ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 43 ---ll--- 06-06-20 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 43 ---ll--- 06-06-20 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll  (อ่าน 8296 ครั้ง)

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

admin
thaiboyslove.com

*******************************************


น้ำตากิเลน

สิ่งวิเศษที่คิดว่ามีเพียงแต่ในตำนาน กลับถูกค้นพบโดย ดร.เหมิ๋นหยวนฮ่าง

บังเอิญแล้วบังเอิญอีก

เพราะความบังเอิญ ทำให้หนานเฟ่ยซาน กินสิ่งที่เรียกว่า "น้ำตากิเลน" เข้าไป

สิ่งนี้ทำให้ชีวิตนักข่าวธรรมดา ๆ อย่างเขาเปลี่ยนไปตลอดกาล

และเพราะความรนหาที่ของนักข่าวธรรมดา ที่ไม่ธรรมดา

ทำให้ ดร.เหมิ๋นหยวนฮ่าง ต้องเข้าไปพัวพันกับคดีมากมาย

 

ฝากนิยายเรื่องใหม่ ของ Amo ด้วยนะคะ


*********************


นิยายเรื่องอื่นของ Amo

หยก : สถานะ จบแล้ว

ม่อนเคียงดาว : สถานะ ยังไม่จบ

กลรักหวงจื่อ : สถานะ ยังไม่จบ

จิตมาร : สถานะ ยังไม่จบ:
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-09-2020 15:46:34 โดย Amo »

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
Intro…



   ภายในบริเวณบ้านที่รายล้อมไปด้วยอาคารพาณิชย์สูง 3 ชั้น แต่ก็ไม่ได้อึดอัด เพราะรอบรั้วบ้านกลับมีปราการต้นไม้สูงชะลูดบดบังสายตาจากคนภายนอก ให้ยากที่จะมองสำรวจเขามาในบริเวณบ้าน

   ก่อนถึงตัวบ้านยังถูกกั้นด้วยบ่อปลาคราฟขนาดใหญ่ หากจะเดินเข้ามาภายในมีทางเดียวคือเดินข้ามสะพานปูนเล็ก ๆ เท่านั้น

   มุมหนึ่งของบริเวณบ้านหลังใหญ่ที่หลบซ่อนตัวอยู่ในย่านเยามะไต๋ พื้นที่โล่งแต่มีหญ้านุ่มที่ได้รับการดูแลอย่างดี ปรากฏชายคนหนึ่งที่ถูกลุมล้อมไปด้วยชายชุดดำ 5-6 คน ชายหนุ่มเฝ้าอมงอย่างแวดระวัง ต่างคอยดูชั้นเชิงซึ่งกันและกัน เหงื่อที่ซึมออกตามไรผมเริ่มไหลหยาดหยดมารวมกันอยู่ที่ปลายคาง ทันทีที่ ของเหลวทอดตัวลงจากปลายคาง...

   ชายชุดดำคนหนึ่ง พุ่งตัวใส่เขาพร้อมกับยกขาขึ้นเตะที่ชายโครง ผู้ที่คอยระวังตัวอยู่ก่อนแล้วยกเข่าขึ้นตั้งรับสกัดกั้น ก่อนสวนหมัดตรงเข้าที่ใบหน้า ชายชุดดำอีกคนคว้ากระชากเขาที่ไหล่ ทั้งยังลงหมัดหมายจะกระแทกใบหน้าของเขา แต่ด้วยความว่องไวเขาจึงยกแขนกันไว้พร้อมทั้งก้มตัวหลบ แต่ไหนเลยจะเป็นฝ่ายรับแต่เพียงอย่างเดียว เขาสวนหมัดอัพเปอร์คัทไปยังปลายคางของเป้าหมายทันที

   ชายอีกสองคนกำลังพุ่งมาหาเขาพร้อม ๆ กัน เขาที่เองก็เตรียมตัวตั้งรับ แต่ยังไม่ทันถึงตัว ชายชุดดำทั้งหมดกลับถอยหลังออกไป และต่างยืนสำรวมเรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบทำให้เขาต้องหันหลังกลับไป

   หญิงสูงวัยแต่ยังคงความงามอยู่ทำมือทำไม้โบกให้ชายชุดดำทั้งหมดออกไปจากบริเวณนั้น ก่อนหยิบผ้าขนหนูเดินตรงมาหาเขา

   “หม่าม้า กลับมาตั้งแต่เมื่อไรครับ” ชายหนุ่มถามพร้อมรับผ้าขนหนูมาซับเหงื่อ ผู้ที่ถูกเรียกขานกลับไม่ตอบ

   “มาออกแรงแบบนี้แสดงว่ามีแผนจะเดินทางไปไหนล่ะสิ?”

   “โถ่...ม๊า...ผมถามแต่ทำไม ม๊ากลับถามผมกลับละครับ”

   “ก็เพิ่งมาถึงนี่แหละ แล้วเราล่ะ จะตอบคำถามม๊าไหม?”

   “ครับๆ” ชายหนุ่มรับคำพร้อมยิ้มทะเล้นให้ผู้เป็นมารดา ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น “ผมจะไปหยวนชางตูอีกครั้งครับม๊า”

   “นี่ลูกยังไม่ล้มเลิกที่จะตามหาสิ่งนั้นอีกเหรอ?”

   “ผมรู้ว่าสิ่งนั้นไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับครอบครัวของเราแล้ว แต่ผมก็อยากจะค้นคว้าและศึกษาเรื่องราวของมันต่อ”

   “ตามใจลูกก็แล้วกัน แต่เข้าไปที่นั่น ยังไงก็ระวังตัวด้วยนะลูก”

   “ครับ ม๊า” เขายิ้มรับก่อนพากันเดินเข้าไปในตัวบ้าน

To Be Continue
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-04-2019 21:02:13 โดย Amo »

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
1

   ผมได้แต่ทอดถอนใจไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไรของวัน กับงานที่ต้องทำให้เสร็จภายในวันนี้ เป็นเพราะโฮวจีเจียนเพียงคนเดียว ทำให้ผมต้องมาติดแหง็กอยู่ในห้องเก็บเอกสารอยู่แบบนี้

   ผมเดินไปตามชั้นที่เรียงรายไปด้วยกล่องเก็บเอกสารมากมายที่สูงเกินที่ผมจะเอื้อมถึง ไล่มองรหัสตัวอักษรตามชั้นต่าง ๆ สลับกับมองกระดาษแผ่นเล็กในมือ จนในที่สุดผมก็เจอรหัสอักษรพร้อมตัวเลขที่ตรงกับกระดาษในมือ เอกสารข้อมูลชุดสุดท้ายที่ผมต้องการ ยังดีที่มันไม่อยู่สูงจนเกินไปนัก

   ระหว่างที่ผมรวบรวมเอกสารทั้งหมดมาไว้บนโต๊ะ และสำรวจดูจนแน่ใจว่าได้สิ่งที่ต้องการครบถ้วน ผมจึงโกยเอกสารทั้งหมดมาไว้ในอ้อมกอด ก่อนที่จะเดินออกจากห้องนี้ไป

   ผมเดินขึ้นบันไดจากห้องใต้ดินซึ่งเป็นคลังข้อมูลขนาดใหญ่ของสำนักพิมพ์ ก่อนจะไปยืนรอลิฟต์ ที่มีคนยืนรออยู่ก่อนแล้ว ไม่อย่างนั้นผมก็ไม่รู้ว่าจะเอื้อมมือไปกดเรียกลิฟต์ได้อย่างไร ทั้ง ๆ มีเอกสารกองอยู่เต็มมือผมอย่างนี้ จนระหว่างเดินถึงกับต้องเอาคางกดกองเอกสารเหล่านั้นเอาไว้เพื่อไม่ให้เอกสารร่วงลงพื้น

   เมื่อลิฟต์มาถึง หญิงสาวสองคนก็ก้าวเข้าไปก่อน ผมจึงตามเข้าไป หนึ่งในนั้นมีน้ำใจถามผมว่าจะไปชั้นไหน

   “รบกวนกดชั้น 8 ครับ”

   ผมลอบสังเกต หญิงสาวทั้งสองกดชั้น 5 นั่นหมายความว่าเจ้าหล่อนทั้งสองคงอยู่สายข่าวบันเทิง แต่ก็ไม่แปลกหากจะไม่มีใครจำผมได้ เพราะผมมักจะออกไปหาข่าวภาคสนามมากกว่านั่งประจำเขียนข่าวอยู่ที่สำนักงาน

   เมื่อผมก้าวออกจากลิฟต์ คนที่ทำให้ผมต้องไปคลุกอยู่ในคลังข้อมูลเกือบค่อนวันก็เดินตรงเขามาหาผม

   “เฟ่ยซาน นายอย่าบอกนะว่าเพิ่งออกมาจากคลังข้อมูลน่ะ”

   “นายก็เห็นอยู่” ผมตอบกลับไปอย่างไม่ใคร่จะใส่ใจคนตรงหน้า ก่อนเดินกลับไปยังโต๊ะทำงานของผม

   “เฮ้ย!! ... แล้วแบบนี้จะส่งต้นฉบับให้ บ.ก. ทันได้ยังไงวะ?”

   “แล้วทำไมนายไม่มาช่วยล่ะ กลับมาแล้วแทนที่จะเข้ามาช่วยกัน”

   “ก็ฉันไม่รู้นี่ ว่านายไปอยู่ซะที่ไหน ไม่อย่างนั้นก็ตามลงไปช่วยแล้ว โทรศัพท์มือถือก็ดันทิ้งไว้ที่โต๊ะ” จีเจียนบ่นยาว พร้อมกับมองไปยังโทรศัพท์มือถือของผมที่วางทิ้งไว้โชว์หราอยู่บนโต๊ะทำงาน

   “คลังข้อมูลมีสัญญาณที่ไหนกันเล่า นายน่าจะเดาได้ เป็นนักข่าวประสาอะไรกัน”

   “เอาน่า ๆ ไหน ๆ นายก็ขึ้นมาแล้ว ฉันก็มาช่วยแล้วนี่ไง”

   “นายเขียนข่าวก็แล้วกัน งานนายนี่ เดี๋ยวฉันช่วยหาข้อมูลสนับสนุนกับแฟ้มภาพให้” ผมพูดก่อนจะเริ่มลงมือค้นเอกสารที่ตนไปหามา โฮวจีเจียนก็ไม่ได้ว่าอะไร นั่งลงที่โต๊ะทำงานของผมแล้วเริ่มลงมือเขียนข่าวทันที

   ที่โฮวจีเจียนมานั่งทำงานที่โต๊ะของผม เป็นเพราะว่า ทั้งสองทำงานอยู่คนละสายข่าว โต๊ะทำงานผมจะอยู่ฝ่ายข่าวทั่วไป แต่โฮวจีเจียนข่าวธุรกิจและสังคมซึ่งจะอยู่ที่ชั้น 7

   จีเจียนนั้นถือเป็นเพื่อนที่ดี เพียงแต่ติดนิสัยเกียจคร้านไปสักนิด งานที่ได้รับมอบหมายมามักจะทำในช่วงวินาทีสุดท้ายเสมอ อย่างงานนี้ก็เช่นกัน ที่ต้องมาเดือดร้อนให้ผมช่วย เพราะเช้าวันนี้จีเจียนต้องไปทำข่าวด่วนเนื่องจากผู้ให้ข้อมูลขอเลื่อนนัดสัมภาษณ์กะทันหัน

   ทั้งสองช่วยกันนั่งทำงานกันจนเวลาล่วงเลยไปกระทั่งดึก แต่ก็ยังทันเวลาที่จะส่งต้นฉบับได้ทัน โฮวจีเจียนจึงจัดการนำเอกสารทั้งหมดเดินลงไปส่ง บ.ก. ที่ห้อง

   “เฟ่ยซาน นายรอฉันด้านล่างก่อนนะ เดี๋ยวฉันขอเลี้ยงข้าวตอบแทนนาย”

   “อืม เดี๋ยวเจอกันข้างล่าง”

   ผมจัดการเก็บของลงกระเป๋า ปิดคอมพิวเตอร์ ปรินส์เตอร์ จากนั้นก็สำรวจความเรียบร้อยภายในแผนกอีกครั้ง ก่อนจะปิดไฟ และลงไปรอจีเจียนที่ส่วนพักคอยด้านล่าง

.........................................................................

   ย่านแหล่งช้อปปิ้ง สถานที่ท่องเที่ยวยามราตรี และกาสิโนชื่อดังของมาเก๊า กลางวันกับกลางคืนช่างไม่แตกต่างกันมากนัก ผู้คนจากทั่วสารทิศหลั่งไหลกันมาเยี่ยมเยือนไม่ขาดสาย รวมทั้งสองหนุ่มที่เพิ่งเดินทางมาถึงก็เช่นกัน

   ร่างหนึ่ง รูปร่างอวบจนเกือบอ้วนกลม ผิวขาวอมชมพู แต่ก็ดูแคล่วคล่องผิดกับรูปร่าง เดินนำชายอีกคนที่ส่วนสูงไล่เลี่ยกัน แต่กลับผอมบาง รูปร่างสมส่วนที่ดูคล้ายกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ใบหน้าถึงจะคมคายแต่ดวงตากลมโตกลับทำให้ใบหน้านั้นดูหวานละมุนน่ามอง

   “จีเจียน ทำไมนายต้องมากินข้าวถึงนี่”

   “นายไม่เบื่อหรือไง วันๆ เอาแต่กินอะไรเดิมๆ ร้านเดิมๆ ไม่แถวสำนักงาน ก็แถวคอนโดของนาย”

   “ก็ไม่นี่”

   “เอาน่า ตามใจฉันหน่อยก็แล้วกัน”

   “นายมีจุดประสงค์อะไรใช่ไหม ถึงมาที่นี่”

   “เฮ้อ...ฉันคงปิดบังอะไรนายไม่ได้เลยใช่ไหมเฟ่ยซาน”

   “คนอย่างนายนี่น้า... จะมาหาข่าว ทำไมต้องลากฉันมาเกี่ยวด้วย”

   “ฉันไม่ได้มาหาข่าว แค่มายืนยันให้เห็นกับตาเฉย ๆ ว่าเขามาแล้ว”

   “นายหมายถึงใคร?”

   “ฉันได้ข่าวมาว่า ดร.เหมิ๋น มาที่นี่”

   “ดร. เหมิ๋น? เหมิ๋นหยวนฮ่างอ่ะนะ”

   “ใช่”

   “แล้วเขาจะมาที่นี่ก็ไม่เห็นจะแปลกนี่ ก็แม่เขาอยู่ที่นี่”

   “แปลกสิ ดร.เหมิ๋นน่ะ ปกติแล้วหลังจากที่กลับจากขุดค้น เขาก็มักจะคลุกอยู่แต่ที่เกาลูน ส่วนหลี่ต๋าจะเป็นคนเดินทางไปหาดอกเตอร์ แต่ถ้ามาที่นี่ เป็นไปได้ว่า เขาอาจจะเจอของสิ่งนั้นแล้ว”

   “เจออะไร?”

   “น้ำตากิเลน”

   “น้ำตากิเลน มันคืออะไร?”

   “ไม่แปลกที่นายจะไม่รู้ เพราะคนทั่วไปไม่รู้ถึงการมีอยู่ของของสิ่งนี้ ด้วยอิทธิพลของเยี่ยนหวอที่ต้องการปกปิดเรื่องของวิเศษนี้ไว้”

   “ของวิเศษอย่างนั้นเหรอ?”

   “ใช่ เท่าที่ฉันได้ยินมา ก่อนที่ 3 ตระกูลใหญ่จะมอบหยกศักดิ์สิทธิ์ให้พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติจีน ก็ได้ค้นพบน้ำตากิเลนแล้ว”

   “ในเมื่อพบตั้งแต่ตอนนั้น แล้วทำไม ดร. เหมิ๋นถึงยังต้องตามหาอีกละ นั่นมันก็หลายสิบปีมาแล้ว ก่อนที่ฉันกับนายจะเกิดซะอีก”

   “มีเรื่องเล่าว่า ตอนที่ค้นพบหยกศักดิ์สิทธิ์ของปฐมกษัตริย์ แห่งราชวงศ์หยวน ได้เกิดมีความขัดแย้งกันระหว่าง 3 ตระกูล จนเกิดการนองเลือด น้ำตากิเลนสูญหายไประหว่างเดินทางออกจากหยวนซางตู”

   “แล้วไอ้น้ำตากิเลนนั่นมันหน้าตาเป็นยังไง แล้ววิเศษยังไง ถึงทำให้ 3 ตระกูลใหญ่บาดหมางกันได้ แต่เดี๋ยวนะ 3 ตระกูลอย่างนั้นเหรอ?”

   “ไอ้เรื่องว่าหน้าตามันเป็นยังไงนี่ ฉันก็ไม่รู้หรอกนะ มีเฉพาะคนที่เข้าไปในหยวซางตูคราวนั้นแหละที่เคยเห็น”

   “อ่าว?”

   “ส่วนความวิเศษของมัน มีเรื่องเล่ากันว่า คนที่ดื่มน้ำตากิเลน โรคภัยต่าง ๆ ที่เป็นอยู่จะหายเป็นปลิดทิ้ง”

   “มันก็แค่ตำนาน ไม่มีอะไรจะมาพิสูจน์ข้อเท็จจริงสักหน่อย อีกอย่างนะ จีเจียน นายเป็นนักข่าวก็ควรจะมีวิจารณญาณให้มันมากกว่านี้ ถ้านายจะทำข่าว ก็ควรมุ่งประเด็นไปในเรื่องคุณค่าทางประวัติศาสตร์ไม่ดีกว่าเหรอ?”

   “ข่าวก็ส่วนข่าว แต่ความสนใจส่วนตัวมันก็อีกเรื่องหนึ่ง แล้วถ้ามันไม่มีมูลความจริง แล้ว 3 ตระกูลใหญ่จะทะเลาะเบาะแว้งกันได้ยังไง”

   “ไอ้เรื่อง 3 ตระกูลนั้นอีก เท่าที่ฉันรู้มา ผู้ที่ส่งมอบให้กับพิพิธภัณฑ์มีเพียง 2 ตระกูลเท่านั้นนี่”

   “หึ ก็อีกตระกูลหนึ่งสูญสิ้นไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้วยังไงล่ะ จะว่าสูญสิ้นก็ไม่ถูก เพราะอันที่จริงก็เหลือทายาทอีกคนหนึ่ง”

   “ถ้ายังเหลือทายาท แล้วทำไม...”

   “เฟ่ยซาน เรื่องที่ฉันกำลังจะบอกนายต่อไปนี้ ถือเป็นเรื่องลับสุดยอด น้อยคนนักที่จะรู้ ถ้านายรู้แล้วก็เงียบเอาไว้ก็แล้วกัน”

   “อืม”

   “ฝู่เถิง แซ่เดิมคือจุ้ย เปลี่ยนแซ่เพราะแต่งเข้าตระกูลฝู่”

   “จุ้ย...จุ้ยเถิง...จุ้ยอั้ยเต๋อ!! ”

   “ใช่”

   “พ่อค้าอาวุธเถื่อนรายใหญ่ในสมัยนั้นอ่ะนะ”

   “อืม”

   “เป็นไปได้ยังไงกัน หรือว่าเยี่ยนหวอจะมีธุรกิจอะไรบางอย่างที่คนทั่วไปไม่รู้”

   “ฉันก็ไม่รู้ เพราะงานข่าวของฉันไม่ได้ช่วยให้ฉันมีข้อมูลตรงนี้ แต่ถ้าเป็นนาย ก็ไม่แน่”

   “หึ!! ที่นายจะเลี้ยงตอบแทนฉัน อันที่จริงแล้วเพื่อเป็นการหลอกล่อให้ฉันทำข่าวนี้ ใช่ไหมล่ะ?”

   “เปล่า ฉันแค่จะมาดัก ดร. เหมิ๋น กับเรื่องน้ำตากิเลนเท่านั้น ส่วนเรื่องเยี่ยนหวอกับอาวุธเถื่อน...ก็แล้วแต่นาย”

   “เจ้าเล่ห์ ปากแข็ง!! ”

   “มาเถอะ ไปนั่งร้านนั้นกัน พี่โฮวคนนี้จะเลี้ยงน้องหนานเอง”

.........................................................................

   ชายหนุ่มร่างสูงอยู่ในชุดลำลอง เสื้อคอโปโลแขนยาวขาว กางเกงผ้าสีสดใส ทำให้ใบหน้าภายใต้กรอบแว่นสีทองดูเด็กลงกว่าอายุจริง เขาเดินออกจากลิฟต์ด้วยท่าทางสบาย ๆ ตรงไปยังส่วนของกาสิโน ตลอดทางที่เดินผ่านมีพนักงานคอยทักทายเขาเป็นระยะ ๆ

   “ดอกเตอร์”

   “ม๊าอยู่ในห้องวีไอพีอย่างนั้นเหรอ ฉันถึงมองหาไม่เจอ?”

   “ครับ ดอกเตอร์จะให้ผมไปเรียนเหลาป่ายเนียนไหมครับ”

   “ไม่ต้องหรอก ถ้าม๊าออกมาแล้วฝากบอกหน่อยก็แล้วกัน ว่าฉันไปรออยู่ห้องอาหาร”

   “ครับ ดอกเตอร์”

   ชายหนุ่มเดินออกจากส่วนของกาสิโน ไปยังส่วนของห้องอาหาร เขาเลือกที่จะนั่งโซนด้านนอก บริเวณสระว่ายน้ำด้านหลังโรงแรม ถึงแม้ว่าจะเป็นเวลาค่ำแล้วก็ตาม บริเวณนี้ก็ยังมีผู้คนมากมาย เขาเลือกนั่งมุมหนึ่งซึ่งคนไม่พลุกพล่านนัก ไม่นานพนักงานเดินเข้ามารับออร์เดอร์จากเขา

   “เอาแต่เครื่องดื่มมาก่อนแล้วกัน ถ้าม๊ามาถึงแล้วก็พามาหาฉันด้วยก็แล้วกัน”

   “ค่ะ ดอกเตอร์”

   ชายหนุ่มนั่งได้สักพักก็มีแขกที่ไม่คิดว่าจะได้เจอเดินเข้ามาทักทายและร่วมโต๊ะด้วย ทำให้เขาดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้เจอบุคคลทั้งสอง

   “ตั่วอี๊ ตั่วเตี๋ย” เขาลุกขึ้นทักทาย ก่อนเชิญให้ทั้งสองนั่งร่วมโต๊ะอาหารด้วย

   “สบายดีไหมหยวนฮ่าง”

   “ผมสบายดีครับอาอี้ ไม่คิดว่าจะเจออี้กับเตี๋ยที่นี่ เห็นว่าช่วงนี้งานยุ่งๆ ไม่ใช่เหรอครับ”

   “งานยุ่งแค่ไหน หลานชายแวะมาทั้งที เตี๋ยก็ต้องปลีกเวลามาให้ได้แหละ”

   “เตี๋ยพูดจนผมรู้สึกผิดเลยนะครับ”

   “ก็อาหยวนฮ่างมัวแต่ขลุกอยู่ที่หยวนซางตู นานๆ จะกลับเกาลูนสักที อี้ไปเยี่ยมทีไรก็คลาดกับเราตลอด นี่น้องก็บ่น ว่าจะจำเราไม่ได้อยู่แล้วนะ”

   “เจมส์เป็นยังไงบ้างครับ มาด้วยรึเปล่า”

   “ไม่ได้มาหรอก รายนั้นเขาเตรียมตัวจะไปเที่ยวไทยอยู่”

   “ไปเยี่ยมโซ้ยกู๋กับโซ้ยอี้สินะครับ”

   “อืม ดูจะตื่นเต้นใหญ่เลยล่ะ ว่าแต่หยวนฮ่างเถอะ เจอม๊าเราแล้วรึยัง?”

   “ผมเจอแล้วครับ ตั้งแต่เมื่อคืนนี้ แต่ก็แค่ทักทายกันนิดหน่อยครับเตี๋ย”

   “แล้วลมอะไรหอบให้อาหยวนฮ่างมาที่นี่ได้ล่ะ?”

   “ผมเจอสิ่งนั้นแล้วครับอาอี๊”

   เหมิ๋นหยวนฮ่างมองสีหน้าเรียบเฉยของคนทั้งสองอย่างแปลกใจ เหตุใดทั้งตั่วอี้ ตั๋วเตี๋ยถึงไม่ได้แสดงอาการตื่นเต้นหรือดีอกดีใจที่เขาเจอของสิ่งนั้นเลย

   “อี๊ไม่คิดว่าหยวนฮ่างยังตามหาสิ่งนั้นอยู่”

   “ต่อไปนี้คงมีเรื่องวุ่นวายตามมาอีกไม่น้อย” เตี๋ยของเขาได้แต่เปรยออกมา

   “แล้วหยวนฮ่างจะทำอย่างไรกับสิ่งนั้นล่ะ?”

   “ผมยังไม่แน่ใจครับอี้ เลยตั้งใจจะให้ม๊าดูก่อน ว่าใช่สิ่งนั้นจริง ๆ ไหม?”

   “อี้ไม่เคยเห็นสิ่งนั้น”

   “ถ้าผมจำไม่ผิดเตี๋ยก็อยู่ใช่ไหมครับ ในตอนนั้น”

   “ใช่ ตอนนั้นมีเตี๋ย หลี่ต๋า ม๊าของเรา และพยัคฆ์”

   “คุณพยัคฆ์ด้วยเหรอครับ”

   “ถ้าอาหยวนฮ่างอยากจะยืนยัน ก็ขอให้คุณเสือเดินทางมาที่นี่ก็ได้นะ ทางนั้นเขาคงไม่ขัดข้องอะไร”

   “ก็ดีเหมือนกันนะอาหงส์ ตอนกลับคุณพยัคฆ์จะได้เดินทางไปกับเจมส์เลย”

   “จริงสินะ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวหงส์โทรหาหยกสักหน่อย”

   ระหว่างตั๋วอี้กำลังคุยกับโซ้ยกู๋อยู่ ม๊าของเขาก็เดินเข้ามาร่วมโต๊ะอาหารด้วย ม๊าทักทายเล็กน้อยก่อนที่พนักงานจะมารับออเดอร์ พวกเขาสั่งอาหารพร้อมกับไวน์อีกหนึ่งขวด เมื่อพนักงานเดินจากไปก็กลับมาคุยกันต่อ

   “มาได้จังหวะพอดีเลยนะอาเถิง”

   “นี่ถ้าฉันไม่รู้จากหยวนฮ่าง ฉันกับอาหงส์คงไม่รู้เรื่องน้ำตากิเลน”

   “ลูกชายฉันมันก็ดื้อแบบนี้แหละ ไม่รู้ว่าดื้อได้ใครมา ที่สำคัญฉันไม่คิดว่าหยวนฮ่างจะตามหาน้ำตากิเลนของตระกูลอาหนีเกอจนเจอ”

   “ใช่ หยวนฮ่างนี่เก่งจริง ๆ” หงส์อดที่จะชมเชยไม่ได้

   “ต้องขอบคุณของมูลของคุณคีที่ได้รวบรวมไว้ต่างหากละครับ”

   “ว่าแต่ลูกนำน้ำตากิเลนติดตัวมาด้วยอย่างนั้นเหรอ?”

   “ครับ หลังจากทานอาหารกันเสร็จ ผมรบกวนเชิญเตี๋ยกับอี้ไปที่ห้องผมด้วยนะคะ”

   “เอาสิ ฉันก็อยากรู้นักว่าอาหนีเกอมีวิธีเก็บน้ำตากิเลนยังไง”

To Be Continue

ออฟไลน์ LoveAlone

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
มีความลึกลับประมานแนวหนังlost of tomb ใช่ไหมนะ

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
+1 ให้กำลังใจคนเขียนครับ ขอบคุณครับ :pig4:

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
2



   ผมทานอาหารกับจีเจียนเรียบร้อยแล้ว อยากจะกลับไปพักเต็มทน แต่ก็ถูกรั้งเอาไว้ให้นั่งดื่มเป็นเพื่อน พวกเราย้ายกันมานั่งในเลาจ์ของโรงแรมแกรนด์ฝู่ ในเครือของเยี่ยนหวอ ซึ่งดูเหมือนว่าจีเจียนไม่ได้ตั้งใจมานั่งดื่มเพียงอย่างเดียว

   “นายจะเฝ้าอยู่ที่นี่อีกนานไหม?” ผมถามขึ้นในที่สุด

   “ใจเย็นน่า พรุ่งนี้นายก็ไม่ได้มีงานที่ไหนไม่ใช่หรือไง นานๆ เราจะมานั่งดื่มแบบนี้สักที”

   “ถึงจะไม่มีงานอะไร แต่ฉันก็นัดพี่กู่เอาไว้แต่เช้า”

   “เอาน่า ขออีก 10 นาที ถ้าไม่เจอก็กลับ” จีเจียนตอบผมด้วยน้ำเสียงติดจะรำคาญ

   คนที่มีชื่อเสียงอย่าง ดร. เหมิ๋นใช่ว่าจะมาเตร็ดเตร่เดินให้เจอกันง่าย ๆ ถึง ดร. เหมิ๋นจะไม่ได้เข้ามาดูแลธุรกิจของครอบครัวก็ตาม แต่ด้วยมันสมองอันชาญฉลาดเข้าขั้นอัจฉริยะก็ว่าได้ ทำให้ ดร.เหมิ๋น จบปริญญาเอกด้วยอายุยังน้อย

   มีหลายมหาวิทยาลัยทั้งในจีน ฮ่องกง และไต้หวัน ทาบทามให้ดอกเตอร์ไปเป็นอาจารย์สอน แต่ดอกเตอร์ก็ปฏิเสธไปเสียหมด ตั้งแต่เรียนจบมาก็ทุ่มเทให้กับงานวิจัย การขุดค้นโบราณสถาน ไปถึงสุสานเก่าแก่ ไม่ว่างานชิ้นใดที่ขึ้นชื่อว่ายาก เมื่อมาถึงมือ ดร. เหมือน กลับง่ายดังพลิกฝ่ามือ

   “จี...เจียน...”

   “เฮ้ย!! เฟ่ยซาน อย่าบอกนะว่าเมาแล้ว?”

   “ไม่!! ไม่เมา... แค่มึนๆ” ผมเริ่มมึนจริง ๆ เลยตั้งใจจะไปห้องน้ำล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นสักหน่อย

   “แล้วไง จะกลับเลยหรือว่าจะรอให้ฉันไปส่ง?”

   “ห้องน้ำ”

   “อ่อ งั้นเดี๋ยวฉันพาไป นายนี่มันคออ่อนจริง ๆ”

   “ไม่ๆ ฉัน...ไปเองได้... ทางไหน...”

   “ไหวแน่นะ?”

   ผมพยักหน้ารับเบาๆ เพื่อไม่ให้กระเทือนหัวผมมากนัก จากนั้นก็ลุกดินไปตามทางที่จีเจียนชี้บอก ผมแค่มึน ไม่ได้เมา ผมมันประเภทเมาแล้วหลับ และผมก็รู้ขีดจำกัดของตัวเองดี

   ผมเดินเข้าไปในห้องน้ำอย่างเชื่องช้า เวลาเดินเร็ว แรงกระแทกของฝีเท้า มันทำให้ผมปวดหัว ผมมาหยุดอยู่ตรงหน้ากระจก สำรวจดูหน้าตาของตัวเอง ก็ยังดูปกติไม่เหมือนคนเมาทั่วไปที่หน้าแดงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ ผมค่อยยื่นมือไปรองใต้ก๊อกน้ำระบบเซนเซอร์ก็ทำงาน ปล่อยน้ำเย็นๆ ไหลลงฝ่ามือที่ผมรองรับไว้

   ผมจัดการล้างหน้าล้างตา เอาน้ำลูบคอของตัวเองเสร็จ พอให้ได้สดชื่น ก่อนหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดหยดน้ำออกไป สำรวจความเรียบร้อยของตัวเองอีกนิดหน่อย จึงเดินออกจากห้องน้ำ

   ระหว่างที่ผมดึงประตูห้องน้ำเพื่อจะออกไปหาจีเจียนนั้น เป็นจังหวะเดียวกับที่ใครคนหนึ่งผลักประตูเข้ามาเช่นกัน แรงผลักประตูบวกกับแรงดึงของผมเอง ส่งผลให้ผมผงะถอยหลังด้วยความตกใจ แผ่นหลังของผมกระแทกผนังด้านข้างเต็ม ๆ ไม่ได้รุนแรงอะไร แต่กลับทำให้ผมปวดจี๊ดขึ้นไปที่หัวทันที จนต้องยกมือข้างหนึ่งกุมมันไว้

   “ขอโทษครับ เป็นอะไรรึเปล่า”

   ผมที่หลับตา มือหนึ่งกุมหัวเอาไว้ อีกมีก็โบกไปมา เพื่อจะบอกฝ่ายตรงข้ามว่าผมไม่เป็นอะไร

   “เตี๋ย มีอะไรรึเปล่าครับ”

   “คุณคนนี้เขาดูอาการไม่ค่อยดีน่ะ”

   “อืม หน้าซีดมากเลย คุณเป็นอะไรไหม?”

   “ไม่เป็นไรครับ ผมแค่ปวดหัวนิดหน่อย” ผมตอบทั้งที่ยังไม่ได้ลืมตาขึ้นมา แต่พอได้เห็นคนตรงหน้าเท่านั้น ผมถึงกับตัวแข็งเกร็งไปทันที

   “คุณไม่เป็นไรแน่นะ หน้าคุณดูซีดมาก” ฝู่เถิง หนุ่มใหญ่ลูกครึ่งจีนอเมริกัน พ่วงท้ายด้วยตำแหน่งผู้บริหารโรงแรมแกรนด์ฝู่ โฮเต็ลแอนด์กาสิโน ในเครือของเยี่ยนหวอ กำลังถามผมอย่างเป็นห่วงเป็นใย

   “เตี๋ยครับ เดี๋ยวผมเดินออกไปส่งคนคนนี้เอง” นี่ก็อีกคน ดอกเตอร์ เหมิ๋นหยวนฮ่าง คนที่จีเจียนเฝ้ามองหามาเป็นชั่วโมง ๆ มายืนอยู่ตรงหน้าผม ทั้งยังอาสาเดินออกไปส่งผมที่โต๊ะอีกต่างหาก

   “ไม่เป็นไรครับ ผมออกไปเองได้ พวกคุณทำธุระของพวกคุณกันไปเถอะ” ผมรีบปฏิเสธแล้วก้าวยาว ๆ หนีทั้งสองคนออกจากห้องน้ำมาทันที

   ผมเดินกลับมาถึงโต๊ะ โดยไม่คิดจะเหลียวหลังกลับไปมองบุคคลทั้งสอง ถึงผมจะเป็นนักข่าว แต่ก็สัมภาษณ์บุคคลทั่วไปเท่านั้น ไม่เคยต้องเผชิญหน้ากับคนมีชื่อเสียงระดับประเทศอย่างนี้ ที่สำคัญ เจอพร้อมๆ กันถึงสองคน

   “เฮ้ยๆ เฟ่ยซาน นายเป็นอะไร หนีใครมา คงไม่ได้ไปอ้วกใส่ใครเขาหรอกนะ”

   “บ้า”

   “เอ๊า!! แล้วตกลงนายหนีใครมา?”

   “ฝู่เถิงกับเหมิ๋นหยวนฮ่าง”

.........................................................................

   เหมิ๋นหยวนฮ่างและฝู่เถิงต่างมองหน้ากัน หลังจากที่คนตัวเล็กวิ่งหนีพวกเขาออกไป ก่อนจะส่ายหน้าขำ ๆ จากนั้นก็แยกย้ายไปทำธุระส่วนตัวของตัวเอง เมื่อเสร็จธุระเรียบร้อย ทั้งสองก็เดินกลับมาสมทบกับหลี่ต๋าและหงส์ที่นั่งคุยกันอยู่ที่โต๊ะอาหาร

   จานอาหารต่าง ๆ พนักงานได้เก็บไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงไวน์ครึ่งขวดเท่านั้นที่ยังคงวางอยู่ในถัง ทั้งหลีต๋าและหงส์ดูเหมือนจะเลิกดื่มกันไปแล้ว

   “ไปกันนานเลย อาเถิงพาลูกฉันไปไถลที่ไหนรึเปล่า?”

   “ให้มันน้อย ๆ หน่อยนะลิลลี่ เธอก็รู้ว่าเดี๋ยวนี้ฉันเป็นยังไง ยังมองฉันในทางที่ไม่ดีอยู่อีกเหรอ?”

   “ฉันก็แค่ล้อนายเล่นเท่านั้นแหละ ทำน้อยใจไปได้”

   “ไม่ได้มีเรื่องอะไรใช่ไหมอาเถิง” หงส์ถามเพราะเห็นว่าไปกันนานเหมือนกัน

   “ไม่มีอะไรหรอกครับอี้ เจอแขกเมานิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร?”

   “แล้วแขกล่ะ?”

   “น่าจะกลับไปแล้วล่ะครับ”

   “อย่างนั้นเราขึ้นไปห้องลูกกันเลย ม๊ากับอี้หงส์ไม่ดื่มแล้วล่ะ”

   “แหมะ จะให้ขึ้นห้องลูก ไม่ถามหน่อยเหรอว่าฉันกับหยวนฮ่างจะดื่มกันต่อไหม พูดแบบนี้บังคับกันชัดๆ”

   “หยวนฮ่างว่ายังไงลูก?”

