ่าๆๆๆ”

หลังจากทั้งสองเดินลับตาไปแขนใหญ่ๆของดิษยะก็คว้าหมับที่แขนนรพัฒน์ก่อนเจ้าตัวจะเดินไปทางอื่นแล้วป้องปากทำเสียงกระซิบ

“เฮ้ย สงสัยไอ้อ้นแม่งอกหักตั้งแต่ยังไม่ได้จีบแน่เลยว่ะ”

คนถูกดึงตัวไว้ทำหน้างง “มึงพูดถึงใครวะ แล้วจะทำเสียงกระซิบกระซาบทำไม ดนตรียิ่งดังๆอยู่”

“มึงนี่นะ ก็เพื่อนที่ไอ้ไผ่มันพามาด้วยไง มึงไม่คิดว่ามันดูสนิทกันมากผิดปกติมั่งเหรอ”

นรพัฒน์เลิกคิ้วคิดตามแล้วก็นึกออก “อ๋อ แต่เท่าที่เห็นสองคนนั้นก็ไม่ได้เป็นแฟนกันนี่หว่า แล้วอีกฝ่ายก็แค่แขกที่มาพัก เดี๋ยวก็กลับกรุงเทพฯแล้ว”

“ก็ไม่แน่นา ไม่เห็นตาไอ้ต้นตอนมองเพื่อนมึงเหรอ หวานเยิ้มซะกูกลัวมดขึ้น”

“เหมือนตอนมึงตามจีบน้องกูน่ะเหรอ?”

นรพัฒน์พ่นหัวเราะทางจมูกจนอีกฝ่ายรีบปัดอย่างร้อนตัว “เฮ่ย! เรื่องตั้งแต่สมัยไหนวะนั่น เดี๋ยวแฟนน้องแนนมาได้ยินกูซวยพอดี แล้วตกลงมึงไม่ติดใจอะไรเรื่องไอ้ไผ่มั่งเลยเรอะ?”

ฝ่ายคนถูกถามเดินเข้าไปหลังเคาน์เตอร์แล้วหยิบสมุดบัญชีออกมาเปิดดูเพราะท่าทางเพื่อนรักคงไม่ปล่อยตัวไปง่ายๆ

“เรื่องหัวใจใครก็เรื่องของคนนั้นสิวะ แล้วอีกอย่าง ไอ้อ้นมันก็ไม่รุกเองตั้งแต่สมัยยังเรียนอยู่ด้วยกัน จะโดนคนอื่นคาบไปก็ต้องโทษตัวมันเองแหละ”

“ตกลงว่า มึงพนันข้างเด็กใหม่?”

“คิดพิเรนทร์อะไรขึ้นมาอีกล่ะ เอาเรื่องเพื่อนมาพนัน ขืนไผ่มันรู้คงได้โดนบ่นหูชา”

นรพัฒน์เหล่ยิ้มเจ้าเล่ห์ของเพื่อนอย่างระแวง ดิษยะจึงจุ๊ปากอย่างขัดใจ “เรื่องอะไรจะให้มันรู้ละ ก็พนันขำๆสิวะ กูเห็นเพื่อนจะมีคู่ทั้งทีก็เลยขอลุ้นให้ตื่นเต้นเล่นเท่านั้นแหละ”

ฝ่ายคนฟังส่ายหน้าอย่างระอาใจ ขณะที่เพื่อนอีกคนกอดอกยิ้มเจ้าเล่ห์นัยน์ตาเป็นมัน บอยเดินถือถังน้ำแข็งออกมาจากห้องหลังเคาน์เตอร์พอดี

“เอ้า พี่ๆเจ้าของร้านครับ อย่ากินแรงลูกน้องแล้วมัวแต่จีบกันอยู่สิครับ ช่วยผมทำมาหากินหน่อย”

“ไอ้บอย”

เสียงเข้มดังประสานขณะที่สายตาอาฆาตสองคู่หันขวับมาทางไอ้เด็กปากดีจนเจ้าของชื่อต้องรีบเผ่นไปนอกเคาน์เตอร์แทบไม่ทัน



*************
หัวข้อ: Re: >>แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 7 [อัพ 4/10/08]<<
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 04-10-2008 11:59:53
[ตอนที่ 7 ต่อ] ตอนโพสท์เมื่อคืนก็โอเคนะ แต่ไหงมาดูอีกทีเมื่อเช้าโดนตัดตอนไม่รู้งะ เลยต้องโพสท์ใหม่  :a11:


*************


“ไผ่ ถึงบ้านแล้ว”

“อืมม์...”

พรพฤกษ์ขยี้ตาอย่างงัวเงียเมื่อถูกมือหนาแข็งแรงเขย่าไหล่ ตระการก้าวลงจากรถแล้วยืนรออีกฝ่ายเปิดประตูรถลงมาอย่างใจเย็นก่อนจะล็อครถแล้วเดินตามหลังเจ้าของบ้าน แล้วก็ต้องกลั้นหัวเราะเมื่อเห็นท่าทางงกๆเงิ่นๆของพรพฤกษ์ที่พยายามเลือกกุญแจดอกที่ถูกออกมาไขประตู นัยน์ตาหวานที่ตอนนี้เชื่อมด้วยฤทธิ์แอลกอฮอลล์ตวัดขึ้นมองคนตัวสูงกว่าค้อนๆ

“ขำอะไรต้น”

เสียงที่อ้อแอ้นิดๆทำให้ตระการหลุดขำออกมา ก่อนจะคว้าพวงกุญแจไปจากมือเรียวที่ดูจะไขกุญแจไม่ตรงช่องเสียที

“พอเถอะไผ่ ขืนรอไผ่คืนนี้ได้นอนหน้าบ้านแน่เลย”

ไม่ทันที่อีกฝ่ายจะคัดค้านคนตัวสูงก็เลือกกุญแจดอกที่ถูกต้องแล้วไขกุญแจเข้าบ้านไปแล้ว ตระการกดสวิทช์เปิดไฟแล้วก็หัวเราะเมื่อหันกลับไปคนหน้ามุ่ยที่เดินตามหลังมา ใบหน้าขาวเนียนแดงเรื่อด้วยแอลกอฮอลล์ นัยน์ตาฉ่ำมีประกายไม่พอใจกลับยิ่งขับดวงตาหวานคู่นั้นให้โดดเด่นขึ้นไปอีก ริมฝีปากที่ยื่นเล็กน้อยดูยั่วยวนจนร่างสูงอยากดึงเข้ามาหอมแก้มอย่างมันเขี้ยว

“ไผ่ไปล้างหน้าก่อนนะ เดี๋ยวต้นชงชาให้ จะได้สร่าง”

ร่างเพรียวอยากจะค้านว่าตนไม่ได้ดื่มมากขนาดนั้น แต่ก็โดนอีกฝ่ายจูงไปหน้าห้องน้ำแล้วจึงจำใจเข้าไปล้างหน้าอย่างไม่มีทางเลือก ทำไมทั้งที่เขาอายุมากกว่าแท้ๆแต่กลับมาโดนคนที่อายุน้อยกว่าคอยดูแลเจ้ากี้เจ้าการเหมือนเป็นเด็กอย่างนี้ด้วยนะ

“ไผ่ จะเอาลิปตันหรือชาสมุนไพรดี”

“เอาลิปตันก็ได้...โอ๊ย!”

ด้วยความที่ในหัวยังมึนๆอยู่ทำให้พรพฤกษ์ไม่ทันสังเกตตอนเดินออกจากห้องน้ำว่ามีด้ามไม้กวาดล้มขวางอยู่บนพื้นจึงสะดุดล้ม ตระการรีบออกจากครัวมาดูเมื่อได้ยินเสียงอีกฝ่ายร้อง

“ไผ่! เป็นอะไร?”

“สงสัยข้อเท้าแพลง โอ๊ยต้น เบาๆหน่อย” พรพฤกษ์หน้านิ่วเมื่อโดนมือหนาจับข้อเท้าข้างที่เจ็บอย่างไม่เบามือนัก

ตระการพยุงอีกฝ่ายขึ้น  แต่ก้าวเดินได้แค่ก้าวเดียวร่างบางก็รู้สึกปวดแปลบทันทีจนต้องยื้อแขนอีกฝ่ายไว้  “เดี๋ยวต้นขึ้นไปเอากระเป๋ายาบนห้องมาให้หน่อยได้มั้ย ถ้าเอาน้ำมันนวดกับเอาผ้าอิลาสติกพันไว้ก็น่าจะโอเค…เฮ้ยต้น ทำอะไร!”

ท้ายประโยคเสียงพรพฤกษ์แหลมขึ้นอย่างไม่ตั้งใจเมื่อร่างตัวเองถูกยกอุ้มจนตัวลอย ตระการมองคนในอ้อมแขนแล้วก็ส่ายหน้า

“เสียเวลา อุ้มขึ้นไปแล้วไปนวดบนห้องเลยแล้วกัน ไผ่จะได้อาบน้ำนอนไปเลย”

“เฮ้ยไม่เอา เราหนักต้นอุ้มไม่ไหวหรอก เดี๋ยวค่อยๆเดินขึ้นไปก็ได้”

“หนักตรงไหน เมื่อคืนก็อุ้มไปนอนทีนึงแล้ว เบาจนจะโยนเล่นได้แล้วเนี่ย”

ไม่พูดเปล่า คนอุ้มทำท่าเหวี่ยงเหมือนจะโยนจริงๆจนคนที่โดนอุ้มต้องรีบกระหวัดแขนรอบคอคนอุ้มแน่น

“เฮ้ย อย่าเล่นนะต้น หล่นไปมีเคืองจริงๆด้วย”

“งั้นก็ว่าง่ายๆ ไปขึ้นห้องกัน”

แทนที่จะทำท่ากลัว คนถูกขู่กลับยิ้มจนนัยน์ตาเป็นประกายระยับ พรพฤกษ์รู้สึกบรรยากาศชักแปลกๆจึงพยายามจะยื้อ “เดี๋ยวนอนที่โซฟาข้างล่างก็ได้ ไม่งั้นตอนเช้าก็เดินลงมาลำบากอีก พรุ่งนี้มีแขกมาเช็คอินไม่ใช่เหรอต้น”

“เดี๋ยวต้นอุ้มก็อุ้มลงมาไง ไปนอนที่ห้องแหละดีแล้ว ไผ่จะไม่อาบน้ำเหรอ กลิ่นเหล้ากลิ่นบุหรี่ติดตัวติดผมไปหมดแล้ว”

ชายหนุ่มว่าแล้วก็ทำท่าก้มมาดมผมของคนในอ้อมแขนจนพรพฤกษ์หน้าย้อมไปด้วยสีเลือด ร่างบางจนด้วยคำพูดโต้เถียงเพราะดูท่ายังไงๆคนอุ้มคงไม่ยอมปล่อยเขาง่ายๆแน่ แล้วเมื่อคืนอุ้มเขาขึ้นไปอีท่าไหนกันเขาถึงไม่รู้ตัวเลยสักนิด คนถูกอุ้มถอนหายใจ

เอ้า อยากทำอะไรก็ให้ทำไปแล้วกัน...



*************

หัวข้อ: Re: >>แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 7 [อัพ 4/10/08]<<
เริ่มหัวข้อโดย: kampanat02 ที่ 04-10-2008 12:12:52
โห ป้า

อัพบ่อยจังเลย

ผมนี่ขี้เีกียจๆๆ  เหอะๆๆ

ชอบๆๆป้าแต่งเก่งมั่ก

หัวข้อ: Re: >>แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 7 [อัพ 4/10/08]<<
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 04-10-2008 12:33:03
นู๋ kampanat02  เปลี่ยนจากเจ้เป็นป้าไปอีกคนแล้วสินะ  :freeze:

เหมือนตอนนี้เรื่องกำลังไหล เลยต้องรีบปั่นระหว่างที่ยังมีเวลาอะ เดี๋ยวยุ่งขึ้นมาเมื่อไหร่จะเงียบหายนานเกิน
หัวข้อ: Re: >>แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 7 [อัพ 4/10/08]<<
เริ่มหัวข้อโดย: juuuno99 ที่ 04-10-2008 13:44:10
นู๋ kampanat02  เปลี่ยนจากเจ้เป็นป้าไปอีกคนแล้วสินะ  :freeze:


เข้ามา :laugh: :laugh: :laugh: :laugh: :laugh: :jul3: :jul3: :jul3: :jul3:

แล้วก็  :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1:
หัวข้อ: Re: >>แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 7 [อัพ 4/10/08]<<
เริ่มหัวข้อโดย: pickki_a ที่ 04-10-2008 23:33:28
ป้าครับ
ยาวได้โล่เลยป้า  o13

ผมว่าเดี๋ยวต้นกับไผ่จะต้องรักกัน  :laugh:
หัวข้อ: [อัพรับวันเลือกตั้ง] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 8 [5/10/08]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 05-10-2008 00:39:28
:a2: อัพถี่ๆ อัพถี่ๆ (งานได้เงินไม่ยักขยันอย่างนี้แฮะ  :m29:)


*************


8.


เสียงรถโดยสารที่ขับเข้ามาตามถนนโรยกรวดหน้าบ้านแจ้งให้รู้ว่าแขกผู้มาเยือนเดินทางมาถึงแล้ว พรพฤกษ์ทำท่าจะลุกจากเก้าอี้หลังเคาน์เตอร์แต่โดนมือใหญ่รั้งไหล่ไว้

“คนขาเจ็บนั่งอยู่นี่แหละ เดี๋ยวต้นไปรับแขกเอง”

“แค่ข้อเท้าแพลงเองนะ ทำยังกับไผ่ขยับตัวนิดหน่อยขาจะหักงั้นแหละ”

ร่างบางบ่นแล้วก็ทำหน้างอจนอีกฝ่ายหัวเราะ “ก็ยิ่งไม่ใช้งานมันมากเท่าไหร่ก็ยิ่งหายเร็วไง”

ร่างสูงว่าแล้วก็เดินไปเปิดประตูรับแขกทั้งสี่ซึ่งกำลังนำกระเป๋าลงจากรถรับจ้างพลางจ่ายเงินค่ารถอยู่

“สวัสดีครับ คณะของคุณปาริดาใช่มั้ยครับ?”

หญิงสาวผมตรงเคลียไหล่ สวมแว่นกรอบกลมดูท่าทางยังเป็นนักศึกษาหันมาทางเขาแล้วยิ้มรับ “ใช่ค่ะ ที่จองไว้สองห้องน่ะค่ะ”

“เชิญด้านในเลยครับ”

ชายหนุ่มสังเกตเห็นแล้วว่าทั้งสี่ต่างพกกระเป๋าประจำตัวมาเพียงใบย่อมๆและไม่มีสัมภาระใดต้องช่วยถือจึงเดินนำเข้าในตัวบ้าน พรพฤกษ์เดินกระเผลกๆพร้อมถาดและถ้วยชาสมุนไพรใส่น้ำแข็งสี่ใบออกมาจากในครัว พอตระการเห็นก็รีบเดินเข้าไปคว้าถาดจากมือทันที

“ลุกมาทำไมเนี่ย ต้นบอกแล้วว่าให้นั่งเฉยๆไง”

“เอ้า ก็คนมันชินนี่นา เป็นเจ้าของบ้านพักไม่ต้อนรับแขกได้ที่ไหน”

ทั้งสองเถียงกันจนลืมแขกทั้งสี่ที่ยืนหน้าตื่นๆอยู่กลางห้องรับแขก จนกระทั่งเสียงหนึ่งกระแอมขึ้นเบาๆ ทั้งสองจึงหันมามอง

“เอ้อ ขอโทษ แต่พอดีอยากเอาของขึ้นไปเก็บแล้ว ขอกุญแจห้องได้ไหม?”

“เจ้ปาล์ม! อย่าเสียมารยาทสิ ขอโทษนะคะ เจ้แกคงหงุดหงิดที่ต้องมาเป็นพี่เลี้ยงดูแลเด็กน่ะค่ะ”

ปาริดาหันไปตบแขนผู้เป็นพี่สาวเบาๆก่อนหันมายิ้มแหยๆให้ชายหนุ่มทั้งสอง เมื่อตระการหันไปมองต้นเสียงเมื่อครู่ก็พบว่าเป็นหญิงสาวผมซอยสั้นใบหน้าเกลี้ยงเกลา รูปร่างสูงระหงดูท่าทางทะมัดทะแมง ใส่เสื้อยืดโปโลทับเสื้อคอกลมด้านในกับกางเกงทรงหลวม ดูเผินๆคงจะเป็น “สาวหล่อ” ที่คนบางกลุ่มนิยมกัน

“ขอโทษครับ เดี๋ยวยังไงดื่มชาเย็นแล้วก็เซ็นชื่อลงทะเบียนก่อนนะครับ เดี๋ยวผมพาขึ้นไปดูห้อง”

หลังเสิร์ฟชาให้หญิงสาวทั้งสี่แล้วตระการก็กึ่งอุ้มกึ่งลากพรพฤกษ์กลับไปนั่งที่เก้าอี้หลังเคาน์เตอร์เหมือนเดิม หน้าหวานแดงก่ำเมื่อเห็นสายตาสี่คู่มองตามอากัปกิริยาของพวกเขาทั้งสองด้วยหน้าตาเหรอหราปนสนใจ ชายหนุ่มแอบหยิกแขนคนตัวโตกว่าจนอีกฝ่ายสูดปากแต่นัยน์ตากลับยิ้มพราว

“ผมพรพฤกษ์นะครับ เรียกไผ่ก็ได้ เป็นเจ้าของบ้านนฤมิตรนี่ ส่วนคนนี้ชื่อต้น เป็น....ผู้ช่วยดูแลเกสต์เฮ้าส์”

ท้ายประโยคพรพฤกษ์ไม่รู้จะแนะนำตระการว่าอะไรดีจึงโมเมให้เป็นผู้ช่วยเขาเสียเลย พอชำเลืองมองก็เห็นคนที่เพิ่งถูกแต่งตั้งจะชอบตำแหน่งที่ได้รับเสียด้วย

หลังตระการพาแขกทั้งสี่ขึ้นไปบนห้องพักที่ชั้นสามแล้วพรพฤกษ์ก็นั่งเท้าคางพลางเปิดอีเมล์โหลดงานแปลที่อดีตบก.ส่งมาให้ตรวจทานเพิ่มเติม แล้วพลันก็หวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนก่อน หลังตระการส่งเขาเข้าห้องและกำชับว่าอาบน้ำเสร็จแล้วอย่าเดินมาก ชายหนุ่มก็กลับขึ้นห้องไปขนกระเป๋าของตัวเองลงมาแล้วก็ถือวิสาสะมานอนเฝ้าเขาที่ห้อง ไม่วายที่พรพฤกษ์จะแย้งว่าเขาไม่ได้เจ็บไข้รุนแรงจนต้องมีคนเฝ้า แต่คนตัวสูงก็เฉไฉหน้าตายว่าหากอีกฝ่ายต้องการอะไรขึ้นมาจะได้เป็นธุระจัดการให้ คนข้อเท้าแพลงจะได้นอนพักเฉยๆ พอถึงเวลานอนก็มายึดพื้นที่ครึ่งหนึ่งของเตียงไปเสียอีก แม้เจ้าของห้องจะพยายามไม่คิดอะไรมาก แต่พอตื่นเช้ามาก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าร่างสูงหนานั้นคว้าเขาเข้าไปกอดแทนหมอนข้างใต้ผ้านวมผืนใหญ่ที่ใช้ร่วมกันเสียแล้ว แถมยังซุกไซ้เหมือนละเมอจนพรพฤกษ์ต้องดิ้นและโวยวายเสียงดังอีกฝ่ายจึงยอมปล่อยเขาด้วยนัยน์ตาละห้อย

พรพฤกษ์คิดมาถึงตรงนี้ก็หน้าร้อนวูบขึ้นมา สิ่งต่างๆที่อีกฝ่ายทำให้และสารพันข้ออ้างที่ฝ่ายนั้นพยายามขุดมาหว่านล้อมเขา จะคิดเข้าข้างตัวเองได้ไหมนะว่าอีกฝ่ายคิดอะไรกับเขาอยู่ แต่เขาเป็นผู้ชาย ตระการก็เป็นผู้ชาย แล้วเขาเองก็ไม่เคยโดนใครเข้าหาแบบนี้มาก่อน แต่ทำไมถึงได้ไม่รู้สึกรังเกียจสิ่งต่างๆที่อีกฝ่ายพยายามทำให้กัน ยิ่งคิดชายหนุ่มก็ยิ่งเขินจนต้องฟุบหน้าลงกับหลังมือตัวเองหน้าจอคอมพิวเตอร์

“ไผ่เป็นอะไร ทำไมหน้าแดง มีไข้เหรอ”

พรพฤกษ์สะดุ้งเงยหน้าขึ้นมาจากเคาน์เตอร์เมื่อได้ยินเสียงที่จู่ๆก็ดังขึ้นข้างตัว ฝ่ามือหนาวางแนบลงกับหน้าผากเขาแล้วก็พึมพำ

“ตัวอุ่นๆนะ ปวดหัวหรือเปล่า?”

พรพฤกษ์สะบัดหน้าพรืด จะให้บอกความจริงได้อย่างไรว่าเพราะเขากำลังคิดถึงเรื่องของอีกฝ่ายอยู่เลยมีอาการแบบนี้ ชายหนุ่มรีบเสถามถึงแขกที่อีกฝ่ายเพิ่งส่งขึ้นห้องไปแทน

“เห็นว่าสามในสี่คนเป็นนักศึกษาอยู่ในช่วงปิดเทอม แล้วก็เคยอ่านเกี่ยวกับที่นี่จากบลอกของใครซักคนเลยอยากมาพักน่ะ แล้วก็เค้าจะขอเหลือพักแค่คืนเดียวเพราะเปลี่ยนแผนจะไปค้างบ้านเพื่อนในเมืองคืนพรุ่งนี้ เดี๋ยวเที่ยงๆจะมีรถตู้ที่นัดไว้มารับไปเที่ยว”

พรพฤกษ์พยักหน้ารับแล้วก็หันไปทำงานต่อ ตระการจึงนั่งลงอ่านหนังสือที่โซฟา สักพักก็ได้ยินเสียงแตรรถตู้ที่ขับมาจอดที่หน้าบ้านและเสียงฝีเท้าของหญิงสาวทั้งสี่ที่เก็บของเรียบร้อยแล้วเดินลงมา

“ที่นี่มีกฎเรื่องห้ามกลับดึกเกินกี่โมงหรือเปล่าคะ?”

ปาริดาหันมาถามตระการก่อนจะออกจากบ้าน ชายหนุ่มไม่ทราบจึงหันหาพรพฤกษ์เหมือนขอคำตอบ

“ปกติก็ไม่กำหนดนะครับเพราะผมนอนดึกอยู่แล้ว แต่ถ้าเลยเที่ยงคืนไปก็จะขอให้แจ้งล่วงหน้าเพราะผมจะได้อยู่รอ”

เด็กสาวยิ้มรับ “งั้นคงไม่ดึกหรอกค่ะ คืนนี้ว่าจะไปกินขันโตกกัน ไม่เกินสามสี่ทุ่มก็น่าจะกลับมาแล้ว”

“พี่เจ้าของบ้านอย่าลุกเดินบ่อยๆอีกนะคะ เดี๋ยวคุณผู้ช่วยเขาจะเป็นห่วง”

เสียงเด็กสาวอีกคนที่มีรูปร่างค่อนข้างท้วมเอ่ยกระเซ้าขึ้นอย่างร่าเริง ทำเอาชายหนุ่มทั้งสองสบตากันเขินๆ

คล้อยหลังเด็กสาวทั้งสาม หญิงสาวที่ท่าทางจะเป็นพี่สาวของปาริดาก็หันมาหาตระการ พอสังเกตใกล้ๆชายหนุ่มจึงพบว่าหล่อนเป็นผู้หญิงที่ตัวค่อนข้างสูงทีเดียว บางทีอาจไล่เลี่ยกับพรพฤกษ์เลยก็ได้

“นายชื่อจริงชื่ออะไร?”

ร่างสูงเลิกคิ้วกับคำถาม แต่ก็ตอบโดยดี “ตระการครับ ตระการ รัตนวงศ์”

“ตระการ รัตนวงศ์งั้นเหรอ...งั้นเราคงจำผิดคน ขอโทษที”

เสียงที่ห้าวกว่าหญิงสาวทั่วไปเอ่ยกับเขาก่อนจะก้าวตามพวกน้องสาวออกไป พรพฤกษ์หันมาเอ่ยกับตระการที่ชงชามาให้ตนที่เคาน์เตอร์หลังรถตู้ลับสายตาไปแล้ว

“ผู้หญิงคนนั้นเค้ามองต้นแปลกๆตั้งแต่เข้ามาแล้วนะ”

“ต้นคงหน้าคล้ายคนรู้จักเค้ามั้ง เมื่อกี้เค้าก็บอกนี่ว่าคงจำคนผิด”

ชายหนุ่มรีบเสตัดบท ความจริงแล้วเขาก็รู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องมาทางตนตั้งแต่หล่อนเดินเข้ามาในบ้านเช่นกัน  ตระการได้แต่หวังว่าหญิงสาวจะไม่ทันรู้ตัวจริงของเขา เพราะตั้งแต่กลับมาจากต่างประเทศตนก็ออกงานสังคมแทบนับครั้งได้จึงไม่น่าจะมีรูปลงตามสื่อมากนัก

ตระการเหลือบมองร่างบางที่นั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ พรพฤกษ์คนเดียวเท่านั้นที่เขาอยากเก็บความลับเกี่ยวกับตัวจริงของตนไว้ให้นานที่สุด นานจนแอบหวังในใจว่า หากไม่ต้องเปิดเผยความจริงนี้ตลอดไปเพื่อยืดช่วงเวลาแห่งความสุขที่มีร่วมกันให้ยาวนานขึ้นแม้เพียงน้อยนิดได้ก็คงจะดี


*************


พอรถตู้ออกตัวพ้นบ้านนฤมิตรมาได้ไม่นานนัก เด็กสาวทั้งสามคนก็หันมาถกกันเรื่องชายหนุ่มผู้ดูแลเกสต์เฮ้าส์ทั้งสองทันทีเหมือนเก็บกดความสงสัยไว้มานาน

“นี่ๆ คิดว่าใช่ปะ สองคนนั้นอะ เป็นอย่างว่ากันใช่มะ”

เด็กสาวร่างท้วม หรือโบเริ่มเปิดประเด็นเป็นคนแรกอย่างตื่นเต้น

“เออๆเราก็ว่าแหงๆเลยอะ มีงอนมีค้อนกันด้วย”

ส้ม หญิงสาวตัวเล็ก ผิวคล้ำกว่าเพื่อนออกปากผสมโรง ปาริดาจึงเอ่ยความเห็นของตนบ้าง

“แต่เราว่าน่ารักดีนะ ดูเค้าแสดงความเป็นห่วงเป็นใยกันแบบเปิดเผยดีอะ ท่าทางพี่ต้นเค้าจะเป็นห่วงพี่ไผ่น่าดูเลย”

“ถ้างั้นหมอนั่นก็ตกที่นั่งลำบากแล้วล่ะ”

ทั้งสามหันขวับมาทางต้นเสียงผู้นั่งอยู่เพียงลำพังที่ท้ายรถทันที

“ทำไมเจ้คิดงั้นอะ แล้วเมื่อกี้ก่อนออกจากบ้านมาเจ้ถามอะไรพี่ต้นเขาเหรอ?”

หญิงสาวที่อาวุโสที่สุดในกลุ่มยักไหล่ “ก็แค่เช็คอะไรนิดหน่อย แต่ท่าทางเจ้าตัวจะไม่รู้ตัว แต่ก็ช่างมันเหอะ พวกแกก็เลิกเม้าท์เรื่องคนอื่นเค้าได้แล้ว ชั้นหนวกหู”

ผู้เป็นน้องสาวทำปากยื่นอย่างขัดใจ แต่แล้วสามสาวก็เปลี่ยนประเด็นไปคุยกันเกี่ยวกับเรื่องแผนการเที่ยวของวันนั้นแทน ปฏิมาส่ายหน้ากับสามสาวที่ไม่ว่าอย่างไรก็คงคุยกันเสียงเบาๆไม่ได้ จึงเอาไอพอดที่พกไปด้วยอุดหูฟังเพลงแล้วก็เท้าศอกกับขอบหน้าต่างรถก่อนจะหลับตาลง

ใช่แล้ว ถ้าตระการคือคนคนเดียวกับที่หล่อนกำลังสงสัยอยู่ล่ะก็ หมอนั่นตกที่นั่งลำบากแน่ๆ...


*************
หัวข้อ: Re: [อัพรับวันเลือกตั้ง] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 8 [5/10/08]
เริ่มหัวข้อโดย: krappom ที่ 05-10-2008 01:30:44

 :o

ตกที่นั่งลำบากเรื่องอะไรอ่ะ

บอกมาๆ

เร็วๆ

หัวข้อ: Re: [อัพรับวันเลือกตั้ง] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 8 [5/10/08]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 05-10-2008 12:05:33
ให้คนอ่านสงสัยไปก่อน ขอไปใช้สิทธิ์ออกเสียงก่อนนะ

 o3
หัวข้อ: Re: [อัพรับวันเลือกตั้ง] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 8 [5/10/08]
เริ่มหัวข้อโดย: pickki_a ที่ 05-10-2008 15:26:44
เจ๊คนนั้นเขาคิดไรอยู่อ่ะป้า
มาต่อด้วยนะคับคืนนี้
 :a1:
หัวข้อ: Re: [อัพรับวันเลือกตั้ง] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 8 [5/10/08]
เริ่มหัวข้อโดย: sirasyung ที่ 05-10-2008 18:25:22
อ่านรวดเดียวจบเลย

+ 1 เป็นกำลังใจให้จ้ะ

รออ่านตอนต่อไปอ่ะ :oni2:
หัวข้อ: !UP! แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 9 [6/10/08]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 06-10-2008 10:01:26
มาต่อแล้วจ้า :m32:


9.


อาการแสบระคายคอทำให้เด็กชายตัวน้อยส่งเสียงไอจนตัวโยนก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนเตียงใหญ่  ร่างกายเล็กๆปวดเมื่อยไร้เรี่ยวแรง นอกหน้าต่างที่มืดครึ้มมีพระจันทร์ดวงโตลอยเด่น  ขอบตาทั้งสองของร่างเล็กร้อนผ่าวเมื่อคิดได้ว่าตนเองอยู่ในบ้านหลังใหญ่เพียงลำพังเพราะบิดาและมารดาต้องออกไปร่วมงานเลี้ยง ส่วนแม่บ้านก็ลางานกลับไปต่างจังหวัดตั้งแต่สัปดาห์ก่อน ความเหงาและความกังวลไหลเข้ามาเกาะกุมจิตใจจนเด็กน้อยหลุดเสียงสะอื้นออกมา

เสียงเปิดประตูและแสงไฟที่ลอดเข้ามาภายในห้องทำให้มือเล็กยกขึ้นบังแสงจ้านั้น

“แม่?”

“น้องต้น  ยังไม่หลับเหรอลูก หนูยังปวดหัวมากมั้ย?”

ร่างเล็กๆผวาเข้ากอดเอวหญิงสาวที่เดินเข้ามาทรุดตัวนั่งบนขอบเตียงแล้วก็ซุกหน้าลงกับอกอุ่นแน่นเพื่อกลั้นสะอื้น วงแขนเรียวยกขึ้นกอดตอบแล้วก็โยกตัวเด็กชายตัวน้อยอย่างปลอบโยน

“ไม่เป็นไรนะลูก หนูไม่ได้อยู่คนเดียวแล้ว แม่จะอยู่ข้างๆต้นเองนะ”

เด็กชายเงยหน้าขึ้นทั้งน้ำตา “แล้วพ่อล่ะฮะ แม่ต้องไปออกงานกับพ่อไม่ใช่เหรอ?”

ใบหน้าสะสวยส่ายหน้าแล้วก็กดศีรษะเด็กชายให้ซบลงกับอกตนอย่างเก่า “ก็ลูกแม่ป่วยอยู่อย่างนี้แม่จะใจร้ายทิ้งไปได้ยังไงล่ะจ๊ะ ให้พ่อเค้าไปคนเดียวเถอะ ว่าแต่ต้นหิวอะไรไหมลูก ให้แม่ทำข้าวต้มให้มั้ย”

“ต้นอยากให้แม่เล่านิทานให้ฟังมากกว่า ข้าวต้มค่อยกินพรุ่งนี้เช้าก็ได้ แล้วแม่ต้องป้อนข้าวต้มให้ต้นด้วยนะครับ”

ศีรษะเล็กๆส่ายไปมาแล้วก็แหงนขึ้นยิ้มพลางยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา นัยน์ตาหวานซึ้งก้มลงยิ้มให้เด็กน้อยในอ้อมแขน ก่อนจะก้มลงจูบศีรษะเบาๆ

“ได้สิจ๊ะ คืนนี้กับพรุ่งนี้แม่จะอยู่กับต้นทั้งวันเลย งั้นเดี๋ยวต้นกินยาก่อนนะ แล้วแม่จะเล่านิทานให้ฟัง”




*************


“เอ้า ไผ่ อ้ำ อ้าปากสิ เร็ว”

พรพฤกษ์ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะรู้สึกประดักประเดิดกว่าที่เป็นอยู่ได้อีกหรือเปล่า เมื่อถึงเวลาอาหารกลางวัน ตระการขับรถออกไปซื้อข้าวผัดจากร้านอาหารตามสั่งในตลาดเล็กๆตรงตีนเขา พอกลับมาถึงและจัดอาหารใส่จานเสร็จก็มาอุ้มเขาเข้าไปนั่งในห้องครัวโดยไม่นำพาว่าคนถูกอุ้มจะทั้งดิ้นทั้งขัดขืนแค่ไหน แถมพอนั่งลงที่เก้าอี้แล้วชายหนุ่มยังคว้าจานส่วนของเขาไปแล้วตักข้าวทำท่าจะป้อนให้เสียอีก พรพฤกษ์ชักสงสัยแล้วว่าที่อีกฝ่ายดูแลเขาดีขนาดนี้เพราะกำลังแหย่เขาเล่นอยู่หรือเปล่า

“ต้น ที่ไผ่เจ็บน่ะข้อเท้านะ มือไม่ได้เป็นอะไร กินข้าวเองได้”

“ก็ต้นอยากป้อนนี่ ไม่ดีเหรอไผ่ได้นั่งกินข้าวสบายๆ หาคนเซอร์วิสให้ขนาดนี้ไม่ได้ง่ายๆนะ”

พรพฤกษ์บุ้ยคางไปทางจานข้าวอีกจาน “ต้นก็กินข้าวส่วนของต้นไปสิ เดี๋ยวข้าวก็เย็นหมดหรอก”

“เย็นก็ไปอุ่นใหม่ได้ เร็วกินข้าวแล้วจะได้กินยาแก้อักเสบ อ้าปากเร็ว...นะครับ”

พอได้ยินคำลงท้ายคนถูกคะยั้นคะยอก็ใจอ่อนยวบ เอ้า...เล่นกับเด็กไม่ยอมโตเขาเสียหน่อย ริมฝีปากได้รูปอ้าปากรับข้าวที่อีกฝ่ายตักใส่ช้อนป้อนให้แล้วก็ก้มเคี้ยวหน้างุด

“อร่อยมั้ยไผ่ แล้วก้มหน้าอย่างงั้นมันจะเคี้ยวถนัดได้ไง”

พรพฤกษ์นึกคันมืออยากทุบอีกฝ่ายขึ้นมา แต่ใบหน้าที่ยิ้มให้เขาอย่างอบอุ่นก็ทำให้ต้องจำใจเปิดปากรับข้าวคำต่อไปที่คนป้อนให้ดูจะมีความสุขเสียเหลือเกิน

“ครั้งสุดท้ายที่โดนป้อนข้าวนี่ตั้งแต่สมัยประถมแล้วนะเนี่ย”

คนโดนป้อนรำพึงขึ้นมา ตระการชะงักมือที่กำลังตักข้าวคำต่อไปแล้วก็เอ่ยถาม “ตอนที่ไผ่อยู่กับตาสองคนน่ะเหรอ?”

มือเรียวยกแก้วน้ำขึ้นดื่มแล้วก็พยักหน้า “ปกติตอนเด็กๆไม่ค่อยป่วย แต่ถ้าเป็นทีก็หนักเลยแหละ เวลาป่วยขึ้นมาตาก็เลยจะคอยป้อนข้าวป้อนยาให้ ถ้าไม่มีตาก็นึกภาพไม่ออกเลยว่าชีวิตตอนเด็กจะเป็นไง”

ตระการพยักหน้ารับรู้แล้วก็เงียบไป พรพฤกษ์สังเกตเห็นจึงเอ่ยปากถาม

“จะว่าไปมีแต่ไผ่เล่าเรื่องตัวเองให้ต้นฟัง ต้นไม่ค่อยเล่าถึงตัวเองเลย ทางนี้ขาดทุนนะเนี่ย”

นัยน์ตาคมใต้คิ้วดกหนาเงยขึ้นสบตาสีนิลที่มองมาตรงๆแล้วก็เสมองจานข้าว

“ก็มีพ่อ แม่ แล้วก็แม่บ้านกับคนสวน ชีวิตตอนเด็กต้นไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจหรอก”

“อะไรกัน ฟังดูบ้านต้นน่าจะมีฐานะ น่าจะได้ไปเที่ยวเล่นเยอะไม่ใช่เหรอ?”

ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนจะยิ้มบางๆให้ “พอดีพ่อเค้าจะงานยุ่งแทบตลอดน่ะ วันๆก็เลยจะอยู่กับแม่กับแม่บ้านซะมากกว่า เอ้า กินข้าวอีกคำเร็ว จะหมดจานแล้ว จะได้กินยา”

คิ้วโก่งได้รูปเลิกขึ้นเล็กน้อยกับการที่อีกฝ่ายดูจะไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องเกี่ยวกับตัวเองนัก แต่แล้วก็เตือนตนเองว่าอย่าถามละลาบละล้วงจะดีกว่า มือเรียวยกขึ้นปิดปากหาว ใบหน้าคมจึงหลิ่วตามองอย่างล้อเลียน

“อะไรเด็กน้อย กินอิ่มปุ๊บก็ง่วงเลยเหรอ?”

คนถูกแซวถลึงตาใส่คนพูด “เด็กน้อยอะไรกันล่ะ ก็เมื่อคืนเพราะใครไม่รู้น่ะแหละทำให้หลับไม่สนิทเลย”

 “ต้นเหรอ ต้นไปกวนอะไรไผ่ล่ะ ต้นว่าต้นไม่ใช่คนนอนกรนนะ”

ใบหน้าคมเข้มฉายแววฉงน คนถูกถามเลยหน้าแดงขึ้นเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืนก่อนขึ้นมา

“ก็ไม่ได้กรนหรอก แค่แยกแยะคนกับหมอนข้างไม่ได้”

คำตอบที่ได้ทำให้ชายหนุ่มต้นเหตุหัวเราะเสียงใส “อะไรกัน ก็เมื่อคืนมันหนาว หนาวก็ต้องนอนกอดกันสิถึงจะอุ่น ต้นกลัวไผ่จะเป็นหวัดหรอกนะนั่น”

นัยน์ตาคู่สวยยิ่งทำตาดุใส่จนคนตัวโตหัวเราะเสียงดังมากขึ้น พรพฤกษ์จึงรีบตัดบทก่อนจะพาบทสนทนาเข้าตัวมากไปกว่านี้

“ไม่คุยด้วยแล้ว ไปทำงานต่อดีกว่า”

ร่างบางต้องจำใจโดนคนตัวใหญ่กว่าอุ้มกลับมาที่คอมพิวเตอร์หลังเคาน์เตอร์อีกครั้งเพราะรู้ว่าอิดออดอย่างไรก็ไร้ผลอยู่ดี ระหว่างที่ทำงานไปสายตาที่จ้องอยู่หน้าจอมอนิเตอร์ก็แอบชำเลืองมองคนที่นอนเอกเขนกอ่านหนังสืออยู่ตรงโซฟาเป็นระยะๆ

พรพฤกษ์คิดว่าเขาเริ่มเข้าใจตนเองแล้วว่าความรู้สึกเขินแปลกๆเวลาที่โดนอีกฝ่ายทำดีด้วยหรือเวลาโดนมองนั้นเป็นเพราะอะไร แต่ในขณะเดียวกัน ตระการก็ดูจะชอบเก็บงำอะไรเอาไว้เหมือนมีอะไรที่ไม่ต้องการให้ตนรู้ แล้วก็แกล้งเฉไฉไปเรื่องอื่นเวลาเขาตะล่อมถามเสียทุกครั้ง และแม้บางครั้งพฤติกรรมของอีกฝ่ายจะชวนให้คิดเลยเถิดกว่าความสัมพันธ์แบบเพื่อน แต่ชายหนุ่มผู้มาเยือนก็ไม่เคยเอ่ยคำใดที่จะสร้างความกระจ่างเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว จนพรพฤกษ์ไม่มั่นใจว่าแท้จริงแล้วอีกคนคิดอะไรอยู่กันแน่



*************
หัวข้อ: Re: !UP! แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 9 [6/10/08]
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 06-10-2008 15:50:00
 :o8: หวานกันจนมดขึ้นจอแย้วคร่าป้าขราาาาาาา จะหวานกันไปหน๊ายยยยยยยย  :man1:
หัวข้อ: Re: !UP! แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 9 [6/10/08]
เริ่มหัวข้อโดย: The Living River Ping ที่ 06-10-2008 18:38:01
อ้างจาก: bellbome
จนพรพฤกษ์ไม่มั่นใจว่าแท้จริงแล้วอีกคนคิดอะไรอยู่กันแน่

คิดจะชนท้าย แล้วเคลมประกันน่ะสิ วะฮะฮ่า  :o8:
หัวข้อ: Re: !UP! แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 9 [6/10/08]
เริ่มหัวข้อโดย: premkoe ที่ 06-10-2008 19:54:08
สนุกดีอ่าคับ

รีบๆมาต่วยล่ะกานคับ

 :oni2: :oni2: :oni2:
หัวข้อ: Re: !UP! แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 9 [6/10/08]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 06-10-2008 20:27:28
:o8: หวานกันจนมดขึ้นจอแย้วคร่าป้าขราาาาาาา จะหวานกันไปหน๊ายยยยยยยย  :man1:

ชีวิตจริงป้าขาดความหวานอ่ะค้าบ เลยต้องมาหาเติมเอาจากนิยาย  :laugh:


อ้างจาก: bellbome
จนพรพฤกษ์ไม่มั่นใจว่าแท้จริงแล้วอีกคนคิดอะไรอยู่กันแน่

คิดจะชนท้าย แล้วเคลมประกันน่ะสิ วะฮะฮ่า  :o8:


คิดไปด้ายน่อ 555555+  :jul3:  :jul3:


สนุกดีอ่าคับ

รีบๆมาต่วยล่ะกานคับ

 :oni2: :oni2: :oni2:

กะลังพยายามเข็นออกมาอยู่ ฮือๆ ใครช่วยมารับงานแปลกับวาดรูปประกอบนิทานไปทำแทนป้าที๊~~  o2
หัวข้อ: Re: !UP! แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 9 [6/10/08]
เริ่มหัวข้อโดย: sirasyung ที่ 06-10-2008 21:00:15

แม่ของต้น มีอะไรเกี่ยวพันกะไผ่รึเปล่า

เค้าเป็นคนขี้สงสัยอ่ะ อย่าว่าเค้าน้า~~~ :serius2:
หัวข้อ: Re: !UP! แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 9 [6/10/08]
เริ่มหัวข้อโดย: pickki_a ที่ 06-10-2008 22:57:18
 :m4: :m4:
ก๊าก!!!!
รักกัน รักกัน

แต่แปลกนะป้า ทำไมตอนนี้มันสั้งจังอ่ะ?  o12
หัวข้อ: Re: !UP! แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 9 [6/10/08]
เริ่มหัวข้อโดย: krappom ที่ 07-10-2008 02:06:20

มีบังคับป้อนข้าวกันด้วยวุ้ย

หวานซ้า

 :m1: :m1: :m1: :m1:

หัวข้อ: >>มาแล้นนนน แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 10 [7/10/08]<<
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 07-10-2008 22:44:40
:m4: :m4:
ก๊าก!!!!
รักกัน รักกัน

แต่แปลกนะป้า ทำไมตอนนี้มันสั้งจังอ่ะ?  o12

ไหนใครบอกตอนที่แล้วสั้น คราวนี้เอายาวๆไปเลยละกัน (ยอมรับเขียนตอนนี้ไปเครียดไป กลัวปฏิกิริยาคนอ่าน แว้ก  :serius2: )


10.

พรพฤกษ์เดินออกมาจากห้องน้ำก็พบว่าผู้ที่มานอนร่วมห้องด้วยกำลังจัดผ้าปูที่นอนอยู่จึงนั่งลงเช็ดผมที่เก้าอี้ข้างประตู อาการปวดที่ข้อเท้านั้นทุเลาลงมากแล้ว เมื่อหัวค่ำหลังจากส่งแขกผู้มาพักทั้งสี่ขึ้นห้องแล้วเขาจึงดึงดันกับตระการที่จะเดินขึ้นห้องมาเองโดยไม่ฟังคำทัดทานของอีกฝ่าย ท่าทางชายหนุ่มจะหงอยๆไปบ้างที่ถูกปฏิเสธน้ำใจ แต่ร่างบางก็คิดใคร่ครวญมาแล้วตลอดบ่ายว่าเขาควรพูดคุยกับอีกฝ่ายให้ชัดเจนเสียทีว่าความสัมพันธ์ที่กำลังดำเนินอยู่ของทั้งสองคืออะไร

“เสร็จแล้วไผ่ จะนอนเลยหรือเปล่า? เดี๋ยวต้นจะไปอาบน้ำก่อน”

มือเรียวคว้าข้อมือแข็งแรงของอีกฝ่ายไว้ขณะกำลังจะเดินเข้าห้องน้ำ ตระการหันมามองอย่างงงๆพรพฤกษ์จึงลุกขึ้นแล้วจูงอีกฝ่ายไปนั่งที่เตียง

“ต้น มีเรื่องจะคุยด้วย”

ใบหน้าคมเข้มขมวดคิ้วมองคนตรงหน้าที่ไม่สบตาเขาตรงๆแล้วก็กังวลใจขึ้นมา

“มีอะไรเหรอ?”

ริ้วสีแดงพาดผ่านใบหน้าหวาน ทั้งๆที่ตั้งใจไว้แล้วว่าจะเปิดอกถามอย่างตรงไปตรงมาแต่พอถึงเวลาเผชิญหน้าจริงๆกลับให้รู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ร่างบางสูดหายใจลึกก่อนเงยหน้าขึ้นสบตากับอีกฝ่ายตรงๆ

“คือ ต้น...ที่ต้นมาคอยเอาใจใส่ทำนั่นทำนี่ให้เราน่ะ มัน....” พรพฤกษ์กลืนน้ำลายก่อนจะพูดต่อ “ต้นคิดอะไรกับไผ่เกินเพื่อนอยู่หรือเปล่า?”

เมื่อหลุดคำถามไปแล้วร่างเพรียวก็ก้มหน้านิ่งอย่างหวั่นเกรงคำตอบที่จะได้รับ ตั้งแต่พรพฤกษ์เป็นวัยรุ่นจนเข้ารุ่นหนุ่ม เขาไม่เคยคบหาเป็นคนรักกับใคร แต่จู่ๆกับตระการที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานเขากลับมีความรู้สึกพิเศษด้วยจนกลัวใจตัวเอง ชายหนุ่มจึงเลือกที่จะรับรู้เสียแต่เนิ่นๆว่าจุดยืนในความสัมพันธ์ของทั้งคู่อยู่ที่ใด จะได้รีบทำใจก่อนจะถลำลึกไปกว่าที่กำลังเป็นอยู่

“ไผ่....มองหน้าต้นสิ”

เสียงทุ้มนุ่มแผ่วเบาที่เอ่ยเรียกชื่อนั้นทำเอาคนถูกเรียกตัวสั่น ความหวาดหวั่นแล่นริ้วขึ้นมาว่าตนพร้อมจะฟังคำตอบจากคนตรงหน้าจริงหรือ  บางทีเขาอาจจะใจร้อนเกินไปที่อยากได้คำตอบกับเรื่องนี้ขึ้นมา พรพฤกษ์สะดุ้งเมื่อปลายนิ้วอุ่นแตะที่แก้มของตัวเองแล้วรั้งให้เงยหน้าขึ้น แล้วก็รู้สึกร้อนวูบไปทั้งใบหน้าเมื่อโดนดวงตาสีน้ำตาลเข้มมองสบมาตรงๆ

“ต้นรู้ว่าเวลาที่เราเพิ่งได้ทำความรู้จักกันจริงๆมันสั้นมาก แล้วเรายังเป็นผู้ชายทั้งคู่ แต่ต้นอยากให้ไผ่รู้ว่าความรู้สึกที่ต้นมีไม่ใช่แค่ความเป็นเพื่อนแน่นอน”

พรพฤกษ์ตัวแข็งทื่อเมื่อโดนแขนแข็งแรงข้างหนึ่งรั้งร่างตนเข้าไปหา ทว่าความอบอุ่นที่ได้สัมผัสทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ร่างบางจึงเอนตัวลงซบกับแผ่นอกกว้างและถอนหายใจเสียงเบาเมื่อโดนมือใหญ่ลูบหลังอย่างปลอบโยน

“ต้น มันไม่เร็วไปเหรอ เราเพิ่งเจอกันแค่สองอาทิตย์กว่าเองนะ”

ริมฝีปากอุ่นก้มลงประทับบนเรือนผมที่ยังชื้น “ไม่เร็วไปหรอก สำหรับต้น ได้เจอไผ่ตอนไหนก็ไม่ต่างกัน”

วงแขนแข็งแรงโอบกระชับคนในอ้อมแขนแน่นขึ้น พรพฤกษ์ได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นรัวจนหูอื้อ แต่ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าเสียงนั้นเป็นเสียงหัวใจของตระการหรือของตัวเองกันแน่ แม้อ้อมแขนนั้นจะมอบความรู้สึกอัดอัดอยู่บ้าง แต่ร่างบางก็ไม่ปฏิเสธว่าความอึดอัดนั้นเทียบไม่ได้เลยกับความอบอุ่นที่ได้รับ แขนเรียวสองข้างค่อยๆเอื้อมไปโอบเอวของอีกฝ่ายเพื่อตอบรับความรู้สึกที่เพิ่งได้รับรู้

“ต้นรักไผ่นะ”

พรพฤกษ์ซ่อนใบหน้าที่ถูกย้อมเป็นสีเลือดด้วยการซุกลงกับแผ่นอกตรงหน้า จู่ๆก็รู้สึกเหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความจริงเพราะทุกอย่างดูรวดเร็วจนเบลอไปหมด มือเรียวขยุ้มเสื้อของอีกฝ่ายแน่น

“ยังไม่ต้องตอบตอนนี้ก็ได้ ต้นรู้ว่ามันอาจจะเร็วไป แต่ขอมัดจำก่อนได้มั้ย?”

พรพฤกษ์รู้สึกถึงรอยยิ้มของอีกฝ่ายจึงค่อยๆเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาสีนิลสบกับสีน้ำตาลที่เต็มเปี่ยมด้วยความรู้สึกลึกซึ้งจนไม่แน่ใจว่าตนเองคือต้นเหตุของสายตาอ่อนหวานคู่นั้น นัยน์ตาหวานคมค่อยๆปิดลงขณะที่ใบหน้าคมคายก้มประชิดเข้ามาจนรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นที่ระอยู่ตรงปลายจมูก ก่อนที่ริมฝีปากนุ่มหยุ่นจะแตะประทับลงบนริมฝีปากของตนอย่างแผ่วเบาราวจะปลอบโยน



*************


ตระการตื่นแต่เช้าอย่างสดใส เขาหันมองร่างที่หลับใหลในอ้อมกอดของเขาทั้งคืนแล้วก็คลี่ยิ้มออกมาก่อนจะไล่ปลายนิ้วไปตามโหนกแก้มเนียน ชายหนุ่มดึงผ้าห่มขึ้นคลุมไหล่ให้อีกฝ่ายเมื่อเห็นพรพฤกษ์กระชับแขนกอดรอบตัวเองเหมือนต้องการความอบอุ่น ชายหนุ่มก้มลงประทับจูบบนหน้าผากมนแล้วก็ตัดสินใจปล่อยให้คนที่ยังดูมีความสุขกับโลกในดินแดนแห่งความฝันนอนหลับต่อไป

ชายหนุ่มเข้าครัวชงกาแฟดื่มพลางเปิดตู้เช็ครายการของที่ควรต้องซื้อไว้ติดบ้านได้สักพักก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหลายคู่เดินลงบันไดมาจึงเดินออกไปต้อนรับที่โถงรับแขก

“อรุณสวัสดิ์ครับ จะไปกันแล้วหรือ?”

ปาริดาเลื่อนแว่นสายตาขึ้นก่อนจะขยับกระเป๋าสะพายบนหลังให้ได้สมดุล “ค่ะ พอดีนัดรถตู้ไว้แล้ว ทางบ้านเพื่อนเค้าบอกว่าจะพาไปเที่ยวไร่เลยอยากออกกันไวหน่อยเดี๋ยวแดดจะแรง”

“ที่นี่นอนสบายมากเลยค่ะพี่ เดี๋ยวจะไปช่วยโฆษณากับเพื่อนๆให้นะคะ” สาวโบเอ่ยเสริมอย่างเอาใจ

“เอาเลยครับ เจ้าของบ้านเขาคงดีใจ”

สามสาวมองใบหน้าที่มีรอยยิ้มประดับอยู่ของชายหนุ่มกันอย่างเขินๆ ก่อนที่เสียงค่อนข้างห้วนจะดังทำลายบรรยากาศขึ้น

“ไอ้ปลา รถตู้มาแล้ว”

เด็กสาวหันค้อนต้นเสียงปะหลับปะเหลือกก่อนจะหันกลับมาไหว้ชายหนุ่ม “งั้นไปก่อนนะคะพี่ต้น แล้วจะหาโอกาสมาพักอีกนะคะ”

“ครับ ขอบคุณครับ”

ชายหนุ่มรอจนทั้งสี่เดินผ่านประตูบ้านออกไปแล้วจึงเดินตามออกมาส่ง หญิงสาวที่อาวุโสที่สุดในกลุ่มเดินรั้งท้าย เรือนร่างสูงเพรียวหันกลับมาหาผู้ช่วยดูแลเกสต์เฮ้าส์ก่อนจะเอ่ยลา

“ขอบคุณที่ดูแล ยังไงฝากลาคุณเจ้าของบ้านด้วย”

“ได้ครับ”

ชายหนุ่มตอบรับ แต่แล้วประโยคถัดมาของหญิงสาวก็ทำให้ตระการนิ่งชะงัก
 
“แล้วเราคงได้เจอกันที่กรุงเทพฯ คุณตระการ สุวรรณฤทธิ์”

นัยน์ตาคมดูฉลาดเฉลียวลอบสังเกตปฏิกิริยาของชายหนุ่มแล้วก็คลี่ยิ้มบางก่อนจะผละจากไปเปิดประตูขึ้นนั่งตรงที่ข้างคนขับ จากจุดที่ชายหนุ่มยืนอยู่ เขาพอจะมองเห็นได้ลางๆว่าเด็กสาวอีกสามคนในรถแสดงท่าทีงุนงงว่าหญิงสาวพูดอะไรกับเขาสีหน้าของเขาจึงเปลี่ยนไป

รถตู้ลับสายตาไปแล้ว แต่ร่างสูงแข็งแรงยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ตระการกำมือแน่นก่อนจะหันกลับเข้าบ้าน จวนจะถึงกำหนดเวลาที่ตนสัญญากับบิดาว่าจะกลับไปแล้ว เขาควรจะบอกความจริงกับคนที่เพิ่งสารภาพรักอย่างไรดี?



*************



“ไผ่ ตื่นเร็ว”

“อื้อ ยังเพิ่งแปดโมงเอง”

ตระการกลอกตา นึกขำที่คนที่ปกตินอนตื่นเช้าอย่างพรพฤกษ์กลับกลายเป็นคนขี้เซาหลังจากเขามาอยู่ด้วย

“จะตื่นไม่ตื่น?”

“ไม่ตื่น ไม่มีแขกมาพักนี่นา”

“ไม่ตื่นต้นปล้ำนะ”

“เฮ้ย!!”

ไม่พูดเปล่า คนตัวใหญ่ม้วนผ้านวมรอบคนที่ยังนอนอยู่จนตัวกลมแล้วก็ล้มตัวลงกอดร่างในม้วนผ้าแน่นจนพรพฤกษ์ร้องเสียงหลง

“ต้น อย่าเล่น! หนักนะ อื้อ...”

เสียงต่อต้านหายไปในลำคอเมื่อโดนอีกฝ่ายประทับริมฝีปากลงมา พรพฤกษ์หลับตาแน่น ริมฝีปากเม้มปิดอย่างตกใจ แต่แล้วเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสอุ่นชื้นที่ไล้เลียเบาๆบนริมฝีปากก็เคลิบเคลิ้มจนเผลอ ปล่อยให้ปลายลิ้นร้อนรุกไล่เข้าในริมฝีปากที่เผยอขึ้นอย่างลืมตัว

ร่างในอ้อมแขนรู้สึกราวกับจู่ๆโลกก็หมุนอย่างเร็วจนเวียนหัว สัมผัสที่ได้รับช่างเร่าร้อนแตกต่างกับสัมผัสอ่อนโยนทะนุถนอมเมื่อคืน ตระการและเล็มหาความหวานจากริมฝีปากนิ่มจนพอใจ ก่อนจะค่อยๆไล่ขึ้นฝากจุมพิตที่ปลายจมูกและเปลือกตาของคนตรงหน้าอย่างแผ่วเบาต่างกับสัมผัสร้อนแรงที่เพิ่งมอบให้เมื่อครู่

พรพฤกษ์หายใจหอบเมื่อตระการผละไป แล้วก็ใช้หลังมือเช็ดคราบความเปียกชื้นที่หลงเหลืออยู่บนริมฝีปากเบาๆ ใบหน้าหวานซับสีเลือดจนตระการอดใจไม่ไหวต้องก้มลงฝังจมูกที่แก้มเนียนของคนตรงหน้าอีกครั้ง มือเรียวสองข้างรีบยกขึ้นดันอกกว้างให้ออกห่างตัวทันที

“พอเลย กะเล่นให้ช้ำตายเลยใช่มั้ยเนี่ย?”

คนถูกท้วงพลิกตัวนอนตะแคงบนข้อศอกข้างหนึ่งแล้วก็ยิ้มให้ตาเป็นมัน “ช้ำแค่นี้ไม่ตายหรอก ต้นยังมีวิธีทำให้ไผ่ช้ำกว่านี้ได้อีกเยอะ”

ประโยคล้อเลียนแฝงความหมายชวนคิดนั้นยิ่งทำให้คนตรงหน้าหน้าแดงก่ำมากขึ้นไปอีก

“โรคจิต”

ตระการหัวเราะขำก่อนจะคว้าตัวคนที่พลิกตัวหนีไปอีกด้านมากระชับแนบอก “ก็แฟนต้นน่ารักนี่นา นี่ต้นต้องอดทนแค่ไหนไผ่ไม่รู้เลยสิเนี่ย”

ชายหนุ่มแว่วเสียงบ่นอุบอิบไม่ได้ศัพท์ของอีกฝ่ายแล้วก็หัวเราะเบาๆก่อนก้มลงจูบเรือนผมนิ่มอีกครั้ง

“เดี๋ยวต้นว่าจะเข้าเมืองไปซื้อของหน่อย ของสดในตู้เย็นจะหมดแล้ว เดี๋ยวไม่มีอะไรทำกับข้าว ไผ่จะฝากซื้ออะไรมั้ย?”

ร่างบางเงียบไปเหมือนคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “นึกไม่ออก ต้นอยากซื้ออะไรก็ซื้อมาแล้วกัน”

“ครับๆ งั้นไผ่เป็นเด็กดีเฝ้าบ้านรอต้นนะ”

ชายหนุ่มรีบลุกหนีแล้วปิดประตูห้องทันก่อนอีกคนจะลุกขว้างหมอนใส่ ชายหนุ่มหัวเราะอีกครั้งก่อนเดินลงบันไดไป

หัวข้อ: Re: >>มาแล้นนนน แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 10 [7/10/08]<<
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 07-10-2008 22:52:42
10. ต่อค้าบ


*************


พรพฤกษ์เสยผมยุ่งเหยิงของตนอยู่บนเตียงแล้วก็พยายามบังคับหัวใจที่เต้นแรงให้สงบลง เมื่อคืนทั้งคู่ไม่ได้มีอะไรกัน หลังจากจุมพิตแผ่วเบาที่ตระการมอบให้ ชายหนุ่มเหมือนจะรับรู้ถึงอาการประหม่าของเขาจึงเพียงแค่นอนกอดไว้นิ่งๆ แต่เพียงแค่นั้นก็ทำให้รู้สึกวาบหวามและอบอุ่นในใจอย่างไม่น่าเชื่อ เขาไม่ปฏิเสธว่ารู้สึกดีกับสัมผัสที่ได้รับ แต่ก็ยังไม่กล้าพอจะก้าวข้ามไปสู่ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกว่านี้

ร่างบางลุกขึ้นจากกองผ้าห่มที่พันตัวอยู่ด้วยตั้งใจจะลุกเข้าห้องน้ำ แต่แล้วก็เผลอลงน้ำหนักที่เท้าข้างที่ยังแพลงอยู่จึงล้มลงโดยเผลอยื่นแขนไปคว้าหูกระเป๋าของตระการที่วางบนเก้าอี้ใกล้ๆหล่นลงมาด้วย

“อูย....”

ร่างบางเอามือบีบข้อเท้าตัวเองเบาๆก่อนจะหันไปมองของในกระเป๋าที่หล่นกระจัดกระจายจากช่องซิปด้านหน้าอย่างตกใจ ชายหนุ่มคงลืมรูดซิปช่องด้านหน้าให้สนิทตอนที่หยิบกระเป๋าสตางค์ออกไปเมื่อครู่ พรพฤกษ์รีบกระวีกระวาดกวาดข้าวของที่หล่นออกมายัดลวกๆใส่กลับเข้าไปในช่อง แต่แล้วพอจะรูดซิปปิดก็ไปติดกับขอบซองจดหมายสีขาวที่หนาเป็นปึก มือเรียวจึงรูดซิปเปิดออกก่อนจะหยิบซองไม่ได้ปิดผนึกนั้นออกมาดู แล้วก็พบว่าภายในเป็นรูปถ่ายปึกหนึ่ง บางรูปมีสีซีดจางอย่างรูปที่ล้างอัดไว้นานมาแล้ว ในขณะที่บางรูปมีสีสดชัดเหมือนเพิ่งล้างอัดมาไม่นาน

นิ้วมือเรียวค่อยๆไล่ดูรูปถ่ายในซองนั้นทีละใบอย่างสั่นเทาก่อนจะรู้สึกตัวชาเหมือนโดนน้ำเย็นราดรด


*************


ตระการเลี้ยวรถเข้าจอดในโรงรถหลังกลับจากซื้อของในตัวเมืองแล้วก็หยิบฉวยถุงใส่ของมากมายจากเบาะหลัง ชายหนุ่มแปลกใจนิดหน่อยที่เจ้าของบ้านไม่ออกมาต้อนรับเหมือนปกติ แต่ก็คิดเอาเองว่าคงเพราะอีกฝ่ายยังเจ็บข้อเท้าอยู่ ร่างสูงเดินเข้าบ้านอย่างร่าเริงแล้วก็พบว่าคนที่ตนคิดถึงนั้นนั่งเงียบๆอยู่ลำพังที่โซฟา

ชายหนุ่มยิ้มแล้วเดินเอาถุงของที่ซื้อมาเข้าไปวางบนโต๊ะในครัวก่อนจะเดินกลับมาทรุดตัวลงนั่งแล้วก็โอบคนข้างๆเข้ามาหอมแก้มทีหนึ่ง

“เป็นอะไรครับ ไม่สบายหรือเปล่าทำไมหน้าซีดๆ”

ตระการชะงักไปเมื่อใบหน้าหวานที่ปกติมีรอยยิ้มประดับอยู่เสมอหันมามองเขาด้วยขอบตาแดงก่ำ ชายหนุ่มรีบละล่ำละลักถามอย่างเป็นห่วงทันที

“ไผ่ เป็นอะไร?”

มือเรียวหยิบซองกระดาษสีขาวหนาบนโต๊ะเล็กที่เขาไม่ทันได้สังเกตขึ้นมาชูให้ดูแล้วชายหนุ่มก็นิ่งชะงัก

“ต้น รูปพวกนี้หมายความว่ายังไง?”

ตระการนั่งตัวแข็ง มองสบนัยน์ตาสีนิลที่มีแววรื้นน้ำราวอับจนด้วยคำพูดขณะที่อีกฝ่ายหยิบรูปในซองออกมาวางบนโต๊ะทีละใบ

“แปลกดีนะที่ต้นมีรูปของแม่ไผ่ด้วย ขนาดตาเองยังซ่อนไผ่แทบตาย ตอนเด็กๆไผ่ก็เคยสงสัยว่าทำไมตาถึงไม่ยอมเอารูปแม่มาให้ดูจนต้องไปแอบขโมยเปิดตู้จนโดนดุเลย” ท้ายประโยคร่างเพรียวแค่นหัวเราะเบาๆ

“ไผ่...”  คำพูดที่ตระการพยายามจะเค้นออกมากลับหายไปในลำคออีกครั้งเมื่อเห็นหยดน้ำใสๆตกลงบนโต๊ะกระจก

“นี่ก็...รูปของแม่ตอนอุ้มไผ่ตอนเด็กๆ...นี่ก็รูปไผ่ตอนเพิ่งหัดเดิน แปลกดีนะที่ต้นมีรูปพวกนี้ มีกระทั่งตอนไผ่เรียนม.ปลายเลย”

ตระการรู้สึกเหมือนหัวใจจะหยุดเต้นเมื่อร่างบางเลื่อนมือไปถึงรูปถ่ายที่ดูใหม่ที่สุด ลักษณะท่าทางมุมกล้องที่เห็นบ่งชี้ว่าเป็นรูปที่ถ่ายตอนเจ้าตัวไม่รู้ตัวขณะกำลังเดินอยู่ในเมือง พรพฤกษ์พยายามกลั้นน้ำตาที่ทำท่าจะไหลออกมาเต็มที่ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบนัยน์ตาสีน้ำตาลที่ฉายแววรวดร้าวไม่แพ้กัน

“ต้น มีอะไรจะบอกไผ่หรือเปล่า?”

ตระการรู้สึกเหมือนโลกหยุดหมุน ทั้งที่รู้และเตือนตัวเองมาตลอดว่าต้องบอกความจริงเข้าสักวัน แต่เมื่อเวลาแห่งการเปิดเผยความจริงมาถึงโดยไม่ทันตั้งตัวชายหนุ่มกลับไม่รู้จะเริ่มอธิบายจากจุดไหน ยิ่งเห็นสายตาเจ็บปวดที่มองมาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนมีก้อนแข็งขึ้นมาจุกที่ลำคอจนไม่มีเสียง

“ต้น...อย่าบอกนะว่าต้นเป็นน้องชายของไผ่”

ประโยคคำถามนั้นเหมือนฉุดตระการกลับมาจากภวังค์ ชายหนุ่มรีบคว้ามือของอีกฝ่ายมากุมไว้แล้วละล่ำละลักตอบ “ไม่ใช่นะไผ่ เราไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกันเลยนะ แม่อยู่กับไผ่จนห้าขวบก่อนจะมาอยู่กับต้น เราจะเป็นพี่น้องกันได้ยังไง”

“แม่?”

นัยน์ตาฉ่ำรื้นด้วยม่านน้ำตาที่จ้องมองกลับมาทำให้ชายหนุ่มต้องหลบตามองไปทางอื่น “ไผ่...ต้น...ที่แม่ทิ้งไผ่ไป ไม่ใช่เพราะเค้าไม่รักไผ่ แต่เป็นเพราะพ่อ...ไม่สิ” ชายหนุ่มหลับตาลง “เป็นเพราะต้นเอง”

ชายหนุ่มถอนหายใจยาวก่อนจะตัดสินใจถ่ายทอดเรื่องราวความเป็นมาที่เขาปิดบังเอาไว้ “ตอนเด็กต้นเป็นเด็กขี้โรค ป่วยจนเกือบตายไปหลายครั้ง ส่วนแม่แท้ๆก็ร่างกายอ่อนแอเหมือนกัน ตอนนั้นพ่อก็เลยรับสมัครคนมาเป็นพี่เลี้ยง ซึ่งเป็นช่วงที่แม่พิมเข้าไปหางานทำในกรุงเทพฯพอดี เพราะว่า...”

ชายหนุ่มเหลือบมองอีกฝ่ายที่นั่งฟังนิ่งอยู่ครู่หนึ่งเหมือนไม่แน่ใจว่าควรเอ่ยประโยคต่อไปหรือไม่ “…ต้องหาเงินมาใช้หนี้ที่พ่อของไผ่สร้างไว้จนต้องฆ่าตัวตายหนีหนี้”

พรพฤกษ์รู้สึกร่างกายชาเหมือนโดนไฟช็อต ตระการมองอย่างเห็นใจก่อนจะบีบมือเรียวแน่นขึ้น “ตอนแรกแม่พิมก็แค่เข้าไปเป็นพี่เลี้ยง แต่เพราะเราใกล้ชิดกันมากต้นเลยรู้สึกผูกพันกับแม่พิมมากยิ่งกว่าแม่แท้ๆ แล้วตอนนั้นเหมือนพ่อเองก็เริ่มหลงรักแม่พิม พอแม่ของต้นเสีย พ่อก็เลยยื่นคำขาดกับแม่พิมว่าจะจ่ายหนี้ทั้งหมดให้ แต่แม่พิมต้องแต่งงานเป็นภรรยาของพ่อและเป็นแม่ให้กับต้น”

เมื่อเล่าถึงตรงนี้ตระการก็เหลือบมองพรพฤกษ์ที่ก้มหน้านิ่ง แต่ก็ตัดสินใจเล่าทุกอย่างโดยไม่ปิดบังอีกต่อไป

“พ่อของต้นเป็นคนเด็ดขาด แล้วก็เป็นคนหึงหวงแรง พ่อเลยตั้งเงื่อนไขกับแม่พิมว่านอกจากจะล้างหนี้ให้ทั้งหมดแล้ว พ่อจะออกเงินค่าเลี้ยงดูให้แม่ส่งมาให้ตากับไผ่ทุกเดือนด้วย แต่แม่จะต้องยอมตัดขาดจากไผ่ และห้ามกลับมาเยี่ยมอย่างเด็ดขาด”

“มีครั้งนึงแม่เคยจะหนีออกจากบ้าน แต่ตอนนั้นต้นไปเจอตอนแม่แอบจัดกระเป๋า แล้วก็ร้องไห้โวยวายเข้าไปห้ามจนชักเข้าโรงพยาบาล เหตุการณ์นั้นคงทำให้แม่รู้สึกผิดมาก เลยยอมทำใจที่จะไม่ติดต่อกับไผ่ แต่ก็ยังแอบติดต่อกับตาของไผ่เพื่อจะได้รู้ว่าไผ่เป็นยังไงบ้าง”

ความเงียบเข้าครอบงำคนทั้งสองครู่หนึ่ง ก่อนที่ร่างบางจะค่อยๆเอ่ยช้าๆ

“เรื่องที่จะเล่ามีแค่นี้ใช่มั้ย?” 

ตระการมองคนตรงหน้าที่น้ำตาไหลเป็นสายอย่างปวดใจก่อนจะเอื้อมมือไปหวังเช็ดน้ำตาให้ แต่แล้วก็ถูกปัดออกอย่างแรงก่อนร่างบางจะกระถดตัวหนี

นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มของชายหนุ่มฉายแววเจ็บปวด “แม่พิมแอบพ่อเล่าเรื่องของไผ่แล้วก็คอยเอารูปที่ตาส่งมาให้ให้ต้นดูตลอด ต้นยอมรับว่าตอนเด็กต้นอิจฉาไผ่มาก มากจนยิ่งติดแม่พิมมากขึ้นไปอีก แต่ไม่รู้ตั้งแต่ตอนไหนที่ต้นยิ่งอยากเจอตัวจริงของไผ่มากขึ้นทุกที จนหลังแม่เสียระหว่างที่ต้นไปเรียนต่อที่เมืองนอกต้นเลยตัดสินใจว่ายังไงก็ต้องมาเจอไผ่ มาทำตามสัญญาที่แม่ขอไว้ให้ช่วยดูแลไผ่ให้ได้”

ไหล่ของร่างบางสั่นไหวเมื่อเจ้าตัวเริ่มสะอื้นอย่างหยุดไม่อยู่ ร่างสูงเอื้อมไปหมายจะโอบกอดแต่แล้วก็ถูกผลักอกอย่างรุนแรง

“อย่ามายุ่งนะ!! คนโกหกหลอกลวง ทั้งตา ทั้งแม่ ทั้งต้น ทุกคนหน้าไหว้หลังหลอกกันทั้งหมดนั่นแหละ ฮึก”

ตระการหน้าเสีย “ไผ่...”

“ที่ต้นมาที่นี่ก็เพื่อทำตามสัญญาที่แม่ขอไว้สินะ แม่ที่ต้นแย่งไป คนที่ไผ่ยังจำแทบไม่ได้ว่าเป็นยังไง มีแต่ตาที่คอยบอกว่าแม่อยู่กับไผ่ไม่ได้ แต่ไม่เคยเล่าให้ฟังเลยว่าเพราะอะไร”

“ไผ่ฟังเหตุผลก่อนสิ ตอนนั้นแม่เค้ามีความจำเป็นนะ”

“ไม่ฟัง!!”

ร่างบางลุกขึ้นหันหลังหอบจนตัวโยน ตระการทำได้แค่นั่งนิ่งๆเพราะไม่รู้จะอธิบายต่อว่าอย่างไร

ทั้งบ้านปกคลุมไปด้วยบรรยากาศอันน่าอึดอัดจนพรพฤกษ์เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นก่อน “ต้น ดีแล้วล่ะที่ความสัมพันธ์ของเรายังไม่เกินเลยไปกว่านี้...”

“ไผ่พูดอะไรน่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเบาพร้อมกับสีหน้าที่เริ่มเผือดซีด

แขนเรียวสองข้างยกขึ้นกอดตัวเองเหมือนจะพยายามหยุดอาการสั่น แต่กระนั้นใบหน้าหวานคมก็ยังไม่ยอมหันกลับมามองอีกฝ่าย

“ไผ่จะโทรไปเรียกลุงแหวงที่ตลาดให้ขึ้นมารับต้นเข้าเมืองเอง ต้นกลับบ้านไปเถอะ แล้วเราก็อย่าเจอกันอีกเลย”



*************


ร่างสูงที่นั่งอยู่ในห้องรับแขกเงยหน้าขึ้นมองไปนอกประตูกระจกเมื่อเห็นรถกระบะเก่าๆคันหนึ่งเลี้ยวเข้ามาตามถนนโรยกรวด ชายหนุ่มลุกขึ้นเดินไปจับกรอบประตูห้องครัว สายตาจับจ้องที่แผ่นหลังของคนที่เขารักซึ่งนั่งหันหลังให้อยู่อย่างเจ็บปวด หลังจากเจ้าของบ้านนฤมิตรโทรศัพท์ลงไปเรียกคนขับรถรับจ้างที่รู้จักกันในตลาดให้ขึ้นมารับแล้วพรพฤกษ์ก็ไม่ยอมมองหน้าเขาอีกเลย ตระการจึงไม่มีทางเลือกนอกจากยอมขึ้นไปเก็บของใส่กระเป๋าลงมาแต่โดยดี

“ไผ่....”  ร่างบางยังคงไม่ยอมหันมาตามเสียงเรียก

“รถลุงแหวงมาแล้ว ยังไงต้นไปก่อนนะ”

เสียงสูดน้ำมูกที่ได้ยินราวจะเป็นสัญญาณรับรู้จากอีกฝ่าย ตระการปรารถนาเหลือเกินที่จะเดินเข้าไปกอดรัดร่างนั้นไว้แน่นๆแล้วจูบให้เต็มความรู้สึกโหยหาที่เอ่อท้นขึ้นมา แต่ก็รู้ดีว่าในอารมณ์ที่กำลังคุกรุ่นของอีกฝ่าย ไม่ว่าคำพูดใดหรือการกระทำใดในตอนนี้ต่างไร้ประโยชน์

“ต้นลืมบอกว่ามีของจะให้ไผ่ด้วย ยังไงต้นวางไว้ที่เคาน์เตอร์นะ”

ชายหนุ่มนิ่งรอ แต่กระนั้นอีกฝ่ายยังคงนั่งเงียบไม่เอ่ยเอื้อนอะไร ทั้งสองสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงแตรรถหวีดแหลมดังมาจากทางหน้าบ้าน

“รีบไปเถอะ อย่าให้เค้ารอนาน”

เสียงที่เอ่ยขึ้นเรียบๆปราศจากความรู้สึกกรีดลึกลงในหัวใจคนฟังที่หวังว่าอีกฝ่ายจะแสดงอารมณ์หวั่นไหวกับการจากลาออกมาบ้าง ตระการหันกลับไปคว้ากระเป๋าสะพายขึ้นจากโซฟาก่อนจะหันกลับไปมองคนที่ยังนั่งหันหลังให้ตนอยู่ในครัวอีกครั้ง

“ต้นไม่รู้ว่าเราจะได้เจอกันอีกครั้งเมื่อไหร่ แต่ยังไงต้นก็อยากให้ไผ่จำคำนี้ไว้ ไม่ว่าไผ่จะได้ยินใครพูดอะไร แต่คนที่ต้นรักคือไผ่คนเดียว”

เสียงรถกระบะขับห่างออกไปแล้ว พรพฤกษ์ค่อยๆหันหน้ากลับมายังห้องนั่งเล่นที่ว่างเปล่าก่อนจะก้าวไปยังเคาน์เตอร์อย่างอ่อนระโหย สิ่งที่วางอยู่คือสร้อยข้อมือเงินลายโซ่สำหรับผู้ชาย และการ์ดเล็กๆที่มีเพียงข้อความสั้นๆ แต่กลับทำให้คนอ่านน้ำตาไหลและหลุดสะอื้นออกมาอีกอย่างหยุดไม่ได้


“ของขวัญสำหรับคนรักคนเดียวในชีวิตของผม”



*************



“พ่อหนุ่มมาจากกรุงเทพฯเหรอ นี่มาอยู่ได้กี่วันแล้วล่ะ”

ตระการฝืนยิ้มบางๆทั้งที่ไม่อยู่ในอารมณ์จะเสวนาเท่าใดนัก

“ราวสองอาทิตย์กว่าได้แล้วครับ”

“โห...มานานนะ เกสต์เฮ้าส์เล็กๆบนเขาอย่างนั้นหน้าฝนอย่างนี้ไม่ค่อยมีใครไปพักนานๆหรอก ดูสิ พูดถึงไม่ทันไรก็ตกอีกแล้ว”

ตระการเงยหน้ามองออกไปจากหน้าต่างที่นั่งฝั่งตนแล้วก็พบว่าม่านฝนเริ่มโรยตัวลงมา จากบางเบาก็ค่อยๆทวีแรงขึ้นจนกระจกหน้าต่างมัวไปหมด

“อย่างงี้คงขับเร็วไม่ได้นะพ่อหนุ่ม ว่าแต่จะไปสนามบินใช่มั้ย จะหลับไปก่อนก็ได้นะเดี๋ยวถึงแล้วลุงปลุก”

“ขอบคุณครับ”

ชายหนุ่มหลับตาลง ไม่ใช่เพราะอยากพักผ่อน แต่เพราะพยายามกลั้นน้ำตาที่กำลังเอ่อขึ้นเมื่อนึกถึงคนที่ตนจากมา ตอนนี้ไผ่จะกำลังเศร้า กำลังคิดถึงเขาเหมือนที่เขาคิดถึงอีกฝ่ายอยู่หรือเปล่า


“ไผ่ ต่อให้เราอยู่ห่างไกลกันแค่ไหน คนที่ต้นรักก็มีแต่ไผ่คนเดียวนะ”


*************

หัวข้อ: Re: >>มาแล้นนนน แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 10 [7/10/08]<<
เริ่มหัวข้อโดย: krappom ที่ 07-10-2008 23:33:16

สงสารอ่ะ

สงสารทั้งต้นทั้งไผ่เลย

 :sad2: :sad2: :sad2:

หัวข้อ: Re: >>มาแล้นนนน แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 10 [7/10/08]<<
เริ่มหัวข้อโดย: The Living River Ping ที่ 08-10-2008 10:59:35
ไม่ ไม่นะ ยังไม่ได้ชนท้ายกันเลย ไปเรียกต้นให้กลับมาก่อน มาให้เขาใส่สร้อยข้อมือให้ และไผ่ก็บอกว่า ไม่ว่านานแค่ไหนก็จะรอต้นคนเดียว  :angry2:
หัวข้อ: Re: >>มาแล้นนนน แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 10 [7/10/08]<<
เริ่มหัวข้อโดย: juuuno99 ที่ 09-10-2008 20:32:42
ป้าคับ ไอ้เอสุดแสนจะน่ารักกลับมาแล้วคับ  :m13:



กลับมาแล้วก็


 :angry2:ทำไมทำงี้ ผมกับมาจะให้เสียน้ำตาเหรอ  :serius2:ไม่ยอม เค้าไม่ยอมอ่ะป้า :serius2:
หัวข้อ: Re: >>มาแล้นนนน แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 10 [7/10/08]<<
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 10-10-2008 10:12:42

สงสารอ่ะ

สงสารทั้งต้นทั้งไผ่เลย

 :sad2: :sad2: :sad2:



สงสารเหมือนกัน  :sad2: (แล้วไปพรากเค้าทำม้ายยย) ยังไงอย่าเพิ่งถอดใจเลิกลุ้นเน่อ รออ่านต่อก่อง


ไม่ ไม่นะ ยังไม่ได้ชนท้ายกันเลย ไปเรียกต้นให้กลับมาก่อน มาให้เขาใส่สร้อยข้อมือให้ และไผ่ก็บอกว่า ไม่ว่านานแค่ไหนก็จะรอต้นคนเดียว  :angry2:

 :m29: ขอเช็คกับไผ่ก่อนนะว่าทำประกันชั้นไหนไว้ อิๆๆ

ป้าคับ ไอ้เอสุดแสนจะน่ารักกลับมาแล้วคับ  :m13:



กลับมาแล้วก็


 :angry2:ทำไมทำงี้ ผมกับมาจะให้เสียน้ำตาเหรอ  :serius2:ไม่ยอม เค้าไม่ยอมอ่ะป้า :serius2:

โอ๋ๆๆ มาให้ป้ารับขวัญมะ ก็รักแท้มันต้องใช้ระยะทางและการเวลาเป็นตัวพิสูจน์ง้ายยยยย รออ่านตอนต่อไปละกาน  :laugh:
หัวข้อ: Re: >>มาแล้นนนน แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 10 [7/10/08]<<
เริ่มหัวข้อโดย: pickki_a ที่ 10-10-2008 22:52:35
สงสารทั้งคู่ล่ะคับ
ทั้งต้นและไผ่เลย

ป้าคับ อย่าให้มันเศร้าไปนะคับ เดี๊ยวเรื่องของผมจะสู้ไม่ได้  :serius2:
หัวข้อ: -UP- แม้นมั่นคำสัญ#
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 11-10-2008 15:12:01
พอดีต้องมาเฝ้าน้องที่โรงพยาบาล เลยเอาโน้ตบุ๊คมาพิมพ์ต่อซะเลย  :m9:

ตอนนี้...ไม่เศร้าเท่าตอนที่แล้ว...มั้ง?   :m28:



11.

ท่ามกลางเสียงเอะอะจอแจของสื่อมวลชนและแขกวีไอพีรวมทั้งดารานักแสดงที่เดินขวักไขว่อยู่ในโถงจัดเลี้ยงของโรงแรมดังใจกลางเมือง แสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูปและไฟติดกล้องอัดเทปบันทึกภาพจากรายการโทรทัศน์หลากช่องสว่างวาบขึ้นตามจุดต่างๆหลังจากที่เพิ่งจบงานแถลงข่าวก่อนการเปิดโครงการ “แพนดิโมเนียม” ซึ่งเป็นการรวมหุ้นของกลุ่มสุวรรณฤทธิ์กับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศซึ่งจะเปิดตัวในประเทศไทยสองโครงการและที่เกาหลีอีกหนึ่งโครงการพร้อมกันในช่วงต้นปีหน้า

ชายร่างสูงกำยำดูโดดเด่นในชุดเสื้อสูทสีเข้มสวมทับเชิ้ตผ้าไหมสีเทาปลดกระดุมเม็ดบนไม่ผูกเน็คไทเดินฝ่าฝูงชนที่พยายามเข้ามารุมล้อมขอสัมภาษณ์และถ่ายรูปเพื่อผ่านเข้าไปยังห้องพักวีไอพีที่เยื้องกับบริเวณที่จัดเลี้ยงอย่างรีบร้อน เสียงทุ้มเอ่ยปัดเมื่อนักข่าวคนหนึ่งวิ่งตามมาแล้วเอาเครื่องมืออัดเสียงยื่นมาใกล้ๆ

“ขอโทษครับ ถ้าหากมีคำถามเกี่ยวกับโครงการ ขอให้สอบถามจากคุณวรชัย ที่ปรึกษาอาวุโสของโครงการนะครับ”

ตระการปิดประตูตามหลังเมื่อก้าวเข้ามาในห้องพักแล้วก็ถอนหายใจ ชายหนุ่มเสยผมอย่างอ่อนเพลีย ช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมานับตั้งแต่เขากลับมาเมืองไทยก็ยุ่งกับงานตลอดเพราะต้องเดินทางขึ้นลงระหว่างกรุงเทพฯกับภูเก็ตเพื่อคอยตรวจเช็คความคืบหน้าของโครงการที่บิดาร่วมผลักดันกับบริษัทต่างชาติให้เกิดเป็นรูปร่าง โดยก่อนหน้านั้นตระการถึงกับต้องเดินทางไปประจำกับบริษัทย่อยในเครือที่เกาหลีเพื่อคอยติดต่อธุรกิจกับพาร์ทเนอร์โดยตรง และเพื่อสร้างความมั่นใจว่าทุกอย่างดำเนินไปด้วยดีไม่มีสะดุดตามคำสั่งของบิดาผู้กำลังประสบปัญหาทางสุขภาพซึ่งมีแต่คนใกล้ตัวที่รู้ ส่วนตัวเขาเองก็พอจะตระหนักถึงภาระความรับผิดชอบที่ตนต้องสืบทอด ประกอบกับความจำเป็นที่จะต้องกำจัดความกังขาจากบอร์ดผู้บริหารและเหล่าพนักงานด้านความสามารถในการรับช่วงกิจการของเขาให้หมดไปจึงต้องมุทำงานหนักเช่นนี้

ร่างสูงรินน้ำเย็นจากเหยือกที่บริเวณเคาน์เตอร์ในห้องขึ้นดื่มแล้วก็เดินไปมองทิวทัศน์กรุงเทพฯยามหัวค่ำจากหน้าต่างกระจกชั้นที่ 30 ของโรงแรม เส้นขอบฟ้าขมุกขมัวที่ไกลออกไปยังพอมีริ้วสีแดงเข้มจากแสงอาทิตย์สุดท้ายพาดผ่าน อาบย้อมให้ปุยเมฆที่ลอยล่องเรื่อไปด้วยสีม่วงอมแดงซีดๆชวนให้เหงาหงอย ชายหนุ่มวางมือหนาลงทาบกระจก เมืองใหญ่ที่ดูจอแจไปด้วยผู้คนและแออัดไปด้วยตึกรามบ้านช่องทรงเหลี่ยมก่อให้เกิดบรรยากาศอ้างว้างจับใจ

แผ่นฟ้าที่ไร้ทิวเขาบดบังช่วยให้มองเห็นทัศนียภาพได้ไกล แต่ก็ไม่ไกลพอที่จะเห็นสถานที่ที่อยู่ในใจเขาตลอดเวลาเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา มือแข็งแรงกระชับแก้วน้ำแน่นขึ้นเมื่อหวนคิดถึงความทรงจำที่ทำให้ปวดยอกในอก เขาปรารถนาเหลือเกินที่จะทิ้งงานที่กำลังทำให้ชีวิตยุ่งเหยิงจนไร้เวลาส่วนตัวแล้วบินขึ้นไปเชียงใหม่เพื่อปรับความเข้าใจกับคนรักที่ต้องแยกจากทั้งที่ความสัมพันธ์เพิ่งเริ่มต้น นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้ยินเสียง กี่วันต่อกี่เดือนที่ไม่ได้เห็นหน้า แม้จะห่างเหินกันเพียงใดแต่ความถวิลหาอีกฝ่ายนั้นไม่เคยลดน้อยตามไปเลย

“แม่ครับ เมื่อไหร่ต้นจะได้ปรับความเข้าใจกับไผ่เสียที?”

ตระการรู้สึกถึงโทรศัพท์มือถือที่สั่นอยู่ในกระเป๋าเสื้อนอกจึงหยิบออกมาดูแล้วก็ถอนหายใจก่อนกดรับ

“ครับพ่อ”

“งานแถลงข่าวกับงานเลี้ยงเป็นไงบ้าง?”

“งานแถลงข่าวได้รับความสนใจจากสื่อธุรกิจพอสมควรครับ ส่วนงานเลี้ยงตอนค่ำก็มีสื่อด้านบันเทิงมาเยอะ น่าจะเพราะเราจ้างดารามาหลายคน แขกที่ส่งบัตรเชิญไปก็มากันเกือบหมด”

“ฉันหวังว่าแกจะกำลังรับแขกและตอบคำถามสื่ออยู่นะ การเป็นหน้าเป็นตาในสายตาสื่อก็เป็นการประชาสัมพันธ์ธุรกิจเหมือนกัน อย่าให้ฉันรู้ว่าแกให้วรชัยออกหน้าอยู่คนเดียว นี่เป็นหน้าที่ของผู้บริหาร ลูกน้องจะมองยังไงถ้าแกมัวแต่หลบหน้าผู้คน”

ชายหนุ่มแค่นยิ้มกับประโยคดักทางที่แม่นยำราวอีกฝ่ายมาร่วมงานและสังเกตการณ์ด้วยตนเอง “ผมทราบครับ พอดีตอนแถลงข่าวผมโดนนักข่าวสัมภาษณ์เยอะเลยเพลีย ตอนนี้ผมเบรกอยู่แต่เดี๋ยวจะออกไปเปลี่ยนกับอาวีแล้วครับ”

“งั้นก็ดี”

ตระการกดวางสาย เมื่อมองไปนอกหน้าต่างฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มแล้ว ชายหนุ่มหมุนตัวกลับแล้วก็สูดหายใจเข้าลึกก่อนเปิดประตูห้องพักเพื่อกลับไปร่วมงานสังสรรค์ที่ตนเป็นเจ้าภาพอีกครั้ง

ร่างสูงโดดเด่นก้าวเข้างานได้ไม่ถึงอึดใจก็มีวงแขนบอบบางตรงรี่มาคว้าแขนแกร่งข้างหนึ่งไปคล้องอย่างสนิทสนม

“พี่ต้นหายไปไหนมา ลี่รอถ่ายรูปคู่กับเจ้าภาพตั้งนานแล้วนะคะเนี่ย ไปตรงหน้างานกันดีกว่า”

ตระการยิ้มตามมารยาทเมื่อโดนดึงตัวไปบริเวณที่จัดไว้สำหรับถ่ายรูปบริเวณทางเข้างานแล้วก็มีแต่คนที่ไม่รู้จักเข้ามาขอถ่ายรูปด้วยเต็มไปหมด  แต่ไม่ว่าจะมีใครสับเปลี่ยนเข้ามาสักกี่ราย หญิงสาวข้างกายก็ไม่ผละห่างจากเขาเลย ตรงกันข้ามกลับยิ่งเบียดกายในชุดเกาะอกสั้นรัดรูปเข้าใกล้มากขึ้นเวลาถ่ายรูปหมู่หลายๆคน ด้วยพื้นที่ที่จำกัดแม้ชายหนุ่มจะพยายามถอยสร้างระยะห่างก็ไม่เกิดผลเท่าใดนัก

“อุ๊ย เจ้ปาล์มมาด้วยเหรอวันนี้”

ลลิตาจูงมือชายหนุ่มเดินตามหลังคนรู้จักของตนอย่างถือวิสาสะ ตระการกลอกตาแม้ไม่ชอบใจ เอาเถอะ บางทีเขาอาจหาโอกาสปลีกตัวออกมาระหว่างที่นางแบบสาวคุยอยู่กับเพื่อนได้ ใบหน้าคมคายขมวดคิ้วเมื่อได้พิศใบหน้าของคนที่กำลังถูกจูงเข้าไปหาในระยะใกล้ ชายหนุ่มจำไม่ได้ว่าเคยเห็นใบหน้านั้นที่ไหนแต่ก็รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาหญิงสาวผมซอยสั้นอย่างบอกไม่ถูก

เสียงที่ค่อนข้างแหบต่ำเมื่อเทียบกับผู้หญิงทั่วไปเอ่ยตอบเมื่อโดนหญิงสาวร้องทักเสียงแหลม “พอดีวันนี้อิเว้นท์ชนกันหลายงาน พี่ที่กองเลยขอให้มาเก็บภาพกับเนื้อข่าวของงานนี้ไปให้ ไม่คิดว่าจะเจอลี่ที่นี่เหมือนกันนะ”

“พี่ต้นคะ นี่เจ้ปาล์ม เป็นลูกพี่ลูกน้องลี่เอง ทำงานอยู่นิตยสาร ว่าแต่เมี่อกี้เจ้ได้ทันถ่ายรูปคู่ของลี่กับพี่ต้นตรงทางเข้างานรึเปล่า” ท้ายประโยคหญิงสาวหันกลับไปถามญาติของตน

“ก็ได้ไปหลายช็อตแล้วแหละ แต่ถ่ายอีกก็ได้” หญิงสาวยักไหล่แล้วยกกล้องขึ้นเก็บภาพเมื่อเห็นนางแบบสาวเตรียมโพสท์ท่ากับนายแบบจำเป็นไปแล้ว ลลิตาผละแขนจากตระการไปขอดูรูปที่ขึ้นบนจอของกล้องดิจิตอลแล้วก็ทำแก้มป่องเสียงกระเง้ากระงอด

“พี่ต้นน่ะ ทำไมไม่ยิ้มเลยล่ะคะ”

ชายหนุ่มยิ้มจืดๆ แต่ไม่ทันพูดอะไรคนที่เป็นตากล้องก็ชิงพูดปรามหญิงสาวขึ้นเสียก่อน “เอาน่ะลิลลี่ เห็นใจกันหน่อย ท่านเจ้าภาพเค้าคงเหนื่อย”

หญิงสาวผมสั้นในเสื้อเชิ้ตแขนสามส่วนเข้ารูปและกางเกงยีนส์ทรงตรงยืนกดปุ่มเลื่อนเช็ครูปไปเรื่อยๆ  ตระการสังเกตว่าคนตรงหน้าเตี้ยกว่าลลิตาที่สวมรองเท้าส้นแหลมเพียงนิดหน่อยเท่านั้น แสดงว่าเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างสูงพอสมควร ขณะที่ชายหนุ่มพยายามนึกว่าเคยพบกับคนตรงหน้าที่ไหน สายตาที่ดูฉลาดรู้ทันคนก็เหลือบขึ้นสบตาเขายิ้มๆอย่างผู้ที่ถือไพ่ลับเอาไว้
   
“ว่าแต่ เจ้าของบ้านนฤมิตรตอนนี้สบายดีเหรอ?”


*************


“เฮ้ย! ปล่อยซะทีสิ จะพาเราไปไหนเนี่ย!?”

ปฏิมาโวยเสียงฉุนพลางพยายามสะบัดมือที่ถูกมือใหญ่ลากให้เดินตามทันทีหลังสิ้นประโยคคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบจริงจังของตน ชายหนุ่มตาโตขึ้นหลังจากได้ยินคำถามนั้น แล้วก็ตรงเข้ามาคว้าข้อมือหล่อนไว้แน่นก่อนหันไปบอกลิลลี่ว่ามีธุระอยากขอดูรูปถ่ายของงานด่วนและขอให้อย่าตามไปที่ห้องพัก จากนั้นก็หมุนตัวพาหล่อนออกมาทันทีทั้งๆที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก

ตระการจูงหญิงสาวเข้าในห้องพักวีไอพีแล้วปิดประตูตามหลัง ร่างสูงเพรียวสะบัดข้อมือหลุดจากการจับกุมแล้วก็ก้าวออกห่างจากร่างสูงใหญ่ก่อนหันมองอีกฝ่ายอย่างระแวง

“มีธุระอะไร?”

ชายหนุ่มยกมือทั้งสองข้างขึ้นเมื่อเห็นนัยน์ตาไม่ไว้ใจมองจ้องตรงๆ “ขอโทษที่บังคับพามาที่นี่ ผมไม่ได้มีเจตนาไม่ดีจริงๆ แต่พอคุณถามขึ้นมาเมื่อกี้ผมเลยจำได้ คุณเคยไปพักที่เกสต์เฮ้าส์ของไผ่ช่วงเดียวกับผมเมื่อปีที่แล้วใช่ไหม?”

หญิงสาวเลิกคิ้ว “เราจำชื่อเจ้าของบ้านนั้นไม่ได้หรอก แต่ถ้าหมายถึงคนหน้าหวานๆตัวผอมๆนั่นล่ะก็ใช่ ทำไมเหรอ เลิกกันแล้วรึไง?”

คำถามตรงๆแทงใจดำจนชายหนุ่มหน้าหมองลง “ผมไม่รู้ ถ้าคุณถามไผ่คุณอาจได้คำตอบแบบนั้น แต่สำหรับผม ผมยังรักเขาอยู่”

ทายาทหนุ่มของกลุ่มบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังบอกเล่าตรงไปตรงมาด้วยน้ำเสียงมั่นคงจนคนฟังประหลาดใจ ปฏิมากอดอกพิงเคาน์เตอร์แล้วมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเต็มไปด้วยคำถาม

“ทำไมกล้าพูดแบบนั้น ไม่กลัวเราแบล็คเมล์หรือไง แล้วที่ลิลลี่บอกใครๆว่าคบนายอยู่หมายความว่าไง?”

“ผมเคยไปไหนมาไหนกับลิลลี่กับกลุ่มเพื่อนของเขาบ้างตอนเรียนอยู่ที่ต่างประเทศ แต่ผมไม่เคยคิดอะไรกับเขาเกินความเป็นเพื่อนหรือพี่น้อง บังเอิญร้านเพชรของครอบครัวลิลลี่เป็นผู้เช่ารายสำคัญในโครงการหลายๆแห่งของเครือผมพวกเราก็เลยเจอกันในงานบ่อยก็เท่านั้นเอง”

“พูดง่ายดีนี่ ถ้างั้นนายจะบอกว่าลิลลี่กุข่าวงั้นเหรอ?”

“ถ้าคุณถามผม ผมก็จะตอบตรงๆว่าใช่” ชายหนุ่มถอนหายใจ “ลิลลี่ไม่ใช่คนไม่ดี แต่เขาไม่ใช่คนที่ผมรัก”

ปฏิมาขมวดคิ้วเมื่อเห็นแววตาคมทอประกายเศร้าจึงพูดเสียงอ่อนลง

“แล้วทำไมถึงกล้าเล่าให้เราฟัง เราเป็นลูกพี่ลูกน้องลิลลี่นะ ไม่กลัวเราไปบอกเค้าเหรอ?”

มือหนายกขึ้นลูบหน้าอย่างใคร่ครวญ “แบบนั้นอาจดีกว่าก็ได้ ไม่รู้สิ ผมแค่ดีใจที่ได้เจอคนที่เป็นพยานว่าเคยเห็นผมกับไผ่ช่วงที่มีความสุขด้วยกัน แล้วถ้าเป็นไปได้ ผมขอร้องว่าอย่าเอารูปคู่ของผมกับลิลลี่ตีพิมพ์ในหนังสือของคุณก็พอ”

หญิงสาวยืนนิ่งพลางลอบมองคนตรงหน้า สายตาของตระการซื่อตรงเกินกว่าจะคิดว่าชายหนุ่มกำลังเสแสร้งขอความเห็นใจ และหญิงสาวก็เคยเห็นภาพความสนิทสนมระหว่างทายาทธุรกิจพันล้านกับเจ้าของเกสต์เฮ้าส์เล็กๆบนชายเขาในเมืองทางเหนือกับตามาแล้วจริงๆ ร่างเพรียวคลายแขนที่กอดอกอยู่แล้วทรุดตัวลงนั่งที่โซฟามุมห้อง ตระการมองตาม

“ไหนๆคืนนี้เราก็ไม่ได้มีแผนจะไปไหนต่อ ยังไงช่วยเล่าเรื่องของนายกับไผ่ให้เราฟังได้ไหม?”


*************


“รสชาติเป็นไงมั่งไผ่ คิดว่าจานนี้พอจะนำเสนอไหวมั้ย”

คนถูกขอความเห็นเงยหน้าขึ้นจากจานอาหารแล้วก็ยิ้มบางๆให้คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “อร่อยดี อ้นนี่ความคิดสร้างสรรค์ดีนะ ไม่เสียแรงที่ไปฝึกทำอาหารที่ญี่ปุ่นมา”

คนถูกชมยิ้มเขินพลางเกาท้ายทอยซึ่งคงเป็นกิริยาที่ติดมาจากการไปใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นอยู่หลายปี

“ก็ลองผิดลองถูกไปเรื่อยแหละ ยังไงถ้าไม่ได้เอาให้คนอื่นชิมดูก่อนก็ไม่กล้าเอาลงเมนูหรอก อาหารแนวลูกผสมแบบนี้”

พรพฤกษ์ส่งเสียงแย้งในคอแล้วหยิบแก้วน้ำชาอุ่นๆขึ้นจิบ ชายหนุ่มนั่งอยู่ในร้านอาหารของอภิสิทธิ์ อดีตเพื่อนร่วมโรงเรียนสมัยเด็กซึ่งไม่ได้พบกันตั้งแต่เรียนจบมัธยมปลาย ร้านดังกล่าวตั้งอยู่ในถนนชื่อดังกลางตัวเมืองเชียงใหม่ซึ่งเป็นแหล่งที่ใกล้หอพักนักศึกษา ระหว่างวันจึงมีลูกค้าเข้าร้านมากมายเพราะติดใจในความแปลกใหม่ของรสชาติอาหารที่นำแนวอาหารแบบไทยและญี่ปุ่นมาผสมกันอย่างลงตัว แต่เนื่องจากตอนนี้เป็นเวลาใกล้ปิดร้านแล้วลูกค้าจึงเหลือเพียงไม่กี่โต๊ะ

“นี่ยังดีนะที่ป๊ายอมให้ยืมเงินมาลงทุน ตอนที่บอกว่าจะออกมาทำร้านของตัวเองโดนบ่นอู้เลย”

 “ก็น่าอยู่หรอก ป๊าของอ้นคงอยากให้ลูกชายสืบทอดร้านข้าวซอยของตัวเองมากกว่าน่ะสิ”

พรพฤกษ์ว่าแล้วก็หัวเราะ อีกฝ่ายจึงถอนหายใจเฮือก “ให้แอ้มันทำไปแล้วกัน น้องสาวเราเชื่อฟังป๊ากับม้าดี น่าจะสืบทอดร้านได้ดีกว่า จะว่าไป ไผ่มาอยู่บ้านนอหลายเดือนแล้วเหมือนกันนะ นี่กะปิดบ้านนฤมิตรยาวเลยเหรอ”

คำถามนั้นเหมือนจุดไต้ตำตอ นัยน์ตาหวานเสมองไปนอกร้านแล้วก็อ้อมแอ้มตอบ

“พอดีช่วงนี้อยากพักผ่อนแล้วลุยทำงานแปลน่ะ ถ้าจะอยู่คนเดียวที่บ้านนั้นมันก็เหงา เลยคิดว่าเข้ามาอยู่ในเมืองสักพักดีกว่า ตอนแรกก็จะไปเช่าหออยู่แต่นอบอกว่าไหนๆก็ต้องช่วยดูร้านอยู่แล้วก็ไปอยู่ที่บ้านซะเลย”

นัยน์ตาของอีกฝ่ายเป็นประกายขึ้นทันที

“ความจริงเรายังพอมีห้องชั้นบนเหลือนะ ถ้าเกิดไผ่อยากเปลี่ยนบรรยากาศจากบ้านนอ จะมาอยู่ชั้นบนร้านเราก็ได้ ที่นี่มีเราอยู่คนเดียวเพราะเด็กๆในร้านเค้าไปเช้าเย็นกลับ”

ใบหน้าหวานหันกลับมาเลิกคิ้ว จริงอยู่ว่าถึงแม้ช่วงนี้จะติดต่อกับเพื่อนคนนี้มากขึ้นแต่เขาก็ไม่คิดว่าตัวเองสนิทกับอีกฝ่ายขนาดที่จะมารบกวนเรื่องที่พัก แต่กระนั้นก็ไม่ได้ปฏิเสธน้ำใจที่ถูกหยิบยื่นให้เสียทีเดียว

“ขอบใจนะ จะเอาไปคิดดู”

“เดี๋ยวเราเข้าไปหลังร้านแป๊บนะ จะดูว่าปิดครัวกันเรียบร้อยหรือยัง”

พรพฤกษ์เท้าคางมองดูรถที่ขับผ่านไปมาบนถนนด้านหน้าร้านอย่างเหม่อๆ เกือบสี่เดือนแล้วหลังจากชายหนุ่มเจ้าของบ้านนฤมิตรประกาศแจ้งบนเว็บไซต์ว่ากำลังปิดเกสต์เฮ้าส์เพื่อทำการปรับปรุง ชีวิตที่ไร้เงาของคนที่เคยผูกพันดำเนินไปอย่างเหงาหงอย ในช่วงเวลาหลังจากที่ตระการกลับไปกรุงเทพฯช่วงแรกๆนั้นเป็นปลายฤดูฝนเข้าฤดูหนาวซึ่งเป็นช่วงที่มีนักท่องเที่ยวทยอยมาพักเขาจึงพอมีอะไรให้ทำบ้าง แต่พอเข้าช่วงโลว์ซีซัน&#
หัวข้อ: Re: -UP- แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 11 [11/10/08]
เริ่มหัวข้อโดย: The Living River Ping ที่ 11-10-2008 19:02:47
อ้างจาก: bellbomb
ในช่วงเวลาหลังจากที่ตระการกลับไปกรุงเทพฯช่วงแรกๆนั้นเป็นปลายฤดูฝนเข้าฤดูหนาวซึ่งเป็นช่วงที่มีนักท่องเที่ยวทยอยมาพักเขาจึงพอมีอะไรให้ทำบ้าง แต่พอเข้าช่วงโลว์ซีซัน&#

ตัวเอง bellbomb ทำไมมันห้วนๆ หดๆไปซะอย่างนั้นล่ะ โลว์ซีซั่นแล้วไงต่อเนี่ย ให้เค้าจินตนาการต่อให้เอาไหม หึหึหึ วะฮะฮ่า  :oni1:

เหนื่อยมากไปหรือเปล่า พักผ่อนมั่งนะตัวเองอ่ะ  :m13:
หัวข้อ: Re: -UP- แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 11 [11/10/08]
เริ่มหัวข้อโดย: บุหรง ที่ 11-10-2008 19:29:47
จบห้วนๆ เพราะโดน กบว  เซนเซอร์มั๊ง  :laugh: :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: -UP- แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 11 [11/10/08]
เริ่มหัวข้อโดย: juuuno99 ที่ 11-10-2008 19:35:57
น้องป้าเนียะ  ปู้ยิ๋ง หรือ ปู้ชายอ่ะคับ แล้วไม่สบายเป็นใยเหยอ ต้องการคนดูแลป่าวคับ :laugh: :laugh:

 :angry2: แล้วไมมันจบห้วนแบบนี้อ่ะป้า

มาต่อให้ไวเลยนะ
หัวข้อ: Re: -UP- แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 11 [11/10/08]
เริ่มหัวข้อโดย: pickki_a ที่ 11-10-2008 22:16:56
ป้าๆๆ
มันหายไปอ่ะ
 o12
เอามาต่อด้วยนะคับ
หัวข้อ: Re: -UP- แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 11 [11/10/08]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_uk ที่ 12-10-2008 00:40:53
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: -UP- แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 11 [11/10/08]
เริ่มหัวข้อโดย: BeePed ที่ 12-10-2008 00:58:26
เจ๊มาต่อด่วน  :angry2: :angry2: อย่าลีลา
หัวข้อ: [UP แก้ครึ่งหลัง] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 11 [12/10/08]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 12-10-2008 10:23:39
คนเขียนงงด้วย เออเหวย ตอนโพสท์เมื่อวานก็เช็คแล้วนะว่ามันก็ลงครบนิ ไหงมาเช็คเช้านี้ดันขาดหว่า เลยทำคนอ่านอารมณ์ค้างกันเป็นทิวแถว เค้ามะด้ายตั้งจายน้า ไปโทษเน็ตคาเฟ่ของโรงบาลนู่น  :laugh:

ขอขอบคุณทุกเสียงแห่งความห่วงใย ขอต่อจากครึ่งตอนที่แล้วละกันนะจ๊า

ป.ล. น้องป้าเป็นปู้หญิงอ่า เสียจายด้วย มาเจี๋ยนไส้ติ่ง พรุ่งนี้น่าจะได้ออกแล้วละ

ป.ล. 2 ตอนใหม่อาจมาบ่ายๆหรือค่ำๆนี้เน้อ


*************


“รสชาติเป็นไงมั่งไผ่ คิดว่าจานนี้พอจะนำเสนอไหวมั้ย”

คนถูกขอความเห็นเงยหน้าขึ้นจากจานอาหารแล้วก็ยิ้มบางๆให้คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “อร่อยดี อ้นนี่ความคิดสร้างสรรค์ดีนะ ไม่เสียแรงที่ไปฝึกทำอาหารที่ญี่ปุ่นมา”

คนถูกชมยิ้มเขินพลางเกาท้ายทอยซึ่งคงเป็นกิริยาที่ติดมาจากการไปใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นอยู่หลายปี

“ก็ลองผิดลองถูกไปเรื่อยแหละ ยังไงถ้าไม่ได้เอาให้คนอื่นชิมดูก่อนก็ไม่กล้าเอาลงเมนูหรอก อาหารแนวลูกผสมแบบนี้”

พรพฤกษ์ส่งเสียงแย้งในคอแล้วหยิบแก้วน้ำชาอุ่นๆขึ้นจิบ ชายหนุ่มนั่งอยู่ในร้านอาหารของอภิสิทธิ์ อดีตเพื่อนร่วมโรงเรียนสมัยเด็กซึ่งไม่ได้พบกันตั้งแต่เรียนจบมัธยมปลาย ร้านดังกล่าวตั้งอยู่ในถนนชื่อดังกลางตัวเมืองเชียงใหม่ซึ่งเป็นแหล่งที่ใกล้หอพักนักศึกษา ระหว่างวันจึงมีลูกค้าเข้าร้านมากมายเพราะติดใจในความแปลกใหม่ของรสชาติอาหารที่นำแนวอาหารแบบไทยและญี่ปุ่นมาผสมกันอย่างลงตัว แต่เนื่องจากตอนนี้เป็นเวลาใกล้ปิดร้านแล้วลูกค้าจึงเหลือเพียงไม่กี่โต๊ะ

“นี่ยังดีนะที่ป๊ายอมให้ยืมเงินมาลงทุน ตอนที่บอกว่าจะออกมาทำร้านของตัวเองโดนบ่นอู้เลย”

 “ก็น่าอยู่หรอก ป๊าของอ้นคงอยากให้ลูกชายสืบทอดร้านข้าวซอยของตัวเองมากกว่าน่ะสิ”

พรพฤกษ์ว่าแล้วก็หัวเราะ อีกฝ่ายจึงถอนหายใจเฮือก “ให้แอ้มันทำไปแล้วกัน น้องสาวเราเชื่อฟังป๊ากับม้าดี น่าจะสืบทอดร้านได้ดีกว่า จะว่าไป ไผ่มาอยู่บ้านนอหลายเดือนแล้วเหมือนกันนะ นี่กะปิดบ้านนฤมิตรยาวเลยเหรอ”

คำถามนั้นเหมือนจุดไต้ตำตอ นัยน์ตาหวานเสมองไปนอกร้านแล้วก็อ้อมแอ้มตอบ

“พอดีช่วงนี้อยากพักผ่อนแล้วลุยทำงานแปลน่ะ ถ้าจะอยู่คนเดียวที่บ้านนั้นมันก็เหงา เลยคิดว่าเข้ามาอยู่ในเมืองสักพักดีกว่า ตอนแรกก็จะไปเช่าหออยู่แต่นอบอกว่าไหนๆก็ต้องช่วยดูร้านอยู่แล้วก็ไปอยู่ที่บ้านซะเลย”

นัยน์ตาของอีกฝ่ายเป็นประกายขึ้นทันที

“ความจริงเรายังพอมีห้องชั้นบนเหลือนะ ถ้าเกิดไผ่อยากเปลี่ยนบรรยากาศจากบ้านนอ จะมาอยู่ชั้นบนร้านเราก็ได้ ที่นี่มีเราอยู่คนเดียวเพราะเด็กๆในร้านเค้าไปเช้าเย็นกลับ”

ใบหน้าหวานหันกลับมาเลิกคิ้ว จริงอยู่ว่าถึงแม้ช่วงนี้จะติดต่อกับเพื่อนคนนี้มากขึ้นแต่เขาก็ไม่คิดว่าตัวเองสนิทกับอีกฝ่ายขนาดที่จะมารบกวนเรื่องที่พัก แต่กระนั้นก็ไม่ได้ปฏิเสธน้ำใจที่ถูกหยิบยื่นให้เสียทีเดียว

“ขอบใจนะ จะเอาไปคิดดู”

“เดี๋ยวเราเข้าไปหลังร้านแป๊บนะ จะดูว่าปิดครัวกันเรียบร้อยหรือยัง”

พรพฤกษ์เท้าคางมองดูรถที่ขับผ่านไปมาบนถนนด้านหน้าร้านอย่างเหม่อๆ เกือบสี่เดือนแล้วหลังจากชายหนุ่มเจ้าของบ้านนฤมิตรประกาศแจ้งบนเว็บไซต์ว่ากำลังปิดเกสต์เฮ้าส์เพื่อทำการปรับปรุง ชีวิตที่ไร้เงาของคนที่เคยผูกพันดำเนินไปอย่างเหงาหงอย ในช่วงเวลาหลังจากที่ตระการกลับไปกรุงเทพฯช่วงแรกๆนั้นเป็นปลายฤดูฝนเข้าฤดูหนาวซึ่งเป็นช่วงที่มีนักท่องเที่ยวทยอยมาพักเขาจึงพอมีอะไรให้ทำบ้าง แต่พอเข้าช่วงโลว์ซีซันส์อีกครั้งก็รู้สึกเบื่อความเหงาที่ไม่เคยประสบมาก่อนจนต้องบอกเพื่อนๆว่าจะเข้ามาอยู่ในเมืองสักระยะ ซึ่งพอนรพัฒน์รู้ก็ชวนแกมบังคับให้มาอยู่ที่บ้านแทนที่จะไปเช่าหออยู่ตามที่ตั้งใจไว้แต่แรกทันที

“จะไปเช่าหออยู่ให้เปลืองทำไม อยู่ที่บ้านเราน่ะแหละประหยัดดี ช่วยกันดูร้านง่ายดีด้วย แนนก็อยู่ จะได้ครึกครื้น”

ช่วงก่อนที่พรพฤกษ์จะปิดบ้านนฤมิตรเข้ามาอยู่ในเมืองเป็นช่วงที่อภิสิทธิ์เริ่มกลับมาติดต่อด้วยหลังจากไม่ได้เจอกันนาน โดยเริ่มจากมาถามหาที่ร้านกึ่งผับซึ่งเขาลงหุ้นกับเพื่อนไว้ ตอนแรกชายหนุ่มค่อนข้างแปลกใจที่เพื่อนซึ่งไม่เคยสนิทกันแถมยังชอบแกล้งล้อปมด้อยของเขาตอนเด็กๆจู่ๆก็มาพูดคุยสานสัมพันธ์ด้วย แต่แล้วก็คิดได้ว่าคงเพราะเพื่อนรุ่นเดียวกันส่วนมากเข้าไปทำงานที่กรุงเทพฯหรือกระจัดกระจายไปที่อื่นกันหมดแล้วอีกฝ่ายจึงคิดถึงเพื่อนวัยเยาว์ขึ้นมา

นัยน์ตาหวานละจากวิวนอกร้านหลังมองดูได้สักพักแล้วก็เปลี่ยนไปมองจอโทรทัศน์ตรงเคาน์เตอร์แทนอย่างไม่รู้จะทำอะไร แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยในรายการบันเทิงคั่นข่าวภาคดึก

ใบหน้าคมคายและเรือนร่างแข็งแรงที่เคยคุ้นและปรากฏในความฝันบ่อยครั้งในชุดสูทลำลองชั้นดีดูกร้านและเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ท่าทางเหมือนอยู่ในงานสังคมงานหนึ่งเนื่องจากมีผู้คนแต่งตัวสวยงามและมีแสงแฟลชถ่ายภาพวูบวาบเต็มไปหมด ภาพที่เห็นในจอนั้นมีหญิงสาวรูปร่างสูงระหงแต่งตัวเซ็กซี่คอยคล้องแขนร่างสูงไม่ห่าง จนเมื่อภาพซูมที่ใบหน้ายิ้มแย้มของทั้งสองเข้าใกล้ๆพรพฤกษ์ก็ตัวแข็งเมื่อเห็นตัวหนังสือในกรอบที่แสดงอยู่ด้านล่าง

“ตระการ สุวรรณฤทธิ์ ทายาทนักธุรกิจชื่อดัง กำลังควงกับนางแบบสาว ลลิตา ธนประสิทธิ์อยู่จริงหรือไม่?”

“เรียบร้อยแล้ว อ้าวไผ่ เป็นอะไรทำไมหน้าซีดจัง?”

พรพฤกษ์ยกมือลูบหน้า อยู่ๆก็รู้สึกเหมือนอยากร้องไห้ขึ้นมาจนต้องกลั้นสุดชีวิต “อ้น เรารู้สึกเพลียๆอยากกลับบ้านแล้วล่ะ เดี๋ยวขอเข้าห้องน้ำแป๊บแล้วรบกวนอ้นไปส่งที่บ้านนอหน่อยนะ”

ชายหนุ่มร่างสูงผิวขาวอย่างคนมีเชื้อจีนพยักหน้างงๆก่อนจะเบี่ยงตัวให้อีกฝ่ายลุกไปทางหลังร้านอย่างรีบร้อน พรพฤกษ์รีบก้าวเข้าห้องน้ำแล้วก็ปิดประตูลงกลอนก่อนจะยกมือข้างหนึ่งปิดปากกลั้นเสียงสะอื้น ชายหนุ่มเหลือบมองสร้อยเงินบนข้อมือซ้ายที่เคยได้รับจากตระการแล้วก็ยิ่งรู้สึกเจ็บร้าวในใจมากขึ้น ข้อความที่อีกฝ่ายเคยกล่าวไว้ก่อนแยกจากกันยังสะท้อนก้องอยู่ในความทรงจำ


‘ไม่ว่าไผ่จะได้ยินใครพูดอะไร แต่คนที่ต้นรักคือไผ่คนเดียว’


“คนโกหก...ฮึก”

ร่างบางทรุดตัวลงนั่งชันเข่ากับพื้นพรมในห้องน้ำแล้วก็ปล่อยน้ำตาให้ไหลรินอย่างห้ามไม่อยู่อีกต่อไป


*************
หัวข้อ: Re: [UP แก้ครึ่งหลัง] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 11 [12/10/08]
เริ่มหัวข้อโดย: krappom ที่ 12-10-2008 11:10:58

เข้าใจผิดไปใหญ่แล้วอ่ะไผ่

เมื่อไรต้นจะกลับมาเคลียร์สักทีน้อ

 :serius2:

หัวข้อ: Re: [UP แก้ครึ่งหลัง] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 11 [12/10/08]
เริ่มหัวข้อโดย: The Living River Ping ที่ 12-10-2008 14:15:25
แหม เอาบทโศกมาต่อซะงั้น  o7
หัวข้อ: Re: [UP แก้ครึ่งหลัง] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 11 [12/10/08]
เริ่มหัวข้อโดย: pickki_a ที่ 12-10-2008 21:46:33
อ่านแล้วจะ  :sad2: ตาม
หัวข้อ: !UP! แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 12 [12/10 รอบดึก]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 12-10-2008 23:35:37
อ่า ตอนที่แล้วป้าไม่ได้ตั้งใจทำร้ายจิตใจคนอ่านน้า ยังไงอ่านตอนนี้แล้วน่าจะพอเบรกอารมณ์โศกกันได้บ้างเน้อ  :m32:


12.


ร่างสูงเพรียวผมซอยสั้นในกางเกงผ้าทรงหลวมและเสื้อยืดแขนสั้นทับเสื้อแขนสามส่วนสีเข้มหยุดยืนที่ทางเข้าร้าน “ดื่ม-เล่า” ก่อนจะก้มลงมองกระดาษจดในมือ ชื่อร้านและชื่อถนนถูกต้องตามที่ได้รับการบอกเล่ามา ที่เหลือคือสอบถามข้อมูลของผู้ที่ตนถูกไหว้วานให้ช่วยตามหาว่าอยู่ที่นี่หรือไม่

เนื่องจากมาถึงตั้งแต่บ่ายแก่ๆ ทางร้านจึงดูไม่เรียบร้อยพร้อมเปิดให้บริการนักเนื่องจากเป็นร้านอาหารกึ่งผับที่ให้บริการยามกลางคืนเป็นหลัก ปฏิมาเลือกนั่งที่โต๊ะด้านนอกเพื่อจะได้สังเกตการณ์บรรยากาศรอบร้านได้ถนัดก่อนจะสั่งแค่อาหารจานเดียวกับน้ำเปล่า หญิงสาวเรียกเด็กเสิร์ฟไว้หลังจากนำอาหารมาให้ตามที่สั่งแล้ว

“น้อง เจ้าของร้านอยู่หรือเปล่า?”

ชลิตหันกลับมามองลูกค้าด้วยใบหน้าสงสัย “สองสามวันนี้เฮียไปต่างจังหวัด พี่มีธุระอะไรสำคัญหรือเปล่าครับ”

หญิงสาวหน้ามุ่ย มาเสียเที่ยวหรือนี่

“อ๊ะ...แต่ถ้าพี่มีอะไรฝากไว้กับพี่ย่ามก่อนก็ได้นะ รายนั้นก็หุ้นส่วนของร้านนี้เหมือนกัน ยังไงคืนนี้เค้าก็มีคิวเล่นดนตรีที่นี่อยู่แล้ว เดี๋ยวอีกสักพักก็มาแล้วพี่”

ปฏิมาค่อยยิ้มออกเมื่อได้ยินอีกชื่อหนึ่งที่เคยได้ยินมาก่อน “ขอบใจ งั้นเค้ามาเมื่อไหร่บอกว่าพี่ขอพบหน่อยแล้วกัน”

เวลาล่วงไปเกือบชั่วโมง เริ่มมีลูกค้าเข้ามาในร้านมากขึ้น ปฏิมานั่งเขี่ยผักที่ใช้ประดับจานอาหารที่ทานหมดแล้วไปมาอย่างเซ็งๆ ไม่นานนักก็เห็นกลุ่มผู้ชายสามคนเดินเข้ามาในร้านพร้อมเครื่องดนตรี หญิงสาวจึงหวังว่าชายที่ตนจะขอความช่วยเหลือคงเป็นหนึ่งในสามคนนี้

“พี่ย่ามๆ มีลูกค้าอยากเจอแนะพี่”

ชายร่างใหญ่มีหนวดเคราเฟิ้ม ผมยาวประบ่ารวบมัดไว้หลวมๆด้านหลังหันกลับมาจากการต่อสายลำโพง

“ใครวะไอ้บอย ธุระสำคัญรึเปล่า ถ้าไม่ใช่สาวสวยก็รอไปก่อน” ชายหนุ่มว่าแล้วก็หันกลับไปจัดการเครื่องเสียงต่อ

ชลิตเกาหัวที่ปัจจุบันย้อมเป็นสีแดงอมส้ม “สวยก็สวยแหละพี่ แต่ไม่สาวว่ะ”

“ไม่สาวนี่แปลว่าแก่รึไงวะ พูดอะไรวกวนจริงมึงนี่ เอ้า อยู่โต๊ะไหน เดี๋ยวกูไปหาก่อนก็ได้ เฮ้ยเต้ย พี่ฝากเซ็ทอัพให้ด้วย”

ดิษยะกล่าวบอกเพื่อนร่วมวงก่อนเดินไปยังโต๊ะที่เด็กเสิร์ฟบอกว่ามีคนรอพบ ฝ่ายเจ้าของโต๊ะเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าก็เงยหน้าขึ้น เมื่อสายตาประสานกันชายหนุ่มก็เผลอยืนมองคนตรงหน้านิ่ง

ปฏิมานิ่วหน้า หญิงสาวไม่ชอบใจนักที่มีคนแปลกหน้ามายืนจ้องจึงถามออกไปเสียงห้วน

“มีธุระอะไร?”

ชายหนุ่มกระพริบตาเหมือนตื่นจากภวังค์ แล้วก็อมยิ้มขำกับประโยคทักทายไม่ใคร่เป็นมิตรนั้น

“พอดีเด็กในร้านบอกผมว่าลูกค้าโต๊ะนี้อยากเจอ ไม่ทราบใช่คุณหรือเปล่า สาวน้อย”

หญิงสาวขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจกับกับสรรพนามลงท้าย แต่ไม่อยากเสียเวลาต่อปากต่อคำจึงรีบตัดบท

“ใช่ เราเองแหละ พอดีมีเรื่องจะถามนิดหน่อย จะนั่งมั้ย?”

ประโยคลงท้ายเหมือนคำสั่งมากกว่าคำถาม ชายหนุ่มจึงทรุดตัวลงนั่งฝั่งเดียวกับหญิงสาวแทนที่จะเป็นฝั่งตรงข้ามจนปฏิมาเผลอขยับไปชิดอีกด้านโดยอัตโนมัติแล้วมองอีกฝ่ายอย่างระแวง

ใบหน้ากลมล้อมด้วยหนวดเคราดกหนายิ้มตาเป็นมันพลางเท้าคางมองหญิงสาว “เอ้า จะถามอะไรครับ?”

อะไรของหมอนี่นะ หญิงสาวคิดในใจแต่ก็ยิงคำถามเข้าประเด็นทันที

“เรามาหาคนชื่อไผ่ ช่วงนี้เขามาที่นี่หรือเปล่า?”

คนถูกถามเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งก่อนจะมองคนตรงหน้าอย่างสนใจจริงจัง

“คุณมาหาเอง หรือใครจ้างให้มาหา?”

“อย่าตอบคำถามด้วยคำถามได้ไหม แล้วถ้าจะมีใครจ้างเราหรือเปล่ามันก็ไม่เกี่ยวกับนาย”

ชายหนุ่มร่างใหญ่เอนหลังพิงเก้าอี้กอดอกพลางยกมือหนึ่งขึ้นเกาคาง “ก็ที่พูดถึงอยู่มันเพื่อนผมนี่คุณ ผมก็ต้องสกรีนก่อนสิว่าคนที่มาถามหาเพื่อนผมมีประสงค์ดีหรือไม่ดี แล้วถ้าเกิดเจ้าตัวเขาไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะเจอใครผมก็ยิ่งปล่อยให้ไปเจอง่ายๆไม่ได้ จริงมั้ย”

ปฏิมาสะอึกกับเหตุผลที่อีกฝ่ายมอบให้ และถึงแม้จะเข้าใจในคำอธิบายนั้นแต่ก็อดมองอีกฝ่ายตาขวางไม่ได้ ชายหนุ่มอมยิ้มนัยน์ตาเป็นประกายก่อนจะขยับนั่งตัวตรงขึ้น

“เอางี้ เรามาแลกเปลี่ยนกัน ถ้าคุณยอมเล่าให้ผมฟังดีๆว่ามาตามหาไผ่มันทำไม ผมอาจยอมช่วยตะล่อมให้มาเจอคุณก็ได้ คงไม่อยากมาเสียเที่ยวใช่ไหม”

ปฏิมามองอีกฝ่ายนิ่งก่อนจะตัดสินใจ เอาเถอะ ถ้ามันจะทำให้เรื่องง่ายเข้า อย่างไรเสียผู้ชายคนนี้ก็เป็นหนึ่งในเพื่อนสนิทของพรพฤกษ์ตามที่ตระการเคยเล่าให้ฟังไว้


*************


“อืม...”

“เข้าใจแล้วใช่ไหม งั้นก็ไปตามเจ้าตัวมาให้ซะที” หญิงสาวกระแทกแก้วน้ำที่ยกขึ้นดื่มลงกับโต๊ะหลังเล่าเรื่องราวคร่าวๆเท่าที่ตนรู้ให้อีกฝ่ายฟังจบแล้ว

“จะว่าไงดีล่ะ ยังกับนิยายน้ำเน่าเลยนะเนี่ย”

ปฏิมาแค่นหัวเราะแล้วเสมองไปทางอื่น ตอนแรกที่ได้ฟังเรื่องจากตระการหล่อนก็คิดแบบนี้เหมือนกัน แต่ไปๆมาๆดูเหมือนว่าแม้แต่ตัวเองก็โดนลากเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในนิยายเรื่องนี้เรียบร้อยแล้วจึงไม่รู้จะพูดอะไร

ดิษยะนั่งกอดอกอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เสนอความคิดขึ้น “เอางี้ เอาเบอร์โทรศัพท์คุณมา แล้วเดี๋ยวผมโทรไปบอกอีกทีว่าจะให้มาเจอไผ่เมื่อไหร่”

“เราไม่ได้มาหลายวันนักหรอกนะ ทำไมถึงเจอตอนนี้เลยไม่ได้?”

ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเตรียมบันทึกหมายเลขของอีกฝ่ายแล้วกล่าวเสียงยียวน

“ใจเย็นหน่อยสิคู้ณ แล้วอีกอย่างตอนนี้ไผ่มันก็ไปข้างนอก ถ้ารอแล้วไม่เจอตัวก็เสียเวลาเปล่าจริงมั้ย แล้วนี่จะอยู่ที่นี่อีกกี่วัน?”

“...คืนวันอาทิตย์นี้ก็กลับแล้ว” หญิงสาวถอนใจก่อนตอบเสียงอ่อย เป็นสัญญาณว่ายอมถอยสำหรับวันนี้

ใบหน้าที่มีหนวดเคราดกหนายิ้มแป้น “โอเค งั้นเดี๋ยวผมจะเข็นมันให้ออกมาเจอคุณก่อนกลับกรุงเทพฯให้ได้แล้วกัน ขอเบอร์ด้วยครับสาวน้อย”

“เลิกเรียกสาวน้อยซักที เราชื่อปาล์ม บอกเบอร์นายมาเดี๋ยวเรายิงไปเอง”

ลับหลังหญิงสาวร่างสูงเพรียวในชุดเสื้อผ้าทะมัดทะแมงแบบผู้ชายแล้ว ชลิตก็เดินเข้ามาเก็บจานและแก้วน้ำแล้วก็เห็นใบหน้ายิ้มกริ่มของหนึ่งในเจ้าของร้านจึงเอ่ยกระเซ้า

“เป็นไรพี่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียว ลูกหนี้พี่เอาเงินต้นพร้อมดอกมาคืนเหรอ”

“ทะลึ่งละไอ้บอย กูแค่เจอสาวในสเป็คเท่านั้นแหละ”

เด็กเสิร์ฟหนุ่มทำหน้าเหรอหราก่อนจะหันตามร่างหญิงสาวที่เพิ่งเดินออกไปจากร้าน “สาว!? ทอมที่เพิ่งเดินออกไปเมื่อกี้เนี่ยนะ? มองยังไงก็แมนกว่าผมอีกนะพี่”

“ไอ้ตาถั่ว มึงใช้ก้อนหินแทนลูกตาหรือไงวะ แต่ก็ดีแล้ว จะได้ไม่ต้องมาแย่งกู”

เด็กหนุ่มผมแดงแกล้งหดคอจนดิษยะทำท่าง้างขาเหมือนจะเตะจึงยอมเผ่นไปโดยดี ชายหนุ่มเกาคาง นึกถึงปฏิกิริยาของปฏิมาตอนได้ยินเขาแหย่ว่าสาวน้อยและท่าทางเกร็งๆยามที่โดนเขาจ้องมองแล้วก็ยิ้มขำ

ทอมตรงไหนล่ะวะนั่น...ผู้หญิงเต็มตัวเลยต่างหากบอยเอ๊ย...


 
*************

หัวข้อ: Re: !UP! แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 12 [12/10 รอบดึก]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 12-10-2008 23:39:40
12. [ต่อ]

พรพฤกษ์รู้สึกงงๆที่วันนี้เพื่อนสนิทคะยั้นคะยอให้มาที่ร้านตั้งแต่ก่อนเวลาเปิดร้าน พอถามก็บอกว่ามีรายการอาหารใหม่อยากให้ช่วยวิจารณ์เผื่อจะเพิ่มในเมนู แต่พอมานั่งแล้วเจ้าตัวก็เอาแต่กดโทรศัพท์มือถือส่งข้อความแล้วก็หัวเราะชอบใจอยู่คนเดียวจนชายหนุ่มเริ่มเบื่อ

“เฮ้ยย่าม ตกลงเมนูที่ว่ายังทำไม่เสร็จอีกเหรอ อีกเดี๋ยวก็ได้เวลาเปิดร้านแล้วนะ”

เพื่อนชายตัวโตจุ๊ปาก “เดี๋ยวน่า มึงอย่าทำตัวเป็นวัยรุ่นใจร้อนนักสิ ของดีมันต้องรอนิดนึง”

เสียงสัญญานจากโทรศัพท์มือถือของคนตัวใหญ่แจ้งว่ามีข้อความเข้า พอชายหนุ่มกดอ่านแล้วก็หัวเราะจนตัวงอ พรพฤกษ์ยังไม่ทันถามว่าข้อความอะไรก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังตึงตังมาจากทางหน้าร้าน และหญิงสาวผมซอยสั้นเดินจ้ำอ้าวตรงมาที่คนทั้งสอง

“ไอ้โรคจิต! หยุดส่งข้อความปัญญาอ่อนมาเดี๋ยวนี้นะ!”

ใบหน้าสวยหวานขัดกับเสื้อผ้าแบบทะมัดทะแมงที่ใส่อยู่ชี้มือที่ถือโทรศัพท์มือถือมาทางคนตัวโตด้วยใบหน้าแดงก่ำ ดิษยะหัวเราะหนักจนต้องเอามือกุมท้อง

“อูย ปาล์มนี่ตลกดีนะ ‘ไปขอแต่งงานกับแมวที่บ้านแกสิ’ เลยเหรอ คิดได้ไง ฮ่าๆๆๆ”

หญิงสาวถลึงตาใส่คนที่ยังหัวเราะไม่หยุดก่อนจะหันขวับมาทางพรพฤกษ์จนชายหนุ่มสะดุ้ง มือเรียวยื่นมาดึงแขนเขาพลางทำท่าจะพาไปนั่งอีกโต๊ะ

“มีคนขอให้เรามาคุยกับนาย”

ยังไม่ทันก้าวพ้นโต๊ะมือหนาใหญ่ก็คว้าหมับเข้าที่แขนอีกข้างของเพื่อน “จะพามันไปไหนล่ะคุณ นั่งคุยกันโต๊ะนี้ก็ได้”

“เรามีธุระกับไผ่ ไม่ใช่กับนาย!”

“แต่ผมเป็นคนทำให้ปาล์มได้เจอมันนะ” ชายหนุ่มทำเสียงกระเง้ากระงอดแล้วก็แสร้งทำปากยื่นเหมือนเด็กที่ถูกขัดใจจนหญิงสาวนึกอยากหาอะไรเขวี้ยงใส่ตงิดๆ

พรพฤกษ์สับสนกับสถานการณ์แปลกๆตรงหน้า แต่แล้วก็ตัดสินใจแทนในฐานะคนกลาง

“นั่งคุยกันตรงนี้ก็ได้ครับ ย่ามเป็นเพื่อนสนิทผม มีธุระสำคัญอะไรให้ฟังด้วยก็ได้”

ประโยคนั้นทำให้ชายร่างใหญ่ยิ้มอย่างมีชัยในขณะที่หญิงสาวมองคนยิ้มตาเขียวก่อนจะยอมทรุดนั่งลง

“ไผ่อาจจำไม่ได้ เราเคยไปพักที่บ้านนฤมิตรกับน้องสาวแล้วก็เพื่อนๆเมื่อปีที่แล้ว ส่วนที่เรามาหาวันนี้เพราะต้นขอร้องมา เขาอยากคุยปรับความเข้าใจกับนาย”

ชื่อที่ไม่ได้ยินจากปากคนอื่นมานานลอยเข้าหู สีหน้าพรพฤกษ์จึงเรียบเฉยขึ้นทันทีก่อนจะหลบตาหญิงสาว

“คุณหมายถึงตระการ สุวรรณฤทธิ์ ทายาทธุรกิจพันล้านน่ะเหรอ เค้ากำลังคบกับนางแบบชื่อดังอยู่นี่ คงยุ่งมากเลยสินะถึงมาด้วยตัวเองไม่ได้”

น้ำเสียงชายหนุ่มนิ่งจนแม้ตัวเองยังแปลกใจ ปฏิมาขมวดคิ้วเอียงคอแล้วชำเลืองไปทางชายหนุ่มตัวโตที่นั่งอยู่อีกด้านหนึ่งของโต๊ะ ดิษยะใช้มือข้างหนึ่งป้องปากทำท่าพูดแต่ไม่ออกเสียง “ยัง-ไม่-ได้-เล่า” หญิงสาวจึงพยักหน้าเข้าใจ

“ไผ่ คือว่าที่ต้นหายหน้าไปนานหลังจากที่กลับไปกรุงเทพฯนั่นเพราะต้องไปดูแลธุรกิจที่เกาหลีน่ะ แล้วจากนั้นพอกลับมาเมืองไทยก็ต้องบินขึ้นๆลงๆระหว่างกรุงเทพฯกับภูเก็ตเพราะต้องตรวจโครงการ เค้าพยายามโทรติดต่อไปที่บ้านนฤมิตรก็ไม่มีใครรับสาย เบอร์มือถือเดิมของไผ่ก็ติดต่อไม่ได้ ที่จริงเค้าก็ร้อนใจอยากมาเองนะแต่ยังไม่มีเวลา นี่เห็นว่าเดี๋ยวก็ต้องกลับไปเกาหลีอีกเป็นเดือนเลย”

พรพฤกษ์ยังนั่งเงียบไม่โต้ตอบ ปฏิมาจึงเอ่ยต่อ

 “แล้วก็ลิลลี่ คนที่เป็นข่าวกับต้นน่ะเป็นลูกพี่ลูกน้องเราเอง เค้าไม่ได้กำลังคบกันหรอกนะ ถ้าอ่านข่าวหรือดูทีวีจะเห็นว่าลิลลี่เป็นคนเดียวที่ออกมาให้สัมภาษณ์ ต้นไม่เคยยอมรับว่าเค้าคบกันอยู่สักครั้ง”

ใบหน้าหวานคมแค่นยิ้ม “งั้นที่เห็นออกงานด้วยกันแล้วทำตัวสนิทสนมขนาดนั้นล่ะ บางครั้งคนเราจะคบกันก็ไม่จำเป็นต้องพูดบอกคนอื่นนี่ หรือจะบอกว่าการสร้างข่าวเป็นงานอดิเรกที่คนมีชื่อเสียงชอบทำกัน”

หญิงสาวตบโต๊ะอย่างเริ่มมีอารมณ์จนชายหนุ่มทั้งสองสะดุ้ง “นี่! รู้ไว้ด้วยนะว่าที่จริงเราก็ไม่สนใจเหมือนกันแหละว่าใครจะเป็นอะไรกับใคร แต่เพราะต้นขอร้องไว้ตอนที่เราบอกว่าจะมาเชียงใหม่ นายไม่ได้เห็นตอนที่เค้าเล่าเรื่องนายให้เราฟัง นายไม่รู้หรอกว่าเค้าเสียใจขนาดไหน”

พรพฤกษ์หน้าเสียเมื่อได้รับรู้ความเป็นไปของอีกฝ่าย ริมฝีปากบางเผยอเหมือนจะเอ่ยอะไรบางอย่างแต่แล้วก็หุบเงียบไป บรรยากาศรอบคนทั้งสามอวลไปด้วยความอึดอัด แต่แล้วในที่สุดชายหนุ่มก็หายใจเข้าลึกก่อนปริปากทำลายความเงียบขึ้น

“ผมยอมรับว่าผมรู้สึกดีกับต้น แต่เส้นทางชีวิตของเราตอนนี้ดูจะต่างกันเกินไป ถ้าหากว่าต้นจะได้มีความสุขกับผู้หญิงที่เหมาะสมผมก็อยากอวยพรให้ เขาไม่ควรยึดติดอยู่กับคนที่นี่” ท้ายประโยคเสียงของชายหนุ่มแผ่วหวิวจนผู้ร่วมโต๊ะสัมผัสได้

“แต่นั่นมันไม่ใช่ปัญหานะ”

หญิงสาวพยายามจะพูดค้านแต่ก็อับจนถ้อยคำ แล้วจู่ๆชายหนุ่มอีกคนที่นั่งเงียบฟังทุกอย่างมาตั้งแต่ต้นก็ตบบ่าเพื่อนก่อนเอ่ยความเห็นขึ้นบ้าง

“ไผ่เอ๊ย บางทีมึงก็คิดอะไรไกลเกินไป ความสุขของใครก็ต้องขึ้นอยู่กับความรู้สึกของคนนั้นสิวะ จะไปคิดแทนให้ได้ยังไง  ทำปากดีเฉไฉไปมาอย่างนี้ ผ่านมาจะปีนึงแล้วตัวเองลืมเขาได้ไหมล่ะ”

พรพฤกษ์น้ำตารื้นเมื่อถูกจี้ใจดำ แต่แล้วก็เงยหน้าขึ้นบังคับน้ำตาให้ไหลกลับเข้าไปก่อนจะลุกขึ้นยืน

“ผมฝากความยินดีไปถึงต้นด้วยแล้วกันเรื่องธุรกิจแล้วก็เรื่องคนรัก บอกเขาว่าให้ลืมผมเสีย ทุกอย่างจบลงอย่างที่เป็นอยู่ก็ดีอยู่แล้ว”

ชายหนุ่มร่างสูงเพรียวเดินออกไปแล้ว สีหน้าปฏิมาแสดงออกว่าหงุดหงิดชัดจนชายหนุ่มอีกคนต้องเอ่ยขึ้นอย่างสงสัย

“ถามอะไรหน่อยได้มั้ย?”

“อะไร!” หญิงสาวถามกลับห้วนๆ ดิษยะยิ้มเอ็นดูกับกิริยากระฟัดกระเฟียดนั้น

“ผมชื่นชมในความพยายามของคุณที่จะช่วยสองคนนั้นนะ ทำไมต้องทำขนาดนี้ด้วยล่ะ? ไม่เกี่ยวกับตัวเองสักหน่อย”

หญิงสาวอึกอัก แล้วก็ถอนหายใจเบาๆ “เราเคยเข้าใจผิดว่าต้นจับปลาสองมือเพราะเคยได้ยินข่าวเรื่องลิลลี่มาก่อนที่จะเห็นเค้าคบอยู่กับไผ่ ตอนแรกเราก็ไม่ค่อยชอบขี้หน้าต้นนักหรอก แต่พอได้ฟังเค้าอธิบายว่าเรื่องจริงๆเป็นยังไงแล้วก็อดเห็นใจไม่ได้”

ดิษยะนั่งกอดอก มือข้างหนึ่งเกาคางพลางมองหญิงสาวนิ่ง

“คืนวันเสาร์ปาล์มกับเพื่อนๆมีโปรแกรมไปไหนกันหรือยัง”

หญิงสาวทำหน้างงที่อยู่ๆชายหนุ่มก็เปลี่ยนเรื่องกะทันหัน

“วันเสาร์น่ะเหรอ ยังไม่รู้ ทำไมล่ะ?”

“คืนนั้นร้านผมจะจัดงานเลี้ยงครบรอบสองปี ยังไงพาเพื่อนๆมาสิ เดี๋ยวเอาตั๋วเข้างานให้”

“ไม่รู้สิ ขอไม่รับปากแล้วกัน”

“มาเหอะน่า ผมมีแผน เท่าที่ดูเมื่อกี้ไผ่มันเริ่มจะใจอ่อนแล้วแต่ยังปากแข็งอยู่ ผมรู้นิสัยเพื่อนดี ไม่แน่ถ้ากระทุ้งถูกจุดเสาร์นี้มันอาจยอมคุยกับต้นก็ได้”

ปฏิมาเลิกคิ้ว อีกฝ่ายยิ้มตอบตาเป็นประกายจนหญิงสาวระแวง เจ้าคนตัวใหญ่หน้าตาเจ้าเล่ห์นี่มีแผนจะทำอะไรกันแน่...



*************

หัวข้อ: Re: !UP! แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 12 [12/10 รอบดึก]
เริ่มหัวข้อโดย: juuuno99 ที่ 12-10-2008 23:47:37
มาทักป้าก่อน

ไว้ค่อยอ่านพรุ่งนี้ รวดเดียว

แว้บมาได้เปปนึง o7 ไอ้ตัวปัญหามันออกดูดบุหรี่

หัวข้อ: Re: !UP! แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 12 [12/10 รอบดึก]
เริ่มหัวข้อโดย: BeePed ที่ 13-10-2008 00:08:24
ชอบ ชอบ ชอบ  :oni2: :oni2:
อยากอ่านตอนต่อไปแล้ว หวังว่าจะมีเซอร์ไพรส์  แบบ....ต้นบินมาหาอะไรทำนองนี้  :t2:
หัวข้อ: Re: !UP! แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 12 [12/10 รอบดึก]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 13-10-2008 00:09:11
มาทักป้าก่อน

ไว้ค่อยอ่านพรุ่งนี้ รวดเดียว

แว้บมาได้เปปนึง o7 ไอ้ตัวปัญหามันออกดูดบุหรี่




ฝากบอกจักรว่าดูดบุหรี่ไม่ดีต่อสุขภาพนะ เปลี่ยนเป็นดูด....ดีกว่า *กร๊าก*  :laugh:
หัวข้อ: Re: !UP! แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 12 [12/10 รอบดึก]
เริ่มหัวข้อโดย: krappom ที่ 13-10-2008 00:36:14

ใจอ่อนแล้วๆ

ไผ่ใจอ่อนแล้ว

 :oni2: :oni2: :oni2: :oni2:

หัวข้อ: Re: !UP! แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 12 [12/10 รอบดึก]
เริ่มหัวข้อโดย: marchmenlo ที่ 13-10-2008 02:56:56
ตามอ่านจนทันแระ เด๊วมาเม้ม ตอนนี้ปวดตา ไม่ไหว ๆ ป้าแกขยันเกิน
งง ๆ อยู่เหมือนกัน ไอ้งานที่ได้เงินจะขยันยังงี้ป่าวเนี๊ย.. o13


แต่......................





พี่เอ...กลับไปต่อของตัวเองเลยน่ะ มาป่วนอะไรแถวนี้ o12
หัวข้อ: Re: !UP! แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 12 [12/10 รอบดึก]
เริ่มหัวข้อโดย: juuuno99 ที่ 13-10-2008 11:44:00
เข้ามาอ่านอย่างสบายอุรา   :m4:  ตอนหน้ามาเมื่อไรคับป้า เอาสักสองสามตอนอีกนะ 


 :a5:


พี่เอ...กลับไปต่อของตัวเองเลยน่ะ มาป่วนอะไรแถวนี้ o12


 :o12: :sad2:
หัวข้อ: Re: !UP! แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 12 [12/10 รอบดึก]
เริ่มหัวข้อโดย: pickki_a ที่ 13-10-2008 15:49:10
มีเซอร์ไพร์ส
อะไรหว่า??
 o12 o12
หัวข้อ: Re: !UP! แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 12 [12/10 รอบดึก]
เริ่มหัวข้อโดย: The Living River Ping ที่ 13-10-2008 19:59:45
ลับลมคมใน ร้อยเล่ห์เพทุบาย อย่างนี้ไม่พ้นชนท้าย..หัวใจ  :m12:
หัวข้อ: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 13 [14/10 รอบดึกดื่น]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 14-10-2008 21:52:13
13.
   
นรพัฒน์นิมนต์พระสงฆ์มาทำบุญเลี้ยงเพลที่บ้านในวันเสาร์ที่มีกำหนดจัดงานเลี้ยงครบรอบ 2 ปีของร้านหลังกลับจากไปเยี่ยมพ่อแม่ที่จังหวัดน่าน หลังจากพนักงานในร้านทานอาหารกลางวันเสร็จก็ต่างวุ่นวายกับการตกแต่งร้านและจัดวางโต๊ะและเก้าอี้เสริมเพราะแค่จำนวนแขกประจำที่จองตั๋วไว้ล่วงหน้าก็แทบเต็มร้านแล้ว ยังไม่รวมลูกค้าที่อาจวอล์คอินเข้ามายามค่ำเนื่องจากทางร้านจ้างวงดนตรีรับเชิญที่กำลังมีชื่อเสียงมาร่วมเล่นมินิคอนเสิร์ตด้วย

ดิษยะดึงเทปกระดาษแถบใหญ่ออกมาแปะลงบนโต๊ะกลางร้านที่สามารถมองเห็นเวทีได้ชัดแล้วก็เขียนว่า “จองแล้ว – ย่าม” ลงไป  ชลิตเดินยกลังโซดาผ่านมาเห็นเข้าก็ส่งเสียงแซวทันที

“ไรอะพี่ย่าม เย็นนี้เฮียนอบอกใครมาก่อนได้เลือกโต๊ะก่อนนะ พี่จะจองโต๊ะไว้ให้แฟนเหรอ?”

“เออ” ชายหนุ่มร่างใหญ่รับก่อนจะปลีกตัวเดินไปทางอื่น

พรพฤกษ์นั่งตัดกระดาษเตรียมห่อของขวัญสำหรับจับสลากในงานตอนกลางคืนอยู่ที่เคาน์เตอร์ ปกติหน้าที่ที่ต้องใช้ฝีมือแบบนี้เป็นของแนน แต่เนื่องจากเด็กสาวติดไปออกค่ายต่างจังหวัดหน้าที่นี้จึงตกเป็นของพรพฤกษ์ที่ดูจะสันทัดด้านงานฝีมือมากกว่าเพื่อนร่วมร้านคนอื่นๆไปโดยปริยาย

นรพัฒน์ยืนคุยกับดิษยะบริเวณหน้าเวทีเล็กสำหรับเล่นดนตรีสดพลางตรวจลิสต์เพลงที่วงประจำร้านจะเล่นก่อนวงรับเชิญในตอนค่ำ ชายหนุ่มร่างผอมสูงยิ้มแล้วก็ส่ายหน้าหลังฟังเพื่อนเล่าเรื่องราวระหว่างที่เขาไม่อยู่และแผนที่ตั้งใจไว้สำหรับคืนนี้ให้ฟังคร่าวๆ

“หวังว่าจะได้ผลก็แล้วกัน มึงนี่มันเจ้าเล่ห์จริงๆว่ะ”

ชายหนุ่มร่างใหญ่หัวเราะแล้วก็เดินกอดคอนำเพื่อนไปหาพรพฤกษ์ที่กำลังง่วนติดเทปกาวลงบนกล่องของขวัญ มือหนาตบลงบนบ่าบางไม่เบานักก่อนจะถือวิสาสะเท้าแขนลงชะโงกดูกองของขวัญที่ห่อเสร็จไปเยอะแล้ว

“แหม้...สมแล้วที่เป็นลูกรักครูนาตอนประถม แกมาเห็นคงอยากให้เกรด 4 วิชาการฝีมือมึงอีกรอบ”

“ไอ้ย่าม เดี๋ยวเพื่อนมึงไหล่หักหรอก เล่นมันเบาๆหน่อย” นรพัฒน์เอ่ยปรามพลางช่วยติดกระดาษที่เขียนหมายเลขไว้ลงบนกล่องที่ห่อเสร็จแล้ว

พรพฤกษ์หัวเราะแล้วเอาศอกแกล้งถองเพื่อนตัวใหญ่ “ช่างมันเหอะนอ ชินแล้วล่ะ ย่ามมันคงทำอะไรแบบทะนุถนอมไม่เป็น”

เสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงดังขึ้นมือเรียวจึงหยิบออกมากดรับ “ว่าไงอ้น ตอนนี้ที่ร้านก็ยุ่งๆกันอยู่แหละ จะเริ่มเอาอาหารมาตอน 5 โมงเหรอ ได้เดี๋ยวบอกนอให้ โอเค ขอบคุณมาก เดี๋ยวเจอกัน”

เนื่องในโอกาสฉลองพิเศษ นอกจากอาหารตามเมนูของร้านแล้ว บริเวณพื้นที่ด้านหน้าร้านส่วนหนึ่งยังถูกกันไว้เป็นซุ้มอาหารแบบบุฟเฟ่ต์ โดยอาหารในซุ้มมาจากร้านของอภิสิทธิ์ผู้เสนอความคิดนี้ขึ้นเมื่อได้รู้ว่าร้านของเพื่อนวางแผนจะจัดงานเลี้ยงครบรอบ

“สนุกดีนะได้จัดงานแบบนี้ เสียดายเมื่อปีแรกเราไม่ค่อยได้มาช่วยที่ร้านเลย”

พรพฤกษ์เปรยขึ้นหลังกวาดตามองบรรยากาศรอบร้านที่เด็กเสิร์ฟร่วมแรงกันเตรียมงานตัวเป็นเกลียว ช่วงปีแรกที่ทั้งสามเพิ่งเปิดร้านนั้นกิจการไม่ค่อยดีนักเพราะไม่ค่อยมีลูกค้า แต่นรพัฒน์อาศัยวิธีทำโปรโมชั่นถี่ยิบและดิษยะใช้เส้นสายดึงนักดนตรีดังๆที่ตนรู้จักมาเล่นที่ร้าน ตลอดจนจ้างแม่ครัวที่มีฝีมือมาช่วยดูแลด้านอาหาร จากนั้นก็ปรับปรุงขยายร้านมาเรื่อยๆจนลงตัวและมีกลุ่มลูกค้าประจำในที่สุด

“ตอนเปิดร้านปีแรกนั่นไผ่ก็ยุ่งกับงานศพของตาแล้วก็เกสต์เฮ้าส์ของตัวเองนี่นา แล้วตอนนั้นร้านก็เล็กกว่านี้ ไม่ต้องคิดมากหรอก วันนี้ก็มาฉลองการก้าวสู่ปีที่สามด้วยกันดีกว่า”

นรพัฒน์เอ่ยขึ้นแล้วตบบ่าพรพฤกษ์เบาๆ ใบหน้าหวานคมจึงยิ้มออกมาได้


*************


“โต๊ะ 3 แสงแบน น้ำแข็ง โซดา โค้กอย่างละ 2”

“โต๊ะ 7 ฮันเดรดกลม น้ำเปล่า 3 โซดา 2 โค้ก 2”

“โต๊ะ 11 ขอที่เขี่ยบุหรี่กับน้ำแข็งเพิ่มคร้าบ”

พรพฤกษ์หยิบยื่นของตามที่เด็กเสิร์ฟมาแจ้งออร์เดอร์ตรงบริเวณเคาน์เตอร์มือเป็นระวิง โดยนรพัฒน์ออกไปต้อนรับลูกค้าที่หน้าร้านและดูแลการซื้อขายตั๋วเข้างาน ส่วนดิษยะคอยคุมแสงไฟในร้านและเลือกแผ่นซีดีเปิดเพลงระหว่างรองานเริ่ม หลังมือเรียวยกขึ้นปาดเหงื่อที่ซึมบนหน้าผาก แล้วก็รู้สึกถึงมือหนาที่แตะลงบนบ่าพร้อมกับขวดน้ำเย็นยื่นให้

“เดี๋ยวอีกห้านาทีไอ้นอจะเปิดงาน โต๊ะส่วนใหญ่ได้ออร์เดอร์กันครบแล้ว เดี๋ยวตรงนี้มึงคงยุ่งน้อยลงแล้วล่ะ”

ร่างบางพยักหน้ารับแล้วยกขวดน้ำขึ้นดื่มอย่างกระหาย เพื่อนร่างใหญ่ผละไปทางเวทีแล้วทดสอบเสียงไมค์เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะยื่นให้นรพัฒน์ที่ยืนรอท่าอยู่แล้ว เสียงแหบห้าวต่ำๆกระแอมเรียกความสนใจจากนั้นจึงกล่าวทักทายทุกคนในร้าน

“สวัสดีครับ ลูกค้าขาจรและขาประจำทุกท่าน ขอบคุณมากที่มาร่วมงานเลี้ยงครบรอบ 2 ปีของเราในวันนี้ และขอบคุณที่ให้การสนับสนุนมาตลอด ผมหวังว่าทุกท่านจะสนุกสนานกับค่ำคืนนี้ร่วมกันจนถึงเวลาจับสลากแจกรางวัลนะครับ และก่อนไปพบวงดนตรีรับเชิญของคืนนี้ ขอเชิญพบกับวงเปิดของคืนนี้กันก่อน “Sensory” ครับ”

สิ้นเสียงของชายหนุ่มเจ้าของร้านก็มีเสียงปรบมือดังขึ้นเกรียวกราว ชายหนุ่มร่างใหญ่เลื่อนเก้าอี้สตูลของตัวเองขึ้นมาด้านหน้าพลางปรับไมค์ลง ใบหน้าที่เคยมีหนวดเคราดกหนาคืนนี้ได้รับการแต่งเล็มจนดูไม่รุงรังเหมือนปกติ สายตาคมกวาดตามองหาคนที่ตนเชิญมาร่วมงานวันนี้ที่โต๊ะที่จองไว้ให้แล้วก็ยิ้มกริ่ม

“สวัสดีครับทุกท่าน ขาประจำร้านนี้คงคุ้นหน้าคุ้นตาผมดี ยังไงก็รับผู้ชายหัวใจอ่อนไหวคนนี้ไว้ในอ้อมอกและมาอุดหนุนร้านกันไปนานๆด้วยนะครับ”

เหล่าลูกค้าตามโต๊ะต่างๆปรบมือและหัวเราะชอบใจ ดิษยะรอจนเสียงซาลงก็เริ่มพูดอีกครั้ง

“คืนนี้ผมเชิญคนพิเศษของผมมางานนี้ด้วย แล้วก็เลยขอมอบเพลงแรกของคืนนี้ให้แก่เธอ ช่วยกันอวยพรให้เธอคนนั้นที่โต๊ะ 5 รับรักผมด้วยนะครับ”

คราวนี้เสียงปรบมือและเสียงผิวปากดังสนั่นโดยสายตาแทบทุกคู่มองตรงไปที่โต๊ะ 5 ซึ่งมีสมาชิกสาวๆนั่งอยู่เต็มโต๊ะเป็นตาเดียว


สิ่งที่ฉันไม่เคยรู้สึก สิ่งที่ฉันไม่เคยจะนึกว่ามี
แต่แล้วฉันก็พบจาก ได้พบจากเธอ เธอคนนี้

แค่เธอก็พอ ฉันไม่ขอมากกว่านี้
แค่เธอก็พอ ฉันจะไม่ขออะไรอีก
แค่เธอก็พอ ชีวิตฉันเพียงพอแล้วแค่คนนี้


นรพัฒน์ที่กลับมายืนที่เคาน์เตอร์แล้วมองไปทางเพื่อนบนเวทีแล้วก็อุทานยิ้มๆ

“เชื่อมันเลย ท่าทางจะเอาจริงแฮะ ไผ่รู้มั้ยว่าสาวที่มันพูดถึงนี่คนไหน”

พรพฤกษ์เองก็มองไปที่โต๊ะที่เพื่อนนักดนตรีของตนเอ่ยประกาศอย่างสนใจ แม้แสงไฟในร้านจะค่อนข้างสลัวแต่เขาก็จำรูปร่างและท่าทางของหญิงสาวที่เคยมาหาตนได้ พอชายหนุ่มนึกถึงพฤติกรรมของเพื่อนเมื่อวันก่อนและพอจะสังเกตได้ว่าหญิงสาวนั่งหน้าตาบอกบุญไม่รับอยู่ก็ค่อนข้างมั่นใจว่าใช่ จึงทำท่าชี้บอกเพื่อนว่าเป็นคนไหน นรพัฒน์มองตามแล้วก็หัวเราะในคอ

“ท่าทางเอาเรื่องอยู่ มิน่าย่ามมันถึงติดใจ”

จะไม่มีวันรักใคร และจะไม่มีวันไปไหน
ฉันสัญญาว่าฉันจะ จะรักกับเธอเป็นคนสุดท้าย



เมื่องานเลี้ยงเริ่มไปได้สักพักเครื่องดื่มและอาหารตามโต๊ะต่างๆก็พร่องลงจึงเริ่มมีออร์เดอร์เข้ามาอีกครั้ง แต่กระนั้นก็วุ่นวายน้อยลงกว่าตอนแรกมาก อภิสิทธิ์เดินเลาะตามโต๊ะภายในร้านที่ลูกค้าแน่นไปหมดแล้วมาหยุดที่เคาน์เตอร์
“ไงอ้น ท่าทางลูกค้าชอบอาหารร้านนายนะ เห็นเดินไปตักกันตั้งหลายคน ครัวเราหงอยเลย” นรพัฒน์เอ่ยแซวจนเจ้าตัวยิ้มเขิน
“นี่ดีนะว่าร้านเราคนละแนวกัน ไม่งั้นสงสัยแย่งลูกค้ากันแย่”
นัยน์ตายาวรีหันมาทางร่างเพรียวที่กำลังจิ้มไส้กรอกทอดอยู่แล้วก็เอ่ยถาม “ไผ่ ไปนั่งข้างนอกกันมั้ย? เรามีโต๊ะเล็กใกล้ๆซุ้มอยู่”

มือเรียวยกแก้วน้ำขึ้นดื่มแล้วก็ส่ายหน้า “ไม่ดีกว่า เราอยากอยู่ข้างใน เผื่อมีอะไรในร้านจะได้ช่วย”

สีหน้าคนชวนดูหงอยจนเห็นได้ชัด นรพัฒน์แสร้งยกแก้วขึ้นเช็ดพลางทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ เสียงไมโครโฟนที่หอนขึ้นมาจากทางเวทีเรียกความสนใจทุกคนกลับไปยังนักดนตรีอีกครั้ง

“แหะๆ โทษทีครับ เกิดความผิดพลาดทางเทคนิคนิดหน่อย ต่อไปจะเป็นเพลงสุดท้ายก่อนทุกท่านจะได้พบกับวงรับเชิญในคืนนี้ ผมขออุทิศเพลงนี้ให้กับเพื่อนผมคนหนึ่งที่มีเหตุให้ต้องอยู่ห่างจากคนที่ตัวเองรัก แต่ผมเชื่อว่าถ้าเค้าและคนรักมั่นคงในความรัก ไม่ว่าตัวจะอยู่ห่างกันแค่ไหน แต่หัวใจก็ไม่มีวันห่างกันครับ”

เสียงผิวปากและเสียงปรบมือดังก้องร้านอีกครั้ง ตามด้วยเสียงเขย่าโต๊ะจากลูกค้าบางรายที่คงเริ่มมึนเมาได้ที่

หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 13 [14/10 รอบดึกดื่น]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 14-10-2008 21:58:11
13. [ต่อก๊าบ]

แม้วันนี้ไม่มีเธอใกล้ๆ
แต่ก็รู้ว่าใจเรานั้นไม่เคยจะห่างกัน
ใครกี่คนไม่เคยคิดผูกพัน
เพราะใจฉันนั้นมีแต่เธอเพียงเท่านี้

ด้วยภาระ และทางที่เราต้องเดิน
แต่ว่าฉันไม่เคยเพลิดเพลิน คิดมองใคร
อาจจะเผลอก็เพียงแค่สายตา
เพราะหัวใจฉันรู้ว่า มีเธอในใจเท่านั้น

อยู่ตรงนั้นเธอคิดถึงฉัน มากเท่าไร
อยู่ตรงนี้เธอรู้ไว้เลยว่า คิดถึงเธอจนล้นหัวใจ
ได้โปรดเธอจงมั่นใจ ว่าฉันคนนี้รักเพียงแต่เธอ


“ย่ามนี่โรแมนติกเหมือนกันนะเนี่ย อยากรู้จังว่าร้องเพลงนี้ให้เพื่อนคนไหน”

อภิสิทธิ์เอ่ยขึ้นเปรยๆพลางยกขวดเบียร์ขึ้นจิบ พรพฤกษ์นั่งมองแก้วน้ำของตัวเองนิ่ง ทำไมจะไม่รู้ว่าคนที่เจ้าเพื่อนนักร้องนำตัวดีเอ่ยถึงคือใคร มือเรียวยกข้อมือข้างที่ใส่สร้อยเงินไว้ขึ้นดูแล้วก็ลูบเบาๆ พลันก็รู้สึกปวดแปลบในใจขึ้นมาเมื่อนึกถึงประโยคสุดท้ายที่เจ้าของสร้อยมอบให้

‘...คนที่ต้นรักคือไผ่คนเดียว’

มือผอมเกร็งเลื่อนมาตบหลังมือของเขาเบาๆ เมื่อพรพฤกษ์เงยหน้าขึ้นก็เห็นนรพัฒน์ยิ้มให้กำลังใจอยู่ “ย่ามกับเราเป็นห่วงไผ่นะ ไผ่ก็ยอมคุยกับเค้าให้รู้เรื่องไปเถอะ ทรมานตัวเองอยู่อย่างนี้ไม่ดีหรอก”

นัยน์ตาคมมองตามหลังเพื่อนที่เดินออกจากหลังเคาน์เตอร์ไป ก่อนจะหันมองที่สร้อยเงินบนข้อมืออีกครั้งแล้วก็ตัดสินใจ

“นักร้องวงเมื่อกี้เสียงดีว่ะ ถ้าไปออกเทปน่าจะดังนะเนี่ย” หญิงสาวคนหนึ่งในวงเพื่อนของปฏิมาเอ่ยขึ้นหลังจากนักดนตรีรับเชิญขึ้นเวทีต่อจากวงเปิดแล้ว

“เหอะ อ้วนดำอย่างงั้นคงถ่ายปกอัลบัมขึ้นอยู่หรอก”

เพื่อนร่วมโต๊ะทุกคนหันมาที่ต้นเสียงเป็นตาเดียว “นั่นเค้ายังไม่เข้าขั้นอ้วนโว้ยไอ้ปาล์ม แกไปอคติอะไรกับเค้าเนี่ย เขินที่เค้าร้องเพลงจีบแกอะดิ”

ปฏิมาทำตาดุใส่คนพูดทั้งที่หน้าร้อนวูบ “ใครจีบใคร! เค้าแค่บอกว่านั่งอยู่โต๊ะนี้ อาจเป็นใครในพวกแกก็ได้”

เพื่อนๆในโต๊ะส่งสายตากันอย่างรู้ทัน เพราะคืนนี้หญิงสาวเป็นคนออกปากชวนเพื่อนๆมาที่ร้านนี้เองโดยบอกว่ามีคนเชิญไว้ แถมตอนที่ร้องเพลงชายหนุ่มนักร้องนำตัวโตก็ส่งตาหวานมาที่โต๊ะตลอด เพื่อนสาวคนหนึ่งในวงยกแก้วตัวเองขึ้นสูง “เอ้าทุกคน ดื่มในโอกาสที่ไอ้ปาล์มขายออกเว้ย!”

หญิงสาวที่ตอนนี้กำลังโดนเพื่อนรุมแซวนึกค่อนขอดคนต้นเหตุในใจ แล้วก็สะดุ้งโหยงเมื่อมีมืออุ่นวางแตะลงบนบ่า หญิงสาวหันกลับไปมองแล้วก็ระบายลมหายใจเมื่อเห็นว่าเป็นใคร “ว่าไงไผ่”

พรพฤกษ์ลดมือลงแล้วก็ให้รู้สึกเขินกับสายตาของสาวๆในโต๊ะที่พุ่งมาที่เขาเป็นจุดเดียว

“คือว่า...”


*************

“ลิลลี่หมดธุระหรือยังครับ?”
“ทำไมพี่ต้นถามอย่างนี้อีกแล้ว ลี่โทรมาทีไรชวนคุยแต่เรื่องร้านเพชรของคุณพ่อทุกที ทำไมเราไม่คุยกันเรื่องอื่นบ้างล่ะคะ”
ตระการถอนหายใจ ถ้าไม่ติดที่เขาเกรงใจหญิงสาวซึ่งเป็นทายาทธุรกิจร้านเพชรที่เป็นผู้เช่ารายสำคัญในโครงการอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งในเครือก็คงรีบตัดสายไปแล้ว ชายหนุ่มจำได้ว่าตอนที่เคยออกไปเที่ยวด้วยกันร่วมกับกลุ่มเพื่อนคนไทยตอนอยู่ที่ต่างประเทศหญิงสาวก็วางตัวดี แต่หลังจากกลับมาเมืองไทยแล้วก็พยายามตีสนิทกับเขาจนน่าอึดอัด

เสียงสัญญาณเรียกสายซ้อนดังขึ้น ตระการสบโอกาสจึงรีบขอตัดสายลลิตาทันที “ลิลลี่ครับ พอดีมีสายซ้อน ผมคงต้องรับนะครับเพราะอาจเป็นเรื่องงาน”

“ดึกขนาดนี้ใครจะโทรมาเรื่องงานล่ะคะพี่ต้น”

ชายหนุ่มยกโทรศัพท์ขึ้นดู เมื่อเห็นว่าหมายเลขโทรเข้าเป็นใครก็บอกตัดสายลิลลี่อย่างรีบร้อน “ผมจำเป็นต้องรับสายนี้ แค่นี้นะครับ”

ทว่าเมื่อชายหนุ่มกดสลับสายอีกฝ่ายก็วางหูไปแล้ว ตระการรีบกดโทรกลับอย่างร้อนใจเพราะเหตุเดียวที่เจ้าของหมายเลขนี้จะโทรมาคือเกี่ยวกับเรื่องที่เขาไหว้วานเท่านั้น

เสียงทุ้มเอ่ยอย่างตื่นเต้นเมื่อได้ยินสัญญาณรับสาย

“ปาล์มเหรอครับ เจอไผ่แล้วหรือยัง?”

ปลายสายเงียบไปชั่วอึดใจก่อนจะเอ่ยเรียกชื่อเขาเบาๆ

“ต้น...”

มือใหญ่กำโทรศัพท์มือถือในมือแน่น ชายหนุ่มกลั้นหายใจเหมือนไม่เชื่อหู

“ไผ่ ไผ่จริงๆใช่มั้ย?”

“อื้อ...”

เสียงทุ้มใสตอบรับในคอ พรพฤกษ์รู้สึกว่าน้ำตารื้นขึ้นมาเพียงแค่ได้ยินเสียงที่เคยคุ้นที่ไม่ได้ยินมานาน

“ไผ่เป็นไงบ้าง สบายดีมั้ย รู้มั้ยว่าต้นพยายามติดต่อไผ่มาตลอดตั้งแต่กลับมาจากเกาหลีเลย ไผ่หายโกรธบ้างหรือยัง?”

ร่างเพรียวทรุดนั่งลงบนระเบียงหลังบ้านของนรพัฒน์ซึ่งแยกออกมาจากส่วนที่เป็นร้าน หูได้ยินเสียงโห่ร้องและปรบมือจากการเล่นเกมจับสลากลอยมาแว่วๆ

“ทีละคำถามสิต้น อยากให้พี่ชายตอบข้อไหนก่อนล่ะ?”

“ไม่ใช่พี่ชายสักหน่อย แล้วก็แก่กว่าแค่สองปีเอง”

ตระการยิ้มเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆจากปลายสาย ชายหนุ่มหลับตาลง “ไผ่ ต้นขอโทษที่ตอนนั้นไม่ได้บอกความจริงตั้งแต่แรก ตอนที่กลับมาต้นกลัวจริงๆว่าเราจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว ไผ่ยกโทษให้ต้นได้มั้ย?”

