หายหน้าจากเรื่องนี้ไปนาน ขอทักทายมิตรรักแฟนนักอ่านกันสักนี้ดส์
Shibao ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านนะจ๊ะ หวังว่าตอนนี้ก็ไม่ค้าง...(มั้งนะ)
Patee มาลุ้นกัน ว่าแต่โทษทีไม่ได้มาลงเร็วกว่านี้ตามที่บอกไว้เน้อ ไปลงเรื่องสั้นอยู่
<Ju!_Ju!> ยาวพอมะตอนนี้ ว่าแต่เดี๋ยวนี้เองานเข้าจากจักรเยอะจังนะ ฝากบอกจักรว่าอย่าหักโหม หึๆ
The Living Rive เค้ามาลงแล้วนะตัวเอง ส่วนป๊ะป๋าเดี๋ยวไปหัดให้กินบิบิมบับก่อน ตอนนี้อยู่ไหนก็ไม่รู้
Krappom ป๋อมแป๋มสนใจไปเที่ยวเกาหลีเป็นเพื่อนป๊ะป๋าป่าว
pickki_a ใจเย้นนนนน ป๊ะป๋าแกคนละเจเนเรชันกับหมู่เฮาเน่อ
ที่รักของ...
BeePed นั่นสิ จะแก้ปัญหาไงดีเนี่ย คนเขียนก็เกาหัวอยู่
Marchmenlo ยกพื้นที่ให้มาขำเอ 5555
Wordslinger +1 ตอบ ก็ไปอ่านคู่แฝดของไผ่ในเรื่องของตัวเองอยู่แหละจ้า ทำไงเค้าจะเขียนนายเอกเซี้ยวๆแบบพ่อเอกในถนนสายนี้มีความรักได้มั่งง่ะ ชอบแบบนั้นนะนั่น
Jeremy_F 5555 ไม่เป็นไรป๊ะป๋าไม่ได้ยิน
Piggie นั่นสิ เราจะคิดตรงกันเรื่องน้องลี่หรือเปล่าน้า
ว่าแต่ทำไมคนอ่านเรื่องนี้มีแต่คนอยากไล่ป๊ะป๋าให้ไปไกลๆกันจัง??? คนเขียนไม่เข้าใจ
มาต่อกันเลยแล้วกันเน้อ~ 19. “จะมีไหมสักคน มาเปลี่ยนชีวิตของฉันเธอคือใคร ที่จะรักจริง ไม่ทอดทิ้งกัน อยากจะรู้...”
เสียงร้องแปร่ง กระท่อนกระแท่นไม่เป็นทำนองของเด็กหนุ่มที่กำลังเช็ดกระจกอยู่หน้าร้านทำให้ชายหนุ่มร่างใหญ่ที่เดินผ่านมาได้ยินหัวเราะเสียงดังอย่างไม่เกรงใจ
“โอ๊ย ไอ้บอยเอ๊ย เจ้าของเพลงมาได้ยินแม่งคงอยากผูกคอตาย ทำไมเสียงมึงควายออกลูกได้ขนาดนี้วะ”
เด็กหนุ่มหันกลับไปเหล่คนแซว “แหมพี่ ผมไม่ได้เป็นครูสอนดนตรีอย่างพี่นี่จะได้เสียงดี เสียงใสไม่ผิดคีย์ยังกับจิ้งหรีดได้ดูดน้ำค้าง”
“อ้าวไอ้นี่ แหย่หน่อยเดียวปีนเกลียวเลยเหรอวะ เดี๋ยวเหอะมึงเดี๋ยวสวย”
“ไม่สวยเท่าแฟนพี่หรอก แบร่”
มือหนาหนักทำท่าจะตบกะโหลกคนอายุน้อยกว่าแต่อีกฝ่ายรู้ทันเลยชิ่งหนีไปหลบหลังหญิงสาวร่างสูงที่เดินเข้ามาพอดี ปฏิมาหันไปมองเด็กหนุ่มที่เกาะหลังตัวเองอย่างงงๆแล้วก็หันกลับมาหาคนตัวโตที่กำลังปั้นหน้ายิ้มไร้เดียงสาอยู่
“เล่นอะไรกันน่ะ นี่นายรังแกเด็กในร้านด้วยเหรอ”
“โหย ที่รักครับ พูดอย่างงี้ผมเสียหมด เจ้าของร้านที่เอ็นดูลูกลิงแบบนี้หาที่ไหนไม่มีแล้ววววว ไอ้บอย มึงก็เลิกเกาะแฟนกูซะที”
หน้าสวยหวานแดงขึ้นทันที “ใครแฟนใคร เลิกขี้ตู่ซักทีไอ้อ้วน!”
