18.“คุณตฤณครับ มีโทรศัพท์จากโรงพยาบาลครับ”
ชายหนุ่มรูปร่างผอมสูงสวมแว่นกรอบโลหะเคาะประตูห้องทำงานก่อนจะร้องบอกผู้เป็นนายด้วยเสียงตื่นเต้น ผู้ถูกเรียกปรามอีกฝ่ายด้วยสายตาดุก่อนจะหันไปคุยโทรศัพท์ที่ค้างไว้ต่อ
“ครับเสี่ย แป๊บนึงนะครับ”
ตฤณปิดปากกระบอกโทรศัพท์แล้วหันมองผู้ช่วยตาเขียว “วี ฉันกำลังคุยธุระสำคัญอยู่นะ มีอะไรก็รับฝากข้อความไปก่อน”
“แต่...ยายแสนโทรมาจากโรงพยาบาลเรื่องคุณกลอยนะครับ”
ผู้ช่วยหนุ่มเอ่ยอย่างเกรงใจ เขารู้ดีว่าผู้เป็นนายเกลียดการถูกขัดจังหวะเวลาทำงานแค่ไหน แต่เขาทราบดีว่ากลอยตา ภรรยาของตฤณเข้าโรงพยาบาลเมื่อช่วงเช้าด้วยสาเหตุใด ดังนั้นอีกฝ่ายควรจะให้ความสำคัญกับโทรศัพท์สายนี้แม้จะอยู่ในเวลางานจึงจะถูก
“รับฝากข้อความไว้ ฉันคุยธุระเสร็จเมื่อไหร่เดี๋ยวโทรกลับไปเอง ขอโทษครับเสี่ย ผมขอคุยเรื่องซองประมูลต่อเลยนะครับ...”
วรชัยถอนหายใจก่อนจะถอยออกจากห้องแล้วงับประตูปิดตาม ตฤณเพียงเหลือบมองก่อนจะหันกลับมาสนใจการเจรจาทางธุรกิจกับเสี่ยเจ้าของบริษัทรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่ต่อ
เวลาผ่านไปร่วมชั่วโมงกว่าการเจรจาจะได้ข้อสรุปเป็นที่น่าพอใจสำหรับทั้งสองฝ่าย ตฤณวางหูโทรศัพท์แล้วยกแก้วน้ำบนโต๊ะขึ้นดื่มจนเกลี้ยง ชายหนุ่มใช้หลังมือปาดหยาดของเหลวที่เกาะบนไรหนวดเหนือริมฝีปากก่อนจะหันมองผู้ช่วยที่เปิดประตูห้องเข้ามาอีกครั้งอย่างมีคำถาม
“ขอโทษครับ พอดีผมเห็นเสียงเงียบไปเลยคิดว่าคุณตฤณน่าจะโทรศัพท์เสร็จแล้ว”
ผู้เป็นนายพยักหน้าแล้วหันไปจัดเอกสารที่วางกระจัดกระจายบนโต๊ะให้เป็นระเบียบ “เพิ่งเสร็จพอดี แล้วตกลงยายแสนโทรมาว่ายังไง?”
น้ำเสียงวรชัยตื่นเต้นขึ้นทันที “คุณกลอยคลอดลูกชายอย่างปลอดภัยแล้วครับ ยินดีด้วยนะครับคุณตฤณ”
ใบหน้าคมเพียงเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง ทว่าไม่มีการแสดงอารมณ์อื่นใดนอกเหนือไปจากนั้น ผู้เป็นนายลุกขึ้นเลือกแฟ้มเอกสารบนชั้นวางด้านหลังออกมาจัดใส่เอกสารบนโต๊ะแล้ววางกลับเข้าที่เดิม
“เข้าใจแล้ว เย็นนี้ฉันจะแวะไปโรงพยาบาลหลังงานแต่งลูกสาวคุณชิดชัยก็แล้วกัน”
ตฤณสังเกตเห็นด้วยหางตาว่าผู้ช่วยของตนยังยืนทำท่าเก้ๆกังๆอยู่จึงหันไปถาม “มีอะไร ทำไมยังไม่กลับไปทำงานอีก?”
“เอ่อ เท่าที่ฟังจากยายแสน ท่าทางคุณกลอยจะต้องนอนพักที่โรงพยาบาลอีกหลายวันเพราะร่างกายอ่อนเพลียมาก ยังไงงานแต่งเย็นนี้ให้ผมไปแทน...”