   “ผมไม่ดื่มแล้วครับ แล้วเตี๋ย”

   “เฮ้อ...นายตอบมาแบบนั้นแล้วจะให้เตี๋ยนั่งดื่มอยู่ได้ยังไง ไปขึ้นข้างบนกัน ยังไงๆ ก็มีเรื่องน่าสนใจรออยู่”

   พวกเขาขึ้นไปชั้นบนสุดของโรงแรม ซึ่งปรับปรุงใหม่เป็นเพนเฮ้าส์สำหรับคนในครอบครัว ซึ่งคนที่จะขึ้นมาชั้นนี้ได้ต้องผ่านการสแกนนิ้วมือเท่านั้น เหมิ๋นหยวนฮ่างก็ได้รับห้องส่วนตัวมาด้วยห้องหนึ่ง

   ภายในห้องของเขาถูกตกแต่งให้คล้าย ๆ กับพิพิธภัณฑ์แสดงวัตถุโบราณ ซึ่งของที่ตั้งโชว์ล้วนแล้วเป็นสิ่งของหายทั้งนั้น แต่หากถ้าสังเกตดีๆ จะพบว่าสิ่งของเหล่านั้น เป็นของที่ทำเลียนแบบขึ้นมาทั้งสิ้น ถึงแม้รายละเอียดของวัตถุนั้นจะเหมือนต้นแบบมากแค่ไหน แต่เพื่อความบริสุทธิ์ใจของเขา สิ่งของทุกชิ้นจึงมีตราประทับซ่อนไว้ในผลงาน

   เหมิ๋นหยวนฮ่างเชิญทุกคนนั่งที่ห้องรับแขก และไม่วายเอาใจเตี๋ยของเขาโดยการเปิดไวน์ขวดใหม่มาให้ ก่อนจะเดินเข้าไปที่ห้องทำงาน หยิบเอากล่องบุหนังใบหนึ่งออกมา

   “ของสิ่งนั้นอยู่ในนี้นะเหรอ”

   “ครับม๊า” เขาพูดพร้อมเปิดฝากล่อง ภายในมีกล่องสำริดขนาดเล็กรูปทรงแปดเหลี่ยม แกะสลักลวดลายกิเลนเหยียบก้อนเมฆซึ่งเป็นลวดลายเดียวกันกับหยกคู่กิเลนไม่มีผิด และเมื่อเปิดกล่องสำริดขึ้น ภายในพบขวดสำริดถูกฝังเอาไว้

   “น้ำตากิเลนอยู่ในนี้ครับ”

   “เป็นไปได้ยังไงที่อาหนีเกอจะเก็บของเหลวอย่างน้ำตากิเลนให้คงสภาพไว้ได้เป็นร้อยๆ ปี” เตี๋ยของเขาเอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ ซึ่งเขาก็แปลกใจเช่นกัน

   “มันไม่ใช่ของเหลวครับ” ว่าแล้วเขาก็หยิบขวดสำริดออกมาก่อน แล้วหยิบที่คีบปลายแหลมขนาดเล็กขึ้นมาคีบสิ่งที่อยู่ภายในขึ้นมา

   น้ำตากิเลนที่เขาค้นพบ เป็นยาลูกกลอนเม็ดเล็กมีสีฟ้าแวววาวราวกับไข่มุก ดูเผินๆ เหมือนกับลูกปัดทั่วไป แต่ไม่แข็ง มีลักษณะนุ่มหยุ่น

   “อาหนีเกอคงมีวิธีทำให้มันเป็นยาลูกกลอน ถึงได้เตรียมพร้อมเอาไว้ เพราะขณะชำระล้างเมฆาขาว น้ำตาหยกที่ไหลออกมามีจำนวนไม่มาก ทิ้งไว้นานก็ไม่ได้ มันจะระเหยหายไปอย่างรวดเร็ว" เตี๋ยอธิบาย

   “ในขวดนี้มีน้ำตากิเลนอยู่ 4 เม็ด ผมเอาออกมาวิจัยเพื่อดูส่วนผสมแล้ว 2 ในนี้เหลืออีก 2”

   “ตอนที่อาหยวนฮ่างเอามันออกมาที่แล็บ มันไม่สลาย หรือหายไปใช่ไหม?” อี๊ถามเขาบ้าง

   “ไม่ครับ”

   “ถ้าอย่างนั้น ของสิ่งนี้ก็ทำเช่นเดิมตามประสงค์ของเหล่าเหมิ๋น มอบให้พิพิธภัณฑ์ไป ยกเว้นสิ่งที่อยู่ข้างใน หยวนฮ่างคงเข้าใจนะว่าอี๋หมายถึงอะไร”

   “ครับ ผมเข้าใจ แล้วน้ำตากิเลนสองเม็ดที่เหลือ อี๊จะให้ผมทำยังไงกับมันครับ”

   “ก็เอากลับไปที่แล็บ ศึกษาวิจัยเหมือนเดิม เผื่ออนาคตเราอาจจะสามารถคิดคนตัวยาอะไรที่สามารถช่วยชีวิตผู้คนได้”

   “เรื่องน้ำตากิเลนนี้ ลูกจะให้คนอื่นรู้ถึงการมีอยู่ของมันไม่ได้ ไม่อย่างนั้นมันอาจจะเกิดเรื่องวุ่นวายตามมาอย่างในอดีต”

   “ครับม๊า ผมเข้าใจ ผมจะรีบเขียนบทความเกี่ยวกับสิ่งนี้ ผมหมายถึงกล่องสำริดชุดนี้ให้เสร็จ ก่อนจะส่งมอบมันให้กับพิพิธภัณฑ์”

   “ถ้าอย่างนั้นเราก็พักผ่อนไปเถอะ เตี๋ยกับอี้ก็จะกลับไปพักที่ห้องเหมือนกัน”

   “ม๊าไม่นอนค้างด้วยนะหยวนฮ่าง คืนนี้ม๊ามีแขกที่ต้องดูแล ท่าทางจะเล่นหนักไม่เบา”

   “ครับ”

   เขาเดินไปส่งทุกคนที่หน้าห้อง โดยไม่ลืมที่จะยกไวน์ขวดที่เปิดให้เตี๋ยไปดื่มต่อ จากนั้นเขาจึงกลับมานั่งร่างบทความของเขา คนในวงการรู้กันดีว่าน้ำตากิเลนเป็นของเหลว เพราะมีบันทึกไว้ตั้งแต่สมัยโบราณ ซึ่งเขาก็เขียนบทความของเขาโดยอ้างอิงกับบันทึกเหล่านั้น และสิ่งที่เขาค้นพบจึงเหลือเพียงกล่องและขวดที่เคยบรรจุน้ำตากิเลนไว้

.........................................................................

   เมื่อคืนผมหลับสนิทเพราะเครื่องดื่มที่ดื่มไป ทำให้เช้านี้ตื่นมาอย่างสดใส จึงทำให้ผมมีโอกาสออกไปวิ่งที่สวนสาธารณะตอนเช้า ก่อนจะออกมายังคาเฟ่ที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ สถานีตำรวจ เพื่อมารอพี่กู่

   คาเฟ่นี้ ลูกค้าส่วนใหญ่ไม่เป็นนักสืบ ตำรวจ ก็นักข่าวอย่างผม นานๆ จะมีอัยการมานั่งจิบกาแฟสักที่นี่สัก เพราะส่วนใหญ่เขาจะไปนั่งร้านอื่นที่... ดูสมฐานะของเขากว่านี้

   “ไงน้องหนาน มานานแล้วรึยัง โห่... นี่อย่าบอกนะว่าวิ่งมาถึงที่นี่”

   “พี่กู่” ผมยืนขึ้น ก่อนจะนั่งลงพร้อมกับแขกที่ผมนัดเจอในวันนี้ “ผมนั่งรถมา ไม่ได้วิ่งมาถึงนี่สักหน่อย”

   “เมื่อคืนนี้หลับสนิทละสิ เช้านี้ถึงได้ออกไปวิ่งมา”

   “วิ่งเพลินจนลืมเวลาเลยละ พี่สั่งอะไรดื่มก่อนไหม ผมเลี้ยงเอง”

   “ไม่ต้อง ๆ พี่จัดการเองได้ รอพี่แป๊บหนึ่ง พี่ไปสั่งก่อน” นั่งรอไม่นาน พี่เขาก็กลับมาพร้อมถ้วยกาแฟในมือ

   “พี่กู่ เยียนหวอเคยทำเรื่องผิดกฎหมายไหม”

   “ทำไมเราถึงถามพี่แบบนี้ หรือว่าเราไปได้ยินอะไรมา”

   “เป็นเรื่องจริงเหรอ”

   “ถ้าในนามของเยียนหวอเอง...เหมือนจะไม่เคยนะ แต่มันมีอยู่หลายคดีเหมือนกันที่เยี่ยนหวอเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วย”

   “เรื่องอะไรบ้างพี่”

   “เรื่องเยียนหวอไว้คราวหน้าพี่ดึงข้อมูลเก่ามาให้แล้วกัน วันนี้มาคุยเรื่องคดีที่นายขอมาก่อนดีกว่า”

   “พี่กู่ คดีนั้นเอาไว้ก่อน ผมสนใจคดีที่มือระเบิด สุ่มวางระเบิดบนรถบัสมากกว่า”

   “นายรู้เรื่องคดีนี้ได้ยังไง ไม่ใช่สิ นายรู้ได้ยังไงว่ามือระเบิดมันจงใจสุ่ม เมื่อสองวันก่อนหัวหน้าเพิ่งให้ข่าวไปว่าเป็นอุบัติเหตุ”

   “ผมสงสัยเลยลองสืบดู”

   “แล้วอะไรที่ทำให้นายสงสัย”

   “ข้อแรก รถบัสที่ระเบิดเป็นรถบัสรุ่นใหม่ ถึงจะไม่ใช่รุ่นล่าสุดแต่ก็ไม่น่าจะเก่าถึงขั้นมีน้ำมันรั่วได้ ข้อสองถ้าน้ำมันรั่วจริง ทำไมคนขับรถถึงไม่รู้ตัวแล้วทยอยปล่อยผู้โดยสารลงแล้วขับรถกลับเข้าอู่ ข้อสามทำไมรถถึงไประเบิดใจกลางเมืองและยังเป็นช่วงเวลาที่การจราจรหนาแน่นอีก ข้อสี่เชื้อไฟ อะไรคือเชื้อไฟ ถ้าไฟจะลุกจริง ๆ มันก็น่าจะมีควัน มีประกายไฟ ไม่ใช่อยู่ๆ ก็ระเบิดขึ้นมาอย่างนั้น”

   “นายนี่ช่างสังเกตไม่เบาเลยนะ แล้วอะไรทำให้นายคิดว่ามือระเบิดสุ่มเลือกรถบัส”

   “เวลา สถานที่ จำนวนคนที่บาดเจ็บ รถบัสทุกสายจะมีตารางเดินรถที่แน่นอน”

   “อืม ที่นายวิเคราะห์มาถูกทุกอย่าง”

   “พี่พอจะให้ข่าวกับผมได้ไหม?”

   “เรื่องนี้พี่ช่วยเราไม่ได้นะ ถ้าเรื่องหลุดออกไป คนจะยิ่งแตกตื่น ตำรวจอย่างพี่ก็จะทำงานยากขึ้น”

   “แล้วถ้าข้อตกลงเหมือนเดิมละพี่กู่”

   “มันอันตรายเกินไปนะเฟ่ยซาน พี่ยังไม่รู้ว่ามือระเบิดมีจุดประสงค์อะไร แล้วทำไมมันถึงจงใจให้คนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมากขนาดนี้”

   “พี่พูดแบบนี้แสดงว่า พวกตำรวจตัดเรื่องการก่อการร้ายออกไปใช่ไหม?”

   “ใช่ ถ้าเป็นพวกนั้น มันคงไม่ระเบิดรถแค่คันเดียวหรอก”

   “เอาแบบนี้ ผมมีข้อสันนิษฐาน ถ้าพี่ตกลงตามเงื่อนไขเดิม ผมก็จะบอกให้”

   “ขนาดตำรวจที่มีหลักฐานวัตถุและพยาน ยังสรุปรูปคดีไม่ได้เลย”

   “นั่นยิ่งต้องให้ผมช่วย เอาแบบนี้ ถ้าพี่ตกลงผมจะบอกพี่ ให้พี่ลองไปสืบก่อนก็ได้ แต่ถ้าไม่ได้อะไรขึ้นมาก็ถือว่าข้อตกลงของเราเป็นโมฆะ แล้วผมจะไม่ยุ่งเรื่องคดีนี้อีกเลย จนกว่าพี่จะให้ข่าวผมเอง”

   “ก็ได้ ลองดู”

   “อย่างที่ผมบอกว่าผมวิ่งเพลินไปหน่อย เลยไม่ได้กลับเข้าห้องไปเอาเอกสาร ไว้ผมเอามาให้พี่ที่หลัง”

   “อ่าวไม่แฟร์นี่”

   “พี่ฟังผมก่อนสิ อย่าเพิ่งโวยวาย”

   “งั้นว่ามา”

   “รถบัสรุ่นที่ระเบิด เป็นรถที่นำเข้าจากญี่ปุ่นเมื่อสามปีก่อน โดยมีฉินหรุยกวงเป็นนายหน้านำเข้ามา จะซ่อมบำรุง หรือแม้กระทั่งอะไหล่รถบัสก็โดนผูกขาดด้วยฉินหรุยกวงเพียงผู้เดียว”

   “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคดีนี้”

   “ก่อนหน้าที่ฉินหรุยกวงจะนำเข้ารถรุ่นนี้ เขาได้เปิดบริษัทแท็กซี่ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่รถของบริษัทฯ ปัญหาเกิดระเบิดขึ้น ในข่าวมีผู้เสียชีวิต 3 คน คือโชเฟอร์แท็กซี่ และสามีภรรยาที่เป็นผู้โดยสาร สาเหตุของการระเบิดมาจากแก๊สรั่ว”

   “นายจะบอกว่า มือระเบิดครั้งนี้มีสาเหตุมาจากการระเบิดครั้งนั้นเหรอ?”

   “มันก็มีความเป็นไปได้ รายละเอียดของคดีนั้นพี่คงต้องไปค้นเอาเองแล้วละ ผมมีแต่ข่าวเก่าในตอนนั้นที่จะส่งให้ได้ ในข่าวสรุปได้ว่า ฉินหรุยกวงมีความผิดไม่มากนัก เพราะหลักฐานไม่เพียงพอที่จะเอาผิดเขาได้ ความผิดส่วนใหญ่ไปลงกับโชเฟอร์แท็กซี่”

   “อือ พี่จะลองกลับไปตรวจสอบดู ไปก่อนนะ” ผานกู่ลุกแล้วรีบเดินออกจากร้าน

   “เดี๋ยวสิพี่ แล้วเรื่องเยียนหวอละ” ผมวิ่งตามมาจนถึงหน้าร้าน ก่อนทวงถามเรื่องที่สงสัย

   “นัดกันคราวหน้า พี่จะหาข้อมูลมาให้ มีคำถามอะไรพี่จะตอบให้หมด” พี่กู่พูดพร้อมทั้งเอาฝ่ามือหนาขึ้นมาวางบนหัวผม แล้วโยกไปมาจนผมต้องปัดมือเขาออก

   “หึ้ย ผมไม่ใช่เด็กนะ”

   “เอาน่า ก็พี่ผานกู่คนนี้เอ็นดูเรานี่นา พี่ไปทำงานก่อนนะ”

   “อย่างลืมเรื่องข้อตกลงด้วยละ” ผมตะโกนไล่หลังนายตำรวจหนุ่มร่างใหญ่ไป มาวันนี้ผมไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไปเลยใช่ไหม

   ผมยังไม่ทันเดินพ้นหน้าคาเฟ่เลย พี่กู่ก็ส่งข้อความมาให้ผมส่งข้อมูลเกี่ยวกับข่าวที่ผมเล่าให้ฟังทางอีเมล ข้อมูลพวกนี้เป็นผลพลอยได้จากที่ไปช่วยงานจีเจียนเมื่อวาน ไหนๆ ต้องช่วยหาข้อมูลแล้ว ก็หาข้อมูลของงานตัวเองไปด้วย จะได้ไม่เสียเวลา

To Be Continue


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-12-2018 21:29:18 โดย Amo »

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
 เริ่มสับสนกับชื่อแต่ละคนละ555

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
3



   โฮวจีเจียนที่กำลังนั่งสนอกสนใจเกี่ยวกับเนื้อหาบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ จนไม่ทันสังเกตว่า บ.ก. มายืนอยู่ด้านหลังเขาแล้ว มาสะดุ้งอีกครั้งก็ตอนได้ยินเสียงเพื่อนร่วมงานทักทายหยุนฮั่นเตา

   “สวัสดีครับ บ.ก. มาคุยงานกับจีเจียนเหรอครับ ผมมารบกวนเวลารึเปล่า”

   “หึ ยังไม่ทันได้คุย แต่มาเจอเรื่องน่าสนใจเข้าซะก่อน” น้ำเสียง บ.ก. ดูจะหงุดหงิด คงเป็นเพราะภาพบนหน้าจอที่เขาเปิดค้างเอาไว้

   “บ.ก. ผมไม่ได้อู้นะ พอดีผมพยายามหาข้อมูลของ ดร.เหมิ๋นอยู่ไง อยากรู้ว่าเขาชอบฟังเพลงแบบไหน ดูหนังแนวไหน ไปทานข้าวที่ไหน ตอนสัมภาษณ์จะได้มีเรื่องคุยยังไงล่ะครับ”

   “เก็บ   คำแก้ตัวของนายไว้เถอะ เอานี่ บัตรเชิญสำหรับสื่อมวลชน ไปงานนั่นซะแล้วหาโอกาสขอสัมภาษณ์ ฝู่หงส์และ ดร. เหมิ๋นให้ได้” เขารับมาดูวันเวลาในบัตรแล้วได้แต่หน้าซีด พูดอะไรไม่ออก นอกจากรับปากไปก่อน

   “ครับ บ.ก.”

   “เฟ่ยซาน ได้ข้อมูลในคดีฆาตกรรม 3 ศพนั่นรึยัง” บ.ก. หันไปสนใจลูกรักอย่างหนานเฟ่ยซาน

   “จากข้อมูลที่ผมได้มา ตำรวจปักใจเชื่อแน่นอนว่าเป็นฝีมือฆาตกรคนเดียวกัน เป็นการฆาตกรรมต่อเนื่อง นอกว่าวิธีการฆ่าและจัดการกับศพแบบเดียวกันแล้ว ตำรวจยังหาความเชื่อมโยงของเหยื่อแต่ละรายไม่ได้ครับ”

   “ยังไม่มีความคืบหน้าสินะ”

   “ครับ ส่วนตอนนี้ ถ้าผมจะขอทำคดีระเบิดรถบัส ไม่ทราบว่า บ.ก. จะอนุญาตให้ผมตามคดีนี้ได้ไหมครับ?”

   “นายสังเกตเห็นอะไรจากคดีนี้ละสิ”

   “ก็นิดหน่อยครับ”

   “คุยกับผานกู่รึยัง”

   “คุยแล้วครับ แต่เขาไม่ยอมให้ผมเข้าไปช่วยสืบ แต่ บ.ก. ไม่ต้องห่วง ผมยื่นข้อตกลงกับพี่กู่ไปแล้ว น่าจะไม่มีปัญหา”

   “ระวังตัวให้ดีก็แล้วกัน อย่าได้ทำอะไรเกินตัว”

   “ครับ บ.ก.”

   เขาที่ได้ฟังตาลุงหยุนฮั่นเตาพูดอยู่นานสองนาน กว่าจะเดินออกจากแผนกของเขาไป ทำให้อดบ่นตามหลังอย่างขัดใจไม่ได้

   “เหอะ พอได้คุยกับลูกรักเข้าหน่อย อารมณ์ดีเชียวนะ”

   “จีเจียน นายก็นะ สนใจดูแต่ตัวอย่างหนังจนไม่เห็นว่า บ.ก. เข้ามาตั้งแต่เมื่อไร”

   “น้องหนานน้องรัก อย่าเพิ่งว่าพี่อย่างนี้สิ พี่โฮวคนนี้ต้องรีบทำคะแนน ก็ต้องศึกษาเอาไว้ก่อน จะได้คุยกับน้องชี่เยว่ได้ยังไงละ”

   “นายนี่มันจริง ๆ เลย เฮ้อ... ฉันแค่แวะมาเอาแฟลชไดซ์ที่ลืมไว้กับนายเมื่อวานนะ เอามา”

   “ไม่ให้ จนกว่านายจะรับปากช่วยงานฉันก่อน”

   “เฮ้ย เมื่อวานก็เพิ่งจะช่วยไป วันนี้มีมาอีกแล้วเหรอ?”

   “งานนี้สบาย ฉันแค่ให้นายไปเที่ยวแทนฉัน” เขาส่งบัตรที่ตาแก่หยุนเพิ่งให้กับเขา “ก็มันตรงกับที่ฉันนัดน้องชี่เยว่ไว้นี่ ถือว่าช่วยพี่โฮวคนนี้ให้สมหวังในความรักเถอะนะ”

   “ไม่ได้ไปเที่ยวเปล่า ฉันต้องหาทางให้นายได้สัมภาษณ์ฝู่หงส์ กับ ดร.เหมิ๋น ด้วยใช่ไหม?”

   “นายนี่ฉลาดที่สุด ตกลงตามนี้นะ”

   “เฮ้ย ฉันยังไม่ได้รับปากเลยนะ”

   “งั้นฉันก็ไม่คืนแฟลชไดซ์” เขาพูดพร้อมทั้งชูสิ่งที่เฟ่ยซานอยากได้นักอยากได้หนาคืน “ฉันรู้นะว่าในนี้มีข้อมูลข่าวของคดีเก่าอยู่ ถึงฉันไม่รู้ว่ามันเกี่ยวข้องยังไงกับคดีรถบัสระเบิดก็เถอะ”

   “นายนี่มัน ก็ได้ๆ ฉันช่วยนายก็ได้ เอาคืนมาเลย” เฟ่ยซานทำเป็นหน้างอหงิก แม้จะคว้าแฟลชไดซ์จากมือเขาไปไว้ในมือแล้วก็ตาม

   “เฮ้ย หายงอนฉันเถอะ ถ้าฉันได้แต่งเมื่อไร ฉันจะให้นายเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว”

   เขารีบตะโกนไล่หลังหนุ่มน้อยขี้งอน ก่อนจะมานั่งลงอย่างสบายใจ ดูโปรแกรมหนังและเตรียมจองร้านอาหารที่มีบรรยากาศโรแมนติกที่สุดเท่าที่เขาพอจะจ่ายได้ แต่ก็ต้องมาสะดุดกับบัตรตรงหน้า

   “เฮ้ย หนานเฟ่ยซาน....” เขารีบคว้าบัตรนั้นแล้วตรงดิ่งไปยังแผนกของคนที่จะต้องไปงานนี้แทนเขาทันที

.........................................................................

   เหมิ๋นหยวนฮ่างเดินเข้ามาในงานระดมทุนของบริษัทในเครือเยี่ยนหวอพร้อมกับหลี่ต๋าของเขา ถ้าม๊าไม่ขอให้เขาเป็นคู่ควงให้ในคืนนี้ งานแบบนี้เขาคงไม่เข้าร่วมด้วยแน่นอน

   “ลิลลี่ทำสำเร็จจริง ๆ” เตี๋ยเขามาทักเขากับม๊า ซึ่งดูท่าทางแล้วทั้งเตี๋ยและอี้คงอยากให้เขามางานนี้มากแน่ ๆ

   “หงส์ชวนเท่าไร หยวนฮ่างก็ไม่ยอมมา ไม่รู้จะอายอะไรกันหนักหนา ต้องให้ถึงมือหลี่ต๋า”

   “พอแล้วหงส์ อย่าแซวลูกฉันมากนัก อายเอยที่ไหนกัน ดูนี่สิ มีแต่ยิ่งขรึมกันไปใหญ่”

   “หยวนฮ่าง ในเมื่อเราก็หาน้ำตากิเลนพบแล้ว เรื่องขุดค้นก็เพลา ๆ ลงหน่อย หาเวลามาตามหาอย่างอื่นบ้าง”

   “อาเถิง หยุดพูดต่อเลยนะ ฉันรู้ถึงความหวังดีของนาย แต่หยวนฮ่างไม่ชอบให้พวกเราพูดถึงเรื่องนี้ ก็ปล่อย ๆ เขาไปก่อนเถอะ”

   “นี่ม๊าห้ามเตี๋ย หรือจะตัดพ้อผมกันแน่ เรื่องคู่ครองเมื่อถึงเวลามันก็มาเองแหละครับ ไม่ต้องไปตามหาให้เหนื่อย”

   “เห็นไหม สงสัยฉันจะได้อุ้มหลานตอนแก่” เขาเห็นผู้ใหญ่ที่เขาเคารพต่างหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน เขาเองก็พลอยมีความสุขตามไปด้วย

   “ที่เตี๋ยกับอี้อยากให้ผมมางานนี้เพราะอะไรหรือครับ”

   “ไม่ใช่เตี๋ยหรอกที่อยากให้เรามา อี้ต่างหาก”

   “วันนี้จะมีคนที่อี้นับถือมาร่วมงานด้วย เลยอยากให้หยวนฮ่างมาคำนับพวกเขาหน่อย”

   “แล้วทำไมต้องเป็นในงานนี้ด้วยละครับ ไปพบพวกท่านเลยก็ได้ไม่ใช่เหรอ”

   “ก็เพราะว่าพวกท่านเสียสละทั้งเวลา ความสุขส่วนตัว ทั้งยังคอยช่วยสนับสนุนอี้ อี้ถึงได้มีเวลามาอยู่กับหลานยังไงล่ะ ไม่ต้องทำงานตัวเป็นเกลียวเหมือนอย่างเรา ดังนั้นถ้าไม่ใช่ในงานนี้ก็คงจะหาโอกาสยากแล้วละ”

   หลังจากที่เขาพยักหน้ารับแล้ว ต่างคนก็ต่างต้อนรับแขกที่เข้ามาทักทาย ไม่เว้นแม้แต่แม่ของเขา เขาเลยเดินปลีกตัวออกมายังโถงด้านนอกห้องจัดเลี้ยง เขารู้สึกว่าเสียงในห้องมันอื้ออึงจนเขาหงุดหงิด

   เหมิ๋นหยวนฮ่างเดินออกมาจนถึงโซนที่แบ่งไว้ให้สำหรับแขกสูบบุหรี่ เขารู้สึกว่ามีคนตามเขามาได้สักพัก ตั้งแต่ออกจากห้องจัดเลี้ยงมา เมื่อหันไปมองเขาก็เห็นหนุ่มร่างเล็ก หน้าตาเกลี้ยงเกลา ดวงตากลมโตดูละมุนคล้ายผู้หญิงแต่ก็ดูคุ้นตา หนุ่มคนนั้นเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ ก่อนส่งกล่องบุหรี่มาให้

   “บุหรี่ไหมครับ ดร.เหมิ๋น”

   “ฉันไม่สูบ”

   “อ่าว” ชายหนุ่มชักมือกลับแล้วเก็บกล่องบุหรี่เข้าไปในกระเป๋าเสื้อสูท แล้วไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก

   “เพราะฉัน นายเลยไม่สูบอย่างนั้นเหรอ”

   “เปล่าครับ ผมเองก็ไม่สูบ”

   “ไม่สูบแล้วพกไว้ทำไม หรือพยายามเลิกสูบ”

   “ผมไม่เคยสูบครับ แค่พกไว้แบ่งปันให้คนอื่น”

   “ใจดี แจกโรคร้ายให้คนอื่นสินะ?”

   “ถ้าจะโทษก็ต้องโทษคนรับด้วย ที่อยากรับโรคพวกนี้เข้าไปทรมานร่างกายตัวเอง”

   “นายเองก็ไม่ควรจะไปสนับสนุนพวกเขา”

   “มันจำเป็น เพราะงานของผมต้องพึ่งพาพวกเขา”

   “มันก็แค่ข้ออ้าง”

   “ดร.เหมิ๋น ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณไม่ถูกชะตา ไม่ชอบ หรือเกลียดผม แต่กรุณาพูดให้เกียรติผมบ้าง คนอะไร” ชายหนุ่มว่าเขาแล้วก็เดินกลับตรงไปยังห้องจัดเลี้ยง

   เหมิ๋นหยวนฮ่างไม่ได้สนใจหนุ่มคนนั้น เขานั่งรอให้เวลาช่วงใกล้จะพิธีการจบลง ค่อยเข้าไปในห้องจัดเลี้ยง ซึ่งตอนนี้ไฟภายในห้องถูกปรับหรี่ลง เน้นแสงไฟไปยังหน้าเวที เขาจึงเดินลัดเลาะไปจนถึงด้านข้างเวที เห็นหนุ่มคนที่ยื่นบุหรี่ให้เขากำลังคุยอยู่กับเตี๋ยที่ข้างเวทีฝั่งตรงข้าม เมื่อพิธีการบนเวทีจบลง แสงไฟกลับมาสว่างดังเดิม เขาจึงเดินตรงไปยังครอบครัวของเขา

   “หยวนฮ่าง ลูกไปไหนมา ม๊าก็มองหาซะทั่ว”

   “เตี๋ยรู้จักชายคนนั้นด้วยเหรอครับ” เขาถามพลางมองไปยังเตี๋ยกับอี้ที่กำลังคุยอยู่กับหนุ่มตากลม

   “เห็นเขาว่า เขาเป็นนักข่าวชื่อหนานเฟ่ยซาน จะมาขอเวลา เพื่อนัดสัมภาษณ์อาเถิงกับหงส์”

   “นักข่าวเหรอครับ”

   “มีอะไรรึเปล่าลูก”

   “ไม่มีครับ ว่าแต่ม๊าหาผม มีเรื่องอะไรรึเปล่า”

   “ม๊าจะตามเรามาคำนับเหล่าเจ็กนะ แต่ตอนนี้ท่านไม่ว่าง คุยอยู่กับแขก เดี๋ยวลูกรอตรงนี้กับม๊าก่อนแล้วกัน”

   เขายืนรออยู่กับแม่ของเขา แต่ก็คอยสังเกตหนานเฟ่ยซานไปด้วย จนเมื่อชายหนุ่มคุยเสร็จเดินออกไป เตี๋ยกับอี้จึงตามมาสมทบ

   “เจ็กลู่ล่ะหลี่ต๋า”

   “โดนแขกฉกตัวไปแล้วนะสิ”

   “อากรก็คงจะตามไปเฝ้า”

   “ใช่” เขาเห็นม๊ากับอี้ยิ้มขำกันเล็กน้อย

   “เจ็กลู่เขาหน้าตาดี ถึงอายุมากแล้วก็ยังดูดี คุณกรเขาเลยต้องไปเฝ้าน่ะ ไม่มีอะไรหรอก แค่อาการหวงคนรักก็เท่านั้น”

   “เจ็กลู่กับอากรเขาเป็นใครกันเหรอครับเตี๋ย”

   “เจ็กลู่เป็น เจ็กแท้ๆ ของอี้เอง”

   “ม๊าเคยเป็นอดีตคู่รักกับคุณกร”

   “หลี่ต๋า อย่าพูดให้หยวนฮ่างตกใจสิ”

   “ถ้าจะให้เล่าแล้วเรื่องมันยาว เอาไว้ลูกมีเวลา ม๊าจะเล่าให้ฟัง”

   “ลิลลี่นี่เก่งนะ ตัดพ้อลูกได้ทุกเรื่อง” ฝู่เถิงแซวอย่างขบขัน

   “หงส์ว่าก็จริงอย่างที่หลี่ต๋าว่านะ พวกเรามีเวลาว่างมากกว่าหลานชายคนนี้ซะอีก”

   “หงส์ อาเถิง นี่ลูกชายฉันนะจ๊ะ ดังนั้นฉันแกล้งได้คนเดียว”

   เขายังไม่ทันได้พูดอะไร อี้หงส์ก็รีบเดินเข้าไปกอดชายหน้าสวยที่ดูภูมิฐานคนหนึ่ง ชายอีกคนก็ดูจะอายุไม่ต่างกันมากเดินตามหลังมา พวกเขาทั้งหมดเข้าไปทักทาย จึงทำให้รู้ว่าสองคนตรงหน้าคือหลิวลู่และวรากร

.........................................................................

   หลังจากที่ได้เกริ่นและขอนัดกับฝู่เถิงและฝู่หงส์เรียบร้อย เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรน่าสนใจแล้วก็เตรียมกลับไปพัก ผมซึ่งไม่ค่อยจะชอบงานอะไรประเภทนี้เท่าไร มันอึดอัดกับการใส่สูทผูกหูกระต่าย ใส่หน้ากากเข้าหากัน อยู่แค่ดูรอบ ๆ งานอีกสักพัก เพื่อเก็บข้อมูลให้โฮวจีเจียนเขียนข่าวได้ก็พอ

   ระหว่างที่ผมเดินออกจากห้องจัดงาน ผมเห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินออกจากงานไปพร้อมกระเป๋าใบไม่ใหญ่มากนัก แต่มันก็ไม่ควรจะมาอยู่ในงานเลี้ยงลักษณะนี้ ท่าทางที่น่าสงสัย ในหัวผมก็ผุดเรื่องที่คุยกับจีเจียนเมื่อหลายวันก่อน เยียนหวอกับธุรกิจผิดกฎหมาย ผมจึงค่อย ๆ แอบตามไปทันที

   กลุ่มคนที่ผมตามมีกันอยู่ 4-3 คน คนที่เดินนำหน้า ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคงเป็นหัวหน้า พวกนั้นพากันเดินไปยังลานจอดรถใต้ตึก อยู่ๆ พวกลูกน้องก็เดินหลบไปทางอื่นกันหมด ผมเห็นแต่คนที่เป็นหัวหน้ากอดทักทายใครบางคน ด้วยมุมที่ผมหลบซ่อนอยู่ตอนนี้ ทำให้มองไม่เห็นหน้าคนมาใหม่ คุยกันไม่นาน ทั้งสองแยกกัน

   ส่วนผมก็ไม่รู้จะเลือกตามใครดี คนที่ผมตามมาตั้งแต่ตอนแรกเหมือนจะยืนรอกลุ่มคนของเขา ชายอีกคนที่เดินออกมา เขาตรงมาทางที่ผมซ่อนอยู่ ขณะที่คิดอะไรไม่ทัน จึงตัดสินใจเดินออกจากที่ซ่อน ตั้งใจจะเดินเลี่ยงไปอีกทาง ไม่หันมองชายคนนั้น จะเรียกว่าหลับหูหลับตาเดินก็ว่าได้ เพราะไม่ทันมองทำให้ผมชนคนตรงหน้าล้มลง แต่อีกฝ่ายได้แต่เซถอยหลังไปเล็กน้อย

   “นี่นายอีกแล้วเหรอ?”

   “ด็อก... ดร.เหมิ๋น?”

   “ซุ่มซ่ามจริง” เขาพูดอย่างหงุดหงิด ผมที่เริ่มไม่ชอบขี้หน้าเขาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว ยิ่งเห็นทักทายกับคนที่น่าสงสัยแล้ว ความคิดของผมที่มีต่อเขากลายเป็นติดลบทันที

   “อย่าเอาแต่โทษคนอื่น ดูตัวเองซะมั่ง หึ้ย...” ผมลุกขึ้นก่อนก้มหยิบของที่ทำตกไว้ตอนชนกับร่างสูง “ไอ้เสาไฟฟ้า” เมื่อเห็นว่าเขาสูงกว่า ตะโกนด่าออกไปแล้วรีบวิ่งตามกลุ่มคนพวกนั้นไปอย่างไม่เหลียวหลัง

   ผมผ่อนฝีเท้าลง ค่อย ๆ ย่องเบา ๆ ไปตามทางที่เห็นคนพวกนั้นมุ่งหน้าไป จนเริ่มได้ยินเสียงคนพูดคุยกัน สอดส่ายสายตามองไปรอบๆ อย่างระวังตัวพร้อมกับมองหาที่ซ่อนไปด้วย คนพวกนั้นเดินมาชุมนุมกันอยู่ที่ซอกทางเดิน ซึ่งเป็นทางออกของประตูหนีไฟ ผมมองหน้าใครไม่ชัดนัก เพราะมุมที่ผมหลบถึงจะเป็นมุมที่ดีและปลอดภัยแต่ก็ไม่ทำให้มองเห็นได้ว่าพวกนั้นทำอะไร ผมจึงติดสินใจย่องไปที่บันไดลิงที่อยู่อีกมุมหนึ่ง ถึงจะไกลไปหน่อยแต่ถ้าปีนขึ้นไปได้ ผมก็จะมีมุมที่มองได้กว้างขึ้น

   ระหว่างที่กำลังปีนบันได คนอีกกลุ่มมาจากไหนก็ไม่รู้ เข้ามาสมทบ พวกนั้นคุยอะไรกันสักอย่าง เหมือนจะเป็นการทักทาย ก่อนที่จะแลกกระเป๋ากัน มันทำให้ผมขมวดคิ้ว คิดว่ามาเจออะไรเด็ด ๆ เข้าแล้ว จึงพยายามตั้งใจเฝ้าดูต่อไป และสิ่งที่ผมเห็นอยู่ในกระเป๋าใบหนึ่งเป็นปืนกลมือ HK 416 PISTOL คาดว่าน่าจะมีมากกว่า 3 กระบอก ส่วนอีกใบเป็นเงินสดวางเรียงแน่นกระเป๋า พวกมันกำลังซื้อขายอาวุธกันอยู่ ผมอยากเห็นหน้า อยากได้รูปถ่ายพวกมัน แต่ด้วยระยะตรงนี้ ผมไม่สามารถถ่ายภาพพวกมันจากกล้องมือถือได้
   
   ผมเห็นพวกมันยังคงคุยกันอยู่ ฝ่ายที่ซื้อปืน HK 416 PISTOL เหมือนกำลังจะเสนออะไรให้กับพ่อค้าอาวุธ ในกระเป๋าใบเล็กมีอะไรผมไม่ได้สนใจ ผมกำลังจะปีนลงไปเพื่อหาจังหวะถ่ายรูปพวกมัน แต่...อะไรสักอย่างในกระเป๋าเสื้อสูทมันดูถ่วงๆ หนักๆ บุหรี่มันควรจะเบากว่านี้ไม่ใช่รึไง ยังไม่ทันได้ตั้งตัว สิ่งที่ผมคิดว่าเป็นกล่องบุหรี่ก็ไหลร่วงออกจากกระเป๋า จะคว้าไว้ก็คว้าไม่ทัน เสียงวัตถุหล่นลงพื้นทำให้พวกมันรู้ตัว ผมจึงรีบปีนบันไดลงมาและหาทางหนีเอาชีวิตรอด

.........................................................................

   การส่งมอบของวันนี้ อะไรๆ ก็ดูจะไม่เป็นใจสำหรับเขาไปเสียทุกอย่าง เมื่อแลกเปลี่ยนของกันเสร็จ แทนที่จะรีบกลับไปยังงานเลี้ยงเพื่อรอใครอีกคน  กลับต้องมาอยู่ฟังคนตรงหน้าพร่ำพูดเรื่องของยาตัวใหม่อีก

   “เจ้านายเราไม่สนใจจะค้าขายยาหรอกนะ นายเอายาของนายกลับไปได้เลย ฉันเสียเวลามากพอแล้ว” เขาพูดปฏิเสธ แล้วเตรียมจะหมุนตัวกลับ คนตรงหน้าก็รั้งเขาไว้

   “เอาอย่างนี้แล้วกันนะ ของในนี้ฉันยกให้ฟรีๆ ลองให้เจ้านายพี่ไปปล่อยดูก่อน ติดใจแล้วค่อย...”