“บอย มายืนเล่นอะไรแถวนี้ ไม่เตรียมเปิดร้านหรือไง”
หุ้นส่วนใหญ่และเจ้าของร้านตัวจริงเดินเปิดประตูออกมาจากในร้านแล้วก็หันไปถาม “ลูกลิง” ที่เกาะหลังปฏิมาอยู่จนเจ้าตัวหน้าจ๋อย แต่แม้น้ำเสียงจะฟังเฉียบขาด นัยน์ตาของนรพัฒน์กลับมีประกายขำ เด็กหนุ่มแกล้งทำเป็นตบส้นแล้วก็ตะเบ๊ะรับคำสั่ง
“รับทราบครับพ้มผู้กำกับ! กระผม จ่าสิบเอกชลิตจะรีบไปปฏิบัติหน้าที่เดี๋ยวนี้ครับ!!”
ปฏิมาส่ายหน้าเมื่อคล้อยหลังเด็กหนุ่ม
“บอยนี่เป็นนักศึกษาจริงเหรอ เรารู้สึกเหมือนเป็นเด็กม.ปลายมากกว่า”
“มันก็ดีแต่ทะลึ่งทะเล้นไปวันๆน่ะแหละ ว่าแต่ปาล์มจะมาร้านทำไมไม่โทรบอกก่อนล่ะครับ”
“ก็แค่จะเอาหนังสือเล่มใหม่มาฝากวางที่ร้านเฉยๆ…ทำไม ถ้าไม่โทรบอกก่อนแล้วมาไม่ได้หรือไง?”
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ยิ้มเอ็นดูอีกฝ่ายที่ทำปากยื่นนิดๆอย่างไม่พอใจ ท่าทางปฏิมาคงไม่รู้ว่าเขาชอบมองเวลาเจ้าตัวทำหน้าตาหาเรื่องแบบนี้ไม่อย่างนั้นคงยิ่งระวังตัวมากกว่าเดิม
“โอ๋ๆ ผมหมายถึงว่าถ้าโทรบอกก่อนจะได้เตรียมรอรับต่างหาก งั้นเข้าไปข้างในกันดีกว่า ไหนๆมาแล้วก็ทานข้าวเย็นที่ร้านเลยแล้วกันนะ”
หญิงสาวค้อนคนชวนที่ทำตากรุ้มกริ่มใส่แต่ก็เดินเข้าไปในร้านเมื่ออีกฝ่ายเปิดประตูให้แต่โดยดี ดิษยะมองตามหลังของคนที่เดินตรงไปยังโต๊ะด้านในแล้วก็ยิ้ม ปฏิมาเริ่มมาดูแลนิตยสารแจกฟรีที่เพิ่งเปิดตัวที่เชียงใหม่ได้เกือบเดือนแล้ว ถึงแม้เจ้าตัวจะไม่เคยปริปาก แต่ดิษยะรู้ดีว่าหญิงสาวคงเหงาเหมือนกันที่ต้องจากบ้านที่กรุงเทพฯมาอยู่ที่ต่างจังหวัดคนเดียว แม้จะยังเดินทางไปๆมาๆก็ตาม
นรพัฒน์โบกมือเรียกเด็กเสิร์ฟในร้านให้เข้าไปรับรายการอาหารจากทั้งสองระหว่างเดินปลีกตัวไปที่เคาน์เตอร์ ขณะชายหนุ่มกำลังดึงสมุดและเครื่องคิดเลขออกมาเพื่อเช็คบัญชีก็ได้ยินเสียงคุ้นเคยดังขึ้นใกล้ๆ
“นี่เฮีย เคยสงสัยเหมือนผมมะว่าทำไมพี่ย่ามถึงจีบพี่ปาล์ม”
นัยน์ตาคมชายตามองเด็กหนุ่มที่เดินมายืนข้างๆแล้วก็ยิ้มพลางพลิกเปิดหน้าที่บันทึกบัญชีของเดือนล่าสุดไว้
“บอยจะสงสัยทำไมละ ย่ามมันคงถูกใจของมันก็เลยจีบน่ะสิ ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน”
ชลิตยัดมือสองข้างลงในกระเป๋ากางเกงพลางหันกลับมามองคนข้างตัว
“ก็ผมเห็นพี่ย่ามเป็นโสดมาตั้งนาน แถมยังสนิทกับเฮีย ผมก็เผลอนึกว่าพวกเฮียคบกันเป็นแฟนแล้วซะอีก”
ชายหนุ่มร่างผอมสูงหัวเราะแล้วก็ยกมือขยี้ผมเด็กหนุ่มที่สูงแค่ปลายคางตัวเองอย่างมันเขี้ยว
“คิดอะไรเพ้อเจ้อจริงๆนะเรา เฮียรู้จักกับมันมาตั้งแต่เด็กก็ต้องสนิทกันสิวะ แล้วสเป็คคนที่เฮียชอบน่ะคนละขั้วกับไอ้ย่ามเลยจะบอกให้”
ชลิตบ่นอุบอิบพลางพยายามจัดผมที่เซ็ทไว้ให้กลับเป็นทรงเดิม
