8
หงส์กำลังอ่านหนังสือที่เพิ่งขอให้พยาบาลที่ดูแลเธอช่วยซื้อมาให้ หลังจากได้คุยกับเจ็กหลิว ทำให้เธอปรับแผนและเตรียมตัวศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมในระหว่างที่นอนว่างอยู่บนเตียงผู้ป่วยแบบนี้ เมื่อผ่าตัดเรียบร้อย คุณหมอบอกกับเธอว่าใช้เวลาพักฟื้นเพียง 2-3 สัปดาห์เท่านั้น ต้องขอบคุณความก้าวหน้าทางการแพทย์ปัจจุบัน ทำให้เธอมีเวลาหลังจากออกจากโรงพยาบาลอีกราว 3 เดือน จนกว่าโบตั๋นจะเรียนจบ จากนั้นเธอจะต้องรวบรัดจัดการสิ่งที่คั่งค้างมาตั้งแต่อดีตให้มันจบโดยเร็ว
“หยกมากับอีตาแมวหง่าวนั่นได้ยังไง” เสียงโบตั๋นโวยวายอยู่หน้าห้องเสียงดังทั้งที่เจ้าตัวยังไม่เปิดเข้ามาด้วยซ้ำ เมื่อหงส์เห็นหน้าทั้งสองก็ส่งยิ้มให้
“ทะเลาะอะไรกัน” หงส์รับรู้ถึงความไม่พอใจของโบตั๋น แต่เมื่อเห็นสีหน้าของหยก เธอก็วางหนังสือที่อ่านลง
“เจ่เจ้” โบตั๋นพูดแค่นั้นก่อนมองไปรอบ ๆ ห้องที่ตอนนี้มีแต่ผู้ป่วยนอนพักอยู่ และเห็นว่าต่างก็หลับพักผ่อนกันอยู่เงียบ ๆ “ตั๋นไปเจอคนคนหนึ่ง เขามีความรู้สึกที่...ส่งออกมาแบบรุนแรงมากๆ” โบตั๋นพูดเสียงแทบกระซิบ หงส์มองหน้าหยก ก่อนเอ่ยถาม
“แต่ความรู้สึกนั้นมันไม่ได้มีให้กับเราใช่ไหม” โบตั๋นพยักหน้าแรงๆ ทีหนึ่งก่อนมองไปทางหยก “หยกมานั่งข้างเจ่เจ้นี่” หงส์พูดพร้อมตบลงบนเตียงข้างๆ ตัวเธอ หยกก็ทำตามอย่างว่าง่าย หงส์ยกมือลูบแก้มไร้สีของน้องชาย อีกมือก็กอบกุมฝ่ามืออีกข้างบีบเบาๆ อย่างปลอบประโลม
“เจ่เจ้ ตั๋นเป็นห่วงหยก เจ่เจ้เคยบอกว่าปกติแล้ว เราจะรับรู้ความรู้สึกของคนอื่นได้เฉพาะคน ๆ คิดถึงเราต้องการจะส่งผ่านความรู้สึกถึงเราเท่านั้น แต่ความรู้สึกของคนคนนี้ ความรู้สึกของเขามันแพร่กระจายไปทั่ว อย่างกับแจกฟรี” โบตั๋นไม่วายประชด
“แล้วหยกล่ะ เป็นยังไงบ้าง?” หงส์ถามด้วยความเป็นห่วง
“หยกอธิบายไม่ถูก หยกไม่เคยเจอ” เธอเห็นน้องชายของเธอเริ่มน้ำคลอ รับรู้ได้ถึงความสับสน ความว้าวุ่นใจ และความกลัว
“ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกนะหยก แค่หยกต้องทำความเข้าใจกับมัน”
“แต่...”
“เจ่เจ้รู้ๆ” หงส์ดึงหยกเข้ามากอดไว้ “เจ่เจ้รู้ว่าหยกสับสนกับความแปรปรวนนั่น ไม่เป็นไรนะ” หงส์ขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อรู้สึกได้ถึงใครคนหนึ่งที่เพิ่งออกมาจากลิฟต์ ความรู้สึกที่แพร่กระจายออกมาอย่างที่โบตั๋นว่า
“เจ่เจ้ ไอ้แมวหง่าวนั่น” โบตั๋นร้องบอกตาโต เธอก็รู้สึกได้ แล้วหยกล่ะ?
“อืม...เขาต้องการจะมาคุยกับตั๋นนะ”
“อึก!!” หยกที่อยู่ในอ้อมกอดของหงส์ ร่างกระตุกเล็กน้อย
“ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องตกใจ” หงส์ตบหลังปลอบ “ตั๋น อย่าเพิ่งให้เขาเข้ามา ไปคุยกับเขาที่หน้าหวอดก่อน ตอนนี้หยกไม่ไหวแล้ว” โบตั๋นพยักหน้าแล้วเดินออกไปทันที
.........................................................................
พยัคฆ์เดินผ่านหวอดกำลังมองหาห้อง 960 ยังไม่ทันจะเห็นว่าเป็นห้องไหน ก็พบกับคนที่ต้องการคุยเดินออกจากห้องมา แล้วเข้าต้องแปลกใจอีกครั้งกับหญิงสาวตรงหน้า ที่ดูเหมือนจะรับรู้ได้ว่าเขากำลังมา เพราะทันทีที่หญิงสาวเดินถึงตัวเขา
“ตามฉันมา” โบตั๋นเลยตัวเขากลับไปที่หวอด ไม่หันมองหน้าเขา
“...”
“ฉันรู้ว่าตอนนี้นายต้องการคุยกับฉัน ดังนั้นก็คุยกันตรงนี้” โบตั๋นนั่งลงตรงโซฟาส่วนพักคอย เข้าจึงเดินไปนั่งลงฝั่งตรงข้ามเธอ
“คุณรู้ได้ยังไง” พยัคฆ์ถาม เริ่มเครียดกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า โบตั๋นวางมาดนางพญาอีกครั้ง เหมือนเมื่อช่วงบ่ายที่ห้องเสื้อของเพ็ญนภา
“...” โบตั๋นไม่ตอบคำถาม เธอไม่สามารถอธิบายเรื่องเซ้นส์ของเธอให้คนนอกฟังได้ เธอกำลังเรียบเรียงเรื่องราวที่ต้องการพูดในสมอง
“ถ้าคุณไม่ตอบ...” พยัคฆ์ไม่คิดจะอ่อนข้อให้กับหญิงสาวตรงหน้า ทั้งที่เธอเด็กกว่าเขาด้วยซ้ำ แต่ครั้งนี้เห็นจะ...ต้องยอม... เพราะไม่อย่างนั้นเรื่องที่เขาจะสานสัมพันธ์กับหยกคงเป็นเรื่องยาก แล้วไหนจะพี่สาวคนโตของบ้านนี้อีก ที่เขาต้องรับมือ “เฮ้อ...เอาเป็นว่าผมอยากจะเคลียกับคุณให้รู้เรื่อง ผมไม่รู้ว่าทำไมคุณถึงไม่ชอบผม แต่ผม”
“นายเป็นตัวอันตรายสำหรับพี่ชายฉัน” โบตั๋นแทรกขึ้น เธอรู้ว่าเขามีเจตนาดี มีความรู้สึกดี ๆ ให้พี่ชายเธอ
“แต่ผมไม่ได้คิดทำร้ายพี่ของคุณเลยนะ”
“ฉันรู้ว่าคุณชอบพี่ชายฉัน”
“ผมไม่เข้าใจ ในเมื่อคุณ... ดูเหมือนจะรู้ทันผมไปซะทุกอย่าง คุณก็น่าจะเข้าใจผม”
“ก็นายมันตัวอันตราย” แว้ดใส่
“คำก็อันตราย สองคำก็อันตราย อันตรายยังไง?” พยัคฆ์เริ่มหมดความอดทน ขึ้นเสียงแข่งกับโบตั๋น จนพยาบาลที่หวอดมองพวกเขาด้วยสายตาดุๆ
“ฉันไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะอธิบายได้” โบตั๋นพูดเสียงเบาลง แต่ยังคงแข็งกร้าวเอาไว้
“ผมรู้ว่าครอบครัวคุณมีลูกชายคนเดียว แต่ผมอยากให้คุณ ให้โอกาสผมบ้าง ให้โอกาสหยก ให้โอกาสพวกเราได้ทำความรู้จักกัน”
“ก็ที่คุณเป็นอยู่นี่แหละมัน...” โบตั๋นชะงักคำพูดไว้เพียงเท่านั้น ก่อนขมวดดคิ้ว แล้วทำสีหน้าไม่พอใจมากขึ้นกว่าเดิม
“ผมเป็นยังไง?”
“เจ่เจ้ต้องการคุยกับคุณ” อีกแล้วที่เธอไม่ตอบคำถามเขา
“คุณหงส์?”
“แต่คุณต้องรอจนกว่าฉันจะพาหยกลงไปข้างล่างก่อน คุณถึงจะเข้าไปหาเจ่เจ้ได้ นี่เป็นโอกาสหนเดียวที่ฉันจะให้คุณ”
.........................................................................
หงส์สัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่รุนแรงของคนข้างนอก คนคนนั้นมีความมุ่งมั่นสูง มีจิตใจที่แข็งแกร่ง และแน่วแน่ ถ้าเธอเดาไม่ผิด คนคนนี้อาจจะมีบารมีมากพอที่จะครอบครองของสามสิ่งนั้น เป็นตัวเลือกอีกคนหนึ่งนอกจากคนที่เจ็กหลิวเจอ
“หยก กลับไปพักที่บ้านกับตั๋นก่อนไหม?”
“แต่..”
“ไม่เป็นไรนะ กลับไปพร้อมตั๋น เขาทำอะไรหยกไม่ได้ ไม่เชื่อเจ่เจ้แล้วเหรอ?”
“ป่ะ...เปล่าครับ”
“ถ้าอย่างนั้นเชื่อฟังเจ่เจ้นะ แล้วหยกจะไม่เป็นไร”
“หยกสงสัย”
“จ๊ะ...เจ่เจ้รู้ เอาไว้ให้เจ่เจ้ผ่าตัดเสร็จก่อนได้ไหม แล้วเจ่เจ้จะช่วยให้หยกจัดการกับเรื่องนี้”
“หยกขอโทษ อึก..อึก..หยก.. อึก..ทำให้เจ่เจ้ไม่สบายใจ”
“ไม่เอา ไม่ร้อง แล้วก็ไม่ต้องโทษตัวเองด้วย” หงส์กอดปลอบใจหยกอีกครั้ง ก่อนหลับตาเพ่งจิตส่งไปหาโบตั๋น แล้วลืมตาขึ้น เหมือนไม่เกิดอะไรขึ้น “เดี๋ยวอีกสักพักหนึ่งตั๋นเขาก็จะเข้ามาแล้วล่ะ หยกกลับบ้านไปกับตั๋นก่อนนะ แล้วพักผ่อนให้สบาย พรุ่งนี้ถ้าเป็นไปได้ หยุดงานสักวันนะ เจ่เจ้อยากให้เราพักบ้าง”
“แต่...”
“ไม่มีแต่ เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาสักหน่อย”
“อือ”
ครืด...เสียงเปิดประตูห้อง พร้อมกับเสียงลงฝีเท้าหนัก ๆ เดินเข้ามา ทำให้สองคนที่กอดกันกลมผละออกจากกันเพื่อหันมามองผู้ที่เพิ่งเข้ามา
“หน้าตูมมาเชียว” หงส์ยิ้มแซว
“เจ่เจ้ จะไปคุยกับไอ้หมอนั่นทำไม ตั๋นกำลังจะไล่เขาไปให้พ้น ๆ เราอยู่แล้วเชียว”
“เจ่เจ้ก็สงสัยอะไรนิดหน่อยเท่านั้นเอง”
“คนคนนั้นก็รู้ว่าความรู้สึกหมอนั่นมันแรงแค่ไหน ถ้าไม่ไล่เขาไป หยกไม่ยิ่งแย่เหรอ”
“ไม่หรอก อีกหน่อยหยกก็จะรับมือเขาได้ แล้วถ้าเขาเป็นอย่างที่เจ่เจ้คิด เขาจะยินดีทำทุกอย่างเพื่อหยก”
“เจ่เจ้รู้ได้ยังไงคะ?”
“เจ่เจ้ก็ยังไม่รู้หรอก ต้องให้ได้คุยกับเขาก่อน แล้วอีกอย่างหยกกับตั๋นคงต้องฝึกฝนเพิ่มแล้วแหละ”
“ฝึกแบบที่...เจ่เจ้เรียกตั๋นเมื่อกี้ใช่ไหม?” ประโยคหลังโบตั๋นกระซิบเบาอย่างตื่นเต้น หงส์พยักหน้ายิ้มอ่อนให้
“โอเคค่ะ ดีล ป่ะหยกกลับไปพักที่บ้าน ไม่ต้องไปสนใจนายนั่น”
.........................................................................
พยัคฆ์เห็นโบตั๋นพาคนของเขาออกมาจากห้องพักของโรงพยาบาล ร่างโปร่งที่ค่อย ๆ เดินมาทางเขาดูเหมือนจะเพิ่งผ่านการร้องไห้มาหมาด ๆ จมูกแดงเป็นกวางรูดอล์ฟเชียว โบตั๋นมองเขาเขม็งเตือน ก่อนจะจูงมืออีกคนไปยืนรอลิฟต์ พยัคฆ์ยังคงนั่งอยู่ที่โซฟาตัวเดิมรอจนกระทั่ง ทั้งสองเข้าลิฟต์ไป ถึงเวลาแล้วสินะ
เขาลุกจากโซฟาก่อนเดินไปยังห้องพักเป้าหมาย พยาบาลที่หวอดทักเขาเล็กน้อย
“อีก 15 นาทีจะหมดเวลาเยี่ยมนะคะ” เขาพยัคฆ์หน้ารับ กับ...โอกาสที่โบตั๋นให้เขาเพียง 15 นาที เขาเปิดประตูเขาไป เห็นเตียงผู้ป่วย 4 เตียง ตั้งเรียงด้านละ 2 เตียง ทุกคนบนเตียงมองเขาที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามาใหม่ เขาไม่รู้ว่าหงส์หน้าตาเป็นอย่างไรจึงกวาดตามองจากหน้าประตูห้อง จนเห็นหญิงสาวคนหนึ่งน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับเขา นั่งพิงหัวเตียงผายมือเชิญเขาให้นั่งเก้าอี้ข้างเตียง
“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อหงส์ ชูวนาสุวรรณ เป็นพี่สาวของหยก และโบตั๋น” หญิงสาวบนเตียงเอ่ยหลังจากเขานั่งลงแล้ว “ยัยตั๋นคงไม่ได้บอกสินะคะ ว่าฉันอยู่เตียงไหน”
“ไม่ได้บอกครับ”
“ยัยตั๋นคงหวงพี่ชาย อย่าไปถือสาแกเลยนะคะ แกยังเด็กอยู่” พยัคฆ์มองอากัปกิริยาของหญิงบนเตียง ถ้าเทียบว่าโบตั๋นเหมือนนางพญา แล้วคนตรงหน้านี้ล่ะ? จักรพรรดินี? ใช่สง่างามแม้ว่าจะป่วยอยู่ก็ตาม
“คุณโบตั๋น บอกว่าคุณอยากพบผม”
“ค่ะ ฉันอยากทำความรู้จักกับคนที่สนใจน้องชายฉัน” หงส์พูดจาฉะฉาน ไม่มีลังเลในคำพูดเลยสักนิด
“โบตั๋นบอกคุณอย่างนั้นเหรอครับ”
“ก็ไม่เชิงสักทีเดียวหรอกค่ะ”
“ผมสงสัย ทำไมคุณโบตั๋นถึงบอกว่าผมอันตรายกับ...พี่ชายเธอ” พยัคฆ์ไม่รู้จะเรียกบุคคลที่พาดพิงว่าอย่างไร ต่อหน้าพี่สาวของคนคนนั้น
“หยกเขากลัวนะคะ”
“กลัวผม?”
“ค่ะกลัว คุณฟังไม่ผิดหรอกค่ะ ที่เขากลัว เพราะเขาไม่เข้าใจคุณ ไม่เข้าใจความรู้สึกที่คุณมีให้กับเขา และที่สำคัญเขารับมืออารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของคุณไม่ทัน นั่นคือสิ่งที่ทำให้เขากลัว”
“อารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงของผม”
“ใช่ค่ะ อืม...คุณลองทบทวนดูสิคะ ว่าวันนี้ เฉพาะช่วงที่คุณพบกับหยก คุณมีอารมณ์ความรู้สึกอย่างไรบ้าง” พยัคฆ์คิดตาม แล้วก็จริงอย่างที่ว่าไว้ ตั้งแต่ตอนที่เจอหยกตรงสี่แยกไฟแดงจนถึงหน้าโรงพยาบาล เขามีทั้งสับสน หึงหวง ดีใจ เป็นห่วง
“เขากลัวผม เพราะผมเป็นผู้ชาย?”
“นั่นก็มีส่วนค่ะ อย่างที่ดิฉันบอก เขาไม่เข้าใจ มันเลยทำให้เขากลัว เวลาคนเราไม่รู้จัก ไม่เข้าใจในสิ่งแปลกใหม่ที่อยู่ตรงหน้า ก็มักจะหวาดกลัวไปก่อนไม่ใช่เหรอค่ะ?”
“ครับผมพอเข้าใจ แต่คุณกำลังจะบอกว่าน้องชายคุณไม่รู้จัก...” พยัคฆ์อยากจะเอ่ยคำว่าความรัก แต่คำนี้เขาเองก็ไม่สามารถเอ่ยอ้างออกมาได้ “ไม่เคยถูกจีบ?”
“หยกไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดนั้นหรอกค่ะ” หงส์ตอบยิ้ม ๆ
“แล้วถ้าผมอยากจะขอโอกาส”
“ดิฉันเข้าใจคุณนะคะ แต่ดิฉันอยากให้คุณเข้าใจหยกด้วย”
“ถ้าผมมีโอกาสได้ทำความรู้จักกับน้องหยกมากกว่านี้ น้องเขาอาจจะไม่กลัว อย่างที่เขากลัวอยู่ตอนนี้”
“ค่ะดิฉันเข้าใจ และดิฉันยินดีที่จะให้โอกาสคุณ เพียงแต่มีข้อตกลงนิดหน่อย?”
“ข้อตกลง?”
“ใช่ค่ะ ข้อตกลง”
“ข้อตกลงเรื่องอะไรครับ”
“ข้อแรก คุณห้ามเข้าใกล้หยกจนกว่า ดิฉันจะออกจากโรงพยาบาล”
“ทำไมครับ”
“ฉันยังไม่แข็งแรงพอที่จะดูแลหรือช่วยอธิบายให้อะไร ๆ ให้หยกเข้าใจได้ในช่วงนี้”
“ขอโทษครับ ผมไม่ทันคิด”
“ข้อสอง คุณต้องไปพบคนคนหนึ่ง เพื่อยืนยันอะไรบางอย่าง?”
“คนคนนั้นเป็นใคร แล้วต้องยืนยันอะไร?”
“คุณยังไม่รู้จักครอบครัวของฉันดีพอ และถ้าคุณจะมีโอกาสได้ไปต่อไหม มันก็ขึ้นอยู่กับคนคนนี้”
“ถามขอถามอะไรหน่อย ทุกคนที่เข้าหาหยก ต้องไปหาคนที่ว่านี้ทุกคนเลยรึเปล่า?”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ เฉพาะคุณ”
“มีแต่ผม ทำไมครับ?”
“ฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ ที่ตอบคำถามนี้ไม่ได้ ดิฉันไม่ได้มีเจตนาจะปิดบังอะไร ไว้ถึงเวลาเมื่อไรคุณก็จะรู้เอง”
“แล้วคนที่ผมต้องไปพบ คนคนนั้นเป็นใครกัน”
“เป็นแค่ซินแสคนหนึ่งเท่านั้นแหละค่ะ จะหาว่าฉันงมงายก็ได้นะคะ”
“ข้อตกลงมีแค่ 2 ข้อนี้ใช่ไหมครับ?”
“ยังค่ะ ยังมีข้อถัดไปอีก แต่คุณจะได้รับรู้ไหม ก็อย่างที่บอกว่าคุณต้องไปพบคนคนนั้นก่อน”
“...”
“คุณยังไม่ต้องตอบฉันตอนนี้ก็ได้ค่ะ แต่หวังว่าระหว่างที่คุณยังไม่ได้ให้คำตอบดิฉัน คุณคงจะอยู่ห่าง ๆ กับหยกนะคะ”
“ผมตกลง แล้วผมจะได้พบกับซินแสคนนั้นเมื่อไร”
“ใจเย็นๆ ค่ะ ยังไงเดี๋ยวฉันนัดเขาให้ แล้วจะให้ยัยตั๋นแจ้งคุณไปอีกทีแล้วกันนะคะ”
“ได้ครับ ขอบคุณครับ” ครืด...เสียงประตูเปิดออก พร้อมกับพยาบาลที่เดินเข้ามาพร้อมเข็นรถเข็นถาดใส่ยาเข้ามา
“หมดเวลาเยี่ยมแล้วนะคะ ขอให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนค่ะ” พยาบาลร้องบอกบรรดาญาติของผู้ป่วยในห้อง ก่อนเดินนำยาไปให้กับผู้ ป่วยเตียงแรกพร้อมตรวจอาการ พยัคฆ์ที่หมดคำถามกำลังจะลุกเดินออกไปจากห้อง
“ดิฉันรบกวนถามคุณสักข้อหนึ่งนะคะ”
“ครับ?”
“คุณเป็นอะไรกับคุณวรากร คุณคุณารักษ์?”
To Be Continue