“ไม่ต้อง ฉันบอกแล้วว่าจะไปก็ต้องไป แล้วยังไงนี่ก็เรื่องของเมียฉันเอง คนนอกไม่จำเป็นต้องยุ่ง”
“ครับ...”
ผู้ช่วยหนุ่มเอ่ยรับเสียงอ่อยก่อนยอมถอยออกไป ตฤณหยิบบุหรี่จากซองในกระเป๋าเสื้อขึ้นจุดสูบแล้วก็พ่นควันออกช้าๆ เขาแต่งงานกับกลอยตาที่มีฐานะทางบ้านสูงกว่ามาสี่ปีแล้ว หล่อนเคยแท้งลูกเพราะครรภ์เป็นพิษเมื่อสองปีก่อน ตั้งแต่นั้นมาความสัมพันธ์ที่ไม่ได้ราบรื่นอยู่แล้วของทั้งสองดูจะเปราะบางลงยิ่งกว่าเดิม ในตอนแรกตฤณจึงไม่ค่อยหวังกับการตั้งครรภ์ครั้งนี้นัก ใช่ว่าเขาไม่นึกเป็นห่วงคู่ชีวิตที่ตบแต่งอยู่กินกันมาถึงแม้จะไม่เคยรู้สึกพิศวาสภรรยาเหมือนคู่รักทั่วไปก็ตาม ดูเหมือนกลอยตาก็พอจะรู้ตัวจึงพยายามไม่เรียกร้องความสนใจให้เขาต้องลำบากใจสักครั้ง
ตฤณเลื่อนลิ้นชักโต๊ะแล้วหยิบซองการ์ดแต่งงานสีชมพูขึ้นดูก่อนจะอัดบุหรี่เข้าปอดอีกครั้ง อย่างน้อยกลอยตาก็คลอดลูกชายคนแรกให้เขาอย่างปลอดภัย หากจะให้วรชัยไปร่วมงานแต่งงานของลูกสาวคู่ค้าคนสำคัญแทนโดยให้เหตุผลว่าเขาต้องไปเยี่ยมภรรยาฝ่ายนั้นคงเข้าใจ... *************
“ทำไมต้องทำหน้าตกใจขนาดนั้น ได้เจอพ่อทั้งทีแกแสดงท่าทางดีใจกว่านี้ไม่ได้หรือไง”
ตระการกระพริบตา ยังไม่หายประหลาดใจที่จู่ๆได้พบคนที่ไม่คาดคิดรออยู่ในห้องทำงาน ชายหนุ่มพนมมือทำความเคารพบิดาก่อนเอ่ยถาม
“ขอโทษครับ ผมแค่คิดไม่ถึงว่าพ่อจะบินมากะทันหันแบบนี้ จะดื่มอะไรไหมครับผมจะได้ไปเอาให้”
ผู้เป็นบิดาส่ายศีรษะ
“ไม่ต้อง มีคนเอามาให้แล้ว”
ชายวัยกลางคนที่ผมเริ่มเป็นสีเทาอยู่ในชุดสูทสีควันบุหรี่ เชิ้ตสีเข้มแบะอกไม่ผูกเนคไท ตระการลอบสังเกตใบหน้าผอมจนซูบตอบของอีกฝ่าย ระหว่างช่วงเวลาที่ไม่ได้พบกันคนตรงหน้าผ่ายผอมจนสูทที่เคยพอดีตัวดูหลวมไปถนัดใจ
“พ่อดูเพลียๆนะครับ สุขภาพไม่มีปัญหาใช่ไหม”
ตฤณเพียงปรายตามองบุตรชายที่ยังคงยืนอยู่หน้าประตูห้อง “ฉันก็ยังสบายดีตามที่เห็น ว่าแต่แกจะยืนทื่ออยู่ตรงนั้นอีกนานมั้ย กลัวจะโดนฉันกัดเอาหรือไง”
ตระการอึกอักอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินเลี่ยงไปที่โต๊ะทำงานแทนที่จะตรงไปยังโซฟาฝั่งตรงข้ามบิดาที่มุมห้อง หูได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอจากอีกฝ่ายแว่วๆ ชายหนุ่มนั่งลงที่เก้าอี้ประจำตัวแล้วก็ทำทีเป็นหยิบแฟ้มเอกสารที่เขาเซ็นรับทราบไปแล้วตั้งแต่ช่วงบ่ายขึ้นเปิดดูเพื่อรอให้บิดาเอ่ยธุระออกมา
ความเงียบดำเนินอยู่นานจนตระการต้องปริปากขึ้นก่อนหลังตรวจดูเอกสารทั้งแฟ้มซ้ำไปซ้ำมาจนเริ่มหงุดหงิด
“พ่อคงไม่ได้มาเยี่ยมผมใช่ไหม ถ้าหากสงสัยเรื่องเกี่ยวกับความคืบหน้าของโปรเจ็กต์ก็อ่านจากอีเมล์ที่ผมส่งไปก็ได้นี่ครับ”
นัยน์ตาคมของผู้สูงวัยกว่าทอประกายหยันขึ้นวูบหนึ่ง
“หึ ถ้าไม่ใช่เรื่องงานแกก็คงไม่คิดว่าฉันจะมาหาสินะ ท่าทางฉันจะบกพร่องในฐานะพ่อกระมังนี่”
ตระการรีบท้วง “ผมยังไม่ได้พูดแบบนั้น ผมแค่อยากรู้ว่าทำไมพ่อถึงมาโดยไม่บอกกล่าวกันก่อน แล้วอาหมอรู้หรือเปล่าว่าพ่อมาที่นี่”
“เกริกก็แค่ที่ปรึกษาทางสุขภาพ ฉันจะไปไหนมาไหนมันก็เรื่องของฉัน” ตฤณยกแก้วชาขึ้นจิบ นัยน์ตาจับจ้องลูกชายไม่วางตา “ทำไม หรือเห็นพ่อสบายดีแล้วแกไม่พอใจ?”
ใบหน้าคมคายตึงขึ้น
“ถ้าการเดินทางไม่กระทบสุขภาพก็ดีแล้วครับ แล้วถ้าพ่ออยากไปที่ไหนผมจะไปห้ามอะไรได้”
ผู้สูงวัยกว่ายกยิ้มมุมปากบางๆกับคำประชดประชัน ตระการพยายามระงับอารมณ์หงุดหงิดที่แล่นริ้วขึ้นจากความรู้สึกว่าตัวเองกำลังโดนปั่นหัว
“ท่าทางพ่อจะขวางหูขวางตาแกมากสินะ เอาเถอะ ฉันพอเข้าใจว่าถ้าคนที่อยู่ตรงนี้เป็นคนอื่นแกคงดีใจกว่า”
มือใหญ่สองข้างกำแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว นัยน์ตาคมปลาบจับจ้องบิดาเขม็งอย่างไม่เข้าใจ ตฤณหันไปเปิดกระเป๋าข้างตัวแล้วหยิบแฟ้มเอกสารภายในขึ้นพลิกดูด้วยท่าทางไม่นำพากับแววตามีคำถามของบุตรชาย
“พรพฤกษ์ ภูมิประพันธ์ อายุ 28 ปี”ตระการลุกพรวดทันที บิดายังคงอ่านออกเสียงประวัติในมือต่ออย่างไม่สนใจ “จบการศึกษามนุษยศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัย....... เคยทำงานในกองบรรณาธิการนิตยสารท่องเที่ยว ปัจจุบันเป็นเจ้าของเกสต์เฮ้าส์และนักแปลอิสระ”
ร่างสูงใหญ่ก้าวประชิดผู้สูงวัยกว่าอย่างรวดเร็วแล้วกระชากแฟ้มออกจากมือผอมซูบ เมื่อเปิดกางแฟ้มออกดูใบหน้าคมก็เป็นสีเข้มขึ้นทันทีเมื่อเห็นรูปถ่ายและประวัติของคนที่พูดถึงอยู่ในนั้นจริง ตฤณยิ้มเย็น
“หน้าตาไม่เลว...คล้ายพิมจนน่าตกใจ”
“พ่อครับ ทำแบบนี้เข้าข่ายละเมิดสิทธิส่วนบุคคลนะครับ!!”
“ทำไม แล้วแกไม่เคยทำหรือไง?”
ผู้สูงวัยกว่าเอนหลังพิงพนักโซฟา นัยน์ตาจ้องตอบบุตรชายอย่างไม่รู้ร้อนหนาว ตระการสะอึก หรืออีกฝ่ายรู้เรื่องที่เขาก็เคยสืบประวัติของพรพฤกษ์ก่อนที่จะไปตามหาครั้งแรกเหมือนกัน? นี่บิดาของเขาสืบลึกลงไปขนาดไหนแน่?
ตฤณยกแก้วชาสีน้ำตาลอ่อนจางขึ้นจิบก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ
“เลิกกับเด็กคนนั้นซะ ต้น”
ประโยคคำสั่งปราศจากอารมณ์ที่ลอยมากระทบโสตประสาททำให้ตระการยืนตัวแข็ง ความลับที่เขาเคยคิดว่าปิดจากอีกฝ่ายได้มิดไม่เป็นความลับอีกต่อไป ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนโดนค้อนหนาหนักทุบลงที่อก
นี่แม้แต่ชีวิตส่วนตัวของเขาก็จะไม่ให้อิสระบ้างเลยหรือ?
“ผมทำไม่ได้ และพ่อก็บังคับผมเรื่องนี้ไม่ได้เหมือนกัน นี่เป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างผมกับไผ่!”
ผู้สูงวัยกว่าตวัดสายตาขึ้นทันทีเมื่อได้ยินประโยคปฏิเสธแข็งกร้าวนั้น ร่างซูบผอมที่มีส่วนสูงไม่ต่างจากบุตรชายมากนักลุกขึ้นยืนจ้องอีกฝ่ายด้วยนัยน์ตาวาวโรจน์
“เรียกชื่อกันสนิทปากเหลือเกินนะ! แต่แกไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธตราบใดที่แกยังเป็นลูกชายของฉันและคนที่ต้องรับช่วงต่อเครือสุวรรณฤทธิ์!! ความสัมพันธ์บิดเบี้ยวของแกกับไอ้เด็กนั่นจะมาทำลายสิ่งที่ฉันสร้างขึ้นไม่ได้!!!”
“งั้นก็บอกผมมาก่อนว่าปัญหาของพ่อคืออะไร เพราะไผ่เป็นผู้ชาย หรือเพราะเป็นลูกของแม่พิม?”
“แกอย่ามาย้อนฉันนะ!!”
สิ้นประโยคตฤณก็ชะงักแล้วขมวดคิ้ว ใบหน้าที่ซูบตอบเหยเกด้วยความเจ็บปวดก่อนจะเอามือกุมหน้าอกข้างซ้ายแล้วทรุดฮวบลงอย่างกะทันหัน ตระการตกใจรีบเข้าไปประคองอีกฝ่ายก่อนจะล้มลงบนพื้นแล้วพยุงให้เอนลงบนโซฟา
“พ่อครับ! พ่อ! หายใจลึกๆไว้นะ ยาอยู่ไหน!?”
ผู้เป็นบิดากัดฟันหลับตาแน่น มือขวาจิกกุมหน้าอกอย่างแรงจนน่ากลัวว่าจะทิ้งรอยเล็บบนผิวผ่านเสื้อเชิ้ต เมื่อโดนบุตรชายถามซ้ำอีกครั้งด้วยเสียงดังกว่าเดิมตฤณจึงค่อยๆชี้มือสั่นเทาไปที่กระเป๋าข้างตัว ตระการรีบค้นหาซองยาแล้วแกะออกให้บิดาทันที
“ยาอมใต้ลิ้นนะครับ พ่อ! ยังได้ยินเสียงผมใช่ไหม?”
ตฤณพยักหน้าช้าๆ ก่อนจะอ้าปากรับยา ตระการหยิบผ้าเช็ดหน้าจากอกเสื้อตัวเองขึ้นซับเหงื่อที่ผุดพรายบนหน้าผากของคนตรงหน้าแล้วก็เอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน
“ไปโรงพยาบาลดีกว่านะครับ”
ผู้สูงวัยกว่าส่ายหน้าอย่างอ่อนเพลีย มือที่กุมหน้าอกเลื่อนมาดึงแขนเสื้ออีกฝ่ายไว้ “ไม่ต้อง ถ้าได้ยาแล้วนอนพักหน่อยก็ดีขึ้นแล้ว เดี๋ยวแกพาฉันไปส่งที่โรงแรมก็พอ”
“แต่ว่า...”
“ไม่ต้องเถียง!”
ตระการเงียบทันที เปล่าประโยชน์ที่จะคัดค้านยามอีกฝ่ายมีอาการเช่นนี้ ชายหนุ่มจัดแจงท่านอนของบิดาและคลายเสื้อผ้าให้ก่อนหยัดตัวขึ้นยืน
“งั้นพ่อนอนพักก่อนนะครับ ผมจะไปเอาน้ำมาให้”
“เรื่องที่พูดไปเมื่อกี้ ฉันหมายความตามนั้นนะต้น”
ร่างสูงใหญ่ชะงักมือที่แตะลงบนลูกบิดประตู ใบหน้าคมหันกลับไปมองบิดาที่นอนหลับตานิ่งอยู่บนโซฟายาวก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องไป
*************
ตระการเดินตรงออกจากโรงแรมไปยังลานจอดรถหลังส่งบิดาขึ้นห้องพักและดูแลจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายหลับไปแล้ว ชายหนุ่มตั้งใจว่าจะกลับไปเอาของใช้ส่วนตัวที่คอนโดมิเนียมแล้วกลับมานอนเฝ้าเผื่อเกิดอะไรฉุกเฉินขึ้นอีก แม้เขาจะทราบว่าบิดาเป็นโรคหัวใจมาหลายปีแล้วแต่ก็ไม่เคยเห็นยามที่อีกฝ่ายอาการกำเริบมาก่อน ดังนั้นประสบการณ์ในห้องทำงานเมื่อครู่จึงทำให้เขากังวลมากทีเดียว
ชายหนุ่มเปิดประตูเข้านั่งในรถแล้วก็ยกมือขึ้นลูบหน้าอย่างเหนื่อยอ่อน เมื่อเหลือบมองนาฬิกาก็ตกใจที่เวลาล่วงเข้าเที่ยงคืนแล้วจึงล้วงโทรศัพท์ออกมากดหาคนที่อยากคุยด้วยทันที สัญญาณเรียกดังอยู่ครู่หนึ่งก่อนตระการจะได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังมาตามสาย
“ว่าไงต้น”
เสียงทักที่สดใสทำให้ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจยาว กล้ามเนื้อที่ขมวดเกร็งทั่วร่างผ่อนคลายลง ใบหน้าคมยิ้มพลางปลดเน็คไทออกแล้วโยนไปที่นั่งข้างตัว
“ขอโทษทีเมื่อคืนก่อนไม่ได้โทรไป ไผ่ยังไม่นอนใช่ไหม?”
“ยังนั่งทำงานอยู่เลย แล้วต้นกลับถึงห้องหรือยัง?”
“ยัง แต่กำลังจะกลับแล้วล่ะ อยากได้ยินเสียงไผ่คืนนี้จะได้หลับฝันดี”
“นี่พูดอย่างนี้กับสาวๆที่โน่นบ้างหรือเปล่าเนี่ย”
“ไม่ต้องมาหลอกถาม ไผ่น่ะแหละอยู่ทางโน้นไม่มีแขกมาจีบนะ?”
“ไม่มีหรอก แขกที่มาพักตอนนี้เค้าก็มากันเป็นคู่ๆ มีแต่เพื่อนเท่านั้นแหละที่ขึ้นมาเยี่ยม”
ตระการเอะใจ ใช้หูแนบโทรศัพท์ลงกับไหล่ระหว่างยกแขนขึ้นปลดประดุมข้อมือ “เพื่อนคนไหน? ต้นรู้จักหรือเปล่า?”
“ก็คนที่เป็นเจ้าของร้านอาหารที่เคยพาต้นไปไง พอดีเค้าเพิ่งกลับจากไปเที่ยวญี่ปุ่นเลยแวะเอาของฝากมาให้ ขับรถใหม่มาอวดด้วยนะ”
“เค้ามาตอนไหน แล้วอยู่ด้วยนานรึเปล่า?”
พรพฤกษ์ยกแก้วน้ำชาขึ้นจิบ แปลกใจที่รู้สึกเหมือนเสียงอีกฝ่ายห้วนขึ้น “ก็มาตอนสายๆแล้วก็อยู่กินข้าวกลางวันด้วยเท่านั้นแหละ ทำไมเหรอ?”
ตระการหน้าบึ้งทันที นิ้วมือข้างที่ไม่ได้ถือโทรศัพท์เคาะพวงมาลัยอย่างไม่พอใจ เขาเคยประกาศไปต่อหน้าหมอนั่นแล้วแท้ๆว่าเขากับพรพฤกษ์เป็นอะไรกัน แต่นี่จะถือโอกาสทำคะแนนช่วงที่เขาไม่อยู่หรือไง
“ก็เป็นห่วง ไม่อยากให้คนอื่นมาตีสนิทกับไผ่”
พรพฤกษ์หัวเราะ “นั่นเพื่อนสมัยเด็กนะต้น คิดเพ้อเจ้อไปได้ แล้วต่อให้เค้าคิดอะไรจริงๆไผ่ก็ตอบรับไม่ได้หรอก”
ตระการค่อยยิ้มออก แต่ก็อดแหย่คนปลายสายไม่ได้
“แล้วทำไมไผ่ถึงมั่นใจว่าจะไม่ตอบรับล่ะ”
หน้าหวานคมแดงเรื่อขึ้น นึกค่อนอีกฝ่ายในใจ รู้อยู่แล้วจะถามทำไมเล่า...
“ทำไมล่ะ ไผ่ไม่พูดต้นก็ไม่รู้สิ”
ตระการแหย่อีก ใบหน้าคมเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม พรพฤกษ์โดนอีกฝ่ายต้อนมากเข้าจึงรีบตัดบททั้งที่รู้สึกร้อนวาบไปทั้งหน้า
“ก็เคยบอกคนบางคนไปแล้วว่าจะรอนี่นา พี่ชายสัญญาแล้วไม่ผิดคำพูดหรอกน่า”
ตระการหัวเราะอย่างมีความสุขกับคำตอบที่ได้รับ ความวิตกกังวลจากบทสนทนากับบิดาเมื่อหัวค่ำมลายไปราวกับหมอกที่ต้องแสงอาทิตย์ ใช่แล้ว ตราบใดที่เขากับพรพฤกษ์มั่นคงในกันและกัน แม้จะมีอุปสรรคเพียงไหนความรู้สึกนี้ก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงแน่นอน
“ตอนนี้อากาศที่นี่เริ่มเย็นแล้ว อยากให้ไผ่อยู่ที่นี่จัง จะได้กอดให้หายหนาว”
พรพฤกษ์มองออกไปนอกหน้าต่างแล้วก็ยิ้ม
“บังเอิญจังแฮะ ที่นี่ก็ฝนตกอากาศเย็นเหมือนกัน แต่โชคดีที่ผ้านวมบนห้องหนา คืนนี้คงไม่หนาว”
“โหย~ เพิ่งพูดให้ชื่นใจอยู่หยกๆก็ทำร้ายจิตใจกันแล้วเหรอ คอยดูกลับไปเมื่อไหร่จะกอดไม่ปล่อยเลย”
“ไม่ต้องมาพูดดี ทางนี้เบื่อรอจะแย่แล้วเนี่ย”
“เบื่อก็ต้องรอ ลืมสัญญาแล้วเหรอว่าต้นกลับไปคราวหน้าไผ่ต้องทำอะไร”
“ไม่รู้ไม่ชี้ จำไม่ได้”
ตระการอมยิ้ม ปกติพรพฤกษ์จะสุขุมเป็นผู้ใหญ่ แต่พออีกฝ่ายเล่นแง่กับเขาก็น่ารักจนอยากจะดึงมากอดแล้วหอมแก้มแรงๆให้สาแก่ใจ
“งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ต้นโทรมาใหม่แล้วกัน ไผ่อย่านอนดึกนักล่ะ แล้วก็...
รักเหมือนเดิมนะครับ”
“...ต้นก็ดูแลสุขภาพตัวเองด้วยนะ”
ทั้งสองยิ้มให้กันแม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายมองไม่เห็น แต่กระนั้นความอบอุ่นที่ได้สัมผัสจากถ้อยคำแสดงความห่วงใยในกันและกันก็หวานซ่านจนปัดเป่าทุกเศษเสี้ยวแห่งความเหงาที่เกาะกุมหัวใจสองดวงออกไปจนสิ้น
พรพฤกษ์ลูบสร้อยเงินเส้นเล็กบนข้อมือไปมาหลังอีกฝ่ายวางสายไปแล้ว
“รีบกลับมาเร็วๆนะต้น ไผ่จะได้พูดสิ่งที่ต้นอยากฟังเสียที”*************
คราวนี้ ไม่ค้าง ไม่สั้นแล้วเน้อ แหะๆ (ว่าแต่ หิวข้าวจัง ฝนตกหนักมากลงจากตึกไม่ได้ ใครเอาข้าวราดผัดผักรวมตับ&ไข่ดาวมาเดลิเวอรีให้ที ฮือๆๆ