“ใครจะไปรู้เล่า แล้วสเป็คเฮียเป็นแบบไหนอะ คอยดูเหอะไม่รีบหาแฟนมั่งเดี๋ยวแนนก็แต่งงานตัดหน้าหรอก”
คนโดนขู่หัวเราะในคอก่อนจะปิดสมุดบัญชีแล้วหันมายิ้มเจ้าเล่ห์ให้เด็กเสิร์ฟประจำร้าน “บอยอยากรู้สเป็คเฮียจริงๆมั้ยล่ะ จะได้บอก”
เด็กหนุ่มเห็นประกายบางอย่างในตาของเจ้าของร้านแล้วก็รู้สึกเสียวสันหลังแปลกๆจึงรีบกระแอมแล้วเก๊กเสียงตัดบท
“เอ่อ ด้วยจรรยาบรรณของผู้ดีผมไม่ละลาบละล้วงดีกว่าว่ะเฮีย เดี๋ยวขอไปดูในครัวก่อนนะ ไม่รู้กับข้าวพี่ย่ามเค้าเสร็จรึยัง ไปละ”
ชายหนุ่มเจ้าของร้านมองตามหลังเด็กหนุ่มที่เดินหนีไปแล้วก็ส่ายหน้ายิ้มๆในความทะเล้นอย่างคงเส้นคงวา ก่อนจะหันไปกดเครื่องคิดเลขเพื่อคำนวณบัญชีที่ทำค้างไว้ต่อ เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นข้างตัวเรียกให้ชายหนุ่มยื่นมือไปยกหูโทรศัพท์ขึ้นรับ
“สวัสดีครับ ที่นี่ร้านดื่ม-เล่าครับ...อ้าวลุงแหวง มีอะไรหรือลุง?”
นรพัฒน์ทักทายคนขับรถรับจ้างที่อาศัยอยู่ไม่ไกลจากบ้านเพื่อนสนิทบนเชิงเขานอกเมืองด้วยความคุ้นเคย แต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อได้ฟังสิ่งที่ผู้สูงวัยกว่าบอกเล่าผ่านทางโทรศัพท์ด้วยเสียงละล่ำละลัก
“อะไรนะครับ?! ตั้งแต่กี่โมงครับลุง? เข้าใจแล้ว งั้นเดี๋ยวผมไปเดี๋ยวนี้เลยครับ”
ชายหนุ่มวางโทรศัพท์อย่างรวดเร็วแล้วก็รีบสาวเท้าไปยังโต๊ะที่เพื่อนของตนและปฏิมานั่งอยู่ ดิษยะได้ยินเสียงฝีเท้าจึงเงยหน้าขึ้นมองสีหน้าไม่สู้ดีนักของเพื่อน แต่ก่อนจะได้อ้าปากถามอีกฝ่ายก็ชิงพูดขึ้นเสียงเครียด
“ไปด้วยกันหน่อย รถไผ่โดนชนท้าย ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล”
*************
รถแท็กซี่สีดำสำหรับรับส่งผู้โดยสารจากสนามบินแล่นเข้าจอดหน้าทางเข้าของอาคารสีครีมขนาดใหญ่ ชายหนุ่มร่างสูงยื่นธนบัตรสีม่วงให้คนขับรถโดยไม่รอเงินทอนแล้วก็รีบสะพายกระเป๋าเดินกึ่งวิ่งเข้าในอาคารที่อวลกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อบางเบาในทุกอณูอากาศ ขายาวแข็งแรงก้าวเร็วจนเกือบเหมือนวิ่งไปที่ลิฟต์แล้วยื่นมือเข้าแทรกในช่องประตูที่กำลังจะปิดก่อนจะเบียดตัวเข้าไปอย่างรีบร้อน
ชายหนุ่มค้อมศีรษะขอโทษผู้ที่อยู่ในลิฟต์แล้วก็หันไปกดหมายเลขชั้นที่ต้องการ จากนั้นนัยน์ตาคมก็จับจ้องที่แผงไฟแสดงเลขชั้น เท้าข้างหนึ่งเคาะพื้นอย่างกระสับกระส่าย เมื่อถึงชั้นที่หมายร่างสูงก็ก้าวพรวดจนเหมือนจะกระโจนออกจากลิฟต์แล้วสาวเท้าตรงไปยังหมายเลขห้องที่ได้รับแจ้งแล้วผลักประตูเข้าไปอย่างร้อนรน สีหน้าที่แสดงความอิดโรยซีดเผือดลงไปอีกเมื่อสายตาปะทะเข้ากับร่างของคนที่นอนอยู่บนเตียง
สายตาสามคู่ของผู้ที่ยืนอยู่ในห้องหันไปมองที่ประตูพร้อมกันด้วยความตกใจ ก่อนที่เสียงของหญิงสาวร่างสูงระหงจะเอ่ยเรียกชื่อของผู้มาใหม่ด้วยอาการโล่งใจ
“ต้น!”