พรพฤกษ์กระชับหูโทรศัพท์แน่นเข้าพลางใช้แขนอีกข้างกอดขาที่ยกขึ้นชันเข่าไว้ ทั้งสองเงียบไปครู่หนึ่ง ความจริงเขาเคยคิดใคร่ครวญเรื่องนี้มาตลอดหลังจากแยกกับอีกฝ่ายถึงเรื่องราวในอดีต แล้วก็ตระหนักว่าไม่มีใครผิดในเรื่องที่เกิดขึ้นและเขาไม่มีสิทธิ์โทษตระการ ทว่าความรู้สึกที่มาแทนที่หลังจากคิดตกเรื่องนั้นได้คือความน้อยใจที่อีกฝ่ายไม่ติดต่อมา ซ้ำยังไปมีข่าวกับนางแบบชื่อดังอีกต่างหาก

“ต้น จำที่ต้นเคยว่าไผ่ก่อนจะกลับไปกรุงเทพฯได้มั้ย?”

“หือ!?”

ใบหน้าหวานอมยิ้ม ขอทดสอบหน่อยเถอะว่าอีกฝ่ายจำได้หรือเปล่าว่าเคยพูดอะไรกับเขาไว้และหมายความตามนั้นจริงหรือไม่

“ถ้าต้นจำได้ว่าเคยว่าไผ่ว่าอะไร จะยกโทษให้”

“ต้นเนี่ยนะจะไปว่าอะไรไผ่ ตอนนั้นต้นบอกว่า ไม่ว่าใครจะพูดยังไง ต้นก็รักไผ่คนเดียวต่างหาก”

ตระการขมวดคิ้วงง แต่แล้วก็ยิ้มออกเมื่อได้ยินเสียงอีกฝ่ายหัวเราะ

“อะไรกัน เดี๋ยวนี้เจ้าเล่ห์แบบนี้แล้วเหรอ ทีหลังอยากได้ยินต้นบอกรักก็ขอตรงๆก็ได้ ให้พูดกี่ครั้งก็ยอมถ้าไผ่ขอ”

คนถูกบอกรักหน้าร้อนวูบแล้วก็รีบเอ่ยแก้ตัว “ไม่ได้เจ้าเล่ห์ซักหน่อย แค่อยากทดสอบความจำเท่านั้นแหละ เห็นไปมีข่าวกับนางแบบสุดสวยอยู่ จะแน่ใจได้ไงว่าต้นยังไม่เปลี่ยนใจ”

“ไม่เปลี่ยนหรอก รักแล้วก็รักเลย อย่างนี้เท่ากับไผ่ยกโทษให้แล้วใช่มั้ย?”

พรพฤกษ์เหลือบมองสร้อยเงินบนข้อมือตัวเองที่สะท้อนแสงจันทร์เป็นประกายแล้วก็ยิ้ม “เอาไงดีน้า...”
 

*************

ย้างงงง ยังมีต่อ   :a11:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 13 [14/10 รอบดึกดื่น]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 14-10-2008 22:03:49
13. [ต่ออีก เอาให้หมดก๊อก แฮ่กๆ]

ปฏิมานั่งโยกเก้าอี้ชิงช้าตรงสนามหญ้าหน้าบ้านระหว่างนั่งรอพรพฤกษ์ อีกฝ่ายยืมโทรศัพท์ของตนแล้วก็หายเข้าไปในบ้านกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว หญิงสาวหวังว่าทั้งสองจะปรับความเข้าใจกันได้แม้จะรู้สึกผิดอยู่บ้างต่อลูกพี่ลูกน้องของตน แต่ถ้าตระการไม่ได้ชอบลลิตาก็เป็นเรื่องไม่ถูกนักถ้าหล่อนจะสนับสนุนให้ญาติไปเป็นตัวขัดความสุขของคนอื่น

“มานั่งทำอะไรตรงนี้คนเดียวครับ มารอผมเหรอ?”

ร่างเพรียวสะดุ้งเฮือกแล้วก็หันไปตวาดคนพูดเสียงไม่ดังนัก “ใครจะไปรอนาย! เรานั่งรอไผ่ต่างหาก เค้าเพิ่งยืมโทรศัพท์ไปคุยกับต้นเมื่อกี้”

ชายหนุ่มร่างใหญ่พยักหน้าแล้วก็ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ หญิงสาวจึงขยับหนีไปชิดพนักเก้าอี้อีกด้านจนอีกฝ่ายหัวเราะ

“ไม่ต้องหนีขนาดนั้นก็ได้ ถึงผมจะหน้าโจรแต่ก็สุภาพบุรุษเต็มร้อย เอ้านี่”

หญิงสาวมองจินเจอร์เอลในกระป๋องสีแดงแล้วก็เหลือบตาขึ้นมองอีกฝ่าย
“เอามาให้ทำไม?”

“ปาล์มไม่ดื่มเหล้าไม่ใช่เหรอ มาร้านวันก่อนโน้นก็สั่งน้ำเปล่า เมื่อเย็นนี้ก็ไม่เห็นแตะเหล้าเลยนี่”

หญิงสาวขอบคุณแล้วก็รับเครื่องดื่มมาไว้ในมือ รู้สึกแปลกๆที่รู้ตัวว่าโดนอีกฝ่ายสังเกตขนาดนั้น ดิษยะยกขวดเบียร์ของตัวเองขึ้นดื่มแล้วก็เอาเท้ายันเก้าอี้ชิงช้าให้โยกเบาๆพลางเหม่อมองไปบนฟ้า ปฏิมาเหลือบมองคนข้างตัว น่าแปลกที่ยามนี้หญิงสาวไม่ได้รู้สึกอึดอัดกับคนตัวใหญ่คนนี้เหมือนตอนเจอกันครั้งแรก

“เพลงที่เล่นไปเมื่อหัวค่ำ เอ่อ...เลือกได้ดีนะ”

ชายหนุ่มหันมาเมื่อได้ยินเสียงอีกฝ่ายแล้วก็ยิ้มกรุ้มกริ่ม “เพลงไหน เพลงที่ผมร้องให้ปาล์มน่ะเหรอ?”

หญิงสาวถลึงตาใส่ “ไม่ใช่! เราหมายถึงเพลงสุดท้ายต่างหาก นั่นร้องให้ไผ่ใช่มั้ยล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะเพลงนั้นตอนนี้เค้าอาจยังไม่ยอมคุยกับต้นก็ได้”

“ผมรู้จักไผ่มานานแต่ไม่เคยเห็นมันคบใคร ถ้าได้เห็นเพื่อนมีความสุขผมก็ดีใจ”

ชายหนุ่มวางขวดเบียร์ลงข้างเก้าอี้ชิงช้าพลางเอาสองมือประสานท้ายทอยก่อนจะหันหาคนข้างตัว “เรื่องของคนอื่นก็ถือว่าจบไปด้วยดีแล้วนะ แล้วเรื่องของเราจะว่าไงดี?”

ปฏิมาสำลักเครื่องดื่มแล้วก็ไอจนหน้าแดง

“เฮ้ย! โดนขอความรักแค่นี้สำลักเลยเหรอ งี้ถ้าโดนมากกว่านี้จะเป็นไงเนี่ย?”

นิ้วเรียวหยิกหลังมือที่ช่วยลูบหลังตัวเองอยู่พลางมองตาเขียวจนอีกฝ่ายต้องปล่อย “ไม่มีมากกว่านี้ทั้งนั้นแหละ! เรากลับกรุงเทพฯไปเมื่อไหร่ก็ไม่ต้องเจอนายแล้ว”

“จะจริงเร้อ~” หญิงสาวเหล่มองคนข้างๆที่ยิ้มร่า “เมื่อกี้ผมไปคุยกับเพื่อนของปาล์ม เค้าบอกว่านิตยสารของปาล์มกำลังจะมาเปิดหัวใหม่ที่นี่ แล้วปาล์มก็เป็นหนึ่งในทีมที่ต้องมาดูแลเล่มนั้นด้วยไม่ใช่เหรอ?”

หญิงสาวขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางคิดคาดโทษเพื่อนที่ปากบอนไว้ในใจ  กลับถึงโรงแรมเมื่อไหร่มีรายการเฉ่งยกกลุ่มแน่


*************


คงสะใจแฟนๆต้น-ไผ่นะจ๊ะ หวังว่าตอนนี้คู่รองคงไม่ขโมยซีนมากไปนะ เหอๆ :m29:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 13 [14/10 รอบดึกดื่น]
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 15-10-2008 05:36:44
กว่าจะง้อกันได้ เด๋วจะมีมารมาผจญต่อชิมิ  :man1:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 13 [14/10 รอบดึกดื่น]
เริ่มหัวข้อโดย: The Living River Ping ที่ 15-10-2008 08:30:44
วะฮะฮ่า bellbomb ตัวเอง ฟิต มากๆ วะฮะฮ่า สามตอนรวด เค้าชอบ เค้าชอบ  :m1:

รีบให้ต้นมาหาไผ่เร็วๆนะ มาให้ความอบอุ่นกับไผ่แทนผ้าห่มอันเหน็บหนาวที่แสนเดียวดายนี้ที  :o8:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 13 [14/10 รอบดึกดื่น]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 15-10-2008 09:03:01
วะฮะฮ่า bellbomb ตัวเอง ฟิต มากๆ วะฮะฮ่า สามตอนรวด เค้าชอบ เค้าชอบ  :m1:

รีบให้ต้นมาหาไผ่เร็วๆนะ มาให้ความอบอุ่นกับไผ่แทนผ้าห่มอันเหน็บหนาวที่แสนเดียวดายนี้ที  :o8:



 :o  เจี๊ยก! ทำไมรู้ตอนต่อไปแล้วล่ะ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 13 [14/10 รอบดึกดื่น]
เริ่มหัวข้อโดย: marchmenlo ที่ 15-10-2008 13:12:27
ชิ ๆ เชียร์ย่ามกะปาล์มดีก่า ท่าทางมันส์กว่ากันเยอะ  :laugh:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 13 [14/10 รอบดึกดื่น]
เริ่มหัวข้อโดย: pickki_a ที่ 15-10-2008 14:18:06


*************
คงสะใจแฟนๆต้น-ไผ่นะจ๊ะ มานั่งนับจำนวนหน้าดูแล้วก็ปาดเหงื่อ ทำไมยิ่งเขียนแต่ละตอนมันยิ่งยาวขึ้นๆเรื่อยๆก็ไม่รู้ หวังว่าตอนนี้คู่รองคงไม่ขโมยซีนมากไปนะ :m29:

สะใจมากมายคับ
ว่าแต่ .... คู่รองนี่ก็น่าสนใจมิใช่น้อย
 :laugh:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 13 [14/10 รอบดึกดื่น]
เริ่มหัวข้อโดย: juuuno99 ที่ 16-10-2008 11:14:02
ป้าแน่จริงมาต่ออีกสักสามตอเด๊ :m14:



แล้วที่ไปตอบรีในกระทู้ผม ว่าจะดองนิยายละก็ อย่าได้แม้แต่จะคิดเชียวนะ o12

ไม่งั้นไอ้เอจะแสกหนังควายเข้าท้องนะเอ้อ :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 13 [14/10 รอบดึกดื่น]
เริ่มหัวข้อโดย: krappom ที่ 17-10-2008 00:22:58

กี๊ดๆ

เค้าชอบเพลงนี้อ่ะ

ชอบมากถึงมากที่สุดเลย

ความหมายมันช่างโดนใจ

 :m1: :m1: :m1: :m1:

หัวข้อ: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 14 [17/10 ยามบ่าย]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 17-10-2008 15:46:00
14.

“ลูกเรือและผู้โดยสารทุกท่าน ผมกัปตันฉัตรชัย ขณะนี้ผมได้นำทุกท่านมาถึงท่าอากาศยานเชียงใหม่โดยสวัสดิภาพแล้ว ขอขอบพระคุณที่ใช้บริการของเรา และหวังว่าจะได้รับใช้ทุกท่านอีกในโอกาสต่อไป สวัสดีครับ”

ชายร่างสูงแข็งแรงหยัดตัวขึ้นจากเบาะที่นั่งแคบๆพลางคว้าสายกระเป๋าเป้ข้างหนึ่งขึ้นพาดบนไหล่ก่อนจะออกเดินตามผู้โดยสารที่พากันทยอยออกจากเครื่องบิน ร่างสูงเดินฝ่ากลุ่มผู้เดินทางที่แออัดอยู่ในห้องรอรับสัมภาระออกสู่บริเวณโถงรอรับผู้โดยสารอย่างเร่งรีบแล้วก็มองหาผู้ที่ตนนัดไว้ เมื่อเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยลุกขึ้นจากแถวเก้าอี้เดินตรงมาที่ตนใบหน้าคมคายก็ยิ้มกว้างพลางสาวเท้าเร็วๆไปยังร่างนั้นทันที

“เฮ้ย!”

เสียงทุ้มใสร้องอุทานด้วยความตกใจเมื่อโดนคนตัวใหญ่กว่ารวบเข้าไปกอดแน่นชนิดไม่สนใจสายตาใคร ผู้คนในบริเวณห้องรอผู้โดยสารมองมาที่คนทั้งสองเป็นจุดเดียว บ้างยิ้ม บ้างมองด้วยสายตาแปลกๆจนคนถูกกอดต้องทุบหลังอีกฝ่ายเรียกสติ พอวงแขนคลายมือเรียวก็ยกขึ้นตะปบริมฝีปากของคนที่ทำท่าจะก้มลงหาทันทีจนเจ้าตัวหน้ามุ่ยแล้วก็ส่งสายตาดุให้ทั้งที่แก้มทั้งสองข้างแดงเรื่อ

“ถ้าทำตรงนี้โกรธจริงๆด้วย”

นัยน์ตาคนโดนดุยิ้มพราวก่อนจะยกมือที่ปิดปากตัวเองออกแล้วก็กุมไว้

“ไม่ทำตรงนี้ก็ได้ งั้นไปที่อื่นกัน”

มือใหญ่กุมกระชับมือบางของอีกคนแน่นแล้วจูงเดินออกจากสนามบิน คนถูกจูงรู้สึกเขินๆกับสายตาของผู้คนที่มองตามมาแต่ก็ยอมให้อีกฝ่ายพาเดินนำไปแต่โดยดี

“แล้วกระเป๋าใหญ่ล่ะ พรุ่งนี้กลับไปกรุงเทพแล้วต้องบินต่อไปเกาหลีเลยไม่ใช่เหรอ”

“ฝากไว้ที่สนามบินแล้ว เอามาด้วยก็เกะกะ”

ร่างสูงใหญ่หมุนเดินตามทางที่อีกฝ่ายชี้บอกไปยังรถยนต์ที่จอดไว้ในลานจอดด้านนอกอาคาร พอปลดล็อคประตูเข้าไปนั่งในรถเรียบร้อยคนตัวใหญ่กว่าก็จับไหล่ของอีกคนไว้แล้วโถมตัวลงจูบแบบไม่ให้ตั้งตัวทันที

“อื้อ!”

ใบหน้าหวานหลับตาแน่นเมื่อรู้สึกถึงการจู่โจมอย่างกะทันหัน กลีบปากที่เผยอเพราะความตกใจถูกครอบครองโดยริมฝีปากและปลายลิ้นร้อนที่ก้มลงตักตวงความหวานอย่างไม่รู้จักอิ่มด้วยแรงคิดถึง มือแข็งแรงอีกข้างที่ไม่ได้ยึดบ่าผอมบางไว้ยกขึ้นลูบแก้มเนียนเบาๆขัดกับการจุมพิตอย่างเร่าร้อนจนอีกฝ่ายรู้สึกเหมือนถูกสูบเรี่ยวแรงออกไปจนต้องยกแขนทั้งสองข้างขึ้นคล้องคอคนตรงหน้าไว้

ใบหน้าคมคายค่อยๆถอนริมฝีปากออกแล้วไล่ระสัมผัสแผ่วเบาไปบนสันจมูกโด่งและหยุดประทับลงที่หน้าผากของคนในอ้อมแขนก่อนจะถอยออกยิ้มให้ คนถูกจูบค่อยปรือตาขึ้นเมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายผละไปแล้ว แก้มเนียนสองข้างเป็นสีแดงเรื่อ

“คิดถึงไผ่ที่สุดเลย”

นัยน์ตาหวานคมมีน้ำตารื้นขึ้นมาก่อนจะยิ้มตอบแล้วยื่นตัวเข้าไปกอดคอแข็งแรงไว้แน่น
 
“คิดถึงต้นเหมือนกัน”


*************


รถยนต์สีน้ำเงินเข้มเลี้ยวเข้าสู่ถนนโรยกรวดแล้วก็ดับเครื่องเมื่อเข้าเทียบในโรงจอดรถ ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เปิดประตูฝั่งผู้โดยสารลงจากรถแล้วก็กวาดตามองโดยรอบอย่างคิดถึง เสียงทุ้มเอ่ยกระเซ้าเมื่อมองไปที่สนามด้านหน้าและข้างตัวบ้าน

“หญ้ารกจัง”

พรพฤกษ์ปิดประตูล็อครถแล้วก็หัวเราะเขินๆก่อนเดินนำเข้าบ้าน

“ก็ตอนขับรถกลับมาจากที่ร้านเมื่อคืนก็ดึกแล้ว กว่าจะทำความสะอาดห้องนอนเสร็จก็ตีสามกว่า เมื่อเช้าตื่นมาว่าจะจัดการอยู่เหมือนกันแต่กลัวเสียเวลา”

ตระการทรุดตัวนั่งลงบนโซฟาในห้องรับแขกแล้วก็ดึงแขนอีกคนมาใกล้ก่อนจะกอดเอวไว้ “มิน่าตาแดงๆ นอนไปนิดเดียวเองล่ะสิ บอกแล้วให้ต้นขับมาเองก็ไม่เชื่อ”

มือเรียวสางนิ้วเข้าในเรือนผมของคนที่แนบแก้มกับหน้าท้องตัวเองเบาๆก่อนจะเอ่ยตอบ

“ถึงไม่ขับรถเองก็คงนอนไม่หลับอยู่ดี”

...ก็ไม่ได้เห็นหน้าต้นนานแล้วนี่... พรพฤกษ์เอ่ยประโยคนั้นในใจแต่ไม่เปล่งเป็นเสียงออกมา

ใบหน้าคมเงยขึ้น นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มส่องประกายซุกซนพลางรัดเอวอีกฝ่ายแน่นเข้า “เดี๋ยวนี้ไผ่เต็มไม้เต็มมือขึ้นนะเนี่ย ว่าแต่ทีนี้กลับถึงบ้านแล้ว แล้วจะทำอะไรกันดี?”

คนโดนแซวหน้าแดงแล้วก็หยิกแขนคนที่กอดตัวเองอยู่จนอีกฝ่ายร้องโอดโอย “ก็บ้านนอเลี้ยงดี โดนสั่งให้กินข้าวครบสามมื้อทุกวันก็อ้วนสิ ว่าแต่เมื่อคืนคุยกันแล้วนี่ว่าต้นจะมาช่วยทำความสะอาด ปิดมาหลายเดือนฝุ่นเขรอะไปหมดแล้ว พูดไว้แล้วนะว่าจะช่วย ห้ามงอแงด้วย”

ชายหนุ่มร่างสูงแกล้งถอนหายใจจนอีกฝ่ายหัวเราะ ก่อนจะเดินตามขึ้นไปบนห้องนอนที่ชั้นสองเพื่อเก็บกระเป๋าและเปลี่ยนเสื้อผ้า แขนแข็งแรงดึงคนตัวเล็กกว่าเข้าสวมกอดจากด้านหลังขณะอีกฝ่ายเปิดตู้จะหยิบผ้าขนหนูให้แล้วก็ก้มหอมแก้มฟอดใหญ่

“เมื่อกี้ต้นไม่ได้บอกว่าไผ่อ้วนนะ แบบนี้แหละดีแล้ว เมื่อก่อนผอมไป จะกอดแรงๆก็กลัวช้ำ”

 คนในอ้อมแขนแกล้งถองข้อศอกใส่ไม่แรงนัก “ไม่ต้องมาแก้ตัวเลย นี่ยังดีนะไม่ถึงขั้นต้องซื้อกางเกงใหม่ เดี๋ยวต้นเปลี่ยนชุดแล้วพร้อมเมื่อไหร่ก็ตามขึ้นไปชั้นสี่แล้วกัน”

ใบหน้าคมยิ้มให้แล้วก็ยกมือทำท่าตะเบ๊ะรับคำสั่งจนอีกฝ่ายหัวเราะก่อนผละออกจากห้อง ใบหน้าหวานมองไปทางประตูห้องนอนที่ปิดอยู่ก่อนเดินขึ้นชั้นบนแล้วก็ยิ้ม ในใจรู้สึกพองโตอย่างประหลาดเมื่อคิดว่าทั้งสองได้กลับมาที่บ้านนฤมิตรอีกครั้ง หลังจากได้คุยปรับความเข้าใจกันเมื่อคืนตระการก็บอกว่าจะจับเครื่องบินเที่ยวแรกของวันอาทิตย์มาเชียงใหม่ทันที แม้จะดูฉุกละหุกไปบ้างแต่พรพฤกษ์ก็ไม่ทัดทานเพราะตนเองก็อยากพบอีกฝ่ายเช่นกัน

ชายหนุ่มยอมรับว่าในตอนแรกตนรู้สึกกระวนกระวายตลอดเวลาที่นั่งรอที่สนามบิน ตอนที่เห็นอีกฝ่ายในแวบแรกเขาทั้งตื่นเต้นทั้งกลัว แต่ปฏิกิริยาของตระการก็ช่วยลดความกังวลนั้นให้คลายลงเพราะทั้งคู่พูดคุยหยอกล้อกันได้เหมือนความร้าวฉานที่เคยเกิดขึ้นเป็นเพียงความฝัน ถึงแม้ว่าด้วยกาลเวลาที่ผ่านไปจะทำให้พรพฤกษ์สังเกตได้ว่าอีกฝ่ายมีประกายตากร้าวขึ้นดังคนที่เติบโตและต้องแบกรับความรับผิดชอบมากกว่าแต่ก่อน แม้เจ้าตัวจะพยายามทำตัวร่าเริงให้เหมือนตอนที่รู้จักกันครั้งแรกก็ตามที   

ตระการเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อยืดกับกางเกงขาสามส่วนแล้วก็ตามขึ้นไปช่วยเจ้าของบ้านนฤมิตรทำความสะอาดห้องพักทั้งหกห้องบนชั้นสามและชั้นสี่ เนื่องจากพรพฤกษ์ปิดบ้านไว้หลายเดือนทำให้บางห้องมีกลิ่นอับ ต้องเปิดประตูหน้าต่างให้ลมระบายและช่วยกันเอาฟูกออกผึ่งแดดจากนั้นจึงเริ่มลงมือปัดกวาดเช็ดถูตามห้องต่างๆ แม้แต่ละห้องจะมีขนาดไม่ใหญ่นักแต่การทำความสะอาดก็กินเวลาล่วงไปจนบ่ายคล้อย

“พวกปลอกหมอนกับผ้าปูที่นอนไว้ซักวันหลังก็ได้ต้น เดี๋ยวเอาฟูกเข้ามาเก็บในห้องแล้วไปหาอะไรทานในเมืองกันดีกว่า”

ร่างสูงพยักหน้ารับ ขณะกำลังช่วยอีกฝ่ายลากฟูกกลับเข้ามาวางตามห้องก็รู้สึกว่าโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงสั่นแต่ก็ทำเฉย ชายหนุ่มรอจนจัดการกับฟูกที่นอนครบทุกห้องแล้วจึงหันไปขอตัวกับเจ้าของบ้าน

“เดี๋ยวต้นลงไปโทรศัพท์แป๊บนะ ไผ่อาบน้ำแต่งตัวก่อนเลยแล้วกัน”

ตระการเดินลงจากชั้นบนแล้วก็เปิดประตูออกไปที่ชานหน้าบ้าน มือหนาหยิบโทรศัพท์มือถือที่กำลังสั่นอยู่ออกมากดรับ

“ครับพ่อ”

“นี่แกอยู่ที่ไหนของแก แล้วทำไมต้องเลื่อนไฟลท์ไปโซล!”

น้ำเสียงโมโหฉุนเฉียวดังมาตามสาย ชายหนุ่มถอนหายใจ พ่อของเขาคงไปคาดคั้นจากเลขาฯของเขาแน่หลังจากได้เห็นอีเมล์ที่เขาส่งไปเลื่อนประชุมพาร์ทเนอร์ที่เกาหลี

“พอดีผมมีธุระด่วนก็เลยติดต่อคุณคิมขอเลื่อนประชุมไปหนึ่งวันครับ ส่วนเรื่องเอกสารสำคัญสำหรับประชุมผมให้เอ๋ดูแลเตรียมไว้ให้หมดแล้ว”

“แกอยากจะยั่วโมโหฉันนักรึไง ธุระอะไรแกถึงต้องไปเชียงใหม่วันที่แกมีกำหนดบินไปประชุมสำคัญกับพาร์ทเนอร์แบบนี้!”

ตระการพยายามข่มอารมณ์ที่พลุ่งพล่านเอาไว้ บิดาของเขาเป็นคนเด็ดขาด ทุกอย่างต้องทำตามแผนที่เตรียมไว้แล้วห้ามออกนอกลู่นอกทาง จนบางครั้งเขาเหนื่อยใจกับการต้องพยายามปรับเปลี่ยนมุมมองผู้สูงวัยกว่าให้ยอมรับความยืดหยุ่นและการเปลี่ยนแปลงบ้าง

“พอดีเพื่อนสนิทผมป่วย ผมเลยอยากมาเยี่ยมด่วนเพราะจะไม่ได้เจอกันอีกหลายเดือน”

ชายหนุ่มเลือกทางออกที่ง่ายที่สุดคือการโกหก ไม่ใช่ว่าเขาไม่ต้องการบอกความจริง แต่ก็เข้าใจว่าความสัมพันธ์ของเขากับพรพฤกษ์ไม่ใช่เรื่องที่สามารถนำมาอธิบายได้ในสถานการณ์เช่นนี้ และยิ่งถ้าบิดารู้ว่าคนที่ตนกำลังคบหาอยู่คือลูกแท้ๆของภรรยาคนที่สองย่อมไม่ปล่อยให้เรื่องผ่านไปง่ายๆแน่นอน

“หึ เพื่อนป่วย ฉันหวังว่าเพื่อนแกคงไม่ได้เป็นโรคติดต่อร้ายแรงด้วยหรอกนะ เดี๋ยวแกจะมีปัญหาโดนกักตัวที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง”

มุกที่นานครั้งบิดาจะเล่นไม่ได้ฟังน่าขันเลยเพราะตระการรู้ว่าอีกฝ่ายพูดด้วยอารมณ์ไหนจึงรีบตัดบท “ยังไงผมก็เลื่อนไฟลท์ไปแล้วและทางนั้นก็รับรู้แล้วด้วย รับรองว่าผมบินไปทันประชุมกับบอร์ดที่นั่นวันถัดไปแน่นอนพ่อไม่ต้องเป็นห่วง ถ้าไม่มีอะไรอีกผมขอตัวไปดูเพื่อนก่อน”

ชายหนุ่มตัดสายทิ้ง นึกหงุดหงิดที่อีกฝ่ายชอบคอยตรวจตราพฤติกรรมของเขาเหมือนเป็นเด็กๆทั้งที่ตนเองก็พยายามจะวางมือ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจบิดาที่เป็นห่วงธุรกิจที่ตนเป็นคนสร้างขึ้นมา แต่เขาก็ต้องการความไว้วางใจและพื้นที่สำหรับหายใจในชีวิตส่วนตัวบ้าง

“ต้น ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเร็ว จะได้เข้าเมืองกัน”

ชายหนุ่มสะดุ้งก่อนหันมายิ้มให้อีกฝ่ายแล้วก็คว้ามือข้างหนึ่งมาบีบเบาๆ “โอเค งั้นไผ่รอแป๊บนึง รับรองไม่เกินสิบนาที”

ตระการเดินเข้าบ้านไปแล้ว พรพฤกษ์มองตามแผ่นหลังกว้างก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตรงชานหน้าบ้านแล้วก็ขมวดคิ้วครุ่นคิดถึงบทสนทนาที่ได้ยินเมื่อครู่ 



*************

หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 14 [17/10 ยามบ่าย]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 17-10-2008 15:52:30
14. [อีกหน่อยน่อ]

ตระการนำรถเข้าจอดในลานจอดหลังร้านอาหารที่พรพฤกษ์บอกว่าจะพามาแนะนำ ชายหนุ่มเดินตามอีกฝ่ายเข้าไปในร้านแล้วก็มองไปรอบๆ

“ร้านแต่งน่ารักดี ท่าทางจะเน้นอาหารญี่ปุ่นสิเนี่ย”

พรพฤกษ์เดินตรงไปที่โต๊ะริมหน้าต่างแล้วก็เลื่อนเก้าอี้ออกนั่ง “ก็แนวกึ่งไทยกึ่งญี่ปุ่น เพื่อนที่เป็นเจ้าของร้านเค้าเคยไปช่วยญาติทำร้านอาหารที่โตเกียว พอกลับมาเลยเปิดร้านเอง แต่ที่บ้านเค้าจริงๆทำร้านข้าวซอย”

ชายหนุ่มผิวขาวรูปร่างสูง นัยน์ตายาวรีเดินออกมาจากห้องด้านในหลังเห็นรถยนต์ที่คุ้นตาจากหน้าต่าง แต่แล้วก็ต้องชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าคนที่ตนตั้งใจเดินออกมาหาไม่ได้นั่งอยู่คนเดียว พรพฤกษ์หันมาเห็นอีกฝ่ายจึงโบกมือให้

“ไงอ้น วันนี้พาลูกค้าใหม่มาแนะนำให้แน่ะ”

พรพฤกษ์แนะนำชายทั้งสองให้รู้จักกัน ชายหนุ่มเจ้าของร้านมองหน้าผู้มาใหม่แล้วก็ยิ้มจืดๆพลางหยิบเมนูออกมาให้ ตระการมองตามสายตาที่จับจ้องใบหน้าของคนรักตอนที่อีกฝ่ายขอความเห็นเรื่องอาหารที่จะสั่งแล้วก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา

“เป็นไรต้น? หน้าดุเชียว”

 ตระการรีบยิ้มกลบเกลื่อน “ไผ่มาร้านนี้บ่อยเหรอ เห็นเมื่อกี้ทักเด็กเสิร์ฟตรงเคาน์เตอร์ด้วย”

“ก็บ่อยอยู่ พอดีอ้นเค้าเพิ่งเปิดร้านนี้ได้ไม่นานเลยขอให้มาช่วยวิจารณ์อาหารให้ ตอนเด็กๆก็เคยเรียนโรงเรียนเดียวกันนะแต่ไม่ได้สนิทเท่าไหร่”

งั้นก็ไม่ต้องสนิทกันต่อไปแหละดีแล้ว ตระการคิดในใจก่อนจะคว้ามืออีกฝ่ายขึ้นมาแล้วก็ยิ้มเมื่อเห็นสร้อยข้อมือที่ตนเองเคยให้ไว้บนข้อมือข้างนั้น

“ดีใจจังที่ยอมใส่ นึกว่าไผ่จะโยนทิ้งหรือเก็บใส่ลิ้นชักขังลืมไปเลยซะอีก”

“ก็เคยคิดอยู่เหมือนกันนะ โดยเฉพาะตอนที่เห็นข่าวต้นกับนางแบบคนนั้นน่ะ”

พรพฤกษ์หัวเราะชอบใจเมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย “ล้อเล่นน่า ให้ทิ้งก็เสียดายแย่ ยังไงก็เป็นของที่มีคนให้มา”

“ต้นไม่ได้คบกับเค้าจริงๆนะ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องทำให้นักข่าวคิดกันไปแบบนั้น แค่เคยไปไหนมาไหนในกลุ่มเดียวกันตอนอยู่ต่างประเทศเท่านั้นเอง…”

แวบหนึ่งตระการคิดไปถึงช่วงเวลาสั้นๆที่ชายหนุ่มจับพลัดจับผลูต้องดูแลลลิตาโดยไม่ตั้งใจตอนที่อยู่เรียนอยู่แคมปัสเดียวกัน แล้วได้ล่วงรู้ความลับที่หญิงสาวปรารถนาจะปกปิด หรือสาเหตุที่อีกฝ่ายติดเขาแจจะสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ตอนนั้น

พรพฤกษ์มองหน้าอีกฝ่ายที่เงียบไปขณะกำลังใช้ความคิด แล้วก็เหลือบตาลงมองมือตัวเองในอุ้งมือใหญ่ บทสนทนาที่ได้ยินเมื่อครู่ระหว่างตระการกับบิดายังก้องซ้ำไปมาอยู่ในหัว เขาไม่ได้โกรธที่อีกฝ่ายไม่บอกเหตุผลที่แท้จริงที่บินขึ้นมาเชียงใหม่ออกไป แต่กระนั้นสิ่งที่ได้ยินก็ทำให้ฉุกคิดขึ้นมาว่าความสัมพันธ์ที่กำลังดำเนินอยู่นี้ดีแน่แล้วหรือเปล่า

พนักงานเสิร์ฟสาวเดินเข้ามาพร้อมถาดอาหารพลางทำหน้าเขินๆที่เหมือนมาขัดจังหวะทั้งคู่ พรพฤกษ์จึงชักมือตัวเองกลับแล้วก็ก้มลงทำทีสนใจอาหารตรงหน้า ในหัวพยายามคิดหาหัวข้อสนทนาแล้วก็หัวเราะออกมา

“จริงสิต้น อย่าลืมไปขอบคุณปาล์มด้วยล่ะที่มาช่วยเป็นทูตเกลี้ยกล่อมให้ แต่ไม่รู้ตอนนี้เค้าจะดีใจที่มารึเปล่านะ”

ตระการทำหน้าสงสัย พรพฤกษ์จึงอธิบายให้ฟังถึงเรื่องที่เพื่อนตัวเองจีบหญิงสาวกลางงานเลี้ยงที่ร้านเมื่อคืนก่อนแล้วก็หัวเราะตาม

“ไม่น่าเชื่อ แต่มองอีกแง่ถ้าคบกันจริงๆคู่นี้ก็เหมาะกันดีนะ”

“แล้วต้นไม่อยากหาผู้หญิงที่เหมาะกับตัวเองซักคนเหรอ?”

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายที่หลบสายตามองจานข้าวตัวเองนิ่ง “ทำไมถามอย่างนั้นล่ะ ไผ่พูดเหมือนอยากไล่ต้นให้ไปให้พ้นๆอย่างงั้นแหละ”

อีกฝ่ายเงยหน้าที่ซีดเผือดขึ้นทันที

“ไม่ใช่นะต้น ที่ถามน่ะ....”

พรพฤกษ์อ้ำอึ้ง เขาจะพูดได้อย่างไรว่าที่จริงแล้วตนเองเริ่มหวั่นใจกับความผูกพันที่กำลังก่อตัวมากขึ้น อดีตที่ไม่เคยมีใครทำให้ไม่รู้สึกว่าตัวเองพลาดหรือสูญเสียอะไร แต่หลังจากที่ได้สัมผัสความรู้สึกว่าเสียความรักไปแล้วครั้งหนึ่งแม้จะเป็นแค่การเข้าใจผิดก็ทำให้รู้ว่าตัวเองอ่อนแอแค่ไหน เขากลัวทนไม่ได้ขึ้นมาถ้าต้องรับความรู้สึกนั้นซ้ำอีกครั้งหลังจากที่หัวใจตัวเองถลำลึกไปยิ่งกว่านี้

“ช่างมันเถอะไผ่ คิดซะว่าเมื่อกี้ไม่ได้ถามอะไรไว้ก็แล้วกัน”

เสียงขุ่นๆเหมือนกำลังข่มอารมณ์ของอีกฝ่ายทำให้พรพฤกษ์ยิ่งใจแป้ว ทั้งสองนั่งทานอาหารต่ออย่างแกนๆ สักพักตระการก็ยกมือขอคิดเงินเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเพียงเขี่ยอาหารในจานไปมา ร่างเพรียวเหลือบสายตาขึ้นมองคนตรงข้ามตัวที่ไม่ยอมสบตากลับแล้วก็หลบสายตาลงอย่างเดิม   

อภิสิทธิ์เป็นคนเดินเอาเงินทอนพร้อมกับลูกอมออกมาให้ด้วยตัวเอง แล้วก็สังเกตเห็นพรพฤกษ์นั่งตาแดงๆเลยเอาหลังมืออังหน้าผากแล้วถามอย่างเป็นห่วง

“ไผ่เป็นอะไร ไม่สบายเหรอ?”

ตระการแสดงสีหน้าไม่พอใจทันที ชายหนุ่มลุกขึ้นแล้วก็ดึงอีกฝ่ายเข้ามาโอบไหล่อย่างเป็นเจ้าของ

“ขอบคุณครับที่เป็นห่วง แฟนผม ผมดูแลเองได้”

พรพฤกษ์อ้าปากค้าง เช่นเดียวกับอภิสิทธิ์ที่มองหน้าคนทั้งสองสลับกันไปมา คนในอ้อมแขนหน้าแดงขึ้นแล้วก็รีบหลบสายตาเพื่อน

“ขอบคุณนะอ้น ยังไงวันนี้เรากลับก่อนแล้วกัน”

ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ยังคงกอดไหล่อีกฝ่ายไว้แน่นพลางพาเดินออกจากร้านโดยไม่นำพากับสายตาที่มองมาจากโต๊ะอื่นๆ พอทั้งคู่กลับเข้าไปนั่งในรถตระการก็สตาร์ทรถแล้วขับออกจากลานจอดทันที แต่ทว่าแทนที่จะขับออกถนนใหญ่ชายหนุ่มกลับลัดเลาะเข้าซอยนั้นออกซอยนี้วนอยู่ในย่านเดิมจนพรพฤกษ์ต้องออกปากถามอย่างสงสัย

“ต้น ตกลงจะขับไปไหนกันแน่?”

คนขับหักรถเข้าจอดข้างทางแทบจะทันทีที่ถูกทัก พอดึงเบรกมือขึ้นแล้วชายหนุ่มก็เท้าศอกลงพิงพวงมาลัยแล้วจ้องไปข้างหน้า สีหน้ายังมีริ้วรอยแห่งความไม่พอใจจนพรพฤกษ์เริ่มหวั่นๆเพราะไม่เคยเห็นอีกฝ่ายแสดงอารมณ์แบบนี้มาก่อน

ในที่สุดตระการก็ถอนหายใจยาวก่อนจะเอนพิงเบาะที่นั่งแล้วยกหลังมือข้างหนึ่งขึ้นปิดตา “ไผ่ ต้นเป็นคนไม่น่าเชื่อถือขนาดนั้นเลยเหรอ?”

หัวใจพรพฤกษ์กระตุกวูบเมื่อได้ยินคำถาม เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายอุตส่าห์ตั้งใจเลื่อนไฟลท์ไปประชุมธุรกิจสำคัญที่ต่างประเทศแล้วก็จับเครื่องบินมาหาเขาทั้งที่อยู่ได้แค่คืนเดียว เพราะอยากย้ำให้มั่นใจว่าทั้งสองจะสานต่อความสัมพันธ์ที่เคยได้เริ่มไว้เมื่อหนึ่งปีก่อนจริงๆ แต่ทว่าความหวาดหวั่นต่ออนาคตที่เริ่มก่อตัวกลับทำให้เขาไม่มั่นใจขึ้นมาอีกครั้ง ชายหนุ่มนิ่งเงียบพลางกัดริมฝีปากล่างอย่างอับจนด้วยคำตอบ

มือใหญ่จับมือของคนที่นั่งข้างตัวขึ้นบีบเบาๆ “ต้นรู้ว่ามันทำใจยากที่เราจะคบกันโดยที่นานๆทีถึงจะมีเวลาได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ แต่ทุกวินาทีที่ได้อยู่กับไผ่ต้นมีความสุข จนไม่คิดว่าจำเป็นต้องไปหาคนอื่นมาชดเชยช่วงที่เราต้องห่างกัน”

ใบหน้าคมหันกลับมามองคนข้างๆ พรพฤกษ์ลมหายใจสะดุดเมื่อเห็นขอบตาแดงช้ำของอีกฝ่ายและรู้สึกได้ถึงแรงบีบของมืออุ่นที่แน่นขึ้น

“ต้นเคยบอกแล้ว ถ้าไผ่อยากได้ยินคำว่ารักอีกกี่ครั้งก็จะพูด ถ้าจะทำให้ไผ่มั่นใจว่าต้นหมายความอย่างนั้นจริงๆ”

“ขอโทษต้น ขอโทษ” พรพฤกษ์ผวาเข้าไปกอดคอคนตรงหน้าไว้แล้วก็ลูบผมอีกฝ่ายไปมา “ขอโทษ จะไม่พูดอย่างนี้อีกแล้ว ขอโทษจริงๆ”

ร่างเพรียวพยายามกลืนก้อนแข็งที่แล่นขึ้นมาจุกที่คอ รู้สึกเต็มตื้นที่อีกฝ่ายเปิดเผยความรู้สึกให้ตนเองรู้ถึงขนาดนี้ ทั้งสองนั่งกอดกันนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนชายหนุ่มจะเอ่ยปลอบเสียงเบา

“พี่ชายเชื่อแล้วนะ ต้นอย่าร้องไห้นะ”

“ยังไม่ได้ร้องซักหน่อย”

ตระการค่อยๆผละออกจากอ้อมแขนแล้วก็ยิ้มให้ก่อนจะหอมแก้มคนตรงหน้าฟอดหนึ่ง “แดดร่มแล้ว ไปแวะถนนคนเดินกันหน่อยมั้ย แล้วเดี๋ยวคืนนี้ไปดูวิวบนเขาด้วยกัน”

ใบหน้าหวานยิ้มแล้วก็บีบมือตอบอีกฝ่ายที่กุมมือตนเองไว้

“อื้อ”



*************


แถมท้ายขำๆสำหรับคนที่ติดใจคู่รอง  :m32:


ตอนพิเศษ: แอบฟังคนเขาจีบกัน

“หยุดโทรมาซะทีไอ้หน้าหนวด!”

“โหย ทำไมปากจัดเงี้ยอะ นี่ถ้าผมโกนหนวดปาล์มจะเหลืออะไรให้เรียกเนี่ย”

“อ้วนดำเป็นไง เห็นภาพพอกัน”

“อ้าว พูดงี้ไม่เคยเห็นไอ้ย่ามตอนฉุเบียร์ซะแล้ว นี่ผมหุ่นสเลนเดอร์กว่าเมื่อก่อนเยอะแล้วคร้าบที่รัก”

“ใครคือที่รัก อย่ามามั่วนะ ไอ้โรคจิต!”

“ใจคอจะไม่เรียกชื่อผมบ้างเลยเหรอ จะบินกลับกรุงเทพไฟลท์กี่โมงก็ไม่ยอมบอก แล้วนี่เมื่อไหร่เราจะได้เจอกันอีกล่ะครับที่รัก”

“*#$%%**#%!!!!!!!”



คิดถึงผู้อ่านทู้กกกกคนนะจ๊า
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 14 [17/10 ยามบ่าย]
เริ่มหัวข้อโดย: The Living River Ping ที่ 17-10-2008 16:02:13
ไหนเนี่ย บทคลุกวงในใต้ผ้าห่มที่ตัวเองสัญญาเอาไว้อ่ะ  :serius2:

ว่าแต่ ด้วยความเคารพ คุณพ่อ จะยังงี้อีกนานไม๊ค้าาาาา

เดี่ยวจะส่ง ปาล์มมี่ ศิษย์จีจ้าไปจัดการ หลังจากฟันศอกไอ้โรคจิตหน้าหนวดเสร็จแล้ว วะฮะฮ่า
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 14 [17/10 ยามบ่าย]
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 17-10-2008 22:44:50
เกลียดคุณพ่อชะมัดเลย  มีโรคประจำตัวมั่งมั้ยเนี่ย เช่น โรคหัวใจ อะไรทำนองเนี้ย :m16:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 14 [17/10 ยามบ่าย]
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 19-10-2008 13:57:45
 :jul3: ชอบตอนพิเศษของคู่รองนี้จัง แต่ก็แอบสงสารอ้น งืดๆๆ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 14 [17/10 ยามบ่าย]
เริ่มหัวข้อโดย: krappom ที่ 19-10-2008 17:36:53

น่าสงสารต้นเนอะ

ท่าทางอึดอัดแย่

 o7

หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 14 [17/10 ยามบ่าย]
เริ่มหัวข้อโดย: pickki_a ที่ 19-10-2008 21:13:09

“ขอบคุณครับที่เป็นห่วง แฟนผม เดี๋ยวผมดูแลเอง”


ชอบอันเนี๊ยะ  :m1: ถ้าใครมาพูดกับเรา ก็คงรู้สึกดีอ่ะเนอะ ป้าเนอะ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 14 [17/10 ยามบ่าย]
เริ่มหัวข้อโดย: juuuno99 ที่ 19-10-2008 21:44:51
ป้าคับ ถ้าไอ้เอจะบอกว่า  :m13:

เอาตอนพิเศษของไอ้หนวดกะปาล์ม มาลงอีก


ป้าจะทำเพื่อไอ้เอได้มั้ย :m13:



( :angry2:เมิงเป็นใครห่ะไอ้เอ เค้าถึงจะทำไรเพื่อเมิง :เตะ1:)




หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 14 [17/10 ยามบ่าย]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 20-10-2008 18:38:22
แวะมารีพลาย ขณะตอนใหม่ยังไม่มา (งานนอกเริ่มเคลียร์ได้แล้ว แต่งานหลักไหงมันเยอะขึ้นเนี่ย  o7 )

ไหนเนี่ย บทคลุกวงในใต้ผ้าห่มที่ตัวเองสัญญาเอาไว้อ่ะ  :serius2:

ว่าแต่ ด้วยความเคารพ คุณพ่อ จะยังงี้อีกนานไม๊ค้าาาาา

เดี่ยวจะส่ง ปาล์มมี่ ศิษย์จีจ้าไปจัดการ หลังจากฟันศอกไอ้โรคจิตหน้าหนวดเสร็จแล้ว วะฮะฮ่า

ต้นกับไผ่มวยคนละรุ่นนะ จะคลุกวงในกันยังไงล่ะเนี่ย เหอๆ ขอไปคิดก่อนน้า

เกลียดคุณพ่อชะมัดเลย  มีโรคประจำตัวมั่งมั้ยเนี่ย เช่น โรคหัวใจ อะไรทำนองเนี้ย :m16:

อ่า จริงๆป่าป๊าแกช่วงนี้สุขภาพไม่ค่อยดีอยู่แล้ว แต่ขออมพะนำไว้ก่อนว่าเป็นโรคอะไร เดี๋ยวไม่ตื่นเต้น  :a1:

:jul3: ชอบตอนพิเศษของคู่รองนี้จัง แต่ก็แอบสงสารอ้น งืดๆๆ

แหะๆๆ ก็ต้นรุกก่อน


น่าสงสารต้นเนอะ

ท่าทางอึดอัดแย่

 o7



เกิดเป็นลูกคนรวยต้องอดทน  :a2:


“ขอบคุณครับที่เป็นห่วง แฟนผม เดี๋ยวผมดูแลเอง”


ชอบอันเนี๊ยะ  :m1: ถ้าใครมาพูดกับเรา ก็คงรู้สึกดีอ่ะเนอะ ป้าเนอะ

นั่นสิ เห็นด้วยสุดๆ แล้วเมื่อไหร่จะมีใครมาพูดกับป้าซักทีเนี่ย  :freeze:

ป้าคับ ถ้าไอ้เอจะบอกว่า  :m13:

เอาตอนพิเศษของไอ้หนวดกะปาล์ม มาลงอีก


ป้าจะทำเพื่อไอ้เอได้มั้ย :m13:


( :angry2:เมิงเป็นใครห่ะไอ้เอ เค้าถึงจะทำไรเพื่อเมิง :เตะ1:)



ถามเองตอบเอง เลิศ... :jul3:  ถ้าคิดมุกได้เดี๋ยวใส่ให้ละกัน อุๆๆ


หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 14 [แวะมารีพลาย 20/10]
เริ่มหัวข้อโดย: The Living River Ping ที่ 22-10-2008 11:20:18
คิกคิก bb ตัวเองจัดต้นกับไผ่ชกรุ่นเดียวกันนั่นแหละ คู่นี้ไม่เกี่ยงน้ำหนัก คิกคิก  :o8:
หัวข้อ: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 15 [ย่ำค่ำ 22/10]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 22-10-2008 19:00:39
มาละคร้าบ รู้สึกว่าแต่งตอนนี้ได้เข้ากับหน้าฝนยังไงบอกไม่ถูก อิเว้นท์ลูกค้าป้าจะเป็นหมันก็เพราะฝนนี่แหละ เฮ้อ  :a6:


15.

“พี่นอ แนนอยากกินขนมครก ซื้อนะๆ”

เด็กหญิงตัวน้อยในชุดเครื่องแบบนักเรียนประถมดึงแขนเสื้อพี่ชายที่กำลังก้มเก็บเครื่องเขียนกับสมุดลงกระเป๋านักเรียนสีดำ เด็กชายผมสั้นเกรียนมองไปทางรถเข็นขายขนมครกที่หน้าประตูโรงเรียนแล้วก็ก้มมองน้องสาวตัวจ้อยที่ทำตาวิบวับรออยู่

“เดี๋ยวก็กลับบ้านแล้ว ขืนแนนกินขนมอิ่มแล้วไม่ยอมกินข้าวพี่ก็โดนดุสิ”

เด็กชายที่นั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะม้าหินรีบเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเด็กหญิงเริ่มเบะปาก

“งั้นเดี๋ยวน้องแนนเอาเงินพี่ไผ่ไปซื้อแล้วมากินด้วยกันก็ได้ แต่ห้ามกินอิ่มนะ จะได้กลับไปกินข้าวที่บ้านต่อ”

เด็กหญิงรับเหรียญเงินจากเพื่อนพี่ชายแล้วก็กระพุ่มมือไหว้อย่างดีใจก่อนจะวิ่งตื๋อไปอย่างรวดเร็วจนพี่ชายตัวจริงส่ายหน้า

“ให้มันได้งี้สิ น้องใครกันแน่เนี่ย ไผ่ตามใจยังงี้แนนเสียเด็กหมด”

เด็กชายพรพฤกษ์ยิ้มแหย “เอาน่า แนนก็มานั่งรอพวกเราตั้งนานแล้ว ถือว่าให้รางวัลน้องไปแล้วกัน”

“ช่วยไม่ได้ ไม่งั้นไผ่ก็ต้องนั่งรอตาอยู่คนเดียวน่ะสิ ว่าแต่วันนี้ตามารับช้าจัง นั่งทำการบ้านครบทุกวิชาแล้วเนี่ย”

“ก็วันนี้ตาต้องไปงานบวชหลานเพื่อนที่แม่ฮ่องสอน ที่จริงนอจะพาน้องกลับก่อนก็ได้นะ เราไม่ว่า” พอได้ฟังดังนั้นเพื่อนสนิทก็รีบโบกมือทันที

“เฮ้ย! ไม่ได้! รอมาจนป่านนี้แล้ว ถ้าบอกที่บ้านว่าเรารอตาเป็นเพื่อนไผ่เค้าไม่ว่าหรอก”

“พี่นอ พี่ไผ่ ได้ขนมแล้วจ้า...โอ๊ย!”

เสียงร้องอย่างตกใจและเสียงหกล้มดังตุ้บทำให้เด็กชายทั้งสองวิ่งเข้าไปหาเด็กหญิงที่เพิ่งสะดุดก้อนหินหกล้มทันทีด้วยความตกใจ

“แนน!  เป็นอะไรมากมั้ย วิ่งไปถือขนมไปแบบนี้ก็มองไม่เห็นทางสิ เอ้า ไม่ร้องนะไม่ร้อง” นรพัฒน์อุ้มน้องสาวขึ้นแล้วพากลับมานั่งที่โต๊ะม้าหินข้างสนามขณะที่เด็กหญิงยังคงร้องไห้ด้วยความเสียดายขนมและเจ็บแผลที่หัวเข่า

“นอ เดี๋ยวเราเอาผ้าเช็ดหน้าไปชุบน้ำมาให้เช็ดแผลดีกว่า แล้วเดี๋ยวไปซื้อพลาสเตอร์ยาจากร้านอาแป้ะหน้าโรงเรียนให้”

“ขอบใจนะ เอ้าแนน คนเก่งไม่ร้องนะคะ เดี๋ยวพี่เป่าให้ก็หายเจ็บแล้วนะ โอมเพี้ยง!”

พรพฤกษ์หันมองภาพเพื่อนที่กำลังปลอบน้องสาวตัวน้อยที่ทำหน้าแปลกๆก้ำกึ่งระหว่างหัวเราะกับร้องไห้แล้วก็ยิ้ม ในใจก็รู้สึกอิจฉา ถ้าเขามีพี่น้องบ้างก็คงดี...



*************


“ไผ่ขำอะไร?”

เสียงทุ้มเอ่ยถามคนที่นั่งหันหลังพิงอกตัวเองอยู่ หลังจากออกจากร้านของอภิสิทธิ์ตระการกับพรพฤกษ์ก็แวะไปเดินเล่นดูร้านขายของต่างๆที่ถนนคนเดินบริเวณประตูท่าแพ แต่พอฟ้าเริ่มมืดและมีนักท่องเที่ยวมาเดินเที่ยวกันมากขึ้นก็ตัดสินใจขับรถกลับ ตอนนี้ทั้งคู่นั่งมองแสงไฟในเมืองอยู่ที่ศาลาชมวิวระหว่างทางขึ้นเขาตรงจุดที่เจ้าของบ้านนฤมิตรเคยพาอีกฝ่ายขึ้นมาตั้งแต่ตอนพบกันครั้งแรก

“คิดถึงตอนเด็กๆน่ะ มีครั้งนึงเคยขึ้นมาเดินเล่นกับตาแล้วเห็นดาวตก ตอนนั้นตื่นเต้นน่าดู ตาเลยถามว่าอธิษฐานขออะไร”

อีกฝ่ายเงียบเหมือนรอให้เล่าต่อ พรพฤกษ์เลยหันหน้ากลับมาหา

“อะไรกัน ไม่เดาหน่อยเหรอว่าตอนนั้นไผ่ขออะไร”

ชายหนุ่มอายุน้อยกว่ากล่าวเสียงเบาเหมือนเกรงใจ “ขอให้...แม่กลับมาหาล่ะมั้ง?”

“ผิด ขอให้มีน้องต่างหาก”

ตระการขมวดคิ้ว อีกฝ่ายจึงยิ้มตาเป็นประกาย

“ฟังแล้วอาจแปลกๆนะ แต่ตอนเด็กไผ่จะอิจฉาเพื่อนๆที่มีพี่น้องมากเลย เพราะว่าบ้านอยู่ไกลคนอื่นก็เลยไม่มีเพื่อนเล่นด้วยช่วงวันหยุด แต่เรื่องพ่อแม่กลับไม่ค่อยคิดถึงเพราะมีตาอยู่แล้ว”

“มิน่าถึงได้ชอบเรียกตัวเองว่าพี่ชาย”

ตระการดึงอีกฝ่ายให้เอนซบตัวเองมากขึ้นแล้วก็เอาคางเกยศีรษะไว้ คนในอ้อมแขนหัวเราะ

“ก็ต้นเป็นลูกเลี้ยงของแม่ เป็นน้องก็ถูกแล้วนี่นา”

มือใหญ่ลูบหลังมือของอีกคนเบาๆ “ให้เป็นน้องก็ได้ถ้าเป็นแล้วได้กอดได้จูบไผ่ แต่ห้ามไปมีน้องชายคนอื่นอีกนะ น้องคนนี้ขี้หวง”

“ทะลึ่ง!” 

ตระการยิ้ม แม้จะไม่ก้มลงมองแต่ก็มั่นใจว่าคนที่อยู่ในอ้อมกอดกำลังหน้าแดงอยู่แน่ๆ

“เปล่าทะลึ่งซักหน่อย คนรักกันอยากทำอะไรกุ๊กกิ๊กกันก็เรื่องธรรมดาจะตายไป ยิ่งไม่ค่อยมีเวลาอยู่ด้วยกันแบบนี้ด้วย...”

ทั้งสองเงียบไป ความจริงที่ว่าพอวันรุ่งขึ้นทั้งคู่จะต้องห่างกันอีกนานหลายเดือนทั้งที่เพิ่งจะได้ใช้เวลาปรับความเข้าใจกันทำให้อดรู้สึกยอกในอกไม่ได้ ตระการก้มลงจูบไหล่อีกฝ่ายแล้วก็โยกตัวเบาๆเหมือนปลอบเด็ก ส่วนพรพฤกษ์ก็ถอนหายใจยาวแล้วนั่งเงียบปล่อยความคิดไปเรื่อยๆเหมือนยังไม่อยากคิดถึงวันพรุ่งนี้

เสียงเม็ดฝนกระทบหลังคาปลุกทั้งคู่จากภวังค์ พรพฤกษ์ดีดตัวขึ้นนั่งหลังตรงทันทีเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้

“ต้น ก่อนออกมาจากบ้านเราได้ปิดหน้าต่างห้องนอนกันรึเปล่าน่ะ?”

ตระการกลอกตาทบทวนความจำ “ไม่แน่ใจเหมือนกันแฮะ งั้นกลับบ้านกันดีกว่า ขืนฝนสาดเข้าห้องล่ะแย่เลย”

ทั้งสองวิ่งฝ่าสายฝนที่จู่ๆก็เทกระหน่ำลงมาไปยังรถที่จอดไว้แล้วขับกลับไปที่บ้าน พอตระการจอดรถในโรงจอดเสร็จพรพฤกษ์ก็รีบวิ่งเข้าบ้านทันทีโดยมีตระการตามไปติดๆ ชายหนุ่มได้ยินเสียงเปิดปิดประตูที่ชั้นบนสุดจึงเข้าไปเช็คดูที่ห้องนอนใหญ่ชั้นสองแทน โชคดีว่าเขารีบงับหน้าต่างปิดได้ทันก่อนที่ฝนจะเริ่มหันทิศสาดมาทางหัวเตียง

พรพฤกษ์เดินตัวเปียกเข้ามาในห้องนอนเนื่องจากต้องยื่นตัวออกไปปิดหน้าต่างในห้องพักบางห้อง  หน้าหวานแดงเรื่อและหายใจหอบเบาๆหลังจากวิ่งขึ้นลงบันไดหลายชั้น

“โอเค บางห้องโดนฝนสาดลงพื้นนิดหน่อย แต่เช็ดน้ำไปแล้ว”

คนตัวใหญ่พยักหน้าแล้วก็หยิบผ้าขนหนูจากตู้ยื่นให้

“ไผ่ไปอาบน้ำก่อนดีกว่า เปียกทั้งฝนเปียกทั้งเหงื่อเดี๋ยวไม่สบายกันพอดี”

พรพฤกษ์รับผ้ามาแล้วก็ซับผมตัวเองลวกๆขณะเปิดตู้หาเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยน “ต้นก็ไปอาบด้วยสิ ตัวเองก็เปียกเหมือนกันนี่”

“จะให้อาบด้วยจริงเหรอ?”

นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มฉายแววซุกซน พรพฤกษ์เงยหน้าขึ้นมองอย่างงงๆแล้วก็เพิ่งนึกได้ว่าอีกฝ่ายหมายความอย่างไร

“เฮ้ย! ไม่ได้หมายความแบบนั้นนะ ต้นก็ไปใช้ห้องข้างบนสิ ตรงนี้ห้องน้ำเล็กจะตายจะอาบด้วยกันได้ไง”

เจ้าของบ้านว่าแล้วก็รีบคว้าเสื้อผ้าเดินหนีเข้าห้องน้ำเพื่อซ่อนใบหน้าที่ร้อนวูบขึ้น แต่แล้วก็โดนมือใหญ่คว้าแขนไว้แล้วดึงกลับเข้าหา ชายหนุ่มรู้สึกถึงแผ่นอกแน่นของอีกฝ่ายที่เบียดแนบกับแผ่นหลังเปียกโชกของตัวเองแล้วก็หยุดยืนตัวแข็ง มือใหญ่จับบ่าของอีกฝ่ายไว้ก่อนก้มลงกระซิบข้างใบหูเสียงเบา

“อาบด้วยกันเถอะนะ ตั้งแต่พรุ่งนี้ก็จะไม่ได้เจอไผ่อีกตั้งนาน”

ประโยคนั้นทำให้คนฟังที่ยืนตัวแข็งทื่อไหล่ลู่ลงแทบจะทันที ชายหนุ่มยอมให้อีกฝ่ายจูงมือเข้าไปในห้องน้ำ ตระการเปิดฝักบัวแล้วก็ดันร่างคนตัวเล็กกว่าเข้าไปยืนใต้กระแสน้ำอุ่น มือใหญ่ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของตัวเองออกก่อนจะเอื้อมถอดเสื้อยืดที่เปียกแนบเนื้อคนตัวเล็กกว่าออกทางศีรษะ พรพฤกษ์ตัวสั่น ไม่กล้าสบสายตาคมที่มองมาเมื่อร่างเปลือยท่อนบนของอีกฝ่ายเคลื่อนเข้าใกล้ ตระการใช้มือข้างหนึ่งรวบเอวบางเข้าหาแล้วก็ก้มหน้าลงจูบอย่างเร่งเร้าจนฝ่ายที่โดนจู่โจมกะทันหันหายใจสะดุด ร่างกายท่อนล่างใต้กางเกงยีนส์บดเบียดกันแนบแน่น นัยน์ตากลมโตเบิกกว้างเมื่อรู้สึกถึงมือข้างหนึ่งที่ไล้ต่ำเข้าไปในขอบกางเกงด้านหลัง  ใบหน้าหวานคมสะบัดหนีอีกฝ่ายทันทีด้วยความตกใจ

“เดี๋ยวก่อน...ต้น!”

ตระการคำรามเสียงต่ำในคอโดยที่ริมฝีปากยังคงจูบคางของอีกฝ่ายและไล่ลงไปดูดเม้มที่ลำคอและช่วงบ่าขาวเนียน มือสองข้างยังคงไม่หยุดล้วงต่ำลงไปสัมผัสเนินเนื้อหยุ่นใต้กางเกงราวกับไม่ได้ยินเสียงทัดทานของอีกฝ่าย

“ต้น! หยุด!!”

เสียงตวาดของอีกฝ่ายทำให้ตระการชะงักทันที ชายหนุ่มถอยออกแล้วก็ต้องตกใจที่เห็นอีกฝ่ายก้มหน้าเม้มปากกลั้นสะอื้นตัวสั่น อ้อมแขนแข็งแรงรวบอีกฝ่ายเข้ากอดทันทีแล้วลูบแผ่นหลังบางไปมา

“ไผ่! ขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ตกใจแบบนี้ ขอโทษ”

พรพฤกษ์สะอื้นแล้วก็พยายามขืนตัวออก “ปล่อยนะ ถ้าเมื่อกี้ไผ่ยอมแล้วต้นจะทำอะไร ถ้าพอใจแล้วไม่กลับมาอีกจะให้ทำไง ไม่อยากรู้สึกเหมือนโดนทิ้งอีกแล้วนะ”

คราวนี้ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ไม่ยอมปล่อยอีกคนจากวงแขนง่ายๆ แต่เปลี่ยนเป็นจับข้อมือเรียวทั้งสองข้างไว้แล้วดันไปตรึงไว้กับผนังห้องน้ำแทน พรพฤกษ์หลับตาแน่นหันหนีอีกฝ่ายที่พยายามจะจูบจนตระการถอนหายใจ ริมฝีปากอุ่นจึงก้มลงจูบขมับแล้วปล่อยข้อมือทั้งสองข้างเป็นอิสระเพื่อกอดเอวอีกฝ่ายไว้แทน ใบหน้าคมโน้มลงซุกซอกคอขาวของคนที่ยังคงไม่ยอมหันมาสบตา

“ขอโทษ ต้นไม่ได้ตั้งใจจะฝืนใจ ไผ่อย่าโกรธเลยนะ”

พรพฤกษ์สะกดกลั้นอาการสะอื้นไว้ ทั้งสองยืนแนบชิดกันใต้สายน้ำอุ่นจากฝักบัวโดยไม่พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง ร่างเพรียวรู้สึกได้ถึงไออุ่นจากผิวกายของอีกฝ่ายและเสียงหัวใจเต้นของตัวเองที่เริ่มสงบลง มือบางยกขึ้นวางทาบกับต้นแขนแกร่งช้าๆและค่อยแนบแก้มตนลงกับแผ่นอกตึงแน่น ใช่ว่าเขารู้สึกไม่ดีกับการถูกสัมผัส แต่อีกใจก็ยังไม่พร้อมจะเตลิดไปกับความต้องการชั่ววูบ

“ไผ่เข้าใจว่าต้นต้องการ แต่ไผ่ยังไม่พร้อมจริงๆ อย่าเพิ่งได้มั้ย?”

ร่างสูงใหญ่ถอนหายใจแต่ไม่ได้คลายวงแขนออก

“งั้นต้นขอแค่อาบน้ำด้วยกันเฉยๆก็ได้ แค่นั้นได้หรือเปล่า?”

พรพฤกษ์หน้าแดงขึ้นมาอีกรอบ แต่เมื่ออีกฝ่ายผละออกแล้วมองสบตาตนนิ่งด้วยแววตาจริงจังชายหนุ่มก็พูดอะไรไม่ออก และไม่กล้าหันหนีใบหน้าคมที่ก้มลงมาหาอีก



*************


เสียงฝนตกกระหน่ำภายนอกดังก้องสลับเสียงฟ้าผ่าเป็นระยะ ร่างสองร่างนอนเบียดถ่ายเทไออุ่นแก่กันใต้ผ้านวมผืนใหญ่บนเตียง ตระการนอนหงายโดยมีพรพฤกษ์นอนหนุนไหล่ข้างหนึ่งอยู่ มือใหญ่ลูบหลังอีกฝ่ายเบาๆ

“ไผ่ เมื่อกี้ไม่โกรธต้นนะ?”

นัยน์ตาหวานคมเหลือบขึ้นมองคนที่ตัวเองนอนหนุนอยู่แล้วก็ลดสายตาและหน้าที่ซับสีเลือดลงเหมือนเดิม สุดท้ายทั้งที่คิดว่าจะแค่อาบน้ำด้วยกันแต่แล้วก็เลยเถิดไปจนได้ ทว่าพรพฤกษ์ก็ยังอุ่นใจที่ตระการไม่ฝืนความรู้สึกตนให้มีความสัมพันธ์ด้วยจนถึงที่สุด เสียงทุ้มใสเอ่ยตอบงึมงำในคอ

“ก็ไม่ได้โกรธ แต่ถ้ายังไม่เลิกถามอีกล่ะก็ไม่แน่”

ตระการพลิกตัวนอนตะแคงแล้วกอดอีกฝ่ายแน่นเข้า พรพฤกษ์เบี่ยงตัวออกเล็กน้อยแล้วก็ปัดผมที่ปรกหน้าผากอีกฝ่ายออก

“พรุ่งนี้ต้องไปสนามบินแต่เช้านะต้น รีบนอนเถอะ”

“เดี๋ยวตอนบินไปเกาหลีก็ได้นอนยาวแล้วน่า”

คนตัวใหญ่ตบท้ายประโยคด้วยการหาว ทำเอาคนในอ้อมแขนหัวเราะ ไม่แปลกที่ตระการจะเหนื่อยเพราะภายในวันนี้วันเดียวทั้งคู่ใช้พลังงานไปกับกิจกรรมมากมาย มือเรียวลูบแผ่นหลังกว้างของอีกฝ่ายเบาๆ

“พี่ชายบอกให้นอนก็นอนสิ ถ้าดื้อเดี๋ยวทำโทษนะ”

“งั้นก็ร้องเพลงกล่อมก่อนสิ โอ้ย! ทำไมพี่ชายชอบเล่นเจ็บๆจัง”

ตระการแกล้งร้องอุทานหลังโดนอีกฝ่ายตุ๊ยท้องไม่แรงนักก่อนจะพลิกตัวหันหนีไปอีกทาง ชายหนุ่มหัวเราะแล้วก็ดึงร่างอีกฝ่ายกลับมาแล้วซ้อนตัวเข้ากอดจากด้านหลัง ริมฝีปากอุ่นก้มจูบต้นคอขาวแผ่วเบา

“ไปถึงที่โน่นแล้วจะโทรกลับมาทุกวันเลยนะ”

“อื้อ”

“กลับมาคราวหน้าเมื่อไหร่จะรีบมาหาไผ่ก่อนเลยนะ”

“อื้อ”

“รักไผ่นะครับ ไผ่รักต้นมั้ย?”

ไม่มีเสียงตอบ แต่คนในอ้อมแขนหันกลับมาแล้วซุกหน้าเข้ากับอกกว้างแทน

“ยังไม่ตอบ ถ้าอยากฟังก็กลับมาเร็วๆ แล้วจะบอก”

“โหย~ใจร้าย”

พรพฤกษ์เงยหน้าขึ้นยิ้มเจ้าเล่ห์ให้จนคนตัวโตกว่าจนอีกฝ่ายต้องก้มลงถูจมูกตัวเองเข้ากับจมูกโด่งนั้นอย่างมันเขี้ยว อ้อมแขนใหญ่กอดกระชับร่างเพรียวแน่นขึ้นก่อนทั้งสองจะหลับไหลในอ้อมกอดของกันและกันท่ามกลางเสียงกล่อมจากพายุฝน



*************
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 15 [ย่ำค่ำ 22/10]
เริ่มหัวข้อโดย: juuuno99 ที่ 22-10-2008 19:04:53
^
^
^
^



มาจิ้มป้าไว้ก่อน



เดี๋ยวไอ้เอค่อยกลับมาอ่าน ไปหาไรกินก่อน

ป้าอยากกินไร

เดี่ยวซื้อมาฝาก   :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 15 [ย่ำค่ำ 22/10]
เริ่มหัวข้อโดย: The Living River Ping ที่ 22-10-2008 19:11:03
น่าหยิกต้นที่สุด หยุดทำไมเนี่ย แหม จริงๆเลย ไผ่ก็ จวนตัวแล้วอย่างนี้ จูบุจูบุ ไปเถอะ  :a1:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 15 [ย่ำค่ำ 22/10]
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 23-10-2008 02:33:09
 :m1: หวานได้อีกนะคู่นี้ แต่แอบเสียดายฉาก(เกือบ)ได้เสีย  :m19:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 15 [ย่ำค่ำ 22/10]
เริ่มหัวข้อโดย: BeePed ที่ 23-10-2008 12:08:01
ไผ่เล่นตัวมากไปหรือเปล่าจ๊ะ จนขั้นนี้แล้วจะกลัวอะไรกันอีก  :o เป็นนายเอกทั้งทีมันต้องกล้วได้กล้าเสียหน่อยนะ :laugh:
เดี๋ยวต้นรอไม่ไหวไปมีคนใหม่แล้วจะรู้สึก  o7
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 15 [ย่ำค่ำ 22/10]
เริ่มหัวข้อโดย: krappom ที่ 23-10-2008 13:04:03

ระหว่างไปเกาหลีหวังว่าจะไปเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกนะ
แบบว่าไปนานจัง
 :serius2:

หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 15 [ย่ำค่ำ 22/10]
เริ่มหัวข้อโดย: pickki_a ที่ 24-10-2008 11:02:33
โหป้า
หวานซะ....
 :m29: :m29:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 15 [ย่ำค่ำ 22/10]
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 25-10-2008 20:12:25
ตามมาอ่านด้วยคน  :oni1:

เนื้อเรื่องน่ารักและหวานมาก ๆ เลยค่า  :m1:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 15 [ย่ำค่ำ 22/10]
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 25-10-2008 23:47:09
ขอเป็นแฟนคลับ ไผ่-ต้น ด้วยนะ

ดำเนินเรื่องได้สนุกน่าติดตามมากๆ

 คู่ของปาล์ม-ย่ามก็น่ารัก
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 15 [ย่ำค่ำ 22/10]
เริ่มหัวข้อโดย: pickki_a ที่ 27-10-2008 16:41:17
ป้าหายนานไปป่ะ เด๋วเข้าเล้าไม่ถูกนะป้านะ

ป้าอับเมื่อไหร่ อีกสามวัน ใหญ่จะอับตาม  :laugh: :laugh: คับ
หัวข้อ: แม้นมั่นคำสัญญา แวะมารีรอตอนที่ 16 [ยามเย็น 27/10]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 27-10-2008 17:24:14
แวะเข้ามาตอบรีก่อน เดี๋ยวค่ำๆจะมาลงตอนใหม่เน้อ (หวังว่า...  :m29: )

Ju!_Ju!   ไหนอะของกินอะ ป้านั่งแทะมันแกวรอเลิกงานจนจะจุกแล้วเนี่ย  :laugh:

The Living Rive   อนุญาตให้หยิกต้นได้ แต่อย่ามาหยิกเค้านะ ว่าแต่ให้ไผ่แค่จูบุจูบุจะพอเหรอตะเอ๊ง

ที่รักของ...  ไผ่อาจต้องเขียนไปปรึกษาเจ๊สุวรรณมาลีเรื่องการเตรียมใจ  :t2:

BeePed   สงสัยต้องให้แมนดี้มาติวเข้มให้ไผ่ซะละมั้งนี่ ดูซิน้องอาร์มวิ่งเข้าเส้นชัยไปซะละ

krappom    :m32: หึๆ (หัวเราะเพื่อ???)

nOn†ღ     :pig4: มากๆจ้า ติดตามกันต่อไปเน้อ

patee       ขอบคุณคับ จะใส่คู่นี้มาเอาใจพ่อยกแม่ยกบ่อยๆแล้วกันนะ (จริงๆตอนเริ่มเขียนไม่ได้มีแพลนคู่นี้ในหัวเลยนะเนี่ย)

pickki_a    เกือบหล่นไปหน้าสองแล้ว มามะมาให้ป้าฟัดแน่นๆที :man1:   ว่าแต่ไม่ต้องรอสามวันค่อยอัพเรื่องของตัวเองก็ได้นะ บอกแล้วว่าป้าอยากกินกาแฟร้อน!

 

หัวข้อ: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 16 [ก่อนเข้าวันใหม่ 27/10]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 27-10-2008 23:37:06
16.

“โอเค พักกินข้าวกันก่อนแล้วค่อยถ่ายต่อ”

เสียงบ.ก.ประกาศท่ามกลางเสียงถอนหายใจของทีมถ่ายภาพประจำนิตยสารหลังเช็ครูปบนจอสกรีนใหญ่จนเป็นที่พอใจ หญิงสาวร่างสูงระหงผู้เป็นนางแบบหลักคว้าเสื้อคลุมแล้วเดินออกจากห้องที่ใช้เป็นสถานที่ถ่ายแบบลงไปยังห้องครัวที่ชั้นหนึ่งภายในบ้านที่ถูกใช้เป็นโลเคชัน นางแบบสาวเดินเข้าไปโอบเอวหญิงสาวร่างสูงผมซอยสั้นที่กำลังยืนค้นกล่องข้าวหลายใบบนโต๊ะในครัวแล้วก็ก้มลงเอาคางเกยไหล่

“เจ้ปาล์ม มีอะไรกินมั่ง?”

ปฏิมาหันมามองญาติผู้น้องแล้วก็หยิบกล่องข้าวจากถุงใกล้ตัวมาเปิดดูกล่องหนึ่ง “เท่าที่เห็นตอนนี้ก็มีข้าวผัดหมู ข้าวไก่กระเทียมไข่ดาว แล้วก็ผัดซีอิ๊ว ลี่จะกินอะไรล่ะ”

ลลิตายกนิ้วชี้แตะริมฝีปาก “เอ...งั้นเอาข้าวผัดก็ได้”

“โอ๊ะตายๆๆอกกระเทยจะแหก เดี๋ยวนี้ลิลลี่เปลี่ยนมานิยมดนตรีไทยแล้วเหรอจ๊ะ”

หญิงสาวหันมาหัวเราะคิกกับสไตลิสต์ ‘สาว’ ใหญ่ที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องทานอาหารแล้วก็ทำเป็นแกล้งซบไหล่คนข้างๆ

“ช่าย…จริงๆแล้วเจ้ปาล์มนี่แหละตัวจริงของลี่”

ปฏิมากลอกตา ศศิ สาวนักเขียนคอลัมน์ประจำกองซึ่งมีหน้าที่ต้องสัมภาษณ์นางแบบสาวเดินตามเข้ามาในครัว พอได้ยินบทสนทนาของทั้งสามก็หัวเราะเสียงดัง

“โอ๊ย!!! ป้าแองจี้ไปตกเขาอยู่ที่ไหนมาเนี่ย สองคนนี้เค้าเป็นลูกพี่ลูกน้องกันต่างหากเล่า!”

“อ้าวเหรอ แหม...เจ๊ก็นึกว่าจะได้คู่เม้าท์คู่ใหม่”

ทีมงานช่างภาพและนายแบบประกอบที่เหลือทยอยเดินตามเข้ามาเลือกกล่องข้าวและน้ำดื่มแล้วก็แยกย้ายไปนั่งทานในห้องนั่งเล่นบ้าง ด้านนอกระเบียงบ้างเพื่อจะได้สูบบุหรี่ ที่โต๊ะทานอาหารจึงเหลือเพียงปฏิมาซึ่งเป็นรองบ.ก. แองจี้สไตลิสต์ ศศิและลลิตาเท่านั้น

“ว่าแต่ลิลลี่ เดี๋ยวนี้ไปไหนมาไหนกับท็อปที่เป็นลูกส.ส.อยู่เหรอ?”

“ข้อนี้รวมอยู่ในคำถามสัมภาษณ์เปล่าพี่ ถ้าใช่หนูไม่ตอบ”

ศศิรีบโบกมือ “เปล่าๆ ข้อนี้ถามเอง พอดีพี่เห็นรูปในหนังสือพิมพ์ว่าไปดูหนังด้วยกันมาเลยอยากรู้เฉยๆ รับรองไม่เอาไปเขียน”

“ก็ไม่มีอะไรหรอกพี่ รู้จักกันผ่านเพื่อนในกลุ่ม วันนั้นเค้าชวนไปดูหนังแล้วลี่ว่างๆก็เลยไป ลี่ไม่รู้นี่ว่าเค้ามีแฟนอยู่แล้ว พวกสื่อมาเขียนว่าลี่เป็นมือที่สามลี่ก็เสียหายเหมือนกันนะ”

สไตลิสต์สาวใหญ่ได้ยินคำปฏิเสธเสียงแข็งดังนั้นก็เอ่ยขึ้นบ้าง “เจ๊ก็เคยได้ยินเพื่อนเล่าว่าตานี่ร้ายจะตาย ถ้าเทียบกับลูกชายเจ้าของโครงการสุวรรณฤทธิ์แล้วคนนั้นดูน่างาบกว่าเยอะ เจ๊ชอบพวกนิ่งๆแต่แอบร้อนแรง”

พอจบประโยคทั้งโต๊ะก็หัวเราะครึกครื้นยกเว้นปฏิมาที่เสยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม นี่ถ้าคนพวกนี้ได้รู้ว่าคนที่กำลังพูดถึงมีคนที่คบอยู่แล้วเป็นเจ้าของเกสต์เฮ้าส์เล็กๆทางเหนือแถมเป็นผู้ชายคงได้เม้าท์กันสนุกปากยิ่งกว่าเดิม อาจยกเว้นก็แต่ญาติผู้น้องของตน หญิงสาวชำเลืองมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆแล้วก็ตัดสินใจลองเอ่ยถาม

“ว่าแต่ต้น...เอ่อ...คุณชายทายาทเศรษฐีนั่นน่ะ ทำไมเค้าไม่เห็นออกมารับข่าวเรื่องลี่บ้างเลยล่ะ?”

ผู้นั่งร่วมโต๊ะทุกคนหันมองคนถามด้วยสายตาแปลกๆ ศศิเอื้อมหลังมือมาแตะหน้าผากเพื่อนล้อๆ

“เฮ้ยปาล์ม วันนี้แกเป็นอะไรปะเนี่ย ปกติแกไม่สนใจเรื่องคนอื่นไม่ใช่เหรอวะ?”

หญิงสาวปัดมือเพื่อนออกอย่างหงุดหงิดหน่อยๆ “ก็ไม่สนเรื่องคนอื่น แต่สนเรื่องญาติตัวเองแปลกตรงไหน?”

“สำหรับแก เจ๊ว่าแปลก แต่อะไรๆที่แกทำก็แปลกอยู่แล้วล่ะ” สไตลิสต์สาวใหญ่เสริม

ปฏิมาถลึงตาใส่คนแซวที่หันไปหัวเราะคิกคักกับเพื่อนร่วมกอง แล้วก็ต้องเสียวสันหลังวาบเมื่อหันมาทันเห็นประกายตาไม่เป็นมิตรวูบหนึ่งของลลิตาก่อนที่นัยน์ตาคู่สวยจะเปลี่ยนเป็นยิ้มจนตาหยี

“เจ้ไม่รู้อะไร ก็ลี่คบกับพี่ต้นมาตั้งแต่เรียนอยู่ที่บอสตัน พอดีพี่เค้าเป็นคนเงียบๆเลยไม่ออกมาให้ข่าวกระโตกกระตากก็แค่นั้น”

นางแบบสาวกล่าวแล้วก็หันไปหยิบชมพู่หั่นชิ้นจากถาดกลางโต๊ะ ปฏิมาอึกอัก นึกสงสัยขึ้นมาครามครันว่าตกลงระหว่างตระการกับลลิตาใครพูดความจริงเรื่องสมัยที่ทั้งคู่เรียนอยู่ต่างประเทศกันแน่ แต่อย่างไรสิ่งที่ตนมั่นใจก็คือ ณ ตอนนี้ตัวจริงของตระการคือพรพฤกษ์แน่นอน

เสียงโทรศัพท์มือถือของปฏิมาดังขึ้น พอหญิงสาวหยิบขึ้นดูหมายเลขโทรเข้าก็ขมวดคิ้วมุ่นทันที

“ทำหน้ายังงี้ แฟนโทรมาแหงๆ”

นัยน์ตาคมตวัดสายตาดุมองเพื่อนก่อนจะรีบลุกหนีออกไปหน้าบ้านโดยคว้าโทรศัพท์ติดมือไปด้วย หูได้ยินเสียงโห่แซวจากด้านหลังแว่วๆจนนึกฉุนตัวต้นเหตุ

“โทรมาทำไม!?”

“หวา วันนั้นของเดือนหรือเปล่าเนี่ย ผมอยากได้ยินเสียงที่รักก็เลยโทรมาไม่ได้เหรอ อยากเห็นหน้าจะแย่แล้วนะ ว่าแต่ที่รักทำอะไรอยู่ครับ”

ปฏิมารู้สึกปวดศีรษะหนึบขึ้นมาหลังเริ่มสนทนาได้เพียงไม่กี่ประโยค ใจเย็นไว้...ทำไมเวลาคุยกับหมอนี่ทีไรต้องรู้สึกว่าจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ทุกทีเลยนะ หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าแล้วพยายามบังคับเสียงให้นิ่ง

“ที่นี่ไม่มีที่รักของใคร แล้วก็ถามจริงๆจะโทรมาทำไม เราติดงานถ่ายแฟชั่นสำหรับฉบับถัดไปอยู่”

“เหรอ...แล้วปาล์มเป็นนางแบบเองด้วยรึเปล่า?”

ปฏิมาหน้าหงิกมากขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะในคอจากปลายสาย

“ล้อเล่นน่า ก็ที่ปาล์มเคยขอให้ผมช่วยหาบ้านสำหรับทำโฮมออฟฟิศให้ไง ผมจะโทรมาบอกว่าเจอที่ที่ปาล์มน่าจะชอบแล้วนะ”

“ได้แล้วเหรอ ลักษณะเป็นยังไง?”

เสียงห้าวของหญิงสาวแสดงความตื่นเต้นขึ้นจนคนที่คุยด้วยอดอมยิ้มไม่ได้ ชายหนุ่มติดใจปฏิมาก็เพราะท่าทางที่ดูเผินๆเหมือนจะเป็นคนนิ่งเฉยแต่กลับแสดงอารมณ์ความรู้สึกอย่างไม่เสแสร้งต่อหน้าเขานี่แหละ

“ก็ว่าจะส่งอีเมล์บอกอยู่หรอก แต่พอดีเจ้าของเค้าบอกว่ามีคนอื่นดูๆอยู่เหมือนกัน ถ้าไม่รีบตัดสินใจอาจหลุดไปซะก่อน”

“เข้าใจละ งั้นสุดสัปดาห์นี้จะขึ้นไปแล้วกัน เอ้อ...ว่าแต่ช่วงนี้ไผ่เป็นไงบ้าง?”

หลังบทสนทนาที่โต๊ะอาหารเมื่อครู่ หญิงสาวอดนึกถึงคนที่ตัวเองเคยช่วยปรับความเข้าใจกับตระการไม่ได้

“ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เจอเท่าไหร่เพราะไผ่มันยุ่งๆกับแขกที่เกสต์เฮ้าส์อยู่ แต่โทรคุยกันครั้งล่าสุดก็ท่าทางสบายดี อะไรเนี่ย...คุยกันตั้งนานไม่เห็นถามสารทุกข์สุขดิบผมบ้างเลย ที่รักน้อยใจนะครับ”

“ก็เรื่องของนาย”

ปฏิมากะตอกให้อีกฝ่ายสะอึก แต่แล้วก็ต้องงงเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจแทน

“ไม่ปฏิเสธว่าผมเป็นที่รักแล้วนี่ งั้นเดี๋ยวปาล์มได้รายละเอียดไฟลท์เมื่อไหร่โทรมาบอกด้วยแล้วกัน แล้วอย่าลืมคิดถึงที่รักคนนี้บ้างนะครับ บ๊ายบาย”

ปลายสายชิงวางหูก่อนที่ปฏิมาจะทันได้อ้าปากเถียงจึงได้แต่ทำท่าฮึดฮัดใส่โทรศัพท์ ปาริดาผู้เป็นน้องสาวซึ่งเข้ามาฝึกงานในกองบก.เล่มเดียวกันจูงน้องชายคนเล็กที่พ่วงติดมาด้วยพอดีจึงหยุดทัก

“ปลาพาป๊อกไปซื้อขนมมาเพิ่มแล้วนะเจ้ แล้วเป็นอะไรทำไมมายืนหน้าแดงอยู่หน้าบ้าน”

ผู้เป็นพี่สาวมองน้องตัวเองตาเขียวแล้วก็หมุนตัวเดินกระแทกเท้ากลับเข้าไปในบ้าน เด็กชายวัยห้าขวบกระตุกมือพี่สาวคนกลางแล้วก็เงยหน้าถาม

“เจ้ปาล์มเป็นไรอ้ะเจ้”

ปาริดายักไหล่  “เจ้ก็ไม่รู้แฮะ สงสัยวันนั้นของเดือน”



*************


รถยุโรปสีดำสนิทหักเลี้ยวผ่านรั้วเหล็กขนาดสูงแล้วถอยเข้าจอดที่หน้าบ้านหลังใหญ่ในหมู่บ้านจัดสรรระดับหรู ชายวัยปลายสามสิบรูปร่างท้วมในชุดสูทและแว่นกรอบเหลี่ยมก้าวลงจากรถแล้วก็แจ้งความประสงค์กับแม่บ้านที่ออกมาต้อนรับ

“ผมมาพบคุณตฤณจากสำนักงานนักสืบธเนศครับ ท่านรอผมอยู่แล้ว”

“เอ่อ งั้นเดี๋ยวนั่งรอสักครู่นะคะ เดี๋ยวอิฉันไปเรียนคุณท่านก่อน”

แขกผู้มาเยือนถือกระเป๋าเอกสารสีดำก้าวเข้าไปนั่งรอในห้องรับแขก สักครู่แม่บ้านที่หายตัวไปชั้นบนก็เดินลงมาตาม

“คุณท่านรออยู่ที่ห้องทำงานค่ะ เดี๋ยวอิฉันพาไปนะคะ”

ชายในชุดสูทพยักหน้าแล้วก็เดินตามหญิงแม่บ้านไปหยุดอยู่หน้าประตูไม้แกะสลักบานหนา เมื่อก้าวเข้าไปก็พบชายวัยกลางคนที่ผมบางส่วนเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเทาทว่ายังดูอายุไม่มากนั่งอยู่บนเก้าอี้บุกำมะหยี่พนักสูง นัยน์ตาที่ยากจะอ่านความรู้สึกละจากหนังสือที่อ่านอยู่ขึ้นสบตาผู้มาใหม่แล้วก็ผายมือให้นั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

“สวัสดีคุณธเนศ เชิญ”

ธเนศหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับเหงื่อที่ซึมออกมาบนขมับแล้วก็ขยับตัวเข้าใกล้โต๊ะก่อนจะทรุดตัวลงนั่ง แม้เขาจะได้พบลูกค้าผู้เป็นผู้ก่อตั้งและประธานเครืออสังหาริมทรัพย์สุวรรณฤทธิ์เพียงไม่กี่ครั้ง แต่ก็สัมผัสได้ถึงรังสีดุดันเอาจริงเอาจังที่ดูจะติดเป็นเงาของอีกฝ่ายตลอดเวลาทุกครั้งที่ได้พบ แต่ถ้าไม่เพราะบุคลิกเช่นนี้ชายที่มีอดีตเป็นเพียงลูกชาวสวนธรรมดาๆคงไม่สามารถต่อสู้ชีวิตฝ่าฟันอุปสรรคจนก้าวมาได้ถึงจุดนี้

“ขอโทษด้วยที่แอร์ห้องนี้ไม่ค่อยเย็นเท่าไหร่ หมอบอกว่าแอร์แรงๆมันไม่ดีกับสุขภาพผม”

นัยน์ตาคมของผู้พูดเปล่งประกายหยันเล็กน้อย ธเนศส่ายหน้าคล้ายจะบอกว่าไม่เป็นไร

“ผมรวบรวมเอกสารตามที่ขอให้สืบย้อนหลัง เกี่ยวกับเรื่องที่คุณตระการไปเชียงใหม่เมื่อราวๆปีครึ่งที่ผ่านมา แล้วก็รวมกับตอนที่ไปที่นั่นอีกเมื่อครั้งล่าสุดมานะครับ”

เจ้าของบริษัทนักสืบหยิบแฟ้มรายงานจากกระเป๋าเอกสารวางลงกลางโต๊ะไม้สักขัดเงาขนาดใหญ่ แล้วก็เปิดแฟ้มออกพลางบรรยายรายงานที่ได้ทีละหน้า

“การไปเชียงใหม่ครั้งแรกนั้นเราสืบได้ว่าคุณตระการไปพักที่เกสต์เฮ้าส์นอกตัวเมืองชื่อบ้านนฤมิตรเป็นเวลาประมาณสองสัปดาห์ และการไปครั้งที่สองก็ไปพักที่นั่นเหมือนกัน ระหว่างนั้นไม่มีการติดต่อกับใครไม่ว่าในเชียงใหม่หรือที่กรุงเทพฯนอกจากเจ้าของที่พักนั่นคนเดียว”

นิ้วมือหนาพลิกไปยังหน้าที่มีประวัติพร้อมรูปถ่ายของชายหนุ่มร่างสูงโปร่งและนัยน์ตาคมใต้คิ้วโก่งได้รูป ตฤณสะดุดใจกับใบหน้านั้นจึงหยิบประวัติขึ้นอ่านแล้วก็ขมวดคิ้ว ธเนศแอบชำเลืองมองปฏิกิริยาของผู้เป็นลูกค้าก่อนเอ่ยช้าๆอย่างเกรงใจ

“เอ่อ เท่าที่ผมสืบประวัติของเจ้าของเกสต์เฮ้าส์หนุ่มคนนี้มา พ่อของเขาเสียตั้งแต่เด็กเพราะสร้างหนี้ไว้มากจนฆ่าตัวตาย ส่วนแม่เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯจึงโตมากับตาเพียงลำพัง...”

ตฤณเอ่ยตัดบทเสียงห้วนทันทีทั้งที่ยังจับจ้องรูปถ่ายไม่วางตา

“เรื่องต่อจากนั้นผมรู้แล้ว เพราะงั้นพอแค่นั้น”

“ครับ”

นักสืบหนุ่มใหญ่เข้าใจโดยไม่ต้องอธิบายว่าทำไมอีกฝ่ายไม่ต้องการฟังต่อ เพราะเรื่องราวหลังจากนั้นเกี่ยวพันกับตฤณ สุวรรณฤทธิ์โดยตรง ชายวัยกลางคนไล่สายตาผ่านรายงานประวัติของเจ้าของบ้านนฤมิตรคร่าวๆก่อนจะโยนเอกสารลงกลางโต๊ะแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างเดิม

“แล้วไง มีข้อมูลอะไรมากกว่านี้อีกที่ผมควรรู้?”

ธเนศหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับหน้าผากอีกครั้ง ในฐานะที่เขาเองก็มีลูกชายแม้จะยังเรียนอยู่มัธยม เขาไม่กล้าจินตนาการว่าข้อมูลต่อไปที่เขากำลังจะบอกจะทำให้ลูกค้าของเขาเกิดปฏิกิริยาอย่างไร

“ตามข้อมูลที่ลูกน้องของผมรวบรวมมา คาดว่าคุณตระการและเจ้าของเกสต์เฮ้าส์รายนี้จะมีความสัมพันธ์ที่เกินกว่าเพื่อนธรรมดาอยู่ครับ”

นักสืบหนุ่มใหญ่พยายามเลือกคำอย่างระมัดระวังที่สุด แต่กระนั้นเมื่อเหลือบตาขึ้นก็อดเสียวสันหลังกับนัยน์ตาคมที่มีประกายกร้าวขึ้นไม่ได้

ภายในห้องเงียบจนธเนศได้ยินแต่เสียงครางแผ่วเบาของเครื่องปรับอากาศ มือหนายกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับหน้าผากไม่หยุดทั้งที่ไม่มีเหงื่อสักหยด สุดท้ายชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะจึงเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ

“ขอบคุณสำหรับข้อมูลการสืบของคุณกับรายงานที่เอามาให้ ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายก็ติดต่อกับเลขาของผมแล้วกัน”

ธเนศลุกขึ้นแล้วก็ค้อมศีรษะให้ผู้เป็นลูกค้าก่อนก้าวออกจากห้องทำงานที่เป็นอาณาจักรส่วนตัวของตฤณ สุวรรณฤทธิ์ นิ้วมือผอมเกร็งของเจ้าของห้องเอื้อมหยิบรูปถ่ายและประวัติที่อยู่ในแฟ้มขึ้นดูอีกครั้ง ก่อนจะหันไปทางโทรศัพท์แล้วกดหมายเลขที่คุ้นเคย

“สวัสดีค่ะ โต๊ะคุณอารยาค่ะ”

“นี่ตฤณ เอ๋ไปไหน?”

ปลายสายเสียงละล่ำละลักขึ้นมาทันทีเมื่อรู้ว่ากำลังคุยกับใคร “คุณตฤณ! สวัสดีค่ะ พี่เอ๋ไม่อยู่ที่โต๊ะค่ะ ยังไงหนูรับฝากข้อความไว้ให้ก่อนได้มั้ยคะ?”

“งั้นบอกเอ๋ว่าผมอยากให้จองตั๋วเครื่องบินให้ด่วน ให้เค้าโทรเข้ามือถือผมได้เลย”

ตฤณวางสายแล้วก็มองไปนอกหน้าต่าง ลูกชายของเขากับลูกชายของภรรยาคนที่สองงั้นหรือ ชีวิตนี้ยังมีเรื่องไม่น่าคาดคิดเหลือให้เขาแปลกใจอีกกี่เรื่องกัน!?



*************

 :m13: มาอัพแล้วจ้า หลังหายไปหลายวัน พอดีก่อนหน้านี้สองสามวันจะสภาพคล้ายซอมบี้เพราะอดหลับอดนอนเตรียมงานให้ลูกค้า ว่าแต่ตอนนี้คนเขียนจะโดนค้อนมั้ยเนี่ยตัวเอกไม่ได้ออกมาเลย แต่มันจำเป็นสำหรับเนื้อเรื่องนะ ยังไงอ่านแล้วอย่าเขวี้ยงของใส่เค้าน้า~  :oni1:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 16 [ก่อนเข้าวันใหม่ 27/10]
เริ่มหัวข้อโดย: krappom ที่ 28-10-2008 00:24:31

มาแล้วๆ

ลางไม่ดีมาแล้ว

เดาข้อสอบไม่แม่นอย่างนี้ว้า

 :serius2:

หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 16 [ก่อนเข้าวันใหม่ 27/10]
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 28-10-2008 00:55:24
พ่อเดินทางมาจัดการเองเลย แย่แน่เลยนายเอกเรา  :sad2: สงสัยคงต้องรีบไปปรึกษาสุวรรณมาลีเจงๆแระ  :jul3:

 :laugh: เห็นยิงมาเลยเอาซะหน่อย
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 16 [ก่อนเข้าวันใหม่ 27/10]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 28-10-2008 15:27:26
อร้ายยยยย ที่จริงป๊ะป๋าอยากบินไปพักฟื้นที่สวิตเซอร์แลนด์ต่างหาก คิดกันไปหนาย  :haun5:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 16 [ก่อนเข้าวันใหม่ 27/10]
เริ่มหัวข้อโดย: The Living River Ping ที่ 28-10-2008 15:34:58
เข้ามาเหวี่ยงใส่ bb ตัวเองอ่ะ ไหนไผ่ ไหนต้น เหวี่ยง ใส่คุณพ่อด้วย  :m31:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 16 [ก่อนเข้าวันใหม่ 27/10]
เริ่มหัวข้อโดย: juuuno99 ที่ 28-10-2008 17:30:45
จิ้มป้าไว้ก่อน


คืนนี้ตามเก็บ


อร้ายยยยย อยากอ่านๆ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 16 [ก่อนเข้าวันใหม่ 27/10]
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 28-10-2008 21:13:27
พ่อของต้นนี่ท่าจะร้ายมากๆ

ไผ่จะแย่ไหมเนี่ย :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 16 [ก่อนเข้าวันใหม่ 27/10]
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 28-10-2008 21:31:51
เพิ่งจะหวานกันได้ไม่นาน ลางร้ายเริ่มมาเยือนอีกแล้ววววว  :a5:

หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 16 [ก่อนเข้าวันใหม่ 27/10]
เริ่มหัวข้อโดย: pickki_a ที่ 28-10-2008 21:57:48
ตัวพ่อมาเอง
ไม่อยากจะคิด  :serius2:ตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 16 [ก่อนเข้าวันใหม่ 27/10]
เริ่มหัวข้อโดย: juuuno99 ที่ 28-10-2008 22:00:43
 :เฮ้อ:






 :angry2: มาต่อให้ไวนะป้า  งานการไม่ต้องทำมันแล้วมาแต่งต่อเลย

 :m29: แต่ป๋มไม่รับผิดชอบเลี้ยงดูนะ เพราะยังเอาตัวเองไม่รอดอ่ะ  :laugh:


หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 16 [ก่อนเข้าวันใหม่ 27/10]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 30-10-2008 18:32:30
^
^
^
ไอเดียเก๋กู๊ดมากเอ ป้าอยากมีร้านเช่าหนังสือมานานละ ส่วนเอก็มานั่งทำงานออฟฟิศแทนป้านะ แต่ถ้ายังงั้นคงไม่ค่อยมีเวลาให้จักรแหงมๆ เหอๆ :oni2:


จะพยายามเข็นบทต่อไปออกมาพรุ่งนี้นะคับ วันนี้ออกไปประชุมกับลูกค้านอกสถานที่ทั้งวัน มะมีเวลาพิมพ์เลยอะ
หัวข้อ: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 17 [ส่งท้ายฮัลโลวีน 31/10]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 31-10-2008 19:34:35
17.


พรพฤกษ์เปิดประตูบ้านออกมาแล้วก็ยืดแขนสูดอากาศสดชื่นยามเช้าตรู่เข้าเต็มปอด ฝนที่ตกหนักเมื่อคืนทำให้อากาศเย็นชุ่มฉ่ำ หญ้าบริเวณสนามรอบบ้านและต้นไม้ที่รกครึ้มก็ดูสดชื่นที่ได้น้ำหล่อเลี้ยง ฟ้าที่ค่อนข้างโปร่งจนเห็นลำแสงอาทิตย์ทะลุผ่านเมฆที่ลอยอยู่บางเบาทำให้ชายหนุ่มรู้สึกผ่อนคลายว่าอย่างน้อยวันนี้ฝนคงไม่ตกลงมาอีกหลายชั่วโมง

ชายหนุ่มหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในบ้านแล้วก็ชงกาแฟกับปิ้งขนมปังก่อนจะเดินไปนั่งที่เคาน์เตอร์รับแขก มือเรียวเปิดลิ้นชักหยิบสมุดโน้ตแบบฉีกและปากกาออกมาจดรายการสิ่งที่ต้องทำประจำวัน

-   ซักผ้า & เปลี่ยนผ้าปูเตียง, ปลอกหมอน
-   กวาดบ้าน
-   ทาสีเก้าอี้
-   ซื้อของสด
-   แปลงานให้อาเชษ
-   รอโทรศัพท์ต้น

พรพฤกษ์นั่งอ่านทวนโน้ตข้อสุดท้ายของตัวเองแล้วก็อมยิ้มก่อนยกกาแฟขึ้นจิบ ระหว่างนั้นคู่รักที่เดินทางมาพักด้วยกันสองคู่เดินลงมาจากชั้นบนพอดีเจ้าของบ้านนฤมิตรจึงหันไปทัก

“อรุณสวัสดิ์ครับ”

 “อรุณสวัสดิ์ค่ะ น้องไผ่ตื่นเช้าจังนะคะ”

“ก็ตามปกติแหละครับ จะออกไปเที่ยวกันแล้วหรือครับ?”

หญิงสาวหนึ่งในสองพยักหน้า “วันนี้มีโปรแกรมจะไปหลายที่น่ะค่ะ เลยอยากออกตอนที่อากาศดีอยู่ เห็นฝนตกเมื่อคืนตอนแรกนึกว่าวันนี้จะได้อยู่แต่ในบ้านซะแล้ว”

“ครับ ยังไงถนนลื่น ขับรถลงจากเขาระวังกันด้วยนะครับ”

“ขอบคุณค่ะ ขอตัวก่อนนะ”

พรพฤกษ์มองตามหลังคู่รักทั้งสองที่เดินออกไปแล้วรอยยิ้มบนหน้าก็ค่อยๆจางลง แม้เขาจะมั่นใจแล้วว่าคนรักของตัวเองไม่เคยคิดมีคนอื่น ทว่าภาพคู่รักชายหญิงปกติที่คบกันได้อย่างเปิดเผยไม่ต้องสนใจสายตาใครก็ยังทำให้รู้สึกยอกในอกอยู่ไม่น้อย เขายังจำได้ดีถึงบทสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างตระการกับบิดาที่ได้ยินเข้าโดยบังเอิญ เรื่องโหดร้ายที่อีกฝ่ายเคยบังคับไม่ให้แม่ติดต่อกับตนตอนเด็กยังฝังจำอยู่ในใจ ดังนั้นความสัมพันธ์ของเขากับตระการก็คงต้องเป็นความลับกับฝ่ายนั้นตลอดไปเช่นกัน ทว่าต่อให้คนรักมาบอกว่าจะพาไปแนะนำตัวกับคนที่เคยพรากแม่ไปจากเขา พรพฤกษ์ก็คงไม่รู้จะวางตัวอย่างไรอยู่ดี

ร่างสูงเพรียวถอนหายใจก่อนเดินเอาจานและแก้วไปเก็บล้าง แล้วก็เริ่มปฏิบัติการซักผ้ากวาดบ้านตามที่จดรายการไว้ ขณะกำลังยกเก้าอี้ที่กองรวมไว้มุมห้องนั่งเล่นออกมาที่ชานหน้าบ้านเพื่อทาสีใหม่ก็มีรถยนต์ไม่คุ้นตาคันหนึ่งหักเลี้ยวผ่านประตูรั้วเข้ามา

พรพฤกษ์วางเก้าอี้ลงบนพื้นที่ปูกระดาษหนังสือพิมพ์รองไว้แล้วก็หันไปมอง เมื่อเห็นผู้ที่ก้าวลงจากรถคันสวยที่ดับเครื่องแล้วก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ



*************


“Yes, yes.  Sure…I’m looking forward to it.  Alright, see you then.”

ตระการวางหูโทรศัพท์แล้วก็ระบายลมหายใจยาวพลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ในห้องทำงานส่วนตัว เมื่อชำเลืองมองตารางการประชุมที่แน่นเอี้ยดตลอดสัปดาห์แล้วก็ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย กำหนดจัดงานเปิดตัวเฟสแรกของโครงการคอนโดมิเนียมหรูที่เป็นโครงการร่วมทุนกำลังงวดขึ้นทุกทีเพราะ “ท่านประธาน” ฝั่งเขาต้องการให้งานเปิดที่จะจัดพร้อมกันทั้งสองแห่งออกมาอลังการและมียอดจองล่วงหน้ามากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทว่าในวงการอสังหาริมทรัพย์นั้นคู่แข่งมีไม่ใช่น้อย เขาจึงต้องวุ่นกับการประชุมติดตามผลด้านการขายและการตลาดแทบทุกวัน ไม่นับรวมการต้องออกไปตรวจเช็คที่ไซต์งานว่าการก่อสร้างและตกแต่งที่ยังเหลืออยู่ดำเนินไปตามตารางหรือไม่อีกเป็นระยะ


อาจมีเวลาให้เธอไม่พอเหมือนใคร
อาจดูว่าเราห่างไกลด้วยความจำเป็น



ตระการเหลือบมองนอกหน้าต่าง พระอาทิตย์คล้อยต่ำลงมากแล้วพร้อมกับมีสายฝนตกพรำ อีกสิบห้านาทีเขามีกำหนดต้องเข้าประชุมกับผู้จัดการฝ่ายขายของโครงการเกี่ยวกับความคืบหน้าประจำสัปดาห์และเป็นประชุมสุดท้ายของวันนี้ หลังจากนั้นเขาก็จะได้พักผ่อนเสียที

ชายหนุ่มผละจากโต๊ะทำงานไปหยุดยืนพิงกระจกหน้าต่างแล้วมองออกไปภายนอก มือข้างหนึ่งยกแก้วกาแฟที่เริ่มเย็นแล้วขึ้นจิบ ผู้คนจำนวนมากเดินขวักไขว่พร้อมร่มสีสันต่างๆที่ถนนด้านล่างเนื่องจากเป็นเวลาเลิกงาน น่าแปลกที่ทิวทัศน์ของเมืองหลวงไม่ว่าที่ไหนก็คล้ายกัน มือใหญ่ล้วงโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋าเสื้อ ใบหน้าคมที่เมื่อครู่คิ้วขมวดมุ่นเพราะความเครียดคลี่ยิ้มออกมาเมื่อกดเปิดดูอัลบัมรูปของคนรักที่อยู่เมืองไทย


ไม่ได้คอยดูแลทุกเช้าเย็น
ไม่ได้เป็นคนรักที่เหมือนใคร
ไม่ได้เจอกันเท่าไหร่ได้แต่คิดถึง



นิ้วมือแข็งแรงกดหาหมายเลขที่เคยคุ้น แต่แล้วก็ส่ายหน้าแล้วกดปุ่มแคนเซิล โทรไปตอนนี้ก็ได้คุยกันไม่อิ่มอยู่ดี รอจบประชุมทีเดียวค่อยโทรดีกว่า ตระการคิดในใจแล้วก็คิดถึงบทสนทนาครั้งล่าสุดเมื่อสองวันก่อน



“ต้น ที่จริงไม่ต้องโทรมาทุกคืนก็ได้นะ”

“ทำไมล่ะ หรือต้นบ่นเรื่องงานมากไป ถ้างั้นไม่พูดแล้วก็ได้”

เสียงถอนหายใจแผ่วเบาดังผ่านลำโพงมาเข้าหู

“ไม่ได้ว่าเรื่องนั้น แต่ถ้าต้นเหนื่อยก็อยากให้พักผ่อนมากกว่า”

“ก็อยากได้ยินเสียงนี่นา เดี๋ยวจบโปรเจ็กต์นี้เมื่อไหร่ต้นจะบอกพ่อว่าขอสลับกับคุณวีถ้าต้องไปต่างประเทศอีก อยากใช้เวลากับไผ่นานๆบ้าง”

“ครับๆ ท่านรองประธาน ยังไงมีเวลาพักร้อนเมื่อไหร่เกสต์เฮ้าส์ของพี่ชายก็มีห้องให้เสมอแหละ” ตระการรู้สึกได้ถึงรอยยิ้มจากปลายสายที่ส่งผ่านมากับประโยคนั้นจนต้องยิ้มตามไปด้วย




เสียงเคาะประตูห้องเรียกชายหนุ่มให้ตื่นจากภวังค์ ตระการถอนหายใจแล้วก็ยกข้อมือขึ้นดูเวลาก่อนส่งเสียงรับ  “Yes. I’m coming!”

ร่างสูงใหญ่คว้าเอกสารบนโต๊ะที่ปริ๊นท์ออกมาแล้วก็เดินออกจากห้องส่วนตัวเพื่อไปยังห้องประชุม หวังว่าการประชุมคราวนี้จะไม่ยืดเยื้อเนื่องจากกรรมการผู้จัดการของพาร์ทเนอร์ที่เกาหลีมีแนวโน้มจะชอบชวนคุยนอกเรื่องและดึงเวลาการประชุมให้ยืดเกินความจำเป็นอยู่เสมอ


แต่เธอก็ยังตกลงที่จะรักกัน
มั่นใจ และคนอย่างฉันไม่หวั่นอะไร
ไม่เคยท้อซักนิดให้เป็นห่วง
ไม่เคยหวงใครๆ เพราะไว้ใจ



ตระการรับฟังรายงานและดูการพรีเซนต์ยอดขายของผู้จัดการฝ่ายขายบนหน้าจอโดยแสดงความคิดเห็นเป็นระยะแม้ตัวเลขที่เห็นจะแทบไม่กระเตื้องขึ้นจากการประชุมคราวก่อน จากนั้นทั้งทีมก็ร่วมกันนำเสนอแนวทางว่าคงต้องให้ฝ่ายการตลาดรุกทำโฆษณาประชาสัมพันธ์มากกว่าเดิมเพื่อเรียกลูกค้าให้มาชมห้องตัวอย่างและจองห้องกันมากขึ้น ซึ่งประเด็นการลดราคาดูจะเป็นปัญหาใหญ่ที่หาข้อสรุปได้ยากที่สุด

หลังการประชุมที่ยาวนานถึงหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ตระการแวะเข้าห้องน้ำแล้วก็ล้างหน้าก่อนจะสะบัดหัวไล่อาการล้า ชายหนุ่มหยิบกระดาษเนื้อนุ่มขึ้นซับหน้าแล้วก็มองนาฬิกา อีกเดี๋ยวก็จะหนึ่งทุ่มแล้ว เวลาที่เกาหลีเร็วกว่าเมืองไทยสองชั่วโมง เดี๋ยวเก็บของกลับคอนโดแล้วโทรหาไผ่ตอนทานข้าวเย็นแล้วกัน


อยากทำอะไรมากมายให้เธอชื่นใจ
อยากทำให้เธอสบาย ไม่เหนื่อยเกินไป

ไม่ต้องเหงาเพราะฉันไม่ค่อยอยู่
อยู่กับเธอเวลาทุกข์ร้อนใจ
ไม่ต้องเดียวดายเผชิญอะไรแค่คนเดียว



ชายหนุ่มยิ้มเมื่อคิดถึงคนรัก เมื่อตระการเดินออกจากห้องน้ำก็แวะทักทายพนักงานที่รู้จักที่กำลังเตรียมตัวกลับบ้านก่อนจะเปิดประตูเข้าห้องส่วนตัว แต่แล้วร่างสูงก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นบุคคลที่ไม่คาดฝันกำลังนั่งอยู่บนโซฟารับแขกที่มุมห้อง อีกฝ่ายยิ้มเย็นเมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของเขา


“พ่อ...”


*************

แฮปปี้ฮัลโลวีนจ้าแฟนขาประจำทู้กคน เจ้แน๋ว, krappom, The Living Rive, patee, pickki_a, nOn†ღ แล้วก็เจ้าเอ :mc4:   ระวังอย่าโดนผีหลอกกันนะ เค้าไปหลั่นล้าแระ ชะแว้บ  
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 17 [ส่งท้ายฮัลโลวีน 31/10]
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 31-10-2008 21:54:36
อยากรู้จังว่าใครมาหาไผ่

ต้นสงสัยงานเข้าซะแล้ว

หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 17 [ส่งท้ายฮัลโลวีน 31/10]
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 31-10-2008 22:09:32

แฮปปี้ฮัลโลวีนจ้าแฟนขาประจำทู้กคน เจ้แน๋ว, krappom, The Living Rive, patee, pickki_a, nOn†ღ แล้วก็เจ้าเอ :mc4:   ระวังอย่าโดนผีหลอกกันนะ เค้าไปหลั่นล้าแระ ชะแว้บ  

เค้าอยากโดนผีขยำหัวมากกว่าอ่ะ  :o8:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 17 [ส่งท้ายฮัลโลวีน 31/10]
เริ่มหัวข้อโดย: krappom ที่ 01-11-2008 00:03:57

อยากไปเที่ยวฉลองฮาโลวีนมั่งอ่ะ
 :sad2:

หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 17 [ส่งท้ายฮัลโลวีน 31/10]
เริ่มหัวข้อโดย: The Living River Ping ที่ 01-11-2008 16:12:04
แว้กกกก ผีขยำหัว ก้มลงไปมอง ไม่มี......ให้ขยำ คิกคิก  :o8:

เมื่อคืนเค้าไม่โดนผีหลอกนะ bb แต่ได้หลอกผีแทน ผีตัวใหญ่ซะด้วย วี้ดวิ้ววววววววว

แต่ว่า คุณพ่อ มาหาต้นทำไมค้าาาาา แง่ง แง่ม ง่ำ

PS I'm looking forward to ต้นไผ่ ลู่ลมสวยงามไปด้วยกันนะเจ้าคะ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 17 [ส่งท้ายฮัลโลวีน 31/10]
เริ่มหัวข้อโดย: BeePed ที่ 02-11-2008 14:31:12
 o7 o7  ทำไมตอนนี้มันสั้นจัง ทุกทีเห็นแต่ละตอนย้าวยาววววว  :t2:
มาอัพเร็วนะคะ  :oni2:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 17 [มารีพลาย 2/11]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 02-11-2008 19:26:45
อยากรู้จังว่าใครมาหาไผ่

ต้นสงสัยงานเข้าซะแล้ว



นั่นสิ ใครมาหาไผ่น้า อยากรู้ต้องรอตอนต่อไปนะจ๊ะ ส่วนต้นก็....หึๆๆ  o8



แฮปปี้ฮัลโลวีนจ้าแฟนขาประจำทู้กคน เจ้แน๋ว, krappom, The Living Rive, patee, pickki_a, nOn†ღ แล้วก็เจ้าเอ :mc4:   ระวังอย่าโดนผีหลอกกันนะ เค้าไปหลั่นล้าแระ ชะแว้บ  

เค้าอยากโดนผีขยำหัวมากกว่าอ่ะ  :o8:

หัวไหน หัวใจอ๊ะป่าว ถ้าแบบนั้นอยากได้เหมือนกัน วี้ดวิ้ว  :t2:



อยากไปเที่ยวฉลองฮาโลวีนมั่งอ่ะ
 :sad2:



เค้าไปเที่ยวฮัลโลวีนที่ร้านบ้านโจตรงซอยรางน้ำมาละ แบบว่าร้านอยู่บนดาดฟ้า นั่งๆอยู่ฝนตกเลยต้องย้ายลงมาชั้นล่าง ทางร้านก็เปิดหนังผีเกาหลีให้ดูแต่เปิดซีดีป๊อบแจ๊สกลบเสียงหนังซะงั้น  o7  แต่ก็สนุกดีเพราะเพื่อนมากันหลายคนมาก (ปกติรวมตัวกันแต่ละทียากเย็นเหลือใจ)


แว้กกกก ผีขยำหัว ก้มลงไปมอง ไม่มี......ให้ขยำ คิกคิก  :o8:

เมื่อคืนเค้าไม่โดนผีหลอกนะ bb แต่ได้หลอกผีแทน ผีตัวใหญ่ซะด้วย วี้ดวิ้ววววววววว

แต่ว่า คุณพ่อ มาหาต้นทำไมค้าาาาา แง่ง แง่ม ง่ำ

PS I'm looking forward to ต้นไผ่ ลู่ลมสวยงามไปด้วยกันนะเจ้าคะ
บรรยายภาพได้สวยมากเลยตัวเอง ต้นไผ่ลู่ลม เค้าก็รอวันนั้นอยู่เหมือนกัน แต่รู้สึกที่เข้ามาช่วงนี้จะเป็นลมพายุแฮะ  :oni1:


o7 o7  ทำไมตอนนี้มันสั้นจัง ทุกทีเห็นแต่ละตอนย้าวยาววววว  :t2:
มาอัพเร็วนะคะ  :oni2:

เมี้ยวววววว แง้ววววว ลืมทักทายคุณ BeePed ในตอนที่แล้ว นี่ก็แฟนขาประจำนิ เค้ามะได้ลืมตัวเองนะ เอ่อ...ก็สั้นกว่าตอนอื่นๆไปประมาณสองหน้าเอสี่เองน้า  :o11:

ยังไงตอนหน้าน่าจะยาวกว่านี้นะเจ้าคะ  :a1:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 17 [มารีพลาย 2/11]
เริ่มหัวข้อโดย: juuuno99 ที่ 03-11-2008 19:36:48
^
^
^
จิ้มป้าแรงๆ


จะเป็นใครกันน้าที่มาหาไผ่




หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 17 [มารีพลาย 2/11]
เริ่มหัวข้อโดย: pickki_a ที่ 03-11-2008 22:18:40
ป้าๆ มันค้าง เหมือนลิฟท์เสียอ่ะ
 :m12:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 17 [มารีพลาย 2/11]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 03-11-2008 22:57:38
^
^
^
ถ้าค้างอยู่กับคนหน้าตาดีก็น่าค้างนิ หึๆๆ  :haun5:

เดี๋ยวพรุ่งนี้จะมาทำให้หายค้างนะจ๊ะ
หัวข้อ: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 18 [สัญญาว่ามาต้องมา 4/11]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 04-11-2008 13:29:53
18.

“คุณตฤณครับ มีโทรศัพท์จากโรงพยาบาลครับ”

ชายหนุ่มรูปร่างผอมสูงสวมแว่นกรอบโลหะเคาะประตูห้องทำงานก่อนจะร้องบอกผู้เป็นนายด้วยเสียงตื่นเต้น ผู้ถูกเรียกปรามอีกฝ่ายด้วยสายตาดุก่อนจะหันไปคุยโทรศัพท์ที่ค้างไว้ต่อ

“ครับเสี่ย แป๊บนึงนะครับ”

ตฤณปิดปากกระบอกโทรศัพท์แล้วหันมองผู้ช่วยตาเขียว “วี ฉันกำลังคุยธุระสำคัญอยู่นะ มีอะไรก็รับฝากข้อความไปก่อน”

“แต่...ยายแสนโทรมาจากโรงพยาบาลเรื่องคุณกลอยนะครับ”

ผู้ช่วยหนุ่มเอ่ยอย่างเกรงใจ เขารู้ดีว่าผู้เป็นนายเกลียดการถูกขัดจังหวะเวลาทำงานแค่ไหน แต่เขาทราบดีว่ากลอยตา ภรรยาของตฤณเข้าโรงพยาบาลเมื่อช่วงเช้าด้วยสาเหตุใด ดังนั้นอีกฝ่ายควรจะให้ความสำคัญกับโทรศัพท์สายนี้แม้จะอยู่ในเวลางานจึงจะถูก

“รับฝากข้อความไว้ ฉันคุยธุระเสร็จเมื่อไหร่เดี๋ยวโทรกลับไปเอง ขอโทษครับเสี่ย ผมขอคุยเรื่องซองประมูลต่อเลยนะครับ...”

วรชัยถอนหายใจก่อนจะถอยออกจากห้องแล้วงับประตูปิดตาม ตฤณเพียงเหลือบมองก่อนจะหันกลับมาสนใจการเจรจาทางธุรกิจกับเสี่ยเจ้าของบริษัทรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่ต่อ

เวลาผ่านไปร่วมชั่วโมงกว่าการเจรจาจะได้ข้อสรุปเป็นที่น่าพอใจสำหรับทั้งสองฝ่าย ตฤณวางหูโทรศัพท์แล้วยกแก้วน้ำบนโต๊ะขึ้นดื่มจนเกลี้ยง ชายหนุ่มใช้หลังมือปาดหยาดของเหลวที่เกาะบนไรหนวดเหนือริมฝีปากก่อนจะหันมองผู้ช่วยที่เปิดประตูห้องเข้ามาอีกครั้งอย่างมีคำถาม

“ขอโทษครับ พอดีผมเห็นเสียงเงียบไปเลยคิดว่าคุณตฤณน่าจะโทรศัพท์เสร็จแล้ว”

ผู้เป็นนายพยักหน้าแล้วหันไปจัดเอกสารที่วางกระจัดกระจายบนโต๊ะให้เป็นระเบียบ “เพิ่งเสร็จพอดี แล้วตกลงยายแสนโทรมาว่ายังไง?”

น้ำเสียงวรชัยตื่นเต้นขึ้นทันที “คุณกลอยคลอดลูกชายอย่างปลอดภัยแล้วครับ ยินดีด้วยนะครับคุณตฤณ”

ใบหน้าคมเพียงเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง ทว่าไม่มีการแสดงอารมณ์อื่นใดนอกเหนือไปจากนั้น ผู้เป็นนายลุกขึ้นเลือกแฟ้มเอกสารบนชั้นวางด้านหลังออกมาจัดใส่เอกสารบนโต๊ะแล้ววางกลับเข้าที่เดิม

“เข้าใจแล้ว เย็นนี้ฉันจะแวะไปโรงพยาบาลหลังงานแต่งลูกสาวคุณชิดชัยก็แล้วกัน”

 ตฤณสังเกตเห็นด้วยหางตาว่าผู้ช่วยของตนยังยืนทำท่าเก้ๆกังๆอยู่จึงหันไปถาม “มีอะไร ทำไมยังไม่กลับไปทำงานอีก?”

“เอ่อ เท่าที่ฟังจากยายแสน ท่าทางคุณกลอยจะต้องนอนพักที่โรงพยาบาลอีกหลายวันเพราะร่างกายอ่อนเพลียมาก  ยังไงงานแต่งเย็นนี้ให้ผมไปแทน...”

“ไม่ต้อง ฉันบอกแล้วว่าจะไปก็ต้องไป แล้วยังไงนี่ก็เรื่องของเมียฉันเอง คนนอกไม่จำเป็นต้องยุ่ง”

“ครับ...”

ผู้ช่วยหนุ่มเอ่ยรับเสียงอ่อยก่อนยอมถอยออกไป ตฤณหยิบบุหรี่จากซองในกระเป๋าเสื้อขึ้นจุดสูบแล้วก็พ่นควันออกช้าๆ เขาแต่งงานกับกลอยตาที่มีฐานะทางบ้านสูงกว่ามาสี่ปีแล้ว หล่อนเคยแท้งลูกเพราะครรภ์เป็นพิษเมื่อสองปีก่อน ตั้งแต่นั้นมาความสัมพันธ์ที่ไม่ได้ราบรื่นอยู่แล้วของทั้งสองดูจะเปราะบางลงยิ่งกว่าเดิม ในตอนแรกตฤณจึงไม่ค่อยหวังกับการตั้งครรภ์ครั้งนี้นัก  ใช่ว่าเขาไม่นึกเป็นห่วงคู่ชีวิตที่ตบแต่งอยู่กินกันมาถึงแม้จะไม่เคยรู้สึกพิศวาสภรรยาเหมือนคู่รักทั่วไปก็ตาม ดูเหมือนกลอยตาก็พอจะรู้ตัวจึงพยายามไม่เรียกร้องความสนใจให้เขาต้องลำบากใจสักครั้ง

ตฤณเลื่อนลิ้นชักโต๊ะแล้วหยิบซองการ์ดแต่งงานสีชมพูขึ้นดูก่อนจะอัดบุหรี่เข้าปอดอีกครั้ง อย่างน้อยกลอยตาก็คลอดลูกชายคนแรกให้เขาอย่างปลอดภัย หากจะให้วรชัยไปร่วมงานแต่งงานของลูกสาวคู่ค้าคนสำคัญแทนโดยให้เหตุผลว่าเขาต้องไปเยี่ยมภรรยาฝ่ายนั้นคงเข้าใจ...



*************


“ทำไมต้องทำหน้าตกใจขนาดนั้น ได้เจอพ่อทั้งทีแกแสดงท่าทางดีใจกว่านี้ไม่ได้หรือไง”

ตระการกระพริบตา ยังไม่หายประหลาดใจที่จู่ๆได้พบคนที่ไม่คาดคิดรออยู่ในห้องทำงาน ชายหนุ่มพนมมือทำความเคารพบิดาก่อนเอ่ยถาม

“ขอโทษครับ ผมแค่คิดไม่ถึงว่าพ่อจะบินมากะทันหันแบบนี้ จะดื่มอะไรไหมครับผมจะได้ไปเอาให้”

ผู้เป็นบิดาส่ายศีรษะ

“ไม่ต้อง มีคนเอามาให้แล้ว”

ชายวัยกลางคนที่ผมเริ่มเป็นสีเทาอยู่ในชุดสูทสีควันบุหรี่ เชิ้ตสีเข้มแบะอกไม่ผูกเนคไท ตระการลอบสังเกตใบหน้าผอมจนซูบตอบของอีกฝ่าย ระหว่างช่วงเวลาที่ไม่ได้พบกันคนตรงหน้าผ่ายผอมจนสูทที่เคยพอดีตัวดูหลวมไปถนัดใจ

“พ่อดูเพลียๆนะครับ สุขภาพไม่มีปัญหาใช่ไหม”

ตฤณเพียงปรายตามองบุตรชายที่ยังคงยืนอยู่หน้าประตูห้อง “ฉันก็ยังสบายดีตามที่เห็น ว่าแต่แกจะยืนทื่ออยู่ตรงนั้นอีกนานมั้ย กลัวจะโดนฉันกัดเอาหรือไง”

ตระการอึกอักอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินเลี่ยงไปที่โต๊ะทำงานแทนที่จะตรงไปยังโซฟาฝั่งตรงข้ามบิดาที่มุมห้อง หูได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอจากอีกฝ่ายแว่วๆ ชายหนุ่มนั่งลงที่เก้าอี้ประจำตัวแล้วก็ทำทีเป็นหยิบแฟ้มเอกสารที่เขาเซ็นรับทราบไปแล้วตั้งแต่ช่วงบ่ายขึ้นเปิดดูเพื่อรอให้บิดาเอ่ยธุระออกมา

ความเงียบดำเนินอยู่นานจนตระการต้องปริปากขึ้นก่อนหลังตรวจดูเอกสารทั้งแฟ้มซ้ำไปซ้ำมาจนเริ่มหงุดหงิด

“พ่อคงไม่ได้มาเยี่ยมผมใช่ไหม ถ้าหากสงสัยเรื่องเกี่ยวกับความคืบหน้าของโปรเจ็กต์ก็อ่านจากอีเมล์ที่ผมส่งไปก็ได้นี่ครับ”

นัยน์ตาคมของผู้สูงวัยกว่าทอประกายหยันขึ้นวูบหนึ่ง

“หึ ถ้าไม่ใช่เรื่องงานแกก็คงไม่คิดว่าฉันจะมาหาสินะ ท่าทางฉันจะบกพร่องในฐานะพ่อกระมังนี่”

ตระการรีบท้วง  “ผมยังไม่ได้พูดแบบนั้น ผมแค่อยากรู้ว่าทำไมพ่อถึงมาโดยไม่บอกกล่าวกันก่อน แล้วอาหมอรู้หรือเปล่าว่าพ่อมาที่นี่”

“เกริกก็แค่ที่ปรึกษาทางสุขภาพ ฉันจะไปไหนมาไหนมันก็เรื่องของฉัน” ตฤณยกแก้วชาขึ้นจิบ นัยน์ตาจับจ้องลูกชายไม่วางตา “ทำไม หรือเห็นพ่อสบายดีแล้วแกไม่พอใจ?”

ใบหน้าคมคายตึงขึ้น

“ถ้าการเดินทางไม่กระทบสุขภาพก็ดีแล้วครับ แล้วถ้าพ่ออยากไปที่ไหนผมจะไปห้ามอะไรได้”

ผู้สูงวัยกว่ายกยิ้มมุมปากบางๆกับคำประชดประชัน  ตระการพยายามระงับอารมณ์หงุดหงิดที่แล่นริ้วขึ้นจากความรู้สึกว่าตัวเองกำลังโดนปั่นหัว

“ท่าทางพ่อจะขวางหูขวางตาแกมากสินะ เอาเถอะ ฉันพอเข้าใจว่าถ้าคนที่อยู่ตรงนี้เป็นคนอื่นแกคงดีใจกว่า”

มือใหญ่สองข้างกำแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว นัยน์ตาคมปลาบจับจ้องบิดาเขม็งอย่างไม่เข้าใจ ตฤณหันไปเปิดกระเป๋าข้างตัวแล้วหยิบแฟ้มเอกสารภายในขึ้นพลิกดูด้วยท่าทางไม่นำพากับแววตามีคำถามของบุตรชาย

“พรพฤกษ์ ภูมิประพันธ์ อายุ 28 ปี”

ตระการลุกพรวดทันที บิดายังคงอ่านออกเสียงประวัติในมือต่ออย่างไม่สนใจ “จบการศึกษามนุษยศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัย....... เคยทำงานในกองบรรณาธิการนิตยสารท่องเที่ยว ปัจจุบันเป็นเจ้าของเกสต์เฮ้าส์และนักแปลอิสระ”

ร่างสูงใหญ่ก้าวประชิดผู้สูงวัยกว่าอย่างรวดเร็วแล้วกระชากแฟ้มออกจากมือผอมซูบ เมื่อเปิดกางแฟ้มออกดูใบหน้าคมก็เป็นสีเข้มขึ้นทันทีเมื่อเห็นรูปถ่ายและประวัติของคนที่พูดถึงอยู่ในนั้นจริง ตฤณยิ้มเย็น

“หน้าตาไม่เลว...คล้ายพิมจนน่าตกใจ”

“พ่อครับ ทำแบบนี้เข้าข่ายละเมิดสิทธิส่วนบุคคลนะครับ!!”

“ทำไม แล้วแกไม่เคยทำหรือไง?”

ผู้สูงวัยกว่าเอนหลังพิงพนักโซฟา นัยน์ตาจ้องตอบบุตรชายอย่างไม่รู้ร้อนหนาว ตระการสะอึก หรืออีกฝ่ายรู้เรื่องที่เขาก็เคยสืบประวัติของพรพฤกษ์ก่อนที่จะไปตามหาครั้งแรกเหมือนกัน?  นี่บิดาของเขาสืบลึกลงไปขนาดไหนแน่?

ตฤณยกแก้วชาสีน้ำตาลอ่อนจางขึ้นจิบก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ

“เลิกกับเด็กคนนั้นซะ ต้น”

ประโยคคำสั่งปราศจากอารมณ์ที่ลอยมากระทบโสตประสาททำให้ตระการยืนตัวแข็ง ความลับที่เขาเคยคิดว่าปิดจากอีกฝ่ายได้มิดไม่เป็นความลับอีกต่อไป ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนโดนค้อนหนาหนักทุบลงที่อก

นี่แม้แต่ชีวิตส่วนตัวของเขาก็จะไม่ให้อิสระบ้างเลยหรือ?

“ผมทำไม่ได้ และพ่อก็บังคับผมเรื่องนี้ไม่ได้เหมือนกัน นี่เป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างผมกับไผ่!”

ผู้สูงวัยกว่าตวัดสายตาขึ้นทันทีเมื่อได้ยินประโยคปฏิเสธแข็งกร้าวนั้น ร่างซูบผอมที่มีส่วนสูงไม่ต่างจากบุตรชายมากนักลุกขึ้นยืนจ้องอีกฝ่ายด้วยนัยน์ตาวาวโรจน์

“เรียกชื่อกันสนิทปากเหลือเกินนะ!  แต่แกไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธตราบใดที่แกยังเป็นลูกชายของฉันและคนที่ต้องรับช่วงต่อเครือสุวรรณฤทธิ์!! ความสัมพันธ์บิดเบี้ยวของแกกับไอ้เด็กนั่นจะมาทำลายสิ่งที่ฉันสร้างขึ้นไม่ได้!!!”

“งั้นก็บอกผมมาก่อนว่าปัญหาของพ่อคืออะไร เพราะไผ่เป็นผู้ชาย หรือเพราะเป็นลูกของแม่พิม?”

“แกอย่ามาย้อนฉันนะ!!”

สิ้นประโยคตฤณก็ชะงักแล้วขมวดคิ้ว ใบหน้าที่ซูบตอบเหยเกด้วยความเจ็บปวดก่อนจะเอามือกุมหน้าอกข้างซ้ายแล้วทรุดฮวบลงอย่างกะทันหัน ตระการตกใจรีบเข้าไปประคองอีกฝ่ายก่อนจะล้มลงบนพื้นแล้วพยุงให้เอนลงบนโซฟา

“พ่อครับ! พ่อ! หายใจลึกๆไว้นะ ยาอยู่ไหน!?”

ผู้เป็นบิดากัดฟันหลับตาแน่น มือขวาจิกกุมหน้าอกอย่างแรงจนน่ากลัวว่าจะทิ้งรอยเล็บบนผิวผ่านเสื้อเชิ้ต เมื่อโดนบุตรชายถามซ้ำอีกครั้งด้วยเสียงดังกว่าเดิมตฤณจึงค่อยๆชี้มือสั่นเทาไปที่กระเป๋าข้างตัว ตระการรีบค้นหาซองยาแล้วแกะออกให้บิดาทันที

“ยาอมใต้ลิ้นนะครับ พ่อ! ยังได้ยินเสียงผมใช่ไหม?”

ตฤณพยักหน้าช้าๆ ก่อนจะอ้าปากรับยา ตระการหยิบผ้าเช็ดหน้าจากอกเสื้อตัวเองขึ้นซับเหงื่อที่ผุดพรายบนหน้าผากของคนตรงหน้าแล้วก็เอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน

“ไปโรงพยาบาลดีกว่านะครับ”

ผู้สูงวัยกว่าส่ายหน้าอย่างอ่อนเพลีย มือที่กุมหน้าอกเลื่อนมาดึงแขนเสื้ออีกฝ่ายไว้ “ไม่ต้อง ถ้าได้ยาแล้วนอนพักหน่อยก็ดีขึ้นแล้ว เดี๋ยวแกพาฉันไปส่งที่โรงแรมก็พอ”

“แต่ว่า...”

“ไม่ต้องเถียง!”

ตระการเงียบทันที เปล่าประโยชน์ที่จะคัดค้านยามอีกฝ่ายมีอาการเช่นนี้ ชายหนุ่มจัดแจงท่านอนของบิดาและคลายเสื้อผ้าให้ก่อนหยัดตัวขึ้นยืน

“งั้นพ่อนอนพักก่อนนะครับ ผมจะไปเอาน้ำมาให้”

“เรื่องที่พูดไปเมื่อกี้ ฉันหมายความตามนั้นนะต้น”

ร่างสูงใหญ่ชะงักมือที่แตะลงบนลูกบิดประตู ใบหน้าคมหันกลับไปมองบิดาที่นอนหลับตานิ่งอยู่บนโซฟายาวก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องไป


*************


ตระการเดินตรงออกจากโรงแรมไปยังลานจอดรถหลังส่งบิดาขึ้นห้องพักและดูแลจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายหลับไปแล้ว ชายหนุ่มตั้งใจว่าจะกลับไปเอาของใช้ส่วนตัวที่คอนโดมิเนียมแล้วกลับมานอนเฝ้าเผื่อเกิดอะไรฉุกเฉินขึ้นอีก แม้เขาจะทราบว่าบิดาเป็นโรคหัวใจมาหลายปีแล้วแต่ก็ไม่เคยเห็นยามที่อีกฝ่ายอาการกำเริบมาก่อน ดังนั้นประสบการณ์ในห้องทำงานเมื่อครู่จึงทำให้เขากังวลมากทีเดียว

ชายหนุ่มเปิดประตูเข้านั่งในรถแล้วก็ยกมือขึ้นลูบหน้าอย่างเหนื่อยอ่อน เมื่อเหลือบมองนาฬิกาก็ตกใจที่เวลาล่วงเข้าเที่ยงคืนแล้วจึงล้วงโทรศัพท์ออกมากดหาคนที่อยากคุยด้วยทันที สัญญาณเรียกดังอยู่ครู่หนึ่งก่อนตระการจะได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังมาตามสาย

“ว่าไงต้น”

เสียงทักที่สดใสทำให้ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจยาว กล้ามเนื้อที่ขมวดเกร็งทั่วร่างผ่อนคลายลง ใบหน้าคมยิ้มพลางปลดเน็คไทออกแล้วโยนไปที่นั่งข้างตัว

“ขอโทษทีเมื่อคืนก่อนไม่ได้โทรไป ไผ่ยังไม่นอนใช่ไหม?”

“ยังนั่งทำงานอยู่เลย แล้วต้นกลับถึงห้องหรือยัง?”

“ยัง แต่กำลังจะกลับแล้วล่ะ อยากได้ยินเสียงไผ่คืนนี้จะได้หลับฝันดี”

“นี่พูดอย่างนี้กับสาวๆที่โน่นบ้างหรือเปล่าเนี่ย”

“ไม่ต้องมาหลอกถาม ไผ่น่ะแหละอยู่ทางโน้นไม่มีแขกมาจีบนะ?”

“ไม่มีหรอก แขกที่มาพักตอนนี้เค้าก็มากันเป็นคู่ๆ มีแต่เพื่อนเท่านั้นแหละที่ขึ้นมาเยี่ยม”

ตระการเอะใจ ใช้หูแนบโทรศัพท์ลงกับไหล่ระหว่างยกแขนขึ้นปลดประดุมข้อมือ “เพื่อนคนไหน? ต้นรู้จักหรือเปล่า?”

“ก็คนที่เป็นเจ้าของร้านอาหารที่เคยพาต้นไปไง พอดีเค้าเพิ่งกลับจากไปเที่ยวญี่ปุ่นเลยแวะเอาของฝากมาให้ ขับรถใหม่มาอวดด้วยนะ”

“เค้ามาตอนไหน แล้วอยู่ด้วยนานรึเปล่า?”

พรพฤกษ์ยกแก้วน้ำชาขึ้นจิบ แปลกใจที่รู้สึกเหมือนเสียงอีกฝ่ายห้วนขึ้น “ก็มาตอนสายๆแล้วก็อยู่กินข้าวกลางวันด้วยเท่านั้นแหละ ทำไมเหรอ?”

ตระการหน้าบึ้งทันที นิ้วมือข้างที่ไม่ได้ถือโทรศัพท์เคาะพวงมาลัยอย่างไม่พอใจ เขาเคยประกาศไปต่อหน้าหมอนั่นแล้วแท้ๆว่าเขากับพรพฤกษ์เป็นอะไรกัน แต่นี่จะถือโอกาสทำคะแนนช่วงที่เขาไม่อยู่หรือไง

“ก็เป็นห่วง ไม่อยากให้คนอื่นมาตีสนิทกับไผ่”

พรพฤกษ์หัวเราะ “นั่นเพื่อนสมัยเด็กนะต้น คิดเพ้อเจ้อไปได้ แล้วต่อให้เค้าคิดอะไรจริงๆไผ่ก็ตอบรับไม่ได้หรอก”

ตระการค่อยยิ้มออก แต่ก็อดแหย่คนปลายสายไม่ได้

“แล้วทำไมไผ่ถึงมั่นใจว่าจะไม่ตอบรับล่ะ”

หน้าหวานคมแดงเรื่อขึ้น นึกค่อนอีกฝ่ายในใจ รู้อยู่แล้วจะถามทำไมเล่า...

“ทำไมล่ะ ไผ่ไม่พูดต้นก็ไม่รู้สิ”

ตระการแหย่อีก ใบหน้าคมเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม พรพฤกษ์โดนอีกฝ่ายต้อนมากเข้าจึงรีบตัดบททั้งที่รู้สึกร้อนวาบไปทั้งหน้า

“ก็เคยบอกคนบางคนไปแล้วว่าจะรอนี่นา พี่ชายสัญญาแล้วไม่ผิดคำพูดหรอกน่า”

ตระการหัวเราะอย่างมีความสุขกับคำตอบที่ได้รับ ความวิตกกังวลจากบทสนทนากับบิดาเมื่อหัวค่ำมลายไปราวกับหมอกที่ต้องแสงอาทิตย์ ใช่แล้ว ตราบใดที่เขากับพรพฤกษ์มั่นคงในกันและกัน แม้จะมีอุปสรรคเพียงไหนความรู้สึกนี้ก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงแน่นอน

“ตอนนี้อากาศที่นี่เริ่มเย็นแล้ว อยากให้ไผ่อยู่ที่นี่จัง จะได้กอดให้หายหนาว”

พรพฤกษ์มองออกไปนอกหน้าต่างแล้วก็ยิ้ม

“บังเอิญจังแฮะ ที่นี่ก็ฝนตกอากาศเย็นเหมือนกัน แต่โชคดีที่ผ้านวมบนห้องหนา คืนนี้คงไม่หนาว”

“โหย~ เพิ่งพูดให้ชื่นใจอยู่หยกๆก็ทำร้ายจิตใจกันแล้วเหรอ คอยดูกลับไปเมื่อไหร่จะกอดไม่ปล่อยเลย”

“ไม่ต้องมาพูดดี ทางนี้เบื่อรอจะแย่แล้วเนี่ย”

“เบื่อก็ต้องรอ ลืมสัญญาแล้วเหรอว่าต้นกลับไปคราวหน้าไผ่ต้องทำอะไร”

“ไม่รู้ไม่ชี้ จำไม่ได้”

ตระการอมยิ้ม ปกติพรพฤกษ์จะสุขุมเป็นผู้ใหญ่ แต่พออีกฝ่ายเล่นแง่กับเขาก็น่ารักจนอยากจะดึงมากอดแล้วหอมแก้มแรงๆให้สาแก่ใจ

“งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ต้นโทรมาใหม่แล้วกัน ไผ่อย่านอนดึกนักล่ะ แล้วก็...รักเหมือนเดิมนะครับ

“...ต้นก็ดูแลสุขภาพตัวเองด้วยนะ”

ทั้งสองยิ้มให้กันแม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายมองไม่เห็น แต่กระนั้นความอบอุ่นที่ได้สัมผัสจากถ้อยคำแสดงความห่วงใยในกันและกันก็หวานซ่านจนปัดเป่าทุกเศษเสี้ยวแห่งความเหงาที่เกาะกุมหัวใจสองดวงออกไปจนสิ้น

พรพฤกษ์ลูบสร้อยเงินเส้นเล็กบนข้อมือไปมาหลังอีกฝ่ายวางสายไปแล้ว


“รีบกลับมาเร็วๆนะต้น ไผ่จะได้พูดสิ่งที่ต้นอยากฟังเสียที”


*************

คราวนี้ ไม่ค้าง ไม่สั้นแล้วเน้อ แหะๆ  :m18:
(ว่าแต่ หิวข้าวจัง ฝนตกหนักมากลงจากตึกไม่ได้ ใครเอาข้าวราดผัดผักรวมตับ&ไข่ดาวมาเดลิเวอรีให้ที ฮือๆๆ   :m8:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 18 [สัญญาว่ามาต้องมา 4/11]
เริ่มหัวข้อโดย: shibao ที่ 04-11-2008 14:58:13
ไม่ค้างคับ

แล้วมาต่ออีกละกันคับ

รออ่าน เช่นเคย

 :m4:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 18 [สัญญาว่ามาต้องมา 4/11]
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 04-11-2008 15:14:33
พ่อของต้นนี่ร้ายมากจริงๆ

สงสารไผ่ถ้าต้นทำตามพ่อ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 18 [สัญญาว่ามาต้องมา 4/11]
เริ่มหัวข้อโดย: juuuno99 ที่ 04-11-2008 16:52:35
ป้าฮ่ะ ไม่ค้างคับ




แต่ 



มันไม่พอ ขออีก
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 18 [สัญญาว่ามาต้องมา 4/11]
เริ่มหัวข้อโดย: The Living River Ping ที่ 04-11-2008 19:20:00
ไม่ใช่แต่เธอ เท่านั้น
ที่เฝ้าอดทน รอฉัน
ฉันเอง ก็เฝ้ารอ
เหมือนเหมือนเธอ


คุณพ่อ..เอ่อ..ไม่ได้แช่งชักหรือรักมากเลยนะ ปล่อยให้ต้นกลับมาเมืองไทยคนเดียว
ส่วนตัวคุณพ่อ หาคนป้อนกิมจิ แล้วเกษียณตัวเองอยู่ที่โ่น่นเลยดีไหมค้าาาาาา :m20:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 18 [สัญญาว่ามาต้องมา 4/11]
เริ่มหัวข้อโดย: krappom ที่ 04-11-2008 19:21:29
^

^

เห็นด้วยกับที่รัก

คุณพ่ออยู่ที่เกาหลีต่อไปก็ได้นะ

ไม่ต้องรีบกลับ

 :jul3:


หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 18 [สัญญาว่ามาต้องมา 4/11]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 05-11-2008 11:48:16
 :m15: อร้ายยย จะขับไล่ไสส่งคนแก่หัวใจอ่อนแอกันขนาดนั้นเลยเร้อ

แต่เป็นไอเดียที่ดี ไม่เคยคิดถึงออพชั่นนี้มาก่อน ว่าแล้วเขียนสนองเลยซะดีมะ?  :laugh:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 18 [สัญญาว่ามาต้องมา 4/11]
เริ่มหัวข้อโดย: The Living River Ping ที่ 05-11-2008 18:45:05
เป็นแบบ อ็อพชั่น ทู บาย ไงตัวเอง bb ลองให้คุณพ่อ กินกิมจิกับเนื้อย่างเกาหลีดู ถ้าอร่อย ก็ขอให้อยู่กินตลอดไป  :jul3:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 18 [สัญญาว่ามาต้องมา 4/11]
เริ่มหัวข้อโดย: pickki_a ที่ 05-11-2008 22:07:15
หมั่นใส้พ่ออ่ะ
หัวโบราณ  :angry2:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 18 [สัญญาว่ามาต้องมา 4/11]
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 05-11-2008 22:27:53
 :m1:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 18 [สัญญาว่ามาต้องมา 4/11]
เริ่มหัวข้อโดย: BeePed ที่ 06-11-2008 07:11:18
ตอนแรกอยากแนะนำให้ต้นลุกขึ้นสู้เหมือน พี่เต็มกับคุณกวาง ในเรื่องของคุณชะนี  :t2: แต่คิดไปมา...กลัวท่านคุณพ่อจะช็อคตาตั้งสิ้นชีพไปเสียก่อน  :serius2: :serius2: จะแก้ปัญหายังไงดี

หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 18 [สัญญาว่ามาต้องมา 4/11]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 06-11-2008 10:54:27
^
^
^
เพราะคำแนะนำคุณ BeePed เลยแว้บไปอ่านเรื่องนั้นมา ทำไมประสบการณ์คุณชะนีคล้ายชีวิตจริงเราเลยเนี่ย  :t2:

ส่วนป๊ะป๋าของต้นในเรื่องนี้...ก็รอลุ้นไปก่อนเน้อ แหะๆ :a11:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 18 [สัญญาว่ามาต้องมา 4/11]
เริ่มหัวข้อโดย: juuuno99 ที่ 06-11-2008 13:46:41
^
^
^
^
เข้ามากระชวกป้าเล่นๆ :a4: :a4:


แล้วก็  :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 18 [สัญญาว่ามาต้องมา 4/11]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 06-11-2008 14:01:26
^
^
^
เดี๋ยวปั๊ดเอาแมงมุมไปไว้ใต้หมอนเลย  :laugh:  :laugh:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 18 [สัญญาว่ามาต้องมา 4/11]
เริ่มหัวข้อโดย: juuuno99 ที่ 07-11-2008 18:29:48
^
^
^
^
เข้ามากระชวกด้วยความรักอีกที



ชริ   :a14:


แมงมุมเหรอ เค้าไม่กลัวหรอก  :laugh: :laugh:

 :angry2:แล้วเมื่อไรจะมาอัพสักทีห่ะ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 18 [สัญญาว่ามาต้องมา 4/11]
เริ่มหัวข้อโดย: marchmenlo ที่ 07-11-2008 23:06:56
 :laugh: :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 18 [สัญญาว่ามาต้องมา 4/11]
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 09-11-2008 15:57:22

     ยังไม่มาต่ออีกเหรอ      :t3:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 18 [สัญญาว่ามาต้องมา 4/11]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 09-11-2008 17:17:24
^
^
^

เมี้ยวววววววว (แปลงร่างเป็นแมวทะหันหัน)   :m7:

ขอโทษที่ทำให้รอกันนะจ๊า ไม่คืนนี้ก็พรุ่งนี้จะมาน้า (ขอโทษก๊าบมัวแว่บไปอ่านนิยายคนอื่นอยู่)   :sad4:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 18 [สัญญาว่ามาต้องมา 4/11]
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 10-11-2008 00:00:16
 ต่อเถอะจ้ะเธอ...

มัวแต่ไปอ่านนิยายใครอยู่จ๊ะ????

เขียนดีจังอ่านแล้วเห็นภาพค่ะเห็นภาพ...

เอาเป็นว่า บวกหนึ่งให้นะจ๊ะ...คริคริ :oni1: :oni1:

หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 18 [สัญญาว่ามาต้องมา 4/11]
เริ่มหัวข้อโดย: Jeremy_F ที่ 11-11-2008 16:02:12

มาลงชื่อไว้ก่อน กำลังตามอ่านครับป้า  :L2: :L2:

 :bye2:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 18 [สัญญาว่ามาต้องมา 4/11]
เริ่มหัวข้อโดย: Jeremy_F ที่ 13-11-2008 11:04:51
อ่านทันแล้วครับป้า สนุก..หึหึเอาอีกๆ  o13

คุณพ่อนายต้นนี่แก่กะโหลกกะลาจริงๆ.....แว๊กก..ล่วงเกินผู้ใหญ่ขออภัยคร้าบบ

 :bye2:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 18 [สัญญาว่ามาต้องมา 4/11]
เริ่มหัวข้อโดย: piggie ที่ 15-11-2008 08:18:06
เพิ่งมาติดตามอ่านเรื่องนี้...สนุกมากมายค่า o13

ตอนนี้ขอเดาเรื่องของน้องลี่ก่อนว่าเป็นอย่างที่เราคิดรึป่าวว...

ส่วนพ่อช่วยไปไกลๆด้วย..ลูกเค้าจะรักกัน เฮ้ออออออ :serius2:

ต้น-ไผ่ น่ารักมากๆเลยค่ะ หวานนิดหน่อย แค่พอกระชุ่มกระชวย :-[

หัวข้อ: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 19 [มาช้ายังดีีกว่าไม่มา 16/11]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 16-11-2008 15:11:18
 หายหน้าจากเรื่องนี้ไปนาน ขอทักทายมิตรรักแฟนนักอ่านกันสักนี้ดส์

Shibao  ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านนะจ๊ะ หวังว่าตอนนี้ก็ไม่ค้าง...(มั้งนะ)
Patee       มาลุ้นกัน ว่าแต่โทษทีไม่ได้มาลงเร็วกว่านี้ตามที่บอกไว้เน้อ ไปลงเรื่องสั้นอยู่
<Ju!_Ju!>   ยาวพอมะตอนนี้ ว่าแต่เดี๋ยวนี้เองานเข้าจากจักรเยอะจังนะ ฝากบอกจักรว่าอย่าหักโหม หึๆ
The Living Rive  เค้ามาลงแล้วนะตัวเอง ส่วนป๊ะป๋าเดี๋ยวไปหัดให้กินบิบิมบับก่อน ตอนนี้อยู่ไหนก็ไม่รู้
Krappom  ป๋อมแป๋มสนใจไปเที่ยวเกาหลีเป็นเพื่อนป๊ะป๋าป่าว
pickki_a   ใจเย้นนนนน ป๊ะป๋าแกคนละเจเนเรชันกับหมู่เฮาเน่อ
ที่รักของ...   :L1:
BeePed   นั่นสิ จะแก้ปัญหาไงดีเนี่ย คนเขียนก็เกาหัวอยู่
Marchmenlo  ยกพื้นที่ให้มาขำเอ 5555
Wordslinger  +1 ตอบ ก็ไปอ่านคู่แฝดของไผ่ในเรื่องของตัวเองอยู่แหละจ้า ทำไงเค้าจะเขียนนายเอกเซี้ยวๆแบบพ่อเอกในถนนสายนี้มีความรักได้มั่งง่ะ ชอบแบบนั้นนะนั่น
Jeremy_F   5555 ไม่เป็นไรป๊ะป๋าไม่ได้ยิน
Piggie    นั่นสิ เราจะคิดตรงกันเรื่องน้องลี่หรือเปล่าน้า

ว่าแต่ทำไมคนอ่านเรื่องนี้มีแต่คนอยากไล่ป๊ะป๋าให้ไปไกลๆกันจัง??? คนเขียนไม่เข้าใจ  :laugh:

มาต่อกันเลยแล้วกันเน้อ~


19.


“จะมีไหมสักคน มาเปลี่ยนชีวิตของฉันเธอคือใคร ที่จะรักจริง ไม่ทอดทิ้งกัน อยากจะรู้...”

เสียงร้องแปร่ง กระท่อนกระแท่นไม่เป็นทำนองของเด็กหนุ่มที่กำลังเช็ดกระจกอยู่หน้าร้านทำให้ชายหนุ่มร่างใหญ่ที่เดินผ่านมาได้ยินหัวเราะเสียงดังอย่างไม่เกรงใจ

“โอ๊ย ไอ้บอยเอ๊ย เจ้าของเพลงมาได้ยินแม่งคงอยากผูกคอตาย ทำไมเสียงมึงควายออกลูกได้ขนาดนี้วะ”

เด็กหนุ่มหันกลับไปเหล่คนแซว “แหมพี่ ผมไม่ได้เป็นครูสอนดนตรีอย่างพี่นี่จะได้เสียงดี เสียงใสไม่ผิดคีย์ยังกับจิ้งหรีดได้ดูดน้ำค้าง”

“อ้าวไอ้นี่ แหย่หน่อยเดียวปีนเกลียวเลยเหรอวะ เดี๋ยวเหอะมึงเดี๋ยวสวย”

“ไม่สวยเท่าแฟนพี่หรอก แบร่”

มือหนาหนักทำท่าจะตบกะโหลกคนอายุน้อยกว่าแต่อีกฝ่ายรู้ทันเลยชิ่งหนีไปหลบหลังหญิงสาวร่างสูงที่เดินเข้ามาพอดี ปฏิมาหันไปมองเด็กหนุ่มที่เกาะหลังตัวเองอย่างงงๆแล้วก็หันกลับมาหาคนตัวโตที่กำลังปั้นหน้ายิ้มไร้เดียงสาอยู่

“เล่นอะไรกันน่ะ นี่นายรังแกเด็กในร้านด้วยเหรอ”

“โหย ที่รักครับ พูดอย่างงี้ผมเสียหมด เจ้าของร้านที่เอ็นดูลูกลิงแบบนี้หาที่ไหนไม่มีแล้ววววว ไอ้บอย มึงก็เลิกเกาะแฟนกูซะที”

หน้าสวยหวานแดงขึ้นทันที “ใครแฟนใคร เลิกขี้ตู่ซักทีไอ้อ้วน!”

“บอย มายืนเล่นอะไรแถวนี้ ไม่เตรียมเปิดร้านหรือไง”

หุ้นส่วนใหญ่และเจ้าของร้านตัวจริงเดินเปิดประตูออกมาจากในร้านแล้วก็หันไปถาม “ลูกลิง” ที่เกาะหลังปฏิมาอยู่จนเจ้าตัวหน้าจ๋อย แต่แม้น้ำเสียงจะฟังเฉียบขาด นัยน์ตาของนรพัฒน์กลับมีประกายขำ เด็กหนุ่มแกล้งทำเป็นตบส้นแล้วก็ตะเบ๊ะรับคำสั่ง

“รับทราบครับพ้มผู้กำกับ! กระผม จ่าสิบเอกชลิตจะรีบไปปฏิบัติหน้าที่เดี๋ยวนี้ครับ!!”

ปฏิมาส่ายหน้าเมื่อคล้อยหลังเด็กหนุ่ม

“บอยนี่เป็นนักศึกษาจริงเหรอ เรารู้สึกเหมือนเป็นเด็กม.ปลายมากกว่า”

“มันก็ดีแต่ทะลึ่งทะเล้นไปวันๆน่ะแหละ ว่าแต่ปาล์มจะมาร้านทำไมไม่โทรบอกก่อนล่ะครับ”

“ก็แค่จะเอาหนังสือเล่มใหม่มาฝากวางที่ร้านเฉยๆ…ทำไม ถ้าไม่โทรบอกก่อนแล้วมาไม่ได้หรือไง?”

ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ยิ้มเอ็นดูอีกฝ่ายที่ทำปากยื่นนิดๆอย่างไม่พอใจ ท่าทางปฏิมาคงไม่รู้ว่าเขาชอบมองเวลาเจ้าตัวทำหน้าตาหาเรื่องแบบนี้ไม่อย่างนั้นคงยิ่งระวังตัวมากกว่าเดิม

“โอ๋ๆ ผมหมายถึงว่าถ้าโทรบอกก่อนจะได้เตรียมรอรับต่างหาก งั้นเข้าไปข้างในกันดีกว่า ไหนๆมาแล้วก็ทานข้าวเย็นที่ร้านเลยแล้วกันนะ”

หญิงสาวค้อนคนชวนที่ทำตากรุ้มกริ่มใส่แต่ก็เดินเข้าไปในร้านเมื่ออีกฝ่ายเปิดประตูให้แต่โดยดี ดิษยะมองตามหลังของคนที่เดินตรงไปยังโต๊ะด้านในแล้วก็ยิ้ม ปฏิมาเริ่มมาดูแลนิตยสารแจกฟรีที่เพิ่งเปิดตัวที่เชียงใหม่ได้เกือบเดือนแล้ว ถึงแม้เจ้าตัวจะไม่เคยปริปาก แต่ดิษยะรู้ดีว่าหญิงสาวคงเหงาเหมือนกันที่ต้องจากบ้านที่กรุงเทพฯมาอยู่ที่ต่างจังหวัดคนเดียว แม้จะยังเดินทางไปๆมาๆก็ตาม

นรพัฒน์โบกมือเรียกเด็กเสิร์ฟในร้านให้เข้าไปรับรายการอาหารจากทั้งสองระหว่างเดินปลีกตัวไปที่เคาน์เตอร์ ขณะชายหนุ่มกำลังดึงสมุดและเครื่องคิดเลขออกมาเพื่อเช็คบัญชีก็ได้ยินเสียงคุ้นเคยดังขึ้นใกล้ๆ

“นี่เฮีย เคยสงสัยเหมือนผมมะว่าทำไมพี่ย่ามถึงจีบพี่ปาล์ม”

นัยน์ตาคมชายตามองเด็กหนุ่มที่เดินมายืนข้างๆแล้วก็ยิ้มพลางพลิกเปิดหน้าที่บันทึกบัญชีของเดือนล่าสุดไว้

“บอยจะสงสัยทำไมละ ย่ามมันคงถูกใจของมันก็เลยจีบน่ะสิ ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน”

ชลิตยัดมือสองข้างลงในกระเป๋ากางเกงพลางหันกลับมามองคนข้างตัว

“ก็ผมเห็นพี่ย่ามเป็นโสดมาตั้งนาน แถมยังสนิทกับเฮีย ผมก็เผลอนึกว่าพวกเฮียคบกันเป็นแฟนแล้วซะอีก”

ชายหนุ่มร่างผอมสูงหัวเราะแล้วก็ยกมือขยี้ผมเด็กหนุ่มที่สูงแค่ปลายคางตัวเองอย่างมันเขี้ยว

“คิดอะไรเพ้อเจ้อจริงๆนะเรา เฮียรู้จักกับมันมาตั้งแต่เด็กก็ต้องสนิทกันสิวะ แล้วสเป็คคนที่เฮียชอบน่ะคนละขั้วกับไอ้ย่ามเลยจะบอกให้”

ชลิตบ่นอุบอิบพลางพยายามจัดผมที่เซ็ทไว้ให้กลับเป็นทรงเดิม

“ใครจะไปรู้เล่า แล้วสเป็คเฮียเป็นแบบไหนอะ คอยดูเหอะไม่รีบหาแฟนมั่งเดี๋ยวแนนก็แต่งงานตัดหน้าหรอก”

คนโดนขู่หัวเราะในคอก่อนจะปิดสมุดบัญชีแล้วหันมายิ้มเจ้าเล่ห์ให้เด็กเสิร์ฟประจำร้าน “บอยอยากรู้สเป็คเฮียจริงๆมั้ยล่ะ จะได้บอก”

เด็กหนุ่มเห็นประกายบางอย่างในตาของเจ้าของร้านแล้วก็รู้สึกเสียวสันหลังแปลกๆจึงรีบกระแอมแล้วเก๊กเสียงตัดบท

“เอ่อ ด้วยจรรยาบรรณของผู้ดีผมไม่ละลาบละล้วงดีกว่าว่ะเฮีย เดี๋ยวขอไปดูในครัวก่อนนะ ไม่รู้กับข้าวพี่ย่ามเค้าเสร็จรึยัง ไปละ”

ชายหนุ่มเจ้าของร้านมองตามหลังเด็กหนุ่มที่เดินหนีไปแล้วก็ส่ายหน้ายิ้มๆในความทะเล้นอย่างคงเส้นคงวา ก่อนจะหันไปกดเครื่องคิดเลขเพื่อคำนวณบัญชีที่ทำค้างไว้ต่อ เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นข้างตัวเรียกให้ชายหนุ่มยื่นมือไปยกหูโทรศัพท์ขึ้นรับ

“สวัสดีครับ ที่นี่ร้านดื่ม-เล่าครับ...อ้าวลุงแหวง มีอะไรหรือลุง?”

นรพัฒน์ทักทายคนขับรถรับจ้างที่อาศัยอยู่ไม่ไกลจากบ้านเพื่อนสนิทบนเชิงเขานอกเมืองด้วยความคุ้นเคย แต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อได้ฟังสิ่งที่ผู้สูงวัยกว่าบอกเล่าผ่านทางโทรศัพท์ด้วยเสียงละล่ำละลัก

“อะไรนะครับ?! ตั้งแต่กี่โมงครับลุง? เข้าใจแล้ว งั้นเดี๋ยวผมไปเดี๋ยวนี้เลยครับ”

ชายหนุ่มวางโทรศัพท์อย่างรวดเร็วแล้วก็รีบสาวเท้าไปยังโต๊ะที่เพื่อนของตนและปฏิมานั่งอยู่ ดิษยะได้ยินเสียงฝีเท้าจึงเงยหน้าขึ้นมองสีหน้าไม่สู้ดีนักของเพื่อน แต่ก่อนจะได้อ้าปากถามอีกฝ่ายก็ชิงพูดขึ้นเสียงเครียด

“ไปด้วยกันหน่อย รถไผ่โดนชนท้าย ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล”


*************


รถแท็กซี่สีดำสำหรับรับส่งผู้โดยสารจากสนามบินแล่นเข้าจอดหน้าทางเข้าของอาคารสีครีมขนาดใหญ่ ชายหนุ่มร่างสูงยื่นธนบัตรสีม่วงให้คนขับรถโดยไม่รอเงินทอนแล้วก็รีบสะพายกระเป๋าเดินกึ่งวิ่งเข้าในอาคารที่อวลกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อบางเบาในทุกอณูอากาศ ขายาวแข็งแรงก้าวเร็วจนเกือบเหมือนวิ่งไปที่ลิฟต์แล้วยื่นมือเข้าแทรกในช่องประตูที่กำลังจะปิดก่อนจะเบียดตัวเข้าไปอย่างรีบร้อน

ชายหนุ่มค้อมศีรษะขอโทษผู้ที่อยู่ในลิฟต์แล้วก็หันไปกดหมายเลขชั้นที่ต้องการ จากนั้นนัยน์ตาคมก็จับจ้องที่แผงไฟแสดงเลขชั้น เท้าข้างหนึ่งเคาะพื้นอย่างกระสับกระส่าย เมื่อถึงชั้นที่หมายร่างสูงก็ก้าวพรวดจนเหมือนจะกระโจนออกจากลิฟต์แล้วสาวเท้าตรงไปยังหมายเลขห้องที่ได้รับแจ้งแล้วผลักประตูเข้าไปอย่างร้อนรน สีหน้าที่แสดงความอิดโรยซีดเผือดลงไปอีกเมื่อสายตาปะทะเข้ากับร่างของคนที่นอนอยู่บนเตียง

สายตาสามคู่ของผู้ที่ยืนอยู่ในห้องหันไปมองที่ประตูพร้อมกันด้วยความตกใจ ก่อนที่เสียงของหญิงสาวร่างสูงระหงจะเอ่ยเรียกชื่อของผู้มาใหม่ด้วยอาการโล่งใจ

“ต้น!”   

ตระการถลาเข้าไปยืนข้างเตียงราวกับไม่เห็นหรือได้ยินเสียงของใครทั้งสิ้น นัยน์ตาคมจับจ้องใบหน้าขาวซีดของคนที่กำลังนอนหลับไม่ได้สติ แล้วก็ไล่ไปยังผ้าพันแผลสีขาวสะอาดที่พันอยู่รอบศีรษะและแขนข้างหนึ่งที่เข้าเฝือกไว้ ใบหน้าของคนเจ็บนิ่งสงบ ทว่าภาพที่ได้เห็นกลับทำให้ผู้มาใหม่เจ็บร้าวในอกราวมีใครเอาคีมที่เผาไฟจนร้อนแดงมาบีบ

“ทำไม...” มือใหญ่ยกมือของคนบนเตียงขึ้นกุมอย่างสั่นเทาก่อนจะเค้นเสียงถามอย่างไม่เจาะจงคนตอบ “ใครทำไผ่เป็นแบบนี้!?”

ร่างที่นอนอยู่บนเตียงขมวดคิ้วมุ่นขึ้นเล็กน้อยกับเสียงที่ดังขึ้นข้างหู แต่แล้วก็เพียงผินหน้าหนีที่มาของเสียงแล้วหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอเช่นเดิม ปฏิมายกนิ้วชี้ขึ้นจ่อที่ริมฝีปากตัวเองก่อนเอ่ยเสียงเบา

“อย่าเสียงดังสิต้น หมอบอกว่าไผ่ต้องการการพักผ่อน”

นรพัฒน์มองตระการแล้วก็กระซิบใส่หูเพื่อนสนิท ก่อนที่คนตัวโตกว่าจะพยักหน้าแล้วเดินไปแตะบ่าชายหนุ่มผู้มาใหม่เป็นสัญญาณให้เดินตามไปนอกห้อง ตระการยังสองจิตสองใจ เขากลัวว่าพรพฤกษ์จะฟื้นขึ้นมาระหว่างที่เขาละสายตาไป ดิษยะหันกลับมามองสีหน้ากังวลใจนั้นแล้วก็เดาะลิ้นก่อนจะใช้วิธีรั้งไหล่อีกฝ่ายให้เดินออกไปด้วยกัน

“ไผ่มันยังไม่ตื่นง่ายๆหรอกน่า ถ้าอยากรู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็ออกมาฟังข้างนอก”

ตระการจำต้องเดินตามออกไปอย่างเสียไม่ได้ ดิษยะปิดประตูห้องผู้ป่วยแล้วรุนหลังชายหนุ่มให้ไปที่ชุดเก้าอี้รับแขกริมทางเดิน จากนั้นก็กดไหล่อีกฝ่ายให้นั่งลง ชายหนุ่มตัดสินใจถามเข้าประเด็นทันทีเพื่อจะได้รีบกลับเข้าไปเฝ้าคนในห้อง

“ตกลงมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ครับ ตอนที่ปาล์มโทรหาผมเมื่อคืนก่อนก็ไม่ได้บอกละเอียด”

ดิษยะถอนหายใจแล้วก็เกาศีรษะ “เอ้า ยังไงก็ใจเย็นๆแล้วค่อยๆฟังก็แล้วกัน...”

ตระการได้รับรู้ว่าวันก่อนหน้าซึ่งเป็นวันเกิดเหตุนั้นพรพฤกษ์ขับรถเข้ามาทำธุระในเมือง แล้วระหว่างทางขากลับเกิดอุบัติเหตุโดนชนท้ายจากรถสิบล้อที่พยายามเบี่ยงแซงรถที่อยู่ด้านหลังแล้วบังเอิญพรพฤกษ์ต้องชะลอรถให้คนแก่ข้ามถนนจึงถูกสิบล้อเสยเข้าเต็มแรง ผลคือท้ายรถพังยับและเจ้าตัวเองศีรษะกระแทกพวงมาลัยแตกและกระดูกแขนร้าวข้างหนึ่ง

“แล้วคนขับสิบล้อล่ะครับ ชนแล้วหนีหรือเปล่า?”

ดิษยะส่ายหน้า “เปล่าๆ เค้าก็โทรหาเจ้านายเค้าให้มาจ่ายค่าเสียหายน่ะแหละ ส่วนรถของไผ่มันก็มีประกัน ไอ้นอมันจัดการเรื่องเอกสารแล้วก็อะไรต่อมิอะไรให้เสร็จสรรพแล้วเพราะมันชอบคิดว่ามันเป็นพ่อไอ้ไผ่”

ชายหนุ่มหวังว่าอารมณ์ขันของตัวเองจะทำให้อีกฝ่ายสบายใจขึ้นบ้าง แต่กลับกลายเป็นว่าคนฟังหน้าเสียมากขึ้นไปอีก

“ไม่น่าเลย ถ้าผมอยู่ใกล้ๆไผ่บางทีอาจไม่เกิดเรื่องแบบนี้”

“เฮ่ย มีใครเค้ารู้ล่วงหน้ากันมั่งว่าจะมีอุบัติเหตุ ต่อให้ต้นอยู่กับไผ่ตอนนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เกิดอะไรขึ้นอยู่ดีล่ะน่า”

“แต่ว่า...”

เสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้อย่างรีบเร่งทำให้ชายหนุ่มทั้งสองหันหน้าไปทางต้นเสียง เมื่อตระการเงยหน้าขึ้นแล้วเห็นว่าผู้มาใหม่เป็นใครก็ชักสีหน้าทันที ด้านอภิสิทธิ์เองเมื่อเห็นผู้ที่นั่งอยู่หน้าห้องของคนที่ตั้งใจมาเยี่ยมก็ชะงักไปเช่นกัน

“สวัสดีครับ กลับมาแล้วหรือ ย่าม ไผ่เป็นไงบ้าง”

ดิษยะเห็นสายตาไม่เป็นมิตรที่คนทั้งสองส่งให้กันก็รีบชิงตอบคำถาม

“ตั้งแต่นายกลับไปก็ยังไม่ฟื้นเลยว่ะอ้น หมอบอกว่าคลื่นสมองปรกติไม่น่ามีอะไรกระทบกระเทือน แต่ยังไงก็ต้องรอให้ฟื้นก่อนถึงจะรู้อาการจริงๆ”

อภิสิทธิ์มองไปทางประตูห้องผู้ป่วยด้วยนัยน์ตากังวล

“ถ้าเมื่อวานเราไม่ชวนไผ่มาที่ร้านก็ดีหรอก บางทีอาจจะไม่เกิดเรื่องอย่างนี้”

ตระการเงยหน้าทันทีเมื่อได้ยินประโยคนั้น ร่างสูงลุกพรวดแล้วก็ใช้มือขยุ้มคอเสื้ออีกฝ่ายก่อนจะตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยว

“เพราะไผ่มาหาคุณ! ถ้าหากไผ่ไม่ออกมาก็คงไม่ต้องเจอเรื่องแบบนี้หรอก!! ไอ้บ้าเอ๊ย!!”

“เฮ้ยต้น! ใจเย็น นั่นมันเป็นอุบัติเหตุนะ!!”