   ยังไม่ทันสิ้นคำของลูกค้า พวกเข้าก็ได้ยินเหมือนเสียงของหล่น ลูกน้องเขาพยายามมองหา แต่ก็ยังไม่เห็นตัว

   “ลูกพี่หนีไปก่อน ที่นี่พวกเราจัดการเอง” เขาจึงพยักหน้ารับ ก่อนเดินเลี่ยงเข้าประตูหนีไฟ แต่ไม่ได้ไปไหนไกล ลอบมองอยู่หลังบานประตูเผื่อมีอะไรผิดพลาดจะได้รีบแก้ปัญหา จนมีคนเห็นใครบางคนกำลังปีนลงจากบันไดลิง จึงพากันไปตามจับตัวเอาไว้ได้

   เป็นลูกน้องของเขาเอง ที่ลากชายหนุ่มตากลมคนหนึ่งเข้ามา เหมือนเขาจะเห็นอยู่ในงานเลี้ยงคืนนี้ด้วย หนุ่มคนนั้นถูกลากมาหยุดยืนต่อหน้าหวงกังโห ลูกน้องของกังโหเดินมายืนข้างๆ คนที่ดิ้นรน แล้วยื่นกล่องใบเล็กที่ข้างในมีหลอดใสสองหลอดบรรจุยาไว้ให้กังโหดู มันเป็นยาแบบเดียวกันกับที่พวกมันจะให้กับเขา

   “มึงขโมยยากูอย่างนั้นเหรอ มึงเป็นใคร”

   คนตรงหน้าไม่ตอบ กังโหจึงสั่งลูกน้องให้ลงมือซ้อมไป 2-3 ที

   “บอกมา ว่ามึงเป็นใคร แล้วเห็นอะไรมั่ง”

   “ผมแค่ออกมาสูบบุหรี่ ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น”

   “แล้วยากูไปอยู่กับมึงได้ยังไง ค้นตัวมัน” คนของเขาช่วยค้น แต่ไม่เจอบุหรี่หรือแม้แต่ไฟแช็ก

   “มึงไม่บอกกูก็ไม่เป็นไร แต่มึงอย่าหวังว่าจะรอดไปได้” กังโหคำรามลั่นพร้อมกับเปิดกระเป๋าเอายาออกมาจำนวนหนึ่ง “พวกมึงเอาที่เหลือไปให้ลูกพี่ของมึง แล้วไปได้แล้ว ตรงนี้เป็นเรื่องของพวกกู กูจัดการเอง”

   เขาเห็นคนของเขาทยอยกันหลบออกไปจากซอกทางเดินที่เป็นจุดนัดส่งของ ส่วนกังโหก็สั่งให้ลูกน้องซ้อมไอ้หนุ่มจนมันไม่มีแรงขัดขืน

   “มึงนี่ก็อึดใช้ได้ แต่กูคงไม่เสียเวลาเล่นกับมึงแล้ว” เขาเห็นกังโหหยิบหลอดแก้วเทยาออกมารวมกับยาที่เอามาจากกระเป๋า “มึงอยากได้ยากูมากนักใช่ไหม งั้นกูยกให้” ว่าแล้วกังโหก็จับปากของคนที่พยายามดิ้นรนหาทางรอดแล้วก็ยัดยาทั้งหมดทั้งลงไป

To Be Continue


มาขยายความเรื่องชื่อตัวละครสักนิดนะคะ

ฝู่เถิง หรือ บางครั้งเรียกอาเถิง

เหมิ๋นหลีต๋า ฝู่หงส์จะเรียกเธอว่าหลีต๋า แต่ฝู่เถิงจะเรียกว่าลิลลี่ค่ะ

เนื่องจากเรื่องนี้เป็นภาคต่อมาจากเรื่อง หยก จึงได้มีการนำตัวละครบางตัวมาใช้ แต่เนื้อหาไม่ได้เกี่ยวข้องกัน สามารถอ่านแยกกันได้จ้า

Amo หยิบตัวละครมาใช้ตามความเคยชินเลยทำให้หลาย ๆ คนที่เพิ่งมาอ่าน อาจจะสับสน ขอโทษด้วยนะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Keane

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-0

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
4



   เหมิ๋นหยวนฮ่างเข้ามาในงานเลี้ยงอีกครั้ง คราวนี้มีคนของคุณวรากรนำเขาไปส่วนเตรียมงานด้านหลังเวที บรรยายกาศภายในห้องดูเป็นกันเอง รอบ ๆ ห้องมีแต่คนรุ่นราวคราวเดียวกับคุณวรากรทั้งนั้น

   “ไม่ต้องห่วง คนกันเองทั้งนั้น” เหล่าเจ็กพูดขึ้น เหมือนรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่

   “คนในห้องนี้ เป็นคนกลุ่มเดียวกันกับที่พาม๊าไปชำระล้างหยกศักดิ์สิทธิ์” เขาโค้งทักทายทุกคน

   “อี้เกริ่นกับเจ็กลู่ไปแล้ว ว่าหยวนฮ่างเก็บเอาไว้ 2 เม็ดเพื่อทำการวิจัย”

   “ครับ อีกสองเม็ดที่เหลือ ผมเอาออกมาจากกล่องสำริด อยู่...” เขาที่ลวงลงไปในกระเป๋ากางเกง ลูบๆ คลำๆ แต่กลับไม่เจอ “เดี๋ยวผมมานะครับ”

   เขารีบวิ่งกลับไปที่ลานจอดรถ คงจะเป็นตอนที่เขาชนกับหนานเฟ่ยซาน อาจจะหล่นอยู่แถวนั้น แต่เมื่อวิ่งมาถึงเขากลับไม่พบกล่องที่ใส่น้ำตากิเลน เห็นก็เพียงแต่กล่องบุหรี่ที่หล่นไถลไปใต้ท้องรถคันหนึ่ง ไม่ต้องสงสัย เขารีบวิ่งตามหาหนานเฟ่ยซานทันที หนุ่มตากลมนั่นต้องหยิบผิดไปแน่ ๆ

   เหมิ๋นหยวนฮ่างวิ่งไปตามทางที่เขาเห็นหนานเฟ่ยซานมุ่งหน้าไป จนสุดทางก็ไม่พบ ใจเขาก็ร้อนรน เป็นห่วงของสำคัญที่กว่าจะหามาได้ เขาต้องใช้เวลาอยู่หลายปี เขาวิ่งดูทางซ้ายขวา ดูในรถเผื่อว่าเฟ่ยซานยังไม่ได้ไปไหน จนเหมือนเขาได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง ดังมาจากมุมตึก เขาจึงรีบวิ่งไปดู

   ภาพที่ปรากฏต่อหน้าคือคนจำนวนหนึ่งกำลังรุมทำร้ายใครบางคนอยู่ ดูจากการแต่งกายมันช่างคุ้นตาเขา จนต้องรีบวิ่งเข้าไปห้ามปราม ยิ่งเข้าใกล้ก็ทำให้เห็นว่าชายคนหนึ่งกำลังบังคับให้เฟ่ยซานกลืนอะไรลงไป

   “เฮ้ย หยุดเดี๋ยวนี้นะ พวกนายทำอะไรกันน่ะ”

   คนกลุ่มดังกล่าวหันมามองเขา คนที่ปิดปากเฟ่ยซานอยู่ส่งสัญญาณบางอย่างให้พวกที่เหลือ ชายร่างใหญ่ 3 คนจึงพุ่งมาหาเขา อีกคนยังช่วยมันจับเฟ่ยซานที่พยายามดิ้นรนไว้

   หมัดตรงจากชายคนหนึ่งพุ่งมาหาเขา ถ้าไม่คิดจะพูดกันดีๆ ก็คงไม่เกรงใจ เขาเอี้ยวตัวหลบเพียงเล็กน้อยก่อนชกเข้าไปที่สีข้าง จากนั้นยังไม่ปล่อยให้คนตรงหน้าได้ตั้งตัว คว้าแขนเอาไว้ได้ก็ดึงเข้าหาตัว แล้วแทงเข่าเข้าที่ท้องอีกครั้ง ทำให้ชายคนนั้นจุกลงไปนอนกองกับพื้น

   ยังไม่ทันได้เงยหน้าขึ้นมา อีกคนที่พุ่งเข้ามาเตะ เขาตั้งกาดกันไว้ได้ทัน และถอยออกมาตั้งหลักเล็กน้อย แต่อีกคนที่พุ่งเข้ามาจากด้านหลังล็อกแขนของเขาไว้ เพื่อให้อีกคนเข้ามาจะชกเขาได้เต็มที่ เขาอาศัยคนด้านหลังเป็นฐาน ยกเท้าทั้งสองข้างขึ้นยันร่างคนที่พุ่งเข้ามาให้กระเด็นกลับไปกระแทกผนังอย่างแรง เขาพยายามโถมตัวลงน้ำหนักทับคนที่พยายามล็อกแขนเขาไว้

   ต่างคนต่างพยายามลุกขึ้นตั้งหลัก ซึ่งโชคดีที่เขาไวกว่าอีกคนที่น่าจะจุกเพราะน้ำหนักที่โถมใส่ เขาจึงเตะเข้าไปที่ข้อพับของชายคนนั้นก่อนเตะเสยปลายค้างอีกที

   ชายสามคนไม่สลบก็ลุกไม่ไหว เขาจึงวิ่งเข้าไปหาร่างที่ชักเกร็งนอนขดเป็นกุ้ง ชายอีกสองคนไม่รู้ว่าหนีหายไปตอนไหน เขาประคองคนตรงหน้าขึ้นมา ข้างตัวมียาเม็ดกลมกลิ้งอยู่ 2-3 เม็ด พร้อมกับกล่องใส่น้ำตากิเลนของเขา

   “เฟ่ยซาน ๆ” เขาพยายามตบหน้าเรียกสติคนที่เขาประคองอยู่ เมื่อเห็นว่าไม่ได้ผลเขาจึงรีบโทรไปหาแม่ของเขาทันที

   เหมิ๋นหยวยฮ่างเก็บยาที่ตกอยู่ข้างตัวหนานเฟ่ยซานใส่กล่อง แล้วอุ้มร่างที่ไปไม่ได้สติไปที่รถของเขา ยังไม่ทันจะถึงรถ คนของเตี๋ยก็มาถึง

   “ดอกเตอร์”

   “พวกมันอยู่ที่หน้าทางออก บันไดหนีไฟ”

   “ครับ พวกผมจะเฝ้ามันไว้จนกว่าตำรวจจะมา”

   “ดอกเตอร์ครับ” ชายอีกคนขับรถมาจอดตรงหน้าเขา ก่อนลงมาเปิดประตูด้านหลังให้

   เขาวางคนที่เริ่มชักหนักขึ้นไว้บนเบาะรถ ก่อนตามขึ้นไป จัดการคลายหูกระต่ายของคนตรงหน้าออก รถที่ออกตัวมาแล้วรีบตรงไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันที เขาค้นตามกระเป๋าของเฟ่ยซาน เจอกระเป๋าเงินกับกุญแจรถ ส่วนโทรศัพท์เขาคิดว่าคงถูกคนพวกนั้นเอาไป

.........................................................................

   หลังจากที่ได้ข้อมูลจากหนานเฟ่ยซานแล้ว ผานกู่ก็ค้นแฟ้มคดีเก่ามาอ่านก็เป็นจริงอย่างที่เฟ่ยสานสันนิษฐาน บริษัทรถแท็กซี่ของฉินหรุยกวงน่าสงสัย หลังจากเกิดอุบัติเหตุรถแท็กซี่ระเบิดเพียงแค่ 3 เดือน หรุยกวงก็ขายบริษัทฯ ให้กับคนอื่น ต่อมาอีกปีก็เปิดบริษัทนำเข้ารถยนต์และอะไหล่ ซึ่งยังดำเนินการมาจนถึงปัจจุบัน

   รายละเอียดของคดีสรุปว่า ชายแซ่เกาซึ่งเป็นคนขับแท็กซี่ไม่ได้นำรถเข้าไปตรวจสภาพตัวถังแก๊สตามกำหนด จึงเป็นสาเหตุให้รถระเบิดระหว่างที่มีผู้โดยสาร ผู้เสียหายคือสองสามีภรรยาแซ่โย่ว

   “รถที่เป็นของยริษัทฯ เองมันจะตรวจสภาพตอนไหนก็ไม่ใช่ปัญหา มาอ้างว่าโชเฟอร์ไม่เอาไปตรวจตามเวลาได้ยังไง ถ้ายังไม่ตรวจก็ไม่ควรให้เอาออกมาขับสิถึงจะถูก”

   เขาพึมพำอย่างใช้ความคิด ก่อนจะกดโทรศัพท์ออกไปหาหนานเฟ่ยซาน แต่กลับติดต่อไม่ได้ จึงตัดสินใจไปหาที่สำนักงาน

   “หยางผิง เตรียมตัว”

   “ไปไหนละพี่กู่”

   “ฉันจะไปสืบอะไรนิดหน่อย”

   “หัวหน้าให้ผมสืบคดีทำร้ายร่างกายเมื่อคืนนี้ ผมคงไปกับพี่ไม่ได้ นี่ต้องไปหาผู้เสียหายที่โรงพยาบาล”

   “เออ ถ้างั้นนายก็ไปเถอะ เดี๋ยวฉันแวะไปหาเฟ่ยซานก่อน”

   “โชคดีพี่”

   เขาออกจากสถานีตำรวจเพื่อไปยังไปที่สำนักงานที่เฟ่ยซานทำงานอยู่ เมื่อไปถึง เขาก็ตรงไปยังแผนกข่าวทั่วไปแต่กลับไม่เจอคนที่มาหา โทรไปอีกครั้งก็ยังไม่มีสัญญาณตอบรับ เขาจึงไปหาคนที่เขาคิดว่าจะพาไปพบเฟ่ยซานได้

   ผานกู่เดินเข้ามาก็เห็นโฮ่วจีเจียนชะเง้อมองมาเหมือนกัน ทั้งที่เข้าเดินเข้ามาในแผนกแล้ว จีเจียนก็ยังคงไม่ละสายตาไปจากประตูทางเข้า

   “นายรอใครอยู่รึเปล่า เห็นมองหาตั้งแต่ฉันเดินเข้ามาแล้ว”

   “ก็เฟ่ยซานนะสิ ป่านนี้แล้วยังไม่มาอีก”

   “นายก็ลงไปตามที่ห้องเก็บเอกสารสิ พาฉันไปหน่อย”

   “ไม่มี”

   “น่า นำทางฉันไปหน่อยก็ได้ เห็นว่ามันไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ใช่ไหม?”

   “ผมลงไปดูแล้ว เฟ่ยซานไม่ได้อยู่ที่นั่น โทรไปก็ติดต่อไม่ได้ เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”

   “นายว่ายังไงนะ ติดต่อเฟ่ยซานไม่ได้ตั้งแต่เมื่อคืน”

   “ใช่ ผมโทรไปที่คอนโดก็ไม่มีคนรับ ผมยิ่งกลัวๆ อยู่”

   “ใจเย็นๆ น่าจีเจียน เฟ่ยซานไม่เป็นอะไรหรอก”

   “ผมรู้ ว่าคนอย่างเฟ่ยซานเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว ผมนี่สิจะแย่ ถ้า บ.ก. มาถามถึงงานเมื่อคืน ผมไม่รู้จะตอบยังไงดี”

   “หึ นายให้เฟ่ยซานทำงานแทนอีกแล้วสิ”

   “ก็แค่งานเลี้ยงระดมทุนของเยียนหวอกรุ๊ปเอง”

   “เอาละ ๆ เดี๋ยวฉันไปดูที่คอนโดให้ เฟ่ยซานอาจจะเมาก็ได้”

   ว่าแล้วเขาก็เดินออกจากแผนกอย่างระอาแทนหนานเฟ่ยซานที่มีเพื่อนร่วมงานเห็นแก่ตัวแบบนี้ ไม่รู้ว่าจะคบกันไปทำไม ระหว่างที่รอลิฟต์อยู่นั้น เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น

   “หยางผิง ว่าไง”

   'พี่กู่ รีบมาที่โรงพยายาลเลย มันไม่ใช่คดีทำร้ายร่างกายธรรมดาแล้วละ พี่ต้องช่วยผมนะ'

   “หัวหน้าให้นายรับผิดชอบคดี นายก็จัดการไปสิ ฉันจะรีบไปหาเฟ่ยซาน”

   'ก็ถึงให้รีบมาที่โรงพยาบาลยังไงละ เฟ่ยซานเป็นผู้เสียหาย ตอนนี้ยังไม่ฟื้นเลย'

   “นายว่ายังไงนะ เฟ่ยซานเป็นผู้เสียหาย แล้วเป็นอะไรมากรึเปล่า” เขาถามอย่างร้อนรน

   'พวกมันยัดยาให้เฟ่ยซานกิน ดีที่ถึงมือหมอได้ทัน ผมว่าเฟ่ยซานต้องไปเห็นอะไรเข้าแน่ ๆ พวกมันถึงได้จะฆ่าปิดปากเอา'

   “เออๆ ฉันจะรีบไป ฝากดูแลเฟ่ยซานด้วย”

.........................................................................

   โฮ่วจีเจียนตามผานกู่มาที่โรงพยาบาล เมื่อรู้ว่าหนานเฟ่ยซานถูกทำร้าย ซึ่งเป็นจังหวะที่หยุนฮั่นเตาเขามาถามเขาเรื่องนัดสัมภาษณ์ฝู่หงส์และ ดร.เหมิ๋น พอดี จึงให้เขารอดการถูกตำหนิมาได้อย่างหวุดหวิด

   เขาเดินตามผานกู่เข้ามาในห้องพักห้องหนึ่ง มองไปรอบห้องที่ดูเป็นส่วนตัวมาก มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบถ้วน

   “พี่กู่ ใครเป็นเจ้าของไข้”

   ผานกู่ไม่ได้ตอบอะไรเขา ได้แต่เดินไปที่ข้างเตียงคนไข้ ยืนมองหนานเฟ่ยซานอยู่อย่างนั้นจนเหยินหยางผิงเข้ามาในห้อง แล้วเดินมายืนอยู่ข้างๆ ผานกู่

   “พี่ไม่ต้องห่วง หมอบอกว่าเฟ่ยซานพ้นขีดอันตรายแล้ว”

   “เรื่องราวมันเป็นมายังไง”

   “เมื่อคืนมีคนโทรแจ้งว่ามีการรุมทำร้ายที่ลานจอดรถใต้โรงแรม Grand Lapa Macau พวกที่ลงมือทำร้ายเฟ่ยซานถูกคนของฝู่เถิงจับตัวไว้แล้ว ส่วนเฟ่ยซาน ดร. เหมิ๋น เป็นคนพามาส่งที่โรงพยาบาล”

   “ถ้าอย่างนั้นเจ้าของไข้ก็เป็นฝู่เถิงใช่ไหม” โฮวจีเจียนรีบแทรกถามขื้นมา ระหว่างนายตำรวจหนุ่มทั้งสอง

   “ไม่ใช่ ดร.เหมิ๋นเป็นเจ้าของไข้” เหยินหยางผิงหันมาตอบด้วยสีหน้าตำหนิ

   “ดร. เหมิ๋นอย่างนั้นเหรอ อย่างน้อยก็ยังมีโชคอยู่บ้าง” เขาคิดว่าถ้าอยู่เฝ้าเฟ่ยซานที่นี่ก็น่าจะมีโอกาสได้พบ ดร.เหมิ๋น หรือไม่ก็ฝู่เถิง

   “เฟ่ยซานไปเจออะไรมา” ผานกู่ถามขณะที่สายตายังคงมองคนไม่ได้สติบนเตียง

   “ตอนนี้ผมได้หลักฐานจากหมอมา นี่ไง” หยางผิงยื่นซองอะไรบางอย่างให้ผานกู่ “ยาที่พวกมันให้เฟ่ยซานกิน ดร.เหมิ๋นเก็บได้จากที่เกิดเหตุ เลยเอามาให้หมอที่โรงพยาบาลตรวจสอบดูเพื่อหาทางรักษา”

   “พวกค้ายา”

   “ครับ ยานี่เป็นยาเสพติดประเภทยากล่อมประสาท”

   “แล้วพวกที่จับมาเมื่อคืนนี้ละ”

   “พวกมันยังไม่ยอมพูดอะไร ผมกำลังจะเอายานี่กลับไปที่สถานี รายงานหัวหน้าแล้วจะเริ่มสอบสวนพวกมันอีกที”

   “นายไปเถอะ เดี๋ยวเฟ่ยซาน ฉันเฝ้าให้เอง” โฮวจีเจียนรีบอาสาทันทีที่มีโอกาส

   “ฉันไปด้วย คดีนี้ฉันช่วยนายเอง” ผานกู่บอกกับเหยินหยางผิงก่อนพากันเดินออกจากห้องไป

   ระหว่างที่นั่งอยู่ในห้อง ทั้งนั่งรอ นอนรอ เล่นเกม คุยกับน้องชี่เยว่คนสวยก็แล้ว ยังไม่เห็นว่าดร. เหมิ๋นหรือฝู่เถิงจะมาสักที รอจนกระทั่งบ่ายแก่ๆ เขาทนไม่ไหว จึงคิดจะออกไปหาอะไรทาน

   โฮ่วจีเจียนเดินมาจนถึงหน้าลิฟต์ กำลังจะเข้าไป ลิฟต์อีกตัวก็เปิดออก ขบวนคนที่เดินออกมาทำให้เขาต้องเหลียวกลับไปมอง เพราะในคนเหล่านั้น มีฝู่หงส์และ ดร.เหมิ๋น รวมอยู่ด้วย เขาจึงรีบวิ่งตามกลับไปทันที

   เขากำลังจะตามเข้าไปในห้อง แต่ถูกบอร์ดี้การ์ดสองคนที่ยืนเฝ้าหน้าห้องกันเอาไว้ไม่ให้เข้า

   “ฉันเป็นเพื่อนของหนานเฟ่ยซาน”

   “ปล่อยให้เขาเข้ามา” เสียงฝู่หงส์ดังมาจากข้างในห้อง เขาจึงเดินเข้าไป

   “คุณเป็นเพื่อนของหนานเฟ่ยซานอย่างนั้นเหรอ” ฝู่หงส์ที่กำลังพูดกับเขาอยู่ ทำให้อดที่จะปลาบปลื้มไม่ได้

   “ผม โฮ่วจีเจียน นักข่าวฝ่ายธุรกิจและสังคมครับ” เขาแนะนำตัวพร้อมยื่นนามบัตรให้

   “อ่อ คุณนั่นเองที่หนานเฟ่ยซานบอกว่าจะขอสัมภาษณ์ฉันกับอาเถิง”

   “ครับ เอ่อ ดร. เหมิ๋นละครับ ไม่ทราบว่าเฟ่ยซานได้บอกคุยเกี่ยวกับนัดสัมภาษณ์ไหมครับ”

   “ไม่”

   “เออ ถ้าอย่างนั้นผมจะขอสัมภาษณ์คุณเกี่ยวกับสิ่งที่ขุดพบครั้งนี้ได้ไหมครับ”

   “ไม่”

   “คุณโฮ่วคะ ดิฉันว่าเรื่องนัดสัมภาษณ์เอาไว้ก่อนดีไหมคะ ตอนนี้ดิฉันว่าคุณควรจะสนใจเรื่องที่เพื่อนร่วมงานของคุณยังไม่ฟื้นจะดีกว่า”

   “อ่อ เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ”

   “อี้ครับ ผมขอตัวไปคุยกับหมอเจ้าของไข้หน่อยนะครับ”

   “ไหน ๆ คุณหนานก็ยังไม่ฟื้น อี้ว่าอี้กลับเลยดีกว่า”

   สองคนดังเดินออกจากห้องไปโดยไม่สนใจเขาเลย อย่างน้อยเขาก็มีคำตอบให้ บ.ก. แล้วว่าสามารถนัดสัมภาษณ์ฝู่หงส์และฝู่เถิงได้ เพียงแต่ต้องรอให้เฟ่ยซานฟื้นขึ้นมาก่อน ส่วน ดร.เหมิ๋น ช่างเป็นคนที่เงียบขรึมจนติดจะเย็นชา แล้วแบบนี้เขาจะมีวิธีไหนที่พอจะขอนัดสัมภาษณ์ได้บ้าง คิดแล้วก็เกิดหิวขึ้นมา จึงเดินออกไปเพื่อหาอะไรทานก่อนค่อยกลับมาตามตื๊อ ดร. เหมิ๋น ทีหลัง

   แต่เขาก็คิดผิด เพราะเมื่อกลับขึ้นมา หนานเฟ่ยซานก็ถูกย้ายไปห้องผู้ป่วย VIP แล้วไม่ให้ใครเยี่ยมจนกว่าเฟ่ยซานจะฟื้น คนที่เข้าได้นอกจากหมอ พยาบาลแล้ว ก็จะมีเพียงคนของเยี่ยนหวอเท่านั้น

.........................................................................

   เหมิ๋นหยวนฮ่างเข้าไปพบทุกคนที่รอฟังข่าวอยู่ที่บ้านตระกูลฝู่ เขาเองก็เครียดไม่ใช่น้อยกับเรื่องที่เกิดขึ้น ทำให้ตอนนี้เหลือน้ำตากิเลนเพียง 2 เม็ด ซึ่งอยู่แล็บในเกาลูนเท่านั้น

   “หยวนฮ่าง เป็นยังไงบ้างลูก” แม่ของเขาถามทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้องรับแขก

   “ยังไม่ฟื้นครับ”

   “ไอ้ยากล่อมประสาทนั่น ก็บังเอิญไปเหมือนกับน้ำตากิเลน” เตี๋ยของเขาบ่นอย่างขัดใจ

   “อันที่จริงก็ไม่เหมือนกันซะที่เดียวครับ แต่ตรงนั้นมันมืด เลยทำให้พวกค้ายามันเข้าใจผิด มันคงคิดว่าหนานเฟ่ยซานไปขโมยยาของมันมา”

   “พวกเรารู้กันว่า น้ำตาหยกมีฤทธิ์ในการรักษา ถ้ามันเป็นของเหลว แต่ถ้ายาลูกกลอน ไม่รู้ว่าอาหนีเกอใส่ส่วนผสมอะไรไปบ้าง แล้วมีผลข้างเคียงยังไง”

   “ม๊าไม่ต้องกังวลไปหรอกครับ เท่าที่ผมดู มันก็น่าจะยังมีผลในการรักษาอยู่ เพราะตอนที่อยู่บนรถผมสังเกตว่าหนานเฟ่ยซานจะลดอาการชักเกร็งลงไปบ้าง น่าจะเป็นผลมาจากน้ำตากิเลนที่ช่วยต้านฤทธิ์ของยากล่อมประสาท”

   “ในบันทึกที่ผ่านมา การรักษาด้วยน้ำตาหยกที่ม๊าอ่านเจอ จะเป็นการทาบนแผลสด ไม่เคยมีใครกินน้ำตากิเลนเลยนะ ม๊ากลัวว่ามันจะไม่ปลอดภัยนะสิ”

   “เท่าที่คุยกับหมอ เขาว่าหนานเฟ่ยซานพ้นขีดอันตรายแล้ว เพียงแต่คนไข้ต้องการการพักฟื้น”

   “ถ้าจริงอย่างที่หยวนฮ่างว่า น้ำตากินเลนที่หนานเฟ่ยซานกินเข้าไป ช่วยระงับฤทธิ์ยากล่อมประสาท ก็อาจจะเป็นไปได้ที่มันจะช่วยให้เขาฟื้นตัวได้เร็วขึ้น” เตี๋ยออกความเห็น ซึ่งเขาเองก็คิดไม่ต่างกัน

   “แต่เพื่อเป็นการไม่ประมาท หยวนฮ่างรีบให้ที่แล็บทดลองโดยด่วน อี๊ไม่อยากให้คนอื่นต้องได้รับอันตรายเพราะพวกเรา”

   “ครับอี้ ผมจะรีบให้ทางแล็บจัดการทดลองโดยด่วน”

   “สำหรับเรื่องที่จะให้สัมภาษณ์กับโฮ่วจีเจียน อี๊จะเปลี่ยนเป็นขอให้หนานเฟ่ยซานมาเป็นคนสัมภาษณ์อี๊กับเตี๋ยเอง เราจะได้ค่อยจับตาดูว่าเขาได้รับผลข้างเคียงรึเปล่า”

   “อันที่จริง ผมอยากให้เขาไปทดสอบที่แล็บของเรา”

   “ถ้าอย่างนั้นหลานก็ให้โอกาสหนานเฟ่ยซานได้สัมภาษณ์สิ แต่มีข้อแม้ว่าต้องไปที่เกาลูน”

   “เขาอยากสัมภาษณ์ลูกอย่างนั้นเหรอ วันนั้นไม่เห็นเกริ่นอะไรเลยนี่”

   “ไม่ใช่หนานเฟ่ยซานครับ แต่เป็นโฮ่วจีเจียน เขาเพิ่งจะมาขอนัดสัมภาษณ์ผมวันนี้ เรื่องที่เราค้นพบกล่องสำริด”

   “แล้วเฟ่ยซานเขาอยู่สายข่าวธุรกิจด้วยอย่างนั้นเหรอ”

   “เหมือนจะไม่ใช่ เดี๋ยวขอหงส์ดูก่อนนะ เมื่อวานเฟ่ยซานให้นามบัตรไว้เหมือนกัน นี่ไง”

   “ข่าวทั่วไป สายอาชญากรรม” แม่ของเขารับมันไปอ่าน

   “เหอะ มิน่าล่ะ ถึงได้รนหาที”

   “หยวนฮ่าง”

   “ขอโทษครับม๊า”

   “แยกย้ายกันไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ม๊าจะกลับไปที่โรงแรมแล้วนะ ลูกล่ะหยวนฮ่าง”

   “ผมว่าจะลองดูที่พักใกล้ ๆ โรงพยาบาล แค่อยู่ชั่วคราวก่อน ไปพักที่โรงแรม คนค่อนข้างพลุกพล่าน ผมไม่ค่อยสะดวกเท่าไร”

   “จริงสิ เยียนหวอมีบ้านพักหลังหนึ่งที่ ชุง ฮอม กอก ยังไงเดี๋ยวอี๊ให้อาไฉ๋ส่งคนไปทำความสะอาดรอไว้ก็แล้วกัน พรุ่งนี้หยวนฮ่างก้ไปพักได้เลย”

   “ขอบคุณครับอี้”

   เมื่อทุกคนแยกย้าย เขาเองก็เข้าห้องไปพักบ้าง ผ่านมาหนึ่งวันอาการของหนานเฟ่ยซานดีขึ้นจริงตามที่หมอบอก แต่เขากลับสงสัยรอยฟกช้ำตามร่างกาย ที่ยังดูสดใหม่เหมือนตอนที่เขาเข้าไปช่วยไม่มีผิด จะว่าน้ำตากิเลนกำลังช่วยรักษาอวัยวะภายในร่างกายอยู่จึงไใ่เห็นผลที่ภายนอกก็ไม่น่าจะใช่ ในเมื่อหมอล้างพิษจากร่างกายออกไปแล้ว มันจะเป็นได้ไหมว่าน้ำตากินเลนเองก็ถูกล้างไปในตอนนั้นด้วย

To Be Continue

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :katai3:

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
5

   สามวันมาแล้วที่หนานเฟ่ยซานยังไม่ฟื้น ผาแล็บกู่เองก็ถูกกัน ไม่ให้เข้าไปเยี่ยมโดยคนของเยียนหวอ ทางด้าน ไอ้สามคนที่อยู่ในห้องขังก็ไม่ยอมพูดอะไร ปิดปากเงียบอย่างเดียว

   “ดอกเตอร์”

   เขาที่กำลังคิดเรื่องคดีที่ติดค้างอยู่แถวโถงทางเดิน ได้ยินเสียงบอร์ดี้การ์ดที่เฝ้าอยู่หน้าห้องทักทาย ดร.เหมิ๋น เขาจึงรีบหันกลับไปเพื่อขอคุยสักหน่อย อย่างน้อยคนคนนี้ก็อยู่ในเหตุการณ์

   “ดร. เหมิ๋น ผมขอเวลาสักครู่” เขารั้งตัวคนที่กำลังจะก้าวเข้าห้อง

   “คุณ?”

   “ผมผ่านกู่ เป็นเจ้าหน้าที่ที่ดูแลคดีนี้”

   “คนของผมให้การไปหมดแล้ว”

   “ผมมีเรื่องอยากจะถามคุณสักสองสามข้อ”

   “เชิญ”

   “ผมจะขอเข้าไปเยี่ยมเฟ่ยซานหน่อยได้ไหม?”

   “เขายังไม่ฟื้น”

   “ผมเป็นห่วง อันที่จริงเขาควรจะฟื้นได้แล้ว”

   “ถ้าอย่างนั้นก็เชิญ”

   ผานกู่เดินตาม ดร. เหมิ๋นเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย เขาเดินมาหยุดอยู่ข้างเตียง มองใบหน้าที่ยังมีรอยฟกช้ำอยู่ ใบหน้าที่ควรจะเกลี้ยงเกลากลับมีรอยม่วงคล้ำ ริมฝีปากที่เคยแดงฉ่ำตอนนี้กลับซีดเซียวแตกระแหง

   “คุณมีอะไรจะถามผม เชิญได้เลย” ประโยคที่พูดทำให้เขาหันไปหาต้นเสียง

   “ที่คุณให้คนมาเฝ้าเฟ่ยซานเพราะกลัวว่าเขาจะถูกฆ่าปิดปากใช่ไหม?”

   “ไม่ใช่ ผมแค่ต้องการความเป็นส่วนตัว”

   “ความเป็นส่วนตัว?”

   “...”

   “ทำไมคุณถึงรับเป็นเจ้าของไข้”

   “หนานเฟ่ยซานไม่มีญาติที่ไหน”

   “เหตุผลเพียงแค่นั้นเองเหรอ”

   “ใช่”

   “วันนั้นเป็นคุณใช่ไหม ที่เข้าไปช่วยเฟ่ยซาน สามคนที่ถูกคุณทำร้ายสารภาพกับผมหมดแล้ว”

   “ใช่”

   “ใครเป็นคนกรอกยาเฟ่ยซาน”

   “มันหนีไปได้”

   “พวกมันมีกี่คน”

   “5 คน”

   “คุณเห็นหน้ามันรึเปล่า”

   “มันมืด แล้วก็ผมกำลังยุ่งกับสามคนที่คุณว่า เลยไม่ทันสังเกต”

   เขาไม่รู้จะถามอะไรคนตรงหน้าอีก แต่ก็ต้องยอมรับว่า ดร.เหมิ๋นที่ดูจะเป็นพวกนักวิชาการ ใส่แว่นกรอบทองเห่ย ๆ จะสามารถจัดการพวกนักเลงมืออาชีพได้อย่างราบคาบ แต่คำตอบแต่ละคำถาม ช่างห้วนสั้น จนอดหมั่นไส้ไม่ได้ คนอะไรเย็นชาราวกับน้ำแข็งขั้วโลก

   “ถ้าไม่มีคำถามอะไรแล้ว เชิญคุณออกไปได้”

   “ถ้าผมจะขออยู่เฝ้าเฟ่ยซานอีกสักพัก คุณคงจะไม่ว่าอะไร” ดร. เหมิ๋นมองเขาอยู่สักครู่ก็เดินออกจากห้องไป

   ผานกู่หันกลับไปมองคนที่นอนหลับไปมองได้สติ ตั้งแต่ร่วมงานกันมา ไม่ว่าคดีที่อันตรายแค่ไหน เขามักจะคอยระวังหลัง ไม่ให้เฟ่ยซานได้รับอันตราย คิดแล้วก็อดโทษตัวเองไม่ได้ เขาควรจะอยู่ข้างๆ ในตอนนั้น เขาควรจะปกป้องเฟ่ยซาน เขาเอื้อมมือไปลูบรอยช้ำบนใบหน้าคนเจ็บอย่างแผ่วเบา ก่อนก้มลงกระซิบที่ข้างหู

   “ฟื้นขึ้นมาไวไวนะน้องหนาน พี่กู่เป็นห่วงจะแย่แล้ว”

.........................................................................

   ผมต้องขมวดคิ้วเพราะความเจ็บปวดที่ได้รับ พยายามหายใจเข้าออกลึกๆ หวังว่ามันจะบรรเทาอาการเจ็บปวดตามร่างกายได้ แต่ยิ่งผมเริ่มได้สติมากเท่าไร กลับยิ่งทำให้ผมรับรู้ความเจ็บปวดได้มากขึ้นเท่านั้น จนต้องขยับตัวและลืมตาขึ้นหวังว่าจะพบใครที่พอขอความช่วยเหลือได้

   ภาพตรงหน้าผมมันค่อนข้างเบลอ ผมจึงพยายามยกแขนขึ้นมาหวังจะขยี้ตาเพื่อช่วยปรับโฟกัส แต่ผลที่ได้รับกลับเป็นอาการปวดแปล๊บที่แขนข้างนั้น ยอมแพ้ก็ได้ ผมคิดแบบนั้นเพราะร่างกายที่ดูจะไม่อำนวย กับอาการเจ็บปวดตามเนื้อตัว ทำให้ผมหลับตาลงอย่างเดิม เดี๋ยวคงมีหมอหรือพยาบาลเข้ามา ถึงตอนนั้นผมค่อยขอยาแก้ปวดก็แล้วกัน

   ใช่แล้ว ผมรู้ว่าผมอยู่ที่โรงพยาบาล มันยืนยันได้จากอาการเจ็บที่แขนตอนผมขยับ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นสายนำเกลือ ที่สำคัญผมยังไม่ตายและที่นี่เป็นสถานที่เดียวที่จะช่วยชีวิตผมได้ ระหว่างที่ผมนอนรอความช่วยเหลือผมก็นึกทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ว่าผมไปพบเห็นอะไร ใครมาช่วยผม ใบหน้าของคนที่ยัดยาบ้านั่นเข้าปากผม จนกระทั่งได้ยินเสียงเปิดประตูเข้ามา ผมจึงพยายามลืมตาขึ้นมอง

   เงาเลือนรางที่เห็น ดูยังไงก็ไม่ใช่หมอหรือพยาบาล ร่างสูงใหญ่ ในชุดลำลองกับแจ็กเกต หรือพวกนั้นจะมาฆ่าผมปิดปาก ไวเท่าความคิดผมจึงพยายามขยับลุกหนี แต่ร่างกายผมกลับไม่มีแรง ยิ่งขยับก็ยิ่งเจ็บปวดอะดรีนาลีนที่หลั่งออกมาเนื่องจากความกลัวไม่ได้ช่วยให้ผมมีแรงฮึดขึ้นมาเลย

   “ไปตามหมอ” ชายคนนั้นพูดห้วนสั้น แต่เสียงฟังดูคุ้น ๆ

   เขาเข้ามาประคองผมก่อนปรับเตียงให้เอนขึ้น ผมที่รู้ตัวว่าปลอดภัยแล้วจึงขยับตามแรงประคอง กะพริบตาถี่ๆ สักพักก็มองเห็นคนตรงหน้า ดร.เหมิ๋น เป็นเขาอีกแล้ว ตลอดเวลาที่รอคุณหมอ ผมกับเขาไม่ได้พูดคุยอะไรกัน เขาเองก็ไม่ได้ซักถามเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่ถามอาการ เอาแต่ยืนนิ่ง ๆ มองผม

   คุณหมอเข้ามาตรวจร่างกายของผม จับนั่น ตรวจนี่ ร่างกายที่ระบบอยู่แล้ว มันคงจะยิ่งอาการหนักเพราะน้ำมือหมอเป็นแน่

   “คุณหนาน ร่างกายคุณฟื้นตัวได้ช้ามาก ยังดีที่แผลเริ่มสมานตัวบ้างแล้ว” ก็เพิ่งจะผ่านการถูกซ้อมมาเมื่อคืน จะให้หายภายในเวลาเพียงแค่วันเดียวได้ยังไง ผมก็ได้แต่คิดในใจ

   “ผมจะ...” พูดค้างได้แค่นั้น เสียงผมหายไปไหน “อื้ม อื้ม” พยายามเค้นเสียงตัวเองออกมา พยาบาลก็ยกแก้วน้ำแล้วจ่อหลอดมาที่ปากผม

   “คุณคงคอแห้ง ควรจะดื่มน้ำอุ่นมาก ๆ เดี๋ยวอาการคงดีขึ้น” พยาบาลที่ยกน้ำให้ผมดื่ม เธอแนะนำผมด้วยใบหน้าเป็นมิตร

   “ผม ขอยาแก้ปวด” หลังจากดื่มน้ำไปเล็กน้อย เสียงก็เริ่มกลับมา แต่ก็ทั้งเบาและแหบ

   “คุณยังปวดแผลอยู่?”

   “อืม”

   ผมเกรงว่าเสียงอันน้อยนิด จะส่งไปไม่ถึงคุณหมอ ผมจึงแสดงออกด้วยการพยักหน้าช่วยอีกแรง คุณหมอเองก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร เพียงพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนให้พยาบาลฉีดยาแก้ปวดเข้ากับสายน้ำเกลือ จากนั้นคุณหมอก็ไปคุยกับ ดร. เหมิ๋น

   “นี่อาจจะเป็นผลข้างเคียงจากยาที่ผู้ป่วยได้รับ”

   “แล้วผลตรวจอื่นละครับ”

   “โดยรวมก็ปกติดี ไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดใด นอกจากเรื่องนี้”

   “หากเป็นแบบนี้ หนานเฟ่ยซานคงต้องอยู่ที่โรงพยาบาลอีกหลายวัน”

   “ตอนนี้คนไข้ฟื้นแล้ว สามารถทานอาหารเองได้ น่าจะช่วยให้เขาฟื้นตัวได้เร็วขึ้น”

   “ขอบคุณครับหมอ”

   “ถ้าอย่างนั้น ผมขอตัวก่อน”

   ผมได้ยินเรื่องที่ทั้งสองคุยกัน มันคงเป็นเรื่องอาการของผม ยาที่พวกนั้นกรอกให้ผมคงจะเป็นยาตัวใหม่ของพวกค้ายา หมอถึงได้ดูเป็นกังวลขนาดนี้ ดร.เหมิ๋นเดินออกไปส่งคุณหมอและพยาบาลที่ด้านนอก ก่อนเดินเข้ามาหาผม

   “นายพักผ่อนไปเถอะ ไว้นายอาการดีขึ้นกว่านี้ ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย”

   นี่เป็นประโยคที่ยาวที่สุดเลยกระมัง ตั้งแต่ที่ผมได้คุยกับ ดร.เหมิ๋นหยวนฮ่างมา เขาช่วยผมปรับเตียงให้ผมนอนราบลงดังเดิม

   “ขอบคุณ”

   “อืม” อย่างน้อย ๆ ดร.เหมิ๋นผู้เย็นชาก็ไม่ได้แล้งน้ำใจนัก

   ผมพอรู้ว่าตระกูลเหมิ๋นกับฝู่รู้จักและสนิทสนมกันมานานนับร้อยปี เหมิ๋นค้าขายหยก และของโบราณ เพิ่งจะมาร่วมหุ้นกับฝู่ที่แกรนด์ฝู่โฮเต็ลเมื่อไม่กี่สิบปีก่อน ส่วนฝู่มีทั้งข่าวธุรกิจใส่สะอาดและธุรกิจด้านดำมืด ดร.เหมิ๋น น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เมื่อคืนแน่นอน ผมเข้าใจว่าการกระทำของเขาทั้งหมดที่ช่วยเหลือผม อาจจะเป็นการหวังผมอะไรบางอย่าง

.........................................................................

   เหมิ๋นหยวนฮ่างกลับไปบ้านพัก เพื่อรอเอกสารงานวิจัยที่ทีมของเขาจะส่งมาให้ค่ำนี้ ระยะนี้เขามักจะไปนั่งทำงานในห้องพักผู้ป่วย แต่เมื่อหนานเฟ่ยซานฟื้นขึ้นมาแล้ว เขาก็ไม่อยากจะไปรบกวนเวลาพักผ่อนของคนไข้

   “คุณนักสืบ หนานเฟ่ยซานฟื้นแล้ว” เขาโทรบอกผู้ที่ดูแลคดีนี้

   “จริงเหรอครับ ขอบคุณมากครับดอกเตอร์ เดี๋ยวผมเสร็จงานเมื่อไร ผมจะรีบเข้าไปทันที”

   เสียงที่ได้ยินจากปลายสายแสดงออกถึงความดีใจอย่างไม่ปิดบัง เมื่อรวมกับภาพที่เขาบังเอิญไปเห็นเข้าตอนอยู่หน้าห้องผู้ป่วย เขาก็พอจะเดาได้ว่า สองคนนี้คงจะไม่ใช่คนที่รู้จักกันธรรมดา

   เหมิ๋นหยวนฮ่างเขียนบนความเกี่ยวกับกล่องและขวดบรรจุน้ำตากิเลนเสร็จเรียบร้อยแล้ว และเตรียมที่จะเผยแพร่พร้อมทั้งส่งมอบกล่องสำริดให้กับทางพิพิธภัณฑ์ก็เป็นอันจบ เขายังไม่มีเป้าหมายใหม่ในการขุดค้น สิ่งที่เขาอยากศึกษาตอนนี้ก็มีเพียงแต่เรื่องน้ำตากิเลนที่อยู่ในแล็บเกาลูนเท่านั้น

   คอมพิวเตอร์แจ้งเตือนว่ามีอีเมลเข้า เขาจึงรีบเปิดดู เป็นอีเมลผลทดสอบล่าสุดจากซือเมิ่งอิ๋ง เมื่อวานนี้เมิ่งอิ๋งสกัดน้ำตากิเลนเม็ดหนึ่งให้กลับมาเป็นของเหลวได้สำเร็จ และเริ่มทดลองกับสัตว์เล็กจำพวกหนู ปริมาณที่ใช่ทดลองได้รับการเจือจางแต่ผลที่ได้รับกลับทำให้หนูเหล่านั้นช็อกตายหากให้พวกมันกิน แต่หากเป็นหนูที่ได้รับบาดเจ็บ นำสารสกัดจากน้ำตากิเลนหยดลงบนแผล กลับช่วยสมานแผลให้หายได้ในเวลาไม่นาน แต่หนูพวกนั้นก็ช็อกตายในเวลาต่อมาอยู่ดี

   เมื่อเขาอ่านรายงานล่าสุด เมิ่งอิ๋งปรับความเจือจางลงไปอีกจนอยู่ในภาวะสมดุลระดับหนึ่ง หนูที่มีบาดแผล หายดีกลับมาแข็งแรง และไม่มีผลข้างเคียง แต่ถ้าให้กินโดยตรงผมออกมาก็ยังเป็นเหมือนเดิม สูตรที่ถูกปรับให้เจือจางนี้ เมิ่งอิ๋งเอาไปทดลองกับกระต่าย ภายใน 12 ชั่วโมงมานี้ ตัวที่กินเข้าไปยังไม่เห็นผลใด แต่ตัวที่เป็นแผล ขนร่วง ผลออกมาดี แผลเริ่มสมาน แต่ใช้เวลานานกว่าการรักษาหนู

   “ผมได้รับผลทดลองแล้ว” เขาโทรไปที่แล็บหลังจากอ่านรายงานจบ

   “ค่ะดอกเตอร์”

   “ตอนนี้กระต่ายตัวที่กินน้ำตากิเลนเข้าไปเป็นยังไงบ้าง”

   “ก็ยังคงปกติค่ะ”

   “จากผลที่เห็น แสดงว่าถ้าเอามาใช้ภายนอก น้ำตากิเลนจะช่วยในการรักษาบาดแผลได้สินะ”

   “ดอกเตอร์ค่ะ กระต่ายตัวที่ใช้ทดลอง ทางแล็บได้รับมาจากสถาบันทดสอบเครื่องสำอาง ผิวหนังของมันเป็นแผลมาจากการทดลองพวกนั้น จนถึงขั้นเป็นโรคเรื้อน”

   “คุณกำลังจะบอกว่า มันอาจจะรักษาโรคบางอย่างได้ใช่ไหม?”

   “ใช่ค่ะ รบกวนดอกเตอร์อนุญาตให้ทำการทดลองด้วย”

   “ได้ ผมอนุญาต แต่ผมไม่อยากให้คุณทดลองกับสัตว์โดยให้มันกินอีก ยกเว้นกับสัตว์ที่เป็นโรค ในเมื่อเรารู้ว่ามันรักษาแผลได้ ผมอยากให้คุณแบ่งทีมส่วนหนึ่ง ทำการวิจัยยาที่ให้ผลเหมือนกับน้ำตากิเลน”

   “ค่ะ ดอกเตอร์ แล้วคนที่กินน้ำตากิเลนเขาไป เป็นยังไงบ้างคะ?”

   “เขาฟื้นแล้ว”

   “แล้วอาการเป็นยังไงบ้างคะ”

   “โดยรวมก็ดี เพียงแต่การฟื้นฟูร่างกายช้ากว่าคนทั่วไป”

   “หรือว่านี่จะเป็นผลข้างเคียง”

   “อืม”

   “ดอกเตอร์จะพาเขามาที่แล็บไหมคะ?”

   “คงต้องดูจังหวะ และโอกาส เมิ่งอิ๋ง เท่านี้ก่อนนะ ผมมีสายซ้อน”

   เหมิ๋นหยวนฮ่างกดตัดสายก่อนรับสายของอีกคนทันที คนที่เขาลืมไปว่าต้องติดต่อกลับไปตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องกับหนานเฟ่ยซาน

.........................................................................

   ต้วนเจียนจงมาถึงร้านอาหารที่จองเอาไว้ โดยมีบริกรเดินนำเขาไปยังโต๊ะที่จัดให้ ไวน์ยี่ห้อดังถูกเปิดพร้อมทั้งรินใสแก้วให้ของเขา กลิ่นและรสชาติสมราคาเสียจนเขาอดพอใจไม่ได้

   “รับอาหารเลยไหมครับ”

   “รอแขกของฉันมาก่อน”

   “ครับท่าน”

   เขาละเลียดจิบไวน์ไปอย่างเชื่องช้า ไม่รีบร้อนอะไร ค่ำนี้สำหรับเขา ยังอีกยาวนานนัก กระทั่งแขกของเข้าเดินเข้ามาโดยมีบริกรคนเดิมเป็นผู้พามา

   “ดื่มไม่รอฉันเลยนะเจียนจง”

   “นายมาช้าเอง”

   “ครั้งก่อนฉันต้องขอโทษที่ไม่ได้กลับเข้าไปหา”

   “ช่างเถอะ นายมีเวลามาทานอาหารค่ำกับฉันก็ดีแค่ไหนแล้ว”

   “คำพูดนาย ทำให้ฉันนึกถึงแม่”

   “แม่นายก็คิดไม่ต่างจากฉัน”

   “ว่าแต่นายเถอะ กลับมาตั้งแต่เมื่อไร”

   “ฉันก็อยู่ที่นี่ตลอด นายต่างหากที่ไม่ค่อยจะได้กลับมา”

   “ฉันยอมรับผิดก็ได้ แต่นายเลิกพูดเหมือนกับแม่ของฉันสักที” เขาหัวเราะให้กับคำพูดของแขกตรงหน้า

   “นายกลับมานี่ คงไม่ใช่เพื่อจะมางานเลี้ยงระดมทุนของเยียนหวอเพียงอย่างเดียวจริงไหม?”

   “งานนั้นฉันจำใจ”

   “ถ้าอย่างนั้น กลับมาครั้งนี้ ดร.เหมิ๋นหยวนฮ่างค้นพบอะไรเข้าอีกละ พอจะบอกฉันได้ไหม?”

   “เรื่องพวกนี้นายไม่สนใจหรอก ฉันรู้ดี”

   “ก็จริง พูดมามันก็ไม่เข้าหัวฉันสักนิด”

   ต้วนเจียนจงพูดคุยกับเพื่อนเก่าอย่างเหมิ๋นหยวนฮ่างไปเรื่อยตลอดมื้ออาหารค่ำ ส่วนมากก็พูดคุยถึงเรื่องทั่วไป อย่างคนที่ไปไม่เจอกันเป็นเวลานาน

   “ฉันว่าถึงเวลาที่ฉันต้องกลับแล้วละ” หยวนฮ่างพูดจบหลังจากวางแก้วไวน์ในมือลง

   “เดี๋ยวกันสิ ฉันยังไม่ทันได้เข้าเรื่องเลย”

   “นี่ฉันนั่งคุยกับนายมาเกือบสองชั่วโมง เรื่องที่นายจะคุยยังไม่หมดอีกรึไง”

   “นายก็รู้ว่าฉันเป็นใคร”

   “เอา ให้เรื่องสุดท้ายนะ ว่ามา”

   “เรื่องนี้ฉันจริงจัง”

   “คงไม่คิดจะให้ฉันเป็นพ่อสื่อให้นายหรอกนะ”

   “นายก็พูดเป็นเล่น ผู้หญิงที่ข้างตัวนายก็มีแต่แม่ อี๊ของนาย นอกนั้นฉันไม่เห็นว่านายจะรู้จักใคร”

   “แล้วนายจริงจังเรื่องอะไรอีกนอกจากเรื่องผู้หญิง”

   “เฮอ...นายนี่มัน ฉันแค่จะขอความช่วยเหลือจากนาย”

   “เรื่องอะไร”

   “ฉันจะเช่าโกดังแถวจูไห่ของเยียนหวอ นายช่วยฉันได้ไหม?”

   “เรื่องแค่นี้ ทำไมนายไม่เข้าไปคุยที่บริษัทละ”

   “เลขาฉันติดต่อไปแล้ว แต่ยังไม่ได้เรื่อง ตอนนี้สินค้าของฉันมันมาถึงแล้ว แต่ยังค้างอยู่ที่ท่าเรือ จะเอาออกมาก็ไม่รู้จะไปเก็บไว้ที่ไหน”

   “โกดังเดิมละ”

   “ฉันเพิ่งนำเข้าของเล่นลิขสิทธิ์แท้ๆ จากอเมริกาเลยนะ ฉันไม่อยากเอามันไปรวมกับของเล่นที่ผลิตเองที่นี่”

   “แล้วทำไมไม่เตรียมพร้อมก่อนนำเข้ามาละ”

   “คงต้องโทษเยียนหวอแล้วละ ที่ดำเนินการช้า ฉันรอเรื่องสัญญาเช่าโกดังนี่มาเดือนหนึ่งเต็ม ๆ”

   “เอาละๆ อย่าเพิ่งหงุดหงิดไป ฉันจะช่วยนายเอง”

   “ขอบใจ แต่ขอด่วนที่สุดนะเพื่อน ของซื้อของขาย นานไปเดี๋ยวทุนหายกำไรหด”

   “แค่นี้ใช่ไหม ฉันจะได้กลับไปทำงาน”

   “เชิญครับ ดอกเตอร์”

To Be Continue

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

ออฟไลน์ Keane

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-0

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
6


   ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไม หมอถึงบอกกับ ดร.เหมิ๋นว่า ผมฟื้นตัวช้า เช้านี้ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดระบมตามร่างกาย แล้วยังเมื่อคืนนี้อีก ที่ผมปวดจนทนไม่ไหว ต้องเรียกพยาบาลเข้ามาเพื่อขอยาแก้ปวด ผมเคยโดนซ้อมอยู่บ้าง ถึงแม้ว่ามันจะไม่หนักขนาดนี้ แต่อาการบวมมันก็ลดลงในเวลาไม่นาน

   “เฟ่ยซ่าน ตื่นแล้วเหรอ วันนี้เป็นยังไงบ้าง แล้วนั่นจะรีบลุกไปทำอะไร”

   พี่กู่เข้ามาทันเห็นผมพยายามจะลุกขึ้นนั่ง เขาก็รีบเข้ามาช่วย ปรับเตียงให้ แต่ก็ไม่วายถามนั่นนี่ จนผมยังหาโอกาสตอบไม่ได้

   “ยังปวด ๆ อยู่ครับ”

   “แล้วจะลุกไปไหน เข้าห้องน้ำรึเปล่า เดี๋ยวพี่พาไป”

   “ไม่ครับ แค่อยากเปลี่ยนท่า กลัวว่าตัวเองจะเป็นแผลกดทับ”

   “คราวนี้นายโดนหนักมากเลยรู้ไหม แล้วยังหายช้ากว่าปกติอีก”

   “จะให้มันหายในวันสองวันได้ยังไงกันละ”

   “นี่ยังไม่มีใครบอกนายอย่างนั้นเหรอ”

   “บอกอะไรพี่ เมื่อวานจีเจียนมาก็เล่าเอาแต่เรื่องที่จะได้สัมภาษณ์สามีภรรยาแซ่ฝู่ เรื่องน้องชี่เยว่ อ่อ มีนินทา บ.ก. นิดหน่อยด้วย”

   “ยังไม่มีใครบอกนายเหรอว่านายหลับไปตั้งสามวันกว่าจะฟื้น”

   “สามวัน!! ”

   “ใช่ นี่ก็จะอาทิตย์หนึ่งแล้วที่นายรักษาตัวที่นี่”

   สามวันที่ผมหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว!! ตอนแรกที่ได้ยิน ดร.เหมิ๋นพูดกับหมอว่าผมต้องอยู่ที่นี่อีกหลายวันก็ไม่ทันได้คิดอะไร เข้าใจไปว่าเขาคงจะงกกับเรื่องค่าห้องที่ต้องจ่ายให้ผม แล้วถ้าผมรักษาตัวมา 5 วันแล้ว รอยช้ำที่ข้อมือผมมันควรจะหายไปแล้วไม่ใช่เหรอ มันเป็นแค่รอยจากการโดนจับกดไว้เท่านั้น

   “เฟ่ยซาน เป็นอะไรรึเปล่า เฟ่ยซาน” แรงเขย่าจากพี่กู่ทำให้ผมรู้สึกเจ็บที่สีข้าง จนต้องซี้ดปาก “เฮ้ย พี่ขอโทษ เรายังเจ็บอยู่ใช่ไหม”

   “อืม ทำไมครั้งนี้หายช้าจัง”

   “ก็นายโดนซะน่วมขนาดนี้ พี่ล่ะเป็นห่วงแทบแย่”

   “ผมจำได้ว่า ดร.เหมิ๋นเป็นคนเข้ามาช่วยเอาไว้”

   “นายพร้อมจะให้ปากคำเลยไหม ฉันจะได้ตามหยางผิงมา”

   “ได้ครับ ผมจำหน้าคนร้ายได้ ให้พี่หยางผิงเตรียมสเกตภาพได้เลย”

   “ดี เดี๋ยวพี่จัดการให้” พี่กู่โทรศัพท์คุยกับพี่หยางผิงสักพักก็วางสายไป

   “พี่กู่ ระหว่างที่ผมอยู่ที่นี่ เรื่องคดีรถบัส”

   “ยังไม่มีความคืบหน้าอะไร แล้วก็เมื่อวานพี่ไปหาเกาเจี๋ยมา”

   “เกาเจี๋ย?”

   “อืม เกาเจี๋ยเป็นลูกชายของโชเฟอร์ที่ขับแท็กซี่คันนั้น”

   “พี่เชื่อข้อสันนิษฐานของผม”

   “ใช่ มีหลายเรื่องเกี่ยวกับฉินหรุยกวงที่พี่สงสัย”

   “แล้วเกาเจี๋ยบอกอะไรพี่บ้าง”

   “พี่ไม่ได้เจอเขาหรอกนะ แต่เจอน้องชายของโชเฟอร์ เกาอี้รับเกาเจี๋ยมาดูแลตั้งแต่พี่ชายตายไป ส่งเสียให้เรียนหนังสือ”

   “แล้วแม่ของเกาเจี๋ยละ”

   “เห็นว่าหนีไปตั้งแต่เกาเจี๋ยยังเด็ก”

   “แล้วเกาอี้คิดยังไงกับคดีนั้น”

   “เกาอี้เล่าว่า ช่วงที่เกิดเรื่องขึ้นกับพี่ชาย เขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย ตอนที่เห็นข่าวก็ไม่คิดว่าจะเป็นพี่ชายตัวเองด้วยซ้ำ มารู้ก็ตอนที่มีคนติดต่อไปเรื่องเกาเจี๋ย”

   “ติดต่อเรื่องเกาเจี๋ย”

   “ใช่ตอนนั้นเกาเจี๋ยเพิ่งอายุ 14 หลังคดีสิ้นสุด ถ้าเกาอี้ไม่รับมาเลี้ยง เกาเจี๋ยก็ต้องไปอยู่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า”

   “ฉินหรุยกวงเลยโยนความผิดให้โชเฟอร์”

   “มีความเป็นไปได้มาก เพราะคนตายแก้ต่างให้ตัวเองไม่ได้”

   “แล้วทางด้านผู้โดยสารละ”

   “จากที่พี่ดูแฟ้มคดีนั้น สองสามีภรรยาแซ่โย่วมีลูกสาวคนหนึ่ง ไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ วันที่เกิดเหตุ รถที่บ้านเกิดเสียระหว่างทางที่จะไปรับเธอจากสนามบิน เขาจึงเรียกแท็กซี่แทน วันนั้นเป็นวันที่โยว่ซินหรูกลับมาหลังจากเรียนจบ”

   “น่าเห็นใจจริงๆ”

   “พี่ยังไม่ได้นัดโยว่ซินหรู เธอค่อนข้างงานยุ่งแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธที่จะคุยกับพี่เรื่องคดี”

   “พี่จะนัดกับเธอเมื่อไร ผมอยากไปด้วย”

   “ตั้งใจว่าหลังจากที่หยางผิงสอบปากคำเราเสร็จ พี่ก็จะโทรไปนัด”

   “เธอคงจะไม่ว่างเร็ว ๆ นี้ใช่ไหมครับ”

   “พี่รู้ว่าเราอยากไปด้วย แต่คดีต้องเร่งปิด ไม่อย่างนั้นหากมีเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก ก็จะมีคนเจ็บอีกมาก”

   “ผมอยากเห็นแฟ้มคดีนั้น”

   “น้องหนาน นายยังขยับไม่ค่อยจะได้ นอนพักให้มากๆ เรื่องงานไว้ทำหลังจากหายก็ยังไม่สาย”

   จริงอย่างพี่กู่ว่า แค่ขยับนิดหน่อยยังปวด จะมานั่งทำงานคงไม่ไหว แต่จะให้นอนอยู่แบบนี้ก็คงจะเบื่อแย่ อย่างน้อยข้อแค่ได้อ่านข้อมูลบ้างก็ยังดี

   “พี่กู่ ผมหาโทรศัพท์ไม่เจอ ไม่รู้ว่าตกอยู่ในที่เกิดเหตุรึเปล่า”

   “ไม่มีนะ หลักฐานทุกอย่างถูกเก็บไปหมดแล้ว ที่เสื้อผ้าของนายก็มีแต่กุญแจรถ กับกระเป๋าเงิน”

   “สงสัยคงทำหายที่ไหนสักแห่ง”

   “นายคงเหงาสินะ ไว้พี่ซื้อเครื่องใหม่แล้วจะแวะเอามาให้”

   “รถผมยังจอดอยู่ที่ลานจอดรถนั่นใช่ไหมครับ”

   “อืม นายจะเอาอะไร”

   “วานพี่ไปเอาแทบเล็ตในรถให้ผมหน่อย แล้วก็พี่ส่งรายละเอียดทั้งสองคดีให้ผมด้วย”

   “นี่พี่ห้ามเราไม่ได้จริง ๆ สินะ”

   “ผมแค่เอามาอ่านช่วงที่เบื่อ ๆ อีกอย่าง พี่ตกลงกับผมแล้วนะ ว่าจะให้ผมร่วมสืบคดีนี้ด้วยหากข้อสันนิษฐานของผมใช้ได้”

   “เอา ๆ ตามใจ”

   “แล้วคดีฆ่ารัดคอ เป็นยังไงบ้างพี่”

   “เหมือนเดิม ยังไม่มีเบาะแสอะไรใหม่”

   “ฆาตกรยังไม่ได้ลงมืออีกก็ดี”

   “เราไม่รู้หรอกว่ามันลงมือแล้วรึยัง จนกว่าจะเจอศพ นายก็รู้นี่ว่ามันมักจะจับเหยื่อไปขังไว้ก่อน”

   “เหยื่อทั้งสามรายไม่มีอะไรเชื่อมโยงกันได้เลย แม้กระทั่งเวลาที่ถูกจับไปขัง”

   “ใช่”

   ผมพูดคุยกับพี่กู่จนกระทั่งพี่หยางผิงมาพร้อมนายตำรวจอีกคน ผมเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผมให้ทุกคนฟัง และบอกรายละเอียดหน้าตาของคนที่จับผมกรอกยา

.........................................................................

   หวงกังโหมองโทรศัพท์ในมืออย่างครุ่นคิดถึงวิธีตามหาตัวเจ้าของมัน เวลาเกือบสัปดาห์แล้วที่เขารู้ว่าไอ้หนุ่มตากลมเจ้าของเครื่องนี่ มันยังไม่ตาย โชคดีที่ภายในโทรศัพท์ไม่ได้มีการบันทึกภาพตอนที่เขากำลังซื้อขายกับอีกฝ่าย แต่ก็เสียดายที่เขาอุตส่าห์ยัดยาไปมากขนาดนั้นแล้วแท้ๆ มันยังรอดมาได้อีก ป่านนี้ มันคงลุกขึ้นมาให้ปากคำกับตำรวจเรียบร้อยแล้ว

   ส่วนคนของเขาก็ถูกตำรวจจับไป ดีที่ยังไม่มีใครอ้าปากพูดอะไรออกมา แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไว้ใจไอ้สามคนนั้น จึงให้คนไปเฝ้าสังเกตดูอยู่ห่าง ๆ และเพื่อเป็นการไม่ประสาท หวงกังโหสั่งให้ลูกน้องไปจัดการอะไรบางอย่างเมื่อชั่วโมงที่แล้ว

   “พี่กังโห” คนของเขาก้าวเขามาเพื่อรายงาน

   “เรื่องที่ให้ไปจัดการเรียบร้อยไหม?”

   “เรียบร้อยครับ”

   “แล้วเรื่องที่ให้ไปสืบละ”

   “ทางตำรวจเก็บตัวอย่างยาได้จากที่เกิดเหตุ แล้วจากคำให้การของพยาน ตอนนี้ตำรวจกำลังตามหาพวกเราอยู่”

   “ไอ้หนุ่มนั่นสินะ มันคงฟื้นแล้ว”

   “ไม่ใช่ครับ แต่เป็นคนที่มาช่วยมันไว้”

   “แล้วไอ้หนุ่มนั่นละ?”

   “ไอ้หนุ่มนั่น ถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลเกียงวู เพียงวันเดียวก็ย้ายออก”

   “มันหายเร็วขนาดนั้นเลยเหรอ?”

   “ผมว่าตำรวจคงกลัวว่าเราจะตามไปปิดปากมัน เลยย้ายไปที่อื่น”

   “ไปสืบมา ว่ามันอยู่ที่ไหน แล้วจัดการมันซะ”

   “พี่กังโห มีคนของไหว่ยี่มาขอพบ” ลูกน้องอีกคนของเขา เข้ามารายงาน

   “ทางนั้นอาจจะติดใจยาของเราก็ได้”

   หวงกังโหเดินตามลูกน้องออกไป อย่างน้อยยาที่ให้พวกนั้นไปฟรีๆ ก็ไม่ได้เสียเปล่า มันกำลังจะงอกเงยออกดอกออกผลเพิ่มขึ้นในเวลาไม่ช้านี้ คิดแล้วก็ได้แต่ยิ้มกริ่มอยู่ภายในใจ

.........................................................................

   เหยินหยางผิงกลับเข้ามาที่สถานีก็พบกับความวุ่นวายทันที หน่วยกู้ชีพกำลังเข็นศพใครบางคนออกไป เขารีบเดินเข้าไปยังห้องขัง ก็พบหน่วยกู้ชีพอีกสองคนกำลังห่อศพผู้ต้องหาในคดีทำร้ายร่างกายหนานเฟ่ยซาน

   “เกิดอะไรขึ้น” เขาถามเจ้าหน้าที่เก็บหลักฐานคนหนึ่งที่กำลังถ่ายภาพสถานที่เกิดเหตุ

   “ผู้ต้องหาทั้งสามคนถูกวางยา ตอนนี้หัวหน้ากำลังประชุมเครียดอยู่ในห้อง พี่หยางผิงรอถามหัวหน้าก็แล้วกัน ผมขอทำงานก่อน”

   เขาปล่อยให้ทุกคนทำงานของตัวเองไป ส่วนเข้ารีบเดินตรงไปยังห้องประชุม จากโถงทางเดิน เข้าเห็นหัวหน้ากับทีมสืบสวนเดินออกมาจากห้องพอดี

   “หัวหน้า”

   “นายคงรู้แล้วสินะว่าเกิดอะไรขึ้น”

   “ครับ”

   “ถ้าอย่างนั้นก็ตามมา”

   พวกเขาพากันเดินกลับมายังโต๊ะทำงาน ทีมสืบสวนทีมที่ 2 ก็เดินตามเข้ามาด้วย เมื่อทุกคนพร้อมหัวหน้าของเขาก็เอ่ยขึ้น

   “ตอนนี้ผู้ใหญ่เป็นห่วงเรื่องที่ผู้ต้องหาตายในห้องคุมขังของสถานีเรา ถึงแม้จะเป็นเพียงผู้ต้องสงสัยในคดี แต่เมื่อตายไป เราก็ยิ่งหาเบาะแสในการสืบยากเข้าไปอีก”

   “จากการตรวจสอบ ก่อนเกิดเหตุ มีชายคนหนึ่งอ้างตัวว่าเป็นพ่อของหนึ่งในสามผู้ต้องหา เอาอาหารมาให้ ซึ่งชายคนนี้มาเยี่ยมลูกชายตลอดจนกระทั่งเกิดเรื่องขึ้นวันนี้ ทางเราเองก็ไม่ได้สงสัยหรือตรวจสอบอะไร” ตู้เห่า หนึ่งในสมาชิกทีม 2 เป็นผู้รายงาน

   “ยืนยันแน่แล้วใช่ไหม ว่าสารพิษมาจากอาหารที่ชายคนนั้นเอามาให้”

   “ครับหัวหน้า”

   “หยางผิง แล้วผานกู่ละ ไม่กลับมากับนายด้วยหรือไง”

   “พี่กู่ไปสืบคดีรถบัสระเบิด เลยให้ผมเอาภาพสเกตมาเทียบกับฐานข้อมูลของเราครับ”

   “ผู้เสียหายฟื้นแล้วอย่างนั้นเหรอ”

   “ครับ แล้วนี่ก็ภาพสเกต”

   “อาเห่า เอาไปตรวจสอบ” ตู้เห่ารับไปแล้วกลับไปนั่งที่โต๊ะประจำของเขา

   “หนานเฟ่ยซานให้การว่า เขาเห็นคนสองกลุ่มกำลังซื้อขายอาวุธกันอยู่ ดูเหมือนว่าพ่อค้ายาจะซื้อปืน HK 416 PISTOL จากพ่อค้าอาวุธโดยการจ่ายเป็นเงินและยาที่เราได้มาจากที่เกิดเหตุ”

   “จู้ชุน จัดคนไปคอยคุ้มครองพยาน”

   “ครับหัวหน้า”

   “แล้วจื่ออู่ไปไหน?” หัวหน้าถามถึงสมาชิกในทีมเขาอีกคนหนึ่ง”

   “พี่กู่ให้จื่ออู่ไปสืบคดีรถบัสครับหัวหน้า”

   “อืม ช่วงนี้งานพวกเราค่อนข้างจะล้นมือกันทุกคน ตอนนี้คดีนี้ก็กลายเป็นที่เพ่งเล็งจากผู้ใหญ่ไม่ต่างจากคดีฆ่ารัดคอ ดังนั้นทีม 1 และ 2 ต้องร่วมกันปิดคดีนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด”

   “หัวหน้าครับ ได้คนที่ตรงกับภาพสเกตแล้วครับ” ตู้เห่าร้องบอกก่อนจะเอาภาพถ่ายมาวางไวตรงหน้าพวกเรา “หวงกังโห เจ้าของผับใหญ่หลายที่ในมาเก๊า มีประวัติเคยถูกจับในคดีใช้แรงงานเด็กอายุต่ำกว่า 18 แต่รอดไปได้เพราะ อ้างว่าเด็กที่มาสมัครงานใช้เอกสารปลอม ซึ่งเด็กเองก็ยอมรับ ทำให้ทางตำรวจสาวไปถึงแก๊งส์ปลอมแปลงเอกสาร และทำการจับกุมได้ในที่สุด” ตู้เห่ารายงาน

   “มีแค่นี้เองอย่างนั้นเหรอ”

   “ที่เหลือก็เป็นคดีเล็กๆ อย่างพวกเมาแล้วขับบ้าง ฝ่าไฟแดงบ้าง หรือจอดในที่ห้ามจอดบ้าง ซึ่งไม่มีผู้บาดเจ็บหรือเจ้าทุกข์”

   “ยังไงก็เชิญตัวมาสอบสวนก่อน”

   “ครับหัวหน้า” พวกเรารับคำแล้วแยกย้ายกันไปทำงาน

.........................................................................

   เหมิ๋นหยวนฮ่างลอบสังเกตอยู่นอกห้องพักผู้ป่วย เมื่อเห็นหนานเฟ่ยซานกำลังคุยอยู่กับนักสืบและตำรวจ จากที่สังเกตทำให้เขารู้ว่า เฟ่ยซานน่าจะจำหน้าคนร้ายได้ เพราะกำลังอธิบายให้กับตำรวจเพื่อสเกตภาพอยู่ เขาจึงเลี่ยงออกมาเพื่อเตรียมกลับไปทำงาน และรอผลรายงานจากแล็บ

   “ดร.เหมิ๋น” เขายังก้าวไม่ถึงไหนก็ได้ยินเสียงนักสืบหนุ่มร้องเรียก

   “มีอะไรรึเปล่าคุณนักสืบ”

   “คุณมาเยี่ยมเฟ่ยซาน แล้วทำไมไม่เข้าไป”

   “ให้เขาได้พักผ่อนเถอะ วันนี้พวกคุณก็กวนเขามาทั้งวันแล้ว” เขาเห็นคนตรงหน้าชะงักไปเล็กน้อย

   “ดูคุณจะเป็นห่วงเฟ่ยซาน”

   “คงไม่เท่ากับคุณ”

   “ตอนนี้เฟ่ยซานกลายเป็นพยานในคดี แทนที่จะเป็นเพียงผู้เสียหาย”

   “แล้วคุณมาบอกผมทำไม”

   “ผมจะย้ายเขาไปในที่ปลอดภัย”

   “ถ้าคุณหมออนุญาต มันก็แล้วแต่พวกคุณ” เขาพูดจบก็เดินออกมาโดยไม่สนใจ ตรงไปยังลานจอดรถ เมื่อขึ้นรถแล้วเขาก็โทรไปหาใครคนหนึ่ง ก่อนจะออกรถและขับกลับบ้านไป

To Be Continue

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
7

   ผานกู่มาคอยโยว่ซินหรูอยู่ที่คอฟฟี่ช้อปแห่งหนึ่ง ตามเวลาที่เธอนัดหมาย เนื่องจากเธอมีเวลาให้เขาเพียงช่วงพักกลางวันเท่านั้น เขาจึงเป็นฝ่ายมารอเธอก่อน

   เขาเห็นหญิงสาวคนหนึ่งเดินผ่านประตูหน้าร้านเข้ามา ซึ่งเขาจำได้ดีว่าเธอเป็นใครจึงลุกขึ้นเป็นสัญญาณว่าเขาเองที่เป็นผู้นัดเธอมา เมื่อเธอเห็นก็เดินตรงเข้ามาหาเขาทันที

   “นักสืบผาน”

   “ครับ ดื่มอะไรหน่อยไหมครับคุณโยว่”

   “ไม่เป็นไร ขอบคุณค่ะ เรามาเข้าเรื่องเลยดีกว่านะคะ”

   “ถ้าอย่างนั้นผมไม่อ้อมค้อมแล้วนะครับ คุณคงทราบว่าผมจะถามคุณเรื่องอะไร”

   “ค่ะ คุณมาเรื่องคดีของพ่อแม่ฉัน”

   “ครับ ผมอยากทราบเรื่องราวในตอนนั้น”

   “อันที่จริง ฉันก็ไม่รู้เรื่องอะไรมากนัก เพราะเพิ่งจะบินกลับมามาเก๊า เรานัดกันไว้แล้วว่าพ่อกับแม่จะไปรับฉันที่สนามบิน รออยู่จนเลยเวลาไปมากพวกท่านก็ไม่มา โทรไปก็ไม่มีคนรับสาย ฉันเลยเรียกรถแท็กซี่ให้ไปส่งที่บ้าน

   “คุณไปอยู่ต่างประเทศหลายปี กลับมาแบบนี้ คุณเข้าบ้านได้ยังไงครับ”

   “ที่บ้านฉันมักจะวางกุญแจสำรองไว้ใต้กล่องไปรษณีย์ค่ะ”

   “แล้วตอนที่คุณกลับถึงบ้าน คุณไม่พบเห็นอะไรผิดสังเกตเหรอครับ”

   “เมื่อไปถึง ฉันรอพ่อกับแม่อยู่ที่บ้าน เพราะเห็นว่ารถของพวกท่านไม่อยู่เลยคิดว่าน่าจะออกไปรับฉัน เราอาจจะคลาดกันก็ได้”

   “แล้วคุณทราบเรื่องเมื่อไรครับ เรื่องพ่อกับแม่ของคุณ”

   “หลังจากนั้นวันหนึ่งค่ะ มีตำรวจมาที่บ้าน เขาบอกว่าตอนที่เกิดเหตุ พยายามติดต่อมาที่บ้านแล้วไม่มีคนรับสาย เลยมาหาที่บ้านฉัน แล้วบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้น”

   “แล้วหลังจากนั้นละครับ”

   “พวกเขาไม่มีแม้แต่ศพของพวกท่าน ให้ฉันได้ไปจัดพิธีให้อย่างถูกต้อง จะมีก็แต่ ชายคนหนึ่งเอาเงินเล็ก ๆ น้อยๆ เป็นค่าชดเชยจากอุบัติเหตุมาให้”

   “เงินจากบริษัทแท็กซี่เหรอครับ”

   “ใช่ค่ะ ทางบริษัทฯ บอกว่ารถของเขาทำประกันไว้ ผู้โดยสารจึงได้รับเงินส่วนนี้ด้วย”

   “ใครเป็นคนนำเงินมาให้คุณ”

   “ดูเหมือนจะเป็นทนายค่ะ”

   “คุณได้เจอครอบครัวของโชเฟอร์รถแท็กซี่ไหมครับ”

   “ไม่ค่ะ เห็นว่าลูกของคนขับยังเด็กมาก แล้วก็เหลือตัวคนเดียว ไม่มีญาติที่ไหน ฉันว่าตอนนั้นเขาคงจะส่งเด็กไปที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแล้ว ว่าแต่ คุณถามเกี่ยวกับคดีนี้ทำไมคะ คดีมันก็จบไปตั้งนานแล้ว หรือว่ามีเรื่องอะไรที่น่าสงสัย”

   “ทำไมคุณถึงคิดอย่างนั้น”

   “ก็จู่ ๆ คุณก็มาถามถึงคดีที่มันจบไปนานแล้วนี่คะ”

   “เรื่องนี้ผมคงจะบอกอะไรคุณไม่ได้ ขอโทษด้วยนะครับ”

   “ค่ะ ฉันพอเข้าใจ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ”

   “ครับ ขอบคุณมากนะครับที่สละเวลา”

   เขามองโยว่ซินหรูเดินออกจากร้านไป โดยที่เขาไม่ได้อะไรเลย คำบอกเล่าของเธอไม่ต่างอะไรกับรายงานในคดี จะมีก็แต่ฉินหรุยกวงให้ทนายนำเงินค่าชดเชยมาให้กับเธอเท่านั้น เขานั่งอ่านข้อมูลอยู่สักพักจึงเดินทางกลับสถานี

   ผานกู่แวะซื้อโทรศัพท์มือถือเครื่องให้ใหม่กับหนานเฟ่ยซาน ตั้งใจว่าเสร็จงานแล้วค่อยนำไปให้ที่โรงพยาบาล ก็มาพบกับเหตุวัยรุ่นทะเลาะวิวาทกันเสียก่อน เขาจึงเข้าไประงับเหตุ เขาจับเด็กชายวัยรุ่นได้คนหนึ่งก่อนจะนำตัวมารวมกับคนอื่นๆ

   “จับได้หมดไหม” เขาถามนายตำรวจอีกคนก่อนส่งเด็กที่เขาจับได้ให้

   “หนีรอดไปได้ 2 คนครับ”

   “พวกนายนี่ ไม่มีอะไรทำกันรึไง ถึงหาเรื่องพวกฉันไม่หยุดไม่หย่อน” เขาอดไม่ได้ที่จะบ่นเด็กตรงหน้า “ไป พากลับไปที่สถานี”

   ผานกู่ขับรถกลับเข้าไปถึงสถานี ก็พบกับความชุลมุนตั้งแต่ลานจอดรถ และตอนนี้ยังมีเด็กวัยรุ่นอยู่เกือบสิบคนที่ต้องสอบสวน เสียงเอะอะโวยวายของเด็กดังลั่นห้องโถง ไหนจะพ่อแม่ของเด็กบางคนอีกที่มาถึงก็เข้าไปทุบตีลูกของตัวเองที่ไปมีเรื่องทะเลาะวิวาท

   “นายชื่ออะไร” เขาเห็นเหยินหยางผิงกำลังวุ่นวายกับเด็กคนหนึ่ง

   “เกาเจี๋ย”

   “เอาเบอร์ติดต่อพ่อกับแม่มา”

   “ไม่มี พ่อตาย แม่ก็หนี” คำพูดของเด็กคนนั้นทำให้เขาที่กำลังจะเดินไปยังโต๊ะของตัวเองต้องหันไปมอง

   “แล้วเบอร์ผู้ปกครองคนอื่นละ?” ผานกู่เห็นเกาเจี๋ยนั่งเงียบไปพูดอะไร จึงเดินเข้าไปหาเหยินหยางผิง

   “หยางผิง ลุก คนนี้ฉันจัดการเอง นายไปดูคนอื่นไป”

   “มีอะไรรึเปล่าพี่กู่”

   “เหอะน่า บอกให้ลุก ก็ลุกไปสิ” หยางผิงมองเขาอย่างสงสัยแต่ก็ยอมลุกไปโดยดี

   “นายนะ มานี่ นายนั่นแหละ” หยางผิงเรียกเด็กอีกคน ไปนั่งโต๊ะถัดไปเพื่อจะสอบปากคำ

   “ชื่อเกาเจี๋ยสินะ” เขาถามเด็กตรงหน้า

   “อืม”

   “นายทำตัวแบบนี้ไม่กลัวว่าอาของนายจะเสียใจรึไง”

   “นายรู้จักกับกู๋?”