ตระการถลาเข้าไปยืนข้างเตียงราวกับไม่เห็นหรือได้ยินเสียงของใครทั้งสิ้น นัยน์ตาคมจับจ้องใบหน้าขาวซีดของคนที่กำลังนอนหลับไม่ได้สติ แล้วก็ไล่ไปยังผ้าพันแผลสีขาวสะอาดที่พันอยู่รอบศีรษะและแขนข้างหนึ่งที่เข้าเฝือกไว้ ใบหน้าของคนเจ็บนิ่งสงบ ทว่าภาพที่ได้เห็นกลับทำให้ผู้มาใหม่เจ็บร้าวในอกราวมีใครเอาคีมที่เผาไฟจนร้อนแดงมาบีบ
“ทำไม...” มือใหญ่ยกมือของคนบนเตียงขึ้นกุมอย่างสั่นเทาก่อนจะเค้นเสียงถามอย่างไม่เจาะจงคนตอบ
“ใครทำไผ่เป็นแบบนี้!?”ร่างที่นอนอยู่บนเตียงขมวดคิ้วมุ่นขึ้นเล็กน้อยกับเสียงที่ดังขึ้นข้างหู แต่แล้วก็เพียงผินหน้าหนีที่มาของเสียงแล้วหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอเช่นเดิม ปฏิมายกนิ้วชี้ขึ้นจ่อที่ริมฝีปากตัวเองก่อนเอ่ยเสียงเบา
“อย่าเสียงดังสิต้น หมอบอกว่าไผ่ต้องการการพักผ่อน”
นรพัฒน์มองตระการแล้วก็กระซิบใส่หูเพื่อนสนิท ก่อนที่คนตัวโตกว่าจะพยักหน้าแล้วเดินไปแตะบ่าชายหนุ่มผู้มาใหม่เป็นสัญญาณให้เดินตามไปนอกห้อง ตระการยังสองจิตสองใจ เขากลัวว่าพรพฤกษ์จะฟื้นขึ้นมาระหว่างที่เขาละสายตาไป ดิษยะหันกลับมามองสีหน้ากังวลใจนั้นแล้วก็เดาะลิ้นก่อนจะใช้วิธีรั้งไหล่อีกฝ่ายให้เดินออกไปด้วยกัน
“ไผ่มันยังไม่ตื่นง่ายๆหรอกน่า ถ้าอยากรู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็ออกมาฟังข้างนอก”
ตระการจำต้องเดินตามออกไปอย่างเสียไม่ได้ ดิษยะปิดประตูห้องผู้ป่วยแล้วรุนหลังชายหนุ่มให้ไปที่ชุดเก้าอี้รับแขกริมทางเดิน จากนั้นก็กดไหล่อีกฝ่ายให้นั่งลง ชายหนุ่มตัดสินใจถามเข้าประเด็นทันทีเพื่อจะได้รีบกลับเข้าไปเฝ้าคนในห้อง
“ตกลงมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ครับ ตอนที่ปาล์มโทรหาผมเมื่อคืนก่อนก็ไม่ได้บอกละเอียด”
ดิษยะถอนหายใจแล้วก็เกาศีรษะ “เอ้า ยังไงก็ใจเย็นๆแล้วค่อยๆฟังก็แล้วกัน...”