ร่างหนาของดิษยะเข้าไปล็อกแขนสองข้างของตระการจากด้านหลังด้วยความตกใจพอๆกับอภิสิทธิ์ที่ถูกกล่าวหา ชายหนุ่มแสดงอาการฮึดฮัดกับการที่ถูกรั้งตัวไว้ อภิสิทธิ์มองสบนัยน์ตาวาวโรจน์ของอีกฝ่ายอย่างเย็นชา ทว่าก่อนจะเกิดสงครามย่อยๆขึ้น ประตูห้องผู้ป่วยด้านหลังก็ถูกเปิดจากภายในพร้อมๆกับที่ปฏิมายื่นหน้าออกมา

“ต้น! ไผ่ตื่นแล้วนะ...”

หญิงสาวมองสภาพของชายทั้งสามที่โถงทางเดินแล้วก็ขมวดคิ้ว ตระการสะบัดตัวเองหลุดจากท่อนแขนหนาที่ล็อกตัวเขาเอาไว้แล้วจ้ำอ้าวไปที่ห้องผู้ป่วยทันทีโดยมีอภิสิทธิ์ตามเข้าไปติดๆ ปฏิมาเบี่ยงตัวหลบชายหนุ่มสองคนที่เบียดผ่านตัวเองเข้าไปในห้องแล้วก็หันไปมองคนตัวใหญ่ที่เดินตามมาด้วยใบหน้าสงสัย ทว่าคนตัวโตเพียงส่ายหน้าเป็นสัญญาณว่าอย่าเพิ่งถามอะไร

ตระการตรงเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียงทันที นัยน์ตาคมทอประกายดีใจที่เห็นคนรักลืมตาแม้ใบหน้านั้นจะยังซีดเซียวและดูอ่อนเพลีย พรพฤกษ์กระพริบตาถี่ๆพลางกลอกตามองไปตามใบหน้าของคนรอบตัวอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนจะหยุดที่คนใกล้ตัวที่จับมือของตัวเองไว้

“ต้น...”

เสียงนั้นแผ่วระโหย ทว่าก็ทำให้หัวใจที่เหมือนถูกบีบของชายหนุ่มในไม่กี่อึดใจที่ผ่านมากลับพองขึ้นด้วยความยินดี มือแข็งแรงบีบมือเรียวแน่นขึ้นก่อนจะเอ่ยเสียงสั่น

“ไผ่รู้สึกตัวแล้ว ดีจริงๆ”

ร่างบางพยายามยิ้มให้อย่างเพลียๆแม้จะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก นรพัฒน์บีบไหล่อีกข้างของเพื่อนเบาๆ

“รู้สึกตัวก็ดีแล้ว ทุกคนเป็นห่วงไผ่มากนะ ยังไงตอนนี้พักผ่อนก่อน ยังไม่ต้องรีบคิดอะไรก็ได้”

อภิสิทธิ์มองภาพบาดตาของพรพฤกษ์กับตระการราวทั้งคู่กำลังอยู่ในโลกส่วนตัวแล้วก็ขบกรามจนเป็นสันนูนก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องไป ไม่นานนักนางพยาบาลสาวก็เดินเข้ามาพร้อมกับนายแพทย์วัยกลางคนร่างเล็ก

“มีคนไปแจ้งว่าคนไข้ตื่นแล้ว เดี๋ยวคุณหมอขอวัดไข้กับความดันหน่อยนะคะ”

ตระการจำใจต้องปล่อยมือเรียวที่จับอยู่แล้วถอยออกเพื่อไม่ให้รบกวนการตรวจ ด้านคุณหมอเพียงสอบถามอาการคนป่วยสองสามคำก่อนจะพยักหน้าอย่างพอใจแล้วจึงหันไปขอคุยกับนรพัฒน์ที่นอกห้อง ปฏิมาก้าวไปยืนข้างเตียงแล้วก็เอ่ยกับคนเจ็บอย่างยินดี

“โชคดีนะไผ่ที่ไม่ได้เป็นอะไรมาก”

คนป่วยยิ้มให้ “ขอบใจนะปาล์ม ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง”

“เฮ้อ...ถ้าผมต้องมานอนโรงพยาบาลบ้างปาล์มจะห่วงผมอย่างนี้มั้ยเนี่ย”

หญิงสาวถลึงตาใส่คนพูดตาเขียวจนคนที่นอนเจ็บตัวอยู่อดหัวเราะเบาๆไม่ได้ ตระการยิ้มแล้วลูบผมส่วนที่โผล่พ้นผ้าพันแผลออกมาอย่างอ่อนโยน พรพฤกษ์ยิ้มตอบแล้วก็ขมวดคิ้วเมื่อนึกขึ้นได้

“ทำไมต้นมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ แล้วนี่ไผ่นอนมานานแค่ไหนแล้ว?”

ดิษยะตอบให้แทน “ลุงแหวงพามึงมาส่งตั้งแต่โดนเสยท้ายเมื่อคืนวาน ยังไงออกจากโรงพยาบาลแล้วไปขอบคุณลุงแกด้วยล่ะ”

“อ้อ...” คนป่วยพยักหน้าเข้าใจ นรพัฒน์เดินกลับเข้ามาในห้องแล้วก็หันไปกวักมือเรียกตระการให้เดินตามออกไป ชายหนุ่มจึงจำต้องลุกตามไปอย่างเสียไม่ได้

“เมื่อกี้ผมคุยกับลุงหมอแล้ว แกบอกว่าเท่าที่ดูนอกจากแผลที่หัวกับแขนที่ใส่เฝือกแล้วอย่างอื่นไม่น่าเป็นห่วงเพราะอวัยวะภายในไม่กระทบกระเทือน สมองก็ปกติดี แต่อย่างน้อยก็อยากให้นอนดูอาการอีกสักคืนหรือสองคืน”

“ผมจะเฝ้าไผ่เองครับ”

นรพัฒน์ยิ้ม เขาคิดอยู่แล้วว่าอีกฝ่ายจะต้องเสนอตัว

“ถ้าอย่างนั้นผมฝากไผ่ด้วยแล้วกัน เตรียมกระเป๋ามาด้วยแล้วใช่ไหม?”

ชายหนุ่มเย้าเพราะรู้ว่าตระการบินออกจากเกาหลีมาตั้งแต่ได้รับโทรศัพท์ทางไกลแจ้งเมื่อคืนก่อน จากนั้นก็จับเครื่องบินต่อจากกรุงเทพฯมาเชียงใหม่โดยไม่พักเลย

“ก็...ไม่มีปัญหาครับ” ตระการยิ้มตอบแห้งๆ นรพัฒน์สังเกตสีหน้าที่มีริ้วรอยอ่อนเพลียของอีกฝ่ายแล้วก็ตบบ่าอย่างให้กำลังใจ

“งั้นก็ดีแล้ว แล้วก็...ขอบคุณมากจริงๆที่มา”


*************

ตระการยกขวดน้ำเย็นขึ้นดื่มพลางบีบนวดไหล่ที่ปวดเมื่อยเพราะการนั่งเครื่องบินยาว เพื่อนๆของพรพฤกษ์กลับไปกันหมดแล้วหลังจากเขารับปากแข็งขันว่าจะดูแลคนเจ็บแทนทุกคนที่ผลัดกันคอยเฝ้าที่โรงพยาบาลมาตั้งแต่วันก่อน ดิษยะยิ้มให้เขาล้อๆตอนมากอดคอกระซิบก่อนจะกลับไป

“แผนสูงนะเรา ไม่อยากให้กขค.อยู่ล่ะสิ”

ดึกมากแล้ว ดวงจันทร์นอกหน้าต่างลอยตัวเด่นกลางท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม ตระการเท้าคางมองคนที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงแล้วก็ยื่นมือไปลูบศีรษะอีกฝ่ายเบาๆ ตอนเขาได้รับโทรศัพท์จากปฏิมาที่โทรข้ามประเทศไปบอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนสำคัญของเขาชายหนุ่มรู้สึกเหมือนหัวใจจะหยุดเต้นเสียให้ได้

ร่างบางตัวสั่นเล็กน้อย ตระการจึงหยิบรีโมตขึ้นกดหรี่แอร์แล้วดึงผ้าห่มขึ้นให้ถึงปลายคางอีกฝ่ายพลางตบตรงหน้าอกเบาๆ นัยน์ตาหวานคมปรือขึ้นก่อนจะส่งเสียงถาม “ต้น? ยังไม่นอนอีกเหรอ?”

“โทษที ทำให้ไผ่ตื่นหรือเปล่า?”

“ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่ขอกินน้ำหน่อยสิ”

ชายหนุ่มกระวีกระวาดลุกขึ้นเปิดขวดน้ำดื่มใส่หลอดยื่นให้พลางช่วยประคองศีรษะคนเจ็บให้ดูดน้ำได้ถนัด พออีกฝ่ายส่งสัญญาณว่าพอแล้วจึงวางขวดน้ำลงที่โต๊ะข้างหัวเตียง พรพฤกษ์ลงนอนอย่างเดิมแล้วก็สบสายตากับคนที่เท้าคางมองหน้าตัวเองอยู่

“ไผ่เจ็บแผลมั่งหรือเปล่า”

คนถูกถามส่ายหน้า “มันชาๆมากกว่า คงเพราะกินยาแก้ปวดไป ขอโทษนะ ทำให้ต้นต้องเสียเวลางานบินกลับมาหา”

“พูดอะไรอย่างนั้นล่ะไผ่ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ใครจะมีสมาธิทำงานต่อกัน”

ทั้งสองเงียบไปครู่หนึ่งก่อนตระการจะเอ่ยต่อ “ถ้าหมอนั่นไม่เรียกไผ่ไปหาที่ร้านก็คงไม่เกิดเรื่องนี้หรอก”

“หมอนั่น?” พรพฤกษ์ขมวดคิ้ว แล้วก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงใคร “คิดมากอีกแล้ว นั่นมันอุบัติเหตุนะต้น ต่อให้ไผ่ไม่เข้าไปในเมืองก็อาจเกิดเรื่องแบบนี้ได้อยู่ดีนั่นแหละ อย่าโทษอ้นสิ”

ชายหนุ่มมองตาคนเจ็บที่มองตัวเองอยู่เหมือนตำหนิแล้วก็ถอนหายใจ

“โอเค ไม่โทษก็ได้ แต่ยังไงต่อไปนี้ห้ามไปร้านหมอนั่นโดยที่ต้นไม่อยู่ด้วยเด็ดขาด”

คนถูกสั่งห้ามหลับตาแล้วก็ถอนหายใจยาว “แล้วต้นจะอยู่กับไผ่ได้นานแค่ไหนล่ะ ไม่ต้องกลับไปทำงานแล้วเหรอ”

ประโยคราบเรียบทว่าแฝงแววตัดพ้อนั้นทำให้คนฟังสะอึก อันที่จริงการที่เขาบินกลับมาเมืองไทยนอกตารางคราวนี้เขายังไม่ได้บอกใครที่นี่สักคนนอกจากทิ้งข้อความลาป่วยไว้กับผู้ช่วยทางโน้น แม้ตอนที่ยังมาไม่ถึงโรงพยาบาลเค้าจะนึกห่วงงานเปิดตัวโครงการที่กำลังจะมาถึงอยู่บ้าง แต่เมื่อได้มาเห็นสภาพคนตรงหน้าความคิดนั้นก็หายไปทันที

ชายหนุ่มนึกหวนไปถึงบทสนทนากับบิดาแล้วนัยน์ตาคมก็กร้าวขึ้น ยังไงเรื่องที่ถูกสั่งให้เลิกคบหากับพรพฤกษ์เรื่องเดียวเท่านั้นที่เขาทำตามไม่ได้จริงๆ

“ต้น เจ็บนะ”

ตระการกระพริบตาก่อนจะปล่อยมือที่เผลอกำมืออีกฝ่ายแน่นเป็นกำหลวมๆแทน “ขอโทษ เผลอคิดอะไรเพลินไปหน่อย”

“ต้นรู้มั้ย เมื่อวานตอนเช้าที่นี่ฝนตกหนักด้วยนะ เหมือนตอนที่ต้นมาที่เกสต์เฮ้าส์วันแรกเลย”

คราวนี้คนเฝ้าคนเจ็บเป็นฝ่ายงงเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะหมายความถึงอะไร พรพฤกษ์มองใบหน้าหล่อเหลาที่ขมวดคิ้วแล้วก็ยิ้ม

“ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากบอกว่า เราเจอกันมาจะครบสองปีแล้วนะ”

ตระการยิ้มบ้าง “เวลาผ่านไปเร็วจริงๆด้วยเนอะ” ชายหนุ่มก้มลงจูบคนเจ็บเบาๆ แล้วก็หัวเราะในคอเมื่ออีกฝ่ายพยายามกลั้นหาว

“ดึกแล้ว ไผ่นอนเถอะ รีบพักผ่อนจะได้รีบออกจากโรงพยาบาลกัน”

ใบหน้าหวานพยักหน้าอย่างว่าง่ายแล้วก็หลับตาลง ไม่นานนักตระการก็ได้ยินเสียงกรนเบาๆ จึงหยิบโทรศัพท์มือถือเดินออกไปที่ระเบียง สายลมเย็นโชยเอื่อยขณะมือใหญ่ยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู

“อาวีเหรอ ผมต้นนะครับ ขอโทษที่โทรมาดึกขนาดนี้ พอดีผมมีเรื่องอยากรบกวนหน่อย”


*************

หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 19 [มาช้ายังดีีกว่าไม่มา 16/11]
เริ่มหัวข้อโดย: juuuno99 ที่ 16-11-2008 15:27:16
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 19 [มาช้ายังดีีกว่าไม่มา 16/11]
เริ่มหัวข้อโดย: ben~ya ที่ 16-11-2008 15:42:00
อมจิ้มป้าเลย
จิ้มพี่เอก่อนก็ได้
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 19 [มาช้ายังดีีกว่าไม่มา 16/11]
เริ่มหัวข้อโดย: krappom ที่ 16-11-2008 16:09:35

ปัญหาล้านแปด  :เฮ้อ:

ลป.ไปเกาหลีอ่ะสน แ่ต่ให้ไปเป็นเพื่อนป๊ะป๋านี่คิดหนัก  :m29:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 19 [มาช้ายังดีีกว่าไม่มา 16/11]
เริ่มหัวข้อโดย: The Living River Ping ที่ 16-11-2008 16:45:56
โห ทำไมคนเรามันถึงได้โชคร้ายอย่างนี้ แล้วจะจูบุจูบุ กับ ชนท้ายกันยังไงล่ะเนี่ย  :oo1:

ต้นจับไผ่ฉีดยาด้วย มีแผล กันไว้ก่อน เดี๋ยวเป็นบาดทะยัก  :z1:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 19 [มาช้ายังดีีกว่าไม่มา 16/11]
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 16-11-2008 18:28:18
มาแว้ววววววววววววววววววววว


กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด


ตามทันแล้ว...จ่อก้นคุณลิฟวิ่งเลยทีเดียว

อ่ะ ฮ้า

อยากเป็นเจ้าของเกสต์เฮ้าสเล็กๆ กะเขามั่ง
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 19 [มาช้ายังดีีกว่าไม่มา 16/11]
เริ่มหัวข้อโดย: Jeremy_F ที่ 16-11-2008 20:28:59
ขอแค่ได้รู้ว่าเจ็บไม่ว่าไกลเพียงไหนจะกลับไปหาเธอ   o13 ก็คนมันรักทำไงได้ใช่ไหม นายต้น  :กอด1:

ถูกต้องครับป้า มาช้ายังดีกว่าไม่มา  :L1:

อากาศเริ่มเย็นแล้วนะป้า ใส่เสื้ออุ่นๆห่มผ้าหนาๆอายุก็ไม่น้อยใช่ป่ะ กร๊ากกๆ :laugh:

ดูแลรักษาสุขภาพหัวใจและกายให้แข็งแรงกันทุกคนนะครับ

 :bye2:

หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 19 [มาช้ายังดีีกว่าไม่มา 16/11]
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 17-11-2008 21:22:28
ต้นท่าจะขี้หึงมากๆ

ความรักของต้นกับไผ่นี่ท่าทางจะต้องฝ่าฟันกันอีกนานๆทีเดียว

สงสาร :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 19 [มาช้ายังดีีกว่าไม่มา 16/11]
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 18-11-2008 00:48:51
 :L1:


เห็นใจอ้น โถๆๆ พระรองก็เงี๊ยะ ป้่าห้าคู่ให้พระรองหน่อยจิ  :z1:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 19 [มาช้ายังดีีกว่าไม่มา 16/11]
เริ่มหัวข้อโดย: BeePed ที่ 18-11-2008 09:54:06
 :call:  :call:  :oni3: :oni3:

เอาใจช่วยต้นกับไผ่ต่อไป ขอให้หาทางออกได้เร็วๆนะ
 
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 19 [มาช้ายังดีีกว่าไม่มา 16/11]
เริ่มหัวข้อโดย: The Living River Ping ที่ 21-11-2008 08:56:31
เพื่อนสาวจ๋า กิมจิ หมักดอง นานไปไหมจ๊ะ เมื่อไหร่ต่นจะได้ชนท้ายไผ่เสียที  :impress3:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 19 [มาช้ายังดีีกว่าไม่มา 16/11]
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 21-11-2008 09:23:18
^
^
^
^
^
^

จ๊วบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 19 [มารีจิ๊ดนึง 21/11]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 21-11-2008 22:47:04
โดนเพื่อนสาวแสนดีมากระทุ้งเลยต้องแวะมาตอบซะหน่อย พอดีสองสามวันมานี้งานฉ้อราษฎร์ เอ๊ย งานราษฎร์รุมเร้า ดังนั้นตอนใหม่คงได้มาในอีกวันสองวันนี้นะ้จ๊ะ กลัวราขึ้นกิมจิเหมือนกัน เจ๊ย!!

(เซ็งชีวิต เสาร์นี้ก็ทำงานอีกละ แงๆๆๆ)  :z3:

หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 19 [มารีจิ๊ดนึง 21/11]
เริ่มหัวข้อโดย: juuuno99 ที่ 21-11-2008 22:55:31
กระชวกป้าให้ตื่นตัว






อย่าเพิ่งดับชีพซะก่อนละป้า


หายใจช้าๆนะ คนแก่ๆหายใจเร็วๆมิค่อยดี(เกี่ยวกันมั้ย :m28:)
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 19 [มารีจิ๊ดนึง 21/11]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 21-11-2008 23:07:09
ู^
^
^
^

ย้ากส์!!! ไอ้เจ้าเอ โบราณ(?)เค้าบอกว่าอย่าทักอายุสุภาพสตรี ไม่รู้รึง้ายยยยยย นี่แนะๆๆๆๆ  :beat:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 19 [มารีจิ๊ดนึง 21/11]
เริ่มหัวข้อโดย: pickki_a ที่ 22-11-2008 20:29:50
ป้า
ผมไปหาหมอมา หมอบอกว่า
"คุณเป็นเบาหวาน"
 :m11: :m11:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 19 [มารีจิ๊ดนึง 21/11]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 22-11-2008 23:02:18
ู^
^
^
^

 :a2:

?????????

ยิ่งดึกป้ายิ่งเบลอแฮะ เอาเป็นว่าจะรีบมาต่อตอนใหม่เร็วๆนี้ละกันเน้อ แต่เอ่อ...ที่นู๋ใหญ่เป็นเบาหวานนี่ป้าไม่เกี่ยวนะ  :m29:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 19 [มารีจิ๊ดนึง 21/11]
เริ่มหัวข้อโดย: krappom ที่ 23-11-2008 00:16:21

 :call:

หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 19 [มารีจิ๊ดนึง 21/11]
เริ่มหัวข้อโดย: BeePed ที่ 27-11-2008 06:09:54
ขุด ขุด ขุด กระทู้ขึ้นมา....ให้ทิ่มตำลูกตาคนแต่ง
.
.
จะได้มาต่อเร็วๆ o18
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญŧ
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 27-11-2008 09:41:20
แอร๊ยยยย มิน่าแสบๆตา โดนคุณ BeePed ทิ่มนี่เอง เหอๆ จะรีบปั่นมาให้ละกันนะจ๊ะ งุงิ


จิ้มคนข้างล่างกลับ ฉึกๆๆๆ ฮี่ๆ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 19 [มารีจิ๊ดนึง 21/11]
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 27-11-2008 09:46:36
^
^
^
^
^

อะโช๊ะๆๆ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 19 [มารีจิ๊ดนึง 21/11]
เริ่มหัวข้อโดย: The Living River Ping ที่ 28-11-2008 17:05:59
โช๊ะๆ ตามคนสวยรีบน

ว่าแต่มารีจิ๊ดนึงเีนี่ย มารี~รอ ล่ะสิ เพื่อนสาว ไม่ลงตอนต่อไปซักที  :m26:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 19 [มารีจิ๊ดนึง 21/11]
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 01-12-2008 22:08:28
มารีแล้วก็มาต่อเรื่องบ้างนะคะ  :call:

ยังรออ่านอยู่ค่า  :a9:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 19 [มารีจิ๊ดนึง 21/11]
เริ่มหัวข้อโดย: BeePed ที่ 02-12-2008 09:24:05
 :z2: :z2:
ไม่มีอะไรทำ....มาช่วยดันกระทู้เฉยๆ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 19 [มารีจิ๊ดนึง 21/11]
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 04-12-2008 09:12:00
 :monkeysad:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 19 [มารีจิ๊ดนึง 21/11]
เริ่มหัวข้อโดย: WEERACHOT ที่ 04-12-2008 13:54:02
 :man1:เป็นกำลังใจให้กับนักเขียนกระทู้นี้ เหะๆ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 19 [มารีจิ๊ดนึง 21/11]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 04-12-2008 18:35:30
 :freeze:


ขอขอบพระคุณทุกๆเสียงที่มาช่วยดันต้น-ไผ่จากใจจริง ป้าขอยืนยันว่าไม่ทิ้งเรื่องนี้แน่นอนจ้า ยังไงช่วงสิ้นปีน่าจะได้มาลงตอนต่อไปแหละเน้อ (ผลัดวันประกันพรุ่งเข้าไป อีป้านี่)  o1

รักคนอ่านทุกคนจ้า  :bye2:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 19 [มารีจิ๊ดนึง 21/11]
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 04-12-2008 19:05:07


เรียน  จขกท.

มีประกาศจากแอดมินฯ  ดังนี้

1.นักเขียน  นักโพสทุกท่านกรุณานำข้อความใต้เส้นขึ้นต้นเรื่องด้วยนะครับ
จะได้เป็นการเตือนให้คนอ่าน รู้และตระหนักถึงความสำคัญในการอยู่ร่วมกันอย่างสงบนะครับ
จะได้ไม่มีเรื่องผิดใจ อื่นๆตามาภายหลังนะครับ

2.ให้ขึ้นต้นแยกประเภทเรื่องต่างๆไว้ด้วยนะครับ
ไม่ต้องบอกว่าเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องแต่ง ซึ่งเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนเองซึ่งควรมีจรรยาบรรณ
ไม่ควรที่จะหลอกผู้บริโภค และเสียความรู้สึกกันภายหลัง ซึ่งมีกรณีนี้เกิดขึ้นมากมายหลายต่อหลายครั้ง
ดังนั้นให้ดี ก็ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งทั้งหมด ถ้ามีส่วนแต่งเติมเสริมจากเค้าโครงจริงก็ตาม จะง่ายต่อการชี้แจงนะครับ

ให้แยกดังนี้
[เรื่องเล่า] ใช้กับเรื่องประเภทที่เป็นเรื่องเล่า ประสบการณ์ +กึ่งนิยาย  based on true story เขียนออกมาในลักษณะถ่ายทอด ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นเรื่องจริง
[นิยาย] ใช้กับนิยายทั่วไป
[fanfic] ใช้กับนิยายที่มีการแต่งตัวละครเพื่อเลียนแบบตัวละครจากที่อื่นๆเช่น ดารา นักร้อง ฯ
[เรื่องสั้น] ใช้กับเรื่องที่ยาวไม่มาก

ถ้าผู้ใดตั้งกระทู้ไปแล้ว รบกวนแก้ไขโดยการกด modify ที่รีพลายแรกหน้าแรกของกระทู้ตัวเอง
จะเข้าไปแก้ไขรีพลายและชื่อกระทู้แรกได้นะครับ

แอดมินฯ

..................


อิเจ้  โมดุฯ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 19 [มารีจิ๊ดนึง 21/11]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 04-12-2008 19:07:51
(เหงื่อตก) รับทราบคับ แก้แล้วจ้าเจ้  o1
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 19 [มารีจิ๊ดนึง 21/11]
เริ่มหัวข้อโดย: BeePed ที่ 07-12-2008 07:37:44
 :z2: :z2: :z2:

เข้ามาดันกระทู้  เห็นตกไปหน้าสองแล้วอ่ะ อิ อิ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 19 [มารีจิ๊ดนึง 21/11]
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 07-12-2008 18:31:38
มาต่อได้แล้ว  :z3: รอนานแล้วนะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 19 [มารีจิ๊ดนึง 21/11]
เริ่มหัวข้อโดย: pickki_a ที่ 14-12-2008 11:03:31
ป้าๆ
กลับมาทำงานได้แล้วมั้ง  :angry2: :angry2:
(ไว้ป้าทำเมื่อไหร่ผมจะทำเรื่องของผมมั่ง)
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 19 [มารีจิ๊ดนึง 21/11]
เริ่มหัวข้อโดย: krappom ที่ 15-12-2008 11:55:14

เมื่อไรจะมาสักทีน้า
 :z3:

หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 19 [มารีจิ๊ดนึง 21/11]
เริ่มหัวข้อโดย: BeePed ที่ 18-12-2008 07:42:16
เมื่อไหร่จะมาต่อสักที :m31: :m31:

หรือจะต้องจุดธูปเรียก  :call: :call:

จงมา จงมา จงมาอัพ :amen:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 19 [มารีจิ๊ดนึง 21/11]
เริ่มหัวข้อโดย: krappom ที่ 18-12-2008 14:38:46
 :call: :call:

ร่วมด้วยช่วยเรียก

หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 19 [มารีจิ๊ดนึง 21/11]
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 19-12-2008 14:08:55
 :call:

ช่วยเรียกด้วยคน เผื่อจะมาต่อซัก 4 -5 ตอน   :z1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 19 [มารีจิ๊ดนึง 21/11]
เริ่มหัวข้อโดย: RN ที่ 20-12-2008 14:02:10
ดันๆๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 19 [ทักทายคนอ่านคับ 21/12]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 21-12-2008 09:55:45
อุ้ก.......จุกเจ้าค่า แหะๆ  :m23:


ความจริงก็ขัดๆเขินๆที่จะมาตอบเพราะเหมือนมาดันกระทู้ตัวเองทั้งที่ตอนใหม่ยังไม่คลอดซะที แต่อ่านเม้นต์ของหลายๆคนแล้วรู้สึกร้อนๆ(ท่าทางควันธูปจะได้ผล) อย่างที่เคยบอกในรีก่อนแหละค่าว่าช่วงสิ้นปีนี่งานยุ่งจนตัวเป็นโปเต้เลย (เป็นเกลียว ก๊าก มุกไรเนี่ย) แต่ตอนต่อไปตอนนี้เป็นตัวหนังสือในกระดาษแล้วละ คาดว่าหยุดปีใหม่น่าจะได้มีเวลาพิมพ์เสียที ตอนอัพเรื่องสั้นทีไรก็คิดถึงคู่ต้น-ไผ่ตลอดเลย จริงๆนะ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่เขียนลงบอร์ดนิ

ขอบคุณเอ, เบ๊อะ, BP, nont, pickki_a, ตาล, ป๋อมแป๋ม, น้องเกียรติเกย์, Poes และพี่ RN มากๆที่ติดตามและช่วยกันดันจ้า แล้วเจอกันใหม่อีกทีตอนอัพคราวหน้าละกันน้า สุดท้ายนี้ขอ :man1: ทุกคนเลยค้าบบบบบ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 19 [ทักทายคนอ่านคับ 21/12]
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 21-12-2008 16:50:21
 :a5:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 19 [ทักทายคนอ่านคับ 21/12]
เริ่มหัวข้อโดย: Jeremy_F ที่ 31-12-2008 09:52:22
Greetings of the New Year 2009. Wishing you all success in the next.
(http://th.upload.sanook.com/embed/27cd94a836b587f2bec247cb9fb2e53c.gif)

หวังอะไรได้ดั่งที่วาดหวัง
ขอพลังจงอยู่คู่เสมอ
ให้ก้าวมั่นสิ่งใดสมใจเธอ
มีความสุขอยู่เสมอ..ทุกคืนวัน
:bye2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 19 [ทักทายคนอ่านคับ 21/12]
เริ่มหัวข้อโดย: Bg LoVe NT ที่ 31-12-2008 11:59:40
(http://i356.photobucket.com/albums/oo7/Bogiecoco/happy_new_year_10.gif)
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 19 [ทักทายคนอ่านคับ 21/12]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 31-12-2008 19:03:39
(http://img.123greetings.com/eventsnew/ejan_ny_cheers/8607-006-34-1052.gif)

ขอให้คนอ่านที่น่ารักทุกคนมีโชคลาภตลอดปีใหม่ ที่ยังไม่มีคู่ก็ขอให้เจอ ที่หน้าตาสวยๆหล่อๆอยู่แล้วก็หน้าตาดียิ่งขึ้นไปอีกนะจ๊ะ อิๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 20 [ป้าอัพแล้ว!!! 03/01/09]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 03-01-2009 03:44:52
ย้อนกลับไปดูตอนล่าสุดแล้วก็ต้องต๊กกะใจ เพราะห่างหายเรื่องนี้ไปเกือบๆสองเดือน ไม่รู้คนอ่านต้องรื้อฟื้นกันแค่ไหนนะนี่ (คนเขียนก็คือกัน เพราะห่างหายการเขียนแบบใช้บุรุษที่สามไปนานเหลือเกิน) o22

ขอบคุณมิตรรักนักอ่านที่ช่วยกันจุดธูปเรียกและกำลังใจที่มีให้ค่า ว่าแล้วเราก็ไปลุ้นกับเรื่องราวของต้น-ไผ่กันต่อเลยนะ  


*************


20.

ชายวัยกลางคนในชุดกาวน์สีขาวใช้นิ้วชี้ดันกรอบแว่นขึ้นขณะปรายตามองผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ไปยังชายอีกคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม ใบหน้าของผู้ถูกมองไม่แสดงอารมณ์ใดๆให้เห็น ทว่าริ้วรอยบนหางตาและเรือนผมที่เริ่มมีสีเทาแซมบ่งให้ทราบว่าเจ้าของใบหน้านิ่งเฉยนั้นสูงวัยวุฒิกว่าอีกฝ่าย ท่าทางที่เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ตามสบายตัดกันอย่างรุนแรงกับสายตาเฉียบคมที่จ้องกลับนิ่งราวกับแผ่รังสีคุกคามคนรอบตัวอยู่ตลอดเวลา

“ช่วงนี้ปริมาณโคเลสเตอรอลกับน้ำตาลค่อนข้างสูงนะครับ ยังไงคงต้องระมัดระวังเรื่องการทานอาหารมากขึ้น แล้วก็เดี๋ยวผมจะสั่งวิตามินกับยาตัวเดิมให้ ส่วนเรื่องการทำงานหนักก็ขอให้งดไว้ก่อน”

ผู้ฟังเพียงแค่นหัวเราะก่อนจะผินใบหน้ามองไปนอกหน้าต่าง “อีกแล้วรึ ชั้นอุตส่าห์หวังว่าจะได้ฟังอะไรน่าตกใจมากกว่านี้ อย่างเช่นหัวใจคุณใกล้จะล้มเหลวถาวรในเร็วๆนี้หรืออะไรเทือกนั้นเสียอีก”

ศาตราจารย์นายแพทย์เกริกมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของผู้เป็น “อดีต” พี่เขยแล้วก็ส่ายหน้าเบาๆ เขาเป็นแพทย์ประจำตัวตฤณมานานพอที่จะรับฟังคำพูดประชดประชันของอีกฝ่ายได้โดยไม่สะทกสะท้านนัก แม้ท่าทางของผู้พูดจะไม่แสดงออกถึงอารมณ์ที่สั่งสมอยู่ภายในออกนอกหน้า แต่เขาก็พอจะรู้ว่าสาเหตุที่ทำให้ท่านประธานใหญ่แห่งเครือสุวรรณฤทธิ์ต้องออกโรงมากุมบังเหียนดูแลงานเองตลอดช่วงเดือนที่ผ่านมาคืออะไร

“ตาต้นยังไม่ติดต่อกลับมาหรือครับ”

นัยน์ตาคมที่มองไปยังนอกหน้าต่างกระจกติดฟิล์มของห้องตรวจวาวโรจน์ขึ้นครู่หนึ่ง ทว่าผู้ถูกถามมิได้หันหน้ากลับไปมองคนที่นั่งตรงข้ามตัว

“ต้นมันโตแล้ว ถ้ามันแยกแยะระหว่างเรื่องส่วนตัวกับความรับผิดชอบไม่ได้ ก็ไม่สมควรสืบทอดหน้าที่การเป็นนายใหญ่ของเครือ”

“แต่ว่า...ทุกสิ่งที่คุณตฤณทำมา สุดท้ายแล้วก็เพื่อจะมอบให้กับต้นเขาไม่ใช่หรือครับ”

“เกริก เธอรู้หรือเปล่าว่าอะไรทำให้ลูกชายฉันหนีกลับมาเมืองไทยแล้วก็หายตัวไปทั้งที่มันก็รู้ว่ามีงานเปิดตัวโครงการใหญ่รอมันอยู่?”

สายตาวาววามที่มองกลับมาแฝงไปด้วยพายุอารมณ์ที่ถูกเก็บกักไว้ภายใน ทั้งความโกรธ ความผิดหวัง ความเจ็บใจและน้อยใจที่เลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่งและโผบินออกสู่อิสระที่หัวใจของตนเองเป็นผู้เลือก

เกริกประสานมือบนโต๊ะแล้วก็ถอนหายใจ ในใจหวนนึกถึงงานแถลงข่าวการเปิดตัวของโครงการคอนโดมิเนียมหรูขนาดใหญ่ในประเทศไทยสองแห่งและที่เกาหลีหนึ่งแห่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาซึ่งได้รับความสนใจจากสื่อทุกแขนงในประเทศไทยและสื่อต่างประเทศอีกหลายหัว ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะโครงการนี้เป็นการรวมหุ้นของกลุ่มสุวรรณฤทธิ์อันมีชื่อเสียงกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศเท่านั้น แต่เพราะการทุ่มงบประมาณการจัดอย่างอลังการโดยมีการจัดอิเว้นท์ควบคอนเสิร์ตและการเดินแบบด้วยทำให้งานมีสีสันและครอบคลุมสื่อทุกประเภทนอกเหนือไปจากสื่อธุรกิจจนเป็น "ทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์" ที่ไม่ค่อยมีใครกล้าทำนักในภาวะเศรษฐกิจที่อึมครึมเช่นนี้

ทว่าสิ่งที่หลายคนให้ความสนใจไม่แพ้กันคือกรอบข่าวซุบซิบเล็กๆในหนังสือพิมพ์หลายหัวที่พูดถึงการไร้วี่แววของทายาทหนุ่มตระกูลสุวรรณฤทธิ์ในงานที่จัดอย่างเชิดหน้าชูตาในรอบหลายปีเช่นนี้ ตามด้วยความเห็นเชิงสัพยอกที่ประธานของเครือซึ่งปกติไม่ค่อยออกงานนักเนื่องจากปัญหาทางสุขภาพเป็นผู้นำเปิดงานครั้งนี้เองจนสาวๆที่คาดหวังจะมาชื่นชมความหล่อเหลาของตระการ สุวรรณฤทธิ์ต้องผิดหวังกันไปถ้วนหน้า

เกริกเป็นน้องชายแท้ๆของกลอยตา ภรรยาคนแรกของตฤณ ดังนั้นตามศักดิ์เขาจึงเป็นน้าของตระการ แต่ตระการก็พึงเรียกเขาอย่างห่างเหินว่า “อาหมอ” แทนที่จะเป็น “น้าเกริก” มาตลอด แต่ถึงกระนั้นเกริกก็ไม่ได้นึกโทษเพราะเขารู้ดีว่าตัวเองไม่ได้ใกล้ชิดกับหลานเท่าไรนักช่วงที่ตระการยังเป็นเด็กอยู่ ผิดกับพิมผกา มารดาเลี้ยงที่ตฤณตบแต่งเข้ามาหลังพี่สาวของเขาเสียได้ไม่นานซึ่งตระการให้ความเคารพยิ่งกว่าแม่แท้ๆที่เสียไปตั้งแต่ตัวเองยังเด็กมาก

“บางทีตาต้นแกอาจมีเหตุจำเป็นที่ทำให้ไม่สะดวกที่จะกลับมาก็ได้ไม่ใช่หรือครับ?  ยังไงคุณตฤณน่าจะลองยอมฟังแกบ้าง”

“ชั้นรู้อยู่แล้วว่ามันคิดอะไร ถ้ามันไม่ได้คิดจะทิ้งความรับผิดชอบมันก็ควรเข้ามาคุยกับชั้นตรงๆ ไม่ใช่หายไปเฉยๆแล้วฝากวรชัยให้ดูแลงานแทนมันแบบนี้!”

เกริกมองคนตรงหน้าอย่างเห็นใจ เขาพอรู้รายละเอียดจากวรชัยซึ่งเป็นที่ปรึกษาอาวุโสและมือขวาของตฤณอยู่บ้างเกี่ยวกับเรื่องที่ทำให้พ่อลูกไม่ค่อยลงรอยกันหลังจากตระการถูกเรียกตัวให้มาดูแลกิจการของเครือ แม้เรื่องที่ได้ฟังจะทำให้เขาตกใจ แต่ถึงกระนั้นเขาก็คิดว่าหลานชายมีวุฒิภาวะพอที่จะแยกแยะว่าอะไรเป็นอะไร ดังนั้นการที่ตระการหายไปในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาน่าจะมีสาเหตุหลักมาจากความต้องการที่จะแสดงจุดยืนกับบิดามากกว่า

“คุณตฤณคิดว่าถ้าตาต้นมาคุยด้วยตรงๆคุณจะรับฟังแกไหมครับ? ผมคิดว่าตรงนั้นก็อาจมีส่วนที่ทำให้แกเงียบหายไปนะครับ”

ผู้ถูกทักตวัดสายตาขึ้นมองนายแพทย์ประจำตัวและอดีตน้องเขยอย่างกราดเกรี้ยว ทว่าเกริกเพียงมองสบตากลับแน่วนิ่งไม่สื่ออารมณ์ใดจนตฤณพูดไม่ออก ผู้สูงวัยกว่าหลบตาก่อนจะคว้าเสื้อคลุมบนพนักเก้าอี้แล้วลุกขึ้น

“ชั้นยังไม่มีอารมณ์จะพูดเรื่องของต้นตอนนี้ ยังไงถ้าการตรวจเสร็จแล้วชั้นขอตัวกลับก่อน”

เกริกมองท่าทางเหมือนคนที่พยายามหลบหนีความจริงของชายสูงวัยกว่าตรงหน้าแล้วก็ถอนหายใจก่อนจะลุกตาม “ตามสบายครับ”


*************


ตฤณมองถุงยาในมือซึ่งไม่ต่างอะไรจากเครื่องมือยื้อชีวิตแล้วก็ยิ้มเหยียด ความจริงแล้วมีคนวัยเดียวกันกับเขามากมายที่ยังมีสุขภาพแข็งแรง แต่เพราะตนโหมทำงานหนักอย่างไม่ใส่ใจร่างกายมาตลอดวัยหนุ่ม ประกอบกับสาเหตุทางพันธุกรรมทำให้พบว่าตนเป็นโรคที่เป็นสาเหตุลำดับแรกๆของการเสียชีวิตของผู้คนทั่วไป เขาไม่แน่ใจว่าการที่บุตรชายมีร่างกายอ่อนแอในวัยเด็กนั้นเป็นเพราะได้รับสืบทอดไปจากเขาหรือจากกลอยตาซึ่งเป็นมารดา แต่อย่างน้อยตระการเคยตรวจเลือดและไม่พบภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ และการที่ตนมีบุตรชายคนเดียวทำให้ตฤณคาดหวังกับการฝากฝังธุรกิจที่สร้างมากับมือไว้ที่ตระการอย่างเต็มเปี่ยม

ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นมันเริ่มตั้งแต่ตรงไหนกัน?  ตอนที่เขาเลือกกลอยตาเป็นภรรยา หรือตอนที่เขาเลือกพิมผกาให้มาเป็นแม่เลี้ยงของลูก หรือเพราะเขาเองที่ห่างเหินลูกไปในวัยเด็ก รอยร้าวที่ดูเหมือนจะขยายตัวใหญ่ขึ้นตั้งแต่เขาส่งตระการไปเรียนต่างประเทศจึงยิ่งแผ่กว้างออกจนไร้วี่แววจะประสานมากขึ้นทุกที

“คุณตฤณ ตรวจเสร็จแล้วใช่ไหมครับ”

เสียงเรียกชื่อที่ดังห่างไปไม่กี่เมตรทำให้เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นมองด้วยความหลากใจ แล้วก็พบลูกน้องเก่าแก่ซึ่งทำงานมาด้วยกันตั้งแต่สมัยที่เขาเพิ่งเริ่มตั้งบริษัทของตัวเองยืนรออยู่ไม่ห่างนัก จึงรีบปรับสีหน้าให้เรียบเฉยดังเดิมก่อนจะเดินเข้าไปหา

“ว่างงานนักหรือวี หรือมีเรื่องอะไรเร่งด่วนถึงต้องมารอฉันถึงโรงพยาบาล”

วรชัยหัวเราะเสียงเบา ความที่ทำงานใกล้ชิดผู้เป็นนายมาเกือบสามสิบปีทำให้เขาแยกแยะได้ว่าน้ำเสียงและท่าทางแบบไหนที่แสดงว่าท่านประธานอยู่ในอารมณ์ที่คุยโต้ตอบได้ และอารมณ์ไหนที่คู่สนทนาควรจะเงียบ โชคดีว่าตอนนี้เขาดูออกว่าตฤณอยู่ในอารมณ์แรก

“ผมโทรไปถามที่บ้าน เห็นยายแสนบอกว่าวันนี้คุณตฤณออกมาตรวจสุขภาพแต่ไม่ยอมให้คนขับรถขับมาส่ง ผมเลยว่าจะมาเป็นสารถีให้แทน”

ตฤณพ่นหายใจออกจมูกเสียงดังก่อนจะเดินนำเข้าลิฟต์เพื่อไปยังลานจอดรถ พอเดินไปถึงรถคันหรูสีดำสนิทในที่จอดวีไอพีแล้วก็เปิดล็อครถก่อนจะยื่นกุญแจให้ลูกน้องคนสนิทแต่โดยดี

“คุณตฤณหน้าซีดๆนะครับ”

ผู้เป็นนายเพียงชำเลืองมองสารถีชั่วคราวแวบหนึ่งก่อนจะหันไปมองนอกหน้าต่างตามเดิม

“สีหน้าฉันช่วงนี้มันก็เป็นแบบนี้ตลอดนั่นแหละ แต่หมอบอกว่าฉันยังไม่ตายในเร็วๆนี้หรอกไม่ต้องห่วง”

“ผมไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น เพียงแต่คิดว่ายังไงซะเราก็เปิดโครงการไปแล้ว ยอดขายก็กำลังไปได้ดี คุณตฤณน่าจะพักผ่อนบ้างจะดีกว่านะครับ”

ผู้เป็นนายเงียบไปจนวรชัยเหลือบมองด้วยความประหลาดใจ ปกติท่านประธานไม่ใช่คนที่นิ่งเงียบให้ใครมาสั่งสอนโดยไม่โต้ตอบไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้รู้หรือผู้เชี่ยวชาญมาจากไหน ยิ่งถ้าผู้พูดเป็นผู้ที่ฐานะหรือวัยวุฒิด้อยกว่าด้วยแล้วก็เตรียมล้างหูรอวาจาเชือดเฉือนกลับชนิดบาดลึกถึงหัวใจได้เลยทีเดียว

“ต้นมันติดต่อมาบ้างไหม”

น้ำเสียงที่ถามราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ แต่เนื้อหาของคำถามทำให้วรชัยอดรู้สึกยินดีไม่ได้ที่ผู้เป็นนายแสดงความสนใจข่าวคราวของบุตรชายตัวเองก่อนแทนที่เขาจะเป็นฝ่ายเปิดประเด็นเช่นทุกครั้ง

“หลังจากครั้งล่าสุดที่คุยกันเรื่องความคืบหน้างานเปิดตัวแล้วก็ไม่ได้ติดต่อมาอีกเลยครับ สงสัยว่าจะติดธุระอยู่”

“ติดธุระดูแลลูกของพิมน่ะรึ หึ” น้ำเสียงเยาะหยันทำให้ความรู้สึกชื่นชมของวรชัยเมื่อครู่ห่อแฟบลงแทบจะทันที “ก็ยังดีที่มันมีแก่ใจถามไถ่เรื่องงานที่ตัวเองผลักมาให้คนอื่นดูแล”

วรชัยถอนหายใจอย่างอับจนด้วยคำพูด ใช่ว่าความหมางใจของตฤณต่อลูกชายตัวเองจะเป็นสิ่งที่นอกเหนือการคาดหมาย ทว่าเขาได้ทำงานใกล้ชิดกับครอบครัวของผู้เป็นนายมาตั้งแต่ก่อนตระการเกิดจึงได้เห็นชายหนุ่มตั้งแต่ยังแบเบาะ และเพราะเขากับภรรยาไม่สามารถมีลูกเองได้วรชัยจึงค่อนข้างเอ็นดูลูกของนายเสมือนลูกตัวเอง และรับรู้ปัญหาภายในครอบครัวสุวรรณฤทธิ์มาตลอดว่าเพราะอะไรสองพ่อลูกจึงไม่ค่อยลงรอยกันนัก แต่ด้วยสถานะของตัวเองที่เป็นคนนอกทำให้ไม่สามารถเอื้อนเอ่ยอะไรได้

เขาเป็นคนแรกที่ตระการติดต่อมาหลังจากที่กลับมาเมืองไทย และเล่าเรื่องราวต่างๆให้ฟังเกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้ไม่สามารถจากเชียงใหม่มาร่วมงานใหญ่ตามกำหนดการที่กรุงเทพฯได้ แม้จะฟังแล้วทำใจให้ยอมรับและเสนอความช่วยเหลือในทันทีได้ยาก แต่เมื่อได้ฟังน้ำเสียงขอร้องจากฝ่ายนั้นซึ่งปกติไม่เคยก้มหัวให้ใครก็ทำให้ใจอ่อน พอคิดไปแล้วก็ไม่รู้ว่าเพราะกงกำกงเกวียนหรืออย่างไร ใครจะไปคิดว่าลูกชายของผู้หญิงที่ตฤณบังคับให้แต่งงานกับตัวเองจะกลายมาเป็นคนรักของลูกชายเจ้าตัวไปเสียได้

“คุณตฤณครับ บางทีสิ่งที่เราคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีสำหรับลูก อาจไม่ใช่สิ่งที่ดีในสายตาของเขาเสมอไปก็ได้นะครับ”

วรชัยเอ่ยไปแล้วก็รู้สึกเย็นสันหลังวาบ นานแล้วที่เขาไม่กล้าเสนอแนะความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของตฤณให้เจ้าตัวฟังเพราะรู้ดีว่าตัวเองมีจุดบอดตรงชีวิตคู่ที่ไร้ทายาท ทว่าหลังจากเงียบรอการระเบิดอารมณ์ที่มักตามมาด้วยวาจาเหน็บแนมจากนายแล้ววรชัยก็ต้องประหลาดใจที่อีกฝ่ายเพียงตอบรับเนิบๆ

“ว่าต่อไปสิ”

ผู้เป็นลูกน้องชำเลืองมองคนข้างตัวที่ตามองตรงไปข้างหน้า สีหน้านั้นเรียบเฉยไม่ได้บ่งบอกว่ากำลังโกรธหรือข่มอารมณ์อยู่ เขาจึงค่อยรวบรวมความกล้าก่อนที่จะแสดงความเห็นของตัวเองต่อ

“จะบอกว่าผมไม่ช็อคกับเรื่องคุณต้นเลยก็คงจะโกหก แต่ผมเห็นคุณต้นมาตั้งแต่ยังเด็ก และเชื่อว่าแกฉลาดพอที่จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร อีกอย่างสมัยนี้สังคมก็เปิดกว้างเรื่องพวกนี้มากขึ้นแล้วด้วย....”

“เพราะงั้นมันถึงได้มีข่าวคู่เกย์ฆ่ากันตายเพราะความหึงหวงเต็มหน้าหนังสือพิมพ์ไงล่ะ”

วรชัยยิ้มอย่างใจเย็นกับความเห็นเสียดสีของผู้เป็นนาย “แต่ผมว่าข่าวผัวเมียฆ่ากันตายนี่จะลงถี่ยิ่งกว่าข่าวของพวกคู่รักร่วมเพศเสียอีกนะครับ”

ตฤณหน้าตึงไป วรชัยรอให้ผู้เป็นนายแสดงความเห็นโต้ตอบ แต่เมื่อไม่ได้ยินอีกฝ่ายปริปากจึงพูดต่อ

“ผมคิดว่าคุณต้นแกรู้ตัวนะครับว่ากำลังทำอะไรอยู่เพราะแกก็โตเป็นหนุ่มแล้ว และถ้าหากลูกของคุณพิมคือคนที่คุณต้นเลือก เราก็น่าจะยอมรับการตัดสินใจของเขา ผมคิดว่าคุณต้นคงรู้วิธีวางตัวไม่ให้ใครเอาไปครหาได้หรอกครับ”

ตฤณเหม่อมองภายนอกรถขณะปล่อยให้สิ่งที่ได้ยินหลั่งไหลเข้าสู่สมอง สิ่งที่เกริกและวรชัยพร่ำบอกดูจะตอกย้ำว่าเขาคือต้นเหตุที่ทำให้เรื่องทุกอย่างดำเนินไปในทิศทางที่บิดเบี้ยวอย่างที่เป็นอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งที่ตัวเองเห็นว่าถูกและควรจนทำให้บุตรชายห่างเหิน หรือการพยายามปิดกั้นความสัมพันธ์ของตระการกับเลือดเนื้อเชื้อไขของพิมผกาจนอีกฝ่ายต้องแสดงการต่อต้านออกมาอย่างโจ่งแจ้งก็ตาม ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกเวียนหัวจนอึดอัดกับการมองไม่เห็นทางออกจากเขาวงกตที่ตัวเองเป็นผู้สร้าง

ไม่สิ...ทางออกน่ะมีอยู่ แต่เขาไม่ต้องการจะเปิดประตูออกไปก็เท่านั้นเอง

“คุณตฤณ? เป็นอะไรหรือเปล่าครับ สีหน้าไม่ค่อยดีเลย”

วรชัยเอ่ยถามขึ้นอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นผู้เป็นนายหลับตาลง ใบหน้าที่ซีดเผือดเป็นนิจดูจะยิ่งไร้สีสันมากกว่าเดิม

“ชั้นเหนื่อย บ่ายนี้ชั้นไม่เข้าออฟฟิศแล้ว พาชั้นไปส่งที่บ้านก็พอ”

นัยน์ตาที่ปิดสนิทและน้ำเสียงเรียบนิ่งบ่งให้รู้ว่านั่นคือจุดสิ้นสุดของบทสนทนา วรชัยเพียงพยักหน้าก่อนจะหักรถเข้าเลนสำหรับยูเทิร์นเพื่อพาท่านประธานกลับบ้านตามที่ได้รับมอบหมาย



*************


จะโดนตื้บไหมเนี่ยตอนนี้โฟกัสป๊ะป๋าเต็มๆเลย แต่มันจำเป็นกับเนื้อเรื่องนะจ๊ะทู้กโคน รับรองว่าตอนหน้าได้เจอพี่ไผ่น้องต้นแน่ๆค้าบ ยังไงอย่าเพิ่งทิ้งกันเน้อ  :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 20 [ป้าอัพแล้ว!!! 03/01/09]
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 03-01-2009 04:17:12
แอร๊ยยยส์ต้องย้อนไปอ่านของเดิมจำไม่ได้เลย เรื่องราวเป็นงัย  :z3: อย่าหายไปนานนักดิ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 20 [ป้าอัพแล้ว!!! 03/01/09]
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 03-01-2009 07:55:26
มาแล้ว คิดถึงไผ่กะต้นจริงๆ

แต่สั้นจังอ้ะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 20 [ป้าอัพแล้ว!!! 03/01/09]
เริ่มหัวข้อโดย: kunkai ที่ 03-01-2009 10:30:57
เพิ่งเข้ามาอ่านค้าบ :impress2:
เป็นเรื่องที่น่าติดตามมากอีกเรื่องหนึ่ง
เห็นลุงๆป้าๆอ่านกันเยอะเลยลองเข้ามาอ่านมั่ง
ติดใจ  อ่านรวดเดียวทันเลย
ขอบคุณสำหรับเรื่องดีอีกเรื่อง   จาเกาะติดขอบจอรออ่านนะค้าบ :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 20 [ป้าอัพแล้ว!!! 03/01/09]
เริ่มหัวข้อโดย: pickki_a ที่ 03-01-2009 10:34:18
ปกติป้าแกพิมพ์ยาวกว่านี้นะ
แสดงว่า "แอบอู้"  :jul3:

ดังนั้นตอนหน้าถ้าไม่มีต้นกับไผ่ ระวังจะโดน :z13:มิใช่น้อย  :laugh:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 20 [ป้าอัพแล้ว!!! 03/01/09]
เริ่มหัวข้อโดย: krappom ที่ 03-01-2009 11:24:08

ได้อ่านตอนนี้แล้วก็อดสงสารคุณป๋าไม่ได้
แต่ยังไงก็ไม่ยอมให้คุณป๋าแยกพี่ไผ่กับน้องต้นน้า
 o18

หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 20 [ป้าอัพแล้ว!!! 03/01/09]
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 03-01-2009 11:51:09
ตอนนี้มีแต่ป๊ะป๋าอ่ะ คิดถึงต้นกะไผ่จัง

กว่าตอนต่อไปจะมา ไม่รู้ต้องรมธูปคนเขียนอีกรึป่าว   :z1:

หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 20 [ป้าอัพแล้ว!!! 03/01/09]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 03-01-2009 12:22:06
ปกติป้าแกพิมพ์ยาวกว่านี้นะ
แสดงว่า "แอบอู้"  :jul3:


แอร๊ยย์!!! กล่าวหา ป้าเคยพิมพ์ตอนสั้นกว่านี้มาแล้วย่ะ  :fcuk:


ตอนนี้มีแต่ป๊ะป๋าอ่ะ คิดถึงต้นกะไผ่จัง

กว่าตอนต่อไปจะมา ไม่รู้ต้องรมธูปคนเขียนอีกรึป่าว   :z1:



:monkeysad: แค่นี้ก็ควันธูปเข้าหูเข้าตาหมดเลี้ยววว ตอนต่อไปไม่ทิ้งยาวแล้วคับ (กลัวจะไม่มาแค่ควันธูป เหอๆ)
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 20 [ป้าอัพแล้ว!!! 03/01/09]
เริ่มหัวข้อโดย: kampanat02 ที่ 03-01-2009 14:23:39
ดีป้า เร่งสปีดอ่าน

ชอบๆๆ

อย่าลืมไปอ่านของผมน้า มาอัแล้ว จากพี่หนวด
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 20 [ป้าอัพแล้ว!!! 03/01/09]
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 05-01-2009 15:23:28
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

เบลบอมที่รักมาต่อแล้ว +1 ให้ จ้า

ตอนนี้มีแต่คุณพ่อไม่เป็นไร

แค่หวังว่าคุณพ่อของต้นจะเปิดใจบ้างเท่านั้น



รออ่านตอนต่อไปนะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 20 [ป้าอัพแล้ว!!! 03/01/09]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 05-01-2009 16:28:50
+1 คืนให้สุดสวย ที่อายุเท่ากับเราเป๊ะ อิๆ

จะเร่งสปีดตอนต่อไปมาให้นะจ๊ะ ต้องพาป๊ะป๋าเข้าคอรส์ติวเข้มเรื่องการเปิดใจอย่างเร่งด่วนก่อง  :laugh:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 20 [ป้าอัพแล้ว!!! 03/01/09]
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 06-01-2009 04:38:42
^
^

มาบวกคืนจ่ะ

เอ้า..ทำดีได้ดื่ม

ก๊ากกกกก
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 20 [ป้าอัพแล้ว!!! 03/01/09]
เริ่มหัวข้อโดย: มาโซซายตี้ ที่ 06-01-2009 15:56:57
แอบย่องมาอ่านในนี้

+1 ให้นะคับ

ร๊ากกกกไผ่
แต่ก็แอบรักปาล์มด้วย
คริๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 20 [ป้าอัพแล้ว!!! 03/01/09]
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 06-01-2009 19:36:25
 :z13:   จิ้มๆ ในที่สุดก้อตามอ่านทันแย้ว ฮุฮุ

ลุ้นๆ คุนพ่อของต้น จะใจอ่อนลงอ๊ะป่ะ คึคึ



 :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 20 [ป้าอัพแล้ว!!! 03/01/09]
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 07-01-2009 14:41:59
มาอัพแล้ว คิดถึงไผ่กับต้น

อย่าหายไปนานๆอีกนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 20 [ป้าอัพแล้ว!!! 03/01/09]
เริ่มหัวข้อโดย: moonlight ที่ 17-01-2009 00:03:48
ตามทันแล้ว เย้ๆๆๆ

ชอบๆๆ สนุกดี

ไผ่กับต้นก้อน่ารัก

ว่าแต่เมื่อไหร่ป้าจะมาต่อละค่ะ

 :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 20 [ป้าอัพแล้ว!!! 03/01/09]
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 23-01-2009 09:29:31
มาดันค่า เปิดคอร์สติวคุณพ่อนานไปแว้วววววว  :z3:

 
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 20 [ป้าอัพแล้ว!!! 03/01/09]
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 13-02-2009 17:52:37
ดันให้ป้า
ฮา

มาต่อได้แร้น
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 20 [ป้าอัพแล้ว!!! 03/01/09]
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 25-02-2009 11:05:44
 :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 20 [ป้าอัพแล้ว!!! 03/01/09]
เริ่มหัวข้อโดย: pickki_a ที่ 25-02-2009 22:49:05
ลืมของเก่าไปแล้วคับป้า  :a5:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 20 [ป้าอัพแล้ว!!! 03/01/09]
เริ่มหัวข้อโดย: ArgèntaR๛ ที่ 10-03-2009 17:54:55
ดันมันขึ้นปายย

‘พี่’คร้าบ มาต่อด่วน ตอนที่ 21 อยากอ่านต่อๆๆๆๆ
ลงทุนเรียกขนาดนี้แล้วนะครับเนี่ย ฮะๆ  :call:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 21 [ป้ารีเทิร์น!! 10/03/09]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 10-03-2009 23:07:17
กลับมาแล้นนนนนนนน ขอบคุณทุกเม้นต์และการดันที่ทำให้กระทู้นี้อุดมด้วยของเซ่นและควันธูปจ้า (มันน่าปลื้มตรงไหนเนี่ย) :serius2:

แอร๊ยย์ ดีใจน้อง turelight เรียกเค้าพี่ด้วยแหละ คริๆ แต่ไม่เป็นไรจ๊ะป้าชินกับการเป็นป้าไปแล้วละ ยังไงก็ไปอ่านตอนต่อกันเต๊อะ จากตอนนี้เรื่องจะเข้าสู่ช่วงสำคัญละคับ ตามลุ้นกันเลยนะ


*************

21.


หมอกสีขาวจางลอยระเรี่ยพื้นหญ้าสีเขียวสดรอบเกสต์เฮ้าส์ที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวริมชายเขายามเช้าตรู่ ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่พลิกตัวหมายจะควานหาไออุ่นจากร่างที่นอนร่วมเตียงมาตลอดสองเดือน แต่แล้วนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มก็ปรือตื่นขึ้นทันทีที่สัมผัสได้เพียงความเย็นเฉียบบนที่ข้างตัวราวไม่มีใครนอนอยู่ตรงนั้นมานานแล้ว

เสียงกุกกักจากภายนอกห้องที่ลอยเข้ามาแว่วๆช่วยให้ร่างที่ผุดลุกขึ้นนั่งค่อยสงบลงเมื่อได้รู้ว่าใครอีกคนยังคงอยู่ในบ้าน มือใหญ่ยกขึ้นลูบหน้าเพื่อขับไล่ความง่วงงุนก่อนจะคว้าเสื้อมาสวมทับแผ่นอกเปลือยเปล่าแล้วเดินลงไปยังชั้นล่าง

กลิ่นข้าวต้มและกระเทียมเจียวลอยกรุ่นในห้องครัวขนาดเล็ก คนที่เพิ่งเดินลงมาจากชั้นบนยืนกอดอกพิงกรอบประตูมองร่างเพรียวที่กำลังง่วนอยู่หน้าเตาแก๊สโดยไม่รับรู้การมาถึงของตน ขายาวๆจึงก้าวเข้าไปยืนซ้อนหลังแล้วรวบเอวบางมากอดจนคนที่ถูกจู่โจมสะดุ้ง

“ต้น! ตกใจหมด!”

นัยน์ตาคมยิ้มพราวก่อนจะกดจมูกลงบนแก้มของคนในอ้อมแขน “ตกใจอะไร ทำไมวันนี้ไผ่รีบตื่นจัง ยังเช้าอยู่เลย”

ตระการว่าแล้วก็ชำเลืองมองไปยังนอกหน้าต่างที่พระอาทิตย์สีส้มแดงเพิ่งโผล่พ้นเส้นขอบฟ้าจางๆ ใบหน้าหวานหันกลับมายิ้มให้เจ้าของอ้อมแขนอุ่นก่อนจะหันกลับไปปิดเตาแก๊ส

“ก็พอลืมตาขึ้นมาแล้วมันหลับต่อไม่ลง เลยลุกมาทำข้าวเช้าดีกว่า”

คนตัวใหญ่กว่ารีบคว้าถุงมือจับของร้อนมาสวมแล้วคว้าหูหม้อไว้เมื่อเห็นอีกฝ่ายเตรียมทำท่าจะยกหม้อลง ถึงแม้อาการบาดเจ็บของพรพฤกษ์จะดีขึ้นมากแล้ว แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่อยากให้อีกฝ่ายใช้งานร่างกายตัวเองเกินไปอยู่ดี

“มันหนัก ร้อนด้วย เดี๋ยวต้นจัดการเอง ไผ่นั่งเฉยๆเถอะ”

คิ้วเรียวเหนือดวงตาหวานคมขมวดมุ่นเมื่อโดนห้าม “แต่หมอเคยบอกนะว่าถ้าแค่ใช้งานนิดๆหน่อยๆไม่เป็นไร ถ้าไม่ได้ออกกำลังเลยเดี๋ยวแขนไม่มีแรงกันพอดี”

“งั้นก็เอาไว้ทำอะไรที่ใช้แรงน้อยกว่านี้ วันนี้ไผ่เป็นคนทำข้าวเช้าแล้ว เรื่องเสิร์ฟให้ต้นทำเอง”

คนถูกเอาใจจนปัญญาจะเถียง บทคนตัวใหญ่จะเอาแสดงความเอาใจใส่ขึ้นมาใครก็ฉุดไม่อยู่ เจ้าของบ้านเลยเปลี่ยนไปหยิบตะแกรงรองของร้อนมาวางบนโต๊ะกับจัดถ้วยชามออกมารอแทน

ทั้งสองนั่งทานข้าวต้มในห้องครัวขนาดเล็กด้วยกันเงียบๆ นับแต่พรพฤกษ์ออกจากโรงพยาบาล ทั้งตระการและเพื่อนๆของเจ้าตัวได้ปรึกษากันว่าควรจะให้หยุดกิจการของบ้านนฤมิตรไปก่อนจนกว่าคนเจ็บจะหายดี ตอนแรกพรพฤกษ์เองก็ไม่ค่อยเห็นด้วยกับความคิดนี้นักแต่สุดท้ายก็ต้องยอมเมื่อโดนห้ามจากหลายปากเข้า

ทว่าสิ่งหนึ่งที่เพื่อนทุกคนยกเว้นตระการคิดตรงกันแต่ไม่มีใครเอ่ยออกมาคือเรื่องความคลุมเครือของตระการเอง เพราะถึงแม้เจ้าตัวจะอาสามาคอยดูแลเจ้าของบ้านนฤมิตรตลอดตั้งแต่อยู่ที่โรงพยาบาล แต่กระนั้นก็ไม่เคยเอ่ยบอกใครให้ชัดเจนว่าตั้งใจจะย้ายมาอยู่กับพรพฤกษ์อย่างถาวรหรือว่าต้องไปๆกลับๆเพื่อสืบทอดธุรกิจครอบครัวอีก และทุกคนก็ดูจะเกรงใจคนเจ็บเกินกว่าจะยุให้ถาม

เจ้าของบ้านนฤมิตรตักข้าวต้มเข้าปากไปก็มองคนตรงข้ามที่กำลังอ่านหนังสือพิมพ์ไปด้วย ถึงแม้ตระการจะไม่เคยปริปากเล่าอะไรให้ฟัง แต่ชายหนุ่มก็ยังจำได้ดีถึงข่าวเกี่ยวกับงานเปิดโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหญ่เมื่อสัปดาห์ก่อนซึ่งหัวเรี่ยวหัวแรงหลักที่ควรจะปรากฏตัวหายไป ทว่าใครเลยจะรู้ว่าชายหนุ่มผู้สืบทอดธุรกิจพันล้านที่ถูกจับตามองคนนั้นความจริงแล้วมาคอยดูแลเขาอยู่ที่เกสต์เฮ้าส์นอกตัวเมืองที่ต่างจังหวัดแบบนี้

ปกติในทุกๆเช้าตระการจะเป็นคนไปรับหนังสือพิมพ์ที่กล่องรับหน้ารั้วบ้านแล้วเปิดอ่านก่อน หลังจากนั้นจึงจะนำไปวางบนโต๊ะในห้องนั่งเล่นให้พรพฤกษ์ได้อ่านต่อ แต่วันนั้นเขารู้สึกประหลาดใจที่เห็นคนรักทำสีหน้าแปลกๆหลังได้อ่านหนังสือพิมพ์ประจำวัน แล้วก็ต้องสงสัยมากขึ้นไปอีกเมื่อถึงเวลาที่เขาจะขออ่านข่าวบ้างอีกฝ่ายกลับลืมว่าวางไว้ที่ไหน ทำให้เขาต้องแอบเปิดเว็บค้นหาข่าวของวันนั้นเองและทำให้ได้รู้ว่าสาเหตุที่ตระการไม่อยากให้ตนอ่านข่าวคืออะไร

การได้สืบค้นข่าวครั้งนั้นนับเป็นครั้งแรกเช่นกันที่พรพฤกษ์ได้เห็นรูปและรับทราบเกี่ยวกับท่านประธานใหญ่แห่งเครือสุวรรณฤทธิ์ บิดาของตระการและสามีใหม่ของแม่ที่เขามีความทรงจำถึงเพียงเบาบาง ความละม้ายทางใบหน้าของบิดาและบุตรชายทำให้พรพฤกษ์ไม่สงสัยเลยว่าทั้งสองเกี่ยวพันกันทางสายเลือดแน่นอน เพียงแต่ตระการจะมีความหนุ่มแน่นและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตมากกว่า ขณะเดียวกันนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มก็ดูอ่อนโยนไม่กราดเกรี้ยวเท่ากับผู้ให้กำเนิด ชายหนุ่มอดคิดไม่ได้ว่าแววตาโกรธขึ้งของตฤณ สุวรรณฤทธิ์ยามให้สัมภาษณ์สื่อนั้นเป็นเพราะมีเรื่องขุ่นเคืองเกี่ยวกับลูกชายโดยมีเขาเป็นสาเหตุหรือเปล่า

ตระการพลิกดูข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์อย่างรวดเร็วราวไม่เห็นข่าวที่ควรค่าแก่การสนใจ มือใหญ่จึงพับหนังสือพิมพ์ลงก่อนจะหันกลับมาสนใจอาหารเช้าแทน แต่แล้วเมื่อเห็นคนตรงหน้านั่งเหม่อมองถ้วยข้าวต้มก็เอ่ยทักอย่างเป็นห่วง

“ไผ่เป็นอะไร ทำไมไม่กินข้าวเลยล่ะ”

น้ำเสียงถามอย่างห่วงใยทำให้พรพฤกษ์กระพริบตาก่อนจะรู้ตัวว่าตัวเองเผลอใจลอยไปพักใหญ่

“ไม่มีอะไรหรอก พอดีคิดอะไรเพลินๆ เดี๋ยววันนี้ต้นพาเข้าเมืองหน่อยได้มั้ย?”

“ได้สิ ว่าแต่ไผ่จะไปซื้อของเข้าบ้านเหรอ? เพิ่งซื้อไปเมื่อไม่กี่วันก่อนเองนะ”

ตระการถามพลางเลิกคิ้ว ใบหน้าหวานจึงยิ้มบางก่อนจะส่ายหน้า

“อยากไปซื้อของถวายสังฆทานน่ะ วันนี้ครบรอบวันเสียของตาพอดี เดี๋ยวขอกินข้าวให้เสร็จก่อนแล้วเดี๋ยวไปกัน”


*************


ทั้งสองใช้เวลาไม่นานในการเข้าเมืองและซื้อของเพื่อถวายสังฆทาน หลังจากการถวายสังฆทานเสร็จสิ้นพรพฤกษ์ก็เดินนำตระการไปยังสุสานด้านหลังของวัดและตรงดิ่งไปยังเจดีย์ที่บรรจุอัฐิของผู้เป็นตา ทั้งสองวางดอกไม้ลงแล้วทำความเคารพอนุสรณ์ของผู้สูงวัยที่ล่วงลับไปแล้ว

พรพฤกษ์ย่อตัวลงคุกเข่าไหว้เจดีย์อยู่นานก่อนจะลุกขึ้นยืนเคียงข้างร่างสูงใหญ่ ตระการทอดสายตามองรูปถ่ายขนาดเล็กที่ติดอยู่หน้าเจดีย์แล้วก็ยื่นแขนออกโอบไหล่ของคนที่ยืนเงียบอยู่ข้างๆ

“ไม่เป็นไรนะ ต่อจากนี้ต้นจะดูแลไผ่แทนตาเอง”

ร่างบางชำเลืองมองคนข้างตัวแล้วก็ยิ้ม น่าแปลกที่ตั้งแต่เขาสูญเสียญาติผู้ใหญ่ที่มีเพียงคนเดียวไป ชายหนุ่มก็ใช้ชีวิตในบ้านซึ่งได้รับเป็นมรดกโดยลำพังมาตลอดจนเคยเผลอคิดว่าตัวเองชินกับการไม่มีใคร ทว่านับจากวันแรกที่ตระการก้าวเข้ามาเยือนที่บ้านนฤมิตร ชีวิตของเขาก็ถูกอีกฝ่ายทำให้คุ้นเคยและผูกพันกับการมีใครอีกคนอยู่เคียงข้างจนไม่อาจคิดถึงชีวิตที่โดดเดี่ยวได้อีก

ไม่น่าเชื่อว่าคนสองคนที่ไม่เคยมีอะไรเกี่ยวข้องกันมาก่อน แถมได้รับการเลี้ยงดูในครอบครัวและสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันราวคนละโลกจะได้โคจรมาพบกันและผูกพันกันเช่นนี้ได้ ถ้าหากไม่ใช่เพราะจุดเชื่อมซึ่งก็คือผู้หญิงคนหนึ่งที่มีความสำคัญสำหรับทั้งคู่เหมือนกัน บางทีตอนนี้เขาและตระการก็คงยังใช้ชีวิตแบบที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต่างมีตัวตนอยู่ในโลกต่อไปกระมัง

“น่าแปลกนะต้น พอมาคิดๆดูแล้ว มันเหมือนเราสองคนได้มาเจอกันเพราะแม่เลย”

ตระการละสายตาจากรูปของชายสูงวัยท่าทางใจดีขึ้นมองคนข้างตัว ทว่าอีกฝ่ายไม่ได้หันกลับมามองเขา

“นั่นสินะ บางทีแม่อาจจะรู้ว่าเราจะได้คบกันก็ได้มั้ง”

พรพฤกษ์หันไปค้อนคนพูดยิ้มๆ เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามทำให้อารมณ์เขาดีขึ้น เพราะจะว่าไปตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุคราวนั้นตนเองก็เงียบไปกว่าเมื่อก่อนมาก อาจเพราะการบาดเจ็บถึงขั้นต้องนอนโรงพยาบาลทำให้ชายหนุ่มเริ่มนึกหวั่นกับความไม่แน่นอนในชีวิตมากขึ้นก็เป็นได้

การที่ได้มีคนที่รักคอยห่วงใยอยู่ใกล้ๆทำให้อบอุ่นใจแค่ไหนเขารู้ดี แต่ความสุขนี้จะยืนยาวได้ถึงเมื่อไหร่ ในเมื่อตระการเองก็มีชีวิตอีกรูปแบบที่รออยู่ ถึงแม้ตั้งแต่กลับมาหาคราวนี้เจ้าตัวจะไม่เคยหลุดปากเรื่องงานหรือบิดาให้ได้ยินเลยก็ตาม ความสงบสุขของชีวิตที่มีเพียงเราสองในปัจจุบันจึงเหมือนกำลังลวงตาให้เขาทุกข์ล่วงหน้ากับอนาคตที่ไร้ความมั่นคงให้ไขว่คว้า

“ไผ่ ก่อนกลับแวะเยี่ยมร้านพี่นอกันมั้ย?”

คนถูกถามกระพริบตามองสีหน้าหล่อเหลาที่ฉายความเป็นห่วงอย่างเต็มเปี่ยม ชายหนุ่มจึงฝืนยิ้มให้ แม้จะรู้ดีว่าตัวเองไม่ใช่คนแสดงละครตบตาใครเก่ง แต่ขอแค่เขาสามารถทำให้คนที่รักหายกังวลเกี่ยวกับตัวเองได้ก็พอแล้ว ไม่ว่าอนาคตที่ยังมาไม่ถึงจะมีพวกเขาทั้งสองคนอยู่คู่กันหรือไม่ก็ตาม ณ ตอนนี้เขาก็จะขอตักตวงทุกช่วงเวลาแห่งความสุขให้มากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ เพื่อที่หากในอนาคตจะเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ทั้งสองต้องแยกจากกันอย่างไม่มีวันหวนคืนจริงๆตัวเองจะได้ไม่เสียใจว่าชาติหนึ่งเคยได้รักคนคนนี้และเคยได้รับรักตอบ


ตระการเดินเคียงข้างพรพฤกษ์เพื่อกลับไปที่รถ ระหว่างทางก็คอยลอบสังเกตอีกฝ่ายเป็นระยะ แม้ใบหน้าหวานจะอมยิ้มน้อยๆแต่เขาก็รู้สึกได้ว่าเหมือนอีกฝ่ายกำลังฝืนสวมหน้ากากเพื่อให้เขาสบายใจอยู่ ความที่ชายหนุ่มคอยเฝ้ามองอีกฝ่ายมาตลอดตั้งแต่ได้เจอตัวจริงครั้งแรกทำให้ตระการรู้ว่าคนรักของเขาเปลี่ยนไปแค่ไหน พรพฤกษ์เคยร่าเริงและมีชีวิตชีวามากกว่านี้ ทว่าตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลอีกฝ่ายดูขรึมและไม่ค่อยหัวเราะบ่อยเหมือนเมื่อก่อน ตระการเดาเอาว่าอาจเป็นผลกระทบทางจิตใจที่เกิดหลังจากอุบัติเหตุในคราวนั้น และคิดว่าคงไมผิดจากความจริงมากนัก

ตลอดเวลาสองเดือนที่ผ่านมา ตระการไม่เคยปริปากบอกคนที่นอนร่วมเตียงถึงเรื่องที่บางคืนเขาถูกปลุกให้ตื่นเพราะอาการละเมอและร้องไห้โวยวายของอีกฝ่ายเลย บางคืนเขาต้องอดนอนเพื่อคอยปลอบคนละเมอที่ไม่ยอมตื่นจากฝันร้ายและกอดอีกฝ่ายไว้นิ่งๆจนเหนื่อยหลับไปเองอยู่เป็นชั่วโมง ทว่าพอตื่นเช้าวันใหม่พรพฤกษ์ดูจะไร้ซึ่งความทรงจำโดยสิ้นเชิงว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างที่หลับ เขารู้ว่าบางทีการพูดคุยกับอีกฝ่ายตรงๆอาจช่วยบำบัดอาการให้ได้ดีกว่า แต่ว่าเพราะในทุกๆวันพรพฤกษ์จะพยายามทำตัวแจ่มใสเหมือนไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องเป็นกังวล ชายหนุ่มจึงตะขิดตะขวงใจที่จะสะกิดปมในใจที่เจ้าตัวพยายามข่มไว้ออกมา

ตระการเชื่อว่าตัวเองคิดถูกว่าสาเหตุที่ทำให้พรพฤกษ์เปลี่ยนไปหลังออกจากโรงพยาบาลนั้น นอกจากความทรงจำเลวร้ายของอุบัติเหตุแล้วเรื่องของเขาเองก็คงจะมีส่วนด้วย เพราะแม้ระหว่างที่อีกฝ่ายร้องไห้ละเมอจะพูดเพ้อจนจับใจความได้ยาก แต่เขาก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองหลุดออกมาบ่อยครั้ง ชายหนุ่มจึงเลือกจะไม่เอาเรื่องที่รู้ไปปรึกษาใครแม้แต่กับเพื่อนๆของพรพฤกษ์ เพราะรู้ดีว่าหากจะมีใครทำให้อีกฝ่ายหายจากอาการนี้ได้ก็คงต้องเป็นตัวเขาเอง

หลายครั้งที่เขานึกกลัวใจของคนรักที่ไม่ยอมบอกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ และทั้งๆที่เขาเองก็มุ่งมั่นที่จะดูแลอีกฝ่ายมากขนาดนี้ แต่ไม่รู้ทำไมความรู้สึกที่ส่งผ่านไปให้จึงสื่อไม่ถึงใจอีกฝ่ายได้เต็มที่เสียที ตระการนึกอยากเข้าไปนั่งในใจของพรพฤกษ์ได้เพื่อจะได้รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่กันแน่ และเขาควรต้องทำอย่างไรเพื่อให้อีกฝ่ายมั่นใจในตัวเขาว่านอกจากความรู้สึกที่มีให้แล้ว เขาเองก็ตั้งใจว่าจะไม่มีวันปล่อยมือจากเจ้าตัวเด็ดขาดต่อให้ต้องแตกหักกับบิดาจริงๆก็ตาม

ทั้งคู่เดินผ่านเขตอุโบสถเคียงข้างกันอย่างเงียบเชียบ ตระการมองเสี้ยวหน้าหวานที่ทอดสายตามองทางข้างหน้าอย่างเลื่อนลอยแล้วก็อยากคว้ามือบางมาบีบให้กำลังใจ ติดก็แต่ว่าทั้งสองอยู่ในเขตวัดซึ่งการกระทำดังกล่าวไม่เหมาะสม เขาจึงกะว่าไปที่ร้านของนรพัฒน์เมื่อไหร่จะขอคุยกับพรพฤกษ์ตามลำพังเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจเสียที

ขณะเดินเลี้ยวออกจากกำแพงวัดตระการกับพรพฤกษ์ก็เห็นหญิงสาวนักท่องเที่ยวคนหนึ่งกำลังยืนทำท่าก้มๆเงยๆดูแผนที่ในมืออยู่ห่างออกไป ตอนแรกทั้งคู่ไม่ได้สนใจเพราะต่างไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะเสวนากับบุคคลที่สาม แต่แล้วเหมือนหญิงสาวคนนั้นจะหันมาเห็นทั้งสองคนเข้าพอดีจึงส่งเสียงเรียก

“ขอโทษนะคะ ขอถามทางหน่อยค่ะ”

เสียงพูดภาษาไทยชัดจนตระการกับพรพฤกษ์หันมองหน้ากันก่อนจะหันไปทางหญิงสาวที่เดินเข้ามาใกล้พร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม เนื่องจากการแต่งกายกับท่าทางเก้ๆกังๆของเจ้าตัวทำให้ตอนแรกทั้งสองนึกว่าหญิงสาวคงเป็นชาวต่างชาติ พรพฤกษ์หันไปยิ้มให้นักท่องเที่ยวต่างถิ่นตามมารยาท ทว่าตระการกลับยืนตัวแข็งเมื่อได้เห็นผู้ถามทางเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

เมื่อระยะห่างหดสั้นลงจนเห็นใบหน้าอีกฝ่ายได้ชัดเจนขึ้น ฝ่ายหญิงสาวนักท่องเที่ยวที่สวมแว่นกันแดดกรอบใหญ่ก็เริ่มแสดงสีหน้าเอะใจเช่นกัน จนเมื่อหญิงสาวเดินมาหยุดอยู่ห่างไปเพียงไม่กี่เมตรและถอดแว่นกันแดดอันเขื่องออกแล้วริมฝีปากอิ่มก็เผยอค้างเช่นเดียวกับตาที่เบิ่งโตขึ้นราวไม่อยากเชื่อภาพตรงหน้า

“ต้น? ต้นใช่มั้ย? นี่เจนเองนะ”

ราวกับอากาศจะหยุดไหลผ่านทั้งสามไปครู่ใหญ่ พรพฤกษ์หันมองคนข้างตัวสลับกับหญิงสาวหน้าตาสะสวยตรงหน้า สัญชาติญาณบอกเขาว่าคนทั้งสองไม่ได้เป็นแค่คนรู้จักที่ไม่ได้พบกันนานธรรมดาๆแน่นอน ทว่าก่อนตระการจะทันตั้งตัวพรพฤกษ์ก็ยิ้มแล้วทักอีกฝ่ายเสียก่อน

“สวัสดีครับ เพื่อนของต้นเหรอ?”

หญิงสาวดูอึ้งกับการได้เจอชายหนุ่มร่างสูงจนเกือบลืมไปว่ามีคนอีกคนยืนอยู่จึงหันมากระพริบตาเมื่อถูกเรียก

“เอ่อ...จะว่าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ แล้วคุณ?”

หญิงสาวขมวดคิ้วมองชายใบหน้าหวานตรงหน้าสลับกับชายหนุ่มอีกคนที่ตัวเองคุ้นเคยเป็นอย่างดี พรพฤกษ์มองออกว่านัยน์ตาฉลาดเฉลียวของหล่อนจะพอเดาความสัมพันธ์ของเขากับตระการได้แม้ทั้งสองจะไม่ได้จับมือถือแขนกันอยู่ก็ตาม จึงชิงเอ่ยตอบก่อนคนข้างตัวจะทันได้พูดอะไรออกมา

“ผมชื่อไผ่ เป็นพี่ชายของต้นครับ”

“ไผ่!”

เหมือนตระการจะตั้งสติได้ทันทีที่ได้ยินคำจำกัดความสถานะของพวกตนจากคนรัก หญิงสาวฟังแล้วก็ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความงงงวย

“พี่ชาย? แต่ว่า...ต้นเป็นลูกคนเดียวไม่ใช่เหรอ แล้วทำไม?”

“คือว่านะเจน”

“เราเป็นพี่น้องคนละสายเลือดน่ะครับ แต่ว่าแม่เดียวกัน”

พรพฤกษ์เอ่ยขัดตระการด้วยคำอธิบายที่ทำให้หญิงสาวยิ่งทำสีหน้าสับสนมากเข้าไปอีก ใบหน้าหวานคมหันกลับไปหาคนข้างตัวแล้วก็ยิ้มให้ แต่ชายหนุ่มรู้ว่านัยน์ตาสีนิลวาววับนั้นไม่ได้ยิ้มตามไปด้วยเลย

“ท่าทางทั้งสองคนคงไม่ได้เจอกันนานแล้ว งั้นเดี๋ยวต้นพาเพื่อนเที่ยวเถอะ เดี๋ยวพี่โบกรถแดงไปที่ร้านของนอเอง ทั้งสองคนคุยกันตามสบายเลยนะ”

พรพฤกษ์พูดจบก็ถือโอกาสโบกเรียกรถโดยสารรับจ้างที่วิ่งผ่านมาอย่างรวดเร็ว ตระการพยายามจะสบตากับร่างเพรียวที่เปิดประตูไปนั่งคู่กับคนขับแต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมหันมาสบตาด้วยจนรถเคลื่อนออกไป

นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มมองตามหลังรถแดงไปด้วยความกระวนกระวายใจ สรรพนาม “พี่” ที่พรพฤกษ์ใช้เมื่อครู่ต่างกับ “พี่ชาย” ที่ทั้งสองใช้เรียกกันเล่นๆยามอยู่กันสองต่อสองอย่างเห็นได้ชัด และถึงแม้น้ำเสียงที่ใช้จะสงบนิ่งแค่ไหนแต่ตระการก็รู้ว่านั่นเป็นเพียงวิธีที่อีกฝ่ายใช้เพื่อปิดบังความหวั่นไหวอย่างรุนแรงภายในใจ มือใหญ่จึงรีบหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าออกมากดโทรออกทันที

“ฮัลโหล?”

“พี่นอครับ พอดีผมกับไผ่เข้าเมืองมาแต่ไผ่แยกไปหาพี่ก่อน ยังไงถ้าไผ่ไปถึงแล้วโทรบอกผมด้วยนะครับ”

“เอ๋? แล้วไหงไม่มาด้วยกันล่ะ? ทะเลาะกันรึไง?”

ปลายสายเอ่ยถามอย่างหยอกล้อ แต่ตระการหน้าซีดเพราะที่อีกฝ่ายพูดไม่ผิดจากความจริงแม้กระเบียดนิ้ว

“ยังไงถ้าไผ่ไปถึงบ้านแล้วผมฝากดูด้วยนะครับ แล้วถ้าเค้าจะไปไหนต่อพี่นอต้องห้ามไว้นะครับ ผมเสร็จธุระแล้วจะรีบตามไป”

เสียงที่เอ่ยขอร้องอย่างลนลานคงทำให้อีกฝ่ายเอะใจขึ้นบ้าง ปลายสายจึงเริ่มเสียงเครียดขึ้น

“ตกลงมีเรื่องกันจริงๆเหรอต้น แล้วตกลงไผ่เป็นอะไร?”

ตระการเหลือบมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆก่อนจะหันหลังให้แล้วป้องปากพูดลงโทรศัพท์ด้วยเสียงเบาลง

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่ครับ แต่ผมกลัวว่าไผ่อาจจะคิดมาก ยังไงพี่นอช่วยดูให้ระหว่างผมยังไปไม่ถึงด้วยนะครับ”

“ได้ๆ เดี๋ยวยังไงพี่โทรเช็คไผ่มันเองด้วย ต้นก็รีบตามมาล่ะ”

“ครับ ขอบคุณมากครับ”

ตระการกดตัดสายก่อนจะถอนหายใจ แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อโดนแตะแขนเบาๆ ตัวคนแตะเองก็ดูจะตกใจกับท่าทางของชายหนุ่มเหมือนกันจึงหน้าเสียไปนิดหนึ่ง

“เมื่อกี้นี้...เจนไม่ควรทักต้นหรือเปล่า?”

ร่างสูงมองใบหน้าสวยคมเข้มของคนตรงหน้านิ่ง หญิงสาวไม่ผิดที่จะตกใจเมื่อได้เจอเขา และพรพฤกษ์ก็ไม่ผิดที่แสดงปฏิกิริยาโต้ตอบแบบนั้นออกมาเพราะท่าทางของเขาเองก็ส่อพิรุธจริงๆ แต่จะให้ทำยังไงในเมื่อจู่ๆอดีตหญิงสาวที่เคยมีสัมพันธ์ลึกซึ้งด้วยเมื่อหลายปีก่อนก็มาปรากฏตัวต่อหน้าคนรักปัจจุบันที่กำลังอยู่ในสภาวะไม่มั่นคงทางจิตใจ

“ไม่เป็นไรหรอกเจน แต่ว่าคนเมื่อกี้ไม่ใช่พี่ชายของต้นนะ”

แม้จะยอมรับว่าแวบแรกที่ได้เห็นหญิงสาวที่เคยคบกันระยะหนึ่งจะทำให้ตัวเองเผลอหวั่นไหวไปบ้าง แต่ตระการก็อยากบอกอีกฝ่ายให้ชัดเจนว่าตอนนี้คนที่เขารักคือใคร หญิงสาวมองตาของคนพูดแล้วก็หลบตาก่อนจะพยักหน้า

“อืม เจนพอดูออกอยู่ แต่ว่าแล้วที่ว่าเป็นพี่น้องแม่เดียวกันแต่คนละสายเลือดนี่มันยังไงน่ะต้น พอจะอธิบายให้ฟังหน่อยได้ไหม?”

ตระการถอนหายใจอีกรอบ เขาไม่อยากเสียมารยาทกับคนรู้จักที่ไม่ได้เจอกันมานาน แต่ขณะเดียวกันก็เป็นห่วงสภาพจิตใจของคนที่เพิ่งหนีตัวเองไปหยกๆด้วย

“ก็ได้ แต่คงได้ไม่นานนักนะเจน ต้นให้ไผ่อยู่คนเดียวตอนนี้ไม่ได้”


*************


 o22 !!
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 21 [ป้ารีเทิร์น!! 10/03/09]
เริ่มหัวข้อโดย: loveorlike ที่ 10-03-2009 23:43:09
^
^
^
จิ้มมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม

ได้ไงเรื่องนี้ไม่เคยอ่าน


ย่องไปตามอ่านด่วนนนนนนนน

กอดพี่บีบี มัดจำไว้ก่อน :กอด1:


 :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 21 [ป้ารีเทิร์น!! 10/03/09]
เริ่มหัวข้อโดย: ArgèntaR๛ ที่ 11-03-2009 00:18:14
มาจิ้มไม่ทัน

เม้นไว้ก่อน แล้วค่อยอ่าน ฮะๆ
รู้สึกเหมือนเปิดมาช้าเกินไป  :t3:

ปล.ร๊ากกกป้าจัง
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 21 [ป้ารีเทิร์น!! 10/03/09]
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 11-03-2009 08:23:33
ไผ่เป็นอะไรไปล่ะ คิดมากเหรอ สงสารจัง อย่าทารุณจิตใจไผ่มากนักนะป้า :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 21 [ป้ารีเทิร์น!! 10/03/09]
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 11-03-2009 08:53:17
ร้องไห้ละเมอกลางคืนนี่เกิดจากอะไรหว่า

คิดมากหรือไร

ป้า คิดถึงนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 21 [ป้ารีเทิร์น!! 10/03/09]
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 11-03-2009 12:10:44
ย่องเบา ตามมาอ่าน

สงสารไผ่ :serius2:

ตั้งตารอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 21 [ป้ารีเทิร์น!! 10/03/09]
เริ่มหัวข้อโดย: moonlight ที่ 11-03-2009 12:44:41
ไผ่เป็นไรหว่า

มันนานจนลืมไปแล้ว อิอิ

เด่วกลับไปอ่านใหม่อีกรอบ

เอ... หรือให้bbแต่งให้จบก่อนดี :laugh:

หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 21 [ป้ารีเทิร์น!! 10/03/09]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 12-03-2009 10:11:34
LOVEJUICE   หุๆ เป็นเรื่องที่อัพช้ากว่าเรื่องอื่นเลยนะนี่ ทั้งที่เขียนลงเล้าเรื่องแรกแท้ๆ -_-"

turelight   ขอบคุณจ้า แล้วติดตามต่อด้วยน้า

น้ำค้าง   ง่า....เอาเป็นว่าต้องอ่านต่อไปแล้วกันนะจ๊ะ (มัดมือชกซะเลย)

19NT   คิดถึงตาลด้วย ส่วนเรื่องที่สงสัยนี่ต้องอ่านไปเรื่อยๆเดี๋ยวรู้เอง

ภาณุเมศพลัง   ย่องมาได้กริบมากๆค่า แล้วจะรีบเข็นตอนต่อไปมาให้น้า

moonlight    สจ.กลับไปอ่านใหม่เลยม้าย พออ่านจบตอนใหม่ได้มาลงพอดี อิๆ


ปล. ด้วยความบ้าพลัง ป้ากลับไปอ่านตอนเก่าๆแล้วปัดฝุ่นเรียบเรียงใหม่นิโหน่ย (จริงๆก็หลายตอน) ยังไงระหว่างรอตอนใหม่สามารถย้อนกลับไปอ่านแต่แรกได้เพื่อความมีอรรถรสนะจ๊ะทุกคน :laugh:

มีกำลังใจกลับไปทำงานละ แล้วเจอกันตอนใหม่จ้า  :L1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 21 [ป้ารีเทิร์น!! 10/03/09]
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 12-03-2009 13:50:14
 :really2: ดีใจนะที่ป้ากลับมาต่อแล้ว

คิดถึงนะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 21 [ป้ารีเทิร์น!! 10/03/09]
เริ่มหัวข้อโดย: krappom ที่ 13-03-2009 22:37:09
ต้องย้อนกลับไปอ่านหลายตอนก่อนหน้านี้เลยนะเนี่ย
ไม่เอาแล้วนะ
ทีหลังไม่้ค้างนานๆ แบบนี้แล้วนะ
 o18
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 21 [ป้ารีเทิร์น!! 10/03/09]
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 13-03-2009 23:35:58
^
^
แล้ว บีบี จะทำได้หรอป๋อมแป๋ม  :laugh:
ถ้าไม่ดองนานก็เสียชื่อ บีบี หมดอ่ะจิ  :z1:

อ่ะล้อเล่นนะจ้ะ บีบี จะนานแค่ไหนรึจะมาต่อเมื่อไหร่ ก็จะรออ่านจ้า  :กอด1:



หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 21 [ป้ารีเทิร์น!! 10/03/09]
เริ่มหัวข้อโดย: pickki_a ที่ 16-03-2009 23:28:59
ป้าคร้าบบ
แต่ละตอนมันช่างทรมานอะไรเช่นนี้  :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 22 [อัพทันใจ 17/03/09]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 17-03-2009 18:51:18
22.

“ชามะนาวร้อนกับกาแฟเอสเปรสโซตามที่สั่งได้แล้วค่ะ”

เด็กสาวบริกรร่างเล็กเอ่ยพลางวางถาดเครื่องดื่มลงบนโต๊ะไม้เนื้อหนาสีเข้ม ใบหน้าสวยหวานของหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านหนึ่งของโต๊ะหันไปยิ้มขอบคุณเด็กสาวที่โค้งน้อยๆให้ก่อนจะเบนสายตากลับมามองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ริมฝีปากบางที่เม้มสนิทและนัยน์ตาที่จดจ่อกับไอสีขาวเหนือปากแก้วทั้งสองบอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ ร่างบางจึงลอบถอนหายใจแล้วก็ลูบแขนตัวเองเบาๆ อดปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึกอึดอัดกับบรรยากาศที่รายล้อมรอบตัวทั้งสอง ยิ่งหล่อนมองคนตรงหน้านานขึ้นเท่าไหร่ก็อดจะยิ่งเห็นภาพซ้อนของเจ้าตัวในวันที่ทั้งสองพบกันเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อสามปีก่อนไม่ได้

.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.


“ต้น เราเลิกกันดีกว่านะ”

น้ำเสียงเย็นใสเอ่ยอย่างสงบนิ่ง นัยน์ตาหวานซึ้งล้อมกรอบด้วยแพขนตางอนยาวทอดมองไปยังผืนน้ำใสเรียบดุจกระจกของทะเลสาบเบื้องหน้า ฤดูกาลที่เริ่มเปลี่ยนผันในมหานครใหญ่ทำให้อากาศที่เคยหนาวเหน็บเริ่มอบอุ่น  ยอดไม้สีเขียวอ่อนผลิแซมขึ้นบนกิ่งไม้สีน้ำตาลอมเทาทั่วสวนสาธารณะที่มีเสียงนกร้องเจื้อยแจ้ว และกองหิมะที่ยังละลายไม่หมดก็จับตัวเป็นกองเกล็ดน้ำแข็งแฉะๆตามโคนต้นไม้และสนามหญ้าไปทั่ว

ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่กับหญิงสาวสวยสะดุดตาคู่หนึ่งนั่งเคียงกันอยู่บนม้านั่งตัวยาวซึ่งตั้งเรียงรายตามทางเดินในสวน ความเหมาะสมกันดุจประติมากรรมคู่ที่ถูกสรรค์สร้างดึงดูดสายตาของผู้ที่เดินผ่านไปมาให้ลอบมองอย่างชื่นชม แต่ระยะห่างระหว่างร่างทั้งสองบนเก้าอี้ซึ่งดูราวกับถูกทิ้งไว้สำหรับใครอีกคนก็ประหนึ่งความว่างเปล่าที่ตอกย้ำความห่างเหินที่เขาและเธอมีให้กันตลอดเวลาแรมเดือนที่ผ่านมา

นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มของชายหนุ่มที่นั่งเงียบไม่ปริปากพูดอะไรมาตั้งแต่ต้นทอดตรงไปข้างหน้า ปลายคางได้รูปวางอยู่บนมือที่ประสานกันโดยแขนทั้งสองชันขึ้นเหนือหัวเข่า ใบหน้าคมไม่ได้แสดงความโกรธขึ้งหรือตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน และไม่มีคำพูดโต้ตอบใดหลุดจากริมฝีปากบางอยู่เป็นนานก่อนที่นัยน์ตาเฉียบคมจะหรุบลง

“ถ้าเจนต้องการอย่างนั้น ต้นก็คงห้ามไม่ได้”

น้ำเสียงที่เอ่ยราบเรียบราวเจ้าตัวได้เตรียมทำใจมาก่อนหน้านี้แล้ว ทว่าทีท่าที่ไร้ซึ่งความหวั่นไหวนั้นกลับทำให้มือของหญิงสาวที่ประสานกันอยู่บนตักสั่นอย่างบังคับไม่อยู่ ดวงตาสวยหวานกระพริบถี่เพื่อไล่ไอร้อนที่เอ่อขึ้นมาคั่งในหน่วยตาออกไป

การตัดความสัมพันธ์ระหว่างคนที่เคยคบกันมาเป็นปี....ง่ายดายเพียงใช้คำพูดบอกกล่าวแก่กันอย่างนั้นหรือ

“ใจคอต้นจะไม่ถามบ้างเลยเหรอว่าทำไมเจนถึงตัดสินใจแบบนี้?”

หญิงสาวเค้นเสียงถามผ่านลำคอที่แห้งผาก แม้แสงแดดอุ่นยามบ่ายของฤดูใบไม้ผลิจะสาดส่องผ่านเมฆหนาลงมาอาบไล้บนร่าง แต่ปลายนิ้วเรียวที่ประสานกันอยู่กลับเย็นเฉียบไม่ต่างจากกองเกล็ดหิมะบนพื้นหญ้า

“ต้นรู้ว่าเจนเป็นคนมีเหตุผลและคิดทบทวนทุกครั้งก่อนจะทำอะไร การที่เจนตัดสินใจแบบนี้แสดงว่าเจนก็คงคิดมาดีแล้วเหมือนกัน”

หญิงสาวตวัดสายตาขึ้นมองคนที่นั่งอยู่บนม้านั่งข้างกัน ทั้งที่ระยะห่างซึ่งกั้นขวางนั้นไม่มากเกินจะทำลายด้วยการเอื้อมมือออกไปหา หากคำพูดที่แสดงความเคารพในการตัดสินใจจากอีกฝ่ายกลับกรีดเฉือนสายใยบางๆที่เคยหล่อเลี้ยงความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองไปเรียบร้อยแล้ว

“นั่นสินะ ใครๆก็บอกกับเจนทั้งนั้นว่าเจนเป็นคนฉลาด เป็นผู้หญิงที่มีเหตุผล ไม่น่าเชื่อนะว่าเจนไม่เคยเกลียดเวลาได้ยินคำนี้จากใครเท่ากับที่ได้ยินจากต้นเมื่อกี้เลย”

น้ำเสียงสั่นเครือกระตุกคิ้วเข้มให้ขมวดมุ่นก่อนจะหันไปหาคนพูด แล้วนัยน์ตาคมก็ต้องเบิกกว้างเมื่อเห็นหยดน้ำใสกลิ้งลงจากหางตาเรียวสวยโดยปราศจากเสียงสะอื้น

“เจน....”

มือใหญ่ที่กำอยู่บนเข่ายกขึ้นหมายจะเอื้อมไปรั้งไหล่บางให้เข้ามาอิงกับอกตัวเอง แต่แล้วมือนั้นก็นิ่งค้างก่อนจะค่อยๆวางลงที่เดิม นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเบือนกลับลงมองพื้นหญ้าตรงหน้าราวจะพยายามตัดใจไม่มองภาพบาดตาข้างตัว

หญิงสาวเห็นอากัปกริยาทุกอย่างของชายหนุ่มที่นั่งอยู่ไม่ห่างทางหางตาโดยตลอด แม้จะเจ็บยอกในอกกับความเย็นชาที่อีกฝ่ายมอบให้ แต่แล้วหญิงสาวก็สูดหายใจเข้าลึกแล้วหลับตาลงราวจะปิดกั้นทำนบน้ำตาไม่ให้หลั่งออกมาอีก

ดีแล้วที่จบกันไป ถ้าหากเธอไม่สามารถเป็นที่หนึ่งในใจของคนที่รักได้ก็สู้ไม่ต้องเป็นอะไรกันเสียเลยจะดีกว่า แต่ถึงกระนั้นหญิงสาวก็อดถามคำถามสุดท้ายที่ติดค้างในใจมาตลอดไม่ได้

“ต้น ที่ผ่านมาเจนเคยมีความหมายกับต้นบ้างหรือเปล่า? หรือว่ามีใครที่อยู่ในใจต้นมาตลอดจนไม่มีที่ว่างให้เจนแทรกเข้าไปเลย?”

คำถามนั้นดูจะแทงใจดำคนถูกถามจนร่างสูงต้องเบนสายตาไปทางอื่น หญิงสาวชำเลืองมองคนข้างตัวที่ไม่ยอมตอบเป็นคำพูดแต่ท่าทางที่แสดงออกก็กระจ่างชัดในตัวเองจนเกินพอ แม้ความเสียใจจะกำลังล้นท่วมอกแต่หล่อนก็ยังอดนึกขันไม่ได้ คนข้างตัวเธอเคยซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเองอย่างไรก็ยังคงเป็นคนแบบนั้นไม่เปลี่ยน

“ช่างเถอะต้น ลืมคำถามของเจนซะ ยังไงต่อให้เราไม่เลิกกันเจนก็ตั้งใจจะย้ายไปแคนาดาอยู่แล้ว ต่อจากนี้ก็คงไม่มีเหตุผลอะไรให้เราได้มาเจอกันอีกอยู่ดี”

หญิงสาวเช็ดน้ำตาก่อนจะลุกขึ้นยืน เสียงขยับตัวทำให้ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมอง ใบหน้าหวานยิ้มบางๆให้คนที่อีกไม่กี่นาทีต่อไปจะกลายเป็นเพียงตัวตนที่อยู่ในความทรงจำแล้วยื่นมือหนึ่งไปข้างหน้า

“ลาก่อนนะ ยังไงเจนก็ขออวยพรให้ต้นโชคดี”

นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มสบกับนัยน์ตาเรียวสวยก่อนจะเบนสายตาลงมองมือที่ยื่นมาให้ มือใหญ่ยกขึ้นจับมือนั้นตอบก่อนชายหนุ่มจะลุกขึ้นแล้วรั้งร่างบางเข้ามากอด

“ขอโทษด้วยถ้าหากที่ผ่านมาต้นทำให้เจนไม่มีความสุข ต่อจากนี้ขอให้เจนได้เจอคนที่ดีกว่าต้นและรักเจนจริงๆก็แล้วกันนะ”

น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยขณะมือใหญ่ลูบหลังบางขึ้นลงอย่างปลอบโยน ร่างในอ้อมกอดยิ้มน้อยๆก่อนจะหลับตาแล้วเอนลงซบอกกว้าง หญิงสาวไม่ได้ยกแขนขึ้นกอดตอบแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอ้อมอกที่ถ่ายทอดความอบอุ่นให้เช่นกัน ขอเพียงครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายเท่านั้น แล้วต่อจากนี้เธอกับเขาก็คงกลับไปเป็นเพียงอดีตคนรู้ใจที่ไม่มีวันหวนคืนสู่ความสัมพันธ์เช่นนั้นได้อีกเป็นครั้งที่สอง  หยาดน้ำใสเอ่อขึ้นบนขอบตาที่ร้อนผ่าวอีกครั้งก่อนน้ำเสียงรื่นหูจะกล่าวอวยพรคืนให้แก่คนตรงหน้า

“ขอบใจนะ เจนก็ขอให้ต้นมีความสุขกับคนที่รักจริงๆเหมือนกัน”


.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.


“สามปีแล้วสินะ เหมือนเพิ่งผ่านมาไม่นานนี้เองยังไงไม่รู้”

เจนใจยกแก้วชาขึ้นจิบก่อนจะเอ่ยเสียงเบาเป็นเชิงชวนสนทนา ไม่น่าเชื่อว่าเวลาที่ผ่านไปไม่ได้ทำให้ภาพความทรงจำที่หล่อนมีเกี่ยวกับคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามในตอนนี้ซีดจางลงเลยสักนิด หญิงสาวยังจำได้ดีถึงทุกรายละเอียดในวันที่ทั้งสองคนตัดความสัมพันธ์กันแม้กระทั่งว่าวันนั้นตระการใส่เสื้อสีอะไรถึงแม้ข้อมูลนั้นจะไม่ได้มีประโยชน์กับชีวิตของเธอเลยก็ตาม

คู่สนทนาไม่ได้เอ่ยตอบหญิงสาวและเสยกกาแฟขึ้นจิบ นัยน์ตาเรียวสวยมองตามมือใหญ่ที่ยกแก้วเซรามิกเนื้อหนาขึ้นจรดริมฝีปาก เวลาเพียงสามปีหากจะว่านานก็เหมือนนาน แต่สำหรับคนที่ยังจดจำเรื่องเมื่อช่วงเวลานั้นได้อย่างแม่นยำ เวลาสามปีก็ถือว่าสั้นอย่างไม่น่าเชื่อ

ชีวิตนักศึกษาที่ร่ำเรียนในต่างแดนทำให้คนที่โหยหาความคุ้นเคยของบ้านเกิดเมืองนอนสานความสัมพันธ์กันได้ไม่ยาก และไม่ใช่เรื่องแปลกอีกเช่นกันหากความผูกพันนั้นจะพัฒนาต่อยอดไปเกินขอบเขตของความเป็นเพื่อน สำหรับหล่อนแล้ว ช่วงเวลาที่ได้คบหากับตระการซึ่งเป็นคนในฝันของสาวๆนักเรียนนอกหลายคนเปรียบได้กับความทรงจำล้ำค่าที่อัดแน่นด้วยความสุขราวกับฝันทีเดียว

แต่อาจเพราะความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นนั้นผุดขึ้นจากความรู้สึกชั่ววูบจนเกินไปไม่ต่างจากความฝันในชั่วข้ามคืน...วันหนึ่งเธอจึงต้องจำใจตื่นเพื่อยอมรับความจริงที่ว่าตนเองยังไม่ใช่ "ใครคนนั้น" ที่ตระการต้องการ และเลือกที่จะหยุดความสัมพันธ์นั้นเสียก่อนด้วยตัวเอง

“เจนอยู่ที่โตรอนโตสนุกมั้ย?”

นัยน์ตาหวานกระพริบเมื่อถูกน้ำเสียงทุ้มต่ำฉุดให้กลับจากภวังค์ หญิงสาวคลี่ยิ้มบางขณะเอียงแก้วให้ของเหลวสีอำพันไหลวนไปมา ดูเหมือนว่าระหว่างช่วงเวลาที่ทั้งสองขาดการติดต่อกันไปจะทำให้ชายหนุ่มตรงหน้าสุขุมและเป็นผู้ใหญ่ขึ้นกว่าครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกันมากทีเดียว

“ก็เรื่อยๆนะ ที่นั่นทั้งเงียบทั้งสงบสุขจนบางทีเจนอิจฉาคนที่เมืองไทยเลยล่ะ มีแต่เรื่องให้ได้ตื่นเต้นกันตลอดเลย ทั้งการเมืองเอย เศรษฐกิจเอย ข่าวซุบซิบดาราเอยสารพัด”

หญิงสาวเอ่ยไปก็หัวเราะเบาๆ มุมปากของคนที่นั่งทำสีหน้าเรียบเฉยมาตลอดจึงยกยิ้มบ้าง ทำให้บรรยากาศเครียดเกร็งที่โอบล้อมรอบตัวคนทั้งสองเมื่อครู่เริ่มผ่อนคลายลง แต่ถึงกระนั้นเจนใจก็ยังสัมผัสได้ถึงระยะห่างที่คนตรงข้ามดูจะจงใจรักษาไว้ระหว่างพวกเขาทั้งสองคน

ตระการยอมรับว่าตกใจไม่น้อยที่ได้พบกับหญิงสาวที่เคยคบกันช่วงที่เรียนอยู่ต่างประเทศ และเป็นคนที่ตัวเองเคยพัฒนาความสัมพันธ์ถึงขั้นลึกซึ้งด้วยเป็นคนแรกก่อนที่จะกลับเมืองไทย ทว่าความที่ทั้งสองห่างเหินกันไปตั้งแต่หญิงสาวบอกเลิกกับเขาและย้ายไปเรียนต่อที่แคนาดาทำให้ชายหนุ่มไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้พบกันอีก สาวน้อยที่เขาเคยคบหาบัดนี้กลายเป็นหญิงสาวเต็มตัวที่เปี่ยมเสน่ห์สมวัยจนเขายอมรับว่าถึงกับตะลึงตอนที่ได้เห็นหน้าอีกฝ่ายในตอนแรก แต่กระนั้นความกังวลใจถึงคนอีกคนที่เพิ่งหนีตัวเองไปก็ทำให้คิ้วเข้มขมวดมุ่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว

“ว่าแต่น่าแปลกนะที่ได้มาเจอกันที่เชียงใหม่ ต้นมาเที่ยวเหรอ?”

หญิงสาวพยายามชวนคนที่เอาแต่นิ่งเงียบคุย ใช่ว่าหล่อนเองจะไม่รู้สึกประดักประเดิดที่ได้นั่งคุยกับอดีตคนรักที่ตัวเองบอกเลิกเมื่อสามปีก่อนโดยไม่คาดฝัน แต่ในเมื่อได้มาพบกันแล้ว ครั้นจะให้ทำทีท่าห่างเหินไปเลยก็จะดูเป็นว่ามีแต่ตัวเองที่มัวยึดติดอยู่กับอดีต แม้ในใจส่วนลึกจะยังคงหวั่นไหวที่ได้เห็นชายหนุ่มในระยะใกล้เช่นนี้ก็ตาม

“เปล่าหรอก มาดูแลแฟนน่ะ”

ตระการตอบเสียงนิ่งอย่างไม่อ้อมค้อมก่อนจะยกกาแฟขึ้นจิบอีกครั้ง เจนใจมองท่าทีของชายหนุ่มที่เบนสายตาออกไปนอกร้านแล้วก็รู้สึกเสียวยอกในอก จังหวะการตอบและคำพูดที่ไร้ซึ่งความลังเลราวจะย้ำว่าความสัมพันธ์ที่ทั้งสองเคยมีร่วมกันคืออดีตที่รื้อฟื้นไม่ได้อีกแล้ว ทว่าการที่หล่อนยังรู้สึกเจ็บกับเรื่องที่ได้รับรู้จะแสดงให้เห็นว่าตนยังไม่หมดเยื่อใยกับคนตรงหน้าเสียทีเดียวกระมัง

นัยน์ตาเรียวสวยมองตามนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่เหม่อมองด้านนอกแล้วก็พอเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงกำลังคิดถึงชายหนุ่มอีกคนที่หล่อนได้พบเมื่อครู่ น่าแปลกที่ทั้งๆที่ทั้งสองไม่ได้แสดงทีท่าเฉกเช่นคนรักผ่านการถูกเนื้อต้องตัวกันเลย แต่สัญชาตญาณของหล่อนกลับบอกได้แทบจะทันทีแค่เพียงได้เห็นสายตาของตระการยามมองอีกฝ่ายเท่านั้นว่านัยน์ตาคู่นั้นสะท้อนความห่วงใยที่มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม แล้วยังไม่นับคำพูดแปลกๆของเจ้าตัวในทำนองว่าปล่อยให้คนคนนั้นอยู่คนเดียวไม่ได้นั่นอีกล่ะ

“แฟนต้นชื่อไผ่ใช่มั้ย? เป็นคนที่นัยน์ตาสวยมากเลยนะ แต่สงสัยเจนจะทำให้เค้าไม่ชอบขี้หน้าเข้าแล้วสิ”

หญิงสาวรำพึงแล้วก็เอาสองมืออังกับแก้วชาของตัวเอง ตระการหันกลับมาเมื่อได้ยินชื่อของพรพฤกษ์แล้วก็ขมวดคิ้วมองคนตรงหน้า

“ไผ่ไม่ใช่คนแบบนั้น พอดีมันมีเรื่องหลายอย่าง แต่เจนไม่ต้องคิดมากหรอก”

หญิงสาวช้อนสายตาขึ้นมองคนพูดที่นั่งอยู่ตรงข้าม ริมฝีปากอิ่มอมยิ้มเมื่อเห็นท่าทางรีบออกหน้าปกป้องคนที่พูดถึงซึ่งไม่ได้อยู่ตรงนี้ด้วยแต่ก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งที่คิดออกมา

คนแบบไหนกันนะที่ทำให้ผู้ชายที่ไม่ค่อยแสดงความรู้สึกแม้แต่ตอนที่เคยคบกับเธอออกอาการร้อนรนได้ถึงขนาดนี้

“ต้น เล่าเรื่องของไผ่ให้ฟังหน่อยได้มั้ย? เจนอยากรู้ว่าคนที่กุมหัวใจต้นได้ถึงขนาดนี้เป็นคนยังไง”

คิ้วเข้มเลิกขึ้นข้างหนึ่ง มือใหญ่ไล้หูแก้วกาแฟขึ้นลงราวไม่แน่ใจ

“เจนอยากรู้จริงๆเหรอ?”

ใช่ว่าตระการไม่ชอบการได้พูดถึงคนที่ตัวเองรักให้ใครฟัง แต่เพราะเขามีคนรู้จักที่จะรับฟังเรื่องนี้น้อยเหลือเกินจนชินไปแล้วที่จะไม่พูดถึง อีกอย่างเขาก็เคารพสิทธิของพรพฤกษ์ที่อาจไม่อยากให้ตัวเองเป็นที่รู้จักของคนที่ไม่คุ้นเคยด้วย และเจนใจก็เป็นอดีตหญิงสาวที่เขาเคยคบหา ชายหนุ่มจึงยิ่งไม่แน่ใจว่าเขาควรเล่าเรื่องของพรพฤกษ์ให้อีกฝ่ายฟังดีหรือเปล่า

เจนใจมองท่าทางเหมือนน้ำท่วมปากของอีกฝ่ายแล้วก็คลี่ยิ้ม ท่าทางแบบนั้นกระตุ้นให้หล่อนยิ่งอยากรู้เรื่องราวของชายหนุ่มหน้าหวานที่ตัวเองรู้จักเพียงชื่อเล่นมากเข้าไปอีก หญิงสาวพยักหน้าให้กับเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลเข้มแล้วก็ยืนยันคำเดิม

“อยากรู้สิ ต้นเล่าเรื่องของไผ่ให้ฟังหน่อยนะ”

 
*************


พรพฤกษ์จ่ายเงินให้กับคนขับรถโดยสารที่พามาส่งยังจุดหมายที่ต้องการก่อนจะผลักเลื่อนประตูรั้ว คิ้วเรียวเลิกขึ้นอย่างแปลกใจเมื่อเห็นคนที่ตั้งใจมาหากำลังยืนกอดอกรออยู่หน้าบ้าน

“ไปไหนมาน่ะไผ่? ทำไมถึงมาช้านัก แล้วทำไมต้องปิดมือถือด้วย?”

“พอดีแบตเพิ่งหมดน่ะ แล้วนอรู้ได้ไงว่าเราจะมา?”

มือเรียวชูโทรศัพท์มือถือที่หน้าจอดำสนิทให้ดูเป็นหลักฐานขณะนัยน์ตาสีนิลกระพริบมองคนที่รัวคำถามใส่อย่างงงๆ นรพัฒน์มองสีหน้างุนงงของคนตรงหน้าแล้วก็ขมวดคิ้ว ท่าทางของเพื่อนที่ดูเป็นปรกติดีทำให้ชายหนุ่มเริ่มคิดว่าบางทีตระการอาจวิตกกังวลเกินเหตุไปเองก็เป็นได้ตอนที่โทรหาเขา แต่ด้วยความที่เขาเองก็เล่นหัวกับพรพฤกษ์มาตั้งแต่เด็กทำให้ชายหนุ่มไม่คิดจะวางใจท่าทางที่ดูเหมือนไม่มีเรื่องอะไรของอีกฝ่ายอยู่ดี

“ไม่มีอะไรหรอก พอดีต้นโทรมาหาเราเมื่อกี้แล้วบอกว่าไผ่มาเมื่อไหร่ให้ช่วยโทรบอกด้วย เราก็นึกว่ามีเรื่องอะไรกันหรือเปล่าเสียงต้นเลยฟังลนๆชอบกล”

นัยน์ตาสีนิลทอประกายเข้มขึ้นวูบหนึ่งเมื่อได้ยินชื่อคนที่ตัวเองเพิ่งแยกจากมาก่อนจะปรับสีหน้าเป็นเหมือนเดิม ทว่าความเปลี่ยนแปลงชั่วเสี้ยววินาทีนั้นก็ไม่ได้รอดสายตาของคนที่คอยมองอยู่ไปได้

“ต้นคิดมากไปเองมั้ง พอดีเราชวนไปทำบุญที่วัดแล้วต้นเจอเพื่อนเก่า ท่าทางคงไม่ได้เจอกันนานแล้วเราเลยขอตัวออกมาก่อน เรื่องก็มีแค่นี้แหละ”

พรพฤกษ์ว่าแล้วก็เดินนำเข้าบ้านของนรพัฒน์ด้วยความคุ้นเคยราวอาศัยอยู่ที่นี่เอง ฝ่ายเจ้าของบ้านมองตามหลังคนที่เดินเข้าไปก่อนแล้วก็ยกมือขึ้นนวดขมับ เริ่มจะเข้าใจขึ้นมาว่าทำไมตระการถึงต้องโทรมาหาเพื่อให้ช่วยจับตาดูเอาไว้ให้ ก็เพื่อนเขาเป็นคนปากแข็งแถมยังชอบตีหน้าซื่อปิดบังความรู้สึกตัวเองอีก แบบนี้มันน่าห่วงน้อยอยู่เสียเมื่อไหร่

ร่างเพรียวเดินตรงเข้าครัวแล้วก็เปิดตู้เย็นหยิบน้ำออกมาเทดื่มอย่างถือวิสาสะ พอเห็นเจ้าของบ้านเดินตามเข้ามาก็หันไปมองรอบตัวเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้

“บอยไปไหนล่ะ? ปกติช่วงก่อนเปิดร้านชอบมางีบที่นี่ก่อนไม่ใช่เหรอ?”

พรพฤกษ์ถามถึงลูกจ้างในร้านที่สนิทกับนรพัฒน์มากจนเจ้าตัวแทบจะรับเป็นน้องบุญธรรมไปแล้ว คนถูกถามจึงมาหยุดยืนใกล้ๆก่อนจะยักไหล่

“วันนี้บอยลาหยุด เห็นว่าไม่ค่อยสบาย ก่อนต้นจะโทรมาเราก็ว่าจะไปเยี่ยมอยู่เหมือนกัน แต่ว่าคงรอให้ต้นมาก่อนแล้วถึงค่อยไปดีกว่า”

“อ้าว? แล้วจะรอทำไมล่ะ นออยากเยี่ยมก็ไปเลยสิ ยังไงไปด้วยกันเดี๋ยวนี้เลยมั้ย?”

ชายหนุ่มร่างผอมสูงตกใจกับท่าทางของเพื่อนที่กระตือรือร้นขึ้นอย่างกะทันหันจนต้องรีบยกมือห้าม บทเพื่อนเขาจะพลิกอารมณ์ขึ้นมาบางครั้งก็แทบตั้งรับไม่ทันเหมือนกัน  “เฮ้ย! ไม่ต้องหรอกไผ่ ไปตอนนี้เจ้าตัวก็คงยังไม่ตื่นอยู่ดี ปล่อยให้มันนอนพักผ่อนไปเถอะ”

ชายหนุ่มกดบ่าทั้งสองของเพื่อนให้นั่งลงเหมือนเดิมก่อนจะขมวดคิ้วอีกครั้ง ความบอบบางของสัมผัสใต้ฝ่ามือทำให้เขาค่อนข้างตกใจกับความผ่ายผอมของคนตรงหน้า อาจเป็นเพราะเสื้อผ้าที่เจ้าตัวใส่อยู่ไม่ได้เข้ารูปนักทำให้เขาไม่ได้ทันสังเกตในตอนแรก แต่เมื่อได้มองใกล้ๆอย่างนี้ทำให้เขาได้เห็นว่าร่างเพรียวซูบลงจากที่ตอนเจอกันคราวก่อนมากทีเดียว

พรพฤกษ์เห็นสายตาที่มองตัวเองอย่างพินิจพิเคราะห์แล้วก็หลบตาก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นดื่มอีก อาจเพราะความที่คบกันมานานทำให้เขารู้ว่าเพื่อนคงพอจะเดาได้ว่าตัวเองกำลังมีเรื่องในใจ แต่ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็ไม่คิดจะเล่าให้อีกฝ่ายฟังต่อให้ถูกถามตรงๆอยู่ดี และท่าทางของคนที่อยากถามก็พอจะรู้เหมือนกันว่าถึงแม้จะคาดคั้นไปก็ไม่เกิดประโยชน์

“เอาเป็นว่า ไผ่รออยู่ที่นี่แหละดีแล้ว ยังไงต้นก็บอกแล้วว่าเสร็จธุระเมื่อไหร่จะรีบตามมา”

คนถูกฝากฝังหัวเราะเสียงเบาในคอ นิ้วเรียวปาดไล้หยดน้ำที่จับเป็นฝ้าอยู่นอกผิวแก้วขณะนัยน์ตาสีนิลเหม่อมองไปยังสวนนอกบ้าน

“จะรีบทำไมก็ไม่รู้ อุตส่าห์บอกแล้วแท้ๆว่าให้ตามสบาย ต้นนี่เป็นห่วงไม่เข้าเรื่อง...”

สายตาของนรพัฒน์อ่อนลงเมื่อได้ยินเสียงรำพึงที่ฟังแล้วเศร้าอย่างบอกไม่ถูกนั้น มือผอมยื่นบีบไหล่บางอย่างให้กำลังใจ ทว่าพรพฤกษ์สูดหายใจเข้าลึกแล้วก็ยิ้มให้กับเพื่อนสนิทก่อนเอ่ยเสียงเบา

“โทษทีนะนอ เราเพลียๆไงไม่รู้ ขอไปนอนที่ห้องที่เราเคยนอนได้มั้ย?”

พรพฤกษ์หมายถึงห้องที่ตัวเองเคยมาอาศัยอยู่ช่วงที่เคยปิดบ้านนฤมิตรไปหนหนึ่ง คนถูกขอพิจารณาสีหน้าของเพื่อนแล้วก็พยักหน้า

“เอาสิ กำลังจะทักเหมือนกันว่าไผ่ดูหน้าซีดๆ บางทีได้นอนพักหน่อยอาจจะดีขึ้น”

ชายหนุ่มเจ้าของบ้านเดินนำคนขอไปยังห้องบนชั้นสองของตัวบ้านแล้วก็ช่วยดูความเรียบร้อยให้ เนื่องจากห้องนี้ไม่ค่อยได้ถูกเปิดรับแขกทำให้เขาหรือน้องสาวจะเข้ามาทำความสะอาดแค่สัปดาห์ละครั้งเท่านั้น โชคดีว่าครั้งล่าสุดที่ห้องนี้โดนทำความสะอาดไปคือเมื่อสองวันก่อนทำให้ห้องอยู่ในสภาพค่อนข้างพร้อมสำหรับการใช้งาน

“ขอบใจนะ ยังไงถ้าเราตื่นแล้วต้นยังไม่มาเราอาจกลับก่อนเลยก็ได้”

นรพัฒน์ยืนกอดอกพิงประตูมองคนที่มาขอใช้ห้องอย่างเงียบๆ พรพฤกษ์เลือกหนังสือเล่มหนึ่งจากกองหนังสือบนหัวเตียงมาทำท่าจะนั่งพิงหมอนอ่านแล้วก็สบตากับเจ้าของบ้านเข้าจึงเอ่ยถาม

“มีอะไรอีกหรือเปล่า? เราไม่ได้เป็นคนป่วยแล้วนะ ไม่ต้องอยู่เฝ้ากันก็ได้”

คนถูกทักได้ยินประโยคไล่ทางอ้อมแบบนั้นก็ถอนหายใจแล้วกลอกตา ยิ่งเจ้าตัวออกปากมาอย่างนี้ยิ่งทำให้รู้สึกว่าควรจะเฝ้าเข้าไปใหญ่ แต่ชายหนุ่มก็เชื่อว่าเพื่อนมีวุฒิภาวะพอที่จะไม่คิดทำอะไรหุนหันพลันแล่นยามอยู่เพียงลำพัง ติดอยู่ก็ตรงที่เจ้าตัวไม่ชอบบอกใครว่าคิดอะไรอยู่ทำให้เขารู้สึกว่าต้องกระทุ้งให้อีกฝ่ายได้รู้สึกเสียบ้าง

“ไผ่ เราไม่อยากจุ้นหรอกนะ แต่ว่าถ้ากำลังมีเรื่องอะไรกับต้นอยู่ก็เปิดอกคุยกันให้ชัดๆไปเลยดีกว่า ยังไงเราก็คงแนะนำได้แค่นี้ ที่เหลือไผ่ไปคิดเองก็แล้วกันว่าควรจะทำอะไร”

ชายหนุ่มพูดจบก็หมุนตัวเดินจากไป พรพฤกษ์มองตามหลังประตูที่ปิดลงแล้วรอยยิ้มที่ฝืนปั้นมาตั้งแต่เดินเข้ามาในบ้านก็จางหาย มือเรียววางหนังสือที่หยิบขึ้นมาลงที่เดิมเพราะไม่ได้ตั้งใจจะอ่านตั้งแต่แรกอยู่แล้ว หมอนที่เมื่อครู่ถูกตั้งขึ้นพิงหัวเตียงถูกวางราบก่อนเจ้าตัวจะเอนลงนอนตะแคงแล้วโอบแขนกอดตัวเองไว้

นัยน์ตาสีนิลเพ่งมองลายไม้ข้างผนังที่เริ่มพร่าเลือนขึ้นเรื่อยๆ น้ำตาที่ถูกกลั้นไว้มานานไหลลงจากตาจนซึมเป็นวงกว้างบนปลอกหมอนสีขาวสะอาด ไหล่บางสั่นขณะขบปากตัวเองแน่นเพื่อกลั้นเสียงสะอื้นที่ดูจะเกินการควบคุมขึ้นเรื่อยๆ

ที่เพื่อนทักเมื่อครู่เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร นรพัฒน์คงพอปะติดปะต่อเรื่องได้เองจากการได้ฟังคำพูดของตระการและจากท่าทีของเขาว่าเกิดอะไรขึ้น ผิดหรือที่เขาหวั่นไหวเมื่อได้เห็นภาพคนรักยืนคู่กับหญิงสาวที่ดูสมกันจนเขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกิน แล้วผิดหรือเปล่าที่จู่ๆจะคิดขึ้นมาว่าถ้าหากเขากับตระการไม่เคยรับรู้ถึงการมีอยู่ของกันและกัน ตอนนี้ต่างคนก็คงต่างมีวิถีชีวิตของตัวเอง และคนที่เขารักก็คงได้แต่งงานกับผู้หญิงธรรมดาๆและสร้างครอบครัวที่มีความสุขจนไม่เกิดปัญหากับพ่อของตัวเองไปแล้ว บางทีทุกอย่างอาจจะเริ่มผิดพลาดตั้งแต่ชายหนุ่มเริ่มก้าวเข้ามาในชีวิตเขาแล้วก็เป็นได้

ใบหน้าหวานซุกลงกับหมอนเมื่อเสียงสะอื้นแรกหลุดจากริมฝีปาก ถ้าเขาไม่ได้เจอตระการตั้งแต่แรกก็คงดี…


*************


เอิ๊กส์ เพิ่งจะสังเกตุว่าป้าลงนิยายในบอร์ดสามเรื่องพร้อมกันแต่ยังไม่จบสักเรื่อง (จริงๆน่านับเป็นสี่นะเพราะมีเรื่องนึงที่ซ้อนกันเป็นสองเรื่องอยู่) ตอนนี้เลยตั้งใจว่าพยายามจะเข็นเรื่องไหนให้จบให้ได้สักเรื่องละ ในเมื่อตอนนี้องค์เรื่องนี้กำลังมาเลยรีบปั่นซะก่อนจะหายไปอีก ยังไงก็ติดตามกันต่อหน่อยนะจ๊ะแฟนๆทุกคน

ปล. เสาร์อาทิตย์ที่แล้วไปเที่ยวเกาะล้านมา อากาศดี น้ำใส ไปก็ง่าย (ขึ้นเรือจากท่าที่พัทยา) พูดถึงแล้วอยากไปเที่ยวยาวๆอีกจัง  :really2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 22 [อัพทันใจ 17/03/09]
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 17-03-2009 19:43:55
 :z13:
จิ้มป้า เดี่ยวนิวจะเซฟไปอ่านวันนี้จะไปไหว้พระ อิๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 22 [อัพทันใจ 17/03/09]
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 17-03-2009 20:56:50
ป้าอ้ะ บอกว่าอย่าทำร้ายจิตใจไผ่ให้มากนัก สงสารจังเลย  :o12:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 22 [อัพทันใจ 17/03/09]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 18-03-2009 18:45:27

^
^
^
เป็นนายเอกของป้าต้องอดทน หุๆ  :z1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 22 [อัพทันใจ 17/03/09]
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 18-03-2009 21:31:58
จะให้อดทนถึงไหน เดี๋ยวนายเอกเป็นโรคหัวใจตายพอดี  :a5:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 22 [อัพทันใจ 17/03/09]
เริ่มหัวข้อโดย: pickki_a ที่ 18-03-2009 23:21:29
อย่าให้ทนมากนักนะ เดี๋ยวคนอ่านจะเป็นโรคความดัน (ดันอยากจะรู้ซะงั้น)  :m16:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 22 [อัพทันใจ 17/03/09]
เริ่มหัวข้อโดย: krappom ที่ 19-03-2009 00:28:38
ไผ่หวั่นไหวซะอย่างนั้น
น่าสงสารจริง

ลป.ขอให้องค์ลงทีเดียวสามเรื่องเลยได้ป่ะป้า  o18

หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 22 [อัพทันใจ 17/03/09]
เริ่มหัวข้อโดย: mama ที่ 19-03-2009 11:29:12
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 22 [อัพทันใจ 17/03/09]
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 21-03-2009 12:56:30
ต้นอย่าปล่อยให้ไผ่คิดมาก รีบมาหาแล้วมาเคลียร์กันไว ๆ นะ  :impress3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 22 [อัพทันใจ 17/03/09]
เริ่มหัวข้อโดย: Shumi ที่ 21-03-2009 15:24:27
ชอบจังองค์ป้าลง ขอให้ลงตลอดไป จนจบทุกเรื่องนะ 555+
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 22 [อัพทันใจ 17/03/09]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 21-03-2009 15:55:45
จะให้อดทนถึงไหน เดี๋ยวนายเอกเป็นโรคหัวใจตายพอดี  :a5:

พี่หนึ่ง อย่างนี้เค้าเรียกว่าดักม้าย 555 แวบมาจากนิยายจินเมะแล้วเหรอค้า (แอบรู้จากในกระทู้คนอื่น อิๆ)


ไผ่หวั่นไหวซะอย่างนั้น
น่าสงสารจริง

ลป.ขอให้องค์ลงทีเดียวสามเรื่องเลยได้ป่ะป้า  o18

เอ่อ เอ่อ เอ่อ (เหงื่อตก ตอบไม่ถูก)

ชอบจังองค์ป้าลง ขอให้ลงตลอดไป จนจบทุกเรื่องนะ 555+

อืม เป็นคำอวยพรที่เข้ากับอิป้ามากที่สุดแล้วจริงๆ -*- ขอบคุณเจ้าคะ (โอม ว่าแล้วก็ไปจุดธูปปลุกผีตัวเองด่วน)




หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 22 [อัพทันใจ 17/03/09]
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 24-03-2009 11:49:18
ไผ่ อ่ะคิดมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

รักกันไปเห้อ  ชิวๆ ..
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 22 [อัพทันใจ 17/03/09]
เริ่มหัวข้อโดย: Andreas ที่ 25-03-2009 01:23:25
ผมขออนุญาตลบข้อความออกนะครับ เพราะคุณน้องคนเขียนได้อ่านแล้ว

Andreas
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 22 [อัพทันใจ 17/03/09]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 25-03-2009 18:12:59
Dear P'Andreas, thank you so much for the compliment. I'm flattered you read my story!!

"Some words are out of sync" <-- น้อมรับคอมเม้นต์ค่า อาจเพราะเขียนเรื่องนี้เรื่องแรก ยอมรับเลยว่าสำนวนตอนหลังๆเริ่มเปลี่ยนเพราะพักไปเขียนเรื่องอื่นเสียนาน (โดยเฉพาะสามตอนหลัง แต่ไม่รู้คนอ่านรู้สึกอ๊ะป่าว หรือคิดไปเองก็ไม่รู้แฮะ -.-")

เคยอ่านวีรกรรมของภูผากับฟ้าลั่นเมื่อตอนเข้าเล้าใหม่ๆ พอเห็นเม้นต์พี่จ๋อมเลยไปอ่านอีกรอบ และก็ยังทำให้น้ำตาซึมได้เหมือนเดิม อยากอ่านเรื่องใหม่ๆจัง ขอบคุณมากที่มาอ่าน + เม้นต์ให้นะคะ :L2:

ถึงนักอ่านคนอื่นๆ คิดถึงจ้า ยังไงจะรีบพาต้น-ไผ่มาลงเร็วๆนะ  :L1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 22 [อัพทันใจ 17/03/09]
เริ่มหัวข้อโดย: Andreas ที่ 26-03-2009 10:14:31
ผมขออนุญาตลบข้อความออกนะครับ เพราะคุณน้องคนเขียนได้อ่านแล้ว

Andreas

หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 22 [อัพทันใจ 17/03/09]
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 26-03-2009 16:37:05
จะให้อดทนถึงไหน เดี๋ยวนายเอกเป็นโรคหัวใจตายพอดี  :a5:

พี่หนึ่ง อย่างนี้เค้าเรียกว่าดักม้าย 555 แวบมาจากนิยายจินเมะแล้วเหรอค้า (แอบรู้จากในกระทู้คนอื่น อิๆ)
แอร๊ยยยส์ มีคนรู้ความลับเราแล้ว  :m23: ถึงจะติดจินเมะไปแล้วแต่ยังมาอ่านของ บีบี นะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 22 [อัพทันใจ 17/03/09]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 27-03-2009 13:47:09
ขอบคุณน้องคนเขียนที่อุตสาห์แวะมาตอบคอมเมนต์ของผม....แปลกใจครับที่น้องคนเขียนเคยอ่านนิยายของผม เพราะตามปกติแล้วเด็กรุ่นใหม่ๆๆจะไม่ค่อยทราบกัน.....
ต้องขอสารภาพว่าผมเองยังเขียนได้ไม่ดีเท่าที่ควร....ภาษายังไม่นุ่มเท่าที่ควร....ยังมีส่วนที่ขรุขระอยู่ค่อนข้างมาก....สาเหตุสำคัญเนื่องจากไม่ได้ใช้ภาษาไทยมาตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาโทแล้วครับ

แวะกลับมาถึงนิยายของน้องคนเขียน.....ส่วนแรกที่ติดใจจนต้องเข้ามาอ่านคือ ชื่อเรื่อง...... นักเขียนหลายคนไม่ค่อยใส่ใจกับชื่อเรื่องเท่าที่ควร โดยเฉพาะเด็กสมัยใหม่ที่มักจะตั้งชื่อเรื่องเป็นภาษาอังกฤษ หรือไม่ก๊อขาดการเรียบเรียงคำสัมผัส....ซึ่งทำให้ดูกระด้างและไม่เรียกร้องความสนใจ.... นักเขียนควรจะใส่ใจกับชื่อเรื่องมากพอๆๆกับบทนำและจุดไคล์แมกซ์ เพราะคือจุดขายของนิยายเรื่องนั้นๆๆ.....นอกจากนั้นชื่อเรื่องยังคือกุญแจสำคัญในการใช้โทนภาษาทั้งหมดของเรื่อง

ต้องชมว่าน้องคนเขียนมีทักษะทางภาษาไทยดี และถ่ายทอดได้เก่ง..... ยิ่งพอทราบว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก ผมก๊อต้องขอปรบมือให้....เพราะหายากที่เรื่องแรกจะเขียนได้ดีขนาดนี้.....

แต่อย่างไรก๊อตาม ทุกอย่างคงไม่สมบูรณ์ไปเสียทั้งหมด....นักเขียนทุกคนทราบดี..... ผู้อ่านนั้นคือกระจกบานสำคัญที่จะช่วยสะท้อนสิ่งที่บกพร่องออกมาให้นักเขียนได้แก้ไข.....
ผู้อ่านไม่จำเป็นที่ต้องเขียนนิยายเก่ง...หากแต่เพราะชอบอ่านและจินตนาการตามเนื่องเรื่องที่ผ่านตา ก๊อย่อมสามารถที่จะจับจุดที่ผิดปกติได้....

ณ เวลานี้ ผมขอทำตัวเป็นผู้อ่าน และขออนุญาตแนะนำน้องผู้เขียน เพื่อที่จะนำไปปรับปรุงสำหรับเรื่องต่อๆๆไป

ผมเคยเขียนไว้นานแล้วว่า บทนำคือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้คนอ่านตัดสินใจอ่านต่อหรือไม่.... รวมถึงบทนำจะเป็นตัวคุมภาษาที่ใช้ในเรื่องทั้งหมด....
น้องคนเขียนเขียนบทนำได้ดี หากแต่ว่าผมมีข้อแนะนำบางประการ....ที่อาจช่วยทำให้ดีขึ้น
จำประโยคที่ผมกล่าวไว้มั้ยครับว่า some words are out of sync ซึ่งหมายความว่า บางคำนั้นไม่เข้ากับองค์รวม.... ลองดูที่ผมแก้ให้นะครับ....

อ้างถึง
อะไรคือเหตุผลในการโคจรมาพบกันของคนสองคนบนโลกใบนี้ โชคชะตา พรหมลิขิต หรือเจตจำนงของใครบางคน?

การได้ใช้วันเวลากับคนที่ทำให้หัวใจอบอุ่น...แม้เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ
ทว่าความประทับใจที่ตราตรึงอยู่ในความทรงจำของกันและกันนั้นสถิตอยู่นานเนิ่นเหนือขีดจำกัดของกาลเวลา


*************

นิ้วมือเรียวแต่แข็งแรงจับไม้ขนไก่ปัดฝุ่นที่เกาะอยู่บนชั้นวางหนังสือขนาดกะทัดรัดซึ่งตั้งอยู่ข้างๆบันไดไม้ซึ่งทอดตัวสู่ชั้นบนของอาคารกึ่งไม้กึ่งปูนสูงสี่ชั้นซึ่งดัดแปลงจากบ้านเก่า ทั่วทั้งบ้านเงียบเชียบยกเว้นเสียงเข็มนาฬิกา เสียงไม้ปัดขนไก่กระทบชั้นหนังสือ และเสียงหายใจของเจ้าของบ้านที่อีกมือหนึ่งคอยจัดหนังสือให้เป็นระเบียบเท่านั้น

เสียงเปาะแปะค่อยๆดังขึ้นภายนอก ตามมาด้วยเสียงซู่ซ่าที่ดังมากขึ้นๆจนอื้ออึงพร้อมกับความรู้สึกเย็นชื้นที่สัมผัสได้ทางผิวกาย ร่างสูงถอนหายใจก่อนจะละมือจากไม้ปัดขนไก่เดินไปเลื่อนปิดประตูกระจกหลังบานมุ้งลวดตรงระเบียงที่ตอนแรกเปิดไว้ให้ไอเย็นที่อวลอยู่ในอากาศตั้งแต่เช้ามืดได้ถ่ายเทเข้ามาภายในบ้าน นัยน์ตาคมใต้คิ้วโก่งได้รูปทอดมองไปยังร่มไม้ดกครึ้มรอบบริเวณบ้านที่ดูจะปรีดีไปกับสายฝนที่เทลงมาราวได้น้ำทิพย์ชโลม แล้วใบหน้าเนือยๆเมื่อชั่ววินาทีก่อนก็คลี่ยิ้มบางๆ

“เอาเถอะ ยังไงหน้าฝนอย่างนี้ก็คงไม่ค่อยมีคนขึ้นมาพักที่เกสต์เฮ้าส์เล็กๆ บนตีนเขานอกเมืองอย่างนี้สักเท่าไหร่”

เสียงทุ้มทว่าใสราวกระดิ่งเงินพึมพำกับตนเองเบาๆ ก่อนนัยน์ตาคู่สวยจะฉายแววเหงาๆ ออกมา ความทรงจำหวนกระหวัดไปยังเหตุการณ์เมื่อสองปีก่อนหน้า วันนั้น ฝนก็ตกกระหน่ำเหมือนกับวันนี้...........
เมื่อเปลี่ยนเป็น

อะไรคือเหตุผลของการโคจรมาพบกันของคนสองคนบนโลกใบนี้....พรหมลิขิต?
ยามเมื่อหัวใจสองดวงโคจรมาหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว.....ภายใต้ห้วงหนึ่งของกาลเวลา.....
ความอบอุ่นของไอรักที่เกิดขึ้น....แม้เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ หากกลับประทับตราตรึง....เนิ่นนานในความทรงจำ


************

นิ้วมือเรียวแต่แข็งแรงจับไม้ขนไก่ปัดฝุ่นที่เกาะอยู่บนชั้นวางหนังสือขนาดกะทัดรัดซึ่งตั้งอยู่ข้างๆบันไดไม้ซึ่งทอดตัวสู่ชั้นบนของอาคารสูงสี่ชั้นกึ่งไม้กึ่งปูนซึ่งดัดแปลงมาจากบ้านหลังเก่า ภายใต้ความเงียบสงัดที่ปกคลุมบ้านทั้งหลัง มีเพียงเสียงเข็มนาฬิกาโบราณเรือนใหญ่ที่ดังขึ้นอย่างสม่ำเสมอ แทรกด้วยเสียงกระทบเบาๆๆของปกหนังสือเล่มหนากับแผ่นไม้สักของชั้นวางฯเพราะผู้เป็นเจ้าของกำลังจัดวางให่้เป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนเก่า

ไม่นาน.....เสียงสายฝนโปรยปรายก็ค่อยๆดังขึ้นจากภายนอก ตามมาด้วยเสียงลมที่พัดมาพร้อมกับความรู้สึกเย็นชื้นที่สัมผัสได้ผ่านผิวกาย

ร่างสูงถอนหายใจก่อนจะละมือจากการจัดหนังสือ และเดินไปเลื่อนปิดประตูกระจกตรงระเบียงหลังบ้านที่เปิดไว้ให้อากาศถ่ายเทเข้ามาภายใน
นัยน์ตาคมใต้คิ้วโก่งได้รูปทอดมองไปยังร่มไม้ดกครึ้มรอบบ้านที่ดูเหมือนว่ากำลังยิ้มต้อนรับสายฝนที่ตกลงมาจากผืนฟ้ากว้าง.....ทุกอย่างดูมีชีวิตชีวายามเมื่อฝนหลั่ง....ข้อยกเว้นคงมีเพียงแต่ใบหน้าเรียบปราศจากความรู้สึกของเขา

“อืม....หน้าฝนอย่างนี้ก็คงไม่น่าจะมีแขกมาพักที่เกสต์เฮ้าส์เล็กๆนอกเมืองอย่างนี้สักเท่าไหร่” ชายหนุ่มพึมพำกับตนเองเบาๆพร้อมกับความเหงาที่ฉายออกมาจากนัยน์ตาคู่สวย

วันนั้น....วันที่หัวใจยังคงมีความหวัง.....เมื่อสองปีก่อน.....ฝนก็ตกกระหน่ำเหมือนกับวันนี้.........เช่นกัน




ลองดูนะครับ..... ว่าชอบหรือป่าว

สวัสดีครับ

Andreas


พออ่านที่พี่จ๋อมรีไรท์ให้แล้วเขินไปเลย  :-[ ขอบคุณมากค่ะสำหรับความเห็นและแนวทางการปรับปรุง โดยส่วนตัวแล้วชอบการบรรยายของพี่จ๋อมมาก (เห็นความต่างของมือใหม่กับมืออาชีพชัดเจนเลย เหอๆ) แต่เนื่องจากเราเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า สำหรับคนที่มีใจนิยมในการเขียน ไม่ว่าใครก็ย่อมมีวิธีการใช้สำนวนในแบบของตัวเองเหมือนเป็น signature ของคนๆนั้น อีกอย่างในฐานะเจ้าของเรื่องที่รู้ว่าเรื่องจะดำเนินไปทิศทางไหน ดังนั้นเราขอรับบทรีไรท์ที่พี่จ๋อมอุตส่าห์เขียนให้มาศึกษาเป็นแนวทาง แต่ขอไม่เอามาใช้แล้วกันนะคะ (ด้วยความเคารพจริงๆจ้า อย่าเข้าใจผิดว่าเค้าหยิ่งน้า)

ส่วนเรื่องสำนวนการใช้ภาษา ตอนเขียนเราก็พยายามถ่ายทอดให้ออกมาใกล้เคียงกับโทนที่ต้องการที่สุด ถ้าคนอ่านไม่งงและเห็นภาพตามก็ดีใจแล้วค่ะ เพราะตอนเรียนมหาลัยสี่ปีก็ไม่ได้ใช้ภาษาไทยในการเรียนเลยเหมือนกัน แต่อาศัยว่าชอบอ่านหนังสือเลยได้ซึมซับมาจากตรงนั้น ก็หวังว่าจากที่ได้ฝึกเขียนมากขึ้นเราคงมีพัฒนาการในการเขียนขึ้นบ้าง แม้จะเป็นเพียงงานอดิเรกในเวลาว่างก็ตาม (จริงๆงานหลักก็เกี่ยวข้องกับการขีดๆเขียนๆเหมือนกันแหละ แต่คนละแนวกับการเขียนนิยายเลย)

ขอบคุณพี่จ๋อมมากๆอีกครั้งสำหรับคอมเม้นต์นะคะ ได้อ่านบทวิเคราะห์จากนักอ่านที่ช่วยเป็นกระจกเงาให้แบบนี้ก็ปลื้มใจ มีกำลังใจจะขัดเกลาการเขียนให้ดียิ่งขึ้นต่อไปค่า  :pig4:


จะให้อดทนถึงไหน เดี๋ยวนายเอกเป็นโรคหัวใจตายพอดี  :a5:

พี่หนึ่ง อย่างนี้เค้าเรียกว่าดักม้าย 555 แวบมาจากนิยายจินเมะแล้วเหรอค้า (แอบรู้จากในกระทู้คนอื่น อิๆ)
แอร๊ยยยส์ มีคนรู้ความลับเราแล้ว  :m23: ถึงจะติดจินเมะไปแล้วแต่ยังมาอ่านของ บีบี นะ  :กอด1:

ไม่เป็นไรมะว่ากันจ้า ยังแวะกลับมาอ่านนิยายเค้าก็พอ (ไม่ขอมากไปนิ อิๆ  :man1: ) ขนาดเค้าเขียนนิยายตัวเองไปด้วยยังแอบแว้บไปอ่านแฟนฟิคบลีช กินทามะ ไฟนอลแฟนตาซี บลาๆๆอยู่เร้ยยย (หวาย คนอ่านรู้หมดว่าอิป้าติดหนังสือการ์ตูน ก๊ากกกก)  :jul3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 22 [อัพทันใจ 17/03/09]
เริ่มหัวข้อโดย: Andreas ที่ 28-03-2009 01:04:08
ผมขออนุญาตลบข้อความออกนะครับ เพราะคุณน้องคนเขียนได้อ่านแล้ว

Andreas
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 22 [อัพทันใจ 17/03/09]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 28-03-2009 11:18:23
Thank you ka!  ^__^
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 22 [อัพทันใจ 17/03/09]
เริ่มหัวข้อโดย: N19T ที่ 28-03-2009 23:10:19
ความรักระหว่าง ไผ่กับต้น ท่าทางจะยากมากอยู่นะค่ะ แต่ก็เอาใจช่วยทั้งคู่ค่ะ
กว่าจะ happy คงจะต้องผ่านอะไรกันอีกเยอะ อุปสรรคจากรอบข้างอีกมาก
ทางเดียวที่จะสมหวัง คือ อดทนและเชื่อมั่นในคนที่เรารักค่ะ ... สู้ สู้ค่ะ คนแต่งด้วยนะค่ะ

เนื้อเรื่อง การผูกเรื่อง ทำได้ดีค่ะ
ตัวละครแต่ละตัวน่าสนใจ การเขียนอ่านแล้วลื่นไหนดี ไม่สะดุดค่ะ ... เป็นกำลังใจให้ผู้แต่งนะค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 23 [อัพรับวันหยุด!! 5/07/09]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 05-07-2009 00:55:57
23.

รถจี๊ปสีเขียวเข้มเทียบจอดริมถนนในตรอกแคบก่อนที่คนขับจะล็อกรถแล้วรีบสาวเท้าไปยังจุดหมาย ตระการยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูก่อนจะผลักประตูรั้วเข้าไปภายในบริเวณบ้านของเพื่อนสนิทของคนรัก หลังจากที่นรพัฒน์โทรมาบอกเขาว่าพรพฤกษ์มาถึงแล้วและไม่ได้แสดงท่าทางผิดปกติอะไรเขาจึงคุยกับเจนใจต่ออย่างโล่งใจขึ้น แต่กระนั้นชายหนุ่มก็พยายามจำกัดเวลาและรีบขอตัวออกมาเมื่อผ่านไปได้เพียงครึ่งชั่วโมง หญิงสาวก็ดูจะเข้าใจความเร่งรีบของเขาจึงเพียงยื่นนามบัตรของตนให้เผื่อติดต่อก่อนจะลาจากกันที่ร้านกาแฟกลางเมืองนั่นเอง

“อ้าวต้น ว่าจะโทรตามพอดี”

นรพัฒน์หันกลับไปทักเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านหลัง ตระการกวาดสายตาไปทั่วแล้วพบว่าเจ้าของบ้านนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องนั่งเล่นเพียงลำพังโดยไร้วี่แววของคนที่เป็นห่วงจึงเอ่ยถาม

“แล้วไผ่อยู่ไหนล่ะครับ? หรือว่าไม่ได้รอผมเลยกลับไปแล้ว?”

“เปล่าๆ นอนอยู่บนห้องด้านในสุดที่ชั้นสอง ตั้งแต่พี่โทรไปบอกต้นก็ยังไม่เห็นไผ่มันออกมาจากห้องเลย สงสัยจะหลับไปแล้วมั้ง”

“เหรอครับ งั้นเดี๋ยวผมขึ้นไปหาแล้วกัน”

ใบหน้าคมระบายลมหายใจยาวอย่างโล่งอกพลางหมุนตัวเตรียมจะเดินไปที่บันได แต่แล้วก็ถูกมือผอมเกร็งรั้งไหล่ไว้จนเขาต้องหันไปหาเจ้าของมือพลางขมวดคิ้ว

"พี่นอมีอะไรหรือเปล่าครับ?"

“ตกลงเมื่อกี้มีเรื่องอะไรกัน ไผ่บอกแค่ว่าต้นเจอเพื่อนเก่าเลยขอแยกมาที่นี่ก่อน แต่จริงๆแล้วคงไม่ใช่แค่เพื่อนธรรมดาหรอกใช่ไหม?”

นรพัฒน์ปล่อยมือที่ยึดบ่าหนาไว้พลางกอดอกมองใบหน้าของคนที่ทำท่ากระอักกระอ่วนด้วยแววตาเยียบเย็น ตระการจึงต้องเรียบเรียงคำพูดอย่างระมัดระวังก่อนจะเอ่ยตอบ

“ตอนนี้เป็นแค่เพื่อนครับ แต่ผมไม่รู้ว่าไผ่จะเข้าใจอย่างนั้นหรือเปล่า เพราะงั้นผมถึงได้เป็นห่วงตอนที่เค้าแยกมาก่อนว่าจะไปที่อื่นแทนที่จะมาหาพี่นออย่างที่พูด”

ตระการมองตอบสายตาค้นหาของอีกฝ่ายก่อนจะยกมือลูบหน้า ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพรพฤกษ์ต้องคิดมากไปเองแน่ๆแม้ฝ่ายนั้นจะไม่ได้สื่อท่าทางกังวลใจให้ใครเห็นก็ตาม นรพัฒน์จึงพยักหน้าโดยที่ยังไม่คลายมือที่กอดอกไว้ออก

“เข้าใจล่ะ มิน่าเจ้าตัวถึงได้ทำท่าแบบนั้น ว่าแต่ช่วงหลังนี้ไผ่ดูซึมๆไปหรือเปล่า? เมื่อก่อนเพื่อนพี่ไม่เคยเป็นแบบนี้ ต้นรู้ใช่มั้ย?”

“ครับ เพราะงั้นผมถึงต้องรีบไปคุยกับไผ่ตอนนี้เลยก่อนเค้าจะคิดมากอีก ยังไงเราค่อยคุยกันทีหลังเถอะนะครับ”

ร่างสูงรีบตัดบทพลางหันกลับไปยังบันได แต่แล้วก็ถูกเจ้าของบ้านเรียกตัวไว้อีกครั้งจนเขาชักจะเริ่มหงุดหงิดขึ้นมา

“ครับ?”

“ขอโทษที่ต้องเรียกไว้อีกที แต่พี่ต้องขอถามในฐานะที่เป็นเพื่อนสนิทกับไผ่มานาน ตกลงต้นจะเอายังไงกันแน่ คงไม่คิดจะอยู่กันไปเรื่อยๆอย่างนี้โดยไม่เคลียร์เรื่องที่บ้านหรอกใช่ไหม?”

ตระการชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวขึ้นบันไดก่อนจะหันกลับไปมองคนถาม นัยน์ตาคมเต็มไปด้วยประกายสงสัยจนคนถามต้องถอนหายใจ

“คือจริงๆทั้งพี่ทั้งไอ้ย่ามก็เคยคุยเรื่องนี้กันแต่ไม่ได้บอกไผ่มันหรอก แต่ว่าต้นคิดจะทิ้งงานทิ้งครอบครัวที่กรุงเทพฯมาอยู่ที่นี่กับไผ่โดยไม่ติดต่อกับทางนั้นเลยเหรอ แล้วเคยคุยกับไผ่เรื่องอนาคตอย่างจริงจังบ้างหรือยัง พี่ไม่สงสัยหรอกว่าต้นแคร์ไผ่จริงๆถึงได้พักงานมาดูแลมันตลอดสองเดือนที่ผ่านมา แต่ว่าหลังจากนี้ไปล่ะ ต้นจะทิ้งความจริงที่ว่าตัวเองยังมีความรับผิดชอบอยู่ที่กรุงเทพฯหรือไง แล้วพ่อของต้นอีกล่ะ นี่มันไม่ใช่นิยายที่พระเอกนางเอกหนีตามกันไปสร้างครอบครัวแสนสุขอยู่ที่กระท่อมปลายนานะ นอกจากจะง้อไผ่เรื่องเจอแฟนเก่าแล้ว ลองเปิดใจคุยเรื่องนี้กันอย่างจริงจังดูสักครั้งเถอะ พี่มีเรื่องจะพูดแค่นี้แหละ”

นรพัฒน์เอ่ยทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกไปจากห้องนั่งเล่น ทิ้งให้ร่างสูงใหญ่ยืนอึ้งมองตามหลังคนพูดอยู่บนบันได มือแข็งแรงบีบราวบันไดแน่นพลางคิดตามสิ่งที่เพิ่งได้ยิน ทุกอย่างที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมากระทบใจเขาหมดโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องในส่วนที่เกี่ยวกับบิดา ถึงแม้เขาจะไม่เคยปริปากเล่าเรื่องส่วนตัวให้เพื่อนๆของพรพฤกษ์หรือแม้แต่เจ้าตัวฟังก็จริง แต่ข่าวของธุรกิจของตฤณ สุวรรณฤทธิ์ซึ่งตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์อยู่เป็นระยะก็คงไม่รอดพ้นการสังเกตของคนที่รู้จักเขาไปได้อยู่ดี

เป็นความจริงที่ว่าตลอดสองเดือนที่ผ่านมาเขามัวแต่พยาบาลคนเจ็บจนไม่ทันคิดถึงเรื่องการพูดคุยกับพรพฤกษ์ในเรื่องระยะยาว เขาไม่ต้องการให้คนรักไม่สบายใจหากได้รู้ว่าบิดาเคยยื่นคำขาดกับตนเรื่องของอีกฝ่ายไว้อย่างไร ประกอบกับท่าทางเซื่องซึมของคนเจ็บหลังออกจากโรงพยาบาลเป็นต้นมา เขาจึงได้แต่หลีกเลี่ยงที่จะคุยถึงเรื่องในอนาคตกันอย่างจริงๆจังๆมาตลอด

การที่ได้ไปร่ำเรียนในต่างประเทศหลายปีทำให้ตระการได้เรียนรู้การใช้ชีวิตที่ต้องพึ่งตนเอง เขาจึงไม่ใส่ใจนักหากจะต้องทิ้งมรดกและตำแหน่งหน้าที่ไปเพราะถึงอย่างไรก็มีวิชาความรู้ที่หาเลี้ยงตัวเองได้ แต่ถึงแม้ความสัมพันธ์ของเขากับบิดาจะห่างไกลคำว่าใกล้ชิดหรือแม้แต่ราบรื่นอยู่มากโข เขาก็คงไม่สามารถทิ้งบิดาที่มีโรคประจำตัวร้ายแรงเอาไว้กับธุรกิจในเครืออันยิ่งใหญ่เพียงลำพัง แม้จะไม่เคยมีใครมาบอกกับเขาตรงๆแต่เขาก็รู้ดีว่าตฤณตั้งความหวังกับเขาในการรับช่วงกิจการที่ถูกก่อร่างขึ้นมาตั้งแต่ก่อนเขาเกิดมากเพียงใด และหากเขาเลือกพรพฤกษ์โดยไม่ปรับความเข้าใจกับบิดา ความรู้สึกผิดที่คงจะตามกัดกร่อนจิตใจว่าตัวเองเป็นลูกอกตัญญูก็คงทำให้เขามีความสุขกับคนที่รักได้ไม่เต็มที่อย่างแน่นอน  

ตระการส่ายหน้าก่อนจะรีบก้าวขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของตัวบ้าน ถึงอย่างไรสักวันเขาก็คงต้องคุยเรื่องนี้กับพรพฤกษ์เพื่อช่วยกันหาทางออกว่าจะทำอย่างไร แต่สิ่งที่เขาจำเป็นต้องทำในตอนนี้คือการสร้างความมั่นใจให้อีกฝ่ายก่อนว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต พรพฤกษ์จะเป็นคนสุดท้ายที่เขาจะยอมปล่อยมือต่อให้เขาต้องหันหลังให้กับทุกอย่างในชีวิตก็ตาม

มือใหญ่เคาะประตูห้องที่นรพัฒน์บอกไว้ก่อนจะบิดลูกบิดเข้าไป ไหล่หนาลู่ลงด้วยความโล่งใจที่เห็นร่างของคนรักเพียงนอนตะแคงหันหลังให้เขาอยู่บนเตียงจึงเข้าไปนั่งใกล้ๆ ปลายนิ้วแกร่งยกขึ้นลูบผมที่ปรกอยู่บนหน้าผากแล้วก็ต้องเอะใจที่อีกฝ่ายนอนนิ่งไม่ส่งเสียงตอบรับจึงพลิกไหล่บางให้หันมาหา แล้วชายหนุ่มก็ต้องตกใจเมื่อเห็นหยาดน้ำใสอาบบนใบหน้าเนียนที่กำลังมองสบตาเขานิ่งอย่างไม่แสดงความรู้สึก

“ไผ่! เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม?”

อ้อมแขนแข็งแรงรีบฉุดร่างที่นอนอยู่ให้ลุกนั่งแล้วกอดไว้แนบอกพลางลูบหลังบางขึ้นลง ทว่าคนในอ้อมแขนก็ยังคงไม่ยอมอธิบายว่าเป็นอะไรจนตระการต้องจับไหล่บางสองข้างดันออกเพื่อมองหน้าอย่างค้นหา แต่คนที่ถูกจ้องก็เพียงแค่หันหน้าหนีสายตาแล้วเอ่ยตอบเสียงเรียบ

“พี่ไม่ได้เป็นอะไร”

คิ้วเข้มบนใบหน้าคมขมวดมุ่นขณะจ้องคนตรงหน้าที่มองไปทางอื่น นี่พรพฤกษ์คิดว่าตัวเองยังเล่นบทพี่ชายอยู่ต่อหน้าเขากับเจนใจหรืออย่างไรกัน

“ไผ่ ตอนนี้ไผ่อยู่กับต้นแค่สองคนนะ และไผ่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าไผ่ไม่ใช่พี่ชายของต้น เพราะงั้นเลิกเรียกตัวเองแบบนั้นได้แล้ว”

ตระการเอ่ยเสียงเข้มตามอารมณ์ที่เริ่มคุกรุ่นเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังตั้งแง่ห่างเหิน ไหล่บางใต้ฝ่ามือแข็งแรงสั่นไหวเมื่อรู้สึกถึงแรงบีบที่เพิ่มน้ำหนักขึ้น แต่ถึงกระนั้นใบหน้าหวานก็ยังปฏิเสธที่จะหันมาสบตากับคนพูด

“ทำไมล่ะ ก็ในเมื่อแม่พี่กลายไปเป็นแม่ของต้น เราก็ต้องเป็นพี่น้องกันไม่ถูกเหรอ ถ้าไม่ให้เป็นพี่ชาย แล้วเราสองคนยังจะเหลือความสัมพันธ์แบบไหนให้เรียกได้อีกล่ะ?”

ประโยคคำถามที่เจือด้วยน้ำเสียงสั่นเครือทำให้คนฟังต้องรีบรั้งร่างเพรียวเข้ามาไว้ในอ้อมกอด ตระการรู้สึกเจ็บแปลบในอกเมื่อได้ยินเสียงสะอื้นที่หลุดออกมาจากปากของคนในอ้อมแขนแม้อีกฝ่ายจะพยายามกดเสียงไว้ก็ตาม ริมฝีปากอุ่นแนบลงบนขมับเนียนก่อนจะลูบหลังอีกฝ่ายไปมาเมื่อคนในอ้อมกอดเริ่มสั่นมากขึ้นเรื่อยๆ

“ต้น...ต้นไม่น่ามาเจอไผ่เลย”

คำตัดพ้อที่เอ่ยขึ้นท่ามกลางเสียงสะอื้นทำให้คนฟังยิ่งใจแป้ว ตระการหลับตาอย่างข่มอารมณ์เมื่อรู้สึกถึงความเปียกชื้นจากน้ำตาของอีกฝ่ายที่ซึมผ่านเสื้อของตนพลางกอดร่างในอ้อมแขนแน่นขึ้นอีก

“ไม่เอานะไผ่ อย่าพูดอย่างนี้ ต้นอยากเจอไผ่ต้นถึงมาตามหา ต้นเคยบอกแล้วใช่มั้ยว่าต้นรักไผ่ เพราะงั้นอย่าพูดอย่างนี้อีก”

ร่างสูงใหญ่เอ่ยขอเสียงพร่า แต่เขาก็รู้ดีว่าในเวลาเช่นนี้หากเขาไม่เป็นหลักที่มั่นคงให้อีกฝ่ายยึดไว้พรพฤกษ์คงยิ่งสูญเสียความมั่นใจในตัวเขามากเข้าไปอีก นัยน์ตาคมกระพริบถี่ไล่ไอร้อนในกระบอกตาก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก อ้อมแขนอุ่นดันร่างเพรียวออกห่างพลางจูบซับน้ำตาและลูบผมที่ชื้นเหงื่อจนแนบหน้าผากออกให้ แต่นัยน์ตาหวานคมก็ยังคงไม่ยอมลืมขึ้นสบตากลับอยู่ดี

“ไผ่...ลืมตามองต้นสิ”

คนถูกขอยิ่งหลับตาแน่นขึ้นพลางส่ายหน้า แต่แล้วนัยน์ตาคู่สวยก็เบิกโพลงอย่างตกใจเมื่อได้ยินเสียงตวาด

“ไผ่ ต้นบอกว่าให้มองต้นไง!!”

ตระการหอบหายใจแรงจนตัวโยน แต่แล้วเมื่อเห็นแววตาที่สะท้อนความกลัวซึ่งจ้องตนกลับพร้อมกับไหล่บางที่สั่นไหวขึ้นมาอีกก็ต้องหลับตาลงด้วยความเจ็บปวด

นอกจากจะไร้น้ำยาที่จะทำให้คนรักสบายใจแล้ว นี่เขายังทำให้อีกฝ่ายกลัวตัวเองเพิ่มขึ้นอีกงั้นหรือ

“ขอโทษที่ขึ้นเสียง แต่ขอร้องล่ะไผ่ อย่าทำตัวเย็นชาแบบนี้ ฟังสิ่งที่ต้นจะพูดบ้าง”

พรพฤกษ์สะดุ้งเมื่ออ้อมแขนของอีกฝ่ายรั้งเอวตนเองไปโอบไว้หลวมๆขณะที่ใบหน้าคมก้มลงซบบนบ่า ทว่าอีกฝ่ายก็ไม่ได้ทำอะไรเกินเลยไปกว่านั้นราวกำลังสำนึกผิดที่ทำให้เขาตกใจเมื่อครู่ ร่างเพรียวเงียบฟังเสียงหายใจแรงของอีกฝ่ายก่อนจะค่อยๆเลื่อนมือขึ้นกอดร่างสูงใหญ่ตอบ แก้มเนียนแนบลงกับศีรษะของคนที่ยังคงซบไหล่ตนเองก่อนจะระบายลมหายใจยาว แต่แล้วความเข้มแข็งที่ถูกดึงกลับมาชั่วครู่ก็พังทลายลงอีกเมื่อได้ยินเสียงสูดน้ำมูกจากเจ้าของแผ่นหลังใหญ่ที่มือของตนทาบอยู่

“ต้น ต้น ขอโทษ ไผ่ขอโทษ”
  
ทำนบน้ำตาที่หยุดไหลดูจะทลายลงมาอย่างรุนแรงมากกว่าเดิม ทั้งสองร่างโอบกอดกันและกันแน่นขณะที่เอ่ยคำขอโทษและปลอบโยนให้แก่กันไม่หยุด ครั้งนี้ตระการยอมให้คนในอ้อมแขนร้องไห้อย่างเต็มที่เพราะเขารู้ว่าที่ผ่านมาอีกฝ่ายเก็บกดความอัดอั้นตันใจเอาไว้มานานจนเกินพอแล้ว

“ไผ่ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว ตั้งแต่ต้นกลับมาหาก็ดีใจ แต่ก็มีเรื่องพ่อของต้น แล้ววันนี้ก็เจอผู้หญิงคนนั้นอีก ไผ่กลัว...กลัวจริงๆว่าถ้าเราคบกันต่ออนาคตจะเป็นยังไง ไผ่ไม่อยากรู้สึกแบบนี้แล้ว ต้น...ต้น”

ตระการสูดหายใจเข้าลึก ใช่ว่าเขาจะไม่คุ้นกับอาการร้องไห้แล้วพูดเพ้อของอีกฝ่ายเพราะตลอดสองเดือนที่ผ่านมาเขาต้องตื่นมาคอยปลอบยามอีกฝ่ายร้องไห้ละเมออยู่แล้ว แต่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่พรพฤกษ์แสดงอาการแบบนี้ทั้งที่มีสติครบถ้วนและพูดกับเขาตรงๆถึงเรื่องที่รบกวนจิตใจมาตลอด

“ต้นอยู่ตรงนี้ตลอดนะไผ่ ต้นไม่ทิ้งไผ่ไปไหนแน่นอน ต้นสัญญา”

ชายหนุ่มประคองท้ายทอยเหนือลำคอเรียวให้เงยขึ้นรับจูบที่แนบลงบนริมฝีปากนิ่มอย่างแผ่วเบา พรพฤกษ์กระพริบตาที่ชุ่มด้วยหยาดน้ำขึ้นสบตากับนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มก่อนจะเอนหน้าลงซบบ่าอีกฝ่ายตามฝ่ามือที่กดเบาๆลงบนหลังคอ อ้อมแขนเรียวกระชับรอบเอวหนาแน่นขึ้นเมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังทำเช่นเดียวกับตนก่อนจะปล่อยน้ำตาให้หลั่งไหลโดยไม่อดกลั้นไว้อีก

ร่างเพรียวสูดหายใจเข้าลึกเพื่อชดเชยอากาศที่ดูจะถูกแย่งไปตอนที่เขาร้องไห้อย่างหนักเมื่อครู่ ชายหนุ่มกำเสื้ออีกฝ่ายแน่นก่อนจะเอ่ยถามเสียงเครือ เขาแค่ต้องการฟังความจริงจากปากของคนที่รักเพื่อให้ความกระวนกระวายที่เกาะกุมจิตใจหลุดไปเสียที

“ผู้หญิงคนที่เจอเมื่อกี้...แฟนเก่าของต้นใช่มั้ย?”

ตระการเงี่ยหูฟังคำถามที่เบาจนแทบไม่ได้ยิน ชายหนุ่มลูบหลังบางไปมาก่อนจะประทับจูบบนเรือนผมนุ่ม เขารู้นิสัยพรพฤกษ์ดีว่าเปล่าประโยชน์หากคิดจะโกหกอีกฝ่ายเพื่อเอาใจ และเขาเองก็ไม่ได้คิดจะปิดบังเรื่องราวที่ผ่านเลยมาแล้วเพราะถึงอย่างไรเจ้าตัวก็คงจะพอเดาได้อยู่ดี

“ต้นยอมรับว่าเคยคบกับเค้าจริง แต่เราเลิกกันมาสามปีแล้วล่ะ อีกอย่างเค้าเป็นคนบอกเลิกต้นก่อนด้วยซ้ำ”

“งั้นถ้าเค้าไม่ได้บอกเลิก ตอนนี้ต้นก็คงยังคบกับเค้าอยู่สินะ?”

เสียงที่เอ่ยถามไม่ได้แฝงแววน้อยใจ เหมือนอีกฝ่ายถามเป็นทำนองความเป็นไปตามหลักเหตุผลเสียมากกว่า ตระการจึงหัวเราะในคอเบาๆก่อนจะกอดคนในอ้อมแขนแน่นขึ้น

“ถึงเจนจะไม่บอกเลิกก่อน พอถึงวันที่ต้นจะกลับมาก็คงต้องบอกเลิกเจนอยู่ดี เพราะต้นตั้งใจไว้แล้วว่าถ้าเรียนจบกลับมาจะตามหาคนที่อยากพบให้เจอ แล้วก็เพราะคนคนนั้นน่ะแหละที่ทำให้เจนเค้ารู้ว่าต้นมีใครอยู่ในใจมาตลอด เค้าถึงได้ขอเลิกไง”

พรพฤกษ์ปล่อยให้ความหมายของสิ่งที่ได้ยินค่อยซึมซับเข้าในหัวอย่างช้าๆ ชายหนุ่มรู้สึกว่าหน้าร้อนวูบขึ้นขณะที่ในอกพองฟูด้วยความดีใจ เขายังจำได้ดีถึงความจริงที่ตระการเคยเล่าให้ฟังตอนเลิกกันครั้งแรกว่าอีกฝ่ายรู้จักตัวเองได้อย่างไร แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่เคยปักใจเชื่อมาก่อนว่าการที่แค่ได้เห็นรูปถ่ายกับได้ฟังเรื่องราวของเขาจากมารดาเท่านั้นจะทำให้ตระการยึดติดกับเขาถึงเพียงนี้

หรือว่าความจริงยังมีเรื่องอะไรที่อีกฝ่ายยังไม่เล่าให้เขาฟังกันแน่นะ...

