สาปรัก…ทัณฑ์เทวา
Writer : Tan-Yung0209
File : 15
การเดินทางที่ไม่หยุดพัก ด้วยระยะทางที่แสนยาวไกลถึงแม้ว่าจะไม่ได้ออกแรงวิ่ง กายที่ต้องปะทะกระแสลมแรงบนท้องฟ้าตลอดการเดินทางนั้นก็ทำให้รู้สึกอ่อนเพลียได้เช่นกัน เมื่อกีบเท้าทั้งสี่ของอาชาอุจฉัยศรพเหยียบลงพื้นพสุธาแดนหิมพานต์พนาก่อนเวลาเที่ยงคืนไม่กี่นาที เรียกได้ว่าเส้นยาแดงผ่าแปดเลยทีเดียว หลังจากที่รพีพงศ์ได้อุ้มนาคินทร์ลงจากอาชาเทียมรถพระอาทิตย์ ม้าอุจฉัยศรพก็ควบกลับขึ้นวิมานเพลิงทันทีก่อนที่เทพสุริยาจะตื่นจากบรรทม เหลือไว้เพียงรพีพงศ์และนาคินทร์ที่ตามร่างกายมีรอยแผลยืนอยู่ท่ามกลางพงพีในราตรีที่มีเพียงแสงจันทร์และแสงดาว
“แล้วเราจะไปที่ใดกันต่อเล่า ท่านรพีพงศ์” นาคินทร์ถามขึ้น ตาโศกกวาดมองไปรอบบริเวณก็พบเพียงความมืดมิดไร้ซึ่งแสงสว่างใดนอกจากพระจันทร์เสี้ยวและหมู่ดาวเท่านั้น
“เพลานี้ยังมืดอยู่ อีกทั้งตัวเจ้าเองยังบาดเจ็บ ข้าคิดว่าจะพักผ่อนเสียก่อน รอให้ฟ้าสางเมื่อไหร่เราค่อยออกเดินทางกัน” รพีพงศ์ตอบ แล้ววางหัตถาลูบไล้แก้มขาวที่มีรอยแดงจากการตบตีอย่างรุนแรง นาคินทร์คงจะทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจมาก ถึงได้โดนลงโทษหนักมาขนาดนี้ ไหนจะเสียใจจนคิดปลิดชีพเป็นอาหารแก่เหล่าครุฑธาอีก
“ทะ…ท่าน มีอันใดกับแก้มข้าหรือเปล่า ถึงลูบไล้ไม่หยุดมือ” นาคินทร์เอียงหน้าหนีเล็กน้อย ความเขินอายถึงแม้จะเพียงเล็กน้อยแต่เมื่อแสดงออกผ่านสีแดงระเรื่อที่แต่งแต้มแก้มไม่ต่างจากร่อยรอยการถูกทำร้าย แม้จะมีเพียงแสงจันทราสาดส่องรพีพงศ์ก็มองเห็นไม่ว่าจะสีหน้าหรือความตื่นตระหนกของนาคินทร์
“ข้าเพียงคิดว่าจะหาสมุนไพรมารักษาบาดแผลให้เจ้า แต่ตอนนี้มืดจนข้ามองไม่ออกว่าต้นอะไรเป็นต้นอะไร ขืนหยิบจับสมุนไพรมีพิษอาจจะมีภัยถึงชีวิตเจ้าได้”
“ท่านอย่ากังวล หากข้าตายก็ไม่ได้ทำให้ผู้ใดเศร้าเสียใจไม่”
“ดูเจ้าอยากตายเสียจริงนะนาคินทร์ แม้ความตายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับทุกคน แต่ข้าก็มิหมายให้เจ้าต้องตาย อยากให้เจ้าตรองดูว่าเจ้าควรจะจบชีวิตเพียงเท่านี้หรือ” รพีพงศ์เอ่ย เทพหนุ่มไม่ชอบใจนักที่นาคาน้อยไม่คิดเห็นคุณค่าในชีวิตของตนเลยแม้แต่น้อย นาคินทร์หน้าเศร้าชีวิตเขามาจบลงเพียงเรื่องเท่านี้จริงหรือ อย่างน้อยก่อนจากไปก็อยากไถ่โทษแก่ชลันธรบ้าง
“ขอบคุณท่านที่เตือนสติข้า ข้ารู้แล้วว่าข้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไป เพียงแต่ตอนนี้ถ้าท่านจะกรุณาช่วยข้าสักอย่างได้หรือไม่”
“เชลยอย่างเจ้าต้องการสิ่งใด ถ้าเจ้าหมายอยากให้ข้าปล่อยเจ้านั้น...เห็นทีคงไม่ได้” รพีพงศ์เอ่ยออกมาไม่จริงจัง มุมปากยกยิ้มที่นาคินทร์ไม่คิดปลิดชีพตนเอง
“ข้าหาได้หวังให้ท่านปล่อยข้าไม่ สิ่งที่ข้าขอท่านนั้นก็คือข้าอยากให้ท่านพูดจาดีๆ กับข้า ถือว่าเมตตาเชลยผู้นี้” นาคินทร์ที่ปกติไม่แยแสกับคำก่นด่าหรือการที่ต้องถูกปฏิบัติราวกับสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ หากนอกจากกนธีแล้วรพีพงศ์กลับเป็นอีกบุคคลหนึ่งที่นาคินทร์อยากจะให้พูดดีกับตนเอง แม้จะไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดก็ตามที
“ถ้าเจ้าไม่ดื้อรั้น เชื่อฟังข้า ข้าเองก็จะพูดจาดีกับเจ้า” รพีพงศ์รับคำด้วยเนื้อแท้จริงรัชทายาทสุริยเทพแม้จักใจร้อนอยู่บ้างแต่ก็หาใช่คนที่หยาบคาย
“ข้าขอบพระคุณท่านมากที่เมตตา” นาคินทร์พนมมือไหว้ รพีพงศ์เองแปลกใจที่นาคีแสนพยศจะมีท่าทีอ่อนน้อม ใจหนึ่งก็คิดว่าอาจจะมีแผนการร้ายซ่อนอยู่ อีกใจหนึ่งก็คิดว่านาคินทร์นั้นกลับตัวกลับใจได้
“ข้ายังมีอีกเรื่องที่จะขอ”
“พอข้าใจดีชักจะเอาใหญ่ ฮึ เจ้ายังปรารถณาสิ่งใดอีก...”