   “เขาส่งเสียให้นายเรียน เพื่อที่จะได้มีอนาคตที่ดี นายไม่ควรทำตัวแบบนี้นะ”

   “คุณจะไปรู้อะไร”

   “ก็ไม่รู้ ถ้านายไม่บอกฉัน”

   “อย่าบอกเรื่องนี้กับกู๋ได้ไหม?”

   “ถ้าไม่บอก แล้วใครจะมารับนายกลับ”

   “ปกติข้ามวันผมก็ได้ออกไปแล้ว”

   “นายคงมีเรื่องแบบนี้บ่อยสินะ”

   เด็กตรงหน้าไม่ตอบอะไร เขาจึงให้เจ้าหน้าที่พาไปขังไว้ ส่วนเขาก็ชั่งใจว่าจะโทรบอกเกาอี้ดีหรือไม่

.........................................................................

   หลังจากผมให้ปากคำกับพี่หยางผิงจบแล้ว ไม่นานก็มีตำรวจมาคอยเฝ้าผมอยู่หน้าห้อง แทนที่บอร์ดี้การ์ดของ ดร.เหมิ๋น ทำให้ผมคิดได้ว่า ปกติผมมักจะเห็นเขาไปไหนมาไหนเพียงคนเดียว ไม่มีผู้ติดตาม แต่พอผมมาอยู่ที่โรงพยาบาลกลับมีคนมาเฝ้าอยู่หน้าห้องผมตลอด หรือเขาจะคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าผมอาจจะถูกฆ่าปิดปาก แล้วตกลงว่า ดร.เหมิ๋นเป็นพวกเดียวกันกับคนพวกนั้นรึเปล่า ยิ่งคิดผมก็ยิ่งสับสน

   เสียงประตูเปิดออกพร้อมกับคนที่ก้าวเข้ามา วันนี้เขาก็มาคนเดียว ไม่มีผู้ติดตาม เขาเห็นว่าผมมองอยู่แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เดินตรงไปยังห้องน้ำ เปิดเข้าไปเหมือนต้องการหาอะไรสักอย่าง

   “นายอยู่คนเดียวเหรอ”

   “ไม่ให้อยู่คนเดียวแล้วจะให้อยู่กับใคร”

   “นักสืบผาน”

   “พี่กู่เขาก็ต้องทำงานทำการสิ จะให้มานั่งเฝ้าผมได้ยังไง”

   “ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย” ดร.น้ำแข็งขั้วโลก นึกจะเปลี่ยนเรื่องก็เปลี่ยน

   “ก็ว่ามาสิ”

   “นายเก็บของของฉันได้”

   “มันไม่อยู่แล้ว” เขาคงหมายถึงไอ้ยานั่น

   “รู้แล้ว”

   “ถ้าคุณรู้แล้ว คุณต้องการอะไรจากผม”

   “รู้ไหมทำไมนายถึงยังไม่ตาย”

   “ก็เพราะถึงโรงพยาบาลทันเวลาไงละ”

   “แล้วรู้ไหมว่าทำไมแผลนายถึงหายช้า”

   “คุณจะบอกว่ามันเป็นผลมาจากยาของคุณใช่ไหม?”

   “ใช่”

   “แสดงว่าคุณยอมรับว่าคุณเป็นพวกเดียวกับพวกมัน”

   “ไม่ใช่ ยาที่พวกมันให้นายกินเป็นยาเสพติดประเภทยากล่อมประสาท เรื่องนี้นายคงรู้แล้ว แต่ของของฉันมันเป็นมีฤทธิ์ในการรักษาซึ่งในโลกนี้มีเพียง 2 เม็ดเท่านั้น”

   “คุณจะบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือไง ที่ยาของพวกมัน กับยาของคุณหน้าตาเหมือนกัน”

   “ใช่”

   “ที่คุณต้องการจะคุยกับผมก็เพื่อจะบอกว่าคุณไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกนั้น”

   “ฉันไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้น”

   “อ่าว แล้วคุณต้องการอะไรจากผมกันแน่”

   “ของสิ่งนี้ไม่มีมนุษย์คนไหนเคยกินเข้าไป นอกจากนาย ในการทดลอง ทีมวิจัยของฉัน...ใช้สิ่งนี้กับสัตว์เท่านั้น”

   “เฮ้ย”

   “ที่นายไม่ตายเพราะของสิ่งนั้นต้านฤทธิ์ยาในตัวนาย ส่วนที่แผลหายช้า คงเป็นเพราะผลข้างเคียง”

   “แล้วผมจะเป็นอะไรไหม”

   “หมอก็บอกแล้วนี่ว่านายปกติดี”

   “คุณเป็นนักโบราณคดี แล้วมาเกี่ยวกับการทดลองยาได้ยังไง หรือว่า... น้ำตากิเลน” ผมจำที่จีเจียนเคยเล่าให้ฟังได้

   “นายรู้จักสิ่งนั้น?” เขาเว้นช่วงให้ผมตอบ แต่ผมไม่ได้รู้จักมันแค่เคยได้ยินเท่านั้นเอง จึงไม่ได้ตอบหรือพูดอะไรออกไป “ถ้าอย่างนั้นก็คงรู้สินะว่ามันวิเศษยังไง”

   “นี่ผมเพิ่งทำลายสมบัติของชาติไปอย่างนั้นเหรอ” ผมเริ่มกังวลแล้วสิ เป็นความผิดของผมเต็ม ๆ

   “อืม” นั่น ไม่คิดจะปลอบใจกันบ้างเลย

   “คุณจะแจ้งจับผมไหม แต่ผมไม่ผิดนะ ผมไม่ได้ตั้งใจจะกินมันเข้าไปสักหน่อย พวกนั้นมันคิดว่าน้ำตากินเลนเป็นยาของพวกมัน”

   “ฉันมีข้อตกลง”

   “ข้อตกลงอะไรรีบว่ามาเลย”

   “นายต้องไม่พูดถึงของสิ่งนั้นอีก ทำเหมือนกับมันไม่มีอยู่จริง”

   “จะมีได้ยังไงละ ก็ผมกินมันเข้าไปหมดแล้วนี่”

   “เรื่องที่นายกินมันเข้าไปก็ต้องไม่มีใครรู้”

   “เล่าไปใครจะเชื่อ”

   “ดี เป็นอันตกลงตามนี้” ดร.เหมิ๋นลุกขึ้น เตรียมจะเดินออกจากห้อง

   “แล้วคุณไม่โกรธผมเหรอที่ทำให้คุณเสียเวลาเปล่า”

   “ฉันแทบจะฆ่านายเลยละ ถ้าทำได้”

   “ผมขอโทษ”

   “ช่างมันเถอะ”

   ดร.น้ำแข็งขั้วโลกพูดโดยไม่เหลียวหลังมามองผมแม้แต่น้อย ได้แต่เดินออกนอกห้องไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เป็นน้ำแข็งขั้วโลกอย่างที่พี่กู่ว่าไว้ไม่มีผิด ดร.โพลาไอซ์!!

.........................................................................

   โฮวจีเจียนกำลังยืนหน้าสลดอยู่ต่อหน้า หยุนฮั่นเตาเนื่องจากเขาโดนฝู่หงส์ปฏิเสธการให้สัมภาษณ์ คนที่จะไปสัมภาษณ์ทางนั้นระบุไว้ว่าต้องเป็นหนานเฟ่ยซานเท่านั้น ซึ่งนี่ก็เป็นสาเหตุให้ตาแก่หยุนจับได้ว่าเขาให้เฟ่ยซานไปงานระดมทุนของเยียนหวอแทน

   “นี่แสดงว่า ที่เฟ่ยซานถูกทำร้าย ก็ไม่ใช่ว่าบังเอิญไปทำข่าวที่โรงแรมนั่น อย่างที่นายอ้างกับฉันสินะ”

   “ครับ บ.ก.”

   “ฉันควรทำยังไงกับนายดี”

   “บ.ก. วันนั้นผมมีธุระด่วนจริง ๆ แล้วก็ไม่คิดว่าเฟ่ยซานจะเกิดเรื่อง”

   “แล้วนายรู้รึยังว่าเฟ่ยซานไปเจออะไรมา”

   “ยังไม่ได้ถาม”

   “นายไปเยี่ยมเฟ่ยซานประสาอะไร ทำไมไม่ถามให้รู้เรื่อง”

   “ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวผมจะรีบไปถามมาให้นะครับ”

   “ไม่ต้องคิดจะหนีเลย คิดว่าฉันไม่รู้จากนาย แล้วฉันจะหาทางเองไม่ได้รึยังไง”

   “เอ่อ บ.ก. รู้แล้วเหรอครับ”

   “ก็เออสิวะ ฉันเป็น บ.ก. เพราะความสามารถไม่ได้ไปหาซื้อมานะโว้ย”

   “แล้ว บ.ก. จะไม่ลงโทษผมใช่ไหม”

   “ถ้าไม่ลงโทษ ก็ไม่ใช่หยุนฮั่นเตาแล้ว”

   “โถ บ.ก. ละเว้นผมสักครั้งเถอะนะครับ”

   “ฉันละเว้นนายมาเท่าไรแล้ว คราวนี้ฉันจะไม่ให้โอกาสนายอีกต่อไป”

   “โถ..บ.ก.”

   “ไป ออกไปได้แล้ว ฉันจะทำงาน”

   โฮ่วจีเจียนได้แต่จำใจยอมเดินออกจากห้องมา ใครจะไปคิดว่าฝู่หงส์จะมาถูกใจเฟ่ยซาน เขาเองก็ใช่ว่าจะไปทำอะไรให้เธอไม่พอใจสักหน่อย ถ้าจะแก้ตัวใหม่ คงต้องพยายามตามตื้อ ดร.เหมิ๋นผู้แสนเย็นชา เพื่อขอสัมภาษณ์ให้ได้

.........................................................................

   เหมิ๋นหยวนฮ่างกลับเข้ามาที่เพนเฮ้าส์ของเขาภายในโรงแรม เพียงแค่เดินเข้ามา ไม่ต้องบอกกล่าวกับใคร แม่ของเขาคงจะรับรู้ถึงการมาของเขาได้ในไม่ช้า เมื่อเข้าไปยังห้องทำงาน สิ่งแรกที่ทำคือการอ่านรายงานจากซือเมิ่งอิ๋งที่เขากำชับให้ส่งทุกวัน

   รายงานฉบับล่าสุดไม่มีอะไรน่าสนใจ เนื่องจากผลยังคงเป็นเหมือนเดิม เรื่องที่น่าดีใจคงจะเป็นเรื่องที่กระต่ายที่ได้รับการรักษา ตอนนี้ขนอ่อนเริ่มขึ้นแล้ว ก็ถือว่าเร็วพอสมควร เสียงกริ่งหน้าประตูห้องทำให้เขาละจากหน้า แล้วเดินไปเปิดประตู

   “ทำไมม๊าไม่เข้ามาเลยละครับ หรือว่าลืมรหัส”

   “ม๊ากลัวว่าลูกจะยุ่งอยู่กับสาวที่ไหน”

   “ม๊าล้อผมเล่นแล้ว ผมไม่เชื่อหรอกนะ ว่าม๊าจะไม่รู้ว่าผมอยู่คนเดียว”

   “แล้วลมอะไรพัดให้ลูกม๊ามานอนที่นี่ได้ละ”

   “ผมจะมาฝากกุญแจบ้านคืนอี๊ เลยมานอนที่นี่ซะเลย”

   “อ่าว ไม่พักที่นั่นแล้วเหรอ?”

   “ครับ ผมคุยกับหนานเฟ่ยซานแล้ว”

   “อืม แล้วเรื่องผลจากน้ำตากิเลนละ”

   “ไม่น่าจะมีอะไรแล้วครับ นอกจากเรื่องแผลที่หายช้ากว่าปกติ ถ้าเจ้าตัวเขาระวังตัวเอง ก็ไม่มีอะไรน่าห่วง”

   “ถ้าอย่างนั้น ม๊าจะได้บอกอาเถิงให้ถอนกำลังคนออกจากโรงพยาบาล”

   “มีตำรวจคอยเฝ้าอยู่แล้ว เตี๋ยยังให้คนไปเฝ้าเขาอีกเหรอครับ”

   “อี๊ต่างหาก ลูกก็รู้ว่าอี๊นะมองสถานการณ์ได้เฉียบขาดขนาดไหน”

   “เหมือนอี๊จะไม่ไว้ใจพวกตำรวจมากกว่า”

   “นั่นก็ด้วยส่วนหนึ่ง”

   “อีกสองวัน ผมจะส่งมอบกล่องสำริดให้พิพิธภัณฑ์ ทางนั้นเขาจะจัดงานเปิดตัวให้คนทั่วไปเข้าชมกันประมาณเดือนหน้า”

   “พูดแบบนี้แสดงว่า พอส่งมอบเสร็จก็จะกลับเกาลูนเลยใช่ไหม”

   “ครับ น่าจะมาอีกทีก็ช่วงที่จะเปิดตัวกล่องสำริด”

   “ตามใจลูกแล้วกันนะ เดี๋ยวม๊าไปดูแลแขกก่อน ค่ำๆ จะมาทานข้าวด้วย จะทานที่นี่หรือห้องอาหารข้างล่างดีละ”

   “ที่นี่แล้วกันครับ เดี๋ยวผมทำให้ทานเอง แค่ขอวัตถุดิบจากห้องครัวสักหน่อย”

   “ลูกก็โทรลงไปสั่งให้เขาเอาขึ้นมาให้แล้วกัน ม๊าไปก่อนละ”

   เหมิ๋นหยวนฮ่างเดินไปส่งแม่ของเขาที่ประตู ก่อนกลับไปนั่งอ่านรายงานที่ค้างอยู่ จนกระทั่งถึงเวลาเตรียมอาหารค่ำ

To Be Continue

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
8



   เหมิ๋นหยวนฮ่างรีบเดินทางมาที่โรงพยาบาลเกียงวูแต่เช้า เพื่อพบหมอเจ้าของไข้ที่ทำการรักษาหนานเฟ่ยซาน เขาได้โทรคุยเรื่องสำคัญไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ซึ่งคุณหมอเองก็ตอบรับ และยินดีช่วยเหลือเขาเป็นอย่างดี

   “ดร.เหมิ๋น มาแต่เช้าแบบนี้แสดงว่าเรื่องที่คุยกันเมื่อคืนคงจะมีความสำคัญไม่น้อย”

   “ของที่ผมต้องการ”

   “หลังจากที่ได้รับโทรศัพท์จากคุณ ผมก็ให้ผู้ป่วยงดอาหารทันที รออีก 3 ชั่วโมงก็เจาะเลือดได้”

   “ไม่จำเป็น”

   “ให้ผมจัดการตอนนี้?”

   “ใช่”

   “ถ้าอย่างนั้น รบกวนดอกเตอร์รอสักครู่” รออยู่ไม่นาน เขาก็ได้ในสิ่งที่ต้องการ

   “ขอบคุณมากครับ”

   เมื่อได้ตัวอย่างเลือดของหนานเฟ่ยซานแล้ว เขาก็รีบกลับไปที่โรงแรมทันที และพบซือเมิ่งอิ๋งมารออยู่ที่ล้อบบี้แล้ว ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกัน เมิ่งอิ๋งได้แต่ตามเขาขึ้นไปยังเพนเฮ้าส์

   “ดอกเตอร์จะทำแบบนี้จริง ๆ เหรอคะ”

   “ไม่ลองก็ไม่รู้”

   “แต่มันอันตราย”

   “ก็แค่เล็กน้อย ผมเตรียมการไว้หมดแล้ว”

   เขาพูดพร้อมทั้งหยิบกล่องปฐมพยาบาลขึ้นมาไว้ตรงหน้า เมิ่งอิ๋งก็ไม่กล้าขัดเขาอีก จากนั้นเขาก็หยิบมีดที่เตรียมไว้ขึ้นมากรีดที่ผ่ามือซ้ายของตัวเอง เลือดค่อย ๆ ไหลซึมออกมาทางปากแผล เขาได้แต่กัดฟันทนกับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น

   เมิ่งอิ๋งไม่รอช้า เธอรีบหยิบหลอดเลือดที่ได้จากหนานเฟ่ยซานขึ้นมาค่อยเทใส่ฝ่ามือของเหมิ๋นหยวนฮ่าง ทันทีที่หยดเลือดกระทบบาดแผล เขาก็รับรู้ได้ถึงอาการชา ก่อนจะเริ่มคันยิบ ๆ ความเจ็บปวดค่อย ๆ บรรเทาลงจนหายไปในที่สุด

   “พอแล้ว”

   เมิ่งอิ๋งวางหลอดเลือดลงจากนั้นก็นำผ้าขาวมาซับเลือดบนฝ่ามือออก ก่อนจะใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์มาเช็ดทำความสะอาด ภาพที่เห็นตรงหน้าเหลือเพียงรอยแดงเป็นทางยาวตามรอยกรีดของมีด

   “น่าอัศจรรย์จริง ๆ”

   “เรื่องของหนานเฟ่ยซานมีแค่คุณกับผมเท่านั้นที่รู้”

   “เสียดายนะคะ ที่มันใช้ข้ามสายพันธุ์ไม่ได้”

   “ถึงแม้จะใช้ได้ ผมก็ไม่มีความคิดที่จะเอาเลือดมาใช้ในการรักษาหรอกนะ”

   ที่เขารู้ว่าเลือดของหนานเฟ่ยซานช่วยรักษาบาดแผลได้เป็นเพราะเมื่อคืนนี้ซือเมิ่งอิ๋งโทรเข้ามาหลังจากที่ทานอาหารค่ำกับแม่ของเขาเสร็จไม่นาน เธอบอกกับเขาเกี่ยวกับเลือดของกระต่ายตัวที่กินน้ำตากิเลนเข้าไป

   ในตอนที่เดอกเตอร์อิ๋งจะนำเลือดของกระต่ายมาตรวจ แต่เพราะความสะเพร่าทำหลอดเลือดหล่นแตก เลือดกระเด็นไปยังกรงกระต่ายที่บาดเจ็บจากการทดสอบเครื่องสำอาง ซึ่งเป็นตัวที่ยังไม่ได้รับการรักษา เจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่เข้ามาช่วยเก็บเศษแก้วและทำความสะอาดพื้น สังเกตเห็นว่าบริเวณขา ของกระต่ายตัวหนึ่ง ซึ่งเคยมีแผลอยู่กลับเห็นเป็นเพียงขนแหว่งไปเท่านั้น จึงรีบนำรูปมาเทียบ เพราะก่อนที่จะนำเข้ามาในแล็บ สัตว์ป่วยพวกนี้ จะมีการถ่ายรูปสภาพบาดแผลและบันทึกอาการป่วยทุกตัวไว้

   ซือเมิ่งอิ๋วเมื่อรับรู้จึงลองเอาเลือดของกระต่ายตัวนั้นไปทดสอบกับสัตว์ประเภทอื่น แต่กลับไม่เป็นผล เขาจึงต้องมาทดสอบด้วยตัวเขาเองแบบนี้

   “ค่ะ”

   “ดูแลกระต่ายตัวนั้นให้ดี”

   “เจ้ากระต่ายตัวนั้น กลายเป็นกระต่ายที่มีค่ามากที่สุดในโลกไปแล้ว”

   “เรื่องกระต่ายตัวนั้น มีคนรู้น้อยเท่าไรยิ่งดี”

   “แล้วคุณหนานเฟ่ยซานละคะ”

   “ถ้าไม่มีใครพูดอะไร เขาก็ปลอดภัย”

   “ดิฉันไม่แพร่งพรายแน่นอนค่ะ”

   “ดี” เขาพูดได้เพียงเท่านี้ เสียงกริ่งประตูก็ดังมาขัดจังหวะเสียก่อน เขาจึงเดินเข้าไปเปิดประตู

   “ครั้งนี้ม๊าทำถูกแล้วใช้ไหม หวังว่าคงไม่ได้มาขัดจังหวะลูกหรอกนะ”

   “ม๊าล้อผมเล่นอีกแล้ว”

   “ก็เราขึ้นมากับผู้หญิง ร้อยวันพันปีมีที่ไหน”

   “นี่ ดร.ซือเมิ่งอิ๋ง คนจากแล็บที่เกาลูน”

   “หืม มาจากเกาลูน หรือว่ามีเรื่องด่วนอะไร แล้วนี่ทำไมเลือดเต็มไปหมด”

   “คุณกลับไปได้แล้ว ทางนี้ผมจัดการต่อเอง”

   “ค่ะ ดอกเตอร์ ขอตัวก่อนนะคะคุณนายเหมิ๋น”

   เมื่อซือเมิ่งอิ๋งออกจากห้องไป ระหว่างที่เขาเก็บกวาดสิ่งของที่อยู่บนโต๊ะ เขาก็เล่าเรื่องที่เพิ่งจะทดลองมาหมาด ๆ ให้แม่ของเขาฟังไปด้วย พร้อมแบมือข้างที่เขากรีดให้ดูถึงผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย์

   
.........................................................................

   หวงกังโหถูกพาตัวมายังสถานีตำรวจเพื่อสอบสวนคดีทำร้ายร่างกาย เขาคิดอยู่แล้วว่า ถ้าไอ้หนุ่มตากลมนั่นไม่ตาย มันต้องจำหน้าเขาได้แน่นอน ลูกน้องของเขาเองก็สืบได้ว่า มันยังนอนพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล คงยังไม่สามารถมาชี้ตัวเขาได้ในตอนนี้

   ภายในห้องสอบสวนมีเขาและนายตำรวจอีกสองคน บนโต๊ะมีซองใสที่ใส่ยาสีฟ้าเม็ดกลมอยู่ 2 เม็ด เขาเตรียมพร้อมรับมือมาแล้ว พวกตำรวจตรงหน้าไม่สามารถทำอะไรเขาได้แน่นอน

   “หวงกังโห คนที่นายพยายามฆ่าปิดปาก เขาให้การว่านายลักลอบขายยาเสพติดและอาวุธ”

   “คุณตำรวจ ข้อกล่าวหานั่น ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เลยนะ และที่คุณว่าเขากำลังจะโดนฆ่าปิดปาก คนมันกำลังจะตาย มันก็ต้องกลัวเป็นธรรมดา ถ้าสับสนจำผิดจำถูกก็เป็นได้ไม่ใช่เหรอครับ”

   “ถ้าอย่างนั้น นายไปทำอะไรที่โรงแรม Grand Lapa Macau” นายตำรวจอีกคนถามเขา

   “ก็ไปร่วมงานระดมทุนของเยียนหวอไง หลายคนในงานเป็นพยานได้ อ่อ คุณหลิวลู่เองก็เป็นพยานให้ผมได้นะ”

   “หลิวลู่รองประธานบริษัทเยียนหวอคนนั้นอะนะ คนอย่างนายไม่น่าจะไปรู้จักกับคนระดับนั้นได้”

   “นี่คุณ อย่ามาดูถูกผมจนเกินไป ถึงผมจะเปิดผับเล็ก ไม่กี่แห่ง แต่ก็เป็นธุรกิจถูกกฎหมาย แล้วก็ไม่มีกฎหมายข้อไหนห้ามผมขยายสาขานี่”

   “หยางผิง นายไปตรวจสอบดู”

   “ครับพี่กู่” นายตำรวจคนหนึ่งออกจากห้องไป

   “นี่ผมจะบอกอะไรให้นะ ผมไปคุยกับคุณหลิวเรื่องเปิดผับภายในรีสอร์ตของเขาที่เกาะเฉิ่งเจ้า และเขาเองก็สนใจโครงการของผมมากด้วย ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ลงไปเอาเอกสารที่ลานจอดรถนั่นหรอก คนที่คุณอ้างว่าผมจะฆ่าเขาคงจะเห็นหน้าผมในตอนนั้น เลยสับสนไปมากกว่า”
   
   “ฉันรู้ว่านายไปที่ลานจอดรถนั่นทำไม นายไปเพื่อแลกเปลี่ยนยากับปืน แล้วยานี่ก็เป็นของนาย ยาที่นายยัดให้เฟ่ยซานกินจนเกือบตาย” นายตำรวจคนนั้นพูดขึ้นอย่างโมโหจัด

   “ผมก็บอกแล้วว่าผมไม่ได้ทำ แล้วยานี่ มันก็ไม่ใช่ของผม”

   หวงกังโหยังคงปฏิเสธหน้าตาย เพราะไร้หลักฐาน ทำให้ผานกู่พุ่งข้ามโต๊ะมากระชากคอเขากดลงบนโต๊ะ เขาพยายามเอามือปัดป้อง แต่ด้วยท่าทางที่ฝืนธรรมชาติ ทำให้เขาขยับตัวได้ไม่มากนัก ก่อนที่เขาจะเจ็บตัวไปมากกว่านี้ก็มีนายตำรวจ 2 เข้าเข้ามาห้ามแล้วดึงผานกู่ออกไป

   “ผานกู่ใจเย็นๆ”

   “ใช่พี่กู่ใจเย็นก่อน เดี๋ยวเรื่องจะไปกันใหญ่”

   เขาที่เป็นอิสระมองตำรวจ 3 คนกำลังยื้อยุดกันอยู่ จึงได้แต่มองเฉย ๆ และจัดการเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทาง เก็บกระดุมแขนเสื้อที่หลุดลงบนโต๊ะกลับมากลัดเข้าที่

   “เอาเป็นว่าผมยังใจดีไม่ถือสาเรื่องที่เกิดขึ้น และจะไม่ฟ้องพวกคุณ ถ้าวันนี้ไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อน” พูดจบเขาก็เดินออกจากห้องสอบสวนไปทันที ด้านหลังยังได้ยินเสียงโวยวายของนายตำรวจหนุ่มดังลั่น

.........................................................................

   บรรยากาศภายในงานเลี้ยงบนเรือเฟอร์รี่ ควรจะจบลงไปนานแล้ว แต่กลับยังไม่มีใครยอมเลิกรา ยังคงสนุกสานกันอยู่ทั้งที่เรือกำลังจะเทียบท่าในไม่กี่นาทีข้างหน้า ซึ่งเจ้าของงานรวมไปถึงเจ้าของเรือเองก็ดูจะไม่เป็นกังวลอะไร เดินออกจากงานเพื่อเตรียมลงเรือ โดยมีลูกน้องตามหลังเป็นพรวน

   เมื่อลงจากเรือ รถ Rolls Royce Phantom Limo สีขาวมาจอดรอเขาอยู่ ลูกน้องคนหนึ่งรีบเดินนำหน้าเพื่อไปเปิดประตูให้กับเขา พร้อมด้วยผู้ติดตามอีกคนที่ก้าวเข้ามานั่งภายในรถด้วย

   “เรื่องที่ให้ไปจัดการเรียบร้อยดีไหม?” เขาถามคนที่นั่งรออยู่บนรถก่อนแล้ว

   “หวงกังโหมันไม่ยอมรับของของมันคืน มันขอแลกเป็นปืนกลมือ 5 กระบอก”

   “หึ มันคิดว่ายาของมันจะมีค่ามากขนาดนั้นเลยหรือยังไง”

   “แล้วก็มีอีกเรื่องที่นายต้องทราบ”

   “ว่ามา”

   “วันที่ผมไปส่งของ มีคนเห็นพวกเราเข้า กังโหมันเป็นคนจัดการต่อ แต่พยานรอดไปได้”

   “มันเห็นหน้าแกไหม”

   “ไม่เห็นครับ ผมหลบออกมาก่อน แต่ก็แอบซุ่มดูอยู่”

   “แกไปจัดการกังโหซะ แล้วบอกมันเป็นครั้งสุดท้ายด้วยว่า ฉันรับแต่เงินสดเท่านั้น” เขาหันมาสั่งงานคนข้างๆ ที่เป็นทั้งบอร์ดี้การ์ดและคนสนิท

   “ของล็อตใหม่จะมาถึงพร้อมกับอะไหล่ แกเตรียมโกดังกับคนไว้ให้พร้อม” เขาหันกลับมาคุยงานกับคนตรงหน้าต่อ

   “ไม่เกิน 5 วัน โกดังที่จูไห่ก็พร้อมให้ขนของเข้าครับนาย”

   “ดี”

   การพูดคุยจบลงเมื่อมาถึงที่หมาย ประตูรถเปิดออกโดยมีคนของเขาก้าวลงไปก่อน จากนั้นเขาก็ก้าวตามโดยมีลูกน้องกลุ่มใหญ่ยืนรอรับ จากนั้นรถลิโม่สีขับก็เคลื่อนตัวออกไป

.........................................................................

   ผานกู่ถูกหัวหน้าตำหนิเรื่องการสอบสวนหวงกังโห ทำให้เขาถูกถอดออกจากคดีนี้ โดยให้ทีมสืบสวน 1 คนอื่นช่วยสืบต่อร่วมกับทีมที่ 2 เหยินหยางผิงก็สาระวนอยู่กับข้อมูลในคดีที่ทำร่วมตู้เห่า

   “พี่กู่ ใจเย็นๆ เถอะ ยังไงอาเห่าเขาก็จัดการได้อยู่แล้ว พยาน หลักฐานพร้อมขนาดนั้น”

   “ดูโหงวเฮ้งก็รู้แล้วว่ามันไม่ใช่คนดี”

   “เอาน่าพี่ ยังไงมันก็เอาหลิวลู่มาเป็นพยานให้มันไม่ได้แล้ว เท่านี้ก็แค่รอให้เฟ่ยซานออกจากโรงพยาบาล มาชี้ตัว มันก็ดิ้นไม่หลุดแล้ว”

   “หลิวลู่ว่ายังไงบ้าง”

   “เขาบอกว่าเขาได้คุยกับหวงกังโหจริง แต่ไม่ได้สนใจโครงการของหมอนั่นมากนัก มีแต่มันเองนี่แหละที่กระตือรือร้นอยากจะเปิดผับที่เกาะเฉิ่งเจ้า เลยออกไปเอาร่างโครงการมาให้ แต่ตอนที่กลับเข้ามานั้น คุณหลิวเขาไม่ได้ให้เข้าพบ เพราะเขาอยู่กับครอบครัว หวงกังโหจึงฝากเอกสารไว้ที่ผู้ช่วย”

   “ถ้าอย่างนั้นคุณหลิวก็ไม่เห็นว่าหวงกังโหกลับเขาไปในงาน และเข้าไปตอนไหน”

   “ใช้ เพราะฉะนั้นหลักฐานที่อยู่ของมันจึงใช้ไม่ได้”

   “หึ ดี ฉันอยากจับมันเข้าคุกจะแย่แล้ว”

   “ตอนแรกผมกำลังเตรียมขยายผลไปยังคดีค้าอาวุธ แต่ตอนนี้คงต้องรอให้หัวหน้าสั่งแล้วล่ะ คดีนี้ก็ถือว่าเป็นคดีใหญ่ จะผิดพลาดอีกไม่ได้”

   “ก็จริงอย่างที่ทนายว่า มาคิดแล้ว เป็นฉันเองที่ใจร้อนเกินไป”

   “ผมรู้ว่าพี่เป็นห่วงเฟ่ยซาน ผมเข้าใจพี่ดี”

   “ขอบใจ หยางผิง”

   “พี่กู่ หยางผิง”

   “อ่าว จื่ออู่ หายหน้าหายตาไปหลายวันเลยนะ” เหยินหยางผิงทักคนที่เข้ามาใหม่

   “นายก็เปลี่ยนไปซุ่มดูฉินหรุยกวงแทนฉันสิ อยู่กินแต่บนรถหลาย ๆ วัน ฉันว่านายคงชอบ”

   “เอาล่ะๆ เลิกบ่นได้แล้ว ได้อะไรมาบ้าง” เขาห้ามคนตัวเล็กที่ดูเหมือนจะพุ่งเข้าฟัดคนตัวใหญ่กว่าอย่างเหยินหยางผิง

   “เมื่อสองวันก่อน บ้านของฉินหรุยกวงโดนขโมยขึ้น ได้ของมีค่าไปเล็กน้อย แต่ที่น่าแปลกก็คือ หลังจากมีขโมยขึ้นบ้าน ฉินหรุยกวงก็จ้างยามมารักษาความปลอดภัยเพิ่มขึ้นจากเดิม”

   “แสดงว่าในบ้านนั้นต้องมีอะไรซ่อนอยู่” หยางผิงพูดขึ้นเมื่อได้ยินรายงานจากจื่ออู่

   “แล้วเรื่องขโมยของละ หัวขโมยได้อะไรไปบ้าง”

   “จากข้อมูลในคดีที่ผมไปขอดูมา” จื่ออู่เปิดสมุดจดขึ้นก่อนว่าต่อ “เด็กที่ชื่อเกาเจี๋ยกับพวกอีก 2 คน ปีนรั้วและงัดหน้าต่างที่ห้องครัวเข้าไปในตัวบ้าน จากนั้นก็เขาไปรื้อค้นของมีค่าภายในห้องทำงาน ได้แลปท้อปไปเครื่องหนึ่ง กับนาฬิกาข้อมือที่ฉินหรุยกวงถอดแล้วลืมทิ้งไว้”

   “เกาเจี๋ยอย่างนั้นเหรอ”

   “เด็กคนที่เพิ่งถูกจับมาเมื่อวานนี่” หยางผิงหันมาถามเขา

   “ไป ไปดูว่าถูกปล่อยตัวไปแล้วรึยัง”

   พวกเขาทั้งสามคนเดินไปยังห้องที่คุมขังกลุ่มเด็กที่ทะเลาะวิวาทกันเมื่อวานนี้ ปรากฏว่าเด็กที่เหลือถูกปล่อยตัวออกไปหมดแล้ว

   “จื่ออู่ นายรู้ไหมว่าเด็กคนนั้นหลุดรอดจากคดีลักทรัพย์มาได้ยังไง?”

   “รู้สึกว่ามีคนเข้ามาประกันตัวนะ แล้วฉินหรุยกวงเองก็ไม่ได้เอาเรื่องเอาราวอะไร เห็นว่าเป็นเด็ก”

   “เกาอี้เป็นคนไปประกันตัวรึเปล่า” เขาถามอย่างสงสัย เพราะก่อนหน้านี้ เกาเจี๋ยห้ามไม่ให้เขาบอกกับเกาอี้ เรื่องที่ถูกจับ

   “ไม่ใช่ครับพี่กู่ แล้วเกาอี้นี่เป็นใคร?”
   
   “ใครเป็นคนประกันตัวเกาเจี๋ย” เป็นจริงอย่างที่เขาคิด เกาเจี๋ยไม่ต้องการให้เกาอี้รู้

   “ไม่ทราบครับ เห็นว่าไม่เกี่ยวกับฉินหรุยกวง ผมเลยไม่ได้ใส่ใจ”

   “อาจจะเกี่ยวกันก็เป็นได้ เกาเจี๋ยคือลูกชายของโชเฟอร์แท็กซี่ ที่ฉินหรุยกวงเป็นเจ้าของ”

   “มันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้วละ” หยางผิงที่ฟังมานานออกความเห็น ซึ่งจื่ออู่ก็พยักหน้าเห็นด้วย

   สิ่งที่เหยินหยางผิงกับเหมี่ยนจื่ออู่คุยกันมีหลายข้อที่เขาสงสัย มันทำให้เขาเดินกลับไปยังโต๊ะเพื่อค้นประวัติของเกาเจี๋ย โดยมีทั้งสองคนตามมาด้วย พวกเขาทำงานด้วยกันมานาน จึงพอจะทันความคิดของกันและกัน ยังนั่งโต๊ะได้ไม่ทันทำอะไร กัมหงก็ร้องขึ้นหลังจากวางหูโทรศัพท์

   “มีรถบัสระเบิดอยู่ที่มาเก๊าสแควร์”

   “อีกแล้วเหรอ” หัวหน้าของเขาบ่นอย่างหัวเสีย “ไปๆ พวกนายไป รีบไปจัดการ”

   พวกเขาทั้งหมดจึงรีบไปยังสถานที่เกิดเหตุทันที หลังสิ้นคำสั่งของหัวหน้า

   
To Be Continue

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
9




   คุณหมอบอกกับผมว่า ผมสามารถออกจากโรงพยาบาลได้ในวันพรุ่งนี้ เนื่องจากผลตรวจเลือดที่เจาะไปเมื่อวานไม่พบเจอสิ่งผิดปกติอะไร ส่วนร่างกายของผมตอนนี้ ก็ลายเป็นตุ๊กแก ถึงแม้จะไม่ค่อยเจ็บปวดแล้ว แต่ร่องรอยการถูกทำร้ายก็ยังคงอยู่

   เมื่อวานตอนเย็น บ.ก. มาเยี่ยมผมที่โรงพยาบาล เขาไม่เชื่อคำพูดของจีเจียนที่บอกว่าผมยังไม่หายดี จึงต้องมาเห็นด้วยตาของตัวเอง หนำซ้ำผมยังโดนตำหนิที่ไปช่วยงานจีเจียนจนตัวผมเองต้องมานอนเจ็บอยู่แบบนี้ ทำให้เสียงานเสียการอีกด้วย

   ข้อมูลที่ บ.ก. เอาให้กับผมไว้เมื่อคืนก็คือภาพถ่ายที่เกิดเหตุจากช่างภาพของสำนักข่าว รถบัสระเบิดอีกคันแล้ว ภาพรถดำเป็นตอตะโก คนโดยสารเต็มคันเพราะเป็นช่วงเวลาเลิกงานพอดี สะเก็ดระเบิดกระเด็นไปโดนผู้ที่สัญจรไปมาบริเวณนั้นทำให้ได้รับบาดเจ็บกันไปหลายราย

   “นี่ ๆ พี่รู้ว่าพรุ่งนี้เราก็ออกจากโรงพยาบาลแล้ว วันนี้ยังพอได้พักก็อย่าเพิ่งเอางานขึ้นมาทำสิ” พี่ผานกู่เปิดประตูห้องเข้ามาก็ไม่วายบ่นผม

   “รถบัสรุ่นเดียวกับครั้งที่แล้วเลย พี่กู่ดูสิ” ผมทำเป็นไม่สนใจคนขี้บ่น

   “ฉันรู้แล้ว นี่ก็กำลังสืบกันอยู่ นายไม่ต้องห่วง”

   “พี่กู่ พี่ส่งรายละเอียดคดีรถแท็กซี่ให้ผมรึยัง”

   “ฉันเห็นนายนอนอยู่บนเตียงแบบนี้ คิดว่าฉันจะส่งให้ไหมล่ะ”

   “โถ่พี่กู บอกพี่หยางผิงส่งเข้าอีเมลให้ผมหน่อยได้ไหม ผมมีเรื่องสงสัย”

   “นายสงสัยอะไร”

   “เอาน่า ผมยังไม่แน่ใจ พี่ช่วยผมหน่อยสิ”

   “เออๆ ไม่ต้องให้หยางผิงส่งหรอก เดี๋ยวพี่กลับไปแล้วจะรีบส่งมาให้ ตอนนี้หยางผิงไปดูที่เกิดเหตุ คดีฆ่ารัดคออยู่”

   “เจออีกศพแล้วเหรอพี่”

   “อืม”

   “แล้วเป็นยังไงบ้าง”

   “ยังไม่รู้ เมื่อเช้าตรู่วันนี้มีคนโทรมาแจ้งว่าพบศพผู้หญิงคนหนึ่ง ถูกรัดคอด้วยลวดหนาม เห็นพ้องยางผิงกับจื่ออู่เลยไปตรวจสอบ”

   “แล้วหวงกังโหละพี่ จับได้ไหม”

   “คดีนี้ทีม 2 รับหน้าที่ไปดูแล ว่าแต่นายเถอะ ในหัวนี่มีแต่คดี มีแต่จะหาข่าวรึไง ร่างกายตัวเองไม่สนใจเลยใช่ไหม?” พี่กู่เอานิ้วจิ้มหนักๆ ลงมาที่หัวของผมหลาย ๆ ทีจนผมต้องปัดออก

   “ขี้บ่นอะ ว่าแต่ผมแล้วพี่กู่คนเก่ง ว่างมากหรือไงถึงได้มาเฝ้าผมแบบนี้”

   “ฉันหามานายเพราะเบาะแสที่นายให้ไว้ต่างหาก”

   “ทำไม โย่วซินหรูมีอะไรน่าสงสัยอย่างนั้นเหรอ?”

   “ไม่มี เธอก็ไม่รู้เรื่องอะไร”

   “งั้นข้อสันนิษฐานของผมก็ใช้ไม่ได้นะสิ”

   “ก็ไม่แน่เสมอไป เพราะพี่ลองดูประวัติของเกาเจี๋ยแล้ว เกาเจี๋ยนี่นับได้ว่าเป็นผู้ต้องสงสัยคนหนึ่ง”

   “เด็กอายุ 14 อย่างเกาเจี๋ย เนี่ยนะเป็นผู้ต้องสงสัย”

   “ปีนี้เกาเจี๋ยอายุ 19 ย่าง 20 แล้ว และระยะหลังนี้ก็ก่อคดีมาไม่น้อย เมื่อวานจื่ออู่เพิ่งสืบได้ว่า บ้านของฉินหรุยกวงถูกขโมยขึ้นบ้านเมื่อไม่กี่วันก่อน ส่วนคนที่ย่องเข้าไปก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเกาเจี๋ย”

   “เด็กอายุแค่นี้ ถ้าแค่ก่อคดีเล็กน้อยก็ว่าไปอย่าง แต่เรื่องระเบิดรถนี่จะไปทำอะไรยังไง บังเอิญเกินไปรึเปล่า”

   “ก็อาจจะใช่ ถ้าพี่ไม่ไปเจอเข้ากับอีกคดีหนึ่ง”

   “เกาเจี๋ยทำอะไร”

   “เด็กนั่นกับเพื่อนแอบเข้าไปขโมยดินปืนที่โรงงานผลิตพลุแห่งหนึ่ง”

   “เด็กอย่างเกาเจี๋ย ไม่มีทางที่จะทำคนเดียวได้แน่ๆ”

   “ใช่ เขาน่าจะมีผู้สมรู้ร่วมคิด คราวที่เข้าไปขโมยของที่บ้านฉินหรุยกวง ก็มีคนไปประกันตัวเด็กคนนี้ออกมา จื่ออู่ที่ไม่รู้ว่าเกาเจียเป็นลูกของโชเฟอร์แท็กซี่ เลยไม่ได้ใส่ใจเก็บข้อมูลไว้”

   “พี่สงสัยว่าคนที่เข้าไปประกันตัว น่าจะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดอย่างนั้นเหรอ”

   “ก็มีทางเป็นไปได้อยู่ แล้วที่พี่สงสัยอีกอย่างหนึ่งคือ ทำไมฉินหรุยกวงถึงไม่เอาผิดกับเกาเจี๋ย แล้วยังจ้างยามเพื่อมารักษาความปลอดภัยเพิ่มขึ้น”

   “เป็นไปได้ไหมว่า ฉินหรุยกวงจะรู้จักกับเกาเจี๋ย”

   “พี่คงต้องตามตัวเกาเจี๋ยมาสอบสวนดูอีกที นี่พี่แวะมาหาเราก่อนค่อยเข้าสถานี”

   “พี่กู่ ช่วยตรวจสอบให้หน่อยว่ารถแท็กซี่นั่นใช่ทะเบียนนี้ไหม?”

   “38-04? นายรู้ได้ยังไง”

   “เป็นทะเบียนเดียวกันจริง ๆ ด้วย”

   “นายเจออะไร”

   “นี่คือรูปรถบัสที่ระเบิดเมื่อวาน บ.ก. เอามาให้ผม” ผมยื่นภาพให้เขาดู

   “นายให้ดูอะไร”

   “ทะเบียนรถ”

   “MM 38-04”

   “แล้วนี่ รถบัสที่ระเบิดครั้งก่อน”

   “MC 38-04”

   “นี่มัน”

   “ใช่ สองคดีนี้น่าจะเกี่ยวข้องกันแน่นอน”

   “ดีละ พี่จะรีบกลับไปที่สถานี แล้วรายงานให้หัวหน้าทราบ ขอบใจมากนะเฟ่ยซาน”

   พี่กู่เอามือหนามาโยกหัวผมไปมาเหมือนอย่างที่ชอบทำเป็นประจำ จนผมต้องปัดออกเหมือนทุกที เขาไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะออกจากห้องไป

.........................................................................

   ไหว่ยี่ทำกับเขาได้เจ็บแสบจริง ๆ ไม่คิดว่านอกจากเลิกทำการค้ากันแล้วยังเล่นงานเขาอีก หวงเห็นพ้องโหได้แต่หงุดหงิดอยู่ในใจ หลังจากที่เขากลับจากสถานีตำรวจ เขาก็พอจะรู้ว่าตำรวจพวกนั้นไม่เชื่อสิ่งที่เขาให้หารเลยสักนิด สังเกตได้จากการที่แอบส่งคนติดตามเขาอยู่ห่าง ๆ ซึ่งเขาก็ระวังตัวเป็นอย่างดี แต่ไม่คิดไม่ถึงว่าคนของไหว่ยี่จะแอบเอายาที่เขาเสนอให้มาซุกไว้ตามผับของเขา

   ที่เขารู้ว่าเป็นฝีมือของไหว่ยี่ เพราะตำรวจบุกเขามาค้นผับของเขาในคราวเดียวกันทุกที่ พวกมันยังจ้างคนใครบางคนมาแสดงเป็นผู้ขาย ให้ตำรวจล่อซื้อได้ง่าย ๆ อีก ทำทีเป็นลูกน้องที่ซัดทอดมาถึงเจ้าของผับ จนตำรวจรวบได้ทั้งหลักฐาน พยาน จนเขาต้องหนีหัวซุกหัวซุน อยู่อย่างนี้

   หวงกังโหเข้ามาหลบอยู่ในสำนักงานร้างแห่งหนึ่ง ซึ่งมีหลายครั้งที่เขาใช้สถานที่นี้เป็นที่นัดส่งยา แต่ไม่ใช่กับไหว่ยี่ ลูกน้องสองสามคนที่เขาส่งไปทำงาน ก็ยังไม่กลับมา ส่วนอีกคนที่เหลือเขาใช้ให้มันออกไปซื้ออาหารก็ยังไม่กลับมาสักที ไม่นานนักเขาก็ได้ยินเสียงคนเดินเข้ามา เขาจึงหาที่หลบก่อน ตอนนี้เขาไว้ใจใครไม่ได้ทั้งนั้น

   เสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามานั้นเชื่องช้าแต่ก็หนักแน่น คนที่เดินเข้ามาไม่ใช่คนของเขาแน่ๆ ทำให้เขาต้องระวังตัวมากขึ้น แล้วคอยดูสถานการณ์ไปก่อน เสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้เขาทุกที ๆ แล้วก็หยุด ก่อนจะออกห่างไป เจ้าของเสียงฝีเท้านั่นเดินวนไปมา ทำให้เขาเดาได้ว่ามันคงมาคนเดียว จึงอาศัยจังหวะที่มันเดินเข้ามาใกล้ ๆ หวังจะเอาปืนขู่มัน

   ด้วยความรวดเร็วหวงกังโหตัดสินใจพุ่งเข้าไปยังบุคคลตรงหน้า ชายคนนั้นเห็นเขาแล้วแต่ก็ไม่มีท่าทีจะตกใจกับปืนที่จออยู่บนขมับ สายตาที่มองมาเย็นชา ไร้ความวูบไหว ราวกับชายคนนี้ไม่ใช่คน เขาได้แต่จ้องตาคนตรงหน้าตัวแข็งทื่อ

   “นะ นายเป็นใคร”

   เขาถาม แต่คนตรงหน้ากลับไม่ตอบ เพียงแต่ใช้มือข้างหนึ่งเบนปลายกระบอกปืนที่เขาจอไว้ที่ขมับไปทางอื่น ด้วยความกลัวเขาจึงลั่นไกไปหนึ่งนัด เฉียดใบหน้าชายคนนั้นไป แต่คนตรงหน้าก็ยังมีสีหน้านิ่งสนิทราวกับปีศาจ

   “เจ้านายฝากมาบอกว่า เขารับเฉพาะเงินสดเท่านั้น”

   นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายที่เขาได้ยินก่อนที่สติจะดับวูบไป

.........................................................................

   ฉินหรุยกวงอ่านข่าวรถบัสระเบิดแล้วทำให้รู้สึกสงสัย มันไม่ควรจะบังเอิญขนาดนี้ รถที่เขาเป็นคนนำเข้ามาระเบิดไปแล้วสองคัน ในข่าวบอกว่าน้ำมันรั่ว เวลาและสถานที่ระเบิดก็ใกล้เคียงกัน เขาซึ่งกำลังคิดถึงเหตุการณ์เมื่อ 5 ปีก่อน ก็ได้ยินเสียงเคาะประตู

   “เข้ามา” เลขาของเขาเดินเข้ามา

   “คุณฉินค่ะ มีนักข่าวโทรเข้ามาขอสัมภาษณ์ค่ะ”

   “เขาบอกไหมว่าเรื่องอะไร”

   “เรื่องรถบัสรุ่นที่บริษัทฯ นำเข้าเมื่อสามปีก่อนค่ะ”

   “เขานัดเมื่อไร”

   “พรุ่งนี้ บ่ายโมงตรงค่ะ”

   “ได้ ตอบตกลงไป”

   “รับทราบค่ะ คุณฉิน”

   ฉินหรุยกวงเห็นว่าเป็นการดีหากรีบให้สัมภาษณ์ และใช้ข่าวนี้ให้เป็นประโยชน์ โดยการเรียกรถรุ่นนี้ทั้งหมดมาตรวจสอบและซ่อมบำรุง อย่างไรแล้วเขาก็ผูกขาดอะไหล่อยู่เพียงผู้เดียว

.........................................................................

   เหมิ๋นหยวนฮ่างแต่งตัวเป็นทางการ เพื่อออกไปส่งมอบกล่องสำริดให้กับทางพิพิธภัณฑ์ โดยมีคนของเตี๋ยมาคอยคุ้มกัน เพราะหลังจากที่เขาเผยแพร่บทความพร้อมรูปภาพไป ก็มีนักโบราณคดีหลายคนเริ่มประเมินราคาสิ่งของชิ้นนี้ บางคนตีมูลค่าสูงถึง 40 ล้านดอลล่าเลยทีเดียว

   เมื่อเขาลงลิฟต์มาก็เห็นชายในชุดสูทสีดำจำนวนหนึ่งยืนรอเขาอยู่ มีคนหนึ่งเดินเข้ามารับกระเป๋าจากเขาโดยคล้องกุญแจมือเข้าตัวเองติดกับกระเป๋าไว้ เขาเดินนำคนเหล่านั้นไปที่รถ คนที่ถือของก็เดินตามไม่ห่าง ไม่บ่อยนักที่เขาจะขุดค้นพบโบราณวัตถุที่มีมูลค่ามหาศาลขนาดนี้ แต่ก็ใช่ว่าการส่งมอบของลักษณะนี้จะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

   เมื่อเดินทางมาถึงพิพิธภัณฑ์ ก็มีคนจำนวนหนึ่งออกมาต้อนรับเขาอย่างเอิกเกริก รวมไปถึงนักข่าวที่มาทำข่าวนี้ด้วย หนึ่งในนั้นเขาเห็นโฮวจีเจียน เพื่อนร่วมงานของหนานเฟ่ยซาน

   “ดอกเตอร์ เชิญทางนี้” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งนำเขาเข้าไปยังห้องประชุม คนของเขาส่วนหนึ่งช่วยกันนักข่าว ส่วนหนึ่งตามเขาไป

   เมื่อถึงห้องประชุมมีเพียงเขาและคนที่ช่วยถือของเท่านั้นที่ตามเข้าไป ส่วนคนอื่น ๆ เฝ้าอยู่หน้าห้อง โดยห้องนี้เป็นห้องกระจกด้านหนึ่ง ทำให้นักข่าวสามารถถ่ายภาพได้จากด้านนอก และมีการถ่ายทอดเรื่องที่เขาจะบรรยายให้นักข่าวร่วมฟังได้ในบริเวณที่พิพิธภัณฑ์จัดไว้ให้

   เขาใช้เวลาบรรยายถึงกล่องสำริดทรงแปดเหลี่ยม และขวดสำริดที่ฝังอยู่ด้านในเป็นเวลาประมาณ 45 นาที ก่อนที่จะส่งมอบวัตถุโบราณชิ้นนี้ให้กับพิพิธภัณฑ์ หลังจากนั้น พวกเขาก็ถ่ายรูปร่วมกันบริเวณหน้าทางเข้าพิพิธภัณฑ์เพื่อเป็นการยืนยันการส่งมอบ ก็ถือว่าจบหน้าที่ของเขา

   หลังจากทุกอย่างจบลง นักข่าวก็เขามารุมสัมภาษณ์เขาทันที คนของเขาเข้ามากันพวกนักข่าวเอาไว้ อีกส่วนก็ไปนำรถมารับเขา

   “ดอกเตอร์ครับ ผมขอเวลาแค่แป๊บเดียว” มีนักข่าวคนหนึ่งหลุดมาได้ แต่ก็โดนคนของเขาดึงไว้ได้ก่อนที่จะถึงตัวเขา

   “ผม โฮวจีเจียน เพื่อนของหนานเฟ่ยซานยังไงละครับ” เขาที่ไม่ได้สนใจเสียงที่รั้งเขาเอาไว้ กลับก้าวขึ้นรถหลังจากคนของเขาเปิดประตูให้

   “เดี๋ยวก่อนสิครับดอกเตอร์” โฮวจีเจียนยังคงตะโกนไล่หลังเขามา พร้อมกับนักข่าวคนอื่น ๆ ที่เริ่มวิ่งตามรถเขา

   “กลับไปที่โรงแรมเลยไหมครับดอกเตอร์”

   “ไม่ละ ไปบ้านตระกูลฝู่”

   เขาบอกกับคนขับรถ ตอนนี้คงมีแต่บ้านตระกูลฝู่เท่านั้นที่พอจะให้เขาหลบนักข่าวได้ อย่างน้อยก็แค่วันนี้ พรุ่งนี้เขาจะได้เดินทางกลับเกาลูนสักที

   “หนานเฟ่ยซานออกจากโรงพยาบาลวันนี้ใช่ไหม?” เขาก็ถามถึงคนที่มักจะว่าเขาทั้งต่อหน้าและลับหลัง กับคนที่นั่งอยู่ข้างคนขับ

   “ครับดอกเตอร์”

   “เตี๋ยยังให้คนคอยตามเขาอยู่?”

   “ครับ ทั้งติดตามและคุ้มกัน เพราะสถานการณ์ของคุณหนานไม่ค่อยจะดีเท่าไร”

   “ทำไม”

   “ผู้ต้องหาที่ทำร้ายคุณหนานหนีการจับกุมของตำรวจไปได้ คุณฝู่เกรงว่าคุณหนานจะโดนทำร้าย”

   “อืม”

   หนานเฟ่ยซานหากโดนทำร้าย ร่างกายก็จะหายจากอาการบาดเจ็บได้ช้า หรือจะพูดได้ว่า ถ้าต้องการเลือดในการรักษาก็ต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดที่ยาวนานกว่าคนธรรมดา เจ้าตัวที่ไม่รู้ว่าเลือดของตัวเองมีค่ามากมายขนาดไหน หวังว่าคงจะไม่ไปรนหาที่อย่างครั้งก่อนอีกนะ

.........................................................................

   หลังจากที่ผานกู่รวบรวมข้อมูลคดีระเบิดรถบัส พร้อมสรุปข้อสันนิษฐานให้กับหัวหน้าฟังแล้ว คนในทีมก็เห็นพ้องกันว่า คดีนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับคดีรถแท็กซี่ระเบิดเมื่อห้าปีก่อน ซึ่งตอนนี้เกาเจี๋ยถือเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง และทางทีมต้องสืบหาผู้สมรู้ร่วมคิดอีกคน เพราะดูจากอายุและความสามารถของเกาเจี๋ยแล้ว เด็กคนนี้ไม่น่าจะทำเรื่องนี้คนเดียว

   “พี่กู่ คิดอะไรอยู่เหรอพี่?” กัมหงถามเขาขณะเดินเข้ามาในห้อง

   “ฉันติดใจเรื่องฉินหรุยกวง” กัมหงมองไปยังกระดาษที่พวกเขานำข้อมูลขึ้นไปติดไว้บนกระดาน

   “ฉินหรุยกวงเคยเป็นเจ้าของบริษัทรถแท็กซี่ เป็นคนนำเข้ารถบัสรุ่นที่เกิดระเบิด มันก็แน่อยู่แล้วที่เกาเจี๋ยจะทำไปเพื่อแก้แค้น”

   “แล้วทำไมเกาเจี๋ยถึงต้องแก้แค้นฉินหรุยกวงละ?”

   “อืม นั่นสิ คดีรถแท็กซี่ระเบิดนั่นก็เป็นอุบัติเหตุ หรือว่าเกาเจี๋ยไปเจออะไรในบ้านของฉินหรุยกวงเข้า”

   “นั่นแหละที่ฉันติดใจ แต่มันก็ยังมีข้อสงสัยอยู่ เกาเจี๋ยเข้าไปบ้านของฉินหรุยกวงหลังจากรถบัสระเบิด ถ้าเกาเจี๋ยระแคะระคายอะไรจริง ๆ ก็ต้องเข้าไปขโมยก่อนที่จะลงมือทำอะไรสิ”

   “เป็นไปได้ไหมพี่กู่ ว่าคนที่รู้เรื่องของฉินหรุยกวงอาจจะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดที่เราหาอยู่ ส่วนเกาเจี๋ยที่ใจร้อนเกินไป เลยเข้าไปเพื่อหาอะไรบางอย่าง”

   “เรารู้แค่ว่า แรงจูงใจที่ทำให้เกาเจี๋ยก่อคดีมาจากการแก้แค้น แต่ไม่รู้ทำไม และฉินหรุยกวงซ่อนอะไรไว้”

   “รอจื่ออู่มา เราคงรู้ว่าคนที่ไปประกันตัวเกาเจี๋ยออกมาเป็นใคร”

   “แล้วคดีฆ่ารัดคอเป็นยังไง ระบุตัวตนของเหยื่อได้รึยัง”

   “ยังเลยพี่ เหยื่อรายที่ 4 นี้ไม่มีของอะไรที่จะระบุตัวตนได้เลย พี่เห่ากำลังเทียบกับคดีแจ้งความคนหายอยู่”

   “หวงกังโหก็ดันมาหนีไปได้อีก”

   “ตอนนี้พวกเราออกหมายจับหวงกับโหไปแล้ว ยังไงมันก็หนีไปไม่รอด อย่างน้อยจบไปได้อีกหนึ่งคดี ค่อยหายใจหายคอได้คล่องหน่อย”

   “จบที่ไหนกัน หวงกังโหเป็นเพียงเบาะแสที่จะพาเราไปสู่แก๊งค้าอาวุธนะ การที่มันหายไป ทำให้คดีมันค้างต่างหาก”

   “ขอโทษครับพี่กู่”

   “ช่างเถอะ นายมีอะไรก็ไปทำเถอะ” เขาเห็นกัมหงเดินไปยังกระดานที่ติดข้อมูลคดีฆ่ารัดคอ ก่อนติดภาพเหยื่อรายที่สี่ไว้บนนั้น

.........................................................................

   ตั้งแต่หนานเฟ่ยซานออกจากโรงพยาบาลมา ก็ไปทำข่าวเรื่องรถบัสทันที เพราะได้เบาะแสใหม่จากตำรวจอย่างผานกู่ โฮวจีเจียนที่ตั้งใจมาดักรอเฟ่ยซานตั้งแต่ยังไม่ถึงเวลาเข้างาน เป็นอันต้องคลาดกันไปจนได้

   ซึ่งวันนี้ หนานเฟ่ยซานไม่เข้าสำนักงานในตอนเช้าอีกแล้ว เขานั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของตัวเองไปก็อดหัวเสียไม่ได้ แทนที่เฟ่ยซานจะไปขอสัมภาษณ์สองสามีภรรยาแซ่ฝู่ก่อน กลับเลือกไปสัภาษณ์คนแซ่ฉินที่มีแค่บริษัทนำอะไหล่รถยนต์เล็ก ๆ เจ้าหนึ่งเท่านั้น

   เขาหยิบนามบัตรของฝู่เถิงออกมาจากลิ้นชักโต๊ะทำงาน นามบัตรใบนี้เขาได้มาจากเฟ่ยซานตั้งแต่อยู่ที่โรงพยายาล เขาโทรไปหาเจ้าของหมายเลขเพียงครั้งเดียว และยังถูกปฏิเสธกลับมาอีก จะตามขอสัมภาษณ์ ดร. เหมิ๋น รายนั้นยิ่งยากใหญ่ เพราะหลังจากที่เขาเจอ ดร. ที่พิพิธภัณฑ์เมื่อวันก่อน มารู้อีกที ดร. เหมิ๋นก็กลับเกาลูนไปเรียบร้อยแล้ว

   “น้องหนาน นายอยู่ไหนแล้วเนี่ย” เขากดโทรศัพท์หาคนที่สามารถช่วยเหลือเขาได้เสมอ

   ‘จีเจียนเหรอ ตอนนี้ฉันไม่สะดวกคุย แค่นี้ก่อนนะ’ เขาไม่ได้คำตอบอะไรจากคนที่ต้องการขอความช่วยเหลือ ก็โดนทางนั้นตัดสายทิ้งไป

   “นายวางหูใส่ฉันเองนะหนานเฟ่ยซาน” เขาพูดใส่โทรศัพท์อย่างเข่นเขี้ยว ก่อนจะกดตัวเลขบนนามบัตรลงไปบนโทรศัพท์

To Be Continue

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
10




   บทความที่ผมรวบรวมข้อมูลมา จะถูกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์กรอบบ่ายวันนี้ ซึ่งเรื่องราวที่ผมไปสัมภาษณ์ฉินหรุยกวงมานั้น บ.ก. ให้ความแนะนำว่า คนทั่วไปยังไม่เห็นถึงจุดเชื่อมโยงของคดี หากลงข่าวไปตรง ๆ อาจจะส่งผลให้เสียรูปคดีและสำนักงานอาจจะโดนฟ้องได้

   พอผมได้ข้อมูลมา บ.ก. ก็สั่งให้จีเจียนเขียนบทความเชิงธุรกิจแทน ผมรู้ว่าจีเจียนโดน บ.ก. ลงโทษโดยการให้เขียนข่าวอยู่ที่สำนักงาน ไม่ให้ออกไปข้างนอก ข่าวที่เขียนส่วนใหญ่ คนอื่นก็หามาทั้งนั้น ดังนั้นจีเจียนจึงแทบไม่มีผลงานอะไรเลยในช่วงนี้

   ผมที่กำลังนั่งอยู่ในห้องประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลของคดีรถบัสระเบิดกับพี่กู่ เลยไม่อยากคุยกับจีเจียน

   “นายคุยกับจีเจียนก่อนก็ได้ ทางนี้ก็ไม่มีอะไรเร่งด่วน”

   “จีเจียนคงกำลังโกรธผมอยู่ เลยอยากให้เขาอารมณ์ดีขึ้นก่อนค่อยคุยกัน”

   “คนอย่างจีเจียนเนี่ยนะ จะโกรธนาย มีแต่จะขอความช่วยเหลือจากนายละสิไม่ว่า”

   “คงไม่แล้วมั้งพี่กู่ ก็ตอนนี้จีเจียนถูก บ.ก. แช่แข็งให้อยู่แต่ในสำนักงาน ไม่ให้ออกไปหาข่าวที่ไหน”

   “ส่วนหนึ่งก็เพราะนายนั่นแหละเฟ่ยซาน นายมันใจอ่อนกับจีเจียนเกินไป จนเขาเคยตัวไปแล้ว”

   “นี่ถ้าเฟ่ยซานเชื่อพี่เหยินคนนี้ตั้งแต่แรก ก็ไม่เหนื่อยมากขนาดนี้หรอก” พี่หยางผิงที่เข้ามาในห้องตั้งแต่เมื่อไรนั้น ผมไม่ทันสังเกต พูดแทรกขึ้นมา

   “ที่ให้ผมเลิกคบกับจีเจียนอะนะ เป็นคำแนะนำที่ดีมาก” เขาอดพูดประชดประชันไม่ได้

   “เอาละๆ พอเลยทั้งสองคน มาดูข้อมูลในคดีกันต่อดีกว่า” พี่กู่รีบห้ามก่อนที่จะออกนอกเรื่องไปมากกว่านี้

   “หึ น้องหนานหันมาสนใจเราหน่อยไม่ได้เลยนะ ต้องรีบขัด”

   “พี่หยางผิงว่าอะไรนะครับ ผมได้ยินไม่ถนัด”

   “ไม่มีอะไรหรอก พี่แค่บ่นเรื่องงานกับพี่กู่นิดหน่อยนะ”

   “อ่อ แต่ช่วงนี้ ที่สถานีเจอแต่คดีใหญ่ ๆ ทั้งนั้น ไม่แปลกหรอกที่พวกพี่จะเหนื่อยกัน”

   “ถ้าคดีนี้ปิดได้เร็ว ๆ นี้ก็คงจะดี”

   “ทางด้านเกาเจี๋ยเป็นยังไงบ้าง ได้เรื่องอะไรไหม พี่หยางผิง”

   “ทางนั้นก็ปฏิเสธไม่รู้เรื่อง ทั้งคดีเมื่อ 5 ปีก่อน และเรื่องระเบิดรถบัส”

   “ตอนนี้ฉินหรุยกวงใช้เรื่องรถบัสระเบิดมาหาผลประโยชน์ โดยการเรียกรถทุกคันเข้ามาตรวจสภาพที่ศูนย์ฯ ของเขา” ผมบอกข้อมูลที่เพิ่งสัมภาษณ์มา ให้กับนายตำรวจทั้งสอง

   “ทางบริษัทฯ ที่รับสัมปทานมาก็ต้องส่งรถไปให้มันตรวจสภาพสินะ ในเมื่อทางตำรวจให้ข่าวไปว่าสาเหตุของอุบัติเหตุมาจากน้ำมันรั่ว”

   “ผมลองถามเรื่องเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ครั้งที่เปิดบริษัทแท็กซี่ ฉินหรุยกวงก็เรียกตรวจแท็กซี่ทุกคันหลังจากคดีระเบิดสิ้นสุดลง แต่หลังจากนั้นสามเดือน ก็ขาดทุนเพราะต้องเสียค่าซ่อมบำรุงเป็นเงินจำนวนมาก จึงต้องขายบริษัทฯ”

   “ไม่น่าจะใช่นะเฟ่ยซาน นายดูนี่ก่อน” พี่หยางผิงที่ช่วยพี่กู่ค้นคดีเก่าเอาข้อมูลการเงินมาให้ผมดู

   “ฉินหรุยกวงได้กำไรจากการนำเข้าอะไหล่รถแท็กซี่มาจำนวนไม่น้อยเลยนะ” พี่กู่ดูตัวเลขรายละเอียดที่พี่หยางผิงกางไว้บนโต๊ะ

   “เป็นไปได้ไหมว่าผมอาจจะเข้าใจผิด ถ้านี่ไม่ใช่การแก้แค้น แต่เป็นการสร้างสถานการณ์เพื่อหาผลประโยชน์ละ”

   “ถึงจะเป็นไปได้ เพราะฉินหรุยกวงได้ผลประโยชน์ไปเต็ม ๆ แต่ทำไมเขาต้องทำร้ายคนตั้งมากมายขนาดนั้น”

   “มาอยู่ในห้องนี้กันนี่เอง” เหมียนจื่ออู่เปิดประตูห้องประชุมเข้ามา “เฟ่ยซานนายก็อยู่ด้วยเหรอ”

   “อืม ไม่ได้เจอกันนานเลยนะจื่ออู่”

   “อือ หายดีแล้วเหรอ ได้ข่าวว่านายเข้าโรงพยาบาล โทษทีนะที่ฉันไม่ได้ไปเยี่ยม”

   “ไม่เป็นไร ๆ ว่าแต่นายตามหาพวกเราทำไม”

   “ถามแบบนี้แสดงว่าคดีนี้นายก็มีเอี่ยวด้วยสินะ”
   
   “อือ”

   “คนที่ไปประกันตัวเกาเจี๋ยในคดีย่องเบาบ้านฉินหรุยกวงคือเลขาของฉินหรุยกวงเองครับพี่กู่ ผมติดต่อเธอไปแล้ว แต่ยังไม่ได้คุยกัน เพราะหรุยกวงใช้งานเธอเยอะมาก เธอเลยยังไม่ค่อยว่าง”

   “วนกลับมาที่ฉินหรุยกวงอีกแล้วสินะ” พี่หยางผิงพูดขึ้นมาอย่างคนคิดไม่ตก

   “ผมว่า ไม่ลองถามเกาเจี๋ยก่อนละ เด็กนั่นอาจจะไม่รู้จักฉินหรุยกวงจริง ๆ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่รู้จักเลขาของเขานี่ อย่างคราวที่ฉินหรุยกวงเอาเงินไปให้โหว่ซินหรู เขายังให้ทนายออกหน้าเลยไม่ใช่เหรอ”

   “เฟ่ยซานพูดมาก็มีเหตุผล เราก็ลองถามเกาเจี๋ยอีกที หลังจากนั้นค่อยไปถามฉินหรุยกวง”

   ทุกคนในห้องต่างพยักหน้ารับ จื่ออู่เดินออกไปก่อน ส่วนพี่หยางผิงกำลังรวบรวมเอกสารของคิดที่วางอยู่เกลื่อนโต๊ะ ผมเห็นว่าไม่น่าจะมีอะไรที่ผมพอจะทำได้ จึงเดินออกจากห้องมา

   “เฟ่ยซาน แล้วนี่นายจะไปไหนต่อ”

   “คงกลับเข้าสำนักงานครับพี่กู่”

   “อืม กลับดีๆ ละ”

   “พี่ไม่ต้องห่วงเหรอ พี่ชุนจัดคนคอยประกบผมอยู่”

   ผมออกจากสถานีก็ตรงกลับไปยังสำนักงานทันที โดยมีรถคันหนึ่งขับตามมา ตอนนี้ทางตำรวจยังไม่ไว้ใจเพราะหวงกังโหยังคงหลบซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่ง และผมที่จำหน้าเขาได้ เขาคงไม่ปล่อยผมไปแน่ ๆ

.........................................................................

   สองสามวันมานี้ เหมิ๋นหยวนฮ่างได้แต่ขลุกตัวอยู่ที่ห้องทำงานของซือเมิ่งอิ๋งในแล็บ เขาไม่มีความสามารถในการทดลองหรือวิจัยสารสกัดจากน้ำตากิเลน แต่ก็ยังคงเฝ้าดูลูกทีมของเขาอยู่ไม่ห่าง

   แล็บแห่งนี้เพิ่งจะถูกเขาซื้อเมื่อไม่กี่ปีก่อน เพื่อเป็นที่ทำการวิจัยเกี่ยวกับน้ำตากิเลนโดยเฉพาะ นักเคมีทุกคนที่เขาจ้างมาทำงานในแล็บส่วนนี้ ซึ่งมีไม่กี่คนเท่านั้น เขาเป็นคนสัมภาษณ์และรับเข้าทำงานที่นี่ด้วยตนเอง ส่วนคนอื่น ๆ ที่ทำงานอยู่ที่นี่อยู่ก่อนแล้ว เขาจะไม่เข้าไปยุ่มย่าม ปล่อยให้แต่ละคนทำงานตามหน้าที่ของตนเองไป

   “ดร. ค่ะ ฝ่ายบัญชีและฝ่ายทรัพยากรบุคคลถามว่าจะให้เอารายงานประจำปีไปวางไว้ที่โต๊ะทำงาน หรือจะให้เอามาให้ที่แล็บนี้ค่ะ?” ซือเมิ่งอิ๋งเปิดประตูกระจกและเพียงยื่นหน้าเข้ามาถามเขาเท่านั้น

   “รายงานประจำปีอย่างนั้นเหรอ ยังไม่ถึงเวลาเลยนี่”

   “ก็คุณมาเฝ้าอยู่ที่นี่หลายวันติดกันแบบนี้ แผนกอื่นเขาก็ต้องแตกตื่นอย่างนี้แหละค่ะ ว่าไงคะ”

   “ถ้าเข้าพร้อมก็ให้เอาไปไว้ที่ห้องทำงาน เดี๋ยวผมออกไปดู” เมิ่งอิ่งไม่ได้พูดอะไรอีก แค่ปิดประตูลงตามเดิม เขาจึงเก็บเอกสารบนโต๊ะลงลิ้นชักไว้ เพื่อเตรียมกลับไปห้องทำงานของตนเอง ยังไม่ทันผลักประตูออกไป เตี๋ยของเขาก็โทรมา

   “ครับเตี๋ย”

   “มะรืนนี้ เตี๋ยจะให้หนานเฟ่ยซานเข้ามาสัมภาษณ์ที่ออฟฟิศที่ติดกับโกดังแถวจู่ไห่ นายจะแวะมาไหม?”

   “ทำไมครับ หนานเฟ่ยซานมาขอร้องให้เตี๋ยกล่อมผมเรื่องสัมภาษณ์เกี่ยวกับกล่องสำริดอย่างนั้นเหรอครับ”

   “ไม่ใช่หรอก เตี๋ยยังไม่ได้คุยกับเขาเลย”

   “แล้วเตี๋ยนัดกับเขาได้ยังไง”

   “นี่สิที่เตี๋ยว่าแปลก เพราะคนที่โทรเข้ามานัด ชื่อโฮวจีเจียน เขาว่าเป็นเพื่อนร่วมงานกับหนานเฟ่ยซาน”

   “ครับ คนนี้ผมเคยเจอที่โรงพยาบาล”

   “อืม เขาโทรมานัดและจะเป็นคนสัมภาษณ์เตี๋ยกับอี้ ส่วนหนานเฟ่ยซานจะเป็นผู้ช่วยของเขา เพราะเฟ่ยซานไม่มีประสบการณ์ในงานข่าวเศรษฐกิจ แล้วอีกอย่างหนึ่งนะ คนของเตี๋ยรายงานว่า หนานเฟ่ยซานคนนี้วิ่งทำข่าวเกี่ยวกับรถบัสระเบิดอยู่”

   “ผมก็พอเห็นข่าวอยู่ รู้สึกว่าจะสองคันแล้วใช่ไหมครับที่ระเบิด”

   “หนานเฟ่ยซานน่าจะเห็นอะไรในคดีนี้เป็นแน่ ไม่อย่างนั้นจะวิ่งวุ่นสืบทำไม ในเมื่อตำรวจเองก็บอกว่าเป็นอุบัติเหตุ”

   “เตี๋ยเชื่อเหรอครับว่ามันเป็นอุบัติเหตุ”

   “ถ้าครั้งแรกก็เชื่ออยู่หรอก แต่มีครั้งที่สองนี่สิ ไม่น่าจะใช่แล้วละ”

   “หนานเฟ่ยซานนี่ช่างรนหาที่แท้ๆ”

   “หนานเฟ่ยซานสนใจแต่คดีรถบัส เตี๋ยเลยเห็นว่า โฮวจีเจียนคนนี้ น่าจะนัดเข้ามาโดยพลการ ไม่ได้ปรึกษาหนานเฟ่ยซาน”

   “แต่เตี๋ยก็ตอบตกลงเขาไปแล้วนี่ครับ”

   “วันมะรืนนี้หากนายมาได้ เตี๋ยก็จะทำหน้าที่ของเตี๋ย ส่วนหยวนฮ่าง ถ้ามีโอกาสก็คอยจับตาดูหนานเฟ่ยซานไว้ เตี๋ยว่าคนอย่างโฮวจีเจียนไม่น่าจะเป็นเพื่อนที่ดีนัก ถ้าเขารู้เรื่องของหนานเฟ่ยซานอย่างที่เรารู้ เตี๋ยว่ามันจะไม่เป็นผลดีกับเฟ่ยซาน”

   “ครับ ถ้าอย่างนั้น ผมจะไป แต่เตี๋ยครับ เรากันเรื่องพวกนี้ออกจากหนานเฟ่ยซานไม่ได้หรอกนะครับ”

   “ถ้าอย่างนั้นหลานคงต้องหาวิธีอธิบายให้หนานเฟ่ยซานรับรู้ เขาจะได้คอยระวังตัวเองให้มากขึ้น”

   “ครับ ผมจะหาทางคุยกับเขาเอง”

   เหมิ๋นหยวนฮ่างเดินออกจากห้องทำงานของซือเมิ่งอิ่ง ตรงไปยังห้องทำงานของเขา ซึ่งเมื่อไปถึงก็พบกับกองแฟ้มต่าง ๆ วางเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ เขามีเวลาไม่มาก ดังนั้นเขาจึงต้องรีบดูงานในส่วนของทรัพยากรบุคคลก่อน

.........................................................................

   ผานกู่กำลังนั่งเผชิญหน้าอยู่กับเกาเจี๋ย ภายในห้องสอบสวน ในมือก็ถือรายละเอียดของคดีต่าง ๆ ที่เด็กตรงหน้าได้ก่อเอาไว้ ซึ่งดูจากคดีทั้งหมด เกาเจี๋ยมีผู้สมรู้ร่วมคิดอีก 2 คน คือ เจียวหยง กับฉูเป่าฮุย และคดีที่พวกนั้นเข้าไปขโมยของที่บ้านของฉินหรุยกวงนั้น เด็กทั้งสองก็ได้เลขาฉินหรุยกวงช่วยประกันตัวให้

   “คุณตำรวจ คุณจะถามผมกี่ครั้งผมก็ตอบเหมือนเดิม”

   “งั้นฉันถามใหม่ ทำไมเลขาของฉินหรุยกวงถึงมาประกันตัวนายกับเพื่อน ๆ ในตอนที่นายไปขโมยของที่บ้านเขา”

   “พี่สาวมาเกี่ยวอะไรด้วย”

   “พี่สาวอย่างนั้นเหรอ” เกาเจี๋ยก้มหน้าเหมือนไม่อยากจะเล่าต่อ

   “ผมไม่รู้หรอกนะ ว่าพี่สาวรู้ได้ยังไงว่าผมโดนจับ”

   “นายบอกว่าเลขาของฉินหรุยกวงเป็นพี่สาว พี่สาวที่ไหน รู้จักกันมาก่อนรึยังไง”

   “พี่สาวไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสิ่งที่ผมทำ ไอ้ดินปืนนั่นก็แค่จะเอาไปขู่ไอ้พวกที่ชอบหาเรื่องผม”

   “แสดงว่านายรู้จักพี่สาวของนายมาก่อน”

   “ก็แค่บังเอิญเจอกัน แล้วเห็นหน้ากันบ่อยๆ”

   “แค่บังเอิญเจอกัน แล้วทำไมเธอถึงมาประกันตัวให้นายกับเพื่อน”

   “ผมไม่รู้ เธอแค่ทักทายผมบ้าง แต่เราก็ไม่ได้คุยอะไรกันมากมาย”

   “เธอเป็นเลขาของฉินหรุยกวง”

   “ผมไม่รู้ ชื่อยังไม่รู้จักเลย ก็บอกไปแล้วว่าแค่บังเอิญขึ้นรถบัสคันเดียวกันบ่อย ๆ เท่านั้น”

   “นายจะบอกว่านายไม่รู้จักชื่อเธออย่างนั้นเหรอ?”

   “ไม่รู้ เคยคิดจะลองถามดู แต่เวลาเจอกันบนรถ มันไม่มีโอกาสได้คุยสักที”

   “แล้วตอนที่เธอมาประกันตัวนาย นายไม่ได้พูดคุยกับเธออย่างนั้นเหรอ?”

   “ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีคนประกันตัวพวกเราออกมา”

   “นายไม่รู้ว่าเธอมาประกันตัว?”

   “ใช่ ก็อย่างที่เคยบอก ว่ามันก็เหมือน ๆ กับทุกทีที่โดนขัง พอวันรุ่งขึ้นตำรวจก็ปล่อยตัวพวกเราออกมา”

   “นายไม่ได้ออกมาทันทีหลังจากที่ได้รับการประกันตัว แต่ออกมาในเช้าวันถัดไป”

   “อืม”

   “แล้วทำไมนายถึงรู้ว่าเลขาของฉินหรุยกวงเป็นคนคนเดียวกับพี่สาวที่นายรู้จัก ในเมื่อนายไม่รู้ว่ามีการประกันตัว”

   “ผม...”

   “นายปิดบังอะไรอยู่”

   “ผมบังเอิญเจอพี่สาว ตอนที่เธอออกจากบ้านหลังนั้น ผมไปดูลาดเลาเลยได้ยินเธอเรียกเจ้าของบ้านว่าเจ้านาย”

   “นายเจอเธอตั้งแต่เมื่อไร”

   “ราวสองปีก่อน ตอนที่กู๋ย้ายบ้านมาที่เขตนี้ ผมที่ต้องนั่งรถบัสไปเรียน เลยเจอเธอทุกเช้า”

   สิ่งที่ผานกู่ได้ยินนั้นทำให้เขายิ่งงงไปกันใหญ่ กุญแจสำคัญคงจะอยู่ที่เลขาของฉินหรุยกวง แต่ยิ่งสืบกลับทำให้ยิ่งห่างไกลจากมือระเบิด หรือเขาจะมาผิดทางจริง

.........................................................................

   ภายในห้องแคนทีน มีหญิงสาวกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งพักดื่มกาแฟยามบ่าย ต่างกำลังพูดคุยถึงหัวข้อข่าวในหนังสือพิมพ์ Jornal Tribuna de Macau กันอยู่ จนคนที่เข้ามาใหม่ต้องหันมอง ก่อนที่จะกลับไปสนใจชงเครื่องดื่มตรงหน้า

   “ฉันไม่คิดว่าเจ้านายของเราจะฉวยโอกาสแบบนี้” หญิงคนหนึ่งพับหนังสือพิมพ์เก็บไว้บนโต๊ะ ก่อนจะมาสนใจแล้วกาแฟตรงหน้าที่เริ่มจะเย็นชืด

   “สิ้นปีนี้เราคงได้โบนัสกันถ้วนหน้า” หญิงสาวอีกคนพูดขึ้นอย่างดีใจ

   “ใช่สิ รถบัสตั้งหลายร้อยคัน แค่ได้เปลี่ยนอะไหล่สัก 20 % ก็กำไรเท่าไรแล้ว” หญิงสาวอีกคนพูดขึ้นหลังจากจิบกาแฟจนหมดแก้ว ก่อนลุกขึ้นจากโต๊ะที่นั่งร่วมกับคนอื่น ๆ

   “จะรีบไปไหนละ นั่งพักอีกสักสิบนาทีก็ไม่มีใครว่าหรอก”

   “ไม่เอาละ เห็นข่าวแบบนี้แล้ว ฉันรู้เลยว่าต้องมีงานตามมาอีกแน่ สินค้าที่บริษัทวิงเฮงยิบให้เรานำเข้า ฉันยังเคลียร์ให้ลูกค้าไม่เสร็จเลย ไม่อยากจะกลับบ้านดึกนะช่วงนี้” เธอพูดไปก็ล้างแก้วกาแฟในมือไปด้วย

   “แหม ให้ฉันคิดถึงเงินโบนัสปลายปีให้ชื่นใจก่อนก็ไม่ได้ มาพูดเรื่องงานตอนนี้เสียอารมณ์จริงเชียว”

   “งั้นพวกเราก็แยกย้ายกันไปทำงานเถอะ” หญิงสาวอีกคนว่าก่อนที่จะนำหนังสือพิมพ์ไปเก็บเข้าที่เดิม แล้วเดินออกไปยังแผนกของตัวเอง

   “นี่แก้วเธอละ” คนที่เหลือถาม

   “ฝากจัดการด้วยแล้วกันนะ” หญิงสาวคนสุดท้ายได้แต่ทำปากขมุบขมิบแต่ไม่มีเสียงอะไรเล็ดลอดออกมา เพราะในห้องไม่ได้มีเพียงแต่เธอเท่านั้น

   หญิงสาวที่เพิ่งจะเข้ามาพักดื่มกาแฟ ได้แต่เหลือบมองหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นเล็กน้อย ก่อนที่จะกดโทรศัพท์ไปหาใครบางคนเพื่อบอกเล่าข่าวนั่นให้คนปลายสายได้รับรู้

   ‘ก็ถือว่าโชคเข้าข้างมัน แต่ต่อจากนี้ไป มันคงไม่มีโชคแล้วละ’

   “คุณมีความคิดอะไรดี ๆ อย่างนั้นเหรอ”

   ‘คุณเตรียมของในส่วนของคุณไว้ให้มากหน่อย งานคราวนี้ฉันจะลงมือเอง’

   “อืม ฉันจะเตรียมไว้ให้ แล้วคุณจะใช้มันเมื่อไร”

   ‘ยิ่งเร็วเท่าไรก็ยิ่งดี’

   “ได้ ไม่เกินวันพรุ่งนี้ คุณได้ของที่คุณต้องการแน่” คุยจบก็นั่งพักผ่อนสักครู่ก็มีคนมาใหม่เวียนเข้ามาใช้ห้อง เธอเห็นว่าเธอออกมาจากโต๊ะทำงานของเธอนานพอควรแล้ว จึงกลับไปทำงานดังเดิม

To Be Continue

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
11




   เนื่องจากฉินหรุยกวงไม่ได้เป็นผู้ต้องสงสัยในคดี ถึงแม้ว่าเขาจะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แต่ใช่ว่าจะเชิญเขามาสอบถามที่สถานีได้ ยิ่งตอนนี้ฉินหรุยกวงที่มีงานล้นมือด้วยแล้ว จะหาเวลานัดคุยก็ยังยากเลย และเพื่อเป็นการช่วยพี่ผานกู่ ผมจึงใช้ให้โฮวจีเจียนออกหน้า ทำทีเข้ามาขอสัมภาษณ์เพิ่มเติม

   เป็นการแลกเปลี่ยนระหว่างผมกับจีเจียน เพราะเขาดันไปนัดคุณฝู่เถิงเพื่อขอสัมภาษณ์ในวันพรุ่งนี้ โดยไม่บอกกล่าวผมสักนิด นี่ถ้า บ.ก. ไม่ได้มาถามผมเรื่องหัวข้อที่จะสัมภาษณ์แล้วละก็ คนอย่างจีเจียนคงบอกผมในตอนจวนตัวเป็นแน่

   “นี่น้องหนาน เลิกทำหน้างอได้แล้ว พี่โฮวคนนี้ก็ยอมช่วยแล้วไงละ” โฮวจีเจียนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ผมซึ่งกำลังทำหน้าขับรถอยู่

   “นายไม่ได้ใจดีช่วยฉันหรอก ฉันรู้ นายแค่อยากออกมาจากสำนักงานก็เท่านั้น”

   “เฮ้อ...ฉันคงปิดบังอะไรนายไม่ได้เลยใช่ไหมเฟ่ยซาน”

   ผมไม่พูดอะไรอีก เพราะยังเคืองโฮวจีเจียนไม่หาย ถ้าเมื่อคืนพี่กู่ไม่คิดแผนนี้ขึ้นมาได้ในระหว่างที่คุยกันถึงเรื่องคดี ผมคงจะยังไม่คุยกับจีเจียนหรอก เพราะคนอย่างเขานะ ขอโทษใครไม่เป็น

   ผมจอดรถเข้าที่ริมทาง ตามเวลาที่นัดกับอีกฝ่ายไว้ ส่วนจีเจียนเองก็ไม่ได้สนใจอะไรอยู่แล้ว ภายในรถจึงเงียบสนิท จนกระทั่งคนที่รออยู่เปิดประตูด้านหลังแล้วก้าวขึ้นมาพร้อมกาแฟอุ่น ๆ ในมือ

   “อะ จีเจียน มีของนายด้วยนะ”

   “ขอบใจ จื่ออู่”

   “นี่ของนายนะ เฟ่ยซาน”

   “อืม”

   ผมว่าแล้ว ก็ออกรถเพื่อเดินทางไปยังที่หมายกันเลย นั่นคือบริษัทฯ ของฉินหรุยกวง เมื่อไปถึง ผมก็ไปติดต่อขอพบคุณฉินเลย เพราะผมได้โทรมานัดเขาล่วงหน้าไว้แล้ว

   พี่กู่และพี่หยางผิงได้โทรมานัดเพื่อขอสอบถามข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับคดีเมื่อวันก่อน แต่ฉินหรุยกวงกลับอ้างว่ายังไม่ว่าง เพราะงานรัดตัว แต่พอเป็นนักข่าวอย่างผมนัดเข้ามาบ้าง กลับไม่มีปฏิเสธแต่อย่างใด วันนี้พี่กู่จึงให้เหมียนจื่ออู่ปลอมมาเป็นผู้ช่วยของพวกเรา

   เหมียนจื่ออู่นั้นมองดูแล้วเป็นผู้ชายตัวเล็ก ๆ หน้าตาน่ารักคนหนึ่ง ถ้ามาเดินกับพวกผมก็ไม่ต่างอะไรจากเด็กฝึกงานมากนัก ทั้งรูปร่างหน้าตา มองยังไงก็ไม่เหมือนคนเป็นตำรวจ

   “เชิญทางนี้ค่ะคุณหนาน”

   “ขอบคุณครับ”

   เราเดินตามเจ้าหน้าที่ต้อนรับขึ้นไปจนถึงหน้าห้องของฉินหรุยกวง เลขาสาวสวยก็เดินมาต้อนรับพวกเรา และพาไปยังห้องที่เตรียมไว้

   “ไม่ทราบว่าผมสามารถถ่ายภาพบรรยากาศรอบ ๆ ได้ไหมครับ” จื่ออู่ถามขึ้น ขณะที่เรากำลังเดินไปยังห้องจะใช้สัมภาษณ์ เธอลังเลเล็กน้อย

   “ผมอยากได้บรรยากาศที่คุณฉินทำงานจริง ๆ นะครับ” โฮ่วจีเจียนช่วยสนับสนุน

   “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ แต่ถ้าจะถ่ายภาพในห้องทำงานของคุณฉิน คงต้องรอขออนุญาตคุณฉินก่อนนะคะ”

   “ครับ ขอบคุณมากครับ”

   ผมกับจีเจียนจึงเดินเข้าไปที่ห้องเพื่อเตรียมสัมภาษณ์ ส่วนจื่ออู่เดินกลับทางเก่าเพื่อไปถ่ายภาพบอร์ดข่าวต่าง ๆ ในออฟฟิศ รวมถึงแผนกต่าง ๆ ที่พนักงานทำงานกันด้วย จนกระทั่งฉินหรุยกวงเดินเข้ามาในห้อง จีเจียนแนะนำตนเองเพราะทั้งยื่นนามบัตรให้ จากนั้นจีเจียนก็เริ่มถามคำถาม

   หลังจากที่จีเจียนเริ่มงานไปได้สักระยะ จื่ออู่ก็กลับเข้ามาในห้อง และถ่ายภาพของฉินหรุยกวงระหว่างตอบคำถามไปด้วย

   “คุณฉินจะว่าอะไรไหมครับ ถ้าผมจะขอสัมภาษณ์พร้อมกับถ่ายภาพภายในศูนย์ซ่อมบำรุงในตอนนี้ ผมทราบว่าเริ่มมีรถบัสของเมาตรวจสภาพบ้างแล้ว” จีเจียนเข้ามายังประเด็นที่เราต้องการในที่สุด

   “ได้สิ ตอนนี้ใคร ๆ ก็สนใจรถรุ่นนี้นี่นะ”

   “ก่อนไปที่ศูนย์ซ่อม ผมจะขอถ่ายรูปคุณฉินภายในห้องทำงานสักหน่อยได้ไหมครับ ทางเราจะได้คัดเลือก ๆ รูปเหมาะ ๆ ไม่ลง” จื่ออู่ตั้งใจทำงานจนผมคิดว่าเขาเป็นนักข่าวไปจริง ๆ แล้ว

   หลังจากที่จื่ออู่ถ่ายรูปฉินหรุยกวงตามมุมต่าง ๆ ในห้องทำงานจนพอใจแล้ว พวกเราก็เดินตามเขาไปยังศูนย์ซ่อมด้านหลังบริษัทฯ จากทางเข้าก็เห็นว่ามีรถบัสที่กำลังเข้ารับการตรวจสภาพอยู่ 3-4 คัน จื่ออู่จึงเข้าไปถ่ายรูปทันที ก่อนกลับมาถ่ายรูปฉินหรุยกวงคู่กับรถในมุมต่าง ๆ

   “ผมจะไม่ถามคุณฉินข้อนี้คงไม่ได้ อย่าหาว่าผมเสียมารยาทเลยนะครับคุณฉิน”

   “คุณโฮวคงอยากจะถามเรื่องคดีสินะ”

   “ครับ”

   “เชิญตามสบาย ถ้าผมตอบได้ ผมก็จะตอบ”

   “ผมได้ยินข่าววงในเขาพูดกันว่า รถบัสอาจจะไม่ได้ระเบิดเพราะอุบัติเหตุ แต่เป็นเพราะเรื่องมีคนที่ไม่พอใจคุณฉิน จึงต้องการจะกลั่นแกล้งให้คุณเสียชื่อเสียง”

   “เรื่องนี้ผมไม่รู้มาก่อน และผมเองก็ไม่ได้มีศัตรูที่ไหน?”

   “นี่เป็นภาพข่าวที่ทางสำนักพิมพ์ของเราเก็บเอาไว้”

   ผมเอาภาพซากรถให้ฉินหรุยกวงดู ซึ่งเป็นรถบัสที่ระเบิด 2 คัน และคดีรถแท็กซี่เมื่อ 5 ปีก่อน

   “ผมไม่เข้าใจ แล้วรถแท็กซี่นี่”

   “ใช่ครับ มันเป็นรถของบริษัทฯ เก่าของคุณ คุณฉินลองดูที่ทะเบียนรถสิครับ”

   “นี่มัน...เลขเดียวกัน”

   “ใช่ครับ มันมีความเป็นไปได้ว่าคดีมันอาจจะเกี่ยวข้องกัน”

   “ผมจำอะไรเกี่ยวกับคดีนั้นไม่ได้เลยด้วยซ้ำ พวกคุณต้องการถามอะไรผมกันแน่”

   “คุณรู้จักเกาเจี๋ยไหมครับ”

   “ไม่รู้สิ ผมจำไม่ได้ เขาเป็นใคร”

   “เขาเป็นลูกชายของคนขับแท็กซี่”

   “คุณว่าเขาจะมาแก้แค้นผม ทั้งที่ผมก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับคดีอย่างนั้นเหรอ”

   “ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับคุณฉิน พวกเราอยากรู้ความจริง ถึงได้ถามคุณ”

   “เรื่องเมื่อ 5 ปีก่อนผมก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเหมือนกับคดีคราวนี้ และครั้งนั้นผมก็ได้ให้ทนายจัดการเรื่องเงินช่วยเหลือให้กับทั้งสองครอบครัวไปแล้ว”
   
   “เรื่องที่เกี่ยวข้องกับคดีที่ผมถาม คุณฉินวางใจได้ เพราะผมไม่ไปเขียนไว้ในสกู๊ปข่าวแน่นอนครับ”

   “อ่อ จริงสิ เมื่อตอนที่ผมถ่ายรูปอยู่ในบริษัทฯ ได้ยินพนักงานของคุณฉินคุยกันว่า เมื่อสัปดาห์ก่อน ที่บ้านของคุณถูกขโมยขึ้นบ้านใช่ไม่ครับ” เหมียนจื่ออู่หาโอกาสถามเรื่องเกาเจี๋ยอีกครั้ง

   “ใช่ครับ แต่ก็ไม่มีอะไรน่าห่วง ของก็ได้คืนมาครบแล้ว ขโมยก็ถูกจับได้ เห็นว่าเป็นแค่เด็กนักเรียน ผมเลยไม่ได้ใส่ใจเอาความอะไร ปล่อยให้ตำรวจเขาจัดการไปตามเรื่อง”

   “แล้วพวกขโมยพวกนั้นละครับ”

   “ไม่รู้สิครับ ผมได้ของของผมคืน ก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งอะไรเกี่ยกับคดีอีกเลย”

   เมื่อพวกเราเห็นว่า ไม่น่าจะมีประโยชน์อะไรหากจะอยู่ที่นี่ต่อ ผมจึงส่งสัญญาณให้จีเจียนปิดการสัมภาษณ์ ฉินหรุยกวงถามพวกเราว่าสกู๊ปข่าวครั้งนี้จะตีพิมพ์เมื่อไร ซึ่งจีเจียนก็ตอบได้ดีทีเดียว

.........................................................................

   เหมิ๋นหยวนฮ่างกำลังอ่านรายงานฉบับสุดท้ายภายในห้องของซื่อเมิ่งอิ่ง ก่อนที่จะออกเดินทางไปยังมาเก๊า ตามที่รับปากไว้กับฝู่เถิง

   “ดอกเตอร์ค่ะ ไม่ทราบว่าครั้งนี้ไปกี่วันค่ะ”

   “ถามทำไม”

   “ฉันตั้งใจยกห้องนี้ให้คุณ แล้วหาห้องทำงานใหม่ จะได้ร็ว่ามีเวลาขนย้ายห้องนานแค่ไหน อ่อ แถบตำแหน่งหัวหน้าแล็บให้ด้วยดีไหมคะ?”

   “คุณก็รู้ว่าถึงคุณพูดประชดไป ผมก็ไม่ใส่ใจ”

   “เอาเป็นว่า ฉันจะยกห้องนี้ให้คุณก็แล้วกันค่ะ ไม่อย่างนั้นฉันทำงานไม่ได้”

   “ไม่เป็นไร คุณอยู่ห้องของคุณไปเถอะ”

   “แสดงว่าครั้งนี้ไปหลายวัน”

   “ก็อาจจะอยู่จนกว่าจะเปิดตัวกล่องสำริด”

   “คราวนี้ ดร. ไม่มีโครงการจะไปขุดค้นที่ไหนอีกเหรอคะ?”

   “ผมอยู่ที่นี่ ทำให้คุณอึดอัดมากขนาดนั้นเลยเหรอ?”

   “ก็ถ้าคุณไม่อยู่ห้องทำงานของฉัน 24 ชั่วโมงแบบนี้นะคะ ฉันคงทำอะไรๆ ได้สะดวกกว่านี้”

   “ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรคุณนี่ ถ้าคุณจะโทรหาสามีของคุณ”

   “โอ๊ย ดอกเตอร์ค่ะ เอาไว้ให้คุณมีแฟนเมื่อไร แล้วคุณจะรู้ ว่าเวลาคุยกับคนที่คุณรัก บางทีมันก็อยากจะคุยกันสองคน ไม่ได้อยากให้คนที่ 3 ที่ 4 มาร่วมฟังด้วย”

   “ในรายงานนี้มันบอกว่า เลือดของกระต่ายตัวนั้น รักษาโรคได้ คุณไปเอาเลือดมาจากที่ไหนอีก ในเมื่อผมไม่ให้เอาสัตว์ตัวนั้นมาทดลองแล้ว” เขาไม่ใส่ใจคำพูดที่เมิ่งอิ่งบ่น

   “เฮ้อ...ดอกเตอร์...”

   “ซือเมิ่งอิ่ง”

   “ค่ะ ก็เลือดจากครั้งที่ตกแตกนั่นแหละค่ะ มีบางหยดกระเด็นลงไปในแก้วน้ำธรรมดา ๆ จะทิ้งก็เสียดาย เลยเอามาทดสอบเรื่องสารปนเปื้อนก่อน เมื่อไม่เห็นว่ามีอะไรนอกจากน้ำกับเลือด ก็เลยเอามาทดลอง”

   “คุณทดลองตั้งแต่ตอนนั้นเลยอย่างนั้นเหรอ แล้วทำไมเพิ่งจะมารายงานเอาป่านนี้”

   “ก็ผลที่ได้มามันเห็นผลช้ามาก จนฉันคิดว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้ว”

   “ความเจือจางของเลือดกับน้ำ อัตราส่วนเท่าไร

   “โดยประมาณนะคะ 400 มิลลิลิตรต่อ 0.7 มิลลิกรัม”

   “แล้วกระต่ายพวกนั้นละ มีผลข้างเคียงยังไงบ้าง”

   “ไม่มีค่ะ กลับมาแข็งแรงดี แล้วก็ลองตรวจเลือดดูแล้ว ก็ไม่ผมว่ามีคุณสมบัติเหมือนอย่างกระต่ายตัวนั้น”

   “คุณลองผสมพันธุ์กระต่ายตัวนั้นดู ผมอยากรู้ว่ามันจะถ่ายทอดทางพันธุกรรมไหม?”

   “ได้ค่ะ เจ้านาย จะรีบทำตามคำสั่งเดี๋ยวนี้เลยค่ะ”

   เหมิ๋นหยวนฮ่างไม่ได้สนใจฟังคำประชดประชันจากอีกฝ่าย เพราะกำลังคิดว่า ขนาดกระต่ายที่กินเข้าไปในปริมาณน้อยนิด เลือดที่มีในตัวยังวิเศษถึงเพียงนี้ แล้วหนานเฟ่ยซานที่กินน้ำตากิเลนเข้าไปถึงสองเม็ดในคราวเดียวเลือดจะวิเศษขนาดไหน โชคดีที่ช็อกตายไปก่อนในตอนที่กลืนน้ำตากิเลนเข้าไป

.........................................................................

   หลังจากที่พวกเราออกจากบริษัทฯ ของฉินหรุยกวง โฮวจีเจียนก็ลงรถระหว่างทาง เห็นบอกว่าจะไปหาน้องชี่เยว่ ส่วนผมก็มาส่งเหมียนจื่ออู่ที่สถานี

   “ไหนนายแค่มาส่งยังไงละ”

   “เปลี่ยนใจ มาช่วยนายดูรูปดีกว่า เผื่อมีอะไรน่าสงสัย”

   ผมบอกพร้อมกับก้าวลงจากรถ เตรียมเดินตามคนที่เดินนำเข้าสถานีไปก่อน แต่เมื่อเดินมาถึงประตูทางเข้าสถานี กลับพบชายแก่คนหนึ่งเดินวนอยู่ที่ด้านหน้า เดินเข้าไปสองสามก้าวก็เดินออกมา แล้วเดินกลับเข้าไปใหม่

   “คุณลุง มาหาใครรึเปล่า”

   “หลานสาว”

   “หลานสาวของลุงอยู่ที่นี่อย่างนั้นเหรอ”

   “ไม่รู้ แต่ที่นี่ช่วยหาหลานได้”

   “หลานสาวลุงหายไปอย่างนั้นเหรอ มาแจ้งความใช่ไหม”

   “ใช่ ๆ มาแจ้งความ”

   “ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวผมพาเข้าไป”

   ผมประคองชายแก่คนนั้นเข้าไปในสถานีและปล่อยเขาให้นั่งรอที่เก้าอี้ แล้วก็มองหาคนที่พอจะรับแจ้งความได้ ถ้าคาดไม่ผิด หลังจากที่จื่ออู่เอารูปมาแล้ว พี่กู่และพี่หยางผิงคงจะเข้าไปห้องประชุมเพื่อดูรูปอยู่แน่ ๆ

   “เฟ่ยซาน จื่ออู่ฝากบอกว่า ถ้านายขึ้นมาแล้วให้เข้าไปที่ห้องประชุม 2 ได้เลย”

   “กัมหง นายรับแจ้งความให้หน่อยได้ไหม?”

   “นายจะแจ้งความเรื่องอะไรละ”

   “ไม่ใช่ฉัน แต่เป็นลุงคนนั้น ฉันเห็นเขาเดินวนไปวนมาอยู่หน้าประตูสถานี เลยพาเข้ามา”

   “ได้สิ ไปพาลุงมา”

   ผมกลับไปประคองลุงมานั่งที่หน้าโต๊ะของชิวกัมหง เพื่อที่จะได้ให้ลงแจ้งความเรื่องหลานสาว แต่พอผมจะลุกไปยังห้องประชุม 2 ก็โดนลุงรั้งเอาไว้

   “คุณลุง มีอะไรก็บอกคุณตำรวจคนนี้เขาได้”

   “เขาไม่เชื่อลุงหรอก”

   “ทำไมผมถึงจะไม่เชื่อลุงละ” กัมหงถามออกมา แต่คุณลุงไม่ได้หันมองกัมหงเลยแม้แต่น้อย เขาออกแรงดึงแขนผมให้ก้มลง

   “เพราะลุงไม่ได้กินยา” ลุงคนนั้นกระซิบบอกผม

   “เฟ่ยซาน นายก็นั่งเป็นเพื่อนลุงเขาหน่อยแล้วกัน” คงเป็นเพราะกัมหงมีรูปร่างใหญ่โต หนักไปทางอวบอ้วนดูแล้วเหมือนหมีตัวโต ๆ ทำให้ลุงเขาไม่กล้าที่จะพูดคุยด้วย “ลุงชื่ออะไร” กัมหงถามเมื่อผมนั่งลงข้าง ๆ ลุงแล้ว

   “เว่ยหยงหมิง”

   “ลุงบอกผมว่า ลุงมาตามหาหลานสาว แล้วหลานสาวของลุงชื่ออะไร”

   “ฟ่านเอ๋อร์”

   “ฟ่านเอ๋อร์อายุเท่าไร แล้วหายไปตั้งแต่เมื่อไร”

   “อายุ...เท่านี้” ลุงเว่ยชี้มาที่ผม “ฟ่านเอ๋อร์ตัวเท่านี้แล้ว”

   “ลุงเว่ย คุณตำรวจเขาถามอายุ”

   “ลุงจำไม่ได้ ในนี้ไม่ได้จดไว้” พูดยังไม่ทันขาดคำ ลุงเว่ยก็หยิบสมุดทำมือเล่มเล็ก สีสันสดใสขึ้นมาพยายามเปิดไปเปิดมาอยู่หลายครั้ง “ในนี้ไม่มีอายุของฟ่านเอ๋อร์”

   “เอาละ ๆ ลุงใจเย็น ๆ นะ ขอผมดูหน่อย” ผมขอดูสมุดทำมือเล่มนั้น

   “ฟ่านเอ๋อร์หายไปตอนไหน ลุงจำได้ไหม?” กัมหงถามต่อ ระหว่างที่ผมอ่านข้อความในสมุดทำมือ

   “จำได้ ๆ ฟ่านเอ๋อร์หายไปในวันที่คุณหมอนัดให้ไปเอายา”

   “กัมหง ลุงเว่ยเป็นโรคอัลไซเมอร์” ผมบอกกับกัมหง พร้อมทั้งกางสมุดทำมือให้ดู “ดูสิ ในนี้มีข้อมูลที่อยู่ และเบอร์ติดต่อของเว่ยฟ่าน ซึ่งน่าจะเป็นหลานของลุงเว่ย”

   “ลุงเว่ย ได้โทรหาฟ่านเอ๋อร์รึยัง”

   “โทรแล้ว ๆ แต่มีผู้หญิงที่ไหนรับก็ไม่รู้ ไม่ยอมให้ลุงคุยด้วย”

   กัมหงดูเบอร์ในสมุดก่อนกดหมายเลขนั้นลงไป ปรากฏว่าหมายเลขนั้นไม่มีคนรับสาย และเสียงของผู้หญิงที่ลุงเว่ยว่า ก็คงจะเป็นเสียงของระบบตอบรับอัตโนมัติ

   “นี่กัมหง เบอร์คุณหมอที่โรงพยาบาล” กัมหงไม่รอช้า รีบกดเบอร์นั้นแล้วโทรออกทันที

   “ที่นั่นโรงพยาบาลเกียงวูใช่ไหมครับ ครับผมขอสายคุณหมอจ้าวหน่อยครับ”

   “ลุงเว่ย ที่บ้านลุงอยู่กับใคร” ผมถามเผื่อหลังจากนี้จะได้ติดต่อให้คนมารับกลับไปดูแล

   “มีลุง กับฟ่านเอ๋อร์”

   “ลุงอยู่กับหลานสองคนเหรอ”

   “ใช่”

   “แล้ว ฟ่านเอ๋อร์ไม่อยู่ ลุงทำอะไรบ้าง”

   “นอน อาบน้ำ แล้วก็อ่านหนังสือที่ฟ่านเอ๋อร์ให้อ่าน”

   “ลุงทานอะไรรึยัง”

   “ฟ่านเอ๋อร์ยังไม่ได้กลับมาทำให้”

   “เฟ่ยซาน” กัมหงเพิ่งวางสายจากโทรศัพท์ “ฉันว่าเราพาลุงเว่ยไปหาอะไรทานก่อนเถอะ”

   “แล้วเรื่องแจ้งความละ”

   “เรื่องนั้นค่อยกลับมาทำต่อทีหลังก็ได้ ตอนนี้สุขภาพคนสำคัญกว่า”

   “คุณหมอบอกว่าอาการลุงเว่ยไม่ค่อยดีอย่างนั้นเหรอ”

   “หมอจ้าวว่า เว่ยฟ่านไม่ได้ไปเอายาตามที่นัดไว้ ซึ่งก็คือเมื่อสองวันก่อน แล้วที่นายถามลุงเว่ย ลุงแกน่าจะอยู่คนเดียวตั้งแต่หลานหายไป”

   “อือ ฉันเข้าใจแล้ว”

   ผมแล้วกัมหงพาลุงเว่ยออกมานอกสถานี เพื่อเดินไปร้านอาหารข้าง ๆ ตอนแรกลุงเว่ยจะไม่ไปเพราะคิดว่าพวกเราจะไล่เขากลับและไม่ยอมช่วยเขาหาหลานสาวให้

To Be Continue

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
12



     ตู้เห่าใช้เวลาค้นคดีคนหายอยู่หลายวัน สุดท้ายก็สามารถระบุศพของเหยื่อรายที่ 4 ได้ เขาซึ่งรับหน้าที่ดูคดีคนหายในช่วงนี้ เตรียมที่จะโทรไปติดต่อให้ญาติมาดูศพ กัมหงก็เดินเข้ามาที่โต๊ะของเขา

     “พี่เห่า คดีคนหาย อีก 2 คดี”

     “อีกแล้วเหรอ”

     “ใช่ เมื่อวานมีแม่บ้านมาแจ้งความว่าลูกแฝดชายหญิงของเธอหายไปหลังจากกลับจากเรียนพิเศษ ส่วนอีกคดี เป็นลุงคนหนึ่งมาแจ้งความตามหาหลานสาวที่หายตัวไปเมื่อ สามวันก่อน”

     “ทำไมช่วงนี้คดีคนหายมันเยอะจังว่ะ?”

     “คนที่หายไปช่วงนี้มักจะมีแต่ผู้หญิง แล้วก็เด็ก นี่พี่ระบุเหงื่อรายที่ 4 ของคดีฆ่ารัดคอได้แล้วเหรอ”

     “อืม เธอถูกสามีแจ้งความว่าหายตัวไปหลังจากไปงานเลี้ยงสังสรรค์กับเพื่อน ๆ เมื่อ 3 สัปดาห์ก่อน”

     “ศพทั้ง 4 รายที่พบ ก็เป็นผู้หญิงทั้งหมด และยังมาจากคดีคนหายทั้งนั้นเลยนะ”

     “อืม”

     “พี่ว่า สองคดีนี้มันจะเกี่ยวข้องกันไหม?”

     “มันอาจจะเกี่ยวข้องกันในบางคดีเท่านั้น ไอ้ฆาตกรนั่นมันเลือกเหยื่อที่เป็นผู้หญิง มันยังไม่เคยจับเด็กไปทรมาน”

     “อืม ก็จริง”

     “พี่ติดต่อไปทางสามีผู้ตายเถอะ เดี๋ยวผมจะไปช่วยพี่กู่ดูภาพรถบัสสักหน่อย เห็นว่าสามารถระบุตัวผู้ต้องสงสัยและผู้สมรู้ร่วมคิดได้แล้ว”

     “คงต้องยกความดีความชอบให้กับเฟ่ยซานแล้วละ เข้ามามีเอี่ยวด้วยทีไร ได้เรื่องทุกที”
 
     “นั่นสินะ พี่ก็น่าจะลองให้เฟ่ยซานมาช่วยดูเรื่องคดีคนหายนะ เผื่อจะช่วยอะไรได้ อ่อ แล้วลุงที่เมื่อวานเข้ามาแจ้งความ เฟ่ยซานก็เป็นคนพาเข้ามานะ ลุงเว่ยแกเป็นโรคอัลไซเมอร์ หลง ๆ ลืม ๆ แต่เฟ่ยซานก็เชื่อสิ่งที่ลุงเว่ยแกพูด เลยรู้ว่าหลานสาวแกหายไปจริง ๆ”

     “อืม ถ้านายนั่นสนใจคดีนี้นะ คดีคนหายมันไม่น่าดึงดูดใจ ให้เอาไปเขียนข่าวนี่ นายก็รู้”

     “พี่ก็คิดมาก ช่วยก็ส่วนช่วย งานก็ส่วนงาน เฟ่ยซานเป็นคนมีน้ำใจ ไม่อย่างนั้นคงจะไม่โดนเพื่อนร่วมงานเอาเปรียบได้อย่างทุกวันนี้เหรอ”

     “เฟ่ยซานโดนโฮวจีเจียนเอาเปรียบอีกแล้วอย่างนั้นสิ”

     “อืม”

     กัมหงตอบแล้วเดินเข้าห้องประชุม 2 ไปแล้ว ตู้เห่าเองก็ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ เขาดูข้อมูลของเหยื่อรายที่ 4 ในคดี ภาพสิ่งของที่ติดตัวผู้ตาย ก่อนโทรศัพท์ไปหาสามีเพื่อให้เข้ามายืนยันศพ

.........................................................................

     วันนี้ผมมาในฐานะผู้ช่วยของโฮวจีเจียน ทำให้ต้องทำหน้าที่ขับรถให้กับคนที่นั่งข้าง ๆ ไปด้วย ผมขับรถตรงไปยังท่าเรือที่ 5 เพื่อที่จะผ่านไปยังโกดังของเยี่ยนหวอ

     “เฟ่ยซาน นายต้องขับตรงไปอีก ออฟฟิศของเยี่ยนหวอตั้งอยู่แถว ๆ ท่าเรือ 5A”

     “ผ่านท่าเรือที่ 5 ก็ได้นี่ นั่นไงป้ายบอกทาง”

     “คุณฝู่บอกว่า เข้าทางท่าเรือ 5A จะใกล้ออฟฟิศเขามากกว่า ถ้านายเขาทางนี้ เดี๋ยวได้ไปหลงอยู่ข้างในโกดัง”

     “อืม ๆ เดียวฉันหาที่กลับรถก่อน นายนี่ก็มาบอกอะไรตอนจวนตัวทุกที”

     “เอาน่าน้องหนาน ถ้านายอยากมาเที่ยวเล่นแถวท่าเรือที่ 5 นี่ เดี๋ยวฉันให้นายออกมาถ่ายรูปให้เต็มที่เลย แต่ตอนนี้นายไปส่งฉันก่อน”

     “รู้แล้ว ๆ ฉันไม่ได้อยากมาเที่ยวเล่นแถวนี้สักหน่อย”

     ผมขับกลับรถแล้วขับกลับทางเก่า เพื่อตรงไปยังท่าเรือ 5A ตามที่จีเจียนบอก เมื่อผ่านทางเข้าของท่าเรือผมก็เห็นลานกว้างสุดลูกหูลูกตา ยาวไปจนถึงปากอ่าว มีเรือส่งสินค้าแล่นไปมาขวักไขว่
 
     เราแลกบัตรตรงป้อมยาม เขาให้เราเข้ายังลานจอด ที่กันไว้สำหรับผู้มาติดต่อที่ออฟฟิศโดยตรง ซึ่งจะแยกออกจากกันกับลานจอดรถส่งสินค้าที่เวียนเข้าเวียนออกกันตลอดเวลา

     “นี่เยี่ยนหวอทำธุรกิจประเภทรถส่งสินค้าด้วยอย่างนั้นเหรอ” ผมถามในขณะที่มองหาที่จอดรถอยู่

     “นี่นายไม่รู้เหรอไง” ผมไม่ตอบจีเจียนจึงพูดต่อ “เดี๋ยวนายได้ฟังฉันสัมภาษณ์นายจะต้องตกใจ เพราะเยี่ยนหวอยังมีธุรกิจอีกมากที่นายอาจจะยังไม่รู้”

     “รวมถึงเรื่องธุรกิจผิดกฎหมายด้วยรึเปล่า”

     “ใครจะไปกล้าถาม ฉันยังอยากออกจากที่นี่ไปแบบมีลมหายใจนะ”

     “จีเจียน ที่นายเคยเล่าเรื่องน้ำตากิเลน นายรู้อะไรเกี่ยวกับมันบ้าง”

     “อันที่จริงมันเรียกกันว่าน้ำตาหยก เพราะมันเกิดจากหยกศักดิ์สิทธิ์”

     “แล้วมันเพี้ยนมาเป็นน้ำตากิเลนได้ยังไง”

     “มันไม่ได้เพี้ยน นายสิเพี้ยน นายไม่เคยไปดูหยกศักดิ์สิทธิ์ที่จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติหรือยังไง”

     “หยกประดับ ที่ปฐมกษัตริย์ให้กับขุนนางคนสนิท 4 ตระกูลนั่นนะเหรอ” ผมเข้ามาจอดรถในที่หนึ่งที่ว่างอยู่ ซึ่งจากตรงนี้ค่อนข้างเดินไกลพอสมควร กว่าจะถึงออฟฟิศ

     “นั่นน่ะแหละ ตระกูลฝู่ก็เป็นหนึ่งในตระกูล 4 ขุนนางนั่น”

     “แล้วมันเกี่ยวกับน้ำตากิเลน หรือน้ำตาหยกอะไรนั่นยังไง” ผมจอดรถ และดับเครื่องแล้ว ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปจากจีเจียนเลย
 
     “น้ำตากิเลนก็มาจากหยกกิเลนนั่นไง”
 
     “อ่อ”

     “คนที่สร้างหยกนี่ขึ้นมา คงมีวิธีกลั่นน้ำตาหยกออกจากหยกศักดิ์สิทธิ์นั่น มันเลยเป็นที่มาของตำนานน้ำตากิเลนที่ช่วยให้คนอายุยืนยาวได้ยังไงละ แต่มันก็เป็นความลับของคนรุ่นก่อน ๆ จนคนรุ่นหลังถึงแม้จะเป็นตระกูลฝู่เอง ก็ไม่สามารถกลั่นเอาน้ำตาหยกออกมาได้”

     “แล้วมันทำให้คนอายุยืนยาวจริง ๆ อย่างนั้นเหรอ”

     “ฉันว่าคงไม่ใช่หรอก แต่มันมีจริง ๆ เพียงแต่มันไม่ได้เหลือให้เราศึกษามันแล้ว เพราะดร.เหมิ๋นค้นพบกล่องบรรจุน้ำตากิเลน ขนาดเป็นกล่องสำริด 2 ชั้นนะ น้ำตากิเลนยังเหือดแห้งไม่เหลือมาจนถึงปัจจุบันนี้เลย”

     “อ่อ” นั่นแหละ บทสรุปที่ผมอยากจะรู้ สิ่งที่ ดร.โพลาไอซ์บอกกับคนทั่วไป

     “ว่าแต่นาย ถามเรื่องนี้ทำไม”

     “ก็ครั้งก่อนไง ที่นายลากฉันไปดัก ดร. เหมิ๋นที่โรงแรมฝู่น่ะ ฉันก็แค่อยากรู้ว่าเขาเจอของสิ่งนั้นไหม?”