ตระการได้รับรู้ว่าวันก่อนหน้าซึ่งเป็นวันเกิดเหตุนั้นพรพฤกษ์ขับรถเข้ามาทำธุระในเมือง แล้วระหว่างทางขากลับเกิดอุบัติเหตุโดนชนท้ายจากรถสิบล้อที่พยายามเบี่ยงแซงรถที่อยู่ด้านหลังแล้วบังเอิญพรพฤกษ์ต้องชะลอรถให้คนแก่ข้ามถนนจึงถูกสิบล้อเสยเข้าเต็มแรง ผลคือท้ายรถพังยับและเจ้าตัวเองศีรษะกระแทกพวงมาลัยแตกและกระดูกแขนร้าวข้างหนึ่ง
“แล้วคนขับสิบล้อล่ะครับ ชนแล้วหนีหรือเปล่า?”
ดิษยะส่ายหน้า “เปล่าๆ เค้าก็โทรหาเจ้านายเค้าให้มาจ่ายค่าเสียหายน่ะแหละ ส่วนรถของไผ่มันก็มีประกัน ไอ้นอมันจัดการเรื่องเอกสารแล้วก็อะไรต่อมิอะไรให้เสร็จสรรพแล้วเพราะมันชอบคิดว่ามันเป็นพ่อไอ้ไผ่”
ชายหนุ่มหวังว่าอารมณ์ขันของตัวเองจะทำให้อีกฝ่ายสบายใจขึ้นบ้าง แต่กลับกลายเป็นว่าคนฟังหน้าเสียมากขึ้นไปอีก
“ไม่น่าเลย ถ้าผมอยู่ใกล้ๆไผ่บางทีอาจไม่เกิดเรื่องแบบนี้”
“เฮ่ย มีใครเค้ารู้ล่วงหน้ากันมั่งว่าจะมีอุบัติเหตุ ต่อให้ต้นอยู่กับไผ่ตอนนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เกิดอะไรขึ้นอยู่ดีล่ะน่า”
“แต่ว่า...”
เสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้อย่างรีบเร่งทำให้ชายหนุ่มทั้งสองหันหน้าไปทางต้นเสียง เมื่อตระการเงยหน้าขึ้นแล้วเห็นว่าผู้มาใหม่เป็นใครก็ชักสีหน้าทันที ด้านอภิสิทธิ์เองเมื่อเห็นผู้ที่นั่งอยู่หน้าห้องของคนที่ตั้งใจมาเยี่ยมก็ชะงักไปเช่นกัน
“สวัสดีครับ กลับมาแล้วหรือ ย่าม ไผ่เป็นไงบ้าง”
ดิษยะเห็นสายตาไม่เป็นมิตรที่คนทั้งสองส่งให้กันก็รีบชิงตอบคำถาม
“ตั้งแต่นายกลับไปก็ยังไม่ฟื้นเลยว่ะอ้น หมอบอกว่าคลื่นสมองปรกติไม่น่ามีอะไรกระทบกระเทือน แต่ยังไงก็ต้องรอให้ฟื้นก่อนถึงจะรู้อาการจริงๆ”
อภิสิทธิ์มองไปทางประตูห้องผู้ป่วยด้วยนัยน์ตากังวล
“ถ้าเมื่อวานเราไม่ชวนไผ่มาที่ร้านก็ดีหรอก บางทีอาจจะไม่เกิดเรื่องอย่างนี้”
ตระการเงยหน้าทันทีเมื่อได้ยินประโยคนั้น ร่างสูงลุกพรวดแล้วก็ใช้มือขยุ้มคอเสื้ออีกฝ่ายก่อนจะตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยว
“เพราะไผ่มาหาคุณ! ถ้าหากไผ่ไม่ออกมาก็คงไม่ต้องเจอเรื่องแบบนี้หรอก!! ไอ้บ้าเอ๊ย!!”
“เฮ้ยต้น! ใจเย็น นั่นมันเป็นอุบัติเหตุนะ!!”
ร่างหนาของดิษยะเข้าไปล็อกแขนสองข้างของตระการจากด้านหลังด้วยความตกใจพอๆกับอภิสิทธิ์ที่ถูกกล่าวหา ชายหนุ่มแสดงอาการฮึดฮัดกับการที่ถูกรั้งตัวไว้ อภิสิทธิ์มองสบนัยน์ตาวาวโรจน์ของอีกฝ่ายอย่างเย็นชา ทว่าก่อนจะเกิดสงครามย่อยๆขึ้น ประตูห้องผู้ป่วยด้านหลังก็ถูกเปิดจากภายในพร้อมๆกับที่ปฏิมายื่นหน้าออกมา
“ต้น! ไผ่ตื่นแล้วนะ...”
หญิงสาวมองสภาพของชายทั้งสามที่โถงทางเดินแล้วก็ขมวดคิ้ว ตระการสะบัดตัวเองหลุดจากท่อนแขนหนาที่ล็อกตัวเขาเอาไว้แล้วจ้ำอ้าวไปที่ห้องผู้ป่วยทันทีโดยมีอภิสิทธิ์ตามเข้าไปติดๆ ปฏิมาเบี่ยงตัวหลบชายหนุ่มสองคนที่เบียดผ่านตัวเองเข้าไปในห้องแล้วก็หันไปมองคนตัวใหญ่ที่เดินตามมาด้วยใบหน้าสงสัย ทว่าคนตัวโตเพียงส่ายหน้าเป็นสัญญาณว่าอย่าเพิ่งถามอะไร
ตระการตรงเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียงทันที นัยน์ตาคมทอประกายดีใจที่เห็นคนรักลืมตาแม้ใบหน้านั้นจะยังซีดเซียวและดูอ่อนเพลีย พรพฤกษ์กระพริบตาถี่ๆพลางกลอกตามองไปตามใบหน้าของคนรอบตัวอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนจะหยุดที่คนใกล้ตัวที่จับมือของตัวเองไว้
“ต้น...”
เสียงนั้นแผ่วระโหย ทว่าก็ทำให้หัวใจที่เหมือนถูกบีบของชายหนุ่มในไม่กี่อึดใจที่ผ่านมากลับพองขึ้นด้วยความยินดี มือแข็งแรงบีบมือเรียวแน่นขึ้นก่อนจะเอ่ยเสียงสั่น
“ไผ่รู้สึกตัวแล้ว ดีจริงๆ”
ร่างบางพยายามยิ้มให้อย่างเพลียๆแม้จะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก นรพัฒน์บีบไหล่อีกข้างของเพื่อนเบาๆ
“รู้สึกตัวก็ดีแล้ว ทุกคนเป็นห่วงไผ่มากนะ ยังไงตอนนี้พักผ่อนก่อน ยังไม่ต้องรีบคิดอะไรก็ได้”
อภิสิทธิ์มองภาพบาดตาของพรพฤกษ์กับตระการราวทั้งคู่กำลังอยู่ในโลกส่วนตัวแล้วก็ขบกรามจนเป็นสันนูนก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องไป ไม่นานนักนางพยาบาลสาวก็เดินเข้ามาพร้อมกับนายแพทย์วัยกลางคนร่างเล็ก
“มีคนไปแจ้งว่าคนไข้ตื่นแล้ว เดี๋ยวคุณหมอขอวัดไข้กับความดันหน่อยนะคะ”
ตระการจำใจต้องปล่อยมือเรียวที่จับอยู่แล้วถอยออกเพื่อไม่ให้รบกวนการตรวจ ด้านคุณหมอเพียงสอบถามอาการคนป่วยสองสามคำก่อนจะพยักหน้าอย่างพอใจแล้วจึงหันไปขอคุยกับนรพัฒน์ที่นอกห้อง ปฏิมาก้าวไปยืนข้างเตียงแล้วก็เอ่ยกับคนเจ็บอย่างยินดี
“โชคดีนะไผ่ที่ไม่ได้เป็นอะไรมาก”
คนป่วยยิ้มให้ “ขอบใจนะปาล์ม ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง”
“เฮ้อ...ถ้าผมต้องมานอนโรงพยาบาลบ้างปาล์มจะห่วงผมอย่างนี้มั้ยเนี่ย”
หญิงสาวถลึงตาใส่คนพูดตาเขียวจนคนที่นอนเจ็บตัวอยู่อดหัวเราะเบาๆไม่ได้ ตระการยิ้มแล้วลูบผมส่วนที่โผล่พ้นผ้าพันแผลออกมาอย่างอ่อนโยน พรพฤกษ์ยิ้มตอบแล้วก็ขมวดคิ้วเมื่อนึกขึ้นได้
“ทำไมต้นมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ แล้วนี่ไผ่นอนมานานแค่ไหนแล้ว?”
ดิษยะตอบให้แทน “ลุงแหวงพามึงมาส่งตั้งแต่โดนเสยท้ายเมื่อคืนวาน ยังไงออกจากโรงพยาบาลแล้วไปขอบคุณลุงแกด้วยล่ะ”
“อ้อ...” คนป่วยพยักหน้าเข้าใจ นรพัฒน์เดินกลับเข้ามาในห้องแล้วก็หันไปกวักมือเรียกตระการให้เดินตามออกไป ชายหนุ่มจึงจำต้องลุกตามไปอย่างเสียไม่ได้
“เมื่อกี้ผมคุยกับลุงหมอแล้ว แกบอกว่าเท่าที่ดูนอกจากแผลที่หัวกับแขนที่ใส่เฝือกแล้วอย่างอื่นไม่น่าเป็นห่วงเพราะอวัยวะภายในไม่กระทบกระเทือน สมองก็ปกติดี แต่อย่างน้อยก็อยากให้นอนดูอาการอีกสักคืนหรือสองคืน”
“ผมจะเฝ้าไผ่เองครับ”
นรพัฒน์ยิ้ม เขาคิดอยู่แล้วว่าอีกฝ่ายจะต้องเสนอตัว
“ถ้าอย่างนั้นผมฝากไผ่ด้วยแล้วกัน เตรียมกระเป๋ามาด้วยแล้วใช่ไหม?”
ชายหนุ่มเย้าเพราะรู้ว่าตระการบินออกจากเกาหลีมาตั้งแต่ได้รับโทรศัพท์ทางไกลแจ้งเมื่อคืนก่อน จากนั้นก็จับเครื่องบินต่อจากกรุงเทพฯมาเชียงใหม่โดยไม่พักเลย
“ก็...ไม่มีปัญหาครับ” ตระการยิ้มตอบแห้งๆ นรพัฒน์สังเกตสีหน้าที่มีริ้วรอยอ่อนเพลียของอีกฝ่ายแล้วก็ตบบ่าอย่างให้กำลังใจ
“งั้นก็ดีแล้ว แล้วก็...ขอบคุณมากจริงๆที่มา”
*************
ตระการยกขวดน้ำเย็นขึ้นดื่มพลางบีบนวดไหล่ที่ปวดเมื่อยเพราะการนั่งเครื่องบินยาว เพื่อนๆของพรพฤกษ์กลับไปกันหมดแล้วหลังจากเขารับปากแข็งขันว่าจะดูแลคนเจ็บแทนทุกคนที่ผลัดกันคอยเฝ้าที่โรงพยาบาลมาตั้งแต่วันก่อน ดิษยะยิ้มให้เขาล้อๆตอนมากอดคอกระซิบก่อนจะกลับไป
“แผนสูงนะเรา ไม่อยากให้กขค.อยู่ล่ะสิ”
ดึกมากแล้ว ดวงจันทร์นอกหน้าต่างลอยตัวเด่นกลางท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม ตระการเท้าคางมองคนที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงแล้วก็ยื่นมือไปลูบศีรษะอีกฝ่ายเบาๆ ตอนเขาได้รับโทรศัพท์จากปฏิมาที่โทรข้ามประเทศไปบอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนสำคัญของเขาชายหนุ่มรู้สึกเหมือนหัวใจจะหยุดเต้นเสียให้ได้
ร่างบางตัวสั่นเล็กน้อย ตระการจึงหยิบรีโมตขึ้นกดหรี่แอร์แล้วดึงผ้าห่มขึ้นให้ถึงปลายคางอีกฝ่ายพลางตบตรงหน้าอกเบาๆ นัยน์ตาหวานคมปรือขึ้นก่อนจะส่งเสียงถาม “ต้น? ยังไม่นอนอีกเหรอ?”
“โทษที ทำให้ไผ่ตื่นหรือเปล่า?”
“ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่ขอกินน้ำหน่อยสิ”
ชายหนุ่มกระวีกระวาดลุกขึ้นเปิดขวดน้ำดื่มใส่หลอดยื่นให้พลางช่วยประคองศีรษะคนเจ็บให้ดูดน้ำได้ถนัด พออีกฝ่ายส่งสัญญาณว่าพอแล้วจึงวางขวดน้ำลงที่โต๊ะข้างหัวเตียง พรพฤกษ์ลงนอนอย่างเดิมแล้วก็สบสายตากับคนที่เท้าคางมองหน้าตัวเองอยู่
“ไผ่เจ็บแผลมั่งหรือเปล่า”
คนถูกถามส่ายหน้า “มันชาๆมากกว่า คงเพราะกินยาแก้ปวดไป ขอโทษนะ ทำให้ต้นต้องเสียเวลางานบินกลับมาหา”
“พูดอะไรอย่างนั้นล่ะไผ่ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ใครจะมีสมาธิทำงานต่อกัน”
ทั้งสองเงียบไปครู่หนึ่งก่อนตระการจะเอ่ยต่อ “ถ้าหมอนั่นไม่เรียกไผ่ไปหาที่ร้านก็คงไม่เกิดเรื่องนี้หรอก”
“หมอนั่น?” พรพฤกษ์ขมวดคิ้ว แล้วก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงใคร “คิดมากอีกแล้ว นั่นมันอุบัติเหตุนะต้น ต่อให้ไผ่ไม่เข้าไปในเมืองก็อาจเกิดเรื่องแบบนี้ได้อยู่ดีนั่นแหละ อย่าโทษอ้นสิ”
ชายหนุ่มมองตาคนเจ็บที่มองตัวเองอยู่เหมือนตำหนิแล้วก็ถอนหายใจ
“โอเค ไม่โทษก็ได้ แต่ยังไงต่อไปนี้ห้ามไปร้านหมอนั่นโดยที่ต้นไม่อยู่ด้วยเด็ดขาด”
คนถูกสั่งห้ามหลับตาแล้วก็ถอนหายใจยาว “แล้วต้นจะอยู่กับไผ่ได้นานแค่ไหนล่ะ ไม่ต้องกลับไปทำงานแล้วเหรอ”
ประโยคราบเรียบทว่าแฝงแววตัดพ้อนั้นทำให้คนฟังสะอึก อันที่จริงการที่เขาบินกลับมาเมืองไทยนอกตารางคราวนี้เขายังไม่ได้บอกใครที่นี่สักคนนอกจากทิ้งข้อความลาป่วยไว้กับผู้ช่วยทางโน้น แม้ตอนที่ยังมาไม่ถึงโรงพยาบาลเค้าจะนึกห่วงงานเปิดตัวโครงการที่กำลังจะมาถึงอยู่บ้าง แต่เมื่อได้มาเห็นสภาพคนตรงหน้าความคิดนั้นก็หายไปทันที
ชายหนุ่มนึกหวนไปถึงบทสนทนากับบิดาแล้วนัยน์ตาคมก็กร้าวขึ้น ยังไงเรื่องที่ถูกสั่งให้เลิกคบหากับพรพฤกษ์เรื่องเดียวเท่านั้นที่เขาทำตามไม่ได้จริงๆ
“ต้น เจ็บนะ”
ตระการกระพริบตาก่อนจะปล่อยมือที่เผลอกำมืออีกฝ่ายแน่นเป็นกำหลวมๆแทน “ขอโทษ เผลอคิดอะไรเพลินไปหน่อย”
“ต้นรู้มั้ย เมื่อวานตอนเช้าที่นี่ฝนตกหนักด้วยนะ เหมือนตอนที่ต้นมาที่เกสต์เฮ้าส์วันแรกเลย”
คราวนี้คนเฝ้าคนเจ็บเป็นฝ่ายงงเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะหมายความถึงอะไร พรพฤกษ์มองใบหน้าหล่อเหลาที่ขมวดคิ้วแล้วก็ยิ้ม
“ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากบอกว่า เราเจอกันมาจะครบสองปีแล้วนะ”
ตระการยิ้มบ้าง “เวลาผ่านไปเร็วจริงๆด้วยเนอะ” ชายหนุ่มก้มลงจูบคนเจ็บเบาๆ แล้วก็หัวเราะในคอเมื่ออีกฝ่ายพยายามกลั้นหาว
“ดึกแล้ว ไผ่นอนเถอะ รีบพักผ่อนจะได้รีบออกจากโรงพยาบาลกัน”
ใบหน้าหวานพยักหน้าอย่างว่าง่ายแล้วก็หลับตาลง ไม่นานนักตระการก็ได้ยินเสียงกรนเบาๆ จึงหยิบโทรศัพท์มือถือเดินออกไปที่ระเบียง สายลมเย็นโชยเอื่อยขณะมือใหญ่ยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู
“อาวีเหรอ ผมต้นนะครับ ขอโทษที่โทรมาดึกขนาดนี้ พอดีผมมีเรื่องอยากรบกวนหน่อย”*************