“ตอนข้าอยู่บนหลังของม้าอุจฉัยศรพข้าเห็นว่าที่ใกล้กันนี้มีน้ำตก ข้าใคร่อยากจะเล่นน้ำเพื่อชำระล้างร่างกายรวมถึงรักษาบาดแผลของข้าด้วย” นาคินทร์บอกเจตนารมณ์ของตน ในใจนึกลุ้นว่ารพีพงศ์จะยอมให้ตนลงเล่นน้ำหรือไม่
“เอาสิ ข้าจะเฝ้าเจ้าเอง” รพีพงศ์เอ่ยอนุญาต แถมยังจะเฝ้าดูนาคน้อยชำระล้างกายอีกด้วย
“ไม่..ไม่ต้องเฝ้าข้าหรอก ข้าไม่คิดหนีท่านไปไหน เสียอย่างไรข้าก็ไม่สามารถใช้สายน้ำนี้เป็นทางเชื่อมต่อลงไปมหาสมุทรได้อีกแล้ว” นาคินทร์รีบห้าม เพราะก็อยากมีเวลาเป็นส่วนตัวเช่นกัน
“ข้าบอกเจ้าแล้วอย่างไร...อย่าดื้อกับข้า!!...” . . . . เสียงน้ำตกไหลรินผ่านหินที่เรียงต่อกันเป็นชั้นสูงกระทบกับผืนวารีที่อยู่เบื้องล่างเกิดเสียงก้องไปทั่วบริเวณเคล้าคลอเสียงจักจั่นเรไร สระน้ำเบื้องหน้านั้นถึงแม้จะอยู่ในยามราตรีก็งดงามยิ่งนัก รพีพงศ์จูงมือของนาคินทร์มายังโขดหินใหญ่ก้อนหนึ่งแล้วนั่งลง ตาก็มองนาคินทร์ที่ยังคงยืนนิ่ง
“ลงไปสิหรือเจ้าเปลี่ยนใจจะไม่ลงชำระกาย ข้ามีเวลาให้เจ้าไม่มากหรอกนะ พอแสงอรุณรุ่งปกคลุมท้องฟ้า เราจักต้องออกเดินทางอีก” รพีพงศ์เอ่ยกับนาคินทร์ที่ยืนถอนหายใจ สีหน้าไม่ค่อยสบายใจนัก ถึงรพีพงศ์จะเคยสัมผัสมาทั้งกายแล้วก็ตาม แต่ก็มิวายไม่อยากให้เห็นกายตน ด้วยกลัวว่าบุตรสุริยะเทพเกิดอารมณ์ใคร่หมายล่วงเกินตนขึ้นมาอีก...