     “นายก็ถามมาซะกว้างเชียว ไปได้แล้ว เสียเวลา เดี๋ยวคุณฝู่รอนาน”

     “อืม ๆ เดี๋ยวฉันหยิบกล้องก่อน”
 
     ว่าแล้วพวกเราก็ลงจากรถ หยิบอุปกรณ์ที่จำเป็น จากนั้นผมก็เดินตามหลังจีเจียนไปยังออฟฟิศของโกดังแห่งนี้

.........................................................................

     เหมิ๋นหยวนฮ่างเฝ้ามองคนที่นั่งคุยกันบนรถอยู่นานสองนาน ก็ยังไม่มีท่าทีจะลงรถไปเสียที เขาลอบมองทั้งสองคนคุยกันจนกระทั่งเดินเข้าออฟฟิศไปแล้วเขาจึงได้ก้าวลงจากรถ

     เขาเดินตามหลังคนทั้งสองไปโดยทิ้งระยะห่างพอประมาณ จนเลขาของเตี๋ยพาคนทั้งสองเข้าไปยังห้องรับรอง เขาจึงเดินเข้าไปหาเตี๋ยที่ห้องทำงาน

     “มาแล้วเหรอหยวนฮ่าง เตี๋ยนึกว่าเราจะมาไม่ทันซะแล้ว”

     “มาถึงพักใหญ่แล้วละครับ แต่จับตามองคนที่ต้องคุยด้วยวันนี้อยู่”

     “เจอกันแล้วเหรอ”

     “ผมเจอเขาอยู่กับเพื่อนในลานจอด เห็นตกลงอะไรอยู่นานสองนานกว่าจะเข้ามาที่นี่”

     “แล้วท่าทีพวกเขาเป็นยังไง”

     “โฮวจีเจียนดูแล้วไม่น่าจะใช่เพื่อนที่ดีของหนานเฟ่ยซานอย่างที่เตี๋ยว่า”

     “อี๊เรามองคนไม่ผิดหรอกนะ คงเห็นอะไรในตัวของโฮวจีเจียนตั้งแต่วันที่เจอกันในโรงพยาบาลแล้วละ”

     “พูดถึงอี๊ แล้วอี๊ละครับ ยังไม่มาเหรอ”

     “อี๊เราไม่มาหรอก ให้เตี๋ยรับหน้าคนเดียว อีกอย่างอี๊เขารีบไปจัดการเรื่องเจมส์ด้วย”

     “ผมก็เพิ่งได้ข่าว เมื่อตอนที่มาถึง ว่าเจมส์หายตัวไป”

     “ใช่ ไม่รู้ไปซนจนได้เรื่องที่ไหน”

     “ครั้งนี้อี๊น่าจะโกรธมากนะครับ ถึงต้องไปจัดการด้วยตัวเอง”

     “ก็ยังไม่รู้หรอก ถ้าเจมส์มีเหตุผลพอ ม๊าเขาก็พร้อมจะรับฟัง”

     “แล้วนี่เตี๋ยจะให้ผมเข้าไปพร้อมเตี๋ยเลยไหมครับ”

     “ไม่ต้อง นั่งรออยู่ที่นี่ก่อน ถ้าพวกเราออกไปดูโกดังกันเมื่อไร เดี๋ยวเตี๋ยให้เฉิ่งอี้มาตาม”

     “ครับ”

     เตี๋ยเดินออกจากห้องไป เขาจึงหาหนังสือบนชั้นมานั่งอ่านรอเวลา หากพวกนั้นไปดูโกดังกัน เขาจะต้องหาโอกาสคุยกับหนานเฟ่ยซานให้ได้

.........................................................................

     ขณะนี้ทีมสืบสวนทั้งทีมที่ 1 และ 2 ต่างมารวมตัวกันอยู่ในห้องประชุม 1 เพื่อสรุปข้อมูลล่าสุดในคดีรถบัสระเบิดให้กับหัวหน้าได้ฟัง

     บนกระดานมีรูปรถบัสที่ระเบิดทั้งครั้งที่ 1 และ 2 ถัดไป เป็นรูปรถแท็กซี่ที่ระเบิดเมื่อ 5 ปีก่อน โดยเลขทะเบียนของรถทั้ง 3 คันเป็นเลขเดียวกัน แถวถัดมาเป็นรูปผู้เกี่ยวข้องกับคดีทั้งหมด ตั้งแต่รูปของโชเฟอร์แท็กซี่ และครอบครัว รูปสองสามีภรรยาแซ่โยว่และลูกสาว สุดท้ายเป็นรูปฉินหรุ่ยกวง

     “ผมตรวจสอบดูแล้ว รถรุ่นนี้ ยังมีทะเบียนรถที่เป็นเลขเดียวกันอีก 6 คัน ซึ่งผมให้คนคอยเฝ้าระวังไว้แล้ว” เหยินหยางผิงรายงาน

     “ตอนนี้เป็นโอกาสที่ดีที่เราจะจับคนร้าย ผมขอให้ฉินหรุยกวงเรียกรถที่มีเลขทะเบียนเดียวกันเข้ามาตรวจสภาพที่อู่วันนี้” ผานกู่รายงาน

     “คนร้ายต้องอาศัยจังหวะที่รถทั้งสามคันมาตรวจสภาพ ลอบขึ้นไปติดตั้งระเบิดแน่นอน” เหมี่ยนจื่ออู่ออกความเห็น

     “ผมได้ขอกำลังคนเก็บกู้ระเบิดไว้แล้ว ทุกอย่างจะพร้อมภายใน 3 นาที” ตู้เห่ารายงาน

     “ถ้าอย่างนั้นทุกคนก็ระวังตัวให้ดี อย่าทำอะไรให้คนร้ายไหวตัวทัน แล้วจับตัวมาให้ได้ทั้งสองคน”

     “ครับหัวหน้า” ทุกคนรับปากก่อนเดินออกจากห้องประชุมไป โดยทั้งสองทีมแบ่งนั่งรถไปคนละคัน ตามด้วยรถตำรวจอีกกันหนึ่ง รถของทีมกู้ระเบิดขับตามเป็นคันสุดท้าย

     ผานกู่นั่งอยู่ข้างเหยินหยางผิงที่เป็นคนขับรถ กำลังมุ่งตรงไปยังบริษัทฯ ของฉินหรุยกวง จากที่เหมียนจื่ออู่เอารูปที่ได้ถ่ายภายในบริษัทฯ และศูนย์ซ่อมบำรุงของฉินหล็อกยกวงเมื่อวานนี้ มาเปิดดูเพื่อหาข้อมูลผู้ต้องสงสัย ทำให้เขาพบว่า ผู้ร้ายในคดีแฝงตัวเข้ามาทำงานอยู่ที่บริษัทฯ แห่งนี้พักใหญ่แล้ว

     จากนั้นพวกเขาก็แยกย้ายกันไปสืบจนเป็นที่รู้แน่ชัดว่า ทั้งสองคนร่วมมือกันวางระเบิดรถบัสแน่นอน ขาดเพียงแต่พยาน และหลักฐานดังนั้น เหมียนจื่ออู่กับเขาจึงไปพบฉินหรุยกวงที่บ้าน เพื่อขอความร่วมมือ ซึ่งครั้งแรกที่ฉินหรุยกวงได้ยินก็ตกใจไม่น้อย และให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยติดต่อบริษัทรับสัมปทาน ขอตรวจทั้ง 6 คันด้วยตัวเอง

     เมื่อมาถึงที่หมาย รถของตำรวจคันที่ตามมาพร้อมเจ้าหน้าที่เก็บกู้ระเบิด ก็ขับรถไปอยู่ที่ถนนอีกสายที่ขนานกับถนนหน้าบริษัทฯ ซึ่งเป็นถนนด้านหลัง เพื่อจะเข้าไปทางศูนย์ซ่อมบำรุงได้โดยตรง ส่วนพวกเขาทั้งทีม 1 และ 2 แยกย้ายกันไปตรวจค้นภายในศูนย์ทางด้านหน้าบริษัทฯ

     .

     .

     .

     ผานกู่กับเหมี่ยนจื่ออู่เดินเข้าไปสำรวจที่ศูนย์ซ่อมบำรุง โดยมีตำรวจบางส่วนที่เข้ามาทางด้านหลังสแตนบายรออยู่ก่อนแล้ว พวกเขาแยกย้ายกันเข้าตรวจรถที่กำลังทำการตรวจสภาพอยู่ ช่างที่กำลังทำงานต่างตกใจเมื่อเห็นพวกเขา แต่ก็ก้าวถอยออกไปแต่โดยดี จนกระทั่งมีเจ้าหน้าที่นายหนึ่งร้องขึ้นมา

     “พบวัตถุต้องสงสัยบนรถคันนี้”
 
     สิ้นเสียง เจ้าหน้าที่เก็บกู้ระเบิดก็เข้ามากันพื้นที่ อพยพคนออกไป ผานกู่และเหมียนจื่ออู่ พบวัตถุต้องสงสัยบนรถบัสอีกคัน จึงแจ้งเจ้าหน้าที่เก็บกู้ เมื่อค้นทุกซอกทุกมุมจนไม่พบวัตถุน่าสงสัย ก็เดินออกไปสมทบกับคนที่เหลือ พวกเขาเห็นตู้เห่าและจู้ชุนกำลังเดินออกมาหาพวกเขาที่จุดนัดเช่นกัน

     .

     .

     .

     ตู้เห่ากับจู้ชุน เดินเข้าไปยังด้านข้างของศูนย์ซ่อมบำรุง ซึ่งเป็นที่พักผ่อนและล็อกเกอร์ของยามเฝ้าบริษัทฯ เมื่อไปถึงเขาเห็นหัวหน้ายามกำลังออกมาจากห้อง จึงแสดงตัวและเรียกไว้ เพื่อขอให้เขาพาไปยังล็อกเกอร์ของผู้ต้องสงสัย

     “ช่วยเปิดล็อกเกอร์ และตามเจ้าของมาให้พวกเราที อย่าให้ผิดสังเกตนะ”

     ตู้เห่าบอกกับหัวหน้ายาม ทางนั้นก็รีบทำตามทันที กลับไปที่ล็อกเกอร์ของตัวเอง หยิบกุญแจสำรองที่แขวนไว้ภายในตู้ออกมาหากุญแจตามหมายเลขที่ต้องการ เมื่อเปิดตู้ให้กับตู้เห่าและจู้ชุนแล้ว เขาก็ ว. เรียกให้คนที่ตำรวจต้องการตัวมาหาที่ห้องพัก

     ภายในล็อกเกอร์ของผู้ต้องสงสัย นอกจากเสื้อผ้า และหนังสือสองสามเล่ม จู้ชุนก็พบเพียงแต่เทปกาวที่ใช้ไปเกือบครึ่งม้วนวางทิ้งไว้ด้านใน

     “พี่เห่า ไม่เจอ”

     “จับไปก่อน ที่เหลือค่อยว่ากัน”

     เมื่อสรุปได้ดังนั้น จู้ชุนจึงปิดประตูล็อกเกอร์ลง รอให้หน่วยพิสูจน์หลักฐานมาตรวจสอบอีกครั้ง และเมื่อผู้ต้องสงสัยเดินเข้ามา พวกเขาก็แสดงตัวอีกครั้งแล้วเข้าทำการจับกุม

     “เดี๋ยวคุณตำรวจ มาจับผมทำไม ผมไม่ได้ทำอะไรผิด”

     “เดี๋ยวก็รู้ แต่ตอนนี้นายคงต้องมากับพวกเราก่อน” ตู้เห่าใส่กุญแจข้อมือ จากนั้นก็พาผู้ต้องสงสัยเดินกลับไปสมทบกับทุกคน ซึ่งเมื่อเดินออกไปก็เห็นผานกู่และเหมียนจื่ออู่ ยืนรออยู่ก่อนแล้ว

     “เจอไหมอากู่”

     “สองคัน”

     ผานกู่ตอบกลับมา และยังไม่ทันได้ถามอะไรต่อก็เกินเสียงระเบิดดังขึ้นติด ๆ สองครั้งภายในบริษัทฯ และภายในศูนย์ซ่อมบำรุง พวกเขาทั้งหมดยอบตัวหลบโดยอัตโนมัติ พร้อมกับกดหัวผู้ต้องสงสัยลง เพื่อความปลอดภัย

     .

     .

     .

     เหยินหยางผิงกับชิวกัมหงเดินเข้ามาภายในบริษัทฯ ทางพนักงานที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ก็ต้อนรับเขาอย่างดี และพาพวกเขาไปส่งที่ห้องทำงานของฉินหรุยกวง เมื่อมาถึง เลขาสาวสวยเพิ่งจะออกจากห้องของเจ้านายก็เข้ามาดูแลพวกเขาต่อ

     “พวกคุณนัดคุณฉินเอาไว้รึเปล่าคะ?”

     “นัดไว้แล้วครับ” เหยินหยางผิงตอบ

     “ถ้าอย่างนั้นรอสักครู่นะคะ ฉันจะไปเตรียมห้องรับรองไว้ให้พวกคุณเข้าไปนั่งรอก่อน เพราะคุณฉินยังมาไม่ถึงที่ออฟฟิศเลยค่ะ”

     “ไม่ต้องหรอกครับ วันนี้คุณฉินไม่น่าจะเข้ามาที่บริษัทฯ แล้ว” ชิวกัมหงพูดพร้อมทั้งเดินไปมองรอบ ๆ โต๊ะทำงานของเธอ

     “ผมขอเข้าไปดูห้องคุณฉินหน่อยได้ไหมครับ” เหยินหยางผิงถาม เพราะตอนที่เขาเดินเข้ามา เหมือนเห็นเธอเพิ่งเดินออกมาจากห้องของเจ้านายตัวเอง

     “เกรงว่าจะไม่ได้ค่ะ คุณฉินไม่ชอบให้ใครเข้าไปยุ่งวุ่นวายภายในห้องทำงานของท่าน”

     “นอกจากคุณสินะ”

     “ก็ฉันเป็นเลขาของคุณฉินนี่คะ?”

     “นี่ ใช่กระเป๋าของคุณไหม” ฉิวกับหงชี้ไปยังกระเป๋าถือใบใหญ่ ที่วางอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงานของเธอ

     “นี่คุณ นั่นของของฉัน ฉันว่าคุณควรอยู่ห่าง ๆ มันจะดีกว่า” เลขาสาวสวยตรงหน้ามีท่าทางลุกลี้ลุกลนจนทั้งสองคนผิดสังเกต

     “ผมก็ยังไม่ได้ทำอะไรนี่ แค่เห็นว่ากระเป๋า มันดูไม่เข้ากับชุดของคุณสักเท่าไร” ชิวกัมหงเดินห่างออกมาเล็กน้อย

     “พวกคุณต้องการอะไรกันแน่ ในเมื่อรู้ว่าคุณฉินไม่เข้ามาบริษัทฯ แล้วจะเข้าไปในห้องคุณฉินทำไม”

     “ผมต้องถามคุณมากกว่า ว่าคุณเอาอะไรไปซ่อนในห้องคุณฉิน”

     “ฉันซ่อนอะไร ฉันก็แค่เอาเอกสารไปวางไว้ให้ตามหน้าที่”

     “ถ้าอย่างนั้น ผมโทรขอคุณฉินก่อนก็ได้” เหยินหยางผิงพูดพร้อมทั้งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทำทีกดโทรออก แล้วแกล้งพูดอยู่คนเดียว “คุณฉินครับ ผมจะขอเข้าไปตรวจสอบอะไรในห้องทำงานของคุณหน่อยได้ไหมครับ .. .. แต่เลขาสาวสวยของคุณไม่ยอมให้พวกผมเข้าไป .. .. คุณช่วยบอกกับเธอหน่อยก็แล้วกันนะครับ” เขาพูดคนเดียวกับโทรศัพท์ ก่อนยื่นมันให้กับหญิงสาวตรงหน้า

     เธอยื่นมือออกมารับโทรศัพท์ในมือเขา จังหวะนั้นชิวกัมหงก็เอื้อมมือไปคว้ากระเป๋าของหญิงสาวไว้ เธอตกใจทำโทรศัพท์ในมือหล่น ครั้นจะกลับไปคว้ากระเป๋าคืนมาก็ทำไม่ได้ เธอจึงถอยไปที่โต๊ะและหยิบสิ่งของที่มีลักษณะคล้ายกล่องสิ่งเหลี่ยมขึ้นมาถือเอาไว้

     “หยางผิง” ชิวกัมหง เปิดกระเป๋าให้เหยินหยางผิงดูข้างใน เข้าเห็นวัตถุต้องสงสัยอยู่ในกระเป๋าจำนวนหนึ่ง ยังดีที่ยังไม่ได้ติดตั้งตัวจุดระเบิด

     “โยว่ซินหรู คุณยอมมอบตัวซะเถอะ ป่านนี้เกาอี้คงถูกตำรวจจับกุมตัวไปแล้ว”

     “ไม่จริง” โยว่ซินหรูพูดขึ้นมาด้วยความตกใจ

     “แล้วสิ่งที่อยู่ในมือคุณ ถึงกดไประเบิดก็ไม่ทำงานหรอกนะ เพราะเจ้าหน้าที่คงปลดชนวนเสร็จเรียบร้อยแล้ว” เหยินหยางผิงพยายามเกลี้ยกล่อม

     “พวกคุณมาขัดขวางฉันทำไม อีกนิดเดียว อีกนิดเดียวเท่านั้น คนที่ฆ่าพ่อแม่ฉันมันจะได้ตายไปชดใช้กรรมของมันแล้ว”

     “การระเบิดครั้งนั้นคุณก็รู้ว่าเป็นอุบัติเหตุ”

     “ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ช่ายยยย”

     “โยว่ซินหรู ใจเย็น ๆ” เหยินหยางผิงพยายามเกลี้ยกล่อม

     “ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่”

     โยว่ซินหรูดูเหมือนจะสติแตกไปแล้ว เธอไม่ได้ฟังสิ่งที่เหยินหยางผิงพูดเลยแม้แต่น้อย ชิวกัมหงที่พยายามจะเข้าไปจับเธอ เธอยิ่งคลุ้มคลั่ง และในตอนที่ชุลมุนกันอยู่นั่นเอง

     ภายในห้องทำงานของฉินหรุ่ยกวง

     ตู้มมมมมมม


To Be Continue

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
13




     หลังจากที่โฮวจีเจียนสัมภาษณ์คุณฝู่เถิงในห้องทำงานเรียบร้อยแล้ว คุณฝู่เถิงก็เชิญพวกเราเดินเยี่ยมชมภายในออฟฟิศของเขา โดยคุณฝู่เถิงเป็นคนอธิบายในส่วนของสายงานทั้งหมดที่เขาดูแลอยู่ที่เยี่ยนหวอ ซึ่งส่วนมากก็จะประจำอยู่ที่นี่ ไม่ใช่ที่สำนักงานใหญ่ที่ฮ่องกง

     “แสดงว่าผู้บริหารของเยี่ยนหวอแต่ละคน จะแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบกันอย่างชัดเจน คุณที่ดูแลในส่วนของงานส่งออก และการเช่าพื้นที่โกดัง คุณจึงให้นัดเรามาสัมภาษณ์ที่นี่” โฮวจีเจียนถามระหว่างที่พวกเรากำลังจะเดินออกไปเยี่ยมชมโกดังภายนอก

     “ใช่แล้วครับคุณโฮว งานในส่วนที่ผมดูแลมีเพียงที่นี่เท่านั้น”

     “แล้วระบบขนส่งสินค้าที่ออกจากท่าเรือ คุณก็เป็นผู้คิดริเริ่มใช่ไหมครับ”

     “นั่นมันความคิดของลูกชายผม ที่พูดเล่น ๆ แต่ผมมองว่ามันมีโอกาสจะเติบโตได้ จึงลองทำดู”

     “แล้วมันก็ได้ความนิยมไม่น้อยเลยนะครับ สำหรับ เจเจเอ็กเพรส”

     “ต้องยกความดีความชอบให้ลูกชายผม”

     “จากที่คุณฝู่เล่ามา งานที่นี่ก็ถือว่าหนักเอาการ สำหรับคนทั่วไป”

     “พวกเราวางระบบการทำงานของบริษัทฯ มาอย่างดี ทำให้จนถึงทุกวันนี้ กลไกการทำงานของที่นี่จึงเป็นไปได้โดยธรรมชาติ หากขาดผมไปสักคน งานที่นี่ก็ยังคงดำเนินการต่อไปได้”

     “แล้วในส่วนของคุณฝู่หงส์ละครับ”

     “ผมไม่ก้าวก่ายงานของภรรยาหรอกครับคุณโฮว ไว้ถ้าคุณมีโอกาสไว้คุณถามภรรยาผมเอาเองแล้วกันนะครับ”

     คุณฝู่เถิงพาเราออกมาที่หน้าออฟฟิศ ซึ่งมีรถกอล์ฟจอดรออยู่ 2 คัน ฝู่เถิงพาเชิญให้โฮวจีเจียนขึ้นไปนั่งบนรถคันแรก จากนั้นคนขับรถก็ลงมา คุณฝู่จึงเป็นคนขับพาเยี่ยมชมโดยรอบพื้นที่โกดังด้วยตัวเอง ผมที่กำลังจากก้าวขึ้นรถคันนั้นกลับถูกรั้งตัวไว้

     “นายมากับฉัน” ผมหันกลับไปมองที่ต้นเสียง ดร. โพลาไอซ์ ไม่รู้โผล่มาจากไหน

     “ผมต้องตามจีเจียนไปถ่ายภาพ”

     “โกดังมันก็เหมือน ๆ กันหมดนั่นแหละ นายไปกับเพื่อนนาย หรือไปกับฉันมันก็เหมือน ๆ กัน”

     “ดอกเตอร์พูดยาว ๆ ได้ด้วย?”

     “ขึ้นรถ” ดร.โพลาไอซ์ก้าวขึ้นไปประจำที่นั่งคนขับแล้ว ผมที่มองไปยังจีเจียนเพื่อช่วยให้เขาตัดสินใจ กลับอ่านปากของคนที่อยู่บนรถ ที่กำลังเคลื่อนตัวออกไป ‘ขอสัมภาษณ์ดอกเตอร์ให้ฉันด้วย’ ผมจึงจำใจก้าวขึ้นรถมา

     “งานที่นี่ไม่น่าจะเกี่ยวอะไรกับดอกเตอร์ แล้วดอกเตอร์มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

     “มาคุยกับนาย”

     “นี่ก็ตรงเกิน” ผมบ่นดัง ๆ ตั้งใจให้เขาได้ยิน ก่อนยกกล้องขึ้นถ่ายรูปรอบ ๆ ส่วนที่เป็นโกดัง

     “นายมีเรื่องที่จะต้องรู้”

     “ถ้าเป็นเรื่องน้ำตากิเลน ผมรู้แล้ว บอกแล้วไงว่าพูดไปก็ไม่มีคนเชื่อ”

     “เลือดของนาย มีฤทธิ์เหมือนน้ำตากิเลน”

     “ไม่มีใครเชื่อหรอกว่ามันมีอยู่จริง หา!!” ผมที่เตรียมคำพูดเอาไว้กลับต้องสะดุดกับคำว่าเลือดของผม

     “เลือดของนาย สามารถรักษาบาดแผล หรือแม้กระทั่งรักษาโรคได้”

     “ผมไม่ใช่แวมไพร์นะ ที่ใครได้ดื่มเลือดแล้วจะกลายเป็นอมตะ ฆ่าไม่ตาย”

     “นายถูกฆ่า นายก็ตาย นายบาดเจ็บ ร่างกายนายก็ฟื้นตัวช้า แต่เลือดที่ไหลออกจากตัวนายมันมีค่าราวกับยาวิเศษ”

     “ละ ละ แล้ว คุณรู้ได้ยังไง” ผมถึงกับพูดติดอ่างทันที

     “มันมีบันทึกไว้”

     “ทำไมไม่เคยเห็นในบทความต่าง ๆ เลยละ”

     “ใครจะเชื่อ”

     “เออ ก็จริง ผมยังไม่เชื่อเลย”

     “เรื่องเลือดของนาย จะให้ใครรู้ไม่ได้เด็ดขาด”

     “ในเมื่อมันเป็นเรื่องที่ถูกบันทึกมานาน มันอาจจะไม่เป็นจริงก็ได้”

     “ฉันพิสูจน์มาแล้ว”

     “เฮ้ย ยังไง ตอนไหน?”

     “ก่อนนายออกจากโรงพยาบาล หมอเจาะเลือดนายมาตรวจ”

     “คุณหมอก็รู้เรื่องนี้ด้วยอย่างนั้นเหรอ”

     “ไม่รู้ เรื่องเลือดของนายมีเพียงไม่กี่คนที่รู้ และส่วนใหญ่ ก็เป็นคนที่ฉันไว้ใจจริง ๆ เท่านั้น”

     “คุณเอาเลือดของผมไปทดลองได้ยังไง”

     “แค่อยากตรวจให้แน่ใจ ว่านายไม่ได้รับผลข้างเคียงอื่นจากน้ำตากิเลน” ทำไมจากคำพูดของ ดร. โพลาไอซ์ มันฟังดูเหมือนเขาเป็นห่วงผม

     “แล้ว มันช่วยคนได้ยังไง คุณพอบอกวิธีหน่อยได้ไหม ผมจะได้ระวังตัว” หรือผมจะหาเงินจากเลือดของผมดี?

     “ถ้าแผลภายนอก เลือดของนายจะช่วยสมานแผล”

     “ยังไง คนเจ็บต้องกินเลือดผมเข้าไปอย่างนั้นเหรอ”

     “วิธีนั้นจะช่วยรักษาโรคที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ”

     “เฮ้ย เหลือเชื่อเกินไปแล้ว”

     “นายคิดเอาเองก็แล้วกัน ถ้ามีคนรู้เรื่องเลือดของนาย นายคงได้กลายเป็นหนูทดลอง”

     “แล้วดอกเตอร์จะไปจับผมไปทดลองเหรอ”

     “ฉันเป็นนักโบราณคดี ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์”

     “นี่ผมต้องเชื่อคุณใช่ไหมเนี่ย”

     “มันจะดีกับตัวนายเอง” อยู่ ๆ เขาก็จอดรถบริเวณโกดังในโซน F
 
     “ดอกเตอร์จอดตรงนี้ทำไม คงไม่คิดจะรีดเลือดผมหรอกนะ”

     “จอดรถคุยกับนาย”

     “ขับไปคุยไปก็ได้นี่”

     “วนจนครบรอบก็คุยไม่จบ”

     “ไม่จบตรงไหน ผมว่ามันจบไปแล้วด้วยซ้ำ”

     “นายเข้าใจว่ายังไง”

     “ก็เลือดของผมมันวิเศษมาก ถ้าไม่อยากเป็นหนูทดลองก็อย่างให้ใครรู้เรื่องนี้”

     “แล้วยังไงอีก”

     “อะไรคือยังไงอีก?”

     “นายมันชอบรนหาที่ เอาตัวไปเสี่ยงกับเรื่องอันตราย นายควรระวังตัวให้มากกว่านี้”

     “ผมไม่ได้รนหาที่สักหน่อย อะไรคือรนหาที่”

     “อย่างคดีรถบัสนั่น”

     “ดร. รู้เรื่องคดีนี้ได้ยังไง”

     “ฉันรู้ก็แล้วกัน”

     “นี่คุณให้คนตามผมอย่างนั้นเหรอ?”

     “ฉันไม่ได้ทำ”

     ผมควรจะรู้สึกดีที่ ดร.โพลาไอซ์ทำเหมือนกับเป็นห่วงผม หรือว่าควรจะระแวงที่เขาให้คนติดตามผมดี ผมไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะไม่ได้ให้คนตามผม ไม่อย่างนั้นเขาจะรู้ได้ยังไงว่าผมตามทำข่าวคดีรถบัสอยู่ ระหว่างที่ผมหวาดระแวง สายตาผมก็ไปสะดุดกับวัตถุบางอย่างที่หล่นอยู่ไม่ไกล จึงลงจากรถเพื่อเดินไปเก็บมันขึ้นมา

     ดร. เหมิ๋นหยวนฮ่างก็ไม่ได้ทักท้วงหรือห้ามปรามอะไร ได้แต่มองตามผมเงียบ ๆ พอรู้ว่าเขาไม่สนใจผมแล้วกลับทำให้ผมรู้สึกแปลก ๆ ยังไงชอบกล ผมสลัดความคิดประหลาดนั้นออกไปจากหัว ก่อนก้มลงเก็บสมุดทำมือเล่มหนึ่งขึ้นมา ลักษณะที่สมุดมันคล้ายกับที่ผมเคยเห็น ยังไม่ทันจะได้เปิดดูด้านใน โทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น
 
     “พี่กู่ เป็นยังไงบ้าง..อะไรนะ เดี๋ยวผมรีบไป”
 
     ผมรีบเดินกลับไปยังรถกอล์ฟ ที่มี ดร.โพลาไอซ์ทำหน้าที่เป็นสารถีนั่งรออยู่ และดูเหมือนว่าเขาจะรู้ว่าผมรีบ อีกทั้งยังไม่ถามอะไร เมื่อผมก้าวขึ้นรถ เขาก็ขับกลับไปยังออฟฟิศทันที

.........................................................................

     การระเบิดเกิดจากการที่โยว่ซินหรูกดตัวจุดระเบิด ทำให้ระเบิดที่ถูกวางไว้บริเวณโต๊ะทำงานของฉินหรุยกวงและภายในรถบัสคันหนึ่งระเบิดขึ้นทันที จากการระเบิดครั้งนี้ ทำให้ชิวกัมหงได้รับบาดเจ็บสาหัส เพราะเขาถือกระเป๋าที่มีวัตถุระเบิดของโยว่ซินหรูอยู่ ส่วนภายในศูนย์ซ่อมบำรุง เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย เนื่องจากสวมเครื่องป้องกันอยู่
 
     เหยินหยางผิงและตู้เห่าแยกไปโรงพยาบาล นอกจากจะไปรอดูอาการของชิวกัมหงแล้ว พวกเขายังต้องคุมตัวโยว่ซินหรูเพื่อไปทำแผลก่อนพากลับมาสอบสวนที่สถานี ผานกู่ เหมียนจืออู่ และจู้ชุน จึงคุมตัวเกาอี้กลับมาสอบสวนก่อน ซึ่งระหว่างทางผานกู่ได้โทรบอกกับหนานเฟ่ยซานถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

     ผานกู่และจู้ชุนกำลังเฝ้ามองเกาอี้ผ่านทางหน้าต่างกระจกด้านเดียวอยู่เงียบ เกาอี้นั่งรออยู่ในห้องสอบสวนคนเดียว ท่าทางกระสับกระส่ายอย่างเห็นได้ชัด ผิดกับก่อนหน้านี้ที่เขาไปสอบถามเรื่องคดี จนเมื่อได้เวลา จู้ชุนจึงเดินออกจากห้องเพื่อเข้าไปยังห้องสอบสวน

     จู้ชุนนั่งลงตรงข้ามกับเกาอี้ ที่ตอนนี้นั่งเบี่ยงตัวหลบ ไม่กล้าสบตา สองมือก็จับกันแน่น จู้ชุนก็ได้แต่นั่งเฉย ๆ ยังไม่พูดอะไร เพื่อรอดูอาการของเกาอี้อีกครู่หนึ่ง

     “นายมีอะไรจะพูดไหม?”

     “ไม่มี”

     “นายเข้ามาสมัครเป็นยามที่ศูนย์ซ่อมบำรุงนี้เมื่อสองปีก่อน ทำไม?”

     “ก็งานมันหายาก”

     “ไม่ใช่เพราะว่านายวางแผนร่วมกับโยว่ซินหรูหรอกเหรอ?”

     “วางแผนอะไร”

     “นายไม่ต้องทำเป็นไขสือ เราตรวจพบรอยนิ้วมือของนายจากเทปที่นายเอาระเบิดไปติดไว้ใต้ที่นั่งบนรถบัส แล้วเทปพวกนั้นมันก็มาจากเทปม้วนเดียวกับที่เราค้นเจอในล็อกเกอร์ของนาย”
 
     ความเงียบเข้าปกคลุมห้องสอบสวนอีกครั้งหนึ่ง เกาอี้ที่เครียดเกร็งก่อนหน้านี้ ดูจะผ่อนคลายมากขึ้น เขาหันมาเผชิญหน้ากับจู้ชุน

     “มัน ฆ่าพี่เจินกุย พ่อของเกาเจี๋ย”

     “ใคร”

     “ก็ใครซะอีก ถ้าไม่ใช่ไอ้สารเลวแซ่ฉินนั่น แค่มันไปเจอพี่เจินกุยแอบจอดรถนอนพักแถวท่าเรือแค่นั้น ถึงกับต้องฆ่ากัน”

     “แค่เรื่องแอบจอดรถนอนพัก มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ถึงขนาดต้องฆ่าแกงกันหรอกนะ นายเข้าใจอะไรผิดไปรึเปล่า”

     “ไม่ วันนั้น ฉันโทรไปขอยืมเงินพี่ เขานัดฉันไปเจอแถว ๆ ท่าเรือ เพราะเขาอยากนอนพัก แต่ฉันยังไปไม่ถึง พี่ก็โทรมาเร่ง บอกว่าเห็นเจ้าของอู่คุยกับใครก็ไม่รู้ที่นั่น แล้วมันก็เห็นเขา พวกเราเลยเปลี่ยนที่นัด พอวันรุ่งขึ้น รถที่พี่ขับก็ระเบิด”

     “มันเป็นเรื่องบังเอิญรึเปล่า”

     “ไม่ มันตั้งใจฆ่าพี่” เกาอี้ที่ปักใจเชื่อ ยืนยันหนักแน่น

     ผานกู่ฟังจู้ชุนสอบสวนอีกไม่นานเกาอี้ก็ยอมรับสารภาพว่าร่วมมือกับโยว่ซินหรูเพื่อแก้แค้นซินหรุยกวง เขาก็ออกจากห้องมา ก็พบเหยินหยางผิงที่พึ่งจะกลับเข้ามาที่สถานีพอดี

     “โยว่ซินหรูละหยางผิง”

     “สงสัยเรายังคงสอบสวนเธอไม่ได้”

     “ทำไม อาการเธอไม่ดีอย่างนั้นเหรอ”

     “ถ้าร่างกายน่ะ ไม่เป็นไร แต่จิตใจนี่สิ ตอนนี้พูดไม่รู้เรื่องจนต้องให้จิตแพทย์ตรวจอาการ”

     “เกาอี้ยอมรับสารภาพแล้ว อาชุนเพิ่งสอบปากคำเสร็จ”

     “ปิดคดีได้สักที”

     “แต่ฉันยังสงสัย”

     “มีเรื่องอะไรอีกละพี่”

     “เกาอี้บอกว่า เกาเจินกุยไปเจอฉินหรุยกวงคุยกับใครบางคนที่ท่าเรือ”
 
     “ฉินหรุยกวงทำธุรกิจนำเข้า จะแปลกอะไรถ้าเขาไปคุยกับใครแถวๆ ท่าเรือ”

     “มันก็จริง แต่ฉันก็ยังรู้สึกแปลก ๆ”

     “พี่กู่ พี่หยางผิง” หนานเฟ่ยซานที่เพิ่งมาถึงสถานีตะโกนเรียกเมื่อเห็นพวกเขา

     “ไวจังนะ สมกับเป็นนักข่าว” เหยินหยางผิงแซวหนานเฟ่ยซาน “แต่ว่า นายพาใครมาด้วยอย่างนั้นเหรอ”
 
     “ไม่ได้พามา เขาตามมาเองต่างหาก”

     “ดร. เหมิ๋นหยวนฮ่าง” เขาทักทายคนที่เดินตามหนานเฟ่ยซานมา รู้สึกไม่ค่อยชอบใจไอ้ใบหน้านิ่ง ๆ ภายใต้แว่นตากรอบทองนั่น

     “คุณนักสืบ”

     “คุณมีธุระอะไร หรือว่ามาแจ้งความเรื่องอะไรรึเปล่าครับ” เขาถามเพื่อดักคอ ดร.หน้านิ่งนั่น

     “ไม่มี”

     “ถ้าอย่างนั้น ผมกับเฟ่ยซานขอตัวก่อนนะครับ” ว่าจบเขาก็เอาแขนคล้องคอหนานเฟ่ยซาน พาเดินไปยังห้องประชุม 1 ที่จืออู่กำลังเก็บข้อมูลในคดีเพื่อเตรียมส่งฟ้อง เหยินหยางผิงที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวได้แต่ทำหน้างง ก่อนเดินตามเขาเข้ามาในห้อง

     “พี่กู่ นั่นมันอะไรกัน หึงเฟ่ยซานรึยังไง” เหยินหยางผิงเข้ามากระซิบถามเขา เมื่อเฟ่ยซานเดินไปคุยเรื่องคดีกับจืออู่

     “ฉันแค่ไม่ชอบขี้หน้าไอ้ดอกเตอร์นั่น คนอะไรเย็นชาอย่างกับน้ำแข็งขั้วโลก แล้วไหนจะไอ้หน้าตานิ่ง ๆ ที่แสนจะกวนประสาทนั่นอีก”

     “แบบนี้เขาเรียกว่าหึงนะพี่” เขาไม่อยากพูดต่อล้อต่อเถียงกับเหยินหยางผิง จึงเดินเลี่ยงออกมายืนข้างจืออู่และเฟ่ยซาน

     “นี่ไง คนนี้แหละโยว่ซินหรู” เหมียนจืออู่ชี้รูปบนกระดานให้หนานเฟ่ยซานดู

     “นี่มันเลขาของฉินหรุยกวงนี่”

     “ใช่ เพราะฉันกับนายไม่เคยเจอโยว่ซินหรูยังไงละ เลยไม่ได้นึกเอะใจอะไร”

     “ถ้าอย่างนั้น ทั้งเกาอี้และโยว่ซินหรูก็แอบเข้ามาทำงานที่นี่นะสิ”

     “ใช่แล้ว เกาอี้สมัครผ่านบริษัทรักษาความปลอดภัยเข้ามา ส่วนโยว่ซินหรูเปลี่ยนชื่อแซ่แล้วเข้ามาสมัครงานเป็นเลขาของฉินหรุยกวง”

     “พวกเขาต้องการแก้แค้นจริง ๆ สินะ”

     “อืม แต่มูลเหตุยังไม่ชัดเจน นายต้องรอถามพี่ชุนแล้วละ”

     “ว่าแต่ทั้งสองคนนี้ทำระเบิดขึ้นมาได้ยังไง”

     “สำหรับนักเคมีระดับปริญญาโทอย่างโยว่ซินหรูนะ ไม่ใช่เรื่องยากเย็นเลย เธอจบปริญาโทจากมหาวิทยาลัยที่อเมริกา”

     “แล้วกัมหงเป็นยังไงบ้าง”

     “อาการสาหัส แต่ตอนนี้พ้นขีดอันตรายแล้ว” เหยินหยางผิงตอบหนานเฟ่ยซาน และถึงแม้จะได้ยินว่าอาการพ้นขีดอันตรายแล้ว พวกเขาที่อยู่กันในห้องนี้ก็ยังอดเป็นห่วงชิวกัมหงไม่ได้อยู่ดี

To Be Continue

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด