22. “ชามะนาวร้อนกับกาแฟเอสเปรสโซตามที่สั่งได้แล้วค่ะ”
เด็กสาวบริกรร่างเล็กเอ่ยพลางวางถาดเครื่องดื่มลงบนโต๊ะไม้เนื้อหนาสีเข้ม ใบหน้าสวยหวานของหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านหนึ่งของโต๊ะหันไปยิ้มขอบคุณเด็กสาวที่โค้งน้อยๆให้ก่อนจะเบนสายตากลับมามองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ริมฝีปากบางที่เม้มสนิทและนัยน์ตาที่จดจ่อกับไอสีขาวเหนือปากแก้วทั้งสองบอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ ร่างบางจึงลอบถอนหายใจแล้วก็ลูบแขนตัวเองเบาๆ อดปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึกอึดอัดกับบรรยากาศที่รายล้อมรอบตัวทั้งสอง ยิ่งหล่อนมองคนตรงหน้านานขึ้นเท่าไหร่ก็อดจะยิ่งเห็นภาพซ้อนของเจ้าตัวในวันที่ทั้งสองพบกันเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อสามปีก่อนไม่ได้
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“ต้น เราเลิกกันดีกว่านะ”น้ำเสียงเย็นใสเอ่ยอย่างสงบนิ่ง นัยน์ตาหวานซึ้งล้อมกรอบด้วยแพขนตางอนยาวทอดมองไปยังผืนน้ำใสเรียบดุจกระจกของทะเลสาบเบื้องหน้า ฤดูกาลที่เริ่มเปลี่ยนผันในมหานครใหญ่ทำให้อากาศที่เคยหนาวเหน็บเริ่มอบอุ่น ยอดไม้สีเขียวอ่อนผลิแซมขึ้นบนกิ่งไม้สีน้ำตาลอมเทาทั่วสวนสาธารณะที่มีเสียงนกร้องเจื้อยแจ้ว และกองหิมะที่ยังละลายไม่หมดก็จับตัวเป็นกองเกล็ดน้ำแข็งแฉะๆตามโคนต้นไม้และสนามหญ้าไปทั่ว
ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่กับหญิงสาวสวยสะดุดตาคู่หนึ่งนั่งเคียงกันอยู่บนม้านั่งตัวยาวซึ่งตั้งเรียงรายตามทางเดินในสวน ความเหมาะสมกันดุจประติมากรรมคู่ที่ถูกสรรค์สร้างดึงดูดสายตาของผู้ที่เดินผ่านไปมาให้ลอบมองอย่างชื่นชม แต่ระยะห่างระหว่างร่างทั้งสองบนเก้าอี้ซึ่งดูราวกับถูกทิ้งไว้สำหรับใครอีกคนก็ประหนึ่งความว่างเปล่าที่ตอกย้ำความห่างเหินที่เขาและเธอมีให้กันตลอดเวลาแรมเดือนที่ผ่านมา
นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มของชายหนุ่มที่นั่งเงียบไม่ปริปากพูดอะไรมาตั้งแต่ต้นทอดตรงไปข้างหน้า ปลายคางได้รูปวางอยู่บนมือที่ประสานกันโดยแขนทั้งสองชันขึ้นเหนือหัวเข่า ใบหน้าคมไม่ได้แสดงความโกรธขึ้งหรือตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน และไม่มีคำพูดโต้ตอบใดหลุดจากริมฝีปากบางอยู่เป็นนานก่อนที่นัยน์ตาเฉียบคมจะหรุบลง
“ถ้าเจนต้องการอย่างนั้น ต้นก็คงห้ามไม่ได้”
น้ำเสียงที่เอ่ยราบเรียบราวเจ้าตัวได้เตรียมทำใจมาก่อนหน้านี้แล้ว ทว่าทีท่าที่ไร้ซึ่งความหวั่นไหวนั้นกลับทำให้มือของหญิงสาวที่ประสานกันอยู่บนตักสั่นอย่างบังคับไม่อยู่ ดวงตาสวยหวานกระพริบถี่เพื่อไล่ไอร้อนที่เอ่อขึ้นมาคั่งในหน่วยตาออกไป
การตัดความสัมพันธ์ระหว่างคนที่เคยคบกันมาเป็นปี....ง่ายดายเพียงใช้คำพูดบอกกล่าวแก่กันอย่างนั้นหรือ
“ใจคอต้นจะไม่ถามบ้างเลยเหรอว่าทำไมเจนถึงตัดสินใจแบบนี้?”
หญิงสาวเค้นเสียงถามผ่านลำคอที่แห้งผาก แม้แสงแดดอุ่นยามบ่ายของฤดูใบไม้ผลิจะสาดส่องผ่านเมฆหนาลงมาอาบไล้บนร่าง แต่ปลายนิ้วเรียวที่ประสานกันอยู่กลับเย็นเฉียบไม่ต่างจากกองเกล็ดหิมะบนพื้นหญ้า
“ต้นรู้ว่าเจนเป็นคนมีเหตุผลและคิดทบทวนทุกครั้งก่อนจะทำอะไร การที่เจนตัดสินใจแบบนี้แสดงว่าเจนก็คงคิดมาดีแล้วเหมือนกัน”
หญิงสาวตวัดสายตาขึ้นมองคนที่นั่งอยู่บนม้านั่งข้างกัน ทั้งที่ระยะห่างซึ่งกั้นขวางนั้นไม่มากเกินจะทำลายด้วยการเอื้อมมือออกไปหา หากคำพูดที่แสดงความเคารพในการตัดสินใจจากอีกฝ่ายกลับกรีดเฉือนสายใยบางๆที่เคยหล่อเลี้ยงความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองไปเรียบร้อยแล้ว
“นั่นสินะ ใครๆก็บอกกับเจนทั้งนั้นว่าเจนเป็นคนฉลาด เป็นผู้หญิงที่มีเหตุผล ไม่น่าเชื่อนะว่าเจนไม่เคยเกลียดเวลาได้ยินคำนี้จากใครเท่ากับที่ได้ยินจากต้นเมื่อกี้เลย”
น้ำเสียงสั่นเครือกระตุกคิ้วเข้มให้ขมวดมุ่นก่อนจะหันไปหาคนพูด แล้วนัยน์ตาคมก็ต้องเบิกกว้างเมื่อเห็นหยดน้ำใสกลิ้งลงจากหางตาเรียวสวยโดยปราศจากเสียงสะอื้น
“เจน....”
มือใหญ่ที่กำอยู่บนเข่ายกขึ้นหมายจะเอื้อมไปรั้งไหล่บางให้เข้ามาอิงกับอกตัวเอง แต่แล้วมือนั้นก็นิ่งค้างก่อนจะค่อยๆวางลงที่เดิม นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเบือนกลับลงมองพื้นหญ้าตรงหน้าราวจะพยายามตัดใจไม่มองภาพบาดตาข้างตัว
หญิงสาวเห็นอากัปกริยาทุกอย่างของชายหนุ่มที่นั่งอยู่ไม่ห่างทางหางตาโดยตลอด แม้จะเจ็บยอกในอกกับความเย็นชาที่อีกฝ่ายมอบให้ แต่แล้วหญิงสาวก็สูดหายใจเข้าลึกแล้วหลับตาลงราวจะปิดกั้นทำนบน้ำตาไม่ให้หลั่งออกมาอีก
ดีแล้วที่จบกันไป ถ้าหากเธอไม่สามารถเป็นที่หนึ่งในใจของคนที่รักได้ก็สู้ไม่ต้องเป็นอะไรกันเสียเลยจะดีกว่า แต่ถึงกระนั้นหญิงสาวก็อดถามคำถามสุดท้ายที่ติดค้างในใจมาตลอดไม่ได้
“ต้น ที่ผ่านมาเจนเคยมีความหมายกับต้นบ้างหรือเปล่า? หรือว่ามีใครที่อยู่ในใจต้นมาตลอดจนไม่มีที่ว่างให้เจนแทรกเข้าไปเลย?”
คำถามนั้นดูจะแทงใจดำคนถูกถามจนร่างสูงต้องเบนสายตาไปทางอื่น หญิงสาวชำเลืองมองคนข้างตัวที่ไม่ยอมตอบเป็นคำพูดแต่ท่าทางที่แสดงออกก็กระจ่างชัดในตัวเองจนเกินพอ แม้ความเสียใจจะกำลังล้นท่วมอกแต่หล่อนก็ยังอดนึกขันไม่ได้ คนข้างตัวเธอเคยซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเองอย่างไรก็ยังคงเป็นคนแบบนั้นไม่เปลี่ยน
“ช่างเถอะต้น ลืมคำถามของเจนซะ ยังไงต่อให้เราไม่เลิกกันเจนก็ตั้งใจจะย้ายไปแคนาดาอยู่แล้ว ต่อจากนี้ก็คงไม่มีเหตุผลอะไรให้เราได้มาเจอกันอีกอยู่ดี”
หญิงสาวเช็ดน้ำตาก่อนจะลุกขึ้นยืน เสียงขยับตัวทำให้ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมอง ใบหน้าหวานยิ้มบางๆให้คนที่อีกไม่กี่นาทีต่อไปจะกลายเป็นเพียงตัวตนที่อยู่ในความทรงจำแล้วยื่นมือหนึ่งไปข้างหน้า
“ลาก่อนนะ ยังไงเจนก็ขออวยพรให้ต้นโชคดี”
นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มสบกับนัยน์ตาเรียวสวยก่อนจะเบนสายตาลงมองมือที่ยื่นมาให้ มือใหญ่ยกขึ้นจับมือนั้นตอบก่อนชายหนุ่มจะลุกขึ้นแล้วรั้งร่างบางเข้ามากอด
“ขอโทษด้วยถ้าหากที่ผ่านมาต้นทำให้เจนไม่มีความสุข ต่อจากนี้ขอให้เจนได้เจอคนที่ดีกว่าต้นและรักเจนจริงๆก็แล้วกันนะ”
น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยขณะมือใหญ่ลูบหลังบางขึ้นลงอย่างปลอบโยน ร่างในอ้อมกอดยิ้มน้อยๆก่อนจะหลับตาแล้วเอนลงซบอกกว้าง หญิงสาวไม่ได้ยกแขนขึ้นกอดตอบแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอ้อมอกที่ถ่ายทอดความอบอุ่นให้เช่นกัน ขอเพียงครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายเท่านั้น แล้วต่อจากนี้เธอกับเขาก็คงกลับไปเป็นเพียงอดีตคนรู้ใจที่ไม่มีวันหวนคืนสู่ความสัมพันธ์เช่นนั้นได้อีกเป็นครั้งที่สอง หยาดน้ำใสเอ่อขึ้นบนขอบตาที่ร้อนผ่าวอีกครั้งก่อนน้ำเสียงรื่นหูจะกล่าวอวยพรคืนให้แก่คนตรงหน้า
“ขอบใจนะ เจนก็ขอให้ต้นมีความสุขกับคนที่รักจริงๆเหมือนกัน”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“สามปีแล้วสินะ เหมือนเพิ่งผ่านมาไม่นานนี้เองยังไงไม่รู้”
เจนใจยกแก้วชาขึ้นจิบก่อนจะเอ่ยเสียงเบาเป็นเชิงชวนสนทนา ไม่น่าเชื่อว่าเวลาที่ผ่านไปไม่ได้ทำให้ภาพความทรงจำที่หล่อนมีเกี่ยวกับคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามในตอนนี้ซีดจางลงเลยสักนิด หญิงสาวยังจำได้ดีถึงทุกรายละเอียดในวันที่ทั้งสองคนตัดความสัมพันธ์กันแม้กระทั่งว่าวันนั้นตระการใส่เสื้อสีอะไรถึงแม้ข้อมูลนั้นจะไม่ได้มีประโยชน์กับชีวิตของเธอเลยก็ตาม
คู่สนทนาไม่ได้เอ่ยตอบหญิงสาวและเสยกกาแฟขึ้นจิบ นัยน์ตาเรียวสวยมองตามมือใหญ่ที่ยกแก้วเซรามิกเนื้อหนาขึ้นจรดริมฝีปาก เวลาเพียงสามปีหากจะว่านานก็เหมือนนาน แต่สำหรับคนที่ยังจดจำเรื่องเมื่อช่วงเวลานั้นได้อย่างแม่นยำ เวลาสามปีก็ถือว่าสั้นอย่างไม่น่าเชื่อ
ชีวิตนักศึกษาที่ร่ำเรียนในต่างแดนทำให้คนที่โหยหาความคุ้นเคยของบ้านเกิดเมืองนอนสานความสัมพันธ์กันได้ไม่ยาก และไม่ใช่เรื่องแปลกอีกเช่นกันหากความผูกพันนั้นจะพัฒนาต่อยอดไปเกินขอบเขตของความเป็นเพื่อน สำหรับหล่อนแล้ว ช่วงเวลาที่ได้คบหากับตระการซึ่งเป็นคนในฝันของสาวๆนักเรียนนอกหลายคนเปรียบได้กับความทรงจำล้ำค่าที่อัดแน่นด้วยความสุขราวกับฝันทีเดียว
แต่อาจเพราะความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นนั้นผุดขึ้นจากความรู้สึกชั่ววูบจนเกินไปไม่ต่างจากความฝันในชั่วข้ามคืน...วันหนึ่งเธอจึงต้องจำใจตื่นเพื่อยอมรับความจริงที่ว่าตนเองยังไม่ใช่ "ใครคนนั้น" ที่ตระการต้องการ และเลือกที่จะหยุดความสัมพันธ์นั้นเสียก่อนด้วยตัวเอง
“เจนอยู่ที่โตรอนโตสนุกมั้ย?”
นัยน์ตาหวานกระพริบเมื่อถูกน้ำเสียงทุ้มต่ำฉุดให้กลับจากภวังค์ หญิงสาวคลี่ยิ้มบางขณะเอียงแก้วให้ของเหลวสีอำพันไหลวนไปมา ดูเหมือนว่าระหว่างช่วงเวลาที่ทั้งสองขาดการติดต่อกันไปจะทำให้ชายหนุ่มตรงหน้าสุขุมและเป็นผู้ใหญ่ขึ้นกว่าครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกันมากทีเดียว
“ก็เรื่อยๆนะ ที่นั่นทั้งเงียบทั้งสงบสุขจนบางทีเจนอิจฉาคนที่เมืองไทยเลยล่ะ มีแต่เรื่องให้ได้ตื่นเต้นกันตลอดเลย ทั้งการเมืองเอย เศรษฐกิจเอย ข่าวซุบซิบดาราเอยสารพัด”
หญิงสาวเอ่ยไปก็หัวเราะเบาๆ มุมปากของคนที่นั่งทำสีหน้าเรียบเฉยมาตลอดจึงยกยิ้มบ้าง ทำให้บรรยากาศเครียดเกร็งที่โอบล้อมรอบตัวคนทั้งสองเมื่อครู่เริ่มผ่อนคลายลง แต่ถึงกระนั้นเจนใจก็ยังสัมผัสได้ถึงระยะห่างที่คนตรงข้ามดูจะจงใจรักษาไว้ระหว่างพวกเขาทั้งสองคน
ตระการยอมรับว่าตกใจไม่น้อยที่ได้พบกับหญิงสาวที่เคยคบกันช่วงที่เรียนอยู่ต่างประเทศ และเป็นคนที่ตัวเองเคยพัฒนาความสัมพันธ์ถึงขั้นลึกซึ้งด้วยเป็นคนแรกก่อนที่จะกลับเมืองไทย ทว่าความที่ทั้งสองห่างเหินกันไปตั้งแต่หญิงสาวบอกเลิกกับเขาและย้ายไปเรียนต่อที่แคนาดาทำให้ชายหนุ่มไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้พบกันอีก สาวน้อยที่เขาเคยคบหาบัดนี้กลายเป็นหญิงสาวเต็มตัวที่เปี่ยมเสน่ห์สมวัยจนเขายอมรับว่าถึงกับตะลึงตอนที่ได้เห็นหน้าอีกฝ่ายในตอนแรก แต่กระนั้นความกังวลใจถึงคนอีกคนที่เพิ่งหนีตัวเองไปก็ทำให้คิ้วเข้มขมวดมุ่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“ว่าแต่น่าแปลกนะที่ได้มาเจอกันที่เชียงใหม่ ต้นมาเที่ยวเหรอ?”
หญิงสาวพยายามชวนคนที่เอาแต่นิ่งเงียบคุย ใช่ว่าหล่อนเองจะไม่รู้สึกประดักประเดิดที่ได้นั่งคุยกับอดีตคนรักที่ตัวเองบอกเลิกเมื่อสามปีก่อนโดยไม่คาดฝัน แต่ในเมื่อได้มาพบกันแล้ว ครั้นจะให้ทำทีท่าห่างเหินไปเลยก็จะดูเป็นว่ามีแต่ตัวเองที่มัวยึดติดอยู่กับอดีต แม้ในใจส่วนลึกจะยังคงหวั่นไหวที่ได้เห็นชายหนุ่มในระยะใกล้เช่นนี้ก็ตาม
“เปล่าหรอก มาดูแลแฟนน่ะ”
ตระการตอบเสียงนิ่งอย่างไม่อ้อมค้อมก่อนจะยกกาแฟขึ้นจิบอีกครั้ง เจนใจมองท่าทีของชายหนุ่มที่เบนสายตาออกไปนอกร้านแล้วก็รู้สึกเสียวยอกในอก จังหวะการตอบและคำพูดที่ไร้ซึ่งความลังเลราวจะย้ำว่าความสัมพันธ์ที่ทั้งสองเคยมีร่วมกันคืออดีตที่รื้อฟื้นไม่ได้อีกแล้ว ทว่าการที่หล่อนยังรู้สึกเจ็บกับเรื่องที่ได้รับรู้จะแสดงให้เห็นว่าตนยังไม่หมดเยื่อใยกับคนตรงหน้าเสียทีเดียวกระมัง
นัยน์ตาเรียวสวยมองตามนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่เหม่อมองด้านนอกแล้วก็พอเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงกำลังคิดถึงชายหนุ่มอีกคนที่หล่อนได้พบเมื่อครู่ น่าแปลกที่ทั้งๆที่ทั้งสองไม่ได้แสดงทีท่าเฉกเช่นคนรักผ่านการถูกเนื้อต้องตัวกันเลย แต่สัญชาตญาณของหล่อนกลับบอกได้แทบจะทันทีแค่เพียงได้เห็นสายตาของตระการยามมองอีกฝ่ายเท่านั้นว่านัยน์ตาคู่นั้นสะท้อนความห่วงใยที่มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม แล้วยังไม่นับคำพูดแปลกๆของเจ้าตัวในทำนองว่าปล่อยให้คนคนนั้นอยู่คนเดียวไม่ได้นั่นอีกล่ะ
“แฟนต้นชื่อไผ่ใช่มั้ย? เป็นคนที่นัยน์ตาสวยมากเลยนะ แต่สงสัยเจนจะทำให้เค้าไม่ชอบขี้หน้าเข้าแล้วสิ”
หญิงสาวรำพึงแล้วก็เอาสองมืออังกับแก้วชาของตัวเอง ตระการหันกลับมาเมื่อได้ยินชื่อของพรพฤกษ์แล้วก็ขมวดคิ้วมองคนตรงหน้า
“ไผ่ไม่ใช่คนแบบนั้น พอดีมันมีเรื่องหลายอย่าง แต่เจนไม่ต้องคิดมากหรอก”
หญิงสาวช้อนสายตาขึ้นมองคนพูดที่นั่งอยู่ตรงข้าม ริมฝีปากอิ่มอมยิ้มเมื่อเห็นท่าทางรีบออกหน้าปกป้องคนที่พูดถึงซึ่งไม่ได้อยู่ตรงนี้ด้วยแต่ก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งที่คิดออกมา
คนแบบไหนกันนะที่ทำให้ผู้ชายที่ไม่ค่อยแสดงความรู้สึกแม้แต่ตอนที่เคยคบกับเธอออกอาการร้อนรนได้ถึงขนาดนี้
“ต้น เล่าเรื่องของไผ่ให้ฟังหน่อยได้มั้ย? เจนอยากรู้ว่าคนที่กุมหัวใจต้นได้ถึงขนาดนี้เป็นคนยังไง”
คิ้วเข้มเลิกขึ้นข้างหนึ่ง มือใหญ่ไล้หูแก้วกาแฟขึ้นลงราวไม่แน่ใจ
“เจนอยากรู้จริงๆเหรอ?”
ใช่ว่าตระการไม่ชอบการได้พูดถึงคนที่ตัวเองรักให้ใครฟัง แต่เพราะเขามีคนรู้จักที่จะรับฟังเรื่องนี้น้อยเหลือเกินจนชินไปแล้วที่จะไม่พูดถึง อีกอย่างเขาก็เคารพสิทธิของพรพฤกษ์ที่อาจไม่อยากให้ตัวเองเป็นที่รู้จักของคนที่ไม่คุ้นเคยด้วย และเจนใจก็เป็นอดีตหญิงสาวที่เขาเคยคบหา ชายหนุ่มจึงยิ่งไม่แน่ใจว่าเขาควรเล่าเรื่องของพรพฤกษ์ให้อีกฝ่ายฟังดีหรือเปล่า
เจนใจมองท่าทางเหมือนน้ำท่วมปากของอีกฝ่ายแล้วก็คลี่ยิ้ม ท่าทางแบบนั้นกระตุ้นให้หล่อนยิ่งอยากรู้เรื่องราวของชายหนุ่มหน้าหวานที่ตัวเองรู้จักเพียงชื่อเล่นมากเข้าไปอีก หญิงสาวพยักหน้าให้กับเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลเข้มแล้วก็ยืนยันคำเดิม
“อยากรู้สิ ต้นเล่าเรื่องของไผ่ให้ฟังหน่อยนะ”
*************
พรพฤกษ์จ่ายเงินให้กับคนขับรถโดยสารที่พามาส่งยังจุดหมายที่ต้องการก่อนจะผลักเลื่อนประตูรั้ว คิ้วเรียวเลิกขึ้นอย่างแปลกใจเมื่อเห็นคนที่ตั้งใจมาหากำลังยืนกอดอกรออยู่หน้าบ้าน
“ไปไหนมาน่ะไผ่? ทำไมถึงมาช้านัก แล้วทำไมต้องปิดมือถือด้วย?”
“พอดีแบตเพิ่งหมดน่ะ แล้วนอรู้ได้ไงว่าเราจะมา?”
มือเรียวชูโทรศัพท์มือถือที่หน้าจอดำสนิทให้ดูเป็นหลักฐานขณะนัยน์ตาสีนิลกระพริบมองคนที่รัวคำถามใส่อย่างงงๆ นรพัฒน์มองสีหน้างุนงงของคนตรงหน้าแล้วก็ขมวดคิ้ว ท่าทางของเพื่อนที่ดูเป็นปรกติดีทำให้ชายหนุ่มเริ่มคิดว่าบางทีตระการอาจวิตกกังวลเกินเหตุไปเองก็เป็นได้ตอนที่โทรหาเขา แต่ด้วยความที่เขาเองก็เล่นหัวกับพรพฤกษ์มาตั้งแต่เด็กทำให้ชายหนุ่มไม่คิดจะวางใจท่าทางที่ดูเหมือนไม่มีเรื่องอะไรของอีกฝ่ายอยู่ดี
“ไม่มีอะไรหรอก พอดีต้นโทรมาหาเราเมื่อกี้แล้วบอกว่าไผ่มาเมื่อไหร่ให้ช่วยโทรบอกด้วย เราก็นึกว่ามีเรื่องอะไรกันหรือเปล่าเสียงต้นเลยฟังลนๆชอบกล”
นัยน์ตาสีนิลทอประกายเข้มขึ้นวูบหนึ่งเมื่อได้ยินชื่อคนที่ตัวเองเพิ่งแยกจากมาก่อนจะปรับสีหน้าเป็นเหมือนเดิม ทว่าความเปลี่ยนแปลงชั่วเสี้ยววินาทีนั้นก็ไม่ได้รอดสายตาของคนที่คอยมองอยู่ไปได้
“ต้นคิดมากไปเองมั้ง พอดีเราชวนไปทำบุญที่วัดแล้วต้นเจอเพื่อนเก่า ท่าทางคงไม่ได้เจอกันนานแล้วเราเลยขอตัวออกมาก่อน เรื่องก็มีแค่นี้แหละ”
พรพฤกษ์ว่าแล้วก็เดินนำเข้าบ้านของนรพัฒน์ด้วยความคุ้นเคยราวอาศัยอยู่ที่นี่เอง ฝ่ายเจ้าของบ้านมองตามหลังคนที่เดินเข้าไปก่อนแล้วก็ยกมือขึ้นนวดขมับ เริ่มจะเข้าใจขึ้นมาว่าทำไมตระการถึงต้องโทรมาหาเพื่อให้ช่วยจับตาดูเอาไว้ให้ ก็เพื่อนเขาเป็นคนปากแข็งแถมยังชอบตีหน้าซื่อปิดบังความรู้สึกตัวเองอีก แบบนี้มันน่าห่วงน้อยอยู่เสียเมื่อไหร่
ร่างเพรียวเดินตรงเข้าครัวแล้วก็เปิดตู้เย็นหยิบน้ำออกมาเทดื่มอย่างถือวิสาสะ พอเห็นเจ้าของบ้านเดินตามเข้ามาก็หันไปมองรอบตัวเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้
“บอยไปไหนล่ะ? ปกติช่วงก่อนเปิดร้านชอบมางีบที่นี่ก่อนไม่ใช่เหรอ?”
พรพฤกษ์ถามถึงลูกจ้างในร้านที่สนิทกับนรพัฒน์มากจนเจ้าตัวแทบจะรับเป็นน้องบุญธรรมไปแล้ว คนถูกถามจึงมาหยุดยืนใกล้ๆก่อนจะยักไหล่
“วันนี้บอยลาหยุด เห็นว่าไม่ค่อยสบาย ก่อนต้นจะโทรมาเราก็ว่าจะไปเยี่ยมอยู่เหมือนกัน แต่ว่าคงรอให้ต้นมาก่อนแล้วถึงค่อยไปดีกว่า”
“อ้าว? แล้วจะรอทำไมล่ะ นออยากเยี่ยมก็ไปเลยสิ ยังไงไปด้วยกันเดี๋ยวนี้เลยมั้ย?”
ชายหนุ่มร่างผอมสูงตกใจกับท่าทางของเพื่อนที่กระตือรือร้นขึ้นอย่างกะทันหันจนต้องรีบยกมือห้าม บทเพื่อนเขาจะพลิกอารมณ์ขึ้นมาบางครั้งก็แทบตั้งรับไม่ทันเหมือนกัน “เฮ้ย! ไม่ต้องหรอกไผ่ ไปตอนนี้เจ้าตัวก็คงยังไม่ตื่นอยู่ดี ปล่อยให้มันนอนพักผ่อนไปเถอะ”
ชายหนุ่มกดบ่าทั้งสองของเพื่อนให้นั่งลงเหมือนเดิมก่อนจะขมวดคิ้วอีกครั้ง ความบอบบางของสัมผัสใต้ฝ่ามือทำให้เขาค่อนข้างตกใจกับความผ่ายผอมของคนตรงหน้า อาจเป็นเพราะเสื้อผ้าที่เจ้าตัวใส่อยู่ไม่ได้เข้ารูปนักทำให้เขาไม่ได้ทันสังเกตในตอนแรก แต่เมื่อได้มองใกล้ๆอย่างนี้ทำให้เขาได้เห็นว่าร่างเพรียวซูบลงจากที่ตอนเจอกันคราวก่อนมากทีเดียว
พรพฤกษ์เห็นสายตาที่มองตัวเองอย่างพินิจพิเคราะห์แล้วก็หลบตาก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นดื่มอีก อาจเพราะความที่คบกันมานานทำให้เขารู้ว่าเพื่อนคงพอจะเดาได้ว่าตัวเองกำลังมีเรื่องในใจ แต่ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็ไม่คิดจะเล่าให้อีกฝ่ายฟังต่อให้ถูกถามตรงๆอยู่ดี และท่าทางของคนที่อยากถามก็พอจะรู้เหมือนกันว่าถึงแม้จะคาดคั้นไปก็ไม่เกิดประโยชน์
“เอาเป็นว่า ไผ่รออยู่ที่นี่แหละดีแล้ว ยังไงต้นก็บอกแล้วว่าเสร็จธุระเมื่อไหร่จะรีบตามมา”
คนถูกฝากฝังหัวเราะเสียงเบาในคอ นิ้วเรียวปาดไล้หยดน้ำที่จับเป็นฝ้าอยู่นอกผิวแก้วขณะนัยน์ตาสีนิลเหม่อมองไปยังสวนนอกบ้าน
“จะรีบทำไมก็ไม่รู้ อุตส่าห์บอกแล้วแท้ๆว่าให้ตามสบาย ต้นนี่เป็นห่วงไม่เข้าเรื่อง...”
สายตาของนรพัฒน์อ่อนลงเมื่อได้ยินเสียงรำพึงที่ฟังแล้วเศร้าอย่างบอกไม่ถูกนั้น มือผอมยื่นบีบไหล่บางอย่างให้กำลังใจ ทว่าพรพฤกษ์สูดหายใจเข้าลึกแล้วก็ยิ้มให้กับเพื่อนสนิทก่อนเอ่ยเสียงเบา
“โทษทีนะนอ เราเพลียๆไงไม่รู้ ขอไปนอนที่ห้องที่เราเคยนอนได้มั้ย?”
พรพฤกษ์หมายถึงห้องที่ตัวเองเคยมาอาศัยอยู่ช่วงที่เคยปิดบ้านนฤมิตรไปหนหนึ่ง คนถูกขอพิจารณาสีหน้าของเพื่อนแล้วก็พยักหน้า
“เอาสิ กำลังจะทักเหมือนกันว่าไผ่ดูหน้าซีดๆ บางทีได้นอนพักหน่อยอาจจะดีขึ้น”
ชายหนุ่มเจ้าของบ้านเดินนำคนขอไปยังห้องบนชั้นสองของตัวบ้านแล้วก็ช่วยดูความเรียบร้อยให้ เนื่องจากห้องนี้ไม่ค่อยได้ถูกเปิดรับแขกทำให้เขาหรือน้องสาวจะเข้ามาทำความสะอาดแค่สัปดาห์ละครั้งเท่านั้น โชคดีว่าครั้งล่าสุดที่ห้องนี้โดนทำความสะอาดไปคือเมื่อสองวันก่อนทำให้ห้องอยู่ในสภาพค่อนข้างพร้อมสำหรับการใช้งาน
“ขอบใจนะ ยังไงถ้าเราตื่นแล้วต้นยังไม่มาเราอาจกลับก่อนเลยก็ได้”
นรพัฒน์ยืนกอดอกพิงประตูมองคนที่มาขอใช้ห้องอย่างเงียบๆ พรพฤกษ์เลือกหนังสือเล่มหนึ่งจากกองหนังสือบนหัวเตียงมาทำท่าจะนั่งพิงหมอนอ่านแล้วก็สบตากับเจ้าของบ้านเข้าจึงเอ่ยถาม
“มีอะไรอีกหรือเปล่า? เราไม่ได้เป็นคนป่วยแล้วนะ ไม่ต้องอยู่เฝ้ากันก็ได้”
คนถูกทักได้ยินประโยคไล่ทางอ้อมแบบนั้นก็ถอนหายใจแล้วกลอกตา ยิ่งเจ้าตัวออกปากมาอย่างนี้ยิ่งทำให้รู้สึกว่าควรจะเฝ้าเข้าไปใหญ่ แต่ชายหนุ่มก็เชื่อว่าเพื่อนมีวุฒิภาวะพอที่จะไม่คิดทำอะไรหุนหันพลันแล่นยามอยู่เพียงลำพัง ติดอยู่ก็ตรงที่เจ้าตัวไม่ชอบบอกใครว่าคิดอะไรอยู่ทำให้เขารู้สึกว่าต้องกระทุ้งให้อีกฝ่ายได้รู้สึกเสียบ้าง
“ไผ่ เราไม่อยากจุ้นหรอกนะ แต่ว่าถ้ากำลังมีเรื่องอะไรกับต้นอยู่ก็เปิดอกคุยกันให้ชัดๆไปเลยดีกว่า ยังไงเราก็คงแนะนำได้แค่นี้ ที่เหลือไผ่ไปคิดเองก็แล้วกันว่าควรจะทำอะไร”
ชายหนุ่มพูดจบก็หมุนตัวเดินจากไป พรพฤกษ์มองตามหลังประตูที่ปิดลงแล้วรอยยิ้มที่ฝืนปั้นมาตั้งแต่เดินเข้ามาในบ้านก็จางหาย มือเรียววางหนังสือที่หยิบขึ้นมาลงที่เดิมเพราะไม่ได้ตั้งใจจะอ่านตั้งแต่แรกอยู่แล้ว หมอนที่เมื่อครู่ถูกตั้งขึ้นพิงหัวเตียงถูกวางราบก่อนเจ้าตัวจะเอนลงนอนตะแคงแล้วโอบแขนกอดตัวเองไว้
นัยน์ตาสีนิลเพ่งมองลายไม้ข้างผนังที่เริ่มพร่าเลือนขึ้นเรื่อยๆ น้ำตาที่ถูกกลั้นไว้มานานไหลลงจากตาจนซึมเป็นวงกว้างบนปลอกหมอนสีขาวสะอาด ไหล่บางสั่นขณะขบปากตัวเองแน่นเพื่อกลั้นเสียงสะอื้นที่ดูจะเกินการควบคุมขึ้นเรื่อยๆ
ที่เพื่อนทักเมื่อครู่เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร นรพัฒน์คงพอปะติดปะต่อเรื่องได้เองจากการได้ฟังคำพูดของตระการและจากท่าทีของเขาว่าเกิดอะไรขึ้น ผิดหรือที่เขาหวั่นไหวเมื่อได้เห็นภาพคนรักยืนคู่กับหญิงสาวที่ดูสมกันจนเขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกิน แล้วผิดหรือเปล่าที่จู่ๆจะคิดขึ้นมาว่าถ้าหากเขากับตระการไม่เคยรับรู้ถึงการมีอยู่ของกันและกัน ตอนนี้ต่างคนก็คงต่างมีวิถีชีวิตของตัวเอง และคนที่เขารักก็คงได้แต่งงานกับผู้หญิงธรรมดาๆและสร้างครอบครัวที่มีความสุขจนไม่เกิดปัญหากับพ่อของตัวเองไปแล้ว บางทีทุกอย่างอาจจะเริ่มผิดพลาดตั้งแต่ชายหนุ่มเริ่มก้าวเข้ามาในชีวิตเขาแล้วก็เป็นได้
ใบหน้าหวานซุกลงกับหมอนเมื่อเสียงสะอื้นแรกหลุดจากริมฝีปาก ถ้าเขาไม่ได้เจอตระการตั้งแต่แรกก็คงดี…
*************
เอิ๊กส์ เพิ่งจะสังเกตุว่าป้าลงนิยายในบอร์ดสามเรื่องพร้อมกันแต่ยังไม่จบสักเรื่อง (จริงๆน่านับเป็นสี่นะเพราะมีเรื่องนึงที่ซ้อนกันเป็นสองเรื่องอยู่) ตอนนี้เลยตั้งใจว่าพยายามจะเข็นเรื่องไหนให้จบให้ได้สักเรื่องละ ในเมื่อตอนนี้องค์เรื่องนี้กำลังมาเลยรีบปั่นซะก่อนจะหายไปอีก ยังไงก็ติดตามกันต่อหน่อยนะจ๊ะแฟนๆทุกคน
ปล. เสาร์อาทิตย์ที่แล้วไปเที่ยวเกาะล้านมา อากาศดี น้ำใส ไปก็ง่าย (ขึ้นเรือจากท่าที่พัทยา) พูดถึงแล้วอยากไปเที่ยวยาวๆอีกจัง