นาคน้อยกระวนกระวายใจหันซ้ายขวามิยอมเปลื้องผ้าเสียที จนทำเอารพีพงศ์รู้สึกรำคาญใจเล็กน้อย ไหนว่าอยากมาอาบน้ำแต่ก็ไม่ยอมถอดผ้าเสียที
“หรือจักให้ข้าปลดเปลื้องอาภรณ์ให้เจ้า” ไม่ใช่เพียงแค่พูด มือหนาจับชายผ้าคลุมของนาคินทร์แล้วกระตุก
“ไม่ต้อง!! ข้าถอดของข้าเองได้!!” นาคินทร์รีบคว้าผ้าคลุมก่อนที่จะถูกอีกฝ่ายแกล้งถอดออก …‘ท่านรพีพงศ์ช่างอันตรายเสียจริง ชอบแกล้งข้าแถมยังทำให้ข้าใจสั่นอีก’…
“ท่านช่วยหันไปทางอื่นไม่หรือ ข้าไม่ใคร่เปลือยกายเล่นน้ำให้ใครดู” นาคินทร์กล่าวต่อและตัดสินใจบอกความในใจให้อีกฝ่ายรับรู้ รพีพงศ์ได้ฟังก็สรวลออกมาไม่ดังมากนักแต่ก็ทำให้นาคินทร์หน้างอได้เช่นกัน
“เจ้าไม่เห็นต้องอายเลย ข้าเห็นเจ้ามาทั้งกายทุกซอกทุกมุมแล้ว อีกอย่างเจ้าเปลือยกายข้าก็ไม่รู้สึกอันใดดอก” รพีพงศ์บอกกับนาคินทร์หวังให้นาคาตรงหน้าไม่ต้องอาย ถึงจะพูดว่าไม่รู้สึกอันใดแต่มีหรือจะไว้ใจชายที่เคยขืนใจขืนกายได้...แต่ด้วยความกระหายใคร่อยากลงเล่นน้ำนั้นมีมากกว่าหวาดกลัว...อย่างมากก็คงโดนแค่ลวนลามหรือมากกว่านี้ก็ช่างมันปะไร เป็นเชลยเขา เขาอยากทำอะไรมีหรือจะห้ามได้
‘เห็นทีต้องเปลือยกายต่อหน้าท่านรพีพงศ์สินะ’ ...นาคินทร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้ง ไหนๆ ก็ไหนๆ มือเรียวจึงเริ่มปลดเปลื้องผ้าคลุมที่ปกปิดร่างกายออก
‘ในเมื่ออยาชมกายเรานัก ก็ชมให้เต็มตาไปเลยแล้วกัน...’ ทันทีที่ผ้าคลุมสีเข้มหล่นลงกองกับปลายเท้าก็เผยร่างอรชรอ้อนแอ้นงดงามมิต่างจากหญิงงามหรือนางอัปสร ขาเรียวขาวก้าวสู่น้ำใสเย็นยะเยือกที่หาได้ส่งผลต่ออสรพิษเลือดเย็นไม่ ร่างบางเดินไปข้างหน้าช้าๆ องคุลีทั้งห้าลากสัมผัสผ่านสายน้ำเป็นทางยาว ความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าเกิดขึ้นกับนาคินทร์ที่บัดนี้ได้คลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย ทุกท่วงท่าของนาคินทร์ตกอยู่ในสายตาของรพีพงศ์ที่มองผ่านแสงดาราที่สาดส่องลงมา
“ฮ้า…” นาคินทร์ร้องออกมาเมื่อโผล่ศีรษะขึ้นมาจากน้ำ หัตถาลูบเกศายาวดำสนิทไปด้านหลัง เผยใบหน้าหวานที่รอยแผลได้จางหายรวมทั้งบาดแผลจากพญาครุฑที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย ผิวกายที่เคยงามนั้นกลับมาอีกครั้ง นาคาร่างเล็กดำผุดดำว่ายอย่างสนุกสนาน สายน้ำช่วยเยียวยาจิตใจให้รู้สึกดีจนเผลอลืมเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับตนเมื่อก่อนหน้านี้
รพีพงศ์เฝ้ามองนาคินทร์ไม่ละสายตา แม้จะพยายามหลอกตัวเองว่าไม่ได้สนใจ ไม่มีความรู้สึกอันใดกับนาคินทร์ แต่แท้ที่จริงภาพตรงหน้านั้นเหมือนจะมีเวทมนต์สะกดสายตาสุริยะบุตรไม่ให้สามารถกันหันมองไปทางอื่นได้ หยดน้ำเกาะพราวตามแผงอกบางที่มียอดอกสีแดงสดยั่วยวนเป็นประจักษ์ ไหนจะเอวคอดเล็กชวนกอดนั่นอีก ไม่สิเอวนั้นเคยโอบเคยกอดแล้วต่างหาก ยิ่งคิดไกลไปถึงคราที่เคยสัมผัสต้องกายนี้ รพีพงศ์จำต้องกลืนน้ำลายของตนเองอีกที่ว่ามองร่างเปลือยแล้วไม่รู้สึกอะไร…แรงกำหนัดนั้นส่งผลต่อความคับแน่นตรงกลางกายที่แสดงออกมาอย่างชัดเจน
“ท่านรพีพงศ์ ลงมาเล่นน้ำด้วยกันสิ” นาคินทร์แกล้งเหย้าเอ่ยชวนด้วยรอยยิ้มหวานที่แต่งแต้มใบหน้า แม้ไม่ได้ตั้งใจยั่วยวนอะไรแต่ได้ขึ้นว่างูแล้ว ก็คงหนีไม่พ้นความเจ้าเล่ห์ ที่ไม่ยั่วก็เหมือนยั่ว
“ไม่...เจ้าเล่นไปเถิดข้าจะนั่งรอเจ้าอยู่ตรงนี้ แล้วถ้าข้าสั่งให้เจ้าขึ้นจากน้ำเจ้าก็ต้องทำตามข้า เข้าใจหรือไม่นาคินทร์” รพีพงศ์เอ่ย เพราะยังคงครองสติได้ดี นาคินทร์พยักหน้าแทนคำตอบ รพีพงศ์เองก็หลับตาข่มอารมณ์ดิบไม่ให้พลุ่งพล่าน แต่ก็มิวายแอบปรือสายตาลอบมองอยู่เป็นระยะๆ . . . .
เมื่อแสงอรุณแรกยามเช้าฉาบสีทองทั่วผืนป่าหิมพานต์ ไม่นานนักรพีพงศ์ที่ข่มใจควบคุมอารมณ์ของตนได้มาทั้งคืน ก็เรียกนาคินทร์ขึ้นมาจากสระน้ำ นาคาน้อยก็เชื่อฟังไม่อิดออดอะไรเพราะได้เล่นน้ำจนพอแก่ใจแล้วเช่นกัน รพีพงศ์เสกชุดให้นาคินทร์สวมใส่แทนผ้าคลุมก่อนหน้านี้เพื่อความทะมัดทะแมงในการที่จะเดินทางต่อไป นาคินทร์ในชุดสีเขียวเข้มขับผิวขาวผ่องดูน่าชวนมอง
“ท่านช่วยเกล้าผมให้ข้าหน่อยสิ” นาคินทร์อ้อนวอนและไม่รอคำตอบ เจ้าตัวหันหลังให้กับรพีพงศ์
“เจ้าเป็นเชลยที่สบายที่สุดรู้ตัวไหม มีอย่างที่ไหนใช้ให้ข้าเกล้าผมให้” ถึงปากจะบ่นแต่มือหนาก็รวบเกศานุ่มลื่นขึ้นมา ถักเป็นเปียแทนที่จะรวบมวยขึ้นไป ถึงจะเก้ๆกังๆอยู่บ้างท้ายที่สุด เปียสวยก็ถูกผูกด้วยผ้าแพรสีแดงเป็นที่เรียบร้อย
“เหตุไฉนท่านจึงถักเปียให้ข้าเล่า ดูแล้วเหมือนกับอิสตรีไม่มีผิด” นางคินทร์มองเงาตัวเองในน้ำ
“ข้าว่ามันเหมาะกับเจ้าดี อีกอย่างเจ้าเองก็ไม่ต่างจากอิสตรีนักหรอก” รพีพงศ์กระซิบข้างหูนิ่มอย่างมีความนัย นาคินทร์รับรู้ได้ทันทีว่าหมายถึงอะไร ก็สายตาเร่าร้อนนั่นมองร่างบางตั้งแต่หัวจรดเท้าโดยเฉพาะมองที่บั้นท้ายของตนนานเป็นพิเศษ
“เอ่อ ท่านรพีพงศ์…เราจะไปที่ไหนกันต่อ” นาคน้อยเอ่ยแสร้งถามเปลี่ยนเรื่องคุย
“อืม…ตอนแรกข้าจะเดินทางไปที่ถ้ำแก้วแต่นึกขึ้นได้ อรุณเทพน้องชายข้าได้บอกว่านภนต์พาชลันธรเดินไปที่เชิงเขาคันธมาศ”
“จากที่นี่ไปยังเชิงเขาคันธมาศก็ห่างกันไม่มาก ถ้าเหาะไปเพียงอึดใจก็ถึง” นาคินทร์วิเคราะห์ตามสิ่งที่ตนได้คิดเอาไว้ ไม่นานคงจะได้พบชลันธรแล้ว
“ข้าเหาะเพียงลำพังนั้นย่อมได้แต่ข้าพาเจ้าเหาะด้วยไม่ได้ ยามข้าเหาะกายข้าจะเป็นลูกไฟขนาดใหญ่หาได้อุ้มชูกางปีกเหาะดั่งครุฑาหรือเทพนภนต์ดอก” รพีพงศ์เอ่ยเสียงเครียด
“ท่านอย่าได้กังวลเลย ท่านรพีพงศ์” เสียงหนึ่งดังมาจากในป่า ทั้งรพีพงศ์และนาคินทร์หันไปตาต้นเสียงก็เห็นฤาษีวิทูผู้เป็นอาจารย์ของเทพนภนต์
“ท่านฤาษีวิทู เหตุใดท่านถึงอยู่ที่นี่เล่า” รพีพงศ์พนมมือขึ้นไหว้ นาคินทร์เองก็ทำตาม จากนั้นเทพหนุ่มก็ไตร่ถามเพราะรู้ว่าฤาษีวิทูนั้นพำนักยังเชิงเขาคันธมาศไม่น่าจะมาอยู่กลางป่าเยี่ยงนี้
“ข้าอยู่ที่นี่ได้อย่างไรไม่สำคัญเท่ากับสิ่งที่ท่านตามหาตอนนี้ดอก” ฤาษีวิทูเอื้อนเอ่ย รพีพงศ์ขมวดคิ้ว ‘หรือว่าฤาษีท่านนี้จักรู้ว่าเทพนภนต์พาชลันธรไปแห่งหนใด’
“เป็นไปอย่างที่ท่านคิดนั่นแล ทั้งเทพนภนต์รวมถึงอดีตพระสมุทรเทพนั้นต่างก็มุ่งหน้าไปยังป่ากันติทัตตั้งแต่เมื่อวานแล้ว หากท่านเร่งไปในครานี้ยังพอมีโอกาสจะตามทัน” ฤาษีวิทูอ่านความคิดของรพีพงศ์ออกรวมถึงสิ่งที่รัชทายาทบัลลังก์กังวลอยู่ด้วย
“ถึงกระนั้นข้ามิสามารถเหาะเหินไปเพียงผู้เดียวได้ ท่านพอจะมีวิธีที่จะชี้แนะแก่ข้าได้หรือไม่ ท่านฤาษีวิทู”
“ท่านจงเดินทางไปทางทิศบูรพา เพียงไม่กี่เพลาท่านจะเข้าสู่ถิ่นของดุรงค์ค์ปักษิณ หลังจากที่เจอแล้วท่านก็จงคิดเอาเองว่าควรจะทำเช่นไร” เพียงได้ฟังคำชี้แนะรพีพงศ์ก็กลับมายิ้มอีกครั้ง ขอแค่ให้เจอดุรงค์ปักษิณสักตัวทุกอย่างก็จะง่ายยิ่งขึ้น
“ข้าขอบพระคุณท่านมากที่ช่วยชี้แนะ ข้าและนาคินทร์ก็ขอลาท่านไว้ตรงนี้เพื่อเดินทางต่อไป” รพีพงศ์พนมมือขึ้นไหว้ ส่วนนาคินทร์นั้นรู้ว่าตนต่ำชั้นกว่ามากจึงก้มลงกราบฤาษีผู้ทรงฤทธิ์
‘เจ้านาคเอ๋ย ฟังคำข้าเอาไว้ ความรักและหัวใจของเจ้ามันมีค่ายิ่งนัก จงมอบให้คนที่เห็นคุณค่าในตัวเจ้าเถิด’ ฤาษีวิทูใช้มือวางบนศีรษะแล้วเพ่งกระแสจิตให้นาคินทร์ได้รับรู้ถึงถ้อยคำที่อยากจะเอื้อนเอ่ยก่อนต้องลากัน เป็นข้อความที่มีเพียงฤาษีวิทูและนาคินทร์เท่านั้นที่รู้
. . .
สองกายาเดินฝ่าดงไพรมุ่งหน้าไปทางทิศบูรพาเพื่อค้นหาดุรงค์ปักษิณ ม้าครึ่งนกเพื่อเป็นพาหนะไปยังกันติทัตไพรวัลย์ เดินเท้าก้าวยาวมานานแล้วก็ยังไม่พบวี่แววสิ่งที่ตามหาหรือว่าครั้งนี้รพีพงศ์ต้องปราชัยให้กับเทพเวหา ที่ไม่สามารถช่วยเหลือชลันธร ศึกรบรพีพงศ์อาจเป็นรองแม่ทัพหลวง ศึกรักเองก็เช่นกันแต่กระนั้นรพีพงศ์ไม่คิดยอมแพ้ หลายร้อยปีก่อนตนผิดที่ให้ชลันธรไปกับเทพนภนต์ แต่ครานี้จึงจักขอแก้ไขไม่ยอมเป็นพระรองอีกต่อไป
“ท่าน…ท่านรพีพงศ์” นาคินทร์กระตุกแขนแกร่งของรพีพงศ์ให้ได้สติ รับรู้สิ่งที่อยู่ตรงหน้า ในที่สุดก็เจอสิ่งที่ตามหา
“ดุรงค์ปักษิณ!!!!”
“ท่านจะเสียงดังไปไยเล่า ประเดี๋ยวดุรงค์ปักษิณตัวนี้ตกใจวิ่งหนีเราก็จะต้องตามหาต่ออีก” นาคินทร์เผลอขึ้นเสียงดุใส่รพีพงศ์อย่างลืมตัว
“นี่เจ้ากล้าขึ้นเสียงใส่ข้ารึ” รพีพงศ์แกล้งทำเป็นไม่พอใจ นาคินทร์เองก็ตกใจจนหน้าซีดคิดว่าตนนั้นจะโดนลงโทษเป็นแน่แท้
“ข้า...ข้าขอโทษ” นาคินทร์ก้มหน้า รพีพงศ์นึกสนุกที่ได้แกล้งเชลยหน้าหวานตรงหน้า
“เอาเป็นว่าข้าจะลงโทษเจ้าทีหลัง นาคินทร์เจ้ารออยู่ที่นี่ ข้าจะเข้าไปจับดุรงค์ปักษิณ เจ้าห้ามหนี…ห้ามแม้แต่จะคิดเข้าใจใช่ไหม” รพีพงศ์ทำทีขึงขังเสียงเข้มขู่นาคินทร์ ซึ่งนั่นก็ได้ผลนาคินทร์พยักหน้ารัวเชื่อฟัง
“นั่งหลบอยู่ตรงนี้ อย่าออกมา อย่าไปไหน” รพีพงศ์ย้ำอีกที นาคินทร์ก็นั่งหลบอยู่หลังพุ่มไม้ ตาก็มองตามแผ่นหลังกว้างของเทพหนุ่มที่ตะล่อมจับอาชาครึ่งนกที่มีปีก
ดุรงค์ปักษิณตรงหน้าคืออาชาที่มีปีกและหางเป็นปักษี กายนั้นมีสีขาวบริสุทธิ์ผิดกับขนคอ หางรวมถึงกีบเท้าที่มีสีดำทมิฬ ลักษณะใหญ่โตนี้น่าจะอยู่ในช่วงโตเต็มวัยพอดิบพอดี ความใจร้อนและความคิดที่ว่าตนสามารถจับดุรงค์ปักษิณได้โดยง่ายทำให้รพีพงศ์ย่องไปทางด้านหลังหวังจะกระโดดขึ้นขี่
‘ฮี้!!!!!”
“เฮ้ย!!!!”
ไม่ทันที่จะได้สัมผัสกาย ดุรงค์ปักษิณก็เหมือนจะรู้ว่ามีภัยจึงได้หันหลังกลับแล้วยกขาด้านหน้าขึ้นมาพร้อมเหยียบรพีพงศ์ให้จมดิน อารามตกใจรพีพงศ์ล้มนอนลงบนพื้นแต่ดีที่ยังพอมีสติกลิ้งตัวหลบได้
“ท่านรพีพงศ์!!!” นาคินทร์ตะโกนลั่น ร่างบางพร้อมจะพุ่งเข้าหาคนที่นอนอยู่
“ไม่ต้องเข้ามา ข้าจัดการเจ้าม้าพยศนี้ได้!!!” รพีพงศ์ร้องห้ามแล้วลุกขึ้นกระโจนขึ้นบนหลังดุรงค์ปักษิณแต่แล้วกลับถูกเหวี่ยงตกลงบนพื้นอีกครา
“อึก!!!...ให้จับดีๆคงไม่ชอบสินะ” พาหุกระแทกลงกับพื้นปฐพีอย่างจังจนรู้สึกร้าวไปถึงกระดูก สุริยบุตรก็หาได้ยอมแพ้ใช้คาถาเสกเชือกวิเศษปรากฏในหัตถาแล้วเหวี่ยงตวัดผูกที่ขาของดุรงค์ปักษิณที่กำลังจะวิ่งหนี
‘ฮี้….ฮี้!!’ เสียงร้องดังกึกก้อง ดุรงค์ปักษิณทั้งดิ้นทั้งวิ่งวนไปมาหมายให้เชือกนี้หลุดออก รพีพงศ์ก็ออกแรงเพื่อยื้อให้อาชามีปีกนั้นได้หยุดอยู่กับที่
“เจ้าม้าครึ่งนก จงหยุดพยศบัดเดี๋ยวนี้!!!” ดุรงค์ปักษิณหาได้ฟังไม่ยังคงดื้อดึงวิ่งวนไปมาอยู่ดี นาคินทร์ที่เห็นเหตุการณ์มาโดยตลอดและรู้ดีว่ารพีพงศ์ที่บาดเจ็บเองก็เริ่มจะไม่ไหว จึงได้วิ่งออกมา
“ข้าบอกไม่ให้เจ้าออกมา เจ้าออกมาทำไมกัน!!”
“ข้าออกมาช่วยท่านอย่างไร่เล่า” นาคินทร์ตอบแล้ววิ่งไปกอดรอดุรงค์ปักษิณที่กำลังดิ้นรนหนีจากเชือกเอาไว้
“พ่ออาชาปีกงามเอ๋ยจงฟังข้าวอน…พวกข้าหาได้จับพ่อไปสังหารหรือทำอันตรายไม่ หากข้านั้นเห็นว่าพ่อสำคัญและขอวอนพ่อช่วยเหลือพวกเราโดยยอมเป็นพาหนะเพื่อการสำคัญ ได้โปรดช่วยเราด้วยเถิดพ่ออาชาปีกงาม” เสียงแผ่วหวานฝากผ่านสายลมเข้าหูของดุรงค์ปักษิณ มือสวยคอยลูบขนคอดำขึ้นลงอย่างอ่อนโยน พลันดุรงค์ปักษิณก็ยอมสงบนิ่ง ยืนให้นาคินทร์ได้ลูบตัวกอดต่อ
“ท่านรพีพงศ์ แก้เชือกที่มัดขาของดุรงค์ปักษิณนี้ออกเถิด”
“แต่มันจะหนี…”
“เชื่อข้า ดุรงค์ปักษิณตัวนี้จะยอมช่วยพวกเรา” นาคินทร์ยืนยัน รพีพงศ์จึงปลดเชือกวิเศษออกจากขา ดุรงค์ปักษิณร้องออกมาราวกับว่าดีใจที่ได้เป็นอิสระ
“พ่อเห็นไหมว่าเราไม่ทำอันตราย พ่อจะยอมให้ข้ากับท่านผู้นี้ขึ้นหลังพ่อขี่ไปยังป่ากันติทัตได้หรือยัง” ดุรงค์ปักษิณแนบใบหน้าถูกับแก้มของนาคินทร์คล้ายกับผูกมิตรแต่พอเห็นพีพงศ์กลับสะบัดหน้าหันไปทางอื่น…ดุรงค์ปักษิณตัวนี้คงจะไม่ชอบหน้ารพีพงศ์เข้าเสียให้แล้ว
“ท่านรพีพงศ์เห็นทีท่านต้องกล่าวคำขอโทษกับดุรงค์ปักษิณตัวนี้เสียแล้ว” นาคินทร์เสนอทางออก
“ว่าอย่างไรนะ ข้านะหรือต้องกล่าวคำขอโทษเจ้าม้าครึ่งนกนี่น่ะหรือ...” รพีพงศ์แทบจะคลั่งตายที่ต้องกล่าวขอโทษสัตว์ที่ทำให้ตนนั้นได้รับบาดเจ็บ
“ถ้าท่านไม่ทำเราก็จะไม่ได้ไปป่ากันติทัตด้วย เห็นทีคงจะคลาดแคล้วกับชลันธรเป็นแน่หากชักช้าไปมากกว่านี้...” นาคินทร์อ้างถึงชลันธรอย่างน้อยรพีพงศ์คงจะยอมเป็นแน่
“ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าตกใจกลัว” รพีพงศ์กล่าวเสียงเรียบ เมื่อคิดได้ว่าชลันธรนั้นสำคัญไม่ว่าจะให้ขอโทษเป็นร้อยเป็นพันครั้งตนจักต้องทำ
‘ฮี้…’ ดุรงค์ปักษิณยอมรับคำขอโทษ นาคินทร์ยิ้มกว้าง
“ข้าขอบใจพ่อมากเหลือเกิน…อืม…ข้าว่าพ่อควรจะจักมีชื่อเสียหน่อย ข้าขอตั้งชื่อพ่อว่า ‘มารุต’ ที่แปลว่าสายลมดีไหม เมื่อครู่ข้าเห็นพ่อนั้นวิ่งเร็วไม่แพ้กระแสลมกรดเลยทีเดียว” นาคินทร์ตั้งชื่อให้ดุรงค์ปักษิณและดูท่าทางมันจะชอบใจเสียด้วย ลิ้นชื้นเจ้าม้าปีกหางนกนี้เย้าเลียใบหน้านาคินทร์ไม่ยอมหยุด รพีพงศ์ทำได้เพียงยืนมองแล้วคิดให้ดังได้เพียงแค่ในใจ…. ‘เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเสียจริง’...
“อย่ามัวแต่คุยกันเราต้องรีบเดินทางอีก นาคินทร์เจ้าถอยออกมาก่อน” รพีพงศ์เอ่ย นาคินทร์ก็ล่นถอยออกมา เทพบุตรพนมมือแล้วร่ายมนต์ใส่ดุรงค์ปักษิณ ก่อเกิดอานนั่งและบังเหียนขึ้นมา
“เจ้าขึ้นไปก่อนนาคินทร์” นาคินทร์ปีนขึ้นไปบนหลังมารุต แต่พอรพีพงศ์จะขึ้น เจ้ามารุตก็แกล้งเดินก้าวไปด้านหน้า
“เจ้าม้าแกลบนี่ หาเรื่องข้ารึ!!!” ด้วยความใจร้อนเป็นนิสัยทำให้รพีพงศ์ไม่พอใจดุรงค์ปักษิณจอมลำเอียงตัวนี้ เอ่ยดูถูกว่าม้าแกลบ นาคินทร์เองเห็นท่าจะไม่ดีจึงก้มตัวลงโน้มหน้าชิดติดใบหูของมารุต
“พ่อมารุตเอ๋ย ได้โปรดให้ผัวข้าขึ้นขี่หลังพ่อด้วยเถิด ข้ามิสามารถเดินทางไปไหนเพียงลำพังโดยปราศจากผัวข้าเคียงข้างกายได้ดอก” นาคินทร์กระซิบแผ่วเบาไม่ให้รพีพงศ์รู้ว่าตนได้โป้ปดอะไรออกไป มารุตเองก็เข้าใจในสิ่งที่นาคินทร์เอ่ย พลางหันมองใบหน้าหล่อเหลาราวหินอ่อนสลักของรพีพงศ์
‘ฮี่..ฮี้’ มารุตร้องออกมาเป็นการอนุญาตให้รพีพงศ์ขึ้นขี่หลัง เทพหนุ่มยิ้มออกมาแล้วขึ้นขี่หลังดุรงปักษิณซ้อนหลังนาคน้อย ต้องยกความดีความชอบให้กับนาคินทร์เสียแล้วถึงไม่รู้ว่าเมื่อครู่นั้นพูดอะไรแต่ก็สามารถทำให้มารุตแสนพยศยอมอ่อนข้อให้ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี กระนั้นรพีพงศ์ผู้ปากแข็งก็ไม่คิดชื่นชมนาคินทร์แต่อย่างใด
“มารุตออกเดินทางได้” รพีพงศ์ออกคำสั่ง มือก็กระตุกบังเหียน มารุตสยายปีกกางออกแล้วบินทะยายขึ้นสู่ท้องฟ้า ด้วยความเร็วของดุรงค์ปักษิณนาคินทร์เกือบจะทรงตัวไม่ไหว กายบางเอียงแซไปด้านข้างจะร่วงหล่นจากหลังมารุต โชคดีที่แขนแกร่งจากคนด้านหลังนั้นรวบเอวบางเอาไว้ได้ทัน
“จริงสิจะว่าไปข้ายังไม่ได้ลงโทษเจ้าที่ขึ้นเสียงกับข้าเลย” พอเดินทางได้สักพักรพีพงศ์ก็พูดขึ้นมา นาคินทร์สะดุ้งกายเล็กน้อยกลัวว่าจะถูกลงโทษรุนแรงอย่างที่ผ่านมา
“แต่ข้าช่วยท่านจับมารุต ท่านน่าจะยกโทษให้กับข้าบ้าง” นาคินทร์อ้างความดีความชอบที่ได้ทำวันนี้ หวังลบล้างความผิดที่เผลอดุรพีพงศ์ออกไป
“ไม่!!! เสียอย่างไรเจ้าก็เป็นเชลย เจ้าจำจะต้องถูกข้าลงโทษ” รพีพงศ์พูดพร้อมกับง้างมือขึ้นมา นาคินทร์หลับตาปี๋คิดว่าคงจะโดนตบตีอีกเป็นแน่แท้ รพีพงศ์หรือว่าใครคงใจร้ายกับชนชั้นต่ำอย่างตนมิต่างจากกนธี
“อ๊ะ!! เจ็บ!!!” นาคินทร์ร้องออกมา รพีพงศ์ไม่ได้ตบตีอย่างที่นาคินทร์ได้คิดเอาไว้ หากรพีพงศ์กลับใช้มือจับปลายคางอีกฝ่ายให้ชิดขึ้นแล้วก้มลงกัดริมฝีปากสวยหนักอย่างหมั่นเขี้ยว
“ทีหลังอย่ามาขึ้นเสียงกับข้าอีก แล้วก็ต้องทำตามที่ข้าสั่งเข้าใจหรือไม่” รพีพงศ์แสร้งทำเสียงดุ ทั้งที่อยากจะขำเมื่อเห็นสีหน้าแดงก่ำของนาคินทร์
“ข้า…ข้าเข้าใจแล้ว” นาคินทร์ตอบกลับน้ำเสียงตะกุกตะกัก
“ดีมาก เมื่อเจอชลันธรข้าอยากให้เจ้าไปขอโทษและช่วยเหลือชลันธร เจ้าจักทำได้หรือไม่”
“ข้าทำได้” ตบปากรับคำในทันทีเพราะว่านาคินทร์เองก็ตั้งใจที่จะทำอยู่เช่นกันเพื่อชดใช้ความผิดที่ตนได้ก่อไว้กับชลันธร แต่นอกเหนือจากนี้ยังมีอยู่อีกสิ่งหนึ่งนาคินทร์ก็ยังคิดที่จะทำให้ชลันธร
‘ข้าต้องขอโทษท่านจริงๆ ท่านรพีพงศ์ ที่ข้าจะช่วยนั้นคือให้ชลันธรได้ปรับความเข้าใจและรักกับท่านนภนต์…มิใช่กับท่าน’
...................................
มาแล้วคิดถึงไหม คิดถึงทุกคนนะ อิอิ วันนี้มีtalkมโนมานำเสนอ
ท่านยุ่ง : อิบ้า!!! อิชั่ว!!! อิคนหื่นใจร้อน!!!
รพีพงศ์ : อะไรของท่านเนี่ย เอะอะมาด่าข้า
ท่านยุ่ง : อ้าว ไม่คิดจะกัดปากข้าหน่อยหรือ
รพีพงศ์ : ไม่!!!!
ท่านยุ่ง : เลือกปฏิบัติชิบ ทีกับนาคินทร์เอะอะจูบ เอะอะกัดปาก คิดไม่ซื่อกับนาคน้อยของข้าใช่ไหม
รพีพงศ์ : ข้าจะคิดอะไร ทำอะไรก็เรื่องของข้าอีกอย่างนาคินทร์เป็นเชลยของข้าไม่ใช่ของท่าน ท่านจงเอาเวลาที่มาหยอกข้าไปเขียนกาพย์ให้เสร็จเสียเถิด ได้ข่าวว่าเพิ่งจักเขียนให้ชลันธรหนี อย่างไรก็ให้หนีมาที่ข้าก็แล้วกัน อ่อ ถ้าท่านเหงามากจนมาแกล้งข้าเล่นเยี่ยงนี้แนะนำให้ท่านไปหาผัวเสียจะได้หายเหงา ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ท่านยุ่ง : ประโยคอื่นข้าไม่เจ็บปวดเท่ากับที่ไล่ข้าไปหาผัว ÷@==$%÷×! ไอ้รพีพงศ์บ้า เกลียดคนมีคู่ ฮือ T^T
จบการtalk แค่นี้พอไร้สาระมาก 555555
หวังว่าตอนนี้ทุกคนจะชอบกัน ทีมเรือเพลิง(ขอตั้งชื่อให้เป็นทางการ)คงจะแล่นไปถึงป่ากันติทัตนะคะ ส่วนเรือเหาะผัวเมียเขายังวิ่งเล่นซ่อนแอบในป่า 555555
สุดท้ายนี้เช่นเดิมขอขอบคุณทุกคนทร่มาอ่าน คอมเม้น เป็นกำลังใจนะคะ รัก...จุ๊บ