16.“โอเค พักกินข้าวกันก่อนแล้วค่อยถ่ายต่อ”
เสียงบ.ก.ประกาศท่ามกลางเสียงถอนหายใจของทีมถ่ายภาพประจำนิตยสารหลังเช็ครูปบนจอสกรีนใหญ่จนเป็นที่พอใจ หญิงสาวร่างสูงระหงผู้เป็นนางแบบหลักคว้าเสื้อคลุมแล้วเดินออกจากห้องที่ใช้เป็นสถานที่ถ่ายแบบลงไปยังห้องครัวที่ชั้นหนึ่งภายในบ้านที่ถูกใช้เป็นโลเคชัน นางแบบสาวเดินเข้าไปโอบเอวหญิงสาวร่างสูงผมซอยสั้นที่กำลังยืนค้นกล่องข้าวหลายใบบนโต๊ะในครัวแล้วก็ก้มลงเอาคางเกยไหล่
“เจ้ปาล์ม มีอะไรกินมั่ง?”
ปฏิมาหันมามองญาติผู้น้องแล้วก็หยิบกล่องข้าวจากถุงใกล้ตัวมาเปิดดูกล่องหนึ่ง “เท่าที่เห็นตอนนี้ก็มีข้าวผัดหมู ข้าวไก่กระเทียมไข่ดาว แล้วก็ผัดซีอิ๊ว ลี่จะกินอะไรล่ะ”
ลลิตายกนิ้วชี้แตะริมฝีปาก “เอ...งั้นเอาข้าวผัดก็ได้”
“โอ๊ะตายๆๆอกกระเทยจะแหก เดี๋ยวนี้ลิลลี่เปลี่ยนมานิยมดนตรีไทยแล้วเหรอจ๊ะ”
หญิงสาวหันมาหัวเราะคิกกับสไตลิสต์ ‘สาว’ ใหญ่ที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องทานอาหารแล้วก็ทำเป็นแกล้งซบไหล่คนข้างๆ
“ช่าย…จริงๆแล้วเจ้ปาล์มนี่แหละตัวจริงของลี่”
ปฏิมากลอกตา ศศิ สาวนักเขียนคอลัมน์ประจำกองซึ่งมีหน้าที่ต้องสัมภาษณ์นางแบบสาวเดินตามเข้ามาในครัว พอได้ยินบทสนทนาของทั้งสามก็หัวเราะเสียงดัง
“โอ๊ย!!! ป้าแองจี้ไปตกเขาอยู่ที่ไหนมาเนี่ย สองคนนี้เค้าเป็นลูกพี่ลูกน้องกันต่างหากเล่า!”
“อ้าวเหรอ แหม...เจ๊ก็นึกว่าจะได้คู่เม้าท์คู่ใหม่”
ทีมงานช่างภาพและนายแบบประกอบที่เหลือทยอยเดินตามเข้ามาเลือกกล่องข้าวและน้ำดื่มแล้วก็แยกย้ายไปนั่งทานในห้องนั่งเล่นบ้าง ด้านนอกระเบียงบ้างเพื่อจะได้สูบบุหรี่ ที่โต๊ะทานอาหารจึงเหลือเพียงปฏิมาซึ่งเป็นรองบ.ก. แองจี้สไตลิสต์ ศศิและลลิตาเท่านั้น
“ว่าแต่ลิลลี่ เดี๋ยวนี้ไปไหนมาไหนกับท็อปที่เป็นลูกส.ส.อยู่เหรอ?”
“ข้อนี้รวมอยู่ในคำถามสัมภาษณ์เปล่าพี่ ถ้าใช่หนูไม่ตอบ”
ศศิรีบโบกมือ “เปล่าๆ ข้อนี้ถามเอง พอดีพี่เห็นรูปในหนังสือพิมพ์ว่าไปดูหนังด้วยกันมาเลยอยากรู้เฉยๆ รับรองไม่เอาไปเขียน”
“ก็ไม่มีอะไรหรอกพี่ รู้จักกันผ่านเพื่อนในกลุ่ม วันนั้นเค้าชวนไปดูหนังแล้วลี่ว่างๆก็เลยไป ลี่ไม่รู้นี่ว่าเค้ามีแฟนอยู่แล้ว พวกสื่อมาเขียนว่าลี่เป็นมือที่สามลี่ก็เสียหายเหมือนกันนะ”
สไตลิสต์สาวใหญ่ได้ยินคำปฏิเสธเสียงแข็งดังนั้นก็เอ่ยขึ้นบ้าง “เจ๊ก็เคยได้ยินเพื่อนเล่าว่าตานี่ร้ายจะตาย ถ้าเทียบกับลูกชายเจ้าของโครงการสุวรรณฤทธิ์แล้วคนนั้นดูน่างาบกว่าเยอะ เจ๊ชอบพวกนิ่งๆแต่แอบร้อนแรง”
พอจบประโยคทั้งโต๊ะก็หัวเราะครึกครื้นยกเว้นปฏิมาที่เสยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม นี่ถ้าคนพวกนี้ได้รู้ว่าคนที่กำลังพูดถึงมีคนที่คบอยู่แล้วเป็นเจ้าของเกสต์เฮ้าส์เล็กๆทางเหนือแถมเป็นผู้ชายคงได้เม้าท์กันสนุกปากยิ่งกว่าเดิม อาจยกเว้นก็แต่ญาติผู้น้องของตน หญิงสาวชำเลืองมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆแล้วก็ตัดสินใจลองเอ่ยถาม
“ว่าแต่ต้น...เอ่อ...คุณชายทายาทเศรษฐีนั่นน่ะ ทำไมเค้าไม่เห็นออกมารับข่าวเรื่องลี่บ้างเลยล่ะ?”
ผู้นั่งร่วมโต๊ะทุกคนหันมองคนถามด้วยสายตาแปลกๆ ศศิเอื้อมหลังมือมาแตะหน้าผากเพื่อนล้อๆ
“เฮ้ยปาล์ม วันนี้แกเป็นอะไรปะเนี่ย ปกติแกไม่สนใจเรื่องคนอื่นไม่ใช่เหรอวะ?”
หญิงสาวปัดมือเพื่อนออกอย่างหงุดหงิดหน่อยๆ “ก็ไม่สนเรื่องคนอื่น แต่สนเรื่องญาติตัวเองแปลกตรงไหน?”
“สำหรับแก เจ๊ว่าแปลก แต่อะไรๆที่แกทำก็แปลกอยู่แล้วล่ะ” สไตลิสต์สาวใหญ่เสริม
ปฏิมาถลึงตาใส่คนแซวที่หันไปหัวเราะคิกคักกับเพื่อนร่วมกอง แล้วก็ต้องเสียวสันหลังวาบเมื่อหันมาทันเห็นประกายตาไม่เป็นมิตรวูบหนึ่งของลลิตาก่อนที่นัยน์ตาคู่สวยจะเปลี่ยนเป็นยิ้มจนตาหยี
“เจ้ไม่รู้อะไร ก็ลี่คบกับพี่ต้นมาตั้งแต่เรียนอยู่ที่บอสตัน พอดีพี่เค้าเป็นคนเงียบๆเลยไม่ออกมาให้ข่าวกระโตกกระตากก็แค่นั้น”
นางแบบสาวกล่าวแล้วก็หันไปหยิบชมพู่หั่นชิ้นจากถาดกลางโต๊ะ ปฏิมาอึกอัก นึกสงสัยขึ้นมาครามครันว่าตกลงระหว่างตระการกับลลิตาใครพูดความจริงเรื่องสมัยที่ทั้งคู่เรียนอยู่ต่างประเทศกันแน่ แต่อย่างไรสิ่งที่ตนมั่นใจก็คือ ณ ตอนนี้ตัวจริงของตระการคือพรพฤกษ์แน่นอน
เสียงโทรศัพท์มือถือของปฏิมาดังขึ้น พอหญิงสาวหยิบขึ้นดูหมายเลขโทรเข้าก็ขมวดคิ้วมุ่นทันที
“ทำหน้ายังงี้ แฟนโทรมาแหงๆ”
นัยน์ตาคมตวัดสายตาดุมองเพื่อนก่อนจะรีบลุกหนีออกไปหน้าบ้านโดยคว้าโทรศัพท์ติดมือไปด้วย หูได้ยินเสียงโห่แซวจากด้านหลังแว่วๆจนนึกฉุนตัวต้นเหตุ
“โทรมาทำไม!?”
“หวา วันนั้นของเดือนหรือเปล่าเนี่ย ผมอยากได้ยินเสียงที่รักก็เลยโทรมาไม่ได้เหรอ อยากเห็นหน้าจะแย่แล้วนะ ว่าแต่ที่รักทำอะไรอยู่ครับ”
ปฏิมารู้สึกปวดศีรษะหนึบขึ้นมาหลังเริ่มสนทนาได้เพียงไม่กี่ประโยค ใจเย็นไว้...ทำไมเวลาคุยกับหมอนี่ทีไรต้องรู้สึกว่าจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ทุกทีเลยนะ หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าแล้วพยายามบังคับเสียงให้นิ่ง
“ที่นี่ไม่มีที่รักของใคร แล้วก็ถามจริงๆจะโทรมาทำไม เราติดงานถ่ายแฟชั่นสำหรับฉบับถัดไปอยู่”
“เหรอ...แล้วปาล์มเป็นนางแบบเองด้วยรึเปล่า?”
ปฏิมาหน้าหงิกมากขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะในคอจากปลายสาย
“ล้อเล่นน่า ก็ที่ปาล์มเคยขอให้ผมช่วยหาบ้านสำหรับทำโฮมออฟฟิศให้ไง ผมจะโทรมาบอกว่าเจอที่ที่ปาล์มน่าจะชอบแล้วนะ”
“ได้แล้วเหรอ ลักษณะเป็นยังไง?”
เสียงห้าวของหญิงสาวแสดงความตื่นเต้นขึ้นจนคนที่คุยด้วยอดอมยิ้มไม่ได้ ชายหนุ่มติดใจปฏิมาก็เพราะท่าทางที่ดูเผินๆเหมือนจะเป็นคนนิ่งเฉยแต่กลับแสดงอารมณ์ความรู้สึกอย่างไม่เสแสร้งต่อหน้าเขานี่แหละ
“ก็ว่าจะส่งอีเมล์บอกอยู่หรอก แต่พอดีเจ้าของเค้าบอกว่ามีคนอื่นดูๆอยู่เหมือนกัน ถ้าไม่รีบตัดสินใจอาจหลุดไปซะก่อน”
“เข้าใจละ งั้นสุดสัปดาห์นี้จะขึ้นไปแล้วกัน เอ้อ...ว่าแต่ช่วงนี้ไผ่เป็นไงบ้าง?”
หลังบทสนทนาที่โต๊ะอาหารเมื่อครู่ หญิงสาวอดนึกถึงคนที่ตัวเองเคยช่วยปรับความเข้าใจกับตระการไม่ได้
“ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เจอเท่าไหร่เพราะไผ่มันยุ่งๆกับแขกที่เกสต์เฮ้าส์อยู่ แต่โทรคุยกันครั้งล่าสุดก็ท่าทางสบายดี อะไรเนี่ย...คุยกันตั้งนานไม่เห็นถามสารทุกข์สุขดิบผมบ้างเลย ที่รักน้อยใจนะครับ”
“ก็เรื่องของนาย”
ปฏิมากะตอกให้อีกฝ่ายสะอึก แต่แล้วก็ต้องงงเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจแทน
“ไม่ปฏิเสธว่าผมเป็นที่รักแล้วนี่ งั้นเดี๋ยวปาล์มได้รายละเอียดไฟลท์เมื่อไหร่โทรมาบอกด้วยแล้วกัน แล้วอย่าลืมคิดถึงที่รักคนนี้บ้างนะครับ บ๊ายบาย”
ปลายสายชิงวางหูก่อนที่ปฏิมาจะทันได้อ้าปากเถียงจึงได้แต่ทำท่าฮึดฮัดใส่โทรศัพท์ ปาริดาผู้เป็นน้องสาวซึ่งเข้ามาฝึกงานในกองบก.เล่มเดียวกันจูงน้องชายคนเล็กที่พ่วงติดมาด้วยพอดีจึงหยุดทัก
“ปลาพาป๊อกไปซื้อขนมมาเพิ่มแล้วนะเจ้ แล้วเป็นอะไรทำไมมายืนหน้าแดงอยู่หน้าบ้าน”
ผู้เป็นพี่สาวมองน้องตัวเองตาเขียวแล้วก็หมุนตัวเดินกระแทกเท้ากลับเข้าไปในบ้าน เด็กชายวัยห้าขวบกระตุกมือพี่สาวคนกลางแล้วก็เงยหน้าถาม
“เจ้ปาล์มเป็นไรอ้ะเจ้”
ปาริดายักไหล่ “เจ้ก็ไม่รู้แฮะ สงสัยวันนั้นของเดือน”
*************
รถยุโรปสีดำสนิทหักเลี้ยวผ่านรั้วเหล็กขนาดสูงแล้วถอยเข้าจอดที่หน้าบ้านหลังใหญ่ในหมู่บ้านจัดสรรระดับหรู ชายวัยปลายสามสิบรูปร่างท้วมในชุดสูทและแว่นกรอบเหลี่ยมก้าวลงจากรถแล้วก็แจ้งความประสงค์กับแม่บ้านที่ออกมาต้อนรับ
“ผมมาพบคุณตฤณจากสำนักงานนักสืบธเนศครับ ท่านรอผมอยู่แล้ว”
“เอ่อ งั้นเดี๋ยวนั่งรอสักครู่นะคะ เดี๋ยวอิฉันไปเรียนคุณท่านก่อน”
แขกผู้มาเยือนถือกระเป๋าเอกสารสีดำก้าวเข้าไปนั่งรอในห้องรับแขก สักครู่แม่บ้านที่หายตัวไปชั้นบนก็เดินลงมาตาม
“คุณท่านรออยู่ที่ห้องทำงานค่ะ เดี๋ยวอิฉันพาไปนะคะ”
ชายในชุดสูทพยักหน้าแล้วก็เดินตามหญิงแม่บ้านไปหยุดอยู่หน้าประตูไม้แกะสลักบานหนา เมื่อก้าวเข้าไปก็พบชายวัยกลางคนที่ผมบางส่วนเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเทาทว่ายังดูอายุไม่มากนั่งอยู่บนเก้าอี้บุกำมะหยี่พนักสูง นัยน์ตาที่ยากจะอ่านความรู้สึกละจากหนังสือที่อ่านอยู่ขึ้นสบตาผู้มาใหม่แล้วก็ผายมือให้นั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“สวัสดีคุณธเนศ เชิญ”
ธเนศหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับเหงื่อที่ซึมออกมาบนขมับแล้วก็ขยับตัวเข้าใกล้โต๊ะก่อนจะทรุดตัวลงนั่ง แม้เขาจะได้พบลูกค้าผู้เป็นผู้ก่อตั้งและประธานเครืออสังหาริมทรัพย์สุวรรณฤทธิ์เพียงไม่กี่ครั้ง แต่ก็สัมผัสได้ถึงรังสีดุดันเอาจริงเอาจังที่ดูจะติดเป็นเงาของอีกฝ่ายตลอดเวลาทุกครั้งที่ได้พบ แต่ถ้าไม่เพราะบุคลิกเช่นนี้ชายที่มีอดีตเป็นเพียงลูกชาวสวนธรรมดาๆคงไม่สามารถต่อสู้ชีวิตฝ่าฟันอุปสรรคจนก้าวมาได้ถึงจุดนี้
“ขอโทษด้วยที่แอร์ห้องนี้ไม่ค่อยเย็นเท่าไหร่ หมอบอกว่าแอร์แรงๆมันไม่ดีกับสุขภาพผม”
นัยน์ตาคมของผู้พูดเปล่งประกายหยันเล็กน้อย ธเนศส่ายหน้าคล้ายจะบอกว่าไม่เป็นไร
“ผมรวบรวมเอกสารตามที่ขอให้สืบย้อนหลัง เกี่ยวกับเรื่องที่คุณตระการไปเชียงใหม่เมื่อราวๆปีครึ่งที่ผ่านมา แล้วก็รวมกับตอนที่ไปที่นั่นอีกเมื่อครั้งล่าสุดมานะครับ”
เจ้าของบริษัทนักสืบหยิบแฟ้มรายงานจากกระเป๋าเอกสารวางลงกลางโต๊ะไม้สักขัดเงาขนาดใหญ่ แล้วก็เปิดแฟ้มออกพลางบรรยายรายงานที่ได้ทีละหน้า
“การไปเชียงใหม่ครั้งแรกนั้นเราสืบได้ว่าคุณตระการไปพักที่เกสต์เฮ้าส์นอกตัวเมืองชื่อบ้านนฤมิตรเป็นเวลาประมาณสองสัปดาห์ และการไปครั้งที่สองก็ไปพักที่นั่นเหมือนกัน ระหว่างนั้นไม่มีการติดต่อกับใครไม่ว่าในเชียงใหม่หรือที่กรุงเทพฯนอกจากเจ้าของที่พักนั่นคนเดียว”
นิ้วมือหนาพลิกไปยังหน้าที่มีประวัติพร้อมรูปถ่ายของชายหนุ่มร่างสูงโปร่งและนัยน์ตาคมใต้คิ้วโก่งได้รูป ตฤณสะดุดใจกับใบหน้านั้นจึงหยิบประวัติขึ้นอ่านแล้วก็ขมวดคิ้ว ธเนศแอบชำเลืองมองปฏิกิริยาของผู้เป็นลูกค้าก่อนเอ่ยช้าๆอย่างเกรงใจ
“เอ่อ เท่าที่ผมสืบประวัติของเจ้าของเกสต์เฮ้าส์หนุ่มคนนี้มา พ่อของเขาเสียตั้งแต่เด็กเพราะสร้างหนี้ไว้มากจนฆ่าตัวตาย ส่วนแม่เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯจึงโตมากับตาเพียงลำพัง...”
ตฤณเอ่ยตัดบทเสียงห้วนทันทีทั้งที่ยังจับจ้องรูปถ่ายไม่วางตา
“เรื่องต่อจากนั้นผมรู้แล้ว เพราะงั้นพอแค่นั้น”
“ครับ”
นักสืบหนุ่มใหญ่เข้าใจโดยไม่ต้องอธิบายว่าทำไมอีกฝ่ายไม่ต้องการฟังต่อ เพราะเรื่องราวหลังจากนั้นเกี่ยวพันกับตฤณ สุวรรณฤทธิ์โดยตรง ชายวัยกลางคนไล่สายตาผ่านรายงานประวัติของเจ้าของบ้านนฤมิตรคร่าวๆก่อนจะโยนเอกสารลงกลางโต๊ะแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างเดิม
“แล้วไง มีข้อมูลอะไรมากกว่านี้อีกที่ผมควรรู้?”
ธเนศหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับหน้าผากอีกครั้ง ในฐานะที่เขาเองก็มีลูกชายแม้จะยังเรียนอยู่มัธยม เขาไม่กล้าจินตนาการว่าข้อมูลต่อไปที่เขากำลังจะบอกจะทำให้ลูกค้าของเขาเกิดปฏิกิริยาอย่างไร
“ตามข้อมูลที่ลูกน้องของผมรวบรวมมา คาดว่าคุณตระการและเจ้าของเกสต์เฮ้าส์รายนี้จะมีความสัมพันธ์ที่เกินกว่าเพื่อนธรรมดาอยู่ครับ”
นักสืบหนุ่มใหญ่พยายามเลือกคำอย่างระมัดระวังที่สุด แต่กระนั้นเมื่อเหลือบตาขึ้นก็อดเสียวสันหลังกับนัยน์ตาคมที่มีประกายกร้าวขึ้นไม่ได้
ภายในห้องเงียบจนธเนศได้ยินแต่เสียงครางแผ่วเบาของเครื่องปรับอากาศ มือหนายกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับหน้าผากไม่หยุดทั้งที่ไม่มีเหงื่อสักหยด สุดท้ายชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะจึงเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ
“ขอบคุณสำหรับข้อมูลการสืบของคุณกับรายงานที่เอามาให้ ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายก็ติดต่อกับเลขาของผมแล้วกัน”
ธเนศลุกขึ้นแล้วก็ค้อมศีรษะให้ผู้เป็นลูกค้าก่อนก้าวออกจากห้องทำงานที่เป็นอาณาจักรส่วนตัวของตฤณ สุวรรณฤทธิ์ นิ้วมือผอมเกร็งของเจ้าของห้องเอื้อมหยิบรูปถ่ายและประวัติที่อยู่ในแฟ้มขึ้นดูอีกครั้ง ก่อนจะหันไปทางโทรศัพท์แล้วกดหมายเลขที่คุ้นเคย
“สวัสดีค่ะ โต๊ะคุณอารยาค่ะ”
“นี่ตฤณ เอ๋ไปไหน?”
ปลายสายเสียงละล่ำละลักขึ้นมาทันทีเมื่อรู้ว่ากำลังคุยกับใคร “คุณตฤณ! สวัสดีค่ะ พี่เอ๋ไม่อยู่ที่โต๊ะค่ะ ยังไงหนูรับฝากข้อความไว้ให้ก่อนได้มั้ยคะ?”
“งั้นบอกเอ๋ว่าผมอยากให้จองตั๋วเครื่องบินให้ด่วน ให้เค้าโทรเข้ามือถือผมได้เลย”
ตฤณวางสายแล้วก็มองไปนอกหน้าต่าง ลูกชายของเขากับลูกชายของภรรยาคนที่สองงั้นหรือ ชีวิตนี้ยังมีเรื่องไม่น่าคาดคิดเหลือให้เขาแปลกใจอีกกี่เรื่องกัน!?
*************
มาอัพแล้วจ้า หลังหายไปหลายวัน พอดีก่อนหน้านี้สองสามวันจะสภาพคล้ายซอมบี้เพราะอดหลับอดนอนเตรียมงานให้ลูกค้า ว่าแต่ตอนนี้คนเขียนจะโดนค้อนมั้ยเนี่ยตัวเอกไม่ได้ออกมาเลย แต่มันจำเป็นสำหรับเนื้อเรื่องนะ ยังไงอ่านแล้วอย่าเขวี้ยงของใส่เค้าน้า~