“งั้นต้นก็นิสัยไม่ดีน่ะสิ ทั้งที่ไม่ได้รักเขาแล้วยังไปคบกับเขาอีก”

ตระการยิ้มกับคำตำหนิของคนที่กำลังซุกตัวเข้าหาอ้อมอกของเขา น้ำเสียงที่แจ่มใสขึ้นทำให้เขาโล่งใจว่าอีกฝ่ายคงเริ่มอารมณ์ดีขึ้นบ้างแล้ว ร่างสูงใหญ่จึงพลิกตัวคนในอ้อมแขนให้เอนลงบนเตียงก่อนจะเท้าศอกคร่อมไว้

“ก็ตอนนั้นไม่แน่ใจว่าจะได้เจอคนนี้ไหมนี่นา แต่ตอนนี้เจอแล้ว รักแล้ว จะไม่ไปหาคนอื่นอีกแล้วด้วย”

ใบหน้าหวานแดงเรื่อขึ้นกับคำบอกรักอย่างแน่วแน่ของเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่จ้องตัวเองนิ่ง เจ้าของนัยน์ตาสีนิลวาววับปิดเปลือกตาลงเมื่อคนเบื้องบนก้มหน้าลงหาแล้วประทับริมฝีปากลงบนกลีบปากอิ่ม พรพฤกษ์เผยอริมฝีปากขึ้นเมื่อรู้สึกว่าปลายลิ้นอุ่นกำลังไล้มุมปากของตนอย่างแผ่วเบา ก่อนจะอนุญาตให้อีกฝ่ายลิ้มรสหวานภายในด้วยความเต็มใจ

ตลอดช่วงสองเดือนที่ผ่านมา พรพฤกษ์ใช้เวลาทุกวันที่ไหลผ่านหมดไปกับความไม่มั่นใจ ทั้งที่มีคนที่รักคอยห่วงใยและอยู่เคียงข้าง แต่เขากลับรู้สึกราวกับความสุขที่มีนั้นพร้อมจะถูกกระชากกลับไปได้ตลอดเวลา เขาไม่ต้องการเป็นตัวถ่วงของตระการเพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายมีความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่แค่ไหนรออยู่ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่อยากปล่อยมือจากความอบอุ่นที่คอยค้ำจุนตัวเองไว้ยามอ่อนแอ และบางทีความขัดแย้งในตัวเองของความรู้สึกทั้งสองนั้นคงเป็นสาเหตุให้เขาสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไปทีละน้อย จวบจนความอึดอัดใจที่ทยอยเก็บสั่งสมไว้ถึงคราวระเบิดออกเพราะการได้เห็นคนรักเก่าของตระการกระมัง

นัยน์ตาหวานคมเหลือบขึ้นทันทีที่รู้สึกถึงความร้อนรุ่มซึ่งกำลังกดทับตนจากร่างเบื้องบน ร่างเพรียวสั่นสะท้านเมื่อมือใหญ่ข้างหนึ่งเลื่อนเข้าลูบแผ่นอกตึงแน่นขณะที่ซอกคอถูกริมฝีปากร้อนขบเม้มจนเขาต้องบีบต้นแขนแกร่งด้วยความตกใจ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 23 [อัพรับวันหยุด!! 5/07/09]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 05-07-2009 00:56:34
“ต้น...เดี๋ยวก่อน”

“อืมม์...ไม่เดี๋ยวแล้ว คิดว่าต้นรอมานานแค่ไหน สองปีกว่านี่คนอื่นเค้ามีลูกเดินได้แล้วนะไผ่ โอ๊ย”

ตระการอุทานด้วยความเจ็บเมื่อโดนมือที่บีบแขนเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นหยิกแทน แต่กระนั้นมืออุ่นก็ยังไม่หยุดการเล้าโลมผิวเนื้อเนียนแน่นขณะที่จงใจเบียดหน้าขาของตนลงกับร่างเบื้องล่างมากขึ้นอีก พรพฤกษ์ตวัดสายตามองอีกฝ่ายตาเขียวทั้งที่หน้าซับสีเลือดจนแดงก่ำไปทั้งหน้า

“แต่นี่มันบ้านคนอื่นนะ! เกิดนอขึ้นมาตามจะบอกว่ายังไง!?”

เสียงครางที่เล็ดลอดออกมาเมื่อมือใหญ่จงใจเลื่อนลงไปลูบผิวใต้ขอบกางเกงอีกฝ่ายทำให้ใบหน้าคมยิ้มทะเล้นขณะที่พรพฤกษ์รีบยกมือขึ้นปิดปาก ตระการก้มลงจูบปลายจมูกโด่งก่อนจะดึงชายเสื้อเนื้อบางขึ้นให้พ้นตัวคนในอ้อมแขนทั้งที่อีกฝ่ายพยายามขืนไว้เต็มที่  

“ก็ไม่เห็นต้องบอกว่าไง เค้าก็รู้อยู่แล้วว่าเราเป็นอะไรกัน อีกอย่างเค้าอยากให้เรารีบๆดีกันจะตาย ไม่ขึ้นมาขัดจังหวะอยู่แล้วล่ะ”

“แต่ว่า...ไผ่...ยัง...”

พรพฤกษ์เอ่ยตะกุกตะกักเมื่อรับรู้ถึงอุณหภูมิของร่างสูงใหญ่ที่ถอดเสื้อตัวเองออกบ้างแล้วทาบทับลงหา จริงอยู่ว่าเขาคุ้นเคยกับการนอนกอดอีกฝ่ายโดยที่ตระการเปลือยท่อนบน แต่ด้วยความที่ช่วงนั้นเขาเพิ่งออกจากโรงพยาบาลบวกกับตระการเองก็ดูจะเข้าใจว่าสภาพจิตใจของเขาไม่พร้อมสำหรับความสัมพันธ์ทางกาย อีกฝ่ายจึงไม่เคยเร่งเร้าหรือแสดงความต้องการให้เขาอึดอัดเลยสักครั้ง แต่ดูเหมือนว่าคราวนี้คนตัวโตกว่าจะไม่ยอมอดทนเป็นสุภาพบุรุษให้อีกแล้ว

ถึงแม้จะไม่เคยมีคนรักมาก่อนแต่พรพฤกษ์ก็พอจะรู้ว่าคู่รักวัยเดียวกับเขาที่ไม่เคยมีความสัมพันธ์ทางกายลึกซึ้งทั้งที่คบกันมาสองปีกว่าคงฟังแล้วแปลกเต็มที แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้เตรียมทำใจมาก่อนว่าจู่ๆจะถูกคนรักรุกไล่เอากะทันหันแบบนี้ทั้งที่เพิ่งมีเรื่องผิดใจกัน ร่างเพรียวสะดุ้งเฮือกเมื่อรู้สึกถึงมืออุ่นที่กำลังโอบรอบส่วนอ่อนไหวของตัวเองโดยที่ไม่ทันรู้ตัวเลยว่ากางเกงถูกดึงออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ นัยน์ตาหวานปิดแน่นเมื่อมือข้างนั้นยิ่งเร่งการเคลื่อนไหวมากขึ้น แม้จะไม่ถึงกับรุนแรง แต่ก็ปลุกเร้ากระแสความต้องการให้ซึมซาบไปถึงปลายนิ้วจนจวนเจียนจะคลั่ง

“ต้น...ไม่เอา...”

เสียงใสพยายามจะเอ่ยทัดทานเมื่อรู้สึกถึงปลายนิ้วอุ่นที่รุกล้ำเข้ามาในร่างกาย สัมผัสอุ่นชื้นจากปลายลิ้นที่แหย่เย้าบนยอดอกทำให้ใบหน้าหวานส่ายหน้าชื้นเหงื่อไปมาขณะกัดริมฝีปากแน่น

“ไผ่ อย่ากัดปากสิ ไม่มีใครได้ยินหรอก”

คนที่กำลังถูกฉวยโอกาสปรือตาขึ้นมองคนพูดราวสติกำลังล่องลอยไปไกล แม้ส่วนลึกในหัวที่กำลังเบลอจะนึกแย้งแต่เมื่ออีกฝ่ายใช้นิ้วหัวแม่มือข้างที่ว่างดุนที่ริมฝีปากอิ่ม พรพฤกษ์ก็เข้าใจคำขออย่างไร้เสียงนั้นและเผยอปากออกดูดดุนนิ้วใหญ่นั้นอย่างขวยเขิน ตระการยิ้มกับท่าทางของคนรักก่อนจะก้มลงแนบริมฝีปากกับหน้าผากเนียนพลางถอนนิ้วที่วนไล้อยู่ในร่างอีกฝ่ายเพื่อให้ตัวเองเข้าแทนที่

“อ๊ะ! ต้น…เจ็บ!”

“ชู่ววว ไม่เป็นไร ไผ่หายใจออกช้าๆนะ อย่าเกร็ง ต้นไม่ทำแรงหรอก อย่าเกร็งนะ”

พรพฤกษ์กัดฟันขณะพยายามเต็มที่ที่จะผ่อนคลายตามที่อีกฝ่ายบอก ทว่าความแข็งแกร่งอันไม่เคยคุ้นซึ่งกำลังแทรกเข้ามาภายในไม่ใช่สิ่งที่เขาจะบอกร่างกายให้รับได้ง่ายๆ นิ้วเรียวจิกเล็บลงบนไหล่กว้างแน่นจนตระการต้องสูดลมหายใจลึกพลางลูบต้นขาและส่วนอ่อนไหวของอีกฝ่ายเพื่อเบนความสนใจจนเขาค่อยๆเคลื่อนตัวเข้าลึกขึ้นได้ทีละนิด

“ไม่เป็นไรนะไผ่ เข้าไปหมดแล้วนะ”

ตระการหอบหายใจพลางเอ่ยปลอบเจ้าของใบหน้าหวานที่ปิดตาแน่นเพราะความสุขสมปนทรมาน  ริมฝีปากอุ่นก้มลงจุมพิตซับน้ำตาที่ไหลลงจากหางตากลมโต เขาเองเมื่อได้เป็นหนึ่งเดียวกับคนที่รักและเฝ้าดูแลมานานก็แทบจะทนที่จะไม่ทำตามความปรารถนาในใจไม่ไหว แต่เขาก็ไม่ต้องการให้พรพฤกษ์มีประสบการณ์ไม่ดีกับครั้งแรกจนหวาดกลัวครั้งต่อไปจึงพยายามข่มใจแล้วอ่อนโยนกับอีกฝ่ายอย่างเต็มที่

ร่างสูงใหญ่ค่อยๆขยับตัวอย่างเชื่องช้าเพื่อให้คนในอ้อมแขนได้คุ้นชินกับร่างกายของตน พรพฤกษ์หลับตาแน่นด้วยความอายขณะที่คนเบื้องบนพรมจูบลงบนใบหน้า เขารับรู้ถึงทุกการเคลื่อนไหวของคนรักและความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นจากรสสัมผัสจนไม่กล้าลืมตาขึ้นสบตากับอีกฝ่าย แต่กระนั้นความสุขสมที่ได้รับก็ทำให้ร่างเพรียวหลุดเสียงครางเป็นระยะแม้ว่าจะพยายามยกมือขึ้นปิดปากแล้วก็ตาม

“อื้อออ....ต้น...อึ๊...ฮึก!”

จังหวะการขยับกายของร่างสูงโหมเร้ายิ่งขึ้นเมื่อคนในอ้อมแขนเริ่มตอบรับการรุกรานของตนบ้างแล้ว พรพฤกษ์กรีดร้องเมื่อความหวานซ่านที่ได้รับจากคนเบื้องบนนั้นเกินกว่าที่ร่างกายจะรับไหว ตระการประสานปลายนิ้วเข้ากับมือทั้งสองข้างของพรพฤกษ์และก้มลงจูบริมฝีปากอิ่มเมื่อรู้สึกถึงพายุอารมณ์ที่กรรโชกขึ้นถึงขีดสุด ร่างแกร่งกระตุกเกร็งเมื่อรับรู้ถึงความอุ่นแน่นที่รองรับตนอยู่ก่อนจะปลดปล่อยความปรารถนาไปตามพายุอารมณ์ที่เกินจะควบคุมอีกต่อไป

ชายหนุ่มทิ้งตัวลงกอดคนในอ้อมแขนที่ตัวอ่อนปวกเปียกไปหมดเอาไว้แน่นอย่างหวงแหน เสียงหอบหายใจแรงดังประสานจากสองร่างที่ต่างลูบไล้ร่างชื้นเหงื่อของกันและกันไปมา ตระการแนบริมฝีปากลงบนหน้าผากที่มีปอยผมเปียกชื้นระอยู่อย่างรักใคร่ ความรู้สึกเต็มตื้นจากความสุขที่ผู้เป็นที่รักมอบให้ทำให้ร่างสูงใหญ่ไม่อยากปล่อยแขนจากร่างเพรียวในทันที แต่แล้วเสียงครางจากคนในอ้อมแขนก็ทำให้เขาต้องชันศอกขึ้นพลางค่อยๆถอยตัวออกแล้วล้มลงนอนข้างคนรักแทน

นัยน์ตาหวานของพรพฤกษ์ยังคงปิดสนิท แผ่นอกเรียบกระเพื่อมถี่ตามจังหวะการหอบหายใจหลังความสุขสมที่ร่างกายเพิ่งได้รับ ใบหน้าเนียนซึ่งเป็นสีชมพูเรื่อมีหยาดเหงื่อฉาบบางๆจนล้อแสงในห้องเป็นประกาย ตระการยิ้มก่อนจะรั้งร่างที่นอนข้างๆมากอดแนบอกจนได้ยินเสียงหัวใจที่ยังเต้นแรงของอีกฝ่ายชัดเจน

“นึกว่าจะตายแล้ว...”

ตระการเลิกคิ้ว แต่ร่างในอ้อมแขนกลับซุกเข้าหาอกเขามากขึ้นเพื่อเลี่ยงการสบตา ชายหนุ่มจึงลูบแผ่นหลังที่ชื้นเหงื่อของพรพฤกษ์ไปมาพลางกระซิบถามด้วยเสียงอ่อนโยน

“บอกแล้วว่าต้นไม่ทำไผ่เจ็บหรอก คราวนี้จะเชื่อได้หรือยัง?”

มือเรียวข้างหนึ่งยกขึ้นทุบไหล่กว้างอย่างอ่อนแรง แต่ท่าทางเขินอายกลับทำให้คนถูกทุบหัวเราะเสียงเบา การได้แนบกายชิดใกล้กันเมื่อครู่ยิ่งทำให้ตระการตระหนักยิ่งขึ้นว่าความรู้สึกที่เขามีให้คนขี้อายคนนี้ลึกซึ้งมากแค่ไหน และต่อให้ต้องฝ่าฟันกับอุปสรรคยิ่งใหญ่เพียงใดเขาก็จะไม่มีวันปล่อยพรพฤกษ์ไปอย่างแน่นอน

“ไผ่ ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ นี่กะจะไม่มองต้นทั้งวันเลยเหรอ?”

น้ำเสียงตัดพ้อของคนถามที่กำลังนวดท้ายทอยให้เบาๆทำเอาคนถูกถามทำสีหน้าไม่ถูก แต่ถึงอย่างนั้นร่างเพรียวก็ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายอยู่ดี พรพฤกษ์เคยนึกกลัวการมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับตระการเพราะไม่มีคนรู้จักรอบกายที่จะขอคำปรึกษาได้ อีกอย่างพอจะลองเปิดหาข้อมูลจากหนังสือหรือเว็บไซต์ก็เกิดอาการเขินอายเมื่อจินตนาการภาพของเขาทั้งคู่ขึ้นมาจนสุดท้ายก็ไม่เคยอ่านคำแนะนำได้ตลอดรอดฝั่งสักครั้ง เขาจึงไม่เคยรู้สักทีว่าควรจะคาดหวังอะไรหรือต้องทำอะไรระหว่างการมีสัมพันธ์กับคนรัก นี่จึงเป็นครั้งแรกที่จู่ๆก็ได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงทั้งที่ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาก่อนเลย

มือใหญ่ที่เลื่อนลงบีบเนินเนื้อด้านหลังฉุดคนที่กำลังคิดฟุ้งซ่านให้กลับมาสู่เหตุการณ์ปัจจุบัน จริงอยู่ว่าเมื่อครู่ตระการอ่อนโยนกับเขา และ 'ความเจ็บ' ที่ตนเคยหวาดกลัวก็ไม่ได้มากเท่ากับที่ใจนึกหวั่น แต่กระนั้นความระบมที่ยังตกค้างอยู่ก็ทำให้ชายหนุ่มไม่คิดว่าตนจะพร้อมให้คนรักย่ามใจได้ติดต่อกัน พรพฤกษ์รีบคว้ามือที่กำลังอยู่ไม่สุขเอาไว้แล้วถอยตัวมองอีกฝ่ายตาเขียวทันที

“อย่านะต้น ถ้าทำอีกรอบคราวนี้ไม่พูดด้วยจริงๆด้วย”

ทั้งที่เอ็ดด้วยเสียงดุจนคาดว่าคงได้เห็นสีหน้าผิดหวัง แต่ใบหน้าคมที่มองคนดุกลับนั้นทอยิ้มจนนัยน์ตาเป็นประกาย เมื่อร่างเพรียวเห็นสีหน้าเช่นนั้นจึงเพิ่งคิดได้ว่าเสียรู้อีกฝ่ายเสียแล้ว ใบหน้าหวานเป็นสีแดงจัดพลางรีบลุกหนีทันที แต่กระนั้นก็ไม่ไวไปกว่าร่างสูงใหญ่ที่ลุกนั่งแล้วคว้าเอวอีกฝ่ายกลับมาไว้ในอ้อมแขนได้เสียก่อน

“ต้น...อื้อม...”

พรพฤกษ์เรียกชื่ออีกฝ่ายยังไม่ทันขาดคำก็ถูกมือใหญ่บิดคางให้หันไปรับจูบ แต่ทว่าแทนที่จะเป็นจูบที่เรียกร้องการสนองตอบทางกาย สัมผัสที่อีกฝ่ายถ่ายทอดมาให้ผ่านทางปลายลิ้นอุ่นคือคำขอบคุณและการตอกย้ำความรู้สึกที่มีให้ ร่างเพรียวจึงค่อยผ่อนแรงต่อต้านและหันไปกอดคออีกฝ่ายไว้เมื่อใบหน้าคมถอนริมฝีปากออกแล้ว

“ขอบคุณนะไผ่ ต้นรักไผ่จริงๆนะ”

คำหวานที่มอบให้กับริมฝีปากอุ่นที่แนบลงบนหัวไหล่ทำให้คนในอ้อมแขนหลับตาลงพลางระบายลมหายใจยาว แม้จะยังเขินอายอยู่บ้างกับสิ่งที่เพิ่งผ่านพ้นไป แต่พรพฤกษ์ก็รับรู้ว่าความจริงใจและการกระทำทุกอย่างที่อีกฝ่ายมอบให้เป็นหลักฐานยืนยันว่าเขาจะไม่ต้องถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังในอนาคตที่เพียงพอ อ้อมแขนเรียวจึงกระชับไหล่กำยำแน่นเข้าก่อนจะกระซิบตอบเสียงเบา

“พี่ชายก็รักต้นเหมือนกัน”

ร่างหนารีบดันคนในอ้อมแขนออกทันทีก่อนจะขมวดคิ้วมุ่นมองคนที่กำลังอมยิ้ม

“บอกว่าห้ามเรียกตัวเองว่าพี่แล้วไง”

“ก็ไม่ได้เรียกว่าพี่นี่นา เรียกว่าพี่ชายต่างหาก อีกอย่างไผ่ก็แทนตัวเองว่าพี่ชายมาตั้งนานแล้วนี่”

น้ำเสียงหยอกล้อและเสียงหัวเราะสดใสที่ตามมาทำให้คนฟังที่หน้าบึ้งเริ่มจะผ่อนคลายคงและยิ้มตามบ้าง ถึงแม้จะยังไม่เต็มร้อย แต่ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะได้คนรักคนเก่าของเขาก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุกลับมาเสียที

“เอ้า พี่ชายก็พี่ชาย ว่าแต่ต้นชักหิวแล้วสิ ยังไงอาบน้ำกันแล้วลงไปทานข้าวที่ร้านก่อนกลับบ้านดีมั้ย?”

พรพฤกษ์กระพริบตามองคนถาม แล้วก็พยักหน้าก่อนจะรู้สึกว่าผิวแก้มร้อนขึ้นมาอีกเมื่อนึกถึงประโยคที่ว่า ‘อาบน้ำกัน’ ทั้งที่ไม่จำเป็นจะต้องมีเรื่องให้เขินกันอีกแล้วแท้ๆ เพราะตอนที่เขายังแขนหักใส่เฝือกตระการก็ต้องเช็ดตัวให้เขาเป็นประจำ แต่ทว่าเหตุการณ์เมื่อไม่กี่อึดใจที่ผ่านมาทำให้พรพฤกษ์รู้สึกว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่ใช่แค่การคบหาดูใจกันธรรมดา แต่ว่าเป็นอะไรที่ก้าวไปไกลกว่านั้นไปอีกก้าวแล้ว และการอาบน้ำคราวนี้ก็จะเป็นครั้งแรกของทั้งคู่ในสถานะที่ต่างไปจากที่เคยเป็นมาแต่ก่อน

ดูเหมือนตระการจะมองออกว่าคนรักกำลังคิดอะไรอยู่ ใบหน้าคมจึงเพียงยิ้มบางๆก่อนจะประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากเนียนเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ

“ไม่ต้องห่วง บอกแล้วไงว่าอาบน้ำเฉยๆ ดูทำหน้าเข้าสิ พี่ชายชักทะลึ่งแล้วนะเนี่ย”

“บ้า ใครกันแน่ที่ทะลึ่ง”

พรพฤกษ์ค้อนคนพูดยิ้มๆแต่ทว่าก็ยอมลุกไปอาบน้ำด้วยแต่โดยดี ตระการรักษาคำพูดที่ว่าจะไม่ทำอะไรเกินเลยแม้จะบอกให้เขาออกมาเช็ดตัวก่อนก็ตามทำให้พรพฤกษ์อุ่นใจขึ้นบ้าง แต่แล้วขณะที่กำลังสวมเสื้อผ้ารอตระการอยู่ในห้องชายหนุ่มก็เพิ่งนึกขึ้นได้

ไม่ใช่แค่เรื่องอาบน้ำด้วยกันเมื่อครู่เท่านั้น ที่ผ่านมาตระการไม่เคยผิดคำพูดกับเขาเลยสักครั้ง หากอีกฝ่ายออกปากกับเขาเองว่าจะทำอะไรให้ตระการจะทำตามที่พูดเสมอ ไม่เคยหลอกลวงหรือให้ความหวังลมๆแล้งๆหากไม่มั่นใจว่าตัวเองจะทำไม่ได้เป็นอันขาด

“เสร็จแล้วไผ่ ไผ่... ร้องไห้ทำไม?”

ร่างที่พันผ้าขนหนูผืนเดียวไว้รอบเอวเดินออกมาจากห้องน้ำ แต่แล้วก็ต้องรีบสาวเท้าไปนั่งลงข้างคนรักบนเตียงเมื่อเห็นขอบตาอีกฝ่ายที่แดงเรื่อ พรพฤกษ์เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าคมแล้วก็ส่ายหน้าก่อนจะกอดเอวหนาไว้แน่น แม้จะไม่เข้าใจว่ามีอะไร แต่ตระการก็กดจมูกลงบนเรือนผมนุ่มพลางโอบคนในอ้อมแขนตอบโดยไม่ถามอะไรต่ออีก

พรพฤกษ์หลับตารับความอบอุ่นนั้น แล้วก็นึกโทษตัวเองที่เอาแต่คิดถึงเรื่องของตัวเองฝ่ายเดียว แต่ไม่เคยคิดในมุมกลับมาก่อนเลยว่าคนรักยอมเสียสละมากแค่ไหนที่ทิ้งชีวิตสุขสบายมาคอยดูแลเขาตลอดเวลาที่ผ่านมา และไม่ว่าอะไรจะเป็นสาเหตุให้ตระการรักเขามากขนาดนี้ทั้งที่เพิ่งเจอตัวจริงกันแค่เมื่อสองปีก่อนก็ตาม เขาก็คิดว่าตัวเองโชคดีที่สุดแล้วที่ได้คนคนนี้มาอยู่ข้างๆและคอยดูแลเอาใจใส่เช่นนี้

ตระการระบายลมหายใจยาวพลางนึกถึงสิ่งที่นรพัฒน์เอ่ยเตือนเขาไว้ก่อนที่จะขึ้นมาปรับความเข้าใจกับพรพฤกษ์ แม้จะหลบเลี่ยงปัญหาไปอีกนานแค่ไหน อย่างไรเสียปัญหาก็ยังคงมีอยู่ตราบใดที่ไม่จัดการให้หายไปต่อให้พยายามทำเป็นไม่เห็นแล้วก็ตาม สำหรับเรื่องการทำให้พรพฤกษ์มั่นใจในตัวเขาชายหนุ่มคิดว่าตนประสบความสำเร็จไปมากกว่าครึ่งแล้ว แต่ปัญหาเรื่องอนาคตยังเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทั้งสองยังต้องปรึกษากันต่อ

“ไผ่...คิดถึงแม่มั้ย?”

คำถามที่ไม่คาดคิดทำให้ร่างเพรียวต้องถอยตัวออกมองหน้าคนถามอย่างไม่เข้าใจ จริงอยู่ว่าเขามีความทรงจำเกี่ยวกับคนที่ถูกเอ่ยถึงน้อยนิดเต็มทีเพราะอีกฝ่ายจากเขาไปตั้งแต่ยังเด็กมาก แต่ถ้าจะบอกว่าไม่คิดถึงเลยก็คงจะไม่ถูกเสียทีเดียว ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงเศษเสี้ยวความทรงจำอันเลือนลาง แต่เขาก็พอจะระลึกถึงความอ่อนโยนยามที่ถูกมารดาโอบกอดซึ่งคงได้รับถ่ายทอดจากผู้เป็นตาได้ และหลายครั้งที่ชายหนุ่มคิดว่าความอ่อนโยนของตระการอาจเป็นสิ่งที่คนรักได้รับตกทอดมาจากการเลี้ยงดูของผู้ให้กำเนิดของเขานั่นเอง

“ก็มีบ้าง แต่แม่เค้าก็เสียไปนานแล้วนี่ต้น”

ชายหนุ่มจำได้ดีถึงเรื่องที่ตระการเล่าให้ฟังว่าเพราะมารดาเสียระหว่างเจ้าตัวเรียนอยู่เมืองนอก จึงเป็นจุดพลิกผันให้อีกฝ่ายมุ่งมั่นที่จะมาตามหาเขาให้เจอตามสัญญาที่ฝ่ายนั้นขอไว้ แต่เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆคนตรงหน้าจึงเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาในเวลานี้

“อยากไปไหว้แม่มั้ยล่ะ?”

ตระการดึงมือเรียวทั้งสองข้างไปกุมไว้แล้วจ้องคนข้างกายนิ่ง พรพฤกษ์มองตอบสายตาที่มองเขาอย่างคาดหวังนั้น ประกายที่ฉายอยู่ในดวงตาสีน้ำตาลเข้มราวจะวอนขอเขาว่าอย่าปฏิเสธ หลังจากชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งคนถูกถามจึงพยักหน้า พรพฤกษ์มองท่าทางระบายลมหายใจยาวอย่างโล่งใจของอีกฝ่ายก่อนจะเอ่ยถามเมื่อนึกอะไรขึ้นได้ แล้วก็ได้แต่หวังว่าตนคงไม่ได้คิดถูกเพราะเขาไม่คิดว่าตัวเองพร้อมสำหรับการเผชิญหน้าที่คนรักต้องการ...อย่างน้อยก็ในตอนนี้

“ต้น...ว่าแต่ที่ที่จะพาไปไหว้แม่น่ะ อย่าบอกนะว่า...”

ตระการลืมตาขึ้นสบตากับอีกฝ่ายอีกครั้ง ไม่มีประโยชน์ที่จะเฉไฉต่อไป เพราะถ้าพรพฤกษ์ถามแบบนี้แปลว่าอีกฝ่ายคงพอจะเดาจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาได้แล้วเช่นกัน

“อืม ที่บ้านต้นเอง เราจะกลับไปไหว้แม่ แล้วก็ไปเจอพ่อของต้นด้วยกัน”


+------+
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 23 [อัพรับวันหยุด!! 5/07/09]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 05-07-2009 01:44:10
นิยายเรื่องนี้ยังไม่ถูกทิ้งนะจ๊ะ (แม้จะอยู่ในโหลมาหลายเดือน) พอดีเสาร์นี้ได้หยุดทั้งทีเลยคิดว่าควรจะให้เวลาเรื่องที่ทิ้งไปนานเสียหน่อย หวังว่าคนอ่านคงยังไม่ลืมต้นกับไผ่ไปซะก่อน เพราะตอนนี้ป้าวางโครงไปจนจบเรื่องแล้ว เพราะงั้นก็น่าจะได้ติดตามกันจนจบในปีนี้ละค่า

ก่อนจะไป ขอออกตัวอีกนิดว่าแม้แต่ตัวเองยังรู้สึกว่าสำนวนตัวเองเปลี่ยนไป เพราะระหว่างที่หายไปนี่ไปโรมรันพันตูกับเรื่องอื่นอยู่ ยังไงหวังว่าเนื้อหาที่ต่อเนื่องกันคงไม่ทำคนอ่านสะดุดนะ ยังไงก็ฝากติดตามกันต่อด้วยนะจ๊ะ ขอบคุณมากก๊าบ :o8:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 23 [อัพรับวันหยุด!! 5/07/09]
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 05-07-2009 12:31:20
:mc4: โหลแตกแว้ววววววววววววววว

 :z7:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 23 [อัพรับวันหยุด!! 5/07/09]
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 05-07-2009 13:34:00
ได้อ่านต่อแล้ว  ดีใจจัง

ทำไมนะ พระเอกของป้าแต่ละคนเนี่ย มันถึงได้น่ารักน่ากินได้ขนาดนี้ ง่ำง่ำ น้ำลายหยด :กอด1:
ขอให้ต้นของเราสามารถแก้ปัญหาพ่อผัวกะลูกสะใภ้ได้สำเร็จเรียบร้อยนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 23 [อัพรับวันหยุด!! 5/07/09]
เริ่มหัวข้อโดย: moonlight ที่ 05-07-2009 14:55:43
กลิ่นตุๆ ดองได้ที่พอดี :laugh:

ได้กันแล้วๆ  :-[

เรื่องกำลังเข้มข้น เมื่อลูกสะไภ้จะไปไห้วพ่อตา

แล้วกว่าป้าสุดสวยจะมาต่ออีก :เฮ้อ:

มาต่อเร็วๆนะจ๊ะป้าสุดสวย  :call:

mizzzzz u na ja :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 23 [อัพรับวันหยุด!! 5/07/09]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 06-07-2009 12:01:41
กลิ่นตุๆ ดองได้ที่พอดี :laugh:

ได้กันแล้วๆ  :-[

เรื่องกำลังเข้มข้น เมื่อลูกสะไภ้จะไปไห้วพ่อตา

แล้วกว่าป้าสุดสวยจะมาต่ออีก :เฮ้อ:

มาต่อเร็วๆนะจ๊ะป้าสุดสวย  :call:

mizzzzz u na ja :กอด1:


ตรงประโยคที่เป็นตัวหนานี่อ่านแล้ว ‘ฉึก’ จริงๆแฮะ คริคริ

คิดถึงเช่นกันนะจ๊า ตอนนี้ที่นู่นร้อนแย่เลยสินี่  :L2:

วันนี้ราชการประกาศให้หยุด แต่ออฟฟิศป้าไม่หยุดอะ แงงงง (บ่นได้อีก)
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 23 [อัพรับวันหยุด!! 5/07/09]
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 06-07-2009 23:19:07
 :mc4:  ต้องฉลองกันหน่อยป้ามาอัพต่อแล้ว

ไชโยๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 23 [อัพรับวันหยุด!! 5/07/09]
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 07-07-2009 00:31:22
โหยไปรื้อความจำอยู่หลายตอนเลยนะ  :impress2: และแล้วเค้าก้ได้เสียกัน  :laugh:

อยากอ่านอีกอะ ต่อไวๆนะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 23 [อัพรับวันหยุด!! 5/07/09]
เริ่มหัวข้อโดย: kittyfun ที่ 07-07-2009 01:26:20
หลังจากรอคอยมานานแสนนาน

ไหดองก็แตก

อย่างนี้ต้องฉลองกันค่ะ


ป.ล. ไหแรกแตกแล้ว ไหต่อไปต้องแตกตามด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 24 [8/07/09]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 07-07-2009 23:00:16
24.

ร่างสูงท้วมนั่งเท้าคางมองโทรทัศน์จอใหญ่ที่แขวนอยู่เหนือเคาน์เตอร์บาร์ในร้านที่ตนเป็นหุ้นส่วน มือใหญ่หยิบขวดเบียร์สีเขียวเข้มที่ตนเปิดออกมาตั้งไว้นานจนไอน้ำที่เกาะรอบขวดหยดลงจับพื้นโต๊ะขึ้นดื่มอึกใหญ่ รายการแข่งกีฬาทางโทรทัศน์ช่วงบ่ายไม่ได้ดึงดูดความสนใจของเขาเท่าใดนัก เพราะสิ่งที่กำลังทำให้ชายหนุ่มครุ่นคิดจนคิ้วขมวดคือเรื่องที่เพื่อนสนิทเพิ่งเล่าให้ฟังมากกว่า


‘ไผ่กับต้นอยู่ที่บ้าน ท่าทางจะทะเลาะกันอยู่ ยังไงถ้ามึงอยู่ที่ร้านก็ช่วยดูให้หน่อยแล้วกัน’


ดิษยะนึกถึงคำพูดของเพื่อนทวนไปพลางก็เกาผมที่มัดรวบไว้ด้านหลังหลวมๆจนยิ่งพันกันยุ่งมากขึ้นไปด้วย เจ้าตัวคนพูดก็พูดราวกับตัวเองเป็นพ่อของพรพฤกษ์ไปได้ แล้วจะมาฝากฝังอะไรกับเขาในเมื่ออีกฝ่ายก็รู้ว่าเขาไม่ใช่คนถนัดเล่นบทนักการทูตหรือกามเทพเสียหน่อย ไม่อย่างนั้นคนที่เขาตามจีบอยู่ทุกวี่ทุกวันนี้ไม่ตอบตกลงคบด้วยไปนานแล้วหรือ

ทั้งที่วันนี้ชายหนุ่มตั้งใจจะมาหาเพื่อนและนั่งเล่นรอร้านเปิดเพราะเด็กนักเรียนกลุ่มที่มีเรียนดนตรีกับเขาติดเข้าค่าย แต่กลายเป็นว่าพอมาถึงที่แล้วคนที่มาหากลับไม่อยู่ พอโทรหาก็ได้ความว่าเจ้าตัวออกไปข้างนอกเรียบร้อยแล้ว แถมยังมาฝากกำชับเขาให้ช่วยดูเพื่อนอีกคนและตรวจรับของที่มาส่งที่ร้านแทนให้ด้วยอีกต่างหาก

ดิษยะไม่ได้ถามนรพัฒน์ว่าพรพฤกษ์กับตระการมีเรื่องผิดใจกันเพราะอะไร และอีกฝ่ายก็ท่าทางจะกำลังรีบร้อนจึงไม่ได้อธิบายรายละเอียดให้เขาฟัง แต่กระนั้นก็ใช่ว่าเขาจะชอบสอดแส่เรื่องของคนอื่นมากมายอยู่แล้วโดยนิสัย จริงอยู่ว่าตอนที่พรพฤกษ์พาเจ้าหนุ่มตัวสูงใหญ่ท่าทางสุขุมแต่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นลูกคนมีเงินมาแนะนำนั้นเขาก็ค่อนข้างอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับหมอนั่นอยู่ เพราะถึงอย่างไรเขาก็คบหากับเพื่อนมานานและรู้ว่าพรพฤกษ์ไม่เคยแสดงความสนิทสนมกับใครที่เพิ่งได้รู้จักกันง่ายเช่นนั้นมาก่อน แต่หลังจากที่ได้รับรู้ปัญหาของเพื่อนมากเข้า บางครั้งเขาก็เริ่มไม่แน่ใจว่าเขาควรจะสนับสนุนความสัมพันธ์ของเพื่อนต่อไปดีหรือเปล่า

ไอ้เรื่องปัญหาที่เห็นชัดๆเช่นว่าเพื่อนของเขากับคนรักเป็นผู้ชายเหมือนกันนั่นก็เรื่องหนึ่ง ถึงแม้ว่าในสายตาของเขาแล้วจะไม่ได้นึกรังเกียจก็ตามเพราะถึงอย่างไรก็เป็นการตัดสินใจของคนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วสองคน แต่เป็นเพราะสถานะทางบ้านของตระการที่เขาได้เรียนรู้ภายหลังซึ่งทำให้เขาค่อนข้างเป็นห่วงเพื่อนพอสมควรในเรื่องการคบกันระยะยาว และถึงแม้ว่าตระการจะแสดงความจริงใจแค่ไหนจากการทิ้งงานมาคอยดูแลพรพฤกษ์ในช่วงสองเดือนกว่าที่ผ่านมา แต่ก็ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าต่อไปในอนาคตเพื่อนของเขาจะไม่ถูกละเลยหากฝ่ายนั้นต้องแต่งงานสร้างครอบครัวตามที่มาตรฐานสังคมขีดบังคับให้ทำเพราะความจำเป็น

ชักจะคิดมากเหมือนเป็นพ่อไอ้ไผ่ไปอีกคนแล้วสิกู...ดิษยะหยิบหลอดพลาสติกที่เสียบอยู่ในกระบอกเสตนเลสบนหลังเคาน์เตอร์ขึ้นมาดีดเล่นเพื่อแก้อาการมือว่าง ทั้งนี้ทั้งนั้นเขาต้องโทษนรพัฒน์เต็มๆที่มาจุดชนวนทำให้เขาที่ไม่ค่อยชอบเอาเรื่องของคนอื่นมาคิดให้รกสมองต้องมากังวลเรื่องของเพื่อนอย่างห้ามไม่ได้

เสียงคนพูดคุยกันพร้อมกับเสียงสั่นของกระดิ่งที่แขวนไว้เหนือประตูด้านในเรียกความสนใจของคนที่กำลังนั่งเบื่ออยู่คนเดียว แล้วดิษยะก็ต้องเลิกคิ้วเมื่อเห็นคนทั้งสองที่ตนกำลังคิดถึงอยู่เดินเข้ามาในร้านอย่างได้จังหวะพอดิบพอดี

“ไงวะไผ่ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะไอ้แพะภูเขา หายดีแล้วเรอะ?”

น้ำเสียงห้าวทุ้มจากเพื่อนสนิทร่างใหญ่ที่นั่งอยู่ลำพังหน้าเคาน์เตอร์ในร้านทำให้พรพฤกษ์เลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาคนทักพลางมองไปรอบร้านที่ว่างเปล่าก่อนจะหันกลับไปหาคนถาม

“ทำไมวันนี้มาร้านเร็วได้ล่ะ ว่าแต่นอไม่อยู่เหรอย่าม?”

ดิษยะยักไหล่พลางหยิบขวดเบียร์ขึ้นจิบอึกใหญ่ก่อนจะตอบคำถามเพื่อน “วันนี้ลูกศิษย์ติดไปเข้าค่ายทั้งกลุ่มเลยว่างยาวว่ะ  ส่วนไอ้นอเห็นบอกว่าออกไปเยี่ยมไอ้บอยเพราะไอ้ลูกลิงมันดันไม่สบาย เลยให้กูช่วยดูเด็กเตรียมเปิดร้านแทนเนี่ยแหละ”

ชายหนุ่มร่างสูงท้วมยกมือทักทายตระการที่ยืนอยู่หลังเพื่อนตัวเองก่อนจะหันไปพยักหน้าให้คนส่งน้ำแข็งที่เดินหายเข้าไปหลังร้าน พรพฤกษ์เดินอ้อมเข้าไปหลังเคาน์เตอร์พลางเปิดขวดน้ำเย็นออกมารินใส่แก้วสองใบแล้วก็หันกลับไปยื่นใบหนึ่งให้กับคนที่ทรุดลงนั่งข้างดิษยะ คนที่นั่งอยู่ก่อนจึงยกมือขึ้นเท้าคางมองท่าทางของผู้มาใหม่ทั้งสองแต่ไม่ได้พูดอะไร

...ดูๆไปก็ไม่เห็นจะเหมือนคนเพิ่งทะเลาะกันตรงไหน หรือจะโดนไอ้นออำเข้าให้ซะแล้วก็ไม่รู้ แต่น้ำเสียงซีเรียสของเพื่อนตอนที่ย้ำกับเขาผ่านโทรศัพท์ก็ฟังดูสมจริงเกินกว่าจะคิดว่าอีกฝ่ายเล่นละครจนดิษยะชักไม่แน่ใจ

“ต้นจะกินข้าวผัดมั้ย ตอนนี้ในครัวคงกำลังเตรียมของกันอยู่ แต่ถ้าขอใช้ของนิดหน่อยคงไม่เป็นไร”

“ก็ได้ งั้นเดี๋ยวต้นไปช่วย”

ร่างสูงใหญ่เอ่ยตอบแล้วก็ทำท่าจะลุกจากเก้าอี้เพื่อตามคนถามเข้าไปในครัว แต่กลับช้ากว่าเจ้าของท่อนแขนใหญ่ที่ยื่นมาล็อกคอแกร่งไว้เสียก่อนจนชายหนุ่มชะงัก ทั้งตระการและพรพฤกษ์จึงหันไปมองเจ้าของใบหน้าอูมที่กำลังยิ้มกริ่มผ่านเครารกเฟิ้มด้วยสายตามีคำถาม

“แหมๆ แบบว่ากูก็มานั่งจนน้ำลายบูดอยู่คนเดียวนานแล้วน่ะนะ ยังไงแค่ข้าวผัดเนี่ยมึงคงทำคนเดียวได้ใช่มะ งั้นกูขอต้นนั่งคุยเป็นเพื่อนกูหน่อยละกัน”

ตระการเลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำขอ จริงอยู่ว่าเขามีความสัมพันธ์ค่อนข้างดีกับเพื่อนของคนรัก แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นสนิทสนมจนเป็นเพื่อนคุยกันได้ ชายหนุ่มจึงเอ่ยท้วงอย่างลังเล

“แต่ว่าผม...”

“ไม่เป็นไรต้น อยู่คุยเป็นเพื่อนให้ย่ามไปแล้วกัน ในครัวมีเด็กหลายคน เดี๋ยวมีอะไรให้เขาช่วยก็ได้”

พรพฤกษ์เอ่ยบอกคนรักก่อนจะเดินหายเข้าไปในครัวด้านหลังร้าน ตระการมองตามหลังร่างที่ลับสายตาไปแล้วก็ถอนหายใจ ดิษยะมองท่าทางของคนข้างตัวก่อนจะถอนมือกลับและหยิบขวดเบียร์ขึ้นจิบอีกครั้ง

“จะว่าไปไผ่มันก็ออกจากโรงพยาบาลมาสองเดือนแล้วนา กระดูกกระเดี้ยวคงเข้าที่แล้วล่ะมั้ง อีกอย่างปกติมันก็ไม่ได้เป็นคนขี้โรคอะไร อย่าไปโอ๋มันมากเลยเดี๋ยวได้อึดอัดตายกันพอดี”

“ครับ...”

ตระการเอ่ยรับสั้นๆพลางยกแก้วน้ำของตัวเองขึ้นดื่ม ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าพรพฤกษ์เป็นคนที่พึ่งพาตัวเองได้อยู่แล้ว แต่เพราะความที่ตลอดช่วงเวลาที่คบกันนั้นเขาได้ใช้เวลาจริงๆกับคนรักน้อยเต็มที ชายหนุ่มจึงอยากคอยแบ่งเบาภาระหรือเสนอความช่วยเหลือในเรื่องใดก็ตามที่ตนทำได้เพื่อชดเชยช่วงเวลาที่ตนเสียไป

ชายหนุ่มทั้งสองต่างนั่งเงียบกันไปโดยไม่มีใครชวนคุยก่อนอยู่เป็นนาน ดิษยะเหลือบมองคนข้างๆแล้วก็เกาคางตัวเองซึ่งเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติยามเจ้าตัวกำลังครุ่นคิดอะไร ตระการเหลือบเห็นท่าทางนั้นเข้าจึงเอ่ยถาม

“พี่ย่ามมีอะไรจะถามผมหรือเปล่าครับ?”

ดิษยะสะดุ้งนิดหน่อยเพราะเขาไม่ทันคิดว่าอีกฝ่ายจะอ่านท่าทางตัวเองออก ชายหนุ่มโยกขวดเบียร์ที่วางอยู่บนหลังเคาน์เตอร์ไปมา แต่แล้วสุดท้ายก็ตัดสินใจเอ่ยถามตรงๆ ในเมื่ออีกฝ่ายเปิดโอกาสให้แล้วเขาก็ไม่รู้จะอมพะนำต่อเพื่ออะไร

“ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่แปลกใจนิดหน่อยที่ดูไผ่มันก็คุยกับต้นเป็นปกติดี ตกลงที่ทะเลาะกันเมื่อกี้นี่ดีกันเรียบร้อยแล้วสิ?”

คนถูกถามขมวดคิ้วพลางมองคนถามอย่างพิจารณา แววตาที่จ้องกลับราวจะรอให้อีกฝ่ายอธิบายว่ารู้เรื่องราวเบื้องลึกมากเพียงใด ดิษยะจึงยักไหล่ก่อนจะยกเบียร์ขึ้นจิบอีกอึก

“พอดีพี่ได้คุยกับไอ้นอแล้วมันเล่าให้ฟังว่าเราสองคนมีปัญหากันอยู่น่ะ แต่มันไม่ได้บอกว่าเรื่องอะไรแล้วพี่ก็ไม่ได้ถามด้วย แต่ถ้าหากว่าดีกันแล้วก็แล้วไปเถอะ ไผ่มันนิสัยเสียตรงที่ไม่ชอบเล่าปัญหาของตัวเองให้เพื่อนๆรู้นี่แหละ”

ตระการได้ฟังคำตอบแล้วก็พยักหน้า ชายหนุ่มรู้สึกโล่งอกขึ้นบ้างที่อีกฝ่ายไม่ได้รู้รายละเอียดมากนัก เพราะถึงแม้เขาจะไม่ต้องการปิดบังเพื่อนๆของพรพฤกษ์เรื่องสถานะการคบหากันของพวกตน แต่ถึงอย่างไรเรื่องบางเรื่องก็ถือเป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่จำเป็นต้องเที่ยวป่าวประกาศให้คนนอกรู้ไปเสียหมด

“พี่นอบอกผมแล้วเหมือนกันเรื่องที่เค้าคุยกับพี่ย่าม ยังไงขอบคุณครับที่เป็นห่วงไผ่ แต่หลังจากนี้ไปผมจะจัดการทุกอย่างเอง ไม่ต้องเป็นห่วง”

ดิษยะเลิกคิ้ว แต่แล้วมุมปากที่ถูกบดบังด้วยไรเคราก็ยกยิ้มเมื่อเห็นแววตาของตระการที่มองมาที่ตน แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆแต่เขาก็ตีความออกว่าคนรักของเพื่อนกำลังเอ่ยเป็นนัยว่าไม่จำเป็นต้องให้มือที่สามออกความเห็นหรือยุ่มย่ามเรื่องของทั้งคู่มากไปกว่านี้ หากคนที่นั่งฟังอยู่ไม่ใช่เขาแต่เป็นนรพัฒน์ ฝ่ายนั้นคงไม่ชอบใจแน่เพราะว่านรพัฒน์สนิทสนมกับพรพฤกษ์มานานกว่าเขามากและผูกพันเหมือนเป็นพี่น้องแท้ๆ แต่สำหรับเขาซึ่งปกติก็ไม่ใช่คนชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นและไม่ชอบให้คนอื่นมายุ่งเรื่องของตัวเองเช่นกัน เมื่อได้เห็นท่าทางของตระการที่สะท้อนจุดยืนของตัวเองอย่างแน่วแน่เช่นนั้นจึงวางใจว่าเพื่อนคงได้พบคนที่จะฝากฝังอนาคตไว้ด้วยได้แล้ว

“เอาเถอะ ได้ยินแบบนี้ก็สบายใจ เฮ่อ...จะว่าไปพี่ก็เพิ่งรู้นี่ล่ะว่าอารมณ์ของพ่อที่ลูกกำลังจะจากอ้อมอกตัวเองไปนี่มันเป็นยังไง ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้รู้สึกแบบนี้เพราะเพื่อนตัวเองเลยแฮะ”

ตระการยิ้มบางๆพลางพลิกแก้วน้ำที่ว่างเปล่าในมือไปมา พรพฤกษ์เดินออกมาจากครัวพร้อมถาดที่มีข้าวผัดจานใหญ่และชุดจานพร้อมช้อนส้อมสามชุดพอดี ชายหนุ่มจึงลุกจากเก้าอี้เข้าไปช่วยถือให้แทน มือเรียวหยิบจานเปล่าออกเรียงบนหลังเคาน์เตอร์แล้วก็หันไปหาเพื่อนที่นั่งเงียบอยู่

“โทษทีย่าม เมื่อกี้เราก็ลืมถามว่าจะกินด้วยหรือเปล่า เลยทำเผื่อมาให้เลย”

“เออ จัดมาๆ ที่จริงกูกินข้าวกลางวันไปแล้วแหละแต่กินอีกก็ได้  ต้องรีบกินอาหารฝีมือมึงไว้ก่อน เดี๋ยวต่อไปไม่ได้กินแล้วจะมาเสียดายทีหลัง โอ้ว ข้าวผัดกุ้งของโปรดซะด้วยเว้ย เอ้า แล้วมึงจะยืนทื่ออยู่ทำไมวะ รีบมานั่งกินด้วยกันเร็วๆสิ”

พรพฤกษ์เลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจกับคำพูดเป็นน้ำท่วมทุ่งของเพื่อน แต่เมื่อหันไปมองตระการเป็นเชิงถามก็ไม่ได้คำตอบเพราะอีกฝ่ายเพียงหัวเราะในคอเบาๆ ชายหนุ่มจึงถอนหายใจพลางคิดว่าเรื่องบางเรื่องตัวเองไม่ต้องรู้ก็คงไม่ขาดทุนนักกระมัง


*************


“เมื่อกี้คุยกับย่ามเรื่องอะไรเหรอต้น?”

หลังจากที่ทั้งสามทานข้าวกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตระการกับพรพฤกษ์ก็ขอตัวแยกกลับก่อนโดยไม่รอร้านเปิดทั้งที่นรพัฒน์ยังไม่กลับมา ทว่าแววตาแปลกๆของเพื่อนตอนที่ร่ำลากันก็ยังคงสะกิดใจพรพฤกษ์ไม่หายจนเขาต้องรอถามตระการหลังมาถึงที่รถแล้ว

“เค้าก็ชวนคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไปแหละ ไม่มีอะไรสำคัญหรอก”

ท่าทางของคนขับที่ตอบอย่างไม่ใส่ใจพลางมองไปข้างหน้าไม่ได้ทำให้คนถามเชื่อถือนัก แต่ถ้าหากอยู่กันแค่สองคนแล้วอีกฝ่ายยังไม่ยอมบอก ก็หมายความว่าต่อให้เขาตื๊อถามอย่างไรก็โดนจะเฉไฉไปอีกอยู่ดี พรพฤกษ์จึงเอนหลังพิงพนักตัวเองโดยที่ยังไม่ละสายตาจากคนข้างตัว ตระการรับรู้ถึงสายตาที่จับจ้องตนอยู่จึงปรายตามองแวบหนึ่งก่อนจะเบนสายตาไปยังถนนด้านหน้าเช่นเดิม

“ไม่มีอะไรจริงๆไผ่ นี่สงสัยขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย?”

“เปล่า ไม่ได้ติดใจเรื่องนั้นแล้ว ที่จริงตอนนี้สงสัยเรื่องอื่นมากกว่าอีก”

คนฟังเลิกคิ้วก่อนจะแตะเบรกเมื่อถึงสี่แยกที่สัญญานไฟเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง ใบหน้าคมหันไปหาคนข้างตัวก่อนจะยิ้มให้

“เรื่องอื่นนี่เรื่องอะไรล่ะ นอกจากเจนต้นก็ไม่เคยมีคนอื่นอีกแล้วนะ”

พรพฤกษ์ได้ยินคำถามก็ย่นจมูก ความจริงแล้วเขาไม่ได้สนใจเรื่องนั้นอีกแล้ว แต่ดูเหมือนตระการจะคิดว่าเขากำลังหึงหวงอดีตของอีกฝ่ายอยู่ ชายหนุ่มไพล่นึกไปถึงข่าวที่ตนเคยเห็นในโทรทัศน์ของคนรักกับนางแบบสาวเมื่อนานมาแล้วจึงถือโอกาสถามเสียเลยเพราะไหนๆอีกฝ่ายก็เกริ่นขึ้นมาเอง

“งั้นนางแบบคนสวยที่เคยเป็นข่าวนั่นล่ะว่าไง ถ้าไม่ได้เป็นอะไรกันทำไมต้นต้องไปออกงานกับเค้าด้วยล่ะ?”

ตระการรีบหันขวับไปมองคนข้างตัวที่เอามือเท้าหน้าต่างแล้วมองไปอีกฝั่งทันที แต่แล้วเสียงบีบแตรไล่จากด้านหลังก็ทำให้เขาต้องหันไปมองด้านหน้าและเปลี่ยนเกียร์ออกรถเพราะสัญญานไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้ว

“ลิลลี่เนี่ยนะ? ต้นเคยบอกแล้วนี่ว่าไม่ได้เป็นอะไรกับเค้า อีกอย่างที่เห็นว่าออกงานด้วยกันนั่นเพราะเราไปงานเดียวกันเฉยๆหรอกไผ่ นี่ยังไม่ลืมเรื่องนี้อีกเหรอ?”

น้ำเสียงคนถามเหมือนจะน้อยใจนิดๆแต่พรพฤกษ์ก็ยังไม่ยอมหันกลับไปมองทั้งที่ความจริงแอบอมยิ้ม ชายหนุ่มพอจะรู้อยู่แล้วว่าตระการพูดจริงเพราะตอนที่เจอกับปฏิมาครั้งแรกหญิงสาวก็ช่วยอธิบายกับเขาไปแล้วเหมือนกัน แต่ในเมื่อคนข้างตัวอยากคิดว่าเขายังหึงหวงเรื่องนั้นเขาจึงทำทีว่ายังไม่ลืมเพื่อแกล้งเสียเลย

“ไม่ลืมง่ายๆหรอก ความจริงได้ควงคนสวยขนาดนั้นต้นน่าจะดีใจนะ เค้าพร้อมทั้งฐานะทางบ้าน ทั้งหน้าตาทางสังคม ออกจะเหมาะสมกับต้นทุกด้านเลย...”

ทั้งที่เพิ่งคิดว่าตนเองไม่ได้ติดใจแล้ว แต่ทว่าเมื่อพลั้งปากพูดไปชายหนุ่มก็ให้รู้สึกยอกในอกขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นคนรักเก่าของตระการหรือนางแบบสาวที่เป็นข่าวด้วย แต่ละคนล้วนคู่ควรกับคนรักของเขาที่จะพาไปแสดงตัวที่ไหนต่อไหนโดยไม่ต้องกลัวคำครหาได้ทั้งสิ้น ในขณะที่เมื่อหันกลับมามองตัวเองแล้วก็ต้องสะท้อนใจที่ไม่มีอะไรให้เอาไปเทียบกับผู้หญิงสองคนนั้นได้เลยไม่ว่าจะในแง่ไหนก็ตาม

มือใหญ่ที่เอื้อมมาจับมือเรียวซึ่งวางอยู่บนตักทำให้นัยน์ตาคู่สวยที่ยังมองไปนอกหน้าต่างรื้นน้ำตาขึ้นมา พรพฤกษ์กะพริบตาถี่ไล่ไอน้ำในตาเมื่อรู้สึกถึงริมฝีปากอุ่นที่ประทับลงบนหลังมือของตัวเอง

“ก็ทำไมเราจะต้องปล่อยให้คนอื่นมาตัดสินล่ะว่าใครเหมาะหรือไม่เหมาะกัน อีกอย่างถ้าคนที่เหมาะสมกันแต่อยู่ด้วยกันแล้วไม่มีความสุข ไผ่ไม่คิดว่าคนที่ยัดเยียดมาตรฐานแบบนั้นให้เค้าใจร้ายไปหน่อยเหรอ?”

คำพูดเปรียบเปรยของอีกฝ่ายทำให้คนที่สายตาจับจ้องภายนอกหน้าต่างหันกลับมาหาคนพูด ตระการยิ้มให้ใบหน้าหวานที่ขอบตาแดงเรื่อแล้วก็กระชับมือข้างที่บีบมือเรียวแน่นขึ้น พรพฤกษ์มองมือตัวเองในอุ้งมือใหญ่แล้วริมฝีปากแดงอิ่มก็ยกยิ้มเพราะความอบอุ่นที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งอก เขารู้แล้วว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมาคือการยืนยันว่าถึงใครจะพูดอย่างไรแต่ว่าคนรักของเขาก็จะไม่หวั่นไหวตามไปอย่างแน่นอน

จริงสินะ...ความสุขเป็นของเรา ทำไมจึงต้องปล่อยให้คนอื่นมาตัดสินให้กัน...

ใบหน้าหวานระบายลมหายใจยาวก่อนจะเอนศีรษะลงพิงไหล่หนาของคนที่กำลังขับรถ มือเรียวบีบมือใหญ่อบอุ่นตอบก่อนจะเงียบไปนาน แต่แล้วประโยคคำถามถัดมาจากคนข้างตัวก็ทำให้ตระการต้องเลิกคิ้ว

“ที่จริงเรื่องอื่นที่บอกว่าสงสัยน่ะไม่ใช่เรื่องนี้นะ เพราะต้นมาทักเลยเขวไปเลย”

“อ้าว ถ้างั้นเรื่องไหนล่ะ ต้นไม่ได้มีความลับอะไรกับไผ่แล้วนี่นา”

ชายหนุ่มพยายามคิดทบทวนว่าตัวเองยังมีเรื่องอะไรที่เขาควรจะเล่าให้พรพฤกษ์ฟังแต่ยังไม่ได้เล่าอีก ร่างเพรียวเงยหน้าขึ้นมองสีหน้าของคนรักแล้วก็หัวเราะเบาๆก่อนจะถอยไปพิงพนักเช่นเดิมแต่ยังไม่ปล่อยมือออก

“ก็ไม่เชิงความลับอะไรหรอก แต่ต้นจำได้มั้ยว่าเคยเล่าให้ฟังว่ารู้จักไผ่ได้ยังไงน่ะ?”

นัยน์ตาคมเหลือบมองคนรักที่กำลังยิ้มให้แล้วก็พยักหน้า เขาหวนคิดถึงความทรงจำวัยเด็กที่มารดาเลี้ยงเอารูปของเด็กชายอีกคนให้ดูและเล่าให้ฟังถึงเรื่องราวของเด็กคนนั้นจนเขานึกอิจฉา แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นความประทับใจที่ยืนยาวมาจนได้เจอตัวจริงของอีกฝ่ายในที่สุด

“อืม ก็ตอนเด็กน่ะเวลาแม่ได้ข่าวหรือได้รูปถ่ายใหม่ๆของไผ่ทีไรเป็นต้องแอบเล่าให้ต้นฟังทุกที ตอนนั้นต่อให้น้อยใจแค่ไหนแต่พอเห็นท่าทางดีใจของแม่ต้นก็พูดอะไรไม่ออก สุดท้ายไปๆมาๆเลยกลายเป็นว่าคอยคะยั้นคะยอให้แม่เล่าเรื่องของไผ่ให้ฟังเองตลอดเลย”

พรพฤกษ์มองสายตาของอีกฝ่ายที่เหม่อมองไปไกลราวกำลังนึกถึงอดีตแล้วก็เม้มริมฝีปาก เขาพยายามนึกภาพตามถึงใบหน้าดีใจของมารดาที่แม้ตัวเองก็ยังจำหน้าไม่ค่อยได้แล้วก็รู้สึกเจ็บในอกขึ้นมา แต่เขาก็พอจะเข้าใจได้ถึงความน้อยใจที่ตระการเล่าให้ฟัง เพราะหากเป็นเขาเองที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันไม่แน่ว่าเขาอาจจะร้องไห้แล้วก็ไม่ยอมทนฟังเรื่องราวเหล่านั้นเลยก็เป็นได้

“แล้ว...แค่นั้นทำให้ต้นยึดติดกับไผ่ได้มากขนาดนั้นเลยเหรอ? ไผ่หมายถึงที่ต้นเล่าว่าสาเหตุที่แฟนเก่าเค้าขอเลิกเพราะรู้ว่าต้นคิดถึงคนอื่นอยู่น่ะ คือ...”

พรพฤกษ์พยายามคิดหาคำพูดมาอธิบายแต่แล้วก็จนปัญญา เขาไม่แน่ใจว่าตระการจะเข้าใจคำถามที่ตนต้องการจะสื่อหรือไม่ แต่ดูเหมือนว่าคนข้างตัวจะรับรู้ว่าคนรักกำลังนึกสงสัยเรื่องอะไรจึงหัวเราะเบาๆ

“เข้าใจล่ะ ไผ่จะถามว่า ทำไมต้นถึงได้หลงรักคนที่แค่เคยเห็นรูปถ่ายกับได้ยินเรื่องจากปากคนอื่นทั้งที่ไม่เคยเจอตัวสินะ?”

คนถามยิ้มพลางจับมือที่ตัวเองกุมอยู่เขย่าเบาๆ เจ้าของมือเรียวจึงพยักหน้าตอบ ก็จะไม่ให้สงสัยได้อย่างไรในเมื่อนี่มันไม่ใช่เรื่องในวรรณคดีที่บรรดาตัวเอกหลงคนในรูปจนถึงขั้นประกาศสงครามกันได้เสียหน่อย และที่สำคัญกว่านั้นคือเขารู้ว่าตระการเองก็ไม่ใช่คนเพ้อฝันที่จะมาหลงเขาแค่เพียงเพราะได้เห็นรูปถ่ายเท่านั้นอยู่แล้ว

“ก็จริงอยู่ที่ต้นไม่เคยเจอตัวจริงไผ่เลยจนกระทั่งไปที่เกสต์เฮ้าส์ครั้งแรกนั่นแหละ แต่ว่าเราเคยคุยกันสองสามครั้งก่อนหน้านั้นนานแล้วนะ แต่ไผ่คงจำไม่ได้หรอกมั้ง”

ตระการเอ่ยลอยๆแต่กลับทำให้คนข้างตัวหันขวับมามองเขาตาโตทันที ชายหนุ่มเห็นสีหน้าสงสัยของคนรักแล้วก็ยิ้มอีก

“จำไม่ได้จริงๆล่ะสิเนี่ย เดี๋ยวถึงบ้านก่อนแล้วกันเดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง”


*************

หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 24 [8/07/09]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 07-07-2009 23:26:00
สุดท้ายแทนที่จะกลับเข้าบ้าน ตระการก็เปลี่ยนใจแล้วบอกว่าไปรอดูพระอาทิตย์ตกที่จุดชมวิวบนเขากันดีกว่า พรพฤกษ์ไม่ได้ปฏิเสธเพราะอย่างไรเสียช่วงนี้บ้านนฤมิตรก็ปิดรับแขกอยู่แล้วจึงไม่มีเหตุผลต้องรีบเข้าบ้าน หลังจากที่จอดรถตรงไหล่เขาและพากันเดินไปยังศาลาชมวิวแล้วนัยน์ตาสีนิลก็หันไปมองคนข้างตัวที่กำลังหัวเราะเบาๆอย่างสงสัย

“ขำอะไรต้น”

“นึกถึงวันแรกที่ไผ่พาขึ้นมาดูวิวที่นี่ ตอนนั้นไผ่เกือบสะดุดก้อนหินล้มด้วย”

คนถามหน้าเป็นสีชมพูเรื่อขึ้นมาทันทีก่อนจะค้อนคนที่ยังมองตัวเองแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์อยู่ ชายหนุ่มไม่ได้มีปัญหากับการที่อีกฝ่ายเป็นคนความจำดี แต่กับเรื่องบางเรื่องที่ไม่น่าจำนี่ก็ไม่เข้าใจว่าจะจำไปทำไม

“ไผ่! ระวัง!!”

“เฮ้ย!”

อ้อมแขนใหญ่เอื้อมออกคว้าเอวของคนที่กำลังจะสะดุดล้มได้ถูกจังหวะพอดี ลมหายใจอุ่นที่มาพร้อมเสียงกระซิบข้างหูทำให้พรพรพฤกษ์รีบหันไปทุบไหล่คนที่กำลังหัวเราะแล้วก็รีบเดินหนี ความจริงแล้วเมื่อครู่นี้บนพื้นไม่มีอะไรเลย แต่ตระการเล่นแกล้งส่งเสียงให้ตกใจจนเขาเกือบจะล้มเอาจริงๆ


‘เห็นมั้ย ซุ่มซ่ามจริงๆด้วย’


ร่างสูงใหญ่ยังหัวเราะไม่หยุดเมื่อเร่งฝีเท้าจนมาทันคนที่กำลังจะเดินถึงศาลา ชายหนุ่มนึกขอบคุณตาของพรพฤกษ์ที่มาสร้างบ้านอยู่บนที่ที่ไม่ค่อยมีคนนิยมมาแบบนี้ทำให้แทบจะเหมือนกับว่าเขาทั้งลูกนี้เป็นของเขากับพรพฤกษ์แค่สองคน ใบหน้าคมยิ้มให้คนรักที่กำลังทำหน้าบึ้งเพราะโดนแกล้งทั้งที่มีริ้วสีแดงพาดบนใบหน้าเนียนขาวนั้น มือใหญ่กระตุกร่างเพรียวให้นั่งลงข้างกันเมื่ออีกฝ่ายทำท่าจะเดินไปนั่งอีกฝั่ง

“ขอโทษ แหย่เล่นหน่อยเดียวเอง นี่งอนจริงๆเหรอเนี่ย?”

“ก็แล้วมันน่ามั้ยล่ะ เล่นอะไรเป็นเด็กๆไปได้”

“โอ๋ๆ งั้นไม่แกล้งแล้วครับ ไผ่อย่างอนนะ”

ตระการเอ่ยยิ้มๆก่อนจะกอดรั้งเอวบางให้เข้าใกล้แล้วกดจมูกลงบนแก้มที่ยังซับสีเลือดเป็นสีชมพูเรื่ออยู่ พรพฤกษ์ได้แต่หลับตาแล้วถอนหายใจ ท่าทางคนที่กำลังกอดเขาอยู่จะได้ใจที่เห็นว่าเขาเริ่มอารมณ์ดีแล้วตั้งแต่ปรับความเข้าใจกันได้เมื่อตอนกลางวันเป็นต้นมา ตอนนี้จึงเหมือนเป็นเวลาเอาคืนเพื่อชดเชยช่วงที่เสียโอกาสไปกระมัง

ร่างสูงใหญ่เอนตัวพิงพนักศาลาก่อนจะดึงตัวคนในอ้อมแขนให้เอนลงพิงอกตัวเอง ชายหนุ่มยิ้มพลางลูบไหล่ของคนในอ้อมแขนที่ไม่ส่งเสียงทัดทานอะไรอีกไปมา ช่วยไม่ได้จริงๆที่เขานึกอยากให้พรพฤกษ์ได้ผ่อนคลายบ้าง เพราะช่วงเวลาตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลเป็นต้นมาคนรักของเขาก็ทั้งพูดน้อยทั้งเงียบขรึมจนชายหนุ่มเป็นห่วงสภาพจิตใจของอีกฝ่ายอยู่บ่อยครั้ง เมื่อเห็นโอกาสที่จะได้ทำให้คนที่รักกลับมาร่าเริงเช่นเดิมได้เขาจึงไม่อยากปล่อยเวลาอันมีค่าให้สูญเปล่าแม้แต่วินาทีเดียว

สายตาสองคู่ทอดมองแสงอาทิตย์อัสดงที่กำลังทาบทับขอบฟ้า ลมเย็นพัดเอื่อยระยอดหญ้ารอบศาลาจนไหวลู่ พรพฤกษ์พยายามกะพริบตาถี่เพื่อไล่ความรู้สึกง่วงงุนที่จู่ๆก็คืบคลานเข้ามาแล้วเงยหน้าขึ้นหาคนที่ตัวเองพิงอกอยู่

“ต้น ตกลงที่จะเล่าให้ฟังล่ะว่าไง ไผ่เคยไปคุยกับต้นตอนไหน ทำไมไม่เห็นเคยจำได้เลย”

นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเหลือบลงสบกับนัยน์ตาสีนิลวาวแล้วก็กระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น ชายหนุ่มพยายามเรียบเรียงคำพูดว่าจะเล่าอย่างไรดี สุดท้ายใบหน้าคมจึงเกยคางลงบนบ่าของคนในอ้อมแขนก่อนจะเริ่มเล่า

“ไผ่จำไม่ได้ก็ไม่แปลกหรอกเพราะว่ามันก็นานแล้ว ตอนเด็กต้นเคยโทรมาที่บ้านไผ่น่ะ ตอนนั้นต้นคงราวๆ 11-12 ขวบได้ ส่วนไผ่ก็คงประมาณ 13-14 มั้ง”

พรพฤกษ์รับรู้ถึงลมหายใจอุ่นที่ระอยู่บนผิวแก้มขณะที่เจ้าของอ้อมแขนแข็งแรงเล่าเรื่องในอดีตให้ฟัง ชายหนุ่มพยายามเรียกความทรงจำในช่วงเวลาดังกล่าวให้กลับคืนมา แต่ถึงกระนั้นก็จำไม่ได้เลยว่าเคยได้คุยกับตระการอย่างที่เจ้าตัวบอก

“ถ้าให้พูดตามตรงก็จำไม่ได้หรอก แต่ว่าตอนนั้นต้นโทรมาทำไม?”

ตระการถอนหายใจ ความทรงจำที่ไม่น่าพึงระลึกถึงช่วงหนึ่งในอดีตย้อนกลับเข้ามาในมโนสำนึก แต่แล้วชายหนุ่มก็ส่ายหน้าเบาๆ

“วัยเด็กของต้นไม่ใช่ช่วงเวลาที่มีความสุขเท่าไหร่หรอกนะไผ่”

ชายหนุ่มเอ่ยแล้วก็เงียบไปราวกับจะรอให้อีกฝ่ายเอ่ยความเห็นขึ้นมา แต่เมื่อเห็นว่าคนรักไม่พูดอะไรตระการจึงเล่าต่อ

“อย่างที่เคยบอกไปครั้งนึงแล้วว่าตอนเด็กๆต้นขี้โรค เวลาไปโรงเรียนเลยชอบโดนเพื่อนล้อเพราะขาดเรียนบ่อย พอกลับบ้านก็ยังต้องนั่งเรียนพิเศษกับครูที่พ่อจ้างมาให้ หลายครั้งที่เครียดจนแทบทนไม่ไหวแต่เพราะว่ามีแม่อยู่ด้วยต้นเลยทนได้ จนกระทั่งวันนึงที่ไปได้ยินพ่อทะเลาะกับแม่เข้า...”

เสียงทุ้มที่กำลังเล่าเรื่องขาดช่วง ตระการสูดหายใจเข้าลึกเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตทีเขาแอบได้ยินบิดาตวาดมารดาเลี้ยงที่กำลังนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ในห้องนอน


‘หยุดติดต่อกับพ่อของเธอได้แล้ว เธอก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าต้นมันเคยเกือบตายมาแล้วครั้งนึงเพราะเธอจะหนีไปนั่นแหละ อยากให้มันตายจริงๆหรือไง!!’


“ต้น...ถ้าเล่าแล้วทำให้นึกถึงเรื่องไม่ดีก็ไม่ต้องเล่าก็ได้นะ”

นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มลืมขึ้นเมื่อได้ยินน้ำเสียงอ่อนโยนของคนที่อยู่ในอ้อมแขน มือเรียวข้างหนึ่งลูบไปมาบนหลังมือแกร่งราวจะปลอบใจ ชายหนุ่มจึงกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นก่อนจะยิ้มบางๆ ไม่ว่าจะในอดีตหรือตอนนี้เขาก็ได้คนคนนี้ช่วยให้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่เลวร้ายมาตลอดแม้เจ้าตัวจะไม่เคยรู้เลยก็ตาม

“ไม่เป็นไรหรอก ก็คือวันหนึ่งหลังกลับจากโรงเรียนที่ต้นก็โดนล้อกลับมาเหมือนเดิม ต้นกำลังจะไปหาแม่ที่ห้อง แต่ปรากฏว่าไปได้ยินพ่อตวาดใส่แม่ แล้วพ่อก็ยกเรื่องที่ว่าต้นขาดแม่ไม่ได้มาเป็นเหตุผลให้แม่เลิกติดต่อกับตาของไผ่”

แสงอาทิตย์ที่ลอยต่ำลงเรื่อยๆฉาบไล้ยอดเขาที่อยู่ไกลลิบให้เป็นสีเทาเหลือบแดง อากาศรอบตัวทั้งสองเริ่มเย็นขึ้น แต่ถึงกระนั้นตระการก็รู้ว่านั่นไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ไหล่ของคนในอ้อมแขนสั่นขึ้นมา

“วันนั้นต้นเครียดมาจากเรื่องที่โรงเรียนอยู่แล้ว พอได้ยินพ่อพูดกับแม่แบบนั้นเลยย้อนคิดว่าหรือตัวเองจะเป็นสาเหตุที่ทำให้แม่ไม่มีความสุขจริงๆ อีกอย่างพ่อเองก็ไม่เคยมาใกล้ชิดกับต้นเหมือนพ่อของเพื่อนคนอื่นเลย ถ้าอย่างนั้นต้นจะมีชีวิตไปให้หนักโลกนี้ทำไม แล้วคืนนั้นแหละที่ต้นแอบค้นสมุดแม่แล้วหาเบอร์เพื่อโทรมาบ้านไผ่”

คนในอ้อมแขนผละตัวออกแล้วหันมาขมวดคิ้วให้คนที่กำลังเล่าเรื่องทันที ทว่าตระการเพียงยิ้มตอบสีหน้าที่เหมือนคนกำลังจะร้องไห้ของเจ้าของใบหน้าหวานตรงหน้า

“อย่าบอกนะว่าตอนนั้น...ต้นคิดจะฆ่าตัวตาย?”

น้ำเสียงที่ถามแหบเครือ นัยน์ตาสีนิลวูบไหวราวปวดร้าวไปกับเรื่องที่ได้ฟัง ร่างสูงใหญ่จึงรั้งร่างเพรียวเข้าหาอ้อมแขนของตนอีกครั้งแล้วสางผมนิ่มไปมา

“ก็แค่ครั้งนั้นครั้งเดียวน่ะ บอกแล้วไงว่าวัยเด็กของต้นไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่”

“แล้วตอนนั้นต้นโทรมาทำไม?”

พรพฤกษ์ซุกตัวเข้าหาอ้อมอกอุ่นมากขึ้นขณะที่โอบแขนรอบเอวแกร่งหนาราวจะถ่ายทอดความอบอุ่นของตนให้อีกฝ่ายบ้าง เขาไม่เคยรู้เลยว่าตระการมีวัยเด็กที่ขมขื่นเช่นนี้ หากเทียบกับเขาที่มีความทรงจำเพียงน้อยนิดเกี่ยวกับผู้ให้กำเนิด แต่ก็ไม่เคยขาดความรักและความเอาใจใส่จากตาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง วัยเด็กของเขาก็นับว่าดีกว่าตระการมากอย่างเทียบกันไม่ได้

ใบหน้าคมยิ้มให้กับการแสดงความห่วงใยของคนรักในอ้อมแขน นอกจากพรพฤกษ์แล้วเขาไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังมาก่อนเลยแม้แต่มารดาเลี้ยงที่ตนสนิทด้วยที่สุดก็ตาม และหากไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายเอ่ยถามถึงสาเหตุที่ทำให้เขามุ่งมั่นกับตนนักขึ้นมาเขาก็คงไม่คิดจะปริปากถึงเรื่องนี้ไปตลอดชีวิต

“ตอนนั้นต้นยังเด็ก ก็คิดอะไรแบบเด็กๆ ต้นกะว่าจะโทรมาบอกไผ่ว่าต้นจะคืนแม่ให้ แม่จะได้กลับไปอยู่กับลูกแท้ๆของตัวเองเสียที ตอนนั้นก็ไม่ทันคิดหรอกว่าถ้าหากคนที่รับสายไม่ใช่ไผ่แต่เป็นตาจะทำยังไง แต่ปรากฏว่าไผ่ก็เป็นคนที่มารับสายจริงๆ”

พรพฤกษ์หลับตาลง เขาจำไม่ได้จริงๆว่าเคยมีโทรศัพท์นิรนามเช่นนั้นมาหา แต่เมื่อนึกจินตนาการถึงสภาพจิตใจของเด็กชายคนหนึ่งที่ตั้งใจจะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้คนที่รักมีความสุขก็รู้สึกนัยน์ตาร้อนผ่าวจนแสบไปหมด

“ทั้งๆที่คิดไว้แล้วว่าพอได้คุยกันจะพูดอะไร แต่ปรากฏว่าพอได้ยินเสียงไผ่รับสายว่า ‘ฮัลโหล’ เท่านั้นแหละ ต้นมือสั่นไปหมด ที่เคยคิดว่าจะพูดอะไรก็พูดไม่ออก ยิ่งพอโดนถามว่า ‘ใครครับ?’ ต้นก็ร้องไห้เลย”

“แล้วตอนนั้นไผ่พูดอะไรกับต้นบ้าง?”

คนถามพยายามสูดน้ำมูกเสียงเบา ถึงแม้ว่าเสียงหัวเราะในคอจากคนที่โอบกอดตนอยู่จะบ่งบอกว่าอีกฝ่ายรู้ว่าเขากำลังร้องไห้ก็ตาม

“ตอนแรกไผ่ก็เอาแต่ถามว่าใครครับๆ แต่ต้นก็ได้แต่ร้องไห้ สุดท้ายไผ่เลยพยายามพูดปลอบว่า ‘ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร ถ้าอยากร้องก็ร้องเถอะ แต่ยังไงก็ต้องเข้มแข็งไว้นะ’ สำหรับไผ่มันอาจเป็นแค่คำปลอบใจคนที่ไม่รู้จักเพราะไม่รู้จะพูดอะไร แต่ว่าเพราะคำพูดพวกนั้นแหละที่ทำให้ต้นเปลี่ยนใจ ไม่อยากคิดสั้นอีก”  

ร่างสูงใหญ่ดันคนในอ้อมแขนออกก่อนจะใช้ปลายนิ้วกรีดน้ำตาจากหางตากลมโตให้ พรพฤกษ์มองใบหน้าของคนรักที่กำลังส่งยิ้มให้ตนท่ามกลางแสงอาทิตย์สุดท้ายของวันผ่านม่านน้ำตาแล้วก็รู้สึกราวกับน้ำตาจะไหลลงมาอีก

“แล้วหลังจากนั้นล่ะ?”

“หลังจากวันนั้นต้นเลยแอบพ่อกับแม่โทรหาไผ่อีกสองสามครั้งได้ ทุกครั้งต้นไม่ได้พูดอะไรแต่ไผ่คงจะรู้ว่าเป็นคนเดียวกันเพราะต้นโทรไปเวลาเดิมทุกครั้ง ไผ่ก็จะถามว่าเป็นไงบ้าง ไม่ร้องแล้วใช่มั้ย แล้วก็พยายามจะชวนต้นคุย แต่เพราะความขี้ขลาดต้นเลยไม่กล้าตอบอะไรเลย จนสุดท้ายพ่อเริ่มสงสัยว่าทำไมบิลค่าโทรศัพท์ถึงมีโทรไปต่างจังหวัดเลยไปคาดคั้นกับแม่อีก ต้นเลยต้องหยุดโทร แต่เพราะอย่างนี้ต้นถึงได้รู้สึกว่าไผ่เป็นคนสำคัญมาตลอดตั้งแต่ก่อนที่จะได้เจอกันอีกไง”

“ขอโทษนะต้น ไผ่ไม่น่าถามถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเลย”

พรพฤกษ์ปิดตาลง แต่ก็ยังช้ากว่าหยาดน้ำตาที่กลิ้งลงมาบนผิวแก้มเนียนไม่หยุด ตระการจูบเปลือกตาที่เริ่มบวมช้ำของอีกฝ่ายก่อนจะกอดร่างเพรียวของคนสำคัญไว้แน่นแล้วลูบแผ่นหลังบางไปมา

“ไม่เป็นไรหรอก ดีเหมือนกันที่ต้นได้เล่าเรื่องนี้ให้ไผ่ฟัง ไผ่จะได้เข้าใจว่าไผ่มีส่วนสำคัญในชีวิตต้นแค่ไหน ทั้งเมื่อก่อนแล้วก็หลังจากนี้ไปด้วย”

พรพฤกษ์กำเสื้ออีกฝ่ายแน่นขณะพยายามบังคับร่างกายไม่ให้สั่นเพราะแรงสะอื้น เขาไม่เคยรู้เลยจริงๆว่าเพียงแค่คำพูดไม่กี่คำของตัวเองที่อาจแค่พูดเพื่อปลอบใจเด็กน้อยคนหนึ่งจะส่งอิทธิพลกับเด็กคนนั้นมากถึงขนาดนี้ และไม่ว่าจะเพราะชะตากรรมหรือพรหมลิขิตใดก็ตามที่ทำให้ทั้งสองมาพบกัน เขาก็มั่นใจแล้วว่านับจากนี้ไป นอกจากจะมีเขาอยู่ในอนาคตของตระการแล้ว อีกฝ่ายก็จะเดินเคียงคู่ไปในอนาคตของเขาด้วยเช่นเดียวกัน

“กลับบ้านกับต้นนะไผ่ ไปไหว้แม่ด้วยกัน”

ตระการทวงขอคำสัญญาเดียวกับเมื่อตอนอยู่ที่บ้านนรพัฒน์ซ้ำอีกครั้ง แม้อีกฝ่ายจะละใจความสำคัญอีกส่วนซึ่งหมายถึงการเผชิญหน้ากับบิดาของตนเอาไว้ แต่ตอนนี้พรพฤกษ์ก็มั่นใจแล้วว่าแม้จะต้องถูกปฏิเสธหรือคัดค้านอย่างไรก็ตาม จากนี้ไปเขาจะไม่ยอมปล่อยมือจากคนตรงหน้าที่เขาเคยให้ความหวังในการใช้ชีวิตต่อไปอย่างเด็ดขาด

อ้อมแขนเรียวกระชับรอบลำคอแกร่งแน่นเข้าก่อนจะกระซิบตอบรับเสียงเบา แล้วใบหน้าหวานที่เปื้อนน้ำตาก็ยิ้มกว้างเมื่อรู้สึกถึงริมฝีปากอุ่นที่แนบลงบนขมับแทนคำขอบคุณ


*************
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 24 [8/07/09]
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 08-07-2009 09:55:48
ดีใจที่มาต่อยาวซะด้วย

อ่านแล้วอุ่นจังเลย ผูกพันกันมาตั้งแต่เด็กเลยเนอะ  ไผ่จะได้เลิกคิดมากซะที

อย่าลืมจัดการกับอุปสรรคขั้นสุดท้ายให้ด้วยนะจ๊ะ อีตาพ่อใจร้ายนั่นน่ะ ช่วยเป่ามนต์ให้กลายเป็นคุณพ่อใจดีซะทีเหอะ คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงของป้าหรอกนะ

 :กอด1: มาต่อไวๆนะจ๊ะป้าจ๋า จุ๊บๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 24 [8/07/09]
เริ่มหัวข้อโดย: moonlight ที่ 08-07-2009 13:34:55
เย้ๆๆๆ ป้าสุดสวยมาต่อแล้ว :mc4:

อบอุ๊นอบอุ่น ^__^

รอตอนต่อไปนะจ๊ะ :กอด1:

หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 24 [8/07/09]
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 08-07-2009 15:13:55
อุปสรรคอะลดๆลงหน่อยจิ สงสารทั้งคู่  :monkeysad:

แล้วรีบมาต่อตอนต่อไปนะ รออยุ่จ้า  :impress2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 24 [8/07/09]
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 08-07-2009 22:40:37
สงสารทั้งต้นและไผ่ :m15:

ขอให้ฝ่าฟันอุปสรรคไปให้ได้นะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 24 [8/07/09]
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 09-07-2009 14:01:46
เพิ่งเห็นว่าป้ามาต่อแล้ว
ยาวจุใจเลย
ต้นพาไผ่มาหาพ่อแม่ พามาบ้านแล้ว
เย้...



 :z1: ในที่สุดก้อ....อุอุ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 24 [8/07/09]
เริ่มหัวข้อโดย: taem2love ที่ 05-11-2009 01:58:59
รออ่านตอนต่อไปอยู่นะ

น้องบีๆ(ชื่อย่อ)มาต่อเร็วๆน้า

รอเปงกำลังใจให้แต่งต่อจนจบ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 21-02-2010 01:27:06
4.


*************


กะมาลงตอนใหม่ตั้งแต่เมื่อคืน แต่บังเอิญไปกินเลี้ยงกับเพื่อนเลยกลับดึกไปหน่อย ว่าแต่มีใครเคยไปร้านตักสุราสาขาสี่แยกคอกวัวบ้าง บรรยากาศบ้านเก่าบนชั้นสองหลอนได้ใจมากๆ  o21นั่งดริ๊งค์กันไปผวาไปว่าจะมีแขกไม่ได้รับเชิญมาแจม เด็กเสิร์ฟก็ช่างกวนทีนดีเหลือเกิน รู้งี้เมื่อคืนลากกลับบ้านมาด้วยก็ดี กร๊ากกก (ป้าเริ่มหื่น)   :laugh3:

ตามมาอ่านเรื่องนี้ใกล้จบแล้วเหอะๆ เจอตรงนี้พอดี ชอบไปเหมือนกันฮะ ผู้ชายกวนๆเยอะดีแต่บรรยากาศน่ากัวจริงๆ เวลาตอนกลับร้านปิดมองขึ้นไปตรงหน้าต่างชั้น2น่ากลัวโฮกอ่ะเจ้าของร้านก็น่ากัว ห้องน้ำก็น่ากัวแบบมีไม้เลื้อยด้วย

แต่ อาหารอร่อยพอใช้ได้ทีเดียวถูกด้วย แถมใส่ชุดนักศึกษาเข้าได้อีกต่างหาก  ชอบๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 24 [8/07/09]
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 21-02-2010 15:03:02
อยากอ่านเรื่องนี้อะ  :z10:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 24 [8/07/09]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 21-02-2010 15:04:28
อยากอ่านเรื่องนี้อะ  :z10:

^
^
รีบน ใจตรงกะคุณน้องเลย โฮ่ๆๆ   :laugh:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 24 [8/07/09]
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 21-02-2010 15:17:15
อยากอ่านเรื่องนี้อะ  :z10:

^
^
รีบน ใจตรงกะคุณน้องเลย โฮ่ๆๆ   :laugh:

 o18 ใจตรงกันเนอะ ฝากบอกคนเขียนหน่อยจิให้ไว  :beat:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 24 [8/07/09]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 21-02-2010 15:53:45
อยากอ่านเรื่องนี้อะ  :z10:

^
^
รีบน ใจตรงกะคุณน้องเลย โฮ่ๆๆ   :laugh:

 o18 ใจตรงกันเนอะ ฝากบอกคนเขียนหน่อยจิให้ไว  :beat:

มะไหร่ ก็มะนั้น คริคริ  :m19:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 24 [8/07/09]
เริ่มหัวข้อโดย: ptyunjae ที่ 21-02-2010 17:45:44
สงสารไผ่อ่ะ :o12:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 24 [8/07/09]
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 21-02-2010 22:54:19
แวะมาดัน
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 24 [8/07/09]
เริ่มหัวข้อโดย: Der_Schwammkopf ที่ 09-03-2010 09:05:51
แวะมา say hi ขอเป็นแฟนนิยายด้วยคนค้าบ :3123:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 24 [8/07/09]
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 09-03-2010 10:17:49
ตาลายเห็นว่าวันที่ 8 นึกว่าน้องสาวมาต่อ 
ที่ไหนได้ นั่นมันตั้งแต่วันที่ 8 เดือน 7  ปีที่แล้วซะงั้น

 :m32:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 24 [8/07/09]
เริ่มหัวข้อโดย: O_o ที่ 23-06-2010 00:33:00
เรื่องนี้สนุกอะ อ่านรวดเดียวมาถึงตอนสุดท้าย
ทามมายคุณตนแต่งม่ายมาแต่ต่อแล้วหละอ่า
จะรอนะคะ

ปล.ตามชื่อคนแต่งมาจากหนังสือ เมื่อหัวใจเราใกล้กัน ค่า
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 24 [8/07/09]
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 23-06-2010 01:30:21

ช่างขุดกันจริงๆ  อิอิ

เอ้า  รอกันต่อไป
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 24 [8/07/09]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 23-06-2010 13:15:14
มีคนอ่านรอเรื่องนี้ด้วย!!!  O_o  (<-- ทำตัวหนา ตาโตด้วยความตกใจอย่างยิ่ง!)

พอย้อนดูวันที่อัพครั้งล่าสุดแล้วก็ ง่า...ขอโทษทุกคนมากๆค่า อิป้ายุ่งหลายอย่างมากมาย ไม่ได้มาต่อเรื่องนี้เลยจริงๆด้วย ไม่รู้จะแก้ตัวยังไงดี ทำไมฉันทิ้งน้องไผ่ไปนานอย่างงี้ฟร้าาาาาา :beat:   :angry2:   :serius2:

เอาเป็นว่า...ทุกคนที่ติดตามมาแต่ต้น และที่เพิ่งมาอ่าน จะได้อ่านต่อแน่นอนค่ะ แต่ขอไม่ระบุตายตัวนะว่าเมื่อไหร่ เอาเป็นว่าในปีนี้แน่ๆแล้วกัน กลัวว่าถ้าบอกวันเวลาไป เดี๋ยวกลายเป็นป้าหาห่วงผูกคอตัวเองอีก แล้วเดี๋ยวถ้ามาไม่ทันตามที่บอก คนอ่านก็จะรอเก้อด้วย (ที่จริงก็ใกล้จบเต็มแก่แล้วนะ อิป้านี่ไร้วินัยจริงๆ)   :z3: 


ยังไงก็ขอบคุณทุกเสียงที่มาถามไถ่กันนะคะ ขอบคุณเจ้สองด้วยค่ะ นึกว่าโมฯจะขอลากเรื่องนี้ไปเก็บในห้องนิยายที่ยังไม่มาต่อแล้วสิ ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เข้าเล้าด้วยถ้าไม่ใช่มาโพสต์นิยายตอนใหม่ ยังไงขอบคุณทุกคนอีกครั้ง แล้วพบกันตอนใหม่ (มาเมื่อไหร่เมื่อนั้น) ค่า  รักคนอ่านทุกคนเน้อ 


:pig4:   :L1:   :pig4:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 29 พย. 2010*
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 29-11-2010 22:13:52
ก่อนอื่น สวัสดีทุกคน ทั้งที่รอติดตามเรื่องนี้อยู่ เคยอ่านแว้บๆแล้วลืมไปแล้ว หรือเพิ่งจะได้เข้ามาครั้งแรกเพราะเห็นหัวกระทู้ว่าตอนใหม่ล่าสุดด้วยค่ะ (โอ้ยเขิน ขออิป้าหัวเราะแก้เขินหน่อย)  :laugh:  :laugh:

สำหรับคนที่อาจจะเคยอ่านนิยายเรื่องอื่นของป้า ขอแนะนำหน่อยว่าเรื่องนี้เป็นนิยายเรื่องแรกที่ป้าเขียน และโพสต์ครั้งแรกก็ที่เล้าเป็ดนี่แหละค่ะ (สารภาพว่าย้อนไปดูวันที่ที่เริ่มโพสต์ตอนแรกแล้วแสลงใจ) ทีนี้ช่วงที่เขียนเรื่องนี้ไประยะหนึ่งป้าก็ไปเขียนเรื่องอื่นเพิ่ม เพราะช่วงนั้นไฟแรงจัด แต่ต่อมามีเหตุให้ชีวิตยุ่งเหยิง ภารกิจชีวิต & งานมะรุมมะตุ้ม จากที่เคยเขียนควบหลายเรื่องพร้อมกันก็ต้องค่อยๆลดไป และเรื่องนี้ก็เลยถูกดองไปเป็นเวลาหนึ่งปีกว่าๆ (รึเปล่า? หรือว่านานกว่านั้นหว่า?) ทีนี้พอหลังจากเคลียร์ลำนำรักสีรุ้ง + เมื่อหัวใจเราใกล้กันจบไปได้ ป้าก็เกิดคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา และอยากนำมาปัดฝุ่นเขียนใหม่เพราะสำนวนช่วงหลังๆเริ่มเปลี่ยนไป ตะนี้จะมาเริ่มแปะใหม่ตั้งแต่ต้นก็ดูกระไร เพราะส่วนที่รีไรท์คือการปรับภาษากับเพิ่มบางซีนเข้ามาโดยที่แก่นของเรื่องเหมือนเดิม ดังนั้นป้าเลยไม่ได้เอาเนื้อหาที่รีไรท์มาแปะที่นี่จนกระทั่งเขียนทันเนื้อหาเดิมเสียทีนี่ล่ะค่ะ ก็คิดอยู่เหมือนกันว่าป่านนี้คนที่เคยติดตามกันมาแต่ต้นหลายคนคงไม่รออ่านแล้ว แต่เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่เขียน ทำให้รู้สึกว่าเป็น mission ที่จะต้องเอาเรื่องนี้มาลงให้จบให้ได้ จะได้ไม่โดนย้ายไปห้องนิยายที่ยังเขียนไม่จบ อาจเรียกได้ว่าเป็นความดันทุรังของสาวน้อยที่เริ่มมีความสาวเหลือน้อยค่ะ  :pigha2:

สำหรับเนื้อหาตอนล่าสุดอยู่ที่หน้านี้ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=6271.270)  อนึ่ง เรื่องที่ต้องแจ้งก็คือ ตอนที่เอาเรื่องนี้มารีไรท์และโพสต์ที่บล็อกตัวเองไปพลางๆ ป้ารวบเนื้อหาบางตอนของตอนเก่าๆให้กลายเป็นตอนเดียวค่ะ ดังนั้นสำหรับที่เล้านี้ ตอนที่กำลังจะเอามาลงคือตอนที่ 25 ก็จริง แต่ในเวอร์ชันรีไรท์จะนับเป็นตอนที่ 23 ที่ต้องอธิบายก็เพราะเผื่อว่าบางคนที่เล่น facebook อาจเห็นลิ้งค์ที่ป้าแปะเลขบทแล้วงง (ตอนนี้ก็อาจเริ่มงงแล้ว) เอาเป็นว่าเนื้อหาที่ลงในบล็อกส่วนตัวและที่นี่เท่ากันทุกประการ เพียงแต่ที่ต้องมารันเลขบทใหม่เพราะว่าบางตอนมันสั้นไป และป้าคิดว่าจะรวมเล่มเรื่องนี้หลังจากเขียนจบ ก็เลยต้องทำให้เป็นระเบียบขึ้น แต่สำหรับในเล้าซึ่งนับบทต่างกันไปแล้วก็จะไม่มาแก้เลขบทค่ะ

เอาล่ะ ทอล์คเวิ่นเว้อมาเสียยาว แต่เพราะหายหน้าหายตาจากเรื่องนี้ไปนานจริงๆ แถมเนื้อหาที่มาลงนี้มันต้องเชื่อมกับเนื้อหาตอนก่อนหน้าด้วย สำหรับคนที่เคยอ่านแล้วลืมหรือเพิ่งมาอ่าน ก็ขอให้ใจเย็นๆ ค่อยๆ ติดตามเนื้อเรื่องไปแล้วกันนะคะ หรือถ้าหากมึนๆ จะรออ่านรวมเล่มทีเดียวก็ได้ เดี๋ยวจะเปิดจองเมื่อไหร่จะมาประกาศแน่นอน เพราะในฐานะที่เป็นนิยายที่เขียนเรื่องแรกก็อยากเก็บไว้เป็นอนุสรณ์เสียหน่อย นี่ก็เริ่มเตรียมๆ การไปแล้วด้วย ทั้งเรื่องจัดหน้า + วาดปก มีดราฟท์แรกของปกมาให้ดูกันด้วย (ไหนๆ ก็หายไปนาน กลับมาอัพทั้งที ขอแจงหลายเรื่องหน่อยแล้วกัน)

อันนี้ปกดราฟท์แรกค่ะ รอลุ้นปกสำเร็จด้วยใจตุ๊มๆ ต่อมๆ ได้เมื่อไหร่จะมาแปะให้ดูกันเน้อ ^______________^

(http://farm5.static.flickr.com/4108/5198011266_dc47a05256.jpg)


อธิบายมาซะยืดยาว ถ้างงๆ เพราะอิป้าพูดวกไปวนมาก็ไม่ต้องกลุ้มนะคะ ไปอ่านตอนต่อไปกันเลยดีกว่า   :really2:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 29 พย. 2010*
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 29-11-2010 22:16:34
25.

ในช่วงเช้าตรู่ที่ฟ้ายังสลัวและอากาศยังค่อนข้างเย็น ตระการหับหน้าต่างและปิดล็อกประตูห้องพักทุกห้องบนชั้นสามและสี่ของบ้านนฤมิตรก่อนจะเดินลงไปที่ชั้นสอง

“ไผ่ ห้องชั้นบนล็อกหมดแล้วนะ”

ชายหนุ่มส่งเสียงบอกคนที่ยังนั่งอยู่ในห้องนอน แต่ท่าทางใจลอยราวอีกฝ่ายกำลังครุ่นคิดจนไม่ได้ยินเสียงของเขาทำให้ตระการต้องเดินเข้าไปหาแล้ววางมือลงบนบ่า พรพฤกษ์ที่เพิ่งรู้สึกตัวจึงสะดุ้ง

“หือม์? โอเค...งั้นต้นลงไปข้างล่างก่อนแล้วกัน เดี๋ยวขอเก็บของอีกแป๊บแล้วจะตามไป”

พรพฤกษ์เอ่ยก่อนจะเบนสายตาลงตามเดิม ตระการจึงทรุดตัวลงนั่งบนเตียงบ้าง เมื่อได้เห็นว่าเสื้อผ้าที่อีกฝ่ายนำออกมาวางเตรียมพับใส่กระเป๋ามีไม่กี่ชิ้นก็ขมวดคิ้ว

“เอาไปแค่นี้เองเหรอไผ่? น่าจะหยิบไปเผื่ออีกหน่อยดีกว่านะ”

คนฟังแสร้งทำหน้าไม่เข้าใจ “ก็เราแค่จะไปไหว้กระดูกแม่กัน ไม่ได้จะไปเที่ยวตากอากาศสักหน่อยนี่ ถ้าหากว่าเสื้อผ้าไม่พอใส่ขึ้นมาจริงๆ เดี๋ยวค่อยไปซักเอาก็ได้น่า”

แม้ว่าจะยังไม่เห็นด้วย แต่ตระการก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรอีก ชายหนุ่มเพียงแต่ลุกขึ้นแล้วตบบ่าอีกฝ่ายเบาๆ

“เข้าใจล่ะ งั้นเดี๋ยวต้นลงไปเช็คประตูหลังบ้านกับในครัวให้ก่อนก็แล้วกัน”

พรพฤกษ์พยักหน้ารับรู้ แต่เมื่อเสียงฝีเท้าของคนที่กำลังเดินลงบันไดแผ่วหายไปแล้ว ชายหนุ่มก็รามือที่กำลังหยิบเสื้อผ้าลงกระเป๋าแล้วพ่นลมหายใจออกมา

จริงอยู่ว่าเขาตอบรับตระการว่าจะไปไหว้กระดูกของแม่ที่กรุงเทพฯ ด้วยตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ก่อน แต่เพราะมีเรื่องต้องจัดการทั้งเรื่องงานและเรื่องบ้านจึงทำให้พวกเขาไม่ได้เดินทางกันทันที และเมื่อมาถึงวันที่ต้องเดินทางกันจริงๆ พรพฤกษ์กลับนึกอยากให้เวลาเดินช้าออกไปอีกหน่อย

เจ้าของบ้านนฤมิตรเบนสายตาไปยังรูปถ่ายซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะเตี้ยข้างหัวเตียง ช่วงหลังจากที่ตาเสียและก่อนที่เขาจะได้พบกับตระการ เมื่อไรก็ตามที่รู้สึกเหงา พรพฤกษ์จะชอบมองรูปของตาซึ่งยิ้มให้อย่างใจดีเพื่อสร้างเสริมกำลังใจให้ตัวเองทุกครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าแม้จะจ้องจนมองทะลุรูปถ่ายไปถึงกรอบด้านหลังได้ แต่ความกระวนกระวายในใจก็ยังไม่ได้รับการบรรเทาอยู่ดี

ตา...ไผ่จะไปเจอคนที่เขาเคยแย่งแม่ไปจากตากับไผ่แล้วนะ...

ถึงแม้ว่าจุดมุ่งหมายของการเดินทางคือการไปไหว้กระดูกของแม่ แต่แน่นอนว่าการเผชิญหน้ากับบิดาของตระการเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง ทว่าเมื่อความคิดของเขาหยุดลงตรงนี้ พรพฤกษ์ก็รู้สึกถึงคลื่นความรู้สึกบางอย่างในอกที่คล้ายกับความฮึกเหิม พลันความกังวลเกี่ยวกับการเผชิญหน้ากับใครบางคนก็ค่อยๆ หายไป

ทำไมเขาจะต้องกังวลใจ ในเมื่อคนที่ควรจะรู้สึกอับอายและไม่กล้าสู้หน้าเขาควรจะเป็นฝ่ายนั้นไม่ใช่หรือ เพราะตฤณเป็นคนที่บังคับให้แม่ของเขาแต่งงานด้วยและบังคับให้ตัดขาดกับครอบครัว กับลูกชายที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขทั้งที่เด็กคนนั้นยังจำความไม่ได้ แล้วทำไมเขาจะต้องหวาดหวั่นกับการพบหน้ากันครั้งนี้ด้วยเล่า

ความคิดดังกล่าวส่งผลให้ความเข้มแข็งอวลซ่านไปทั้งตัว ริมฝีปากบางที่ครู่ก่อนเม้มเป็นเส้นตรงจึงค่อยยกยิ้มอย่างสบายใจขึ้น พรพฤกษ์รูดซิปกระเป๋าแล้วยกสายขึ้นเกี่ยวบนบ่าข้างหนึ่ง แต่ยังไม่ทันออกจากห้องก็ชะงักฝีเท้า จากนั้นก็เดินกลับไปหยิบรูปถ่ายของตาซึ่งอยู่ในกรอบขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อยขึ้นมายัดใส่ในกระเป๋า

ตาก็คิดถึงแม่เหมือนกันใช่ไหม งั้นไผ่จะพาตาไปหาแม่ด้วยกันนะ....

หลังจากรูดซิปปิดกระเป๋าอีกครั้ง พรพฤกษ์ก็ปิดประตูห้องแล้วเดินลงบันไดไปชั้นล่าง ฝ่ายตระการที่กำลังนั่งดูโทรทัศน์รออยู่หันมายิ้มให้เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของเขา

“พร้อมแล้วนะ? ต้นเอาโน้ตบุ๊คของไผ่ไปเก็บในรถให้แล้วล่ะ หลังบ้านก็ปิดล็อคหมดแล้ว อยากเอาอะไรไปอีกหรือเปล่า?”

คนถูกถามส่ายหน้า ตระการจึงกดรีโมทปิดโทรทัศน์และลุกไปดึงปลั๊กออก ร่างสูงทำหน้าประหลาดใจเมื่อจู่ๆ พรพฤกษ์ก็เดินเข้ามาใช้สองแขนโอบรอบเอวเขาและแนบหน้าลงบนบ่า ชายหนุ่มจึงยกแขนขึ้นกอดอีกฝ่ายตอบแม้จะงุนงงอยู่บ้าง

ทั้งสองยืนอยู่ในอ้อมกอดของกันและกันโดยไม่พูดอะไร ครู่หนึ่งพรพฤกษ์จึงระบายลมหายใจยาวแล้วเงยหน้าขึ้นยิ้ม

“ตอนเด็กๆ เวลาก่อนจะแข่งกีฬาสีหรือไปทัศนศึกษาจะชอบกอดเอวตาก่อนแบบนี้แหละ รู้สึกว่าทำแล้วจะโชคดี”

ตระการเลิกคิ้ว แต่แล้วก็ยิ้มตอบแล้วบีบคางคนตรงหน้าเบาๆ “แต่ต้นไม่ใช่ตาของไผ่นะ”

พรพฤกษ์แลบลิ้นให้หลังจากคนตัวใหญ่กว่าก้มลงจูบหน้าผากเขาเร็วๆ ทีหนึ่ง “ก็กอดตาไม่ได้แล้วก็ต้องกอดคนอื่นแทนสิ ถ้าต้นปิดบ้านเสร็จหมดแล้วก็ไปกันเถอะ ไม่งั้นกว่าจะถึงกรุงเทพฯ เดี๋ยวจะเย็นซะก่อน”

ตระการหัวเราะก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายของพรพฤกษ์และเดินนำไปที่รถ ชายหนุ่มสตาร์ทรถและขับออกไปจอดรอข้างถนนเนื่องจากต้องให้พรพฤกษ์ล็อกบ้านและประตูรั้วก่อน หลังจากที่ล็อกประตูหน้าเสร็จแล้วและกำลังจะเดินไปที่รั้ว พรพฤกษ์ก็หยุดเดินกลางทางและหันกลับไปมองตัวบ้านอีกครั้ง และจู่ๆ ก็รู้สึกใจหายที่ต้องทิ้งบ้านเข้ากรุงเทพฯ ทั้งที่เขาตั้งใจว่าคงจะไปเพียงไม่กี่วัน

สายลมอ่อนๆ พัดให้ใบไม้สองสามใบร่วงหลุดจากกิ่งและปลิวลงบนชานพักหน้าบ้าน บรรดาหน้าต่างที่ปิดสนิทดูแล้วให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวและหงอยเหงาเกินคำบรรยาย

ไม่เป็นไรหรอกน่ะ...ไม่ได้จะไปแล้วไปเลยเสียหน่อย อีกอย่างถ้ามีอะไรเดี๋ยวให้นอแวะมาเช็คให้ก็ได้ กุญแจสำรองก็เคยปั๊มให้ไปตั้งนานแล้ว...

เสียงบีบแตรจากหน้ารั้วดึงความสนใจของเขากลับไป พรพฤกษ์จึงเดินต่อไปที่รั้วและจัดการคล้องโซ่และล็อคแม่กุญแจให้เรียบร้อย จากนั้นก็ก้าวขึ้นนั่งบนฝั่งผู้โดยสารของรถจี๊ปสีเขียวเข้มที่ตระการซื้อมาให้แทนรถคันเก่าของเขา

ภายในห้องโดยสารของรถที่เปิดแอร์รอไว้เย็นกำลังดี ตระการที่กำลังจะเข้าเกียร์เหลือบมองข้อมือขวาของพรพฤกษ์ที่สวมสร้อยเงินที่เขาเคยให้ จากนั้นก็ดึงมือข้างนั้นขึ้นไปบีบเบาๆ พรพฤกษ์จึงบีบมือกลับและหันไปยิ้มให้

“ไปกันเถอะ ถ้าต้นขับไม่ไหวช่วงไหนก็ผลัดกันบ้างก็แล้วกัน”

ตระการยิ้มตอบจนตาหยี จากนั้นก็หันไปเข้าเกียร์แล้วออกรถจากจุดที่จอด เนื่องจากทั้งคู่ออกจากบ้านกันตั้งแต่หกโมงเช้า ท้องฟ้าจึงยังไม่ค่อยสว่างด้วยเมฆหนาบดบังพระอาทิตย์ที่กำลังขึ้น และพรพฤกษ์ก็รู้ดีว่าถึงแม้เมื่อครู่จะพูดแบบนั้นออกไป แต่ตระการก็คงไม่มีทางยอมให้เขาได้แตะพวงมาลัยตลอดทั้งวันแน่ เขาเคยหงุดหงิดกับเรื่องนี้ในช่วงหลังจากถอดเฝือกใหม่ๆ ที่โดนห้ามไม่ให้ขับรถ แต่ก็คิดได้ทีหลังว่าตระการคงกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุอีกถึงได้ห้ามเขาแบบนั้น ดังนั้นแม้ว่าจะไม่เห็นด้วยกับการถูกทำเหมือนเป็นตุ๊กตาหน้ารถให้อีกฝ่ายคอยขับพาไปไหนมาไหน เขาก็เพียงแต่ใช้วิธีคอยพูดตะล่อมไปเรื่อยๆ และหวังว่าสักวันตระการคงจะจนใจและยอมให้เขาขับรถเอง

ตอนที่กำหนดวันเดินทางกันได้เมื่อไม่กี่วันก่อน ทั้งตระการและพรพฤกษ์เห็นตรงกันว่าจะขับรถไปเองแทนที่จะขึ้นเครื่องบิน เนื่องจากไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องรีบร้อน และเพราะเวลาในการเดินทางที่เพิ่มขึ้นจะได้ช่วยเพิ่มเวลาในการเตรียมตัวเตรียมใจไปด้วย ระหว่างการเดินทางนั้นทั้งสองพูดคุยกันเพียงไม่กี่ประโยค แต่มือข้างหนึ่งที่ประสานกันแทนการให้กำลังใจก็แทบจะไม่ปล่อยจากกันสักครั้ง

หลังจากแวะพักทานอาหารกลางวันที่นครสวรรค์ ตระการก็ขับตรงเข้ากรุงเทพโดยไม่ได้แวะพักอีก ปกติแล้วพรพฤกษ์มักจะหลับในรถถ้าหากต้องนั่งระยะทางไกลๆ โดยไม่ได้เป็นคนขับเอง แต่ครั้งนี้เขาตื่นเป็นเพื่อนตระการตลอดทาง

ราวห้าโมงเย็นทั้งสองก็เข้าสู่เขตตัวเมืองกรุงเทพฯ พรพฤกษ์ที่นั่งนิ่งมาตลอดเริ่มแสดงท่าทางตื่นตัวขึ้นบ้างเมื่อมาถึงเมืองหลวง เนื่องจากนับตั้งแต่ที่ลาออกจากงานนิตยสารเพื่อไปดูแลตาก่อนจะเสียเป็นต้นมา ชายหนุ่มก็ไม่ได้กลับมาเยี่ยมกรุงเทพฯ อีกเลย นัยน์ตาสีนิลมองไปยังเหล่าอาคารสูงและสภาพการจราจรบนท้องถนนแล้วก็พึมพำเบาๆ

“วุ่นวายชะมัด”

ตระการที่นั่งเงียบมานานหัวเราะ “ก็ปกติของกรุงเทพฯ นี่นา ไผ่ก็พูดอย่างกับว่าไม่เคยอยู่ที่นี่งั้นแหละ”

พรพฤกษ์เหล่มองคนข้างตัวอย่างหมั่นไส้หน่อยๆ “ก็ตอนยังทำงานอยู่มันก็ไม่ค่อยรู้สึกหรอก แต่พอหายจากบรรยากาศแบบนี้ไปหลายปีเข้ามันก็เริ่มไม่ชินแล้วน่ะสิ”

“งั้นเริ่มปรับตัวให้ชินไว้ก็ดีนะ”

ตระการเอ่ยเหมือนพูดลอยๆ แต่ก็ทำให้พรพฤกษ์หันขวับไปมองคนพูด ทว่าท่าทางเหมือนไม่ได้ใส่ใจว่าตนพูดอะไรออกไปของคนขับทำให้เขาหันไปมองนอกหน้าต่างอีกครั้งก่อนจะถอนหายใจเบาๆ

ถึงแม้จะเป็นการพูดออกมาแบบไม่รู้ตัวก็ตาม แค่พูดน่ะมันง่าย...แต่นี่คิดจะให้เขาทิ้งสังคมและเพื่อนๆ ของเขาที่เชียงใหม่มาอยู่ที่นี่ด้วยจริงๆ หรือไง...

ไม่มีใครชวนคุยขึ้นมาอีกหลังจากนั้น พรพฤกษ์เพียงแต่นั่งมองภาพทิวทัศน์ที่ไหลผ่านตาไปโดยพยายามไม่คิดอะไรให้รกสมอง ราวสิบห้านาทีถัดมาตระการก็เลี้ยวรถออกจากถนนใหญ่ และพรพฤกษ์ก็ขยับนั่งตัวตรงขึ้นเมื่อตระหนักได้ว่าพวกเขากำลังเข้ามาในหมู่บ้านจัดสรรหรูหราขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง

“บ้านต้นอยู่ท้ายหมู่บ้านนี้แหละ อีกนิดก็ถึงแล้วล่ะ”

พรพฤกษ์สูดหายใจเข้าลึกขณะที่ตระการขับรถเข้าไปตามถนนหลักในหมู่บ้าน ไม่ใช่เพราะตื่นตาตื่นใจกับความใหญ่โตโอ่อ่าของกำแพงและบ้านแต่ละหลังที่เรียงรายกันสองข้างทาง แต่เป็นเพราะในที่สุดเขาก็กำลังจะไปถึงจุดหมายของการเดินทางอันยาวนานในวันนี้เสียทีนั่นเอง

หลังจากผ่านทางเข้าด้านหน้ามาพักใหญ่ ตระการก็ชะลอรถเมื่อถึงหน้าประตูรั้วเหล็กทาสีขาวที่ดูกลมกลืนกับกำแพงด้านนอกซึ่งกินอาณาเขตกว้างขวาง บริเวณรอบด้านไม่ติดกับบ้านหลังอื่นๆ เหมือนพื้นที่โดยรอบถูกกว้านซื้อเผื่อไว้ ยามที่นั่งอยู่ด้านในป้อมยามขนาดเล็กหน้ารั้วบ้านวิ่งมาดูรถที่ป้ายทะเบียนไม่คุ้นเคย แต่เมื่อเห็นตระการที่ลดกระจกฝั่งตัวเองลงแล้วพยักหน้าให้ ยามวัยกลางคนก็ยืนตัวตรงแล้วตะเบ๊ะทำความเคารพทันที

“คุณต้น! เดี๋ยวผมจะเปิดรั้วให้เดี๋ยวนี้เลยครับ”

เมื่อสิ้นเสียงอีกฝ่ายก็วิ่งกลับเข้าไปในป้อมยาม ครู่หนึ่งรั้วไฟฟ้าก็ขยับเลื่อนไปทางหนึ่ง เมื่อตระการขับรถจี๊ปสีเขียวเข้มผ่านรั้วเข้าไปแล้ว พรพฤกษ์ก็สูดหายใจลึกกับภาพของบ้านหลังใหญ่สีขาว กระเบื้องมุงหลังคาสีส้มอิฐที่เหมาะกับคำว่า ‘คฤหาสน์’ ที่ได้เห็นตรงหน้า

ไม่ใช่เพราะความใหญ่โตหรูหราที่ทำให้ลมหายใจของเขาติดขัด แต่เพราะที่นี่คือบ้านที่แม่ของเขาเคยใช้ชีวิตอยู่จนกระทั่งเสียชีวิตไป...

บ้านที่ตระการเกิดและเติบโตมาตลอดยี่สิบหกปี...

ตระการเลี้ยวรถเข้าจอดตรงลานจอดข้างตัวบ้าน จากนั้นก็เปิดประตูลงจากรถ พรพฤกษ์เห็นดังนั้นจึงคว้ากระเป๋าสะพายใบเล็กของตัวเองและลงจากรถบ้าง ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะเดินเข้าไปในบ้านก็มีหญิงวัยกลางคนที่ผมหงอกเกือบทั้งหัวเดินออกมาจากในตัวบ้านด้วยสีหน้าตื่นๆ

“คุณต้น! ป้าตกใจหมดเลยค่ะตอนยามอินเตอร์คอมมาบอกว่าคุณต้นกลับมาแล้ว นี่หายไปไหนมาตั้งหลายเดือนคะพ่อคุณ แล้วนั่นใครคะ อุ้ย!!”

หญิงวัยกลางคนยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจเมื่อเห็นพรพฤกษ์ถนัดตา พรพฤกษ์จึงเลิกคิ้วแล้วหันไปมองตระการอย่างไม่เข้าใจ และพบว่าอีกฝ่ายยิ้มให้เขาอยู่ก่อนแล้ว

“ป้าแสน นี่ไผ่ ลูกชายแท้ๆ ของแม่พิมครับ ไผ่ ป้าแสนเป็นหัวหน้าแม่บ้านที่นี่ คอยดูแลต้นมาตั้งแต่เกิดแล้ว”

พรพฤกษ์พยักหน้ารับรู้แล้วก็ยกมือไหว้ หญิงวัยกลางคนจึงรีบรับไหว้อย่างละล่ำละลัก “ไหว้พระเถอะค่ะพ่อ ตายจริง...ป้าก็เพิ่งนึกได้ว่าคุณพิมแกมีลูกชายอยู่ที่เชียงใหม่ ไม่คิดเลยว่าจะหน้าเหมือนคุณพิมขนาดนี้”

พูดจบหญิงวัยกลางคนก็เข้ามาจับมือของพรพฤกษ์แล้วส่งยิ้มให้ นัยน์ตาทั้งสองข้างมีน้ำตาเอ่อคลอ ถึงแม้จะไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายจึงแสดงท่าทางเช่นนี้กับเขา แต่พรพฤกษ์ก็เริ่มรู้สึกว่าความกังวลใจเมื่อครู่ก่อนเริ่มลดเลือนลงบ้างด้วยท่าทางเป็นมิตรนั้น

“ป้าแสน พ่ออยู่บ้านหรือเปล่าครับ?”

ตระการถามขัดจังหวะขึ้น ยายแสนจึงกรีดน้ำตาจากหางตาตัวเองแล้วก็ส่ายหน้า “วันนี้เข้าออฟฟิศค่ะคุณต้น แต่เดี๋ยวนี้คุณท่านออกจากออฟฟิศไม่ค่อยเป็นเวลา บางวันก็กลับมาตั้งแต่บ่าย บางวันก็กลับค่ำ ป้าเลยไม่รู้ว่าวันนี้ท่านจะกลับมากี่โมง”

ชายหนุ่มส่งเสียงรับรู้ในคอ จากนั้นก็พยักหน้าเป็นเชิงให้พรพฤกษ์เดินตามเข้าไปในบ้าน ฝ่ายผู้มาเยือนยังไม่หายสงสัยกับท่าทางของหัวหน้าแม่บ้านตอนที่เห็นตนเองเมื่อครู่ จึงถามตระการหลังจากเดินขึ้นบันไดจนมาถึงชั้นสองของตัวบ้านแล้ว

“ทำไมเมื่อกี้ป้าแสนเขาต้องทำท่าเหมือนจะร้องไห้ด้วยล่ะ?”

ตระการชะงักฝีเท้านิดหนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มให้พรพฤกษ์ก่อนจะเดินไปเปิดประตูยังห้องที่อยู่ด้านในสุดของชั้นสอง

“เพราะป้าแสนชอบแม่พิมมากน่ะสิ ความจริงป้าแกเป็นพี่เลี้ยงของแม่แท้ๆ ของต้น ก็เลยคอยดูแลต้นหลังจากแม่เสีย ตอนแรกที่พ่อแต่งแม่พิมเข้ามาป้าแสนก็ไม่ค่อยชอบแม่พิมนะ แต่นานๆ เข้าก็เห็นว่าแม่พิมดีกับต้นแล้วก็ทุกคนในบ้าน แกก็เลยเปลี่ยนเป็นเคารพรักแม่พิมแทน”

พรพฤกษ์ปล่อยให้สิ่งที่ได้ยินค่อยๆ ซึมซับเข้าในสมอง ดูเหมือนว่าแม่ที่เขาเองก็แทบจะไม่ได้ใช้เวลาด้วยจะเป็นที่นิยมชมชอบของคนบ้านนี้ไม่น้อย และความรู้สึกนั้นก็ทำให้ในอกของเขาอุ่นวาบขึ้นอย่างประหลาด

อย่างน้อยแม่ก็ไม่ได้โดดเดี่ยวอยู่ที่นี่...ยังมีคนที่รักและคอยดูแลแม่นอกจากตากับเขาอยู่เหมือนกัน...

พรพฤกษ์เดินตามตระการที่เปิดประตูไม้สีขาวเข้าไปในห้องห้องหนึ่งที่ดูจากการตกแต่งภายในแล้วคงเป็นห้องพระ แล้วจังหวะหายใจก็สะดุดเมื่อเห็นรูปภาพของผู้หญิงสองคนที่ตั้งอยู่บนหิ้งที่ลดหลั่นจากพระพุทธรูปลงมา

รูปหนึ่งเป็นรูปของหญิงสาวที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน แต่โครงหน้าและโดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตาก็บอกให้รู้ทันทีว่าคงจะเป็นแม่แท้ๆ ของตระการที่เสียไปตั้งแต่เจ้าตัวยังแบเบาะ ส่วนอีกภาพที่วางข้างกันเป็นภาพของผู้หญิงอีกคนซึ่งตอนที่โดนถ่ายคงจะอายุมากกว่าหญิงสาวในรูปแรกหลายปี และแม้ว่าเขาจะเคยเห็นภาพสมัยที่ยังสาวกว่านั้นของผู้หญิงในรูปเพียงไม่กี่ครั้งเพราะแอบขโมยอัลบัมของตามาดู แต่เขาก็รู้ได้ทันทีว่านั่นคือรูปของพิมผกา มารดาแท้ๆ ของเขาเอง

“แม่กลอย แม่พิม ต้นพาไผ่มาหาครับ”

ตระการเอ่ยขึ้นก่อนจะลงนั่งคุกเข่าตรงพื้นพรมหน้าหิ้งพระแล้วก้มกราบรูปทั้งสอง ขณะที่พรพฤกษ์ต้องใช้เวลารวบรวมสติอยู่ครู่หนึ่งจึงค่อยทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าข้างคนที่นั่งอยู่ก่อน นัยน์ตาสีนิลดำขลับจับจ้องที่รูปภาพของคนที่ตระการเรียกว่า ‘แม่พิม’ ไม่วางตา พลันในคอก็ตีบตันขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

นี่คือ...แม่ของเขา...แม่ที่ถูกพรากจากเขามาตั้งแต่เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน...

พรพฤกษ์รู้สึกว่าขอบตาของเขาร้อนผ่าว ความรู้สึกเต็มตื้นแล่นขึ้นจนจุกแน่นไปทั้งอก ถึงแม้ว่าจะจำหน้าของผู้ให้กำเนิดไม่ค่อยได้ แต่เมื่อได้เห็นรูปภาพของคนตรงหน้า ความทรงจำเก่าๆ ในวัยเยาว์ก็ย้อนกลับเข้ามาในหัวเป็นฉากๆ ทั้งตอนที่อีกฝ่ายช่วยเขาแต่งตัว จับมือสอนให้หัดเขียนหนังสือตัวแรกในชีวิต หรือให้เขาขี่หลังตอนที่เหนื่อยแล้วงอแงไม่ยอมเดินเอง

ชายหนุ่มสูดน้ำมูกแล้วก็รูดซิปกระเป๋าสะพายเพื่อหยิบรูปถ่ายของตาที่พกติดตัวมาด้วยออกมา หลังจากวางรูปนั้นบนหิ้งข้างรูปของมารดาแล้วก็ก้มลงกราบ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง หยาดน้ำใสก็ไหลลงจากสองตาทั้งที่เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะกลั้นเอาไว้

“แม่ครับ...ไผ่พาตามาหาแม่ด้วยนะ”

เสียงของพรพฤกษ์สั่นเครือ ภาพของรูปถ่ายทั้งสามบนหิ้งพร่าเลือนด้วยม่านน้ำตาที่เอ่อล้นขึ้นเต็มหน่วยตา ริมฝีปากบางเม้มแน่นเพื่อระงับอาการสั่นที่ควบคุมไม่ได้ ตระการเห็นดังนั้นจึงกระถดตัวเข้าใกล้แล้วโน้มคอพรพฤกษ์ให้ลงมาซบบ่าของตัวเอง

“ไผ่สบายดีครับแม่ เป็นคนดีอย่างที่แม่อยากให้เป็น แล้วก็มีแต่เพื่อนที่ดีและคอยเป็นห่วงเป็นใยทั้งนั้นเลยครับ”

ตระการเอ่ยโดยที่มือหนึ่งลูบไหล่ของพรพฤกษ์ขึ้นลง พรพฤกษ์จึงหลับตาแล้วปล่อยให้น้ำตาไหลโดยไม่พยายามจะกลั้นไว้อีก ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดว่าความห่างเหินตลอดยี่สิบกว่าปีคงทำให้ 'แม่' เป็นเหมือนกับคนแปลกหน้า แต่ไม่น่าเชื่อว่าเพียงได้เห็นรูปของอีกฝ่ายเท่านั้น ความคิดถึงและโหยหาจะพรั่งพรูท่วมท้นขึ้นจนเจ็บในอกได้ถึงขนาดนี้

ชายหนุ่มใช้หลังมือปาดน้ำตาลวกๆ พลางดันตัวเองจากอกของตระการ จากนั้นก็ยื่นมือออกไปราวจะแตะภาพของมารดาที่อยู่บนหิ้ง แต่ก็ชะงักแล้วหันมามองตระการเหมือนไม่แน่ใจ เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าให้ เขาจึงลูบใบหน้าของคนในรูปด้วยปลายนิ้วอย่างแผ่วเบา จากนั้นก็ยกรูปลงมาแล้วกอดไว้แนบอก

“แม่พิมรักไผ่มากเลยนะ แม้แต่วินาทีสุดท้าย คำที่แม่พูดก่อนจะเสียก็คือคำว่าไผ่”

คำพูดของตระการทำให้ไหล่ของพรพฤกษ์สั่นไหวขึ้นมาอีก สองแขนที่กอดรูปของมารดากระชับแน่นเข้า ร่างสูงใหญ่จึงดึงตัวคนที่กำลังกลั้นเสียงสะอื้นอย่างเต็มกำลังไว้เข้าไปกอดแล้วก็แนบจูบลงบนเรือนผม และวูบหนึ่งที่พรพฤกษ์รู้สึกราวกับนั่นคือสัมผัสจากมารดาของเขาเอง

“แม่...”

พรพฤกษ์กระซิบเสียงแผ่ว ในใจนึกเสียดายที่บุพการีด่วนจากเร็วเกินไป ไม่เช่นนั้นเขาอาจได้มาพบและคอยปรนนิบัติดูแลในช่วงสุดท้ายของชีวิตเหมือนกับที่เขาเคยดูแลตา แต่เมื่อทุกอย่างสายไปแล้ว เขาก็ได้แต่ต้องก้มหน้ายอมรับความเป็นจริงที่ว่าบัดนี้เขาไม่มีโอกาสที่จะได้สัมผัสกับความอบอุ่นและอ่อนโยนจากมารดาตัวจริงได้อีก

เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ก่อนที่พรพฤกษ์จะควบคุมตัวเองได้อีกครั้ง ชายหนุ่มสูดน้ำมูกแล้วก็นั่งตัวตรงขึ้นโดยที่แขนของตระการยังโอบอยู่รอบไหล่ ร่างเพรียวมองสบตาอีกฝ่ายด้วยใบหน้าที่มีคราบน้ำตาเต็มหน้า แต่ไม่มีหยาดน้ำตาที่เอ่อขึ้นมาจากขอบตาที่แดงช้ำอีกแล้ว

“ขอบคุณนะต้นที่พามาหาแม่”

คำขอบคุณถูกเอ่ยด้วยเสียงขึ้นจมูกเล็กน้อย ตระการยิ้มให้คนพูดอย่างอ่อนโยน จากนั้นก็ปัดผมที่แนบบนหน้าผากเนียนออกก่อนจะวางมือทั้งสองทับบนมือของพรพฤกษ์ที่ยังถือรูป จุดร่วมของพวกเขาทั้งสองเริ่มจากผู้หญิงคนนี้ จากแม่ที่ชักนำให้พวกเขาได้ใกล้ชิดกันทีละน้อย โดยที่เจ้าตัวก็ไม่เคยรู้เลยว่าการเล่าเรื่องของเด็กชายคนหนึ่งให้เด็กชายอีกคนหนึ่งฟังจะก่อให้เกิดความสัมพันธ์อันแนบแน่นในอีกยี่สิบกว่าปีถัดมาเช่นนี้

เสียงรถยนต์ที่เลี้ยวเข้ามาจอดหน้าบ้านดังขึ้นมาให้ได้ยินแว่วๆ และตระการก็ได้ยินเสียงนี้บ่อยพอที่จะรู้ว่าเป็นรถของใคร ชายหนุ่มมองพรพฤกษ์ที่ถอยไปวางรูปบนที่เดิมและกำลังนั่งคุกเข่าจ้องภาพนั้นเงียบๆ จากนั้นจึงลุกขึ้นและเข่าไปตบบ่าของอีกฝ่ายเบาๆ

“เดี๋ยวต้นกลับมานะไผ่”

พรพฤกษ์รับคำในคอโดยไม่หันกลับมามอง บางทีอาจเป็นการตอบรับโดยไม่ทันได้คิดตามว่าตระการพูดอะไรเสียด้วยซ้ำ ร่างสูงใหญ่จึงเปิดประตูออกมาจากห้องพระและเดินออกไปที่โถงทางเดินตรงชั้นสอง เขาเดาได้ว่ายายแสนจะต้องรายงานให้พ่อของเขาทราบว่าเขากลับมาแล้ว และก็คงจะบอกเรื่องที่เขาพาพรพฤกษ์มาด้วยอย่างแน่นอน

จริงอยู่ว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงที่ตระการพาพรพฤกษ์มาที่บ้านด้วยก็เพื่อให้ได้พบกับพ่อของเขา แต่เขาไม่ได้วางแผนไว้ไกลไปกว่านั้นเลย ชายหนุ่มไม่ได้คิดเผื่อด้วยซ้ำว่าบิดาจะแสดงออกอย่างไรเมื่อจู่ๆ ก็ได้พบกับลูกชายของภรรยาคนที่สองโดยที่ไม่มีการแจ้งเตือนให้ทราบไว้ก่อน

เสียงคนพูดคุยกันดังขึ้นมาจากโถงทางเข้าบ้านที่ชั้นล่าง ก่อนจะตามมาด้วยเสียงฝีเท้าที่ซอยถี่ขึ้นมาตามขั้นบันได เมื่อร่างที่กำลังเดินขึ้นมาวางเท้าลงบนบันไดขั้นบนสุด ตระการก็ได้เห็นว่าสีหน้าของตฤณกำลังแสดงอาการโกรธจัดอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

“สวัสดีครับพ่อ”

ชายหนุ่มเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงและใบหน้าราบเรียบ แม้จะรู้ดีว่าพ่อของเขาคงไม่พอใจที่เขากลับมาโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า เขาก็ไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจะได้เห็นสีหน้าท่าทางโมโหโทโสจนเหมือนควันจะออกหูเช่นนี้ แต่เพราะเหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงสองปีที่ผ่านมา ตระการจึงอยู่กับความจริงมากพอที่จะรู้ว่าการพยายามจะคาดการณ์อะไรล่วงหน้านั้นล้วนเปล่าประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับคนรู้จักของเขาเอง

“แกคิดว่าบ้านนี้เป็นอะไร ที่ที่แกนึกจะไปก็ไปนึกจะมาก็มาเมื่อไหร่ก็ได้ตามใจหรือยังไง!?”

ตฤณตะคอกแล้วก็ก้าวพรวดเข้าไปกระชากคอเสื้อของตระการด้วยความโกรธถึงขีดสุด นัยน์ตาทั้งสองข้างของผู้สูงวัยกร้าวจนราวกับจะถลนออกมาเพราะอารมณ์ที่กำลังเดือดพล่าน ด้วยกำลังกายที่ต่างกัน ตระการรู้ดีว่าไม่ยากเลยหากเขาจะดึงตัวเองให้เป็นอิสระ แต่ชายหนุ่มก็เพียงแต่เลือกจะมองอีกฝ่ายนิ่งๆ โดยไม่ใช้กำลังโต้ตอบ

“แล้วแกกล้าดียังไงถึงได้เอาไอ้เด็กนั่นมาที่นี่? ฉันเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าให้เลิกติดต่อกับมัน! คำพูดของพ่อแกมันไม่ทะลุเข้าไปถึงหัวสมองบ้างรึไงต้น!?!”

ตฤณตะคอกต่ออีก จังหวะเดียวกันนั้นยายแสนที่เพิ่งวิ่งตามขึ้นมาพร้อมกับเด็กแม่บ้านอีกคนก็ส่งเสียงอย่างตระหนก

“คุณท่าน อย่าค่ะ!!”

ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นจากตฤณและตระการแผ่ซ่านอยู่ในทุกอณูอากาศจนหนักอึ้ง ทว่าไม่มีใครสักคนตระหนักว่าคนที่อยู่ในห้องพระนั้นได้ยินเสียงตวาดของตฤณตั้งแต่แรก และแอบออกมายืนฟังอยู่หลังตู้กระจกตรงโถงชั้นสองโดยที่ไม่มีใครเห็นได้สักพักแล้ว

ตระการสบตาพ่อของตัวเองโดยไม่หลบหนี “ไผ่ไม่ใช่ไอ้เด็กนั่น แต่เป็นลูกของแม่พิมและมีสิทธิ์จะมาไหว้กระดูกของแม่ ผมเพียงแต่ช่วยให้ไผ่ได้ทำในสิ่งที่ควรจะได้ทำตั้งนานแล้วก็เท่านั้น"

“ต้น! แก!!”

“ว้าย!!!”

เสียงกรีดร้องดังประสานจากยายแสนและเด็กแม่บ้านเมื่อเห็นตฤณง้างมือเตรียมจะพุ่งกำปั้นเข้าที่ใบหน้าของตระการ การเคลื่อนไหวที่ตามมาเป็นไปอย่างรวดเร็วจนไม่มีใครมองทันว่าร่างของใครบางคนพุ่งออกมาจากหลังตู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ และคนคนนั้นผลักตระการออกไปตอนไหน แต่ภาพที่ตามมาหลังตระการตั้งตัวได้และเสียงกำปั้นกระทบเนื้อผ่านไปก็คือภาพของพรพฤกษ์ที่ถูกตฤณต่อยจนล้มลงไปกองบนพื้น

“ไผ่!!”

ทันทีที่ตั้งสติได้ ตระการก็รีบเข้าไปประคองพรพฤกษ์ที่กำลังเอามือหนึ่งกุมคางไว้ หัวใจของเขาหดเกร็งด้วยความเจ็บปวดทันทีที่เห็นหยดเลือดซึ่งซึมออกจากมุมปากของคนที่กำลังส่งเสียงในคอด้วยความเจ็บ ภาพตรงหน้าเรียกความทรงจำของเขาตอนที่เห็นพรพฤกษ์นอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลหลังเกิดอุบัติเหตุให้หวนกลับมา และพายุแห่งความโกรธเคืองอย่างที่ไม่เคยรู้สึกกับใครก็พลุ่งขึ้นจนเหมือนจะดันอกให้ระเบิด

ถึงแม้ว่าจะยังมึนงงจากแรงต่อยและเจ็บชาที่มุมปาก แต่พรพฤกษ์ก็ใจหายวาบเมื่อเห็นประกายตาของตระการ ชายหนุ่มรีบดึงแขนอีกฝ่ายไว้ทันทีเมื่อเห็นร่างสูงผลุนผลันจะลุกขึ้นเพราะเดาได้ว่าจะทำอะไร

“ต้น! อย่านะ!!”

“ว้ายคุณท่าน!! คุณท่านคะ!! ยายนิดรีบไปโทรเรียกรถพยาบาลเร็วเข้า!!!”

เสียงร้องอย่างตกใจของหัวหน้าแม่บ้านทำให้ทั้งตระการและพรพฤกษ์ชะงัก และครั้งนี้ใบหน้าของตระการซีดเผือดเมื่อได้เห็นว่าบิดาที่เพิ่งระเบิดอารมณ์อย่างรุนแรงไปเมื่อครู่กำลังนอนกุมหน้าอกด้วยสีหน้าเจ็บปวดพร้อมกับหยาดเหงื่อเม็ดใหญ่ที่ผุดซึมเต็มหน้าผาก


++---tbc---++
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 29 พย. 2010* หน้า 11
เริ่มหัวข้อโดย: Little Devil ที่ 29-11-2010 22:35:35
 :monkeysad: :monkeysad:
+1
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 29 พย. 2010* หน้า 11
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 01-12-2010 15:06:41
 :กอด1:

เพื่อนสาวคะ อยากถามว่าใน Luscious Board กับในเล้าเป็ด ตอนที่ลงนั้นเหมือนกันหรือเปล่าคะ ในนั้นเป็นฉบับรีไรท์ใช่ไหม และในนี้ก็เป็นฉบับรีไรท์ใหม่เหมือนกันในบางตอน ?? ดิฉันเข้าใจถูกไหมคะ?

อยากอ่านที่มันเป็นโฟลว์เดียวกันน่ะค่ะ วาน บอก  :laugh: บังคับอย่างแรง ประมาณว่าวันศุกร์เสาร์และอาทิตย์นี้เป็นวันหยุดยาวสามวันที่อาจารย์ไปฝึกอบรม ดิฉันจึงจะว่างอย่างมาก หลังลงนิยายและเรื่องสั้นที่แพลนไว้แล้ว ก็จะตามอ่านเรื่องของพี่ไผ่กับน้องต้นให้ทัน :impress2: แต่อยากรู้ว่าจะเลือกอ่านที่ไหนดีหว่า หุหุ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 29 พย. 2010* หน้า 11
เริ่มหัวข้อโดย: kakuro ที่ 01-12-2010 15:12:14
อ่านใน My Blog คุณรินจะเป็นฉบับรีไรท์ใหม่ทั้งหมดตั้งแต่ตอนแรกถึงตอนปัจจุบันค่ะคุณ Wordslinger
แต่เราชอบตอนก่อนรีไรท์ในเล้ามากกว่า ไม่ว่ากันนะคุณริน
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 29 พย. 2010* หน้า 11
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 01-12-2010 15:27:04
^
^
^
^
จิ้มและบวกหนึ่งให้คุณ "คาคุโระ" นะคะ ขอบคุณมากค่ะ

งั้นเดี๋ยวเข้าไปอ่านที่บล็อกเพื่อนสาวแล้วกันค่ะ  :impress2:

ปล. ขอตัววิ่งตัวปลิว (?) ขึ้นไปเรียนแล้วนะคะ หุหุ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 29 พย. 2010* หน้า 11
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 01-12-2010 19:23:05
แอร๊ยย์ มาตอบเพื่อนสาวช้า แต่คุณ kakuro ตอบให้แล้ว ขอบคุณนะค้า  :impress2:

ที่ลงในลัสเชียสกับบล็อกเป็นรีไรท์ค่ะ ส่วนในเล้านี่เป็นออริจินอล แต่ว่าคนอ่านชอบเวอร์ชันไหนนี่แล้วแต่รสนิยมจริงๆ สารภาพว่าช่วงที่เราพักไปเขียนเรื่องอื่นนั่นก็นานพอควร พอกลับมาจะปัดฝุ่นเรื่องนี้แล้วเกิดไฟช็อต จูนกับคาแรคเตอร์ของไผ่ในออริจินอลไม่ติด แถมดีเทลบางอย่างมันรวบรัดจนเป็นไปไม่ได้ในความเป็นจริง วิธีเดียวที่จะทำให้ตัวเองเขียนเรื่องนี้จนจบได้ก็เลยเป็นการเอามาปรับตั้งแต่ต้นนี่แหละ รู้สึกผิดกับคนที่เคยติดตามกันมาตั้งแต่แรกๆเหมือนกัน เพราะเวอร์ชันที่จะเอาไปรวมเล่มคงเป็นเวอร์ชันรีไรท์เพราะมันลงตัวกว่า (จะเรียกว่าขยันเกินเหตุ หรือทำให้มันยุ่งยากสำหรับคนอ่านก็ไม่รู้สิเนี่ย ฮือออ)

ยังไงขอบคุณมากๆ สำหรับคำติชมและกำลังใจนะคะ ป้ารินจะสู้ต่อไป ฮึบ!!  :z2:

หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 29 พย. 2010* หน้า 11
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 01-12-2010 19:38:29
ติดตามลำนักรักสีรุ้ง และเมื่อหัวใจเราใกล้กัน
ชอบปกหนังสือทั้งสองเล่มมากๆเลย มันเหมือนภาพสีน้ำ
เรื่องนี้กะว่าจะรออ่านตอนรวมเล่มแล้วค่ะ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 29 พย. 2010* หน้า 11
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 01-12-2010 19:54:18
^
^
^
คาดว่าต้นปีหน้าน่าจะได้ฤกษ์ให้จองนะคะ เพราะอีกไม่กี่ตอนก็จะจบแล้วล่ะ ขอบคุณที่ชอบอีกสองเรื่องด้วยค่ะ ปกของเรื่องนี้ก็จะทำเต็มที่เหมือนกัน  :call:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 29 พย. 2010* หน้า 11
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 01-12-2010 20:27:44
พึ่งได้เข้ามาอ่านเรื่องนี้วันนี้เองค่ะ อ่านตามจนทัน
ขอชมว่าเขียนเรื่องได้ดีมากค่ะ การบรรยาย ตลอดจนคำพูดของตัวละคร
สื่ออารมณ์สื่อภาพได้แจ่มชัด  การสร้างปมของเรื่องชวนให้ติดตาม
ตอนแรกนึกว่าเรื่องใหม่ แต่พอดูวันที่ที่โพสท์ โอ้ตั้งแต่ปี 2008แน่ะ
ดิฉันไปหลงอยู่ไหนน้า ทำไมถึงพึ่งเจอเรื่องดีๆเรื่องนี้ เมื่อไม่กี่วันมานี่เอง
หวังว่าต่อไปนี้คงได้อ่านต่อเรื่อยๆนะคะ
 
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 29 พย. 2010* หน้า 11
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 01-12-2010 23:38:24
^
^
^
พอไม่ได้มาอัพนานๆก็เลยหล่นไปอยู่หน้าท้ายๆน่ะคะ กะว่าต่อจากนี้จะมาลงให้สม่ำเสมอเหมือนกัน ขอบคุณที่ติดตามค่า  :3123:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 7 ธค. 2010* หน้า 11
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 07-12-2010 11:31:33
ตอนใหม่มาละค่า ไปเที่ยว ตจว. มาเลยมาลงช้าไปนิดนึงน้า   :z2:


++------++


26.


"คุณตฤณ จะกลับแล้วหรือครับ?”

วรชัยถามอย่างประหลาดใจ เพราะนานทีปีหนที่เจ้านายของเขาจะเก็บของเตรียมกลับบ้านตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดินเช่นนี้ ตฤณจึงตวัดสายตามองลูกน้องแล้วถามเสียงเรียบ

“ทำไม? ในเมื่องานไม่ยุ่งฉันจะกลับเร็วบ้างไม่ได้หรือไง? หรือว่ายังมีเอกสารอะไรที่ฉันต้องเซ็นต์อีก?”

“ไม่มีครับ”

วรชัยตอบแล้วก็ไม่พูดอะไรต่อ ด้วยความที่ทำงานกับตฤณมาหลายปี เขาจึงฉลาดพอที่จะไม่ทดสอบความอดทนของเจ้านายด้วยการต่อความยาวสาวความยืด และเมื่ออีกฝ่ายเดินออกจากห้องทำงานก็เพียงค้อมศีรษะให้เท่านั้น

หลังจากประตูห้องทำงานปิดลง วรชัยก็ปรายตาไปยังรูปถ่ายเล็กๆ ตรงมุมโต๊ะของตฤณ เจ้านายของเขาอาจไม่ใช่คนที่อบอุ่นหรือแสดงความรู้สึกเก่ง แต่ก็มีบางแง่มุมที่หากใครตั้งใจสังเกตพอก็จะรู้ว่าแท้จริงแล้วฝ่ายนั้นก็เป็นคนรักครอบครัวคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าการที่เจ้าตัวแทบจะไม่แสดงออกจะทำให้ใครๆ คิดว่าตฤณเป็นคนไร้หัวใจก็ตาม อย่างน้อยรูปถ่ายของเด็กชายคนหนึ่งและหญิงสาวที่เจ้าตัวเพิ่งจะแต่งเข้ามาเป็นภรรยาคนที่สองซึ่งวางอยู่บนโต๊ะก็เป็นหลักฐานยืนยันข้อเท็จจริงนี้ได้อย่างดี

ตฤณใช้เวลาขับรถไม่นานก็ถึงบ้าน แต่กว่าจะนำรถเข้าจอดท้องฟ้าก็เริ่มสลัวแล้ว ร่างสูงยื่นเสื้อสูทที่ถือมาให้กับแม่บ้านที่เดินออกมารับ จากนั้นก็เดินตรงขึ้นไปยังห้องนอนบนชั้นสองโดยที่มือหนึ่งคลายปมเน็คไทไปด้วย หนุ่มใหญ่ชะงักฝีเท้าเมื่อได้ยินเสียงเล็กๆ ของเด็กชายดังมาจากในห้องที่แง้มประตูไว้เล็กน้อย

“แม่อย่าร้องนะครับ ยังไงแม่ก็ยังมีต้นนะ”

“ขอบใจนะจ๊ะต้น แต่ว่าแม่ก็ยังคิดถึงไผ่อยู่ดี”

ตฤณหน้าตึงขึ้นทันที มือใหญ่กระชากประตูเปิดออก ทำให้เห็นพิมผกาซึ่งนั่งอยู่บนเตียงโดยมีตระการซึ่งยังอยู่ในเครื่องแบบนักเรียนนั่งอยู่บนพื้นและหนุนศีรษะบนตัก ทั้งสองแสดงสีหน้าตกใจที่เห็นตฤณยืนอยู่ตรงประตู เด็กชายตัวน้อยค่อยๆ ยกศีรษะขึ้นแล้วยกมือไหว้ทำความเคารพบิดา

“สวัสดีครับพ่อ”

“ทำไมยังไม่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วทำการบ้านเสร็จหมดแล้วหรือยัง?”

“ยังครับ...ขอโทษครับ”

เด็กชายวัยสิบขวบลุกขึ้นจากพื้นแล้วเดินก้มหน้าผ่านตฤณออกจากห้อง ผู้เป็นพ่อมองตามจนเห็นบุตรชายเข้าไปในห้องนอนและปิดประตูตามแล้วจึงเดินเข้ามาข้างใน

ร่างสูงหยุดยืนที่หน้ากระจกแต่งตัวแล้วดึงเน็คไทออกจากคอ จากนั้นจึงค่อยเริ่มปลดกระดุมเชิ้ตที่ข้อมือ ภายในห้องไร้เสียงพูดคุยนอกจากเสียงหายใจของทั้งคู่และเสียงการขยับกายของเขา ท้ายที่สุดตฤณซึ่งสังเกตเห็นจากในกระจกว่าขอบตาและปลายจมูกของพิมผกาแดงช้ำก็เอ่ยขึ้น

“ยังไม่เลิกคิดถึงลูกเธอที่เชียงใหม่อีกหรือไง?”

พิมผกาเงยหน้ามองเขา นัยน์ตาคู่สวยแห้งผาก “คุณตฤณ นั่นลูกของพิมทั้งคนนะคะ แม่คนไหนกันที่จะไม่คิดถึงลูก?”

“ตอนนี้ลูกชายของเธอคือต้น ถึงยังไงเด็กนั่นก็แก่กว่าต้นแค่สองปี ก็คิดว่าต้นคือลูกชายของเธอก็ได้นี่”

คราวนี้คิ้วของพิมผกาขมวดมุ่น “คุณตฤณ! ต้นก็คือต้น ไผ่ก็คือไผ่ ถึงพิมจะเอ็นดูต้นแค่ไหนก็ไม่ได้หมายความว่าแกจะเป็นตัวแทนลูกชายแท้ๆ ของพิมได้นะคะ นี่คุณใช้ตรรกะแบบไหนคิดกัน!?”

น้ำเสียงและคำพูดตำหนิทำให้ตฤณฉุนกึก ร่างสูงใหญ่หันกลับไปกระชากแขนของพิมผกาขึ้นจากเตียงอย่างแรงโดยไม่สนใจสีหน้าตื่นตระหนกของอีกฝ่าย

“จะตรรกะแบบไหนก็เรื่องของฉัน! เธอน่ะทำใจแล้วก็ลืมเด็กนั่นได้แล้ว ถึงยังไงฉันก็ไม่ยอมให้เธอกลับไปหาลูกกับพ่อของเธอที่เชียงใหม่แน่ๆ!”

พิมผกาสบตาเขา ริมฝีปากบางเม้มแน่นก่อนที่หยาดน้ำจะรื้นขึ้นในดวงตาคู่สวยอีก และถึงแม้เขาจะใจแข็งแค่ไหน แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่แสดงการตัดพ้ออย่างรุนแรงถึงเพียงนั้น ตฤณก็เผลอผ่อนแรงที่กำข้อมือของอีกฝ่ายแน่นออก ร่างบอบบางจึงทรุดตัวลงนั่งบนพื้นทันทีราวกับปลาที่ถูกปลดจากเบ็ดเกี่ยว พิมผกายกมือทั้งสองขึ้นปิดหน้าขณะที่ไหล่บางสั่นด้วยแรงสะอื้น

“คุณตฤณ... พิมขอร้องเถอะค่ะ อย่างน้อยให้พิมได้กลับไปเยี่ยมลูกสักครั้งก็ยังดี”

เสียงขอร้องอย่างปวดร้าวนั้นเสมือนกรงเล็บแหลมที่ตะปบลงมาบนอก แต่ถึงแม้น้ำตาที่เห็นจะบาดความรู้สึก ตฤณก็เพียงแต่ขบฟันแน่นและพยายามจะควบคุมลมหายใจที่หอบหนักเพราะความโมโหเท่านั้น

นอกจากความรู้สึกขุ่นเคืองและไม่พอใจ ความรู้สึกที่กำลังเด่นชัดของเขาในยามนี้ก็คือความหึงหวงและอิจฉา ทั้งที่เขาหลงรักพิมผกา ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้เธอไม่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจด้วยการตบแต่งให้เป็นภรรยาแทนที่กลอยตาซึ่งตายจากไปเมื่อหลายปีก่อน แต่ดูเหมือนไม่ว่าเขาจะพยายามสักเท่าไร ปรนเปรอสิ่งที่น่าจะทำให้พิมผกามีความสุขแค่ไหนก็ยังไม่พอจะดึงดูดความสนใจของเธอมาที่ตัวเขา ที่เขาไม่เคยยอมให้พิมผกาได้กลับไปเยี่ยมลูกชายและยังบังคับให้ตัดขาดการติดต่อก็เพราะกลัวว่าหญิงสาวจะไม่กลับมาหาเขาอีกตลอดไป

และในช่วงเวลาที่ความน้อยใจนี้ผุดขึ้นมา ความรู้สึกอันรุนแรงที่มีให้กับเด็กชายที่เขาไม่เคยแม้แต่จะเห็นหน้าก็ทวีความรุนแรงขึ้นเช่นกัน

เขาอิจฉาลูกในไส้ของพิมผกา เด็กชายที่หญิงสาวเอ่ยคร่ำครวญถึงอย่างถวิลหาตลอดเวลาที่ชื่อ ‘ไผ่’ คนนั้น...



ความทรงจำในอดีตผุดขึ้นมาในห้วงสำนึก ก่อนที่ภาพนั้นจะค่อยๆ เลือนหายไปเมื่อตฤณเปิดเปลือกตาอันอ่อนล้าและหนักอึ้งขึ้น ความสลัวรอบตัวทำให้ผู้สูงวัยต้องกะพริบตาถี่เพื่อสร้างความคุ้นเคย และพบว่าตนกำลังนอนอยู่บนเตียงในห้องที่น่าจะเป็นห้องพักผู้ป่วยในโรงพยาบาล ผ้าม่านหน้าต่างถูกรูดปิดเอาไว้ทั้งแถบ แต่แสงที่ส่องสะท้อนบนเนื้อผ้าลางๆ บอกให้รู้ว่าด้านนอกคงเป็นเวลากลางวัน ตฤณพยายามจะยกแขนซ้ายอันอ่อนแรงขึ้น แต่ความรู้สึกตึงทำให้เหลือบตาลงมองและพบว่ามีเข็มให้น้ำเกลือเสียบอยู่ ส่วนความรู้สึกอึดอัดในช่องจมูกก็มาจากสายให้ออกซิเจน

“คุณตฤณ รู้สึกตัวพอดีเลย ยังเจ็บหน้าอกหรือคลื่นไส้บ้างไหมครับ?”

เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นมาจากทางประตูห้อง ตฤณเหลือบมองคนพูดและพบว่าเป็นเกริก น้องเขยของเขาและแพทย์ประจำตัวที่กำลังเดินเข้ามาพร้อมกับนางพยาบาลอีกหนึ่งคน นายแพทย์วัยกลางคนหยิบเครื่องสเต็ทโตสโคปออกมาและทาบลงบนแผ่นอกของเขาเมื่อเดินเข้ามาใกล้ ตฤณยังรู้สึกอึดอัดในอกอยู่เบาบาง แต่เมื่อเทียบกับความเจ็บปวดรุนแรงก่อนที่เขาจะหมดสติไปก็เล็กน้อยมาก จึงไม่ได้เอ่ยถึงและถามคำถามอื่น

“นี่ฉันยังไม่ตายอีกรึ?”

เกริกชะงัก จากนั้นก็ดึงสายวัดลงจากหูและหลีกทางให้นางพยาบาลเอาปรอทวัดไข้ให้คนป่วยอมและทำการวัดความดัน

“คุณตฤณเกิดกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน แต่ว่าพามาส่งโรงพยาบาลเร็วก็เลยรักษาทันครับ แล้วถ้าต่อจากนี้ทำตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัดด้วยการไม่ทำงานหนักเกินไปและทานยาให้เป็นเวลา อาการก็ไม่น่าจะกำเริบง่ายๆ อีกครับ”

ตฤณพ่นหัวเราะทางจมูกพลางเบนสายตาไปอีกทาง เพราะเขารู้ดีว่า ‘แพทย์’ ที่อีกฝ่ายพูดถึงก็คือเจ้าตัวเอง

“ไปบอกลูกชายฉันสิ แต่บางทีถ้าไม่มีฉันต้นมันอาจจะดีใจก็ได้”

เมื่อได้ยินคำตอบ เกริกก็พยักหน้าเป็นเชิงให้นางพยาบาลที่ตามเข้ามาด้วยออกไปก่อน จากนั้นจึงหันกลับมาทางคนป่วยพลางเอาสองมือล้วงกระเป๋าเสื้อกาวน์

“ต้นเป็นห่วงคุณตฤณมากนะครับ ผมเห็นหน้าแกตอนที่พาคุณมาส่งโรงพยาบาล ผมรู้ดี”

ร่างบนเตียงยังคงไม่หันมาสบตา เพียงแต่ถามเสียงเรียบ “แล้วพากันไปอยู่ไหนแล้วล่ะ สองคนนั้นน่ะ?”

ถึงแม้ว่าตั้งแต่ต้นเขาจะเอ่ยถึงแต่ตระการเพียงคนเดียว แต่เกริกก็รู้ว่า ‘สองคน’ ที่ตฤณถามนั้นหมายถึงใคร

“เด็กสองคนนั้นคอยอยู่รอฟังอาการคุณตฤณตลอดตั้งแต่วันที่พามาแอดมิทครับ แต่พอดีเมื่อเช้าคุณวรชัยโทรมาบอกว่ามีเรื่องสำคัญที่ออฟฟิศเลยต้องให้ต้นไปร่วมประชุม เดี๋ยวเย็นๆ ก็คงจะกลับมาครับ”

ตฤณเพียงพยักหน้าน้อยๆ จนแทบสังเกตไม่เห็นแล้วก็หลับตาลง เกริกรออยู่ครู่หนึ่งจึงหมุนตัวจะเดินออกจากห้อง แต่ฝีเท้าของนายแพทย์วัยกลางคนก็ชะงักเมื่อได้ยินเสียงจากคนที่อยู่บนเตียง

“เด็กนั่น...”

เกริกหันหลังกลับแต่ไม่ได้ก้าวเข้าไปหา และพบว่าตฤณยังไม่ได้เปิดเปลือกตาขึ้นด้วยซ้ำ

“...เหมือนพิมมาก แต่นั่นทำให้ฉันยิ่งเห็นก็ยิ่งโมโห”

นายแพทย์ใหญ่ถอนหายใจ ถึงแม้ว่าช่วงที่ตฤณแต่งงานกับพิมผกาใหม่ๆ เขาจะนึกสงสารพี่สาวที่เสียไปก่อนหน้านั้นซึ่งดูเหมือนจะไม่เคยได้รับความรักและอาลัยจากสามีเท่ากับภรรยาคนที่สองเลย แต่วันเวลาที่ผ่านไปทำให้เขารู้ว่าเรื่องของหัวใจเป็นเรื่องที่บังคับกันไม่ได้ เช่นเดียวกับที่อดีตพี่เขยของเขาไม่สามารถกะเกณฑ์หัวใจของบุตรชายได้ และเขาก็ได้แต่หวังว่าตฤณจะตระหนักถึงความจริงข้อนี้ได้ในที่สุด

ตอนที่ตระการพาตฤณมาที่โรงพยาบาลเมื่อสองวันก่อน ความที่ต้องพุ่งความสนใจให้การรักษาทำให้เขาไม่ได้ใส่ใจชายหนุ่มแปลกหน้าที่ตระการพามาด้วยนัก แต่เมื่ออาการของอดีตพี่เขยไม่น่าเป็นห่วงและเขาได้มีโอกาสอธิบายให้หลานชายฟัง เกริกจึงได้รับการแนะนำให้รู้จักกับพรพฤกษ์อย่างเป็นทางการ ใบหน้าที่ถอดแบบจากพิมผกามาอย่างไม่ผิดเพี้ยนทำให้เขาถึงกับชะงักเมื่อได้เห็นชัดๆ แต่เมื่อได้ลอบสังเกตวิธีการพูดคุยและแลกเปลี่ยนสายตาของตระการกับพรพฤกษ์ เขาก็ตระหนักได้ทันทีว่าแม้ตฤณจะใช้วิธีใดมาห้ามไม่ให้ทั้งสองคบกันก็เปล่าประโยชน์ ในเมื่อสิ่งที่เขาเห็นในแววตาของตระการยามมองพรพฤกษ์นั้นไม่ต่างจากที่เขาเคยเห็นในแววตาของตฤณยามที่มองพิมผกาแม้แต่น้อย

“เดี๋ยวผมจะให้พยาบาลเอาอาหารกลางวันกับยามาให้ หลังจากนั้นนอนพักต่ออีกหน่อยแล้วกันนะครับ”

เกริกเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินออกจากห้อง จวบจนประตูปิดลงและเสียงฝีเท้าแผ่วไปจนแทบไม่ได้ยินแล้ว ร่างที่อยู่บนเตียงจึงลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของผู้สูงวัยฉายแววครุ่นคิดบางสิ่งกับตนเองเงียบๆ อยู่เป็นเวลานาน


++------++


ภายในห้องทำงานประจำตำแหน่งซึ่งอยู่บนมุมหนึ่งของชั้นบนสุดของอาคาร กระจกห้องด้านที่ติดกับโถงทางเดินถูกรูดมู่ลี่ปิดไว้อย่างมิดชิด พนักงานที่เดินผ่านไปมาจึงไม่อาจรู้ว่าคนที่อยู่ในห้องนั้นหาใช่เจ้าของห้อง เนื่องจากท่านรองประธานตัวจริงกำลังเข้าประชุมอยู่ที่ห้องประชุมชั้นถัดลงไป และคนที่กำลังนั่งอยู่ในห้องคือชายแปลกหน้าที่ไม่มีแม้แต่บัตร Visitor

หลังจากถูกปล่อยให้นั่งเฝ้าห้องตามลำพังมาหลายชั่วโมง พรพฤกษ์ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานประจำตัวของตระการพลางเปิดเว็บอ่านข่าวฆ่าเวลาไปเรื่อยเปื่อยก็เริ่มเบื่อ ดูเหมือนว่าตั้งแต่เขากับตระการมาถึงกรุงเทพฯ ก็ได้พบเจอแต่เรื่องที่นอกเหนือจากในแผนการเดินตบเท้าเข้ามาไม่หยุดหย่อน ไม่ว่าจะเรื่องที่บิดาของตระการระเบิดอารมณ์กับการที่พวกเขากลับไปที่บ้าน เรื่องที่เขาโดนต่อยเพราะเอาตัวออกไปรับแทนอีกฝ่าย หรือเรื่องที่ตฤณอาการกำเริบจนต้องพาส่งโรงพยาบาลกะทันหัน และวันนี้...เรื่องงานด่วนที่ทำให้ตระการต้องปลีกเวลามาจัดการก่อนจะกลับไปที่โรงพยาบาลอีกครั้ง

ความจริงเขาบอกตระการตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วว่าเขาไปนั่งเฝ้าตฤณที่โรงพยาบาลให้ได้ หรืออย่างน้อยก็ปล่อยให้เขาไปเดินเล่นในเมืองระหว่างรอเจ้าตัวประชุมเสร็จก็ยังดี แต่พอเห็นสายตาที่มองเขาเหมือนน้อยใจ พรพฤกษ์ก็ได้แต่ต้องเลิกเซ้าซี้แล้วยอมตามมานั่งรอที่ออฟฟิศโดยไม่เรื่องมากอีก

ช่วยไม่ได้...เวลาอย่างนี้ต้นก็คงต้องการกำลังใจแหละนะ...

ขณะที่เริ่มง่วงเพราะไม่มีอะไรทำ เสียงประตูที่เปิดออกก็ทำให้พรพฤกษ์ตื่นตัวขึ้นเพราะคิดว่าตระการกลับมาแล้ว แต่กลับพบว่าผู้ที่เข้ามาเป็นหญิงสาวในชุดสูทกระโปรงทะมัดทะแมง เนื่องจากตระการแนะนำเขากับอีกฝ่ายตั้งแต่เช้า พรพฤกษ์จึงรู้อยู่แล้วว่าผู้หญิงคนนี้คือเลขาส่วนตัวของตระการชื่อว่าอารยา

“เอ๋เอากาแฟกับของว่างมาให้ค่ะ คุณไผ่”

อารยาเดินถือถาดสเตนเลสซึ่งมีกาแฟร้อน น้ำเย็น และขนมเค้กชิ้นหนึ่งเข้ามาวางลงบนโต๊ะแล้วก็ยิ้มให้เขา พรพฤกษ์จึงยิ้มตอบ จากท่าทางคล่องแคล่วทำให้เขามั่นใจว่าอารยาน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับเขาหรืออย่างมากก็อ่อนกว่าหนึ่งหรือสองปี

“ขอบคุณครับคุณเอ๋”

พรพฤกษ์เอ่ยแล้วก็ยกกาแฟขึ้นจิบ แต่เพราะลืมไปว่ามุมปากของเขายังเป็นแผล เมื่อจิบกาแฟร้อนเข้าไปเพียงนิดเดียวจึงแสบจนต้องสูดปากและรีบวางถ้วยกาแฟลงทันที

"ตายแล้ว! คุณไผ่เจ็บปากเหรอคะ? งั้นเดี๋ยวเอ๋ไปเปลี่ยนเป็นกาแฟเย็นให้ดีกว่านะคะ ขอโทษด้วยจริงๆ ค่ะ”

พรพฤกษ์รีบห้ามเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะยกถาดกาแฟกลับไป “ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวผมรอให้มันอุ่นกว่านี้อีกหน่อยก็ได้ คุณเอ๋อย่าเสียเวลางานมาทำเรื่องจุกจิกแบบนี้เลย”

เขาเอ่ยอย่างเกรงใจ แต่อารยากลับยิ้มแล้วส่ายหน้า “งานของเอ๋จะได้เริ่มก็ต่อเมื่อคุณต้นประชุมเสร็จนั่นแหละค่ะ อีกอย่างวันนี้เธอก็บอกตั้งแต่แรกแล้วว่าให้คอยดูแลความสะดวกให้คุณไผ่ก็พอ แต่เอ๋ไม่เห็นคุณไผ่เรียกสักทีตั้งแต่หลังเที่ยงก็เลยเอากาแฟกับของว่างเข้ามาให้ ก่อนมานี่เอ๋ก็เพิ่งเอาเอกสารไปส่งให้คุณต้นกับคุณวีที่ชั้นล่าง คิดว่าอีกไม่นานก็น่าจะประชุมกันเสร็จแล้วล่ะค่ะ”

พรพฤกษ์พยักหน้ารับรู้ และถือโอกาสที่ตระการยังไม่กลับมาสอบถามเรื่องที่คาใจกับเลขาของเจ้าตัว

“ต้น เอ่อ...ช่วงที่เขาหายไปสี่เดือนนั่นทำให้ที่นี่ยุ่งยากหรือเปล่าครับ?”

เพราะไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายรู้เรื่องส่วนตัวของตระการมากแค่ไหน พรพฤกษ์จึงพยายามถามด้วยคำที่กลางๆ โดยหารู้ไม่ว่าคนที่คอยจองตั๋วเครื่องบินในการเดินทางที่ผ่านมาของตระการแทบทุกทริปก็คืออารยา ดังนั้นถึงแม้เจ้านายจะไม่เคยปริปากว่าให้ออกตั๋วเพื่อจุดประสงค์อะไรแต่เธอก็พอจะเดาได้ และมั่นใจขึ้นไปอีกเมื่อวันนี้ตระการพาพรพฤกษ์มาที่ออฟฟิศด้วย

“ก็ไม่นะคะ เพราะพนักงานส่วนใหญ่เข้าใจว่าคุณต้นติดงานที่เกาหลีถึงยังไม่กลับมา ส่วนงานที่นี่ก็ได้คุณวีกับคุณตฤณช่วยดูแลแทน โครงการที่เพิ่งเปิดก็กำลังไปได้ดีค่ะ”

พรพฤกษ์ได้ฟังก็โล่งอกขึ้นว่าการที่ตระการมาคอยดูแลเขาไม่ได้ทำให้เจ้าตัวเสียการงานไปมากนัก ชายหนุ่มลองใช้ปลายนิ้วสัมผัสถ้วยกาแฟและพบว่าอุณหภูมิลดลงแล้วจึงยกขึ้นจิบ จากนั้นก็ยิ้มให้อารยาอีกครั้งก่อนหญิงสาวจะเดินออกจากห้องไป ยังไม่ทันที่เขาจะดื่มกาแฟต่อให้หมดถ้วย คนที่รออยู่ก็เปิดประตูแล้วก้าวเร็วๆ เข้ามาในห้องจนแทบจะเหมือนถูกพายุหอบเข้ามา จากนั้นก็วางแฟ้มลงบนโต๊ะแล้วลากเก้าอี้สำหรับแขกมานั่งข้างเขา พรพฤกษ์ยังไม่ทันอ้าปากถามว่าการประชุมเป็นอย่างไรก็ถูกหมุนเก้าอี้ไปหา จากนั้นร่างสูงใหญ่ก็กอดเอวเขาไว้แล้วซบหน้าลงบนซอกคอพลางระบายลมหายใจหนักหน่วง

“เป็นอะไรน่ะต้น?”

พรพฤกษ์ถามพลางยกมือขึ้นลูบผมอีกฝ่าย ตระการจึงไถปลายจมูกกับซอกคอเขาเบาๆ ก่อนจะตอบด้วยเสียงอุบอิบ “เหนื่อย”

คนฟังไม่แน่ใจว่าจะหัวเราะกับคำตอบทื่อๆ นั้นหรือว่าควรจะแสดงความเห็นใจถึงจะเหมาะสมกว่า เป็นไปได้ว่าหลังจากทิ้งงานไปนานถึงสี่เดือน เมื่อต้องกลับมาประชุมและรับทราบรายละเอียดของหน้าที่อีกครั้งจึงทำให้ตระการต้องเปิดรับข้อมูลหลายอย่างรวมทั้งระบบที่อาจหลงลืมไปแล้ว แต่สำหรับเขานั้น เพียงแค่ให้นึกภาพว่าต้องมานั่งทำงานในออฟฟิศอีกครั้งยังนึกไม่ออกเพราะชินกับการทำงานอิสระไปแล้ว

พรพฤกษ์ยังไม่ทันคิดว่าจะพูดอะไรเพื่อให้กำลังใจ เสียงเคาะประตูห้องก่อนที่ใครคนหนึ่งจะเดินเข้ามาก็ทำเอาทั้งคู่สะดุ้ง ทว่าตระการก็เพียงหันหลังไปมองโดยที่ไม่ยอมปล่อยมือที่โอบรอบเอวพรพฤกษ์ออก และเมื่อเห็นว่าเป็นใครก็ระบายลมหายใจอย่างโล่งอก

“อาวี มีอะไรอีกหรือครับ?”

วรชัยเลิกคิ้วเล็กน้อยกับภาพที่อยู่ตรงหน้า ขณะเดียวกันก็นึกขันเมื่อชายหนุ่มที่เขาไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนพยายามจะแงะแขนตระการออกจากเอวโดยที่ใบหน้าซับสีโลหิตจนแดงเรื่อ “พอดีคุณเกริกเมสเสจมาว่าคุณตฤณรู้สึกตัวแล้ว อาเลยจะมาบอกว่าเย็นนี้ไม่น่าจะมีงานเร่งด่วน ถ้าหากต้นอยากจะกลับไปเยี่ยมพ่อเขาตั้งแต่ตอนนี้เลยก็ได้”

“อ๋อ ขอบคุณครับ เอ้อ...อาวี นี่ไงครับไผ่ ลูกของแม่พิมที่ผมเคยเล่าให้ฟัง”

พรพฤกษ์ตวัดสายตามองคนข้างตัวทันที แต่ตระการเพียงแต่ยิ้มแล้วพยักหน้าให้ เขาจึงลุกขึ้นแล้วพนมมือไหว้ชายวัยกลางคนที่ดูแล้วใจดีกว่าบิดาของตระการอย่างเทียบกันไม่ติด

“อืม คิดอยู่แล้วละว่าคงจะใช่ หน้าเหมือนคุณพิมมากจริงๆ ด้วยสิ ยังไงก็อย่าเจ็บแค้นคุณตฤณแกเลยนะ คนแก่ก็มีเรื่องในใจของคนแก่เหมือนกัน”

เพราะสังเกตเห็นรอยฟกช้ำตรงมุมปากข้างหนึ่งของพรพฤกษ์ ประกอบกับเขาเป็นคนเดียวที่ตระการเล่าสาเหตุที่ลงมาจากเชียงใหม่ไม่ได้เมื่อสี่เดือนก่อน วรชัยจึงพอจะนึกภาพการพบกันระหว่างตฤณกับชายหนุ่มที่เพิ่งพบออกว่าคงไม่ได้สวยงามอย่างแน่นอน

พรพฤกษ์ได้แต่กะพริบตาโดยไม่เข้าใจความหมายของผู้สูงวัยดีนัก แต่ตระการตบบ่าเขาเบาๆ แล้วก็ตัดบทเสียก่อน “งั้นเดี๋ยวผมกับไผ่จะออกไปเลยก็แล้วกัน อาวีจะไปด้วยกันหรือเปล่าครับ?”

“ไม่ล่ะ เดี๋ยวอาคงไปหลังเลิกงาน ว่าจะไปรับคุณดาวก่อนแล้วพาไปด้วย”

คุณดาวหรือเดือนดาราคือภรรยาของวรชัยซึ่งเป็นทันตแพทย์ ตระการจึงพยักหน้าแล้วก็เก็บของเพื่อจะออกจากห้อง แต่ขณะที่จะเดินผ่านประตูก็ถูกวรชัยรั้งข้อศอกเอาไว้ ร่างสูงใหญ่จึงหันกลับไปมองเป็นเชิงถาม

“ตอนนี้สุขภาพของคุณตฤณไม่ค่อยดี ยังไงอย่าเพิ่งพูดหรือทำอะไรหุนหันล่ะ มีอะไรก็ค่อยๆ พูดกัน อาไม่เชื่อว่าพ่อของเราจะทิฐิไปได้ตลอดหรอก”

ตระการเลิกคิ้ว พรพฤกษ์ที่เดินนำออกไปก่อนแล้วก็หันมาหยุดมองทั้งคู่ ตระการเหลือบมองสีหน้าแสดงความสงสัยของคนรักเนื่องจากเจ้าตัวไม่อยู่ในระยะที่จะได้ยินเสียงของวรชัย ก่อนจะเม้มปากและหันกลับไปให้คำตอบกับผู้ช่วยของบิดา

“ผมเข้าใจครับ”


++------++
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 7 ธค. 2010* หน้า 11
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 07-12-2010 11:33:19


การจราจรที่ติดขัดเนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่โรงเรียนเลิกทำให้ตระการกับพรพฤกษ์ใช้เวลาร่วมหนึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงโรงพยาบาล หลังจากจอดรถแล้วทั้งสองก็เดินเข้าไปในอาคารผู้ป่วย ตระการมองพรพฤกษ์ที่ยืนอยู่ข้างๆ หลังจากเข้าลิฟต์แล้ว รอยฟกช้ำบนมุมปากที่ยังค่อนข้างชัดเจนทำให้คิ้วดกหนามุ่นเข้าหากัน เมื่อพรพฤกษ์ที่กำลังมองตัวเลขแสดงชั้นอยู่เหลือบมาสบตาเข้าจึงยิ้มให้

“เลิกทำหน้าแบบนั้นเสียทีน่า รอยแค่นี้อีกไม่กี่วันก็หายแล้ว”

“ตอนนั้นไผ่ไม่น่าเอาตัวออกมารับเลย”

ร่างสูงใหญ่เอ่ยพลางใช้ข้อนิ้วไล้บนแก้มพรพฤกษ์เบาๆ โดยระวังไม่ให้โดนรอยช้ำ พรพฤกษ์จึงยกมือขึ้นจับมือข้างนั้นไว้และยิ้มแบบที่คิดว่าจะทำให้ตระการหายกังวลได้มากที่สุด เพราะด้วยนิสัยของอีกฝ่าย เขารู้ดีว่าตระการคงไม่ได้โทษบิดาที่เป็นคนต่อยมากเท่ากับโทษตัวเองที่ปล่อยให้เขาออกมารับหมัดแทนอย่างแน่นอน

เมื่อมาถึงชั้นที่ต้องการ ทั้งสองก็เดินไปตามทางเดินซึ่งทอดไปสู่ห้องพักผู้ป่วยพิเศษด้วยกัน พรพฤกษ์ชะงักเมื่อจู่ๆ ตระการก็หยุดยืนที่หน้าประตูแล้วหันกลับมาหาเขา

“ไผ่จะรอข้างนอกก็ได้นะ”

พรพฤกษ์ขมวดคิ้ว เริ่มจะหงุดหงิดกับการที่ตระการพยายามจะปกป้องเขามากเกินไป ต่อให้รู้ว่าอีกฝ่ายทำเพราะความหวังดีก็ตาม ไอ้ความรู้สึกว่าถูกเป็นห่วงมันก็ดีอยู่หรอก แต่นี่ชักจะทำจนเขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นไข่ในหินเข้าไปทุกที...

“ไม่เป็นไรหรอกน่า ตอนนี้คนที่ควรห่วงคือพ่อของต้นที่อยู่ในห้องต่างหาก อีกอย่างพ่อเขาคงลุกจากเตียงมาต่อยอีกทีไม่ไหวหรอก”

พรพฤกษ์เอ่ยแล้วก็เบียดตระการเพื่อเปิดประตูเข้าไปในห้องด้วยตัวเอง ถึงแม้ว่าในส่วนลึกเขาจะไม่ได้รู้สึกดีกับตฤณที่พรากแม่ไปจากเขาในวัยเด็ก แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายทรมานกับอาการของโรคประจำตัวเมื่อสองวันก่อน เขาเองก็ไม่ได้ใจดำจนถึงกับจะแช่งชักหักกระดูกลง

ที่สำคัญ...ถึงอย่างไรตฤณก็เป็นผู้ให้กำเนิดคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขาตอนนี้...และเขาก็ไม่ต้องการให้ตระการต้องพบกับความรู้สึกเดียวกับเขาตอนที่รู้ว่าในโลกนี้ไม่เหลือใครอีกเหมือนตอนที่ตาจากไป

ภายในห้องผู้ป่วยพิเศษมีการเปิดไฟบริเวณหน้าประตูกับเหนือหัวเตียงไว้ ส่วนผ้าม่านทึบถูกรูดออกบางส่วน แสงแดดสุดท้ายของวันจึงส่องทะลุผ่านผ้าม่านโปร่งที่กั้นไว้อีกชั้นเข้ามาได้

แม้ว่าพรพฤกษ์จะเป็นคนที่เปิดประตูเข้ามาในห้อง แต่เขาก็รอให้ตระการปิดประตูแล้วเดินเข้าไปใกล้เตียงก่อน เนื่องจากยังไม่แน่ใจว่าอาการของตฤณเป็นอย่างไร เขาจึงไม่อยากเสี่ยงกับการให้ผู้สูงวัยโมโหที่เห็นเขาจนเกิดกระทบกระเทือนหัวใจขึ้นมาอีก

เสียงหายใจสม่ำเสมอบอกให้รู้ว่าคนป่วยกำลังหลับพักผ่อน ทว่าเมื่อตระการเดินเข้าไปใกล้และแตะปลายนิ้วลงบนแขนอย่างแผ่วเบา ร่างบนเตียงก็รู้สึกตัวตื่นและเปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ อาจเพราะความสะลึมสะลือทำให้แววตาของตฤณดูเลื่อนลอยเหมือนยังจับไม่ได้ว่าใครอยู่ในห้อง ทว่าเมื่อตื่นเต็มตาและเห็นว่าชายหนุ่มสองคนที่ยืนอยู่ข้างเตียงเป็นใคร ใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกเมื่อครู่ก็ขรึมขึ้นโดยที่ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรงทันที

“พ่อ ผมพาไผ่มาเยี่ยมครับ พ่อหลับไปสองวันเต็มๆ เลยนะครับ”

“ฉันรู้ เกริกบอกแล้วเมื่อตอนกลางวัน”

ตฤณตอบคำบุตรชายสั้นๆ จากนั้นก็ทำท่าเหมือนจะลุกขึ้นนั่ง ตระการจึงช่วยเข้าไปปรับเตียงกับยกหมอนหนุนหลังให้เพื่อที่บิดาจะได้นั่งสบายขึ้น ทว่าต่างก็ไม่มีการแลกเปลี่ยนคำทักทายที่แสดงถึงความห่วงหากันเลย

พรพฤกษ์มองภาพตรงหน้า ในใจรู้สึกเจ็บปวดแทนตระการเพราะเคยได้ยินอีกฝ่ายเล่าให้ฟังว่าตอนเด็กห่างเหินกับบิดาแค่ไหน และถึงแม้พฤติกรรมเมื่อครู่จะชัดเจนว่าคนทั้งสองตรงหน้าต่างก็มีความผูกพันต่อกัน ทว่าการแสดงออกกลับดูห่างเหินและเหมือนเป็นไปตามหน้าที่จนน่าอึดอัด

ชั่ววูบหนึ่งพรพฤกษ์คิดว่าเห็นตฤณปรายตามาทางเขา ทว่าการเคลื่อนไหวนั้นรวดเร็วจนเขาไม่แน่ใจ เพราะวูบเดียวสายตาของผู้สูงวัยก็มองตรงไปที่ตระการเช่นเดิม และเมื่อได้ยินบทสนทนาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องงาน เขาก็เลือกถอยไปนั่งรอที่โซฟามุมห้องเงียบๆ

พรพฤกษ์ไม่รู้ว่าที่วันนี้ตฤณไม่ออกอาการเกรี้ยวกราดเป็นเพราะตั้งใจว่าจะทำเหมือนเขาเป็นอากาศธาตุที่ไม่มีตัวตนหรือเพราะมีใครไปพูดอะไรด้วย เขาจึงเลือกจะมองวิวนอกหน้าต่างที่เห็นผ่านผ้าม่านโปร่งไปเรื่อยเปื่อยเพื่อฆ่าเวลา แต่ครู่หนึ่งก็เริ่มเอะใจเมื่อเสียงพูดคุยกันของสองพ่อลูกแผ่วลงและเงียบไป เมื่อเขาเบนสายตากลับไปก็พบว่าคนทั้งสองกำลังมองตรงมาทางเขา ฝ่ายตฤณนั้นด้วยสายตาเย็นชาเช่นเดิมแม้จะดูเหมือนกำลังเก็บงำบางสิ่งไว้ ส่วนนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มของตระการฉายแววแปลกใจระคนกังวล พรพฤกษ์จึงลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปหาด้วยความสงสัย

ตระการเหลือบมองบิดาที่เอนหลังอยู่บนเตียง จากนั้นก็หันกลับมาและใช้ร่างสูงใหญ่ของตัวเองบังพรพฤกษ์เอาไว้จากสายตาของอีกฝ่ายจนมิด “พ่อจะขอคุยกับไผ่ตามลำพัง ไผ่สะดวกหรือเปล่า?”

พรพฤกษ์เลิกคิ้วเมื่อถูกกระซิบถาม แต่ตฤณคงได้ยินจึงเอ่ยแทรกขึ้น

“แกจะเป็นห่วงอะไรนักหนา ที่แกพาเขามานี่ก็เพื่อให้เจอฉันไม่ใช่หรือไง อีกอย่างตอนนี้ฉันแค่จะลุกเองยังไม่ไหว คนที่น่ากลัวว่าจะโดนบีบคอตายคาเตียงมันน่าจะเป็นฉันมากกว่า”

“ไผ่ไม่ทำแบบนั้นหรอกครับ”

ตระการหันขวับแล้วก็พูดแทนเขาด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ พรพฤกษ์จึงรีบดึงแขนเสื้ออีกฝ่ายเอาไว้

“ไม่เป็นไรต้น ต้นออกไปรอข้างนอกก่อนก็ได้”

เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มหันกลับมามองเขา จากนั้นก็เหลือบมองบิดาที่นั่งเอนหลังอยู่บนเตียงอีกครั้งอย่างไม่ใคร่วางใจ มือใหญ่บีบมือของพรพฤกษ์ที่ยังจับแขนข้างหนึ่งของตัวเองเบาๆ

“ต้นจะนั่งรอหน้าห้อง ถ้าไผ่คุยเสร็จเมื่อไหร่ก็เรียกเลยนะ”

พรพฤกษ์พยักหน้า จากนั้นก็มองตามจนกระทั่งตระการเดินออกไปและปิดประตูห้องตามหลังแล้ว จากนั้นจึงหันกลับมาหาตฤณอีกครั้ง ทำให้พบว่าผู้สูงวัยเบนสายตาลงมองปลายเตียงราวกำลังครุ่นคิดบางอย่าง เขาจึงค่อยๆ เดินห่างจากปลายเตียงไปอยู่ริมหน้าต่างแทน ทว่าไม่ได้นั่งลงบนเก้าอี้ที่วางอยู่ข้างเตียง การเคลื่อนไหวนั้นทำให้ตฤณหันกลับมาสนใจเขาเล็กน้อย

“เก้าอี้มี ถ้าหากจะนั่ง”

วิธีเชิญชวนนั้นทำให้พรพฤกษ์อดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายมีปัญหาในการใช้คำพูดสื่อสาร เพราะแทนที่ฟังแล้วจะทำให้อยากตอบรับ กลับจะทำให้คนที่ถูกชวนรู้สึกเกรงใจที่จะนั่งเสียมากกว่า แต่โชคดีที่เขาเองก็ไม่ได้อยากนั่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

“ขอบคุณครับ แต่วันนี้ผมนั่งมาทั้งวันแล้ว เดี๋ยวผมยืนตรงนี้ก็ได้”

แสงอาทิตย์แดงก่ำยามเย็นส่องทะลุผ้าม่านโปร่งเข้ามาทาบลงบนเสี้ยวหน้าด้านข้างของชายหนุ่มพอดี และแม้แสงนั้นจะช่วยพรางสีผิวให้บิดเบือนไป แต่ตฤณก็มองเห็นว่ามุมปากของพรพฤกษ์ยังมีรอยเขียวช้ำจากหมัดของเขาหลงเหลืออยู่

“ตอนนั้นคนที่ฉันตั้งใจจะต่อยไม่ใช่เธอ การเอาตัวออกมารับแบบนั้นก็ถือว่าเธอหาเรื่องใส่ตัวเอง”

พรพฤกษ์ฟังแล้วรู้สึกแปลกใจอีกครั้ง เขาเริ่มเข้าใจขึ้นมาเลาๆ ว่าทำไมตระการจึงไม่อยากปล่อยเขาไว้เพียงลำพังกับบิดา เพราะวิธีพูดของตฤณที่ฟังแล้วชวนให้รู้สึกโมโหนี่เอง เพราะแทนที่จะขอโทษแต่อีกฝ่ายกลับพูดเหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องสุดวิสัย แต่เขาก็ได้แต่เตือนตัวเองให้ใจเย็นเอาไว้

“ต้นทำเพื่อผมมามาก โดนต่อยแค่นั้นมันเทียบกับการที่เขาคอยดูแลผมมาตลอดสี่เดือนไม่ได้หรอกครับ”

นัยน์ตาของตฤณขุ่นขึ้นชั่วอึดใจ เขาเพ่งพินิจใบหน้าของพรพฤกษ์ที่กำลังจ้องเขากลับโดยไม่หลบสายตา และพบว่าถึงแม้ใบหน้าของอีกฝ่ายจะถอดมาจากพิมผกาอย่างไม่ผิดเพี้ยน แต่นัยน์ตาที่บ่งบอกว่าเอาเรื่องและฝีปากยามโต้เถียงนั้นไม่ใช่สิ่งที่ได้รับจากผู้เป็นแม่อย่างแน่นอน

อยากจะแสดงจุดยืนของตัวเองงั้นรึ...

“คุณตฤณ...ผมมีเรื่องอยากถามคุณ”

คราวนี้เป็นผู้สูงวัยกว่าที่แปลกใจ แต่ตฤณก็เก็บความสงสัยในสีหน้าได้อย่างมิดชิด เขาไม่ปฏิเสธหรือตอบรับว่าจะตอบคำถามหรือไม่ ซึ่งเป็นปฏิกิริยาโต้ตอบอัตโนมัติยามที่ต้องการดูท่าทีของคู่สนทนา และพรพฤกษ์ก็คิดว่าพอจะอ่านนิสัยของอีกฝ่ายได้ว่าคงจะแสดงออกเช่นนี้อยู่แล้ว

“ตอนที่แม่ผมอยู่กับคุณ...แม่มีความสุขไหมครับ?”

คำถามนั้นถูกตามติดมาด้วยความเงียบ ตฤณไม่ได้ตอบรับในทันที นัยน์ตาของผู้สูงวัยราวกับมองทะลุเขาไปเพื่อมองหาใครอีกคนที่ไม่มีตัวตนอยู่ในห้อง และพรพฤกษ์ก็ถือโอกาสระหว่างช่วงเวลาสั้นๆ นั้นในการลอบสำรวจอีกฝ่าย ตฤณไม่เหมือนกับภาพที่เขาเคยวาดเอาไว้ก่อนหน้านี้ เขาเคยนึกว่าบิดาของตระการที่ห่างเหินกับลูกแล้วยังบังคับภรรยาที่แต่งงานใหม่ด้วยไม่ให้ติดต่อกับครอบครัวคงเป็นคนก้าวร้าว เจ้าอารมณ์และชอบใช้ความรุนแรง แต่คนที่กำลังอยู่ตรงหน้านั้นไม่เข้ากับมโนภาพที่เขาวาดไว้เสียทีเดียว เพราะตฤณดูไม่ใช่คนที่น่าจะชื่นชอบการใช้ความรุนแรง แต่ด้วยบุคลิกที่เย็นชาและการชอบใช้คำพูดกดดันแล้วก็ไม่น่าแปลกใจสักนิดที่อีกฝ่ายจะทำเรื่องราวต่างๆ ที่ตระการเคยเล่าให้เขาฟังลงไป

“ฉันดูแลพิมอย่างดีมาตลอด ไม่เคยทำให้ต้องอับอายที่มาจากพื้นเพยากจน อะไรที่เขาขอแล้วฉันให้ได้ก็จะให้”

ยกเว้นเรื่องที่ขอกลับไปหาลูกชายที่เชียงใหม่...แม้ประโยคนี้จะไม่ถูกเอ่ยออกมา แต่คู่สนทนาทั้งสองต่างรู้แก่ใจ

พรพฤกษ์ยิ้มบางเบาจนแทบไม่เห็น “ถ้าอย่างนั้นก็ดีครับ ผมเองก็จำแม่ไม่ค่อยได้เพราะตอนที่แม่ลงมากรุงเทพฯ ผมยังเด็กมาก แต่ได้ยินว่าแม่มีความสุขผมก็ดีใจ”

ความเงียบตามมาหลังจากเขาเอ่ยประโยคนั้นออกไป ราวกับต่างฝ่ายต่างรู้ว่าคู่สนทนาไม่ได้พูดตรงกับที่ใจคิดร้อยเปอร์เซ็นต์ ครู่ใหญ่กว่าที่คนบนเตียงจะทำลายความเงียบขึ้น

“ฉันไม่ยอมรับหรอกนะเรื่องที่เธอกับต้นคบกัน”

พรพฤกษ์ที่มองไปยังพระอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าเบนสายตากลับมาหาคนพูด น่าแปลกที่เขาไม่ได้รู้สึกขุ่นเคืองหรือน้อยเนื้อต่ำใจกับคำพูดของตฤณแม้แต่น้อย อาจเพราะเขาคาดไว้อยู่แล้วว่านี่คือสิ่งที่จะได้ยิน และน้ำเสียงที่ราบเรียบของอีกฝ่ายก็เหมือนประโยคบอกเล่ามากกว่าจะเป็นคำขู่ แม้ว่าในแววตาที่มองตรงมาจะตอกย้ำว่าอีกฝ่ายหมายความตามที่พูดทุกคำก็ตาม

ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก การจะผ่านด่านนี้คงไม่ง่ายนัก และบางทีอาจจะเป็นด่านที่เขาไม่สามารถก้าวข้ามได้ตลอดไป แต่อย่างน้อยพรพฤกษ์ก็มั่นใจในสิ่งหนึ่งมากพอที่จะเอ่ยตอบ

“ตอนแรกที่ต้นบอกว่าจะพามาไหว้กระดูกของแม่กรุงเทพฯ ผมรู้ว่าที่จริงเขาอยากให้ผมได้มาแนะนำตัวกับคุณ ตอนนั้นผมเคยคิดเหมือนกันว่าจะมีประโยชน์อะไรในเมื่อพวกเราต่างก็รู้คำตอบอยู่แล้ว แต่สิ่งที่คุณพูดเมื่อกี้ทำให้ผมคิดได้...ว่าการตอบรับอาจไม่ใช่เรื่องจำเป็น การที่คุณรับรู้ถึงความตั้งใจของต้นต่างหาก...คือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขา”

นัยน์ตาของตฤณหรี่ลงอย่างเย็นชา “ต้นจะทำอะไรก็แล้วแต่ ตราบใดที่ธุรกิจของสุวรรณฤทธิ์ไม่เสียหายฉันจะถือว่ายังไม่ได้ทำอะไรบกพร่อง สำหรับสี่เดือนที่หมอนั่นหายไปฉันจะถือว่าไม่เคยเกิดขึ้นถึงแม้ความเห็นของฉันเรื่องพวกเธอสองคนจะเหมือนเดิม ฉันรักพิมก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันจะต้องรักลูกของเมียที่ไม่ได้เกิดจากฉัน”

พรพฤกษ์ระบายลมหายใจหนักหน่วง ถึงแม้เขากับตฤณจะเหมือนทางขนานที่ไม่มีวันบรรจบกัน อย่างน้อยทั้งสองก็ดูจะเข้าใจตรงกันเรื่องจุดยืนของอีกฝ่ายแล้วในตอนนี้ “เข้าใจแล้วครับ จะให้ผมเรียกต้นเข้ามาหาไหมครับ?”

ตฤณพยักหน้า “ฉันต้องการคุยกับลูกฉันตามลำพัง”

ชายหนุ่มค้อมศีรษะให้แล้วเดินออกไปเปิดประตู จากนั้นก็บุ้ยคางให้ตระการที่นั่งรออยู่ว่าถึงทีอีกฝ่ายต้องเข้าไปคุยกับพ่อของตัวเองบ้าง เมื่อปิดประตูตามหลังแล้วพรพฤกษ์ก็ทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้นวมหน้าห้องแทนที่ตระการซึ่งเพิ่งลุกไป ไออุ่นจากร่างอีกฝ่ายยังหลงเหลือบนเบาะพอให้สัมผัสจางๆ และนั่นก็ทำให้เขารู้สึกว่าความอึดอัดในอกถูกความอบอุ่นนั้นดูดซับให้จางหายลงบ้าง

เหนื่อยจริงๆ...

พรพฤกษ์ระบายลมหายใจยาวก่อนจะก้มหน้าลงซบบนหลังมือที่วางชันขึ้นบนเข่า ทั้งที่การสนทนากับตฤณเมื่อครู่น่าจะกินเวลาเพียงไม่ถึงสิบนาทีเท่านั้น และอาจจะเรียกว่าผ่านไปด้วยดีด้วยซ้ำเพราะไม่มีใครขึ้นเสียงหรือระบายอารมณ์ใส่ใคร ทว่าทั้งเนื้อหาและความกดดันในช่วงที่สนทนาก็สร้างความรู้สึกอันหนักอึ้งให้ตกค้างในใจมากกว่าที่คาด

จากท่าทีของอีกฝ่ายในตอนนี้ เขาค่อนข้างมั่นใจว่าการคาดหวังจะให้ตฤณยอมรับความสัมพันธ์ของพวกเขาคงเปล่าประโยชน์ ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจเดียดฉันท์จนออกนอกหน้าระหว่างที่คุยกันเมื่อครู่ ทว่าแววตาและน้ำเสียงก็บ่งบอกให้รู้ว่าสาเหตุที่ตฤณตั้งแง่กับเขานั้นลึกซึ้งกว่าแค่การที่เขาเป็นผู้ชาย และอาจเพราะที่ผ่านมาพรพฤกษ์ไม่เคยเจอญาติผู้ใหญ่ที่ทำให้รู้สึกกดดันแบบนี้ เพราะทั้งตาของเขา พ่อแม่ของนรพัฒน์หรือแม้แต่เจ้านายที่เคยทำงานด้วยต่างก็ใจดีและเอ็นดูเขาทั้งสิ้น พรพฤกษ์จึงรู้สึกว่าวาจาและท่าทีของตฤณทำให้เขาหนักใจไม่น้อย

หลังจากครู่ใหญ่ผ่านไปตระการก็เปิดประตูออกมา ร่างสูงใหญ่เลิกคิ้วเมื่อเห็นพรพฤกษ์นั่งหลับตาแล้วเอนหลังพิงพนัก จึงทรุดตัวลงบนเก้าอี้ตัวที่อยู่ข้างกันแล้วดึงมือเรียวข้างหนึ่งมาบีบเบาๆ

“ไผ่เป็นไงบ้าง?”

คำถามนั้นทำให้พรพฤกษ์ลืมตาขึ้นและยิ้มให้คนถาม “แค่เพลียนิดหน่อยน่ะ คืนนี้ต้นจะอยู่เฝ้าพ่อหรือเปล่า?”

ตระการสังเกตสีหน้าของคนพูด และดูออกว่าความเพลียที่ว่าคงมาจากการที่อีกฝ่ายได้พูดคุยกับพ่อของเขามากกว่าการพักผ่อนไม่พอ จึงกระชับมือของพรพฤกษ์แน่นขึ้นแล้วส่ายหน้า

“ไม่ต้องหรอก พ่อบอกว่าแจ้งอาหมอไว้แล้วว่าให้หาพยาบาลมาคอยเฝ้าให้ เพราะงั้นวันนี้เรากลับกันเลยก็ได้ ไผ่ก็หิวข้าวแล้วเหมือนกันล่ะสิ?”

พรพฤกษ์ไม่โต้แย้งและลุกตามอย่างง่ายดายเมื่อถูกมือแข็งแรงฉุด เขาคร้านจะถามว่าจะไม่ให้เขาลาตฤณก่อนหรือในเมื่อรู้แก่ใจว่าฝ่ายนั้นก็คงไม่อยากเห็นหน้าเขานานนัก ตลอดเวลาที่อยู่ในลิฟต์นั้นพรพฤกษ์เอาแต่เงียบและทำสีหน้าครุ่นคิดตลอดเวลา จวบจนเข้าไปนั่งในรถกันแล้ว ตระการจึงเลิกคิ้วเมื่ออีกฝ่ายเอนศีรษะมาพิงไหล่ของเขา

“ต้น...คืนนี้ไม่กลับไปนอนที่บ้านได้ไหม?”

พรพฤกษ์ถามขึ้น เขาไม่อยากกลับไปที่บ้านของตระการตอนนี้ ถึงแม้ว่าสองคืนที่ผ่านมาจะได้นอนที่ห้องรับแขกในบ้านหลังนั้นมาแล้วก็ตาม ความขุ่นมัวในใจทำให้เขาอยากไปอยู่ที่ไหนก็ได้ที่มีเพียงพวกเขาสองคนเหมือนตอนอยู่ที่เชียงใหม่มากกว่า

ตระการฟังเสียงอ่อนแรงของพรพฤกษ์แล้วก็ให้สงสัยว่าพ่อของเขาพูดอะไรบ้างจึงทำให้อีกฝ่ายเหนื่อยถึงขนาดนี้ แต่ว่าก็เข้าใจและเห็นด้วยสำหรับเรื่องที่ถูกขอ

“เอาสิ เดี๋ยวคืนนี้เราไปนอนโรงแรมที่ไหนสักที่ก็แล้วกัน ส่วนอาหารเย็นเดี๋ยวก็ทานกันที่นั่นไปเลย”

ชายหนุ่มเอ่ยก่อนจะหักเลี้ยวรถไปเส้นทางที่ไม่ใช่ทางกลับบ้าน พรพฤกษ์จึงพยักหน้า ตอนนี้ตระการจะพาไปที่ไหนก็ไม่สำคัญ ขอเพียงให้เป็นที่ที่ไม่มีใครรู้จักพวกเขาสองคนก็พอ จากนั้นบางทีเขาอาจจะเรียกความเข้มแข็งที่กำลังสั่นคลอนให้กลับคืนมาได้บ้าง ชายหนุ่มเอนลงซบไหล่หนามากขึ้นก่อนจะแหงนหน้ามองเสี้ยวหน้าของอีกฝ่ายที่กำลังมองถนนด้านหน้า จากนั้นก็บีบมือของตระการที่กุมมือเขาไว้แน่นเข้าพลางเอ่ยเสียงเบา

"ขอบคุณนะต้น"


++---tbc---++


ส่วนตอนใหม่ รอพบกันอาทิตย์หน้านะค้า   :mc4:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 7 ธค. 2010* หน้า 11
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 07-12-2010 11:37:25
หืม...เผลอดีใจนึกว่ามาอัพต่อให้
ว้า.....อดเลย
เดินก้มหน้าท่าหงอยๆออกจากกระทู้ไป
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 7 ธค. 2010* หน้า 11
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 07-12-2010 11:38:43
^
^
อัพอยู่ท้ายหน้า 11 ล่างสุดเลยค่า  o13
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 7 ธค. 2010* หน้า 11
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 07-12-2010 15:51:28
อะ..รอลุ้นและเป็นกำลังใจให้ต้นกะไผ่
ผ่านพ้นอุปสรรคอันใหญ่หลวงนี้
ให้ได้ด้วยดีก็แล้วกัน
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 7 ธค. 2010* หน้า 11
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 08-12-2010 16:39:34
ชอบเรื่องนี้จัง สนุกมากๆค่ะ :กอด1:
ระหว่างต้นกับไผ่ อ่านแล้วรู้สึกอบอุ่นนะ  คอยปลอบใจและเข้าใจกันเสมอๆ
ชอบจังเลยคู่รักแบบนี้ :o8:

มาต่อบ่อยๆนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 13 ธค. 2010* หน้า 12
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 13-12-2010 14:22:00
ตอนใหม่มาแล้วค่ะ คิดถึงคนอ่านทุกๆ คนน้า :man1:


++------++


27.

ภายในโรงแรมระดับสี่ดาวกลางใจเมืองแห่งหนึ่ง หลังจากเช็คอินที่เคาน์เตอร์เรียบร้อยแล้ว ตระการก็รับคีย์การ์ดก่อนจะพาพรพฤกษ์ไปห้องอาหารซึ่งตั้งอยู่ที่ชั้นกราวด์ ความจริงแล้วฐานะของเขานั้นสามารถเลือกที่จะเข้าพักห้องที่ดีที่สุดในโรงแรมที่หรูและแพงที่สุดในกรุงเทพฯได้อย่างสบายๆ หรือถ้าหากต้องการ เขาจะโทรแจ้งผู้จัดการโรงแรมให้มาคอยต้อนรับเป็นพิเศษก็ยังได้ แต่โดยส่วนตัวแล้วเขาไม่ได้ชื่นชอบความฟู่ฟ่าหรือเป็นจุดสนใจ ประกอบกับตระหนักดีว่าพรพฤกษ์เองก็คงไม่ได้ต้องการพักในที่หรูหราเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศมากเท่ากับต้องการเป็นอิสระจากคนในครอบครัวของเขาชั่วคราว ตระการจึงเลือกโรงแรมที่ดีเพียงพอจะอำนวยความสะดวกในการมาพักค้างคืนเท่านั้น

เนื่องจากห้องอาหารที่นี่เป็นแบบบุฟเฟต์ หลังจากเลือกที่นั่งซึ่งใกล้กับกระจกแล้วทั้งคู่ก็ลุกไปตักอาหารและเดินกลับมานั่งทานที่โต๊ะ แต่พรพฤกษ์ทานได้เพียงไม่กี่คำก็เขี่ยอาหารไปมาก่อนจะวางมีดกับส้อมลง ทั้งๆ ที่อาหารที่ตักมาก็มีปริมาณน้อยอยู่แล้ว ตระการเห็นจึงถามขึ้นอย่างเป็นห่วง

“ไผ่อิ่มแล้วเหรอ?”

คนถูกถามพยักหน้า “เมื่อบ่ายกินของว่างที่ออฟฟิศไปแล้ว มันก็เลยไม่ค่อยหิวล่ะมั้ง”

พรพฤกษ์ตอบแล้วก็ยกมือขึ้นวางประสานบนโต๊ะพลางมองไปด้านนอก แต่พอเห็นจากหางตาว่าตระการวางมีดกับส้อมลงบ้างก็หันกลับไปหา

“ถ้าต้นยังไม่อิ่มก็กินต่อสิ เดี๋ยวนั่งรอก็ได้ เสียดายค่าบุฟเฟต์”

ตระการส่ายหน้าพลางยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม จากนั้นก็ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นเท้าคาง “อาหารโรงแรมมันไม่ค่อยอร่อย ต้นอยากกินที่ไผ่ทำมากกว่า”

พรพฤกษ์กะพริบตา จากนั้นหัวคิ้วที่มุ่นน้อยๆ มาตลอดตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลโดยไม่รู้ตัวก็คลายลง ริมฝีปากบางค่อยคลี่ยิ้มได้เมื่อได้ยินที่ตระการพูด

“เอาไว้กลับไปเชียงใหม่ก่อนสิจะทำกับข้าวให้ทุกมื้อเลย อยู่ที่นี่ต้นมีแม่บ้านทำให้อยู่แล้วนี่”

ทั้งคู่เงียบไปหลังจากนั้น ตระการมองพรพฤกษ์ที่กำลังหลุบตาลงมองโต๊ะ จากนั้นก็ยื่นมืออีกข้างไปวางทับบนมืออีกฝ่าย

“พ่อเขาพูดอะไรกับไผ่บ้าง เล่าให้ฟังได้มั้ย?”

พรพฤกษ์เหลือบตาขึ้น จากนั้นก็เบนสายตาลงอีกครั้งก่อนจะถอนหายใจ ชายหนุ่มตัดสินใจเล่าบทสนทนาสั้นๆ ในห้องผู้ป่วยให้ตระการฟังโดยพยายามเลือกใช้คำให้อ่อนกว่าที่ตฤณพูดจริง แต่ตระการก็เดาได้เองว่าด้วยนิสัยแล้วพ่อของเขาคงใช้คำที่ตรงไปตรงมายิ่งกว่าที่พรพฤกษ์ใช้อย่างแน่นอน

ทั้งสองนั่งฟังเสียงการเคลื่อนไหวของแขกคนอื่นๆ ในห้องอาหารอย่างเงียบๆ หลังพรพฤกษ์เล่าจบ ครู่หนึ่งตระการก็เรียกพนักงานมาเก็บค่าอาหารแล้วเดินนำพรพฤกษ์ขึ้นไปที่ล็อบบี้

“ไผ่จะขึ้นห้องเลยหรือเปล่า? หรือว่าอยากออกไปเดินเล่นก่อน? กลางคืนแถวนี้มีตลาดอยู่”

ตระการเอ่ยหลังจากดูนาฬิกาข้อมือและเห็นว่าเพิ่งจะสองทุ่ม พรพฤกษ์จึงมองไปยังถนนด้านนอกที่เห็นได้ผ่านกระจกล็อบบี้ จากนั้นก็หันกลับมามองตระการที่ยังอยู่ในชุดสูทแม้ว่าจะคลายเนคไทให้หลวมและปลดกระดุมเม็ดบนไว้ พอก้มมองตัวเองที่อยู่ในเสื้อผ้าฝ้ายแขนยาวกับกางเกงยีนส์และรองเท้าผ้าใบ ชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นยิ้มแล้วส่ายหน้า

“อย่าดีกว่า เดี๋ยวดูเหมือนเสี่ยหิ้วเด็กไปเดินช้อปปิ้ง”

ชายหนุ่มหัวเราะเมื่อเห็นตระการทำหน้างง เขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะการได้อยู่ห่างไกลสายตาของคนในครอบครัวของตระการ หรือเป็นเพราะได้บรรเทาความขุ่นมัวในใจด้วยการเล่าเรื่องที่คุยกับตฤณให้อีกฝ่ายฟัง แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่าความทุกข์ในใจได้รับการปลดปล่อยจนอารมณ์ดีขึ้นมาก และไม่อยากจะคิดถึงเรื่องที่ทำให้เครียดอีกอย่างน้อยก็ตลอดคืนนี้ จึงดันหลังร่างสูงใหญ่ให้เดินไปที่ลิฟต์ด้วยกัน

“พวกเราขึ้นห้องกันเถอะ ตลาดแถวนี้มีแต่เสื้อผ้ากับของสำหรับขายฝรั่ง ถึงดูไปก็ไม่ซื้ออยู่ดี”

พรพฤกษ์พูดอย่างคุ้นเคย เพราะสมัยที่ยังทำงานในกรุงเทพฯ เขาก็เคยต้องมาทำธุระแถบย่านนี้บ่อยครั้ง จึงพอจะรู้ว่าถนนฝั่งตรงข้ามโรงแรมที่มาพักนั้นขึ้นชื่อในเรื่องอะไร แต่ก็เข้าใจว่าตระการคงไม่ทันได้คิดถึงจุดนี้เพราะเพียงต้องการพาเขามาหาที่พักค้างคืนตามที่ขอเท่านั้น

ทั้งสองกดลิฟต์ซึ่งอยู่บนชั้นลอยถัดจากล็อบบี้ แต่ขณะที่รอให้ลิฟต์ลงมาถึงและคนข้างในเดินออกมาก่อนนั่นเอง หญิงสาวซึ่งเดินควงแขนชายหนุ่มคนหนึ่งออกมาจากในลิฟต์ก็เหลือบมองพวกเขาแล้วชะงัก

“พี่ต้น?”

ตระการกับพรพฤกษ์หันไปตามเสียงเรียก และถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยพบตัวจริงของอีกฝ่ายมาก่อน แต่ภาพในข่าวที่เคยได้เห็นเมื่อนานมาแล้วยังคงติดตา พรพฤกษ์จึงจำได้ทันทีว่าสาวสวยตรงหน้าคือลลิตา นางแบบสาวที่เคยเป็นข่าวกับตระการ

“สวัสดีครับลิลลี่ มาทานข้าวที่นี่หรือ?”

ตระการค้อมศีรษะแล้วเอ่ยทัก อาจเพราะเขาไม่เคยคิดอะไรกับเธออยู่แล้ว ดังนั้นแม้ว่าจู่ๆ จะมาพบกันก็ไม่ทำให้ตกใจเหมือนตอนที่เจอเจนใจที่เชียงใหม่

ลลิตาเหลือบมองผู้ชายที่ตนยืนควงแขนอยู่อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หันกลับมายิ้มให้ตระการ แต่พรพฤกษ์ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือไม่ที่รอยยิ้มนั้นดูฝืดเฝือเล็กน้อย

“ค่ะ พอดีขึ้นไปคุยงานที่บาร์ข้างบนเพิ่งจะเสร็จ แล้วพี่ต้นมาทำอะไรที่นี่คะ ลี่นึกว่าพี่ต้นยังไม่กลับมาเมืองไทยเสียอีก”

“ก็กลับมาได้สักพักแล้วล่ะครับ ทันได้ข่าวของลิลลี่กับหนุ่มนักร้องพอดี ยินดีด้วยนะครับ ถ้ายังไงผมขอพาแฟนขึ้นไปที่ห้องก่อน”

พรพฤกษ์กะพริบตาปริบเมื่อจู่ๆ ตระการก็ยกแขนขึ้นโอบบ่าเขาแล้วรั้งตัวเข้าไปในลิฟต์ ก่อนที่ประตูลิฟต์จะปิดลงเขายังทันเห็นสีหน้าตกใจของชายหนุ่มกับหญิงสาวที่ยังยืนตะลึงอยู่ตรงนั้นได้ชัดเจน นัยน์ตาสีนิลวาวตวัดขึ้นมองคนข้างตัวเพราะรู้สึกได้ว่าร่างอีกฝ่ายกำลังสั่น และทำให้พบว่าตระการกำลังกลั้นหัวเราะอยู่

“นี่! เมื่อกี้จะไปบอกเขาแบบนั้นทำไมเล่า! เดี๋ยวก็ได้เป็นข่าวหรอก!!”

พรพฤกษ์ตำหนิทั้งที่ความร้อนเริ่มแผ่บนผิวหน้า เพราะเขารู้ดีว่าด้วยฐานะของตระการนั้นไม่ยากเลยที่จะเป็นข่าวโดยเฉพาะกับเรื่องส่วนตัวแบบนี้ แต่คนถูกว่าดูจะไม่ได้รู้ร้อนรู้หนาวแม้แต่น้อย ตระการเพียงแต่กอดอกพิงผนังลิฟต์แล้วมองเขายิ้มๆ

“ต้นไม่ได้เป็นดารานะไผ่จะได้เป็นข่าวง่ายๆ แล้วกับลิลลี่น่ะไม่ต้องห่วงหรอก อีกอย่างถ้าต้นไม่ทำแบบนี้เดี๋ยวไผ่ก็หึงเหมือนตอนที่เจอเจนอีกน่ะสิ”

ร่างสูงใหญ่ยิ้มชอบใจเมื่อเห็นพรพฤกษ์จ้องเขาตาขุ่นทั้งที่โหนกแก้มเป็นสีเข้มขึ้น เมื่อมาถึงชั้นที่ต้องการแล้ว ตระการจึงกุมมืออีกฝ่ายไว้แล้วก็จูงไปที่ห้องอย่างอารมณ์ดีจนคนที่เดินตามแปลกใจ

“เป็นอะไรน่ะต้น ดีใจที่เจอแฟนเก่าขนาดนั้นเลยหรือไง?”

ชายหนุ่มเอ่ยถาม แล้วก็ส่งเสียงร้องอย่างตกใจเมื่อหลังจากปิดประตูแล้วตระการรั้งเขาเหวี่ยงลงไปนอนบนเตียงก่อนจะตามขึ้นทาบทับทั้งที่อยู่ในชุดสูท ยังไม่ทันที่เขาจะยันตัวขึ้นนั่งแล้วถามว่าเกิดบ้าอะไรขึ้นมา อีกฝ่ายก็จับมือทั้งสองข้างของเขาตรึงไว้กับเตียงแล้วแนบริมฝีปากลงบนริมฝีปากของเขา

นัยน์ตาสีนิลเบิ่งกว้างอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูกเพราะถูกจู่โจมอย่างกะทันหัน แต่เมื่อตระการเลื่อนมือหนึ่งขึ้นแนบแก้มของเขาแล้วเปลี่ยนมุมจูบ พรพฤกษ์ก็เลิกตั้งคำถามแล้วยกมือข้างที่เพิ่งเป็นอิสระขึ้นโอบคออีกฝ่ายไว้ ชายหนุ่มไล้เรียวลิ้นและขบกลีบปากของตระการเช่นเดียวกับที่อีกฝ่ายทำให้ ก่อนจะส่งเสียงครางในคออย่างขัดใจเมื่อร่างสูงใหญ่ผละออก เพียงเพื่อจะพบว่าตระการเพียงแต่ลุกขึ้นถอดเสื้อสูทและเชิ้ตออกก่อนจะทาบร่างที่เปลือยท่อนบนลงหาเขาอีกครั้ง

“อื้อ...ต้น ไม่ได้บอกว่าอยากมานอนนอกบ้านเพื่อให้ทำอย่างนี้นะ”

พรพฤกษ์ท้วงทั้งที่ร่างกายโอนอ่อนไปตามการปลุกเร้า อาจเพราะความอ่อนเพลียในวันนี้ประกอบกับความดีใจลึกๆ กับเรื่องเมื่อครู่ทำให้เขาไม่นึกอยากปฏิเสธสัมผัสจากร่างสูงใหญ่ เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจึงทอยิ้มยั่วก่อนจะก้มลงจูบพรพฤกษ์เร็วๆ จนเกิดเสียงดัง จากนั้นก็รั้งชายเสื้อผ้าฝ้ายขึ้นโดยไม่ได้รับการขัดขืน ชายหนุ่มใช้ฝ่ามือแข็งแรงลูบไปตามผิวกายที่ลื่นละมุนมือก่อนจะก้มลงจูบบนหน้าท้องของพรพฤกษ์อย่างแผ่วเบา

“ไหนๆ ก็อุตส่าห์ออกมานอนนอกบ้านกันแล้วนี่นา แถมต้นก็ไม่ได้กอดไผ่มาหลายคืนแล้วด้วย พี่ชายใจดีกับต้นหน่อยนะ”

พรพฤกษ์ฟังแล้วให้นึกอยากถองคนเบื้องบนขึ้นมาติดหมัด ทีแบบนี้ล่ะทำปากดีมาเรียกพี่ชาย ทั้งที่ปกติต่อให้เขาแค่แทนตัวเองเล่นๆ ด้วยคำนี้ก็จะเห็นตระการทำหน้านิ่วทุกครั้ง แต่แล้วชายหนุ่มก็ได้แต่ยกมือขึ้นอุดเสียงร้องหลังตระการรั้งกางเกงของเขาลงแล้วใช้ริมฝีปากดุนที่ส่วนอ่อนไหว

“ต้น...อื้อ...ม”

เขาไม่รู้ว่ากางเกงถูกดึงไปจนพ้นขาได้อย่างไร หรือว่าตระการใช้วิธีไหนถอดเสื้อผ้าที่เหลือโดยที่เขาไม่รู้สึกว่าอีกฝ่ายผละไปสักเสี้ยววินาที แต่เมื่อรู้ตัวอีกครั้ง เรือนร่างที่แน่นไปด้วยกล้ามเนื้ออุ่นจัดก็แนบชิดลงมาจนไม่เหลือที่ว่างระหว่างทั้งคู่ ตระการไล้ปลายลิ้นเคลียไปบนแผ่นอกเรียบที่เริ่มกระเพื่อมถี่ตามแรงหอบหายใจ ส่วนมือทั้งสองข้างก็ลูบสะโพกตึงแน่นและเรียวขาเพรียวไปมาอย่างไม่รีบร้อน พรพฤกษ์รู้ดีว่าเนื่องจากนี่เป็นเพียงครั้งที่สอง ตระการจึงยังแตะต้องเขาอย่างระมัดระวังและอ่อนโยน และถึงแม้ครั้งแรกนั้นเขาจะตอบรับอย่างเงอะงะไม่เต็มใจ แต่ครั้งนี้เขาต้องการจะมอบทุกสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการให้โดยไม่อิดออดอีก จึงแนบฝ่ามือทั้งสองลงบนแก้มของคนที่กำลังพรมจูบบนยอดอกของเขาแล้วเอ่ยเสียงพร่า

“ต้น...จะทำเต็มที่ก็ได้นะ”

ตระการชะงักและเงยหน้าขึ้นสบนัยน์ตาสีนิลที่ฉ่ำเยิ้มด้วยความปรารถนาซึ่งถูกทำให้ตื่นตัว ร่างสูงใหญ่ค่อยๆ เลื่อนตัวขึ้นจนสายตาของทั้งสองเสมอกันแล้วใช้มือหนึ่งเสยผมพรพฤกษ์ที่แนบติดหน้าผากให้

“ไผ่แน่ใจเหรอ?”

นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มสะท้อนความรู้สึกห่วงใยอันลึกซึ้ง ขณะเดียวกันก็ไม่อาจบดบังประกายไฟของความปรารถนาซึ่งลุกโชนอยู่ภายใน และบัดนี้พรพฤกษ์ก็ตระหนักแล้วว่าอีกฝ่ายใช้แววตาแบบนี้เพื่อมองเขาเพียงคนเดียว จึงพยักหน้าโดยไม่ตะขิดตะขวงใจถึงแม้ว่ายิ่งถูกจ้องมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเขินก็ตาม

ร่างสูงใหญ่คำรามในคอเมื่อรู้สึกถึงการเสียดสีจากร่างกายท่อนล่างที่กำลังบดเบียดกัน และนั่นก็ราวกับเป็นสัญญาณให้เขาปลดปล่อยความต้องการที่กักเก็บไว้ออกมา พรพฤกษ์รู้สึกราวกับในหัวว่างเปล่าจนจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น รู้แต่ว่าการเคลื่อนไหวที่สอดประสานกันของทั้งคู่เป็นไปอย่างเร่าร้อนและบ้าคลั่ง ขณะเดียวกันก็อ่อนโยนและหวานซึ้งจนเขาไม่คิดว่าคนคนหนึ่งจะปลุกทุกความรู้สึกในตัวเขาให้ปะทุขึ้นพร้อมกันได้แบบนี้ และนั่นก็ทำให้เขายิ่งโหยหาอยากจะเก็บความอบอุ่นและเร่าร้อนนี้ให้เป็นของเขาเพียงคนเดียวตลอดไปเช่นกัน

ตระการแสดงความรักกับเขาอย่างเปิดเผย ชื่นชมร่างกายของเขาโดยไม่ปิดซ่อนความพึงพอใจ ตักตวงความสุขจากเขาโดยไม่ลืมที่จะมอบสิ่งเดียวกันตอบแทนให้ และพรพฤกษ์ก็พบว่ายิ่งตระการปรนเปรอสิ่งเหล่านี้ให้กับเขาด้วยความทะนุถนอมมากแค่ไหน เขาก็ยิ่งอยากตอบสนองผ่านการแสดงออกเพื่อให้อีกฝ่ายได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่เขามีให้มากขึ้นเท่านั้น

ตราบจนพายุอารมณ์ที่ปั่นป่วนพัดโหมขึ้นถึงขีดสุด ตระการก็ก้มลงจูบและกอดพรพฤกษ์เอาไว้แน่นราวกับแทนคำสัญญาว่าจะไม่มีวันปล่อยมือชั่วชีวิต และพรพฤกษ์ก็มั่นใจว่าต่อให้ใครจะไม่ยอมรับหรือขัดขวาง เขาก็จะไม่ยอมปล่อยอีกฝ่ายไปจากชีวิตเขาอย่างแน่นอน ชายหนุ่มฟังเสียงหอบหายใจที่คลุกเคล้าอย่างไม่เป็นจังหวะขณะที่ร่างเบื้องบนยังไซ้ปลายจมูกกับซอกคอของเขาอย่างอ้อยอิ่ง และรับรู้ได้ถึงอุณหภูมิที่ถ่ายทอดผ่านทางผิวชื้นเหงื่อและร่างกายที่ยังคงประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน จากนั้นจึงเอียงหน้าไปยิ้มอย่างอ่อนเพลียพลางกระซิบคำที่รู้ดีว่าตระการชอบฟังที่สุด

“พี่ชายรักต้นนะ”


++------++


สายน้ำที่ไหลวนในอ่างส่งเสียงตามการเคลื่อนไหวของสองร่างที่นั่งแช่น้ำอุ่นด้วยกัน พรพฤกษ์นั่งพิงอกของตระการซึ่งใช้อ้อมแขนโอบเขาไว้หลวมๆ พลางยกมือหนึ่งรองน้ำขึ้นแล้วดูหยาดหยดที่ไหลผ่านร่องนิ้วของเขาซ้ำๆ อย่างไม่เบื่อหน่าย ครู่หนึ่งตระการจึงกดปลายจมูกลงบนแก้มของเขาแล้วเอ่ยถาม

“ไผ่หายเมื่อยหรือยัง?”

พรพฤกษ์หยุดเล่นกับน้ำในมือแล้วก็หันไปยิ้มให้คนข้างหลัง “ดีขึ้นแล้วล่ะ แต่ขออยู่แบบนี้ต่ออีกหน่อยได้หรือเปล่า? ยังไม่อยากลุกไปนอนเลย”

“เอาสิ ไผ่อยากขึ้นเมื่อไหร่ก็บอกแล้วกัน”

ตระการเอ่ยพลางรั้งเอวของพรพฤกษ์ให้เอนลงพิงเขาอีกจะได้นั่งสบายขึ้น จากนั้นก็ใช้สองมือบีบไปตามไหล่และแขนให้เพื่อช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ พรพฤกษ์จึงระบายลมหายใจยาวแล้วก็หลับตาลง ริมฝีปากบางยกยิ้มน้อยๆ เมื่อรู้สึกถึงริมฝีปากชื้นของคนข้างหลังที่แนบลงบนหัวไหล่

เมื่อครู่นี้หลังจากที่ทั้งสองนอนพักสั้นๆ จนเริ่มหายเหนื่อย ตระการก็เริ่มท่วงทำนองรักกับเขาใหม่อีกครั้ง แต่ว่าครั้งหลังเป็นไปด้วยความอ่อนโยน ละมุนละไมและใช้เวลานานกว่าครั้งแรก ราวกับอีกฝ่ายอยากยืดเวลาที่จะมอบความสุขและเชยชมร่างกายของเขาให้นานที่สุด จวบจนการแสดงความรักบทนั้นจบลงแล้ว ตระการจึงอุ้มเขาที่เหนื่อยจนลุกเองไม่ไหวมาอาบน้ำให้และลงแช่น้ำอุ่นด้วยกัน

เนื่องจากห้องนอนของพวกเขาอยู่ชั้นค่อนข้างสูง ดังนั้นเมื่อมองผ่านผ้าม่านโปร่งตรงกระจกออกไปจึงสามารถเห็นแสงไฟจากถนนและตึกรามในย่านใกล้เคียงได้อย่างชัดเจน พรพฤกษ์เหม่อมองภาพภายนอกอยู่ครู่หนึ่งก็หันไปหาคนที่เขานั่งพิงอยู่

“ต้น...ถามหน่อยสิ”

“อื้อ?”

“ลิลลี่น่ะ ที่ต้นบอกว่าไม่ต้องห่วงตอนที่เรายังอยู่ในลิฟต์กัน...มันหมายความว่ายังไง?”

ตระการมองแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของพรพฤกษ์ จากนั้นก็ยิ้มบางๆ “ถ้าต้นเล่าให้ฟัง ไผ่ต้องสัญญาว่าจะไม่ไปเล่าให้ใครฟังต่อนะ?”

พรพฤกษ์กลอกตา เขารู้ว่าถึงจุดนี้ตระการคงพร้อมที่จะเล่าทุกเรื่องที่เขาขอให้ฟังอยู่แล้ว เพียงแต่ยังแกล้งทำเป็นเล่นตัวก็เท่านั้น “จะให้ไปเล่าให้ใครฟังล่ะ ไม่ได้เป็นนักเขียนข่าวกอสซิปนี่ ถ้าหากไม่อยากเล่านักก็ไม่ต้องเล่าก็ได้”

คราวนี้ตระการหัวเราะจนพรพฤกษ์รู้สึกได้ว่าแผ่นอกด้านหลังกระเพื่อม “ยอมเล่าแล้วก็ได้ครับ นี่ต้นยอมเสียวาจาลูกผู้ชายที่ว่าจะไม่บอกใครเรื่องนี้เด็ดขาดเลยนะเนี่ย”

คนที่ถูกกอดแน่นขึ้นแกล้งทำเสียงจึ๊กจั๊กในคอ แต่ก็รอให้อีกฝ่ายเริ่มเล่าเองโดยไม่เซ้าซี้ ชั่วอึดใจตระการจึงเอ่ยขึ้น

“จะว่าไปลิลลี่ก็เป็นเด็กน่าสงสาร พ่อเขาเจ้าชู้แล้วก็แอบมีเมียน้อยหลายคน ตอนที่ลิลลี่ไปเรียนภาษาที่อเมริกาก็เลยค่อนข้างจะติดต้นเพราะว่าเราเคยรู้จักกันก่อนหน้านั้น แต่พอต้นคบเจนแล้วลิลลี่ก็เริ่มไปเที่ยวกับเด็กต่างชาติที่ไปเรียนภาษาพร้อมกับเขา ตอนนั้นต้นก็ไม่รู้หรอกเพราะว่าไม่ได้ไปคอยติดตาม แล้วจู่ๆ วันหนึ่งก็มีโทรศัพท์มาจากผู้ชายฮ่องกงที่ลิลลี่คบอยู่ตอนนั้น เขาบอกว่าลิลลี่เพิ่งไปทำแท้งแล้วก็เรียกจะหาแต่ต้นคนเดียว ต้นเลยต้องไปหาที่อพาร์ตเม้นท์ของเขาทั้งที่ไม่ได้บอกให้เจนรู้ด้วยซ้ำ”

พรพฤกษ์ทำตาโตแล้วก็หันขวับไปหาคนเล่า สิ่งที่ได้รับรู้นั้นเหนือความคาดหมายจนเขาคิดไม่ออกในทันทีว่าควรจะแสดงความเห็นอย่างไร

“ตอนต้นไปถึงอพาร์ตเม้นท์คนฮ่องกงนั่นก็ยังรออยู่ แต่พอถามเขาก็บอกว่าเขาไม่ใช่พ่อของเด็กแล้วก็กลับไปเลย ช่วงนั้นต้นเลยต้องช่วยพยาบาลลิลลี่อยู่หนึ่งสัปดาห์เต็มๆ ทำเอาเกือบทะเลาะกับเจนเพราะต้นบอกเจนได้แค่ว่าลิลลี่ไม่สบาย แต่บอกเรื่องที่ไปทำแท้งมาไม่ได้”

เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ตระการก็ระบายลมหายใจเฮือกใหญ่ พรพฤกษ์จึงลูบแขนอีกฝ่ายที่โอบรอบเอวเขาเบาๆ และเริ่มจะเข้าใจว่าเพราะอะไรก่อนหน้านี้ลลิตาถึงชอบให้ข่าวว่ากำลังคบกับตระการ อาจจะทั้งเพราะความอ่อนโยนของอีกฝ่ายตอนที่ช่วยโอบอุ้มในช่วงที่ชีวิตลำบากที่สุดในต่างประเทศ และทั้งเพราะจะได้ปิดโอกาสไม่ให้ผู้ชายคนอื่นได้รับรู้ถึงประวัติอันไม่น่าเปิดเผยของเธออีก

“ถ้างั้น...ตอนนี้ต้นกับเขาก็ต่างคนต่างกุมความลับของอีกฝ่ายแล้วสิ?”

ชายหนุ่มถามขึ้น ตระการจึงทำท่าคิดแล้วก็ส่ายหน้า “ก็ไม่เชิงนะ เพราะถ้าพูดถึงความลับลิลลี่น่าจะมีเรื่องให้กังวลมากกว่าต้นเยอะ อย่างผู้ชายคนที่เราเจออยู่กับเขาที่หน้าลิฟต์นั่น...ถ้าต้นจำไม่ผิดรู้สึกว่าจะเป็นลูก ส.ส. ที่เพิ่งจะแต่งงานไป ก็น่าคิดเหมือนกันว่าแล้วนักร้องที่ลิลลี่กำลังควงอยู่เขารู้เรื่องนี้หรือเปล่า”

คราวนี้พรพฤกษ์เลิกคิ้วอย่างสงสัย เพราะตระการดูเหมือนจะรู้เรื่องต่างๆ ดีทั้งที่ไปคอยดูแลเขาที่เชียงใหม่อยู่ตั้งหลายเดือน จึงอดจะค่อนอย่างหมั่นไส้ไม่ได้

“รู้เยอะเหมือนกันนี่เราน่ะ”

“ก็แค่เก็บไว้เป็นข้อมูลเผื่อจำเป็น ต้นไม่ได้ตั้งใจจะเอาไปแฉให้ใครเดือดร้อนนี่นา นี่ก็เพิ่งจะเล่าให้ไผ่ฟังคนแรกเลยนะ”

ตระการยิ้มอย่างไม่รู้สึกรู้สาที่โดนเหน็บ พรพฤกษ์จึงได้แต่ถอนหายใจ แต่อย่างน้อยก็เบาใจว่าอีกฝ่ายรู้จักเล่ห์กลมากพอสำหรับหน้าที่ที่จะต้องสืบทอดกิจการอันใหญ่โตต่อไป “ก็ดีแล้วล่ะ ไม่ต้องไปเล่าให้ใครฟังอีกหรอก เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปเถอะ แค่รู้ว่าจากนี้เขาคงไม่มายุ่งกับต้นอีกก็พอแล้ว”

เช่นเดียวกับความขุ่นเคืองของเขาที่เคยมีให้ตระการกับพ่อของเจ้าตัว...เขาก็ยอมรับว่ามันเป็นเรื่องในอดีตที่ผ่านไปแล้วเช่นกัน และได้แต่หวังว่าสักวันตฤณจะก้าวผ่านความรู้สึกไม่ยอมรับพวกเขาไปได้ในที่สุด หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่เขาที่เป็นลูกของผู้หญิงที่รัก ก็เพื่อความสุขของตระการที่เป็นลูกชายคนเดียวก็ยังดี…

ร่างสูงใหญ่มองคนตรงหน้าที่นิ่งเงียบไป จากนั้นจึงเอาคางเกยบนไหล่แล้วโยกตัวเบาๆ “น้ำเริ่มจะเย็นแล้วนะ ไผ่อยากขึ้นหรือยัง?”

เมื่อถูกถาม พรพฤกษ์ก็ยกนิ้วมือของตัวเองซึ่งเริ่มย่นขึ้นดูแล้วก็หันไปพยักหน้า ตระการจึงลุกขึ้นก่อนพลางถอดจุกอุดน้ำออก จากนั้นก็เอาผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่มากางรอระหว่างที่เขาขึ้นจากอ่าง เมื่อซับหยดน้ำตามเนื้อตัวให้จนหมาดแล้วก็ช่วยอุ้มออกไปที่เตียง อาจเพราะช่วงที่เขายังใส่เฝือกหลังออกจากโรงพยาบาลใหม่ๆ นั้นตระการก็คอยทำแบบนี้ให้เป็นประจำอยู่แล้ว พรพฤกษ์จึงไม่ได้รู้สึกประดักประเดิดเท่าไหร่ที่ถูกทำเหมือนเป็นตุ๊กตาให้อีกฝ่ายแต่งตัวและเช็ดผมให้ และคิดว่าดีเหมือนกันที่มีคนมาคอยเอาใจ ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เขาอยู่คนเดียวแล้วต้องทำทุกอย่างเองตลอด

อาจจะเพราะเริ่มชินกับการอยู่ด้วยกันแล้วกระมัง...

หลังจากสวมเสื้อคลุมที่โรงแรมเตรียมไว้ให้ในห้องพักแทนชุดนอน ทั้งคู่ก็ปิดไฟแล้วล้มตัวลงบนเตียงด้วยกัน กระนั้นภายในห้องก็ไม่ถึงกับมืดสนิทเพราะเห็นแสงไฟจากในตัวเมืองผ่านผ้าม่านที่ไม่ได้รูดปิดจนสุดไว้ ทั้งสองนอนคุยกันเรื่องจิปาถะอีกเล็กน้อย และน่าแปลกที่ทั้งที่พรพฤกษ์น่าจะหลับก่อนเพราะความอ่อนเพลียจากกิจกรรมก่อนอาบน้ำ กลับกลายเป็นว่าตระการคือคนที่ผล็อยหลับก่อนหลังจากนอนคุยกันได้ไม่นาน แต่พรพฤกษ์ก็เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายจึงอ่อนเพลีย เพราะถ้าหากเทียบกันจริงๆ ตระการคือคนที่ต้องคอยรับเรื่องเครียดและน่าเหน็ดเหนื่อยมากกว่าเขามาตลอด ไม่ว่าจะเรื่องที่ต้องไปทำงานต่างประเทศแล้วบินกลับมาดูแลเขาหลังอุบัติเหตุ หรือเรื่องงานที่ต้องกลับมารับช่วงต่อและยังความกังวลกับอาการป่วยของพ่อที่เพิ่งจะกำเริบไปหยกๆ เมื่อตระหนักได้ถึงเรื่องเหล่านี้ พรพฤกษ์จึงคิดว่าไม่ควรเอาภาระในใจของตัวเองไปสุมเพิ่มให้อีกฝ่ายต้องหนักใจมากขึ้นไปอีก

แค่นี้ก็มีเรื่องให้ต้องคิดเยอะแล้วสินะต้น...บางทีอาจมีวิธีที่ทุกฝ่ายสามารถจะพบกันครึ่งทางและเราไม่ต้องทำร้ายความรู้สึกใครก็ได้...

พรพฤกษ์คิดในใจพลางยกมือหนึ่งขึ้นลูบแก้มของตระการอย่างแผ่วเบา แต่อาจเพราะอีกฝ่ายยังหลับไม่สนิท ตระการจึงปรือตาขึ้นแล้วก็ยกมือขึ้นทาบมือเขาเอาไว้ ร่างสูงใหญ่ยิ้มให้พลางถามด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความสะลึมสะลืออย่างปิดไม่มิด

“ยังไม่หลับอีกเหรอไผ่? ดึกแล้วนะ”

ชายหนุ่มยิ้มตอบ แม้จะไม่แน่ใจนักว่าท่ามกลางความมืดสลัวและความง่วงงุนของอีกฝ่ายจะทำให้รอยยิ้มของเขาส่งไปถึงหรือไม่ จากนั้นก็ขยับตัวไปแนบริมฝีปากลงกับริมฝีปากบางเบาๆ แล้วกระซิบ

“เดี๋ยวก็หลับแล้วล่ะ ต้นนอนต่อเถอะ”

ร่างสูงใหญ่ส่งเสียงรับในคอก่อนจะหลับตาอย่างว่าง่ายราวกับเด็กเล็กๆ ทว่าอ้อมแขนอุ่นก็กระชับให้ร่างของคนที่นอนข้างกายแนบชิดมากขึ้น พรพฤกษ์ระบายลมหายใจยาวออกมาเฮือกหนึ่งเมื่อคิดว่าพวกเขาต้องผ่านอะไรมาด้วยกันแค่ไหนกว่าจะถึงวันที่นอนเคียงกันได้อย่างเป็นธรรมชาติแบบนี้ และนับจากนี้ไปจะต้องพบเจอกับอะไรในอนาคตด้วยกันอีกมากสักเท่าไหร่ จากนั้นก็ยกแขนขึ้นโอบเอวของอีกฝ่ายบ้าง

นอนพักผ่อนเถอะนะต้น ต้นคอยทำอะไรๆ ให้มาเยอะแล้ว ต่อจากนี้ให้ไผ่ได้ทำอะไรเพื่อต้นบ้างก็แล้วกัน...

ภายในห้องนอนของโรงแรมที่มืดสลัว บนเตียงหนานุ่มขนาดใหญ่ซึ่งมีร่างสองร่างนอนเคียงคู่พลางแลกเปลี่ยนลมหายใจที่เต็มไปด้วยไออุ่นและกลิ่นอายของกันและกัน พรพฤกษ์นอนลืมตาขณะใช้ความคิดถึงเรื่องของเขากับตระการ ตลอดจนเรื่องของผู้คนรอบตัวพวกเขากลับไปกลับมาอย่างเงียบๆ โดยไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิดตราบจนค่อนคืน


++---tbc---++


See you again ตอนหน้าเด้อค่า  :bye2:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 13 ธค. 2010* หน้า 12
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 13-12-2010 15:23:30
ดีใจค่ะที่ได้อ่านต่อ
ต้นกับไผ่รักกันแบบอยู่บนเหตุผล
ไม่เอาแต่อารมณ์เป็นใหญ่แบบนี้ดีค่ะ คนอ่านจะได้ไม่ปวดใจ
หวังว่าไผ่ คงทำให้คุณพ่อของต้น ยอมรับได้ในที่สุดนะคะ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 13 ธค. 2010* หน้า 12
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 13-12-2010 15:46:00
น้องไผ่มาแล้ว
ดีใจจังค่ะ >///<
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 13 ธค. 2010* หน้า 12
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 13-12-2010 19:06:40
 :3123:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 13 ธค. 2010* หน้า 12
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 16-12-2010 12:51:23
ในที่สุดก็อ่านเรื่องนี้จนถึงตอนปัจจุบันแล้ว  :a1:
แอบกลัวใจๆไผ่ นอนคิดจนไม่หลับไม่นอนเนี่ย คิดอะไรอยู่  :m21:

ปล. ยังรอคุณเชษฐ์กับภัทรอยู่เหมือนเดิมนะคะ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 13 ธค. 2010* หน้า 12
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 17-12-2010 16:36:43
^
^
^
น่ารักที่ซู้ด นึกว่าคุณผึ้งจะไม่อ่านเรื่องนี้ซะอีก หุหุ

คุณเชษฐ์กับภัทรจะรีเทิร์น asap ค่า ตอนนี้ขอปั่นต้น-ไผ่ให้จบก่อนน้าตัวเอง รับรองได้อ่านทุกเรื่องถึงตอนจบค่า >_<b
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 13 ธค. 2010* หน้า 12
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 17-12-2010 18:16:56
ว้า...นึกว่าต้นกับไผ่มาซะอีก
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 13 ธค. 2010* หน้า 12
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 17-12-2010 20:13:10
แหะๆๆ แอบย่องๆ มาสารภาพว่า ตอนแรกก็ไม่คิดอยากอ่านเรื่องนี้ แอบหงุดหงิดเล็กๆ ที่เห็นคุณ bellbomb มาต่อเรื่องนี้ก่อนเรื่องของคุณเชษฐ์   :o8:
แต่แบบว่า รอไป รอมา รอมา รอไป คุณ bellbomb ก็มาต่อแต่เรื่องนี้ เลยลองตามมาอ่านดูบ้าง เพราะคิดว่า อย่างไงซะฝีมือของคุณ bellbomb คงไม่ทำให้ผิดหวัง

และแล้วก็ ....................... ติดหนึบไปตามระเบียบ แหะๆๆๆ ทีนี้จะต่อเรื่องไหนก่อนก็รออ่านหมดเลย  :laugh: 

มาสารภาพแบบนี้ หวังว่า คุณ bellbomb คงไม่ว่ากันนะคะ :m23: :m23:

หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 13 ธค. 2010* หน้า 12
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 17-12-2010 20:58:54
คุณ yayee2  วันจันทร์หรือไม่เกินวันอังคารได้อ่านชัวร์ค่ะ คอนเฟิร์มเพราะล็อกคิวการอัพไว้แล้ว พอดีช่วงนี้เขียนแบบสด สปีดสุดๆ แล้วก็ได้แค่สัปดาห์ละตอน ยังไงแวะมาดูใหม่จันทร์/ อังคารหน้า ถ้ายังไม่เจออีกตามจิกคนเขียนได้เลยค่า อิอิ  :-[

คุณผึ้ง ไม่ว่ากันอยู่แล้วค่ะ ดีใจเสียอีกที่ในที่สุดก็ทำให้มาอ่านเรื่องนี้ได้  :laugh: แบบว่ามันรู้สึกเหมือนเป็นภารกิจที่ต้องทำให้สำเร็จค่ะ เพราะเขียนเรื่องนี้เรื่องแรกแท้ๆ แต่ดองอยู่นั่นจนทั้งต้นทั้งไผ่เค็มปี๋แล้น แต่ต้องออกตัวอีกทีว่าเวอร์ชันที่รีไรท์ที่บล็อกจะต่างกับตอนกลางๆ ของที่ลงในเล้านิดนึงนะ เดี๋ยวถ้าได้อ่านตอนรวมเล่มจะได้เห็นค่ะ

ขอบคุณที่ติดตามทุกเรื่องเลยนะคะ แล้วจะผลัก+ดันนิยายออกมาให้อ่านสม่ำเสมอค่ะ เลิฟๆ คุณผึ้งน้า  :man1:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 13 ธค. 2010* หน้า 12
เริ่มหัวข้อโดย: kakuro ที่ 20-12-2010 13:05:42
วันจันทร์แล้วมารอคุณริน
พ่อตฤณใจร้ายกับไผ่ตอนเด็กไม่คิดจะแก้ตัวตอนโตหรือไร :m16:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 20 ธค. 2010* หน้า 12
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 20-12-2010 13:41:02
^
^
จึ๋ย คุณ kakuro ไวมากๆ มาอัพตอนใหม่ตามสัญญาแล้วค่า อ่านตอนนี้แล้วใจร่มๆน้าตัวเอง  :call:


++------++


28.


รุ่งเช้าวันถัดมา ตระการกับพรพฤกษ์ต่างตื่นนอนและลงไปที่ห้องอาหารของโรงแรมแต่เช้าตรู่ หลังจากทานมื้อเช้ากันเสร็จแล้วก็ขับรถกลับไปที่บ้านเนื่องจากไม่ได้เตรียมเสื้อผ้ามาเปลี่ยน สำหรับพรพฤกษ์นั้นเพียงได้อยู่ห่างจากสายตาของคนในบ้านสุวรรณฤทธิ์เพียงชั่วข้ามคืนก็ทำให้ปลอดโปร่งขึ้นมาก การกลับไปที่บ้านหลังนั้นในเช้านี้จึงไม่ทำให้เขาอึดอัดใจเหมือนตอนที่ออกจากโรงพยาบาลเมื่อเย็นวาน และการที่ตระหนักว่ายังไม่ต้องเผชิญหน้ากับตฤณซึ่งยังพักฟื้นที่โรงพยาบาลก็ทำให้เขาเบาใจเพิ่มไปอีกเปลาะ

ทันทีที่ตระการเลี้ยวรถเข้าไปที่โรงจอดข้างบ้าน ยายแสนที่ได้ยินเสียงก็รีบเดินออกมารับด้วยสีหน้ายินดีระคนโล่งใจ หลังจากรับทราบว่าทั้งสองทานอาหารเช้ามาแล้ว และเพียงกลับบ้านมาเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเท่านั้น หัวหน้าแม่บ้านวัยชราจึงไม่ถามจู้จี้อีกและกลับไปดูแลงานอื่นในบ้านแต่โดยดี

เนื่องจากตั้งแต่วันแรกที่มาถึง พรพฤกษ์ก็ได้รับการจัดห้องพักให้เป็นส่วนตัวใกล้กับห้องของตระการอยู่แล้ว เมื่อขึ้นไปถึงชั้นสองจึงต่างคนต่างแยกเข้าห้องเพื่อไปอาบน้ำแต่งตัว และพรพฤกษ์ก็ใช้โอกาสที่ได้อยู่ตามลำพังโทรศัพท์หาใครคนหนึ่งซึ่งเขาเพิ่งนึกถึงระหว่างที่นอนใช้ความคิดเมื่อคืน

ชายหนุ่มนั่งลงบนเตียงซึ่งตั้งอยู่หน้ากระจก จากนั้นก็นั่งมองภาพท้องฟ้าภายนอกที่เริ่มสว่างมากขึ้นผ่านหน้าต่างจนกระทั่งได้ยินเสียงรับสาย

“สวัสดีครับ?”

“พี่เอก ผมไผ่นะครับ สะดวกคุยหรือเปล่าครับ?”

ปลายสายส่งเสียงอุทานอย่างแปลกใจ “อ้าว? ไผ่เองเรอะ เปลี่ยนเบอร์แล้วหรือไง? พี่ก็งงว่าใครกันโทรมาตั้งแต่เช้า นี่ยังขับรถไม่ถึงออฟฟิศเลย”

พรพฤกษ์หัวเราะ พี่เอกหรือเอกวิชช์คือหัวหน้าบรรณาธิการกองนิตยสารซึ่งเขาเคยร่วมงานด้วยสมัยยังทำงานที่กรุงเทพฯ อีกทั้งยังเป็นคนเสนอว่าจะส่งงานแบบพาร์ทไทม์ให้ทำตอนที่เขาลาออกเพื่อไปดูแลตาที่ป่วย เนื่องจากอีกฝ่ายอายุมากเพียงพอที่จะเป็นพ่อของเขาได้ อีกทั้งยังเป็นคนที่ใจดีและคอยสอนงานลูกน้องไม่ว่าจะร่วมงานกันมานานหรือเป็นเด็กที่เพิ่งรับใหม่ ทำให้สำหรับเขาแล้วเอกวิชช์คือบุคคลที่เขาให้ความเคารพมากทีเดียว

“ผมใช้เบอร์นี้สำหรับโทรออกเท่านั้นครับพี่เอก พอดีช่วงนี้ผมลงมากรุงเทพฯ เลยโทรมาถามว่าถ้าหากวันนี้ผมจะเข้าไปเยี่ยมที่ออฟฟิศได้ไหม?”

“อ้าว ลงมาจากเชียงใหม่ทั้งทีไม่โทรบอกพี่บอกเชื้อก่อนเลยนะ ก็เอาสิ วันนี้พี่ไม่มีนัดกับลูกค้าด้วย พวกเพื่อนๆ เขาก็น่าจะคิดถึงเราอยู่เหมือนกัน จะมาสักกี่โมงล่ะ?”

นัยน์ตาสีนิลเหลือบมองนาฬิกาบนผนัง “อีกสักพักผมก็จะออกจากที่พักแล้ว คงเข้าไปถึงสายๆ หน่อยสักสิบโมงครึ่งหรือสิบเอ็ดโมงน่ะครับ”

“เออ ได้ๆ งั้นเดี๋ยวมาเจอแล้วไปกินข้าวกัน ว่าแต่พี่ขอวางสายก่อนนะ เดี๋ยวโดนตำรวจเรียกเอาเพราะไม่ได้ใช้แฮนด์ฟรี”

พรพฤกษ์ตอบรับและกดตัดสาย จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วถอดเสื้อเตรียมจะอาบน้ำ แต่เมื่อปรายตามองตัวเองในกระจกก็ทำให้เห็นรอยเขียวช้ำตรงมุมปากที่ยังไม่จางสนิท ร่างเพรียวจึงเดินเข้าไปเอียงหน้าดูให้ชัดพลางยกมือขึ้นลูบบริเวณที่สีผิวยังคล้ำกว่าใบหน้าส่วนอื่นเบาๆ เขาไม่ค่อยรู้สึกเจ็บตรงที่โดนต่อยแล้วก็จริง แต่ถ้าหากใครได้เห็นก็คงไม่แคล้วต้องถามถึงที่มาอย่างแน่นอน

สงสัยต้องหาอะไรมาปิดก่อนจะเข้าไปหาพี่เอกซะล่ะมั้ง...

การได้ยืนหน้ากระจกใต้แสงยามเช้าโดยไม่สวมเสื้อทำให้พรพฤกษ์เห็นอย่างอื่นนอกจากริ้วรอยบนใบหน้า ชายหนุ่มมุ่นหัวคิ้วเมื่อสังเกตเห็นรอยช้ำจางๆ ซึ่งปรากฏอยู่บนช่วงอกและลำตัว ฉับพลันก็เริ่มเอะใจว่าริ้วรอยเหล่านั้นเกิดจากอะไร จึงลองหันหลังแล้วเอี้ยวคอกลับไปมองกระจกอีกครั้ง ทำให้ได้เห็นว่ามีริ้วรอยแบบเดียวกันกระจายอยู่ทั่วทั้งแผ่นหลังจริงๆ

ใบหน้าเนียนร้อนวูบขึ้นมาทันทีเมื่อหวนนึกถึงความทรงจำเมื่อคืนว่าตระการทำอะไรกับร่างกายเขาบ้าง เขาแทบไม่อยากคิดว่าถ้าหากถอดกางเกงออกแล้วจะเจอรอยช้ำแบบเดียวกันที่ตรงส่วนไหน จึงรีบคว้าผ้าเช็ดตัวแล้วก็เดินเข้าไปอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายอย่างรวดเร็ว เมื่อเช็ดตัวเสร็จแล้วก็เลือกใส่กางเกงยีนส์สีซีดกับเสื้อผ้าฝ้ายสีน้ำเงินเข้มซึ่งแขนยาวปิดข้อมือ ส่วนบริเวณคอนั้นพอจะเกลี่ยผมซึ่งยาวถึงต้นคอเพื่อช่วยบดบังไปได้ โชคดีที่ผิวของเขาเป็นสีน้ำผึ้งอ่อนๆ จึงทำให้ริ้วรอยเหล่านั้นไม่ถึงกับเตะตามากนัก

หลังจากตรวจดูว่าไม่มีรอยช้ำที่โผล่ออกมาจนสังเกตเห็นได้ชัดอีก พรพฤกษ์ก็หยิบนาฬิกาข้อมือมาใส่และหย่อนโทรศัพท์มือถือกับกระเป๋าสตางค์ลงในกระเป๋ากางเกง จากนั้นก็เดินผ่านห้องของตระการที่ยังปิดประตูสนิทลงไปที่ห้องครัว ยายแสนซึ่งกำลังนั่งปอกผักอยู่กับเด็กสาวแม่บ้านอีกคนหันมาเห็นเขาจึงส่งเสียงถาม

“คุณไผ่? อยากได้อะไรเหรอคะ?”

พรพฤกษ์มองซ้ายขวาก็ไม่เห็นของที่ต้องการ จึงยิ้มพลางชี้บนมุมปากของตัวเอง “ผมอยากได้ผ้าก๊อซกับเทปปิดแผลน่ะครับ พอดีผมไม่เห็นตู้ยาข้างบนก็เลยลงมาถามว่าที่นี่มีกล่องปฐมพยาบาลหรือเปล่า?”

“ตายแล้ว! ยังเจ็บแผลอยู่เหรอคะพ่อคุณ? งั้นเดี๋ยวป้าหยิบยาให้นะ รอประเดี๋ยวเดียวค่ะ”

หญิงสูงวัยรีบวางมือจากงานแล้วกระวีกระวาดเดินไปที่มุมหนึ่งของตู้เก็บของ จากนั้นก็นำกล่องพลาสติกสีขาวแบบมีฝาปิดและหูหิ้วออกมายื่นส่งให้เขา

“ยังมีเลือดออกหรือเปล่าคะคุณไผ่? ในกระเป๋านี้มียาสำหรับแผลสดแล้วก็แผลทุกชนิดเลยค่ะ จะยืมเอาไปใช้ก่อนก็ได้”

ชายหนุ่มรีบส่ายหน้า “ไม่ต้องขนาดนั้นหรอกครับ ผมขอแค่ผ้าก๊อซกับเทปปิดแผลก็พอ”

พรพฤกษ์เปิดกล่องแล้วหยิบซองพลาสติกใส่ผ้าก๊อซซองหนึ่งพร้อมกับม้วนเทปปิดแผลออกมา จากนั้นก็ส่งกล่องคืนให้กับหญิงชราที่ยืนรอ ยายแสนเอียงคอมองเขาอย่างพินิจแล้วก็จุ๊ปาก

“คุณตฤณไม่น่าเลย ดูซิหน้าเหมือนคุณพิมขนาดนี้ยังต่อยลงอีก หน้าสวยๆ เป็นแผลหมดเลยพ่อคุณ”

พรพฤกษ์ชะงักก่อนจะยิ้มตอบ แม้จะไม่ค่อยคุ้นกับการถูกชมว่า ‘สวย’ นัก แต่ก็เข้าใจว่าคนมีอายุมักชอบใช้คำนี้กับเด็กๆ รุ่นหลานโดยไม่แบ่งเพศ จึงกล่าวขอบคุณก่อนจะขอตัว แต่เมื่อเดินกลับไปที่บันไดก็เห็นตระการกำลังเดินลงมาพอดี อีกฝ่ายเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดใหม่เรียบร้อยแล้ว และในมือข้างหนึ่งก็ถือเสื้อสูทสีดำแต่เป็นคนละเนื้อผ้ากับตัวเมื่อคืนลงมาด้วย

“วันนี้ต้นมีประชุมช่วงสายๆ นะไผ่ ตอนเช้าจะไปนั่งเล่นรอที่ออฟฟิศก็ได้ หรือว่าวันนี้อยากพักอยู่ที่บ้าน?”

ตระการถามเมื่อเดินลงมาถึงชั้นล่างแล้ว พรพฤกษ์จึงรีบยัดซองผ้าก๊อซกับม้วนเทปลงกระเป๋ากางเกงด้านหลังโดยไม่ให้อีกฝ่ายเห็น

“ขอผ่านทั้งสองอย่างแล้วกัน วันนี้ว่าจะไปเยี่ยมพี่ที่ทำงานเก่าหน่อย เมื่อกี้ก็โทรไปนัดเขาไว้แล้วด้วย”

ร่างสูงใหญ่ฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว “ทำไมถึงเพิ่งนัดปุบปับอย่างนั้นล่ะ? ถ้างั้นจะให้ต้นไปส่งหรือเปล่า?”

ประโยคแรกถูกเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหมือนน้อยใจที่ไม่ได้รับการบอกล่วงหน้า พรพฤกษ์จึงยิ้มแล้วบีบต้นแขนอีกฝ่ายเบาๆ เพื่อให้อารมณ์ดีขึ้น “พอดีเพิ่งนึกได้ว่าอุตส่าห์มากรุงเทพฯ ทั้งทีก็น่าจะไปเจอเพื่อนเก่าบ้างน่ะ ต้นไปส่งแค่จุดที่ผ่านรถไฟฟ้าก็พอ กะว่าจะเดินเล่นสักแป๊บก่อนค่อยเข้าไปด้วย”

ตระการยังทำหน้ามุ่ยแต่ก็ไม่ได้ห้าม “เอางั้นก็ได้ ถ้าไผ่เสร็จธุระเมื่อไหร่ก็โทรมาบอกแล้วกัน ถ้าต้นไม่ติดประชุมช่วงบ่ายจะได้ออกไปรับ”

พรพฤกษ์พยักหน้า ก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อจู่ๆ ตระการก็ก้มลงหอมแก้มเขา เมื่อร่างสูงใหญ่ยืดตัวขึ้นก็เห็นพรพฤกษ์ทำหน้าเหลอจึงขมวดคิ้ว

“ยังเจ็บแผลอยู่เหรอไผ่?”

เมื่อถูกปลายนิ้วแข็งแรงยกขึ้นเกลี่ยแก้มฝั่งที่มุมปากมีรอยช้ำ พรพฤกษ์จึงค่อยรู้สึกตัวแล้วก็รีบส่ายหน้า ในใจนึกค่อนอีกฝ่ายแต่ก็ตัดสินใจไม่เอ่ยออกมา

ยังดีว่าป้าแสนไม่เดินออกมาเห็น...เดี๋ยวได้ทำคนแก่หัวใจวายอีกคนกันพอดี...

“ตอนนี้ไม่ค่อยเจ็บแล้วล่ะ ยังไงเรารีบออกกันเถอะต้น ท่านรองประธานไปประชุมสายจะไม่ดีนะ”

ตระการมองเขาด้วยแววตาที่ยังไม่คลายความกังวล แต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้แล้วเดินนำไปที่รถซึ่งคนสวนกำลังเช็ดถูให้ เมื่อขับออกมาจนถึงสถานีรถไฟฟ้าแล้วก็เบี่ยงเลนเข้าจอดข้างทาง

“ถ้าไผ่โทรมาแล้วต้นไม่รับก็ฝากข้อความหรือส่ง sms มานะ”

ตระการร้องบอกขณะที่พรพฤกษ์ลงจากรถ ชายหนุ่มจึงหันไปยิ้มและพยักหน้าให้ จากนั้นก็ยืนมองจนรถยุโรปคันใหญ่ลับสายตาไป เมื่อก้มมองนาฬิกาก็เห็นว่ายังเช้ากว่าเวลาที่นัดกับเอกวิชช์มาก ประกอบกับอากาศไม่ค่อยร้อนเพราะมีเมฆแผ่บดบังดวงอาทิตย์เต็มท้องฟ้า เขาจึงตัดสินใจว่าจะเดินเล่นไปเรื่อยๆ จนใกล้เวลานัดก่อนจึงค่อยขึ้นรถไฟฟ้าไปที่ออฟฟิศ

นับตั้งแต่เขาลาออกจากงานที่กรุงเทพฯ เมื่อราวสามปีที่แล้ว พรพฤกษ์ก็เคยลงมากรุงเทพฯ แค่สองครั้งเท่านั้น ครั้งหนึ่งเพื่อร่วมงานแต่งงานของเพื่อน ส่วนอีกครั้งเพื่อร่วมงานฌาปนกิจของอาจารย์สมัยมหาวิทยาลัย ซึ่งทั้งสองครั้งนั้นก็เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนที่เขาจะได้เจอตระการเสียอีก ดังนั้นเมื่อได้กลับมาเยือนเมืองหลวงอีกครั้ง บรรยากาศที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมายซึ่งต่างดูเร่งรีบกับการไปให้ถึงจุดหมาย รวมทั้งความวุ่นวายบนท้องถนนและตามทางเท้าก็ทำให้เขารู้สึกราวกับถูกสูบพลังงานออกไปแม้จะเพิ่งเดินเล่นได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง

ทำไมสมัยที่เรายังทำงานออฟฟิศถึงไม่เห็นรู้สึกแบบนี้นะ...สงสัยจะเพราะเคยชินกับการทำงานอิสระอยู่บ้านนอกไปเสียแล้วล่ะมั้ง…

ชายหนุ่มคิดขณะเดินขึ้นบันไดไปที่ชานชาลาของรถไฟฟ้า เมื่อนั่งไปถึงที่หมายก็ลงเดินต่อเข้าไปในอาคารสำนักงานซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับสถานี ความคุ้นเคยทำให้เขาตรงไปที่ลิฟต์ทันทีโดยไม่แลกบัตรกับพนักงานต้อนรับที่นั่งเฝ้าอยู่ที่เคาน์เตอร์ เมื่อถึงชั้นที่ต้องการก็รีบเลี้ยวเข้าไปในห้องน้ำแล้วเอาผ้าก๊อซกับเทปปิดแผลในกระเป๋าขึ้นมาปิดรอยฟกช้ำบนมุมปาก เมื่อดูกระจกจนแน่ใจว่าไม่น่าจะมีใครเห็นรอยเขียวช้ำได้แล้วจึงค่อยเดินกลับไปกดกริ่งที่หน้าประตูบริษัท ชั่วอึดใจหนึ่งเขาก็เห็นคนคุ้นเคยออกมาเปิดประตูให้

“ว้าย! ไผ่!! คิดทึ้งคิดถึง ไม่ได้เจอกันกี่ปีแล้วเนี่ย? แล้วหน้าตาไปโดนอะไรมาน่ะ?”

หญิงสาวสวมแว่นพลาสติกกรอบหนาและมุ่นผมไว้เป็นมวยสูงที่ออกมาเปิดประตูให้คือภรณี เพื่อนร่วมกองบรรณาธิการซึ่งเข้าทำงานที่นี่พร้อมกับเขา อายุที่ไล่เลี่ยกันทำให้ทั้งคู่สนิทกันพอสมควรก่อนที่พรพฤกษ์จะย้ายกลับไปอยู่เชียงใหม่

“หวัดดีติ๋ว พี่เอกอยู่หรือเปล่า? เรานัดพี่เขาไว้ว่าวันนี้จะเข้ามาหา”

พรพฤกษ์ยิ้มตอบพร้อมกับหลีกเลี่ยงคำถามเรื่องแผลอย่างแนบเนียน และเพื่อนสาวของเขาก็พอจะอ่านออกจึงยิ้มแล้วก็คว้าแขนเขาไปคล้องอย่างสนิทสนม

“อยู่สิ ก็พี่เอกนั่นแหละที่บอกเราว่าวันนี้ไผ่จะเข้ามา เดี๋ยวเราพาไปหาก็แล้วกัน ตอนนี้ออฟฟิศเราปรับปรุงใหม่แล้วนะ พี่เอกเขาขอปลีกวิเวกไปอยู่มุมในสุดนู่นเลย สงสัยเบื่อฟังเสียงเจี๊ยวจ๊าวของพวกเด็กๆ แล้วล่ะ”

พรพฤกษ์หัวเราะเบาๆ ขณะปล่อยให้เพื่อนสาวควงแขนเขาเดินเข้าไปในออฟฟิศ ทำให้ได้พบหน้าพนักงานใหม่หลายคนที่คงเข้ามาทำงานหลังจากเขาลาออกไปแล้ว แต่เมื่อเจอเพื่อนหรือรุ่นพี่ที่รู้จักก็จะถูกเรียกไปทักทายสั้นๆ ตลอดทาง คนที่เดินมาด้วยจึงอดจะกระเซ้าไม่ได้

“นี่ขนาดออกไปตั้งนานแล้วก็ยังป๊อปเหมือนเดิมเลยนะยะ ไม่อยากกลับมาทำงานที่นี่มั่งเหรอไผ่?”

“อืม...ก็...ไม่รู้สิ ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน”

พรพฤกษ์ตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้โดยไม่หันไปสบตา คนถามจึงเลิกคิ้วมองเขาอย่างประหลาดใจ เมื่อถึงหน้าห้องของหัวหน้าบรรณาธิการแล้วหญิงสาวก็ปล่อยมือเขาแล้วเคาะประตูห้อง

“พี่เอกขา ติ๋วพาว่าที่เจ้าบ่าวของติ๋วมาแล้วค่ะ พี่เอกจะให้เข้าไปเลยไหมคะ?”

“อื้อ เข้ามาสิ”

เสียงแหบทุ้มอย่างใจดีดังมาจากในห้อง คนที่เดินนำมาจึงเปิดประตูให้แล้วก็ดันหลังพรพฤกษ์เข้าไปข้างในก่อนจะส่งยิ้มให้เจ้านาย

“งั้นถ้าพี่เอกมีอะไรจะใช้ก็เรียกติ๋วนะคะ เดี๋ยวขอไปโทรจิกต้นฉบับจากอาจารย์สิริวรรณก่อน ไม่งั้นไม่ได้ปิดเล่มต่อไปกันเสียที”

พรพฤกษ์พยักหน้าให้เพื่อนสาวที่ชูนิ้วทำท่า ‘โอเค’ ให้เขาแล้วก็ปิดประตูตามหลัง จากนั้นก็พนมมือไหว้นายเก่าที่กำลังตรวจแฟ้มงานอยู่บนโต๊ะ

“สวัสดีครับพี่เอก”

“ไงไผ่ นั่งก่อนสิ เจ้าติ๋วนี่ก็ชอบมั่วนิ่มว่าคนที่ยังไม่มีแฟนเป็นว่าที่เจ้าบ่าวของตัวเองไปหมดสิน่า ....ว่าแต่นั่นหน้าไปโดนอะไรมา?”

พรพฤกษ์ยกมือขึ้นแตะบนผ้าก๊อซโดยอัตโนมัติเพื่อให้แน่ใจว่ายังติดแน่นดี จากนั้นก็ยิ้มแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ “ผมซุ่มซ่ามเองน่ะครับ วันก่อนลื่นล้มในห้องน้ำก็เลยปากกระแทกกับขอบอ่างล้างหน้า”

ชายหนุ่มโกหกหน้าตายจนคนฟังเลิกคิ้วพร้อมกับแววตาตื่นๆ แต่เมื่อเห็นว่าตัวคนเจ็บไม่มีวี่แววอยากเอ่ยถึงรายละเอียดจึงไม่ถามต่อ

“เอ้อเว้ย... คนหนุ่มคนสาวสมัยนี้ทำไมซุ่มซ่ามกันจริง วันก่อนไอ้เจ้าเกศก็โทรมาขอลาหยุดเพราะตกบันไดที่บ้านจนเท้าแพลง เมื่อเช้านี้ก็ยังเดินกระเผลกมาทำงานอยู่เลย ไม่ไหวๆ”

พรพฤกษ์หัวเราะ จากนั้นทั้งสองก็ถามไถ่กันเรื่องจิปาถะของอีกฝ่าย เพราะถึงแม้เอกวิชช์จะคอยป้อนงานเขาทุกเดือนก็จริง แต่ส่วนมากก็จะไม่ค่อยซักถามเรื่องส่วนตัวสักเท่าไหร่ ยกเว้นก็เพียงเรื่องอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อสี่เดือนก่อนเพราะพรพฤกษ์โทรมาแจ้งเองว่าต้องขอระงับงานชั่วคราวเนื่องจากทำงานไม่สะดวก

หลังจากคุยกันได้สักครู่ เอกวิชช์ก็เหลือบมองนาฬิกาบนผนังแล้วหยิบแฟ้มที่กระจัดกระจายบนโต๊ะมาเคาะวางให้เป็นระเบียบ

“สิบเอ็ดโมงครึ่งแล้ว ไปกินข้าวกลางวันด้วยกันมั้ย? พี่ไม่ชอบลงไปตอนเที่ยง คนมันเยอะแล้วต้องรอคิวยาว จะได้มีเวลาไปนั่งร้านกาแฟกันต่อด้วย”

พรพฤกษ์พยักหน้า จากนั้นก็เดินตามเจ้านายเก่าของเขาไปที่ลิฟต์เพื่อไปทานมื้อกลางวันที่ศูนย์อาหารซึ่งอยู่บนชั้นสอง เมื่อทานข้าวกันเสร็จแล้วก็เดินไปนั่งร้านกาแฟที่ตั้งอยู่ใกล้กับอาคารเนื่องจากมีโซนสำหรับลูกค้าที่สูบบุหรี่ตรงด้านนอก

หลังจากพนักงานนำกาแฟมาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะและเดินกลับเข้าไปในร้าน เอกวิชช์ก็เคาะบุหรี่ออกจากซองขึ้นมาจุดสูบ ครู่หนึ่งจึงหันมาถามพรพฤกษ์ที่นั่งจิบกาแฟอยู่เงียบๆ

“จริงสิ คราวนี้ไผ่มาอยู่กรุงเทพฯ กี่วันล่ะ? แล้วนี่มาทำธุระหรือว่ามาเที่ยวเฉยๆ?”

พรพฤกษ์วางแก้วกาแฟลง “ก็กึ่งธุระกึ่งเที่ยวครับ ความจริงผมก็ไม่ได้มีกำหนดตายตัวเหมือนกันว่าจะกลับเมื่อไหร่ แต่พอเจอความวุ่นวายมากๆ เข้าก็ชักจะคิดถึงบ้าน”

ผู้สูงวัยกว่าหัวเราะร่วน “โอ้ย! ไผ่เอ๊ย...ยังหนุ่มยังแน่นบ่นอย่างกับเป็นคนแก่ไปได้ ตอนนั้นเรายังทำงานกับพี่ได้ตั้งสามปีนี่นา เดี๋ยวถ้าได้กลับมาอยู่กรุงเทพฯ สักพักก็ปรับตัวได้เองนั่นแหละ”

ชายหนุ่มยิ้มบางๆ พลางใช้มือข้างหนึ่งลูบสร้อยเงินบนข้อมือราวจะเรียกกำลังใจให้ตัวเอง ริมฝีปากบางเม้มแน่นขึ้นก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“พี่เอก...ความจริงที่ผมมาหาวันนี้เพราะมีเรื่องอยากขอคำปรึกษา พี่เอกพอจะมีเวลาฟังหน่อยไหมครับ?”

เอกวิชช์เลิกคิ้วขณะเคาะเถ้าบุหรี่ลงบนโถเขี่ยสีเงินบนโต๊ะ เมื่อเห็นนัยน์ตาสีนิลที่มองตรงมาอย่างแน่วแน่ ผู้สูงวัยจึงพ่นควันไปอีกทางก่อนจะขยี้ก้นบุหรี่ที่เหลือโดยไม่หลบตา ด้วยประสบการณ์ของการอ่านคนซึ่งเคี่ยวกรำมาร่วมห้าสิบปี ประกอบกับเขารู้จักนิสัยของพรพฤกษ์ดีในระดับหนึ่ง ทำให้ชายวัยกลางคนคิดว่าจะได้รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงที่อีกฝ่ายมาหาในวันนี้เสียที

“เอาสิ มีอะไรก็เล่ามาเลย พี่ฟังอยู่”
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 20 ธค. 2010* หน้า 12
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 20-12-2010 13:42:28
++------++


หลังจากเวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงและพรพฤกษ์เล่าเรื่องจบแล้ว เอกวิชช์ก็หยิบบุหรี่มวนสุดท้ายในซองออกมาจุด พรพฤกษ์เห็นจึงเอ่ยทักอย่างเป็นห่วง เพราะนับตั้งแต่เขาเริ่มเล่าเรื่องแล้วก็แทบจะไม่เห็นอีกฝ่ายพักจากการอัดควันเข้าปอดเลย

“พี่เอก วันนี้สูบหลายมวนแล้วนะครับ”

“ไม่เป็นไรๆ ยิ่งใช้ความคิดพี่ยิ่งต้องสูบ รู้สึกหัวมันโล่งดี ว่าแต่เจอแต่เรื่องไม่ธรรมดาทั้งนั้นเลยนะเราน่ะ”

ผู้สูงวัยทักขึ้นหลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวนับตั้งแต่ตระการไปเยือนบ้านนฤมิตรครั้งแรก พรพฤกษ์จึงส่ายหน้าบางๆ เอกวิชช์นับเป็นคนแรกก็ว่าได้ที่เขาเล่าทุกอย่างให้ฟังจากปากตัวเอง เพราะแม้แต่นรพัฒน์ซึ่งสนิทที่สุดก็ยังไม่เคยได้ยินเขาปริปากถึงเรื่องเหล่านี้สักคำ แต่เพราะเขารู้จักนิสัยของเพื่อนดี ประกอบกับเชื่อว่าคนที่พอจะรู้จักเขาแต่อยู่วงนอกมากพอน่าจะออกความเห็นให้ได้อย่างเป็นกลางมากกว่า เขาจึงได้ตัดสินใจมาขอคำปรึกษาจากอดีตเจ้านายในวันนี้

เอกวิชช์อัดบุหรี่เข้าปอดแรงๆ อีกครั้งระหว่างที่พรพฤกษ์นั่งรอโดยไม่เซ้าซี้ กาแฟร้อนที่เหลืออยู่เพียงครึ่งแก้วในมือเริ่มเย็นชืด และตอนนี้เขาก็รู้สึกตื้อจนไม่อยากยกขึ้นดื่มอีกแล้ว ครู่ใหญ่กว่าที่ผู้สูงวัยจะอ้าปากอีกครั้ง

“ท่าทางคุณพ่อฝ่ายนั้นจะเป็นพวกหัวแข็งชนฝาล่ะสิ แต่พี่ก็เคยอ่านหนังสือแนวทางธุรกิจที่คุณตฤณแกเขียนอยู่เหมือนกัน ก็พอจะเดาได้หรอกว่าคงเป็นคนยึดมั่นกับแนวความคิดของตัวเอง แล้วไผ่คิดว่าจะทำยังไงต่อไป?”

นัยน์ตาสีนิลเป็นประกายเข้มขึ้น “ถ้าถามตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้เหมือนกัน ผมรู้ว่าต้นก็คงอยากให้ผมมาอยู่กับเขาที่กรุงเทพฯ เพียงแต่ยังไม่เคยพูดตรงๆ แต่ถ้าหากต้องไปอยู่ที่บ้านเขาผมก็คงทำไม่ได้ ผมไม่ได้ต้องการให้คุณตฤณยอมรับผม แต่ถ้าหากฝ่ายนั้นต้องเห็นผมทุกวันอาจจะเครียดจนอาการกำเริบอีก ผมไม่อยากทำให้ต้นลำบากใจ”

เอกวิชช์มองพรพฤกษ์ที่กำลังทอดสายตาลงบนที่เขี่ยบุหรี่บนโต๊ะ ประสบการณ์ที่ได้ผ่านโลกมามากทำให้เขาไม่ถึงกับเกิดความรู้สึกต่อต้านเมื่อรู้ว่าอดีตลูกน้องกำลังคบผู้ชายด้วยกัน และข้อมูลที่ได้ฟังก็ทำให้แยกแยะได้ว่าความสัมพันธ์ของพรพฤกษ์กับตระการจริงจังเกินกว่าการคบกันเล่นประเดี๋ยวประด๋าว ดังนั้นเขาจึงต้องใช้ความคิดกลั่นกรองอยู่นานว่าควรจะให้คำปรึกษาอย่างไร เพราะตลอดชีวิตเขาก็ไม่เคยพบเจอเรื่องราวเช่นนี้กับตัวเอง

“เมื่อกี้ไผ่บอกพี่ว่าพอเจอความวุ่นวายที่นี่แล้วทำให้คิดถึงบ้าน ไผ่ลองถามตัวเองดีๆ หรือยังว่าถ้าหากต้องย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ แบบถาวร ไผ่จะรับการใช้ชีวิตที่ต้องเปลี่ยนไปเลยได้หรือเปล่า?”

พรพฤกษ์เหลือบตาขึ้น นัยน์ตาสีนิลฉาบไปด้วยคำถามซึ่งไม่ได้รับการเอ่ยออกมา เอกวิชช์จึงขยายความต่อ

“เท่าที่พี่ฟังมาดูเหมือนคราวนี้เราสองคนลงมากรุงเทพฯ อย่างกะทันหันใช่ไหมล่ะ? ถ้างั้นก็ไม่แปลกหรอกถ้าไผ่จะยังไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงต่อไป แต่ถ้าให้พี่แนะนำล่ะก็ ไผ่ต้องถามตัวเองก่อนว่ามั่นใจแค่ไหนที่จะคบกับต้นในระยะยาวโดยที่พ่อของเขาอาจจะไม่ยอมรับเราสองคนไปตลอดชีวิต นอกจากเรื่องนั้นแล้วก็คงเป็นเรื่องที่จับต้องได้มากกว่า เช่นว่าถ้าหากไผ่มาอยู่กรุงเทพฯ แล้วจะทำยังไงกับบ้านนฤมิตร? จะปิดไปเลยแล้วประกาศขายต่อ หรือว่าให้คนอื่นดำเนินกิจการแทนแล้วเรากินกำไรอยู่ที่นี่ แล้วในกรณีที่ขายบ้าน พอมาอยู่กรุงเทพฯ แล้วไผ่จะทำอะไร จะอยู่บ้านเฉยๆ หรือว่าออกมาทำงานประจำข้างนอก แล้วคิดว่าจะปรับตัวกับสภาพชีวิตแบบนั้นได้หรือเปล่า พี่ว่าไผ่ต้องถามคำถามพวกนี้กับตัวเองให้ละเอียดเลยนะ”

เอกวิชช์เอ่ยจบก็หันไปดูดบุหรี่อีกอึก และพรพฤกษ์ก็ได้แต่นั่งนิ่งขณะซึมซับทุกคำแนะนำที่อีกฝ่ายเพิ่งมอบให้ เมื่อคืนเขานอนเค้นความคิดจนค่อนคืนว่าควรจะทำอย่างไรสำหรับเรื่องของเขากับตระการ ความคิดเดียวที่วาบขึ้นมาและน่าจะเข้าท่าที่สุดก็คือมาขอคำปรึกษาจากเอกวิชช์สำหรับปัญหาเฉพาะหน้า แต่เขาก็ไม่ทันได้คิดไปถึงเรื่องระยะยาวที่อาจจะหมายถึงการต้องเลือกลงหลักปักฐานที่ใดที่หนึ่งเลย

จริงอยู่ว่าเดี๋ยวนี้การเดินทางระหว่างเชียงใหม่กับกรุงเทพฯ นั้นสะดวกและกินเวลาเพียงชั่วโมงเดียวถ้าหากเดินทางโดยเครื่องบิน แต่สิ่งที่เขาต้องคิดหนักไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยแบบนั้น แต่เป็นเรื่องของสังคมที่เขาคุ้นเคย เพื่อนๆ และการงานของเขาเองมากกว่า

พรพฤกษ์นิ่งเงียบอย่างใช้ความคิด ด้านหนึ่งเขารู้สึกโล่งอกที่ได้บอกเล่าปัญหาให้ใครบางคนฟังและได้รับคำแนะนำกลับมา แต่อีกด้านก็ว้าวุ่นเมื่อรู้ว่าเขายังมีปัญหาให้ต้องขบคิดอีกมากมาย และหากไม่ไตร่ตรองตัวเลือกที่มีให้ดี เขาก็อาจไม่มีความสุขต่อให้ได้อยู่กับตระการก็เป็นได้ และนั่นยังอาจส่งผลกระทบกับความสัมพันธ์ในอนาคตของทั้งคู่อีกด้วย

เอกวิชช์ขยี้ก้นบุหรี่มวนสุดท้ายลงบนที่เขี่ยบุหรี่ นัยน์ตาของผู้สูงวัยมองพรพฤกษ์ซึ่งกำลังนั่งประสานมือบนโต๊ะพลางทำสีหน้าครุ่นคิดอย่างพิจารณา เขารู้ดีว่าต่อให้เป็นเขาเองที่ผ่านโลกมาครึ่งค่อนชีวิตแล้วก็ยังไม่อาจให้คำตอบที่ถูกต้องกับปัญหาของอีกฝ่ายได้เพราะปัจจัยมากมายที่เกี่ยวพัน แล้วนับประสาอะไรกับชายหนุ่มที่อายุยังไม่ถึงสามสิบซึ่งต้องพบเจอเหตุการณ์อันน่าสับสนมากมายในเวลาสั้นๆ เช่นนี้ เขานั่งรอครู่หนึ่งก็เห็นว่าพรพฤกษ์ยังจมอยู่กับการพยายามหาคำตอบให้ตัวเอง จึงยกมือขึ้นตบบ่าคนตรงหน้าเบาๆ และมองนัยน์ตาสีนิลที่เหลือบขึ้นมองเขาอย่างคนที่กำลังหลงทางด้วยความเข้าใจ

“อย่าเพิ่งคิดมากน่ะ พี่ไม่ได้บอกว่าไผ่ต้องรีบหาคำตอบตอนนี้เดี๋ยวนี้เสียหน่อย ค่อยๆ ใช้เวลาคิดไปก่อนก็ได้ ว่าแต่ถ้าบ่ายนี้ไม่มีโปรแกรมทำอะไรจะกลับขึ้นไปออฟฟิศด้วยกันก่อนมั้ย? พี่จำได้ว่าโรงพิมพ์จะส่งดิจิตอลปรู๊ฟของปักษ์หน้ามาให้บ่ายนี้ ไผ่ไปช่วยเจ้าติ๋วเช็คหน่อยแล้วกันเพราะเห็นว่าเขาก็งานยุ่ง จะได้ทดสอบดูด้วยว่าพอได้ลองทำงานออฟฟิศอีกครั้งแล้วเป็นยังไง”

พรพฤกษ์ลังเลอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะพยักหน้า อย่างน้อยถ้าเขาได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็คงจะดีกว่านั่งฟุ้งซ่านคนเดียวเช่นตอนนี้ จึงตามเอกวิชช์กลับขึ้นไปที่ออฟฟิศแต่โดยดีหลังจากพ้นเวลาพักเที่ยงมานานพอสมควร และพบว่าเพื่อนสาวของเขาแสดงความยินดีอย่างไม่ปิดบังที่ได้คนช่วย เพราะลำพังแค่งานตามต้นฉบับและจัดเตรียมข้อมูลก็ล้นมือจนแทบจะทำไม่ทัน

บ่ายวันนั้นพรพฤกษ์นั่งอยู่ที่ทำงานเก่าเกือบสามชั่วโมง ระหว่างนั้นเพื่อนร่วมงานที่เขาคุ้นเคยต่างแวะเวียนมาทักทายหรือนั่งคุยด้วยบ้าง และต่างก็ชักชวนให้เขากลับมาร่วมงานกันเหมือนเดิม การต้อนรับที่อบอุ่นนั้นทำให้เขารู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปสู่วันเวลาที่เคยเป็นพนักงานประจำอยู่ที่นี่ ชีวิตที่มีเพื่อนๆ และออกไปทานข้าวหรือทำกิจกรรมในวันหยุดด้วยกัน และทำให้เขาคลายความกังวลลงไปได้บ้างว่าหากต้องกลับมาอยู่กรุงเทพฯ จริงๆ เขาจะปรับตัวหลังจากทำงานเป็นเจ้าของเกสต์เฮ้าส์อิสระตามลำพังได้หรือไม่

เมื่อพรพฤกษ์เห็นว่างานส่วนที่เขาช่วยได้หมดแล้ว จึงเอ่ยลาเพื่อนสาวที่ส่งสายตาอาลัยมาให้ก่อนจะเข้าไปเอ่ยลาเอกวิชช์ที่ห้อง หัวหน้าบรรณาธิการวัยกลางคนเห็นเขาเดินเข้ามาแต่ไม่ได้นั่งลงจึงเงยหน้าที่สวมแว่นสายตาขึ้นยิ้ม

“จะกลับแล้วล่ะสิ?”

ชายหนุ่มพยักหน้า “ครับพี่เอก วันนี้ขอบคุณพี่เอกมาก ถ้าไม่อย่างนั้นผมก็คงไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงต่อไปแน่ๆ”

ผู้สูงวัยถอดแว่นแล้วลุกขึ้น จากนั้นก็ตบบ่าเขาและสบตาอย่างจริงใจ “พี่ก็ช่วยได้แค่เรื่องคำแนะนำเท่านั้น ที่เหลือเราก็ไปคิดให้ดีก็แล้วกัน ถ้าอยากจะปรึกษาเรื่องอะไรอีกก็โทรมา หรือถ้าอยากกลับมาทำงานที่นี่ก็บอกได้ พี่มีตำแหน่งว่างให้เราเสมอ หรือถ้าจะให้พี่ส่งงานให้ทำแบบเมื่อก่อนก็ตามใจ”

“ครับ ขอบคุณมากครับพี่เอก”

พรพฤกษ์ยกมือทำความเคารพอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกซาบซึ้งจากใจ จากนั้นก็เดินออกจากออฟฟิศโดยออกทางประตูด้านที่ติดกับห้องเก็บของเพื่อจะได้เลี่ยงการบอกลาคนอื่นๆ ให้เอิกเกริก ระหว่างที่รอลิฟต์ก็ดึงผ้าก๊อซกับเทปกาวที่แปะไว้ตรงมุมปากออกทิ้งถังขยะ เพราะว่าตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องปิดบังแผลนั้นกับคนที่รู้จักอีกต่อไปแล้ว

คิดถูกแล้วจริงๆ ที่ตัดสินใจมาที่นี่...

ชายหนุ่มคิดในใจขณะเดินออกมาจากอาคารสำนักงาน เมื่อยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูก็เห็นว่าเพิ่งจะสี่โมงเย็นเท่านั้น จึงตัดสินใจว่าจะไปเดินเล่นให้หัวโล่งสักพักค่อยโทรหาตระการ พอคิดได้ดังนั้นเขาจึงนั่งรถไฟฟ้าไปที่ท่าเรือริมแม่น้ำเจ้าพระยาแล้วก็ลงเรือด่วนพลางชมวิวสองข้างทางไปเรื่อยๆ เมื่อถึงท่าที่ใกล้กับสวนสาธารณะก็ขึ้นจากเรือแล้วเดินเล่นไปตามทางเดินเลียบแม่น้ำ ถึงแม้สมัยเรียนเขาจะไม่ค่อยได้มาแถวนี้เนื่องจากไกลมหาวิทยาลัยซึ่งอยู่อีกฟากของเมือง แต่เขาก็ชื่นชอบบรรยากาศของชุมชนใกล้กับป้อมปราการเก่าซึ่งยังมีตึกรามทรงโบราณเรียงอยู่สองข้างถนน แม้ว่าหลายอาคารจะได้รับการปรับปรุงจนเหลือความโบราณเพียงแค่เค้าโครงก็ตาม

แดดที่เริ่มร่มและลมเย็นจากแม่น้ำทำให้อากาศสบายน่านั่ง เมื่อพรพฤกษ์มาถึงสวนสาธารณะจึงเดินหาที่ว่างริมน้ำเพื่อนั่งเล่นฆ่าเวลา ความที่ม้านั่งเป็นปูนซึ่งก่อขึ้นโดยยื่นออกมาจากกำแพง มีพนักพิงเตี้ยๆ ทำจากโลหะและหันเข้าด้านในสวนสาธารณะ เขาจึงต้องนั่งพับขาข้างหนึ่งแล้วเอี้ยวตัวกลับไปเท้าศอกบนขอบพนักเพื่อจะได้มองแม่น้ำได้ถนัด ภาพที่เห็นจากจุดที่เขานั่งก็คือสะพานข้ามแม่น้ำเชื่อมสองฝั่งเมืองซึ่งมีรถยนต์วิ่งสวนกันขวักไขว่ เหนือขึ้นไปอีกคือริ้วเมฆหนาซึ่งถูกแสงอาทิตย์ยามบ่ายแก่ๆ ย้อมจนเป็นสีแสดแกมชมพู

สายลมเอื่อยหอบกลิ่นไอชื้นจากแม่น้ำปะปนมาในอากาศ พรพฤกษ์นั่งสูดกลิ่นเฉพาะตัวของบรรยากาศริมน้ำพลางทอดสายตามองทิวทัศน์ตรงหน้า ภาพของเหล่าเรือที่ล่องสวนกันขึ้นลงในแม่น้ำ เค้าโครงของสะพานซึ่งทอดตัวตระหง่านตัดกับผืนฟ้ากว้างเบื้องหลัง ภาพของผู้คนที่เดินผ่านไปมาและทำกิจกรรมอยู่ภายในสวน รวมทั้งแสงอาทิตย์อัสดงที่เริ่มหม่นลงเรื่อยๆ ตามการไหลผ่านของเวลา ท่ามกลางกระแสของความเปลี่ยนแปลงที่เคลื่อนไหวอย่างไม่หยุดนิ่งรอบตัว ในที่สุดความคิดที่วิ่งวนในหัวของเขามาตลอดตั้งแต่เมื่อคืนก็ได้บทสรุปแล้วเช่นกัน


++---tbc---++


สำหรับตอนใหม่ก็...อาทิตย์หน้าตามเคยเน้อ ขอบคุณทุกเม้นต์ล่วงหน้าค่า   :L2:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 20 ธค. 2010* หน้า 12
เริ่มหัวข้อโดย: Little Devil ที่ 20-12-2010 14:20:39
น่ารักมาก
+1
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 20 ธค. 2010* หน้า 12
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 20-12-2010 14:33:14
ไผ่จ๊ะ บทสรุปของไผ่ คงไม่ทำให้แฟนๆที่ลุ้นไผ่ด้วยใจระทึก
(ระทึกเพราะคุณพ่อของคนรักกร้าวเหลือเกิน)
ต้องเศร้านะจ๊ะ
เอ่อคุณbellbomb คะ
ดิฉันก็รอเชษฐ์กับภัทรเช่นกันนะคะ
เรื่องนี้นานมากจนเกือบ แค่เกือบนะคะ เกือบลืมอ่ะค่ะ
แต่ไม่ลืมน้า
 
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 20 ธค. 2010* หน้า 12
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 20-12-2010 14:50:29
ไผ่จ๊ะ บทสรุปของไผ่ คงไม่ทำให้แฟนๆที่ลุ้นไผ่ด้วยใจระทึก
(ระทึกเพราะคุณพ่อของคนรักกร้าวเหลือเกิน)
ต้องเศร้านะจ๊ะ
เอ่อคุณbellbomb คะ
ดิฉันก็รอเชษฐ์กับภัทรเช่นกันนะคะ
เรื่องนี้นานมากจนเกือบ แค่เกือบนะคะ เกือบลืมอ่ะค่ะ
แต่ไม่ลืมน้า
 


ดีแล้วค่ะคุณ yayee2 ห้ามลืมค่ะ เดี๋ยวจบต้นไผ่แล้วถึงคิวเชือด เอ๊ย! คิวอัพคุณเชษฐ์กับภัทรแน่นอนค่ะ รออีกนี้ดดดดด  :really2:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 20 ธค. 2010* หน้า 12
เริ่มหัวข้อโดย: kakuro ที่ 20-12-2010 15:05:54
 :z13:คุณรินลงพร้อมกัน2เรื่องไม่ได้เหรอ
 :m7:ว่าแล้วก็รีบหลบคุณรินโลภมากไปเนอะ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 20 ธค. 2010* หน้า 12
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 20-12-2010 15:59:11
^
^
แง่ม แหะๆ อย่ายุจิคะ เย้ย ไม่ช่าย ถ้าเขียนควบได้จะเอามาลงให้เนะ กั่กๆๆ  :laugh:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 20 ธค. 2010* หน้า 12
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 20-12-2010 16:56:53
 :L1:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 20 ธค. 2010* หน้า 12
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 20-12-2010 17:39:25
ไผ่มาแว้วววววว  :m1:
อยากรู้ว่าไผ่ตัดสินใจยังไงเร็วๆจังเลยค่ะ  :o8:
รออ่านตอนต่อไปนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 20 ธค. 2010* หน้า 12
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 20-12-2010 19:12:57
บทสรุปของไผ่ของไม่ทำร้ายจิตใจของกองเชียร์ทั้งหลายนะ  :sad4:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 20 ธค. 2010* หน้า 12
เริ่มหัวข้อโดย: kakuro ที่ 27-12-2010 10:15:24
วันจันทร์แล้วคุณริน
คนอ่านอยากรู้ไผ่จะทำไรให้ต้น
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 20 ธค. 2010* หน้า 12
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 27-12-2010 13:28:48
^
^
เราก็อยากรู้เหมือนกันค่ะ! แอ้ก!! //โดนคุณ kakuro โบก  :o211: :fcuk:

แว้บมาบอกว่าวันนี้อาจได้มาอัพตอนเย็นๆ ค่ำๆ หรือดึกๆ เลยนะคะ (ตกลงตอนไหนแน่ -*-) พอดีว่ายังอีดิทไม่เสร็จเลย แล้วเดี๋ยวบ่ายๆ อาจต้องไปธุระข้างนอกอีก ยังไงจะพยายามไม่ให้เกินวันพรุ่งนี้ค่า อดใจรอกันหน่อยเน้อ ขอบคุณทุกคนค่ะ ไปปั่นต่อก่อนละ  :myeye:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 20 ธค. 2010* หน้า 12
เริ่มหัวข้อโดย: bellity ที่ 27-12-2010 14:15:05
และแล้วก็มาถึงทางแยก(อีกแล้ว)

เป็นกำลังใจให้ทั้งคู่นะครับ จะคอยดููอยู่ใกล้ๆ ว่าทั้งสองคนจะรัีกษาสภาพคำว่าเราได้แค่ไหน :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 28 ธค. 2010* หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 28-12-2010 10:49:03
ในที่สุดก็เอาตอนใหม่มาลงได้แล้วค่า ช้าไปนิดอย่าว่ากั๋นเด้อ


++------++


29.


ในวันนั้น การประชุมที่ตระการคาดว่าคงเสร็จสิ้นตั้งแต่ก่อนเที่ยงกลับดำเนินไปจนบ่ายคล้อย เพราะนอกจากการเก็บตกรายละเอียดงานช่วงที่เขาหายไป ยังมีการติดตามแผนโครงการใหม่ และประเด็นต่างๆ สำหรับเสนอในที่ประชุมผู้ถือหุ้นสามัญครั้งใหญ่ในครึ่งแรกของปีอีก ทั้งวันเขาจึงได้พักเพียงตอนทานอาหารกลางวันเป็นเวลาสั้นๆ และกว่าที่การประชุมจะสิ้นสุดลง เวลาก็ล่วงเลยไปจนเกือบจะหกโมงเย็นแล้ว

ตระการเดินออกจากห้องประชุมกลับไปที่ห้องประจำตำแหน่ง จากนั้นก็วางแฟ้มในมือแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างอ่อนเพลีย มือใหญ่ข้างหนึ่งยกขึ้นลูบหน้าเพื่อขจัดความเหนื่อยล้า

ไม่คิดเลยว่าแค่ไม่อยู่สี่เดือนจะมีอะไรต้องติดตามมากถึงขนาดนี้...

ร่างสูงคิดพลางเอนหลังพิงพนักแล้วหลับตาลงเพื่อพักสายตา อึดใจหนึ่งก็มีเสียงเคาะประตูห้อง เมื่อตระการลืมตาขึ้นก็เห็นว่าเป็นวรชัยที่เยี่ยมหน้าเข้ามา

“อาเข้าไปได้ไหมต้น?”

ชายหนุ่มพยักหน้า เมื่ออีกฝ่ายเดินเข้ามาแล้ว เขาจึงได้เห็นว่ามีแม่บ้านเดินถือถาดใส่แก้วน้ำหวานกับของว่างตามที่ปรึกษาอาวุโสเข้ามาด้วย เมื่อหญิงวัยกลางคนในเครื่องแบบสีเทาวางถาดเครื่องดื่มลงบนโต๊ะแล้วก็เดินออกไป ตระการจึงเอ่ยขอบคุณวรชัยซึ่งทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

“ขอบคุณครับอาวี”

ชายหนุ่มเอ่ยพลางยกแก้วน้ำหวานสีสดขึ้นดื่ม เมื่อร่างกายได้รับน้ำตาลก็ดูเหมือนสมองของเขาจะแจ่มใสขึ้นบ้าง วรชัยมองผู้บริหารหนุ่มแล้วก็ยิ้มบางๆ

“หนักหน่อยนะสองวันนี้ ต้นหายไปสี่เดือนก็เลยมีเรื่องต้องตามให้ทันเยอะ เดี๋ยวพอเริ่มเข้าที่เข้าทางก็ไม่ต้องเจอประชุมยาวๆ แบบนี้บ่อยๆ แล้วล่ะ”

“ครับ...ผมก็หวังว่าอย่างนั้น”

ตระการตอบรับ วรชัยจึงหัวเราะแล้วก็ส่ายหน้า

“อารู้ดีว่าอาคงจะเข้มงวดกับต้นเกินไปทั้งที่เพิ่งจะกลับมากรุงเทพฯ ได้ไม่กี่วัน แต่ต้นคงเข้าใจนะว่ามันจำเป็น?”

ช่วงท้ายประโยควรชัยเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง ตระการสบตากับผู้สูงวัยซึ่งทำงานร่วมกับบิดามานานกว่าอายุของเขาแล้วก็ระบายลมหายใจยาว

“ผมเข้าใจครับ ความจริงมันก็ควรเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว”

ตระการเข้าใจดีว่าเพราะเหตุใดอีกฝ่ายจึงกล่าวเช่นนั้น เพราะนอกจากเรื่องที่เขาหายไปนานถึงสี่เดือน การที่ตฤณเข้าโรงพยาบาลครั้งล่าสุดก็เท่ากับส่งสัญญาณว่านายใหญ่สุวรรณฤทธิ์คงจะลงมากุมบังเหียนเช่นเมื่อก่อนไม่ได้อีกแล้ว แม้แต่เกริกซึ่งเป็นแพทย์ประจำตัวของตฤณและน้าชายของเขาก็ย้ำเตือนเรื่องสุขภาพของบิดาที่อ่อนแอลงมาก และถึงแม้เจ้าตัวจะไม่อยากยอมรับ แต่ดูเหมือนตฤณก็จะตระหนักดีเช่นกันว่าถ้าหากยังอยากแข็งแรงพอจะเฝ้าดูธุรกิจของตัวเองเติบโตก้าวหน้าได้อีกหลายๆ ปี ทางเลือกเดียวที่มีก็คือให้ตระการเข้ามาทำหน้าที่แทนอย่างเต็มตัวเท่านั้น ดังนั้นเมื่อวานจึงได้เรียกเขาเข้าไปคุยเป็นการส่วนตัวหลังจากให้พรพฤกษ์ออกไปรอนอกห้องแล้ว

เขารู้ดีมาตั้งแต่โตพอจะรู้ความว่าสักวันหน้าที่อันยิ่งใหญ่นี้จะต้องตกมาถึงตัวเองในที่สุด แต่เมื่อวันนั้นมาถึงจริงๆ ตระการก็อดจะคิดไม่ได้ว่า...วันนั้นช่างมาถึงเร็วเหลือเกิน จริงอยู่ว่าแม้เขาจะยังขอคำปรึกษาจากบิดาและวรชัยในการตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ ได้ แต่ต่อไปนี้เขาจะต้องเป็นหน้าเป็นตาของสุวรรณฤทธิ์ ไม่สามารถจะบ่ายเบี่ยงด้วยการอ้างว่าเขาเป็นเพียงรองประธานได้อีก เพราะแม้ตำแหน่งประธานสูงสุดจะยังไม่ถูกมอบให้เขาเป็นลายลักษณ์อักษรในเร็ววันนี้ แต่นับจากนี้ต่อไป นอกจากในนามแล้ว ทุกคนจะค่อยๆ รับรู้กันเองว่าคนที่เป็น ‘ประธาน’ ตามหน้าที่ก็คือเขา ตระการ สุวรรณฤทธิ์

วรชัยมองสีหน้าของตระการที่แสดงออกว่ากำลังใช้ความคิดอย่างหนัก จากนั้นก็เอ่ยขึ้น

“ยังไม่ต้องรีบเครียดหรอก อารู้ว่าพูดตอนนี้อาจจะฟังแล้วทำยาก แต่อาจะคอยช่วยสอนเอง เมื่อช่วงที่ลองงานต้นก็เคยทำได้ดีอยู่แล้ว ไม่น่าจะมีอะไรต้องหนักใจหรอก”

ตระการสบตากับอีกฝ่ายและพบแต่ความจริงใจที่สะท้อนออกมา จึงกล่าวขอบคุณด้วยความรู้สึกในใจจริงๆ “ครับ ขอบคุณมากครับอาวี”

ชายหนุ่มยกแก้วน้ำขึ้นดื่มอีก วรชัยจึงเพียงยิ้มรับโดยไม่เอ่ยตอบ ในหัวของที่ปรึกษาอาวุโสนึกย้อนไปถึงบทสนทนาของเขากับตฤณในห้องพิเศษที่โรงพยาบาลเมื่อเย็นวานขึ้นมาอีกครั้ง ดูเหมือนตอนที่เขาไปถึงนั้นตระการกับพรพฤกษ์จะกลับไปได้พักใหญ่แล้ว



“เกริกเตือนฉันว่าจากนี้ไปห้ามทำงานหนัก และฉันก็พอจะรู้สังขารตัวเองดี เมื่อเย็นก็เลยคุยกับต้นไปแล้ว ต่อจากนี้คนที่จะทำหน้าที่เป็นประธานของสุวรรณฤทธิ์ก็คือหมอนั่น แม้จะไม่ใช่ในนามแต่ก็ในทางปฏิบัติ”

“เข้าใจแล้วครับ...ความจริงวันนี้ผมก็อัพเดทต้นเรื่องงานที่ควรจะรู้ไปบ้างแล้ว ยังไงคงต้องให้เวลาแกได้ปรับตัวอีกสักพัก”

“อย่าให้นานนักก็แล้วกัน ก่อนหน้านี้ต้นยังโชคดีที่มีฉันกับเธอคอยช่วย แต่จากนี้ไปพยายามถ่ายทอดทุกอย่างให้หมอนั่นให้หมด ต้นต้องรู้ว่าจะมาคอยหวังพึ่งเธอตลอดไปไม่ได้ เธอเองก็มีเรื่องที่อยากทำไม่ใช่หรือไง จะมาคอยโอ๋หมอนั่นแทนฉันตลอดไปไม่ได้หรอกนะ”

ตฤณรู้ดีว่าวรชัยมีความคิดอยากเปิดคลินิกทันตกรรมร่วมกับภรรยา แต่เพราะที่ผ่านมายังต้องคอยเป็นมือขวาให้กับเขาและสอนงานให้ตระการ จึงยังไม่สามารถปลีกตัวออกไปทำสิ่งที่ต้องการได้

“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณตฤณ ยังไงผมก็เอ็นดูต้นเหมือนลูกเหมือนหลาน อีกอย่างผมก็เคยคุยกับคุณดาวแล้วว่าโครงการนี้ค่อยทำตอนพวกเราใกล้ๆ เกษียนก็ได้ เพราะคุณดาวก็ยังติดสอนที่มหาวิทยาลัย ยังออกมาเปิดคลินิกกับผมเต็มตัวไม่ได้อยู่ดี”

“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ อย่าลืมว่าถึงเธอจะออกไปทำธุรกิจของตัวเองก็ไม่ได้หมายความว่าต้องถอนหุ้นออก อย่างน้อยเงินปันผลของสุวรรณฤทธิ์ก็มากพอจะช่วยหมุนเงินช่วงที่คลินิกเพิ่งเริ่มได้ แล้วถึงเธอจะไม่เข้ามาที่ออฟฟิศอีกแล้วแต่ก็ยังนับเป็นที่ปรึกษาอาวุโสอยู่”

ประโยคนั้นสะท้อนความมีน้ำใจที่น้อยครั้งท่านประธานใหญ่ของสุวรรณฤทธิ์จะเอ่ยออกมา และวรชัยก็รู้ดีว่านั่นเป็นการแสดงความขอบคุณต่อเขาในฐานะที่ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่มามากกว่าสามสิบปี จึงพยักหน้ารับด้วยความซาบซึ้งก่อนจะเอ่ยถามเรื่องที่สงสัย

“ว่าแต่นอกจากเรื่องงานแล้วคุณตฤณได้คุยกับเด็กสองคนนั้นเรื่องของพวกเขาหรือเปล่าครับ?”

คำถามนั้นทำให้แววตาที่เหมือนจะอ่อนโยนลงวูบหนึ่งของคนบนเตียงกร้าวขึ้นแทบจะทันที “ไม่จำเป็น ฉันแยกคุยกับเด็กพวกนั้นทีละคน สำหรับต้นก็แค่เรื่องงาน ส่วนกับลูกของพิม...ฉันบอกแล้วว่าตราบใดที่งานของต้นไม่เสียหายฉันจะแกล้งปิดหูปิดตา แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันยอมรับสองคนนั้น”

“คุณตฤณ...”

“อย่าเอาปัญหาของคนอื่นมาคิดให้ปวดหัวเลยวี ฉันตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ถ้าหากไม่มีธุระอะไรอีกก็ฝากสอนงานให้ต้นด้วยก็แล้วกัน ฉันจะนอนพักเสียที”




วรชัยยอมรับว่าเขาผิดหวังในความทิฐิสูงของผู้เป็นนาย แต่ก็ตระหนักว่าการพบกันระหว่างตฤณกับพรพฤกษ์เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป จึงยากนักที่จะให้เมฆหมอกซึ่งปกคลุมการตัดสินใจของตฤณสลายตัวได้อย่างรวดเร็ว เมื่อวานนี้วรชัยจึงไม่ได้ออกความเห็นโต้แย้งและเพียงแต่ขอตัวกลับมาเงียบๆ

หวังว่าหลังจากนี้คงจะไม่มีใครต้องเสียใจก็แล้วกัน...วรชัยได้แต่คิดกับตัวเอง

เสียงโทรศัพท์บนโต๊ะของตระการทำลายความเงียบในห้อง ชายหนุ่มจึงกดปุ่มสปีกเกอร์โฟนแล้วตอบรับ

“มีอะไรหรือเอ๋?”

“คุณไผ่มาแล้วค่ะ คุณต้นจะให้เข้าไปที่ห้องเลยไหมคะ?”

ตระการได้ฟังก็มุ่นหัวคิ้ว เพราะพรพฤกษ์จะโทรเข้ามือถือเขาเลยก็ได้ ไม่จำเป็นที่อีกฝ่ายจะต้องมาขอพบผ่านเลขาของเขาให้ยุ่งยากสักนิด

“อืม...ให้ไผ่เข้ามาได้เลย”

วรชัยได้ยินดังนั้นจึงดูนาฬิกาข้อมือแล้วก็ลุกขึ้น “ได้เวลาเลิกงานแล้วสิ งั้นอากลับก่อนก็แล้วกัน คืนนี้ก็พักผ่อนให้เต็มที่ล่ะ”

ผู้สูงวัยยังพูดไม่ทันจบประโยค พรพฤกษ์ก็เปิดประตูเข้ามาในห้อง ชายหนุ่มชะงักและพนมมือทำความเคารพเมื่อเห็นอีกฝ่าย วรชัยจึงยกมือรับไหว้ก่อนจะเดินเข้าไปตบไหล่ผอมเบาๆ

“อย่าเพิ่งท้อกันล่ะทั้งคู่ วันนี้อากลับละ แล้วค่อยเจอกันใหม่”

พรพฤกษ์สบตากับผู้สูงวัย แล้วก็มองตามจนอีกฝ่ายออกจากห้องและปิดประตูลงแล้ว เมื่อหันกลับไปที่โต๊ะทำงานก็เห็นตระการยกมือหนึ่งขึ้นกวักเข้าหาตัวเองเหมือนให้เดินเข้าไปหา ชายหนุ่มจึงเดินเข้าไปใกล้ๆ พลันร่างสูงใหญ่ก็รั้งเอวเขาไปกอดพลางซุกหน้าลงกับหน้าท้องแบนราบโดยไม่ได้ลุกขึ้นจากเก้าอี้

“หายไปไหนมาทั้งวัน? แล้วทำไมเสร็จธุระแล้วไม่โทรเข้ามือถือต้นล่ะ?”

ตระการถามโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้น เพียงแต่เคลียจมูกอยู่กับหน้าท้องของเขาผ่านเสื้อผ้าฝ้ายอยู่อย่างนั้น พรพฤกษ์จึงเอามือหนึ่งวางบนบ่ากว้างไว้แล้วใช้อีกมือสางผมของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา ริมฝีปากบางยกยิ้มเมื่อตระการระบายลมหายใจยาวแล้วก็กระชับอ้อมแขนรอบเอวเขาแน่นขึ้น

“พอดีไปกินข้าวกับเจ้านายเก่าแล้วก็อยู่ช่วยพี่เขาทำงานด่วนต่อน่ะ ก่อนจะมาก็ว่าจะโทรหาต้นเหมือนกัน แต่แบตหมดซะก่อนก็เลยตรงมาที่นี่เลย”

“อ้อ...”

ตระการส่งเสียงรับในคอ ร่างสูงใหญ่คลายวงแขนออกแล้วรั้งตัวพรพฤกษ์ให้นั่งลงบนตักแทน จากนั้นก็ไล่ริมฝีปากไปตามแก้มกับขมับที่มีกลิ่นเหงื่อปนกลิ่นแดดติดอยู่อ่อนจาง พรพฤกษ์รู้สึกจั๊กกะจี้เมื่อถูกลมหายใจจากปลายจมูกของตระการเป่าลงกระทบใบหู แต่ก็พยายามนั่งนิ่งๆ ให้อีกฝ่ายคลอเคลียเหมือนลูกแมวตัวใหญ่ที่กำลังออดอ้อนขอความสนใจอยู่อย่างนั้น

“แล้วไปเยี่ยมออฟฟิศเก่าแล้วเป็นไงบ้าง?”

ตระการถามโดยไม่ได้หยุดริมฝีปากที่กำลังพรมจูบไปบนใบหน้าและลำคอของคนบนตัก และประโยคนั้นก็เหมือนกับพูดลอยๆ เพื่อชวนคุยมากกว่าจะอยากรู้คำตอบจริงจัง พรพฤกษ์จึงอดคิดไม่ได้ว่าวันนี้อีกฝ่ายคงจะเพลียมากถึงได้อ้อนเขาขนาดนี้

“ก็เจอเพื่อนๆ เก่าหลายคน เขาปรับปรุงออฟฟิศใหม่ก็เลยกว้างขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะ เดี๋ยวนี้มีพนักงานใหม่เพิ่มขึ้นหลายคนด้วย พี่เขาก็บอกว่าถ้าหากอยากกลับมาทำงานที่นี่จะหาตำแหน่งว่างให้...นี่ต้น”

พรพฤกษ์ทักพลางหยิกแขนแข็งแรงเมื่อตระการล้วงมือหนึ่งเข้าไปใต้เสื้อแล้วใช้นิ้ววนเป็นวงบนแผ่นหลังจนเขาขนลุก คนถูกหยิกจึงเหลือบตาขึ้นพร้อมกับส่งรอยยิ้มซุกซนให้ จากนั้นก็กอดเอวเขาแน่นขึ้นแล้วซบหน้าลงมาบนบ่า พรพฤกษ์เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ทำอะไรต่อจึงยกแขนขึ้นคล้องคอตระการไว้แล้วใช้ปลายนิ้วบีบท้ายทอยให้เบาๆ ต่างฝ่ายต่างนั่งเงียบในอ้อมแขนของกันและกันไปครู่หนึ่ง

คงจะเหนื่อยมากสินะ...ตั้งแต่ลงมาจากเชียงใหม่ต้นก็ยังไม่ได้พักผ่อนจริงๆ เลยนี่นา...แต่จะพักได้ยังไงในเมื่อพ่อเข้าโรงพยาบาลอยู่แบบนี้...

พรพฤกษ์คิดขณะมองเสี้ยวหน้าของตระการที่หลับตาซบอยู่บนบ่า ลมหายใจของอีกฝ่ายเป่ารดลงบนคอของเขาเบาๆ ยามหายใจออก เขารู้ดีว่าตระการไม่ได้หลับจริงๆ เพียงแต่กำลังใช้ช่วงเวลานี้เพื่อการพักผ่อนสั้นๆ เท่านั้น เมื่อเหลือบตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่าท้องฟ้าภายนอกมืดลงอย่างรวดเร็วเนื่องจากเป็นฤดูหนาว และความมืดนั้นก็ทำให้เขาเห็นเงาของตัวเองกับตระการที่สะท้อนบนผนังซึ่งเป็นกระจกใสทั้งแผ่นได้อย่างชัดเจน

“ไผ่...ต้นมาคิดดูแล้วนะ”

เสียงทุ้มต่ำจากคนบนบ่าเรียกความสนใจของพรพฤกษ์กลับไป เมื่อเหลือบตาลงก็พบว่าตระการกำลังลืมตาและตะแคงหน้ามองเขาอยู่ ชายหนุ่มจึงเลิกคิ้วเป็นเชิงเร้าให้พูดต่อ

“เพราะวันนี้ไผ่บอกว่าจะไปเยี่ยมที่ทำงานเก่าต้นเลยคิดได้...ก่อนหน้านี้ต้นเคยจะถามแล้วแต่ยั้งตัวเองไว้เพราะไม่อยากให้ไผ่กดดัน แต่ถ้าหากเจ้านายเก่าก็ยังบอกว่ายินดีรับไผ่กลับไปทำงานด้วย...ไผ่ไม่คิดว่าอยากกลับมาทำงานที่กรุงเทพฯ บ้างเหรอ?"

ร่างสูงใหญ่ยกศีรษะขึ้นและสบตากับพรพฤกษ์โดยไม่ปล่อยแขนที่โอบรัดช่วงเอวผอมเอาไว้ พรพฤกษ์จึงมองตาอีกฝ่ายอย่างค้นหา

“หมายความว่ายังไง?”

“ต้นอยากให้ไผ่มาอยู่กับต้นที่กรุงเทพฯ ต้นยอมรับว่าตอนที่ชวนลงมาไหว้กระดูกของแม่ต้นอาจไม่ได้พูดให้ชัดเจน แต่ตอนนี้ไผ่ก็ได้เจอพ่อของต้นและแทบทุกคนที่ต้นรู้จักแล้ว ต้นเลยอยากถามไผ่ให้เป็นเรื่องเป็นราว ต้นรู้ว่าถ้าหากบอกไผ่ว่าอยากให้มาอยู่ด้วยเฉยๆ โดยไม่ต้องทำงานไผ่ก็คงไม่ยอม แต่จะให้มาทำงานที่บริษัทของต้นไผ่ก็อาจจะไม่สะดวกอีก แต่ว่าถ้าหากที่ทำงานเก่าของไผ่ยินดีต้อนรับ ถ้างั้นพวกเราก็ไม่มีปัญหา”

พรพฤกษ์ฟังความคิดของตระการแล้วก็เม้มปาก ความมุ่งมั่นในน้ำเสียงและแววตาสีน้ำตาลเข้มดูจะมีพลังสั่นคลอนความตั้งใจของเขาได้หลายส่วน

แต่ไม่ใช่ทั้งหมด...

“ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ แล้วพ่อของต้นล่ะ เมื่อวานก็เล่าให้ฟังแล้วไม่ใช่เหรอว่าพ่อเขาพูดเรื่องของพวกเราว่ายังไง?”

คราวนี้ตระการถอนหายใจแล้วหลุบตาลง ชายหนุ่มจับมือข้างหนึ่งของพรพฤกษ์แล้วประทับริมฝีปากลงบนหลังมือเบาๆ ก่อนจะเหลือบตาขึ้นอีกครั้ง

“ต้นผิดเองที่ไม่ทันได้คิดว่าพ่อเขาจะแสดงท่าทีแบบไหนหลังจากได้เจอไผ่ แต่ถึงพ่อจะพูดยังไงก็ไม่มีผลกับความรู้สึกของต้นอยู่แล้ว ต้นอาจจะทำทุกอย่างที่พ่อคาดหวังมาตลอดก็จริง แต่พ่อจะมากะเกณฑ์ต้นเรื่องนี้ไม่ได้”

พรพฤกษ์รู้สึกถึงคลื่นความรู้สึกที่อัดแน่นในอกจากคำพูดของตระการจนต้องสูดหายใจเข้าลึก เขาไม่สงสัยเลยว่าอีกฝ่ายหมายความตามที่พูดจริงๆ และถ้าหากเพียงเขาจะเป็นคนหัวอ่อนว่าง่ายกว่านี้อีกสักนิด บางทีเขาคงไม่ต้องหวั่นไหวกับความรู้สึกขัดแย้งในใจเช่นตอนนี้ และตอบรับตระการอย่างง่ายดายได้ในทันที และพวกเขาก็คงจะมีความสุขร่วมกันโดยไม่ต้องคำนึงถึงใครหน้าไหนทั้งสิ้น

ติดอยู่ที่ว่า...เขาไม่ใช่คนหัวอ่อนหรือคิดอะไรตื้นเขินแบบนั้น...

พรพฤกษ์ลดมือที่วางบนไหล่ตระการลงและแงะแขนอีกฝ่ายออกจากเอว จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ผนังกระจก นัยน์ตาสีนิลเหม่อมองภาพทิวทัศน์เบื้องล่างซึ่งเต็มไปด้วยแสงไฟจากรถราบนถนน แสงจากอาคารสูงอื่นๆ ที่ตั้งเรียงอยู่เป็นระยะใกล้บ้างไกลบ้าง ตลอดจนภาพของเมืองใหญ่ที่แผ่ไกลออกไปซึ่งพอจะมองเห็นได้หลังจากพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว จากนั้นก็ยกมือหนึ่งขึ้นทาบบนกระจกเย็นๆ และเอ่ยขึ้น

“ต้นเคยมองแสงไฟในกรุงเทพฯ แล้วเคยคิดว่าถ้าหากเรามองไกลไปกว่านั้นได้ก็คงดีบ้างมั้ย?”

ตระการขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ และพรพฤกษ์ก็ไม่ได้คาดหวังให้อีกฝ่ายเข้าใจในทันที ชายหนุ่มจึงเอ่ยต่อโดยไม่รอฟังคำตอบ

“สมัยที่ยังทำงานอยู่ที่นี่เมื่อสามปีก่อน มีหลายครั้งเลยนะที่ต้องอยู่ปิดต้นฉบับข้ามคืนจนถึงเช้า เลยมีโอกาสได้มองท้องฟ้ากรุงเทพฯ ตอนกลางคืนกับตอนเช้ามืดบ่อยมากเพราะออฟฟิศอยู่สูงเหมือนกัน ช่วงนั้นบางทีก็จะคิดถึงบ้านที่เชียงใหม่ หลายครั้งเลยที่โทรไปหาตาแล้วก็บ่นว่าเสียดายที่ท้องฟ้าที่นี่ไม่มีแนวภูเขาให้เห็น มองไปแล้วไม่คุ้นเคยเหมือนเวลาอยู่บนศาลาชมวิวของเราที่โน่น”

“ไผ่...”

ตระการลุกขึ้นแล้วเดินมาหยุดยืนข้างหลัง มือใหญ่ข้างหนึ่งยกขึ้นวางทาบบนมือของพรพฤกษ์ข้างที่วางอยู่บนกระจก ส่วนแขนแข็งแรงอีกข้างอ้อมมาโอบรอบเอวและรั้งร่างเพรียวเข้าหา พรพฤกษ์ไม่ได้ขืนตัวไว้และเอนลงพิงอกอีกฝ่ายแต่โดยดี ทว่าประโยคถัดมากลับเหมือนค้อนที่ทุบลงบนหัวใจคนฟัง

“ที่วันนี้ตั้งใจไปหาเจ้านายเก่าก็เพราะอยากหาคำตอบให้ตัวเองเรื่องนี้แหละ ว่าถ้าหากต้องมาอยู่กรุงเทพฯ จริงๆ จะทำได้ไหม คำตอบคือได้...แต่ว่า...ยังไม่ใช่สำหรับตอนนี้”

พรพฤกษ์รู้สึกได้ว่าแขนแกร่งข้างที่โอบรอบเอวของเขากระชับแน่นขึ้น ชายหนุ่มสบตากับคนข้างหลังผ่านทางกระจกที่กำลังสะท้อนภาพของทั้งคู่ซึ่งทำให้เห็นทั้งภาพบรรยากาศในห้องซ้อนกับแสงไฟในตัวเมืองข้างนอกได้พร้อมกัน ราวกับว่ากระจกนี้เป็นเพียงกำแพงบางๆ ที่กั้นขวางระหว่างสองโลกซึ่งต่างกันอย่างสิ้นเชิง

โลกหนึ่งคือโลกที่เขาจะได้อยู่กับตระการ อาจมีความสุข...แต่เขาต้องฝืนตัวเอง

ส่วนอีกโลก คือโลกที่เขาสามารถใช้ชีวิตอิสระเช่นที่เคยชิน...แต่จะไม่ได้อยู่กับคนที่เขารักตลอดเวลา

หลังจากการตัดสินใจอย่างหนักหน่วงโดยพิจารณาทุกปัจจัยรวมกัน พรพฤกษ์เลือกที่จะกลับไปสู่โลกใบหลัง อย่างน้อยก็สำหรับช่วงเวลานี้...เวลาที่เขายังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจจะสละทุกอย่างที่เขาคุ้นเคยเพื่อมาอยู่ในสิ่งแวดล้อมใหม่ และเขาก็คิดว่านี่คือ 'ทางสายกลาง' ที่เหมาะสมแล้วสำหรับทุกฝ่าย

แน่นอนว่าถ้าหากเลือกได้ พรพฤกษ์ก็ต้องการทั้งสองอย่าง ทั้งการงานที่เขาควบคุมจังหวะเองได้ที่บ้านซึ่งเขาเติบโตมาในเชียงใหม่ และการได้มีตระการอยู่ข้างๆ ซึ่งหากว่าตระการจะเป็นเพียงชายหนุ่มธรรมดา ไม่มีภาระอันยิ่งใหญ่ผูกพันที่ละทิ้งไปไม่ได้ เขาคงจะชวนอีกฝ่ายให้ไปอยู่ที่บ้านนฤมิตรกับเขาแล้วก็ช่วยกันดูแลเกสต์เฮ้าส์ มีความสุขตามประสาคู่รักที่พึงมีโดยไม่ต้องสงสัย

แต่เพราะเขาทำเช่นนั้นไม่ได้...เพราะตระการไม่ได้เป็นเพียง ‘ชายหนุ่มธรรมดา’ เพราะอีกฝ่ายมีความจำเป็นต้องรับผิดชอบเครือธุรกิจอันยิ่งใหญ่แทนบิดาที่มีปัญหาทางสุขภาพ มีพนักงานอีกร่วมพันชีวิตที่ต้องดูแลสวัสดิการ มีหน้าที่เป็นผู้นำซึ่งต้องสืบทอด และเขาไม่คิดจะแย่งชิงตระการไปจากสิ่งต่างๆ เหล่านั้น อีกฝ่ายมีความจำเป็นสำหรับที่นี่ เขาไม่มีสิทธิ์จะเห็นแก่ตัวและยึดยื้อตระการเอาไว้เป็นของตัวเองคนเดียว

ดังนั้นพรพฤกษ์จึงเลือกเห็นแก่ตัวในอีกสิ่งที่เขาสามารถทำได้โดยรู้สึกผิดน้อยกว่า แม้จะรู้ดีว่านั่นเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความต้องการของคนที่ตัวเองรัก นั่นคือการกลับไปเชียงใหม่ กลับไปสู่สังคมและความรับผิดชอบที่เขาคุ้นเคย...จนกว่าจะถึงวันที่เขาพร้อมจะกลับมาอยู่กับตระการอีกครั้ง โดยที่เขาเองก็ไม่อาจตอบได้ ณ วินาทีนี้ว่าวันนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่

“ไผ่ไม่คิดว่ากำลังทำร้ายพวกเราทั้งคู่ด้วยการทำแบบนั้นบ้างเหรอ?”

ตระการถามด้วยน้ำเสียงที่ชุ่มไปด้วยอารมณ์ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่สบตากับพรพฤกษ์ในกระจกฉายแววน้อยใจและปวดร้าว พรพฤกษ์จึงทำได้เพียงเบือนสายตาไปทางอื่น ขอบตาของเขาร้อนผ่าวเมื่อตระหนักถึงไออุ่นที่ถ่ายทอดมาจากคนที่กอดเขาไว้ เขาอยากตอบว่าไม่ใช่เลย...เขาไม่ได้ต้องการทำร้าย ‘พวกเรา’ แต่เวลานี้เขาไม่พร้อมจะอยู่กับตระการจริงๆ การต้องปรับตัวกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนโดยต้องเผชิญหน้ากับพ่อของอีกฝ่ายด้วยไม่ใช่สิ่งที่เขาจะทำความคุ้ยเคยได้โดยง่าย เพราะแค่ได้ไปอยู่ที่บ้านของตระการไม่กี่วันเขาก็รู้ตัวแล้วว่าที่นั่นไม่ใช่ ‘ที่ของเขา’ และเขาก็ไม่อยากฝืนตัวเองด้วยการแสร้งทำว่า ‘ชอบ’ ที่นั่นด้วย

“ใจเย็นก่อนต้น นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเราต้องแยกจากกันตลอดไปนะ”

พรพฤกษ์ยังพูดไม่ทันจบก็ลมหายใจสะดุดเมื่อถูกจับให้หันไปด้านหลัง และนั่นก็ทำให้เขาได้สบตากับนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มโดยตรง แววตัดพ้ออย่างรุนแรงในแววตาคู่นั้นทำให้เขาพูดอะไรไม่ออกอีก

“แล้วเมื่อไหร่? ไผ่จะให้ต้นรอถึงเมื่อไหร่? ที่เราเคยไม่เข้าใจกันตั้งหนึ่งปี...ต้องจากกันไปอีกสามเดือน...แล้วนี่ก็เพิ่งได้อยู่ด้วยกันแค่สี่เดือนเท่านั้นเอง ไผ่พอใจกับแค่ตรงนั้นแล้วเหรอ?”

“ไม่ใช่นะต้น! เข้าใจกันบ้างได้มั้ย?!”

พรพฤกษ์ระเบิดอารมณ์ออกมาในที่สุด ทำนบน้ำตาที่กลั้นไว้ไหลเอ่ออย่างห้ามไม่อยู่อีกต่อไป ตระการคิดว่าเขาตัดสินใจเรื่องนี้ด้วยความทรมานแค่ไหนกัน คิดว่าเขาตัดสินใจกับตัวเลือกที่มีง่ายๆ งั้นหรือ หากอีกฝ่ายรักเขามากแค่ไหน พรพฤกษ์ก็รู้สึกเช่นนั้นไม่ต่างกัน แต่จำเป็นไหมที่พวกเขาจะต้องดึงดันอยู่ด้วยกันให้ได้ตอนนี้เดี๋ยวนี้?

ร่างเพรียวทรุดตัวลงนั่งชันเข่ากับพื้นช้าๆ โดยหันหลังพิงกระจกไว้ จากนั้นก็ยกแขนสองข้างขึ้นกอดเข่าและซุกหน้าลง ไหล่ผอมบางทั้งสองข้างสั่นจนเห็นได้ชัด เมื่อตระการเห็นดังนั้นจึงรู้ทันทีว่าเผลอพลั้งปากทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายไปแล้ว

“ไผ่...ขอโทษ”

ร่างสูงใหญ่รีบทรุดตัวลงนั่งตามแล้วรั้งร่างอีกฝ่ายเข้ามากอด ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นและสูดหายใจลึกเมื่อรู้สึกถึงความเปียกชื้นจากใบหน้าของพรพฤกษ์ที่ซึมผ่านเสื้อเชิ้ตลงมาบนบ่า

อีกแล้วหรือ...นี่เขาทำให้พรพฤกษ์ต้องเสียน้ำตาเพราะเขาเป็นต้นเหตุมากี่ครั้งแล้ว?

“ขอโทษ...ไผ่...ต้นไม่พูดแล้ว”

ตระการกระชับอ้อมแขนรอบตัวคนตรงหน้าแน่น ชายหนุ่มใช้มือใหญ่ค่อยๆ เสยผมบนหน้าผากเนียนแล้วแนบริมฝีปากลงซับน้ำตาให้พรพฤกษ์จนหมาด ถึงแม้จะผิดหวังกับการตัดสินใจของอีกฝ่ายเพียงใด แต่การเห็นคนที่รักต้องเจ็บปวดเพราะความเอาแต่ใจของเขาก็ทำร้ายความรู้สึกมากกว่า

“ขอโทษ...”

พรพฤกษ์สูดน้ำมูกอย่างแรงแล้วส่ายหน้า “พอแล้วต้น ไม่ต้องขอโทษ ต้นไม่ผิด ไม่มีใครผิด อย่าขอโทษ”

ตระการได้ฟังก็รั้งร่างของพรพฤกษ์เข้าไปกอดอีกครั้งโดยโน้มคอลงให้ซบลงบนบ่า นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มมองออกไปยังแสงไฟภายนอกที่เปล่งประกายเด่นชัดตัดกับผืนฟ้าที่มืดสนิท และคิดว่าเริ่มจะเข้าใจสิ่งที่พรพฤกษ์เอ่ยให้ฟังเมื่อครู่

จริงสิ...ที่นี่ไม่ใช่บ้านของไผ่ คนรักของเขาไม่ได้หลงใหลเมืองหลวงจนอยากย้ายมาอยู่ที่นี่ขนาดนั้น ไม่อย่างนั้นหลังจากที่ตาเสีย ไผ่ก็คงย้ายกลับมาอยู่กรุงเทพฯ ตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนแล้ว...

แต่ถ้าเช่นนั้น...อีกนานแค่ไหนที่พวกเขาจะได้อยู่ด้วยกันเสียที?

“ถ้าหาก...ต้นกลับไปอยู่กับไผ่ที่เชียงใหม่เหมือนเดิมล่ะ?”

คำถามนั้นถูกตอบรับด้วยเสียงหัวเราะ แต่ไม่ใช่เสียงหัวเราะขื่นๆ หรือหัวเราะเยาะ เสียงที่ตระการได้ยินนั้นเหมือนกับพรพฤกษ์รู้ดีว่าเขากำลังถามคำถามที่ตัวเองก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้มากกว่า

“ความจริงก็อยากให้ทำแบบนั้นนะต้น...แต่อย่าเลย ต้นใส่สูทนั่งประชุมที่ออฟฟิศเหมาะกว่าจะเป็นคนดูแลเกสต์เฮ้าส์ตั้งเยอะ”

พรพฤกษ์เอ่ยพลางดันตัวขึ้นนั่งตรง แต่ว่าก็ไม่ได้เบี่ยงตัวออกจากอ้อมกอดอบอุ่น ชายหนุ่มเพียงแต่เอนหลังพิงกระจกแล้วก็ยกมือขึ้นปาดคราบน้ำตาที่ยังเหลือเท่านั้น
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 28 ธค. 2010* หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 28-12-2010 10:51:13
“แต่ต้นก็เคยช่วยไผ่ทำมาแล้วนี่”

ตระการเอ่ยขึ้นบ้าง เขารู้สึกได้ว่าความอึมครึมที่โอบล้อมทั้งคู่อยู่ค่อยๆ เจือจางลงเมื่อได้เห็นพรพฤกษ์ยิ้ม ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นไปนั่งเอนหลังพิงกระจกข้างอีกฝ่ายโดยสอดนิ้วมือประสานกับมือข้างที่วางชิดกันเอาไว้ พรพฤกษ์จึงยิ้มแล้วส่ายหน้า

“นั่นมันแค่ชั่วคราว ต้นมีความสามารถมากกว่าจะอยู่ตรงนั้น งานที่นี่เหมาะกับต้นมากกว่าแล้วล่ะ”

ความเงียบโรยตัวลงมาหลังจากพรพฤกษ์เอ่ยประโยคนั้น และตระการก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายพูดถูก ต่อให้ใจอยากแค่ไหนเขาก็ไม่สามารถติดตามพรพฤกษ์กลับไปช่วยดูแลบ้านนฤมิตรได้เหมือนสี่เดือนที่ผ่านมา ขณะเดียวกันพรพฤกษ์ก็คงพร้อมจะกลับไปสู่บ้านที่คุ้นเคยและเปิดเกสต์เฮ้าส์รับแขกอีกครั้งหลังจากที่แข็งแรงดีแล้ว

“ไผ่...แล้วต้นต้องรอนานแค่ไหน?”

ตระการถามขึ้นหลังจากไม่พูดอะไรอยู่นาน พรพฤกษ์จึงเหลือบตามองคนถาม จากนั้นก็หันกลับไปทำท่าคิด

“...ไม่รู้สิ อย่างน้อยที่ได้ไปเจอเพื่อนเก่าวันนี้ก็โล่งอกขึ้นนะว่าถึงจะกลับมาอยู่กรุงเทพฯ จริงๆ ก็คงไม่ถึงกับไม่มีใคร เพียงแต่มันเร็วเกินไปที่จะให้ตัดสินใจย้ายมาปุบปับ ยังไงจะพยายามให้เร็วที่สุดก็แล้วกัน ระหว่างนี้ต้นก็คงต้องเหนื่อยบินขึ้นบินลงกรุงเทพฯ – เชียงใหม่หน่อย”

“ให้ต้นเคลียร์งานได้หมดเมื่อไหร่แล้วจะบินไปหาทุกวันศุกร์ ช่วงไหนมีวันหยุดยาวติดกันก็จะไป ไผ่มาร์ควันลงปฏิทินได้เลย”

ตระการพูดพลางบีบมือที่ประสานนิ้วกับพรพฤกษ์แน่นขึ้นเพื่อย้ำให้มั่นใจ พรพฤกษ์จึงตะแคงหน้าไปหา เมื่อเห็นแววตาที่บ่งว่าจะทำตามอย่างที่พูดให้ได้ก็ยิ้มแล้วเอนศีรษะลงพิงหัวไหล่หนาเอาไว้

“ขอบคุณนะต้น...แล้วก็ขอโทษด้วยที่เอาแต่ใจ”

มือของทั้งสองที่ประสานกันอยู่กระชับแน่นขึ้น “ไม่หรอกไผ่ ไผ่บอกเองนี่ว่าไม่มีใครผิด ถ้าต้นดึงดันจะให้ไผ่อยู่ต่อก็เท่ากับต้นต่างหากที่เอาแต่ใจ ไผ่ก็บอกเมื่อกี้แล้วนี่ว่าไผ่จะรีบมาอยู่กับต้นให้เร็วที่สุดที่ทำได้...ดังนั้นต้นจะรอ”

คำพูดให้ความเชื่อมั่นและน้ำเสียงอบอุ่นทำให้พรพฤกษ์รู้สึกว่าขอบตาร้อนผ่าวจนต้องสูดน้ำมูกอีกครั้ง ตระการไม่เคยบังคับเขาไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์เช่นไร และตลอดมาความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ถูกประคับประคองมาได้เพราะความมุ่งมั่นและแน่วแน่ของอีกฝ่าย เขาจึงไม่แคลงใจเลยว่าต่อจากนี้ไปทั้งสองก็จะยังคงเป็นเช่นนั้นไม่เปลี่ยน

ที่อยู่ด้วยกันตอนนี้ไม่ได้...ไม่ใช่เพราะไม่รัก...แต่เพราะรู้ดีว่าพวกเราต่างมีสิ่งที่ต่างฝ่ายต้องทำเพื่อตัวเองและคนรอบข้าง และหัวใจที่สื่อถึงกันแล้วสองดวงนี้ก็จะไม่มีวันแปรเป็นอื่นแม้ตัวเจ้าของจะไม่ได้อยู่ด้วยกันทุกวันอย่างแน่นอน

“ไผ่...”

“หือ?”

เมื่อถูกกระตุกมือเรียก พรพฤกษ์จึงเงยหน้าขึ้นพลางส่งเสียงถามในคอ พลันแสงไฟจากหลอดนีออนกลางเพดานก็ดูเหมือนมืดไปวูบหนึ่งเพราะตระการก้มลงมาบังไว้แล้วแนบริมฝีปากลงบนปากของเขา

“ต้น...”

พรพฤกษ์เรียกเมื่ออีกฝ่ายผละออกเป็นเวลาสั้นๆ ก่อนเจ้าตัวจะประทับริมฝีปากลงมาอีกครั้ง จูบคราวนี้ดูดดื่มและใช้เวลามากกว่าครั้งแรก ขณะเดียวกันมือข้างที่ว่างของตระการก็สอดเข้ามาใต้เสื้อผ้าฝ้ายและลูบผิวบนหน้าท้องของเขาไปมาจนพรพฤกษ์กำมือแน่น

ปลายลิ้นอุ่นหยอกเย้ากับปลายลิ้นของเขา บางจังหวะก็ตวัดรัด บางจังหวะก็เพียงขบเม้มบนกลีบปากก่อนจะดูดดุนอย่างแผ่วเบา และพรพฤกษ์ก็พบว่าตัวเองเริ่มอ่อนไหวไปกับสัมผัสอันปลุกเร้าที่แสนอ่อนโยนมากขึ้นเรื่อยๆ ชายหนุ่มระบายลมหายใจเฮือกใหญ่หลังจากยกแขนให้ตระการถอดเสื้อออก จากนั้นก็เอ่ยถามเสียงเบาเหมือนกลัวคนอื่นได้ยินทั้งในห้องมีเพียงพวกเขาสองคน

“นี่มันในห้องทำงานนะต้น...จะไม่มีใครเข้ามาเหรอ?”

พรพฤกษ์ถามเมื่อตระการก้มลงเลียติ่งเนื้อข้างหนึ่งบนแผ่นอก ความร้อนรุ่มและเขินอายทำให้โลหิตสูบฉีดจนผิวของเขาเป็นสีชมพูเรื่อไปทั้งตัวและใบหน้า แต่พรพฤกษ์ก็ไม่ได้นึกอยากห้ามให้อีกฝ่ายหยุดสิ่งที่กำลังทำ เพราะรู้ดีว่านี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เขาจะกลับเชียงใหม่ และกว่าจะได้เจอตระการอีกครั้งอาจกินเวลานานเป็นเดือน

ร่างสูงใหญ่ชะลอมือที่กำลังปลดเข็มขัดให้เขาแล้วเงยหน้าขึ้น “ห้องทำงานของต้นไม่มีใครกล้าเข้ามาหรอก แถมนี่ก็เลิกงานแล้วด้วย...อีกอย่างไผ่ไม่ชอบบ้านของต้นไม่ใช่เหรอ?”

คำถามนั้นทำให้พรพฤกษ์ได้แต่กะพริบตา จากนั้นก็เพียงทอดสายตามองตระการที่ก้มลงจูบท้องของเขาแล้วดึงกางเกงยีนส์ลงจนพ้นขาอย่างเงียบๆ

รู้ด้วยหรือว่าเขาไม่ชอบบ้านหลังนั้น...ทั้งที่เขายังไม่เคยพูดให้ฟังสักคำ...

หลังจากถอดเสื้อผ้าให้หมดทุกชิ้นแล้ว ร่างสูงก็ช้อนตัวพรพฤกษ์ขึ้นอุ้มแล้วพาไปวางลงบนโซฟาตัวใหญ่ตรงด้านหนึ่งของห้อง จากนั้นตระการก็เดินไปกดปุ่มที่อยู่มุมหนึ่งของผนัง มู่ลี่ไฟฟ้าค่อยๆ ลดตัวลงมาจากช่องด้านบนและบดบังทัศนียภาพภายนอกที่เห็นได้ผ่านกระจกจนมิด เมื่อตระการเดินกลับมาที่โซฟาอีกครั้งโดยที่คลายเน็คไทและปลดกระดุมเสื้อไปด้วยก็เห็นว่าพรพฤกษ์ชันตัวขึ้นบนศอกแล้วมองเขาอย่างมีคำถาม ชายหนุ่มจึงยิ้มขณะดึงเสื้อลงให้พ้นไหล่

“ต้นไม่อยากให้คนในตึกอื่นมองเข้ามาเห็นพวกเราน่ะ แต่ถ้าไผ่ไม่สนใจจะให้เปิดมู่ลี่เหมือนเดิมก็ได้นะ”

“ทะลึ่ง...ปิดไว้อย่างนั้นแหละดีแล้ว”

พรพฤกษ์ตอบด้วยความรู้สึกกึ่งขันกึ่งหมั่นไส้ ชายหนุ่มวางมือทาบลงบนไหล่กว้างที่เปลือยเปล่าเมื่ออีกฝ่ายขึ้นมานั่งบนโซฟาและก้มลงจูบเขา ความคิดหนึ่งที่วาบเข้ามาในหัวทำให้เขาพลิกตัวขึ้นนั่งคร่อมอีกฝ่ายไว้เมื่อตระการเอนลงนอนข้างๆ นัยน์ตาสีนิลมองสบกับนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่กะพริบตามองเขาอย่างงุนงงแล้วก็หลุบตาลง โหนกแก้มทั้งสองข้างเป็นสีแดงก่ำขณะที่เลื่อนมือลงปลดเข็มขัดให้ตระการเหมือนที่อีกฝ่ายเพิ่งทำให้เขา

“ไหนๆ ก็อีกตั้งพักใหญ่กว่าจะได้เจอกันนี่นา แต่ถ้าต้นไม่ชอบเดี๋ยวไม่อยู่ข้างบนให้ก็ได้”

พรพฤกษ์ได้รับคำตอบเป็นเสียงหัวเราะ จากนั้นตระการก็ดันตัวขึ้นนั่งแล้วกดจมูกลงบนแก้มเขาแรงๆ ทีหนึ่ง ร่างสูงใหญ่กระซิบข้างหูพรพฤกษ์ด้วยน้ำเสียงแหบต่ำที่ทำให้คนฟังตัวสั่นอย่างห้ามไม่ได้

“ไม่เป็นไร คืนนี้ต้นให้ไผ่นำก็ได้ อยากทำอะไรกับต้นก็แล้วแต่ไผ่ชอบเลย”


++------++


พรพฤกษ์จำไม่ได้ว่าคืนนั้นพวกเขาแสดงความรักที่มีต่อกันไปกี่ครั้ง

ชายหนุ่มจำได้เพียงว่าทั้งเขาและตระการแทบจะไม่ได้ผละร่างกายออกจากกัน มีบางครั้งหลังจากความรู้สึกของเขาทะยานถึงจุดสูงสุดแล้วพรพฤกษ์จะหมดสติไปเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้งก็จะพบว่าตระการกำลังมองเขา จูบเขาหรือลูบไล้ร่างกายของเขาอยู่ และแม้จะเหน็ดเหนื่อยหลังจากที่เริ่มไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่เมื่อตระการยังแสดงความต้องการ พรพฤกษ์ก็ไม่ปฏิเสธและตอบสนองเท่าที่ร่างกายของเขาจะรับได้ จวบจนเขาเหนื่อยจนไม่ไหวอีกแล้วจริงๆ ตระการจึงเพียงกอดเขาไว้แล้วก็นอนหลับกันบนโซฟาไปทั้งอย่างนั้น

ตอนที่พรพฤกษ์รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขากำลังนอนตะแคงหันหลังให้ตระการโดยที่อีกฝ่ายนอนซ้อนอยู่ด้านหลัง แขนแกร่งข้างหนึ่งโอบรอบเอวเขาไว้เหมือนจะช่วยกันไม่ให้ตกจากโซฟาเนื่องจากตระการนอนอยู่ด้านใน ส่วนลมหายใจอุ่นก็เป่ารดบนต้นคอเขาเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เมื่อพรพฤกษ์มองไปทางกระจกหน้าต่างก็เห็นแสงสีส้มอ่อนลอดผ่านด้านล่างของมู่ลี่เข้ามา ชายหนุ่มจึงเหลือบตาขึ้นมองนาฬิกาแขวนผนังซึ่งอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงานของตระการ ทำให้เห็นว่าเป็นเวลาเจ็ดโมงกว่าแล้ว

“อืม...”

เสียงในคอจากด้านหลังทำให้พรพฤกษ์รู้ว่าตระการคงตื่นแล้ว ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นนั่งแล้วใช้ปลายนิ้วสางผมให้อีกฝ่าย ตระการคว้ามือข้างนั้นของเขาไว้แล้วก็ดึงไปจูบก่อนจะลืมตาขึ้นช้าๆ

พรพฤกษ์มองนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่ยังมีความงัวเงียฉายอยู่แล้วก็ยิ้ม “เช้าแล้วต้น กลับบ้านไปอาบน้ำแต่งตัวกันเถอะ จะได้ไปสนามบินต่อด้วย”

ดูเหมือนประโยคสุดท้ายจะทำลายความงัวเงียได้ดีกว่าสิ่งไหนๆ เพราะตระการเบิกตาโตแล้วก็ลุกขึ้นนั่งทันที เสื้อสูทที่เจ้าตัวเอาขึ้นมาคลุมพวกเขาสองคนไว้เมื่อคืนจึงเลื่อนลงไปอยู่ที่เอว

“ไผ่จะกลับวันนี้เลยเหรอ?”

ตระการถามพลางยกมือขึ้นจับไหล่ทั้งสองข้างของเขา พรพฤกษ์จึงพยักหน้าแล้วหลุบตาลง

“ก็ไม่มีธุระให้ต้องอยู่ต่อแล้วนี่ อีกอย่างเดี๋ยวพ่อต้นก็ออกจากโรงพยาบาลแล้ว ดังนั้นรีบกลับแล้วรีบไปเปิดบ้านนฤมิตรดีกว่า ปิดไปนานจนคนนึกว่าเจ๊งแล้วแน่เลย”

พรพฤกษ์เอ่ยติดตลก แต่ตระการก็รู้ว่านั่นเป็นเพียงข้ออ้าง และแม้ว่าจะอยากรั้งให้พรพฤกษ์อยู่กับเขาต่ออีกนานแค่ไหน เขาก็รู้ว่ายิ่งรั้งอีกฝ่ายไว้นานไป คนที่เขารักก็มีแต่จะยิ่งอึดอัดมากขึ้นเท่านั้น ร่างสูงใหญ่จึงดึงตัวพรพฤกษ์เข้าไปกอดแล้วจูบลงบนหน้าผากเบาๆ

“เข้าใจละ ถ้างั้นเดี๋ยวต้นพากลับบ้านก่อนแล้วกัน แล้วเดี๋ยวอาบน้ำกินข้าวเสร็จแล้วค่อยไปสนามบิน อาวีคงไม่มีปัญหาถ้าต้นลางานครึ่งเช้าวันนี้”

พรพฤกษ์พยักหน้า หลังจากทั้งคู่ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วจึงออกจากบริษัทซึ่งยังไม่มีใครเข้ามาทำงานด้วยกัน เมื่อกลับถึงบ้านก็ต่างคนต่างอาบน้ำเช่นเคย ยายแสนดูจะดีใจเป็นพิเศษเมื่อตระการบอกให้เตรียมอาหารเช้าให้พวกเขาทั้งคู่ แต่แล้วหัวหน้าแม่บ้านสูงวัยก็ทำหน้าเสียดายเมื่อได้รู้ว่าพรพฤกษ์กำลังจะเดินทางกลับเชียงใหม่ในวันนี้ พรพฤกษ์จึงให้คำสัญญาว่าจะกลับมาเยี่ยมอีกอย่างแน่นอน เพียงแต่ไม่ได้ระบุเวลาว่าจะมาเมื่อไหร่

“ป้าแสนท่าทางจะชอบไผ่นะ ดูท่าทางกับวิธีพูดของแกก็รู้”

ตระการเอ่ยขึ้นขณะขับรถไปสนามบินหลังจากทั้งสองทานอาหารกันเสร็จแล้ว พรพฤกษ์ที่กำลังมองด้านหน้ารถจึงชำเลืองมองคนพูด

“จะมาชอบได้ยังไง เพิ่งมาอยู่แค่ไม่กี่วัน แถมได้คุยกับป้าเขาจริงๆ ก็ไม่กี่คำเอง”

ตระการเอียงคอ “ป้าแกก็คงเบื่อที่วันๆ เจอแต่พ่อกับต้นล่ะมั้ง พอไผ่มาก็เลยตื่นเต้น อีกอย่างไผ่มีบุคลิกแบบที่ทำให้คนชอบง่ายอยู่แล้วนี่นา”

“หมายความว่าไงต้น?”

“ก็หมายความตามนั้นแหละ”

พรพฤกษ์หันไปมองตระการซึ่งไม่ได้หันมามองเขา รู้สึกขันกับการที่ทั้งคู่คุยกันเรื่องไร้สาระเช่นนี้ทั้งๆ ที่กำลังจะต้องจากกันชั่วคราว

“พูดอะไรไม่รู้เรื่อง”

คนที่นั่งฝั่งผู้โดยสารเอ่ยขึ้นก่อนจะยกมือขึ้นเท้าคางกับขอบหน้าต่างแล้วมองไปด้านนอก แล้วก็รู้สึกว่ามืออีกข้างถูกตระการดึงไปกุมไว้

“ไม่รู้เรื่องก็ช่างเถอะ รู้แค่ว่าต้นรักไผ่ที่เป็นแบบนี้ก็พอแล้ว”

ตระการเอ่ยแล้วก็ยกมือเขาขึ้นจูบเบาๆ ก่อนจะกุมไว้อย่างนั้น พรพฤกษ์จึงหันกลับไปมอง และจู่ๆ ก็รู้สึกแน่นในอกขึ้นมา ภาพที่ตระการคอยขับรถพาเขาไปไหนมาไหนและคอยกุมมือเขาไว้คือสิ่งที่พรพฤกษ์เคยชินมาตลอดเวลาสี่เดือน แล้วหลังจากนี้...อีกนานเท่าไหร่เขาจึงจะได้เห็นภาพของตระการที่นั่งขับรถอยู่ข้างๆ เขาอีกครั้ง...

“อย่าอ้อนพี่ชายบ่อยนักสิ รู้ไม่ใช่เหรอว่ารักเหมือนกัน”

พรพฤกษ์เอ่ยก่อนจะเอนศีรษะลงพิงไหล่แข็งแรงไว้ ขอแค่เวลานี้เท่านั้น ขอให้เขาได้ตักตวงช่วงเวลาที่ได้อยู่กันสองคนก่อนจะต้องกลับไปอยู่ตามลำพังเช่นเดิม จนกว่าจะถึงวันที่ตระการบินไปเยี่ยมที่บ้านนฤมิตร จนกว่าจะถึงวันที่เขาพร้อมจะมาอยู่กับอีกฝ่ายที่กรุงเทพฯ ความอบอุ่นเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้จะเป็นสิ่งที่เขาทะนุถนอมเอาไว้ปลอบใจในวันคืนที่เหงาหงอยระหว่างที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน

หลังจากตระการจอดรถที่อาคารจอดและพรพฤกษ์ซื้อตั๋วเครื่องบินแล้ว ยังมีเวลาเหลือก่อนที่พรพฤกษ์จะต้องเข้าไปที่เกท ทั้งสองจึงหาร้านกาแฟนั่งด้วยกันเพื่อฆ่าเวลา จนถึงกระทั่งเหลือเวลาอีกราวครึ่งชั่วโมงจะถึงเวลาบอร์ดดิ้ง ตระการจึงเดินไปส่งพรพฤกษ์จนถึงจุดที่เขาไม่สามารถเข้าไปด้วยได้อีก

“ต้นจะรีบไปหาให้เร็วที่สุดนะไผ่ บางทีไม่ถึงเดือนเราก็น่าจะได้เจอกันแล้ว”

ตระการเอ่ยขณะที่พรพฤกษ์ยกสายกระเป๋าขึ้นสะพาย เนื่องจากเขาเตรียมเสื้อผ้ามาน้อยอยู่แล้วจึงไม่จำเป็นต้องโหลดอะไรเข้าใต้ท้องเครื่อง

“อืม เอาไว้ให้แน่ใจว่าเคลียร์งานเรียบร้อยจริงๆ ก่อนก็ได้ต้น จะได้ไม่ต้องคอยกังวลตอนไปหาที่โน่น”

พรพฤกษ์เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม ชายหนุ่มชะงักเมื่อตระการยกมือขึ้นเสยผมให้เขา ประกายลึกซึ้งในแววตาสีน้ำตาลเข้มทำให้เขานึกว่าอีกฝ่ายจะก้มลงจูบ แต่ว่าตระการก็เพียงแต่รั้งตัวเขาเข้าไปกอดไว้แน่นเท่านั้น

“ต้นรักไผ่นะ แล้วต้นจะรีบไปหา”

เสียงกระซิบข้างหูซึ่งเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ที่ถูกข่มไว้ทำให้พรพฤกษ์น้ำตารื้น ชายหนุ่มจึงซบหน้าลงกับบ่าของอีกฝ่ายแล้วกอดร่างสูงใหญ่แน่น เวลานี้แม้ใครจะมองมาเขาก็ไม่สนใจอีกแล้ว

“อื้ม แล้วจะรอ”

หลังจากการล่ำลาจบลง พรพฤกษ์ก็เดินเข้าไปด้านใน จนก่อนจะถึงจุดที่เลี้ยวจึงหันหลังกลับไปอีกครั้งและพบว่าตระการยังคงยืนมองเขาอยู่ ชายหนุ่มจึงโบกมือให้ก่อนจะแข็งใจเดินต่อเข้าไปด้านใน เขาเริ่มเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายตอนอยู่กับเขาที่บ้านนฤมิตรแล้วโทรเรียกแท็กซี่มารับเพื่อไม่ให้เขาต้องไปส่งที่สนามบินขึ้นมา เพราะความรู้สึกของคนที่จะต้องเดินทางยามมองกลับไปเห็นคนที่มาส่งเป็นเช่นนี้นี่เอง

อยากวิ่งกลับไปหาจนแทบจะทำใจเดินไปขึ้นเครื่องไม่ได้...

พรพฤกษ์พยายามสูดหายใจเข้าออกยาวๆ เพื่อบรรเทาความรู้สึกเสียดแน่นในอกให้ทุเลาลง ใจเย็นๆ ไว้ หนึ่งก้าว...สองก้าว...สามก้าว...เห็นไหม ไม่ยากขนาดนั้นเสียหน่อย อีกอย่างก็ใช่ว่าเราจะจากกันตลอดไปเสียเมื่อไหร่ อย่างช้าที่สุด วันหยุดยาวช่วงปลายเดือนหน้าต้นก็บินมาหาแล้ว...

ถึงแม้จะบอกตัวเองแบบนั้น พรพฤกษ์ก็ยังต้องเลี้ยวเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าเพื่อกำจัดความชื้นที่เอ่ออยู่บนขอบตาออก จวบจนเขาเห็นว่าปลายจมูกเริ่มแดงน้อยลงจึงค่อยซับหน้าจนแห้งแล้วเดินต่อไปที่เกท ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทางสายการบินเริ่มเปิดให้ผู้โดยสารบอร์ดดิ้งพอดี ทำให้พรพฤกษ์ไม่ต้องเสียเวลานั่งรอให้เนิ่นนานออกไปอีก

เที่ยวบินในช่วงสายของวันธรรมดามีคนไม่เต็มเครื่อง และตอนที่ซื้อตั๋วนั้นพรพฤกษ์ก็ระบุขอแถวที่นั่งซึ่งไม่มีคนอื่นจองไว้ติดกัน เขาจึงได้นั่งริมหน้าต่างตามลำพังอย่างที่ต้องการ พรพฤกษ์ไม่ได้เอากระเป๋าสะพายเก็บไว้บนชั้นวางเหนือศีรษะเพราะว่าในนั้นมีรูปถ่ายของตาและรูปถ่ายของแม่ซึ่งตระการให้มาเป็นที่ระลึก พรพฤกษ์จึงคิดว่าจะกอดกระเป๋าใบนั้นไว้กับตัวตลอดการเดินทางดีกว่า

พนักงานของสายการบินเดินไปมาตามแถวทางเดินเพื่อดูความเรียบร้อยและช่วยตรวจเช็คที่นั่งให้ผู้โดยสาร พรพฤกษ์จึงนึกขึ้นได้ว่าเขาต้องปิดโทรศัพท์ โชคดีว่าเมื่อเช้าระหว่างที่อาบน้ำและทานอาหารเขาได้ชาร์จแบตโทรศัพท์เป็นเวลาสั้นๆ ดังนั้นถึงแม้จะไม่เต็มแต่ก็พอจะทำให้เขาเปิดเครื่องได้ แต่แล้วคิ้วเรียวก็มุ่นเล็กน้อยเมื่อพบว่ามีข้อความเข้ามาในเครื่องจากหมายเลขของตระการ

ส่งมาเมื่อประมาณสิบห้านาทีก่อน ก็หลังจากที่แยกกันได้ไม่นาน...

พรพฤกษ์เช็คเวลาที่อีกฝ่ายส่งข้อความมา จากนั้นก็เปิดข้อความขึ้นอ่าน และสิ่งที่ได้อ่านก็ทำเอาเขาต้องรีบยกมือขึ้นปิดปากเพื่อป้องกันเสียงสะอื้นที่อาจจะหลุดออกไป

‘ต้นจะนับรอวันที่เราได้อยู่ด้วยกันตลอดไป’

ดูเหมือนแม้เขาจะอุดเสียงได้ แต่ว่าไม่สามารถปกปิดน้ำตาที่ไหลลงจากสองตาได้ พนักงานบนสายการบินคนหนึ่งเดินผ่านมาเห็นจึงถามอย่างเป็นห่วง

“คุณคะ ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าคะ?”

“อ้ะ เปล่าครับ ไม่มีอะไร”

“งั้นเดี๋ยวไปเอากระดาษทิชชู่มาให้นะคะ แล้วก็ขอรบกวนปิดเครื่องมือสื่อสารด้วย เดี๋ยวเครื่องจะเทคออฟแล้วค่ะ”

พรพฤกษ์พยักหน้า จากนั้นก็กล่าวขอบคุณพนักงานคนเดิมที่นำกระดาษทิชชู่มาให้และรับมาซับหยาดน้ำบนหน้า นัยน์ตาสีนิลเหลือบมองข้อความบนหน้าจออีกครั้งก่อนจะกดปิดเครื่อง แต่สิ่งที่ได้อ่านก็ซึมซับเข้าไปในใจของเขาเรียบร้อย

ขอโทษด้วยที่ทำให้ต้องรอ

ขอโทษด้วยที่เอาแต่ใจ

อาจจะต้องใช้เวลาสักพัก แต่ไผ่ก็จะรอวันที่เราได้อยู่ด้วยกันตลอดไปเหมือนกันนะต้น...


++---tbc---++


สำหรับตอนหน้า ถ้าไม่ผิดพลาดน่าจะเป็นตอนจบค่า  :t3:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 28 ธค. 2010* หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: Little Devil ที่ 28-12-2010 11:44:24
ขอบคุณนะ writer
+1
.................
... :mc4:  Happy New Year 2011... :L2:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 28 ธค. 2010* หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: kakuro ที่ 03-01-2011 08:17:17
สวัสดีปีใหม่คุณริน
วันจันทร์แล้วนะ
คิดถึงต้นกะไผ่
รออยู่จ้ะ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 28 ธค. 2010* หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 03-01-2011 10:19:26
ถ้าจะสวัสดีปีใหม่คุณรินในวันนี้คงยังไม่สายไปนะคะ
ขอให้คุณรินมีความสุขมากๆ คิดสิ่งใดขอให้ได้ดังประสงค์
และมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรงตลอดไปนะคะ
ขอบคุณมากค่ะ สำหรับ ต้น-ไผ่ ในตอนหวานๆวันนี้
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 28 ธค. 2010* หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 04-01-2011 00:14:26
จะจบแว้วววววววว  :monkeysad:
ซึ้งๆแต่กินใจดีค่ะ เรื่องนี้  ชอบๆ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 28 ธค. 2010* หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 04-01-2011 12:16:00
โห คู่นี้ รันทดใจมาก ไกลกันอีกแล้ว  :o12:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 28 ธค. 2010* หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 04-01-2011 12:19:12
สวัสดีปีใหม่ย้อนหลังคุณ kakuro, คุณ yayee2, คุณ Little Devil, คุณ ZakuPz และคุณผึ้งด้วยนะคะ ขอโทษทีที่ช้าไปวันนึง มัวฉลองปีใหม่เพลินค่ะ แหะๆ แล้วก็ตอนนี้ยังไม่เป็นตอนจบล่ะ ตอนนี้เลยไม่กล้าเดาแล้วว่าจะจบในอีกตอนหรือสองตอน เอาเป็นว่าจบเมื่อไหร่เมื่อนั้นละกันนะคะ (อิป้าไม่เคยซื้อหวยเพราะแบบนี้แหละ 555555)  :z6:

++------++


30.

ยอดรวมผลประกอบการปลายปีของบริษัทในเครือสุวรรณฤทธิ์หลังตระการเข้าบริหารพุ่งทะลุหลักหมื่นล้านเป็นครั้งแรก

ปัจจัยหลายประการที่เอื้อให้รองประธานหนุ่มสามารถขยายผลกำไรให้ธุรกิจที่พ่อของเขาเริ่มไว้ไม่ได้มาจากดวง แต่เพราะตระการมุ่งมั่นทำงานหนักตลอดนับตั้งแต่ที่ได้รับมอบหมายจากตฤณให้กุมบังเหียนแทน นอกจากการเดินหน้ากับโครงการคอนโดมิเนียมและหมู่บ้านจัดสรรใหม่ๆ ในพื้นที่ที่ประมูลซื้อมาได้ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ชายหนุ่มยังก้าวไปไกลกว่านั้นด้วยการกระจายความเสี่ยงผ่านการลงทุนร่วมกับพันธมิตรที่หลากหลาย ซึ่งเป็นนโยบายที่บิดาไม่ค่อยทำสมัยที่ยังดูแลเครือสุวรรณฤทธิ์เต็มตัว แต่ตระการค้นคว้าข้อมูลและวิเคราะห์แนวโน้มตลาดมามากพอว่าแม้ธุรกิจของเขาจะยิ่งใหญ่ แต่การไม่ปรับตัวให้เข้ากับกระแสที่เปลี่ยนไปก็ย่อมเสี่ยงที่จะล้มเพราะความผันผวนของเศรษฐกิจ ดังนั้นนอกจากโครงการหลักๆ ที่ดำเนินในชื่อของสุวรรณฤทธิ์โดยตรงแล้ว เขาจึงได้แตกหน่อเปิดบริษัทย่อยเพื่อทำธุรกิจด้านอื่นอีกมากมาย ทั้งธุรกิจแฟรนไชส์ร้านอาหาร ธุรกิจสินเชื่อบ้าน ธุรกิจรีสอร์ทและสปา แม้กระทั่งธุรกิจสนามกอล์ฟและฟิตเนส

ตระการทำงานหนักตลอดห้าวันต่อสัปดาห์อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ยามใดที่ได้รับเชิญไปร่วมกินเลี้ยงในงานสังคม เขาจะเลือกไปงานที่รู้รายชื่อแขกเหรื่อแน่นอนว่าสามารถสานสัมพันธ์เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจที่กำลังขยับขยาย ใช่ว่าสักแต่ไปทุกงานเพียงเพื่อจะได้มีหน้ามีตาในข่าวโทรทัศน์หรือตีพิมพ์ลงนิตยสาร นอกจากนี้ยังไม่ตอบรับเทียบเชิญออกรายการโทรทัศน์ และน้อยครั้งที่จะยอมให้สัมภาษณ์ ซึ่งตระการก็จะเลือกอีกว่าต้องเป็นสื่อที่เน้นด้านธุรกิจเป็นหลักเท่านั้น โดยที่แทบจะไม่แย้มพรายเรื่องส่วนตัวไม่ว่าจะถูกซักถามสักแค่ไหน

คุณสมบัติที่ประกอบไปด้วยการประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ก็ทำตัวลึกลับนั้นเป็นดั่งแม่เหล็กที่ดึงดูดหญิงสาวในแวดวงนักธุรกิจหรือชนชั้นสูงให้ยิ่งอยากเข้าใกล้ทายาทหนึ่งเดียวของสุวรรณฤทธิ์ ทว่าตระการก็ระมัดระวังด้วยการไม่ทำตัวเป็นข่าวกับใครสักคน จนแม้แต่นักข่าวที่พยายามจะสร้างภาพของนักบริหารหนุ่มให้เป็นคาสโนว่าเพื่อเติมเต็มความเพ้อฝันของนักซุบซิบทั้งหลายก็คว้าน้ำเหลว

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น...ก็เป็นเพราะนอกจากคนที่ใกล้ชิดกับตระการจริงๆ แล้ว ไม่มีใครได้ล่วงรู้เลยว่าเขาได้มอบหัวใจให้ใครคนหนึ่งไปนับตั้งแต่ก่อนที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้บริหารของเครืออสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ นอกจากนี้ใจดวงนั้นยังมีแต่จะถูกพันธนาการไว้อย่างแน่นหนาด้วยความเต็มใจของเขาเองมากขึ้นทุกวัน...


++------++


ที่โต๊ะอาหารในบ้านสุวรรณฤทธิ์ตอนเช้าตรู่ ตระการนั่งทานอาหารเช้าที่โต๊ะพร้อมกับตฤณโดยมียายแสนคอยยืนดูแลอยู่ไม่ห่าง หลังจากที่จัดการมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อย ตระการก็ยกกาแฟขึ้นดื่มก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้

“ผมไปก่อนนะครับพ่อ วันนี้ต้องออกไปดูไซต์งานที่ปทุมธานีกับคุณใหญ่”

ตระการหมายถึงซีอีโอของบริษัทด้านการออกแบบซึ่งถูกจ้างให้มาดูแลโครงการหมู่บ้านจัดสรรแห่งใหม่ ตฤณจึงถามด้วยเสียงเนือยๆ โดยไม่ละสายตาจากหนังสือพิมพ์ในมือ

“เย็นนี้ก็จะไปสินะ”

คนถูกถามหยิบเนคไทที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาผูกขณะตอบรับ “ครับ คงจะกลับมาวันจันทร์เช้าแล้วตรงเข้าออฟฟิศเหมือนเดิม ถ้าพ่อมีอะไรด่วนระหว่างนี้ก็โทรหาผมก็แล้วกัน”

ผู้สูงวัยกว่ามองตามจนร่างของบุตรชายเดินออกไปจากห้องอาหาร จากนั้นก็วางหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะแล้วยกถ้วยชาขึ้นจิบ ยายแสนที่ยืนรออยู่แล้วจึงเข้ามาเก็บสำรับของตระการเพื่อนำไปล้าง ขณะเดียวกันก็พูดเปรยๆ ไปด้วย

“คุณต้นกับคุณไผ่นี่อดทนดีจริงๆ นะคะคุณท่าน นี่ก็ร่วมปีแล้วที่คุณต้นเธอบินไปๆ มาๆ กรุงเทพฯ – เชียงใหม่ทุกวันหยุด แถมวันธรรมดาก็ทำงานหนักจนกลับดึกดื่นทุกวันอีก ไม่รู้ถ้าเป็นคนอื่นจะขยันได้อย่างนี้หรือเปล่า”

แม้จะไม่รู้รายละเอียดในเชิงลึกว่าตฤณเคยพูดอะไรกับพรพฤกษ์ แต่หญิงวัยกลางคนก็พอจะรู้ว่านายใหญ่ไม่ใคร่ชอบใจในตัวคนรักของตระการซึ่งเป็นลูกชายแท้ๆ ของภรรยาคนที่สองนัก ดังนั้นการที่นายน้อยของเธอต้องทำงานหนักควบกับการเดินทางไกลทุกสุดสัปดาห์เช่นนี้ก็คงจะมีสาเหตุมาจากตฤณอย่างไม่ต้องสงสัย

นายใหญ่ของบ้านสุวรรณฤทธิ์ไม่เอ่ยตอบ เพียงแต่นั่งจิบน้ำชาเงียบๆ ระหว่างที่อีกฝ่ายเดินนำถาดเข้าไปในห้องครัว เมื่อยายแสนเดินกลับมาที่ห้องอาหารอีกครั้งเผื่อจะถูกเรียกใช้ ตฤณก็เอ่ยขึ้นเปรยๆ

“ดูท่าทางฉันจะโดนมองว่าเป็นผู้ร้ายที่ทำให้คู่รักเขาไม่ได้อยู่ด้วยกันอยู่สินะ?”

สายตาเฉียบคมของคนถามที่ปรายตามามองทำให้หัวหน้าแม่บ้านตระหนกเล็กน้อย แต่เพราะความที่ทำงานรับใช้บ้านสุวรรณฤทธิ์มาตั้งแต่ตฤณแต่งงานกับกลอยตาซึ่งเป็นนายหญิงคนแรก ยายแสนจึงค่อนข้างมั่นใจว่าถึงอย่างไรตนก็คงไม่โดนบริภาษอย่างรุนแรงแน่

“อิฉันไม่กล้าหรอกค่ะ เพียงแต่คิดไปก็สงสารคุณต้น คนที่สำคัญกับเธอทุกคนอายุสั้นเหลือเกิน ทั้งคุณกลอยแม่แท้ๆ ทั้งคุณพิมที่เป็นแม่เลี้ยง พอเกิดจะมีคนรักก็ดันไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดเสียอีก อิฉันก็เลยพูดเพราะเห็นใจเธอเท่านั้นล่ะค่ะ”

“ฮึ”

ตฤณทำเสียงขึ้นจมูก แต่ฉับพลันสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ของนายใหญ่บ้านสุวรรณฤทธิ์ก็บิดเบ้ ร่างผอมเกร็งยกมือหนึ่งขึ้นกุมหน้าอกแล้วก็ปิดตาแน่นพลางขบฟันด้วยความเจ็บที่แล่นขึ้นมา ยายแสนเห็นดังนั้นก็รีบถลาเข้าไปหาด้วยความตกใจทันที

“คุณท่าน! เจ็บหน้าอกอีกแล้วหรือคะ!? ให้อิฉันโทรเรียกคุณเกริกมาตรวจไหมคะ?”

“ไม่ต้อง...เดี๋ยวมันก็หาย”

ตฤณเอ่ยพลางบีบมือของยายแสนแน่นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำท่าจะวิ่งไปที่โทรศัพท์ ยายแสนจึงหันกลับมาแล้วก็ทำสีหน้าลำบากใจ

“โธ่...คุณท่าน เดี๋ยวนี้คุณท่านอาการกำเริบบ่อยมากเลยนะคะ แล้วยังไม่ยอมบอกให้คุณต้นรู้อีก”

ตฤณยังขบฟันแน่น ใบหน้าที่ซีดราวกระดาษมีเหงื่อเม็ดละเอียดผุดซึมไปทั่วหน้าผาก ผู้สูงวัยพยายามหายใจเข้าออกยาวๆ เพื่อให้ความเจ็บทุเลาลง จนเมื่อรู้สึกว่าอาการเสียดแน่นที่หน้าอกเริ่มลดลงกว่าในตอนแรก ร่างผอมเกร็งจึงค่อยเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างเหนื่อยล้า

“ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว อาจเพราะเดี๋ยวนี้นอนไม่ค่อยหลับร่างกายมันก็เลยประท้วงเท่านั้นเอง ยังไงอาทิตย์หน้าฉันก็มีนัดต้องไปเจอเกริกที่โรงพยาบาล เดี๋ยวค่อยให้ตรวจทีเดียวตอนนั้นก็ได้”

“แต่ว่า...”

คราวนี้ตฤณเหลือบตามองหัวหน้าแม่บ้านด้วยสายตาที่ไม่ปกปิดความรำคาญ “บอกว่าไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไรสิ ไปเอาน้ำอุ่นกับยามาให้ฉันก็พอ”

ยายแสนมองนายใหญ่ที่หลับตาลงอีกครั้งพลางบังคับลมหายใจให้เป็นปกติทั้งที่มือข้างหนึ่งยังกุมอยู่บนอก จากนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจและตอบรับ แม้ว่าจะไม่สบายใจกับอาการของผู้เป็นนายเลยสักนิด

“เข้าใจแล้วค่ะ”

ตฤณลืมตาขึ้นเมื่อคล้อยหลังหัวหน้าแม่บ้านที่เดินหายเข้าไปในครัว มือข้างที่กุมหน้าอกขยุ้มแน่นขึ้นขณะที่นัยน์ตาทอดมองไปข้างหน้าอย่างครุ่นคิด

แม้จะไม่ต้องให้แพทย์มาช่วยวินิจฉัย นายใหญ่ของสุวรรณฤทธิ์ก็รู้ตัวดีว่าอาการของเขามีแต่จะแย่ลงทุกวัน ถึงแม้ว่าจะปฏิบัติตัวตามที่เกริกแนะนำมาตลอดก็ตาม และจุดวิกฤติของเขาจะมาถึงเมื่อไรก็สุดจะคาดเดาได้ อย่างนานก็อาจจะอีกปีหรือสองปี...แต่ถ้าเลวร้ายกว่านั้น...เขาเองก็ไม่รู้ว่าวันที่ตระการจะได้ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานอย่างเต็มตัวแทนเขาทั้งในทางปฏิบัติและในนามจะมาถึงเมื่อไหร่

ตลอดหนึ่งปีนับตั้งแต่ที่บุตรชายเข้ามาทำหน้าที่บริหารแทน ธุรกิจที่เขาเป็นผู้เริ่มก็ก้าวกระโดดจากอัตราที่เติบโตอย่างสม่ำเสมอในแต่ละปีอยู่แล้วจนน่าตกใจ แต่ตฤณก็ทำตามที่เคยลั่นวาจาไว้จริงๆ ว่าตราบใดที่ตระการไม่ทำหน้าที่บกพร่องก็จะไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวเด็ดขาด และการที่อีกฝ่ายทุ่มเทให้กับสุวรรณฤทธิ์มากขนาดนี้จนเรียกได้ว่าเกินความคาดหมาย แต่ขณะเดียวกันก็เดินทางไปหาพรพฤกษ์ที่เชียงใหม่อย่างสม่ำเสมอก็อาจนับว่าเป็นวิธีแสดงความไม่เห็นด้วยที่เขาไม่ยอมรับพรพฤกษ์ได้สมกับเป็นเจ้าตัวที่สุดเหมือนกัน เพราะตั้งแต่เล็กจนโตนั้นบุตรชายของเขาไม่เคยแสดงความสนใจในการทำธุรกิจมาก่อนเลย

นัยน์ตาของผู้สูงวัยหรี่ลงเมื่อนึกถึงภาพของพรพฤกษ์ในวันที่คุยกับเขาตามลำพังในห้องพยาบาล คำตอบของอีกฝ่ายที่ยอมรับคำขาดของเขาซึ่งตัดกับประกายตาเด็ดเดี่ยวแทบจะซ้อนเป็นภาพเดียวกับแววตาที่เขาเห็นจากบุตรชายบ่อยครั้งในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา เมื่อรวมกับสังขารของเขาที่ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ อย่างสวนทางกับธุรกิจที่กำลังรุ่งเรือง ตฤณก็อดจะตั้งคำถามกับตนเองไม่ได้ว่า ถึงเวลาที่เขาจะต้องปรับเปลี่ยนความคิดใหม่ในบางเรื่องเพื่อทายาทเพียงคนเดียวแล้วหรือไม่...


++------++


ท่ามกลางเสียงเอะอะจอแจภายในร้าน ‘ดื่ม-เล่า’ ในช่วงค่ำของคืนวันศุกร์ พรพฤกษ์ซึ่งกำลังช่วยงานที่หลังเคาน์เตอร์เหลือบดูเวลาบนนาฬิกาแขวนผนัง จากนั้นก็หันไปตบไหล่เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ

“บอย เดี๋ยวพี่ไปสนามบินก่อนนะ”

“อ๋อ ได้ครับพี่ไผ่ คืนนี้พี่ต้นมาไฟลต์ดึกเชียวนะเนี่ย”

พรพฤกษ์ยิ้ม จากนั้นก็เดินออกจากเคาน์เตอร์แล้วแวะลาเพื่อนๆ ที่กำลังนั่งคุยกันอยู่ที่โต๊ะด้านในเนื่องจากวันนี้มีแขกเต็มทุกโต๊ะ เมื่อนรพัฒน์หันมาเห็นจึงเอ่ยทัก

“จะไปรับต้นแล้วเหรอไผ่?”

“อื้อ โทรมาบอกไว้ก่อนแล้วว่าไฟลต์จะมาถึงตอนสี่ทุ่ม กว่าจะไปถึงสนามบินก็คงออกมาจากเครื่องพอดี”

ดิษยะที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโดยมีปฏิมานั่งข้างๆ เอ่ยถามบ้าง “แล้วคืนพรุ่งนี้จะมาร้านกันหรือเปล่า? นี่กูกะจะประกาศเชิญทุกคนมางานหมั้นของกูกับปาล์มตอนขึ้นเล่นบนเวทีเลยนา”

ปฏิมาหันไปเลิกคิ้วมองคนพูด “จะบ้ารึไง!? งานหม้งงานหมั้นอะไรกัน ยังไม่เคยคุยกันเรื่องนี้ซะหน่อย!”

“อ้าว...ไหนๆ สักวันเราก็ต้องแต่งงานกันอยู่แล้วนี่นา ผมก็ประกาศเชิญทุกคนเผื่อไว้ก่อนเลยไม่ดีกว่าเหรอ? หรือว่าปาล์มเขิน?”

นรพัฒน์ฟังแล้วก็ส่ายหน้าด้วยความระอาเพื่อน ส่วนพรพฤกษ์มองปฏิมาที่กำลังทุบดิษยะแล้วก็หัวเราะ นับตั้งแต่ที่เพื่อนของเขาเพียรตามตื๊อหญิงสาวได้ปีกว่า ในที่สุดปฏิมาก็แพ้แรงตื๊อและยอมตกลงคบหากับดิษยะในที่สุดเมื่อครึ่งปีก่อน และตอนนี้ก็ได้ลาออกจากบริษัทเดิมเพื่อมาทำงานนิตยสารที่เชียงใหม่อย่างเต็มตัวโดยเช่าอพาร์ทเม้นต์อยู่ไม่ห่างจากสตูดิโอที่ดิษยะเช่าไว้สอนดนตรี ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะไม่เลิกพฤติกรรมที่ชอบปะทะคารมกันแล้วทำตัวหวานแหววเหมือนคู่รักคู่อื่นๆ แต่พรพฤกษ์ก็นับถือความใจเด็ดของปฏิมาที่ยอมย้ายงานและบ้านมาอาศัยในต่างถิ่นเพื่อจะได้ใช้เวลากับคนที่รักเช่นนี้

ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เขาเองก็ยังไม่มีความกล้าพอที่จะทำ...

ชายหนุ่มรีบปัดความคิดนั้นออกจากหัวอย่างรวดเร็ว “เดี๋ยวขอดูก่อนก็แล้วกัน ถ้าหากแขกที่จองห้องไว้คืนพรุ่งนี้แคนเซิลก็อาจจะมา แต่ถ้ามีแขกมาเข้าพักก็คงมาไม่ได้”

ดิษยะยกแก้วเบียร์ในมือขึ้นแล้วก็ชี้ไปทางพรพฤกษ์ “อย่าใช้งานท่านรองประธานหนักนักล่ะมึง อยู่ที่กรุงเทพฯ ก็เห็นว่างานรัดตัวจะแย่อยู่แล้ว ขึ้นมาเชียงใหม่ก็ยังต้องช่วยแฟนดูแลเกสต์เฮ้าส์อีก กูละนับถือในความอึดจริงๆ นี่ถ้ากูเป็นมึงนะไผ่ กูรักต้นตายเลย”

พรพฤกษ์ย่นจมูก “ไม่ต้องบอกเขาก็รักกันอยู่แล้วล่ะน่า”

คำตอบนั้นเรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนทั้งวง นรพัฒน์มองสีหน้ายิ้มแย้มของพรพฤกษ์แล้วก็ยกมือขึ้นตบไหล่เบาๆ โดยไม่ได้ลุกขึ้นจากเก้าอี้

“งั้นก็รีบไปเถอะไผ่ เดี๋ยวต้นรอนาน พรุ่งนี้จะมาหรือไม่มาก็โทรมาบอกแล้วกัน”

พรพฤกษ์พยักหน้าแล้วก็เดินออกไปจากร้าน เมื่อลับหลังชายหนุ่มแล้ว ปฏิมาจึงค่อยถามขึ้นลอยๆ “เมื่อไหร่สองคนนี้เขาจะได้อยู่ด้วยกันเสียทีนะ”

เหล่าผองเพื่อนต่างรู้ดีว่าตระการไปๆ มาๆ ระหว่างกรุงเทพฯ กับเชียงใหม่แทบทุกอาทิตย์ ขณะเดียวกันก็ทำงานหนักเผื่อขยายรากฐานให้ธุรกิจของบิดาอยู่ที่กรุงเทพฯ แต่กระนั้นนิสัยสุภาพและเป็นมิตรของเจ้าตัวเวลาที่ได้เจอพวกเขาก็ไม่เคยเปลี่ยนไป และแม้ตอนแรกทุกคนจะตั้งคำถามว่าความสัมพันธ์เช่นนี้ของตระการกับพรพฤกษ์จะดำเนินไปได้นานแค่ไหน แต่เมื่อเห็นว่าตระการยังคงเดินทางมาพบพรพฤกษ์อย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งพรพฤกษ์เองก็ดูจะไม่ได้เป็นทุกข์กับการใช้ชีวิตแบบนี้ ความกังวลใจที่มีก็พากันคลายลง และเมื่อผ่านไประยะหนึ่งทุกคนก็เริ่มชินกับตารางเวลาของทั้งคู่ ถึงแม้ว่าในใจจะยังคงเอาใจช่วยให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งย้ายไปอยู่กับอีกฝ่ายเสียที และฝ่ายที่ว่าก็คงไม่พ้นพรพฤกษ์ซึ่งมีภาระต้องดูแลน้อยกว่านั่นเอง

“ไผ่มันก็ไม่เคยเล่าให้ฟังด้วยสิว่าตอนไปเจอพ่อของต้นนั่นเป็นยังไงบ้าง แต่ถ้าผ่านไปด้วยดีก็คงไม่เลือกจะกลับมาทำเกสต์เฮ้าส์ที่นี่ต่อหรอกมั้ง”

ดิษยะเอ่ยตอบพลางพาดแขนข้างหนึ่งอ้อมไปบนไหล่ของปฏิมาแล้วลูบต้นแขนอีกฝ่ายเบาๆ นรพัฒน์ที่เพิ่งจะยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่มจึงวางแก้วลงแล้วทำตาครุ่นคิด

“ก็ไม่แน่ว่าจะมีสาเหตุมาจากเรื่องนั้นเรื่องเดียวหรอก เพราะไผ่ก็คงจะห่วงบ้านนฤมิตรด้วย ถึงยังไงก็เป็นบ้านที่อยู่กับตามาตั้งแต่เด็ก จู่ๆ จะให้ทิ้งไปก็คงทำใจลำบาก”

ดิษยะฟังแล้วก็เอียงคอ จากนั้นก็ใช้มือข้างที่ถือแก้วเบียร์ทำท่าบุ้ยใบ้ไปทางเคาน์เตอร์ซึ่งอยู่เยื้องไปทางด้านหลังของนรพัฒน์

“แล้วมึงล่ะว่าไง?”

“หือ?”

หุ้นส่วนใหญ่ของร้านเลิกคิ้วมองเพื่อนอย่างไม่เข้าใจ ดิษยะจึงยิ่งทำท่าชี้แก้วเบียร์ไปทางหลังเคาน์เตอร์มากขึ้นพร้อมกับทำสีหน้าพยักเพยิดด้วย แต่กลับกลายเป็นว่าการแสดงท่าทางนั้นทำให้คนที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์นึกว่ากำลังถูกเรียก เด็กหนุ่มจึงเดินตรงมาที่โต๊ะพร้อมกับสีหน้ามีคำถาม

“พี่ย่ามจะเอาอะไรเหรอ?”

ดิษยะชักมือที่อ้อมไปโอบไหล่ปฏิมาเมื่อครู่กลับมาแปะบนหน้าผากตัวเองอย่างขัดใจ “เปล่าเว้ย! กูแค่ชี้อะไรให้ไอ้นอดูเฉยๆ ถ้าอยากได้อะไรเดี๋ยวกูเดินไปบอกเอง มึงกลับไปทำงานของมึงไปไอ้บอย”

เด็กหนุ่มเหลือบตาลงสบตากับนรพัฒน์ที่นั่งอยู่ จากนั้นก็เกาศีรษะอย่างงุนงงแล้วเดินกลับไปที่หลังเคาน์เตอร์ ปฏิมาจึงหัวเราะแล้วก็เอาศอกกระทุ้งเอวของดิษยะเบาๆ

“สมน้ำหน้า แทนที่จะพูดออกไปให้ชัดๆ ก็หมดเรื่อง หน้าแตกเลยเห็นไหมล่ะ?”

นรพัฒน์ยังแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ “ตกลงมึงอยากบอกอะไรกูเหรอย่าม?”

ดิษยะเหล่ตาใส่เพื่อนด้วยความหมั่นไส้ “เอ๊ออ ทำเป็นอินโนเซนต์เข้าไป มัวแต่ห่วงคนอื่นจนเพื่อนๆ มึงมีแฟนกันหมดแล้ว ของตัวเองล่ะเมื่อไหร่จะรุกเสียที หรือกลัวจะโดนหาว่าเป็นสมภารกินไก่วัด?”

นรพัฒน์หัวเราะพลางยกเบียร์ขึ้นดื่ม เพราะเขารู้ดีตั้งแต่ตอนที่ดิษยะทำท่าบุ้ยใบ้ไปที่เคาน์เตอร์ตอนแรกแล้วว่าต้องการจะสื่ออะไร

“บอยยังเรียนไม่จบเลย จะรีบไปคาดคั้นเอากับน้องมันทำไม ทำงานด้วยกันไปแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว”

หนุ่มเคราเฟิ้มจุ๊ปาก “หมดเทอมนี้มันก็เรียนจบแล้ว หรือมึงต้องรอให้มันรับปริญญาแล้วลาออกไปทำงานประจำก่อนถึงค่อยจีบวะ จะว่าไปมึงน่ะความอดทนสูงสุดที่กูเคยเห็นมาแล้วมั้ง เอาแต่มองเฉยๆ ไม่จีบ ไม่พูด ไม่ทำแป๊ะอะไรสักอย่างทั้งที่เห็นหน้ามันทุกวันจนจะสี่ปีแล้วเนี่ย”

นรพัฒน์เพียงแต่อมยิ้มก่อนจะหันกลับไปมองคนที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ เด็กหนุ่มที่กำลังถูกพาดพิงถึงดูจะไม่รู้ตัวสักนิดว่ากำลังถูกจับจ้องเพราะมัวแต่ยืนผสมเครื่องดื่มอย่างขะมักเขม้น ผิวขาวจัดถูกแสงไฟสีส้มอ่อนบริเวณเหนือเคาน์เตอร์ฉาบย้อมจนเรื่อเรืองเป็นสีทอง ชายหนุ่มส่ายหน้าให้กับความคิดของตัวเองแล้วก็หันกลับมาหาเพื่อนอีกครั้ง

“เอาน่ะ กูมีไทม์ลิมิตของกู เดี๋ยวถึงเวลาสมควรเมื่อไหร่ก็รู้เอง”


++------++
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 28 ธค. 2010* หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 04-01-2011 12:20:18
ภายในห้องนอนของเกสต์เฮ้าส์บนเชิงเขานอกตัวเมืองเชียงใหม่ แสงจันทร์เต็มดวงที่ส่องผ่านหน้าต่างมุ้งลวดช่วยกระจายความสลัวละมุนตาในห้องที่ปิดไฟมืด ทว่าแม้เข็มนาฬิกาจะชี้บอกว่าได้ผ่านเข้าสู่วันใหม่แล้ว ร่างของชายหนุ่มสองคนที่ขึ้นไปบนเตียงตั้งแต่หนึ่งชั่วโมงก่อนกลับยังเคลื่อนไหวเป็นจังหวะที่สอดประสาน เรือนร่างอันเปลือยเปล่าถ่ายทอดความคะนึงหาในกันและกันผ่านคำหวานและความร้อนรุ่มของผิวกายชื้นเหงื่อ จวบจนเวลาล่วงเลยไปครู่ใหญ่ ตระการจึงก้มลงจูบหัวไหล่ของพรพฤกษ์ที่ระบายลมหายใจยาวแล้วค่อยถอยร่างออกจากอีกฝ่ายอย่างช้าๆ

“คิดถึงไผ่จัง”

ร่างสูงใหญ่เอ่ยพลางก้มลงไล้ปลายลิ้นที่ซอกคอชื้นเหงื่อของพรพฤกษ์จนชายหนุ่มจั๊กกะจี้ เจ้าของบ้านนฤมิตรหัวเราะในคอก่อนจะพลิกตัวนอนหงายแล้วยิ้มให้อีกฝ่าย

“คิดถึงต้นเหมือนกัน ไม่ได้เจอกันตั้งสองอาทิตย์นี่นา”

“ขอโทษนะที่อาทิตย์ที่แล้วมาไม่ได้เพราะติดงานด่วน”

ตระการนอนคร่อมพรพฤกษ์โดยยันตัวไว้บนข้อศอกเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรับน้ำหนักเขามากเกินไป ชายหนุ่มใช้มือหนึ่งเกลี่ยผมที่ชื้นเหงื่อออกจากหน้าผากเนียนให้ คนที่นอนอยู่ข้างล่างจึงหลับตาลงแล้วส่ายหน้า บนมุมปากยังมีรอยยิ้มแตะแต้มบางเบา

“ไม่เป็นไรหรอกน่า เคยบอกแล้วนี่ว่าอยากให้ต้นมาแบบไม่ต้องกังวลเรื่องงาน ไม่อย่างนั้นก็จะเอาแต่พะวักพะวนแล้วไม่มีความสุขซะเปล่าๆ”

ตระการยิ้มเมื่อได้ยินคำตอบ จากนั้นก็ก้มจูบหน้าผากของพรพฤกษ์แล้วพลิกตัวลงนอนตะแคงข้างๆ มือใหญ่ข้างหนึ่งยกขึ้นเสยผมที่ลงมาปรกหน้าผากตัวเองขึ้นไป “เหนียวเหงื่อไปทั้งตัวเลย ไผ่อยากอาบน้ำก่อนมั้ย?”

พรพฤกษ์ลืมตาขึ้น แต่ว่าไม่ได้หันไปหาคนถาม “…อืม...อีกสักแป๊บก็แล้วกัน คืนนี้ลมเย็นดี ขออยู่แบบนี้ก่อน”

ตระการพยักหน้าแล้วก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างของทั้งสองจนถึงช่วงเอว เพราะแม้ว่าลมเย็นที่โชยเข้ามาทางหน้าต่างจะช่วยทำให้รู้สึกสบายผิวเพียงไร แต่ถ้าหากนอนตากลมนานๆ ทั้งที่ไม่ได้สวมเสื้อผ้าก็อาจทำให้ทั้งคู่เป็นหวัดเอาได้

หลังจากความเงียบอันอ่อนโยนดำเนินไปครู่ใหญ่ ตระการก็ชันตัวขึ้นบนศอกข้างหนึ่งพลางใช้มืออีกข้างเกี่ยวปอยผมของพรพฤกษ์ขึ้นม้วนเล่น

“ไผ่...”

“หือ?”

พรพฤกษ์ที่ทำท่าเหมือนกำลังจะเคลิ้มหลับเอ่ยตอบ นัยน์ตาสีนิลเหลือบขึ้นสบตากับนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่มองเห็นได้ลางเลือนใต้แสงจันทร์นวล

“เดี๋ยวต้นเดือนหน้า...ที่บริษัทจะจัดงานเลี้ยงฉลองที่ผลประกอบการทะลุหมื่นล้าน ไผ่จะมาร่วมงานได้มั้ย?”

คำถามนั้นทำให้พรพฤกษ์กะพริบตาปริบๆ ความง่วงงุนที่มาเยือนเมื่อครู่ค่อยๆ สลายไปทีละน้อย

“...ต้องไปด้วยเหรอ?”

พรพฤกษ์ถามหลังจากมองตาคนชวนอยู่นาน ตระการจึงยิ้มให้ “มันเป็นงานเลี้ยงใหญ่เพราะว่าครบรอบวันก่อตั้งด้วยน่ะ แล้วก็จะเชิญแขกสำคัญมาหลายคนทั้งผู้ถือหุ้นแล้วก็พวกพาร์ทเนอร์ แล้วต้นก็ต้องขึ้นไปพูดเกี่ยวกับผลงานที่ผ่านมาบนเวทีด้วย ต้นอยากให้ไผ่ไปอยู่ตรงนั้น…ไปฉลองความสำเร็จของเราด้วยกัน”

พรพฤกษ์สบตาของตระการที่ยังคงจ้องเขาอย่างแน่วนิ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ พลิกตัวนอนคว่ำแล้วก้มหน้าลง ร่างเพรียวระบายลมหายใจยาวออกมาทีหนึ่งขณะชั่งน้ำหนักของคำชวนในใจ

“ที่ว่าแขกสำคัญมากันหมด...พ่อของต้นก็คงมาด้วยสินะ?”

ชายหนุ่มพูดเปรยๆ แม้จะรู้ดีว่ากำลังถามคำถามที่แสนจะไร้สาระออกไป เพราะในเมื่อตฤณคือผู้ที่ก่อร่างสร้างฐานให้สุวรรณฤทธิ์และยังดำรงตำแหน่งประธานกรรมการแม้จะเพียงในนาม การที่อีกฝ่ายจะมาร่วมฉลองให้กับความสำเร็จของบุตรชายก็เป็นเรื่องที่พึงกระทำอยู่แล้ว

“อืม...แต่ไม่ต้องห่วงหรอก พ่อเขาก็เคยบอกไผ่นี่ว่าจะทำเป็นปิดหูปิดตาเรื่องของพวกเรา อีกอย่างต้นทำงานให้จนได้ผลกำไรขนาดนี้ พ่อเขาว่าอะไรไม่ได้อยู่แล้วล่ะ”

ตระการพูดพลางลูบแผ่นหลังของพรพฤกษ์ขึ้นลงเบาๆ เหมือนจะให้กำลังใจ พรพฤกษ์จึงระบายลมหายใจยาวอีกครั้ง เขารู้ดีมาตลอดว่าที่ตระการมุทำงานหนักมาตลอดหนึ่งปีกว่านี้ นอกจากเพราะต้องการสร้างผลงานให้เหล่ากรรมการบริหารคนอื่นๆ เลิกกังขาในความสามารถแล้ว ที่สำคัญก็เพื่อแสดงผลงานให้ตฤณเห็นเพื่อจะได้ตำหนิเรื่องที่มาคบกับเขาไม่ได้ด้วย

หากมองในแง่นี้...เขาเสียอีกที่อาจจะต้องขอบคุณตระการมากยิ่งกว่าผู้ถือหุ้นของบริษัทรายไหนๆ...เพราะท้ายที่สุดแล้วอีกฝ่ายตั้งใจทำทุกอย่างก็เพื่อเขาเพียงคนเดียว การที่อีกฝ่ายบอกว่าอยากให้เขาไปร่วมฉลอง ‘ความสำเร็จของเรา’ คือหลักฐานที่ชัดเจนยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

“ไผ่?”

ร่างสูงใหญ่เรียกซ้ำอย่างขอคำตอบ พรพฤกษ์จึงหันไปหาคนเรียก จากนั้นก็ยกยิ้มบางๆ ให้

ในเวลาที่คนที่รักประสบความสำเร็จแบบนี้...เขาก็ควรจะไปให้กำลังใจสินะ...

“เข้าใจล่ะ ถ้างั้นจะได้เร่งแปลงานด่วนทั้งหลายให้เสร็จก่อนลงไปกรุงเทพฯ แต่ว่าต้นคงต้องออกค่าชุดสูทสำหรับใส่ไปงานให้นะ เพราะว่าไม่เคยซื้อเก็บเอาไว้สักชุด”

คำตอบที่อยากได้ยินทำให้ตระการยิ้มกว้าง ร่างสูงใหญ่ดึงตัวพรพฤกษ์เข้าไปกอดแน่นแล้วก็หอมแก้มแรงๆ อย่างดีใจ

“เรื่องแค่นั้นไม่มีปัญหา ไผ่อยากได้สีไหนแบบไหนไปชี้หรือสั่งตัดได้เลย ให้ต้นซื้อให้สักโหลนึงก็ยังได้”

พรพฤกษ์หัวเราะกับคำตอบนั้นและโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโดนอีกฝ่ายตะโบมจูบไปทั้งหน้า ชายหนุ่มหอบเพราะหัวเราะหนักจนอกกระเพื่อม แต่เมื่อถูกปลายนิ้วแข็งแรงเลื่อนลงไปลูบที่ร่างกายด้านล่าง นัยน์ตาสีนิลก็เหลือบขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างมีคำถาม

“ไหนเมื่อกี้บอกว่าอยากไปอาบน้ำไม่ใช่เหรอ?”

ตระการมองตอบแววตาของพรพฤกษ์ด้วยยิ้มซุกซน จากนั้นก็ก้มลงใช้ปลายจมูกดุนกับปลายจมูกของคนถามอย่างมันเขี้ยว พรพฤกษ์สะดุ้งเมื่อถูกดึงมือให้ไปสัมผัสกับความต้องการของอีกฝ่ายที่กำลังตื่นตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม

“เมื่อกี้ก็ตั้งใจจะไปอาบอยู่ แต่เอาไว้หลังจบยกนี้แล้วค่อยไปอาบด้วยกันก็ได้”


++------++


ค่ำคืนนั้น หลังจากที่ตระการอุ้มพรพฤกษ์เข้าไปอาบน้ำแล้ว ทั้งสองก็ใส่ชุดนอนแล้วเอนหลังลงบนเตียงด้วยกัน ฝ่ายผู้มาเยือนนั้นนอนหลับไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่เจ้าของบ้านยังนอนมองเพดานเงียบๆ บางทีก็จะหันไปทางคนที่กำลังนอนหายใจสม่ำเสมออยู่ข้างๆ บ้าง

คำชวนของตระการเป็นสาเหตุเดียวที่ทำให้เขายังนอนไม่หลับ...

พรพฤกษ์นอนนับวันในใจ การที่บริษัทของตระการจะจัดงานฉลองในต้นเดือนหน้าก็เท่ากับเขามีเวลาอีกสัปดาห์กว่าๆ ในการเตรียมตัวไปพบกับตฤณ และเขาก็ไม่สามารถหลอกตัวเองได้ว่าไม่รู้สึกหนักใจกับการต้องไปพบฝ่ายนั้นอีกครั้ง

นับตั้งแต่กลับมาเชียงใหม่หลังจากไปไหว้กระดูกแม่ที่บ้านของตระการ พรพฤกษ์ก็ไม่เคยเดินทางลงไปกรุงเทพฯ อีกเลย แม้จะตระหนักดีว่าเขาเห็นแก่ตัวด้วยการปล่อยให้อีกฝ่ายต้องเหนื่อยกับการเดินทางอยู่คนเดียว แต่พรพฤกษ์ก็อยากทำเป็นลืมเสียว่าเขาพบเจออะไรบ้างระหว่างการเดินทางครั้งนั้น จึงพยายามหลีกเลี่ยงที่จะไปหาตระการก่อนตลอดมา และนับเป็นโชคดีที่อีกฝ่ายก็ไม่เคยเซ้าซี้ให้เขาเป็นฝ่ายไปหาที่กรุงเทพฯ เลยสักครั้ง

ถ้าจะมีเรื่องเดียวที่ตระการเพียรตื๊อจนเขาเบื่อจะนับครั้ง...ก็เห็นจะเป็นเรื่องที่เจ้าตัวเปรยความในใจที่อยากให้เขาไปอยู่ด้วยกันที่กรุงเทพฯ เพียงแต่อีกฝ่ายก็ฉลาดพอที่จะไม่เอ่ยขอออกมาตรงๆ ให้เขาปฏิเสธได้เต็มปากเต็มคำ เพียงแต่เลือกใช้คำพูดที่เหมือนพูดลอยๆ ให้เขาตีความเอง แต่เขาก็รู้ว่าตระการต้องรู้แน่นอนว่าเขาเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ และเพราะรู้ว่าตระการตั้งใจแบบนั้น ดังนั้นเมื่อไหร่ที่เจ้าตัวพูดเรื่องทำนองว่าถ้าเขาไปอยู่กรุงเทพฯ แล้วจะหาซื้ออะไรได้สะดวกอย่างไร ทั้งคู่ก็จะได้เล่นเกมเอาเถิดเจ้าล่อกันตลอดเวลา เพราะเขาก็จะแกล้งเฉไฉไปเรื่องอื่น ขณะที่ตระการก็จะพยายามดึงกลับมาเรื่องเดิมแบบอ้อมๆ ไปเสียทุกครั้ง

พรพฤกษ์พลิกตัวนอนตะแคงแล้วหันหน้าไปหาคนข้างตัว สายตาที่ชินกับความมืดบวกกับแสงจันทร์ทำให้พอจะมองเห็นใบหน้าของตระการได้เลือนลาง แต่ความสลัวก็ทำให้ไม่สามารถเห็นรอยคล้ำจางๆ ใต้ตาทั้งสองข้างได้ชัดเหมือนตอนที่เขาไปรับเจ้าตัวที่สนามบิน และถึงแม้จะไม่ได้เอ่ยทักขึ้นมา ก็ไม่ได้หมายความว่าพรพฤกษ์จะไม่สังเกตเห็นว่าตระการผอมลงไปกว่าตอนที่เจอกันครั้งที่แล้วเล็กน้อย

คงทำงานหนักมากสินะต้น...ทั้งเพื่อพิสูจน์ตัวเองให้พ่อกับทุกคนได้เห็น...ทั้งเพื่อให้เราสองคนได้ใช้เวลาด้วยกันแบบนี้ด้วย...

ชายหนุ่มยกมือขึ้นแตะที่แก้มอีกฝ่ายเบาๆ จู่ๆ ก็แน่นหน้าอกขึ้นมาเมื่อตระหนักว่าตระการอุทิศตัวเองมากแค่ไหนเพื่อรักษาความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งคู่เอาไว้ จึงขยับตัวเข้าไปซุกกับอกของอีกฝ่ายแล้วก็ระบายลมหายใจยาว การเคลื่อนไหวนั้นทำให้ตระการสะลึมสะลือขึ้นมาวูบหนึ่งแล้วก็รั้งตัวเขาเข้าไปกอด พรพฤกษ์จึงยกมือขึ้นกอดเอวอีกฝ่ายตอบก่อนจะหลับตาลง

ถึงแม้เขาจะได้ยินอะไรที่ทำร้ายจิตใจหลังได้พบตฤณอีกก็ช่างเถิด...ถ้าหากการที่เขาไปร่วมงานฉลองครั้งนี้มีความหมายกับตระการ เขาก็ยินดีที่จะไป...


++---tbc---++


เจอกันตอนหน้า สัปดาห์หน้า (แต่ไม่รับประกันว่าเป็นวันจันทร์) เด้อค่าเด้อ  :z13:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 4 มค. 2011* หน้า 13 (ยังไม่จบ!!)
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 04-01-2011 12:24:44
^
^
^
จิ้ม จึ้กกกกกกก  :z13:
เมื่อไหร่จะได้ลีฟทูเก็ทเตอร์ด้วยกันแบบจริงจังๆสักที  :serius2:
ตอนนี้ก็หวานแล้ว แต่อยากให้หวานแบบล้วนๆไม่มีความขมเจือมาค่ะ  :sad4: รอๆ   :monkeysad:

จิ้มล่างอีกจึ้กกกกกก  :z13: อิอิ  :laugh:
v
v
v
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 4 มค. 2011* หน้า 13 (ยังไม่จบ!!)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 04-01-2011 12:32:37
^
^
อุ๊บส์ โดนจิ้ม อิอิ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 4 มค. 2011* หน้า 13 (ยังไม่จบ!!)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 04-01-2011 12:37:14
555 ดีใจจริงได้อ่านตอนใหม่ต่อเลย

แ่ต่ว่า อ่านแล้วเหนื่อยแทนต้นนะ ทั้งทำงานทั้งวิ่งรอกขึ้นเชียงใหม่ สงสัยที่แท้ต้นเป็น Superman แน่ๆ เลย เก่งมากกกกกกกก
หวังว่า คุณพ่อ คงเปิดใจยอมรับมากขึ้นนะ

ปล. สวัสดีปีต่ายน้อยเหมือนกันค่ะ  :mc4:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 4 มค. 2011* หน้า 13 (ยังไม่จบ!!)
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 04-01-2011 18:47:59
คุณพ่อตฤณ สงสารลูกบ้างนะคร้าบ ทำงานหนักจนผอมซะ
หลังจากปิดหูปิดตาแล้วก็ เปิดอกเปิดใจให้กว้างด้วยนะคะคุณตฤณ
เอาใจช่วยต้น+ไผ่ ให้ได้อยู่ด้วยกันจริงๆแบบไม่มีอะไรขวางกั้น
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 4 มค. 2011* หน้า 13 (ยังไม่จบ!!)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 04-01-2011 19:40:55
เฮ้อ! :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 4 มค. 2011* หน้า 13 (ยังไม่จบ!!)
เริ่มหัวข้อโดย: pinkky_kiku ที่ 08-01-2011 18:37:20
เอาใจช่วยทั้งคู่เลย  :เฮ้อ: :เฮ้อ: ลุ้นเหนื่อยหล่ะ อิอิ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 4 มค. 2011* หน้า 13 (ยังไม่จบ!!)
เริ่มหัวข้อโดย: lasom ที่ 08-01-2011 23:42:04
ผู้ชายดีๆแบบต้นยังเหลือสักคนมั้ยค่ะป้า อยากได้มากมาย :-[
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 4 มค. 2011* หน้า 13 (ยังไม่จบ!!)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 10-01-2011 00:10:25
ผู้ชายดีๆแบบต้นยังเหลือสักคนมั้ยค่ะป้า อยากได้มากมาย :-[

อยากได้เหมือนกันค่ะคุณ lasom อาไร้จาหายากหาเย็นปานน้านน ขอบคุณนะคะที่มาติดตามเรื่องนี้ด้วย   :man1:

สำหรับตอนใหม่ ถ้าไม่มาวันจันทร์ก็วันอังคารนะคะทุกโคนนนน จุ๊บๆ   :impress2:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 4 มค. 2011* หน้า 13 (ยังไม่จบ!!)
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 10-01-2011 18:39:21
มารอในวันจันทร์ด้วยเหมือนกัน
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 4 มค. 2011* หน้า 13 (ยังไม่จบ!!)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 10-01-2011 19:05:14
^
^
แหะๆ ขอกระมิดกระเมี้ยนเลื่อนเป็นพรุ่งนี้นะคะ ยังปั่นไม่เสร็จง่า T^T ระหว่างนี้ไปอ่านเรื่องสั้นอีกเรื่องคั่นเวลาก่อนน้า เพิ่งโพสต์สดๆ ร้อนๆ เลย เรื่องนี้ค่า ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=21049.0)

พรุ่งนี้จะพยายามรีบเอาตอนต่อมาลงให้เร็วที่สุดค่า รอกันหน่อยเด้อ ฮึบๆๆ   :z10:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 4 มค. 2011* หน้า 13 (ยังไม่จบ!!)
เริ่มหัวข้อโดย: evilheart ที่ 11-01-2011 13:04:16
อ่านทันแล้ว
ต้นไผ่รักกันได้มั่นคงมาก
ความอดทนหลายปีที่ผ่านมา คงจะทำให้พ่อสามีเห็นใจได้บ้างนะ
รอตอนใหม่เด้อน้องริน
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 1/11/2011* หน้า 13 (ก็ยังไม่จบ!!)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 11-01-2011 15:53:09
หลังจากเลื่อนไปอีกวัน ตอนใหม่ก็ได้มาลงกันเสียทีค่ะ รู้สึกเขินเล็กน้อยถึงปานกลาง แต่ว่ามาช้าดีกว่าไม่มา หรือมาช้ายิ่งกว่านี้ ชิมิๆ  :o8:

สำหรับตอนนี้ก็...ยังไม่ใช่ตอนจบอีกแล้ว ฮา แบบว่าเนื้อเรื่องช่วงท้ายนี้ดำเนินไปต่างจากที่เคยคิดไว้นิดหน่อย เวลาเขียนก็เลยต้องใช้ขมองอิ่มคิดถึงตอนต่อไปล่วงหน้าด้วย มันเลยใช้เวลาเขียนนานขึ้นน่ะค่ะ (จริงๆ แล้วคือใช้เวลานั่งจ้องหน้าจอเปล่าๆ สลับเช็ค facebook เป็นชั่วโมง แต่พอได้ไอเดียทีก็จะพิมพ์ไหลพรวดเดียว) หวังว่าได้อ่านแล้วคงหายคิดถึงกันไปได้อีกสักสัปดาห์นึงน้า แล้วพบกันตอนใหม่วันจันทร์ / อังคารหน้าค่า (ไม่วันใดก็วันนึงนะล่ะ ฮิๆๆ)    :laugh:

++------++


31.


ในชั่วโมงหัวเลี้ยวหัวต่อก่อนที่ยามเย็นจะแปรเป็นยามค่ำของวันเสาร์ ผืนฟ้าส่วนใหญ่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเทาแกมน้ำเงิน โดยที่ขอบฟ้าด้านล่างยังมีริ้วสีส้มแดงแขวนอยู่เบาบาง บ่งบอกให้รู้ว่าแสงอาทิตย์สุดท้ายของวันกำลังจะหมดลงในไม่ช้า

พรพฤกษ์ยืนมองความเปลี่ยนแปลงของสีสันบนผืนฟ้าจากภายในห้องพักบนชั้นยี่สิบของโรงแรม เนื่องจากงานเลี้ยงฉลองในวาระครบรอบการก่อตั้งของเครือสุวรรณฤทธิ์จะมีขึ้นในคืนนี้ เขาจึงต้องเดินทางลงมาจากเชียงใหม่ตั้งแต่ช่วงสายของเมื่อวาน แล้วก็เข้าพักในโรงแรมเดียวกับสถานที่จัดงานเพื่อเลี่ยงการเข้าไปที่บ้านสุวรรณฤทธิ์ เพราะแม้จะตระหนักดีว่าถึงอย่างไรก็เลี่ยงการพบปะกับตฤณไม่พ้น เขาก็ยังไม่อยากเพิ่มเวลาที่ได้อยู่ในสายตาของฝ่ายนั้นอยู่ดี

ชายหนุ่มยืนอยู่กับที่ได้ครู่หนึ่ง เสียงเปิดประตูห้องน้ำก็เรียกให้หันหลังกลับไป ค่ำคืนที่ผ่านมาตระการมาค้างที่โรงแรมกับเขาด้วย เมื่อเช้าทั้งคู่ออกไปไหว้พระที่วัดพระแก้วด้วยกัน จากนั้นก็ทานข้าวกลางวันก่อนจะกลับมาที่โรงแรมเพื่อเตรียมตัวตั้งแต่ช่วงบ่าย ร่างสูงใหญ่ที่เพิ่งเดินออกจากห้องน้ำหันไปหยิบเสื้อสูทที่แขวนอยู่ในตู้ออกมาสวม จากนั้นก็เช็คเวลาจากนาฬิกาข้อมือแล้วหันมาหาพรพฤกษ์

“พร้อมหรือยังไผ่?”

“อื้อ ก็คงไม่พร้อมไปกว่านี้ได้อีกแล้วล่ะ”

พรพฤกษ์ตอบพลางเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วหันกลับไปมองฟ้าภายนอกเช่นเดิม ตระการฟังคำตอบแล้วก็ยิ้ม ร่างสูงใหญ่สาวเท้าไปหาคนที่ยืนหันหลังให้แล้วก็จับให้หมุนตัวกลับมาหา

“ไหนดูซิ...สูทชุดนี้เข้ากับไผ่จริงๆ ด้วย”

ตระการเอ่ยชมพลางช่วยจับคอปกเสื้อและดึงสูทของพรพฤกษ์ให้เรียบ พรพฤกษ์จึงเหลือบตาลงมองตัวเองซึ่งอยู่ในสูทสีน้ำเงินเข้มแบบสองกระดุมและเข้ารูปเล็กน้อยช่วงเอว เนื้อผ้ามีการเดินลายทางเส้นเล็กๆ ด้วยไหมสีน้ำเงินคนละเฉดกับเนื้อผ้า ส่วนเนคไทเป็นผ้าไหมเงามันสีเทาเหลือบม่วงอ่อนกับเชิ้ตสีขาวซึ่งตระการเลือกให้ทั้งหมด ซึ่งต่างกับอีกฝ่ายที่ใส่สูทสีดำ เชิ้ตตัวในเป็นสีครีมและเนคไทเป็นผ้าไหมสีน้ำเงิน ทรงของสูทไม่เข้ารูปตรงเอวเหมือนกับของพรพฤกษ์และเสริมช่วงไหล่มากกว่า แต่ดูแล้วเสริมความภูมิฐานและดูเหมาะสมกับตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง

“แหงล่ะสิ คนใส่แทบไม่ได้เลือกอะไรเองเลยนี่นา”

พรพฤกษ์เหลือบตากลับขึ้นมองตระการพร้อมกับตอบอย่างหมั่นไส้หน่อยๆ เพราะว่าหลังจากที่เขาตอบรับว่าจะมาร่วมงานเลี้ยงคราวนี้ด้วยเมื่อคืนวันศุกร์ที่แล้ว อีกฝ่ายก็โทรให้ช่างจากร้านสูทที่ใช้บริการประจำบินจากกรุงเทพฯ ขึ้นไปวัดตัวเขาและเอาแคทตาล็อกแบบชุดสูทไปให้เลือกที่บ้านนฤมิตรตั้งแต่วันอาทิตย์ จากนั้นตระการก็ยังช่วยเจ้ากี้เจ้าการเลือกแบบกับเนื้อผ้าให้โดยที่เขาแทบจะไม่ได้ออกความเห็น ถึงแม้พรพฤกษ์จะรู้ว่าห้องเสื้อดังๆ มีบริการวัดตัวเพื่อตัดสูทให้นอกสถานที่ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าที่ถึงกับให้ช่างจากร้านที่กรุงเทพฯ บินไปหาเขาที่เชียงใหม่นี่ก็ค่อนข้างสุดโต่งไปหน่อย แต่นับว่าร้านที่ตระการเลือกใช้บริการก็มีฝีมือจริงๆ เพราะหลังจากเขามาถึงกรุงเทพฯ เมื่อวานและอีกฝ่ายพาไปลองสูทที่ตัดเสร็จแล้ว ก็ปรากฏว่าเขาได้ชุดที่ตัดเย็บอย่างประณีตและพอดีตัวโดยที่ไม่ต้องปรับแก้เลย

ตระการฟังแล้วก็หัวเราะ จากนั้นก็ดึงข้อมือพรพฤกษ์แล้วจูงไปที่ประตูห้อง “ถ้างั้นก็ไปห้องจัดงานกันเถอะ ป่านนี้คงเริ่มมีคนมากันแล้ว เมื่อกี้อาวีก็โทรมาบอกว่ามาถึงแล้วเหมือนกัน”

พรพฤกษ์ได้รู้ว่าวรชัยมาด้วยก็สบายใจขึ้น เพราะงานเลี้ยงในคืนนี้เป็นแบบนั่งโต๊ะ ไม่ใช่งานแบบค็อกเทลที่เขาสามารถเดินไปเดินมาได้ พรพฤกษ์จึงจำเป็นต้องนั่งโต๊ะเดียวกับตระการซึ่งตฤณก็จะนั่งด้วยอย่างไม่มีทางเลือก การได้รู้ว่าวรชัยซึ่งเป็นมิตรกับเขาจะนั่งที่โต๊ะเดียวกันทำให้พรพฤกษ์ใจชื้นขึ้น ไม่เช่นนั้นช่วงไหนที่ตระการต้องขึ้นไปพูดหรือมอบรางวัลให้พนักงานบนเวทีเขาคงจะอึดอัดแน่ๆ

ทั้งคู่ขึ้นลิฟต์จากชั้นห้องพักไปยังห้องจัดงานซึ่งอยู่บนชั้นสามสิบห้า บริเวณโถงด้านหน้าห้องจัดงานมีโต๊ะลงทะเบียนสำหรับแขกเหรื่อซึ่งกำลังทยอยกันมา และมีซุ้มถ่ายภาพที่ระลึกพร้อมกับป้ายแสดงความยินดีในวาระครบรอบและฉลองความสำเร็จของผลประกอบการที่ทะลุหมื่นล้าน อารยาซึ่งเป็นเลขาของตระการและวันนี้ใส่ชุดกระโปรงสีเบจหันมาเห็นทั้งคู่จากโต๊ะลงทะเบียนจึงรีบเดินเข้ามาหา

“คุณต้น คุณไผ่ สวัสดีค่ะ เอ๋กำลังรอจะพาไปที่โต๊ะอยู่เชียว คุณตฤณกับพวกคุณวีอยู่ด้านในกันแล้ว จะเข้าไปกันเลยไหมคะ?”

“ก็ดีเหมือนกัน ผมยังไม่อยากถ่ายรูปตอนนี้”

ตระการเอ่ยพลางเหลือบตามองพรพฤกษ์ อารยาจึงพยักหน้าแล้วก็เดินนำทั้งคู่ไปยังประตูด้านข้างของห้องบอลรูม

“งั้นเดี๋ยวเราเข้าประตูข้างดีกว่าค่ะ จะได้เดินเข้าไปที่โต๊ะได้ง่ายหน่อย เพราะถ้าเข้าทางประตูหน้าเลยคุณต้นต้องโดนแขกยึดตัวไว้ถ่ายรูปแน่ๆ”

พรพฤกษ์ฟังแล้วก็อดขำและชื่นชมความรู้ใจนายของเลขาสาวไม่ได้ หลังจากนำทั้งคู่เข้าไปด้านในแล้ว อารยาก็ผายมือไปทางโต๊ะที่อยู่ตรงกลางด้านหน้าเวที “โต๊ะที่มีป้ายเขียนว่าวีไอพี 1 ค่ะคุณต้น อยู่ตรงกลางหน้าเวทีเลย เดี๋ยวเอ๋ขอตัวไปดูแลจุดลงทะเบียนก่อนนะคะ”

“เดี๋ยวคุณเอ๋จะมานั่งกับพวกผมหรือเปล่าครับ?”

พรพฤกษ์ถาม เนื่องจากหญิงสาวเป็นอีกคนเดียวที่เขารู้จักในบริษัทนี้นอกจากวรชัย อารยาจึงรีบยกมือทั้งสองขึ้นโบกเป็นพัลวัน

“อุ้ย! เอ๋นั่งกับพวกท่านประธานไม่ได้หรอกค่ะ โต๊ะของเอ๋จะอยู่กับพวกเลขาของคณะกรรมการท่านอื่น แต่กว่าจะได้เข้ามานั่งก็คงต้องช่วยพวกพีอาร์ดูความเรียบร้อยหน้างานให้เสร็จก่อน ยังไงสู้ๆ นะคะคุณไผ่”

หญิงสาวเอ่ยแล้วก็เดินออกไปจากประตูข้างที่เดินนำพวกเขาเข้ามา พรพฤกษ์รู้สึกงงนิดหน่อยตรงที่อีกฝ่ายบอกเขาว่าให้ “สู้ๆ” แต่ก็เดาเอาว่าคงหมายถึงการที่เขาต้องไปเจอตฤณ พอชายหนุ่มเหลือบตาขึ้นก็เห็นตระการกำลังยิ้มขำ

“ยิ้มอะไรต้น?”

“ก็...เปล่า...แต่เห็นไหมล่ะว่าไผ่มีบุคลิกที่คนชอบง่ายจริงๆ ด้วย ขนาดเอ๋เขาได้เจอไผ่ไม่เท่าไหร่ยังชอบเลย”

พรพฤกษ์ยิ้มแล้วก็ส่ายหน้า แต่ว่าไม่ได้พูดอะไรและเพียงแต่เดินตามตระการไปที่โต๊ะ เพราะใครจะบอกได้ว่าอารยาชอบเขาจริงๆ หรือเพียงแต่สุภาพด้วยเพราะเห็นว่าเป็นคนสำคัญของเจ้านาย แม้เขาจะค่อนข้างแน่ใจว่ารอยยิ้มที่หญิงสาวมอบให้เวลาพบกันจะดูจริงใจเกินกว่าจะเสแสร้งก็ตาม

รอยยิ้มของชายหนุ่มค่อยจางลงเมื่อเดินเข้าไปใกล้โต๊ะที่อารยาบอกเมื่อครู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นร่างผอมสูงในชุดสูทสีครีมซึ่งนั่งหันหลังให้ แม้ว่าจะยังไม่เห็นหน้าชัดๆ แต่แผ่นหลังที่ตั้งตรงอย่างผู้ที่ไม่ยอมก้มหัวให้ใครก็ทำให้เขารู้ตัวตนของคนที่นั่งอยู่ได้ทันที

“สวัสดีครับพ่อ สวัสดีครับอาวี อาดาว”

เสียงทักทายของตระการทำให้คนทั้งสามซึ่งนั่งที่โต๊ะอยู่แล้วหันมา พรพฤกษ์จึงสังเกตเห็นว่าข้างๆ วรชัยมีหญิงวัยกลางคนดูท่าทางภูมิฐานแต่นัยน์ตาอ่อนโยนนั่งอยู่ด้วย จึงเดาว่าคงเป็นภรรยาของเจ้าตัว เขาจึงยกมือทำความเคารพทุกคนบ้าง

“สวัสดีครับ คุณ..ตฤณ คุณวี คุณดาว”

พรพฤกษ์รู้สึกเหมือนตัวเองได้สบตากับตฤณแวบหนึ่ง แต่ก็ไม่แน่ใจนักเพราะวูบเดียวอีกฝ่ายก็หันกลับ

และที่น่าแปลกใจกว่านั้น...ก็คือเขาคิดว่าแววตาที่ได้สบกันเมื่อครู่ดูไร้ซึ่งประกายของความไม่เป็นมิตร แต่ดูเหมือนเพียงแค่ ‘มองเห็นและรับรู้’ ว่าเขายืนอยู่ตรงนั้นเสียมากกว่า

“อะไรกัน ไม่ต้องเรียกพวกอาห่างเหินขนาดนั้นก็ได้ เรียกอาวีกับอาดาวเหมือนต้นเขานั่นแหละ นั่งกันก่อนสิ เดี๋ยวอีกสักพักแขกคนอื่นก็คงมากันแล้วล่ะ”

วรชัยเอ่ยบอกพรพฤกษ์อย่างใจดี พรพฤกษ์จึงสบตากับตระการแล้วก็หันไปพยักหน้าให้วรชัย แต่หลังจากที่มองไปรอบโต๊ะซึ่งมีสิบที่นั่งแล้วเห็นว่าผู้สูงวัยทั้งสองนั่งถัดไปทางด้านซ้ายของตฤณ เขาจึงคิดว่าตระการคงจะต้องนั่งข้างบิดา แต่ขณะที่กำลังจะเข้าไปนั่งตรงที่ซึ่งถัดไปจากนั้น ตระการกลับเลื่อนเก้าอี้ตัวที่อยู่ข้างตฤณออกแล้วดึงแขนเขาไว้

“ไผ่นั่งนี่สิ”

“หา?”

พรพฤกษ์หันไปมองตระการแล้วเลิกคิ้วสูง และนั่นก็เป็นปฏิกิริยาเดียวกับวรชัยและเดือนดาราเช่นกัน เพราะแม้จะรู้ดีว่าพรพฤกษ์เป็นคนรักของตระการ แต่ทั้งสองก็พอจะรู้ท่าทีของตฤณที่มีต่อพรพฤกษ์ด้วย จึงไม่คิดว่าทายาทหนุ่มจะกล้าถึงกับส่งพรพฤกษ์เข้าใกล้ ‘โซนอันตราย’ เช่นนั้น

ทว่าคนเดียวที่ดูจะไม่แปลกใจเลยสักนิด หรืออย่างน้อยก็ไม่แสดงความแปลกใจทางสีหน้าก็คือตฤณซึ่งเพียงแต่ยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม

หลังจากที่เห็นชายหนุ่มทำท่ารีรออยู่ครู่หนึ่งราวกับไม่แน่ใจ คราวนี้คนที่ดูเหมือนกำลังกลายเป็นจุดสนใจจึงตวัดสายตาแล้วถามเสียงเรียบ

“จะนั่งก็นั่งสิ จะยืนค้ำหัวผู้ใหญ่อีกนานไหม?”

“เอ่อ...ครับ ขอโทษครับ”

พรพฤกษ์เอ่ยตอบแล้วก็ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ใกล้กับตฤณซึ่งตระการเลื่อนไว้ให้ จากนั้นก็หันไปทำสายตาเขม่นใส่ตระการที่นั่งลงบนเก้าอี้ตัวถัดไปซึ่งยิ้มตอบเขาอย่างไม่รู้สึกรู้สา

กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่นะ!?

“เอ้อ...ที่จริงไผ่นั่งตรงนั้นก็ดีแล้วเหมือนกัน เพราะเดี๋ยวจะมีคณะกรรมการคนอื่นมานั่งกับพวกเราอีก เผื่อเขาชวนคุยขึ้นมาจะลำบาก ต้นนั่งตรงนั้นช่วยกันไว้ให้แหละดีแล้ว”

วรชัยเอ่ยขึ้นราวกับเพิ่งนึกได้ว่าทำไมตระการถึงให้พรพฤกษ์นั่งติดกับตฤณอย่างนั้น ชายหนุ่มจึงเพียงหันไปมองผู้สูงวัยแล้วพยักหน้า แต่เขาไม่แน่ใจนักว่านั่นเป็นเหตุผลเดียวที่ตระการจับให้เขานั่งตรงกลางระหว่างตัวเองกับบิดาเช่นนี้

อึดใจถัดมาแขกเหรื่อที่ลงทะเบียนและถ่ายรูปด้านหน้ากันเสร็จแล้วก็เริ่มทยอยเข้ามาในห้องบอลรูม ดูเหมือนเจ้าหน้าที่ลงทะเบียนจะให้หมายเลขโต๊ะที่นั่งกับแขกไว้ก่อนแล้ว ดังนั้นแต่ละคนจึงเดินตรงไปหาโต๊ะซึ่งมีป้ายหมายเลขของตนวางอยู่โดยไม่ขลุกขลัก หลังจากแขกนั่งประจำที่ทั้งหมดและประตูด้านหน้าปิดลง แสงไฟบนเวทีก็ฉายไปที่พิธีกรคู่ชายหญิงซึ่งเดินขึ้นไปประจำที่ตรงหลังแท่นโพเดียมทางมุมด้านหนึ่งของเวที

หลังจากการกล่าวแนะนำตัวและเปิดงานจบไป พิธีกรทั้งสองก็เอ่ยเชิญตระการในฐานะตัวแทนของท่านประธานขึ้นกล่าวขอบคุณแขกเหรื่อในวาระครบรอบการก่อตั้งและผลการปฏิบัติงานในปีที่ผ่านมา ตระการจึงยิ้มให้พรพฤกษ์และบีบมือเขาที่วางอยู่ใต้โต๊ะเบาๆ จากนั้นก็เดินขึ้นไปบนเวที โดยตลอดทางมีแสงสปอตไลท์ฉายตามตัวชายหนุ่มตลอด และมีภาพเคลื่อนไหวจากจอวีดีโอฉายขึ้นที่จอซึ่งตั้งเยื้องกับเวทีเพื่อให้แขกที่นั่งโต๊ะด้านหลังได้เห็นชัดๆ ด้วย

พรพฤกษ์ปรบมือให้ผู้บริหารหนุ่มเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ในห้องจัดงาน ถึงแม้ว่าเขาจะได้แต่คอยให้กำลังใจตระการอยู่ห่างๆ และไม่เคยได้เห็นเวลาที่อีกฝ่ายทำงานสักครั้ง แต่เมื่อได้มาเห็นยามที่ตระการขึ้นไปอยู่บนเวทีซึ่งมีแสงไฟสาดส่องและสายตาหลายร้อยคู่จับจ้องที่เจ้าตัวด้วยแววตาชื่นชม เขาก็อดจะปลื้มใจแทนไม่ได้

ดูดีมากเลยนะต้น...ต้นเหมาะสมแล้วที่จะอยู่ตรงนั้นจริงๆ ด้วย...

“เอ...ขอโทษนะคะ เมื่อกี้ตอนแนะนำตัวกันดิฉันก็ไม่ทันฟังให้ละเอียด คุณชื่ออะไรนะคะ?”

ขณะที่ตระการกำลังกล่าวรายงานผลงานที่ผ่านมาอยู่บนเวที ซึ่งพรพฤกษ์จำได้ว่าเป็นบทพูดที่เจ้าตัวเขียนเองแล้วเอามาให้เขาช่วยดูเมื่อคืน หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งซึ่งพรพฤกษ์จำได้ว่าเป็นภรรยาของหนึ่งในคณะกรรมการที่นั่งโต๊ะเดียวกันก็ขยับมานั่งที่ของตระการและถามเขา พรพฤกษ์จึงเลิกคิ้วเล็กน้อยและหันไปตอบ

“ผมชื่อพรพฤกษ์ครับ เรียกไผ่ก็ได้”

“อ๋อ...แล้วคุณไผ่มีตำแหน่งอะไรเหรอคะ? ทำไมไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย?”

พรพฤกษ์มองอีกฝ่ายแล้วก็ได้แต่อ้ำอึ้ง เพราะถึงแม้มือที่ยื่นมาแตะแขนเขาเบาๆ นั้นจะดูเหมือนการแสดงออกอย่างมีไมตรี แต่นัยน์ตาที่สะท้อนความอยากรู้อยากเห็นอย่างออกนอกหน้าก็ทำให้เขาอึดอัดไม่ใช่น้อย และท่าทางวรชัยที่นั่งถัดไปจากตฤณก็จะสังเกตเห็นได้เหมือนกัน จึงรีบหันมาช่วยตอบ

“คุณเรืองครับ ไผ่เขาเป็น…”

“หลานของผมเองครับ คงไม่แปลกที่คุณเรืองจะไม่เคยเห็นหน้า พอดีแกเพิ่งกลับมาจากเมืองนอก”

คำตอบจากคนที่ไม่คิดว่าจะช่วยออกโรงปกป้องทำให้พรพฤกษ์หันขวับไปหาตฤณอย่างไม่อยากเชื่อหู เช่นเดียวกับวรชัยที่อ้าปากค้างเพราะยังพูดไม่ทันจบก็ถูกตัดหน้า ฝ่ายคนที่ถูกเรียกว่า ‘คุณเรือง’ จึงยกมือข้างที่แตะแขนพรพฤกษ์เมื่อครู่กลับไปทาบอกตัวเอง

“อ้าว! ตายจริง คุณตฤณมีหลานชายด้วยหรือคะนี่? เพิ่งกลับจากเมืองนอกนี่เองถึงไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน แหม...หน้าตาดีสมกับเป็นหลานคุณตฤณจริงๆ เชียว หวังว่าหลังจากนี้คงได้เจอกันบ่อยๆ นะคะ”

พรพฤกษ์ฟังแล้วได้แต่ยิ้มแห้งๆ ด้วยไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรกับคำชมดี ในเมื่อเขาไม่ได้มีสายเลือดเกี่ยวพันกับตฤณเลยแม้แต่นิด ชายหนุ่มลอบถอนใจอย่างโล่งอกเมื่ออีกฝ่ายถูกสามีสะกิดให้กลับไปนั่งที่เดิมด้วยรู้ว่าภรรยากำลังเสียมารยาท ขณะเดียวกันนั้นก็เป็นเวลาที่ตระการกำลังกล่าวสรุปพอดี

“...ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้รับความไว้วางใจจากท่านประธานให้ได้ทำหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อพัฒนาธุรกิจในเครือสุวรรณฤทธิ์ให้มั่นคงยิ่งขึ้น และความสำเร็จนั้นก็มาจากความร่วมมือของคณะกรรมการบริหาร พนักงานทุกท่าน รวมทั้งผู้ถือหุ้นที่ให้ความไว้วางใจเรามาตลอด และผมก็คงจะทำงานอย่างทุ่มเทเหมือนทุกวันนี้ไม่ได้ถ้าไม่ใช่เพราะกำลังใจจากคนสำคัญที่สุดของผมซึ่งอยู่ตรงที่นี้ด้วย ขอบคุณจริงๆ ที่อยู่เคียงข้างกันตลอดมา สุดท้ายนี้ ขอให้คืนนี้เป็นคืนที่ดีสำหรับทุกท่านครับ”

หลังจากตระการพูดจบ เสียงปรบมือก็ดังกึกก้องไปทั่วห้องจัดงาน แสงสปอตไลท์ยังคงจับที่ร่างสูงใหญ่ขณะอีกฝ่ายเดินกลับมาที่โต๊ะ เช่นเดียวกับจอภาพที่กำลังฉายภาพเคลื่อนไหวขึ้นบนจอข้างเวที ก่อนที่จะตัดกลับไปที่ภาพของพิธีกรคู่ซึ่งเดินกลับขึ้นไปบนแท่นโพเดียม ขณะเดียวกันพนักงานโรงแรมก็เริ่มนำอาหารจานแรกมาเสิร์ฟตามโต๊ะต่างๆ ไปด้วย

ตระการเดินมานั่งประจำที่ของตัวเอง จากนั้นก็ดึงมือพรพฤกษ์ไปกุมไว้ใต้โต๊ะ สายตาสองคู่ลอบประสานกันสั้นๆ แต่ต่างรู้ดีว่าด้วยความรู้สึกอย่างไร สำหรับคนอื่นๆ ที่ได้ฟังผู้บริหารหนุ่มพูดเมื่อครู่อาจจะคิดไปว่า ‘คนสำคัญที่สุด’ ซึ่งตระการพูดถึงบนเวทีนั้นหมายถึงบิดาที่วันนี้มาร่วมงานด้วย แต่อย่างน้อยที่โต๊ะนี้ก็มีคนห้าคนที่รู้ว่าแท้จริงแล้วคนที่ตระการพาดพิงถึงโดยไม่เอ่ยชื่อนั้นคือใคร

“พูดได้ดีมากต้น สมแล้วที่ทำหน้าที่ได้ดีมาตลอดทั้งปี”

“ขอบคุณครับอาวี”

ตระการเอ่ยขอบคุณวรชัย จากนั้นก็เหลือบตาไปทางบิดาซึ่งนั่งอยู่อีกด้านของพรพฤกษ์ แต่ผู้สูงวัยกว่าไม่สบตาด้วยและทำทีเป็นใช้มีดกับส้อมหั่นอาหารในจาน

“ก็ดี...จากนี้ไปฉันจะได้วางมือได้อย่างไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังเสียที”

“โธ่ คุณตฤณพูดอะไรอย่างนั้นครับ คุณตฤณยังดูแล้วแข็งแรงกว่าผมเสียอีก”
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 1/11/2011* หน้า 13 (ก็ยังไม่จบ!!)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 11-01-2011 15:53:52
หนึ่งในคณะกรรมการบริหารอีกคนซึ่งไม่ได้พาภรรยามาด้วยเอ่ยขึ้น จากนั้นทุกคนก็เริ่มทานอาหารและพูดคุยกันเรื่องอื่น ซึ่งหลักๆ ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจหรือคนในแวดวงที่พรพฤกษ์ไม่รู้จักทั้งสิ้น ขณะที่อาหารแต่ละคอร์สถูกนำมาเสิร์ฟก็จะมีการแสดงหรือการมอบรางวัลบนเวทีหมุนเวียนไปตลอดเวลา บางครั้งคนที่ต้องขึ้นไปมอบก็จะเป็นตฤณบ้าง ตระการบ้าง หรือแม้แต่วรชัยซึ่งเป็นที่ปรึกษาอาวุโสด้วย

ตลอดเวลาที่นั่งทานอาหารนั้นตระการมีคนแวะเวียนมาหาแทบจะไม่เคยว่าง หากว่าไม่ติดพูดคุยกับคณะกรรมการบริหารซึ่งนั่งที่โต๊ะเดียวกัน ก็จะมีใครสักคนเดินมาที่โต๊ะและกล่าวอวยพรหรือแสดงความยินดีกับผู้บริหารหนุ่มตลอดเวลา และตระการก็จะยิ้มและพูดคุยกับทุกคนอย่างไม่ถือตัวว่ามีตำแหน่งสูงกว่า แต่ในขณะเดียวกัน มือข้างหนึ่งที่กุมมือของพรพฤกษ์อยู่ใต้โต๊ะก็แทบจะไม่ปล่อยออกเลยเช่นเดียวกัน และพรพฤกษ์ก็ไม่ปฏิเสธว่าการแสดงออกอันใกล้ชิดเช่นนั้นทำให้เขาอบอุ่นกับตัวตนที่ไม่เคยเปลี่ยนไปของตระการนับตั้งแต่ได้พบกันเมื่อสามปีก่อน

ทั้งสองรู้ดีพอที่จะไม่พยายามสบตาหรือส่งยิ้มให้กันมากนักด้วยอาจทำให้คนที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางผิดสังเกต แต่แน่นอนว่าคนที่รู้ความสัมพันธ์ที่แท้จริงของทั้งคู่ย่อมจับได้ เช่นเดียวกับวรชัยและเดือนดารา บางครั้งผู้สูงวัยทั้งสองก็จะมองตระการกับพรพฤกษ์แล้วยิ้มอ่อนๆ ด้วยความเอ็นดูเนื่องจากทั้งคู่ต่างก็ไม่มีทายาท

และแน่นอนว่าตฤณก็สังเกตเห็นท่าทางของบุตรชายและคนรักที่นั่งอยู่ทางขวาของเขาได้เช่นกัน

เมื่องานดำเนินไปเรื่อยจนถึงช่วงที่พนักงานนำของหวานมาเสิร์ฟ พรพฤกษ์ก็อิ่มจนท้องตื้อไปหมด แม้ว่าช็อกโกแลตซูเฟล่กับผลไม้สดที่ทางโรงแรมนำมาเสิร์ฟจะน่าทานและรสชาติดีแค่ไหน แต่เขาตักทานได้ไม่ถึงครึ่งชิ้นก็ต้องยอมแพ้

“ต้น ไปห้องน้ำแป๊บนึง เดี๋ยวกลับมานะ”

พรพฤกษ์กระซิบกับตระการพลางเขย่ามือที่กุมกันอยู่เบาๆ ตระการจึงหันไปถามยิ้มๆ

“ให้ต้นไปด้วยมั้ย?”

พรพฤกษ์ไม่ตอบ เพียงแต่ทำตาดุใส่คนถาม ตระการจึงหัวเราะเบาๆ และยอมปล่อยมือเขาแต่โดยดี และพรพฤกษ์ก็ค่อนข้างมั่นใจว่าถ้าไม่ใช่เพราะมีคนอื่นอยู่ที่โต๊ะด้วย อีกฝ่ายคงได้ดึงมือเขาไปจูบเพราะความมันเขี้ยวก่อนจะยอมปล่อยให้ลุกออกมาแน่ๆ

หลังจากทำธุระที่ห้องน้ำเสร็จ พรพฤกษ์ไม่ได้เดินกลับไปที่ห้องจัดงานในทันที ชายหนุ่มเลือกเดินไปทางเทอเรซซึ่งอยู่ด้านข้างห้องจัดงานเลี้ยงซึ่งไม่มีหลังคาและมีเพียงแสงสลัวจากโคมไฟซึ่งติดตั้งไว้เป็นจุดๆ บนกำแพง ทำให้เขามองเห็นดวงดาวของท้องฟ้ายามค่ำเช่นเดียวกับทิวทัศน์ของกรุงเทพฯ ได้ถนัดตา

อยากเปลี่ยนชุดชะมัด...

พรพฤกษ์คิดในใจขณะยืนเท้ากำแพงและมองภาพวิวตรงหน้า จริงอยู่ว่าสูทชุดนี้ตัดมาพอดีตัวเขา แต่ก็ไม่ได้ฟิตเข้ารูปจนถึงกับทำให้อึดอัดหรือขยับตัวลำบาก แต่เพราะปกติเขาชอบใส่กางเกงยีนส์หรือกางเกงผ้าโปร่งกับเสื้อตัวหลวมๆ มากกว่า พอต้องมาใส่ชุดสูทราคาแพงจึงทำให้ไม่ชินและรู้สึกเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเองสักเท่าไหร่

หลังจากยืนสูดอากาศบริสุทธิ์ภายนอกและได้ทอดสายตาไปไกลๆ ครู่หนึ่ง พรพฤกษ์ก็ค่อยรู้สึกดีขึ้นและคิดว่าควรจะกลับเข้าไปข้างในเสียที เพราะเสียงพูดคุยอื้ออึงที่เล็ดลอดมาจากประตูหน้าห้องบอลรูมทำให้เขาเดาได้ว่างานเลี้ยงคงจบและแขกเริ่มทยอยกันกลับแล้ว ทว่าเมื่อหันหลังกลับไป พรพฤกษ์ก็ชะงักเมื่อพบว่าใครบางคนเดินออกมาที่เทอเรซเช่นเดียวกัน

“คุณตฤณ...”

ผู้สูงวัยเลิกคิ้ว แววตาที่แสดงความแปลกใจเล็กน้อยทำให้พรพฤกษ์คิดว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้ตั้งใจตามเขามาที่นี่ แต่แค่บังเอิญเดินออกมาแล้วเจอเขาตรงนี้มากกว่า

“อยู่นี่หรอกรึ ลูกชายฉันก็มัวแต่กังวลว่าเธอหายไปไหนตั้งนาน”

ผู้สูงวัยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเชิงบอกเล่า ไม่ได้แฝงแววเยาะหยัน ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ฟังแล้วทำให้รู้สึกอบอุ่น พรพฤกษ์จึงเพียงแต่หลบตาแล้วก็จะเดินผ่านอีกฝ่ายเพื่อกลับเข้าไปข้างใน

“เข้าใจแล้วครับ ผมก็กำลังคิดว่าจะกลับเข้าไปอยู่พอดี”

“เดี๋ยว”

พรพฤกษ์ชะงักเมื่อถูกเรียกไว้ เมื่อหันกลับไป ตฤณก็พยักหน้าไปทางม้านั่งตัวยาวที่วางเรียงกันเป็นระยะบนเทอเรซ

“ตอนนี้หมอนั่นโดนจับถ่ายรูปกับพวกคณะกรรมการแล้วก็แขกคนอื่นๆ อยู่ คงไม่ถูกปล่อยตัวออกมาง่ายๆ หรอก ระหว่างนี้ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ ไปนั่งตรงนั้นด้วยกันก่อน”

เมื่อเอ่ยจบ ร่างผอมสูงในสูทสีครีมก็เดินหลังตรงไปยังม้านั่งตัวหนึ่งก่อนจะนั่งลงอย่างไม่รอฟังคำตอบ ฝ่ายพรพฤกษ์ได้แต่ยืนงงด้วยไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรแน่ แต่เมื่อเห็นสายตาที่เหลือบมามองก็รีบสืบเท้าเข้าไปหา โชคดีว่าตฤณนั่งที่ริมขวาสุดของม้านั่ง เขาจึงเลือกนั่งลงที่ริมด้านซ้ายสุด ซึ่งเป็นระยะที่ห่างกันมากพอชนิดที่ถ้าไม่เอื้อมแขนออกไปก็ไม่มีทางโดนตัวกันเด็ดขาด

พรพฤกษ์รู้สึกว่าในใจเต้นแรงขึ้น พลันมือทั้งสองก็กำแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว จริงอยู่ว่าเมื่อครู่ตอนที่เขาถูกคนไม่รู้จักถามว่าเป็นใครนั้นตฤณจะช่วยตอบให้ ซึ่งเป็นการแสดงน้ำใจที่เขาไม่คาดคิดว่าจะได้รับ แต่กระนั้นชายหนุ่มก็ยังไม่กล้าวางใจว่าจะอีกฝ่ายจะไม่ใช้คำพูดเชือดเฉือนน้ำใจเหมือนตอนที่คุยกันในโรงพยาบาลเมื่อหนึ่งปีก่อนอีก

“เธอคิดยังไงกับงานวันนี้?”

หลังจากต่างคนต่างเงียบไปพักหนึ่ง ตฤณซึ่งเป็นคนรั้งตัวเขาเอาไว้ก็ถามขึ้น พรพฤกษ์จึงเหลือบตามองอีกฝ่ายก่อนจะก้มลงมองมือตัวเองที่วางประสานกันอยู่บนตัก ชายหนุ่มใช้ความคิดเรียบเรียงคำพูดครู่หนึ่งก่อนจะตอบ

“ก็ดีครับ...ผมดีใจที่ได้เห็นว่าต้นประสบความสำเร็จแล้วก็เป็นที่ยกย่องแค่ไหน เขาทำงานหนักมากมาตลอดจริงๆ สมควรแล้วที่ทุกคนจะได้รู้เรื่องนั้น”

“หลายคนคงคิดว่า ‘คนสำคัญที่สุด’ ที่หมอนั่นพูดขอบคุณตอนอยู่บนเวทีคือฉัน แต่ฉันคิดว่าเธอเองก็คงจะรู้ ว่าคนที่หมอนั่นหมายถึงจริงๆ คือเธอ”

“...เรื่องนั้นผมไม่ทราบครับ”

พรพฤกษ์โกหกแม้จะรู้แก่ใจว่าตฤณพูดถูก แต่เพราะเขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะนำบทสนทนาไปทางไหน จึงไม่อยากจะพูดทุกสิ่งตามที่คิดมากนัก

ตฤณได้ยินคำตอบก็แค่นยิ้ม ทว่าไม่ได้หันหน้าหรือเหลือบตามาหา “เวลาผู้ใหญ่ถามอย่าเล่นลิ้น ถ้าเธอคิดอะไรก็ตอบมาตรงๆ ตกลงเมื่อกี้เธอรู้ใช่ไหม?”

พรพฤกษ์เม้มปาก จากนั้นจึงยอมตอบตามตรง “ครับ”

ทั้งสองเงียบไปครู่ใหญ่หลังจากนั้น พรพฤกษ์ค่อยๆ ระบายลมหายใจยาว ทำให้พบว่าเมื่อครู่ตนกลั้นหายใจไว้จนเกือบแน่นหน้าอก เมื่อหัวใจของเขาเริ่มกลับมาเต้นเป็นจังหวะปกติ หูก็เริ่มได้ยินเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะที่ดังแว่วมาจากในห้องจัดงานอีกครั้ง

“คุณตฤณ...ช่วงนี้อาการเป็นยังไงบ้างครับ?”

เมื่อเห็นแล้วว่าหากจู่ๆ ก็ขอตัวลุกหนีจะทำให้เขาดูเหมือนคนขี้ขลาด และท่าทางอีกฝ่ายก็คงไม่คิดจะปล่อยตัวเขาไปง่ายๆ พรพฤกษ์จึงทำลายความเงียบด้วยการถามก่อนบ้างเสียเลย

“ยังสบายดี น่าแปลกนะที่เธอถามขึ้นมา เพราะลูกฉันยังไม่เคยถามสักครั้ง”

คำตอบนั้นทำให้พรพฤกษ์หันไปทางคนข้างตัวทันที และพบว่าตฤณก็ยังคงนั่งหลังตรงและตามองไปข้างหน้าเช่นเดิม ดูจากท่าทางภายนอกแล้วก็ยากที่จะบอกหากเจ้าตัวมีอาการเจ็บไข้ที่คนอื่นไม่รู้

“อาจเพราะต้นเห็นคุณตฤณทุกวันอยู่แล้ว แล้วก็มัวแต่ทุ่มเทกับงานอยู่เลยไม่ทันได้ถามมั้งครับ ผมคิดว่าไม่ใช่เพราะเขาไม่สนใจพ่อของตัวเองหรอก”

พรพฤกษ์รู้ดีเพราะเคยมีประสบการณ์มาก่อน ช่วงที่เขายังทำงานที่กรุงเทพฯ และเดินทางไปเยี่ยมตาที่เชียงใหม่เป็นระยะนั้น ตาของเขาไม่เคยปริปากบอกให้รู้ว่ากำลังเป็นมะเร็งเลยสักครั้ง พรพฤกษ์จึงแค่ไถ่ถามตามปกติทั่วไปว่าไม่สบายบ้างไหมหรือว่าเจ็บข้อประสาคนแก่บ้างหรือเปล่า กว่าเขาจะรู้ว่าตาเป็นมะเร็งขั้นสุดท้ายซึ่งหมดทางจะรักษาก็หลังจากนรพัฒน์โทรมาบอก ทำให้เขาเสียใจที่ไม่เคยสังเกตให้ดีว่าก่อนหน้านั้นตาเคยมีอาการที่บ่งบอกว่าน่าจะเป็นมะเร็งหรือไม่ และทำให้เขาตัดสินใจเด็ดขาดลาออกจากงานเพื่อกลับไปดูแลผู้มีพระคุณให้ถึงที่สุด

“เธอคิดอย่างนั้นจริงๆ รึ?”

คราวนี้ตฤณหันมามองพรพฤกษ์ตรงๆ และชายหนุ่มก็สบตากลับอย่างไม่หลบเลี่ยง ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงช้าชัด

“ครับ ผมอาจจะคบต้นมาแค่ไม่กี่ปีก็จริง แต่ผมมั่นใจว่าเขาไม่ใช่คนที่จะเนรคุณแน่ หรือถ้าหากต้นละเลยคุณจริงๆ ต่อให้รักเขาแค่ไหน ผมก็จะตัดใจทิ้งเขาเหมือนกัน”

ทั้งสองจ้องตากันอย่างไม่มีใครหลบตาก่อน จากนั้นก็เป็นตฤณที่เบนสายตาไปอีกทางและลุกขึ้นก่อน

“เธออาจจะไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น”

ผู้สูงวัยทิ้งท้ายอย่างกำกวมแล้วก็เดินกลับเข้าไปข้างใน ทิ้งให้พรพฤกษ์มองตามอย่างงุนงงกับประโยคที่ได้ยิน หลังจากอีกฝ่ายคล้อยหลังไปไม่นานและพรพฤกษ์กำลังจะตามเข้าไปบ้าง ตระการก็เดินเร็วๆ ออกมาหาจนทั้งสองเกือบจะชนกัน

“ไผ่! ต้นโทรไปก็ไม่รับ ขึ้นไปดูบนห้องก็ไม่เจอ มาทำอะไรอยู่แถวนี้น่ะ?”

พอตระการทักขึ้น พรพฤกษ์จึงเอามือตบไปตามกระเป๋าเสื้อกับกระเป๋ากางเกง ทำให้นึกขึ้นได้ว่าคงจะลืมโทรศัพท์ไว้บนห้องเพราะเสียบปลั๊กชาร์จแบตเตอรีไว้ตั้งแต่ช่วงบ่าย

“ขอโทษที สงสัยจะลืมเอามือถือลงมา แล้วนี่ต้นถ่ายรูปเสร็จแล้วเหรอ?”

ตระการส่ายหน้า จากนั้นก็ดึงแขนพรพฤกษ์ให้กลับไปนั่งที่ม้านั่งซึ่งเขาเพิ่งจะลุกมาหยกๆ “ต้นขอตัวออกมาก่อน โชคดีว่าพ่อเดินเข้าไปแล้วบอกว่าไผ่อยู่นี่ ตอนนี้ทุกคนก็คงถ่ายรูปกับพ่ออยู่ ก็ดีแล้วล่ะ เขาน่าจะอยากถ่ายกับท่านประธานตัวจริงกันมากกว่า”

ตระการเอ่ยพลางใช้มือข้างที่ไม่ได้จับมือพรพฤกษ์เอาไว้คลายเนคไทบนคอ พรพฤกษ์มองเสี้ยวหน้าที่ดูอิดโรยเล็กน้อยแล้วก็เขย่ามืออีกฝ่ายเบาๆ

“เมื่อกี้...พ่อของต้นเขามานั่งคุยด้วยนะ”

ตระการชะงักมือแล้วก็หันมาขมวดคิ้วทันที “พ่อมาคุยกับไผ่? คุยอะไรบ้าง? ไม่ได้ว่าอะไรไผ่ใช่ไหม?”

พรพฤกษ์ยิ้มแล้วส่ายหน้า “เปล่า แค่คุยถามเรื่องทั่วไปเฉยๆ ไม่ได้พูดอะไรไม่ดีเลยสักคำ”

ตระการยังทำหน้าไม่เชื่อ พรพฤกษ์จึงกลอกตาก่อนจะยกมือขึ้นบีบจมูกอีกฝ่ายเบาๆ “บอกว่าไม่ได้พูดอะไรไม่ดีจริงๆ ไง อย่ามองพ่อตัวเองว่าต้องร้ายตลอดเวลาแบบนั้นสิ เรื่องแบบนี้ไม่โกหกกันหรอกน่า”

“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็แล้วไป...ต้นไม่อยากให้คนสำคัญของต้นทั้งสองคนมีปัญหากัน”

ตระการเอ่ยพลางรวบเอวพรพฤกษ์ไปกอดแล้วซบหน้าลงบนไหล่ พรพฤกษ์จึงยกมือหนึ่งอ้อมไปโอบไหล่กว้างไว้แล้วแนบแก้มลงบนขมับอีกฝ่าย จากนั้นก็ใช้ปลายนิ้วสางผมตรงท้ายทอยให้เบาๆ

“ไม่ต้องคิดมากหรอกต้น ไม่ใช่ว่าเขาไม่ถูกชะตาด้วยแล้วจะต้องโดนเย็นชาใส่ไปตลอดนี่ บางทีพอไม่ได้เจอกันนานๆ คุณตฤณก็เลยเริ่มปลงได้แล้วล่ะมั้ง?”

พรพฤกษ์พูดเรื่อยๆ โดยไม่ได้คิดอะไรมากเพื่อให้คนฟังคลายใจ แต่ดูเหมือนคำพูดของเขาจะตรงกับสิ่งที่ตระการกำลังคิดอย่างจัง ร่างสูงใหญ่จึงโอบเอวผอมแน่นขึ้น

“แล้วถ้าหากพ่อเขาปลงได้จริงๆ ล่ะ? ไผ่จะยอมมาอยู่กับต้นเสียทีได้หรือยัง?”

คำถามนั้นทำให้พรพฤกษ์เงียบไป นี่อาจเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เขากลับไปเชียงใหม่ที่ตระการถามเรื่องนี้ตรงๆ โดยไม่ยกข้ออ้างล้านแปดมาโน้มน้าวให้เขาเห็นดีกับการย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ และยังเป็นการถามโดยยกเงื่อนไขข้อใหญ่ที่สุดมาใช้อีกด้วย

แต่ว่าคนที่เป็นเงื่อนไข...จะพร้อมอ่อนข้อให้พวกเขาทั้งคู่แล้วจริงล่ะหรือ...

“...อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้กันเลยต้น คอยดูไปเรื่อยๆ ก่อนดีกว่า อย่างน้อยถึงไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่เราก็ยังได้เจอกันทุกอาทิตย์นี่นา”

คำตอบนั้นทำให้คนถามเพียงแต่ถอนหายใจแล้วก็ไม่พูดอะไรอีก ตระการเพียงแต่กอดพรพฤกษ์เงียบๆ และพรพฤกษ์ก็ปล่อยให้อีกฝ่ายซบบ่าเงียบๆ อยู่อย่างนั้น ต่างฝ่ายต่างคิดถึงวันคืนนับตั้งแต่ที่เริ่มคบกันมา ความสัมพันธ์ทางไกลที่กำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบัน รวมทั้งวันข้างหน้าที่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรต่อไปหรือว่าจะได้อยู่ด้วยกันจริงๆ เมื่อไหร่ แล้วก็ต่างไม่รู้จะคุยอะไรต่อนอกจากให้กำลังใจกันผ่านการยืนยันว่าทั้งสองยังอยู่เคียงข้างกันในนาทีนี้

ท่ามกลางไอเย็นของอากาศยามค่ำคืนและแสงดาวที่กะพริบตัดกับผืนฟ้าที่ทวีความเข้มจนลึกล้ำ ทั้งพรพฤกษ์และตระการที่นั่งคู่กันบนม้านั่งต่างไม่รู้เลยว่ามีใครคนหนึ่งยืนฟังบทสนทนาของพวกเขาอยู่ในมุมมืดหลังประตูที่เชื่อมต่อระหว่างห้องจัดงานกับเทอเรซอยู่เป็นนาน และสิ่งที่ได้ยินรวมทั้งภาพที่เห็นก็ทำให้คนคนนั้นตัดสินใจบางสิ่งได้ และครู่หนึ่งก็เดินย้อนกลับเข้าไปภายในห้องจัดงานด้วยแววตาของผู้ที่ยอมรับความจริงได้ในที่สุด


++---tbc---++

 :bye2:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 1/11/2011* หน้า 13 (ก็ยังไม่จบ!!)
เริ่มหัวข้อโดย: Little Devil ที่ 11-01-2011 16:23:37
จะมีความสุขแล้ว
+1
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 1/11/2011* หน้า 13 (ก็ยังไม่จบ!!)
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 11-01-2011 18:08:55
คงเป็นคุณตฤณนะที่มาแอบฟัง(ไม่รู้โดยตั้งใจหรือไม่)น่ะ
และหวังว่าสิ่งที่ตัดสินใจทำคราวนี้
คงเป็นสิ่งดีๆสำหรับต้นกับไผ่นะคะ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 1/11/2011* หน้า 13 (ก็ยังไม่จบ!!)
เริ่มหัวข้อโดย: evilheart ที่ 11-01-2011 20:15:56
หวังว่าคนที่แอบฟังอยู่จะเป็นพ่อสามีนะ(http://i273.photobucket.com/albums/jj225/tangtang_jar/014-1.gif)
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 1/11/2011* หน้า 13 (ก็ยังไม่จบ!!)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 12-01-2011 09:20:56
^
^
มารอลุ้นกันอาทิตย์หน้านะค้า หุหุหุ  :really2:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 1/11/2011* หน้า 13 (ก็ยังไม่จบ!!)
เริ่มหัวข้อโดย: kakuro ที่ 12-01-2011 09:42:06
 :กอด1:คุณริน
สัญญานะจันทร์หน้าเจอกัน อิอิ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 1/11/2011* หน้า 13 (ก็ยังไม่จบ!!)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 12-01-2011 09:50:21
^
^
เจี๊ยกกก จันทร์ หรือ อังคารแล้วกันนะค้า คุณ kakuro (ขอเชลยต่อรองเวลาเพิ่ม 24 ชั่วโมงน้า 5555)  :z2:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 1/11/2011* หน้า 13 (ก็ยังไม่จบ!!)
เริ่มหัวข้อโดย: mumoo ที่ 13-01-2011 14:57:09
เพิ่งเคยอ่านเรื่องนี้ค่ะ สนุกมากกกก!!!
ต้องขอบคุณคนที่ขุดขึ้นมาอ่านจริงๆที่ทำให้คุณคนเขียนท่านมาต่อให้จนเห็นแววว่าจะได้อ่านจนจบ(^/l\^)
เพราะยิ่งอ่านยิ่งลุ้น อยากเอาใจช่วยให้ความรักของคนคู่นี้ก้าวผ่านอุปสรรคได้ในที่สุด (อินจนน้ำตาไหลคลอแทบจะตลอดการอ่าน)
ปล.ที่สำคัญที่สุด ดีใจที่เจอคนเกิดปี1981 เหมือนกัน กรี๊ดดดด~!! สมาคมผู้สูงอายุยินดีต้อนรับคร่า (แต่ไม่อยากบอกว่า...เค้าเกิดค่อนข้างต้นๆปีอะ เค้าแก่กว่าหรอเนี่ยTT^TT)
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 1/11/2011* หน้า 13 (ก็ยังไม่จบ!!)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 13-01-2011 17:40:25
เพิ่งเคยอ่านเรื่องนี้ค่ะ สนุกมากกกก!!!
ต้องขอบคุณคนที่ขุดขึ้นมาอ่านจริงๆที่ทำให้คุณคนเขียนท่านมาต่อให้จนเห็นแววว่าจะได้อ่านจนจบ(^/l\^)
เพราะยิ่งอ่านยิ่งลุ้น อยากเอาใจช่วยให้ความรักของคนคู่นี้ก้าวผ่านอุปสรรคได้ในที่สุด (อินจนน้ำตาไหลคลอแทบจะตลอดการอ่าน)
ปล.ที่สำคัญที่สุด ดีใจที่เจอคนเกิดปี1981 เหมือนกัน กรี๊ดดดด~!! สมาคมผู้สูงอายุยินดีต้อนรับคร่า (แต่ไม่อยากบอกว่า...เค้าเกิดค่อนข้างต้นๆปีอะ เค้าแก่กว่าหรอเนี่ยTT^TT)

แหะๆ เวลาย้อนกลับไปดูวันที่เริ่มโพสต์เมื่อไหร่ก็เขินทุกทีเลยค่ะ ต้องขอบคุณคนอ่านที่คอยทวงจริงๆ ที่ทำให้ขุดเรื่องนี้มาเขียนต่อ ขอบคุณคุณ mumoo ที่มาติดตามด้วยนะคะ

สำหรับปีเกิด มานเป็นเพียงตัวเลขขขขค่ะ ตอนนี้ท่องแบบนี้ตลอดเวลาโดนถามอายุ 55555   :mc4:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 1/11/2011* หน้า 13 (ก็ยังไม่จบ!!)
เริ่มหัวข้อโดย: mumoo ที่ 14-01-2011 19:31:50
เข้ามารอคร่า+ดันด้วย^^
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 1/11/2011* หน้า 13 (ก็ยังไม่จบ!!)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 17-01-2011 10:05:57
ถ้าสมมุติว่า หมดปัญหาเรื่องของพ่อแล้ว มันจะเจอปัญหาเกี่ยวกับการตัดสินของไผ่อีกหรือเปล่า  :z10:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 18/01/2011* หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 18-01-2011 21:10:22
หลังจากโดนทวงแล้วโดนทวงอีก ก็มาลงเสียทีค่ะ เล่นเอาไมเกรนพุ่งเลย (จริงๆ ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แค่เกือบๆ ก๊ากกก)  :laugh:

++------++

32.

เสียงของไดร์เป่าผมในห้องน้ำปลุกให้ร่างบนเตียงที่ใส่กางเกงขายาวตัวเดียวค่อยๆ ตื่นจากการหลับใหล ตระการปรือตาขึ้นพลางหันไปมองที่ข้างตัวและพบเพียงความว่างเปล่า มือใหญ่จึงยกขึ้นขยี้ตาเบาๆ และดันตัวเองขึ้นจากเตียง ชายหนุ่มเดินไปหยุดยืนกอดอกพิงกรอบประตูห้องน้ำพลางดูคนที่กำลังยืนอยู่หน้ากระจก

พรพฤกษ์ที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วและกำลังเป่าผมอยู่ยิ้มเมื่อเห็นตระการยิ้มบางๆ ให้ จนกระทั่งเขารู้สึกว่าผมหมาดพอสมควรจึงปิดไดร์และเสียบเข้าที่เก็บ ตระการจึงเดินเข้าไปใกล้แล้วก็สางนิ้วเข้าในผมอีกฝ่ายเบาๆ

“ไผ่รีบตื่นทำไมเนี่ย? วันนี้เราไม่ได้อยู่บ้านนฤมิตรกันสักหน่อย”

คนถูกถามย่นจมูก “ก็คนมันตื่นเวลานี้ประจำอยู่แล้วนี่ ถ้าต้นง่วงก็ไปนอนต่อสิ”

ตระการยกมือปิดปากหาวแต่ก็ส่ายหน้า “ไม่เอาล่ะ ตื่นแล้วก็ตื่นเลย ถึงให้นอนต่อตอนนี้ก็คงไม่หลับง่ายๆ หรอก”

ร่างสูงเอ่ยพลางหันไปหยิบแปรงขึ้นมาบีบยาสีฟันใส่ และเนื่องจากบริเวณอ่างล้างหน้าซึ่งทำจากหินอ่อนนั้นเป็นเคาน์เตอร์ที่มีพื้นที่กว้างพอสมควร พรพฤกษ์จึงดันตัวขึ้นไปนั่งห้อยขาและเอนหลังพิงกระจก แต่ว่าไม่ได้ชวนคุยและเพียงแต่ดูตระการล้างหน้าแปรงฟันไปเงียบๆ ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่เขาทำไม่ได้เวลาอยู่ที่บ้านนฤมิตรเพราะห้องน้ำเล็กกว่าที่นี่มาก

วันนี้เป็นวันอาทิตย์หลังจากงานเลี้ยงครบรอบและฉลองผลประกอบการของสุวรรณฤทธิ์ เมื่อคืนหลังจากที่งานเลิกแล้วตระการกับพรพฤกษ์ไปนั่งดื่มกันที่บาร์บนดาดฟ้าต่ออีกหน่อยก่อนจะกลับมาที่ห้องพัก และเพราะพรพฤกษ์มีกำหนดเช็คเอ๊าท์และบินกลับในเช้าวันจันทร์ ดังนั้นวันนี้จึงเป็นวันว่างของทั้งคู่

พรพฤกษ์หยิบมีดโกนหนวดส่งให้เมื่อเห็นตระการฉีดโฟมแล้วโปะลงบนหน้า จากนั้นก็ชันเข่าข้างหนึ่งขึ้นกอด เขามองจนกระทั่งตระการโกนหนวดเสร็จและล้างหน้าแล้ว คนถูกมองจึงเลิกคิ้ว

“หน้าต้นมีอะไรเหรอ?”

“เปล่า...ก็แค่อยากมองเฉยๆ ไม่ได้หรือไง?”

ตระการเห็นรอยยิ้มล้อเลียนของคนตอบ จึงยิ้มบ้างขณะหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กขึ้นซับหน้า

“ทำไมจะไม่ได้ ถ้าไผ่จะทำมากกว่ามองก็ไม่ว่าหรอก ว่าแต่อยากอาบน้ำกับต้นอีกรอบหรือเปล่า? เพราะคราวนี้ต้นไม่ยอมให้ดูเฉยๆ แล้วนะ”

พรพฤกษ์เห็นท่าไม่ดีเพราะประกายตาวิบวับของคนพูด จึงเลื่อนตัวลงจากอ่างล้างหน้าแล้วก็เดินไปที่ประตู “อาบเสร็จแล้วจะอาบซ้ำอีกทำไมล่ะ เชิญอาบไปคนเดียวก็แล้วกัน”

ชายหนุ่มได้ยินเสียงหัวเราะจากอีกฝ่ายหลังปิดประตูห้องน้ำตามหลัง มุมปากบางยกยิ้มน้อยๆ อย่างระอาก่อนจะเดินไปนั่งลงบนเตียงและหยิบรีโมทมาเปิดโทรทัศน์

รายการยามเช้าของวันอาทิตย์มีทั้งละคร รายการสำหรับเด็กและข่าว พรพฤกษ์ชะงักมือที่กำลังกดเปลี่ยนช่องเมื่อเห็นว่ารายการหนึ่งฉายภาพงานเลี้ยงของสุวรรณฤทธิ์ในค่ำคืนที่ผ่านมา แต่ว่าตัดต่อมาเพียงช่วงที่ตระการขึ้นพูดบนเวทีและช่วงที่แขกเหรื่อถ่ายรูปกับตฤณที่ซุ้มด้านหน้า จากนั้นก็ตัดไปที่ข่าวของงานอื่นภายในเวลาสั้นๆ เหมือนแค่สรุปเหตุการณ์ให้คนดูเท่านั้น

พ่อลูกคู่นี้หน้าตาคล้ายกันจริงๆ...

พรพฤกษ์คิดในใจพลางกดรีโมทไปเรื่อยอย่างไม่ใส่ใจดูอะไรเป็นเรื่องราว สักพักก็กดปิดโทรทัศน์แล้วเอนหลังลงบนเตียง พลันบทสนทนากับตฤณเมื่อคืนก็วนกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง

“เธออาจจะไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น”

ประโยคที่ตฤณพูดหลังจากที่เขาบอกว่าจะไม่ยอมอยู่กับตระการต่อไปหากฝ่ายนั้นทิ้งพ่อตัวเองทำให้พรพฤกษ์สับสน อาจเพราะระหว่างเขากับผู้สูงวัยไม่เคยมีความทรงจำที่ดีต่อกันตั้งแต่แรก การที่ทั้งสองสนทนากันได้อย่างค่อนข้างปกติเมื่อคืนจึงนับว่าน่าแปลกใจมากแล้ว แต่ว่าพรพฤกษ์ก็ยังไม่ต้องการจะคิดเข้าข้างตัวเองว่านั่นเป็นสัญญาณว่าตฤณยอมรับเรื่องของเขากับตระการได้ เพราะการพบกันนานๆ ครั้งย่อมไม่เหมือนกับการที่ต้องอยู่ร่วมบ้านเดียวกันทุกวันอย่างแน่นอน

หรือต่อให้ตฤณยอมรับได้จริงก็ตาม...เขาพร้อมแล้วหรือเปล่าที่จะย้ายมาอยู่กับตระการที่นี่?

ชายหนุ่มนอนมองเพดานพลางใช้ความคิดไปเรื่อยๆ ครู่ใหญ่ตระการก็เดินออกมาจากห้องน้ำในเสื้อคลุมสีขาว ร่างสูงใหญ่เห็นคนที่ทำท่าใจลอยอยู่บนเตียงจึงเดินไปนั่งลงใกล้ๆ

“คิดอะไรอยู่?”

พรพฤกษ์เหลือบตาขึ้นมองตระการที่ก้มลงหา จากนั้นก็ส่ายหน้า “พอดีโทรทัศน์ไม่มีอะไรดูก็เลยนอนคิดอะไรเล่นไปเรื่อยน่ะ วันนี้ต้นมีโปรแกรมจะทำอะไรหรือเปล่า?”

ตระการยกผ้าขนหนูที่วางอยู่รอบคอขึ้นขยี้ผมที่ชุ่มน้ำพลางทำท่าคิด “ไม่รู้สิ เพราะปกติพอถึงวันหยุดต้นก็ขึ้นไปเชียงใหม่ทุกทีนี่นา ไผ่อยากไปไหนหรือเปล่าล่ะ?”

พรพฤกษ์ยันตัวขึ้นนั่งเอนหลังพิงหมอน นัยน์ตาสีนิลเหลือบมองท้องฟ้าภายนอกที่มีเพียงเมฆบางเบาแล้วก็เอ่ยขึ้น

“ไหนๆ มากรุงเทพฯ แล้วก็ไม่อยากอยู่แต่ในโรงแรมน่ะ ท่าทางวันนี้อากาศจะดีด้วย แต่ก็ไม่รู้ว่าอยากไปไหนเหมือนกัน”

ตระการทำเสียงในคอเหมือนกำลังใช้ความคิดขณะหยิบกางเกงยีนส์กับเสื้อยืดแขนสั้นออกจากตู้ พลันนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มก็เป็นประกายเมื่อนึกอะไรออก หลังสวมเสื้อผ้าแล้วจึงเดินกลับไปฉุดแขนพรพฤกษ์ที่นั่งอยู่บนเตียงให้ลุกขึ้น

“นึกออกแล้วว่าจะไปไหน ความจริงมันก็ยังไม่ค่อยเรียบร้อยหรอก แต่ไผ่อุตส่าห์มาทั้งทีต้นก็พาไปดูเลยดีกว่า เดี๋ยวกินข้าวเช้าแล้วเราไปกันเลย”

พรพฤกษ์เลิกคิ้วอย่างงุนงง แต่ว่าก็ไม่ได้ถามเซ้าซี้และเพียงแต่ตามอีกฝ่ายลงไปที่ห้องอาหาร หลังจากทานมื้อเช้าแบบบุฟเฟต์กันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตระการก็ขับรถพาเขาออกจากโรงแรมไปยังเส้นทางที่มุ่งออกย่านชานเมือง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพาเขาออกนอกเขตกรุงเทพฯ พรพฤกษ์จึงค่อยหันไปถามอย่างสงสัย

“นี่เราจะไปไหนกันน่ะ?”

“ไปดูหมู่บ้านทาวน์เฮ้าส์ที่ปทุมฯ อันนี้เป็นโครงการล่าสุดที่ต้นเพิ่งลงทุนไป ตอนนี้ก็สร้างเสร็จไปประมาณเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์แล้วล่ะ”

คำอธิบายนั้นช่วยให้พรพฤกษ์กระจ่างว่าตนกำลังถูกพาไปไหน หลังจากเริ่มเข้าเขตอำเภอเมือง ตระการก็หักเลี้ยวรถจากถนนใหญ่เข้าไปในซอยที่ดูเหมือนทางเข้าหมู่บ้านเพราะมียามมาเลื่อนที่กั้นให้ ทว่าพรพฤกษ์ให้รู้สึกประหลาดใจที่ไม่เห็นป้ายทางเข้าหมู่บ้านอยู่ตรงไหนเลย

“ไหนบอกว่าทำเสร็จไปเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์แล้วไงต้น? ทำไมแม้แต่ป้ายชื่อหมู่บ้านก็ไม่มีล่ะ?”

คำถามนั้นทำให้ตระการหันมายิ้ม “ก็ต้นพาเข้าด้านหลังนี่นา ถ้าทางด้านหน้าหมู่บ้านล่ะก็ตกแต่งเสร็จหมดแล้ว แต่เดี๋ยวค่อยออกไปดูกันตอนขากลับดีกว่า”

พรพฤกษ์ไม่เข้าใจว่าทางเข้าด้านหน้ามีอะไรพิเศษนักหนาถึงต้องเก็บไว้ดูทีหลัง แต่ก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายคงอยากให้เขาได้ตื่นเต้นกับความสำเร็จล่าสุดจึงไม่ได้ถาม พอเข้าไปถึงส่วนที่น่าจะเป็นใจกลางของหมู่บ้าน ตระการก็ชี้ให้ดูบ้านหลังหนึ่งแล้วอธิบาย

“ปกติพ่อของต้นเขาจะชอบทำหมู่บ้านใหญ่ๆ กับคอนโดในเมืองที่เน้นรองรับคนมีเงิน แต่ต้นคิดว่าตลาดบ้านสำหรับคู่แต่งงานใหม่แล้วก็ครอบครัวขนาดเล็กกำลังโตก็เลยเสนอโครงการนี้ขึ้นมา ของที่นี่ก็ถูกจองหมดทุกยูนิตแล้ว กำลังคิดว่าอาจจะเปิดโครงการสองเร็วๆ นี้ แต่กำลังดูอยู่ว่าจะสร้างที่ไหน”

ตระการเอ่ยพลางขับรถวนไปรอบหมู่บ้าน ทำให้ได้เห็นบ้านที่ตกแต่งเสร็จและมีคนย้ายเข้าแล้ว ขณะที่บางหลังยังว่างโล่งเหมือนรอคนย้ายเข้าอาศัย และบางหลังก็ยังมีคนงานกำลังทาสีหรือตกแต่งส่วนอื่นๆ อยู่โดยรอบ

พรพฤกษ์มองตระการขณะชี้ชวนให้ดูบ้านแบบต่างๆ แล้วก็ยิ้ม อาจเพราะเวลาอีกฝ่ายไปหาเขาที่เชียงใหม่ ตระการจะทิ้งเรื่องงานไว้ที่กรุงเทพฯ และพูดถึงน้อยมาก เขาจึงไม่เคยเห็นภาพว่าอีกฝ่ายทำอะไรไปบ้างเหมือนอย่างตอนนี้

“ต้นเป็นคนมีหัวเรื่องธุรกิจนะ รู้ตัวหรือเปล่า?”

พรพฤกษ์เอ่ยหลังจากที่นั่งรถชมรอบหมู่บ้านกันได้พักใหญ่ ตระการจึงหันมายิ้มให้

“ไผ่คิดแบบนั้นเหรอ?”

“ก็ต้องอย่างนั้นสิ ผลงานเมื่อปีที่ผ่านมาก็ฝีมือต้นทั้งนั้นนี่ ถ้าหากไม่คิดนอกกรอบจากที่พ่อเขาเคยคิดไว้ก็คงทำไม่ได้ขนาดนี้หรอก”

ตระการยิ้มกว้างขึ้น จากนั้นก็คว้าข้อมือพรพฤกษ์ข้างที่สวมสร้อยเงินไว้แล้วดึงไปจูบเบาๆ

“ถ้าไม่ใช่เพราะไผ่ ต้นก็คงมาไม่ถึงตรงนี้เหมือนกัน”

พรพฤกษ์ยิ้มบ้าง เพราะเขารู้ดีว่าตระการหมายความตามที่พูดจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าความมุ่งมั่นเพื่อให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นที่ยอมรับจะสร้างแรงผลักดันให้อีกฝ่ายได้มากถึงขนาดนี้ และตระการก็ทำได้ดีเยี่ยมจนเขาพลอยดีใจไปด้วย

และหากว่าไม่ใช่เพราะตระการ...เขาก็คงยังไม่รู้จักความสุขเช่นที่มีอยู่ในทุกวันนี้เช่นกัน...

ไม่กี่นาทีถัดมา ตระการก็ขับรถมาถึงด้านหน้าหมู่บ้านซึ่งเคยบอกว่าจะให้พรพฤกษ์ดูก่อนกลับ ประตูทางเข้าถูกออกแบบให้เป็นสองช่องทางสำหรับรถเข้าออกโดยมีเกาะกลางถนนกั้นเป็นแนวและมีน้ำพุตรงกลาง ยามที่นั่งเฝ้าในป้อมด้านหน้าจำตระการได้จึงรีบตะเบ๊ะต้อนรับและให้ชายหนุ่มจอดรถริมถนนใกล้ทางเข้าตามที่ต้องการ พรพฤกษ์เห็นว่าตระการดับเครื่องและลงจากรถจึงเดินตามลงไปบ้าง จนเมื่อได้เห็นป้ายชื่อซึ่งอยู่เหนือทางเข้าถนัดตา ชายหนุ่มก็สะดุดลมหายใจตัวเอง

‘หมู่บ้านนฤมิตรา”

สิ่งที่ทำให้พรพฤกษ์ตะลึงไม่ใช่ชื่อหมู่บ้านที่ชวนให้คิดถึงเกสต์เฮ้าส์ของเขาเท่านั้น ทว่าที่ทำให้เขายิ่งพูดอะไรไม่ออกมากขึ้นคืออาคารสำนักงานติดต่อซึ่งอยู่เยื้องไปจากทางเข้า อาคารไม้กึ่งปูนที่มีสวนดอกไม้รายล้อมอาจต่างจากบ้านของเขาเนื่องจากมีเพียงสองชั้นในขณะที่ของเขามีสี่ชั้น แต่ไม่ว่าจะรูปแบบหรือสีสันก็ต่างดูแล้วทำให้เขานึกถึงบ้านนฤมิตรทั้งนั้น

“เป็นไง? ไผ่ว่าเหมือนต้นแบบที่เชียงใหม่มั้ย? นี่ต้นให้เขาดูจากรูปถ่ายกับอธิบายเอาเท่านั้นเองนะ”

พรพฤกษ์หันไปมองคนถามแต่พูดอะไรไม่ออก ตระการจึงยิ้มให้แล้วก็บีบมือเขาเบาๆ จากนั้นก็ผละไปคุยกับยามก่อนจะเดินกลับมาหา

“พอดีวันนี้พวกเจ้าหน้าที่ไม่มาทำงาน แต่ต้นขอกุญแจสำรองจากยามมาแล้ว เข้าไปดูข้างในกันเถอะ”

พรพฤกษ์ได้แต่เดินตามอีกฝ่ายโดยไม่รู้จะพูดอะไร ยิ่งเมื่อเห็นด้านในอาคารก็ยิ่งอึ้งมากขึ้น เพราะแม้แต่สีและการจัดวางก็ยังดูแล้วแทบจะเหมือนยกบ้านนฤมิตรมาตั้งไว้ที่นี่ หากไม่ใช่เพราะเฟอร์นิเจอร์ที่ดูใหม่กว่าและโต๊ะทำงานซึ่งมีคอมพิวเตอร์ตั้งอยู่ เขาอาจจะเผลอนึกว่ากำลังอยู่ในบ้านนฤมิตรไปแล้ว เพราะแม้แต่เคาน์เตอร์ด้านในซึ่งเป็นจุดที่เขาชอบนั่งทำงานก็ยังลอกแบบมาอย่างไม่ผิดเพี้ยน

“ขอโทษนะที่ต้นเอาแบบกับชื่อมาใช้โดยไม่ปรึกษาก่อน”

หลังจากปล่อยให้เขาสำรวจภายในเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง ตระการที่ยืนล้วงกระเป๋าอยู่มุมหนึ่งของห้องก็เอ่ยขึ้น พรพฤกษ์จึงหันไปหาแล้วก็ส่ายหน้า

“เรื่องนั้นไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่...นี่นึกยังไง?”

ร่างสูงใหญ่ยิ้มพลางมองไปรอบๆ ห้องรับแขก “ช่วงที่เริ่มคิดโครงการนี้ต้นอยากให้มีอะไรที่เป็นตัวแทนของไผ่ได้บ้าง ก็เลยได้ความคิดว่าจะตั้งชื่อหมู่บ้านตามชื่อสถานที่ที่ต้นชอบที่สุด ตอนแรกถึงกับปรึกษาบริษัทออกแบบว่าจะสร้างบ้านทุกหลังให้ออกมาเหมือนบ้านนฤมิตรเลยด้วยซ้ำ แต่โดนติงกลับมาว่าอาจจะทำให้ขายออกยาก สุดท้ายต้นเลยให้ทำอาคารสำนักงานด้านหน้าเป็นแบบที่อยากได้แทน แล้วก็กะว่าสำหรับโครงการอื่นในอนาคตก็จะทำอาคารสำนักงานให้เป็นแบบนี้หมดเหมือนกัน”

พรพฤกษ์ฟังแล้วก็สบตาตระการเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หมุนตัวแล้วเดินไปที่หลังเคาน์เตอร์ ตรงนั้นไม่มีโน้ตบุ๊คเครื่องประจำของเขาก็จริง แต่ไม่ว่าจะสีของไม้ที่นำมาทำเคาน์เตอร์หรือแม้แต่เก้าอี้ก็ล้วนไม่ต่างจากที่เขาใช้ที่เชียงใหม่สักนิด

ชายหนุ่มรู้สึกว่าขอบตาร้อนผ่าวขึ้น แม้จะรู้ดีอยู่แล้วว่าที่ตระการทำงานหนักก็เพราะเขา แต่เมื่อได้มาเห็นว่าผลงานล่าสุดของอีกฝ่ายนั้นทำขึ้นเพื่ออุทิศให้เขาโดยเฉพาะ ความตื้นตันก็แล่นขึ้นมาจนแน่นไปทั้งอก

“นี่ถ้าบอกให้รู้กันก่อน...อาจจะยอมให้พวกสถาปนิกเขาได้ไปดูบ้านนฤมิตรเป็นตัวอย่างก็ได้ บ้าจริงๆ เลย”

พรพฤกษ์ท้วงขึ้นยิ้มๆ ทั้งที่ขอบตาสองข้างแดงก่ำ ตระการจึงเดินเข้าไปหาแล้วก็รวบตัวอีกฝ่ายไว้ในอ้อมกอด

“ขอโทษที ตอนนั้นต้นกลัวว่าบอกไปแล้วไผ่จะไม่ยอมนี่นา แต่ตอนนี้ทุกอย่างก็เสร็จแล้ว ต้นเลยอยากให้ไผ่ได้มาเห็น”

ตระการเอ่ยพลางจรดริมฝีปากลงบนขมับของคนในอ้อมแขน พรพฤกษ์จึงเงยหน้าขึ้นยิ้มแล้วสอดแขนกอดอีกฝ่ายตอบ

“ขอบคุณนะต้น”

ขอบคุณจริงๆ ที่คิดถึงเขามากขนาดนี้...


++------++


ทั้งสองนั่งเล่นในอาคารสำนักงานกันพักใหญ่ จนกระทั่งเข็มนาฬิกาชี้บอกว่าเป็นเวลาอาหารกลางวันจึงออกไปทานข้าวที่ร้านอาหารใกล้หมู่บ้าน จากนั้นตระการก็ขับรถพาพรพฤกษ์ไปไหว้พระและเดินเที่ยวตลาดน้ำที่อยุธยาในช่วงบ่าย ความที่วันนี้เป็นวันอาทิตย์ทำให้มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติพลุกพล่านในทุกที่ที่ทั้งสองไป แต่ทั้งสองก็ไม่ได้บ่นและต่างทำตัวกลมกลืนไปกับเหล่านักท่องเที่ยวโดยไม่ได้รู้สึกรำคาญแต่อย่างใด

ตลอดเวลาที่ได้เที่ยวด้วยกัน ทั้งพรพฤกษ์ทั้งตระการต่างตระหนักว่าเวลาที่พวกเขาได้ใช้ร่วมกันนั้นแม้จะน้อยแต่ก็มีค่า ดังนั้นจึงไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องขี้ปะติ๋วอย่างอากาศที่ร้อนหรือการต้องเสียเวลาหาที่จอดรถ และต่างไม่พะวงว่าเมื่อวันจันทร์มาถึงพวกเขาก็ต้องแยกกันอีก แต่พยายามใช้เวลาที่ได้อยู่ด้วยกันให้มีความสุขที่สุดเพื่อชดเชยที่จะไม่ได้เจอกันไปอีกหนึ่งสัปดาห์

วันนั้นกว่าตระการจะขับรถกลับเข้ากรุงเทพฯ ก็เมื่อเกือบจะหมดแสงสุดท้ายของวัน โดยทั้งคู่ตั้งใจกันว่าจะกลับไปทานมื้อเย็นที่ร้านอาหารแถวๆ โรงแรม ระหว่างทางกลับตระการแวะจอดรถที่ปั๊มเพื่อเติมน้ำมันและเข้าห้องน้ำ แต่ว่าพรพฤกษ์ไม่ได้ลงไปด้วยและนั่งรออยู่ในรถ

ช่วงเย็นวันอาทิตย์มีรถมาแวะจอดมากมายเนื่องจากผู้คนต่างมุ่งหน้ากลับเข้ากรุงเทพฯ พรพฤกษ์จึงไม่ค่อยแปลกใจว่าตระการคงต้องรอคิวค่อนข้างนาน ระหว่างที่นั่งรอโดยทอดสายตามองผู้คนที่เดินผ่านไปมา ชายหนุ่มก็สะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงโทรเข้าจากมือถือของตระการซึ่งวางไว้หน้ารถ แล้วก็ให้แปลกใจเมื่อหยิบเครื่องมาดูและเห็นว่าใครโทรมา

คุณตฤณ...

พรพฤกษ์เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ เพราะปกติแล้วตฤณแทบจะไม่โทรหาตระการในวันหยุดเพราะถือว่านั่นเป็นเวลาส่วนตัวที่ตระการเลือกจะใช้ร่วมกับเขา อีกอย่างผู้สูงวัยก็เพิ่งจะเจอพวกเขาไปเมื่อคืน จึงไม่น่าจะมีเหตุจำเป็นให้ต้องโทรมาหาในเย็นวันอาทิตย์แบบนี้

หรือว่าจะมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้น...

จู่ๆ ภาพเสี้ยวหน้าด้านข้างของตฤณตอนที่คุยกับเขาเมื่อคืนนี้ก็วาบเข้ามาในหัว พรพฤกษ์จึงตัดสินใจกดรับโทรศัพท์แทนตระการทันที เพราะหากมีเรื่องอะไรร้ายแรงจริงๆ เขาก็คงจะเพิกเฉยไม่ได้แน่

“ฮัลโหล?”

“ต้น? ไม่สิ...ไผ่รึ?”

“ต้นเข้าห้องน้ำอยู่ครับ คุณตฤณมีเรื่องอะไรด่วนหรือเปล่าครับ หรือว่าอาการกำเริบ?”

พรพฤกษ์รีบถามกลับโดยไม่ทันฉุกคิดว่านี่เป็นครั้งแรกที่ผู้สูงวัยเรียกเขาด้วยชื่อ ไม่ใช่สรรพนามอันห่างเหินว่า ‘เธอ’ เหมือนเช่นทุกครั้ง

“เปล่า ฉันสบายดี ถ้าต้นมาเมื่อไหร่บอกว่าเย็นนี้ให้เข้ามากินข้าวที่บ้านด้วย”

เมื่อจบประโยคตฤณก็วางสายทันที พรพฤกษ์จึงได้แต่มองหน้าจออย่างงุนงง ตระการที่กลับเข้ามานั่งในรถเหลือบเห็นว่าพรพฤกษ์กำลังถือโทรศัพท์ของเขาจึงถามขึ้น “มีคนโทรมาเหรอไผ่?”

พรพฤกษ์พยักหน้าขณะยื่นมือถือคืนให้เจ้าของ นัยน์ตาสีนิลยังฉายแววประหลาดใจไม่หาย “...คุณตฤณโทรมา บอกว่าให้ต้นไปกินข้าวเย็นที่บ้าน”

ตระการเลิกคิ้ว “พ่อโทรมา?”

ร่างสูงรับโทรศัพท์คืนแล้วก็โทรหาบิดาทันที และดูเหมือนปลายสายก็คงรอรับอยู่แล้ว เพราะตระการเอ่ยถามแทบจะทันทีที่ยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู

“พ่อ? ผมต้นนะ...เพิ่งไปอยุธยามาแล้วกำลังจะกลับโรงแรมครับ...แล้วไผ่ล่ะครับ? อ๋อ...งั้นคงอีกสักชั่วโมงน่ะครับเพราะรถค่อนข้างติด…เข้าใจแล้วครับ”

พรพฤกษ์ขมวดคิ้วเมื่อเห็นตระการชำเลืองมองเขาเป็นระยะ เมื่ออีกฝ่ายวางสายจึงถามอย่างข้องใจ

“คุณตฤณมีธุระด่วนเหรอ?”

ตระการส่ายหน้า “เปล่าหรอก แค่โทรมาบอกว่าให้ไปกินข้าวเย็นด้วยกันเฉยๆ แล้วก็ให้พาไผ่ไปด้วย”

คำตอบที่ได้ทำให้พรพฤกษ์ยิ่งงุนงงมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้คำอธิบายมากไปกว่านั้นจากคนขับรถที่อมยิ้มน้อยๆ ตลอดทาง ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงถัดมาทั้งสองก็มาถึงรั้วบ้านสูงใหญ่สีขาวที่พรพฤกษ์เคยมาเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว ทันทีที่ยามเฝ้าประตูเห็นรถของตระการก็รีบกดเปิดรั้วให้

ตระการพูดเปรยๆ ขณะนำรถเข้าจอดตรงที่ประจำข้างตัวบ้าน “จะว่าไป...นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่พ่อบอกให้ต้นพาไผ่มาที่บ้าน”

เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มพูดจบก็หันมายิ้มให้ พรพฤกษ์ที่นั่งเงียบมาตลอดทางจึงระบายลมหายใจยาวแล้วก็พยักหน้า ทว่าก็ยังอดไม่ได้ที่จะระแวงว่าทำไมจู่ๆ จึงถูกเรียกให้มาร่วมทานมื้อเย็นด้วย

เอ้า...ไหนๆ ก็มาถึงที่แล้ว อีกอย่างเมื่อวานก็นั่งกินข้าวโต๊ะเดียวกันไปแล้วครั้งนึง คงไม่มีอะไรหรอกน่า...

ชายหนุ่มลงจากรถแล้วเดินตามตระการเข้าไปในบ้าน ยายแสนที่คงจะรออยู่แล้วรีบเดินเข้ามาหาอย่างดีใจเมื่อเห็นทั้งคู่

“คุณไผ่มาจริงๆ ด้วย ไม่ได้เจอกันตั้งปีนึงแน่ะพ่อคุณ คิดถึงจังเลยค่ะ”

พรพฤกษ์ยิ้มให้หัวหน้าแม่บ้านที่แสดงความยินดีที่ได้พบเขาอย่างไม่ปิดบัง ตระการที่ยืนอยู่ข้างๆ จึงถามขึ้น “แล้วพ่ออยู่ไหนครับป้าแสน?”

“คุณท่านรออยู่ที่ห้องอาหารค่ะ ป้านี่ตกใจหมดเลยตอนที่คุณท่านบอกให้จัดสำรับสามที่เพราะคุณไผ่จะมา เมื่อกี้ได้ยินเสียงรถคุณต้นก็ยังนึกอยู่เลยว่าจะมาด้วยจริงๆ หรือเปล่า”

ทั้งสองเดินตามหัวหน้าแม่บ้านสูงวัยไปที่ห้องอาหาร ทำให้พบว่าตฤณนั่งรออยู่ที่หัวโต๊ะจริงๆ เมื่อผู้สูงวัยเหลือบตาขึ้นเห็นตระการกับพรพฤกษ์ก็ถอดแว่นและพับหนังสือพิมพ์ที่อ่านค้างไว้ ยายแสนจึงรีบเดินเข้าไปหาแล้วเก็บหนังสือพิมพ์กับแว่นออกจากโต๊ะ

“สวัสดีครับ คุณตฤณ”

พรพฤกษ์พนมมือทำความเคารพนายใหญ่ของบ้านโดยที่อีกฝ่ายพยักหน้ารับเรียบๆ และเมื่อเห็นตระการทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ด้านหนึ่งของบิดา เขาจึงเข้าไปนั่งตรงที่ว่างอีกด้านซึ่งมีสำรับวางรอไว้ ยายแสนเห็นว่าทุกคนนั่งที่เรียบร้อยแล้วก็เรียกให้เด็กแม่บ้านนำโถข้าวสวยกับกับข้าวออกมาจากในครัว
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 18/01/2011* หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 18-01-2011 21:11:58
ไม่รู้ว่าเพราะตฤณสั่งให้ทำอาหารหลายอย่างเพราะมีสมาชิกร่วมโต๊ะเพิ่มอีกหนึ่งคน หรือเพราะยายแสนตื่นเต้นที่พรพฤกษ์มาถึงได้แสดงฝีมือเต็มที่ แต่พรพฤกษ์ก็แปลกใจไม่น้อยว่าปกติแล้วบ้านนี้ต้องทำกับข้าวถึงหกเจ็ดอย่างสำหรับคนแค่สามคนด้วยหรือ และดูเหมือนความแปลกใจในแววตาของเขาจะฉายออกมาอย่างชัดเจน ตระการที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามจึงอธิบายยิ้มๆ

“ปกติมื้อเย็นป้าแสนจะทำกับข้าวอย่างมากก็สามอย่างเท่านั้นแหละ แต่คงเห็นว่าวันนี้พิเศษก็เลยทำเพิ่มซะเยอะเลยน่ะ”

ชายหนุ่มเอ่ยพลางเหลือบตามองบิดาที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ แต่ตฤณก็ไม่ได้พูดอะไรและเพียงแต่ตักกับข้าวใส่จาน เป็นสัญญาณว่ามื้อเย็นได้เริ่มแล้ว ผู้อ่อนวัยกว่าทั้งสองจึงเริ่มตักข้าวทานบ้าง

“วันนี้ไปไหนกันมา?”

หลังจากต่างนั่งทานข้าวกันในความเงียบได้สักครู่ ตฤณก็เอ่ยขึ้นลอยๆ โดยไม่ระบุว่าถามใคร แต่ตระการดูออกว่าพรพฤกษ์ยังเกร็งอยู่จึงตอบให้เสียเอง

“เมื่อเช้าผมพาไผ่ไปดูโครงการที่ปทุมฯ มาครับ พอตอนบ่ายก็เลยไปไหว้พระที่อยุธยากันต่อ ความจริงพวกผมซื้อขนมมาฝากด้วยแต่อยู่ท้ายรถ เดี๋ยวผมให้เด็กไปเอามาให้”

ตฤณฟังแล้วก็พยักหน้ารับรู้ ผู้สูงวัยเหลือบตามองไปยังปลาราดพริกซึ่งตั้งอยู่หน้าพรพฤกษ์ก่อนจะตักแกงจืดสาหร่ายที่อยู่ใกล้ตัวใส่จานแทน ทว่าพรพฤกษ์ก็ทันสังเกตเห็นสายตาเมื่อครู่ จึงใช้ช้อนส้อมแกะเนื้อส่วนท้องปลาแล้วก็ยื่นใส่ในจานให้

“ปลาครับคุณตฤณ ถ้าอยากได้อย่างอื่นก็บอกนะครับ เดี๋ยวผมตักให้”

ผู้สูงวัยเงยหน้าขึ้นจากจานข้าวและมองพรพฤกษ์ และชายหนุ่มคิดว่านี่อาจเป็นครั้งแรกของวันนี้ที่ตฤณมองเขาเต็มๆ ตา แววตาของอีกฝ่ายยังคงยากที่จะตีความหมายไม่ต่างจากทุกครั้ง แต่ประกายที่ได้เห็นก็ทำให้พรพฤกษ์รู้สึกว่าน้ำหนักที่ถ่วงในใจถูกปลดจนเบาขึ้น

“ขอบใจ”

ตฤณเอ่ยสั้นๆ ก่อนจะตักอาหารทานต่อ เมื่อพรพฤกษ์เหลือบมองไปฝั่งตรงข้ามก็เห็นว่าตระการกำลังยิ้มให้ และรอยยิ้มนั้นก็ทำให้มุมปากของเขาค่อยๆ ยกขึ้นบ้าง

ชายหนุ่มทานอาหารต่อด้วยความปลอดโปร่งมากขึ้น ความเกร็งและระวังตัวในตอนแรกค่อยๆ เลือนหาย บางครั้งเขาก็จะตักอาหารที่อยู่ใกล้ตัวใส่ในจานของตฤณเองโดยไม่รอให้ผู้สูงวัยขอ และเริ่มกล้าที่จะตอบเวลาที่นายใหญ่ของบ้านถามคำถามลอยๆ ที่ไม่ระบุตัวคนตอบมากขึ้น

กว่าอาหารเย็นมื้อนั้นจะจบลงก็กินเวลาไปเกือบหนึ่งชั่วโมง ยายแสนที่กำกับเด็กแม่บ้านให้มาช่วยเก็บสำรับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่อเห็นว่าอาหารที่ตนทำถูกทานจนหมดเกลี้ยง

“ดีจริง คุณไผ่มาทานด้วยแค่วันเดียว ทั้งคุณท่านทั้งคุณต้นเจริญอาหารกันใหญ่เลย”

หัวหน้าแม่บ้านเอ่ยพลางยิ้มอย่างชื่นชมให้พรพฤกษ์ ชายหนุ่มจึงยิ้มตอบแม้จะไม่คิดว่าตัวเองมีอิทธิพลกับมื้อที่เพิ่งผ่านไปมากขนาดนั้น หลังจากที่เด็กแม่บ้านเช็ดโต๊ะจนสะอาดแล้ว ตฤณก็หันไปสั่งยายแสนที่เพิ่งเดินกลับออกมาจากครัวอีกครั้ง

“เดี๋ยวฉันจะคุยกับสองคนนี้ที่ห้องนั่งเล่น เดี๋ยวเอาน้ำไปเสิร์ฟให้ด้วย”

ยายแสนพยักหน้ารับแล้วหันไปสั่งเด็กต่อ ตระการกับพรพฤกษ์จึงสบตากัน จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วเดินตามหลังตฤณที่เดินนำเข้าไปในห้องนั่งเล่น ตระการถือโอกาสนั้นดึงมือคนข้างตัวไปจับไว้แล้วก็บีบแน่นๆ ทีหนึ่ง เมื่อพรพฤกษ์หันไปเห็นแววตาของอีกฝ่ายก็รีบหลบตาลงทันที

อย่าเพิ่งทำตาแบบนั้นเลยต้น...ยังไม่รู้ว่าคุณตฤณจะพูดอะไรด้วยเลยแท้ๆ...

ทั้งสามนั่งลงบนโซฟาในห้องนั่งเล่น โดยตฤณนั่งที่โซฟาตัวเล็กสำหรับนั่งคนเดียว ราวกับจงใจเหลือโซฟาตัวยาวไว้ให้ตระการกับพรพฤกษ์นั่งด้วยกัน ชายหนุ่มทั้งสองจึงสบตากันอีกครั้งก่อนจะนั่งลงโดยเว้นที่ระหว่างกันไว้เล็กน้อย

เด็กสาวแม่บ้านคนหนึ่งเดินนำถาดซึ่งมีชุดน้ำชากับคุ้กกี้มาวางให้บนโต๊ะเตี้ยกลางห้องรับแขกแล้วก็กลับออกไป เมื่อลับหลังเด็กสาวแล้ว ตฤณก็หยิบถ้วยน้ำชาของตัวเองขึ้นมาจิบ ทว่าไม่ได้พูดอะไรอยู่เป็นนาน สุดท้ายกลับเป็นตระการที่ทนความเงียบไม่ไหวและเอ่ยขึ้นมาก่อน

“พ่อครับ?”

ตฤณเลิกคิ้วขึ้นและเหลือบตามองบุตรชาย แต่ไม่ใช่ด้วยแววตามีคำถาม เหมือนกับเพียงรอฟังว่าตระการจะพูดอะไร ต่างกับพรพฤกษ์ที่เลิกคิ้วมองคนข้างตัวอย่างสงสัย ร่างสูงใหญ่จึงชำเลืองมองคนข้างตัวก่อนจะหันไปหาบิดาอีกครั้ง

“ผมไม่แน่ใจว่าที่พ่อบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับพวกผมน่ะมันเรื่องอะไร แต่ถ้าหากพ่อจะอนุญาต ผมมีเรื่องอยากจะบอกพ่อก่อน”

ผู้สูงวัยสบตากับบุตรชายนิ่ง จากนั้นก็วางถ้วยชาในมือลงแล้ววางมือทั้งสองประสานไว้บนตักอย่างเงียบๆ แต่จากท่าทางก็บอกเป็นนัยว่าอนุญาตให้เขาพูดได้ ตระการจึงชำเลืองมองพรพฤกษ์แวบหนึ่ง และความมุ่งมั่นในแววตาคู่นั้นก็ทำเอาพรพฤกษ์หัวใจกระตุก

จะทำอะไรน่ะต้น...

ชายหนุ่มเริ่มสังหรณ์ใจแปลกๆ พลันนัยน์ตาสีนิลก็เบิกกว้างเมื่อจู่ๆ คนข้างตัวก็ทรุดลงไปนั่งบนพื้นแล้วกราบลงบนตักพ่อตัวเอง และดูเหมือนการกระทำนั้นก็จะเกินความคาดหมายของตฤณเช่นกันเพราะผู้สูงวัยเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ

“ที่ผ่านมาผมอาจไม่เคยสนใจสิ่งที่พ่อทำให้ อาจจะทำให้พ่อไม่พอใจที่ผมไม่เป็นลูกที่ดีอย่างที่ต้องการ ผมรู้และขอโทษที่ไม่เคยทำให้พ่อได้ภาคภูมิใจอย่างที่ควรจะทำ แต่นับจากนี้ไปผมสัญญาว่าจะดูแลธุรกิจที่พ่อมอบให้ผมให้ดีที่สุด ผมจะทำหน้าที่ไม่ให้ขาดตกบกพร่องหรือปล่อยให้ใครมาครหาได้ เพราะฉะนั้นผมอยากจะขอร้องพ่อเรื่องเดียวเท่านั้นเป็นการตอบแทน ขอให้พ่ออนุญาตให้ไผ่มาอยู่กับผมที่นี่เถอะครับ”

พรพฤกษ์รู้สึกหูอื้อตาลายกับภาพตรงหน้า จนกระทั่งถึงวินาทีก่อนที่ตระการจะลงไปกราบบิดาและเอ่ยขอร้องเรื่องเกี่ยวกับเขา พรพฤกษ์ไม่เคยเอะใจมาก่อนเลยว่าอีกฝ่ายเก็บกดความต้องการที่อยากให้เขามาอยู่ด้วยไว้ลึกถึงเพียงนี้ เพราะที่ผ่านมาตระการจะเอ่ยชวนเขาแบบอ้อมๆ เท่านั้น ทำให้เขาไม่ค่อยลำบากใจที่จะทำเป็นไขหูหรือบอกปัดเหมือนกำลังคุยกันเล่นๆ แต่บัดนี้เขาได้รู้แล้วว่าที่ผ่านมาตระการทำแบบนั้นเพื่อเลี่ยงการกดดันเขานี่เอง

ชายหนุ่มรู้สึกราวกับสีเลือดหายไปจากหน้า ขณะเดียวกันมือทั้งสองข้างที่วางอยู่บนเข่าก็กำแน่นจนจิกเข้าไปในฝ่ามือ นัยน์ตาสีนิลจับจ้องแผ่นหลังกว้างที่ยังไม่เงยหน้าขึ้นจากตักของพ่อตัวเอง และรู้สึกเหมือนเห็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่งที่มีความต้องการจะอยู่กับคนที่ตัวเองรักเท่านั้นไม่ว่าจะต้องใช้วิธีไหนก็ตาม

ขอโทษนะต้น...ที่ผ่านมาคำปฏิเสธของไผ่ทำร้ายจิตใจต้นไปกี่ครั้งแล้ว...ทำไมถึงไม่เคยบอกให้รู้กันบ้างเลย...

การถูกปฏิเสธจากคนที่รักนั้นเจ็บปวดแค่ไหนพรพฤกษ์ไม่อยากคิด เพราะที่ผ่านมาตระการตามใจเขาตลอดเวลาจนไม่เคยได้สัมผัสความรู้สึกดังกล่าว แต่นี่นอกจากบิดาจะไม่เห็นดีด้วย เขาเองที่เป็นคนรักก็ยังคอยแต่จะบ่ายเบี่ยงเสียอีก ตระการจะต้องแบกรับความอึดอัดใจที่มาจากทั้งสองด้านในฐานะคนกลางมากสักเพียงไหนกัน

ตฤณทอดสายตานิ่งไปที่โต๊ะซึ่งอยู่ห่างไปไม่ไกล จากหางตาเขาเห็นสีหน้าซีดเผือดและขอบตาที่แดงเรื่อของพรพฤกษ์ซึ่งกำลังจับจ้องตระการได้ ขณะเดียวกันน้ำหนักที่อยู่บนตักก็ช่างแจ่มชัดจนผู้สูงวัยต้องพยายามควบคุมร่างกายไม่ให้สั่น ความห่างเหินระหว่างเขากับบุตรชายทำให้ตฤณแทบจำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เขากับตระการได้ใกล้ชิดกันขนาดนี้เกิดขึ้นเมื่อกี่ปีมาแล้ว บางทีอาจจะนานพอๆ กับอายุของอีกฝ่ายเลยก็เป็นได้ เพราะเขาเองที่ละเลยและแทบไม่เคยได้มอบความอบอุ่นอย่างที่คนเป็นพ่อควรจะทำให้ลูกคนเดียว ทุกสิ่งที่ตระการเพิ่งเอ่ยไป ไม่ว่าจะเรื่องที่ไม่ทำตัวเป็นลูกที่ดีหรือทำตัวไม่น่าภูมิใจ ทั้งหมดนั้นไม่ต่างอะไรกับลูกศรที่พุ่งกลับเข้ามาทิ่มแทงจิตใจเขาเองทั้งสิ้น

นิ้วมือผอมเกร็งขยับราวจะยกขึ้นลูบศีรษะที่ปกคลุมด้วยเรือนผมสีดำของบุตรชายคนเดียว แต่แล้วมือนั้นก็กำแน่นเข้าแล้ววางลงที่เดิม ตฤณหลับตาแล้วสูดหายใจเข้าลึกเพื่อรวบรวมสติและความกล้า อย่างน้อยตลอดชีวิตหกสิบกว่าปีที่ผ่านมาของเขา...นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่เขาได้ตัดสินใจในสิ่งที่ถูกต้องเสียที

“...อย่าขอโทษ เอาความคิดที่จะขอโทษไปตั้งใจทำงานให้ดีอย่างที่แกบอกจะดีกว่า”

ตฤณเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้งกว่าที่ตั้งใจ ทว่าตระการก็ยังคงไม่เงยหน้าขึ้น ราวกับจะไม่ยอมลุกจากตรงนั้นถ้าหากยังไม่ได้คำตอบที่ต้องการ ผู้สูงวัยจึงระบายลมหายใจยาวก่อนจะเบนสายตาไปยังพรพฤกษ์ที่ยังนั่งนิ่งบนโซฟา บนใบหน้าที่มีเค้าละม้ายกับผู้หญิงที่เขารักที่สุดมีน้ำตาไหลอาบเต็มสองแก้ม และภาพที่เห็นก็ทำให้นัยน์ตาที่กร้าวอยู่เป็นนิจของตฤณฉายประกายอ่อนโยนลง

“ไผ่...”

พรพฤกษ์กะพริบตา ทำให้เพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองน้ำตาไหล ชายหนุ่มจึงรีบยกมือขึ้นปาดคราบน้ำตาบนหน้าและตอบรับ “ครับ?”

“ฉันอายุไม่น้อยแล้ว ถึงจะเคยบอกว่าสบายดีแต่ก็ไม่รู้หรอกว่าจะตายวันตายพรุ่งเมื่อไหร่ ฉันรู้ว่าเธออาจจะโกรธแค้นฉันที่เคยพรากแม่มาจากเธอ แต่ถ้าหากเธอจะยอมอโหสิให้ตาแก่คนนี้ได้...จะยอมฟังคำขอของฉัน...จะยอมทำให้คำขอของลูกชายฉันเป็นจริงได้ไหม?”

พรพฤกษ์สบตากับผู้สูงวัยนิ่ง เขาพยายามจะกลั้นน้ำตาที่ทำท่าจะเอ่อขึ้นมาอีกหนเอาไว้ แต่ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์

วันนี้เขาได้ยินชื่อของเขาจากปากของตฤณสองครั้งแล้ว และพรพฤกษ์คิดว่าคงจะมีครั้งที่สามและครั้งต่อไปอีกอย่างแน่นอน

ร่างเพรียวทรุดตัวลงนั่งบนพื้นข้างตระการ จากนั้นก็แตะมือลงบนบ่ากว้างเบาๆ ร่างสูงใหญ่จึงค่อยๆ ยกศีรษะขึ้นจากตักของบิดาและนั่งตัวตรง ขอบตาทั้งสองข้างของตระการแดงช้ำ แต่ว่าไม่มีร่องรอยของน้ำตา เป็นพรพฤกษ์เสียอีกที่หยาดน้ำไหลเอ่อออกมามากขึ้นเมื่อได้เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายชัดๆ

“ต้น...ขอโทษนะที่ไม่เคยรู้เลยว่าต้นอดทนมากขนาดนี้ หลังจากนี้ต้นไม่ต้องอดทนแล้วล่ะนะ”

ชายหนุ่มเอ่ยก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองตฤณ และเป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าได้เห็นความเข้าใจในแววตาคู่นั้น ความเข้าใจในความสำคัญของอีกฝ่ายที่มีต่อคนที่พวกเขาต่างก็รักเหมือนกัน ชายหนุ่มยกมือทั้งสองขึ้นแล้วก็กราบลงบนตักอีกฝ่ายช้าๆ

“ผมยินดีอโหสิให้คุณตฤณ แล้วก็ยินดีจะทำตามที่คุณตฤณกับต้นต้องการครับ”

ชายหนุ่มระบายลมหายใจยาวเมื่อรู้สึกถึงมือผอมเกร็งที่วางลงบนศีรษะเบาๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็คิดว่าเห็นมุมปากของผู้สูงวัยที่ยกขึ้นเล็กน้อยจนแทบสังเกตไม่เห็น แต่เขาก็ยิ้มตอบพลางยกมือขึ้นเช็ดหยาดน้ำตาบนหน้า ยังไม่ทันที่เขาจะหันไปหาตระการ อีกฝ่ายก็รั้งตัวเขาไปกอดแน่นจนพรพฤกษ์แทบหายใจไม่ออก

“ขอบคุณนะไผ่ ขอบคุณมาก”

ตระการกระซิบเสียงแผ่ว พรพฤกษ์ไม่แน่ใจว่าที่เขารู้สึกว่าอ้อมแขนของอีกฝ่ายสั่นนิดๆ นั้นเป็นเพราะตระการกอดเขาแน่นเกินไปหรือเปล่า แต่เมื่อเหลือบตาไปทางตฤณและเห็นผู้สูงวัยไม่ได้ทำแววตารังเกียจ เขาจึงยกมือขึ้นลูบแผ่นหลังกว้างเบาๆ

“อื้อ”

ทั้งสองขยับตัวเมื่อตฤณลุกขึ้นและลุกตาม แต่เมื่อจะเข้าไปประคอง ผู้สูงวัยก็โบกมือไล่พร้อมกับทำเสียงจึ๊กจั๊กในคอ “ฉันยังไม่ได้เป็นอะไรจะมาประคองทำไม สำหรับวันนี้ฉันถือว่าพวกเราคุยกันเข้าใจแล้ว ส่วนจะเก็บของย้ายมาเมื่อไหร่ก็ไปตกลงกันเองก็แล้วกัน”

ตฤณเอ่ยพลางเดินไปที่บันได แต่ก็ชะงักเมื่อได้ยินเสียงจากบุตรชายที่ดังขึ้นข้างหลัง

“ขอบคุณนะครับพ่อ”

ผู้สูงวัยเหลียวกลับไปมองตระการกับพรพฤกษ์ที่ยืนจับมือกันอยู่ที่กลางห้องนั่งเล่น จากนั้นก็เพียงพยักหน้าและเดินต่อขึ้นไปชั้นบน เมื่อคล้อยหลังบิดาแล้ว ตระการก็หันกลับมาแล้วดึงพรพฤกษ์กลับไปกอดอีกครั้ง ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้เอ่ยอะไร ตระการก็ช้อนท้ายทอยเขาขึ้นแล้วแนบริมฝีปากลงหา

พรพฤกษ์ทำตาโตด้วยไม่คิดว่าตระการจะกล้าทำแบบนี้กลางบ้านแถมยังเพิ่งจะลับหลังพ่อตัวเองอีกด้วย แต่ความอบอุ่นและเร่าร้อนที่ถูกถ่ายทอดมาก็ทำให้เขาพบว่าตนก็ต้องการสิ่งนี้ในเวลานี้เช่นกัน มือทั้งสองที่กำเสื้อบนไหล่อีกฝ่ายจึงเลื่อนไปทาบแผ่นหลังกว้างและยึดเอาไว้แน่น

ทั้งสองแลกเปลี่ยนลมหายใจและความรู้สึกอันหลากหลายที่อัดแน่นผ่านการสัมผัส ทั้งความดีใจ ความโล่งใจ ความคาดหวัง ความตื้นตัน และที่สำคัญที่สุด ความรู้สึกว่าพวกเขาประสบความสำเร็จในการก้าวข้ามกำแพงที่ใหญ่ที่สุดมาด้วยกันได้แล้ว…นับจากวันที่ตระการเริ่มก้าวเข้าไปในชีวิตของพรพฤกษ์เมื่อสามปีก่อน รวมถึงอุปสรรคทั้งหลายที่เคยต้องฝ่าฟันผ่านความหวาดหวั่นและไม่มั่นใจมาด้วยกัน

ในที่สุดตระการก็ยอมผละจากความหอมหวานของรสจูบตรงหน้า ชายหนุ่มไล้ริมฝีปากไปบนผิวแก้มเนียนละเอียด เรื่อยไปบนเปลือกตาที่ยังมีหยดน้ำเกาะด้วยความอ่อนโยนราวกำลังแตะต้องสมบัติล้ำค่าที่ในที่สุดก็คว้ามาได้ จากนั้นจึงใช้มือใหญ่ทั้งสองประคองหน้าของอีกฝ่ายเอาไว้และแนบหน้าผากลงบนหน้าผากของพรพฤกษ์อย่างแผ่วเบา

“คราวนี้ไผ่เอาเรื่องพ่อมาอ้างกับต้นไม่ได้แล้วนะ”

ตระการเอ่ยพลางจ้องเข้าไปในแววตาสีนิล พรพฤกษ์จึงหัวเราะเบาๆ และยกมือขึ้นทาบบนมือทั้งสองของอีกฝ่ายบ้าง ระยะที่ใกล้กันเช่นนั้นทำให้ลมหายใจของทั้งคู่เป่ารดบนปลายจมูกของกันและกัน เช่นเดียวกับแววตาที่สะท้อนแต่คนตรงหน้า และพรพฤกษ์ก็รู้ดีว่าเขาไม่มีทางบ่ายเบี่ยงข้อเรียกร้องของตระการได้อีกจริงๆ

ดูท่าเขาคงต้องเริ่มคิดเรื่องการย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ อย่างจริงจังเสียที...

พรพฤกษ์คิดในใจ แต่ตระการคงไม่โกรธถ้าหากเขาจะยังขอไม่คิดถึงเรื่องนั้นในนาทีนี้ เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดในวินาทีนี้ก็คือ นับจากวันพรุ่งนี้ไป...พวกเขาจะได้เริ่มชีวิตใหม่ด้วยกันโดยไม่ต้องกลัวว่าจะทำร้ายความรู้สึกใครอีก

เช่นเดียวกับคำสัญญาของตระการที่เคยบอกว่าจะทำให้พวกเขา ‘เป็นไปได้’ ตอนที่ทั้งสองตกลงว่าจะเริ่มคบกัน

วันนี้...คำสัญญาเป็นจริงแล้ว...


++---END---++


A/N: ไม่รู้ว่าเซลส์สมองโดนทำลายไปกี่เซลส์ระหว่างเขียนตอนนี้ แต่พอพิมพ์ประโยคสุดท้ายไปแล้ว ความรู้สึกแรกที่พุ่งขึ้นมาเลยคือ speechlost ค่ะ (หนักกว่า speechless) แบบว่า โอ้...นี่ฉันพาคู่นี้มาถึงจุดนี้ได้แล้วหรือนี่ มาไกลจากตอนเริ่มเขียนเมื่อปี 08 มากทีเดียว แทบไม่อยากเชื่อว่าในที่สุดก็พาต้นกับไผ่มาถึงบทสรุปได้ ความจริงรู้สึกเหมือนมีอะไรอยากพูดอีกเยอะแยะมาก แต่ตอนนี้เรียบเรียงความคิดไม่ได้เลย แต่ไม่ต้องห่วงไปว่าพอขึ้นว่า END แล้วจะไม่ได้เจอกันอีกค่ะ เพราะเดี๋ยวตอนหน้าจะเอาบทส่งท้ายมาลงต่อ ดังนั้นเรายังจะได้เจอต้นไผ่กันอีกนะ แต่สัปดาห์หน้านี่ออกตัวไว้เลยว่าขอเป็นวันอังคารนะเจ้าคะ แหะๆ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 18/01/2011* หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 18-01-2011 21:18:33
กรี๊ซซซซซซซ  :-[ :-[
จบได้ซึ้งซาบปลาบปลื้มมว๊ากค่ะ  :monkeysad: o13
ในที่สุดต้นไผ่ ต้นนี้ก็จะได้ย้ายมาปลูกในเมืองหลวงแล้วสินะ   :o8:
เอาความรักเป็นน้ำ ความห่วงใยเป็นปุ๋ย ความเข้าใจเป็นแสงแดด นะคะ  แล้วค่อยๆเติบโตผลิบานไปพร้อมๆกันทั้งคู่..ด้วยกันตลอดไปค่ะ  :กอด1:

ปล.ต้นไผ่ ถ้าจะแต่งอย่าลืมร่้อนการ์ดมาให้เค้ามั่งนะ  :laugh:

กอดคนแต่งส่งท้ายค่ะ  :กอด1:
รอตอนหน้าด้วยคนนะคะ  :bye2:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 18/01/2011* หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: captainchick ที่ 18-01-2011 21:58:16
เย้ๆ :mc4: ดีใจกับต้นและไผ่ด้วยค่ะ ดีใจกับคนเขียนด้วยนะค่ะ
ในที่สุดก็ได้อยู่ด้วยกัน และพ่อก็ยอมรับจนได้ ซึ้งจังเลย
ตอนที่ต้นพาไปดูโครงการบ้านที่สร้างให้เหมือนที่เชียงใหม่ แอบน้ำตาคลออ่ะ
มันแสดงให้เห็นว่าต้นรักไผ่มากแค่ไหน ยอมทำทุกอย่างเพื่อไผ่จริงๆ
โอ๊ย ยกให้เป็นนิยายในดวงใจอีกเรื่องเลยค่ะ
ขอบคุณนะค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 18/01/2011* หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 19-01-2011 02:15:35
รวมเล่มๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 18/01/2011* หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: mumoo ที่ 19-01-2011 06:44:15
จบได้ซึ้ง กระชากใจและต่อมน้ำตามั่กๆขอบคุณมากนะคร้า...จะรอบทส่งท้าย^^
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 18/01/2011* หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: evilheart ที่ 19-01-2011 08:28:43
จบแล้วจริงๆ หรอน้องริน (http://i273.photobucket.com/albums/jj225/tangtang_jar/b8.gif)
ต้นไผ่ 3 ปีที่รอคอย
คุณพ่อไม่ใจร้ายอย่างที่คิด
ซึ้งๆๆๆๆๆ (http://i273.photobucket.com/albums/jj225/tangtang_jar/012-1.gif)
+1 ให้ไปเลย
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 18/01/2011* หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: kakuro ที่ 19-01-2011 09:32:06
ขอบคุณคุณริน :L2:
จบได้ประทับใจมาก
ในที่สุดคุณตฤณก็ยอมรับ
ในที่สุดต้นกับไผ่ก็ได้อยู่ด้วยกัน
รอบทส่งท้ายและตอนพิเศษนะ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 18/01/2011* หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: Little Devil ที่ 19-01-2011 11:22:35
เข้าใจ ให้อภัย เสียสละ  :-[ :กอด1:
ขอบคุณสำหรับตอบจบ..ประทับใจมาก
+1
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 18/01/2011* หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 19-01-2011 12:30:42
 :mc4: จบลงอย่างงดงาม 
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 18/01/2011* หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 19-01-2011 13:29:11
คุณรินคะ ตอน The end นี่บางช่วงอิฉันอ่านเคล้ากับน้ำตาไปนะคะ
เป็นน้ำตาแห่งความซาบซึ้งตื้นตันใจน่ะค่ะ
ถ้าเป็นในชีวิตจริง ดิฉันว่า คนคู่นี้จะต้องอยู่ด้วยกันอย่างยั่งยืนจนแก่จนเฒ่าแน่
เพราะนอกจากเค้าจะต่างก็รักกัน เข้าใจกันมากๆๆๆแล้ว
ทั้งคู่ยังเป็นคนที่มีพื้นฐานจิตใจที่ดีทั้งคู่ มีความใจเย็น อ่อนโยน ละมุนละไม
และอดทนเพื่อคนที่รักเหมือนๆกัน
ไม่มีใครที่อารมณ์ร้อน รุนแรง ถึงแก่ลุโทสะสักคน
คงเพราะทั้งคู่ซึมซับความรัก ความดีจากแม่แบบ แบบเดียวกัน
ต้นได้จากแม่พิม(แม่ของไผ่) ไผ่ได้จากตา ซึ่งก็คือต้นแบบของแม่พิมอีกที
คุณรินเขียนได้รายละเอียดลึกซึ้งดีมากค่ะ
คุณรินคะอย่าลืมเรื่องของคุณเชษฐ์กับภัทรนะคะ
ป.ล. อุ๊ยตาย  ! คุณรินอายุแค่เนียะ เป็นคุณป้าของหลายๆคนเหรอ
(ออกจะกำลังสาวสะพรั่งวัยทำงาน ง้าน งาน)
งั้นดิฉันมิเป็น...โอ๊ย ไม่เอา ไม่พูด หยาบคาย หึ หึ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 18/01/2011* หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 20-01-2011 13:29:38
นานๆ จะตอบคอมเม้นต์เรียงตัวค่ะ แต่ไหนๆ เรื่องก็ดำเนินมาถึงโค้งสุดท้ายแล้ว ขอทักทายทุกคนแบบเต็มๆ หน่อยละกันนิ :impress2:

ZakuPz  ชอบประโยคนี้มากเลยค่ะ "เอาความรักเป็นน้ำ ความห่วงใยเป็นปุ๋ย ความเข้าใจเป็นแสงแดด" คือป้าคิด + เขียนอะไรเชิงเปรียบเทียบให้นิยายตัวเองไม่ค่อยเป็น แต่รู้สึกดีทุกครั้งเวลาได้เห็นคอมเม้นต์จากคนอ่านที่แสดงถึงความผูกพันและใส่ใจกับเรื่องนี้ ขอบคุณมากเลยนะคะ

ส่วนการ์ดแต่งงาน...อยากได้แบบค็อกเทลหรือโต๊ะจีนดีอ้ะ?  :laugh:

captainchick  จำได้ว่าเคยเห็นคอมเม้นต์ของคุณ captainchick ในอีกบอร์ด ขอบคุณนะคะที่มาติดตามที่นี่ด้วย สำหรับโครงการหมู่บ้านนั่นต้นก็ตั้งใจทำเพื่ออุทิศให้ไผ่เต็มที่เลยค่ะ น่าชื่นใจแทนความรักของทั้งคู่จริงๆ

yeyong  คาดว่าน่าจะเอารายละเอียดสั่งจองมาบอกได้พร้อมกับตอนส่งท้ายค่ะ รออ่านนะคะ ^^

mumoo  ว่าจะส่งทิชชู่ให้ แต่ตอนนี้คงช้าไปละ แล้วเจอกันในตอนส่งท้ายค่ะ  :3123:

evilheart  นอกจากจะเป็นการเดินทางของต้นไผ่สามปี เรื่องนี้ก็ใช้เวลาสามปีจากตอนที่เริ่มเขียนเหมือนกันเลยค่ะพี่จ๋า ดีใจสุดๆ เลยที่พามาถึงตรงนี้ได้โดยที่ป๊ะป๋าก็ยอมรับด้วย  :mc4:

kakuro  ส่วนตัวรู้สึกดีใจที่พักไปช่วงหนึ่งแล้วค่อยมาเขียนต่อค่ะ ไม่งั้นตอนจบอาจไม่ประทับใจขนาดนี้ก็ได้เพราะตอนเริ่มเขียนนั่นเรายังมองโลกเด็กมากเลย ต้องขอบคุณคุณ kakuro ที่คอยช่วยสร้างแรงฮึดในการมาลงทุกสัปดาห์ด้วยนะคะ  o13

Little Devil  ด้วยความยินดีอย่างยิ่งค่ะ  :pig2:

sukie_moo  เคยเห็นคอมเม้นต์คุณ sukie_moo มาก่อน ไม่แน่ใจว่าตั้งแต่โพสต์เรื่องนี้แรกๆ เลยหรือเปล่า ขอบคุณมากที่ติดตามถึงตอนนี้ด้วยนะคะ

yayee2  สารภาพว่าเราเขียนตอนนี้ไปก็หมดทิชชู่ไปหลายพับเหมือนกันค่ะ ส่วนเรื่องต้นแบบของต้นกับไผ่ คุณ yayee2 อ่านได้ทะลุปรุโปร่งมากๆ เพราะว่าเราก็ตั้งใจให้บุคลิกทั้งคู่สะท้อนในจุดนี้ออกมาจริงๆ และส่วนตัวเราก็ชอบเรื่องรักที่ให้อารมณ์ละมุนละไมอยู่แล้วด้วย ส่วนเรื่องของคุณเชษฐ์กับภัทรไม่ลืมแน่นอนค่ะ ขอเวลาปรับโหมดกลับจากต้นไผ่อีกหน่อยแล้วได้อ่านต่อชัวร์ คอนเฟิร์ม!!

ส่วนเรื่องที่กลายเป็นป้าเนี่ย...ไอ้เจ้าคนที่เรียกคนแรกก็หายหน้าหายตาไปจากบอร์ดซะแล้ว แต่ดูเหมือนคำว่าป้ามันจะติดตัวเราไปแล้วค่ะ ก็คิดซะว่ามันเป็นแค่สรรพนามขำๆ แทน ส่วนอาย้งอายุอะไรเนี่ย มันก็ just figures ฮ่าๆๆๆ

ขอ +1 คืนให้ทุกคนด้วยความขอบคุณและซาบซึ้งใจมากๆ แล้วพบกันในตอนส่งท้ายสัปดาห์หน้านะค้า
 
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 18/01/2011* หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 20-01-2011 14:09:41
เข้ามารอรายละเอียดการสั่งจองเงียบๆลุ้นๆ
(ยังไม่ได้อ่านเลยสักตัว...แต่อยากอ่านแล้วววววววววววววววววววววววววววววว)
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 18/01/2011* หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: mumoo ที่ 22-01-2011 20:49:40
แอบมารอบทส่งท้ายล่วงหน้าคร่า^^
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 18/01/2011* หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: evilheart ที่ 22-01-2011 21:40:02
(http://i273.photobucket.com/albums/jj225/tangtang_jar/147abfb24c74a6rc0.gif)+1 ให้น้องรินเลยทีเดียว
แล้วเขียนเรื่องแนวนี้อีกนะจ๊ะ
วันนี้ที่รอคอยของ ไผ่ และ ต้น(http://i273.photobucket.com/albums/jj225/tangtang_jar/yenta4-emoticon-0056.gif)
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 18/01/2011* หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: r4inbow ที่ 23-01-2011 23:35:54
พึ่งได้เข้ามาอ่านเรื่องนี้เมื่อวันนี้เอง(จบพอดี ฮ่าๆ)
เราพลาดเรื่องนี้ไปได้ไงเนี่ยยย รู้สึกเสียดายที่ไม่ได้อ่านตั่งแต่แรกมากก
ดำเนินเรื่องลื่นไหล ไม่ยืดเยื้อ และใช้ภาษาดีมากๆเลยคะ
อ่านแล้วมีอารมณ์ร่วมทุกตอนเลย สนุกมาก

ปอลอ รออ่านบทส่งท้ายนะคะ(อยากมีึความรู้สึกรอตอนต่อไปบ้าง 55)
เป็นกำลังใจให้คนแต่งนะคะ อยากให้มีผลงานเรื่องต่อๆไป จะติดตามค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 18/01/2011* หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 24-01-2011 12:25:25
ถ้า ไผ่ ยังไม่รีบลงมาอยู่กรุงเทพฯ กับ ต้น เราจะไปอยู่กับต้นแทนดีกว่า  :laugh:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 18/01/2011* หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: kakuro ที่ 24-01-2011 12:43:04
งั้นเราตามไปปลอบใจไผ่ที่เชียงใหม่ดีกว่า :-[
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 18/01/2011* หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 24-01-2011 15:16:38
คุณผึ้ง + คุณ kakuro เง้อออ  ^^"
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 18/01/2011* หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 24-01-2011 15:59:21
งั้นเราตามไปปลอบใจไผ่ที่เชียงใหม่ดีกว่า :-[

งั้นก็ลงตัวแล้วละเนอะ คุณ kakuro เราก็แบ่งๆ กันไป  :m20:  :m20:


คุณผึ้ง + คุณ kakuro เง้อออ  ^^"

จับตัวคุณ บีบี ไว้ก่อน ไหนตอนต่อไปอะ  เอามาเลยนะคะ  o11 o11
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 18/01/2011* หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 24-01-2011 17:08:02
จับตัวคุณ บีบี ไว้ก่อน ไหนตอนต่อไปอะ  เอามาเลยนะคะ  o11 o11

ตามสัญญาคือวันพรุ่งนี้ เพราะงั้นเราจะตรงต่อเวลา ไม่มาลงก่อน เพราะยังเขียนไม่เสร็จ ฮ่าๆๆ   :pigha2: 
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 18/01/2011* หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: kakuro ที่ 25-01-2011 08:22:28
 :z13:คุณริน
มารอตามสัญญาวันอังคารแล้วนะจ๊ะ
ปล.ตกลงคุณผึ้งยกไผ่ให้เราไปจองตั๋วเครื่องบินไปเชียงใหม่ละนะ o18
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 18/01/2011* หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 25-01-2011 09:14:33
:z13:คุณริน
มารอตามสัญญาวันอังคารแล้วนะจ๊ะ
ปล.ตกลงคุณผึ้งยกไผ่ให้เราไปจองตั๋วเครื่องบินไปเชียงใหม่ละนะ o18

^
จองให้เราด้วยจิคะ อยากไปด้วยอะ  :z1:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 18/01/2011* หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 25-01-2011 11:27:54
สำหรับรายละเอียดของรวมเล่ม + ภาพปก + อัพเดท ทุกสิ่งอัน ดูได้ที่ {{หน้า 1}} (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=6271.0) นะค้า~ เผื่อบางทีมีรายละเอียดเปลี่ยนแปลง ป้าจะได้ไม่ต้องคอยอัพข้างในกระทู้เพราะคนอ่านอาจหาไม่เจอค่ะ   :call:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 18/01/2011* หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 25-01-2011 11:32:40
สวยมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

กอดค่ะป้า ^o^
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ประกาศเปิดจองรวมเล่ม *25/01/2011* หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 25-01-2011 11:42:35
กรี๊ดๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  พี่ไผ่สวยโฮกกกกกกกกกกกกกกกกก  :m3: :m3: :m3:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ประกาศเปิดจองรวมเล่ม *25/01/2011* หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 25-01-2011 11:43:38
ขอบคุณน้องนุ่นและคุณ  ZakuPz ค่า กอดๆๆ หุหุ   :man1:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ประกาศเปิดจองรวมเล่ม *25/01/2011* หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: kakuro ที่ 25-01-2011 12:21:20
กรี๊ด...หล่อ+น่ารัก
อยากได้เธอไว้ทั้งสองคน
ปล.คุณรินเอาปกมาล่อเค้าไม่ลืมนะบทส่งตัวน่ะ o18
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ประกาศเปิดจองรวมเล่ม *25/01/2011* หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 25-01-2011 13:02:48
กรี๊ด...หล่อ+น่ารัก
อยากได้เธอไว้ทั้งสองคน
ปล.คุณรินเอาปกมาล่อเค้าไม่ลืมนะบทส่งตัวน่ะ o18

แอ้ก สมเป็นคุณ kakuro จริงๆ วันนี้แหละค่ะได้อ่านแน่ แต่ยังไม่รู้ว่ากี่โมงนะ ยังเหลืออีกตั้งหลายชั่วโมงง่ะ   :try2:

*วิ่งหลบมีด แอร๊ยยย์*
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ประกาศเปิดจองรวมเล่ม *25/01/2011* หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: yr_meteor ที่ 25-01-2011 13:11:32
เตรียมเงินๆ 
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ประกาศเปิดจองรวมเล่ม *25/01/2011* หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: kakuro ที่ 25-01-2011 13:32:41
อุ๊ย...ขอโทษค่ะคุณริน
เพิ่งสังเกตว่า o18 ถือมีด เข้าใจว่าเป็นหางมันนะเนี่ย ใช้ซะบ่อย :z3:
รออย่างสงบเสงี่ยมค่ะ :impress:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ประกาศเปิดจองรวมเล่ม *25/01/2011* หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 25-01-2011 13:41:28
ถ้าเป็นหางมันไม่น่าจะมีประกายวิ้งขนาดนี้นะคะคุณ kakuro ดูแหลมคมบาดตาดีแต๊ๆ เอิ้กๆ (อิฉันก็มัวแต่มาเล่นอยู่นี่ มิน่าตอนส่งตัว เอ๊ย ส่งท้ายไม่เสร็จซะที ก๊ากกกกก)   :jul3:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ประกาศเปิดจองรวมเล่ม *25/01/2011* หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 25-01-2011 13:45:51
เก็บเงิน ๆ ๆ อยากได้ทุกเรื่องเลย
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ประกาศเปิดจองรวมเล่ม *25/01/2011* หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 25-01-2011 23:15:07
แม้จะช้าไปนิดแต่ก็ยังเป็นวันอังคารนะค้า เหอๆๆ (คุณ kakuro คงถือมีดเตรียมสับป้าแหล่ว) เอาเป็นว่าไปอ่านกันเลยละกันเนะ เอิ้กๆ :z2:

++------++

บทส่งท้าย

ลมที่พัดบนเชิงเขาในตอนบ่ายวันส่งท้ายปีทำให้เกิดเสียงยอดไม้เสียดสีเป็นจังหวะ ขณะเดียวกันก็ส่งความเย็นผ่านประตูและหน้าต่างมุ้งลวดเข้ามาภายในบ้านที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยว ทว่าเมฆบนฟ้ากลับน้อยจนแสงแดดแผดจ้าลงอาบความสว่างไสวให้ทิวทัศน์ภายนอกชวนพร่าตา

พรพฤกษ์ปิดปากไอเบาๆ ขณะเก็บของชิ้นสุดท้ายลงกล่องกระดาษเพื่อเตรียมขนลงไปชั้นล่าง เมื่อเสร็จแล้วก็ปิดฝากล่องและลุกขึ้นยืดหลังเพื่อคลายกล้ามเนื้อที่เมื่อยล้าจากการทำความสะอาดบ้านและจัดเก็บของมาทั้งวัน

ชายหนุ่มลุกขึ้นและเดินไปหยุดยืนข้างหน้าต่างซึ่งมองออกไปเห็นทางเดินหน้าบ้านและโรงรถได้ ในนั้นไม่มีรถจี๊ปสีเขียวที่ควรจะจอดอยู่ในที่จอด เพราะว่าใครอีกคนขับรถของเขาออกไปเพื่อซื้ออาหารกลางวันจากร้านตรงตลาดเชิงเขาให้ตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงก่อน พรพฤกษ์ยืนรออยู่ครู่หนึ่งก็ยังไม่เห็นวี่แววว่ารถจี๊ปสีเขียวคันนั้นจะเลี้ยวเข้ามา จึงเดินลงไปที่ห้องครัวชั้นล่างและชงน้ำชาร้อนๆ มาจิบ

ทำไมจะต้องไม่สบายเอาช่วงที่จะขนย้ายของไปกรุงเทพฯ แบบนี้ด้วยนะ...

พรพฤกษ์บ่นกับตัวเองในใจ จากนั้นก็ทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ในห้องครัวระหว่างรอตระการกลับมาพร้อมอาหารกลางวัน ที่วันนี้เขาไม่ทำกับข้าวเองก็เพราะว่าไม่ได้ซื้อของสดติดตู้เย็นไว้ และตระการก็เห็นว่าเขาไม่สบาย จึงบอกให้พักและขับรถออกไปซื้อกับข้าวให้แทน ความจริงแล้วอีกฝ่ายบอกเขาว่าให้นอนเฉยๆ และเลิกเก็บของไปเลยด้วยซ้ำ แต่พรพฤกษ์อยากจัดการข้าวของในบ้านให้เรียบร้อย จึงถือโอกาสที่อีกฝ่ายไม่อยู่แอบเก็บของที่เหลือจนเสร็จเกือบหมด

ชายหนุ่มยกถ้วยชาที่วางไว้จนเริ่มคายความร้อนออกไปบ้างแล้วขึ้นจิบ ตอนแรกเขาก็คิดว่าจะลุกไปนั่งดูโทรทัศน์ฆ่าเวลาระหว่างที่ตระการยังไม่กลับ แต่ความปวดเมื่อยตามเนื้อตัวและอาการมึนหัวเหมือนมีอะไรหนักๆ ถ่วงอยู่ข้างในก็ทำให้คร้านจะลุกจากเก้าอี้ สุดท้ายจึงเลื่อนถ้วยชาไปด้านข้างก่อนจะฟุบหน้าลงบนท่อนแขนที่ประสานกันบนโต๊ะ ชายหนุ่มตะแคงหน้าพลางมองไปทางห้องนั่งเล่น แล้วก็ให้นึกถึงวันคืนก่อนที่ใครคนหนึ่งจะเริ่มก้าวเข้ามาในชีวิตของเขา

เมื่อก่อนตอนที่เราไม่สบายแล้วไม่มีแขกมาพักนั่นเราอยู่คนเดียวได้ยังไงกันน่ะ...สงสัยทั้งวันแทบไม่ได้กินอะไร เอาแต่นอนจนไข้หายไปเองละมั้ง...

พรพฤกษ์คิดท่ามกลางความวิงเวียนในหัว ความจริงแล้วเขาไม่ได้เพิ่งจะรู้ตัวว่าไม่สบายเอาวันนี้ แต่เมื่อสองวันก่อนซึ่งเป็นวันที่ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ มาเชียงใหม่นั้นเขายังไม่ค่อยมีอาการ จึงคิดเอาเองว่าคงไม่เป็นอะไรหนักหนา พอถึงตอนนี้ก็เลยอดจะนึกถึงคำพูดของตฤณก่อนที่พวกเขาจะออกมาจากบ้านไม่ได้



“ทำไมถึงไม่ให้พวกบริษัทขนย้ายเขาจัดการให้ เสียเวลาขับรถไปกลับเองให้ได้อะไรขึ้นมา ปีใหม่อุบัติเหตุทางถนนเยอะก็รู้ๆ อยู่”

ตฤณเอ่ยขึ้นขณะที่พวกเขาเพิ่งจะทานมื้อเช้าร่วมกันกันเสร็จ เพราะว่าเขากับตระการตกลงกันว่าจะขับรถออกจากบ้านไปเชียงใหม่ในช่วงสาย ถึงแม้คนพูดจะพูดไปจิบกาแฟไปด้วยท่าทางเหมือนไม่ได้ใส่ใจมากนัก แต่หางเสียงก็บอกให้รู้ว่าไม่เห็นด้วยกับแผนการในปีใหม่ของพวกเขาสักเท่าไหร่

พรพฤกษ์เหลือบตาขึ้นสบตากับตระการที่ยิ้มอย่างอ่อนใจเพราะรู้นิสัยของพ่อตัวเองดี จากนั้นก็เป็นเขาเองที่หันไปตอบคำถามของผู้อาวุโส

“ของที่ต้องขนมาส่วนใหญ่ก็ทยอยมาไว้ที่นี่เกือบหมดแล้ว มันก็เลยเหลือไม่เยอะแล้วครับคุณลุง อีกอย่างผมอยากแวะเที่ยวระหว่างทางด้วย แล้วถ้าหากไม่ไปกันช่วงปีใหม่ต้นเขาก็ติดงาน ผมไม่อยากให้ต้นต้องลางานครับ”

ผู้สูงวัยเหลือบตามองเขาผ่านขอบถ้วยกาแฟที่ยกขึ้นจิบ จากนั้นก็เบนสายตาไปทางอื่นแล้วส่งเสียงในคออย่างไม่พอใจ แต่พรพฤกษ์ก็รู้ว่าที่อีกฝ่ายแสดงออกแบบนั้นเพราะใจจริงเป็นห่วงพวกเขาทั้งคู่ จึงเพียงแต่ยิ้มแล้วรินกาแฟจากกาเพิ่มให้เมื่อเห็นกาแฟในถ้วยของตฤณพร่องลง

หลังจากที่ตอบตกลงว่าจะย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ ด้วยเมื่อช่วงต้นปี พรพฤกษ์ก็ไม่ได้ย้ายข้าวของทุกอย่างมาในทันที เนื่องจากเขายังมีแขกที่จองห้องพักไว้ล่วงหน้ายาวหลายเดือน และเขาก็ไม่อยากเสียมารยาทด้วยการแคนเซิลแขกที่คอนเฟิร์มห้องแล้ว จึงใช้วิธีปฏิเสธแขกที่ติดต่อมาทีหลังแทนด้วยเหตุผลว่าจะปิดปรับปรุง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา คนที่ต้องเดินทางไปๆ มาๆ ระหว่างกรุงเทพฯ กับเชียงใหม่จึงกลายเป็นเขาแทนตระการ ทั้งเพราะต้องคอยขึ้นไปดูแลเกสต์เฮ้าส์ในช่วงที่มีแขกเข้าพัก ทั้งเพื่อทยอยเก็บข้าวของส่งมาที่บ้านของตระการที่กรุงเทพฯ ด้วย

นับจากวันที่ตฤณยอมรับให้เขาเข้ามาเป็นสมาชิกของบ้านก็ผ่านมาหลายเดือนแล้ว การวางตัวของพวกเขาจากที่เคยประดักประเดิดก็เริ่มเป็นธรรมชาติมากขึ้น ตฤณไม่ได้ถึงกับเปลี่ยนท่าทีจากหน้ามือเป็นหลังมือด้วยการโอนอ่อนเข้าหาเขากับตระการ แต่พัฒนาการที่พรพฤกษ์สังเกตได้คือผู้สูงวัยสนใจไถ่ถามความเป็นไปของพวกเขามากขึ้น แม้ว่าจะยังติดการใช้น้ำเสียงห้วนๆ แต่ก็ไม่มีคำพูดกระแนะกระแหนหรือเสียดแทงความรู้สึกเหมือนตอนที่ยังไม่ได้ญาติดีกันอย่างเมื่อก่อน

ส่วนสาเหตุที่เขาเรียกตฤณว่า ‘ลุง’ นั้น เป็นเรื่องจากความบังเอิญแท้ๆ เพราะว่าวันหนึ่งขณะที่เขานั่งคุยอยู่กับยายแสนหน้าบ้านและตฤณกำลังจะเดินเข้าบ้าน จู่ๆ อีกฝ่ายก็สะดุดขั้นบันไดเพราะหน้ามืดกะทันหัน ดีว่าพรพฤกษ์อยู่ใกล้เลยเข้าไปประคองทันก่อนจะล้มคะมำและเผลอถามว่า ‘คุณลุงเป็นอะไรหรือเปล่าครับ’ ตอนนั้นดูตฤณจะอึ้งไปนิดหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ทักท้วงและปล่อยให้เขาเรียกว่าลุงไปอย่างนั้น พรพฤกษ์จึงใช้สรรพนามนั้นตลอดเสียเลยเพราะเขารู้สึกว่าการเรียกชื่อนั้นห่างเหินเกินไป แต่เขาไม่อยากเรียกอีกฝ่ายว่า ‘พ่อ’ เพราะการที่แม่ของเขาเคยมาเป็นแม่เลี้ยงให้ตระการก็ทำให้สถานะของเขาเป็นกึ่งๆ ลูกเลี้ยงของตฤณอยู่แล้ว หากเขายังเรียกอีกฝ่ายด้วยคำนั้นก็คงกระดากปากในเมื่อตอนนี้เขาคบกับตระการซึ่งตามศักดิ์ก็เป็นน้องเลี้ยง ฝ่ายตระการก็ไม่ได้มีปัญหาที่เขาเรียกตฤณว่าคุณลุง เจ้าตัวดูจะชอบเสียด้วยซ้ำตอนที่เขาเล่าให้ฟังว่าเริ่มใช้สรรพนามนี้กับตฤณได้อย่างไร

“จะยังไงก็เถอะ เราน่ะไม่สบายอยู่ไม่ใช่หรือไง ออกไปตะลอนๆ เดี๋ยวก็ได้ยิ่งป่วยหนักขึ้นกันพอดี”

ตฤณเอ่ยขึ้นอีก พรพฤกษ์จึงกะพริบตาอย่างแปลกใจ เพราะที่โต๊ะอาหารเขาก็เพียงแต่ไอเล็กน้อยเท่านั้น จึงไม่ทันคิดว่าตฤณจะจับสังเกตได้

“เดี๋ยวผมขับรถเองตลอดทาง แล้วจะดูแลให้ไผ่กินยากับนอนพักครับ พอดีช่วงนี้มันเหมาะจะไปที่สุดเพราะผมได้หยุดยาว ยังไงจัดการเรื่องบ้านโน้นเสร็จแล้วผมจะรีบพาไผ่กลับมา”

ตระการช่วยตอบคำถามของบิดาแทนเขา พรพฤกษ์จึงยิ้มและพยักหน้าเพื่อให้ตฤณสบายใจ เขารู้ดีว่าความจริงตระการก็คงไม่ได้อยากพาเขาไประหกระเหินตอนไม่สบายอย่างนี้ แต่อีกฝ่ายก็คงอยากเร่งให้เขาได้มาอยู่กรุงเทพฯ แบบไม่ต้องเทียวไปเทียวมาด้วยเหมือนกัน ถึงได้ตัดสินใจว่ายังไงก็ต้องไปช่วยเขาขนข้าวของที่เหลือมาจากบ้านนฤมิตรให้หมดในช่วงวันหยุดปีใหม่นี้ให้ได้

“เฮอะ ยังไงก็ขับรถขับราให้มันดีๆ ก็แล้วกัน อย่าให้คนหัวหงอกต้องเป็นคนไปเยี่ยมลูกหลานที่โรงพยาบาล มันบาปกรรม”

ยายแสนยิ้มอย่างระอาขณะเดินเข้ามาเก็บสำรับอาหารของทั้งสามที่ทานเสร็จแล้วลงถาด และพรพฤกษ์กับตระการก็เผลออมยิ้มให้กัน เพราะรู้ดีว่านั่นคือวิธีการพูดที่แสดงออกถึงความห่วงใยของตฤณที่อ้อมค้อมน้อยที่สุดแล้ว หลังจากคล้อยหลังหัวหน้าแม่บ้านแล้ว พรพฤกษ์จึงลุกขึ้นแล้วเข้าไปพนมมือไหว้ตฤณตรงหัวไหล่

“ไม่ต้องห่วงครับคุณลุง ต้นไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนั้นแน่ๆ ครับ”

ผู้สูงวัยเพียงแต่ทำเสียงพ่นจมูกอย่างไม่พอใจ แต่ว่าก็ไม่ได้โต้แย้งอีก ตระการจึงทำความเคารพพ่อตัวเองบ้าง จากนั้นพวกเขาก็ขอตัวออกมาจากห้องอาหารเพื่อจะได้ออกเดินทาง หลังจากขึ้นรถแล้วตระการก็หันมายิ้มให้เขา

“นี่ถ้าอาวีกับอาหมอได้มาเห็นว่าไผ่ทำให้พ่อเงียบได้ยังไง สงสัยจะตะลึงกันเป็นแถบแน่เลย”

“ไม่เห็นมีอะไรนี่ ก็แค่พูดความจริงกับคุณลุงเท่านั้นเอง จะเถียงก็เถียงไม่ได้นี่นา”

ตระการหัวเราะ “ก็นั่นแหละ นี่เพราะคนพูดคือไผ่หรอก ไม่เห็นเหรอว่าขนาดต้นออกปากพ่อเขายังไม่เชื่อเลย”




พรพฤกษ์ยิ้มบางๆ เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ ที่ตระการบอกเขาอย่างนั้นคงเพราะรู้ว่าตัวเองห่างเหินกับพ่อมาตั้งแต่เด็กจึงไม่ถนัดจะอ้อน ต่างกับเขาที่ตอนเด็กและวัยรุ่นก็โตกับตามาตลอด ดังนั้นเมื่อข้ามผ่านความรู้สึกไม่สนิทใจกับตฤณไปได้ เขาก็มองว่าอีกฝ่ายเป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งที่ต้องการความสนใจจากลูกหลานไม่ต่างจากคนวัยเดียวกันเท่านั้น

เมื่อไหร่ต้นจะกลับมาเสียทีนะ...ชักเวียนหัวจนลุกไม่ไหวแล้วสิ...

ชายหนุ่มคิดในใจพร้อมกับความรู้สึกเวียนหัวมากขึ้น จากนั้นเปลือกตาอันหนักอึ้งก็ปิดลงอย่างง่วงงุน เสียงสุดท้ายที่ลอยเข้าหูอย่างเลือนลางคือเสียงซึ่งฟังแล้วคล้ายล้อรถยนต์กำลังบดลงบนถนนโรยกรวด แต่ตอนนั้นเขาไม่แน่ใจอีกแล้วว่าตัวเองได้ยินเสียงจริงๆ หรือเพียงแค่หูเฝื่อนไปเท่านั้น


++------++


เมื่อพรพฤกษ์ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มก็พบว่าแสงที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้องนอนเริ่มเป็นสีส้มอ่อนแล้ว เมื่อเหลือบตามองไปทางนาฬิกาแขวนผนังก็พบว่าล่วงเข้าสี่โมงกว่า สมองที่ยังไม่แจ่มใสนักจึงคำนวณอย่างเชื่องช้าว่าเขาคงจะหลับไปไม่น้อยกว่าสามชั่วโมง

ไออุ่นที่มาจากด้านซ้ายและจากลำแขนที่โอบอยู่รอบเอวดึงให้พรพฤกษ์ค่อยๆ เอียงหน้าไปหา และพบว่าตระการนอนหลับอยู่ข้างเขาบนเตียง ชายหนุ่มยกยิ้มบางๆ เมื่อตระหนักว่าอีกฝ่ายคงจะอุ้มเขาขึ้นมานอนบนห้องหลังจากที่พบว่าเขาฟุบหลับอยู่ที่โต๊ะในครัวอย่างไม่ต้องสงสัย

ดูเหมือนการขยับตัวเล็กน้อยของพรพฤกษ์จะทำให้ตระการรู้สึกตัวตื่น ร่างสูงใหญ่ที่เมื่อครู่ยังหลับตาสนิทจึงขมวดคิ้วก่อนจะค่อยๆ ปรือตาขึ้นข้างหนึ่ง และเมื่อเห็นว่าพรพฤกษ์ตื่นแล้วและกำลังมองเขาอยู่ ชายหนุ่มจึงยิ้มตอบบ้าง

“ตื่นแล้วเหรอ? ตอนกลับมาเห็นไผ่หลับอยู่ต้นเลยอุ้มขึ้นมานอนบนนี้ หิวข้าวมั้ยจะได้ไปอุ่นให้?”

พรพฤกษ์ทำท่าคิดขณะที่ตระการยันตัวขึ้นนั่งและเอามือขยี้ผมตัวเองเบาๆ จากนั้นคนป่วยก็พยักหน้าและลุกขึ้นบ้าง

“ก็หิวหน่อยๆ อยู่เหมือนกัน เดี๋ยวลงไปกินข้างล่างก็ได้ จะได้ไม่เลอะเทอะบนนี้”

ตระการหันกลับมามองแล้วมุ่นหัวคิ้ว “ไผ่ลุกไหวนะ?”

“ไหวสิ มีไข้นิดเดียวเอง ไม่ได้เหมือนตอนโดนรถชนที่ใส่เฝือกทั้งแขนทั้งขาซะหน่อย”

พรพฤกษ์ย่นจมูกแล้วก็ลุกจากเตียง แต่คงเพราะเขาลุกเร็วเกินไปเพราะอยากให้ตระการเห็นว่าเขาไม่เป็นไร จึงหน้ามืดจนเกือบล้มลงบนพื้นถ้าไม่ใช่เพราะถูกคว้าเอวไว้ก่อน ร่างสูงใหญ่ใช้มืออีกข้างวางทาบบนหน้าผากพรพฤกษ์ที่ยืนเอาหลังพิงอกตัวเองแล้วก็ทำหน้ายุ่ง

“ว่าแล้ว ไข้นิดเดียวเสียที่ไหน เย็นนี้ต้นว่าอย่าไปถนนคนเดินเลย ขืนไปเจอทั้งคนเยอะๆ ทั้งอากาศเย็นๆ เดี๋ยวยิ่งอาการแย่เข้าไปใหญ่”

คนที่แทบไม่มีแรงยืนเองรีบส่ายหน้าและพยายามจะยืนตรง “ไม่เป็นไร สงสัยจะหน้ามืดเพราะรีบลุกกับไม่ได้กินข้าวมากกว่า เดี๋ยวได้กินอะไรหน่อยแล้วนั่งพักสักแป๊บก็หายแล้ว ต้นอย่าลืมสิว่าหลังจากนี้เราคงไม่ได้ขึ้นมาเชียงใหม่กันอีกนานเลยนะ”

พรพฤกษ์แย้งขึ้นพร้อมกับดึงเสื้ออีกฝ่ายไว้ ตระการเองเมื่อได้เห็นนัยน์ตาเว้าวอนเช่นนั้นก็ทนใจแข็งไม่ได้ เพราะเขารู้ดีว่าคนที่เร่งให้พรพฤกษ์รีบไปอยู่กับเขาที่กรุงเทพฯ ก็คือตัวเอง สุดท้ายจึงยอมถอนหายใจแล้วก็พยักหน้า

“เอาอย่างนั้นก็ได้ แต่ถ้าต้นเห็นไผ่อาการไม่ดีเมื่อไหร่จะพากลับทันทีนะ”

ตระการเอ่ยพลางพยุงเจ้าของบ้านออกจากห้องนอน พรพฤกษ์จึงยิ้มและพยักหน้า เขารู้ดีว่าตระการเป็นห่วง แต่ก็รู้ด้วยว่าอีกฝ่ายไม่กล้าขัดใจเขาเพราะนี่จะเป็นช่วงเวลาที่ได้มาเยี่ยมบ้านเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ต่อจากนี้กว่าจะได้กลับมาอีกก็คงต้องรอวันที่ทั้งเขาและตระการได้หยุดยาวพร้อมกันอีกครั้ง ซึ่งนั่นอาจจะนานหลายเดือนเพราะตระการกำลังยุ่งกับโครงการบ้านจัดสรรแห่งใหม่

นับจากวันที่ตกลงใจได้ว่าจะไปอยู่กรุงเทพฯ แน่นอน พรพฤกษ์ก็เริ่มติดต่อเอกวิชช์ซึ่งเป็นหัวหน้าที่ทำงานเก่าเพื่อให้รู้ว่าจะกลับไปทำงานด้วย จนกระทั่งเขาเริ่มเคลียร์ตารางได้และกำหนดวันแน่นอนแล้วว่าจะปิดบ้านนฤมิตรตั้งแต่ปีใหม่เป็นต้นไป จึงตกลงกับตระการว่าจะมาย้ายของล็อตสุดท้ายด้วยกัน โดยทิ้งไว้แค่เครื่องใช้บางอย่างสำหรับเวลาที่ทั้งคู่ว่างและจะกลับมาพักผ่อนวันหยุดยาวด้วยกันเท่านั้น

เมื่อลงมาถึงห้องครัว ตระการก็ให้พรพฤกษ์นั่งลงที่เก้าอี้ก่อนจะเอากับข้าวที่ซื้อมาอุ่นในเตาไมโครเวฟโดยเทใส่ทีละจาน เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็เอาจานข้าวผัดไก่อุ่นๆ มาวางลงบนโต๊ะพร้อมกับเหยือกน้ำและแก้วน้ำ พรพฤกษ์เลิกคิ้วเมื่ออีกฝ่ายหยิบถุงพลาสติกออกจากตู้เก็บของด้านบนแล้วเอามาวางบนโต๊ะ

“ที่ต้นกลับมาช้าเพราะไปร้านขายยามาเหรอ?”

“อืม พอดีร้านขายยาตรงเชิงเขาปิดก็เลยต้องเข้าไปในเมือง แล้วบังเอิญเจอพี่ย่ามกับปาล์มก็เลยคุยกันนิดหน่อย พี่ย่ามก็บอกให้พาไผ่ไปหาก่อนจะกลับกรุงเทพฯ ด้วย”

พรพฤกษ์ยิ้ม “พรุ่งนี้ค่อยเข้าไปก็แล้วกัน นอโทรมาบอกเมื่อเช้าว่าคืนนี้ที่ร้านจะมีปาร์ตี้ปีใหม่ สงสัยจะยุ่งน่าดู ถึงเข้าไปหาก็คงไม่ได้คุยกันเท่าไหร่…”

ชายหนุ่มเอ่ยออกไปแล้วก็ใจหายวูบขึ้นมา หลังจากย้ายไปกรุงเทพฯ แล้วเขาคงไม่ได้เจอเพื่อนฝูงบ่อยๆ เหมือนแต่ก่อนอีก แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นทางเดินชีวิตที่เขาเลือกแล้ว...และก็คงไม่มีทางจะถอนคำพูดที่เคยให้ตระการกับตฤณไปแล้วได้อีก

“ไผ่ตกลงว่าจะไปอยู่กับต้นแล้ว...ห้ามเปลี่ยนใจตอนนี้นะ”

ดูเหมือนตระการจะดูออกว่าพรพฤกษ์กำลังคิดถึงเพื่อนๆ ขึ้นมาจึงเอ่ยขึ้น เมื่อเจ้าของนัยน์ตาสีนิลเหลือบตาขึ้นก็เห็นว่าอีกฝ่ายแกล้งทำหน้าดุอยู่ สีหน้าที่ได้เห็นทำให้เขาหัวเราะ

“ถึงจะเปลี่ยนใจก็คงช้าไปแล้วมั้ง เพราะนอกจากต้นแล้วสงสัยคุณลุงก็คงไม่ยอมแหงๆ อุตส่าห์ยอมรับพวกเราได้แล้วทั้งที ขืนตอนนี้มาบอกว่าเปลี่ยนใจคงโดนเกลียดแหงเลย”

ตระการยิ้มออกบ้างเมื่อเห็นสีหน้าที่แจ่มใสขึ้นของอีกฝ่าย ที่เขาเป็นห่วงที่สุดก็คือกลัวว่าพรพฤกษ์จะเหงาที่ต้องจากบ้านและเพื่อนๆ ที่นี่ไป ถึงแม้จะรู้ดีว่าเขาเองก็งานยุ่งเพราะธุรกิจที่กำลังขยับขยายอย่างไม่หยุดยั้ง แต่เขาก็ตั้งใจว่าจะเจียดเวลาว่างเท่าที่มีพาพรพฤกษ์กลับมาเยี่ยมบ้านที่นี่ให้บ่อยที่สุด และจะทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้พรพฤกษ์เสียใจที่ตัดสินใจย้ายไปอยู่กับเขา

“ป่านนี้พ่อเขาเกลียดไผ่ไม่ลงแล้วล่ะ ต่อให้ไผ่เปลี่ยนใจจริงๆ พ่อเขาก็คงบอกว่าไม่ว่าใช้วิธีไหนต้นก็ต้องพาไผ่ไปอยู่ด้วยกันให้ได้มากกว่า”

พรพฤกษ์หัวเราะอีกพลางส่ายหน้าเบาๆ จากนั้นก็เริ่มทานข้าวผัดที่ตระการอุ่นให้ โชคดีที่แม้เขาจะมีไข้แต่ความอยากอาหารไม่ได้ลดลง ชายหนุ่มจึงทานข้าวหมดทั้งจานแทบจะพร้อมๆ กับที่ตระการทานของตัวเองหมด พอเห็นเขาวางช้อนลงและยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม ตระการก็หยิบยาที่ซื้อมาออกจากถุงแล้วยื่นให้

“งั้นเดี๋ยวไผ่กินยานี่ก่อน เภสัชที่ร้านบอกว่าให้ทานหลังอาหารแล้วดื่มน้ำตามมากๆ เสร็จแล้วค่อยไปถนนคนเดินกัน เดี๋ยวต้นล้างจานให้เอง”

ตระการเอ่ยแล้วก็หยิบจานของพรพฤกษ์ไปซ้อนกับจานของตัวเองและลุกขึ้นนำไปวางที่อ่าง พรพฤกษ์มองตามแผ่นหลังกว้างและแข็งแรงของคนที่กำลังล้างจาน แล้วความเต็มตื้นในอกก็ทำให้เขาวางยาลงบนโต๊ะตามเดิมและลุกเดินเข้าไปหา

ตระการชะงักมือที่กำลังใช้ฟองน้ำถูจานเมื่อรู้สึกถึงอ้อมแขนที่โอบรอบเอว รวมทั้งไออุ่นจัดจากร่างที่กำลังมีไข้ซึ่งแนบแก้มลงบนแผ่นหลัง ร่างสูงจึงเอี้ยวคอไปถาม

“มีอะไรเหรอไผ่?”

พรพฤกษ์ส่ายหน้ากับแผ่นหลังกว้าง แต่ก็ไม่ได้ปล่อยแขนที่โอบเอวอีกฝ่ายไว้ “อืม...ไม่มีอะไร แค่อยู่ๆ ก็อยากกอดเฉยๆ”

ตระการฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้มและส่ายหน้า ร่างสูงเปิดน้ำเพื่อล้างฟองจากจานทั้งสองใบและวางลงบนตะแกรงข้างอ่าง จากนั้นจึงเช็ดมือกับผ้าที่แขวนอยู่แล้วหันกลับไปหาคนข้างหลังทั้งตัว พอเห็นนัยน์ตาสีนิลที่เหลือบขึ้นมองเขา ชายหนุ่มก็ยิ้ม

ก็ไม่ใช่เจ้าของนัยน์ตาคู่นี้หรือ...ที่ทำให้เขาหลงรักมาตั้งแต่ก่อนจะได้พบกัน จนกระทั่งความรู้สึกนั้นฝังรากจนถอนตัวไม่ขึ้นนับจนวันนี้

ตระการใช้แขนข้างหนึ่งโอบพรพฤกษ์กลับบ้าง ส่วนมืออีกข้างเชยคางอีกฝ่ายขึ้นและจูบลงไปเร็วๆ แต่ดูเหมือนจูบสั้นๆ เพียงแค่นั้นจะไม่สมกับความรู้สึกมันเขี้ยวของเขา ร่างสูงจึงกดริมฝีปากลงย้ำอีกครั้ง และคราวนี้จูบที่ตอนแรกเป็นเพียงการหยอกล้อก็แปรเปลี่ยนเป็นจูบอ่อนหวานที่ทำให้พรพฤกษ์ต้องละมือที่กอดเอวอีกฝ่ายแล้วเลื่อนขึ้นไปกำเสื้อบนบ่าแทน

จวบจนรู้สึกได้ว่าคนในอ้อมแขนเริ่มหายใจผิดจังหวะ ตระการจึงค่อยยืดตัวขึ้นและยิ้มตาเป็นมันให้คนที่โหนกแก้มเรื่อสีเลือดฝาดจนสุกปลั่ง จากนั้นก็ยกปลายนิ้วขึ้นลูบริมฝีปากบางเบาๆ

“ไม่มีอะไร แค่อยู่ๆ ก็อยากจูบเฉยๆ เหมือนกัน”

นัยน์ตาเจ้าเล่ห์สีน้ำตาลเข้มทำให้ใบหน้าที่ปกติดูเคร่งขรึมอ่อนเยาว์ลงราวกับเป็นหนุ่มวัยรุ่น และแม้ว่าจะหมั่นไส้ แต่พรพฤกษ์ก็รู้ดีว่าเขาเป็นคนเดียวที่ได้เห็นด้านนี้ของตระการ จากที่ตอนแรกตั้งใจว่าจะใช้คำพูดตอกกลับสักที สุดท้ายจึงตัดสินใจไม่ต่อปากต่อคำและดึงแขนเสื้ออีกฝ่ายเบาๆ แทน

“อยากไปถนนคนเดินแล้วล่ะ รีบไปกันก่อนฟ้าจะมืดดีกว่าต้น เดี๋ยวหาที่จอดรถลำบากแล้วได้เดินแป๊บเดียว”

ตระการหัวเราะเมื่อเห็นพรพฤกษ์ทำเป็นเฉไฉ แต่ก็ยอมปล่อยแขนที่โอบอีกฝ่ายไว้แล้วจูงมือไปที่ห้องนั่งเล่นแต่โดยดี “งั้นเดี๋ยวต้นไปเอาแจ๊คเกตตัวที่หนากว่านี้มาให้ก่อน ตอนกลางคืนอากาศมันเย็น ไผ่นั่งรอแป๊บนึง”

พรพฤกษ์พยักหน้า จากนั้นก็นั่งลงที่โซฟาและมองตามหลังอีกฝ่ายที่เดินหายขึ้นไปบนชั้นสอง ชายหนุ่มแหงนหน้าขึ้นหนุนคอบนโซฟาแล้วก็หลับตาลงทั้งที่ยังมีรอยยิ้มบนริมฝีปาก

ตา...ตาไม่ต้องห่วงนะ ตอนนี้ไผ่มีความสุขมากเลย แล้วไผ่จะกลับมาบ้านนี้บ่อยๆ เท่าที่ทำได้นะ...

ชายหนุ่มยกศีรษะขึ้นและนั่งตัวตรงเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินลงมา จากนั้นก็ลุกขึ้นและรับแจ๊คเก็ตตัวหนานุ่มที่อีกฝ่ายยื่นให้มาเปลี่ยนแทนตัวที่ใส่อยู่ก่อน เมื่อเสร็จแล้วก็เดินออกจากบ้านด้วยกัน พรพฤกษ์ล็อคประตูบ้านแล้วก็เดินตามตระการไปที่รถ แต่จู่ๆ ก็ชะงักแล้วหันกลับไปมองบ้านอีกครั้ง

“ไผ่?”

ตระการชะงักบ้างเมื่อเห็นพรพฤกษ์หยุดเดิน พอหันหลังไปก็เห็นอีกฝ่ายยืนเอามือซุกกระเป๋าเสื้อแจ็คเกตแล้วแหงนหน้ามองบ้านอยู่ ชายหนุ่มจึงเดินเข้าไปหาแล้วโอบอีกฝ่ายไว้จากด้านหลัง

“มีอะไรเหรอ หรือว่าไม่อยากเข้าเมืองแล้ว?”

ร่างสูงเอ่ยพลางกระซิบข้างหู พรพฤกษ์จึงเอี้ยวหน้าไปหาแวบหนึ่งก่อนจะหันกลับไปมองบ้านตามเดิม แต่คราวนี้เขาเอนตัวลงพิงอกตระการไว้ด้วย

“ไม่ใช่แบบนั้นหรอก เพียงแต่กำลังคิดว่าเคยเห็นภาพนี้จนติดตามาจนอายุสามสิบ แต่จากนี้ไปจะไม่ได้เห็นที่นี่บ่อยๆ แล้วก็อดใจหายไม่ได้”

ตระการกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น จากนั้นก็แนบริมฝีปากลงบนขมับของคนตรงหน้า เขารู้ดีว่าสำหรับพรพฤกษ์แล้วบ้านนฤมิตรมีความหมายแค่ไหน การที่อีกฝ่ายยอมตัดใจไปอยู่กับเขานั้นอาจถือเป็นการเสียสละที่เจ้าตัวไม่เคยทำให้ใครมาก่อนเลยก็เป็นได้

“จากนี้บ้านของต้นก็คือบ้านของไผ่เหมือนกันนะ”

ร่างสูงเอ่ยเสียงต่ำ พรพฤกษ์จึงยิ้มและหมุนตัวกลับไปหา จากนั้นก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นประคองใบหน้าคมคายที่เย็นเพราะลมซึ่งพัดโชยบนเชิงเขาเอาไว้ พระอาทิตย์เริ่มลับเหลี่ยมเขาไปทางด้านหลังบ้านแล้ว แต่เขาก็หวังว่าความสลัวรอบตัวจะยังไม่มากพอจะบดบังรอยยิ้มที่ส่งให้คนตรงหน้า

คำสัญญาของตระการทำให้พวกเขาสองคนมาถึงจุดนี้ เพื่อตอบแทนความรู้สึกนั้น เขาก็จะไม่เสียใจในการตัดสินใจของตัวเองเช่นกัน

“สำหรับไผ่ ถ้าต้นอยู่ที่ไหน ที่นั่นแหละคือบ้านของไผ่”

คำพูดนั้นทำให้ตระการทำตาโต เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มยิ้มกว้างและดึงตัวพรพฤกษ์ไปกอดแน่น และพรพฤกษ์เองก็สอดแขนกอดอีกฝ่ายตอบราวจะตอกย้ำว่าสิ่งที่เขาได้พูดออกไปนั้นคือสิ่งที่คิดจริงๆ ครู่ใหญ่กว่าที่ตระการจะถอยออกและโอบไหล่พรพฤกษ์พลางพาเดินไปที่รถ

“เราไปกันเถอะไผ่”

“อื้ม”

พรพฤกษ์ตอบรับและสอดแขนข้างหนึ่งโอบเอวอีกฝ่าย ครั้งนี้ชายหนุ่มไม่ได้หันกลับไปมองบ้านนฤมิตรอีก เพราะเขารู้ดีว่าแม้จะรักบ้านหลังนี้แค่ไหน แต่ชีวิตของเขาก็ต้องเดินต่อไปข้างหน้า เพียงแต่ครั้งนี้ไม่ใช่ตามลำพังเพราะว่าเขาจะมีตระการคอยอยู่เคียงข้างในทุกก้าวของชีวิต

คำว่า ‘เราไปกันเถอะ’ ที่อีกฝ่ายเอ่ยเมื่อครู่ไม่ได้สื่อถึงแค่การเดินทางในค่ำคืนนี้เท่านั้น แต่หมายรวมถึงชีวิตในทุกวินาที ทุกวัน ทุกเดือนและทุกปีต่อจากนี้ไปของทั้งคู่ด้วย

พวกเขาใช้เวลามากมายกว่าจะก้าวผ่านมาถึงจุดนี้ด้วยกัน และจากนี้จะไม่มีสิ่งใดมาทำให้พวกเขาพรากจากหรือต้องอยู่ห่างจากกันได้อีก

นั่นคือคำสัญญา...


++--- End ---++



A/N: อ๊า ในที่สุดก็มาถึงบทส่งท้ายจนได้ รู้สึกโล่งอกพอๆ กับที่ใจหายเลยค่ะ ถ้าหากนับเวลาที่ต้นเริ่มเจอไผ่ครั้งแรกจนถึงตอนจบก็ร่วมสามปี พอๆ กับที่ป้าใช้ในการเขียนเรื่องนี้จริงๆ เลยล่ะ (เขียนกลางปี 2008 มาจบต้นปี 2011) ถือว่าเป็นการเดินทางที่ยาวนานมาก ดีใจจริงๆ ที่ส่งต้นกับไผ่มาถึงตรงนี้ได้ และยิ่งรู้สึกขอบคุณทุกกำลังใจและคอมเม้นต์ที่มีให้กันมาตลอด รู้สึกประทับใจจริงๆ ที่ได้เขียนเรื่องนี้ออกมาและได้มีประสบการณ์ดีๆ ขนาดนี้

สำหรับเรื่องราวในบทส่งท้ายนี้จะตามหลังเรื่องในตอนล่าสุดอยู่หลายเดือน เรียกว่าเกือบๆ ปีเพราะเวลาในตอนที่แล้วจะเป็นช่วงต้นปี ส่วนเรื่องในตอนนี้จะเป็นวันสิ้นปีเลย แล้วก็ไม่รู้ว่าคนที่ได้อุดหนุนลำนำรักสีรุ้งไปแล้วและเคยได้อ่านตอนโบนัสของเป้กับวิวจะจำกันได้ไหม แต่นี่ก็คือคืนวันที่สองคู่นี้ได้เจอกันที่ศูนย์อาหารในวัดนั่นละค่ะ อิอิอิ (ส่วนใครที่ไม่ได้อ่านลำนำรักสีรุ้งแบบรวมเล่มไม่ต้องงงนะคะ มันเป็นตอนโบนัสที่คนที่ซื้อหนังสือเท่านั้นจะได้พาสเวิร์ดไปอ่านเจ้า)

ตอนนี้นิยายเริ่มเปิดจองแล้วนะคะ เนื่องจากทำสองเล่มซึ่งราคาก็เยอะอยู่ เลยเปิดจองยาวตั้งแต่วันนี้ถึง 20 มีนา (เลื่อนขึ้นไปดูรายละเอียดได้ที่ด้านบนของหน้านี้) หลังจากนี้ถ้ามีข่าวอะไรอีกจะมาอัพเดทเป็นระยะค่ะ และข่าวดีสำหรับแฟนๆ คุณเชษฐ์กับภัทร คราวนี้ป้าจะได้มีเวลากลับไปหาเรื่องนั้นแล้วละค่ะ รออ่านตอนใหม่กันด้วยน้า วี้ฮิ้วววววววว

ขอบคุณทุกคนมากๆ ที่คอยให้กำลังใจและติดตามกันมาตลอดค่า รักทุกคนเลยน้า จุ๊บๆ  o13
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ประกาศเปิดจองรวมเล่ม + อัพตอนล่าสุด *25/01/2011* หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: Little Devil ที่ 26-01-2011 00:03:39
ขอบคุณเช่นกัน
อ่านแล้วมีความสุขตลอด
+1
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ประกาศเปิดจองรวมเล่ม + อัพตอนล่าสุด *25/01/2011* หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 26-01-2011 01:06:55
เป็นอีกเรื่องที่จบไปแล้วด้วยความอบอุ่น
ตั้งใจไว้ว่าจะสะสมทุกเรื่องของไรท์เตอร์เลยค่ะ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ประกาศเปิดจองรวมเล่ม + อัพตอนล่าสุด *25/01/2011* หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: kakuro ที่ 26-01-2011 08:06:24
ขอบคุณนะคุณริน :L2:
จบแล้วมันเหงาๆไงไม่รู้
รอเชษฐ์กับภัทรต่อดีกว่า
ทุกวันอังคารดีมั้ย :m13:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ประกาศเปิดจองรวมเล่ม + อัพตอนล่าสุด *25/01/2011* หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: yr_meteor ที่ 26-01-2011 08:32:04
มีพิเศษคู่นอกับบอยป่าว?ค่ะ
อยากรู้คู่นี้จะเป็นยังไง ลุ้นอีกคู่
ขนาดแค่มีคู่นี้เล็กๆ น้อยๆในเรื่อง ยังน่าร๊ากกขนาดนี้เลย
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ประกาศเปิดจองรวมเล่ม + อัพตอนล่าสุด *25/01/2011* หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: ΩPRESTOΩ ที่ 26-01-2011 09:19:16
มาลงชื่อจองด้วยหนึ่งชุด

โอนเงินแล้วจะเมลไปแจ้งอีกทีนะคะ

 :L2:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ประกาศเปิดจองรวมเล่ม + อัพตอนล่าสุด *25/01/2011* หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 26-01-2011 10:04:55
มาตอบคอมเม้นต์หน่อยค่า ^_________^

Little Devil  ขอบคุณมากค่ะ ดีใจที่ชอบเรื่องนี้เช่นกัน
yeyong ด้วยความยินดีเลยค่ะ จะตั้งใจทำรูปเล่มและบ็อกซ์เซ็ทเรื่องนี้ให้สวยคุ้มค่าการสะสมน้า
kakuro จบแล้วเหงาเหมือนกันค่ะ แต่ยังต้องปั่นตอนพิเศษสำหรับรวมเล่มอีก เพราะงั้นยังจะได้เจอกันในรวมเล่มต่อ ว่าแต่คุณเชษฐ์กับภัทรทุกวันอังคารเลยเหรอ...ขอไปปรับโหมดตัวเองก่อนน้า กีสสสสสสสสสส
yr_meteor มีคนถามมาหลายคน ก็คิดว่าในตอนพิเศษน้องบอยคงได้ออกมาแบบจุใจแม่ยกค่ะ รออ่านได้เลย
ohmpresto  รับทราบค่าคุณ ohmpresto จะรอเมล์นะคะ 

ยังไงจะพยายามเอาตอนพิเศษมาลงให้สักตอนระหว่างที่รอรวมเล่มนะคะ (แต่ตอนพิเศษเฉพาะในรวมเล่มก็จะยังเป็นสามตอนเหมือนเดิม) ให้กำไรคนอ่านเต็มที่ค่ะ รออ่านกันด้วยเด้อ   :impress2:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ประกาศเปิดจองรวมเล่ม + อัพตอนล่าสุด *25/01/2011* หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 26-01-2011 10:21:20
กี๊ด คุณเชษฐ์ขราาาาาาาาาาาาา >////<
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ประกาศเปิดจองรวมเล่ม + อัพตอนล่าสุด *25/01/2011* หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 26-01-2011 10:46:11
แว้บเข้ามาบอกว่าอัพเดทรูปทรงของบ็อกซ์เซ็ทค่ะ แปะไว้ตรงรีพลายเดียวกับที่แปะรูปปกนะ (เลื่อนขึ้นดูข้างบนได้เลยเจ้าค่า)  :z1:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ประกาศเปิดจองรวมเล่ม + อัพตอนล่าสุด *25/01/2011* หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 26-01-2011 13:11:27
จบหวานนนนนนนได้อีกค่ะ :o8:
โรแมนติค&คาวาอิมากมาย อร๊ายยยยย :-[

ปล.เดี๋ยวปลายๆกุมภาจะมาสั่งด้วยคนค่ะ ตอนนี้ขอเก็บตังค์ก่อน :กอด1:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ประกาศเปิดจองรวมเล่ม + อัพตอนล่าสุด *25/01/2011* หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: captainchick ที่ 26-01-2011 16:56:30
หวานมากๆๆ เลยค่ะ โอ๊ยๆๆ มดไต่
ปกหนังสือสวยจังเลยค่ะ ชอบปกจังเลย มันดูอบอุ่นดีจังเลย
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ประกาศเปิดจองรวมเล่ม + อัพตอนล่าสุด *25/01/2011* หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 26-01-2011 18:37:20
เพื่อนบอกว่าฝากเมสโอนเงินไปแล้วแต่ยังไม่ได้ใบเปย์มาเลย รินลองเช็คดูก่อนนะ ของพี่โอนไปวันนี้ อิอิ
เดี๋ยวพรุ่งนี้ได้ใบเปย์จะเมลไปแจ้งอีกที   :laugh: ชอบมากเลยสวยอะ ดีใจที่ได้เป็นเจ้าของ

มั่นใจฝีมือรินเสมอ  :impress2:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ประกาศเปิดจองรวมเล่ม + อัพตอนล่าสุด *25/01/2011* หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 26-01-2011 21:16:00
ZakuPz    รับทราบค่า จะรออีเมล์นะค้า ^^

captainchick  ขอบคุณแทนน้องคนวาด + น้องคนแต่งปกด้วยค่ะ ไม่ได้สองคนนี้ไม่ออกมางามแงะขนาดนี้แน่ๆ

พี่หนึ่ง  ต้องรอดูใบเปย์ละค่ะพี่หนึ่ง เพราะมียอดโอนคล้ายๆ กันเข้ามาหลายอันเลยไม่ชัวร์ว่าอันไหน ของเรื่องนี้ตั้งใจทำให้ดูมีค่าน่าสะสมไม่แพ้สองเรื่องก่อนเลยค่ะ    :really2:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ประกาศเปิดจองรวมเล่ม + อัพตอนล่าสุด *25/01/2011* หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: rannie ที่ 26-01-2011 23:13:27
ขอจองด้วย 1 ชุด ไว้ได้หนังสือและค่อยอ่านทีเดียวดีกว่า  หน้าปกสวยมากๆๆค่ะ โอนเงินเมื่อไหร่จะรีบเขียนเมล์ไปบอกน่ะค่ะ

แฟนฟิคประจำจ๊ะ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ประกาศเปิดจองรวมเล่ม + อัพตอนล่าสุด *25/01/2011* หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 26-01-2011 23:25:46
คุณ rannie ได๋ค่า จะรออีเมล์นะคะ  :impress2:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ประกาศเปิดจองรวมเล่ม + อัพตอนล่าสุด *25/01/2011* หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: pinkky_kiku ที่ 27-01-2011 00:37:49
โอ้ หนูอยากได้ป้าคะ สั่งจองทาง ปณ นี่ได้เหมือนกับไปซื้อที่ร้านใช่รึเปล่าคะ เพราะอยากไปซื้อที่ร้านมากกว่าอ่า >.< กัวพี่ ไปร ทำหนังสือพัง อิอิ แล้วถ้าจองแต่ไปรับเองที่ร้านได้ป่าวคะ ตอบหนู หน่อยน๊าาาา
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ประกาศเปิดจองรวมเล่ม + อัพตอนล่าสุด *25/01/2011* หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 27-01-2011 00:48:36
คุณ pinkky_kiku คนที่สั่ง pre-order ก็จะได้ของเหมือนที่ร้านค่ะ แต่ถ้าสะดวกไปร้านก็ซื้อจากที่ร้านเลยก็ได้ เพราะหนังสือจะไปวางช่วงไล่ๆ กับที่ส่งทางไปรษณีย์ค่ะ :D 
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ประกาศเปิดจองรวมเล่ม + อัพตอนล่าสุด *25/01/2011* หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 27-01-2011 02:02:05
 :z3: เค้าลืมนึกไปว่าของรินวางร้านแป๋มด้วย ไม่งั้นให้แป๋มเอามาให้ก็ได้ แอร๊ยยยส์จิได้ประหยัดค่าจัดส่ง กร๊ากก  :laugh:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ประกาศเปิดจองรวมเล่ม + อัพตอนล่าสุด *25/01/2011* หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: cancan ที่ 27-01-2011 02:08:22
หนังสือสวยมากกกกกกกกกกเลยค่ะ เห็นแล้วน้ำลายหกเลย เดี๋วขอเก็บเงินก่อนนะ  อยากได้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :man1:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ประกาศเปิดจองรวมเล่ม + อัพตอนล่าสุด *25/01/2011* หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 27-01-2011 10:36:51
Poes  เข้ามาขำพี่หนึ่ง เอาน่า ไว้จะซื้อเพิ่มค่อยไปที่ร้านแป๋มก็ได้จ้า   :z1:

cancan *ซับน้ำลายให้* จะรออีเมล์นะค้า   :-[
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ประกาศเปิดจองรวมเล่ม + อัพตอนล่าสุด *25/01/2011* หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 27-01-2011 17:39:57
ส่งเมลไปแล้วได้ยัง กรี๊ดดดดดดดด  :-[ อยากได้ไวๆอะ แต่ไม่เป็นไร เราจะไปขนกลับมา
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ประกาศเปิดจองรวมเล่ม + อัพตอนล่าสุด *25/01/2011* หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 27-01-2011 19:40:43
ส่งเมลไปแล้วได้ยัง กรี๊ดดดดดดดด  :-[ อยากได้ไวๆอะ แต่ไม่เป็นไร เราจะไปขนกลับมา

ตอบเมล์ไปแว้ววว อิอิ รอหนังสือสำเร็จเป็นรูปเล่มนะค้า  :call:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ประกาศเปิดจองรวมเล่ม + อัพตอนล่าสุด *25/01/2011* หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 27-01-2011 21:37:10
ขอบคุณครับ  ขอบคุณจริง
ที่จริงเพิ่งมาอ่านเรื่องนี้เมื่อช่วงปลายปีที่แล้วเอง
ทีแรกก็ไม่คิดจะอ่านหรอกนะครับ เพราะเห็นลงใว้ตั้งหลายปีแล้วเลยคิดว่าคงจะไม่จบ
แต่ก็อดลองอ่านไม่ใหว  แต่พอได้อ่านแล้วติดเลย  ชอบครับ
และขอบคุณครับที่มาปิดเรื่องนี้ให้แบบน่ารักมากๆด้วย
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ประกาศเปิดจองรวมเล่ม + อัพตอนล่าสุด *25/01/2011* หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 28-01-2011 09:28:17
ขอบคุณครับ  ขอบคุณจริง
ที่จริงเพิ่งมาอ่านเรื่องนี้เมื่อช่วงปลายปีที่แล้วเอง
ทีแรกก็ไม่คิดจะอ่านหรอกนะครับ เพราะเห็นลงใว้ตั้งหลายปีแล้วเลยคิดว่าคงจะไม่จบ
แต่ก็อดลองอ่านไม่ใหว  แต่พอได้อ่านแล้วติดเลย  ชอบครับ
และขอบคุณครับที่มาปิดเรื่องนี้ให้แบบน่ารักมากๆด้วย

คุณ som  ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ระหว่างที่หยุดเขียนเรื่องนี้ไปเราก็คิดถึง อยากเอามาเขียนต่อให้จบตลอดเลย แต่องค์มันไม่มาซะที พอเริ่มเอามารีไรท์ได้นี่ฮูเร่มาก ดีใจเหมือนกันที่พามาถึงตอนจบได้ หวังว่าคงได้เจอกันในผลงานเรื่องอื่นของเราด้วยนะค้า   :pig4:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ประกาศเปิดจองรวมเล่ม + อัพตอนล่าสุด *25/01/2011* หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: rannie ที่ 28-01-2011 14:31:10
 สวัสดีค่ะ คุณ bellbomb

วันนี้ได้ทำการโอนเงินค่าหนังสือ แม้นมั่นคำสัญญาให้แล้วน่ะค่ะ

ช่วยเช็คเมล์ด้วยน่ะค่ะ

ขอบคุณค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ประกาศเปิดจองรวมเล่ม + อัพตอนล่าสุด *25/01/2011* หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: evilheart ที่ 28-01-2011 20:32:39
คู่นี้อบอุ่นตลอด หวานตลอด
คุณพ่อสามีถึงจะดูดุ แต่ก้อใจดีกว่าที่คิดนะ
เข้าทำนองปากร้าย ใจดี
พี่จองด้วยนะน้องริน เด๋วจะไปทำตามขั้นตอน :impress3:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ประกาศเปิดจองรวมเล่ม + อัพตอนล่าสุด *25/01/2011* หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 28-01-2011 21:58:31
วันนี้ออกไปข้างนอกมาทั้งวันเลย แล้วโนเกีย E63 เป็นไรไม่รู้ พยายามจะตอบเมนต์หลายทีแล้วแต่ไม่ยอมไปค่ะ เพิ่งกลับถึงบ้านเลยรีบมาตอบนี่ละ เฮือกกก!!

คุณ rannie  ในอีเมล์ใช้ชื่อจริงขึ้นต้นด้วยตัว ธ. ใช่ไหมเอ่ย? ถ้างั้นได้รับเรียบร้อยแล้วค่ะ เดี๋ยวตอบอีเมล์ยืนยันให้อีกทีน้า   :really2:

พี่จ๋า ป๊ะป๋าเป็นพวกแสดงความรู้สึกไม่เก่งค่ะ ได้ขนาดนี้ก็สุดยอดแล้วล่ะ (ถ้าเทียบกับตอนต้นๆ - กลางๆ เรื่อง) สำหรับการจองก็ตามที่แจ้งไปเลยค่า  :impress2:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.15 + fanfic จากคนอ่าน p.16 (31.1.11)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 31-01-2011 16:49:46
คิดถึงป้ากันไหมคะทุกคน แต่ป้าคิดถึงทุกคนเลยค่า (อ้อนเข้าป๊ายยยยย)   :laugh:
ที่มาอัพเดทกันวันนี้ พอดีว่าไม่นานนี้มีนักอ่านที่น่ารักเขียนกลอน + แฟนฟิคให้ต้นกับไผ่ค่ะ อิป้าตื่นเต้นเพราะไม่เคยมีใครเอาตัวละครไปเขียนอะไรแบบนี้ให้มาก่อน เลยขออนุญาตท่านเหล่านั้นเอาผลงานมาเผยแพร่ให้คนอื่นๆ ได้อ่านด้วยค่ะ   :-[

อ้อ! แล้วก็สำหรับคนที่สนใจแม้นมั่นคำสัญญาฉบับรวมเล่ม สามารถดูรายละเอียดสั่งจองได้ที่หน้า 15 หรือจะไปดูที่บล็อกของป้าก็ได้ค่า เปิดจองตั้งแต่วันนี้ถึง 20 มีนาคมเด้อ รับรองความแน่นปึ้กทั้งคุณภาพเนื้อหาและรูปเล่มค่ะ {{ คลิก }} (http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=bellbomb&month=25-01-2011&group=13&gblog=3)

อย่ารอช้า ไปอ่านผลงานของแฟนๆ กันเต๊อะ  :mc4:


*************************

สำหรับผลงานชิ้นที่ 1 เป็นผลงานของพี่ยูที่เขียนถ่ายทอดความรู้สึกของต้นที่มีให้กับไผ่ค่ะ เป็นกลอนที่หวานมาก ซึ้งมาก เราอ่านแล้วอายม้วนไปเลยเพราะไร้ความสามารถในการเขียนบทกลอนเข้าขั้นเฉียดติดลบ เป็นกลอนที่สะท้อนความในใจของต้นได้ถึงแก่นและละมุนละไมมากๆ ขอบคุณพี่ยูที่เขียนกลอนบทนี้ให้ และที่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่ให้แฟนคนอื่นๆ ได้อ่านด้วยค่ะ

ต้นรักไผ่เท่าที่ใจสอนให้รัก

ร้อยทอถักความสัมพันธ์ที่ฝันหา

ร้อยวจีพลอดพร่ำพรรณนา

หวังเพียงว่าไผ่ตอบรักต้นสักคำ
 


*************************



ผลงานลำดับที่ 2 & 3: น้ำส้มสายชูเป็นเหตุ จากพี่แอ๋ว & พี่ Lith

ก่อนอื่น ผลงานชิ้นที่สองและสามนี้ไม่เชิงเกิดจากความร่วมมือกันเขียน แต่พอดีว่ามันต่อกัน ก็เลยเอามาลงติดกันไปเลย ที่มาที่ไปของผลงานชิ้นนี้มาจากรูปด้านล่างนี้ ซึ่งเราบังเอิ๊ญไปเจอในครัวที่บ้าน เลยอดไม่ไหวต้องถ่ายรูปแล้วอัพขึ้น facebook ให้แฟนๆ ได้ดูด้วย พอพี่แอ๋วมาเห็นก็เลยเกิดคุยกันเล่นๆ ว่าถ้าต้นเปิดโรงงานน้ำปลาเพิ่มจะเป็นยังไง ก็เลยออกมาเป็นเรื่องภาคต่อแบบพิสดารนี่ละ

*คำเตือน* โปรดเตรียมทิชชู่ไว้ซับน้ำตา...หรือไม่ก็ยาแก้ปวดท้อง และถ้าเป็นไปได้ก็ลืมๆ บุคลิกของตัวละครในเรื่องหลักสักระยะระหว่างที่อ่าน XD

(http://farm6.static.flickr.com/5096/5403128510_b2c5282b68.jpg)


[ตอนที่ 1 จากพี่แอ๋ว]

ไผ่ : ได้ยินใช่มั้ยต้น "พี่จะหนีกลับเชียงใหม่จริงๆนะ ถ้าต้นยังไม่เลิกทำน่ะ"

ต้น : แต่ต้นว่าอนาคตมันรุ่งนะ โธ่... ไผ่ก้อ น้า... แล้วทำไมต้องแทนตัวเองว่าพี่ด้วยล่ะ ต้นเคยบอกแล้วไงว่าไม่ชอบน่ะ

ไผ่ : ต้น.... -"- พี่ก็ไม่ชอบเหมือนกัน...นะ เออ.. ถ้าทำโรงงานกะทิยังพอว่า ยิ่งตอนนี้กะทิกำลังขึ้นราคาอยู่ รู้หรือปล่าวว่าน้ำปลาน่ะมันดำ สู้กะทิก็ไม่ได้ ขาว... ข้น... กว่าตั้งเยอะ ยิ่งเวลาได้จับ ได้ขยำเนื้อมะพร้าวขาวๆ ฟูๆ นั่นอีก โอ้ว..... สุดยอด

ต้น : มันสุดยอดตรงไหน ต้องนั่งขูดมะพร้าวหลังขดหลังแข็ง แล้วยิ่งสมัยนี้ กระต่ายขูดมะพร้าวหายากจะตายไป

ไผ่ : หายากตรงไหน พี่เห็นที่บ้านน้องรินมีตั้ง 2-3 ตัว แล้วอีกอย่างนะ ทำโรงงานกะทิเนี่ยมันต้องมานั่งขูดมะพร้าว มานั่งคั้นน้ำเองตรงไหน ต้นเข้าใจอะไรผิดหรือปล่าว พี่จะทำเป็นระบบโรงงานส่งออกไปขายนะ ไม่ใช่จะทำแกงเขียวหวานไปงานวัดที่จะต้องมานั่งคั้นเองน่ะ อ้อ... แล้วอีกอย่างอย่ามาเถียงแชมป์ขูดมะพร้าวประจำตำบลอย่างพี่นะ ชิส์...

ป๊ะป๋า : อ้าว.. 2 คนนั่นทะเลาะอะไรกัน เสียงดังโหวกเหวกโวยวายเนี่ย

ไผ่ : คุณลุง.. ก็ดูต้นซิครับ บอกว่าจะทำโรงน้ำปลาต่อ ไผ่ไม่อยากให้ทำ บอกว่าถ้าจะทำโรงน้ำปลา ทำโรงงานกะทิดีซะกว่าอีก ต้นก็ยังเถียง

ป๊ะป๋า : อ้าว... ต้น... พ่อฝากหนูรินไปบอกแล้วงัยว่า "ไปปิดโรงงานเดี๋ยวนี้! เสียชื่อวงศ์ตระกูลหมด!!" หนูรินไม่ได้บอกเหรอ

ต้น : บอกแล้วครับ แต่...พ่อครับ... ไผ่จ๋า... ต้นอยากทำนี่นา

ป๊ะป๋า+ไผ่ : " ไม่ได้...... "

สรุป... โรงงานน้ำปลาของเฮียต้นก็เป็นอันต้องปิดตัวลงภายในระยะเวลาชั่วข้ามคืน เพราะคำสั่งฟ้าผ่าของ "พ่อบังเกิดเกล้า และ ศรีภรรยาที่เคารพ" ดังนี้แล ฮิ้วๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ( น้องต้นเกียมัว น้องต้นกลัวเมีย ฮ่าๆๆๆๆๆ )


[ตอนที่ 2: แม่เบี้ยภาคพิสดาร จากพี่แอ๋ว]

ต้น : ไผ่จ๋า.... ทำอะไรอยู่จ๊ะ

ไผ่ : ปิ้งกบอยู่มั้ง ก็เห็นๆ อยู่ว่ากำลังขูดมะพร้าวอยู่เนี่ย ไหนมาใกล้ๆ หน่อยดิ

ต้น : ว่าไงจ๊ะที่รัก

ไผ่ : ผั๊วะ

ต้น : มาเบิดกะโหลกเค้าทำไมอ่ะ ต้นทำไรผิดเนี่ย ไผ่อ่ะใจร้ายยยย

ไผ่ : ต้น... อย่ามากระแดะ ว่างอยู่ใช่มั้ย เนี่ยมะพร้าวที่ไผ่ขูดแล้ว มาเลยมาคั้นน้ำให้หน่อย เดี่ยววันนี้ไผ่จะทำขนมจีน แกงเขียวหวานซะหน่อย

ต้น : ทำไมไม่ให้ป้าแสนทำให้ล่ะ จะทำเองทำไมให้เหนื่อย แล้วเนี่ยทำไมมะพร้าวมันเยอะยังงี้ล่ะ จะทำไปเลี้ยงคนทั้งหมู่บ้านหรือไง บ้านเรามีกันแค่ไม่กี่คนเองน้า

ไผ่ : อืม.. ไผ่ว่าจะปิดซอยเลี้ยง....

ต้น : เนื่องในโอกาสอะไรเหรอ ???

ไผ่ : มีสามีใหม่.....

ต้น : อ๊า... ม๊ายน้า.... ต้นผิดไปแล้ว ฮือๆๆๆๆ ต้นขอโทษคร้าบบบบ

เวลาผ่านไปนานเท่ากลิ่นตดจางหาย.... ( ตดใครฟร๊ะ )

ต้น : ไผ่ ต้นถามจริงๆนะ ไผ่ทำตั้งเยอะแยะเนี่ย จะเอาไปไหนเหรอ
ไผ่ : ก็ทำไว้กินเอง , แบ่งป้าแสนกับคนอื่นๆในบ้าน แล้วก็ว่าจะทำไปให้หนูริน กับ พี่แอ๋วด้วย รายหลังเห็นบ่นว่าอยากกิน เห็นว่าช่วงนี้กำลังไม่เข้าตา โดนเจ้านายล๊อคเงินเดือนไว้ สงสัยสิ้นเดือนนี้จะกินแกลบหน่ะ ( เง้อ... น้องไผ่ขายพี่ซะแล้ว )

ต้น : อืม... น่าสงสารแกเนอะ อ้าวแล้วหนูรินล่ะ รายนั้นอยากกินเหมือนกันเหรอ

ไผ่ : ปล่าว... ติดสินบนหน่ะ

ต้น : ไผ่ไปบนอะไรไว้เหรอ หรือไปขูดหวยมา ท่าทางหนูรินเนี่ยจะศักดิ์สิทธิ์น่าดูเน๊อะ ไม่งั้นไผ่คงไม่ไปบนหรอก ใช่ป่าว.... ว่าแต่ถูกกี่ตัวเนี่ย 3 ตัวบน หรือ 3 ตัวล่าง หรือว่า เลขท้าย 2 ตัว ทำไมไม่บอกต้นบ้างล่ะ ต้นจะได้ซื้อด้วย แล้วเนี่ยซื้อกับใคร ป้าแสนเหรอ

ไผ่ : “ ไอ้ต้น..... “

ต้น : ขอโทษก๊าบบบ โอ๊ย... ไผ่อย่าดึงหูต้นดิ เดี่ยวหูยาน พนักงานเห็นแล้วโดนล้อกันพอดีว่าต้นกลัวเมียอ่ะ

ไผ่ : หรือไม่กลัว ???

ต้น : กลัวก๊าบบบบ เกรงใจด้วย แหะๆๆๆๆ

ไผ่ : หนูรินอุตส่าห์ไปมุดใต้ถุนบ้านหากระต่ายขูดมะพร้าวมาให้ไผ่ยืม ไผ่ก็เลยว่าจะทำขนมจีนแกงเขียวหวานไปให้ซักหน่อยน่ะ สงสาร ได้ข่าวว่า โดนแมลงสาบ กับ หนู เล่นงานมา โทษฐานที่ไปวุ่นวายอณาเขตมัน ตอนเอากระต่ายมาให้เนี่ยสภาพดูไม่ได้เลยหล่ะ ไผ่เห็นแล้วสงส๊านสงสาร เนี่ยโดนขโมยหอมแก้มด้วย ไม่รู้จะติดเชื้อหรือปล่าว

ต้น : เฮ้ย... งั้นรีบไปโรงบาลดีกว่าไผ่ เกิดติดเชื้อพิษสุนัขบ้าขึ้นมาจะแย่เอานา

ไผ่ : บ้าเหรอ ไผ่เช็ดเด็ดตอลแล้ว อาบน้ำผสมด่างทับทิมอีกตั้งหลายรอบ ไม่เป็นไรหรอก.... มั้ง

เวลาผ่านไป ( ก็ให้มันผ่านไปซิฟร๊ะ )

ต้น : เอ่อ.... ไผ่...

ไผ่ : หืม... แล้วนั่นจะไปไหนหน่ะยังคั้นไม่เสร็จไม่ใช่เหรอ

ต้น : คือ... นั่งตรงข้ามไผ่แล้วไม่ค่อยดีหน่ะ

ไผ่ : ทำไม มีอะไรเหรอ

ต้น : ไผ่.....เคยดู “แม่เบี้ย” ป่าว

ไผ่ : ไม่เคย ทำไมเหรอ

ต้น : งั้นเดี่ยวคืนนี้ ต้นจะให้ไผ่ดู ไผ่จะได้รู้ว่า “ ทำไม ต้นต้องย้ายที่นั่ง “

ไผ่ : ต้น......(กรุณาทำเสียงสูง โซปราโน่ ) ทำไมน้ำกะทิต้นมีสีแดงล่ะ เฮ้ย... ต้น.. เลือดกำเดา

โอ้ว... ต้นของพี่ไปซะแร้ว

ฟิ๊ว... วิ่งหลบเกี๊ยะหนูริน...


[ตอนส่งท้าย จากพี่แอ๋ว]

ไผ่ : พี่แอ๋ว ไผ่มีเรื่องจะปรึกษาครับ

พี่แอ๋ว : ว่าไงจ๊ะน้อง

ไผ่ : เมื่อกี้ตอนที่ไผ่ขูดมะพร้าวอยู่ แล้วให้ต้นมาช่วยคั้นน้ำกะทิให้ อยู่ดีๆต้นก็ย้ายที่นั่งเฉยเลย แถมคั้นไปไม่นานเลือดกำเดาก็ไหลซะงั้น เสียน้ำกะทิไปตั้ง 1 หม้อแนะ พอถามว่าเป็นอะไรก็ไม่ยอมบอก แต่กลับถามไผ่กลับว่าเคยดูหนังเรื่องแม่เบี้ยมั้ย แล้วยังบอกอีกนะว่าคืนนี้จะเอาให้ดู แล้วไผ่จะรู้เอง แต่ไผ่ไม่อยากรอคืนนี้อ่ะ ไผ่สงสัยเลยโทรมาปรึกษาพี่แอ๋วก่อน

พี่แอ๋ว : อืม.... แล้วตอนไผ่ขูดมะพร้าวเนี่ย ไผ่แต่งตัวยังไงล่ะ

ไผ่ : ก็เสื้อยืดห่านคู่คอวีที่น้องรินซื้อให้ กับ กางเกงเลตัวที่พี่แอ๋วซื้อมาฝากจากสงขลาอ่ะครับ ทำไมเหรอ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเสื้อผ้าไผ่ละเนี่ย

พี่แอ๋ว : อืม... ก็นะ คือ... พี่ก็เคยช่วยแม่ขูดมะพร้าวนะ ตอนนั้นหน่ะ ร้อนก็ร้อน เหนื่อยก็เหนื่อย เหงื่องี้ออกท่วมตัวเลย

ไผ่ : อืม ไผ่ก็เป็น เนี่ยเสื้อไผ่อ่ะเปียกหมดเลย เหงื่องี้ไหลย้อยตั้งแต่ขมับลงมาจนถึงหน้าท้องเลยอ่ะ ร้อนก็ร้อนเนี่ยขนาดถลกขากางเกงขึ้นมาถึงต้นขาแล้วนะยังไม่ค่อยรู้สึกเย็นขึ้นเท่าไหร่เลย กว่าจะทำเสร็จสงสัยน้ำหนักไผ่จะลดลงไปหลายกิโล

พี่แอ๋ว : เอื๊อก ( เสียงตูกลืนน้ำลาย โอ้ว... น้องตู มิน่า.... ) เอ่อ... แล้วต้นอยู่ช่วยตั้งแต่ต้นจนเสร็จเลยเหรอ

ไผ่ : อืม... แต่ไม่ได้ช่วยทำกับข้าวหรอกนะ ต้นหน้ามืดไปซะก่อน ไผ่ก็เลยให้ต้นไปพักน่ะ เอ้อ.. ตกลงต้นเป็นอะไรเหรอพี่

พี่แอ๋ว : เอ่อ...คาดว่าจะเสียเลือดมาก

ไผ่ : ไม่ใช่ อันนั้นไผ่รู้แล้ว แต่อยากรู้ว่าทำไมต้นถึงเป็นอย่างนั้น

พี่แอ๋ว : เอ่อ... แล้วไผ่นั่งขูดมะพร้าวท่าไหนอ่ะ

ไผ่ : ท่าพระจันทร์....

พี่แอ๋ว : ไผ่.... ( โปรดทำเสียงดุตาม เหอๆๆๆ )

ไผ่ : แหะๆๆ ไผ่ล้อเล่น เอ... ตอนนั้นเหรอ อืม... รู้สึกว่าจะนั่งคร่อมนะ แล้วตกลงมันเกี่ยวอะไรกันเนี่ย เดี่ยวถามเสื้อผ้าที่ใส่ เดี่ยวถามท่าขูดมะพร้าวเนี่ย ไผ่เริ่มงงแล้วนะ

พี่แอ๋ว : เอางี้นะ ไผ่ลองคิดตามพี่นะ สมมุติว่าไผ่เป็นต้นนะ แล้วนั่งคั้นน้ำมะพร้าวอยู่ตรงข้ามกับที่ต้นนั่งขูดมะพร้าว กำลังคั้นอย่างเมามัน ไผ่ก็เงยหน้าขึ้นมา แล้วเห็นต้นนั่งคร่อมกระต่ายขูดมะพร้าว อยู่ในสภาพเสื้อห่านคู่คอวีกว้างๆๆๆๆๆๆๆๆบางๆๆๆๆๆๆๆๆ กางเกงเลที่ถลกขาขึ้นมาถึงต้นขา มี่เหงื่อไหลย้อยเรื่อยลงมาตั้งแต่ขมับ ไหลเรื่อยๆ ตามใบหน้า หยดลงจากปลายคาง บางส่วนก็ไหลเรื่อยตามลำคอผ่านเข้าไปในเสื้อยืด เกิดเป็นรอยเปียกชื้น

ไผ่ : พะ.....พอ..... แล้วพี่ เอ่อ..... แค่นี้นะครับ

พี่แอ๋ว : เฮ้ย.... ไผ่ ไผ่........ ยู้ฮู้........ วางไปซะแระ เฮ้อ... คนเรา แล้วคืนนี้น้องตูจะรอดมั้ยเนี่ย

จบแร่ว.... วิ่งหนีด้วยความอับอาย


[ตอนต่อจากพี่ Lith]

ไผ่ : หนูริน ไผ่เอาแกงเขียวหวานมาให้ตามสัญญาแล้วนะ เพราะฉะนั้นหนูรินก็ห้ามลืมที่ตกลงกันไว้ล่ะ

ริน : อ่ะ ไผ่เอาจริงเหรอ รินนึกว่าไผ่พูดเล่น งื้อ

ไผ่ : พูดจริงสิ ทำไมหนูรินนึกว่าไผ่พูดเล่นล่ะ

ริน : ก็...ก็เห็นไผ่...อ่า...ก็ Happy ดีนี่นา แล้วไหง......

ไผ่(หน้าแดงนิดหน่อย): ก็ Happy แต่ไผ่เขินนี่ อยู่ๆหนูรินก็จะเขียนเพิ่มตอนโน้นตอนนี้ แค่นี้ต้นก็ได้ใจจะแย่แล้ว อีกหน่อยต้นไม่โดนหนูรินสปอยล์จนเหมือนเป้เหรอ

ต้น : ได้ยินไผ่พูดชื่อต้นแว่วๆ มีอะไรเหรอ

ไผ่ : ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ ไหนว่าวันนี้ประชุมเลิกช้าไง

ต้น : ไม่มีอะไรจริงน่ะ? ทำไมไผ่หน้าแดงๆ รินทำอะไรไผ่น่ะ?

ริน : เปล๊าาาาาาา รินเปล่านะ ถ้าจะมีใครทำไผ่หน้าแดงก็มีอยู่คนเดียวล่ะน่า

ไผ่(พยายามดึงต้นกลับเข้าบ้าน) : พอเหอะ ต้นไปอาบน้ำดีกว่า จะได้กินข้าวกัน ไปก่อนนะหนูริน อย่าลืมที่คุยกันไว้นะ

ต้น(พึมพำ) : มีพิรุธน่าสงสัยจริงแฮะ สงสัยระหว่างอาบน้ำนี่คงต้องสอบกันให้รู้เรื่องแล้วละมั้ง


[ตอนต่อจากพี่แอ๋ว]

พี่แอ๋ว : ต้นพี่ได้ข่าวว่า น้องไผ่ กะ หนูริน มี something กันอ่ะ รู้ป่าวว่าเรื่องอะไร

ต้น : โธ่... พี่แอ๋ว ต้นจะไปรู้ได้งัยเนี่ย นี่ขนาดปิดห้องน้ำสอบปากคำตั้ง 2-3 รอบ ยังไม่ยอมหลุดปากเลยอ่ะ

พี่แอ๋ว : จริงเหรอ... ไม่มีอะไรหลุดออกจา...กปากเลยอ่ะ

ต้น : เอ่อ... จริงๆก็มีบ้างนิดหน่อยอ่ะนะ

พี่แอ๋ว : อะไรเหรอ ???

ต้น : พี่อย่ารู้เลย

พี่แอ๋ว : เฮ้ย... ได้งัย นี่ไม่รักกันแล้วช่ายมะ เดี่ยวนี้ได้หลังลืมหน้าเหรอ เฮ้ย... ไม่ช่าย..... น่านะบอกพี่หน่อย พี่อยากรู้ น้า..... น้องต้นน้า.... น้องต้นน่ารัก มาดแมน แอนด์ แฮนซั่ม อีกต่างหาก นะจ๊ะสุดหล่อ....

ต้น : เอาจริงอ่ะพี่ แน่ใจนะ

พี่แอ๋ว : อือ

ต้น : ก็ไม่มีอะไรมากหรอก ก็พูดซ้ำไปซ้ำมา ประมาณ “ อ้า.. อืม... โอ๊ย... โอ้ว... อีก... แล้วก็............

พี่แอ๋ว : เอ่อ... พอแล้วจ๊ะ พี่ไม่อยากรู้แล้ว

ต้น : อ้าวทำไมละพี่ ยังมี “ จะ...ถึง.........

พี่แอ๋ว : พ้อ........ แก..... ไอ้ต้น...... ไอ้น้องบ้า.....

"แล้วหนูแอ๋วก็วางสายไปด้วยประการละฉะนี้แล นิยายตอนนี้สอนให้รู้ว่า อย่าพยายามอยากรู้อยากเห็น ไม่งั้นของจะเข้าตัว แง้ๆๆๆๆๆ"


[ตอน Side Story จากพี่ Lith]

ฮัดเช้ย ฮัดเช้ย

...เสียงจามดังติดๆกันสองสามครั้งเรียกให้ผมหันไปหาต้นเสียงที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ใกล้ๆแล้วถามอย่างเป็นห่วง

"เป้ ไม่สบายหรือเปล่า วิวเห็นจามไม่หยุดมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ"

คนตัวโตขยี้ปลายจมูกไปมาแล้วส่ายหน้า "ไม่นะ เป้ว่าเป้ไม่ได้เป็นอะไร แต่เมื่อกี้ไม่รู้ทำไมจามไม่หยุดเลย"

สีหน้าของคนพูดก็ปกติดีจริงๆ อย่างที่ว่า อีกอย่าง ถ้าหากว่าป่วยจริงละก็เป้เป็นต้องเข้ามาออดอ้อนอย่างโน้นอย่างนี้กับผมแล้ว ทั้งๆ ที่บางทีก็ไม่ได้ถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อสักหน่อย แต่ผมก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้ จึงลุกขึ้นเดินเอามือไปทาบหน้าผากเป้เพื่อความแน่ใจ เจ้าตัวจึงถือโอกาสโอบแขนไว้รอบเอวผมแล้วเงยหน้าขึ้นยิ้มให้ ผมยกมือขึ้นเสยผมบนหน้าผากอีกฝ่ายเล่นแล้วเอ่ยล้อ

"ถ้าไม่ได้ป่วยก็สงสัยจะโดนใครนินทาละมั้ง จามไม่หยุดขนาดนี้คงโดนหลายกระทง"

เป้หัวเราะ ปลายคางที่บนหน้าท้องผมทำให้จั๊กจี้นิดๆ

"นินทาอะไร แฟนวิวออกจะเพอร์เฟคขนาดนี้จะมีคนนินทาอะไรฮึ"

"ครับ ครับ เพอร์คเฟคมากกกก" ผมแกล้งลากเสียง เป้เลยทำหน้างอนๆ แต่แล้วเจ้าตัวก็กระตุกยิ้มมุมปากขึ้นมา และรอยยิ้มนั้นก็ทำให้ผมระแวง พยายามจะถอยออกจากวงแขนที่โอบเอวไว้แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะเจ้าคนตัวโตนั่นแกล้งรัดเอวผมไว้แน่น

"เป้รู้ละ สงสัยที่เป้จามไม่หยุดเมื่อกี้เป็นเพราะวิวไม่ได้อาบน้ำแน่เลย"

"บ้า" ผมร้อง พยายามผลักใบหน้าที่ไซ้ไปมาบนหน้าท้องตัวเองออกไป
"ก็อาบไปด้วยกันเมื่อกี้ อย่ามามั่ว"

ทั้งคำพูดและความพยายามผลักเป้ออกไม่ได้ผลทั้งคู่ เพราะเจ้าตัวเลิกชายเสื้อยืดของผมขึ้นแล้วจูบเสียงดังบนท้องผมเหมือนมันเขี้ยวเต็มที่

"ไม่รู้ละ เป้ว่าเป้ต้องได้กลิ่นอะไรแปลกๆ แถวๆ นี้แหละถึงได้จามไม่หยุด เอ๊ะ หรือเสื้อวิวติดพวกละอองเกสรดอกไม้ที่ไหนมาหรือเปล่า ถอดออกดีกว่ามั้ย"

น้ำเสียงเหมือนเป็นห่วงเต็มประดา แต่เนื้อหาสุดจะเจ้าเล่ห์จนผมต้องทุบไหล่หนาไปทีหนึ่งอย่างอดไม่ไหว

"พอเลยเป้ พอ เกสรดอกไม้อะไรจะปลิวมาถึงบนคอนโด เป้ บอกให้หยุด เป้...ฮื้อ..."


[ตอนต่อจากพี่ Lith]

ต้น : ริน ตกลงไผ่มาตกลงอะไรกับรินไว้ฮึ บอกมานะ

ริน : ตกลงอารายยยย ไม่มี๊ ไม่มี รินไม่รู้เรื่องงงงง ถามไผ่ดูก็ได้

ต้น : ถามจนไผ่หมดแรงไปแล้วก็ยังไม่ได้คำตอบ ถึงต้องมาถามจากรินนี่ไง ว่าไง ตกลงอะไร...กันไว้

หน้าตาต้นชักจะเอาเรื่อง หนูรินเลยชักแหยง อีกใจนึกสงสัย ถามยังไงไผ่ถึงหมดแรง???

ต้น(ทำเสียงดุ) : ว่าไงริน จะบอกดีๆไหม?

ริน (หลับตาปี๋...ขอโทษน๊าไผ่ แต่ต้นน่ากลัวง่ะ): ก็ ก็ เรื่องตอนพิเศษที่รินว่ะจะเขียนเพิ่มอ้ะ

ต้น : ทำไม?

ริน : ก็ ก็ ไผ่บอกว่า อย่าเขียนเพิ่มตอนนั้น ให้ไปเขียนตอนอื่นแทนอ้ะ

ต้น : ตอนไหน?

ริน: ก็..ตอนนั้น แหม...ตอนนั้น(กระซิบเสียงเบาๆ) นั่นแหละ ตอนนั้นอ่ะ
ต้น(เอียงหูฟังแล้วทำท่าตกตะลึง) : แลกกับแกงเขียวหวานถ้วยเดียวเนี่ยนะ

ริน : เอ๊...ก็แกงเขียวหวานของไผ่อร่อยมากๆ เลยนี่

ต้น(ยิ้มเจ้าเล่ห์) : งั้นเอางี้ เดี๋ยวต้นเลี้ยงข้าวรินเอง เลือกมาเลยอยากกินที่ไหน แต่...

ริน : แต่?

ต้น : แต่ต้องเขียนตอนนั้นเพิ่มให้ยาวกว่าเดิมสองเท่า!

ริน : สองเท่าเลยเหรอ...(ทำท่าลังเล)

ต้น : จะตบท้ายด้วยเค้กอีกก็ยังได้นะ

ริน : deal!!!!

*ความเห็นจากคนเขียน: นี่เราดูเห็นแก่กินขนาดนั้นเลยเร้อ??*


[ตอนต่อจาก ???]

ไผ่: พี่แอ๋ว พี่ลิธ ริน ทำไมทำกับไผ่อย่างงี้อะ ที่นี่มีแต่คนขี้แกล้ง หนีกลับเชียงใหม่ไปหาเพื่อนๆ ดีกว่า ฮึ!

ต้น: เฮ่ย! ไผ่ตกลงกับต้นว่าจะย้ายมาอยู่ด้วยกันแล้วนะ จะกลับไปได้ยังไง ต้นไม่ยอม

ไผ่: (ทำตาเขียว) แล้วใครใช้ให้ไปสุมหัวกับคนอื่นมาแกล้งกันขนาดนี้ล่ะ ไม่รู้ด้วยแล้ว เข้ากันดีนักก็ไปอยู่กับพวกเจ๊ๆ ซะเลยแล้วกัน (คว้ากระเป๋าเสื้อผ้าเดินออกจากบ้าน)

ต้น: เฮ้ยยย ไผ่ผผผ ต้นไม่ยอมนะ กลับมาก๊อนนนนนน


เส้นทางชีวิตของสองคนนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป?? โปรดติดตาม!! XD


*************************


ขอบคุณทั้งสามท่านที่อุตส่าห์เขียนผลงานน่ารักๆ ให้ต้นกับไผ่นะคะ ปลื้ม + ดีใจยิ้มแก้มปริตอนเห็นกลอนของพี่ยู และเรื่องของต้น-ไผ่ภาคพิสดารของพี่แอ๋วและพี่ Lith คนเขียนเองก็จะพยายามเขียนตอนพิเศษให้ไม่แพ้ผลงานเหล่านี้เช่นกันค่ะ (แต่เรื่องขำนี่ขอ เพราะคาดว่าคงสู้เรื่องที่เอามาแปะให้อ่านกันนี่ไม่ไหว)  แล้วเจอกันในอัพเดทคราวหน้านะค้า  :mc4:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.15 + fanfic จากคนอ่าน p.16 (31.1.11)
เริ่มหัวข้อโดย: kakuro ที่ 01-02-2011 07:28:35
ขอบคุณคุณริน :L2:
เซอร์ไพรซ์นะคะทั้งกลอนทั้งเรื่องแฟนฟิคต้นไผ่ทั้งเรื่องย้ายมาอยู่ห้องนิยายจบแล้ว
พอจบแล้วรู้สึกเหงาเหงานะ
รอติดตามผลงานคุณรินค่ะ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.15 + fanfic จากคนอ่าน p.16 (31.1.11)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 01-02-2011 19:15:51
จบแบบซึ้งๆ น่ารัก อบอุ่น แต่แอบปนเหงาๆ อย่างไงก็ไม่รุ้ บอกไม่ถูกอะ  ดีใจกับต้น+ไผ่ ในที่สุดก็เอาชนะปัญหาทุกอย่างจนได้อยู่ด้วยกันจนได้ แต่เสียใจ ตรงที่ เราอดอยู่กับ ต้น แทนนะสิ  :laugh: 

แต่ไม่เป็นไร ยังมีคุณเชษฐ์อีกทั้งคน คิดถึงจริงๆ :o8:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.15 + fanfic จากคนอ่าน p.16 (31.1.11)
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 01-02-2011 19:37:11
สงสัยจะไม่เคยอ่าน แต่เชื่อฝีมือBBค่ะ จอง1ชุด โอนเงินแล้วเดี๋ยวอีเมลล์ไปบอกนะคะ
สุขสันต์วันตรุษจีนค่ะ  :mc3:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.15 + fanfic จากคนอ่าน p.16 (31.1.11)
เริ่มหัวข้อโดย: bellity ที่ 02-02-2011 08:09:33
เบลล์พึ่งเห็นตอนจบครับพี่(ขออนุญาตเรียกพี่นะครับ)

แบบว่าโอ๊ยได้ใจหวานมาก ปลื้มต้นกับไผ่มาก ใครบอกรักแท้แพ้ระยะทาง ถ้าเราไม่ทำให้มันห่าง ก็ไม่ห่างเนอะ

แบบว่านิยายเรื่องนี้ให้ชื่อว่านิยายรักหวานย้อยแห่งปีเลย

โรแมนติกมากกกกกก :-[ :-[

โอ๊ว อยากได้หนังสือเหมือนกันแฮะ แต่ว่าคงต้องดูสตางค์ก่อน ช่วงนี้อดอยากแถมเดือนมีนาคมเป็นวันเกิดเพื่อนหลายคนด้วย(ทั้งหมด 14 คน รวมเบลล์เองเป็น 15 คน จนมาก 55+)

ถ้าสถานการณ์ทางการเงินเบลล์ไม่ขัดข้องคงได้เป็นเจ้าของแน่ๆ 55+

หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.15 + fanfic จากคนอ่าน p.16 (31.1.11)
เริ่มหัวข้อโดย: pics ที่ 02-02-2011 09:12:00
 :z2: :z2:


จอง ๆๆๆ กลับไปเมืองไทยก็จะโอนให้ทันที อิอิ หวังว่าคงทันเนอะ

ว่าแต่จะได้หนังสือประมาณเมื่อไหร่เหรอครับ

หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.15 + fanfic จากคนอ่าน p.16 (31.1.11)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 02-02-2011 10:00:40
เข้ามาตอบเม้นต์ค่ะ ในที่สุดก็มาอยู่ห้องนิยายจบแล้วจนได้เน้อ ใจหายก็ใจหาย แต่อย่างน้อยก็เป็นหลักฐานว่าเราเขียนนิยายจบให้สำเร็จไปได้อีกเรื่องละค่ะ ยังไงจะพยายามเอาตอนพิเศษมาลงให้นอกเหนือจากตอนที่อยู่ในรวมเล่มน้า   :o8:

kakuro  ขอบคุณมากค่ะ ไม่รู้ว่ากลอนกับแฟนฟิคจะทำให้อ่านแล้วหายคิดถึงได้บ้างหรือเปล่า เดี๋ยวรอตอนพิเศษก็แล้วกันนะคะ ขอบคุณล่วงหน้า + รอพบกันในผลงานเรื่องอื่นด้วยค่ะ
dahlia น่าดีใจกับต้นไผ่จริงๆ ด้วยเนาะ ที่ดูเหงาๆ อาจเพราะไผ่ต้องจากบ้านเกิดไปอยู่ที่ใหม่มั้งคะ แต่ไม่เป็นไรเพราะไปอยู่กับต้น (แทนคุณผึ้ง กรีสสส วิ่งหลบมีด) ว่าแต่คุณผู้ชายใส่แว่นคนนั้นก็คิดถึงนะ หายตัวไปไหนไม่รู้ ต้องรีบไปตามกลับด่วน
M@nfaNG  ขอบคุณมากค่ะพี่ฟาง สบายดีแม่นบ่? สุขสันต์วันตรุษจีนพี่ฟางด้วยค่ะ
bellity  ขอบคุณจ้าน้องเบลล์ ระยะทางไม่อาจขวางความรักได้นิ หุหุ ขอให้ไม่ติดขัดทางการเงินนะจ๊ะจะได้เป็นเจ้าของต้น-ไผ่สักหนึ่งชุด
AutomaticLM คาดว่าหนังสือจะเสร็จเรียบร้อย + จัดส่งในปลายมีนา/ ต้นเมษาค่ะ ถ้าตีเวลาชัวร์ๆ ก็บอกว่าต้นเมษาก็แล้วกัน แล้วจะรออีเมล์นะคะ

พบกันในอัพเดทครั้งต่อไปเด้อค่าเด้อ   :really2:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.15 + fanfic จากคนอ่าน p.16 (31.1.11)
เริ่มหัวข้อโดย: mo-no ที่ 02-02-2011 15:13:37
อ่านจบแล้วค้าา
น่ารักมากกกค่ะ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.15 + ตอนพิเศษ 1 (1/?) p.16 (Up 4.2.11)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 04-02-2011 12:38:22
ตามที่เคยบอกว่าจะเอาตอนพิเศษสั้นๆ ของต้นกับไผ่มาให้อ่านสักตอนก่อนรวมเล่มจะเสร็จ คราวนี้ก็ได้ฤกษ์ละค่ะ แต่จะทยอยมาลงให้ไปเรื่อยๆ เพราะเนื้อหาไม่ต้องอ่านแบบต่อเนื่องอยู่แล้ว ใครแฟนประจำอ่านแล้วแวะลงชื่อกันหน่อยเร้ว~  :really2:

++------++

ตอนพิเศษ 1 (1/?)

#01 – กำลังใจ

ตระการอาจจะอายุน้อยกว่าพรพฤกษ์สองปีก็จริง แต่หลายเรื่องก็รู้ดีกว่ามากจนพรพฤกษ์ตามไม่ทัน ถึงกระนั้นพรพฤกษ์ก็ไม่เคยนึกอิจฉา เพราะเขาไม่เคยต้องเหนื่อยใจกับการแข่งขันชิงไหวชิงพริบกับคนรัก แถมบางครั้งตระการยังทำให้เขารู้สึกดีที่อายุมากกว่าด้วยการเข้ามาอ้อนขอกำลังใจหลังจากทำงานเหนื่อยมาทั้งวัน เพราะนั่นเป็นสิ่งที่เขาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะมอบให้อีกฝ่ายได้

#02 – รูปถ่าย

หลังจากพรพฤกษ์ย้ายมาอยู่บ้านของตระการแล้ว มีหลายครั้งที่พวกเขาไปไหนมาไหนด้วยกันและถ่ายรูปคู่หรือรูปเดี่ยวเก็บไว้ แต่รูปที่ตระการชอบที่สุดไม่ว่าเมื่อไหร่ก็คือรูปที่เขาแอบถ่ายตอนพรพฤกษ์กำลังยืนดูวิวบนวัดพระธาตุดอยสุเทพ เขาเองก็ไม่แน่ใจนักว่าทำไม แต่อาจเพราะนั่นเป็นรูปที่ถ่ายในวันแห่งความทรงจำที่ทั้งสองเริ่มคบกัน หรือไม่ก็เป็นเพราะรูปนั้นเตือนให้เขานึกถึงช่วงเวลาที่แอบชื่นชมพรพฤกษ์โดยที่เจ้าตัวไม่รู้มาตลอดสิบกว่าปี และทำให้เขารำลึกได้ว่าความสัมพันธ์ที่พวกเขามีร่วมกันในตอนนี้มีค่ามากแค่ไหน

#03 – เพื่อน

แม้ว่าพรพฤกษ์จะเติบโตมากับตาตั้งแต่ยังจำความไม่ค่อยได้ แต่ชายหนุ่มก็ไม่เคยมองโลกในแง่ร้ายที่ตัวเองไม่มีพ่อแม่เหมือนเพื่อนคนอื่นๆ และคิดว่าเขาโชคดีกว่าอีกหลายคนที่มีเพื่อนสนิทอย่างนรพัฒน์และดิษยะที่คอยห่วงใยโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน และเขาก็นึกขอบคุณตระการที่ไม่เคยหึงหวงอย่างไร้สาระเวลาที่บอกว่าอยากไปเยี่ยมเพื่อนๆ ที่เชียงใหม่

#04 – รำคาญ

ตอนเด็กตระการเคยสะดุ้งตื่นเพราะฝันร้ายอยู่บ่อยครั้ง แต่ทุกครั้งก็จะตื่นมาพบแต่ห้องนอนอันมืดทะมึนและอ้างว้าง ไม่ว่าจะร้องได้ดังสักแค่ไหนก็ไม่มีใครมาอยู่ข้างๆ ดังนั้นเขาจึงไม่เคยแสดงความรำคาญเวลาที่พรพฤกษ์ละเมอและร้องไห้ช่วงหลังออกจากโรงพยาบาล และคอยดูแลจนกว่าอีกฝ่ายจะเพลียและหลับไปเองเท่านั้น เพราะเขารู้ดีว่าการหลั่งน้ำตาในความมืดโดยไร้อ้อมกอดที่ปลอบโยนนั้นทรมานเพียงไร

#05 – ครอบครัว

ตระการไม่สนิทกับพ่อมาตั้งแต่เด็ก แต่เขาก็ไม่เคยทำตัวนอกลู่นอกทางเพื่อเรียกร้องความสนใจเพราะได้รับความอบอุ่นจากพิมผกาเพียงพอ หลังแม่เลี้ยงเสียไปตระการก็ได้แต่หวังว่าพ่อจะอ่อนโยนลงและให้เขามีโอกาสใกล้ชิดด้วยบ้าง แต่นั่นดูเหมือนจะเป็นเรื่องเพ้อฝันจนกระทั่งพรพฤกษ์ย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านสุวรรณฤทธิ์ และนั่นเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาที่เขาได้สัมผัสความอบอุ่นของการเป็นครอบครัวจริงๆ

#06 – อาหาร

ถึงแม้ที่บ้านสุวรรณฤทธิ์จะมียายแสนและเด็กแม่บ้านอีกสองคนคอยทำอาหารอยู่แล้ว แต่หลังจากตระการบ่นว่าอยากทานอาหารฝีมือพรพฤกษ์บ้าง วันเสาร์วันหนึ่งพรพฤกษ์จึงเข้าครัวทำอาหารมื้อกลางวันเองโดยที่ตระการคอยเป็นลูกมือ ตอนแรกที่รู้ว่าทั้งคู่จะทำกับข้าวนั้นตฤณเพียงแต่ทำเสียงหึขึ้นจมูก แต่หลังจากได้ทานแกงเขียวหวานไก่ที่พรพฤกษ์ทำเป็นครั้งแรก จากนั้นมาผู้สูงวัยก็ไม่เคยแสดงความเห็นอีกเวลาที่รู้ว่าลูกชายกับลูกเลี้ยงจะทำอาหารให้ทาน

#07 – วันแรก

ยามเข้าฤดูฝน ไม่ว่าวันไหนก็ตามที่ฝนตกหนัก พรพฤกษ์จะชอบมองสายฝนและนึกย้อนไปถึงวันแรกที่ตระการไปเยือนบ้านนฤมิตร ตอนนั้นหากไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายวิ่งฝ่าฝนเข้าไปในบ้านด้วยสภาพเปียกมะลอกมะแลกระหว่างที่เขากำลังทำความสะอาด ก็คงไม่ทำให้ชายหนุ่มประทับใจและจำครั้งแรกที่พบกันได้แม่นยำถึงขนาดนี้

#08 - งาน

ช่วงที่ต้องอยู่ห่างจากพรพฤกษ์เพราะตฤณไม่ยอมรับนั้น ตระการทำงานหนักเพื่อแสดงให้พ่อรู้ว่าเขาสามารถรับช่วงธุรกิจและรักษาความสัมพันธ์ส่วนตัวไปพร้อมกันได้ แต่หลังจากที่พ่อของเขายอมให้พรพฤกษ์ย้ายมาอยู่ด้วยแล้ว ตระการก็ยังคงทำงานหนักเพื่อแสดงความขอบคุณให้กับตฤณ และเพื่อให้พรพฤกษ์ภูมิใจที่ตัดสินใจย้ายจากเชียงใหม่มาอยู่กับเขา

#09 – รัก

กลางดึกคืนหนึ่งพรพฤกษ์เดินออกจากห้องนอนเพื่อจะลงไปเอาน้ำดื่มที่ห้องครัวชั้นล่าง ระหว่างทางเขาเห็นแสงไฟลอดออกมาจากประตูห้องพระจึงเดินเข้าไปดู และพบว่าตฤณกำลังนั่งขัดสมาธิมองรูปแม่ของเขาและแม่ของตระการที่ตั้งอยู่บนหิ้ง ถึงแม้จะมองไม่เห็นว่าคนในห้องทำสายตาเช่นไรเพราะเจ้าตัวหันหลังให้ แต่พรพฤกษ์ก็เชื่ออย่างจริงใจในวินาทีนั้น ว่าพ่อของตระการไม่ใช่คนที่ไร้จิตใจหรือรักใครไม่เป็นอย่างเด็ดขาด

#10 – สัมผัส

ธุรกิจที่ขยับขยายและความรับผิดชอบที่เพิ่มพูนทำให้ตระการเหน็ดเหนื่อยกับงานที่ทำอยู่บ่อยครั้ง แต่ว่าเขาก็ไม่เคยเก็บเรื่องนั้นมาบ่นให้พรพฤกษ์ฟัง ชายหนุ่มมักจะเพียงแต่เล่าว่าเขากำลังทำโปรเจ็คต์อะไรเพื่อให้อีกฝ่ายรู้ และเพียงแค่พรพฤกษ์ส่งสายตาว่าเข้าใจและเข้ามากอดหรือสัมผัสเขา เพียงแค่นั้นชายหนุ่มก็รู้สึกราวกับความเหนื่อยล้าที่แบกรับไว้ได้รับการบรรเทาแล้ว

#11 – ขอโทษ

ในช่วงปีแรกหลังจากพรพฤกษ์ไล่ตระการกลับบ้านเมื่อได้รู้ความจริงเรื่องของแม่ มีบางคืนที่เขาขับรถขึ้นไปศาลาชมวิวเพียงคนเดียวและนั่งมองดาวบนฟ้าจนดึกดื่น บางครั้งก็จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูหมายเลขที่ตระการโทรเข้ามาแต่เขาไม่ได้รับ และสุดท้ายก็เก็บโทรศัพท์นั้นเข้ากระเป๋าก่อนจะขับรถกลับไปที่บ้านนฤมิตรเงียบๆ พรพฤกษ์เคยขอโทษตระการเรื่องนี้หลังจากที่ทั้งสองคนคบกันแล้ว แต่ตระการกลับบอกว่าเขาไม่จำเป็นจะต้องขอโทษ เพราะการผ่านเรื่องนั้นมาด้วยกันคือหนึ่งในก้าวสำคัญที่ทำให้พวกเขาสองคนมาถึงจุดนี้ได้

#12 – เจ็บ

ตอนที่พรพฤกษ์ประสบอุบัติเหตุและต้องนอนพักในโรงพยาบาลนั้น เป็นครั้งแรกที่ตระการได้รู้ซึ้งว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่อดทนต่อความเจ็บมากแค่ไหน เพราะถึงแม้พรพฤกษ์จะขมวดคิ้วหรือกัดริมฝีปากเวลาที่ขยับตัวแล้วกระเทือนร่างกายบ้าง แต่เขาก็แทบจะไม่เคยได้ยินเสียงที่แสดงความเจ็บหลุดลอดมาเข้าหูเลยสักครั้ง ทว่ายิ่งได้เห็นว่าพรพฤกษ์อดทนรับสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่ปริปากบ่นเพียงใด เขาก็ยิ่งนึกอยากให้ตัวเองแบกรับความเจ็บนั้นแทนคนที่รักมากขึ้นเท่านั้น

#13 – เช้า

พรพฤกษ์เป็นคนติดนิสัยนอนตื่นเช้ามาแต่ไหนแต่ไร ตอนที่ทำเกสต์เฮ้าส์เขาก็ยังตื่นเช้าแม้ในวันธรรมดาซึ่งไม่มีแขกเข้าพัก จนกระทั่งย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ และทำงานประจำแล้วก็ไม่ได้เปลี่ยนนิสัยนี้ ดังนั้นจึงมีบ่อยครั้งที่เขาจะเป็นฝ่ายตื่นก่อนตระการในวันหยุด แต่ว่าชายหนุ่มก็ไม่ได้ลุกไปไหน และไม่เคยปลุกให้คนข้างๆ ตื่นนอนตามด้วย เพราะเขารู้ดีว่าระดับความรับผิดชอบและเนื้องานของตระการหนักหนาจนต้องใช้เวลาพักผ่อนนานกว่ามาก บางครั้งพรพฤกษ์จึงเพียงแค่ลุกไปล้างหน้าแปรงฟันแล้วกลับมาเอนหลังอ่านหนังสือเป็นเพื่อนตระการเงียบๆ จนกว่าอีกฝ่ายจะตื่น จากนั้นถึงค่อยลงไปทานมื้อเช้าที่ชั้นล่างพร้อมกัน

#14 – ชา

พรพฤกษ์พอจะมีความรู้เรื่องสมุนไพรพื้นบ้านอยู่บ้างเพราะตอนเด็กเขาโตมากับตา บางครั้งเวลาไม่สบายตาก็จะเป็นคนหานั่นหานี่มาต้มให้ดื่มจนกว่าเขาจะหาย ดังนั้นพอได้มาอยู่บ้านสุวรรณฤทธิ์แล้ว บางครั้งเขาก็จะต้มชาสมุนไพรที่มีสรรพคุณที่ช่วยบรรเทาอาการของตฤณให้ดื่ม ถึงแม้ผู้อาวุโสจะไม่ใคร่เชื่อนักว่าชาพวกนั้นมีคุณสมบัติช่วยโรคประจำตัวของตนได้จริงๆ เมื่อเทียบกับยาของหมอ แต่ตฤณก็ไม่เคยปฏิเสธน้ำใจของพรพฤกษ์และรับถ้วยชาไปดื่มพร้อมกับคำว่า ‘ขอบใจ’ ทุกครั้ง

#15 – ประหม่า

ตอนที่เพิ่งออกจากโรงพยาบาลมาพักฟื้นที่บ้านใหม่ๆ นั้น พรพฤกษ์จะกระอักกระอ่วนทุกครั้งที่ตระการอาบน้ำเช็ดตัวให้ แต่ก็จนใจเพราะเขาทำอะไรเองไม่สะดวก และถึงแม้อีกฝ่ายจะแสดงความบริสุทธิ์ใจด้วยการไม่ทำอะไรเกินขอบเขตที่จำเป็น แต่พรพฤกษ์ก็สังเกตได้ว่าตระการจะพยายามเลี่ยงที่จะสบตากับเขาระหว่างที่เช็ดตัวให้ หรือไม่ก็พยายามไม่จดจ่อสายตาที่ร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่งของเขานานเกินไป ซึ่งนั่นก็ช่วยให้เขาคลายความประหม่าลงได้ไม่น้อย เพราะถึงแม้จะไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่อายยามถูกอีกฝ่ายถอดเสื้อผ้าให้เสียหน่อย

#16 – สงสัย

มีบางครั้งที่พรพฤกษ์นึกสงสัยว่าถ้าหากเขากับตระการได้เจอกันตั้งแต่เด็กๆ เมื่อโตขึ้นพวกเขาจะได้คบกันในฐานะคนรักไหม ไม่แน่ว่าหากทั้งสองได้รู้จักกันตั้งแต่ตอนนั้น เขากับตระการอาจเป็นเพียงพี่น้องต่างสายเลือดที่สนิทสนมกันมากเท่านั้นก็เป็นได้ แต่แล้วความคิดนั้นก็จะปลิวหายไปทุกครั้งที่ตระการดึงเขาเข้าไปหาแล้วประทับริมฝีปากลงมา หรือว่ายามที่เขาลูบไล้บนแผงอกแกร่งยามอีกฝ่ายขยับกายอย่างเร่าร้อนอยู่ภายในตัวเขา และท่ามกลางสติที่เลือนลางเพราะความสุขสมที่ตระการปรนเปรอให้ พรพฤกษ์ก็อดคิดไม่ได้ว่าดีแล้วที่ทั้งสองไม่เคยได้พบกันในวัยเด็ก

#17 – ความทรงจำ

ตระการเคยเกลียดโรงเรียนประถมมาก เพราะช่วงเวลานั้นเขาสุขภาพอ่อนแอจนต้องขาดเรียนเพื่อพักผ่อนอยู่กับบ้านเป็นประจำ ถึงแม้จะตามบทเรียนทันเพราะว่าตฤณจ้างครูมาสอนพิเศษให้เป็นการส่วนตัว แต่เด็กน้อยก็แทบจะไม่มีเพื่อนเพราะเขาเล่นเกมหรือกีฬาที่ใช้แรงมากอย่างคนอื่นๆ ไม่ได้ แถมบางครั้งยังถูกล้อหรือทำเป็นเมินใส่จากเหล่าเพื่อนร่วมชั้นเสียอีก ความทรงจำเกี่ยวกับช่วงเวลานั้นที่มีค่าที่สุดสำหรับเขาคือการได้รับความเอาใจใส่จากพิมผกาซึ่งเป็นแม่เลี้ยง กับดูรูปและฟังเรื่องของพรพฤกษ์ที่พิมผกาคอยแอบมาเล่าให้ฟังเท่านั้น

#18 – ชดใช้

ตอนที่ได้เห็นหน้าพรพฤกษ์เต็มๆ เป็นครั้งแรก ตฤณทั้งชังทั้งโมโหที่อดีตเด็กน้อยซึ่งทำให้พิมผกาไม่เปิดใจให้กับเขาหน้าตาคล้ายเจ้าตัวมากถึงขนาดนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปจนเขายอมรับคนรักของตระการได้ ผู้สูงวัยอยากจะเชื่อว่าเขาได้ชดใช้บางสิ่งให้กับทั้งพิมผกาและพรพฤกษ์แล้วเมื่อได้เห็นรอยยิ้มอย่างมีความสุขยามที่อีกฝ่ายอยู่ใกล้ลูกชายของเขา ถึงแม้จะรู้ดีว่านั่นเทียบไม่ได้กับการที่ทำให้พรพฤกษ์ขาดแม่ในวัยเด็กก็ตามที

#19 – ห่าง

พรพฤกษ์กับตระการต่างรู้ว่าความทรมานของการอยู่ห่างกันนั้นเจ็บปวดแค่ไหน ไม่ว่าจะครั้งแรกที่ห่างกันด้วยความไม่เข้าใจ หรือครั้งที่สองที่จำใจต้องห่างเพราะความจำเป็นบังคับ ดังนั้นถ้าหากเป็นไปได้ ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจำเป็นต้องเดินทางออกไปค้างอ้างแรมต่างจังหวัดเพราะเรื่องงาน อีกฝ่ายก็จะพยายามเคลียร์งานเพื่อตามไปด้วยให้ได้ทุกครั้ง

#20 – หนาว

ถึงแม้พรพฤกษ์จะชินกับฤดูหนาวเพราะโตมาในเมืองเหนือ แต่กระนั้นก็เป็นคนขี้หนาวและต้องใส่เสื้อผ้าหนาๆ เวลาที่อากาศเปลี่ยนทุกครั้ง ไม่เหมือนตระการที่เป็นคนอุณหภูมิคงที่ตลอดเวลาและไม่ค่อยรู้สึกหนาวง่ายๆ ดังนั้นเวลาที่อากาศเริ่มเย็นลงเมื่อไหร่ พรพฤกษ์จะชอบอาศัยจังหวะที่คนอื่นในบ้านไม่เห็นจับมือตระการหรือซุกตัวกอดอีกฝ่ายเพื่อขอแบ่งไออุ่นบ้าง และนี่อาจเป็นสาเหตุสำคัญให้ตระการชอบเร่งแอร์ในห้องนอนของพวกเขาสองคนอยู่เป็นประจำ


++---TBC---++


A/N: ตอนแรกก็คิดว่าจะมาลงหลังจากเต็มบทดีไหม แต่ก็ไม่อยากทิ้งช่วงนานเพราะยังอีกหลายสัปดาห์กว่าจะปิดจองหนังสือ ก็เลยของัดไอเดีย 50 themes ที่เคยใช้ในลำนำรักสีรุ้งมาใช้อีกครั้ง เพียงแต่ยังไม่รู้ว่าของเรื่องนี้จะเขียนกี่ธีม ก็เลยขึ้นหัวว่า (1/?) นี่ละค่ะ สัปดาห์ถัดไปก็จะพยายามเข็นออกมาให้ได้อีกสัก 20 ธีมเท่าครั้งนี้ จะสังเกตได้ว่าคราวนี้ไม่ได้แบ่งชัดเจนว่าเลขคู่เลขคี่เป็นของใคร แล้วก็มีป๊ะป๋ามาแจมด้วย ไม่แน่ของครั้งต่อๆ ไปอาจมีของตัวละครอื่นมาแจมเพิ่มอีก หวังว่าคงทำให้หายคิดถึงต้นกับไผ่ได้บ้างระหว่างที่รอรวมเล่มนะคะ ส่วนใครยังไม่รู้รายละเอียดการจองก็ไปดูได้ที่หน้า 15 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=6271.420) แล้วเจอกันใน 20 ธีมถัดไปช่วงประมาณกลางๆ สัปดาห์หน้าค่า   o13
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.15 + ตอนพิเศษ 1 (1/?) p.16 (Up 4.2.11)
เริ่มหัวข้อโดย: kakuro ที่ 04-02-2011 14:27:44
ขอบคุณนะคุณริน :L2:
น่ารักทั้งต้นไผ่ทั้งคุณริน :L1:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.15 + ตอนพิเศษ 1 (1/?) p.16 (Up 4.2.11)
เริ่มหัวข้อโดย: maio2000 ที่ 04-02-2011 18:39:37
ว้าว มาเปิดเผยความในใจของแต่ละคน
รอก่อนนะค่ะป้าขอเก็บเงินก่อน แล้วจะจองแน่
แต่รอเงินให้ชัวร์ก่อน ยังรอเป้ วิว อ๊ออฟ นะอยู่นะค่ะ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.15 + ตอนพิเศษ 1 (1/?) p.16 (Up 4.2.11)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 05-02-2011 19:27:07
คุณ kakuro  ขอบคุณค่ะ คีย์เวิร์ดคือคนเขียนน่ารัก อิอิอิ   :z1:
น้อง maio2000  จ๋าจ้า สะดวกก่อนวันปิดจองเมื่อไหร่ก็โอนมานะ ยังมีเวลาเหลือเฟือค่ะ   :really2:

หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.15 + ตอนพิเศษ 1 (1/?) p.16 (Up 4.2.11)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 05-02-2011 23:22:48
ไม่ว่าจะมาแบบไหน
ก็รับได้ทั้งนั้นค่ะ
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.15 + ตอนพิเศษ 1 (2/2) p.16 (Up 12.2.11)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 12-02-2011 07:40:20
กว่าจะเข็น 20 ธีมนี้ออกมาได้...ทำมั้ยมำไมถึงลำบากนักก็ไม่รู้ค่ะ สงสัยเพราะเวลาปิดจองยิ่งกระชั้นเข้ามา + ฤดูสอบไฟนอลกลับมาอีกแล้วเลยชักเอ๋อ ธีมพิเศษของคู่นี้เลยต้องขอจบที่ 40 ธีมก่อน แต่ในรวมเล่มอาจเขียนเพิ่มถ้าคิดออกน้า (ไผ่จ๋า ต้นจ๋า เค้าขอโต้ด T.T)

และเช่นเคย ขอประชาสัมพันธ์แม้นมั่นคำสัญญาฉบับรวมเล่มว่ายังเปิดจองถึง 20 มีนาคม ใครสนใจก็ดูรายละเอียดที่หน้า 15 เด้อ

++------++

ตอนพิเศษ 1 (2/2)

#21 – สมบัติ

พรพฤกษ์ไม่ใช่คนชอบสะสมข้าวของที่ไม่จำเป็น ประกอบกับเขาเองก็มีสมบัติติดตัวน้อยชิ้นอยู่แล้ว ดังนั้นของที่ต้องขนย้ายมาไว้ที่บ้านสุวรรณฤทธิ์จึงมีไม่มากนัก นอกจากอุปกรณ์ที่ใช้ทำงานซึ่งเขามักหยิบมาใช้บ่อยๆ พรพฤกษ์จะเก็บของที่ระลึกอย่างอื่นรวมไว้ในกล่องด้วยกัน แต่ของชิ้นหนึ่งที่เขาแยกออกมาเก็บรักษาอย่างดีก็คือการ์ดที่ติดมากับสร้อยข้อมือเงินที่ตระการซื้อให้ พรพฤกษ์เอาการ์ดใบนั้นใส่กรอบรูปแล้วก็วางไว้ที่โต๊ะทำงานเพื่อเอาไว้มองแทนรูปของอีกฝ่าย สำหรับเขาแล้ว สมบัติที่มีค่าที่สุดก็คือสร้อยเงินที่ใส่ติดตัวตลอดเวลากับการ์ดใบนี้

#22 – ความสุข

ตฤณใช้ชีวิตมาตลอดหกสิบกว่าปีโดยแทบไม่เคยตั้งคำถามว่าความสุขคืออะไร ชีวิตที่ผ่านมาของเขาหมดไปกับการมุ่งทำงานเพื่อสร้างรากฐานให้ธุรกิจของสุวรรณฤทธิ์ จวบจนปัญหาสุขภาพรุมเร้าให้ต้องปล่อยบังเหียนและถ่ายทอดงานให้ตระการแทน เขาจึงเริ่มมีเวลาคิดและตั้งคำถามกับตัวเองในเรื่องนี้ แต่ทิฐิก็ทำให้ตฤณไม่คิดจะบอกใครเด็ดขาด ว่าครั้งแรกที่เขาได้รู้จักความสุขในวัยใกล้ฝั่งก็คือครั้งแรกที่ตระการกับพรพฤกษ์มาร่วมโต๊ะทานมื้อเย็นที่บ้าน

#23 – อิสระ

บางค่ำคืนตระการกับพรพฤกษ์ไม่ได้หลับทันทีหลังจากที่เข้าห้องนอน แต่ทั้งสองจะแสดงความรักต่อกันท่ามกลางแสงไฟสลัวบนเตียงที่บุด้วยฟูกหนานุ่ม และพรพฤกษ์มักจะตอบสนองสัมผัสของตระการโดยไม่เก็บงำท่าทีเพราะรู้ว่าพวกเขามีอิสระที่จะทำเช่นนั้นได้ และความยินยอมพร้อมใจอย่างไม่เขินอายก็ยิ่งกระตุ้นให้ตระการอยากจะทำทุกอย่างให้คนที่รักมีความสุขมากยิ่งขึ้นไปอีก

#24 – โทรศัพท์

พรพฤกษ์ไม่ใช่คนชอบคุยโทรศัพท์นานๆ มาตั้งแต่สมัยเรียน เพราะว่าเขาเกรงใจตาที่คอยส่งเสียหากจะต้องขอเงินเพื่อมาจ่ายค่าโทรศัพท์ เวลาที่เห็นเพื่อนๆ โทรคุยกับแฟนกันได้เป็นชั่วโมงจึงทำให้เขาแปลกใจทุกครั้งว่ามีเรื่องอะไรให้คุยกันนักหนา แต่แล้วก็ได้รู้ซึ้งกับตัวเองว่าเพราะอะไรเอาตอนที่เริ่มคบกับตระการแล้วอีกฝ่ายต้องไปทำงานที่ต่างประเทศนั่นเอง

#25 – ยินดี

ตอนที่ปฏิมากับดิษยะแต่งงานกันเป็นช่วงเวลาหลังจากพรพฤกษ์ย้ายไปอยู่กรุงเทพฯ ได้ปีกว่า งานถูกจัดขึ้นที่ร้านของนรพัฒน์โดยครอบครัวและเพื่อนๆ ของปฏิมาบินไปร่วมงานจากกรุงเทพฯ ตอนนั้นมีเพียงเพื่อนที่สนิทจริงๆ ที่รู้ว่าเจ้าสาวเริ่มตั้งครรภ์อ่อนๆ แล้ว และแม้ว่างานจะจัดในคืนวันธรรมดา แต่พรพฤกษ์และตระการก็ลางานเพื่อบินไปร่วมแสดงความยินดีกับเพื่อนทั้งสองด้วยความเต็มใจ เพราะถึงแม้ทางรักของดิษยะกับปฏิมาจะไม่มีปัญหามากเท่ากับพวกเขา แต่ทั้งสองก็ยินดีที่ได้เห็นเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวมีความสุขและได้เริ่มใช้ชีวิตคู่เช่นเดียวกัน

#26 – เห็น

ตฤณไม่ได้ตาบอด ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะสังเกตเห็นเวลาตระการกับพรพฤกษ์แอบจับมือหรือกอดกันตอนที่คิดว่าคนในบ้านไม่เห็น เพียงแต่ทั้งสองก็ดูจะรู้กาลเทศะพอที่จะไม่ทำอะไรเกินไปกว่านั้นนอกห้องนอนเช่นกัน ถึงแม้ตอนที่เห็นช่วงแรกๆ เขาจะรู้สึกเหมือนหางคิ้วกระตุกและอยากจะกระแอมให้ทั้งสองรู้ตัวว่าไม่ได้อยู่ตามลำพัง แต่ผู้อาวุโสก็พยายามเตือนตนเองว่าตระการกับพรพฤกษ์ไม่ใช่เด็กวัยรุ่นที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว อีกอย่างเขาเองก็อนุญาตให้พรพฤกษ์เข้ามาอยู่ที่บ้านแล้วด้วย นานไปเขาจึงเริ่มชินกับภาพที่ลูกชายกับลูกเลี้ยงแสดงความใกล้ชิดกัน แต่ตฤณก็ไม่คิดจะบอกให้รู้เช่นกันว่าเขาเห็นทั้งคู่กอดกันบ่อยจนไม่รู้สึกว่าแปลกอีกแล้ว

#27 – ความลับ

นับตั้งแต่ที่พรพฤกษ์ได้รู้ความเรื่องของแม่เพราะไปเจอรูปในกระเป๋าโดยบังเอิญ หลังจากนั้นเป็นต้นมาตระการก็ไม่เคยปิดบังความลับกับพรพฤกษ์อีก และไม่ว่ามีเรื่องอะไรก็บอกเล่าให้อีกฝ่ายฟังอย่างเปิดอกเสมอ เพราะเขารู้แล้วว่าพรพฤกษ์จะเสียความรู้สึกแค่ไหนที่ไม่ได้ฟังความจริงจากปากของเขาเอง

#28 – งานเลี้ยง

ด้วยหน้าที่ทำให้ตระการจำเป็นต้องออกงานเลี้ยงอยู่บ่อยๆ ถึงแม้ว่าจะเหนื่อยหรืออยากกลับบ้านเร็วๆ แค่ไหน หลังจากที่พรพฤกษ์ย้ายมาอยู่ด้วยกันแล้วยิ่งทำให้ชายหนุ่มยิ่งไม่ค่อยอยากไปร่วมงานเลี้ยงมากเข้าไปอีก เขาเคยขอให้พรพฤกษ์ไปออกงานเป็นเพื่อนบ้างเพื่อที่เขาจะได้ไม่เบื่อจนเกินไปนัก แต่อีกฝ่ายก็จะเอาแต่บ่ายเบี่ยงท่าเดียวเพราะไม่ชอบไปงานสังสรรค์ที่มีแต่คนไม่รู้จัก นี่จึงอาจนับได้ว่าเป็นเรื่องเดียวที่ไม่ว่าตระการจะพยายามเกลี้ยกล่อมแค่ไหนก็ไม่ได้รับคำตกลงจากพรพฤกษ์เสียที

#29 – น้ำใจ

อาจเพราะพรพฤกษ์ถูกตาอบรมให้หัดทำทุกอย่างด้วยตัวเองมาตลอด ตอนที่ย้ายมาอยู่บ้านสุวรรณฤทธิ์ใหม่ๆ เขาจึงไม่ค่อยชินกับการมีแม่บ้านมาคอยซักรีดเสื้อผ้าหรือทำความสะอาดห้องให้ ดังนั้นชายหนุ่มจึงมักแสดงน้ำใจด้วยการซื้อขนมมาฝากยายแสนและแม่บ้านคนอื่น หรือว่าซื้อของที่ระลึกมาให้หลังจากไปเที่ยวอยู่เสมอ บวกกับการที่เขาช่วยให้ตฤณกับตระการใกล้ชิดกันมากขึ้นตั้งแต่ย้ายเข้ามา ทำให้ทุกคนในบ้านยิ่งชอบเขามากขึ้นไปอีก

#30 – เจ้านาย

พรพฤกษ์ไม่เคยตั้งใจจะปิดบังคนที่ทำงานว่าเขามีคนรักแล้ว เพียงแต่ด้วยตำแหน่งของตระการทำให้เขาตัดสินใจได้ว่าไม่ควรเที่ยวป่าวประกาศให้คนอื่นรู้ แต่แน่นอนว่าเขาย่อมห้ามเพื่อนฝูงที่มักชอบมารุมถามด้วยความสนใจไม่ได้ แต่โชคดีที่เมื่อไรก็ตามที่เอกวิชช์ผ่านมาเห็นเวลาที่เพื่อนๆ กำลังรายล้อมเขาด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น หัวหน้าบรรณาธิการใหญ่ก็จะไล่ตะเพิดให้แต่ละคนกลับไปทำงานทุกครั้ง เขาจึงอดคิดไม่ได้ว่าตัวเองโชคดีที่มีเจ้านายที่คอยห่วงใยและช่วยปกป้องเช่นนี้

#31 – เยี่ยม

วรชัยไม่เคยนึกตำหนิภรรยาที่มีบุตรให้ไม่ได้ และพยายามประคับประคองชีวิตคู่ที่มีกันเพียงสองสามีภรรยามาตลอดเวลาเกือบสามสิบปี หากจะมีสิ่งใดที่เขาเสียดายก็คือการไม่มีลูกหลานมาเยี่ยมเหมือนกับคู่สมรสคู่อื่นที่วัยไล่เลี่ยกัน แต่นับตั้งแต่พรพฤกษ์ย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ เป็นต้นมา ตระการก็มักจะพาคนรักมาเยี่ยมบ้านของเขาและร่วมทานอาหารด้วยอย่างน้อยเดือนละครั้ง ราวกับจะเป็นการแสดงความขอบคุณที่เขาคอยให้ความช่วยเหลือความสัมพันธ์ของทั้งคู่ตลอดมา ดังนั้นทั้งเขาและเดือนดาราจึงรู้สึกขอบคุณชายหนุ่มทั้งสองที่ช่วยบรรเทาความเหงาของพวกเขาลงไปได้มาก

#32 – วาด

เนื่องจากตระการเรียนจบมาทางด้านสถาปนิก เขาจึงมีความสามารถด้านการวาดภาพพอตัวแม้ว่าหลังจากขึ้นเป็นผู้บริหารแล้วจะไม่ค่อยมีเวลา แต่หลังจากที่หน้าที่การงานเริ่มลงตัวและพอจะมีเวลาไปเที่ยวต่างจังหวัดหรือต่างประเทศกับพรพฤกษ์ได้ บางครั้งเขาก็จะหยิบกระดาษสมุดโน้ตขึ้นมาวาดรูปเล่นๆ บ้าง แต่ส่วนมากแล้วเขาจะชอบสเก็ตช์ภาพสถานที่กับตึกรามบ้านช่อง ขณะที่รูปคนนั้นสงวนให้พรพฤกษ์เป็นนายแบบคนเดียวเท่านั้น

#33 – หลาน

ตอนที่ตระการพาพรพฤกษ์มาที่บริษัทครั้งแรกหลังจากวันที่ไหว้กระดูกแม่ พนักงานที่ทำงานอยู่บนชั้นเดียวกันต่างก็สงสัยว่าชายหนุ่มที่ได้เข้าไปในห้องของท่านรองฯ เป็นใคร เพราะว่าพรพฤกษ์แต่งตัวในชุดเสื้อผ้าฝ้ายแขนยาวปล่อยชายกับกางเกงยีนส์ธรรมดาซึ่งดูแล้วไม่น่าจะเป็นนักธุรกิจไปได้ เมื่อถามอารยาที่เป็นเลขาก็ได้ความเพียงว่าเป็นคนรู้จักของรองประธาน จวบจนหลังจากวันงานเลี้ยงที่ตฤณประกาศกับกรรมการบริหารว่าพรพฤกษ์เป็นหลาน นับจากวันนั้นชายหนุ่มก็สามารถเข้าไปหาตระการที่บริษัทได้โดยไม่ถูกเหล่าพนักงานมองด้วยสายตามีคำถามอีก

#34 – ขา

ตระการชอบมองเรียวขาที่เปลือยเปล่าของพรพฤกษ์ เพราะว่าแม้อีกฝ่ายจะค่อนข้างผอม แต่เรียวขาสีน้ำผึ้งอ่อนก็มีกล้ามเนื้อที่ตึงได้รูปและไม่เล็กลีบเหมือนผู้ชายที่รูปร่างผอมทั่วไป เพียงแต่พรพฤกษ์จะติดนิสัยชอบใส่กางเกงขายาว กระทั่งหน้าร้อนก็ยังใส่กางเกงผ้าขายาวเวลาอยู่บ้าน ทำให้ตระการอดรู้สึกไม่ได้ว่าเวลาที่เจ้าตัวยอมใส่กางเกงขาสั้นเช่นตอนไปเที่ยวทะเลนั้นทำให้ดูเย้ายวนอย่างอธิบายไม่ถูก และดูเหมือนพรพฤกษ์ก็จะเดาความคิดของอีกฝ่ายได้เวลาเห็นนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่จับจ้องเวลาเขาใส่กางเกงที่ยาวแค่เข่า ดังนั้นเขาจึงพยายามไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้เห็นขาเขาบ่อยนักเพื่อแกล้งตระการเล่นเสียเลย

#35 – โรงพยาบาล

พรพฤกษ์ไม่ใช่คนที่ชอบโรงพยาบาลสักเท่าไหร่ อาจเพราะความทรงจำของเขาเกี่ยวกับโรงพยาบาลมักมีแต่เรื่องไม่ค่อยน่าจดจำ ไม่ว่าจะตอนที่ตาเสียหรือว่าตอนที่เขาประสบอุบัติเหตุจนต้องไปนอนพักอยู่เป็นเดือน แต่ว่าเมื่อจู่ๆ วันหนึ่งตฤณอาการกำเริบกะทันหันจนต้องส่งเข้าไปนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลนั้น พรพฤกษ์เต็มใจอาสามานอนเฝ้าสลับกับตระการด้วยความเต็มใจ เพราะรู้ดีว่าตลอดชีวิตนี้เขาคงไม่เหลือญาติผู้ใหญ่คนอื่นให้แสดงความกตัญญูด้วยได้อีกแล้ว

#36 – เป้าหมาย

ในระหว่างหนึ่งปีที่ตฤณยังไม่ยอมรับพรพฤกษ์นั้น ตระการพยายามเดินทางไปหาอีกฝ่ายที่บ้านนฤมิตรให้บ่อยที่สุดเท่าที่ทำได้ ถึงแม้ว่าจะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางแค่ไหนเพราะเขามักจะบินไปถึงในตอนค่ำของวันศุกร์ แต่เพียงได้เห็นใบหน้ายิ้มแย้มของคนที่คอยขับรถมารับทุกสัปดาห์ ความอ่อนเพลียเหล่านั้นก็แทบจะหายวับไปในทันที ยิ่งหลังจากที่ทั้งสองกลับถึงบ้านและได้ตอกย้ำความคิดถึงที่มีให้กันและกันจบลง ตระการจะยังนอนมองพรพฤกษ์ที่หลับสนิทไปแล้วพร้อมกับฟังเสียงแมลงกลางคืนไปด้วย และภายใต้แสงจันทร์กระจ่างที่ส่องลอดมุ้งลวดลงมาโอบร่างของพรพฤกษ์เอาไว้ ชายหนุ่มก็ยิ่งมุ่งมั่นกับเป้าหมายของเขาที่จะทำให้ทั้งคู่ได้อยู่ด้วยกันมากยิ่งขึ้นไปอีก

#37 – เหงา

พรพฤกษ์ไม่เคยรู้สึกถึงความเหงา เพราะแม้กระทั่งหลังจากช่วงที่ตาเสีย ชายหนุ่มก็วุ่นกับการปรับปรุงบ้านให้เป็นเกสต์เฮ้าส์และจัดการเรื่องเอกสารต่างๆ โดยมีเพื่อนๆ คอยช่วยเหลือ เมื่อเกสต์เฮ้าส์เสร็จแล้วก็ต้องเรียนรู้การต้อนรับแขกที่มาพักในขณะที่รับทำงานแปลและเขียนจากเอกวิชช์ไปด้วย กิจกรรมที่มีให้ทำอย่างสม่ำเสมอทำให้พรพฤกษ์ไม่เคยคิดว่าตัวเองเหงา จนกระทั่งช่วเวลาสองสัปดาห์ที่ตระการพักที่บ้านนฤมิตรและความจริงที่ได้รู้ทำให้เขาไล่อีกฝ่ายกลับบ้านไป พรพฤกษ์จึงได้ตระหนักเป็นครั้งแรกว่าความเหงาของการนอนบนเตียงเพียงลำพังยามค่ำคืนนั้นเป็นอย่างไร

#38 – ช่วย

ก่อนที่พรพฤกษ์จะได้พบกับตระการ เขาไม่เคยรู้เลยว่านรพัฒน์แอบชอบพนักงานคนหนึ่งในร้านอาหารกึ่งผับที่เขาเข้าหุ้นด้วย ส่วนหนึ่งก็อาจเป็นเพราะเพื่อนของเขาเป็นคนไม่ค่อยแสดงออกหรือพูดคุยเรื่องในใจกับคนอื่น จนกระทั่งดิษยะมากระซิบบอกว่านรพัฒน์แอบชอบชลิต พรพฤกษ์จึงได้เริ่มสังเกตเวลาเขาเข้าไปที่ร้าน และอดแปลกใจไม่ได้ที่หนุ่มน้อยปากดีคนนั้นก็ดูจะไม่เคยรู้ตัวเหมือนกันว่าได้รับการเอาใจใส่จากนรพัฒน์มากกว่าพนักงานคนอื่น หลังจากที่ตัวเขาเองได้พบกับตระการ ผ่านเรื่องต่างๆ มากมายจนกระทั่งมีความสุขในที่สุด พรพฤกษ์ก็ได้แต่เอาใจช่วยว่าสักวันนรพัฒน์จะทำให้ตัวเองมีความสุขบ้าง หลังจากที่คอยให้ความช่วยเหลือเขาและเพื่อนคนอื่นๆ มามากแล้ว

#39 – หอม

ตระการชอบจูบผมของพรพฤกษ์ที่เพิ่งสระเสร็จและเป่าแห้งแล้ว เมื่อก่อนเขาเคยนึกว่าคงเป็นเพราะแชมพูที่เจ้าตัวใช้ แต่เมื่อย้ายมาอยู่บ้านเดียวกัน พรพฤกษ์ก็ใช้แชมพูกับยาสระผมกลิ่นเดียวกับที่เขาใช้ทุกอย่าง แต่ตระการก็ยังหาคำตอบไม่ได้อยู่ดีว่าทำไมผมกับผิวกายของพรพฤกษ์ถึงได้หอมกว่าเขานัก

#40 – แก้

บางครั้งพรพฤกษ์ก็ลืมว่าตฤณบอกกับใครๆ ว่าเขาเป็นหลาน เพราะเวลาอยู่กับตระการสองคนเขาจะชอบเรียกแทนตัวเองเล่นๆ ว่าพี่ชายอยู่บ่อยๆ ดังนั้นเวลาทั้งสองออกไปข้างนอกด้วยกันแล้วเจอคนรู้จักของคนใดคนหนึ่งเข้ามาทักทาย พรพฤกษ์ก็จะเผลอแนะนำตัวว่าเขาเป็นพี่ชายของตระการอยู่บ่อยครั้ง ร้อนถึงอีกฝ่ายต้องรีบแก้ให้ว่าเป็น 'ลูกพี่ลูกน้อง' ไม่อย่างนั้นคงไม่ดีแน่หากมีคนเห็นตอนที่น้องชายคนนี้จับมือหรือทำอย่างอื่นกับพี่ชายอย่างที่พี่น้องทั่วไปไม่ทำกัน


++---End---++

ปล. เกือบลืม พอดีทำวอลเปเปอร์คาเลนดาร์จากรูปของต้นกับไผ่ไว้ แต่ทำแค่ไซส์ 1280 x 800 ค่ะ ใครสนใจไปโหลดได้จากลิงค์ข้างล่างเลย ชอบไม่ชอบบอกกันมั่งนะ :3123:
{{ Wall Calendar ไผ่ }} (http://www.mediafire.com/imageview.php?quickkey=h626t7bjaamxryx&thumb=4)
{{ Wall Calendar ต้น }} (http://www.mediafire.com/imageview.php?quickkey=14748bprqc8z3k6&thumb=4)
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.15 + ตอนพิเศษ 1 (2/2) p.16 (Up 12.2.11)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 12-02-2011 08:02:44
ขอบคุณค่ะ
แม้คุณรินจะมีภาระสอบ
ก็อุตส่าห์เจียดเวลามาเขียนตอนพิเศษ
ยังคงอ่านแล้วอิ่มเอมใจเหมือนเดิม
สู้ๆนะคะ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.15 + ตอนพิเศษ 1 (2/2) p.16 (Up 12.2.11)
เริ่มหัวข้อโดย: kakuro ที่ 12-02-2011 10:13:03
ขอบคุณค่ะคุณริน :L2:
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในชีวิตคู่ต้นไผ่น่ารักจัง
ขอให้คุณรินได้เอบวกนะคะ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.15 + ตอนพิเศษ 1 (2/2) p.16 (Up 12.2.11)
เริ่มหัวข้อโดย: kitty ที่ 12-02-2011 12:20:16
 :impress2:อยากอ่านตอนพิเศษอีกอะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ o13
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.15 + ตอนพิเศษ 1 (2/2) p.16 (Up 12.2.11)
เริ่มหัวข้อโดย: choijiin ที่ 12-02-2011 12:51:18
แอบตามมาจากน้องนะกับพี่อ๊อฟค่า แหะๆๆ

ยินดีด้วยนะคะ ในที่สุดเรื่องนี้ก็จบลงอย่างสวยงาม

พอได้มาอ่านเรื่องของต้นกับไผ่

รู้สึกได้ว่าพี่ริน(ขอเรียกพี่เลยนะคะ ^^)

เปลี่ยนแนวไปจากอ๊อฟนะค่อนข้างเยอะ

อ่านแล้วรู้สึกประทับใจในความรักของต้นมากๆๆๆๆๆๆ

ผู้ชายคนนี้นี่เป็นหนุ่มในฝันของใครหลายๆคนเลยนะเนี่ย

ไม่ว่าจะรูปร่าง หน้าตา นิสัย การศึกษา และฐานะ

ผู้ชายที่มีคุณสมบัติครบถ้วนแบบนี้

มีความมั่นคงในความรักต่อผู้ชายอีกคนนึงได้อย่างน่าประทับใจมากๆ

ยิ่งตอนที่ต้นขอร้องให้พ่อยอมให้ไผ่มาอยู่ที่บ้าน

นัทอ่านแล้วยิ่งประทับใจในความรู้สึกของต้นมากๆ

ถ้าในชีวิตจริงมีผู้ชายแบบนี้อยู่จริงๆคงจะดีนะพี่ริน 5555+

เอาเป็นว่าอ่านแล้วประทับใจทั้งเนื้อเรื่องและตัวละครทุกคนมากๆค่ะ

ขอบคุณพี่รินมากๆที่ขยันเขียนเรื่องดีๆแบบนี้ให้อ่านกันนะคะ

เดี๋ยวจะตามอ่านเรื่องอื่นๆต่อไปเรื่อยๆเลยค่ะ

 :pig4:





ปลล.เรื่องรวมเล่ม บอกตรงๆก็อยากได้

แต่เอาเข้าจริงๆต้องถามกระเป๋าแฟบๆของตัวเองก่อน

เดี๋ยวรอให้ใกล้ๆปิดจองแล้วจะดูสถานการณ์อีกทีนะคะ

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.15 + ตอนพิเศษ 1 (2/2) p.16 (Up 12.2.11)
เริ่มหัวข้อโดย: genieposh ที่ 12-02-2011 21:50:59
 จองแล้ว แต่ยังไม่โอนเลย รอก่อนน้าาาาาาาาาาาาา
ว่างแล้วจะรีบไปโอน
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.15 + ตอนพิเศษและแจก calendar wallpaper p.16 (Up 12.2.11)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 15-02-2011 08:22:22
จองแล้ว แต่ยังไม่โอนเลย รอก่อนน้าาาาาาาาาาาาา
ว่างแล้วจะรีบไปโอน

โอเคค่า ตอนนี้เวลาจองเหลือ 1 เดือนนิดๆ แล้วเน้อ ใครสนใจเป็นเจ้าของต้น-ไผ่ อย่าลืมเก็บเงินหยอดกระปุกจะได้รับไปเก็บไว้กอดเวลาขาดสารให้ความหวานในกระแสเลือดนะค้า  :-[
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 1/11/2011* หน้า 13 (ก็ยังไม่จบ!!)
เริ่มหัวข้อโดย: papaboy ที่ 18-02-2011 16:03:28
^
^
มารอลุ้นกันอาทิตย์หน้านะค้า หุหุหุ  :really2:
:-[
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.15 + ตอนพิเศษและแจก calendar wallpaper p.16 (Up 12.2.11)
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 23-02-2011 09:51:59
โอนเงินไปแล้ววันนี้เมลล์ไปบอกแล้วเช็กด้วยนะคะ  :z2:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.15 + ตอนพิเศษและแจก calendar wallpaper p.16 (Up 12.2.11)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 23-02-2011 18:19:11
โอนเงินไปแล้ววันนี้เมลล์ไปบอกแล้วเช็กด้วยนะคะ  :z2:

ตอบกลับเรียบร้อยค่าพี่ฟาง ตอนนี้รอหนังสือสำเร็จเป็นรูปเล่มก่อนน้า ขอบคุณมากค่า  :3123:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.15 + ตอนพิเศษและแจก calendar wallpaper p.16 (Up 12.2.11)
เริ่มหัวข้อโดย: n2 ที่ 24-02-2011 20:38:52
ยังไม่ได้โอนเงินเลยค่ะ คงต้องโอนช่วงต้นเดือนแล้ว
ช่วงนี้หมดตัวหัวหน้าให้เปลี่ยนฟอร์มชุดทำงานใหม่ :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.15 + ตอนพิเศษและแจก calendar wallpaper p.16 (Up 12.2.11)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 24-02-2011 21:30:53
คุณ n2 ได้ค่ะ ยังมีเวลา จะรอนะคะ

ว่าแต่ชุดฟอร์มใหม่สวยคุ้มค่าที่เปลี่ยนอ๊ะป่าว?  :really2:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.15 + ประกาศเกี่ยวกับของแถม p.17 (25.2.11)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 25-02-2011 15:32:55
*ประกาศอัพเดท ณ วันที่ 25.2.11*   *ประกาศอัพเดท ณ วันที่ 7.3.11* << ไม่อยากเปลืองกระทู้จึงขออีดิทในกระทู้เดิมค่า

ตอนนี้ขยายเวลาเปิดจองและโอนเงินให้ถึง 24 มีนาคม และขอสงวนสิทธิ์แจกกล่องสะสมแก่ผู้ที่โอนเงินเข้ามาภายในกำหนดเท่านั้น เนื่องจากต้นทุนการผลิตกล่องสูงมากเพราะเราจะปั๊มนูน + ทองเพื่อความสวยงามและเพิ่มมูลค่าให้กล่องด้วย ดังนั้นท่านที่สั่งซื้อเข้ามาทีหลัง ไม่ว่าจะจากเราเองหรือไปซื้อที่ร้าน @Quartette ราคาที่ซื้อจะเป็นอีกราคานะคะ แล้วจะมาแจ้งให้ทราบอีกครั้งค่ะ

ขออภัยที่แจ้งเรื่องนี้ช้าไปหน่อย พอดีมีการปรับแก้สเป็คของกล่องเล็กน้อย และเพิ่งจะสรุปกับโรงพิมพ์ได้ค่ะ (เดี๋ยวนี้กระดาษแพงมากจริงๆ อยากจะกรี๊ดดด) :z3:

ใครอยากเป็นเจ้าของหนังสือและได้กล่องสะสมในราคาพิเศษ ยังมีเวลาให้อีกหนึ่งเดือนเน้อ รายละเอียดการสั่งจองแบบเต็มๆ คลิกดูที่หน้า 1 หรือหน้า 15 ค่า :pig2:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.15 + ประกาศเกี่ยวกับของแถม p.17 (25.2.11)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 25-02-2011 16:07:45
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด


ปั๊ทนูนปั๊มทอง
งามมากแน่นอน ป้าสู้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ต้องเหนื่อยเพื่อหลานๆ คิดแล้วน้ำตาจะไหล T______T

ขอบคุณนะคร้าาาาาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.15 + ประกาศเกี่ยวกับของแถม p.17 (25.2.11)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 25-02-2011 19:04:54
อ่ะนะ คุณรินทุ่มทุนสุดตัวกับนิยายเรื่องแรกแต่แต่งจบหลังเพื่อน  :laugh:
แต่ดีใจนะคะ มันคงจะงามมากๆ สมกับที่จะขึ้นหิ้งของเรามากๆ
เพื่อนเราเห็นชื่อเรื่องก็อยากจะมาหยิบยืมอ่าน อ่านไปเรื่อยๆ
ชายกับชาย เป็นลม
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + ประกาศเกี่ยวกับของแถม p.17 (25.2.11)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 25-02-2011 19:56:29
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด


ปั๊ทนูนปั๊มทอง
งามมากแน่นอน ป้าสู้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ต้องเหนื่อยเพื่อหลานๆ คิดแล้วน้ำตาจะไหล T______T

ขอบคุณนะคร้าาาาาาาาาาาา

ไอ้เรื่องชอบทำอะไรสุดโต่งนี่ป้าถนัดค่ะ แต่ก็ตั้งใจกับเรื่องนี้มากจริงๆ แหละ เพราะถ้าไม่ได้เริ่มเรื่องนี้ก็คงไม่ได้เขียนคู่อื่นๆ ร้อก 5555 (เป้กับวิวของน้องนุ่นก็คงเป็นวุ้นอยู่ที่ไหนสักที่แหงมๆ) :mc4:


อ่ะนะ คุณรินทุ่มทุนสุดตัวกับนิยายเรื่องแรกแต่แต่งจบหลังเพื่อน  :laugh:
แต่ดีใจนะคะ มันคงจะงามมากๆ สมกับที่จะขึ้นหิ้งของเรามากๆ
เพื่อนเราเห็นชื่อเรื่องก็อยากจะมาหยิบยืมอ่าน อ่านไปเรื่อยๆ
ชายกับชาย เป็นลม

เรื่องนี้เป็นพี่ใหญ่แต่ดันคลอดหลังน้องๆ ก็เลยต้องใส่ใจหน่อยค่ะ ว่าแต่ที่เพื่อนอ่านแล้วเป็นลมนี่เพราะตกใจหรือว่าเคลิ้มอะ? เอิ้กๆ  :laugh:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + ประกาศเกี่ยวกับของแถม p.17 (25.2.11)
เริ่มหัวข้อโดย: TaDa ที่ 26-02-2011 18:25:47
ขอจอง 1 ชุดครับ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + ประกาศเกี่ยวกับของแถม p.17 (25.2.11)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 26-02-2011 19:21:08
^
^
โอนเงินตามรายละเอียดที่หน้า 1 แล้วอีเมล์มาที่ bellbomb[at]hotmail dot com นะคะ ^^
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + ประกาศเกี่ยวกับของแถม p.17 (25.2.11)
เริ่มหัวข้อโดย: evil_kun ที่ 27-02-2011 07:37:24
เพิ่งอ่านเรื่องจบ...
เด๋วรออ่านในหนังสืออีกรอบ ตรงกะช่วงหยุดอีสเทอร์พอดี >"<

เด๋วโอนเงินให้กลางสัปดาห์หน้านะคะ ^_^
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + ประกาศเกี่ยวกับของแถม p.17 (25.2.11)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 27-02-2011 10:47:01
เพิ่งอ่านเรื่องจบ...
เด๋วรออ่านในหนังสืออีกรอบ ตรงกะช่วงหยุดอีสเทอร์พอดี >"<

เด๋วโอนเงินให้กลางสัปดาห์หน้านะคะ ^_^

No problem ค่า ^_^

ปล. ในรวมเล่มจะเป็นเวอร์ชันรีไรท์ ช่วงต้นๆ-กลางๆ เรื่องจะต่างจากในเล้านิดหน่อยนะคะ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + ประกาศเกี่ยวกับของแถม p.17 (25.2.11)
เริ่มหัวข้อโดย: pungplaza ที่ 28-02-2011 11:51:36
Boxset สุดอลังการแน่นอน
ปั๊มนูนสีทอง อยากเห็นของจริง
ต่อมอยากดู อยากรู้ อยากเห็น ทำงานหนักทันที  :impress2:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + ประกาศเกี่ยวกับของแถม p.17 (25.2.11)
เริ่มหัวข้อโดย: dee-dee ที่ 28-02-2011 14:35:00
โอนเงินไปแล้วนะคะ  ตรวจสอบดูทีค่ะ :o8:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + ประกาศเกี่ยวกับของแถม p.17 (25.2.11)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 28-02-2011 15:23:29
คุณ pungplaza อยากเห็นของจริงเหมือนกันค่ะ ลุ้นๆๆ   :call:
คุณ dee-dee ไม่แน่ใจว่าใช้อีเมล์ไหน แต่เราตอบคนที่จองมาวันนี้หมดแล้ว ลองเช็คว่าได้รับอีเมล์หรือยังนะคะ   :pig4:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + ประกาศเกี่ยวกับของแถม p.17 (25.2.11)
เริ่มหัวข้อโดย: genieposh ที่ 28-02-2011 23:27:58
 รอ รอ รอ อยากได้หนังสือเร็วๆจัง แล้วก็ลุ้นกับของแถม
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + ประกาศเกี่ยวกับของแถม p.17 (25.2.11)
เริ่มหัวข้อโดย: yylove ที่ 04-03-2011 16:54:55
แจ้งโอนเงินทางเมลล์แล้วนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + ประกาศเกี่ยวกับของแถม p.17 (25.2.11)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 04-03-2011 19:44:28
คุณ genieposh  จะพยายามให้เสร็จ + ส่งได้ตามช่วงเวลาที่ระบุไว้ค่ะ (ยังไงก็น่าจะก่อนสงกรานต์ละน่า)  o13

คุณ yylove  ตอบกลับไปแล้วเน้อ ขอบคุณมากค่า   :mc4:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + ประกาศเกี่ยวกับของแถม p.17 (25.2.11)
เริ่มหัวข้อโดย: n2 ที่ 04-03-2011 21:06:21
คุณ n2 ได้ค่ะ ยังมีเวลา จะรอนะคะ

ว่าแต่ชุดฟอร์มใหม่สวยคุ้มค่าที่เปลี่ยนอ๊ะป่าว?  :really2:

มันไม่สวยเลยค่ะ แถมต้องใส่เหมือนกันทุกวันอีกด้วย  :sad4:
ปล.วันนี้โอนเงินไปแล้วนะค่ะ


หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + ประกาศเกี่ยวกับของแถม p.17 (25.2.11)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 04-03-2011 22:21:00
คุณ n2 ได้ค่ะ ยังมีเวลา จะรอนะคะ

ว่าแต่ชุดฟอร์มใหม่สวยคุ้มค่าที่เปลี่ยนอ๊ะป่าว?  :really2:

มันไม่สวยเลยค่ะ แถมต้องใส่เหมือนกันทุกวันอีกด้วย  :sad4:
ปล.วันนี้โอนเงินไปแล้วนะค่ะ




อีเมล์แจ้งเข้ามาหรือยังเอ่ย? ปกติหลังเช็คยอดแล้วเราจะตอบกลับในวันเดียวกันค่ะ

ปล. ยิ่งพูดอย่างนี้ยิ่งอยากเห็นชุด หุหุหุ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + ประกาศเกี่ยวกับของแถม p.17 (25.2.11)
เริ่มหัวข้อโดย: lunarinthesky ที่ 07-03-2011 08:02:07
1 ชุดค่าโอนตังค์วันนี้
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + ประกาศเกี่ยวกับของแถม p.17 (25.2.11)
เริ่มหัวข้อโดย: lunarinthesky ที่ 08-03-2011 07:35:56
แจ้งโอนตังไปแล้วเน้อ ยอด 660.01 ค่า
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + ประกาศเกี่ยวกับของแถม p.17 (25.2.11)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 08-03-2011 10:12:43
แจ้งโอนตังไปแล้วเน้อ ยอด 660.01 ค่า

ได้รับเรียบร้อย + ตอบเมล์ไปแล้วค่า ^^
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + ประกาศเกี่ยวกับของแถม p.17 (25.2.11)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 08-03-2011 21:46:22
หลังจากมัวแต่ตอบเมนต์ แต่ไม่ได้อัพข่าวคราวของหนังสือเลย วันนี้ก็เลยขอซะหน่อยค่า วี้ฮิ้ววววว (ไม่มีคนรับลูก เป่าปากเองก็ด้ะ) :z2:

ที่ก่อนหน้านี้ป้าเงียบๆ ไปก็เพราะมัวเขียนตอนพิเศษนี่ละ อย่างที่เคยบอกไว้ว่าในรวมเล่มจะมีตอนพิเศษซึ่งไม่โพสต์ที่ไหนมาก่อนสามตอน ตอนนี้ค่อนข้างลงตัวแล้ว เลยมาลงชื่อตอนพิเศษไว้ก่อนว่าจะมีตามนี้ค่ะ (คิดว่าคงไม่เปลี่ยนชื่อตอนอีกแล้วแหละ...มั้ง?)


ตอนพิเศษ 1: บางบทของรัก (เคยลงในบล็อกให้แล้ว ที่เป็น 40 themes)
ตอนพิเศษ 2: เพียงความห่วงใย
ตอนพิเศษ 3: สิ่งสุดท้ายที่ใจต้องการ
ตอนพิเศษ 4/ Side story: เดิมพันของหัวใจ



ทั้งนี้ ตอนพิเศษ 2 กับ 3 จะมีแขกรับเชิญโผล่มาด้วยตอนละคู่ค่ะ ขอไม่เฉลยว่าเป็นใครเดี๋ยวจะสปอยล์คนอ่านซะก่อน แต่คิดว่าคนที่เคยอ่านเรื่องอื่นของป้าน่าจะพอเดาได้ ส่วนตอนพิเศษ 4 เป็น side story คู่ที่โดนขอให้เขียนถึงเพราะในเล่มไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่ คราวนี้ได้อ่านแบบตอนเฉพาะเต็มๆ น่าจะจุใจคนที่เคยรีเควสต์กันนะ XD


ส่วนความคืบหน้าด้านการตีพิมพ์หนังสือ ถ้าตีเป็นเปอร์เซ็นต์ก็ประมาณ 60% เพราะว่าได้ปกกับที่คั่นจากโรงพิมพ์ A แล้ว และหลังจากตรวจความเรียบร้อยของต้นฉบับเป็นครั้งสุดท้ายจะส่งไปพิมพ์เนื้อในและเข้าเล่มที่โรงพิมพ์ B ค่ะ อย่าถามนะว่าทำไมต้องยุ่งยากใช้โรงพิมพ์สองที่ เดี๋ยวอธิบายกันยาว แหะๆ แบบว่าอยากให้คุณภาพมันออกมาใกล้เคียงนิยายที่วางขายตามร้านหนังสือ ก็เลยอยากพิถีพิถันกับมันมากหน่อย ข้อติชมตรงไหนที่เคยมีคนอ่านบอกในสองเรื่องก่อนก็จะแก้ไขให้เรื่องนี้ออกมาสมบูรณ์ที่สุด แต่ว่าสำหรับบ็อกซ์เซ็ทจะต้องใช้เวลาอีกนิดเพราะต้องได้หนังสือก่อนถึงจะทำกล่องได้ (ไม่งั้นไซส์มันจะไม่พอดี) แต่เท่าที่คำนวนเวลาแล้วก็คิดว่าน่าจะได้ส่งไม่เกินต้นเมษายนตามที่เคยแจ้งไว้ ดังนั้นไม่ต้องห่วงว่าสงกรานต์จะไม่มีนิยายอ่านค่ะ ได้แน่นอน เพราะถ้าไม่ได้นี่อิป้าอาจไปวีนโรงพิมพ์ 5555


ก่อนจะจากกันไป ขอเอารูปที่คั่นมาแปะหน่อย ทางโรงพิมพ์จะแพ็คเป็นห่อแบบนี้มาให้ค่ะ และทุกคนที่สั่งก็จะได้กันทั้งสองลายสำหรับคั่นหนังสือเล่ม 1 และ 2 ก็รอรับพร้อมกับหนังสือและบ็อกซ์เซ็ทแล้วกันเน้อ ตอนนี้ใกล้เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นละ ส่วนใครที่ยังไม่ได้โอนเงินเข้ามา ถ้าผ่านกำหนด 24 มีนาคมไปจะต้องซื้อในราคาที่ปรับขึ้นนะคะ รายละเอียดสำหรับสั่งซื้อแบบ pre-order อยู่ที่หน้า 1 เลย

(http://farm6.static.flickr.com/5055/5509303000_31d27d2db5.jpg)
ปล. อย่าสนใจแขนดำๆ ที่เกาะอยู่บนแพ็ค ฮ่าๆๆ

แล้วเจอกันใหม่ในการอัพเดทคราวหน้านะค้า สำหรับใครที่สนใจอยากได้รวมเล่มไว้ครอบครองก่อนจะปรับราคาขึ้น ยังมีเวลาถึง 24 มีนาคมเด้อ รีบเข้าๆ   o13
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + Update ความคืบหน้ารวมเล่ม p.17 (8.3.11)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 08-03-2011 22:01:24
^
^
^
นุ่นกี๊ดให้ค่ะ

เอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
ฮ่า...หมดลมปอด งุงิ
ตั้งตารอนะคะ >///////<
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + Update ความคืบหน้ารวมเล่ม p.17 (8.3.11)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 09-03-2011 17:44:21
ถ้าได้หนังสือนะจะเปิดไปตอนพิเศษ 4 ก่อนเลย หุหุหุ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + Update ความคืบหน้ารวมเล่ม p.17 (8.3.11)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 09-03-2011 18:50:01
ถ้าได้หนังสือนะจะเปิดไปตอนพิเศษ 4 ก่อนเลย หุหุหุ

คุณ yeyong เย้ยยย ปานนั้นเลย   :jul3:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + Update ความคืบหน้ารวมเล่ม p.17 (8.3.11)
เริ่มหัวข้อโดย: DEMON3132 ที่ 09-03-2011 19:21:26
ขอบคุณสำหรับข่าวความคืบหน้าของหนังสือ
อยากได้ อยากได้ แต่ก็ต้องรอตามกำหนดไปก่อน
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + Update ความคืบหน้ารวมเล่ม p.17 (8.3.11)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 14-03-2011 12:05:55
Update ความคืบหน้าเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยค่า  :impress2:

(http://i1095.photobucket.com/albums/i474/bellbomb/UV1-horzwtm.jpg)
หลังจากแบกปกจนกล้ามปูดจากโรงพิมพ์ A ไปโรงพิมพ์ B อย่างที่เคยเล่าให้ฟังคราวที่แล้ว ตอนนี้ก็ได้หนังสือตัวอย่างมาอยู่ในมือเรียบร้อย หลังจากนี้จะปรูฟตัวสะกดและรายละเอียดปลีกย่อยก่อนจะสั่งพิมพ์จริงๆ ค่ะ รูปที่แปะมาให้ดูก็คือรูปตัวอย่างหนังสือนั่นละ (คนที่อยู่ใน fb friend list คงจะเห็นแล้ว) ตรงชื่อเรื่อง "แม้นมั่นคำสัญญา" กับกรอบสีทองที่ดูขึ้นเงาสะท้อนแสงแวบๆ นั่นเพราะว่าเคลือบสปอตยูวี นี่ละสาเหตุที่ยอมยุ่งยากใช้สองโรงพิมพ์  :laugh:

ความคืบหน้าตอนนี้:
1. ตรวจแก้คำผิดของเล่ม 1 เสร็จเรียบร้อยแล้ว หลังจากแก้ของเล่ม 2 เสร็จก็จะสั่งพิมพ์เลย น่าจะไม่เกินสัปดาห์นี้
2. หลังจากปรับขนาดบอกซ์เซ็ทให้ได้ตามขนาดหนังสือตัวอย่างแล้วก็จะส่งเข้าโรงพิมพ์เหมือนกัน น่าจะไม่เกินสัปดาห์นี้เช่นกัน (ตัวบอกซ์นี่ละที่จะใช้เวลาทำนาน ถึงได้ต้องเผื่อเวลาเยอะ)

ถ้ารันไปตามกระบวนการนี้ ทุกอย่างก็น่าจะเรียบร้อย + จัดส่งได้ตามกำหนดในต้นเมษาค่ะ ความจริงก็อยากเร่งให้เร็วกว่านั้น แต่โรงพิมพ์ก็มีคิวงานของเขา + อิป้าเองมีรายงานสามตัวที่ต้องทำให้เสร็จและส่งเดือนนี้ ก็เลยต้องเฉลี่ยความสำคัญไปให้เท่าๆ กัน ไม่งั้นอาจโดนผู้ปล่อยเงินกู้ค่าเทอมงับหัวเอาได้ที่มัวเขียนนิยายจนเกรดตก  :jul3:

และเนื่องในโอกาสที่มาอัพความคืบหน้าครั้งนี้...จึงขอยั่วคนอ่านด้วยส่วนหนึ่งของตอน Side story ในรวมเล่ม เพราะไหนๆ หลายคนก็ทายถูกอยู่แล้วว่าจะเป็นคู่ของใคร เลยเอามาให้อ่านกันพอเป็นน้ำจิ้มก่อนค่ะ (อภิสิทธิ์ให้ชาวเล้าที่เดียว เพราะว่าเป็นบอร์ดแรกที่ลงเรื่องนี้) หลังจากนี้คงไม่ได้มาอัพความคืบหน้าเท่าไหร่กระทั่งได้ทั้งหนังสือและบอกซ์เพราะคงหัวฟูกับกองรายงาน ก็ขอฝากความคิดถึงนักอ่านทุกคนไว้ตรงนี้เลยแล้วกันนะคะ แล้วเจอกันในอัพเดทคราวหน้าค่า

Again ใครยังไม่ได้โอนเงินก็ยังมีเวลาถึง 24 มีนา หรือถ้าหากมีเหตุจำเป็นให้ต้องโอนช้ากว่านั้นนิดหน่อยแต่ไม่เกินปลายเดือน ขอให้อีเมล์มาบอกกันก่อนวันที่ 24 จะได้ตกลงเป็นรายๆ ไปค่ะ (อีเมล์ bellbomb [at] hotmail dot com)

++------++

Side story: เดิมพันของหัวใจ (เนื้อหาบางส่วน)

“แน่ใจนะว่าจะไม่ลุกไปอาบน้ำเองจริงๆ?”

คนถูกถามทำท่าคิดทั้งที่ยังกอดหมอนข้างไม่ปล่อย จากนั้นก็หลับตาปี๋แล้วส่ายหน้า นรพัฒน์จึงถอนหายใจแล้วก็ลุกขึ้น

“ถ้างั้นก็ถอดเสื้อผ้าซะ เดี๋ยวเฮียไปเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวให้ ระหว่างนี้ห้ามหลับไปซะก่อนล่ะ”

ชายหนุ่มเดินออกมาจากห้องนอนโดยไม่ได้หันหลังไปมองว่าเจ้าเด็กปากดีกำลังทำหน้าแบบไหน ที่แน่ๆ เขาสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล แต่ก็ตัดสินใจว่าจะเล่นตามน้ำไปก่อน

จะได้รู้กันไปว่าเด็กมันตั้งใจยั่ว...หรือเมาจนไม่รู้ตัวว่ากำลังเล่นกับใครอยู่กันแน่...

นรพัฒน์แวะเข้าห้องนอนตัวเองเพื่อหยิบเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นสำหรับให้ชลิตเปลี่ยน จากนั้นก็เข้าห้องน้ำไปหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กกับอ่างพลาสติกที่รองน้ำใส่ไว้ครึ่งหนึ่ง ชายหนุ่มใช้วิธีพาดผ้าทุกชิ้นไว้บนไหล่จะได้ไม่ต้องถือให้รุงรัง เมื่อเดินกลับเข้าไปในห้องด้านในสุดอีกครั้งก็พบว่าเด็กหนุ่มยันตัวขึ้นนั่งแล้ว แต่ดูเหมือนยังทำใจถอดเสื้อไม่ได้เพราะกระดุมเชิ้ตสีขาวถูกปลดไปสองเม็ดเท่านั้น

เจ้าของบ้านวางเสื้อผ้ากับอ่างน้ำลงบนโต๊ะข้างเตียง จากนั้นก็นั่งลงข้างๆ แล้วยื่นมือไปช่วยปลดกระดุมเสื้อ ชลิตสะดุ้งแล้วก็ทำท่าเหมือนจะถอย แต่แล้วก็เม้มปากและยอมนั่งนิ่งให้นรพัฒน์ถอดเสื้อให้แต่โดยดี พลันคนที่ไม่มีปากเสียงก็ทำตาโตแล้วรีบคว้ามือแข็งแรงที่กำลังจะถอดเข็มขัดกับกางเกงให้

“เฮ้ย! เฮีย! เช็ดแต่ข้างบนก็ได้ ข้างล่างไม่ต้องหรอก เดี๋ยวผมทำเอง”

นรพัฒน์เลิกคิ้วพลางเหลือบตาขึ้นมองใบหน้าแดงก่ำของอีกฝ่าย จากนั้นก็เหลือบตาลงแล้วถอดเข็มขัดต่ออย่างไม่นำพากับอาการดิ้นขลุกขลัก

“ไม่ได้ ในเมื่อไม่ไปอาบน้ำเองตั้งแต่แรกก็ต้องให้เฮียเช็ดตัวให้ทั้งตัวแบบนี้แหละ”

“เว้ย! เดี๋ยวก่อน!! เดี๋ยวๆๆๆ!!!!”

เด็กหนุ่มหลับตาปี๋แล้วก็ผลักอกนรพัฒน์เต็มแรงจนชายหนุ่มผงะ ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่าแก้มที่แดงก่ำของอีกฝ่ายคงไม่ได้มาจากแอลกอฮอลล์แน่

“ถ้าอายก็ถอดออกแต่ตัวนอกแล้วเหลือกางเกงในไว้ก็ได้ ถอดแล้วก็เอาผ้าห่มปิดไว้ก็แล้วกันจะได้รีบๆ เช็ดตัวให้เสร็จแล้วนอนกันสักที รู้หรือเปล่าว่านี่มันจะตีสามแล้วนะ”

ชายหนุ่มเอ่ยก่อนจะหันหลังให้ด้วยความรู้สึกเหนื่อยหน่าย ด้านหลังไม่มีเสียงการเคลื่อนไหวจนกระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่ อึดใจถัดมาอีกฝ่ายก็เรียกเขาเสียงอ่อย

“เสร็จแล้วเฮีย…”

นรพัฒน์หันกลับไปโดยแทบจะไม่ได้สนใจมองร่างเปลือยท่อนบนของเด็กหนุ่มที่เขาแอบมองมานาน หากเป็นเวลาอื่นและสถานการณ์อื่น เขาอาจจะตื่นเต้นกับโอกาสที่ถูกยื่นให้ถึงที่มากกว่านี้ แต่เพราะลางสังหรณ์ว่ามีอะไรบางอย่างไม่เข้าที่เข้าทางรวมกับความเหนื่อยล้าจากการทำงานมาทั้งคืน ตอนนี้เขาจึงเพียงแต่อยากจะทำเรื่องตรงหน้าให้เสร็จเพื่อจะได้ไปพักผ่อน

“ยื่นแขนมา”

ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นหลังจากจุ่มผ้าลงในอ่างน้ำและบิดจนหมาดแล้ว เมื่ออีกฝ่ายยกแขนให้อย่างเงอะๆ งะๆ นรพัฒน์ก็ดึงแขนข้างนั้นให้เหยียดตรงด้วยแรงที่เกือบจะเหมือนกระชาก ทว่ายามที่มือใหญ่ใช้ผ้าชื้นเช็ดไปตามลำแขนผอมเรียวนั้นกลับเต็มไปด้วยความระมัดระวัง

“เฮีย...โกรธผมเหรอ?”

ชลิตถามเสียงอ่อย นรพัฒน์เหลือบตาขึ้นมองคนถามแวบหนึ่งก่อนจะเบนสายตาลงหาภารกิจตรงหน้า “เปล่า เฮียแค่เหนื่อย...ส่งแขนอีกข้างมา”

ร่างสูงเอ่ยหลังจากเช็ดแขนข้างซ้ายให้เด็กหนุ่มเสร็จแล้ว ทว่าแทนที่จะยื่นแขนขวาให้ ชลิตกลับโถมตัวเข้ามากอดคอเขาไว้แน่น การกระทำอันไม่คาดคิดทำให้นรพัฒน์นั่งอึ้งโดยไม่รู้ว่าจะพูดอะไร และไม่แม้แต่จะยกมือขึ้นกอดอีกฝ่ายตอบด้วย

“เฮีย จูบผมหน่อย”

++--- tbc ---++

อยากรู้ว่าทำไมเฮียนอต้องมาเช็ดตัวให้น้องบอย และจะเกิดอะไรต่อจากนี้ รออ่านในรวมเล่มนะจ๊ะ อิอิ   o13
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + ตัวอย่าง side story p.18 (14.3.11)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 14-03-2011 12:20:21
^
^
^
กี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
อยากรู้ววววววววววว

ปกก็งามแต๊งามวา หงุงหงิง
พี่ป้าสู้ๆค่ะ ซาบซึ้งแต๊จริง  :กอด1:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + ตัวอย่าง side story p.18 (14.3.11)
เริ่มหัวข้อโดย: maio2000 ที่ 14-03-2011 12:32:40
ป้าทำงี้ได้ไง  :z3: มายั่วให้อยากแล้วจากไป
คนอ่านจะขาดใจนะเนี่ย ไงก็รอรวมเล่มนะค่ัะ
จะได้อีกเรื่องมาเชยชมแล้ว ป้าสู้ๆ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + ตัวอย่าง side story p.18 (14.3.11)
เริ่มหัวข้อโดย: yr_meteor ที่ 14-03-2011 14:32:50
กรี๊ดดด นับวันรอรับหนังสือเลย
เล่นเอามายั่วกันขนาดนี้

หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + ตัวอย่าง side story p.18 (14.3.11)
เริ่มหัวข้อโดย: SuSaya ที่ 14-03-2011 15:37:08
ไผ่ดูดีมาก ๆ เลยค่ะ(รูปในปฏิทิน)...เป็นใครเห็นก็ต้องตกหลุมรักแหละ :-[
เพิ่งอ่านจบอ่ะ...ชอบตอนพิเศษตอนท้าย ๆ มาก มันอบอุ่นสมกับบรรยากาศบ้านนฤมิตรเลย  :กอด1:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + ตัวอย่าง side story p.18 (14.3.11)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 14-03-2011 19:13:33
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
ยั่วให้อยากแล้วจากไป 
หนังสือจะได้ก่อนสงกรานต์ไหมคะ จะหิ้วไปอ่านตอนไปเที่ยวด้วย
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + ตัวอย่าง side story p.18 (14.3.11)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 14-03-2011 20:25:45
^
^
คิดว่าน่าจะได้ก่อนสงกรานต์ค่ะ เพราะหลายคนก็คงอยากได้ไว้อ่านช่วงหยุดยาวเหมือนกัน  :really2:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + ตัวอย่าง side story p.18 (14.3.11)
เริ่มหัวข้อโดย: ΩPRESTOΩ ที่ 16-03-2011 10:10:13
^
^
^
คุณรินนนนนนนนนนนน
ยั่วกันงี้ ฆ่ากันให้ตายดีกว่า ๕๕๕

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + ตัวอย่าง side story p.18 (14.3.11)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 16-03-2011 15:54:26
^
^
^
คุณรินนนนนนนนนนนน
ยั่วกันงี้ ฆ่ากันให้ตายดีกว่า ๕๕๕

 :กอด1:

จ๊ากกก คุณโอห์มตายไม่ได้ค่ะ รอรับหนังสือเขาก๊อนนน เอิ้กๆๆ  :-[   :man1:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + ตัวอย่าง side story p.18 (14.3.11)
เริ่มหัวข้อโดย: เพนกวิน ที่ 17-03-2011 23:30:20
เพิ่งอ่านนิยายจบ ชอบมากเลยไปโอนเงินค่านิยายมาเรียบร้อย
ส่งเมล์แจ้งการโอนเงินแล้วนะคะ
รอคอยหนังสือ อยากอ่านอีกหลายๆรอบ รอตอนพิเศษด้วย ^O^
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + ตัวอย่าง side story p.18 (14.3.11)
เริ่มหัวข้อโดย: Little Devil ที่ 18-03-2011 03:02:10
.. o13
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + ตัวอย่าง side story p.18 (14.3.11)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 18-03-2011 20:03:18
เพิ่งอ่านนิยายจบ ชอบมากเลยไปโอนเงินค่านิยายมาเรียบร้อย
ส่งเมล์แจ้งการโอนเงินแล้วนะคะ
รอคอยหนังสือ อยากอ่านอีกหลายๆรอบ รอตอนพิเศษด้วย ^O^

คุณเพนกวิน  ได้อีเมล์แล้ว + ตอบแล้วนะค้า ขอบคุณมากค่า  :pig4:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + ขยายเวลาโอนเงินถึง 31 มีนาคม (21.3.11)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 21-03-2011 12:30:45
*ประกาศอัพเดท ณ วันที่ 21.3.11* ตอนนี้ขยายเวลาเปิดจองและโอนเงินให้ถึง 31 มีนาคม เนื่องจากมีหลายท่านอีเมล์มาบอกว่าสนใจหนังสือแต่ว่าโอนในวันที่ 24 ไม่ทัน ดังนั้นจึงขอยืดเวลาให้ถึงสิ้นเดือนค่ะ ถ้าหลังจากนั้นไปจะปรับราคาขึ้นแล้วนะคะ

หมายเหตุ: ถ้าหากหนังสือกับกล่องเสร็จก่อนวันที่ 31 เราจะเริ่มจัดส่งให้ท่านที่สั่งและโอนเงินค่าหนังสือไว้แล้วทันที ส่วนท่านที่โอนเงินมาภายในวันที่ 31 ก็จะทยอยจัดส่งให้ทีหลังไปค่ะ สงสัยอะไรอีเมล์มาถามเด้อ  (อีเมล์ bellbomb [at] hotmail dot com)
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + ขยายเวลาโอนเงินถึง 31 มีนาคม (21.3.11)
เริ่มหัวข้อโดย: BaoBao ที่ 23-03-2011 21:05:00
*ประกาศอัพเดท ณ วันที่ 21.3.11* ตอนนี้ขยายเวลาเปิดจองและโอนเงินให้ถึง 31 มีนาคม เนื่องจากมีหลายท่านอีเมล์มาบอกว่าสนใจหนังสือแต่ว่าโอนในวันที่ 24 ไม่ทัน ดังนั้นจึงขอยืดเวลาให้ถึงสิ้นเดือนค่ะ ถ้าหลังจากนั้นไปจะปรับราคาขึ้นแล้วนะคะ

หมายเหตุ: ถ้าหากหนังสือกับกล่องเสร็จก่อนวันที่ 31 เราจะเริ่มจัดส่งให้ท่านที่สั่งและโอนเงินค่าหนังสือไว้แล้วทันที ส่วนท่านที่โอนเงินมาภายในวันที่ 31 ก็จะทยอยจัดส่งให้ทีหลังไปค่ะ สงสัยอะไรอีเมล์มาถามเด้อ  (อีเมล์ bellbomb [at] hotmail dot com)


ยืดเวลาช่วยชีวิตน้อยๆ ได้อีก
ขอบคุณมากๆ คร่า
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + ขยายเวลาโอนเงินถึง 31 มีนาคม (21.3.11)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 24-03-2011 10:45:20
*ประกาศอัพเดท ณ วันที่ 21.3.11* ตอนนี้ขยายเวลาเปิดจองและโอนเงินให้ถึง 31 มีนาคม เนื่องจากมีหลายท่านอีเมล์มาบอกว่าสนใจหนังสือแต่ว่าโอนในวันที่ 24 ไม่ทัน ดังนั้นจึงขอยืดเวลาให้ถึงสิ้นเดือนค่ะ ถ้าหลังจากนั้นไปจะปรับราคาขึ้นแล้วนะคะ

หมายเหตุ: ถ้าหากหนังสือกับกล่องเสร็จก่อนวันที่ 31 เราจะเริ่มจัดส่งให้ท่านที่สั่งและโอนเงินค่าหนังสือไว้แล้วทันที ส่วนท่านที่โอนเงินมาภายในวันที่ 31 ก็จะทยอยจัดส่งให้ทีหลังไปค่ะ สงสัยอะไรอีเมล์มาถามเด้อ  (อีเมล์ bellbomb [at] hotmail dot com)


ยืดเวลาช่วยชีวิตน้อยๆ ได้อีก
ขอบคุณมากๆ คร่า

เพื่อคุณหลินค่า หุหุหุ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + ขยายเวลาโอนเงินถึง 31 มีนาคม (21.3.11)
เริ่มหัวข้อโดย: kunnyppk ที่ 24-03-2011 22:41:10
โอนเงิน แม้นมั่นคำสัญญาแล้วนะคะเมลล์แจ้งแล้วค่ะ
ปกสวยงามมากกกกกก อยากได้แว้ววว
เรื่องนี้ยังไม่ได้อ่าน แต่มั่นใจในตัวคุณรินว่าต้องหนุกหนานแน่ๆ
รออ่านนะคะ
เป็นกำลังใจให้ค่ะ+1ด้วย :L2:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + ขยายเวลาโอนเงินถึง 31 มีนาคม (21.3.11)
เริ่มหัวข้อโดย: name ที่ 24-03-2011 23:19:19
อ่านมาตั้งแต่แรกจนจบ รู้สึกเลยว่าชีวิตมันไม่ง่ายเสมอไป

เอิ่ม...ส่วนตอนข้างบนอ่ะ ต่อหน่อยนะครับ มายั่วให้อยากแล้วจากไป

ใจร้ายที่สุดอ่ะ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + ขยายเวลาโอนเงินถึง 31 มีนาคม (21.3.11)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 25-03-2011 11:42:03
คุณ ymcn  ตอบเมล์เรียบร้อยแล้ว ขอบคุณนะค้า   :mc4:

คุณ name ขอบคุณมากที่ติดตามอ่านค่า ส่วนตอนต่อของข้างบน...ไว้ขอยืมอ่านจากคนที่ซื้อรวมเล่มละกันน้าตะเอง พอดีสัญญาไว้ว่าจะลงแค่เฉพาะในรวมเล่มอะค่า   :z13:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + ขยายเวลาโอนเงินถึง 31 มีนาคม (21.3.11)
เริ่มหัวข้อโดย: name ที่ 25-03-2011 13:33:25
^
^
^
จิ้มๆๆๆๆๆ :z13:

รับทราบครับผม เดี๋ยวจะรออ่านรวมเล่มครับ  :z2:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + ขยายเวลาโอนเงินถึง 31 มีนาคม (21.3.11)
เริ่มหัวข้อโดย: stupidchild ที่ 27-03-2011 00:52:01
ยังทันที่จะจอง1เล่มมั้ยค่ะ พอดีเพิ่งมาเหนค่ะ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + ขยายเวลาโอนเงินถึง 31 มีนาคม (21.3.11)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 27-03-2011 20:20:55
ยังทันที่จะจอง1เล่มมั้ยค่ะ พอดีเพิ่งมาเหนค่ะ

ยังได้อยู่ค่ะ ตอนนี้ขยายเวลาโอนเงินสั่งซื้อให้ถึง 31 มีนาคมค่ะ  o13
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + ขยายเวลาโอนเงินถึง 31 มีนาคม (21.3.11)
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 29-03-2011 00:24:36
^
^
^
^
^
พีเอ็มไปหาแล้วนะตัว เข้าไปอ่านหน่อยจ้า

กรี๊ดด อ่าน side story แล้วกรี๊ด ค่ะ กรี๊ดด

ปล. ไปอ่านหนังสือสอบก่อนนะคะ :call:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + ขยายเวลาโอนเงินถึง 31 มีนาคม (21.3.11)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 29-03-2011 09:37:43
^
^
^
ตอบพีเอ็มแล้วนะจ๊ะสุดสวย ขอให้สอบได้เอรวดน้าเผื่อกุศลจะเผื่อแผ่มาทางนี้มั่ง (เฮ่ย!)  :3123:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + ขยายเวลาโอนเงินถึง 31 มีนาคม (21.3.11)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 31-03-2011 11:28:01
ในที่สุดของที่สุด โรงพิมพ์ก็มาส่งบ็อกซ์เซ็ทให้แล้วค่า ฮูเร่!! (ทำเอาตุ๊มๆ ต่อมๆ มาหลายวัน) เลยเอารูปส่วนหนึ่งมาให้ดูก่อนว่าปั๊มนูนและทองออกมาแล้วเป็นเยี่ยงนี้ พอดีใช้กล้องมือถือถ่ายรูปเลยไม่ค่อยชัด แต่รับรองว่าสวยคุ้มค่าการรอค่ะ  :impress2:

รูปแบบรวมๆ เวลาใส่หนังสือจะค่อนข้างพอดี เพราะงั้นเวลาสอดหนังสือเข้าไปต้องวางสลับด้านสันกันนะคะ (ว่าง่ายๆ เวลาจะเสียบหนังสือเข้ากล่องก็หันปกต้นกับไผ่ให้จูบกันนั่นแหละ ฮา)
(http://farm6.static.flickr.com/5134/5576174246_634e453a98.jpg)

รูปอิป้าพยายามจะจัดดิสเพลย์ (สงสัยต้องไปหัดอีกเยอะ แต่ตรงที่ปั๊มนูน + ทองแวววาวดีแฮะ หุหุ)
(http://farm6.static.flickr.com/5145/5576174318_b114b38126.jpg)

อีกรูป ให้ดูจากด้านบนว่าใส่หนังสือแล้วเป็นยังไง
(http://farm6.static.flickr.com/5109/5575587273_c197389a69.jpg)


จากนี้จะเริ่มแพ็คส่งให้คนที่สั่งทางไปรษณีย์ละ ถ้าโชคดีก็อาจส่งได้หมดภายในวันอาทิตย์นี้ แต่ถ้าไม่ก็จะพยายามส่งออกให้หมดในสัปดาห์หน้าจะได้ได้รับกันก่อนสงกรานต์ ถ้าใครสนใจสั่งซื้อแต่ยังไม่ได้โอนเงินเข้ามา วันนี้วันสุดท้ายสำหรับราคานี้แล้วนะคะ รีบกันหน่อยเน้อ   :bye2:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + อวดบ็อกซ์เซ็ท p.18 (31/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ΩPRESTOΩ ที่ 31-03-2011 17:15:16
:z2:

:z2:

คุณริน .. จะอดใจไม่ไหวแล้วน๊าาาา


หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + อวดบ็อกซ์เซ็ท p.18 (31/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 31-03-2011 17:27:12
 :-[ :-[

แอร๊ยยยยยยยยย

สวยมากค่ะ สวยมากๆๆๆ สวยเหมือนดิฉันเลย  :laugh:

โห อิจฉาคนที่กำลังจะได้หนังสือจังเลยอะ ไม่เป็นไร รอก่อน เดี๋ยวเป็นทีของช้านบ้าง หุหุ

หนังสือพิมพ์สวยมากเลยค่ะเพื่อนสาวขา คุณค่าที่คุณคู่ควรมากๆ ชอบอะ จะคลั่งตายแล้ว วันก่อนเพิ่งหยิบเอาเรื่องน้องวิวมาอ่านอีกรอบ เง้อ เพราะคิดถึงเลยนะนั่น อยากอ่านเรื่องต้นกับไผ่แล้วอะ งุงิ :กอด1:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + อวดบ็อกซ์เซ็ท p.18 (31/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 31-03-2011 18:29:04
^
^
^
จิ้มๆ คริคริ
กรีดร้องดังๆว่าได้ก่อนนนนนนนนนน โฮะๆๆๆ


กี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

สวยมาก กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด
กอดพี่ริน กอดหมับแล้วหมุนๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
อื๊ออออออออออออ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + อวดบ็อกซ์เซ็ท p.18 (31/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 31-03-2011 20:21:32
คุณโอม  ใกล้แล้วค่ะ ไม่เกินปลายอาทิตย์หน้าน่าจะได้แล้วละ อดใจรออีกนี้ดสสส์  o13 
เพื่อนสาว  แบบว่าคนทำก็สวย คนอ่านก็สวย งานเลยออกมาสวยตามจ๊ะ (ว่ากันไปเนอะ) เดี๋ยวตัวเองกลับมาไทยเมื่อไหร่มารับต้นกับไผ่ไปด้วยหนึ่งที่นะ น้องวิวกับเป้จะได้มีเพื่อน อิอิ  :man1:
น้องนุ่น กอดๆๆ รอหน่อยเนะ ตอนนี้กำลังหลังขดหลังแข็งแพ็คอยู่เลยจ้า (ว่าแต่พอเห็นคำว่า "อื๊ออออ" บรรทัดสุดท้ายแล้วแอบคิดอะไรไปไกลมาก ท่าจะแย่แล้วป้า กร๊ากก)   :jul3:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + อวดบ็อกซ์เซ็ท p.18 (31/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: stupidchild ที่ 01-04-2011 03:12:12
ขอโอนวันที่1ได้มั้ยค่ะ หนูทำรีเทนเนอหัก จึงต้องเจียดเงินออกไปทำใหม่ น๊ะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + อวดบ็อกซ์เซ็ท p.18 (31/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 01-04-2011 08:00:13
ถือว่าติดต่อมาก่อน 31 มีนา ดังนั้นได้ค่ะ (แค่วันนี้เน้อ)
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + อวดบ็อกซ์เซ็ท p.18 (31/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: stupidchild ที่ 02-04-2011 00:12:34
เมลล์ไปแล้วนะค้าาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + อวดบ็อกซ์เซ็ท p.18 (31/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 02-04-2011 09:41:35
ตอบเมล์แล้วค่า ขอรหัสไปรษณีย์ด้วยเด้อ o13
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + อวดบ็อกซ์เซ็ท p.18 (31/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ΩPRESTOΩ ที่ 02-04-2011 11:15:03
:เหอะ1:

:z2:


คุณรินที่รักกกกกกก
เค้าได้รับหนังสือแล้วนะตัวเอง
สภาพดีมิมีบุบสลาย
งดงามสมการรอคอยเจ้าคะ
ผลงานออกมาเยี่ยมสมกับที่คุณรินตั้งใจและเหนื่อย
ทั้งบ็อกซ์เซ็ทและหนังสือเนี๊ยบคะ
 o13

ขอบคุณนะคะ

ปล. ฝากบอกคุณเสือ ..วาดรูปสวยมากคะ ชอบ ชอบ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + อวดบ็อกซ์เซ็ท p.18 (31/03/11)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 02-04-2011 14:13:45
คุณโอมที่ร้าก(กว่า)  ดีใจที่สุดที่ได้รับหนังสือในสภาพดีค่า ขอให้เอ็นจอยเนื้อหาด้านในเช่นเดียวกับรูปเล่มน้า  :)

ปล. เดี๋ยวจะผ่านคำชมไปให้น้องเสือให้นะคะ เขาจะได้มีกำลังใจวาดเรื่องต่อไปให้เราด้วย แอร๊ยย์ XD
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + ปิด pre-order (02/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: keem ที่ 02-04-2011 21:51:43
ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + ปิด pre-order (02/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: konnarak ที่ 02-04-2011 22:30:12
 :L2: :L2: :L2: :L2:

พึ่งเข้ามาอ่าน  อยากบอกว่าสุดยอดมากกก   

ชอบในความรักที่ต้นมีให้ไผ่  เป็นรักที่มั่งคงมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ สองคนนี้ น่ารักมากๆๆๆ   :-[

ชอบอะ  ขอบคุณนะครับที่เเต่งนิยายดีๆ  ให้พวกเราได้อ่านกัน  ขอบคุณนะคับบบ

เเล้วผมจะไปตามหาอ่านนิยายของคุณbellbomb รุ้สึกว่าจะมีอีกเรือง ชอบๆๆๆๆๆๆๆๆ

 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:

หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + ปิด pre-order (02/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 04-04-2011 10:18:18
^
^
จริงๆ มีเยอะกว่านั้นค่ะเพราะในห้องนิยายจบแล้วมีพวกเรื่องสั้นด้วย ลองหาดูละกันเนะ   :laugh:

เข้ามาบอกว่าได้จัดส่งหนังสือสำหรับคนที่สั่งเข้ามาภายใน 31 มีนาหมดแล้ว เมื่อวานขนไปตอนไปรษณีย์ใกล้ปิด เล่นเอาพี่ไปรฯ เหงื่อตกเมื่อรู้จำนวนทีเดียว แต่ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยอย่างรวดเร็วเพราะเตรียมตัวไปดี (5555) สำหรับใครที่สั่งหนังสือไว้ เดี๋ยวจะส่งอีเมล์พร้อมเลขรหัสพัสดุแนบไปให้นะคะ พรุ่งนี้เป็นต้นไปน่าจะเริ่มทยอยได้รับกันแล้วล่ะ

แล้วก็สำหรับใครที่พลาดช่วงพรีออเดอร์ไป ตอนนี้สามารถสั่งซื้อรอบเก็บตกเข้ามาได้เช่นกัน รายละเอียดทั้งหลายดูได้ที่หน้า 1 หรือถ้าสะดวกจะไปอุดหนุนที่ร้านแอทควอเททที่ชั้น 7 มาบุญครองก็ได้เหมือนกันจ้า ถ้าใครได้แล้วรู้สึกยังไงกับรูปเล่มหรือเนื้อหาก็มาบอกกันมั่งนะ (โดยเฉพาะตอนพิเศษ หุหุหุ)

สุดท้ายนี้ ขอบคุณทุกคนที่สนับสนุนและให้กำลังใจตลอดมา จากนี้ป้าจะไปต่อเรื่องที่เขียนค้างไว้รวมทั้งอาจได้เริ่มเรื่องใหม่เร็วๆ นี้ค่ะ แล้วพบกันใหม่ในผลงานเรื่องต่อไปนะคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ส่งหนังสือแล้วค่ะ (03/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: DEMON3132 ที่ 05-04-2011 20:58:59
วันนี้ได้รับหนังสือแล้วค่ะ ได้รับที่ทำงานตั้งแต่ก่อนเที่ยงแต่ต้องอดใจเอาไว้แกะอ่านที่บ้าน
หนังสือสวยงามมาก ตั้งแต่กล่อง ตัวดุนสีทองสวยงาม คลาสสิคดูดีมีคุณค่ามากเลย
รูปปกแทนตัวต้นหล่อแมนมาก ส่วนน้องไผ่น่ารักสวยกว่าผู้หญิงอีก เห็นแล้วคงต้องเก็บไป
ฝันถึงแน่นอนเลย มีความสุขมากที่ได้รับหนังสือ ขอชมอย่างเดียวเลย (เพราะคงจะหาคำติอะไร
ไม่ได้) ........... :laugh:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ส่งหนังสือแล้วค่ะ (03/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 05-04-2011 21:40:50
กี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

ป้าขราาาาาาาาาาาาาาาาา

นุ่น
ขอ สารภาพ ว่า.......

อ่านอีกเล่มจบแล้ว ต้นกะไผ่แง้มๆเปิด งามมาก ไม่อยากให้บุบสลายแม้แต่นิดงิ หงุงหงิง
:กอด1:


คุณแป้งจี่ ใจ..ร้ายยยยยยยยยยยยยยย
คริคริ นุ่นได้ก่อน  :m14:
v
v
v
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ส่งหนังสือแล้วค่ะ (03/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 05-04-2011 22:19:11
^
^
^
^
^
^
ตบคนข้างบนด้วยอิจและตาร้อน เค้าอยากชื่นชมต้นกะไผ่ด้วยคนง่ะ ไม่ย๊อมไม่ยอม  :serius2:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ส่งหนังสือแล้วค่ะ (03/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 06-04-2011 09:41:44
ยินดีด้วย + ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์ค่าพี่หนู ส่วนสำหรับสองคนถัดจากนั้น ใครตบชนะแล้วมาบอกด้วยนะ อิอิอิ  :laugh:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ส่งหนังสือแล้วค่ะ (03/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: n2 ที่ 06-04-2011 11:41:47
ได้รับหนังสือแล้วค่ะ
ถูกใจปกมากเลยค่ะ
แต่คุณไปรษณีย์คงจะรุนแรงไปหน่อย
ทำกล่องและปกบุบไปซะเล็กน้อย
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ส่งหนังสือแล้วค่ะ (03/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 06-04-2011 12:42:09
^
^
^
อ๊ากกก อ่านแล้วเหมือนตัวเองบุบเอง หวังว่าจะไม่เป็นรอยมากนะคะ TOT
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ส่งหนังสือแล้วค่ะ (03/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: n2 ที่ 06-04-2011 18:46:17
^
^
^
อ๊ากกก อ่านแล้วเหมือนตัวเองบุบเอง หวังว่าจะไม่เป็นรอยมากนะคะ TOT
ไม่มากค่ะบุบตรงสันเล็กน้อย
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ส่งหนังสือแล้วค่ะ (03/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: เพนกวิน ที่ 06-04-2011 20:40:26
ได้รับหนังสือเรียบร้อยแล้วค่ะ หนังสือและกล่อง สวยงามมาก :impress2:

แต่ว่า ตอนเช็คสภาพหนังสือ พบว่า หนังสือเล่มสองมีปัญหาค่ะ หน้า 27 มีรู T___T

จะขอเปลี่ยนหนังสือได้ไหมค่ะ


[attachment deleted by admin]
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ส่งหนังสือแล้วค่ะ (03/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 06-04-2011 21:39:25
โอ้ว แบบนี้เปลี่ยนได้ค่ะ ไม่ทราบว่าสะดวกส่งเปลี่ยนทางไปรษณีย์หรือนัดเจอคะ (หรือจะไปขอเปลี่ยนที่ร้านที่มาบุญครองก็ได้ แต่ต้องแจ้งก่อนนะคะว่าจะเข้าไปวันไหน จะได้บอกพี่ที่ร้านไว้ให้ก่อนค่ะ)
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ส่งหนังสือแล้วค่ะ (03/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: เพนกวิน ที่ 06-04-2011 22:47:13
ขอไปเปลี่ยนที่ร้านแอทควอเททค่ะ เดินทางสะดวกกว่า เป็นสมาชิกอยู่แล้วด้วย แต่คงต้องหลังสงกรานต์
เดี่ยวจะแจ้งวันอีกทีทางข้อความค่ะ
ขอบคุณนะคะ
 :3123:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ส่งหนังสือแล้วค่ะ (03/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 06-04-2011 22:53:23
โอเคค่า จะไปแล้วแจ้งมาเน้อ (เผื่อไปวันเดียวกัน อิอิ)   :really2:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ส่งหนังสือแล้วค่ะ (03/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: genieposh ที่ 07-04-2011 22:48:16
 ได้รับหนังสือแล้ว กล่องบ๊อคเซ็ทบุบตรงสันด้านบน แต่หนังสือยังสวยงามปกติครับ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ส่งหนังสือแล้วค่ะ (03/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 08-04-2011 09:08:51
ยินดีด้วยค่า ดูเหมือนห่อแน่นหนาแค่ไหน ถ้าพี่ไปรฯ มือหนักก็ไม่พ้นการมีริ้วรอยสินะนี่ งื้ด  :z3:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ส่งหนังสือแล้วค่ะ (03/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 16-04-2011 13:18:21
หวัดดีค่าทุกคน  :really2:

ไม่ได้มาโพสต์อะไรในเล้าซะนาน (สำหรับเรื่อง "แค่สบตา ก็รู้ว่ารัก" กำลังพยายามเขียนต่ออยู่ค่ะ ใครรออยู่...รออีกนี้ดดด) วันนี้มีเรื่องมารบกวนทุกคนหน่อยค่ะ

เมื่อเช้านี้ เราได้รับเมสเสจทาง facebook จากคนที่ไม่ได้อยู่ใน friend list โดยใช้หัวข้อ "แม้นมั่นคำสัญญา" ตอนแรกก็คิดว่าอาจเป็นนักอ่านส่งคอมเม้นต์มาให้หรือจะถามเรื่องสั่งซื้อนิยาย เพราะมีท่านอื่นที่เคยส่งเมสเสจทางนี้แทนการอีเมล์เหมือนกัน แต่พอเปิดอ่านก็ได้ข้อความว่า "อ่านแล้วชอบมากกก เลย ถาเค้าอยากจะเอาไปรีไรทืเป้นฟิคSJจะอนุญาติมั้ยคืออยากอ่านในแบบที่เป้นแฟนฟิคดูอ่ะ ถ้าอนุญาติเค้าจะรีไร้ท์แต่ถาไม่เค้าก็จะไม่ทำ"

ตอนที่เปิดอ่านใหม่ๆ เรายังงัวเงียขี้ตาอยู่ แต่พออ่านจบปุ๊บตาสว่างเลยค่ะ และรีบตอบกลับทันควันว่าเราหวงผลงานของเรา ไม่อนุญาตให้นำส่วนหนึ่งส่วนใดไปดัดแปลงทั้งสิ้น และขอความร่วมมือหากพบว่ามีคนเอานิยายเราไปดัดแปลงเป็น K-pop ไม่ว่าจะวงใดคู่ใดก็ช่วยแจ้งเราด้วย เพราะเราไม่มีทางอนุญาตแน่ๆ

ความรู้สึกตอนที่อ่านกับตอนที่ตอบเมสเสจนั่นเราไม่ได้โกรธนะ เพียงแต่ตอนแรกงง พอหายงงก็เลยรีบให้คำตอบที่คิดว่าเคลียร์ที่สุด และถ้าหากน้องคนที่ส่งเมสเสจนี้มาให้อยู่ในเล้าด้วยและมาอ่านเจอโพสต์นี้ อยากบอกว่าพี่ไม่ได้จะแฉหรือคิดแค้นอะไรน้องเลยนะคะ (หลักฐานคือพี่ไม่เอาชื่อล็อกอินใน facebook ของน้องมาแปะ) พี่อยากขอบคุณด้วยซ้ำที่อย่างน้อยหนูยังมีแก่ใจมาถามก่อน ไม่ใช่เอาไปรีไรท์เองเลยโดยมองข้ามหัวคนเขียนไป และอยากขอว่าถ้าเป็นไปได้ หนูชอบคู่ไหนมาก หนูคิดแต่งเรื่องเองเถอะค่ะ เพราะความภูมิใจจากการได้แต่งเรื่องเอง และความสุขจากการได้คอมเม้นต์ให้กับความคิดของเรามันต่างจากความภูมิใจที่เอาเรื่องของคนอื่นมาแปลงมาก

ส่วนจุดประสงค์ที่มาโพสต์ตรงนี้ ก็อยากขอความร่วมมือคนอ่าน ทั้งที่เคยอ่านเรื่องนี้และเรื่องอื่นของเรา ไม่ว่าจะเพียงในบอร์ดหรือฉบับรวมเล่ม ว่าถ้าหากได้เข้าบอร์ดฟิคเกาหลีและเห็นเค้าโครงเรื่องไหนของเราโดนเอาไปดัดแปลง รบกวนช่วยเป็นหูเป็นตาและแจ้งกันมาด้วยนะคะ พอดีเราก็ไม่ได้เล่นบอร์ดพวกนั้น และรู้ว่าทั้งนิยายและตัวเราเองก็ไม่ใช่ว่าดังชนิดคนรู้จักล้นหลาม ดังนั้นเป็นเรื่องง่ายมากหากมีคนนำไปดัดแปลงโดยไม่บอก และคนที่ได้อ่านก็อาจไม่รู้ แต่เพราะเราใช้เวลาและความตั้งใจมากในการเขียนนิยายทุกเรื่อง และไม่อยากให้ใครเอานิยายของเราไปปู้ยี่ปู้ยำไม่ว่าจะเพราะความชื่นชมแค่ไหนก็ตาม

อาจดูเหมือนตีตนไปก่อนไข้ที่มาโพสต์ทางการขนาดนี้ทั้งที่นิยายยังไม่โดนทำอะไร แต่เราก็คิดว่าควรกันไว้ก่อน ดีกว่าไปเจอว่ามีคนเอาไปก๊อปแล้วถึงค่อยไปตามเอาเรื่องเหมือนที่นักเขียนท่านอื่นโดนมาแล้ว ที่เราอยากขอความร่วมมือก็คือเรื่องช่วยสอดส่องให้นี่แหละ หวังว่าทุกคนคงเข้าใจ และขอบคุณล่วงหน้ามากค่ะ

จากอิป้า คนที่ไม่เคยเอานิยายคนอื่นมาดัดแปลง และไม่อยากเห็นนิยายตัวเองโดนเอาไปดัดแปลงเช่นกันค่า   :pig4:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ขอความร่วมมือค่า P.19 (16/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 16-04-2011 13:40:32
^
^
^
ได้อ่านแล้วโกรธแทนเลย ปรี๊ดขึ้นมาเลย ไม่เป็นไรค่ะ ยังไงน้องเค้าก็อุตส่าห์ส่งข้อความมาถามก่อน :เฮ้อ:

ปล. รออ่านเรื่องคุณภัทรอยู่นะตัวเอง :กอด1:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ขอความร่วมมือค่า P.19 (16/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: mizuths ที่ 16-04-2011 13:49:45
เรื่องนี้อ่านไปแล้วสองรอบ ไผ่กะต้นน่ารัก ชอบเนื้อเรื่องนี้มากพอๆ กะลำนำรักสีรุ้งเลยละค่ะ เค้าคอยคุณภัทรอยู่เหมือนกัน  ถาม พ่อไรอันกะดนัย จะเขียนเป็นเรื่องยาวออกมาไหมอ่ะค่ะ  o13 แต่ก็ดีแล้วละค่ะว่าน้องเค้ายังอุตสาหเมสเสทมาขอก่อนที่จะทำ นะ :3123:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ขอความร่วมมือค่า P.19 (16/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 16-04-2011 13:57:22
Worldslinger ขอบคุณมากจ๊ะเพื่อนสาว เขาก็รออ่านเรื่องน้องภัทรเหมือนกัน (บอกใคร?) ว่าแต่เดี๋ยวจะรีบตามไปอ่านเรื่องหนูคิงนะตัว  :man1:

mizuths ดีใจที่ชอบต้นกับไผ่ค่ะ ของคุณเชษฐ์กับภัทรกำลังค่อยๆ กระดื๊บมา ว่าแต่อีกเรื่องนี้หมายถึงณรงค์กับไรอันใช่ไหมคะ (ตาดนัยนี่ตัวประกอบ) จริงๆ ว่าจะเขียนตอนพิเศษตอนสงกรานต์ให้คู่นั้นล่ะ สงสัยต้องเป็นตอนเก็บตกควันหลงแทนซะแล้วสิ หุหุ  :z2:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ขอความร่วมมือค่า P.19 (16/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 16-04-2011 14:02:52
กี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

คุณเชษฐ์กะน้องภัทร

กี๊ดดดดดดดดดดด แบบว่า ดีแล้วค่ะที่ป้าพี่รินตอบไปตรงๆชัดๆแบบนั้น
ไม่ไหวๆ เรื่องราวของตัวละครของเราไปกลายร่าง ไม่ไหวนะคะ หงุงหงิง
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ขอความร่วมมือค่า P.19 (16/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 16-04-2011 14:22:15
^
^
^
^
^
^
กรี๊ด ขออนุญาตตบคนข้างบนข้ามกระทู้นะคะ

แบบว่า เรื่องพี่เพชรกับน้องดอว์นน่ะจะมาเมื่อไหร่คะเธอว์ หุหุ เค้ารอนานแล้วนะ :o12:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ขอความร่วมมือค่า P.19 (16/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 16-04-2011 14:36:11
เข้ามาฮา ขอแอบแฝงตามเรื่องคุณเชษฐ์ ด้วยคนสิคะ  :laugh:
จะมาชมอีกทีว่าปกสวยจริงๆ o13 (แต่ของพี่ก็บุบไปเล็กน้อยนะ แต่พอทำใจได้)
แต่สารภาพว่ายังไม่ได้อ่านเลย คงต้องเลยช่วงมรสุมงานไปก่อน
รออ่านเรื่องต่อๆไปค่ะน้องริน :กอด1:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ขอความร่วมมือค่า P.19 (16/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 16-04-2011 14:55:28
ขอบคุณค่าพี่ฟาง  :man1: (อู๊ย ได้ยินว่ามีบุบทีไร มันปวดใจ๊ปวดใจ)
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ขอความร่วมมือค่า P.19 (16/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 16-04-2011 15:00:50
นี่คือคนที่เค้ามาขอ แต่ก็ยังมีอีกเยอะที่ไม่ขอและทำเลย  :เฮ้อ: ตูมองโลกในแง่ร้ายไปป่าวฟะ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ขอความร่วมมือค่า P.19 (16/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 16-04-2011 15:29:13
นี่คือคนที่เค้ามาขอ แต่ก็ยังมีอีกเยอะที่ไม่ขอและทำเลย  :เฮ้อ: ตูมองโลกในแง่ร้ายไปป่าวฟะ

ที่ไม่ขอและทำเลยมีเยอะแน่ๆ พี่หนึ่ง แต่รู้สึกจะยังไม่ใช่กับเรื่องที่รินเขียนนะ =____="
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ขอความร่วมมือค่า P.19 (16/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 16-04-2011 15:32:22
รินโชคดีที่น้องเค้ายังมาขอก่อน ตอนทำหรือว่าความรักนี่ ข่าวออกมาว่า เอาไปแปลงเป็น จินเมะ มั้ง แต่หาไม่เจอ เค้าลงบอร์ดลับไม่เปิดเผย
ก็แล้วไปชั่งมัน อย่าให้เจอเป็นพอ  :laugh:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ขอความร่วมมือค่า P.19 (16/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: WARA ที่ 16-04-2011 15:44:38
ได้รับหนังสือก่อนสงกรานต์ละค่ะ วันนี้ได้ฤกษ์เปิดอ่านละ
อ้อ หนังสือกับ box บุบตรงมุมเหมือนกันค่า
น่าจะเป็นเพราะหนังสือกับกล่องมันหลวมกันน่ะค่ะ
ไม่ได้เอากระดาษยัดๆให้มันแน่นหน่อย
เลยกระแทกแรงจนบุบได้แม้จะอยู่ในกล่องแข็ง
เพราะเห็นหลายคนว่าบุบเหมือนกัน
แต่ไม่เปนไรค่า คนเขียนไม่ต้องกังวลไป  มาแจ้งไว้เป็นข้อมูลเผื่อส่งคราวหน้าค่ะ
ยังไงก็ชอบและมีความสุขมากๆอยู่ดี รูปและกล่องสวยจริงๆ
ชอบปกทุกเรื่องเลยค่ะ ตั้งแต่เป้ วิว อ๊อฟ น้องนะ จนมาเล่มนี้ ดูมี class มากๆค่ะ
สุขสันต์วันสงกรานต์ทุกคนนะคะ  :L1:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ขอความร่วมมือค่า P.19 (16/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ΩPRESTOΩ ที่ 16-04-2011 18:51:53
อ่านแล้วเซ็งแทนเลย นี่ดีนะที่ยังขอก่อน
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ  :เฮ้อ: เหนื่อยใจแทน


 :กอด1: ปลอบแน่นๆ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ขอความร่วมมือค่า P.19 (16/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 17-04-2011 09:30:12
พี่หนึ่ง  ใคร ใครมันกล้ามาทำกับนิยายของพี่ฟิกซ์ บังอาจมาก!!!   :fire:
คุณ WARA  ขอบคุณมากที่แจ้งค่ะ จะรับไว้ปรับปรุงนะคะ มีบางท่านที่แจ้งเข้ามาว่าบุบนิดหน่อยเหมือนกัน ขณะที่ของบางท่านก็ไม่เป็นอะไรเลยทั้งที่ส่งไปตั้งเชียงใหม่ ยังไงคราวต่อไปถ้าใส่กล่องอีกจะระวังมากกว่านี้ค่ะ
คุณโอม  ขอบคุณค่า กำลังใจมาเต็มเลย   :3123:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ขอความร่วมมือค่า P.19 (16/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: dee-dee ที่ 19-04-2011 14:44:51
ได้รับหนังสือแล้วค่ะ
งดงาม+งามงดมากๆ  มิมีบุบสลาย
แต่ดันมาตายที่มือเราเอง แงๆๆ :a5:
ตอนดันจาก BOX ด้วยความที่มันพอดีจัดมุมเลยเปิดไปตามระเบียบ
ว่าจะเอาไปห่อปกสติ๊กเกอร์เพราะมุมมันกำลังจะไป
แต่มันจะยัดลงที่เดิมได้มั๊ยหว่า  เพราะแค่เราอ่านแง้มๆ
หนังสือมันยังขยายตัว  เกือบลงไม่ได้เล่นเอาเปิดเปิงอีก งุงิ
มาเวิ่นเว้อไปเท่านั้นเองค่ะ 
อยากบอกหนังสือสวย ภาพงาม ภาษาดี คนแต่งน่ารัก ฮิ้วววววววววว
ไว้มาอุดหนุนผลงานอีกค่ะ o13
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ขอความร่วมมือค่า P.19 (16/04/11)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 19-04-2011 21:35:47
ได้รับหนังสือแล้วค่ะ
งดงาม+งามงดมากๆ  มิมีบุบสลาย
แต่ดันมาตายที่มือเราเอง แงๆๆ :a5:
ตอนดันจาก BOX ด้วยความที่มันพอดีจัดมุมเลยเปิดไปตามระเบียบ
ว่าจะเอาไปห่อปกสติ๊กเกอร์เพราะมุมมันกำลังจะไป
แต่มันจะยัดลงที่เดิมได้มั๊ยหว่า  เพราะแค่เราอ่านแง้มๆ
หนังสือมันยังขยายตัว  เกือบลงไม่ได้เล่นเอาเปิดเปิงอีก งุงิ
มาเวิ่นเว้อไปเท่านั้นเองค่ะ 
อยากบอกหนังสือสวย ภาพงาม ภาษาดี คนแต่งน่ารัก ฮิ้วววววววววว
ไว้มาอุดหนุนผลงานอีกค่ะ o13

ขอบคุณมากค่า เรื่องมุมเปิดตอนยัดลงกล่องนี่เราก็ห่วงเหมือนกัน เพราะว่ากล่องมันค่อนข้างพอดี แต่คิดว่าถึงหุ้มปกสติ๊กเกอร์ก็น่าจะยัดลงนะคะ เพราะของเราก็ใส่ปกพลาสติกสำเร็จรูปยังยัดได้เลย (แต่อาจฝืดๆ เวลายัดเข้า-ดันออกนิดนึง)
ได้รู้ว่าคนอ่านมีความสุขกับรูปเล่มและเนื้อเรื่องก็ดีใจค่า แล้วอุดหนุนผลงานเรื่องหน้าต่อน้า :)
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เกมชิงโปสเตอร์พร้อมลายเซ็นต์ P.20 (30/05/11)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 30-05-2011 21:24:17
 :pig2:  ไม่ได้กลับมาเยี่ยมกระทู้นี้เสียนาน คาดว่าใครที่แอดเฟซบุ๊คกันไว้หรือว่าเคยสั่งจองนิยายเรื่องนี้ทางอีเมล์คงพอทราบกันแล้ว ว่าตอนนี้คนเขียนนึกคึก อยากเอาโปสเตอร์ไซส์บึ้มที่ทำไว้และมีลายเซ็นต์ของทั้งคนเขียนและคนวาดมาแจกค่ะ (พอดีมีสองแผ่น เลยขอเก็บไว้แผ่นนึง อีกแผ่นเอามาเล่นเกมนี่ละก๊ะ) โดยเกมก็เป็นเกมตอบคำถามง่ายๆ ซึ่งถ้าเกิดใครซื้อรวมเล่มไปจะค่อนข้างได้เปรียบ แต่ถึงอ่านในบอร์ดอย่างเดียวก็ยังพอมีลุ้นจ๊ะ อยู่ที่กึ๋นในการตอบว่าจะทิ่มตากรรมการ (อิป้าคนเขียนนี่แหละ) ได้เจ็บจึ๊กแค่ไหนเท่านั้นเอง

ถ้าหากใครอ่านแล้วสนใจ ก็มาดูกติกากันเลยเนาะ ^___^

กติกาการชิงโปสเตอร์:

1. เข้าไปโหลดแบบฟอร์มคำถามได้ที่ http://www.mediafire.com/file/3d4i47epgt811qc/Bellbomb%20Game%20form.doc  (เป็น word document ถ้ามีปัญหาในการกดลิ้งค์ ใ้ห้ก๊อป URL ไปแปะในหน้าต่างใหม่เลย)
2. ตอบคำถามในแบบฟอร์ม และกรอกรายละเอียดให้ครบ ขอให้ตอบแบบมีเหตุผลประกอบด้วย ถ้าหากตอบมาสั้นๆ แค่ 1-2 ประโยค หรือมาแค่อีโมติคอน จะถือว่าหมดสิทธิ์ทันที (จริงๆ เกมนี้ก็ตั้งขึ้นมาเพราะอยากอ่านคอมเม้นต์ด้วยส่วนหนึ่ง เพราะงั้นขอร้องว่าตั้งใจตอบกันหน่อยเต๊อะ)
3. ส่งคำตอบเป็นไฟล์ attachment มาที่อีเมล์ bellbomb [at] ฮอทเมล์.คอม โดยใช้แบบฟอร์มที่โหลดไป หากมาแปะตอบที่กระทู้นี้จะไม่นับ อนึ่ง ผู้เขียน (เรา) มีสิทธิ์ที่จะนำคำตอบเหล่านั้นขึ้นโพสต์ในบล็อกส่วนตัว http://bellbomb.bloggang.com (จะโพสต์ที่นั่นที่เดียวเท่านั้น) ถ้าหากใครไม่สะดวกใจให้นำคำตอบไปโพสต์ ก็หมดสิทธิ์ชิงโปสเตอร์ เพราะไม่งั้นการแข่งขันจะไม่โปร่งใสหากเราไม่สามารถนำคำตอบของผู้ชนะขึ้นประกาศให้คนอื่นอ่านได้
4. เราจะเลือกคำตอบที่โดนใจที่สุดขึ้นมาห้าคำตอบ จากนั้นในห้าผู้เข้าชิงนี้ จะจับสลากชื่อคนที่ได้รางวัลด้วยมือ (เพื่อความโปร่งใสเช่นกัน) จากนั้นจะประกาศผู้ชนะทาง Facebook, บอร์ด Thai Boys Love และอีเมล์โดยตรงไปหาคนที่ได้รางวัล
5. ผู้เข้ารอบอีกสี่คนจะได้รางวัลปลอบใจ เป็นการ์ดแฮนด์เมด ขนาด 4 x 5.5 นิ้ว อภินันทนาการโดยเพื่อนแอน และเราจะให้คนที่ได้ของปลอบใจทั้งสี่ท่านเลือกได้ว่าจะเอาลายไหน โดยใครเลือกก่อนก็ได้ก่อน (กรณีที่เลือกซ้ำกัน) ดูรูปประกอบได้จากไฟล์นะคะ
6. หมดเขตส่งคำตอบ เที่ยงคืนวันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน เผื่อใครยังไม่ได้อ่านจะได้มีเวลาอ่านกันก่อน และจะประกาศผลในสัปดาห์ถัดมา
 

ใครมีสิทธิ์ร่วมสนุกบ้าง?

1. ผู้ส่งคำตอบชิงโปสเตอร์ ต้องมีที่อยู่ที่จัดส่งได้ในประเทศไทย แต่ถ้าตัวอยู่ต่างประเทศและยังไง้ยังไงก็อยากได้ รบกวนขอให้ใช้ที่อยู่ของบ้านที่เมืองไทยสำหรับจัดส่งค่ะ (ขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่ส่งออกต่างประเทศ เนื่องจากความยุ่งยากและค่าส่งทีแพงลิ่ว)
2. ผู้ที่ได้โปสเตอร์และรองชนะเลิศที่ได้ของที่ระลึกอีกสี่ท่านสามารถเลือกได้ ว่าจะให้จัดส่งทางไปรษณีย์หรือว่านัดพบเพื่อรับรางวัล (กรณีนัดพบ ขอเป็นในกรุงเทพฯ และที่ MBK หรือสถานีบีทีเอสเท่านั้น)  
3. กรณีส่งทางไปรษณีย์ เราจะม้วนใส่ในกระบอกให้เพื่อไม่ให้โปสเตอร์ยับค่ะ
 
หวังว่าคงอธิบายเรื่องกฎครอบคลุมดีแล้วและไม่มีใครมีข้อสงสัยนะคะ แต่ถ้าสงสัยก็สามารถอีเมล์ / PM/ Add Facebook มาถามได้ เพียงแต่ถ้าคำถามไหนเข้าข่ายอธิบายในกฎอยู่แล้วก็ขอไม่ตอบเน้อ (เก๊าทำงานประจำแล้ว มะค่อยมีเวลาจ๊ะ)

ปล. ส่งท้าย ขอให้คนที่จะร่วมสนุกทุกท่านโชคดีค่า แล้วเค้าจะรออ่านคำตอบนะ   o13

*Edit* แก้ไขกติกาข้อ 5 - 6 (ดีเทลรางวัลปลอบใจกับเดดไลน์ส่งคำตอบค่า) ส่วนรูปรางวัลปลอบใจทั้งสี่รางวัล ดูกันต่อที่รีพลายล่างเลย
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เกมชิงโปสเตอร์ P.20 (Update + รูปของปลอบใจ 16/06/11)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 16-06-2011 09:52:43
มาอัพเดทรูปของรางวัลปลอบใจสักหน่อย หลังจากเพิ่งได้เห็นและกรี๊ดกร๊าดเป็นบ้าเป็นหลังไปเมื่อคืนนี้ สำหรับของรางวัลทั้งสี่ ได้อภินันทนาการจากเืพื่อนแอนสุดที่รัก ผู้ไม่เคยรู้เลยว่าเพื่อนเขียนนิยาย (แนวนี้) จนกระทั่งโดนขอร้องให้ช่วยทำการ์ดเป็นรางวัลปลอบใจของเกมนี้นี่แหละ การ์ดทั้งสี่ใบจะไม่เหมือนกันเลย และทำด้วยมือหมดทุกอัน สวยน่าสะสมแน่นอนค่ะ (ขนาดเราเห็นเองตอนแรกยังเกือบเปลี่ยนใจ อยากเก็บไว้เองแล้วค่อยหาอย่างอื่นเป็นรางวัลแทน กร๊ากกกก) ซึ่งคนที่พลาดโปสเตอร์ซึ่งเป็นรางวัลใหญ่ แต่ได้เข้ารอบชิงด้วย จะได้รับสิทธิ์ให้เลือกลายที่อยากได้ โดยใครเลือกก่อนก็ได้ก่อน

แบบที่ 1
(http://i1095.photobucket.com/albums/i474/bellbomb/DSCN7093.jpg)
แบบแรก สีหวานเย็น หวานสุดแล้วจากทั้งสี่แบบ

แบบที่ 2
(http://i1095.photobucket.com/albums/i474/bellbomb/DSCN7099.jpg)
ส่วนนี่เป็นแบบที่สอง พอดีบอกเพื่อนว่าอยากได้โทนสีฟ้าเป็นหลัก ส่วนองค์ประกอบก็เอาพวกดอกไม้หรือลายลูกไม้อะไรก็ได้ แต่อย่าให้แหววมาก อยากได้ฟีลอบอุ่นหวานๆ แล้วก็บอกให้มันนึกถึงฟีลนิยายของ Nicholas Sparks ไว้ (กล้าเปรียบเทียบไปได้เนอะ)

แบบที่ 3
(http://i1095.photobucket.com/albums/i474/bellbomb/DSCN7100.jpg)
แบบที่สาม คาดว่าเพื่อนแอนจะติดใจอะไรกับผีเสื้อเป็นพิเศษ เพราะตอนบรีฟไม่ได้พูดถึงผีเสื้อเลยสักคำ แต่ทำออกมาแล้วสวย ก็ไม่มีปัญหา แบบนี้ก็ดูคลาสสิคดี

ปล. ประโยค "My Heart is Forever Yours." ที่อยู่บนการ์ดทุกใบ เราคิดเองค่ะ รู้สึกว่าเข้ากับคู่นี้ดี ^^

แบบที่ 4
(http://i1095.photobucket.com/albums/i474/bellbomb/DSCN7102.jpg)
แบบที่สี่ ยังคงเป็นผีเสื้อสีทองแต่เปลี่ยนคอมโพฯ นิดหน่อย อันนี้คนเขียนก็ชอบ ดูสีสันมันจัดจ้านดี ปล. อย่าแปลกใจถ้าทุกรูปมีจุดดำๆ ตรงกลางเยื้องไปข้างบน มันเป็นความผิดของกล้องค่ะ เลนส์มันเป็นรอยง่ะ จะรีทัชก็ทำไม่เป็น เอาเป็นว่าของจริงมันไม่มีรอยดำๆ พวกนี้ละกันนะ T.T

ระหว่างนี้ใครเห็นแล้วอยากได้ แต่ยังไม่ได้ส่งคำตอบมาร่วมสนุก ก็ยังส่งมาได้ถึง 26 มิถุนาเลย ตามกติกาข้างบนเลยนะค้า (พลาดคราวนี้ไม่ทำอีกแล้วนะเอ้อ)  o13
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 4 หน้า 20 (11/08/11)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 11-08-2011 12:03:06
อ๋า ลืมไปเลยว่าไม่ได้มาประกาศผลผู้ชนะเกมชิงโปสเตอร์กับการ์ดที่นี่ ^^" สำหรับใครที่อาจไม่ทราบ เราได้ประกาศผลผู้ชนะของเกมและส่งรางวัลให้ถึงมือทุกคนหมดแล้วค่ะ โดยผู้โชคดีทั้งห้าท่านมีดังต่อไปนี้ แถ่นแท๊น

รางวัลใหญ่ - Aew
รางวัลปลอบใจ 4 รางวัล - oato, namtaan, rabbitta และ Saint de Jupiter

โดยคำตอบของทั้งห้าคนได้มีการโพสต์ไว้ที่บล็อกส่วนตัวของเรา ซึ่งใครสนใจอยากอ่าน หลังไมค์มาขอ URL ละกันนะคะ ถ้าโพสต์ตรงนี้เดี๋ยวผิดกฎของบอร์ด

แล้วก็เพราะสัญญาไว้กับคนที่ส่งคำตอบมาแต่ไม่ได้รางวัล ว่าจะให้รางวัลปลอบใจแบบ special คือตอนพิเศษของเรื่องนี้แทน นี่ก็ผ่านมาสองเดือนแล้วเพิ่งได้เขียน เลยเอามาลงที่นี่ด้วย ใครคิดถึงต้นกับไผ่ก็ติดตามกันได้เลย ^___^

ปล. ที่เป็นตอนพิเศษ 4 เนื่องจากตอนพิเศษ 2-3 ซึ่งไม่เคยลงในบอร์ดนั้นถูกรวมไว้ในรวมเล่มแล้วค่ะ ก็เลยใช้วิธีนับต่อไปเลยจะได้ไม่งงอะเน้อ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 4 หน้า 20 (11/08/11)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 11-08-2011 12:06:27
แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 4 สายสัมพันธ์ในคืนจันทร์แรม


พระอาทิตย์ตกดินไปนานแล้ว แต่เย็นนี้ที่โต๊ะอาหารของบ้านสุวรรณฤทธิ์กลับมีเพียงสองพ่อลูกที่นั่งทาน มื้อเย็นด้วยกัน เนื่องจากสมาชิกใหม่อีกคนของบ้านมีภารกิจต้องอยู่ปิดต้นฉบับที่กอง บรรณาธิการ และยังไม่รู้ว่าจะเสร็จเมื่อไหร่

"พ่ออิ่มแล้วเหรอครับ?"

ตระการถามเมื่อเห็นบิดาวางช้อนและส้อมลงบนจาน ผู้สูงวัยกว่าจึงพยักหน้าพลางหยิบยาที่ต้องทานหลังอาหารขึ้นใส่ปากและดื่มน้ำตาม

"แกเองก็ดูกินอะไรไม่ค่อยลงนี่ แล้วตกลงวันนี้ไผ่จะกลับบ้านหรือเปล่า?"

หลัง จากพรพฤกษ์มาอยู่ที่บ้านสุวรรณฤทธิ์ได้นานเข้า ความคุ้นเคยก็หล่อหลอมให้เขาถูกปฏิบัติด้วยเสมือนหนึ่งสมาชิกในบ้าน และจากที่ตฤณเคยใช้คำเรียกว่า 'เด็กคนนั้น' บัดนี้ผู้สูงวัยเรียกชื่ออีกฝ่ายแม้ไม่ได้อยู่ต่อหน้าได้อย่างเต็มปาก

ซึ่งเป็นพัฒนาการที่ตระการพอใจมากที่สุด

"เมื่อคืนก็ถึงกับค้างที่ออฟฟิศไปแล้ว คิดว่าคืนนี้น่าจะกลับนะครับ เมื่อตอนบ่ายก็ยังโทรคุยกับผมอยู่เลย"

"ถ้างั้นก็ดี ฉันจะขึ้นข้างบนล่ะ"

ตฤณ หันไปพยักหน้ากับแม่บ้านซึ่งเป็นผู้ช่วยยายแสน เด็กสาวจึงเข้ามาเก็บสำรับจานชามที่เจ้านายทั้งสองทานเสร็จแล้วอย่างรู้ หน้าที่ ตระการยกแก้วน้ำขึ้นดื่มจนเกลี้ยงแล้วก็เดินตามบิดาออกมาจากห้องทานข้าวบ้าง

"พ่ออย่าอยู่ดึกนักนะครับ นอนพักผ่อนเยอะๆ หน่อย เมื่อคืนก็นอนตั้งห้าทุ่ม"

ผู้เป็นบิดาเหล่ตามองบุตรชายคนเดียวที่เดินเยื้องอยู่ด้านหลัง จากนั้นก็ทำเสียงหึขึ้นจมูก

"ฉันรู้เวลานอนของฉันหรอกน่ะ แกเองก็เถอะ ถ้าอยากให้เขารีบกลับบ้านก็ไปรับเสียสิ"

ตฤณ เอ่ยแล้วก็ขึ้นบันไดไปชั้นบน ซึ่งตระการเข้าใจว่าคงเพื่อไปทำสมาธิและสวดมนต์ในห้องพระตามปกติที่ทำทุกคืน แต่ประโยคทิ้งท้ายของผู้สูงวัยก็ทำให้เขาหัวเราะเบาๆ

จริงๆ ก็อยากให้ไผ่รีบกลับบ้านเหมือนกันนั่นแหละ ผมรู้ว่าพ่อคิดอะไรหรอกน่า...

อาจ เพราะพวกเขาสองพ่อลูกอยู่ด้วยกันอย่างห่างเหินมานาน การมีพรพฤกษ์เข้ามาเป็นสมาชิกอีกคนจึงช่วยละลายกำแพงที่ขวางกั้นระหว่างผู้ ให้กำเนิดกับบุตรชายให้ลดเลือนลง และดูเหมือนบรรยากาศในบ้านที่ดีขึ้นก็จะส่งผลกับสุขภาพของตฤณด้วย เพราะจากที่เมื่อก่อนท่านประธานเคยทรุดจนตระการวิตกว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรง บัดนี้แม้จะพูดไม่ได้เต็มปากว่าสภาพของตฤณ 'ดีขึ้นมาก' แต่หากเปรียบเทียบกับช่วงก่อนและหลังที่จะรับพรพฤกษ์มาอยู่ที่บ้านด้วย เขากล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่าพัฒนาการที่เห็นได้นั้นน่าทึ่งทีเดียว

"คุณตระการจะรับชาหรือกาแฟไหมคะ?"

เด็ก สาวคนเดิมเดินมาถามเมื่อเห็นตระการยังยืนอยู่หน้าบันได ชายหนุ่มจึงยิ้มแล้วส่ายหน้า "นิดไปนอนได้แล้วล่ะ เดี๋ยวฉันจะออกไปข้างนอกหน่อย จะไปรับไผ่ที่ออฟฟิศ"

"อ๋อ ได้ค่ะ อ้าว? นั่นเสียงรถคุณไผ่นี่คะ?"

ตระการ เองก็ได้ยินเสียงรถยนต์ที่เลี้ยวผ่านรั้วเข้ามาพร้อมๆ กับที่เด็กสาวทักขึ้น เขาจึงตบไหล่บางเบาๆ ก่อนจะรีบสาวเท้าไปที่หน้าบ้าน พอเลื่อนบานประตูกระจกด้านหน้าออกก็พบว่าพรพฤกษ์กำลังเลี้ยวรถจี๊ปเข้าจอด บริเวณที่จอดประจำข้างบ้านพอดี รถคันนี้เป็นรถที่เขาซื้อให้หลังอีกฝ่ายประสบอุบัติเหตุเพื่อเอาไว้ขับพาไป ไหนมาไหน หลังย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ แล้ว พรพฤกษ์จึงใช้รถคันนี้เป็นรถประจำตัวไปเลย

"งานเป็นไงบ้าง ต้นกำลังจะโทรไปถามพอดีว่าจะให้ไปรับหรือเปล่า ไผ่จะได้ไม่ต้องขับรถกลับมาเอง"

พร พฤกษ์ยิ้มพลางเปิดประตูด้านหลังเพื่อหยิบแฟ้มกับกระเป๋าโน้ตบุ๊คออกมา ตระการจึงช่วยรับกระเป๋ามาถือให้ ถึงแม้วันนี้อีกฝ่ายจะกลับมาในเวลาที่ค่อนข้างเร็วแล้วสำหรับฤดูปิดเล่มคือ สองทุ่มครึ่ง แต่ชายหนุ่มก็ยังสังเกตเห็นร่องรอยของความอิดโรยบนสีหน้าได้ชัด

"ไม่เป็นไรหรอก โชคดีว่าตรวจปรู๊ฟเสร็จหมดแล้วก็ส่งงานเข้าโรงพิมพ์แล้ว พรุ่งนี้ถึงเข้าออฟฟิศสายหน่อยก็ไม่เป็นไร"

พร พฤกษ์ตอบพลางเดินเข้าบ้านพร้อมกับตระการ ร่างสูงเพรียวเดินตรงขึ้นบันไดเพื่อไปที่ห้องนอนของทั้งคู่ แต่ระหว่างทางเห็นไฟในห้องพระเปิดอยู่จึงเคาะประตูก่อนจะผลักเข้าไป

"สวัสดีครับคุณลุง"

ตฤณที่นั่งทำสมาธิอยู่ลืมตาขึ้นช้าๆ แล้วหันกลับมา ริมฝีปากไม่ได้ยิ้มก็จริง แต่ในแววตานั้นฉายความอ่อนโยนแก่ผู้ที่ทักทายอยู่เจือจาง

ซึ่งอาจนับว่ามากที่สุดเท่าที่ตฤณจะเคยมอบให้ใครนอกจากพิมผกาได้แล้ว

"กลับเร็วนี่"

ถึง แม้ใจจะยอมรับแล้ว ทว่านิสัยและการใช้คำพูดนั้นไม่ใช่สิ่งที่ใครจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลัง มือได้ตอนอายุหกสิบกว่า และพรพฤกษ์ก็ไม่ได้ถือสากับคำถามที่ฟังแล้วเหมือนประชดประชัน เพราะเข้าใจว่านั่นคือวิธีทักทายที่แสดงออกว่าคนถามกำลังห่วงใยเขา

"พอ ดีเพื่อนๆ ช่วย คืนนี้ก็เลยเสร็จเร็วกว่าที่คิดไว้น่ะครับ ความจริงเขาจะชวนไปกินข้าวเย็นฉลองกันต่อด้วย แต่ผมอยากพักก็เลยกลับมาก่อน"

คำ ตอบนั้นทำให้ผู้สูงวัยเลิกคิ้ว "ไม่ได้กินข้าวรึ? กับข้าวมื้อเย็นก็ยังพอมีอยู่นี่ หรือไม่อย่างนั้นก็ให้ยายนิดทำให้ใหม่ก็ได้ ถ้าไม่กินข้าวเดี๋ยวก็เป็นโรคกระเพาะกันพอดี"

พรพฤกษ์หัวเราะ "เมื่อเย็นเจ้านายสั่งพิซซ่ามาเลี้ยงไปรอบนึง ผมเลยกินไปตั้งสองชิ้นแล้วล่ะครับ ตอนนี้อยากอาบน้ำนอนมากกว่า คุณลุงก็อย่าอยู่ดึกมากนะครับ"

ชายหนุ่มพนมมือทำความเคารพอีกครั้ง ก่อนจะผละไป ส่วนตระการที่ยืนคอยอยู่ด้านหลัง พอจะงับประตูห้องปิดให้จึงทันได้ยินเสียงบ่นงึมงำเบาๆ จากคนในห้อง และทำให้มุมปากกระตุกยิ้มอย่างห้ามไม่ได้

"แฟนกันพูดสั่งสอนพ่อมันเหมือนกันไม่มีผิด"


++------++


พร พฤกษ์วางแฟ้มงานที่เอากลับมาลงบนโต๊ะ จากนั้นก็หยิบเสื้อคลุมอาบน้ำแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ ตอนนี้เขาเหนื่อยจนไม่อยากทำอะไรนอกจากทำความสะอาดร่างกายแล้วนอนพักผ่อน พอกลับออกมาจากห้องน้ำอีกครั้ง เขาก็พบว่าตระการกำลังนอนดูโทรทัศน์รออยู่บนเตียงแล้ว

ชายหนุ่ม กระชับสายคาดเสื้อคลุมแล้วปิดสวิทช์ไฟดวงใหญ่กลางห้อง ตระการจึงหันไปเปิดโคมไฟบนหัวเตียงเพื่อให้ความสว่างแทนแล้วปิดโทรทัศน์ ความจริงแล้วเขายังไม่ง่วงเลยสักนิดเพราะเพิ่งจะสามทุ่มกว่าๆ แต่ในเมื่อพรพฤกษ์อยากนอน เขาก็จะนอนเป็นเพื่อน

"พรุ่งนี้ไผ่จะเข้าออฟฟิศสายใช่มั้ย?"

ตระการ ถามขณะมองคนรักถอดเสื้อคลุมออกเพื่อหยิบกางเกงกับเสื้อมาใส่นอน และพรพฤกษ์ก็รู้ว่ากำลังโดนสายตาของอีกฝ่ายจับจ้อง แต่ตอนนี้ถ้าหากคิดจะชวนทำอะไรกันเขาก็คงต้องบ่ายเบี่ยงเท่านั้นเพราะความ เหนื่อยล้า โชคดีที่ตระการก็ดูจะไม่ต้องการบังคับ เพราะคนบนเตียงเพียงแต่นอนตะแคงเท้าศอกมองอาหารตาตรงหน้ายิ้มๆ

"ก็คงต้องดูว่าจะตื่นกี่โมงนั่นล่ะ แต่พรุ่งนี้คิดว่าคงเข้าสายกันแทบทุกคนยกเว้นพี่เอก ไม่แน่ก็อาจจะเข้าช่วงบ่ายเลยก็ได้"

พร พฤกษ์ตอบพลางดึงกางเกงสะดอขายาวขึ้นทบเอวแล้วผูกเชือก จากนั้นจึงค่อยหยิบเสื้อผ้าฝ้ายเนื้อบางแขนยาวมาสวม ถึงแม้จะมาอยู่กรุงเทพฯ ได้เป็นปีแล้ว แต่เขาก็ยังชินกับการใส่เสื้อผ้าแบบที่เคยใส่ตอนอยู่เชียงใหม่ ถึงแม้บางทีจะโดนคนร่วมเตียงบ่นในบางครั้งว่า 'ถอดลำบาก' ไม่เหมือนเสื้อกล้ามกับกางเกงขาสั้น แต่เขาก็ชอบแต่งตัวแบบนี้มากกว่า

ร่าง สูงเพรียวเดินไปที่เตียงพลางเลิกผ้าห่มฝั่งตัวเองขึ้น จากนั้นก็ทรุดตัวลงเอนหลังพิงหมอนแต่ยังไม่ได้นอนลงทันที ตระการเลยถือโอกาสเลื่อนตัวลงไปหนุนบนหน้าท้องแล้วสูดกลิ่นสบู่จากคนที่ เพิ่งอาบน้ำเสร็จ

"ถ้างั้นเข้าบ่ายเลยเถอะ นานๆ จะได้ว่างตรงกันตอนกลางวันสักที เดี๋ยวหาร้านกินข้าวเที่ยงกันก่อนแล้วไผ่ค่อยไปทำงานดีกว่า"

"ท่านรองประธานจะโดดงานตอนเช้าหรือไงครับ?"

พร พฤกษ์เอ่ยอย่างหยอกล้อพลางใช้มือหนึ่งสางผมคนที่นอนหนุนท้องตัวเอง ฝ่ายตระการได้แต่หัวเราะเบาๆ โดยไม่ปฏิเสธแล้วปล่อยให้พรพฤกษ์สางผมเล่น ครู่หนึ่งร่างสูงใหญ่ก็ตะแคงหน้าแล้วเอียงคอมองคนรักทั้งที่ยังหนุนอยู่ที่ เดิม

"จะว่าไป...ต้นไม่เคยได้ยินไผ่อู้คำเมืองให้ฟังเลยนะ ตั้งแต่ตอนที่ไปบ้านนฤมิตรครั้งแรกแล้ว"

คนถูกทักเลิกคิ้ว เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายพูดเรื่องนี้

"ก็...ปกติ แขกที่ไปพักก็มีแต่คนกรุงเทพฯ นี่นา อีกอย่างกับพวกเพื่อนๆ ก็พูดภาษากลางกันตลอดด้วย มีแต่ตอนเด็กๆ ที่อยู่กับตานั่นแหละถึงจะพูดแต่ภาษาเหนือ"

แววตาของตระการเป็นประกายวิบวับขึ้นมา คนตัวใหญ่ขยับตัวนอนตะแคงหนุนศอกตัวเองเพื่อจะได้ไม่ทับพรพฤกษ์ก่อนจะยิ้มยิงฟัน

"ต้นอยากฟังเสียงไผ่เวลาพูดภาษาเหนือ พูดให้ฟังหน่อยสิ"

พรพฤกษ์มองหน้าคนขอ นัยน์ตาฉายแววงุนงงเพราะไม่คิดว่าจู่ๆ ตระการจะสนใจเรื่องนี้

อุตส่าห์ตั้งใจว่าจะรีบนอนแต่หัวค่ำซะหน่อย แต่โดนขอแบบนี้ก็...คงเลี่ยงไม่ได้สินะ...

"จะหื้ออู้ว่าจะไดผ้อง?"

คราวนี้รอยยิ้มบนมุมปากของคนตัวใหญ่ดูจะขยายกว้างกว่าเดิม แถมนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มยังฉายแววตื่นเต้นอย่างเปิดเผยราวกับเด็กเล็กๆ

"อะไรก็ได้ อย่างถ้าไผ่อยากถามอะไรต้นก็ถามเป็นภาษาเหนือได้เลย”"

เอ้า...แล้วจู่ๆ ก็มาขอกันแบบนี้ จะให้คิดคำถามยังไง...

พรพฤกษ์บ่นในใจอย่างระอา แต่ก็ไม่ขัดใจคนขอและถามประโยคต่อไปด้วยสำเนียงพื้นเมืองที่ถนัดต่อ

"เมื่อแลงกิ๋นข้าวลำก่อ?"

คราวนี้คิ้วเข้มของคนฟังมุ่นขึ้นเนื่องจากตีความไม่ออก "แปลว่าอะไรน่ะ? เป็นคำถามใช่มั้ย?"

คนพูดพยักหน้า "ถามว่าเมื่อเย็นกินข้าวอร่อยมั้ย"

"อืม เสียงไผ่เวลาพูดคำเหนือเพราะจัง พูดอีกสิ ขอยาวๆ เลย"

ตาบ้านี่...จริงๆ เล้ย...

พร พฤกษ์ทั้งขำทั้งฉุน แต่ใจหนึ่งก็เขินและดีใจที่ตระการชมว่าภาษาถิ่นของเขาเพราะ จึงสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะรัวประโยคถัดไปอย่างยาวเหยียด

"วันนี้ เยี๊ยะก๋านยุ่งขนาด ปิ๊กบ้านยังต้องมาเอาใจ๋ละอ่อนหน้อยติดปี้แห๋ม แล้วมาบอกหื้ออู้จะอั้น จะอี้ อะหยังก่อบ่ฮู้ อิดจะต๋ายแล้ว"

ตระการ ฟังแล้วได้แต่ขมวดคิ้ว ถึงแม้ประโยคเมื่อครู่จะเต็มไปด้วยสำเนียงท้องถิ่นที่เขาฟังไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็พอจะเดาได้ว่าคงไม่ใช่ประโยคชมเชยแน่ๆ ยิ่งพอเห็นพรพฤกษ์หัวเราะเมื่อเห็นหน้าเขาก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้น

"เห็นเราฟังไม่รู้เรื่องเลยบ่นยาวเลยเหรอ"

พร พฤกษ์ได้ยินคำตัดพ้อ บวกกับเห็นสีหน้าคนตัวใหญ่กว่าที่แกล้งทำแก้มอูมก็ยิ่งหัวเราะดังขึ้นจนต้อง ใช้นิ้วเช็ดน้ำตาบนหางตา "ก็ดันขอให้พูดยาวๆ เองนี่ ไม่รู้จะพูดอะไรแล้วก็เลยบ่นให้ฟังน่ะสิ"

คนขอให้พูดเห็นอีกฝ่าย หัวเราะก็หัวเราะบ้าง ร่างสูงใหญ่ก้มลงแล้วใช้ศีรษะดุนไหล่อีกฝ่ายอย่างหยอกล้อ "ขอโทษทีเถอะที่เอาแต่ใจ ก็อยู่ๆ ก็อยากฟังนี่นา"

"วันนี้หยั๋งมาอ้อนแต้ว่า ถึงจะเอาแต่ใจ๋ตั๋วเองก่อจ้างเต๊อะ แต่ก็ยังน่าฮักเนาะ"

คราว นี้พรพฤกษ์พูดช้าๆ ชัดๆ เพื่อให้ตระการฟังทัน ถึงแม้บางคำจะเป็นสำเนียงเฉพาะถิ่น แต่หากตั้งใจฟังดีๆ แม้จะไม่ใช่คนเหนือก็สามารถเข้าใจได้ไม่ยาก ตระการทำท่าใช้ความคิดครู่หนึ่งก็เงยหน้าขึ้นยิ้ม

"ถึงยังไงต้นก็ยังไม่น่ารักเท่าไผ่หรอก"

ประโยค โต้ตอบนั้นทำให้พรพฤกษ์รู้ว่าตระการเข้าใจที่เขาพูดจริงๆ จึงยิ้มแล้วยกนิ้วขึ้นดีดจมูกของอีกฝ่ายเบาๆ "อ้ายฮักน้องกะ ทีนี้จะยอมให้นอนได้หรือยัง?"

ความหวานละมุนที่อวลซ่านจากคำพูดนั้น ช่วยเติมความอบอุ่นให้จนในอกพองฟู ตระการจึงยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มพรพฤกษ์เร็วๆ ก่อนจะพูดเลียนแบบด้วยคำที่เขาพอจะผูกได้จากที่เก็บตกเมื่อครู่

"ละอ่อนก็ฮักอ้าย"

พรพฤกษ์เลิกคิ้วก่อนจะหัวเราะเบาๆ ผิวแก้มซับสีโลหิตอ่อนจางขณะแซวอีกฝ่ายกลับ

"เรียนรู้เร็วเหมือนกันนี่"

"ถ้าไผ่ตั้งใจสอนต้นจะพูดได้เยอะกว่านี้อีก"

คน อายุมากกว่าส่ายหน้าแล้วกระถดตัวลงใต้ผ้าห่ม "ไว้วันหลังก็แล้วกัน คืนนี้หมดโควต้าแล้ว ถ้าขืนยังไม่ยอมให้อ้ายนอนอีกคราวนี้ละอ่อนโดนตีแน่ๆ"

ตระการ หัวเราะพลางเอี้ยวตัวกลับไปปิดโคมไฟ ทั้งห้องจึงตกอยู่ในความมืดมิด มีเพียงแสงลางๆ จากจันทร์ข้างแรมที่ส่องผ่านช่องว่างของผ้าม่านลงมาบนปลายเตียง

"มื้อกลางวันพรุ่งนี้ไผ่อยากกินอะไร?"

พร พฤกษ์ปิดปากหาวก่อนจะหลับตาลงแล้วตอบเสียงงึมงำ "อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่อิตาเลียน เมื่อตอนเย็นได้กินทั้งพิซซ่าทั้งสปาเก็ตตี้ พรุ่งนี้ไม่เอาแล้ว"

"โอเค งั้นเดี๋ยวค่อยเลือกพรุ่งนี้ก็ได้ แล้วห้ามไผ่ตื่นหนีต้นไปทำงานก่อนนะ"

"รู้แล้วล่ะน่า"

พร พฤกษ์ตัดบทพลางทุบไหล่ตระการเสียทีหนึ่งราวจะบอกว่าให้หยุดพูดเสียที คนถูกทุบจึงหัวเราะเบาๆ แล้วหันไปตะแคงโอบอีกฝ่ายไว้ ไม่นานเสียงหายใจสม่ำเสมอก็ดังประสานจากคนทั้งคู่

เงาดำจากร่างที่ ยืนหลบอยู่หลังประตูค่อยๆ ยื่นมือไปดึงประตูปิดเมื่อมั่นใจว่าคนในห้องหลับกันแล้ว ตฤณอดส่ายหน้าไม่ได้เมื่อนึกถึงคำพูดโต้ตอบกันระหว่างบุตรชายกับบุตรบุญธรรม มุมปากของผู้สูงวัยกระตุกเป็นรอยยิ้มเบาบางที่แทบไม่เผยให้ใครเห็นในช่วง เวลาหลายปี

ใครสอนให้ต้นมันหัดอ้อนได้แบบนั้นน่ะ พิมรึ? หรือว่าไผ่?

ความ จริงเขามายืนอยู่ข้างประตูตั้งแต่ตอนที่ตระการบอกพรพฤกษ์ว่าอยากให้พูดภาษา เหนือให้ฟังแล้ว ตอนแรกเขาตั้งใจจะเตือนทั้งสองให้รู้ว่าประตูปิดไม่สนิทแล้วก็จะเดินกลับไป ที่ห้องตัวเอง แต่พอได้ยินพรพฤกษ์เริ่มพูดด้วยสำเนียงบ้านเกิดให้ตระการฟัง เขาก็เหมือนถูกสะกดให้หยุดยืนฟังไปด้วยโดยไม่ตั้งใจ

น่าเสียดายนะ พิม...ถ้าหากตอนที่เรายังอยู่ด้วยกันฉันรู้จักอ้อนเธอแบบนี้บ้าง...บางทีฉัน คงไม่ต้องเห็นแต่ภาพของเธอที่มักจะมองมาด้วยแววตาน้อยใจก็ได้...

เมื่อ กลับมาถึงห้องนอนของตัวเอง ชายสูงวัยก็ระบายลมหายใจยาวเมื่อนึกถึงความหลังครั้งอดีต แต่หลังจากผ่านเหตุการณ์มากมายมาจนอายุล่วงเข้าปูนนี้ เขาก็รู้แล้วว่าไม่มีวิธีใดจะแก้ไขความผิดพลาดที่เคยทำได้ เช่นเดียวกับความเจ็บปวดที่แม้เวลาจะช่วยเยียวยาอย่างไร มันก็ไม่มีวันหายสนิทราวไม่เคยเกิดอะไรขึ้นอยู่วันยังค่ำ

แต่อย่าง น้อย...การได้เห็นว่าผลพวงอันเกิดจากสิ่งที่เขาทำ แม้จะไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เคยคาดหวังไว้ แต่ก็ทำให้คนสำคัญในชีวิตเขาและตัวเขาเองได้ปรับความเข้าใจและมีความสุขใน บั้นปลายร่วมกับใครอีกคน เท่านี้ก็อาจนับว่าเป็นโชคดีในโชคร้าย เพราะเขาได้เรียนรู้บางสิ่งที่สำคัญก่อนที่เวลาซึ่งคงเหลืออีกไม่กี่ปีจะ อำนวยแล้ว

กับคนนอกที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคู่ของเด็กสองคน นั้น แต่กลับถูกความรักที่พวกเขามีให้กันส่งผ่านความอบอุ่นมาให้จนหัวใจที่แห้ง เหี่ยวเกือบหยุดเต้นรู้สึกปรีดาที่เจ้าของมันยังหายใจ...ตฤณได้แต่ต้องยอม รับกับตัวเองขณะนั่งบนเตียงซึ่งถูกอาบไล้ด้วยแสงจันทร์ข้างแรม ว่าความรักช่างเป็นเรื่องของปาฏิหาริย์อันยิ่งใหญ่และงดงามโดยแท้...


++---End สายสัมพันธ์ในคืนจันทร์แรม---++
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 4 หน้า 20 (11/08/11)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 11-08-2011 12:07:03
สำหรับผู้ที่อ่านภาษาเหนือของไผ่แล้วยังงงๆ ว่าแปลว่าอะไร ด้านล่างนี้คือคำที่ถอดความเป็นภาษากลางให้แล้ว ขอขอบคุณพี่คอป Copter Forwriter อย่างใหญ่หลวงที่ช่วยเหลือในการแปลด้วยเจ้าค่า จุ๊บๆๆ

"จะหื้ออู้ว่าจะไดผ้อง?" - จะให้พูดว่าอะไรล่ะ?

"เมื่อแลงกิ๋นข้าวลำก่อ?" – เมื่อเย็นกินข้าวอร่อยมั้ย?

"วัน นี้เยี๊ยะก๋านยุ่งขนาด ปิ๊กบ้านยังต้องมาเอาใจ๋ละอ่อนหน้อยติดปี้แห๋ม แล้วมาบอกหื้ออู้จะอั้น จะอี้ อะหยังก่อบ่ฮู้ อิดจะต๋ายแล้ว" - วันนี้ทำงานยุ่งมากเลย แต่กลับบ้านแล้วยังต้องมาเอาใจเด็กติดพี่อีก แล้วมาบอกให้พูดพล่ามอะไรก็ไม่รู้ เหนื่อยเป็นบ้า

"วันนี้หยั๋งมา อ้อนแต้ว่า ถึงจะเอาแต่ใจ๋ตั๋วเองก่อจ้างเต๊อะ แต่ก็ยังน่าฮักเนาะ" - วันนี้อ้อนจังนะเรา ถึงเอาแต่ใจก็ช่างเถอะ ก็ยังน่ารักแหละน่า

"อ้ายฮักน้องกะ" - พี่ชายรักน้องนะ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 4 หน้า 20 (11/08/11)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 11-08-2011 14:11:27
ละอ่อนน้อยคู่นี้ น่าฮักกกกกกกก จริงๆๆๆ  แถมคุณพ่อก็ดูอ่อนโยนมากขึ้นแล้วด้วย 
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 4 หน้า 20 (11/08/11)
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 11-08-2011 15:36:09
2 พี่น้อง(ท้องติดกันนี่)อบอุ่นตลอดเวลาเลยทำให้คุณพ่อจิตใจอ่อนโยนขึ้นสินะ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 4 หน้า 20 (11/08/11)
เริ่มหัวข้อโดย: beamJ ที่ 11-08-2011 18:54:06
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 4 หน้า 20 (11/08/11)
เริ่มหัวข้อโดย: pochu52 ที่ 12-08-2011 09:23:00
เข้ามาเจอความน่ารักของต้นอ้อนพี่ไผ่ คิคิคิ หวานกันเบาเบา
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 4 หน้า 20 (11/08/11)
เริ่มหัวข้อโดย: DEMON3132 ที่ 12-08-2011 18:44:10
อ้อนจะฟังภาษากำเมือง น่ารักจังเลย อย่าลืมปิดประตูบ่อยนัก นี่แค่อ้อนยังหวานบาดใจ
หากทำอะไรที่หวานกว่านี้ ระวังคุณตฤณจะหัวใจวายนะจ๊ะ พี่ไผ่+น้องต้น
+1 แทนคำขอบคุณ  :pig4:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 4 หน้า 20 (11/08/11)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 12-08-2011 18:52:00
น่าฮักขนาดเจ้า
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 4 หน้า 20 (11/08/11)
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 12-08-2011 20:42:39
น่าฮักขนาดเลยเน้อ  ความฮักชนะทุกสิ่งแต้ๆ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 4 หน้า 20 (11/08/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Tayn ที่ 14-08-2011 00:06:50
นิยานเรื่องนี้อ่านม่วนแต้ น่าฮักขนาด
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 4 หน้า 20 (11/08/11)
เริ่มหัวข้อโดย: nco1236 ที่ 14-08-2011 00:12:09
 :-[มีความสุขจัง
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 4 หน้า 20 (11/08/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ASSASSIN ที่ 18-08-2011 21:37:37
ดีจังเลย มีตอนพิเศษด้วย อิอิ  อ่านแล้วมีความสุขจัง  :man1:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 4 หน้า 20 (11/08/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Sweet cream ที่ 19-08-2011 22:20:14
ไผ่กะต้นน่าฮักขนาด  :L2:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 4 หน้า 20 (11/08/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Moon_Crying ที่ 20-08-2011 06:24:55
อ่านแล้วยิ้มแก้มปริ น่ารักมาก
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 4 หน้า 20 (11/08/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Angel_K ที่ 20-08-2011 13:08:10
น่าฮักแต้ๆ ต้น-ไผ่

เรื่องราวอบอุ่นและน่ารักมากจริงๆ
ชอบภาษาและการบรรยายเรื่องราวมากเลย
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 4 หน้า 20 (11/08/11)
เริ่มหัวข้อโดย: harumi ที่ 21-08-2011 14:59:31
อ่านไปเขินไป :-[
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 4 หน้า 20 (11/08/11)
เริ่มหัวข้อโดย: aeecd ที่ 07-09-2011 11:26:31


:กอด1:น่ารักมากเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า
การอดทนทำเพื่อคนที่รักแล้วผลตอบได้แทนคุ้มค่าแก่การรอคอย
 o13อ่านไปร้องไห้ไปยิ้มไปตลอด
ต้นเป็นเด็กดีมากถึงจะคิดส่าพ่อไม่รักแต่ก็ไม่เคยทำตัวนอกลู่นอกทาง
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 4 หน้า 20 (11/08/11)
เริ่มหัวข้อโดย: kataiyai ที่ 12-09-2011 21:52:59
คุณตฤณเป็นคนโชคดีมากๆ นะ

แก่แล้วมีลูกหลานเข้าใจ แล้วอยู่ใกล้ๆ เนี่ย
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 4 หน้า 20 (11/08/11)
เริ่มหัวข้อโดย: gumrai3 ที่ 13-09-2011 19:00:16
น่าฮักขนาดเลย น่าฮักขนาดนี้ป๋อมะฮักก็มะฮู้ว่าจะได๋ละ 555
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 4 หน้า 20 (11/08/11)
เริ่มหัวข้อโดย: loverken ที่ 06-11-2011 15:27:07
 :bye2:

อ่านแล้วค่อดจะเขิน
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 4 หน้า 20 (11/08/11)
เริ่มหัวข้อโดย: JA(e)jung ที่ 20-11-2011 23:37:49
อ่านกี่ทีๆก็รู้สึกดีทกครั้ง
ขอบคุณที่แต่งเรื่องราวดีๆมาให้อ่านนะคะ o13
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 4 หน้า 20 (11/08/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Yร้าย ที่ 21-11-2011 19:33:46
อ่านในเด็กดี 2 รอบ.....เม้นไป 1 รอบ มาเจอในนี้อีกอ่านอีกรวดเดียว
เม้นตอนสุดท้ายเลย...อ่านตั้งแต่ตอนบ่าย 3 เพิ่งจบ...
อ่านกี่รอบ ๆ ก็ยังมีความสุขสุด ๆ ถึงไม่ได้หนังสือก็ไม่เป็นไร...
แต่อยากให้ท่านนักแต่ง เอาตอนของนอกะบอยมาลงให้อ่านบ้างได้มั๊ยเจ้าคะ...
นะนะนะน๊า.............. :call:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 4 หน้า 20 (11/08/11)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 22-11-2011 17:00:30
อ่านในเด็กดี 2 รอบ.....เม้นไป 1 รอบ มาเจอในนี้อีกอ่านอีกรวดเดียว
เม้นตอนสุดท้ายเลย...อ่านตั้งแต่ตอนบ่าย 3 เพิ่งจบ...
อ่านกี่รอบ ๆ ก็ยังมีความสุขสุด ๆ ถึงไม่ได้หนังสือก็ไม่เป็นไร...
แต่อยากให้ท่านนักแต่ง เอาตอนของนอกะบอยมาลงให้อ่านบ้างได้มั๊ยเจ้าคะ...
นะนะนะน๊า.............. :call:

ตอนเต็มๆ ของพี่นอกับน้องบอยจะอยู่แค่ในรวมเล่มน่ะค่ะ ถือเป็นสมนาคุณสำหรับคนที่เก็บสะสมอะเน้อ ขอโทษจริงๆ ที่มาลงให้ไม่ได้นะคะ ว่าแต่ตอนเม้นท์ในเด็กดีใช้ชื่ออะไรเอ่ย?
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 4 หน้า 20 (11/08/11)
เริ่มหัวข้อโดย: PAAPAENG~ ที่ 24-11-2011 16:41:07
โอ้ยยยยยยยย
ชอบมากเลยค่ะ  ชอบจริงๆจังๆ
ต้นเป็นผู้ชายที่สุดยอดจริงๆ
ชักอยากได้ผู้ชายแบบนี้  555

อยากอ่านพี่นอน้องบอยแบบเวอร์ชั่นเต็ม
คือทำเป็นเรื่องใหม่เลยอ่ะ  555
ก็แค่อยากอ่ะเนอะ  ^^

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ  :)
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 4 หน้า 20 (11/08/11)
เริ่มหัวข้อโดย: tippy ที่ 30-12-2011 01:11:03
สนุกค่ะ น่ารัก อบอุ่น และทำให้รู้ด้วยว่ารักแท้ อุปสรรคอะไรก็ขวางไม่ได้ และรักเป็นแรงกำลังใจให้เราก้าวผ่านเรื่องต่างๆไปได้
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 4 หน้า 20 (11/08/11)
เริ่มหัวข้อโดย: harumi ที่ 19-02-2012 02:46:42
ทั้งน่ารักทั้งซึ้ง
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 4 หน้า 20 (11/08/11)
เริ่มหัวข้อโดย: อีเรียม ที่ 09-03-2012 12:43:07
อ่านแล้ว  ช๊อบ  ชอบ  นานๆที จะมีนิยาย สำนวนดีๆ  น่าอ่านมาให้อ่าน  เป็นกำลังใจอีกคนคับ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 5 หน้า 20 (อัพวันเถลิงศก 15/04/12)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 15-04-2012 10:52:56
ไม่ได้เขียนตอนพิเศษให้คู่นี้เสียนาน เอาตอนพิเศษล่าสุดก่อนจะหมดสงกรานต์มาให้อ่านค่า~

++------++

แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 5 สงกรานต์ของครอบครัว


12 เมษายน, วันก่อนวันมหาสงกรานต์

เสียงนกร้องที่ดังลอดมาจากนอกหน้าต่างย่านชานเมืองของกรุงเทพฯ สร้างความรื่นรมย์ในยามเช้า เช่นเดียวกับความสงบสุขที่ดำเนินไปภายในห้องทานอาหารของบ้านสุวรรณฤทธิ์ที่ประกอบด้วยตระการ พรพฤกษ์ และตฤณเหมือนเช่นทุกๆ วัน แต่แล้วความสงบสุขก็สะดุดลงเมื่อตฤณวางหนังสือพิมพ์ที่กำลังอ่านแล้วมองพรพฤกษ์ลอดแว่นพร้อมกับเลิกคิ้วสูง

“อะไรนะ?”

ผู้สูงวัยที่สุดในบ้านถามด้วยนึกว่าตนหูเฝื่อน พรพฤกษ์จึงสบตาตระการที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามยิ้มๆ ก่อนจะหันกลับไปหาตฤณที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ

“ผมเห็นว่าไหนๆ สงกรานต์ปีก่อนผมกับต้นก็ไปเที่ยวญี่ปุ่น คุณลุงเลยต้องอยู่บ้านคนเดียว ปีนี้เลยอยากชวนคุณลุงไปเยี่ยมบ้านผมที่เชียงใหม่ด้วยกันน่ะครับ”

พรพฤกษ์ตอบตามตรง เพราะว่าตั้งแต่เข้าปีใหม่เป็นต้นมา ตระการก็งานยุ่งมากจนไม่มีเวลาขึ้นไปเชียงใหม่กับเขาเลย ทั้งสองจึงตกลงกันว่าหยุดยาวสงกรานต์ปีนี้จะไม่ไปไหนไกลและเพียงแต่กลับไปบ้านนฤมิตร เพราะนอกจากจะคิดถึงเพื่อนๆ แล้ว พรพฤกษ์ก็อยากไปทำบุญกระดูกให้ตาที่เสียไปเมื่อหลายปีก่อนด้วย

ตฤณเหลือบตากลับมามองตระการ แต่ก็พบว่าบุตรชายเพียงแต่ยกกาแฟขึ้นจิบพร้อมกับยิ้มบางๆ โดยไม่พูดอะไร ผู้สูงวัยจึงถอดแว่นลงวางทับบนหนังสือพิมพ์ข้างถ้วยข้าวต้ม

“ฉันไม่ไปดีกว่า ได้ยินว่าที่เชียงใหม่เขาเล่นสงกรานต์กันหนักมากไม่ใช่รึ? ฉันไม่ชอบอะไรอึกทึกตึงตัง อยู่กรุงเทพฯ ระหว่างวันหยุดยาวนั่นแหละดีที่สุดแล้ว”

“พวกเราไม่ต้องไปเล่นสงกรานต์กันก็ได้ครับคุณลุง เพราะบ้านผมอยู่นอกตัวเมืองพอสมควร รับรองว่าแถวนั้นไม่อึกทึกครับ”

พรพฤกษ์ยังไม่ยอมแพ้ ดูท่าทางอยากชวนให้เขาไปเยี่ยมบ้านที่เมืองเหนือจริงๆ ตฤณจึงนั่งจ้องหน้าคนรักของลูกชายและยังนับได้ว่าเป็นลูกเลี้ยงของตัวเองนิ่งๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้

“ไม่เอาล่ะ ฉันไม่ชอบเดินทางไกลๆ ยายแสนไปบอกเจ้าสิงห์ให้สตาร์ทรถได้แล้ว ฉันมีนัดกับตาเกริกที่โรงพยาบาล”

ตฤณไม่รอฟังว่าผู้อ่อนวัยกว่าทั้งสองจะว่ากระไร แล้วก็เดินออกจากห้องอาหารไปเลย ตระการมองตามหลังบิดาที่เดินหายลับไปทางหัวมุมบันไดแล้วก็หันกลับมาส่ายหน้ากับพรพฤกษ์ยิ้มๆ

“ต้นก็บอกแล้ว พ่อไม่ยอมไปหรอก”

“แต่ว่า...ให้คุณลุงอยู่บ้านคนเดียวระหว่างที่พวกเรากลับเชียงใหม่กันบ่อยๆ มันรู้สึกแย่นี่นา”

พรพฤกษ์เอ่ยก่อนจะวางช้อนข้าวต้มลงบ้าง ความจริงเขาสังเกตมาตั้งแต่เริ่มเข้ามาอยู่บ้านสุวรรณฤทธิ์ช่วงแรกๆ ว่าตฤณจะชอบปลีกตัวไปอยู่ตามลำพังเวลาเขากับตระการอยู่บ้านพร้อมกัน แต่ในเมื่อบัดนี้พวกเขาก็นับได้ว่าเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ก็น่าจะใช้เวลาในวันหยุดเทศกาลร่วมกันบ้างจึงจะถูก

ตระการส่ายหน้าพลางลุกขึ้น “ถ้าพ่อเขายืนยันจะไม่ไป ใครก็คงบังคับไม่ได้หรอกไผ่ อีกอย่างวันธรรมดาพวกเราก็อยู่ที่บ้านกับพ่อตลอดนี่นา ไม่ต้องคิดมากไปหรอก”

พรพฤกษ์เดินตามตระการไปที่หน้าบ้าน รถกับคนขับรถของตฤณหายไปจากที่จอดแล้ว เหลือเพียงรถของตระการกับรถของพรพฤกษ์เท่านั้นที่ยังจอดอยู่ แต่เนื่องจากกองบรรณาธิการที่พรพฤกษ์ทำงานนั้นเริ่มหยุดตั้งแต่วันนี้ จึงเหลือเพียงตระการที่ยังต้องไปทำงานก่อนจะหยุดงานในวันรุ่งขึ้น ซึ่งทั้งสองมีกำหนดจะเดินทางไปเชียงใหม่ด้วยกันด้วยเที่ยวบินตอนสายๆ

“งั้นต้นไปแล้วนะ”

ตระการเอ่ยลา พรพฤกษ์จึงยิ้มให้แล้วก็ยืนโบกมือจากบนบนไดหน้าบ้านขณะอีกฝ่ายถอยรถและขับออกจากรั้วไป กระทั่งรถยนต์ยุโรปคันใหญ่ลับสายตาไปแล้ว ชายหนุ่มจึงยืนเอามือกอดอกอย่างใช้ความคิด

ถึงอย่างไรเขาก็รู้สึกผิดที่จะทิ้งตฤณไว้ที่บ้านคนเดียวระหว่างวันหยุดยาวอยู่ดี แต่จะไม่กลับบ้านนฤมิตรก็ไม่ได้เพราะเขาบอกเพื่อนๆ ไว้แล้วว่าจะไปเยี่ยม ไหนยังจะของขวัญสำหรับนำไปฝากลูกสาวคนแรกของดิษยะกับปฏิมาอีก จึงพยายามคิดว่าจะทำอย่างไรดีให้เทศกาลวันหยุดนี้พิเศษขึ้นมาสำหรับตระการกับตฤณบ้าง

จากที่ป้าแสนซึ่งเป็นแม่บ้านเก่าแก่เล่าให้ฟัง พรพฤกษ์จึงได้รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองพ่อลูกเพิ่งจะเริ่มดีขึ้นหลังจากที่เขาย้ายเข้ามาอยู่ด้วยนี่เอง และถึงแม้จะไม่อยากสำคัญตนผิดว่าตัวเองมีอิทธิพลขนาดนั้น แต่เขาก็สังเกตเห็นได้ว่าสองพ่อลูกจะพูดกันมากกว่าปกติเวลาที่เขาอยู่ด้วยจริงๆ ด้วย

ถ้าเป็นสมัยที่ตายังอยู่ ช่วงสงกรานต์เราทำอะไรนะ...

พรพฤกษ์คิดย้อนไปถึงช่วงเวลาที่ญาติผู้ใหญ่หนึ่งเดียวยังมีชีวิตอยู่ เนื่องจากช่วงบั้นปลายชีวิตนั้นตาของเขาป่วยหนักจนแทบไม่ได้ลุกจากเตียง ทำให้ธรรมเนียมหลายอย่างที่เคยทำร่วมกันสมัยเขายังเด็กถูกละเลยไป แต่แล้วเมื่อนึกขึ้นได้ว่าสิ่งที่เขากับตามักทำด้วยกันในช่วงเทศกาลนั้นมีอะไรบ้าง นัยน์ตาสีนิลวาวก็ฉายประกายสดใสขึ้น

จริงสิ ทำไมลืมนึกถึงเรื่องง่ายๆ แบบนี้ไปได้นะ ปีที่แล้วก็มัวยุ่งกับทริปไปญี่ปุ่นเลยไม่ได้ถามต้นเลย แต่ดูท่าทางบ้านนี้คงไม่เคยทำกันแน่ๆ

เมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าจะทำตามที่คิด พรพฤกษ์ก็เดินขึ้นห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อใส่ออกไปข้างนอก เมื่ออเดินลงบันไดมาอีกครั้งก็พบยายแสนที่ทำหน้าแปลกใจ

“อ้าว? ตกลงวันนี้คุณไผ่ไม่ได้หยุดหรอกเหรอคะ?”

แม่บ้านสูงวัยถามเมื่อเห็นพรพฤกษ์ถือพวงกุญแจอยู่ในมือ ชายหนุ่มจึงยิ้มพลางส่ายหน้า “เปล่าหรอกครับ ผมจะไปซื้อของกับเดินเล่นหน่อย ป้าแสนจะฝากซื้ออะไรไหมครับ?”

“อุ้ย ตามสบายค่ะพ่อคุณ ไม่ต้องซื้ออะไรมาฝากหรอกค่ะ”

แม่บ้านสูงวัยตอบยิ้มๆ เธอถูกชะตาพรพฤกษ์ตั้งแต่แรกเห็นเพราะหน้าตาคล้ายกับพิมผกาที่เสียไปแล้วมาก แต่เมื่ออีกฝ่ายย้ายมาอยู่ที่นี่ในฐานะคนสำคัญของเจ้านายหนุ่ม ความอ่อนน้อมถ่อมตนและนิสัยชอบเข้าหาผู้ใหญ่ทั้งที่ไม่จำเป็นกับแม่บ้านก็ยิ่งทำให้ยายแสนรู้สึกดีด้วยมากขึ้นไปอีก

“ก็ได้ครับ ถ้างั้นบ่ายๆ คงกลับนะครับ ถ้าคุณลุงกลับมาแล้วป้าแสนโทรบอกผมหน่อยก็ได้ เผื่อผมจะได้กลับมาอยู่เป็นเพื่อน”

ยายแสนพยักหน้าและยิ้มรับขณะมองพรพฤกษ์เดินออกจากบ้านไป จากนั้นก็เดินกลับเข้าไปในครัวเพื่อเตรียมทำความสะอาดบ้านต่อ ในใจของแม่บ้านอาวุโสอิ่มเอมด้วยความสุขกับบรรยากาศที่สมกับความเป็นครอบครัวซึ่งแจ่มชัดมากขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่พรพฤกษ์เข้ามาเป็นสมาชิกในบ้าน



++------++



13 เมษายน, วันมหาสงกรานต์


เวลาเช้าตรู่ที่พระอาทิตย์บนขอบฟ้ายังลอยขึ้นไม่เต็มดวง ตฤณลุกตื่นจากห้วงนิทราด้วยลางสังหรณ์แปลกๆ ปกติผู้สูงวัยก็เป็นคนตื่นเช้าโดยไม่ต้องพึ่งนาฬิกาปลุกอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้เขาจึงรู้สึกราวกับว่ามีอะไรบางอย่างแปลกไป ทว่าพยายามคิดหาสาเหตุเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก

หรือว่า...เพราะวันนี้สองคนนั้นจะไปเชียงใหม่กระมัง...

นายใหญ่บ้านสุวรรณฤทธิ์พยายามคิดว่าคงเป็นเหตุผลจากเรื่องที่รู้ดีอยู่แล้ว เมื่อสรุปกับตัวเองได้ดังนั้นจึงอาบน้ำแต่งตัวเพื่อลงไปทานมื้อเช้าเหมือนเช่นทุกวัน แต่แล้วก็ชะงักเมื่อลงมาถึงหัวบันไดชั้นล่าง

“อรุณสวัสดิ์ค่าคุณท่าน วันนี้ตื่นเช้าจังเลยนะคะ”

ตฤณกะพริบตาปริบๆ เมื่อเห็นยายแสนยืนยิ้มรออยู่หน้าทางเลี้ยวไปห้องอาหาร เพราะปกติอีกฝ่ายจะเพียงแต่คอยยืนดูแลความเรียบร้อยอยู่ด้านใน แต่ที่ทำให้วันนี้หัวหน้าแม่บ้านอาวุโสดูแปลกตากว่าทุกวันก็คือเสื้อเชิ้ตลายดอกสีสันสดใสซึ่งสวมทับผ้าซิ่นและมีผ้าขาวม้าผืนเล็กคาดเอว บนแก้มสองข้างมีรอยประแป้งน้ำเป็นวง รอบคอคล้องพวงมาลัยดอกดาวเรืองสีเหลืองแสดดอกใหญ่ แล้วยังมีดอกมะลิที่ร้อยสลับกับกลีบกุหลาบแดงมุ่นเอาไว้รอบผมมวยด้วย

“ทำไมมายืนอยู่ตรงนี้ วันนี้ไม่ได้ทำมื้อเช้าหรือไง?”

ตฤณถามพลางเดินต่อไปยังห้องอาหาร ยายแสนที่เดินตามจึงตอบพลางยิ้มแป้น “วันนี้อิฉันไม่ได้ทำค่ะคุณท่าน คุณไผ่อาสาเป็นคนจัดการเองค่ะ เสื้อชุดนี้คุณไผ่ก็ซื้อมาให้ด้วยนะคะ”

นายใหญ่ของบ้านเหลือบมองหัวหน้าแม่บ้านที่อยู่ด้วยกันมานานแล้วก็เลิกคิ้ว เริ่มจะเข้าใจว่าลางสังหรณ์แปลกๆ ที่รู้สึกเมื่อเช้าคืออะไร แต่แล้วเมื่อเดินเข้าไปในห้องอาหารก็ยิ่งประหลาดใจกว่าเดิม

บนโต๊ะอาหารที่ปกติปูผ้าสีครีมและมีแจกันดอกไม้วางตรงกลางดูแปลกตากว่าทุกวัน เพราะว่าแจกันที่ปกติยายแสนจะปักดอกไม้ซึ่งตัดมาจากสวนในบ้านหายไป แต่ถูกแทนที่ด้วยพานสีทองใบใหญ่ที่มีขันเงินและพวงมาลัยวางอยู่ ตรงกลางพวงมาลัยคือพระพุทธรูปองค์เล็กที่คงนำลงมาจากห้องพระ ส่วนบนโต๊ะก็มีกลีบดอกไม้ไทยหลากสีทั้งดอกมะลิ กลีบกุหลาบ และกลีบดอกดาวเรืองโรยไว้บางๆ

ตระการซึ่งนั่งที่เก้าอี้ประจำตัวอยู่แล้วลุกขึ้นเมื่อเห็นบิดา ก่อนจะเลื่อนเก้าอี้ตรงหัวโต๊ะให้ “อรุณสวัสดิ์ครับพ่อ”

ตฤณยังงุนงงกับภาพที่เห็นตรงหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ตระการมาเลื่อนเก้าอี้ให้ แต่ก็เดินไปนั่งลงบนที่ประจำแม้จะรู้สึกว่าวันนี้มีแต่เรื่องเหนือความคาดคิดมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกที แต่อย่างน้อยการที่เห็นบุตรชายใส่เสื้อเชิ้ตกับกางเกงยีนส์ขายาวธรรมดาก็ทำให้เขาค่อยวางใจว่าท่ามกลางบรรยากาศแปลกๆ อย่างน้อยก็ยังมีสิ่งที่คุ้นเคยให้สบายใจอยู่บ้าง

“อรุณสวัสดิ์ครับคุณลุง เช้านี้กินข้าวแช่นะครับ”

พรพฤกษ์ถือถาดเดินออกมาจากในครัวแล้ววางลงตรงหน้าตฤณ เมื่อผู้สูงวัยเหลือบตาลงมองก็เห็นว่าในถาดมีข้าวแช่โรยดอกมะลิในถ้วยแก้วใส และมีเครื่องเคียงทั้งลูกกะปิทอด หัวไชโป๊วผัดหวาน ปลาแห้งผัดหวานและพริกหยวกสอดไส้

ตฤณปรายตากลับจากชุดอาหารตรงหน้าขึ้นมองพรพฤกษ์ที่ใส่เสื้อผ้าฝ้ายแขนยาวไม่ฟอกสีกับกางเกงสะดอสีเข้ม จากนั้นก็ถามด้วยเสียงแสดงความสงสัย

“นี่ทำเองรึ?”

พรพฤกษ์ยิ้มแล้วส่ายหน้า “เปล่าครับ นี่ไปซื้อมา เจ้านี้เจ้านายผมแนะนำมาว่าอร่อย”

เด็กแม่บ้านอีกคนและยายแสนยกถาดข้าวแช่อีกสองชุดมาให้สำหรับตระการและพรพฤกษ์ จากนั้นก็ถอยไปยืนรออยู่ด้านข้าง ตฤณเลิกคิ้วเมื่อเห็นว่าแม้แต่เด็กสาวก็แต่งตัวเหมือนหัวหน้าแม่บ้านไม่ผิดเพี้ยน

“นึกอะไรกันขึ้นมา ปกติไม่เห็นเคยแต่งตัวแบบนี้”

“ผมซื้อให้เองแหละครับคุณลุง ไหนๆ วันนี้ก็วันสงกรานต์ทั้งที แล้วเดี๋ยวผมกับต้นก็จะไม่อยู่ ผมเลยคิดว่าถ้าเราได้ทำอะไรตามประเพณีกันบ้างก็ดีเหมือนกัน”

พรพฤกษ์ตอบแทนแม่บ้านทั้งสอง ตฤณจึงมองหน้าคนตอบ จากนั้นก็หันไปเลิกคิ้วมองตระการราวจะถามด้วยสายตาว่ารู้เห็นเป็นใจอยู่แล้วหรือไม่ ตระการจึงยิ้มพลางยกช้อนขึ้นมาถือ

“กินข้าวกันเถอะครับพ่อ”

บุตรชายโทนตัดบท พรพฤกษ์เองก็เพียงแต่ยิ้มแล้วนั่งลงตักข้าวแช่ขึ้นทาน สุดท้ายตฤณจึงต้องทานบ้างเพราะดูจะไม่มีใครอยากขยายความให้เขากระจ่างเพิ่มขึ้นสักคน

หลังจากที่ทั้งสามทานมื้อเช้าเสร็จและให้แม่บ้านยกถาดไปเก็บแล้ว พรพฤกษ์ก็ยกพานตรงกลางโต๊ะมาวางตรงหน้าตฤณแล้วยกขันใบใหญ่ลงวางข้างๆ ในขันมีน้ำลอยดอกไม้ซึ่งเหยาะแป้งร่ำหอมฟุ้งเอาไว้และขันเงินใบเล็กๆ อีกใบลอยอยู่ ตรงกลางพานทองตอนนี้จึงเหลือเพียงพระพุทธรูปองค์เล็กกับพวงมาลัยที่ร้อยสลับสีอย่างพิถีพิถัน

ตฤณเลิกคิ้วมองพรพฤกษ์อย่างไม่ค่อยเข้าใจ

“ตั้งแต่ตอนเด็กๆ ที่ผมอยู่กับตาสองคน พอถึงวันสงกรานต์เราจะไปทำบุญที่วัดด้วยกันแล้วก็รดน้ำพระสงฆ์กับพวกผู้ใหญ่ แต่ตั้งแต่ตาป่วยก็ไม่ได้ทำอีกเลย พอดีผมเพิ่งนึกได้ว่าไหนๆ ที่บ้านนี้ก็มีผู้ใหญ่อยู่ด้วย ก็น่าจะรดน้ำขอพรให้เป็นสิริมงคลกันบ้าง”

“...แล้วแกก็เห็นด้วย?”

ตฤณหันไปถามตระการ ซึ่งเจ้าตัวก็เพียงแต่ยิ้มบางๆ เท่านั้น

“บ้านเราไม่เคยทำแบบนี้กันเลยนะครับพ่อ ตอนไผ่เสนอขึ้นมาผมเลยคิดว่าก็เข้าท่าดี”

พรพฤกษ์ยื่นขันใบเล็กให้ตฤณ ผู้สูงวัยมองใบหน้าที่ส่งยิ้มมาให้แล้วก็ยื่นมือไปรับขันอย่างปฏิเสธไม่ได้ เขาก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพรพฤกษ์ทำให้เขานึกถึงพิมผกา หรือเพราะว่าเขาแพ้วิธียิ้มเพื่อเอาใจของอีกฝ่ายกันแน่ เนื่องจากตระการซึ่งเป็นลูกแท้ๆ ยังไม่เคยประจบเขาแบบนั้นสักครั้ง

“เอ้า....อยากทำกันก็ตามใจ”

พรพฤกษ์กับตระการลอบสบตากันแล้วก็ยิ้ม หลังจากที่ตฤณสรงน้ำพระพุทธรูปเสร็จ พรพฤกษ์ก็เข้าไปสรงน้ำพระต่อบ้าง ตระการยืนจับจ้องอิริยาบถตอนอีกฝ่ายตักน้ำรดไปบนพระพุทธรูปแล้วพนมมือไหว้อย่างไม่ให้คลาดสายตา ขณะที่ริมฝีปากบางก็มีรอยยิ้มน้อยๆ แต้มอยู่ตลอด
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 5 หน้า 20 (อัพวันเถลิงศก 15/04/12)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 15-04-2012 10:55:21
ไม่น่าเชื่อว่าแม้จะคบกันมาเกือบห้าปี และพรพฤกษ์ก็เข้ามาอยู่ที่บ้านนี้จะครบสองปีแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ยังคงทำให้เขาประหลาดใจกับความสามารถที่จะเกลี้ยกล่อมแม้กระทั่งคนหัวแข็งที่สุดในโลกอย่างพ่อของเขาได้ และการที่เจ้าตัวพยายามจะช่วยสร้างบรรยากาศของครอบครัวให้เกิดขึ้นในบ้านหลังนี้ก็ยิ่งทำให้ตระการภูมิใจที่ไขว่คว้าหัวใจดวงนี้มาครองได้สำเร็จมากขึ้นไปอีก

ต้นคิดไม่ผิดจริงๆ นะ ที่ขอให้ไผ่มาอยู่ด้วยกันที่นี่...

ตฤณมองสายตาของตระการที่ส่งให้พรพฤกษ์ขณะอีกฝ่ายยื่นขันใบเล็กให้เพื่อสรงน้ำพระบ้าง จากนั้นผู้อาวุโสก็ส่งเสียงหึขึ้นจมูกเบาๆ

ดูท่าทางลูกชายเขาคงหลงเด็กคนนี้จนกู่ไม่กลับแล้ว…

“เรียบร้อย ทีนี้ขอพวกผมรดน้ำคุณลุงบ้างนะครับ”

“หือ?”

ตฤณยังคิดอย่างกระหยิ่มได้ไม่ทันไร พรพฤกษ์ก็หันมาหาเขา พวงมาลัยดอกมะลิที่ไม่รู้ว่าเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ถูกสวมลงมารอบคอก่อนที่เขาจะถูกดึงให้นั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง และยายแสนก็ยกอ่างเปล่าอีกใบมาให้เพื่อจะได้เอาไว้รองน้ำ

“รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ไงครับคุณลุง ต้นจะรดให้พ่อก่อนมั้ย?”

ท้ายประโยคพรพฤกษ์หันไปถามตระการที่ยืนกอดอกอยู่ข้างๆ คนถูกถามจึงส่ายหน้ายิ้มๆ “ไม่ล่ะ ไผ่ทำให้ดูก่อนก็แล้วกัน ต้นไม่เคยทำ”

พรพฤกษ์ฟังคำตอบแล้วก็เลิกคิ้วสูงอย่างแปลกใจ ดูเหมือนคนบ้านนี้จะไม่คุ้นเคยกับการทำอะไรตามประเพณีกันเอาเสียจริงๆ เขาจึงเริ่มก่อนด้วยการนั่งคุกเข่าลงกับพื้นหน้าตฤณ จากนั้นก็ลากอ่างเปล่ามารองไว้ใต้มือของผู้สูงวัยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ แล้วค่อยหันไปเอาขันใบเล็กตักน้ำลอยดอกไม้ที่เหลือในขันใบใหญ่มารดลงไปบนฝ่ามือของตฤณช้าๆ

“ขอให้คุณลุงสุขภาพแข็งแรง โรคหัวใจไม่กำเริบอีก เจอแต่เรื่องดีๆ แล้วก็อยู่กับผมกับต้นไปนานๆ นะครับ”

พอรดน้ำหมดขัน พรพฤกษ์ก็ยกมือไหว้ พอเห็นนัยน์ตาสีนิลสดใสที่เหลือบขึ้นมองเขาอีกครั้ง ตฤณก็อ้ำๆ อึ้งๆ ไปครู่หนึ่ง

คำอวยพรของพรพฤกษ์นั้นช่างเต็มเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ ต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับคำอวยพรจากพวกลูกน้องหรือคู่ค้าทางธุรกิจที่มักเพียงแต่มอบให้เขาตามมารยาท และผู้อาวุโสก็ประดักประเดิดด้วยไม่เคยชินกับการแสดงความห่วงใยอย่างตรงไปตรงมาเช่นนั้น

ด้วยอายุที่ผ่านโลกมาหกสิบกว่าปี เขาย่อมต้องเคยทำพิธีรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่สมัยยังเป็นหนุ่ม กระนั้นความที่ไร้ญาติมิตรก็ทำให้ไม่เคยเป็นฝ่ายถูกรดน้ำเองจากลูกหลานเช่นนี้ อึดใจหนึ่งผ่านไปจึงค่อยนึกได้ว่าต้องอวยพรให้อีกฝ่ายกลับ

มือผอมกร้านที่ยังหมาดชื้นจากน้ำลอยดอกไม้เมื่อครู่ยกขึ้นลูบผมของพรพฤกษ์เบาๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงแห้งเล็กน้อย

“ขอบใจ ขอให้เธอสุขภาพแข็งแรงเหมือนกัน”

พรพฤกษ์ยิ้มตอบก่อนจะกราบลงบนตักเขา ร่างเพรียวลุกขึ้นพลางหันไปยื่นขันใบเล็กในมือให้ตระการ ร่างสูงใหญ่จึงค่อยหันไปตักน้ำลอยดอกไม้แล้วนั่งคุกเข่าลงหน้าตฤณ

ความเงียบแขวนอยู่ในอากาศระหว่างพ่อลูกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ตระการจะกระแอมเบาๆ แล้วค่อยรดน้ำลงบนมือของบิดาที่ยื่นออกมา

ตฤณจ้องมองกระหม่อมศีรษะของลูกชายที่กำลังรดน้ำใส่มือนิ่ง

“ผมหวังว่าปีนี้จะเป็นปีที่ดีของพ่อ เช่นเดียวกับปีต่อๆ ไปหลังจากนี้ ขอให้ปัญหาทางสุขภาพหมดไป จะได้คอยดูความสำเร็จของผมไปเรื่อยๆ นะครับ”

ตระการอวยพรเสร็จก็วางขันที่รดน้ำกลับลงในขันใบใหญ่  จากนั้นก็ก้มลงกราบบนตักของพ่อตัวเอง เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เขาก็ประสานสายตากับตฤณที่มองลงมาอยู่แล้ว

คำอวยพรนั้นแทนความในใจของเขาได้ดีที่สุด ว่าจะมุ่งมั่นดูแลธุรกิจที่ได้รับมอบหมายต่อไป เช่นเดียวกับความปรารถนาดีที่มีต่อบิดาไม่เคยเปลี่ยน ถึงแม้ทั้งคู่จะเคยห่างเหินและไม่เข้าใจกันมายี่สิบกว่าปีก็ตาม

ตฤณจ้องมองนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่มองตรงมา ถึงแม้จะไม่อาจพูดได้ว่าเขารักแม่ของตระการเท่ากับพิมผกา แต่ถึงอย่างไร...ชายหนุ่มตรงหน้าก็คือเลือดเนื้อเชื้อไขที่เขาเลี้ยงดูและทุ่มเทฝากความหวังมาตลอด และหลายปีที่ผ่านมาก็พิสูจน์แล้วว่าอีกฝ่ายทำทุกอย่างที่เขาต้องการได้อย่างไม่บกพร่อง แถมยังทำได้ดีเกินกว่าที่เขาคาดหวังเอาไว้เสียด้วยซ้ำ

ถึงแม้ว่าการที่ไม่เคยบอกรักบุตรชายมาก่อนจะทำให้คำนั้นยากจะหลุดจากปาก แต่อย่างน้อยตฤณก็ยังมีวิธีแสดงความรู้สึกของเขา ถึงแม้จะอ้อมค้อมไปบ้างตามประสาคนแก่ที่ไม่ชินกับการแสดงความอ่อนโยนก็ตาม

มือผอมกร้านยื่นออกไปลูบผมที่ตัดสั้นของลูกชาย ฝ่ามือนั้นค้างไว้นานกว่าตอนที่อวยพรกลับให้พรพฤกษ์เล็กน้อย จากนั้นจึงค่อยเอ่ยขึ้น

“อย่าทำให้ฉันผิดหวังก็แล้วกัน”

ตระการยิ้มก่อนจะก้มลงกราบเขาอีกครั้ง พรพฤกษ์มองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกเต็มตื้นอยู่ในอก อาจเพราะเขาเริ่มชินแล้วที่สองพ่อลูกคู่นี้จะไม่พูดแสดงความรู้สึกห่วงใยกันตรงๆ แต่อย่างน้อย...สิ่งที่สัมผัสได้ในน้ำเสียงและแววตาก็ชดเชยสิ่งที่ขาดหายไปจากคำพูดที่ฟังเผินๆ อาจดูเหมือนห่างเหินได้แล้ว

“จริงสิ...ป้าแสนกับนิดจะรดน้ำคุณลุงด้วยไหมครับ?” พรพฤกษ์หันไปทางหัวหน้าแม่บ้านเมื่อนึกขึ้นได้ คนถูกถามจึงยกมือขึ้นตบอกพร้อมกับสีหน้าตกใจ

“อุ้ย! ได้เหรอคะ?”

ยายแสนทำน้ำเสียงตื่นๆ พลางหันไปมองเด็กผู้ช่วยที่ยืนอยู่ข้างๆ ซึ่งกำลังยิ้มแหยๆ พรพฤกษ์จึงหันกลับไปหานายใหญ่ของบ้านพลางเอ่ยยิ้มๆ

“ต้องได้สิครับ ป้าแสนกับนิดก็ทำงานกับคุณลุงมาตั้งนานแล้วนี่นา”

ตฤณเลิกคิ้ว แต่ก็พบว่ามาถึงขั้นนี้ จะวางท่าปฏิเสธไปก็เสียเวลาเปล่า จึงเพียงปรายตามองไปทางสองแม่บ้านต่างวัยแล้วพูดเสียงนิ่ง

“ถ้าจะรดน้ำก็รีบมา”

“ว้าย! ขอบคุณค่ะคุณท่าน”

ยายแสนยิ้มแย้มพลางรดน้ำขอพรตฤณ ก่อนที่นิดจะทำตามบ้างด้วยท่าทีกล้าๆ กลัวๆ หลังจากทั้งสองรดน้ำขอพรจากนายใหญ่ของบ้านเสร็จเรียบร้อย หัวหน้าแม่บ้านก็ทำท่าจะหยิบขันน้ำลอยดอกไม้และอ่างไปเททิ้ง พรพฤกษ์จึงรีบห้ามไว้และหยิบขันมาถือเอง

“เดี๋ยวก่อนครับป้าแสน ผมว่าจะเอาขึ้นไปรดน้ำรูปของแม่บนห้องพระด้วย ยังไม่ต้องเก็บก็ได้ครับ”

“อ้อ? จะเอางั้นเหรอคะคุณไผ่?”

หัวหน้าแม่บ้านสูงวัยเลิกคิ้ว ตระการหันไปมองพรพฤกษ์แล้วก็เข้าใจ จึงหยิบอ่างน้ำในมือของยายแสนไปถือบ้าง

“เดี๋ยวผมช่วยไผ่เอาไปข้างบนเองครับ”

พรพฤกษ์หันไปทางตฤณ “คุณลุงก็ไปด้วยกันสิครับ”

ตฤณที่กำลังหยิบทิชชู่มาซับมือเพียงแต่พยักหน้าบางๆ แต่ไม่ได้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ “ไปกันก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันค่อยตามขึ้นไป”

เมื่อคล้อยหลังชายหนุ่มทั้งสอง ตฤณยังคงนั่งนิ่งมองมือของตนที่เพิ่งถูกรดน้ำไป กลิ่นหอมอ่อนๆ ของแป้งร่ำและดอกไม้ยังคงอวลอยู่เจือจางแม้จะไม่ยกมือขึ้นแตะจมูก และความอบอุ่นของบรรยากาศที่ยังอ้อยอิ่งก็ทำให้ในอกของผู้สูงวัยอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกอันไม่เคยคุ้น

วันของครอบครัว....เป็นแบบนี้เองสินะ เด็กคนนั้นก็พยายามเกินคาด…

มุมปากของตฤณยกขึ้นเล็กน้อยเมื่อนึกถึงสิ่งที่พรพฤกษ์ทำในวันนี้เพื่อให้เขากับตระการได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น แต่แล้วเมื่อกำลังจะลุกจากเก้าอี้ก็เห็นแม่บ้านอาวุโสที่ยืนอยู่ไม่ห่างยิ้มแป้น เขาจึงวางสีหน้าเรียบนิ่งเช่นเดิมและถามด้วยน้ำเสียงติดรำคาญหน่อยๆ

“ไม่มีงานอะไรต้องไปทำหรือไง?”

รอยยิ้มบนใบหน้าของหญิงสูงวัยขยายกว้างกว่าเดิม “มีเจ้าค่ะคุณท่าน แต่พอดีอิฉันเพิ่งนึกได้ ว่าจริงๆ แล้วที่คุณท่านไม่ยอมไปเชียงใหม่กับคุณต้นคุณไผ่ จริงๆ ไม่ใช่เพราะเกลียดการเดินทางอย่างเดียวหรอก แต่เพราะไม่อยากไปเป็น ก.ข.ค. สองคนนั้นใช่ไหมล่ะคะ?”

เพราะว่าทำงานรับใช้มานานสามสิบกว่าปี หัวหน้าแม่บ้านอาวุโสจึงมีสัญชาตญาณเกี่ยวกับทั้งนายใหญ่และนายน้อยของบ้านมากพอจะอ่านสีหน้าท่าทางของแต่ละคนออก ดังนั้นนอกจากจะมองออกว่าตระการทั้งรักทั้งหลงพรพฤกษ์เอามากๆ แล้ว ยายแสนก็มองออกด้วยว่าสายตาของตฤณมักจะอ่อนโยนกว่าปกติเวลาที่เห็นตระการกับพรพฤกษ์แสดงความห่วงใยกันและกัน ซึ่งอาจเป็นเพราะนึกถึงตัวเองสมัยยังหนุ่มกับพิมผกาซึ่งเป็นผู้หญิงที่เคยรักที่สุดก็เป็นได้

ตฤณมองแววตารู้ทันของหัวหน้าแม่บ้านอย่างหน่ายๆ แต่ก็คร้านจะเอ็ดเพราะเดี๋ยวจะทำลายบรรยากาศดีๆ ที่พวกลูกชายสร้างไว้เสียหมด จึงเพียงเลื่อนเก้าอี้เข้าที่เดิมแล้วเดินผ่านหน้าอีกฝ่ายไป

“ฉันไม่จำเป็นต้องไปขัดเวลาความสุขของลูกฉันนี่”

ถึงแม้เจ้าตัวจะไม่ยอมรับตรงๆ ต่อหน้า แต่หลังจากที่ทำใจยอมรับพรพฤกษ์และอนุญาตให้ตระการพามาอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน ผู้สูงวัยก็สังเกตเห็นว่าบุตรชายมีชีวิตชีวามากขึ้น และดูเหมือนความอ่อนโยนและช่างเอาใจใส่ของพรพฤกษ์จะทำให้บรรยากาศที่เคยอึมครึมระหว่างพ่อลูกและคนอื่นๆ ในบ้านค่อยๆ จางหาย เพื่อเป็นการตอบแทน และชดเชยที่เคยพรากทั้งสองจากกัน เขาจึงอยากปล่อยให้ตระการกับพรพฤกษ์ได้ใช้เวลาด้วยกันอย่างเป็นอิสระโดยที่มีเขาไปข้องเกี่ยวให้น้อยที่สุด

ยายแสนส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มเมื่อนายใหญ่ของบ้านเดินออกจากห้องอาหารไป ความเปลี่ยนแปลงของตฤณจากที่เคยเห็นมาตลอดสามสิบกว่าปีทำให้แม่บ้านสูงวัยอดคิดไม่ได้ว่าแม้แต่ไม้แก่ก็ยังอาจดัดได้ ถึงแม้ว่าจะยากกว่าไม้อ่อนอยู่มากก็ตาม แต่หากไม้แก่ต้นนั้นได้รับการเอาใจใส่ดูแลอย่างระมัดระวังเพียงพอ แม้แต่สิ่งประหลาดมหัศจรรย์ที่ใครๆ ก็ไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นก็สามารถเป็นไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ ดูจากท่าทีของตฤณที่เริ่มโอนอ่อนให้ผู้คนรอบตัวมากขึ้น แล้วยังอาการโรคหัวใจที่ดีวันดีคืนนั่นเป็นตัวอย่างปะไร

โชคดีจริงๆ ที่คุณต้นพาคุณไผ่มาอยู่ที่นี่...

แม่บ้านสูงวัยเดินกลับเข้าไปในห้องครัวเพื่อสั่งให้เด็กผู้ช่วยทำความสะอาดห้องอาหาร ก่อนที่ตัวเองจะเดินต่อไปยังห้องด้านหลังเพื่อนำผ้าที่ซักไว้ออกตาก ท้องฟ้าที่สดใสและมีกลิ่นสดชื่นของสายลมจางๆ เป็นสัญญาณที่ดีว่าวันนี้คงจะอากาศแจ่มใสไปทั้งวันโดยไม่ต้องกลัวว่าผ้าจะไม่แห้ง

ในวันธรรมดาที่พิเศษกว่าวันอื่นๆ เช่นนี้....ความสงบสุขก็ยังคงกรุ่นกำจายภายในบ้านสุวรรณฤทธิ์เหมือนเช่นทุกวัน…



++---End---++



A/N: อันว่าทุกอย่างย่อมมีที่มาที่ไป อย่างตอนพิเศษสำหรับสงกรานต์ของต้นกับไผ่นี่ก็ไม่เคยมีไอเดียมาก่อนเลยว่าจะเขียน แต่พอดีเมื่อช่วงต้นเดือนไปเที่ยวเชียงใหม่มา แล้วเมื่อไม่กี่วันก่อนก็หยิบแม้นมั่นคำสัญญาฉบับรวมเล่มมาอ่านทวนอีกครั้ง ทีนี้พอกำลังจะเปิดโน้ตบุ๊คเพื่อทำงาน ไอเดียของตอนพิเศษนี้มันก็ดันไหลเข้ามาเองซะอย่างนั้นล่ะค่ะ เพียงแต่บรรยากาศโดยรวมจะเน้นไปทาง ‘ความเป็นครอบครัว’ มากกว่าความหวานแหวว ก็ได้แต่หวังว่าจะช่วยให้แฟนๆ ที่เคยทักว่าอยากอ่านตอนพิเศษของต้นกับไผ่หายคิดถึงกันบ้าง แล้วก็ไหนๆ แล้ว ใครที่เคยบอกไว้ว่าอยากอ่านตอนพิเศษคู่นี้ก็มาลงชื่อและทิ้งคอมเม้นต์ให้คนเขียนชื่นใจกันหน่อย จะได้มีกำลังใจเขียนตอนใหม่มาให้อ่านกันอีกน้า

ปล. เพิ่งนึกได้ว่าตอนนี้เรื่องนี้เขียนจบและรวมเล่มมาครบปีแล้วล่ะ เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ

ปล.2 ที่นับตอนนี้เป็นตอนพิเศษ 5 เนื่องจากตอนพิเศษ 2 กับ 3 นั้นอยู่ในรวมเล่มเท่านั้นนะคะ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 5 หน้า 20 (อัพวันเถลิงศก 15/04/12)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 15-04-2012 15:54:51
ตอนหน้าขอเป็นตอนพิเศษวันเข้าพรรษานะคะ  คริ คริ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 5 หน้า 20 (อัพวันเถลิงศก 15/04/12)
เริ่มหัวข้อโดย: Horizon ที่ 15-04-2012 18:36:46
สุขสันต์วันสงกรานต์ครับ :mc4:
+1
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 5 หน้า 20 (อัพวันเถลิงศก 15/04/12)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 15-04-2012 18:51:37
ตอนหน้าขอเป็นตอนพิเศษวันเข้าพรรษานะคะ  คริ คริ

กร๊ากกกกก จะให้เล่นทุกเทศกาลเลยใช่ม้าย XD
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 5 หน้า 20 (อัพวันเถลิงศก 15/04/12)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 15-04-2012 22:28:59
มายื่นหน้าขอบคุณสำหรับตอนพิเศษค่ะ
เราก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยรดน้ำสงกรานต์ผู้สูงอายุที่บ้าน
มันเขินอ่ะ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 5 หน้า 20 (อัพวันเถลิงศก 15/04/12)
เริ่มหัวข้อโดย: LM1412 ที่ 05-08-2012 14:47:24
 o13 o13 :bye2: :bye2:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 5 หน้า 20 (อัพวันเถลิงศก 15/04/12)
เริ่มหัวข้อโดย: NewYearzz ที่ 06-08-2012 12:45:39
ขอบคุณคุณผู้แต่งมากๆสำหรับนิยายที่ดีมากๆและน่ารักเรื่องนี้ครับ

อ่านแล้วผมรู้สึกดีมากๆจริงๆ ให้ความรู็สึกอบอุ่นมากๆ

ที่สำคัญ เรื่องของนอกับบอยนี่น่าสนใจมากๆอ่าครับ

สักวันผมจะสอยเล่มนี้มากอ่านให้ได้

รักไผ้รักต้นมากๆครับ

ขอบคุณมากๆนะครับ :L2:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 5 หน้า 20 (อัพวันเถลิงศก 15/04/12)
เริ่มหัวข้อโดย: mostz ที่ 12-08-2012 15:17:34
ขอบคุณสำหรับนิยาย ดีๆนะครับ :) :) :)
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 5 หน้า 20 (อัพวันเถลิงศก 15/04/12)
เริ่มหัวข้อโดย: Magis ที่ 01-09-2012 14:48:21
 ชอบตอนต้นอ้อนไผ่อะ น่ารักซะ ตอนไผ่อู้คำเมืองก็น่ารักไม่แพ้กันเลยครับ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 5 หน้า 20 (อัพวันเถลิงศก 15/04/12)
เริ่มหัวข้อโดย: Pam_ban ที่ 17-10-2012 20:52:19
มันตื้นตันมาก ๆ อ่านแบบนำ้ตาเอ่อไป พอรู้ตัวอีกทีก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองรักและคิดถึงต้นกับไผ่มากขนาดไหน
อ่านในเล่มไปสามรอบแล้วค่ะ เป็นนิยายสุดประทับใจ ทั้งภาษาที่สวยแล้วยังคำบรรยายที่บีบคั้นอารมณ์อย่างหนัก รวมทั้งฉากรักอันร้อนแรงเป็นธรรมชาติ มันผสมผสานกันจนลงตัวมาก ๆ ค่ะ ชอบเรื่องนี้มากจริง ๆ ขอบคุณสำหรับนิยายดี ๆ ที่มีมาให้ได้อ่านค่ะ
จากใจ :  ไม่เคยคิดเลยว่ามีนิยายแนวyaoi ที่ใช้ภาษาสวยอย่างนี้ ประทับใจจริง ๆ  o13
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 5 หน้า 20 (อัพวันเถลิงศก 15/04/12)
เริ่มหัวข้อโดย: Baitaew ที่ 21-10-2012 05:32:06
T^T น้ำตาคลอเลย เกือบจะร้องแล้วถ้าไม่กลั้นเอาไว้ จบเรื่องได้ซึ้งมากเลย

มันเหมือนกับปลดเอาทุกสิ่งทุกอย่างออก

กว่าทั้งสองจะอยู่ด้วยกันจริงๆนี่มันช่างยาวนานนัก

ผู้ชายอย่างต้นนี่มันยังเหลืออีกเยอะไหม

ต้นกับไผ่ ทั้งสองช่างมั่นคงในรักที่มีให้กัน ถ้าหากในสังคมมีความรักที่มั่นคงแบบนี้คงดีไม่น้อย


ชอบเรื่องนี้ สนุก น่ารัก เศร้า ซึ้ง กินใจ ภาษาสวย :)

ปล.ตอนพิเศษมาอ่านวันหลังแล้วกัน ตอนนี้ขอตัวไปนอนก่อน คร่อก~~
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 5 หน้า 20 (อัพวันเถลิงศก 15/04/12)
เริ่มหัวข้อโดย: Baitaew ที่ 21-10-2012 19:39:22
อ่านจบแล้ว เย่ๆ

น่ารักกันได้อีกนะ >.<

อยากอ่านเรื่องของนอ-บอย จัง ^^


ปล.ความจริงรู้จักเรื่องนี้ที่ร้านหนังสือ แล้วค่อยมารู้ว่าในเล้าก็มี :)
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 5 หน้า 20 (อัพวันเถลิงศก 15/04/12)
เริ่มหัวข้อโดย: Pam_ban ที่ 07-12-2012 21:11:43
มาลงชื่อรอตอนพิเศษค่ะ จะติดตาม อย่างใกล้ชิด คิดถึงต้นกับไผ่  :กอด1:
และอยากอ่านคู่พิเศษนอกับบอยด้วเหมือนกันค่ะ  :impress2:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 5 หน้า 20 (อัพวันเถลิงศก 15/04/12)
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 08-12-2012 01:33:31
เพิ่งได้อ่านค่ะ มาจากเรื่ิองคุณเชษฐ์ รวดเดียวจบ 555 มาราธอนมาก อย่างมึน

แต่งเรื่องนี้ได้ดีมากเลยค่ะ อ่านแล้วทำให้ยิ้มและร้องไห้ตามได้เลยทีเดียว ขอบคุณนะคะ ว่าแต่ ตอนพิเศษปีใหม่ซักหน่อยมั่ยคะ 5555
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 5 หน้า 20 (อัพวันเถลิงศก 15/04/12)
เริ่มหัวข้อโดย: nano ที่ 09-12-2012 18:38:41
น่ารัก อบอุ่น ชอบมากกก
ผู้ชายแบบคุณต้นนี้หาจากไหนเนี่ย จะตามไปเก็บ555
เป็นเรื่องที่ีมากกกเลย ได้ข้อคิดอะไรๆหลายอย่าง
ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 5 หน้า 20 (อัพวันเถลิงศก 15/04/12)
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 28-12-2012 10:18:39
ขอบคุณทุกคอมเม้นต์มากๆ เลยค่ะ ไม่ได้เข้าห้องนิยายจบแล้วมานานมาก ก็นะ...ไม่นึกว่าจะมีใครขุดขึ้นมาอ่าน แหะๆๆ จู่ๆ วันนี้นึกคึกอยากดูว่ามีคอมเม้นต์ใหม่ๆ หลังจากมาดูครั้งสุดท้ายบ้างไหม ปรากฏว่ามีหลายท่านเลย ทั้งที่ติดตามมาจากการอ่านเรื่องอื่นด้วย ขอบคุณมากๆ นะคะ ทุกคนทำให้เรารู้สึกดีใจมากที่ได้เขียนเรื่องนี้ (เป็นนิยายเรื่องแรกที่แต่งด้วย แถมเวอร์ชั่นในเล้ากับเวอร์ชั่นในรวมเล่มจะต่างกันนิดหน่อยอีก) สัญญาว่าถ้าหากมีตอนพิเศษของต้นกับไผ่อีกจะมาลงให้อ่านกันแน่นอนค่ะ :)
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 5 หน้า 20 (อัพวันเถลิงศก 15/04/12)
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 03-01-2013 21:21:49
ตามมาอ่านเป็นเรื่องที่สองต่อจากไรอัน อิอิ
เรื่องนี้อ่านแล้วสุขเศร้าเคล้าน้ำตาจริงๆ
ชื่นชมต้นที่มีความอดทน มีความพยามมากๆ เพื่อที่จะทำเพื่อคนที่รัก (แอบอิจฉาไผ่มากกกกกกกกก)
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆอีกเรื่องค่ะ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 5 หน้า 20 (อัพวันเถลิงศก 15/04/12)
เริ่มหัวข้อโดย: samsung009 ที่ 09-01-2013 16:35:19
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ 5 หน้า 20 (อัพวันเถลิงศก 15/04/12)
เริ่มหัวข้อโดย: genieposh ที่ 09-01-2013 21:53:03
เพิ่งได้อ่าน ชอบมากๆเลยเรื่องนี้ คราวหน้าขอตอนพิเศษอีกนะครับ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา รีปรินท์จ้า [27/01/13]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 27-01-2013 23:29:53
ประกาศรีปรินท์รวมเล่มเรื่อง แม้นมั่นคำสัญญาค่า ถ้าหากใครสนใจอยากเก็บสะสมเรื่องนี้แบบรวมเล่ม สามารถดูรายละเอียดได้ที่หน้า 1 หรือสอบถามที่อีเมล์ bellbomb[at]hotmail dot com ค่า
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา รีปรินท์จ้า [27/01/13]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 28-02-2013 12:41:53
แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษ ชื่อ

ลมเย็นยามเช้าหอบกลิ่นหอมของน้ำค้างบนหญ้าเขียวและแมกไม้ริมรั้วให้โชยเข้ามาในบ้านไม้ริมเชิงเขา พรพฤกษ์ผลักบานหน้าต่างให้เปิดกว้างมากขึ้นจนผ้าม่านโปร่งปักลายพะเยิบพะยาบเล็กน้อย เมื่อเขาหันกลับเข้ามาในตัวบ้านก็พบกับร่างสูงใหญ่ของแขกผู้มาพักที่กำลังเดินลงมาจากชั้นบน

“ตื่นเช้านะครับคุณต้น”

ตระการยิ้มตอบเจ้าของเกสต์เฮ้าส์ที่ยังคงเรียกชื่อเขาด้วยคำนำหน้า เอาเถอะ อย่างน้อยก็เพิ่งเจอกันเมื่อวานเลยยังไม่คุ้นเคยกันเท่าไหร่ แต่อีกไม่นานหรอก เขาจะต้องทำให้อีกฝ่ายเรียกชื่อของเขาเฉยๆ ให้ได้

“เตียงนอนสบายดีครับ แต่คงเพราะแปลกที่เลยตื่นไว แต่ก็ดีเหมือนกัน วิวตอนพระอาทิตย์ขึ้นจากบนห้องสวยดี”

ผู้เป็นแขกเอ่ยพลางเดินเข้ามาใกล้มากขึ้น พรพฤกษ์ซึ่งมัวแต่รวบชายผ้าม่านจึงไม่รู้ตัวว่าถูกสายตาคมกล้าจับจ้องแผ่นหลังนิ่ง

“พอดีเลย เมื่อเช้าเพื่อนผมที่ทำร้านเบเกอรี่ในเมืองแวะเอาสโคนกับแยมขึ้นมาฝาก คุณต้นนั่งรอเดี๋ยวนะ ผมจะไปอุ่นมาให้เป็นมื้อเช้าก็แล้วกัน”

“ให้ผมช่วยอะไรมั้ย?”

เจ้าของเกสต์เฮ้าส์หนุ่มหันมายิ้มให้ “ไม่ต้องหรอกครับ แค่อุ่นสโคนแป๊บเดียว คุณต้นดูทีวีหรืออ่านหนังสือรอก่อนก็ได้”

ว่าแล้วคนพูดก็เดินหายเข้าไปในครัว ตระการจึงไม่ได้เซ้าซี้และเพียงนั่งหยิบหนังสือมาเปิดอ่านรอ ไม่กี่นาทีก็ได้กลิ่นหอมของขนมกับชาที่ลอยตามเจ้าของเกสต์เฮ้าส์ซึ่งกำลังยกถาดมื้อเช้าออกมา

“เพื่อนผมเคยไปเรียนทำขนมที่ฝรั่งเศสก่อนจะกลับมาแต่งงาน  ของทุกอย่างในร้านก็ทำเองหมด แยมเสาวรสนี่อร่อยมากเลย ส่วนชาดอกไม้นี่ก็ของขึ้นชื่อของที่ร้านเขาเหมือนกัน”

ตระการยิ้มมองใบหน้าของคนที่กำลังแนะนำสิ่งต่างๆ ซึ่งวางเรียงอยู่บนโต๊ะอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะหยุดสายตาลงบนแก้วเครื่องดื่มสีน้ำตาลอ่อน คิ้วดกหนาเลิกขึ้นด้วยความแปลกใจ

“นี่ดื่มกาแฟเย็นแต่เช้าเลยเหรอครับ?”

“อ้อ...นั่น...” พรพฤกษ์ยิ้มแหย “ตอนแรกผมกะตักน้ำตาลใส่กาแฟแค่ช้อนเดียว แต่ซุ่มซ่ามเลยเผลอทำน้ำตาลหล่นจากกระปุกไปเยอะจนหวานเจี๊ยบ จะเททิ้งก็เสียดายเลยใส่น้ำแข็งให้เป็นกาแฟเย็นแทน”

คนฟังหัวเราะเมื่อนึกภาพตาม ให้เสียดายอยู่ครามครันที่เมื่อครู่ไม่เดินตามเข้าไปในครัว ใบหน้าตอนพรพฤกษ์ตกใจที่เผลอทำน้ำตาลหกใส่กาแฟมากเกินไปคงน่ารักน่าชมทีเดียว

“ถ้างั้นผมขอกาแฟแก้วนั้นก็แล้วกัน”

“อ๊ะ ถ้างั้นเดี๋ยวผมไปเอาแก้วชามาให้อีกใบดีกว่า เผื่อจะได้ล้างปากเพราะกาแฟมันหวานมากเลย”

พรพฤกษ์เอ่ยพลางลุกเข้าไปในครัวอีกครั้ง ตระการจึงลองหยิบกาแฟเย็นแก้วนั้นขึ้นมาจิบ แล้วก็ขมวดคิ้วนิดหนึ่งเพราะหวานมากจริงๆ ด้วย

“นี่ครับคุณต้น เดี๋ยวถ้าวันหลังมีเวลาผมจะพาไปนั่งที่ร้านของเพื่อนผมนะ ที่นั่นมีขนมอย่างอื่นน่ากินให้เลือกอีกเยอะ”

ตระการเหลือบตาขึ้นมองใบหน้ายิ้มแย้มของพรพฤกษ์ที่วางถ้วยชาให้เขาก่อนจะทรุดตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม วูบหนึ่งให้รู้สึกราวกับภาพตรงหน้าเป็นความฝัน เพราะตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันหนึ่งที่ได้เจอตัวจริงของพรพฤกษ์ ได้มานั่งพูดคุยและทานมื้อเช้าร่วมกันเช่นนี้จริงๆ

ถ้าเขาอาจหาญยื่นมือไปคว้าความฝันมาอยู่ในอ้อมแขนตอนนี้...ความฝันจะตกใจแล้วบินหนีไปจากเขาหรือเปล่า

“จริงสิ คุณต้นมีแผนจะไปไหนวันนี้หรือยัง? ถ้าหากจะเข้าเมืองเดี๋ยวผมขับรถไปส่งก็ได้นะ ช่วงนี้ผมว่างด้วยเพราะไม่มีแขกคนอื่นมาพักเลย”

น้ำเสียงรื่นหูปลุกตระการจากภวังค์ อย่างน้อยก็คงมีรอยยิ้มและคำเรียกขานอย่างเป็นมิตรนี่กระมังที่ยืนยันกับเขาว่าความฝันมีตัวตนจริงๆ

“นั่นสิ ผมก็ไม่มีแผนซะด้วยเพราะไม่เคยมาเชียงใหม่เลย ไผ่แนะนำให้หน่อยสิว่าควรไปเที่ยวที่ไหน”

ตระการถามพลางเท้าคางลงบนแขนข้างหนึ่ง ดูเหมือนวิธีเรียกชื่อของเขาจะทำให้คนตรงหน้าชะงักไปชั่ววินาที นัยน์ตาคมหวานสีนิลกะพริบปริบๆ ประหนึ่งไม่แน่ใจกับความสนิทสนมที่เขาตั้งใจยื่นให้ และตระการก็รอดูว่าอีกฝ่ายจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบอย่างไร

ประกายวิบวับในดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่จ้องมองมาทำให้พรพฤกษ์สับสนไปชั่วครู่ ทั้งที่เขาตั้งใจจะปฏิบัติตัวต่ออีกฝ่ายอย่างที่เจ้าของที่พักพึงปฏิบัติต่อแขกผู้มาใช้เวลาด้วยประเดี๋ยวประด๋าวแล้วก็จากไป แต่ดูเหมือนคู่กรณีจะไม่พอใจกับระยะห่างที่เขาทิ้งไว้ให้สินะ

ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ...อยากเรียกชื่อห้วนๆ เหมือนเป็นเพื่อนกันนักใช่ไหม ถึงจะรู้สึกตะขิดตะขวงอยู่บ้างเพราะตานี่เด็กกว่าเขาตั้งสองปีก็เถอะ

พรพฤกษ์คิดอย่างกึ่งขำกึ่งฉิว ก่อนจะหยิบสโคนในจานขึ้นมาบิออกทาแยมแล้วยื่นส่งให้อีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้มกว้างไม่ต่างกัน ดูท่าเขาคงต้องหัดทำความคุ้นเคยกับ ‘แขก’ ที่ไม่อยากเป็นเพียงแขกคนนี้ให้มากขึ้นเสียแล้ว

“นั่นสิ...ถ้างั้น เริ่มจากพาต้นไปไหว้พระที่ดอยสุเทพก่อนเป็นไง?”


--End ตอนพิเศษ ชื่อ--
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา รีปรินท์จ้า [27/01/13]
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 28-02-2013 12:55:10
(http://sphotos-c.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash3/581903_341652049289177_2027462049_n.jpg)

A/N: พอดีเมื่อเร็วๆ นี้เพิ่งไปเชียงใหม่มา ประกอบกับที่แฟนเพจมีสมาชิกครบ 555 คน ก็เลยเขียนตอนพิเศษสั้นๆ ของเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นการฉลองค่ะ เนื้อหาเกิดขึ้นหลังจากคืนแรกที่ต้นไปพักที่เกสต์เฮ้าส์ของไผ่ตอนเริ่มเรื่องเลยขอบคุณแรงบันดาลใจจากขนมและกาแฟอร่อยๆ ที่ร้าน Paper Spoon ด้วยค่า (ไม่ได้ค่าโฆษณาอะไรเล้ย ไปนั่งแล้วชอบเจ๋ยๆ หุหุหุ)
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษที่หน้า 21จ้า [28/02/13]
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 28-02-2013 13:50:35
เริ่ม..ต้น  ได้สวย หวาน หอม อร่อย
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษที่หน้า 21จ้า [28/02/13]
เริ่มหัวข้อโดย: ขนมสัมปันนี ที่ 28-02-2013 16:38:17
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษที่หน้า 21จ้า [28/02/13]
เริ่มหัวข้อโดย: JAROEN ที่ 01-03-2013 00:12:28
 :n1: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษที่หน้า 21จ้า [28/02/13]
เริ่มหัวข้อโดย: beery25 ที่ 01-03-2013 00:21:23
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษที่หน้า 21จ้า [28/02/13]
เริ่มหัวข้อโดย: JA(e)jung ที่ 03-03-2013 22:15:31
คิดถึงคู่นี้จริงๆ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษที่หน้า 21จ้า [28/02/13]
เริ่มหัวข้อโดย: Horizon ที่ 06-03-2013 20:01:33
ขอบคุณที่พาคู่นี้มาเยี่ยมบ้าง
+1
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษที่หน้า 21จ้า [28/02/13]
เริ่มหัวข้อโดย: Tnapat ที่ 06-03-2013 20:19:11
คิดถึงไผ่กับต้น อยากให้มีภาคต่อ แต่เรื่องราวมันก็จบสวยดีอยู่แล้ว
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษที่หน้า 21จ้า [28/02/13]
เริ่มหัวข้อโดย: NewYearzz ที่ 06-03-2013 21:45:47
อ๊ะ ทำไมผมเพิ่งเห็นตอนพิเศษนะ  :z3:


น่ารักมากๆครับ ขอบคุณสำหรับตอนพิเศษครับ :pig4:


ปล.อ่านแล้วอยากทานแยมเสาวรส :o8:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษที่หน้า 21จ้า [28/02/13]
เริ่มหัวข้อโดย: phai ที่ 09-03-2013 20:06:28
สนุกมากๆค่ะ

 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษที่หน้า 21จ้า [28/02/13]
เริ่มหัวข้อโดย: Pam_ban ที่ 09-03-2013 20:44:37
ชื่อนั้นสำคัญไฉน  เรื่องเล็กน้อยเพียงแค่การเรียกชื่อก็สามารถสร้างความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ให้เกิดขึ้นมาได้
อ๊ากกกกก คุณต้นแอบคิดไม่ซื่อกับพี่ไผ่มาตั้งแต่ต้นเลยอ่ะ เราจำได้  :laugh: คงอยากสร้างความสนิทสนมหลังจากได้เจอนางฟ้าในฝันที่รอคอยมาแสนนาน ชอบอ่ะ  :กอด1:

รอตอนพิเศษตอนต่อไปค่ะ เย้ ๆ  :mc4:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษที่หน้า 21จ้า [28/02/13]
เริ่มหัวข้อโดย: thanza1970 ที่ 14-03-2013 02:25:37
อ่านจบรวดเดียวเลยครับ
มีความสุขมากๆ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษที่หน้า 21จ้า [28/02/13]
เริ่มหัวข้อโดย: GintoniC ที่ 14-03-2013 23:49:02
เพิ่งไปสอยมาเมื่อวันอาทิตย์ เกือบเล่มแหละเหลือตอนพิเศษอีกตอนก่าๆ ชอบม๊ากเลยอ่ะ ไม่เสียดายกะตังค์เลย ภาษาสวย เขียนได้ดีอ่านได้เรื่อยๆ ไม่หวือหวาแต่ว่าอบอุ่นมากๆ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ อีกเรื่อง  :pig4:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษที่หน้า 21จ้า [28/02/13]
เริ่มหัวข้อโดย: NIMME ที่ 17-09-2013 10:35:55
เพิ่งได้มาอ่านเรื่องนี้ ชอบมากๆ ต้นขี้อ้อน เป็นคนที่รักมั่นคงมากๆ ไผ่ก็น่ารัก
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษที่หน้า 21จ้า [28/02/13]
เริ่มหัวข้อโดย: pornvrin ที่ 17-09-2013 12:33:49
เค้าพลาดไปได้อย่างไร >.<
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษที่หน้า 21จ้า [28/02/13]
เริ่มหัวข้อโดย: Takarajung_TK ที่ 21-09-2013 19:47:14
เพิ่งได้อ่านเรื่องนี้

ชอบมากค่ะ

อ่านแล้วเห็นภาพคุณนิรุต ศิริจรรยา เป็นคุณตฤณ

หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษที่หน้า 21จ้า [28/02/13]
เริ่มหัวข้อโดย: FlOriN ที่ 22-09-2013 12:30:57
อ่านจบแล้ว ~
ขอบคุณคนเขียนมากนะคะที่ถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้อบอุ่นหัวใจมากขนาดนี้
ชอบต้นกับไผ่มาก ><
น่ารักสุดๆ ยิ่งช่วงหลังที่คอยดูแลป๋าตฤณยิ่งชอบ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษที่หน้า 21จ้า [28/02/13]
เริ่มหัวข้อโดย: up2goo ที่ 22-09-2013 23:53:54
น่ารักอ่าาาา
ต้นดูขี้อ้อนมากเลยเวลาอยู่กับไผ่
 :-[
ไม่มีอุปสรรคใดๆสามารถขวางกั้นสองคนนี้ได้จริงๆ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษที่หน้า 21จ้า [28/02/13]
เริ่มหัวข้อโดย: vevi ที่ 23-09-2013 20:19:51
ประทับใจจังคะ
รักอุ่นๆ รักที่มั่นคง จนอีกคนได้มั่นใจของน้องต้นกับพี่ไผ่  :L2:

ขอบคุณผู้เขียนคะ  :pig4:


หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษที่หน้า 21จ้า [28/02/13]
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 10-12-2014 00:43:49
ชอบมาก ๆ ครับเรื่องนี้ ซึ้งในความอดทนของ ต้น และ ไผ่

ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษที่หน้า 21จ้า [28/02/13]
เริ่มหัวข้อโดย: ammchun ที่ 12-12-2014 00:02:57
สนุกมากๆค่ะ ชอบมากๆเลย สนุก เศร้า เหงา ซึ้ง มาครบเลยค่ะ  :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษที่หน้า 21จ้า [28/02/13]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 13-12-2014 15:08:24
ขอบคุณมากค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษที่หน้า 21จ้า [28/02/13]
เริ่มหัวข้อโดย: Bear Company ที่ 15-01-2015 20:30:34
สนุกดีค่ะ หวานเบาๆ  :m1:

ขอบคุณนะค่ะ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษที่หน้า 21จ้า [28/02/13]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 30-04-2015 04:43:00
ขอบคุณค่ะ ^^
เรื่องนี้ทั้งเศร้าทั้งซึ้ง เสียน้ำตาไปหลายหยดเลย
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษที่หน้า 21จ้า [28/02/13]
เริ่มหัวข้อโดย: แมลงมีพิษชนิดหนึ่ง ที่ 15-03-2016 08:27:57
เป็นความรักที่่ละมุนละไมมาก

 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษที่หน้า 21จ้า [28/02/13]
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 06-09-2016 19:03:52
พึ่งมาเจอเรื่องนี้
เปนเรื่องที่ละมุนนมากก
ดราม่าไม่หนักหน่วง
ชอบเวลาต้นกับไผ่อยู่ด้วยกันจัง
มันมุ้งมิ้ง อ้อนกันน่ารักเลยย
ต้นขี้อ้อนนมากกก
ลูกน้องในบริษัทมาเห็นต้องเสียการปกครองแน่ๆ5555
ไผ่ก้น่ารัก เป็นบุคลิกที่ทำให้ใครๆก้หลงรัก
นี่คือคำจำกัดความที่ดีที่สุดของไผ่จริงๆอะ

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษที่หน้า 21จ้า [28/02/13]
เริ่มหัวข้อโดย: ป้ากิ่งkingkarn ที่ 08-09-2016 11:10:04
 ผลงานคุณbellbombอีกเรื่องที่สนุกและเขียนได้น่าติดตามมากๆเลยค่ะ^^

ต้นไผ่ ย่ามปาล์ม น่ารักทั้ง2คู่ ขอบคุณมากๆค่ะ :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษที่หน้า 21จ้า [28/02/13]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 25-05-2017 22:04:30
เข้ามาอ่านอีกรอบ เรื่องนี้ดีจริงๆ ^^
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษที่หน้า 21จ้า [28/02/13]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 15-06-2018 07:17:46
และก็กลับมาอ่านอีกรอบจนได้
ซึ้งใจละมุนละไมมากค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 7 ธค. 2010* หน้า 11
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 25-02-2021 15:27:05
อย่างน้อยรูปถ่ายของเด็กชายคนหนึ่งและหญิงสาวที่เจ้าตัวเพิ่งจะแต่งเข้ามาเป็นภรรยาคนที่สองซึ่งวางอยู่บนโต๊ะก็เป็นหลักฐานยืนยันข้อเท็จจริงนี้ได้อย่างดี
แค่รูปใครก็วางได้ รูปหมารูปแมวก็เคยวาง  แต่การเอาใจใส่ การให้ความรักเคยมั้ย ถ้าไม่เคยอย่ามาคุยนะนายตฤณใจอีกา
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 7 ธค. 2010* หน้า 11
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 25-02-2021 15:43:25
“เก้าอี้มี ถ้าหากจะนั่ง”
มายาทกับสมบัติผู้ดีก็มี ถ้าคิดจะใช้
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 20 ธค. 2010* หน้า 12
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 25-02-2021 16:59:47

  ถึงแม้สมัยเรียนเขาจะไม่ค่อยได้มาแถวนี้เนื่องจากไกลมหาวิทยาลัยซึ่งอยู่อีกฟากของเมือง 
เรียนอยู่เชียงใหม่ไม่ใช่เหรอ
จากบทที่ 2
"ตระการได้รู้ว่าชายหนุ่มผู้ดูแลเกสต์เฮ้าส์แห่งนี้โดยลำพังมีอายุมากกว่าเขาสองปีแม้ใบหน้าจะดูอ่อนเยาว์เหมือนเด็กนักศึกษา เรียนจบคณะมนุษยศาสตร์จากมหาวิทยาลัยประจำจังหวัดและเคยทำงานในกองบรรณาธิการนิตยสารมีชื่อก่อนจะผันตัวเองมาดูแลกิจการเกสต์เฮ้าส์หลังจากได้รับมรดกจากคุณตาที่เสียไปเป็นที่ดินพร้อมบ้านหลังนี้ "
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนใหม่ล่าสุด *อัพ 28 ธค. 2010* หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 25-02-2021 18:26:09
ตฤณก็อดจะตั้งคำถามกับตนเองไม่ได้ว่า ถึงเวลาที่เขาจะต้องปรับเปลี่ยนความคิดใหม่ในบางเรื่องเพื่อทายาทเพียงคนเดียวแล้วหรือไม่...
ไม่ต้องปรับหรอก อายุก็เยอะแล้วปรับไม่ได้หรอก จะดีที่สุดถ้ารีบตายไปซะ อยู่ต่อไปก็เป็นร่มโพธิร่มไทรผุๆที่พร้อมตกใส่หัวลูกให้เป็นอันตราย
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา เปิดจองรวมเล่ม p.1 + ประกาศเกี่ยวกับของแถม p.17 (25.2.11)
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 25-02-2021 20:14:32
ขอบคุณมากสำหรับนิยายดีๆแบบนี้ เราไม่ได้อ่านนิยายดีๆแบบนี้มานานแล้ว เราตามไปอ่านเล่ห์ลวงใจต่อ เดี๋ยวเจอกันที่นั่นน้าาาาา
รักนะจุ๊บๆ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษที่หน้า 21จ้า [28/02/13]
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 28-02-2021 22:13:16
เนื้อเรื่องน่ารักดีค่ะ
จบได้อบอุ่นมากๆ
อบอุ่นแม้กระทั่งตอนพิเศษ
ขอบคุณสำหรับนิยายน่ารักๆค่ะ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษที่หน้า 21จ้า [28/02/13]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 23-08-2023 11:58:17
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษที่หน้า 21จ้า [28/02/13]
เริ่มหัวข้อโดย: valentinesmile ที่ 12-09-2023 11:35:25
 :L3: