พิมพ์หน้านี้ - สาปรัก...ทัณฑ์เทวา จบแล้ว P.14(28/04/2562) มีเรื่องแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับe-bookค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: TanYung0209 ที่ 18-03-2017 20:18:42

หัวข้อ: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา จบแล้ว P.14(28/04/2562) มีเรื่องแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับe-bookค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 18-03-2017 20:18:42
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
 

หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ (18/03/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 18-03-2017 20:26:40
สาปรัก...ทัณฑ์เทวา

 [/color]

 

 

 

คนหนึ่งโดนสาปให้ชดใช้ความผิดที่ไม่ได้ก่อ

 

คนหนึ่งสวมบทบาทผู้ลงทัณฑ์ให้อีกฝ่ายเจ็บช้ำ
[/size]




นภนต์
เทวาแห่งท้องนภา

ข้าจะไม่ยอมให้เจ้ากลับคืนสู่สวรรค์ได้อีก!!!
[/size]




ชลันธร
เทวาแห่งมหาสมุทร

ข้าไม่ผิด ได้ยินหรือไม่ว่าข้าไม่ผิด!!!!
[/size]














นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายแนววายแฟนตาซีไทยนิดๆ ดราม่าหน่อยๆ เนื้อเรื่องเรียลง่ายค่ะไม่ซับซ้อน คำอาจไม่สละสลวยมาก

 

หวังว่าทุกคนจะชอบและติดตามกันนะคะ

สามารถติชมได้เลยค่ะ





นิยายสาปรักยังพอมีเหลืออยู่นะจ๊ะ สนใจ inbox ในเพจได้เลยค่ะ #หมดแล้วหมดเลย
(1/9/2561)
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ (18/03/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 18-03-2017 20:29:14
สาปรัก…ทัณฑ์เทวา
Writer : Tan-Yung 0209
File : 00 (Intro)

“ข้าไม่ได้เป็นคนทำ พระผู้สร้างโปรดเชื่อข้าด้วยเถิด” ร่างอรชรขาวเนียนนั่งคุกเข่าตรงหน้าบัลลังก์สวรรค์ เพื่อขอความเป็นธรรมให้กับตัวเอง

“ถ้าเจ้าไม่ได้ทำแล้วใครจะทำ ในเมื่อข้าเห็นกับตาว่าเจ้าเป็นคนนำน้ำแห่งเกษียรสมุทรมาให้แม่ข้า” ชายร่างสูงใหญ่แต่งกายคล้ายนักรบกำลังยืนตะเบ็งเสียงพร้อมทั้งชี้หน้าคนที่นั่งอยู่บนพื้นเมฆขาว ถึงแม้จะมีสีหน้าท่าทางโกรธแต่แววตากลับเศร้าสร้อยปนเจ็บปวด

“เจ้าจะว่าอย่างไร…ชลันธร” พระผู้เป็นเป็นใหญ่ในสามโลกได้ตรัสถามกับเทวาผู้คุมน่านน้ำแห่งมหาสมุทร

“ข้าเป็นคนนำน้ำแห่งเกษียรสมุทรมาให้ท่านน้าวินตาจริงแต่ข้ามิได้ใส่ยาพิษลงไป”

“แล้วที่ท่านแม่ของข้าต้องนอนกระอักเลือดอยู่เล่า เจ้าจะอธิบายว่าอย่างไร ถ้าหากข้าไม่ได้กลับมาจากทัพหลวงแล้วมาช่วยแม่ข้าทัน ข้ามิต้องกำพร้าแม่หรอกหรือ” ร่างสูงพูดพลางกำคันธนูเอาไว้แน่น เวลานี้เขาอยากจะฉีกร่างคนตรงหน้ายิ่งนัก

“ข้าไม่ได้ทำ เจ้าโปรดเชื่อข้าเถิด” ชลันร้องไห้ออกมา เวลานี้เทวาแห่งท้องนภาคงจะเกลียดตนเข้าไส้เสียแล้ว

“ข้าไม่เชื่อเจ้าอีกต่อไป!!! เจ้าเป็นอย่างที่ท่านยายของข้าพูด เผ่าพันธุ์เทวาของเจ้ามันเชื่อไม่ได้จนต้องถูกเนรเทศลงไปอยู่ใต้บาดาล”

คำพูดเพียงไม่กี่ประโยคก็ทำให้ชลันธรเจ็บปวดราวกับมีคมดาบคมหอกมาเสียบไว้ตรงกลางหลัง ในเมื่อเรื่องราวมาถึงขนาดนี้แล้ว ในเมื่อไม่มีคนเชื่อว่าตัวเขาบริสุทธิ์ ชลันธรก็ไม่ขออยู่อีกต่อไป

“พระผู้เป็นเจ้า…ข้าพร้อมที่จะรับโทษแล้ว” ชลันธรหันกลับไปบอกกับคนที่นั่งอยู่บัลลังก์สูงสุด

“เจ้ายอมรับแล้วหรือว่าเจ้าเป็นคนทำ”

“ข้าไม่ยอมรับในข้อกล่าวหา ข้าเพียงจะยอมรับบทลงโทษ ในเมื่อไม่มีหลักฐานมายืนยันว่าข้าไม่ได้ทำ ข้าคงต้องรับผลกรรมครั้งนี้” ชลันธรพนมมือขึ้นพร้อมปิดตา

“ทำเป็นพูดให้ดูดีแท้ที่จริงเจ้านั่นแหละที่ทำ” คนที่ยืนฟังพูดโพล่งขึ้นมา ชลันธรเงียบไม่คิดจะโต้ตอบอะไร

“ได้โปรด ลงโทษข้าเถิด” ชลันธรกราบลงกับพื้น พระผู้สร้างถอนหายใจเล็กน้อย พระองค์รู้นิสัยของเทพหนุ่มเป็นอย่างดีแต่เพราะทุกอย่างเป็นไปตามกงล้อแห่งโชคชะตาที่จะต้องดำเนินตามมันไป

“เราขอสาปให้เจ้าเกิดไปเป็นมนุษย์!!!”

“ดูก่อนพระผู้สร้าง เหตุใดชลันธรถึงได้รับโทษสถานเบายิ่งนัก” นักรบแห่งท้องฟ้าพูดขัดขึ้น คนที่บังอาจมาทำร้ายมารดาของเขามันจักต้องตกนรกเท่านั้น

“เจ้าฟังให้จบก่อนเถิด ที่สำคัญนางวินตาเองก็รอดพ้นจากความตายแล้วก็อย่าทำให้เรื่องนี้วุ่นวายเลย” เมื่อได้ฟังนักรบหนุ่มปิดปากเงียบ พระผู้เป็นเจ้าจึงพูดต่อ

“เราขอสาปให้เจ้าเกิดลงไปเป็นมนุษย์สามร้อยชาติและต้องตายทุรนทุรายด้วยยาพิษสองร้อยเก้าสิบเก้าชาติและในชาติสุดท้ายความทรงจำเกี่ยวกับการเป็นเทพของเจ้าจะฟื้นขึ้นมาทีละน้อยถึงเวลานั้นเจ้าจะต้องหาทางพิสูจน์ตัวเองให้ได้ว่าเจ้าไม่ได้เป็นคนวางยา หากทำไม่ได้เจ้าจะต้องดับสลายไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดในภูมิภพใด”

“ข้าขอน้อมรับ” ชลันธรเอ่ยเสียงสั่น ก่อนจะนั่งนิ่ง แสงสีขาวสว่างขึ้นมาพร้อมกับพื้นที่แยกตัวออกทำให้เทวาแห่งมหาสมุทรตกลงไป

“อ้าก!!!!!”

เสียงตะโกนดังลั่นห้องสี่เหลี่ยม ชายหนุ่มตื่นขึ้นมาด้วยท่าทีที่เหนื่อยหอบเหงื่อผุดชุ่มไปทั่วร่างกาย แม้ว่าอากาศภายในห้องจะหนาวเหน็บก็ตาม

“ลัน…ลันลูกเป็นอะไร” เสียงเรียกหน้าประตูห้องของคนเป็นแม่ทำให้ชลันอุ่นใจขึ้นมาบ้าง

“ไม่มีอะไรครับแม่ ลันแค่ฝันร้าย”

ใช่มันเป็นเพียงฝันร้าย ความฝันที่เหมือนกับความจริงที่คอยตามหลอกหลอนเขาตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ จวบจนตอนนี้เวลาผ่านไปสิบสองปีเขาก็คงยังฝันเหมือนเดิมแต่ภาพมันชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะใบหน้าของผู้ชายที่จ้องเหมือนจะฆ่าเขา ทำไมเขาถึงได้รู้สึกกลัวและผูกพันธ์กับผู้ชายคนนั้นยิ่งนัก





























......................................

ฝากนิยายเรื่องใหม่ของท่านยุ่งด้วยนะคะ เรื่องนี้เป็นแนวแฟนตาซีไทย ท่านยุ่งยอมรับว่าไม่เคยแต่ง ภาษาเขียนอาจจะไม่สวยงาม จุดนี้ติ ตักเตือนได้นะคะ แต่ท่านยุ่งขอสัญญาว่าจะทำให้ดีที่สุด วันนี้เอาอินโทรไปก่อนเนอะ ดูน้ำเน่าถูกไหม 5555
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ (18/03/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 18-03-2017 22:24:33
ช่วยแก้ไขหัวข้อเพิ่มตอนที่เท่าไร เพิ่มหน้าที่เท่าไรด้วยได้ไหมคะ จะได้ตามง่ายๆ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ (18/03/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 18-03-2017 22:47:29
ช่วยแก้ไขหัวข้อเพิ่มตอนที่เท่าไร เพิ่มหน้าที่เท่าไรด้วยได้ไหมคะ จะได้ตามง่ายๆ

ได้ค่า
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.00 P.1 (18/03/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: LifePo-YuGu ที่ 19-03-2017 06:01:48
รอติดตามจ้าา  o13 :hao7:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.00 P.1 (18/03/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: W2P5 ที่ 19-03-2017 06:57:47
ติดตามค่าาาา
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.01 P.1 (19/03/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 19-03-2017 20:26:55
​​​​สาปรัก…ทัณฑ์เทวา

Writer : Tan-Yung0209
File : 01

“แม่ครับ ลันไปก่อนนะครับ” ชลัน หรือ ชลันธรเข้าสวมกอดผู้เป็นแม่ นี่เป็นอีกครั้งที่เขาต้องจากบ้านไป

“ดูแลตัวเองด้วยนะลูก ตั้งใจเรียนนะลูก” ผู้เป็นแม่ลูบผมสีน้ำตาลเข้มของสายเลือดในอกอย่างเบามือ ถึงเวลาที่จะต้องเปิดภาคเรียนลูกชายคนเดียวของหล่อนจะต้องเดินทางกลับมหาลัยในเมืองหลวง

“ครับแม่” ชลันยกมือไหว้แม่ ก่อนที่จะก้าวขึ้นบันไดรถไฟ เมื่อเสียงสัญญาณดังขึ้นรถไฟก็เคลื่อนขบวนไป ใจของคนเป็นแม่สั่นระรัวหล่อนอดที่จะเป็นห่วงลูกไม่ได้

 ชลันฝันแปลกๆมาตั้งแต่เด็กซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกทั้งยังชอบคุยกับสัตว์น้ำ ช่วงแรกๆหล่อนได้นำชลันไปหาจิตแพทย์ หมอได้อธิบายว่าบางครั้งเด็กก็มีจินตนาการของเขาแต่กล่อนคิดว่าไม่ใช่ จนมีพระเดินธุดงค์ผ่านมาและได้บอกกล่าวกับหล่อนเอาไว้

‘เด็กคนนี้เป็นผู้มีบุญหนัก หากมีเคราะห์จึงต้องมาเกิด สีกาอย่าได้เป็นกังวลเลยชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเขา การกระทำของเขาและทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาได้ถูกลิขิตไว้แล้ว ในอนาคตไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นสีกาจะต้องปล่อยเขาไป’

คำพูดของพระรูปนั้นได้ผุดขึ้นมาประกอบกับเมื่อคืนหล่อนได้ฝันว่ามีคนมาควักลูกตา ทำให้หล่อนถึงกับน้ำตาไหลพราก คนในสถานีรถไฟคงคิดว่าผู้หญิงคนนี้ร้องไห้เพราะต้องจากลากับลูกชาย หากความจริงแล้วดวงใจของผู้เป็นแม่กำลังแตกสลาย…ชลันลูกจะต้องไม่เป็นอะไร

เสียงล้อเหล็กหมุนไปตามรางแม้จะเสียงดังแต่ก็ไม่ทำให้รำคาญ ชลันชอบที่จะนั่งรถไฟโดยเลื่อนหน้าต่างกระจกลงให้ลมพัดเข้ามา ชลันฟังเพลงช้าๆในสมองก็คิดถึงชีวิตในมหาวิทยาลัยที่จะขึ้นปีสอง จะได้เป็นรุ่นพี่และจะได้ทำกิจกรรมรับน้องจะได้มีน้องรหัส แค่คิดชลันก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้

“ขอโทษนะครับ”

ในระหว่างที่ชลันคิดอะไรเพลินๆอยู่นั้น มีมือใครบางคนมาสะกิดบ่าพร้อมพูดกับเขา ชลันถอดสายหูฟังออก ก่อนจะนึกได้ว่าตัวเองตั้งกระเป๋าไว้บนเก้าอี้ข้างๆ

“ผมต่างหากที่ต้องขอโทษ” ชลันเอ่ย เจ้าตัวก้มหน้าก้มตาหยิบกระเป๋าออก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาเจอกับผู้ชายร่างสูงที่ยืนยิ้มมุมปากอยู่

“ไม่เป็นไรครับ” เจ้าของเสียงทุ้มเอื้อนเอ่ยออกมาแล้วนั่งลงประจำที่ ชลันเหลือบมองคนข้างๆก็พบว่าผู้ชายคนนี้หน้าตาดีแถมรูปร่างสูงเอามากๆ ทั้งที่ตนเองไม่ได้เตี้ยแต่ถ้าได้ยืนกับผู้ชายคนนี้ ชลันก็ไม่ต่างจากคนแคระ ที่สำคัญชลันรู้สึกคุ้นหน้าแต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยเจอผู้ชายคนนี้จากที่ไหน

“น้ำค่า…น้ำเปล่า น้ำแดง น้ำส้ม เอาไหมจ๊ะ เอาไหม” แม่ค้าขายน้ำเรียกลูกค้าเสียงดังแข่งกับรถไฟ ชลันเองรู้สึกหิวน้ำพอดี

“ป้าครับ ผมขอน้ำเปล่า” ชลันสั่งซื้อน้ำ ป้าใจดีก็ส่งน้ำให้

“ผมขอน้ำเปล่าเหมือนกัน ส่วนนี่เงินครับจ่ายรวมกันเลย” ผู้ชายที่นั่งข้างๆชลันรับน้ำและยื่นเงินให้แม่ค้า

“คุณครับ ไม่เห็นต้องจ่ายเงินให้ผมเลย” ชลันเอ่ยแล้วส่งเงินไปให้ชายหนุ่ม

“ทำไมล่ะครับ?”

“เราไม่ได้รู้จักกันเสียหน่อย ไม่ได้เป็นอะไรกันอยู่ๆคุณมาเลี้ยงน้ำผมแบบนี้ มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ?”

“ไม่แน่เราอาจจะรู้จักกันมานานแล้วก็ได้” ชายหนุ่มยังคงพูดต่อ มือของเขาจับไปที่มือเรียวเพื่อบอกเป็นนัยว่าให้เก็บเงินเอาไว้

“หืม?”

“รู้จักกันตั้งแต่ชาติปางก่อน”

“เล่นมุกอะไรเนี่ย ไม่ตลกเลยนะครับ” ชลันเอ่ย

“ถ้าอย่างนั้นเรามาทำรู้จักอย่างเป็นทางการดีกว่าครับ…ผมนภนต์” หนุ่มหล่อเอ่ยพร้อมยื่นมือไปด้านหน้าของชลัน

“ผมชลันครับ” ชลันยื่นมือจับมืออีกฝ่ายอย่างเป็นมิตร ทันทีที่ได้จับเขากลับรู้สึกร้อนรุ่มจนต้องดึงมืออกอย่างรวดเร็ว

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?” นภนต์แสร้งทำเป็นถาม ชายหนุ่มรู้ดีว่าคนตรงหน้าเป็นอะไร

“ปะ…เปล่าครับ” ชลันโกหกกลับไป เขาไม่อยากเสียมารยาทหากจะบอกว่ามือของนภนต์ร้อนราวกับไฟ

“ชลัน…ผมเรียกลันได้ไหม?” นภนต์ถาม

“ได้ครับ” ไม่รู้อะไรดลใจให้ชลันยอมให้นภนต์เรียกชื่อเล่นที่เขาจะให้คนสนิทเท่านั้นเรียก อาจเป็นเพราะดวงตาคมที่มีเสน่ห์ชวนลุ่มหลงของอีกคนก็เป็นไปได้

“ลันจะเดินทางไปไหนเหรอ?” นภนต์ถามต่อ เขาพอจะเดาออกว่าชลันนั้นประหม่าจึงพยายามชวนคุย

“อ๋อ ผมจะไปกรุงเทพครับ พอดีใกล้จะเปิดเทอมแล้วด้วยก็เลยรีบกลับไปก่อน ไม่อย่างนั้นรถแน่นจนไม่มีที่นั่งแน่ ว่าแต่คุณนภนต์ล่ะครับนั่งรถไปลงที่ไหน?” ชลันตอบและถามกลับไปบ้าง

“ลงกรุงเทพเหมือนกัน ดีจังเลยจะได้มีเพื่อนคุย” นภนต์พูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม รอยยิ้มที่ดูจริงใจภายใต้ความคิดที่ไม่ซื่อตรง

ตลอดระยะทางทั้งสองคนก็พูดคุยกัน ชลันที่ปกติแล้วจะเงียบๆไม่ค่อยคุย เขากลับคุยกับนภนต์อย่างถูกคอ อีกทั้งนภนต์มีอายุมากกว่าจึงให้คำแนะนำเรื่องการเรียนให้กับชลันได้เป็นอย่างดี

จนเวลาล่วงเลยไปท้องฟ้ามืดสนิท ชลันก็หลับลงโดยที่เจ้าตัวก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ศีรษะเล็กเอนพิงไปยังไหล่กว้างของนภนต์ ที่นั่งจ้องใบหน้าหลับพริ้มของชลัน

‘เจ้ายังจำข้าไม่ได้สินะ…ชลันธร’

นภนต์แสะยิ้ม รอยยิ้มแสนเย็นยะเยือก การที่เขาลงมายังโลกมนุษย์ในครั้งนี้ก็เพราะนี่คือชาติสุดท้ายของคู่แค้นที่เคยรัก

ย้อนกลับไปยังสรวงสวรรค์ นภนต์เทพแห่งท้องนภากำลังนั่งบำเพ็ญเพียรภาวนาท่ามกลางสรรพสัตว์น้อยใหญ่ในป่าหิมพานต์ ก็มีเสียงเรียกให้ตนต้องละจากการนั่งสมาธิ

“นภนต์…ลูกแม่” นางกวินตาเหาะจากฟ้าลงมาหาบุตรชายถึงที่ ร่างอรชรเดินมาอย่างสง่างาม สัตว์ทั้งหลายต่างก็หลีกทางให้นางได้ก้าวเดินไป

“ท่านแม่มีอะไรถึงได้มาหาลูกถึงที่นี่” นภนต์ถามมารดาที่ท่าทางลุกลี้ลุกลน ยิ่งเสด็จมาถึงที่ป่าหิมพานต์ด้วยตัวเองแสดงว่าต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นเป็นแน่

“แม่ต้องขอโทษเจ้าด้วยที่มารบกวนการถือศีลของเจ้า แม่เพียงจะมาบอกเจ้าว่าเพลานี้ชลันธรก็เกิดในชาติสุดท้ายเป็นเวลาสิบเก้าปีของมนุษย์แล้ว” นางกวินตาบอกกับนภนต์ตามคำสั่งที่เทพแห่งท้องฟ้าเคยได้กล่าวเอาไว้

“ลูกขอบใจท่านแม่มาก คงถึงเวลาแล้วที่ลูกจะขัดขวางไม่ให้ชลันธรได้กลับมาเป็นเทพได้อีก” นภนต์เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง ผิดกับใจที่คับแค้น

“ลูกไตร่ตรองดีแล้วหรือไม่ที่จะทำเยี่ยงนี้” นางกวินตาเอ่ยถาม เผื่อว่านภนต์จะเปลี่ยนใจไม่ลงไปยังโลกมนุษย์เพื่อจัดการกับชลันธร

“ลูกคิดดีแล้ว ลูกไม่เคยลืมสิ่งที่มันทำกับท่านแม่ ลูกไม่เคยลืม!!!” นภนต์คำรามออกมาจนสิ่งมีชิตทั้งหลายต่างแตกตื่น นางกวินตารีบเข้ามาจับมือบุตรชายให้อารมณ์โกรธคลายลง

กลับมาที่ปัจจุบัน นภนต์ได้ลงมายังโลกมนุษย์และได้ติดตามเฝ้าดูชลันมาพักใหญ่และได้รู้จากเทพแห่งความฝันว่าความทรงจำในวันพิพากษาความผิดของชลันเริ่มแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานเทพแห่งมหาสมุทรก็คงจะจำเรื่องราวทั้งหมดได้

นภนต์แทบจะอดทนรอไม่ไหว เขาอยากจะทำลายคนที่นอนไม่รู้เรื่องรู้ราวว่ามีภัยร้ายมาเยือนถึงที่ ยมฑูตมาประชิดถึงตัวชลันนั้นก็ยังไม่รู้ตัว ซึ่งเข้าทางนภนต์พอดีเพราะเทวาผู้แสนฉลาดจะจัดการตีสนิทแล้วเชือดเฉือนอีกฝ่ายให้เจ็บปวดเหมือนกับที่ชลันเคยทำกับตนไว้

‘ชลันธร…ข้าขอสาบานว่าข้าจะทำให้เจ้ารักและเจ็บปวดจนทนมีชีวิตไม่ไหว’
















...............................
มาแล้วตอนสอง ยังคงสติลความราบเรียบเอาไว้ อาวุธการทำร้ายของพี่นภนต์ไม่ใช่อะไรหรอกค่ะ นางใช้ความรักมาเป็นศรที่ทิ่มแทงหนูลันของเรา


มีคอมเม้นมาติดตาม มีคนเข้ามาอ่านด้วย ท่านยุ่งขอขอบคุณมากๆนะคะ หวังว่าจะติดตามกันเรื่อยๆ ดีไม่ดีอาจจะทำเล่มก็ได้เพราะเป็นแฟนซีเรื่องแรก 5555
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.01 P.1 (19/03/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 20-03-2017 02:11:22
  ชอบคับสนุกมาก แต่ขำนางฟ้ากวินตา นางต้องการให้ลูกชายมาทำร้ายเทพมหาสมุทรหรือไม่ ทำไมนางมาเตือนลูกชายถึงการเกิดชาติสุดท้ายบนโลกมนุษย์แล้วถามย้ำอีกว่าคิดดีแล้วหรือไม่ มันขัดแย้งกันในตัวเอง จะห้ามก็ไม่ห้ามจะยุก็ไม่เชิง
  รออ่านตอนต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.01 P.1 (19/03/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 20-03-2017 09:07:04
ติดตามๆ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.01 P.1 (19/03/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: kinjikung ที่ 20-03-2017 10:24:07
ติดตามด้วยคน ระวังตัวเองจะต้องเป็นฝ่ายที่เสียใจซะเองหล่ะ 555+
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.01 P.1 (19/03/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Sorso ที่ 20-03-2017 10:39:17
นางกวินตารู้ว่าลูกกับลันชอบพอกันแต่ไม่พอใจเลยแกล้งตายรึเปล่า
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.01 P.1 (19/03/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: tonnum18 ที่ 20-03-2017 12:34:00
ลันนี้ทรมานเนอะ เกิดตั้งหลายถพหลายชาติ
เทพข้างบนก็ยังไม่ฉลาดหาหลักฐาน หรือสืบสวน
ว่าใครทำความผิด หรือลันถูกใส่ร้าย  โดยเฉพาะ
2คนแม่ลูก  ถ้าหากไม่ใช่  ไม่คิดว่าตัวเองจะบาป
บ้างเลยเหรอ น่าจะลดความเป็นเทพ และลันก็ไม่ต้องรัก
หรือให้ถึงให้อภัย ก็ควรให้อภับแต่ไม่คบหาหรือใกล้ชิด
ไม่งั้น พระเอกของเรื่องนี้ก็จะคิดอะไรง่ายๆไป
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.01 P.1 (19/03/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 20-03-2017 13:55:05
สนุกมากค่า รอตอนต่อไป :hao5:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.01 P.1 (19/03/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Pe_no ที่ 20-03-2017 16:29:23
สนุกค่ะตามๆๆ :mew2:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.01 P.1 (19/03/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 20-03-2017 21:57:28
ขอบคุณที่ติดตามกันนะคะ พรุ่งนี้น่าจะได้อัพ
ได้อ่านคอมเม้นมีการวิเคราะห์กันรู้สึกดีใจมากๆเลยค่ะ อ่อ ทุกอย่างเป็นไปตามโชคชะตานะคะ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.01 P.1 (19/03/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: usguinus ที่ 20-03-2017 23:15:32
รอค่าาาา :katai4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.01 P.1 (19/03/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 20-03-2017 23:40:19
คือบอกก่อนว่าชอบเรื่องนี้แล้วชอบมากเลยครับ แต่อ่านแล้วไม่รู้ทำไมอยู่ๆก็นึกถึงตอนจบของเรื่องมัทนะพาทาทีตอนหลังนางเอกกลายเป็นดอกไม้ตลอดกาลมันแบบมีความรู้สึกเศร้าแทนจริงๆเลย ขอเป็นกำลังใจให้นะครับอัพบ่อยๆนะเรารออยู่
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.02 P.1 (21/03/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 21-03-2017 12:36:46

สาปรัก…ทัณฑ์เทวา

Writer : Tan-Yung0209

File : 02

วันเปิดภาคเรียนก็มาถึง ชลันเดินทางมายังมหาลัยในตอนเช้า เวลานี้เขาก็ได้นั่งอยู่ในห้องเรียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่มีเพื่อนคนไหนโผล่หน้าให้เห็น ซึ่งไม่แปลกเพราะชลันมักจะมาก่อนเวลาเกือบสามสิบนาทีเสมอ

ในช่วงเวลาที่อยู่คนเดียว ชลันก็คิดถึงนภนต์ผู้ชายที่เจอกันบนรถไฟ ชลันรู้สึกอยากจะเจอนภนต์อีกครั้งโดยที่เขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเหตุใดจึงคิดถึงอีกฝ่ายมากมายขนาดนี้และที่น่าแปลกใจก็คือชลันไม่ฝันร้ายอีกแต่กลับฝันว่าตัวเองเคยร่วมรักกับนภนต์แทน

“ยอมฝันร้าย ดีกว่าฝันถึงเรื่องน่าอายแบบนั้น” ชลันพึมพำ แก้มขาวทั้งสองแดงระเรื่อ คิดเองก็อายเอง ดีที่ไม่ใครเข้ามาเห็น

“จ๊ะเอ๋ ลัน~”

เสียงที่แสนสดใสบวกกับนิ้วเรียวที่จิ้มเอวชลัน ทำให้คนถูกแกล้งสะดุ้งโหยง ชลันหันไปหาคนมาใหม่ก็พบว่าเพื่อนรักจองตนยืนยิ้มร่าอยู่ด้านหลัง

“มาแต่เช้าเลยนะ คินทร์”

“ถึงจะมาเช้าก็ไม่เช้าเท่ากับลันหรอก” คินทร์หรือนาคินทร์เอ่ยแซวเพื่อน ก่อนจะนั่งลงใกล้ๆกับชลัน

นาคินทร์ เป็นเพื่อนสนิทของลันในมหาลัย ทั้งคู่รู้จักกันในวันรับน้อง นาคินทร์เป็นผู้ชายผิวขาวซีด ผมดำขลับ ดวงตาเฉี่ยวที่มีนัยตาสีเขียวราวกับน้ำทะเลลึกตัดกับริมฝีปากสีแดงสด เพื่อนของชลันคนนี้มีสเน่ห์จนน่าหลงใหล

“เมื่อกี้คินทร์เห็นลันหน้าแดง คิดถึงแฟนเหรอลัน?” นาคินทร์ถามเพื่อนน้ำเสียงปนขำ

“จะบ้าเหรอ ลันไม่มีแฟนเสียหน่อย” ชลันรีบปฏิเสธ เกิดมาเขานอกจากคนในครอบครัวชลันไม่เคยรู้สึกรักใครเลยแล้วจะให้มีแฟนได้อย่างไร

“ก็ไม่แน่ ปิดเทอมตั้งนานเผื่อลันไปเจอคนที่ใช่ไง” นาคินทร์พูดต่อ คำว่าคนที่ใช่ทำให้ชลันนึกถึงนภนต์ขึ้นมา

‘เราจะไปนึกถึงเขาทำไมกัน’ ชลันส่ายหน้าไล่ความคิดของตัวเอง ทำให้นาคินทร์ขมวดคิ้วแปลกใจที่ชลันมีพฤติกรรมแปลกๆ

“ลันเป็นอะไรอ่ะ?”

“เปล่า เราไม่ได้เป็นอะไร อ่อ อาจารย์ไพลินลาคลอดนี่นาแล้วใครจะมาสอนแทนล่ะ?” ชลันรีบเปลี่ยนเรื่อง

“ไม่รู้สิ ขอใครก็ได้ที่ใจดีและไม่กดเกรด” นาคินทร์เอ่ย เพราะบางวิชาส่งงานแทบตายอาจารย์ก็ให้เกรดน้อยกว่าที่ควรจะเป็น

ทั้งสองคนนั่งคุยกันไปสักพัก นักศึกษาคนอื่นๆก็ทยอยเข้ามาในห้องเรียน พอมาถึงก็ทักทายพูดคุยกันดังลั่นให้สมกับที่ไม่เจอหน้ากันหลายเดือน

“เงียบได้แล้ว!”

อาจารย์ณดลสุดโหดประจำคณะเดินเข้ามาใบหน้าเรียบนิ่ง นักศึกษาทุกคนก็หุบปาก เงียบกริบทั้งห้อง หลายคนถึงกับทำหน้าเหมือนจะลาโลกเสียให้ได้ เมื่อเห็นว่าอาจารย์ณพลจะเข้าสอนแทนอาจารย์ไพลิน

“นักศึกษาก็พอจะรู้ข่าวอยู่แล้วใช่ไหม? ว่าอาจารย์ไพลินลาคลอด ดังนั้นในวิชานี้จึงจำเป็นต้องมีอาจารย์มาสอนแทน” อาจารย์ณดลเอ่ย ตอนนี้ชลันและทุกคนกำลังถอนหายใจแล้ว ถอนหายใจอีก เทอมนี้คงจะชวดเอจากวิชานี้แน่นอน

“ตอนแรกอาจารย์จะมาสอนพวกเธอเองแต่ตารางงานอาจารย์แน่นเอี๊ยด ดังนั้นจะมีอาจารย์พิเศษมาสอนแทน”

“เย้!!” เสียงโห่ร้องที่เกิดขึ้นเพียงในใจของทุกคนดังขึ้น ความหวังที่จะได้เอก็มีขึ้นมาอีกครั้ง ชลันภาวนาให้อาจารย์ที่มาใหม่เป็นคนใจดี

“เอาล่ะ ขอเชิญอาจารย์ นภนต์ ครับ” อาจารย์ณดลเรียกชื่อของอาจารย์มาใหม่ เล่นเอาชลันถึงกับต้องเงยหน้าขึ้นมามองเจ้าของชื่อที่เดินเข้ามาด้วยความมั่นใจ รูปร่างและความหล่อราวกับเทพบุตรทำให้ผู้หญิงต่างกรี๊ดกร๊าด แม้แต่ผู้ชายเองก็ไม่สามารถละสายตาไปจากผู้ชายคนนี้ได้

“สวัสดีครับทุกคน ผมนภนต์ พิชญเดชา จะมาเป็นอาจารย์พิเศษในภาคเรียนนี้” นภนต์แนะนำตัวกับทุกคนแต่กลับมองไปที่เป้าหมายของเขานั่นก็คือชลัน

“เป็นไปตลอดไม่ได้เหรอคะ?” นักศึกษาสาวพูดแซว เพื่อนทั้งห้องต่างส่งเสียงโห่ร้อง

“เห็นผู้ชายหล่อๆไม่ได้เลยนะพีรดา คนอื่นๆก็เหมือนกันตั้งใจเรียนอย่าทำเป็นเล่น” อาจารย์ณดลดุ ทุกคนเลยนั่งเงียบอีกครั้ง

“คุณนภนต์ ผมขอตัวก่อนนะครับ ถ้ามีปัญหาอะไรบอกได้เลย” อาจารย์ณดลพูดกับนภนต์ที่ยืนมองชลัน

“ครับ อาจารย์ณดล” นภนต์เอ่ย จากนั้นอาจารย์ณดลก็ขอตัวไปประชุมที่คณะ

“คุณนภนต์” ชลันพึมพำ สายตาของชลันจดจ่ออยู่ที่เทพแห่งท้องนภาราวกับต้องมนต์

“ลันรู้จักกับอาจารย์ใหม่ด้วยเหรอ?” นาคินทร์ถามชลันที่นั่งเหมือนกับคนไร้สติ

“เอ่อ..ก็นิดหน่อย”

“ไหนเล่าให้คินทร์ฟังหน่อย” นาคินทร์ กอดแขนเพื่อนเอาไว้แล้วอยู่ๆก็เสียวสันหลังวาบคล้ายกับว่ามีคนจ้องมอง

“เดี๋ยวค่อยเล่าให้ฟังแล้วกัน” ชลันกระซิบตอบ

“นักศึกษาตรงนั้นหยุดพูดก่อนนะครับ” นภนต์พูดเตือนชลันกับนาคินทร์ที่นั่งกระซิบกระซาบกันเมื่อครู่ จนทั้งสองกลายเป็นจุดสนใจของเพื่อนๆ

“ขอโทษครับ” ชลันและนาคินทร์กล่าวคำขอโทษ

“ไม่เป็นไรครับแต่อย่าให้มีอีก เวลาผมสอนก็อยากให้ทุกคนฟังและนำความรู้ที่ได้ไปใช้” คำพูดของนภนต์ทำให้ตอนนี้นักศึกษาก็นั่งตัวเกร็งก็นภนต์ท่าทางจะดุไม่แพ้อาจารย์ณดลเลยสักนิด

“คาบนี้ไม่มีอะไรมากนะครับ ผมจะให้ทุกคนทำข้อสอบPre-Test ดูก่อนว่ามีความรู้ในวิชานี้มากน้อยขนาดไหน?”

“โหย~” นักศึกษาทุกคนต่างโอดครวญ วันแรก วิชาแรก ก็เจอดีเสียแล้ว

“เอาล่ะ ขอตัวแทนมารับข้อสอบ สอบเสร็จก็กลับบ้านได้”

ตัวแทนกลุ่มก็ออกไปรับข้อสอบแล้วแจกจ่ายให้กัยคนอื่นๆ ทุกคนได้รับข้อสอบก็ลงมือทำเช่นเดียวกับชลันที่ตั้งใจทำข้อสอบเป็นอย่างดี

พอทำไปได้สักพักนักศึกษาก็ทยอยส่งและออกจากห้องไปแต่ชลันกลับไม่สามารถทำได้สักข้อ สาเหตุไม่ใช่เพราะตัวชลันไม่เก่งพอ หากข้อสอบของชลันนั้น นภนต์ได้จัดการแปลงให้โจทย์คำถามยากเกินกว่านักศึกษาปริญญาตรีจะทำได้ ในขณะที่ข้อสอบของคนอื่นๆเป็นข้อสอบทั่วไป

“ลัน เดี๋ยวคินทร์ลงไปรอที่หน้าคณะนะ” นาคินทร์ที่เสร็จไปแล้วพักใหญ่ก็บอกกับชลัน ตอนแรกเจ้าตัวก็นั่งรอแต่ชลันไม่มีทีท่าว่าจะเสร็จเลยคิดที่จะไปรอข้างนอก

“อือ” ชลันพยักหน้ารับแล้วก้มลงทำข้อสอบต่อ

เวลาล่วงเลยจนครบชั่วโมง เพื่อนๆหลายคนต่างก็แปลกใจที่ชลันคนที่เรียนเก่งที่สุดกลับทำข้อสอบไม่ได้ คนที่ทำเสร็จก็ทยอยออกไปจนหมด ตอนนี้ภายในห้องสี่เหลี่ยมก็เหลือเพียงนภนต์และชลัน

“ลัน ทำไม่ได้เหรอ?” นภนต์เดินมานั่งบนโต๊ะตรงหน้าชลัน ตาคมก้มมองอีกฝ่ายที่หน้านิ่วคิ้วขมวด

“ครับ โจทย์ยากมากลันแก้ไม่ได้เลย” ชลันตอบโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นมามอง

“ไหนเอามาดูสิ” นภนต์เดินมายืนซ้อนหลังแล้วแขนกับพื้นโต๊ะ ร่างสูงโน้มตัวลงจนแก้มแทบจะแนบกับแก้มนิ่ม ชลันชะงักเล็กน้อย

“อาจารย์ครับ ขยับออกไปหน่อย” ชลันเอ่ย ตาก็เหลือบมองนภนต์ที่กำลังจ้องหน้าของเขาอยู่ ทำให้หัวใจของชลันเต้นระรัว

“เรียกพี่นภนต์ก่อนสิ” นภนต์พูดเสียงแหบพร่า

“เอ่อ…”

“ถ้าไม่เรียกพี่ก็จะไม่ขยับไปไหน” นภนต์พูดต่อแถมขยับหน้าเข่าไปใกล้กว่าเดิม

“พี่นภนต์ช่วยขยับออกไปหน่อย ลันจะทำข้อสอบ”

“ไม่ต้องทำหรอก…พี่ไม่ได้เก็บคะแนน” นภนต์หยิบกระดาษคำตอบและข้อสอบออกมาจากชลัน

“พี่นภนต์เอามาครับ” ชลันพยายามแย่งคืน นภนต์ก็คอยชูกระดาษขึ้นบ้าง ลงบ้าง ไปซ้ายไปขวา จนคนแย่งเซไปด้านหน้า

“โอ๊ะ…พี่นภนต์ลันขอโทษครับ” ชลันที่เซไปซบตรงอกกว้างก็รีบขอโทษและตีตัวออกห่าง ทว่าแขนแกร่งกลับโอบกอดเขาเอาไว้แน่น

“พี่นภนต์ปล่อยครับ” ชลันพูดเสียงดุกลบเกลื่อนความอาย ซึ่งดูตลกมากในสายตาของชลัน

“พี่จะปล่อยทำไมในเมื่อพี่ถูกใจชลันตั้งแต่เจอหน้าครั้งแรก” นภนต์เอ่ย ทั้งที่ในใจมันดังก้องไปด้วยว่าอยากจะขยี้ชลันให้แหลกคามือตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ

‘ข้าถูกใจท่านตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้า…ชลันธร’

เสียงๆหนึ่งดังก้องในหัวของชลันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนที่จะมีภาพชายร่างสูงที่มีรัศมีสีทองเรืองรองเข้ามาสวมกอดเขาที่มีรัศมีสีฟ้า การแต่งกายเป็นชุดโบราณเหมือนที่เขาเคยฝันถึง

“อึก..ก..ปวดหัว” ชลันกุมขมับ นภนต์ตกใจไม่น้อยจึงรีบประคองร่างในอ้อมกอดตามสัญชาตญาณ

“ชลันเป็นอะไร!!!” นาคินทร์ที่กลับมารอชลันเข้ามาเห็นเหตุการณ์พอดี

“อาจารย์ครับชลันเป็นอะไรเหรอครับ?” นาคินทร์ถามนภนต์ที่กำลังช้อนตัวชลันขึ้นมาอุ้ม

“คงจะไม่สบาย คุณช่วยเก็บของให้เขาด้วยเดี๋ยวผมจะพาเขาไปรักษา” นภนต์บอกกับนาคินทร์แล้วรีบพาชลันไป

“ลันอดทนไว้ พี่จะพาไปหาหมอนะครับ” นภนต์เอ่ย แล้วพาชลันไปนอนบนรถ

“พี่นภนต์..ลันปวด..ลันปวดหัว” ชลันร้องออกมาเพราะภาพในอดีตฉายวนไปมาโดยที่ชลันเองก็ไม่รู้มาก่อนว่าสิ่งที่เขาเห็น สิ่งที่เขาฝัน คือความจริงในอดีตชาติของตนและคนรัก

‘ปวดจนตายไปได้ก็ดี…ชลันธร’

ทางด้านของนาคินทร์ที่หอบกระเป๋าทั้งของตัวเองและของชลันมายังหอพักใกล้มหาลัย ในใจก็อดเป็นห่วงเพื่อนของตัวเองไม่ได้

‘แกร็ก’

“กลับมาแล้วเหรอ…นาคินทร์”

ทันทีที่เปิดประตูห้องเข้ามา มีเสียงทักทายของบุคคลที่นาคินทร์รอคอยที่จะเจอ แม้การเจอในทุกๆครั้งนาคินทร์จะพบแต่ความทรมาน

“ท่านกนธี” นาคินทร์ปิดประตูแล้วนั่งคุกเข่าลงกับพื้นให้กับเทพผู้ดูแลมหาสมุทรที่มาทำหน้าที่แทนเทพชลันธร อีกทั้งยังมีศักดิ์เป็นอาอีกด้วย

“เป็นอย่างไรบ้าง เรื่องที่ข้าให้เจ้าทำ” กนธีเดินเข้ามาหานาคินทร์ มือก็จับปลายคางของใบหน้าเล็กขึ้นมา

“ข้ารู้สึกว่าท่านชลันธรยังจำเรื่องราวในอดีตไม่ได้” นาคินทร์รายงานตามที่ตนคิด

“เจ้าใช้ความรู้สึกคาดเดาอย่างนั้นเหรอ?” กนธีกัดฟันกรอดเมื่อได้รับคำตอบที่ไม่เข้าหู ก่อนจะกระชากตัวของนาคินทร์เหวี่ยงลงไปบนเตียง

“อัก..ท่านกนธีข้าเจ็บ”

“โดนแค่นี้อย่ามาทำเป็นร้องโอดโอยเจ้านาคชั้นต่ำ” กนธีคร่อมตัวทับนาคินทร์พร้อมกับกระชากเสื้อเชิตสีขาว ตามด้วยถอดกางเกงสีดำออกอย่างรวดเร็วจนนาคินทร์อยู่ในสภาพเปลือยเปล่า

“ท่านกนธี..ขะ..ข้ามีอีกเรื่องจะบอกกับท่าน..อ่า.า..อ๊ะ..” นาคินทร์เอ่ย ในขณะที่กนธีกดแทรกร่างกายเข้ามาในตัวของร่างบาง

“บอกข้ามาสิ…อ่า.า…ซี๊ด” กนธีกระแทกเข้าไปในช่องทางร้อนผ่าวอย่างไม่คิดที่จะออมแรง

“ท่าน..อื้อ.อ…ท่านนภนต์ลงมายังโลกมนุษย์..อึก.ก…แล้วตอนนี้ก็อยู่กับท่านชลันธร..อ่ะ..อ่ะ..อ่า.า…” นาคินทร์รายงานเรื่องที่ได้รับอย่างยากลำบากเพราะถูกเล่นงานตรงช่วงล่าง

“นภนต์…มันจำเจ้าได้หรือไม่” กนธีถามพร้อมกัดไปตามขาที่วางพาดบ่าตน

“ไม่ได้…ข้าเป็นเพียงนาคชั้นต่ำ ไม่มีใครจำข้าได้หรอก..อ่า.า..อ๊ะ…อืม” นาคินทร์ตอบออกไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ ใช่…เขาเป็นเพียงนาคชั้นต่ำที่หลงรักเทพผู้ยิ่งใหญ่อย่างกนธีจนยอมทำทุกอย่างที่อีกฝ่ายต้องการ

“ดี..ข้าจะได้ไม่ต้องเปลืองแรงขจัดชลันธร เรื่องนี้ปล่อยให้นภนต์เป็นคนจัดการ” กนธียกยิ้มกับข่าวดี หากนภนต์กำจัดชลันธรได้ ตนเองก็จะได้ดำรงตำแหน่งเทพผู้เป็นใหญ่แห่งมหาสมุทรตลอดกาล










 ............................
ดีใจที่ทุกคนติดตามและให้ความรักแก่พระเอกของเราอย่างล้นหลาม เนื้อเรื่องไม่มีอะไรมาก เรียบๆ มาม่าเบาๆ หวังว่าทุกคนจะชอบกันนะคะ เดี๋ยวว่างๆจะเอารูปอิมเมจกนธีกับนาคินทร์มาลงนะคะ สายนี้เขาแซ่บ 55555
สุดทายนี้ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมาเม้นมาเป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.02 P.1 (21/03/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 21-03-2017 17:11:16
  กนธีเป็นคนทำเรื่องขึ้นมาใช่มั้ย อ้าวว งั้นชลันก็โดนแกล้งน่ะสิ 
  รออ่านตอนต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.02 P.1 (21/03/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 21-03-2017 18:22:17
ไม่น่าเชื่อคนที่ใส่ร้ายจะเป็นอาแท้ๆของชลันธร เพราะความอยากเป็นใหญ่แท้ๆ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.02 P.1 (21/03/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 21-03-2017 20:25:57
ฝากเพจให้ติดตามนะคะ

https://www.facebook.com/gingerale0209/
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.02 P.1 (21/03/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 21-03-2017 20:50:53
อั่ยย่ะ มีแต่คนคิดจะทำร้ายชล..... แล้วนายเอกของเราจะรอดไหมเนี่ย :ling3:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.02 P.1 (21/03/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 21-03-2017 20:54:10
รู้ความจริงขึ้นมาล่ะก็สนุกเลย
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.02 P.1 (21/03/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: donut4top ที่ 22-03-2017 17:23:19
ช่างเข้มข้น น่าติดตามค่ะ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.02 P.1 (21/03/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 22-03-2017 22:50:11
จริงๆเป็นแนวที่ชอบ  แต่ก็อย่างว่ามันเป็นไปตามบทที่เขียนขึ้น(ที่แอบขัดใจ)  ทำไหมตัวเอกถึงเป็นตัวโง่งมเช่นนี้  ไม่ระคายอะไรเลย  แบบนี้คงมีแต่เจ็บปวด  คนที่รักกัน  แต่กับไม่เชื่อใจกัน  แถมไม่หาสาเหตุที่แท้จริง  กับมาทำร้ายจิตใจกันอีก  เป็นแนวที่ผมเกลียดที่สุดในนิยายทุกเรื่อง  ถึงจะดราม่าเยอะแค่ไหน  ถ้าคนที่รักกันไม่ทำร้ายจิตใจกันแล้ว  ผมก็อ่านต่อได้  แต่นี้กับเชื่อปักใจแถมไม่คิดอะไรให้ละเอียดรอบครบมาตัดสินกันแบบนี้  ถ้าตอนท้ายไอ้พระเอกมันตาสว่าง  ขอให้มันเจ็บปวดเป็นร้อยเท่าของนายเอกเจ็บ  คงจะพอใจยอมรับได้บ้างอยู่นะ  แต่ที่คาดเดา  ไม่ใช่ว่านายเอกคงจะใจดีให้อภัยเขาง่ายๆแน่ๆ 
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.02 P.1 (21/03/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 23-03-2017 06:23:39
จริงๆเป็นแนวที่ชอบ  แต่ก็อย่างว่ามันเป็นไปตามบทที่เขียนขึ้น(ที่แอบขัดใจ)  ทำไหมตัวเอกถึงเป็นตัวโง่งมเช่นนี้  ไม่ระคายอะไรเลย  แบบนี้คงมีแต่เจ็บปวด  คนที่รักกัน  แต่กับไม่เชื่อใจกัน  แถมไม่หาสาเหตุที่แท้จริง  กับมาทำร้ายจิตใจกันอีก  เป็นแนวที่ผมเกลียดที่สุดในนิยายทุกเรื่อง  ถึงจะดราม่าเยอะแค่ไหน  ถ้าคนที่รักกันไม่ทำร้ายจิตใจกันแล้ว  ผมก็อ่านต่อได้  แต่นี้กับเชื่อปักใจแถมไม่คิดอะไรให้ละเอียดรอบครบมาตัดสินกันแบบนี้  ถ้าตอนท้ายไอ้พระเอกมันตาสว่าง  ขอให้มันเจ็บปวดเป็นร้อยเท่าของนายเอกเจ็บ  คงจะพอใจยอมรับได้บ้างอยู่นะ  แต่ที่คาดเดา  ไม่ใช่ว่านายเอกคงจะใจดีให้อภัยเขาง่ายๆแน่ๆ






นายเอกจะบ๊องแบ๊วจนถึงวันที่ขำทุกอย่างได้ค่ะ 5555 วันนั้นนางจะทวงคืนความบริสุทธิ์ อ่อ สปอยนิดนึงพระเอกคือคนที่จะ..........ค่ะ #จบการสปอย
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.02 P.1 (21/03/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: noozzz ที่ 23-03-2017 16:03:19
กนธีใช่ไหมที่ใส่ี้ร้ายชลันธร เจอศึกสองด้านแบบนี้ ชลันจะหาหลักฐานคนเดียวไหวหรอ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.02 P.1 (21/03/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 23-03-2017 17:41:50
ชลันธรโดนใส่ร้าย!?
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.02 P.1 (21/03/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 23-03-2017 22:39:05
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.03 P.1 (24/03/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 24-03-2017 07:38:07


สาปรัก…ทัณฑ์เทวา
Writer : Tan-Yung0209
File : 03

“ท่านชลันธร…ท่านชลันธรท่านอยู่ที่ใด”

ข้าราชบริพาร ต่างร้องเรียกหาเทวดาหนุ่มที่หนีออกมาจากนครใต้สมุทร เจ้าของนามที่ถูกตามหาได้ยินว่าเหล่าบริวารของตนอยู่ไม่ไกลนักจากที่ซ่อน ก็แทบจะกลั้นลมหายใจและนิมิตกายให้เล็กมากที่สุดเพื่อซ่อนในโพรงไม้

“ท่านชลันธรคงไม่อยู่ที่นี่ พวกเราแยกย้ายกันตามหาดีกว่า” เมื่อหาเจ้านายไม่พบเหล่านาคและทวยเทพในท้องทะเลที่ขึ้นมา ต่างก็แยกย้ายกันไปคนละทิศเพื่อตามหาชลันธรในป่าหิมพานต์

“เฮ้อ…คงจะไปกันหมดแล้ว” ชลันธรโล่งอกที่ไม่มีใครตามตัวเจอ นานๆ ครั้งที่เขาจะได้ออกมาจากถ้ำใต้น้ำ อย่างไรชลันธรก็ขอเที่ยวให้สมกับความอยากเสียหน่อย

ในขณะที่ยืนอยู่ในโพรงไม้ ก็มีนกตัวน้อยที่มีขนสีทองบินมาเกาะอยู่ใกล้ๆ ชลันธรจึงเกิดความคิดที่จะออกจากตรงนี้โดยมิให้ใครติดตามเห็น

“เจ้านกน้อย...” ชลันธรในร่างเล็กเท่านิ้วก้อยก็พูดกับนกขนสีทองที่หันขวับทันทีที่ชลันธรเรียก

“เราขอขึ้นขี่บนหลังเจ้า แล้วให้เจ้าพาเราออกจากที่นี่ได้หรือไม่?” ชลันธรเอ่ย นกน้อยขนสีทองจึงย่อตัวลงเป็นคำตอบว่าจะให้ร่างเล็กได้ขึ้นขี่หลัง

ชลันธรยิ้มกว้างแล้วปีนขึ้นขี่หลังเจ้านกตัวนั้น เมื่อพร้อมแล้วจึงกระตุกเส้นขนทองเบาๆ ว่านั่งมั่นแล้ว ปีกทองกางออกกว้างสุดปลายปีกแล้วขยับขึ้นลง ทะยานบินขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็ว โดยที่ชลันธรไม่รู้ว่ามันจะมุ่งหน้าไปที่ใด

ชลันธรทอดสายตาลงไปเบื้องล่าง ก็ได้พบเห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เช่นการต่อสู้ของคนธรรพ์ที่แย่งชิงมักกะลีผลหรือจะเป็นเหล่านางกินรีที่กำลังลงสระอโนดาตเล่นน้ำกันอย่างสำราญใจเมื่อเจ้านกน้อยบินผ่านลงไปใกล้พวกนางก็มิได้สนใจชลันธรเลยแม้แต่น้อย  มันช่างน่าตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่เพิ่งเคยเห็นเสียจริงเคยได้ฟังแต่เสียงเล่าลือไม่นึกว่าแดนหิมพานต์จะน่าอัศจรรย์เยี่ยงนี้ อยู่เจ้านกก็บินทะยานขึ้น ชลันธรตกใจหลงร้องออกมาเสียงดัง ด้วยเพราะมันบินหลบโขลงพญาคชสารกำลังเดินไปทางด้านป่าผลไม้ทิพย์บริเวณหัตถีมุข

“โอ๊ะ…เจ้านกน้อยจะบินขึ้นทำไมไม่บอกเรา” ระหว่างที่ชลันธรกำลังเพลิดเพลินกับสิ่งที่ได้เห็น นกสีทองก็บินถลาลงไปที่ปากถ้ำแก้วที่เงียบสงบ

“เจ้าจะส่งเราที่นี่นะหรือ  อืม...ก็ได้ที่นี่สวยมาก เราขอบใจเจ้ามากนะ” ชลันธรลงจากหลังเจ้านก ตามด้วยพนมมือร่ายมนต์แปลงนิมิตกายให้เป็นดังเดิม

“ขนาดปากถ้ำยังสวยขนาดนี้ ภายในจะสวยขนาดไหน?”  ชลันธรเมียงมองปากถ้ำก็ตั้งคำถามและเดินเข้าไปหาคำตอบโดยไม่คิดจะระแวดระวังตน

 ‘ฟิ้ว....’

ลูกธนูพุ่งเข้ามาหาเทพที่เดินย่างเข้าไปเพียงหนึ่งก้าว ชลันธรหลบหลีกแต่ไม่พ้นคมธนูที่เฉียดแขนจนมีโลหิตสีครามไหลซึมออกมา

“อ๊ะ…นี่มันอะไรกัน...” ชลันธรกุมแขนข้างที่เจ็บเอาไว้และร่ายคาถาเพื่อจะรักษาแผล

“เหตุใดแผลถึงไม่หาย” ปกติหากใช้คาถานี้แผลตามตัวก็จะหาย...แต่นี่กลับไม่ อีกทั้งเลือดก็ยังไหลออกมาไม่หยุด

“เพราะลูกธนูของข้ากำกับคาถาเอาไว้ คนที่จะรักษาเจ้าได้ก็มีเพียงคนที่ยิงเจ้าเท่านั้น…นั่นก็คือข้า” เทวดาหนุ่มเดินออกมาจากความมืด ปรากฏกายให้เห็นความงามของร่างกายที่กำยำรวมถึงใบหน้าที่ชลันธรเห็นแล้วไม่สามารถจะละสายตาจากเขาได้เลย

“ท่านช่วยโปรดรักษาเราด้วยเถิด” ชลันธรร้องขอ เวลานี้เลือดไหลเป็นทางจนเปรอะเปื้อนอาภรณ์ที่ปกปิดกาย

“เหตุใดข้าจะต้องช่วยหัวขโมยอย่างเจ้าด้วย” นภนต์มองคนตรงหน้าอย่างจับผิด

“เราหาใช่หัวขโมยไม่ ท่านกำลังเข้าใจเราผิด เรามีนามว่าชลันธรผู้ที่จะดูแลสรรพสิ่งในห้วงสมุทรในเร็ววันนี้”

“คิดว่าข้าจะเชื่อเจ้าอย่างนั้นหรือ? เทพมหาสมุทรต้องอยู่ในมหาสมุทร เหตุใดจึงมาเดินเล่นอยู่ในป่าหิมพานต์เยี่ยงนี้” นภนต์เอ่ย ร่างสูงเดินเข้าหาผู้บาดเจ็บที่เดินถอยหนีทุกครั้งที่เขาก้าวเดิน

“ที่นี่มีกฎหรือว่าห้ามเทพมหาสมุทรเข้ามา” ชลันธรถามกลับ สายตาก็มองจิกคนตรงหน้าด้วยความไม่ชอบใจนัก

“ป่าแห่งนี้ไม่ได้ห้ามเจ้า หากถ้ำแก้วนี้เป็นที่พำนักของข้าและข้าก็ไม่ยินดีที่จะให้ผู้ใดมาเดินเล่นในที่ของข้าก็เท่านั้น” นภนต์คว้าแขนข้างที่เจ็บของชลันธรแล้วกระชากเข้ามาจนคนถูกกระทำหน้านิ่วเพราะเจ็บแผล

“เราไม่รู้ว่าที่นี่เป็นที่พำนักของท่าน เจ้านกสีทองพาเรามาส่งที่นี่” ชลันธรเล่าความจริงให้นภนต์ฟังเผื่อจะได้เชื่อตนขึ้นมาบ้าง

“ทิชากรพาเจ้ามาอย่างนั้นหรือ?” นภนต์ถาม เทพหนุ่มแปลกใจที่พาหนะประจำตัวจะยอมพาใครมาที่ถ้ำแก้วแห่งนี้ ขนาดทหารคนสนิทเจ้านกทิชากรยังบินหนีไม่ยอมเข้าใกล้

“หากทิชากรคือนกสีทองตัวนั้น เราก็ขอตอบว่าใช่” ชลันธรเอ่ย นภนต์จึงผ่อนแรงที่บีบแขนเรียวไว้

“ท่านชลันธร….ท่านชลันธรท่านอยู่ที่ใด”

ไม่ทันที่นภนต์จะพูดอะไรออกไป เสียงเหล่าบริวารของชลันธรที่กำลังตามหานายของตนก็ดังแทรกขึ้นมา

“ท่าน…ได้โปรดให้เราเข้าไปซ่อนตัวที่นี่ได้หรือไม่?” ชลันธรเริ่มใจไม่ดี เขาไม่อยากกลับลงไปที่ใต้มหาสมุทรในตอนนี้

“แล้วเหตุใดข้าต้องช่วยเจ้า” นภนต์เอ่ย แล้วเดินกลับเข้าไปด้านใน ไม่คิดที่จะสนใจไยดีชลันธรแม้แต่น้อย

“ถือว่าเมตตาเราสักครั้งเถิด หากท่านช่วยเรา ท่านต้องการอะไรเราจักให้” ชลันธรยื่นข้อเสนอ

“เจ้าพูดจริงหรือ?” นภนต์ลูบคางตัวเอง มุมปากก็ยกยิ้มขึ้น ความเจ้าเล่ห์ฉายชัดในดวงตา

“เราพูดจริง” ชลันธรยืนยัน นภนต์จึงจับมือเล็กจูงเข้ามาหลบหลังโขดหินภายในถ้ำ

“เจ้านั่งอยู่ตรงนี้ห้ามไปไหนเด็ดขาด จนกว่าข้าจะมา” นภนต์สั่งก่อนที่จะเดินออกไป

“ท่านจะไปไหน?” ชลันธรรีบคว้ามือนภนต์กลัวว่าอีกคนจะหนีไป

“ข้าจะออกไปรับหน้าคนของเจ้า” นภนต์ตอบ ชลันธรยิ้มกว้างด้วยความดีใจที่นภนต์ยอมช่วย วินาทีนี้นี่เองที่นภนต์เริ่มหลงใหลในตัวชลันธร

“เราขอบน้ำใจท่านมาก” ชลันธรเอ่ยและปล่อยมือนภนต์ให้ออกไปบ่ายเบี่ยงกับผู้ติดตาม

“พวกเจ้ามีเรื่องอันใดถึงได้วนเวียนอยู่ที่บริเวณถ้ำของข้า!!!” นภนต์กล่าวด้วยเสียงอันดังก้อง ทำให้เหล่าเทพจากใต้ท้องทะเลก็วิ่งกรูเข้ามา

“พวกข้าขออภัยที่ล่วงล้ำเข้ามาในเขตของท่าน พวกข้าเพียงต้องการตามหาผู้เป็นนายเท่านั้น”

“นายของเจ้าอย่างนั้นหรือ?” นภนต์แสร้งถาม ในใจก็คิดถึงคำพูดของชลันธรที่เคยบอกว่าตัวเองเป็นเทพมหาสมุทร

“ใช่ นายของข้าคือท่านชลันธร ผู้ที่จะเข้ารับการแต่งตั้งเป็นเทวาผู้ปกครองท้องสมุทรในวันพรุ่ง” บริวารตนหนึ่งกล่าว

“ข้ายังไม่เห็นใครเข้ามาที่เขตถ้ำแก้วนี้นอกจากพวกเจ้า ข้าว่า...พวกเจ้าจงไปตามหาที่อื่นเสียเถิด” นภนต์โกหก เหล่าบริวารผู้ติดตามของชลันธรก็มองหน้ากันไปมาคล้ายจะปรึกษากัน

“ถ้าเป็นอย่างที่ท่านว่า พวกเราก็ขอลาไปตามหาท่านชลันธรต่อและขออภัยที่ได้รุกล้ำเข้ามา โดยมิได้รับอนุญาต”  พูดจบเหล่าบริวารของว่าที่เทพท้องสมุทรทั้งหลายก็โค้งคำนับ

“เอาเถิด ข้าไม่ได้ติดใจอะไร” นภนต์เอ่ย เหล่าบริวารของชลันธรต่างก็แยกย้ายกันออกไปตามหาผู้เป็นนายต่อ เมื่อไม่มีใครแล้วนภนต์จึงกลับเข้าไปในถ้ำแก้ว

“ออกมาได้แล้ว…ชลันธร”  เมื่อนภนต์เอ่ย ร่างโปร่งจึงเดินออกจากที่กำบังกาย

“คนของเรากลับไปหมดแล้วใช่หรือไม่?” ชลันธรถาม

“ใช่” นภนต์ตอบสั้นๆ

“เราขอบน้ำใจท่านมาก ท่าน….เอ่อ…มิทราบว่าท่านมีนามว่ากะไรหรือ” ชลันธรเอ่ยถาม เขารู้สึกเสียมารยาทที่เพิ่งจะถามชื่ออีกฝ่ายทั้งที่เสวนากันมาพักใหญ่แล้ว ถึงจะไม่ได้พูดคุยกันดีๆ ก็ตาม

“นภนต์ ข้าเป็นเทพแห่งท้องนภา”

“ท่านคือผู้ที่ปกครองน่านฟ้า อีกทั้งเป็นนักรบสวรรค์ผู้เก่งกาจกระนั้นหรือ...”  ชลันธรพูดออกมาด้วยใจที่ชื่นชมในความสามารถของนภนต์

“อย่ามัวเสียเวลาชื่นชมข้า เวลานี้ข้าจะมาทวงสัญญาจากผู้ที่จะได้เป็นผู้ครองมหาสมุทรเช่นเจ้า”

“ท่านต้องการสิ่งใดเล่า โปรดบอกเรามาเถิด” ชลันธรคิดไว้แล้วว่าเทพที่ช่วยเหลือตนจะต้องทวงสัญญาทันที

“แน่ใจหรือไม่ชลันธร...ว่าเจ้าจะให้ข้าได้”  นภนต์ยิ้มร้าย

“แน่ใจสิ ไม่ว่าจะไข่มุกหลากสีในมหาสมุทรหรือจะเป็นนางเงือกสาวเราก็สามารถมอบให้ท่านได้”

“สิ่งที่เจ้าเอ่ยนั้นข้าไม่ต้องการ สิ่งที่ข้าต้องการก็คือ...ริมฝีปากเจ้า” นภนต์เคลื่อนตัวเข้าไปใกล้แล้วโอบเอวของชลันธรที่ยืนไม่ระวังตัวเอาไว้แน่น

“ท่านหมายความว่าอย่างไร…อีกอย่างช่วยปล่อยข้าด้วย” ชลันธรขืนตัวแต่ก็สู้แรงของเทพผู้เป็นนักรบไม่ได้ อีกทั้งเวลาที่ขยับตัว ขยับแขน ก็ปวดแผลจากลูกธนูอยู่ร่ำไป

“ข้าหมายความว่า…”

นภนต์ใช้มือที่ว่างเชยคางของชลันธรให้เชิดขึ้นเล็กน้อยพอที่จะรับ ใบหน้าของตนที่เลื่อนเข้าไปประทับริมฝีปากจนแนบสนิท ชลันธรเม้มปากแน่นและพยายามหันหน้าหนี นภนต์จึงใช้มือจับเข้าที่ท้ายทอย ริมฝีปากหนาก็บดเบียดรุนแรง ชลันธรรู้สึกแสบไปทั่วริมฝีปากสีสดจนเผลอเผยอปากขึ้น ซึ่งเปิดโอกาสให้ลิ้นร้อนเข้าไปในโพรงปากอุ่น

“อื้อ…อื้ม.ม..”

ชลันธรพยายามส่งเสียงร้องห้ามแต่มันกลับเป็นเสียงเชิญชวนสำหรับเทพแห่งท้องนภา นภนต์กวาดลิ้นจนทั่วโพรงปากเพื่อลิ้มรสความหวานที่ติดอยู่ตรงปลายลิ้น ตามด้วยตวัดลิ้นของชลันธรให้มีอารมณ์คล้อยตามเขา

ชลันธรผู้ไม่ประสีประสาในเรื่องเหล่านี้ก็ต้องแพ้พ่ายให้กับนภนต์ ขาที่ยืนอยู่ก็อ่อนยวบจนแทบจะนั่งกองกับพื้น ยังดีที่นภนต์โอบร่างโปร่งเอาไว้

“เจ้าได้คำตอบแล้วหรือไม่ว่าสัมผัสริมฝีปากคืออะไร หากไม่...ข้าจะสัมผัสริมฝีปากเจ้าอีกรอบ” ทันทีที่ผละริมฝีปาก นภนต์ก็แกล้งเหย้าแหย่ชลันธรที่ทั้งปากและแก้มแดงไม่ต่างจากสีดอกกุพชกะ (กุหลาบ)

“ท่านช่างเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก!!! บังอาจมาล่วงเกินเรา” ชลันธรทั้งโมโห ทั้งอาย เกิดมาหลายร้อยปียังไม่เคยเจอใครมาทำแบบนี้มาก่อน

“ข้าไม่ได้ล่วงเกินเจ้า ข้ารักษาแผลเจ้าต่างหาก” นภนต์เอ่ย ความจริงนภนต์ยอมรับว่าเจ้าเล่ห์อย่างที่อีกคนกล่าวหา แต่เขาก็ไม่คิดจะยอมรับ

“แผลของเราหายแล้วจริงๆ ด้วย” ชลันธรดีใจจนแทบจะลืมเรื่องที่นภนต์จุมพิตไปก่อนหน้านี้ นภนต์มองชลันธรที่ไม่ต่างจากเด็กน้อย เขาไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าได้ปกครองมหาสมุทรจะวุ่นวายขนาดไหน

“ชลันธร พรุ่งนี้เจ้าจะต้องเข้ารับตำแหน่งใช่หรือไม่?” นภนต์เอ่ย รอยยิ้มของชลันธรก็หายไปทันที

“ใช่…เรารู้ว่าอนาคตเราจะต้องรับผิดชอบภาระอันยิ่งใหญ่ เราจึงเลือกที่จะหนีออกมาท่องเที่ยวตามความฝัน ก่อนจะต้องรับตำแหน่งในโลกแห่งความจริง” ชลันธรเอ่ยน้ำเสียงเศร้าสร้อยจนนภนต์อดเห็นใจไม่ได้ เขาเองก็รับตำแหน่งในช่วงอายุไม่ต่างจากชลันธร จึงเข้าใจดีว่าวัยนี้ต้องการอิสระมากขนาดไหน

“ข้ามีข้อเสนอ...ในทุกคืนวันเพ็ญ ชลันธรเจ้าจงขึ้นสู่จากมหาสมุทรมายังถ้ำแก้วของข้าแล้วข้าจะพาเจ้าท่องเที่ยวยามราตรี” นภนต์เอ่ย

“ท่านนภนต์..ทะ…ท่านอย่าล้อเล่นกับเราเลย”

“ข้าพูดจริง ข้าให้สัญญาด้วยเกียรติของเทพแห่งท้องนภา” นภนต์กล่าวคำมั่นพร้อมยื่นนิ้วก้อยไปตรงหน้าของนภนต์

“อืม…เราเองก็สัญญาว่าจะมาหาท่านทุกคืนวันเพ็ญ ท่านภนต์” ชลันธรเกี่ยวก้อยเป็นคำมั่นสัญญา โดยเทวาทั้งสองไม่รู้ว่านี่คือพันธะที่เกี่ยวพันถึงหัวใจ

“เฮือก!”

ชลันธรสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากความฝัน เขาตั้งสตินับหนึ่งถึงสิบในใจพร้อมกับเสียงหอบหายใจอย่างหนักหน่วงนี่เขาฝันไปหรือไปวิ่งแข่งร้อยเมตรมากันแน่ ก่อนจะกวาดสายตามองรอบห้องสีขาวที่ไม่คุ้นตาเอาเสียเลย ชลันธรเลิกผ้าห่มออกเพื่อที่จะลงจากเตียงแต่ก็พบว่าร่างกายของตนเปลือยเปล่า มือบางแทบที่จะเลิกผ้ากลับมาปกปิดร่างกายไว้แทบไม่ทัน

“ตื่นแล้วเหรอ..ลัน” นภนต์ที่ยืนพิงกรอบประตูเอ่ยถาม สายตาก็จับจ้องไปที่ร่างกายของชลันธร










......................................
สวัสดีค่ะ มาแล้วนะ
ลงช้านิดนึงเพราะเอาให้รุ่นพี่นักเขียนช่วยดูช่วยแก้คำให้ เพราะตัวท่านยุ่งยังไม่เก่งในเรื่องการใช้คำในเรื่องแนวแฟนตาซีไทย แก้ไปเยอะเลย ต้องขอบคุณพี่สาวสุดสวยมากๆ
ตอนนี้ถ้าทุกคนไม่รู้ว่านภนต์มาร้ายก็คงจะรู้สึกดีกับนภนต์ แต่เราดันรู้ไงว่านางร้าย หมั่นไส้ถูกไหม 55555 เรื่องราวที่หนูลันฝันคือเรื่องจริงในชาติภพเทวดา
ไม่อยากเมาท์มอยหอยสังข์เยอะกลัวคนลำคาญ เอาเป็นว่าขอขอบคุณทุกคนนะคะที่เข้ามาอ่าน เม้น เป็นกำลังใจให้ ยุ่งอ่านเม้นทุกคนเลยค่ะ บางเม้นอยากตอบแต่กลัวหลุดสปอย 555555
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.03 P.2 (24/03/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 24-03-2017 13:03:33
แลดูแล
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.03 P.2 (24/03/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 24-03-2017 15:22:28
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.03 P.2 (24/03/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 24-03-2017 21:15:36
ดีใจที่มาต่อไวน้า

แล้วนี่คือฝัน? ชลจะได้ความทรงจำกลับคือมาเต็มๆเมื่อไรเนอะ?
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.03 P.2 (24/03/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 24-03-2017 21:53:48
ตอนแรกคือความฝัน แต่ตื่นมาแล้วตัวเปลือยนี่คือไร
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.04 P.2 (28/03/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 28-03-2017 06:56:38


สาปรัก…ทัณฑ์เทวา
Writer : Tan-Yung0209
File : 04

“ตื่นแล้วเหรอ...ลัน” นภนต์ที่ยืนพิงกรอบประตูเอ่ยถาม สายตาก็จับจ้องไปที่ร่างกายของชลันธร

“พี่ นะ... เออ อาจารย์นภนต์!!! เสื้อผ้าผมหายไปไหน?” ชลันธรถาม มือก็ดึงผ้าห่มมาคลุมกายจนมิดชิด ใบหน้าขาวนั้นเริ่มที่จะมีสีแดงระเรื่อ ก็ด้วยทั้งตกใจทั้งอาย ที่อยู่ดีๆ ทำไมมาตกอยู่ในสภาพนี้ได้ ตั้งแต่โตเป็นหนุ่มมาก็ไม่เคยเปิดเผยร่างกายให้ใครได้เห็น

“เรียกอาจารย์อีกแล้ว เรียกพี่เหมือนเดิมไม่ได้เหรอครับ...”

“ครับ...พี่นภนต์...ตกลงเสื้อผ้าลันหายไปไหน” ...ถามอีกครั้งด้วยทั้งเขิน ทั้งอาย ชลันธรจึงไม่เลยที่จะมองสบสายตาคมคู่นั้นของคนที่อยู่ตรงหน้า

“ก็พี่เห็นลันอยู่ดีๆ ก็เป็นลม เหงื่อก็ออกชุ่มตัว พี่ก็เลยเช็ดตัวให้ ก็เลยต้องถอดเสื้อผ้าให้ด้วย....หรือว่า ลันอายพี่เหรอ?” คำตอบที่ดูจะไม่สมจริง เท่าที่จะคิดออกหาข้ออ้างมาได้หลุดออกมาจากปากของนภนต์

“อายสิครับ ต้องมาอยู่ในสภาพนี้เป็นใครก็ต้องอาย อีกอย่างพี่นภนต์ถอดเสื้อลันอย่างเดียวก็ได้นี่ครับ” ชลันธรตอบกลับไปแต่พอได้สบตากับอีกฝ่าย ชลันธรก็รีบหลบหน้า…ก็เพราะสายตาคมของนภนต์มองเขาราวกับจะจับกลืนกินลงท้องเสียทั้งตัว  ร่างบางได้แต่สงสัยทำไมต้องมองกันแบบนี้ด้วย...เขากำลังคิดอะไรของเขาอยู่ เสื้อผ้าก็ไม่ได้ใส่สักชิ้นยังจะมามองแบบนี้อีก

“อายทำไม? ผู้ชายด้วยกัน...” นภนต์เอ่ยพร้อมกับยิ้มที่มุมปากและแอบขำในใจที่ได้เห็นท่าทางของชลันธรที่ทั้งเขินทั้งอาย ในใจคงจะระแวงตัวเขาแน่ๆ ตอนที่หลับไป ...

“ผู้ชายด้วยกันที่ว่าคือผู้ชายที่เจอหน้ากันแค่สองครั้งนะครับ”

“ก็ถ้าอีกฝ่ายไม่สบายก็ต้องทำแบบนี้ทั้งนั้น ถ้าลันกลัวว่าพี่จะถ่ายคลิป ถ่ายรูป หรือทำอะไรไม่ดีกับลันไม่ต้องห่วงหรอก เพราะพี่ไม่คิดที่จะทำ พี่ไม่ใช่คนฉวยโอกาสนะครับ”  คำพูดที่ดูดีแต่เขาไม่คิดที่จะทำตอนนี้ต่างหากและหากได้ทำเขาก็จะทำอะไรรุนแรงและให้ชลันธรเจ็บจนทนไม่ได้เสียดีกว่า

“ครับ” ชลันธรเบาใจขึ้นมาบ้างเมื่อได้ยินนภนต์ยืนยันแบบนั้น เพียงแต่ยังมีข้อสงสัยภายในใจว่าเหตุใดจึงต้องถอดเสื้อผ้าออกจากตัวเขาจนหมด
“เดี๋ยวลันหาเสื้อผ้าของพี่ที่อยู่ในตู้มาใส่ก่อนนะ พอดีพี่เอาเสื้อผ้าของลันไปซักให้” นภนต์บอกกับชลันธร ก่อนที่จะเดินออกไปจากห้องนอน

ในระหว่างที่รอชลันธรออกมา นภนต์ก็กังวลกับสิ่งที่ได้รับรู้ก่อนหน้านี้ นั่นก็คือสิ่งที่ชลันธรฝันหรือจะเรียกอีกอย่างว่าความทรงจำในอดีตชาติ

ย้อนกลับไปเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ นภนต์ได้พาชลันธรมายังคอนโดของตนและจัดวางคนในอ้อมแขนนอนลงบนเตียงกว้าง

“เราจะซ่อนตัวที่ไหนดี...” เสียงละเมอหลุดออกมาจากปากของร่างในอ้อมแขนทำให้คนกำลังที่จะออกจากห้องไปกลับต้องหยุดชะงัก นภนต์เดินกลับมาหาชลันธรแล้วค่อยๆ นั่งลงบนเตียงอีกครั้ง

“เจ้ากำลังฝันถึงเรื่องอะไรกันชลันธร”

นภนต์ไม่รอให้คำถามที่ผุดขึ้นนั้นค้างคาใจตนเอง เทพหนุ่มโน้ทใบหน้าลงให้หน้าผากจรดกับหน้าผากเนียน เพียงแค่หลับคาและตั้งจิตให้อยู่ในสมาธิ เขาก็สามารถที่จะเข้าไป เข้าไปดูว่าชลันธรกำลังหลับฝันถึงเรื่องอะไร

‘นี่มัน...ความทรงจำของเจ้ากำลังกลับมาอย่างนั้นหรือ?’

ไม่นานนภนต์ก็ลืมตาขึ้น ถึงจะใช้เวลาไม่มากและไม่ได้เห็นความฝันทั้งหมดแต่จากที่เขาเห็นชลันธรกำลังนั่งบนตัวของเจ้านกน้อยทิชากร นภนต์ก็พอจะเดาออกว่านี่คือเหตุการณ์ที่ตนพบกับชลันธรเป็นครั้งแรก ...ครั้งแรกที่ได้พบ  ครั้งแรกที่ได้กอด  ครั้งแรกที่ได้จูบจุมพิต...  แต่นภนต์เริ่มหวั่นใจกลัวว่าชลันธรจะสามารถจำเรื่องราวได้ทั้งหมด

นภนต์มองชลันธรที่นอนกระสับกระส่าย เหงื่อไหลไปทั่วผิวกายจนเสื้อนั้นชุ่มไปด้วยเหงื่อรวมถึงกางเกงก็พลอยเปียกไปด้วย ส่วนหนึ่งเกิดจากนภนต์เข้าไปในความฝันของร่างโปร่งทำให้ร่างกายของชลันธรต้องทำงานหนักเป็นสองเท่า

ขณะเดียวกันในห้องนอนของนภนต์ ชลันธรก็สับสนกับตัวเองที่ฝันประหลาดและเห็นนภนต์ในความฝัน ตอนตื่นขึ้นมาเห็นนภนต์ก็พยายามทำตัวให้เป็นปกติแต่ก็มีเรื่องเขานอนเปลือยกายมาเบี่ยงประเด็นความสนใจเสียก่อน

“แกร๊ก...”

ชลันธรเปิดประตูห้องและเดินออกมาหานภนต์ที่นั่งเงียบอยู่ นภนต์เองพอเห็นว่าชลันธรออกมาก็รีบแสร้งยิ้มออกมา

“โกรธพี่เหรอลัน หน้ายุ่งเชียว” นภนต์ถาม

“เปล่าครับ…ลันได้ไม่โกรธ” ชลันธรตอบ แต่ที่เขาหน้ายุ่งก็เป็นเพราะเรื่องในความฝันต่างหาก  ถึงจะเป็นเพียงแค่ความฝัน แต่มันกลับเป็นความฝันที่ไม่สามารถเล่าให้ใครฟังได้

“พี่เอาเสื้อผ้าลันไปให้แม่บ้านซัก อีกชั่วโมงนึงคงจะเสร็จ รอหน่อยก็แล้วกัน” นภนต์พูดต่อ เพื่อให้คลายบรรยากาศที่แสนจะอึดอัด

“อ่อ ครับ”

“เป็นอะไรทำไมดูเงียบๆ” นภนต์อาศัยช่วงจังหวะที่กำลังเผลอดึงแขนชลันธรให้มานั่งบนตักตัวเอง

“พี่นภนต์ปล่อยลันนะครับ” ชลันธรพยายามลุกออกจากตัก แต่นภนต์เองก็ไม่ยอมร่างบางลุกออกไปง่ายๆ จึงรวบกอดเอวบางเอาไว้แน่น

“ขอพี่กอดหน่อยนะครับ…ให้พี่ได้กอดคนที่รักหน่อย”  คำกล่าวกระซิบว่า ...ที่รัก...ข้างใบหูนิ่มนั้น ทำให้เอาชลันธรที่ได้ยินถึงกับใจเต้นแรง ทำตัวไม่ถูก แต่ใจหนึ่งก็ชอบนัก แต่อีกใจหนึ่งก็เริ่มรู้สึกกลัว  ว่านี่มันอะไรพี่นภนต์กำลังจะทำอะไรกันแน่

“พี่นภนต์อย่ามาล้อเล่นกับลันสิครับ เราสองคนเพิ่งจะรู้จักกันแถมยังเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่” ชลันธรเองแม้ในใจลึกๆจะรู้สึกดี หากเขาคิดว่านี่มันเร็วเกินไปที่จะรักกัน

“ผู้ชายแล้วไง…พี่รู้ว่าลันเองก็ชอบผู้ชายด้วยกัน อีกอย่างพี่ก็เคยบอกว่าพี่รักเราตั้งแต่แรกเจอ” นภนต์พูดต่อ เรื่องจริงที่เขาตกหลุมรักชลันธรก่อนเมื่อแรกพบ เพียงแต่ว่าตอนนี้ความรักมันได้กลับกลายเป็นความเกลียดชัง
“ไม่ว่ายังไง ลันก็ว่าเร็วเกินไปอยู่ดี อีกอย่างเราสองคนเป็นลูกศิษย์และอาจารย์กันนะครับ”

“เข้าใจแล้ว เอาเป็นว่าพี่จะไม่เร่งเร้าลันเอาอะไรในตอนนี้นะครับ พี่ขอแค่ให้ลันอย่ารังเกียจพี่ คุยกับพี่จะได้ไหม?” นภนต์รู้ว่าขืนรุกหนักกว่านี้ชลันธรอาจจะหลบหนีไปจากเขาได้ จึงใช้ไม้อ่อนให้ชลันธรวางใจ ถึงเวลานั้นเขาก็ตลบหลังชลันธรให้เจ็บแสบทีเดียว

“ได้สิครับ ลันไม่รังเกียจพี่นภนต์หรอก ค่อยๆ ทำความรู้จัก ค่อยๆ เรียนรู้กันไปนะครับ” ชลันธรตอบพร้อมกับเผยรอยยิ้มจริงใจให้กับอีกฝ่าย ในใจนั้นเขินแทบแย่ไม่ถึงว่า หนุ่มหล่อขนาดนี้จะพูดบอกว่ารักกับตัวเอง

“พี่ดีใจนะอย่างน้อยลันก็ให้โอกาสพี่”  นภนต์ลูบผมสีดำขลับอย่างทะนุถนอม ทั้งคู่ต่างสบตาซึ่งกันและกัน ชลันธรนั้นรู้สึกได้ถึงความรักที่จริงใจจากแววตาคมคู่นั้น แต่หากมองลึกลงไปข้างในแววตาก็จะรับรู้ได้ถึงความอาฆาตแค้นที่ฝังลึกของชายหนุ่ม...

.
.
.

“พี่ไปก่อนนะ แล้วคืนนี้พี่จะโทรหานะครับ” นภนต์ขับรถมาส่งชลันธรที่หอพัก

“ลันขอบคุณพี่นภนต์มากๆ นะครับที่ช่วยดูแลลันแล้วก็มาส่งลันที่หอพักอีก”

“เปลี่ยนคำขอบคุณเป็นบอกรักพี่ไม่ได้เหรอ?” นภนต์หยอดคำหวานจนคนฟังหน้าขึ้นสี

“พี่นภนต์... ลันบอกแล้วไงว่ามันเร็วเกินไป”

“พี่รู้แล้วครับ แค่พูดเล่นๆ เผื่อว่าจะเป็นจริง” นภนต์เอ่ยพร้อมกับมองตาคู่สวยจนชลันต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาไปเอง

“ลันไปดีกว่า ไม่พูดกับพี่นภนต์แล้ว” ชลันธรพูดแก้เขินแล้วเดินขึ้นห้องไป ซึ่งนภนต์ก็รู้ว่าชลันธรเขินมากขนาดไหน โดยเฉพาะเอามือลูบท้ายทอยตัวเองแก้เขินนั้นไม่ว่าชาติที่เป็นเทพมหาสมุทรหรือจะเกิดเป็นมนุษย์เดินดิน ภาษากายนี้ดูเหมือนจะติดตัวมาด้วย…เห็นทีเรื่องหลายใจน่าจะตามติดเป็นนิสัยมาด้วยเช่นกัน

พอชลันธรเข้าไปในตัวตึกหอพัก นภนต์ก็ขับรถกลับไปแต่ระหว่างทางเขารู้ตัวว่ามีบางสิ่งติดตามจึงได้ขับรถไปยังสวนสาธารณะใกล้ๆไร้ผู้คน

นภนต์ก้าวลงมาจากรถ ขายาวก้าวไปที่ต้นไม้ใหญ่ริมน้ำ แม้มีลมพัดเอื่อยๆ แต่ไม่สามารถทำให้ใจของนภนต์สงบลงได้

“ทิชากรออกมา!!!” สิ้นเสียงของเทวดาหนุ่ม นกสีทองที่แอบซ่อนอยู่ก็บินถลาลงสู่พื้นหญ้า แสงสีทองเป็นประกายโดยรอบก่อนจะปรากฎบุรุษที่มีชงอยปากคล้ายนก ขาแกร่งราวกับนกอินทรี กลางหลังก็มีปีกสีทองกางออกกว้าง

“ท่านนภนต์เก่งจริงๆ ที่รู้ว่าข้าติดตามท่านมา” ทิชากรเอ่ยด้วยน้ำเสียงยียวนชวนกวนประสาทนภนต์ไม่น้อย

“เจ้ามาที่นี่ด้วยเหตุอันใด ข้าบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือ...ว่าให้เจ้าคอยเฝ้าถ้ำแก้วไม่ใช่ให้มาคอยติดตามข้า” นภนต์ถามนกบริวารที่บังอาจขัดคำสั่ง

“นายท่านจะโกรธข้าไปไยเล่า ก็ด้วยข้ามีเรื่องสำคัญมาบอกกับท่านก็เท่านั้น” ทิชากรเอ่ยถึงสาเหตุที่ต้องทิ้งถ้ำแก้วมายังโลกมนุษย์

“แล้วมันถ้าไม่สำคัญล่ะก็...ข้าก็จักเผาเจ้าให้เป็นจุนเสีย” นภนต์ปลายตามองทิชากรที่ยิ้มกว้างไม่สะทกสะท้านกับคำขู่ของผู้เป็นนาย

“ท่านไม่ได้เผาข้าแน่เพราะเรื่องที่ข้าจะมาบอกท่านก็คือ พระผู้สร้างเรียกท่านรวมถึงเทพองค์อื่นๆให้เข้าเฝ้าโดยด่วน”

“พระผู้สร้าง...เรียกข้าอย่างนั้นหรือ?”  เทพหนุมมีสีหน้าเครียดขึ้นมาทันที…หรือว่าพระองค์จะรู้แล้วว่าข้าลงมาขัดขวางชลันธร

“ท่านนภนต์ รีบไปกันดีกว่า หากชักช้าท่านอาจจะโดนพระผู้สร้าง ทรงตำหนิเอาได้” ทิชากรเอ่ยก่อนจะกลายร่างกลับไปเป็นปักษาสีทองขนาดมหึมาเพื่อเป็นพาหนะให้กับนภนต์

นกยักษ์สยายปีกทองแล้วขยับปีกโบยบินขึ้นสู่ท้องฟ้าผ่านสวรรค์ชั้นต่างๆ จวบจนมาถึงชั้นสูงสุดอันเป็นที่สถิตของพระผู้สร้าง มหาเทพผู้ยิ่งใหญ่

“ถวายบังคมพระผู้สร้าง”

พอมาถึงนภนต์ก็รีบคุกเข่าทำความเคารพผู้เป็นใหญ่ ก่อนจะลุกไปนั่งบัลลังก์ประจำตำแหน่งซึ่งอยู่ตรงข้ามกับบัลลังก์ของเทพมหาสมุทรกนธี

“ในเมื่อมากันครบแล้ว ข้ามีเรื่องจะแจ้งให้พวกเจ้าทราบ” พระผู้สร้างพูดเกริ่น เทพทุกองค์ก็ตั้งใจฟังเป็นอย่างดี

“บัดนี้ชลันธรก็เกิดในชาติที่สามร้อยแล้ว ข้าจึงอยากให้ชลันธรได้รับการดูแลเพราะข้ากลัวว่าจะมีคนไปทำร้ายชลันธรหากความทรงจำนั้นกลับคืนมาทั้งหมด” พระผู้สร้างเอ่ยออกมาเสียงเรียบแต่ก็สัมผัสได้ถึงพลังอันน่าเกรงขาม

“ข้าแต่พระผู้สร้าง ข้ากนธีขออาสาดูแลชลันธรเอง ด้วยชลันธรนั้นมีศักดิ์เป็นภาคิไนยในช้า จึงเหมาะแล้วทีข้าจะเป็นผู้ดูแล” เทพสมุทรกนธีรีบเสนอตัว เพราะนี่เป็นโอกาสดีที่จะได้เข้าใกล้เสี้ยนหนามและได้กำจัดออกไปอย่างแยบยลตามแผนที่ได้วางเอาไว้ล่วงหน้า

“ข้าไม่รบกวนเจ้าหรอกกนธี ข้านั้นได้ตรองดูแล้วว่าจะให้เทพนภนต์เป็นผู้ดูแลชลันธรจนกว่าชลันธรจะพิสูจน์ตัวเองได้ เจ้าขัดข้องหรือไม่นภนต์”

“หากนี่เป็นพระประสงค์ของพระผู้สร้าง แลเห็นว่าสมควรแล้วข้าก็มิขัดข้องแค่ประการใด” นภนต์เอ่ย ตาก็เหลือบมองกนธีที่จ้องมองเขาด้วยความไม่พอใจ

“เป็นอันว่าเจ้าเต็มใจนะ ดีมาก...และเจ้าจงจำไว้ว่าอย่าให้มีอันตรายอันใดเกิดขึ้นกับชลันธรเป็นอันขาด รู้ไหม...”

“ข้าทราบแล้ว” นภนต์รับคำ

“เทพทุกองค์จงเป็นพยาน เทพนภนต์แห่งท้องนภาจะเป็นผู้ลงไปดูแลชลันธร หากเกิดอันตรายอันใดกับชลันธรก่อนที่ความทรงจำทั้งหมดคืนมา นภนต์จะต้องถูกลงโทษเพราะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้”

เสียงฟ้าร้องดังสนั่นเท่ากับว่าคำสั่งของพระผู้สร้างที่มอบให้เทพนภนต์ได้ทำนั้นได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

“ข้าไม่มีเรื่องที่จะแจ้งกับพวกเจ้าแล้ว เวลานี้พวกเจ้าก็กลับไปยังวิมานของตนเองเถิด” พระผู้สร้างเอ่ยกับเทพทุกองค์ที่ร่วมมาเป็นสักขีพยาน รวมถึงเทพผู้ปฏิบัติหน้าที่อย่างนภนต์ ที่ได้ยืนบนตัวของทิชากรลงสู่โลกมนุษย์

“พระผู้สร้าง ข้ามีเรื่องสงสัย” เมื่อเทพองค์อื่นกลับกันไปหมดแล้ว บุษยะเทพผูรับใช้พระผู้สร้างก็เกิดคำถามขึ้นมา

“สงสัยอันใดบุษยะ”

“พระองค์ก็ทรงทราบดีว่าท่านนภนต์นั้นเกลียดชังท่านชลันธรเป็นอันมาก เหตุใดเล่าจึงให้ท่านนภนต์ตามไปดูแลท่านชลันธรอีก ข้าเกรงจะมิเป็นการดี” บุษยะถามสิ่งที่ตนข้องใจ

“ใช่...ข้ารู้ดีว่านภนต์นั้นเกลียดชังและอยากจะขัดขวางชลันธรเพียงใด แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าก่อนจะเกลียดชังกันนั้น ทั้งสองก็รักใคร่และเสน่หากันมาก่อน ข้าเองก็อยากให้นภนต์คิดได้ว่าคนที่รักกันจักต้องเชื่อใจกันยิ่งกว่านี้...” พระผู้สร้างตอบ พระองค์รู้ว่าเทพแห่งท้องนภาและอดีตเทพแห่งมหาสมุทรนั้นเป็นคู่สร้างคู่บุญกันมานาน

“แล้วพระองค์ไม่ทรงกลัวว่าท่านนภนต์จะทำร้ายท่านชลันธรหรอกหรือ?”

“เทพนภนต์จะไม่ทำอันตรายใดๆ ต่อชลันธรหรอกเพราะคำสั่งข้าคือคำประกาษิต เทพนภนต์ไม่สามารถที่จะขัดคำบัญชาฟ้าดินของข้าได้ อีกทั้ง…” เทพพระผู้สร้างหยุดพูด ทำให้บุษยะที่กำลังฟังกระวนกระวาย

“อีกทั้งอะไรหรือพระผู้สร้างได้โปรดเอ่ยให้ผู้โง่เขลาอย่างข้าได้รับรู้” บุษยะคลานเข่าเข้าหาพระผู้สร้าง มือเรียวของบุษยะคว้าที่ข้อพระบาทของมหาเทพที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ทอง จนพระผู้สร้างเผยยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดูคนตรงหน้า

“ข้าจักบอกเจ้าก็ได้ แต่เจ้าจงให้สัญญาว่าอย่าได้บอกเรื่องนี้กับใคร เพราะแม้แต่เทพนภนต์เองก็ยังไม่รับรู้” พระผู้สร้างเอื้อมพระหัตถ์เชยคางมนของบุษยะให้เงยขึ้นมาสบพระพักตร์พระองค์เอง

“ข้าสัญญาว่าจะไม่บอกใคร” บุษยะรีบกล่าวให้คำมั่น

“ยิ่งเทพนภนต์เข้าใกล้ชลันธรมากเท่าใด ความทรงจำของชลันธรก็จะยิ่งกลับมามากขึ้นเร็ววันเท่านั้น…ยิ่งทั้งสองใกล้ชิดกันก็ยิ่งส่งผลดีต่อชลันธร...”


















...................................
มาแล้วจ้า มาแบบเมาๆมึนๆอึนๆ หวังว่าเธอจะเข้าใจ เวลานี้พี่นภนต์คนหล่อไม่สามารถจะเล่นแผลงๆแกล้งทำเป็นรักหนูลันแล้วหักอกไม่ได้แล้วนะคะ 5555  โดนสั่งให้ปกป้องถ้าทำไม่ได้ พี่นภนต์จะโดนอาญาเอง #พระผู้สร้างเท่จริง #ฉันรู้พวกเธอจิ้นพระผู้สร้างกับบุษยะ
หลังจากนี้จะเจอแต่ซีนหวานเหมือนน้ำผึ้ง ไร้ซึ่งมาม่า #โปรดเชื่อ
สุดท้ายนี้ขอบคุณคนที่เข้ามาอ่านเม้นเป็นกำลังใจให้นะคะ จุ๊บ อยากให้ติดตามนิยายเรื่องนี้แฟนตาซีที่อาจจะไม่เขียนดีเลิศแต่อยากให้ติดตามว่าใครคือ #คนวางยา
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.04 P.2 (28/03/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 28-03-2017 08:32:33
รอตอนต่อไป~
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.04 P.2 (28/03/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 28-03-2017 12:58:24
เข้ามาเจิมก่อน555อ่านไปได้แค่บทเดียวแล้วรู้สึกว่าน่าสนใจ

อิอิ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.04 P.2 (28/03/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 28-03-2017 14:22:47
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.04 P.2 (28/03/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 28-03-2017 21:11:26
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.04 P.2 (28/03/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 28-03-2017 21:31:03
อย่างน้อยพระผู้สร้างก็ยังแอบช่วยชล :hao5:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.04 P.2 (28/03/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 28-03-2017 22:51:57
  เชื่อว่าพระผู้สร้างรู้ว่าใครเป็นคนก่อเรื่องให้ชลันธร เพียงแต่ท่านไม่พูดเท่านั้นเอง ปล่อยให้เป็นไปตามครรลองของมัน แค่ช่วยนิดๆหน่อยๆ รออ่านตอนต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.04 P.2 (28/03/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 28-03-2017 23:57:17
เป็นการพิสูจน์รักแท้ไปในตัวด้วยหรือเปล่าเนี้ยะ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.04 P.2 (28/03/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 02-04-2017 13:31:25
สาปรัก…ทัณฑ์เทวา
Writer : Tan-Yung 0209
File : 05






นับตั้งแต่ที่นภนต์ได้รับบัญชาจากพระผู้สร้างว่าให้ดูแลอดีตเทพแห่งมหาสมุทร เขาก็ต้องยับยั้งความตั้งใจที่จะขัดขวางการรื้อฟื้นความทรงจำและทำร้ายชลันธร กลับต้องแปรเปลี่ยนเป็นดูแลและปกป้องแทน  ถึงแม้จะขัดใจและหัวเสียอยู่ไม่น้อยแต่ก็ต้องจำใจทำ

 …‘จะทำอย่างไรได้เล่า...ก็นั่นราชโอการแห่งฟ้าดินข้าจัชะขัดได้ที่ไหนกัน แต่มันต้องมีสักวันสิ ใช่...มันต้องมีสักวันที่ข้าจะต้องทำได้ ชลันธร...ข้ารอคอยเพื่อทำลายชีวิตเจ้ามาถึงสองร้อยเก้าสิบเก้าชาติ ในเมื่อรอมีถึงชาติสุดท้ายแล้ว ถึงข้ารออีกสักหน่อยก็คงมิเป็นกระไร’...

นภนต์เก็บความคับแค้นทั้งหมดไว้ภายในจิตใจ เหลือไว้เพียงใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มเสแสร้งมอบให้ชลันธรเท่านั้น นับตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอกันจนถึงเวลานี้ก็ร่วมเข้าไปสองสัปดาห์แล้ว  ชลันธรเองก็ไว้วางใจนภนต์มากขึ้น  หากมีเวลาว่างทั้งสองก็มักจะนัดทานข้าวด้วยกัน ดูหนังด้วยกันเสมอ มิต้องจากคู่รักทั่วไป แต่ภายในชั้นเรียนทั้งสองกลับเหลือสถานะเป็นเพียงอาจารย์และลูกศิษย์กันเท่านั้น

“อาจารย์นภนต์ครับ ผมเอางานมาส่ง” ชลันธรยื่นรายงานส่งให้กับอาจารย์หนุ่ม นภนต์เงยหน้าและยื่นมือรับรายงาน โดยอาศัยจังหวะนี้ยัดกระดาษโน้ตเล็กๆ ใบหนึ่ง ลงในมือบางของชลันธร

“ครับ” นภนต์แสร้งทำเป็นนั่งนิ่งใส่ร่างโปร่งบางเพื่อไม่ให้เป็นที่สะดุดตาของใครต่อใครและไม่ให้เกิดข้อครหาเรื่องอาจารย์คบกับลูกศิษย์ ซึ่งชลันธรเองก็ไม่ได้น้อยใจอะไร เขากลับเข้าใจและเห็นด้วยที่จะรักษาระยะห่างกับนภนต์ในมหาวิทยาลัย

‘เย็นนี้ไปรอพี่ที่หน้าร้านไอศกรีมหลังมหาลัยนะครับคนเก่ง’

ชลันธรอ่านข้อความในกระดาษโน้ตเล็กๆ แผ่นนั้น  ก่อนจะเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา โดยลืมไปว่าไม่ได้นั่งอยู่เพียงลำพัง

“อาจารย์นภนต์นัดเดทเหรอลัน?” เสียงกระซิบข้างหูทำให้ชลันธรตกใจ มือเรียวกำกระดาษแผ่นน้อยไว้แน่นและรีบซ่อนไว้ด้านหลังราวกับเด็กน้อยกำลังซ่อนของเล่นที่แสนหวง

“ไม่ต้องมาซ่อนเลยลัน เราเห็นหมดแล้ว” นาคินทร์ยิ้มขำกับท่าทางของชลันธร

“เอ่อ..คินทร์…คือว่าเรากับ…อาจารย์…” ชลันธรพยายามอธิบายแต่ก็ไม่รู้จะเรียบเรียงคำพูดออกมาอย่างไรดี

“ไม่ต้องบอกหรอก เราพอจะเดาออก” นาคินทร์จับมือชลันธรเอาไว้เพื่อสร้างความสบายใจให้กับเพื่อน

“แล้วคินทร์...จะพูดเรื่องเรากับอาจารย์ไหม?” ชลันธรกังวลเรื่องความสัมพันธ์นี้ หากใครได้รู้เรื่องเข้าล่ะก็ มีหวังคงจะถูกซุบซิบนินทาหาว่าเขาเอาตัวเข้าแลกกับคะแนนเป็นแน่

“ไม่บอกหรอก เรื่องความรัก มันห้ามกันได้ด้วยเหรอ...เราสองคนน่ะเพื่อนกันนะ อะไรที่สุ่มเสี่ยงแบบนี้พูดได้ที่ไหนกัน” นาคินทร์เอ่ย แต่ในสมองก็คิดถึงกนธีเทพผู้สูงศักดิ์ที่ตนบังอาจหลงรัก แค่คิดนาคินทร์ก็รู้สึกหน่วงใจตรงก้อนเนื้อที่อกด้านซ้าย

“เราไม่ได้รักอาจารย์เสียหน่อย” ชลันธรรีบปฏิเสธ ซึ่งดูยังไงก็ขัดกับแก้มที่เคยขาวและได้แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ

“ไม่รักก็ไม่รัก…แต่ถ้ารักกันขึ้นมาจริงๆเราก็ไม่บอกใครหรอก เราสัญญา” นาคินทร์เอ่ย

“ขอบใจมากนะคินทร์” ชลันธรเผยยิ้มกว้างตอบกลับโดยไม่รู้ว่าคำขอบคุณนั้นเป็นการยอมรับว่าตนเองมีความรู้สึกดีๆ กับนภนต์ไปแล้ว  แต่อีกฝ่ายอย่างนาคินทร์กลับรู้สึกแย่ทุกครั้งที่เห็นรอยยิ้มระคนความใสซื่อในดวงตาคู่นี้ของชลันธร

หลังเลิกเรียนชลันธรก็แยกกับนาคินทร์ โดยนาคินทร์อ้างว่ามีธุระ หากเขาต้องกลับไปรายงานความเคลื่อนไหวของนภนต์และชลันธร อีกทั้งยังต้องรับทำหน้าที่เป็นเครื่องรองรับอารมณ์ระบายตัณหาราคะให้แก่คนที่ตนรัก

ทางด้านชลันธรก็มายืนรอนภนต์ตามนัดหมาย ไม่นานนักรถยนต์หรูสีดำสนิทก็จอดเทียบในจุดที่ร่างบางนั้นยืนอยู่  ชลันธรรู้ทันทีว่าตนจะต้องรีบขึ้นรถเพื่อไม่ให้นักศึกษาที่อยู่แถวนั้นเห็นว่าตนไปกับนภนต์ผู้เป็นอาจารย์

“ขอโทษนะพอดีพี่อยู่คุยกับอาจารย์ณดลเรื่องเข้าค่ายรับน้องสาขาของเรา” นภนต์เอ่ยพร้อมกับขับรถไปด้วย เทวดาหนุ่มคิดว่าจะพาชลันธรไปทานข้าวที่บ้าน

“ไม่เป็นไรครับอาจารย์” ชลันธรเอ่ย ไม่ให้นภนต์เป็นกังวลแต่กลับได้รับหน้าดุๆ จากอีกคนแทน

“พี่บอกแล้วไงครับ ว่าถ้าอยู่ด้วยกันสองต่อสองให้เรียกพี่ว่าพี่” นภนต์ทักท้วง ชลันธรก็ยิ้มแหยะๆ ออกมา หนุ่มหน้าหวานลืมไปเสียสนิทเพราะชินกับการเรียกนภนต์ในห้องเรียน

“ลันขอโทษครับ” ชลันธรรีบยกมือไหว้ขอโทษนภนต์ที่แกล้งทำหน้าตาไม่พอใจ

“ถ้าหอมแก้มพี่ พี่จะหายโกรธ” นภนต์พูดเสียงนิ่ง จนชลันธรอดหมั่นไส้ไม่ได้ที่จะหยิกแขนนภนต์เบาๆ ในจังหวะที่รถกำลังติดไฟแดง

“นี่แหนะ…เอาหยิกไปก่อนนะพี่นภนต์”

“โอ๊ย!!! ใจร้าย…คนใจร้าย…ถ้าไม่หอมพี่ พี่หอมเองก็ได้…”

....ฟอด....จากที่ร้องโอดโอยเมื่อครู่ นภนต์ก็เอียงหน้าเข้าไปหอมแก้มชลันธรอย่างที่คนถูกหอมไม่ทันจะตั้งตัว เทพหนุ่มทำไปโดยไม่รู้ตัว…ไม่สิทำมาจากส่วนลึกในจิตใจมากกว่า...  ร่างบางสะดุ้งตกใจไม่น้อยไม่ใช่เพียงเพราะแค่ถูกหอมเท่านั้นแต่อยู่ดีๆ กลับมีภาพซ้อนในความคิดฉายผ่านเข้ามาในความคิด เหมือนว่าเขาเคยถูกหอมแก้มแบบนี้มาก่อน...

ด้วยขวยเขินและสบสันกับภาพในความคิด แต่ชลันธรเองก็ไม่รู้จะอธิบายสิ่งที่เห็นนั้นให้จอมฉวยโอกาสว่าอย่างไร จะพูดไปก็กลัวนภนต์จะคิดเป็นอื่น  เลยแกล้งพูดกลบเกลื่อน

“พี่นภนต์อะ ชอบฉวยโอกาส” เพราะเห็นว่าตนสู้ไม่ได้ก็เลยจำต้องทำหน้าบึ้งใส่ แกล้งทำเป็นโกรธอีกฝ่าย  ปากเม้มแกล้งงอนมองไปอีกทาง แต่อีกใจก็ยังสบสันกับภาพเมื่อครู่ไม่หาย

...เมื่อกี้มันอะไรกัน  เหมือนพี่นภนต์เคยหอมเรามาก่อน...

“โถ...โกรธพี่เหรอครับคนดี...พี่ขอโทษนะ...เอ...หรือว่างอนพี่ ที่พี่หอมแค่ข้างเดียว ไม่ได้หอมอีกข้าง...งั้นมามะ มาให้พี่ชื่นใจอีกทีได้ไหม...”  พูดหยอกเอิ้นไปให้หายโกรธ แต่อีกฝ่ายเหมือนจะได้สติทันควัน

“พอเลยครับพี่นภนต์...พี่อะทำอะไรลันไม่ได้ตั้งตัวเลย...เล่นทำแบบนี้ลันก็เขินแย่สิครับ...” มือบางถูเบาๆ ข้างแก้มที่ถูกหอมด้วยเขินในสิ่งที่ชายหนุ่มทำ  แต่คนทำกลับรู้สึกชื่นใจ

...หอมแบบไหนก็มิมีเปลี่ยน... กลิ่นแก้มเนียนเจ้าที่ตรึงใจข้า...

“ก็มันหน้าหอมนี่ครับ...อยากน่ารักน่าหอมแบบนี้ทำไม...”

“พี่อะ....”

“อืม...อีกไม่อาทิตย์ลัน ต้องไปเข้าค่ายที่แสมสารแล้วสิ...พี่คงคิดถึงลันแย่เลย” นภนต์ชวนคุยเรื่องเข้าค่ายหวังให้ชลันธรหายงอน

“แล้วพี่นภนต์ไม่ไปด้วยเหรอครับ?” ชลันธรถาม เขารู้สึกเสียดายที่นภนต์ไม่ได้ไปด้วยกัน ก็อยากเห็นหน้าคนคนนี้ทุกวันเหมือนกันนี่...

“ไปครับ  แต่พี่คงตามไปทีหลัง พอดีว่าวันนั้นต้องเข้าประชุมช่วงเช้า ยังไงลันก็ดูแลตัวเองไปก่อนนะ” นภนต์เอ่ย

“ลันดูแลตัวเองได้อยู่แล้วครับ พี่นภนต์ไม่ต้องห่วงหรอก ก็วันเดียวเองคงไม่คิดถึงมากขนาดนั้นหรอกมั้งครับ” ชลันธรเอ่ย แต่เขาก็แปลกใจที่นภนต์พูดจาแปลกๆให้เขาดูแลตัวเอง

“ไม่ได้อยู่ใกล้ลันเพียงไม่กี่ชั่วโมง พี่...ก็รู้สึกแย่แล้ว...การดูแลลันมันเป็นหน้าที่ของพี่นี่ครับ…พี่อยากให้ลันรู้เอาไว้ ว่าพี่เกิดมาเพื่อปกป้องและดูแลลัน...”

คำพูดของนภนต์ส่งผลให้หัวใจของชลันธรเต้นแรง ดวงใจที่พองโตนั้นตรเลิดไกลราวกับวิหคที่เริ่มแรกหัดบินได้  ทั้งเชื่อมั่นในตัวตน ทั้งเชื่อมั่นในคำพูด แบบนี้มีหรือจะไม่ให้ยิ้มหวานๆ เป็นรางวัลแก่คนที่เลื่อนมือมากอบกุมมือบางของเขาไว้ได้อย่างไร...ทุกสิ่งที่ชายหนุ่มกระทำออกมานั้นล้วนเป็นธรรมชาติ  ส่วนตัวนภนต์เองก็ย้อนคำนึงถึงคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับชลันธรในอดีตกาล  ช่วงอดีตที่แสนหวาน   ช่วงอดีตที่แรกรักในคนๆ นี้  จนลืมเลือนสิ่งที่แค้นเคืองกับการกระทำของคนงามที่เคยทำร้ายมารดาของเขาไปชั่วขณะ

‘ข้าขอสัญญา...ข้านภตน์...เทพแห่งท้องนภา
จะปกป้องและดูแลเจ้าไปตลอดกาล’...
.

และแล้ววันเข้าค่ายรับน้องของสาขาวิทยาศาสตร์ทางทะเลก็มาถึง นักศึกษาน้องใหม่ชั้นปีที่ 1 ทุกคนต้องเข้าร่วมกิจกรรมนี้  บรรยากาศภายในรถบัสปรับอากาศขนาดกลางนั้นเป็นไปอย่างคึกคักสนุกสนาน  ด้วยกลุ่มทีมงานรุ่นพี่ขี้เมาปีสองหลังรถที่ทั้งเต้น ทั้งร้อง เพลงประหลาดๆ เนื้อหาติดเรทสองแง่สองง่าม ทะลึ่งตึงตังบ้าง ซึ่งสร้างเสียงหัวเราะและอารมณ์ขันได้เป็นอย่างดีตลอดเส้นทาง แต่ชลันธรที่สวมแว่นตากันแดดเลนส์สีฟ้าน้ำทะเลกลับเลือกที่จะฟังบทเพลงสบายๆ ผ่านหูฟังจากโทรศัพท์มือถือมากกว่า บทเพลงที่นภนต์เลือกให้เขาฟังมันเป็นเพลงสบายๆ ฟังไม่มีเบื่อ นาคินทร์ที่นั่งข้างกันกลับนอนหลับเอาแรงเพราะไม่อยากกวนเพื่อน ชลันธรคงอยากฟังเพลงเงียบๆ คนเดียวมากกว่า

เมื่อรถบัสหยุดจอดยังรีสอร์ทที่ถูกเหมาจองไว้สำหรับเข้าพัก ทุกคนต่างก็แยกย้ายเข้าที่พักจัดเก็บสัมภาระ ส่วนชลันธรและเพื่อนๆ บางส่วนหลังจากที่เก็บของเสร็จแล้วก็ออกมารับข้าวกล่องมื้อกลางวันที่เตรียมมาแล้วก็นั่งทานด้วยกัน  อาหารมื้อกลางวันบนม้านั่งตัวใหญ่กับเพื่อนๆ ใต้ต้นจิกทะเล  พร้อมด้วยลมทะเลพัดเอื่อยเคล้าเสียงเกลียวคลื่นกระทบฝั่ง ช่างเป็นเวลาที่มีความสุขมากจริงๆ  3 ปีมาแล้วที่ชลันธรไม่ได้มาเที่ยวทะเลเลย... ยิ่งได้ฟังเสียงคลื่นที่กำลังซัดเข้าหาฝั่งทำเอาชลันธรอยากลงไปเล่นน้ำทะเลเสียตอนนี้เลยจริงๆ   แบบนี้ล่ะมั้งที่เขาเรียกว่า ...ร่างกายต้องการทะเล...

“ลัน คินทร์ เดี๋ยวพวกมึงจะไปนอนพักหรือเปล่าวะ ” เพื่อนชายคนหนึ่งในกลุ่มถามขึ้น

“ไม่อ่ะ เราว่าเราอยากจะไปเล่นน้ำนะ” ชลันธรตอบในสิ่งที่อยู่ในใจ

“เล่นตอนเที่ยงเดี๋ยวไม่สบายหรอกลัน  คินทร์ว่ากลับไปนอนกันดีกว่าพอตอนเย็นเราต้องเก็บกวาดสถานที่อีก” นาคินทร์ชวน มือก็ป้องปิดปากตัวเองที่กำลังหาวไปด้วย เพราะต้องออกเดินทางจากกรุงเทพแต่เช้าเพื่อไม่ให้รถติด

“คินทร์ไปนอนเถอะ เดี๋ยวเราเล่นน้ำคนเดียวก็ได้”

ไม่แปลกใจที่อยู่ๆ ก็ชวนกันนอนพักตั้งแต่บ่ายแก่ๆ เพราะกลุ่มของชลันธรมีหน้าที่จัดเตรียมสถานที่ตั้งแต่เช้ามืดในวันพรุ่งนี้  ต้องเดินทางมาที่แสมสารนี้ ล่วงหน้าก่อนกลุ่มอื่นๆ ดีที่ว่าพวกปีสองจัดแบ่งงานกันเป็นกลุ่มๆ ชลันธรเลยมีเวลาว่างใน ขณะที่คนอื่นจะเดินทางมาสมทบในวันพรุ่งนี้

พอทานอาหารมื้อกลางวันกันเสร็จเรียบร้อย  ทุกคนต่างก็แยกย้ายไปทำเรื่องของตัวเองบ้างนอนพักเอาแรง บ้างก็นั่งเล่นคุยกัน  ชลันธรก็ออกมาเดินเล่นตามชายหาดไปเรื่อยๆ จนมาอยู่ในที่ลับตาคน ชลันธรไม่รู้สึกเหนื่อยหรืออ่อนแรงเลยเมื่อได้มาที่ทะเล เวลาเท้าได้สัมผัสผืนทรายละเอียดนั้นมันทำให้เขารู้สึกมีเรี่ยวแรงกระปรี่กระเป่าขึ้นมา ยามที่ได้สูดกลิ่นไอทะเลเข้าไปจนเต็มปอดก็ยิ่งทำให้มีความสุข ชลันธรชอบทะเล ชอบผืนทรายสีขาวชอบน้ำสีฟ้าคราม ชลันธรชอบทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับน่านน้ำที่แสนกว้างใหญ่นี้

ใจหนึ่งก็อดมิได้ที่จะคิดถึงคนที่ชอบให้เรียกว่าพี่...อยากให้เขาตามมาแสมสารเร็วๆ ใจจะขาด ความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไรกัน...ยามที่ได้อยู่คนเดียวกับสถานที่แสนสวยแบบนี้  แต่ใจเอยกลับคิดถึงอีกคนหนึ่ง หากตอนนี้พี่นภนต์มายืนกอดเขาจากทางด้านหลังแล้วหอมแก้มก็คงจะดีไม่ใช่น้อย...

ยืนอยู่อย่างนั้นไม่นานนัก เขากลับได้ยินเสียงแว่วหวานที่แผ่วเบา เชื้อเชิญให้ลงไปเล่นน้ำทะเลในตอนนี้  แล้วชลันธรก็ก้าวขาลงไปข้างหน้าทีละก้าว ทีละก้าว ร่างกายก็เปียกชุ่มไปด้วยน้ำทะเลไล่ตั้งแต่เท้า จนเขาหยุดเดินระดับน้ำก็อยู่ตรงช่วงของใต้ราวนมของชลันธรแล้ว

แต่แล้วจู่ๆ สายตากลับเห็น ปลาตัวเล็กๆ สีสันสะดุดตากำลังแหวกว่ายเข้ามาใกล้ มันเป็นปลาการ์ตูนส้มขาวหรือที่ใครๆ ก็ชอบเรียกว่านีโม่ แล้วนั่นก็ปลาการ์ตูนอานม้า  แล้วก็ปลาทะเลสีสันสวยงามอีกหลายชนิดต่างแหวกว่ายเข้ามาหาอดีตเทพแห่งมหาสมุทร ชลันธรเองก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจไม่น้อยที่มีฝูงปลามากมายเข้ารุมล้อมเขาเหมือนในการ์ตูนเทพนิยาย โดยมิรู้ตัวว่าภัยร้ายกำลังคลืบคลานเข้ามา

‘ครืน…ซ่า…’ เสียงคลื่นยักษ์สูงราวสองเมตรกว่าซัดเข้าหาชลันธรที่กำลังเพลิดเพลินอยู่กับฝูงปลามากมายจากทางด้านหลัง ทำให้ร่างบางตั้งหลักไม่ทันล้มจมลงไปใต้น้ำ โชคดีที่ชลันธรมีสติและว่ายน้ำเก่งจึงพยายามแหวกว่ายขึ้นมา แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้นเหมือนว่าความโชคร้ายกำลังค่อยๆ ก่อตัวกับขาของเขา และเริ่มรู้สึกว่าความหนาวเหน็บแล่นทั่วขาทั้งสองข้าง

หากว่าชลันธรมีพลังวิเศษเช่นกาลก่อน เขาก็จะเห็นเหล่าพรายน้ำสาวผมยาวสยายนับสิบตนว่ายวนไปรอบตกายของชลันธรเป็นวงกลมและหนึ่งในพรายน้ำก็กำลังตรึงขาของชลันธรเอาไว้ เหล่าพรายน้ำที่ได้เห็นต่างก็ฉงนใจนัก ว่าทำไมเจ้าแห่งท้องสมุทรจำต้องบังการให้มาทำร้ายหมายเอาชีวิตด้วยหนุ่มน้อยหน้ามนที่งามราวดั่งเทพบุตรบนสรวงสวรรค์ผู้นี้ด้วย  แต่ด้วยคำสั่งผู้ครองท้องสมุทรมีหรือที่จะขัดในบังการนั้นได้

ร่างบางเริ่มที่กลั้นลมหายใจไม่ไหวแล้ว  แขนเรียวพยายามแหวกว่ายให้โผล่ขึ้นเหนือผิวน้ำแต่ก็ไม่สามารถที่จะทำได้ มือบางพยายามออกแรงสุดกำลังเท่าที่มีนั้นแหวกว่ายขึ้นมาให้จงได้ แต่กลับอ่อนล้าแรงกำลังลงพร้อมกับร่างที่ถูกดึงให้ดำดิ่งลึกลงไปใต้ทะเลเรื่อยๆ

‘พี่นภนต์…ช่วยลันด้วย  พี่นภนต์…ช่วยลันด้วย’

สติที่ยังเหลืออยู่นึกถึงคนที่เคยพูดว่าจะปกป้องและดูแลเขา  ก่อนที่ชลันธรจะหมดสติไป เขานึกถึงอาจารย์หนุ่มผู้เป็นคนรัก  รวดเร็วราวกับความฝัน ใบหน้าของนภนต์ปรากฏขึ้นและกำลังว่ายน้ำลงมาหาเขา…ชลันธรเพียงยิ้มบางๆ ให้ชายหนุ่มเขาเพียงคิดแค่ว่าฝันของตนนั้นกลายเป็นความจริง  พี่นภนต์ของเขาจะมาได้อย่างไรจะติดปีกบินมาหรือ...แต่อย่างน้อยถ้าตายแล้วได้เห็นใบหน้าของนภนต์ก็คงตายอย่างเป็นสุขก่อนสติจะจางหายไปโดยมิล่วงรู้ว่า นภนต์นั้นมาช่วยตนเองเอาไว้จริงๆ

นภนต์ก็รีบรับร่างของชลันธรเอาไว้ในอ้อมกอด พร้อมกับสยายปีกออกจนห้วงน้ำทะเลแหวกออกเป็นวงกลม เหล่าพรายน้ำต่างงุนงงที่ได้พบเทพแห่งท้องนภา ตอนนี้ร่างกายของชายหนุ่มนั้นมีเกราะนักรบสีทองหุ้มอยู่ พร้อมที่จะปกป้องคนในอ้อมแขนอย่างเต็มกำลัง  ด้วยแสงสีทองของเกราะแกร่งสะท้อนกับแสงจากดวงอาทิตย์ในเที่ยงวันนั้น พวกพรายน้ำรู้ได้ทันทีว่านักรบผู้มีปีกทองผู้นี้ไม่ใช่สิ่งที่ภูตผีชั้นต่ำอย่างพรายน้ำจะต่อกรด้วย  ต่างหนีตายอย่างจ้าละหวั่น  แต่มีหรือพวกที่ทำร้ายคนงามจะมีชีวิตรอดกลับไปได้ ด้วยบัญชาสวรรค์จะฆ่าใครฐานทำร้ายชลันธรก็มิต้องโทษทัณฑ์แห่งเทวา   ปีกทองเพียงขยายขยับสะบัดขึ้นลง ให้ขนนกสีทองพุ่งออกมาผ่านน้ำทะเล ตรงเข้าผ่านทะลุร่างของเหล่าพรายน้ำทุกตนจนชีพดับสูญ  พร้อมกับเสียงกรีดร้องโหยหวนชวนขนหัวลุกของผีพรายแห่งท้องทะเล ไม่นานนักทุกอย่างก็สงบลง

“เจ้านี่ช่างซุกซนเสียจริง หากพี่มาไม่ทันเล่า ป่านนี้จักเป็นเช่นไร...”  พลางจุมพิตปลอบประโลมขวัญจรดลงที่หน้าผากเนียน จากนั้นปีกทองก็ขยับทะยานขึ้นสู้ท้องฟ้า พาร่างของชลันธรขึ้นฝั่ง น้ำทะเลที่เคยแหวกก็กลับเข้าหากันเหมือนเดิม

นภนต์อุ้มชลันธรกลับเข้าไปพักที่ รีสอร์ท ท่ามกลางสายตาของเหล่านักศึกษาที่กำลังนั่งเล่น และเตรียมของสำหรับกิจกรรมในวันพรุ่งนี้กันอยู่

“อาจารย์นภนต์เกิดอะไรขึ้นกับลันครับ” เพื่อนร่วมรุ่นของชลันธรคนหนึ่ง เข้ามาถามด้วยความเป็นห่วง

“ชลันธรจมน้ำ แต่ไม่เป็นอะไรมาก ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวผมจัดการเอง บอกคนอื่นให้ทำกิจกรรมต่อไปตามปกตินะ ไม่เป็นไรทางนี้ผมดูแลได้” นภนต์เอ่ยแล้วรีบพาชลันธรเข้าห้องพักของตนเอง

มือหนาค่อยๆ วางร่างบางที่เปียกปอนลงนอนในอ่างอาบน้ำ แล้วทาบลงที่แผ่นอกเนียน นภนต์เพียงร่ายมนต์ในชั่วอึดใจชลันธรก็สำลักน้ำทะเลออกมาจนหมด

“พี่นภนต์….” คำแรกที่เรียก ชลันธรปรือตาขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเห็นใบหน้านั้น  ปากก็ร้องเรียกคนตรงหน้าเบาๆ ก่อนจะหอบหายใจรวยรินแล้วสลบอีกไปครั้ง

นภนต์ปลดเปลื้องเสื้อผ้าของชลันธรออกจนหมดแล้วล้างตัวให้อีกฝ่าย พอเสร็จก็โอบอุ้มร่างบางวางไปนอนบนลงเตียงและห่มผ้าให้ เขาแทรกกายภายใต้ผ้าห่มผืนนั้นแล้วนอนลงข้างๆ ดวงตาคมได้แต่มองใบหน้าซีดเซียวของชลันธร ที่หลับพริ้มไม่รู้สึกรู้สาอะไร

‘โชคดีแค่ไหนที่พี่ช่วยเจ้าเอาไว้ทัน’

วันนี้ตลอดเวลาช่วงการประชุม จู่ๆ ใจที่ร้อนรุ่มของนภนต์ก็รู้สึกนึกกระวนกระวายสับสน หวั่นไหวและเป็นห่วงชลันธรขึ้นมาอย่างมิทราบด้วยสาเหตุ จึงได้ขอตัวออกจากที่ประชุมมาก่อน  พอบินมาที่ถึงรีสอร์ทก็ถามหาชลันธรกับนักศึกษาคนอื่นๆ ทันที ร่างสูงจึงได้รู้ว่าเจ้าตัวออกมาเล่นน้ำทะเลเพียงลำพัง

‘พี่นภนต์…ช่วยลันด้วย’

เสียงขอความช่วยเหลือดังขึ้นเข้าโสตประสาท นภนต์เพียงใช้พลังจิตส่องหาไปทั่วบริเวณนั้นก็พบว่าชลันธรกำลังถูกเหล่าพรายน้ำเข้ารุมทำร้ายลากร่างกายดำดิ่งลงสู่ท้องทะเลหมายจะเอาชีวิต

‘หมับ…’ ชลันธรพลิกร่างกายแล้วคว้าแขนของนภนต์เข้ามากอดเอาไว้แน่น แวบหนึ่งหัวใจของนภนต์ก็สั่นระรัวขึ้นมา…แค่แวบเดียวเท่านั้น  ใจของเขายังตั้งมั่นในปณิธานเดิมอยู่

“ข้านั้นชังเจ้านักชลันธร ที่ข้าช่วยเจ้าก็เพราะคำสั่ง หาใช่เพราะข้ามีใจให้กับเจ้าไม่”

.
แต่เหตุการณ์วันนี้กลับทำให้เขานึกถึงเรื่องที่เขาเคยช่วยชีวิตชลันธรในกาลครั้งก่อนอย่างอดมิได้ คนๆ นี้ชอบทำให้เขาเป็นห่วงอยู่เรื่อยจริงๆ

“ท่านนภนต์ช่วยเราด้วย!!!” เสียงชลันธรร้องลั่นไปทั่วปากแม่น้ำแห่งราชสีห์เพราะความคะนองนึกสนุกที่คิดไปดึงขนหางของบัณฑุราชสีห์ขนาดใหญ่ จนราชสีห์กายทองนั้นโกรธจัดตามไล่ล่าหมายจะฉีกเนื้อชลันธร

‘ฟิ้ว...ฉึก’ เสียงลูกธนูแหวกผ่านอากาศแล่นปักเข้าที่ขาของบัณฑุราชสีห์เป็นเหตุล้มลงไปนอนกับพื้น

“ท่านนภนต์ ท่านมาช่วยเราทันเวลาพอดีเลย” ชลันธรพูดออกมาพร้อมกับความรู้สึกโล่งใจที่รอดจากบัณฑุราชสีห์ นภนต์ที่บินผ่านมาพอดีก็ตกใจไม่น้อยที่เห็นชลันธรกำลังถูกไล่ล่า

“เหตุใดเล่า เจ้าถึงถูกบัณฑุราชสีห์ตามไล่ล่าเยี่ยงนี้”

“เราเพียงอยากได้ขนหางสีทองของพญาราชสีห์มาชื่นชมก็เท่านั้น มินึกว่ามันจะดุร้ายถึงเพียงนี้...”  ชลันธรบอกเหตุผลเสียงอ้อมแอ้ม ก้มหน้าก้มหน้าดั่งกลัวกลีบผกาจะร่วงออกจากปาก  นภนต์นั้นแทบอยากจะจับเทพมหาสมุทรโยนให้บัณฑุราชสีห์ฉีกร่างโทษฐานเล่นอะไรเยี่ยงเด็กน้อยมิรู้ประสา ด้วยทั้งที่ตนเป็นถึงผู้ปกครองมหาสมุทรที่แสนกว้างใหญ่ เป็นผู้มีอำนาจเห็นทุกสรรพสิ่งในมหาสมุทรทั้งปวง...

“แล้วไยถึงวิ่งหนีแทนที่จะสู้กับมัน เจ้าเองเป็นถึงเทวดาเทพชั้นสูง เพียงราชสีห์กายทองตัวเดียว เจ้าถึงกับก็จัดการเองมิได้เชียวหรือ...”

“ก็ด้วยเรามิหมายจะทำร้ายหรือเอาชีวิตใดในหิมพานต์พนานี้...และเพียงเรา...ปรารถนาที่จะพบท่านมิได้หรอกหรือ…ท่านนภนต์”…


....................

มาแนวหวานๆ หวานมาก แหวะ เหม็นสาปคนมีคู่ 5555555

เรื่องราวจะเริ่มเข้าโหมดความทรงจำที่จะกลับมา พร้อมกับ ตัวละครตัวใหม่ที่จะมาปรากฎตัวในตอนหน้า อิอิอิ
ฝากติดตามด้วยนะคะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านมาเม้นกันนะคะ ดีใจมากเลยค่ะที่มีคนชื่นชอบนิยายเรื่องนี้ ท่านยุ่งเองก็อ่านทุกเม้นเขินทุกเม้น


หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.05 P.2 (02/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 02-04-2017 19:59:56
ลันโดนต้องทำร้ายขนาดนี้
แม้แต่คนที่ปากบอกว่ารัก แต่ในใจยังชัง
ถ้าลันจำอดีตได้
แล้วรู้ว่าคนรัดคิดจะทำร้ายตนเองขนาดนี้
ลันคงอยากดับสูญ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.05 P.2 (02/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 03-04-2017 00:44:47
แอบหวานอย่างที่ว่า จริงๆ อิอิ

จะว่าลึกๆพระเอกเราก็ยังรักชลอยู่แหละ  :hao3:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.05 P.2 (02/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: polkadot ที่ 03-04-2017 14:00:41
ชอบแนวแฟนตาซีจ้า เนื้อเรื่องก็สนุกน่าติดตาม  :L2:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.05 P.2 (02/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 03-04-2017 14:37:17
ทั้งรักทั้งเกลียดสินะนภนต์
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.05 P.2 (02/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 03-04-2017 16:24:55
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.05 P.2 (02/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 03-04-2017 17:20:09
รอตอนหน้า
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.05 P.2 (02/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 03-04-2017 18:04:54
 คำสั่งค้ำคอนภนต์อยู่ เลยทำร้ายชลันไม่ได้
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.05 P.2 (02/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: kawoat ที่ 06-04-2017 10:36:54
มีความอ่อย รอตอนต่อไปจ้า อิอิ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.06 P.2 (06/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 06-04-2017 11:34:43


สาปรัก…ทัณฑ์เทวา
Writer : Tan-Yung 0209
File : 06







ณ สรวงสวรรค์ชั้นสูงสุดมีวิมานแก้วสถานที่งดงามและสุดแสนจะประณีตลอยเด่นเป็นสง่า ซึ่งวิมานแก้วนี้เป็นที่ประทับของพระผู้สร้าง ผู้เป็นใหญ่และมีอำนาจเหนือผู้ปกครองในดินแดนทั้งสามโลก ภายในวิมานแก้วนั้นรายล้อมไปด้วยหมู่มวลบุปผาชาตินานาพันธุ์ที่ไม่มีในโลกมนุษย์ ต่างแข่งขันส่งกลิ่นหอมตลบอบอวล  และตรงใจกลางสวนนั้นมีสระน้ำขนาดใหญ่ อุดมไปด้วยอุบลชาติ และปทุมชาติหลากหลายสีสันกำลังเบ่งบานขึ้นอยู่รวมกัน แต่มีปทุมชาติที่กำลังเบ่งบานอยู่เพียงดอกเดียวเท่านั้นที่แตกต่างออกไป กลีบดอกงดงามราวผลึกแก้วเนื้อดีที่ถูกเจียรนัยอย่างประณีต ถูกขนานนามว่า ‘บงกชแก้ว’

หากย้อนเวลากลับไปหลายหมื่นปีมนุษย์ พระผู้สร้างทรงลงสรงน้ำในคืนพระจันทร์ทรงฤทธิ์ ด้วยกลุ่มหมอกที่โพยพุ่งขึ้นปรากฏดอกบงกชแก้วโผล่ขึ้นเหนือผิวน้ำนั้น กลีบแก้วนั้นก็ค่อยๆ เบ่งบานรับแสงจันทราที่สอดส่องพร้อมด้วยกับการปรากฏตัวของเทพบุรุษที่มีพักตร์งดงามราวเทพธิดา ดวงตาที่เป็นประกายนั้นราวกับนำหมู่ดวงดาราทั้งท้องนภามาร้อยเรียงไว้  ฉวีขาวผุดผ่องนั้นเนียนลื่นเหมือนกลีบบัวระคนด้วยกลิ่นหอมเกสรบัวหลวงปทุม  นามเทพบุรุษนี้คือ ‘บุษยะเทพบุตร’...แลต่อมาได้เป็นผู้ใกล้ชิดพระผู้สร้างและเป็นเทวาเทพบุตรเพียงหนึ่งเดียวที่ได้พำนัก ณ วิมานแก้วสถานร่วมกับพระผู้สร้าง แม้แต่พระชายาทั้งสามก็มิอาจพำนักได้ ยังต้องกลับไปประทับที่วิมานของตน มิมีใครที่จะได้มาอยู่ร่วมเคียงใกล้ชิดพระวรกายของพระผู้สร้าง ณ วิมานแก้วนี้ได้

บุษยะเทพบุตรที่กำลังนอนพักในบงกชแก้วด้วยใจที่ร้อนรุ่มกลัดกลุ้มกระวนกระวาย  ด้วยลางสังหรณ์ไม่สู้ดีกลัวว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นกับชลันธร  สหายของตนเอง ซึ่งเทพหนุ่มมักจะสังหรณ์ใจเช่นนี้ทุกครั้งที่ชลันธรนั้นต้องเสียชีวิตด้วยยาพิษตลอดสองร้อยเก้าสิบเก้าชาติ

“หรือว่าชลันธรจะ…..” บุษยะบ่นพึมพำ ก่อนจะร่ายมนต์บทหนึ่ง เพียงดัชนีงามจรดลงผิวน้ำ ไม่นานก็ปรากฏภาพของชลันธรที่กำลังถูกเหล่าพรายน้ำพุ่งเข้าทำร้าย

“ชลันธร!!!..” บุษยะร้องออกมาด้วยความตกใจ ด้วยห่วงสหายรัก อยากจะลงไปช่วยเหลือเกินแต่เกรงว่าจะขัดราชโองการของพระผู้สร้างที่ไม่ให้เขานั้นเข้าไปเกี่ยวข้องวุ่นวาย บุษยะเทพเลยทำได้เพียงนั่งมองเหตุการณ์นั้นเหล่านั้นอย่างร้อนใจ

“ฮึก..ก…ฮือ..” น้ำใสไหลออกมาพร้อมกับเสียงสะอื้น บุษยะร้องไห้ด้วยความสงสารเพื่อนรักจับใจ อีกทั้งยังเจ็บใจที่ไม่สามารถลงไปช่วยได้

ในขณะที่บุษยะกำลังมองดูชลันธรผ่านวารีอย่างเศร้าใจ ก่อนจะเห็นเหตุการณ์ต่อไป แลปรากฏด้วยภุมราตัวอ้วนใหญ่สีเขียวแกมน้ำเงิน บินวนมาเกาะที่นิ้วเรียว สร้างความประหลาดใจให้กับบุษยะเทพบุตรยิ่งนัก

…นี่มันอะไรกันวิมานแก้วสถานแห่งนี้ มิใช่สถานที่ที่แมลงภู่จะบินเข้ามาได้...

“เจ้าแมลงภู่น้อย เจ้าหลงมาที่นี่ได้อย่างไรกัน?” บุษยะเอ่ยถามแม้จะรู้ว่าจะไม่ได้รับคำตอบ แมลงภู่ที่เกาะอยู่ตรงนิ้วก็กระพือปีกบินวนไปรอบร่างบางก่อนจะหยุดเกาะที่ฐานดอกนูน และทันใดนั้นแสงสีขาวก็ส่องสว่างจ้าขึ้น จนบุษยะต้องยกแขนขึ้นมาป้องปิดดวงตาทั้งสองข้างเอาไว้ เผลอเอียงกายหนีจนเกือบพลัดตกลงไปในสระน้ำ

‘หมับ’ ร่างบางของบุษยะถูกดึงเข้าไปตระกองกอด เทพหนุ่มจึงเงยหน้าขึ้นมองผู้ที่เข้ามาฉวยโอกาสล่วงเกินตน แต่วิมานแก้วสถานนี้จะมีใครอีกเล่านอกจากตนและพระผู้สร้าง ที่ตอนนี้กำลังแย้มพระสรวลให้กับคนในอ้อมกอด  บัดนี้บุษยะเทพแสดงออกด้วยสีหน้าว่ามิพอใจพระองค์เป็นอย่างมาก

“ไยเจ้าถึงทำหน้าโกรธเคืองข้าด้วยเล่า…บุษยะ”  พระหัตถ์ของมหาเทพผู้สร้างลูบเส้นเกศานุ่มเบาๆ ด้วยความเอ็นดู

“ก็ด้วยพระองค์ทรงทำให้ข้าตกใจแล้วยังจะกอดรัดข้าอีก” บุษยะตอบน้ำเสียงกระเง้ากระงอด มันอดมิได้จริงๆ ที่พระผู้สร้างจะทรงพระสรวลให้กับความแสนงอนของบุษยะ

“นี่ข้าช่วยเจ้ามิให้ตกลงไปในน้ำ ยังจะมีหน้ามีโกรธข้าอีกหรือ....ก็ได้บุษยะ...ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าตกใจ แต่เรื่องที่ข้ากอดเจ้าข้าไม่จักไม่ขอโทษเพราะข้านั้นตั้งใจที่จะกอดเจ้าเอาไว้แนบอกข้าเช่นนี้ เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่ากลิ่นกายเจ้าหอมหวานเสียยิ่งกว่าดอกบัวงามทั้งสระนี้เสียอีก” พระผู้สร้างเอื้อนเอ่ยแล้วซุกไซร้ไปที่คอระหงหวังสูดดมกลิ่นกาย

“พระผู้สร้างโปรดปล่อยข้าเถิด หากพระเทวีเจ้าทั้งสามมาเห็นเข้าล่ะก็ ข้าเกรงว่ามันจะดูไม่งาม” แม้จะขวยเขินกับคำพูดแสนหวาน หากเขาก็ยังมีสติพอที่จะรับรู้ว่าสิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควร ยิ่งตนเป็นเพียงข้ารับใช้ก็ต้องยิ่งเจียมตัว

“ข้าปล่อยเจ้าก็ได้ แต่เพียงเจ้าจักต้องเรียกข้าว่าพี่…พริษฐ์ (พะ-ริด)เท่านั้น” พระผู้สร้างโน้มกระซิบที่ข้างใบหูนิ่มให้บุษยะเรียกขานพระนามเดิมของพระองค์ที่ไม่มีผู้ใดจะได้เอ่ยขานพระนามนี้  ก่อนที่พระนาสิกคมจะไล่เกลี่ยสันกรามขึ้นมาผ่านคาง ริมฝีปาก จนมาหยุดที่ปลายจมูกรั้นแล้วผละออก พักตร์งามที่ห่างกันไม่ถึงคืบทำให้พระผู้สร้างเห็นคราบน้ำใสที่อาบปรางขาวของบุษยะ ฝีพระโอษฐ์หนาประทับลงจุมพิตปลอบประโลมขวัญซับคราบน้ำตานั้นจนหมดสิ้น

“พี่...พริษฐ์” เอ่ยนามที่พระประสงค์ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ก่อนจะออกแรงขืนกายออกจากอ้อมพระกรแกร่งนั้น พระผู้สร้างเองก็ยอมปล่อยให้บุษยะเทพเป็นอิสระ ด้วยตั้งแต่ปรากฏกายจากบงกชแก้ว นอกจากชลันธรแล้วก็มีเพียงพระผู้สร้างเท่านั้นที่มักจะกระทำถึงเนื้อถึงตัวกับตนอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่มากเท่าครั้งนี้

“บุษยะน้องพี่ พี่กอดน้องเพียงเท่านี้ก็หมายด้วยปลอบขวัญ อย่าได้กรรแสงเลยเด็กดีของพี่ ชลันธรน่ะมิเป็นอันใดดอก” พระพริษฐ์ปลอบประโลมให้อีกฝ่ายคลายกังวล พักตร์งามพยักหน้ารับรู้แต่ใจนั้นกลับยังมิจะคิดปล่อยวาง แต่เมื่อครู่นั่นอะไรกัน พระองค์ทรงตรัสเรียกขานเขาว่า ‘น้อง’

“ไยพระองค์ถึงต้องเรียกขานข้าเช่นนั่นเล่า ” ด้วยน้อยอกน้อยใจที่ถูกแกล้งและหยอกเย้าอยู่เรื่อย แต่เห็นทีครานี้จะมากไปเสียแล้ว มายกตนตั้งให้เป็นอนุชาได้อย่างไร เคยมีที่ไหนกันเล่าแบบนี้

“อยู่ด้วยกันสองต่อสอง เจ้าก็เป็นน้องของพี่ คนดีนี่เจ้ารังเกียจที่จักเป็นน้องพี่หรอกหรือ...” ตรัสตัดเพ้อคนงาม ด้วยกลัวว่าคนงามจะนึกคิดว่าถูกแกล้ง แต่พระทัยที่ตั้งมั่นนั้นมิได้หมายให้เทพหนุ่มเป็นบ่าวรับใช้

“หามิได้...ข้าหาได้รังเกียจพระองค์ไม่ ด้วยข้ามิอาจเทียมตนด้วยเสมอพระองค์...ก็เท่านั้น” ด้วยเกรงว่าหากผู้อื่นล่วงรู้เรื่องนี้จะเสื่อมเสียพระเกียรติยศเจ้าของแห่งวิมานสถาน แลจะนินทาตนให้เสียหาย

“อย่าเกรงไปเลยคนดี  พี่นี้อนุญาตเพียงเจ้า อ่อ...แล้วก็แทนตัวว่า ‘น้อง’ เสียด้วย  พี่อยากให้เป็นน้องมากกว่าเป็นบ่าว...” แจ้งพระราชประสงค์ให้คนงามฟังชัด แต่ในพระทัยนั้นจะคิดเพียงแค่อยากจะให้บุษยะเทพเป็นเพียงอนุชาจริงหรือ

“แต่ข้า...”

“ข้าอันใดอีก...พี่สั่งแล้วมิฟังหรือ...แทนตนว่าอย่างไร คำว่า ‘น้อง’ นั้นน่ารักและเหมาะกับเจ้าเป็นไหนๆ” พระหัตถ์หนาจับมั่นที่แขนทั้งสองข้างของเทพหนุ่มน้อย... แลสายพระเนตรที่ต้องสบนั้นหวานซึ้งนัก เร่งเร้าให้เทพหนุ่มผู้ขี้อายตรงหน้านั้นแทนตนว่าน้อง  ด้วยจำต้องยอมตามพระประสงค์พระยอดเกล้า แต่บุษยะเทพก็จำต้องพูดด้วยก้มหน้าก้มตา มิหาญกล้าสนทนามองสายพระเนตรแสนเจ้าชู้นั้น

“แต่น้อง....แต่น้องก็หวังว่าชลันธรจะปลอดภัย แต่จักอดห่วงนั้นก็มิได้เช่นกัน  มิใช่เพียงผู้อื่นหมายปองทำร้ายเท่านั้น  ด้วยท่านนภนต์เองก็หาใช่จะวางใจได้ไม่ ด้วยรักแรงเกลียดแรงเยี่ยงนั้น น้องเกรงว่าสักวันหากทำร้ายชลันธรขึ้นมาได้…” พักตร์งามกำลังมีสีหน้าเป็นกังวล และด้วยเขินอายสรรพนามแทนตน

“บัดนี้ชลันธรเองก็มีใจให้กับท่านนภนต์แล้ว ยิ่งถ้าถึงวันที่จดจำเรื่องราวในอดีตทั้งหมดได้ น้องเองก็มิอาจจะขาดเดาเรื่องราวจะเลวร้ายถึงเพียงไหน…ชลันธรต้องเจ็บช้ำทั้งกายใจเป็นแน่”  พูดจบก็ถูกพระกรแกร่งรวบกายบางๆ กอดหมับเข้าให้อีก ครานี้บุษยะมิมีทีท่าว่าจะขัดขืน ด้วยคิดว่าก็เพียงแค่พี่ชายกอดน้องยามทุกข์ใจเท่านั้น พระพริษฐ์คงมิมีทางจะคิดเป็นอื่น ใจหนึ่งก็ชอบนักที่ได้รับความรักความเอาใจใส่จากพระผู้สร้างเช่นนี้

“บุษยะน้องพี่เรื่องนั้น น้องหาอย่าได้เป็นกังวลเลย พี่เห็นน้องเป็นทุกข์เยี่ยงนี้ พี่นั้นจะทุกข์ใจไปกับน้องด้วย เทพนภนต์เพียงแค่มิรู้ด้วยแก่ใจตัวเองก็เท่านั้น…ไม่นานด้วยบุญกรรมและกงล้อแห่งโชคชะตา จะเป็นฟันเฟืองขับเคลื่อนเครื่องพิสูจน์ความรักของเทพนภนต์แลให้ประจักษ์เอง” พระผู้สร้างเปล่งวาจา พร้อมพระหัตถ์หนาดันศีรษะคนงามแนบซบพระอุระแกร่งแสนอบอุ่น แต่พระเนตรคมนั้นกลับเหลือบไปเห็นยังสิ่งหนึ่งที่กำลังเคลื่อนผ่านวิมานแก้วสถาน  จึงต้องทรงตั้งพระทัยเพ่งพินิจ

...นั่นมัน...ม้าอุจฉัยศรพที่เทียมราชรถของเทพพระอาทิตย์...

. . .

เปลือกตาค่อยๆ เปิดออกทีละนิด สติที่กลับเข้าร่างเองก็เกิดขึ้นทีละน้อย ชลันธรตื่นขึ้นมาจากความฝัน เขาพยายามขยับกายลุกขึ้นนั่งแต่ร่างกายยังคงอ่อนแรงก็เลยต้องเอนลงไปนอนต่อ นภนต์เองที่เผลอหลับไปพอเห็นว่าข้างกายมีปฏิกิริยาจึงตื่นขึ้นมาเช่นกัน

“อย่าเพิ่งขยับ ลันควรนอนพักก่อนนะครับ” นภนต์เอ่ยด้วยเสียงนุ่มทุ้ม มือหนาก็จับบ่าชลันธรแล้วกดให้นอนนิ่งๆ ชลันธรพอเห็นใบหน้าของนภนต์ก็นึกถึงความฝันก่อนหน้านี้…สับสนเหลือเกิน ทำไมถึงฝันอะไรแปลกประหลาดอยู่เรื่อย

“เป็นไข้หรือเปล่า? ทำไมถึงทำหน้าแบบนี้” นภนต์ที่เห็นสีหน้าของชลันธรไม่สู้ดี มือหนาค่อยเลื่อนแตะลงไปที่หน้าผากมน

“ลันไม่เป็นไรครับ เอ่อ...ลันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงครับพี่นภนต์” ชลันธรถาม

“พอมาถึงที่แสมสารพี่ตามหา มาเจอลันจมลงไปในน้ำพี่ก็เลยช่วยแล้วพามาพักที่ห้องของพี่นี่แหละ” นภนต์ตอบ

“ห้องพี่นภนต์เหรอครับ…ลันขอตัวกลับไปที่ห้องดีกว่ากลัวว่าคนอื่นจะมองไม่ดีที่ลันมานอนในห้องอาจารย์” ชลันธรทำท่าจะลุกออกจากเตียงแต่ก็ถูกนภนต์ที่นอนอยู่ใกล้ๆจับข้อมือเอาไว้

“อืม...ไม่เอาน่าอย่าดื้อกับพี่ได้ไหมครับ อีกอย่างคนอื่นๆ เขาก็เห็นกันหมดตอนพี่อุ้มลันเข้ามาที่ห้องพี่แล้วก็…ลันจะออกไปทั้งๆที่ไม่ใส่อะไรเหรอครับ?” นภนต์เอ่ยแล้วมองร่างกายท่อนบนที่เปล่าเปลือยยังดีที่ท่อนล่างยังมีผ้าห่มปิดอยู่ พอได้ยินแบบนี้แล้วชลันธรก็ก้มมองสำรวจตัวเอง ให้ตายเถอะ!!! นี่เขาเปลือยกายต่อหน้านภนต์เป็นครั้งที่สองแล้ว

“เฮ้ย...พี่นภนต์อย่ามองแบบนี้สิครับ” ชลันธรรีบรั้งผ้าห่มมาคลุมกายมิดชิด ปากก็สั่งห้ามคนหื่นให้หยุดมอง

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า จะปิดทำไม พี่เห็นของเราหมดแล้วทุกซอกทุกมุม มาแล้วตั้ง... 2 ครั้ง...” นภนต์หัวเราะออกมา ชลันธรก็ยิ่งอายเข้าไปใหญ่ ก่อนจะคว้าหมอนที่นอนหนุนมาทุบตีเทพหนุ่ม จะเรียกง่ายๆ ก็ว่า ...โมโหกลบเกลื่อน...

“หยุดตีพี่นะลัน…ไม่อย่างนั้น….”

“ไม่อย่างนั้นอะไรครับ?” ชลันธรง้างมือถือหมอนค้างเอาไว้

“พี่จะปล้ำ” พลางยักคิ้วให้ข้างหนึ่ง นภนต์ไม่ใช่แค่พูด แต่เขาลงมือทำจริงๆ  ร่างสูงดันร่างโปร่งให้นอนลงตามด้วยคร่อมร่างอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว…เร็วเสียจนชลันธรตั้งตัวเอาไว้ไม่ทัน

“พี่นภนต์อย่าล้อเล่นกับลันแบบนี้สิครับ” ชลันธรขืนตัวแต่แรงมนุษย์ไม่อาจสู้แรงของเทพผู้เป็นใหญ่ได้ นภนต์ยิ้มมุมปากที่เห็นปฏิกิริยาคนใต้ร่างที่ดูเย้ายวนในสายตาของเขา

“พี่ไม่ล้อเล่นนะ…พี่เอาจริง” มือใหญ่นั้นก็ตรึงข้อมือเล็กไว้กับเตียง นภนต์ก้มหน้าลงฝังจมูกกับแก้มนิ่มซ้ายขวาสลับไปมา ความคิดแค้นที่เคยมีต่ออดีตเทพมหาสมุทรก็ลืมเลือนไปชั่วขณะ ชลันธรเองก็ได้แต่หลบหน้าหนี ยิ่งกระตุ้นให้นภนต์อยากจะแกล้งแรงๆ หนักๆ

“ท่านพี่นภนต์อย่า...” ไม่รู้อะไรดลใจให้ชลันธรพูดออกไปอย่างนั้น แต่ที่แน่ๆ นภนต์หยุดการกระทำทั้งหมดแล้วมองหน้าชลันธรด้วยความสงสัย

…หรือว่าชลันธรจะจำเรื่องราวทั้งหมดได้เสียแล้ว...

“เมื่อกี้น้องลันพูดว่าอะไรนะ” นภนต์ถามย้ำ พลางขบคิดหากชลันธรจำได้โอกาสที่อีกฝ่ายจะพิสูจน์ตัวเองก็ยิ่งเร็วขึ้น ซึ่งนภนต์ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นเลยสักนิด

“เอ่อ ลันไม่รู้ครับพี่นภนต์ว่าทำไมถึงพูดออกไปแบบนั้น” นภนต์ปล่อยตัวชลันธรที่มีท่าทางสับสนแสดงให้เห็นว่าความทรงจำยังกลับคืนมาไม่หมด เทพหนุ่มจึงวางใจได้เปราะหนึ่ง

“พี่ตกใจมากเลยรู้ไหม?” นภนต์เอ่ย มือก็ลูบผมนุ่มเบาๆ ใช่…เขาตกใจมาก ตกใจจนเกือบเปิดเผยความจริงและความรู้สึกทั้งหมดต่อหน้าชลันธร

“สงสัยลันคงเพลียจากที่จมน้ำมั้งครับ” ชลันธรบอกกับนภนต์เพื่อให้อีกคนสบายใจ ทั้งที่ใจของตนเองยังคงสับสนว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

“แต่เรื่องแบบนี้...มันก็เป็นเรื่องปกติของคนรักกันใช่หรือเปล่า...” เทพหนุ่มถามหยอกไปด้วยใจปฏิพันธ์

“ก็ใช่ครับ...แต่ เราเพิ่งรู้จักกันไม่นาน...อีกอย่าง คือ  คือ....” เพราะขวยเขินที่จะพูดออกไปว่ายังไม่เคยต้องมือผู้ใด และมีประสบการณ์เรื่องอย่างว่า แต่ใจนั้นหรือก็ยอมรับคนข้างหน้านั้นแล้วว่าเป็นสามีในอนาคต

“คือ...คืออะไรครับ...บอกพี่สิ...” อยากได้ยินจากปากคนน้องที่ยังอมคำพูดมิยอมเอ่ย

“คือ...ลันเองก็ยังไม่เคยเรื่องแบบนี้ จู่ๆ พี่ก็จะ...คือ ใจลันยังไม่พร้อมน่ะครับ...” ริมฝีปากบางจำต้องเอ่ยตอบแถมยังต้องออกแรงดัน ด้วยคนหื่นทำท่าก้มลงจะหอมแก้มอีกแล้ว หากไม่ขัดขืน คงเสียบริสุทธิ์ ตกเป็นของอาจารย์หนุ่มในวันนี้เป็นแน่

‘ก็อก…ก็อก’

เสียงเคาะประตูทำลายบรรยากาศชวนอึดอัดภายในห้องพัก ใครกันที่มาหา นภนต์เองก็ไม่ปล่อยให้ค้างคาใจเขาเดินไปที่ประตู ระหว่างนั้นชลันธรก็รีบเดินไปคว้าชุดคลุมอาบน้ำมาใส่ปกปิดร่างกายเอาไว้แล้วกลับไปนอนบนเตียงต่อ

“สวัสดีครับอาจารย์นภนต์ ผมมาเยี่ยมลันครับ” นาคินทร์เอ่ยทันทีที่ประตูห้องพักของนภนต์เปิดออก

“เข้ามาสิ” นภนต์พูดเสียงเรียบ นาคินทร์ก็เดินเข้ามาด้วยความรู้สึกกลัวนิดๆ กลัวว่านภนต์จะจำตนได้ นาคินทร์พยายามรวบรวมสติเพื่อทำให้ตัวเองดูปกติที่สุดแต่นั่นก็ไม่สามารถตบตาของเทพแห่งท้งนภาได้

“เป็นอะไร? ถ้าอึดอัดอยากคุยกับชลันธร ผมออกจากห้องไปก่อนก็ได้นะ” นภนต์เอ่ย

“เปล่าครับอาจารย์คือว่าผม..คือผม…” นาคาน้อยพูดตะกุกตะกัก ทั้งพยายามสรรหาคำมาอธิบายแต่ก็ไม่เป็นผล

“ยังจะมาปฏิเสธอีก…เดี๋ยวผมจะออกไปซื้อของข้างนอกกันยังไงก็ฝากคุณดูแลชลันธรด้วยก็แล้วกัน”

“ได้ครับ” นาคินทร์รับคำแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ใกล้ๆ กับเตียงที่ชลันธรนอนอยู่ก่อนหน้านี้ ส่วนนภนต์เองก็เดินออกจากห้องไป สร้างความโล่งใจให้กับนาคินทร์อยู่ไม่น้อย ตอนแรกคิดว่านภนต์จะจับพิรุธเรื่องที่ตนเป็นนาคได้เสียอีก

“ลัน เป็นไงบ้าง เรากับเพื่อนๆ เป็นห่วงมากเลยรู้ไหม?” นาคินทร์จับมือเป็นกำลังใจให้กับชลันธร

“เราไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก แค่เพลียเฉยๆ” ชลันธรตอบ รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าด้วยความซาบซึ้งใจจากความรักที่ทุกคนมีให้

“โชคดีนะที่อาจารย์นภนต์ไปช่วยลันเอาไว้ทัน ตอนอาจารย์อุ้มลันมาเราเองใจหายมากกลัวลันจะเป็นอะไรไปเสียอีก” นาคินทร์พูดต่อ ในสมองก็คิดถึงกนธีซึ่งตอนนี้คงพิโรธหนักที่ไม่สามารถทำอะไรชลันธรได้ อีกทั้งนภนต์เองก็เป็นฝ่ายเข้ามาช่วยและสังหารพรายน้ำผู้เป็นบริวารไป

“อาจารย์นภนต์เป็นผู้มีพระคุณกับเรามากเลย”

“เป็นคนรักด้วยถูกไหม?” นาคินทร์พูดแซว ชลันธรถึงกับหน้าขึ้นสีที่โดนเพื่อนรักพูดหยอกออกมาตรงๆ

“อือ…แต่เรามีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นหลังจากที่เจออาจารย์นภนต์ด้วย” ชลันธรไม่อยากจะอึดอัดใจอีกต่อไปจึงเริ่มเปิดประเด็น หวังให้นาคินทร์เพื่อนสนิทเป็นที่ปรึกษา

“อะไรเหรอที่ว่าแปลก” พอรู้ว่าเรื่องเกี่ยวข้องกับนภนต์ นาคินทร์ก็ตั้งใจฟังเป็นอย่างดีเขาต้องรับรู้ข้อมูลให้มากที่สุดเพื่อที่จะได้รายงานกนธี

“คินทร์ฟังแล้วอาจจะไม่เชื่อเราก็ได้…ตั้งแต่เด็กๆ เรามักจะฝันว่าเราอยู่บนสวรรค์ บางทีก็อยู่ในนครบาดาลกับฝูงสัตว์ทะเลมากมาย แล้วจู่ๆ ถูกเทวดาที่น่าจะเป็นใหญ่ที่สุดสาปให้ลงมาเป็นมนุษย์เพราะเราถูกเทวดาองค์หนึ่งปรักปรำเราว่าเราวางยาแม่ของเขา ซึ่งในฝันดูลางๆเห็นไม่ชัดว่าใครเป็นใคร” ชลันธรเริ่มเล่าความฝันในวัยเด็กให้นาคินทร์ฟัง พอเห็นว่านาคินทร์ไม่ได้พูดถามอะไรก็เล่าต่อ

“พอมาเจอกับอาจารย์นภนต์เรากลับไม่ฝันถึงเหตุการณ์เหล่านั้นอีกแต่กลับฝันเห็นตัวเองกับอาจารย์นภนต์แต่งกายด้วยเสื้อผ้าโบราณซึ่งก็ไม่รู้ว่ายุคไหน อยู่ด้วยกันในป่าที่มีสัตว์ประหลาดคล้ายกับที่ได้อ่านจากหนังสือวรรณคดีเลย ในฝันทั้งเราและอาจารย์นภนต์มีความสุขกันมาก” ชลันธรเล่าออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม ในความฝันนั้นมันช่างแสนหวาย ผิดกับนาคินทร์ที่เริ่มหน้าซีดเพราะความทรงจำของชลันธรกลับมาทีละนิดทีละน้อยเพียงแค่ไม่รู้ตัวเท่านั้นว่าสิ่งที่ฝันคือเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตชาติ

“บางทีลันอาจอ่านหนังสือนิยายพวกนั้นมากไปเลยเก็บเอาตัวเองกับอาจารย์ไปเป็นพระเอก นางเอกไงล่ะ” นาคินทร์สรุปให้ชลันธรฟังไม่อยากให้ชลันธรคิดมากหรือฉุดคิดอะไรไปมากกว่านี้ หากชลันธรระแคะระคายขึ้นมาคงจะเกิดเรื่องใหญ่มิใช่น้อย

“อือ…คงจะเป็นแบบนั้น” นาคินทร์คงจะเห็นว่าเขาเพ้อเจ้อแน่ๆ ก็ไม่ผิดที่จะมองอย่างนั้นเรื่องแบบนี้ใครจะไปเชื่อ

‘แกร็ก’ เสียงลูกบิดที่ประตูถูกหมุนออก นภนต์ที่ยืนฟังเรื่องราวทั้งหมดก็เข้ามาด้วยใบหน้าเรียบเฉย ต้องขอขอบคุณนาคินทร์ที่พูดให้ชลันธรไม่คิดอะไรไปมากกว่านี้ อย่างเช่น อดีตชาติหรือการระลึกชาติที่หลายคนมักจะมีความเชื่อแบบนี้

“อาจารย์กลับมาเร็วจังเลยครับ” นาคินทร์เอ่ย

“พอดีผมยังไม่ทันออกจากตัวรีสอร์ทก็เห็นว่าฝนเริ่มตั้งเค้ามา ก็เลยกลับเข้ามาก่อน” นภนต์พูดแก้ต่างทั้งที่จริงเขายืนหน้าห้องตลอดไม่ไปไหน สาเหตุมาจากเทวาหนุ่มไม่ไว้ใจนาคินทร์แต่การยืนเฝ้าครั้งนี้กลับทำให้ได้รู้ว่าชลันธรมีความสับสนในใจเสียแล้ว

“อาจารย์นภนต์กลับมาพอดีเลย เดี๋ยวผมกับนาคินทร์จะกลับไปที่ห้อง” ชลันธรเอ่ย ใจก็เต้นตึกตักด้วยความตื่นเต้นที่นภนต์ไม่เข้ามาตอนที่เล่าเรื่องให้นาคินทร์ฟัง

“ชลันธรคุณนอนพักที่ห้องผมก็ได้เพราะคืนนี้นักศึกษาเขามีประชุมคงจะไม่มีใครมาเฝ้าดูแล”

“แต่ว่า….”

“เชื่ออาจารย์เถอะลัน คืนนี้นอนที่นี่กับอาจารย์ไปก่อน เราเองประชุมเสร็จกี่โมงก็ยังไม่รู้” นาคินทร์พูดเสริมอีกแรง

“ก็ได้ ฝากบอกเพื่อนๆ คนอื่นด้วยนะว่าเราขอโทษที่ไม่ได้ไปประชุม” ชลันธรที่ปกติจะเต็มที่กับกิจกรรมพอไม่ได้ทำก็พาลให้คิดมาก

“พักผ่อนเยอะๆ นะลันไม่ต้องคิดมาก เดี๋ยวเราไปก่อน” นาคินทร์บอกลาเพื่อนและไม่ลืมที่จะยกมือไหว้ลานภนต์ที่ยืนจ้องอยู่ไม่ห่าง นาคินทร์รับรู้ถึงแรงกดดันที่นภนต์ส่งมายังตัวเขา พอได้ออกมาก็รู้สึกโล่งอก การที่ได้อยู่ต่อหน้านภนต์ไม่ต่างจากคนที่ใกล้หมดลมหายใจ มันรู้สึกกดดันจนจุกอก ถ้าไม่คิดที่ไปเยี่ยมชลันธรแล้วล่ะก็อย่าหวังว่านาคินทร์จะเหยียบย่างเข้าไปในห้องนั้น

ในช่วงเย็นจนถึงค่ำนาคินทร์ได้ร่วมรับประทานอาหารและประชุมร่วมกับเพื่อนๆนักศึกษาและรุ่นพี่ปีสอง ปีสามอีกสองสามคนที่เข้ามาดูแลกิจกรรมรับน้องครั้งนี้ รวมทั้งพูดถึงข้อตกลงที่นักศึกษาปีหนึ่งจะต้องปฏิบัติ งานนี้นาคินทร์ไม่ต้องทำอะไรนอกจากแต่ได้นั่งรอทำกิจกรรมของพี่ว๊ากที่จะเล่นงานน้องตอนค่ำ  แต่เล่นงานที่ว่าก็คือวิ่งรอบชายหาดจนน้องปีหนึ่งเหงื่อโชกจนแทบจะลงไปเล่นน้ำทะเลสีดำตอนกลางคืน

“เอาล่ะ แยกย้ายได้”

“เฮ้!!!!!!!!!”

รุ่นน้องต่างแยกย้ายกลับเข้าห้องรวมทั้งรุ่นพี่ปีสองและปีสามที่ทยอยเดินกลับห้อง ยกเว้นนาคินทร์ที่แยกตัวออกมา นาคน้อยไม่ได้กลับไปยังที่พัก สถานที่ที่นาคินทร์จะไปนั้นก็คือชายหาดที่ไร้ผู้คน ขาเรียวทั้งสองข้างลัดเลาะมาจนถึงโขดหินใหญ่ที่พอจะใช้หลบซ่อนไม่ให้ใครเห็น

ทะเลแสนสวยที่คลื่นลมยังคงสงบท่ามกลางความมืดมิดมีเพียงพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวทอแสงมาเท่านั้น นาคินทร์พนมมือขึ้นแล้วก้าวขาลงไปในทะเลเล็กน้อย พลันขาทั้งสองข้างก็กลายเป็นหางมีเกล็ดสีเขียวเต็มไปหมด นาคินทร์ใช้หางตีน้ำเบาๆก็เกิดคลื่นขนาดใหญ่หมุนจนกลายเป็นน้ำวน ก่อนที่จะมีร่างสูงใหญ่โผล่ขึ้นมา

“ท่านกนธี ข้ามีเรื่องจะรายงานท่าน นาคินทร์ย่อตัวลงทำความเคารพเทพตรงหน้า

“เจ้ามีเรื่องอันใดนาคินทร์จึงเรียกข้ามา ถ้าเรื่องที่เจ้ารายงานนั้นเป็นเรื่องเหลวไหล ข้าจะลงโทษเจ้า” กนธีที่อารมณ์เสียจากการที่ฆ่าชลันธรไม่สำเร็จก็เริ่มพาลใส่ จนนาคินทร์ตัวสั่นเพราะความกลัว กลัวว่าเรื่องที่รายงานจะไม่ทำให้นายเหนือหัวผู้เป็นที่รักเกิดความพอใจ

“ความทรงจำของท่านชลันธรเริ่มกลับมาแล้ว” นาคินทร์ตัดสินใจพูดออกไปทีเดียว ร่างบางหลับตาปี๋รู้ว่ากนธีจะต้องลงไม้ลงมือตนเป็นแน่

“เป็นความจริงหรือ?” กนธีถามย้ำอีกครั้ง ใจก็เริ่มหวาดหวั่นกลัวบัลลังก์จะถูกทวงคืน

“ข้าขอรับรองว่าเป็นความจริงเพียงแต่ท่านชลันธรยังไม่รู้ว่าสิ่งที่เห็นเป็นเรื่องอดีตชาติ” นาคินทร์พูดต่อ กนธีเองก็โล่งใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่วางใจอยู่ดี

“เห็นทีข้าต้องเร่งสังหารชลันธรเสียแล้ว”

บทสนทนาของกนธีและนาคินทร์นั้นก็ได้เข้าหูบุคคลหนึ่งซึ่งยืนอยู่อีกฟากของโขดหินใหญ่ ทุกถ้อยคำ…ทุกประโยคล้วนทำให้ใจคนฟังนั้นร้อนเป็นไฟจนอยากจะสังหารเทพแห่งมหาสมุทรและพญานาครับใช้ตนนั้นเสีย หากต้องเก็บอาการเอาไว้หมายจักเอาคืนในวันหน้า

‘หากชลันธรสิ้นชีวาคราใด ข้าจะเผาพวกเจ้าด้วยไฟของข้าเสีย’













...............................................

เขาคือใคร...เขาคือใคร....ใครจะใช้ไฟเออร์เบิร์นกนธีและนาคินทร์ 5555 รอติดตามตอนหน้า พร้อมกับการปรากฏตัวของชายหนุ่มลึกลับ ร้อนแรงแน่ ร้อนเหมือนอากาศบ้านเราในตอนนี้

น้องลันกับพี่นภนต์ก็นะ มีแอบหวานนิดๆมีความสับสนหน่อยๆ ไม่นานก็จะเข้าสู้ความมาม่าแต่ไม่มากเพราะไม่ใช่ดราม่าชวนน้ำตาไหล

สุดท้ายนี้ขอฝากนิยายสาปรักทัณฑ์เทวาไว้ในอ้อมกอดอ้อมใจนะคะ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมาเม้นกัน ติดตามกัน มาเป็นกำลังใจกันเยอะๆนะคะ

ป.ล. ...แหวะ หมั่นไส้ว่ะ คู่ของพระผู้สร้างหรือพระพริษฐ์ของน้องบุษยะ =_= #อิจฉาคนมีคู่
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.06 P.2 (06/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 06-04-2017 11:47:45
คู่รองแอบฟินแฮะ #พี่พรืษฐ์
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.06 P.2 (06/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 06-04-2017 17:14:58
อยากอ่านตอนหน้าเร็วๆ พระเอกต้องเสียใจมากแน่ถ้ารู้ความจริง
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.06 P.2 (06/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 06-04-2017 19:13:09
ใครจะโผล่มาอีกหนอ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.06 P.2 (06/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 06-04-2017 21:16:40
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.06 P.2 (06/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 06-04-2017 22:15:42
คจะมีเทพแห่งไฟมาแจมด้วยเหรอ :katai5: รอลุ้นต่อไป :katai5:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.06 P.2 (06/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 06-04-2017 22:56:21
เป็นม้าของเทพพระอาทิตย์หรือป่าว อยู่ใกล้ๆวิมานท่านผู้สร้างอะ
  รออ่านตอนต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.06 P.2 (06/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 07-04-2017 01:12:58
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.06 P.2 (06/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 07-04-2017 08:25:09
เทพพระอาทิตย์เหรอ?
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.06 P.2 (06/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 07-04-2017 10:18:26
 :mew1:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.06 P.2 (06/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 07-04-2017 21:43:00
เป็นพระอาทิตย์หรือเปล่าที่มาได้ยิน
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.06 P.2 (06/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: zirconsan ที่ 08-04-2017 02:20:45
รอค่าาาาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.01พิเศษ P.3 (10/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 10-04-2017 21:45:34
สาปรัก…ทัณฑ์เทวา

Writer : Tan-Yung0209

File : กำเนิดบุษยะ













“ข้าขอแต่งตั้งพระพริษฐ์บุตรแห่งข้า ขึ้นครองตำแหน่งพระผู้สร้างสืบต่อไป”

พระสุรเสียงของมหาเทพพระองค์หนึ่งที่กำลังจะกลายเป็นอดีตพระผู้สร้าง พระองค์ทรงป่าวประกาศราชโองการแห่งฟ้าดินด้วยผู้สืบสันตติวงศ์ลำดับต่อไป สุรเสียงนั้นดังกึกก้องทั่วทุกสารทิศ ก่อให้เกิดหยาดพิรุณตกลงพื้นพิภพที่สั่นไหวรวมถึงเกลียวคลื่นยักษ์ในมหานที เหล่าทวยเทพเทวดารวมถึงเหล่าอสุราต่างมาพร้อมเพรียงร่วมยินดี ถวายความจงรักภักดีให้กับว่าที่พระผู้สร้างหนุ่ม ที่ทรงพระสิริโฉมและสง่างาม พระวรกายแกร่งที่สูงใหญ่สวมอาภรณ์ฉลองพระองค์สีขาวแลปักเลื่อมและประดับด้วยดิ้นสีทอง พระหัตถ์หนาทรงถือคฑายอดเพชรศักดิ์สิทธิ์สัญลักษณ์ของพระผู้สร้างไว้ พระเพลายาวค่อยๆ ก้าวเสด็จพระราชดำเนินมาข้างหน้าท่ามกลางสภาเทวาเทพที่นั่งอยู่ทั้งสองฝั่ง ขบวนเหล่านางอัปสรที่ตามเสด็จต่างก็ร่ายรำอย่างอ่อนช้อยงดงาม บ้างก็ลอยอยู่ในอากาศโปรยกลีบผกามงคลหลากสีร่วมยินดี พระพริษฐ์หยุดยืนอยู่ตรงพระพักตร์ของพระราชบิดา ก่อนที่จะย่อพระวรกายลงคุกเข่าให้เทพชั้นสูงบนบัลลังก์สวมมงกุฎให้

“ข้าพระพริษฐ์ขอให้คำสัตย์ปฏิญาณว่าจะปกครองทั้งสามโลกด้วยความเป็นธรรม”

ด้วยสัตยาบันนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา…พระพริษฐ์หรือพระผู้สร้างองค์ปัจจุบันก็ปกครองทั้งสามโลกด้วยความยุติธรรมโดยใช้หลักธรรมเป็นที่ตั้ง ทำให้สรรพสิ่งทั้งไตรภพมีความสงบสุขเรื่อยมา ไม่ใช่เรื่องง่ายที่มหาเทพเพียงพระองค์เดียวจะจัดการได้ แม้พระองค์นั้นได้มอบหมายงานบางส่วนให้เทพองค์อื่นดูแล ถึงกระนั้นพระผู้สร้างก็ยังทรงเหนื่อยล้าพระวรกายอยู่ดี เฉกเช่นวันนี้มีการประชุมเหล่าเทวาซึ่งมีการถกเถียงกันในที่ประชุมสภาจนพระองค์ต้องทรงคอยห้ามปรามเป็นระยะและทรงเข้าไกล่เกลี่ยจนสำเร็จผล การประชุมสภาจึงผ่านพ้นไปด้วยดี

เมื่อการประชุมสภาเสร็จสิ้น เหล่าเทพบุตรและเทพธิดาต่างก็แยกย้ายกลับวิมานตนยกเว้นพระผู้สร้างที่ยังคงประทับอยู่บัลลังก์สภา พระหัตถ์หนาคอยบีบจับนวดพระกรรเจียกที่ปวดตุบขึ้นมา โดยไม่ทันได้สังเกตว่าพระชายามหาเทวีทั้งสามได้เสด็จมาเข้าเฝ้า

“พระผู้สร้าง” ‘ชวัลลักษณ์’ เทวีแห่งความงาม หนึ่งในสามพระชายา ที่ความงามนั้นเป็นหนึ่งเหนือเหล่าเทวีและเทพธิดาทุกองค์ ตรัสเอื้อยเอ่ยด้วยสุรเสียงหวานใส ก่อนจะประทับลงบนบัลลังก์ที่อยู่ตำแหน่งรองลงมาจากบัลลังก์ใหญ่ร่วมกับพระชายาอีกสองพระองค์ คือ ‘ภัควลัญชญ์’ เทวีแห่งโชคลาภ และ ‘อนัญพร’ เทวีแห่งความรุ่งเรือง

“ชวัลลักษณ์ ภัควลัญชญ์ อนัญพร พวกเจ้าทั้งสามมีการอันใดหรือ ถึงได้รวมตัวมาพบข้าถึงที่นี่” พระผู้สร้างตรัสถามด้วยสุรเสียงราบเรียบ สายพระเนตรคมสบมองพระชายาทั้งสามด้วยความอ่อนพระทัย…คงหนีไม่พ้นเรื่องเดิมสินะ 

“พวกเราต่างทราบดีว่าที่ท้องพระโรงแห่งนี้นอกจากจะงานพระราชพิธีแล้ว เราทั้งสามนั้นไม่สามารถเข้ามาได้หากไม่ได้รับอนุญาตจากท่านเสียก่อน” ภัควลัญชญ์เอ่ย

“พวกเจ้าต่างก็รู้ดี หากก็ยังเข้ามาแสดงว่ามีการสำคัญอันใด ที่จะมาแจ้งแก่ข้าใช่หรือไม่?”

“หาใช่เรื่องสำคัญอันใดดอก เพียงพวกเราทั้งสามยังมิได้ถวายงานรับใช้ท่านเลย ด้วยใคร่รู้จึงได้มาพบท่านเพื่อซักถามว่าราตรีนี้ท่านจะไปเยือนยังวิมานของใคร” อนัญพรบอกถึงความต้องการที่แท้จริง พระพริษฐ์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ พระองค์ทรงคิดไว้แล้วมิมีผิดว่าพระชายาทั้งสามของพระองค์จะมาด้วยจุดประสงค์นี้

“เห็นทีวันนี้ข้าจะต้องกลับไปอยู่ที่วิมานแก้วของข้า ด้วยราตรีนี้จะเป็นราตรีที่พระจันทร์จะทรงฤทธิ์ ข้าจักนั่งวิปัสนาบำเพ็ญเพียรเพื่อรับพลังทิพย์จากพระจันทร์  ดังนั้นแล้วพวกเจ้าทั้งสามก็ควรกระทำการเยี่ยงนี้ด้วยเช่นกัน” พระผู้สร้างตรัสเสร็จ ก่อนจะลุกขึ้นจากบัลลังก์แล้วเสด็จผ่านพระชายาทั้งสามอย่างไม่คิดจะสนพระทัยรีบแรงออกไปจากสภาเทวา สร้างความน้อยอกน้อยใจให้แก่พวกพระเทวีทั้งสามเป็นอย่างมาก

พระผู้สร้างเองก็ทรงรู้ว่าตนกระทำมิถูก ด้วยการเดินหนีอิสตรีผู้เป็นชายานั้นเป็นสิ่งที่บุรุษไม่ควรกระทำ แต่พระองค์ก็จำต้องทำเพื่อหลีกเลี่ยงมหาเทวีทั้งสาม พระองค์ยอมนั่งประชุมสภาทั้งวันทั้งคืนเสียดีกว่าต้องเสด็จไปบรรทมยังวิมานใดวิมานหนึ่งในสามวิมานนี้… ด้วยประสงค์ที่จะพักผ่อนอริยาบท ณ วิมานแก้วสถานของพระองค์มากกว่า

วิมานแก้วสถานแสนกว้างใหญ่ที่ลอยเด่นอยู่ บนสรวงสวรรค์ชั้นสูงสุดแห่งนี้กลับมีเพียงพระผู้สร้างที่พำนักอาศัยอยู่เพียงพระองค์เดียว มิมีผู้ใดกล้าที่จะย่างกรายเข้าแม้แต่พระชายาทั้งสามก็ตาม หากมิได้รับพระราชานุญาตหรือเรียกหาก็มิสามารถเสด็จเข้าเฝ้าได้เช่นกัน วิมานแก้วสถานแลวิจิตรงดงามมากก็จริงแต่กลับสัมผัสได้แต่เพียงความเงียบเหงาและไร้ชีวิตชีวา

เมื่อยามพระอาทิตย์กำลังจะลาลับใกล้อัสดง…พระจันทร์ก็ขึ้นสู่ท้องนภาฉายแสงอาบเมฆาที่มืดมิด พระผู้สร้างเสด็จลงสรงน้ำที่สระบัว หมายจะชำระล้างพระวรกายก่อนที่จะบำเพ็ญเพียร ร่างสูงก้าวลงไปในสระที่อุดมไปด้วยเหล่าอุบลชาติ และปทุมชาตินานาพันธุ์เจริญงอกงามอยู่  ทันทีที่พระวรกายหนาของพระองค์นั้นได้สัมผัสต้องกับพื้นผิวน้ำ สายวารีก็พวยพุ่งแล่นผ่านพระวรกายแกร่งตั้งแต่ปลายพระบาทขึ้นเรื่อยมาผ่านหน้าพระอุทรลอนงามที่ได้รูปจนถึงพระอุระกว้าง

ในระหว่างที่กำลังสรงน้ำอยู่นั้น ด้วยพลังแห่งรัศมีแสงพระจันทร์ทรงฤทธิ์ สอดส่องลึกลงยังน้ำใต้สระกระทบเข้ากับดอกบัวดอกหนึ่งที่แอบซ่อนอยู่ในตม  บังเกิดน้ำวนโดยรอบก็กลายเป็นเกลียวคลื่นเวียนวนพร้อมด้วยกลุ่มหมอกจางที่พวยพุ่ง และมีสายบัวเติบใหญ่ชูก้านบงกชแก้วที่ส่องประกายเมื่อต้องด้วยแสงจันทร์ ขึ้นโผล่เหนือผิวน้ำเป็นที่อัศจรรย์ใจแก่พระผู้สร้างที่ประจักษ์ยิ่งนัก

“บงกชแก้ว…” พระผู้สร้างตรัสกับองค์เองด้วยสุรเสียงแผ่วเบา พระเนตรคมสบมองวารีที่แยกตัวเมื่อครู่กลับมาสงบนิ่งดังเก่า มหาเทพย่างก้าวเข้าไปหาบงกชแก้วแสนสวยนั้น เพียงพระดัชนีจรดลงต้องไปที่กลีบแก้วอย่างเบามือ พลันกลีบบงกชแก้วก็ค่อยๆ เบ่งบานอย่างช้าๆ ระคนด้วยกลิ่นหอมปทุมฟุ้งกำจายไปทั่วอาณาบริเวณ แลปรากฏกายเทพบุตรร่างน้อยเพียง เท่าพระอังคุฐของพระผู้สร้างหลับใหลอยู่ภายใน

“ตื่นเถิด…เทวาน้อยเรามีเรื่องใคร่จักถามเจ้า” สุรเสียงทุ้มตรัสอย่างแผ่วเบาก็สามารถปลุกให้เทพน้อยที่ผู้หลับใหลในวิมานบงกชแก้วนี้ตื่นขึ้นมาได้

แพขนตายาวที่เรียงตัวกันนั้นค่อยๆ ขยับเปิดออกช้าๆ เทวาบุตรเทพน้อยในบงกชแก้วค่อยๆ ลุกขึ้นมานั่งแล้วกวาดสายตาไปรอบๆ ก่อนจะผงะที่เห็นบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ตรงหน้า ผิดกับอีกฝ่ายที่จ้องมองเขาด้วยพระพักตร์แย้มสรวล 

...ทำไมกันเทวาบุตรน้อยผู้นี้ถึงได้น่ารัก น่าใคร่ เยี่ยงนี้...

พระผู้สร้างเหมือนกำลังรู้สึกว่าตนนั้นกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความรู้สึกอะไรบางอย่าง จะว่าเป็นความรักหรือ…อย่างนั้นแสดงว่าเป็นรักแรกพบหรือ...ก็มิใช่...

“ท่าน…ท่านเป็นใคร?” กายน้อยๆ นั้นร้องถามแล้วก็เริ่มขยับหนี แต่จะให้หนีไปที่ใดได้เล่า ในเมื่อสุดท้ายก็มิพ้นอยู่ในบงกชแก้วอยู่ดี

“เจ้าอย่าได้กลัวข้าเลย ข้าคือพระผู้สร้างผู้ดูแลสรรพสิ่งในสามโลก” พระผู้สร้างตรัสตอบพร้อมแย้มพระสรวลให้ แต่ก็มิได้นำพาให้เทพน้อยนั้นรู้สึกดี เทพกายจิ๋วยังคงหมอบกราบลงแนบฐานดอกนูน กายน้อยยังสั่นเทาด้วยความเกรงกลัว

“ถ้าเป็นเยี่ยงนั้นท่าน...เอ๊ย! พระองค์ก็เป็นมหาเทพผู้ที่ยิ่งใหญ่…ข้า..ข้ามิได้ถวายบังคม   ขอทรงพระกรุณาขออย่าได้ลงพระอาญาด้วยข้าเลย”

“ข้าไม่ทำอันใดเจ้าดอก ว่าแต่เจ้านั้นมีนามว่ากระไรหรือ...” พระผู้สร้างตรัสถาม ฝ่าพระหัตถ์ก็ทรงปิดปากกลั้นสรวลที่ได้เห็นท่าทางของเทพบุตรกายน้อยในบงกชแก้ว

“ข้าไม่มีชื่อ…”

“เจ้าไม่มีชื่ออย่างนั้นหรือ…อย่างนั้นข้าจักตั้งชื่อให้เจ้า...ด้วยเจ้าเกิดจากดอกบัว ...ข้าจะให้นามเจ้าว่า ‘บุษยะ’ เป็นที่ต้องใจเจ้าหรือไม่” พระพริษฐ์ทรงพระราชทานนามให้เทพกายจิ๋ว ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่พระองค์จะทรงพระราชทานนามให้ผู้ใด แม้แต่โอรสหรือธิดาของเทพเทวาชั้นสูง พระองค์ก็มิเคยพระราชทานนามให้ใครทั้งนั้น

“บุษยะ เป็นชื่อที่ไพเราะเหลือเกิน ชื่อนี้...ต้องใจข้ายิ่งนัก” เทพบุตรน้อยผู้มีชื่อยิ้มกว้างด้วยชอบอกชอบใจ ถึงรอยยิ้มจะเล็กน้อยแต่ก็หวานตรึงใจสะกดให้ผู้ที่มองตกอยู่ในห้วงภวังค์ พระผู้สร้างประสงค์ด้วยจะเห็นรอยยิ้มนั้นของบุษยะแต่เพียงผู้เดียว

“เจ้าจงฟังข้าบุษยะ….เจ้านั้นเกิดแต่บงกชแก้วในสระสรงน้ำภายในวิมานแก้วสถานของข้า ดังนั้นเจ้ากับข้าถือว่าสร้างบุญสร้างกุศลต่อกันมา โชคชะตาจึงนำพาให้เจ้าได้พบกับข้า”

“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น ในเมื่อข้าเกิดมาเพื่อพระองค์แล้ว ข้าเองก็หวังที่จะอยู่รับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทของพระองค์ เพียงแต่ว่า…” คำพูดของบุษยะสร้างความพอใจให้มหาเทพผู้ครองทั้งสามโลกยิ่งนัก หากไม่มีคำว่า ‘เพียงแต่’…เข้ามา

“เพียงแต่อะไรหรือ…เจ้าจงบอกข้าบัดเดี๋ยวนี้” พระผู้สร้างเร่งเร้าเอาคำตอบ บุษยะที่นั่งกัดริมฝีปากอยู่นั้นก็คิดว่าทำให้พระผู้สร้างคงพิโรธเสียแล้ว เพียงแค่คิดน้ำตาก็เอ่อคลอดวงตาคู่งามนั้น

“เหตุใดเจ้าจึงกรรแสงออกมาเล่าบุษยะ” พระผู้สร้างทรงตกพระทัยที่เห็นบุษยะร้องไห้ออกมาโดยมิรู้ด้วยสาเหตุ

“ข้าคิดว่าพระองค์พิโรธข้าที่อ้ำอึ้ง อีกอย่างข้าอยากจะรับใช้พระองค์แต่ตัวของข้านั้นเล็กเสียจนนอนในดอกบัวแก้วนี้ได้ คงมิสามารถจะรับใช้พระองค์ได้” บุษยะเอ่ย มือก็ยกเช็ดน้ำตาที่อาบแก้ม

“เจ้าอย่าได้กังวลไป ข้าจักให้พรพิเศษแก่เจ้า ร่างกายของเจ้าจะสูงใหญ่เฉกเช่นเทพเทวาทั่วไป ซ้ำยังนิมิตกายให้เล็กใหญ่ได้ตามประสงค์ของเจ้าอีกด้วย...”

“เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งแล้ว…”

“อย่างนั้นบุษยะ เจ้าจงพนมมือแล้วหลับตาเสีย” พระผู้สร้างตรัสสั่ง บุษยะก็ปฏิบัติตามอย่างว่าง่าย เพียงประสาทพร บงกชแก้วก็ลอยเด่นและขยายออกพร้อมกับร่างกายของบุษยะ เป็นดั่งที่พระพริษฐ์ทรงดำริไว้จริงๆ เมื่อร่ายกายเติบโตขึ้น ทุกอย่างที่ดูเป็นเด็กน้อยนั้นก็เปลี่ยนไป ใบหน้าวัยหนุ่มแรกรุ่นของบุษยะนั้นงดงามราวนางเทพอัปสร รูปร่างก็อ้อนแอ้นอรชรน่าเข้าไปตระกองกอดยิ่งนัก ผิวกายที่ขาวเนียนนั้นหรือคงลื่นมือมิต่างจากกลีบบัวเป็นแน่ ก่อนที่ดำรินั้นจะเตลิดไกลจำต้องบอกให้คนที่หลับตานั่นได้ล่วงรู้ตัวเสียก่อน

“ลืมตาดูสิบุษยะ” สิ้นสุรเสียงพระผู้สร้างบุษยะ คนงามก็ลืมตาขึ้น ร่างบางยกแขนซ้ายขวาขึ้นมาดู บุษยะชะโงกมองใบหน้าตัวเองจากพื้นผิวน้ำ

“ข้า…ร่างกายของข้าเติบใหญ่ขึ้นแล้ว ข้าดีใจยิ่งนัก” บุษยะดีอกดีใจ กระโดดโลดเต้นราวกับเด็กๆ จนพระผู้สร้างส่ายพระพักตร์ด้วยเดียงสาของบุษยะนั้น เห็นทีพระผู้สร้างจะได้รับหน้าที่นอกเหนือจากราชกิจทั้งปวงนั่นก็คือ…อบรมสั่งสอนบุษยะเสียอีกหนึ่งหน้าที่ด้วยแล้ว

“อย่ากระโดดไปมาสิบุษยะ…ประเดี๋ยวเจ้าจะตกลงมาหรอก”

“เหวอ~”

‘ตูม!!!’

วาจาของพระผู้สร้างนั้นช่างศักดิ์สิทธิ์นัก พูดมิทันขาดคำ กายบุษยะก็ร่วงตกลงในสระสรงน้ำเสียงดังจนน้ำกระจายไปทั่วและแน่นอนว่าพระพริษฐ์เองก็ได้รับผลพวงครั้งนี้ด้วย พระวรกายสูงใหญ่เปียกชุ่มตั้งแต่พระเศียรลงมา บุษยะตะกายขึ้นมาโผล่พ้นผิวน้ำ พอเห็นพระพักตร์พระผู้สร้างที่ประจันหน้ากันก็ถึงกับหน้าซีดเซียว หัวใจนั้นตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่มข้อเท้า

“พระอาญามิพ้นเกล้า พระผู้สร้าง…โปรดพระราชทานอภัยโทษให้ข้าด้วย” บุษยะพนมมือไหว้ขอร้องผู้เป็นใหญ่ที่ยืนนิ่งจนไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ได้

“ไม่เป็นไร ข้าเองก็หมายที่จะอาบน้ำชำระล้างกายอยู่แล้ว” คำตอบของพระผู้สร้างทำให้บุษยะนั้นโล่งใจที่ไม่ถูกตำหนิ ถึงอย่างนั้นบุษยะก็ยืนนิ่งมิกล้าขยับกายไปไหนเพราะกลัวว่าตนจะทำอะไรให้ขุ่นเคืองพระทัยพระผู้สร้างอีก ผิดกับพระผู้สร้างที่นึกเอ็นดูกับการกระทำของบุษยะ

“บุษยะ…เห็นทีเจ้าจะต้องรับใช้ข้าบัดเดี๋ยวนี้แล้ว” พระผู้สร้างตรัสแล้ว พระองค์ก็พอจะนึกอะไรบางอย่างออก

“ให้ข้ารับใช้อะไร พระองค์ทรงบอกข้าด้วยเถิด ข้ายินดีที่จะปรนนิบัติรับใช้พระองค์” ดวงตาของบุษยะเปล่งประกายเมื่อรู้ว่าจะได้รับใช้พระผู้สร้าง

“อาบน้ำให้ข้า เจ้าทำได้หรือไม่?”

“อาบน้ำคืออะไร?” บุษยะสงสัย พระผู้สร้างถึงกับกุมพระกรรเจียก พระองค์เองก็ลืมนึกไปว่าบุษยะเพิ่งจะถือกำเนิดคงยังไม่รู้เรื่องอันใด

“ข้าจะสอนเจ้าเอง…บุษยะเจ้าจงหยิบภูษานั่นมาชุบน้ำแล้วบิดพอหมาด จากนั้นก็มาถูตามร่างกายของข้า เจ้าพอเข้าใจไหม...?” พระผู้สร้างทรงอธิบายสั้นๆง่ายๆ บุษยะก็พยักหน้าหงึกหงัก

“ถ้าเจ้าเข้าใจแล้วเริ่มได้”

บุษยะเดินไปหยิบภูษาขาวในพานทองแล้วทำตามอย่างที่พระผู้สร้างได้บอกเอาไว้ พระผู้สร้างเองก็ยืนหันหลังให้บุษยะ ก่อนจะยกมือพนมเป็นการขอพระราชานุญาตแตะต้องพระวรกายแล้วใช้ภูษาขาวบรรจงขัดถูจนทั่วตั้งแต่พระจุฑามาศไล่ลงมา พระวรกายแกร่งกระตุกเกร็งยามที่มือบางของบุษยะลูบไล้ น้ำหนักมือนั้นเบาพอดิบพอดี ทำเอาพระองค์เผลอไผลเคลิบเคลิ้ม

เมื่อบุษยะทำความสะอาดพระขนองกว้างเสร็จ พระผู้สร้างก็ทรงหันพระพักตร์เข้าหา ทำให้บุษยะที่ยืนไม่ระวังชนเข้าแผงพระอุระกว้างนั้นเต็มๆ พระผู้สร้างมองบุษยะด้วยอารมณ์ขัน ที่ยืนลูบปลายจมูก..คงจะเจ็บน่าดู

“เจ้าจะใช้จมูกเช็ดกายให้ข้าหรือ” พระผู้สร้างตรัสหยอกเย้า ก็โดนบุษยะคนงามทำหน้ามุ่ยใส่ด้วยโดนล้อ

“พระองค์หันมาข้าไม่ทันระวังตัวต่างหากเล่า” บุษยะตอบเสียงเง้างอนแล้วขัดถูลูบไล้ตามแผงพระอุระที่กำยำนั้นเบาๆ ต่อ ด้วยทุกการกระทำที่แสนน่ารักของคนงามอยู่ในสายพระเนตรของพระพริษฐ์ตลอดเวลา

เมื่อการอาบน้ำเสร็จสิ้น บุษยะก็ถวายการเช็ดพระวรกายให้พระผู้สร้างต่อ มือเรียวใช้ภูษาบางเบาซับหยดน้ำบริเวณแผงพระอุระแล้วลากผ่านมาที่หน้าพระอุทรลอนงาม จนพระผู้สร้างรู้สึกวูบวาบ อารมณ์กำหนัดก็เกิดขึ้นมาในบัดดล จนส่วนกลางพระวรกายในร่มผ้านั้นขยายตัวขึ้นมาดุนดันต้นขาอ่อนของบุษยะ

“พระผู้สร้างอะไรก็ไม่รู้มาโดนขาข้า” บุษยะเอ่ยถามด้วยความมิรู้ประสา คนงามนั้นช่างบริสุทธิ์ผุดผ่องเหลือเกิน

“แขนของข้าเองบุษยะ…เจ้าต้องการจับดูหรือไม่” พระผู้แย้มสรวลด้วยเจ้าเล่ห์ พร้อมกับมองบุษยะที่ยืนมองพระกรแกร่งทั้งสองของพระองค์

“ข้ามิกล้าจับหรอก เพียงแต่ข้าสงสัย พระกรของพระองค์นั้นก็อยู่ตรงนี้เหตุใดจึงมีพระกรอยู่ด้านล่างอีก” บุษยะเอ่ย

“ผู้เป็นมหาเทพนั้นเป็นเทวาชั้นสูงสุด สามารถเนรมิตแขนมากกว่าสอง สองแขนที่เจ้าเห็นนั้นก็มีไว้กอดเจ้า...แบบนี้” ตรัสจบ พระผู้สร้างทรงรวบร่างบางที่หมายปองแต่แรกเข้ามาสวมกอดไว้อย่างเนียนๆ

“แล้วพระกรที่ถูไถไปตามขาของข้าเล่าไว้ทำอะไร?” บุษยะถามต่อ พระผู้สร้างอยากจะเป็นลมล้มพับไปกับคำถาม ความเป็นเทพช่างสงสัยของบุษยะ

“เอาไว้เจ้าโตกว่านี้เจ้าก็จะเรียนรู้ไปเอง ถึงเพลานั้นเจ้าอาจจะกลัวแขนของข้าที่อยู่ด้านล่างก็เป็นได้”

“บัดนี้กายข้าก็โตแล้ว ยังรับรู้มิได้อีกหรือ...” ถามไปด้วยความสงสัยแต่ก็ทำเอาพระผู้สร้างแทบจะตรัสหาคำตอบมาให้มิได้เช่นกัน

“เอาเถิดน่า...อย่าเพิ่งล่วงรู้ตอนนี้เลย แต่ที่แน่ๆ เพลานี้ข้าจักตบรางวัลงามแก่เจ้าที่ทำให้ข้าพึงใจยิ่งนัก”

“รางวัลคืออะไร?”

“รางวัลคือสิ่งที่ข้าจะมอบให้ผู้ที่ทำให้ข้าพึงพอใจ และนี่คือรางวัลของเจ้า”

“…ฟอด…” พระผู้สร้างตรัสแล้วก็ก้มลงหอมปรางเนียนนิ่มฟอดใหญ่  ทำเอาบุษยะนะนั้นใจเต้นระรัว…นี่หรือคือรางวัล...แต่ทำไม...ทำไม

‘ทำไมใจข้า...ถึงได้สั่นไหวเยี่ยงนี้ด้วย ทำไมรู้สึกดี นั้นข้าก็ควรจะให้รางวัลเป็นการตอบแทนที่พระองค์ทรงพระราชทานชื่อให้เช่นกัน’…

“ถ้าอย่างนั้น…ข้า..า..จักให้รางวัลแก่พระองค์บ้าง…” ด้วยนึกตอบแทนคุณและอยากให้พระผู้สร้างทรงพอพระทัย คนงามจึงอยากให้รางวัลแก่มหาเทพบ้าง คนที่ได้ฟังก็แปลกใจมิใช้น้อย อะไรของเจ้าเทพเด็กน้อยที่เพิ่งโตนี่ จะให้รางวัลอะไรแก่เรา

 บุษยะเขย่งปลายเท้า ยื่นใบหน้าเข้าหอมพระปรางของพระผู้สร้าง แล้วยิ้มให้ จากนั้นก็วิ่งหนีด้วยทำทีว่าเล่นกลับลงไปในสระสรงน้ำอีกครา ด้วยเอ็นดูในการกระทำการล่วงเกิน พระผู้สร้างทรงแย้มพระสรวลกว้างออกมาให้ แล้วปลดภูษาที่กั้นพระวรกายออก เสด็จกลับลงไปในสระสรงน้ำอีกครั้ง หมายตามจับบุษยะที่กระทำการล่วงเกินพระองค์มาลงโทษ แต่บุษยะจะต้องทัณฑ์สถานใดกันนั้นก็มิอาจจะคาดเดา

ภาพสองบุรุษหนุ่มแหวกว่ายเล่นน้ำไล่จับกันอย่างสำราญ ในคือพระจันทร์ทรงฤทธิ์และมีเสียงหัวเราะครื้นเครง นั้นนับเป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้นในวิมานแก้วสถานแห่งนี้ ในพระทัยของมหาเทพหนุ่มเพียงดำริว่า

...นับจากนี้วิวานมานแก้วของเราจะไม่เงียบเหงาอีกต่อไปแล้ว...

...บุษยะ...

























...................................................................

มาแล้ว มาตอนพิเศษคั่นตอนหลักหวังว่าจะชอบกัน ฟินๆกันไปคู่นี้นะคะหวังว่าจะชอบกัน

พระผู้สร้างแอบหื่น

บุษยะสายแบ๊ว



ตอนนี้มาสวยๆน่ารัก ถ้าชอบก็อาจแต่งตอนพิเศษที่สองนะคะ

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณที่ติดตามนะคะ ดีใจมากๆๆเลย คอมเม้นทุกคอมเม้น คนอ่านทุกคน
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.01พิเศษ P.3 (10/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 10-04-2017 22:10:02
ทำไมมีความรู้สึกว่าเหมือนกับเสี่ยเลี้ยงอีหนูไว้เลย 55555 จะโดนตบไหมเนี่ยแต่มันเหมือนจริงนะ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.01พิเศษ P.3 (10/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 10-04-2017 22:20:12
เป็นพระผู้สร้างดูจะไม่ง่ายเลย
ไหนจะดูแลคนอื่น ไหนจะต้องคอยจัดสรรเวลาให้เมียอีกสาม (ในบทนี้แอบคิดไม่ได้ว่ามีเมียเหมือนมีภาระมากกว่ามีไว้สำราญ ยิ่งเมียมากกว่าหนึ่งนี่ยิ่งน่าจะยุ่งเข้าไปอีก) จะว่าไปก็เหมือนจะยังละกิเลสกันไม่ได้นะ   
เรื่องกำเนิดของบุษยะนี่ชวนให้นึกถึงพวกนางเอก (ถ้าเกิดเป็นหญิงนี่พระเทวีทั้งสามต้องตาร้อนผ่าวแน่)
ว่าแต่เขายอมรับเรื่องรักเพศเดียวกันไหมนั่น

พวยพุ่ง นะคะ ไม่ใช่ โพยพุ่ง
กรรเจียก แปลว่าอะไรเหรอคะ (เรานึกว่าต้องเอามือแปะหน้าผากเสียอีก แบบเวลากลุ้มนิด ๆ)
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.01พิเศษ P.3 (10/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 10-04-2017 23:22:38
  ส่งบุษยะไปช่วยชลันธรด้วย
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.01พิเศษ P.3 (10/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 11-04-2017 08:23:17
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.07 P.3 (13/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 13-04-2017 07:53:28


สาปรัก…ทัณฑ์เทวา

Writer : Tan-Yung0209

File : 07













กิจกรรมรับน้องที่แสมสารก็ผ่านไปด้วยดี ชลันธรรู้สึกเสียดายไม่น้อยที่ไม่ได้ร่วมกิจกรรมบางกิจกรรมในวันแรกๆ กับเพื่อนๆ เลยเพราะมัวแต่นอนป่วยอยู่ ตอนนี้เขาและเพื่อนๆ กำลังกลับเข้าสู่โหมดการเรียนอย่างเต็มที่ ทั้งทำแลป และเริ่มสอบเก็บคะแนนย่อยๆ ในบางรายวิชา การเรียนนั้นมันต่างจากเมื่อครั้งตอนเป็นเด็กมัธยมจริงๆ ต้องรับผิดชอบตัวเองมากขึ้น และต้องใช้เวลาส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันในการทำกิจกรรมต่างๆ ทั้งประชุมเชียร์ ทั้งรับน้องคณะ และงานที่สนุกและเหนื่อยที่สุดคงหนี้ไม่พ้นประเพณีสู่ขวัญชาวสมุทร ซึ่งเป็นพิธีบายศรีสู่ขวัญผูกข้อไม้ข้อมือประจำสาขา และสุดท้ายคืองานเลี้ยงต้อนน้องใหม่สุดมันส์จากวงดนตรี SEAZA ของรุ่นพี่สาขาทุกชั้นปี ที่เล่นเอาทั้งน้องปีหนึ่งและพี่ปีสองหมดพลังงานไปมากโข

วันนี้เป็นวันแรกที่เข้าเรียนวิชาชีววิทยาทางทะเล หลังจากจบกิจกรรมรับน้องและยังเป็นชั่วโมงสอนของนภนต์หรือที่นักศึกษาเรียกกันว่า ‘อาจารย์นภนต์ สุดหล่อ’ อีกด้วย ทั่วทั้งห้องเต็มไปด้วยกลิ่นแป้งพับตลบฟุ้งเพราะนักศึกษาสาวๆ หลายคน ต่างก็แต่งหน้าแต่งตากันมาสุดฤทธิ์ให้สวยที่สุดเพื่อให้อาจารย์หนุ่มสุดหล่อหันมามอง ผิดกับชลันธรที่นั่งเก็บอาการตื่นเต้นไม่น้อย เพราะตั้งแต่ถูกนภนต์รุกในครั้งนั้น แม้จะไม่มีอะไรเกินเลยกันแต่พอชลันธรเห็นหน้านภนต์ขึ้นมาทีไรก็อดจะนึกถึงเหตุการณ์ในห้องพักรีสอร์ทที่แสมสารไม่ได้สักที ส่วนนาคินทร์นั้นก็นั่งใจลอย บางครั้งก็หันมามองชลันธร ภายนัยน์ตาของนาคหนุ่มนั้นหมองเศร้าขึ้นมา…จะมีก็แค่เพียงความคิดที่อยู่ในใจ ...‘นี่ข้าต้องลงมือทำร้ายท่านสินะ…คงต้องฆ่าให้ตายสินะ ท่านกนธีถึงจะพอใจในตัวข้า’...

“เออ พวกมึงรู้หรือยังวะ ว่าสาขาเราจะมีเด็กซิ่วเข้ามาใหม่ว่ะ” เสียงของ ‘กัส’ เพื่อนหัวโจกประจำรุ่นพูดกับเพื่อนพ้องในกลุ่ม กลายเป็นว่าทั้งห้องเงียบกริบ รวมถึงชลันธรและนาคินทร์ด้วย ทุกคนต่างให้ความสนใจในสิ่งที่กัสพูด

“กัส ใครบอกนายอ่ะ แล้วเด็กใหม่ที่ว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง” น้ำเสียงที่สดใสจากชมพู่สาวสวยประจำรุ่น ดวงตานั้นเป็นประกายที่ได้ถามคำถามที่คนทั้งห้องอยากรู้

“ชมพูจ๋า...พอดีเราไปส่งงานมาเมื่อเช้า เลยได้ยินอาจารย์เขาพูดกัน ส่วนเพศนั้นเราก็ไม่รู้แต่คิดว่าเส้นใหญ่หน้าดูอยู่ๆ ก็ซิ่วเข้ามาได้กลางคันแบบนี้น่ะจ้า” กัสตอบกลับไป เพื่อนทุกคนพยักหน้าเออออเห็นด้วยกับประโยคที่ว่าเด็กใหม่เส้นใหญ่หน้าดู ส่วนชมพู่ก็เบ้ปากใส่ ใครมองก็อ่านสีหน้าหล่อนได้ว่า...รู้ไม่หมดแล้วเสือกมาบอก...

“ยัยชมพู่อย่ามาทำหน้าแบบนี้ อย่าคิดว่าเราไม่รู้ เดี๋ยวปั๊ดตดใส่หน้า ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

“กรี๊ด….ไอ้บ้านี่!!! เมื่อกี้ยังจ๊ะจ๋ากับฉันอยู่เลย เลยใครจะมาทนดมกลิ่นตดเน่าของแกไอ้ทุเรศ..!!!” ชมพูกรี๊ดใส่แล้วรีบวิ่งหนี ส่วนกัสก็วิ่งจับก้นตัวเอง ปากก็ทำเสียงปู๊ดป๊าด ไล่ตามชมพู่ เพื่อนคนอื่นก็หัวเราะให้กับการกระทำราวกับเด็กอนุบาลของหนุ่มสาวทั้งสองคน

“พีรพล วาศิณี…” แล้วเสียงเข้มที่เรียกชื่อจริงของกัสและชมพู่ก็ดังขึ้น พร้อมกับการมาของอาจารย์ณดลที่ปรึกษาที่หน้าประตูห้อง กัสและชมพู่ต่างก็รีบกลับไปนั่งที่ของตัวเอง บรรยากาศในห้องเรียนจึงเข้าสู่โหมดปกติเรียบร้อยอีกครั้ง อาจารย์ณดลเข้ามาในห้องและหยุดอยู่ตรงหน้าชั้นเรียนพร้อมกับมีนักศึกษาหนุ่มหล่อคนหนึ่งที่น่าจะเป็นเด็กใหม่ตามที่กัสบอกเดินตามหลังมา

“สาขาของเราในรุ่นนี้จะมีนักศึกษาย้ายเข้ามาใหม่เพิ่มอีกหนึ่งคนนะ อาจารย์จะให้เขาแนะนำตัวกับพวกเธอ” อาจารย์ณดลพูดเอ่ย นักศึกษาใหม่ก้าวเท้ามาด้านหน้าแล้วเอ่ยแนะนำตัวเอง

“สวัสดีครับผม ‘รพีพงศ์ อธิพัฒน์เดชากร’ เรียกสั้นๆว่า ‘พี’ ก็ได้ครับ ผมเพิ่งย้ายเข้ามายังไงก็ฝากตัวด้วยครับ” เสียงทุ้มเอื้อนเอ่ยวาจาออกมาจากปากกระจับสีแดงรับกับจมูกโด่งเป็นสันสวย สายตาหวานเจ้าเสน่ห์ที่ใครเห็นก็ต้องหลงใหลจนยอมขึ้นเตียงไปโดยง่าย เรียกง่ายๆ ว่า ‘หล่อทำลายล้าง’ ได้เลยทีเดียว และตอนนี้ดวงตาแสนเสน่ห์คู่นั้นก็กำลังจ้องไปที่ชลันธรอยู่และเหมือนคนที่ถูกจับจ้องจะรู้ตัวจึงรีบหันหน้าหนีไปทางอื่น

‘อะไรกันความรู้สึกแบบนี้...’ ชลันธรเอามือทาบหน้าอก

“ฝากใจด้วยก็ได้นะ….ฮิ้ว~” มาวันแรก รพีพงศ์ก็โดนสาวชมพู่และกลุ่มเพื่อนผู้หญิงที่รวมใจกันพูดประโยคนี้พร้อมกันแซวขึ้นมา

“เฮ้ย!! พีเราลืมบอกว่าห้องนี้มีแรด!!! เดี๋ยวมาเอายันต์กันแรดที่เราได้ว่ะเพื่อน” กัสตะโกนบอกด้วยท่าทีกวนๆ แถมยังเรียกเสียงฮาได้อย่างดี

“ไอ้กัส มึงว่ากูอ้อร้อ ไอ้ผี ไอ้เบล่อ!!! แม่ม(ไอ้กัส มึงว่ากูแรด ไอ้ผี ไอ้บ้า แม่ง)” สำเนียงทองแดงจากภาษาถิ่นฐานภาคใต้ของสาวชมพู่หลุดออกมาอย่างขาดสติ เมื่อรู้ว่ากัสพูดกระทบเธอและพวกพ้อง

“มึงแหลงไหรอีชมพู่ กูฟังช่ายโร้เรื่อง...(มึงพูดอะไรอีชมพู่ กูฟังไม่เห็นรู้เรื่องเลย)” หนุ่มใต้อย่างกัสที่พยายามปกปิดภาษาถิ่นของตัวเองมาโดยตลอดที่อยู่กรุงเทพ แต่ก็หลุดตอบออกมาเช่นกัน  เล่นเอาเรียกเสียงหัวเราะเฮฮาจากเพื่อนในชั้นเรียนอย่างครึกครื้นรวมถึงรพีพงศ์ที่อยู่หน้าห้องด้วยเช่นกัน

“หยุด!! พอกันทั้งคู่ รพีพงศ์ไปนั่งได้ ส่วนคนอื่นๆ ก็ช่วยดูแลเพื่อนด้วยอย่าให้มีปัญหา” อาจารย์ณดลพูดต่อ รพีพงศ์ก็ตรงดิ่งไปนั่งที่เก้าอี้เรียนข้างๆ กับชลันธรที่ว่างอยู่โดยไม่คิดจะลังเล

“เอาล่ะ เตรียมตัวเรียนกันได้แล้ว อ่ะ!! อาจารย์นภนต์มาพอดีเลย เชิญครับ” อาจารย์ณดลเดินออกจากห้องไป แล้วอาจารย์สุดหล่อขวัญใจสาวๆ ก็เดินเข้ามา นภนต์เหลือบมองไปที่ชลันธร ร่างบางพอได้เห็นหน้าตนก็แก้มแดงขึ้นมาก็นึกยกยิ้มแต่พอชายตามองใกล้ๆ ชลันธรแล้วนั้นนอกจากนาคินทร์แล้วอีกด้านหนึ่งก็ยังมี…

“สวัสดีครับอาจารย์ผมรพีพงศ์ครับ เป็นนักศึกษาที่เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่” ฝ่ายที่ถูกโดนจ้องก็ลุกขึ้นยืนแล้วแนะนำตัวกลับไปพร้อมกับรอยยิ้ม…ยิ้มที่เหมือนน้ำผึ้งอาบยาพิษ

“เพิ่งมานี่เอง ผมก็นึกตกใจว่าผมตาฝาดเห็นวิญญาณในห้องเรียน” นภนต์เอ่ย นักศึกษาคนอื่นๆ ถึงกับกลั้นขำกับมุกตลกร้ายที่ความจริงคือการหลอกด่าแบบเนียนๆของนภนต์ แต่แล้วรพีพงศ์ก็ยอมนั่งลงไม่ริจะตีฝีปากต่อ

“เอาล่ะครับนักศึกษา วันนี้เราจะมาเรียนรู้เรื่องสัตว์ที่มีพิษในท้องทะเลกัน” อาจารย์หนุ่มเปิดประเด็นหัวข้อที่เรียน นักศึกษาทุกคนก็ตั้งอกตั้งใจฟังเรื่องที่อาจารย์หนุ่มจะพูดต่อไปนี้

“เราจะเริ่มกันที่ปลาแมงป่องนะครับ ปลาแมงป่องนั้นจะใช้ชีวิตอยู่ตามพื้นทะเลในการพรางตัวจนกลมกลืนไปกับสิ่งแวดล้อมและนอนรอเหยื่อที่เข้ามาใกล้แล้วจึงซุ่มโจมตี มันเป็นนักพรางตัวอันยอดเยี่ยมซะจนเหยื่อไม่รู้ว่าอะไรได้เข้าทำร้ายจนเมื่อสายไปเสียแล้ว นอกจากการพรางตัว ปลาแมงป่องนั้นก็ยังมีกระดูกสันหลังที่มีพิษอีกด้วย มันจะยื่นออกมาจากหลังอย่างในภาพที่เห็นนะครับ หากว่าจิ้มโดนศัตรูก็จะตกเป็นเหยื่อด้วยเช่นกัน” นภนต์อธิบายแล้วเปิดภาพสไลด์ขึ้นหน้าจอโปรเจคเตอร์ประกอบการสอน

“สวัสดีชื่ออะไรกันบ้าง?” รพีพงศ์เอ่ยถามชลันธรที่นั่งด้านข้าง ทั้งที่เพื่อนๆ คนอื่นกำลังตั้งอกตั้งใจฟังในสิ่งที่นภนต์พูด

“เราชื่อลัน ส่วนนี่นาคินทร์เพื่อนเราหรือเรียกสั้นๆ ว่าคินทร์ก็ได้” ชลันธรตอบกลับพร้อมแนะนำเพื่อนสนิท รพีพงศ์ยิ้มให้ชลันธรและนาคินทร์ที่เหมือนจะหลบหน้าไม่ยอมสู้หน้าเขา

“ผมขอเป็นเพื่อนพวกคุณได้ไหม?” รพีพงศ์พูดต่อพร้อมยืนแขนโอบหลังเก้าอี้ของชลันธรแบบเนียนๆ การกระทำทั้งหมดตกอยู่ในสายตาของนภนต์ทั้งหมด

“อืม...ได้สิ” ชลันธรยิ้มให้ตามประสาคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ดี อีกทั้งชลันธรรู้สึกถูกชะตากับรพีพงศ์เป็นอย่างมาก ผิดกับนาคินทร์ที่พยักหน้าและคอยหลบสายตาที่ร้อนแรงราวกับไฟเผานาคินทร์รู้สึกกลัวเจ้าของสายตาคู่นี้

“ตรงนั้นหยุดคุยก่อนนะครับ”

เทพหนุ่มได้ยินและสังเกตพฤติกรรมของรพีพงศ์ที่พยายามคุยกับชลันธรจึงพูดขัดจังหวะ รพีพงศ์เองก็พอที่ได้ยินก็ขัดใจไม่น้อยแต่ก็ฝืนคุยต่อไม่ได้ จึงได้แต่นั่งนิ่งๆ เรียบร้อยเช่นเดียวกับชลันธรที่ก้มหน้านิ่งด้วยความสำนึกผิด พอเห็นว่าหยุดคุยกันแล้ว นภนต์ก็อธิบายเรื่องสัตว์ทะเลมีพิษชนิดอื่นต่อ ทั้งงูทะเลลาย ปลากระเบนหางสั้นและอื่นๆ

“เอาล่ะเรื่องที่เราเรียนวันนี้เป็นเรื่องที่นักศึกษาทุกคนต้องกลับไปทบทวนนะครับ เพราะผมจะออกข้อสอบเรื่องนี้ด้วยประมาณ 10 ข้อ ตอนนี้ก็พอมีเวลาเหลืออยู่ นักศึกษาคนไหนไม่เข้าใจส่วนไหนบ้าง สามารถซักถามได้นะครับ” นภนต์เปิดโอกาศให้ผู้เรียนถาม แต่นักศึกษาทุกคนก็นั่งเงียบเป็นคำตอบว่าเข้าใจในเนื้อหาที่ตัวเองนั้นสอน

“อืมพอดีว่า ผมมีเรื่องแจ้งอีกเรื่อง คาบเรียนในสัปดาห์หน้าผมจะให้พวกเราไปรวมตัวกันที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำของคณะเรานะครับ พอดีว่าโซนสัตว์ทะเลมีพิษนั้นสร้างเสร็จพอดี พวกเราจะเป็นกลุ่มแรกที่จะได้เข้าไป” นภนต์เอ่ย

“พวกเราไปประเดิมเลยเหรอครับอาจารย์ กลัวพิพิธภัณฑ์ถล่มจังเลยครับ” สิงห์นักศึกษาชายเพื่อนในกลุ่มของกัสเอ่ยขึ้น แล้วก็หัวเราะเองแต่เพื่อนๆ กลับเงียบกริบ แล้วก็มาขำกันทีหลังกับมุกตลกแสนแป๊กของสิงห์

“พวกเราคงไม่เป็นตัวกาลกิณีขนาดนั้นหรอกมั้ง เราไม่ใช่เจ้าของเพจดังไก่สีเหลืองนะ” ส้มซ่า นักศึกษาหญิงอีกคนก็ย้อนสวนกลับ

“เอาล่ะๆ สรุปว่าทุกคนเข้าใจและรู้กันแล้วนะว่าอาทิตย์หน้าเราจะเข้าพิพิธภัณฑ์กัน ถ้าอย่างนั้นก็…”

“เดี๋ยวก่อนค่ะอาจารย์ อย่าเพิ่งเลิกชั้นเลย ไหนๆเวลาก็เหลือตั้งเยอะหนูอยากรู้เรื่องความรักครั้งแรกของอาจารย์เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ” ชมพู่สาวสวยเผ็ดประจำห้องก็พูดขอให้นภนต์เล่าประสบการณ์ความรัก ซึ่งเรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดจากนักศึกษาสาวแท้ สาวเทียมในชั้น อยากจะรู้เพื่อนำไปศึกษาข้อมูลเตรียมพร้อมจีบอาจารย์หนุ่มต่อไป

“ชมพู่เผือกเรื่องของอาจารย์มากไปไหม?” กัสเอ่ย ทำเอาสาวใต้จอมมั่นอย่างชมพู่หันขวับ ตาก็จ้องกัสจนแทบออกจากเบ้า

“ไม่เป็นไรหรอกพีรพล ผมจะเล่าให้ฟังก็ถือซะว่าเป็นข้อคิดหนึ่งให้กับพวกเราก็แล้วกันนะครับ” นภนต์พูดออกมาอย่างใจเย็น และทุกคนก็เงียบเพื่อที่จะรอฟังเรื่องราวที่นภนต์จะเล่า รวมถึง ชลันธรที่อยากรู้เรื่องความรักของคนรักของตนในอดีตด้วย

“รักครั้งแรกของผมมันคือเรื่องบังเอิญ ในตอนที่ผมกำลังนั่งอยู่ในบ้านของผมอยู่ดีๆ แล้วจู่ๆ ก็มีคนวิ่งทะเล่อทะล่าเข้ามาในสวน...” อาจารย์หนุ่มพูดไปก็อมยิ้มเขินๆ แล้วก็ก้มหน้าอายนิดๆ

“ตอนแรกผมคิดว่าเขาเป็นหัวขโมยเลยออกไปจัดการจนเขา ก็ได้แผลไปนิดหน่อย แล้วจากนั้นเราก็ยืนเถียงกันสักพัก จนมีกลุ่มคนมาโหวกเหวกแถวหน้าบ้านผม ตอนนั้นคนที่ผมคิดว่าเขาเป็นขโมยจริงๆ แต่เขาก็มาอ้อนวอนขอซ่อนตัวหลบในบ้านของผม ผมก็เห็นใจเลยช่วยไกล่เกลี่ยจึงได้รู้ว่าคนคนนี้หนีเที่ยวทำนิสัยเป็นเด็กๆ คนของเขาเลยออกตามหา”

“โหย…ดูเขาเป็นคนแสบซนมากแน่ๆ เลยนะคะอาจารย์” ชมพู่พูดเสริม

“ใช่ เป็นอย่างที่เธอบอก เขาแสบซนและดื้อมาก ตัวเขาสารภาพกับผมว่าที่ต้องหนีเพราะอยากท่องเที่ยวก่อนจะไม่มีโอกาสและอยากไปไหนมาไหนเองบ้าง โตขนาดนี้ที่บ้านยังส่งคนมาคุม ผมก็เลยเสนอว่าทุกๆ อาทิตย์ผมเป็นคนจะพาเขาไปเที่ยว เขาก็ดีใจมาก กลายเป็นว่าทุกๆ อาทิตย์เขาจะไปเที่ยวกับผมและเราก็เจอกันบ่อยขึ้นจนเกิดความรักและตกลงคบหากัน”

“ดูเหมือนความรักจะหวานชื่นดีนะครับแล้วตอนนี้อาจารย์กับเขาเป็นยังไงบ้างครับ”

“เราเลิกกันแล้ว…มีมือที่สามเข้ามาแล้วก็เขามีปัญหากับครอบครัวผม” นภนต์เอ่ยด้านน้ำเสียงราบเรียบ แต่ฝ่ามือหนาด้านล่างนั้นกลับกำหมัดแน่นข่มอารมณ์คุกกรุ่นที่เขาได้ทับถมไว้ในภายใจแต่สายตาก็จ้องมองไปที่โต๊ะของชลันธร จนชลันธรสะดุ้งและคิดว่านภนต์คงฝังใจและกลัวว่าตนจะนอกใจจึงมีแววตาน่ากลัวอย่างนี้

“เวลาพวกเธอคบใครก็สักคน ก็อยากดูและศึกษากันให้ดี ดูให้ลึก ดูกันให้นานๆ บางคนหน้าตาดี หน้าตาเรียบร้อยแต่กลับทำตัวร้ายกาจอย่างไม่น่าให้อภัย… อือ หมดเวลาพอดีเลยเลิกเรียนได้ครับ” นภนต์พูดทิ้งท้ายแล้วยกข้อมือดูเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาที่บ่งบอกเวลาว่าหมดเวลาแล้ว นักศึกษาทุกคนก็ทยอยเดินออกจากห้องเช่นเดียวกับชลันธรที่มีนาคินทร์และรพีพงศ์เดินตามหลัง

‘ตึ๊ง…’

เสียงข้อความจากโทรศัพท์มือถือของชลันธรดังขึ้น ชลันธรล้วงกระเป๋าแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจึงเปิดดูก็พบว่าเป็นข้อความจากนภนต์คนรักส่งมาให้

‘ไปรอพี่ที่ลานจอดรถใต้ตึกนะครับ’

‘ครับ’

ชลันธรยิ้มกว้างแล้วส่งข้อความกลับไป วันนี้นภนต์คงจะพาไปกินของอร่อยอีกแน่ๆ เห็นทีเขาต้องชั่งน้ำหนักบ้างแล้ว ตั้งแต่คบกับนภนต์ชลันธรก็ได้ไปกินของอร่อยแทบทุกวันและแทบทุกครั้งก็เป็นของชอบของชลันธรทั้งนั้น

“แฟนส่งข้อความมาเหรอ?” รพีพงศ์กระซิบข้างหูจนชลันธรตกใจแทบทำโทรศัพท์ล่วงหล่นลงพื้น

“ขอโทษที เราเห็นลันดูโทรศัพท์ยิ้มกว้างก็เลยถามดู”

“อือ แฟนเราส่งมา” ชลันธรตอบออกไปด้วยความเขินอาย

“เสียดายจัง ถ้าลันไม่มีแฟนเราจะจีบซะหน่อย” รพีพงศ์ทำเป็นพูดลอยๆ ขึ้นมาแต่สายตาก็เหลือบมองชลันธรไปด้วย

“เฮ้ย...พี...” ชลันธรร้องออกมาอย่างตกใจแต่เสียงก็ไม่ดังนัก แล้วส่งสายตามองกลับไปที่พีรพงศ์

“ตกใจอะไรกันลัน เราล้อเล่นน่ะ...” พีรพงศ์จำต้องตอบกลับเกลื่อนไปทั้งๆ ที่อยากได้คนข้างๆ มาแนบกายร้อนกรุ่นของเขาใจจะขาด

“เออ จะว่าไปเราไม่ได้ยินนาคินทร์พูดอะไรเลย” รพีพงศ์ที่เห็นว่าชลันธรหันกลับมาก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“คือว่าเราไม่คุยไม่ค่อยเก่งน่ะ…เอ่อ เรากลับก่อนนะพอดีว่านึกขึ้นได้ว่ามีธุระด่วน” นาคินทร์พูดจบก็รีบวิ่งออกไป นาคน้อยรู้สึกไม่ปลอดภัยทุกครั้งที่จะต้องเผชิญกับนักศึกษาคนใหม่อย่างรพีพงศ์

‘ข้าหวังว่าเจ้าจะกลับตัวกลับใจไม่คิดร้ายกับชลันธรนะ…นาคน้อยนาคินทร์’

ประโยคคำเตือนด้วยกระแสจิตแล่นผ่านเข้าโสตประสาทของนาคินทร์ ทำให้นาคินทร์ที่กำลังวิ่งอยู่ก็หยุดการเคลื่อนไหวทั้งหมด นาคน้อยหันกลับไปมองอีกครั้งก็พบว่ารพีพงศ์กำลังมองตนสายตาเรียบนิ่ง รพีพงศ์อันตรายอย่างที่คิดไว้จริงๆ...ปัญหาตอนนี้ก็คือ รพีพงศ์เป็นใคร? ทางด้านรพีพงศ์เองก็พอจะรู้ว่านาคินทร์เองก็กำลังสงสัยในตัวตนของเขาเช่นกัน แต่จะยากเสียหน่อยเพราะตนไม่ชอบเปิดเผยตัว

“ลันจะไปหาแฟนใช่ไหม? ถ้าอย่างนี้แยกกันตรงนี้เลยนะลัน” รพีพงศ์เอ่ยแล้วเดินแยกออกไป ชลันธรเองก็มองตามแผ่นหลังกว้างแล้วตั้งข้อสงสัย…รู้ได้ยังไงว่าเราไปหาแฟน

กลับมาที่รพีพงศ์พอแยกตัวจากชลันธร เมื่อเห็นว่าลับตาคนเขาก็กระโดดขึ้นไปยังดาดฟ้าของตึกสูง แสงแดดจ้าที่มาพร้อมกับสายลมแรงพัดผ่านผิวกาย รพีพงศ์เดินไปข้างหน้าทีละก้าวช้าๆ ด้วยความใจเย็น รพีพงศ์เดินไปหาบุคคลที่กำลังยืนมองท้องฟ้าคนเดียวเงียบๆ

“ขออภัยที่ทำให้ท่านต้องรอนาน ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใดจึงได้เรียกข้ามาพบ…เทพนภนต์” รพีพงศ์เอ่ย พร้อมมุมปากยกยิ้มยียวน นภนต์หันไปหาคนเรียกให้มาแล้วมอบรอยยิ้มยียวนกลับไปเช่นกัน การที่ทั้งสองได้มาเจอกันครั้งนี้ก็เพราะเทพนภนต์ส่งกระแสจิตให้เทพรพีพงศ์มาพบที่ดาดฟ้าแห่งนี้

“ข้ารอไม่นานหรอกเทพรพีพงศ์ จะว่าไปแล้วเจ้าเองก็ต้องเตรียมตัวรับการสถาปนาให้เป็นเทพพระอาทิตย์แทนบิดาของเจ้าในเร็ววันนี้มิใช้หรือ เหตุใดจึงละทิ้งแล้วลงมายังโลกมนุษย์เล่า” เทพบุตรหนุ่มเอ่ยถามเสียงเรียบ

“ข้าลงมาครั้งนี้เพื่อปกป้องชลันธร จากพวกที่จ้องทำร้ายก็เท่านั้น” เทพแห่งพระอาทิตย์ตอบ คำตอบนี้สร้างความไม่พอใจให้กับเทพนภนต์ หากแต่เทพแห่งท้องนภานั้นจำต้องเก็บความรู้สึกครุกกรุ่นเอาไว้

“ด้วยราชโองการแห่งสวรรค์หน้าที่นี้นั้นเป็นของข้า เจ้ากลับไปเสียเถิดรพีพงศ์ อันที่จริงหากเจ้าคิดปกป้องก็น่าจะลงมาช่วยชลันธรตั้งแต่สองร้อยเก้าสิบเก้าชาติที่แล้วแต่น่าแปลกเจ้ากลับคิดช่วยชลันธรในชาตินี้” นภนต์พูดเน้นเสียงให้รพีพงศ์รู้ว่านี่คือหน้าที่ของตนและเหน็บเรื่องที่รพีพงศ์ไม่ได้ลงมาช่วยชลันธรก็เพราะว่าถูกบิดากักบริเวณไว้ให้อยู่ในวิมานเพลิง

“ข้ามีเหตุจำเป็นจึงเพิ่งได้ลงมาช่วย นี่น่ะหรือวิธีการปกป้องของท่าน โดยการที่เอาชลันธรเป็นแฟนเนี่ยนะ ถึงท่านจะมีราชโองการสวรรค์จากพระผู้สร้าง แต่ข้าก็หาได้ไว้ใจด้วยท่านไม่ เสียแรงที่ข้ายอมหลีกทางไม่ยุ่งกับชลันธรในครานั้น แต่ก็อย่างว่าท่านมันหูเบาเองหาว่าข้ากับชลันธรนั้นเล่นชู้กัน แล้วยังไม่เชื่อใจชลันธรอีก ไหนจะหาว่าไปวางยาพิษมารดาท่าน…รักกันกลับไม่เชื่อใจกัน ข้าล่ะสงสารชลันธรยิ่งนักที่หลงรักคนอย่างท่าน ข้าเองก็รู้แจ้งแก่ใจท่านดีว่าท่านกำลังคิดทำการอันใดอยู่...” ผู้สืบทอดเผ่าพงศ์สุริยะเทพกล่าวออกมา ทุกคำนั้นล้วนบาดลึกและเป็นน้ำมันราดไฟในใจของเทพนภนต์จนลุกไหม้

“เจ้า!!!!”

“อย่าเพิ่งโมโหข้า เพลานี้ชลันธรคงรอท่านอยู่ ระวังไว้นะถ้าท่านปล่อยชลันธรไว้ไกลตัวเมื่อไหร่ แล้วหากศัตรูไม่เอาตัวไป ก็จักเป็นข้านี่แหละที่จะพาตัวชลันธรไปจากท่านเอง…ครั้งนี้ข้าจะไม่หลีกทางหรือเกรงใจให้ท่านอีกแล้ว…เทพนภนต์”

รพีพงศ์พูดทิ้งท้ายแล้วก็กลายร่างเป็นกลุ่มลูกไฟและจางหายไป ทิ้งให้นภนต์ยืนขบเขี้ยวด้วยความโมโห ท้องฟ้าที่แจ่มใสไปด้วยแสงพระอาทิตย์เมื่อครู่ก็เริ่มเปลี่ยนและเต็มไปกลุ่มเฆมฝนสีดำสนิท เสียงฟ้าร้องดังสนั่นก่อนจะตามมาด้วยสายฟ้าฟาดผ่าลงมาทั้งที่ไม่มีหยาดพิรุณตกลงมาสู่พื้นพิภพแม้แต่น้อย หากนี่คืออารมณ์ของเทพผู้ควบคุมท้องนภาที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้

…‘ไม่ว่าชาตินี้ชาติไหนเจ้าก็ยังจะมาเป็นมารผจญสำหรับข้า…รพีพงศ์’…





























...................................................

ตอนนี้ไม่มีอะไรมากนะจ๊ะ แค่เปิดตัวผู้ชายปริศนา

มาแล้ว มาแล้ว เราพอจะรู้แล้วว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร คราวก่อนก็เป็นตัวแทรกความสัมพันธ์ท่านนภนต์กับท่านชลันธร มาชาตินี้มีแวว่าจะเป็นเช่นเดิม อีกอย่างถึงรพีพงศ์จะยศน้อยกว่านภนต์แต่กล้าที่จะฉะนะจ๊ะ อ่อ นางมากับไฟ นางพร้อมเผา

ส่วนพี่นภนต์ถ้าไม่รู้ใจตัวเองมีหวังโดนรพีพงศ์เสยน้องลันไปกินแน่



สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมาเม้นมาถูกใจและชื่นชอบนะคะ

ป.ล. ขอบคุณที่มอบความรักให้หนูบุษและคนหื่นพริษฐ์
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.07 P.3 (13/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 13-04-2017 11:52:03
 :L2: :pig4: :3123:

(((พระบรมเทวราชโองการ )))
 ๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙
พระสุรเสียงของ(((มหาเทพ)))พระองค์หนึ่งที่กำลังจะกลายเป็นอดีตพระผู้สร้าง พระองค์ทรงป่าวประกาศ(((ราชโองการ)))
๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙

พระสุรเสียงของ(((มหาเทพ)))พระองค์หนึ่งที่กำลังจะกลายเป็นอดีตพระผู้สร้าง พระองค์ทรงป่าวประกาศ(((พระบรมเทวราชโองการ )))












หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.07 P.3 (13/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 13-04-2017 12:10:14
ขอขอบคุณคำแนะนำนะคะและความคิดเห็นทุกความคิดเห็นนะคะ จะได้เป็นความรู้และนำไปใช้พัฒนางานเขียนต่อๆไป
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.07 P.3 (13/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 13-04-2017 13:16:10
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.07 P.3 (13/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 13-04-2017 14:21:44
มือที่สามเหรอ?
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.07 P.3 (13/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 13-04-2017 18:05:57
เทพรพี เป็นตัวกระตุ้นเทพนภนต์สินะ 555
  รออ่านต่อ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.07 P.3 (13/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 13-04-2017 20:32:18
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.07 P.3 (13/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 13-04-2017 21:47:05
พระเอกมาแล้วตัวร้ายไปไกลๆเลย
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.07 P.3 (13/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 14-04-2017 09:32:59
ชอบผู้ชายร้อนแรงค่ะ 55
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.07 P.3 (13/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: pare_140 ที่ 14-04-2017 21:50:02
 o13
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.07 P.3 (13/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: BloodyBlue ที่ 14-04-2017 23:09:46
 :ling1:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.07 P.3 (13/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 14-04-2017 23:29:16
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.07 P.3 (13/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 15-04-2017 08:38:36
 :pig4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.07 P.3 (13/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: armize ที่ 15-04-2017 09:44:06
ชอบแนวนี้.
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.08 P.3 (17/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 17-04-2017 10:51:22
สาปรัก…ทัณฑ์เทวา

Writer : Tan-Yung0209

File : 08













ตึกสำนักหอสมุดของมหาวิทยาลัยเป็นตึกสูงสี่ชั้นขนาดใหญ่ ภายในตึกแต่ละชั้นมีหนังสือจำนวนมากถูกจัดวางเรียงเป็นระเบียบเป็นหมวดหมู่ตามเลขหมู่หนังสือ สามารถสืบค้นด้วยระบบการค้นหาที่ทันสมัย นักศึกษาต่างก็เลือกหยิบหนังสือที่สนใจมาอ่าน ทั้งงานวิชาการ หรือนวนิยาย นิตยสาร วรสารต่างประเทศทั้งใหม่และเก่า  แถมยังมีหนังสืออ้างอิงจำนวนมากมายที่ให้นักศึกษาได้ใช้ค้นคว้าเป็นข้อมูลในการทำรายงาน… หรือจะเป็นวิทยานิพนธ์ของรุ่นพี่  ด้วยอากาศที่เย็นฉ่ำสบายจากเครื่องปรับอากาศนักศึกษาบางคนก็เข้ามานอนหลับหลบอากาศร้อนภายนอกในตู้อ่านหนังสือส่วนตัว

…วันนี้หนุ่มน้อยปีหนึ่งหน้าหวานทั้ง 2 ชลันธรและนาคินทร์ก็เข้ามาเตรียมทำรายงานอยู่ในสำนักหอสมุดมหาวิทยาลัยแห่งนี้เช่นกัน จะขาดแต่ก็เพื่อนชายสุดหล่อที่เพิ่งจะซิ่วย้ายสาขามาอย่างรพีพงศ์ที่ไม่รู้มัวแต่ทำอะไรอยู่ ยังชักช้าไม่มาตามเวลาที่นัดกันไว้ 

“รายงาน การบ้านเยอะขนาดนี้ กะว่าเสาร์อาทิตย์จะไม่ให้ได้พักเลยหรือไงเนี่ย?”  ชลันธรบ่นอุบเพราะเขาต้องยกเลิกเดทกับนภนต์ไปเพราะรายงานพวกนี้ ทั้งๆ ที่ชลันธรอยากอยู่กับนภนต์ในช่วงวันหยุดมากกว่า ถึงจะบ่นอย่างไรก็ต้องทำงานอยู่ดี ชลันธรมองกองงานและหนังสือที่วางอยู่ตรงหน้าทั้งงานเดี่ยวและงานกลุ่ม เรียกได้ว่าชลันธรเลือกไม่ถูกเลยว่าจะเริ่มงานชิ้นไหนก่อน

“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะลัน ไม่เอาน่า...เรารู้นะว่าวันหยุดนี้ลันอยากจะอยู่กับอาจารย์นภนต์ใช่ไหมล่ะ นี่เราก็ไม่คิดเลยว่าเพื่อนเราที่คงแก่เรียนอย่างลันจะติดแฟนเป็นเหมือนกัน ” นาคินทร์พูดเล่นแซวชลันธร แต่เริ่มมสายตาดุๆ ส่งมาให้กับนาคินทร์

“นี่...ไม่ต้องมาแซวเราเลย อย่าให้เรารู้นะว่าแฟนคินทร์เป็นใครเราจะล้อให้อายไปเลย”

“โหย…มีเอาคืนเราด้วย…?  ขอบอกเลยนะ ว่าลันน่ะไม่มีทางได้ล้อเราแน่นอน ฮิฮิ” นาคินทร์ยิ้มกว้างยิ่งทำให้ชลันธรหมั่นไส้ยิ่งขึ้นไปอีก

“นี่คินทร์ก็ไม่ใช่ว่าหน้าตาไม่ดีซะที่ไหน ถ้าเราไม่เจอพี่นภนต์เราอาจจะจีบคินทร์ก็ได้นะ  ฮิฮิ หรือว่าเราจะช่วยให้พีคบกับคินทร์ดีเอาไหม เราเห็นแอบมองกันบ่อยๆ ไม่ใช่เหรอ พีเขาเป็นหนุ่มฮอตนะ นี่ถ้าลงประกวดเดือนมหาลัย รับรองคนที่เป็นเดือนวิศวะปีนี้ไม่ได้เป็นเดือนมหาลัยแน่ๆ”

“เฮ้ยนี่...ลันพูดอะไร...ไม่เอา...นะจะบ้าเหรอ...” นาคินทร์ตาโตพอได้ฟังความคิดจับคู่ของชลันธร

 “ฮึ...แล้วก็อย่าคิดนะว่าเราจะไม่รู้ว่าคินทร์แอบซ่อนใครไว้ที่หออะ” ชลันธรยกยิ้มมุมปาก นาคินทร์ถึงกับหน้าซีดทำให้ยิ้มกว้างเมื่อครู่จางหายไปในทันที ...นี่หรือว่าความทรงจำของ ชลันธรจะกลับมาแล้วและมีอำนาจล่วงรู้ว่ากนธีมาหาตนทุกวัน...

“ลันพูดบ้าอะไรอีกแล้ว... เราไม่มีใครซ่อนไว้เสียหน่อย” นาคินทร์ยืนกระต่ายขาเดียว ถ้าเขาคิดไม่ยอมรับเสียอย่างชลันธรจะทำอะไรเขาได้

“ไม่เห็นต้องตกใจขนาดนี้เลย เราแค่เดาเอาก็เท่านั้น ก็เราสังเกตเวลาเลิกเรียนคินทร์ชอบกลับหอทันทีไม่เห็นว่าแวะไปไหน?  ก็เลยคิดว่าคินทร์แอบซุกแฟนไว้ที่หอน่ะสิ” ชลันธรเอ่ย นาคินทร์ก็โล่งใจขึ้นมาเพียงเล็กน้อย เพราะเพียงสันนิฐานเอาก็เท่านั้นแต่มันดันตรงกลับความจริง

“ว่าแต่เรา...ลันเองก็ชอบกลับบ้านเร็วเหมือนกันนั่นแหละ หรือว่าย้ายไปอยู่กับอาจารย์นภนต์แล้ว” นาคินทร์ล้อชลันธรอีกครั้ง  แต่คราวนี้ร่างบางกลับรีบลุกมาปิดปากของนาคินทร์อย่างรวดเร็ว

“คินทร์เบาๆ หน่อยสิ เดี๋ยวคนอื่นได้ยิน ทั้งเราทั้งอาจารย์นภนต์จะแย่เอานะ” ชลันธรพูดเสียงเบาๆ แต่ดุ นาคินทร์พยักหน้าเชิงเข้าใจในสิ่งที่พูด ชลันธรจึงละมืออกจากปากนิ่มของนาคน้อย

“นี่ก็คบกันมาได้สักพักแล้ว  ลันมีอะไรกับอาจารย์นภนต์แล้วหรือยังอะ...” คำถามที่ไม่น่าถามเท่าไหร่หลุดออกมาหลังจากที่นาคินทร์ถูกเปิดปาก  ทำเอาชลันธรต้องปิดปากเพื่อนรักอีกครั้ง

“นี่คินทร์...ถามอะไรแบบนี้...เราก็อายเป็นเหมือนกันนะ”

“ก็เห็นคบกันสักพักแล้ว ตอนไปแสมสารก็นอนด้วยกันทุกคืนแล้วตกลงมีอะไรกันหรือยังล่ะ” นาคินทร์ถามเสียงทะเล้น จนชลันธรหน้าแดงแจ๋

“ยังหรอก เราไม่ยอมพี่นภนต์ซะอย่างก็ทำอะไรเราไม่ได้...” ชลันธรพยายามตีหน้านิ่งตอบกลับไป ทั้งที่ความจริงทั้งสองก็ถึงขั้นสำเร็จความใคร่ภายนอก

“นี่แสดงว่าอาจารย์นภนต์พยายามเข้าพระเข้านางแล้วสิ  แต่นางเอกของเรากลับไม่ยอม...” นาคินทร์ยกยิ้ม ชลันธรถึงกับชะงักไม่คิดว่าคำตอบของตัวเองเมื่อครู่จะกลับมาทำร้ายเขาเสียได้

“พอเลยเราไม่คุยกับนาคินทร์แล้ว...ไปหาหนังสือทำมารายงานดีกว่า...” ชลันธรเปลี่ยนเรื่องคุยก่อนจะลุกออกจากเก้าอี้เพื่อจะไปหาหนังสือตามที่ตนได้จดเอาไว้

 ‘หมับ...’

“ใครอะ…เอามือออกเดี๋ยวนี้นะ” ชลันธรที่มัวคุยกับนาคินทร์และหยิบกระดาษเอกสารบนโต๊ะก็ไม่ทันระวังตัวเลยโดนมือหนาคู่หนึ่งปิดตาทั้งสองข้างจากด้านหลัง เจ้าของมือนั้นขยิบตาให้นาคินทร์เป็นการส่งสัญญาณว่าห้ามบอกชลันธร ซึ่งนาคินทร์ก็ยิ้มออกมาถึงแม้ในใจจะกลัวเพื่อนที่มาใหม่ก็ตาม จะพูดเสียงดังก็ไม่ได้เพราะนี้อยู่กันในห้องสมุดที่ต้องการความเงียบ

“คินทร์ช่วยเราหน่อยสิ” ชลันธรพูดอ้อนเพื่อนตัวเล็กให้ช่วย ไม่ว่าจะพยายามแกะมือปลาหมึก หรือหยิกแขนเจ้าของมือที่กลั่นแกล้งแต่ก็ไม่สำเร็จ มือนั้นยังคงปิดแน่น พร้อมกับอารมณ์สนุกสนานของคนที่ปิดดวงตาคู่สวย

“ขอโทษนะลัน เราช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ” นาคินทร์ตอบไปเพราะไม่สามารถช่วยอะไรได้จริงๆ ด้วยสายตาคมของคนที่กำลังแกล้งนั้นน่ากลัวเหมือนมีเปลวไฟซ่อนอยู่ภายใน ชลันธรหน้าบูดทันที มือบางที่คอยหยิกคอยแกะมือคนมาใหม่ก็ทิ้งลงข้างตัวแล้วเอามากอดอก

“ถ้านับหนึ่งถึงสามไม่ยอมเอามือออกละก็ ก็ปิดให้แน่นแล้วอย่าเอาออก ถ้าเอาออกโดนดีแน่” ชลันธรเอ่ยเสียงเรียบบ่งบอกว่าให้อีกคนรับรองว่าเริ่มไม่พอใจแล้ว

“หนึ่ง….สอง….สา..”

“ปล่อยแล้วๆ…”

รพีพงศ์รีบเอามือที่ปิดไว้ออกจากตาของชลันธร ไม่ว่าจะเป็นอดีตหรือตอนนี้ เวลาชลันธรไม่พอใจก็มักจะประชดประชันแบบนี้เสมอ จนรพีพงศ์อดยิ้มออกมาไม่ได้ ผิดกับชลันธรที่หน้านิ่งๆ ปากขบเม้มบ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังงอนนิดๆ ปกติถ้าไม่สนิทชลันธรจะไม่แสดงท่าทางว่ากำลังงอนให้ใครเห็นแต่กับรพีพงศ์ที่สนิทกันอย่างรวดเร็วนั้นชลันธรรู้สึกผูกพันอย่างประหลาด

“มาสายแล้วยังขี้แกล้งอีก…” ชลันธรเอ่ย วันนี้เป็นวันที่ตนนัดทำงานกลุ่มสมาชิกก็มีเขา นาคินทร์และรพีพงศ์

“ขอโทษนะลัน ผมขอโทษ ไม่งอนนะครับ นี่ผมซื้อช็อกโกแลตมาฝากทั้ง 2 คนด้วยเห็นไหม...” รพีพงศ์กล่าวคำขอโทษเสียงทะเล้น ก่อนจะวางกระเป๋าและเลื่อนเก้าอี้นั่งลงระหว่างชลันธรและนาคินทร์ เขาหยิบขนามหวานนำเข้าจากต่างประเทศสุดแพงออกมาให้เพื่อนทั้ง 2

“แค่นี้ยังไม่หายงอนนะ ถ้าอยากให้หายงอน พีกับคินทร์ต้องไปหาหนังสือมาทำรายงานเลย เราจดหนังสือที่จะใช้ให้หมดแล้ว” สมกับเป็นเด็กเรียน ก่อนหน้านี้ระหว่างที่รอรพีพงศ์ ชลันธรก็จดหนังสือที่ใช้หาข้อมูลทำรายงานแต่ครั้งนี้เขาไม่ต้องออกไปหาเอง

“ทำไมเราต้องไปด้วยล่ะ?” นาคินทร์ถาม หัวใจก็เต้นแรงด้วยความกลัว…นาคินทร์กลัวที่จะต้องออกไปหาหนังสือกับรพีพงศ์

“โทษฐานร่วมมือกัน…ไปเลย” ชลันธรตอบมือก็กอดอกใบหน้าสวยหันไปทางอื่น ท่าทางไม่ต่างกับเด็กสามขวบแสนงอนที่กำลังต่อรองกับพ่อแม่

“ก็ได้ๆ ผมกับคินทร์เราสองคนจะไปหาหนังสือกัน แต่กินช็อกโกแลตของผมด้วยนะจะได้อารมณ์ดี...” รพีพงศ์เอ่ย มือหนึ่งก็คว้ากระดาษโน๊ตจากชลันธรอีกมือก็คว้าข้อมือของนาคินทร์เอาไว้แล้วลากออกไปโดยไม่ได้สนใจว่าคนที่ถูกลากนั้นจะเจ็บข้อมือหรือไม่

“พี ปล่อยข้อมือเราเถอะเราเดินเองได้” นาคินทร์บอกกับร่างสูงน้ำเสียงปกติทั้งที่รู้สึกร้อนผ่าวตรงข้อมือที่รพีพงศ์กำลังจับ อีกทั้งรพีพงศ์พานาคินทร์เดินไปยังชั้นวางหนังสือที่อยู่ด้านหลังสุดติดกับผนังด้านหนึ่งซึ่งจุดนั้นเป็นมุมอับซึ่งไร้ผู้คน

‘ไม่ปล่อย...’

นาคินทร์แทบไม่เชื่อตัวเอง ร่างบางหยุดนิ่งเหมือนกับตกอยู่ในภวังค์ เขาได้ยินเสียงที่รพีพงศ์เอื้อนเอ่ยผ่านกระแสจิตและที่น่าตกใจไปกว่านั้นเสียงนี้ก็เป็นเสียงเดียวที่มาเตือนนาคินทร์เรื่องชลันธร นี่ตกลงผู้ชายตรงหน้าที่ชื่อรพีพงศ์นั้นเป็นใครกัน? นาคินทร์รับรู้ถึงอันตรายที่กำลังย่างกรายเข้ามา หากนาคน้อยอยากจะสะบัดแขนหลบหนีก็ทำได้ยากเพราะมือหนาที่ร้อนราวกับเหล็กเผาไฟบีบจับแขนเรียวจนแทบไหม้ หรือหากโวยวายไปก็เป็นจุดสนใจต่อคนอื่นๆ สุดท้ายนาคินทร์ก็ต้องปล่อยให้รพีพงศ์ลากตัวเขาไป

‘อุก..’

รพีพงศ์เหวี่ยงร่างอีกคนจนเกิดเสียงกระแทกตัวของนาคินทร์กับผนังคอนกรีต แล้วใช้แขนทั้งสองข้างยันชั้นวางเอาไว้ไม่ให้นาคินทร์หนี ตอนนี้นาคินทร์ก็ถูกกักตัวไว้ไม่ว่าจะเป็นแขนหรือด้วยตัวของรพีพงศ์ที่อยู่ตรงหน้า…ทำไห้นาคน้อยหมดหนทางหนี

“พีจะทำอะไรเรา” นาคินทร์ถามเสียงสั่น รพีพงศ์จ้องหน้าสวยที่ตื่นตระหนกราวกับลูกกวางน้อยพลัดหลงกับแม่  ถ้าตัวเขานั้นไม่ได้ยินแผนร้ายของกนธีที่ร่วมมือนาคินทร์เพื่อปองร้ายชลันธร  ชายหนุ่มคงจะเชื่อว่านาคน้อยที่หน้าตาน่ารักแสนใสซื่ออย่างนาคินทร์นั้นเป็นผู้ที่มีจิตใจดี หาใช่เป็นนาคที่ชั่วร้ายกล้าทำร้ายคนที่เขารักได้ลงคอ

“ฮึ อย่าทำเป็นกลัวข้าเลยนาคินทร์ ข้ารู้ว่าเจ้าคือใคร เผ่าพันธุ์นาคาของเจ้านั้นช่างเลือดเย็นนัก ทำเพียงแค่นี้เจ้าคงมิกลัวข้าดอก” ทุกการกิริยาที่หวาดกลัวของนาคินทร์ที่เขาเห็นนั้น แม้แต่น้ำตาที่คลอเบ้าจนชุ่มขนตายาว รพีพงศ์กลับมองว่านี่คือการเสแสร้งแกล้งทำทั้งสิ้น

“พีพูดอะไร เราไม่เข้าใจ” นาคินทร์ต้องการจะปิดสถานะตัวเองให้ถึงที่สุดจึงแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ในสิ่งที่รพีพงศ์พูดออกมา

“เจ้าเป็นพญานาคและเจ้ากำลังจะหาทางทำร้ายชลันธร” รพีพงศ์พูดเสียงเรียบก่อนจะเผยรัศมีสีแดงเพลิงออกมาชั่วขณะหนึ่ง นาคินทร์สะดุ้งตกตะลึงจนขณะหนึ่งผิวขาวเนียนแปรเปลี่ยนขึ้นเป็นเกล็ดเขียวแล้วก็จางหายไป เมื่อได้รู้ว่ารพีพงศ์นั้นเป็นเทพหาใช่มนุษย์ธรรมดาเพียงแต่ยังไม่รู้ว่ารพีพงศ์มาจากสายตระกูลของมหาเทพองค์ใดแต่ที่สำคัญไปกว่ารพีพงศ์เป็นเทพ นั่นก็คือรพีพงศ์รู้เรื่องที่เขาจ้องจะทำร้ายชลันธร

“ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้นาคินทร์ จงหยุดการการกระทำชั่วร้ายของเจ้าเสีย ถ้าเจ้ายังรักตัวกลัวตายอยู่ล่ะก็ หากเจ้าไม่หยุดข้านี่แหละจะหยุดเจ้าเอง ข้าจะจับเจ้าฉีกร่างแล้วโยนให้เหล่าครุฑรุมทึ้งกินมันเจ้าเสีย..!!! ” รพีพงศ์เอ่ยด้วยเสียบเรียบๆ แต่แสนน่ากลัวยิ่งนัก ทั้งท่าทาง น้ำเสียง หน้าตา ล้วนแสดงถึงความดุดัน เอาจริงเอาจังของผู้พูด กายบางของนาคินทร์นั้นสั่นระริกด้วยความกลัวแม้ร่างที่อยู่ตรงหน้าจะแผ่อุณหภูมิร้อนออกมา และในภายใจของนาคน้อยกลับมีความหนาวเย็นจับทั่วขั้วหัวใจ ถ้าไม่นับกนธีนี่คือบุคคลแรกที่นาคินทร์หวาดกลัวมากที่สุด

รพีพงศ์พอเห็นว่านาคินทร์แสดงอาการหวาดกลัวออกมาก็ย่ามใจ อย่างน้อยนาคินทร์ก็คงไม่ลงมือในเวลานี้ รพีพงศ์ลดแขนลงแล้วเดินออกมาปล่อยให้นาคินทร์นั่งทรุดอยู่กับพื้น ความจริงบุตรแห่งพระอาทิตย์ต้องการจะสังหารนาคินทร์เสียเลยด้วยซ้ำ แต่ต้องใจเย็นเพราะอยากที่จะสังเกตพฤติกรรมของอีกฝ่ายไปก่อน เพราะอย่างไรต้องสืบสาวหาผู้บงการคนขี้กลัวอย่างนาคินทร์นึกขึ้นแล้วก็เสียดายที่คืนนั้นที่แสมสารพระจันทร์ส่องสว่างให้เห็นเพียงใบหน้าของนาคินทร์เท่านั้น รพีพงศ์จึงไม่รู้ว่าใครคือคนที่คิดร้ายต่อชลันธร

“จะไปไหนก็ไปซะ  ไปให้พ้นหน้าข้า ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้า...”  เอ่ยปากไล่นาคน้อยไปให้พ้นๆ เพื่อที่จะได้มีเวลาอยู่กับชลันธร  ไม่ต้องพูดอะไรต่อใบหน้าซีดเซียวนั้นถึงกับลนลานหนีหนุ่มหล่อด้วยความหวาดกลัว

...‘ข้าจะปกป้องเจ้า จะไม่ปล่อยให้เจ้าเป็นอะไรไปอีกชลันธร’... รพีพงศ์สัญญากับตัวเองแล้วคิดย้อนไปถึงเหตุการณ์ตัดสินโทษของชลันธร

วิมานเทพพระอาทิตย์

“เจ้าจะไปไหนรพีพงศ์!!!”

“ท่านพ่อ…คือข้า..ข้าจะไปช่วยเทพชลันธร” รพีพงศ์ที่กำลังจะเดินทางไปยังที่ประชุมสภา

“นั้นไม่ใช่กงการอะไรของเจ้า รพีพงศ์จงกลับไปยังวิมานของเจ้าเสีย” สุริยะเทพห้ามปรามรพีพงศ์ เทพแห่งพระอาทิตย์รู้ดีว่าบุตรชายของตนนั้นรักใคร่ด้วยเทพแห่งมหาสมุทร ซึ่งเดิมทีตนนั้นก็ไม่ค่อยที่จะชอบใจนัก ซ้ำมาเป็นแบบนี้อีกก็ยิ่งจะไม่พอใจ อีกทั้งด้วยข้อหาของชลันธรร้ายแรงยิ่งนัก สุริยะเทพเองด้วยห่วงบุตรคนโตเกรงว่ารพีพงศ์นั้นจะติดร่างแหทัณฑ์เทวานี้ไปด้วย

“ข้าไม่กลับ!!! ข้าจะไปช่วยชลันธร!!!” อารมณ์หนุ่มนั้นเลือดร้อนด้วยมีรัก มิต่างจากโคทึกที่กำลังคึกพิโรธ รพีพงศ์ยังดื้อรั้นและพยายามที่จะออกไปช่วยคนที่ตนรัก

“ในเมื่อเจ้าไม่ฟังพ่อ  พ่อก็จำจะกักขังเจ้าไว้ในวิมานเพลิง!!!” สุริยะเทพก็ใช้โซ่อัคคีตวัดพันร่างของรพีพงศ์เอาไว้

“ท่านพ่อ ท่านจะทำกับข้าเยี่ยงนี้ไม่ได้ ได้โปรดเห็นใจข้าด้วย เทพมหาสมุทรไม่ผิดเขาถูกใส่ร้าย...!!!” รพีพงศ์ทั้งร้องขอและขัดขืด แต่ยิ่งดิ้นโซ่อัคคีก็ยิ่งรัดร่างแน่น เทพพระอาทิตย์ขยับโซ่อัคคีแล้วเหวี่ยงร่างของรพีพงศ์ขังไว้ในวิมานเพลิงซึ่งตั้งอยู่ที่ใจกลางพระอาทิตย์

รพีพงศ์ที่ถูกกักขังอยู่ในวิมานเพลิงจึงไม่สามารถไปช่วยคัดค้านให้กับชลันธรได้ และหลังจากที่ชลันธรถูกสาปให้ลงมาจุติยังโลกมนุษย์ รพีพงศ์ก็ต้องมาทำหน้าที่เป็นพลขับราชรถพระอาทิตย์แทนอรุณเทพผู้เป็นน้องชายฝาแฝด ที่ไปบำเพ็ญศีล ณ ถ้ำผลึกโกเมนที่เชิงเขาไกรลาส รพีพงศ์ไม่สามารถที่จะไปไหนได้ จำต้องเจ็บปวดใจอย่างถึงที่สุด เมื่อได้มองเห็นชะตาชีวิตของชลันธรในแต่ละชาติ จนกระทั่ง…

“ท่านพี่รพีพงศ์” อรุณเทพลักลอบเข้าวิมานเพลิงมาหาผู้เป็นพี่ชาย

“อรุณเทพน้องข้า นี่เจ้าครบกำหนดบำเพ็ญศีลแล้วหรือ?” รพีพงศ์แปลกใจที่เห็นอรุณเทพกลับมาก่อนกำหนด

“ที่น้องกลับมาเพราะน้องเบื่อที่จะต้องนั่งคุยกับพวกเทวาภายในถ้ำนั่นเหลือเกิน  เลยหนีกลับมาก่อนโดยที่ท่านพ่อเองก็ยังไม่ทราบ อีกอย่างน้องเองก็เห็นใจพี่ชายนัก ด้วยท่านพี่กำลังมีรัก น้องจะช่วยท่านพี่ออกจากวิมานเพลิงสถานนี้  ทีนี้ท่านพี่ก็จะได้ลงไปหาเทพชลันธร น้องจะปลอมกายเป็นท่านพี่ แล้วท่านพี่ก็จงกินเมล็ดปทุมชาติทิพย์นี่เสีย มันจะเพิ่มกำลังกาย ให้ท่านพี่ลงไปยังโลกมนุษย์ให้เร็วที่สุด” คำพูดของอรุณเทพทำให้รพีพงศ์รู้สึกปิติยินดีดั่งมีหยาดน้ำฝนทิพย์ตกลงมายังวิมานเพลิงสถานที่ไม่เคยมีหยาดฝนตกลงมาก่อน

ถึงอย่างน้อยตนก็มีน้องที่คลานตามกันมาเข้าใจ ถึงแม้จะมาช้าไปเสียหน่อยก็ตาม ร่างสูงหยิบผอบที่บรรจุเมล็ดปทุมชาติทิพย์จากมือของอรุณเทพ

“พี่ขอบใจเจ้ามากน้องรัก พี่ขอลาเจ้าไปก่อนหากกลับมาพี่จะตอบแทนเจ้าทุกสิ่งตามแต่ใจเจ้าปรารถนา” รพีพงศ์เปิดผอบแล้วกินเมล็ดปทุมชาติทิพย์เข้าไป  โดยพลันร่างกายของเขานั้นแปรเปลี่ยนเป็นลูกไฟสีแดงพุ่งผ่านชั้นฟ้าลงไปยังพื้นพิภพและทันทีที่กลับสู่ร่างเดิม รพีพงศ์ก็พบว่าตนอยู่ที่ชายหาดแห่งหนึ่งและได้เห็นเหตุการณ์ รวมทั้งได้ยินบทสนทนาแผนชั่วระหว่างนาคินทร์และกนธี

ส่วนอรุณเทพผู้เป็นน้องนั้นก็ทำตามสัจจาที่ให้ไว้ ปลอมกายแทนพี่ชายตามพระประสงค์ของพระผู้สร้างที่เสด็จไปพบตนที่ถ้ำผลึกโกเมนและทรงวางแผน แถมยังทรงพระราชทานผอบบรรจุเมล็ดปทุมชาติทิพย์นำมาให้รพีพงศ์อีกด้วย

“ข้าขอให้ท่านพี่ปลอดภัยกลับมา…”

ณ ห้องสมุด รพีพงศ์หอบหนังสือหลายเล่มที่ชลันธรต้องการกลับมาที่โต๊ะ แต่ชายหนุ่มไม่เห็นแม้แต่เงาของนาคินทร์คาดว่าคงจะหนีกลับไปแล้วเพราะกลัวคำขู่ของตน รพีพงศ์จึงกวาดสายตาไปทั่วจนชลันธรสังเกตได้

“มองหาคินทร์เหรอพี?” ชลันธรถามรพีพงศ์ที่ตอนนี้นั่งลงข้างๆ

“อืม คินทร์ไปไหนเหรอ? หรือว่ายังไม่กลับมา?” รพีพงศ์แกล้งถามทั้งที่ใจจริงรู้อยู่แล้วว่านาคินทร์ไม่อยู่ในห้องสมุดแห่งนี้

“อยู่ๆ คินทร์ก็ไม่สบายหน้าซีดมากเลย เราเลยบอกให้คินทร์กลับไปก่อน” ชลันธรตอบ

“ก็อืมดี…ผมจะได้อยู่กับลันสองคนไง” พียิ้มกว้าง มือก็หยิกแก้มชลันธรเบาๆ

“พีอย่ามาแกล้งเรา” ชลันธรตีมืออีกคน รพีพงศ์ก็ยอมปล่อยแต่โดยดีเพราะกลัวว่าชลันธรจะงอนตนอีกรอบ

“ก็ลันน่าแกล้งนี่ครับ” รพีพงศ์เอ่ย ชลันก็ทำหน้าบูดใส่ทันที

‘พรึบ’

“อ่ะ กระดาษรายงาน”

อยู่ๆ กระดาษที่กำลังจะเตรียมเขียนรายงานก็ตกลงไปบนพื้นระหว่างเก้าอี้ของรพีพงศ์และชลันธร ทั้งสองคนก้มลงเก็บกระดาษพร้อมกัน ชลันธรจับกระดาษได้ก่อนแต่มือของรพีพงศ์นั้นวางทับลงบนหลังมือขาว  ชลันธรเงยหน้าขึ้นมาทำให้ปลายจมูกนั้นไปสัมผัสกับริมฝีปากของรพีพงศ์พอดิบพอดี

“ทำอะไรกัน!” เสียงเข้มที่ดังแทรกขึ้นมากลางห้องสมุดทำเอานักศึกษาคนอื่นๆ ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่นั้นหันมามองอาจารย์หนุ่มรูปหล่อที่กำลังเดินตรงไปยังโต๊ะของนักศึกษาชายคู่หนึ่ง  นภนต์ที่เดินเข้ามาพอดีกับที่ได้เห็นภาพบาดตาบาดใจ เทพหนุ่มรู้สึกแค้นเคืองรพีพงศ์และหึงหวงชลันธรเป็นอย่างมาก

“ลันมากับพี่!!” ไม่รอคำตอบอะไร นภนต์ก็กระชากแขนชลันธรให้มาอยู่กับตนท่ามกลางสายตานักศึกษาที่มาใช้บริการห้องสมุดทุกคน

“อาจารย์ใจเย็นๆ ก่อนสิครับ” รพีพงศ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงกวนๆ แต่แววตานั้นมีประกายแห่งชัยชนะปรากฏขึ้นมา แต่มันยิ่งทำให้นภนต์โมโหมากยิ่งขึ้น มันก็แค่แผนง่ายๆ ที่ทำให้คนที่โง่มาหลายร้อยชาติอย่างนภนต์นั้นติดกับดัก แต่รพีพงศ์นั้นลืมไปว่าวิธีการที่เขาใช้นั้นมันไม่ใช่วิธีการของสุภาพบุรุษ แถมไม่รู้ว่าชลันธรจะโดนนภนต์ทำอะไรบ้าง

“หุบปาก!!! ส่วนลันมากับพี่!!!” นภนต์ลากชลันธรออกจากห้องสมุด โดยที่เทพหนุ่มไม่ได้สนว่าใครจะมองตนกับชลันธรว่ายังไง ผิดกับชลันธรที่น้ำตาเริ่มคลอเบ้าและคิดมากกับเรื่องที่เกิดขึ้น

“ลันขึ้นรถ” พอมาถึงที่รถของนภนต์ ชายหนุ่มก็สั่งชลันธรให้เข้าไปนั่งด้านในแต่ชลันธรกลับนิ่งเฉยไม่ยอมเข้า

“พี่บอกว่าให้เข้าไปนั่งก็เข้าไปนั่งสิ!!” นภนต์หัวเสีย พอยิ่งเห็นชลันธรไม่เชื่อฟังนภนต์ก็ยิ่งไม่พอใจเข้าไปอีก

“ลันไม่นั่ง!!!” ชลันธรดื้อรั้นกลับไปไม่ยอมทำตามที่นภนต์ว่า

“พี่บอกให้เข้าไปนั่ง ก็ต้องนั่ง  อ่อ..หรือว่าถ้าไม่ใช่ไอ้ผู้ชายคนนั้นพูดก็เลยไม่ยอมทำตาม”

“ผัวะ...” เสียงหมัดรุ่นๆ ตรงเข้าไปยังใบหน้าของนภนต์เข้าอย่างจังจนใบหน้านั้น จนหันไปตามแรง

“นี่พี่คิดอะไรของพี่ พี่ไม่ไว้ใจลัน ไม่เชื่อใจลันหรือไง !!!  พี่คิดจะถามลันสักนิดไหม ทำไมพี่ถึงไม่ถาม ถ้าพี่ยังไม่มีเหตุผลอย่างนี้ลันก็จะไม่คุยกับพี่!!!” ตามด้วยคำพูดที่อยากจะให้คนรักได้รับรู้ว่าเขาเสียใจ น้อยใจขนาดไหนที่นภนต์ทำอะไรขาดสติแบบนั้น

 นภนต์จับแก้มที่โดนชกของตัวเอง สายตาคมที่เริ่มได้สติจากไฟหึง มองมายังชลันธรที่ตอนนี้น้ำตาไหลอาบแก้ม

“ไว้เราสองคนค่อยคุยกันนะครับ…อาจารย์นภนต์” ชลันธรก้าวขาออกไปพร้อมนำความรู้สึกน้อยใจไปด้วย ทิ้งให้นภนต์ยืนกำหมัดและสับสนในตัวเอง วันนี้นภนต์ตั้งใจจะมาดูแลชลันธรแต่กลับมาเจอกับภาพบาดตาที่มันทับซ้อนกันเหมือนเหตุการณ์ในอดีตย้อนมา เหตุการณ์ที่ทำให้เกิดรักร้าวระหว่างเขาและชลันธร

“ไม่…ข้าไม่ได้รักชลันธรแล้ว ข้าจะหึงหวงไปทำไมกัน !!! จะไปทำระยำตำบอนอะไรกับไอ้รพีพงศ์บ้านั่นก็เรื่องของเขาสิ !!! แต่ข้าต้องทำตามเทวาราชโองการ ต้องตามดูแลชลันธร..โธ่เว๊ย!!!” พูดไปว่าไม่รัก  พูดไปว่าไม่หึง แต่การกระทำของเทพแห่งท้องนภามันแสดงออกถึงความรู้สึกที่แท้จริงที่ยังคงซ่อนลึกในจิตใจหากเจ้าตัวกลับปฏิเสธ  ถึงเวลานี้นภนต์จะสับสนหรือโมโหเพียงใดอย่างไรเสียก็ต้องตามไปดูแลชลันธรไม่ให้คลาดสายตา

...ยังไงตามดูห่างๆ ก็คงได้...

ทางด้านนาคินทร์พอถูกรพีพงศ์ขู่เตือนก็รีบกลับหอพักทันที  ร่างบางไม่สามารถทำภารกิจต่อได้หากยังคงมีรพีพงศ์ร่วมอยู่ด้วย  สายตาที่เร่าร้อนกับคำพูดที่เย็นชานั้นก็แทบจะทำให้นาคินทร์หัวใจหยุดเต้นเสียแล้ว  นี่มันอะไรกันทำไมเขาต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วย ... หากไม่เป็นเพราะติดบ่วงรักของกนทีตนคงไม่ยอมทำอะไรแบบนี้เป็นแน่

‘ซ่า…’

เสียงน้ำดังมาจากในห้องน้ำ นาคินทร์ที่เพิ่งกลับมาถึงก็แปลกใจ เพราะเมื่อเช้าก่อนออกไปหาชลันธรตนก็ไม่ได้เปิดน้ำทิ้งเอาไว้ ร่างบางค่อยๆ เดินไปที่ห้องน้ำพร้อมกับลางสังหารแปลกๆ ว่าต้องมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นแน่ๆ มือเรียวจับลูกบิดและดันประตูที่ไม่ได้ปิดสนิทให้เปิดออก ก็พบร่างกายกำยำของเทพพระสมุทรนอนหายใจโรยรินในอ่างอาบน้ำ แต่ริมฝีปากหนาและใบหน้าหล่อคมนั้นกลับซีดเผือด

“ท่านกนธี…!!!”















...................................

ตอนนี้ใสใสไม่มีอะไรมาก มีดราม่าเบาๆให้พอได้ตื่นเต้นนิดนึง ทั้งชลันธรกับนภนต์ที่แม่ยกของรพีพงศ์คงจะสะใจ ไหนจะกนธีที่อิดโรยจนนาคินทร์แทบจะขาดใจไปด้วย มาดูกันว่าตอนหน้าจะเป็นอย่างไร ท่านยุ่งขอให้ทุกคนติดตามด้วยนะคะ



สุดท้ายขอขอบคุณที่เข้ามาอ่าน เม้น ติดตาม เป็นกำลังใจให้นะคะ อ่านคอมเม้นทีก็ดีใจมากๆค่ะที่ชื่นชอบและขอบคุณคอมเม้นที่แนะนำนะคะในการใช้คำต่างๆ ท่านยุ่งจะได้นำไปปรับใช้ในตอนต่อไป  :mew1:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.08 P.3 (17/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 17-04-2017 21:31:25
ฝากติดตามด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.08 P.3 (17/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 17-04-2017 21:50:56
มีพีมาขั้นกลางก็ดี เทพนภนต์ จะได้เห็นคุณค่าของลันบ้าง
ให้หึงหวงเยอะ ๆ ไปเลย :laugh:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.08 P.3 (17/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 17-04-2017 21:53:43
ยังไงก็ถือป้ายพระอาทิตย์จ้า
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.08 P.3 (17/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 18-04-2017 00:49:22
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.08 P.3 (17/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 18-04-2017 00:52:56
แหม่ เทพแห่งท้องนภานี่ขี้หึงจริงๆ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.08 P.3 (17/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 18-04-2017 05:48:23
 :mew1:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.08 P.3 (17/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 18-04-2017 15:36:27
รอตอนต่อไป~
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.09 P.4 (20/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 20-04-2017 18:05:55


สาปรัก…ทัณฑ์เทวา

Writer : Tan-Yung

File : 09











“ท่านกนธี!!!”

เสียงเรียกที่ตื่นตระหนกด้วยเหตุตรงหน้านั้นคือยอดดวงใจที่สภาพเหมือนความเป็นความตายเฉียดเข้าใกล้เท่ากัน นาคินทร์แทบถลากายลงยังอ่างน้ำ โดยไม่สนใจว่าเสื้อผ้าที่สวมใส่จะเปียกปอน แขนเรียวรีบสอดพยุงเข้าท้ายทอยให้กนธีที่กึ่งหลับอยู่นั้นนอนหนุนแขน ใบหน้าที่หล่อคมเอียงหันเข้าซุกแผ่นอกขาวผ่านเสื้อตัวบางที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำ นาคินทร์รับรู้ได้ถึงลมหายใจโรยรินของคนรัก

“ท่านกนธี…ฮึก..ก…ท่านกนธีเกิดอะไรขึ้น…ฮือ..อ..” ทันทีที่เห็นคนรักในสภาพนี้ น้ำใสก็ไหลจากดวงตาอย่างหยุดมิได้ นาคินทร์ปล่อยโฮออกมาด้วยรู้สึกกลัวในสิ่งที่เห็นอย่างถึงที่สุด ทำให้กนธีนั้นมีสติขึ้นมาเล็กน้อย มือหนายกขึ้นเกลี่ยปาดเช็ดน้ำตาที่อาบแก้มใสให้ มือบางจึงจับกุมมือของกนธี วางแนบพวงแก้มตนเอาไว้

“เจ้าร้องไห้ทำไม…แค่ก..แค่ก นาคินทร์” เสียงพูดและกระแอมที่แหบพร่า ของกนธี

“ก็ข้าเห็นท่านเป็นเยี่ยงนี้..ฮือ..อ…จะไม่ร้องไห้ได้อย่างไร...ด้วยข้าไม่เคยเห็นท่านอ่อนแอหรือเจ็บป่วยหนักขนาดนี้มาก่อน” นาคินทร์พูดปนสะอื้นไห้ ร่างบางแทบจะขาดใจยามเห็นใบหน้าซีดเซียวของเทพมหาสมุทร

“อาการปกติของข้า เจ้าอย่าได้เป็นกังวลไปเลย...เพียงได้พักสักราตรีก็จะดีขึ้น  อั่ก อั่ก.” กนธียิ้มฝืนก่อนจะกุมหน้าอกที่อยู่ๆ ก็ปวดตุบขึ้นมา

“ไยท่านพูดราวกับเรื่องธรรมดา มันจะปกติได้เยี่ยงไรกัน ในเมื่อท่านมีสภาพเจ็บหนักขนาดนี้..ฮึก…บอกข้าได้หรือไม่ว่าจะต้องทำเช่นไร ท่านจึงจะหายขาดจากอาการนี้ได้ หากข้ารู้ด้วยวิธี ข้าจะช่วยท่านแม้ต้องแลกด้วยชีวิตข้าก็ยินดี” นาคินทร์บอกกับกนธีด้วยความสัตย์จริง เพื่อกนธีแล้วนาคินทร์นั้นพร้อมที่จะทำทุกอย่าง พร้อมทำให้ทุกสิ่ง ไม่ว่าอะไรก็ตาม

“การควบคุมมหาสมุทรนั้นให้สงบสุข ถึงแม้บางครั้งจะต้องลงโทษเหล่ามนุษย์ด้วยการทำให้เกิดภัยพิบัติ สิ่งเหล่านี้ข้าต้องใช้พลังเป็นอย่างมาก เลยทำให้ข้าร่างกายอ่อนแอลงเรื่อยๆ ” กนธีบอกสาเหตุที่ร่างกายของตนทรุดโทรม

“แล้วด้วยเหตุใดเทพพระสมุทรองค์ก่อนถึงไม่ประชวรด้วยอาการเช่นนี้เล่า?”

“เจ้าเคยได้ยินเรื่องดวงใจพระสมุทรหรือไม่?”

“ดวงใจพระสมุทรหรือ...ใช่...ข้าเคยได้ยิน…ว่ากันว่าดวงใจพระสมุทรเป็นอัญมณีสีครามเข้ม ที่ทรงอนุภาพด้วยพลังควบคุมทุกสิ่งในผืนน้ำและที่สำคัญดวงใจพระสมุทรเป็นสมบัติสืบต่อส่งต่อกัรของเทพมหาสมุทร แล้วเหตุใดจึง... หรือว่าจะ….”

“ใช่ อย่างที่เจ้าคิดอดีตเทพมหาสมุทรทุกองค์มีดวงใจพระสมุทร แต่ข้ากลับไม่มี  แม้ข้าจะดิ้นรนตามหานับตั้งแต่ชลันธรลงไปจุติยังโลกมนุษย์แสนนานนับร้อยๆ ปี…สุดท้ายดวงใจพระสมุทรกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย แต่ข้ารู้สึกได้ว่าดวงใจพระสมุทรนั้นน่าจะผนึกอยู่ในกายของชลันธรเป็นแน่” กนธีขบเขี้ยว ยิ่งคิดก็ยิ่งคับแค้นใจ ทั้งที่ได้รับการแต่งตั้งครองบัลลังก์แห่งชลธิศ แต่กลับไร้ดวงใจพระสมุทรที่ควรจะพึงมี

“นาคินทร์เจ้าจะช่วย ตามหาและนำดวงใจพระสมุทรมาให้ข้าได้หรือไม่?” กนธีถามเสียงแผ่วเบามุมปากก็มีโลหิตสีทองไหลออกมา แม้จะไม่มากแต่มันก็ทำให้นาคินทร์ร้อนใจไม่น้อย

“ได้…ข้าจะช่วยท่าน...ข้าจะนำดวงใจพระสมุทรมาให้ท่าน เพียงท่านบอกข้ามาว่าจักให้ข้าทำการอันใด ข้านั้นก็ยินดีเพื่อจะให้ท่านมีชีวิตอยู่กับข้า” นาคินทร์โอบกอดกายกนธีแน่น ถึงตอนแรกยังลังเลที่จะต้องทำร้ายชลันธรเพื่อนผู้แสนดีกับตนเสมอมา แต่บัดนี้นาคินทร์จำต้องเลือกกนธี ผู้เป็นที่รักมากกว่า

“ข้าดีใจเหลือเกินที่เจ้าจงรักภักดีกับข้ามาโดยตลอด” กนธียิ้มบางที่มุมปากออกมาเพียงแค่นี้ก็ทำให้นาคินทร์สุขใจขึ้นมากโข

“ข้ายินดีที่ได้รับใช้ท่านทุกอย่าง ว่าแต่ข้าจะนำพาชลันธรมาได้อย่างไร ในเมื่อเทพนภาติดตามตลอดเวลาแบบนั้น” นาคินทร์พูดออกมาจากใจ…ใจที่มีรักบริสุทธิ์อย่างเต็มเปี่ยม

“ก็ด้วยเล่ห์ของเจ้า พวกงูนั้นมากด้วยเล่ห์กลมิใช่หรือ เทพหน้าโง่อย่างนภนต์มันตามเจ้าไม่ทันแน่ๆ หากดวงใจพระสมุทรแผงอยู่ภายในกายชลันธรจริงๆ ไม่ว่าร่างนั้นจะเป็นหรือตาย ข้าก็สามารถนำดวงใจพระสมุทรออกมาได้ทั้งนั้น...”

“ได้ข้าจะพยายามทำให้จงได้...”  นาคน้อยรับปากยอดดวงใจอย่างหนักแน่น

“แต่ตอนนี้เจ้าจงเช็ดเลือดที่มุมปากให้ข้าแล้วดูดดื่มมันเสียบัดเดี๋ยวนี้สิ” กนธีเอ่ย นาคินทร์ยิ้มหวานก่อนจะใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเช็ดแล้วดูดกลืนกินคราบเลือดที่ติดปลายนิ้วเรียวของตัวเอง

“เลือดของข้ารสชาติถูกใจเจ้าหรือไม่” กนธีถามเสียงพร่า

“เลือดของท่านหอมหวาน หากแต่ข้าไม่ปรารถนาที่จะลิ้มรสหรือเห็นท่านมีโลหิตหลั่งไหลออกจากกายอีก” นาคินทร์ตอบกลับไป

“ใครๆ ก็อยากดื่มโลหิตทองจากกายเทพทั้งนั้น ว่าแต่แล้วถ้าข้าอยากจะให้เจ้าช่วยมอบความสุขให้ข้า เจ้าจะทำได้หรือไม่?” มือหนากระชากคอเสื้อให้นาคินทร์โน้มใบหน้าลงมาใกล้เพียงแค่ฝ่ามือคั่น นาคินทร์รู้ทันทีว่ากนธีนั้นต้องการอะไร

“มีหรือที่จะไม่ได้ ความประสงค์อันใดของท่าน ข้านั้นไม่เคยขัด ข้าจะมอบความสุขให้กับท่านตามแต่ท่านต้องการ”

นาคินทร์เพียงโน้มลงบดเบียดริมฝีปากเข้ากับริมฝีปากหนาที่เผยอปากคอยท่า ลิ้นร้อนทั้งสองต่างตวัดเกี่ยวพันไปมาสลับกับดูดดุนอย่างไม่มีใครยอมใคร กายหนาขยับกายนั่งพิงกับขอบอ่างขณะเดียวกันกายบางขยับเข้าขึ้นนั่งคร่อมตักของเทพมหาสมุทรซึ่งไร้อาภรณ์ปกปิด  ริมฝีปากยังคงมอบรสจูบแสนหวานให้กันและกัน นาคินทร์รับรู้ได้ถึงความอ่อนโยนของกนธีที่เขาไม่เคยได้รับมาก่อน ถึงแม้จะสบสนในใจแต่ติดกับด้วยพันธนาการรักของกนธีเสียแล้ว คงยากที่จะดิ้นหนีหลุดออกไปได้

‘จุ๊บ..จุ๊บ..’

ด้วยกนธีดูดเม้มริมฝีปากล่างแดงสดนั้นหนักหน่วง จนเกิดเสียงชวนเร้าอารมณ์ ก่อนจะผละออก สายตาคมคายเพ่งพินิจหน้าสวยหมดจดอย่างหื่นกระหาย เช่นเดียวกับนาคินทร์ที่กายใจนั้นพร้อมจะมอบความสุขให้กับอีกฝ่ายตามความต้องการ

กนธีขบกัดลงปลายคางนาคินทร์เบาๆ แล้วพรมจูบลงมาจนถึงลำคอขาว เทพมหาสมุทรบรรจงแต่งแต้มรอยรักสีกลีบดอกกุหลาบทีละรอยจนรอบคอระหง สร้างความเสียวซ่านจนร่างบางครวญเสียงหวานออกมาไม่หยุดหย่อน

“อ๊ะ..อย่า..า..กัดสิ..”

ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ พายุทะเลคลั่งมีหรือจบสงบโดยง่าย กนธียังคงขบกัดเบาๆ จนมีรอยฟันปรากฏขึ้นมา ลิ้นร้อนตวัดรอบบาดแผลจนนาคินทร์รู้สึกเจ็บระคนความเสียวกระสัน จนนิ้วงามต้องจิกลงบนบ่าของเทพพระสมุทรเพื่อระบายอารมณ์ใคร่นั้น กนธีมิได้หยุดอยู่ที่ซอกคอขาว พลางพรมจูบลงมาเรื่อยจนถึงแผงอกไล่ จนถึงยอดอกที่ชูชันขึ้นมาผ่านเสื้อตัวบางที่แนบเนื้อ กนธีไม่ลังเลที่จะลงปลายลิ้นตวัดหยอกเย้าสลับไปมาซ้ายขวา มือหนาสอดเข้าในสาบเสื้อลูบผ่านผิวลื่นเนียนตามเอวคอดขึ้นจนถึงยอดอกงาม

“อ๊า.า…อ่ะ…อ่าาา.า…”

หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.09 P.4 (20/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 20-04-2017 18:06:26
เสียงครวญของนาคินทร์นั้นดังระงม กนธียังคงคลึงเล่นบนยอดอก แต่เปลี่ยนจากริมฝีปากมาเป็นนิ้วมือแทน  ยอดอกสีหวานแข็งเป็นไตด้วยแรงบดคลึงขยี้ขย้ำ จนร่างบางแอ่นอกรับเข้าหาให้เทพพระสมุทรได้สัมผัสอย่างเต็มไม้เต็มมือ พร้อมกับสะโพกมนก็บดเบียดกับแก่นกายยักษ์ใต้น้ำที่ขยายตัวพร้อม นาคินทร์พลางขยับตัวให้แก่นกายถูไถไปตามร่องก้นผ่านกางเกงนักศึกษาสีดำ

“อืม...ม..ม…”

กนธีครางเสียงพร่า ด้วยแก่นกายใหญ่ถูกบดเบียด  ใจร้อนรนด้วยตัณหา มือหนาเร่งเร้าปลดเข็มขัดกางเกงนักศึกษาสีดำนั้นพอหลวม แล้วรูดลงซิปกางเกง  ตรงเข้านวดเค้นส่วนอ่อนไหวของนาคินทร์ที่ตื่นตัวเสมอกัน

“อ่า.า....ท่านกนธี..อื้ม..หยุดก่อน”

มืออัศจรรย์ที่นวดเค้นสามารถนั้นเรียกเสียงครางหวานออกมาได้  เจ้าของกางเกงนักศึกษาสีดำตัวนี้รู้ว่า อาภรณ์นี้พึงเป็นอุปสรรคเสียจริง จึงร้องให้คนที่กำลังเล้าโลมหยุดเค้นก่อนชั่วคราว นาคินทร์จึงยืนขึ้นและถอดกางเกงพร้อมกางเกงชั้นในโยนออกไปให้พ้นทาง กนธีรวบคว้าเอวบางของเข้ามาใกล้จนส่วนอ่อนไหวด้วยแรงเค้นนี้จ่ออยู่ตรงหน้า  เพียงลิ้นชื้นไล่เลียที่ส่วนปลายเบาๆ ก็นำพาความเสียวซ่านให้ใจร่างบางนั้นเตลิดไกลจนแทบไร้แรงกายทรงตัวอย่างพญานาคาถูกจี้จุดไชสะดือเสียด้วยซ้ำ

“งื้อ.อ….อื้ม.ม…อ่า.า….อ่ะ…อ๊ะ”

ด้วยตั้งแต่ร่วมประเวณีมีความสัมพันธ์ทางกายมาไม่รู้กี่ครา นาคินทร์ก็มิเคยได้รับการปฏิบัติจับสัมผัสอย่างนี้มาก่อน ทุกครั้งที่ร่วมเสพสังวาสด้วยเทพพระสมุทร  มักจะไร้ซึ่งความปราณี ทั้งยังรุนแรงและดุดันอยู่เสมอ  แต่ครานี้กลับทะนุถนอมกายบางเยี่ยงสิ่งมีค่า ไหนจะใช้ปากหยักลงครอบแก่นกายเข้าปรนเปรอดูดดุน เรียงเร้าเสียงครางให้ร่างบางจนมือบางสอดเข้าขยุ้มเกศาดำขลับเพื่อระบายตัณหาอารมณ์  ยิ่งร่างสูงตวัดลิ้นพร้อมกับเร่งเร้าขยับริมฝีปากบีบจังหวะขึ้นเรื่อยๆ  ทั้งแรงมือหนาขย้ำบั้นท้ายนิ่ม นาคน้อยก็พร้อมที่จะปลดปล่อยตัวตนให้ออกมาในไม่ช้านี้

“อ่ะ…อ่า.า…ท่านกนธี…ข้าจะปลดปล่อยแล้ว..อึก…”

นาคินทร์บอกเสียงสั่นหมายจะให้กนธีรีบถอนโพรงปากนั้นออกเสียก่อน  แต่คนทำนั้นหามีความรับรู้ไม่กลับเร่งแรงปากร้ายขยับเร็วขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังใช้ฟันขบครูดท่อนเนื้อในโพรงปากหมายเพิ่มความเสียวกระสันเมื่อร่างบางใกล้ถึงจุดหมาย

“อ่า….า…..อ๊า.า…”

ในที่สุดนาคินทร์ปล่อยพิษรักเข้าไปในปากอุ่น  พระสมุทธกลืนกินหยาดเชื้อนาคาสีขาวขุ่นอย่างมิได้นึกรังเกียจ ถึงกระนั้นกนธีก็ไม่ลืมกลืนเข้าไปเสียหมด คงกักกั้นบางส่วนด้วยอมไว้

เมื่อละริมฝีปากออกแล้วรั้งกายร่างบางให้นั่งคร่อมตักตน มือหนาข้างหนึ่งดันศีรษะของนาคินทร์ให้มาซุกแผงอกกว้าง มืออีกข้างนั้นรองรับน้ำรักที่กนธีได้คายออกมา

“อึก..อื้อ…อ…”

นาคินทร์ที่แทบหมดแรงครางออกมาเบาๆ ยามนี้กนธีใช้น้ำรักในฝ่ามือประโลมป้ายไปที่ช่องทางสีหวาน นิ้วเรียวก็ลูบไล้ตามรอยจีบพับวนไปมา สัมผัสเบาแสนวาบหวามนี้ดึงเร้าดัชนีเทพที่สอดเข้าไปอย่างช้าๆ จนนาคน้อยกายกระตุกเกร็ง แม้จะผ่านสมรภูมิรักกับกนธีนับไม่ถ้วนครั้ง  เพียงร่างสูงขยับดัชนีเข้าออก แล้วเพิ่มจำนวนนิ้วเข้าไปเพื่อขยายช่องทางหมายให้รับแท่งร้อนที่พร้อมรบนั้น

“อ่า.า…ท่านกนธี…ข้า...ข้า...ทรมานเหลือเกิน..อ่ะ..อ่ะ”

นาคินทร์รู้สึกวูบวาบในช่องทางและช่องท้องอย่างทุกครั้งอย่าคนกระหายน้ำ  ริมฝีปากบางขบเม้มเข้าหากัน ใจเพียงใคร่ปรารถนาได้สิ่งอื่นที่ไม่ใช้แค่ดัชนีของกนธี  เทพมหาสมุทรยกยิ้มเมื่อเห็นปฏิกิริยาก็นึกแกล้ง กนธีขยับนิ้วออกมาจนนาคินทร์รู้สึกโล่งที่ด้านหลัง

“ทรมานหรือ...”

“ใช่...วอนท่านโปรดเมตตาข้า”

“ถ้าเจ้าทรมานนัก ก็จงทำตามแต่ใจให้หายทรมานเสียสิ…นาคินทร์”

ด้วยนาคน้อยนั้นรู้ดีในความกล่าวของพระสมุทร  สะโพกงามยกขึ้นเล็กน้อย  มือบางฉวยเอื้อมคว้าจับแท่งร้อนที่ชูชัน  ที่เจ้าของนั้นจ้องเพ่งพินิจใบหน้าสวยอย่างมิวางตาด้วยใจเต้นรัวระทึกด้วยท่าทางที่คนงามกำลังขับความใคร่ที่พวยพุ่ง เพราะนี้เป็นครั้งแรกที่นาคินทร์จัดแจงด้วยตัวตน  ยามเมื่อส่วนปลายจ่อตรงเข้าที่ปากทาง จากที่เคยนึกว่าจะค่อยๆ กดกายลงนั่งรับให้แกนกายนั้นให้เข้าเยือนอย่างเคย แต่กลับนึกได้ว่าเมื่อครู่พระสมุทรได้ทำการกลั่นแกล้งตน ยามเข้าด้ายเข้าเข็มเช่นนี้ ก็ต้องลองแกล้งทรมานใจเอาคืนเสียบ้าง  เจ้านาคน้อยช่างมิได้เกรงกลัวในกนธี

เมื่อปลายทวนสัมผัสด้วยรอยพับจีบ นาคินทร์ก็หยุดลดกายลงเสียอย่างนั้น แต่กลับโยกมือให้ปลายแกนกายที่กอปรกำเสียดสีสัมผัสไปมากับปากทางเข้า  ความเสียวสะท้านวิ่งผ่านจากสัมผัสปลายทวนสู่ร่างกายที่กำยำอย่างเป็นที่สุด ยามอยากเข้าก็ไม่ได้เข้านี่ นาคินทร์กำลังทำอะไร ด้วยแปลกใจกับลีลารักของนาคน้อย

“อ๊า..า..นาคินทร์นี่เจ้ากำลังทำอะไร  หมายจะทรมานข้าหรือ..?”

“อ้า ท่านมิชอบหรือ...”

“เปล่า...แต่ยามนี้ ข้าอยากเข้าไปในกายเจ้าแล้ว  นั่งลงมาเถิดคนดีให้ข้านี้ได้เข้าไปอย่างเช่นเคย...”

คำวอนแสนหวานจากพระสมุทรมีหรือที่นาคน้อยจะกล้าขัด ด้วยใจนี้เป็นของเขา กายก็ของเขา  นาคินทร์ก็หยุดโยกทรมานแกนกายเพื่อเร้าสัมผัส แล้วค่อยๆ ลดกายลงรับความหฤหรรษ์นั้นเข้าไป 

“อ้า...เจ็บ..”

ก็เจ็บเช่นนี้เสียทุกครั้งอย่างเสียงร้อง  แต่นาคินทร์ไม่เคยที่จะไม่สุขสมด้วยความเจ็บนี้  เมื่อกลืนกินกายพระสมุทรเพียงครึ่งความยาว  กนธีกลับแกล้งกระแทกสวนแทรกแกนกายตนเข้าไปในคราวเดียวให้เสียสุด  ความเจ็บที่แสนหวานนั้นนาคินทร์หมายรองรับด้วยพอใจ

…ทั้งจุก…ทั้งรู้สึกดี

ร่างบางยังนั่งคร่อมตักนิ่งๆ สักพักพอให้ร่างกายได้ปรับตัว ก่อนจะเริ่มโยกตัวขึ้นลงอย่างช้าๆ แล้วเร่งจึงไต่ระดับความเร็วอย่างเอาแต่ใจ  มือเล็กนั้นกดลงที่ลาดไหล่ทั้งสองของกนธีเพื่อยึดมั่นไว้  มือสากใหญ่ข้างหนึ่งจับมั่นไว้ด้วยเอวเล็ก  ส่วนอีกข้างให้นิ้วเรียวปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาของนาคินทร์ออกแล้วจึงโยนไปให้ไกลห่าง เพียงโน้มใบหน้าลงลากลิ้นสัมผัสผ่านกลางอก ดูดเม้มสร้างรอยราคีพรมทั่วไป

“อืม…อ่า.า…อ่ะ..อ๊ะ…อ๊า.า….”

“อืม...ม...เก่งจริงๆ…นาคินทร์  เจ้าเก่ง...”

เสียงครางระงมสัปดนของทั้งสองดังลั่นห้องน้ำพร้อมกับเสียงสายน้ำกระเซ็นออกนอกอ่าง เพราะจังหวะการโยกกายของนาคินทร์นั้นอยู่ในสายตาของกนธีตลอดเวลา ยามนี้คนงามมิได้ต่างอะไรกับนางกินรีที่กำลังเริงเล่นน้ำในสระอโนดาตเลยแม้แต่น้อย ช่างเป็นภาพที่น่ายลยิ่งนัก

เมื่อร่างบางคุมเชิงศึกสังวาสไปสักพัก ถึงกายบางจะเริ่มอ่อนกำลังแต่ใจนั้นมีความต้องการอย่างล้นเหลือ กนธีเองก็เหมือนจะรับรู้ได้เหมือนเช่นกัน จึงประคองร่างนาคินทร์ให้เอนลงนอนหงายหลังช้าๆ ส่วนกายท่อนล่างยังคงเชื่อมติด มือหนาเอื้อมคว้าเข็มขัดนักศึกษาของนาคินทร์ที่อยู่ใกล้ แล้วใช้ผูกมัดข้อมือบางติดไว้กับราวจับข้างอ่างน้ำอย่างรู้ใจ เพียงแทรกกายเข้าหาให้สุดทางอีกครั้งแล้วดันขาเรียวให้ชิดแนบอก  ไร้ซึ่งแรงต้านทานใดๆ ท่วงท่านี้ทำให้นาคินทร์อึดอัดภายในอย่างเป็นที่สุด

“อ๊า.า…อ่ะ…อื้อ..อ….อ่า.า…” “ชอบหรือไม่  พอใจในสิ่งที่ข้าทำหรือไม่...”

ร่างกายที่กระแทกกระทั้นเข้าไปอย่างหนักหน่วงและรวดเร็วนั้น มันทำให้คนใต้ร่างที่กำลังมีความสุขจุกล้นเสียจนจะพูดจาอะไรออกมาก็มิได้  แต่เพียงแลเห็นสีหน้าที่เป็นสุขทุกการกระทำก็เข้าใจ เร่งประคองแรงส่งและบทรักที่ตนมอบให้จนสุดทาง  ฟันคมขบกัดไปตามบ่าหนาและไหปลาร้าจนเลือดซิบ กายบางสั่นสะท้านด้วยแรงกระแทกนั้นอย่างต่อเนื่อง เขาชอบใจที่จะถูกมัดข้อมือทุกครั้งที่ร่วมรักกับกนธี  ไม่ว่ากายหนานั้นจะกระทำรุนแรงใส่…นาคินทร์อิ่มเอมกับทุกบทรักที่ทรมานเขาเสียทุกครั้ง

“อืม…อ้า…ข้างในเจ้ามันร้อนลื่นเสียจนข้าอดใจไม่ไหวจริงๆ”

ทุกครั้งที่ส่งแก่นกายใหญ่เข้าไปสำรวจส่วนเร้นลับที่ทั้งร้อนและอ่อนนุ่ม  ก็จะถูกแรงตอดรัดถี่ที่เกิดขึ้นภายใน ยามที่เขาเสือกกายกระแทกเข้าไปตรงจุดสัมผัสกระสัน  มันก็ทำให้นาคินทร์นั้นครวญครางแทบบ้าคลั่ง  สายน้ำภายในอ่างรักก็ไม่สามารถจะดับความร้อนรุ่มภายในใจได้

“อ้า...อ่ะ......อ้า.....เสียว..ว…อื้อ..อ.....”

‘พั่บ..พั่บ..พั่บ’ เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังลั่นเคล้ากับเสียงสายน้ำที่ล้นกระจายออกเป็นวงกว้าง บ่งบอกความหนักหน่วงที่เกิดขึ้นกับทั้งสอง ทั้งฝ่ายกระทำที่สอดแทรกความเป็นชายในกายเล็กอย่างไม่ออมแรงและฝ่ายถูกกระทำใต้ร่างที่ยกสะโพกรับทุกแรงส่งที่มอบให้อย่างตั้งใจ “อ่า…อ่ะ…อ่ะ…อ๊ะ….มะ…ไม่ไหว…ข้าไม่ไหวแล้ว...”

ร่างบางกระตุกเกร็งด้วยแก่นกายเล็กปลดปล่อยหยาดน้ำรักออกมาปะปนกับสายน้ำในอ่างอย่างไร้การสัมผัสใดๆ  กนธีเองด้วยอารมณ์ที่พุ่งทะยานถึงขีดจำกัดจึงเร่งจังหวะรักจนสุดถึงจุดหมาย  ปลดปล่อยหยาดเชื้อสีขุ่นแห่งพระสมุทรเข้าไปภายใน นาคินทร์รู้สึกอุ่นวูบวาบในช่องทางด้านหลัง 

ทั้งกนธีและนาคินทร์พักหอบหายใจถี่สักพัก ก่อนมือหนาจะแก้มัดให้นาคินทร์แล้วประคองกายบางเข้าสวมกอดโดยที่ไม่คิดจะถอนแกนกายใหญ่ที่แสนจะอึดอัดนั้นออกไปแต่อย่างใด

 “เรียกข้าว่าท่านพี่ เพราะๆ เสียสิคนดี” กนธีเพียงกระซิบเบาๆ ที่ข้างใบหูนิ่มแล้วเกยคางบนลาดบ่าของนาคน้อย นาคินทร์ถึงกับชะงักใจไม่นึกฝันว่าจะได้เอื้อนเอ่ยคำนี้กับกนธี ประหลาดใจอย่างมากจากท่าทีทุกครั้งที่แสนเย็นชาทำไมกลับเอ่ยด้วยวาจาหวานล้ำถึงเพียงนี้ นี่เขากำลังฝันไปใช่หรือไม่ แต่จะฝันไปได้เช่นกันเพราะสัมผัสที่เจ็บร้าวด้านล่างนั้นเป็นของจริง ด้วยตื้นตันใจจนหยาดน้ำใสไหลแอบแก้มแดงระเรื่อ นาคน้อยสวมกอดแนบใบหน้าลงซุกอกกนธีแน่น…ทำให้ไม่ได้เห็นรอยยิ้มนั้นของเทพมหาสมุทร

“ไยยัง ทำไมยังไม่เรียกท่านพี่อีกเล่าคนดี  ถึงอย่างไรเสียเจ้าก็เป็นเมียข้า...มีสิทธิ์เรียกได้ตามฐานะนั้น”

“ทะ…ท่านพี่..ท่านพี่กนธี”  พูดไปด้วยน้ำเสียงที่ออดอ้อนน่ารัก นาคินทร์พูดออกมาด้วยสำลักความสุขที่มากล้น ดั่งราวกับสิ่งที่เกินคาดฝัน ได้ยอมรับว่าตนนั้นเป็นเมีย หาใช่แค่สิ่งระบายตัณหาเมื่อยามอยากใคร่ ดีใจจนเนื้อเต้นเกร็งไปทั้งกาย พรั่งพรูหยาดน้ำใสที่ไหลอาบชุ่มทั่วกลางอกแน่นแห่งพระสมุทร

“นาคินทร์ ไยน้องร้องไห้เช่นนั้นเล่า นี่น้องไม่ดีใจหรือ...หรือคำว่าท่านพี่ มันไม่ไพเราะ?” กนธีแกล้งถามด้วยเสียงเศร้า

“ข้าดีใจจนร้องไห้ต่างหากเล่า…ข้าดีใจที่ท่านพี่ใจดีกับข้า ข้ายินดี…ข้ามีความสุขที่ได้เรียกท่านว่าท่านพี่” นาคินทร์รีบตอบกลัวว่ากนธีจะไม่สบายใจ มือบางพลางเกลี่ยเช็ดน้ำตาออกจากแก้มขาว แล้วสวมกอดรอบคอของกนธีเอาไว้แน่น

“ไยไม่แทนตัวว่าน้องเล่า อย่างที่ข้าเรียกเจ้า...”

“ข้าเรียกเช่นนั้น ได้หรือ...?” นาคินทร์ถาม ใจนั้นก็อยากเรียกแต่มิบังอาจเทียบเคียงกับพระชายาคู่บารมีของกนธีได้

“ได้สิ...ก็ข้าบอกแล้วว่าเจ้าเป็นเมีย”

“ท่านพี่...กอดน้องแน่นๆ หน่อยได้หรือไม่...” พอกนธีตามใจเข้าหน่อย นาคินทร์ก็ออดอ้อนโดยไม่รู้ถึงความนัยที่แท้จริง

“ได้สิคนดี...พี่นี้อนุญาต” กนธีดึงนาคินทร์เข้าสวมกอดเข้าไว้ นาคินทร์เองก็กอดตอบแล้วแนบอิงใบหน้าไว้ตรงแผ่นอกกว้าง

‘ตั้งใจกอดข้าไว้แน่นๆ ล่ะนาคินทร์ เพราะอีกไม่นานดวงใจพระสมุทรจักต้องเป็นของข้า’



.

.

.



ณ สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำของคณะวิทยาศาสตร์ นักศึกษาสาขาวิทยาศาสตร์ทางทะเลทุกคนก็มายืนรออาจารย์นภนต์ซึ่งได้นัดแนะกับนักศึกษาเมื่อสัปดาห์ก่อนไว้ การได้เข้าชมในครั้งนี้ทำให้นักศึกษารู้สึกดีไม่น้อย เพราะไม่ต้องนั่งเรียนอุดอู้ในห้องบรรยายสี่เหลี่ยมเหมือนกับทุกๆ วัน นอกจากนี้ก็ยังได้ความรู้และเพลิดเพลินไปกับสัตว์น้ำนานาชนิดทั้งที่อาศัยในน้ำจืดและน้ำเค็มอีกด้วย

“เฮ…โหมสูว่าฉันสวยยัง (เฮ้…พวกเธอว่าฉันสวยยัง)” ชมพู่สาวสวยประจำสาขาที่พลาดทุกตำแหน่งในการประกวดดาวมหาวิทยาลัยปีนี้เพิ่งจะทาลิปสติกสีอ่อนๆ แบบฉบับสาวเกาหลีซึ่งขัดกับลุคคมเข้มตามฉบับสาวใต้อย่างเธอมาก ถามเอาความกับกลุ่มเพื่อนๆ ของเธอ

“ชมพู่พูดอะไรเราไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย” เพื่อนในกลุ่มถามเพราะไม่เข้าใจภาษาถิ่นที่ชมพู่พูดออกมาด้วยความเคยชิน ภาษาถิ่นภาคใต้ฟังยากแถมคนพูดยังพูดเร็วอีก

“ฉันถามพวกเธอว่าสวยยัง” ชมพู่แปลให้ เพื่อนทุกคนต่างก็พยักหน้ารัวๆ

“สวยตรงไหนวะ…โบร๋อีตาย อยู่เหมือนโหลกมุดถูกวัวครด (สวยตรงไหนวะ…ขี้เหร่จะตาย เหมือนลูกละมุดถูกวัวแทะ)” กัสหนุ่มใต้จอมกวนที่เดินเข้ามาได้ยินชมพู่พูดพอดี ก็ไม่อดที่จะจิกกัดเบาๆ ด้วยภาษาถิ่นใต้เช่นกัน 

“คนตาไม่ถึงไม่เข้าใจหรอก ว่าฉันนี่สวยที่สุดและจะหยุดที่พี” ชมพู่เอ่ยแล้วส่งสายตาไปยังรพีพงศ์ที่ยืนยิ้มแห้งๆ อยู่อีกด้านหนึ่งใกล้กับชลันธรและนาคินทร์

“อาดดิกดิก (แรดมากๆ แรดอย่างระริกระรี้ อาดเป็นขั้นกว่าของคำว่าอ้อล้อ)”กัสบ่นออกมาก่อนส่ายหน้าด้วยความเอือมระอา ชมพู่ที่ได้ยินก็ถลึงตาใส่เหมือนกับผีที่พร้อมจะหลอกคน แต่กัสก็ไม่นึกกลัว

“โถ่ๆ น้องชมพู่พูดยังกะไอ้พีจะหยุดอยู่ด้วยอย่างนั้นแหละ...” กัสพูดแซวต่อแบบเบรคคนสวยหัวทิ่มบ่อ  แต่คราวนี้ชมพู่ก็ไม่ได้สนใจอะไรคำพูดของกัสอีก เพราะถ้ามาต่อล้อต่อเถียงกับกัสจะแลดูไม่ดีเป็นสาวปากจัดในสายตาของรพีพงศ์

“นี่ชมพู่แล้วเธอเอาอาจารย์นภนต์ไปไว้ที่ไหน? ล่ะ” น้ำปั่นเพื่อนสาวในกลุ่มถาม หล่อนรู้ดีว่าชมพู่นั้นหลงใหลได้ปลื้มอาจารย์นภนต์มากขนาดไหน

“นี่น้ำปั่น เธอไม่รู้หรือไง พีน่ะหล่อจะตาย หล่อทำลายล้างกว่าเดือนคณะวิทยาหน้าหวานๆ ที่ได้รองเดือนมหาลัยของเราซะอีก นี่เสียดายนะถ้าพีมาเร็วกว่านี้เดือนคณะวิศวะไม่ได้เกิดแน่ๆ...”  ชมพู่พยายามร่ายยาวความหล่อเหลาของรพีพงศ์ ขวัญใจคนใหม่ของสาวแท้สาวเทียมในสาขา ให้เพื่อนๆ ฟัง  เล่นเอาเจ้าตัวที่ได้ยินก็เขินไปไม่ใช่น้อย

“เอาจริงๆ นะนี่ น้ำปั่น แกไม่รู้เหรอว่าชมพู่เบนเข็มแล้ว ก็อาจารย์นภนต์คบกับลันนะสิ” อีติ๋ม หรือที่แม่ของนางเรียกนางว่าน้องไอติม เพื่อนชายแต่นิสัยออกสาวประจำกลุ่มอีกคนของชมพู่ตอบ

ด้วยข่าวการคบกันระหว่างนภนต์และชลันธรแพร่สะพัดไปทั่วทั้งมหาวิทยาลัยนั้นรวดเร็วอย่างกับติดจรวด ก็เนื่องมาจากเหตุการณ์ในห้องสมุดที่นภนต์หึงหวงชลันธรกับรพีพงศ์จนเกิดเรื่องราวใหญ่โต ชลันธรที่เดินเข้ามหาวิทยาลัยก็โดนจับจ้องและถูกผู้คนซุบซิบนินทา ชลันธรเองก็พยายามไม่สนใจอะไรเพราะตอนนี้ความสัมพันธ์ของตนและนภนต์ก็ไม่สู้ดีเท่าไหร่ ตั้งแต่ทะเลาะกันในวันนั้น ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ยอมติดต่อกันเลย โดยชลันธรก็ถือว่าตัวเองไม่ผิดจึงไม่คิดจะพูดคุยก่อน

“ลันอย่าไปสนใจเรื่องที่คนอื่นพูดเลยนะ” นาคินทร์บีบมือของชลันธรเบาๆ เป็นกำลังใจให้เพื่อน ขณะเดียวกันก็ต้องคอยหลบสายตาที่คอยจ้องมองของรพีพงศ์ไปด้วย

“ผมเองก็ขอโทษนะที่ทำให้เกิดเรื่อง ว่าแต่ลันคุยกับอาจารย์นภนต์หรือยัง?” รพีพงศ์ถามตีหน้าเศร้า ทั้งที่แอบสะใจอยู่ไม่น้อยถ้าสองคนนี้แตกหักกันได้ รพีพงศ์ก็หมายจะแทรกกลางระหว่างนภนต์และชลันธรอยู่แล้ว

“ยังเลย แต่พีไม่ต้องคิดมากหรอกนะ” ชลันฝืนยิ้มออกมาหวังจะให้รพีพงศ์สบายใจ

“เฮ้ย! อาจารย์มาแล้ว” นักศึกษาคนหนึ่งได้พูดขึ้นมาทำให้นักศึกษาคนอื่นๆ ที่ยืนจับกลุ่มพูดคุยก็อยู่ในความสงบ

นภนต์เดินฝ่ากลุ่มนักศึกษาเข้าไปที่หน้าประตูทางเข้า ขณะที่ผ่านชลันธร เทพแห่งท้องนภาก็เหลือบมองคนขี้งอนที่หันมองไปทางอื่นและรพีพงศ์ที่ส่งรอยยิ้มแห่งชัยชนะมาให้ตน มันช่างน่าเจ็บใจยิ่งนัก!!! ตลอดเวลาตั้งแต่ทะเลาะกันนภนต์ก็ไม่ได้ติดต่อหาชลันธรถึงอย่างนั้นก็คอยแอบตาม แอบมอง อยู่ห่างๆตามหน้าที่และความรู้สึกลึกๆในใจที่นภนต์พยายามหาเหตุผลมาหักล้างว่าไม่ได้รู้สึกดีกับชลันธร

“สวัสดีครับทุกคน ขอโทษที่ผมมาช้านะครับพอดีว่ามีธุระนิดหน่อย” นภนต์กล่าวทักทายและเหตุผลที่มาสาย เพราะเมื่อเช้าเขาถูกเรียกไปคุยเรื่องข่าวการคบหาระหว่างตนและชลันธรซึ่งการพูดคุยก็จบไปด้วยดี

“วันนี้นักศึกษาทุกคนก็รู้แล้วนะครับว่าจะต้องศึกษาเรื่องอะไร เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ผมจะให้พวกคุณเข้าไปด้านในนะครับ อย่าลืมว่าเมื่อศึกษาเสร็จก็สรุปเป็นรายงานส่งให้กับผมตามที่ตกลงกันไว้ด้วย อ่อแล้วงดใช้เสียงด้วยนะครับ  เกรงใจนักท่องเที่ยวที่เข้ามาชมด้วยอาจารย์หัวหน้าสาชาท่านกำชับมา...” นภนต์เอ่ย ก่อนจะเดินนำนักศึกษาทุกคนเข้าไป

นักศึกษาทยอยเดินเข้าไปซึ่งภายในนั่นมืดแต่ก็พอมีแสงไฟสลัวๆ ให้ได้มองเห็น แล้วก็ค่อยๆ สว่างขึ้นเพราะแสงไฟจากตู้ปลานั้นสว่าง ด้วยอากาศที่เย็นสบายและความเงียบสงัดทำให้ทุกคนมีสมาธิที่จะเดินดูและบันทึกสิ่งที่น่าสนใจต่างๆ กลับไปเป็นหัวข้อในการทำรายงาน ปลาสายพันธุ์ต่างๆ หรือจะเป็นพวกสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง เช่น ปู หมึก หอย ปะการัง ที่หาชมได้ยากถูกจัดแสดงไว้อย่างน่าสนใจ สิ่งเหล่านี้ทำให้ทุกคนตื่นตาตื่นใจกันมากรวมไปถึงชลันธรด้วย

เมื่อมาถึงส่วนแสดงสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเล อดีตเทพมหาสมุทรจดจ่อกับการมองเหล่าปลาทะเลตัวเล็กๆ สีสันสดสวยต่างๆ อย่างคุ้นเคย ชลันธรชอบทะเลและสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลทำให้ตนตัดสินใจเลือกเรียนสาขานี้ เช่นเดียวกับนาคินทร์พอได้ซึมซับบรรยากาศใต้ท้องทะเลแบบนี้ก็รู้สึกสดชื่นเหมือนได้รับพลังเข้ามาจนรู้สึกมั่นใจในการที่จะทำในเวลาเร็วๆนี้  ผิดกับรพีพงศ์ที่ยืนหน้าไม่สบอารมณ์เพราะรู้สึกอึดอัดไม่ชอบอากาศหนาวเย็นและมืด เพราะสายเลือดแห่งทินกรนั้นชินกับการอยู่กับอากาศร้อนๆ เสียมากกว่า ซ้ำยังถูกนภนต์เพ่งเล็งจนรู้สึกอึกอัดน่ารำคาญ

“ลันเรารู้สึกว่าอาจารย์นภนต์จะมองลันอยู่นะ ไปคุยกับอาจารย์หน่อยไหม?” ไม่ใช่แค่รพีพงศ์ นาคินทร์เองก็รู้สึกได้ว่านภนต์นั้นกำลังมองชลันธรอยู่

“ถ้าเขาอยากคุยก็ต้องมาคุยเองสิ” ชลันธรหันไปมองนภนต์ก่อนจะหันกลับมาดูปลาต่อ ความจริงแล้วชลันธรคิดถึงนภนต์ใจจะขาดอยากพูดคุยกับคนรัก แต่ครั้งนี้เขาไม่ผิดจึงอยากจะให้นภนต์เป็นฝ่ายงอนง้อ เอ่ยขอโทษตนเองก่อน

“เฮ้อ~…แล้วเมื่อไหร่จะคืนดีกันนะ” นาคินทร์พูดลอยๆขึ้นมา รพีพงศ์จ้องเขม็งมายังนาคน้อยด้วยความไม่พอใจ นาคินทร์เองก็พยายามไม่รับรู้มองไปทางอื่น กลับรู้สึกดีใจเสียด้วยซ้ำที่สามารถทำให้รพีพงศ์อารมณ์เสียได้ นี่ถือซะว่าเป็นการเอาคืนที่นาคผู้ไร้อำนาจจะทำได้นั่นคือพูดให้ชลันธรคืนดีกับนภนต์

เวลาผ่านไปร่วมสองชั่วโมงนักศึกษาทุกคนต่างก็เข้าศึกษาสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลกันครบทุกห้อง รวมถึงห้องจัดแสดงสัตว์ทะเลมีพิษที่เปิดใหม่ด้วย จึงพากันแยกย้ายกลับออกไปจนหมดเช่นเดียวกับกลุ่มของชลันธร ที่เป็นกลุ่มสุดท้ายก็กำลังเดินออกไป

“เออ ลันเรากลับก่อนนะ” นาคินทร์บอกลาแล้วรีบวิ่งออกไป โดยไม่ให้ชลันธรหรือรพีพงศ์ได้ตั้งตัว

“อะไรของคินทร์ อยู่ๆ ก็วิ่งออกไปสงสัยจะแอบมีแฟนไว้ที่หอแน่เลย” ชลันธรพูดติดตลกโดยไม่รู้ชะตากรรมของตัวเองว่าจะมีเหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้นกับตน

ใช่มันคือเหตุการณ์เลวร้าย… นาคินทร์จะเป็นผู้หมุนกงล้อแห่งโชคชะตาในครั้งนี้… การกระทำที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา...

นาคินทร์ที่น้ำตาคลอเบ้าก็หลบไปยืนอยู่หลังตึก วันนี้นาคน้อยเหนื่อยกับการต้องเสแสร้งแกล้งเป็นคนอารมณ์ดีทั้งที่ใจนั้นหมองหม่น แต่เพื่อกนธีที่รักยิ่งเหนือสิ่งใดแล้ว จึงจำเป็นต้องทำถึงแม้ว่าจะรักเพื่อนอย่างชลันธรมากมายขนาดไหนก็ตาม เมื่อจิตที่เป็นสมาธิตั้งมั่นและเปลือกตาปิดลง ริมฝีปากบางขยับร่ายมนต์เพียงอึดใจ สะกดจิตเพื่อนชายในสาขาคนหนึ่งที่กำลังเดินผ่านมาให้กลับไปหาชลันธร

“ลันๆ อาจารย์นภนต์ให้ลันไปพบที่ห้องสัตว์ทะเลมีพิษ” ปิงปองถ่ายทอดคำพูดมาจากผู้ที่สะกดจิตตนออกมา ชลันธรเองตกใจเล็กน้อย แต่ก็ดีใจที่นภนต์นั้นยอมพูดคุยกับตนก่อน

“ขอบใจมากนะปิงปอง” ชลันธรวิ่งกลับเข้าไปด้านในอีกครั้ง ซึ่งรพีพงศ์เองก็เดินตามไปด้วย

“เดี๋ยวไอ้พี !! มึงห้ามเข้าไปเป็นอันขาด อาจารย์นภนต์ต้องการให้ลันเข้าไปคนเดียว” ปิงปองที่ถูกสะกดจิตจับบ่าของรพีพงศ์ แล้วพูดห้ามปราม

“นายรู้ได้ยังไงว่าอาจารย์ให้ลันเข้าไปคนเดียว ในเมื่ออาจารย์ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลันอยู่กับใคร” รพีพงศ์ดึงมือที่จับบ่าตนออกแล้วเดินเข้าไป พลันประตูพิพิธภัณฑ์ก็ปิดลงต่อหน้าต่อตา พอรพีพงศ์ออกแรงเปิดก็เปิดไม่ออก…ประตูถูกกำกับด้วยเวทมนต์

“โอ๊ย!!!...” ปิงปองร้องออกมาก่อนร่างกายจะสลบล้มพับลงไป รพีพงศ์จึงหันหลังกลับแล้วเดินเข้ามาดูปิงปอง ด้วยรอบกายเขามีไอสีเขียวเข้มกระจายทั่ว นี่มันกลิ่นอายพวกพญานาคชัดๆ หรือว่า...นาคินทร์ !!!

“พาเขาไปโรงพยาบาล!!” รพีพงศ์สั่งกับเพื่อนในสาขาที่เข้ามามุงดู  ส่วนตนนั้นก็ออกตามหานาคินทร์ที่น่าจะหลบซ่อนตัวอยู่ไม่ไกลจากจุดนี้

‘นาคินทร์...หากชลันธรเป็นอะไรไปเพราะเจ้า…ข้าขอสาบาน ข้าจะทำให้เจ้าเจ็บปวดจนเจียนตาย และข้าจะฆ่าเจ้าด้วยมือของข้าเอง’

ทางด้านชลันธรที่เดินกลับเข้ามาในห้องจัดแสดงสัตว์ทะเลพิษ พอหันไปด้านหลังก็ไม่เห็นรพีพงศ์ตามมา ก็คิดว่าเพื่อนของตนคงอยากจะให้เขาปรับความเข้าใจกับอาจารย์หนุ่มคู่รัก ไม่นานชลันธรก็เดินเข้าไปในห้องที่ใช้เป็นที่นัดหมาย

“พี่นภนต์…ลันมาแล้วครับ” ชลันธรเอ่ยขึ้นมาพร้อมกวาดสายตาไปรอบๆ ก็พบว่าไม่มีใครอยู่ในห้องสัตว์ทะเลมีพิษเลย

“พี่นภนต์หลบอยู่ที่ไหนครับ ออกมาเลยนะ หยุดแกล้งลันได้แล้ว!!!” ชลันธรเดินสำรวจไปรอบๆ เผื่อว่านภนต์อยากจะแกล้งหรือเซอร์ไพรส์แบบที่ตนเห็นในซีรีย์แต่กลับไม่พบเจอสิ่งใดนอกจาก…

‘เพล้ง!!!!’

อยู่ดีๆ ก็มีเสียงดังจากการแตกของกระจกแผ่นหนาของตู้จัดแสดงงูทะเล ด้วยเสียงที่ดังทำเอาชลันธรตกใจเป็นอย่างมาก เศษกระจกใสและน้ำทะเลเปียกนองกระจายเต็มพื้นห้อง  งูทะเลลายตัวยาวสีน้ำเงินสลับดำตัวหนึ่งเลื้อยออกมาจากตู้ มันกำลังมุ่งเข้าหาชลันธรที่ยืนตัวแข็งอยู่ไม่ไกล

“งู…งูทะเล!!!” ชลันธรตื่นตระหนกแล้วพยายามรวบรวมสติวิ่งไปยังที่ประตู

‘ปัง!!!...ตึง!!!’

ประตูห้องปิดลงเสียงดังสนั่น ชลันธรทั้งผลักทั้งดึงทั้งทุบประตูก็ไม่มีทีท่าว่าจะขยับ พอมองไปด้านหลังอสรพิษลายดำแห่งทะเลตัวนั้นก็เลื้อยเข้ามาใกล้ตัวเขาเรื่อยๆ

“ฮึก..ก…พี่นภนต์…ฮือ..อ…พี่นภนต์ช่วยลันด้วย…พี่นภนต์ได้ยินลันไหม!!!!...ฮือ..อ…” ชลันธรร้องไห้ออกมาด้วยความหวาดกลัว ปากก็ร้องเรียกคนรักที่มักจะช่วยเหลือตนทุกครั้งที่เกิดเหตุร้าย และครั้งนี้ชลันธรก็หวังว่านภนต์จะออกมาช่วยตนเช่นกัน

“พี่นภนต์…ฮือ..อ…โอ๊ย!!!!!”

คมเขี้ยวของอสรพิษร้ายลายดำแห่งท้องทะเล กัดผ่านถุงเท้าฝังขมเขี้ยวลงที่ข้อเท้าของชลันธร ด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว ร่างโปร่งล้มลงไปนอนกองกับพื้นในทันที พิษร้ายแล่นเข้าสู่ร่างกายของชลันธรอย่างรวดเร็วที่สำคัญพิษนี้ไม่ใช่พิษงูทะเลธรรมดาแต่เป็นพิษที่พญานาคคายออกมาตอนสมสู่กัน เป็นพิษที่กนธีมอบให้นาคินทร์มาป้ายไว้ที่เขี้ยวของงูทะเลลายดำตัวนี้ตอนที่แอบเข้ามาเมื่อก่อนหน้า

“อัก…แค่ก..แค่ก..ก..”

ด้วยฤทธิ์แรงพิษทำให้ชลันธรนอนดิ้นทุรนทุรายไปมา มือก็กุมไปที่หน้าอกของตน ร่างบางร้อนรุ่มราวถูกไฟเผา ชลันธรหายใจไม่ออกและติดขัดก่อนจะกระอักเลือดออกมา เลือดที่ปนเปื้อนไปด้วยพิษสีเขียวปนม่วงสุดน่ากลัว ดวงตาสวยที่ยามนี้มีน้ำตาไหลออกมากำลังจะปิดสนิท แม้ยามนี้จะไม่สามารถขยับริมฝีปากพูดได้แล้ว แต่ด้วยสติและภายในใจยังกึกก้องไปด้วยเสียงแห่งคำวอน

‘ท่านพี่นภนต์…ถ้าท่านพี่ได้ยินแล้ว โปรดช่วยข้าด้วยเถิด...โปรดช่วยข้าที...’



























.........................................

มาแล้วนะคะมาแล้ว

ตอนนี้เสียเลือดเสียเนื้อก็ไม่เบา

จัดไปเต็มๆอ่านแล้วเม้นกันหน่อยนะคะตอนนี้ ทุ่มเทขี้เลื่อยในสมองมาก NC แต่งไม่เก่งขออภัย ต้องคุมตัวเองไม่ให้SM

ส่วนหนูลันเรามาเอาใจช่วยกันว่าจะเป็นยังไง มาลุ้นกันเลยค่ะ พี่นภนต์อยู่ไหน!!!!!!



ป.ล. ท่านยุ่งมีสอบตั้งแต่เสาร์นี้จนถึงจันทร์จะไม่ได้อัพเดทนิยายนะคะ

ขอบคุณนะคะที่เข้ามาอ่านมาคอมเม้นเป็นกำลังใจช่วยกดไลค์กดแชร์...รักนะคะ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.09 P.4 (20/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 20-04-2017 18:29:27
ว่าละเชียวว่ากนธีต้องหลอกใช้ความรักของนาคินทร์
จะมีใครมาช่วยชลันธรทันไหมหนอ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.09 P.4 (20/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 20-04-2017 20:09:01
นภนต์จะมาช่วยทันมั้ยอ่ะ :katai1:

นาคินทร์นี่น้าาา รีบๆตาสว่างทีเถอะ

ยิ่งถ้าลันรู้นี่ แบบคงเศร้าอ่ะ :mew2:

รอติดตามมม :mew1:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.09 P.4 (20/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 20-04-2017 20:40:03
Yกำลังเข้มข้นเลย
นาคินหนิงนาถ้ารู้ว่าโดนหลอกใช้จะทำหน้ายังไงหน๋อ :ling2:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.09 P.4 (20/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 20-04-2017 23:00:01
ความรักมันเป็นเรื่องทีน่าเศร้า
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.09 P.4 (20/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 20-04-2017 23:00:55
ค้าง อยากอ่านต่อ สนุกมาก
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.09 P.4 (20/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 21-04-2017 00:12:38
ช่วยลันด้วย!!
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.09 P.4 (20/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 21-04-2017 00:50:47
ลันจ๋าอย่าเป็นไรน้าา
นาคินทร์นี่คือความรักทำให้คนยอมทำทุกอย่างจริงๆ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.09 P.4 (20/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 21-04-2017 01:29:42
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.09 P.4 (20/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 23-04-2017 01:09:35
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.09 P.4 (20/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: KnightDevil ที่ 27-04-2017 22:03:02
ฮือ สงสารอ่าทั้งลันทั้งนาคินทร์เลย โดนหลอกใช้แบบนี้ ;(

หวังว่าปัญหาจะคลี่คลายเร็วๆน้า เอาใจช่วยคุณนักเขียนให้มาต่อไวๆนะคะ :mew1:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.10 P.4 (29/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 29-04-2017 10:13:40
สาปรัก…ทัณฑ์เทวา

Writer : Tan-Yung0209

File : 10

















‘นาคินทร์อย่าให้ข้าได้เจอเจ้า... ข้าใคร่อยากจะฉีกกายเจ้านัก…’

รพีพงศ์วิ่งวุ่นตามหานาคินทร์ไปทั่วบริเวณ ซึ่งตนคิดว่าน่าจะอยู่ไม่ไกลนัก บุตรแห่งพระอาทิตย์ใช้เนตรเพลิงในการตามหา ด้วยไฟแค้นที่สุมอยู่กลางอกตลอดเวลานั้น หากได้เจอนาคาจอมเจ้าเล่ห์เหลี่ยมจัดที่หมายมั่น คงไม่แคล้วที่จะเข่นฆ่าฉีกร่างแล้วแผดเผาด้วยเพลิงไฟไม่ให้เหลือแม้แต่ซาก

ด้วยสัญชาตญาณเดรัจฉานชั้นสูง นาคินทร์ก็รับรู้ว่าอันตรายนั้นกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ จึงแปลงกายเป็นงูดินสีนิลเลื้อยไปยังที่ลับตาไกลคน ซึ่งอาคารเรียนร้างที่ใกล้จะทุบทิ้งนั้นก็เป็นสถานที่ที่เหมาะสมแก่การกบดาน นาคินทร์ในร่างงูดินได้เลื้อยไปยังห้องเรียนที่เต็มไปด้วยละอองฝุ่นและหยากไย่ อสรพิษน้อยขดตัวอยู่ใต้โต๊ะตัวหนึ่งแล้วตั้งจิตให้นิ่งเพื่อให้พลังงานในกายนั้นดับสูญ วิธีนี้จะช่วยให้นาคินทร์รอดพ้นจากเนตรทิพย์ทั้งปวงได้

รพีพงศ์เองออกตามหานาคินทร์อย่างไม่ลดละ พยายามสอดส่องมองหาอย่างไรก็ไม่พบเจอ ทั้งที่ใช้เนตรเพลิงแล้วก็ตาม บุตรพระอาทิตย์เริ่มจะถอดใจก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงหน้าตึกอาคารเรียนร้างอาคารหนึ่งหลังมหาวิทยาลัย

“…หรือว่าจะอยู่ที่นี่...” ทุกข้อสงสัยในใจนั้นรพีพงศ์ไม่เคยปล่อยผ่าน เทวาหนุ่มย่างกรายเข้าไปในอาคารเรียนร้างง่ายๆ ประตูที่ล็อกไว้เพียงสัมผัสด้วยฝ่ามือที่กรุ่นไฟ เหล็กลูกบิดก็ถูกหลอมละลายดั่งไขผึ้งและเปิดออกอย่างง่ายดาย ด้วยความเงียบเชียบและความเปลี่ยว อาคารเรียนแห่งนี้จึงเต็มไปด้วยขยะและเหล่าหนูสกปรกจำนวนมาก บางจุดก็พบร่องรอยคนที่เข้ามาแสวงหาประสบการณ์ความเต้นตื่นในสถานที่แปลกใหม่ ด้วยถุงยางอนามัยที่ถูกถอดทิ้งเกลื่อนพื้น

บรรยากาศที่แสนจะวังเวงและเต็มไปด้วยเหล่าวิญญาณชั้นต่ำ เมื่อรับรู้ได้ว่ามีพลังงานความร้อนที่มากล้นเข้ามา แทบที่จะไม่ต้องไตร่ถามว่าเป็นใคร ต่างก็หนีตายอีกครั้งอย่างจ้าละหวั่น เพียงบาทาข้างขวากระทืบลงพื้นจนเสียงดังลั่น ร่างของเทวดาเจ้าที่ของอาคารแห่งนี้ที่ยามนี้ชราภาพมากแล้วก็ปรากฏกายขึ้น

“มีการอันใดให้ข้ารับใช้หรือ...ท่านรพีพงศ์...”

“เจ้าที่...ข้าขอรบกวนเจ้าหน่อย...เมื่อครู่มีอะไรแปลกๆ ผ่านเข้ามาที่นี่บ้างหรือไม่...”

“คือ...คือ...ข้า...”

“คือข้าอะไรเล่า มัวแต่อั้มๆ อึ้งๆ อยู่นั่น...จงรีบพูดมาบัดเดี๋ยวนี้...”

“คือข้าเองก็ชราภาพมากแล้ว ด้วยหูตานั้นฝ้าฟาง ท่านรพีพงศ์อย่าได้ถือสาข้าเลย...” เนื่องจากอาคารถูกปล่อยทิ้งร้างไว้จึงไม่มีใครมาทำพิธีเซ่นไหว้แก่เทวดาเจ้าที่ ทำให้เจ้าที่นั้นชราและกายทิพย์ทรุดโทรมจนไม่สามารถดูแลสถานที่ได้อย่างเต็มที่จนภูตผีชั้นต่ำ เข้ามาสิงสถิตอยู่มากมาย

“อย่างนั้นเจ้าก็จงไปให้พ้นหน้าข้าเสียบัดเดี๋ยวนี้...” กายทิพย์เทวดาเจ้าที่ผู้ชราสภาพทรุดโทรมมิต่างจากอาคารเรียนเก่าๆ แห่งนี้ก็รีบเลือนกายหายไปในทันที

ถึงจะขุ่นเคืองใจเล็กน้อย ด้วยสอบถามจากเทวดาเจ้าที่ไม่ได้ความ แต่เหมือนมีอะไรบางอย่างที่ใจของรพีพงศ์บอกว่าอย่างไรเสียนาคินทร์ก็ต้องซ่อนกายอยู่ที่นี่เป็นแน่  จึงสาวเท้าก้าวขึ้นบันไดไปบนตึก รองเท้าหนังสีดำกระทบกับพื้นปูนขัดมันที่เต็มไปด้วยฝุ่นจนเกิดเสียงกระทบ  ชวนให้เหล่าภูตผี ทนไม่ได้ต้องหนีออกมา รวมถึงผู้หลบหนีที่ได้ยินนั้นแทบจะคุมสติดับจิตตนเองแทบไม่ได้เช่นกัน

‘กึก…กึก..กึก’ เสียงฝีเท้าเข้าใกล้มาเรื่อยๆ นาคินทร์รู้ได้ทันทีว่ารพีพงศ์กำลังเดินเข้ามาให้ห้องที่ตนได้ซ่อนตัวเสียแล้ว วินาทีนี้นาคินทร์ลุ้นระทึกและหวังว่ารพีพงศ์จะรีบออกจากห้องไป ตนก็จะหลุดพ้นจากเงื้อมมือเพลิงมัจจุราชในร่างเทพหนุ่มนี้ได้ เพราะขนาดตนหลับตาก็รับรู้ได้ถึงรังสีอำมหิตที่พร้อมปลิดชีวิตได้ในทันที

‘แปะ’

เสียงของแมงมุมตัวใหญ่ตกลงที่ปลายหางของงูดิน ด้วยความตกใจนาคินทร์จึงหลุดจากการดับจิตทำให้เนตรเพลิงมองเห็นพลังงานความร้อนจากใต้โต๊ะตัวใหญ่กลางห้องเรียนรวมตัวหนึ่ง รพีพงศ์ก้มลงมองดูก็พบงูดินถูกแมงมุมเกาะที่ปลายหาง นาคินทร์ในร่างงูดินรีบเลื้อยหนีแต่ก็ถูกรพีพงศ์จับได้เหวี่ยงและโยนกายกระแทกเข้าไปที่กำแพง

“โอ๊ย!!!!” เสียงร้องที่ถูกแรงเหวี่ยงมหาศาล ทำให้นาคินทร์เจ็บปวดจนคลายมนต์กลับมากลายร่างเป็นมนุษย์ เมื่อกายบางเงยหน้าขึ้นก็พบว่ามีปลายแหลมของพระขรรค์สีเงินวาวจ่อตรงคอของตนเสียแล้ว

“จงบอกข้ามานาคินทร์ เจ้าทำการอันใดกับชลันธร!!!” รพีพงศ์ตะคอกถามเสียงดังลั่น

“ไม่ใช่ธุระโองการอะไรของท่าน” แม้รู้ว่าเปล่งวาจาตอบรพีพงศ์ไปแบบนั้น จะทำให้อีกฝ่ายระคายหู นาคินทร์ก็เลือกที่จะพูดออกไปดีกว่าจะบอกความจริงออกไป

“ข้าถามเจ้าก็ตอบมานาคินทร์ อย่าให้ข้าต้องโมโห!!!”

“เพลานี้ท่านก็โมโหอยู่มิใช่ดอกหรือ?” นาคินทร์แสยะยิ้มทั้งที่ความกลัวเกาะกุมจิตใจ

“เจ้า!!!!!” รพีพงศ์โมโหจนตัวสั่นก่อนจะง้างมือถือพระขรรค์เตรียมแทงลงตรงกลางคอขาว นาคินทร์รีบเคลื่อนกายหนีหลบไปได้อย่างหวุดหวิดก่อนจะแปลงกายกลับสู่ร่างที่แท้จริง… ‘พญานาคนาคินทร์’

นาคาสีรัตติกาลแผ่แม่เบี้ยขู่อีกฝ่ายแล้วพ่นไฟกรดที่เต็มไปด้วยพิษออกมาโดยที่ไม่ยอมให้อีกฝ่ายนั้นได้ทันตั้งตัว ถึงแม้โดยสันดานจะเป็นนาคที่ขี้อายขี้กลัว แต่ทุกอย่างที่ทำนั้นเพื่อกนธีแล้ว นาคินทร์จำต้องสู้ด้วยใจรักที่มั่นคง ด้วยหมายใจจะให้รพีพงศ์ต้องเกรงกลัว แต่ก็เปล่าเลย และซ้ำยังต้องประหลาดใจยิ่ง เมื่อเห็นว่ารพีพงศ์นั้นยิ้มเยาะ เยี่ยงเห็นเด็กน้อยคนหนึ่งกำลังเล่นกลปาหี่ง่ายๆ บางอย่างก็เท่านั้น  ก่อนจะก้าวเท้าเดินเข้ามาใกล้ยิ่งกว่าเดิม

“นี่เจ้าคงจะไม่รู้สินะว่าคือบุตรของสุริยะเทพ ไฟกรดเด็กเล่นของเจ้า ทำอะไรข้ามิได้ดอก”

รพีพงศ์ฉวยจังหวะที่อีกฝ่ายตะลึงอยู่นั้นปักพระขรรค์ลงไปที่ส่วนปลายหางของพญานาคนาคินทร์เพื่อไม่ให้เลื้อยหนีไปได้ ความเจ็บปวดนั้นออกมาตามเสียงกรีดร้องทุรนทุราย รพีพงศ์ปล่อยให้นาคินทร์ร้องสักพักจึงดึงพระขรรค์ออกให้ เลือดสีเขียวที่ไหลซึมก็เริ่มทะลักออกมาเป็นวงกว้าง

“ข้าจะให้โอกาสเจ้าตอบในสิ่งที่ข้าถามอีกครั้ง ไม่อย่างนั้นข้าจะ...เฮ้ย!!!!”

คำว่า...โปรดสัตว์ได้บาป...คงจะใช้กับเหตุการณ์นี้ได้เป็นอย่างดี บุตรแห่งพระอาทิตย์ที่คิดว่าตนกำลังจะได้รับชัยชนะแล้วกลับถูกนาคาเลื้อยรัดร่างกายแน่นจนไม่สามารถขยับร่างกายไปไหนได้ แต่ท่าทางกลับไม่ได้กังวลกับสิ่งที่นาคินทร์ทำนัก

“สมแล้วที่เจ้าเป็นอสรพิษ…อั่ก..ก…เลี้ยงไม่เชื่องจริงๆ” รพีพงศ์พูดจบก็รวบรวมสมาธิบริกรรมคาถา อยู่ๆ แสงรัศมีสีชาดก็สว่างจ้าออกมาพร้อมกับความร้อนที่แผ่ออกมาจากผิวกายที่ร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็กลายเป็นเพลิงไฟลุกท่วมร่างของรพีพงศ์  ด้วยกายที่กรุ่นไฟนั้นมีหรือพญานาคนาคินทร์จะทนความร้อนไหว กลับต้องคลายรัดแล้วเลื้อยหนี แต่ก็หนีไปไม่ได้ไกลแล้วก็ต้องหยุดล้มลงนอนรอบกองกับพื้น และกลับกลายร่างเป็นมนุษย์เช่นเดิม เพื่อหมายใช้กายมนุษย์ที่แสนน่ารักน่าเอ็นดูนั้นทำให้เทวาหนุ่มนั้นใจอ่อน  รพีพงศ์เองก็หยุดร่ายคาถาไฟที่ลุกไหม้เมื่อครู่ก็มอดดับลงเหลือเพียงร่างกายที่กำยำเปล่าเปลือยเพราะอาภรณ์ที่สวมใส่ถูกไฟเผาไหม้ไปจนหมด  เผยร่างที่แท้จริงให้นาคินทร์ได้ยลเป็นขวัญตา รูปร่างหน้าตานั้นเปลี่ยนแปลงจากเดิม ไม่ใช่นักศึกษาชั้นปีที่ 2 ที่นาคน้อยนั้นได้เห็นอยู่เมื่อครู่ ดูเป็นผู้ใหญ่ที่อายุอานามไม่ได้ดูห่างจากนภนต์เทพมากนัก

“ถึงข้าจะหนีไปก็ไร้ประโยชน์ ท่านชนะข้าแล้ว…ถ้าท่านประสงค์อยากจะเอาชีวิตข้า ก็จงเอาไปเสียเถิด” นาคินทร์พูดออกมาเสียงแผ่วเบา มือเรียวก็จับแผลที่ข้อเท้าซึ่งตอนนี้โลหิตสีเขียวยังคงไหลออกมาและไม่มีทีท่าว่าจะยอมหยุด

“ตอนแรกข้าว่าจะฆ่าเจ้าให้พ้นๆ ไปเสีย แต่ข้ากลับมาคิดอีกครั้ง คนขี้ขลาดขี้กลัวอย่างเจ้ามีหรือที่จะทำการนี้เอง จำต้องมีคนบงการให้ริทำการนี้เป็นแน่... เพียงเจ้าบอกมาว่าใครส่งเจ้ามาทำร้ายชลันธร ข้าจะเว้นโทษตายให้เหลือเพียงฐานะเชลยเท่านั้น” รพีพงศ์ย่อตัวลง มือก็จับที่คอขาวแล้วบีบแน่นจนนาคินทร์รู้สึกเจ็บปวด

“ข้าทำเอง หาได้มีผู้ใดบงการไม่” นาคินทร์โกหก นาคน้อยยอมตายดีกว่าบอกออกไปว่ากนธียอดดวงใจนั้นเป็นผู้บงการ

“เจ้าปดข้า!!!” รพีพงศ์โมโหยิ่งกว่าเดิม แรงบีบก็ยิ่งเพิ่มขึ้นจนนาคินทร์เริ่มหายใจไม่ออก ไหนจะไอร้อนที่ทำให้แสบร้อนนี่อีก

“ขะ…ข้าหาได้ปดท่านไม่..อึก..ก…” นาคินทร์ยังคงยืนยันคำตอบเดิม

“ข้าไม่ได้โง่!!! ข้ารู้ว่ามีคนร่วมวางแผนฆ่าชลันธรร่วมกับเจ้าอีกคน ฮึ ซึ่งเจ้าคงจะรักมันมากสินะถึงได้ปกป้องขนาดนี้ แต่ข้าก็ไม่แปลกใจดอกในเมื่อพวกเจ้าร่วมสังวาทไม่อายฟ้าอายดินกันริมหาดแสมสารถึงใจขนาดนั้น” รพีพงศ์หยุดบีบคอนาคินทร์แล้วผลักนาคินทร์ให้ล้มลงไปนอนกับพื้น

“แค่ก…แค่ก..แค่ก”

นาคินทร์สำลักออกมาจนน้ำตาคลอเบ้า มือบางลูบลำคอที่มีรอยแดงจากฝ่ามือใหญ่ นาคน้อยคิดว่ารพีพงศ์คงรู้ว่ามีคนร่วมกับแผนการฆ่าชลันธร แต่คงไม่รู้ว่าเป็นใครถึงได้มาเค้นคำตอบจากตน

“ต่อให้ท่านฉีกร่างข้าให้ไปเป็นอาหารของเหล่าครุฑ ข้าก็จะไม่มีวันบอกท่าน” นาคินทร์เอ่ย ด้วยชีวิตและวิญญาณนาคินทร์นั้นยอมสละได้เพื่อคนที่รัก

“ข้านับถือในความรักและความซื่อสัตย์ที่เจ้ามีต่อผู้บงการยิ่งนัก เอาเป็นว่าข้านั้นจะไม่ฆ่าเจ้าก็ได้ แต่ข้าจะทำให้เจ้าตายทั้งเป็น เจ้าจะต้องจดจำข้าไปจนวันตาย...นาคินทร์!!!” รพีพงศ์มองรูปร่างกายขาวที่แสนบอบบางของนาคินทร์ก็นึกเสียดาย หากต้องตายด้วยคมพระขรรค์ ในเมื่อมีวิธีอื่นที่สามารถสาวไปถึงตัวผู้บงการเช่นกัน

 มือหนาตรงเข้าฉีกกระชากเสื้อผ้าชุดนักศึกษารวมถึงถอดกางเกงที่หุ้มกายนาคน้อยนั้นจนขาดวิ่น นาคินทร์พยายามขัดขืนแต่ก็มิอาจสู้แรงได้ สุดท้ายก็ตกอยู่ในสภาพเปลือยเปล่าเช่นกัน

“ท่าน…ท่านจะทำอะไรข้า…ไม่นะ…เอามือท่านออกไป” นาคินทร์รับรู้ถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น มันเป็นเรื่องที่เลวระยำที่กำลังคืบคลานเข้ามา มือบางพยายามจะปิดป้องส่วนกายที่ไร้อาภรณ์ปกปิด รพีพงศ์ใช้โอกาสนี้หยิบเศษเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นมามัดมือและปิดปากของนาคินทร์

“ข้าเชื่อว่าเจ้ารู้ว่าข้าจะทำอะไร อย่าเสแสร้งแกล้งทำเป็นใสซื่อนักเลย…นาคินทร์ เจ้านาคร่านสวาท.!!!”

“หยุด....หยุดเดี๋ยวนี้  รพีพงศ์..ท่านหยุดเถอะ...” เสียงพูดอู้อี้ผ่านผืนผ้าที่ปิดกันนั้นไม่ได้ทำให้รพีพงศ์ใจอ่อนลงแต่อย่างใด

“อยากให้หยุดหรือ...ทำไมกันเล่า ในอาคารแบบนี้มันไม่ดีตรงไหนกัน...หรือว่าเจ้าต้องการแบบนอกสถานที่ เฉกเช่นชายหาดริมทะเล อะไรแบบนั้นใช่หรือไม่...”  พูดจบแล้วรพีพงศ์ก็คลายมัดปากให้นาคินทร์ได้พูดบ้าง

“ไม่...ข้าไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น...รวมถึงท่านด้วย...”

“ฮึ...เหรอ...จำไว้นะนาคินทร์ จากนี้ต่อไปเจ้าจะลืมข้าไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว แล้วก็จะพร่ำเรียกหาข้าอยู่ทุกค่ำคืน...” รพีพงศ์ไม่สนใจคำพูดอะไรของนาคินทร์นัก  มือหนากลับใช้ผืนผ้ามัดปิดริมฝีปากบางอีกครั้ง แล้วโอบอุ้มกายบางที่ไร้แรงขึ้นพาดบ่าไปยังโต๊ะกว้างกลางห้องเรียนรวม  กายหนาไม่ได้ค่อยๆ วางร่างที่พาดบ่าแกร่งนั้นอย่างเบามือ เขากลับปล่อยให้ร่างบางหล่นกระแทกลงบนโต๊ะนั้นอย่างจงใจ  ร่างแสนบอบบางที่บาดเจ็บอยู่แล้วพอถูกปฏิบัติด้วยการกระทำแสนหยาบคายไร้ความปราณีก็ยิ่งเจ็บปวดจนหยาดน้ำใสที่คลอในดวงตานั้น ไหลลงอาบแก้มนิ่มเป็นทางยาว

“ร้องไห้หรือ...สำออยนัก...!!! ข้าไม่เชื่อหรอกว่านาคอย่างเจ้าจะเจ็บปวดเป็น พวกงูนั้นมากด้วยเล่ห์...น้ำตาของเจ้ามันตบตาข้าไม่ได้หรอก...นาคินทร์!!! ” รพีพงศ์เกลียดการเสแสร้งแกล้งทำเป็นที่สุด ยิ่งคนตรงหน้าที่ทำตัวอ่อนแอทั้งที่ใจนั้นอำมหิตคิดฆ่าได้แม้กระทั้งคนที่แสนดีกับตนอย่างชลันธรแล้วด้วย… ‘เจ้าหลอกข้าไม่ได้หรอกนาคินทร์...’

“ฮึก...ฮือ.อ..” นาคินทร์ร้องไห้ออกมาโดยไม่คิดว่าตัวเองจะต้องมาเจอเหตุการณ์ระยำตำบอน ถูกข่มขืออะไรแบบนี้ แม้ว่าอยากจะพูดว่า...อย่า...ออกมาอย่างสุดเสียงในตอนนี้ แต่ก็ยังยากลำบากด้วยผืนผ้าที่มัดปิดปาก รพีพงศ์นั้นใจร้ายกว่าที่นาคินทร์คิดเอาไว้

“ร้องไห้ออกมาจนน้ำตาท่วมโลกันตร์ ข้าก็ไม่ใจอ่อนหลงเชื่อมารยาเจ้าดอก แล้วจงรับรู้เสียด้วยว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น”

รพีพงศ์ยิ้มเยาะ ก่อนยื่นมือหนากระชากขาเรียวร่างบางให้เข้ามาใกล้ แขนแกร่งนั้นยันกับพื้นโต๊ะแล้วโน้มกายก้มลงขืนจูบนาคินทร์ผ่านผืนผ้า ย้ำยีจิตใจให้ได้อาย เจ้าของริมฝีปากนิ่มเม้มปากตามสัญชาตญาณ ทั้งยังพยายามเบือนหน้าหนีหลบหลีกจนรพีพงศ์ต้องจับปลายคางของนาคินทร์แล้วออกแรงบีบ

“อ๊ะ!!!”

นาคินทร์ส่งเสียงร้องออกมาในลำคอด้วยความเจ็บปวดที่โลดแล่นบริเวณปลายคาง รพีพงศ์อาศัยจังหวะนี้ประทับริมฝีปากผ่านผ้าผืนบางที่มัดปากเอาไว้อีกครั้ง อีกฝ่ายที่พยายามหลบหลีกไม่ยอมเล่นด้วย จนรพีพงศ์ผละปากออก แล้วเปิดผ้าขึ้นให้เห็นริมฝีปาก

“อื้อ..อ..!!!”

ยังไม่มีทีท่าว่าจะเลิกลาการจู่โจม รพีพงศ์ก้มขบไล่ริมฝีปากล่างของนาคินทร์ ก่อนจะบดจูบเบียดริมฝีปากแสนกระหายไร้ความนุ่มนวล มีแต่ความเจ็บปวดให้กับนาคน้อยจนริมฝีปากนิ่มบวมเจ่อ รพีพงศ์จึงได้เปลี่ยนเป้าหมายใหม่

เทพหนุ่มเริ่มลากลิ้นมาที่ปลายคางขึ้นไปตามแนวสันกรามจนถึงหูนิ่ม ร่างสูงเกร็งลิ้นแล้วแหย่ไปในรูหูของนาคินทร์จนคนโดนกระทำนั้นเกร็งไปทั้งตัว ลมหายใจของกายบางหอบหนักกระชั้นถี่ บุตรแห่งสุริยะเทพมิหยุดเพียงเท่านี้ เขาโลมเลียไปที่หลังใบหูแล้วดูดเม้มจนเป็นจ้ำสีเนื้อช้ำเล็กๆ นาคินทร์สั่นสะท้านพยายามขืนกายเบี่ยงหลบ แต่ถูกรพีพงศ์จับศีรษะเอาไว้ ท้ายที่สุดนาคินทร์ที่ถูกรพีพงศ์หยอกเย้าเล้าโลมก็หยุดขืนกาย และทำได้เพียงนอนนิ่งๆ เท่านั้น พอเล่นกับใบหูนิ่มจนหนำใจ ร่างหนาเลื่อนลงเปลี่ยนตำแหน่งลงมาที่คอระหง รพีพงศ์ค่อยๆ สร้างรอยราคีดูดเม้มรอบๆ คอขาวจนไม่ต่างจากปลอกคอล่ามสัตว์เลี้ยง

“อั่ก…อื้อ..อ..” นาคินทร์ร้องออกมาเพราะเจ็บจากการดูดดุน รพีพงศ์ไม่ยอมออมมือออมแรงให้แม้แต่น้อย ด้วยสร้างรอยแต่ละครั้งก็มิวายจะใช้ฟันซี่คมขบกัดจนเกิดรอยฟันจางๆ นาคินทร์ก็ทำได้ใช้มือที่ถูกมัดนั้นพยายามดันกายร่างหนาออกเพราะทนก็การปลุกเร้าอารมณ์ร่วมไม่ไหวเนื่องด้วยใจมิได้รักใคร่รพีพงศ์หากปล่อยตัวไม่ขัดขืนคงไม่มีหน้าไปสู้กนธีได้ 

ด้วยแรงที่มีน้อยนิดนั้นหรือจะต้านทานเทพผู้หื่นกระหายตัณหาได้ รพีพงศ์กลับไม่สะทกสะท้านอะไรสักนิด  ซ้ำยังเอาคืนนาคาใต้ร่างด้วยการใช้ปลายดัชนีบดขยี้เม็ดบัวสีชมพูอ่อนทั้งสองข้างบนแผงอกขาวซีดจนชูชัน ตามด้วยใช้ปากครอบดูดดุนจนชุ่มน้ำลายสลับไปมาทั้งสองข้าง

‘อา.า…อย่า.า…อย่าทำ..อื้อ’

ถึงใจจะร้องบอกให้หยุดแต่กายและสัญชาตญาณกลับทรยศ นาคินทร์แอ่นอกรับเข้าหาริมฝีปากร้อนตามจังหวะดูดดุนที่รพีพงศ์มอบให้ ปฏิกิริยาของนาคินทร์นั้นกระตุ้นอารมณ์ดิบของรพีพงศ์ได้ไม่น้อย…ยิ่งเห็นก็ยิ่งอยากทำรุนแรงให้กายเนียนนี้แหลกสลายคามือ

รพีพงศ์เลื่อนใบหน้าลงมาเล้าโลมที่หน้าท้องที่เรียบเนียน มือหนาทั้งสองก็ลูบเอวคอดลงมาที่บั้นท้ายแน่นแล้วขย้ำฝ่ามือลงอย่างรุนแรง จนแผ่นหลังของกายบางนั้นนอนแทบไม่ติดพื้นโต๊ะ ด้วยกระสับกระส่ายเขยื้อนกายไม่หยุด

ใจนาคาน้อยนั้นอยากจะเอาพระขรรค์เงินข้างกายรพีพงศ์มาเสียบแทงให้ทะลุดวงใจตนเองนัก ที่ร่างกายกำลังหลงระเริงเพลิงไฟตัณหา…ร่างกายที่มอบให้เพียงกนธีกำลังจะแปดเปื้อนด้วยน้ำมือเทพชั้นสูงผู้ใจร้าย  นาคินทร์ที่ได้แต่คิดถึงใบหน้าของกนธี หยาดน้ำใสนั้นก็เอ่อล้นไหลลงออกมาอาบแก้มอีกครั้ง

เทพหนุ่มไม่สนใจหยาดน้ำตานั้นเลยสักนิด เขาใช้ฝ่ามือร้อนดั่งไฟลูบเนื้อนิ่มกลมกลึงแล้วลากผ่านขึ้นมาที่เรียวขา รพีพงศ์จับขาของนาคินทร์ให้อ้าออกกว้างก่อนจะดันให้แนบชิดติดอกคนใต้ร่าง เทพหนุ่มละจากหน้าท้องแบนราบ ตาคมมองไปใบหน้าของนาคินทร์ที่มีน้ำตานองหน้า นาคินทร์หลบสายตาหันไปทางอื่น ร่างบางนั้นรู้สึกอับอายและไม่รู้ว่าถ้าผ่านพ้นราตรีนี้ไปจะกลับมีหน้าที่ไหนไปพบเจอกับกนธี

“มองหน้าข้า…นาคินทร์” รพีพงศ์เอ่ยเสียงพร่า มือก็กำรอบแท่งร้อนของตนเองพลางปลุกเร้าให้กลางกายนั้นแข็งตัว

นาคินทร์แม้จะตกเป็นรองก็อวดดี ไม่ยอมทำตามที่รพีพงศ์สั่ง จนรพีพงศ์อยากจะสั่งสอนให้หลาบจำ ไม่มีการเล้าโลม หรือหล่อลื่นใดๆ ต่อจากนี้อีก  แกนกายใหญ่ขนาดเท่าข้อมือค่อยๆแทรกเข้าไปทีละนิดจนผสานแนบชิดไร้ช่องว่าง เพียงแค่นี้ก็สร้างความเจ็บปวดและอึดอัดให้กับนาคินทร์ไม่น้อย แล้วเริ่มรู้สึกเจ็บแสบมากยิ่งขึ้น  ร่างบางเดาได้ไม่ยากว่าช่องทางของเขาคงฉีกขาดเป็นแน่แท้ นาคินทร์ได้แต่อดทนอดกลั้นต่อความเจ็บปวด ผิดกับรพีพงศ์นั้นกำลังสะใจกับการกระทำที่เขาได้ทำลงไป เทพหนุ่มสังเกตความเจ็บร้าวที่เขาก่อขึ้นด้วยปลายนิ้วเท้าของกายบางจิกเกร็งอยู่ตลอดเวลา

“เจ็บนักใช่หรือไม่...นาคินทร์  วันนี้แหละที่เจ้าจะต้องจดจำรพีพงศ์ผู้นี้ไปชั่วกาล...”

“อ่า.า…อืม.ม….” เสียงครางที่พยายามอดกลั้นทำใจรพีพงศ์พอใจ เมื่อขยับแก่นกายเข้าสัมผัสกับผนังนุ่มอุ่นภายในกายของอีกคน รพีพงศ์หยุดนิ่งค้างไว้ก่อนจะเริ่มขยับกายเป็นจังหวะช้าๆ เนิบนาบ แต่บางครั้งก็หนักหน่วง ส่วนนาคินทร์ที่ร้องไห้ออกมาเงียบๆ ทั้งปวดกาย ปวดใจที่ตนต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ สภาพจิตใจตอนนี้น่ะหรือไม่ตายก็เหมือนตาย

‘กึง!!...กึง..กึง!!!’ จากจังหวะช้าๆ รพีพงศ์ก็กระแทกแรงๆ ให้หนักขึ้น ส่งผลให้โต๊ะตัวเก่าขยับโยกจนเกิดเสียง แต่มิใช่เพียงแค่โต๊ะเท่านั้นที่ขยับโยก กายบางก็เช่นกันที่ขยับโยกไหวไปตามแรงกระแทก

...เจ็บ เจ็บ เจ็บ เจ็บเหลือเกิน... เจ็บจนแทบจะหมดสติเสียให้ได้ นาคินทร์พยายามกัดฟันแน่นและข่มกายด้วยจิกเกร็งปลายเท้า ตั้งแต่เกิดมาผ่านการร่วมรักกับกนธีมานับครั้งไม่ถ้วนแต่ทำไมกับรพีพงศ์ถึงได้เจ็บปวดรวดร้าวนัก  ทุกความเจ็บปวดที่เคยได้รับมาในชีวิตราวกับเศษธุลี ไม่มีครั้งใดที่จะเจ็บปวดทั้งกายใจได้ถึงเพียงนี้

 ร่างกายของนาคินทร์นั้นขยับไปตามแรงส่งด้วยความรุนแรงที่ถูกมอบให้ ความเจ็บที่ถูกคนบนร่างใช้มือกดเรียวขาจนแผลตรงขาอ่อนแนบติดตัวนาคินทร์ส่งผลให้โลหิตไหลออกมาเปรอะเปื้อนผิวขาว

“ฮึก…อึก.ก…ฮือ..ฮือ..” นาคินทร์อยากวอนขอเหลือเกินว่าให้รพีพงศ์หยุดทำร้ายตนได้แล้ว รพีพงศ์พอได้ยินเสียงร้องไห้ความรู้สึกชั่วดีก็แวบเข้ามา…รู้สึกดีราวกับได้ขึ้นสวรรค์ที่ได้ร่วมเสพสังวาทกับกายงามของนาคินทร์…แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกราวกับตกนรกที่ตนได้ทำตัวหยาบช้าราวกับไม่ใช้เทพชั้นสูงและคล้ายกับว่าคนนั้นไม่ซื่อสัตย์กับชลันธร

หากจะให้ถอยยามนี้คงไม่ทัน เมื่อได้ขึ้นขี่หลังเสือไปแล้ว สุดท้ายก็ต้องปล่อยให้อารมณ์ชักจูงไปในครรลองของมัน แม้ความสุขที่ได้ปลดปล่อยจะแลกกับความทุกข์ทรมานของนาคินทร์รวมถึงเกิดความสับสนว้าวุ่นใจในตนเองของรพีพงศ์

“...เดี๋ยวก็ไม่เจ็บแล้วนาคินทร์ อดทนหน่อยสิ...” หลังมือหนาเลื่อนเข้ามาเช็ดเหงื่อเม็ดโตที่พุดพรายบนใบหน้าสวยที่อิดโรย เหมือนจะเป็นคำปลอบ แต่ก็มิได้หยุดย่ำยีกายและใจที่แตกสลาย  ดวงตาที่บอบช้ำนั้นปิดแน่นสนิทเมื่อรพีพงศ์เคลื่อนกายอย่างหนักหน่วงอีกครั้ง  มันไม่ได้เป็นไปอย่างที่เขาบอก มันยังคงเจ็บหน่วงทุกครั้งที่ถูกแกนกายนั้นกระแทกเข้ามา

เจ็บจนยากจะเกินทน... ในศีรษะนั้นกำลังหมุนวนเหมือนกับนาคน้อยหลงเข้าไปอยู่ท่ามกลางกระแสน้ำวนที่หาทางออกไม่ได้...หน้าตาที่ไม่ได้บ่งบอกถึงความสุขสมเลยสักนิด ยิ่งทำให้รพีพงศ์ยิ่งได้ใจ นาคินทร์นั้นอยากจะกลั้นใจให้ตายในบัดเดี๋ยวนี้  ให้หลุดพ้นจากเรื่องบ้าๆ ที่กำลังเกิดขึ้น แต่ก็หาตั้งสติกลั้นใจนั้นได้ไม่... รพีพงศ์กระแทกกระทั้นกายเข้าออกอยู่พักหนึ่งก็ปลดปล่อยสายน้ำขุ่นเข้าร่างบางอีกครั้ง 

ร่างกำยำนั้นหยุดนิ่งไม่ขยับเขยื้อนอะไรอีก นาคินทร์ยังคงอึดอัดเพราะแกนกายใหญ่ยังแทรกอยู่ ในใจได้แต่เป็นกังวลว่าหากกนธีล่วงรู้เรื่องนี้จะเป็นเช่นไร คิดไกลจนอยากจะตายหนีอายเสียดีกว่าให้ใครต่อใครมาตราหน้าว่าเป็น...นาคาสองผัว...แบบนี้ยิ่งนัก 

จนเวลาผ่านไปสักพักรพีพงศ์จึงยอมถอนแกนกายออกให้ นาคินทร์ที่ยังคงมีสติอยู่แต่ก็นอนตะแคงข้างนิ่งร่างกายไม่ไหวติงแม้จะสะอึกสะอื้นแต่ก็ไม่ได้รับการปลอบโยนใดๆ  เขาลุกเดินออกไปมองพระจันทร์สกาวแสงที่ริมหน้าต่างพักหนึ่ง ยามนี้รพีพงศ์กลับรู้สึกสับสนในใจยิ่งนัก ไม่นานก็เดินกลับมาหานาคินทร์นี่ยังนอนสะอื้นไห้เพียงลำพัง มือหนาลูบเส้นผมที่เหนียวไปด้วยเหงื่อชุ่ม แล้วก็พูดบางสิ่งกับนาคินทร์

“เป็นอย่างไรบ้างเล่านาคินทร์... ลืมเรื่องเมื่อครู่ไม่ลงใช่หรือไม่... ตอนนี้เจ้ากำลังด่าข้าว่าไอ้เลว ไอ้ระยำ ไอ้สัตว์นรก อยู่ใช่หรือไม่...หากเป็นเยี่ยงนั้นแล้วเจ้าก็จงด่าว่าข้าต่อไปเถิด  เรื่องของข้ากับเจ้า มันเพิ่งจะเริ่มขึ้นเท่านั้น  เจ้าจะต้องอยู่กับข้าต่อไป เพราะคนที่บงการเจ้าจักต้องตามหาเจ้าเป็นแน่...โดยที่ข้าไม่ต้องออกแรงตามหาให้ยุ่งยาก หรือบังคับถามเจ้าให้เสียอารมณ์  แล้วข้าก็จะข่มขืนเจ้าอีกหลายครั้ง และอีกหลาย ๆ ครั้ง หากเจ้ายังทำตัวแข็งขืนกับข้า...จำไว้เล่านาคินทร์!!!”

หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.10 P.4 (29/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 29-04-2017 10:15:36
(ต่อ)

ในช่วงเวลาเดียวกัน ณ ห้องสัตว์ทะเลมีพิษ สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำของคณะวิทยาศาสตร์

‘ท่านพี่นภนต์…ถ้าท่านพี่ได้ยินแล้ว โปรดช่วยข้าด้วยเถิด...โปรดช่วยข้าที...’

เสียงร้องขอความช่วยเหลือแล่นเข้าสู่โสตประสาท นภนต์ที่ยังอยู่ที่นั่นซึ่งกำลังยืนใช้ความคิดทบทวนเรื่องราวระหว่างเขากับชลันธร ก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายนั้นกำลังตกอยู่ในอันตราย

‘ชลันธร…’

จิตใจที่กำลังลังเลนั้นเลือนหายไปชั่วขณะ นภนต์หลับตาแล้วตั้งจิตหาตัวเจ้าของเสียงขอความช่วยเหลือ ภาพนิมิตที่ปรากฏเป็นภาพของร่างโปร่งนอนราบอยู่กับพื้นใกล้กันนั้นมีงูทะเลเลื้อยเข้าหา นภนต์ลืมตาขึ้นแล้วรีบวิ่งตรงไปยังห้องสัตว์ทะเลมีพิษ ทุกย่างก้าวก็หวังว่าจะไปช่วยชลันธรได้ทัน

‘โครม!!!!’ พอถึงหน้าห้องนภนต์ก็ผลักประตูให้เปิดออกแต่ประตูบานใหญ่กลับไม่ขยับ ฝ่ามือหนาจึงปล่อยพลังทำลายประตูจนพังลง โชคดีที่ไม่โดนกายชลันธรที่นอนอยู่ใกล้ๆ

“ลัน!!!..” นภนต์ย่อตัวลงแล้วประคองคนเจ็บมาไว้ในอ้อมกอด ชลันธรได้ยินเสียงคนรักก็ได้สติขึ้นมา พอสายตานั้นได้สบเห็นใบหน้าของนภนต์ กายบางอดไม่ได้ที่จะคลี่รอยยิ้มแสนหวานออกมาให้ แม้อย่างน้อยก่อนจะสิ้นลมหายใจ ตนก็ได้พบเจอใบหน้าคนที่รักที่สุดและได้มอบรอยยิ้มแสนหวานนี้ให้เป็นครั้งสุดท้ายภายใต้อ้อมกอดนี้ก็ยังดี นภนต์เองก็สำรวจรอยเขี้ยวงูตามตัวชลันธร ก็พบว่ามีเพียงแค่ที่ข้อเท้า เมื่อพบก็รีบปลดเนคไทออกแล้วผูกมัดที่ข้อเท้าของชลันธรจนแน่น

“ฟ่อ…” งูทะเลลายดำที่ต้องเวทมนต์เลื้อยเข้ามาหมายจะจู่โจมนภนต์ เทวาหนุ่มจึงกางปีกสีทองปิดคลุมร่างตนและชลันธรเอาไว้ ก่อนจะปล่อยขนสีทองนับสิบพุ่งไปที่ลำตัวและหัวของงูทะเลจนตัดขาดเป็นท่อน ๆ

งูทะเลตายคาที่แล้วระเหยเป็นควันสีเขียวมรกต นภนต์รู้ทันทีว่างูตัวนี้ถูกกำกับด้วยเวทย์มนต์คาถาไม่อย่างนั้นคงออกมาจากตู้กระจกไม่ได้และที่น่าเจ็บใจคือด้วยทิฐิของเขา ทำให้ต้องคลาดสายตาจนเกิดเรื่องเช่นนี้ ...เขาไม่สามารถปกป้องชลันธรจากอันตรายได้...

“แค่ก..อึก…แค่ก” ชลันธรสำลักเลือดออกมาอีกรอบที่มุมปาก เลือดที่ออกมาพร้อมกับพิษสีเขียวปนสีม่วงทำให้นภนต์ตกใจด้วยรู้สึกว่าสีของโลหิตเช่นนี้นั้นช่างคุ้ยเคย…ชลันธรไม่ได้โดนพิษของงูทะเลธรรมดา แต่พิษนั้นที่น่าจะเป็นพิษอย่างเดียวกับเมื่อครามารดาของตนนั้นเคยได้รับ หากผิดแผกก็ตรงมีสีม่วงเจือจางกว่าก็เท่านั้น

“พิษเช่นนี้มีเพียงผู้เดียวที่รู้วิธีการขับออกได้...ไม่ได้การแล้ว…ลันอดทนหน่อยนะ” นภนต์อุ้มและโอบกอดชลันธรไว้แนบอก ก่อนจะวิ่งออกจากห้องนั้น เมื่อมาถึงโถงกว้างกลางอาคาร เทพหนุ่มสยายปีกทองนั้นออกอีกครั้ง ก่อนขยับแล้วพุ่งทะยายบินขึ้นไปจนทะลุหน้าต่างกระจกสีบนยอดอาคาร ทำให้เกิดเสียงดังลั่น

ท่ามกลางเวหา กายขาวในอ้อมแขนนั้นปรือตาขึ้นมามอง… ‘ทำไมพี่นภนต์ถึงมีปีกแล้วบินได้นี่เราคงตายแล้วสินะถึงได้เห็นพี่นภนต์เป็นเทวดาแบบนี้...’ ก่อนที่ความคิดใดๆ นั้นจะเตลิดไกล ชลันธรก็หลับสายตาลงอีกคราแล้วสลบไปอีกครั้ง ด้วยสายลมเย็นบนท้องฟ้าที่พัดผ่านกายทำให้ความร้อนจากพิษร้ายได้ทุเลาลงบ้าง

นภนต์นั้นมุ่งหน้าตรงไปยังป่าหิมพานต์เชิงเขาคันธมาศ อย่างไรเสียก็ต้องข้ามผ่านมหานทีสีทันดร ซึ่งคั่นกลางระหว่างโลกมนุษย์กับป่าหิมพานต์เอาไว้ การข้ามมหานทีสีทันดรให้เร็วที่สุดนั้นต้องเหาะเหินเดินอากาศเท่านั้น ไม่สามารถที่จะล่องเรือบนพื้นวารีหรือนั่งสัตว์พาหนะ ราชรถเทียมใดๆได้ ขนาดพญาครุฑที่มีพละกำลังมากก็ยังแทบจดหมดแรงกว่าจะถึงฝั่ง จะมีก็แต่เพียงเหล่าเทพเวหาและเหล่าบริวารบนท้องฟ้าไม่กี่ชนิดเท่านั้นที่สามารถข้ามผ่านได้

เทวาหนุ่มบินผ่านกลุ่มพญาครุฑที่จ้องมองเทพปีกทองด้วยความสนใจ ด้วยเพราะมีร่างมนุษย์รูปงามในอ้อมแขนแกร่ง ถึงกระนั้นนภนต์หาได้สนใจสายตาเหล่านั้นไม่ สิ่งที่เขาสนใจตอนนี้คือการที่จะต้องพาชลันธรไปรักษาตัวให้รอดพ้นจากความตายให้เร็วที่สุด

“ท่านอาจารย์!!...ท่านอาจารย์โปรดช่วยข้าด้วย!!!” นภนต์บินลงมาที่หน้าอาศรมแห่งหนึ่ง ณ เชิงเขาคันธมาศ ก่อนจะตะโกนเรียกหาผู้เป็นอาจารย์

“มีการอันใดหรือนภนต์” ฤาษีเฒ่านามว่า ‘วิทู’ ผู้เป็นปราชญ์ด้านวิทยาอาคม ทำหน้าที่สอนศิลปวิทยาให้กับวงศาของเหล่าเทพนภามาตั้งแต่รุ่นแรก เดินออกมาจากอาศรมตามเสียงที่ร้องเรียก แล้วพิจารณาลูกศิษย์ที่อุ้มกายมนุษย์ท่าทางอิดโรยอยู่ตรงหน้า

“ท่านอาจารย์ โปรดช่วยชลันธรด้วยเถิด เขาโดนพิษเช่นเดียวกับพระมารดาข้าแต่…มีโลหิตที่ต้องพิษนั้นเจือสีม่วงออกมาด้วย” นภนต์เอ่ยด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลนไม่สมกับเป็นผู้สุขมเยือกเย็นอย่างเช่นเคย ทำให้ฤาษีวิทูรู้ในทันทีว่ามนุษย์นามเดียวกับอตีดเทพท้องสมุทรผู้นี้มีความสำคัญต่อเทพนภาเป็นอย่างมาก

“เจ้าโปรดวางมนุษย์น้อยคนนี้ให้นอนอยู่บนแท่นศิลานี่เสียก่อน ข้าจะช่วยหยุดพิษในกายเบื้องต้นให้ ระหว่างนี้เจ้าเองก็ไปนำผลของต้นทับทิมสุบรรณจากเขาสรรพยามาให้ข้าเสียก่อน” ฤาษีวิทูเอ่ย นภนต์จึงค่อยประคองวางร่างโปร่งไร้สติไว้บนแท่นศิลาแล้วรีบทะยานบินไปยังเขาสรรพยา ส่วนฤาษีวิทูเองก็บริกรรมคาถาต้านพิษในกายของชลันธรไม่ให้แพร่ไปมากกว่านี้

‘อดีตเทพมหาสมุทรท่านจงอดทนไว้แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น…’

‘...อดทนอีกนิดชลันธรของพี่ พี่จะไม่ยอมให้เจ้าตายเด็ดขาด...’

นภนต์เร่งบินไปยังเขาสรรพยาที่อยู่ไม่ไกลจากเขาคันธมาศมากนัก โชคดีที่เขาเคยมายังที่แห่งนี้เพื่อเก็บผลของต้นทับทิมสุบรรณไปรักษานางกวินตาผู้เป็นพระมารดามาแล้วคราหนึ่ง จึงรู้ว่าต้นทับทิมสุบรรณนั้นอยู่ตรงจุดใด จิตใจเริ่มคลายกังวลเมื่อได้เห็นผลทับทิมจำนวนมากกำลังสุกงอม เมื่อกายถึงแผ่นพื้นก็รีบเร่งเข้าหมายเก็บผลสุกของทับทิมสุบรรณสีแดงสด

“โอ๊ย!!” พอเอื้อมมือปลิดผลทับทิมสุวรรณ ก้อนหินขนาดเท่ากำมือลอยลิ่วโดนมือของนภนต์ เทพหนุ่มหันซ้ายหันขวาก็ไม่พบใคร ด้วยไม่อยากจะสนใจกลัวจะเสียเวลาจึงเอื้อมมือเก็บผลใหม่อีกครั้ง

‘ตุบ’ ก้อนหินลอยมาอีกรอบ แต่คราวนี้นภนต์หลบได้ก้อนหินจึงกระทบกับต้นไม้ต้นหนึ่งจนหักโค่นแทน นภนต์มองไปที่ต้นทางก็ยังไม่พบผู้ใด

“ออกมาเถิด อย่างไรเสียก็ออกมาสู้ๆ กันซึ่งๆ หน้า อย่าได้หลบซ่อนเลย” นภนต์เอื้อนเอ่ย

ทันใดนั้นร่างสูงใหญ่ที่ไม่คิดว่าจะหลบอยู่ตรงนั้นก็ปรากฏกายออกจากที่ซ่อน แม้หน้าตาจะหล่อเหวาแต่ด้วยเขี้ยวโค้งที่โผล่พ้นขอบปากก็ทำให้ใครเห็นก็หวาดกลัวอยู่ดี ยักษารูปงามนามว่าชวคิรินท์ (ชะวะคิริน) ผู้ดูแลเหล่าต้นทับทิมสุบรรณและสมุนไพรทุกชนิดของเขาสรรพยา ยืนเผชิญหน้ากับนภนต์อย่างไม่นึกเกรงกลัวว่าอีกฝ่ายเป็นเทพท้องนภา

“เหตุใดจึงเอาก้อนหินมาขว้างปาข้า” นภนต์ถาม

“ด้วยท่านนั้นบุกรุกเข้ามาและคิดจะขโมยผลทับทิมสุบรรณ ในฐานะที่ข้าเป็นผู้ดูแลเหล่าต้นทับทิมสุบรรณนี้ ข้าจะต้องกันไม่ให้ผู้ใดเข้าใกล้หรือเก็บผลทับทิมสุบรรณไปได้” ชวคิรินท์ตอบ

นภนต์ฉงนใจที่รู้ว่ายักษาตนนี้เป็นผู้ดูแล ด้วยครั้งที่มารดาของตนต้องยาพิษ นภนต์ก็ได้นำผลทับทิมสุบรรณไปรักษาโดยง่าย ด้วยที่ผู้ดูแลนั้นเป็นนางยักษ์นามว่า...กุมผกา...เป็นผู้คอยปลิดผลมาให้ตนยังคงซาบซึ่งไมตรีของนางอย่างมิคลาย

“เหตุใดจึงเป็นท่าน...นางยักษ์กุมผกามิใช่ผู้ดูแลหรอกหรือ อีกอย่างข้ามิได้เจตนาขโมย ข้าเพียงจะนำผลทับทิมสุบรรณไปรักษาคนรักของข้าเท่านั้น ขอโปรดจงเห็นใจ ท่านใคร่อนุญาตให้ข้าสักสองสามผลได้หรือไม่” นภนต์บอกเจตนาที่ต้องมาเก็บผลทับทิมสุบรรณ

“กุมผกาที่ท่านพูดถึงนั้นนางเป็นเมียข้าเอง ยามที่ข้าจำศีลฝึกวิชาอยู่นั้นนางจะมาเฝ้าต้นทับทิมสุบรรณแทนข้า แต่นางชอบแจกจ่ายให้เหล่าเทวาเทพบุตรรูปงามไปยาบำรุงกำลัง โดยไม่ได้ของแลกเปลี่ยน ของมีค่าตามกฏที่ข้านั้นกำหนด ข้าจึงจับนางขังไว้เมื่อสองร้อยปีก่อนจนถึงบัดเดี๋ยวนี้” ชวคิรินท์เอ่ย นภนต์ก็นึกย้อนเหตุการณ์ที่นางกุมผกาตามคลอเคลียและคอยเก็บผลทับทิมสุบรรณให้ตน

“ส่วนท่านถ้าอยากได้ก็ต้องทำตามกฏของข้า นำของสำคัญมาแลกกับผลทับทิมสุบรรณจากข้าไป ท่านก็จะได้ผลไม้วิเศษนี้ไปช่วยชีวิตคนของท่าน...ว่าอย่างไรเล่าเทพนภตน์”

“ท่านต้องการสิ่งใดจากข้าเล่า จงโปรดบอก...” ใจหนึ่งก็นึกกลัวหากยักษาตนนี้เอ่ยสิ่งมีค่านามว่า...ชลันธร...ออกมา ก็คงได้สู้กันให้ตายไปข้างหนึ่ง แต่เจ้ายักษ์นี่ไม่รู้จักชลันธรนี่ คงมิใช่หรอกกระมัง

“ข้าต้องการอาวุธประจำกายของท่าน คันธนูและศรอัสนี” ยักษาบอกสิ่งที่ต้องประสงค์ นั่นก็คืออาวุธวิเศษที่อดีตพระผู้สร้างได้ประทานให้เทพแห่งนภาในครั้งที่ได้รับสถาปนา นภนต์ได้ฟังก็โกรธจนตัวสั่นที่ยักษ์ตนนี้หวังสูงต้องการอาวุธที่มีแสนยานุภาพถึงเพียงนี้ แต่ถึงจะไม่พอใจมากขนาดไหนนภนต์ก็จำยอมด้วยเวลาที่บีบคั้นจนต่อสู้ไปก็เสียเวลาเปล่า จึงเรียกคันธนูและศรอัสนีออกมา เพื่อรักษาชลันธรให้รอดชีวิตนภนต์จำเป็นต้องมอบอาวุธประจำกายให้ชวคิรินท์ไป

“นี่คือคันธนูและศรอัสนีที่เจ้าต้องการ” ชวคิรินท์ยินดีที่ได้รับอาวุธของเทพแห่งท้องนภา มาครอบครอง เมื่อได้รับแล้วก็ไปเด็ดผลทับทิมสุบรรณมาให้นภนต์จำนวนหนึ่ง

“รีบนำไปรักษาคนรักของท่านเถิด และจากนี้ไปหากท่านจะต้องการผลทับทิมสุบรรณเมื่อไหร่ เราจักให้โดยไม่มีการแลกเปลี่ยน”

นภนต์ได้รับผลทับทิมสุบรรณแล้วก็รีบบินกลับไปยังเชิงเขาคันทมาศ ในใจก็หวังไว้ว่าชลันธรจะอดทนและอยู่รอตนนำผลทับทิมสุบรรณไปรักษา…พี่ยอมแลกสิ่งสำคัญกับชีวิตของเจ้า…ชลันธรเจ้าอย่าได้มอดม้วยมรณาไปเสียก่อนเล่า...ชลันธร

“ท่านอาจารย์ นี่ขอรับผลทับทิมสุบรรณ” นภนต์วางผลไม้วิเศษที่ตนแสวงหามาไว้ตรงหน้า สายตาก็ชำเลืองมองชลันธรที่มีเม็ดเหงื่อสีม่วงอ่อนผุดพรายเต็มใบหน้า ไหนจะเลือดปนพิษที่คนบาดเจ็บสำลักออกมาเป็นระยะๆ จนนภนต์เองก็อดเป็นกังวลไม่ได้ว่าจะต้องเสียชลันธรไป

ฤาษีวิทูนำผลทับทิมสุบรรณบดคั้นลงในชามดินเผาแล้วเทน้ำจากสระรถการะจนได้โอสถน้ำสีแดงราวกับโลหิตพญาครุฑ จากนั้นฤาษีวิทูก็แบ่งโอสถถอนพิษนี้ออกเป็นสองถ้วย

“จงรับยาทั้งสองถ้วยนี่ไปเสียนภนต์” ฤาษีวิทูมอบถ้วยยาให้ นภนต์ก็รับมาไว้ในมือ

“ท่านอาจารย์ช่างดีกับข้าเหลือเกิน แต่เหตุใดถึงมีสองถ้วยหรือท่านอาจารย์” ความสงสัยทำให้นภนต์ตั้งคำถาม

“ถ้วยหนึ่งให้มนุษย์ผู้นี้ดื่มแก้พิษ ส่วนอีกถ้วยก็ให้คนรักของเขากินเสีย” นภนต์ได้ฟังก็ยิ่งฉงนใจมากขึ้น แต่ฤาษีวิทูเองก็รู้ว่านภนต์คงจะต้องการความกระจ่างในสิ่งที่ตนได้กล่าวไว้ จึงพูดต่อ

“พิษที่มนุษย์ผู้นี้ได้รับเป็นพิษชนิดเดียวกับที่มารดาท่านได้รับก็จริง แต่เป็นพิษในครานี้เกิดจากการร่วมสังวาทของพวกนาคา ดังนั้นการถอนพิษนี้คือต้องป้อนยาให้คนต้องพิษและคนรักเพื่อที่จะได้ร่วมสังวาทและขับพิษนี้ออกมาจากกายผู้ต้องพิษ” นภนต์ได้ฟังก็ตกใจไม่น้อย นี่มันพิษประหลาดอะไรกัน...

“ถ้าเป็นเยี่ยงนั้นแล้วล่ะก็ข้าจำต้องขอลาท่านอาจารย์ก่อน ข้าจักต้องพาชลันธรไปพบคนรัก...” เทพหนุ่มก้มลงกราบลาฤาษีวิทูและอ้างพาชลันธรไปหาคนรัก ฤาษีวิทูเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าอะไรเป็นอะไร แต่เทพนภาคงจะเขินถ้าจะพูดตามตรง ซึ่งความจริงแล้วคนรักของชลันธรนั้นจะหาใช่ใครอื่นไกล ก็คือนภนต์เทพนั่นเอง แม้จะเป็นเพียงการพูดจาเสแสร้งแกล้งทำของเขาก็ตาม

นภนต์กำถ้วยโอสถแล้วปิดตาลง พลันถ้วยโอสถก็หายไป ร่างสูงเดินเข้าไปช้อนกายชลันธรขึ้นอุ้มไว้ในอ้อมแขนอีกครั้ง แล้วเหินบินไปยังถ้ำแก้ววิมานของตน

เมื่อนภนต์พาร่างที่หายใจรวยรินทะยานบินขึ้นไป อาจารย์ผู้ชาญปัญญาก็แย้มยิ้มออกมาด้วยกลั้นอารมณ์ขันจากท่าทางและคำพูดของเทพหนุ่มเอาไว้ไม่อยู่  ก็ได้แต่เอาใจช่วยศิษย์รักคนสุดท้องและคู่ชีวิตของเขาด้วยกาลต่อไปข้างหน้า ทั้งสองนั้นต้องเผชิญและผ่านพ้นอุปสรรคที่จะเข้ามาไปให้จงได้

“ชะตาเจ้าทั้ง 2 ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว...”



















................................

กลับมาแล้ว คิดถึงกันบ้างไหม

ท่านยุ่งไปสอบมาเลยปั่นช้า อัพช้า เป็นอาทิตย์เลย

หวังว่าตอนนี้จะทำให้ทุกคนชื่นชอบนะคะ อิอิอิ มาม่าอืดเบาๆ

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมาเม้น มาเป็นกำลังใจนะคะ จุ๊บๆๆ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.10 P.4 (29/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 29-04-2017 11:55:37
แหม วิธีแก้พิษช่างดีต่อใจแม่ยกเหลือเกิน ครุคริ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.10 P.4 (29/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 29-04-2017 13:18:35
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.10 P.4 (29/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 29-04-2017 13:34:33
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.10 P.4 (29/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 29-04-2017 14:36:25
ไม่ชอบนาคินทร์เลยรวมไอ้เทพท้องฟ้านั้นด้วยทุกๆอย่างเกิดขากความไม่เชื่อใจจริงๆ อาวุธคงถูกยึดไปให้ตัวร้ายแน่ๆ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.10 P.4 (29/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 29-04-2017 14:55:08
อยากอ่านตอนเขาถอนพิษกันอ่าา
สายหื่นนำทัพพ
แอบสงสารนาคินทร์
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.10 P.4 (29/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 29-04-2017 16:11:42
พิษอะไรช่างเป็นใจให้เสียตัว คิๆ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.10 P.4 (29/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 29-04-2017 16:31:23
โอ๊ยๆวิธีแก้พิษ  :impress2:

อาวุธโดนยึดไปซะแล้วววว

อยากสงสารนาคินทร์แต่ก็ไม่รู้สิ ว่าจะสงสารดีมั้ย เหอๆ :hao4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.10 P.4 (29/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 30-04-2017 00:34:56
สนุกมาก รออ่านตอนต่อไป
 นาคินทร์คิดว่ากนทีจะรักตัวเหรอ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.10 P.4 (29/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 01-05-2017 07:53:34
 :a5: งงกับรพีมากเลยไหนบอกว่ารักชล แต่แทนที่นางจะหาทางช่วยหน่องชลก่อน กลับมาตามจับผู้ร้ายแล้วปล่อยให้หน่องชลนอนแบ่บในห้อง  :mew5: เมื่อไหร่พระเอกจะเลิกโง่(รู้ความจริง)  รอตอนต่อไปปปป
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.11 P.4 (6/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 06-05-2017 18:13:22
​สาปรัก…ทัณฑ์เทวา

Writer : Tan-Yung0209

File : 11













พิษใดในโลกหล้ามีหรือจะเท่าพิษรัก ขนาดโกรธเกลียดชิงชังยิ่งนักแต่ด้วยแรงรัก จะปล่อยวางเฉย ให้คนที่แนบกายนั้นดับดิ้นจะได้หรือ  เทพนภนต์เร่งสะบัดปีกโผบินพากายงามที่ต้องพิษในอ้อมแขนไปยังถ้ำแก้ว  ซึ่งภายในเป็นวิมานสถานแห่งเทพนภาที่งดงามเพราะธรรมชาติสร้างสรรค์มิใช้ฝีมือเนรมิตดั่งวิมานเทพองค์อื่นๆ ถึงจะตั้งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลมากนัก แต่เวทย์มนต์ของพระฤาษีวิทู ที่สะกดฤทธิ์ของพิษนี้ก็เริ่มคลายลง  ส่งผลให้ชลันธรกระอักโลหิตพิษออกมาจนเปรอะเปื้อนอาภรณ์ของตนและนภนต์คนรัก เทพหนุ่มสุดแสนจะเป็นห่วงปานใดก็ได้แต่ภวนาใจให้คนงามนั้นอดทน

‘เจ้าจงอดทนเอาอีกสักนิดเถิดชลันธร…เราจะต้องผ่านเรื่องเลวร้ายนี้ไปด้วยกันให้จงได้’

กระแสจิตแสนห่วงใยหมายบอกคนที่อยู่ในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น ชลันธรยิ้มบางเมื่อได้ยินเสียงของคนรักดังก้องภายในใจ แต่ความร้อนจากพิษร้ายที่รุนแรงราวกับเปลวเพลิงก็พรากรอยยิ้มงามให้หายไป แผดเผาร้อนรุ่มแผ่ทั่วทุกอณูภายในร่างกาย

“ร้อน…อึก..ก…ร้อน…ลันร้อนเหลือเกินพี่นภนต์”

ชลันธรร้องออกมาอย่างทุรนทุรายทั้งที่ดวงตานั้นยังลืมไม่ขึ้นเสียด้วยซ้ำ แต่เป็นความร้อนที่แปลกประหลาดนักเหงื่อกาฬที่เคยมีกลับไม่ผุดพราย ผิวกายที่ขาวซีดแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ปานสีดำรูปนาคาปรากฏขึ้นเด่นชัดที่เรียวขาสวยข้างที่ถูกงูทะเลนั้นฝั่งขมเขี้ยวพิษไว้  พิษสวาทแสนร้ายของนาคากำลังเล่นงานอดีตเทพมหาสมุทรให้ทรมาน

หรือนี่คง...จะเป็นผลพวงของพิษอุบาทว์นี้อย่างที่ท่านอาจารย์บอก... หากมิไปพาพบคนรักแล้ว คงจะไม่ควร เนื่องด้วยการถอนพิษนี้จำต้องร่วมสังวาทประเวณี กายผู้ต้องพิษจะร้อนรุ่มทุรนทุรายจากภายใน และไม่สามารถระบายความร้อนนั้นได้ พิษร้ายจะทำให้ทนทุกข์ทรมานมาก ซ้ำยังจำต้องเกิดกำหนัด หากไม่รีบทำการรักษาให้ทันท่วงทีชลันธรก็จะถึงแก่ความตายในที่สุด... นภนต์เองก็พอจะเดาออกว่าเกิดอะไรขึ้นกับชลันธรในตอนนี้ เมื่อได้ประจักษ์อาการเหล่านั้นแก่สายตาตนเอง  ยิ่งต้องเร่งแรงบินไปถ้ำแก้วโดยในเร็วไว

ด้วยแรงปีกกระพือบิน บังเกิดลมพายุหมุนอย่างรุนแรง จนต้นไม้ใหญ่หลายต้นบริเวณหน้าถ้ำแก้วหักโค่นจากแรงลมที่นภนต์กระพือปีก  เทพหนุ่มมิได้สนใจในสิ่งที่เกิดขึ้น ยามนี้สิ่งเดียวที่เป็นกังวลนั่นก็คือการได้ช่วยเหลือชลันธรให้รอดชีวิต ความขุ่นเคืองภายในใจมลายสิ้น เพียงเห็นร่างบางนั้นทุกข์ทรมานด้วยพิษร้าย

ถ้ำแก้วนั้นงดงามไม่ต่างจากวิมานบนสรวงสวรรค์ของเหล่าเทพยาดา  ในแต่ละคูหาถ้ำนั้นมีแก้วมณีมีค่าแตกต่างกันไป  คูหาแก้วเพชรเป็น คูหาที่นภนต์พำนักอยู่ เมื่อต้องแสงจากโคมประทีป ที่จุดขึ้นพลันกระทบก็ปรากฏแสงระยิบระยับน่าดูชม  นภนต์โอบอุ้มชลันธรที่ดิ้นทุรนทุรายไปมาจนแทบจะอุ้มร่างนั้นไว้ไม่อยู่  ปีกทองเลือนหายเมื่อฝ่าเท้าเหยียบลงผิวพื้นถ้ำ พร้อมด้วยเร่งฝีเท้าไปยังคูหาแก้วเพชร แล้ววางร่างโปร่งให้นอนราบลงบนบรรจถรณ์ไม้จำหลัก

“พี่นภนต์..แค่ก..ช่วยลันด้วย..ลัน..มะ..ไม่ไหวแล้ว” ชลันธรทุรนทุราย มือขย้ำผ้าปูที่นอนจนยับยู่ยี่ เท้าก็ขยับจิกเกร็งไปกับเตียงนุ่ม

นภนต์นั่งลงเคียงข้างบนเตียงกว้างแล้วจับร่างชลันธรให้นั่งพิงอกตน ก่อนจะร่ายมนต์นำถ้วยยาที่ได้จากการผสมน้ำทับทิบสุบรรณทั้งสองถ้วยออกมา แล้วจัดแจงยกดื่มเข้าไปในคราวเดียวถ้วยหนึ่ง ส่วนถ้วยที่เหลือเมื่อพิจารณาดูแล้วหากให้ชลันธรดื่มเอง อาจจะหกจนต้องเสียยา การขับพิษนี้คงต้องล้มเหลว... “ลันเดี๋ยวพี่จะป้อนยาขับพิษนะครับ...อย่างป้วนทิ้งล่ะ” นภนต์จำต้องดื่มเข้าไปอีกถ้วยแต่กลั้นกลืนไว้ เทพหนุ่มโน้มใบหน้าลงแล้วจับปลายคางของคนที่แนบอกให้หันมา นภนต์ประกบริมฝีปากลงที่ริมฝีปากนิ่มแล้วสอดลิ้นเปิดริมฝีปากส่งยาวิเศษไหลผ่านลงเข้าโพรงปากให้ชลันธรได้ดื่ม

“ฮืม.ม…” เสียงครางเบาในลำคอ กายโปร่งกลืนยาที่นภนต์ได้ป้อนให้จนหมด แต่กระนั้นนภนต์กลับมิยอมถอนปากออกยังคงหยอกเหย้าตวัดลิ้นชลันธรที่เกี่ยวลิ้นรับอีกคนอย่างเชื้อเชิญ  ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วเริ่มการนี้จะหยุดอธิบายให้คนงามฟังกลางครันวิธีขับพิษคงมิเป็นการดี  นภนต์บดเบียดริมฝีปากแนบชิดยิ่งกว่าเก่าจนไม่มีระยะห่างให้อากาศแทรกผ่านเข้าออก  มือหนาก็ปลดกระดุมเสื้อสีขาวเปื้อนเลือดและกางเกงของคนที่นั่งพิงอกแล้วค่อยๆ ถอดออก แต่มันชักช้าไม่ทันใจชลันธรจึงช่วยถอดอีกแรง ให้เสื้อผ้าน่ารำคาญนี้พ้นๆ จากกายไปให้ไกล เมื่อไร้อาภรณ์ใดๆ ก็เผยให้เห็นผิวกายเนียนแดงก่ำจากพิษนาคา...

หากเป็นเมื่อก่อนชลันธรคงขัดขืนในสิ่งที่นภนต์กระทำล่วงล้ำเช่นนี้ไปแล้ว ด้วยหวงเนื้อหวงกาย ถึงจะเคยให้นภนต์สัมผัสบ้างเป็นครั้งคราวก็ตาม แต่ผลพวงจากพิษราคะร้ายที่กุมใจ ชลันธรจึงมิได้ขัดขืนในสิ่งที่นภนต์กำลังกระทำการล่วงเกิน...กลับปล่อยกายปล่อยใจให้คนเทพผู้มีปีกตักตวงความงามจากกายตน 

นภนต์ดูดปลายลิ้นชื้นแล้วถอนจูบ ชลันธรมองด้วยสายตาที่ฉ่ำเยิ้มแสนยั่วกามรมณ์  ไม่ว่าตอนนี้จะกระทำการใดยามนี้ช่างเย้ายวนใจยิ่งนัก นภนต์อดไม่ได้ที่จะหอมแก้มแดงระเรื่อลงฟอดใหญ่ แต่ชลันธรที่ต้องพิษร้ายไม่ได้ต้องการเพียงแค่นี้ นภนต์เองก็รับรู้ได้ด้วยกายบางนั่งบดเบียดสะโพกกลมกับกลางกาย ไหนจะพยายามโน้มหน้าของตนลงก้มต่ำหมายจะจูบต่อ

“ฮื้อ.อ…อืม…พี่นภนต์ช่วยลันที ลันร้อน  ร้อนเหลือเกิน...” เสียงครางหวานร้องระคนคำอ้อนเชื้อเชิญ นภนต์ไม่ยอมจูบแต่กลับก้มลงซุกไซร้สูดดมซอกคอขาวอย่างเอาแต่ใจ ริมฝีปากหนาดูดเม้มข้างคอระหงอย่างหื่นกระหาย  บังเกิดร่องรอยสีกลีบกุหลาบรักนับไม่ถ้วนทั่วทั้งลำคอและลาดไหล่เนียน พร้อมกับมือหนาสวมกอดเอวบางไว้แนบแน่น  อีกข้างคอยบดคลึงเม็ดพลายยอดอกสีชมพูหวาน ให้พลันเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำจนแข็งขืน  ชลันธรถูกปลุกเร้าอารมณ์สวาท ได้แต่แอ่นอกรับความเสียวกระสันที่นภนต์มอบให้ จนกายบางอ่อนยวบเคลิบเคลิ้มไปกับการกระทำเทพท้องนภา

“อ่า.า..พี่นภนต์..อืม.ม…อ๊า…ฮึก...ฮ้า.า...ช่วยลันด้วย ลันไม่ไหวแล้ว...” ร่างบางวอนขอผู้มีที่ลมหายใจติดขัดรดต้นคอเขาให้ช่วยเหลือปลดปล่อยอารมณ์อยากตัณหานี้  อารมณ์ใคร่ที่ค่อยๆ ทะยานไต่ระดับขึ้นของมนุษย์น้อยในอ้อมกอดจนมากล้น เพียงปลายนิ้วที่ยังสะกิดเล่นเมล็ดบัวบนยอดอกกายบางที่ไร้เครื่องนุ่งห่ม  หรือยามที่มือสากลูบผ่านหน้าท้องที่แบนราบลงไปจนถึงส่วนอ่อนไหวอดีตเทพสมุทร  ร่างบางนั้นดิ้นเร้าครางเสียงกระเส่าขับท่าทางที่แสนยั่วแต่งดงามราวนางกินรีเริงระบำให้ได้ยล

“เสียว…อืม.ม…อ่า.า…อ่ะ เสียวเหลือเกิน” หากไม่เสียวนั่นสิถึงจะแปลก ในเมื่อนภนต์เริ่มนวดคลึงส่วนเนื้อที่เมื่อครู่ยังนิ่มอ่อน ให้แข็งขันอย่างช้าๆ แต่หนักหน่วง สร้างความกระสันรักจนร่างบางสั่นสะท้านมิหยุดหย่อน แกนกายเล็กแข็งขืนขึ้นสู้มือหยาบ นภนต์เองก็ไม่ความคิดที่จะหยุดเพียงเท่านี้ เทวดาหนุ่มรูดรั้งขยับแกนกายของชลันธรขึ้นลงอย่างช้าๆ

“อ่ะ…อ่า..า..อ๊ะ…อื้อ..” ชลันธรปล่อยให้นภนต์ทำตามอำเภอใจ ด้วยหมายระบายแรงใคร่ที่มีมากล้น กายงามเงยหน้าขึ้นบรรจงจรดริมฝีปากดูดเม้มต้นคอแกร่งเทพหนุ่มจนเกิดจ้ำรอยสีรักมิต่างกัน  ความอึดอัดจากความต้องการกันและกันมากขึ้นเข้าครอบงำทั้งสองให้ดำดึ่งสู่ห่วงแห่งกามรมย์ หยาดน้ำใสสีม่วงก็ปริ่มออกมาจากปลายแก่นกายเล็ก

“ลันครับ…ชันเข่าตั้งขึ้นมาให้พี่หน่อยสิครับคนดี”

เสียงแหบพร่ากระซิบข้างหู ราวสะกดใจให้ชลันธรทำตามอย่างว่าง่าย ยามนี้หัวใจนั้นเตลิดไกลไร้เสียงพูด ขาเรียวงามยกตั้งชันเข่าขึ้นและถูกหัตถาจับแยกออก เผยเห็นบุพผางามที่ยังมิเคยมีผู้ใดได้แตะต้อง นภนต์ใช้มัชฌิมา(นิ้วกลาง)ป้ายหยาดน้ำใสของชลันธร ลงลูบวนตามรอยจีบของปากทางรักสีสวยก่อนจะสอดแทรกลิ้นชื้นลงเข้าไปทีละนิดอย่างไม่รีบร้อน…

“อ้า.......อ้า.........อ้า.........” คนงามเปล่งเสียงหวานครางระงมด้วยรับสัมผัสจากปลายลิ้นที่แปลกใหม่ กายบางแทบหลอมละลายดั่งไขผึ้งเมื่อต้องความร้อน  ด้วยเนื้องามที่นภนต์ใคร่ใฝ่ฝันมานับร้อยๆ ปีนั้นอยู่ตรงหน้า แล้วมีหรือจะไม่กระตือรือร้นตักตวง ยิ่งยามนี้กายงามกำลังขับความงามอย่างถึงที่สุด ฉุดกระตุกเกร็งจิกปลายเท้าเป็นระยะ เมื่อปลายลิ้นเร่งเร้าสัมผัสจุดเร้นลับที่อ่อนไหว แล้วส่งดัชนีร้ายดันเข้าไปสัมผัสภายใน ...ช่างคับแน่น... คือ สิ่งแรกที่นภนต์รู้สึกได้… มันช่างคับแน่นเสียจนนภนต์อดคิดไม่ได้ว่าส่วนนี้จะสามารถรองรับความใหญ่โตของตนได้  นิ้วมือจึงเพิ่มจำนวนจาก 1 เป็น 2 เร่งขยับ และปรับเพิ่มเข้าไปอีกทีละนิ้วเพื่อขยายปากช่องทางให้กว้างขึ้น

“อ๊า...ไม่ ไม่...” นิ้วร้ายเร่งกระแทกเข้าช่องทาง ถึงจะครวญครางแต่กลับร้องห้ามเสียอย่างนั้น แม้ช่องทางจะบีบรัดนิ้วเป็นสัญญาณบ่งบอกความพร้อมของร่างโปร่งก็ตาม...

“ไม่อะไรหรือ คนดี ลันไม่พอใจหรือที่พี่ทำ...อดทนหน่อยเถิดพี่กำลังรักษาลัน” ด้วยสงสัยเสียงห้ามปราม แต่นิ้วร้ายก็ยังมิหมายที่จะหยุดกระทำ

“ไม่ครับ  ไม่เอานิ้ว...” ถึงยามนี้นภาเทพจึงเข้าใจแล้วว่าชลันธร คงอยากให้ส่วนที่แกร่งที่สุดในกายเขาได้เข้าไปในช่องทางที่นิ้วมือกำลังผลุบเข้าออกอยู่เป็นแน่ 

“ใจร้อนเสียจริงคนดี ...ได้...พี่จะทำให้ลันพอใจบัดเดี๋ยวนี้...” นภนต์ถอนนิ้วออกแล้วจัดแจงท่าทางของชลันธร ยันกายบางให้นอนคว่ำราบลงกับเตียง แขนแกร่งสอดรั้งเอวบางตั้งขึ้นให้สะโพกกลมนั้นลอยเด่นชัด  นภนต์ปลดเปลื้องอาภรณ์ที่แสนรุ่มร่ามท่อนล่างออก เผยแท่งร้อนที่พร้อมรบ เมื่อจดจ่อที่ปากทางแล้วจึงค่อยๆ ดันสอดประสานเข้าภายใน ถึงแม้ชลันธรจะโดนพิษร้ายให้เกิดกำหนัดแต่ชลันธรก็ยังบริสุทธิ์ไร้ใครเคยล่วงเกินจุดนี้ ดังนั้นนภนต์จึงระวังให้ชลันธรเจ็บน้อยที่สุด

“อ่ะ…อ๊า.า….เจ็บ!!!...” เสียงร้องว่าเจ็บก็มาพร้อมหยาดน้ำตาใสคลอเบ้าเมื่อความใหญ่โตได้ทะลุผ่านเข้าไป นภนต์หยุดนิ่งไม่ขยับครู่หนึ่งเพื่อให้ร่างกายของคนรักได้ปรับตัว ถึงคนที่ตั้งรับแกนกายที่ใหญ่โตจะเคยเห็นและเคยสัมผัสมันมาบ้างแล้ว แต่ก็ไม่เคยจะให้เข้ามาในกายเขาเช่นนี้  ครั้งแรกกับคนคนนี้ไม่ว่าความเจ็บปวดจะมากมายขนาดไหนก็แสนเป็นสุข...

“ลัน…ผ่อนคลายนะครับ อย่าไปคิดว่ามันเจ็บนะ..เชื่อใจพี่นะ…ลัน” กายหนาก้มลงจรดริมฝีปากจูบพรมแผ่นหลังหวังปลอบโยน นภนต์ทั้งจูบและพูดปลอบ ชลันธรก็ปล่อยกายใจให้ไปตามอารมณ์โดยไม่คิดว่ามันเจ็บของที่นภนต์พูด  ครั้นเทพหนุ่มเห็นสีหน้าไร้กังวลนั้นก็ค่อยๆ เริ่มขยับโยกเข้าออกไปในช่องทางหฤหรรษ์

“อ่า.า…พี่นภนต์ อ่ะ....อ๊ะ..อื้อ.อ…”

“อืม.ม…ลัน”

เพียงขยับเข้าออกเบาๆ ก็เรียกเสียงครางให้กับทั้งสองได้ ในกายนั้นทั้งลื่นทั้งอุ่น จวนทำให้นภนต์แทบคลั่ง เช่นเดียวกับชลันธรที่แม้จะเจ็บจุก แต่กลับสุขสันต์กับบทบาทและลีลารักที่นภนต์กระแทกกระทั้นเข้ามาในกาย พิษบ้าประหลาดอะไรทำไมต้องรักษาด้วยวิธีการเยี่ยงนี้...

ทะเลคลั่งมีหรือจะฤาอิ่ม ไม่เพียงแรงกระแทกกระทั้นอย่างเดียวที่ชลันธรได้รับ ฝ่ามือหนาที่ลูบไล้ไปตามแผ่นอกแล้วเลื่อนลงกอบกุมส่วนอ่อนไหวนั้นก็ยิ่งเร้าอารมณ์มากขึ้นไปอีก จนอดไม่ได้เลยที่จะส่งเสียงหน้าอายออกมาลั่นคูหาเพชร

อารมณ์ตัณหาที่มีอยู่ของเทพเวหาถูกปลุกเร้าด้วยเสียงครางหวาน สติเตลิดไกลพาใจที่โชกโชนราวกับเพลิงไฟเผาไหม้ไพรวัลย์ ให้เร่งรัดขยับกายเร็วขึ้น...ไม่เจ็บ แต่เสียวซ่าน...คนที่ถูกกระทำได้แต่ระบายความรู้สึกนั้นผ่ายนิ้วเรียวจิกขยุ้มภูษาที่ปูเตียงจนยับยู่ยี่ไม่เหลือเค้าเดิมที่เคยงดงาม

“พี่นภนต์…อ่ะ..อ่า.า..พี่นภนต์..อือ..อ…” คนงามเอ่ยชื่อคนรัก พอได้ฟังเทพหนุ่มก็อยากจะเห็นใบหน้าของชลันธรยิ่งนัก ในยามปกติก็ว่างามแล้ว ตอนที่เรียกนามตนนี้ในนาทีนี้จะเป็นเช่นไร นภนต์ถอนกายที่แสนอึดอัดนั้นออก  มือหนาดันคนใต้ร่างให้พลิกกายนอนหงาย  ขาสวยถูกจับยกขึ้นมา ก่อนลากไล่ด้วยปลายลิ้น ผ่านปานดำรูปนาคาขึ้นมาจนถึงท่อนขาอ่อน นภนต์สร้างสัญลักษณ์ด้วยรอยจูบนับสิบไว้กับขาทั้งสองข้าง หากเป็นตอนสติคนงามสติยังดี คงสร้างความปั่นป่วนใจให้กับชลันธรไม่น้อย เพราะต้องปกปิดรอยรักเหล่านี้ไม่กล้าให้ใครต่อใครได้เห็น ไม่รู้สิ่งใดเข้าดลใจ นภนต์คว้าเอาหลังเท้างามเข้ามาใกล้ แล้วก้มจรดพรมจูบลงปลายเท้าอย่างทะนุถนอม แล้วเป่าลมปากอย่างเผ่าเบา

“เพี้ยง...พี่จูบให้แล้ว หายเจ็บหายป่วยไวๆ นะครับ...” ปลอบขวัญคนงามราวเด็กน้อยวิ่งหกล้ม จะมีก็แต่เพียงได้ยิ้มเล็กๆ นั้นกลับมาให้ชื่นใจ  เทพหนุ่มวางเรียวขาสวยพาดไว้ที่ลาดไหล่แกร่งของตน ก่อนจะดันส่วนที่เคยถอนออกมาให้เชื่อมติดกายแนบชิดกันอีกครั้ง

“ซี๊ด..ด….อืม..ม…ลัน”

“อ๊า.า..ฮ้า.า..อืม.ม….พี่นภนต์”

ทั้งสองต่างครวญครางไปด้วยชื่อของอีกฝ่าย พร้อมกับจ้องมองใบหน้าของกันและกัน นภนต์เร่งเร้าขยับกาย เข้าออกอย่างต่อเนื่อง มือนิ่มของชลันธรก็ปัดป่ายไปมาและโอบกอดที่แผ่นหลังกว้าง เม็ดเหงื่อชื้นผุดพรายขึ้นริมไรเส้นผม จนนภนต์ต้องก้มลงจูบซับแล้วรับรอยยิ้มจากชลันธร เทวดาหนุ่มอดไม่ได้ที่จะมอบจูบแสนหวานให้เป็นรางวัล

“อ่า.า…อ่ะ…อ่า.า…อ่า…พี่นภนต์..อื้อ..อ…พี่นภนต์..อีกนิด…อ่า.า…”

“ครับ…ลัน…ฮืม.ม..”

ครวญเสียงดั่งบทเพลงรัก และไม่มีที่ท่าว่าจะบรรเลงจบ ยังคงดำเนินต่อไปตามท่วงทำนองที่หนักหน่วงเอาการ เสียงเตียงไม้สลักขยับโยกไหวไปด้วยแรงขับเคลื่อน  และแล้วท่อนสุดท้ายของบทเพลงก็มาถึง นภนต์เร่งบรรเลงไม่หยุดจนเกิดเสียงเนื้อกระทบกันเคล้าคลอกับเสียงครางกระเส่า  บทเพลงนี้จบลงด้วยน้ำรักขาวปะปนด้วยสีม่วงดำ ก็ถูกปลดปล่อยออกมาจากกายของร่างบาง ตามด้วยน้ำรักของนภนต์ที่เต็มไปด้วยยาแก้พิษจากผลทับทิมสุบรรณ หลั่งเข้าภายในกายชลันธร  เพียงแค่อึดใจรูปรอยนาคาสีดำที่เรียวขาขาวก็ค่อยๆ เริ่มมีสีจางลงจนนภนต์สังเกตได้

‘เป็นเยี่ยงนี้นี่เอง…หากร่วมเสพสังวาท พิษในกายของชลันธรจะถูกขับออก รวมทั้งยาในกายเราจะเข้าแทรกช่วยรักษา’

“น้องลัน” นภนต์เรียกคนที่นอนหายใจหอบถี่ แม้ว่าจะดูเหนื่อยแต่สีหน้าของชลันธรนั้นก็ดูดีขึ้นกว่าเก่า ถึงกระนั้นนภนต์ก็ยังคงเป็นห่วงอยู่ดี

“ครับ..พี่นภนต์” ชลันธรขานรับ ริมฝีปากสีสดก็คลี่ยิ้มเล็กน้อยให้กับคนรัก

“ดูเหมือนพิษในกายจะยังไม่หมด อยากให้พี่รักษาลันอีกไหมครับ…ปานนาคมันยังไม่จางเลย” นภนต์เอ่ย ฝ่ามือหนาลูบวนที่ปานทมิฬไล่ขึ้นไปตามเรียวขาขาวจนถึงขาอ่อน

“เหรอครับ...งั้นพี่นภตน์ก็ช่วยทำให้ปานนาคมันหายไปด้วยเถอะครับ” ชลันธรพูดเสียงแผ่ว พร้อมซุกใบหน้าไปที่แผงอกกว้างเป็นการยืนยันคำตอบ

“ได้ครับ...คนดี...”  คำขานรับปากตอบกลับคนหน้าสวย พาลส่งให้เทพนภนต์ยิ้มออกมาก่อนจะทำการรักษาถอนพิษร้ายออกจากชลันธรต่อไป . . . เมื่อราตรีผ่านพ้น รุ่งอรุณแห่งทิวากาลเข้ามาแทนที่ หนึ่งเทพ หนึ่งมนุษย์ นอนกอดเกยบนเตียงกว้างหลังจากที่ถอนพิษสวาทร้ายหมดสิ้นในรุ่งสาง นภนต์ผู้เป็นเทพนั้นเพียงได้หลับพักไม่นานก็กลับมามีพละกำลังเฉกเช่นดั่งเดิม  บัดนี้เทพบุตรรูปงามได้ตื่นขึ้นมามองใบหน้าของคนที่เขาห่วงแสนห่วง รักแสนรักที่กำลังนอนหลับใหลก่ายอกกว้างต่างหมอนหนุน

‘ท่านพี่นภนต์…ข้านำดอกไม้ทะเลมาให้ท่านได้ชม’

‘ชลันธรเจ้าอย่าดื้อกับพี่สิ’

‘พี่รักเจ้านะ…ชลันธร’

‘น้องเองก็รักท่านพี่นภนต์’

‘เจ้าโกหก!!!!....เจ้ารักมัน เจ้ารักรพีพงศ์!!!!”

‘เจ้าวางยามารดาของข้า!!! เจ้ามันร้ายกาจ…ชลันธร’

‘เราไม่ได้ทำ…ฮึก..ฮือ..อ…เราไม่ได้ทำ’

เสียงจากอดีตกาลที่แสนชัดเจนที่เกิดขึ้น ก้องดังอยู่ในความคิดของชลันธรดั่งภาพฝัน

‘จุ๊บ’ นภนต์จรดริมฝีปากแตะหน้าผากเนียนอย่างแผ่วเบาแต่กลับทำให้ดวงตาของชลันธรค่อยๆ เปิด ลืมขึ้นมาเพราะถูกรบกวน

“ลัน…พี่ขอโทษที่ทำให้ตื่น นอนต่อเถอะนะ เดี๋ยวพี่จะกอดลันเอาไว้ไม่ไปไหน...” นภนต์ยิ้มให้พร้อมกับสวมกอดกายบางนั้นไว้ ชลันธรมองนภนต์ด้วยสายตาที่สับสนและงงๆ กับเรื่องที่เกิดขึ้น ไยถึงได้มานอนกอดก่ายนภนต์อยู่เช่นนี้ ก่อนจะผลักดันกายให้ออกจากอ้อมแขน แล้วรีบลุกขึ้นถอยห่าง กำลังจะก้มมองสำรวจร่างกายของตัวเองก็เห็นกายแกร่งตรงหน้านั้นเปลือยเปล่า เมือก้มมองตกใจที่กายตนนั้นเปลือยเปล่าไม่ต่างกัน ช้ำยังเต็มไปด้วยร่องรอยการร่วมรัก ชลันธรตกใจมือก็กุมขมับพยายามตั้งสติในสิ่งที่เกิดขึ้น เหตุการณ์ครั้งในอดีตที่วนกลับเข้ามาจนชลันธรรู้สึกสับสน  นภนต์นั้นรู้สึกแปลกไปทำไมชลันธรจึงละกายตนไปยืนอย่างนั้น เหมือนว่ากำลังจะสับสนอยู่  มือหนาหมายเอื้อมคว้ากายบางมาให้ล้มลงนอนแนบซุกแผ่นอกของตนครั้ง แต่กลับถูกร่างบางนั้นถอยห่างออกไป

“อย่ามากอดรัดเรา…ท่านนภนต์” คำพูดแสนเย็นชาและสรรพนามที่เปลี่ยนไปทำให้นภนต์ฉงนใจ เหตุใดชลันธรถึงพูดกับตนเช่นนี้ เมื่อราตรีที่ผ่านมามีแต่แนบแน่นด้วยกายเขามิยอมห่าง

“ทำไมลันพูดกับพี่แบบนี้ล่ะครับ...หรือว่าลันจะ...”

“ใช่ เป็นอย่างที่ท่านคิดเราจำเรื่องราวทั้งหมดได้แล้ว” ชลันธรพูดเสียงเรียบ

นภนต์ได้ฟังก็ตกใจ เหตุไฉนชลันธรถึงจำเรื่องราวเมื่อครั้งเป็นเทพมหาสมุทรได้ หรือจะเป็นเพราะพิษนาคที่ชลันธรได้รับ นภนต์เก็บความสงสัยเอาไว้ ก่อนจะนั่งมองชลันธรที่รีบดึงภูษาที่บางเบาปิดคลุมกาย

“เจ้าจะปิดทำไมเล่าชลันธร ข้าเห็นกายเจ้าหมดแล้ว มากกว่ามองก็ทำมาแล้ว ไม่เห็นต้องอายเลย” นภนต์เอ่ย มุมปากยกยิ้มขึ้นมา สรรพนามที่ใช้เรียกก็แปรเปลี่ยนเหมือนเมื่อครั้งเก่าก่อน

“เราไม่ใช่พวกหน้าด้านที่จะเปลือยกายต่อหน้าใคร ถึงท่านจะเคยได้มันไปแต่จากนี้ก็อย่าหวังว่าจะได้มันอีก...” ชลันธรพูดโต้ตอบกลับไป มือก็สาละวนจับผ้ามาคลุมกายจนมิดชิด

“ถ้าคนตรงหน้าไม่ใช่ข้าแต่เป็นรพีพงศ์คนรักเจ้า เจ้าคงจะไม่พูดเยี่ยงนี้แน่” นภนต์ประชดประชัน

“เราก็บอกไปแล้วอย่างไรเล่า...ว่าเราไม่ได้รักรพีพงศ์!!! เราบอกท่านมาตลอด แต่ท่านก็หากระจ่างใจไม่ ซ้ำยังยัดเยียดความผิดให้แก่เรา ว่าเราเป็นคนชั่วช้าที่คบบุรุษในคราเดียวถึงสองคน” ชลันธรโมโหปนน้อยใจ ทั้งที่รักนภนต์มากแม้ว่านภนต์จะตัดสินโทษให้ตนโดนสาป รักทุกขเวทนากรรมหลายร้อยชาติ ถึงอยากจะเกลียด อยากจะโกรธขนาดไหนแต่พอได้อยู่ตรงหน้าเทพแห่งท้องนภา อดีตเทพมหาสมุทรอย่างตนก็แพ้พ่ายให้กับความรักที่ยังไม่เสื่อมคลาย คงมีเพียงนภนต์ที่ลืมรักที่มีไปเสียหมดสิ้น

“เจ้ากล้าสาบานหรือไม่เล่าว่าเจ้ากับรพีพงศ์ไม่เคย….” นภนต์ถามแล้วหยุดพูดต่อ

“ท่านพูดต่อสิ…พูดให้จบ เรากับรพีพงศ์ไม่เคยอะไร” ชลันธรถามกลับ

“ช่างมันเถอะ ถามไปเจ้าก็คงไม่ตอบข้า”นภนต์คว้าภูษาข้างเตียงมาคลุมกายแล้วลุกออกไป

“ท่านจะไปไหนกลับมาคุยกับเราให้รู้เรื่อง!!!” ชลันธรโวยวายไล่หลังทั้งปาหมอนใส่ นภนต์ไม่สนใจชลันธรและเดินออกมายืนที่หน้าถ้ำแก้ว เทพหนุ่มสับสนกับความรู้สึกของตนเอง ทั้งที่ควรเกลียดอดีตเทพองค์นี้ แต่เหตุใดกลับยังรักยังห่วงใจ ทั้งที่อยากทำลายให้ย่อยยับแต่กลับยังถนอมรักษา อุตส่าห์อดทนตัดใจถึงสองร้อยเก้าสิบเก้าชาติแต่พอได้เจอแค่เสี้ยววินาทีเดียวกลับตกหลุมรักหัวปักหัวปำอีกครั้ง ยิ่งตอนเห็นชลันธรกำลังแย่ตนก็กลับโกรธเป็นฟืนเป็นไฟทั้งที่ควรดีใจที่ชลันธรจะได้สิ้นชีวา ไม่ต้องพิสูจน์ตัวเองในครั้งที่วางยามารดาตน

‘นภนต์….ตัดใจเจ้าควรตัดใจจากความรักจอมปลอมนี้ จำเอาไว้สิว่าชลันธรทำอะไรไว้กับเจ้า เจ้าห้ามใจอ่อนเป็นอันขาด’ นภนต์เตือนสติของตนเอาไว้พลางนึกเหตุการณ์ครั้งเก่า”...

คืนพระจันทร์เพ็ญเวียนหมุนครบกำหนด ชลันธรได้บอกกับนภนต์ว่าไม่สามารถพบเจอได้ แต่คืนนั้นใจนภนต์กลับกระวนกระวายยากที่จะปิดตาหลับลง จึงโบยบินลงท่องในป่าหิมพานต์ ก็พบเห็นรพีพงศ์กำลังโอบกอดชลันธรอยู่ริมสระอโนดาด

‘นี่สินะสาเหตุที่ไม่สามารถพบข้าได้…ชลันธร  เจ้ากลับปฏิเสธข้ามาพบเจอกับรพีพงศ์…เจ้าช่างใจร้ายยิ่งนัก’

นภนต์กำหมัดแน่นยืนสะกดอารมณ์ของตนเอาไว้ยามที่เห็นรพีพงศ์คอยลูบเกศานุ่มของคนรักตน นภนต์ไม่ชอบใจเพราะรู้ว่ารพีพงศ์นั้นคิดเช่นไรกับชลันธร จนนภนต์หึงหวงและทะเลาะกับชลันธรหลายครั้งหลายครา

‘ข้ารักเจ้ารพีพงศ์’

คำบอกรักที่มอบให้บุตรแห่งพระอาทิตย์จากชลันธร ได้ลอยลมเข้าโสตประสาทของนภนต์ที่ลอบมองอยู่ไม่ไกลมากนัก  ด้วยภาพที่ประจักษ์แก่สายตา ถึงกับทำให้เทวายอดนักรบผู้แข็งแกร่งนั้นหลั่งน้ำหยาดน้ำใสออกมา จนต้องหันหลังกลับ นภนต์ทนไม่ได้ที่จะมองภาพเหล่านั้น…ดวงใจที่เคยแข็งแกร่งยามนี้กับปวดร้าวราวเข็มพิษนับพันนั่นพุ่งเข้าทิ่มแทง  ...พิษความรักมันช่างทรมานเหลือเกิน ชลันธร...เจ้าหักหลังและนอกใจเรา...

‘เพล้ง!!’

เสียงของตกแตกดังมาจากในถ้ำแก้ว นภนต์รีบวิ่งกลับเข้าไปด้านในเพราะกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับชลันธร โดยไม่รู้ตัวเลยว่าพฤติดรรมของนภนต์ย้อนแย้งกับความคิดเมื่อครู่อยู่มากโข

 ชลันธรที่รู้สึกเหนียวกายคิดอยากจะลงไปชำระร่างกายในสระมรกต ด้านในสุดของคูหามรกตจึงลุกออกจากเตียงแต่พอเท้าสัมผัสกับพื้นความเจ็บปวดก็แล่นเข้ามาส่งผลให้ร่างโปร่งล้มลง มือที่จะค้ำยันโต๊ะก็ปัดไปโดนแจกันจนตกแตก

“เกิดอันใดขึ้น” นภนต์เอ่ยถามคนที่นั่งล้มพับใกล้กับเศษแจกันที่กระจายเต็มพื้น

“เราอยากอาบน้ำแต่เราไม่มีแรงเลยล้มลงกับพื้น” ชลันธรตอบ มือก็จับสะโพกที่กระแทกกับพื้น นภนต์ได้ฟังก็เดินตรงเข้าหาชลันธรแล้วอุ้มชายหนุ่มขึ้นมา

“ท่านอุ้มเราทำไม ปล่อยนะ” ชลันธรตาเบิกกว้างที่อยู่ๆ ก็ถูกอุ้มขึ้นมา

“ข้าจะพาเจ้าไปอาบน้ำ” นภนต์ตอบแล้วอุ้มชลันธรไปยังสระมรกตที่น้ำในสระเป็นสีเขียวมรกตใสช่วยรักษาอาการบาดเจ็บตามร่างกายได้เป็นอย่างดี

“ปล่อยเรา!!!! เราเดินเองได้!!!! ปล่อยเราบอกให้ปล่อยเรา ไม่ต้องมาอุ้มเรา!!!” ชลันธรโวยวาย มือก็ทุบตีอกนภนต์ไปด้วย

‘ตูม!!!!’

กายบางที่ดื้อรั้นถูกเทพหนุ่มโยนลงไปในสระมรกตจนสายน้ำสาดกระเซ็นกระจายออกมานอกเป็นวงกว้าง ชลันธรรีบตะกายน้ำขึ้นมาจนโผล่สู่ผิวน้ำ คนงามสำลักน้ำออกมาก่อนจะเงยหน้าขึ้นจ้องนภนต์ที่ยืนอยู่ใกล้ขอบสระอย่างแค้นเคือง

“ท่านโยนเราลงในสระทำไม ท่านนภนต์!!!” ชลันธรถามด้วยความไม่พอใจ

“ก็เจ้าบอกให้ข้าปล่อยเจ้า ข้าก็ปล่อย” นภนต์บอกหน้าตาย ในใจก็แอบขำอยู่ไม่น้อย

“ท่านโยนเราลงมา เรากำลังเจ็บไม่รู้หรอกเหรอ…ท่านนภนต์ท่านทำเราเจ็บแท้ๆ ท่านมันใจร้ายที่สุด” ชลันธรตัดพ้อ

‘เรื่องที่เจ้าเจ็บถึงข้าจะทำก็จริงแต่ก็เพื่อช่วยรักษาชีวิตเจ้า...หากข้าใจร้ายอย่างที่เจ้าว่า...ข้ามิปล่อยให้เจ้าตายด้วยต้องพิษนาคานั่นแล้วหรือ...แต่ถึงข้าจะร้ายอย่างไรก็คงไม่ร้ายเท่าเจ้าหรอกชลันธร...ร้ายที่ทำให้ข้าสับสน ร้ายที่ทำให้ข้ารักเจ้าไม่เสื่อมคลาย’



































...........................................

ฉันแพ้ให้เธอทุกทาง...โอ้ ที่รัก

สุดท้ายนภนต์ก็รักชลันธรอยู่ดี ไอ้ที่วางท่านี่คืออะไร๊!!!! ไหนบอกจะขัดขวางน้อง ขัดขวางสิโว้ย!!! เด็กนั่นวางยาแม่แกนะเว้ย!!!! #ทีมคนบาปอยากให้ผัวทุบตีเมีย

ตอนนี้ไม่มีอะไรมากก็แค่รักษา ถอนพิษเฉยๆ ไรท์ไม่ถนัดเลยค่ะแถมโดนแก้เยอะ ต้องขอบคุณพี่สาวสุดสวยที่คอยบรีฟงานไง สกิลคำจึงงดงามขึ้นมามากโข อันตัวไรท์ยังติดนิสัยNC หยาบๆตรงๆอยู่ ขนาดแก้แล้วสุดท้ายก็แก้อีก แก้จนจะเปลือยกายแล้ว 55555 ผลก็คือนิยายอัพช้าเพื่อที่จะนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุด โปรดให้อภัยด้วยนะคะ



สุดท้ายนี้เช่นเดิม ขอบคุณ ขอบใจ ขอบพระทัย ไอเลิฟยู ทั้งผู้อ่าน ผู้เม้น ผู้ติดตาม ผู้เป็นกำลังใจ รักนะทุกคน



หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.11 P.4 (6/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 06-05-2017 19:10:02
ความคิดขัดแย้งกับการกระทำจริงๆท่านนภนต์เนี่ย :ruready
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.11 P.4 (6/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 06-05-2017 19:17:23
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.11 P.4 (6/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 06-05-2017 22:39:43
น้องลันคงใกล้ได้เอาคืนแล้ว
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.11 P.4 (6/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 06-05-2017 23:54:04
ถอนพิษเสร็จดราม่าซะงั้น!?
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.11 P.4 (6/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 06-05-2017 23:55:33
นภนต์แพ้ใจตัวเองที่รักชรันธร อิอิ
  รออ่านตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.11 P.4 (6/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 07-05-2017 11:44:32
 :mew1:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.11 P.4 (6/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 07-05-2017 12:08:40
ไม่พูดออกมาแล้วเมื่อไหร่จะเข้าใจกัน
แน่ใจเหรอว่าตอนนั้นคนที่เห็นน่ะเป็นชลันธรจริง ๆ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.12 P.5 (11/05/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 11-05-2017 22:36:51
​สาปรัก…ทัณฑ์เทวา

Writer : Tan-Yung0209

File : 12













สุริยันจันทราหมุนเวียนเปลี่ยนผันจวบหลายเพลาแล้ว อาการของอดีตพระสมุทรเทพก็ดีวันดีคืน ด้วยยาใจตำหรับนภนต์นั้นคอยดูแลไม่ห่างกาย ถึงแม้ว่าตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันนั้นทั้งสองจะไม่ค่อยพูดจาดีๆ กันเสียเท่าไหร่ เทพนภาถึงจะรู้แก่ใจตัวเองว่ารักคนงามมากแค่ไหน กลับยังปากแข็งมิยอมเอื้อนเอ่ยความในใจ แต่มักแสดงออกด้วยการกระทำ ชลันธรเองนั้นก็เง้างอนน้อยใจนภนต์ที่ชอบเหย้าแหย่ตนเอง คิดแต่ในแง่ดีที่ว่าเป็นแบบนี้ก็อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่พูดจาอะไรกันเลย

“ตื่นได้แล้ว...จะนอนให้ถ้ำถล่มหรือไร” นภนต์ปลุกร่างบางขี้เซาที่นอนอยู่ข้างกาย ชลันธรหน้านิ่วเปลือกตายังคงปิดอยู่ก่อนจะหันมาซุกตรงอกอุ่น นภนต์เห็นพฤติกรรมก็อดที่จะระบายยิ้มออกมาไม่ได้

“ฟอด…จะตื่นหรือไม่เล่า หากเจ้าไม่ตื่นข้าจะหอมแก้มเจ้าจนกว่าเจ้านั้นจักตื่นขึ้นมา” นภนต์โน้มหน้าหอมแก้มใส ก่อนจะกระซิบข้างใบหูนิ่มส่งผลให้ชลันธรตื่นขึ้นมาทันที

“หยุดล่วงเกินเราได้แล้ว เราตื่นแล้ว!!” ชลันธรเอ่ย พร้อมฝ่ามือบางที่ค้ำยันใบหน้าที่หล่อเหลา ก่อนที่นภนต์จะหอมแก้มตนจนช้ำ

“ตื่นแล้วก็รีบไปจัดแจงสรงน้ำแต่งกายเสียให้พร้อมสรรพ วันนี้พวกเราจักต้องเดินทาง” นภนต์เอ่ย

“เราไม่ไปกับท่านหรอก” ชลันธรสวนทันควันไม่คิดจะฟังว่านภนต์จะพาตนไปแห่งหนใด

“เจ้าจะทำตัวเป็นคนอกตัญญูไม่รู้คุณหรือ…ชลันธร ข้าจะพาเจ้าไปกราบขอบพระคุณฤาษีวิทู พระอาจารย์ที่ช่วยเหลือเจ้าให้รอดจากพิษนาคา” นภนต์แสร้งพูดว่า ชลันธรที่พอรู้จุดประสงค์ก็รู้สึกผิดเล็กน้อย ที่ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท...ใช่แล้วควรที่จะไปกราบชอบพระคุณท่านฤาษีสักครั้ง...

“ถ้าเป็นการที่ท่านว่า...เช่นนั้นก็ได้ เราจักไป เราก็อยากกราบเท้าขอบพระคุณท่านฤาษีวิทูที่ได้ช่วยชีวิตเราไว้” ชลันธรเอ่ย นภนต์ก็ทำนิ่งเฉยทั้งที่ในใจนั้นอดเอ็นดูท่าทางทำนิ่งขรึมของชลันธรเสียไม่ได้

“ทีข้านั้นทั้งช่วยชีวิตเจ้า รักษาเจ้า ใยเจ้าถึงมิกราบแทบบาทาข้าบ้างเล่า” นภนต์เอ่ยเย้าคนงาม ใบหน้าสวยบ่งบอกว่าไม่พอใจในคำพูดของเทพนภา

“ได้ หากท่านนั้นประสงค์ที่จะให้เรากราบแทบบาทาของท่านแล้วไซ้ เราก็ยินดี...” ชลันธรพนมมือขึ้นมาแล้วก้มลงกราบแทบเท้าของนภนต์ ในเมื่ออยากให้กราบตนก็จะกราบแต่ก็ใช่การกราบที่ตนนั้นยินดีไม่ ในระหว่างที่โน้มลงก้มกราบฝ่ามือใหญ่ก็รวบมือพนมคู่เล็กเอาไว้เสียก่อน ชลันธรมองใบหน้าของนภนต์อย่างไม่เข้าใจ

“เหตุใดท่านถึงมารวบข้อมือของเราเสียเล่า ท่านอยากให้เรากราบท่านมิใช่หรือ” ชลันธรเอ่ยถาม

“เจ้าคงอยู่โลกมนุษย์มายาวนาน จึงลืมประเพณีของเราชาวสวรรค์เสียสิ้นแล้วกระมัง การที่เทพยดาหรือนางอัปสรจะก้มกราบบาทผู้ใดนั้น ก็จะต้องกราบหนึ่งผู้ที่เราเคารพ สองผู้ที่เราจักขอโทษและสามผู้ที่จะมีศักดิ์เป็นภัสดา ส่วนที่ข้าหยุด...เจ้าข้าเพียงอยากจะรู้ให้แจ้งแก่ใจว่าเจ้านั้นกราบข้าด้วยเพราะเหตุใด…” นภนต์เอ่ยโดยเน้นเสียงที่ข้อสามก่อนจะยิ้มร้ายออกมาเหย้าแหย่ให้ชลันธรหน้ามุ่ยเสียอย่างนั้น

“เราไม่กราบท่านแล้ว ท่านชอบทำให้เราไม่พอใจ” เอ่ยแล้วก็นอนหันหลังให้กับอีกฝ่าย ทำเหมือนงอนแต่ภายในใจนั้นคิดอะไรก็มิอาจจะคาดเดา

“กระนั้นหรือ ตอนแรกข้าคิดเสียว่าเจ้าจะกราบข้าผู้ที่เป็นดั่งภัสดาของเจ้าเสียอีก” นภนต์เอ่ยออกมาพร้อมกับสรวลเล็กน้อย

“เราไม่กราบท่านเพราะเหตุผลนี้เป็นแน่”

“แล้วเจ้าจะกราบข้าด้วยเหตุผลใดหรือว่าจะกราบขอโทษเรื่องที่เจ้าทำร้ายมารดาข้า”

“นั่นก็ยิ่งแล้วใหญ่ เราไม่ผิดเราจะกราบขอโทษทำไม เราไม่เคยคิดที่จะทำร้ายท่านน้ากวินตา ถ้าเราจะวางยาใครสักคน คนนั้นก็คือท่าน…ท่านนภนต์” ตอบกลับไปด้วยอารมณ์ประชดประชันแต่ คำพูดของคนงามก็หาได้ทำให้นภนต์โกรธเคืองแต่อย่างใด

“ถ้าเจ้าไม่ได้ทำก็จงพิสูจน์ให้ข้าเห็นสิชลันธร ไม่ใช่มัวนอนยั่วยวนข้าบนเตียงเช่นนี้” นภนต์แหย่แมวน้อยให้กลายเป็นเสือ ชลันธรพลิกตัวกลับมาแล้วใช้มือใช้เท้า ทั้งผลักทั้งถีบให้นภนต์ตกลงเตียงไป

“เราพิสูจน์แน่ ถึงครานั้นท่านจะเสียใจที่ไม่เชื่อใจเราและหมดรักในตัวเรา” ชลันธรเอ่ยใส่ร่างสูงที่พลัดตกเตียงไปเมื่อครู่

“ฤทธิ์เยอะเสียจริง...ข้าบอกไว้เลย ข้าไม่เสียใจ!!!... อืม นี่ก็สายมากแล้วเจ้ารีบไปจัดแจงสรงน้ำและพลัดผ้าได้แล้ว ข้าจะไปรอเจ้าที่นอกถ้ำแก้วนี้ อย่าให้ช้าเสียล่ะ” นภนต์พูดจบก็ลุกขึ้นเดินออกไปแต่ก็ไม่วายหยิบผ้าห่มคลุมกายชลันธรจนมิด จนร่างบางโวยวาย

…‘ข้าเองก็อยากเสียใจที่ข้าไม่เชื่อใจเจ้า…แต่ข้านั้นไม่นึกเสียใจที่หมดรักเจ้า...เพราะข้ายังคงรักเจ้าอยู่มิได้ลดลงเลย…ชลันธรน้องพี่’...

เมื่อจัดแจงสรงน้ำและแต่งกายด้วยอาภรณ์ใหม่ที่นภนต์ตระเตรียมไว้ให้  เนื้อภูษาอาภรณ์นั้นงามชั้นเลิศแลลวดลายวิจิตรพิศดานยิ่งนัก  แต่ทว่ากว่าจะเรียบร้อยก็กินเวลาไปเสียพักใหญ่ ทำเอาคนที่ยืนรอหน้าถ้ำลุกลี้ลุกลนเดินวนไปมาไม่ยอมหยุด ด้วยอาภรณ์ที่ว่างามแล้วและคนงามที่สวมใส่ยิ่งทำให้กายนั้นดูมีสง่าราศีมากขึ้นทั้งที่ยังคงกายมนุษย์  ไม่ว่าจะเป็นเทพเทวาหรือมนุษย์โลกหากได้ยลเพียงเสี้ยวเดียวของใบหน้าคนงามในยามนี้ ก็จำเป็นต้องมนต์เสน่หาซึ้งตรึงใจ หลงรักใคร่ในเพียงครั้งเดียวเป็นแน่แท้

“ท่านนภนต์…” เสียงเรียกเทพหนุ่มที่กำลังยืนคุยกับพญาอินทรีเผือกตัวใหญ่ที่เข้ามาเกาะท่อนแขนแกร่ง นภนต์หันหน้าไปมองตามเสียงเรียกนั้น ทันทีที่ได้ชมกายเจ้าของเสียงก็แทบจะตกอยู่ในภวังค์ ดั่งเมื่อครั้งแรกที่ได้ยลกายงามที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ดวงใจนั้นจำต้องผูกสมัครภิรมย์รักใคร่โดยมิทันตั้งตัว ซ้ำยังเกี่ยวพันผูกดวงใจมิมีคิดว่าจะร้างลา ยิ่งได้เห็นเต็มตาก็ยิ่งพาให้รำพึงถึงยามที่คนึงหาแนบด้วยกายอยู่ด้วยเสียทุกครั้งไป แม้อาภรณ์งามที่สวมใส่บนกายนั้นจะไม่ได้ประดับด้วยยศฐา แต่ชลันธรก็ดูงามเสียเทพหนุ่มมิอยากผู้ใดได้ยลโฉม

“เจ้ากลับไปก่อน” พอตื่นสติ นภนต์ก็ไล่พญาอินทรีเผือกนั้นให้โผบินกลับไปเสีย ส่วนตนก็ทำตีหน้านิ่งขรึมแสร้งว่าทำเป็นไม่พอใจชลันธร

“ช้า…มาช้ายิ่งนัก” นภนต์พูดบ่น ทำเอาชลันธรหน้าถึงกับเสียทันทีทันใด

“เราขออภัยที่ล่าช้า” ชลันธรรีบขอโทษอีกฝ่ายง่ายๆ เพราะรู้ดีว่าตนนั้นมาสายจริงๆ

“อืม อย่าทำบ่อยก็แล้วกัน” นภนต์พูดจบก็เดินเข้าหาแล้วช้อนกายอีกคนขึ้นมาอุ้ม เล่นเอาจนชลันธรที่กำลังเผลอนั้นร้องตกใจ แต่ก็รีบโอบรอบคอเทพหนุ่มไว้เพราะกลัวเทพหนุ่มจะแกล้งปล่อยให้ตกลงพื้น

“ท่านอุ้มเราทำไมเล่า ปล่อยเราบัดเดี๋ยวนี้”

“ก็ข้าจักพาเจ้าไปหาฤาษีวิทูน่ะสิ เข้าใจหรือไม่...หรือว่าเจ้าจะเดินไป...” นภนต์เอ่ยจบ ชลันธรเพียงพยักหน้ารับตามคำกล่าว เทพเวหาพอเห็นว่ามนุษย์ในอ้อมแขนไม่ขัดขืนอะไรก็สยายปีกสีทองออกแล้วโบยบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

กลุ่มเมฆาสีขาวล่องลอยผ่านร่างทั้งสอง มันช่างน่าตื่นตาตื่นใจสำหรับชลันธรที่ไม่ได้เหาะเหินเยี่ยงนี้มาแสนนาน พาลคิดถึงอดีตที่นภนต์มักจะพาตนเหาะเที่ยวเล่นอยู่บ่อยครั้งในยามที่ตนว่าง นภนต์เองก็ก้มมองชลันธรที่อมยิ้มก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้…

‘...ข้าคิดถึงความสุขในครั้งอดีตยิ่งนัก ท่านนภนต์...’

“ข้าแปลกใจยิ่งนัก เพลานี้ข้าอุ้มเจ้าอยู่เหตุใดเจ้าจึงไม่ร้องบอกให้ข้าปล่อยเจ้า” นภนต์พูดขึ้นมาทำลายความเงียบ ชลันธรที่ได้ฟังก็หุบยิ้มทันที... ‘ใครจะกล้าร้องกันเล่า ขืนร้องออกมาโดนปล่อยกลางอากาศ ตกลงไปเบื้องล่าง คงเจ็บหนักเป็นแน่...’

“เจ้าคงคิดว่าข้าจะโยนเจ้าเฉกเช่นที่ข้าเคยทำกับเจ้าตอนสรงน้ำใช่หรือไม่ เจ้าอย่ากังวลเลยข้าไม่ปล่อยเจ้าลงไปดอก” คำพูดของนภนต์ทำให้ชลันธรนั้นหวั่นไหวไปกับประโยคหากไม่มีประโยคอื่นตามหลัง

“ถ้าเจ้าตกลงไปข้าเกรงว่าจะไปทับเหล่าสรรพสัตว์ที่อยู่เบื้องล่างจมดินตายไปเสียน่ะสิ” นภนต์เอ่ยพร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงดัง นานมากแล้วที่เทพท้องนภาจะยิ้มหรือหัวเราะออกมาเช่นนี้

“ท่านช่างกวนประสาทเรานัก กายเรานี้ก็นิดเดียว จะไปทับตัวอะไรได้อย่างไรกัน ...เราจักไม่คุยกับท่านแล้ว...” ชลันธรเอ่ย ใบหน้าสวยบูดบึ้งไม่พอใจ นภนต์เองไม่คิดจะง้อคนรักเพราะ ด้วยตนนั้นชอบแกล้วกวนประสาทให้คนงามงอนเล่นอยู่เสมอ เสมือนเป็นประจำวันเรื่องหนึ่งที่ขาดไปเสียมิได้ ผู้ใดเล่าจะได้เห็นคนงามยามเง้างอนเยี่ยงนี้จะมีก็แต่เขาเพียงผู้เดียวเท่านั้น

เมื่อล่วงเข้าสู่เขตขัณฑ์คันทมาศคีรี ไม่นานนภนต์ก็บินลงมายังหน้าอาศรมของฤาษีวิทูผู้เป็นพระอาจารย์แล้ววางชลันธรลงให้ยืนอยู่เคียงข้าง ฤาษีวิทูนั้นรู้ว่าศิษย์จะมาพร้อมกับคนรักจึงออกมาจากอาศรมเพื่อต้อนรับ

“ท่านนภนต์ ท่านชลันธรเชิญนั่งก่อน” ฤาษีวิธูเชิญทั้งสองให้ประทับลงบนแคร่ไม้ใกล้ๆ

“อย่าได้เรียกเราว่าท่านเลยท่านฤาษีวิทู เพลานี้เราเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น” ชลันธรถ่อมตน รู้ดีว่าสถานะของตนตอนนี้เป็นมนุษย์สองกรหาใช่เทพมหาสมุทรสี่กรไม่

“ถ้าท่านประสงค์เช่นนั้นก็ย่อมได้ ว่าแต่มาหาข้านั้นมีเรื่องอันใดเล่า” ฤาษีวิทูถาม

“ข้ารู้ว่าท่านอาจารย์รู้ดีว่าเราทั้งสองมาเพราะเหตุใด” นภนต์ตอบ เนื่องจากเป็นศิษย์จึงรู้ว่าพระอาจารย์ของตนมีความสามารถหยั่งรู้อนาคต

“คือข้าจักมาขอบคุณท่านฤาษีวิทูที่ช่วยเหลือข้าให้รอดชีวิตไม่ให้เหลือไว้เพียงชื่อ” ชลันธรกล่าวออกมาจากใจที่ซาบซึ้งในพระคุณของฤาษีผู้นี้

“ทีข้าเจ้าไม่เห็นขอบคุณบ้าง ชลันธร” นภนต์เอ่ยออกมา ชลันหันขวับมองค้อนใส่…’คนบ้า ท่านพูดเยี่ยงนี้ท่านฤาษีวิทูก็รู้กันพอดีว่าท่านช่วยรักษาข้าด้วยวิธีใด’

“ท่านฤาษีวิทู เรามีเรื่องอยากจะขอให้ท่านช่วย” ชลันธรเปลี่ยนเรื่องคุย ทำเป็นไม่สนใจที่นภนต์ได้เอื้อนเอ่ยออกมาเมื่อครู่

“ว่ามาเถิด มีการใดจะให้ข้าช่วยเล่า”

“ความทรงจำของข้านั้นกลับคืนมาแล้วและข้านั้นต้องพิสูจน์ตัวเองให้หลุดพ้นจากข้อครหาเสียที ท่านฤาษีวิทูพอจะชี้แนะให้ข้าจะได้หรือไม่” ชลันธรบอกถึงสิ่งที่จะให้ฤาษีผู้เก่งกล้ารับรู้ในระหว่างที่พูดก็มองใบหน้าของชลันธรไปด้วย

“ถ้าอยากรู้ว่าเกิดเหตุอันใดเมื่อกาลก่อน มีทางเดียวคือ...ต้องย้อนเวลากลับไปยังอดีต”

“ย้อนเวลาอย่างนั้นหรือ แล้วจักต้องทำอย่างไรเล่าจะย้อนเวลาให้ข้าได้” ชลันธรเริ่มหมดหวังเพราะตัวเขานั้นไม่มีกำลังพอที่จักทำการนี้ได้หรือต่อให้เป็นเทวาอย่างนภนต์เองก็ไม่สามารถทำได้เช่นเดียวกัน

“อย่าทำหน้าเศร้าโศกเช่นนั้นเลยชลันธร ทุกปัญหาย่อมมีทางออกเสมอ หากคิดที่จะย้อนเวลา ก็ต้องไปหาเทพที่เกี่ยวข้องกับเวลา”

“เทพกาลเวลา...” นภนต์เอ่ยนามเทพผู้ลึกลับที่ไม่มีใครได้เห็นมานานนับสหัสวรรษ

“ใช่แล้วท่านนภนต์ เทพกาลเวลานี้เป็นผู้เดียวที่จะสามารถนำพาท่านทั้ง 2 ย้อนเวลากลับไปยังอดีตได้” ฤาษีวิทูกล่าวเสริม

“แล้วท่านเทพกาลเวลาอยู่ที่ใดกันเล่า ตั้งแต่เราจำความได้เราก็ไม่เคยเห็นเทพกาลเวลาเลยสักครั้ง” ชลันธรเอ่ยเสียงเครียด ถึงจะรู้วิธีพิสูจน์ตัวเองหากมันช่างยากเย็นเหลือเกิน

“เทพกาลเวลานั้นเพลานี้ได้ถูกสาปให้นิทราอยู่ในวิมานซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาจิราดร”

“เหตุใดกันเทพกาลเวลาจึงได้ถูกสาป” ชลันธรถามต่อ

“เรื่องราวนั้นเกิดขึ้นเมื่อสามพันปีก่อน…”

โลกได้ถือกำเนิดมาเป็นหมื่นล้านปี พระผู้สร้างองค์ก่อนรวมถึงเหล่าทวยเทพและนางฟ้าทั้งหลายต่างช่วยกันสร้างโลกให้สวยงามราวกับสรวงสวรรค์ เทพบางองค์ใช้คราบไคลสร้างเป็นดินปั้นเป็นหินผา เทพธิดาที่สระเกศาจากสระอโนดาตก็บิดมวยผมให้เกิดแหล่งน้ำบนผืนโลก บ้างก็หว่านเมล็ดพืชพันธุ์ เนรมิตสรรพสัตว์ทั้งหลายและท้ายที่สุดพระผู้สร้างก็สร้างมนุษย์ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ มีความเฉลียวฉลาด สติปัญญา ให้อาศัยบนพื้นพิภพจนเกิดโลกาที่สมบูรณ์แบบ

เวลาผ่านไปทุกสิ่งทุกอย่างก็สงบเรียบร้อยไร้ซึ่งความทุกข์ ทั้งมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายก็อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข จนกระทั่งเทพแห่งความตายละเหล่าอสูรกายในมหาอเวจีนรกที่ไม่พอใจเหล่าทวยเทพ เพราะพวกตนไม่มีส่วนร่วมในการนี้ จึงคิดจะทำลายสิ่งที่พระผู้สร้างได้สร้างเอาไว้นั้นก็คือโลก กระนั้นหากลงมือเองก็คงจะสู้ไม่ได้ จึงได้คิดใช้มนุษย์เป็นเครื่องมือเพราะคิดว่าพระผู้สร้างและเหล่าทวยเทพคงจะไม่ทำลายสิ่งที่ตนสร้างมากับมือ

ตามบัญชาเทพแห่งความตาย เหล่าอสูรกายได้แปลงร่างเป็นต้นไม้ปีศาจหยั่งรากลึกแผ่กิ่งก้านสาขาและออกผลเป็นอัญมณีนพเก้า เหล่ามนุษย์ผู้มีกิเลสหนานั้นได้เห็น ต่างก็อยากที่จะได้มาครอบครองจึงคิดจะปลิดผลหากแต่ต้นไม้ปีศาจนั้นกลับพูดขึ้นมา

...“พวกเจ้าไม่สามารถเก็บผลของข้าได้ ผลไม้เหล่านี้เป็นของเทพบนสวรรค์”... เสียงอสูรร้ายเอื้อนเอ่ย

… “แล้วเหตุใดต้นไม้นี้จึงได้กำเนิดบนพื้นโลก ไยไม่อยู่สรวงสวรรค์เล่า”... มนุษย์ขี้สงสัยคนหนึ่งเอ่ยถามต่อ ซึ่งเข้าทางอสูรกายยิ่งนัก

“ก็เพราะเหล่าเทวานั้นถือว่าเป็นเจ้าของทุกสรรพสิ่ง จึงเอาแต่ใจจักทำอะไรก็ได้  นึกอยากจะเสกฝน เสกลมมายังโลกมนุษย์เวลาไหนก็ได้ เจ้าว่ายุติธรรมหรือไม่ ทั้งที่พวกเจ้าเองมีสมองอันชาญฉลาดมิต่างจากเหล่าเทพยาดาเลยแม้แต่น้อย...แต่วันนี้ข้านั้นใจดี หากพวกเจ้าหมายอยากจะได้ผลไม้อัญมณีนพเก้าแล้วล่ะค่ะ ข้าจะยอมให้ปลิดไปได้คนละหนึ่งผล”...ต้นไม้ปีศาจเริ่มปลุกเร้ากิเลสที่ซ่อนอยู่ภายในใจของมนุษย์  แสร้งไหวกิ่งไม้ให้กลิ่นไอปีศาจจากผลไม้นั้นลอยลมทั่วบริเวณเพื่อกล่อมประสาทสะกดให้มนุษย์ไม่สนใจถึงคุณงามความดี

“ที่สำคัญพวกเจ้าเองก็รักษาประพฤติด้วยศรี ซ้ำยังสร้างคุณงามความดี เจริญสมาธิบำเพ็ญเพียร แล้วไยถึงมิได้ขึ้นไปยังสรวงสวรรค์ ก็ด้วยเพราะเหล่าเทวดาพวกนั้นล้วนอิจฉาไม่อยากให้มนุษย์ธรรมดาอย่างพวกเจ้าได้ดี เจ้ามนุษย์เอ๋ย...พวกเจ้านั้นช่างโง่เขลายิ่งนักที่ถูกหลอกมานานแสนนาน ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

เหล่ามนุษย์พอได้ฟังก็สดับคิดบวกกับกลิ่นอายปีศาจจากผลไม้นพเก้า และคำยั่วยุที่คอยสร้างความเกลียดชัง ปลุกกิเลสให้ลืมความรู้สึกผิดชอบชั่วดี  ในเมื่อทำความดีแล้วไม่ได้ดีก็ทำความชั่วก็คงจะดีเสียกว่า

ดั่งคำที่ว่าความชั่วนั้นทำง่าย…ไม่นานมนุษย์ก็เลือกเดินทางผิดสร้างความวิบัติให้กับโลกและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ คุณธรรมที่เคยจรรโลงใจต่างดับสูญมีเพียงมนุษย์บางกลุ่มที่ยึดมั่นในความดีก็พาลต้องถูกตามล่าและหนีกันหัวซุกหัวซุน

โลกที่งดงามกำลังจะกลายเป็นเพียงอดีต เหล่าทวยเทพทั้งหลายต่างประชุมกันอย่างเคร่งเครียด ทั่วทั้งสภาต่างถกเถียง จนแล้วสุดสรุปผลได้ว่าจักต้องทำการล้างโลกให้สิ้นนั่นก็คือสร้างอุทกภัย หน้าที่นี้จึงตกเป็นของเทพมหาสมุทร

เทพมหาสมุทรใช้พลังสร้างคลื่นยักษ์ขึ้นมาโดยมีวายุเทพคอยช่วยสร้างพายุพัดคลื่นสีครามไปยังทิศทางต่างๆ หากในเวลานั้นเทพกาลเวลากลับสงสารเหล่ามนุษย์และสรรพสัตว์อื่นๆที่ไม่รู้เรื่องราว จึงได้ทำการหยุดเวลาแล้วนำมนุษย์ พืชพันธุ์ และสิ่งมีชีวิตที่ไม่เกี่ยวข้องใส่ในเรือสำเภาทองจากนั้นก็ปล่อยเวลาให้ดำเนินตามปกติ วารีก็ท่วมผืนปฐพีกวาดล้างมนุษย์ชั่วหมดแผ่นดิน ดูเหมือนว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร หากการหยุดเวลาของเทพกาลเวลาทำให้การหมุนตัวของโลกในระบบสุริยะแปรเปลี่ยน ทั้งยังทำโดยพลการโดยไม่ปรึกษาหารือ จึงถือว่าเทพแห่งกาลเวลานั้นขัดเทวราชโองการของพระผู้สร้าง

...“ณิชรันดร ความผิดของเจ้านั้นช่างใหญ่หลวง หยุดเวลาโดยพลการส่งผลให้ระบบสุริยะต้องแปรปรวน ข้าขอสาปเจ้าให้หลับใหลในวิมานของเจ้าเป็นเวลาสามพันปีมนุษย์!!!”...

“แล้วนับแต่นั้นเป็นต้นมา เทพณิชรันดรหรือเทพแห่งกาลเวลาก็นิทราไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย” ฤาษีวิทูเล่าเรื่องราวของเทพแห่งกาลเวลา ทั้งนภนต์และชลันธรต่างสดับฟังก็พาลหน้าเสียเพราะถึงจะเจอตัวเทพกาลเวลาก็ไม่สามารถจะร้องขอให้ช่วยได้

“ข้ารู้ว่าพวกท่านกำลังกังวล แต่นับตั้งแต่น้ำท่วมโลกครั้งนั้นมาจนถึงบัดนี้ก็ใกล้ครบกำหนดสามพันปีแล้ว” คำพูดของฤาษีวิทูทำให้ชลันธรใจชื้น

“ถ้าเป็นเยี่ยงนั้นแล้วข้าขอกราบลาท่านอาจารย์ก่อน ข้าคงต้องพาชลันธรบินไปยังเขาจิราดร ถ้าเดินทางเพลานี้วันพรุ่งก็คงถึง”

“ช้าก่อนท่านนภนต์การจะเดินทางไปถึงเชิงเขาจิราดร หากเดินทางทางอากาศเห็นทีจะไม่รอด เพราะเหนือยอดไม้บนผืนป่ากันติทัตนั้นมีกระแสลมแรงพัดวนอยู่ กล่าวกันว่าแรงมากขนาดพญาครุฑผู้มากด้วยกำลังยังไม่สามารถบินผ่านได้ และถูกกระแสลมนั้นพัดออกไปไกลอีก มีเพียงวิธีเดียวคือต้องเดินผ่านป่ากันติทัตเท่านั้นและอีกอย่างท่านนภนต์...ท่านเองหมดหน้าที่ที่จักต้องดูแลชลันธรแล้วมิใช่หรือ อย่าลืมว่าตอนนี้ชลันธรก็จำเรื่องราวทุกอย่างได้หมดสิ้นแล้ว...” นภนต์ได้แต่นั่งเงียบเป็นอย่างที่ฤาษีวิทูได้กล่าว เพลานี้ก็หมดหน้าที่ของตนแล้ว ทางด้านชลันธรเองก็หันไปมองหน้านภนต์คนรักด้วยแววตาเศร้าสร้อย

“มีเรื่องอันใดจักถามข้าอีกหรือไม่ พอดีข้าต้องไปถือศีลภาวนายังเชิงเขาไกรลาสต่อ”

“เราไม่มีเรื่องไรจะรบกวนท่านฤาษีแล้ว ขอขอบพระคุณที่ช่วยชี้แนะให้กับเรา” ชลันธรพนมมือไหว้อย่างนอบน้อมพร้อมกับนภนต์ พลันฤาษีวิทูก็หายไป ชลันธรสีหน้าไม่สู้ดีนักเพราะถึงความทรงจำกลับมาตนก็ยังเป็นมนุษย์การเดินทางไปคนเดียวย่อมเสี่ยงอันตรายดีไม่ดีก็อาจจะตายกลางทางเสียได้ก่อนจะได้พิสูจน์ความจริง

“อ๊ะ!!” ชลันธรร้องออกมาที่ถูกนภนต์อุ้มทีเผลอเป็นครั้งที่สอง

“ท่านอุ้มเราทำไม ท่านนภนต์” ชลันธรเอ่ยถาม

“ข้ารู้ว่าข้าหมดหน้าที่แล้วแต่ข้าจะช่วยสงเคราะห์ส่งเจ้าที่ทางเข้าป่ากันติทัตเป็นการเอาบุญ” นภนต์ผู้แสนปากแข็งเอ่ย อยากช่วยแต่ก็ดันพูดวาจาชวนให้คนฟังนั้นเกิดโทสะ ชลันธรมองค้อนแต่ก็ไม่พูดอะไร นึกถึงว่าเมื่อถึงป่ากันติทัตแล้วคงตั้งจำจากนภนต์และอยู่เพียงลำพัง ไม่ว่าเทพหนุ่มจะพูดจายียวน หรือล่วงเกินเพียงใด ถึงตอนนี้ตนอยากจะอยู่ในอ้อมแขนของนภนต์ให้นานที่สุดเพราะอาจจะไม่มีโอกาสนี้แล้วก็เป็นได้

นภนต์กระชับอ้อมแขนให้ชลันธรแนบร่างกว่าปกติแล้วทะยานสู่ท้องฟ้าไปยังป่ากันติทัต ใจของนภนต์อยากจะวอนขอพรสักประการให้กาลเวลาหยุดไว้แต่เพียงเท่านี้  ตลอดสองร้อยเก้าสิบเก้าชาติที่ทิ้งคนรักเพราะทิฐิ พอรู้ตัวว่าตัดใจไม่ขาดเทพหนุ่มก็ไม่อยากทิ้งให้ชลันธรต้องเดินทางเพียงลำพัง แต่จักทำอย่างไรได้เล่าในเมื่อเวลานี้นภนต์หมดหน้าที่ดูแลชลันธรแล้ว

อกใดไหนเล่าจะอบอุ่นเท่าอกภัสดาตน ด้วยแอบอิงใบหน้าแนบอกแกร่ง ทิ้งสิ้นความเขินอายใดๆ กายบางอยากจดจำและสัมผัสกายนภนต์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

...เราต้องห่างเขามาแล้วสองเก้าสิบเก้าชาติ ...เมื่อกลับมาเจอกันแล้วจำต้องห่างกันอีกแล้วกระนั้นหรือ... แต่...รักเขามิใช่หรือ... ก็ต้องทำให้แม่เขายอมรับด้วย...อย่างไรเสียเราก็เป็นผู้บริสุทธิ์  และเราจักทำการนี้สำเร็จให้จงได้...ท่านนภนต์...ที่เราทำไปนั้นก็เพื่อ...เราทั้งสอง...























...............................

คัมแบ็กแล้วจ้า มาแล้ว มาแบบหวานๆเนอะ อาจจะไม่ถูกใจใครเพราะมันไม่มีอะไรพีค หรือมาม่ารสเข้ม ส่วนน้ำท่วมโลกนี่อ้างมาจากตำนานที่เราได้ยินกันซึ่งท่านยุ่งก็ได้ดัดแปลงมานะคะ

เรามาเอาใจช่วยหนูลันให้พิสูจน์ตัวเองกันดีกว่า ส่งแรงใจให้ด้วยเนอะ อย่าเพิ่งทิ้งกันนะคะ

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกคอมเม้น ทุกคำติชมนะคะ อันไหนที่ยุ่งพลาดยุ่งแก้ไข อันไหนที่ชมมาก็เก็บเป็นพลัง รักนะคะ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.12 P.5 (11/05/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: kinjikung ที่ 11-05-2017 23:02:00
พิสุจนืตัวเองให้ได้นะ จะได้เอาคืนเทพนภนต์บ้าง ไม่เชื่อใจคนรักเลย
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.12 P.5 (11/05/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 11-05-2017 23:18:59
พิสุจนืตัวเองให้ได้นะ จะได้เอาคืนเทพนภนต์บ้าง ไม่เชื่อใจคนรักเลย




เอาคืนแล้วค่ะ ถีบพี่นภนต์ตกเตียง 555555
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.12 P.5 (11/05/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 11-05-2017 23:44:32
เอาคืนแค่ถีบตกเตียงมันไม่พอออ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.12 P.5 (11/05/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 11-05-2017 23:56:30
ใจอ่อนอะไรขนาดนี้
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.12 P.5 (11/05/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 12-05-2017 23:26:49
คิดถึงพระผู้สร้างกับบุษยะไหมคะ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.13 P.5 (16/05/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 16-05-2017 20:37:37


สาปรัก ทัณฑ์เทวา Writer : Tan-Yung0209 File : 13

ชะตาชีวิตนั้นมี 2 ด้าน แฉกเช่นเหรียญกลมๆ เหรียญหนึ่งที่มีด้านหัวด้านก้อยหรือจะเป็นพระจันทร์ที่ด้านหนึ่งสุกสกาวแสง แต่อีกด้านหนึ่งกลับมืดมิดเพราะเป็นเงาวิ่งไล่ตามแสงสว่างนั้น ในขณะที่นภนต์และชลันธรกำลังเดินทางเพื่อไปยังป่ากันติทัตในแดนหิมพานต์เพื่อพบเทพกาลแห่งเวลา ด้านนาคน้อยนาคินทร์นั้นก็โดนบุตรแห่งสุริยะเทพกักขังจองจำในอาคารร้างเฉกเช่นนักโทษเชลย รพีพงศ์ได้ใช้ให้เหล่าสัมภเวสีผีไร้ญาติรวมถึงเจ้าที่คอยดูแลไม่ให้นาคินทร์หนีไปได้ ในระหว่างที่ตนนั้นออกไปตามหาชลันธร

วันที่รพีพงศ์ได้ขืนใจนาคน้อยนั้น หลังจากสุขสมจนเป็นที่พอใจแล้ว รพีพงศ์ก็ได้กลับไปยังสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำของคณะอีกครั้ง  ที่นั่นมีผู้คนมากมายมุงอยู่หน้าห้องจัดแสดงสัตว์ทะเลมีพิษเพื่อหาสาเหตุเข้าตรวจสอบแก้ไขเรื่องตู้กระจกที่จัดแสดงงูทะเลแตก สุริยะบุตรเดินฝ่าวงล้อมเข้าไปก็พบว่ามีซากงูทะเลที่นอนตายอยู่ใกล้ประตู รวมทั้งขนนกสีทองจำนวนมากที่กระจายทั่วพื้นห้องปะปนเศษกระจกใส รพีพงศ์ย่อตัวลงก้มเก็บขนสีทองแล้วพินิจดู…ขนจากปีกของเทพแห่งท้องนภา…นภนต์

ถึงจะไม่พอใจที่นภนต์มาช่วยชลันธรแทนที่จะเป็นตน แต่คิดในทางที่ดีอย่างน้อยชลันธรนั้นก็ปลอดภัย หากติดอยู่ที่ว่ารพีพงศ์ออกตามหาชลันธรและนภนต์ไม่พบ พอพลบค่ำก็กลับมาสอบสวนเชลยที่เขาเชื่อว่าผู้กระทำผิดอย่างนาคินทร์ที่ถูกกักขังไว้

“นาคินทร์เพียงเจ้าบอกมาว่าใครคือผู้บงการ ใครคือผู้คิดแผนชั่วช้านี้ ข้าสัญญาว่าจะปล่อยตัวเจ้าไปให้เป็นอิสระโดยทันที” คำพูดซ้ำๆ เดิมๆ ออกมาจากปากของรพีพงศ์ทุกค่ำคืน เหมือนดูภาพยนตร์เรื่องเดิมซ้ำๆ อย่างไรก็อย่างนั้น

“ไม่!!! ข้าก็บอกไปแล้วอย่างไรว่าข้าทำเองแต่ผู้เดียว ถึงแม้ว่ามี ข้า...ก็จะไม่บอกท่าน ต่อให้ข้าสิ้นชีวาวาย ข้าก็ไม่บอกท่านเป็นอันขาด” เช่นเดียวกับนาคินทร์ที่ตอบกลับได้ด้วยประโยคซ้ำซาก ด้วยความจงรักภักดีต่อกนธี นาคินทร์ไม่มีวันที่จะให้คนรักต้องมาเข้ามีส่วนรับผิดชอบเรื่องนี้เป็นอันขาด  ตนเพียงยินดีที่จะแบกรับผิดเรื่องนี้คนเดียวไว้ทั้งหมด

“เจ้ามันช่างดื้อด้านเสียจริง หรือว่า...เจ้าอยากให้ข้าข่มแหงน้ำใจเจ้าเหมือนคราก่อนอีก” รพีพงศ์พูดขู่ ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ก็ร่วมเจ็ดราตรีที่รพีพงศ์ก็ไม่ได้แตะต้องกายนาคินทร์แม้แต่ปลายเล็บ

“ต่อให้ท่านขืนใจข้าเป็นร้อยเป็นพันครั้ง ข้าก็ไม่บอกท่านหรอก!!! ก็เอาสิ เอาเลย...หากท่านทำอีกล่ะก็ โลกานี้ต้องจารึกว่า เทพรพีพงศ์โอรสแห่งพระอาทิตย์ มันชั่วช้ารังแกได้แม้กระทั้งเดรัจฉานไม่มีทางสู้อย่างข้า...” ในเมื่อไม่มีอะไรจะต้องเสียนาคินทร์ก็พร้อมเผชิญหน้า

“ได้…ถ้าเจ้าต้องการให้ข้าทำเช่นนี้กับเจ้า!!!”

รพีพงศ์เหวี่ยงนาคินทร์ให้นอนราบกับพื้นแล้วตามคร่อมทับ นาคินทร์นอนนิ่งไม่คิดจะหลบหนี อีกฝ่ายอยากจะทำอะไรนาคินทร์ก็ปล่อยให้ทำตามใจ แต่สายตานั้นจ้องฝ่ายที่คร่อมทับอย่างไม่เกรงกลัว ท่าทางหยิ่งผยองไม่กลัวอะไรของนาคินทร์บวกกับเรื่องที่ตามหานภนต์และชลันธรไม่พบก็ยิ่งทำให้รพีพงศ์อยากจะกระทำรุนแรงใส่นาคาใต้ร่างนี้เพื่อเป็นการระบายอารมณ์

‘ท่านพี่รพีพงศ์…ข้ามีเรื่องจะแจ้งกับท่าน โปรดกลับมายังวิมานเพลิงด้วยเถิด’

สุรเสียงของอรุณเทพน้องชายฝาแฝดของรพีพงศ์ดังแว่วเข้ามาในความคิด รพีพงศ์จึงจำต้องหยุดชะงักการกระทำทั้งหมด ร่างสูงละออกจากกายของนาคินทร์ที่มองรพีพงศ์อย่างไม่ค่อยเข้าใจ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามมันก็ดีสำหรับนาคินทร์ที่จะต้องมาร่วมสังวาทด้วยความมิเต็มใจเป็นครั้งที่สองกับรพีพงศ์ แต่แล้วร่างสูงก็หันกลับมาอีกครั้ง มือหนาข้างหนึ่งพุ่งเข้าจับคางเรียวเชิดขึ้น หมายให้ฟังตนพูด

“ราตรีนี้ข้าจักปล่อยให้เจ้าได้ไตร่ตรองอีกสักคราว่าเจ้าควรจักทำเยี่ยงไร ควรจะเปิดปากบอกข้าหรือไม่ แล้วเมื่อข้ากลับมาหวังว่าจะได้คำตอบ…ที่ข้าต้องการ” รพีพงศ์ปล่อยมือที่บีบคางของนาคน้อยลงหลังเอ่ยจบ แล้วก็หายวับไปกลับสู่วิมานเพลิง

กายบางกลั้นสะอื้น ลุกขึ้นนั่งกอดเข่าตัวเองเอาไว้ ความน่ากลัวที่เคยผ่านพ้นเข้ามาในชีวิต คงเป็นครั้งนี้ที่ความกลัวนั้นยิ่งกว่าความกลัวครั้งไหนๆ  ตลอดเวลาที่ถูกคุมตัว ถึงจะกลัวเพียงไรก็อดทน จะสะอื้อไห้ก็โดนดุ เหล่าเจ้าที่ผีสางก็แค่ถูกสั่งให้เฝ้าแต่มิได้ถูกสั่งให้ช่วยปลอบ นาคินทร์อยากจะหนีกลับไปกอดกายซบแผ่นอกกว้างของกนทียอดดวงใจยิ่งนัก ติดกับว่ารพีพงศ์คอยให้เจ้าที่และพวกผีสางเฝ้าตนเอาไว้ จนไม่สามารถหนีออกไปไหนก็ไม่ได้ จึงจำต้องนั่งทุกข์ใจรองรับอารมณ์ที่คุ้มร้ายและร้ายกว่าของรพีพงศ์

“หากมีบ่อน้ำให้ข้าได้หนีก็คงจะดี” นาคินทร์พึมพำพร้อมกับกวาดสายตาคู่สวยมองไปรอบๆห้อง ที่นี่มีเพียงซากโต๊ะเก้าอี้เก่าๆที่ปกคลุมด้วยฝุ่นหนาเตอะ ไม่รวมมด แมลงสาปและแมงมุมที่ทำให้นาคินทร์ถูกจับได้อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ นี้ อย่าหวังว่าจะมีบ่อน้ำเลยน้ำสักหยดก็ยังไม่มี

‘บ่อน้ำ…น้ำสักหยด…จริงสิ…’

ใจนั่นเริ่มชื้นเมื่อนาคินทร์นึกอะไรบางอย่างออก ก่อนที่จะกักน้ำลายไว้ในปากจนเต็มแล้วถมลงบนพื้นเปื้อนฝุ่น น้ำบ่อน้อยอย่างไรเล่า นาคินทร์เคยได้ยินเรื่องราวที่พญาวานรเผือกโดนไฟกรดเผาหางจึงได้ใช้ ‘น้ำบ่อน้อย’ หรือ ‘น้ำลาย’ ดับไฟ คิดแล้วก็ขันตัวเองยิ่งนักมัวแต่หาบ่อน้ำจนลืมว่าตนเองก็มีบ่อน้ำอยู่กับตัว

เพื่อไม่ให้เสียเวลาและน้ำลายแห้งเหือดไป เพียงดัชนีเรียวยาวจุ่มลงไปที่กลุ่มน้ำลายของตน นึกด้วยร่ายมนต์คาถา ไม่กี่อึดใจน้ำบ่อน้อยกลับกลายเป็นแอ่งน้ำวนกว้างเท่าขนาดห้องทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก จนเหล่าผีสางไม่สามารถจะหยุดนาคาน้อยได้ทัน แล้วนาคินทร์ก็หายกลืนไปกับกระแสน้ำวนฝ่ามิติลงไปยังวิมานใต้ผืนทะเล

‘วิมานมุกสีคราม’

นาคินทร์ล้มกองลงพื้นผิวแก้วมันสีน้ำเงินเข้ม รอยยิ้มที่น่ารักก็ปรากฏบนใบหน้า ในที่สุดตนก็กลับมาหากนธีผู้เป็นที่รักได้แล้ว นาคินทร์ยืนขึ้นเดินไปหยิบผ้าคลุมมาปิดบังกายช่วงต้นคอกลัวว่าหากกนธีเห็นรอยจ้ำแดงที่เขาไม่ใช่ผู้สร้างนี้เข้าจะเป็นเรื่อง คงเค้นเอาจนล่วงรู้ว่าตนถูกรพีพงศ์สร้างรอยราคีเอาไว้จนเต็มกาย นาคน้อยนั่งลงรอคอยกนธีกลับมา

‘เอี๊ยด…’ ไม่นานประตูหินจำลักก็เปิดออก ปรากฏร่างสูงกำยำของกนธี

“ท่านพี่…” นาคินทร์ร้องเรียกอีกคนด้วยความดีใจ แม้จะห่างกันเจ็ดวันก็ไม่ต่างกับเจ็ดปีของนาคินทร์ น้ำตาเม็ดใสเอ่อซึมที่หางตาทั้งที่มุมปากยกยิ้ม

“ท่านพี่กนธี น้องคิดถึงท่านพี่เหลือเกิน” นาคินทร์วิ่งเข้าสวมกอดหวังให้การได้อยู่กับกนธีจะทำให้ลืมเรื่องเลวร้ายที่ได้เจอในช่วงเวลาที่ผ่านมา

‘เพี๊ยะ!!’ เสียงฝ่าหัตถาใหญ่ตบเข้าไปที่แก้มขาวอย่างเต็มแรง  ทำให้ใบหน้างามหันไปตามแรงและล้มเซไปนั่งลงกับพื้นในทันที  ปรากฏเกิดรอยแดงรูปฝ่ามือบนใบหน้าขาว นาคินทร์รู้สึกชาวาบไปทั่วร่าง ทุกความรู้สึกจุกอยู่ที่อก ตกตะลึงที่โดนคนรักกระทำเยี่ยงนี้ มือบางเลื่อนมาสัมผัสใบหน้าข้างที่ถูกตบ

“ท่านพี่..ฮึก…เหตุใดเล่าท่านพี่ถึงตบหน้าน้องเยี่ยงนี้” นาคินทร์กลั้นสะอื้นถามกนธีที่ยืนจ้องตนราวจะฆ่าให้ตายคามือ ว่าเรื่องเมื่อครู่ที่ทำนั้นคืออะไร

“เจ้ายังจะมาถามอีกหรือ เจ้าทำงานให้ข้าไม่สำเร็จ!!! ชลันธรถูกไอ้นภนต์ช่วยไปได้อีก ซ้ำร้าย…พวกมันยังหนีหายเข้ากลีบเมฆไปไม่รู้พาไปกกกันอยู่แห่งหนใด ดวงใจพระสมุทรก็สาบสูญ เยี่ยงนี้แล้วเจ้ายังจะมาถามข้า!!! กลับมาหาข้าอีกหรือ!!!” กนธีตวาดลั่น ทั้งที่อุตส่าห์วางแผนเอาไว้เสียดิบดี นาคินทร์ก็ยังทำไม่ได้มันน่าโมโหยิ่งนัก

“ข้าขอโทษ…ฮือ..อ…ข้าขอโทษ…ท่านพี่อภัยให้ข้าด้วยเถิด”

“อย่ามาเรียกข้าว่าท่านพี่ ได้ยินแล้วคลื่นเหียนชวนสำรอก ไปซะนาคินทร์ ข้าขยะแขยงเจ้ายิ่งนัก ออกไปจากวิมานข้าบัดเดี๋ยวนี้!!! แล้วไม่ต้องกลับมาให้ข้าเห็นหน้าเจ้าอีก!!!” กนธีเกรี้ยวกราดจนเกิดคลื่นทะเลคลั่งปั่นป่วน ถาโถมขึ้นฝั่งตามระดับอารมณ์ หลายชายหาดถูกซัดด้วยคลื่นยักษ์แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

“ฮึก..ก..อย่าไล่ข้าเลย ข้าไม่เรียกว่าท่านพี่ก็ได้…ฮือ..อ…ฮือ..ได้โปรดอย่าไล่ข้าเลยท่านกนธี ข้ารักท่าน ยินดีทำทุกอย่างเพื่อท่าน..ฮือ..อ” นาคินทร์กอดขากนธีแน่นแก้มอาบน้ำตาก็แนบไปที่แข้งหนาหวังให้กนธีสงสารไม่ไล่ตนไป

“นาคินทร์เจ้าฟังข้าให้ดี นอกจากรสสวาทที่เจ้าปรนเปรอข้าแล้ว เจ้าก็ไม่มีดีอะไรให้ข้าถูกใจเจ้าเลย และที่สำคัญ…ข้านั้นไม่ได้รักเจ้า!!!! ออกไป!!!” กนธีเตะนาคินทร์ให้ออกไปแต่นาคินทร์ก็ยังคลานมาจับข้อเท้าตนอยู่ดี…ดื้อด้านน่ารำคาญยิ่งนัก

“ท่านกนธี…ฮือ..อ..ข้ากราบท่านแล้วโปรดเมตตาข้าเถิดนะ อย่าไล่ข้าไปเลย  ท่านกณธี” นาคินทร์ก้มกราบแทบเบื้องบาทาผู้เป็นสามีหมายให้ใจอ่อน หากแต่กนธีก้าวเท้าออกหนี

“ทหารนำนาคินทร์ออกไปจากวิมานข้าบัดเดี๋ยวนี้ แล้วเอาไปโยนไว้บนฝั่ง จงตรวจตราให้ดี อย่าให้มันกลับลงมาในท้องสมุทรได้อีก !!!” กนธีเรียกบริวารของตนให้ลากนาคินทร์ออกไปให้เสียพ้นๆ แล้วโยนร่างขึ้นไปบนชายฝั่ง นาคินทร์ไม่มีแรงขัดขืน อีกทั้งเสียใจที่กนธีไม่ได้รักตนแม้แต่น้อย เจ้ามันโง่เสียจริงนาคินทร์เอ๋ย

‘ตุบ...’ กายบางถูกโยนไว้บนหาดทราย ร่างบางไร้เรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้น เวลานี้นาคินทร์ทำได้เพียงกรรแสงออกมา ไม่อายจันทราที่สาดแสงส่อง ความเสียใจ น้อยเนื้อต่ำใจประเดประดังเข้ามา

“เจ้าตัดใจเสียเถิดนาคินทร์ พระสมุทรมีชายาแลสนมทั้งผู้เมียเป็นร้อย ใยเจ้าถึงปักใจรักด้วยเช่นนั้น นี่เจ้ามีบุญแค่ไหนแล้วที่รอดออกมาได้ ปกติหากทำให้พระสมุทรต้องพิโรธ ทัณฑ์สถานเดียวก็คือตาย...แล้วเจ้าก็อย่ากลับลงทะเลอีกล่ะ...หากยังรักตัวกลัวตายอยู่ล่ะก็ ไปตามทางของเจ้าเสียเถิดนาคินทร์...”  ทหารนายหนึ่งที่จับนาคินทร์ขึ้นมาบนฟังกล่าวกับนาคน้อย ที่ยามนี้หัวใจแตกสลายยับเยิบ ก่อนจะกลับลงไปยังวิมานมุกสีคราม 

เสียใจสุดเสียใจ กนธีผู้ที่ตนรักและเคารพ สู้พลีกายถวายใจหวังว่าอีกฝ่ายจะรักเพียงสักเศษเสี้ยวกลับขับไล่และหลอกใช้ตน พอก้มมองร่างกายตัวเองก็มีร่องรอยราคีสีจางจากรพีพงศ์ ช่างน่าอัปยศอดสูยิ่งนักความรักที่ไม่สมหวัง ร่างกายก็ถูกย่ำยี ทั้งยังต้องถูกทิ้งให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย

‘...ข้าคงดีไม่พอ...ข้าคงทำดีไม่พอ  ไม่พอที่ท่านจะรักข้าได้...ท่านกนที...’

 การมีชีวิตอยู่แล้วต้องทนทุกขเวทนา ในเมื่อกลับลงทะเลก็ไม่ได้ นาคาน้อยคิดหาทางออกที่เหมาะสมนั่นก็คือ...ความตาย...

หัตถาเรียวตั้งพนม ขยับริบฝีปากพึมพำร่ายเวทย์คาถา ชั่วอึดใจกายงามถูกแปรเปลี่ยนกลับสู่ร่างนาคาสีนิล แล้วส่งเสียงร้องโหยหวนชวนขนหัวลุก แต่มีสิ่งมีชีวิตอย่างหนึ่งที่สนใจเสียงนี้  นาคินทร์หวังจะเรียกเหล่าพญาครุฑเจ้าเวหาออกมากระชากฉีกลากพากายให้ขาดรอนเป็นอาหารอันโอชะแก่ครุฑสืบไป

ด้วยเสียงร้องของนาคสีนิลที่ดังไปไกลยังวิมานฉิมพลี เหล่าพญาครุฑที่ได้ยินต่างก็เร่งแรงเต็มบินลงมายังเกาะแสมสารนับสิบ สายตาคมมองกายนาคสีนิลตัวจ้อยที่นอนบนผืนทราย พญาครุฑต่างบินโฉบสร้างบาดแผลให้นาคินทร์ที่อ่อนแออยู่แล้วก็ยิ่งหายใจรวยริน ถึงจะเจ็บปวดสะบัดสะบอมเพียงใด แต่ความตายที่หมายมั่นนั้นก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม

“หยุด!!! เดี๋ยวนี้เหล่าพญาครุฑ” เสียงร้องห้ามให้หยุดนั้นดังสนั่น รัศมีเปลวเพลิงแดงฉานที่ร้อนระอุวาบทำให้เหล่าครุฑที่หมายจะกินกายมันของนาคินทร์นั้นต่างตกใจ และโผบินสูงขึ้นไปตั้งหลักอยู่บนท้องฟ้า นาคินทร์ลืมตามองดูก็พบว่ารพีพงศ์กำลังใช้กายบังตนอยู่ กายของเขามีโลหิตที่เป็นเปลวไฟเคลื่อนผ่านเป็นเส้นสายทั่วทั้งร่าง

“ท่านรพีพงศ์ ท่านไม่ควรมาขัดขวางพวกข้าที่กำลังจะกินนาคชั้นต่ำตนนั้น” เวณุวัฒน์พญาครุฑตนหนึ่งกล่าวกับรพีพงศ์อย่างเสียอารมณ์

“ขออภัยข้าจำต้องขัดขวาง นาคตนนี้เป็นเชลยของข้า หากข้าไม่อนุญาตจะไม่มีใครหน้าไหนสามารถฆ่า กิน หรือแตะต้องได้ทั้งนั้น” รพีพงศ์เอ่ย หวังว่าพวกครุฑจะยอมแต่โดยดี

“เห็นทีจักไม่ได้ ด้วยนาคตนนี้ร้องเรียกพวกเราให้ลงมาฉีกเนื้อขย่ำร่าง  พวกข้าก็จะช่วยสังเคราะห์ให้ไม่ดีหรอกหรือ...” การเจรจาไม่เป็นผล เหล่าพญาครุฑคงยืนกรานต้องการจะกินเนื้อและมันแสนหอมหวานของนาคินทร์

“ถ้าพูดดีๆ กันไม่รู้เรื่องก็เข้ามา ข้าจะใช้เพลิงแห่งสุริยาเผาขนปีกพวกเจ้าไม่ให้เหลือแม้แต่ซาก...” ไม่ใช่แค่พูดขู่ แต่เพลิงไฟสว่างจ้าโหมลุกท่วมกายของรพีพงศ์ เหล่าครุฑพอเห็นว่าสุริยะบุตรเอาจริง การนี้หากสู้กันจริงคงได้ไม่คุ้มเสียเป็นแน่ ต่างจึงพากันร่นถอยบินกลับไป ไม่คิดต่อกรกับเพลิงแห่งพระอาทิตย์ที่มีแสนยานุภาพล้นเหลือ

“ฮึก..ท่านมาขวางทำไม..ฮือ..อ..ข้าอยากตาย..ฮือ” นาคินทร์กลับเข้าสู่ร่างมนุษย์แล้วก็ต่อว่ารพีพงศ์ที่เข้าช่วยเหลือตนเอง รพีพงศ์ที่ตอนแรกจะลงโทษนาคินทร์ฐานหลบหนี แต่พอเห็น ดวงตาที่แดงก่ำ และรอยช้ำที่แก้มนวลซ้ำยังฉาบด้วยคราบน้ำตา รพีพงศ์จึงมิอาจใจร้ายลงโทษนาคินทร์ได้

“เหตุใดเจ้าทำเช่นนี้นาคินทร์...”

“ข้าหมายที่จะตาย แล้วมันใช่กงการอะไรของท่านที่จักต้องมายุ่ง...”

“กงการหรือ...ข้ามิรู้สาเหตุดอกที่ทำให้เจ้าต้องการที่จะปลิดชีพให้ครุฑกินเยี่ยงนี้เพราะอะไร... ข้ารู้เพียงแต่เจ้ามีใจกล้ามากที่หนีข้า ข้าชอบใจที่เจ้ามีความกล้าเช่นนี้...ดังนั้นเจ้าจะตายไม่ได้เด็ดขาด... เจ้าต้องเป็นเชลยของข้า...ต่อไป” รพีพงศ์เอ่ยแล้วมองนาคินทร์ที่ซึ่งดูไร้วิญญาณและไม่ได้สนใจในสิ่งที่ตนพูดแม้แต่น้อย

“จะนิ่งเงียบเช่นนี้อีกนานหรือไม่ หยุดโศกเศร้าเสียใจได้แล้ว ข้าไม่ชอบคนเจ้าน้ำตา...” ยิ่งห้ามให้หยุดร้องก็เหมือนจะเป็นการยุเสียมากกว่า นาคินทร์สะอื้นไห้หนักกว่าเก่าจนรพีพงศ์ถอนหายใจไม่รู้จักทำเช่นไรดี หากเป็นชลันธรคงไม่แคล้วจะเข้าสวมกอดแต่นี่เป็นเชลยสิ่งที่รพีพงศ์จะทำได้นั้น...

“ลุกขึ้นแล้วขึ้นขี่หลังข้า เราจะต้องเดินทางกันอีก...” รพีพงศ์ย่อตัวลงหันหลังให้กับนาคินทร์ นาคน้อยมองแผ่นหลังกว้างพลางนึกแปลกใจที่เทพผู้ยิ่งใหญ่ยอมให้ตนขึ้นขี่หลัง

“ท่านพูดว่าอะไรนะ...”

“ไม่ได้ยินหรืออย่างไรเล่า ข้าบอกให้เจ้าขี่หลังข้า เร็วๆ เข้า” รพีพงศ์พูดซ้ำ นาคินทร์จึงขยับกายเกาะบ่าขี่หลังของรพีพงศ์เอาไว้

“กอดคอข้าไว้สิ เดี๋ยวก็หล่นหงายหลังลงไปหรอก....” รพีพงศ์บอกให้นาคินทร์กอดคอตนเองไว้เพื่อนไม่ให้หล่นจากหลัง นาคน้อยก็ทำตามสั่ง แต่ใจเองก็ยังงงๆ ปกติเคยเห็นห่วงเป็นใยที่ไหนมีแต่ขู่ทำร้ายกายใจอยู่ตลอด  ยืนขึ้นก่อนจะเดินก้าวไปด้านหน้าต่อไป

“เหตุใดท่านจึงให้นาคชั้นต่ำอย่างข้าขี่หลังผู้เป็นเทพท่านเล่า มัน...” นาคินทร์ที่ในศีรษะเต็มไปด้วยความสงสัยนั้นเอ่ยถาม

“เนื้อตัวเจ้ามีแต่บาดแผล ถ้าข้าปล่อยให้เดินเองก็เสียเวลาเดินทาง อีกอย่างเจ้าหยุดเรียกตัวเองว่านาคชั้นต่ำเสียที ท่านพ่อข้าเคยบอกไว้ว่าสรรพสัตว์ล้วนเสมอกันด้วยศีล ด้วยความดี หาใช่ตระกูลที่ถือกำเนิดมา หากทำความดีละซึ่งความชั่วไม่เดรัจฉานชั้นต่ำหรือเทพชั้นสูงก็เสมอกันด้วยศีลทั้งนั้น...” ประโยคที่รพีพงศ์ตอบ  ทำเอานาคินทร์นั้นมียิ้มเล็กๆ ที่มุมปากออกมาเพราะความรู้สึกดีที่รพีพงศ์ไม่ได้ดุด่าว่าร้ายตนอีกทั้งยังมีใจเมตตากรุณาอยู่บ้าง

“แล้วท่านจะพาข้าไปหนแห่งใด จะกักขังข้าไว้ที่อาคารร้างอีกหรือ”

“ป่าหิมพานต์”

“ป่าหิมพานต์ !!!…เหตุใดต้องไปที่นั่นด้วยเล่า แล้วจะเดินทางข้ามทะเลสีทันดรอย่างไร แล้วที่หรือว่าลัน…”

“ใช่เป็นอย่างที่เจ้าคิดนั่นแหละ ส่วนเรื่องการเดินทางเจ้าไม่ต้องกังวล” รพีพงศ์ตอบ นับว่าเป็นข่าวดีที่อรุณเทพแฝดน้องได้แจ้งมา . . ‘มีอันใดจะแจ้งข้าเล่า อรุณเทพน้องพี่’

‘ข้ามีข่าวดีจะบอกกับท่าน ในวันนี้ข้าได้เทียมราชรถผ่านป่าหิมพานต์ก็เห็นท่านนภนต์อุ้มชลันธรบินออกจากถ้ำแก้ว คาดว่าคงอยู่ที่นั่นตลอดเจ็ดทิวาราตรีและเพิ่งจะออกมาในวันนี้

‘ขอบน้ำใจเจ้ามาก ข้าขอลาไปตามหาชลันธรยังป่าหิมพานต์ก่อนก็แล้วกัน’ ถึงจะระคายหูกับคำสันนิษฐานของอรุณเทพผู้น้องแต่รพีพงศ์ก็พยายามไม่คิดถึง สิ่งสำคัญคือต้องกลับไปนำตัวนาคินทร์และเดินทางไปสู่ป่าหิมพานต์ด้วยกัน

รพีพงศ์มาถึงอาคารร้างก็พบว่านาคินทร์หายไปแล้ว ความโมโหถึงจุดเดือดก็เร่งออกตามหา หากเจอตัวก็จะลงโทษให้สาแก่ใจ รพีพงศ์รวมจิตใช้เนตรเพลิงหาตัวนาคินทร์ก็เห็นนาคาสีรัตติกาลนอนแผ่อยู่บนหาดทรายที่ตนได้เจอกับนาคินทร์ครั้งแรกก็รีบเร่งมาหาและเจอตัวในที่สุด

“อื้ม..ม…”

นาคินทร์ที่อ่อนเพลียและบอบช้ำจากแผลทางกายและใจก็หลับซบไปที่บ่าของรพีพงศ์ สุริยะบุตรหยุดชะงักเพราะรับรู้ลมหายใจแผ่วเบาสม่ำเสมอที่รดต้นคอของตน ดวงตาคมเหลือบมองใบหน้าหลับใหลไม่ต่างจากเด็กน้อยของนาคินทร์…ดูแล้วไร้พิษภัยเสียเหลือเกิน

‘ข้าหวังว่าเจ้าจะกลับตัวกลับใจนะนาคินทร์’

. . .

สายลมเย็นพัดผ่านผิวใบหน้าสวย นาคินทร์ค่อยๆ ปรือตาขึ้นมาแล้วกระชับผ้าคลุมที่เปิดเผยไหล่เนียนให้ปิดคุมเข้าที่ ดวงตาหวานมองไปรอบๆ ก็ตื่นตระหนกตกใจยิ่งนัก ที่ตรงหน้ามีปุยเมฆสีขาวนั่นพัดผ่านใบหน้า ส่วนเบื้องล่างเป็นทะเลสีครามและที่น่าตกใจไปกว่านั้น นาคินทร์นั่งอยู่บนหลังม้าลักษณะดีตัวหนึ่งโดยที่รพีพงศ์นั่งซ้อนหลังกุมบังเหียนและรวบกอดเอวตนเอาไว้

“ตื่นแล้วหรือ…นาคินทร์ นั่งดีๆ ล่ะ เดี๋ยวเจ้าจักตกลงไปในมหานทีสีทันดร” คางเรียวเกยเข้าลาดไหล่ประสงค์เตือนคนที่ตื่นฟื้นกำลังที่ข้างใบหู  รพีพงศ์เอ่ยแล้วกุมบังเหียนเร่งม้าอุจฉัยศรพที่ได้ลอบนำมาจากวิมานของเทพทินกรโดยมีพระอรุณคอยช่วยเหลือ

‘เพลานี้ท่านพ่อทรงบรรทมอยู่ ท่านพี่ก็รีบนำม้าอุจฉัยศรพไปใช้เถิด เมื่อถึงที่หมายมันจะวิ่งกลับขึ้นวิมานเองแต่มีข้อแม้ว่าอย่าเกินเที่ยงคืนนี้’

เงื่อนไขของเวลาทำให้รพีพงศ์ต้องรีบเร่งข้ามมหานทีสีทันดรไปให้จงได้ เพื่อไปพบกับชลันธรผู้ที่ตนเฝ้ารักเฝ้าถนอมมาตั้งแต่แรกพบประสบพักตร์

‘ชลันธร…ไม่นานข้าจักได้พบเจ้าแล้ว...’

“เหตุใดจึงพาข้าไปด้วยเล่า” นาคินทร์เอ่ยถาม ทำให้รพีพงศ์ที่ใจลอยหาชลันธรได้สติขึ้นมา

“เพราะข้ายังไม่คิดจะปล่อยเจ้าไปไหน…หากปล่อยไปเจ้าต้องไปทำอะไรไม่ดีกับชลันธรอีกเป็นแน่ และเจ้าอย่าลืมสินาคินทร์... เจ้านั้นเป็นเชลยของข้าเพียงผู้เดียว”

“แล้วใยเป็นเชลยท่านต้องกอดเอวข้าแน่นเยี่ยงนี้ด้วยเล่า...” นาคินทร์สงสัยครั้นจะดิ้นรนขัดขืนก็กลัวจะตกลงไปในห้วงทะเลลึก

“ถ้ากอดไม่แน่นแล้วเจ้าตกลงไป...ก็เสียเวลาลงไปช่วยเจ้าอีก...เวลาข้ามีจำกัด...”

“อย่างนั้นก็ทิ้งกายข้าลงไปเถิด มันจะช่วยให้เบาหลังม้านี้มากขึ้น มันจะได้เร่งฝีเท้าเร่งพาท่านไปหาชลันธรได้เร็วๆ อย่างไรเล่า...”

“ม้านี้คือ ม้าอุจฉัยศรพ สัตว์วิเศษแห่งเทพพระอาทิตย์ มิใช่ม้าเทียมรถธรรมดา ต่อให้กายหนักกว่านี้ฝีเท้ามันก็ไม่ตกหรอก...อย่าเป็นกังวลไปเลย”

“เร่งไปหาชลันธร...แล้วท่านคิดหรือไม่เล่า...ว่าชลันธรนั้นอยากพบท่าน...” นาคินทร์พูดออกไปโดยไม่รู้ว่าถ้อยคำที่ออกมานั้นสร้างความไม่ชอบใจให้กับรพีพงศ์

“นี่เจ้าพูดอะไรนาคินทร์!!!”

“เขาก็อยู่กับคู่ของเขา...ท่านอย่าไปเป็นก้าง….ฮื้อ..”

รพีพงค์ใช้มือที่กุมบังเหียนดันปลายคางของนาคินทร์ให้เชิดขึ้นมาแล้วหันมาก่อนจะโน้มใบหน้าเข้าประกบริมฝีปากลงกับริมฝีปากบางหมายดูดกลืนคำพูดของอีกฝ่ายให้หายสิ้น นาคินทร์กายแข็งทื่อไปชั่วขณะที่โดนรพีพงค์จุมพิตจนทำอะไรไม่ถูก สุริยะบุตรลงโทษนาคน้อยจนพอใจก็ผละปากออก ตาคมจ้องมองใบหน้างาม นาคินทร์เจอสายตาร้อนแรงก็หลบหน้าหนี

“เจ้าฟังข้าให้ดีนาคินทร์ เจ้าจงนั่งเงียบๆนิ่งๆ หากเจ้ายังพูดมากอีกข้าจะจูบเจ้าไม่หยุดจนถึงป่าหิมพานต์”

























......................................

มาม่าเบาๆค่ะ รสต้มยำเย็นตาโฟ เผ็ช!!!! สีชมพู!!!!

หลังจากที้ได้อ่าน หลายคนคงสงสารนาคน้อยดังนั้นอย่าเพิ่งตบตีหรือวางแผนเผากระท่อมน้อยหอยสังข์ของไรท์นะคะ ไรท์ต้องเก็บกระท่อมหลังนี้ไปขายใช้หนี้ค่าหวยที่สูญเสียไป 5555555

ขอโทษทุกคนที่ช้านะคะ ขอบคุณทุกคนที่ติดตามที่รอกัน ขอบคุณคอมเม้น ขอบคุณกำลังใจนะคะ มีอะไรติชมกันได้นะคะ



ป.ล. ถ้าท่านยุ่งเป็นนาคินทร์จะพ฿ดไม่หยุดจะให้รพีพงค์จูบจนปากเปื่อย

ท่านยุ่งนั้นดูจะหื่นหน่อยๆ

หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.13 P.5 (16/05/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 16-05-2017 20:57:20
หวังว่านาคน้อยจะคิดได้นะ  :mew1:

หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.13 P.5 (16/05/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 16-05-2017 23:58:08
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.13 P.5 (16/05/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 17-05-2017 09:19:51
พ่อนาคน้อยเริ่มชอบรพีรึยัง 555 รออ่านต่อ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.13 P.5 (16/05/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 17-05-2017 09:22:29
คู่นี้จะลงเอยกันรึเปล่านะ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.13 P.5 (16/05/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 17-05-2017 14:01:36
 :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.13 P.5 (16/05/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: armize ที่ 17-05-2017 20:32:02
  :L1:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.13 P.5 (16/05/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 18-05-2017 00:23:13
คู่นี้เขาก็แซ่บนะเออ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.13 P.5 (16/05/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: KnightDevil ที่ 19-05-2017 21:44:56
อูยยย เอาใจช่วยทั้งสองคู่เลยค่า

อยากให้แฮปปี้เอนดิ้งกันทั้งหมดเลย

ส่วนตัวร้ายอย่างกนธี ตายไปซะ ชิชิชิ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.S 02 P.5 (24/05/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 24-05-2017 09:53:44
​สาปรัก ทัณฑ์เทวา

Writer : Tan-Yung0209

File : สหายและการผจญภัยในสวนขวัญ

จะกี่สหัสวรรษวิมานแก้วแสนวิจิตรนั่นมีเพียงความเงียบและไร้ซึ่งชีวิตชีวามานานนับ แต่บัดนี้ความเงียบเหงานั่นกลับจางหาย  ด้วยสุรเสียงพระสรวลของพระผู้สร้างเคล้าเสียงเง้างอนของเทพบุตรผู้ซึ่งได้ถือกำเนิดจากดอกบัว… ‘บุษยะ’ ผู้เป็นที่โปรดปรานของพระผู้สร้างและมีสิทธิ์เพียงหนึ่งเดียวที่ได้อยู่ร่วมกับมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ในวิมานแก้วสถานนี้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการอาศัยอยู่ที่วิมานแก้วก็ใช่ว่าจะมีความสุข ยามใดที่พระผู้สร้างต้องออกไปทำเทวราชกิจผู้ทรงธรรม บุษยะก็จะไร้ซึ่งความสุข ตาสวยฉายแววเศร้าสร้อยจนเจ้าของวิมานเสด็จกลับมาบุษยะถึงจะมีรอยยิ้มปรากฎ

“พระองค์เสด็จกลับมาแล้วหรือ” บุษยะวิ่งออกมารับพระผู้สร้างที่กลับมาจากการประชุมเหล่าทวยเทพเพื่อจัดสรรปันหน้าที่ในส่วนที่เทพเหล่านั้นต้องรับผิดชอบ

“วิ่งมาหาข้าเยี่ยงนี้ดูไม่งามนัก เจ้าเองก็รู้มิใช่หรอกหรือบุษยะ” ถึงคำตรัสดูไม่จริงจังนัก แต่เมื่อบุษยะนึกขึ้นได้ จึงหยุดวิ่งแล้วค่อยๆ ก้าวเดินเข้ามาด้วยกายสำรวม

“เทวอาญามิพ้นเกล้า ข้าเพียงแค่คิดถึงพระองค์เลยรีบวิ่งออกมาไม่ทันได้นึกว่าต้องสำรวมดั่งเทวราชดำรัสที่พระองค์ตรัสสอน” พลางก้มหน้าสำนึกผิดที่ทำอะไรไม่คิดไตร่ตรองเสียก่อน บุษยะคนงามกลับใช้อารมณ์ของตนนำพาทำทุกสิ่ง พระผู้สร้างพอได้ฟังก็นึกเอ็นดูผู้อยู่เบื้องหน้าไม่น้อย

“เมื่อครู่เจ้าบอกข้าว่าเจ้าคิดถึงข้ามิใช่ดอกหรือ แล้วเจ้าจำได้หรือไม่ว่าคิดถึงข้านั้นเจ้าจักต้องทำเยี่ยงไร” มหาเทพย่อพระวรกายลง พระหัตถ์หนาจับปลายคางบุษยะให้มองตนแล้วเอื้อนเอ่ย

‘จุ๊บ’ บุษยะประทับริมฝีปากแดงระเรื่อลงข้างพระปรางค์พระพริษฐ์แล้วผละออก ก่อนจะพระกรแกร่งจะเอื้อมเกี่ยวเอวคอดมากอดรัดแนบพระวรกาย พระผู้สร้างทรงจุมพิตริมฝีปากบางตอบกลับ ทำเอาบุษยะคนงามนั้นเขินอายยิ่ง ด้วยพระเนตรแสนคมที่ทอดมองใบหน้าตน ความเขินอายนั้นมากล้นจนแก้มเนียนเปลี่ยนจากสีขาวกลายเป็นสีเนื้อในผลอุลิด

“ข้าเองก็คิดถึงเจ้า” สุรเสียงกระซิบสวาทแผ่วเบาข้างใบหูนิ่มแล้วแย้มสรวล ที่บุษยะนั้นว่านอนสอนง่ายเชื่อฟังไปทุกสิ่งสรรพ ที่พระองค์คอยพร่ำสอนประดุจเป็นแก้วน้ำเจียระไนที่พระองค์จักเติมน้ำไปเท่าไรก็พร้อมรับ

…‘หากเจ้าคิดถึงข้า…เจ้าจงแสดงออกด้วยประทับริมฝีปากเจ้ากับแก้มของข้าและห้ามไปทำสิ่งนี้กับผู้ใด จงแสดงออกกับข้าเพียงผู้เดียวเข้าใจหรือไม่’...

หลังจากที่พร่ำสอน วันใดที่พระพริษฐ์มีภารกิจแล้วจำต้องทิ้งเทพบุตรตัวน้อยเพียงลำพัง พอกลับมาก็จะได้รับการจุมพิตนี้เสมอ ไม่เพียงเท่านั้นพระองค์เป็นถึงมหาเทพในสามโลกจะให้รับเพียงอย่างเดียวก็หาใช่เรื่อง พระองค์เองก็เป็นฝ่ายมอบความคิดถึงแก่บุษยะเช่นกัน

“บุษยะเจ้าเบื่อหรือไม่เล่าที่ต้องอยู่วิมานแก้วนี้เพียงลำพัง” พระพริษฐ์คลายกอดแล้วอุ้มร่างบางไปยังบรรจถรณ์แก้วที่มีรัตนชาติประดับไว้อย่างงดงาม พระพริษฐ์นั่งลงโดยจับบุษยะนั่งบนตัก

“ข้าเบื่อแต่...ข้าเหงามากกว่า ยามที่พระองค์ไม่อยู่ ข้าก็ไม่รู้จะพูดคุยหรือหัวเราะกับผู้ใด” บุษยะตอบตามความเป็นจริง อย่างทุกวันนี้บุษยะเองก็นั่งเฝ้ารอพระพริษฐ์ให้รีบกลับมาหาตนอยู่เสมอ บุษยะรู้สึกว่าตนนั้นขาดเจ้าของวิมานแก้วนี้ไม่ได้

“เป็นไปอย่างที่ข้าคิดจริงๆ เสียด้วย พรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าออกจากวิมานแก้วไปยังสภาเทพ”

“พระองค์ไม่ได้ล้อข้าเล่นใช่หรือไม่” บุษยะถามย้ำอีกครั้งเพราะกลัวว่าตนจะหูฝาดหูเพี้ยนไป

“ข้าไม่ล้อเจ้าเล่นหรอก แต่เจ้าต้องทำตัวให้เรียบร้อยเมื่ออยู่ที่สภาเข้าใจหรือไม่” พระผู้สร้างตรัสแลพระหัตถ์ก็ลูบผมสีปีกกาของบุษยะเบาๆ ไปด้วย

‘ฟอด’ ด้วยดีใจที่จะได้ออกไปนอกวิมาน บุษยะยื่นใบหน้าเข้าหอมพระปรางค์พระผู้สร้างซ้ายขวาตามด้วยกอดพระวรกายสูงแน่น

“ข้าให้รางวัลกับพระองค์ที่ทำให้ข้ามีความสุข” บุษยะยิ้มร่าแล้วกระโดดลงจากพระเพลากว้างไปยังบงกชแก้วของตน คงจะมีเทพบุตรบงกชงามนี้แต่เพียงผู้เดียวที่สามารถล่วงเกินมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้โดนไม่ต้องมีเทวราชนุญาตใดๆ แถมยังเป็นที่พอพระหฤทัยโปรดปรานมากกว่าใครๆ ทั้งปวง

. . .

จันทราลาลับดวงตะวันเริ่มฉายแสง ห่วงราตรีหายกลืนกลับคืนสู่เช้าวันใหม่ พระผู้เป็นใหญ่และเทพตัวน้อยต่างสาวะวนกับการจัดแต่งฉลองพระองค์ ซึ่งเมื่อก่อนหน้าที่เหล่านี้จะเป็นหน้าที่ของนางฟ้าผู้รับใช้หรือเทพีอื่นๆ แต่บัดนี้มีเพียงบุษยะเท่านั้นที่ถวายการรับใช้ใกล้ชิดเช่นนี้ทุกเช้า เมื่อพระพริษฐ์จับเทวบุตรงามจัดแต่งกายเสร็จร้อยร้อยแล้ว ก็เป็นคราของบุษยะบ้าง มือบางพนมไหว้ก่อนถือพระสางทองจัดแต่งเกล้าพระเกศามหาเทพ แล้วจัดฉลองพระองค์ให้สวมใส่ ก่อนเชิญพระมหาเทวาพิชัยมงกุฎขึ้นสู่ยอดพระเกศาเป็นอันสมบูรณ์  บุษยะจึงนิมิตกายกลับไปอยู่ในบงกชแก้ว พระผู้สร้างนิมิตพระกรแกร่งให้งอกเพิ่มอีกข้างหนึ่ง เพียงวางฝ่าพระหัตถ์ดอกบัวแก้วก็ลอยขึ้นจากสระ มาหยุดอยู่บนฝ่าพระหัตถ์นั้น แล้วจึงเสด็จพระราชดำเนินไปยังสภาเทพ

ตั่งลำดับล่างนั้น เหล่าทวยเทพต่างนั่งเรียงรายกันไปในสภา ทั้งสุริยะเทพ นภาเทพ พระสมุทรเทพที่มาพร้อมกับราชบุตร รวมไปถึงเทพยดาและเทพีอีกหลายองค์ต่างก็เฝ้ารอผู้ที่จะนั่งลงยังเทวบัลลังก์ทองกลางสภา ซึ่งพระผู้สร้างที่ปกตินั้นจะเสด็จตรงเวลาไม่เคยสาย

“ถึงเวลาแล้ว เหตุใดพระผู้สร้างจึงยังเสด็จไม่มาถึงอีก” เทพพระอาทิตย์เอ่ยขึ้นมากลางที่สภาประชุม ในใจก็กลัวเหตุร้ายจักเกิดขึ้นกับผู้เป็นใหญ่

“นั่นสิ ข้าว่าแปลกยิ่งนักหรือว่าพระผู้สร้างจักทรงประชวร” เทพีแห่งการรักษาเอื้อนเอ่ยขึ้นมา ซึ่งข้อสันนิษฐานนี้เป็นไปได้เพราะพระผู้สร้างใช้พลังในการรักษาสมดุลของโลกามาหลายวันติดต่อกัน

“แต่ที่ข้าแปลกใจยิ่งกว่านั่นก็คือ…เหตุใดพระสมุทรท่านจึงนำบุตรชายมาร่วมประชุมสภานี้ด้วย ถึงแม้ว่าบุตรชายของท่านจักรั้งตำแหน่งรัชทายาทผู้สืบบัลลังก์มุกสืบไปก็ตามที...” เทพพระศุกร์เอ่ยถามขึ้นด้วยแฝงความนัยบางประการ จะดูคล้ายไม่พอใจที่พระสมุทรนำบุตรชายเข้ามาซึ่งปกติการประชุมสภาเทพนี้จะไม่ให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าร่วม แต่สายตาแสนเจ้าชู้นั้นกลับมองไปที่กายชลันธรที่หลบหน้าหันหนีไปทางอื่น… ‘งามสมคำเล่าลือเสียจริง ผิวพรรณก็ขาวผ่องดั่งไข่มุกยิ่งนัก’…

งามล้ำด้วยสะกดทุกสายตาเทพหนุ่มโสดจ้องมองไปที่ชลันธร เพราะผิวกายงามเสียจน นางฟ้าและเหล่าเทพียังต้องแอบริษยา ด้วยตอนกำเนิดกายชลันธรนั้นเล็กนักผิดแปลกจากเทวดาแรกเกิดทั่วไป พระมหาเทวีชวัลลักษณ์จึงแนะนำให้พระสมุทรนำกายทารกน้อยฝากไว้ในแม่มุกกำภูพันปีคอยเป็นแม่เลี้ยงให้ อยู่ 7 ปี 7 เดือน 7 วัน เมื่อครบกำหนดมือน้อยๆ ก็แง้มฝาแม่มุกกำภูพันปีออกมาเอง เป็นที่ตกตะลึงเลื่องลือไปทั่วทั้งนครบาดาลสมุทร ปรากฏกายเทวาบุตรองค์น้อยที่ผิวพรรณนั้นงามด้วยมุกกำภูพันปีเคลือบผิวกายให้จนเปล่งประกายดั่งผิวมุกเม็ดงาม พระสมุทรและพระมเหสีชโลธรจึงได้หวงชลันธรเป็นหนักหนา ด้วยใครก็หมายยลผิวกายงามที่เลื่องลือไปถึงสวรรค์ชั้นพรหม ชลันธรจำต้องอยู่แต่ในวิมานมุกสีครามมิเคยได้ออกไปไหนไกลๆ เลยสักครา

“ถ้าท่านอยากรู้ก็ถามพระผู้สร้างเองเสียเถิด” พระสมุทรตอบน้ำเสียงเรียบนิ่งไม่พอใจ ผู้เป็นบิดาชลันธรดูออกว่าอีกฝ่ายนั้นสนใจบุตรของตนจึงได้ใช้กายเข้ากำบังชลันธรเอาไว้ ใครต่างก็รู้ว่าเทพหนุ่มรูปงามที่กายเปล่งปลั่งแสงรัศมีสีฟ้านามพระศุกร์นี้ เห็นผู้ใดงามล้ำก็ชอบโปรยเสน่ห์ตามเกี้ยวพาอยู่ทั่วไป ไม่ว่าจะสตรีหรือบุรุษ มนุษย์หรือทวยเทพ

ประตูบานใหญ่เปิดออกปรากฏร่างกำยำแสนสง่าก้าวย่างเข้ามา เทพทั้งหลายจึงหยุดสนทนาก่อนจะส่งสายตามองไปยังบงกชแก้วที่มหาเทพสามโลกได้ถือเอาไว้ด้วยพระกรนิมิต พระผู้สร้างเสด็จขึ้นประทับบนบัลลังก์ตั่งทองแล้ววางดอกบัวแก้วใกล้บัลลังก์ พลันเกิดแสงสว่างฉายออกมาพร้อมกับดอกบัวแก้วที่ขยายใหญ่และผลิบานออก ปรากฏกายบุษยะเทพบุตรที่นั่งอยู่เหนือเหล่าเทพทั้งปวง

“พระผู้สร้าง เทพในบงกชแก้วนี้คือผู้ใดหรือ” เทพแห่งท้องนภาถามแทนทุกคนที่อยากรู้ว่าเทพหนุ่มที่หน้าตาสะสวยมิแพ้บุตรของเทพพระสมุทรนี้เป็นใคร

“เทพผู้นี้นามว่าบุษยะ ผู้ซึ่งเป็นเทพผู้ใกล้ชิดของข้าเอง...” พระผู้สร้างตรัสตอบนภาเทพ บุษยะเองก็พนมมือขึ้นเพราะรู้ว่าตนนั้นต้อยต่ำกว่าเทพองค์อื่นๆ กิริยามารยาทที่อ่อนน้อมแสดงออกล้วนทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นต่างก็นึกหลงรัก

“บุษยะกำเนิดจากบงกชแก้วในวิมานของเรา ซึ่งที่นั่นพวกท่านน่าจะรู้ดีว่าไม่มีใครนอกจากข้า…พระสมุทรเทพสิ่งที่ข้าได้สั่งการไป ท่านนั้นได้ดำเนินการหรือไม่” พระผู้สร้างกล่าวต่อก่อนจะหันไปเรียกพระสมุทรที่นั่งอยู่ไม่ห่าง

“ชลันธรออกมาถวายบังคมพระผู้สร้างเสียสิ” พระสมุทรเทพบอกกับบุตรชายที่หลบอยู่ด้านหลังให้ออกมานั่งที่กลางสภา ชลันธรลุกออกมาก้าวย่างช้าๆ แล้วนั่งก้มกราบถวายบังคมพระผู้สร้าง

“ชลันธรข้ามีเรื่องจะให้เจ้าช่วย”

“ข้าพร้อมที่จะทำตามพระประสงค์อย่างสุดความสามารถเท่าที่ข้าจักทำได้” ชลันธรตอบ ความตื่นเต้นเข้ารุมเร่าพลุ่งพล่านในกาย ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งจะได้เหยียบย่างเมฆา ได้เจอมหาเทพมากมาย ไหนยังได้รับเทวราชโองการอีก

“เรื่องที่ให้เจ้าช่วยมีเล็กน้อย กลัวเสียเจ้าจักไม่ยอมทำเพราะมันดูไม่สมกับเกียรติของเจ้า” คำพูดของพระผู้สร้างสร้างความประหลาดใจให้กับทุกคน

“พระองค์มีพระประสงค์สิ่งใดโปรดรับสั่งข้ามาเถิด เรื่องที่พระองค์ทรงขอให้ช่วยไม่ใช่เรื่องเสียเกียรติสำหรับข้า” ชลันธรยังยืนยันเจตนารมณ์แน่วแน่ มุ่งมั่น ทำให้พระสมุทรวางใจที่บุตราเข้มแข็งกว่าที่คิด

“ข้าจะให้เจ้ามาเป็นสหายกับบุษยะ เจ้ายินดีหรือไม่” ชลันธรมองหน้างดงามของบุษยะที่ส่งยิ้มให้ก็พยักหน้าทันที ไม่คิดลังเลเพราะชลันธรเองก็อยากมีสหายบนชั้นสวรรค์นี้เช่นกัน

“ข้ายินดีที่เป็นสหายของบุษยะ” คำตอบของชลันธรทำให้บุษยะรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก

“บุษยะเพลานี้เจ้ามีเพื่อนแล้ว ไปเล่นกับเพื่อนของเจ้าสิ” น้ำเสียงนุ่มนวลที่ตรัสเอ่ยกับบุษยะชวนให้เหล่าเทพแปลกใจไม่น้อย ด้วยสุรเสียงที่ใช้ในการประชุมมักจะเรียบเฉยแฝงความดุดัน มืองามของบุษยะพนมก้มกราบลงบนพระเพลาของพระพริษฐ์แล้วลงจากดอกบัวแก้วอย่างสำรวมทั้งที่ใจนั้นอยากจะกระโดดโลดเต้นออกไปก็ตาม

“ข้าฝากเจ้าด้วยนะชลันธร” ตรัสส่งท้ายที่ทำให้เทพพระสมุทรเองแทบกุมขมับ ในเมื่อชลันธรนั้นก็ไม่ได้ประสีประสาเรื่องราวที่อยู่เหนือห้วงนครมหาสมุทรเลย

“เราสองคนจักไปไหนดี” บุษยะเอ่ยถามหลังจากเดินก้าวข้ามประตูสภาออกมา

“นั่นสิ ความจริงแล้วข้าเองก็ไม่เคยท่องเที่ยวที่ไหนเลยนอกจากในมหาสมุทร วันนี้เป็นวันแรกที่ท่านพ่อพาข้าขึ้นมาบนสรวงสวรรค์ด้วย” ชลันธรเอ่ย ตาเรียวยาวมองไปรอบด้วยความตื่นเต้นที่ได้เจอเมฆสีขาวล่องลอย

“เอาอย่างนี้เราสองคนเดินไปเรื่อยๆ ดีกว่าเผื่อเจออะไรน่าสนใจให้พอเล่นสนุกได้บ้าง” บุษยะนำเสนอ ชลันธรก็เห็นด้วย

เทพทั้งสองวิ่งเล่นไปมา เทพดาที่เห็นต่างนึกว่านางอัปสรกำลังหยอกเอิ้นกัน หนึ่งก็ขาวปลั่งดุจดั่งสีมุกทะเลจนน่าสัมผัส หนึ่งก็กลิ่นกายหอมดั่งเกสรปทุมจนอยากแปลงเป็นภุมราตามดอมดม หากพอเข้าไปใกล้ก็พบว่านางอัปสรนั่นก็คือเทพบุตรหาใช่อิสตรี

“กลีบดอกไม้”

กลีบผกาสีม่วงอ่อนลอยมาตามลมพัดผ่านหน้านวลให้มองตามหาที่มา สวนขวัญสวยประจักษ์อยู่ตรงหน้า ด้วยพืชพรรณนานาดูแล้วชวนตื่นตาตื่นใจ ชลันธรก้าวนำสหาย บุษยะเองก็กอดแขนเรียวเดินตามใกล้ ก่อนจะก้มลงเก็บดอกไม้ที่ตกลงพื้นหญ้าขึ้นมาเชยชม

“สวยจังเลยชลันธร” บุษยะถือดอกไม้มาชื่นชม ชลันธรก็นั่งลงเก็บดอกไม้ขึ้นมาบ้าง

“นอกจากจะสวยแล้วยังหอมอีก” สูดดมรับกลิ่นหอมของบุปผา ตั้งแต่เล็กการจะได้สัมผัสดอกไม้นั้นเป็นสิ่งยากยิ่งสำหรับชลันธรเพราะใต้ท้องทะเลมีเพียงปะการังและดอกไม้ทะเลหลากสีสันแต่กลับไร้ซึ่งกลิ่นหอม ส่วนบุษยะเองก็อยู่แต่ในวิมานแก้วสถานพอได้พอเจอสิ่งแปลกใหม่ก็อดที่จะสนุกกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไม่ได้

“ชลันธร เราว่าเดินไปดูข้างในกันดีกว่า” บุษยะชวนสหายเข้าไปข้างในสวน มวลภูตจิ๋วที่มีปีกคล้ายผีเสื้อกระพือปีกหาน้ำหวานตามเกสรมาลา เทวาน้อยทั้งสองพอได้เห็นก็วิ่งไล่จับกันอย่างสำราญใจ จนกระทั่ง…

‘ตุบ!!’ มีบางสิ่งตกกระทบพื้นจนเกิดเสียง เทวาน้อยหันมองพบผลมะม่วงทิพย์ร่วงหล่นบนพื้น ทั้งบุษยะและชลันธรวิ่งเข้าไปดูต่างก็หยิบผลไม้สีทองขึ้นมาดูก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปเห็นผลมะม่วงทิพย์มากมายอยู่บนต้นของมัน

“ผลมะม่วงทิพย์นี่น่ากินเสียจริง” บุษยะยิ้มกว้างแววตาเปล่งประกาย

“เราเคยได้ยินจากผู้ติดตามของท่านพ่อว่าผลมะม่วงทิพย์บนสวรรค์มีรสเลิศมากที่สุดกว่าผลไม้ชนิดใดในสามโลก” ชลันธรบอกบุษยะตามที่ตนเคยได้ยินจากทหารกล้าของพระสมุทรที่มักจะเล่าเรื่องราวบนสวรรค์ชั้นฟ้าให้ฟัง

“อย่างนั้นหรือ…ถ้าเยี่ยงนั้นข้าจักเก็บไปถวายพระผู้สร้าง”

“เราเองจักปีนขึ้นไปเก็บผลมะม่วงทิพย์นี้ เราอยากจะนำไปให้ท่านแม่ของเราได้ลิ้มรส” ชลันธรผู้แสนซุกซนนึกถึงมารดาที่นอนประชวรอยู่ในวิมาน หากได้กินผลมะม่วงทิพย์นี้มารดาอาจจะอาการดีขึ้นก็เป็นได้

เทวาน้อยทั้งสองปีนป่ายขึ้นบนไปบนต้นมะม่วงทิพย์ไม่ต่างจากลูกวานร ขาก็เหยียบกิ่งไม้มือก็เอื้อมคว้าผลมะม่วงทิพย์สีเหลืองทองอย่างเพลินใจจนไม่ทันระวังว่าได้เหยียบย่ำไปยังกิ่งไม้เล็กๆจนหักร่วงลงพื้น รวมทั้งไม่ได้สังเกตว่าเจ้าของสวนขวัญกำลังเดินเข้ามา

“เจ้าพวกหัวขโมย...จงลงมาบัดเดี๋ยวนี้!!!”

เสียงสูงแหลมแฝงไปด้วยอำนาจแผดออกมาของหนึ่งในสามมหาเทวี ‘ภัควลัญชญ์’ ที่เข้ามาชมสวนขวัญพร้อมกับบริวารนางอัปสรทำให้บุษยะและชลันธรตกใจจนเสียการทรงตัวพลัดตกลงมาสู่พื้นดิน ผลมะม่วงทิพย์ที่เก็บได้ก็กลิ้งกระจายไปรอบทิศ ทันใดนั้นเองเหล่าผู้ติดตามของมหาเทวีต่างก็ตรงเข้าจับตัวของทั้งสองเอาไว้โดยที่บุษยะและชลันธรเองยังไม่ทันจะนั่งเสียด้วยซ้ำ

“ปล่อยเราบัดเดี๋ยวนี้!!!!”

“ปล่อยข้า!!! มาจับข้าทำไม!!!”

เสียงร้องโวยวายนั้นดังลั่นมีกายงามทั้งสองถูกควบคุม สองกายต่างก็ดิ้นรนขัดขืนจากการเข้าจับกุม แต่ทว่าแรงนั้นช่างต่างกันมากโข ขยับกายหนีไม่กี่ครั้งก็หมดแรงไปเสียดื้อๆ บุษยะและชลันธรต่างถูกบังคับให้นั่งลงคุกเข่าตรงหน้ามหาเทวีเจ้า

“พวกเจ้ากล้ามากที่มาขโมยผลมะม่วงทิพย์บนสรวงสวรรค์!! พิมพ์ผกาเจ้าจงใช้หางกระเบนเฆี่ยนตีทั้งสองคนนี้” ดัชนีงามชี้แจ้งไปตรงหน้า ภัควลัญชญ์เทวีสั่งการให้ลงทัณฑ์เทพน้อยทั้งสองที่เวลานี้นั่งตัวสั่นราวกับลูกนกขาดแม่ บุษยะคิดว่านี่ช่างไม่ยุติธรรมเสียเลย ถึงแม้ว่าตนและสหายอาจจะผิดที่เก็บผลมะม่วงทิพย์แต่กลับไม่มีการไตร่สวน สอบถามอันใดเลย

“เราไม่ได้ตั้งใจจะขโมย เราแค่อยากเก็บผลมะม่วงทิพย์ไปฝาก…..”

“มานี่!!!!” ชลันธรยังมิทันจะพูดจบ นางอัปสรที่เหลือก็จับบุษยะกับชลันธรมัดกับเชือกที่เพิ่งจะเสกคาถาให้ปรากฏ เชือกสีทองผูกข้อมือเล็กแน่นปลายเชือกอีกด้านก็ผูกติดไว้กับกิ่งไม้สูง

“ถ้าจะเฆี่ยนก็เฆี่ยนเราผู้เดียว อย่าทำอะไรบุษยะ” ชลันธรที่ถูกพันธนาการเรียบร้อยแล้วก็ร้องออกมาเสียงดังเมื่อเห็นสหายกำลังถูกรุมล้อมพันธนาการเช่นเดียวกับตน ชลันธรไม่ยอมให้บุษยะเป็นอะไรเพราะตนได้ให้คำมั่นกับพระผู้สร้างเอาไว้แล้ว

“ต่อหน้ามหาเทวียังกล้าดีอวดเก่ง เห็นทีเจ้าจะเป็นคนแรกที่ได้ลิ้มรสหางกระเบนจากข้า!!!” พิมพ์ผกาที่อิจฉาในผิวพรรณเนียนละเอียดดั่งไข่มุกเกินบุรุษของชลันธรอยู่แล้ว ก็หมายจะหาเรื่องเฆี่ยนตีให้เป็นรอยแผล นางร่ายคาถาเสกหางกระเบนเรียวยาวขึ้นมา

“ข้าเป็นคนชวนเอง ตีข้าเพียงผู้เดียวเถิด…ฮึก..ก…” บุษยะพูดออกมาทั้งน้ำตา เทวาน้อยไม่อยากให้สหายเพียงผู้เดียวนั้นเป็นอะไรไป

“ไม่ต้องเถียงข้าจักให้พวกเจ้าลิ้มรสหางกระเบนนี้พร้อมกัน” พิมพ์ผกาเอ่ยแล้วส่งสัญญาณให้นางอัปสรอีกคนเสกหางกระเบนมาถือไว้เช่นเดียวกัน

“โอ๊ย!!!!”

เสียงร้องแห่งความเจ็บปวดเปล่งออกมาพร้อมกัน ทั้งบุษยะและชลันธรก็ถูกหางกระเบนเส้นเรียวเฆี่ยนลงไปยังแผ่นหลังเพียงตวัดเบาๆ ก็ปรากฎรอยช้ำรวมถึงโลหิตที่ไหลซึมออกมา กลิ่นกายหอมบุษบงถูกกลบไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ผิวขาวดั่งไข่มุกล้ำค่าก็ถูกย้อมเป็นสีแดงฉาน น้ำตาเม็ดใสก็ไหลนองทั่วแก้มทั้งสองข้าง ภัควลัญชญ์เทวีเองก็ยืนมองไม่มีจิตสงสารเทวาที่ถูกทำโทษเลยสักนิด มหาเทวีเองก็ต้องการระบายอารมณ์ที่พระผู้สร้างไม่เคยเยี่ยงกรายมาในวิมานเลย บุษยะและชลันธรจึงไม่ต่างอะไรจากที่รองรับอารมณ์ของภัควลัญชญ์เทวี ในขณะที่กำลังสำราญใจกับการที่เห็นเทพน้อยถูกเฆี่ยนตีก็หารู้ไม่ว่าได้มีเทพบุตรผู้หนึ่งเห็นการกระทำอันป่าเถื่อนนี้พอดิบพอดี

เทพบุตรผู้นั้นข้าก็ไม่เคยเห็นใบหน้า ส่วนเทพบุตรอีกตนสวมผ้าคลุมปักดิ้นสีครามตรงชายผ้า มีวงศาเดียวที่จะปักดิ้นสีครามเยี่ยงนี้ ผู้สวมใส่ก็มีผิวขาวประกายงามดั่งไข่มุกเกินใครในโลกหล้าหรือว่า…

หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.S 02 P.5 (24/05/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 24-05-2017 09:54:13
‘ปัง!!!!!!’ ประตูสลักถูกผลักออกอย่างแรงจากเทพบุตรที่รีบเหาะจากสวนขวัญมายังสภาเหล่าเทวาชั้นสูง

“นภนต์เจ้าทะเล่อทะล่าเข้ามาได้อย่างไร ต่อให้เจ้าเป็นลูกข้าเจ้าก็ต้องถูกลงโทษรู้หรือไม่!!!” เทพแห่งท้องนภาผู้เป็นบิดาโกรธาที่บุตรชายวัยฉกรรจ์พุ่งพรวดเข้ามา นภนต์หาได้สนคำดุด่าของบิดาไม่กลับไปนั่งคุกเข่าตรงหน้าเทพพระสมุทร

“เทพพระสมุทร บุตรชายของท่านได้ติดตามท่านมาหรือไม่” นภนต์ถามพระสมุทรเพื่อความแน่ชัด ถ้านภนต์คาดการไม่ผิดเทพที่ตนเห็นไม่แคล้วจะเป็นรัชทายาทแห่งบัลลังก์มุก

“ใช่ มีเหตุใดหรือ เกิดอันใดขึ้นกับชลันธรลูกข้า” พระสมุทรตกใจไม่น้อยที่ถูกนภนต์ถามถึงบุตรชาย

“บัดนี้บุตรของท่านร่วมด้วยเทพบุตรรูปงามอีกตนหนึ่งกำลังถูกเฆี่ยนตีที่สวนขวัญ” นภนต์พูดจบ ใจของพระสมุทรตกวูบลงตาตุ่มห่วงหนึ่งก่อนที่จะร้อนรนลุกโชนเป็นเพลิงไฟ แต่ยังมีใครอีกคนที่ก้าวลงบัลลังก์ทองโดยพลันแล้วรีบรุดออกจากสภาเมื่อได้ยินคำของบุตรนภาเทพ

‘บุษยะใครบังอาจทำเจ้าเช่นนี้  หากผิวกายเจ้ามีรายเท่าหนวดวิฬาร ข้าจักลงโทษมันผู้นั้นอย่างสาสม’

. . .

“เราขอโทษ…ฮึก..ก…ปล่อยเราเถิดเราไม่ได้ตั้งใจ..ฮือ..โอ๊ย!!” ชลันธรร้องไห้ออกมา คำขอโทษถูกกล่าวออกมานับร้อยหากมหาเทวีก็ไม่ฟังซ้ำยังให้พวกของตนเฆี่ยนตีหนักมือกว่าเก่า

“ฮือ..อ..ข้าแค่จะเก็บผลมะม่วงทิพย์..ฮึก..ก..โอ๊ย!!!..ถวายพระผู้สร้าง…ข้าขอโทษ..ฮือ..อ..”

“พระผู้สร้าง…เจ้าเป็นอะไรกับพระผู้สร้างจึงกล้าดีจักถวายผลมะม่วงทิพย์ถวายแก่พระองค์”

“บุษยะเป็นคนของข้า!!! จงหยุดพฤติการณ์ลงทัณฑ์ป่าเถื่อนของพวกเจ้าบัดเดี๋ยวนี้” คำถามของภัควลัญชญ์เทวีถูกตอบโดยพระผู้สร้าง ที่ทรงสั่งห้ามและเสด็จนำเหล่าเทพในสภาด้วยพระองค์เอง เหล่านางอัปสรรีบวางหางกระเบนแล้วคุกเข่าลง ภัควลัญชญ์เทวีก็ชะงักรีบหันมาถวายบังคมเคารพโดยไว

สองเทพน้อยชื้นใจเป็นหนักหนาเมื่อได้ยินสุรเสียงให้หยุดลงทัณฑ์ตนทั้งสอง แต่เสียงระงมสะอื้นไห้นั้นหาได้เงียบไม่ ดวงใจมหาบุรุษทั้งสองต่างพิโรธอย่างมิเคยเป็นที่เห็นโลหิตสีชาดฉาบไปทั่วทั้งแผ่นหลังเทพน้อยทั้งสอง ชั่วหนึ่งเกิดอสุนีบาตฟาดตกลงมากลางสวนขวัญ เทพแห่งต่างแตกตื่นตกใจ เพราะเพลานี้ผู้ที่ทำให้เกิดนั้นกำลังกริ้วหนัก ด้วยเลี้ยงเทพบุตรน้อยมาด้วยความรักไม่เคยทำอะไรให้ระคายใจหรือเคืองผิว แต่กลับทำการลงทัณฑ์แสนป่าเถื่อนเช่นนี้นั่นหมายความว่าอย่างไร

แต่จะทำอย่างไรตรงหน้านั้นก็เมีย เมื่อพระหฤทัยสงบลง พระผู้สร้างทรงหาได้สนใจมหาเทวีของตนไม่ พระองค์กลับไปแก้มัดบุษยะแล้วพยุงร่างบางไว้ด้วยพระองค์เอง บุษยะหันหน้าเข้าซุกพระอุราหลั่งรินน้ำตาสะอื้นไห้จนตัวโยน เช่นเดียวกับนภนต์ที่ตามพระผู้สร้างมา ก็เข้าไปแก้มัดให้ชลันธรแล้วพยุงร่างโปร่งไร้เรี่ยวแรงส่งต่อพระสมุทรที่ตามมาทีหลัง

“ฮึก..เจ็บ..พระองค์ข้าเจ็บเหลือเกิน…” บุษยะสะอื้นไห้ยิ่งทำให้ไฟในอกของพระผู้สร้างโหมกระพือจนเกิดสายอสุนีบาตฟาดลงยังทั้งสามโลก

“ท่านพ่อ…ลูกเจ็บ..ฮึก..นางฟ้าใจร้ายกับลูก ไม่ใจดีเหมือนพี่ปลา..พี่ปูในทะเลเลย…ฮือ..พระผู้สร้าง..ฮึก..ข้าขออภัยที่ดูแลบุษยะไม่ดี…” ชลันธรที่มีใจนึกถึงสหายก็ได้สวมกอดผู้เป็นบิดาแน่น น้ำตาของบุตรชายที่พระสมุทรเลี้ยงถนอมกายมาอย่างดีกลับมีบาดแผล ความโกรธาที่เกิดขึ้นส่งผลให้เกลียวคลื่นสูง ท้องทะเลลึกเกิดน้ำวนขนาดใหญ่ขึ้น

“พระสมุทรท่านได้โปรดใจเย็นลงเถิด” เหล่าเทพองค์อื่นๆก็รีบเตือนสติพระสมุทรเพราะกลัวว่าน้ำจักท่วมโลกมนุษย์เสีย

“เหตุใดจึงลงโทษบุษยะและชลันธรเช่นนี้ ภัควลัญชญ์ตอบข้ามา!!!” พระผู้สร้างเริ่มไตร่สวน สรุเสียงทุ้มดังลั่นจนผู้ที่ได้ฟังตัวสั่นระริก

“ข้าเห็นเทพทั้งสองปีนเก็บผลมะม่วงทิพย์ของข้า ข้าเลยทำโทษ” ภัควลัญชญ์เอ่ยตอบเสียงแผ่วเบา แต่ก็มิได้เกรงกลัวอะไรเพราะยังคงติดว่าตนนั้นทำถูก

“เรื่องแค่นี้เจ้าตักเตือนเสียก็ได้ ไยต้องเฆี่ยนตีด้วยเล่า การกระทำของเจ้านั้นเกินกว่าเหตุโดนแท้ ข้าจักลงทัณฑ์เจ้า โดยกักบริเวณเจ้าไว้ในสวนขวัญนี้เจ็ดร้อยปี และในเมื่อเจ้าหวงมะม่วงทิพย์นี้นัก ข้าก็จักให้เจ้ากินไปตลอดเจ็ดร้อยปีเช่นกัน…ภัควลัญชญ์”

“พระองค์จะทำกับข้าเยี่ยงนี้ไม่ได้!!!”

“ขืนเจ้ายังพูดมากไม่ยอมรับผิด ข้าจักเพิ่มโทษให้กับเจ้า” พระผู้สร้างไม่ใช่แค่ขู่พระองค์นั้นลงมือทำจริงหากภัควลัญชญ์ไม่ยอมรับโทษแต่โดยดี มหาเทวีเองก็รู้ดีว่าพระพริษฐ์เจ้าทรงเอาจริงแน่แท้ก็สงบปากสงบคำก้มหน้ารับผิด

“คุมกายพระมหาเทวีภัควลัญชญ์ไปส่งที่พระที่นั่งกลางสวนขวัญบัดเดี๋ยวนี้” สิ้นสุรเสียง พระมหาเทวีถูกทหารสวรรค์อันเชิญไปประทับ ณ พระที่นั่งกลางสวนขวัญ ในทันที

“พระอาลักษณ์เจ้าจงสั่งการลงไป ให้พระเสาร์และพระพุธ นำทหารสวรรค์มาเฝ้าพลัดเปลี่ยนห้ามผู้ใดเข้าออกสวนขวัญแห่งนี้ ใครขัดเทวราชโองการของข้าให้กุดเศียรมันได้ทันทีโดยมิต้องไตร่สวน ส่วนพวกเจ้าที่ลงมือเฆี่ยนตีบุษยะและชลันธร ข้าจักให้พระสมุทรเป็นผู้ตัดสินโทษเอง” พระผู้สร้างตรัสแล้วก็โอบอุ้มกายบุษยะที่ยังสะอื้นไห้ ขึ้นประทับราชรถพระที่นั่งแล้วเร่งกลับไปยังวิมานแก้วสถานในทันที

พิมพ์ผกาและเหล่านางอัปสรที่เกี่ยวข้องต่างมีใบหน้าซีดเผือดเพราะเคยได้ยินกิตติศัพท์ของเทพพระสมุทรที่เหล่าเทวาร่ำลือกันว่าครั้นคราวดีก็ดีใจหาย ครั้นถึงคราวร้ายก็ร้ายเสียจนพระผู้สร้างองค์ก่อนเกือบจะห้ามปรามไม่อยู่

“เทพนภนต์ ข้ามีเรื่องให้เจ้าช่วย” พระสมุทรหันไปเอ่ยกับเทพบุตรผู้มีส่วนช่วยชีวิตบุตรของตนไว้

“พระสมุทรท่านปรารถนาสิ่งใด โปรดได้บอกข้า”

“ข้าขอวานเจ้าอุ้มชลันธรไปหาเทพโอสถและเทพีแห่งการรักษาก่อน” นภนต์จึงเข้ามารับร่างบางที่สลบไปด้วยความอ่อนเพลียรุดหน้าทยานบินไปยังวิมานของเทพโอสถและเทพีแห่งการรักษาทันที พอฝากบุตรชายไว้กับเทพนภนต์เรียบร้อยแล้วพระสมุทรก็หันหน้ามองเหล่านางอัปสรที่ตัวสั่นอยู่ตรงหน้า

“พอยามนี้ทำมาเป็นนั่งตัวสั่น!!! พวกเจ้าที่กล้าอย่างไรดีมาเฆี่ยนตีลูกข้ากับบุษยะ ข้าขอสาปให้พวกเจ้ากลายเป็นชะนีไพรร้องหาผัวทุกเช้าค่ำ จงลงไปจุติยังโลกมนุษย์และจักต้องกินผลมะม่วงเป็นอาหารทุกมื้อตลอดวัน เป็นเวลาเจ็ดร้อยปี !!!”

ทางด้านพระผู้สร้างที่ยังคงกลัดกลุ้มพระหฤทัย ทรงอุ้มกายบุษยะไปยังวิมานแก้วสถาน พระกรที่โอบลองแผ่นหลังเปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิต บุษยะคงเจ็บปวดมากกับบาดแผลที่ได้รับ ความเจ็บปวดจากบาดแผลพระองค์นั้นพอรักษาได้ แต่ความเจ็บปวดทางใจนี่สิ บุษยะจะลืมลงหรือไม่...

เมื่อถึงวิมานที่ประทับ พระผู้สร้างจึงวางบุษยะให้นอนคว่ำลงบนพระแท่นบรรจถรณ์ พระหัตถ์หนาลูบไล่ไปตามความยาวของแผล…ที่ยิ่งเห็นรอยเถื่อน พระผู้สร้างก็ยิ่งอยากลงทัณฑ์พระเทวีภัควลัญชญ์ให้หนักกว่าที่เคยลงไปแล้วเสียอีกกว่าสิบเท่าพันเท่า

“พระองค์ข้าเจ็บ..ฮือ..อ…ข้าแค่จะเก็บผลมะม่วงทิพย์ หมายถวายด้วยพระองค์…ไม่คิดว่าจักต้องโดนลงโทษหนักขนาดนี้…ฮือ..อ…” ปลายนิ้วเรียวลูบลงบาดแผล บุษยะก็ร้องออกมาอีกครั้งพาลให้คนฟังทุกข์ใจ

“อดทนหน่อยนะบุษยะ…ข้าจักรักษาเจ้าให้หาย” มหาเทพพูดจบก็โน้มใบหน้าลงประทับริมฝีปากจรดกับรอยแผลแล้วเริ่มพรมจูบแผ่วเบา รอยแผลก็ค่อยๆ จางหายไปตามรอยจุมพิต ความเจ็บปวดที่บุษยะได้รับกลับแปรเปลี่ยนเป็นความวาบหวามไล่เรียงไปตามแผ่นหลังจนกระทั่งรอยแผลทั้งหมดก็จางหายไปพร้อมกับความรู้สึกเจ็บปวด

“หายเจ็บหรือยังบุษยะ” พระผู้สร้างเอ่ยด้วยพระหฤทัยที่เป็นห่วงร่างบาง ก่อนที่พระองค์จะล้มลงนอนเคียงข้าง

“หายแล้ว..ข้าหายปวดแล้วแต่...ข้ากลัว…ฮึก…กลัวเหลือเกิน...” บุษยะสวมกอดพระวรกายพระผู้สร้างแน่น พระหัตถ์หนาลูบเกศาดำขลับเป็นการปลอบโยน

“ไม่ต้องกลัวบุษยะ เจ้ามีข้าอยู่ทั้งคน”

“ข้ากลัวคนใจร้ายและข้าก็กลัวจะไม่มีสหายอีก ชลันธรเจ็บตัวเพราะข้า…ฮึก…ฮือ..อ..ข้าเกรงว่าชลันธรจะไม่มาเล่นกับข้าอีก” บุษยะสะอื้นไห้ ยิ่งได้นึกภาพตอนชลันธรถูกเฆี่ยนตีน้ำตาก็ยิ่งไหลออกมา เด็กก็ยังเป็นเด็กห่วงเล่นมากกว่าเจ็บตัว

“เจ้าหยุดร้องเสียเถิด พรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าลงไปวิมานมุกครามใต้มหาสมุทร เราจักไปเยี่ยมชลันธรกัน” พระผู้สร้างตรัส การไปเยี่ยมชลันธรก็เป็นเหตุผลหนึ่ง จุดประสงค์สำคัญคือการไปขอโทษและพูดคุยกับพระสมุทรที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพระปิตุลาของพระองค์เองให้หายโกรธเคืองในสิ่งที่เกิดขึ้น

“เย้!!!! ข้าดีใจเหลือเกิน ที่ได้เจอชลันธร” บุษยะดีใจโห่ร้องออกมา ทั้งที่ก่อนหน้านี้ร้องไห้เสียจนน้ำตาแทบหมดตัว ใบหน้างามยังกรังคราบน้ำตาอยู่แท้ๆ ส่วนพระผู้สร้างก็เริ่มทรงตระหนักกลัวว่าชลันธรจะมาแย่งความรักจากบุษยะไปจากตน

‘ฟอด…ฟอด’

“นี่เป็นรางวัลที่พระองค์ช่วยเหลือข้า รักษาข้าให้หายเจ็บแล้วก็ทำให้ข้าได้มีสหาย…ข้าดีใจเหลือเกินที่มีพระองค์อยู่กับข้า” ประโยคที่บุษยะเอื้อนเอ่ยหลังจากหอมพระปรางค์ทั้งสองข้าง ทำให้พระผู้สร้างแย้มพระโอษฐ์กว้างอย่างพอพระหฤทัย พระองค์ไม่น่าทรงกังวลไปเองเลย ในสามโลกนี้คงมิมีผู้ใดหาญกล้า จะมาแย่งความรักของบุษยะไปจากพระองค์ได้ในเมื่อ…

...บุษยะเกิดมาเพื่อพระองค์เพียงผู้เดียว...

































...........................................

ป่วยแล้วจ้า ป่วยหนักด้วย ฮือ แต่ท่านยุ่งจะสู้เพื่อทุกคนนะคะ

วันนี้ขอคั่นกลางคู่พิเศษของเราก่อนนะคะ ให้บพระพริษฐ์และทีมน้องบุษยะได้หายคิดถึง

เอาตรงๆตอนนี้หนูลันเธอมีความแมนจนท่านยุ่งจะจับคู่ 'ลันบุษ' ให้เป็นคู่เบี้ยนกัน 5555

ตอนหน้าเจอกันกับความไบโพร่าที่มีให้ทุกคนได้กินยาอย่างต่อเนื่อง 55555 เราจะบ้าไปด้วยกัน

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านเม้น เป็นกำลังใจ ติชม วิจารณ์ นะคะ



#ง่วงแล้วขอไปนอน เมายา

ป.ล. แอบคิดว่าถ้าพระสมุทรยังอยู่แล้วรู้ว่าหนูลันถูกอิพี่นภนต์รวมร่าง พระสมุทรจะทำยังไง =_=

หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.S 02 P.5 (24/05/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 24-05-2017 11:06:18
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.S 02 P.5 (24/05/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Ooaummii ที่ 24-05-2017 14:35:26
 :mc4: บุษยะ มาแล้ว
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.S 02 P.5 (24/05/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 24-05-2017 15:27:28
โถ ตอนวัยเอ๊าะนี่คงน่ารักตะมุตะมิกันเหลือเกินเชียว ฮา
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.S 02 P.5 (24/05/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 24-05-2017 15:59:46
พอสิ้นพ่อแล้วก็มีแต่คนรุมรังแกน่าสงสารจริงๆ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.S 02 P.5 (24/05/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 24-05-2017 17:29:02
รอตอนต่อไป~
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.S 02 P.5 (24/05/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 24-05-2017 22:52:05
ดีต่อใจจริงๆตอนนี้
เจอบทลงโทษพระสมุทรอิชั้นลั่นเลยเจ้าค่ะ 55
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.S 02 P.5 (24/05/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Quatree ที่ 25-05-2017 15:45:02
สนุกมากรออ่านตอนไปเลย o13
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.S 02 P.5 (24/05/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Pe_no ที่ 26-05-2017 00:19:32
สนุกมากค่ะติดตามต่อไปจ้า :mew2:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.14 P.5 (28/05/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 28-05-2017 08:35:07
​สาปรัก…ทัณฑ์เทวา

Writer : Tan-Yung0209

File : 14













ที่ใดมีรัก…ที่นั่นมีทุกข์ แลเห็นจะเป็นจริงดังคำที่เคยได้ยินมา ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของความรักใดก็ตาม รวมไปถึงความรักของมิตรสหายที่หมายจะช่วยเหลือเกื้อกูลกัน หากความปรารถนาดีไม่สามารถส่งต่อถึงกันได้ก็ต้องมีฝ่ายที่นั่งอมทุกข์ดังเช่น…บุษยะ

ร่างอรชรนั่งซบแขนเรียวของตนในบุษบงแก้ว ตากลมโตสอดส่องดูสหายรักผ่านวารีที่ต้องมนต์ ก็รับรู้เหตุการณ์ที่ชลันธรนั้นจำต้องเข้าป่ากันติทัตเพียงลำพัง  ไร้ซึ่งนภนต์เทพนภาคอยปกป้อง ไร้ศาสตราวุธใช้ป้องกันกาย... ‘ชลันธรจะฝ่าฟันไปยังเขาจิรันดรเพียงผู้เดียวได้หรือ’… ยิ่งคิดก็ยิ่งเป็นห่วงเหมือนมีบ่วงมาคอยรัดดวงใจให้แน่นอก เจ็บทรมานจนน้ำตาเม็ดใสไหลริน

“บุษยะน้องพี่ เหตุใดเจ้าจึงกรรแสงเล่า” พระพริษฐ์ตรัสเมื่อก้าวย่างมายังสระสรงหมายจะชำระล้างพระวรกาย ต้องมาพาลพบหยดน้ำตาที่หลั่งรินออกมาจากดวงตาที่เคยเป็นประกายระยิบระยับ ที่เพลานี้กลับเศร้าหมอง พระวรกายหนาตรงเข้าหาแล้วดึงร่างบางเข้ามาสวมกอดเอาไว้

“พี่พริษฐ์…ฮึก..พี่จะทรงช่วยน้องได้หรือไม่” บุษยะกอดกลับ ใบหน้าสวยดุจนางฟ้านางสวรรค์ซุกตรงอกแกร่งแล้วจึงปล่อยสะอื้นออกมา

“เจ้าต้องการให้พี่ช่วยสิ่งใดจงบอกมาเถิด สิ่งที่เจ้าปรารถนาพี่นั้นไม่เคยจะขัด ย่อมให้เจ้าได้เสมอ” ตรัสอย่างเอาใจเทพหนุ่มที่แอบอุระ  บุษยะที่ได้ฟังก็ช้อนตามองผ่านขนตาแพยาวที่เปียกชุ่ม

“น้องนั้นปรารถนาให้พี่ทรงช่วยชลันธรได้หรือไม่เล่า บัดนี้ก็หมดหน้าที่ของท่านนภนต์ที่ต้องดูแลชลันธรแล้ว เพราะสิ้นภารกิจตามเทวาราชโองการ  ด้วยยามนี้ชลันธรเองไร้พลังไร้ซึ่งอิทธิฤทธิ์ใดๆ  น้องเกรงว่าชลันธรจักได้รับอันตรายก่อนจะถึงวิมานของเทพแห่งกาลเวลาเป็นแน่แท้ พี่พริษฐ์จะทรงทำให้ความปรารถนาของน้องเป็นจริงได้หรือไม่”

“ได้สิบุษยะน้องพี่ ความปรารถนาของเจ้า  พี่จะปฏิเสธได้อย่างไรหากว่าอยู่ในข้อกำหนด  เจ้าจงอย่ากังวลไป พี่จะให้เจ้านำเทวราชโองฉบับนี้ไปให้แก่เทพนภนต์และชลันธร” พระพริษฐ์ผู้ไร้พ่ายกลับต้องแพ้ให้เทพบุตรตรงหน้า ไม่ว่าบุษยะจะเอื้อนเอ่ยขอสิ่งใดพระพริษฐ์ก็ยากจะปฏิเสธได้

“พี่จะทรงช่วยน้องจริงหรือ…พี่พริษฐ์มิได้พูดปดใช่หรือไม่” อารมณ์เศร้าโศกก็แปรเปลี่ยนเป็นความร่าเริงสดใสโดยฉับพลัน

“พี่เคยโกหกเจ้าด้วยหรือบุษยะ... ฮืม...”

“น้องรู้ว่าพี่มิเคยก็โกหก...”

“พี่ทำตามใจเจ้าแล้ว ....แล้วไหนเล่ารางวัลของพี่...”  บุษยะทำหน้างงเล็กน้อยว่าสิ่งใดคือรางวัลที่พระผู้สร้างหมายถึง  พระพริษฐ์เห็นใบหน้าที่กำลังงุนงง จึงแสร้งใช้ดัชนีเรียวยาวแตะไปที่พระปรางค์กร้านของพระองค์เป็นการหมายความนัยให้บุษยะได้เข้าใจ

‘ฟอด…’ เสียงดมดอมหอมพระปรางค์ฟอดใหญ่ ทำให้พระผู้สร้างทรงเกษมสำราญมิใช่น้อย แต่บุษยะคนงามนี่สิกลับขวยเขินใจเต้นแรงเสียอย่างนั้น  ทั้งที่ก็หอมกันอยู่ทุกวันแต่บุษยะก็เขินอายทุกครั้งที่เมื่อคนที่ตนเรียกว่าพี่นั้นเข้าใกล้...เมื่อไหร่กันจะคุ้นชิน

. . .

นภนต์นั้นบินเร็วไม่แพ้ครุฑา…จากเชิงเขาคันธมาศสู่ป่ากันติทัตใช้เวลาไม่กี่อึดใจก็ไปถึง ทว่าเทพแห่งท้องนภากลับกระพือปีกบินให้เชื่องช้ากว่าทุกครั้งจนชลันธรยังรู้สึกถึงความผิดปกตินี้ได้ หากร่างบางขาวราวไข่มุกกลับไม่ทักท้วง เพราะด้วยใจนั้นอยากอยู่กับคนรักให้มากที่สุด เช่นเดียวกับนภนต์ที่แกล้งบินให้ช้าเพื่อที่จะโอบกอดชลันธรไว้ เพื่อที่จะสัมผัสลมหายใจอุ่นๆ ที่รดลงแนบอุราอยู่ขณะนี้

“ท่านส่งข้าแล้วท่านจะไปไหนต่อหรือ ท่านนภนต์” หลังจากที่นิ่งเงียบกันเสียนาน ชลันธรก็เริ่มชวนคุยไม่ให้บรรยากาศดูน่าอึดอัดจนเกินไปนัก

“ข้าคงต้องกลับไปยังวิมานของข้า…เพื่อ....(รอเจ้า)” นภนต์ตอบโดยที่ประโยคหลังนั้นนภนต์กลับเลือกเก็บไว้ในใจไม่เอื้อนเอ่ยออกมา

ต่างคนต่างไม่พูดสิ่งใดต่อเมื่อมองไปด้านหน้าคือผืนพนากันติทัต มันคงถึงเวลาแล้วที่ต้องจากลากันอีกครา  แต่การจากลาที่จะสามารถชำระล้างข้อกล่าวหาทั้งมวล การจากลาที่จะเป็นข้อพิสูจน์ความสัมพันธ์ของเทพทั้งสอง

“ข้าคงส่งเจ้าได้เพียงเท่านี้...” นภนต์วางชลันธรลง ร่างโปร่งยืนขึ้นตาก็มองไปยังปากทางเข้าที่แสนน่ากลัว

“ข้าขอบใจท่านมากที่กรุณามาส่งข้า” ชลันธรเอ่ยออกมาน้ำเสียงเศร้าสร้อย นึกกลัวว่าตนอาจจะต้องทิ้งชีวิตไว้ ณ ป่าแห่งนี้แล้วให้เทพมฤตยูนำพาวิญญาณไปพบพระยายม แม้ว่าความตายจะเป็นเรื่องของกฏแห่งกรรมและหลีกหนีไม่พ้น แต่การที่ต้องตายโดยไม่ได้พิสูจน์ตนเอง ต้องตายโดยที่ไม่ได้อยู่เคียงข้างคนรักมันช่างน่าเศร้าใจยิ่งนัก …ชลันธรเอ๋ย

...การรอคอยพรหมลิขิตบางทีต้องรอเป็นร้อยเป็นพันปี  ข้าหลงรักท่านเพียงแค่ได้เห็นเพียงชั่วพริบตา  หรือความรักนี้เป็นได้แค่ความเสี่ยง ข้ายินดีที่จะผ่านทุกอุปสรรคในโลกหล้านี้เพื่อที่จะได้พิสูจน์ตนเอง  ไม่ว่าจะต้องทุกข์ทรมานเพียงใด หยาดน้ำตาที่เสียไปก็ยังรู้สึกว่ามันหวานยิ่งนัก...

“อ่ะ”

ชลันธรร้องออกมาด้วยความตกใจ นภนต์ดึงแขนชลันธรจนเซถลาเข้าหาตนก่อนจะกอดเอวบางไว้แน่น ใบหน้าหล่อโน้มลงใกล้ใบหูชลันธร เพียงลมหายใจอุ่นที่คนงามสัมผัสได้นั้นก็ทำให้หัวใจต้องไหวหวั่น 

....ชลันธรหลังจากนี้ แม้โลกจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงแต่ใจข้าจะมิเคยเปลี่ยนแปลงไปจากเจ้า หากว่าการพิสูจน์ตนนี้สำเร็จ ข้าสัญญาข้าจะไม่ตะขิดตะขวงใจเจ้าอีกและจะมีชีวิตเพื่อเจ้าข้ายอมสละซึ่งทุกอย่าง นอกจากเจ้าเพียงผู้เดียว...

“ข้าขอให้เจ้าโชคดีและข้าอยากจะบอกกับเจ้าว่าตลอดเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา ข้านั้นก็….”

“ชลันธร!!!!”

ยังมิทันที่นภนต์พูดประโยคนั้นจบ ชลันธรก็ถูกขัดแบนความสนใจตนจากเสียงเรียกที่มาจากฟากฟ้า ทั้งนภนต์และเจ้าของนามเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงที่ตอนนี้เห็นเพียงบงกชแก้วลอยเด่นอยู่  บุษยะนั่งบงกชแก้วลงมาพร้อมกับสายลมที่พัดผ่าน อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมเกสรปทุมล่องลอยอบอวลไปทั่ว  เรียกหมู่มวลผีเสื้อและภู่ภมรต่างบินวนไปทั่วบริเวณ

“ชลันธร…ชลันธรข้าดีใจยิ่งนักที่ได้เจอเจ้าอีก”  พอดอกบัวแก้วหยุดนิ่งลงพื้น  บาทากรูวิ่งเข้าหาแทรกกายระหว่างชลันธรกับนภนต์  บุษยะเข้าสวมกอดสหายรักแน่น  แน่นเสียจนนภนต์แอบหวงอยู่ไม่น้อย แต่ก็ต้องปล่อยไปเพราะตนไม่สามารถจะห้ามปราม คนรักคนโปรดของพระผู้สร้างได้

“ข้าเองก็ดีใจที่ได้เจอเจ้าบุษยะ” ชลันธรกอดกลับแน่น  นานเพียงใดแล้วที่เราสองนั้นไม่ได้พบกัน

“ข้าว่าที่เจ้ามาถึงที่นี่คงไม่ใช่เพราะคิดถึงชลันธรเพียงอย่างเดียวใช่หรือไม่” ด้วยทั้งสองนั้นกอดกันแน่นไป นภนต์พูดแทรกขึ้นมาเพื่อขัดจังหวะที่ไม่ค่อยชอบใจนัก  บุษยะที่มัวแต่ดีใจก็นึกขึ้นได้ว่าตนนั้นมาที่แห่งนี้ด้วยตามเทวบัญชาของพระผู้สร้าง

“จริงสิ... ข้ามัวแต่ดีใจที่ได้เจอชลันธรจนลืมไปเสียสนิท” บุษยะผละอ้อมกอดแล้วหยิบเทวราชโองการที่พกติดกายไว้ขึ้นมาก่อนจะคลี่ออกแล้วอ่านเนื้อความด้านใน

“มีเทวราชโองการ….” แค่ขึ้นต้นมาทั้งนภนต์และชลันธรก็คุกเข่าลงเพื่อน้อมรับเทวราชโองการจากผู้เป็นใหญ่ในสามโลก

“ข้าพระพริษฐ์ พระผู้สร้างองค์ปัจจุบัน ข้าขอสั่งให้เทพนภนต์เทวาแห่งท้องนภา ทำภารกิจดูแลชลันธรจนกว่าจะได้พบกับเทพแห่งกาลเวลาตลอดจนสามารถสืบสาวความจริงให้แน่ชัด หากเทพนภนต์ขัดขืนจะถูกลงโทษสถานหนัก…” บุษยะอ่านอักขระในผ้าไหมสีทองทุกถ้อยคำไม่ขาดตกบกพร่อง

“ข้ายินดีน้อมรับเทวบัญชา” นภนต์เอ่ยรับเทวบัญชา เทพหนุ่ม รู้สึกดีใจไม่น้อยที่จะได้ติดตามดูแลคนรักต่อไปใจนั้นจะกระโดดโลดเต้นแต่ก็ต้องทำทีนิ่งขรึมไว้ ชลันธรเองก็โล่งใจที่ต่อไปจะมีนภนต์เคียงข้างกายไม่แยกจากกัน

“จากนี้ไปข้าหวังว่าท่านจักดูแลสหายข้าเป็นอย่างดีนะ…ท่านนภนต์” บุษยะเอ่ยมือก็ม้วนเก็บเทวราชโองไปพลาง แล้วยืนส่งให้นภนต์ที่เงียบไม่พูดอะไรแต่กลับส่งตาคมจ้องมองชลันธรที่มองมาที่ตนเช่นเดียวกัน

“ชลันธร ข้านั้นต้องจากเจ้าไปเสียแล้ว เวลาของเราช่างน้อยนิดเสียเหลือเกิน” บุษยะเข้าไปสวมกอดชลันธรอีกครั้ง

“แต่อีกไม่นาน ข้าจะพิสูจน์ว่าข้านั้นบริสุทธิ์ถึงเวลานั้นเราจะได้กลับมาเจอกันอีก” ชลันธรเอาคางเกยบ่าอีกฝ่าย

“ถึงเวลาที่ข้าต้องไปแล้ว…ข้าจะส่งแรงใจให้เจ้าทุกวันนะชลันธร”  สหายรักต่างล่ำลา ชลันธรมองบุษยะที่ถอยห่างจากตนไปยังบงกชแก้วแล้วลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าผ่านม่านน้ำตา

“เก็บความเศร้าของเจ้าเอาไว้เสียก่อน บัดนี้สิ่งที่สำคัญกว่าคือการเดินทางไปยังวิมานของเทพกาลเวลา” นิ้วโป้งเกลี่ยน้ำเม็ดใสที่ไหลรินที่หางตาของชลันธร พลางพูดเตือนสติให้ชลันธรรู้ว่าควรจักต้องทำเช่นไร

“อืม เราไปกันเถอะ” ชลันธรแก้มแดงระเรื่อ รู้สึกสุขใจกับคำพูดและนิ้วมือใหญ่ที่เข้ามาเกลี่ยน้ำตาให้ผ่านพ้น ความรู้สึกดีๆ เข้ามาแทนความเศร้าได้อย่างรวดเร็ว เมื่อก่อนนภนต์มักจะทำให้ชลันธรเปลี่ยนอารมณ์จากเศร้าใจเป็นสุขใจได้เสมอ

“เขินอายข้าหรือชลันธร  หน้าเจ้าแดงแล้ว...” นภนต์แสร้งถาม

“ข้าหาได้เขินอายไม่ ท่านอย่าคิดไปเอง” ชลันธรเดินหนีพยายามข่มความรู้สึกไม่ให้แสดงออกไปมากกว่านี้ นภนต์ยิ้มออกมาทำไมเขาจะไม่รู้กันเล่าว่าชลันธรรู้สึกเช่นไร ก็เป็นผัวเมียกันแล้วจะมิรู้ใจเมียก็คงมิใช่ ก่อนจะเดินตามชลันธรที่เดินนำหน้าไป

ฝ่าเท้าของทั้งสองย่างก้าวเข้าไปในป่ากันติทัต สิ่งที่สัมผัสได้จากพงไพรนี้คือความหนาวเหน็บที่ทำให้ขนลุกซู่ทั้งที่เวลานี้พระอาทิตย์ยังฉายแสงแสดงเวลาเที่ยงวัน ชลันธรใช้มือลูบแขนเบาๆ หวังให้กายอบอุ่น

“หนาวหรือ” นภนต์เข้ามากอดบ่าแล้วกระชับให้กายของร่างโปร่งชิดใกล้กับกายตน

“อืม เราหนาว ท่านไม่หนาวหรือท่านนภนต์” ชลันธรตอบแล้วถามกลับไป

“ข้าหาได้รู้สึกหนาวกายไม่ ข้าว่าเพราะเจ้าเป็นมนุษย์จึงไม่คุ้นชินหรือปรับตัวให้เข้ากับป่าแห่งนี้ได้” นภนต์สันนิฐานตามที่คิด ชลันธรเองก็คิดเช่นเดียวกัน

“แต่เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะดูแลเจ้าไม่ให้หนาว ข้าจักโอบกอดเจ้าไว้แล้วต่อให้เจ้าหายหนาว…ข้าก็จะกอดไว้อยู่ดี”

“ท่านไม่จำเป็นต้องกอดเราไว้ตลอดเวลาหรอก อ่อ…ตอนที่ท่านมาส่งเราที่ปากทางเข้าป่า ท่านจะพูดอะไรต่อหรือ”

“ไม่มีอะไรสำคัญหรอก เจ้าอย่าได้สนใจเลย” นภนต์พูดปัด ใครจะบอกกันเล่าว่าตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น นภนต์เองเหมือนก็ถูกสาปให้รักชลันธรไม่เสื่อมคลาย แม้อยากจะแก้แค้นเพียงใดก็ตาม ฝ่ายชลันธรก็ทำหน้างอที่นภนต์ไม่ยอมตอบคำถามตน จึงได้จับแขนของนภนต์ให้ออกไปแล้วเดินรุดหน้าทิ้งห่าง

“อ้าว เดินหน้างอโกรธข้าหรือชลันธร” นภนต์ถาม ชลันธรก็ทำทีไม่ได้ยินไม่สนใจในสิ่งที่นภนต์เอ่ย

“อยากโกรธก็โกรธให้พอใจ ข้าไม่ง้อเจ้าหรอกนะ” นภนต์พูดต่ออยากจะดัดนิสัยเอาแต่ใจที่ไม่เคยเปลี่ยนของคนรัก หากชลันธรที่ได้ฟังก็ยิ่งน้อยใจยิ่งโกรธที่นภนต์ไม่ให้ความสำคัญ ‘ใช่สิ! เรามันคนร้ายที่วางยาพิษมารดาเขา จักให้เขามาง้อมาเราได้อย่างไรกัน’

“โอ๊ย!!” ชลันธรที่ไม่ได้ใช่สติเป็นที่ตั้งในการก้าวย่างก็สะดุดรากไม้ใหญ่จนล้มลง

“มัวแต่โกรธข้าเป็นอย่างไรเล่า ต้องหกล้มหน้าคะมำ” นภนต์ที่ปากบ่นหากการกระทำกลับตรงข้ามร่างสูงเข้าพยุงชลันธรขึ้นมาแต่กลับถูกคนงามผลักไส

“ไม่ต้องมาสนใจเรา!!! เราลุกขึ้นเองได้!!”

“อย่ามาดื้อรั้นนะชลันธร ดูก็รู้ว่าเพลานี้ว่าเจ้านั้นบาดเจ็บลุกขึ้นเองไม่ไหวหรอก” นภนต์ฉุดชลันธรให้ยืนขึ้นมา ชลันธรเองก็ทิ้งน้ำหนักตัวลงไม่ให้นภนต์พยุงตนได้

“ออกไปเลยไม่ต้องมาช่วยเหลือเรา!!!” ชลันธรเริ่มทุบตีนภนต์ กำปั้นน้อยๆหาได้ระคายเคืองผิวกายเทพหนุ่มไม่ ถึงกระนั้นก็สร้างความเคืองใจที่ชลันธรทำตัวเยี่ยงนี้

“นี่เจ้าไล่ข้าอย่างนั้นหรือ พอข้าใจดีเจ้าเลยได้ใจสินะ ฮึ! ถ้าอยากให้ข้าไปข้าก็จะไป เชิญเจ้านั่งอยู่ตรงนี้ต่อไปเถิด” นภนต์ปล่อยตัวชลันธรแล้วเดินจากไป ทิ้งให้คนขี้น้อยใจอยู่ลำพังในป่าใหญ่ นภนต์ตั้งใจจะให้ชลันธรสงบจิต สงบใจ ส่วนตนก็จะไปสงบสติอารมณ์ห่างออกไปไม่ไกลนัก

“คนใจร้ายทิ้งเราไว้ตามลำพัง  ง้อใครไม่เป็นหรืออย่างไร” แผ่นหลังกว้างหายลับไปชลันธรก็พึมพำออกมาพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลริน ถึงจะรู้ตัวว่าตนนั้นผิด ถึงจะรู้ว่าไม่ควรแสดงพฤติกรรมเอาแต่ใจเยี่ยงนี้ ก็คนมันน้อยใจจะให้ทำอย่างไรได้เล่า

ลมพัดเอื่อยผ่านสัมผัสกาย จักจั่นเรไรร้องดังเซ็งแซ่ไม่ให้ป่ากันติทัตนี้เงียบงัน แต่มันก็เงียบเหงาในใจของชลันธรอยู่ดี  …‘ท่านพี่จะทิ้งน้องไว้ลำพังจริงหรือ…ไม่อยู่ปกป้องน้องอีกหรือ…ไม่กลัวจะเกิดอันตรายกับน้องหรือไร’...

‘กิ๊ง..กิ๊ง’ แว่วเสียงกระดิ่งดังมาจากด้านหลัง ชลันธรหันไปตามเสียงนั้น ก็พบกับพระคาวีสีขาวน้ำนมผิวขนละเอียด รูปร่างสันทัดงดงามได้กล้ามเนื้อแน่น ประดับแต่งด้วยเครื่องทรงล้ำค่า หาใช่โคป่าธรรมดาไม่ แลมีรัศมีละอองสีฟ้าฟุ้งกระจายและท่าทางโคตัวนี้กำลังเดินมาทางเขาเสียด้วยสิ  ชลันธรที่ไม่รู้ว่าพระคาวีงามนี้อยู่ในอารมณ์แบบไหน ไยจึงเดินตรงเข้าหา หากไม่หลีกทางให้คงโดนเหยียบเป็นแน่แท้  ร่างบางพยายามลุกหนี แต่ขาเจ้ากรรมนี่สิดันทำฤทธิ์พอจะขยับก็เจ็บเสียจนลุกไม่ไหว เห็นทีต้องมาสิ้นชีพใต้กีบเท้าของโคตัวนี้เสียแล้วหรือ

“อุสุภราช หยุดเดินบัดเดี๋ยวนี้ เจ้ามิเห็นดอกหรือไรว่ามีใครนั่งอยู่ตรงหน้า” ก่อนที่พระคาวีอุสุภราชจะเข้าเหยียบชลันธรก็ได้มีเสียงห้ามทำให้ชลันธรนั้นรอดอย่างหวุดหวิด

“จงอย่ากลัวไปเลย อุสุภราชไม่ทำร้ายเจ้าหรอก มันชอบเจ้าต่างหาก เจ้าไม่เป็นอันใดใช่ไหมเล่า ชลันธร...”

“เป็นเช่นนั้นดอกหรือ... เราไม่เป็นไร ว่าแต่ท่านรู้นามของเราได้อย่างไรกัน” ชลันธรสงสัยทั้งที่เพิ่งจะเจอะเจอกันครั้งแรก ‘เหตุใดคนตรงหน้าถึงได้รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของเราได้’

“เจ้าจำข้าไม่ได้หรือ เฮ้อ…ก็ไม่แปลกข้าเจอเจ้าในครานั้นก็ผ่านพ้นมาเสียหลายร้อยปี...” หลายร้อยปีแล้วอย่างนั้นหรือ… ชลันธรพยายามคิดในครั้งวัยเยาว์ที่ตนยังเป็นเทวามหาสมุทร เทพที่มีกายแผ่รัศมีสีฟ้านี้แล้วท่าทางของโคที่เชื่องกับเทพผู้นี้อีกก็คงจะเป็นสัตว์พาหนะ…เทพที่มีลักษณะนี้มีโคเป็นพาหนะ มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น

“พระศุกร์”

“ในที่สุดเจ้าก็จำข้าได้ ข้าดีใจยิ่งนัก” พระศุกร์ยิ้มออกมา รอยยิ้มที่พิชิตใจนางอัปสรหรือเทพบุตรหน้าหวานมาแล้วนับไม่ถ้วน แม้แต่ใจของชลันธรยังรู้สึกวูบวาบไม่น้อยที่ได้เห็นรอยยิ้มนี้

“จริงสิ เจ้าบาดเจ็บที่ขา ข้านั้นจะช่วยรักษาให้ ถือเสียว่าชดใช้ที่อุสุภราชทำให้เจ้าตกใจก็แล้วกัน” พระศุกร์เอ่ยเสร็จก็ไม่รอให้ชลันธรตอบรับ หัตถาวางลงท่อนขาเรียวที่แพลงบวมเล็กน้อย แล้วร่ายมนต์ใส่เป่าลมบางเบาสู่ขาของชลันธร ไม่นานก็กลับเป็นปกติ อาการเจ็บปวดที่มีอยู่ก็มลายหายไป

“เราหายเจ็บแล้ว เราขอบพระคุณท่านมาก” ชลันธรพนมมือไหว้ พระศุกร์ก็จับมือนิ่มเอาไว้พร้อมส่งสายตาเจ้าชู้ให้กับชลันธร สายตาเหมือนที่ตอนที่พบเจอชลันธรครั้งแรกไม่มีผิด

“พระศุกร์ ท่านปล่อยมือข้าเถิด” ชลันธรขยับมือหนีแต่ก็ถูกรวบเอาไว้แน่นกว่าเก่าด้วยมือเพียงข้างเดียว

“ข้าไม่ปล่อยมือเจ้าหรอกชลันธร ขนาดอยู่ในกายมนุษย์ ผิวกายเจ้าก็ยังงามน่าสัมผัสไม่แปรเปลี่ยน  มาเถิดข้าจะให้เจ้าทำความรู้จักกับอุสุภราช” ไม่ใช่เพียงแค่เอื้อนเอ่ยวาจา พระศุกร์ใช้มือที่ว่างอีกข้างลูบแก้มเนียน ชลันธรหลบหลีกพระศุกร์ก็ยิ่งขยับใกล้

จังหวะเดียวกันนั้นนภนต์ที่ออกไปสงบสติอารมณ์และเก็บผลไม้ป่าหวังจะมาง้อชลันธรให้หายโกรธก็มาเจอภาพบาดตาบาดใจพอดี ผลไม้ในมือร่วงตกลงพื้นกลิ้งไปหาสองคนที่นั่งหยอกเอินในสายตาของนภนต์ ชลันธรและพระศุกร์พอเห็นผลไม้ที่กลิ้งมาก็มองย้อนตามทางไปเห็นเทพนภายืนหน้านิ่งอยู่ไม่ไกล ไฟหึงผุดประทุแผดเผาใจจนเสียไหม้เกรียม ความรักถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ลมโมโหช่วยโหมแรงกระพือให้เพิ่มขึ้น

“ขอโทษที่ข้ามาขัดจังหวะ แต่ข้าต้องพาชลันธรออกเดินทางไปกับข้าแล้ว” นภนต์เดินเข้าไปฉุดชลันธรให้ยืนขึ้นมาแล้วใช้กายบังร่างโปร่งเอาไว้ เทพพระศุกร์เองก็ยืนขึ้นมามองหน้านภนต์ไม่พอใจ

“แต่เมื่อครู่ข้าเห็นชลันธรนั่งบาดเจ็บเพียงผู้เดียว อยู่ๆ ท่านจะมานำตัวชลันธรไปกับท่านได้อย่างไรเล่า”

“ข้าไปหาผลไม้ป่ามา ไม่คิดว่ากลับมาจะเจอท่านกำลังเกี้ยวพาชลันธรอยู่ ฮึ!! เสียใจด้วยนะชลันธรเป็นของข้า เชิญท่านกลับไปเสียเถิด อย่ามาเสียเวลาลักกินขโมยกินของผู้อื่นเลย...” นภนต์เอ่ย พระศุกร์ที่ได้ยินก็กำหมัดข่มอารมณ์ตัวเองแน่น หากมีเรื่องวิวาทกับแม่ทัพหลวงแห่งสรวงสวรรค์คงไม่เป็นการดี

“ท่านนี่ก็แปลกจริง...ทั้งที่เป็นผู้จับชลันธรมารับทัณฑ์เทวาแท้ๆ แต่กลับมาดูแลกันอีกกระนั้นหรือ... ชลันธรเจ้าจะอยู่กับคนเยี่ยงนี้หรือ มากับข้าเสียดีกว่าข้าจะตามใจเจ้า ป่านี้อันตรายนัก หากอยู่บนหลังอุสุภราชแล้วเจ้าจะปลอดภัย และข้าจะดูแลเจ้าเป็นอย่างดี...” พระศุกร์ได้ทีโต้กลับอีกทั้งยังเชื้อเชิญชลันธรให้มาอยู่กับตน

“ข้าว่าท่านเอาเวลาไปดูแลมเหสีของท่านหรือเหล่าสนมนับร้อยนับพันไม่ให้ตีกันเสียดีกว่ากระมัง… มากเสียจนนับไม่หวาดไม่ไหว...ชลันธรมากับข้า” นภนต์ทิ้งท้ายให้พระศุกร์เจ็บใจเล่น ก่อนจะคว้าข้อมือเรียวของชลันธรเดินออกไป

‘จำเอาไว้นภนต์ ข้าจะแย่งชิงชลันธรจากเจ้าให้จงได้’  สีหน้าที่เรียบนิ่งแต่ภายในใจนั้นเคียดแค้นที่ถูกชิงคนที่ตนหมายปอง พระศุกร์ตั้งใจที่จะเอาคืนเทพนภนต์ให้จงได้

“ท่านนภนต์!! ข้าเจ็บ ท่านบีบแขนข้าแรงเกินไปแล้ว” ชลันธรร้องออกมา

“อ่อ คงต้องให้ข้าลูบเบาๆ อย่างที่พระศุกร์ทำกับเจ้าใช่หรือไม่จึงจะไม่เจ็บ หากข้าไม่มาขวางไว้เจ้าคงจะยอมให้เทพพระศุกร์ลูบไล้ไปทั้งกายเป็นแน่แท้  ข้าเพียงผู้เดียวไม่พอสินะ หรือจักให้ข้าเรียกรพีพงศ์มาให้เจ้าด้วยจะได้พร้อมหน้าทั้งผัวทั้งชู้รัก” คำพูดที่ไม่ไต่ตรองก่อนพูดมักจะส่งผลกระทบต่อจิตใจไม่ว่าจะเป็นคนฟังหรือแม้แต่คนพูดเอง เช่นเดียวกับชลันธรที่รู้สึกว่าใบหน้านั้นชาไปทั้งหน้าเมื่อได้ยินคำหยามเหยียด นภนต์เองก็คิดได้ว่าความหึงหวงหน้ามือตามัวนั้นทำให้ตนพลั้งปากพูดอะไรพล่อยๆ ไปเสียแล้ว

“ความคิดของท่านมันช่างสกปรกเสียจริง…ฮึก..ก…ถ้าข้าเลวดังคำที่ท่านกล่าวหาแล้วล่ะก็…ฮึ….ข้าจะไปจากท่าน ไม่ให้เป็นเสนียดจัญไรกับชีวิตของท่านอีก” ชลันธรวิ่งหนีเข้าไปในป่าลึกไม่คิดว่าคนรักผู้หมายให้เป็นภัสดาเพียงหนึ่งเดียวจะพูดจาไม่เกียรติตนถึงเพียงนี้  เวลาผ่านไปเพียงครู่นภนต์จึงคิดได้แล้วออกวิ่งตามไป แต่ยิ่งเส้นทางป่ายิ่งลึกเข้าไปนั้นยิ่งรกทึบมืดไร้แสงรวีส่องถึงพื้นล่าง ชลันธรอาศัยความมืดบดบังกำบังพลางกายหลบหนี นภนต์เองก็พยายามมองสอดส่องดั้นด้นหาอย่างไม่ลดละ

“ชลันธร!!! ชลันธร!!!...เจ้าอยู่ที่ไหน!!!”



























...................................

เชื่อหรือไม่เล่า ว่าตอนนี้มีความไบโพล่าสูง

หากท่านอยากจะปากระท่อมข้า ข้าจะหนีไปยังวิมานมุกสีครามอิอิ

เรามาลุ้นกันว่าตอนหน้านภนต์จะเจอชลันธรหรือไม่ แล้วชลันธรจะหนีนภนต์พ้นหรือเปล่า ตอนหน้ามาแบบเบาๆ เชื่อนะ เบาจริงๆ อิอิอิ



สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมาเม้นมาติชม วิจารณ์ แสดงความเห็นให้กับนิยายเรื่องนี้ ม๊วฟ



ป.ล. ใครชอบพระศุกร์บอกมาได้นะคะ จะได้ให้พระศุกร์ออกมาบ่อยๆ 5555555
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.14 P.5 (28/05/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 28-05-2017 09:14:02
ดีกันไม่เท่าไรงอนกันอีกแล้วจ้าาา
ตบปากพี่นภนต์ที
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.14 P.5 (28/05/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Ooaummii ที่ 28-05-2017 11:15:19
มีเมียงามล้ำในสามโลกก็งี้แหละ ท่านพี่คงต้องหึงสามเพลาหลังอาหารเป็นแน่แท้
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.14 P.5 (28/05/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: kinjikung ที่ 28-05-2017 12:11:58
ชลันธร ก็ขี้น้อยใจเกิ๊น นภนต์ก็ช่างว่า ชลันธรดูเป็นเด็กน้อยมาก โดนลงโทษมาก็นานประสบการณ์ไม่ทำให้คิดไตร่ตรองเรื่องต่าง ๆ ด้วยความคิดได้แต่ใช้อารมณ์น้อยใจ รีบล้างมนทิลแล้วค่อยมาแง่งอน
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.14 P.5 (28/05/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Pe_no ที่ 28-05-2017 14:06:19
ตามค่ะตามสนุกมาก :mew2:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.14 P.5 (28/05/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 28-05-2017 16:12:06
ตามอารมณ์ไม่ทันจริงๆ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.14 P.5 (28/05/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 28-05-2017 16:25:43
คือถือถ้าสันดานยังเป็นแบบนีอยู่ล่ะก็อย่ารักใครเลยเพราะนภนรักแต่ตัวเองเชื่อแต่ตัวเองพูดจาแต่ล่ะครั้งทำร้ายจิตใจ ยังไม่นับต้องทำให้คนดีอย่างนายเอกของเราต้องตายอย่างทรมานไม่รู้กี่ชาติแย่มาก
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.14 P.5 (28/05/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 28-05-2017 20:47:35
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.14 P.5 (28/05/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 28-05-2017 23:04:49
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.14 P.5 (28/05/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 29-05-2017 21:23:49
อัพนิยายช้าหน่อย ท่านยุ่งไม่สบายค่ะ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.15 P.6 (03/06/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 03-06-2017 07:01:26
​สาปรัก…ทัณฑ์เทวา

Writer : Tan-Yung0209

File : 15















การเดินทางที่ไม่หยุดพัก ด้วยระยะทางที่แสนยาวไกลถึงแม้ว่าจะไม่ได้ออกแรงวิ่ง กายที่ต้องปะทะกระแสลมแรงบนท้องฟ้าตลอดการเดินทางนั้นก็ทำให้รู้สึกอ่อนเพลียได้เช่นกัน  เมื่อกีบเท้าทั้งสี่ของอาชาอุจฉัยศรพเหยียบลงพื้นพสุธาแดนหิมพานต์พนาก่อนเวลาเที่ยงคืนไม่กี่นาที เรียกได้ว่าเส้นยาแดงผ่าแปดเลยทีเดียว หลังจากที่รพีพงศ์ได้อุ้มนาคินทร์ลงจากอาชาเทียมรถพระอาทิตย์ ม้าอุจฉัยศรพก็ควบกลับขึ้นวิมานเพลิงทันทีก่อนที่เทพสุริยาจะตื่นจากบรรทม เหลือไว้เพียงรพีพงศ์และนาคินทร์ที่ตามร่างกายมีรอยแผลยืนอยู่ท่ามกลางพงพีในราตรีที่มีเพียงแสงจันทร์และแสงดาว

“แล้วเราจะไปที่ใดกันต่อเล่า ท่านรพีพงศ์” นาคินทร์ถามขึ้น ตาโศกกวาดมองไปรอบบริเวณก็พบเพียงความมืดมิดไร้ซึ่งแสงสว่างใดนอกจากพระจันทร์เสี้ยวและหมู่ดาวเท่านั้น

“เพลานี้ยังมืดอยู่ อีกทั้งตัวเจ้าเองยังบาดเจ็บ ข้าคิดว่าจะพักผ่อนเสียก่อน  รอให้ฟ้าสางเมื่อไหร่เราค่อยออกเดินทางกัน” รพีพงศ์ตอบ แล้ววางหัตถาลูบไล้แก้มขาวที่มีรอยแดงจากการตบตีอย่างรุนแรง นาคินทร์คงจะทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจมาก ถึงได้โดนลงโทษหนักมาขนาดนี้ ไหนจะเสียใจจนคิดปลิดชีพเป็นอาหารแก่เหล่าครุฑธาอีก

“ทะ…ท่าน มีอันใดกับแก้มข้าหรือเปล่า ถึงลูบไล้ไม่หยุดมือ” นาคินทร์เอียงหน้าหนีเล็กน้อย ความเขินอายถึงแม้จะเพียงเล็กน้อยแต่เมื่อแสดงออกผ่านสีแดงระเรื่อที่แต่งแต้มแก้มไม่ต่างจากร่อยรอยการถูกทำร้าย แม้จะมีเพียงแสงจันทราสาดส่องรพีพงศ์ก็มองเห็นไม่ว่าจะสีหน้าหรือความตื่นตระหนกของนาคินทร์

“ข้าเพียงคิดว่าจะหาสมุนไพรมารักษาบาดแผลให้เจ้า แต่ตอนนี้มืดจนข้ามองไม่ออกว่าต้นอะไรเป็นต้นอะไร ขืนหยิบจับสมุนไพรมีพิษอาจจะมีภัยถึงชีวิตเจ้าได้”

“ท่านอย่ากังวล หากข้าตายก็ไม่ได้ทำให้ผู้ใดเศร้าเสียใจไม่”

“ดูเจ้าอยากตายเสียจริงนะนาคินทร์ แม้ความตายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับทุกคน แต่ข้าก็มิหมายให้เจ้าต้องตาย อยากให้เจ้าตรองดูว่าเจ้าควรจะจบชีวิตเพียงเท่านี้หรือ” รพีพงศ์เอ่ย เทพหนุ่มไม่ชอบใจนักที่นาคาน้อยไม่คิดเห็นคุณค่าในชีวิตของตนเลยแม้แต่น้อย นาคินทร์หน้าเศร้าชีวิตเขามาจบลงเพียงเรื่องเท่านี้จริงหรือ อย่างน้อยก่อนจากไปก็อยากไถ่โทษแก่ชลันธรบ้าง

“ขอบคุณท่านที่เตือนสติข้า ข้ารู้แล้วว่าข้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไป เพียงแต่ตอนนี้ถ้าท่านจะกรุณาช่วยข้าสักอย่างได้หรือไม่”

“เชลยอย่างเจ้าต้องการสิ่งใด ถ้าเจ้าหมายอยากให้ข้าปล่อยเจ้านั้น...เห็นทีคงไม่ได้” รพีพงศ์เอ่ยออกมาไม่จริงจัง มุมปากยกยิ้มที่นาคินทร์ไม่คิดปลิดชีพตนเอง

“ข้าหาได้หวังให้ท่านปล่อยข้าไม่ สิ่งที่ข้าขอท่านนั้นก็คือข้าอยากให้ท่านพูดจาดีๆ กับข้า ถือว่าเมตตาเชลยผู้นี้” นาคินทร์ที่ปกติไม่แยแสกับคำก่นด่าหรือการที่ต้องถูกปฏิบัติราวกับสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ หากนอกจากกนธีแล้วรพีพงศ์กลับเป็นอีกบุคคลหนึ่งที่นาคินทร์อยากจะให้พูดดีกับตนเอง แม้จะไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดก็ตามที

“ถ้าเจ้าไม่ดื้อรั้น เชื่อฟังข้า ข้าเองก็จะพูดจาดีกับเจ้า” รพีพงศ์รับคำด้วยเนื้อแท้จริงรัชทายาทสุริยเทพแม้จักใจร้อนอยู่บ้างแต่ก็หาใช่คนที่หยาบคาย

“ข้าขอบพระคุณท่านมากที่เมตตา” นาคินทร์พนมมือไหว้ รพีพงศ์เองแปลกใจที่นาคีแสนพยศจะมีท่าทีอ่อนน้อม ใจหนึ่งก็คิดว่าอาจจะมีแผนการร้ายซ่อนอยู่ อีกใจหนึ่งก็คิดว่านาคินทร์นั้นกลับตัวกลับใจได้

“ข้ายังมีอีกเรื่องที่จะขอ”

“พอข้าใจดีชักจะเอาใหญ่ ฮึ เจ้ายังปรารถณาสิ่งใดอีก...”

“ตอนข้าอยู่บนหลังของม้าอุจฉัยศรพข้าเห็นว่าที่ใกล้กันนี้มีน้ำตก ข้าใคร่อยากจะเล่นน้ำเพื่อชำระล้างร่างกายรวมถึงรักษาบาดแผลของข้าด้วย” นาคินทร์บอกเจตนารมณ์ของตน ในใจนึกลุ้นว่ารพีพงศ์จะยอมให้ตนลงเล่นน้ำหรือไม่

“เอาสิ ข้าจะเฝ้าเจ้าเอง” รพีพงศ์เอ่ยอนุญาต แถมยังจะเฝ้าดูนาคน้อยชำระล้างกายอีกด้วย

“ไม่..ไม่ต้องเฝ้าข้าหรอก ข้าไม่คิดหนีท่านไปไหน เสียอย่างไรข้าก็ไม่สามารถใช้สายน้ำนี้เป็นทางเชื่อมต่อลงไปมหาสมุทรได้อีกแล้ว”  นาคินทร์รีบห้าม เพราะก็อยากมีเวลาเป็นส่วนตัวเช่นกัน

“ข้าบอกเจ้าแล้วอย่างไร...อย่าดื้อกับข้า!!...” . . . . เสียงน้ำตกไหลรินผ่านหินที่เรียงต่อกันเป็นชั้นสูงกระทบกับผืนวารีที่อยู่เบื้องล่างเกิดเสียงก้องไปทั่วบริเวณเคล้าคลอเสียงจักจั่นเรไร สระน้ำเบื้องหน้านั้นถึงแม้จะอยู่ในยามราตรีก็งดงามยิ่งนัก รพีพงศ์จูงมือของนาคินทร์มายังโขดหินใหญ่ก้อนหนึ่งแล้วนั่งลง ตาก็มองนาคินทร์ที่ยังคงยืนนิ่ง

“ลงไปสิหรือเจ้าเปลี่ยนใจจะไม่ลงชำระกาย ข้ามีเวลาให้เจ้าไม่มากหรอกนะ พอแสงอรุณรุ่งปกคลุมท้องฟ้า เราจักต้องออกเดินทางอีก” รพีพงศ์เอ่ยกับนาคินทร์ที่ยืนถอนหายใจ สีหน้าไม่ค่อยสบายใจนัก ถึงรพีพงศ์จะเคยสัมผัสมาทั้งกายแล้วก็ตาม แต่ก็มิวายไม่อยากให้เห็นกายตน ด้วยกลัวว่าบุตรสุริยะเทพเกิดอารมณ์ใคร่หมายล่วงเกินตนขึ้นมาอีก...

นาคน้อยกระวนกระวายใจหันซ้ายขวามิยอมเปลื้องผ้าเสียที จนทำเอารพีพงศ์รู้สึกรำคาญใจเล็กน้อย ไหนว่าอยากมาอาบน้ำแต่ก็ไม่ยอมถอดผ้าเสียที

“หรือจักให้ข้าปลดเปลื้องอาภรณ์ให้เจ้า” ไม่ใช่เพียงแค่พูด มือหนาจับชายผ้าคลุมของนาคินทร์แล้วกระตุก

“ไม่ต้อง!! ข้าถอดของข้าเองได้!!” นาคินทร์รีบคว้าผ้าคลุมก่อนที่จะถูกอีกฝ่ายแกล้งถอดออก …‘ท่านรพีพงศ์ช่างอันตรายเสียจริง ชอบแกล้งข้าแถมยังทำให้ข้าใจสั่นอีก’…

“ท่านช่วยหันไปทางอื่นไม่หรือ ข้าไม่ใคร่เปลือยกายเล่นน้ำให้ใครดู” นาคินทร์กล่าวต่อและตัดสินใจบอกความในใจให้อีกฝ่ายรับรู้ รพีพงศ์ได้ฟังก็สรวลออกมาไม่ดังมากนักแต่ก็ทำให้นาคินทร์หน้างอได้เช่นกัน

“เจ้าไม่เห็นต้องอายเลย ข้าเห็นเจ้ามาทั้งกายทุกซอกทุกมุมแล้ว อีกอย่างเจ้าเปลือยกายข้าก็ไม่รู้สึกอันใดดอก” รพีพงศ์บอกกับนาคินทร์หวังให้นาคาตรงหน้าไม่ต้องอาย ถึงจะพูดว่าไม่รู้สึกอันใดแต่มีหรือจะไว้ใจชายที่เคยขืนใจขืนกายได้...แต่ด้วยความกระหายใคร่อยากลงเล่นน้ำนั้นมีมากกว่าหวาดกลัว...อย่างมากก็คงโดนแค่ลวนลามหรือมากกว่านี้ก็ช่างมันปะไร เป็นเชลยเขา เขาอยากทำอะไรมีหรือจะห้ามได้

‘เห็นทีต้องเปลือยกายต่อหน้าท่านรพีพงศ์สินะ’ ...นาคินทร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้ง ไหนๆ ก็ไหนๆ มือเรียวจึงเริ่มปลดเปลื้องผ้าคลุมที่ปกปิดร่างกายออก

‘ในเมื่ออยาชมกายเรานัก ก็ชมให้เต็มตาไปเลยแล้วกัน...’ ทันทีที่ผ้าคลุมสีเข้มหล่นลงกองกับปลายเท้าก็เผยร่างอรชรอ้อนแอ้นงดงามมิต่างจากหญิงงามหรือนางอัปสร ขาเรียวขาวก้าวสู่น้ำใสเย็นยะเยือกที่หาได้ส่งผลต่ออสรพิษเลือดเย็นไม่ ร่างบางเดินไปข้างหน้าช้าๆ องคุลีทั้งห้าลากสัมผัสผ่านสายน้ำเป็นทางยาว ความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าเกิดขึ้นกับนาคินทร์ที่บัดนี้ได้คลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย ทุกท่วงท่าของนาคินทร์ตกอยู่ในสายตาของรพีพงศ์ที่มองผ่านแสงดาราที่สาดส่องลงมา

“ฮ้า…” นาคินทร์ร้องออกมาเมื่อโผล่ศีรษะขึ้นมาจากน้ำ หัตถาลูบเกศายาวดำสนิทไปด้านหลัง เผยใบหน้าหวานที่รอยแผลได้จางหายรวมทั้งบาดแผลจากพญาครุฑที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย ผิวกายที่เคยงามนั้นกลับมาอีกครั้ง นาคาร่างเล็กดำผุดดำว่ายอย่างสนุกสนาน สายน้ำช่วยเยียวยาจิตใจให้รู้สึกดีจนเผลอลืมเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับตนเมื่อก่อนหน้านี้

รพีพงศ์เฝ้ามองนาคินทร์ไม่ละสายตา แม้จะพยายามหลอกตัวเองว่าไม่ได้สนใจ   ไม่มีความรู้สึกอันใดกับนาคินทร์ แต่แท้ที่จริงภาพตรงหน้านั้นเหมือนจะมีเวทมนต์สะกดสายตาสุริยะบุตรไม่ให้สามารถกันหันมองไปทางอื่นได้ หยดน้ำเกาะพราวตามแผงอกบางที่มียอดอกสีแดงสดยั่วยวนเป็นประจักษ์ ไหนจะเอวคอดเล็กชวนกอดนั่นอีก ไม่สิเอวนั้นเคยโอบเคยกอดแล้วต่างหาก ยิ่งคิดไกลไปถึงคราที่เคยสัมผัสต้องกายนี้ รพีพงศ์จำต้องกลืนน้ำลายของตนเองอีกที่ว่ามองร่างเปลือยแล้วไม่รู้สึกอะไร…แรงกำหนัดนั้นส่งผลต่อความคับแน่นตรงกลางกายที่แสดงออกมาอย่างชัดเจน

“ท่านรพีพงศ์ ลงมาเล่นน้ำด้วยกันสิ” นาคินทร์แกล้งเหย้าเอ่ยชวนด้วยรอยยิ้มหวานที่แต่งแต้มใบหน้า แม้ไม่ได้ตั้งใจยั่วยวนอะไรแต่ได้ขึ้นว่างูแล้ว ก็คงหนีไม่พ้นความเจ้าเล่ห์ ที่ไม่ยั่วก็เหมือนยั่ว

“ไม่...เจ้าเล่นไปเถิดข้าจะนั่งรอเจ้าอยู่ตรงนี้ แล้วถ้าข้าสั่งให้เจ้าขึ้นจากน้ำเจ้าก็ต้องทำตามข้า เข้าใจหรือไม่นาคินทร์” รพีพงศ์เอ่ย เพราะยังคงครองสติได้ดี นาคินทร์พยักหน้าแทนคำตอบ รพีพงศ์เองก็หลับตาข่มอารมณ์ดิบไม่ให้พลุ่งพล่าน แต่ก็มิวายแอบปรือสายตาลอบมองอยู่เป็นระยะๆ  . . . .

เมื่อแสงอรุณแรกยามเช้าฉาบสีทองทั่วผืนป่าหิมพานต์  ไม่นานนักรพีพงศ์ที่ข่มใจควบคุมอารมณ์ของตนได้มาทั้งคืน ก็เรียกนาคินทร์ขึ้นมาจากสระน้ำ นาคาน้อยก็เชื่อฟังไม่อิดออดอะไรเพราะได้เล่นน้ำจนพอแก่ใจแล้วเช่นกัน  รพีพงศ์เสกชุดให้นาคินทร์สวมใส่แทนผ้าคลุมก่อนหน้านี้เพื่อความทะมัดทะแมงในการที่จะเดินทางต่อไป นาคินทร์ในชุดสีเขียวเข้มขับผิวขาวผ่องดูน่าชวนมอง

 “ท่านช่วยเกล้าผมให้ข้าหน่อยสิ” นาคินทร์อ้อนวอนและไม่รอคำตอบ เจ้าตัวหันหลังให้กับรพีพงศ์

“เจ้าเป็นเชลยที่สบายที่สุดรู้ตัวไหม มีอย่างที่ไหนใช้ให้ข้าเกล้าผมให้” ถึงปากจะบ่นแต่มือหนาก็รวบเกศานุ่มลื่นขึ้นมา ถักเป็นเปียแทนที่จะรวบมวยขึ้นไป ถึงจะเก้ๆกังๆอยู่บ้างท้ายที่สุด เปียสวยก็ถูกผูกด้วยผ้าแพรสีแดงเป็นที่เรียบร้อย

“เหตุไฉนท่านจึงถักเปียให้ข้าเล่า ดูแล้วเหมือนกับอิสตรีไม่มีผิด” นางคินทร์มองเงาตัวเองในน้ำ

“ข้าว่ามันเหมาะกับเจ้าดี อีกอย่างเจ้าเองก็ไม่ต่างจากอิสตรีนักหรอก” รพีพงศ์กระซิบข้างหูนิ่มอย่างมีความนัย นาคินทร์รับรู้ได้ทันทีว่าหมายถึงอะไร ก็สายตาเร่าร้อนนั่นมองร่างบางตั้งแต่หัวจรดเท้าโดยเฉพาะมองที่บั้นท้ายของตนนานเป็นพิเศษ

“เอ่อ ท่านรพีพงศ์…เราจะไปที่ไหนกันต่อ” นาคน้อยเอ่ยแสร้งถามเปลี่ยนเรื่องคุย

“อืม…ตอนแรกข้าจะเดินทางไปที่ถ้ำแก้วแต่นึกขึ้นได้ อรุณเทพน้องชายข้าได้บอกว่านภนต์พาชลันธรเดินไปที่เชิงเขาคันธมาศ”

“จากที่นี่ไปยังเชิงเขาคันธมาศก็ห่างกันไม่มาก ถ้าเหาะไปเพียงอึดใจก็ถึง” นาคินทร์วิเคราะห์ตามสิ่งที่ตนได้คิดเอาไว้ ไม่นานคงจะได้พบชลันธรแล้ว

“ข้าเหาะเพียงลำพังนั้นย่อมได้แต่ข้าพาเจ้าเหาะด้วยไม่ได้ ยามข้าเหาะกายข้าจะเป็นลูกไฟขนาดใหญ่หาได้อุ้มชูกางปีกเหาะดั่งครุฑาหรือเทพนภนต์ดอก” รพีพงศ์เอ่ยเสียงเครียด

“ท่านอย่าได้กังวลเลย ท่านรพีพงศ์” เสียงหนึ่งดังมาจากในป่า ทั้งรพีพงศ์และนาคินทร์หันไปตาต้นเสียงก็เห็นฤาษีวิทูผู้เป็นอาจารย์ของเทพนภนต์

“ท่านฤาษีวิทู เหตุใดท่านถึงอยู่ที่นี่เล่า” รพีพงศ์พนมมือขึ้นไหว้ นาคินทร์เองก็ทำตาม จากนั้นเทพหนุ่มก็ไตร่ถามเพราะรู้ว่าฤาษีวิทูนั้นพำนักยังเชิงเขาคันธมาศไม่น่าจะมาอยู่กลางป่าเยี่ยงนี้

“ข้าอยู่ที่นี่ได้อย่างไรไม่สำคัญเท่ากับสิ่งที่ท่านตามหาตอนนี้ดอก” ฤาษีวิทูเอื้อนเอ่ย รพีพงศ์ขมวดคิ้ว ‘หรือว่าฤาษีท่านนี้จักรู้ว่าเทพนภนต์พาชลันธรไปแห่งหนใด’

“เป็นไปอย่างที่ท่านคิดนั่นแล ทั้งเทพนภนต์รวมถึงอดีตพระสมุทรเทพนั้นต่างก็มุ่งหน้าไปยังป่ากันติทัตตั้งแต่เมื่อวานแล้ว หากท่านเร่งไปในครานี้ยังพอมีโอกาสจะตามทัน” ฤาษีวิทูอ่านความคิดของรพีพงศ์ออกรวมถึงสิ่งที่รัชทายาทบัลลังก์กังวลอยู่ด้วย

“ถึงกระนั้นข้ามิสามารถเหาะเหินไปเพียงผู้เดียวได้ ท่านพอจะมีวิธีที่จะชี้แนะแก่ข้าได้หรือไม่ ท่านฤาษีวิทู”

“ท่านจงเดินทางไปทางทิศบูรพา เพียงไม่กี่เพลาท่านจะเข้าสู่ถิ่นของดุรงค์ค์ปักษิณ หลังจากที่เจอแล้วท่านก็จงคิดเอาเองว่าควรจะทำเช่นไร” เพียงได้ฟังคำชี้แนะรพีพงศ์ก็กลับมายิ้มอีกครั้ง ขอแค่ให้เจอดุรงค์ปักษิณสักตัวทุกอย่างก็จะง่ายยิ่งขึ้น

“ข้าขอบพระคุณท่านมากที่ช่วยชี้แนะ ข้าและนาคินทร์ก็ขอลาท่านไว้ตรงนี้เพื่อเดินทางต่อไป” รพีพงศ์พนมมือขึ้นไหว้ ส่วนนาคินทร์นั้นรู้ว่าตนต่ำชั้นกว่ามากจึงก้มลงกราบฤาษีผู้ทรงฤทธิ์

‘เจ้านาคเอ๋ย ฟังคำข้าเอาไว้ ความรักและหัวใจของเจ้ามันมีค่ายิ่งนัก จงมอบให้คนที่เห็นคุณค่าในตัวเจ้าเถิด’ ฤาษีวิทูใช้มือวางบนศีรษะแล้วเพ่งกระแสจิตให้นาคินทร์ได้รับรู้ถึงถ้อยคำที่อยากจะเอื้อนเอ่ยก่อนต้องลากัน เป็นข้อความที่มีเพียงฤาษีวิทูและนาคินทร์เท่านั้นที่รู้

. . .

สองกายาเดินฝ่าดงไพรมุ่งหน้าไปทางทิศบูรพาเพื่อค้นหาดุรงค์ปักษิณ ม้าครึ่งนกเพื่อเป็นพาหนะไปยังกันติทัตไพรวัลย์ เดินเท้าก้าวยาวมานานแล้วก็ยังไม่พบวี่แววสิ่งที่ตามหาหรือว่าครั้งนี้รพีพงศ์ต้องปราชัยให้กับเทพเวหา ที่ไม่สามารถช่วยเหลือชลันธร ศึกรบรพีพงศ์อาจเป็นรองแม่ทัพหลวง ศึกรักเองก็เช่นกันแต่กระนั้นรพีพงศ์ไม่คิดยอมแพ้ หลายร้อยปีก่อนตนผิดที่ให้ชลันธรไปกับเทพนภนต์ แต่ครานี้จึงจักขอแก้ไขไม่ยอมเป็นพระรองอีกต่อไป

“ท่าน…ท่านรพีพงศ์” นาคินทร์กระตุกแขนแกร่งของรพีพงศ์ให้ได้สติ รับรู้สิ่งที่อยู่ตรงหน้า ในที่สุดก็เจอสิ่งที่ตามหา

“ดุรงค์ปักษิณ!!!!”

“ท่านจะเสียงดังไปไยเล่า ประเดี๋ยวดุรงค์ปักษิณตัวนี้ตกใจวิ่งหนีเราก็จะต้องตามหาต่ออีก” นาคินทร์เผลอขึ้นเสียงดุใส่รพีพงศ์อย่างลืมตัว

“นี่เจ้ากล้าขึ้นเสียงใส่ข้ารึ” รพีพงศ์แกล้งทำเป็นไม่พอใจ นาคินทร์เองก็ตกใจจนหน้าซีดคิดว่าตนนั้นจะโดนลงโทษเป็นแน่แท้

“ข้า...ข้าขอโทษ” นาคินทร์ก้มหน้า รพีพงศ์นึกสนุกที่ได้แกล้งเชลยหน้าหวานตรงหน้า

“เอาเป็นว่าข้าจะลงโทษเจ้าทีหลัง นาคินทร์เจ้ารออยู่ที่นี่ ข้าจะเข้าไปจับดุรงค์ปักษิณ เจ้าห้ามหนี…ห้ามแม้แต่จะคิดเข้าใจใช่ไหม” รพีพงศ์ทำทีขึงขังเสียงเข้มขู่นาคินทร์ ซึ่งนั่นก็ได้ผลนาคินทร์พยักหน้ารัวเชื่อฟัง

“นั่งหลบอยู่ตรงนี้ อย่าออกมา อย่าไปไหน” รพีพงศ์ย้ำอีกที นาคินทร์ก็นั่งหลบอยู่หลังพุ่มไม้ ตาก็มองตามแผ่นหลังกว้างของเทพหนุ่มที่ตะล่อมจับอาชาครึ่งนกที่มีปีก

ดุรงค์ปักษิณตรงหน้าคืออาชาที่มีปีกและหางเป็นปักษี กายนั้นมีสีขาวบริสุทธิ์ผิดกับขนคอ หางรวมถึงกีบเท้าที่มีสีดำทมิฬ ลักษณะใหญ่โตนี้น่าจะอยู่ในช่วงโตเต็มวัยพอดิบพอดี ความใจร้อนและความคิดที่ว่าตนสามารถจับดุรงค์ปักษิณได้โดยง่ายทำให้รพีพงศ์ย่องไปทางด้านหลังหวังจะกระโดดขึ้นขี่

‘ฮี้!!!!!”

“เฮ้ย!!!!”

ไม่ทันที่จะได้สัมผัสกาย ดุรงค์ปักษิณก็เหมือนจะรู้ว่ามีภัยจึงได้หันหลังกลับแล้วยกขาด้านหน้าขึ้นมาพร้อมเหยียบรพีพงศ์ให้จมดิน อารามตกใจรพีพงศ์ล้มนอนลงบนพื้นแต่ดีที่ยังพอมีสติกลิ้งตัวหลบได้

“ท่านรพีพงศ์!!!” นาคินทร์ตะโกนลั่น ร่างบางพร้อมจะพุ่งเข้าหาคนที่นอนอยู่

“ไม่ต้องเข้ามา ข้าจัดการเจ้าม้าพยศนี้ได้!!!” รพีพงศ์ร้องห้ามแล้วลุกขึ้นกระโจนขึ้นบนหลังดุรงค์ปักษิณแต่แล้วกลับถูกเหวี่ยงตกลงบนพื้นอีกครา

“อึก!!!...ให้จับดีๆคงไม่ชอบสินะ” พาหุกระแทกลงกับพื้นปฐพีอย่างจังจนรู้สึกร้าวไปถึงกระดูก สุริยบุตรก็หาได้ยอมแพ้ใช้คาถาเสกเชือกวิเศษปรากฏในหัตถาแล้วเหวี่ยงตวัดผูกที่ขาของดุรงค์ปักษิณที่กำลังจะวิ่งหนี

‘ฮี้….ฮี้!!’ เสียงร้องดังกึกก้อง ดุรงค์ปักษิณทั้งดิ้นทั้งวิ่งวนไปมาหมายให้เชือกนี้หลุดออก รพีพงศ์ก็ออกแรงเพื่อยื้อให้อาชามีปีกนั้นได้หยุดอยู่กับที่

“เจ้าม้าครึ่งนก จงหยุดพยศบัดเดี๋ยวนี้!!!” ดุรงค์ปักษิณหาได้ฟังไม่ยังคงดื้อดึงวิ่งวนไปมาอยู่ดี นาคินทร์ที่เห็นเหตุการณ์มาโดยตลอดและรู้ดีว่ารพีพงศ์ที่บาดเจ็บเองก็เริ่มจะไม่ไหว จึงได้วิ่งออกมา

“ข้าบอกไม่ให้เจ้าออกมา เจ้าออกมาทำไมกัน!!”

“ข้าออกมาช่วยท่านอย่างไร่เล่า” นาคินทร์ตอบแล้ววิ่งไปกอดรอดุรงค์ปักษิณที่กำลังดิ้นรนหนีจากเชือกเอาไว้

“พ่ออาชาปีกงามเอ๋ยจงฟังข้าวอน…พวกข้าหาได้จับพ่อไปสังหารหรือทำอันตรายไม่ หากข้านั้นเห็นว่าพ่อสำคัญและขอวอนพ่อช่วยเหลือพวกเราโดยยอมเป็นพาหนะเพื่อการสำคัญ ได้โปรดช่วยเราด้วยเถิดพ่ออาชาปีกงาม” เสียงแผ่วหวานฝากผ่านสายลมเข้าหูของดุรงค์ปักษิณ มือสวยคอยลูบขนคอดำขึ้นลงอย่างอ่อนโยน พลันดุรงค์ปักษิณก็ยอมสงบนิ่ง ยืนให้นาคินทร์ได้ลูบตัวกอดต่อ

“ท่านรพีพงศ์ แก้เชือกที่มัดขาของดุรงค์ปักษิณนี้ออกเถิด”

“แต่มันจะหนี…”

“เชื่อข้า ดุรงค์ปักษิณตัวนี้จะยอมช่วยพวกเรา” นาคินทร์ยืนยัน รพีพงศ์จึงปลดเชือกวิเศษออกจากขา ดุรงค์ปักษิณร้องออกมาราวกับว่าดีใจที่ได้เป็นอิสระ

“พ่อเห็นไหมว่าเราไม่ทำอันตราย พ่อจะยอมให้ข้ากับท่านผู้นี้ขึ้นหลังพ่อขี่ไปยังป่ากันติทัตได้หรือยัง” ดุรงค์ปักษิณแนบใบหน้าถูกับแก้มของนาคินทร์คล้ายกับผูกมิตรแต่พอเห็นพีพงศ์กลับสะบัดหน้าหันไปทางอื่น…ดุรงค์ปักษิณตัวนี้คงจะไม่ชอบหน้ารพีพงศ์เข้าเสียให้แล้ว

“ท่านรพีพงศ์เห็นทีท่านต้องกล่าวคำขอโทษกับดุรงค์ปักษิณตัวนี้เสียแล้ว” นาคินทร์เสนอทางออก

“ว่าอย่างไรนะ ข้านะหรือต้องกล่าวคำขอโทษเจ้าม้าครึ่งนกนี่น่ะหรือ...” รพีพงศ์แทบจะคลั่งตายที่ต้องกล่าวขอโทษสัตว์ที่ทำให้ตนนั้นได้รับบาดเจ็บ

“ถ้าท่านไม่ทำเราก็จะไม่ได้ไปป่ากันติทัตด้วย เห็นทีคงจะคลาดแคล้วกับชลันธรเป็นแน่หากชักช้าไปมากกว่านี้...” นาคินทร์อ้างถึงชลันธรอย่างน้อยรพีพงศ์คงจะยอมเป็นแน่

“ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าตกใจกลัว” รพีพงศ์กล่าวเสียงเรียบ เมื่อคิดได้ว่าชลันธรนั้นสำคัญไม่ว่าจะให้ขอโทษเป็นร้อยเป็นพันครั้งตนจักต้องทำ

‘ฮี้…’ ดุรงค์ปักษิณยอมรับคำขอโทษ นาคินทร์ยิ้มกว้าง

“ข้าขอบใจพ่อมากเหลือเกิน…อืม…ข้าว่าพ่อควรจะจักมีชื่อเสียหน่อย ข้าขอตั้งชื่อพ่อว่า ‘มารุต’ ที่แปลว่าสายลมดีไหม  เมื่อครู่ข้าเห็นพ่อนั้นวิ่งเร็วไม่แพ้กระแสลมกรดเลยทีเดียว” นาคินทร์ตั้งชื่อให้ดุรงค์ปักษิณและดูท่าทางมันจะชอบใจเสียด้วย  ลิ้นชื้นเจ้าม้าปีกหางนกนี้เย้าเลียใบหน้านาคินทร์ไม่ยอมหยุด  รพีพงศ์ทำได้เพียงยืนมองแล้วคิดให้ดังได้เพียงแค่ในใจ…. ‘เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเสียจริง’...

“อย่ามัวแต่คุยกันเราต้องรีบเดินทางอีก นาคินทร์เจ้าถอยออกมาก่อน” รพีพงศ์เอ่ย นาคินทร์ก็ล่นถอยออกมา เทพบุตรพนมมือแล้วร่ายมนต์ใส่ดุรงค์ปักษิณ ก่อเกิดอานนั่งและบังเหียนขึ้นมา

“เจ้าขึ้นไปก่อนนาคินทร์” นาคินทร์ปีนขึ้นไปบนหลังมารุต แต่พอรพีพงศ์จะขึ้น เจ้ามารุตก็แกล้งเดินก้าวไปด้านหน้า

“เจ้าม้าแกลบนี่ หาเรื่องข้ารึ!!!” ด้วยความใจร้อนเป็นนิสัยทำให้รพีพงศ์ไม่พอใจดุรงค์ปักษิณจอมลำเอียงตัวนี้ เอ่ยดูถูกว่าม้าแกลบ นาคินทร์เองเห็นท่าจะไม่ดีจึงก้มตัวลงโน้มหน้าชิดติดใบหูของมารุต

“พ่อมารุตเอ๋ย ได้โปรดให้ผัวข้าขึ้นขี่หลังพ่อด้วยเถิด ข้ามิสามารถเดินทางไปไหนเพียงลำพังโดยปราศจากผัวข้าเคียงข้างกายได้ดอก” นาคินทร์กระซิบแผ่วเบาไม่ให้รพีพงศ์รู้ว่าตนได้โป้ปดอะไรออกไป มารุตเองก็เข้าใจในสิ่งที่นาคินทร์เอ่ย พลางหันมองใบหน้าหล่อเหลาราวหินอ่อนสลักของรพีพงศ์

‘ฮี่..ฮี้’ มารุตร้องออกมาเป็นการอนุญาตให้รพีพงศ์ขึ้นขี่หลัง เทพหนุ่มยิ้มออกมาแล้วขึ้นขี่หลังดุรงปักษิณซ้อนหลังนาคน้อย ต้องยกความดีความชอบให้กับนาคินทร์เสียแล้วถึงไม่รู้ว่าเมื่อครู่นั้นพูดอะไรแต่ก็สามารถทำให้มารุตแสนพยศยอมอ่อนข้อให้ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี กระนั้นรพีพงศ์ผู้ปากแข็งก็ไม่คิดชื่นชมนาคินทร์แต่อย่างใด

“มารุตออกเดินทางได้” รพีพงศ์ออกคำสั่ง มือก็กระตุกบังเหียน มารุตสยายปีกกางออกแล้วบินทะยายขึ้นสู่ท้องฟ้า ด้วยความเร็วของดุรงค์ปักษิณนาคินทร์เกือบจะทรงตัวไม่ไหว กายบางเอียงแซไปด้านข้างจะร่วงหล่นจากหลังมารุต โชคดีที่แขนแกร่งจากคนด้านหลังนั้นรวบเอวบางเอาไว้ได้ทัน

“จริงสิจะว่าไปข้ายังไม่ได้ลงโทษเจ้าที่ขึ้นเสียงกับข้าเลย” พอเดินทางได้สักพักรพีพงศ์ก็พูดขึ้นมา นาคินทร์สะดุ้งกายเล็กน้อยกลัวว่าจะถูกลงโทษรุนแรงอย่างที่ผ่านมา

“แต่ข้าช่วยท่านจับมารุต ท่านน่าจะยกโทษให้กับข้าบ้าง” นาคินทร์อ้างความดีความชอบที่ได้ทำวันนี้ หวังลบล้างความผิดที่เผลอดุรพีพงศ์ออกไป

“ไม่!!! เสียอย่างไรเจ้าก็เป็นเชลย เจ้าจำจะต้องถูกข้าลงโทษ” รพีพงศ์พูดพร้อมกับง้างมือขึ้นมา นาคินทร์หลับตาปี๋คิดว่าคงจะโดนตบตีอีกเป็นแน่แท้ รพีพงศ์หรือว่าใครคงใจร้ายกับชนชั้นต่ำอย่างตนมิต่างจากกนธี

“อ๊ะ!! เจ็บ!!!” นาคินทร์ร้องออกมา รพีพงศ์ไม่ได้ตบตีอย่างที่นาคินทร์ได้คิดเอาไว้ หากรพีพงศ์กลับใช้มือจับปลายคางอีกฝ่ายให้ชิดขึ้นแล้วก้มลงกัดริมฝีปากสวยหนักอย่างหมั่นเขี้ยว

“ทีหลังอย่ามาขึ้นเสียงกับข้าอีก แล้วก็ต้องทำตามที่ข้าสั่งเข้าใจหรือไม่” รพีพงศ์แสร้งทำเสียงดุ ทั้งที่อยากจะขำเมื่อเห็นสีหน้าแดงก่ำของนาคินทร์

“ข้า…ข้าเข้าใจแล้ว” นาคินทร์ตอบกลับน้ำเสียงตะกุกตะกัก

“ดีมาก เมื่อเจอชลันธรข้าอยากให้เจ้าไปขอโทษและช่วยเหลือชลันธร เจ้าจักทำได้หรือไม่”

“ข้าทำได้” ตบปากรับคำในทันทีเพราะว่านาคินทร์เองก็ตั้งใจที่จะทำอยู่เช่นกันเพื่อชดใช้ความผิดที่ตนได้ก่อไว้กับชลันธร แต่นอกเหนือจากนี้ยังมีอยู่อีกสิ่งหนึ่งนาคินทร์ก็ยังคิดที่จะทำให้ชลันธร

‘ข้าต้องขอโทษท่านจริงๆ ท่านรพีพงศ์ ที่ข้าจะช่วยนั้นคือให้ชลันธรได้ปรับความเข้าใจและรักกับท่านนภนต์…มิใช่กับท่าน’



















...................................

มาแล้วคิดถึงไหม คิดถึงทุกคนนะ อิอิ วันนี้มีtalkมโนมานำเสนอ

ท่านยุ่ง : อิบ้า!!! อิชั่ว!!! อิคนหื่นใจร้อน!!!

รพีพงศ์ : อะไรของท่านเนี่ย เอะอะมาด่าข้า

ท่านยุ่ง : อ้าว ไม่คิดจะกัดปากข้าหน่อยหรือ

รพีพงศ์ : ไม่!!!!

ท่านยุ่ง : เลือกปฏิบัติชิบ ทีกับนาคินทร์เอะอะจูบ เอะอะกัดปาก คิดไม่ซื่อกับนาคน้อยของข้าใช่ไหม

รพีพงศ์ : ข้าจะคิดอะไร ทำอะไรก็เรื่องของข้าอีกอย่างนาคินทร์เป็นเชลยของข้าไม่ใช่ของท่าน ท่านจงเอาเวลาที่มาหยอกข้าไปเขียนกาพย์ให้เสร็จเสียเถิด ได้ข่าวว่าเพิ่งจักเขียนให้ชลันธรหนี อย่างไรก็ให้หนีมาที่ข้าก็แล้วกัน อ่อ ถ้าท่านเหงามากจนมาแกล้งข้าเล่นเยี่ยงนี้แนะนำให้ท่านไปหาผัวเสียจะได้หายเหงา ฮ่า ฮ่า ฮ่า

ท่านยุ่ง : ประโยคอื่นข้าไม่เจ็บปวดเท่ากับที่ไล่ข้าไปหาผัว ÷@==$%÷×! ไอ้รพีพงศ์บ้า เกลียดคนมีคู่ ฮือ T^T



จบการtalk แค่นี้พอไร้สาระมาก 555555

หวังว่าตอนนี้ทุกคนจะชอบกัน ทีมเรือเพลิง(ขอตั้งชื่อให้เป็นทางการ)คงจะแล่นไปถึงป่ากันติทัตนะคะ ส่วนเรือเหาะผัวเมียเขายังวิ่งเล่นซ่อนแอบในป่า 555555

สุดท้ายนี้เช่นเดิมขอขอบคุณทุกคนทร่มาอ่าน คอมเม้น เป็นกำลังใจนะคะ รัก...จุ๊บ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.15 P.6 (03/06/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 03-06-2017 08:07:48
ตามนั้นนะจ๊ะนาคินทร์ ถ้ารพีไม่ยอมรู้ใจตัวเองเสียที งานนี้คงได้มีมหกรรมเมียหนีกันบ้างละ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.15 P.6 (03/06/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 03-06-2017 20:19:44
ตามนั้นนะจ๊ะนาคินทร์ ถ้ารพีไม่ยอมรู้ใจตัวเองเสียที งานนี้คงได้มีมหกรรมเมียหนีกันบ้างละ


หนีไม่พ้น รพีพงศ์ไม่ปล่อยเชลยให้คลาดสายตาเป็นแน่ค่ะ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.15 P.6 (03/06/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 04-06-2017 21:11:24
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ประกาศโปรดอ่าน P.6 (13/06/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 13-06-2017 18:43:03
​ตอนนี้นิยายตอนที่ 16-17 เสร็จแล้วค่ะแต่ยังแก้ไม่เสร็จจึงเกิดความล้าช้า

ดังนั้นท่านยุ่งขอฝากทุกคนติดตามเพจในเฟสบุ๊คนะคะ จะอัพความคืบหน้าเป็นระยะและยุ่งเองก็จะปั่นตอนที่ 18-19 และเรื่อยๆเพื่อที่จะได้แก้เลยและไม่เกิดความล้าช้าอีก

ขอโทษผู้อ่าน ผู้ติดตามทุกคนนะคะ ท่านยุ่งยังอยู่ไม่ไปไหน อย่าทิ้งกันนะคะ นิยายเรื่องนี้ปั่นจนจบแน่ วางโครงเรื่องในตอนไว้หมดแล้ว

รักนะคะ คิดถึงทุกคน
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ประกาศโปรดอ่าน P.6 (13/06/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: แม่น้องเปา ที่ 13-06-2017 19:12:54
ไม่ทิ้งค่ะ..พี่รอเจ้าอยู่ทุกคืนวัน..แม้ยามฝันในนิทรา  :กอด1: :mew3:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ประกาศโปรดอ่าน P.6 (13/06/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 15-06-2017 09:13:48
รออยู่น้า~
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ประกาศโปรดอ่าน P.6 (13/06/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 15-06-2017 23:40:39
ชอบแนวนี้มากกก ติดตามมมมมๆๆๆๆ :heaven
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ประกาศโปรดอ่าน P.6 (13/06/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 16-06-2017 00:28:23
รอจ้าา
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ประกาศโปรดอ่าน P.6 (13/06/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 16-06-2017 01:05:47
 :pig4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ประกาศโปรดอ่าน P.6 (13/06/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Pe_no ที่ 16-06-2017 16:52:20
รอต่อไปจ้า :mew2:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.16 P.6 (19/06/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 19-06-2017 07:54:18
​สาปรัก…ทัณฑ์เทวา

Writer : Tan-Yung 0209

File : 16

















ในบางครั้ง ‘คำพูด’ เพียงเล็กน้อยนั้นก็เปรียบเสมือนโอสถชั้นดีที่เยียวยารักษาโรคภัยให้ทุเลา คำพูดแสนหวานพาให้จิตใจผู้ฟังนั้นลุ่มหลง หรือจะเปรียบดั่งขนมรสหวานที่ชวนให้ลิ้มรสแล้วปรากฏรอยยิ้มทุกครั้งเมื่อกลืนลงท้อง แต่ทว่า… ‘คำพูด’ ที่พลาดพลั้งไม่ทันคิดด้วยสติที่เอื้อนเอ่ย โดยเฉพาะเมื่อมันมาจากคนที่รักอย่างสุดหัวใจ มันก็มิได้ต่างจากคมมีดที่กรีดเฉียดลงไปในจิตใจคนฟัง หรือไม่ต่างจากเข็มปลายแหลมนับพันเล่มที่ทิ่มแทงให้เจ็บปวดไปทั่วทั้งกายใจ เช่นเดียวกับใจของที่ชลันธรในตอนนี้นั้นกำลังเผชิญกับสิ่งนี้อยู่

อดีตเทพพระสมุทรอาศัยความมืดจากเงาไม้หลบซ่อนกายมิให้นภนต์ได้เห็น มือเรียวทั้งสองซ้อนทับปิดปากแน่นกลั้นเสียงสะอื้นไม่ให้ดังออกไป เว้นเสียแต่หยาดน้ำใสที่หลั่งรินไหลลงมาเป็นทางยาวเปรอะเปื้อนปรางค์ขาวอยู่นั้นมันเกินกลั้นด้วยคำพูดของคนรัก

“ชลันธร!!!…ชลันธรเจ้าอยู่ไหน!!!” คนขี้หึงแสนใจร้ายในสายตาของชลันธรร้องเรียกหาเขาไม่ยอมหยุดหย่อน แล้วเหมือนก็จะใกล้เข้ามาทุกทีๆ ชลันธรพยายามแทรกกายซ่อนเข้าไปในโพรงไม้ใกล้ๆ หมายจะให้นภนต์นั้นไม่พบเจอตน

‘แกร็ก’ เสียงกิ่งไม้แห้งบนพื้นแตกหัก เพราะเท้านั้นเผลอเหยียบย่ำยิ่งทำให้ชลันธรใจสั่น ด้วยว่านภนต์กำลังเดินอยู่บริเวณที่ซ่อนตัวของชลันธร ผู้หลบซ่อนพยายามแนบตัวเองให้เบียดชิดเข้าไปในโพรงไม้ให้มากที่สุด ภาวนาให้คนใจร้ายนั้นไม่เห็นตน

ด้วยการภาวนาของชลันธรนั้นกลับเป็นจริง มิรู้สิ่งใดดลใจเทพหนุ่มเมื่อนภนต์เดินผ่านไปอีกทิศ ปากก็ยังร้องเรียกตะโกนชื่อชลันธร จนเสียงที่ดังชัดก็ค่อยๆแผ่วลงเรื่อยๆ แสดงถึงระยะห่างของเทพนภนต์ และในที่สุดก็เงียบหายไป ความเงียบก็ปกคลุมบริเวณโดยรอบ ชลันธรจึงค่อยๆ เดินออกมาจากโพรงไม้ที่ซ่อนกาย

‘ฮึ...คนใจร้ายกว่าจะไปได้...’

ดวงตาเรียวกวาดมองไปรอบๆ เมื่อเทพเวหาไม่ได้อยู่ที่แห่งนี้แล้ว ไม่ปรากฏแม้แต่เงาหรือเสียง ชลันธรโล่งใจที่หนีจากนภนต์ได้ แต่อีกใจนั้นกลับว้าเหว่ไม่น้อยที่ต้องอยู่ท่ามกลางป่ากันติทัตเพียงลำพัง

… ‘นี่ไม่ใช่เวลาที่เราจะมายืนคิดมาก อย่างไรเสียการไปวิมานของเทพแห่งกาลเวลานั้นสำคัญยิ่งกว่า’…

อดีตเทพพระสมุทรมองหาทิศที่ตั้งของวิมานจิรันดร เมื่อกำหนดทิศทางได้แล้วก็เดินหน้าออกไปพร้อมกับคิดที่จะทิ้งหัวใจ ความรักของตนเอาไว้ที่นี่ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ… ‘เราจะต้องโกรธ ต้องเกลียด ต้องไม่รักท่านให้ได้…ท่านนภนต์’

เท้าที่ก้าวยาวไม่หยุดเปรียบเสมือนเวลาที่หมุนเวียนเปลี่ยนผันไม่หยุดเช่นกัน ทินกรเริ่มลาลับหลีกทางให้จันทราได้เข้ามาเยือน แสงสุรีจางหาย เงามืดก็กล้ำกรายเข้ามาก่อเกิดความกลัวในจิตใจให้กับมนุษย์หนุ่มที่ยังคงเดินไม่หยุดหย่อนแม้จะหวาดระแวงอยู่บ้าง

ขณะที่ชลันธรเดินอยู่นั้น หารู้ไม่ว่ามีไกรสรราชสีห์ซุ่มหมอบอยู่หลังพุ่มไม้ ตาคมดุสีอำพันจ้องมองเหยื่อไม่วางตา กลิ่นหอมของมนุษย์ซึ่งหายากยิ่งที่จะพบเจอในป่ากันติทัตแห่งนี้ ยิ่งทำให้ไกรสรราชสีห์ตัวนี้ใคร่หมายอยากจะได้ชลันธร จึงได้ซุ่มหมอบรออย่างใจเย็นให้เหยื่อนั้นเผลอ พอได้จังหวะก็กระโจนเข้าหาชลันธรทันทีอย่างไม่ระวังตัว

“โฮก!!!!!!!!”

เสียงร้องคำรามดังของไกรสรราชสีห์ที่มาจากทางด้านหลัง ด้วยสัญชาตญาณทำให้ชลันธรรู้ตัวดีว่ากำลังมีภัยมาถึงตัว แต่ทว่ากายนั้นไม่สามารถหลบหนีไปได้ในเมื่อสัตว์ตัวโตอยู่ตรงหน้าในระยะประชิด ในเวลานี้มือบางเพียงคว้าท่อนไม้ท่อนหนึ่งที่พอจะหยิบฉวยขึ้นมาได้ ใช้มันมาเป็นอาวุธ

‘ปึก’

ท่อนไม้ลอยละลิ่วหวังจะให้เข้าแสกหน้าราชสีห์แผงคอแดงแต่กลับพลาดเป้า เพราะราชสีห์นั้นหลบได้ทันท่วงที ท่อนไม้ที่ปากลับกระแทกกับขอนไม้ด้านหลังจนแตกหัก กระนั้นก็สามารถเบี่ยงเบนความสนใจให้กับไกรสรราชสีห์ได้ อดีตเทวาแห่งมหาสมุทรจึงวิ่งหนีหมายจะเอาชีวิตให้รอดพ้นคมเขี้ยวราชสีห์นี้

‘ท่านพี่…ท่านพี่นภนต์ได้โปรดช่วยน้องด้วยเถิด’

เมื่อใดที่เข้าสู่ยามคับขันเช่นนี้ ทิฐิหรือสิ่งที่เคยตั้งใจเอาไว้ว่าจะตัดสัมพันธ์กับคนรักก็มลายหายไปหมดสิ้น ในยามที่ความกลัวเข้ามาครอบครองจิตใจนี้…เทพนภนต์คือผู้เดียวที่ชลันธรนั้นคิดถึง เทพนภนต์คือผู้ที่ช่วยเหลือชลันธรให้รอดพ้นอันตรายอยู่เสมอ

“โอ๊ย!!!” ความรีบร้อนทำให้ชลันธรไม่ทันดูจึงสะดุดกับรากไม้ล้มลง ไกรสรราชสีห์จึงตามมาทัน สัตว์สี่เท้าค่อยๆเดินย่างกรายไม่เร่งรีบ เมื่อเหยื่อตรงหน้านั้นบาดเจ็บไม่สามารถจะลุกขึ้นวิ่งหนีได้ ร่างโปร่งสั่นกลัวความตายอยู่ใกล้ตรงหน้า… ‘จากนี้ชลันธรคงเหลือเพียงชื่อ’

“โฮก!!!!!!!!!!” ไกรสรราชสีห์กระโจนเข้าตะครุบร่างชลันธรให้นอนราบกับพื้น สองกรเล็บคมกดตรึงสองแขนของร่างบางให้หยุดนิ่ง เมื่อทั้งสองเผชิญหน้ากัน ใบหน้าหนึ่งถึงจะแสนหวานแต่ก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ส่วนอีกใบหน้าหนึ่งใบปากกว้างนั้นเต็มไปด้วยคมเขี้ยวแสนน่าเกรงขาม นี่คือสิ่งสุดท้ายที่ชลันธรรับรู้ก่อนที่ทุกสิ่งจะดับวูบไป…ไร้ซึ่งความรู้สึก

. . .

ด้านเทพนภนต์ผู้ทรงฤทธิ์ดั้นด้นตามหาชลันธรที่หลบหนีอย่างไม่ลดละ ยิ่งค้นหาเท่าไหร่ก็ยังไม่ทีท่าว่าจะเจอ เพราะป่านี้นั้นกว้างขวางซ้ำยังใกล้จะค่ำแล้วด้วย...ไม่รู้ว่าชลันธรนั้นหนีหรือแอบซ่อนตัวอยู่ที่ใด …‘เห็นทีเราคงต้องย้อนรอยกลับไปที่เก่าเสียแล้วกระมัง...เผื่อชลันธรอาจจะหายโกรธแล้วกลับไปรออยู่ที่เดิม’…เมื่อคิดได้อย่างนั้นแล้วนภนต์ก็รีบย้อนกลับไปทางเดิมเพื่อพบเจอชลันธร

‘ท่านพี่…ฮือ..อ…ท่านพี่นภนต์ช่วยน้องด้วย’

เสียงหวานแสนคุ้นเคยนั้นผุดดังก้องขึ้นมาในใจ…ทุกครั้งที่ได้ยินมักจะเกิดเหตุการณ์ร้ายๆกับชลันธรอยู่เสมอ ชลันธรกำลังตกอยู่ในอันตราย...ไม่ได้การเสียแล้ว นภนต์จึงรีบเร่งตามหาชลันธรโดยพลัน

“ชลันธร!!!!!...ชลันธรเจ้าอยู่ไหน!!!!” ทั้งร้องเรียกทั้งวิ่งหา ก็ไม่ยินแม้แต่เสียงลมหายใจหรือว่าเห็นแม้แต่เงา บรรยากาศโดยรอบก็มืดมิดเสียจนนภนต์เริ่มมองไม่เห็นอะไร ตนนั้นก็ไม่ได้มีเนตรเพลิงเช่นเผ่าพันธุ์สุริยะเสียด้วยสิ ที่จะสามารถมองเห็นได้ในเวลากลางคืนหรือในที่มืดมิด

‘พั่บ…พั่บ…พั่บ’ เสียงปีกขยับของวิหคน้อยตัวหนึ่งที่กำลังกลับรังบินผ่านเหนือศีรษะ ของนภนต์ เมื่อเทพหนุ่มเหงนใบหน้ามองขึ้นไปก่อนที่จะฉุดนึกขึ้นได้ว่าจะสามารถตามหาชลันธรด้วยวิธีใด

“จงบินมายังข้า” เทพแห่งท้องนภาผู้นายเหนือหัวแห่งเผ่าพันธุ์ทวิชาชาติทั้งปวงเพียงเอ่ยขานเรียกวิหคน้อยที่บินอยู่นั้นให้ลงมาหาตน กรแกร่งถูกยกขึ้นมาให้หลังมือหนานั้นเป็นฐานให้นกน้อยได้ลงเกี่ยวเกาะ

“ท่านผู้เป็นใหญ่แห่งเวหา ท่านมีอันใดหรือ” วิหคน้อยเอ่ยถาม

“เจ้าบินไปมาในป่ากันติทัตแห่งนี้เจ้าเห็นมนุษย์ผิวขาวผ่องเดินผ่านแถวนี้หรือไม่” นภนต์ถาม ใจนึกลุ้นให้สิ่งที่นกน้อยตัวนี้นั้นเห็นเป็นชลันธร

“มนุษย์หรือ...ข้าเห็นอยู่คนหนึ่งนะนายท่าน...” คำตอบเป็นไปตามคาด นภนต์เผยยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจ

“หากมนุษย์นั้นเป็นผู้เดียวที่เดินอยู่ในป่า ก่อนหน้านี้ข้าเห็นกำลังหนีไกรสรราชสีห์ตัวหนึ่งที่กำลังตามไล่ล่า…” รอยยิ้มกว้างนั้นหายไปฉับพลัน เมื่อประโยคตามหลังนั้นสแลงหู ที่นับว่าเป็นเรื่องร้าย…ร้ายเสียจนนภนต์จุกแน่นอยู่กลางอก

“จะ..เจ้าจำได้หรือไม่ว่า...เจ้าเห็นมนุษย์ผู้นั้นอยู่แห่งหนใด” นภนต์เริ่มควบคุมอารมณ์ไว้ไม่อยู่ แสนสุดห่วงด้วยเสน่หา

“ท่านวิ่งตามข้ามาเถิด เดี๋ยวข้าจะบินนำท่านไปเอง” นกน้อยเสนอแล้วบินขึ้นนำในทันทีทางนภนต์ นภนต์แม้อยากจะล้มลงทรุดกับพื้น หากต้องรวบรวมแรงกาย แรงใจ ตามนกตัวนี้ไปหาชลันธร

… ‘ชลันธรเจ้าอย่าได้เป็นอันใดเลย พี่กำลังจะไปช่วยเจ้าบัดเดี๋ยวนี้ หากเจ้าเป็นอะไรไป  แล้วพี่จะมีลมหายใจอยู่ต่อไปได้เช่นไรกัน...’

“ถึงแล้ว !!!”

ไม่นานนักวิหกน้อยก็นำพานภนต์มาถึงที่หมาย นภนต์อาศัยแสงเพ็ญแขแลไปยังรอบบริเวณ ไร้ร่างของชลันธร ไร้รอยเลือด ก็ยังมีหวังมีโอกาสที่ชลันธรนั้นจะรอด ก่อนจะย่อกายลงก้มมองรอยเท้าของคนรักที่มีรอยเท้าของไกรสรราชสีห์ปะปนกันอยู่ใกล้ๆ รอยเท้ายังใหม่ มันยังเกิดขึ้นได้ไม่นานนัก นภนต์ค่อยแกะรอยตามรอยเท้าไปเรื่อยๆ จนสังเกตเห็นเศษผ้าที่แสนคุ้นตาจากอาภรณ์ที่ตนได้มอบให้กับชลันธร เทพหนุ่มหยิบผ้าขึ้นมาแล้วกำแน่นเอาไว้ในฝ่ามือ รอยเท้าของชลันธรสิ้นสุดเพียงตรงนี้เท่านั้นพอทอดสายตาออกไปก็พบเจอเพียงรอยเท้าของไกรสรราชสีห์เท่านั้นนับว่าเป็นเรื่องแปลกเป็นอันมากและที่สำคัญไปกว่านั้น เทพแห่งท้องนภาสังหรณ์ใจไว้ว่าชลันธรจะต้องถูกราชสีห์แผงคอแดงจับตัวไปอย่างแน่นอน

“เจ้าต้องปลอดภัย…ชลันธร” นภนต์ให้คำมั่นแล้วตามรอยไกรสรราชสีห์ต่อไป

. . .

“อืม…” เปลือกตาที่ปิดอยู่ค่อยๆเปิดออกอย่างช้าๆ ที่พบตรงหน้านั้นคือเพดานของถ้ำ แห่งหนึ่ง ชลันธรส่งเสียงครางฮึมฮัมในลำคอ ‘นี่เรายังไม่ตายหรอกหรือ…จริงสิหากเราชีวาวายแล้วคงจักไม่ได้ผุดได้เกิด ดวงวิญญาณคงแตกสลายไปแล้ว ตามดวงชะตาที่ถูกกำหนดไว้’

เมื่อคิดได้อย่างนั้นชลันธรก็ตั้งสตินึกย้อนความทรงจำครั้งสุดท้าย ภาพเหตุการณ์ย้อนมาเป็นภาพไกรสรราชสีห์พุ่งเข้าหาหลังจากนั้นตนก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย

‘หมับ’ ในระหว่างที่กำลังคิดอยู่นั้นแขนขาวก็กอดพาดที่หน้าท้องเรียบของชลันธร นิ้วเรียวราวเทียนไขก็ลูบไล้ขึ้นมาจนถึงแผ่นอกของชลันธร อดีตเทพมหาสมุทรสะดุ้งโหยงแล้วก้มมองต่ำ บัดนี้กายของตนนั้นเปลือยเปล่ามีเพียงผ้าแพรพาดปิดกลางกายเอาไว้เท่านั้น พอไล่สายตามองไปที่เจ้าของมือ หญิงสาวเกศาสีแดงสดดั่งผ้ารัตนกัมพลสยายปกปิดร่างกายเปลือยเปล่าเช่นกัน… ‘เกิดอันใดขึ้นในตอนที่เราหมดสติ’ คำถามที่ต้องการคำตอบทำให้ชลันธรนั้นวางหัตถาไปที่ไหล่เนียนแล้วเขย่าเบาๆ

“ผัวข้า…ท่านตื่นแล้วหรือ” หญิงสาวเอ่ยขึ้นมาน้ำเสียงงัวเงีย นั่นไม่สำคัญเท่ากับสรรพนามที่สตรีผมแดงนั้นเรียกขานชลันธร

“ผัว... เจ้าหมายถึงใครกัน” ชลันธรเอ่ยถาม มือบางก็หยิบภูษาเข้าห่มคลุมกายเอาไว้ไม่ให้เปล่าเปลือยเกินไปนัก ผิดกับหญิงสาวที่ไม่นึกอายทั้งที่กายไม่มีอาภรณ์มีเพียงเกศาสีแดงยาวสลวยปิดบังบางส่วนของกายเท่านั้น ด้วยแววตากลมโตที่แสนยั่วกำลังจ้องมองตน กลายเป็นว่าชลันธรต้องเบือนหน้าหนีหันไปมองทางอื่นแทน

“ท่านคิดว่าใครกันเล่า ในที่นี้มีเพียงท่านกับข้าเท่านั้น” หญิงสาวจีบปากจีบคอตอบ อีกทั้งยังกอดกายพร้อมเบียดปทุมถันอันอวบอิ่มเต่งตึงใส่ ชลันธรจึงขืนตัวและดันตัวอีกฝ่ายออกไป

“เรามั่นใจว่าเรากับเจ้าหาได้เป็นอะไรกันทั้งสิ้น” ชลันธรเอ่ยเสียงแข็ง

“เพลานี้ไม่...แต่ในอนาคตนั้นข้ามั่นใจว่านั้นจักเป็นผัวของข้า”

“เจ้าเป็นหญิงจะมาพูดจาเยี่ยงนี้ ทำตัวเยี่ยงนี้ได้อย่างไรกัน ไม่รู้จักบัดสีหรือไร” ชลันธรพยายามสะกดอารมณ์เอาไว้ อย่างน้อยอีกฝ่ายก็เป็นสตรีจะวู่วามลงมือทำร้ายก็ดูไม่ดีนัก

“ไม่…ข้าถูกใจท่านตั้งแต่ในป่าแล้ว ข้าอยากได้ท่านมาเป็นผัวแต่ท่านกลับวิ่งหนีแล้วสลบไป ข้าก็เลยคาบท่านเหวี่ยงขึ้นหลังแล้วพามา….ที่นี่”

“หรือว่าเจ้าจะเป็น….”

“ใช่แล้ว ข้าเป็นไกรสรราชสีห์ตัวนั้น ข้ามีนามว่า ‘อุรพี’ ว่าแต่ท่านมีนามว่าอันใดหรือ” นางอุรพีลุกขึ้นคร่อมตัวชลันธรเอาไว้แล้วนั่งลงบนกายที่มีเพียงผ้าแพรผืนบางกั้น

“เจ้าลงจากตัวของเราเสียก่อน แล้วเราจักตอบเจ้า” ชลันธรเอ่ย แก้มแดงปลั่งด้วยความกระดากอาย นอกจากมารดาแล้วชลันธรก็หาได้ใกล้ชิดสตรีนางไหนขนาดนี้มาก่อน

“ท่านอายหรือนี่ ก็ได้ข้าจะลงจากตัวของท่าน” นางอุรพีเอามือปิดปากกลั้นขำเล็กน้อยแล้วขยับกายลงมานั่งบนเตียงแทน ตั้งแต่เกิดมานางก็เพิ่งเจอบุรุษที่ไร้เดียงสาอย่างคนตรงหน้า

“เราชื่อชลันธร” พอเห็นว่านางอุรพีลงจากกายจึงบอกนามของตนไปตามสัญญา ชลันธรที่นอนอยู่ก็ลุกขึ้นนั่งตาก็มองหาอาภรณ์ของตน

“ท่านมองหาอะไรหรือ…ท่านชลันธร” นางอุรพีเอ่ยถามน้ำเสียงเย้ายวน

“เสื้อผ้าของข้า เจ้าเอามันไปไว้ตรงไหน” ชลันธรถาม ตนนั้นไม่อยากอยู่ในสภาพล่อแหลมกับสตรีสองต่อสองเยี่ยงนี้ หากใครเข้ามาเจอมีหวังจักต้องเข้าใจผิดเป็นแน่

“อุรพี!!!!!! ทหารในเผ่าบอกข้าว่าเจ้าพามนุษย์มา!!!” ‘ฉมา’ ส่งเสียงอันทรงพลังของพญาสิงห์ดังเข้ามา ก่อนที่ร่างสูงใหญ่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแน่นเป็นมัดกำยำนั้นจะย่างกรายเข้ามา  บุรุษผู้น่าเกรงขามผู้นี้มีหนวดเคราสีขาวแซมสีแดงที่มิได้ต่างจากเส้นผมของอุรพี กำลังตรงเข้ามายังที่อุรพีและชลันธรอยู่

“ท่านพ่อ!!! อยู่ๆจะเข้ามาเยี่ยงนี้ได้อย่างไร หากข้ากำลังทำกิจกามกับชลันธรอยู่เล่า ข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน” นางอุรพีเอ่ยมือก็คว้าเอาผ้าที่ตกอยู่ตรงพื้นมาคลุมร่างกายเอาไว้ ไม่สะทกสะท้านที่บิดาของนางนั้นเข้ามา

“นังลูกไม่รักดี ข้าเลี้ยงเจ้าให้เป็นกุลสตรีหมายจะให้แต่งกับอินคา นี่อะไรเจ้ากลับนำมนุษย์มาเป็นผัวของเจ้า” ไม่พูดเปล่าฉมาก็ส่งสายตาไม่พอใจพร้อมสังหารมายังชลันธรที่นั่งนิ่งฟังสองพ่อลูกถกเถียงกัน

“ข้าไม่รัก ข้าไม่ชอบอินคา ท่านพ่ออย่าหมายมาบังคับข้า ท่านพ่อเองก็เห็นว่าข้ากับท่านชลันธรเป็นผัวเมียกันแล้ว อย่างไรเสียพรุ่งนี้ท่านจักต้องจัดพิธีวิวาห์ให้แก่ข้ากับท่านชลันธรด้วย” นางอุรพีเอ่ยออกมา ไม่ยอมอ่อนข้อให้ผู้เป็นบิดา ชลันธรเองก็จะอ้าปากบอกกับฉมาว่าตนยังไม่ได้ล่วงเกินอุรพีแม้แต่น้อย หากนางอุรพีหันมาส่งสายตาแกมขอร้องทำนองว่าให้ตนนั้นอย่าปริปากพูดออกไป

“ฮึ!!! ก็ได้ข้าจะจัดพิธีให้กับเจ้าและจงจำเอาไว้ว่าถ้ามีโอกาสข้าจะฉีกเนื้อมนุษย์ผู้นี้เป็นชิ้นๆ” ฉมากระทืบเท้าไม่พอใจแล้วเดินออกไป ถึงอยากจะคัดค้านแต่บุตรีมีราคีเสียแล้ว ทั้งฉมานั้นเคยสาบานกับมารดาอุรพีไว้ก่อนนางจะสิ้นชีพว่าจะดูแลเอาใจใส่อุรพีอย่าได้ขัดใจเป็นอันขาด ตนนั้นจึงตามใจอุรพีจนกลายติดนิสัยเอาแต่ใจ ฉมาจึงจำใจต้องจัดพิธีให้กับอุรพีและชลันธรด้วยความไม่เต็มใจ

“ท่านอย่าได้กลัว ท่านพ่อของข้าจะไม่ฉีกผัวข้าเป็นชิ้นๆดอก” นางอุรพีดูเหมือนจะไม่สนใจคำของฉมาสักเท่าไรก็หยิบผ้าคลุมส่งให้ชลันธร

“ใยเจ้าต้องพูดปดกับบิดาของเจ้าด้วย”

“ก็ข้าอยากให้ท่านเป็นผัวของข้าและท่านนั้นต้องเป็นด้วย” นางอุรพีเอ่ยแล้วโน้มใบหน้าลงมาประทับริมฝีปากของตนลงบนริมฝีปากของชลันธรอย่างแผ่วเบา...

จากพื้นปฐพีแห่งผืนไพรีกันติทัต สู่การดำดิ่งลงไปจนลึกสุดจรดผืนทรายยังโลกสีครามนครบาดาล ณ วิมานของเทพผู้ยิ่งใหญ่เหนือใครทั้งปวงในห้วงท้องสมุทร เทพมหาสมุทร ‘กนธี’ กำลังนั่งให้บรรดานางสนมทั้งหลายคอยปนเปรอ บ้างก็ร่ายรำ บ้างก็มานั่งตักยั่วยวนชวนลิ้มรสผลไม้รสหวานในมือ บ้างก็คอยชวนคุยออเซาะหวังจะได้เล่นบทสวาทบนบรรจถรณ์ กล่าวมานั้นดูเหมือนกนธีจะมีความสุขแต่ก็หาเป็นเช่นนั้นไม่…

“ออกไป!!! พวกเจ้าออกไปให้หมด!!!” เสียงตวาดของกนธี ไล่เหล่าสาวงามเคียงข้างกายให้ออกไป พอเหล่านางสนมถูกไล่ต่างก็รีบถอยหนีเพราะเกรงกลัวหากชักช้าไม่รีบออกไป พระสมุทรอาจจะพิโรธหนักขึ้น หากจำต้องทัณฑ์พระสมุทรด้วยแล้วก็คงจะไม่เป็นการดีแก่ชีวิตเป็นแน่แท้

‘หามีใครทำให้ข้าพึงพอใจเท่ากับนาคินทร์ไม่’

กนธีนึกถึงนาคน้อยที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อตนและตนก็เป็นฝ่ายไล่ให้ออกไป สิ่งน่าเจ็บใจยิ่งนักนั่นก็คือตลอดเวลาที่นาคินทร์จากไปแม้เพียงไม่กี่วัน กนธีกลับถวิลหานาคินทร์ทุกครั้งในยามที่อยู่ตามลำพัง…ป่านนี้นาคินทร์คงจะกลายเป็นอาหารของเหล่าพญาครุฑได้ลิ้มรสไปเสียแล้ว

“ท่านกนธี!!!” เสียงเรียกจากทหารคนสนิทนายหนึ่ง เมื่อพระสมุทรได้ยินคนเรียกหาก็กลับมามีสติอีกครั้ง

“เจ้ามีอันใดจึงกล้าเข้ามาพบข้าถึงที่นี่ หากธุระของเจ้ามิใช่การสำคัญข้าจักลงโทษเจ้าสถานหนัก”

“ขออภัยที่ข้าเข้ามาอย่างอุกอาจโดยมิได้รับอนุญาต แต่ข้ามีการสำคัญจริงๆ ข้าได้รับแจ้งจากเหล่านางเงือกที่มหานทีสีทันดรเกี่ยวกับข่าวของท่านชลันธร” ทหารกล้ารีบรายงาน

“ชลันธรอย่างนั้นรึ” กนธีแทบจะไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยินหลายวันมานี้ตนเองก็ให้ไพร่พลบางส่วนสืบหาแต่ก็ไม่มีร่องรอย

“ใช่แล้วท่านกนธี จากการที่ท่านนั้นได้สั่งพวกข้าออกตามหา ข้าเองก็ได้ดั้นดนไปจนถึงมหานทีสีทันดรจึงได้ทราบว่าหลายวันก่อนนั้นบุรุษหน้าตาละม้ายคล้ายอดีตเทพมหาสมุทรองค์ก่อนถูกเทพนภนต์อุ้มบินข้ามมหานทีไปยังดินแดนหิมพานต์”

กนธียกยิ้มขึ้นมาเมื่อได้รับข่าวดี ในที่สุดโอกาสที่จะได้ครอบครองดวงใจที่ตามหามาแสนนาน พระสมุทรก็กลับมาอีกครั้ง… ‘เห็นทีราตรีนี้คงต้องคิดหาวิธีแย่งชิงตัว ‘หลานรัก’ จากนภาเทพเสียแล้ว’

“แต่…” กนธีที่กำลังอารมณ์ก็ต้องหน้าบึ้งตึงเมื่อได้ยินคำที่ชวนให้รับรู้ว่ามันไม่ได้มีเพียงเรื่องดีเท่านั้น ตาคมจ้องมองไปยังทหารคนสนิทที่ก้มหน้าก้มตาจนตัวสั่น…ท่าทางคงจะเป็นเรื่องที่ชวนให้เทพมหาสมุทรนั้นอารมณ์เสียพอควร

“แต่อะไรรีบบอกข้ามา อย่ามัวชักช้า!!!”

“นอกจากท่านชลันธรกับเทพนภนต์แล้ว…เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้พวกนางเงือกก็ยังเห็นนาคินทร์เดินทางไปป่าหิมพานต์กับท่านรพีพงศ์บุตรแห่งสุริยเทพอีกด้วย”

‘เพล้ง!!!!’

เทพมหาสมุทรเกรี้ยวกราด พระหัตถ์หนาจับของใกล้มือปาทิ้งลงพื้น ก่อนจะกำหมัดข่มอารมณ์โมโหโกรธาไม่ให้สำแดงออกมามากไปกว่านี้ ใครก็รู้ว่ารพีพงศ์นั้นมีจิตเสน่หาในตัวชลันธร การที่เดินทางไปช่วยเหลือนั้นจึงเป็นสิ่งที่กนธีคาดเดาไม่ยากและหากบุตรแห่งสุริยาจะเดินทางเพียงลำพัง กนธีนั้นมิได้คิดใส่ใจด้วย แต่ทว่านาคินทร์ที่ตนนั้นเพิ่งขับไล่กลับไปอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับตนได้เสียอย่างไร ก้อนเนื้อตรงอกด้านซ้ายนั้นรู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก…

 ‘นาคินทร์...นี่เจ้าคิดแปรพักตร์หักหลังข้ากระนั้นหรือ…ดี...เราจักได้เห็นดีกัน’

“ทหาร!!! จงเร่งจัดราชรถให้ข้า ข้าจักเดินทางขึ้นไปยังชั้นฟ้า”

เพลานี้การที่จะลงมือทำเพียงผู้เดียวเห็นทีคงจักเป็นไปได้ยาก กนธีจึงให้คนจัดเตรียมราชรถไปยังไตรทิพย์เพื่อเชิญ ‘เทวา’ มาช่วยเหลือ

“ไม่ว่าจะเป็นนภนต์ ชลันธร รพีพงศ์หรือนาคินทร์ ไม่ว่าใครก็อย่าได้หามีชีวิตรอดทั้งนั้น กนธีผู้นี้จะขอทำลายมันให้ไม่เหลือแม้แต่ซาก...”





























.................................

ข้ากลับมาแล้ว พวกท่านคิดถึงข้าและนิยายของข้าหรือไม่

ข้าคิดถึงเจ้ามากเลยนะ...#ปากหวานไว้ก่อนเพราะมีลางร้ายว่าจะถูกคนอ่านรุมกระทืบ

ข้ากลับมาครั้งนี้ข้ามิได้มาตัวเปล่า ข้ามาพร้อมกับมาม่าแสนอร่อยรสชาติเบาๆให้พวกท่านได้กล้ำกลืนฝืนกินอย่างเต็มใจ

ต่อจากนี้นิยายข้าจะกลับมาไม่ช้าไปกว่านี้อีกแล้ว ขอบคุณทุกท่านที่รอคอยแม้ในมือท่านจะถือมีด ถือหิน ก็ตาม

สุดท้ายนี้ข้าขอแจกสาส์นร่วมเป็นสักขีพยานความรักในงานมงคลสมรส

อุรพี ❤ ชลันธร



สุดท้ายแล้วจริงๆ ขอบน้ำใจพวกท่านที่รอข้าติดตามนิยายข้า อ่านนิยายข้า ร่วมแสดงความคิดเห็นนิยายของข้า...ข้าซาบซึ้งใจยิ่งนัก
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.16 P.6 (19/06/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 19-06-2017 08:13:37
เมื่อมนุษย์เมียได้เป๋นผัว
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.16 P.6 (19/06/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 19-06-2017 10:54:30
 :z13: :z13:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.16 P.6 (19/06/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 19-06-2017 12:22:03
ชอบคู่นาคินทร์กับรพีพงษ์   :3123:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.16 P.6 (19/06/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Ooaummii ที่ 19-06-2017 16:47:36
เรารอท่านได้ รอได้จริงๆ
//กำมีด o18
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.16 P.6 (19/06/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 19-06-2017 21:14:56
รออ่านตอนต่อไป
นาคินทร์ชอบรพี รพีชอบนาคินทร์ละสิ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.16 P.6 (19/06/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 20-06-2017 22:00:49
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.16 P.6 (19/06/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Pe_no ที่ 22-06-2017 21:34:40
คิดถึงเรื่องนี้กว่าจะมาได้ :mew2:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.16 P.6 (19/06/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 22-06-2017 23:26:57
เกิดมาเป็นชายอย่างน้อยต้องได้เป็นผัวสักครั้งนะชลันธร 555
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.16 P.6 (19/06/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 24-06-2017 15:01:30
อิ่มมาม่าแล้วคว่ำชามทิ้งได้หรือไม่  :pig4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.17 P.6 (1/07/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 02-07-2017 07:44:43
​สาปรัก…ทัณฑ์เทวา

Writer : Tan-Yung0209

File : 17













เมื่อราชรถแห่งพระอาทิตย์ขับเคลื่อนเลื่อนพาดผ่านท้องฟ้าเป็นสัญญาณแห่งวันใหม่นั้นเวียนกลับมาอีกครา ทุกสรรพสิ่งมีชีวิตต่างออกมารับแสงยามรุ่งอรุณ บ้างก็ออกหาอาหาร บ้างก็ออกมาชำระล้างกาย แต่ยังมีเทพหนุ่มองค์หนึ่งที่ยังก้าวย่างตามแกะรอยเท้าไกรสรราชสีห์ต่อไปอย่างไม่มีที่ท่าว่าจะหยุดพัก

...เจ้าอยู่ที่ไหนกันชลันธร...ทำไมเจ้าถึงได้ช่างขี้น้อยใจแบบนี้นะ...เจ้าทำพี่แทบจะเป็นบ้าแล้วรู้หรือไม่…

นภนต์เพียรพยายามแกะรอยและติดตามรอยเท้านั้นมาเรื่อยๆ จนมาถึงริมธารเล็กๆ สายหนึ่ง แม้จักเป็นเทพ แต่นภนต์เองก็เหนื่อยล้าจากการที่ไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาตลอดทั้งคืนเช่นกัน ร่างสูงนั้นค่อยๆ นั่งลงที่บนโขดหินแล้วพักล้างหน้าล้างตาอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะได้ยินเสียงแว่วดังคล้ายเสียงย่ำเท้ามาจากริมธารอีกฝั่งหนึ่ง และตามมาด้วยเสียงที่กำลังคำรามร้อง …คงเป็นพวกสิงห์ในป่าแห่งนี้เป็นแน่ ...แต่เมื่อพิจารณาดูแล้วว่าสิงห์กลุ่มนี้คือไกรสรราชสีห์ เทพหนุ่มจึงค่อยๆ ขยับกายเคลื่อนหลบซ่อนแอบหลังหินก้อนใหญ่

ไกรสรราชสีห์ที่อยู่ตรงหน้านั้นมีถึงห้าตัวและเหมือนว่ากำลังชุมนุมอะไรบางอย่างกัน แค่อึดใจก็พลันก็แปลงกายเป็นมนุษย์ได้อย่างน่าอัศจรรย์ยกเว้นตัวหนึ่งที่มีอ่างดินเผายักษ์ผูกติดไว้กลางหลัง ...นี่คงจะเป็นกลุ่มไกรสรราชสีห์ที่บำเพ็ญเพียรอย่างแรงกล้ากระมังถึงได้แปลงกายเป็นมนุษย์ได้... นภนต์เก็บความสงสัยทั้งหมดเอาไว้ก่อน แล้วซุ่มมองสังเกตอย่างเงียบๆ ต่อไป…เพราะบางทีชลันธรอาจจะอยู่กับไกรสรราชสีห์กลุ่มนี้ก็เป็นได้

“ไม้หอม ประเดี๋ยวเจ้าตักน้ำขึ้นมาใส่อ่างดินเผาบนหลังผาแดงให้เต็มเสีย” หนึ่งในนั้นได้เอ่ยสั่งสิงห์แปลงผู้ที่ถือขันเงินใบเล็กตักใส่อ่างดินเผา

“ข้ารู้แล้ว ข้าจักตั้งใจตักอย่างดีให้น้ำที่จะใช้ในพิธีแต่งงานระหว่างอุรพีกับเจ้ามนุษย์นั่น”

“คิดแล้วเจ็บปวดใจแทนอินคายิ่งนัก อุรพีเหมาะสมกับอินคาราวกับกิ่งทองใบหยก เสียดายนางไม่น่าไปคว้ามนุษย์ที่ไหนก็ไม่รู้มาทำผัว”

“มนุษย์นั่นก็หาได้องอาจสมกับเป็นบุรุษไม่ ผิวกายก็ขาวราวกับไม่เคยต้องแสง แถมทั้งยังผอมบางขนาดนั้นอีก…ไม่รู้อุรพีคิดได้อย่างไร ซ้ำแล้วยังเร่งให้จัดพิธีแต่งงานเสียในวันนี้อีก”

บทสนทนาทั้งหมดนั้นก็ลอยผ่านสายลมให้นภนต์ได้ยิน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามนุษย์ที่เหล่าราชสีห์พรรณาถึงจะหาใช่ใคร หากมิใช่ชลันธรคนรัก แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่านั้นคือการที่คนรักของตนไยต้องตบแต่งกับนางสิงห์นามว่าอุรพีนี้ด้วย…ซึ่งเมื่อพินิจดูแล้วก็เหมือนว่านางสิงห์อุรพีนี้น่าจะเป็นผู้ที่ลักพาตัวชลันธรมา... ว่าแต่แล้วนางเป็นใครกัน ... แต่กระนั้นก็เกินกว่าจะเสียเวลามาคาดเดา ไม่ว่าอุรพีจะเป็นยศฐาใดก็ตาม สิ่งที่นภนต์คิดที่ในทันควัน คือการล้มคว่ำเข้าขัดขวางงานพิธีวิวาห์แสนประหลาดนี้ให้จงได้ หากแต่มิใช้ด้วยสติตรงแต่มุ่งเข้าโรมรันให้หักเหี้ยนกันไปข้างหนึ่งก็คงมิพ้นต้องให้ผู้ที่มิรู้อิโหน่อิแหน่ต้องมาตายด้วยน้ำมือตน  ถึงตนนั้นจะมาเพียงผู้เดียว และการจะรับมือไกรสรราชสีห์ทั้งฝูงนี้มิใช่เรื่องยากก็ตาม หากบุ่มบ่ามรีบทำอะไรไปเกรงจะได้มิคุ้มเสีย แต่ถ้าหากจะให้สะกดรอยตามต่อไปก็เกรงว่าจะถูกจับได้เพราะนี่คงจะเข้าถึงถิ่นอาศัยของไกรสรราชสีห์กลุ่มนี้เสียแล้ว...

ระหว่างที่กำลังคิดหาวิธีอยู่นั้นมีแมลงปอตัวหนึ่งบินผ่านหน้าพอดี นภนต์ยิ้มกว้างอย่างเจ้าเล่ห์ออกมา เมื่อรู้แล้วว่าจักเข้าไปในพิธีแต่งงานนี้อย่างไร หัตถาใหญ่ยกมือพนมคู่ขึ้นหยุดตรงกลางอก พร้อมตั้งจิตขยับปากร่ายบทมนต์คาถา ร่างสูงใหญ่พลัดก็ยอบกายลงกลับกลายเป็นแมลงปอตัวจ้อยกระพือปีกบางใสบินผ่านสายลมเอื่อยข้ามฝั่งแม่น้ำไปหยุดลงเกาะที่ปากอ่างดินเผา…

‘ชลันธร...พี่จักไม่ยอมให้เจ้านั้นเป็นของผู้ใด...นอกจากพี่เพียงผู้เดียว...’

ถ้ำหินขาวที่ภายในคูหาถ้ำนั้นเป็นหินอ่อนสีขาวเนื้อละเอียดเป็นที่พำนักของไกรสรราชสีห์ชั้นสูง บริเวณโดยรอบมีเหล่านางสิงห์งามคอยจัดตระเตรียมสถานที่ทั้งตกแต่งปากถ้ำด้วยหมู่มวลผกาหลากสี ส่วนหนุ่มวัยฉกรรจ์ต่างก็ช่วยกันแบกท่อนฟืนมากองไว้เพื่อใช้ก่อไฟในยามค่ำ ภายในคูหาถ้ำที่ทั้งชลันธรและนางอุรพีอยู่นั้น กำลังถูกตกแต่งประดับประดาอย่างรีบเร่งซึ่งจัดเป็นห้องส่วนตัวของหญิงสาว ทั้งนี้ทั้งคู่ยังถูกสั่งห้ามออกไปไหนจนกว่าจะเริ่มพิธี ซึ่งเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาอย่างช้านาน ชลันธรกำลังคิดอยากหาหนทางที่จะหนี แต่ทว่าทุกทางเข้าออกล้วนมีเวรยามคอยเฝ้าผลัดเปลี่ยนอยู่ตลอด หากตนขืนดื้อหนีออกไปตัวคนเดียวแบบนี้อาจจะถูกฉมาพ่อของนางสิงห์สาวสังหารเอาได้

“ท่านชลันธร เหตุใดถึงนั่งเครียดนัก ท่านไม่ดีใจหรือที่จะได้เมียเป็นหญิงรูปงามเช่นข้า” นางอุรพีเข้ามากอดแขนเรียวของชายหนุ่มที่นั่งนิ่งไร้อารมณ์

“ข้าไม่ดีใจเลยสักนิด” ชลันธรตอบเสียงเรียบ

“ท่านโกรธที่ข้าจุมพิตท่านหรือ ข้าแค่หยอกเย้าท่านเล่นเท่านั้นเอง แต่อีกไม่กี่เพลาก็คงจะไม่เรียกว่าหยอกเย้าแล้ว...” อุรพีเอ่ยออกมากลั้วหัวเราะ นึกถึงใบหน้าของชายหนุ่มที่เมื่อคืนหลังจากที่นางจุมพิตเบาๆ จรดลงริมฝีปากก็หน้าแดงก่ำซ้ำยังผลักนางออกเสียเต็มแรง

“เรื่องจุมพิตนั่นเราก็โกรธแต่สิ่งที่เราไม่พอใจยิ่งกว่านั้นคือการที่เราต้องอยู่ร่วมชีวิตกับคนที่เรานั้นไม่ได้รัก” ชลันธรเอ่ยออกมาตรงๆ รอยยิ้ม เสียงหัวเราะของอุรพีก็หายไปทันทีพร้อมกับความเศร้าสลดที่เข้ามาเยี่ยมเยือนในความรู้สึก

“เพราะเหตุใดกันเล่า...หรือว่า...ท่านมีคนที่รักอยู่แล้ว” นางอุรพีเอ่ย ชลันธรที่ได้ฟังก็เปลี่ยนสีหน้า จากหน้านิ่งเฉยก็กลายเป็นโศกาแทน… ‘แม้จะตัดใจไม่ให้รัก หากพอใครใคร่ถามถึงใบหน้าของนภนต์กลับลอยเด่นชัดอยู่ทุกขณะจิต’ แลดูเหมือนว่านางอุรพีก็พอจะเดาออกว่าชลันธรเป็นอะไร

“ข้าขออภัยที่ทำให้ท่านต้องแยกกับคนที่ท่านรัก ข้าเองมีเหตุจำเป็นที่จะต้องให้ท่านมาร่วมเตียงเคียงหมอน ข้าขอสัญญาว่าหลังจากสิ้นสุดพิธีนี้ท่านจะอยู่กับข้าไม่กี่ราตรีดอก ข้าก็จะพาท่านกลับไปยังที่ที่ข้าได้พบกับท่าน” อรพีพูดต่อ นางสิงห์สำนึกผิดที่รู้ว่าตนนั้นได้พรากคนรักออกจากกัน อุรพีจึงเข้าใจความรู้สึกของชลันธรในยามนี้เป็นอย่างดี

“แล้วไยจึงจับตัวเรามาเล่าอุรพี อีกอย่างถ้าเจ้าคิดจะปล่อยข้าก็จงพาเราออกไปบัดเดี๋ยวนี้” ชลันธรเกิดความสงสัย อดีตเทวาแม้จะเป็นมนุษย์ก็สามารถอ่านความคิดจากแววตาคมคู่สวยนี้ นางอุรพีหาได้มีความสิเน่หาต่อชลันธรแม้แต่น้อย

“ข้าจะพาท่านออกไปเพลานี้ไม่ได้” นางอุรพีรีบปฏิเสธ นางมีเหตุผลของนางที่ไม่สามารถจะบอกกล่าวกับใครได้

“ถ้าไปไม่ได้ เยี่ยงนั้นเจ้าจงบอกเหตุผลของเจ้ามา” ชลันธรเค้นหาคำตอบ นางอุรพีกลับส่ายหน้าทำให้ชลันธรรู้สึกไม่พอใจยิ่งนัก

“ท่านจะโกรธเกลียดข้าอย่างไรข้าไม่สนหรอก ขอเพียงท่านเข้าพิธีแต่งงานกับข้าแล้วอยู่กับข้าสักสามราตรี ข้า..ข้าขอท่านเพียงเท่านี้” นางอุรพีวิงวอนเสียงสั่นเครือ แววตาที่เคยดุดันยามเป็นไกรสรราชสีห์ได้แปรเปลี่ยนเป็นเศร้าสร้อยราวกับผู้ที่ผ่านความทุกข์มาแล้วนับไม่ถ้วน

“ท่านอุรพีแล้วก็…ท่าน... ข้านำชุดเข้าพิธีและเครื่องประดับมาให้” ไม่ทันที่ชลันธรจะถามข้อสงสัยต่อ ข้ารับใช้ของอุรพีก็นำชุดที่จะต้องใส่ในพิธีมาให้ทั้งสอง

“วางไว้ตรงนั้น เดี๋ยวข้าจักจัดการแต่งกายให้ผัวของข้าเอง พวกเจ้าออกไปได้แล้ว” อุรพีไล่คนของตนออกไป บัดนี้ทั้งอุรพีและชลันธรต่างก็นั่งเงียบตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง

‘ท่านพี่นภนต์…ท่านพี่จะหายเคืองน้องแล้วมาช่วยน้องหรือไม่…’

ในเมื่อถามเหตุผลนางอุรพีไปก็คงจะไม่ได้คำตอบกลับมา ชลันธรจึงนึกถึงเทพนภนต์คนรักหวังไว้ว่าความคิดนี้จะลอยผ่านกระแสลมส่งไปถึงให้เทพเวหามาช่วยตนในถ้ำหินขาวนี้ . . .

“มากันแล้วหรือพวกเจ้า ลำธารก็หาได้ไกลไม่เหตุใดจึงมาช้า” นางสิงห์ลำดวนไตร่ถามราชสีห์ทั้งห้าที่ออกไปนำน้ำจากลำธารมาใช้ประกอบพิธี

“อยู่ๆผาแดงแบกอ่างดินเผาใส่น้ำไม่ไหวน่ะสิ”

“อ่างดินเผาก็ใช่จะใหญ่มากเหตุใดจึงแบกไม่ไหวเล่าผาแดง” นางลำดวนถามต่อ อ่างดินเผาดินเผาไม่ใหญ่มากต่อให้มีน้ำบรรจุอยู่เต็มอ่างดินเผาแต่ด้วยเลือดราชสีห์ที่มีพละกำลังมากจึงเป็นไปได้ยากที่จะแบกอ่างดินเผากลับมาไม่ไหว

“ไม่ใช่เพียงแค่ข้าเท่านั้น ทุกคนก็แทบจะแบกอ่างดินเผาไม่ไหวจนต้องผลัดหมุนเวียนกัน” ผาแดงตอบ อ่างดินเผาบนหลังนั้นหนักอึ้งอย่างน่าประหลาดราวกับมีใครนั้นมาขี่หลังตนด้วย

“ข้าว่าพวกเจ้ามันจ้องจะขี้เกียจมันแต่แวะเที่ยวเล่นเสียมากกว่า ทำเป็นไม่มีแรงเสียแบกไม่ไหว ช่างเถอะ เพลานี้ก็ใกล้ถึงพิธีพวกเจ้ารีบนำน้ำไปใส่ในอ่างศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว” นางสิงห์ลำดวนเอ่ย ทั้งห้าจึงแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนเช่นเดียวกับแมลงปอจำแลงที่บินเข้าไปในถ้ำหินขาวแล้วตามหาชลันธรให้ทั่วทุกช่องคูหา

...อย่างไรเสียต้องช่วยชลันธรก่อนที่พิธีนั้นจะเริ่มขึ้น…นภนต์ให้คำสัญญากับตนเอง

ปีกบางใสกระพือบินวนตามหาเข้าออกคูหาแล้วคูหาเล่าที่เข้าไป นภนต์ก็ยังไม่พบร่างอรชรของคนรักแม้แต่เงา สิ่งที่ได้พบเห็นก็มีเพียงไกรสรราชสีห์รวมถึงฉมาที่กำลังนั่งบำเพ็ญเพียรเงียบๆ ภายในถ้ำ นั่นไม่ใช่สิ่งที่นภนต์ใคร่สนใจ… ‘ชลันธรน้องพี่ เจ้าอยู่หนใดกัน’

“เดี๋ยวข้าจะช่วยท่านใส่สังวาลย์”

“ไม่ต้องเราใส่ของเราเองได้”

บทสนทนาแว่วดังแว่วออกมา แม้เสียงจะไม่ดังนักนภนต์ก็จำน้ำเสียงแสนคุ้นเคยนี้ได้…เสียงของชลันธร ไม่รอช้านภนต์ก็บินไปตามเสียงก็พบกับคนที่ตนตามหาและสาวงามผมแดงที่ยืนอยู่ไม่ห่างกันคงจะเป็นนางสิงห์อุรพีที่พวกบริวารด้านนอกพูดถึงกัน นภนต์บินไปเกาะที่โขดหินเพื่อประเมินสถานการณ์ว่าจะทำเช่นไรต่อไป

“ท่านให้ข้าใส่ให้เถิด ข้าอยากจะทำดีกับท่านเพื่อตอบแทน” อุรพีเอ่ยแล้วคว้าสังวาลย์ขึ้นมาเพื่อจะใส่ให้ชลันธร

“ถ้าอยากจะตอบแทนก็จงบอกเรามาว่าจับตัวมาเพราะเหตุใดกันแน่ เรามั่นใจว่าเจ้าเองก็ได้ไม่อยากจะแต่งงานกับเรานักดอก” ชลันธรยังคงคิดจะคาดคั้นคำตอบจากนางราชสีห์

“ข้าบอกท่านไม่ได้...”

“ถ้าเจ้าไม่บอก ข้าจะบั่นคอเจ้าให้ขาด โทษฐานที่จับคนรักของข้ามา”

เสียงแทรกที่พาเอาผู้ที่ได้ยินทั้งสองนั้นตะลึงงัน เทพเวหาอดทนรอไม่ไหว สุดท้ายก็แปลงกายจากแมงปอจำแลงกลับสู่ร่างเดิม ร่างสูงกำยำแสนสง่าเดินเข้ามาแทรกขั้นกลางระหว่างชลันธรและอุรพี ด้านชลันธรที่ยังยืนตกตะลึงอยู่หลังแผ่นหลังกว้างพอได้เห็นนภนต์ก็ดีใจเสียจนน้ำตาเอ่อคลอเบ้า สุดแสนจะดีใจที่นภนต์ไม่ทอดทิ้งและตามมาช่วยตน

“ท่านเป็นใคร” นางอุรพีซักถาม ตาคมดุประเมินดูก็รู้ว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าหาใช่มนุษย์เฉกเช่นชลันธร แสงรัศมีสีทองที่แผ่รอบกายบ่งบอกว่านภนต์คือเทวาชั้นสูง

“ข้านามว่านภนต์เป็นเทพผู้ควบคุมน่านฟ้า อีกทั้งทัพหลวงแห่งสรวงสวรรค์” นภนต์ตอบ มือหนาก็คว้าจับข้อมือเล็กดึงเข้าหาตน ชลันธรเองมิได้ขัดขืนยังคงยืนหลบหลังแผ่นหลังกว้าง

“ท่านเข้ามาที่นี่ได้อย่างไรกัน อีกทั้งยังจะมาฉุดกระชากลากผัวข้าไปไหน” อุรพีถาม นิ้วเรียวยาวทั้งสิบกางออกพร้อมกรงเล็บคมกริบที่ยื่นยาวออกมา ถึงคนตรงหน้าจักมิใช่เทวาทั่วไป อุรพีก็จะขอสู้เพื่อที่จะได้ซึ่งตัวของชลันธร

“ฮึ! นี่เจ้าพูดอะไร...ผัวเจ้าอย่างนั้นหรือ เห็นทีเจ้าคงจะเข้าใจอะไรผิดไปเสียแล้วกระมัง คนที่เจ้าเรียกว่าผัวเต็มปากเต็มคำนั้นคือ...เมียข้า...” นภนต์ไม่พูดเปล่า เห็นทีแค่แจ้งแถลงไขไปแล้วคงไม่พอ เลยโน้มกายประทับกับริมฝีปากสีสด แม้จะชิวหารุกล้ำเข้าไปในโพลงปากอุ่น หากนภนต์มองอีกฝ่ายด้วยหางตาก็พบว่าอุรพีนั้นตกใจมิใช่น้อย ส่วนชลันธรนั้นกายแข็งทื่อราวกับหินไม่คิดว่านภนต์จะกระทำสิ่งที่ตนคิดว่าน่าอายอย่างเปิดเผยต่อหน้าหญิงสาวผู้นี้ ทั้งยังเรียกตนว่าเมียอีก

“จริงหรือ…นี่คนรักของท่านจริงหรือ..ท่านชลันธร” อุรพีพยายามเดินเข้าหามนุษย์รูปงามที่หมายมั่นตั้งใจให้เป็นคู่ แต่กลับถูกนภนต์ใช้กายสูงใหญ่เป็นโล่กำบังไว้

“อืม…ก็อย่างที่เจ้าได้ยินจากท่านพี่นภนต์เอ่ยกับเจ้า” ถ้าปฏิเสธออกไปอาจจะเป็นปัญหาได้ จึงเป็นไผ่ลู่ลมโอนอ่อนตามเทพหนุ่มเสียบ้างเพื่อที่อุรพีตัดใจยุติการแต่งงานครั้งนี้

“เอาเถอะ…ต่อให้ท่านชลันธรเป็นเมียของท่าน ข้าก็ยัง...ปรารถนาที่จะเป็นเมียท่านชลันธรอยู่ดี” ผิดคาดนางไกรสรราชสีห์หาได้ตัดใจไม่ อุรพีบอกทั้งสองอย่างเด็ดเดี่ยว อย่างไรเสียชลันธรจักต้องเข้าพิธีแต่งงานกับตน

“ข้าไม่มีทางให้เจ้ามาเป็นเมียชลันธร!!!” นภนต์กัดฟันกรอด ผู้หญิงตรงหน้ากล้าดีอย่างไรมายุ่งกับคนรักของตน ถึงแม้จะไม่นิยมทำร้ายอิสตรีแต่ครั้งนี้นภนต์ใช้หัตถาใหญ่ผลักไสอุรพีให้ล้มลง ก่อนจะใช้ดัชนีชี้ไปตรงใบหน้างาม

“เพียงแต่ข้าร่ายมนต์แล้วใช้ดัชนีนี้แตะหน้าผากของเจ้า กายเจ้าก็จักเหลือเพียงเถ้าถ่าน ดังนั้นเจ้าจงฟังข้า!!!! ตัดใจจากเมียข้าเสียแล้วข้าจะมิทำร้ายเจ้าให้เกิดแม้เพียงรอยข่วน”  ท่าทางที่น่าเกรงขามทำเอานางสิงห์ที่เคยกางเล็บต้องหวาดกลัว

“จักให้ข้ากราบท่านก็ได้ขอเพียงท่านชลันธรร่วมพิธีแต่งงานกับข้า อยู่กับข้าเพียงสามราตรีโดยไม่แตะตัวข้า ข้าขอเพียงเท่านี้…เท่านี้จริงๆ” อุรพีพนมมือขึ้นแล้ว น้ำเสียงสั่นเครือเอ่ยสิ่งที่ต้องการ สร้างความงุนงงให้กับนภนต์และชลันธร

“เจ้าบอกมาเสียสิว่าเหตุใดข้าต้องให้ชลันธรแต่งงานกับเจ้า”

“นั่นสิ เจ้าเองก็หาได้ชอบใจข้าหรือเจ้าไม่อยากจักแต่งงานกับคนที่บิดาเจ้าจับคู่ให้” ชลันธรสันนิษฐาน เขานึกขึ้นได้ว่าฉมาเคยพูดถึงผู้ที่ชื่ออินคา

“ไม่ใช่…ข้าบอกท่านไม่ได้..ฮึก..ท่านอย่าไปไหนเลยท่านชลันธร…โปรดเมตตาเถิด” อุรพีสะอื้นไห้ออกมาเสียจนชลันธรรู้สึกเห็นใจ ด้วยหยาดน้ำใสที่พรั่งพรูผิดกับนภนต์ที่ยังคงใจแข็ง

“ผู้หญิงอะไรร้องไห้ขอความรักจากบุรุษ ทั้งน่าขัน ทั้งน่าสมเพศยิ่งนัก ในเมื่อข้าให้โอกาสเจ้าพูดเจ้าก็ยังจะดื้อรั้นยุ่งกับชลันธร เห็นทีข้าคงจะให้เจ้ามีชีวิตอยู่ไม่ได้เสียแล้ว” นภนต์หลับตาร่ายคาถา…

“ข้ายอมแล้ว…ฮือ..อ..อย่าทำข้าเลย ในท้องข้ายังมีอีกหนึ่งชีวิต…ฮึก..ฮือ..” นางสิงห์อุรพีผู้ที่มิเคยหาได้กลัวความตาย แต่บัดนี้ในกายของนางก็ได้มีอีกหนึ่งชีวิตที่กำลังจะถือกำเนิดขึ้นมา

“หมายความว่า…”

“ใช่แล้วท่านชลันธร เป็นไปอย่างที่ท่านคิด”

“เจ้าจะมาไม้ไหนอีก เจ้ากับชลันธรเพิ่งเจอกันจักท้องได้อย่างไรและข้าเองก็มั่นใจว่าเมียข้าทำใครท้องไม่ได้” นภนต์กอดเอวบางของชลันธรไว้แน่นอย่างหึงหวง

“ข้าท้องจริงๆและข้าก็ไม่ได้ท้องกับท่านชลันธร” อุรพีเอ่ย พอได้ยินเช่นนั้นแล้วนภนต์ก็รู้สึกโล่งใจมิใช่น้อยที่ชลันธรไม่เสียทีนางสิงห์สาว

“แล้วเจ้ามีลูกกับใคร เหตุใดจึงไม่ให้ผู้นั้นร่วมแต่งงานเสียเล่า” ชลันธรถามอย่างสงสัย

“อรรถพลเทพ รุกขเทวดาประจำสายธาราที่หน้าถ้ำหินขาวนี้เป็นผัวข้าและเป็นพ่อของเด็กในท้อง…ฮึก…ฮือ..อ..แต่อรรถพลเทพไม่สามารถแต่งงานกับข้าได้…ฮือ” อุรพีเล่าทั้งน้ำตามือก็ลูบท้องอ่อนเบาๆไปด้วย

“เทพผู้นั้นไม่รับผิดชอบในสิ่งที่ทำอย่างนั้นหรือ ถ้าเป็นเช่นนั้นเราจักให้เทพนภนต์ผู้นี้พาคนรักของเจ้ามาที่นี่ก็ได้” ชลันธรเอ่ยหาทางช่วยอุรพี

“หาได้เป็นเช่นนั้นไม่…อรรถพลเทพนั้นถึงกาลเวลาต้องไปจุติบนโลกมนุษย์ ซึ่งข้านั้นก็มีครรภ์เสียแล้ว ท้องข้าเองนับวันก็ยิ่งโตขึ้นเรื่อยๆ หากข้าไม่หาคนมาแต่งงานด้วย ท่านพ่อข้าก็จักรู้ว่าข้าท้องไม่มีพ่อ”

“เจ้าก็เลยจับมนุษย์ผู้นี้มาเป็นผัวกำมะลอของเจ้าสินะ อุรพี!!!!” เสียงร้องก้องดังของฉมาเหมือนฟ้าฟาดกลางดวงใจของหญิงสาว ผู้เป็นพ่อที่ละจากการบำเพ็ญเพียรภาวนาเพื่อมาดูบุตรสาวของตนกลับได้ยินทุกถ้อยคำ ทุกประโยค ที่อุรพี นภนต์และชลันธรสนทนากัน

“ทะ…ท่านพ่อ” อุรพีเลิกลั่กตกใจ เมื่อไม่คิดว่าพ่อของตัวเองจะได้ยินเรื่องราวทั้งหมด

“ข้าผิดหวังในตัวเจ้านัก!!!!” ฉมาโมโหตบหน้าอุรพีจนมุมปากบางปริแตก พอเห็นโลหิตไหลซึมออกมาก็ตกใจไม่น้อยที่ขาดสติลงไม้ลงมือกับบุตรสาว

“ฮือ…ท่านพ่อ..ข้าขอโทษ..ข้าขอโทษ” อุรพีคลานเข้าไปกอดเข่าพ่อของตน ฉมายืนนิ่งเงียบก่อนที่น้ำตานั้นจะไหลออกมาจากความรู้สึกทั้งรักทั้งโกรธในตัวอุรพี

“อย่าเรียกข้าว่าพ่อในเมื่อข้านั้นสอนเจ้าไม่ดี”

“ท่านพ่อสอนข้าดีมาเสมอ แต่ข้าไม่รักดีเอง…ฮือ..อ…ได้โปรดท่านพ่ออย่าโกรธเคืองข้า”

“ข้าผิดหวังในตัวเจ้ามากอุรพี เจ้าคือแก้วตาดวงใจของข้า เจ้ากลับทำอะไรไม่คิดปล่อยเนื้อปล่อยตัวจนท้อง อีกทั้งเจ้ายังลากผู้อื่นมาเกี่ยวข้องมารับผิดชอบเจ้าอีกอีก” ฉมาเอ่ยแล้วหันหน้ามาที่นภนต์และชลันธร

“ท่านเทพเวหาและมนุษย์ผู้เป็นคนรักของท่าน ข้าขออภัยแทนอุรพีด้วย ประเดี๋ยวข้าจะไปส่งท่านที่ทางออกเอง”

“แล้วอุรพีเล่า” ชลันธรเป็นห่วงหญิงสาวที่ยังคงนั่งสะอื้นไห้

“ข้าคงทำอันใดไม่ได้นอกจากต้องออกไปยกเลิกพิธีแต่งงานแล้วยอมรับความจริงกับสิ่งที่เกิดขึ้น อย่างไรเสียนี่ก็ลูกข้าและเด็กในท้องนั้นก็หลานข้า ข้านั้นคงต้องเลี้ยงดูต่อไป” ฉมาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือระคนความเจ็บใจ

“ท่านพ่อ..อ…..” อุรพีลุกขึ้นสวมกอดรู้สึกซาบซึ้งกับความรักของพ่อ ไม่ว่าอย่างไรผู้เป็นพ่อก็ไม่เคยทอดทิ้งตน รวมถึงครั้งนี้อุรพีรู้ตัวว่าทำผิดร้ายแรงขนาดไหน ฉมาเองก็กอดกลับฝ่ามือก็ลูบศีรษะอุรพีอย่างแผ่วเบา สายเลือดนั้นย่อมตัดไม่ขาด ความรักที่พ่อมีต่อลูกก็เช่นกันต่อให้ลูกทำผิด พ่อก็พร้อมที่จะให้อภัยและสั่งสอนชี้นำทางสว่าง

“เราคงจะแต่งงานกับลูกของท่านไม่ได้แต่ข้ายินดีที่จะรับลูกของอุรพีมาเป็นบุตรของเรา” ชลันธรเอ่ยสร้างความตกใจให้กับทุกคนโดยเฉพาะกับนภนต์

“เจ้าหมายความว่าอย่างไรชลันธร” นภนต์ถาม

“เราจักรับเด็กในครรภ์เป็นบุตรบุญธรรม ท่านฉมา…ท่านไปยกเลิกพิธีโดยอ้างว่าในระหว่างบำเพ็ญเพียรบรรพบุรุษของท่านก็มาปรากฎกายและบอกว่าเรานั้นเป็นมนุษย์จึงมิอาจทำพิธีแต่งงานตามกฏของเผ่าพันธุ์ของท่านได้และตัวเราก็จักพำนักกับนางอุรพีในคูหานี้ หากพักได้เพียงสองราตรีมิใช่สามราตรีตามที่อุรพีขอ ระหว่างนี้นอกจากท่านก็จงอย่าให้ใครเข้ามา เพื่อเป็นไปตามแผนที่อุรพีนั้นเคยวางไว้ ท่านเองและอุรพีก็จักไม่เสียหน้า อีกทั้งบุตรในครรภ์ก็จะมีพ่ออีกด้วย” ชลันธรเอ่ยถึงแผนการของตนเองที่คิดไตร่ตรองขึ้นมาหลังจากเห็นน้ำตาของสองพ่อลูก

“ถ้าเยี่ยงนั้นข้าขอตัวไปแจ้งกับเหล่าไกรสรราชสีห์ตัวอื่นก่อน ขอบใจเจ้ามากชลันธร…เจ้าช่างมีเมตตาเสียจริง”

“ข้าเองขอบใจท่านเช่นแต่…คนรักของท่านจักไม่บั่นคอข้าหรือ” อุรพีเอ่ยพร้อมปรายตามองไปที่นภนต์ที่ใบหน้าในตอนนี้บ่งบอกให้รู้ว่าหงุดหงิดขนาดไหน

“ข้าจักไม่บั่นคอเจ้าเพียงแค่ข้านั้นต้องพำนักอยู่ในที่นี้ด้วย”

“เรื่องนั้นมิเป็นปัญหาดอก ข้าจะให้บ่าวไพร่จัดเตรียมเตียงนอนใหญ่ให้ท่านทั้งสองได้กอดก่ายรวมถึงฉากไม้กางกั้นเพื่อท่านจักได้เป็นส่วนตัว” อุรพีเอ่ยออกมาทั้งรอยยิ้ม ถือว่าชดใช้ให้กับการที่นางนั้นพรากผัวพรากเมียเขามา

“ทำไมเราต้องนอนร่วมเตียงกับท่านด้วย…ท่านพี่นภนต์” ชลันธรโวยวายขึ้นมา

“เจ้าคงโกรธข้า ที่ข้าว่าเจ้าใช่หรือไม่…ข้าขอโทษชลันธร” ไม่รู้ว่าจริงหรือแสร้งทำไว้ตบตาอุรพีแต่ท่าทาง น้ำเสียง แววตาของนภนต์ที่แสดงออกมาต่อร่างโปร่งนั้นกลับทำให้ใจสั่นไหวสูบฉีดแรงจนเลือดแดงแต่งแต้มแก้มนิ่ม

“ท่านขอโทษเราเรื่องอะไรเล่า...หรือว่าเพียงแค่ขอโทษให้จบๆ ไปเช่นนั้นหรือ...” ชลันธรถามน้ำเสียงจริงจัง นภนต์เองก็รู้ว่าชลันธรกำลังพูดถึงเรื่องอะไร และอยากจะให้เทพหนุ่มนั้นเอ่ยสิ่งใด

“ทุกสิ่งที่ทำให้เจ้าเสียน้ำตา ทุกสิ่งที่พูดจาว่าร้ายเจ้า ข้าขอโทษเจ้าที่อารมณ์ร้อนใส่เจ้า...” นภนต์ตอบกลับได้ด้วยความสำนึกผิด ฝ่ามือหนาเลื่อนขึ้นมาสัมผัสพวงแก้มขาว นิ้วหัวแม่โป้งค่อยเกลี่ยผิวแก้มงามอย่างแผ่วเบา ทั้งคำพูดแสนอ่อนหวาน ทั้งการกระทำ รวมถึงความรักที่มีต่อนภนต์ไม่เคยจางหายแล้วอย่างนี้ชลันธรจะไม่ใจอ่อนหายโกรธยกโทษได้อย่างไรเล่า… ‘สุดท้ายน้องก็โกรธท่านพี่ไม่ลงเสียที’

“เห็นทีข้าคงต้องรีบให้บ่าวไพร่นำฉากกั้นและเตียงเข้ามาเสียแล้วกระมัง หากพวกท่านยืนเกี้ยวอยู่เช่นนี้ ดวงตาข้าคงไฟลุกด้วยความอิจฉา...ถึงแม้อีกใจก็อยากจะดูชมก็ตาม” อุรพีนึกแกล้งเย้าชลันธรที่ยามใบหน้าแดงก่ำเป็นผลอุลิตเลยลามถึงช่วงใบหู ด้วยแขนแกร่งของเทพหนุ่มนั้นกอดรั้งเอวคอดบางเอาไว้ไม่ให้ห่างกาย

“รออะไรเล่าอุพรี...เจ้าอยากจะจัดแจงเตียงหรือฉากไม้ให้เราก็รีบจัดการเสีย ไม่เยี่ยงนั้นเจ้าจักได้เห็นอะไรที่มากกว่ากอด” นภนต์ยกยิ้มเจ้าเล่ห์ ปลายจมูกโด่งคลอเคลียแก้มนิ่มเล่นเอาอุรพีรู้สึกอายแทนชลันธร

“ท่านนภนต์หยุดเล่นแก้มเราได้แล้ว!!!” ชลันธรแกล้งโมโหกลบความอาย

“ถ้าไม่ให้ข้าเล่นแก้มเจ้า ข้าเล่นปากเจ้าก็ได้…จุ๊บ” นภนต์เปลี่ยนเป้าหมายประทับริมฝีปากตนลงไปหนักๆ เสียหนึ่งครา กับริมฝีปากบางสีกลีบกุหลาบโดยไม่รุกล้ำแล้วผละออกอย่างรวดเร็ว อุรพีที่เห็นเหตุการณ์ก็ยืนขำให้กับชลันธรที่ทำหน้าไม่ถูก

“หยุดขำเราเลยอุรพี!!!  แล้วท่านนภนต์!!! เราโกรธท่านจริงๆ แล้ว!!!!” ชลันธรกระทืบเท้าปึงปังไม่พอใจแต่จะเดินออกไปนอกคูหาก็ไม่ได้ ก็ได้แต่ยืนให้นภนต์และอุรพีส่งสายตาล้อเลียนมาให้เท่านั้น

‘เราคิดผิดหรือคิดถูกที่พำนักอยู่ที่นี่…ให้สองคนนี้ร่วมมือแกล้งเราเล่น’



















......................................................

ข้ามาแล้ว...คิดถึงข้าหรือไม่ คิดถึงผู้ใดกันบ้าง

ข้ามาช้าเพราะข้านั้นมีเรื่องติดขัดเล็กน้อยจนถึงมาก ขออภัยพวกท่านด้วย ได้โปรดวางคบเพลิงในมือของท่านที่จะปาใส่กระท่อมสุดหรูของข้าด้วยเถิด

สิ่งหนึ่งที่ข้านั้นต้องขออภัยท่านที่ตัดชุดเพื่อร่วมงานวิวาห์ของอุรพีและชลันธรที่ต้องรอเก้อ แต่ไม่เป็นไรหากท่านได้นำเงินใส่ซองมาก็โอนมาที่ข้าได้

สุดท้ายนี้ข้าคิดถึงพวกท่านยิ่งนัก ข้าจะไม่เงียบหาย ติดตามความเคลื่อนไหวของข้าได้ในเพจ ginger ale 's fiction ของข้าได้ พูดคุยหรือจะมาป่วนข้าก็ไม่ว่า ข้าจะได้มีเพื่อนเล่น ๕๕๕๕๕



ขอบคุณทุกท่านที่รอคอย รออ่าน ติดตามผลงาน แสดงความคิดเห็นติชมกันได้เพื่อให้ตัวข้าพัฒนาฝีมือต่อไป ....ด้วยรักและฮักยู

สปอยตอนหน้า....คู่ปากเปื่อย
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.17 P.6 (1/07/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 02-07-2017 08:59:52
ไม่มีดราม่าใช่ไหมครับ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.17 P.6 (1/07/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 02-07-2017 09:30:40
 :a1: แปลงร่างเป็นจิ้งจกไปเกาะขอบเตียงแทนละกัน
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.17 P.6 (1/07/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 02-07-2017 09:38:26
อุรพีนี่สาววายป่ะ 555
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.17 P.6 (1/07/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: kinjikung ที่ 02-07-2017 09:50:07
ผัวตามมางัอแล้ว ใจอ่อนอีกตามเคย 555
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.17 P.6 (1/07/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 02-07-2017 12:09:03
 :pig4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.17 P.6 (1/07/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 02-07-2017 17:30:40
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.17 P.6 (1/07/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 02-07-2017 18:06:57
เดี๋ยวนะ แอบงง
ยกเลิกพิธีแต่งงาน เพราะผิดกฎของเผ่าพันธุ์ แต่ร่วมหอ (ตามความคิดคนอื่นที่ไม่รู้เรื่อง) ได้เหรอ
งั้นมันไม่ใช่การสนับสนุนให้ผิดจารีตหรืออย่างไร
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.17 P.6 (1/07/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 02-07-2017 18:34:47
เดี๋ยวนะ แอบงง
ยกเลิกพิธีแต่งงาน เพราะผิดกฎของเผ่าพันธุ์ แต่ร่วมหอ (ตามความคิดคนอื่นที่ไม่รู้เรื่อง) ได้เหรอ
งั้นมันไม่ใช่การสนับสนุนให้ผิดจารีตหรืออย่างไร




คนในเผ่าเขารับรู้อยู่แล้วว่าผิดจารีตตั้งแต่แรก ดูได้จากที่พวกไม้หอมผาแดงไปตักน้ำค่ะว่าอุรพีพาชายมา มีงานหรือไม่ก็ผิดารีตตั้งแต่ต้นเนื่องจากในความเข้าใจของคนอื่นคือสองคนนี้ร่วมรักกันไปแล้วค่ะ ถ้าสมับนี้คือหนีไปอยู่ด้วยกันพ่อแม่รับรู้แต่ไม่จัดงาน ซึ่งไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่างเพราะความจริงมันไม่ใช่อย่างนิยายหรือโชคดีแบบอุรพีนะคะ #ข้อคิดนิดนึง #ขอบคุณสำหรับคำถามทำให้ท่านยุ่งฉุกคิดมาได้
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.17 P.6 (1/07/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 02-07-2017 23:15:07
โอยยยยยยยยคุณนภนต์ ท่านเป็นไพโบล่าหรือไม่ เดี๋ยวเต๊าะ เดี๋ยวด่า เดี๋ยวรัก เดี๋ยวแค้น โอยยยยย ข้าตามท่านไม่ทันจริงๆ =____=

เกลียดสุดคือประโยคนี้
"ข้าเองก็มั่นใจว่าเมียข้าทำใครท้องไม่ได้”
ของท่านนภนต์มาก อะไรจะมั่นใจปานนั้น หมั่นไส้555555

สนุกดีค่ะ ตามต่อไป เย่ รอวันน้องลันได้พิสูจน์ตัว
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.17 P.6 (1/07/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 06-07-2017 12:25:17


สาปรัก…ทัณฑ์เทวา

Writer : Tan-Yung0209

File : 18















ผืนพนากันติทัตนั้นแสนกว้างขวางทั้งยังรกทึบ การจะตามใครสักคนนั้นมิต่างอะไรกับงมเข็มเล่มเล็กในมหาสมุทรที่แสนกว้างใหญ่  ทั้งรพีพงศ์และนาคินทร์ที่ดั้นด้นเดินทางตามหานภนต์และชลันธร บัดนี้ทั้งสองก็ได้เข้าสู่ป่ากันติทัตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากที่นาคินทร์ได้ล่ำลาอาชามีปีกอย่างมารุตเป็นที่เรียบร้อยและกว่าจะจากลากันได้นั้นก็ใช้เวลาพักใหญ่  ก็พ่อมารุตของนาคินทร์นั้นต้องการที่จะเดินทางไปด้วย

“พ่อมารุต ไม่ต้องตามข้าดอก พ่อกลับไปที่ของพ่อเถิด” นาคินทร์เอ่ยกับมารุตที่ไม่ยอมกลับไป ทั้งยังจะเดินตามทั้งคู่เข้าไปยังป่ากันติทัต

‘ฮี้..ฮี่..’ มารุตร้องครางเสียงอ่อนเบาๆ บ่งบอกความเศร้าที่มี ไม่ว่าจะเป็นเทวา มนุษย์ธรรมดาหรือแม้แต่สัตว์เดรัจฉาน เมื่อมีจิตเชื่อมถึงกันก็ล้วนแต่มีมิตรภาพผูกพันดังเช่นมารุตกับนาคินทร์

“พ่อเป็นห่วงข้าอย่างนั้นหรือ” นาคินทร์ถามต่อ มารุตไม่ได้ร้องออกมา เจ้าม้าปีกกลับใช้ภาษากายแทน ใบหน้ายาวนั้นคลอเคลียไล่ไปตามบ่าอย่างอาวรณ์ นาคินทร์เผยยิ้มออกมาเล็กน้อบ นึกเอ็นดูอาชามีปีกตัวนี้เสียจริง มือเรียวยื่นพลางไปลูบที่แผงขนคอเบาๆ

“พ่อไม่ต้องห่วงข้า ผัวข้าเป็นถึงบุตรแห่งเทพทินกร เขาไม่ปล่อยข้าให้เป็นอันตรายดอกนะ” นาคินทร์กระซิบข้างใบหูใหญ่เมื่อต้องโป้ปดให้รพีพงศ์เป็นคนรัก มารุตหันชำเลืองมองหน้ารพีพงศ์ที่ยืนมองม้าหนึ่งตัวกับนาคาหนึ่งตนด้วยความหมั่นไส้ เพราะล่ำลากันอยู่นานทำให้การเดินทางนั้นล่าช้า แต่จะโวยวายก็ใช่ที่เพราะถ้าไม่ได้ทั้งสองก็คงมาที่นี่ได้ล่าช้าเช่นกัน ว่าแล้วก็เลิกสนใจนาคากับเจ้าม้าแกลบ ก่อนจะถอยห่างออกไปยืนอีกด้าน

“เจ้าพูดอันใดหรือ เจ้าม้ามารุตจึงยอมกลับไป” เมื่อนาคินทร์ที่จูงมารุตรีบเดินตามเข้ามาใกล้ผู้ที่ถูกนาคน้อยอุปโลกให้เป็นผัวเอ่ยถาม ทำให้ใบหน้าขึ้นสีก่อนจะรีบส่ายหน้าไปมา

“ไม่มีอันใดสำคัญดอก ท่านอย่าใส่ใจเลย ข้าว่าเราขอบคุณมารุตกันดีกว่า” นาคินทร์บ่ายเบี่ยงเชิญชวนร่างสูงกล่าวขอบคุณสัตว์พาหนะที่มาส่งทั้งสองถึงป่ากันติทัตแห่งนี้

“ข้าขอบน้ำใจเจ้ามากมารุต ที่ยอมมาส่งข้ากับนาคินทร์” รพีพงศ์เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน แม้น้ำเสียงจะนิ่งแต่แฝงถึงความจริงใจ

‘ฮี้…’ มารุตรับรู้ความจริงใจของรพีพงศ์ท่าทีของม้าปีกดำเองก็ดูจะอ่อนลงกว่าแต่ก่อน

“ข้าต้องไปแล้วนะพ่อ ข้าหวังว่าจะได้พบพ่ออีกครั้ง…ข้าขอบใจพ่อจริงๆ” นาคินทร์เอ่ย มารุตเองก็คลอเคลียบ่าเล็กเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจากลากันไปในเส้นทางของตน

ดวงตาคู่สวยฉายแววความโศกเศร้าขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด จนรพีพงศ์รับรู้ความรู้สึกของนาคินทร์ที่คงจะเสียใจที่จากลากัน หากความโศกานั้นกลับอยู่กับนาคาผู้นี้ได้ไม่นาน เมื่อย่างเข้าสู่ป่ากันติทัต ที่เต็มไปด้วยสรรพสิ่งที่น่าสนใจให้นาคินทร์คลายความเศร้าไปได้บ้าง ไม่ว่าจะเป็นพืชพรรณหรือจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีมากมายหลากหลายชนิดนั้นสามารถเรียกร้อยยิ้มของนาคินทร์ให้ปรากฏบนใบหน้างดงามนี้

“ท่านรพีพงศ์ ดูนั่นสิ...กวางสีขาวตัวนั้นสิที่เขาของมันเป็นสีทองด้วย ช่างงดงามยิ่งนัก ไม่เหมือนกับที่โลกมนุษย์เลยนะกวางส่วนมากขนสีน้ำตาลทั้งนั้น” นาคน้อยกระตุกแขนของผู้ร่วมเดินทางแล้วชี้ให้ดูมฤคาขนขาวที่เดินเล็มยอดหญ้าห่างจากทั้งสองไม่ไกลนัก รพีพงศ์เองก็มองตามแล้วยิ้มออกมา รอยยิ้มนี้หาใช่รอยยิ้มที่เกิดจากการพบเห็นกวางแต่เป็นรอยยิ้มเอ็นดูกับความสดใสราวกับเด็กน้อยของนาคินทร์

“ท่าน..นั่น…กระต่ายใช่หรือไม่”

“นั้นก็คล้ายตัวกระรอก แต่ทำไมมันเหมือนจะร่อนและบินได้ด้วย…ทะ…ท่านรพีพงศ์ กระรอกมันบินข้ามต้นไม้ดูสิ...”

ไม่ใช่แค่กวางเผือกเท่านั้น ไม่ว่าสิ่งใดในป่าแห่งนี้ ทุกสรรพสิ่งที่นาคินทร์ได้พบเจอก็ล้วนทำให้ตื่นเต้น นาคินทร์เองก็ไม่ต่างอะไรกับชลันธรที่ไม่ค่อยได้ออกจากนครบาดาล พอได้ออกมาก็ใช้ชีวิตอยู่โลกมนุษย์แต่และใจก็อยู่ภายใต้การควบคุมของ…กนธี

‘ท่านกนธี’ พอนึกถึงบุรุษที่เป็นรักแรก ร่างบางกลับหยุดกระโดนโลดเต้น ดวงใจน้อยๆ ก็พลันเจ็บแปลบแสนเจ็บปวด สำหรับนาคินทร์แล้วกนธีนั้นคือบุรุษผู้สง่างามและเก่งกาจที่สุดในสายตา ที่สำคัญที่สุดคือได้เล็งเห็นค่าในตัวของนาคินทร์ จากนาคชั้นต่ำที่มีชีวิตอยู่กันเพียงสองแม่ลูกใต้ร่องเหวท้องทะเลลึก ถูกกนธีพบเข้าโดยบังเอิญเมื่อครั้งที่ค้นหาดวงใจพระสมุทรครั้งใหญ่ และเป็นเพียงผู้เดียวที่สามารถทำให้ตนนั้นต้องการความรัก แต่ในยามนี้เมื่อไม่เป็นที่ต้องารแล้ว ก็จะลืมเลือนไปให้หมดสิ้น นึกย้อนไปก็สมเพชตัวเองเสียจริงที่ตอนนั้นคิดสั้น ครั้นจะอยากกลับลงน้ำไปหาแม่ก็ไม่ได้  เมื่อชีวิตเป็นของตนก็จะขอใช้ชีวิตนี้อย่างอิสระ เพราะเวลาที่ผ่านไปทุกวินาทีนั้นไม่เคยรอใคร ทุกเรื่องที่กำลังจะเข้ามานาคินทร์อยากให้มันเป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้

“นาคินทร์ เจ้าเป็นอันใด” รพีพงศ์ที่ปล่อยให้เชลยของตนวิ่งวุ่นเดินชมป่า ถึงกระนั้นทุกสิ่งทุกอย่างล้วนตกอยู่ในสายตาของตนที่อยู่ดีๆ ก็หยุดนิ่ง แม้แต่มุมปากที่เคยยกยิ้มตอนนี้กลับหายไป

“ข้าหาได้เป็นอันใดไม่ เพียงแต่เหนื่อยนิดหน่อยก็เท่านั้น” เพียงคำแก้ตัวให้อีกฝ่ายมิรู้ด้วยสาเหตุ ก่อนพลางเบือนใบหน้าทำทีมองไปทางอื่นเพื่อไม่ให้รพีพงศ์ผิดสังเกตได้

“คิดถึง อาลัยอาวรณ์เจ้ามารุตหรือ...” มิรู้ด้วยเหตุ เทพหนุ่มจึงเอ่ยถาม 

“หากเป็นเช่นนั้นข้าจะคิดมิได้หรือ ในชีวิตข้าจะมีสิ่งรักและผูกพันธ์เพียงกี่สิ่งกัน...”  ตอบไปตัดเพ้อดั่งว่า นาคน้อยก็ยังคงปกปิดเรื่องของกนธีต่อไป

“ข้าขอโทษ...” ช่างแปลกใจทั้งคนพูดและคนฟัง  นาคินทร์ไม่นึกว่าจะได้ยินคำๆ นี้จากปากรพีพงศ์

“มิเป็นไร...ว่าแต่กลิ่น...กลิ่นหอมนี้มาจากไหนกัน” กลิ่นหอมชวนดอมดมลอยตามลมฟุ้งทั่วบริเวณ นาคินทร์ที่สัมผัสได้กลิ่นนี้เดินตามหาที่มาของกลิ่นจนไปพบกับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เมื่อแหงนหน้ามองขึ้นไปก็พบกับมวลผกาสีขาวกำลังผลิบานอยู่เต็มต้นไม้ใหญ่ตรงหน้า

ต้นพะยอมยักษ์ที่เติบใหญ่ในป่ากันติทัตนานนับสหัสวรรษ ในปีหนึ่งนั้นต้นพะยอมนี้จะผลิดอกสีขาวนวลออกมาให้มวลหมู่ภมรได้เคล้าคลอเคลียดูดดื่มน้ำหวานอยู่เพียง 1 สัปดาห์ หากแม้นผู้ใดได้สัมผัสกลิ่นดอกพะยอมแห่งแดนหิมพานต์นี้ ก็ล้วนหลงใหลเฉกเช่น แมลงภู่ ผึ้ง ผีเสื้อเหล่านี้ ที่กระพือปีกบินวนมิยอมออกห่าง รวมไปถึงนาคินทร์ที่ต้องมนต์ความหอม บัดนี้นาคน้อยนั้นก็เดินเข้าไปใต้ร่มเงาแห่งต้นพะยอมนี้

ดั่งต้องมนต์เมื่อแรกเห็น ร่างอรชรย่อกายลงนั่งแล้วก้มเอื้อมมือเก็บดอกพะยอมที่ร่วงหล่นลงบนพื้นมาไว้ที่ฝ่ามืออีกข้าง หยิบจับขึ้นดอมดมกลิ่นหอมพลางเรียกความสุขและรอยยิ้มกลับคืนสู่นาคินทร์อีกครั้ง เห็นทีนาคินทร์ต้องขอบคุณต้นพะยอมยักษ์นี่เสียแล้วที่ทำให้ลืมความทุกข์ไปช่วยขณะ

“ท่านรพีพงศ์ ท่านลองมาดมดอกพะยอมดูสิ แม้จะร่วงตกลงพื้นดินแต่กลิ่นหอมก็หาได้หมดไป” นาคินทร์ยืนขึ้นแล้วหยิบดอกพะยอมยื่นให้เทวินทร์รูปงามที่เดินตามมาติดๆ ได้ลองดมดูบ้าง

“ท่านลองดมดูสิ” นาคินทร์ยื่นดอกพะยอมในมือจ่อที่ปลายจมูกคมหมายให้รพีพงศ์นั้นเพลินใจ ด้วยความไร้เดียงสาหารู้ไม่ว่าตนกำลังจะมีภัย

…‘กลิ่นเอ๋ย…กลิ่นพะยอมแก้ว ความหอมเจ้านั้นหาสิ่งใดได้เปรียบเว้นเสีย...นาคาตรงหน้าข้า’… สูดดมเพียงเล็กน้อย กลิ่นผกาในหัตถาเล็กหาใช่เพียงส่งกลิ่นหอมธรรมดาให้ชื่นใจแต่ยังปลุกเสน่ห์ในตัวของผู้ที่ได้สัมผัส รพีพงศ์ต้องมนต์กับดักสิเน่หาพะยอมเข้าให้แล้ว…อันนาค งู นั้นโดยปกติก็มีกายที่ยั่วยวน พอได้ผนวกกับกลิ่นหมอจากดอกพะยอมนี้ ยิ่งทำให้รัชทายาทบัลลังก์พระอาทิตย์เริ่มลุ่มหลง แทบครองสติตนไม่อยู่

“เจ้าออกไปก่อน...ไปให้ไกลจากข้าก่อน...” รพีพงศ์พยายามข่มใจตนเอาไว้มิอยากให้ตัณหาเข้าครอบงำจิตใจแล้วทำร้ายนาคินทร์จนผิดคำสัตย์สัญญาที่เคยให้ไว้

“ท่านเป็นอะไรไป...อยู่ดีๆ มาไล่ข้าเยี่ยงนี้ไม่กลัวข้าหนีหรอกหรือ...” นาคินทร์แสร้งถาม ในใจก็ตั้งคำถามว่าเหตุใดรพีพงศ์ถึงมีท่าทางแปลกไปจากเดิม

“อย่าพูดมาก ข้าสั่งให้เจ้าออกห่างไปก่อนก็ออกไปเสียสิ ไปให้ไกลข้าบัดเดี๋ยวนี้!!!” ต้องเอ่ยตะคอกเสียงดังด้วยหวังให้นาคน้อยนั้นปลอดภัยจากความไม่มั่นใจของตน เม็ดเหงื่อร้อนเริ่มผุดพรายเต็มหน้าผาก จากแรงกำหนัดที่พุ่งทะยานมากขึ้นเรื่อยๆ จนแทบข่มใจไว้ไม่อยู่เสียแล้ว นาคินทร์พอโดนรพีพงศ์ขึ้นเสียงใส่ก็ตกใจมิใช่น้อย หากก็ยังไม่ทำตามคำสั่งอยู่ดี

“อย่าเพิ่งโมโหโกรธาข้าสิท่านรพีพงศ์ สูดดมกลิ่นดอกพะยอมหอมๆ นี่อีกเสียก่อนแล้วท่านจะอารมณ์ดี” แทนที่จะออกไปให้ไกลตามสั่ง นาคินทร์ผู้มิรู้เดียงสากลับเดินเข้าหารพีพงศ์ มือเรียวถือดอกพะยอมยื่นจ่อใต้จมูกโด่งให้รพีพงศ์ได้สูดดม

ตอนนี้ดอกพะยอมนั้นไม่ใช่สิ่งที่สุริยะบุตรสนใจ ด้วยอารมณ์ดิบถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาอยู่เหนือสติเสียแล้ว หัตถาใหญ่ที่เคยกุมดาบบัดนี้กลับจับกุมข้อมือเล็กกระชากกายบางเข้าหาตน แขนยาวที่ว่างเข้ากอดรัดเอวนาคาตรงหน้าไว้ไม่ให้หนี พร้อมทั้งโน้มใบหน้าลงจุมพิตหนักยังริมฝีปากสีแดงสด นาคินทร์พยายามขัดขืนบ่ายเบี่ยงแต่มิอาจสู้แรงได้ ริมฝีปากบดเบียดเต็มแรงจนรู้สึกแสบร้อนดั่งไฟรน นาคน้อยจึงไม่อาจทนเผยอปากให้ลิ้นร้อนเข้ามาหยอกเย้าด้วยความเอาแต่ใจ

“อื้อ..อืม…” นาคินทร์ร้องท้วงในลำคอ ยามที่ฝ่ามือที่กอดรัดเอวเมื่อครู่ เริ่มลูบไล้ตามเอวคอดลงมาแล้วสอดเข้าไปในสาบเสื้อ ผิวนุ่มลื่นมือชวนให้รพีพงศ์อารมณ์พลุ่งพล่านกว่าเก่า เทพหนุ่มลูบวนที่หน้าท้องที่หดเกร็งเพราะความเสียวซ่านลากผ่านขึ้นไปยังแผ่นอกบางที่ประดับด้วยเม็ดทับทิมสีสดทั้งสองข้าง

“อื้อ….” กายบางดิ้นเร่าขยับกายหนี อยากจะร้องออกมาดังๆแต่ถูกอีกฝ่ายปิดปากเอาไว้ ยิ่งนิ้วโป้งบดขยี้ยอดอกร่างกายนั้นก็เหมือนจะหมดแรง

รพีพงศ์ดันนาคินทร์ให้แผ่นหลังชิดกับลำต้นของต้นพะยอม จึงถอนจูบ หลังจากที่อิ่มเอมกับการตักตวงความหวาน ปลายจมูกคมซุกไซ้ลงที่ซอกลำคอ สูดขาวดมกลิ่นหอมแห่งตัณหาที่เหนือกว่าดอกพะยอมหรือมวลบุษบาที่เคยได้พบเจอ แม้จะเคยลิ้มลองครั้งหนึ่งแล้วแต่ครั้งนี้นั้นแตกต่าง...ด้วยแรงฤทธิ์ร้ายกลเสนห่าแห่งดอกพะยอม

“ทะ…ท่านรพีพงศ์ หยุด…อื้อ..ข้าเจ็บ”  นาคินทร์ร้องขอออกมา เมื่อถูกรพีพงศ์ดูดเม้มหนักจนเกิดรอยช้ำ

…‘สุดท้ายทุกคนก็เหมือนกันหมด คำพูดที่สัญญาไร้ซึ่งน้ำหนักดั่งลมปากที่บางเบา…มองเห็นข้าเป็นเพียงที่ระบายตัณหา’… คิดแล้วก็นึกน้อยใจตนเองที่เกิดมาเป็นได้เพียงเบี้ยล่างเท่านั้น มิใช่ชนชั้นสูงที่ใครใคร่ถนอม ในขณะที่ถูกรพีพงศ์เล้าโลมร่างกายจนอ่อนระทวย ภาพความทรงจำที่ถูกเทวาผู้นี้ขืนใจก็ปรากฏขึ้นมา เพียงแค่คิดน้ำตาเม็ดใสก็หลั่งรินออกมาอาบแก้มขาว

“ท่านรพีพงศ์…ฮือ..หยุดเถิด..ข้าขอร้อง” นาคินทร์ร่ำไห้เว้าวอนขอความเมตตาจากผู้ที่กำลังหื่นกระหายร่างกายของตนราวกับสัตว์ป่าร้ายที่กำลังลิ้มรสเหยื่อแสนโอชะ

คำขอร้องที่ถูกเอ่ยออกมาพร้อมกับหยาดน้ำตา แต่ทว่าอีกฝ่ายหาได้สนใจไม่ ด้วยบัดนี้สำนึกผิดชอบชั่วดีนั้นจางหายไป กระหายตัณหาที่จะได้ครอบครองเสพสมนาคาเนื้อหวานเข้ามาครอบงำในจิตใจแทน รพีพงศ์เลื่อนมือลงมานวดเค้นบั้นท้ายก่อนจะปลดผ้าที่ปกปิดกายท่อนล่างจนร่วงหล่นลงกองกับพื้นเช่นเดียวกับหัวใจของนาคินทร์     …‘นี่ข้า...จะต้องพลีกายให้ท่านอีกแล้วหรือ...ท่านรพีพงศ์’…

…‘เจ้านาคเอ๋ย ฟังคำข้าเอาไว้ ความรักและหัวใจของเจ้ามันมีค่ายิ่งนัก จงมอบให้คนที่เห็นคุณค่าในตัวเจ้าเถิด’… ชั่วเสี้ยววินาทีแห่งความคิดนั้น นาคินทร์ที่กำลังจะถอดใจมิรู้ด้วยสิ่งใดนั้นดลใจให้หวนนึกถึงคำที่ฤาษีวิทูได้กล่าวไว้กับตน... เมื่อได้สติจึงได้ตระหนักว่าตนนั้นถึงแม้จะอยู่ในฐานะเชลยแต่ก็จะต้องปกป้องเกียรติของเอาไว้ไม่ให้ใครย่ำยีได้อีก

“หยุด!!!...หยุดกระทำเช่นนี้กับข้าบัดเดี๋ยวนี้!!!  ท่านรพีพงศ์…ฮึก…ไหนสัญญากับข้าแล้วมิใช่หรือ...มีสติแล้วนึกถึงคำมั่นที่ท่านลั่นวาจาสิ...ว่าจะไม่ขืนใจข้า!!!... ท่านรพีพงศ์!!!....ฮึก..ฮือ..” กำหมัดเล็กทุบตีไปตามแผ่นหลังกว้างปากก็ร้องออกมาดังก้องและดูเหมือนว่าครั้งนี้จะได้ผล รพีพงศ์มีกำลังต้องกำหนัดมนตราพะยอม ได้สติขึ้นมาและหยุดการกระทำหยาบโลนของตนลง

“ฮือ…ฮือ…ฮึก..ฮือ…” ร่างเล็กร้องไห้ทรุดลงไปนั่งกับพื้น มือเรียวดึงผ้าที่หล่นอยู่มาปกปิดกาย รพีพงศ์มองตามก็รู้สึกผิดที่ทำร้ายคนตรงหน้า

“นาคินทร์…เอ่อ…ข้า..” รพีพงศ์นั่งลงแล้วเอื้อมมือไปแตะบ่าที่สั่นเทิ้มแต่กลับถูกนาคินทร์เบี่ยงกายหนี ตากลมโตที่มีหยาดน้ำตาพอมองลึกลงไปก็พบว่ามีทั้งความเสียใจ ผิดหวังและความกลัว

“ท่านเห็นข้าเป็นเพียงเชลย เป็นเพียงนาคชั้นต่ำไร้ค่าใช่หรือไม่ จึงได้กระทำกับข้าเยี่ยงนี้…ฮือ…ทั้งที่ท่านเคยสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายข้า หากข้าทำดีกับท่าน…ฮึก..แต่แล้วทำไมท่านยังทำ…ท่านไม่ต่างอะไรกับคนใจร้ายที่ทำร้ายจิตใจข้า” ต่อว่าไปพลางสะอื้นไห้ให้อาดูร รพีพงศ์ผู้นี้คงไม่ต่างอะไรกับกนธีผู้ที่ตนเคยรัก

“นาคินทร์...เจ้าหยุดกรรแสงก่อนแล้วฟังข้า” รพีพงศ์รู้สึกผิดจับใจและอยากจะอธิบายสาเหตุที่ทำให้ตนนั้นเกิดกำหนัดจนควบคุมตนเองไม่ได้

“ข้าไม่ฟัง..ฮึก..ไม่ฟัง” นาคินทร์ไม่อยากจะได้ยินคำพูดของเทพผู้ไม่รักษาสัญญาอีกต่อไป

“เจ้าดื้อกับข้าอีกแล้ว” รพีพงศ์ดึงนาคินทร์เข้ามากอดหวังปลอบ แม้จะถูกนาคน้อยขัดขืนก็ตาม

“ปล่อย…ปล่อยข้า!!”

“ข้าไม่ปล่อยจนกว่าข้าจะพูดจบ เจ้าเห็นดอกพะยอมนี่ไหม ดอกพะยอมที่เจ้าเก็บมานั้นเป็นดอกพะยอมพันปีที่เหล่านางฟ้า นางสวรรค์ นำไปบดเป็นผงเพื่อทากายในยามที่ถูกเรียกให้รับใช้เหล่าทหารเทวา ฤทธิ์ของดอกพะยอมพันปีนั้นคือทำให้คนที่ต้องจับมีเสน่ห์ เย้ายวน แก่ผู้ที่ได้พบเห็นจนเกิดกำหนัดได้”

“ถ้าเยี่ยงนั้น…” นาคินทร์พอจะเดาออกแล้วว่าเหตุใดรพีพงศ์ถึงได้เข้ามาปลุกปล้ำ

“ใช่...อย่างที่เจ้าคิดนาคินทร์ เจ้านั้นเก็บดอกพะยอมผนวกกับพวกนาคมีกายเย้ายวนอยู่แล้ว ข้าจึงได้ปฏิบัติกับเจ้าเยี่ยงนี้....คือ ข้า....”

“แล้วเหตุใดจึงไม่บอกข้าเล่า ข้าจะได้ไม่ต้องสัมผัสดอกพะยอมนี้” นาคินทร์พูดเสียงแผ่ว กลับกลายเป็นว่าตนก็มีส่วนผิดที่ไปสัมผัสดอกพะยอมพันปี

“ก็เจ้าวิ่งถลาเข้าไป ข้าก็พูดห้ามไม่ทัน พอข้าไล่เจ้าให้ออกห่าง เจ้าก็ยิ่งมาใกล้ข้าอีก ข้าก็ลืมเรื่องดอกพะยอมนี้ไปชั่วขณะเสียด้วย...ก็เลยมิได้เตือนเจ้า”

“เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ข้าเป็นคนผิดสินะ” นาคินทร์เอ่ย…‘ทั้งที่รู้อยู่ว่าดอกพะยอมอันตราย ไฉนจึงไม่บอกตอนขับไล่ข้า แสร้งตอบว่าลืม...มีหรือข้าจะเชื่อท่าน’…

“ข้าขอโทษ” รพีพงศ์กระซิบข้างใบหูนิ่ม เทพหนุ่มรู้ตัวดีว่าตอนนี้นาคินทร์คงไม่พอใจที่สถานการณ์พาไปให้เหมือนทุกอย่างเป็นความผิดของคนในอ้อมกอดจึงได้เอ่ยคำขอโทษที่กลั่นออกมาจากใจ นาคินทร์ที่ได้รับคำขอโทษนั้น ถึงจะไม่แน่ใจนักว่าเทพหนุ่มจะมาไม้ไหนกับตนอีก แต่ก็รู้สึกดีขึ้นมาอย่างประหลาด ถึงจะยังตีหน้านิ่งไม่ยอมผ่อนทีท่าคลายกังวลให้

“ไม่รู้...ข้าโกรธท่านอยู่ดี…ท่าน..ท่านทำข้าเจ็บ ไม่ใช่คนรักกันจะมาทำแบบนี้กับข้ามิได้...” นาคินทร์เอ่ยออกมา รพีพงศ์จึงยอมผละอ้อมกอดแล้วไล่สายตาดูร่องรอยที่ตนได้ฝากเอาไว้บนกายบาง…ไม่แปลกใจเลยหากนาคินทร์นั้นจะไม่พอใจตน

“เจ้าจักให้ข้าทำเยี่ยงไร เจ้าจึงจะหายโกรธข้า” ทั้งที่ไม่มีความจำเป็นจะต้องงอนง้อเชลย รพีพงศ์กลับเลือกที่จะเป็นฝ่ายหยิบยื่นให้นาคินทร์เสียเอง อาจจะเป็นเพราะได้รับการอบรมมาอย่างดีที่เมื่อกระทำความผิดก็ต้องรับผิดชอบ

“หากข้าวอนขอท่าน ท่านจะทำให้ข้าจริงหรือ” นาคินทร์เอ่ยออกมาน้ำเสียงตื่นเต้น ช่วงชีวิตนี้นาคินทร์ไม่เคยมีใครให้ความสำคัญเยี่ยงนี้มาก่อน รพีพงศ์พอได้เห็นท่าทางของนาคินทร์ก็กลั้นยิ้มเอาไว้…‘ดูไปดูมา นาคน้อยตนนี้ก็ใสซื่ออยู่มิใช่น้อย’

“เพียงเจ้าเอ่ยปากมาข้าจักทำให้ ยกเว้นขอร้องให้ข้าปล่อยเจ้า” รพีพงศ์พูดดักทางเอาไว้

“ข้ามิได้ขอให้ท่านปล่อยตัวข้าดอก ข้าขอ…”

. . .

จันทราขึ้นทอแสงพบท้องนภาแทนสุริยาที่ลาลับ ทั้งสองจึงจำต้องหยุดเดินทางต่อ ค่ำคืนเช่นนี้พระพายนั้นได้เป่าสายลมให้พัดทั่วผืนพนา จนสรรพสัตว์น้อยใหญ่ล้วนต่างกลับไปยังถิ่นที่อาศัยหมายจะหลบลมหนาว ในเพลานี้นาคินทร์เองก็นั่งกอดเข่ามองรพีพงศ์ที่หอบหิ้วกิ่งไม้มาก่อกองไฟให้หมายมอบไออุ่น แม้นาคจะเป็นสัตว์เลือดเย็นแต่อากาศในป่ากันติทัตนั้นช่างหนาวเกินกว่าจะทนได้โดยเฉพาะยามที่ไร้ซึ่งทินกร

“ท่านรพีพงศ์…ข้าหนาวเหลือเกิน เร็วกว่านี้ไม่ได้หรือ” นาคินทร์เอ่ยเสียงสั่น

“ประเดี๋ยวเจ้าก็หายหนาวแล้ว เป็นแค่เชลยตัวจ้อยริบังอาจมาเร่งข้าเชียวหรือ” รพีพงศ์ที่กำลังนั่งจัดเตรียมกิ่งไม้มาทำเป็นฟืนเอ่ยออกมาไม่จริงจังมากนัก สิ่งที่นาคินทร์ขอช่างเล็กน้อยสำหรับตนเสียจริงเพียงแค่ให้มอบความอบอุ่นคลายหนาวยามค่ำคืน หากเรื่องเล็กน้อยนี้คงจะเป็นเรื่องใหญ่สำหรับนาคน้อยของตนที่นั่งตัวซีดสั่นเป็นลูกนกจนอดที่จะสงสารมิได้

‘พรึบ’ รพีพงศ์ใช้ดัชนี้ชี้ไปที่กองฟืน พลันแสงสว่างแห่งอัคคีก็โชติช่วงขึ้นมา นาคินทร์ยกยิ้มขึ้นมาที่ได้รับความอบอุ่นแม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม

“หายโกรธข้าหรือยัง อุ่นขึ้นบ้างหรือไม่” รพีพงศ์ซักถาม…‘ดูจากรอยยิ้มคงจะหายโกรธตนแล้ว’ รพีพงศ์สันนิษฐาน

“ข้าหายโกรธท่านแล้ว ส่วนความอบอุ่นจากกองไฟที่ท่านก่อให้นั้น ข้าสัมผัสได้บ้างถึงจะไม่มากพอให้ข้าหายหนาวแต่ก็ดีกว่าไม่มีสิ่งใดทำให้ข้าอบอุ่น” นาคินทร์ตอบตามความเป็นจริง

“เยี่ยงนี้เจ้าจักนอนได้หรือ…นาคินทร์” รพีพงศ์ถามด้วยความเป็นห่วง สำหรับบุตรแห่งพระอาทิตย์อากาศหนาวเพียงเท่านี้ไม่สามารถทำอะไรตนได้อยู่แล้วเหลือเพียงนาคินทร์ที่แม้จะก่อไฟให้ก็นั่งกอดเข่าตัวสั่นอยู่ดี

“ไม่เป็นไรดอก ข้านอนได้” นาคินทร์ล้มตัวนอนลงให้รพีพงศ์ได้เห็นว่าตนนั้นทนต่อความหนาวนี้ได้

ทว่าทันทีที่นาคินทร์ล้มตัวลง รพีพงศ์ก็เข้ามานอนอยู่เคียงข้าง ไหนจะจะใช้แขนแกร่งข้างหนึ่งสอดให้นาคินทร์ได้หนุนนอน ส่วนอีกข้างก็รั้งเอาเอวบางมากอดไว้ให้ชิดกาย

“ท่าน…ท่านจะทำอันใดข้า” นาคินทร์ตกใจคิดว่ารพีพงศ์จะข่มเหงน้ำใจเฉกเช่นเมื่อตอนกลางวันนี้

“ข้าไม่ทำอันใดเจ้าดอก นอกจะกอดเจ้าเพียงเท่านั้น” รพีพงศ์ยิ้มออกมา จะไม่ให้ยิ้มได้อย่างไรในเมื่อได้เห็นพักตราที่แดงก่ำราวผลอุลิตสุกของนาคินทร์ ครั้นที่เคยคิดว่าพวกนาคจะใจแข็ง หน้านิ่ง เห็นทีคงจะไม่ใช่กับทุกตัว

“เหตุใดถึงมากอดข้าเล่า ถ้าอยากหาอะไรกอด ท่านก็ไปกอดขอนไม้ตรงนั้นสิ”

“ข้าอยากกอดเจ้าหาใช่ขอนไม้ไม่…” คำพูดของรพีพงศ์ยิ่งทำให้ใบหน้าของนาคินทร์แดงหนักเข้าไปอีก บัดนี้หัวใจของนาคินทร์เต้นระรัวจนกลัวว่าจะทะลุออกมานอกอก หากดวงใจดวงน้อยนั้นมีปีกบิน คงเหลิงลอยลมพบเมฆินทร์ได้ดั่งใจนึก

“และข้านั้นก็ทำตามคำขอเจ้าด้วย เจ้าบอกให้ข้ามอบความอบอุ่นใช่หรือไม่ ไออุ่นจากกายข้านี่แหละร้อนพอที่จะทำให้เจ้าหายหนาวได้ ข้ารู้ว่าเจ้าหายหนาวอยู่ใช่หรือไม่” รพีพงศ์พูดต่อ นาคินทร์เองก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าไออุ่นที่แผ่ออกมาจากบุรุษวงษ์พระอาทิตย์ผู้นี้ช่วยทำให้ตนคลายความหนาวได้จริง

“ข้า...ข้าหายหนาวแล้ว” นาคินทร์ตอบ

“ฮึ ไม่เสียแรงที่ข้านั้นสละกายมาสัมผัสเจ้า” รพีพงศ์พูดหยอกเล่นเอาคนฟังหน้าเสียไม่พอใจ

“ถ้าลำบากมาก ท่านก็อย่าได้กอดข้าหรือแตะต้องตัวข้า!!!” นาคินทร์เอ่ยน้ำเสียงปนน้อยใจ พลางดึงแขนที่กอดรัดออก แต่รพีพงศ์กลับกระชับอ้อมแขนแกร่งให้แน่นกว่าเก่า

“ข้ายังพูดไม่จบ…การเสียสละครั้งนี้สำหรับข้าถือว่าคุ้มยิ่งนัก ที่ได้เห็นเจ้าเขินจนหน้าแดง เกิดมาข้าเพิ่งจะรู้ว่านาคนั้นเขินเป็น จะว่าไปเวลาเจ้าเขินมันน่ารักน่าแกล้งยิ่งนัก”

“ท่าน…ท่านรพีพงศ์บ้า!! ไยถึงชอบแกล้งข้านัก” นาคินทร์เผลอตัวว่ารพีพงศ์ที่มาเอ่ยหยอกจนตอนนี้นาคินทร์อายจนอยากแทรกแผ่นดินหนี ...‘ท่านไม่ได้ชอบพอข้า...ไยจึงช่างเจรจาเกี้ยวพาข้าเยี่ยงนี้ด้วยเล่า’...

“นี่เจ้าว่าข้าหรือ ปากเก่งเสียจริง...เห็นทีข้าจะต้องมอบไออุ่นให้กับปากของเจ้า ลิ้นของเจ้าเสียแล้ว”  รพีพงศ์แสร้งทำหยอกแกมเป็นดุ นาคินทร์ถึงได้รู้ตัวว่าตนบังอาจไปต่อปากต่อคำเสียแล้ว

“ข้าขอโทษ” นาคินทร์เอ่ย ในใจหวังให้รพีพงศ์ให้อภัย

“ข้ายกโทษให้ก็ได้ เห็นว่าวันนี้ข้าเองก็ทำไม่ดีกับเจ้าไว้มาก…” รพีพงศ์เอ่ยจบ ก็มิได้พูดอะไรต่อเพียงจ้องมองและสบสายตาคนตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่ง ไม่มีเสียงพูดอะไรต่อนับจากนี้ เมื่อสายตาคมถูกปิดลง ใบหน้าที่หล่อเหลาก็ซุกเข้าไปที่ท้ายทอยขาวทำให้นาคินทร์สัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่น ...นี่หรือบุรุษที่ทั่วทั้งสามโลกขนานนามว่าหากได้สบตาต้องยอมพลีกายขึ้นเตียงด้วย...แล้วเขามากอดก่ายเราอยู่เช่นนี้...ข้าเองก็มิใช่ก้อนหินไร้ความรู้สึกใดๆ นะท่านรพีพงศ์...

“ท่านรพีพงศ์ขยับใบหน้าออกไปหน่อยมิได้หรือ... ข้า…ข้านอนไม่หลับ” นาคินทร์เอ่ยเสียงแผ่ว หวังให้เทพหนุ่มเคลื่อนกายเพื่อหมายคลายกังวลใจ แต่รพีพงศ์กลับไม่ขยับตามคำขอ นาคินทร์จึงหันเพียงหน้าเล็กน้อยแล้วเหลือบมอง…รพีพงศ์นั้นเข้าสู่ห้วงนิทราเสียแล้ว

... ‘แม้นิทราก็ยังคงรูปงาม...มิต่างจากยามตื่น ยามร้ายก็ร้ายเหลือกำลัง ยามดีก็แสนจะเป็นสุภาพบุรุษ และที่ข้าไม่ไปจากท่านทั้งๆ ที่ตอนนั้นข้าสามารถจะหนีจากท่านได้ ก็เพราะไม่ว่าข้าจะอยู่ที่ไหนหากมีท่านอยู่ด้วยข้ามิไม่เคยหวั่นอันตรายใดๆ หากวันหนึ่งข้าต้องไกลห่างกันจากท่านจนสุดกู่ ข้าคงพร่ำเพ้อถึงอ้อมแขนกับลมหายใจอบอุ่นนี้เป็นแน่... ข้ามิอยากรู้สึกเช่นนี้ทุกค่ำเช้า กลัวใจตัวเองเหลือเกินท่านรพีพงศ์ ข้ากลัว...กลัวว่าเมื่อทุกอย่างนั้นจบลงแล้วทุกวัน ข้านั้นต้องเฝ้ามอง...เหม่อ คร่ำครวญเรียกหาท่าน ข้าคงทำได้แต่ครวญเสียงเพลงฝากลมเพื่อคลายทุกข์ตรมที่ท่วมท้นอุรา ฝากพระพายกระซิบถึงท่าน...ว่า ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน

ดั่งครานี้ข้านั้นเหมือนกำลังฝันที่ท่านกำลังกอด ยิ่งคิดคราใดใจไหวหวั่น หากตื่นมาแล้วพบว่าความจริงแล้วคนในใจท่านเป็นชลันธร มิใช่ข้า...มันคือความจริงที่ข้าต้องผ่านไปให้ได้ใช่หรือไม่ท่านรพีพงศ์

ข้ามิหวังอะไรมากอีกแล้ว... ขอแค่ว่ารุ่งสางวันพรุ่งตื่นขึ้นมา ขอให้ได้พบหน้าท่านก็เพียงเท่านี้...หากเทวาแห่งความฝันล่วงรู้ถึงประสงค์ของข้า ข้ามิอยากให้ค่ำคืนนี้ข้าหลับฝันเรื่องใดๆ อีกเพราะข้าชอบเวลานี้เสียเหลือเกิน...

ราตรีสวัสดิ์...ท่านรพีพงศ์’...























...........................................

มาแล้วค่ะ มาแล้วค่ะ ท่านยุ่งมาแล้วค่ะ

หลายคนหรือทุกคนนั้น ข้ารู้นะว่าพวกท่านรอคู่ปากเปื่อยอยู่ อิอิอิ

คู่นี้น่าเบื่อเนอะไม่มีสีสันอะไรเลย5555 อยากให้เขาทะเลาะตบๆๆๆๆตีๆๆชกกันไรงี้ 5555

ขอบคุณทุกท่านมากที่ติดตามมหากาพย์สุดแสนยิ่งใหญ่ของข้า ข้าดีใจยิ่งนัก ข้าปลื้มใจยิ่งนัก

สุดท้ายนี้ข้าขอขอบน้ำใจพวกท่านมาก ที่รอข้า อ่านนิยายข้า แสดงความเห็นเป็นกำลังใจให้ข้าข้ารักทุกท่านนะ ติชมข้าได้ตามสบาย ข้ายินดี
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.18 P.7 (06/07/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 06-07-2017 19:08:46
ก็สุขระคนเศร้ากันไป

ปล. สมเพช เขียนแบบนี้นะคะ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.18 P.7 (06/07/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 06-07-2017 20:02:32
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.18 P.7 (06/07/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 06-07-2017 20:55:27
ก็สุขระคนเศร้ากันไป

ปล. สมเพช เขียนแบบนี้นะคะ


ขอบคุณที่บอกนะคะ  ตามแก้ๆ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.18 P.7 (06/07/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 06-07-2017 20:57:01
 :pig4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.18 P.7 (06/07/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 06-07-2017 23:50:07
คู่นี้เราว่าไม่น่าเบื่อนะคะ ออกจะชอบมากกว่าคู่อื่นๆอีก ชอบแนวดราม่านิดๆแบบนี้ ฮะๆ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.18 P.7 (06/07/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 07-07-2017 09:20:31
รอตอนต่อไป~
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.18 P.7 (06/07/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 08-07-2017 00:23:45
คู่นี้ก็เรื่อยๆมาเรียงๆ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.19 P.7 (26/07/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 26-07-2017 13:16:18


สาปรัก…ทัณฑ์เทวา

Writer : Tan-Yung 0209

File : 19













ทั่วทั้งผืนกันติทัตไพรีบัดนี้เรือนยอดไม้ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกธวัลหนาทึบ บ่งบอกถึงสภาพอากาศที่หนาวเหน็บมิต่างจากช่วงเหมันตฤดูเลยสักนิด หากว่ากำลังหลับใหลอย่างสบายอยู่ก็คงมิหมายจะตื่นฟื้นจากนิทราแสนสุขนี้เมื่อแสงรวีย่ำรุ่งสาดส่องลอดลงมาถึงพื้นป่า ก็ถึงเวลาที่ห้วงแห่งนิทรานี้ได้ผ่านพ้นไป เหล่าสรรพสัตว์น้อยใหญ่จึงได้ออกมาจากที่ซุกหัวนอน บ้างก็หาอาหารบ้างก็จำศีลในถิ่นอาศัยอันแสนอบอุ่น หากแต่มีสองชีวิตที่นอนทอดกายอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ กายบางที่ได้รับไออุ่นจนหลับสบายกอดก่ายเทพหนุ่มไว้โดยไม่รู้ตัวว่ากำลังตกเป็นเป้าสายตาแก่ผู้ที่กำลังตระกองกอดตนเช่นกัน

รพีพงศ์ตื่นจากนิทรามาได้สักพักใหญ่แล้วแต่มิอาจจะขยับกายได้เพราะเกรงว่านาคน้อยที่ตนกำลังกอดอยู่นั้นจะตื่นขึ้นมาดวงตาคมดั่งราชสีห์จับจ้องไปที่ใบหน้าหวานที่มีเสน่ห์ไม่ต่างจากยามตื่นแม้เส้นผมดำขลับจะปรกหน้าบ้างแต่ก็มิอาจบดบังความงามนี้ได้ตั้งแต่รพีพงศ์เกิดมานั้นบุรุษที่โสภากว่านางอัปสรนอกจากชลันธรและบุษยะผู้รับใช้ในพระผู้สร้างแล้ว นาคินทร์ก็เป็นอีกบุรุษหนึ่งที่ทำให้ใจรพีพงศ์…สั่นคลอน

“อื้อ” เสียงหวานครางอือเมื่อถูกปลายนิ้วของรพีพงศ์ลูบเบาๆ ผ่านสันกรามอย่างเอ็นดู...ผู้กระทำชะงักเล็กน้อยแล้วแสร้งปิดตาลงแกล้งหลับเพื่อรอดูปฏิกิริยาของนาคินทร์ต่อไป

เปลือกตาหวานค่อยๆเปิดออกเผยดวงตาสวยที่นัยน์ตานั้นมีเงาสะท้อนของใบหน้าหล่อเหลาของรพีพงศ์ที่อยู่ห่างกันเพียงฝ่ามือกั้นกลางเอาไว้จนสามารถสัมผัสลมหายใจอุ่นที่ถ่ายทอดออกมาตั้งแต่ที่ได้ทำความรู้จักกับเทพบุตรจากสุริยะวงศา นับว่าเป็นครั้งแรกที่นาคินทร์ได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาใกล้ๆเยี่ยงนี้ดั่งคำที่นาคินทร์เคยได้ยินมาเห็นท่าจะเป็นจริงที่บุตรแห่งพระอาทิตย์มีเสน่ห์ที่แสนเร่าร้อนดั่งกองฟอนที่เย้ายวนด้วยสีแสงชวนให้เหล่าแมลงปีกใสโผบินเข้าหา

…‘ยามตื่นนั้นดุเสียเหลือเกินชวนให้ข้านั้นเกรงกลัว…พอยามหลับกลับน่ามองชวนให้ข้านั้นหวั่นไหวข้าอยากขอบน้ำใจท่านเหลือเกินว่า...นิทราที่ผ่านมานั้น ข้าแสนสบายและอบอุ่นเพียงไหน...แต่ข้าเองไม่มีสมบัติมีค่าอะไรตอบแทน จะมีเพียงจูบนี้แทนคำขอบคุณให้ท่านเท่านั้น’…

จิตใจเตลิดไกลหวั่นไหวเสียจน...นาคินทร์ไม่รู้ตัวว่าบัดนี้ใจตนนั้นได้กลายเป็นแมลงเม่ากระพือปีกบางใสบินเข้าสู้กองฟอนไฟตรงหน้า ใบหน้าสวยเลื่อนเข้าประชิดใกล้จนกระชั้นชิดอีกฝ่ายที่แกล้งหลับกลับตื่นเต้นใจรัวไม่อาจจะคาดเดาว่านาคน้อยผู้ใสซื่อนั้นก็กำลังจะทำอะไรกับตน แต่ก็ไม่ต่างอะไรกับที่คิดไว้ในใจเท่าไหร่นัก เมื่อนาคินทร์ค่อยๆ ทาบทับริมฝีปากของตนลงไปที่ริมฝีปากอุ่นหนาเบื้องหน้า

เมื่อจุมพิตได้ครู่หนึ่ง...“อ๊ะ!..อื้ม”…เสียงเล็ดรอดที่ทำให้นาคินทร์รู้ตัวว่าตนนั้นเป็นแมลงเม่าตกหลุมพลางกองฟอนไฟนี้เข้าเสียแล้ว ไฟร้อนที่ซ้อนเร้นไร้ซึ่งเปลวเพลิงนั้นเริ่มโหมกระพืออยู่ภายในใจ รพีพงศ์ขบเม้มริมฝีปากล่างสวยให้เปิดออกแล้วแทรกชิวหาร้อนเข้าไปมอบความอบอุ่นปนหวานหัตถาใหญ่จับเข้าที่ท้ายทอยดันเข้ามามิให้หนี นาทีนี้นาคินทร์รู้แล้วว่ารพีพงศ์นั้นรู้สึกตัวแล้ว แต่ไยกลับไม่ผละหนีทั้งยังกลับจูบตอบกลับอย่างดูดดื่ม ดวงตาเบิกโพลงนาคน้อยพยายามผละริมฝีปากและดันกายหนีแต่ผู้ที่เข้ารุกล้ำก็มิยอมละการครอบครองริมฝีปากบางเสียที เทพหนุ่มค้นพบบางอย่างว่านาคินทร์นั้นก็มีความร้อนแรงแห่งตัณหาซ้อนเร้นอยู่ภายในเช่นกัน จะแลกจูบหรือ...รพีพงศ์ก็ไม่น้อยหน้าผู้ใดเช่นกัน เมื่อจุดไฟในกายนาคินทร์จูบตอบกลับย้ำวนเวียนจนสมใจแล้วจึงได้ถอนจูบออก

“ทะ..ท่าน” นาคินทร์ทั้งเขินทั้งตกใจจนแทบพูดอะไรไม่ออก พวงแก้มขาวทั้งสองนั้นขึ้นสีแดงก่ำดั่งผลไม้สุก ด้วยความร้อนที่แผ่ซ่านวูบวาบไปทั่วพักตราในยามนี้อีก

“ใบหน้าเจ้าแดงเยี่ยงนี้แสดงว่าข้าให้ความอบอุ่นเจ้าได้สำเร็จฮึ!หากเจ้าหนาวมากจนหลงละเมอต้องคิดมาลักหลับข้าเยี่ยงนี้แล้วล่ะก็ ทีหลังปลุกข้าให้ตื่นเสียเถิด ข้ายินดีที่จะมอบไออุ่นนี้เข้าไปในโพลงปากแสนหวานของเจ้าทุกเมื่อทุกยาม”…รพีพงศ์เอ่ยทั้งยกยิ้มกับท่าทางอากับกริยาของนาคินทร์ที่ก้มหน้าก้มตาไม่ยอมมองตน

“ลักหลับ...ข้าได้หาลักหลับท่านไม่ แล้วข้าก็ไม่ได้อยากให้ท่านมอบไออุ่นในปากข้า!!ด้วย...” เสียงเหมือนจะดุกลับไป ถึงนาคินทร์จะเถียงขึ้นมาแต่รพีพงศ์กลับไม่รู้สึกโกรธแม้แต่น้อย

“กระนั้นหรือ…แล้วที่เจ้าใช้ริมฝีปากเจ้ามาแตะที่ริมฝีปากข้าเจ้าจะอธิบายข้าว่าอย่างไร”

“คือ…คือข้า…” นาคินทร์หาให้คำตอบได้ไม่

“เจ้าคงหาคำตอบดีๆให้ข้ามิได้สินะแต่มิเป็นไรดอก ข้าจักมิถือสาหาความโทษโกรธเจ้า…จะถือเสียว่าได้ลิ้มลองของหวานยามเช้าก็แล้วกัน” รพีพงศ์ยิ้มเยาะออกมานิ้วโป้งก็เกลี่ยริมฝีปากของนาคินทร์เล่นชวนให้นาคน้อยหงุดหงิดจนเผลออ้าปากเตรียมจะกัดนิ้วอีกฝ่าย

“หยุด! …ถ้าเจ้าคิดจะกัดนิ้วข้าละก็...ข้าขอเตือนเลยว่าครานี้ ข้าจะลงโทษเจ้าจริงๆ แน่...!!!”

“ก็ท่านชอบแกล้งข้าก่อน...ข้าเลยอยากเอาคืนท่านบ้าง” ถึงนาคินทร์พูดเสียงอ่อนเหมือนเกรงกลัว แต่จริงแล้วมิได้กลัวเกรงบุตรพระอาทิตย์เลยสักนิด

“เชลยอย่างเจ้า...ริคิดการจะต่อกรกับข้ากระนั้นหรือ...เจ้ามันน่าตียิ่งนัก” มิพูดเปล่าฝ่ามือเทพหนุ่มที่หยาบกร้านตีลงไปที่บั้นท้ายนิ่มไม่เต็มแรงเท่าไหร่นัก

“ท่านรพีพงศ์!!”

“อย่ามัวแต่เรียกชื่อข้าแล้วทำหน้าบึ้งตึง...จงคิดว่าจะรีบลุกออกจากแขนข้าหรือว่าเจ้าจะนอนลวนลามข้าเยี่ยงนี้ต่อไป”

“ท่านชอบแกล้งข้า...ข้าจะไม่คุยกับท่านแล้ว” นาคินทร์ฮึดฮัดแล้วลุกขึ้นยืนก่อนจะเซเล็กน้อยเนื่องจากเสียการทรงตัวยังดีที่รพีพงศ์นั้นก็ลุกขึ้นมาประคองไม่ให้นาคินทร์เสียหลักล้มลงไปอ้อมแขนกว้างโอบกอดประคองกายบางเข้าแนบชิด ทุกอย่างนั้นดูรวดเร็วไปเสียหมด สองใบหน้าประจันกันเพียงคืบ มิมีคำพูดใดๆ ต่างรู้สึกได้ถึงลมหายใจของกันละกัน สองสายตามองผ่านประสานกันอยู่ครู่หนึ่ง เพียงชั่วอึดใจนาคินทร์จึงเป็นฝ่ายได้สติและพูดขึ้นมาก่อน

“ข้ายืนเองได้ปล่อยข้าเถิด...เมื่อคืนยังกอดมิพออีกหรือ...” นาคินทร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบแต่ในใจนั้นร้อนรุ่มมิได้สงบเหมือนดั่งคำพูด

“ไหนว่าจะไม่พูดกับข้าไงเล่า...ดังนั้นเจ้าจงเงียบปากเสีย ถ้าเจ้าพูดอะไรอีกข้าจักลงโทษเจ้า...” เมื่อพูดจบเทพหนุ่มจึงยอดคลายอ้อมกอดที่ช่วงพยุงกาย ใบหน้าของนาคินทร์นั้นง้ำงอเล็กน้อยเพราะถูกรพีพงศ์ยียวนกวนประสาทแต่เช้า ร่างบางได้แต่ยืนนิ่งๆ น้อยใจ เพราะทำอะไรก็ไม่ถูกใจ จ้องแต่จะขู่ลงโทษตนอยู่ตลอดเวลา

“มัวแต่จะยืนนิ่งอะไรอยู่เล่า...ไป...ข้าจักพาเจ้าไปล้างหน้าล้างตาที่ลำธาร…เดินตามข้ามา...”

...บางทีตอนนี้อาจจะเหนื่อยใจที่จะพูดนัก...แต่ก็ต้องยอมไปเพราะหากค่ำนี้ไร้รพีพงศ์เห็นทีคงจับต้องไข้ป่าหนาวสั่นเป็นแน่ แล้วว่าก็เดินทอดน่องตามเทพหนุ่มตรงไปยังลำธาร…

...รพีพงศ์...ในใจของท่านกำลังคิดการอันใดอยู่...

อีกฟากฝั่งหนึ่งของลำธารนางสิงห์อุรพีพร้อมด้วยฉมาก็ได้พาชลันธรและนภนต์หลบออกมาจากถ้ำหินอ่อนตั้งแต่รุ่งสางเพื่อส่งทั้งสองยังทางออกของถ้ำตามคำที่เคยให้สัญญาไว้

“ข้าขอบน้ำใจพวกท่านที่ช่วยเหลือข้าทั้งยังเมตตารับเป็นพ่อของลูกในท้องของข้าอีก...”อุรพีเอ่ยกับชลันธรแล้วหันมาทางนภนต์ที่ยืนหน้านิ่งไม่พูดจา ก็คงจะหงุดหงิดที่เมื่อคืนนางอุรพีเข้าไปขัดในคราที่นภนต์กำลังจะหอมแก้มของชลันธร

“ท่านอย่าได้โกรธข้าเลยท่านแค่ไม่ได้หอมแก้มเมียท่านแค่ครั้งเดียวเองจากนี้ไปท่านยังมีเวลาอีกเยอะที่ท่านจะได้ทำ” อุรพีเอ่ยทั้งนภนต์และชลันธรพากันชะงัก...‘หลังจากนี้อย่างนั้นหรือ…มันยังจะมีโอกาสอีกหรือไม่ที่จักได้ทำ...’ ชลันธรได้แต่คิดเพราะในเมื่อนภนต์นั้นยังคงคิดว่าตนเป็นผู้ลอบวางยาพิษสังหารนางกวินตาผู้เป็นมารดาของคนรักนภนต์เองก็คิดไปอีกทางว่าชลันธรคงจะโกรธและหมดรักจากตนไปคงไม่ฟังคำขอโทษจากตนที่เคยเข้าใจผิดเพราะจากเหตุการณ์ที่ชลันธรถูกทำร้ายด้วยพิษชนิดเดียวกับแม่ของตนนั้นนภนต์ค่อนข้างแน่ใจว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกันเพียงที่ตนทำตัวร้ายใส่ก็เพราะนิสัยทนงตัวเย่อหยิ่งปากแข็งซึ่งทำให้ตนได้เกือบสูญเสียคนรัก…

“ข้าหาได้ถือความคนท้องดอกนะเจ้าอย่าได้กังวลเลยแต่...ถ้าเจ้าไม่มีครรภ์ก็ไม่แน่อาจจะได้ลิ้มรสฝ่ามือข้าเป็นแน่แท้” นภนต์พูดออกมาผู้ที่ฟังก็รู้ว่าเทพเวหาผู้นี้หยอกเอิ้นเท่านั้นมิได้มีเจตนาทำร้ายนางไกรสรราชสีห์เลยแม้แต่น้อย

“ผัวข้า...ท่านดูผัวของท่านสิขู่จะทำร้ายข้า…” อุรพีเองก็เล่นกับนภนต์ด้วยนางสิงห์ทำทีกอดแขนออเซาะชลันธรที่ยืนอมยิ้มอยู่ใกล้ๆ

“อุรพีเจ้านี่หาเรื่องให้ผัวเมียขาเทะเลาะกัน...” ฉมาแยกลูกสาวออกจากชลันธร

“โธ่…ท่านพ่อ” อุรพีกระเง้ากระงอดไม่ต่างจากเด็กน้อยที่ถูกขัดใจฉมาเริ่มกังวลว่าลูกสาวจะเลี้ยงหลานของตนให้เข้มแข็งได้หรือไม่ผู้เป็นพ่อเริ่มกลุ้มใจ

“ท่านฉมา…อุรพี...เราเห็นทีว่าเราจะต้องรีบเดินทางต่อเสียแล้ว เกรงว่าล่ำลากันอยู่นาน จะเสียเวลาเปล่า...” ชลันธรเอ่ยเพราะอยากจะเดินทางไปวิมานของเทพกาลเวลาเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์โดยเร็วที่สุดดังนั้นชลันธรจึงจำต้องรีบร่ำลาสองสิงห์พ่อลูกคู่นี้

“นั่นสิ...อย่าได้มัวพูดคุยพิรี้พิไรกันอยู่เลยข้ากับลูกสาวของข้านั้นก็ทำให้ท่านเสียเวลามามากพอแล้วอย่างไรเสียข้าไม่มีสิ่งใดจะมอบให้นอกจากคำอวยพรขอให้ท่านทั้งสองปลอดภัยทั้งนี้หากมีการหน้าอันใดที่ท่านต้องประสงค์ที่ใช้กำลังและสติปัญญาของข้า ก็จงตั้งจิตมั่นแล้วระลึกถึงข้าข้าจักกรีฑาเหล่าพี่น้องไกรสรราชสีห์ไปพบท่านในมิช้าที แม้นมีการยากลำบากอันใดขวางกั้นอยู่ข้าก็จะไปพบท่านให้จงได้...” ฉมาให้คำสัตย์แก่นภนต์และชลันธรสร้างความซาบซึ้งใจให้กับทั้งสองเป็นอย่างมาก

“ข้าขอบน้ำใจท่านมากขอให้ท่านรวมถึงเหล่าพี่น้องไกรสรราชห์ที่ท่านดูแลอยู่นั้นดำรงตนอยู่ในศีลธรรมเช่นนี้ตลอดไป” นภนต์เอ่ยขอบคุณด้วยความตื้นตันใจ

“ท่านชลันธร...ท่านเองก็อย่าลืมกลับมาเยี่ยมเยือนที่นี่บ้างนะข้าอยากให้ท่านได้พบกับลูกของเรา” อุรพีเอ่ยย้ำเตือนชลันธรก่อนจากลา

“ไว้เราทำภารกิจสำเร็จเมื่อใด แล้วมีโอกาสเราจะมาหาเจ้าและลูกของเราให้จงได้...เราให้สัญญา”ชลันธรเอ่ยคำสัญญามั่นแก่อุรพี

“เอาล่ะข้าว่าเห็นการสมควรแล้วขืนชักช้าเหล่าลูกสมุนพี่น้องของข้าอาจจะตื่นออกมาหากินและเห็นพวกท่านอาจจะลำบากได้” ฉมาเอ่ยเตือนเมื่อเห็นว่าใกล้เวลาที่สมุนของตนจะออกมาชำระกายออกล่าอาหาร

“อืมนั่นสิช้ามิได้แล้ว...ถ้าเช่นนั้นพวกข้าก็ขอลาท่านทั้งสองตรงนี้…จนกว่าจะได้พบกันใหม่...ท่านฉมา...อุรพี...” นภนต์เอ่ยแล้วโค้งศีรษะลงเล็กน้อย วงแขนกว้างโอบเข้าเอวบางประคองชลันธร เดินข้ามลำธารใสที่เย็นเสียจนทำให้ชลันธรตัวสั่นนภนต์เองก็รับรู้ได้ว่าชลันธรในร่างมนุษย์คงจะทนความหนาวเย็นนี้ไม่ได้

“ท่าน..ท่านทำอะไร” ชลันธรร้องออกมาไม่ดังมากนักเมื่อร่างกายลอยละลิ่วเหนือผืนน้ำจากการที่ถูกเทวาหนุ่มช้อนตัวขึ้นมาอุ้มเอาไว้

“พี่รู้ว่าเจ้านั้นคงเย็นเท้าพี่เลยอุ้มเจ้าขึ้นมา” นภนต์ให้คำตอบทั้งยังใช้สรรพนามแปลกไปจากเดิม

“เพลานี้ไม่มีท่านฉมาหรืออุรพีท่านไม่จำเป็นพูดกับเราเฉกเช่นคนรักดอก…ท่านนภนต์”

ร่างสูงหยุดยืนนิ่งกลางลำธารใสที่กระแสน้ำกำลังไหลผ่าน ก่อนจะเปล่งน้ำเสียงที่ฟังแล้วเหมือนจะราบเรียบแต่เต็มไปด้วยทุกความรู้สึกออกมา...“พี่ขอโทษ…”

“ท่านพูดอะไรของท่านมาขอโทษข้าเรื่องอันใดเล่า…” เพียงประโยคหนึ่งที่ได้ยินถึงกับทำให้ชลันธรขมวดคิ้วงุนงงกับ คำพูดของนภนต์ ไหนจะสิ่งที่แสดงออกมาในขณะนี้ไม่ว่าจะเป็นท่าทางแววตาน้ำเสียงคำพูดซึ่งชวนให้ชลันธรนึกถึงความสัมพันธ์ครั้งเก่าก่อนที่ผ่านมา

“พี่ขอโทษเจ้าในทุกๆสิ่งทุกๆอย่าง ทุกๆเรื่องที่พี่ทำให้เจ้าต้องเสียน้ำตาและเสียใจ ขอโทษที่พี่โมโหเจ้า โกรธเจ้าจนขาดสติ ไม่เชื่อว่าเจ้านั้นเป็นผู้บริสุทธิ์…ทำให้เจ้าต้องลำบากเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ พี่มันเลวเอง พี่ขอโทษนะ...ชลันธร”นภนต์ตัดสินใจกล่าวคำขอโทษที่จุกแน่นอยู่ภายในใจมาแสนนานให้คนที่โอบอุ้มไว้ยิน หากจะว่าไปแล้วอาจจะเป็นการยากที่เทพชั้นสูงผู้เป็นใหญ่จะเอื้อนเอ่ยคำๆ นี้ออกมา แต่สำหรับนภนต์แล้วการกล่าวขอโทษออกมาเมื่อรู้ว่าตนนั้นทำผิดไม่ใช่เรื่องที่น่าอายแต่แสดงออกถึงความกล้าที่หาญจะรับผิดชอบในสิ่งที่ก่อไว้กับผู้เป็นดวงใจของตน

“ฮึก…ท่านพี่...ฮือ…เหตุใดท่านพี่ถึงเพิ่งจะมาเชื่อข้า..ฮึก…ฮือ..อ…ท่านพี่ปล่อยให้ข้าทนทุกข์…ใจร้าย...ท่านพี่ใจร้าย” สุดจะฝืนสะอื้นกลั้นไว้ คำขอโทษที่ผ่านสายลมมาให้ได้ยลยินนั้นเรียกหยดน้ำตาของชลันธรให้พรั่งพรูมิยอมหยุดไหล...อิงแอบใบหน้าสวยที่ต้นแขนของเทพหนุ่ม ด้วยจากความรู้สึกทั้งดีใจทั้งน้อยใจที่มีต่อชายผู้นี้…ในที่สุดชลันธรก็ได้ยินคำขอโทษที่ตนนั้นเฝ้ารอคอยมานานแสนนาน

“ยังไม่สายไปใช่หรือไม่...” เทพหนุ่มปลอบประโลมขวัญด้วยจุมพิตบางเบาแนบกลางหน้าฝากคนรักกลางสายน้ำ แต่ชลันธรก็มิยอมที่จะหยุดสะอื้นไห้ ประกอบกับมีโขลงกุญชรแก้วโขลงหนึ่งกำลังเดินตรงเข้ามาเพื่อดื่มกินน้ำในลำธารนี้ นภนต์จึงได้อุ้มชลันธรหลบมายังอีกฝั่งของลำธาร

ร่างสูงค่อยๆ วางกายบางให้ยืนหยัดบนผืนฝั่ง แล้วรวบกอดร่างอรชรที่สะอื้นไห้เอาไว้แนบอุรามือเรียวกำหมัดแน่นทุบตีแผ่นหลังกว้างคล้ายเป็นการลงโทษคนที่ไม่ยอมเชื่อใจ

“ถ้าเจ้าตีพี่แล้วเจ้าสบายใจเจ้าก็ตีพี่เถิด แต่อย่าตีให้พี่ตายไปเสียเล่า...หากพี่ตายไปใครไหนเล่าจะกอดกายเจ้า ใครไหนเล่าจะปกป้องกายและดวงใจนี้...”พอได้ยินคำว่า...ตาย...ชลันธรก็หยุดทุบตีแผ่นหลังเทพเวหาทันที อดีตพระสมุทรเทพไม่คิดจะให้คนรักสิ้นชีพชีวาวาย

“ถ้าคิดว่าตายแล้วข้าจักหายโกรธกริ้วท่านพี่แล้วล่ะก็…ฮึก..ข้าไม่ยอมให้ท่านพี่ตายดอก ข้าจักให้ท่านพี่อยู่กับข้า ให้ข้าลงทัณฑ์เทวาอย่างท่านพี่ให้สาแก่ใจข้า...”ชลันธรขืนตัวออกจากอ้อมแขนซึ่งตัวนภนต์เองก็ไม่คิดรั้งเอาไว้ ชลันธรเช็ดคราบน้ำตาที่นองหน้าแล้วเอ่ยวาจาคาดโทษกับอีกฝ่ายนภนต์ได้แต่แสร้งยืนทำหน้าเศร้าไปตามคำขู่คาดโทษนั้น เพราะรู้อยู่แล้วว่าเสียอย่างไรชลันธรก็พูดไปอย่างนั้น มิกล้าที่จะลงทัณฑ์อะไรตนจริงจัง คงเอ่ยด้วยอารมณ์น้อยใจเสียมากว่า  ว่าแล้วร่างบางก็เดินหนีตนไปนั่งพักที่โขดหินริมลำธาร ที่อีกฝั่งโขลงกุญชรแก้วกำลังลงเล่นดื่มกินน้ำอย่างสำราญใจ นภนต์เดินตามเข้าไปใกล้ๆ และนั่งลงเคียงข้างมิห่าง แต่ทั้งสองก็ไม่ยอมพูดอะไรกัน  นภนต์รู้ดีว่าใจของชลันธรกำลังโกรธ ขืนไปเย้าแหย่หรือง้องอนในยามนี้เห็นทีจะมิเป็นการดีเป็นแน่แท้...

“เหตุใดเล่าท่านพี่ถึง...กล้าที่...จะเอื้อนเอ่ยขอโทษข้า” เมื่อพอสงบใจได้บ้างชลันธรก็เป็นฝ่ายตั้งคำถามและเปิดปากพูดก่อน

“อันที่จริงพี่นั้นสงสัยเรื่องพิษที่เจ้าและท่านแม่เคยได้รับ มันมีส่วนคล้ายคลึงกันมาก พี่จึงอดคิดไม่ได้ว่าผู้ที่วางยานั้นคงต้องการให้พี่ผิดใจกับเจ้า คงหมายให้เจ้าต้องทัณฑ์เทวาให้มอดม้วยแต่กลับกลายเป็นว่าเจ้านั้นโดนสาปให้เป็นไปเกิดมนุษย์จึงได้ตามจองล้างจองผลาญเจ้า” นภนต์เอ่ยสิ่งที่ได้คิดสันนิษฐานเอาไว้

“แล้วไยท่านพี่ถึงไม่รีบขอโทษข้าตั้งแต่คราแรก...ปล่อยให้ข้า...”ชลันธรหันหน้ามาหานภนต์  เทพหนุ่มเลื่อนมือหนาข้างหนึ่งมากอบกุมมือบางเอาไว้

“พี่ผิดเอง...ที่ปากหนักไม่ยอมเอ่ยออกไป...พอเห็นพระศุกร์มาเกี้ยวเจ้าพี่ก็โพล่งดุด่าว่าเจ้าก็ด้วยเพราะพิษรักแรงหึงจนเจ้าหนีพี่ไปพี่ถึงตระหนักได้ว่าถ้าพี่ไม่ปรับความเข้าใจกับเจ้าพี่อาจจะสูญเสียเจ้าไปตลอดกาล” นภนต์บอกความในใจที่มีให้กับคนตรงหน้าพลางใช้นิ้วโป้งเกลี่ยแก้มใสอย่างเบามือ

“เจ้าจะอภัยให้พี่ได้หรือไม่...คนดี...”นภนต์ถามชลันธรพยักหน้าแล้วโผกอดนภนต์เป็นคำตอบเทพเวหาเองก็กอดตอบเช่นกันมุมปากยิ้มกว้างออกมาความปลื้มปิติอัดแน่นตรงอกกว้างแทบล้นปรี่ภาพโขลงกุญชรแก้วตรงหน้าต่างยังคงพ่นน้ำและดื่มกินอย่างสำราญมิได้สนใจทั้งสองเลยแม้แต่น้อย

“พี่ขอบน้ำใจเจ้ามาก…ชะ..”

หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.19 P.7 (26/07/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 26-07-2017 13:17:11
(ต่อ)


“ชลันธร!!!” เสียงทุ้มที่คุ้นเคยร้องเรียกชื่อของร่างโปร่งจากชายป่า ทั้งนภนต์และเจ้าของนามต่างก็หันไปยังต้นเสียงก็พบกับสุริยบุตรอย่างรพีพงศ์ที่กำลังเดินตรงเข้ามาพร้อมกับนาคินทร์

“ข้าไม่คิดว่าจะได้เจอเจ้าที่ป่ากันติทัตนี้ด้วย...รพีพงศ์” นภนต์เป็นฝ่ายเริ่มต้นบทสนทนาที่ไม่เชิงจะเป็นคำทักทายที่บ่งบอกถึงความยินดีเท่าไหร่นัก

“ข้าเองก็ไม่ใคร่อยากจะเจอท่าน...” รพีพงศ์เองก็โต้ตอบกลับไปนาคินทร์ที่ได้เห็นใบหน้าที่แสนเย็นชาของนภนต์ ก็เลื่อนกายยืนหลบเข้าด้านหลังของรพีพงศ์ไม่กล้าเผชิญหน้าตรงๆ ทั้งกับนภนต์และชลันธร

“แต่เจ้าอยากจะเจอเมียข้ามิใช่หรือ...เห็นทีเจ้าต้องทำใจเสียแล้วรพีพงศ์ เพราะจากนี้เป็นต้นไป ไม่ว่ามีชลันธรที่ไหนก็จะมีข้าอยู่ทีนั่น...ก็คง...จะต้องเจอข้าไปทุกที่ละนะ” นภนต์พูดข่มราวกับเด็กน้อยที่โอ้อวดว่าตนมีของล้ำค่ากว่ารพีพงศ์ที่ได้ยินก็ยืนหน้าบึ้งตึงไม่พอใจนัก โดยเฉพาะที่นภนต์เอ่ยออกมาเต็มปากเต็มคำว่าชลันธรเป็นเมีย...

“เอ่อ...ท่านพี่กับรพีพงศ์อย่าเพิ่งทะเลาะกันสิ การได้พบเจอของพวกเรานั้นล้วนเป็นพรหมลิขิต พวกเรานั้นควรจะยินดีมิใช่หรือ” ชลันธรพูดแทรกชึ้นมาก่อนที่เทพทั้งสองจะเปลี่ยนจากใช้วาจาเป็นการใช้ดาบมาเชือดเฉือนกัน

“หาใช่พรหมลิขิตดอกชลันธร ข้านั้นตั้งใจดั้นด้นตามมาช่วยเหลือเจ้าเพราะเกรงว่าอยู่กับท่านนภนต์แล้วเจ้าจะไม่ปลอดภัย” รพีพงศ์ตอบชลันธรและมิวายพูดจากระทบนภนต์เล็กน้อยพอเป็นพิธี

“ผ่านมาก็ตั้งหลายร้อยปีแล้ว ข้าก็ไม่คิดว่าเจ้านั้นยังคงไม่ล้มเลิกความคิดริจะตีท้ายครัวข้าอีก” นภนต์เกิดความหึงหวงก็พูดโพล่งออกไป

“ท่านเองก็เช่นกัน ผ่านมากี่ร้อยปีก็ยังโง่มิต่างจากเดิม มิรู้อีกหรือว่าใจของคนที่ท่านรักนั้นคิดเช่นไร... และครานี้ข้ากลับมาแล้ว แล้วก็จะช่วงชิงหัวใจของชลันธรมาเป็นของข้าให้จงได้”รพีพงศ์เอ่ยออกมา นภนต์ที่ได้ยินก็ได้แต่กัดฟันกรอดด้วยความโกรธ …‘บังอาจ!!...บังอาจนักรพีพงศ์ เจ้าบังอาจมากที่มาประกาศสงครามช่วงชิงความรักกับข้ากระนั้นหรือ...รพีพงศ์’

“รพีพงศ์...” ชลันธรตกใจมิน้อยไม่คิดว่ารพีพงศ์ยังจะรักตนอยู่ในเมื่อตนนั้นเคยปฏิเสธไปแล้ว

“เจ้าไม่ต้องห่วงชลันธร ข้าจะไม่ทำให้เจ้าลำบากใจ” รพีพงศ์ยิ้มให้กับชลันธรแม้ใจจะรู้ว่าบัดนี้ชลันธรและนภนต์คงกลับมาคืนดีกัน จากการที่ได้เห็นทั้งสองกอดกันที่ริมลำธารในก่อนหน้านี้รพีพงศ์ก็พอจะเดาออก แต่ที่น่าแปลกใจนั้นก็คือตนกลับไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไรมากมาย จะมีก็แต่เพียงความวูบโหวงในใจเท่านั้นและการที่ประกาศสงครามแย่งชิงดวงใจชลันธรนั้นรพีพงศ์เพียงต้องการหยั่งเชิงเพื่อจะดูท่าทีของนภนต์ด้วยหวังว่านภนต์จะโกรธาจนคุมสติไว้ไม่อยู่

“ถ้าเจ้าไม่อยากให้ชลันธรลำบากใจก็กลับไปเสียสิ...”นภนต์ได้ทีก็ออกปากไล่ศัตรูหัวใจผิดไปจากที่รพีพงศ์คิดนภนต์ไม่ได้แสดงกิริยาหยาบคายใส่ตน

“ข้าคงจะกลับไปอย่างที่ใจของท่านต้องการมิได้ดอก เพราะข้าตั้งใจแล้วว่าจะมาช่วยเหลือชลันธรล้างมลทินที่ท่านได้ป้ายไว้...”

“พอเถอะ...รพีพงศ์ท่านต้องการมาช่วยเหลือเรา เรานั้นพอจะเข้าใจได้แล้วเหตุใดถึงได้พานาคินทร์มาที่นี่ด้วยเล่า” ชลันธรที่สงสัยตั้งแต่ทีแรกที่พบเจอ ไม่ว่ารูปลักษณ์ที่ดูผิดแผกไปจากเดิมแถมด้วยท่าทางที่แปลกๆ ของนาคินทร์แล้วด้วย พอได้โอกาสก็ซักถามทันที

“ข้าว่าให้เจ้าตัวนั้นเป็นผู้ให้คำตอบน่าจะเป็นการดีกว่า...นาคินทร์จะยืนหลบอยู่ไย...ออกมาได้แล้ว” รพีพงศ์เรียกนาคน้อยที่ยืนหลบอยู่ตรงแผ่นหลังของตนให้ก้าวออกมา นาคินทร์ก้มหน้าก้มตาแม้จะตั้งใจจะขอโทษชลันธรอยู่แล้วหากพอได้เห็นเทพแห่งท้องนภาที่อยู่เคียงข้างก็พาลกลัวจนตัวสั่นเล็กน้อย  แต่ก็จำต้องเดินออกมาเผชิญหน้ากับความเป็นจริง...

‘หมับ’ รพีพงศ์จับมือสวยเอาไว้แล้วบีบเบาๆเป็นการให้กำลังใจเพื่อที่นาคินทร์จะต้องเผชิญหน้ากับผลที่จะได้รับเมื่อสารภาพความผิดรวมทั้งจะได้รู้ว่า...รพีพงศ์จะคอยอยู่เคียงข้างเอง

“ท่านชลันธร...ข้าขอโทษ” นาคินทร์คุกเข่าลงมือทั้งสองพนมขึ้นไว้กลางอก แล้วกราบลงแทบเท้าอตีดพระสมุทร ชลันธรเลิกคิ้วแปลกใจทั้งคำที่นาคินทร์ใช้เรียกและคำขอโทษที่นาคินทร์นั้นพูดกับตน… นี่เราเป็นเพื่อนกันมิใช่หรือ...เหตุใดถึงได้เป็นแบบนี้...

“ข้านาคินทร์ นั้นเป็นนาค...ข้าเป็นผู้...ฮึก...ฮือ...อ...ผู้ที่นำพิษไปเคลือบไว้ที่เขี้ยวงูทะเลและควบคุมอสรพิษตัวนั้นให้ทำร้ายท่าน...ฮือ..”นาคินทร์สารภาพออกมาทั้งน้ำตา ชลันธรอึ้งไม่น้อยไม่คิดว่าผู้ที่วางยาตนนั้นจะเป็นเพื่อนที่ชิดใกล้และคบกันมาได้ขวบปี รวมไปถึงเรื่องที่นาคินทร์นั้นกลับมิใช่มนุษย์แต่เป็น...นาค

“เจ้าทำกับเราอย่างนั้นทำไมนาคินทร์...ฮึก...ทำไมเจ้าถึงทำร้ายเรา” ชลันธรยอบกายลง พูดกับนาคินทร์ดวงตานั้นกำลังเอ่อล้นด้วยน้ำตา แม้จะมิได้รู้สึกโกรธแค้นอะไรแล้ว...แต่กลับกันนั้นชลันธรรู้สึกเสียใจมากกว่า...ที่เพื่อนสนิทที่สุดในมหาวิทยาลัยนั้นจะเป็นคนที่กล้าหักหลังทำร้ายตน

“ท่านก็มีความรักของท่าน และข้าก็มีความรักของข้า ข้าทำไปเพราะข้าตาบอดมืดในความรัก เมื่อท่านผู้นั้นหมายสิ่งใดข้าจำต้องทำและหนึ่งในนั้นก็คือ...ทำร้ายท่าน...”

...นาคินทร์เคยมีความรักกระนั้นหรือ...ชลันธรที่ได้ยินแต่ได้แต่ครุ่นคิด

“บอกข้ามาใครเป็นผู้บงการและส่งเจ้ามาทำร้ายชลันธร!!! บอกข้ามาบัดเดี๋ยวนี้!!!” นภนต์ยอบกาบลง เข้ามาประคองกอดชลันธรที่ตอนนี้น้ำตาได้ไหลรินร้องไห้จนตัวโยนได้ เอ่ยวาจาตะคอกใส่นาคินทร์ที่นั่งร่ำไห้มิต่างกันนภนต์ต้องการรู้เรื่องผู้บงการแผนอุบาทว์นี้เพราะเชื่อว่า เรื่องพิษครานี้ต้องมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องของมารดาเป็นแน่

“ข้าบอกไม่ได้...ฮึก...ข้าบอกไม่ได้...ฮือ” นาคินทร์เลือกที่จะไม่ตอบอะไร ถึงแม้จะตัดใจจากกนธีแล้วก็ตาม แต่อย่างไรเสียกนธีเองก็เคยมีบุญคุณและช่วยเหลือมาก่อน จึงคิดที่จะปิดบังเอาไว้แม้ตัวตายก็ขอให้ความลับนี้ตายไปพร้อมกัน

“ถ้าเจ้าไม่บอกข้าว่าผู้ใดเป็นผู้บงการเจ้าแล้วล่ะก็ ข้าจะกุดหัวเจ้าเสีย แล้วฉีกกายเจ้า โยนร่างให้เป็นอาหารเหล่าครุฑบริวารของข้า !!!” ไม่ใช่แค่คำขู่ให้นาคน้อยนั้นหวาดกลัว...แต่นภนต์จะทำจริงๆ ถ้าหากนาคินทร์นั้นไม่ยอมบอกผู้บงการเรื่องเลวร้ายอัปรีย์ที่เกิดขึ้นนี้

“ท่านอย่าทำอะไรแม้แต่จะคิดเป็นอันขาด นาคินทร์เป็นเชลยของข้าและข้านั้นเพียงเป็นผู้เดียวเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ในการตัดสินโทษทัณฑ์และชะตาชีวิตของนาคินทร์ได้” รพีพงศ์เข้ามาขวางด้วยความที่รู้ว่าแม่ทัพหลวงแห่งสรวงสวรรค์สามารถกระทำตามคำที่เอ่ยออกมาเป็นแน่แท้แต่นาคินทร์นั้นมากับตนการที่จะให้คนอื่นมาเข้าก้าวก่าย ก็จะดูเหมือนว่าข้ามหน้าข้ามตากันไปหน่อย

“เจ้าบอกมิได้จริงๆหรือนาคินทร์” ชลันธรถามเสียงแผ่ว

“ข้าขออภัยที่ข้าบอกท่านมิได้...ฮือ..ฮึก...สิ่งที่ข้าบอกได้ในตอนนี้คือคำขอโทษและต้องการที่จะชดใช้สิ่งทำไว้กับท่าน...ฮือ..ขอให้ท่านอภัยให้ข้าด้วยเถิด” นาคินทร์ก้มลงกราบแทบเท้าของชลันธรอีกครั้งด้วยสำนึกในสิ่งที่ตนได้เคยกระทำผิดไว้จริงๆ

“เจ้าอย่ากราบเราเลย...ลุกขึ้นมาเถิด ถึงเราจะเอาโทษอะไรกับเจ้าก็คงมิมีอะไรดีขึ้นมา รังจะเป็นการผูกกรรมกันไปเปล่าๆ เราให้อภัยเจ้าแล้วนาคินทร์ มองหน้าเราสิ...หากเจ้าสำนึกผิด...” ชลันธรจับไหล่เล็กที่สั่นระริกให้ นาคินทร์เงยหน้าขึ้นมองแล้วลุกยืนขึ้นมาพร้อมกันชลันธรไม่คิดจะคาดคั้นเอาคำตอบอันใดอีกเพราะพอจะเข้าใจว่าคนเรานั้นสามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อความรักไม่ว่าสิ่งที่ทำลงไปจะถูกหรือผิดศีลธรรมแค่ไหนก็ตาม

“ฮึก...ข้าขอบพระคุณท่านที่เมตตาข้า...ฮือ”

“ชลันธร เจ้าไม่คิดบ้างหรือว่านาคตนนี้จะแสร้งทำดีกับเจ้า บางทีนี่อาจจะเป็นแผนการชั่วของนาคินทร์กับผู้เป็นนายก็เป็นได้ ดั่งโบราณว่าไว้ นาคงูนั้นมากด้วยเล่ห์กล หาไว้ใจได้ไม่...” นภนต์พูดเตือนสติคนรักก็ด้วยความเป็นห่วง ภาพเหตุการณ์ที่ชลันธรทุรนทุรายใกล้สิ้นลมเพราะพิษร้ายยังคงเป็นภาพติดตาที่มิอาจลบเลือนไปในความทรงจำของนภนต์ได้

“เรื่องนั้นท่านไม่ต้องเป็นห่วงข้ายืนยันว่านาคินทร์นั้นไม่มีแผนร้ายใดๆอีก และเพลานี้นาคินทร์ก็เป็นเชลยของข้าจึงอยู่ในสายตาของข้าโดยตลอด...ก็อย่างที่ชลันธรเอ่ย...เอาโทษอะไรกับนาคินทร์ก็คงมิมีอะไรดีขึ้นมา...ข้าเคยเค้นเอาความจริงมาแล้วแต่นาคินทร์ก็มิยอมพูดกระไรเช่นกัน...” รพีพงศ์ยืนยันความบริสุทธิ์ใจให้กับนาคินทร์ จนนภนต์รู้สึกผิดสังเกตตั้งแต่แรกเหมือนกับว่าระหว่างรพีพงศ์และนาคินทร์คงมีความสัมพันธ์อะไรบางอย่าง

“ข้าขอยืนยันด้วยบริสุทธิ์ใจ...ว่าข้านั้นไม่ได้คิดการจะทำร้ายท่านชลันธร” นาคินทร์ให้คำสัตย์กับนภนต์รวมถึงทุกคนในที่นี้ด้วย

“ฮึ...ข้าจะยอมเชื่อเจ้าก็ได้ แต่อย่างไรเสียเมื่อใดที่ได้พบกับเทพแห่งกาลเวลาแล้วไซร้ ข้ากับชลันธรก็จะได้รู้ว่า...ใครคือคนที่เจ้านั้นคอยปกป้องปกปิดความเลวระยำนี้เอาไว้...” นภนต์เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา นาคินทร์ได้แต่นิ่งเงียบในใจก็คิดว่าอะไรจะเกิดก็คงต้องปล่อยให้มันเกิดเมื่อถึงเวลานั้นจริงแล้ว กนธีคงต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ได้กระทำไว้เช่นกัน เพียงแต่ตนจะไม่ขอยื่นมือเข้าไปเปิดโปงเรื่องนี้เอง ส่วนชลันธรพอเห็นว่าบรรยากาศเริ่มคลี่คลายก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาทำลายความเงียบงัน

“เอาล่ะ ในเมื่อเจ้าบอกเราว่าจะชดใช้ความผิดให้กับเรา สิ่งแรกที่เรานั้นจะให้เจ้าทำนั่นก็คือ...กลับมาเป็นสหายเรา เฉกเช่นที่เราสองอยู่โลกมนุษย์และเจ้าก็ต้องเรียกเราว่า...ลัน...เหมือนเดิม...” ชลันธรเอ่ยออกมาทั้งรอยยิ้ม ผู้ที่ได้ยินทั้งสามต่างอึ้งไปตามๆ กันกับสิ่งที่ชลันธรเอ่ยออกมา

“ข้าจะยังสามารถเป็นเพื่อนกับท่านได้อีกหรือ...?” นาคินทร์ถามย้ำอีกครั้ง กลัวว่าสิ่งที่ตนได้ยินนั้นผิดเพี้ยน ไม่คิดว่าชลันธรจะยังอยากเป็นมิตรสหายกับผู้ที่เคยทำร้ายจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด รวมทั้งตนก็ยังเป็นนาคในตระกูลต่ำชั้นมาก มีอาจจะเทียบเคียงอดีตพระสมุทรได้

“เราบอกให้เจ้าเรียกเราว่าอันใดเล่า...คินทร์”

“ฮึก...ลัน...”

นาคินทร์ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง อีกทั้งยังโผเข้ากอดชลันธรแน่น อดีตเทพแห่งมหาสมุทรเองก็โอบกอดกลับไป...เพื่อนนั้นก็ยังคงเป็นเพื่อน...มิตรภาพของทั้งสองมิเคยจางหายไป นาคินทร์สัญญากับตัวเองว่าจะรักและซื่อสัตย์กับเพื่อนที่เป็นมนุษย์คนแรกและคนเดียวของตนเองตลอดไปให้สมกับที่ชลันธรไว้ใจ ทั้งสองกอดกันอยู่นานด้วยความจริงใจที่มีให้กันจนลืมนึกไปว่ายังมีเทพหนุ่มรูปงามยืนมองทั้งคู่อยู่ด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย

‘เหตุใดเมียข้าถึงได้...อ่อนต่อโลกเยี่ยงนี้...เฮ้อ...โลกมนุษย์คงเรียกเรื่องแบบนี้ว่า...โลกสวย...กระมัง’ …นภนต์

‘นาคินทร์...นี่เจ้าบังอาจ...กอดผู้อื่นที่มิใช่ข้า…’ …รพีพงษ์

 





































...

สวัสดีนี่ท่านยุ่งเองนะ จำเค้าได้ป่ะ จ๊ะเอ๋ // เล่นไรไม่เข้ากับหนังหน้าตัวเอง 5555

ท่านยุ่งมาแล้วหลังจากที่หายไปร่วมสองอาทิตย์ ขอโทษด้วยนะคะหวังว่าจะไม่หายนะคะ

ตอนนี้มีมาม่านิดๆเบาๆนะคะ ก่อนจะปิดท้ายด้วยโลกสวยจากปากผู้ชายที่โหดๆนิ่งๆและความหวงของอิตารพีที่แบบแค่นี้ทำเป็นหวงลองเจอแบบนภนต์สิ ผู้หญิงจะเอาเมียตัวเองไปทำผัวเลยนะเว้ย!!!!



สุดท้ายนี้ท่านยุ่งขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน รอ เป็นกำลังใจ แสดงความคิดเห็น

ขอบคุณนะคะ

ป.ล. ท่านยุ่งอาจอัพนิยายช้าเร็วสลับกันไป แนะนำให้ติดตามข่าวคราวจากเพจเฟสบุ๊ก​ Ginger Ale 's fiction ​​
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.19 P.7 (26/07/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 26-07-2017 13:25:55
กรี๊ดดดดด อัพแล้วววว ขอปาดก่อนนนน

เขาขอโทษกันแล้ววววว หวังว่าจะมีอะไรดีขึ้นมาบ้าง เรื่องเริ่มคลี่คลายแล้ว ดีจัง
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.19 P.7 (26/07/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: kinjikung ที่ 26-07-2017 14:43:50
เค้าเข้าใจกันแล้ว เอ่อ ทำไมชลันธรหายโกรธง่ายเยี่ยงนี้ อย่างว่ากาลเวลายาวนานก็ทำให้ความโกรธละลายลงได้ แต่นภนต์ยังนิสัยไม่ดีอยู่นะ 55+
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.19 P.7 (26/07/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 26-07-2017 16:47:18
กลับมาแล้ว~
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.19 P.7 (26/07/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 26-07-2017 18:17:10
โถ...มนุษย์ผัว เอ๊ย เทพผัว ฮา
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.19 P.7 (26/07/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 26-07-2017 19:47:09
ถ้าผัวเทพจะขี้หึงเยี่ยงนี้
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.19 P.7 (26/07/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 26-07-2017 20:06:48
 :pig4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.19 P.7 (26/07/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 27-07-2017 17:30:24
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.20 P.7 (06/08/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 06-08-2017 17:45:46
​สาปรัก…ทัณฑ์เทวา

Writer : Tan-Yung 0209

File : 20













ล่วงผ่านเวลาไปสามราตรี ทั้งสี่ก็ยังคงได้เดินทางมุ่งหน้าไปยังวิมาน ณ เชิงเขาจิรันดร ซึ่งมองด้วยสายตานั้นสถานที่อันเป็นเป้าหทมายอยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือ แต่กลับตรงข้ามกับความเป็นจริงที่แม้จะมองเห็นด้วยตาก็มิอาจจับต้องได้ เฉกเช่นความรักหากได้รักกับผู้ที่อยู่ใกล้ชิดสนิทกัน แม้จะมองเห็นหน้ากันทุกวันคืนแต่ก็มิอาจสัมผัสหัวใจของอีกฝ่ายได้อย่างแท้จริง ประโยคที่ว่ายิ่งใกล้ก็เหมือนยิ่งไกลคงจะเหมาะสมกับความรักในรูปแบบนี้

รพีพงศ์เคยตกอยู่ในห้วงความรักเยี่ยงนี้ ด้วยกาลก่อนตนนั้นทั้งรักทั้งหลงชลันธร แต่ก็ไม่สามารถจะสัมผัสจับต้องให้สมใจปรารถนากับความรู้สึกรักที่ล้นออกจากอกได้ เมื่อครานั้นรพีพงศ์ทำได้เพียงข่มความเจ็บปวดมองแผ่นหลังเล็กที่มีแขนแกร่งของนภนต์คอยโอบกอดไว้  แต่ครานี้รพีพงศ์กลับแปลกใจที่ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดที่มองเห็นชลันธรถูกโอบกอดด้วยเทพแห่งท้องนภาดั่งเช่นเคย

ต่างจากนาคินทร์เองที่เพลานี้ก็กำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความรู้สึกบางอย่างที่มิอาจจับต้องสิ่งที่หมายใจ เพราะสิ่งที่หมายนั้นอยู่สูงเกินจะเอื้อม ก็ด้วยรพีพงศ์นั้นมีใจมอบให้อดีตเทพมหาสมุทร นาคาน้อยรู้ตัวดีว่าตนแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม ยามนอนรพีพงศ์ก็ไม่กอดกายให้คลายหนาวดั่งราตรีก่อนๆ ได้มองเทวาบุตรหนุ่มผ่านกองไฟที่กลางกั้น  นาคน้อยจึงทำได้เพียงตัดใจและข่มความรู้สึกไว้ใต้ใบหน้าเรียบนิ่ง แสร้งรอยยิ้มยามอยู่กับชลันธรแม้จะหน่วงใจสักแค่ไหน หลายวันที่อยู่ด้วยกันนาคินทร์ก็ยังทำหน้าที่ตามสัญญาที่ให้ไว้กับตนเองนั่นก็คือดูแลชลันธรรวมถึง…คอยกันท่ารพีพงศ์และสนับสนุนให้นภนต์ให้อยู่กับชลันธร

การผจญภัยด้วยเดินเท้าครั้งนี้ชวนให้เหนื่อยล้า บ้างก็เหนื่อยกายบ้างก็เหนื่อยใจ ดังนั้นยามที่ได้ยินเสียงสายน้ำกระทบกับหินเล็กหินใหญ่ ดั่งน้ำทิพย์ชโลมจิตใจที่เหนื่อยล้าให้แจ่มใส ผู้ที่ชื่นชอบในสายนทีทั้งสองไม่รอช้า ต่างวิ่งเข้าหาต้นกำเนิดของเสียง การได้เจอวารีใสไหลเย็นผ่านชั้นหินท่ามกลางป่ากันติทัตนับว่าเป็นเรื่องดีสำหรับชลันธรและนาคินทร์ ไม่รอช้าอดีตเทพสมุทรและสหายรักต่างก็วิ่งถอดผ้าลงไปในน้ำตกเล็กๆ เบื้องหน้า โดยที่มิได้เขินอายเทพหนุ่มร่างสูงทั้งสอง ก็ด้วยเป็นชายเหมือนกันสองเทพหนุ่มที่ติดตามนั้นก็มิสามารถร้องห้ามได้ไม่ทัน ก็ได้แต่ปล่อยให้คนงามทั้งสองลงเล่นน้ำอย่างสมใจ

บัดนี้ได้มีหนึ่งมนุษย์หนึ่งนาคารูปกายงามกำลังเพลิดเพลิดกับการสาดน้ำใส่กัน ใครพบเห็นก็นึกคิดว่านี่อาจเป็นเทวาผู้มากด้วยบารมีกายทิพย์กำลังลงสรงเล่นน้ำสำราญใจ แท้ที่จริงแล้วหาใช่เทวาไม่กลับเป็นเพียงมนุษย์และนาคที่เป็นบุรุษเพศเท่านั้น

“ท่านพี่นภนต์ ไม่ลงเล่นน้ำกับพวกเราหรือ” ชลันธรตะโกนถามคนรักที่นั่งอยู่บนโขดหินใหญ่ไม่ไกลจากที่ชลันธรและนาคินทร์เล่นน้ำอยู่

“เจ้าเล่นกับนาคินทร์เถิดชลันธร พี่จะอยู่เฝ้าไม่ให้เจ้านั้นเป็นอันตราย” นภนต์เอ่ย แม่ทัพหลวงแห่งสวรรค์บัดนี้รับหน้าที่เป็นยามเฝ้าดูคนงามให้ปลอดภัย ว่าการเป็นยามฟังแล้วอาจจะดูน่าเบื่อนัก ที่จะต้องนั่งเฝ้าโดยมิสามารถเคลื่อนกายขยับไปไหนได้ หากสำหรับนภนต์แล้วการเฝ้ายามครั้งนี้นั้นช่างคุ้มค่ายิ่งนัก ที่ได้ยลโฉมชลันธรที่เปลื้องเสื้อผ้าอาภรณ์ ถึงจะเคยเห็นมาก็หลายครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นชลันธรเปลือยกายลงเล่นน้ำอย่างสำราญใจ ถึงแม้จะกังวลที่รพีพงศ์ก็ได้ยลเช่นกัน ใจก็นึกหึงหวงแต่หากโวยวายกลัวว่าชลันธรจะขุ่นเคืองหมดสนุกในยามสำราญเยี่ยงนี้  ก็ถือเสียว่าให้ได้ยลให้อิจฉาตนที่ได้ทั้งใจทั้งกายชลันธร...

แม้กายขาวของทั้งสองช่างดูน่าชม…แต่นภนต์ก็จับจ้องเฉพาะแต่ชลันธรเท่านั้น ในใจเพียงได้แต่คิดลามกด้วยกำหนัด...‘ชลันธร...พี่นี้อยากจับให้นอนราบบนโขดหินแล้วย่ำยียิ่งนัก’… 

“ท่านรพีพงศ์ท่านเองก็ลงมาเล่นน้ำด้วยกันสิ” นาคินทร์แสร้งชวนอีกฝ่ายทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่ารพีพงศ์นั้นไม่ถูกกับน้ำเอาเสียเลย ด้วยสายพระโลหิตนั้นดำรงด้วยวงศ์สุริยาเต็มกายจึงมิใคร่จะถูกกับน้ำที่สามารถดับไฟร้อนได้

“ข้าไม่เล่น...เจ้าเล่นเถิดนาคินทร์” รพีพงศ์เอ่ยจากริมธารแล้วนั่งมองนาคินทร์เล่นน้ำต่อ พักตร์หล่อคมแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม…นาคินทร์คือเหตุผลเดียวที่ทำให้รพีพงศ์ไม่เจ็บปวดกับความรักที่มีให้กับชลันธร จะเรียกได้ว่าในความคิดของรพีพงศ์นั้นมีแต่นาคินทร์เสียแล้ว มันน่าขันยิ่งนักที่เชลยมามีอิทธิพลต่อจิตใจเทพหนุ่มถึงเพียงนี้

“เจ้ายิ้มอะไรของเจ้ารพีพงศ์...หรือว่าเจ้าคิดลามกกับชลันธร... หยุดมองเมียเราเสียถ้าไม่อยากถูกควักลูกตา” เทพนภนต์ผู้หวงเมียเป็นที่สุดตรัสแกล้งเย้ารพีพงศ์ผู้เป็นไม้เบื่อไม้เมาของตน

“อย่าคิดว่าข้าจะเป็นแบบท่านสิ…ท่านนภนต์ แล้วอีกอย่างข้าหาได้มองชลันธรไม่” รพีพงศ์ส่ายหน้าให้กับความคิดของนภนต์ สุริยะบุตรเริ่มสงสัยว่านภนต์นั้นมาเป็นแม่ทัพหลวงได้อย่างไรทั้งความคิดความอ่านนั้นดูประหลาดยิ่งนัก

“ก็แล้วไป...ในเมื่อเจ้าบอกกับข้าว่าไม่ได้มองชลันธร แต่ในน้ำนั่นมีอยู่สอง ถ้าเป็นเยี่ยงนั้นเจ้าคงมองนาคินทร์ใช่หรือไม่เล่า...” นภนต์แกล้งถามออกไปตรงๆ ทั้งที่หลายวันมานี้ ไม่สิตั้งแต่วันที่นาคินทร์มาขอโทษชลันธร ความห่วงใยของรพีพงศ์ที่มีต่อเชลยในปกครองมันมากล้นจนตนยังรู้สึกได้

“ข้า….”

“ลัน!!! อย่าแกล้งเรา!!!”

รพีพงศ์ไม่ทันจะได้ตอบคำถามเทพนภนต์เสียงร้องของนาคินทร์ก็ดังเข้าแทรกเทวาทั้งสองที่ละสายตาจากคนในความดูแลได้หันไปมองพร้อมกัน ใจก็คิดว่าคงจะเกิดอันตรายแต่สิ่งที่ได้เห็นกลับทำให้นภนต์รวมถึงรพีพงศ์ที่ไม่ถูกกับน้ำยังต้องรีบจ้ำอ้าวลุยลงไปในน้ำ

“ตัวคินทร์เนี่ยนุ่มนิ่มน่ากอดเหมือนเดิมเลย” ชลันธรที่กอดรัดเอวบางจากด้านหลังยิ่งไปกว่านั้นก็ฝังปลายจมูกของตนไปยังแก้มนิ่ม

“ลันปล่อยเราเลย…อ๊ะ…แล้วมาหอมแก้มเราอีกมันน่านัก” นาคินทร์เอ็ดชลันธรไม่จริงจัง แก้มขาวนั้นเริ่มมีสีแดงระเรื่อแต่งแต้มให้ดูงดงามยิ่งกว่าเก่า

“มันน่าอะไรไหนบอกเรามาสิ”

“มันน่าจับจุ๊บปากไงล่ะ..จุ๊บ” ไม่ใช่แค่พูดลอยๆ นาคินทร์นั้นลงมือทำจริงทันทีที่ริมฝีปากแดงระเรื่อสัมผัสกับริมฝีปากนุ่มนาคินทร์ก็ถูกรพีพงศ์ดึงแขนเช่นเดียวกับนภนต์ที่คว้าเอวบางของคนรักมาสวมกอด

“ถ้าชลันธรน่าจุ๊บ เจ้ามันก็น่าโดนข้าจับโยนให้ครุฑกินยิ่งนัก” นภนต์เอ่ยน้ำเสียงติดดุคล้ายกับพ่อหวงลูกสาวก็ไม่ปานนิ้วโป้งก็ลูบริมฝีปากของชลันธร…‘ริมฝีปากนี้มีเพียงข้าเท่านั้นที่จะสัมผัสได้’…

“ถ้าจะลงโทษนาคินทร์ ข้าจะเป็นผู้ลงโทษเองเพราะนี่เป็นเชลยของข้า” รพีพงศ์พร้อมส่งสายตาขุ่นมัวไปยังนาคน้อยที่ยืนหน้าสลด

“พอกันทั้งคู่เลยเราไม่ให้ใครลงโทษนาคินทร์ทั้งนั้น นาคินทร์เป็นสหายของเราและเราทั้งคู่ก็เล่นหยอกล้อถือว่าเป็นเรื่องปกติ” ชลันธรออกตัวปกป้องนาคินทร์

“นี่เจ้าไม่ได้คิดจะเอานาคินทร์มาทำเมียเจ้าใช่หรือไม่ชลันธร” นภนต์เริ่มหวาดระแวงยิ่งช่วงนี้ดูเหมือนชลันธรจะมีเสน่ห์เสียเหลือเกิน ครั้งก่อนเป็นอุรพีครั้งนี้เป็นนาคินทร์หรือนี่

“ท่านพี่บ้า!!! ท่านก็รู้ว่าข้าเมียท่าน!!!” ชลันธรโวยวายแล้วสาดน้ำใส่นภนต์ นาคินทร์เองก็ได้ทีปลีกตัวออกมาจากร่างสูงแล้วร่วมมือกับชลันธรสาดน้ำใส่ให้จอมคิดมากขี้หึงขี้หวงเปียกปอนไปทั้งตัว จากที่ไม่อยากเล่นน้ำเทพหนุ่มทั้งสองก็ต้องรับมือกับคนงามแสนซนทั้งสองที่กระหน่ำสาดจนแทบจะลืมตาไม่ขึ้นไหนจะเสียงหัวเราะเยาะนี่อีกอยากจะจับจูบให้เงียบเสียจริง

ในระหว่างที่สำราญใจกับการเล่นน้ำนั้นทั้งสี่ก็หาได้รับรู้ไม่ว่ามีมัจฉาตัวหนึ่งว่ายน้ำวนอยู่โดยรอบคอยลอบมองอยู่ได้พักใหญ่เมื่อถึงเวลาที่เห็นสมควรเจ้ามัจฉานี้ก็ว่ายทวนกระแสน้ำออกห่างไป ปลาตัวเล็กพลันขยายร่างใหญ่ขึ้นเกล็ดปลาสีหม่นกระจายออกทั่วบริเวณเผยผิวกายคล้ายมนุษย์ผมสีครามเข้มสยายจนน่ากลัว ‘พรายน้ำ’ รีบว่ายไปยังถ้ำใต้น้ำซึ่งเป็นดั่งประตูมิติสู่โลกแห่งท้องทะเลมุ่งหน้าไปยังวิมานมุกสีครามเพื่อรายงานผู้เป็นใหญ่ . . . วิมานพระสมุทร

“เจ้าแน่ใจนะว่าเจ้าเห็นทั้งสี่ที่น้ำตกสุราลัย!!”

“ข้าแน่ใจเสียยิ่งกว่าขอรับพระสมุทร ข้านั้นจำอดีตเทพพระสมุทรรวมถึงนาคินทร์ได้ดี ตอนที่ข้าไปพบนั้นกำลังเล่นน้ำกอดรัดกันอย่างสนุกสนานเสียเหลือเกิน นาคินทร์เองดูมีความสุขดียิ่ง พอถูกเทพรูปงามกอดแขนไว้ก็ยิ่งยิ้มกว้าง” พรายน้ำเอ่ยในสิ่งที่ได้เห็นอย่างละเอียด 

‘มีความสุขกันอย่างนั้นหรือพอข้าทิ้งเจ้าก็หาผัวใหม่ มันน่านักนาคินทร์ คอยดูเถิด นี่จะเป็นรอยยิ้มครั้งสุดท้ายของพวกเจ้าแล้วเพราะข้าจะทำลายพวกเจ้าให้แหลกละเอียดดุจดั่งเม็ดทรายใต้ท้องทะเล’…กนธีกำหมัดแน่น…ด้วยอารมณ์โกรธแค้นจากความคิดที่อยู่ในใจ

“มัจฉาฉายเจ้านำรางวัลให้กับนางพรายน้ำนี่เสียแล้วส่งคนให้ไปบอกท่านเทพทั้งสองด้วยว่า...ถึงเวลาที่ข้าต้องขอให้ท่านทั้งสองช่วยเหลือข้าแล้ว...” กนธีเอ่ยให้มัจฉาฉายทหารคนสนิทรีบทำตามประสงค์ของผู้เป็นนายเหนือหัว กนธีเองก็หาได้สั่งแล้วนั่งนิ่งเฉยไม่ เร่งเรียกประชุมเหล่าไพร่พลหารือกันเป็นการใหญ่ในครั้งนี้

…‘ชลันธรหลานรักข้าคิดถึงเจ้าเสียเหลือเกิน’…

. . .

“เห็นหรือไม่ว่าพวกเจ้าทำพวกข้าเปียกปอนไปหมด” รพีพงศ์ปากก็ดุบ่นนาคินทร์ ส่วนมือก็ไล่จับเกศาดำขลับให้หายเปียกชื้นด้วยความร้อนภายในไปด้วย จนนภนต์ที่เห็นอยู่นั้นอดที่จะพูดล้อให้อีกคู่อายเสียไม่ได้

“เจ้านี้ช่างดูแลเชลยดีเหลือเกินนะ... รพีพงศ์”  นภนต์ที่เห็นรพีพงศ์ที่ดูแลนาคินทร์อย่างดี ซึ่งมิต่างจากที่ตนดูแลชลันทร์กล่าวเย้าแหย่ในสิ่งที่ได้เห็น

“ข้าหาได้ดูแลดีอะไรดอก เพียงแต่ผมของนาคินทร์นั้นหากได้ปล่อยไว้ให้แห้งเองก็มิต่างจากกองฟางในนาข้าว” รพีพงศ์เอ่ยเสียงเรียบทั้งที่รู้อยู่ว่าเส้นผมดำสวยนี้นุ่มมือเพียงใด

“ดูท่านว่านาคินทร์สิ...เราว่าผมของนาคินทร์สวยมากยิ่งไว้ยาวแบบนี้ช่างแตกต่างจากตอนเป็นมนุษย์ดูงามเสียจนอิสตรียังอิจฉา” ชลันธรเอ่ยชมทั้งรอยยิ้มถ้าไม่นับบุษยะนาคินทร์นั้นก็ถือได้ว่าเป็นบุรุษรูปงามที่สุดเท่าที่ตนได้พบเห็น

“เจ้าเองก็งามไม่แพ้ใคร แต่ว่าตอนนี้อย่ามัวนั่งอมยิ้มตัวเปียกเยี่ยงนี้ยังไม่คิดจะนุ่งผ้าอาภรณ์หรอกหรือ...เปลือยกายเช่นนี้มิอายฟ้าดินบ้างหรือไร...หรือว่าจะรอให้พี่แต่งองค์ทรงเครื่องให้” นภนต์เอ่ยตอนนี้ตนรพีพงศ์และนาคินทร์ต่างก็หาเปลี่ยนเสื้อผ้ากันหมดแล้วยกเว้นชลันธรที่ยืนตัวเปลือยเปล่าท่อนบนอยู่ แต่ท่อนล่างมีเพียงภูษาสีขาวผืนบางปกปิดไว้

“ไม่ต้องเลยนะท่านพี่...ข้าเปลี่ยนเองได้...เลิกมองกายข้าได้แล้ว...แล้วก็ส่งเสื้อผ้ามาให้ข้าเสียสิ ถืออยู่ในมือเยี่ยงนั้นข้าจะผลัดเปลี่ยนได้อย่างไรเล่า...” ชลันธรเอ่ย นภนต์ยิ้มแล้วขำ มือหนาจึงส่งเสื้อผ้าให้ชลันธรตามคำขอ พอได้รับก็พาชลันธรหลบเข้าไปที่โขดหินใหญ่เพื่อแต่งกายให้เรียบร้อย

“นี่ชลันธร...พี่ขอสั่งห้ามเลยนะ ตั้งแต่บัดนี้ไปห้ามเจ้าเปลือยกายเล่นน้ำแบบนี้อีกไม่ว่ากับใครก็ตาม โดยเฉพาะมีเจ้ารพีพงศ์อยู่ด้วยแบบนี้...” กำลังจะถอดผ้า นภนต์ก็เอ่ยสั่งห้ามไม่ให้ชลันธรลงเปลือยกายเล่นน้ำอีกเพราะหึงหวงกายงามมิอยากให้ชลันธรเห็น

“ไม่ !!! ท่านพี่จะขัดความสำราญข้าหรือ...จะหึงหวงก็ให้มีขอบเขตบ้าง นาคินทร์นั่นก็สหายข้า...รพีพงศ์ก็เช่นกัน ผู้ชายด้วยกันทั้งนั้นข้ามิอายดอก...”

“เจ้าไม่อายแต่พี่หวง... เจ้ามิใช้ตัวคนเดียวอีกแล้วชลันธร...เจ้ามีพี่...พี่ที่เป็นผัวเจ้า...ผัวก็ย่อมหวงเมียเป็นธรรมดา...”

“แต่...”

“ไม่มีแต่...เรื่องนี้ถือว่าพี่ขอ...มิรู้รพีพงศ์จดจำกายเปลือยเจ้าเอาไปสำเร็จความใคร่หรือเปล่าก็มิรู้...”

“ท่านพี่ไยพูดเช่นนี้...” ชลันธรหน้าแดงก่ำเรื่องแบบนี้ใครใคร่เอามาพูดกันคงจะมีเพียงนภนต์เท่านั้นที่ไม่รู้จักอาย

“พี่เป็นบุรุษพี่ย่อมรู้ว่าบุรุษเพศด้วยกันคิดเช่นไร เมื่อได้สบต้องของสวยงามเช่นนี้...”

“ที่ท่านพี่รู้ดีเพราะท่านเองก็ทำใช่หรือไม่ ท่านพี่นภนต์” ชลันธรได้ทีก็สวนกลับไป

“อย่างพี่ไม่ต้องสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเองดอกในเมื่อพี่สามารถลงมือทำได้จริง” นภนต์เอ่ย พระกรแกร่งคว้าร่างอรชรของชลันธรมากอดเกี่ยว

“ท่านพี่พูดอันใดออกมา น่าเกลียดยิ่งนัก” ชลันธรไม่พูดเปล่าใช้มือตีเบาๆ ที่แขนของนถนต์

“ถ้าไม่ให้พี่พูดเจ้าก็สัญญากับพี่เสียว่าจะไม่เปลือยกายเล่นน้ำให้ผู้ใดได้เห็นอีก แม้แต่นาคินทร์หรือบุษยะผู้เป็นสหายรักของเจ้า”

“ก็ได้...ต่อไปข้าจะไม่เปลือยกายเล่นน้ำอีก...” ชลันธรให้คำสัญญาด้วยความจำใจ ถึงจะขัดใจในสิ่งที่นภนต์นั้นขอยู่บ้าง  แต่บางเรื่องก็ต้องยอมทำตามคำขอของนภนต์บ้าง

“แต่ว่าหากอยู่กับพี่สองต่อสอง นั้นเป็นข้อยกเว้น...”

“ท่านพี่นี่ลามกไม่เลิก...ข้าไม่พูดกับท่านแล้ว!!!” ชลันธรกระทืบเท้าปึงปังแล้วเดินออกมาจากหลังโขดหินด้วยชุดใหม่โดยมีเสียหัวเราะของนภนต์ตามหลัง

“รพีพงศ์…อันที่จริงเจ้าเองน่าจะมีคนช่วยให้เจ้าสุขกายสบายใจแล้วมิใช่หรือ” นภนต์ที่เดินตามชลันธรออกมาเอ่ยกับรพีพงศ์ แต่สายตานั้นจับจ้องที่นาคินทร์

“ข้าไม่มี” รพีพงศ์เอ่ยเสียงเรียบ โดยมิรู้ว่าคำตอบของตนจะทำให้นาคินทร์ถึงกับกลืนก้อนสะอึก

“ข้าว่าข้าปากแข็ง ปากหนักแล้ว เห็นทีจะสู้เจ้ามิได้…แล้วข้าจะรอดูว่าเจ้าจะปากแข็งถึงเมื่อใด ใช่ไหมนาคินทร์” นภนต์เหน็บแนมรพีพงศ์ก่อนจะลงท้ายด้วยการถามนาคินทร์ที่นั่งเงียบไม่พูดอะไร

“คือข้า…” นาคินทร์ตะกุกตะกักไม่รู้จักให้คำตอบใดกับเทพเวหา

“ท่านพี่ก็ถามอะไรไม่เข้าท่า ดูสินาคินทร์สีหน้าเคร่งเครียดเชียว” ชลันธรที่ตรวจดูเครื่องแต่งกายเรียบร้อยแล้วก็พูดขึ้น

“ท่านนภนต์กับท่านรพีพงศ์แค่พูดหยอกกันหาได้มีเรื่องใดดอก” นาคินทร์พูดกลบเกลื่อนให้เลิกพูดจาเรื่องนี้เสีย

เวลานั้นเองรพีพงศ์จัดการทำผมมวยให้นาคินทร์เป็นที่เรียบร้อยทั้งหมดก็เริ่มเดินทางต่อไป  แต่ทว่ายังไม่ทันที่จะก้าวย่างไปไหนก็มีลมพายุลูกใหญ่หอบเข้ามา ลมนั้นพัดแรงจนต้นไม้ใหญ่แทบจะต้านทานไม่ไหว นอกจากนี้ยังมีอัสนีบาตฟาดลงมาสู่พื้นดินดังเปรี้ยงปร้างสนั่นหวั่นไหว

“เกิดอะไรขึ้น!” รพีพงศ์เอ่ยขึ้นมาในใจหวั่นว่านี่ไม่ใช่เรื่องดีแน่เพราะก่อนหน้านี้ไม่มีท่าว่าจะเกิดพายุ

“อ่ะ…ท่านพี่!!..ท่านพี่นภนต์”

“ท่านรพีพงศ์!!!”

ทั้งชลันธรและนาคินทร์ถูกลมพายุหมุนหอบเอาร่างให้ออกห่างจากเทพทั้งสองให้ลอยขึ้นไปบนฟ้า แล้วก็กระเด็นออกไปคนละทิศคนละทาง ทำให้นภนต์และรพีพงศ์ต้องรีบแยกย้ายกันไปตามคนรัก เมื่อชลันธรถูกลมหอบร่างไปได้สักพักก็ดูเหมือนว่าพระพายจะใจดีปล่อยชลันธรลงสู่พื้นล่าง ชลันธรโล่งใจคิดว่าตนได้รอดตายจากพายุลมหอบครั้งนี้แต่เปล่าเลยใบไม้ที่อยู่ในบริเวณนั้นก็หมุนโอบรอบร่างงามของชลันธรพร้อมกับควันสีฟ้าฟุ้งกระจาย นภนต์วิ่งตามมาทีหลังก็รีบยกกรแกร่งป้องหน้าไว้ เมื่อหมอกสีไพฑูรย์เริ่มที่จะจางหาย นภนต์ก็ค่อยๆ ลดแขนตามลง ตาคมก็เพ่งมองภาพที่อยู่เบื้องหน้า

“พระศุกร์!!!”

“ใช่…ข้าเอง...ไม่คิดว่าเราจะได้เจอกับท่านอีกครั้งนะท่านนภนต์... อืม...ชลันธรข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน” พระศุกร์เอ่ยด้วยท่าทีสบายๆ พลางใช้เรียวนิ้วยาวลูบไล้ที่ปรางค์ขาวสะอาด…‘ไม่ว่าจะกี่ภพกี่ชาติจะเป็นเทวาหรือมนุษย์…ชลันธรยังคงมีผิวกายขาวดั่งไข่มุกล้ำข้าในมหาสมุทร’…

“ท่านพี่...ท่านพี่ช่วยข้าด้วย” ชลันธรพยายามขืนกาย หากแต่ยิ่งทำให้พระศุกร์ขยับกรแกร่งกอดรัดกายบางแน่น

“พระศุกร์...ท่านจงปล่อยตัวชลันธรบัดเดี๋ยวนี้ !!!” นภนต์โกรธกริ้วหนักก็ด้วยพระศุกร์พยายามลวนลามยอดดวงใจ ทั้งทางร่างกายแล้วยิ่งสายตานั้นด้วยแล้ว นภนต์นั้นยิ่งโมโหหนักขึ้นกว่าเก่า

“หากข้าบอกว่าไม่เล่า…ท่านจะทำอันใดข้า…ฟอด”เทวากายสีฟ้ากดจมูกหอมแก้มนวลหมายเย้ยหยันเทพแห่งท้องนภา นอกจากจะไม่ปล่อยตัวชลันธรแล้วพระศุกร์ยังจุดไฟโทสะของนภนต์ให้โหมกระหน่ำกว่าเก่า

“หากท่านไม่ปล่อย ข้าจะนำเลือดของท่านมาล้างเท้าข้า !!!!”

“เจ้าคิดหรือ...ว่าเจ้าจะทำเยี่ยงนั้นได้...”  พระศุกร์ตอบกลับพร้อมยิ้มเยาะอย่างมีเลศนัย

ทางด้านนาคินทร์ถูกลมพายุหอบพัดไปติดกับต้นไม้ริมน้ำตกแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างออกไป ทั้งยังมีเถาวัลย์เลื้อยมาที่ขาขึ้นมารัดโอบกายเอาไว้ นาคินทร์พยายามหนี หากแต่เถาวัลย์นี้ได้ปริแตกแล้วกลับกลายเป็นหมอกควันสีชมพูเถาวัลย์ค่อยเลือนหายไปเหลือเพียงร่างกำยำรัศมีสีชมพูกำจายไปทั่วบริเวณ

“พระอังคาร!!!” รพีพงศ์ที่ติดตามไปร้องเรียกชื่อเทพแห่งสงคราม ที่ยามนี้อยู่เคียงข้างนาคินทร์

“รพีพงศ์…เจ้านั้นโตขึ้นมากเลยนะอีกไม่นานคงจะฤทธิ์มากสามารถต่อกรกับข้าได้ เฉกเช่นพระบิดาเจ้า”

“พระอังคารถึงแม้นพระบิดาข้ากับท่านจะไม่ลงรอยกันจนท่านพาลโกรธเกลียดข้า ข้านั้นก็มิได้ถือสาหาความอันใดไม่ แต่ไยจึงมาจับตัวคนของข้าด้วยเล่า ปล่อยตัวนาคินทร์มาเสียเถิด” รพีพงศ์รู้ดีว่าตนนั้นมีศักดิ์ด้อยกว่าจึงพยายามพูดจาถ่อมตน ซึ่งผิดวิสัยกับสายเลือดพระอาทิตย์ที่ใจร้อนดุดันวู่วาม อีกเหตุผลหนึ่งก็เพื่อความปลอดภัยแก่นาคินทร์หากรพีพงศ์พูดจาไม่เข้าหูพระอังคารอาจจะทำร้ายนาคินทร์ขึ้นมาได้

“ข้าพอใจที่จะจับนาคตนนี้และข้าก็จะต้องได้…” พอได้ยินถ้อยคำที่เอื้อนโอษฐ์ของอีกฝ่ายที่มันช่างไร้เหตุผลเสียจริง ทำไมกันเทพชั้นสูงอย่างพระอังคารถึงได้ทำการเยี่ยงนี้  กระนั้นรพีพงศ์ก็รับรู้ได้ว่าพระอังคารคงไม่ปล่อยตัวนาคินทร์มาโดยง่ายเป็นแน่

“ปล่อยตัวข้าเถิด ถึงท่านจะมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน หากข้านั้นเป็นเพียงเชลย จับตัวข้าไว้แบบนี้ก็ไร้ประโยชน์”นาคินทร์เอ่ยพยายามโน้มน้าวใจผู้ที่จับตัวตนได้รับรู้ว่าคิดผิดถนัดที่มาจับคนไร้ค่าเยี่ยงตน

“เชลยรึ!…หากเป็นเพียงเชลยรพีพงศ์คงไม่ดิ้นรนไล่ตามเจ้ามาขนาดนี้ดอก ฮึ...ถึงอย่างไรเสียไม่ว่าเจ้าจะเป็นอะไรกับรพีพงศ์ ข้าก็จะนำตัวเจ้าไปกับข้า!!!” พระอังคารเอ่ยกับนาคน้อยเดิมทีอยากจับตัวนาคินทร์ไปให้กนธี แต่พอได้ยลโฉมนาคงามอย่างใกล้ชิดก็คิดอยากจะครองนาคาตนนี้ไปเป็นของตน

“พระอังคาร!!! ตั้งแต่อดีตชาติที่ท่านลักลอบเป็นชู้กับสนมของพ่อข้า มาบัดนี้ก็ยังไม่สิ้นลายมายุ่งเกี่ยวกับคนของข้าอีกกระนั้นหรือ เมื่อท่านมิปล่อยเห็นทีข้าคงจะต้องล่วงเกินท่านเสียแล้ว” ไม่ใช่แค่ขู่รพีพงศ์ร่ายมนต์เรียกศาสตราวุธประจำกาย แลปรากฎพระขรรค์แดงฉานด้วยเปลวไฟในทันที

“เข้ามาเลย!!! ข้าเองก็อยากรู้ว่าเจ้าจักเก่งกาจพอที่จะเป็นพระอาทิตย์องค์ใหม่ได้หรือไม่ รพีพงศ์…!!!”

ผืนป่ากันติทัตกำลังจะเกิดการต่อสู้ของทวยเทพไม่ว่าจะเป็นนภนต์กับพระศุกร์  หรือจะเป็นรพีพงศ์กับพระอังคารก็ล้วนตกอยู่ในสายตาของเทพมหาสมุทรกนธีที่กำลังมองผ่านแก้วนพเก้าด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าใครจะแพ้ใครจะชนะสิ่งสำคัญที่สุดคือกนธีจักต้องได้ตัวชลันธรมาให้จงได้

“ฮึ...เจ้าพวกแมลงเม่าเอ๋ย...อีกไม่นานดวงใจพระสมุทรจักต้องเป็นของข้า…เป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียว ฮะ ฮะ ฮ่า  ฮ้า…”













......................

ข้ากลับมาแล้ว ข้ากลับมาพร้อมสุดหล่อของข้านั่นก็คือ...ป๋ากนธีผู้นี้นี่เอง #ช่วยปรบมือต้อนรับป๋าหน่อย

นอกจากป๋าแล้วยังมีพระศุกร์และพระอังคารอีกด้วย ไม่จ้องเนอะว่าตอนหน้าจะอบอวนด้วยความรักแน่นอน!!! #โนมาม่า #เชื่อนะ

#แอบมีโมเม้นลันคินทร์ #นภนต์รพีพงศ์ควรระวังตัว



สุดท้ายนี้ขอบคุณที่ติดตามกันะคะไม่ทิ้งกันไปไหนแม้ว่าท่านยุ่งจะอัพช้าก็ามที ขออภัยเป็นอย่างยิ่ง...

ทุกคอมเม้น ทุกกำลังใจ ทุกคำติชม ท่านยุ่งขอขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.20 P.7 (06/08/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 06-08-2017 18:37:14
มีความหมั่นไส้กนธี  :z6:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.20 P.7 (06/08/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 06-08-2017 23:08:15
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.20 P.7 (06/08/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 07-08-2017 01:30:57
กนธีจะมาคว้าพุงเพียวๆไปกินแบบนี้มิได้ เรามิยอมมม
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.20 P.7 (06/08/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 07-08-2017 09:10:30
รพีพงษ์ปากแข็งยิ่งนัก!
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.21 P.7 (14/08/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 14-08-2017 06:37:47


สาปรัก…ทัณฑ์เทวา

Writer : Tan-Yung 0209

File : 21

















‘นางอัปสรย่างเยื้องตามคำร้องปี่พาทย์กลองกึกก้องสวนพฤกษา ศุกราผู้เป็นเลิศด้านคีตาร่วมเข้ามาดีดพิณเป็นทำนอง เหล่ารัมภาเปลี่ยนท่าร่ายรำช่างงามล้ำเป็นหนึ่งไม่มีสอง ทั้งยกกรยกบาทตามครรลองใครได้มองล้วนหลงใหลใคร่ดูชม’

หลายวันก่อนหน้านี้

‘พระศุกร์’ องค์ปัจจุบันนี้ผู้ชำนาญด้านคีตศิลป์ แต่อุปนิสัยส่วนตัวนั้นก็เจ้าสำราญมิต่างจากพระศุกร์องค์ก่อน บ่อยครั้งเมื่อว่างจากภารกิจพระศุกร์ก็มักจะหาความสุขจากการเล่นเครื่องดนตรีเสมอมาโดยเฉพาะเมื่อมีสหายคนสนิทอย่างพระอังคารมาเยี่ยมเยือนด้วยแล้ว เทวากายทรงเลื่อมประภัทสรก็เลือกเล่นพิณทองต้อนรับ ปลายดัชนีดีดสายพิณพร้อมเปล่งเสียงขับขานสร้างความสุขให้กับพระอังคารได้อย่างดี

“ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนับร้อยนับพันปีพระศุกร์สหายข้า…ยังคงเล่นดนตรีและขับร้องได้ไพเราะจับใจ” พระอังคารสหายคนสนิทของพระศุกร์กล่าวชม

“ข้าเห็นว่าท่านมาหาข้าถึงวิมานทองนี้ ข้าจึงเล่นเต็มที่สุดความสามารถหากเล่นไม่ดีข้าเกรงว่าสหายรักจะไปพูดติฉินนินทาลับหลังว่าข้านี้ฝีมือตกไปมาโข ฮ่า ฮ่า ฮ่า” พระศุกร์สรวลลั่นพลอยให้พระอังคารนั้นแย้มสรวลตามไปด้วย

“ต่อให้ท่านหลับตาบรรเลง ข้านี้ก็เชื่อเหลือเกินว่ายังไพเราะไม่เปลี่ยนแปลง” พระอังคารเอ่ยชมก่อนจะยกจอกน้ำจันขึ้นมาดื่ม

“พระศุกร์ข้ามีเรื่องจะกราบเรียนท่าน...” ในขณะที่หาความสุขสำราญในยามว่างท่ามกลางสวนบุปผชาติ ทหารผู้เฝ้าบันไดหน้าวิมานก็วิ่งเข้ามานั่งหมอบอยู่ตรงหน้าเทพผู้เป็นใหญ่แล้วกล่าวรายงาน

“มีเรื่องอันใดข้าบอกไว้ก่อนหากเรื่องที่เจ้านำมาบอกข้าหาได้สลักสำคัญข้าจะลงโทษเจ้าที่เจ้านั้นบังอาจขัดความสุขของข้า” พระศุกร์เอ่ยสุรเสียงบ่งบอกว่าไม่พอใจยิ่งนัก

“หาไม่ได้ คือว่าบัดนี้…พระสมุทรกนธีมาขอเข้าพบท่าน แล้วเพลานี้พระสมุทรกนธีนั้นก็กำลังรออยู่ที่หน้าวิมาน...”

“ท่านกนธีมาที่นี่อย่างนั้นหรือ...จักรอช้าอยู่ไยเล่า พระอังคารเราต้องรีบไปเชิญท่านกนธีให้เข้ามาเสียบัดนี้...” แม้เทพทั้งสองจะแปลกใจกับการมาเยือนของพระสมุทร แต่พระศุกร์ก็รีบวางเครื่องดนตรีแล้วก็ชักชวนพระอังคารให้ออกจากพลับพลากลางสวน ให้ไปเข้าเฝ้าตอนรับเทพผู้เป็นใหญ่กว่าตนมาเยี่ยมเยือนถึงวิมาน

“ท่านกนธีเชิญประทับก่อนเถิด...” วรกายใหญ่ของเทพแห่งท้องสมุทรก็เข้ามาที่พลับพลากลางสวน พระศุกร์ก็รีบเชิญกนธีให้มาประทับที่แท่นศิลา แล้วรินน้ำจันให้ตามธรรมเนียม

“ขอบน้ำใจท่านมาก...จักเป็นการช้าหากมิพูดให้ตรงเรื่อง อันที่จริงแล้วที่ข้ามาหาท่านในวันนี้นั้นมิใช่จะมาหาความสนุกสุขสำราญดอก แต่ข้านี้มีเรื่องจักรบกวนให้ท่านช่วยเหลือเสียหน่อย...” ทันทีที่ประทับแท่น กนธีก็ไม่รีรอบอกจุดประสงค์ที่มาหาพระศุกร์ในทันที

“เรียนพระสมุทร หากท่านกนธีมีธุระด้วยเจรจากับพระศุกร์ ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอตัวออกไปก่อนจะดีกว่า...” พระอังคารที่เห็นว่ากนธีมีเรื่องจะหารือกับสหายเก่าก็เอ่ยลา

“ช้าก่อนพระอังคารไหนๆ ท่านก็อยู่แล้ว ก็ขอให้ท่านร่วมช่วยสดับฟังสิ่งที่ข้าจะเอ่ยต่อไปนี้ด้วยเถิด” พระอังคารจึงจำต้องนั่งลงเช่นเดิม พระศุกร์เองเมื่อเห็นท่าทีของกนธีก็รู้โดยทันทีว่าเรื่องที่อีกฝ่ายจะปรึกษานั้นสำคัญมากเพียงใดมิเช่นนั้นคงไม่ออกจากวิมานสีครามขึ้นมาหาตน ณ วิมานทองนี้ได้ด้วยเหตุนี้พระศุกร์จึงได้ไล่ให้นางอัปสรรวมถึงเทวาดาที่มาร่วมวงปี่พาทย์ให้ออกไปนอกสวนบุปผาชาติจนหมด ก็จะเหลือเพียงพระสมุทร ตนและพระอังคารเท่านั้น

“ณ ที่แห่งนี้หามีผู้ใดแล้ว เชิญท่านกนธีเอ่ยมาเถิดว่าจะให้ข้านั้นช่วยเหลือการอันใด” พระศุกร์กล่าวนำถามการสำคัญที่กนธีหมายไหว้วาน

“ท่านยังจำชลันธรหลานชายของข้าได้หรือไม่...” กนธีเริ่มต้นบทสนทนาด้วยการกล่าวถึงอดีตพระสมุทรชลันธรผู้มีศักดิ์เป็นหลานทันที  พระศุกร์ได้ยินนามที่ตรึงใจนี้ก็กระตือรือร้นจนผิดวิสัย ใครๆ ต่างก็รู้ดีว่าพระศุกร์นี้มีใจให้กับอดีตเทพแห่งมหาสมุทร

“ชลันธรหลานท่านน่ะหรือ...ข้าจำได้ดีทั้งยังได้ดี...ซ้ำยังได้พบเจอกันเมื่อไม่นานมานี้ที่ป่ากันติทัตอีกด้วย...”

“ถ้าเยี่ยงนั้นท่านก็คงจะรู้แล้วว่าบัดนี้เทพนภนต์นั้น...คอยดูแลชลันธรอยู่...”

“ใช่ข้ารู้...ว่าแต่มีเหตุอันใดหรือท่านกนธี จึงได้ถามข้าเกี่ยวกับเรื่องนี้...”

“ข้าขอพูดตามตรง...ข้านั้นมิวางใจเทพนภนต์เลยแม้แต่น้อย ด้วยเป็นผู้จับหลานข้าเป็นนักโทษจนต้องทัณฑ์เทวาถูกสาปให้ตายด้วยพิษสารพัดเวียนว่ายตายเกิดอย่างทรมานยังโลกมนุษย์ หากแต่ข้ากลับไม่เข้าใจไยพระผู้สร้างกลับให้เทพนภนต์ดูแลชลันธร…ปล่อยให้อยู่กับนภนต์แบบนั้น...ข้าเป็นห่วงชลันธรยิ่งนัก” กนธีแสร้งเอ่ยเสียงเศร้า พักตราดูอิดโรยเมื่อพูดถึงหลาน เทพพระศุกร์พอได้ฟังเรื่องราวก็เข้าใจหัวอกผู้เป็นพระปิตุลา และตนเองก็ได้เห็นเทพนภนต์แสดงพฤติกรรมไม่ดีกับชลันธรมาแล้วเมื่อคราก่อน ด้วยก็นึกเป็นห่วงชลันธรอยู่ไม่น้อย...จิตใจพระศุกร์เริ่มร้อนรุ่มขึ้นมาในทันที

“เยี่ยงนี้แล้ว...ข้าจึงได้มาพบท่านเพื่อให้ท่านนั้นเป็นผู้ชิงตัวชลันธรและเป็นผู้ดูแลแทน” กนธีพูดจบแล้วยิ้มให้พระศุกร์

“เหตุใดท่านกนธีจึงมิชิงตัวอดีตพระสมุทรมาเสียเองเล่า ยิ่งท่านมีศักดิ์เป็นพระปิตุลาด้วยแล้ว ไหนเลยชลันธรคงเลือกมาอยู่กับท่านเป็นแน่แท้...” พระอังคารที่นั่งเงียบฟังอยู่นานเอ่ยขึ้น

“ข้าเองก็อยากทำเช่นนั้น...หากแต่พระผู้สร้างมิยอมให้ข้าช่วย ทั้งยังเพ่งเล็งข้า...ข้าจึงต้องมาขอร้องพระศุกร์ให้เป็นผู้ช่วยในการนี้ ด้วยข้านั้นรู้ดีว่าพระศุกร์เอ็นดูชลันธรหลานข้ามากว่าใครในจักรวาล...หากเป็นพระศุกร์แล้วข้าก็วางใจ...” กนธีตอบพระอังคารจึงพยักหน้ารับผิดกับพระศุกร์ที่ยิ้มออกมาที่กนธีนั้นให้ความสำคัญ

“แล้วท่านมีอันใดตอบแทนข้าเล่า”

“สิ่งที่จะตอบแทนนั้นน่ะหรือก็คือ...สิ่งที่ท่านนั้นคิดอยู่ในใจ...” กนธีเอ่ยคำตอบที่แฝงความนัยน์แต่เพียงเท่านี้ก็สร้างความพึงพอใจให้พระศุกร์เป็นอย่างยิ่ง และดูเหมือนว่าเทพพระสมุทรผู้นี้จะล่วงรู้ว่าตนต้องการสิ่งล้ำค่าอย่างชลันธร

“เพียงแค่ชิงตัวชลันธรที่ตอนนี้กายก็เป็นเพียงแค่มนุษย์ ข้าว่าพระศุกร์เพียงผู้เดียวก็สามารถทำการนี้สำเร็จได้ แม้ว่าเทพนภนต์จักเป็นแม่ทัพแห่งสรวงสวรรค์แต่พระศุกร์นั้นก็มิด้อยทั้งกำลังและปัญญาไปกว่ากัน สหายข้าเป็นถึงครูแห่งอสุราทั้งหลาย ข้าไม่จำเป็นต้องออกโรงช่วยดอก” พระอังคารเอ่ยจริงหรือไม่

“ใครว่าข้ามาเพื่อจะมาไหว้วานให้พระศุกร์ชิงตัวชลันธรแต่เพียงผู้เดียว...”

“ท่านหมายความว่าเยี่ยงไร…ยังมีการอันใดอีกหรือ...” พระอังคารเอ่ยถาม

“คราแรกตัวข้านั้นจักให้พระศุกร์ชิงตัวชลันธรพร้อมกับนาคนาคินทร์ซึ่งเป็นสนมในข้า แต่พอมาถึงวิมานพระศุกร์ก็พบว่าท่านก็อยู่ที่นี่ด้วย ข้าจึงคิดจะไหว้วานท่านสักหน่อย...จะได้ช่วยเบาแรงพระศุกร์สหายท่านไม่ดีหรือ...” กนธีเริ่มเล่าเรื่องปดให้กับสองเทวาได้รับฟัง

“แล้วตอนนี้สนมนาคินทร์ของท่านอยู่ที่ใด...”

“นาคินทร์ถูกรพีพงศ์บุตรแห่งพระสุริยเทพจับตัวไป และดูเหมือนจะมุ่งหน้าไปยังป่ากันติทัต เช่นกัน คาดว่าคงจะไปหาชลันธร ซ้ำนาคินทร์นั้นยังต้องมนต์เสน่หาให้ลุ่มหลงเพียงบุตรแห่งพระสุริยเทพ ข้ากลุ้มใจยิ่งนักที่สนมรักถูกแย่งชิงไป...” กนธีปั้นน้ำให้เป็นตัวพระอังคารกำหมัดแน่นเนื่องจากพระอังคารนี้รักความยุติธรรมเป็นอย่างมากยิ่งรพีพงศ์เป็นบุตรของสุริยเทพซึ่งตนเป็นอริด้วยแล้วนั้นก็ยิ่งโมโหโกรธาเป็นทวีคูณ

“ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ข้าก็มิได้รบพุ่งจริงจังกับใคร หรือมีการสงครามเสียนาน...ได้ยืดเส้นยืดสายเสียบ้างคงจะเป็นการดีมิใช่น้อย...ข้าจะช่วยท่านเอง…ท่านกนธี...” พรอังคารกล่าวตกลง

กนธีนั้นแย้มสรวลอยู่ในใจ…เมื่อสองเทพผู้ชาญการยุทธ์ตกลงช่วยเหลือ แผนการที่ตนจะครองท้องสมุทรอย่างสมบูรณ์นั้นก็เริ่มเห็นภาพแห่งความสำเร็จ จะเหลือก็แต่เพียงรอคอยเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น และวันนั้นก็จักเป็นวันที่ตนจะได้ตัวชลันธรและดวงใจพระสมุทรเสียที

“เอาเป็นว่าการครั้งนี้พวกข้าทั้งสองจะช่วยท่าน มิทราบว่าจักให้ข้าลงมือเพลาใด” พระศุกร์ถามรู้สึกคันไม้คันมือเพราะตั้งแต่สงครามเทวอสุราตนนั้นก็มิได้ต่อสู้จริงจังมานานมากโขพระอังคารเองก็เช่นกันที่อยากจะประดาบสู้กับรพีพงศ์ให้ไวที่สุด

“ข้าจะให้คนสนิทของข้า มาบอกพวกท่านอีกครั้ง และที่สำคัญท่านอย่าได้บอกการครั้งนี้ใครได้ล่วงรู้ รวมถึงตอนชิงตัวก็อย่าได้เอ่ยถึงข้าหรือแสดงออกว่าข้านั้นขอความช่วยเหลือจากพวกท่าน...”

“ข้าทราบแล้ว...ตกลง”

. . .

ปัจจุบัน

ลมพายุที่เกิดขึ้นอย่างผิดปกติ หอบร่างบางล่องลอยไปไกล ชลันธรร้องลั่นเรียกหาให้นภนต์เข้าช่วยยามมีภัย  แต่แล้วกายบางกลับตกลงบนผืนแพรพรรณแสนนุ่ม จนเจ้าตัวเองยังรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย เมื่อเงยใบหน้าขึ้นมาก็บนมันสิ่งที่ได้เห็นนั้นคือ เขางามคู่หนึ่งของโคที่มีลำตัวล่ำสัน

 “ศุภราช!!!” พระศุกร์เรียกพระโคพาหนะ ที่ซ่อนตัวอยู่ไม่ไกลซึ่งบนหลังนั้นมีร่างอรชรของชลันธรนอนอยู่ด้วยความงุนงง..

“จงนำตัวชลันธรแล้วมุ่งหน้าไปกลับไปที่วิมานของข้า... !!! ” พระโคศุภราช ได้รับคำสั่งผู้เป็นนายก็พาตัวชลันธรไปอีกทาง นภนต์เองก็ไล่ตามไปแต่ไม่ทันจะได้ย่างก้าว พระศุกร์ก็เข้าขัดขวางเสียก่อน  คมปลายแหลมของพระขรรค์ตรงจ่อไว้ห่างลำคอแกร่งเพียงแค่คืบมือ

“ท่านทำการอันใดของท่าน...อย่ามาขวางทางข้าเสียดีกว่า…พระศุกร์...!!!”

“หากข้าปฏิเสธเล่า” พระศุกร์หาได้สะทกสะท้านแม้แม่ทัพหลวงตรงหน้าจะแผ่รัศมีความโกรธกริ้วออกมาก็ตามที

“ถ้าไม่หลีกข้า...แสดงว่าท่าจงใจจะขัดต่อเทวราชโองการ อย่างนั้น...ก็จงตายด้วยน้ำมือข้าเสีย...!!!” ไม่ใช่เพียงเอ่ยขู่หากเทวาเจ้าเวหานั้นยกบาทถีบไปกลางพระโสภีเสียเต็มแรงเป็นการเปิดฉาก

ศุกราจารย์ล้มลงโดยพลันถึงกระนั้นก็หาได้เจ็บปวด ไม่ทั้งยังลุกเดินเร็วไว หัตถาใหญ่กุมพระขรรค์คมเข้าโรมรันยังเทพนภนต์มิได้เกรงกลัวต่อเทวราชโองการ เทพหนุ่มมิรอช้าเสกพระขรรค์คู่กายตั้งมั่นรับทันท่วงที ต่างฝ่ายต่างแสดงฝีมือกันเต็มที่ไม่มีใครยอมใคร

…‘ฝ่ายหนึ่งสู้เพื่อนำคนรักกลับมาสู้อ้อมแขน’… …‘ฝ่ายหนึ่งสู้เพื่อจะช่วงชิงคนที่หมายปองให้เป็นของตน’…

ดังนั้นนี่ไม่ใช่เป็นเพียงการสู้รบเพื่อศักดิ์แต่เป็นการสู้รบเพื่อแสดงว่าใครกันเหมาะสมที่จะได้ดูแลอดีตเทพแห่งมหาสมุทรชลันธร

“ชลันธรจักต้องเป็นของข้า!!” พระศุกร์ผู้มิเคยแพ้ใครประพระขรรค์เข้าฟันปลายพระขรรค์สีเงินของนภนต์จนเต็มแรง แลเกิดเสียงดังสนั่นด้วยพระขรรค์เงินของเทพเวหานั้นหักออกเป็นสองท่อน

“ตื่นจากฝันเสียเถิด!!!” แม้พระขรรค์จะหักร่วงปักดินนภนต์ก็มิหวั่น มือหนารีบกุมแน่นเป็นกำปั้น ฝากหมัดรุ่นๆ เข้าชกไปที่พักตรางามของพระศุกร์อย่างเต็มแรงจนผู้ถูกกระทำหน้าหันอีกทางทั้งถลาเซล้มลงไป นภนต์จึงใช้โอกาสนี้เข้าคร่อมตัวแล้วกระหน่ำหมัดชกไม่หยุดมือ หมายให้พระศุกร์ได้ตื่นอย่างที่ตนกล่าว…ตื่นมาพบความจริงที่ว่าชลันธรไม่มีทางเป็นของเทวากายฟ้าได้

เป็นถึงอาจารย์ของเหล่ายักษ์และอสุราผ่านการรบมาแล้วหลายครั้งหลายคราจึงหาได้ยอมให้ตนเสียเปรียบได้นานรีบรวมกำลัง ดันนภนต์ให้นอนราบแทนก่อนจะเป็นฝ่ายประเคนกำปั้นเข้าใส่บ้าง

“ช่วยด้วย...!!! ท่านพี่ช่วยข้าด้วย…!!!”

นภนต์และพระศุกร์ชะงักไปชัวครู่เสียงหวานแสนคุ้นเคยร้องออกมาราวกับพบเจออันตรายที่เหนือกว่าการถูกพาตัวไปทั้งสองหยุดการต่อสู้ในทันทีและรีบวิ่งไปตามเสียงนั้น ไม่นานก็พบกับชลันธรที่ยังอยู่บนหลังพระโคเผือกศุภราช ที่ยามนี้กำลังใช้เขาไล่ขวิดอสูรร้ายที่มุ่งเข้าหาชลันธร

“ชลันธร!!!” นภนต์ร้องเรียกร่างบางที่ก้มกอดลำคอร่างพระโคขนสีน้ำนมไว้แน่น

“ท่านพี่…ฮึก…ท่านพี่นภนต์ช่วยข้าด้วย...” ชลันธรหลั่งน้ำตาออกมาทั้งกลัวทั้งดีใจที่คนรักได้มาช่วยตนผิดกับพระศุกร์ที่เจ็บหน่วงในดวงใจที่ชลันธรมองนภนต์เพียงผู้เดียว

“เหล่าอสูรจงฟังข้า...!!! ข้าศุกราจารย์ขอสั่งพวกเจ้าให้หยุดการกระทำต่ำช้าที่มีต่อชลันธรบัดเดี๋ยวนี้” ด้วยอาจารย์แห่งอสุราและอสูรทั้งลั่นวาจาปราม แต่ก็หามีอสูรตนไหนฟังไม่ นอกจากนี้ยังมีบางตนตรงเข้ามาทำร้ายพระศุกร์และนภนต์แทน

“เหตุใดพวกอสูรถึงไม่ฟังข้า…” พระศุกร์พึมพำออกมาด้วยความแปลกใจโดยหารู้ไม่ว่ากำลังถูกซ้อนแผน อสูรเหล่านี้เป็นทหารสมุทรของกนธีที่แปลงกายมาเพื่อจะจับตัวชลันธรไปหาเทพมหาสมุทรกนธีโดยตรง

“หยุดตั้งคำถามเสียก่อนเพลานี้ต้องช่วยชลันธรให้ปลอดภัย” นภนต์เอ่ยเตือนสติให้คิดสู้ก่อนจะคิดถาม

เทพนภนต์พระศุกร์และคาวีศุภราชต่างก็ปกป้องชลันธรสุดความสามารถ เทพเวหาไร้อาวุธจึงใช้พระเวทเข้าสู้ บังเกิดพายุขนนกสีทองพุ่งเข้าปักยังร่างกายเหล่าอสูร ส่วนพระศุกร์นั้นใช้ศาสตราสังหารอสุราล้มตายจนกลิ่นคาวโลหิตสีทมิฬคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ …แต่อสูรเหล่านั้นล้มตายเพียงแค่ช่วงแรกเท่านั้น แล้วกายเหล่านั้นกลับลุกยืนขึ้นมาอีกครา บางตนฟื้นร่างกายได้ บางตนที่ร่างกายขาดเป็นสองก็งอกกายใหม่เป็นสองร่าง บางตนขาดเป็นสามก็งอกใหม่เป็นสามร่างกาย เพิ่มพูนมากมายเป็นพันกว่าตน... ‘อสูรนับร้อยนับพันขนาดนี้ เพียงเราและพระศุกร์รวมถึงคาวีศุภราช คงจะหมดแรงเสียก่อนช่วยชลันธรได้ถ้าเรามีธนูประจำกายก็คงดี’…

กระแสจิตของนภนต์ส่งถึงธนูทองคำศาสตร์ประจำกายที่วางอยู่บนแท่นหิน ณ ถ้ำของยักษ์ชวคิรินทร์ที่คราก่อนได้ขออาวุธคู่กายของเทพนภาแลกเปลี่ยนกับผลทับทิมสุบรรณ ซึ่งเมื่อได้รับมาเก็บไว้ที่แท่น ชวคิรินทร์ก็ไม่มีบุญพอจะได้ใช้หรือยกคันธนูเนื้อเหมนี้อีกเลยเพราะคันธนูนี้หนักเสียจนมิอาจจะขยับเขยื้อน ได้จึงได้เก็บรักษาไว้รวมกับของวิเศษอื่นๆ ที่เหล่าเทพเทวดานำมาแลกเปลี่ยนกับผลไม้ทิพย์นี้  ถึงยามว่างก็จะคอยลับคมศรตามคำแนะนำของพระฤาษีวิทูเพื่อรอคอยวันที่นภนต์ต้องการ

‘กึก…กึกๆ’

เสียงคันธนูสั่นคลอน และเกิดประกายแสงสีทองเจิดจ้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ยักษ์ชวคิรินทร์คิดว่าบัดนี้ท่านเทพนภนต์คงมีความจำเป็นต้องการใช้ธนูทองนี่เสียแล้ว ด้วยจิตนั้นสื่อถึงศาสตราวุธประจำกาย แต่ด้วยยังติดพันธสัญญาที่ผู้เป็นเจ้าของได้มอบให้ยักษ์ชวคิรินทร์จึงมิอาจกลับคืนสู่เทพนภนต์ได้ในทันที ครั้นจะรั้งไว้ก็คงมิใช่เรื่องดีเทพนภนต์ยามนี้คงลำบาก

“ถึงเวลาที่เทพนภนต์ต้องการเจ้าแล้ว...จงกลับคืนสู่หัตถาผู้เป็นเจ้าของเสียเถิด...” ชวคิรินทร์เดินเข้ามาที่พระแท่นวางคันธนูทอง ปลายนิ้วสากลูบสัมผัสแล้วเอ่ยวาจาปลดพันธนาการ...สิ้นคำพูดคันธนูรวมถึงศรคมก็หายวับไปกับตา

‘ขอให้ชัยชนะอยู่เคียงข้างท่าน…เทพนภนต์...’

กลับมาสู่ป่ากันติทัตที่เพลานี้ทุกอย่างตกอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด… ทุกอย่างเป็นไปตามที่เทพนภนต์ได้คาดการณ์ไว้แม้นจะเป็นเทพชั้นสูงหากต่อสู่กับอสูรนับร้อยโดยไม่หยุดพักเรี่ยวแรงก็เริ่มหายไป ครั้นจะใช้ขนนกทองคำพุ่งเข้าใส่ แต่อสูรร้ายไม่แบ่งกายก็หวนพื้นคืนชีพ  แต่เหมือนโชคกลับมาเข้าข้างเทพนภาในยามคับขันเช่นกัน ด้วยบังเกิดแสงเจิดจ้าตรงหน้าให้หยุดนิ่ง ดวงเนตรคมมองสิ่งที่กำลังค่อยๆ ปรากฏขึ้นนั้นเรียกรอยยิ้มให้ปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลา พระศุกร์เองที่ได้เห็นก็ตกตะลึงมิใช่น้อยเป็นกัน มือหนาคว้าจับสิ่งของวิเศษที่เป็นของตนอยู่ตรงหน้า....คันธนูและศรทองคำ ศาตราวุธประจำกาย...  ‘เหล่าอสูรเอ๋ย…จะถึงคราวที่พวกเจ้าจะปราชัยให้กับข้าแล้ว…’

“ชลันธรหมอบลงกอดพระโคศุภราชไว้...ส่วนท่านพระศุกร์จงเข้ามาหลบอยู่ที่หลังข้า ถ้าท่านมิอยากตายด้วยคมศร...” นภนต์เอ่ยลั่น ทั้งชลันธรและพระศุกร์ก็ทำตาม เพราะมิใคร่อยากโดนธนูวิเศษของเทพเวหาที่มีแสนยานุภาพร้ายเหลือ

เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามใจคิดพระกรแกร่งยกขึ้นมาพร้อมด้วยหัตถาจับคันธนูมั่นมืออีกข้างหยิบศรทองมาขึ้นสายแล้วดึงศอกมาด้านหลังเตรียมพร้อมยิงใส่เหล่าศัตรู จากนั้นเนตรสีนิลดุจพญาอินทรีเล็งไปยังเป้าหมายแล้วปล่อยสายยิงให้ศรวิเศษแหวกอากาศพิฆาตมารอสูรร้าย

‘ฟึบ…ฟึบ..ฟึบ’

“อ๊าก!!!!..”

ศรเพียงหนึ่งดอกในคราแรกแปรเปลี่ยนเป็นร้อยเป็นพันดอกราวกับห่าฝนกรดที่ตกลงมาสร้างความเจ็บปวดให้กับผู้ที่ได้สัมผัสพร้อมกับเสียงร้องโหยหวนที่ดังลั่นด้วยมนต์จากศรวิเศษนี้เหล่าอสูรร้ายไม่สามารถจะแบ่งกายฟื้นคืนได้อีก จึงพากันล้มตายมอดไหม้จนเสียหมดสิ้น

“ชลันธรเจ้าปลอดภัยแล้ว…” นภนต์เอ่ย ร่างสูงรีบเดินเข้าหาคนรักแม้บาทาจะเปื้อนเถ้าถ่านโสมมของซากศพก็ตามที ชลันธรเองก็มองหานภนต์แววตานั้นแสดงออกว่าพร้อมจะรับไออุ่นจากอ้อมกอดของเทพนภาแต่กลับต้องร้องออกมาเสียงหลง

“ท่านพี่ระวัง…!!!”

“อั่ก..”

นภนต์ล้มลงไปยามที่พระขรรค์ฟาดฟันยังแผ่นหลังกว้างจนโลหิตทองไหลออกมาตามรอยแผล…พระศุกร์ยิ้มเยาะที่นภนต์หาได้ระวังตัวไม่ หรืออาจจะลืมไปว่ายังคงมีศัตรูอีกหนึ่งรออยู่นั่นก็คือตน นอกจากนี้ยังถีบนภนต์ให้นอนคว่ำลงกับพื้นธรณี นภนต์เองก็ทำได้เพียงส่งสายตาเคียดแค้นมองไปยังพระศุกร์ที่กำลังเดินไปหาชลันธร…‘นี่สินะที่เขาเรียกว่าทำคุณบูชาโทษโปรดสัตว์ได้บาป’…

“เสียดายนัก...ข้ายังไม่ได้ใช่วิชาหมอกพิษของข้าให้เจ้าได้ดูเลยนะเทพนภนต์ ข้าก็ไม่อยากจะเสียเวลามากแล้ว ฮึ...ในที่สุดเจ้าก็ตกเป็นของข้า…ชลันธร” พระศุกร์ที่เดินเข้าถึงกายบางก็เอ่ยก่อนจะใช้มือลูบเข้าไปยังปรางค์นิ่ม ชลันธรเบือนหน้าหนี หากแต่ไม่ทันจะได้สัมผัสจับต้องใดๆ มือนั้นต้องหยุดชะงักด้วยสิ่งหนึ่งเสียก่อน สายตาคมสบมองก็พบว่าเป็นเชือกสีเพลิงเส้นหนึ่งที่หยุดมือของพระศุกร์ไว้ เทพกายฟ้ากัดฟันกรอดเพราะรู้ดีว่าเจ้าของเชือกที่ยังไม่ปรากฏกายนี้เป็นใคร

“คิดว่าเชือกกระจอกงอกง่อยของท่านจะหยุดข้าได้อย่างนั้นหรือ…พระพฤหัสบดี!!” พระศุกร์เอ่ยถามผู้มาใหม่ก่อนจะขยับริมฝีปากร่ายมนต์แก้เชือกมนต์ตรา แต่ยิ่งร่ายคาถาเชือกสีเพลิงกลับยิ่งรัดข้อมือแน่นกว่าเดิม... ‘หนอยแน่ !!! พระพฤหัสเอาเชือกบ้านี่มารัดข้า’...

“ท่านคิดว่าข้ามาสู้กับท่านข้าจะเอาของเด็กเล่นมาหรือ…เสียใจด้วยที่มันมิได้เป็นดั่งที่ท่านหวังไว้…พระศุกร์” สิ้นเสียงเอ่ยแสนสุขุม เทพผู้ทรงอาภรณ์คล้ายฤาษีรัศมีสีส้มเฉิดฉายแย้มสรวลเล็กน้อยทรงอยู่บนหลังมฤคาเขางามที่ได้เห็นท่าทางกระวนกระวายของเทพเจ้าสำราญซึ่งน้อยครั้งจักได้เห็น เมื่อเทพบนหลังกวางกวาดสายตามองทั่วบริเวณ ก็พบทั้งกองเถ้าศพของอสูร รวมทั้งร่างของเทพนภนต์ที่กำลังบาดเจ็บ ไหนจะอดีตเทพท้องสมุทรที่นั่งโศกาบนหลังพระโคศุภราชอีก พระพฤหัสบดีก็พอจะเดาเหตุการณ์ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น นี่ตนคงไม่ได้มาช้าจนเกินไปนักที่จะยับยั้งเหตุอาเพศครั้งนี้

“ถึงว่าเหตุใดระฆังแก้วของข้าถึงได้ลั่นดัง ก็เพราะท่านมาสร้างความเดือดร้อนให้กับเทวาจริงเสียด้วย...” พระพฤหัสบดีกล่าวพลางกระตุกเชือกอาคมให้พระศุกร์ได้ออกห่างจากร่างบางบนหลังพระโคเผือก

“เรื่องนี้หาใช่ธุระกงการอันใดของท่านไม่ ข้ามีเรื่องต้องสะสางกับเทพนภนต์หาใช่ท่านไม่…พระพฤหัส” พระศุกร์เอ่ยออกมาด้วยความไม่พอใจที่ถูกขัดขวางด้วยศัตรูคู่แค้น ทั้งสองนั้นก็คล้ายกับน้ำและน้ำมันแม้รูปลักษณ์จะเหมือนกันแต่มิอาจจะมาบรรจบพบกันได้

…‘พระศุกร์เป็นอาจารย์ของอสุราและยักษา’…

…‘พระพฤหัสบดีเป็นอาจารย์ของเทวาทั้งหลาย’…

“จะเอ่ยว่ามิใช่ธุระของข้าก็คงมิได้ เพราะท่านนั้นได้ทำร้ายเทพนภนต์ซึ่งตัวข้านี้เป็นอาจารย์ของเหล่าทวยเทพ หากเทพเดือดร้อนเพราะท่านก็เท่ากับเป็นธุระของข้าที่ต้องมาช่วยลูกศิษย์” แม้เทวาสูรสงครามจะผ่านมาหลายร้อยปีพระพฤหัสบดีก็หาได้วางใจพระศุกร์ไม่ จึงได้เนรมิตระฆังแก้วไว้ใช้ในยามใดที่พระศุกร์ได้ทำร้ายเทพาขึ้นมาระฆังแก้วสั่นไหวจนเกิดเสียง เมื่อนั้นพระพฤหัสบดีจะออกจากวิมานมากำราบพระศุกร์ด้วยตนเองครั้งนี้ก็เช่นกัน หากเหาะมายังป่ากันติทัตนั้นลำบากจึงต้องดำดินมาช่วยเหลือนั่นนับว่าเป็นผลดีให้กับนภนต์แม้พระพฤหัสบดีจะมาช่วยล้าช้าไปเสียหน่อย

ชลันธรเห็นว่าปลอดภัยแล้วจึงลงจากหลังของพระโครีบก้าวย่างตรงหานภนต์ที่บาดเจ็บพระพฤหัสบดีนั้นก็ส่งสายตาให้ทั้งสองหนีไปในระหว่างที่ตนเองนั้นจับพระศุกร์เอาไว้ ชลันธรพยักหน้ารับแล้วประคองนภนต์ขึ้นหลังพระโคศุภราช เดินแยกออกไปอีกทางสร้างความโกรธเคืองให้กับพระศุกร์มากยิ่งขึ้นไปอีก

“ศุภราชนี่เจ้าเชื่อฟังชลันธรหรือนี่ พระพฤหัส...ท่าน!!!...อีกนิดเดียวชลันธรก็จักเป็นของข้าแล้ว ท่านหาใช่เทวาสำหรับข้าแต่ท่านมันเป็นมารขัดขวางความสุขของข้า...” พระศุกร์ก่นด่าตั้งแต่ไหนแต่ไรพระพฤหัสบดีก็มักจะเป็นฝ่ายชนะตนเสมอยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น

“สำหรับเทพผู้สร้างแต่บาปอย่างท่านข้าก็ไม่ต่างจากมารความสุขของผู้อื่นหรอก แต่จงรับรู้ไว้ว่าผู้ที่ท่านเรียกว่ามารตนนี้จะพิพากษาท่านเอง...” พระพฤหัสบดีเอ่ยเสียงกร้าวพร้อมมองนักโทษที่จะไปอยู่ในคุกของตนที่ร้างรามานาน

“คิดว่าใหญ่มากนักหรือ ถึงได้มีอำนาจมาตัดสินข้าได้” พระศุกร์ผู้แสนหยิ่งกล่าวเย้ยหยัน

“ใหญ่ไม่ใหญ่ท่านก็น่าจะรู้ดีมิใช่หรือ แต่จะมาให้ท่านคิดตอนนี้เห็นทีจะไม่ควร  ด้วยว่านับจากนี้ท่านคงมีเรื่องใหม่ให้ขบคิดเสียแล้ว.... เพราะจะต้องคิดว่าจะเอาตัวรอดจากอาญาโทษฐานทำร้ายแม่ทัพหลวงอย่างไรเล่า  จงหุบปากหยุดพร่ามเสียพระศุกร์ขืนท่านยังพูดมากข้าจะจับตัวท่านไปให้พระผู้สร้างตัดสินโทษแล้วลงทัณฑ์เทวาแทน !!!”

“ข้าไม่ยอมหรอก...” พระศุกร์ก็ยังคงเป็นพระศุกร์ผู้ไม่มีทางยอมแพ้อะไรง่ายๆ

พระพฤหัสบดีไม่พูดพร่ามอะไรต่อเพียงปล่อยเชือกสีเพลิงอีกเส้นเข้ารัดพันธนาการกายพระศุกร์ไม่ให้ขยับเยื้อน พระศุกร์พยายามเร่งพลังในกายหมายจะให้เชือกมารนี้ขาดวิ่นแต่ก็หาทำอะไรให้เชือกสีเพลิงขาดไม่....

“ไร้ประโยชน์...” พระพฤหัสบดีกล่าวกับพระศุกร์ที่ยังคงพยายามทั้งที่รู้ว่าเสียเวลาเปล่า

“ถึงอย่างไรก็ก็จะไม่ยอมแพ้ท่าน...อ๊าก....”  เสียงร้องก้องดังสนั่น เทพกายสีฟ้าเร่งพลังจนถึงขีดสุดแต่ก็หาทำอะไรได้ไม่  ครั้นจะใช้วิชาหมอกพิษก็หาทำได้ไม่

“เราไปจากที่นี้กันได้แล้ว  พระศุกร์...“  พระพฤหัสบดีกล่าวจบ ก็เกิดแผ่นดินไหวไปทั่ว พระศุกร์อยู่ในท่าทีที่ตกใจเพราะไม่รู้ว่าพระพฤหัสบดีจะมีลูกเล่นอะไรอีก แต่แล้วแผ่นดินที่พระศุกร์ยืนอยู่นั้นก็ยกตัวสูงกัน  เมื่อก้อนดินและหินร่วงหลนลงไปหมดแลปรากฏกระดานชนวนขนาดใหญ่ขึ้น ดั่งแม่เหล็กที่ทรงอานุภาพทรงดึงดูดอย่างมหาศาล  พระศุกร์จำต้องนั่งลงให้กายนั้นแนบชิดกับผืนกระดาน

“อ๊าก...หยุดเดี๋ยวนี้พระพฤหัสบดี...!!!” 

พระพฤหัสบดีไม่ฟังความอันใดอีก แล้วกระดานนั้นก็ย่อขนาดลงเหลือเล็กเพียงเท่าฝ่ามือลอยเด่นเหนืออยู่บนฝ่ามือของพระพฤหัสบดี

“ตอนนี้ก็อยู่ในนี้ไปก่อนนะ...เอาไว้ท่านสำนึกเมื่อไหร่...ข้าจะปล่อยท่าน...พระศุกร์...”



























.................................

มาแล้วเน้อ...มาแล้ว

ท่านยุ่งมาแล้วพร้อมสงคราม...อาจจะไม่สนุกเน้อเพราะไม่มีอะไรตื่นเต้นเลย

แต่ท่านยุ่งประทับใจแล้วภูมิใจนะเพราะเป็นครั้งแรกที่คิดพล็อตสงครามร่างว่าเออจะเอาอะไรยังไงดีก็ได้ปรึกษากับรุ่นพี่และสุดท้ายก็ออกมาอย่างนี้แหละ

//ป๋ากนธีไม่มาแต่นางส่งคนของนางมาซ้อนแผน ป๋าน่ารักที่สุด

//อย่าคิดจิ้นคู่เพิ่มนะ 55555

//เอาใจช่วยท่านพี่นภนต์ของน้องลันด้วย โดนฟาดกลางหลังขนาดนั้น ToT

//กลอนเปิดตอน...ท่านยุ่งแต่งเองใช้สกิลทางภาษาอันน้อยนิดของตน 555555 อย่าปารองเท้า

//คิดถึงทุกคนนะ

.....สุดท้ายนี้ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน มาเม้น บางคนชื่นชมบ่นผ่านในทวิต มีรีวิวให้ด้วย(ท่านยุ่งเขิน) ขอบคุณกำลังใจ ขอโทษที่ให้รอและบังคับให้ติดตามกันต่อนะคะ 5555 *โดนคนอ่านรุมเผากระท่อม ตบตี กระทืบ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.21 P.8 (14/08/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 14-08-2017 08:06:08
ติดถึงท่านชลันธรมากเลยยยย :mew1:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.21 P.8 (14/08/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 14-08-2017 09:24:37
กนธีช่างเจ้าเล่ห์นัก
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.21 P.8 (14/08/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 14-08-2017 20:49:16
ติดถึงท่านชลันธรมากเลยยยย :mew1:



คิดถึงคนอ่านเหมือนกันค่า
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.21 P.8 (14/08/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 14-08-2017 20:50:02
กนธีช่างเจ้าเล่ห์นัก



แผนซ้อนแผนกันเลยทีเดียว
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.21 P.8 (14/08/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 14-08-2017 22:37:43
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.21 P.8 (14/08/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: sosi ที่ 14-08-2017 23:43:54
 :pig4: 
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.21 P.8 (14/08/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 15-08-2017 00:11:45
รอตอนต่อไป~
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.21 P.8 (14/08/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 15-08-2017 07:54:37
กนธีเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ารำคาญ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.21 P.8 (14/08/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 15-08-2017 19:48:32
 :call:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.21 P.8 (14/08/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 15-08-2017 20:29:22
เกลียดอิท่านกนธีจริงๆ
ตอนนี้ใช้ตัวละครเปลืองมากก จ่ายค่าตัวกันเยอะน่าดู 55
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.21 P.8 (14/08/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 15-08-2017 20:41:38
สนุกค่ะ ชอบบบบ

รอติดตามนะค้าาา
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.22 P.8 (16/08/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 16-08-2017 16:03:54
สาปรัก…ทัณฑ์เทวา

Writer: Tan-Yung 0209

File : 22















‘ความแค้น’ เป็นสิ่งที่น่ากลัวเพราะมันสามารถนำพาสิ่งชั่วร้ายหลายร้อยรูปแบบมาให้เหยื่อได้รับความทรมานไม่ว่าจะกายก็ดีหรือว่าใจก็ดี ยิ่งสะสมความแค้น ความไม่พอใจมากเท่าใด เมื่อถึงเวลาที่ต้องปลดปล่อย…ความน่ากลัวก็ยิ่งมีอานุภาพทำลายเป็นทวีคูณ

ดั่งเทพกายสีชมพูที่มีความแค้นเคืองต่อทินกรวงศาเป็นทุนเดิมอยู่แล้วในอดีตชาติ  ครั้งนั้นพระพฤหัสบดีเกิดเป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ พระอาทิตย์เกิดเป็นมาณพผู้เป็นศิษย์ ต่อมาพระพฤหัสบดีได้ยกนางจันทร์ให้เป็นภรรยาแก่พระอาทิตย์  เทพทินกรนั้นรักใคร่และหวงแหนนางจันทร์เป็นหนักหนา จึงเอานางใส่ตลับทองคำเก็บไว้ในเวลาเข้าป่าหาผลไม้ทิพย์มาให้แก่นาง

ด้านพระอังคารเดิมเกิดเป็นพิทยาธรและมีใจให้แก่นางจันทร์อยู่ก่อนหน้านี้ รู้ทั้งรู้ว่าพระพฤหัสบดียกบุตรสาวให้แก่พระอาทิตย์แล้วแต่ก็ยังแอบเข้าไปลักลอบเล่นชู้กับนางจันทร์ในตลับนั้น พระพฤหัสบดีรู้เห็นเหตุการณ์โดยตลอด จึงทำเป็นปริศนาไว้รอท่าพระอาทิตย์ยามกลับจากหาผลไม้ทิพย์เพื่อบอกเหตุการณ์ ครั้นพระอาทิตย์กลับเข้ามาใน ตรงไปยังตลับที่เก็บนางจันทร์ไว้  แต่กลับสงสัยเพราะเดิมเคยมีตลับตั้งไว้เพียงหนึ่งเท่านั้น แต่ไยกลับมีถึงสอง พระอาทิตย์ก็เกิดความสงสัยจึงถามพระอาจารย์ไปตามได้เห็นผิดสังเกต พระพฤหัสบดีจึงแจ้งว่า... ‘ถ้าใคร่อยากรู้ก็ให้เปิดตลับดู’... เมื่อพระอาทิตย์เปิดตลับดูจึงได้พบว่าในตลับนั้นมีพระอังคารกำลังเล่นชู้พลอดรักด้วยนางจันทร์อยู่  ด้วยความโกรธกริ้วจึงเกิดการสู้รบกันจนเสียต่างฝ่ายได้รับบาดเจ็บสาหัสและเกิดความบาดหมางกันตั้งแต่นั้นมา

ประวัติศาสตร์ได้ซ้ำรอยอีกครั้งในชาตินี้ พระอังคารได้เป็นชู้กับนางสนมขององค์สุริยเทพจนเกิดการสู้รบกันอีกครา จนตนถูกเทพองค์อื่นกล่าวโทษและเมินเฉยจนแทบจะไม่มีหน้าเข้าสู่สภาเทวา

ดูเหมือนว่าโชคชะตานั้นช่างเล่นตลกกับพระอังคาร…ตาชั่งแห่งความยุติธรรมไม่มีจริง จากที่กนธีได้กล่าวว่าสุริยบุตรนามรพีพงศ์นี้ประพฤติตนชั่วช้า แย่งสนมของเทพมหาสมุทร แต่เหตุไฉนเลยกลับไร้การลงทัณฑ์ คราตนทำเลวนั้นกลับถูกเหล่าเทพยดากล่าวรุมประนาม ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นในโชคชะตา เมื่อเป็นเช่นนี้พระอังคารจึงคิดจะลงทัณฑ์รพีพงศ์ด้วยตนเอง จนเข้าสู่บทการต่อสู่ระหว่างเทพพระอังคารและรพีพงศ์

พระอังคารปล่อยตัวนาคินทร์จากอ้อมกอดแต่มิได้ให้อิสรภาพแต่อย่างใด กลับใช้หัตถาดันร่างบางที่ดิ้นขัดขืน ปากก็ร่ำร้องตะโกนหารพีพงศ์ช่วยให้แนบชิดติดต้นไม้ใหญ่แล้วร่ายคาถาให้เถาวัลย์ตรึงร่างของนาคินทร์ไว้ แม้นจะสงสัยที่นาคินทร์นั้นดูจะไม่กลัวรพีพงศ์ทั้งที่ถูกจับตัวมาแม้แต่น้อย แต่ด้วยอคติที่มีต่อเหล่าสุริยเทพจึงเชื่อมั่นว่ารพีพงศ์นั้นกระทำตัวเลวทราม พระอังคารเลยเก็บคำถามเอาไว้ในซอกหลืบของจิตใจ เพราะเพลานี้สิ่งที่ต้องทำคือเล่นงานรพีพงศ์บุตรของคู่ปรับเก่าให้หลาบจำย้ำแค้น

หอกแก้วปรากฏขึ้นในมือของพระอังคาร ดวงตาคมจ้องมองรพีพงศ์ที่จับพระขรรค์เตรียมสู้กับตนไว้เช่นกัน…‘แม้นเจ้าจะฝีมือไม่ได้เป็นเลิศเท่ากับข้า ข้าก็มิจะออมมือให้ดอก อย่างน้อยข้าขอฝากรอยแผลให้บิดาเจ้านั้นได้เห็น’…

“ย๊า!!!!” รพีพงศ์เป็นฝ่ายเริ่มก่อน ร่างสูงวิ่งเข้าหาบนแผ่นศิลาใหญ่ที่เคลือบไปด้วยสายชลไหลผ่านจนวารีกระเซ็นไปทั่ว รพีพงศ์ไม่คิดเกรงกลัวเทพสงครามถึงจะรู้ดีว่าการต่อสู้ซึ่งหน้านี้ตนจะมีสิทธิ์เพลี่ยงพล้ำให้กับเทวะผู้มากประสบการณ์ ทางพระอังคารเองก็ตั้งรับไม่คิดจะอ่อนข้อดั่งที่ได้คิดเอาไว้ ด้วยถือว่าจะกำราบต้องกำราบตั้งแต่ตอนนี้เพื่อที่จักได้ไม่เป็นเสี้ยนหนามในภายภาคหน้า

‘ฟึบ’ คมของพระขรรค์ที่จะสร้างรอยแผลให้กายชมพูเกิดต้องแหวกอากาศไปอย่างหน้าเสียดาย ด้วยพระอังคารนั้นสามารถหลบหลีกได้ทันท่วงที

“เห็นทีข้าจะต้องสอนการใช้พระขรรค์ให้กับเจ้าเสียแล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า” พระอังคารกำสรวลสนั่นลั่น เพลานี้ตนรู้สึกสนุกกับการได้เหย้าแหย่ราชสีห์น้อยให้เกิดโทสะ การได้กลับมาถือหอกถือดาบอีกครั้งทำให้พระอังคารรู้สึกดีมิใช่น้อย

‘เคร้ง!!’

‘ท่านรพีพงศ์!!!’

นาคินทร์ร้องออกมา ดวงใจกระตุกแรง ภาพเมื่อครู่แทบทำให้นาคินทร์หยุดหายใจ เมื่อพระอังคารพุ่งหอกไปหมายจะแทงสายเลือดรวีวงศ์ โชคดีที่สามารถป้องกันได้ทัน รพีพงศ์ใช้พระขรรค์ตั้งรับคมหอกจนเกิดเสียงดั่งสนั่น ไม่เพียงเท่านั้นยังออกแรงดันปลายหอกให้พ้นไปรวมถึงตัวพระอังคารด้วย รพีพงศ์จึงใช้ขาเตะไปที่พระกฤษฎี (สะเอว) จนพระอังคารเซถลาไปด้านหลังเล็กน้อย

“ฮึ! เก่งเหมือนกันนี่...แต่เจ้าไม่มีทางชนะข้าได้ดอกเพราะนับจากนี้เป็นต้นไป...ข้าจักเอาจริงแล้ว” เทพสงครามเอ่ยก่อนจะพุ่งหอกไปที่เป้าหมาย รพีพงศ์หลบทันแต่กลับเสียหลักล้มลงเพราะพื้นหินที่เหยียบนั้นมีตะไคร่น้ำมากมาย

“เป็นอันใดไปเล่า...ไยเจ้าถึงหลบหนี หอกข้านั้นเจ้าสามารถทำลายได้ด้วยอัคคีเวทย์ของเจ้า...แต่ที่เจ้าไม่ทำก็เพราะ…เจ้าไม่สามารถกระทำได้” พระอังคารรู้จุดอ่อนของรพีพงศ์ดีจึงเอ่ยเย้ยหยัน ผู้ถูกกล่าวถึงทำได้เพียงกำหมัดแน่น พระอังคารพูดถูกรพีพงศ์เมื่อต้องวารีกำลังก็จะลดลงจนมิอาจเค้นเพลิงเวทย์มาสู้กับพระอังคารได้

…‘เจ็บใจยิ่งนัก หากข้าอ่อนแอเยี่ยงนี้จักปกป้องนาคินทร์ได้เยี่ยงไร’…รพีพงศ์เพียงได้แต่รำพึงกับตนเอง

“ข้าเวทนาเจ้ายิ่งนัก ให้ข้าเดายามนี้...เจ้าก็คงเจ็บใจมิใช่น้อย ที่มิอาจสู้ข้าได้ใช่หรือไม่... ถ้าเป็นเยี่ยงนั้นข้าจะช่วยเจ้าให้หายเจ็บใจด้วยการ...ทำให้เจ็บกายแทนด้วย...ท่าไม้ตายของข้า...” แสงสีชมพูสว่างขึ้นคล้ายลูกไฟขนาดใหญ่กำลังหมุนในฝ่ามือจากนั้นถูกส่งไปยังรพีพงศ์ เทพบุตรรูปงามรีบกลิ้งหลบหนีให้พ้นทาง ลูกไฟสีชมพูเมื่อครู่กลายเป็นมหิงสาขนาดมหึมาซึ่งเป็นสัตว์พาหนะของพระอังคารเอง

“หงชาด!!! จงจัดการเลือดเนื้อเชื้อไขแห่งสุริยเทพเสียบัดเดี๋ยวนี้ !!!” กระบือยักษ์กายสีชาดวิ่งโรมรันเข้าขวิดไล่รพีพงศ์ที่อ่อนแรง  เทพหนุ่มกลิ้งกายหลบหลีกซ้ายขวา พระขรรค์ฟันเข้าหนังหยาบก็หาได้ระคายกระบือเทพตัวนี้ไม่ พระขรรค์กลับกระเด็นหลุดออกจากมือไปอีก เทพหนุ่มเหลือเพียงมือเปล่าเพียงยันประลองกำลังด้วยคู่เขากระบือ

เสมือนเอาไม้ซี่มางัดท่อนซุง...เทพที่อ่อนแรงหรือจะสู้กระบือหงชาดได้  ร่างเทพหนุ่มลอยละลิ่วในอากาศด้วยแรงเหวี่ยงกระบือสะบัดหัว แต่รพีพงศ์ก็สามารถกลับกายย่อลงพื้นได้อย่างปลอดภัย แต่กระบือร้ายก็หาได้ให้รพีพงศ์ตั้งตัวพักเหนื่อยวิ่งเข้าไล่ขวิดอย่างต่อเนื่อง

“พอสักที!!!!...ฮึก หยุดทำท่านรพีพงศ์ ได้แล้ว หยุด!!!!” นาคินทร์ร้องออกมาแทบขาดใจ ในดวงตาทั้งสองสะท้อนเงาของร่างสูงที่กลิ้งหลบจนคมหินนั้นบาดไปทั่วกาย ไหนจักมีรอยถลอกจนฟกช้ำ … ‘ท่านรพีพงศ์...ท่านไม่ควรจักเดือดร้อนเพราะข้าเลย…ข้ามันช่างไร้ประโยชน์ไร้ค่าเสียจริงที่มิอาจช่วยเหลืออันใดท่านได้’…

“เจ้าหนีไม่พ้นแล้วรพีพงศ์” พระอังคารเอ่ยออกมา มุมปากกระตุกยิ้มที่ได้เห็นกระบือตัวใหญ่ไล่ขวิด รพีพงศ์เองก็รู้ว่าสู้แรงไม่ได้ ตอนนี้ก็ทำได้เพียงหลบหลีกเท่านั้น

‘อั่ก!!’

สี่เท้ายังรู้พลาด…นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง รพีพงศ์เริ่มหมดแรงทำให้ปฏิกิริยาของร่างกายช้าลงจนพลาดถูกเขาของหงชาดกระแทกเข้าสีข้างจนร่างสูงกระเด็นและล้มลงนอนไถลจนเกือบตกลงจากผาน้ำตก

“ไม่!!!!!...ท่านรพีพงศ์!!!” นาคินทร์ร้องออกมาสุดเสียง หัวใจนั้นแทบหยุดเต้น เมื่อเห็นว่าโลหิตไหลออกมาจากปากของรพีพงศ์

“นี่คงเป็นวาระสุดท้ายของเจ้าเสียแล้ว...รพีพงศ์” พระอังคารเอ่ยแล้วหันไปพยักหน้ากับมหิงสาพาหนะเป็นสัญญาณให้ลงมืออีกครั้ง…เป็นครั้งสุดท้าย

‘เปรี้ยง!!!...เปรี้ยง!!!’

เกิดเสียงอสุนีบาตดังกึกก้องอย่างมิมีใครคาดคิด สายฟ้าฟาดลงมาที่นาคินทร์และตรงเขามหิงสาหักกระเด็นปักลงพื้นศิลา ร่างกระบือยักษ์กระเด็นไปกระแทกกับโขดหินใหญ่จนสลบเหมือด ผิดกับนาคินทร์ที่กลับไม่เป็นอะไรแม้แต่น้อยทั้งยังหลุดจากพันธนาการเถาวัลย์ไม้อาคมอีกด้วย กระนั้นก็มิใช่เวลาที่จะมาดีใจ นาคน้อยรีบพาตัวเองไปหารพีพงศ์ที่กำลังจะตกหน้าผาด้วยแรงสะเทือนจากอัสนี โชคดีที่รพีพงศ์จับก้อนหินเอาไว้

“ท่านรพีพงศ์ยึดหินไว้ให้มั่น ข้ามาช่วยท่านแล้ว” นาคินทร์ลุยน้ำตรงเข้าพระอังคารก็ยืนขวางไว้

‘เปรี้ยง!!!’ คราวนี้สายฟ้าฟาดตรงหน้าพระอังคาร ทำให้ไม่สามารถจับตัวนาคินทร์ไว้ได้ ขณะเดียวกันรพีพงศ์ก็พลัดตกลงไป

“ท่านรพีพงศ์!!!...ท่านรพีพงศ์!!!” นาคินทร์ร้องเรียกหา ขาทั้งสองก็เร่งก้าวไปยังผาน้ำตก

“ใครบังอาจปล่อยสายฟ้าลงมา!!!!” พระอังคารพิโรธยิ่งนักที่ถูกขัดขวาง สายฟ้าที่ฟาดลงมาเมื่อครู่ เพราะรู้ว่าหาใช่สายฟ้าที่เกิดจากธรรมชาติไม่ สายฟ้านี้เกิดขึ้นจากมนตรา…

พลันเมฆาสีควันไฟที่ล่องลอยได้รวมกลุ่มกันสร้างอัสนีบาตร ก็เข้มขึ้นเหมือนกลุ่มเฆมพายุฝนขนาดใหญ่  แล้วปรากฏหางพญานาคขึ้นมา เมื่อพระอังคารไล่สายตาขึ้นไปกลับไม่พบว่าเจ้าของหางนั้นไม่ได้เป็นนาคแต่กลับเป็นอสุราเขี้ยวงอหน้าตาดุดันชวนให้น่าเกรงขาม  ด้วยฉวีสีนิลออกไปทางทองแดง ทรงกายด้วยทรงเครื่องประดับทอง ยักษ์ผู้มีท่อนล่างเป็นนาคมีเพียงตนเดียวมิใช่ใครอื่น…

“พระราหู!!” พระอังคารรวมถึงนาคินทร์ตกตะลึง ก่อนที่นาคน้อยจะตั้งสติว่าเพลานี้ สิ่งที่ตนต้องทำคือช่วยบุรุษที่ตกลงไปเบื้องล่าง หัตถาพนมขึ้น ริมฝีปากขยับร่ายคาถาให้กายาคืนร่างเป็นนาคดั่งเก่าแล้วจึงกระโจนลงไปยังหน้าผาน้ำตกตามหารพีพงศ์

‘ตูม!!!’ เสียงกระโจนลงน้ำของนาคินทร์ช่วยเรียกสติพระอังคารให้หลุดพ้นจากภวังค์รวมถึงรับรู้ว่าตนไม่สามารถชิงตัวนาคินทร์จากรพีพงศ์ได้…‘อีกนิดเดียวก็จะสำเร็จแล้ว’…

“พระราหู!!! เหตุใดท่านจึงมาขัดขวางข้า แถมยังมาทำร้ายหงชาดด้วย” สุรเสียงก้องกังวาลแฝงไปด้วยความไม่พอใจถูกส่งไปหาผู้อยู่เบื้องบน

“อย่าได้เรียกว่าขัดขวางเลย... เรียกว่าข้ามาช่วยท่านมิให้ก่อกรรมทำเข็ญมากกว่า...” พระราหูเอ่ยเสียงเรียบไม่กริ่งเกรงเทพสงครามที่พร้อมจะฟาดฟันตนทุกเมื่อ

“ฮึ! ข้าว่าท่านมิต้องการให้ข้าทำดีเสียมากกว่า ข้านี้มาทวงคืนสนมให้พระสมุทรกนธี ข้ามิได้จะชิงเจ้านาคนั่นมาเป็นเมียตนเอง ท่านจะกล่าวหาว่าข้าก่อกรรมคงมิได้”

“อย่างนั้นหรือ…อีกอย่างแล้วท่านเห็นนาคตนนั้นยินดีที่แยกจากรพีพงศ์หรือไม่เล่า” พระราหูเอ่ยเพื่อต้องการให้พระอังคารคิดไตร่ตรองจากสิ่งที่ได้เห็น

“ไม่รู้ล่ะ!! ข้ารู้ว่าข้าต้องนำนาคินทร์กลับคืนสู่พระสมุทรกนธีให้ได้...ท่านอย่ามาขวางทางข้าไม่อย่างนั้นข้าจะไม่ไว้หน้าท่าน...” พระอังคารยังคงยืนยันที่จะนำตัวนาคินทร์ไป ด้วยทิฐิที่เชื่อมั่นว่าตัวเองถูกเสมอจึงไม่ยอมรับความจริงว่าตนนั้นทำผิดไปเสียแล้ว

“เยี่ยงนั้นข้าก็ขอล่วงเกินท่านขัดขวางท่านมิให้ทำการสำเร็จ” พระราหูรู้ดีว่าพระอังคารคิดการเช่นไรอยู่ ในเมื่อยังดื้อแพ่งเยี่ยงนี้ตนก็จะขัดขวางเสียจนกว่ายินยอมล่าถอย

ต่างฝ่ายต่างมีจุดประสงค์ที่จะต้องทำ คนหนึ่งต้องการช่วงชิงส่วนอีกคนต้องการขัดขวางการต่อสู้ของสองเทวาผู้ยิ่งใหญ่แห่งนพเคราะห์จึงอุบัติขึ้น พระอังคารร่ายมนตราจนก่อเกิดแสงภาสุระเจือชมพูหมุนวนเป็นวงกลมที่ขยายใหญ่ขึ้นทุกขณะ

พระราหูเองไม่คิดจะนิ่งเฉยตกเป็นเป้าให้พระอังคารเล่นงาน เมื่ออีกฝ่ายเป็นผู้เจนจัดในสงคราม เทพอสุราจำต้องสู้เต็มกำลังจึงได้ร่ายคาถา สร้างม่านมนตราสีมอครามเป็นโล่สกัดกั้นฤทธิ์ของพระอังคาร  ครั้นพลังทำลายของผู้ทรงฤทธิ์ทั้งสองกระทบกันความรู้สึกถึงแรงปะทะอันหนักหน่วงก็ชวนให้หมดแรงเสียแต่ทั้งสองรู้ดีว่าจักต้องอดทนให้มากที่สุด แต่ทุกสิ่งย่อมมีขีดจำกัด

“อ้าก!!!...” พระอังคารร้องลั่นพร้อมกระเด็นไปด้านหลัง เนื่องด้วยเสียแรงไปกับการต่อสู้กับรพีพงศ์จึงมิอาจต้านพระราหูไว้ได้ส่งผลให้พลังที่หมายทำร้ายพระราหูสะท้อนกลับมาที่ตน

‘ครืน…’

เทพยักษ์ครึ่งนาคนามราหูใช้โอกาสที่พระอังคารพลาดท่าเสียทีท่องคาถาเรียกฝน... ท้องนภารวมถึงเมฆาก็แปรเปลี่ยนเป็นสีดำทมิฬ ไม่นานหยาดพิรุณโรยโปรยปรายใส่พระอังคารจนดวงตาทั้งสองข้างมิอาจมองเห็นอันใดเนื่องด้วยทัศนียภาพถูกบดบังจากสายฝนกระหน่ำหนัก

“คิดว่าฝนกระจอกๆ ของท่านแค่นี้จะทำอันใดข้าได้อย่างนั้นหรือ...” พระอังคารลุกขึ้นมาอย่างทุลักทุเล อีกทั้งยังคงอวดดีแม้ว่าจะมองพระราหูไม่เห็น เทพสงครามเรียกหอกแก้วขึ้นมาอีกครั้งเตรียมสู้รบ…‘ไม่มีทางที่ข้าจะแพ้ท่าน…พระราหู’...

“ข้าก็ไม่คิดว่าฝนของข้าจะทำอันใดเทพสงครามอย่างท่านได้ดอก จะสู้กับท่านทั้งทีข้าเองก็จะสู้อย่างเต็มที่เหมือนกัน...” พระราหูเอ่ย มือทั้งสองยกขึ้นมาพนมไว้กลางอุราแล้วตั้งจิตใช้วิชาภูตนาคาในตำนานแห่งศาสตร์มืด ว่าด้วยการเรียกวิญญาณนาคร้ายจากคาบสมุทรทั้งเจ็ดเข้าโจมตีศัตรู หัตถาข้างหนึ่งหงายขึ้นมาปรากฏวิญญาณภูตนาคทั้งเจ็ดออกมาพร้อมกับเสียงโหยหวนชวนขนลุก เขย่าขวัญและโสตประสาทการได้ยิน แล้วพุ่งเข้าจู่โจมลงไปสู้กับพระอังคารที่อยู่เบื้องล่าง

“ฮึ..” พระอังคารยิ้มเยาะ  ถึงแม้จะเคยได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างถึงความร้ายกาจของวิชานี้ แต่ไม่หวั่นเกรงภูตนาคทั้งเจ็ดแม้แต่น้อย ด้วยตนนั้นสังหารนาคมาแล้วนับไม่ถ้วนจึงพุ่งหอกออกไปโดยไม่หวั่นเกรง แต่หอกแก้วนั้นกลับทะลุผ่านไป เหล่าภูตนาคก็พุ่งตรงเข้ามาชนทะลุผ่านกายพระอังคารเช่นกัน  ถึงแม้จะทะลุผ่านแต่ก็เหมือนโดนคมดาบทั้งเจ็ดเสียดแทงผ่านกายเข้าไปยังจุดสำคัญทั้งเจ็ดจุด

“อ้าก!!” พระอังคารร้องออกมา นึกเจ็บใจที่ตนลืมไปเสียว่านาคเหล่านี้เป็นวิญญาณหาใช่นาคที่มีเนื้อหนังมังสาไม่ ความเจ็บปวดราวร้าวที่พระอังคารไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อนเริ่มรู้สึกจนแทบจะทนไม่ไหว 

ภูตนาคไม่หยุดเพียงแค่พุ่งผ่านร่างเท่านั้น  ต่างเข้าเลื้อยรัดพันกายพระอังคาร นาคบางตนขดตัวพ่นพิษและไฟกรด ทำเอาพระอังคารแสบร้อนไปทั่ววรกาย บางตนกัดฝังคมเขี้ยวลงเนื้อหนังพระอังคารให้เจ็บปวดอย่างต่อเนื่อง  ส่วนอีกตนเข้าไปสร้างฝันร้ายทำลายสติ

“พระอังคารถ้าท่านยอมแพ้และไม่ตามรังควานรพีพงศ์รวมถึงนาคาตนนั้น ข้าก็จะให้ภูตนาคปล่อยท่านเสีย” พระราหูยื่นข้อเสนอครั้งสุดท้าย แม้รู้จักนิสัยพระอังคารดีว่าจะได้รับคำตอบคือ…

“ไม่!!!!” เป็นไปตามที่พระราหูคิดไม่ผิดเพี้ยน

“ถ้าเช่นนั้นข้าขอให้ท่านนอนคิดทบทวนดูใหม่สักรอบ”   “อีกรอบก็ไม่...”

แสงวูบวาบจากด้านหลังทำให้พระอังคารที่สติสัมผัสยังไม่ครบเพราะถูกภูตนาคก่อกวน ก็ช้าไปแล้วที่จะหันไปพบกับกระบองแก้วอาวุธประจำกายของพระราหู เมื่อไม่เปลี่ยนใจเปลี่ยนคำตอบ กระบองรัตนาฟาดลงเข้าอย่างเต็มแรงจนเทวากายสีชมพูล้มลงไปนอนสลบอยู่กับพื้น พระราหูจ้องมองร่างไร้สติของพระอังคารก็เกิดความรู้สึกสังเวทใจ ด้วยพระราหูมิได้มีเจตนาจะทำร้ายพระอังคารตั้งแต่ทีแรก จึงจำต้องเร่งที่จะจบการต่อสู้โดยเร็วที่สุด...

 ‘ทั้งที่มีโอกาสกลับตัวกลับใจแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดก็ไม่ยอมทำ ท่านคงกลัวเสียหน้ามากกว่ากลัวการกระทำผิดกระมัง’… คิดแล้วก็ทำได้เพียงส่ายพระพักตร์อย่างเบื่อหน่าย ยังดีที่ตนนั้นเข้ามาขัดขวางก่อนที่เรื่องราวจะบานปลายยิ่งกว่านี้ พระราหูภาวนามิให้รุกขเทวดาหรือใครหน้าไหนนำเรื่องที่พระอังคารทำร้ายรพีพงศ์ไปป่าวประกาศเป็นอันขาด หากเรื่องถึงองค์สุริยะเทพ ก็มิอยากจะคิดเลยว่าทั้งไตรภพจักต้องร้อนระอุยิ่งกว่าไฟในโลกันต์นรกเป็นแน่

‘ท่านรพีพงศ์…ฮือ…ท่านรพีพงศ์’

ภาพของนาคินทร์แวบเข้ามาในหัวพร้อมกับเสียงร้องที่ดังก้องในโสตประสาท ดวงตาหวานหยาดเยิ้มมีน้ำตาใสหลั่งรินไหลอาบแก้มปากก็พร่ำร้องหาสุริยบุตรอยู่มิไม่ขาดปาก  แววตาคู่นั้น รวมถึงเส้นผมดำขลับสวยทำให้พระราหูนึกถึงหญิงสาวที่ตนแอบรักมาโดยตลอด

“มุตตาข้าช่วยลูกของเจ้าได้เพียงเท่านี้”































.......................................

เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจรวมถึงเก็บไฟที่จะเผากระท่อมท่านยุ่ง เก็บมือเก็บเท้าที่จะตบ ตี ถีบ กระทืบ และสารพัดที่จะทำร้ายท่านยุ่งไว้ อิอิอิ

เอาใจช่วยนภนต์ที่ถูกฟันหลัง(สงสัยจะเลือดหมดตัวไปแล้ว) และเอาใจช่วยรพีพงศ์ให้จมน้ำ

และเอาใจช่วยป๋ากนธีนำตัวหลานรักและสนมคนงามมาสู่อ้อมอกอ้อมใจ 55555 ท่านยุ่งทีมป๋ากนธีนะคะ  อิอิอิ

//พระราหูมาทำไมยังไม่ใช่ฤดูร้อน(ท่านยุ่งติดเทพสามฤดู)

//พระอังคารปลอดภัยใช่ไหม

//นาคินทร์อย่าช่วยรพีพงศ์เลยว่ายน้ำหนีไปหาป๋ากนธีดีกว่า เป็นสนมดีกว่าเป็นเชลย (ยุยง)

//รพีพงศ์จมน้ำไปเลย ไอ้คนไม่รู้ใจตัวเอง

สุดท้ายนี้ขอบคุณที่เข้ามาอ่านมาเม้นเป็นกำลังใจนะคะ การได้อ่านเม้นแล้วโต้ตอบอย่างกวนๆ ไม่รู้คนอ่านจะไม่พอใจหรือเปล่า..แต่ท่านยุ่งจะกวนต่อไป 5555555
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.22 P.8 (16/08/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: kinjikung ที่ 16-08-2017 16:55:03
555+ ไม่เจ็บตัวไม่รู้ใจ พระอังคารนอกจากหูเบาแล้วยังดันทุรังอีกแหน่ะ
กนธีตกลงรักหลาน หวงก้างนาคินทร์ช่ายป่ะ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.22 P.8 (16/08/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 16-08-2017 19:38:27
รอตอนต่อไป :pig4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.22 P.8 (16/08/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 16-08-2017 20:19:15
+ เป็ดไว้ก่อนค่ะ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.22 P.8 (16/08/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: แม่น้องเปา ที่ 16-08-2017 21:53:20
สนุกมากค่ะ..เดี๋ยวมาอ่านต่อ +เป็ดคร๊าบ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.22 P.8 (16/08/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 16-08-2017 21:55:46
งงใจ ท่าน กนธี
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.22 P.8 (16/08/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 16-08-2017 23:21:56
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.22 P.8 (16/08/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 16-08-2017 23:50:59
รอตอนต่อไป~
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.22 P.8 (16/08/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 17-08-2017 02:29:03
นักแสดงสมทบมาอีกแล้วจ้าา
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.23 P.8 (28/08/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 28-08-2017 16:10:04


สาปรัก ทัณฑ์เทวา

Writer : Tan-Yung 0209

File : 23















หยดแล้วหยดเล่า…หยาดโลหิตสีทองไหลออกมาจากบาดแผลที่ยาวเป็นลายพาดกลอนบนแผ่นหลังไม่ต่างจากพยัคฆ์ บาดแผลที่เกิดจากความประมาทจนถูกพระขรรค์ฟาดฟันจนทิ้งรอยเจ็บเอาไว้กับนภนต์ หากความเจ็บของแผลกายนั้นไม่หนักเท่ากับแผลใจ ถึงกระนั้นนับว่านภนต์มีโชคอยู่บ้างที่พระพฤหัสบดีลงมาช่วยและจัดการพระศุกร์ไว้ได้

“อึก..”

“ท่านพี่!!!”

บนหลังพระโคศุภราชชลันธรพยายามโอบพยุงกายเทพนภนต์ที่หมดเรี่ยวแรงจนไม่สามารถประคองกายบนหลังพระโคได้ เทพหนุ่มทรุดตัวลงโชคดีที่ชลันธรคอยพยุงเอาไว้จึงไม่ล้มลงหน้าคะมำ

“ท่านพี่ไหวหรือไม่เล่า หากไม่ไหวอย่าฝืนเลย เราหยุดพักกันดีก่อนหรือไม่...” ชลันธรเอ่ยด้วยความเป็นห่วง ดวงตาเรียวสวยมีน้ำตาคลอ…‘เป็นเพราะข้า ท่านพี่ถึงได้บาดเจ็บเยี่ยงนี้’...

“เจ้าอย่าได้คิดโทษตัวเองเลยชลันธร พี่ยินดีที่ปกป้องเจ้าต่อให้ถึงตาย พี่จะไม่ให้เจ้าได้รับอันตรายหรือตกเป็นของผู้ใดเป็นอันขาด…” มีหรือจักไม่รู้ว่าคนรักคิดอันใดอยู่ เพียงได้สบตานภนต์นั้นก็รู้แล้วว่าชลันธรกำลังคิดมาก

“แต่…”

“ไม่มีแต่…เจ้าอย่าได้กังวลเลย พี่หาได้เป็นอันใดมาก ขอเพียงพี่ได้นั่งพักสักครู่ชั่วยาม ให้มีแรงก็เพียงพอแล้ว” นภนต์พูดขัดขึ้นมาทั้งสองจึงหยุดพัก ชลันธรพยุงกายหนาให้ลงจากหลังพระโคศุภราช  แล้วไปยังโขดหินย่อมๆ ที่อยู่ใต้พุ่มไม้พอจะบังร่มได้

“จริงสิ!! ท่านพี่…ท่านพี่เคยร่ายมนต์รักษาแผลข้า เหตุใดจึงไม่รักษาแผลท่านเล่า” ชลันธรนึกขึ้นได้จึงไต่ถาม เมื่อครั้นตนเจอนภนต์คราแรก ชลันธรนั้นได้รับบาดเจ็บนภนต์นั้นก็เป็นผู้รักษาแผลให้

“พี่มิสามารถทำได้ในเพลานี้ ด้วยพี่ไม่มีกำลังกายพอ ทั้งพระขรรค์ที่เป็นศาสตราวุธประจำกายพระศุกร์ยังกำกับพระเวทย์ไว้เสียด้วย หากจักรักษาต้องให้ผู้มีคาถาแกร่งกล้ามาช่วยไม่ก็ต้องรอให้กำลังพี่ฟื้นตัวเสียก่อน” นภนต์ตอบ

“แล้วเราจักให้ใครรักษาเล่า รพีพงศ์เองมีฤทธิ์เดชก็หายไปกับนาคินทร์เสียแล้ว หากรอท่านพี่ฟื้นกำลังข้ากลัวว่าโลหิตนี้จะไหลออกมาหมดตัวท่านพี่เสียก่อน... ทั้งหมดนี้เป็นเพราะข้าโดยแท้” ชลันธรเอ่ยเสียงเศร้า นึกเจ็บใจที่ตนเป็นมนุษย์ธรรมดา ไม่สามารถช่วยคนรักได้ทั้งยังเป็นตัวถ่วงเสียอีก

“ไยเจ้ากรรแสงกันเล่า พี่บอกแล้วว่าอย่ากังวล อย่าโทษตัวเอง” นภนต์ยกมือขึ้นมาเกลี่ยนน้ำตาที่ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัวของชลันธร

“เป็นเพราะข้า…ฮึก..ฮือ...” ความเสียใจนี้ชลันธรนั้นสุดกลั้น ท้ายที่สุดร่างบางก็มิอาจสร้างทำนบกั้นน้ำตาได้

“ถ้ารู้สึกผิดมาก็จงนำตักเจ้ามาเป็นหมอนให้พี่หนุนนอนเถิด” นภนต์เอ่ยแล้วเอนกายลงนอนหนุนตักกว้างของคนรัก

“ตักเจ้ายังอุ่นเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยชลันธร” นภนต์เอ่ยชมพร้อมส่งรอยยิ้มให้เจ้าของหมอนจำเป็น ชลันธรก้มลงจุมพิตหน้าผากของนภนต์ เมื่อผละออกก็พบว่าเทพแห่งท้องนภาสลบไปแล้ว

“ท่านพี่นภนต์!!!...ท่านพี่!!!”

‘ฟึบ!’

‘ฟิ้ว!’

ชลันธรที่กำลังเสียขวัญด้วยอาการที่ทรุดลงของนภนต์ก็ต้องตกใจ เมื่อลูกศรแล่นผ่านพักตรางามอย่างฉิวเฉียด ชลันธรหันมองไปรอบกายว่าใครกันที่ยิงศรมา…‘หรือว่าข้านี้จะหนีไม่พ้นเงื้อมมือมัจจุราช’…ชลันธรตกอยู่ในอาการผวา หวาดกลัวทั้งยังพะวงนักด้วยนภนต์ที่ไม่รู้สึกตัวว่าภัยกำลังคืบคลานเข้ามา

“พวกเจ้าเป็นใครบังอาจเข้ามารุกล้ำในเขตพลับพลาที่ประทับขององค์เทพีปัณฑารีย์ (ปัน-ดา-รี)”

เคราะห์ซ้ำกรรมซัด…อาจจะเป็นนิยามที่เหมาะในช่วงเวลานี้ของชลันธรและนภนต์ ทั้งที่ทุกสิ่งกำลังจะดีขึ้น ทั้งที่อีกไม่กี่ชั่วยามอาการของนภนต์จะดีขึ้น แต่ไฉนความโชคร้ายถึงได้ย่างกรายเข้ามา ไหนจะต้องพลัดพรากจากสหาย ไหนจะนภนต์ที่อ่อนพละกำลังเพราะบาดเจ็บ แล้วนี่ยังมีเหล่าทหารของเทพีปัณฑารีย์ซึ่งมิรู้ว่ามาดีหรือมาร้ายได้ยืนรายล้อมพร้อมถืออาวุธครบมือ

“เรานามว่าชลันธรและผู้ที่นอนหนุนตักข้าอยู่นี้คือเทพนภนต์ แม่ทัพแห่งสวรรค์ เราทั้งสองมิได้ตั้งใจจะรุกล้ำเข้ามาในเขตพลับพลาที่ประทับของเทพีปัณฑารีย์ ได้โปรดอย่าทำอันใดพวกเราเลย โปรดเห็นใจพวกเราด้วยเถิด...” ชลันธรเอ่ยด้วยความจริงเพราะตนเองไม่สามารถที่จะเข้าต่อกรกับทหารพวกนี้ได้ และบางทีหากเอ่ยชื่อนภนต์ออกไปเหล่าทหารที่ยำเกรงด้วยตำแหน่งแม่ทัพน่าจะเห็นใจชลันธรบ้าง  แต่เหล่าทหารต่างมองหน้ากันไม่รู้จะเชื่อในสิ่งที่ผู้บุกรุกเอ่ยออกมาดีหรือไม่ เพราะระดับเทพนภนต์ที่เป็นแม่ทัพแห่งสวรรค์จะมาบาดเจ็บอยู่ในป่ากันติทัตทั้งยังมานอนหนุนตักมนุษย์ผู้นี้ได้หรือ…

“เจ้ามนุษย์...เจ้าอย่ามาหลอกลวงพวกเราเลย...ท่านเทพนภนต์เก่งกาจขนาดไหนเป็นที่ประจักษ์ทั้งสามโลก...บุกรุกแล้วยังไม่พอ ซ้ำยังแอบอ้างนามท่านแม่ทัพสวรรค์อีก... พวกเจ้าไปจับผู้บุกรุกทั้งสองแล้วนำไปให้เทพีปัณฑารีย์สอบสวนบัดเดี๋ยวนี้...” นายกองทหารกล่าวสั่งลูกน้องตรงเจ้าจับกุมชลันธรและนภนต์ทั้งที่ยังบาดเจ็บ

“อ๊ากกกกกก...”  เสียงร้อยเพราะความเจ็บปวดของเหล่าทหารที่หมายตรงเข้าจับกุมทั้งสอง แต่ยังมิทันได้เข้าใกล้ ร่างก็กระเด็นลอยออกไปเสียก่อน

“ศุภราช...” ชลันธรเอ่ยชื่อพระโคของพระศุกร์ที่ยังคงติดตามชลันธรกับนภนต์มา โคขาวกายล่ำสันพุ่งเข้าขวางทาง ขวิดร่างเหล่าทหารของเทพีปัณฑารีย์กระเด็ดออกไปเสียก่อน  เหล่าทหารต่างมึนงงจนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีเพราะเข้าไปอีกอาจจะโดนขวิดกระเด็นตาย...หรือไม่ก็เพราะถูกกีบเท้าใหญ่นั้นเหยียบย้ำ  พระโคศุภราชกำลังคึกพิโรธมิต่างจากโคถึก แววตาดุดัน เท้าหน้าตะกุยดินพร้อมพุ่งชนเหล่าทหารที่หมายย่างกรายแตะต้องกายชลันธร เสียงลมหายใจเข้าออกนั้นดังแรง เป็นสัญญาณให้ผู้ที่หมายเข้ามานั้นรู้ว่ากำลังคึกเต็มที่...แต่เหล่าทหารหาญก็หาแกร่งกลัวไม่ยังคงตั้งท่าวงล้อมประจันหน้ากับพระโคศุภราชด้วยอาวุธครบมือแต่ก็ยังมิกล่าผลีผลามบุกเข้าไป...

“พวกเจ้าเก็บอาวุธบัดเดี๋ยวนี้!!!” เสียงหวานแฝงไปด้วยอำนาจดังก้องทำให้ผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาต่างรีบทำตามคำสั่งเพราะกลัวจะได้รับอาญา ดรุณีงามทรงเครื่องอาภรณ์สีกลีบบัวเยื้องย่างเข้ามาฝ่าวงล้อมทหาร ดวงเนตรงามดุจดั่งเนื้อทรายมองดูผู้ถูกล้อม สีหน้าที่ดูเรียบนี้นั้นบ่งบอกได้ถึงว่าเป็นผู้มีบุญญาบารมีมากล้น หากแต่สีหน้านั้นแปรเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนก คราแรกคิดว่ามีผู้แอบอ้างพอได้เห็นก็ตกใจไม่น้อยที่พบกับเจ้าของนามที่ตนนั้นคุ้นเคย...

“เทพนภนต์…” เทพีปัณฑารีย์เดินตรงเข้าไปโดยมิได้หวากกลัวพระโคศุภราชที่กำลังคึกหนัก เพียงฝ่ามือบางลูบสัมผัสอย่างบางเบาที่กลางกระหม่อมทุยของพระโคศุภราช โคขาวก็มีท่าทีที่สงบนิ่งอย่างรวดเร็ว เมื่อถึงจุดที่ชลันธรและเทพนภนต์อยู่  ปัณฑารีย์ก็ย่อกายนั่งลงมองใบหน้าหล่อเหลาโดยไม่สนใจชลันธรที่แอบไม่พอใจอยู่เนืองๆ ด้วยมิชอบใจที่เทพีสาวมองคนรักตนด้วยสายตาเยี่ยงนี้…ไม่ชอบเลยสักนิด

“…นี่มันเลือด!! เลือดมาจากไหนกันเปื้อนสไบข้าหมดแล้ว” เทพีปัณฑารีย์เอ่ยออกมา คนงามเอามือจับชายสไบสบัดคราบเลือด อดที่จะตกใจมิได้

‘มัวแต่มองท่านพี่นภนต์จนไม่สังเกตอันใดเลยสินะ’

“เทพีปัณฑารีย์ เราขออภัยแทนเทพนภนต์ด้วยที่เลือดของเทพนภนต์ได้เปรอะเปื้อนสไบของท่าน” ชลันธรเอ่ย

“เลือดของเทพนภนต์หรอกหรือ... ทหารยืนนิ่งอยู่ไยเล่ารีบเข้ามาช่วยข้าพยุงกายเทพนภนต์แล้วพากลับไปที่พลับพลาบัดเดี๋ยวนี้...” ปัณฑารีย์เทวีออกคำสั่งเหล่าทหารนายกองก็เข้ามาพยุงร่างเทพนภนต์ไปยังพลับพลาที่ประทับโดยที่ชลันธรเดินตามไม่ห่าง ใจก็อยากจะไปพยุงกายด้วยตัวเองแต่เหล่าทหารก็เบียดเสียดยากที่จะแทรกเข้าไปถึงกายนภนต์ได้ พระโคศุภราชที่ตามชลันธรมาด้วยจึงได้แต่ให้ศีรษะถูกแขนชลันธรเพื่อปลอบใจ...

“พวกท่านจะพาเทพนภนต์ไปทำอะไรกัน...” ชลันธรเอ่ยถามทหารนายหนึ่งที่อยู่ใกล้

“เจ้ามิต้องเป็นห่วงท่านเทพนภนต์ดอก...เทพีปัณฑารีย์เป็นเทพแห่งการรักษาเป็นธิดาของเทพโอสถ  เทพีท่านมีความเมตตาจะรักษาเทพนภนต์ให้หายเป็นปกติดังเดิม...”  ถึงคำตอบนั้นจะทำให้ชลันธรเบาใจได้เพียงครึ่งแต่ก็ไม่ไว้ใจหญิงงามนามปัณฑารีย์นี้เท่าใดนัก ก็ด้วยสายตาที่มองเทพนภนต์นั้นราวกับเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ...

เมื่อถึงพลับพลาที่ประทับ เทพีปัณฑารีย์จึงรับสั่งให้เหล่าทหารพานภนต์เข้าไปยังกระโจมพร้อมมิให้ใครเข้าไปด้านใน มิเว้นชลันธรที่ก็จำต้องรอนภนต์คนรักอยู่ด้านนอกเช่นกัน ท่ามกลางสายตาของทหารและธารกำนัลผู้ติดตามเทพีปัณฑารีย์ที่คอยจับจ้องไม่วางตาเนื่องด้วยไม่เคยได้พบพานมนุษย์รุกล้ำเข้ามาในป่ากันติทัตมาก่อน ชวนให้ชลันธรอึดอัดใจยิ่งนัก แต่ก็เบาใจที่พระโคศุภราชเคยเฝ้าอยู่มิห่างจากกายตน …‘หากเราไม่เห็นแก่ที่เทพีปัณฑารีย์สามารถช่วยท่านพี่นภนต์ได้ ข้าจะอาละวาดโวยวายเสียให้รู้แล้วรู้รอด’...ชลันธรหน้านิ่วคิ้วขมวดผิดจากอุปนิสัยที่เป็นคนใจเย็น หากบัดนี้กลับรู้สึกว่ากำลังว้าวุ่นใจบางอย่าง เหมือนกับว่าไม่เคยเป็นมาก่อน ยิ่งเห็นก็ยิ่งชวนหงุดหงิด ก็ด้วยของเทพีสาวที่ตั้งท่าทางนั้นเหมือนมิได้สงวนกายแฉกเช่นเทพี สตรีสวรรค์กลับเลือกที่จะใกล้ชิดนภนต์จนเกินงาม... ‘แบบนี้สินะ ที่พวกมนุยษ์เรียกว่า อ่อยเหยื่อ...’ 

ไม่นานนักพวกทหารก็ดึงม่านกั้นที่พลับพลาลงกลายเป็นกระโจมขนาดใหญ่ทำให้ชลันธรมิสามารถเห็นการรักษาของเทพีปัณฑารีย์ได้อีก ทำให้ชลันธรนั้นเริ่มอยู่ไม่สุข .... “นี่มันแกล้งกันชัด ๆ เทพีปัณฑารีย์...”



.

.

.



เวลาผ่านไปจนไม่หลงเหลือแสงรวีฉาบท้องฟ้า ค่ำแล้วเหตุใดเทพีปัณฑารีย์ยังไม่ออกมาแจ้งอาการของเทพนภนต์ คนที่รออยู่ข้างนอกอย่างชลันธรจึงได้แต่เดินไปมาหน้ากระโจมอย่างร้อนใจ สุดท้ายก็อดทนรอไม่ไหวบุกเข้าไปในกระโจมเสียเอง แต่เทพีปัณฑารีย์มิอนุญาตให้ผู้ใดเข้าไป จึงได้มีทหารคอยกันเฝ้าหน้ากระโจมอยู่ ชลันธรนึกหาทางเข้าไปจึงแสร้งเดินออกห่างจากกระโจมก่อนจะอ้อมไปด้านข้างซึ่งติดกับต้นไม้ใหญ่ อันเป็นมุมอับทำให้ชลันธรสามารถลอดเข้าไปในกระโจมโดยที่ทหารกล้ามิทันได้เห็น

ภายในกระโจมกว้างขวางผิดจากที่พบเห็นภายนอก การตกแต่งรวมถึงเครื่องเรือนนั้นไม่ต่างจากยกวิมานขนาดย่อมมาวางไว้ในกลางไพรีเช่นนี้ หากสิ่งเหล่านี้มิได้ทำให้ชลันธรสนใจเท่ากับอิศสตรีทีกำลังใช้นิ้วเรียวดุจลำเทียนลูบไล้ไปตามแผ่นหลังกว้างของนภนต์ซึ่งบัดนี้ไร้ซึ่งรอยแผล

“เทพีปัณฑารีย์ท่านกำลังทำอันใดหรือ” ชลันธรถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แม้ว่าอารมณ์นั้นเดือดดาลไม่พอใจกับการกระทำไร้กุลสตรีเยี่ยงนี้ของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นเทพีแห่งการรักษา

“นึกว่าใคร…มนุษย์น้อยนี่เอง เจ้าบังอาจมากที่รุกล้ำเข้ามาในกระโจมของข้า” ปัณฑารีย์เทวีเอ่ยออกมาด้วยความไม่พอใจที่ถูกขัดจังหวะจากการชื่นชมรูปกายของเทพนภา ร่างอรชรลุกจากบรรจถรณ์มานั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกลมากนัก

“เราขออภัยด้วย...ที่เราบังอาจรุกล้ำเข้ามาในกระโจมนี้ หากเรานั้นเป็นห่วง... ‘ภัสดา’...ของเราจึงใคร่มาดูอาการ…” ชลันธรบอกความจำนงและไม่ลืมเน้นเสียงคำบ่งบอกสถานะระหว่างตนกับนภนต์เทพีสาวได้รับรู้ ปัณฑารีย์เทวีได้ฟังก็ขบฟันแน่นนึกแค้นเคืองที่ชลันธรบังอาจเรียกนภนต์ว่าภัสดา

“เจ้าไม่ต้องห่วงอันใด…ข้านี้ได้รักษาท่านภนต์จนหายตั้งแต่มาถึงแล้ว เพียงแค่ตอนนี้ข้าหมายให้ท่านเทพนภนต์ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ก็เท่านั้น”

“แล้วเหตุใดท่านถึงไม่แจ้งแก่เรา ปล่อยให้เรายืนรอหน้ากระโจมเสียจนมืดค่ำ” ชลันธรไม่พอใจขึ้นมาเมื่อรู้ว่าตนเองโดนแกล้งเสียแล้ว

“พอดีข้าไม่คิดว่าเจ้านั้นสำคัญอันใด เป็นเพียงมนุษย์อย่าคิดสำคัญตัวผิด” ปัณฑารีย์ยิ้มเยาะชลันธร เทพีสาวคิดว่านี่สินะที่เขาเรียกว่าคางคกขึ้นวอ

“เราไม่สำคัญสำหรับท่าน หากเราสำคัญสำหรับเทพนภนต์” ชลันธรไม่คิดยอมแพ้เช่นกันในเมื่ออีกฝ่ายแรงมาเช่นนี้ทั้งยังเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคนรัก ชลันธรผู้แสนน่ารักก็เปลี่ยนเป็นยักษาได้ในทันที

“เจ้า!!!” เทพีปัณฑารีย์สะกดกลั้นอารมณ์ไม่ไหวจนลุกขึ้นยืน หัตถายกขึ้นมาเตรียมเข้าตบตีชลันธร

“จะตบหน้าเราหรือเทพีปัณฑารีย์...ก็เอาสิ” ชลันธรมิได้กลัวเกรงเทพีปัณฑารีย์แม้แต่น้อยซ้ำยังเดินเข้าหา

“เป็นบุรุษแต่พูดมาได้ว่าเทพนภนต์เป็นภัสดา...ถ้าเจ้าสำคัญกับเทพนภนท์ขนาดนั้นล่ะก็...ไหนบอกมาสิว่าเจ้าเป็นใคร...”  เทพีปัณฑารีย์เอ่ยถาม

“เรามีนามว่าชลันธร...อดีตพระสมุทรในร่างมนุษย์ และมีศักดิ์เป็นพระภาดาของพระผู้สร้างองค์ปัจจุบัน...” ชลันธรแจ้งความจริงแก่เทพีปัณฑารีย์

“เจ้ามนุษย์ธรรมดา ช่างน่าขันยิ่งนัก...เจ้าอย่ามาโกหก...ยกตนข่มข้าหน่อยเลย...อ้างว่าเป็นอดีตพระสมุทรในร่างมนุษย์ และยังอ้างว่ามีศักดิ์เป็นพระภาดาของพระผู้สร้างอีก บอกความจริงมาบัดเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นข้าจักตัดลิ้นเจ้าเสีย...”  เทพีปัณฑารีย์เดินพูดไปรอบกายชลันธร และคิดว่าชลันธรโกหกจึงพูดขู่ให้บอกความจริง

“เราก็แจ้งความจริงแก่ท่านไปแล้ว...หากว่าไม่เชื่อเห็นทีต้องจนใจ...แต่ที่ท่านจะทำร้ายเรานั้นถ้าท่านอยากลิ้มลองทัณฑ์เทวาของพระผู้สร้างก็มาลองกันดู เรามีเทวราชโองการคุ้มครองทั้งห้ามฆ่าห้ามทำร้าย...ท่านเคยได้ยินเรื่องที่พระเทวีภัควลัญชญ์ต้องทัณฑ์กักบริเวณที่สวนขวัญเจ็ดร้อยปีหรือไม่เล่า...”  ชลันธรเอ่ยถึงครั้งอดีต

“เคยแล้วทำไม...” เทพีปัณฑารีย์ตอบ เทวีคนงามนึกสงสัยว่าเหตุใดมนุษย์ผู้นี้ถึงได้รู้เรื่องทัณฑ์ของมหาเทวีในสวนขวัญ

“ก็ด้วยเพราะพระเทวีภัควลัญชญ์ลงโทษเรากับบุษยะจนเกินเหตุไงเล่า พระผู้สร้างและพระบิดาเราจึงกริ้วหนักทำให้พระเทวีภัควลัญชญ์ต้องทัณฑ์เทวา ซ้ำบริวารลงถูกสาปให้กลายเป็นชะนีไพรอีก...หากไม่อยากเผชิญชะตากรรมเดียวกันกับพระเทวีภัควลัญชญ์แล้วล่ะก็  ขออย่าได้ขวางทางเราให้เข้าดูแลเทพนภนต์เลย...”  ชลันธรกล่าวจบก็เดินเข้ามายังที่นภนต์นอนอยู่

“นี่เจ้า...” เทพีปัณฑารีย์ยังเข้าขวางทาง ทั้งสองประจันหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง

‘ชลันธร…ชลันธรของพี่อยู่ที่ไหน...’ เสียงเพ้อชองนภนต์เข้ามาขัดเสียก่อน ชลันธรพอได้ยินนภนต์เรียกชื่อตนก็ยกยิ้มที่มุมปากให้เทพีปัณฑารีย์อย่างผู้ชนะ  กายบางรีบเดินเข้าไปหานภนต์โดยเทพีปัณฑารีย์เองเดินตามตนไปเช่นกัน

“ท่านพี่…ข้าอยู่นี้แล้ว” ชลันธรกุมมือหนามาแนบแก้มขาวหวังว่านภนต์จะรับรู้ถึงไออุ่นของตน

“ชลันธร…อืม..ชลันธรน้องพี่” สัมผัสรักสื่อถึงเทพหนุ่มรูปงาม เผยให้ดวงเนตรคมที่ค่อยๆลืมตาขึ้นมา นภนต์รู้สึกดียิ่งนักที่ตื่นขึ้นมาเห็นใบหน้าคนรัก ก่อนจะสังเกตว่ายังมีเทพีรูปงามยืนยืนอยู่ใกล้ๆ

“เทพีปัณฑารีย์…” นภนต์เอ่ยน้ำเสียงงุนงงว่าเหตุใดจึงเจอเทพีแห่งการรักษาที่นี่

“ใช่…ข้าเองท่านนภนต์ ข้าดีใจอย่างยิ่งที่ได้พบเจอท่านอีกครั้ง” ปัณฑารีย์เทวีจีบปากจีบคอทักทายเทพที่ตนนั้นแอบรักเสียจนชลันธรนั้นไม่ชอบใจ

“แล้ว…”

“ท่านพี่คงสงสัยใช่หรือไม่ว่าเราสองอยู่ที่ใดและพบเทพีปัณฑารีย์ได้อย่างไร” ชลันธรเอ่ยเสียงหวานพลางพยุงนภนต์ให้นั่งพิงกายตนตาก็เหลือบมองปัณฑารีย์อย่างผู้มีชัย นภนต์พยักหน้าเป็นคำตอบ สร้างความอิจฉาให้กับปัณฑารีย์เป็นอย่างมาก

“ข้ามาเที่ยวเล่นในป่ากันติทัตแล้วบังเอิญเจอท่านนภนต์บาดเจ็บจึงได้พาท่านมารักษาที่พลับพลาที่ประทับของข้า” เทพีปัณฑารีย์ให้คำตอบ

“ข้าขอบน้ำใจท่านเป็นอย่างมากเทพีปัณฑารีย์ที่ช่วยรักษาข้าและดูแลชลันธรในระหว่างรอข้าฟื้นขึ้นมาด้วย” นภนต์กล่าวคำคุณ เทพีปัณฑารีย์ยิ้มรับ ผิดกับชลันธรที่นึกหมั่นไส้… ‘ดูแลเรา...ให้ยืนอยู่ข้างนอกตั้งนานสองนานนะสิ’...

“ไม่ต้องขอบน้ำใจข้าดอก สมัยท่านกลับจากการทำศึกกับพวกอสูรร้าย ข้านี้ก็คอยทำแผลให้ท่านออกบ่อย” ปัณฑารีย์แสดงความสนิทสนมผ่านคำพูดกลายเป็นสาดน้ำมันลงกองเพลิงในใจชลันธร ร่างบางกำหมัดแน่นมองนภนต์ตาขวาง นภนต์ถึงกับชะงัก… ‘นี่ข้ารอดจากคมดาบของพระศุกร์แล้วมาตายเพราะเมียโกรธหรือนี่’...

“ข้าโชคดีที่มีสหายที่ดีคอยรักษาแผลให้” คำพูดของนภนต์ทำให้ดรุณีสาวยิ้มไม่ออก นภนต์รู้ว่าเทพีปัณฑารีย์คิดเช่นไรกับตน เพื่อไม่ให้ชลันธรเข้าใจผิดและเทพีปัณฑารีย์จะได้ไม่หวังสานสัมพันธ์ นภนต์จึงได้พูดตัดไฟตั้งแต่ต้นลมไม่ให้ก่อเกิดปัญหา

“จะว่าไปชลันธรนั้นหน้าตาดูคล้ายอดีตพระสมุทรยิ่งนัก ไหนจะชื่อเสียงเรียงนามยังเหมือนเสียอีก” เทพีปัณฑารีย์แสร้งถามนภนต์อีกครั้ง ด้วยไม่ปักใจเชื่อว่าชลันธรนั้นพูดความจริง

“ไม่ให้เหมือนก็คงไม่ได้ในเมื่อนั้นคือชลันธรในร่างมนุษย์ อดีตเทพสมุทรตามที่ท่านกล่าวถึง” นภนต์เอ่ย

“เป็นเรื่องจริงกระนั้นหรือ...แล้วไยถึงมาอยู่กับท่านนภนต์เล่า ในเมื่อเจ้าวางยาพิษพระนางกวินตา แถมเมื่อครู่ยังยกอ้างว่าท่านนภนต์เป็นภัสดาอีก...” ปัณฑารีย์เอ่ยท่าทางดูแคลนจนชลันธรโกรธจนตัวสั่นหากต้องไว้หน้านภนต์ไว้จึงจำต้องเงียบไม่โต้ตอบ โกหกว่าเป็นคนรักเทพเวหามันช่างตลกสิ้นดี เทพนภนต์คงมิเอาคนที่ทำร้ายมารดาตนเองมาเป็นคู่ชีวิต...

“ข้าเป็นภัสดาของชลันธรจริงหาได้เป็นเรื่องแอบอ้างไม่ ทั้งนี้ข้ามีหน้าที่ปกป้องชลันธรเพื่อพิสูจน์ว่าไม่ได้วางยาท่านแม่ของข้า...” นภนต์ตอบข้อสงสัย ชลันธรพอได้ฟังคำพูดของนภนต์ที่ยืนยันคำพูดทั้งหมดของตนก็คลายความโกรธขึ้นมาบ้าง เทพีปัณฑารีย์ได้ฟังดังนั้นแล้วก็ได้แต่แสร้งทำเป็นยิ้มออกมา

“จริงสิ เพลานี้มืดค่ำแล้วท่านนภนต์และชลันธรนอนพักผ่อนที่นี่ก่อนเถิด” ปัณฑารีย์เทวีเปลี่ยนเรื่อง

“ข้าคงต้องปฏิเสธ บุรุษสองคนจะมานอนค้างแรมในกระโจมเดียวกับสตรีได้เยี่ยงไร ยิ่งสตรีผู้เป็นเทพีชั้นสูงแล้วดูท่าจะไม่งามนัก อีกทั้งข้าเองรู้สึกดีขึ้นมากโขคงจะนอนด้านนอกได้มิเป็นปัญหาใด” นภนต์เอ่ย

“ท่านกำลังเข้าใจผิด ข้าขออภัยที่พูดแจ้งไปไม่กระจ่าง ก่อนหน้านี้ข้าให้ไพร่พลช่วยสร้างกระโจมอีกหลังไว้ แม้จะไม่ใหญ่โตเท่ากระโจมของข้า หากมันสามารถทำให้ท่านหลับสบายกว่านอนกลางดิน” ปัณฑารีย์เทวีเอ่ยทั้งที่ใจนั้นอยากจะให้นภนต์อยู่กับตน หากใครสามารถเข้าไปในความคิดคงจะต้องส่ายหน้าและต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่านี่หรือคือเทพีที่แสนฉลาดและเรียบร้อยจนเป็นที่เลื่องลือ

“ข้าขอบน้ำใจอีกครั้งที่อุตส่าห์รักษาแผลให้กับข้ารวมถึงให้ที่พักหลับนอน” นภนต์เอ่ย

“มิเป็นไรไม่ได้ อย่างไรเสียข้าต้องช่วยท่านอยู่แล้ว” ปัณฑารีย์เอ่ย

“ชลันธรเป็นอันใด ไยเจ้าถึงนั่งเงียบ” นภนต์ถามคนรักที่นั่งไม่พูดไม่จาเสียพักใหญ่

“ข้าง่วงนอนเลยไม่อยากจะเสวนาอันใด…ฮ้าว…” ชลันธรเอ่ยแล้วแสร้งยกมือป้องปิดปากที่เปิดกว้าง

“เจ้าง่วงนอนเสียแล้วหรือ…ถ้าเช่นนั้นเทพีปัณฑารีย์ข้าคงต้องขอตัวพาชลันธรไปพักผ่อนก่อน อีกอย่างนี่ก็เริ่มดึกแล้วข้าไม่อยากจะรบกวนท่านอีก”  นภนต์รีบกล่าวลาด้วยเป็นห่วงชลันธรที่กำลังง่วง เพราะด้วยคงเหนื่อยล้าจากการเดินทาง

“เชิญท่านและชลันธรตามสบายเถิด” เทพีปัณฑารีย์กล่าวเชิญให้ทั้งสองได้ออกไปพักผ่อน

(ต่อ)
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.23 P.8 (28/08/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 28-08-2017 16:10:37

นภนต์และชลันธรจึงออกจากกระโจมของเทพีปัณฑารีย์แล้วมุ่งหน้าไปยังกระโจมที่อยู่ตรงข้าม เมื่อทั้งสองเข้าไปแล้วพระโคศุภราชก็เคลื่อนย้ายมานอนขวางทางเข้าทำให้มิมีใครสามารถเข้าไปยังด้านในหมายเป็นการรบกวนทั้งสองได้อีก ภายในกระโจมการตกแต่นั้นไม่แตกต่างจากกระโจมของเทพีมากเท่าใดนัก ชลันธรที่ทำทีเหมือนจะง่วงนอนจากกระโจมของเทพีปัณฑารีย์ พอถึงที่พักของตนก็เดินอย่างปกติไปยังเตียงไม้สลักจนนภนต์แปลกใจ

“ไหนเจ้าบอกพี่ว่าง่วง เมื่อครู่เดินมาแขนขาแทบจะไม่มีแรงจนพี่ต้องพยุง แล้วนี่เดินไม่สนใจพี่ ใบหน้าก็บึ้งตึงเสียอีก” นภนต์เอ่ยถามชลันธรไม่ตอบได้แต่มองค้อนแล้วล้มตัวลงนอนไม่สนร่างสูง

“ชลันธรเจ้าเป็นอันใด บอกพี่ได้ไหมเล่า” ฟูกหนานุ่มยุบตัวลงเมื่อนภนต์นั่งใกล้คนงามที่นอนพลิกตัวหันหลังให้ ด้วยเห็นท่าทางก็รู้ว่าอดีตพระสมุทรเทพกับลังเง้างอน จึงเอนกายนอนเคียงข้าง กรแกร่งตวัดเอวบางเข้าสวมกอด

“ชลันธร…เจ้าบอกพี่มาเถิด พี่ทำอันใดให้เจ้าเคืองโกรธก็บอกมา” นภนต์โน้มใบหน้าให้ริมฝีปากชิดหลังหูก่อนจะเอ่ยคำถามค้างคาใจ

“ตอนเราถูกสาปอยู่ในโลกมนุษย์  ท่านกับเทพีปัณฑารีย์มีความสัมพันธ์กันเช่นไร” ชลันธรยอมเปิดปากเอ่ยทั้งยังเปลี่ยนสรรพนามขานเรียก นภนต์ได้ฟังก็เผยรอยยิ้มออกมา จะไม่ให้ยิ้มนั้นคงแปลกในเมื่อการกระทำของชลันธรในครานี้บ่งบอกว่ากำลังหึงหวงเทพหนุ่มอยู่

“พี่นั้นคิดกับเทพีปัณฑารีย์เป็นเพียงสหายเท่านั้น ยามไปรบเทพีปัณฑารีย์จะเป็นผู้ช่วยรักษาเหล่าเทวาที่บาดเจ็บ” นภนต์ตอบ ด้วยเทพีปัณฑารีย์ความสามารถในด้านการรักษา บ่อยครั้งที่นางจักมาช่วยเทพโอสถดูแลผู้บาดเจ็บ

“แล้วท่านมีใจให้กับเทพีปัณฑารีย์บ้างหรือไม่ นางทั้งสวย ทั้งเก่งดูแลท่านดีเยี่ยงนั้น”

“ไม่…ตั้งแต่เจ้าถูกสาปพี่เองเจ็บปวดเพราะพิษรัก จึงไม่คิดจะเข้าหาใครหรือ รักใครอีกเลย ถึงแม้ว่าพี่จะเคยแค้นเคืองเจ้าแต่เพลานี้ เจ้าเบาใจได้ว่าเจ้าเป็นรักแรก รักเดียว รักสุดท้ายของพี่…ชลันธร” ทุกถ้อยคำที่เปล่งออกมาแฝงด้วยความจริงจังของนภนต์ทำให้คนที่เง้างอนพลิกตัวเข้ามาสวมกอด

“ข้าขอโทษที่สงสัยในตัวท่านพี่...” ชลันธรเอ่ยแล้วซุกใบหน้าไปที่แผงอกกว้าง

“พี่ดีใจที่เจ้าเป็นเยี่ยงนี้ เจ้ารู้ไหม” นภนต์ลูบผมนุ่มอย่างเบามือนึกเอ็นดูคนรัก

“เหตุใดท่านพี่ถึงดีใจ ในเมื่อข้าทำกิริยาไม่ดีต่อท่านพี่” ชลันธรช้อนตามองนภนต์ในแววตามีแต่ความสงสัย

“ดีใจที่เจ้าหึงหวงพี่…ทำให้พี่รู้ว่าเจ้ารักพี่อีกทั้งพี่ไม่เคยเห็นเจ้าเป็นอย่างนี้มาก่อน ไม่คิดเลยว่าชาตินี้จะได้เห็น พี่คงตายตาหลับที่ได้เห็นเจ้าหึงพี่”

“ท่านพี่อย่าพูดเรื่องตายสิ ข้าใจไม่ดีเลยตอนที่พระศุกร์ทำร้ายท่านพี่ ข้าไม่อยากให้ท่านพี่เจ็บหรือจากข้าไป” ความเศร้าสร้อยร้อยเรียงเป็นประโยค นภนต์รู้สึกผิดขึ้นมาที่ทำให้คนรักเสียใจ

“เจ้าอย่าได้ห่วงเลย…ยามนี้พี่หาได้เจ็บปวดไม่ ครานี้ต่อให้พระศุกร์หรือใครหน้าไหนเข้ามาทำร้ายเจ้าพี่จักปกป้องไม่ให้ระคายเคืองผิวขาวของเจ้า” นภนต์เอ่ย มือหน้าค่อยๆไล้แก้มเนียนลงมาตามแนวสันกราม

“ถึงกระนั้นข้าก็ยังเป็นห่วงท่านพี่อยู่ดี” ชลันธรคว้ามือที่ลูบไล้มาประทับรอยจูบที่หลังมือ

“เจ้าอย่าลืมเสียสิว่าพี่นั้นเป็นนักรบเป็นแม่ทัพหลวงแห่งสวรรค์ ศึกรบพี่ไม่ขลาดและศึกรักนั้นพี่เองก็ไม่หวั่น” นภนต์ไม่รอให้ชลันธรได้เฉลียวใจในคำพูด เทพเวหาพลิกตัวคร่อมร่างชลันธรเสียแล้ว

“ท่านพี่ข้าง่วงนอนเหลือเกิน” ชลันธรหาทางเอาตัวรอด มีหรือที่นภนต์จะยอมให้ร่างบางไม่เข้าร่วมศึกบนเตียงนี้

“เจ้าง่วงก็นอนเสีย ส่วนที่เหลือพี่จะจัดการเอง” นภนต์ยิ้มเจ้าเล่ห์แววตาเป็นประกายระยิบระยับราวพยัคฆาเห็นเนื้อแสนโอชะ

“ท่านพี่ไม่อายหรือไร…ทหารมากมายอยู่ด้านนอกต้องเห็นเงาว่าท่านพี่ทำอันใด” ชลันธรให้เหตุผลเผื่อว่านภนต์จักหยุดทำศึก

“พี่ไม่อาย ทีแรกที่พี่เข้ามาในกระโจมพี่นั้นได้ร่ายคาถาให้ผู้ที่อยู่ด้านนอกมองว่าภายในกระโจมนั้นดับไฟตะเกียงแล้ว อีกทั้งเสียงร้องของเจ้ายามพี่ฝังร่างปักดาบก็หามีใครได้ยินไม่” นภนต์เอ่ยพร้อมกับกลั้นหัวเราะเมื่อเห็นว่าชลันธรหน้านิ่วคิ้วขมวดทั้งโกรธทั้งอาย

“ท่านพี่!!! ข้าไม่…อุ๊บ!”

…‘ใครเล่าจะปล่อยให้เจ้าร้องห้ามพี่’… นภนต์ปิดปากคนรักด้วยริมฝีปากตนเอง เสียงที่ร้องโวยวายเมื่อครู่ถูกดูดกลืนไปพร้อมกับปลายลิ้นเล็กจนชลันธรอ่อนระทวยเผยอปากต้อนรับให้นภนต์รุกใช้ลิ้นสำรวจกวาดเสบียงแสนหวาน

โอษฐ์หยักนั้นคอยพร่ำจูบ หัตถาเริ่มขยับเข้าสอดลูบไล้เอวคอดขึ้นไปจับหมับที่แผ่นอกแล้วนวดเค้นแผ่วเบาปลุกปั่นอารมณ์ให้ชลันธรพร้อมร่วมรบในสมรภูมิรักนี้

“ฮื้ม…” ชลันธรครางในลำคอพร้อมกับใช้กำปั้นน้อยๆทุบไหล่ร่างสูงเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าขอสงบศึกระหว่างชิวหาชั่วคราว นภนต์เองยอมถอยกำลังเป็นอย่างดีแต่อย่างไรเสียก็มิวายประทับริมฝีปากซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นการส่งท้าย

“ท่านพี่..อือ…อย่าใช้มือจับตรงนั้น..อ่ะ…” พอริมฝีปากเป็นอิสระชลันธรจึงร้องห้ามไม่ให้มือแสนซุกซนเล่นกับยอดอกเมล็ดบัวสีหวาน นภนต์ผละมือออกจนชลันธรยังนึกสงสัยไม่ใช่ว่าไม่ดีแต่…นภนต์นั้นไม่น่าจะรามือโดยง่ายเช่นนี้

“ท่านพี่..จะทำอันใด…ทะ..ท่านพี่..อ๊า…” นภนต์รามือแต่กลับก้มลงใช้ลิ้นตวัดเลียยอดอกทั้งสองสลับกันผ่านผ้าผืนบางที่ปกปิดจนชลันธรครางเสียงหวาน ครั้นใช้มือผลักไสก็กลับไร้เรี่ยวแรง ไหนจะเป็นร่างกายที่ไม่รักดีแทนที่จะดิ้นหนีกลับขยับเข้าหาจนแนบชิดไร้ที่ว่างให้อากาศแทรกผ่าน

เมื่อเห็นว่าคนรักพร้อมสู้ศึกนภนต์จึงปลดเปลื้องอาภรณ์ที่ปกปิดกายของตนเองและชลันธรออกไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็นั่งพิงเสาเตียงแล้วดึงร่างบางมาโถมทับตนจนสัมผัสถึงไอร้อนที่แผ่ซ่าน

“ชลันธร…น้องช่วยใช้ปากน้องตีดาบให้พี่ได้ไหมเล่า” ไม่พูดเปล่านภนต์จับข้อมือเล็กให้มาจับดาบขนาดใหญ่ตรงกลางกาย ชลันธรเองแม้จะกระดากอายในเรื่องแบบนี้หากรู้ดีว่านภนต์นี้หมายถึงอะไร

“ท่านพี่นภนต์…ข้า….ข้ามิกล้า” แก้มขาวมีเลือดฝาดแดงก่ำ พอจะดึงมือกลับนภนต์นั้นก็ยังบังคับให้มือตนจับดาบร้อนอยู่ดี

“ลองดูเถิดนะคนดี…ถือว่าช่วยพี่สักครา” นภนต์เอ่ยหว่านล้อมขอร้องเสียงกระเส่า แววตาอ้อนวอนชวนให้ชลันธรใจอ่อนเสียจนได้ คนงานพยักหน้ารับแล้วขยับกายเลื่อนลงมามือข้างหนึ่งจับดาบไว้ให้มั่นแล้วจึงค่อยใช้ลิ้นเลียวนจากปลายดาบไล่ลงมาช้าๆ ลากขึ้นลงแผ่วเบาด้วยความที่ไม่ค่อยจักชำนาญ

“อืม…ชลันธร” นภนต์พึงพอใจแม้อีกฝ่ายจะไม่ประสีประสานัก ชลันธรเองยิ่งได้ยินเสียงร้องรวมถึงมือหนาที่คอยลูบผมตนด้วยความรักก็ใจชื้นขึ้นและกล้าที่ใช้ปากเข้าครอบดาบทีละนิด…ทีละนิด

“อืม….ดีมาก” นภนต์มองชลันธรที่คอยปลุกปั่นตีดาบให้แข็งขืนขึ้นเรื่อยๆ ริมฝีปากห่อรัดเล็กน้อยทั้งใช้ลิ้นคอยเย้าไปด้วยในระหว่างที่ขยับรูดขึ้นลง นภนต์เองก็มิได้จะรับความสุขเพียงอย่างเดียว ร่างสูงใช้ดัชนีของตนจุ่มน้ำในจอกแก้วบนโต๊ะใกล้เตียงลากยาวไปที่ร่องบั้นท้ายแล้วหยุดที่เตาหลอมสีอ่อนของชลันธร

“อ๊ะ!!...ท่านพี่!!” ชลันธรถอนปากออกแทบทันใดยามที่ถูกนภนต์ใช้นิ้วลูบวนปากทางสีสดแล้วสอดเข้าไปในกายทีละนิ้วจนเป็นสาม

“อ่ะ…อ่า…อ่า” ชลันธรครางกระเส่าเมื่อดัชนีทั้งสามขยับเข้าออกบ้างก็หมุนวน ตาเรียวช้อนตามองคนรักหยาดเยิ้มจนนภนต์อดไม่ได้ที่จะจุมพิตที่หน้าผากเนียน

“แม้ดาบพี่จะตีเสร็จเป็นรูปร่างแต่พี่นั้นอยากจะหลอมมันกับไฟในกายน้องยิ่งนัก” รอเวลาจนเห็นสมควรด้วยผนังนุ่มเริ่มตอดรัด นภนต์จึงหยอดคำหวานพลางจับชลันธรให้นอนคว่ำคุกเข่าไว้

“อ๊า..ท่านพี่!!..เจ็บ..อ่ะ” ถึงจะไม่ใช่ครั้งแรกหากเรื่องกามศึกระหว่างทั้งคู่ก็หาได้เกิดขึ้นเลยหลังจากที่นภนต์ขับพิษนาครักษาร่างบาง จึงไม่แปลกที่ชลันธรจะร้องออกมาหางตามีเม็ดน้ำใสซึมเล็กน้อย นภนต์รู้ว่าดาบของตนนั้นทำคนรักเจ็บจึงได้จูบซับลงบนแผ่นหลังเป็นการปลอบประโลม

“ชลันธร…พี่รักเจ้า” นภนต์โน้กระซิบสวาทรักให้ชลันธรชื่นใจ มือข้างนึงรั้งเอวบางไว้ ส่วนมืออีกข้างก็ขยับแก่นกายให้ชลันธรอ่อนไหวพาให้ลืมเจ็บ จากนั้นจึงเริ่มกระแทกสะโพกตนส่งดาบเข้าออกในเตาหลอม

“อ่า..อะ..อ๊ะ..อ๊า”

“อืม..”

นภนต์กระแทกกายไม่มีเว้นพักเว้นหยุดจนร่างของชลันธรโยกไปด้านหน้า ความเจ็บที่ได้รับก่อนหน้าแปรเปลี่ยนเป็นความสุขสม และวาบหวิวเสียจนชลันธรจิกเล็บเข้ากับภูษาที่ปูเตียงจนยับยู่ยี่ กระนั้นนภนต์ก็ไม่ปรานียังคงส่งดาบเข้าฟันจ้วงแทง

“อ่า..า…ท่านพี่นภนต์”

“เจ้าชอบหรือไม่เล่า..อ่า”

“ชอบ..อืม…อ่ะ..” เสียงหวานตอบตามความจริงในเมื่อบัดนี้ได้รับการปรนเปรอถึงสองทาง

“เหวอ…ท่านพี่จักทำอันใดข้า”

ชลันธรร้องเหวอด้วยความตกใจอยู่ดีๆ นภนต์ก็กอดเอวตนแล้วรัดให้ลุกนั่งเอนพิงกายทั้งที่ร่างกายยังคงเชื่อมกัน นภนต์ยิ้มกริ่ม…ใครเล่าจะให้เจ้ารับความสุขโดนยมิต้องทำอันใด…

“หากเข้าชอบจงขยับกายตีดาบพี่ให้หลอมเหลวทีเถิด” นภนต์เอ่ย ชลันธรหน้าขึ้นสีทั้งโมโหทั้งอายแต่เหนือสิ่งใดความรู้สึกค้างคาและแรงราคะมีมากล้นยิ่งกว่า สุดท้ายชลันธรก็เป็นฝ่ายเข้าหาคมดาบของแม่ทัพหลวง

“อ๊า…อ่า…อะ..อ๊า”

‘จุ๊บ..’

ชลันธรเริ่มค่อยๆ โยกกายขย่มแก่นกายใหญ่โดยปล่อยให้อารมณ์นำพาไป นภนต์เองนั้นมิได้นั่งเปล่าเทพหนุ่มซุกไซ้คอขาว ทั้งขบเม้ม ดูดดุน จนเป็นรอยแดงลามไปถึงหลังใบหู ไหนมือที่ข้างหนึ่งคอยเขี่ยสะกิดยอดอก อีกข้างคอยนำพาความสุขให้กลางกายเล็ก

“ท่านพี่...ข้าเหนื่อย..อื้อ..กายข้าก็ใกล้..แล้ว…” ชลันธรจวนเจียนใกล้ถึงฝั่ง นภนต์จึงขยับสะโพกสวนรักกายบาง อย่าว่าแต่ชลันธรเลยนภนต์เองมิอาจสามารถทนต่อแรงรัดภายในยามที่ปลายดาบกระแทกตรงจุดกระสันได้

“อ่า…อ่ะ..ท่านพี่..ข้ารักท่าน…อ่า..ท่านพี่นภนต์”

“พี่ก็รักเจ้า…ชลันธร…อ่า..รัก..รักเจ้า”

“อ๊า…”

ชลันธรปลดปล่อยความสุขสมหลั่งไหลออกมาเป็นสายธารสีขาวขุ่นเปรอะเปื้อนหน้าท้อง ฝ่ายนภนต์เองปลายดาบถูกหลอมจนมีน้ำโลหะหลั่งออกมาในกายคนรัก

“พี่รักเจ้า…ชลันธร” นภนต์บอกรักคนงามที่อ่อนเพลียเสียจนอิงศีรษะพิงอกแกร่งของตน

“ข้าก็รักท่านพี่” ชลันธรยิ้มรับและตอบกลับ  ทั้งสองพร่ำบอกรักกันมิรู้จักเบื่อ  หากแต่ชลันธรต้องหุบยิ้มเมื่อได้ยินประโยคถัดมา

“หากเจ้ารักพี่...ถ้าเยี่ยงนั้นพี่ขอทำรักเจ้าอีกรอบจะได้หรือไม่...” นภนต์ยังมีความต้องการอีกครั้ง จึงร้องขอคนรักให้คลายกำหนัดตนอีกสักรอบ

“อื้อ…ท่านพี่!!..ไม่แล้ว ข้าเหนื่อยแล้ว...” ชลันธรปฏิเสธ

“มิได้หรือคนดี...พี่ขออีกรอบเดียวเท่านั้น...”  นภนต์ยังคงอ้อนขอร้องให้ชลันธรร่วมรักกับตนอีกครั้ง

“ก็ได้...” กายบางสบมองแววตาเทพหนุ่มหยุดคิดเพียงครู่หนึ่ง ด้วยมิทนเสียงออดอ้อนจึงพลางตอบตกลง ชลันธรปล่อยให้จิตใจที่ลอยได้ในยามนี้นั้นนำพา  ใจหนึ่งก็คิดหากเทพีปัณฑารีย์ได้ยินเสียงสัปดลนี้เสียหน่อยคงจะเป็นการดีไม่ใช่น้อย...ชลันธรจึงตั้งใจเปล่งเสียงให้ร้องดังกว่าศึกรักครั้งเมื่อครู่  ซ้ำยังพูดเชิญชวนในนภนต์ทำรักตนรุนแรงอีกด้วย... เล่นเอานภนต์นั้นลุ่มหลงกายนี้อย่างหมดใจ ตั้งใจตอบรับด้วยความรักที่รุนแรงเช่นกัน

ทางด้านเทพีปัณฑาเทวีที่ยังคงมิได้บรรทม ในคราแรกต้องการที่จะวางแผนพิสูจน์ว่าเทพนภนต์โกหกตนหรือไม่ในเรื่องที่บอกว่าชลันธรเป็นคนรักเพราะสมัยก่อนนั้นเทพนภนต์คอยหาทางหลบหลีกยามตนไปเยี่ยมเยือนเสมอ หากเพลานี้เทพีปัณฑารีย์มิต้องพิสูจน์สิ่งใดแล้ว ด้วยเวทย์มนต์ของนภนต์มิอาจทำอันใดเทพีแห่งการรักษาได้ เป็นเหตุให้เทพีปัณฑารีย์ได้ยินเสียงครางกระเส่าของบุคคลทั้งสองที่อาศัยอยู่ในกระโจมอีกหลัง

“ฮึ้ย!!!....ชลันธรเจ้านี่มันร้ายกว่าที่ข้าคิดเอาไว้มาก...เจ็บใจยิ่งนัก!!!”





















.................................

ขอเสียงปรบมือและกำลังใจ คำชื่นชม ให้กับท่านพี่นภนต์ด้วยนะคะ ทั้งที่บาดเจ็บเสียเลือดมากจนกระทั่งรักษาจนหาย...ท่านพี่นภนต์ยังตรากตรำทำศึกโดยมีชลันธรคอยช่วยหลอมดาบ....



ท่านยุ่งต้องขอโทษทุกคนที่ฉากทำศึกรักของเทพนภนต์และชลันธรไม่ได้สวยงามอะไร ไม่ถนัดจริง ได้โปรดอย่าเผาคฤหาสถ์ฟางของยุ่งค่ะ ยุ่งไม่อยากย้ายไปอยู่ในกอไผ่



ส่วนเทพีปัณฑารีย์นั้น น่าสงสารนะคะที่ไม่ได้นอน ดูสิต้องดูแลแขก รักษานภนต์แต่กลับถูกแขกผู้มาเยือนส่งเสียงดัง ท่านยุงเห็นใจมากเลยค่ะ



ป.ล. เราได้เห็นชลันธรหึงแล้วนะคะ ดีใจแทนท่านนภนต์มากเลยค่ะและยินดีต้อนรับเทพนภนต์เข้าสู่ทำเนียบพ่อบ้านใจกล้าค่ะ

ป.ล. 2 ขอบคุณทุกคนที่เข้ามา อ่าน ให้กำลังใจ หรือแสดงความคิดเห็นกันนะคะดีใจมาก ติชมได้ตามสบายเลยค่ะ ท่านยุ่งยินดีตอบ สนุกดีค่ะได้พูดจาหยอกกับทุกคน สุดท้ายนี้รักนะคะ

หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.23 P.8 (28/08/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 28-08-2017 19:33:16
ก็ได้แต่หวังว่าเทพีนางนี้จะยอมรับความพ่ายแพ้ในสนามรักได้นะ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.23 P.8 (28/08/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: แม่น้องเปา ที่ 28-08-2017 19:51:47
ชอบภาษา..ชอบการใช้คำเปรียบเปรยต่างๆ..เนื้อเรื่องมีหยิบยกเรื่องต่างๆมาผสมได้ดี..ชอบมากค่ะ..มาต่ออีกนะคะ  +เป็ด
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.23 P.8 (28/08/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 28-08-2017 22:58:26
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.23 P.8 (28/08/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 29-08-2017 06:05:08
ก็ได้แต่หวังว่าเทพีนางนี้จะยอมรับความพ่ายแพ้ในสนามรักได้นะ

เจอชลันธรร้องไปแบบนั้นแล้วบอกเลยว่าควรหยุด 555
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.23 P.8 (28/08/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 29-08-2017 06:06:38
ชอบภาษา..ชอบการใช้คำเปรียบเปรยต่างๆ..เนื้อเรื่องมีหยิบยกเรื่องต่างๆมาผสมได้ดี..ชอบมากค่ะ..มาต่ออีกนะคะ  +เป็ด


ขอบคุณที่ชื่นชอบในตัวนิบาย ภาาา และเนื้อหานะคะ ยุ่งดีใจมากๆเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.23 P.8 (28/08/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 29-08-2017 06:07:36
:pig4: :pig4: :pig4:


 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.23 P.8 (28/08/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: kinjikung ที่ 29-08-2017 07:32:14
ชลันธร นางร้ายจ้ะ 55555 ออดอ้อนภัสดามาก
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.23 P.8 (28/08/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 29-08-2017 09:33:44
หาใหม่เถิดท่าเทพี พรากคนรักกันเค้าว่าบาปนาา
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.23 P.8 (28/08/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: fanglest ที่ 29-08-2017 13:01:04
สนุกดีค่ะ รอติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.23 P.8 (28/08/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 30-08-2017 09:48:27
ชลันธร นางร้ายจ้ะ 55555 ออดอ้อนภัสดามาก




นานๆที่จะมีโมเม้นแบยนี้นะคะ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.23 P.8 (28/08/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 30-08-2017 09:50:39
หาใหม่เถิดท่าเทพี พรากคนรักกันเค้าว่าบาปนาา


ชอบท่านนภนต์มาก...แต่จะพรากไหม ไม่บอก
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.23 P.8 (28/08/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 30-08-2017 09:51:37
สนุกดีค่ะ รอติดตามนะคะ



ขอบคุณมากค่ะที่ติดตาม
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.24 P.9 (30/08/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 30-08-2017 19:05:39
สาปรัก…ทัณฑ์เทวา
Writer : Tan-Yung 0209
File : 24








คำกล่าวที่ว่าน้ำน้อยย่อมแพ้เพลิงไฟใหญ่...แต่หากไฟน้อยก็ย่อมแพ้กระแสน้ำที่ถาโถม  ดั่งเช่นรพีพงศ์ที่ไร้เรี่ยวแรง ซ้ำยังจมลงไปในน้ำตกด้านล่าง ก็ไม่ต่างอะไรกับการเหยียบย่างเข้าใกล้สู่ปากประตูแห่งยมโลก จะรอเพียงแค่เวลาเท่านั้น…รอเวลาที่ลมหายใจเฮือกสุดท้ายจะหมดลงไป เมื่อนั้นรพีพงศ์จะมีชีวิตอยู่เพียงในความทรงจำของนาคินทร์เท่านั้น

…‘ความหนาวเหน็บที่บาดผิวหนังข้า... ความเย็นชาที่รวดแล่นในกายที่ข้าได้รับ เกิดอะไรขึ้นกับข้าหรือว่าข้าจะต้องทิ้งชีวิตลงใต้ผืนน้ำนี้’…

‘ตูม!!’

เปลือกตาที่กำลังจะปิดซ่อนดวงตาคมก็เปิดออกอีกครั้ง เสียงกระจายของน้ำหนักตกลงน้ำไม่ไกลจากร่างรพีพงศ์นั้นช่วยเรียกสติที่กำลังจะหลุดลอยให้กลับเข้าร่าง ฟองอากาศกระจายทั่วบริเวณก่อนจะเห็นเงาตะคุ่มขนาดใหญ่กำลังแหวกว่ายเข้ามาหา

‘ท่านรพีพงศ์ข้ามาช่วยท่านแล้ว…’ น้ำเสียงหวานใสถ่ายทอดคำพูดผ่านจิตให้รพีพงศ์ได้รับฟัง

นาคินทร์ในร่างของมนุษย์ครึ่งนาคได้ใช้หางเกี่ยวพันกายใหญ่ม้วนเข้าหา สองแขนโอบกอดรพีพงศ์จนแนบชิด ใบหน้างามโน้มเข้าหาตามด้วยประกบริมฝีปากถ่ายทอดพลังให้สุริยะบุตรสามารถหายใจในน้ำได้ พลันรัศมีสีเขียวตั้งแชกระจายจนทั่วทั้งยังช่วยโอบร่างของทั้งสองให้ลอยขึ้นไปสู่เหนือผิวน้ำ

“อ่า…”

นาคินทร์ผละริมฝีปากออกแล้วกวาดสายตามองหาฝั่งไปรอบๆ ก่อนจะสะดุดตากับวิหกตัวน้อยที่เทียวบินเข้าออกตรงม่านน้ำตก …‘ไม่ผิดแน่ หลังม่านน้ำตกจักต้องมีถ้ำอยู่เป็นแน่ น่าจะเข้าไปแอบหลบซ่อนพระอังคารได้’…ไม่รอช้านาคินทร์ก็ว่ายน้ำพยุงพารพีพงศ์ไปยังถ้ำ

“ท่านรพีพงศ์อดทนสักนิดนะ” นาคินทร์เอ่ย ไม่รู้ว่าคนฟังจะรับรู้หรือไม่ก็ตาม นาคน้อยกลายร่างคืนสภาพเป็นมนุษย์พยุงร่างกำยำฝ่าม่านน้ำตกแล้วเดินเข้าไปในถ้ำอย่างทุลักทุเล

เมื่อย่างกรายเข้ามาภายในถ้ำ ร่างบางได้พาเทพหนุ่มที่สลบไสลให้นอนพักลงบนพื้นหินแสนเย็นเฉียบ แต่ก็ยังมิอาจสู้ไอเย็นที่แผ่ออกจากผิวกายของรพีพงศ์ได้ นาคินทร์มิรู้หนทางจะทำเช่นไรที่จักให้รพีพงศ์หายหนาว ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่ก้อนหินหาได้มีเศษไม้พอจะทำฟืนก่อไฟได้ สิ่งที่ทำได้ในเวลานี้นั่นคือปลดเปลื้องอาภรณ์ที่เปียกชุ่มของรพีพงศ์ออกไปให้พ้นเสียก่อน หากปล่อยไว้นานน่าจะเป็นผลร้ายต่อกายสุริยะบุตรมากกว่า แม้นาคน้อยจักเขินอายอยู่บ้างกับการกระทำของตน หากแต่คิดว่านี่เป็นวิธีเดียวที่ตนนึกออกและช่วยรพีพงศ์เอาไว้

“หนาว…หนาวเหลือเกิน” เสียงครวญหลงละเมอ รพีพงศ์ละเมอออกมาอย่างมิได้สติ ยามนี้นาคินทร์สงสารรพีพงศ์จับใจ มือเรียวลูบไล้ประคองใบหน้าที่ขาวซีด… ‘ข้าจักทำเช่นไรให้ท่านคลายหนาวได้เล่า อันตัวข้ามีแต่ขอให้ท่านคอยกอดยามหลับนอนอยู่เสมอ’...

“จริงสิ…” นาคินทร์นึกอะไรบางอย่างออกก่อนจะปลดเปลื้องเสื้อผ้าจนกายเปลือยเปล่าเช่นกัน

“แม้กายข้าจะไม่อบอุ่นแต่ข้าจะกอดท่านไว้…ท่านรพีพงศ์” นาคางามเหยียดกายนอนเคียงข้างรพีพงศ์ แขนเรียวก่ายกอดอีกฝ่ายไว้ ไม่นานนาคินทร์ก็หลับตามรพีพงศ์ไปด้วยความเหนื่อยล้า

. . .

ลมหายใจอุ่นที่รดรินตรงแผงอกกว้างทำให้รพีพงศ์ที่ฟื้นขึ้นมาพบเจอ แม้คราแรกจักตกใจที่ตื่นมาพบว่าตนและนาคินทร์ตกอยู่ในสภาพล่อแหลม แต่พอได้เห็นอาภรณ์ที่พาดพึ่งอยู่ตรงโขดหิน รพีพงศ์จึงเดาได้ทันทีว่านาคินทร์นั้นหวังดีกับตน ก็พอที่จะทำแย้มสรวลออกมาได้…‘มิใช่เพียงหายหนาว แรงข้านั้นก็ฟื้นกำลังขึ้นมา’… ด้วยรพีพงศ์อ่อนแรงจากการสัมผัสน้ำเป็นเวลานานวิธีแก้ไขนั้นก็หาได้ยากเย็นไม่เพียงแค่ให้ความอบอุ่นและทำให้กายของรพีพงศ์แห้งแค่นั้นก็เพียงพอ

“อื้อ…” นาคินทร์กลายเป็นฝ่ายหนาวแทน ร่างอรชรเบียดกายเข้าหาจนรพีพงศ์สัมผัสได้ถึงเนื้อนิ่มที่แนบชิดจนบัดนี้ บุตรแห่งพระอาทิตย์หายใจไม่ทั่วท้องเสียแล้ว

“เจ้าคงหนาวมากสิท่า” รพีพงศ์ร่ายมนต์เสกภูษาผืนใหญ่ห่มกายนาคินทร์และตนเองไว้จากนั้นก็ทำหน้าที่ให้ความอบอุ่นแก่นาคินทร์ดังที่เคยได้ทำ

“ทะ…ท่านรพีพงศ์…ฟื้นแล้วหรือ” แรงกอดเมื่อครู่ของรพีพงศ์ปลุกนาคินทร์ให้ตื่นขึ้นมา ไม่เพียงเท่านั้นนาคน้อยแสนน่ารักยังลุกนั่งแล้วเลิกผ้าห่มตามด้วยใช้มือลูบคลำร่างกายของรพีพงศ์อย่างลืมตัว

“ท่านรพีพงศ์ กายท่านไม่เย็นแล้วแสดงว่าอาการดีขึ้นแล้วเหลือเพียงแต่…” นาคินทร์หยุดสายตามองยังแผลของรพีพงศ์ที่สัตว์พาหนะของพระอังคารฝากไว้ ...‘เป็นเพราะข้าแท้ๆ ท่านจึงบาดเจ็บเช่นนี้’…

“โอ๊ย!!!” รพีพงศ์ที่ปล่อยให้นาคินทร์สำรวจร่างกายก็ร้องโอดโอยขึ้นมาเมื่อมือเรียวสัมผัสเข้าตรงปากแผลอย่างไม่ตั้งใจ ทั้งที่ตนอุตส่าห์สะกดกลั้นความรู้สึกเจ็บเพื่อที่จะไม่ให้อีกฝ่ายเป็นห่วง แต่พอมีอะไรมากระทบแผล รพีพงศ์ก็มิอาจปกปิดความรู้สึกเจ็บปวดได้

“ท่านรพีพงศ์!!!...ฮึก…ฮือ..” สุดจะกลืนกลั้นสะอื้น นาคินทร์ร้องไห้ออกมาทันที รพีพงศ์ไม่อยากให้นาคินทร์นั้นรู้สึกผิดใดๆ จึงได้ลุกนั่งแล้วดึงนาคินทร์เข้ามาสวมกอดไว้ทันที

“ข้ามิเป็นอันใดแล้ว บาดแผลเพียงแค่นี้หาปลิดชีวิตข้าได้ไม่...เจ้าอย่าได้กรรแสงหรือเป็นกังวลอันใดเลย…นาคินทร์” น้ำเสียงทุ้มแผ่วเบากระซิบกระซาบข้างหู พระหัตถ์พลางลูบแผ่นหลังขาวเพื่อปลอบประโลม

“ข้ากลัว…ฮือ..กลัวว่าท่านจักเป็นอันใดไป…ฮึก…ฮือ” นาคินทร์เอ่ย รพีพงศ์ดันกายนาคินทร์ออกเล็กน้อยแล้วเชยหน้าสวยให้เงยขึ้นมาสบตาตน

“เจ้ามิได้ปรารถนาให้ข้าตายหรอกหรือ” รพีพงศ์ถามทั้งที่รู้คำตอบจากท่าทีของนาคินทร์อยู่แล้วก็ตามและเป็นไปตามที่คิดไว้นาคินทร์พยักหน้าเป็นคำตอบ

“หากข้าตาย เจ้าจักหลุดพ้นจากการเป็นเชลย อันที่จริงตอนข้าจมน้ำเจ้าก็มิต้องช่วยข้า ปล่อยให้ข้าตายก็ได้ เหตุใดเจ้าจึงช่วยข้าไว้”

“ไม่...ข้า…ข้าไม่ต้องการให้ท่านตาย หากท่านสิ้นชีพไปใครไหนเล่าจะปกป้องดูแลเชลยอย่างข้า ข้ายอมเป็นเชลยของท่านตลอดชีวิตเสียดีกว่า เห็นท่านเป็นอะไรไปต่อหน้าต่อตา...” นาคินทร์เอ่ย ทุกถ้อยคำล้วนออกมาจากใจ…‘หากท่านตายมันก็เหมือนใจข้าที่เป็นดั่งขอบฟ้าไร้ซึ่งแสงดวงตะวันสว่างกลางใจ  ข้ามิยอมให้คนที่ข้าคิดมอบหัวใจต้องสิ้นชีพดอก’… ถ้อยคำที่ร้อยเรียงเป็นคำตอบที่ทำให้รพีพงซ์รู้สึกดีดุจดั่งได้โอสถทิพย์มารักษากายใจ

“ถ้าเจ้าหมายที่จะเป็นเชลยของข้า เจ้าจะไม่มีสิทธิ์อันใดที่จะเป็นของๆ เจ้าอีก…เจ้าจักไร้ซึ่งอิสรภาพ แม้กายเจ้า...เจ้าก็จะมิได้เป็นเจ้าของ...” รพีพงศ์เอ่ย แม้นประโยคที่ได้สดับฟังจะเหมือนคำขู่ แต่สุรเสียงที่ใช้กลับทำให้นาคินทร์รู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก

นาคินทร์พยักหน้ารับ ว่าตนยินยอมถูกโซ่ตรวนนี้พันธนาการจองจำกักขังใจ  รพีพงศ์ยิ้มกว้างแล้วโอบเอวคอดให้ขยับมานั่งใกล้

(ต่อ)​
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.24 P.9 (30/08/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 30-08-2017 19:07:24


“เจ้ารู้หรือไม่...เกศานี้ก็เป็นของข้าเช่นกัน” รพีพงศ์ลูบเส้นผมดำขลับของนาคินทร์ ความละมุนของรพีพงศ์ส่งผลให้เจ้าของเส้นผมใจเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมาจากอก ยิ่งพอได้นั่งใกล้ก็กลัวเหลือเกินว่ารพีพงศ์จะได้ยินเสียงเต้นรัวของหัวใจตน

“แก้มนี้ก็เป็นของข้า” หัตถาที่ลูบเกศาเลื่อนลงมาลูบปรางค์ขาวนิ่ม นิ้วโป้งคอยเกลี่ยคราบน้ำตาแผ่วเบาจากการร้องไห้เมื่อก่อนหน้านี้ นาคินทร์เบือนหน้าเล็กน้อยไม่อยากให้รพีพงศ์เห็นใบหน้ายามขวยเขินของตน…แต่มีหรือจะเบือนหนีได้ไกลกลับถูกรพีพงศ์ชิงหอมแก้มขาวนี้เสียก่อน... ‘ท่านคิดจะแกล้งข้าให้กระดากอายหรือไร หารู้หรือไม่เล่าว่าข้านี้ทำตัวไม่ถูกแล้ว’...

“และริมฝีปากนี้เป็นของข้าเช่นกัน” รพีพงศ์ลากนิ้วโป้งมาแตะที่ริมฝีปากแดงสด หากสายตานั้นมิได้จ้องสนใจริมฝีปากแม้แต่น้อย นาคินทร์เห็นเงาในตาคมก็เห็นเงาสะท้อนใบหน้าของตน

“อื้อ..” เพราะมัวหลงเสน่ห์นัยน์ตารพีพงศ์จนไม่ทันระวังตัว ริมฝีปากนิ่มได้ถูกผู้อ้างสิทธิ์เป็นเจ้าของเข้าครอบครองแถมยังมอบรสจูบแสนหวานให้นาคินทร์ได้เคลิบเคลิ้มโอนอ่อนจูบตอบกลับอย่างไม่ช้าที

“อืม…” รพีพงศ์ครางเบาๆในลำคออย่างพอใจแล้วจึงถอนจูบ ครานี้รพีพงศ์กลับมาจ้องใบหน้างามของเชลยอีกครั้ง

แสงจันทราที่สาดส่องมาผ่านม่านน้ำตกแม้จะให้ความสว่างไสวไม่มากแต่ก็พอจะทำให้รพีพงศ์เห็นสีหน้าขัดเขินของนาคินทร์ได้ มันช่างน่าใคร่ยิ่งนัก

“นาคินทร์ทุกอย่างที่เคยเป็นของเจ้า…จักกลายเป็นของข้านับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป” รพีพงศ์เอ่ยเสียงพร่า แม้จะพยายามข่มกลั้นอารมณ์ที่กำลังปลุกปั่นกลางกายขยายตัว จนผืนผ้าห่มมิอาจปกปิดความต้องการนี้ได้ ซ้ำยังขึ้นรูปรอยจนนาคินทร์มองได้อย่างเห็นชัด  แต่รพีพงศ์ก็มิได้ล่วงเกินอะไรนาคินทร์เพิ่มเติมไปมากกว่าการโอบกอดและจูบหอม

…‘ข้าดีใจเหลือเกินที่ท่านรักษาสัตย์ที่มีให้กับข้า ทั้งยังเจ็บตัวเพื่อข้าอีก ’…   กลับกลายเป็นว่านาคินทร์นั้นเป็นฝ่ายโอบคอรพีพงศ์ให้โน้มลงมาแล้วมอบจุมพิตที่เป็นรางวัล บุตรแห่งสุริยเทพเดิมทีนั้นสะกดกลั้นอารมณ์ไม่ให้ทำอันใดนาคินทร์ไปมากกว่าจูบดั่งที่เคยให้คำสัตย์ หากเพลานี้เหยื่อเป็นฝ่ายเยื้องย่างเข้าปากราชสีห์เสียเองแล้วไซร้คงยากที่จะพ้นคมเขี้ยวที่หมายเคี้ยวแล้วกลืนลงคอ มือหนาสัมผัสกายนาคินทร์แล้วเปลี่ยนท่าให้นาคน้อยนั่งคร่อมตักตนเองไว้

“อ๊ะ!...ท่านรพีพงศ์!! ข้าไม่เล่นด้วยนะ” นาคินทร์ละริมฝีปากออกเมื่อถูกรพีพงศ์จัดให้อยู่ในท่าทางชวนล่อแหลม พอจะลุกออกกลับถูกกอดแน่นจนร่างกายแนบชิดไปทุกสัดส่วน

“แล้วใครบอกว่าข้าเล่น เจ้าจูบข้าทำให้ข้าเกิดกำหนัด เจ้าต้องรับผิดชอบข้าด้วย”

“ข้าเพียงจะให้รางวัลท่านเพียงเท่านั้นเอง ข้าขอโทษที่ข้าไม่คิดหน้าคิดหลังทำให้ท่านเกิดกำหนัดนี้” นาคินทร์เองรับความผิดเสียดื้อๆ ยิ่งทำให้รพีพงศ์ชอบใจ

“รางวัลแค่จูบไม่เพียงพอดอกนะ สำหรับข้ามันต้องมากกว่านี้” รพีพงศ์เผยอยิ้มร้ายแล้วเริ่มรวบรัดนาคินทร์ให้เป็นเชลยของตนเพียงผู้เดียวอย่างสมบูรณ์แบบ

“ฮื้อ…อ่ะ…ท่านรพีพงศ์” เสียงครางหวานเปล่งออกมายามที่จมูกโด่งฝังเข้าตรงซอกคอสูดดมกลิ่นกายหอม ไหนจะริมฝีปากที่คอยสร้างรอยไปพร้อมกัน

นาคินทร์หาได้รู้ตัวเลยว่ายิ่งตนส่งเสียงร้องครวญครางออกมามากเท่าใด รพีพงศ์ก็ยิ่งคึกคะนองต้องกำหนัดตัณหามากเท่านั้น มือข้างหนึ่งลูบไล้เอว มืออีกข้างคอยนวดคลึงแผ่นอกขาวจนแดงเป็นรอยมือ

“เจ้าต้องการข้าใช่หรือไม่นาคินทร์  ดูเหมือนเจ้าจะมีอารมณ์ร่วมกับข้าแล้ว ตอบมาสินาคินทร์ตอบมา...” รพีพงศ์แกล้งพูดแค้นเอาคำตอบให้ร่างบางอาย แล้วก้มหน้าลงเปลี่ยนเป้าหมายมาดูดชิมยอดอกสีสวยที่แข็งขันสู้มือเมื่อก่อนหน้านี้  จนเกิดเสียงครวญครางมิขาดสาย… ‘ท่านรพีพงศ์ท่านพูดถูก ข้านั้นมีอารมณ์...‘อารมณ์รัก’...ท่านเสียแล้ว’…

ใจชายฮึกเหิมด้วยกำหนัด ทำให้รพีพงศ์ลืมความเจ็บปวดจากบาดแผลไปเสียสิ้น เมื่อมิอาจห้ามรพีพงศ์ให้หยุดการกระทำนี้ได้... ไม่สิ...นาคินทร์มิได้ห้ามปราม เพราะใจนั้นอยากให้รพีพงศ์สัมผัสและจับต้องตนจะแย่ จึงปล่อยกายให้หัวใจนำพา เริ่มด้วยแอ่นอกเข้าหา ท่อนล่างก็ขยับเบียดสะโพกเข้าถูกับแก่นกายไปมาผ่านภูษาที่แทรกกั้น ก่อนจะดึงภูษาแสนรุ่มร่ามให้ออกไปแล้วจับแก่นกายตนและรพีพงศ์เอาไว้ในมือเดียว

“อ่า..อ่ะ..อ่า….” มือนิ่มขยับรูดรั้งอย่างช้าๆ แล้วเพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆ ตามปลายลิ้นที่คอยตวัดรัวยอดอก

“อ่า..า…ดีเหลือเกิน” นาคินทร์ร้องบอกมือก็เร่งขยับจนมีน้ำสีใสปริ่มออกมาเปรอะเปื้อนมือ นาคินทร์จึงหยุดปลุกปั่นจนรพีพงศ์ที่ค้างคาเงยหน้าขึ้นมอง พบว่านาคินทร์กำลังลากลิ้นเลียน้ำสีใสตามนิ้วมือทั้งห้าพร้อมมองหน้ารพีพงศ์ไปด้วย

‘เป็นเพียงเชลย…คิดจะยั่วยวนข้าให้ลุ่มหลงไปถึงไหน…คืนนี้เห็นทีข้าจักต้องทำโทษ เชลยอย่างเจ้าหนักๆ เสียแล้ว’

คิดได้ดังนั้นรพีพงศ์ดันกายนาคินทร์ให้นอนราบ พิศเพ่งกายงามที่เคยสัมผัสด้วยกำลังเมื่อกาลก่อน เหตุใดเล่ากายนาคน้อยถึงช่างยั่วยวนชวนให้ลุ่มหลงในกามเช่นนี้ ยิ่งต้องแสงจันทร์แม้เพียงน้อยนิดก็ยังงดงามเสียจนรพีพงศ์แทบอดทนไม่ไหว

“ข้ายินดีที่จักเป็นเชลยของท่านไปตลอดกาล” นาคินทร์เองรู้ว่าคนบนร่างคิดเช่นไรจึงใช้นิ้วเรียวลูบไล้สันกราม ทั้งใช้คำพูดเป็นการเชิญชวนให้รพีพงศ์เร่งตีตราตน

“ถึงเจ้าไม่ยินดี หากข้านี้จักทำให้เจ้าเป็น...เชลยของข้า...อยู่ดี” รพีพงศ์จับขาเรียวให้แยกออกแล้วลูบไล้ไปตามขาอ่อนลงมาถึงบั้นท้ายนิ่ม ลูบวนอยู่อย่างนั้นพร้อมกับใช้ สายตาจ้องมองใบหน้าเหยเกแสนเย้าอารมณ์ของคนใต้ร่างไปด้วย ยิ่งตอนที่ตนแกล้งนวดเค้นให้ปลายนิ้วสัมผัสช่องทางรัก กายนาคินทร์นั้นสั่นระริกด้วยปลายเท้าจิกกับพื้นหินสร้างความสุขใจให้กับรพีพงศ์ยิ่งนัก

“ทะ..ท่านรพีพงศ์…อย่าแกล้งข้า” นาคินทร์ร้องขอแต่ไม่เป็นผล รพีพงศ์ละมือข้างหนึ่งที่ขย้ำเนื้อนวลมาใช้เพียงนิ้วลูบวนตามรอยจีบสีสด

“อึก..อ๊า….” เพียงนิ้วเดียวที่ชำแรกเข้าไป นาคินทร์กลับรู้สึกอึดอัดปนหน่วง…แต่ดีเหลือเกิน ดีเสียจนปั่นป่วนวาบหวิวอยู่ในช่องท้อง แม้นี่ไม่ใช่ครั้งแรกในการร่วมรัก แต่สำหรับนาคินทร์นั้นห่างหายเรื่องแบบนี้มาได้สักพัก พอได้กลับมาถูกเร้าสัมผัสอีกครา ก็เหมือนตนได้รับประสบการณ์ที่เร้าร้อนนี้อีกครั้ง

“อ่ะ..อ่า…อ่า…” นาคินทร์ครวญครางยามรพีพงศ์ขยับนิ้วเข้าออกเนิบนาบ ไหนจะเพิ่มนิ้วหมุนวนในช่องทางให้พร้อมที่จะรองรับความใหญ่โตที่มีมากกว่านิ้วมือหลายเท่านี่อีก รพีพงศ์ไม่ต้องการใช้ความรุนแรงกับนาคินทร์ดั่งที่ตนเคยได้ทำเมื่อครั้งก่อน เทพหนุ่มจึงตั้งอกตั้งใจค่อยๆ มอบความสุขเสียจนนาคินทร์ดิ้นพล่าน

“อื้อ..ท่านรพีพงศ์…ข้า…อึก.อ่า..” เอ่ยมาเพียงเท่านี้ ผู้ถูกเรียกขานรู้ทันทีว่านาคน้อยต้องการอันใด ยิ่งผนังภายในบีบรัดนิ้วก็ยิ่งตอกย้ำในสิ่งที่คิด รพีพงศ์จึงดึงนิ้วออกโดยพลันทำให้สะโพกแน่นยกลอยขึ้นมาตามนิ้วไปด้วย เพราะเห็นว่าถึงกาลอันสมควรแล้วจึงจับแก่นกายร้อนจ่อที่ปากทาง หากมิได้เสือกแทรกเข้าไปภายในเนื้อนุ่ม รพีพงศ์กลับทำเพียงถูไถไปตามร่องบั้นท้ายเท่านั้น

“อื้อ..ท่านใจร้าย..อ่า.ใจร้าย…” นาคินทร์ตัดพ้อเพราะโดนแกล้ง รพีพงศ์ส่ายหน้าให้กับความกระเง่ากระงอดที่ดูแล้วรู้สึกเอ็นดูจนอยากจะแกล้งหนักๆ

“นาคินทร์กอดข้าสิแล้วข้าจะทำในสิ่งที่เจ้าต้องการ” รพีพงศ์เอ่ยกระซิบข้างใบหูนิ่มเสียงแหบพร่า ช่างน่าขันนักแกล้งเขาแต่ตนนั้นทรมานเสียได้ นาคินทร์รีบทำตามไม่คิดขัดใจ รีบลุกขึ้นเอนหลังไว้กับผนังถ้ำแล้วใช้แขนทั้งสองข้างกอดร่างสูงแน่น เมื่อนาคินทร์กอดรพีพงศ์แล้ว บุตรแห่งทินกรก็ใช้แขนทั้งสองค้ำยันผนังถ้ำเป็นการกักตัวนาคินไว้ ตามด้วยแทรกแท่งร้อนเข้าไปในกายบางทีละนิดเพื่อที่นาคินทร์จะได้ไม่เจ็บมาก

“อ่า.า…นาคินทร์..เจ้าเจ็บหรือไม่เล่า”

“อ่ะ.…อ่า...ท่าน..ท่านรพีพงศ์..ข้าเจ็บเพียงเล็กน้อยท่านอย่ากังวลเลย”

…‘แม้จักเจ็บกว่านี้ข้านั้นก็เป็นสุข ในเมื่อความเจ็บนี้มันเป็นเครื่องยืนยันว่าข้านั้นเป็นของท่าน’…

พอผสานกายเข้าไปจนสุดแล้วรพีพงศ์รอให้ร่างกายของนาคินทร์นั้นปรับตัวให้คุ้นชินก่อน จึงเริ่มขยับโยก ให้แก่นกายใหญ่เสียดสีกับเนื้อภายแสนร้อนผ่าวกระตุ้นอารมณ์ดิบในตัวรพีพงศ์ยิ่งพลุ่งพล่าน พอๆ กับหยาดเหงื่อที่ผุดพรายอาบร่างทั้งสองไม่ต่างจากหยดน้ำ

‘จุ๊บ..จุ๊บ’ ร่างสูงโน้มสร้างรอยราคีตีตราตามเนินไหล่และเนินอกราวกับต้องการให้ใครที่มาเห็นจักได้รู้ว่านาคินทร์เป็นของตนเพียงผู้เดียว ด้านนาคินทร์เองไม่ยอมให้รพีพงศ์ทิ้งร่องรอยเพียงฝ่ายเดียว ตนนั้นได้ฝากรอยข่วนไปทั่วทั้งแผ่นอกกว้างเป็นทางยาวเช่นกัน

“อ่า...อ่ะ..อ่า…อ๊ะ..” นาคินทร์ครางกระเส่าร่างกายสั่นโยกไปตามแรงกระแทก

“อืม..ม…ข้างในเจ้าบีบรัดข้าเสียจริง” กล่าวชมคนงามที่บีบรัดแกนกายอย่างต่อเนื่องจนรพีพงศ์อยากปลดปล่อยเสียเดี๋ยวนั้น

“ระ…แรงอีกได้หรือไม่..อื้อ..”

ไม่ว่านาคินทร์ขอร้องสิ่งใด ทุกครารพีพงศ์มักจะแกล้งให้ขัดใจ แต่เห็นทีเรื่องนี้คงจะเป็นเรื่องเดียวที่เทพหนุ่มละเว้น ไว้ ในเมื่อคนงามขอให้ทำรักแรงๆ มีหรือจะไม่สนองให้ รพีพงศ์กระแทกกระทั้นแก่นกายหนักหน่วงเสียลืมความเจ็บจากแผลช่วงเอวของตนเสียสนิท

“อือ...นาคินทร์”

“ท่านรพีพงศ์ตรงนั้น..อ่า..ตรงนั้น..อื้อ..ลึก..ลึกไปแล้ว”

“อ่า…เรียกข้าว่าท่านพี่สิ..อืม...นาคินทร์เรียกข้าว่า...ท่านพี่” ไม่รู้สิ่งใดดลใจให้รพีพงศ์อยากฟังคนงามเอ่ยเรียกตนด้วยสรรพนามที่เปลี่ยนไป

“ท่านพี่รพีพงศ์…อ่า…ท่านพี่..อ่ะ..ท่านพี่รพีพงศ์” นับว่าคุ้มที่เอ่ยขอ เสียงหวานเรียกตนว่าพี่ทำให้รพีพงศ์มีแรงฮึดโหมไฟราคะผ่านการขยับแก่นกายเข้าออกจนนาคินทร์สุขล้นกับสิ่งที่รพีพงศ์มอบให้

“พี่รพีพงศ์…ข้าจะไม่ไหวแล้ว..อื้อ..”

“อดทนอีกนิด..อ่า…ไม่นานแล้ว…อ่า”

“อ๊า!!”

สิ้นเสียงครางแสนสัปดลของนาคินทร์ หยาดน้ำสีขาวขุ่นถูกปลดปล่อยเปรอะเปื้อนหน้าท้องราบของตนพร้อมกับรพีพงศ์ที่มอบไฟรักเข้าไปในกายจนนาคินทร์รู้สึกร้อนวาบมากกว่าอุ่น 

“พอหรือยัง...นาคินทร์...” รพีพงศ์เอ่ยถาม

“พอแล้ว...ข้าเหนื่อย...”  นาคินทร์ตอบไปอย่างแผ่วเบาเพราะ ศึกสวาทเมื่อครู่นั้นทำเอาเรี่ยวแรงหดหาย ทำเอาดวงตาจะปิดเสียให้ได้

แต่...เมื่อได้ใคร่แล้วมีหรือครั้งเดียวจะเพียงพอ ไฟแรงกำหนัดเทพหนุ่มนั้นเหมือนโคถึกที่กำลังคึกลุกโชน

“ข้าขออีกครั้งหนึ่งได้หรือไม่...” นาคินทร์มิทันจะได้ตอบอะไร รพีพงศ์ก็เริ่มปลุกเร้าให้นาคเชลยในมีอารมณ์ร่วมกับตนอีกครั้ง นำพาให้จิตดำดิ่งสู่ห่วงกามตัณหา ดั่งภาพเมื่อครู่ที่ฉายซ้ำย้อนไปมาวนเวียน จะพลัดเปลี่ยนไปบ้างก็ช่วงที่นาคินทร์ขึ้นไปอยู่ด้านบนแล้วนั่งทับกลางกายรพีพงศ์ขึ้นลงอย่างเอาแต่ใจ

ครั้งแล้วครั้งเล่าที่หยาดน้ำรักทั้งสองถูกปลดปล่อย จนเวลาล่วงเลยจนจะเข้าใกล้สู่เวลาเช้ามืด ร่างกายมาถึงขีดจำกัดทั้งคู่จึงหยุดการสังวาสนี้ลง รพีพงศ์จรดริมฝีปากจูบกลางหน้าผากและดวงตาทั้งสองข้างก่อนจะหอมแก้มขาวนิ่มเป็นการประทับรอยขั้นตอนสุดท้าย ก่อนจะถอนกายออก จากนั้นก็ตระกองกอดนาคินทร์ที่หอบกระเส่าไว้ให้นอนลงหนุนแขนก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทรา

นาคาแสนงามมิสามารถนอนหลับได้เสียแล้วด้วยความสุขที่ล้นใจ ยามหลับตาคราใดภาพที่ถูกสุริยะบุตรลงโทษด้วยรักมักจะฉายแวบเข้ามา นาคินทร์มองใบหน้ายามหลับของผู้ที่ตระกองกอดแล้วจุมพิตที่ปลายคางอย่างหลงใหล

‘ฟิ้ว..’ เสียงลมพัดผ่านผิวขาวให้หนาวเหน็บ หากพระพายนั้นไม่ได้ส่งสายลมมาทางม่านน้ำตกแต่เป็นด้านในถ้ำที่อยู่ลึกเข้าไปอีก นาคินทร์ขมวดคิ้วสงสัยว่าสายลมนี้ผ่านพัดเข้ามาได้อย่างไร  นึกอยากจักเข้าไปสำรวจในคูหา

นาคินทร์ลุกออกจากรพีพงศ์อย่างระวังเพราะเกรงว่าจะทำให้เทวาหนุ่มต้องตื่น ทั้งไม่ลืมหยิบผ้าห่มคลุมกายให้รพีพงศ์ ส่วนตนนั้นเดินเปลือยเปล่าทนหนาวเข้าไปด้านใน

ศุกลจากจันทราสาดส่องลงผ่านช่องว่างขนาดใหญ่ของเพดานถ้ำ แสงนวลกระทบหินงอก หินย้อย ทั่วบริเวณช่างสวยงามมิต่างจากวิมานเทพยาดา ณ คูหาแห่งนี้

ร่างอรชรตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่ได้เห็น …‘ลมเมื่อครู่คงมาจากที่นี่’… เมื่อคลี่คลายข้อข้องใจได้แล้ว นาคินทร์ก็นั่งลงบนแท่นศิลาแล้วเงยหน้ามองความงดงามบนท้องนภาผ่านช่องลมนั้น ด้วยว่าท้องฟ้าแห่งโลกหิมพานต์นั้นอยู่ใกล้กว่าโลกมนุษย์  หมู่ดวงดาวทั้งหลายจึงสวยงามกว่ามาก นาคน้อยนึกถึงวัยเยาว์ที่ตนเคยหนีมารดาว่ายโผล่ขึ้นเหนือผิวน้ำ เพียงเพราะอยากจะดูพระจันทร์รวมถึงหมู่ดาราจนถูกมารดาดุเสียบ่อยครั้ง นึกแล้วนาคินทร์นั้นอดยิ้มและคิดถึงมารดาเสียมิได้

‘ฟอด’ นาคินทร์มัวนั่งเหม่อลอยถูกหอมแก้มฟอดใหญ่ พอจะขยับกายหันไปดูก็ถูกกอดจากด้านหลังทั้งห่มผ้าคลุมกายไว้มิดชิด

“ท่านรพีพงศ์…”

“ใช่ข้าเอง…เจ้าไปไหนไยไม่บอกข้า รู้หรือไม่ข้าควานกอดเจ้าไม่เจอจนคิดว่าเจ้าได้ข้าแล้วทิ้งข้า หนีข้าไปเสียอีก” รพีพงศ์เอ่ยน้ำเสียงจริงจังขัดกับถ้อยคำที่ลั่นวาจาออกมา

“ท่านพูดอันใด ไม่อายบ้างหรือ…ใครกันว่าข้านั้นได้ท่าน มีแต่…ท่านที่ได้ข้า...” นาคินทร์ตอบไปด้วยหน้าแดงก่ำ

“เจ้าต่างหากที่ไม่อาย มานั่งเปลือยกายเยี่ยงนี้ได้อย่างไรเล่าแถมเจ้ายังยิ้มอีก เจ้ากำลังคิดถึงผู้ใดบอกข้ามา”

“ข้าเพียงสำรวจถ้ำแล้วที่ข้าเปลือยกายเพราะข้านั้นอยากให้ท่านได้ห่มผ้าและที่ข้ายิ้มเพราะข้านึกถึงตอนข้านั้นยังเด็กเพียงเท่านั้น” นาคินทร์ตอบ ในใจคิดว่าถ้าตนไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไป รพีพงศ์นั้นกำลังหวงตนอยู่

“ข้าคิดว่าเจ้าคิดถึงใครเสียอีก… เจ้าห้ามคิดถึงใครอื่นที่มิใช่ข้า…นี่คือคำสั่ง” รพีพงศ์เอ่ยคำสั่งออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแถมประโยคที่พูดนั้นราวใช้เอ่ยกับคนรัก … ‘เจ้าเป็นของข้าเต็มตัวแล้วรู้หรือไม่นาคินทร์…’

“ข้า..ข้ารู้แล้ว” นาคินทร์ตอบพร้อมก้มหน้างุดซุกอกรพีพงศ์ไม่ออกห่าง นาคินทร์รู้สึกดียิ่งนักอยากจะหยุดเวลาเอาไว้เสียจริง 

“ดีมาก รู้แล้วก็จำไว้ด้วยเล่าว่าข้าเป็นใคร แล้วเจ้าเป็นใคร ไม่เช่นนั้นข้าจะทำให้เจ้าเป็นของข้าเช่นนี้อีก” ช่างเป็นคำขู่ที่ฟังดูหื่นกามจนนาคินทร์รู้สึกหมั่นไส้ นาคน้อยเพียงได้แต่คิดมิได้พูดออกไป ... ‘ท่านเป็นใครน่ะหรือ...ท่านก็เป็นผัวข้าน่ะสิ...แล้วข้าก็เป็นเมียท่าน’... แต่สิ่งที่พูดออกไปนั้นคือ...

“ท่านนั้นช่างหมกมุ่นเสียจริง…นี่แหนะ” นาคินทร์แสร้งดุแล้วตีรพีพงศ์เบาๆ แต่กลับไปโดนแผลเสียของรพีพงศ์เสียได้

“โอ๊ย!! แผลข้า” รพีพงศ์แสร้งทำทีร้องอย่างโอดโอย

“สมน้ำหน้าท่านอยากพูดจาเรื่องลามกทำไมเล่า อีกอย่างข้าตีท่านเบามือหาได้ลงแรงไม่ไยจึงร้องโอดโอย ทีท่านออกแรง...เอ่อ..”

“ออกแรงอันใดเล่าไยเจ้าไม่พูดให้จบประโยค แล้วเรื่องลามกน่ะเราทั้งสองก็ทำมันกันทั้งคืนมิใช่หรือ...” รพีพงศ์รู้ดีว่านาคินทร์ต้องการพูดอะไรต่อแต่ที่เงียบคงเพราะเขินอาย

“ไม่รู้ล่ะข้าจักไม่พูดกับท่านแล้ว” นาคินทร์แกล้งทำเป็นงอนกลบเกลื่อนความเขินอาย

“โธ่เอ๋ย…เชลยของข้าโกรธเคืองข้าเสียแล้ว  เออ...จริงสิ ข้านั้นลืมไปเสียสนิท สงสัยนักว่าสายฟ้าที่ฟาดมาระหว่างข้ากับกระบือของพระอังคารในตอนนั้นเป็นของผู้ใด นาคินทร์เจ้าพอจะรู้หรือไม่” รพีพงศ์นึกขึ้นได้ว่านอกจากตนจะรอดตายเพราะนาคินทร์ช่วยไว้แล้วนั้น ยังมีอสุนีบาตที่ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือใครจงใจถึงได้ผ่าเปรี้ยงลงมาได้ทันเวลาพอดี

“ข้าเองมิรู้หรอกว่าผู้นั้นเป็นใคร แต่ข้าได้ยินพระอังคารเรียกเอ่ยนามนั้นว่า...พระราหู...ออกมา” นาคินทร์ตอบ

“อะไรนะ พระราหูกระนั้นหรือ...” นับว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดสำหรับรพีพงศ์ ที่พระราหูออกโรงมาช่วยตนให้พ้นภัยจากพระอังคาร ด้วยวงศาทินกรไม่ถูกกับพระราหูเนื่องด้วยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อนหลายต่อหลายครา หากได้พานพบประสบพักตร์เมื่อใดพระราหูจักต้องกลืนกินพระอาทิตย์อยู่เสมอ

“มีอันใดหรือท่านรพีพงศ์ เหตุใดถึงหน้านิ่วคิ้วขมวด” นาคินทร์เอ่ยถามหลังสังเกตสีหน้าของรพีพงศ์ที่เหมือนมีปัญหากลัดกลุ้มคิดไม่ตกอยู่ภายในใจ

“เจ้ากับพระราหูนั้นเคยรู้จักกันมาก่อนหรือไม่” รพีพงศ์ไม่ตอบแต่กลับเป็นฝ่ายถามแทน

“ข้าเคยได้ยินนามเทพผู้มีชื่อนี้มาบ้าง  ด้วยว่าเป็นที่เกลียดชังและเกรงกลัวของเหล่ามนุษย์โลก แต่ข้าก็ไม่เคยได้พบพานหรือรู้จักเป็นการส่วนตัวนั้น...” นาคินทร์ตอบน้ำเสียงจริงจัง แม้จะงวยงงว่าเหตุใดรพีพงศ์จึงถามตน

“อืม ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด การครั้งนี้เทพพระราหูช่วยพวกเราไว้ เช่นนั้นข้ากับเจ้าเป็นหนี้บุญคุณเทพพระราหูเสียแล้วที่ทำให้ข้ากับเจ้ารอดมาได้ ถ้ามีโอกาสข้าสัญญาว่าจะตอบแทนพระราหูที่ช่วยเหลือเราสองไว้” รพีพงศ์เอ่ย นาคินทร์พยักหน้าเห็นด้วย ในเมื่อหาคำตอบไม่ได้รพีพงศ์ก็เลือกที่จะเปลี่ยนความคิดหาเหตุผลเป็นหาโอกาสตอบแทนคุณเทพพระราหูเสียดีกว่า...

“เสร็จการเรื่องของชลันธรแล้ว เจ้าคิดจะทำการอันใดต่อหรือไม่...” รพีพงศ์เบี่ยงพูดเรื่องใหม่เพราะไม่อยากให้คนในอ้อมแขนคิดมาก 

“ข้าไม่มีที่ไปอีกแล้ว...จักลงน้ำกลับไปหาท่านแม่ก็มิได้...ข้านั้นไร้จุดหมาย...ก็คงจะแล้วแต่ท่านรพีพงศ์...”  นาคินทร์เสียงอ่อนลงเพราะไม่รู้จุดหมายในชีวิตจริงๆ  ในเมื่อกายใจนั้นมอบไว้ให้รพีพงศ์ก็สุดแท้แต่เทพหนุ่ม

“หากแล้วแต่ข้า...เจ้าจะต้องกลับไปอยู่ที่วิมานพระอาทิตย์กับข้า...”  รพีพงศ์เอ่ย

“นาคชั้นต่ำเช่นข้ามิสมควรจะอยู่ในวิมานเทพ...ข้าคงไม่มีที่ยืนสำหรับที่แห่งนั้น”  นาคินทร์รู้กฎเกณฑ์สวรรค์ดีว่าตนนั้นต่ำศักดิ์นัก มิสมควรอยู่ร่วมด้วยเหล่าเทวาชั้นสูงบนสวรรค์

“ข้าจะทำให้เจ้าได้อยู่ที่นั้น... โปรดเชื่อใจข้า นาคินทร์...” รพีพงศ์ให้คำสัตย์ไว้แต่มิรู้ว่านาคินทร์จะเชื่อใจตนหรือไม่

“ตกลง...ข้าเชื่อใจท่าน...”  รพีพงศ์หอมแก้มขาวอีกคราเมื่อได้คำตอบที่ต้องใจ นาคินทร์ตอบตกลงเพราะเชื่อใจ  แต่ก็มิรู้ว่าตนจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ที่นั้นได้ด้วยเหตุใด  แต่เมื่อเลือกที่จะเชื่อใจรพีพงศ์แล้ว นาคินทร์ก็อยากจะรู้เช่นกันว่าเหตุการณ์ข้างหน้ารพีพงศ์จะทำเช่นไร 

“หอมอีกแล้ว...” นาคินทร์เอ่ยเพราะเทวาหนุ่มนั้นล่วงเกิน

“ก็บอกไว้แล้วมิใช่หรือ ว่าแก้มขาวนี้เป็นของข้าไม่ใช่ของเจ้า...ไยข้าจะหอมมิได้...”  รพีพงศ์ย้ำเตือนในสิ่งที่นาคินทร์เลือกอีกครา 

“แล้วท่านหากจะกลับไปวิมานพระอาทิตย์แล้ว...ท่านคิดจะทำการอันใดต่อ...”  นาคินทร์ที่กำลังเขินในสิ่งที่รพีพงส์ย้ำเตือน จึงสร้างเปลี่ยนเรื่องสนทนาแล้วถามกลับ

“ข้าก็คงจะกลับวิมานรอรับตำแหน่งพระอาทิตย์องค์ต่อไป เพราะว่าพระบิดาใกล้จะหมดวาระแล้ว...แต่ก่อนหน้านั้น คงจะเหาะเหินเที่ยวเล่นไปเรื่อย...แล้วเจ้าอยากจะไปเที่ยวเล่นที่ไหนบ้างหรือ...” รพีพงศ์ถามกลับ

“จริงๆ แล้วข้าก็ไม่ได้ไปที่ไหนมากนักหรอก แต่มีสถานที่หนึ่งที่ข้าเคยได้ยินมาว่ามันเป็นสถานที่ที่สวยงามมาก...” รพีพงศ์รอฟังคำตอบจากนาคินทร์อย่างใจจดใจจ่อ 

“ทางช้างเผือก  ใช่แล้ว...ข้าอยากไปทางช้างเผือกสักครั้ง”  นาคินทร์นึกได้จึงตอบออกมา

“ทางช้างเผือกนะหรือ ข้าไปจนเบื่อแล้ว…”  เสียงเทพหนุ่มฟังดูแล้วเหมือนเบื่อหน่ายจริงๆ 

“แต่ข้าไม่เคยไป ตั้งแต่เกิดมาข้าอยู่แต่ใต้มหาสมุทร ได้ฟังนาคชั้นสูงเล่าให้ฟังว่าทางช้างเผือกงดงามมาก ราวถูกสร้างมาด้วยไข่มุกรวมถึงอัญมณีมีค่ามหาศาล ข้าได้ฟังแล้วข้าจึงอยากไปให้ได้สักครั้ง แต่ฤทธิ์เดชของข้าเองก็มิมากพอที่จักขึ้นไปเหยียบย่างบนสวรรค์หรือว่าไปทางช้างเผือกได้ จึงทำได้เพียงมองดูหมู่ดาวจากบนพื้นปฐพีนี้แทน” นาคินทร์เศร้าสลดจนรับรู้ได้ผ่านน้ำเสียง

“ก็ได้...ข้าจักพาเจ้าไปทางช้างเผือก เพียงเจ้าเรียกข้าว่า...ท่านพี่...และขอร้องข้าอีกรอบ”  รพีพงศ์ยื่นข้อเสนอ นาคินทร์ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่าไยถึงให้เรียกเช่นนี้

“ท่านพี่ หรือ...” นาคินทร์สงสัย เพราะคำนี้มันเป็นคำที่คนรักมาจะใช้เรียกกัน เหมือนที่ชลันธรเรียกท่านนภนต์ว่าท่านพี่  และเหมือนกับตอนที่....

“ใช่ ข้าอยากให้เจ้าเรียกข้าว่าท่านพี่มากกว่า...เหมือนตอนที่เรากำลัง...”  เทพหนุ่มลูบไล้ปรางงามก่อนจะอดใจมิไหวหอมแก้มขาวนี้อีกครา...

“ไม่ดีกว่า ข้ารู้สึกไม่คุ้นชินเท่าไหร่  ข้าชอบจะเรียกท่านว่า ท่านรพีพงศ์ มากกว่า...” นาคินทร์ปฏิเสธไปถึงแม้ว่ารพีพงศ์อยากให้เรียก ถึงจะไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นนักและเข้าใจว่ารพีพงศ์นั้นคิดเช่นไร แต่นึกขึ้นได้ว่า คำนี้กนธีก็เคยให้เรียกเช่นกัน... ซึ่งมันทำให้นึกถึงช่วงเวลานั้น...ที่นาคินทร์ถูกขับไล่จากวิมานพระสมุทร 

“อย่างนั้นก็แล้วแต่เจ้า...” รพีพงศ์มิได้บังคับอันใดต่อ เพียงหอมเส้มผมกลางกระหม่อมของนาคินทร์...นาคน้อยยังแปลกใจว่านี่นั้นมิใช่นิสัยของรพีพงศ์ที่ส่วนมากกับตนแล้วก็จะมักเอาแต่ใจตัวเองเสมอ ไยถึงยอมตามใจตนง่ายๆ เช่นนี้  ริมฝีปากบางกลับมีรอยยิ้มน้อยๆ ขึ้นมา…‘น่ารักเสียจริงเชลยของข้า’…รพีพงศ์คิดเช่นนั้นเมื่อได้เห็น

“เอาเป็นว่า…ข้าจะพาเจ้าไปทางช้างเผือกแต่หลังจากช่วยเหลือเทพนภนต์และชลันธรให้สำเร็จเสร็จสิ้นภารกิจเสียก่อน เจ้าจะรอได้ไหม...” รพีพงศ์กลัวว่าจะนาคินทร์จะเลิกล้มความคิดจึง ยอมตกลงที่จะพาไปโดยนาคินทร์มิได้อ้อนอย่างที่หวัง...

“ข้าจะรอ…นานแค่ไหนข้าจะรอ…ให้ท่านพาข้าไปทางช้างเผือก...” หลังจากนาคินทร์เอ่ยเสียงอ่อนลงทุกอย่างก็เงียบสงบ พอรพีพงศ์ก้มดูก็พบว่านาคินทร์ได้เข้าสู่ห้วงนิทราไปเสียแล้ว

...‘รอข้าหน่อยนะนาคินทร์…รอให้ข้ามีความมั่นใจกว่านี้อีกสักหน่อย เมื่อถึงวันที่เราสองได้ไปเยือนทางช้างเผือกด้วยกัน ข้าสัญญาว่าข้าจะบอกความในใจของข้า...กับเจ้า…และเมื่อข้าได้ตำแหน่งพระอาทิตย์แล้วข้าจะมอบที่ยืนที่สูงที่สุดในวิมานพระอาทิตย์กับเจ้า...นาคินทร์’…



















.........................................................

บอกให้รอก็จะเฝ้ารอ...

รอเธอไปอย่างนี้...

รอจนรู้สึกดีที่จะตอบรัก



ในที่สุดเราก็ได้กู้ภัยใต้น้ำชั้นเยี่ยมเข้าไปช่วยรพีพงศ์นะคะ กู้ภัยก็ไม่ใช่ใคร นาคินทร์ผู้นี้นี่เอง!!!!

พอช่วยขึ้นมาทำให้ฟื้นรพีพงศ์ก็นิสัยไม่ดีค่ะ ไม่สำนึกบุญคุณแทนที่จะปล่อยเชลย รพีพงศ์กลับตีตราจองจำเชลย ทั้งสร้างรอยสัก ตรึงกายฝังร่าง คือแกเจ็บเอวอยู่หรือเปล่า? ควายพาหนะขวิดเข้าที่เอวยังจะมีอารมณ์ลงโทษเชลยอีก โว๊ะ!!! ไม่ได้ทำอะไรสร้างสรรค์แบบนภนต์กับชลันธรที่ตีดาบเลยค่ะ55555 แต่ที่น่าตีคือหนูคินทร์ยินยอมนี่สิ (กรีดร้อง)

เอาล่ะค่ะหลังจากที่ฟังไรท์พร่ำเพ้อ หวังว่าจะชื่นชอบนะคะ Nc สองตอนติด ไม่รู้ว่าจะเบื่อไหม

สุดท้ายต้องขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมาเม้นมาเป็นกำลังใจนะคะ ดีใจมากที่ได้อ่านคอมเม้น ได้รู้ว่าคนอ่านคิดเห็นเป็นเช่นไร รักนะคะ



หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.24 P.9 (30/08/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: แม่น้องเปา ที่ 30-08-2017 20:17:26
ชอบค่าาา nc 2ตอนติด เลิฟๆ   :m25: :m25: :m25:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.24 P.9 (30/08/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 31-08-2017 08:25:54
เห็นคำว่าทางช้างเผือกแล้วนึกถึงอังสุมาลินกับโกโบริ (หัวเราะ)
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.25 P.9 (02/09/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 02-09-2017 09:31:48


สาปรัก…ทัณฑ์เทวา

Writer : Tan-Yung 0209

File : 25













ความสุขสมของสองคู่รักอบอวลปกคลุมไปทั่วทั้งผืนป่า ผิดกับสวรรค์ชั้นฟ้าในเวลานี้ ณ สภาเทวาที่ใช้สำหรับชุมนุมกันของเหล่าทวยเทพชั้นสูง บัดนี้กลับปกคลุมไปด้วยความตึงเครียดท่ามกลางความเงียบสงัด... เมื่อเจ้าของบัลลังก์ทองผู้รั้งตำแหน่งสูงสุดในไตรภพกำลังมองคาดโทษยักษ์เทพครึ่งนาคาอย่างพระราหู

“พระองค์เรียกข้ามาเข้าเฝ้า  มิทราบว่ามีเหตุหรือมีเทวประสงค์อันใดหรือ…” พระราหูเอ่ยถาม ในคราแรกพระราหูคิดว่ามีการชุมนุมกันแต่พอเคลื่อนกายข้ามผ่านธรณีประตูจำหลักเข้ามาด้านในท้องพระโรงแล้วกลับมีเพียงพระผู้สร้างเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น

“เราคิดว่าที่เรียกท่านมาพบในวันนี้...ท่านจะรู้ตัวแล้วเสียอีกว่าทำอะไรไว้...เอาเป็นว่าที่เราเรียกท่านมานั้นก็เพราะ...เรื่องท่านเข้าไปวุ่นวายในป่ากันติทัต อันหาใช่เรื่องสมควรไม่...” พระพริษฐ์เอ่ย

“พระองค์ว่ามิใช่เรื่องสมควรกระนั้นหรือ... หากแต่ข้านั้นคิดว่ามันสมควรยิ่งนักที่ได้ช่วยเหลือผู้บริสุทธิ์ทั้งสองให้รอดพ้นจากพระอังคารที่กำลังเข้าใจผิด...และข้าเองก็ใจกว้างเกินกว่าจะมาคิดเล็กคิดน้อย เคียดแค้นเรื่องเก่าๆ กับเทวาเหล่าพระอาทิตย์อีกด้วย”

“เรารู้…แต่ท่านคิดหรือว่าทำเช่นนี้แล้วพระอาทิตย์จะมาขอบน้ำใจท่าน ลืมเรื่องบาดหมางครั้งเก่าก่อน ทั้งเรานั้นมิอยากให้ท่านเข้าไปยุ่งเรื่องนี้อีกเพราะทุกสิ่งเป็นไปตามโชคชะตากำหนดแล้ว” พระผู้สร้างเอ่ยเสียงเรียบ

“ข้ามิได้หวังคำขอบน้ำใจจอมปลอมเหล่านั้น...พระองค์เองทรงควบคุมกงล้อแห่งโชคชะตารู้ทุกสิ่งมิใช่หรือ ไยยังทรงวางเฉยเช่นนี้เล่า” ความไม่พอใจของพระราหูถ่ายทอดออกมาผ่านน้ำเสียง ร่างสูงนั้นสั่นเทิ้มไปด้วยความโกรธแต่ก็จำต้องเก็บอาการ...‘นี่หรือมหาเทพผู้ทรงธรรม เหตุใดท่านถึงขวางมิให้เราทำดี ถึงนาคินทร์จะไม่ใช่ลูกแต่ก็เหมือนลูก...พ่อจะช่วยลูกมันผิดด้วยหรือ...’…

“ใช่…เรารู้ทุกสิ่งและรู้ด้วยว่าเพลานี้ท่านมิได้พอใจเรา...แต่ท่านอย่าลืมว่าเรื่องบางเรื่องเรามิอาจเข้าแทรกแซงได้เพราะว่ามันมิใช่เรื่องของเรา…ท่านเข้าใจสิ่งเราพูดหรือไม่” พระผู้สร้างพยายามพูดห้ามปรามมิให้พระราหูเข้ายุ่งเกี่ยว...ด้วยว่าหากพระราหูยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือแล้วจะเป็นเรื่องใหญ่ แต่หากจะลงทัณฑ์พระราหูเห็นว่าจะมิเป็นการดี...จึงหมายเจรจาก่อน ด้วยสิ่งที่พระราหูทำนั้นจะว่าไปหากลงทัณฑ์อาจจะถูกเหล่าเทวาติเตียนได้ ซ้ำหากสหายสนิทของพระราหูล่วงรู้เข้า พระผู้สร้างก็มิแน่ใจว่าตนจะสามารถรับมือเทพผู้ที่มิมีใครอยากพบอยากเอ่ยชื่อนี้ได้หรือไม่...

…‘มิใช่เรื่องของเรากระนั้นหรือ…ฮึ!...แต่...จริงสิ’…

“ข้านั้นช่างโง่เขลาเบาปัญญายิ่งนักที่ทำอะไรไม่คิดไตร่ตรองเสียก่อน ข้านั้นขอให้พระองค์ทรงอภัยให้ข้าด้วยเถิด...”  พระราหูยอมอ่อนลงอย่างผิดคาด เพราะคิดได้ว่าหากตนไม่ยุ่งเรื่องนี้ ก็ยังมีอีกคนที่สามารถยุ่งได้และพระผู้สร้างก็มิสามารถจะห้ามปรามได้ ถึงแม้จะดูเสี่ยงไปหน่อย

“หากท่านเข้าใจในสิ่งที่เราได้เอ่ยไปแล้ว เราจักขอให้ท่านจดคำพูดของเราในวันนี้ไปทบทวนให้ดี...”  พระผู้สร้างตรัสส่งท้ายโดยมิได้ล่วงรู้เลยว่าพระราหูกำลังคิดจะทำการอันใด

เรื่องราวทั้งหมดเป็นเหตุการณ์ก่อนหน้าที่พระราหูจะมายังวิมานหงสบาท  วิมานที่ขึ้นชื่อว่ามิมีผู้ใดอยากเหยียบย่างเข้ามาใกล้แม้แต่น้อย ผู้เป็นเจ้าของได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ถูกสาป ไม่มีใครอยากแม้แต่จะเอ่ยชื่อและพบเจอ เพราะหากใกล้ใครเข้าแล้วจักทำให้โชคร้ายมาสถิตยังผู้นั้น ทว่าร้ายแรงมากขนาดไหนก็มิอาจจะทำร้ายพระราหูผู้เป็นสหายรู้ใจเพียงหนึ่งเดียวได้

“พระราหู ท่านอย่าเพิ่งเข้าไปในวิมานในเพลานี้เลย” ทวารบาลผู้เฝ้าบันไดเข้าสู่ประตูวิมานเอ่ยห้าม

“เหตุใดข้าจักเข้าไปมิได้ ในเมื่อข้าสามารถเข้าออกในวิมานแห่งนายเจ้าได้ทุกเวลา”

“ข้าได้รับคำสั่งมิให้ผู้ใดเข้าไปวิมาน ข้าจึงต้องปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด” ทวารบาลผู้นั้นเอ่ยความจำเป็นกับเทพอสูรผู้เป็นใหญ่ตรงหน้า พระราหูเห็นว่าทวารบาลผู้นี้คงมิอยากถูกทำโทษ จึงมิได้กล่าวอันใดต่อแต่กลับย่างก้าวขึ้นบันไดจนชิดริมประตู

“พระราหูท่านอย่าเข้าไป ข้าน้อยขอร้องล่ะ” เสียงเลิกลั่กจากทวารบาลชั้นผู้น้อยร้องห้าม

“อย่าห่วงเลย ข้ามิทำให้เจ้าเดือดร้อนดอก” พระราหูยิ้มสรวลก่อนจะร้องตะโกนออกไป

“พระเสาร์!!!!...ข้าพระราหูสหายของท่านต้องการจะเข้าพบ มิทราบว่าท่านจะอนุญาตให้ข้าเข้าไปในวิมานได้หรือไม่”

“โปรดรอสักครู่เถิด...เดี๋ยวข้าจักเปิดประตูให้” เสียงตะโกนจากด้านในดังพอจะให้พระราหูและทวารบาลได้ยินคำตอบ ไม่นานประตูวิมานนั้นก็เปิดออกพร้อมให้พระราหูเข้าไปด้านใน

“ข้าเพิ่งจะรู้ว่าบัดเดี๋ยวนี้ข้าจะเข้าจะออกวิมานท่านตามอำเภอใจมิได้เสียแล้ว…หรือว่าท่านซ่อนใครไว้ในวิมานนี้หรือ...” พระราหูพูดหยอกเย้าเทพกายกำยำผู้มีรัศมีสีม่วงอ่อนเอ่ยออกมา พัตราที่เคยหล่อเหลาซึ่งยามนี้ดุดันมีหน้ากากเงินประดับอัญมณีไพลินปิดไว้ครึ่งใบหน้า ก่อนจะประทับลงบนแท่นรัตนาสีนิลฝั่งตรงข้าม

“ข้าจะซ่อนใครไว้ได้เล่า ท่านก็รู้นอกจากท่านก็มิมีผู้ใดอยากจะคบหาสมาคมกับข้า” พระเสาร์เอ่ย ด้วยเป็นที่เกรงขามของเหล่าทวยเทพทั้งปวง เพราะพระเสาร์มีดวงเนตรข้างหนึ่งต้องคำสาป หากได้มองใครจะทำให้ผู้นั้นประสบพบเจอแต่ความฉิบหายไม่รู้สิ้น นั่นเป็นสาเหตุที่พระเสาร์อยู่โดดเดี่ยว ไม่เข้าร่วมชุมนุมสภาเทพเว้นแต่พระผู้สร้างจักระบุให้พบ

“นั่นสิ ไม่มีใครนอกจากข้ารวมถึงมุตตา...ที่สามารถต้านพลังมืดที่แผ่ออกมาจากกายท่านได้ อ่อ...ข้าเกือบลืมไปพวกทหารก้านบัวที่ท่านปลุกเสกนั่นด้วยที่เข้าใกล้ท่านได้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

“ท่านพระราหู…ไยท่านถึงได้เอ่ยชื่อนี้...” เห็นที่ว่าวันนี้พระราหูมิได้มาเยี่ยมเยือนเพื่อพูดคุยเล่นตามปกติเฉกเช่นทุกครั้งเสียแล้ว ยิ่งได้เอ่ยนามหญิง ผู้เคยเป็นที่รักของพระเสาร์แล้วด้วย…เรื่องที่พระราหูมาพบในวันนี้คงสำคัญมิใช่น้อย  พระเสาร์เอ่ยเสียงเรียบ นานเท่าใดแล้วที่ตนไม่ได้ยินชื่อของนาคีอันเป็นยอดดวงใจที่หายไปจากอ้อมกอด

“พระเสาร์…ท่านยังจำมุตตาได้”

“ข้าจำได้มิลืมเลือน สตรีผู้เป็นนาค ผู้ที่ข้ามีใจให้เพียงผู้เดียวและทำให้ข้าเจ็บช้ำได้ดอก” พระเสาร์กัดฟันกรอดยามที่นึกถึงใบหน้าที่งดงามในอดีตของนาคีผู้เดียวที่กุมและทำลายดวงใจของพระเสาร์

“มิใช่เพียงท่านเท่านั้นที่เจ็บช้ำแม้แต่ข้าหรือมุตตาเอง พวกเราต่างเจ็บปวดกับความรักไม่ต่างกัน” พอคิดถึงพระราหูนั้นคิดขึ้นมาได้ว่ารักสามเศร้าครั้งนี้มิได้ส่งผลดีต่อใครเลย ทั้งตน พระเสาร์และมุตตา

“...หึ...มุตตาหรือเจ็บ...มีแต่ข้าเท่านั้นที่เจ็บ...เจ็บที่ถูกเมียทิ้งหายไปที่ใดก็ไม่รู้...แล้วท่านมาเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้ด้วย...” พอสดับฟังพระเสาร์นั้นนึกสงสัยจึงได้ถามออกไป

“แต่เรื่องที่ข้ามาพบท่านในวันนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทั้งท่านและมุตตา” สิ้นเสียงทุ้มพระราหูมองไปยังผู้ที่ได้สดับรับฟังที่มีท่าทีเปลี่ยนไป

“ท่านว่าอะไรนะ...เกี่ยวข้องกับมุตตา... หรือว่าท่านรู้ว่า มุตตาอยู่ที่ไหน...หากเป็นเช่นนั้น...ก็รีบบอกข้ามาเถิด...”  ใจชายไม่ว่าเทพหรือมนุษย์ก็ร้อนรุมหากกระสันใคร่รู้ว่าคนรักหนึ่งเดียวในใจตนนั้นอยู่ที่ไหน แม้ว่าหญิงสาวอันเป็นที่รักจะทำให้ตนเองเจ็บจนเข็ดหลาบ

“ข้ามิรู้หรอกว่ามุตตาไปอยู่ที่ใด แต่เมื่อครู่ข้าไปเข้าเฝ้าพระผู้สร้างมา ซึ่งพระองค์ได้ตรัสกำชับข้าห้ามเข้าไปยุ่งวุ่นวายเรื่องของนาคตนหนึ่งที่ชื่อว่านาคินทร์...”

“แล้ว...นาคนาคินทร์ เป็นใครกัน ... จะว่าด้วยเหตุนาคตนนี้น่ะ หรือที่ทำให้ท่านต้องมาพบข้า...”

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ ก็เพราะว่านาคินทร์คือลูกของมุตตา และตอนนี้นาคินทร์กำลังเดือดร้อน อยู่เส้นทางที่กำลังตรงไปเขาจิรันดร...ซึ่งข้าเองก็ยังมิรู้ตัวการว่าผู้ใดกันที่จ้องทำร้ายนาคินทร์...” พระราหูเอ่ยน้ำเสียงจริงจัง ตาคมดุมองสีหน้าของอีกฝ่ายที่ชะงักเมื่อได้ยินก่อนจะปรับให้นิ่งเป็นปกติเช่นเดิม

“ลูกของนางเดือดร้อนแล้วมันเกี่ยวอันใดกับข้าเล่า” พระเสาร์ถามต่อ

“ท่านคิดว่ามุตตาจะมีลูกกับใครได้อีกเล่า...ในเมื่อนางรักท่านเพียงผู้เดียว”

“ท่านจะบอกว่านาคที่ชื่อนาคินทร์ลูกของมุตตาที่ท่านพูดถึงเป็นลูกข้ากระนั้นหรือ” พระเสาร์ถาม พระราหูพยักหน้าเป็นคำตอบ…‘มุตตาข้าขอโทษ ที่ต้องบอกพระเสาร์เรื่องลูก’...

“ข้าจะแน่ใจได้อย่างไรเล่าว่านั่นเป็นลูกข้า น่าตลกสิ้นดี อีกอย่างท่านรู้ได้อย่างไรว่ามุตตามีบุตร ในเมื่อนางได้หายตัวไปหลายร้อยปีแล้ว” พอเห็นว่าพระราหูนิ่งเงียบพระเสาร์จึงพูดต่อ ทั้งพยายามควบคุมเสียงให้เป็นปกติถึงแม้ว่าในใจจะร้อนรุ่มเมื่อได้ใกล้ความจริงที่คืบคลานเข้ามา

“ข้าเป็นคนช่วยนางหนีหายไปจากท่านเอง...”

“อะไรนะพระราหู !!!! นี่ท่าน…ช่วยให้นางหนีไปจากข้า...” พระเสาร์ขึ้นเสียงใส่พระราหู …‘สหายที่ข้าไว้ใจกลับกลายเป็นคนที่พาเมียข้าหนี’…

“สะกดอารมณ์เกรี้ยวกราดเอาไว้สักครู่ ได้โปรดฟังข้าก่อนเถิด...ฟังเรื่องราวของนาตินทร์และมุตตาก่อน ท่านอาจไม่เชื่อว่ามุตตานั้นมีลูกกับท่าน แต่ข้าขอยืนยันว่านาคที่นามว่านาคินทร์ที่ข้าพูดถึงนี้เป็นบุตรชายที่เกิดแต่ท่านจริงๆ”

“ถ้าเยี่ยงนั้นเหตุใดนางจำต้องหนี เหตุใดนางถึงมินำบุตรมาหาข้า ข้ารักนางมากขนาดไหนท่านก็รู้ดีมิใช่หรือพระราหู ยิ่งนางมีบุตรให้กับข้า ข้าย่อมยินดีและพานางมาอยู่ที่วิมานของข้า”

“สาเหตุที่นางหนีท่านข้ามิรู้ดอก ข้ารู้เพียงว่าข้าสัญญาไว้กับนาง มิให้ท่านได้รู้เรื่องของนางและลูก หากเพลานี้ข้าจำต้องตระบัดสัตย์ผิดสัญญา ด้วยใจข้าห่วงหลานและมิอาจช่วยเหลือได้ดั่งเก่า ข้าจึงต้องมาบอกให้ท่านที่เป็นพ่อรับรู้…” พระราหูเดินเข้าหาพลางเอื้อนเอ่ย หัตถาวางลงไปที่ไหล่กว้างของสหายที่คล้ายจะทั้งโกรธทั้งเกลียดระคนเสียใจอยู่ในแววตา

“แล้วตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา ที่ข้าตามหามุตตา ท่านแสร้งไม่รู้ แสร้งหาไม่เจอกระนั้นหรือ ข้ากลายเป็นไอ้โง่ กลายเป็นผู้ไร้รักตกอยู่ในโศกาท่านยังทนดูได้ เสียแรงที่ข้าคิดว่าท่านจักเป็นสหายที่ดี ฮึ! ข้าจักหาเชื่ออันใดท่านได้อีกเล่าพระราหู…คำพูดของท่าน เรื่องที่ท่านบอกข้าในวันนี้…จักให้ข้าเชื่อใจท่านได้อีกหรือ !!!” พระเสาร์ผู้ที่ได้ชื่อว่าจิตใจแข็งมิต่างจากหินผา ยามนี้หินผาได้ถูกน้ำแห่งความสับสนกัดกร่อนเสียจนควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ จนปัดป้องมือหนาที่จับไหล่ตนออกรวมถึงเบี่ยงกายไม่ให้พระราหูเข้ามาใกล้

“พระเสาร์…คราแรกข้าก็จะบอกท่านอยู่ดอก แต่มุตตามิยอมให้ข้าบอก ข้าจึงทำได้เพียงคอยตามดูแลนางและลูกของท่านอยู่ห่างๆ จนกระทั้งข้าไปบำเพ็ญเพียรในป่าหิมพานต์ พอข้ากลับไปพบนางอีกครั้ง นางกลับหนีไปอยู่ที่อื่น...เสียแล้ว ” พระราหูกล่าวความจริง ไม่มีปิดบังแต่นั่นมิสามารถเรียกความเชื่อใจจากพระเสาร์ให้กลับคืนมาได้อีก

“ข้าขอร้อง…ให้ท่านออกไปก่อนพระราหู  ข้าขอร้องให้ท่านออกไปอย่างไรเล่า!!! หรือจะอยู่รอให้ข้าใช้เนตรสังหารกับสหายรักอย่างท่านให้เผาไหม้กลายเป็นจุน”  พระเสาร์ตะเพิดไล่พระราหูหลังจากที่ได้รับฟังเรื่องราวที่ตนอยากรู้มาตลอดเกือบทั้งชีวิต สุรเสียงกังวานดังก้องส่งผลให้วิมานสั่นไหว แรงสะเทือนบ่งบอกอารมณ์โมโหโกรธาของผู้เป็นเจ้าของได้อย่างดี ทั้งที่ใจนั้นอยากจะลงมือทำร้ายดังที่ลั่นวาจาออกไปยิ่งนัก ความรู้สึกทั้งรักทั้งแค้นตีรวนปั่นป่วนจิตเสียจนแทบครองสติไว้ไม่ไหว พระเสาร์จึงทำได้เพียงคาดโทษเอาไว้เท่านั้น พระราหูนั้นเห็นว่าขืนดื้อรั้นอยู่ต่อคงไม่เป็นผลดี เพลานี้พระเสาร์มิต่างจากพยัคฆาร้ายพร้อมฆ่าทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า ดีไม่ดีความสัมผัสแสนบอบบางอย่างมิตรภาพอาจจะพังทลาย

“ข้าคงทำท่านมิพอใจอยู่มากโข หากท่านโกรธเคืองข้า ข้ายินดีรับไว้แต่เพียงผู้เดียว แต่ข้าเพียงขอให้ท่านช่วยนาคินทร์ผู้เป็นบุตรแต่ท่านด้วยเถิด…เมื่อผู้ที่ให้กำเนิดนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นเทพที่ผู้ใดก็ยกย่องว่าแกร่งที่สุดในจักรวาลนี้  ถ้าเรื่องนี้ถูกแพร่ออกไป ท่านก็จะมีแต่เสื่อมเสียกว่าที่เป็นอยู่...” พระราหูทิ้งท้าย ถ้อยคำที่ส่งมอบให้แฝงความรู้สึกผิดปนขอโทษและหวังว่าพระเสาร์ผู้เป็นสหายนั้นจักรับรู้ได้ ก่อนจะเคลื่อนกายออกจากวิมานกลับไป ปล่อยให้พระเสาร์คิดทบทวนเรื่องราวรวมถึงความรู้สึกเพียงผู้เดียว

…‘เจ็บใดเล่าจะเจ็บเท่ากับใจข้า ทั้งเมีย ทั้งเพื่อนล้วนมีความลับชวนปิดบัง…นึกน้อยใจยิ่งนัก ตัวพี่นั้นอยู่ในฐานะใดไยเจ้าจึงจากพี่หอบลูกไปไม่หวนคืน’…

พระศนิทรุดกายลงนั่งบนพื้นแก้วสีนิล หัตถาลูบพักตราเข้มก่อนจะถอนหายใจแรงออกมา ความคิดในยามนี้ตีกันจนยุ่งเหยิงมิรู้จักทำเช่นไร ทั้งรัก ทั้งโกรธเคือง ทั้งนึกถึงเรื่องราวในอดีต…

ในกาลก่อนพระเสาร์ผู้ทรงฤทธิ์รวมถึงพระราหูผู้เป็นสหายได้แปลงกายเป็นพญาภุชงค์แหวกว่ายสายนทีในห้วงมหาสมุทรด่ำดิ่งลงไปลึกจนถึงพื้นทราย พญานาคร่างแปลงต่างชื่นชมความสวยงามของเหล่ามัจฉาน้อยใหญ่รวมถึงสัตว์น้ำต่างๆ ด้วยความเพลิดเพลิน ในขณะนั้นเองทั้งสองก็เห็นพญานาคเกล็ดสีดำบ่งบอกวรรณะได้ดีว่าอยู่เป็นอันดับสุดท้ายในสายสกุลนาคาที่กำลังว่ายน้ำเข้าไปในถ้ำหินที่ล้อมไปด้วยกัลปังหา

‘พระราหู…เราจักเข้าไปในถ้ำแห่งนั้น ท่านรอที่นี่เถิด’ มิรู้สิ่งใดดลใจให้พระเสาร์อยากตืดจามนาคเกล็ดนิลต้นนั้นเข้าไป จึงได้ส่งกระแสจิตถึงพระราหู

‘ข้าเองคิดจักเข้าไปเช่นกัน’ พระราหูเองก็มีเจตนารมณ์เช่นเดียวกับพระเสาร์

เมื่อความคิดและความต้องการตรงกัน พระเสาร์และพระราหูในร่างนาคาจึงว่ายเข้าไปในคูหาตรงหน้า

“...นี่พวกท่านเป็นใครกัน...อย่าเข้ามาในถ้ำของข้านะ...ออกไปบัดเดี๋ยวนี้” นาคกายสีปีกกาที่เทวาทั้งสองได้พาลพบก่อนหน้านี้ กลายเป็นหญิงสาวผมยาวสยายเงาขลับ ใบหน้าแสนงดงาม ดวงตาหวานหยดย้อย ฉวีผ่องเงาดั่งไข่มุก มิมีเค้าจะเป็นนาคชั้นต่ำเลยสักนิด ร่างอรชรห่มผ้านุ่งสีครามเข้ม นาคสาวผู้นี้เป็นที่ต้องตาแก่พระเสาร์และพระราหู

“ข้าทั้งสองจักขอเยี่ยมชมสักหน่อยมิได้หรอกหรือ...” พระเสาร์แปลงกายกลับคืนเป็นเทพ สวมอาภรณ์และทรงรัตนชาติสีนิลดังเก่า พระราหูเองก็กลายร่างกลายเป็นเทพอสุราเช่นเดียวกัน

“มิได้!!...นี่เป็นที่ของข้า ข้าไม่อนุญาต” นาคีสาวปฏิเสธแม้ในใจจะกลัวบุรุษทั้งสอง คนหนึ่งองอาจน่าเกรงขาม คนหนึ่งก็เป็นอสุราเขี้ยวแหลม พระเสาร์เองมองตาอีกฝ่ายก็รู้ว่าคิดอะไรจึงได้เอ่ยเชื่อมความสัมพันธ์ ด้วยถูกใจที่มีหญิงสาวกล้าขัดใจตน

“เจ้าอย่ากลัวข้าเลย ข้าพระเสาร์และสหายของข้าพระราหู เราเพียงมาท่องเที่ยวใต้มหาสมุทรเพียงเท่านั้น” พระเสาร์แนะนำตนและสหาย ทั้งสังเกตปฏิกิริยาของหญิงสาวที่ดูเหมือนว่าจะตกใจมิใช่น้อย

“จะบอกว่าเป็นเทพแล้วท่านจักรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของข้าได้กระนั้นหรือ” ถึงจะกลัวอย่างไรเสีย นาคสาวนั้นก็มิยินยอมให้ใครมารังแกแสดงอำนาจบาตรใหญ่ง่ายๆและมุตตาเองเกลียดผู้ที่มีนิสัยเยี่ยงนี้ยิ่งนัก

“เจ้าเข้าใจผิดเสียแล้ว ข้ากับพระเสาร์เพียงอยากท่องเที่ยวไม่คิดจะรังแกใครดอก อีกทั้งอยากจะทำความรู้จักกับเจ้าเท่านั้น” พระราหูรีบแก้ต่างไม่อยากให้เกิดความเข้าใจผิด แม้ในใจจะวิตกว่าอาจไม่ได้ผล ด้วยเสียงเล่าลือเกี่ยวกับตนกับพระเสาร์ล้วนเป็นด้านไม่ดีทั้งนั้น

“ข้าเป็นเพียงนาคชั้นต่ำ มิคู่ควรให้ท่านรู้จักดอก  ว่าแต่ท่านทั้งสอง ไม่ได้ตามมาฆ่าข้า ทำร้ายข้า…ใช่หรือไม่” นางนาคีเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง พอเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นมาดี

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้าช่างตลกเสียจริง ข้าไม่มีเหตุผลจักทำร้ายเจ้าดอก หรือว่าเมื่อครู่เจ้าหนีใครมา  หากเป็นเช่นนั้นก็ขออย่าได้กังวลเลย หากข้าทั้งสองอยู่ที่นี่ต่อให้พระสมุทรจะฆ่าเจ้า ก็หาทำการเยี่ยงนั้นได้ไม่ ...นาคน้อย สงบสติอารมณ์เสียก่อนเถิด...” พระเสาร์สรวลออกมาดังลั่นนึกชอบใจหญิงสาวตรงหน้าเสียแล้ว

“แต่ข้ามิได้ชื่อนาคน้อยนะ!!! อีกทั้งข้าเป็นสาวแล้วมิใช่เด็ก” นาคสาวพูดเสียงดังใส่ไม่พอใจ มิใช่เพราะถูกหัวเราะเยาะแต่ที่ไม่พอใจก็เพราะถูกเรียกว่านาคน้อยดั่งเด็กเล็ก

“เยี่ยงนั้นจะให้พวกเราเรียกเจ้าว่าอันใด” พระราหูถาม เมื่อได้โอกาสทำความรู้จักมากขึ้น

“ข้าชื่อ...มุตตา”

“มุตตาอย่างนั้นหรือ พวกข้ายินดีที่ได้รู้จักเจ้า” พระราหูเอ่อยออกมาอย่างเป็นมิตรช่างผิดแผกกับการกระทำยามอยู่บนสรวงสวรรค์ที่คลับคล้ายคลับคราเป็นอันธพานเสียให้ได้

หลังจากที่ความรู้จักกับนาคสาวแล้ว ทั้งสามได้แปลงกายเป็นนาคว่ายน้ำชื่นชม ความงดงามใต้ท้องทะเล โดยมีมุตตาเป็นผู้นำทาง  เมื่อจนหนำใจพระเสาร์และพระราหูจึงล่ำลานางนาคมุตตา พร้อมสัญญาว่าจะกลับมาเยี่ยมเยือนอีก

“ดูท่านยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ผิดสังเกต มีอะไรรึ” ในระหว่างที่เทพทั้งสองได้เหาะเหินกลับสู่ฟากฟ้า พระราหูได้เอ่ยทักสหายรัก พระเสาร์ผู้หน้าเกรงขามแสนดุดันไม่ว่ายามสุขหรือยามทุกข์มักจะมีเพียงหน้าเดียวนั่นคือ ความเรียบเฉยแต่ยามนี้กลับยิ้มกว้างเสียจนพระราหูคิดว่านี่ใช่สหายคนเดิมหรือมีผู้ใดแปลงกายมา

“ข้ามีความสุขเสียจริง…ข้าคงจะมีรักแรกพบเสียแล้วกระมัง” พระเสาร์เอ่ยพลางนึกถึงใบหน้างดงามของมุตตาจนมิได้สังเกตสีหน้าของพระราหูที่สลดลงเพียงเล็กน้อยก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ

“นี่ท่านอย่าบอกนะว่า…”

“ข้าคงตกหลุมรักมุตตา เสียแล้วพระราหู” พระเสาร์บอกกับพระราหูโดยมิรู้ว่าเทพอสุรานี้ได้หลงรักมุตตาเช่นกัน

“มุตตาเป็นหญิงที่ดี ข้านั้นคิดว่าหากท่านได้ครองรักกับนางท่านจักต้องมีความสุข หากมองข้ามเรื่องชาติกำเนิดและความเหมาะสมไปแล้ว ท่านก็คือผู้โชคดีที่ได้นางมาเคียงข้างกาย...” พระราหูยอมตัดใจโดยง่ายด้วยอยากให้พระเสาร์มีความสุขเสียบ้าง ด้วยเหล่าเทพหรือใครต่างเกรงกลัวแม้สบตาก็ยังไม่กล้าจนพระเสาร์จำปลีกวิเวก ส่วนตนนั้นยังดีที่มีมิตรสหายเป็นเหล่าอสุราอยู่บ้าง…พระเสาร์ไม่มีใครและหากมุตตาจักทำให้พระเสาร์มิต้องอยู่เพียงผู้เดียว พระราหูนั้นยินดีที่จักเป็นฝ่ายเสียสละความรักของตนเอง

พระเสาร์ใช้เวลาว่างแปลงกายเป็นนาคลงสู่มหานทีเพื่อไปเกี้ยวมุตตา แม้ในทีแรกมุตตาจะรักษาระยะห่างด้วยตนเป็นนาคตระกูลต่ำมิสมควรจะรักเทพผู้เป็นใหญ่ หากพระเสาร์ยังพยายามเอาชนะใจทุกทางจนสุดท้าย ความรักของพระเสาร์เป็นที่ประจักษ์แก่นาคสาว มุตตาจึงยินยอมถวายตัวถวายใจตกเป็นของเทวากายรัศมีสีม่วงอ่อน

“มุตตาพี่รักเจ้าเหลือเกิน…หากอีกไม่นานพี่จำต้องไปปราบมารแลอสูรร้าย ไว้พี่ปราบมันเรียบร้อยแล้ว พี่จักพาเจ้าไปอยู่ที่วิมานกับพี่ เจ้าจะเป็นชายาหนึ่งเดียวของพี่ เราจะมีลูกด้วยกันที่นั่น...ข้าอยากมีลูกกับเจ้าหลายๆ คน ลูกของเราต้องน่ารักเป็นแน่แท้...” พระเสาร์เอ่ยคำหวานแสนเพ้อฝัน แลแขนแกร่งตระกองกอดคนรักไว้แนบอก

“แต่ข้า…เป็นเพียงนาคไร้สกุล ไร้ศักดิ์ มิเหมาะสมกับท่านพี่…มิเหมาะสมเลยสักนิดที่เทียบเคียงจะเป็นชายาคู่บารมีพระเสาร์ได้...” มุตตาเอ่ย น้ำเสียงรวมถึงแววตานั้นเศร้าสร้อยเสียเหลือเกิน  ถึงพระเสาร์จะเป็นคนพูดจริงทำจริง แต่นาคสาวนี้กลัวว่าชาติกำเนิดของตนนั้นตนจักทำให้พระเสาร์เสื่อมเสียพระเกียรติ

“เจ้าอย่าได้กังวลเลย แม้พี่เป็นเทพแต่มิมีผู้ใดสนใจพี่ ซ้ำต่างหวาดกลัวพี่ทั้งนั้น ขนาดพระผู้สร้างเองยังยำเกรง ด้วยพี่นี้มีพลังหายนะสถิตอยู่ พี่ปกป้องเจ้าได้ ในจักรวาลนี้หามีใครหน้าไหนที่จะหาญกล้าต่อกรหรือเป็นศัตรูกับพระเสาร์ พี่เป็นที่น่ากลัวขนาดนี้...พี่เสียอีกที่เกรงว่าเจ้าจะรังเกียจ”

“ไม่!!...ท่านพี่ ข้ามิเคยนึกรังเกียจท่านพี่เลยแม่แต่น้อย…ถึงใครจะว่าพี่ดุร้ายน่ากลัวเช่นไร แต่พวกเขาเหล่านั้นไม่เคยเห็นและไม่เคยได้รับในสิ่งที่ข้าได้รับ ไม่ได้เคยรู้ในสิ่งที่ข้าได้รู้...ว่าเนื้อแท้แล้วพี่นั้นเป็นเช่นไร...เป็นโชคดีเสียอีกที่ข้าได้มีท่านในวันนี้...ข้ารักท่านพี่...” คำว่ารักจากมุตตาทำให้พระเสาร์ตื้นตันใจ จนอดไม่ได้ที่จะมอบรางวัลเป็นจุมพิตที่แก้มนิ่มทั้งสองข้าง

“พี่ก็รักเจ้ามุตตา เมื่อเราทั้งสองรักกัน ก็อย่าได้หากำแพงใจมากั้นกางอันใดที่จะให้เราสองมิได้อยู่ร่วมกันเลย มุตตาชายาของพี่...เจ้าช่วยรอพี่ที่ถ้ำแห่งนี้ด้วยเถิด คราใดที่พี่มิต้องปราบมารกรำศึก เราสองนั้นจักอยู่เคียงคู่ ร่วมเรียงเคียงหมอนใบเดียวกัน...ตลอดไป...”

“ข้าจะรอ...รอท่านพี่กลับมารับข้า”

(ต่อ)
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.25 P.9 (02/09/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 02-09-2017 09:32:25
สำหรับพระเสาร์ในเพลานี้ คำสัญญาที่ว่าจักรอเป็นเพียงลมปากที่หญิงสาวไว้ใช้หลอกลวงตน หลังจากที่พระเสาร์รับชัยชนะในการปราบอสูรร้าย พระเสาร์ได้รีบกลับมา ณ ถ้ำใต้ท้องสมุทรอันเป็นรังรัก หากเมื่อกลับมาถึงมุตตากลับหายไป พระเสาร์จึงออกตามหาไปทั่วแต่กลับไร้วี่แววนอกจากคำซุบซิบจากปลาเล็กปลาน้อยบริเวณถ้ำที่ว่ามุตตาได้หนีไปกับนาคตนอื่น พระเสาร์โศกเศร้าเสียใจกลับกลายเป็นเทพผู้โมโหร้ายน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม และนับแต่นั้นเป็นต้นมาพระเสาร์ก็มิเคยมีใจรักผู้ใดอีกเลย…

อัสสุชลคลอในเนตรคมเล็กน้อย บ่งบอกถึงความเศร้า แม้จิตใจจะแกร่งดั่งหินผาเช่นไรแต่เรื่องเก่าที่เคยทำให้เจ็บปวดกลับมาสะกิดใจความเจ็บปวดก็กลับมาอีกครั้ง เมื่อพระเสาร์เมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีตที่แสนหวานปนขม หวานดั่งผลไม้สุกในสวนขวัญ ขมดั่งโอสถพิษที่ได้ดื่มแล้วเจียนตายวายชีวี

…‘ข้าขอยืนยันว่านาคินทร์ที่ข้าพูดถึงนี้เป็นบุตรชายของท่านจริงๆ’… ประโยคของพระราหูเอ่ย ยังก็ดังก้องกังวานภายในใจ...

“อ้าก!!!!!!!!....ข้าต้องทำอย่างไร!!!! ข้าจักเชื่อใจใครได้อีก!!!!”

‘โครม!!! เคร้ง!!!!’ เสียงข้าวของเครื่องปั้นมากมายกระจัดกระจายหล่นแตกด้วยห้วงอารมณ์โมโหนั้นสุดกลั้น พระเสาร์ซึ่งได้ขาดสติมิอาจควบคุมอารมณ์ตนได้จึงได้ลงความรู้สึกทั้งหมดไปยังข้าวของจนแตกกระจายเสียหายรวมไปถึงลืมไปเสียว่ายังมีใครอยู่ในวิมาน

“พี่เสาร์ !!! พี่เสาร์โปรดหยุดเถิด !!! พุธบอกให้หยุดอย่างไรเล่า...” พระพุธที่มาเยี่ยมเยือนยังวิมาน หากก่อนหน้าต้องแอบซ่อนกายเนื่องจากพระเสาร์มิอยากให้พระราหูได้พบเจอกับพระพุธผู้เป็นดั่งแฝดคนละฝา

พระพุธเข้าสวมกอดร่างสูงจากด้านหลัง ปากก็พร่ำห้ามให้พระเสาร์หยุดกระทำที่ไร้ด้วยสติ...มินานพระเสาร์ก็สงบอารมณ์ลงได้ ด้วยเทวาทรงคชสารผู้นี้ที่เหล่าเทพาล้วนเกรงใจด้วยมหาบุญญาบารมีที่มากล้น แม้แต่พระอาทิตย์ผู้เป็นใหญ่ยังอ่อนกำลังยามเข้าใกล้ ที่สำคัญพระพุธเพียงผู้เดียวที่ทำให้พระเสาร์เทพผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาลแพ้พ่ายในทุกด้าน ดั่งคำกล่าที่ว่าไม่ว่าหินผาหรือเหล็กหนาที่แข็งแกร่ง ถึงอย่างไรก็มีจุดอ่อน ดั่งเช่นจุดอ่อนของพระเสาร์ก็คือพระพุธ  รวมถึงในตอนนี้ที่พระเสาร์โมโหพลังของพระพุธช่วยบรรเทาให้อีกฝ่ายสงบลงอย่างน่าอัศจรรย์

“เจ้าพุธ นี่เจ้ายังไม่กลับไปอีกหรือ...” พระเสาร์สูดลมหายใจลึกสะกดกลั้นอารมณ์ก่อนจักถาม เทวาเนตรสีมรกตที่กอดกายตนไว้

“พี่เสาร์บอกพุธเองมิใช่หรือ...ว่าให้รอก่อนแล้วจักกลับเล่นสกากับพุธด้วยกัน...เช่นนั้นแล้วพุธจักกลับไปได้อย่างไร...ต่อให้พี่เสาร์สนทนาด้วยพระราหูจนถึงวันพรุ่ง...พุธก็มิหนีหน้ากลับก่อนดอกจะนอนค้างอ้างแรมที่วิมานของพี่นี่แหละ...” พระพุธเอ่ย ทั้งที่อุตส่าห์ออกจากไพรีมาเยี่ยมเยือนกลับต้องมาได้ยินเรื่องที่ไม่ควรรู้เกี่ยวกับพระเสาร์

“ข้ามิอยากเล่นแล้ว หมดอารมณ์...ข้าเหนื่อย…” พระเสาร์พูดเสียงอ่อน หัตถาใหญ่จับแขนเรียวที่กอดรัดตนออกแล้วหันไปมองเทวาหน้างามที่มองหน้าตนเช่นเดียวกัน

“พุธรู้ว่าพี่เสาร์เหนื่อย แต่หาก...ว่าพี่กลุ้มใจนักอยากร้องไห้เสียบ้าง...ก็จงร้องออกมาเถิด อย่าได้เก็บความรู้สึกเลย…ไหล่พุธนี้พร้อมรองรับแบ่งเบาทุกเรื่องของพี่...” นิ้วโป้งขาวเกลี่ยน้ำเม็ดใสที่หางตาผู้ที่ตนเรียกพี่ พร้อมมอบรอยยิ้มบางแสนอบอุ่น พระพุธไม่รู้จักปลอบพระเสาร์อย่างไรดี จึงคิดว่าการได้ปลดปล่อยความทุกข์ผ่านน้ำตาน่าจะเป็นการดีที่สุด

“ข้าไม่ใช่คนที่จะมาร้องไห้เหมือนสตรี และข้าก็ไม่มีความรู้สึกใดที่จักทำให้ข้าเสียใจ...”

…‘คนปากแข็งก็ยังปากแข็งอยู่วันเย็นค่ำ แค่บอกว่าเสียใจคงไม่ทำให้คนดื้อรั้นอย่างท่านต้องตายดอก’ พระพุธได้แต่คิดในใจ เทวาคนงามหมั่นไส้ผู้ที่ตนนับถือเป็นพี่ขึ้นมาเล็กน้อย

“พี่เสาร์จักบอกว่าดวงตาของพี่ต้องฝุ่นสินะ” พระพุธประชดอีกฝ่ายด้วยความอ่อนใจ

“อืม” พระเสาร์ผู้ปากแข็งเอ่ยรับส่งไป มิให้พระพุธเซ้าซี้

“เอาเถิด พุธมิได้รู้เรื่องราวทั้งหมด รู้เพียงที่พระราหูกับพี่เสาร์นั้นสนทนากัน แต่พุธอยากบอกกับพี่เสาร์ว่าพี่ควรไต่ตรองให้ดี พี่เสาร์ของพุธเป็นคนเก่งเหนือใครอยู่แล้ว ขนาดพระผู้สร้างยังมิกล้าลงทัณฑ์พี่ พี่คงมิดูถูกตนเองว่าโง่พอจะคว้าหญิงใจร้ายมาทำเมียใช่หรือไม่…อีกทั้งพระราหูสหายของพี่คงมิได้ตั้งใจมีความลับด้วยดอก มันจักต้องมีเรื่องจำเป็นบางประการเป็นแน่แท้ พุธว่าพี่ควรคิดให้ดีกับเรื่องที่พระราหูมาบอกกับท่านในวันนี้...” พระพุธพูดเตือนสติ วาทศิลป์อันเป็นเลิศถูกนำมาใช้เกลี้ยกล่อมพระเสาร์ พลางโอบกอดกายแกร่งให้รู้สึกถึงความห่วงใยที่พระพุธมีให้ แต่ก็ถูกพระเสาร์ผู้แข็งกระด้างผละกายมิยอมให้โอบกอด

“เจ้าพุธ...เจ้านี่มันพูดมากน่ารำคาญเสียจริง อย่าคิดทำเป็นอวดรู้มาสอนข้าเลยเจ้าเด็กน้อย...ข้าว่าเจ้าออกไปจากวิมานข้าก่อน ก่อนที่ข้าจักโมโหเจ้าไปด้วยอีกคน” พระเสาร์ไล่พระพุธที่บังอาจสอนตนทั้งที่อายุขัยน้อยกว่าอยู่มากโข

“พี่เสาร์...พุธไม่ใช่เด็กแล้วนะ ทำไมพี่เสาร์ชอบเห็นพุธเป็นเด็กตลอดเวลา ข้าเองก็เคยมีเมียถึงเพลานี้เราสองต้องจากกันตลอดกาล พุธจึงเข้าใจความเจ็บปวดจากพิษรักของพี่เสาร์ แล้วอีกอย่างพี่กล้าโมโหพุธจริงๆ หรือ...” เทพกายบางเข้าสวมกอดกายแกร่งรัศมีม่วงครามอีกครา...คางเรียวเข้าเกยหัวไหล่หนาก่อนที่จะกระชิบประโยคหลังอย่างแผ่วเบา

“นี่เจ้า...” ไม่ว่าพระพุธเอ่ยท้าทายให้ชวนโมโหอย่างไร พระเสาร์ก็มิเคยจะกล้าทำอะไรพระพุธสักครา ด้วยผู้กล่าวท้านั้นน่าจับมาตีบั้นท้ายเสียมากกว่าที่จะมาโมโห...แต่เทพผู้แข็งกระด้างมีหรือจะยอมเสียศักดิ์ง่ายๆ  ถึงดวงเนตรที่แข็งกร้าวที่มิมีผู้ใดกล้าสบนั้นจะจ้องพักตรางามเขม็ง

“ไหนมาบอกมาสิ...ว่าพี่...กล้า...กล้าที่จะโมโหพุธ...” พระพุธยังท้าทายไม่หยุด ทำทีแย้มสรวลอย่างอารมณ์ดีให้ผู้ที่เรียกว่าพี่นั้นยอมศิโรราบ

“เจ้าพุธ...เจ้ามัน...” รู้ทั้งรู้ว่า ตนนั้นแพ้ทางด้วยคำอ้อนแสนอ่อนหวาน พระพุธจะเป็นเช่นนี้ก็เฉพาะตอนที่อยู่ด้วยกันเท่านั้น...‘เจ็บใจยิ่งนักที่ข้ามิอาจทำอันใดเจ้าน้องผู้นี้ได้…หากใครล่วงรู้ว่าเจ้าพุธกำราบข้าด้วยวิธีนี้ เห็นทีพระเสาร์ผู้ยิ่งใหญ่นั้นต้องอับอายไปทั้งสามโลก’…

“พุธไปก็ได้…พี่เสาร์เองอย่าใช้ความคิดตัดสินเรื่องราว พุธอยากให้พี่เสาร์ใช้ความรัก...ตัดสินมากกว่า... แล้วพี่เสาร์ไม่อยากเห็นหน้าลูกหรือ พุธอยากเห็นเขาเหลือเกินไม่รู้ว่าจะหล่อเหลาเหมือนพ่อหรืองดงามเหมือนแม่...พี่ก็คิดให้ดีๆ แล้ววันพรุ่งพุธก็จะมาหาพี่อีก...อ่อ…พุธลืมบอกไป…สวรรค์เราไม่มีฝุ่นดอกนะ”  ด้วยมิได้อยากจะหยามศักดิ์ผู้พี่ให้จำยอม เพราะรู้ว่าเสียอย่างไรพระเสาร์ก็มิกล้าแม้แต่จะคิดโมโหตนจริงๆ เมื่อแกล้งเย้าพระเสาร์จนสมใจ พระพุธจึงยอมล่าถอยเดินออกจากวิมานไป 

‘นาคินทร์นี่เจ้า...เป็นลูกของข้าจริงๆ หรือ...”















.............................................

ชาติกำเนิดของหนูคินไม่ใช่เล่นๆเลยนะคะ ทุกคนคงจะหายสงสัยกันว่าเอ๊ะ! ทำไมพระราหูถึงมาช่วยกันนะ ตอนนี้ถือว่าเฉลยปมกัน หวังว่าทุกคนจะสนุกกับตอนนี้นะคะ

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมาคอมเมนต์กันนะคะ ติชมกันได้ค่ะแต่ให้อยู่ในเนื้อหานิยายในขอบเขตนะคะ ไม่เอาคำหยาบที่ไม่เกี่ยวข้องนะคะ



//ท่านยุ่งรู้นะคะว่าพออ่านจบทุกคนคิดอะไรกัน...หยุดจิ้นเลยค่ะ 5555555
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.25 P.9 (02/09/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 02-09-2017 11:51:02
เริ่มเห็นเค้าลางความดราม่ามาแต่ไกล นาคินทร์รักรพีพงศ์ ราหูไม่ถูกกับพระอาทิตย์ อุปสรรคเยอะมากมาย  :katai1:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.25 P.9 (02/09/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 02-09-2017 11:51:58
โธ่ ก็ท่าน ๆ ขยันมีโมเม้นท์แบบนี้จะให้หยุดจิ้นยังไงไหว ฮา
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.25 P.9 (02/09/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 02-09-2017 19:48:49
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.25 P.9 (02/09/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: แม่น้องเปา ที่ 06-09-2017 03:52:38
ชอบมากเลยค่ะ.เวลาที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับพระประจำวันต่างๆเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย..พอนึกแบบที่เคยได้ยิน..วันนี้ไม่ถูกกับวันนี้..วันนี้เป็นมิตรกันละมันอินมาก .. o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.25 P.9 (02/09/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 06-09-2017 23:42:36
รอตอนต่อไป~
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.25 P.9 (02/09/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 07-09-2017 14:31:24
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.25 P.9 (02/09/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 07-09-2017 15:29:16
ก็มันน่าจิ้นขนาดนี้จะอดใจไหวได้ไงคะ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.25 P.9 (02/09/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 07-09-2017 20:31:54


ต้องตามต่อขอรับ

รอต่อขอรับ

หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.25 P.9 (02/09/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Satang_P ที่ 08-09-2017 02:36:43
 :ling1:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.25 P.9 (02/09/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 08-09-2017 20:15:19
เป็นลูกพระเสาร์ ก็น่าจะมีศักดิ์พอจะเป็นชายาพระอาทิตย์ได้นะ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.26 P.9 (11/09/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 11-09-2017 22:06:41
​​สาปรัก…ทัณฑ์เทวา

Writer : Tan-Yung 0209

File : 26












…‘โอกาส’…คำๆ นี้เป็นคำที่เราได้ยินอยู่บ่อยครั้ง นอกจากจะได้ยินแล้วหลายคนก็ได้รับโอกาสมามากน้อยแตกต่างกันไป การที่ได้รับโอกาสในแต่ละครั้งก็มีคนที่คว้ามันเพื่อทำบางสิ่งให้บรรลุเป้าหมายแต่บางคนได้รับมันมากลับปล่อยให้หลุดมือ เพียงเสี้ยววินาทีในการตัดสินใจก็สามารถทำให้เราได้รับหรือเสียโอกาสไปเพราะเวลาและโอกาสไม่ใช่สิ่งที่เราจะควบคุมได้

“เจ้าพุธ…หยุดก่อน!!!” พระเสาร์ที่ในคราแรกมิได้ติดจะสนใจนาคินทร์ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกเลยสักนิด หากหัวใจความเป็นพ่อที่อยู่เบื้องลึกของจิตใจ สัญชาตญาณบางอย่างกลับทำให้พระเสาร์เปลี่ยนความคิดแล้วร้องเรียกพระพุธที่กำลังจะก้าวผ่านพ้นออกจากวิมาน

“โอ๊ย!!! พี่เสาร์…พุธเจ็บนะ” พระพุธที่จะออกจากวิมานกลับถูกหัตถาใหญ่กร้านยื้อยุดฉุดแขนตนจนเสียการทรงตัวเซถลาชนกับแผงอกแกร่งของพระศนิ

“พี่...ขอโทษ” พระเสาร์พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง มือก็ลูบหน้าผากเนียนที่แดงระเรื่อดุจกลีบดอกมณฑาป่าด้วยแรงปะทะเมื่อครู่

“อย่ามารั้งพุธแล้วลูบหน้าผากเยี่ยงนี้...ไหนพี่เสาร์บอกพุธมาสิ...ว่ารั้งพุธไว้ด้วยเหตุใด...หรือว่า...เปลี่ยนใจอยากจะเล่นสกากับพุธแล้ว” พระพุธเอ่ยถามน้ำเสียงกระเง้ากระงอด ดวงตาสวยมองดุไปที่อีกฝ่าย ท่าทางแบบนี้มีพระพุธเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถจะทำได้

“ข้าอยากเห็น..ละ..ลูก…เอ่อ..นาคินทร์ อยากดูว่าหน้าตาเขาจะเป็นเช่นไร...” พระเสาร์เอ่ย ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าพระพุธนั้นสามารถสร้างมิติมายาให้เห็นบุคคลหรือสถานที่ที่เรานั้นต้องการจะเห็นได้ เทวารัศมีกายสีมรกตพอได้ยินเกิดความปิติไม่น้อยที่พระเสาร์ยอมใจเย็นลงบ้าง แต่พระเสาร์ยังคงเป็นพระเสาร์ความปากแข็งวางมาดยังคงมีอยู่ จนพระพุธอยากจะหยิกริมฝีปากของเทพหน้านิ่งตรงหน้าแรงๆ ให้หายแข็งสักที

“ก็พอจะมีเหตุผล ดังนั้นพุธจะให้พี่ได้เห็นลูกของพี่ เพราะพุธเองก็อยากเห็นหน้าหลานเช่นเดียวกัน” พระพุธยิ้มแป้น

“ช้าอยู่ไยเล่าเจ้าก็รีบสร้างมิติมายาให้ข้าได้เห็นใบหน้านาคินทร์เสียที...” พระเสาร์เร่งพระพุธที่มัวแต่ยิ้ม ไม่ยอมลงมือทำเสียที

“พี่เสาร์ก็ปล่อยแขนพุธก่อนเสียสิ จับแขนพุธไม่ปล่อยเยี่ยงนี้แล้วพุธจะช่วยพี่เสาร์อย่างไรได้เล่า’ พระพุธเอ่ย พระเสาร์จึงก้มหน้าลงพบว่าตนยังจับแขนเรียวอยู่จึงรีบปล่อย

เมื่อเป็นอิสระแล้วพระพุธจึงยกมือเรียวขึ้นพนม ริมฝีปากสวยขยับเล็กน้อยเพื่อร่ายมนตราก่อนจะยื่นมือออกมาด้านหน้าหนึ่งข้าง แสงสีเขียวตองอ่อนวูบวาบในฝ่ามือก่อนจะหายไปแลปรากฏห่อผ้าแพรสีเขียวที่ภายในมีผอบเถ้ากระดูกพญาคชสารเผือกผู้มีพระคุณของพระพุธดุจดั่งพระมารดา

“แม่ช้างจ๋า…ลูกช้างขอให้แม่ช่วยลูกได้มองเห็นนาคินทร์ผู้เป็นลูกพี่เสาร์ด้วยเถิด”

ผงกระดูกสีขาวค่อยๆ ลอยละล่องขึ้นก่อตัวหมุนวนไม่ต่างจากพายุขนาดเล็ก แล้วลอยออกจากผอบบนฝ่ามือบางลงไปยังพื้นรัตนา ก่อตัวขึ้นมาให้ทั้งสองได้เห็นเป็นรูปร่างที่หมายจะใคร่ชม แลปรากฏกายบางที่มีเส้นผมดำยาวสลวยกำลังนอนอยู่เคียงข้างเทวาบุรุษหนึ่งในถ้ำ โดยที่ทั้งสองนั้นไร้อาภรณ์ใดๆ นุ่งห่ม

‘นาคินทร์…’

‘นาคินทร์…ตื่นเถิด...’

รพีพงศ์ที่ตื่นขึ้นมาได้มองใบหน้านาคาที่นอนหนุนแขนตน ท่าทางที่ไร้กังวลบ่งบอกว่านาคินทร์มีความสุขกับการนอนมากขนาดไหน หากเวลาในตอนนี้ใกล้ยามตะวันอยู่กลางเศียรเสียแล้วจึงจำใจต้องปลุกกายบางให้ตื่น แต่เรียกเท่าไหร่นาคินทร์กลับไม่ยอมตื่นอีกทั้งยังขยับเขามาแนบใบหน้าชิดอกแกร่ง แขนเรียวเข้ากอดก่ายตนมิยอมปล่อย

“นาคินทร์ถ้าไม่ตื่นข้าจะพรมจูบปลุกเจ้าไปทั่วร่าง...” รพีพงศ์โน้มกระซิบจนริมฝีปากแทบจะติดใบหูนิ่มของนาคที่กำลังหลับและสิ่งที่เอ่ยมานั้นร่างสูงมิได้ขู่ วรรณะเทวัญชั้นสูงมีหรือจะโป้ปดพอกล่าวจบริมฝีปากร้อนผ่าวเริ่มจรดประทับจุมพิตไล่ตั้งแต่หลังใบหูลงมายังซอกคอระหง

‘อื้อ…อ่ะ..ท่านระ..รพีพงศ์หยุดเถิด’ นาคินทร์กระสับกระส่ายร่างกายบิดเร้าไปมา การถูกปลุกที่มาพร้อมกับความเสียวซ่านนี้ทำให้นาคินทร์ตาสว่าง

“ขะ…ข้าตื่นแล้ว…”

นาคินทร์ลุกขึ้นนั่งปากก็ร้องออกมาเสียงดัง ใบหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย แผงอกขาวแต่งแต้มไปด้วยรอยสีกลับกุหลาบกระเพื่อมขึ้นลงแรงตามจังหวะลมหายใจรวมถึงจังหวะของก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายที่เต้นแรงแทบทะลุออกมา…‘นี่เราฝันไปหรือนี่ น่าอายเสียจริงที่ฝันลามกขนาดนี้’... มือบางจับแก้มตัวเองที่บัดนี้ร้อนผ่าวไม่ต่างจากเหล็กที่โดดไฟเผา

“เป็นอันใดหรือถึงได้จับแก้มตัวเอง ทั้งเจ้ายังร้องออกมาเสียงดังอีก” เสียงร้องเมื่อครู่ทำให้ร่างสูงข้างกายนาคินทร์ตื่นขึ้นมาจากนิทรา ดวงเนตรคมมองนาคน้อยอย่างสงสัย

“พอดีข้านั้นฝันร้ายแล้วก็มีตัวอะไรไม่รู้มากัดแก้มข้า” นาคินทร์แก้ตัวด้วยข้ออ้างที่แม้แต่นาคที่ยังเดียงสานั้นยังรู้เลยว่าประโยคที่เอื้อนเอ่ยออกมาหาใช่ความจริงเลยสักนิด

“ไหนให้ข้าดูแก้มเจ้าเสียหน่อย” ดูเหมือนรพีพงศ์ไม่ได้ระแคะระคายในคำพูดของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย มือหนาจับมือนิ่มให้ออกจากแก้ม สายตาจับจ้องรอยแดงระเรื่อก่อนจะยิ้มมุมปาก ก่อนจะโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้

“ข้าขอชมให้ชัดๆ สักนิด”

“โอ๊ย!!” นาคินทร์ร้องออกมา มือก็จับแก้มตนตามสัญชาตญาณทันที

“ท่านรพีพงศ์มากัดแก้มทำไมเล่า ข้าเจ็บนะ!!!” นาคินทร์โวยวาย แม้ฟันคมจะขบกัดตนไม่แรงมากนักแต่ก็ทำให้รู้สึกเจ็บจี๊ดเช่นเดียวกับมดตัวจ้อยกัด

“เจ้าโกหกข้า…แท้ที่จริงหาได้มีตัวอะไรกัดเจ้าไม่ แต่เจ้าร้องละเมอออกมาเสียงดัง แก้มทั้งสองยังแดงปลั่งดั่งผลมะเดื่อสุก ข้าว่าเจ้าต้องฝันลามกถึงข้าเป็นแน่....” รพีพงศ์เอ่ย แม้คำพูดจะหยอกเย้าแกล้งให้นาคน้อยอายแต่หารู้ไม่ว่า…

…‘ท่านเข้ามาในความฝันของข้าหรือไร ถึงได้รู้ว่าข้าฝันถึงท่าน…คนบ้า!!!’…

“หามิได้...ใครเล่าจะฝันว่าท่านจูบเพื่อปลุก..อ๊ะ!” คำปฏิเสธกลายเป็นข้อผูกมัดให้จำเลยจำนนต่อหลักฐาน

“นี่เจ้าเก็บข้าไปฝันเยี่ยงนี้หรือ…เจ้านาคน้อยลามก”

“ข้าไม่ได้ลามกนะ!!” นาคินทร์รีบปฏิเสธ …‘อยากจะร้องไห้แล้วกระโดดน้ำหนีอายเสียจริงที่ดันหลุดปากพูดถึงความฝันไป’…

“ไม่ลามกหรือ เอ๊ะ!...ข้าว่าข้าทำความฝันของเจ้าให้เป็นจริงดีหรือไม่เล่า” ไม่พูดเปล่าสุริยะบุตรรวบกอดเอวคอดไว้แน่นตามด้วยหอมแก้มซ้ายขวาจากนั้นจึงจัดการประทับรอยจูบตามซอกคอ

“อื้อ…ท่านรพีพงศ์!!!”

‘ตูม!!’ นาคินทร์ผลักรพีพงศ์ให้ออกห่างแต่เทพหนุ่มกลับตกจากแท่นศิลาที่ยามนี้โดนมีน้ำไหลเข้าล้อมรอบตั้งแต่เมื่อไหร่ก็มิสามารถรู้ได้ รพีพงศ์ลุกขึ้นมาจากศิลามือกุมแผลบริเวณเอวของตนไว้ใบหน้าบ่งบอกถึงความเจ็บปวดเนื่องจากแผลนั้นสัมผัสกับน้ำ

“ท่านรพีพงศ์ ข้าขอโทษ” นาคน้อยก้าวขาลงจากแท่นศิลาเพื่อดูอาการของคนที่ตนเพิ่งผลักไปเมื่อครู่

“ข้ามิเป็นไรมากนักเจ้าอย่าได้ใส่ใจเลย…สิ่งที่น่าสนใจในเพลานี้คือน้ำที่กำลังไหลเข้ามาท่วมในถ้ำนี่ต่างหากเล่า ดีแค่ไหนที่เราสองนอนบนแท่นศิลาขืนนอนตรงปากทางถ้ำมีหวังข้าได้จมน้ำตายกันพอดี…” รพีพงศ์เอ่ย เนตรคมกวาดมองภายในคูหาที่มีสายชลหลั่งไหลเข้ามาท่วมทั่วบริเวณ แม้ยามนี้จะท่วมประมาณเข่าแต่รพีพงศ์หาได้วางใจเพราะบางทีระดับน้ำอาจจะขึ้นสูงมากกว่าตอนไหนก็ได้

“เห็นทีผ้าผลัดอาภรณ์ของเราทั้งสองคงลอยไปกับสายน้ำเสียแล้ว” นาคินทร์นึกขึ้นได้เพราะเห็นร่างเปลือยเปล่าของรพีพงศ์ส่วนตนยังดีที่มีผ้าห่มผืนบางปกปิดกายไว้

“เจ้ามองร่างเปลือยข้าจึงนึกได้ใช่หรือไม่…ลามกเสียจริงเชลยข้า...”

“ใช่…พอใจหรือยัง ข้ามองท่านข้าเลยนึกขึ้นได้ แต่ว่าท่านก็มองข้าตลอดเหมือนกันมิใช่หรือ...ถือว่าหายกันไป...” นาคินทร์หมดทางแก้ตัวเพราะไม่ว่าจะพูดอะไรไป รพีพงศ์คงคิดว่าตนเป็นคนสัปดนไปเสียแล้ว

“ยอมรับมาก็ดี…ข้าจักเสกอาภรณ์ให้เจ้าและข้า” รพีพงศ์พนมมือขึ้นท่องคาถา พลันอาภรณ์เครื่องแต่งกายก็ปรากฏบนกายของทั้งสอง นาคินทร์ก้มมองสำรวจกายก็รู้สึกพอใจที่ตนไม่เปล่าเปลือยอีกต่อไป

“ไปกันเถิด” รพีพงศ์พูดต่อพร้อมจับข้อมือเล็กให้เดินมากับตน

“ไปไหนเล่า ปากถ้ำอยู่ทางนี้” นาคินทร์ร้องท้วงเมื่อเห็นว่ารพีพงศ์กำลังเดินไปอีกทาง

“มากับข้าเถิด เจ้าเห็นช่องคูหาตรงนั้นหรือไม่ สายน้ำที่เข้ามามันไหลไปทางนั้น แสดงว่าต้องมีช่องทางออกไปด้านนอกอยู่ปลายทางน้ำ” รพีพงศ์ตอบข้อสงสัย นาคินทร์จึงเดินตามเทพหนุ่มแต่โดยดี

“มืดเสียจริง” นาคินทร์เอ่ย พอเข้ามาด้านในคูหา ณ ที่แห่งนี้ไร้แสงพระอาทิตย์ส่องถึงได้

‘ฟึบ’ พลันเกิดแสงสว่างเป็นเปลวไฟออกมาจากตรงปลายดัชนีของรพีพงศ์ช่วยส่องแสงให้นาคินทร์ได้มองเห็น

“สว่างขึ้นมาหรือไม่...”  รพีพงศ์ถาม

“สว่างขึ้นมาสักนิด… เอ๊ะ! แต่นั้น....ท่านรพีพงศ์ท่านดูตรงนั้นสิ เหมือนมีภาพเขียนอยู่ด้วย...” นาคินทร์ชี้ไปยังผนังถ้ำด้านหนึ่งที่มีภาพลายเส้นสีฟ้าครามวาดเป็นลวดลายเอาไว้

รพีพงศ์เดินเข้าไปใกล้ พอพิจารณาภาพเขียนนี้แล้ว ก็คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นแผนที่ไปยังสถานที่ใดสักแห่ง ….’หรือว่านี่เป็นเส้นทางลัดไปยังวิมานเทพกาลเวลา’…  ช่างโชคดีเสียจริงอย่างน้อยตนก็พอจะได้ตามนภนต์และชลันธรได้ทันท่วงที หวังว่าทั้งสองจะปลอดภัยเช่นเดียวกับตนและนาคินทร์

“...นี่คือแผนที่...และข้าว่าแผนที่นี้น่าจะเป็นทางลัดเชื่อมต่อไปยังวิมานของเทพกาลเวลาได้...สายน้ำเองก็ไหลไปทางนั้นเสียด้วย ข้าว่าเราตรงไปทางนั้นแต่กันเถิด...” รพีพงศ์บอกกับนาคินทร์ แล้วก็เดินทางต่อไปด้วยกัน

“พอได้กลับมาอยู่ในถ้ำที่มืดมิดแบบนี้...ข้าก็อดที่จะให้นึกถึงท่านแม่ของข้าไม่ได้เลย ” พอเดินทางได้สักพัก นาคินทร์กล่าวถึงมารดาด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย เพลานี้แม่ของตนนั้นจักเป็นเช่นไร จักสุขสบายดีไหมดั่งคำที่กนธีเคยให้สัญญาว่าจักให้ทหารคอยส่งอาหารมาดูแลเนื่องจากมุตตาผู้เป็นแม่นั้นมิต้องการออกจากถ้ำ

“ท่านแม่ของเจ้าอย่างนั้นหรือ จะว่าไปข้าก็ไม่เคยรู้เรื่องราวอะไรของเจ้าเลย” รพีพงศ์เอ่ย เทพหนุ่มนึกขึ้นมาได้ว่าตนมิเคยรู้เรื่องภูมิหลังของนาคที่อยู่ข้างกายเลยแม้แต่น้อย

“ข้ากับท่านแม่ของข้าอาศัยอยู่ในถ้ำระหว่างรอยต่อใต้มหาสมุทรสองนทีเพียงสองแม่ลูก หามีใครอื่นอีกไม่”

“ข้าเคยได้ยินว่าส่วนรอยต่อคั่นกลางระหว่างมหาสมุทรในโลกมนุษย์และมหานทีสีทันดร ที่นั่นทั้งมืดทั้งหนาวกว่ามหาสมุทรโดยทั่วไปเสียอีก เหตุใดแม่และเจ้าถึงอยู่ที่นั่นเล่า” รพีพงศ์เกิดข้อสงสัยด้วยใคร่รู้มาว่ามหาสมุทรสองนทีนี้มิค่อยมีสิ่งมีชีวิตมากมาย หากมีก็มีเพียงพวกสัตว์น้ำประหลาดที่ไม่มีพวกพ้อง หากเทียบกับโลกมนุษย์แล้วที่นี่อาจะเป็นดั่งเป็นสถานสงเคราะห์หรือถิ่นทุรกันดาน

“ท่านแม่ของข้าบอกว่าต้องการอยู่อย่างสงบ อีกทั้งรูปร่างหน้าตาของท่านข้ามิได้โสภาเท่าใดนัก ท่านจึงไม่อยากจะพบเจอใคร ผิดกับข้าที่แอบหนีเที่ยวเล่นจนบ่อยครั้งข้ากลับถ้ำมา ท่านแม่ของข้าจะถือซากปะการังเล็กๆ ตีก้นข้า” นาคินทร์เล่าเรื่องราวสีหน้ามีความสุข

“แสดงว่าเจ้านั้นแสนซนมิใช่น้อย” รพีพงศ์ใช้มือที่ว่างลูบผมดำขลับอย่างเอ็นดู สัมผัสอุ่นจากฝ่ามือทำให้นาคินทร์รู้สึกเคอะเขินมิใช่น้อย…‘ท่านทำให้ใจของข้าเต้นแรงอีกแล้ว…ท่านรพีพงศ์’

‘ซ่า….’

สายน้ำไหลจากที่สูงลงกระทบลงที่ต่ำทำให้เกิดเสียงดังก้อง เสียงที่เกิดขึ้นนั้นอยู่ไม่ห่างจากทั้งสองมากนัก ด้วยความอยากรู้จึงรีบเดินเข้าไป ทั้งสองต้องตะลึงเมื่อภาพตรงหน้านั้นเป็นเหวลึกด้านใต้มีน้ำจากด้านบนไหลลงมา รพีพงศ์จึงสำรวจเพดานเผื่อจักมีภาพวาดอีกและนั่นเป็นข้อสันนิฐานที่ถูกต้อง ตรงเพดานถ้ำมีภาพวาดอยู่จริง

“ให้ตายสิ อุโมงค์ทางออกจากถ้ำไปยังเขาจิรันดรอยู่ใต้น้ำนี้” รพีพงศ์เอ่ยอย่างอารมณ์เสีย เมื่อวานตนเพิ่งจักจมน้ำเกือบเอาชีวิตไม่รอดแล้วไม่ทันไรตนต้องกระโดดลงน้ำโดยไม่รู้ระดับน้ำและระยะทางที่จะต้องว่ายน้ำออกจากที่นี่

“ท่านอย่าได้กังวลเลย ข้าจะไม่ปล่อยให้ท่านจมน้ำตายดอก” นาคินทร์เอ่ย

“นี่ข้าต้องฝากชีวิตไว้กับเชลยตัวเล็กเสียแล้วหรือนี่” พอได้ยินคำพูดของนาคินทร์ รพีพงศ์ก็อารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง

“ชีวิตของท่านขึ้นอยู่กับเชลยอย่างข้าแล้ว” นาคินทร์พูดจบ มือเรียวนั้นก็จับท้ายทอยอีกฝ่ายให้โน้มลงมาใกล้ใบหน้าตน ริมฝีปากสีสดประทับบนริมฝีปากหนาที่ค่อยๆ เปิดอ้ารับลิ้นที่สอดเข้ามามอบรสจูบแสนหวานรวมทั้งสิ่งแปลกปลอมขนาดเล็กที่เข้ามาในโพรงปากของรพีพงศ์ นาคินทร์ค่อยๆ ผละริมฝีปากออกอย่างช้าๆ สายตาจับจ้องเทวาตรงหน้า คนโดนจูบเองก็คายของแข็งขนาดเล็กในปากลงฝ่ามือก็พบว่าเป็น...ไข่มุกสีมรกต...

“สิ่งนี้คืออะไร...” รพีพงศ์เอ่ยถามด้วยความสงสัย

“นี่คือ...ไข่มุกมรกตท่านแม่ให้ข้าไว้... หากท่านอมสิ่งนี้ไว้ในปาก ท่านนั้นจักสามารถอยู่ในน้ำได้นานแค่ไหนก็ได้” นาคินทร์ตอบ

“มันเป็นของรักของเจ้าหรือ...แล้วไยเจ้าไม่มอบให้ข้าโดยตรง เหตุใดจึงป้อนจูบข้า…จริงสิข้าลืมไปว่าเจ้ามันเด็กลามก” รพีพงศ์ล้อคนตัวเล็กจนนาคินทร์อดไม่ได้ที่จะมอบกำปั้นเล็กๆ ทุบตีอกแกร่ง

“ถ้าข้าลามก ท่านนั้นคงจะ ลามกที่สุดในสามโลก!!!!” นาคินทร์โวยวายกลบเกลื่อนความอายที่ปกปิดไม่มิด ทั้งที่ตั้งใจอยากป้อนไข่มุกให้ถึงปากแท้ๆ แต่มิวายโดนรพีพงศ์โยงเรื่องกับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้

“ใช่ข้านั้นลามกที่สุดในสามโลก…ไม่สิโลกที่สี่ต่างหาก...โลกที่สี่...โลกที่มีแต่เจ้ากับข้า” รพีพงศ์หยอดคำหวานเล่นเอานาคินทร์ไปไม่เป็นต่อประโยคไม่ได้…‘ท่านรู้หรือไม่ว่าคำพูดของท่าน ทำให้ข้าอายเสียจนอยากจะละลายไปรวมกับน้ำ’...

“ข้าจะไม่หยอกเจ้าให้อายแล้ว ถึงจะชอบใบหน้าเจ้าอายก็เถอะนะ”

…‘ไหนว่าไม่หยอก โกหกข้าชัดๆ…คำพูดเมื่อครู่ทำข้าอายกว่าเก่าเสียอีก’…

“ถ้าท่านหยุดหยอกข้าแล้วก็อมไข่มุกมรกตนี่เสียเถิด เราทั้งสองจะได้ออกจากถ้ำนี้ไปด้วยกัน” นาคินทร์เปลี่ยนเรื่อง รพีพงศ์เองไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรต่อก่อนจะนำไข่มุกมรกตเข้าปากและจับมือนาคินทร์เอาไว้

เมื่อกายพร้อม ใจพร้อม รพีพงศ์และนาคินทร์ต่างมองใบหน้าของกันและกันจนร่างสูงพยักหน้าเป็นสัญญาณให้กระโดดลงไปเบื้องล่างที่มีวารีคอยรองรับ

‘ตูม!!!’

“พอแค่นี้ก่อน...ข้ามิใคร่อยากดูต่อ” พระเสาร์เอ่ย ใบหน้าบั้นบึ้งราวกับว่าไปโกรธหรือโมโหใครมา

“ไม่อยากดูต่อแล้วหรือ พุธกำลังลุ้นอยู่เลยว่าทั้งสองจะออกไปได้จริงๆ หรือเปล่า... แต่จะว่าไปนาคินทร์ถึงแม้จะเป็นชาย แต่ก็ช่างงดงามยิ่งนัก พุธล่ะอดสงสัยมิได้ว่ามุตตาแม่ของเขาคงจะงามเช่นเดียวกับนางฟ้านางสวรรค์ ยกเว้นดวงตาของนาคน้อยช่างเหมือนกับดวงตาพี่เสาร์ของพุธจริงๆ” พระพุธถามย้ำพร้อมกับเอ่ยชมหลานชายตามที่ได้เห็นเป็นประจักษ์

“ไม่…ข้าไม่อยากดู ข้ามิพอใจกับสิ่งที่เห็นนัก” พระเสาร์พูดออกไปตามตรง ความรู้สึกไม่พอใจกำลังจะปะทุขึ้นมาอีกครั้ง ถึงแม้ว่านาคินทร์จะเหมือนมุตตามากก็ตาม ด้านพระพุธเองพอจะดูออกว่าพระเสาร์ผู้พี่ไม่สบอารมณ์จึงเรียกเก็บผงกระดูกกลับคืนสู่ผ้าแพร

“พี่เสาร์ไม่พอใจอันใดเล่า ไหนลองบอกพุธมาสิ” พระพุธถามแล้วเข้าไปสวมกอดเอวพระเสาร์ไว้ ถ้าเป็นทุกทีพระเสาร์จะขัดขืนแต่ครั้งนี้พระเสาร์ไม่ได้สนใจที่พระพุธกอดตนแม้แต่น้อย พระเสาร์สนใจสิ่งที่ตนได้เห็นเมื่อครู่มากกว่า

“รพีพงศ์บุตรของพระอาทิตย์ เจ้าก็รู้ว่าข้ามิชอบวงศานั่น!! อีกทั้งข้ามิชอบพวกรักร่วมเพศแต่เจ้าดูนาคินทร์สิ ท่าทางมีใจให้กับรพีพงศ์อยู่ไม่น้อย มันน่าโมโหยิ่งนัก!!! น่าจะปล่อยไปตามยถากรรมแทนที่จะช่วยเหลือ แถมยัง...” พระเสาร์ระบายความไม่พอใจออกมา พระพุธเองได้ฟังถึงกับสะอึกเพราะตนนั้นเคยมีเมียเป็นบุรุษ ครานั้นพระเสาร์โมโหพรพุธจนมิยอมเสวนาหรือมองหน้าเสียด้วยซ้ำ จนเทวาทรงคชสารและชายาผู้เป็นบุรุษหมดวาสนาต่อกันจำต้องจากไปตามกงล้อของโชคชะตา พระเสาร์จึงใจอ่อนกลับมาพูดคุยกับพระพุธดังเดิม

“พี่เสาร์...ความรักนั้นสวยงามเราควรรักกันที่ใจหาใช่ที่เพศ พุธว่าดีเสียอีกหากพี่เสาร์ได้เกี่ยวดองกับวงศาพระอาทิตย์ เทพหมู่ดาวก็จะสุขสงบแลสวรรค์ของเราก็จะน่าอยู่ขึ้น อีกอย่างในเพลานี้ข้าอยากให้พี่เสาร์สนใจที่จะช่วยนาคินทร์มากกว่า ส่วนเรื่องนาคินทร์กับรพีพงศ์นั้นค่อยหารือกันอีกครั้งมิได้หรือ...” พระพุธกอดพระเสาร์แน่นกว่าเก่า ปรางค์เนียนถูไถไปตามแขนอย่างออดอ้อน หวังเพียงให้พระเสาร์นั้นหายโมโหแล้วจะได้ลงไปช่วยบุตรา พระเสาร์มิได้ขัดขืนปัดป้องที่พระพุธก่ายกอดเพราะในใจกลับคิดถึงสิ่งหนึ่งที่ได้เห็น...เพราะเป็นสมบัติที่จะมีเฉพาะวงศ์นาคาสีทองเท่านั้น

’...เจ้าช่างเหมือนมุตตาเสียจริง...ผมของเจ้าช่างเหมือนแม่เจ้านัก...แต่ไข่มุกมรกตนั่นเป็นของข้า มุตตาคงให้นาคินทร์ไว้เป็นแน่...เหตุใดเจ้าจึงมอบให้บุตรพระอาทิตย์นั่น...นาคินทร์นี่เจ้ารักรพีพงษ์จริงๆ หรือนี่...”

. . .

อีกด้านหนึ่งของป่ากันติทัต

‘กุ๊งกิ๊ง…กุ๊งกิ๊ง’

กระดิ่งคล้องคอของพระโคศุภราชดังตามจังหวะกีบเท้าที่ย่างก้าวไปข้างหน้าโดยมีร่างอรชรของชลันธรนั่งอยู่บนหลังและที่เดินอยู่ข้างกายคอยจับมือนิ่มไว้มิคิดวางนั้นก็มิใช่ใครอื่นนอกเสียจากแม่ทัพหลวงแห่งสรวงสวรรค์…เทพนภนต์

“ข้ามองเทพีปัณฑารีย์ผิดไปเสียแล้ว อันที่จริงนางยังมีความดีอยู่บ้าง” ชลันธรเอ่ยถึงผู้ที่ให้ความช่วยเหลือไม่ว่าจะรักษาอาการบาดเจ็บของคนรัก ให้ที่พักไว้หลับนอน รวมถึงเมื่อเช้านี้เทพีแห่งการรักษาผู้นี้ยังบอกเส้นทางลัดเลาะไปยังวิมานของเทพกาลเวลาเจ้าของวิมานจิรันดร

“นางก็มิได้เลวร้ายอันใดดอก นอกจากจะทำให้เจ้าหึงหวงพี่ก็เท่านั้น” นภนต์เอ่ย อันที่จริงต้องขอบคุณนางด้วยซ้ำที่ทำให้นภนต์ชลันธรหึงหวงตน

“ข้าเองต้องขอโทษท่านพี่ด้วยที่หึงหวงเสียจนแสดงกิริยาไม่ดีออกไป” ชลันธรเอ่ย ทั้งที่ตนควรใจเย็นเพื่อไว้หน้านภนต์คนรักแต่กลับทำไม่ได้ จะว่าไปแล้วชลันธรคิดว่าตนคงขี้หึงไม่แพ้เทพเวหาข้างกายเช่นกัน

“มิเป็นไรดอกเพราะมันแสดงให้เห็นว่าเจ้านั้นรักพี่มากเช่นไร ซ้ำเจ้ายังได้ชดเชยขัดเกลาอาวุธของพี่ ตามใจพี่มาทั้งคืนแล้ว” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์มาพร้อมกับสายตาแสนเจ้าชู้ปานจะกลืนกินร่างกายแสนหวานกลางป่า

“ทำเป็นชอบอกชอบใจนักนะ...ท่านพี่หยุดแสดงท่าทางเยี่ยงนี้เลย  รู้ไหมว่าข้านั้นปวดเอว ปวดหลังมากขนาดไหน” ชลันธรหน้างอ ฝ่ามือเล็กตีบ่านภนต์ไม่แรงนักเป็นการลงโทษ

“พี่รักเจ้า…เฝ้ามองเจ้ามาตลอด พอมีโอกาสพี่นั้นก็อยากจะทำรักเจ้าให้สมกับความรักที่พี่มี” และความรักที่นภนต์มีให้กับชลันธรในเพลานี้ไม่ว่าจะกอดรัดชลันธรเป็นร้อยรอบพันรอบก็คงจะไม่พอ

“เฝ้ามองมาตลอดนั้นหรือ อืม…จะว่าไปข้ามิเคยถามท่านพี่เลยว่าท่านพี่รักข้าตั้งแต่ตอนไหนกัน...”  ชลันธรเอ่ยถามในสิ่งที่ค้างคาใจ

“ครั้งแรกที่พบเจอกัน” นภนต์ตอบไปเพียงประโยคสั้นๆ  มิรู้ว่าคนงามจะจำได้หรือไม่

“ตอนที่ข้าหนีคนของข้าแล้วเข้าไปแอบในถ้ำแก้วนะหรือ ข้าจำได้ข้าถูกลูกธนูของท่านพี่ยิงเฉี่ยวแขน”

“ผิดแล้ว…สงสัยพี่จะต้องเล่าให้เจ้าฟังเสียแล้ว”

(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.26 P.9 (11/09/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 11-09-2017 22:07:32
(ต่อ)

ย้อนเวลากลับไปเมื่อหลายร้อยปีก่อน นภนต์ยังครองตำแหน่งรัชทายาทผู้สืบบัลลังก์เจ้าแห่งนภา บ่อยครั้งที่นภนต์จักตามบิดาหรือเทพแห่งท้องนภาองค์ก่อนออกจากวิมานมายังสภาเทวาเพื่อปรึกษาหารือ หากนภนต์มิได้เข้าไปเนื่องด้วยตำแหน่งรวมถึงเทพหนุ่มสนุกสนานกับการเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ บนชั้นฟ้า

จนกระทั่งมาถึงสวนขวัญ ตนกลับได้ยินเสียงร้องไห้ปนสะอื้นดังเข้าหู ทั้งที่สวนขวัญนี้เป็นที่ร่ำลือกันว่าเป็นสวนแห่งพรรณไม้บนสรวงสวรรค์ที่สวยงามที่สุด ใครได้พบเห็นจักมีความสุขจนเผยยิ้มกว้าง หาใช่มีเสียงสะอื้นไห้เยี่ยงนี้ ความสงสัยชักนำให้นภนต์ต้องเข้าไปดูเพื่อหาต้นตอเสียงและได้เห็นการกระทำที่แสนหยาบคายของหนึ่งในสามมหาเทวี…เทวีภัควลัญชญ์ที่กำลังยิ้มเยาะมีสุขในขณะที่เทพอัปสรผู้รับใช้กำลังใช้หางกระเบนเฆี่ยนตีเทพบุตรตัวน้อยถึงสององค์ ดวงตาคมสังเกตเห็นชายผ้าปักดิ้นสีครามของหนึ่งในเทพบุตรจึงรีบไปแจ้งพระสมุทรกลางสภาเทพและช่วยเหลืออย่างทันท่วงที

“ท่านพี่เป็นคนไปบอกท่านพ่อให้มาช่วยข้าหรือ” ชลันธรตกใจมิใช่น้อยหลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวจากปากคนรัก

“ใช่ พี่เป็นคนบอกพระสมุทรองค์ก่อน รวมถึงเป็นคนพาเจ้าไปรักษา”

เมื่อพระผู้สร้างพร้อมด้วยพระสมุทรเสด็จถึงสวนชวัญ บุษยะและชลันธรก็ได้รับการช่วยเหลือ พระสมุทรเองไว้ใจนภนต์ที่นำความไปแจ้งจึงขอให้นภนต์พาบุตราผู้เป็นดวงใจไปให้เทพโอสถและเทพีแห่งการรักษา

“ยามที่พี่ได้จับต้องเนื้อนวลของเจ้าในคราแรกนั้น ใจพี่ก็ลุ่มหลงเจ้าเสียแล้ว ยามพี่มองใบหน้าเจ้าพี่นั้นหลงรักเจ้าเสียถอนตัวไม่ขึ้น ยามที่โลหิตจากบาดแผลเจ้าหลั่งรินพี่คิดอยากจะปกป้องเจ้าไว้จากภัยร้ายทั้งปวง…หากเจ้านั้นกลับสูงส่งด้วยเป็นรัชทายาทบัลลังก์สีมุกผู้สืบทอดตำแหน่งพระสมุทรที่ยิ่งใหญ่รองมาจากพระผู้สร้าง ในเพลานั้นพี่เองคิดจะตัดใจจากเจ้าแต่...พี่นี้กลับทำมิได้”

“แล้วเหตุใดเล่าท่านพี่จึงมิอาจตัดใจ”

หลังจากเหตุการณ์นั้น นภนต์มิได้เจอชลันธรอีกเลย เนื่องด้วยพระสมุทรสุดแสนจะหวงมิให้ชลันธรเที่ยวเล่นไปไหน จนบุษยะต้องเป็นฝ่ายลงไปหาที่วิมานสีคราม หากมาพระสมุทรมาเยือนบนสวรรค์และต้องพาชลันธรมาด้วยแล้ว พระองค์จะนำผอบแก้วมาด้วยเพื่อให้บุษยะและชลันธรเข้าไปเล่นด้วยกัน

จนเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผัน เทพแห่งท้องนภาผู้เป็นพ่อกำลังจะสละบัลลังก์ให้กับนภนต์และต้องการให้นภนต์หมั้นหมายกับบุตรีของเทพีแห่งการรักษา

“พระบิดา ลูกมิอาจหมั้นหมายกับปัณฑารีย์ได้ดอก” นภนต์ปฏิเสธทันที

“เจ้ามิไตร่ตรองให้ดีก่อนหรือนภนต์ พ่อให้เวลาเจ้ามิใช่ให้เจ้าหมั้นหมายหรือจับแต่งในวันนี้วันพรุ่งเสียเมื่อไหร่ นอกเสียจากเจ้ามีใครในใจแล้ว...”

“ลูก…ลูกมีคนที่ข้ารักดั่งที่พระบิดากล่าวมาแต่ผู้นั้นยังมิรู้ว่าลูกนั้นมีใจให้” นภนต์ตอบ

“นั่นมิใช่ปัญหา หากเจ้ารักใครตัวพ่อนั้นจักไปสู่ขอให้กับเจ้า เพียงเจ้าเอ่ยชื่อมาเถิดว่าผู้ที่กุมหัวใจของเจ้านั้นเป็นใคร” แม้ว่าลูกจักไม่หมั้นหมายกับเทพีที่จัดหามาให้แต่ถ้าลูกมีคนรักอยู่แล้วเทพแห่งท้องนภาก็ยินดีไม่คิดขัดขวาง

“ลูกเกรงว่าคนที่ลูกนั้นเอ่ยนามออกไป พระบิดาจะไม่เห็นด้วยชอบพอ” นภนต์มีท่าทีกังวลขึ้นมาจนเทพแห่งท้องนภารับรู้ได้

“เจ้าอย่าได้กังวลเลย เจ้ารักใครพ่อจะไม่ห้ามเจ้า พ่อให้สัญญา” ผู้เป็นพ่อเอ่ยประโยคที่ทำให้บุตรชายมีรอยยิ้มขึ้นมา ในเมื่อพ่อให้คำสัญญาแล้วแน่นอนว่ามิอาจจะคืนคำได้

“ผู้ที่ลูกรักนั้นคือ…ชลันธรบุตรแห่งพระสมุทรแห่งวิมานมุกสีคราม” นามของผู้ที่บุตรชายรักเป็นดั่งสายฟ้าฟาดมากลางใจเทพเวหา ชลันธรนั้นแม้จักงดงามนักหากเป็นชาย ทั้งยังเป็นบุตรของพระสมุทรที่หวงแหนเป็นที่สุด …‘พ่อนี้อยากห้ามเจ้าเสียเหลือเกินแต่พ่อเองผิดคำสัญญาที่มีให้กับเจ้ามิได้’…

“นภนต์…นี่เจ้ารักชลันธร...จริงๆ หรือ...”

“เป็นเช่นนั้นพระบิดา ลูกรักชลันธรตั้งแต่แรกเห็น แม้เวลาผ่านไปความรู้สึกของลูกที่มีต่อบุตรแห่งพระสมุทรมิเคยจางหายซ้ำยังคิดถึงถวิลหาอยากพบเจอทุกเชื่อวัน” นภนต์ระบายความรู้สึกทั้งหมดให้ผู้เป็นพ่อฟัง

“ถ้าเจ้ายืนยันมาเช่นนี้พ่อเองก็ไม่คิดจะห้ามปรามเจ้า แต่เพลานี้นั้นไม่ใช่เพลาที่เหมาะสมเท่าไหร่นักที่จะไปสู่ขอชลันธร...เจ้าอย่าลืมไปว่าด้วยยศฐาบรรดาศักดิ์ของชลันธรนั้นเป็นถึงพระภาดาของพระผู้สร้าง เพียงตำแหน่งเทพแห่งท้องนภาคงไม่เพียงพอสำหรับเจ้าที่จะได้ชลันธรมาเคียงเป็นคู่บารมีให้สมหน้าสมตาพระสมุทรและพระเทวีได้ ดังนั้นพ่อจึงคิดว่า…”

“คิดว่าอะไรหรือ พระบิดา”

“พ่อคิดว่าเจ้าควรจะเข้ารับการทดสอบคัดเลือกตำแหน่งแม่ทัพหลวงแห่งสรวงสวรรค์ ด้วยพระอังคารผู้ชาญสงครามครองตำแหน่งมานานจนครบวาระในอีกไม่ช้า หากเจ้าเป็นแม่ทัพหลวงแล้ว ผู้อื่นเห็นทีจะติฉินนินทาเรื่องความไม่เหมาะสมนี้ยาก ทั้งจะนำพาเกียรติยศชื่อเสียงมาสู่วงศ์เวหาของเรา เจ้าจะพยายามเพื่อชลันธรและความรักของเจ้าได้หรือไม่...นภนต์ แลเมื่อถึงเวลานั้นแล้วพ่อจักสนับสนุนเจ้า ตกลงหรือไม่...” เทพแห่งท้องนภาเอ่ยข้อเสนอ หากได้ฟังจะดูเหมือนว่าเทพแห่งท้องนภาส่งเสริมนภนต์แต่ความจริงแล้วเทพแห่งท้องนภาต้องการจะยื้อประวิงเวลาเพื่อให้บุตรชายมีเวลาไตร่ตรองเสียก่อน รวมถึงอาจจะได้พบใครอื่นที่ต้องใจและมิใช่บุรุษเพศ ด้วยคิดว่าบุตรชายอาจจะเพียงแค่ลุ่มหลงตามประสาวัยหนุ่มแรกรุ่นก็เท่านั้น แลมิได้คิดว่านภนต์จะตั้งใจจริงในการศึกษาการต่อสู้ที่ไม่ได้นิยมชมชอบสักเท่าไหร่ อาจจะดูเหมือนว่าตั้งใจในช่วงแรก แต่ก็คงจะล้มเลิกความคิดนี้ไปเองเพราะสิ่งที่ตั้งเป้าหมายไว้นั้นเป็นไปได้ยากเสียจริง

“พระบิดา...ลูกตกลง” นภนต์เห็นด้วยกับสิ่งที่บิดาได้บอกกล่าว ในเมื่อริจะได้ครองมุกแสนล้ำค่าแห้งท้องทะเล นภนต์ต้องพยายามให้ทัดเทียมชลันธรให้จงได้ ถึงจะไม่เคยได้พบเจอกันอีกตั้งแต่ครานั้น แต่นภนต์ก็มั่นใจว่าตนจะสามารถเอาชนะใจชลันธรได้

เทพหนุ่มตั้งใจมุ่งมั่นฝึกศึกษาวิชาการสงครามทำศึก ทั้งการใช้ศาสตรา ทั้งคาถาเวทย์มนต์จนเก่งกาจจนสามารถเอาชนะเทพทั้งหลายที่เข้าคัดเลือกในครานั้นได้ รวมไปถึงกำชัยชยะเหนือบุตรชายของพระอังคารที่เหมือนว่าจะโดดเด่นไม่แพ้กัน และได้รับแต่งตั้งตำแหน่งแม่ทัพหลวง และศาสตราเป็นธนูทองวิเศษประจำกาย รวมไปถึงตำแหน่งเทพแห่งท้องนภาอย่างสมใจ

“ข้ามิรู้เลยว่าท่านพี่จักทำเพื่อข้าขนาดนี้” ชลันธรปลื้มใจที่นภนต์ทุ่มเทพยายามให้ทัดเทียมกับตน

“พี่ยอมทำทุกอย่างเพื่อที่จะได้เจ้ามาครองและเฝ้ารอที่จะได้พบเจ้า เหมือนชะตานั้นได้ลิขิตไว้ ด้วยเจ้านั้นแสนซนหนีพวกทหารของเจ้ามาหลบซ่อนกายในถ้ำแก้ว และถูกพี่ยิงศรเฉี่ยวแขนเจ้า พอพี่เห็นใบหน้าของเจ้าในครานั้นพี่คิดว่าพี่นั้นต้องถูกเจ้าเกลียดเสียแล้ว หากเจ้ากลับไม่โกรธพี่และยังขอให้พี่ช่วยเจ้าอีก พี่ยินดีช่วยน้องอีกทั้ง เพลานั้นพี่ดีใจมากเสียจนมิอาจจักห้ามใจตนเองให้ล่อลวงเจ้าว่ารักษาแผลด้วยการจุมพิต”

“ท่านพี่เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก!!!” ชลันธรโวยวายขึ้นมา ใบหน้าแดงก่ำนั้นเกิดจากความเขินอายมิใช่โกรธเคือง

“จะว่าพี่เยี่ยงนั้นก็ได้ พี่ยอมรับว่าพี่นั้นเจ้าเล่ห์เพทุบาย พี่จึงชักชวนเจ้ามาเที่ยวกับพี่ทุกคืนวันเพ็ญเพื่อที่อยากใช้เวลาอยู่กับเจ้า เกี้ยวเจ้า...จนเจ้ารักพี่...”

“ข้ามิเคยรู้เลยว่าท่านพี่รักข้ามากเยี่ยงนี้”

“ใช่พี่รักเจ้ามากแต่พี่เองกลับปล่อยให้ความหึงหวงบั่นทอนสติ มิได้คิดไตร่ตรองให้รอบคอบจนพี่ต้องทำให้เจ้าตกสวรรค์ต้องทัณฑ์เทวา” นภนต์เอ่ยออกมาอย่างรู้สึกผิด น้ำเสียงเศร้าสร้อยทำให้ชลันธรเองรู้สึกเป็นห่วงที่นภนต์โทษตัวเอง

“เรื่องมันผ่านไปแล้ว ท่านพี่จงอย่าได้คิดมากไปเลย ถือเสียว่ามันเป็นอุปสรรคและพิสูจน์ว่าเรานั้นรักกันมากแค่ไหน ดั่งคำที่ว่า หากทะเลยังมีเกลียวคลื่น...ก็อย่าเพียรหาความราบรื่นในความรัก...แม้ว่าเราจักไม่พบเจอกันถึงสามร้อยชาติมนุษย์ก็ตามที...แต่สุดท้าย ข้าและท่านพี่ก็กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง...”

“พี่ขอบน้ำใจเจ้ามาก ที่เจ้ามิได้ถือความพี่แล้ว”

“ทว่า…ข้าสงสัยว่าเหตุใดท่านพี่นั้นถึงหึงหวงและคิดว่าข้ากับรพีพงศ์รักกัน” ชลันธรถาม

“เจ้าจำได้ไหมว่าเจ้านั้นปฏิเสธที่จะพบเจอพี่ในคืนวันเพ็ญแต่เจ้ากลับไปพบหารพีพงศ์ วันนั้นพี่บังเอิญได้ยินพวกเจ้าพูดคุยกันและเจ้าเองก็บอกรักรพีพงศ์ พี่แสนเจ็บปวดเจ้ารู้ไหม พี่ทนฟังต่อไปไม่ได้จนต้องเป็นฝ่ายบินหนีไป ความเจ็บก็แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ ยิ่งแต่ก่อนพี่รักเจ้ามากเท่าไรเพลิงแค้นในใจมีมีมากเป็นกว่าเท่าตัว” นภนต์เอ่ย ชลันธรถึงกับชะงักไม่คิดว่านภนต์จักได้ยินและเข้าใจว่าเหตุใดนภนต์ถึงมีท่าทีแปลกไป

“ท่านพี่เข้าใจผิด…ข้าบอกรักรพีพงศ์จริง หากรักนั้นเป็นเพียงมิตรสหายเท่านั้น รพีพงศ์เองยอมตัดใจจากข้าและยินดีคบหาข้าเป็นมิตรสหายมิใช่คนรักและข้ารักท่านพี่เพียงผู้เดียวไม่เคยคิดนอกใจ ” ชลันธรอธิบายเรื่องราวทั้งหมด มันช่างน่าสมเพศเสียจริงที่ถูกตนรักโกรธแค้นเพียงเพราะความเข้าใจผิด

“แล้วเหตุใดเจ้าจึงเลือกพบรพีพงศ์แทนที่จักมาหาพี่ ทั้งที่นานๆ ครั้งเราสองจะได้เจอกัน”

“เอ่อ…คือข้ามีเรื่องที่ต้องปรึกษากับรพีพงศ์”

“เรื่องอะไรหรือ บอกพี่ได้ไหม”

“เรื่องที่ช้านั้นปรึกษากับรพีพงศ์นั้นคือเรื่อง…”

‘ฟิ้ว’

‘ชลันธรหมอบลง!!!’

ไม่ทันที่ชลันธรจะพูดจบ เสียงของหนักแหวกอากาศลอยมาจากด้านหลัง หากสัญชาตญาณของนักรบนั้นได้ช่วยทั้งสองให้หลบวิถีของมันได้

‘ตุบ’ วัตถุที่ลอยมากระแทกกับต้นไม้ใหญ่ก่อนจะกลิ้งมาใกล้กับเท้าของนภนต์ เทพเวหาก้มลงเก็บวัตถุอันตรายขึ้นมา นั่นคือก้อนหินขนาดเท่ากำปั้น…‘ใครบังอาจจ้องทำร้ายเราทีเผลอ’…

“ไอ้อีใดที่ลอบปาหินใส่ข้า อย่ามัวหลบซ่อนตัวอยู่...จงออกมาปรากฏตัวบัดเดี๋ยวนี้ หากเจ้านั้นกล้าพอ..!!!”



























.........................................

นอกจากพระราหูจะไม่ชอบพระอาทิตย์ยังมีพระเสาร์อีกนะคะ ความยิ่งใหญ่ของสองวงศ์นี้อารมณ์เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวไม่ได้ 5555

แต่ถามว่าใครสามารถคานอำนาจของ พระเสาร์ พระอาทิตย์ พระราหู เรียกได้ว่าสามคนยังเกรงใจ ยังต้องยอม....พระพุธไงจะใครล่ะ 55555

รพีพงศ์เจออุปสรรค์หนักไหมก็คงไม่ เพราะไม่เคยพูดว่ารักนาคินทร์ 55555 #ท่านยุ่งกวนteenคนอ่าน

แต่ตอนนี้ผู้ที่เจออุปสรรคของแท้คือพี่นภนต์คนแมนแฟนชลันธร กำลังหวานจีบกันเจอคนมาลอบทำร้าย อ่อ ท่านยุ่งย้อนความหลังให้ได้สัมผัสถึงความสู้เพื่อเมียมันเป็นเช่นไร พระสมุทรเองก็หวงลูกสุดใจขาดดิ้นอีก...ช่วยไม่ได้เพราะ...ก็เรานั้นมันคนละชั้นจะทำเช่นไรให้มองเห็นกัน

สุดท้ายนี้ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน มาเมนต์ เป็นกำลังใจให้ จะติชม วิจารณ์ เอาเลยตามสบาย ขออย่างเดียวอย่ามาแย่งป๋ากนธีของท่านยุ่งก็พอ

รักทุกคน...








หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.26 P.9 (11/09/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 11-09-2017 22:20:46


ใครนะ

ออกมาเร็ว

ข้าเจ้าอยากรู้ต่อแล้ว

หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.26 P.9 (11/09/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 11-09-2017 23:40:02
บังอาจเขวี้ยงหินมาขัดจังหวะสำคัญ
รีบออกมาเลยนะ นะ นะ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.26 P.9 (11/09/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 11-09-2017 23:54:38
กรี๊ดดด ใครมันเขวี้ยงหินขัดจังหวะช้านน :angry2:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.26 P.9 (11/09/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 12-09-2017 00:18:54
โธ่ แก็งค์ปาหินนี่มันน่าจับมาสำเร็จโทษนัก! กำลังเผือกอยู่เชียวมาขัดจังหวะเสียได้
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.26 P.9 (11/09/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 12-09-2017 09:00:43
ใครกัน!?
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.26 P.9 (11/09/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: แม่น้องเปา ที่ 12-09-2017 19:00:01
สนุกๆๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.26 P.9 (11/09/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 13-09-2017 19:02:23
 :mew6: ตอนหน้ารุมกระทืบคนปาหินกันค่ะ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.27 P.9 (25/09/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 25-09-2017 18:59:58
สาปรัก…ทัณฑ์เทวา

Writer : Tan-Yung 0209

File : 27















ลึกลงไปใต้พิภพกลับมีเส้นทางให้น้ำไหลผ่าน เพียงใช้นิ้วสัมผัสก็แทบจะชักนิ้วมือกลับแทบในทันที สายวารีนี้เย็นเฉียบเข้าแกนกระดูก ด้วยก้อนหินใต้น้ำแต่ละก้อนนั้นกลับกลายคล้ายก้อนน้ำแข็งขนาดยักษ์ก็มิปาน หากสัมผัสต้องกายยามใดเป็นต้องสั่นสะท้าน  แต่ด้วยพลังแห่งไข่มุกมรกตส่งผลให้รพีพงศ์นั้นสามารถประคองทั้งกายทั้งสติให้อยู่ในน้ำได้เยี่ยงนาคา แม้ว่าการเคลื่อนไหวจักช้าชักหน่อยตามที ก็ด้วยเพราะกระแสน้ำภายในอุโมงค์นั้นไหลเชี่ยวแรงเสียเหลือเกิน

‘ฟึบ’ นาคินทร์ที่บัดนี้กลายร่างเป็นนาคาเกล็ดนิล ตวัดหางรัดกายหนาไว้แน่นพอที่จะพยุงร่างรพีพงศ์แต่มิแรงมากจนโดนบาดแผลที่มหิงสาแห่งพระอังคารฝากฝังรอย ด้วยความกังวลใจแม้จะรู้ว่ารพีพงศ์สามารถว่ายน้ำได้ด้วยพลังของไข่มุกแต่นาคินทร์นั้นก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงรพีพงศ์อยู่ดี ไหนจะบาดเจ็บอีกทั้งยังมิได้นอนพักผ่อนเต็มให้ที่ ไฉนเลยยังต้องแหวกว่ายในอุโมงค์ชลธีที่มิรู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อใด เกรงว่านานเข้ารพีพงศ์จะทนไม่ไหวด้วยธาตุไฟย่อมแพ้น้ำ ผิดกับตนพอได้สัมผัสกับน้ำพลังก็ฟื้นขึ้นมา แต่ผิดคาดรพีพงศ์ยังคงดูปกติดี

ทั้งสองแหวกว่ายฝ่ากระแสน้ำที่มืดมิดภายในอุโมงค์ จนกระทั่งนาคินทร์เริ่มที่จะเห็นแสงสว่างจุดเล็กๆ ที่พร่ามัวจากใต้น้ำ ณ ปลายอุโมงค์ตรงหน้า ทั้งสองต่างเร่งให้แรงเฮือกสุดท้ายประหนึ่งว่าด้านหน้านั้น คือเส้นแสงสุดท้ายที่พบเจอ ซึ่งไม่ใช่คำเปรียบเปรยแต่อย่างใด หากคือสิ่งที่ดวงตาของรัชทายาทบัลลังทินกรและนาคาเกล็ดนิลมองเห็น ความมืดเริ่มถูกแทนที่ด้วยแสงสว่าง อีกไม่นานรพีพงศ์และนาคินทร์ก็จะผ่านออกจากอุโมงค์ใต้น้ำนี้เสียที

“ฮ้า…”

“แฮ่ก..แฮ่ก..”

ในที่สุดทั้งสองก็โผล่พ้นผิวน้ำ รพีพงศ์หอบถี่จึงอ้าปากกอบโกยอากาศจนเผลอกลืนไข่มุกวิเศษเข้าไป ส่วนนาคินทร์กลายร่างเป็นมนุษย์คอยยืนลูบหลังให้กับรพีพงศ์

“ท่านรพีพงศ์...ท่านยังไหวอยู่หรือไม่เล่า” คำถามที่ถ่ายทอดออกไปให้คนฟังรับรู้ถึงความห่วงใย

“ข้าไหว ก็คงด้วยพลังจากไข่มุกมรกตของเจ้าเป็นแน่ อีกอย่างข้าต้องขอโทษเจ้าด้วย ข้านั้นเผลอกลืนมันเข้าไปเสียแล้ว” รพีพงศ์เอ่ย

“มิเป็นไรดอก….”

“จะมิเป็นไรได้อย่างไร...ไข่มุกมรกตนี้ถือเป็นของวิเศษ...ซ้ำยังเป็นของมารดาเจ้า...ไยเจ้าถึงให้ข้าง่ายดายเช่นนี้...”

“ก็ถือเสียว่าข้ามอบให้ท่านเป็นสิ่งตอบแทนที่ช่วยเหลือข้า ไข่มุกมรกตนี้จะช่วยให้ท่านสามารถลงไปว่ายน้ำเกี้ยวเหล่ามัจฉาได้ตามใจชอบ เมื่อใด เวลาใดก็ได้”

“หากใช้มันเวลาที่ข้าเกี้ยวนาคเล่าจะได้หรือไม่” รพีพงศ์เอ่ยถาม ตาก็จ้องมองนาคน้อยสายตาแพรวพราวจนผู้ถูกมองหลบหน้าหนีด้วยมิอยากให้เห็นว่าแก้มขาวร้อนผ่าวจนขึ้นสีแดงระเรื่อ

“ข้ามิรู้หรอก เรื่องเช่นนี้มันขึ้นอยู่กับท่านว่าจักทำให้นาคที่ท่านเกี้ยวนั้น...รักท่านหรือไม่” นาคินทร์ตอบ ก่อนจะก้าวขาจ้ำอ้าวไปข้างหน้าไม่รีรอคนที่กลั้นหัวเราะเลยสักนิด

“รอข้าด้วยสิ นี่ใจคอจะขวยเขินข้าเสียจนเดินหนีเลยหรือไร” รพีพงศ์ยังคงหยอกนาคน้อยไม่เลิกก่อนจะเดินตามนาคินทร์ที่เดินนำไปแล้ว

“ข้าอยากเจอลันกับท่านนภนต์แล้ว ข้าหวังว่าทั้งสองจะปลอดภัยดีและคงกำลังเร่งเดินทางไปเขาจิรันดรในเพลานี้เช่นกัน” นาคินทร์เอ่ยโดยใช้นภนต์และสหายแก้ต่าง

“ข้าหวังว่าจะเป็นเช่นนั้น แม้ชลันธรถูกพายุพัดพาไปแต่ข้าเชื่อว่าเทพนภนต์สามารถปกป้องและพาชลันธรให้หลุดพ้นจากผู้ที่คอยจ้องทำร้ายได้” รพีพงศ์เอ่ย ใจนึกเป็นห่วงทั้งสองไม่รู้ว่าจะต้องไปสู้รบกับใครแล้วจะโชคดีมีใครมาช่วยเช่นเดียวกับตนและนาคินทร์หรือไม่

“ถ้าเป็นอย่างที่ท่านได้เอ่ยมาเมื่อครู่ บางทีเราอาจเจอท่านภนต์กับลันในระหว่างทางนี้ก็เป็นได้” นาคินทร์เอ่ยแววตาสวยเปล่งประกายแห่งความหวังขึ้นมา

“นั่นสิ...ไม่แน่ว่าสองคนนั้นอาจจะรุดหน้าไปแล้ว เราสองคนเองก็เดินทางรีบเร่งเดินทางเถิด”

หนึ่งเทวาหนึ่งนาคาเดินทางแข่งกับเวลาหมายจะไปให้ถึงเขาจิรันดรก่อนเวลาสนธยา ระหว่างนั้นรพีพงศ์คอยพูดจาเกี้ยวนาคินทร์จนคนโดนเกี้ยวหมั่นไส้แจกฝ่ามือไปประทับหลังกว้างไม่แรงมากนัก ทว่าตีครั้งหนึ่งนาคินทร์กลับแก้มช้ำครั้งหนึ่ง เพราะด้วยถูกรพีพงศ์แสร้งลงโทษด้วยการหอมแก้มจนแทบช้ำ

‘ฟอด…ฟอด’

“พอได้แล้วท่านรพีพงศ์ ข้าตีท่านเพียงครั้งเดียวเองนะ” นาคินทร์ดันกายรพีพงศ์ให้ออกห่าง

“ข้าต้องลงโทษเจ้า เห็นข้าใจดีเป็นไม่ได้ดูสิตีข้าจนหลังข้าแทบหัก” รพีพงศ์ทำทีเจ็บหลังจนนาคินทร์อย่างจะฟาดให้เต็มแรงเสียจริงๆ

‘กุ๊งกิ๊ง…กุ๊งกิ๊ง…”

กระดิ่งดั่งแว่วเข้าโสตประสาท อยู่ไม่ห่างจากที่ทั้งสองยืนอยู่ ทั้งรพีพงศ์และนาคินทร์กวาดสายตาไปโดยรอบจนพบต้นตอของเสียง กระดิ่งจากพระโคสีขาวบริสุทธิ์ที่มีมนุษย์กายบางผิวงามนั่งอยู่บนหลังและเดินข้างกายไม่ห่างเป็นใครไม่ได้นอกจากเทพนภนต์ที่กำลังพูดคุยกับชลันธร

“รู้สึกเหม็นความรักขึ้นมา…เห็นแล้วอยากแกล้งเสียจริง” รพีพงศ์เอ่ยแล้ว ก็ก้มลงหยิบก้อนหินเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากที่ตนยืนอยู่ขึ้นมาก้อนหนึ่ง กำเบาๆ ไว้ในอุ้งมือ

“ท่านจักทำอันใดหรือท่านรพีพงศ์” นาคินทร์ถามด้วยความสงสัยแต่ถ้าให้นาคินทร์เดาคงมิใช่เรื่องดีแน่

‘ฟึบ’

“นาคินทร์หมอบลง” ไม่พูดเปล่ารพีพงศ์ดันกายนาคน้อยให้นอนราบลงกับพื้นพร้อมกับตน รพีพงศ์ยิ้มมุมปากให้กับความรู้สึกสนุกที่ได้แกล้งเทพแห่งท้องนภา

“ไอ้อีใดที่ลอบปาหินใส่ข้า อย่ามัวหลบซ่อนตัวจงออกมาบัดเดี๋ยวนี้ หากเจ้านั้นกล้าพอ…!!!” สุรเสียงดังก้องประกาศกร้าวให้ผู้ที่ลอบทำร้ายออกมาจากที่ซ่อน ผู้ร้ายตัวจริงได้ยินแล้วแทนที่จะแสดงตัวออกไปกลับนิ่งเฉย หัตถาหนาปิดปากตนกลั้นหัวเราะ นาคินทร์มองรพีพงศ์ก่อนจะส่ายหน้าให้กับพฤติกรรมที่มิต่างจากกุมารน้อยจอมแก่น

“ในเมื่อมิยอมออกมา ข้าจะให้เจ้าลิ้มรสฝนลูกธนูของข้า” สิ้นเสียงของเทพนภนต์ ทั้งรพีพงศ์และนาคินทร์ถึงกับลุกขึ้นนั่งลอบมองผ่านพุ่มไม้ เทพเวหาในพระหัตถ์มีแสงสีทองวูบวาบเป็นทางยาวก่อนปรากฏให้เห็นเป็นคันธนูพร้อมลูกศรสีทอง เทพนภนต์ผู้ชำนาญด้านธนูยกอาวุธประจำกายขึ้นมาเล็งไปยังทิศทางรพีพงศ์

…‘เวรกรรมกำลังจะตอบสนองข้าเสียแล้วหรือนี่’…

“ช้าก่อนท่านนภนต์!!!...ข้านาคินทร์เอง” นาคินทร์ร้องตะโกนออกไปก่อนที่นภนต์จะปล่อยศร เทพหนุ่มเองพอได้ยินเช่นนั้นจึงลดคันธนูลง นาคินทร์จึงใช้โอกาสนี้ยืนขึ้นพร้อมดึงแขนตัวต้นเรื่องให้ยืนเคียงข้างกัน

“คินทร์…รพีพงศ์!!!” ชลันธรดีใจที่ได้เจอสหายก่อนจะขยับกายลงจากหลังพระโคศุภราชแต่นภนต์กลับไม่ให้ลงมา

“ท่านพี่…ข้าก็แค่อยากจะหาสหายของข้า” ชลันธรบอกความจำนง

“พี่รู้ว่าเจ้าอยากเจอสหายแต่อย่าลืมสิว่าเมื่อคืนเจ้า.... พี่เกรงว่าถ้าเจ้าลงจากหลังพระโคศุราชแล้วจะไม่มีแรงยืนต่างหาก อีกอย่างเดี๋ยวสองคนนั่นก็เดินเข้ามาหาเราเอง...” นภนต์เอ่ย มือลูบไปยังแก้มนิ่มอย่างเอ็นดูจนชลันธรเขินอายไม่น้อย

“ทำอันใดอายฟ้าอายดินบ้างสิ ท่านนภนต์” พอมาถึงรพีพงศ์แกล้งพูดจาเหน็บแนมใส่

“ข้าเพียงลูบแก้มเมียข้ามิได้คิดจะทำเรื่องอันใดหน้าอายดอก…เจ้าเด็กขี้อิจฉา” นภนต์เองไม่ยอมให้รพีพงศ์จึงพูดจาตอกกลับไปบ้าง

“ใครขี้อิจฉาท่านพูดให้ดีนะท่านนภนต์”

“เจ้าอย่างไรเล่ารพีพงศ์ อิจฉาข้าที่มีชลันธรเป็นคู่ครองและคู่ชีวิต...” นภนต์พูดข่มไม่จริงจังนัก เทพหนุ่มเพียงต้องการเอาคืนรพีพงศ์เพียงเท่านั้น

“ท่านพี่นภนต์…รพีพงศ์ด้วย หยุดเถียงกันเสียที ทะเลาะกันอย่างกับเด็กไปเสียได้” ชลันธรห้ามทัพตรงหน้า สุดระอากับเทพทั้งสองได้แต่ส่ายศีรษะไปมาเล็กน้อย

“คินทร์มานั่งบนหลังพระโคศุภราชกับเราเถิด เราเห็นคินทร์เดินมา มันดูขัดๆ ชอบพิกล” ชลันธรหันไปพูดคุยกับนาคินทร์ที่หน้าแดงทันทีที่โดนทัก นภนต์เองก็มองหน้ารพีพงศ์ด้วยสายตาที่พอจะเดาเหตุการณ์ก่อนหน้าระหว่างรพีพงศ์และสหายของคนรักออก

“พระโคศุภราชเป็นพาหนะของพระศุกร์ ข้าคิดว่าไม่เหมาะ ที่ข้าจะขึ้นไปนั่ง” นาคินทร์เอ่ย ก็ด้วยตนนั้นไร้ศักดิ์มิอาจนั่งบนพาหนะของเทพชั้นสูงได้ อีกอย่างอาการเจ็บเสียดที่บั้นท้ายนิดหน่อยแต่ทว่าไม่ใช่ว่าตนจักทนมิได้…ทว่าพระคาวีทรงฤทธิ์นั้นเดินเข้าหานาคินทร์เสียก่อนแล้วย่อกายหมอบลงต่ำประดุจว่าจักให้ขึ้นขี่บนหลังตนเฉกเช่นชลันธร

“พระโคศุภราชใจดีให้คินทร์นั่ง…คินทร์ขึ้นมานั่งด้านหน้าเราเถิด ประเดี๋ยวลันจะนั่งด้านหลังกอดคินทร์มิให้ตก” ชลันธรเอ่ยก่อนจะส่งสายตาหันไปปรามภัสดาที่กำลังจะอ้าโอษฐ์เอื้อนเอ่ยบางสิ่ง

“มิต้องร้องห้ามขัดขืนข้าเลยท่านพี่ เมื่อคืนข้านั้นตามใจท่านพี่แล้ว เพลานี้ท่านพี่ต้องตามใจข้าบ้าง...” ร่างบางพูดขัดก่อนจะขยับกายให้นาคินทร์ขึ้นมานั่งด้วยกัน จากนั้นทั้งหมดจึงเดินทางต่อโดยที่นภนต์เองเงียบไม่โต้กลับถึงจะหวงชลันธรอยู่บ้างก็ตามที แต่ก็อดแปลกใจมิได้ที่นาคินทร์เป็นนาคชั้นต่ำแต่พระโคศุภราชนั้นกลับให้ขึ้นขี่หลัง...

“ท่านกลายเป็นคนกลัวเมียเสียเมื่อไหร่หรือท่านนภนต์” รพีพงศ์เอ่ยทัก นึกขบขันที่นักรบผู้ยิ่งใหญ่กลับเชื่อฟังคำสั่งของบุรุษผิวงามร่างเล็ก

“ข้ามิได้กลัวแต่ข้านั้นรักเมียข้า เจ้าไม่มีเมียเจ้ามิเข้าใจดอก...” นภนต์เอ่ย

“จริงสินาคินทร์ เจ้าเป็นสหายที่ชลันธรรักเป็นหนักหนา ข้าอยากจะช่วยเจ้าให้สุขสบาย” นภนต์ที่ปกติไม่ค่อยจักสนทนาเอื้อนเอ่ยกับนาคินทร์

“ช่วยข้ากระนั้นหรือ…ท่านนภนต์จักช่วยอันใดข้า” นาคินทร์ซักถาม

“ข้าจะช่วย...หาคนรักให้เจ้าอย่างไรเล่า…ด้วยข้ามีสหายที่มีฤทธิ์เดชมากมาย ทั้งยศศักดิ์มากมี หากทวยเทพเหล่านั้นรับเลี้ยงดูแลเจ้าไม่ว่าจะฐานะใด การภายหน้าจะได้มิยากลำบากหลังจากที่สิ้นสุดภารกิจครั้งนี้” นภนต์เอ่ย ดวงตาคมเหลือบมองปฏิกิริยาคนข้างกายเล็กน้อย

“มิต้อง!!! นาคินทร์เป็นเชลยข้า ท่านอย่าได้เข้ามายุ่ง!!” เป็นดั่งที่นภนต์คิดไว้ รพีพงศ์ผู้นี้จักต้องขัดขวาง…‘ถ้ามีใครที่จะปากแข็งกว่าข้า...ก็คงหนีไม่พ้นรพีพงศ์คนนี้นี่แหละ’...เทพหนุ่มได้เพียงแต่อมยิ้มในใจ

“เชลยอันใดเล่า จบเรื่องครานี้และชลันธรเป็นผู้บริสุทธิ์ ทั้งตัวข้านี้จะไม่ถือความโทษเอาผิดนาคินทร์ที่เคยวางยาพิษชลันธร นั่นเท่ากับนาคินทร์เป็นอิสระเช่นกัน...”

“นั้นมันเรื่องของท่าน แต่นาคินทร์เป็นเชลยข้า...ข้าจะเป็นผู้ตัดสินใจในเรื่องนี้เอง...” รพีพงศ์เอ่ย

“รพีพงศ์…ท่านไม่มีเหตุผลเสียเลย ท่านพี่นภนต์รวมถึงเรานั้นมิเอาความแล้ว ไยท่านถึงอยากจะให้สหายข้าเป็นเชลยอีกเล่า” ชลันธรแสร้งดุรพีพงศ์ด้วยรู้แผนการของนภนต์ ซึ่งเดาได้ไม่ยากว่าความสัมพันธ์ของสหายทั้งสองเป็นเช่นไร…ในเมื่อมันชัดเจนเป็นรอยจุมพิตที่หลังใบหูทั้งสองข้างของนาคินทร์ ไหนจะตรงท้ายทอยอีกสองสามรอยอีก

“อย่าว่าท่านรพีพงศ์เลยลัน…เรายอมเป็นเชลยของท่านรพีพงศ์เอง” นาคินทร์พูดเสียงแผ่วทั้งยังก้มหน้ามิสบตาเพราะกลัวว่าใครที่มองจะรู้สึกถึงความรักในแววตาของนาคินทร์

“นาคินทร์เจ้าเป็นเช่นเดียวกับข้าแน่…เพราะรักจึงยอม” นภนต์เอ่ย คราวนี้นาคินทร์ถึงกับเงยหน้าขึ้นมาอย่างลืมตัวก่อนที่ใบหน้ารวมถึงหูแดงระเรื่อไม่ต่างจากเนื้อผลทับทิม

“จริงสิ…ชลันธรไยเจ้าจึงได้พระโคศุภราชมาเป็นพาหนะเล่า” รพีพงศ์ถามชลันธรด้วยมิอยากให้นภนต์พูดหยอกเชลยของตนไปมากกว่านี้

“เป็นเพราะว่า….”

อดีตพระสมุทรเทวาเล่าเรื่องราวถึงคำมั่นของพระศุกร์ที่เคยบอกว่าพระโคศุภราชจะไม่ทำร้ายและช่วยเหลือชลันธรครั้งเมื่อตอนเกี้ยวตนรวมถึงเล่าเหตุการณ์ที่ตนถูกลมหอบด้วยเวทย์ของพระศุกร์ โดยที่นภนต์คอยพูดเสริมเป็นระยะ จนกระทั่งได้รับการช่วยเหลือจากเทพีปัณฑารีย์

“ข้ากับชลันธรรอดมาได้ก็เพราะพระพฤหัสบดีโดยแท้ ที่ท่านนั้นมีระฆังแก้วที่ส่งเสียงยามพระศุกร์ทำเรื่องเดือดร้อนจึงได้ลงมาช่วยข้ากับชลันธรเอาไว้ได้”

“ด้วยหน้าที่พระพฤหัสบดีจะต้องกำราบพระศุกร์ซึ่งเป็นเรื่องที่ใครต่างรู้ดี ถึงได้มาช่วยพวกท่านไว้แต่ข้ากับนาคินทร์นี่สิ พระราหูมาช่วยเอาไว้ให้รอดจากพระอังคาร” รพีพงศ์เอ่ยอย่างไม่ค่อยเข้าใจนักกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

“พระราหูมาช่วยเจ้าไว้หรือ...” นภนต์พอได้รู้ก็ขบคิดตาม ไม่ว่าเทวดา มนุษย์ หรือจะอสุราทั้งหลายล้วนรู้ดีว่าพระราหูมิชื่นชอบญาติดีกับวงศาสุริยะเทพมีหรือที่จะเมตตามาช่วยรพีพงศ์ให้พ้นภัย

“ใช่…ท่านเองก็คิดว่าแปลกใช่หรือไม่ กระนั้นพระราหูมาช่วยก็จริงแต่ข้าเองก็แทบจะเอาชีวิตไม่รอด...”  รพีพงศ์เล่าเรื่องตนไปช่วยนาคินทร์จากพระอังคารจนเกิดการต่อสู้ จนพระราหูมาช่วยและตนพลัดตกลงไปยังผาน้ำตกจนแทบสิ้นชีวา หากนาคินทร์มาช่วยได้ทัน เรื่องราวทั้งหมดถูกถ่ายทอดให้เทพแห่งท้องนภาและชลันธรได้ฟังยกเว้น…เรื่องที่ตนตีตรารักจองจำเชลยคนงาม

“รอดจากพระอังคารที่เป็นถึงอดีตเทพสงครามมาได้นั้นถือว่าเจ้าดวงแข็งมิใช่น้อย” นภนต์เอ่ยชม ตนเองนั้นเคยประดาบประมือกับพระอังคารมาก่อนย่อมรู้ดีว่าพระอังคารองค์ปัจจุบันฝีไม้ลายมือการต่อสู้นั้นเป็นเลิศขนาดไหน

“ใครว่าล่ะ…ท่านรพีพงศ์โดนมหิงสาที่เป็นพาหนะของพระอังคารขวิดเข้าที่สีข้าง” นาคินทร์เอ่ย น้ำเสียงมีความเป็นห่วงสุริยะบุตรอยู่ไม่น้อยทั้งก่อนหน้านี้ลงไปในน้ำ ไหนจะเดินทางด้วยเท้าไร้พาหนะให้นั่งสบาย

“รพีพงศ์…ท่านบาดเจ็บหรือ เหตุใดไม่รีบบอกเราจะให้ท่านพี่นภนต์รักษาให้…ท่านพี่นภนต์ช่วยรักษารพีพงศ์ด้วยเถิด” ชลันธรซักถามรพีพงศ์ก่อนจะบอกให้คนรักช่วยรักษา

“แผลแค่นี้ไม่ต้องถึงมือข้าดอก รพีพงศ์รักษาตนเองได้ข้าเห็นช่วงที่เดินมาหาเราทั้งสอง รพีพงศ์จับสีข้างแล้วร่ายคาถารักษาแผล”

“ข้านับถือสายตาของท่านเสียจริง ช่างสังเกตยิ่งนัก” รพีพงศ์กล่าวชม จนลืมไปว่า…

“ท่านรพีพงศ์ท่านนี่ช่างใจร้ายนัก...ข้านี้แสนจะเป็นห่วงท่านเห็นท่านบาดเจ็บ ท่านเองกลับรักษาตนเองได้ไฉนจึงไม่บอกข้า แกล้งหลอกข้าให้ข้าเป็นห่วง...” นาคินทร์เอ่ยออกมาความน้อยใจ แล้วถูกส่งผ่านถ้อยคำ ความโศกาแฝงไว้ในน้ำเสียง เห็นทีรพีพงศ์นี้เจอดีเข้าอย่างจัง

“คือข้า…” รพีพงศ์พูดไม่ออก ถึงจะพูดออกก็ดูจะเหมือนเป็นการแก้ตัวเสียมากกว่า ทั้งที่ตนนั้นรักษาแผลได้ แต่ใจนั้นอยากให้นาคน้อยเป็นห่วงจึงมิยอมรักษาให้หายเจ็บและถ้าบอกเหตุผลไปมีหวังเทพนภนต์อดีตศัตรูหัวใจและชลันธรตะต้องส่งสายตาล้อเลียนเป็นแน่แท้ จึงทำได้เพียงมองตาอีกฝ่ายหวังจะให้เข้าใจ หากนาคินทร์กลับเบือนหน้าหนีไปอีกทาง

“ถึงกับพูดไม่ออกเลยหรือ…รพีพงศ์” นภนต์มิวายจะพูดล้อแม้รพีพงศ์ไม่ได้พูดคำแก้ต่างกับนาคินทร์

“อยู่เฉยๆ เถิดท่านนภนต์ มิเช่นนั้นข้าจะยุแยงให้ชลันธรหาเทพองค์อื่นมาเคียงข้าง”

“เสียใจด้วย…ชลันธรนั้นรักข้ามิมีทางเปลี่ยนใจไปรักใครอื่นได้” นภนต์เอ่ยออกมาน้ำเสียงท่าทางเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

“ใครว่าข้ามิมีทางเปลี่ยนใจเล่าท่านพี่…อันที่จริงข้าหลงรักนาคินทร์เสียแล้ว” ชลันธรแกล้งคนรักด้วยคำวาจา พร้อมทั้งกอดเอวเล็กของนาคินทร์ไว้แน่น จนนภนต์และรพีพงศ์ออกอาการหึงหวงคนของตน

“ชลันธรหยุดกอดนาคินทร์บัดเดี๋ยวนี้!!!” ทั้งเทพเวหาและรัชทายาทบัลลังก์สุริยะพูดออกมาพร้อมกัน ชลันธรจึงคลายกอดสหายรักเพราะเกรงว่าเทวาขี้หึงทั้งสองจักลงโทษตนและนาคินทร์ หลังจากนั้นชลันธรจึงถูกนภนต์ดุเล็กน้อยก่อนที่ทั้งหมดจักเดินทางกันต่อด้วยความสงบโดยชลันธรคอยชวนนาคินทร์พูดคุย นภนต์และรพีพงศ์เองสงบศึกปะทะคารมกันชั่วคราว ปรึกษาหารือเกี่ยวการทำหน้าที่ปกครองหลังจากที่ก้าวสู่ตำแหน่งซึ่งรพีพงศ์จะได้เป็นพระอาทิตย์ในไม่ช้า นภนต์เองก็ให้คำแนะนำเป็นอย่างดี

เวลาไม่รอใครหมุนเปลี่ยนเวียนไปจนพระอาทิตย์กำลังอัสดงลับหลังเขาจิรันดรทำให้แสงรวีต้องกับเครื่องลำยองของวิมานเทพกาลเวลา ช่างเป็นภาพที่แสนงดงามในสายตาของทั้งสี่ โดยเฉพาะชลันธรที่หลั่งน้ำตาแห่งความดีใจออกมา

“ใกล้แล้ว…ใกล้ถึงวิมานแล้ว…พวกเราเร่งเดินทางได้หรือไม่…ฮึก..เรารอไม่ไหวแล้ว” ชลันธรเอ่ย พระโคศุภราชจึงเร่งฝีเท้าไปข้างหน้าตามความต้องการของชลันธร

“หยุดก่อน” ไม่ทันจะถึงที่หมาย นภนต์กลับบอกให้ทุกคนหยุดการเคลื่อนไหว

“เหตุใดจึงสั่งให้หยุดเล่า…ท่านพี่นภนต์”

“เจ้าลองมองดีๆ สิชลันธร ว่าวิมานเทพแห่งการเวลามีทั้งหินยักษ์ หน้าดินปิดล้อมวิมานจนมิดจนไม่มีทางเข้าออก ยังดีที่หลงเหลือช่อฟ้าไล่ลงมาถึงนาคสะดิ้งให้พอรู้ว่านี่คือวิมานของเทพกาลเวลา” นภนต์เอ่ย พร้อมไล่สายตามองรอบบริเวณซึ่งเป็นลานศิลาหินอ่อนที่มีวัลยชาติเลื้อยคลุมอยู่รอบนอกออกดอกสวยงามแต่กลับไร้มวลหมู่ภมรภุมรามาดอมดมและที่น่าแปลกไปกว่านั้นมีเสาหินขนาดไม่ใหญ่โตมากนักตั้งตระหง่านโดดเด่นตรงหน้าวิมาน

“จริงด้วย ข้าว่ามันน่าแปลกยิ่งนักหรือว่าที่นี่จะมี…” รพีพงศ์เห็นด้วยกับนภนต์ สัญชาตญาณของตนบ่งบอกว่า ณ ที่แห่งนี้มีอันตราย

“เอาล่ะ ชลันธร นาคินทร์ จงลงมาจากหลังพระโคศุภราชแล้วมาหลบที่ด้านหลังข้า รพีพงศ์เจ้าเองก็ด้วย” ทุกคนทำตามคำสั่งแม่ทัพหลวงที่บัดนี้สยายปีกสีทองออกมาปกป้องผู้ร่วมเดินทางที่อยู่ด้านหลัง ร่างสูงก้มเก็บก้อนกรวดก่อนจะโยนไปที่ลานศิลาหินอ่อนตรงหน้า

‘ครืน…’

‘ฟึบ..ฟึบ…ฟึบ’

เสาหินทรุดลงไปกับพื้นธรณีเพียงเล็กน้อย พร้อมกับลูกดอกสีเงินจำนวนมากพุ่งออกมาจากหินยักษ์และหน้าดินหวังทำร้ายผู้บุกรุก ทว่าเทพผู้เป็นถึงนักรบผู้เก่งกาจมิยอมให้ลูกดอกนับร้อยนี้มาทำอันตราย ขนสีทองจากปีกทั้งสองข้างจึงพุ่งตัดทำลายลูกดอกจนสลายกลายเป็นผงธุลี

“ฮึ! นี่แค่ก้อนกรวดแตะลานยังส่งลูกดอกนับร้อยนับพันออกมาให้” นภนต์เอ่ย

“แล้วถ้าพวกเราเหยียบย่างเข้าไป มิต้องเจอดีกว่านี้เหรอท่านนภนต์” นาคินทร์เอ่ย เนื้อตัวสั่นเทาจนรพีพงศ์กอดปลอบจนลืมตัวว่ามิได้อยู่เพียงลำพัง

“ทั้งที่อุตส่าห์ถึงวิมานเทพกาลเวลาแล้วแท้ๆ…เห็นทีเราคงมิได้หลุดพ้นคำครหาว่าวางยาพิษสังหารท่านน้ากวินตาเป็นแน่...เหตุใดเทพกาลเวลาถึงต้องวางกับดักกลไก น่ากลัวถึงเพียงนี้” ชลันธรเอ่ย สุรเสียงเศร้าสร้อยทำให้นภนต์อดสงสารคนรักมิได้

(ต่อ)
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.27 P.9 (25/09/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 25-09-2017 19:00:29

“อย่าได้เป็นกังวลไปเลย กลไกป้องกันวิมานของเทพกาลเวลาเพียงเท่านี้มิอาจจะขัดขวางพี่ได้ดอก…” นภนต์จุมพิตที่หน้าผากมนแล้วส่งยิ้มให้คนรักคลายกังวล

“ท่านพี่พูดเยี่ยงนี้หมายความว่าเช่นไร อย่าบอกนะว่า...”

“ใช่แล้วพี่จะจัดการทำลายกลไกพวกนี้ให้หยุดทำงาน เจ้า รพีพงศ์ นาคินทร์ รวมถึงพระโคศุภราชจะได้ปลอดภัย” เป็นไปตามที่ชลันธรคิด นภนต์คนรักนั้นคิดจะเสี่ยงชีวิตเข้าไปยังลานศิลาหินอ่อนที่เต็มไปด้วยกับดักสังหารที่คอยปกป้องวิมานของเทพกาลเวลายามหลับใหล มิให้ผู้ใดคอยรุกล้ำเข้าทำร้ายหรือก่อความวุ่นวายได้

“ท่านคนเดียวจะหยุดกลไกเหล่านี้ได้อย่างไร ข้าจะเข้าไปสู้รบกับท่านด้วย” รพีพงศ์เป็นฝ่ายถามขึ้นมาบ้าง จากที่ประเมินสถานการณ์แล้วยังคงมีกับดักท่ามกลางความว่างเปล่าของลานหินอ่อนนี้เป็นแน่

“ถ้าอยากเจ้าอยากช่วยก็จงถอยห่างจากลานศิลานี้แล้วดีกว่า และคอยปกป้องเชลยของเจ้ารวมถึงคนรักของข้าเอาไว้ในระหว่างที่ข้าเข้าไปทำลายกับดักกลไก อันตัวข้าขึ้นชื่อว่าเป็นแม่ทัพหลวง กับดักกลไกเพียงเท่านี้มิอาจทำอันตรายข้าได้ดอก…อ่อ พระโคศุภราชเองถึงข้ามิใช่นายเจ้าแต่ข้าจักขอให้ช่วยปกป้องทุกคนเอาไว้ด้วย” นภนต์เอ่ยและไม่ลืมมอบหน้าที่สำคัญให้กับพระคาวีสีน้ำนมที่ฮึดฮัดเมื่อก่อนหน้านี้ พอได้ยินว่านภนต์ขอร้องให้ช่วยก็เดินมาขวางกายชลันธรและอีกสองคนไว้ราวกับเป็นกำแพงกัน

“รออยู่ตรงนี้ไม่ว่าเกิดอันใดขึ้นกับข้า เจ้าก็ห้ามเข้าไปเด็ดขาด...” นภนต์สั่งน้ำเสียงหนักแน่นผิดกับเวลาปกติ นี่สินะผู้ครองตำแหน่งแม่ทัพ…เทพผู้พิชิตสงคราม เทพเวหาหันกลับมายืนมองวิมานตรงหน้า ขนสีทองตามปีกทั้งสองข้างค่อยๆ หลุดออกมาตามแรงลมจนหมดแล้วหมุนวนกลายเป็นง้าวคมสุดน่าเกรงขามในฝ่าหัตถ์หนา

“ท่านพี่...อย่าเพิ่งไป!!!” ชลันธรร้องออกมาก่อนที่คนรักจะก้าวไปข้างหน้าแล้ววิ่งเข้ามากอดกายาแกร่งไว้แน่น นภนต์จับแขนชลันธรออกแล้วขยับตัวหันกลับมามองร่างบางที่แววตานั้นเต็มไปด้วยความห่วงใย

“มีอันใดหรือ…ถึงได้เรียกพี่” มือหนาเกลี่ยแก้มใสของคนรัก มิได้คิดว่าชลันธรเขย่งเท้ายกตัวให้สูงขึ้นแล้วจุมพิตไปยังริมฝีปากของเทพแห่งท้องนภา จากนั้นจึงผละออก

“ข้าขอมอบกำลังใจให้ท่านพี่…”  สิ่งที่ชลันธรทำนั้น...มิต่างจากกาลก่อนที่นภนต์จะออกรบกับเหล่าอสูร ทำให้เทพหนุ่มย้อนนึกถึงวันวานที่หวานหอม

“พี่สัญญาว่าพี่นั้นจะไม่ทำให้กำลังใจที่เจ้ามอบให้เสียเปล่า” นภนต์เอ่ยคำมั่น ชลันธรเองก็ภาวนาไว้ว่านภนต์จักต้องปลอดภัย ไร้ซึ่งรอยขีดข่วนใดๆ

กำลังใจจากชลันธรทำให้ความกล้าของนภนต์มีเต็มเปี่ยม รวมถึงความกระหายที่จะเอาชนะอุปสรรคตรงหน้าไปให้ได้ ทันทีที่ฝ่าเท้าเหยียบบนลานศิลา เสาหินนั้นก็เริ่มขยับจมลงไปทีละนิดอีกครั้งเป็นสัญญาณเริ่มต้นบททดสอบนี้…

เถาไม้เลื้อยก็เริ่มเคลื่อนขยับมาใกล้หมายจะรัดพันข้อเท้าของนภนต์ไว้ ในคราแรกนภนต์นั้นว่องไวกว่าใช้ง้าวฟันฉับไปตามลำต้นของมัน แต่ทว่าจำนวนเถาไม้เลื้อยมีมากมาย ยิ่งตัดก็ยิ่งแตกกิ่งก้านทวีจำนวนมากกว่าเดิมจนนภนต์เริ่มจะรับมือไม่ไหวไม้เลื้อยเหล่านี้รัดเข้าที่ขาทั้งสองข้าง บ้างก็พยายามเลื้อยขึ้นมาพันกายมิให้เทพหนุ่มขยับไปไหนได้  จนเหล่าเถาไม้เลื้อยขึ้นปกคลุมพันธนาการกายใหญ่จนมิด

“ท่านพี่นภนต์!!!...ท่านพี่นภนต์!!!” ชลันธรพอเห็นภัสดาตกอยู่ในอันตรายจนลืมตน ก็ออกจากหลังของพระโคศุภราชเร่งสืบเท้าเข้าไปหา ดีที่รพีพงศ์กับนาคินทร์ช่วยกันรั้งตัวเอาไว้

“อย่าออกไปชลันธร เจ้าอย่าลืมว่าเทพนภนต์บอกเอาไว้ว่าอย่างไร เจ้าเข้าไปก็ช่วยทำอะไรมิได้ หรอก...อย่าลืมสิยามนี้เจ้าเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา” รพีพงศ์เตือนสติ ชลันธรว้าวุ่น อยู่ไม่สุขด้วยแสนห่วงหาเกรงว่านภนต์จักเป็นอะไรไป

“ลัน…อย่าวังวลไปเลย ลันดูสิท่านนภนต์กำลังยิ้มอยู่เลย” นาคินทร์เอ่ยพร้อมชี้นิ้วให้ชลันธรเห็นนภนต์ที่กำลังยิ้มกว้างไร้กังวลผ่านช่องที่เถาไม้เลื้อยเปิดออก

‘พรึบ’ อยู่ๆ ก็เกิดแสงสีฟ้าเจิดจ้าลอดส่องออกมาตามรอยแยกเถาไม้เลื้อยที่คลุมกายนภนต์ และกลายเป็นเพลิงไฟสีฟ้าลุกท่วมในเวลาต่อมา ก่อนจะลุกลามไปตามเถาไม้เลื้อยจนมอดไหม้จนเป็นเถ้าถ่าน เพียงเท่านี้เทพเวหาก็หลุดจากพันธนาการเถาไม้เลื้อย ส่วนที่เหลือก็เคลื่อนที่หนีหายมิกล้าเข้าเกี่ยวพันรัดกายต่อ  นภนต์ไม่รอช้าจึงรีบวิ่งไปยังเสาหินที่ค่อยๆ จมลงไปใต้ปฐพีแต่ยังก้าวขาไม่ถึงสามก้าวด้วยซ้ำ มีรูปสลักหินนักรบห้าตัวโผล่ขึ้นมาล้อมรอบกายขวางนภนต์เอาไว้อีก ในมือของรูปสลักแต่ละตัวมีอาวุธไว้ครอบครองและดูเหมือนว่ารูปสลักหินนักรบเหล่านี้ได้ฆ่าฟันผู้รุกรานมาแล้วนับไม่ถ้วน เนื่องจากคราบโลหิตแห้งเกรอะกรังอยู่ที่ปลายศาสตราวุธต่างๆ

“ถึงพวกเจ้าจะสังหารผู้อื่นมามากมาย แต่ก็มิอาจจะทำอันใดข้าได้แม้เพียงรอยขีดข่วน...เข้ามาเลย...” คำสบประมาทที่ท้าทายถูกส่งไปยังรูปสลักหินนักรบทั้งห้าที่รับรู้ได้ทุกถ้อยคำ

หน้าที่ที่ต้องปกป้องวิมานจิรันดรของเทพณิชนิรันดร์รวมกับคำดูถูกของนภนต์เป็นแรงเสริมให้นักรบหินทั้งห้าคิดสั่งสอนให้แม่ทัพหลวงผู้อวดดีได้หลาบจำ ศาตราวุธทั้ง หอก ทวน ดาบ สามง่าม และกระบอง เข้าโรมรันฟันแทงไปยังกลางอกอย่างพร้อมเพรียง ถ้าเป็นผู้อื่นคงจะสิ้นชีพไปเสียแล้วแต่นี่คือนภนต์ผู้กรำศึก ประสบการณ์มากเหลือเสียจนหาทางพลิกแพลงย่อตัวหลบแล้วยกง้าวขึ้นมาป้องคมหอกคมดาบไว้ได้ แรงกายทั้งหมดถูกส่งไปยังกรแกร่งค้ำยันให้ง้าวเป็นโล่ป้องกันก่อนจะผลักให้อาวุธที่หมายชีวิตตนนั้นออกไปได้สำเร็จ

“เข้ามาเลย!!!” นภนต์ท้าทาย นานเพียงใดที่ไม่ได้รู้สึกสนุกกับการต่อสู้ที่มิต่างจากการฝึกซ้อมกับเหล่าทหาร เพียงแต่ถ้านภนต์พลาดพลั้งนั่นเท่ากับต้องทิ้งชีวิตไว้ ณ ลานหินอ่อน….แน่นอนว่านภนต์ไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น

“ย้าก!!!!!!” นภนต์กระโดดตัวลอยง้างง้าวฟันศีรษะนักรบหินผู้ถือทวนขาดครึ่ง ตามด้วยจัดการตัวที่สองที่กำลังใช้ดาบฟาดฟันแผ่นหลังซ้ำรอยแผลที่พระศุกร์ฝากทิ้งไว้

“ท่านพี่ด้านหลัง!!!” ชลันธรร้องตะโกนสุดเสียง ทั้งลุ้น ทั้งกลัวจนก้อนเนื้อในอกเต้นตุบตับระรัวดั่งกลองศึก

‘ตึก’ บาทาใหญ่ถีบไปด้านหลังให้นักรบหินผู้ถือดาบลอบกัดนั้นถอยห่าง ส่วนตนเองรีบหันตัวตามแล้วจึงง้างง้าวฟันกลางลำตัวจนนักรบหินตัวที่สองจนประกายไฟกระเด็น ขาดสะพายแล่งไปต่อหน้าต่อตา

รูปสลักนักรบหินอีกสามตัวมิได้ปล่อยให้นภนต์พัก ทั้งยังเคลื่อนกายเข้ามาประจัญหน้าเข้ามาพร้อมกัน

‘ฟึบ…ฟึบ’

‘เคร้ง!!’

หอกและสามง่ามถูกขว้างเข้าหากายพร้อมกัน นภนต์ใช้ง้าวตั้งรับแล้วหมุนปัดให้อาวุธทั้งสองกระเด็นออกไป ส่วนนักรบผู้ถือกระบองอีกตัวก็เข้ามาพร้อมใช้กระบองยักษ์นั้นเข้าทุบตี

‘ฉับ’ เทพเวหายอบกายลงให้ง้าวฟันมือที่ถือกระบองขาดแล้วรีบถอยออกเพื่อไปจัดการกับนักรบหินไร้อาวุธอีกสองตัวที่เคลื่อนกายขนาบข้างนภนต์และกำลังจะใช้หมัดชกเทพแห่งท้องนภาพร้อมกัน

‘พลั่ก!!!’ นภนต์กระโดดขึ้นเหนือศีรษะของนักรบหิน ตาคมจึงได้เห็นหมัดแลกหมัด…กำปั้นแลกกำปั้นของนักรบหินทั้งสองที่กลับชกกันเองจนแตกศีรษะกระจายเป็นก้อนกรวด…‘นี่สินะที่เขาเรียกว่าแพ้ภัยตนเอง’…

…‘จบเสียที…เหลือเพียงเสาหินต้นนั้น’…

แม่ทัพหลวงแห่งสรวงสวรรค์นึกดีใจรีบวิ่งไปยังเสาหินที่จมหายไปกว่าครึ่ง หากพอก้าวขาวิ่งแผ่นหินอ่อนกลับแตกแยกออกจากกัน  แต่ที่ไหนได้นักรบหินที่เพิ่งทำลายไปนั้นกลับมารวมตัวกันกลายเป็นยักษ์หิน เบญจพักตร์สิบกรพร้อมด้วยศาสตราวุธ ดูน่าเกรงขามยิ่งนัก 

“ท่านพี่!!!”

“ท่านนภนต์!!!”

ผู้เฝ้ารอทั้งสามร้องออกมาด้วยความตกใจกับสิ่งที่เห็น กลัวว่านภนต์จะพลาดพลั้งให้แก่ยักษ์หิน เพราะเมื่อรวมตัวกันแล้วยักษ์หินนี้แข็งแกร่งกว่าคราวเป็นนักรบทั้งห้ามาก  ไม่ว่าจะง้างง้าวเข้าฟาดฟันเท่าไหร่ก็ไม่ชนะ ซ้ำยังเป็นแค่รอยขีดข่วนเล็กน้อยเท่านั้น  .... ‘นี่มันอะไรกัน’...

นภนต์เห็นว่าหากใช้แต่พละกำลังคงเอาชนะไม่ได้แน่ ขณะหลบหลีกยักษ์หินตนนี้จึงคิดว่าไม่ว่าหินผาจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ย่อมมีจุดที่ทำให้แตกสลายได้ในคราเดียว  หากหวังจะเอาชนะด้วยอาวุธมิได้ ก็อาจจะต้องใช้เพียงมือเปล่าเข้าสู้ ...นภนต์หวังใช้วิชาดัชนีพิฆาต เข้าจี้ทำลายด้วยปลายนิ้ว...แต่ก็ต้องมองหาก่อนว่าจุดแตกที่ว่านั่นอยู่ตรงไหน...

ง้าวคมเข้าฟาดฟันเบิกทาง นภนต์พยายามใช้ดัชนีเปล่าถ่ายทอดพลังเข้าจี้จุดสำคัญต่างๆ บนร่างยักษ์หิน แต่ก็ไม่สามารถทำให้แตกได้ ... ยังเหลืออีกไม่กี่จุดแต่เวลาก็กระชั้นชิดเสียเหลือเกิน...แต่นภนต์กลับสังเกตได้ว่ามือด้านขวาที่อยู่ด้านบนสุดนั้นยกบนบังกลางเศียรไว้ตลอดเวลา... ‘ไม่ผิดแน่จุดแตกของเจ้ายักษ์หินนี่ต้องอยู่กลางเศียรมันแน่...แต่จะเข้าจี้ทำลายจุดนั้นได้อย่างไร...ในเมื่ออาวุธครบมือขนาดนั้น...อย่างนี้ต้องหลอดล่อ...’

ว่าแล้วนภนต์ไม่รอช้า ร่ายมนต์แยกร่างสร้างให้ตนนั้นแบ่งออกเป็นห้ากาย เบี่ยงแบนความสนใจยักษ์หิน  โดยร่างที่แท้จริงกระโดดขึ้นฟ้าแล้วพุ่งลงใช้ดัชนีพิฆาต จี้จุดแตกลงกลางเศียรยักษ์หินทำให้เศียรนั้นระเบิดเป็นจุลฝุ่นผงฟุ้งกระจาย ชลันธร  รพีพงศ์และนาคินทร์ ต่างดีใจที่นภนต์สามาราถเข้าทำลายยักษ์หินได้  แต่นภนต์เองก็หาวางใจไม่เพราะตอนนี้พื้นศิลาหินอ่อนเริ่มแยกออกจากกัน นภนต์จึงพุ่งเข้าถีบร่างยักษ์หินให้ตกลงไปตามรอยแตกที่ขยายออกกว้าง ซ้ำยังมีน้ำกรดสีดอกอินทนิลรอกัดกร่อนทุกสิ่งที่ตกลงไป  สถานการณ์แบบนี้มีแต่สติปัญญาและการตัดสินใจที่รวดเร็วเท่านั้นที่จะสามารถเอาชนะกับดักกลไกนี้ได้ ...

…‘เพลานี้ถ้าจะร่ายเวทย์สยายปีกออกมาคงไม่ทัน สู้วิ่งอย่างระวังไปข้างหน้าจะเป็นการดีที่สุด’…

ขายาวก้าวไปเหยียบย่างแผ่นหินอ่อนที่ขยับห่างออกจากกันเรื่อยๆ ไหนจะต้องวิ่ง ไหนจะต้องทนกับไอร้อนที่ลอยปะปนกับอากาศของน้ำกรดเบื้องล่างอีกจนผิวกายแดงดุจน้ำร้อนลวก กระนั้นนภนต์ก็ไม่สนใจกัดฟันอดทนเพื่อที่จะได้เข้าสู่วิมานแห่งเขาจิรันดร….สู้เพื่อชลันธรคนรัก

‘ตุบ!!!’ กายาสูงใหญ่กระโดดข้ามไปยังเสาหินที่กำลังจะจมลงไป หัตถาหนาไม่รอช้าจับปลายเสาที่ยังโผล่เหนือดินแล้วดึงขึ้นมา หากเสาหินไม่ยอมเขยื้อนทั้งยังฉุดนภนต์ให้ล้มลงไป

…‘ข้าเทพนภนต์ผู้ดูแลสรรพสิ่งเหนือฟากฟ้าและรั้งตำแหน่งแม่ทัพเหนือผู้ใดในไตรภพ ข้ามาดีมิได้มาร้าย ได้โปรดช่วยเปิดทางให้ข้าและคนรักรวมทั้งสหายของข้าได้เข้าไปพบเทพแห่งกาลเวลาด้วยเถิด’…

แรงอธิษฐานของนภนต์นั้นสัมฤทธิ์ผล เสาหินที่แทบจะไม่ขยับเขยื้อนในคราแรกนภนต์กลับดึงขึ้นมาโดยง่าย พลันเกิดแผ่นดินสั่นสะเทือน ลานหินอ่อนเลื่อนเข้าชิดติดกันราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น นภนต์เดินถอยห่างออกมาไม่นานก้อนหินและดินที่ปิดล้อมวิมานก็ทลายออกเผยให้เห็นผนังประตูไพฑูรย์สลักขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้า

…‘หลังจากก้าวผ่านประตูนี้เข้าไป ข้าหวังไว้ว่าเทพณิชนิรันดร์จักช่วยนำพาความจริงมาประจักษ์แก่ข้า’…

























..............................................

ข้ากลับมาแล้วกลับมาพร้อมความสดใส แจกความสดใสให้กับทุกคน

รุมกระทืบคนปาหินกันค่ะ

ยอมรับว่าแต่งยากมากกับฉากต่อสู้ งานหนักเลยตกที่รุ่นพี่คนสวยคนเก่งที่คอยเหลางาน คือมันยิ่งกว่าเกลา 555555

ตอนนี้เป็นตอนที่เทพนภนต์ได้โชว์เหนือ โชว์ความสามารถที่มี...เก่งใช่มั้ย ขอคำชมหน่อย 555

ส่วนความรพีพงศ์ปากแข็งไปก็ดี นภนต์จะได้หาเทพอื่นให้นาคินทร์ วันนั้นจะสมน้ำหน้า ก๊ากกกก

ตอนหน้าอย่าลืมติดตามนะคะ...จะพาย้อนอดีตไปหาคนร้ายตัวจริง...แหม่ เดาถูกกันแล้วชิมิ

สุดท้ายนี้ขอบคุณผู้อ่านทุกคนที่เข้ามาอ่าน มาเม้น มาเป็นกำลังใจ ติดตามนิยายนะคะ

ป.ล. บางทีก็เหม็นความรักนะคะ แค่สามีไปรบมีจุมพงจุมพิต
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.27 P.10 (25/09/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 25-09-2017 22:50:46


กลับมาแล้ว

หลังจากที่หายไปหลายวัน

รอต่อขอรับ

หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.27 P.10 (25/09/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Pe_no ที่ 25-09-2017 23:48:37
อ๊ายยยยยยกลับมาแล้วคิดถึง   :mew2:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.27 P.10 (25/09/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 26-09-2017 00:36:31
จะได้รู้ความจริงแล้วใช่ไหม
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.27 P.10 (25/09/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 26-09-2017 10:00:57
รอความจริงเปิดเผย!
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.27 P.10 (25/09/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 26-09-2017 21:52:34
 ดีใจที่ทุกคนติดตามกันนะคะ :mew1:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.27 P.10 (25/09/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 26-09-2017 23:21:50
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.29 P.10 (03/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 03-10-2017 06:07:25
สาปรัก…ทัณฑ์เทวา

Writer : Tan-Yung 0209

File : 28















ฝุ่นละอองมากมายคละคลุ้งหนาทึบ จากหินยักษ์ที่ถล่มทลายลงมา มันมากมายเสียจนกลายเป็นม่านหมอกบดบังกายแสนองอาจของเทพนภนต์ ทางด้านผู้เฝ้ารอต่างกลัวว่าเทพแห่งท้องนภาจะได้รับอันตราย โดยเฉพาะชลันธรที่รู้สึกกระวนกระวายใจไม่น้อย  ด้วยเสียงระเบิดนั้นดังก้องกัมปนาทสนั่นสะเทือนไปทั่ว

“ท่านพี่!!!!...ท่านพี่เป็นเช่นไรบ้าง ได้โปรดตอบข้าด้วยเถิด” ชลันธรเรียกหาภัสดาแสนรัก เสียงห้าวที่ว่าหวานสัมผัสสู่โสตประสาททำให้นภนต์ที่จมอยู่ในความคิดได้สติกลับคืนมา

“พี่มิเป็นไร...ชลันธรเข้ามาหาพี่สิ” เสียงทุ้มเปล่งออกมาทำให้ชลันธรรวมถึงผู้ร่วมทางต่างดีใจที่นภนต์ปลอดภัยดี

ขาเรียวทั้งสองข้างเยื้องย่างเข้าหาผู้เชื้อเชิญ ม่านฝุ่นละอองหนาทึบที่ปิดทางเข้าวิมานเทพกาลเวลาค่อยๆ จางหาย ยิ่งก้าวขาใกล้มากเท่าไร เงาของนภนต์ที่อยู่ภายในม่านพลังกันฝุ่นละอองก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น ในที่สุดชลันธรก็อยู่ตรงหน้าของนภนต์ เทพเวหามองใบหน้าของคนรัก มือหนาค่อยๆ ยกขึ้นมาเกลี่ยแก้มใสที่ของอีกฝ่าย ชลันธรจับมือของนภนต์ให้แนบแก้มนิ่มค้างเอาไว้ ไออุ่นจากฝ่ามือนี้ยืนยันได้ดีว่านภนต์ยังคงปลอดภัย

‘หมับ’ ชลันธรเข้าสวมกอดนภนต์แนบชิดจนอากาศมิสามารถผ่านได้และไม่นึกอายว่ายังมีสายตาอีกสามคู่คอยจ้องมองตนกับคนรักเอาไว้

“พี่อยู่นี่แล้ว….” นภนต์ลูบหลัง ใบหน้าหล่อเหลามีรอยยิ้มประดับอยู่ให้กับความเอ็นดูของชลันธร

“ข้าคิดว่าท่านพี่จะโดนหินโดนดินทับไปเสียแล้ว…ข้า..ฮึก..ไม่อยากให้ท่านพี่เสี่ยงชีวิตเพื่อข้าอีก” หลายครั้งหลายคราที่นภนต์ต้องเสี่ยงปกป้องชลันธรอยู่บ่อยครั้ง จนชลันธรเองรู้สึกไม่ดีคิดว่าตนไม่ต่างจากภาระของนภณต์

“...คนดีพี่รู้ว่าเจ้านั้นคิดอะไรอยู่...มันเป็นหน้าที่ของพี่ที่จะต้องปกป้องเจ้า...พี่ยินดีที่จะเสี่ยงชีวิตเพื่อเจ้า” นภนต์เอ่ยแล้วโน้มใบหน้าลงหอมแก้มนิ่มเพื่อเติมเต็มพลังใจให้กับตนเอง...

“อะแฮ่ม!!...ทำอะไรเกรงใจทางนี้บ้าง โลกใบนี้ไม่ได้มีเพียงพวกท่านแค่สองคนนะ…ท่านนภนต์” รพีพงศ์แกล้งกระแอมขัดจังหวะ ส่วนนาคินทร์นั้นมองชลันธรด้วยสายตาเชิงล้อจนอดีตเทพสมุทรอายม้วน

“ดูเหมือนเจ้าจะอิจฉาข้านะรพีพงศ์ ถ้าเจ้าอิจฉาข้าก็หอมแก้มนาคน้อยของเจ้าเสียสิ” นภนต์เอ่ย รพีพงศ์ชะงักส่วนนาคินทร์นั้นเป็นฝ่ายหน้าแดงขึ้นมาบ้าง คราวนี้ชลันธรจึงกลายเป็นฝ่ายที่ส่งสายตาหยอกล้อนาคินทร์

“หอมแก้มอะไรของท่าน...อืม…ข้าขอชื่นชมท่านที่ล่วงรู้ว่าเสาหินต้นนี้เป็นหมุดสลักใช้เปิดทางเข้าสู่ประตูวิมาน” รพีพงศ์เห็นว่ากลายเป็นตนที่โดนดี จึงเปลี่ยนเรื่องคุยมาชื่นชมนภนต์แทน

“ประสบการณ์ในการสู้รบสอนข้ามาเยอะ ทำให้ข้ารู้ว่าอะไรเป็นอะไร” นภนต์เอ่ย เนื่องด้วยได้ภารกิจรบบ่อยครั้งจึงพอจะอ่านทางออก

“ท่านนภนต์เก่งกาจยิ่งนัก ทั้งยังมีไหวพริบด้วย เสียงเล่าลือว่าท่านเป็นนักรบผู้เก่งกาจ วันนี้ข้านั้นได้เห็นเต็มสองตาถือว่าเป็นบุญของข้ายิ่งนัก” นาคินทร์ชื่นชมออกหน้าออกตาจนดูผิดปกติ จนเทวาข้างกายเหลือบมองไม่พอใจด้วยความหึงหวง…‘ทีกับข้าไม่เห็นเจ้าจักชื่นชมออกหน้าออกตาเยี่ยงนี้บ้าง’…รพีพงศ์นึกน้อยใจ

“ท่านพี่ข้าตื่นเต้นเหลือเกิน…ข้าอยากเข้าไปพบเทพกาลเวลาแล้ว” ชลันธรเอ่ย ความจริงอยู่ใกล้แค่เอื้อมเพียงย่างขึ้นบันไดแล้วเปิดประตูวิมาน ชลันธรจักหลุดพ้นจากตราบาปที่ตนไม่ได้ก่อเสียที

“อืม พี่เองเห็นด้วย พวกเราอย่ามัวชักช้าเลย รีบเข้าไปในวิมานกันเถิด” นภนต์เอ่ย

‘มอ…มอ..’ พระโคศุภราชส่งเสียงร้องคล้ายว่าไม่สามารถเดินทางต่อไปได้ ชลันธรจึงเดินไปหาแล้วย่อกายลงโอบกอดคอพระคาวีสีขาวนี้ไว้

“พระโคศุภราช เราขอบน้ำใจมากที่เจ้าช่วยเหลือเราจนมาถึงวิมานแห่งเทพณิชนิรันดร์ เพลานี้เราเห็นเป็นสมควรที่เจ้านั้นควรกลับไปหาพระศุกร์ผู้เป็นนายและเราอยากฝากให้เจ้าขอบน้ำใจพระศุกร์แทนเราด้วย” ชลันธรเอ่ยน้ำเสียงแฝงไปด้วยความอ่อนโยน แม้พระศุกร์คิดจะชิงตัวและทำร้ายนภนต์ก็ตามที หากพระศุกร์นี้กลับให้พระโคพาหนะดูแลช่วยเหลือตน

‘มอ…’ พระโคศุภราชร้องเป็นสัญญาณว่ารับรู้ในสิ่งที่ชลันธรเอื้อนเอ่ย ชลันธรระบายยิ้มออกมานึกรักใคร่พระโคศุภราชแสนดีก่อนจะผละกอดออกมา พระคาวีจ้องมองใบหน้าสวยผ่านน้ำตาที่หลั่งไหลออกมา พระโคนั้นเศร้าสร้อยที่จำต้องจากเจ้านายใหม่แต่จำต้องตัดใจแล้วเดินกลับไปทางเก่าโดยไม่หันมอง

“พระโคศุภราชดูเสียใจที่ต้องจากลันไป” นาคินทร์เอ่ย

“ไม่ว่าคนหรือสัตว์ เทวดาหรือสรรพสิ่งใดใด เมื่ออยู่ด้วยกันล้วนแต่มีจิตผูกพันด้วยกันทั้งนั้น พอพ้นพรากจากกันจริงไม่แปลกที่จะเสียใจ” รพีพงศ์เอ่ย ตาคมมองไปยังนาคินทร์ที่เบือนหน้าหนี เห็นทีคงจะโกรธตนเรื่องบาดแผลไม่หาย

“เมื่อพระโคศุภราชก็จากไปแล้ว เราอย่างเสียเวลาอยู่เลย ...ข้าว่าพวกเราเข้าไปด้านในวิมานไพฑูรย์นี้กันเถิด” นภนต์เอ่ย เชื้อชวนทุกคนให้เข้าไป

“พวกท่านเข้าไปเถิด ข้าขออาสาเฝ้าอยู่ด้านนอกจะดีกว่า เผื่อมีอันตรายหรือสิ่งใดผิดสังเกตจักได้บอกกับท่านได้ทันท่วงที” นาคินทร์เอ่ย เมื่อทุกคนก้าวขึ้นบันได

“คินทร์ไปกับพวกเราเถอะ จะอยู่ด้านนอกตามลำพังได้อย่างไรเล่า” ชลันธรจับข้อมือเล็กฉุดดึงให้ขึ้นบันไดตาม

“คินทร์อยู่คนเดียวได้ ลันไม่ต้องเป็นห่วงคินทร์หรอกนะ ลันรีบเข้าไปในวิมานดีกว่า” นาคินทร์ดึงมือที่จับกุมตนไว้ ชลันธรเองก็ไม่ยอมปล่อย  ฟ้ามืดขนาดนี้ใครจะยอมทิ้งสหายร่างบอบบางหน้าตางดงามราวกับเทพธิดาไว้กลางป่าดงเพียงลำพังกันเล่า…ชลันธรไม่ยอม

“แต่ว่าคินทร์….”

“ชลันธร...เจ้าเข้าไปกับท่านนภนต์เถิด ข้าจะอยู่ข้างนอกนี้กับนาคินทร์เอง” รพีพงศ์เอ่ย นับว่าเป็นการแก้ปัญหาได้ดีเลยทีเดียว ชลันธรจะได้ไม่กังวลอีกทั้งตนจะได้ปรับความเข้าใจกับเชลยรักด้วย

“ถ้ารพีพงศ์อยู่ด้วยเราเบาใจขึ้นมาหน่อย” ชลันธรโล่งใจขึ้นมาทันที

“เอาล่ะ...ตกลงกันได้แล้ว เราสองก็รีบเข้าไปในวิมานกันเถิด” นภนต์คว้ามือของชลันธรมากุมไว้แล้ว ย่างก้าวขึ้นบันไดทีละขั้นพร้อมกัน จนมาถึงประตูวิมาน ชลันธรยกฝ่ามือขึ้นมาค่อยๆ ดันบานประตูให้เปิดออก

‘เอี๊ยด…’

เสียงแหลมบาดหูของความฝืดเคืองของประตูที่ปิดตายไปนานดังขึ้น ทั้งสองก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปในวิมานที่แสนมืดมิด ไร้ซึ่งแสงจันทร์หรือแสงจากเทียนไขสาดส่องให้แสงสว่าง…ความมืดมิดทำให้ความกลัวก่อขึ้นในความรู้สึกของชลันธร มือเรียวจับมือหนาไว้แน่นจนนภนต์สัมผัสได้ว่าคนรักไม่ชอบใจในความมืดนี้

แต่ไม่ว่าเรื่องใดที่ทำให้ชลันธรต้องกลัวหรือขุ่นข้องใจ นภนต์พร้อมที่จะขจัดมันให้พ้นทาง  เจ้าของผิวงามราวไข่มุกผู้นี้กลัวความมืด นภนต์จึงใช้ดวงแก้วแห่งแสงนำทางในการสร้างแสงสว่าง ดวงแก้วนั่นมีปีกบินได้มันจึงบินอยู่เหนือศีรษะของทั้งสอง แสงนั้นสว่างจนเห็นทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ปรากฏผนังแก้วผลึกสีฟ้ากว้างขวางทั่วทั้งห้องวิมาน  ตรงกลางวิมานนั้นมีสระน้ำสีเงินยวงที่ไร้ซึ่งพืชพรรณหรือสิ่งมีชีวิต มีเพียงกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นดอกแก้วที่ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ยามอยู่ใกล้สระ

“เทพกาลเวลาอยู่แห่งใดกัน” ชลันธรหันซ้าย แลขวาก็ไม่พบผู้เป็นเจ้าของวิมานแต่อย่างใด ซึ่งในความเป็นจริงแล้วน่าจะหลับใหลอยู่ในวิมานนี้

“นั่นสิ…แท่นบรรทมกลับไม่มีใครนิทราอยู่เลย นับว่าแปลก” นภนต์เอ่ย ตามองไปยังแท่นบรรทมที่ไร้เจ้าของก่อนจะเดินไปใกล้

“หรือข้าจะไร้บุญ ไร้วาสนาที่จักพิสูจน์ความบริสุทธิ์เสียแล้ว…ท่านพี่นภนต์ข้าจักต้องกลายเป็นผุยผง ข้า…ข้าจะไม่มีโอกาสได้อยู่เคียงท่านอีก…” ชลันธรเอ่นเสียงเครือเศร้า เนื่องจากคำสาปของพระผู้สร้างจะแก้ได้ก็ต่อเมื่อชลันธรหาสามารถหลักฐานมายืนยันความบริสุทธิ์แล้วจึงสามารถกลับคืนสู่สวรรค์ในสถานะเทวาดั่งเก่า แต่ในทางกลับกันถ้าทำมิได้ชลันธรจะกลายเป็นผงธุลีไม่สามารถเกิดในภพภูมิใดได้อีก

“ชลันธร...เจ้าโปรดใจเย็นสักนิดแล้วดูสิ่งนี้…ฟูกบนแท่นบรรทมของเทพณิชนิรันดร์นั้นยังอุ่นอยู่ พี่ว่าท่านนั้นตื่นจากนิทราและคงซ่อนกายอยู่ในวิมานนี้เป็นแน่” นภนต์สัมผัสผ้าเนื้อลื่นแล้วจึงบอกชลันธรที่กำลังรู้เศร้าสร้อย

“เป็นจริงดั่ง ท่านพี่ว่า ...” ชลันธรสูดลมหายใจลึกๆ มือบางที่สัมผัสฟูกนุ่มนั้นทำให้ความหวังที่จะหลุดพ้นคำสาปกลับคืนมาสู่ใจอีกครั้ง

“พี่ว่าเรารีบหาตัวเทพกาลเวลาเถิด ท่านน่าอาจจะซ่อนตัวอยู่ในวิมานเป็นแน่...” นภนต์ชักชวนชลันธรหาตัวเทพกาลเวลา

“ท่านเทพณิชนิรันดร์…ท่านซ่อนตัวอยู่แห่งใดกัน ได้โปรดออกมาเถิด”

“โปรดออกมาเถิด เราสองมิได้จะมาทำร้ายท่าน หากพวกเรานี้มาขอความช่วยเหลือจากท่าน”

ทั้งสองเรียกหา พลางเดินหาเทพกาลเวลาตามห้องหับต่างๆ แต่ก็ไม่พบเจอแม้แต่เงา  จนช่วงเลยเวลาไปสักพักชลันธรเริ่มหวาดหวั่นทั้งที่อุตส่าห์ดั้นด้นบุกป่าฝ่าดงอุปสวรรค์นานามานับไม่ถ้วน  เหตุใดกันโชคชะตาถึงเล่นตลกไม่ให้ตนพบเจอเทพแห่งกาลเวลา

“เราทั้งสองหากันจนทั่วแล้วแต่ก็ไม่พบแม้แต่เงาเลย ไม่แน่บางทีเทพกาลเวลาอาจจะหนีไปตอนที่พวกเราพยายามหาทางเข้ามาในวิมานก็เป็นได้” ชลันธรเอ่ย

“พี่ว่าคงไม่ได้หนีไปไหนดอก ด้วยวิมานนั้นถูกปิดล้อมทุกด้าน ทางเข้าออกนั้นมีเพียงทางเดียว...นอกเสียจาก...จะหนีในตอนที่เราเปิดประตูเข้ามา ถ้าเป็นเช่นนั้นคงต้องเจอรพีพงศ์กับนาคินทร์ที่เชิงบันได”

“หากหนีเราออกไปได้... มีหรือที่จะหนีจากรพีพงศ์กับนาคินทร์ไม่ได้...นี่เราหากันจนทั่วทุกแห่งหนแล้วนะท่านพี่…เทพกาลเวลา...ท่านไปอยู่ที่ไหนกัน...”

“ใครว่าทั่ว…ยังมีอีกแห่งนะชลันธร ที่ๆเราทั้งสองยังไม่ได้ตามหา...” นภนต์บอกกับชลันธร จากนั้นจึงเดินนำร่างบางมายังสระกลางวิมาน

“เรายังไม่ได้หาในนี้…”  นภนต์เอ่ยแล้วส่งสายตาไปยังสระน้ำสีเงินยวงตรงหน้า

“ท่านพี่หมายถึง...ในน้ำนี้หรือ....” ชลันธรเอ่ยถาม

“ใช่...เดี๋ยวพี่จะลงไปในสระเอง”

“อย่าดีกว่า... ข้าคิดว่าภายในสระนี้คงไม่ปลอดภัยเป็นแน่ อีกอย่างข้านั้นเป็นผู้ที่มาขอความช่วยเหลือต่อเทพกาลเวลาโดยตรง ควรจะเป็นข้าที่ต้องลงไปในสระเอง”

“ไม่!!! พี่ไม่ยอมให้เจ้าลงสระเป็นอันขาด เมื่อครู่เจ้ายังไม่แน่ใจว่ามันอันตรายหรือเปล่า แล้วเจ้าจังลงไปในสระนั้นได้อย่างไร...ในเมื่อพี่เองมีส่วนทำให้เจ้าต้องโดนสาป พี่จักรับผิดชอบ…” นภนต์ไม่รีรอให้ชลันธรห้าม ตั้งท่าเตรียมกระโดดลงสระ

“ไม่!!! ท่านพี่นภนต์!!!”

“หยุด!!! ไม่ต้องมีใครลงในสระทั้งนั้น...”

นอกเหนือจากเสียงห้ามของชลันธรยังมีเสียงอีกเสียงหนึ่งที่ดังแทรกขึ้นมา เทพเวหาที่กำลังจะลงสระสีเงินหยุดชะงัก พร้อมกับกวาดมองทั่วบริเวณเพื่อหาเจ้าของเสียงแต่ไม่พบใคร

“ใคร!!! ออกมาบัดเดี๋ยวนี้” นภนต์คว้าเอวบางให้มายืนใกล้ตนก่อนจะเสกพระขรรค์ขึ้นมาหมายจะต่อสู้หากใครที่ซ่อนตัวนั้นคิดทำร้าย

“ทะ…ท่านพี่นภนต์” ชลันธรเรียกเทวาหนุ่มเสียงสั่น นภนต์หันมองคนรักที่ก้มหน้ามองพื้นจึงมองตาม เงาของชลันธรแผ่ขยายยาวขึ้นไปตามพื้นจนพาดกับผนัง ก่อนที่เงานั้นจะปรากฏกายหยาบของกุมารทรงอาภรณ์สีเงิน สร้อยสังวาลไพฑูรย์ ก้าวขาเยื้องย่างมาหาทั้งสอง

“หากถามว่าข้านั้นคือใคร ข้าจะตอบไว้ให้เอาบุญก็ได้... ข้าเป็นผู้ดูแลสระศักดิ์สิทธิ์นี้มีนามว่า ...จิรนาถ…แล้วพวกท่านเป็นใครกันถึงบุกรุกเข้ามาในวิมานเทพกาลเวลา…” กุมารน้อยเอ่ยเสียงเรียบ นภนต์จึงลดพระขรรค์ลงเมื่อเห็นว่าอักฝ่ายมิใช่ศัตรู

“เรานามว่าชลันธรและผู้ที่ยืนอยู่เคียงข้างเรานั้นคือเทพนภนต์ เทวาแห่งท้องนภา” ชลันธรแนะนำตนและคนรัก

“ข้าขอบอกอะไรไว้ก่อน...พวกท่านห้ามแตะต้องน้ำในสระศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นอันขาดนอกเสียจากเทพแห่งกาลเวลาจะอนุญาต” จิรนาถกุมารเอ่ยต่อ

“ว่าแต่กุมารน้อย เจ้าจักบอกข้าได้หรือไม่เล่าว่าเทพกาลเวลาบัดนี้อยู่แห่งหนใด ทั้งที่จริงแล้วท่านก็น่าที่จักนิทราอยู่ในวิมานสถานแห่งนี้...” ชลันธรซักถาม ไม่แน่ว่ากุมารน้อยผู้นี้อาจจะช่วยเหลือตนได้

“ข้าบอกให้ก็ต่อเมื่อ…พวกท่านต้องบอกข้ามาก่อนว่าเหตุใดถึงต้องการพบท่านเทพณิชนิรันดร์ผู้เป็นนายของข้า”

“ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเจ้า…กุมารน้อย เจ้ามิจำเป็นต้องรู้ว่าข้ากับชลันธรต้องการพบเทพกาลเวลาเพราะเหตุใด เพียงแต่เจ้านำทางเราไปพบเทพกาลเวลาก็พอ...” นภนต์ตอบกลับไปเนื่องจากมิอยากจะเสวนาให้เสียเวลา

“เช่นนั้นข้าจะไม่บอกพวกท่านว่าเทพกาลเวลาอยู่แห่งหนใด” จิรนาถกุมารกอดอก ชำเลืองมองนภนต์พร้อมยิ้มเยาะ สร้างความไม่พอใจให้กับนภนต์เป็นอันมาก…‘ไอ้เด็กสามหาว’...

“ถ้าเราเล่าให้ฟังเจ้าจะพาเราไปหาเทพกาลเวลาจริงใช่หรือไม่” ชลันธรถาม มือเรียวกุมมือนภนต์เอาไว้ให้อารมณ์เสีย

“ข้าไม่โกหก…ข้าสัญญา” จิรนาถกุมารยืนยัน

ชลันธรจึงตัดสินใจเล่าเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ตนนั้นเป็นพระสมุทรเทวาที่โดนสาปไปเกิดเป็นมนุษย์เพื่อชดใช้กรรมตามโทษทัณฑ์ที่ก่อไว้ และการที่จะแก้คำสาปได้ชลันธรจักต้องหาหลักฐานเพื่อให้ตนพ้นมลทิน…นั่นก็คือขอร้องเทพกาลเวลาให้พาตนและนภนต์ผู้ซึ่งจะเป็นพยานหากได้ย้อนเวลาหาตัวผู้กระทำผิดที่บังอาจวางยาพระเทวีกวินตาผู้เป็นมารดาของเทพนภนต์

“ข้าเห็นใจท่านยิ่งนักที่โดนสาป หากท่านไม่ได้ทำผิดโดนใส่ร้ายจริง…เทพนภนต์ผู้นี้ช่างใจร้อน ใจดำที่จับตัวคนรักให้โดนลงทัณฑ์สถานหนัก…”

“ฟังเสร็จแล้วก็รีบบอกมาว่าเทพกาลเวลาอยู่แห่งใด มิใช่มาวิจารณ์นิสัยใจคอของข้า” นภนต์เอ่ยเสียงแข็งไม่พอใจที่โดนเด็กตัวไม่ถึงเอวมาพูดจาเยี่ยงนี้ใส่

“ใจร้อน…ใจร้อนเสียจริง” จิรนาถกุมารส่ายหน้านึกขำ เทพเวหาผู้นี้เป็นผู้เก่งกาจ รอบรู้ มีคุณธรรมแต่ข้อเสียนั้นก็คือความใจร้อน

“เจ้า!!!...ประเดี๋ยวโดนข้าตีก้นเป็นแน่”

“ข้าว่า...ท่านน่าจะเข้าไป...สงบสติอารมณ์...ในคุกนาฬิกาทรายของเทพกาลเวลาสัก 200 ปีนะ เผื่ออารมณ์ท่านจะเย็นลงบ้าง...”

“นี่เจ้าเด็กน้อย...มันจะมากไปแล้วนะ...”

“ท่านพี่นภนต์ก่อนใจเย็นเถิด ข้าขอร้อง” ชลันธรกอดแขนนภนต์ที่หงุดหงิดและทำท่าจะเดินไปตีกุมารน้อยตามที่ได้พูดเอาไว้ จิรนาถกุมารเองยืนนิ่งไม่ทุกข์ ไม่ร้อน ไม่กลัวนภนต์แม้แต่น้อย

“เอาเป็นว่าข้านั้นเห็นแก่อดีตพระสมุทรผู้น่าสงสารก็แล้วกัน...ส่วนเรื่องที่เทพท้องนภาจะตีข้า ข้าจะไม่ใส่ใจ ถือว่าแค่เสียงนกตัวน้อยๆ ขับขานบทเพลงให้ข้าฟังก็แล้วกัน…เอาเถิด ไหนๆ ท่านทั้งสองก็อุตส่าห์บากบั่นมาพบท่านเทพกาลเวลาถึงที่ กว่าจะมาถึงก็คงจะลำบากอยู่มิใช่น้อย...ข้าจะนำทางท่านทั้งสองไปหาเทพกาลเวลาเอง...” จิรนาถกุมารเอ่ยแล้วเดินนำนภนต์และชลันธรกลับเข้าไปในห้องบรรทมอีกครั้ง โดยทั้งสองนั้นเดินตามไปแต่โดยดี

“เจ้าอย่าเล่นตุกติก...เมื่อครู่ข้านั้นเดินมาสำรวจในนี้ไม่พบเทพแห่งกาลเวลาหรือใครอื่นเลย” นภนต์เอ่ย สีหน้าไม่สบอารมณ์คิดว่าตนนั้นเสียท่าโดนเด็กหลอกเสียแล้ว แถมยังโดนดูแคลนว่าคำพูดของตนเป็นเสียงนกตัวน้อยๆ ร้องเพลงอีก...

“นั่นไง..เทพกาลเวลา” จิรนาถชี้ไปยังผนังกระจกเงาบานใหญ่ ทั้งนภนต์และชลันธรมองไปยังกระจกก็ตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น กระจกเงาสะท้อนภาพของนภนต์ ชลันธรแต่มิเห็นจิรนาถ กลับมีภาพของบุรุษวัยกลางคน รูปร่างสูงโปร่ง เส้นผมหยักศกยาว แต่งกายเช่นเดียวกับกุมารน้อยมิผิดเพี้ยน

“หรือว่า..จิรนาถ….” ชลันธรพอจะเดาออกจึงหันกลับไปมองกุมารน้อย

“ใช่…ข้าคือเทพแห่งกาลเวลา นามที่แท้จริงคือ ณิชนิรันดร์…” จิรนาถกุมารเผยฐานะที่แท้จริงก่อนจะเดินไปนั่งที่อาสน์ของตน

“เชิญท่านทั้งสองนั่งตามสบาย” เทพณิชนิรันดร์ ผายมือเชื้อเชิญผู้มาเยือนให้นั่งบนอาสน์ตรงข้ามตน

“ข้าขออภัยที่ล่วงเกินท่านไม่ว่าจะเป็นวาจาหรือท่าทางก็ดี ข้ายินดีที่จะรับโทษ” พอนั่งลงเป็นที่เรียบร้อยนภนต์รีบกล่าวคำขอโทษผู้อาวุโสในร่างเด็ก

“มิเป็นไร ข้าบอกแล้วข้าไม่ถือสา...นานๆ ครั้งจะมีใครให้ข้าได้กวนประสาทเล่นก็สนุกดีมิใช่น้อย...” เทพณิชนิรันดร์เอ่ยอย่างอารมณ์ดี

“เหตุใดท่านถึงไม่แสดงตนออกมาเลยเล่าจะหลบซ่อนไปทำไม” นภนต์ถามต่อ

“ด้วยตัวข้านั้นต้องหลับใหลเป็นเวลานับพันปีเรื่องพวกนี้เจ้าน่าจะทราบก่อนที่จะมีที่นี่อยู่แล้ว... เพื่อมิให้ใครต้องรบกวนและเข้ามาวุ่นวายภายในวิมานของข้า ข้าจึงต้องย้ายวิมานมายังป่ากันติทัตแห่งนี้ แล้ววางกับดักกลไกไว้มากมาย... และข้าก็เพิ่งจะตื่นขึ้นมาก่อนหน้านี้ได้ไม่นานนัก การที่ข้านิทรานี้ส่งผลให้ร่างกายของข้ากลายเป็นเด็กน้อยและพลังยังไม่ฟื้นคืนมาเต็มที่ พอสักพักวิมานข้าก็โดนบุกรุกจึงจำเป็นหลบซ่อนก่อนเพราะเกรงว่าจะมีคนเข้ามาหมายทำร้ายข้า...” เทพณิชนิรันดร์ตอบกลับไป

“หากพลังของท่านยังฟื้นคืนมาไม่เต็มที่ เรานั้นจะไม่ขอรบกวนท่าน รอให้ท่านฟื้นคืนพลังเสียก่อน” ชลันธรเอ่ยด้วยความเกรงใจ

“ข้าพักผ่อนมานานแล้วอยากจะยืดเส้นยืดสายบ้าง อีกอย่างเพียงย้อนเวลาให้พวกท่านได้ตามตัวผู้ร้ายตัวจริงนั้นก็ไม่เหนือบ่ากว่าแรงข้าดอก...” เทพณิชนิรันดร์บอกกับทั้งสองด้วยท่าทางเป็นมิตร

“เราขอบน้ำใจท่านมาก…หากครั้งหน้ามีโอกาสเราทั้งสองจะตอบแทนคุณ” ชลันธรตื้นตันใจที่ได้รับการช่วยเหลือ ตาเรียวมองไปที่นภนต์ที่ยิ้มมาให้ตนอย่างยินดี เทพเวหาเองคงอยากจะลบรอยบาปในใจและตราบาปที่สร้างให้กับชลันธร…ในที่สุดคนรักก็ปราศจากมลทินเสียที

“เอาล่ะ เพื่อไม่เป็นการเสียเวลาอีก ข้าขอให้ท่านทั้งสองนอนลงบนแท่นหินขาวนี้เถิด แล้วตั้งสมาธิเพ่งจิตจงระลึกถึงวันเวลาที่ท่านต้องการย้อนไป... ไปยังช่วงเหตุการณ์ที่พวกท่านต้องการจะไป พวกท่านจะเป็นเพียงกายทิพย์ไร้ผู้คนพบเห็นและจงจำไว้ว่าพวกท่านมิสามารถเปลี่ยนแปลงอดีตได้ อย่าได้กระทำอันใดนอกเหนือจากมองดูรับรู้ความจริง” เทพกาลเวลาเอ่ย

“ตกลง ข้าทั้งสองจะทำตามที่ท่านแนะนำอย่างเคร่งครัด” ทั้งนภนต์และชลันธรทำตามไม่อิดออดรอช้สนอนราบลงไป ยังแท่นหินขาวมือสองประสานกันก่อนที่เปลือกตาจะปิดลง จิตใจมุ่งมั่นไปยังวันที่ชลันธรนำน้ำเกษียรสมุทรมอบให้พระเทวีกวินตา

เทพกาลเวลาเห็นว่าทั้งสองนั้นได้นอนและตั้งมั่นในสมาธิแล้ว จึงเสกคนโทน้ำใบหนึ่งถือออกไปตักน้ำสีเงินจากสระแล้วกลับเข้ามา มือข้างหนึ่งเสกกิ่งทับทิบแล้วจุ่มลงไปในน้ำศักสิทธิ์...‘ในนามแห่งเทพกาลเวลา…ขอให้สายน้ำศักดิ์สิทธิ์นี้จงนำทางให้บุรุษทั้งสองย้อนเวลากลับไปดั่งใจนึกด้วยเถิด’… สิ้นคำอธิษฐานเทพแห่งการเวลาใช้กิ่งทับทิมพรมน้ำศักดิ์สิทธิ์ทั่วทั้งสองร่างที่นอนสงบอยู่บนแท่นหินขาว

เมื่อหยดน้ำสีเงินสัมผัสลงผิวกาย นภนต์และชลันธรลืมตาขึ้นมาพบว่ามีประตูที่แสงสว่างสาดส่องเข้ามาเพียงหนึ่งบานท่ามกลางความมืดมิด ร่างสูงสัมผัสได้ถึงความประหม่าผ่านแววตาของคนข้างกาย

“ชลันธร…อยู่กับพี่...ไม่มีเรื่องอันใดต้องกลัว” นภนต์เอ่ยให้กำลังใจตามด้วยจูงมือพาชลันธรเดินผ่านประตูเข้าไป


หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.29 P.10 (03/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 03-10-2017 06:07:59
(มีต่อ)


“นี่มัน…ห้องบรรทมของข้า” ชลันธรพึมพำออกมา ไม่นานประตูห้องได้เปิดออกมา ปรากฏร่างของชลันธรในอดีตนุ่งผ้าแพรและมีผ้าผืนบางคลุมกายท่อนบนไว้ ในหัตถาทั้งสองถืออ่างใส่น้ำเกษียรสมุทร

‘ชลันธรไยเจ้าแต่งกายเช่นนี้…เสร็จภารกิจพี่จะลงโทษเจ้าให้หนักจักได้เข็ดหลาบ’ นภนต์คิดพร้อมส่งสายตาดุหาคนรักที่ยิ้มเล็กน้อย ชลันธรรู้ตัวว่าทำให้นภนต์คงไม่พอใจเสียแล้ว

“อัมพุชา…ช่วยจัดเครื่องทรงให้ข้าด้วย วันพรุ่งข้าจะออกจากวิมานเสียหน่อย” ชลันธรในอดีตนั่งลงบนแท่นบรรทมเอ่ยกับนางกำนัลคนสนิทพร้อมวางอ่างน้ำไว้บนโต๊ะที่อยู่ใกล้ เสียงหวานเมื่อครู่ทำให้นภนต์และชลันธรมองด้วยความสนใจ

“ท่านชลันธรจะออกไปซุกซนแห่งหนใดอีกเล่า ยังมิใช่คืนวันเพ็ญมิใช่หรือ” อัมพุชาผู้เป็นเพื่อนเล่นของชลันธรในวัยเยาว์ที่สนิทสนมจนกล้าเอ่ยถามเชิงหยอกล้อกับพระสมุทรผู้นี้ได้

“เรามิได้ซุกซนดั่งคำที่เจ้ากล่าวหา เราจะนำน้ำเกษียรสมุทรไปให้พระเทวีกวินตาต่างหากเล่า...” ชลันธรตอบ ใบหน้าบึ้งตึงที่อัมพุชารู้ว่าตนแอบหนีออกจากวิมานทุกคืนวันเพ็ญ

“ข้าขออภัยที่เข้าใจท่านผิด ปกติข้าเห็นท่านแอบหนีออกไปตลอดจนข้าคิดว่าท่านไปเกี้ยวสตรี เอ๊ะ!! เยี่ยงนี้วิมานของเราจักมีพิธีมงคล” อัมพุชายิ้มแย้มออกมาทันที ผิดกับชลันธรที่เริ่มจะกลัวนางปลาตรงหน้าเสียแล้วที่รู้เสียไปหมดทุกเรื่อง ผิดแค่ตนมิได้เกี้ยวสาวหากโดนเกี้ยวเสียเองจากเทวารูปงาม

“เราหาได้มีสตรีที่ไหนดอก แต่ที่เราออกไปทุกคืนวันเพ็ญนั้นเพราะว่าเราอยากจะพักผ่อนเพราะทุกวันนี้เราปกครองผืนสมุทรให้อยู่อย่างสงบร่มเย็นมิเคยบกพร่อง บางเวลาเรานั้นรู้สึกเหนื่อยจึงอยากออกไปสำราญใจบ้างก็เท่านั้น....” ชลันธรพูดแก้ต่าง

“แล้วท่านจะไปที่ใดกันเล่าข้าจะได้จัดอาภรณ์ เครื่องทรง เครื่องประดับได้ถูกต้อง”

“วิมานแห่งเทพท้องนภา…เทพนภนต์” ชลันธรตอบ

“วิมานเทพแห่งท้องนภา…เหตุใดท่านถึงที่นั่นเล่า” อัมพุชาถามต่อ

“ข้าจะนำน้ำเกษียรสมุทรไปให้ท่านน้ากวินตามารดาของเทพนภนต์และยังเป็นสหายเก่าของท่านแม่ข้าอีกด้วย ทราบจากเทพนภนต์ว่ากำลังประชวร ข้าจึงอยากไปเยี่ยมเพียงเท่านั้น” ชลันธรตอบพร้อมปรายตามองไปยังน้ำสีน้ำนมขาวใส

“ให้มันจริงเถิด มิใช่ว่าอยากนำน้ำเกษียรสมุทรไปเป็นของกำนัลให้หญิงสาวอื่นหรือเอาไปสู่ขอบุตรสาวเทพองค์ไหนมาเป็นพระชายา...” อัมพุชาเอ่ยน้ำเสียงหยอกล้อ โดยมิรู้ว่านภนต์ที่เฝ้าดูเหตุการณ์ต้องใช้หัตถาปิดปากกลั้นหัวเราะ…อัมพุชาเหมือนจะเดาถูกยกเว้นชลันธรไม่ได้ไปขอชายา แต่จะเป็นชายาของเทพเวหาเสียเอง

‘ท่านพี่ไม่ต้องมาหัวเราะเยาะข้าเลยนะ!’ ชลันธรอยากจะหยิกแขนนภนต์ยิ่งนักที่ขบขันตน แต่อยู่ในห้วงอารมณ์นั้นได้ไม่นานนัก สมาธิก็ต้องกลับมาจับจ้องอยู่กับเหตุการณ์ตรงหน้าอีกครั้ง

“เราง่วงนอนแล้ว เจ้าออกไปเถิดเราไม่อยากถูกครหาว่าเป็นคนรักของเจ้า…เราจะเสียหาย” ชลันธรแสร้งหาวซ้ำยังพูดจาแกล้งสหายนางปลาของตน

“ท่านชลันธร คนเสียหายมันต้องเป็นข้าสิ!!!” อัมพุชาหน้านิ่วคิ้วขมวดที่โดนแกล้งกลับ ก่อนจะเดินออกไปนอกห้องเพราะไม่อยากจะรบกวนชลันธรต่อ

เมื่อบานประตูปิดลงอย่างสนิท พระสมุทรรูปงามเอนกายลงนอนบนแท่นบรรทมแล้วเข้าสู่ห้วงนิทราในทันที ทางด้านนภนต์และชลันธรได้เฝ้ามองผู้หลับใหลรวมไปถึงอ่างบรรจุน้ำเกษียรสมุทรที่วางอยู่ใกล้กัน จนกระทั่งเวลาผ่านไปนานก็หาได้มีสิ่งผิดปกติใดเกิดขึ้น

“พระสมุทร…พระสมุทรชลันธร!!!” นางกำลันต้นห้องเรียกชลันธรอยู่ที่หน้าประตูห้องบรรทม เสียงดังก้องปลุกให้ชลันธรตื่นขึ้นมา

“มีเรื่องอันใดหรือ ...ถึงได้ปลุกเรายามวิกาล...หากมีเรื่องด่วนก็เข้ามาแจ้งให้เราทราบบัดเดี๋ยวนี้” ชลันธรลุกขึ้นนั่งลงเรียกนางกำลันต้นห้องให้เข้าพบ ก็คงจะมีเรื่องคอขาดบาดตายเป็นแน่ถึงได้กล้าปลุกในเวลาบรรทมเช่นนี้  แต่ที่น่าแปลกใจ ไม่เพียงแต่นางกำลันต้นห้องที่เข้ามากลับที่นายทหารนายหนึ่งเข้ามาด้วย...ซ้ำใบหน้าแสดงถึงความวิตก ท่าทางดูลุกลี้ลุกลนเสียเหลือเกิน

“พระสมุทร เกิดเรื่องใหญ่แล้ว…มีอสูรร้ายเข้ามารุมขุดกินซากศพ ณ สุสานของเหล่าบริวารทั้งหลาย รวมถึงจักบุกเข้าไปยังสุสานหลวงของเหล่าพญานาคแล้ว” ไม่รอให้ชลันธรเอ่ยถามหรืออนุญาตให้พูด นายทหารก็รายงานเหตุร้ายที่เกิดขึ้นในทันที

“แล้วท่านแม่ทัพสมุทรส่งทหารของเราออกไปรับมือพวกนั้นกันแล้วหรือยัง”

“บัดนี้ท่านแม่ทัพสมุทรได้นำทัพออกไปสู้รบแล้วแต่พวกมันมีจำนวนมากและดุร้ายเหลือเกิน แม้แต่พญานาคชั้นสูงยังแทบต้านไม่อยู่ ข้าจึงต้องมาเรียนให้พระสมุทรทราบเพื่อที่จะได้ออกไปสู้กับพวกมัน”

“ถึงเจ้าไม่ขอให้เราออกไป…เราก็จะไปรบเพื่อปราบอสุรกายพวกนี้อยู่ดี” ชลันธรพูดจบก็มุ่งหน้าไปยังสุสานทันทีเพื่อขจัดเหล่าอสุรกายร้ายที่บังอาจทำลายความสงบสุขใต้มหาสมุทร

เพลานี้ภายในห้องนอกจากนภนต์และชลันธรแล้วก็หาได้มีสิ่งมีชีวิตอื่น รวมถึงอ่างน้ำเกษียรสมุทรที่ยังวางอยู่ที่เดิม…วางอยู่ในที่แจ้งเสียด้วย

“หากเจ้าออกไปรบแสดงว่าน้ำเกษียรสมุทรมิได้ตกอยู่ในสายตาเจ้าเสียแล้ว เช่นนี้ผู้ร้ายตัวจริงมันจะต้อง…”

ไม่ทันขาดคำกลุ่มฟองน้ำใสกลุ่มหนึ่งได้ลอยเข้ามาวนเวียนอยู่รอบอ่าง ก่อนจะแตกกระจายมากมายแล้วเกาะกลุ่มรวมร่างเป็นบุรุษสูงใหญ่ท่าทางองอาจ ยืนจ้องมองน้ำในอ่างพร้อมกับเผยรอยยิ้มสุดแสนจะเย้ยหยัน

.

.

.



…‘นั่นมัน....พระปิตุลากนธี’...





















...........................

ตอนนี้อาจจะดูเนือยๆ เฉื่อยๆ ไร้ความตื่นเต้น แต่ก็สำคัญนะจ๊ะ เจอทั้งเทพกาลเวลาที่แสนจะกวน...เบื้องล่าง แถมดูออกว่าพ่อพระเอกแสนใจร้อน fc. เทพกาลเวลาค่ะ

และตอนนี้ต่างย้อนอดีตกันแล้ว ย้อนกันแล้ว...ว๊าย!!!! และผู้ที่ปรากฎกายคือสุดหล่อของท่านยุ่ง อิอิ ป๋ากนธี

มีหลายคนคิดถึงป๋ากนธีวันนี้ป๋าปรากฎกาย หายคิดถึงป่ะ ห้ามกระทืบป๋านะ ท่านยุ่งปกป้อง 555



สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกคนนะคะทั้งอ่านเม้นให้กำลังใจ รักนะ จุ๊บ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.29 P.10 (03/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 03-10-2017 08:49:21
รอตอนต่อไป~
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.29 P.10 (03/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: kinjikung ที่ 03-10-2017 09:45:26
เจอเทพกาลเวลาซักที ชอบที่เทพกาลเวลาว่าเทพนภนต์ 555+
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.29 P.10 (03/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 03-10-2017 21:31:20
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.29 P.10 (03/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 03-10-2017 22:26:01
ที่จริงก็ควรจะเดาได้ตามหลัก ถ้าเจ้าสมุทรชลันธรมีอันเป็นไป ใครจะได้ผลประโยชน์มากที่สุด (นิยายสืบสวนก็มา)
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.29 P.10 (03/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 03-10-2017 22:56:02
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.29 P.10 (03/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: moodyfairy ที่ 04-10-2017 18:47:24
คือชอบอ่าาาาาาา ชอบมากๆๆๆๆๆเลยยยยย ตามอ่านจนทันจนไม่เป็นอันทำงานทำการ :hao7:
รอนะจ๊าาาา รอๆๆๆๆๆ :z2:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.29 P.10 (03/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 04-10-2017 20:54:08
 :pig4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.29 P.10 (03/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 04-10-2017 23:46:53
อิป๋าโผล่มาและ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.29 P.10 (03/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 05-10-2017 12:06:21


สาปรัก…ทัณฑ์เทวา

Writer : Tan-Yung 0209

File : 29













เรื่องราวที่เข้ามาในชีวิตนั้นมีนับร้อยนับพันหลากหลาย เฉกเช่นเดียวกับผู้คนที่เข้ามาในชีวิตมีทั้งผ่านมาเพียงรู้จักแล้วจากลา มีทั้งเข้ามาสร้างความสุขให้กับเราจนก่อเกิดมิตรภาพและความรัก แต่ทว่าบางคนนั้นกลับเข้ามาสร้างบาดแผลกรีดลึกที่ขั้วหัวใจ

“พระปิตุลากนธี...”

ใครจะคิดว่าผู้ที่ชลันธรเห็นมาตั้งแต่วัยเยาว์ ผู้ที่เคยใช้มืออุ้มชูชลันธร สองกรที่เคยกอดตนผู้เป็นหลานด้วยความรัก รอยยิ้มที่เคยมอบให้สร้างความไว้เนื้อเชื้อใจให้กับผู้พบเห็น กลับกลายเป็นผู้ร้ายนำภัยมาให้…ชลันธรแทบจะล้มทั้งยืนเมื่อเห็นพระปิตุลาที่ตนยกย่องกำลังเทของเหลวที่มีพิษจากขวดจิ๋วลงในอ่างเกษียรสมุทร

“เพียงเท่านี้ชลันธรก็จักหลุดพ้นจากจากการเป็นเทวาและถูกปลดจากบัลลังก์มหานที…ผู้ที่จักเป็นพระสมุทรต้องเป็นข้าเท่านั้นรวมถึงดวงใจพระสมุทร…ต้องเป็นข้าเพียงผู้เดียว” กนธีวาดฝันแสนหวาน ความฝันที่จะกลายเป็นจริงในอีกไม่ช้า ไม่สิ…ต้องเรียกว่าผลของการพยายามสร้างสถานการณ์เสียมากกว่า กนธีนั้นได้เรียกเหล่าสัมภเวสีจากผืนทรายใต้นทีให้ฟื้นขึ้นมาเป็นอสูรร้าย เพื่อให้เหล่าทหารตั้งรับไม่ทัน ไหนจะกำกับเวทให้พวกมันนั้นมีฤทธิ์แกร่งกล้าจนชลันธรต้องออกโรงเอง กนธียกยิ้มกับความฉลาดของตนขณะรอให้ยาพิษหยดสุดท้ายหยดลงไปในอ่าง

‘ตึ๋ง’ เสียงยาพิษหยดสุดท้ายที่ไร้สีไร้กลิ่นถูกผสมลงไปในน้ำเกษียรสมุทร กนธีเก็บขวดไว้กับตน จากนั้นแปลงกายเป็นฟองน้ำลายละล่องออกไปจากห้องบรรทมของชลันธร

“ท่านพี่ข้าไม่นึกเลยว่าท่านอากนธีจะเป็น…ฮึก…หากแต่ท่านอาประสงค์บัลลังก์ข้า ต้องการเป็นใหญ่ในห้วงสมุทรนี้ไยถึงไม่บอกกับข้าดีๆ เล่า ถ้าเป็นท่านอาข้ายินดีจักยกบัลลังก์ให้...” ชลันธรสุดกลั้นกลืนจนกรรแสง นภนต์ดึงกายบางที่สั่นไหวไปตามแรงสะอื้นเจ้ามากอด ชลันธรกำลังเสียใจที่ถูกผู้เป็นอาที่มิอาจนึกว่าจะสามารถหักหลังกันได้ แต่ทว่านภนต์นั้นขบฟันสะกดกลั้นความโกรธเกรี้ยวที่กนธีนั้นทำร้ายชลันธรและดึงมารดาของตนมารับเคราะห์ร้ายจากพิษนี้ด้วย แต่สิ่งเลวร้ายที่สุดคือชลันธรนั้นถูกสาปให้เวียนว่ายตายเกิดทุกข์ทรมานในโลกมนุษย์อยู่สามร้อยชาติ

“ถึงเราจักย้อนเวลาตามหาความจริงได้ แต่เรานั้นมิอาจทำการอันใดเพื่อแก้ไขอดีตได้…ช่างน่าเจ็บใจยิ่งนัก” นภนต์เอ่ย หากสามารถแก้ไขได้ นภนต์จะไม่รีรอโยนอ่างน้ำเจือยาพิษนี้ทิ้งเสีย

“แย่แล้ว สร้อยข้อมือของข้า…ตกอยู่ในห้องบรรทมของพระสมุทรเป็นแน่” เสียงโหวกเหวกดังอยู่หน้าห้องก่อนที่บานประตูจะถูกเปิดออกอีกครั้ง นางปลาอัมพุชาผู้รับใช้พระสมุทรเดินเข้ามา แล้วก้มหาสร้อยที่ทำจากกัลปังหาโดยที่คนรักเป็นผู้มอบให้ อัมพุชาจึงร้อนรนนัก เพราะถ้าหายไปคงมิเป็นการดีแน่

“อ่ะ!!...ตกอยู่ตรงนี้นี่เอง” อัมพุชาหยิบสร้อยที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมา ด้วยความเร่งรีบจึงไม่ได้ระวัง เป็นเหตุให้บั้นท้ายชนเข้ากับโต๊ะที่วางอ่างใส่น้ำเกษียรสมุทร

‘เคร้ง!!’ เสียงอ่างเคลือบตกลงมา มือเรียวคู่งามพยายามจะรับไว้แต่มิอาจจะรับไว้ได้ทัน อ่างจึงร่วงลงกระทบพื้นแตกกระจาย น้ำเกษียรสมุทรเจือพิษไหลหกนองพื้น

“แย่แล้ว…โธ่ อัมพุชาไยเจ้าสะเพร่าเช่นนี้” อัมพุชาบ่นกับตัวเองแล้วก็เร่งเก็บกวาดทำความสะอาดมิให้เหลือหลักฐานท่ามกลางสายตาของนภนต์และชลันธร

…‘น้ำที่ผสมพิษอัมพุชาได้ทำหกหมดแล้วกระนั้นหรือ’...

“โชคดีเสียจริงที่พระสมุทรชลันธรไม่อยู่ ข้าจะได้นำน้ำเกษียรสมุทรมาใหม่” อัมพุชาคิดได้ดังนั้นจึงรีบออกจากห้องไป โชคดีที่องครักษ์เวรยามเหลือน้อยการเฝ้าระวังจึงหละหลวม จนไม่ทันสังเกตว่าอัมพุชาลอบเข้าออกในห้องบรรทมของชลันธรอีกครั้ง นภนต์เองให้ชลันธรรออยู่ในห้องส่วนตนนั้นจะตามไปดูอัมพุชา เผื่อว่านางจะเป็นผู้ลอบวางยาพิษ

นภนต์จับตามองอัมพุชาที่ไปนำน้ำเกษียรสมุทรกลับมายังห้องบรรทมของชลันธรอีกครั้ง ระหว่างนั้นก็ลอบสังเกตท่าทางอัมพุชา ซึ่งไม่มีสิ่งผิดปกติแต่อย่างใด จนกระทั่งนางปลานำอ่างน้ำแบบเดียวกับที่แตกวางไว้ดังเดิมแล้วรีบออกจากห้องไป

“อัมพุชาไม่ได้นำพิษหรือะไรใส่ลงไปแม้แต่น้อย...” นภนต์บอกกับชลันธรเมื่อเห็นว่าหญิงสาวออกไปนอกห้อง

“ข้าเองก็คิดเช่นนั้นว่าอัมพุชามิมีทางทำเรื่องเลวร้ายได้…ใครกันนะที่เป็นผู้วางยาพิษ” ชลันธรคิดหนัก กนธีแม้จะวางยาก็จริงแต่น้ำเกษียรสมุทรถูกอัมพุชาทำหกไปเสียแล้ว เท่ากับว่าพิษจากกนธีไม่ได้ทำให้พระเทวีกวินตาผู้เป็นมารดาคนรักทุรนทุรายอย่างทรมาน

“อีกไม่นานดอก…ชลันธร เราจักได้รู้ว่าผู้ใดเป็นผู้ร้ายตัวจริง”

ใช่แล้ว… อดีตพระสมุทรอดทนรอมาถึง ๒๙๙ ชาติจนมาถึงในชาติที่ ๓๐๐ นี้ อีกไม่นานความจริงจะปรากฏ รอยมลทินที่ชลันธรได้รับจะถูกชำระล้างเผยความจริงที่ถูกปกปิดเอาไว้ เพลานี้ทั้งนภนต์และชลันธรคงทำได้เพียงแค่รอ หากคำว่ารอและใจเย็นคือหนทางที่ดีที่สุดที่ทั้งสองจะทำได้

ยามอรุณรุ่นเยี่ยมเยือนอีกครั้งให้รู้ว่าเวลาได้เดินหน้าไปอีกวัน ชลันธรที่ออกไปรบได้กลับมาในสภาพอิดโรยเนื่องจากตรากตรำทำศึกกับอสุราทั้งหลาย …‘น่าประหลาดที่อยู่ๆ มีอสูรร้ายมากมายบุกเข้ามาถึงในเขตสุสานหลวงราวกับว่ามีใครคอยบงการ’… แม้จะฉุกคิดขึ้นมาแต่สุดท้ายชลันธรมิได้ใส่ใจในเมื่อตนและทหารปราบเหล่าอสูรจนสิ้นซาก เวลานี้ชลันธรต้องการพักผ่อนเอาแรงมากกว่า ร่างบางประทับลงบนแท่นศิลาประดับมุกแล้วเอนกายแนบชิดอิงหมอน

“พระสมุทร...ข้าอัมพุชาขออนุญาตเข้าเฝ้า” เสียงเจื้อยแจ้วดังมาจากอีกฝั่งของบานประตู อัมพุชาที่ตื่นเช้าได้นำเครื่องทรงมาให้พระสมุทรเทพ

“เข้ามา” ชลันธรเอ่ยเสียงไม่ดังมากนักแต่ก็พอที่จะทำให้หญิงสาวได้ยิน อัมพุชาพอได้รับอนุญาตจึงนำเครื่องทรง เครื่องประดับที่จัดใส่พานถือเข้ามาให้ผู้เป็นเจ้าของแต่พอเข้ามากลับเห็นสีหน้าของชลันธรมิสู้ดีนัก

“ท่านชลันธร…ท่านได้รับบาดเจ็บหรือ” อัมพุชาซักถามด้วยความเป็นห่วงพระสมุทรผู้เป็นนาย

“เรามิได้บาดเจ็บอันใด เพียงแต่เรานั้นอ่อนเพลียเท่านั้น” ชลันธรตอบ อัมพุชาแนบมือทาบอกอย่างโล่งใจที่ชลันธรมิได้เป็นอะไร

“ถ้าเช่นนั้นข้าว่าท่านนั้นพักผ่อนเสียเถิด แล้ววันพรุ่งท่านค่อยไปวิมานของเทพเวหาจะเป็นการดีกว่า” อัมพุชาเสนอขึ้น ไม่อยากให้ชลันธรฝืนกายไปเกรงว่าจะล้มป่วยขึ้นมาจริงๆ

“เราไม่เป็นอันใดมากเจ้าอย่าได้กังวลไปเลย เราแค่นำน้ำเกษียรสมุทรไปให้ท่านน้ากวินตา เพียงไม่นานก็กลับ” ชลันธรเอ่ย โดยไม่รู้ว่าตนจะไม่ได้กลับมายังวิมานมุกสีครามนี้อีก

“หากท่านปรารถนาเช่นนั้นข้าเองก็ไม่ขัด” อัมพุชารู้ดีว่าพระสมุทรนั้นดื้อขนาดไหน เมื่อตัดสินใจอะไรไปแล้วยากที่จะเปลี่ยนใจ

“เยี่ยงนั้นเจ้าจงออกไปบอกเหล่าทหารให้เตรียมตัว เมื่อเราจัดการตนเองเสร็จแล้วจะเดินทางไปยังวิมานของเทพแห่งท้องนภาทันที” ชลันธรเอ่ย อัมพุชาน้อมรับคำสั่งแล้วออกไปแจ้งเหล่าทหารให้เตรียมจัดขบวน

ชลันธรชำระล้างคราบเลือดที่เปรอะเปื้อนกายจนผิวขาวดั่งไข่มุกนั้นกลับมาเช่นเดิม เมื่อสรงน้ำเสร็จเจ้าของผิวงามก็รีบจัดแจงแต่งกายด้วยพัตราภรณ์สีขาวปักดิ้นสีน้ำเงินเข้มที่ชายผ้าและภูษาสีคราม ปิดท้ายเครื่องประดับยศทั้งศิราภรณ์และถนิมพิมพาภรณ์อย่างสังวาลย์ ธำมรงค์ประจำกายกำไลข้อเท้า ทุกอิริยาบถตกอยู่ในสายตาของเทพแห่งท้องนภาที่คอยกลืนน้ำลายยามเห็นผิวกายขาวเนียน

“ไม่มีสิ่งผิดปกติกับน้ำเกษียรสมุทรเลย” ชลันธรที่เฝ้าดูอ่างใส่น้ำเกษียรสมุทรเอ่ยขึ้นมาพร้อมมองคนรักที่หาได้สนใจอ่างน้ำไม่ แต่มัวสนใจอยู่กับกายตนในอดีต

“ท่านพี่นภนต์!!...จ้องอันใดนักหนา ฮึ้ย!! หน้าสิ่ว หน้าขวานยังจะมา...” ชลันธรเอ็ดคนรัก ใบหน้างามตรงกลางหว่างคิ้วนั้นขมวดมิพอใจ

“พี่ขอโทษแต่กายเจ้าช่างยั่วยวนยิ่งนักจนพี่ละสายตาจากเจ้ามิได้” นภนต์เอ่ยสำนึกผิด

“ข้าให้อภัยก็ได้แต่จากนี้ไปท่านพี่ต้องไม่วอกแวกอีกนะ” ชลันธรเอ่ย นภนต์พยักหน้าตกลง

เทวัญผู้เป็นใหญ่ในมหาสมุทรทรงเครื่องอาภรณ์งามกว่าใครจะเทียบได้ เมื่อเสร็จสิ้นก็เยื้องย่างออกจากห้องบรรทมเพื่อเข้าร่วมกับขบวน หากได้พบกับกนธีผู้เป็นพระปิตุลาที่ยืนอยู่หน้าประตูพอดีเสียก่อน

“พระสมุทรชลันธรจะเดินทางไปแห่งหนใด ถึงได้ให้เหล่าทหารรวมถึงนางกำนัลทั้งหลายจัดเตรียมขบวนเดินทาง” กนธีแสร้งถามทั้งที่สืบทราบมาว่าชลันธรนั้นจะไปวิมานของเทพแห่งท้องนภา

“ตัวเรานั้นจะเดินทางไปหาท่านน้ากวินตาอ่อ..ท่านอาอย่าได้เรียกเราเช่นนี้เลย โปรดเรียกข้าเฉกเช่นหลานตัวน้อยดั่งเก่าจะดีกว่า” ชลันธรเอ่ยออกมาด้วยไมตรี รอยยิ้มหวานถูกส่งไปให้กับผู้เป็นพระปิตุลา

“ถ้าเช่นนั้นหลานจงระวังตัวไว้ให้ดี อานั้นเป็นห่วงเจ้าด้วยเจ้านั้นไม่ประสีประสากับโลกที่อยู่เหนือพื้นน้ำ อีกทั้งราตรีที่ผ่านมาหลานนั้นสู้รบกับเหล่าอสุรกาย อาเกรงว่าเจ้าจะเจ็บไข้เสีย” กนธีเอ่ยด้วยท่าทางแสดงความเป็นห่วงหากชลันธรสังเกตสักนิดจะเห็นความชั่วร้ายในแววตาของกนธี

“หลานขอบน้ำใจท่านอาที่หวังดีและเป็นห่วงหลานเสมอมา” ชลันธรโค้งคำนับอย่างอ่อนน้อม ถึงจะยิ่งใหญ่รั้งตำแหน่งพระสมุทร ชลันธรยังคงอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่ดี อาจจะดูอ่อนแอ แต่ชลันธรเก่งกาจทั้งการปกครองและการรบไม่แพ้ใคร

“ชลันธรหลานอาเร่งเดินทางเถิด อาจะไม่รบกวนเจ้าแล้วประเดี๋ยวจะล่าช้าเสีย” กนธีพูดส่งท้ายสายตาจับจ้องไปที่ชลันธรที่ถืออ่างน้ำสีขาวนวล

…‘ลาก่อนชลันธรหลานรัก…ของอา’...

ขบวนของพระสมุทรชลันธรแหวกมหาสมุทรขึ้นสู่ห้วงนภากาศแสนกว้างใหญ่ ร่างบางนั่งบนหลังของกุญชรวารีซึ่งเป็นสัตว์พาหนะ ในมือทั้งสองถืออ่างน้ำเกษียรสมุทรด้วยตนเอง มิยอมให้ผู้ใดแตะต้อง เหล่าทหารคอยดูแลอารักขาไม่ห่าง รวมถึงนางมัจฉาทั้งหลายที่มีอัมพุชาเป็นผู้นำคอยถือเครื่องหอมและกลีบมาลาโปรยปรายหอมตลบอบอวนตลอดเส้นทาง จนกระทั่งมาถึง…วิมานสีทองของเทพแห่งท้องนภา
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.29 P.10 (05/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 05-10-2017 12:07:24
(ต่อ)


“พระสมุทรชลันธร” เหล่าทหารต่างทำความเคารพแก่ผู้มาเยือน

“ลุกขึ้นเถิด เจ้าจงไปแจ้งให้พระเทวีกวินตาทราบเถิดว่าเรานั้นต้องการเข้าพบ” ชลันธรเอ่ย นายทวารรับคำสั่งจึงนำความเข้าไปแจ้งแก่พระเทวีกวินตา ไม่นานนางอัปสรผู้รับใช้จึงออกมาพร้อมกับทวารบาล

“พวกข้าต้องกราบขออภัยพระสมุทรด้วย ที่เป็นฝ่ายออกมาเชิญท่านไปยังด้านในแทนพระเทวีกวินตาที่กำลังป่วย” นางอัปสรผู้รับใช้นางหนึ่งเอ่ย ด้วยผู้อยู่ตรงหน้านั้นมีบรรดาศักดิ์สูงส่งเสียเหลือเกิน การต้อนรับที่ไม่สมเกียรติ์อาจจะโดนกล่าวหาว่าลบหลู่ก็เป็นได้

“มิเป็นไร…เรารู้อยู่แล้วว่าพระเทวีนั้นไม่สบาย อย่าได้เสียเวลาเลยจงนำทางเราไปพบพระเทวีเถิด” ชลันธรเอ่ย ก่อนจะหันไปสั่งการกับข้าราชบริพารของตนให้รออยู่ที่หน้าประตู

พระสมุทรคนงามถืออ่างน้ำเกษียรสมุทรเข้าไปด้านใน ด้วยใจหวังว่าน้ำนมมหาสมุทรนี้จะช่วยรักษาอาการป่วยให้พระเทวีกวินตารวมถึงรักษาแผลใจระหว่างพระเทวีกวินตาและพระเทวีชโลธรผู้เป็นมารดาของตน ที่มีเหตุขัดข้องใจกันจนมิมองหน้าสบตาจวบจนถึงบัดนี้ ถ้าจะกล่าวให้ถูก…มีแต่ผู้เป็นแม่ของนภนต์เท่านั้นที่คับแค้นใจ

“ท่านน้ากวินตา”

พอเข้ามาถึงส่วนรับรอง ชลันธรก็เอ่ยทักหญิงงามที่นั่งเอนพิงหมอนอยู่บนแท่นอาสน์ พระเทวีกวินตาแม้จะเจ็บป่วยแต่เค้าโครงความงามนั้นมิได้ลดน้อยถอยลงเลย สมคำร่ำลือว่างามล้ำเกินกว่าผู้ใดในวัยเดียวกัน

“พระสมุทรชลันธร ข้าขออภัยด้วยที่ไม่ได้ไปต้อนรับท่านที่หน้าวิมาน เชิญท่านประทับลงเถิด” พระเทวีกวินตารีบลุกขึ้นนั่งเมื่อมีผู้มาเยือน

“ท่านน้าตามสบายเถิด เราต่างหากต้องขออภัยที่มารบกวนท่านน้าเช่นนี้ เรานั้นได้ยินมาว่าท่านน้าป่วยจึงได้นำน้ำเกษียรสมุทรมามอบให้ แม้จะไม่ได้ทำให้เป็นอมตะดุจดั่งน้ำอมฤตแต่น้ำนมมหาสมุทรนี้จะช่วยให้ท่านน้านั้นหายจากอาการป่วยที่รุมเร้าได้” ชลันธรเอ่ยพร้อมวางอ่างน้ำไว้บนโต๊ะใกล้กับแท่นประทับของพระเทวีกวินตา

“ข้าขอบน้ำใจท่านมากที่นำสิ่งมีค่ามามอบให้เช่นนี้ ข้านั้นมิรู้จะตอบแทนเช่นไร”

“หากท่านน้าจะตอบแทนข้า ขอแค่ท่านน้าพูดคุยหรือรู้สึกกับข้าเฉกเช่นข้านั้นเป็นลูกเป็นหลานคนหนึ่ง และขออย่าได้แค้นเคืองใจเรื่องระหว่างท่านน้ากับท่านแม่ของข้าอีกเลย ท่านน้าจะทำให้ได้หรือไม่”

“หากเป็นเรื่องแรกข้าทำให้เจ้าได้พระสมุทรชลันธร แต่เรื่องที่สองข้านั้นคงทำให้เจ้าไม่ได้ เนื่องจากข้าหาได้แค้นเคืองใจแม่ของเจ้าไม่ ทุกอย่างที่เจ้านั้นได้ยินคงจะเป็นเพียงข่าวลือ” พระเทวีกวินตาเอ่ยออกมา ทำให้ชลันธรใจชื้นขึ้นมาบ้างแต่ก็มิอาจจะเบาใจได้ทั้งหมด

“ข่าวลือเรื่องท่านแม่ของข้ากับท่านน้าชโลธรกระนั้นหรือ…ใช่เรื่อง…”

“ใช่แล้วท่านพี่…เรื่องที่แพร่สะพัดราวกับไฟลามทุ่งแม้เราจะไม่รู้เบื้องลึกว่าเป็นอย่างไรก็ตามทีแต่เป็นเรื่องที่ทำให้ข้านั้นต้องไปปรึกษารพีพงศ์” ชลันธรบอกกับนภนต์ที่คอยฟังบทสนทนาระหว่างพระสมุทรคนรักและมารดาของตนเอง ก่อนจะกลับไปสนใจเหตุการณ์ตรงหน้าต่อ ทั้งยังคอยดูว่ามีสิ่งผิดปกติเข้าใกล้อ่างน้ำเกษียรสมุทร

“เราดีใจเหลือเกินว่าเรื่องที่เคยได้ยินนั้นเป็นเพียงข่าวลือ” หัวใจเต้นดั่งลิงโลด ความสุขล้นออกมาผ่านรอยยิ้มหวาน เช่นนี้แล้วอุปสรรคที่มีผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างชลันธรและนภนต์คงจะมีโอกาสไปในทิศทางที่ดีขึ้น

“เราทราบมาว่าท่านนภนต์นั้นไปปราบกบฏมิทราบว่าจักเป็นเช่นไรบ้าง” ชลันธรได้ทีซักถามถึงคนรักที่พักนี้มีท่าทีเหินห่าง ออกไปรบก็มิยอมบอกกล่าว

“ข้าเองไม่รู้ดอกว่าเป็นเช่นไรบ้าง ยามไปสู้รบบุตรชายข้านี้ไม่เคยเลยที่จะส่งข่าว จบศึกกลับมาก็มิยอมบอก” พระเทวีกวินตาตอบ ชลันธรทำได้แต่ฟังแล้วเก็บมาให้ใจนั้นมีกังวล…‘เรากลัวเหลือเกิน กลัวท่านพี่มีอันตราย’…

“อย่าได้ทำสีหน้ากังวลอย่างนั้นสิ นภนต์นั้นมิเป็นไรง่ายๆดอก” พระเทวีกวินตาเอ่ย เพียงเห็นใบหน้าพระสมุทรนางรู้ทันทีว่ารู้สึกเช่นไร

ชลันธรและพระเวทีกวินตาสนทนากันต่อไม่นาน พระสมุทรรูปงามจึงขอตัวกลับเพราะไม่อยากรบกวนพระเทวีกวินตาที่กำลังป่วย ทันทีที่ขบวนของชลันธรเคลื่อนออกจากวิมานเทพเวหา พญาอินทรีสีเงินตัวหนึ่งสยายปีกโบยบินลงมาแล้วตรงเข้าทางหน้าต่างหยุดเกาะตรงแขนของพระเทวีกวินตา

“เรื่องที่ข้าให้เจ้าไปทำเป็นเช่นไรบ้าง” พระเทวีกวินตาเอ่ยถาม สีหน้ารวมถึงท่าทางอิดโรยก่อนหน้านั้นได้หายออกไปจนสิ้น….หายไปจนนภนต์และชลันธรที่จ้องมองอยู่ยังแปลกใจ

“ท่านนภนต์กำลังใกล้จะถึงวิมานแล้ว” พญาอินทรีแจ้งข่าวตามที่เทวีผู้เป็นนาย ใครว่าพระเทวีกวินตาไม่รู้ความเคลื่อนไหวของเทพนภนต์กันเล่า ผู้เป็นมารดาสั่งให้เฝ้าดูบุตรชายที่ไปทำศึกกับเหล่ายักษาที่ตั้งตนเป็นกบฏ คิดว่าตนเก่งจึงกระด้างกระเดื่องวางแผนจะโค่นล้มเหล่าเทวดา หากพวกมันนั้นมีฤทธิ์เดชน้อยนิดคิดการใหญ่ ไม่รู้จักประมาณตัวจึงถูกนภนต์นำทัพไปปราบจนแพ้ราบคาบ นภนต์เมื่อได้รับชัยชนะกลับมาอย่างง่ายดายทำให้เดินทางกลับวิมานเร็วขึ้น

“เจ้าออกไปได้แล้ว…ฮึ!! ข้าจะทำตามแผนต่อไป” พระเทวีกวินตากล่าวไล่พญาอินทรีออกไป

หัตถางามหยิบอ่างน้ำเกษียรสมุทรมาวางไว้บนตัก ดัชนีเรียวที่ห่อหุ้มด้วยเครื่องประดับทองคำไม่ต่างจากฝักดาบเคาะผงพิษสีเขียวลงไปในอ่างท่ามกลางสายตาของนภนต์และชลันธรที่จาบจ้อง

…‘ยาพิษที่ได้รับมาจากท่านกนธี…เพียงบางเบาแม้จะไม่ทำให้ถึงฆาตแต่ก็สร้างความทุรนทุรายให้ผู้ที่รับรสได้’...

กนธีและพระเทวีกวินตาได้คบคิดติดต่อกันเพื่อกำจัดชลันธรให้ออกไปให้พ้นทาง หนึ่งเพื่อแย่งชิงบัลลังก์พระสมุทร อีกหนึ่งเพื่อมิให้บุตรของตนต้องรักกับบุตรของพระเทวีชโลธรผู้ซึ่งพระเทวีกวินตานี้เกลียดชิงชังยิ่งกว่าสิ่งใดในโลกหล้า ทั้งสองจึงได้ร่วมมือกันอย่างลับๆ วางแผนอัปรีย์สร้างข่าวลือ ทั้งแกล้งล้มหมอนเจ็บไข้เพื่อให้ชลันธรมาเยี่ยมเยียน ถึงพระสมุทรน้อยจะไม่ได้นำน้ำเกษียรสมุทรมาให้ กนธีก็จะให้คนไปพูดจูงใจให้ชลันธรหาโอสถมาให้พระเทวีกวินตาอยู่ดี ความโชคดีเข้าข้างทั้งคู่ โดยเฉพาะพระเทวีกวินตาแท้ที่จริงแล้วจะต้องถูกพิษที่ผสมในอ่างจากกนธีจนสิ้นชีพ ทว่านางปลาอัมพุชาทำหกตกแตกไปเสียก่อน เรื่องราวการหักหลังจึงไม่เกิดขึ้นดั่งที่กนธีหวัง เพียงต้องพิษร้ายอีกชนิดที่ให้ไว้ในคราแรก

แขนยกขึ้นมือจับอ่างไว้มั่นจรดริมฝีปาก ของเหลวเข้าไปด้านในไหลลงคออึกแล้วอึกเล่า จนกระทั่งพิษร้ายออกฤทธิ์แผ่ซ่านทั่วทั้งร่างกาย

‘เพล้ง!!’

พิษนาคาอันน้อยนิดกัดกร่อนเรี่ยวแรงจนหายไป พระเทวีแห่งเทพเวหาองค์ก่อนล้มลงนอนดิ้นทุรนทุรายกับพื้น…‘มันช่างทรมานเหลือเกิน’…พระเทวีกวินตาจับคอที่ร้อนผ่าวเสมือนโดนไฟเผา น้ำตาเม็ดใสไหลรินเป็นทางยาว....‘ข้ายินดีที่จะทรมานกับยาพิษ ถ้ามันจะกำจัดลูกของนังชโลธรไปให้พ้นทาง...!!’

“ท่านแม่ข้ากลับมาแล้ว” นภนต์เสร็จการศึกรีบเข้ามาหาผู้เป็นมารดาตามลมคิดถึง ทว่าภาพตรงหน้าทำให้เทพแห่งท้องนภาต้องหยุดหายใจ เมื่อเห็นมารดานอนดิ้นทุรนทุรายทั้งยังกระอักเลือดผสมพิษสีเขียวออกมา

“ท่านแม่ !!!...ใครก็ได้ไปตามเทพโอสถมาให้ข้าบัดเดี๋ยวนี้” ยังดีที่นภนต์ตั้งสติได้จึงร้องตะโกนให้ทหารด้านหน้าไปตามเทพอโอสถมารักษา ส่วนตนนั้นเข้าไปประคองผู้เป็นแม่เอาไว้ในอ้อมแขน

“ท่านแม่…เหตุใดท่านแม่เป็นเช่นนี้” นภนต์กอดผู้ให้กำเนิดแนบชิด สายตาคมกวาดมองเศษอ่างที่แตกกระจายที่มีน้ำเกษียรสมุทรที่ไม่ถูกดื่มเข้าไปเจ่อนองตามพื้น

“ชลันธร..อึก!!...น้ำ..น้ำของชลันธร” คำใส่ร้ายถูกส่งไปให้กับนภนต์ ราวกับมีดที่เฉือนฟางเส้นสุดท้ายที่ตนกับชลันธรถึงคราวขาดสะบั้น

. . .

ณ ด้านหน้าวิมานของเทพกาลเวลา หนึ่งเทพกับหนึ่งนาคากำลังนั่งรอนภนต์และชลันธรอยู่ตรงหน้าบันได ตั้งแต่อีกสองคนได้เข้าไปในวิมาน รพีพงศ์กับนาคินทร์ต่างไม่พูดคุยกัน จนบรรยากาศรอบบริเวณชวนให้อึดอัดยิ่งนัก

“นาคินทร์…ข้าขอโทษที่ทำตัวสำออยไม่ยอมรักษาแผลตัวเอง เจ้าหายโกรธข้าเถิด” รพีพงศ์ขยับกายเข้าไปนั่งใกล้นาคน้อยที่เขยิบถอยห่างออกไปเช่นกัน รพีพงศ์เป็นฝ่ายเริ่มทำลายความเงียบด้วยการกล่าวขอโทษ

“ข้ามิได้โกรธท่าน…เชลยเช่นข้าไม่มีสิทธิ์จะโกรธเคืองอันใดอยู่แล้ว” นาคินทร์เอ่ยเสียงเรียบ ใบหน้างามหันมองไปทางอื่นไม่ยอบสบตาคนข้างกาย รพีพงศ์ส่ายหน้ากับพฤติกรรมของนาคินทร์เล็กน้อย…‘ดูกิริยาที่เจ้าทำดูสิ…ใครจะไปเชื่อเล่าว่าเจ้าไม่ได้โกรธเคืองข้า’…

“หากเจ้าไม่โกรธข้าจริง…ได้โปรดหันหน้ามาคุยกับข้าดีๆ ไม่ใช่เอาแต่มองต้นไม้ใบหญ้า” รพีพงศ์แสร้งใช้เสียงดุพร้อมกับกอดเอวบางไว้แนบกาย นาคินทร์ก้มมองแขนแกร่งที่รัดกายก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาหันมองรพีพงศ์

“ข้าไม่โกรธท่านแต่...ข้าน้อยใจที่ท่านใช้ความห่วงใยของข้าที่มีต่อท่านไปล้อเล่น ข้าใจเสียแค่ไหน รู้สึกเศร้าแค่ไหน ยามเห็นท่านถูกทำร้าย มีบาดแผล ข้าเจ็บปวดยิ่งนัก แต่ท่านกลับปล่อยให้ข้าเจ็บปวดอยู่อย่างนั้น เมื่อเห็นบาดแผลแทนที่จะรักษามันให้หายออกจากกายท่าน” นาคินทร์ตัดพ้อรพีพงศ์ พูดจบนาคน้อยนั้นขบเม้มริมฝีปากตนกลั้นน้ำตาที่คลอเบ้า รพีพงศ์พอได้ฟังยิ่งรู้สึกผิดมากกว่าเก่า

“ข้าขอโทษที่ทำเจ้าเสียใจ นาคินทร์...เจ้าให้อภัยข้าเถอะนะ” รพีพงศ์เอ่ยพลางรั้งท้ายทอยอีกฝ่ายให้ใบหน้าลงมาซุกตรงอกแกร่ง ปกติก็มิเคยยอมหรืออ่อนข้อให้ใครแต่กับนาคน้อยกลับมิใช่  ในยามนี้ความรู้สึกที่เคยมีนั้นเปลี่ยงแปลงไป อะไรยอมได้ก็ยอมไปเสียหมด

“อือ…ข้าให้อภัยท่านก็ได้” ความรู้สึกผิดและความจริงใจในคำพูดของรพีพงศ์ทำให้นาคินทร์รู้สึกดีขึ้นมาและยอมที่จะให้อภัย

“ไว้ข้าพาเจ้าไปวิมานเพลิงของข้าเมื่อใด ข้าจะเลี้ยงดูเจ้าและให้เจ้ามีความสุขเป็นการชดใช้ความผิดนี้...”

“นาคชั้นต่ำเช่นข้า...ท่านจะเลี้ยงดูให้สุขหรือทุกข์ก็ตามใจเถิด เพียงได้อยู่กับท่านไม่ว่าที่ไหนข้ายินดี แต่คงมิใช่วิมานเพลิงพระอาทิตย์” คำพูดของนาคินทร์นั้นเรียกรอยยิ้มพร้อมกับความกังวลใจไม่น้อยให้กับรพีพงศ์ ด้วยวิมานเทพชั้นสูงอย่างสุริยะเทพหรือแม้แต่วิมานอื่นๆ แม้จะไม่มีกฎข้อห้ามเรื่องชนชั้นแต่ก็ไม่มีเทพชั้นสูงองค์ไหนเคยให้นาคชั้นต่ำ หรือเทพชั้นสามัญ ได้อยู่อาศัยร่วมวิมานมาก่อน นอกจากเหล่าบริวารข้ารับใช้

“ไหนคราแรกเจ้าให้คำมั่นว่าเจ้านั้นจะอยู่กับข้าในวิมานเพลิง แล้วไหนเลยเพลานี้จึงกลับคำไม่ยอมอยู่กับข้าที่นั่นเล่า” รพีพงศ์ทวงถามคำมั่นสัญญาที่ทั้งสองได้ให้ไว้ ณ ถ้ำม่านน้ำตก

“ฐานะของข้านั้นต้อยต่ำ แม้ท่านจักไม่สนใจในเรื่องนี้ แต่ข้ากังวลว่าตัวข้าจะนำความเดือดร้อน คำติฉินนินทาจากผู้อื่นมาสู่ท่านรพีพงศ์…ท่านอาจจะเสียเกียรติเพราะตัวข้า” การที่นาคินทร์รับปากในครั้งก่อนเป็นเพราะทำตามสิ่งที่ใจต้องการผิดกับในเวลานี้ที่นาคน้อยได้คิดทบทวน…บางครั้งเรานั้นก็ไม่สามารถทำตามใจต้องการได้เสียทุกสิ่ง

“นาคินทร์เจ้าอย่าได้กังวลหรือคิดแทนใคร ข้าจะเสื่อมเสียเกียรติหรือไม่ข้านั้นยังไม่กังวลเลย ดังนั้นเจ้าได้โปรดเชื่อใจข้าเถิด…นาคินทร์ฟังข้านะ ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ชนชั้นใด ข้าก็ให้เจ้าอยู่ร่วมวิมานเพลิงได้ ถึงแม้ว่าบางครั้งวิมานของข้าจะวุ่นวายไปเสียบ้างจนข้านั้นปวดหัวไม่เว้นแต่ละวัน ข้าอยากขอให้เจ้าจะอยู่กับข้าได้หรือไม่” ตาคมจ้องมองนาคินทร์ทั้งคำพูดและแววตาของสุริยะบุตรแสดงออกถึงความจริงจังและจริงใจ

“เอ่อ…คือข้า” ครั้นจะปฏิเสธรพีพงศ์กลับกอดนาคินทร์แน่น

 “อย่าลืมสิ...เจ้าเป็นของข้าแล้ว...” รพีพงศ์ใช้สิทธิ์ของการเป็นเจ้าของชีวิตด้วยการเน้นย้ำสถานะของเชลยรัก

“ข้าคงจะปฏิเสธท่านไม่ได้แล้วสินะ...ท่านบอกว่าข้านั้นเป็นของท่าน ถ้าข้าไม่อยู่กับท่านข้านั้นเห็นทีจะไปอยู่กับผู้ใดได้อีก อีกอย่างชีวิตข้าพบเจอทุกข์มากกว่าสุขเสียด้วยซ้ำ หากจะต้องทุกข์ใจบ้างก็มิเป็นไร”

“เจ้านี่มันช่างพูดช่างเจรจาเสียจริง…ข้าอยากรู้เสียจริงว่าความสุขที่น้อยนิดของเจ้านั้นมีข้าอยู่ด้วยหรือไม่”

“มีสิ..ท่านคือหนึ่งในความสุขของข้า...ท่านรพีพงศ์” นาคินทร์เอ่ยแล้วกอดตอบรพีพงศ์ ใบหน้างามซุกอกแกร่งยิ่งกว่าเก่าด้วยเขินอาย จนรพีพงศ์อดที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ นึกเอ็นดูท่าทางของนาคินทร์ยิ่งนัก

“ถ้าข้าคือความสุขของเจ้า…แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าเองก็เป็นความสุขของข้าเช่นกัน ในเมื่อเราสองเป็นความสุขของกันและกันเหตุใดถึงไม่มอบความสุขให้กันเล่า” รพีพงศ์โน้มหน้าลงริมฝีปากเอ่ยกระซิบข้างใบหูนิ่มก่อนจะใช้ริมฝีปากขบเม้มหลังใบหูนั้นเบาๆ จนกายนาคินทร์สะดุ้งเล็กน้อย

“ท่านรพีพงศ์…แต่ตรงนี้มันหน้าวิมานเทพแห่งกาลเวลานะ” กำปั้นน้อยๆ ทุบลงบนบ่ากว้าง แม้ไม่รุนแรงมากนักมาแต่เสียงดุที่ชวนฟังของนาคินทร์ ทำให้รพีพงศ์ฟังแล้วกลับยิ่งอยากกลั่นแกล้งคนในอ้อมกอดมากขึ้นเรื่อยๆ

“เจ้าคิดเลยเถิดไปถึงไหนเสียเล่า ข้ารู้ดีว่าตรงหน้านี้คือวิมานเทพกาลเวลา จักให้ข้าทำเฉกเช่นในถ้ำม่านน้ำตกคงไม่เหมาะสมนัก อยู่ตรงนี้ข้าคงทำได้เพียง…”

‘อื้อ..อื้ม…”

ไม่รอให้นาคินทร์ได้ทันตั้งตัว รพีพงศ์ได้แสดงคำตอบผ่านการจูบแทนคำพูด ซึ่งว่ากันว่าการกระทำเพียงการกระทำเดียวสามารถบ่งบอกความรู้สึกทั้งหมดที่มีได้ แสงตะวันสาดส่องลอดผ่านระหว่างทั้งสองเหมือนเป็นพยานรัก ในครั้งนี้รพีพงศ์อยากถ่ายทอดความรู้สึกรักผ่านปลายลิ้นที่เข้าไปหยอกเอิ้นกับลิ้นเล็กให้รับรู้ว่าหลงใหลก่อนจะตวัดไปทั่วให้รู้ว่ารัก ในเมื่อรพีพงศ์แสดงออกมาเช่นนี้แล้วนาคินทร์เองก็ไม่นิ่งเฉยดูดดุนปลายลิ้นรับความหอมหวานจูบตอบสนองอีกคนเช่นกัน

เมื่อมอบความสุขให้กันและกันจนเป็นที่พึงพอใจทั้งสองฝ่ายแล้ว ริมฝีปากทั้งสองค่อยๆผละออกจากกันช้าๆ ราวกับไม่อยากจะหยุดเพียงเท่านี้ ดวงตาหยาดเยิ้มด้วยแรงอารมณ์จ้องมองเงาสะท้อนของตัวเองในดวงตาของอีกคน รพีพงศ์ใช้นิ้วโป้งเกลี่ยน้ำหวานที่เปื้อนมุมปากของนาคินทร์…ยิ่งนานวันรพีพงศ์ยิ่งหลงใหล…

“ข้าขออภัยที่เข้ามาขัดจังหวะพวกเจ้าทั้งสอง” สุรเสียงดังกังวานของผู้มาใหม่ขัดห้วงอารมณ์รักของรพีพงศ์และนาคินทร์ให้หันไปมอง หนึ่งในเทวาผู้ยิ่งใหญ่ที่มือข้างหนึ่งกำตรีศูลคมไว้มั่นยากจะหาใครมาเทียบและต่อกร ได้ปรากฏกายขึ้นมิห่างจากตรงหน้าของทั้งสองนัก

.

.

.



“พระสมุทร...กนธี”





......................

อ้าวเฮ้ย!!! ไม่เหมือนที่คิดไว้นี่นา สรุปคนที่วางยาแม่ของพี่นภนต์คือแม่ของพี่นภนต์เอง มีความฉลาด มีความเกลียดสะใภ้อย่างชลันธรถึงขั้นร่วมมือกับกนธีเสี่ยงชีวิตด้วยยาพิษ...ส่วนป๋ากนธีร้ายเช่นเดิม(ร้ายก็รัก) สงสารพี่นภนต์ที่ตกเป็นเครื่องมือทำร้ายคนรัก ต้องอยู่ห่างเมียมานาน โดนแม่หลอก

ทางฝั่งหน้าวิมานคู่นี้เขาหวานกันนะคะแต่คงเป็นเวรกรรมที่รพีพงศ์แกล้งป๋าหินเหม็นความรักนภนต์จึงโดนขัดขวาง อิอิ สะใจท่านยุ่งยิ่งนัก

ป๋ากนธีผู้มีค่าตัวนาทีละแสน แพงจนท่านยุ่งจะขายกระท่อมปลายนา ป๋าออกมาแวบๆแวมๆ และมีชื่อตอนท้ายสุดถึง 2 ตอน แลมีความสำคัญมาก 5555+

สุดท้ายนี้ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน มาเม้น ติชมกันนะคะ ท่านยุ่งอ่านตลอดเพราะคือกำลังใจห้ท่านยุ่งได้เขียนนิยาย
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.29 P.10 (05/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 05-10-2017 19:23:42
กระซิบเบาๆมีชิงนาง อิอ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.29 P.10 (05/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 05-10-2017 20:01:43
แล้วอิป๋าโผล่มาทำไม  :mew5:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.29 P.10 (05/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 05-10-2017 20:23:09
รพีพงศ์ได้โอกาสแก้แค้นให้นาคินทร์แล้วจัดการเลย
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.29 P.10 (05/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: kinjikung ที่ 05-10-2017 20:36:16
ท่านกนธีปรากฏตัวแล้ว สามีเก่า สามีใหม่ปะหน้ากัน
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.29 P.10 (05/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 05-10-2017 20:56:42
ลาสบอสโผล่มาแล้ว
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.29 P.10 (05/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 05-10-2017 23:05:40
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.29 P.10 (05/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Pe_no ที่ 05-10-2017 23:47:18
รักเรื่องนี้ชอบๆๆ :mew2:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.29 P.10 (05/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 06-10-2017 09:16:37
กนธีตามมาขัดขวางสุดฤทธิ์!
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.29 P.10 (05/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 06-10-2017 16:43:40


แกจะมาทำไม

ไม่มีใครเชิญเลยนะ


รอขอรับ

หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.29 P.10 (05/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: DraCo_SLa13 ที่ 06-10-2017 20:48:28
เอ๊า อิกนธี เสนอหน้ามาทำไมนี่
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.30 P.10 (12/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 12-10-2017 20:36:28


สาปรัก…ทัณฑ์เทวา

Writer : Tan-Yung 0209

File : 30













ความฝันที่แสนงดงามมักทำให้คนที่หลับใหลอยู่นั้น มิอยากที่จะลืมตื่นฟื้นจากความฝัน หากจำต้องตื่นขึ้นมาพบเจอกับความจริงที่แสนโหดร้ายจากการถูกลวงหลอกและผู้กระทำนั้นมิใช่ใครอื่นเลย กลับเป็นคนใกล้ตัว เป็นผู้ใกล้ชิด เป็นผู้ที่รักเราและเรารักโดยไร้เงื่อนไข

เปลือกตาค่อยๆ ขยับขึ้นมา นัยน์ตาดำเข้มมองเพดานสีไพฑูรก่อนจะลุกขึ้นนั่ง…‘ข้าอยากจะให้เรื่องที่ข้าได้รับรู้เป็นเพียงความฝันเสียจริง’... นภนต์นึกเย้ยหยันให้กับความเป็นจริงที่ต้องเผชิญ แทบทำให้หัวใจของเทพแห่งท้องนภาหยุดเต้น ทั้งความเสียใจ ทั้งความผิดหวังประเดประดังเข้ามาแล้วหลอหลอมเป็นความเจ็บปวดที่แสนทรมาน แต่เทพหนุ่มก็ยังคงนิ่งเงียบ ด้านชลันธรที่ตื่นขึ้นมาพร้อมกันจากการย้อนเวลานั้น เพียงหันเหลือบมองใบหน้าคนรักที่นอนเคียงกายยังรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดรวดร้าวของนภนต์ผ่านร่างกายกำยำที่สั่นเทิ้มจากการควบคุมอารมณ์โดยที่นภนต์ไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ

“ท่านพี่นภนต์…” ชลันธรเอี้ยวกายเข้าพาดก่ายกอดคนรักที่ยังนอนมิไหวติง หวังว่าอ้อมกอดนี้จะช่วยบรรเทาบาดแผลในใจของนภนต์ได้

“พี่ขอโทษชลันธร…เพราะความหน้ามืดตามัว ความโง่เขลาหูเบาของพี่ที่เชื่อสิ่งเล่าอ้างว่าเหล่าเทวาพระสมุทรนั้นคบหาไม่ได้มาตัดสินเจ้าโดยมิไตร่ตรอง” นภนต์เอ่ยออกมาน้ำเสียงเจือสั่นเล็กน้อย ใบหน้าคมมองตรงไปข้างหน้ามิเหลือบมองชลันธรแม้แต่น้อย คล้ายกับว่ารู้สึกผิดจนมิกล้าสู้หน้าคนรัก

“ท่านพี่อย่าโทษตัวเองเลย…ข้ารู้ว่าเพลานี้ท่านพี่รู้สึกเจ็บปวดมากเพียงใด” ชลันธรกระชับกอดแน่นขึ้น

“ใช่พี่เจ็บปวดยิ่งนัก ทั้งที่จริงควรจะดีใจที่เราสองต่างรู้ตัวผู้กระทำผิด ทว่า…ผู้ที่วางยาพิษกลับเป็นท่านแม่ของพี่เสียเอง…พี่…พี่..”

“ท่านพี่ไม่ต้องเอ่ยอันใดแล้ว หากสิ่งที่พูดมันจักทำให้ท่านพี่เจ็บปวด…” ชลันธรเสียใจไม่แพ้กัน ไม่คาดคิดว่าพระเทวีกวินตาจะวางแผนวางยาพิษตัวเองเพื่อใส่ร้ายตน เกลียดชังตนที่เป็นคนรักของบุตราตนเองมากมายขนาดนี้

“ชลันธร…พี่ขอให้คำมั่นกับเจ้าเมื่อเรานั้นได้ออกจากป่ากันติทัตนี้ พี่จักพาท่านแม่ของพี่ไปรับโทษทัณฑ์ที่กระทำผิดไว้กับผู้บริสุทธิ์เช่นเจ้า” จักต้องใจแข็งขนาดไหนกันเล่า ถึงสามารถเอื้อนเอ่ยคำมั่นนี้มาได้…จักต้องข่มความเจ็บปวดไว้ลึกเท่าใดจึงจะจับกุมผู้ให้กำเนิดได้

“ทะ…ท่านพี่!!...” ชลันธรเงยหน้าขึ้นมา มือเรียวจับคางคนรักให้มองมาที่ตน ชลันธรเห็นแววตาเด็ดเดี่ยวของนภนต์… ‘ท่านพี่เอาจริงแล้วสินะ’...

“เจ้ามิต้องเอ่ยห้ามพี่ ในเมื่อพี่เป็นผู้จับกุมเจ้ามาลงทัณฑ์ในความผิดที่ไม่ได้ก่อ ครั้งนี้ถือว่าพี่จักขอไถ่โทษให้กับเจ้า จับผู้กระทำผิดตัวจริงไปรับโทษกับพระผู้สร้าง” นภนต์เอ่ยแล้วผละกอดจากชลันธร

“และพี่เองจักต้องรับโทษด้วยเช่นกัน…” นภนต์ยืนขึ้นหันหลังให้อดีตเทพสมุทรก่อนจะพูดต่อ

“ท่านพี่นภนต์อย่าทำเช่นนี้ อย่าโทษตัวเองเช่นนี้เลย ท่านพี่จับน้องในครานั้นก็ทำไปเพราะหน้าที่…” ชลันธรสวมกอดนภนต์อีกครั้ง ด้วยรู้นิสัยอีกฝ่ายดีว่าจักต้องขอรับโทษเป็นแน่

“อย่ามัวเถียงกันเลย ใครจะรับโทษหรือไม่นั้นพระผู้สร้างเป็นผู้ตัดสินเอง” เสียงดังลอดผ่านประตูปรากฎกายเทพกาลเวลาที่บัดนี้ร่างกายเติบใหญ่ขึ้นเล็กน้อย

“ข้าต้องขออภัยที่ได้ยินพวกท่านทั้งสองสนทนากันจึงได้พูดสอดขึ้นมา ข้าออกไปนำน้ำในสระศักดิ์สิทธิ์มาให้ เพื่อฟื้นฟูกำลังหลังจากย้อนเวลากลับไป” เทพณิชนิรันดร์ยื่นจอกน้ำให้ทั้งสอง เนื่องจากการย้อนเวลาแต่ละครั้ง พละกำลังของผู้ที่ย้อนเวลาไปจะลดลงกึ่งนึง เมื่อตื่นขึ้นมาจึงต้องดื่มน้ำสีเงินยวงนี้เพื่อให้พลังกลับคืนมา

“เราขอบน้ำใจท่านมาก…ท่านณิชนิรันดร์” ชลันธรและนภนต์รับจอกมาแล้วดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์เข้าไปตามคำแนะนำของเทพกาลเวลา

“เหตุใดร่างกายของท่านถึงเติบใหญ่เร็วไวเช่นนี้” ชลันธรถาม

“มนต์ที่ข้าได้สะกดให้ตัวข้านั้นเป็นเด็กในยามต้องนิทราเป็นเวลา ๓,๐๐๐ ปี นั้นเริ่มเสื่อมคลาย ไม่นานข้าจักกลับสู่ร่างที่แท้จริง” เทพกาลเวลาตอบ ก่อนจะหันไปจ้องหน้าเทพแห่งท้องนภาที่ใบหน้ามิสู้ดีนัก

“ท่านอย่ากังวลเลยเทพนภนต์ ทั้งบนสวรรค์ชั้นฟ้า โลกมนุษย์ มหาสมุทรแสนลึกล้ำหรือจะเป็นยมโลก ไม่ว่าที่ใดล้วนมีเรื่องราวมากมายเหลือนับคณาที่เรานั้นสามารถจะแก้ไขหรือทำอันใดได้บ้าง กระนั้นยังมีเรื่องอีกมากโขที่เราไม่สามารถทำอันใดได้เลย…มากสุดได้แต่เพียงยอมรับมัน”

“ข้ารู้…” นภนต์เอ่ยเสียงแผ่ว

“ใช่ท่านรู้ เพียงท่านมิสามารถทำได้ใช่หรือไม่ ลำพังท่านรับโทษท่านคงมิเกรงกลัวอะไร หากท่านต้องใจแข็งนำมารดาท่านไปรับโทษ ข้าว่าท่านให้ผู้อื่นทำหน้าที่นี้จะดีกว่า ส่วนคำตัดสินข้ามั่นใจว่าพระผู้สร้างนั้นจะให้ความยุติธรรมพอ” เทพกาลเวลารู้สึกเห็นใจเทพหนุ่มตรงหน้า คราก่อนจับคนรัก มาครานี้จับแม่ ดวงใจของเทวาผู้นี้จะต้องแข็งเพียงใดถึงจะไม่สลายเป็นผุยผง...

“ข้าขอบน้ำใจสำหรับคำแนะนำของท่านที่มีให้ข้า แต่ตัวข้านั้นตั้งใจไว้แล้วว่าจะนำตัวผู้กระทำผิดมารับโทษ ฉะนั้นข้าจักต้องทำด้วย…ตนเอง” นภนต์ยังคงยืนยันในคำตอบด้วยสุรเสียงที่หนักแน่น

“หากท่านพี่ประสงค์เช่นนั้น ข้าจักขอตามไปด้วย...” ชลันธรเอ่ยขอ นภนต์พยักหน้าเป็นสัญญาณว่าตกลง

“เอาเถิด…ถ้าท่านไม่เปลี่ยนใจก็สุดแล้วแต่ใจท่าน เอาเป็นว่าข้าขออวยพรให้พวกท่านทั้งสองโชคดี” เทพแห่งกาลเวลาเอ่ยออกมาพร้อมยิ้มอ่อน

“ท่านณิชนิรันดร์…เราขอขอบน้ำใจท่านมากที่ท่านช่วยเราจนประจักษ์แก่ความจริง” ชลันธรพนมมือสองไว้กลางอกแล้วก้มใบหน้าลงด้วยความเคารพเทพผู้มีพระคุณตรงหน้า

“ข้าเองก็เช่นกัน ขอบน้ำใจท่านที่ช่วยชลันธรและให้คำแนะนำแก่พวกเรา” นภนต์เอ่ย

“มิเป็นไร…ข้าว่าพวกท่านอย่าเสียเวลาอยู่ที่วิมานนี้เลย รีบเดินทางไปพิสูจน์ความบริสุทธิ์แก่อดีตเทพพระสมุทรชลันธรเถิด”

“ถ้าอย่างนั้นพวกข้า...ขอลา...”

เมื่อนภนต์และชลันธรกล่าวลาเทพแห่งกาลเวลาแล้ว จึงรุดหน้าออกจากวิมานอย่างเร็วไว ทันทีที่เปิดประตูวิมานออกทั้งสองนั้นก็พบกับความว่างเปล่า ไร้เงาของสหายร่วมเดินทางทั้งรพีพงศ์และนาคินทร์

“รพีพงศ์!!! นาคินทร์!!! พวกเจ้าอยู่ไหน!!!” นภนต์ร้องตะโกนออกมาในใจคิดว่าทั้งสองคงจะปรับความเข้าใจอยู่แถวนี้

“ทั้งสองหายไปไหนกันนะ” ชลันธรพึมพำพร้อมกวาดสายตาสอดส่องทั่วบริเวณ

‘ตูม!!!’ เสียงระเบิดกึกก้องกัมปนาทดังสนั่น เกิดขึ้นอยู่ไม่ไกลจากวิมานมากนัก กลุ่มควันลอยฟุ้งทำให้นภนต์รู้โดยทันทีว่าต้นกำเนิดเสียงเมื่อครู่มาจากแห่งหนใด ชลันธรเองพอได้ยินเสียงดังราวฟ้าฟาดกลับรู้สึกหวั่นใจกลัวว่าเกิดเหตุร้ายกับรพีพงศ์และนาคินทร์

“ท่านพี่ข้าคิดว่า…”

“พี่รู้ว่าเจ้าจะพูดอันใด พี่ว่าเราสองรีบตามไปดูเถิด หากใช่รพีพงศ์กับนาคินทร์และมีเหตุร้ายเกิดขึ้นเราจะได้ช่วยเหลือทันท่วงที” นภนต์รู้ใจคนรักเป็นนักหนา ไม่ต้องเปล่งเสียงออกมาเทพเวหานี้รู้ว่าชลันธรคิดเช่นไร ร่างบางเองพยักหน้ารับรู้ มือเรียวคว้าจับหัตถาใหญ่เอาไว้แล้วเร่งเดินหน้าไปยังที่เกิดเหตุ

. . .

ย้อนกลับไปเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ในระหว่างที่นภนต์และชลันธรเข้าไปในวิมาน รพีพงศ์กับนาคินทร์ได้อยู่เฝ้ารออยู่ด้านนอก ทั้งสองได้ปรับความเข้าใจซึ่งกันและกัน ในขณะเมล็ดพันธุ์แห่งต้นรักที่กำลังเจริญเติบโตอยู่ภายในใจของเทวาและนาคาคู่นี้ กลับมีบุรุษผู้หนึ่งปรากฎกายขึ้นมา…

“พระสมุทร…กนธี”

รพีพงศ์เอ่ยนามผู้ที่อยู่ตรงหน้าก่อนจะพนมมือขึ้นไหว้ผู้มีศักดิ์ที่สูงกว่า ผิดกับนาคินทร์ที่พอได้เผชิญหน้าแล้วก็รีบหลบหนีโดยมีแผ่นหลังกว้างของรพีพงศ์เป็นที่กำบัง เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความกลัว…‘ไม่คิดเลยว่าข้าจะได้พบกับท่านอีก…ท่านกนธี’

“ข้ามาตามหาชลันธรหลานข้า มิทราบว่าหลานรักของข้านั้นอยู่ในวิมานนี้ใช่หรือไม่” กนธีถามรพีพงศ์ ทว่าสายตากลับจ้องมองร่างบางที่ยืนสั่นเทา

“ชลันธรอยู่ด้านใน เชิญท่านเข้าไปเถิด…”

“ไม่ได้!!! อย่าให้ท่านกนธีเข้าไปนะท่านรพีพงศ์!!!” นาคินทร์รีบพูดแทรกขึ้นมา ก่อนจะออกมายืนขวางทางเอาไว้ ถึงแม้จะกลัวอีกฝ่ายมากมายเพียงใดแต่ตนตั้งใจไว้แล้วว่าจะช่วยเหลือชลันธร

“นาคินทร์…ไยเจ้าจึงห้ามทั้งยังแสดงกริยาไม่งามต่อหน้าพระสมุทรอีก” รพีพงศ์หันไปเอ็ดนาคินทร์ที่ทำกริยาไม่เหมาะสมกับกนธี

“หาได้ต้องมีพิธีรีตรองอันใดดอก ข้านั้นมิถือสาเอาความกับนาคินทร์” กนธีเอ่ยออกมา มุมปากยกขึ้นปรากฏรอยยิ้มร้ายขึ้นมา

“ท่านกนธีรู้จักนาคินทร์ด้วยหรือ” รพีพงศ์เอะใจที่พระสมุทรรู้จักชื่อของนาคน้อยและยิ่งรอยยิ้มที่ตนได้เห็นมันทำให้รพีพงศ์รู้สึกแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก

“ยิ่งกว่ารู้จักเสียอีก…ในเมื่อครั้งหนึ่งนาคินทร์นั้นเคยนอนครางอยู่ใต้ร่างข้า และตอนนี้ข้าก็จะมานำตัวนาคินทร์กลับไป รวมทั้งมาพาตัวชลันธรหลานรักของข้าด้วย…ส่วนเจ้านั้นก็หลีกทางไปเสีย” กนธีเอ่ยเจตนารมณ์แล้วผลักรพีพงศ์ให้พ้นทาง โชคดีที่รพีพงศ์หลบทันจึงรีบเข้าขวางทางประตู

“ที่แท้คนชั่วช้าที่ทำร้ายนาคินทร์และชลันธรก็คือท่านนี่เอง!!!” รพีพงศ์ไม่พูดเปล่าเสกพระขรรค์คู่กายออกมาพร้อมสู้รบกับกนธี

“บุตรพระอาทิตย์...เจ้าคิดจะขวางข้าหรืออย่างไร…หากว่าคิดผิดก็คิดเสียใหม่ได้ ข้าจักให้เจ้าทบทวน”

“ข้าหาได้คิดผิดไม่…นาคินทร์...เจ้ารีบเข้าไปหลบในวิมานเทพกาลเวลาเสียก่อน” รพีพงศ์เอ่ยย้ำว่าไม่ได้ผิดความคิดที่จะต่อกรกับกนธี ก่อนจะบอกนาคินทร์ให้หลบหนีแต่กลับช้ากว่ากนธี ที่คว้าแขนเรียวฉุดกระชากมาหาตน

“ท่านกนธีปล่อย!!!...ปล่อยข้า!!!” นาคินทร์ขืนตัวพยายามดึงแขนออกมาจากหัตถาแกร่งที่บีบแน่นจนเจ็บเนื้อเข้าถึงกระดูก

“ปล่อยนาคินทร์บัดเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นจะหาว่าข้าล่วงเกินท่านมิได้” รพีพงศ์คว้าแขนเรียวอีกข้างไว้ยื้อยุดไม่ให้นาคินทร์ไปกับกนธี

“ไม่มีทาง!!!” กนธีถีบเข้าที่ท้องของรพีพงศ์จนล้มลงกับพื้นก่อนจะพานาคินทร์เข้าไปในวิมานหากมิสำเร็จ นาคีรูปงามกลับแปลงกายเป็นนาคเกล็ดสีนิลรัดกายกนธีแล้วเลื้อยหนีไปอีกทาง

“นาคินทร์!!!” รพีพงศ์รีบลุกขึ้นมาแล้ววิ่งตามนาคน้อยไป ถึงนาคินทร์จะแปลงกายเป็นนาคก็จริง แต่กนธีเป็นถึงพระสมุทรมินานคงจะแก้ไขเหตุการณ์จนนาคินทร์เพลี่ยงพล้ำได้

“นาคินทร์เจ้าคิดจะลองดีกับข้าใช่ไหม!!!” กนธีพิโรธโกรธเคืองที่นาคินทร์กลับดื้อรั้นไม่โอนอ่อนตามตนเช่นเดิม แววตาที่เคยมองตนด้วยความรัก ความเทิดทูน กลับสูญหายไปเหลือเพียงความหวาดกลัว…‘ดวงใจของเจ้าคงมอบให้กับรพีพงศ์... ก็ดีเหมือนกันข้าจะได้มิต้องเมตตาเจ้าอีก’...

กนธีแปลงกายหยาบให้ค่อยๆ ละลายกลายเป็นสายน้ำไหลซึมออกมาผ่านผิวกายลงมายังพื้นพสุธาก่อนสายน้ำนี้จะก่อร่างขึ้นกลับคืนเป็นพระสมุทรกนธียืนประจัญหน้ากับนาคินทร์ จากนั้นจึงเป่ามนต์ใส่นาคสีรัตติกาลบังเกิดฟองอากาศขนาดใหญ่ห่อหุ้มกายาของนาคินทร์ไว้

“ท่านกนธี…ปล่อยข้า!!!!” นาคินทร์กลายร่างกลับเป็นมนุษย์ทันที สองมือทุบผนังฟองอากาศที่บางใสนี้แต่มันกลับเหนียวไม่ยอมแตกออกเลยสักนิด นาคินทร์ถูกกักขังไว้ในฟองอากาศเสียแล้ว

“ข้าจะไม่มีวันปล่อยเจ้า ข้าจะให้เจ้าอยู่ทนทุกข์ทรมานไปกับข้า” กนธีเอ่ย พระสมุทรยอมรับว่าตนนั้นมิพอใจที่นาคินทร์มีชายอื่น แม้ตนมิได้รักนาคินทร์ไปมากกว่าชายาแต่ตนนั้นให้ความสำคัญกับนาคินทร์เหนือสนมหรือนางบำเรออื่น ถึงจะไล่นาคินทร์ไปก็จริงแต่นาคินทร์ต้องซมซานกลับมาหาตนเองมิใช่ไปอยู่กับชายอื่น…ใช่แล้ว กนธีกำลังหึงหวงนาคินทร์

“ถ้าท่านไม่ยอมปล่อยดีๆ ข้านี้จะเป็นผู้ทำให้ท่านปล่อยนาคินทร์เอง!!” รพีพงศ์ที่วิ่งตามมาทีหลัง ยืนชี้พักตราคนตรงหน้าอย่างมิเกรงกลัว…‘เทพชัวช้าเยี่ยงนี้ ข้ามิเคารพให้เสียแรงดอก’...

“ข้าไม่อยากจะสู้กับเจ้าให้เสียแรงเพราะเกรงว่าเจ้าจักตายไปเสียก่อนจะได้ร่ำลานาคินทร์…ข้าจะอ่อนข้อผ่อนปรนให้เจ้าสู้กับเหล่าสมุนของข้า” กนธีคว้าไข่มุก ๕ สีจากชายพกแล้วโยนมันลงพื้น บังเกิดกลุ่มควันทั้ง ๕ สีลอยฟุ้งขึ้นมาก่อนจะจางหายเหลือไว้เพียงบุรุษร่างกำยำนุ่งผ้าตามสีของไข่มุกในมือถือดาบเอาไว้พร้อมฟาดฟันศัตรู

“ธีร์ ธัญ ธัช ธร ธาม จงจัดการศัตรูของข้าเสีย” กนธีสั่งการนักรบทั้งห้าผู้มีฝีมือฉกาจ เมื่อรับคำสั่งทั้งห้าคนจึงเดินล้อมรพีพงศ์เป็นวงกลม ผู้ถูกล้อมควงพระขรรค์คู่กายในมือมั่นพร้อมตั้งรับการจู่โจม

“ท่านกนธี…ถ้าอยากได้ตัวข้าก็จับข้าเพียงผู้เดียวเถิด อย่าได้ทำอันตรายท่านรพีพงศ์เลย” นาคินทร์วอนขอ แม้ว่าจะยากที่จะเปลี่ยนใจกนธี

“นาคินทร์!!! ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าไปไหนทั้งนั้น…เจ้าเป็นของข้าแล้ว ต้องอยู่กับข้าเพียงผู้เดียว” รพีพงศ์เอ่ย ถึงตายก็ไม่ยอมให้นาคินทร์ตกนรกทั้งเป็นไปกับกนธี นาคินทร์สดับฟังน้ำตาร่วงซาบซึ้งใจในตัวของรพีพงศ์

“พวกเจ้าจงจัดการรัชทายาทบัลลังพระอาทิตย์ให้สิ้นชีพเสียที่นี่ ให้ร่างมันแหลกสลาย กระดูกกลายเป็นเถ้าธุลี…” กนธีสัมผัสได้ถึงความรักของคนทั้งคู่ คำมั่นแสนหวานไม่ต่างจากน้ำมันที่สาดเข้ากองไฟพิโรธ คราแรกพระสมุทรที่คิดจะสั่งสอนให้ศัตรูเพียงสาหัสหลาบจำ แต่กลับเปลี่ยนใจให้เหล่าสมุนร้ายของตนปลิดชีพแทน

‘ย้าก!!!!!’

‘เคร้ง!!!’

อาวุธทั้งห้าเข้าฟาดฟันพร้อมกันเหนือศีรษะหมายมั่นจะให้รพีพงศ์เสียท่า หากผู้เสียเปรียบกลับใช้พระขรรค์ตั้งรับคนเกิดเสียง ขายกขึ้นมาส่งแรงถีบเข้าท้องแกร่งของธีร์ที่ยืนอยู่ตรงหน้า เมื่อหนึ่งนักรบเสียทีอีกสี่ตนที่เหลือจึงเหลือบไปดูเพื่อน รพีพงศ์จึงใช้โอกาสนี้ผลักดาบด้วยพระขรรค์ให้ออกไป ก่อนจะยืนตั้งรับทั้งห้าที่เข้ามาต่อสู้

ธามและธัญยกดาบขึ้นมาเหนือหัวเข้าจู่โจมรพีพงศ์พร้อมกัน เทพหนุ่มหลบหลีกโดยไวมือจับพระขรรค์หมายจะแทง หากธรใช้ดาบสกัดกั้นไว้ได้ทันขณะนั้นเองธัชก็เข้าเตะรพีพงศ์ตรงขาจนล้มลงไปนอนกับพื้น

“ท่านรพีพงศ์!!!”

‘ฉึก’

ปลายดาบของธีร์ปักเข้าสู่พื้นดินจนเกิดรอยแยกแทนกายร่างสูงที่กลิ้งหลบเพราะได้เสียงร้องของนาคินทร์ร้องเตือนไว้ ธีร์ไม่หยุดเพียงครั้งเดียวนักรบกล้าคอยจะเสียบดาบเข้ากายรพีพงศ์อยู่เรื่อยๆไม่เว้นระยะ ยิ่งรพีพงศ์กลิ้งหลบก็ยิ่งชะล่าใจที่เห็นสุริยะบุตรนั้นอ่อนหัด คนเดียวหรือจะสู้ฝูงฉลามร้ายที่รุมกัดทึ้งได้ เห็นได้ชัดว่ารพีพงศ์เสียเปรียบมากขนาดไหน

“ไอ้พวกหมาหมู่!!!...ฮึก..รุมทำร้ายคนๆเดียว” นาคินทร์พ่นคำด่าปนสะอื้นกำปั้นน้อยๆคอยทุบผนังฟองอากาศอยู่ไม่หยุด ยิ่งเห็นรพีพงศ์ที่คอยหลบและตั้งรับมากกว่าที่จะสู้ขืนปล่อยไว้เช่นนี้รพีพงศ์อาจพลาดท่าเสียทีคงสิ้นชีวาเป็นแน่แท้

“หุบปากของเจ้าและใช้ดวงตาทั้งสองมองไปที่รพีพงศ์…ดูให้เต็มตา…ดูวาระสุดท้ายของมันให้เต็มตา!!!” กนธีเอ่ย นาคินทร์หันมามองอดีตเทพที่ตนรักด้วยแววตาเกลียดชัง…‘ข้าหลงรักคนชั่วช้าเช่นนี้ได้อย่างไรกัน’...

‘ต้องจัดการพวกนี้ให้เร็วที่สุด…ขืนชักช้าเรี่ยวแรงเราคงหมดแน่’

รพีพงศ์คิดก่อนจะฮึดสู้ลุกขึ้นมาประชิดตัวธีร์ที่ยืนอยู่ใกล้มากที่สุด แล้วใช้อาวุธในมือแทงเข้าไปกลางลำตัวอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ดึงพระขรรค์ออกมาเลือดของธีร์กระเซ็นจนเปื้อนกาย ธีร์ทรุดลงไปกับพื้นร่างกายกลายเป็นควันก่อนเหลือไว้เพียงเศษไข่มุกที่แตกกระจาย

‘เสร็จไปหนึ่ง…ข้าต้องขอโทษที่เล่นเจ้าที่เผลอ’

หายไปหนึ่งจนเหลือสี่กนธีหาได้กังวลไม่ สำหรับเมื่อครู่กนธีคิดว่ารพีพงศ์คงอาศัยโชคช่วยแต่หลังจากนี้ต่างหากที่เป็นของจริง ของจริงที่ว่านั่นก็คือธาม ธร ธัญ ธัช แปลงกายกลายเป็นพรายน้ำกายสีน้ำเงินเข้ม ทั่วร่างเต็มไปด้วยอักขระ ล่องลอยโฉบกายาหนา มือข้างหนึ่งถือดาบ มืออีกข้างกางออกเผยพังผืดคมไม่ต่างจากใบมีดคอยเข้ากรีดผิวของรพีพงศ์

‘ฉึก!’

“โอ๊ย!!!”

รพีพงศ์ยกแขนป้องกันพรายน้ำจำแลงที่เข้ามาสร้างบาดแผล พอตั้งสติได้จึงใช้มือที่กำพระขรรค์เหวี่ยงตวัดไปมา หากมันไม่ได้ทำให้พรายน้ำระคายผิวแต่อย่างใดด้วยอักขระบนร่างกายช่วยคุ้มกันอันตราย ทั้งยังอ้าปากพ่นน้ำกรดออกมา เวลานี้รพีพงศ์ทำได้เพียงปัดป้องและหลบหลีกเท่านั้น…‘ใช้พระขรรค์ฆ่าพวกมันในร่างพรายน้ำคงไม่ตาย จะหลบหนีไปคงไร้ประโยชน์แต่ถ้าหากสู้ซึ่งหน้าธาตุไฟอย่างเราคงแพ้น้ำ…จริงสิ’…

รพีพงศ์ฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ คราวนี้เทวาทายาทพระอาทิตย์มิคิดหลบหนีหรือปัดป้องดังเก่ากลับยกหัตถาทั้งสองขึ้นมาพนมมือไหว ริมฝีปากขมุบขมิบท่องคาถา สะเก็ดไฟค่อยๆ ปะทุออกมาจากกายของรพีพงศ์คล้ายถ่านไม้ที่เพิ่งติดไฟ ไม่นานอัคคีก็ค่อยๆ ลุกโชนขึ้นมาตั้งแต่ปลายเท้าไล่ขึ้นมาท่วมกายอย่างรวดเร็ว ตอนนี้รพีพงศ์ไม่ต่างจากดวงไฟขนาดใหญ่ที่สามารถเผาผลาญทุกสิ่งที่เข้ามาใกล้

“เข้ามาสิ!!...เข้ามาทำร้ายข้าเฉกเช่นเมื่อครู่” รพีพงศ์ท้าทาย ธาม ธร ธัช ธัญ ที่ถอยออกห่างเหมือนกำลังดูเชิงผิดกับรพีพงศ์ที่เดินเข้าไปใกล้ ทุกย่างก้าวที่ขยับเชื่องช้าไม่รีบร้อน รพีพงศ์เป็นฝ่ายได้เปรียบขึ้นมาทันที สถานการณ์ตอนนี้เปลี่ยนไป พรายน้ำจำแจงจะพ่นน้ำกรดออกมาก็มิเป็นผลอีกต่อไปเพราะไม่ทันจะถึงตัวก็ระเหยกลายเป็นไอไปเสียก่อน ดังคำที่ว่า…‘น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ’...

“ย๊า!!!!!” ธามตัดสินใจลอยเข้ามาใช้ดาบพุ่งเข้าใส่ รพีพงศ์จึงหยุดเดิยยืนเฉยปล่อยให้อีกฝ่ายโจมตี ปลายดาบสัมผัสกับรัศมีความร้อนค่อยๆหลอมละลายไล่ไปตั้งแต่ขอบโค้งจนถึงด้ามดาบและไม่หยุดเพียงเท่านั้น ยังเกิดสิขานลลุกลามเผาคู่ต่อสู้…‘อาวุธตีรันฟันแทงมิได้ก็จงโดนไฟเผาให้ดับสูญไปเสียเถิด’....

“อ้าก!!!!!!!!!!!” ธามร้องออกมาอย่างเจ็บปวดแต่อัคคีที่เผาไหม้หาได้สนใจไม่ ยังคงเผาผลาญไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเสียงร้องเงียบหายไปพร้อมกับกองเถ้าถ่าน

ธร ธัช ธัญ ที่เห็นเหตุการณ์การจากไปของสหายรู้ดีว่าการสู้ซึ่งๆหน้าเยี่ยงนี้ต้องพ่ายแพ้ต่อรพีพงศ์เป็นแน่ ทั้งสามจึงร่ายมนต์ให้กลายเป็นสายน้ำแล้วรวมกายกันเป็นอสูรกายยักษ์กำยำผิวกายสีน้ำเงินเข้ม พักตราดุดันมุมปากมีเขี้ยวแก้ว ตามขาและแขนมีเกล็ดสีขาวนวลประดับตามผิว กระดูกสันหลังมีครีบขนาดใหญ่ไล่ลงมาถึงสะโพกซึ่งมีหางมัจฉา มือถือกระบองตุ้มใหญ่แสนน่ากลัว

“ไม่คิดว่าท่านกนธีจะมอบปลายักษ์ให้ข้าเผาเล่นเป็นอาหาร” รพีพงศ์เอ่ยออกมาอย่างไม่ทุกข์ร้อน หาได้เกรงกลัวอสูรกายยักษ์ใหญ่ตรงหน้าไม่...

“ฮึ!!...เจ้าคงลืมไปสิว่าปลาบางตัวมันก็คิดว่าพวกกระจ้อยร่อยอย่างเทพที่อวดดีก็สมควร เป็นเหยื่อมันเช่นกัน” กนธีเองตอบสนกลับไปไม่ทุกข์ร้อนด้วยมั่นใจในฝีมือของอสูรกายยักษ์วารีตนนี้ที่ถึงจะรวมร่างจากสามก็มีพลังมากพอจะกำราบบุรุษที่มาจากแดนทินกรได้

“ย้าก!!!!” ทั้งสองต่างวิ่งเข้าหา หนึ่งกระบอง หนึ่งดาบปะทะกันจนเกิดเสียงดัง กระบองของอสูรกายยักษ์ใหญ่ตนนี้ทนความไฟจากรพีพงศ์ได้ดีไม่มีบุบสลาย ศึกครั้งนี้จึงกลับมาเสมออีกครั้งต่างฝ่ายต่างผลัดกันรับผลัดกันบุกอย่างไม่มีใครยอมใคร

‘ฉึก’ เป็นทีของรพีพงศ์ พระขรรค์แทงเข้ากลางอกของยักษา พอดึงพระขรรค์ออกมาบาดแผลก็สมานคืนกันราวกับมิเคยต้องอาวุธมาก่อน

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า แทงข้าอีกสิท่านรพีพงศ์ พระขรรค์ของท่านหรือแม้แต่ไฟที่ลุกท่วมกายท่านก็มิอาจทำร้ายข้าได้” อสูรกายยักษ์วารีเป็นฝ่ายท้าทาย

“เจ้าอย่าเหิมเกริมไปเลย…ทุกสิ่งย่อมมีจุดอ่อนและมิช้าข้าจักหาจุดอ่อนของเจ้าเจอเป็นแน่”

“ข้าเกรงว่าพอถึงเวลานั้นท่านจักนอนจมกองไฟตายไปเสียก่อน”

เมื่อปะทะคารมกันแล้วก็เริ่มต่อสู้กันอีกครั้ง ครั้งนี้ดูเหมือนอสูรกายยักษ์ใหญ่จักออมมือคล้ายเย้าแหย่รพีพงศ์ ด้วยความทนงตัวว่ารพีพงศ์มิอาจหาจุดอ่อนของตนเจอได้ จึงคอยยืนนิ่งให้ปลายขรรค์ทิ่มแทงบ้าง แสร้งเบี่ยงตัวหลบแต่มิโต้ตอบบ้าง การกระทำเช่นนี้ไม่ต่างจากการดูหมิ่นผู้สืบบัลลังก์ทินกรเลยสักนิด

“ตายเสียเถอะ!!!” เทวาร่างอัคคีพุ่งตัวเข้าใส่พร้อมพระขรรค์ ทว่าครั้งนี้ปลายพระขรรค์อยู่ห่างจากผิวกายยักษาเพียงคืบเดียว รพีพงศ์ไม่ได้คิดจะใช้พระขรรค์สู้แต่กลับจับเข้าที่หางที่เป็นหางมัจฉาแทน อสูรกายยักษ์วารีดินรนขัดขืนหากรพีพงศ์กลับเสียบพระขรรค์เข้ากายอสูรกายยักษ์ใหญ่จนมิดด้ามตรึงกับต้นไม้ใหญ่มิให้ไปไหน

“ความประมาทนำพาสู่ความฉิบหาย ครั้งนี้ก็เช่นกัน เจ้าประเมินข้าต่ำเกินไป เจ้ามิรู้หรือไรว่าเหตุใดข้าจึงพุ่งกายใช้พระขรรค์ทำร้ายเจ้าทั้งที่ทำไปเจ้าก็มิมีบาดแผล คำตอบเพราะข้าลอบสังเกตพฤติกรรมเจ้าที่ทุกครั้งที่ข้าเข้าหาเจ้าจะพยายามเบี่ยงตัวหนีให้แผ่นหลังของเจ้า หางของเจ้าอยู่ชิดตนเพราะเจ้านั้นระวังมิให้ข้าโดนหาง” หากใครสามารถมองเห็นทะลุผ่านเปลวไฟได้จะมองเห็นรอยยิ้มที่แสนจะน่ากลัวของรพีพงศ์ รอยยิ้มที่ไร้ความปรานี ไร้ความเมตตา

“ท่าน…อ้าก!!!!!!!!” อสูรกายยักษ์วารีมิอาจเอื้อนเอ่ยอันใดได้อีกต่อไป เมื่อไฟนั้นลุกลามกัดกินส่วนหาง จึงสิ้นฤทธิ์คืนสู่ร่างของ ธร ธัช ธัญ ที่ยืนซ้อนกัน อัคคีเผาไหม้อย่างรวดเร็ว สุดท้ายทั้งสามก็กลายเป็นกองเถ้าถ่านขนาดใหญ่ มิต่างจาก ธีร์ ธาม

รพีพงศ์เดินกลับมาทางกนธีและนาคินทร์ที่ยังถูกคุมขัง เปลวไฟที่ห่อหุ้มกายค่อยๆ มอดดับลงเหลือไว้เพียงเถ้าถ่านที่กลายเป็นอาภรณ์ปกปิดกายรพีพงศ์ดังเดิม เทพหนุ่มหันมองนาคินทร์ที่จ้องมองตนมาเช่นกัน ก่อนจะหันมามองกนธีที่ยืนยกยิ้มมุมปากอยู่ตรงหน้า

“ฝีมือร้ายกาจยิ่งนัก สามารถสู้กับทหารของข้าได้” กนธีชมเปาะดูไม่ทุกข์ไม่ร้อน

“แต่ยังด้อยกว่าข้ายิ่งนัก” กนธีจับบ่าของรพีพงศ์กระชากเข้ามาหาตน เสียงกระซิบดูถูกที่เปล่งออกมาดังก้องในหูของรพีพงศ์ ก่อนจะถูกกนธีผลักจนเกือบเซล้ม

“เจ้ากับข้ามาตัดสินกันโดยมีนาคินทร์เป็นเดิมพัน ใครชนะ..ไม่สิ ใครมีชีวิตรอดก็จักได้นาคินทร์ไป” กนธีเอ่ย มือกำตรีศูลศาสตรวุธประจำพระสมุทรไว้แน่น

“ข้าขอบอกอะไรท่านไว้สักอย่าง นาคินทร์มิใช้ของเดิมพันระหว่างท่านกับข้า แต่นาคินทร์เป็นของข้าเพียงผู้เดียวต่างหากเล่า...”

















...........................

ท่อนแรกเราจะเจอความมาม่าของพี่นภนต์ ขอกำลังใจจากทุกคนส่งไปให้ถึงเทพแห่งท้องนภาด้วยนะคะ

ท่อนสองจัดเต็มกับป๋ากนธีของท่านยุ่งแม้จะไม่ลงมือเองแต่ออกมาเยอะกว่าตอนก่อน ใครจะปาหินใส่กระท่อมท่านยุ่ง ตอนนี้ทำไม่ได้นะคะ ท่านยุ่งขายแล้วค่ะ เอามาจ่ายค่าตัวป๋า

ยังไงติดตามอ่าน เม้น ติชม กันตามสบายนะคะ อย่าเพิ่งทิ้งกันแม้จะอัพช้าก็ตามที ใกล้จบแล้ว มาสนุกกับนิยายท่านยุ่งเยอะๆเนอะ




หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.30 P.11 (12/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: แม่น้องเปา ที่ 12-10-2017 22:08:18
สนุกจ้า...ติดตามอยู่น๊า รอเสมอ :mew1:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.30 P.11 (12/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 12-10-2017 23:25:21
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.30 P.11 (12/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 13-10-2017 08:08:53
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.30 P.11 (12/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 13-10-2017 09:15:17
รพีพงศ์สู้ๆ :L2:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.30 P.11 (12/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 13-10-2017 09:21:03

คนเลวก็คือคนเลว

ไม่สำนึกเลย

จัดการมันเลยขอรับ

รอขอรับ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.30 P.11 (12/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Pe_no ที่ 13-10-2017 12:01:18
ลุ้นค่ะเอาใจช่วย  :mew2:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.30 P.11 (12/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 13-10-2017 15:56:15
รพีพงศ์สู้ๆ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.31 P.11 (15/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 15-10-2017 16:55:16


สาปรัก…ทัณฑ์เทวา

Writer : Tan-Yung 0209

File : 31













วรรณกรรมมากมายหลากหลายเรื่อง หลากหลายภาษาบนโลกใบนี้ มีจำนวนหนึ่งที่ได้เขียนถึงการศึกแย่งชิงคนรักจนเกิดเป็นมหาสงคราม หรือจะเป็นเจ้าชายขี่ม้าขาวเข้าต่อสู้กับเหล่าร้ายเพื่อช่วยเจ้าหญิง สิ่งที่เหมือนกันคือฝ่ายธรรมะชนะอธรรม ผู้ร้ายจะถูกปราบจนตายสิ้น…แต่เรื่องราวการสู้รบเพื่อรักของรพีพงศ์นั้นกลับยากที่จะคาดเดาได้

ตรงหน้าของรพีพงศ์หาใช่อสูรร้าย ยักษา หรือเทวดาที่ฝีมืออยู่ชั้นปลายแถว หากเป็นพระสมุทรผู้กุมอำนาจเหนือใครในห้วงมหานที ผู้ที่ทั้งฉลาด เจ้าเล่ห์ เจ้าแผนการ มีความสามารถรอบด้าน การรบเองมิได้อ่อนด้อยไปกว่าใคร…ยากที่จะโค่นล้มในระยะเวลาอันสั้น

พระสมุทรกนธีเองมิอาจละสายตาไปจากรพีพงศ์ได้ เทพตัวน้อยที่เคยวิ่งซุกซนผ่านตาเมื่อนานมาแล้ว บัดนี้เติบใหญ่ใกล้รับตำแหน่งพระอาทิตย์เต็มตัวพร้อมกับความสามารถที่มีเพิ่มขึ้น แม้กนธีจักมีพลังเหนือกว่าแต่มิอาจประมาทได้ จากการต่อสู้เมื่อครู่ที่กนธีได้ลองเชิงดูความสามารถและตัดพละกำลังก็พบว่ารพีพงศ์มีความสามารถสูงเลยทีเดียว

‘พรึบ!’ พระขรรค์เนื้อเหมในหัตถาแปรเปลี่ยนเป็นพระขรรค์เพลิงสีชาดราวกับชุ่มไปด้วยโลหิต ในเมื่อต้องสู้กับพระสมุทรผู้ครอบครองหอกสามเล่มหรือตรีศูล พระขรรค์เพลิงนี้ย่อมสมน้ำสมเนื้อกว่าพระขรรค์ก่อนหน้านี้แน่นอน กนธียกยิ้มมิแสดงออกถึงความหวาดหวั่นที่มีต่ออาวุธของรพีพงศ์เพราะมั่นใจในตรีศูลคู่บารมีบัลลังก์มุก

“ย้าก!!!!”

ทั้งสองวิ่งเข้าหากันทั้งพระขรรค์ทั้งตรีศูลกระทบพร้อมประหัตประหารอีกฝ่าย กนธีเตะเข้าสีข้างของรพีพงศ์ที่สวนกำปั้นชกเข้าที่ใบหน้า จนทั้งสองเซถลาออกห่างกัน รพีพงศ์กุมสีข้างตาจ้องมองกนธีที่ยืนเช็ดเลือดตรงมุมปาก ก่อนจะเริ่มใช้ศาสตราวุธในมือห้ำหั่นกันอีกครั้ง

ยามที่ตรีศูลพุ่งเข้าหารพีพงศ์นั้นเบี่ยงกายหลบสลับกับที่พระขรรค์ที่เข้าฟาดฟันแล้วกนธีก้มหลบได้ การต่อสู้ดำเนินต่อไปได้สักพักรพีพงศ์ที่พละกำลังเหลือน้อยเพราะได้ต่อสู้กับสมุนของพระสมุทรกนธีไปก่อนหน้านี้จึกตกเป็นรอง บางครั้งเบี่ยงกายหลบไม่ทันปลายคมของหอกสามเล่มเกี่ยวโดนบาดผิวกายให้มีเลือดซึมออกมา แม้เพียงเล็กน้อยกลับทำให้รพีพงศ์เจ็บแสบที่แผล…‘นี่สินะอานุภาพของตรีศูลแห่งพระสมุทรอันเป็นที่เลื่องลือ’...

“อั่ก!!” กนธีอาศัยจังหวะที่รพีพงศ์อ่อนกำลังใช้ด้ามตรีศูลตีลงที่แผ่นหลังจนบุตรแห่งพระอาทิตย์ล้มลงไปกองกับพื้น

“ตายเสียเถอะ!!” กนธีเอ่ยออกมาหัตถาที่จับตรีศูลยกขึ้นพร้อมสังหารผู้พ่ายแพ้

“ท่านรพีพงศ์!!!” นาคินทร์ที่ถูกกักตัวร้องออกมาทั้งน้ำตา รพีพงศ์ไม่ควรสังเวยชีวิตเพราะนาคไร้ค่าอย่างตนเอง

‘เคร้ง!!’ พระขรรค์ตั้งรับตรีศูลได้พอดิบพอดี รพีพงศ์รวบรวมแรงขึ้นมาดันตรีศูลให้พ้นกายได้สำเร็จพร้อมกับร่างของกนธีที่เซถลาไปเช่นกัน

“ยังมีแรงเหลืออยู่อีกหรือ…ถ้าเยี่ยงนั้นเจ้าจงเจอนี่” กนธีชูตรีศูลขึ้นเหนือศีรษะ พลันเกิดลมกระโชกแรง เสียงสะเทือนคล้ายบางสิ่งเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้…สายน้ำทั่วสารทิศไหลบ่าเข้ามาก่อตัวเป็นคลื่นหมุนวนคล้ายลูกแก้วยักษ์อยู่ปลายตรีศูล

รพีพงศ์เห็นท่าไม่ดีจึงชูพระขรรค์อันเป็นอาวุธคู่กายขึ้นมาให้แสงสุริยาสาดส่องจนเกิดแสงสว่างวูบวาบที่ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆเป็นลูกไฟคล้ายกับจำลองดวงอาทิตย์ขึ้นมา

พลังที่แตกต่างถูกปล่อยออกมาพร้อมกันเพื่อห่ำหั่นศัตรู เกิดสายฟ้าฟาดลงมาดังสนั่นจากพลังสองขั้ว ต่างคนต่างยืนหยัดไม่มีถอยพลังมีเท่าใดถูกนำออกมาใช้เสียสิ้น…เพื่อนาคินทร์แล้วไม่ว่าอย่างไรจะแพ้ไม่ได้

‘ตูม!!!!’

ม่านพลังของทั้งสองรุนแรงจนกลายเป็นว่าผู้ใช้เองเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ เสียงกัมปนาทดังลั่นจนปฐพีสะเทือน ควันฟุ้งกระจาย ร่างของกนธีและรพีพงศ์กระเด็นออกไปคนละทิศคนละทางจนกระแทกกับต้นไม้แล้วลงไปนอนกองกับพื้นทั้งคู่ โดยมีเสียงร้องไห้ของนาคินทร์ดังออกมามิขาดสาย ต่างฝ่ายต่างพยายามลุกหยิบอาวุธของตนเองขึ้นมา เวลาหลังจากนี้จะตัดสินว่าผู้ใดได้รับชัยชนะ

กนธีค่อยตะเกียกตะกายอย่างทุลักทุเล แขนแกร่งยืดออกไปเพื่อให้มือเอื้อมคว้าด้ามตรีศูล ด้านรพีพงศ์นั้นจะขยับนิ้วยังลำบากพยายามดันหลังยันกายให้นั่งพิงกับต้นไม้

“ท่านรพีพงศ์!!!...หนีไป…ฮือ..หนีไป” นาคินทร์เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดและเห็นว่ากนธีลุกขึ้นมาได้ก่อนพร้อมกับมีตรีศูลอยู่ในมือ นาคินทร์มิอาจให้คนที่ตนรักต้องมาตายจึงได้ร้องให้รพีพงศ์หนี ในใจอธิษฐานให้ตนออกจากที่กุมขังนี้…‘หากข้าพอมีบุญอยู่บ้าง ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยให้ข้าหลุดพ้นจากคุกฟองน้ำนี้เถิด’...

“รพีพงศ์ถ้าเจ้าจะโทษก็จงโทษตัวเจ้าที่บังอาจหาญมาต่อกรกับข้า” กนธีพูดจบก็ขว้างตรีศูลหมายจะปักยังเป้านิ่งอย่างรพีพงศ์

“ไม่!!!!!!!!”

นาคินทร์หวีดร้อง...รัศมีสีดอกพยับหมอกเรืองรองเปล่งประกายทั่วร่างบาง กายหยาบเปลี่ยนจากมนุษย์เป็นนาคาเกล็ดสีนิลพุ่งทะยานแหวกฟองน้ำเลื้อยออกมาแผ่พังพานกำบังรพีพงศ์ ตามสัญชาตญาณรัก…สัญชาตญาณหัวใจลิขิต

‘ฉึก!!’ คมตรีศูลปักเข้าที่กลางลำตัวของนาคา สร้างความตกตะลึงให้กับรพีพงศ์และกนธี นาคน้อยถูกฤทธิ์ของตรีศูลก็โงนเงนล้มลง เศียรพาดลงบนตักของรพีพงศ์ก่อนจะกลับสู่ร่างมนุษย์

“นาคินทร์!!!!!....นาคินทร์!!!” รพีพงศ์ประคองกอดเจ้าของนามราวกับคนเสียสติ หัตถาหนารีบถอนตรีศูลให้พ้นกายนาคินทร์แล้วให้ผ้าแฝงห้ามเลือดเอาไว้

“ท่านรพีพงศ์ไม่เป็นไรใช่หรือไม่” นาคินทร์ยกมือขึ้นมาลูบสัมผัสใบหน้าหล่อเหลาของรพีพงศ์อย่างแผ่วเบา ทั้งที่เจ็บเจียนตาย…นาคินทร์ยังห่วงผู้อันเป็นที่รักของตน

“อดทนไว้นาคินทร์ เจ้าจักต้องไม่เป็นไร” รพีพงศ์เอ่ยเสียงแผ่ว แขนแกร่งโอบกอดนาคินทร์ไว้แนบอุรา

ฝ่ายพระสมุทรกนธีนั้นยืนนิ่งไม่ต่างจากรูปหินแกะสลัก ไม่คิดว่ามือที่เคยจับกายอีกคนมากอดจะเป็นมือเดียวที่ส่งนาคินทร์ลงไปยังยมโลก สำหรับกนธีที่คิดเสมอว่านาคินทร์ไม่สำคัญ บัดนี้ดวงใจกลับปวดหนึบยามเห็นโลหิตไหลรินออกมา นั่นบ่งบอกได้ดีว่าที่ผ่านมากนธีคิดผิด นาคินทร์นาคบำเรอกามแสนต้อยต่ำที่ตนใช้เป็นหมากตัวหนึ่งกลับมีอิทธิพลต่อกนธีเป็นอย่างมากมาย ยามเห็นนาคินทร์แสดงความรัก แววตาความห่วงใยที่เคยมอบให้ตนถูกเปลี่ยนเป็นให้รพีพงศ์ กนธีนั้นยิ่งเจ็บลึกขึ้นไปอีก

“ท่านกนธี…ท่านเคยบอกว่าท่านคือผู้ที่ให้ชีวิตและแสงสว่างกับข้า บัดนี้ท่านมอบความตายให้กับข้าแล้ว ถือว่าเราสองไม่มีสิ่งใดติดค้างกันอีก” คล้ายดั่งถ้อยคำตัดพ้อ หากไม่ใช่…ทุกๆคำที่เปล่งออกมานาคินทร์ล้วนกลั่นกรองออกมาจากใจจริง

“คินทร์!!!! รพีพงศ์!!!!” ชลันธรและนภนต์ที่วิ่งตามมา พอได้พบกับเหตุการณ์ตรงหน้าก็ตกใจไม่น้อยและพอจะคาดเดาได้ว่าเกิดอันใดขึ้นก่อนหน้านี้

“รพีพงศ์นี่ใช่เวลาที่จะมาคร่ำครวญ จงพานาคินทร์ออกไปหาเทพโอสถ ไม่สิ!! หรือ ไปหาเทพกาลเวลาเผื่อท่านจะช่วยเจ้าได้” นภนต์ที่ยังครองสติได้เอ่ยกับรพีพงศ์ก่อนจะยืนขวางเอาไว้ให้รพีพงศ์พานาคินทร์ไป รพีพงศ์เมื่อถูกเตือนสติจึงได้อุ้มร่างของนาคน้อยที่หายใจโรยรินเต็มทีเลี่ยงไปอีกทาง

“ส่วนชลันธร…น้องจงสมทบเร่งเดินทางไปกับรพีพงศ์และนาคินทร์เถิด ที่แห่งนี้อันตรายเกินว่าน้องจะอยู่ พระสมุทรกนธีผู้ต่ำช้าผู้นี้พี่จะจัดการเอง...” นภนต์เอ่ยโดยที่ตาจ้องมองกนธีที่สะบักสะบอมจากการต่อสู้กับรพีพงศ์อยู่มิน้อย ชลันธรจึงถอยห่างหากทำวิ่งหนีตามไปสมทบรพีพงศ์และนาคินทร์ แต่ก็มิได้ไปตามดั่งคำสั่งของนภนต์ทำเพียงซุ่มหลบหลังพุ่มไม้ที่ไม่ไกลนักดูเหตุการณ์เท่านั้น ทั้งที่ใจอยากจะจับอาวุธเข้าสู้แต่บัดนี้ตนเป็นเพียงมนุษย์ยังมิได้คืนสู่สถานะเทวา ขืนดื้อดึงอยู่รบคงเป็นลูกตุ้มเหล็กที่ถ่วงแข้งถ่วงขานภนต์ก็เป็นได้

“เป็นเกียรติของข้าที่ได้สู้กับแม่ทัพหลวง” กนธียังคงปากดีมิมีท่าทีอ่อนลงแต่อย่างใด ก่อนจะท่องคาถาเรียกตรีศูลให้กลับคืนสู่มือตน

“เป็นเกียรติของข้าเช่นกันที่ได้สังหารพระสมุทรกนธี” นภนต์เอ่ยแล้วเสกง้าวขึ้นมาเป็นอาวุธสู้รบ

‘เคร้ง!!’ การต่อสู้เริ่มต้นอีกครั้ง คมง้าวเข้าปะทะตรีศูลจนเกิดเสียง ทั้งสองตอบโต้โดยใช้ทั้งประสบการณ์และกลยุทธการศึกที่มีมาใช้ กนธีฝีมือร้ายกาจแม้จะบาดเจ็บอยู่ มิเสียแรงที่เคยเข้าคัดเลือกเทพสงครามหากพ่ายให้กับพระอังคารเท่านั้น การดวลครั้งนี้จึงมิใช่เรื่องง่ายสำหรับนภนต์

กนธีที่มิอาจยืดเยื้อได้ด้วยกำลังของตนถดถอยจากการต่อสู้กับรพีพงศ์จึงคิดที่จะจบศึกให้เร็วที่สุด ปลายด้ามของตรีศูลถูกเคาะบนพื้นพสุธาสามครั้งในขณะที่กนธีร่ายคาถาบางอย่าง พลันเกิดเหตุอัศจรรย์ด้วยมนตราเกิดรอยแยกล้อมนภนต์ไว้จากนั้นม่านธาราโพยพุ่งขึ้นมาจากรายแยกนั้น นภนต์สังเกตเงาประหลาดที่ใกล้เข้ามาผ่านม่านธารานี้

‘ซ่า!!!’ พญานาคแหวกผนังน้ำออกมาอ้าปากเผยคมเขี้ยวต่อหน้าต่อตาเทพหนุ่ม มิใช่เพียงตนเดียวกลับมีถึงสิบ กนธีตั้งใจใช้เหล่าพญาภุชงค์นี้สังหารเทพแห่งท้องนภา

นภนต์เห็นว่ากนธีใช้เวทย์เรียกนาคมาทำร้าย ตนจึงพนมมือท่องคาถาเรียกภูตครุฑผู้คุมดินแดนทั้ง ๘ ทิศออกมา คาถานี้คล้ายกับคาถาเรียกภูตนาค ๗ มหาสมุทรของพระราหูแต่สิ่งที่เหมือนกันคือเป็นวิชาที่มิใช่ว่าใครจะฝึกสำเร็จได้โดยง่ายทั้งยังมีอานุภาพล้นเหลือ

เทวาแห่งท้องนภามีรัศมีสีทองสว่างสดใส แขนแกร่งที่มีเพียงสองเพิ่มขึ้นเป็นสี่ มือหนึ่งถือธนูทอง มือสองถือง้าว มือสามถือพระขรรค์ มือสี่นั้นว่างเปล่า นภนต์หงายมือขึ้นมาปรากฏภูติครุฑที่โบยบินขึ้นมาที่ละตนจนครบ

“ภูติครุตเอ๋ย…จงปลิดชีพพญานาคนี้เป็นอาหารของพวกท่านเสียเถิด” นภนต์เอ่ยจบ เหล่าภูติครุฑาต่างบินโฉบกายพญานาคขึ้นฟ้าแล้วปล่อยลงมาให้กระแทกหิน บางตนจับได้ก็ใช้กรงเล็บฉีกร่างจนเลือดสาดน่าสยดสยอง ไม่นานพญานาคของกนธีกลายเป็นอาหารจนสิ้น ม่านธาราจึงเสื่อมและหายไป

“เก่งเสียจริงนะท่านนภนต์” กนธีกล่าวชม หากแววตานั้นเผยความแค้นเคืองมากกว่าความยินดีดั่งปากพูด

“ท่านเองก็มีเมตตานำนาคมาเป็นอาหารให้กับภูติครุฑของข้า” นภนต์เยาะเย้ย โชคดีที่มีสติพอ

“ความเมตตาของข้ายังมีอีกเยอะ” กนธีไม่พูดเปล่าควงตรีศูลชี้ไปทางนภนต์ นภนต์สร้างโล่เวทย์ป้องกัน นาคที่พันด้ามตรีศูลเลื้อยออกมาแต่มิได้เลื้อยหาเทพเวหาแต่อย่างใด กลับดำดินล้อมรอบนภนต์เกิดแผ่นดินสั่นสะเทือนเคลื่อนไหวแยกออกมากลายเป็นหลุมขนาดใหญ่ นาคาร้ายพ่นน้ำกรดใส่ในหลุมซึ่งล้อมรอบนภนต์ที่ยืนอยู่ตรงกลาง…นภนต์เสียรู้กนธีเสียแล้ว

“อย่าคิดจะใช้ปีกบินหนีเพราะไอน้ำกรดนี้จะทำลายปีกของท่านจนมิสามารถบินไปไหนได้นอกเสียจากท่านจะไม่เชื่อแล้วลองบินดู จะได้ตกลงไปว่ายน้ำเล่นหรือจักเป็นอาหารนาคนั้นย่อมได้”

“ท่านกนธี!!!...ท่านนี่มัน”  นภนต์ที่เสียรู้นั้น  กำลังรู้สึกเจ็บใจยิ่งนัก...

“หากท่านต้องการผรุสวาทใส่ข้าจงหยุดก่อน…ชลันธร!!! ชลันธรหลานรักของอา ถ้าหลานมิอยากให้คนรักของหลานตาย จงออกมาเสีย อารู้ว่าเจ้าซ่อนกายอยู่ไม่ไกล” กนธีเรียกขานชลันธรด้วยเสียงหวาน แต่กลับหวานดั่งน้ำผึ้งอาบยาพิษ...

“อย่าออกมา!!!...ชลันธรอย่าออกมา!!!!” นภนต์ร้องห้าม ไม่อยากให้คนรักต้องพบเจออันตราย

“คิดให้ดีนะชลันธร หลานอยากให้เทพนภนต์คนรักของเจ้าต้องมาตายกระนั้นหรือ” กนธียกนภนต์ขึ้นมาขู่ มิใช่ชลันธรจักเป็นจุดอ่อนของนภนต์ หากนภนต์เองก็เป็นจุดอ่อนของชลันธรเช่นกัน

“เราอยู่นี่…ปล่อยตัวท่านพี่นภนต์บัดเดี๋ยวนี้” ชลันธรมิอาจซ่อนตัวอีกต่อไป ด้วยตนนั้นมิอยากทำให้ใครเดือดร้อนเพราะตนอีก ภาพของรพีพงศ์และนาคินทร์เมื่อครู่ยังฉายชัดในความคิด ยิ่งเห็นนภนต์คนรักที่เสียท่าอีก ชลันธรจะไม่ยอมให้ใครเดือดร้อนเพราะตนอีกต่อไป

“อย่าได้แทนตัวเองเหินห่างเช่นนั้น มาใกล้ๆ อาสิหลานรัก นำดวงใจพระสมุทรมาให้อา…อาเดาไม่ผิดอัญมณีล้ำค่านี้คงผนึกอยู่ในกายของเจ้าเป็นแน่…” กนธีเอ่ย อัญมณีสีครามทรงอานุภาพที่ตามหากำลังจะอยู่ในมือตนอีกไม่ช้า

“เราจักแน่ใจได้เช่นไรเล่าว่าท่านนั้นจะปล่อยท่านพี่ของเรา อีกอย่างเรามิมีพลังอำนาจอันใดที่จะนำดวงใจพระสมุทรออกมาจากกายเราได้...” ชลันธรเอ่ย ตนนั้นไม่วางใจกนธีอีกต่อไปหลังขากที่รู้ว่าผู้เป็นพระปิตุลานั้นคิดไม่ซื่อทำร้ายตน ส่วนดวงใจพระสมุทรนั้น พระสมุทรผู้เป็นบิดาของชลันธรเป็นผู้ทำพิธีลับนำเข้าร่างของชลันธรและกำกับคาถาไว้ให้ตัวชลันธรตลอดไปจะนำออกมาได้นั้นมีเพียงชลันธรผู้เดียว หากชลันธรสิ้นชีวาดวงใจพระสมุทรนั้นจะแตกสลายตามไปด้วย นี่เป็นสาเหตุที่กนธียังมิยอมสังหารชลันธร

“เจ้าทำได้ชลันธร ถึงเจ้าเป็นมนุษย์แต่พลังดวงใจพระสมุทรจะทำในสิ่งที่เจ้าต้องการ…นำออกมาเถิดแล้วข้าจะให้นาคนี้สูบพิษน้ำกรดกลับคืนให้จนสิ้น” ชลันธรช่างใจพลางหันมองนภนต์ที่ส่ายหน้าไม่ยอมให้ชลันธรเสี่ยงกับกนธีผู้มากด้วยเล่ห์เพทุบาย...

“ชลันธรหลานรัก เจ้าว่าอย่างไรเล่า…ชักช้าไอน้ำกรดจะเป็นพิษให้ภัสดาของหลานต้องทุรนทุราย” กนธีเกลี้ยกล่อมชลันธรให้รีบนำดวงใจพระสมุทรออกมา ชลันธรนั้นห่วงแสนห่วงนภนต์จึงพนมมือขึ้นอธิษฐาน

…‘ดวงใจพระสมุทรเอ๋ย…บัดนี้เราเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาจำต้องนำเจ้าออกมาจากกาย เรามิอาจใช้คาถาเรียกได้ หากเจ้านั้นรับรู้โปรดปรากฏในฝ่ามือของข้าเถิด’…

ชั่วอึดใจรัศมีสีครามเข้มส่องสว่างวูบวาบลอดผ่านนิ้ว อดีตพระสมุทรรับรู้ถึงน้ำหนักในอุ้งมือได้ มือเรียวหงายออกมาปรากฏเพชรสีน้ำทะเลงามประกายขนาดเท่ากำปั้นของผู้เจ้าของ…นี่น่ะหรือ...ดวงใจพระสมุทร  ด้านกนธีที่ได้เห็นก็ตกตะลึงอยู่ไม่น้อย ใจได้แต่ยิ้มย่องเพราะอีกไม่นานตนนั้นก็จะได้เป็นผู้ครองมหาสมุทรอย่างสมบูรณ์

“นี่ไง...เรานำดวงใจพระสมุทรออกมาได้แล้ว ท่านอาจงเร่งให้นาคของท่านสูบน้ำกรดโดยพลัน” ชลันธรเอ่ยสายตามองไปยังคนรักราวกำลังวางแผนอะไรบางอย่าง ชลันธรไม่นึกเสียดายที่ต้องมอบดวงใจพระสมุทรให้กนธีแต่จักเสียใจหากนภนต์ต้องเป็นอะไรไป

“นาคกำลังสูบน้ำจนสิ้นแล้ว เพียงพอที่เทพนภนต์จะสยายปีกบินหาหลาน ดังนั้นเจ้าจงนำดวงใจพระสมุทรมาให้ข้าโดยเร็ว” กนธีทวงดวงใจพระสมุทร ในใจนึกหากได้มาตนก็จักสังหารทั้งสองให้สิ้นซาก

“ถ้าอยากได้ก็เอาไป” ชลันธรโยนดวงใจพระสมุทรขึ้นสู่ฟ้าให้สูงที่สุดเพราะได้ถ่วงเวลาให้นภนต์บินหนี...

“ท่านพี่!!!!...บินออกมา!!” ชลันธรใช้จังหวะที่กนธีสนใจดวงใจพระสมุทรบอกให้นภนต์บินหนี นภนต์สยายปีกออกบินมาหาร่างบาง ปีกทองห่อหุ้มกายชลันธรเอาไว้…‘พี่จักปกป้องน้องเอง…ชลันธร’…

“ดวงใจพระสมุทรจักต้องเป็นของข้า ฮ่า ฮ่า ฮ่า” กนธีหัวเราะลั่น มือเอื้อมรอรับอัญมณีที่ร่วงตกลงมา

‘ครืน….’

กลุ่มเมฆาเคลื่อนตัวรวมกันปกคลุมท้องฟ้า ความมืดคืบคลานเข้าทั่วบริเวณ ดวงดารานับแสนตกลงมาไม่ต่างจากพิรุณโปรยปรายช่างเป็นภาพที่น่ามอง หากมีหนึ่งดวงที่ส่องแสงสีดั่งดอกพวงครามสุกสกาวสดใสพุ่งดิ่งลงมาตรงหน้าของกนธีและนภนต์ ละอองเพชรละเอียดฟุ้งกระจายก่อนจะหมุนวนก่อตัวขึ้นมาเป็นหัตถาใหญ่ข้างหนึ่งเปล่งรัศมีม่วงรองรับดวงใจพระสมุทรที่ตกลงมาอย่างพอดิบพอดี 

ทั้งสามที่ได้เห็นหัตถาใหญ่ข้างนั้นได้แต่งุนงงว่าเป็นผู้ใดกัน ที่กล้าเข้ามาช่วงชิงดวงใจพระสมุทร เมื่อมือนั้นค่อยลอยต่ำลง ละอองเพชรละเอียดก่อตัวเป็นกายเทวาบุรุษร่างสูงใหญ่ เทวาผู้ที่แถบจะมิเคยออกจากวิมาน เทวาผู้ที่มิใคร่มีผู้ใดอยากกล่าวถึงและเอ่ยชื่อ เทวาผู้ที่มีหน้ากากกำบังดวงเนตรที่ไม่มีใครอยากมอง...และเป็นเทวาผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดในจักรวาลนี้ นภนต์และกนธีแทบที่จะเอ่ยชื่อ เทพผู้นี้ออกมาพร้อมกัน...

“พระเสาร์...”















......................

กลัวทุกคนเบื่อมากเลยค่ะ ฉากรบออกมาติดกัน ตอนหน้าไม่ต้องเดามีต่อแน่ แต่เรื่องราวมันต้องดำเนินไปในสายนี้ แฮร่~~~~~ ท่านยุ่งตั้งใจคิดฉากเดินสายว่าจะเอาไงบอกเลยตั้งใจมาก มันท้าทาย เรื่องนี้ถือว่าเขียนฉากต่อสู้หนักมากสุด ดีไม่ดียังไง ติชมได้ค่ะ

มาเข้าเรื่อง ทุกคนคะอย่าค่ะ อย่าตบตีท่านยุ่งค่ะ อย่าเผากระท่อมค่ะ เรื่องที่หนูคินทร์ปกป้องรพีพงศ์จนพลาดท่า อย่าเผา อย่าปากกระท่อมนะ ท่านยุ่งไม่มีกระท่อมแล้ว...ส่วนใครจะตีกนธีจัดการเลยค่ะ เพราะป๋าไม่เคยลืมนาคินทร์ ท่านยุ่งงอนฮือออออ อกหัก

และตอนนี้ขอให้ทุกคนเอาใจช่วยพี่นภนต์และชลันธรไม่ให้ดวงใจพระสมุทรตกไปอยู่กับป๋ากนธี

สุดท้ายนี้...พระเสาร์มาแล้วจ้า หลายคนชื่นชอบวันนี้และตอนหน้าเจอกับพระเสาร์นะคะ


ขอขอบคุณสำหรับทุกคนที่มาอ่าน คอมเม้น เป็นกำลังใจมากนะคะ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.31 P.11 (15/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 15-10-2017 17:26:08
แผนตัวประกันใช้ได้ผลเสมอสิน่า
รอตอนต่อไปค่ะ
หมั่นไส้กนธีแรง
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.31 P.11 (15/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 15-10-2017 18:25:09
ป๋ากนช่างตายยากตายเย็น สะบักสะบอมมาจากรพีพงษ์แล้วยังมีแรงมาต่อกรกับนภนต์อีก 

เมื่อไหร่จะตายเสียทีอ่ะป๋า  :hao4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.31 P.11 (15/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 15-10-2017 20:00:02
นาคินทร์จะเจอพ่อแล้ว   และป๋ากนธีควรได้รับโทษ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.31 P.11 (15/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 15-10-2017 22:38:04
มาลุ้นตอนหน้ากันค่ะ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.31 P.11 (15/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 16-10-2017 00:34:29
รอตอนต่อไป~
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.31 P.11 (15/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: DraCo_SLa13 ที่ 18-10-2017 21:09:02
อิกนธี โดนพระเสาร์กระทิืบแน่
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.31 P.11 (15/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 18-10-2017 22:07:11
 :pig4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.31 P.11 (15/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 19-10-2017 23:20:23
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.32 P.11 (22/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 22-10-2017 21:26:28


สาปรัก…ทัณฑ์เทวา

Writer : Tan-Yung 0209

File : 32













พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกสำหรับนภนต์ไม่ได้เป็นเพียงสุภาษิตอีกต่อไป ดวงใจพระสมุทรถึงจะไม่ตกลงในมือของกนธี แต่ผู้ที่รับได้มิใช่ใครอื่นกลับเป็นพระเสาร์ ซึ่งไม่รู้ว่าการปรากฏกายครั้งนี้จะมาดีหรือมาร้ายกันแน่

“พระเสาร์ส่งดวงใจพระสมุทรมาให้ข้า” กนธีเอ่ยทวงสิ่งที่ไม่ใช่ของตน ถึงพระเสาร์จะขึ้นชื่อถึงความแข็งแกร่ง ดุดัน แต่กนธีไม่คิดจะเกรงกลัวเลยสักนิดด้วยสนใจเพียงจะครอบครองดวงใจพระสมุทรเท่านั้น

“ส่งมาให้ข้าเถิด ดวงใจพระสมุทรเป็นของชลันธรมิใช่ของพระสมุทรกนธี” นภนต์ใช้โอกาสนี้ทวงคืนดวงใจพระสมุทรให้ชลันธร

“ดูท่ามันจะสำคัญกับพวกเจ้าเสียจริงนะ...ฮึฮึ...ข้าคืนให้แน่…เพียงพวกเจ้า ใครก็ได้บอกมาว่านาคที่ชื่อนาคินทร์อยู่แห่งหนใด” พระเสาร์เอ่ยถามถึงผู้มีสายสัมพันธ์ทางสายเลือดแม้จะห่างไกลกันแต่เพียงได้เห็นพักตรางามที่ถอดแบบจากมุตตานั้นก็รู้สึกสนิทแนบชิดตรึงใจ ครั้นเดิมทีจะโกรธกริ้วที่บุตรามีคู่รักเป็นชายทั้งยังสืบบัลลังก์พระอาทิตย์ที่พระเสาร์มิชอบใจ ทว่าสายใยแห่งพ่อลูกนั้นตัดไม่ขาด แต่กว่าจะสงบจิตสงบใจลงมาช่วยนั้น…กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของนาคินทร์

“ท่านว่ากระไรนะ...นาคินทร์รึ…พระเสาร์...นี่ท่านรู้จักนาคนาคินทร์ด้วยหรือ... หรือว่า...นาคินทร์เคยบำเรอกายปรนเปรอระบายกามใคร่ให้ท่าน…ฮึ!!! เจ้านาคมากราคะ ก็สมควรแล้วที่ต้องคมตรีศูลของข้า” กนธีเข้าใจผิดคิดว่านาคินทร์ทำตัวร่านสวาทจึงสบถด่าโดยมิรู้ว่าผู้ฟังนั้นกำหมัดแน่นสะกดกลั้นอารมณ์แต่ถึงจะสะกดไว้เพียงใด รัศมีแห่งความโกรธลอยคลุ้งรอบกายคล้ายกับควันไฟมิปาน

“เจ้าว่าเยี่ยงไรนะกนธี  !!! นาคินทร์ต้องตรีศูลของเจ้านะหรือ” พระเสาร์ถามย้ำ ภาวนาให้คำตอบต่างไปจากเดิม

“ข้าขว้างตรีศูลโดนกายนาคินทร์เอง เหตุใดท่านจึงถามหรือว่าท่านรักเจ้านาคแสนต่ำต้อยนั่น...ข้าจะบอกท่านเอาไว้ว่านาคนั่นเคยนอนครางใต้ร่างข้ามานับไม่ถ้วน ไหนเลยยังมีรพีพงศ์อีก ฮึ!...ท่านยินดีที่จะรับของเหลือเดนเช่นนั้นหรือ” ไม่ใช่เพียงปลาหมอที่ตายเพราะปาก เทพพระสมุทรกนธีนี้ก็เช่นกันที่เงาหัวนั้นเลือนลางเต็มทีหลังจากพูดจาเหยียดหยามแก้วตาของพระเสาร์

“ข้าจะรักนาคินทร์หรือไม่มันหาใช่เรื่องของท่าน แต่ในฐานะของความเป็นพ่อ ข้าจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายหรือรังแกลูกของข้าได้ !!!” พระเสาร์ตะคอกเสียงดัง พายุแห่งความพิโรธโหมกระหน่ำเข้ามาแต่สิ่งที่สร้างความตกใจให้ กนธี นภนต์และชลันธรที่ได้ยิน นั่นคือนาคินทร์เป็นนาคากึ่งเทวา และเป็นโอรสของพระเสาร์  มาถึงตรงนี้นภนต์เลยคลายสิ่งที่สงสัยมานานว่าทำไมนาคินทร์ถึงอยู่ในร่างที่เป็นมนุษย์ได้นานมาก  ซึ่งต่างพวกนาคชั้นต่ำทั่วไปที่ไม่สามารถอยู่ในร่างมนุษย์ได้นาน...

“แล้วใครทำร้ายลูกของข้าแม้แต่ปลายเส้นผม มันจักต้องไม่ตายดี” หัตถาใหญ่ตวัดปัดลมเพียงเล็กน้อยแต่กลับส่งผลร้ายต่อกนธีจนกระเด็นติดกับต้นไม้ใหญ่

“อึก!!...” กนธีกระอักเลือดออกมา พอจะขยับขาให้ก้าวเดินก็มิสามารถทำได้เนื่องจากลมที่พระเสาร์สร้างสะกดไว้ มิเพียงแค่กนธีเท่านั้น นภนต์ที่พลอยได้รับแรงปะทะจากวายุมนตราก็มิอาจขยับก้าวขาไปไหนยังดีที่ชลันธรยังคงอยู่ในอ้อมกอด อยู่ในปีกกว้างที่ปกป้องจึงไม่ได้รับอันตราย

“ชลันธรเจ้ามิเป็นอันใดนะ”

“ข้ามิเป็นไรดอก เพียงแต่ข้านั้นอยากจะให้ท่านพี่ลดปีกลงให้ข้านั้นได้รับรู้เหตุการณ์นี้เถิด” ชลันธรร้องขอ นภนต์เองเห็นว่าพระเสาร์มีศัตรูเดียวกันและไม่ได้มารบรากับตนจึงยอมลดปีกลงเล็กน้อย ชลันธรเกาะปีกมองดูพระเสาร์ที่ยืนนิ่งไม่ขยับแต่รอยยิ้มบนใบหน้านั้นกลับแสดงออกถึงความน่ากลัวที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้า

“ในเมื่อเจ้ามอบความเจ็บปวดให้กับบุตรของข้า…ข้าเองจักมอบความตายให้กับเจ้า...กนธี แต่ถ้าเจ้านั้นตายไปง่ายๆ ข้าคิดว่าไม่สนุกจึงเมตตาให้เจ้าขยับมือ ขยับปาก ร่ายคาถา สาดอาวุธใส่ข้า” พระเสาร์เอ่ยน้ำเสียงราบเรียบปนเยาะเย้ย พระสมุทรตรงหน้าตอนนี้มิต่างอะไรกับพญาราชสีห์ที่ใกล้จะสิ้นลมด้วยน้ำมือนายพรานใหญ่เช่นตน

สุรเสียงดูแคลนผนวกกับถ้อยคำแสนถากถางทำให้กนธีนั้นโมโหขึ้นมา ด้วยนิสัยใจร้อนเป็นทุนเดิมและไม่คิดจะยอมแพ้ให้กับผู้ใด ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นมาพร้อมกับก้อนน้ำแข็งที่พุ่งเข้าใส่พระเสาร์

“อึก…อ้าก!!!!!” พระสมุทรผู้ชั่วร้ายร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ก้อนน้ำแข็งของตนกลับถูกวงแหวนตัดทำลาย ทั้งเศษซากน้ำแข็งยังพุ่งเข้าหาบาดฝ่ามือที่ใช้มนตราของกนธีจนโลหิตหลั่งไหลแดงฉาน

‘ควับ…ควับ’ ชลันธรรีบปิดตาซุกอกแกร่งของคนรัก ภาพที่ได้เห็นช่างโหดร้ายเสียเหลือเกิน พระเสาร์ควบคุมวงแหวนให้บาดผิวกนธีคล้ายกับถูกแส้ฟาด วงแหวนกรีดบาดลงบนท่อนแขน แผงอก หน้าท้อง ขา แผ่นหลัง ไม่เว้นแม้แต่ใบหน้า ไม่ใช่เพียงแผลสองแผลหากนับไม่ถ้วนจนเลือดนั้นอาบกายทั้งยังเผื่อแผ่ชโลมดิน

“เป็นอย่างไรเล่า ลิ้มรสความเจ็บปวดแล้วพอจะตอบได้หรือไม่ว่ามันทรมานเพียงใด…พระสมุทรกนธี!!!” พระเสาร์เอ่ยถามพร้อมก้าวขาเข้าหากนธี โดยลืมไปว่า….

“พระเสาร์!!!!” นภนต์และชลันธรร้องออกมาพร้อมกัน เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้า

‘ฉึก’ ปลายตรีศูลแหลมคมถูกแทงเข้าไปที่หน้าท้องของพระเสาร์จนมิดคมปลายหอกสามง่าม พระเสาร์ยืนนิ่งไม่ขยับ พักตราดุดันแสดงอาการเจ็บเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้ามองตรีศูลที่ทิ่มแทงทะลุร่าง หัตถาใหญ่ขยับจับด้ามตรีศูลไว้แน่น

“ฮึ…น่าอนาถยิ่งนักทั้งพ่อทั้งลูกตายด้วยน้ำมือของข้า” กนธียิ้มเยาะให้กับความประมาทเลินเล่อของพระเสาร์

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า!!” ไม่ใช่เสียงหัวเราะของกนธี หากเป็นของพระเสาร์

“ท่านต้องตรีศูลจนเสียสติไปแล้วหรือไร”

“ข้าขออภัยที่ข้านั้นมิอาจตายสมใจเจ้า อาวุธของเจ้าเป็นหนึ่งในศาสตราวุธวิเศษก็จริง แต่มิอาจทำให้ข้าระคายได้ ไม่ว่าจะทิ่มแทงข้าอีกสักกี่ครั้ง” ไม่พูดเปล่าหัตถาใหญ่ดึงตรีศูลและแทงเข้าร่างตนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไร้เสียงร้องแห่งความเจ็บปวด ไร้ซึ่งโลหิตที่ควรจะชุ่มตรีศูล พลันร่างของพระเสาร์ตรงหน้ากนธีแตกกระจายกลายเป็นละอองฝุ่นก่อนจะก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างอีกครั้งอยู่ข้างกายกนธี

“หรือว่า…” ผู้ที่ประมาทมิใช่พระเสาร์ กลับเป็นกนธีเสียเองที่ไม่สังเกตเลยว่าพระเสาร์ที่ตนกำลังเผชิญหน้าอยู่นั้นไร้เงาติดกาย...ความคิดที่ว่าตนจะชนะกลับแทนที่ด้วยความกลัวจนใบหน้าซีดเผือด

“ใช่นี่คือกายทิพย์ที่ข้านั้นถอดจิตให้ลงมาตามหาลูก แต่ไม่ใช่สาระสำคัญเท่ากับสิ่งที่เจ้า...นั้นกำลังจะได้พบเจอ” พระเสาร์ยิ้มมือข้างหนึ่งบีบจับปลายคางกนธีให้หันมา ส่วนอีกข้างนั้นถอดหน้ากากที่ปกปิดดวงตามรณะเอาไว้

“อ้าก!!!!!” กนธีกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ทันทีที่สบตาสีม่วงเข้มก็เหมือนถูกดูดกลืนเข้าไปในความมืดมิด

“พระสมุทรกนธีเอ๋ย…จงทรมานด้วยบาปเวรที่เจ้าเคยก่อไว้ !!!” หัตถาที่จับปลายคางเลื่อนขึ้นไปจับตรงขมับ ดวงตาที่เคยซ่อนภายใต้หน้ากากคอยสะกดจิต อีกทั้งยังบีบกดประสาท ด้วยภาพหลอนบาปเคราะห์ทั้ง ๗ ประการที่กนธีเคยกระทำไว้

ในภวังค์ของกนธี ความมืดมิดนั้นถูกแทนที่ด้วยแสงสีน้ำเงินที่ฉายภาพ ‘ราคะ’ ของกนธีกำลังข่มขืนฝืนกาย ฝืนใจ ทั้งสตรีแรกรุ่น บุรุษหนุ่มร่างบางนับไม่ถ้วน ก่อนภาพจะหลอมรวมนั้นจะกลายเป็นงูยักษ์เลื้อยพุ่งเข้ามาฉกไม่ว่าจะเป็นแขน เป็นขา รวมถึงแก่นกายเทพพระสมุทรอย่างว่องไว...

“โอ๊ย!!!!...หยุดกัดข้า!!!...อ๊าก!!!” กนธีแหกปากร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดจากคมเขี้ยวอสรพิษ แต่ในโลกของความเป็นจริงนั้น นภนต์และชลันธรเห็นกนธียืนร้องโวยวายโดยมีพระเสาร์คอยสะกดจิตอยู่

กลับมาที่มโนภาพของกนธี งูยักษ์ที่ฉกกัดเปล่งแสงสีส้มแทนสัญลักษณ์ ‘ตะกละ’ ไม่รู้จักเอื้อเฟื้อแบ่งปัน ไหนจะกินทิ้งกินขว้างไม่รู้จักคุณค่าของข้าวปลาอาหาร ภาพบาปในอดีตกระจ่างชัดนัยน์ตาของกนธี ก่อนที่หูจะได้ยินเสียงฝีเท้านับร้อยนับพันดังอักทึกปรากฎหนูโสโครกนับหมื่นนับพันตัววิ่งเข้าปากกนธี พระสมุทรนี้รู้สึกจุกแน่นด้วยพวกหนูสกปรกลงในท้องจนอัดแน่นล้นอก

‘พรวด!!’ ขยะแขยง…มันน่าขยะแยงเสียเหลือเกิน กนธีมิสามารถอดทนได้จึงสำรอกออกมาจนน้ำเมือกสีคล้ำเปรอะเปื้อนร่างกายของตนเอง เพียงสองบาปกนธีก็ทุกข์ทรมานจวนเจียนจะขาดใจ

หนูโสโครกนับหมื่นนับพันแตกตื่นหนีหาย….แลปรากฏกบยักษ์กระโดดเข้ามาใกล้ ผิวของมันต่างจากกบทั่วไป ผิวกายอาบพิษสีเหลืองดั่งกลีบดอกทานตะวัน ถึงจะดูสวยงามหากมันอ้าปากน้ำเดือดก็พุ่งเข้าสาดใส่กายกนธีจนทรมาน…ทรมานกับ ‘โลภะ’ ความทะเยอทะยานอันแรงกล้าที่อยากได้ทรัพย์สมบัติ บัลลังก์ อำนาจเหนือใครในมหาสมุทร

“ร้อน…ร้อนเหลือเกิน…อ้าก!!!...พอ!!!!..พอได้แล้ว!!!”

“พระเสาร์พอเถิด…พอได้แล้ว…” ชลันธรมิอาจนิ่งดูดายได้อีกต่อไป ถึงกนธีจะชั่วช้าก็จริง วางแผนแย่งชิงบัลลังก์จากตนก็ตามทีแต่ชลันธรอดสงสารไม่ได้ที่เห็นพระปิตุลาทีเคยสง่างามกลับมีสภาพไม่ต่างจากซากศพเน่าเฟะที่มีลมหายใจ

“ท่านนภนต์จงให้อดีตเทพสมุทรเงียบเสีย มิเช่นนั้นข้าจะไม่ละเว้นพวกท่าน” พระเสาร์เอ่ยปรามเทพผู้มีปีก เลยทำให้ชลันธรมิกล้าเอ่ยอันใดออกมาอีกเพราะนอกจากตนจะเดือดร้อนคนเดียวไม่พอจะลากนภนต์คนรักมาเผชิญกับความน่ากลัวของพระเสาร์อีกไม่มีเว้น

ส่วนกนธีนั้นหลังจากที่รับโทษทัณฑ์จากบาปแห่งโลภะแล้ว ก็ถูกต้อนให้ตกบ่อลึก ก้นบ่อมีอสรพิษร้ายมากมายนับรอย รอฉกกายจนเนื้อตัวมีแต่คมเขี้ยวจากผลแห่งบาป ‘เกียจคร้าน’ ผ่านไปสักพัก ‘โทสะ’ ก็ตามมา กนธีถูกวิญญาณร้าย เจ้ากรรมนายเวรที่ตนเคยสร้างความหมางใจฉีกร่างเป็นชิ้นๆ ก่อนจะผสานคืนและถูกฉีกดังเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยังไม่พอ ‘ความริษยา’ ที่มีต่อผู้เป็นพระเชษฐานั้น ได้เป็นเข็มแหลมคมร้อยด้ายเข้ามาแทงเย็บเปลือกหนังตาของกนธีเข้าด้วยกันมิให้ลืมเนตรมองเห็นสิ่งใด

“ดวงตา!!!...โอ๊ย!!!!....ตาของข้า!!!” กนธีกุมตาทั้งสองไว้ มันช่างเจ็บปวดทรมานยิ่งนัก การที่ถูกพระเสาร์สะกดจิตปั่นป่วนประสาทไม่ต่างอะไรกับการเผชิญทั้งที่มีลมหายใจ…แม้จะเบาบางก็ตามที

“อย่าเพิ่งตายพระสมุทรกนธี…ยังมีบาปสุดท้าย ‘อัตตา’ ให้ท่านได้ลิ้มรส ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เพลานี้ไม่มีใครอยากจะเอาเรือเข้าขวางทางกระแสน้ำเชี่ยว ไม่สิเรียกว่าเกลียวคลื่นคะนองน่าจะเหมาะเสียกว่า มิมีใครสามารถจะหยุดพระเสาร์ได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นชลันธรหรือนักรบผู้เก่งกล้าอย่างนภนต์

‘อัตตา’ หรือ ‘ความเย่อหยิ่ง’ บทลงโทษนี้เป็นบทสุดท้ายที่จะขยี้กนธีให้แหลกลาน ด้วยมีวิญญาณที่เคียดแค้นกนธีที่เคยฉีกร่างได้กลับมารุมจับพากนธีมัดกับกงล้อและร่วมกันผลักดันกงล้อนี้ให้หมุนวนจนร่างบอบช้ำถูกบดไปกับพื้น

“อ้าก!!!!!....” ถึงจะเป็นภาพลวงตาแต่ความเจ็บปวดนั้นเป็นของจริง กนธีทรุดลงนั่งกับพื้นดินดิ้นทุรนทุราย หากกระนั้นพระเสาร์ไร้ความเมตตา ไม่ยอมปล่อยมือจากศีรษะของกนธีผู้ที่ทำร้ายและเหยียดหยามนาคินทร์ผู้เป็นบุตร การกระทำที่มีความแค้นคอยหนุนนำด้วยใจหมายมั่นจะฆ่าเทพทรลักษณ์นี้ให้สิ้นชีวาคามือตน



หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.32 P.11 (22/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 22-10-2017 21:28:38
(ต่อ)



“พระเสาร์!!! หยุดเถิด…เราว่านำตัวท่านอาไปให้พระผู้สร้างตัดสินเสียดีกว่า” ถึงจะโดนขู่แต่ชลันธรก็เสี่ยงร้องห้าม ไม่อยากให้ผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพระปิตุลาต้องมาตายอย่างทรมานเช่นนี้

“พระเสาร์!!! ท่านทำเช่นนี้ไม่เป็นการดีสำหรับท่านเป็นแน่!!!” นภนต์เองคอยห้ามพลางจ้องมองกนธีที่ใบหน้าบูดเบี้ยวทุกข์ทรมานเต็มที ทว่าเสียงของทั้งสองคล้ายจะเป็นเพียงลมพัดผ่านหูซ้ายทะลุหูขวาเท่านั้น

ขณะเดียวกัน ณ เชิงเขาไกรลาส สระสัตบงกชแสนงดงามอันเป็นที่ตั้งของวิมานหยกแก้ว อันมีเทพรูปงามนามพระพุธเป็นผู้รั้งวิมาน เพลานี้กายงามกำลังนั่งวิปัสนาอยู่เพียงลำพัง ทว่าระหว่างที่ทำสมาธิอยู่นั้นกลับมีเสียงของใครบางคนแทรกเข้ามาในห้วงความคิด

…‘พระพุธเอ๋ย…มีเพียงท่านที่ช่วยได้’…

“ท่านเป็นใครแล้วจักให้ข้าช่วยอันใดกัน” เปลือกตาค่อยๆเปิดออก พระพุธมองหาเจ้าของเสียงกลับไม่พบผู้ใด พลันฝุ่นละอองสีขาวบริสุทธิ์พัดวนก่อขึ้นรูปเป็นหน้าของพญาสีหราชกายเผือก

“ข้าพระราหูอย่างไรเล่า...”  พญาสีหราชกายเผือกเอ่ยนาม ทำเอาพระพุธที่ได้ยินนั้นประหลาดใจไม่น้อย ด้วยเทพยักษ์กายครึ่งนาคตนนี้ที่เป็นเหมือนดั่งแฝดคนละฝามาพบตนถึงวิมาน ถึงจะมาด้วยกระแสจิตส่งผ่านสัตว์พาหนะก็ตามที

“พระราหู ท่านมีธุระอะไรกับข้า...”  พระพุธรีบเอ่ยถาม ด้วยการที่พระราหูมาพบเช่นนี้ย่อมมีเรื่องไม่ธรรมดา...คงจักเป็นธุระการใหญ่อยู่มิใช่น้อย...

 “ด้วยบัดนี้ ณ ป่ากันติทัตใกล้วิมานเทพกาลเวลา พระเสาร์กำลังจะสังหารพระสมุทรกนธีที่ทำร้ายนาคินทร์ผู้เป็นบุตร หากพระเสาร์ปลิดชีพพระสมุทรกนธีสำเร็จแล้วไซร้ คงมิพ้นต้องทัณฑ์เทวาสถานหนักเป็นแน่ ซ้ำยังส่งผลให้มหาสมุทรบนโลกมนุษย์ปั่นป่วน ดังนั้นข้าจึงขอให้ท่านไปห้ามศึกนี้ เพราะท่านเป็นเพียงผู้เดียวที่จักทำให้พระเสาร์หยุดการกระทำได้”…พระราหูส่งกระแสจิตบอกเรื่องร้อนใจผ่านพญาสีหราชกายเผือกกับพระพุธ

“ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงข้าจักรีบห้ามพระเสาร์เอง…ขอบน้ำใจท่านมากที่มาบอกข้า”

…‘มิเป็นไร’...

สิ้นเสียงพระราหู พระพุธจึงลุกออกจากแท่นศิลาเดินตรงไปยังกระจกเงาบานใหญ่ ริมฝีปากอิ่มพึมพำท่องมนตราเปลี่ยนภาพกระจกเงาที่สะท้อนกายตน กลายเป็นภาพของพระเสาร์ที่กำลังใช้บาป ๗ ประการทรมานพระสมุทรกนธีและยังมีเทพนักรบผู้มีปีกรวมถึงอดีตพระสมุทรอยู่ในเหตุการ์ด้วย

“ไม่ได้การแล้ว…” พระพุธเอ่ย ดัชนีเรียวจรดลงบานกระจกเงาก่อนกายบางจะถูกดูดกลืนเข้าไป พระพุธใช้กระจกวิเศษผ่ามิติเดินทางไปหาพระเสาร์ผู้ที่ตนเคารพไม่ต่างจากพระเชษฐาร่วมอุทร เพื่อยุติสถานการณ์เลวร้ายนี้ไว้ พระพุธย่างก้าวข้ามมิติมายังกันติทัตไพรวัลย์และยืนอยู่ตรงหน้านภนต์และชลันธรพอดิบ พอดี

“เกิดอันใดขึ้น ไยพระสมุทรถึงถูกพี่เสาร์ทำร้ายถึงเพียงนี้”

“พระสมุทรกนธีผู้นี้ช่างชั่วช้ายิ่งนัก ได้ทำร้ายนาคินทร์ด้วยตรีศูล เมื่อพระเสาร์รู้เข้าจึงได้จัดการพระสมุทรกนธีอย่างที่ท่านได้เห็น” นภนต์เล่าต้นตอของเรื่องที่เกิดขึ้น พระพุธได้สดับฟังนึกใจหาย ทั้งห่วงหลานที่บาดเจ็บ แลเวทนาพระสมุทรกนธีที่หาเรื่องตาย

“ข้าพอจะเข้าใจเรื่องราวแล้วว่าแต่พวกท่านเถิด เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่ ไยไม่รีบไปเสียที่อื่น”

“จะให้เราสองไปได้เช่นไรเล่า ทั้งเราและท่านพี่นภนต์ต่างถูกลูกหลงโดนเวทย์ของพระเสาร์ตรึงขามิให้ขยับ ไหนจะดวงใจพระสมุทรของเราที่ตกอยู่ในมือพระเสาร์” ชลันธรตอบ พระพุธพยักหน้ารับเมื่อรู้ความจริง

“ถ้าเช่นนั้นอย่าได้กังวลเลย ข้าจะช่วยพวกท่านเอง” พระพุธเอ่ย กายบางแปลงรัศมีแสงสีเขียวอ่อนเดินหน้าหาผู้ที่ตนนับถือเป็นพี่ พอเข้าใกล้ก็พบว่าพระเสาร์ใช้กายทิพย์ หากจะเข้าห้ามให้ได้ผลดีเที่ยงแท้จักต้องเผชิญหน้ากับร่างที่แท้จริง

“ท่านนภนต์ อดีตพระสมุทรชลันธร รอข้าสักครู่”

“ท่านจักไปไหน”

“วิมานของพี่เสาร์”

เมื่อให้คำตอบแล้ว เทวาผู้ทรงคชสารได้กลับเข้าทะลุมิติผ่านกระจกบานใหญ่ของตนไปในวิมานของพระเสาร์ ชั่วพริบตาพระพุธก็มาถึง ภายในวิมาณปกคลุมด้วยหมอกรัตติกาล พระพุธต้องเพ่งเนตรพินิจจึงได้เห็นพระเสาร์กำลังนั่งขัดสมาธิ บนแท่นศิลาแก้ว รอบกายมีรัศมีแห่งความโกรธกริ้วอันเป็นที่มาของหมอกควันฟุ้งกระจาย

‘ไม่ได้การแล้ว หากกมอกควันนี้มีมากจักต้องเป็นอันตรายต่อสรรพสิ่งทั้งปวง’

“พี่เสาร์” พระพุธมอรอช้าเร่งวิ่งเข้าหาพระเสาร์ สองกรรวบกอดกายหนาจากด้านหลัง พระพุธร่ายมนต์ก่อเกิดร่างทิพย์ที่โอบกอดโปร่งแสงขึ้นมาประจักษ์ต่อหน้านภนต์และชลันธร ณ ป่ากันติทัต พระเสาร์ต้องชะงักงั้นด้วยเดินพลังติดขัด เมื่อเหลียวหลังสบมองก็พบว่าเทพกายรัศมีแสงสีเขียวโอบกอดกายตนอยู่...

“เจ้าพุธ นี่เจ้ากำลังทำอะไร...เจ้ามิเห็นหรือว่าข้ากำลังทำอันใดอยู่ ไยถึงได้มากอดรัดข้า ปล่อยข้าบัดเดี๋ยวนี้” พระเสาร์พอใกล้พระพุธแม้พลังจะอ่อนลงแต่ยังรุนแรงพอที่ทำให้กนธีเจ็บปวด

“พุธต้องทำเพราะพุธรู้ว่าพี่จักสังหารพระสมุทรกนธี พุธมาที่นี่เพื่อห้ามท่านพี่มิให้วู่วามลงมือก่อนที่พระผู้สร้างจะทรงไตร่สวน” พระพุธเอ่ยด้วยวอนขอเทพผู้พี่ให้หยุดการทรมานพระสมุทรเสียและกระชับกอดให้แน่นยิ่งขึ้น

“เจ้าเด็กโง่ เจ้ามิรู้หรือพระพริษฐ์นั้นมิกล้าลงทัณฑ์เทวากับข้าแน่ ถึงจะทำข้ายอมโดนลงอาญา ยอมรับในทัณฑ์เทวา ในเมื่อพระสมุทรผู้นี้ทำร้ายลูกของข้า เจ้าได้ยินหรือไม่ว่าลูกเพียงผู้เดียวของข้าถูกพระสมุทรผู้นี้ทำร้าย !!!”  อารมณ์เกรี้วกราดพุ่งทะยานถึงขีดสุด ยังเกิดอสุนีบาตมากมายผ่าลงทั่วผื่นป่ากันติทัติ ผืนปฐพีสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่ว หนึ่งแสงอสุนีบาตผ่าลงใกล้กับนภนต์และชัลนธร แม้มีปีกภัสดาป้องไว้ชลันธรก็อดหวาดผวามิได้ แม้เป็นเพียงกายทิพย์พลังของพระเสาร์ยังมากมายมหาศาลถึงเพียงนี้

“พุธรู้แล้ว…แต่พี่เสาร์คิดให้ดีเถิดนะ การที่ท่านพี่ทำเช่นนี้มันไม่ดีต่อตัวท่านพี่หรือใครทั้งนั้น  พุธจะไม่ยอมให้พี่เสาร์ต้องทัณฑ์เทวาเด็ดขาด...”

“ปล่อยข้าได้แล้วเจ้าเด็กโง่...นี่มันไม่ใช่เรื่องของเจ้า...”

“ไม่...หากพี่มิหยุดการนี้...พุธก็จะขอร่วมการนี้ด้วย...เด็กโง่เขลาเช่นพุธจะยอมรับทัณฑ์เทวากับพี่เสาร์ด้วย...”

“ไม่!!! ข้าไม่ยอมเป็นอันขาด...เจ้าจะรับทัณฑ์ร่วมกับข้าได้อย่างไร...” พระเสาร์ยังคงดื้อแพ่งไม่ยอมปล่อยกนธีดังคำที่พระพุธว่า

“หากพี่เสาร์ไม่ยอมให้พุธร่วมในทัณฑ์เทวา พุธเองจำต้องใจร้ายกับพี่ พี่เสาร์อย่าลืมสิว่าถ้าพุธได้ลงมือพี่เสาร์อาจจะนิทรานับแต่นี้ไปถึงสามราตรี ครานี้อย่าว่าแต่จัดการพระสมุทรกนธีเลย แม้แต่แรงจะลืมตาก็หาไม่” น้ำเสียงเรียบนิ่ง ไม่บ่อยนักที่พระเสาร์จะได้ยินพระพุธเอื้อนเอ่ย

“ก็ได้…ข้าจะยอมปล่อย” พระเสาร์มิได้เต็มใจนัก หน้ากากถูกนำกลับมาใส่อีกครั้งเพื่อปกปิดดวงตาพิฆาตไว้ กนธีเองล้มลงไปนั่งนอนหอบกับพื้นอย่างอ่อนแรง จากที่ได้เห็นสภาพของกนธี ก็พอจะคาดเดาได้ว่าคงหายใจได้อีกไม่นาน

“พี่เสาร์คลายมนต์ให้เทพนภนต์กับอดีตพระสมุทรชลันธรแล้วกลับวิมานก่อนเถิด ทางนี้ปล่อยพระสมุทรกนธีให้พุธ เป็นฝ่ายจัดการเถิด” พระพุธเกลี้ยกล่อม พระเสาร์ได้ฟังก็ทำตามอย่างว่าง่าย กายทิพย์พระเสาร์สลายกลายเป็นฝุ่นละออง เมื่อพระเสาร์จากไปพระพุธในร่างทิพย์ก็รีบเดินไปหานภนต์กับชลันธร

“โปรดจงรับกลับไปเสีย...นี่ของๆ ท่าน” จังหวะที่สวมกอดพระเสาร์พระพุธได้ลักเอาดวงใจพระสมุทรออกมาจากมือ เนื่องจากพระเสาร์โมโหจัดจนไม่สนใจว่าดวงใจพระสมุทรหลุดมือไปอยู่กับพระพุธ ชลันธรรับดวงใจพระสมุทรกลับคืนมาไว้กับตนเอง

“ขอบน้ำใจท่านมากพระพุธ” ชลันธรเอ่ย

“มิเป็นไรดอก ข้าว่าพวกท่านรีบไปเสีย โดยใช้กระจกมิติมายาของข้า ส่วนทางนี้ข้าจะจัดการเอง” พระพุธเอ่ย

“ข้าจะอยู่ช่วยท่านจับพระสมุทรกนธีก่อน” นภนต์บอกกับพระพุธ ด้วยเทวาตรงหน้ามิได้เกี่ยวข้องกับเรื่องราวตั้งแต่แรก ซ้ำรูปร่างมิได้กำยำเช่นนี้ นภนต์กลัวพระพุธจักเพลี่ยงพล้ำเสียท่าได้ แม้กนธีจะอ่อนแรงก็ตามทีแต่ก็มิอาจวางใจด้วยเล่ห์เหลี่ยมนั้นแพรวพราวยิ่งนัก

“เจ้าอย่ากังวลข้านั้นถึงจะไม่ได้กรีฑาทัพบ่อยเยี่ยงท่าน หากครั้งใดที่ข้าทำศึกครั้งใด…ข้ามิเคยแพ้พ่ายผู้ใด...หากเจ้าได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์สงครามสวรรค์มาก็ข้านี่ไงเล่าที่มีชัยเหนือพญามารล้านภาคที่ยอดเขาเศียรเศวต และเมื่อครู่ก็ประจักษ์แก่สายตาแล้วมิใช่หรือว่าพี่เสาร์ที่ว่าพวกท่านกลัวนักกลัวหนาข้าก็ยัง...สยบได้... อีกอย่างข้าเองมิรู้ว่าพระเสาร์นั้นจะย้อนกลับลงมาอีกเมื่อไร ถึงเวลานั้นแม้ข้าจะใช้อำนาจสะกดพลังพระเสาร์ได้ หากเกิดการสะท้อนจากแรงปะทะ ทุกสรรพสิ่งในผืนป่ากันติทัติแลอดีตพระสมุทรในร่างมนุษย์น้อยจะกลายเป็นผุยผง” พระพุธเอ่ยออกมา ใบหน้างามหันมองกนธีที่สิ้นฤทธา

“นอกจากพระพุธ ข้านั้นจักร่วมจับกุมพระสมุทรผู้นี้ให้ถูกกักขังในคุกแห่งกาลเวลา…คุกนาฬิกาทรายของข้า” เทพผู้ถือนาฬิกาทรายยักษ์ที่น้อยนักจะมีผู้ใดได้เห็นมัน นาฬิกาทรายยักษ์คือคุกแห่งกาลเวลาที่แสนน่ากลัว บัดนี้เทพกาลเวลาได้ฟื้นฟูพละกำลังจนคืนสู่ร่างชายวัยกลางคนเอื้อนเอ่ย แท้ที่จริงเทพกาลเวลานั้นจักตามมาตั้งแต่แรก หากร่างกายกลับทรยศเจ็บปวดเพราะคืนสภาพ จึงต้องใช้เวลาสักระยะในการปรับตัว ก็เร่งรีบตามมาสมทบจนได้ยินบทสนทนาและภาพตรงหน้าจึงพอจะคาดเดาสถานการณ์ได้

“ข้าขอขอบน้ำใจท่านทั้งสองมาก ถ้าเช่นนั้นข้ากับอดีตพระสมุทรขอฝากการนี้กับพวกท่านให้ช่วยสานต่อด้วย...” นภนต์เอ่ยแล้วพาชลันธรออกผ่ามิติผ่านกระจกเงาของพระพุธเพื่อออกจากป่าแห่งนี้

“เทพกาลเวลา…ข้ามีเรื่องให้ท่านช่วย” พระพุธเอ่ยวอนขอเรื่องหนึ่ง

“ว่ามาเถิด ถ้าจักให้จับพระสมุทรกนธีข้านี้พร้อมแล้ว” เทพกาลเวลาผู้พร้อมด้วยกำลัง ยามนี้พร้อมแล้วที่จะคุมขังพระสมุทรกนธีเพื่อนำไปให้พระผู้สร้างลงทัณฑ์เทวา

“อย่าเพิ่ง…ได้โปรดรอข้าก่อน ให้ข้านั้นคืนสู่ร่างเดิมเสียก่อน” จบประโยคร่างโปร่งแสงสียอดตองอ่อนก็เลือนสลายเป็นละอองระยิบระยับ

“มาแล้วหรือ เจ้าพุธตัวดี เห็นทีเข้ากับข้าจักต้องเจรจาการนี้กันให้รู้เรื่อง” พระเสาร์ที่คืนสู่ร่างได้ผลักไสกายบางของพระพุธให้ออกห่าง

“ตามที่พุธได้บอกไป พุธมิอยากให้พี่เสาร์ต้องทัณฑ์เทวาอาญาสวรรค์ ถึงพระสมุทรจะทำชั่วช้ากับลูกของพี่เสาร์ กับหลานของพุธ แต่การที่ลงไปสังหารเฉกเช่นพี่เสาร์ทำมันมิควร”

“แล้วเจ้าจักให้ข้าทำอย่างไรเล่า ให้ข้านิ่งเฉยไม่ทุกข์ร้อนหรือ”

“พุธหาได้ให้พี่เสาร์นิ่งเฉย หากแทนที่พี่เสาร์จะจัดการพระสมุทรกนธี สู้พี่เสาร์ไปตามหานาคินทร์และหาวิธีช่วยเหลือไม่ดีกว่าหรือ ส่วนพระสมุทรกนธี...พุธและเทพณิชนิรันดร์จักจัดการเอง” พระเสาร์ได้ฟังพระพุธเกลี้ยกล่อมก็ฉุกคิด ใจเริ่มโอนเอนตามด้วยพลังของพระศนิพ่ายแพ้พระจันทรัช จึงมิอาจขัดคำร่างโปร่งนี้ได้

“ได้…ข้าจะฟังเจ้าอีกสักครั้ง ข้าจักไปตามหาลูกของข้า” พระเสาร์เอ่ย มือยกพนมขึ้นกลางอุราท่องคาถาหายตัวไป

เมื่อพระเสาร์ใจเย็นลงและเลิกราที่จะสังหารกนธี พระพุธจึงข้ามมิติกลับคืนสู่ป่ากันติทัติอีกครา กายบางผู้อาจะหาญยืนเคียงข้างเทพกาลเวลาที่ยืนมองกนธีที่นอนหายใจโรยริน ดูน่าสมเพสเกินกว่าจะบอกใครว่าเป็นผู้ครองบัลลังก์มุกสีคราม พระพุธเองยืนมองกนธีนัยน์ตาไม่แสดงอารมณ์ใดออกมา…‘เพื่อจัดการผู้ที่ทำร้ายหลานของข้า ถึงจะไม่ใช่หลานแท้ๆ ทางสายโลหิต แต่ข้าจักจับกนธีผู้นี้ไปรับโทษให้ได้’…

“เทพกาลเวลา ข้าว่าเราสองอย่าเสียเวลาเลยรีบจับกุมพระสมุทรผู้นี้เสียก่อนกำลังจะกลับคืน” พระพุธเอ่ยพลางเดินวนรอบกายกนธี

“ถ้าเช่นนั้นท่านจงถอยห่างออกมา” เทพณิชนิรันดร์บอกกับพระพุธ ก่อนจะเสกคาถาเปิดฝาไม้สลักนาฬิกาทรายสีปีกกา

“อึก…คิดจะจับข้าหรือมันไม่ง่ายอย่างที่พวกท่านคิดดอก” ถึงจะอ่อนแรงแทบสิ้นชีพ กนธียังเอื้อมจับด้ามตรีศูลที่อยู่ไม่ไกล ดัชนีเรียวลูบไปยังไพลินสีน้ำทะเลที่ฝังอยู่บนด้าม พลันเกิดดอกไม้ทะเลมากมายมาหุ้มกายกนธี

“ทั้งที่ใกล้ตายยังมีซ้อนกล” เทพกาลเวลาเอ่ย…‘ถึงจะหลบอยู่ในนั้นแต่ก็มิอาจสู้รบได้อยู่ดี’...

“ทรายแห่งกาลเวลา จงดูดกลืนเทวาพระสมุทรชั่วผู้นี้เถิด” ไม้สลักด้านบนของนาฬิกาทรายถูกเปิดออก ทรายสีดำขลับลอยออกมาจะห่อหุ้มกายกนธีเอาไว้แต่ถูกดอกไม้ทะเลป้องกันมิให้เม็ดทรายได้แตะต้องโดนกายกนธี

“ข้าบอกแล้วว่าพวกท่านจับข้ามิได้” กนธีเยาะเย้ย ตนเป็นถึงพระสมุทรผู้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรมีหรือจะยอมให้ถูกจับกุมโดยง่าย

“เทพกาลเวลา…ข้าขอจัดการเอง” สุรเสียงไพเราะเอื้อนเอ่ย

“อะไรกัน…ลูกชู้อย่างเจ้าจะมาจับข้าหรือพระพุธ เจ้าลูกชู้ที่ถูกทิ้งในท้องช้าง พอเกิดมาก็เอาแต่นั่งสมาธิจะมีฤทธิ์อันใดมาจับข้า” กนธีเย้ยหยันชาติกำเนิดของพระพุธ

“ข้าขอชื่นชมท่านเป็นอย่างสูง…ท่านกนธี นอกจากท่านเก่งในการรบ การวางแผน เก่งในเรื่องชั่ว ท่านยังเก่งในการเอาตัวเองเข้าใกล้หุบเหวแห่งความตาย” พระพุธเอ่ยและเดินเข้าไปใกล้ดอกไม้ทะเลของกนธี

“ท่านคงจะลืมไปเสียว่าข้านั้นเป็นผู้เดียวที่หยุดพระเสาร์ผู้ที่ต้องการส่งตัวท่านสู่แดนอเวจี ข้าเป็นผู้เดียวที่พระอาทิตย์อ่อนแรง แทบสิ้นกำลังยามเข้าใกล้ ท่านคงไม่รู้ว่าข้านั้นไร้พ่ายในการศึกด้วยพรเทวาประทานจากอดีตพระผู้สร้าง และท่านคงไม่รู้ว่าข้านั้น…ร้ายกาจกว่าที่ท่านคิดไว้มาก...” ยามเย็นพระพุธนี้ก็เย็นเป็นหนักหนา ยามร้อนก็มิต่างจากลาวาที่ปะทุจากภูเขาไฟ ปลายนิ้วงามสัมผัสถูกกลีบดอกไม้ทะเล  ก็บังเกิดอัคคีสีขาวบริสุทธิ์ค่อยๆ เผาผลาญเหล่าดอกไม้ทะเลจนลุกลามมอดไหม้เผยร่างกายของกนธี ทว่าอัคคีนี้ไม่ได้ทำให้รู้สึกร้อนแต่อย่างใด

“หนาว…หนาวเหลือเกิน” กนธีนอนคุดคู้กอดกายด้วยความหนาวสั่น แสงสุรีสีขาวนี้มิใช่ไฟธรรมดาหากเป็นเพลิงหิมะ…ที่จะเผาผลาญและมอบความเหน็บหนาวกัดกินลึกสุดขั้วหัวใจ เป็นคาถาที่มีเพียงพระพุธเท่านั้นที่สามารถทำได้…เป็นคาถาประจำกายของผู้มีสมญานามว่าเตาไฟแช่แข็ง

“อย่าได้คิดจะมาดูถูกชาติกำเนิดของข้าอีก...” พระพุธเอ่ย ก่อนจะพยักหน้าส่งสัญญาณให้เทพณิชนิรันดร์จับตัวกนธีไปคุมขัง

“ทรายแห่งกาลเวลา…ถึงคราแล้วที่เจ้าจะนำพระสมุทรกนธีผู้นี้สู่ดินแดนของเจ้า”

เม็ดทรายนับล้านก่อตัวคล้ายกับคลื่นยักษ์กลบกายกนธีจนมิด จากนั้นจึงดูดกลืนร่างของกนธีเข้าไปในนาฬิกาทราย

“ไม่!!!...อ้าก !!!  ...พวกเจ้าจงจำไว้ให้ดีกาลภายหน้าสืบไป ตราบใดที่ข้ายังมีลมหายใจ ข้ากนธีจักขอสาปแช่งพวกเจ้าทุกคืนวันให้พวกเจ้าพบเจอหายนะ ชีวิตมีแต่ความวิบัติ!! ประสบแต่ความฉิบหาย!! ธุระสิ่งใดก็พังพินาศล้มเหลวย่อยยับ ไร้ความสุขเช่นเดียวกับสิ่งที่พวกเจ้าได้ทำกับข้า....!!!... ” นี่อาจจะเป็นเสียงสุดท้ายที่ลั่นออกมาจากปากของกนธี จากนี้ไปพระสมุทรกนธีจะเป็นแค่อดีต จะเหลือเพียงกนธีที่เป็นนักโทษในคุกกาลเวลาที่ไร้แสงสว่าง ทว่า…

…‘ความมืดมิดในคุกกาลเวลา’…

…‘สีของเม็ดทราย’…

…‘เทียบไม่ได้เลยกับความดำมืด ความชั่วร้ายในจิตใจของกนธี’…


















​..............................
สวัสดีค่ะ...เรียกได้ว่าฉากต่อสู้ยืดเยื้อมาถึงสามตอนติด หวังว่าจะไม่เบื่อกันนะคะ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.32 P.11 (22/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 22-10-2017 22:08:06
จะอัพอีกครั้งหลังวันที่ 29 ตุลาคม 2560 นะคะ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.32 P.11 (22/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 22-10-2017 23:01:16
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.32 P.11 (22/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: แม่น้องเปา ที่ 22-10-2017 23:36:06
เข้มข้นมาก รอตอนต่อไปค่ะ o13
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.32 P.11 (22/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Pe_no ที่ 23-10-2017 00:21:27
ลุ้นมาก :mew2:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.32 P.11 (22/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 23-10-2017 09:55:41


คนชั่วไม่ยอมรับผิด

รอขอรับ

หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.32 P.11 (22/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: ashbyipcet ที่ 23-10-2017 12:10:36
คุกการเวลานี่น่าจะสูบพลังกายไปด้วยน่ะ
ไหนๆจะลงโทษแล้วเอาแบบสุดๆไปเลย  :hao3:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.32 P.11 (22/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 23-10-2017 21:44:17
เมื่อไหร่ป๋าจะสิ้นฤทธิ์สักที  :mew5:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.32 P.11 (22/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 23-10-2017 23:59:02
กว่าจะจับกนธีได้นะ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.32 P.11 (22/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 24-10-2017 01:52:16
ลูกเล่นอิท่านกนธีเยอะจริงๆ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.33 P.11 (30/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 30-10-2017 06:03:36
สาปรัก…ทัณฑ์เทวา
Writer : Tan-Yung 0209
File : 33





หยดแล้ว…หยดเล่า โลหิตที่ไม่มีทีท่าจะหยุดไหลได้หลั่งรินลงสู่ใบไม้ใบหญ้าที่ปกคลุมผืนดินผิดกับลมหายใจเพียงแผ่วเบาที่รดอุราคล้ายจะขาดห้วงเสียให้ได้ทำให้ร่างสูงที่กำลังโอบอุ้มร่างอรชรเร่งเดินทาง แม้ทุกย่างก้าวจะต้องเผชิญกับความเจ็บปวดจากการสู้รบ ทว่ารพีพงศ์กลั้นความเจ็บดึงความอดทนของตนเพื่อที่จะเร่งพานาคินทร์ไปยังวิมานเทพกาลเวลา

“นาคินทร์…เจ้าห้ามหลับเป็นอันขาด เจ้าได้ยินสิ่งที่ข้าสั่งใช่หรือไม่” รพีพงศ์ถามหากเป็นการบังคับกลายๆ บังคับไม่ให้นาคินทร์เงียบ บังคับเพื่อที่รพีพงศ์จักได้รู้ว่านาคินทร์ไม่ไปไหน

“อึก..ขะ…ข้าได้ยินแล้ว” นาคินทร์ตอบเสียงสั่นพร่า อาการเจ็บทวีคูณขึ้นเรื่อยๆแต่นาคินทร์เลือกที่จะไม่ร้องออกมาเพราะไม่อยากให้รพีพงศ์กังวล โดยไม่รู้ว่ามือเรียวที่คอยยึดจับบ่ากว้างไว้กลับจิกเล็บฝังไปในเนื้อ นาคินทร์ระบายความเจ็บปวดของตนไม่รู้ตัว ด้านรพีพงศ์เองไม่คิดที่จะทักท้วงออกไป หากมันจักทำให้นาคน้อยรู้สึกดี…รพีพงศ์นั้นยินยอม

“พอถึงที่วิมานเทพกาลเวลา ข้าจะขอให้ท่านณิชนิรันดร์ช่วยเหลือเราสองออกจากป่านี้ เวลานี้เจ้าต้องอดทน อดทนเพื่อข้า”

“ข้าจักพยายาม…แค่ก..แค่ก” นาคินทร์กระอักเลือดออกมา ใบหน้าที่เคยมีเลือดฝาด ริมฝีปากที่เคยเอิบอิ่มกลับซีดขาวยิ่งตอนนี้กลับมีเลือดเปรอะเปื้อนจนรพีพงศ์ใจหาย…‘ข้าต้องเร่งฝีเท้าให้ไวที่สุด นาคินทร์เจ้าจักต้องไม่เป็นอะไร’...

ความหนาวคล้ายกับเหมันต์มาเยือน เข้าแผ่ซ่านปกคลุมห้อมล้อมทั้งสองไว้ ไม่ใช่อากาศที่แปรเปลี่ยนไป หากมีหมอกหนาขาวโพลนบดบังทัศนียภาพจนมองไม่เห็นทาง

‘แกร็ก’ กิ่งไม้ที่ตกหล่นตามพื้นถูกเหยียบแตกหักแต่ไม่ใช่รพีพงศ์เป็นผู้เหยียบ สุริยบุตรกระชับอ้อมแขนกอดกายนิ่มแนบชิด ดวงตาคมมองไปรอบๆ หาสิ่งผิดปกติ ลางสังหรณ์นั้นได้บอกว่ามีบางอย่างกำลังคืบคลานเข้ามา...เข้ามาใกล้...เข้ามาใกล้ทุกที...ทุกที

เงาตะคุ่มดำทมิฬของสัตว์สี่เท้าขนาดใหญ่เดินตรงมาหา จากที่เห็นเลือนลางด้วยม่านหมอกบังตาเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ทุกย่างก้าวที่เข้ามามักจะได้ยินเสียงหายใจฮึดฮัดสลับกับเสียงคำรามในลำคอ แม้จะไม่เต็มเสียงแต่รู้ดีว่าเจ้าของเสียงนี้มีพลังอำนาจอยู่ไม่น้อย จนกระทั่งรพีพงศ์และนาคินทร์ได้เห็นจนเต็มตา…พญาสีหราชปีกทมิฬ

นาคินทร์ซุกหน้าไปที่อกแกร่ง เพียงแค่ได้ยินเสียงคำรามในลำคอความกลัวก็เข้ามากัดกินความรู้สึกอื่นจนสิ้น…‘เวรกรรมอันใดกันหนอ ถึงได้เจอะเจอแต่ความยากลำบาก’…

“พญาสีหราชกายนิลเอ๋ย ข้าไม่อยากจะต่อสู้เจ้าได้โปรดอย่าทำร้ายและเปิดทางให้ข้านั้นพานาคน้อยผู้นี้ไปรักษาเถิด” รพีพงศ์ร้องขอ จักให้ต่อสู้ห้ำหั่นเวลานี้คงมิเป็นการดี ด้วยรพีพงศ์แทบจะไม่มีเรี่ยวแรงจะสู้ เรี่ยวแรงที่เหลืออยากจะเร่งพานาคินทร์ไปวิมานเทพกาลเวลามากกว่า นอกจากจะเสียแรง เสียเวลา ทั้งสองอาจจะต้องทิ้งชีวิตไว้กลางป่าแห่งนี้ก็เป็นได้

คำร้องขอดูเหมือนจะถูกส่งไปไม่ถึง พญาสีหราชปีกทมิฬยังคงก้าวเดินเข้าหาประชิดกายทั้งสอง รพีพงศ์ทำใจเย็นเป็นที่สุดถือเสียว่าจากนี้ไปจะเกิดอะไรก็ให้มันเกิด เทพหนุ่มจองมองดวงตาพญาสีหราชปีกทมิฬมิละเว้น หากจำต้องสู้ก็ต้องสู้ แต่ผิดคาดเมื่อยิ่งพินิจดวงตาของสัตว์ร้ายกายสีรัตติกาลนี้กลับไม่ดุร้าย แต่จ้องมองดวงตาของรพีพงศ์จนเห็นเงาสะท้อนในดวงตาคู่นี้แต่ไม่ใช่เงาของรพีพงศ์กลับเป็นเงาของเทวากึ่งอสุรา

“นี่ข้าพระราหู...โปรดจงอย่าได้กลัว...” พญาสีหราชปีกทมิฬเอ่ยนามแจ้งรพีพงศ์

“พระราหูหรอกหรือ...ทำไมท่านถึง...” รพีพงศ์เอ่ยนาม นาคินทร์ที่หวาดกลัวอยู่พยายามเบี่ยงหน้ามองเมื่อรู้ว่าผู้ใดมา

“นี่คือพญาสีหราชปีกทมิฬอันเป็นสัตว์พาหนะของข้า เจ้าจงรีบพานาคินทร์ขึ้นนั่งบนหลังของมันแล้วออกจากป่ากันติทัตแห่งนี้เสีย มิเช่นนั้นข้าจะไม่สามารถรับรองความปลอดภัยของพวกเจ้าได้...”

“หะ…เหตุใดเล่าถึงต้องเร่งออกจากป่า เราต้องการไปพบเทพกาลเวลาเพื่อช่วยเหลือนาคินทร์ แล้วทำไมท่านถึงได้ช่วยเราทั้งสองไว้ตั้งสองครั้งสองครา...” รพีพงศ์นึกสงสัยจึงสอบถาม

“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เจ้าจะตั้งคำถาม รีบเดินทางจากป่านี้เสียเถิด…เดินทางไปยังที่พวกเจ้านั้นต้องการ” พระราหูเอ่ย ก่อนที่เงาสะท้อนจะเลือนหายไป ไม่ทันที่รพีพงศ์จะได้กล่าวขอบคุณ

พญาสีหราชยอบหมอบอย่างรู้หน้าที่ รพีพงศ์อุ้มนาคินทร์ขึ้นไปนั่งลงบนหลังกว้างส่วนตนรีบขึ้นไปนั่งซ้อนกายทีหลังให้เชลยรักนั้นได้เอนกายพิงและตนจะโอบกอดให้ความอบอุ่น

“จริงสิ…เหนือป่าแห่งนี้มีลมพายุแรงที่แม้แต่พญาครุฑที่ฤทธิ์มากยังเต็มบินมิสามารถบินผ่าน เช่นนี้แล้วเราจะเหาะเหินออกไปได้เช่นไร...” เทพหนุ่มกังวลเมื่อนึกถึงข้อจำกัดนี้

“โฮก!!!!!!!!” พญาสีหราชปีกทมิฬร้องคำรามขึ้นฟ้า เสียงสะท้อนก้องดังช่วยแหวกกระแสพายุให้เปิดทาง สัตว์พาหนะของพระราหูรีบสยายปีกกว้างเหินทะยานบินขึ้นสู่ท้องฟ้าออกจากป่ากันติทัติ

“หนาว...ท่านรพีพงศ์ ข้าหนาวเหลือเกิน…” ด้วยอากาศที่เย็นแทรกซึมสู่ผิวกายนาคินทร์ นาคน้อยจึงอดเอ่ยออกมามิได้...

“กอดข้าสินาคินทร์...ข้าอยู่นี่แล้ว…ข้ากอดเจ้าอยู่มินานเจ้าจะหายหนาว” รพีพงศ์ปลอบโยนทั้งที่จริงร่างสูงกอดร่างบางไว้นานพอสมควร นึกหวั่นใจด้วยร่างกายตนนั้นแผ่ด้วยไอร้อนแต่กลับไม่สามารถทำให้นาคินทร์คลายหนาวได้

“พญาราชสีห์เอ๋ย…ช่วยพาเราทั้งสองไปยังวิมานเทพโอสถด้วยเถิด” รพีพงศ์บอกกับพญาสีหราชปีกทมิฬ

“ไม่…ข้าไม่ไป ท่านก็รู้ดีไม่ใช่หรือ ว่า… ไม่ว่าโอสถวิเศษขนานไหนก็หายื้อชีวิตข้าได้...” นาคินทร์เอ่ย ตาสวยจ้องมองคนที่ตนรักไปด้วยจึงได้เห็นใบหน้าที่เคร่งเครียด นัยน์ตาโศกผ่านม่านน้ำตาที่คลอเบ้า หยุดคำพูดไว้เพียงเท่านั้นด้วยรู้ชะตาตนต่อจากนี้

“เจ้าไม่ต้องพูดอันใดแล้ว ข้าจะพาเจ้าไป…ข้าจะลองดู เจ้าจะต้องรอด...ต่อให้เทพโอสถใช้เลือดในกายข้าเป็นยาให้เจ้าดื่ม ข้ายินดีที่จะกรีดแขนรินเลือดให้เจ้า”

“มันมิมีทางหรอก...ท่านก็รู้...ถือเสียว่าข้าขอร้องท่านเถิด ให้ข้าได้ไปในที่ที่ข้าอยากไป ท่านพาข้าไปเถิดนะ…ได้โปรด” นาคินทร์อ้อนวอน

เพียงสถานที่เดียวที่นาคินทร์นั้นอยากไป...รพีพงศ์คิดแล้วว่าวันหนึ่งหมายที่จะพานาคน้อยนั้นไปเช่นกัน...เมื่อเป็นความต้องการของนาคินทร์แล้ว แม้รพีพงศ์นั้นอยากจะพากายงามไปพบเทพโอสถใจจะขาด...แต่เมื่อสถานที่แห่งนั้นอาจจะสถานที่เดียวที่ทำให้นาคินทร์มีความสุขได้ในตอนนี้ เทพหนุ่มตันสินใจโดยพลัน มิได้สนว่ากาลข้างหน้าจะเกิดสิ่งใดขึ้น...

“พญาราชสีห์แห่งพระราหู ได้โปรดพาข้าและนาคินทร์ไปยัง...ทางช้างเผือก...ด้วยเถิด...” รพีพงศ์มิอาจต้านทานคำขอร้องของนาคน้อยในอ้อมอกได้ จึงจำยอมเปลี่ยนเส้นทางแม้ใจนั้นมิอยากทำก็ตามที สีหราชปีกทมิฬจึงเร่งโบยบินไปยังจุดหมายแห่งใหม่

โลกาสีน้ำเงินนี้เป็นส่วนหนึ่งของดาราจักรทางช้างเผือก จึงไม่ใช่เรื่องยากที่รพีพงศ์และนาคินทร์จะเดินทางไปยังจุดที่สว่างที่สุดของทางช้างเผือก ห้วงจักรวาลแสนกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตประกอบด้วยดวงดาวน้อยใหญ่มากมายบ้างส่องประกายแต่งแต้มความมืดให้น่าดูชม พญาสีหราชปีกทมิฬบินเหินผ่านเหล่าดาวนพเคราะห์ ดาวฤกษ์ที่มีลักษณะต่างกัน รพีพงศ์ที่เดินทางท่องเที่ยวอยู่บ่อยครั้งไม่รู้สึกตื่นเต้นกับหมู่ดารานับล้านนี้เลย เพราะสายตาจ้องมองใบหน้างามที่ยังคงหายใดรวยริน ที่ตอนนี้สนใจสิ่งแปลกใหม่ที่เพิ่งเคยได้เห็น...หากยังไม่ใช่เป้าหมายที่ทั้งคู่ต้องการจะไป

“ถึงแล้ว...” ชั่วอึดใจพระราหูส่งกระแสจิตผ่านพญาสีหราชจึงเอ่ยว่าถึงที่หมาย สี่เท้าหยุดยืนลงที่อุกกาบาตก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งพร้อมยอบกายลง รพีพงศ์จึงอุ้มนาคินทร์ลงมาก่อนที่พญาราชสีห์ใหญ่จะหันหนีแล้วสลายกลายเป็นกลุ่มฝุ่นละอองสีนิลลอยหายไป

ใกล้ดาวเหนือคือบริเวณที่ทางช้างเผือกส่องสว่างมากที่สุด รพีพงศ์ประคองนาคินทร์ให้ยืนบนละอองสีขาวที่ล่องลอยตามพื้น นาคินทร์กวาดตามองชื่นชมความสวยงาม…‘งดงามยิ่งกว่าเสียงลือเสียงเล่าอ้าง งดงามเหนือของอัญมณีล้ำค่าหาที่ใดเสมอเหมือน’…

“นาคินทร์เจ้าอยากชมตรงอื่นอีกไหมข้าจะอุ้มเจ้าไปเอง” รพีพงศ์อาสาพาคนเจ็บที่พยุงกายเที่ยวชม

“ไม่ต้องแล้ว...เพียงเท่านี้ข้านั้นรู้สึกดีใจมาก หากท่านเมตตา ข้ามีเรื่องอื่นให้ท่านช่วยเสียมากกว่า”

“เจ้าจะให้ข้าช่วยเรื่องใดเล่า”

“สิ่งที่ข้าขอเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ข้าอยากจะนั่งบนตักของท่านให้ท่านกอดกายข้าจักได้หรือไม่”

“ได้สิ” รพีพงศ์รั้งกายบางให้นั่งลงพร้อมกับตน โดยมีตักกว้างให้นาคินทร์ได้นั่งดังที่ปรารถนาไว้ นาคินทร์เอนกายพิงอกแกร่ง มือเรียวหยิบจับละอองเพชรแล้วปล่อยให้ล่องลอยไป

“เจ้าชอบที่นี่หรือไม่นาคินทร์” รพีพงศ์ลูบผมนุ่มอย่างเบามือ ตาจ้องอิริยาบถของเชลยรักที่กำลังหลงใหลในทางช้างเผือกแสนกว้างใหญ่

“ชอบ...ข้าชอบมาก ข้าดีใจที่ท่านทำตามสัญญา” นาคินทร์เอ่ย เงยหน้าช้อนตามองใบหน้าหล่อเหลาของเทพหนุ่ม

“เจ้ารู้ดีว่าข้านั้นต้องพาเจ้ามาอยู่แล้ว ข้าไม่ผิดสัญญากับเจ้าดอก” รพีพงศ์เอ่ย แขนแกร่งกระชับกอดแน่นขึ้นกว่าเก่า

“ข้าเห็นว่าท่านนั้นทำตามคำพูด หากข้ามีเรื่องจะร้องขอท่านสักสามสี่ข้อ ท่านจะให้ข้าได้หรือไม่...ท่านพี่รพีพงศ์” นาคินทร์รู้สึกได้ว่าพิษบาดแผลนั้นเจ็บปวดลุกลามมากมายเพียงใดและตนคงมิอาจจะรอดพ้น จึงอ้อนวอนขอเจ้าของชีวิตให้ช่วยเหลือ

“เจ้าว่ามาเถิด…แม้ขอดาวขอเดือนยามนี้ข้าก็ยินดีจะเอามาให้”

“ปากบอกว่ายินดี เหตุใดสีหน้าถึงตรงกันข้ามเล่า” มือขาวแสนนิ่มนวลที่เคยประสานมือแสดงรักผ่านร่างกาย บัดนี้ยกขึ้นมาสัมผัสแก้มกร้าน นิ้วโป้งไล้ตามสันกรามคมอย่างทะนุถนอม ดวงตากลมโตมองใบหน้าเศร้าหมองของรพีพงศ์ที่เหมือนจะพยายามปกปิดไม่ให้ตนเห็น กระนั้นปิดอย่างไรก็ปิดไม่มิดให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้

“ข้า..ข้าขอโทษนาคินทร์ ขอโทษที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน ข้ามันช่างไร้ความสามารถที่จะปกป้องเจ้าได้” รพีพงศ์รู้สึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้น สองครั้งสองคราที่นาคินทร์ช่วยชีวิตและครั้งนี้ชีวิตของนาคินทร์กำลังจะดับสิ้นเพราะอาวุธทรงอานุภาพอย่างตรีศูลที่ใครได้ต้องคมจะต้องสังเวยชีวิน เพียงแค่ขึ้นอยู่กับเวลาว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น

“ท่านอย่าโทษตนเองเลย อย่าได้เสียใจเพราะนาคชั้นต่ำเยี่ยงข้า ข้ายินดีที่จะเจ็บแทนท่าน แม้แลกด้วยชีวิตข้าเพื่อให้ท่านอยู่ต่อข้านั้นก็จะทำ เพราะหากท่านเป็นอันใดไปภายหน้าผู้สืบทอดตำแหน่งพระอาทิตย์จะวุ่นวายและข้าคงทนทุกข์ทรมานเป็นที่สุด...” มีหรือจักไม่รู้ว่ารพีพงศ์คิดเช่นไร ผู้ตระกองกอดตนนั้นแม้จักร้อนแรงดั่งเพลิงพระอาทิตย์แต่เปลวเพลิงนั้นวูบวาบอ่อนไหวดั่งใจของรพีพงศ์ในครานี้

“เจ้าไปห่วงอะไรกับตำแหน่งผู้สืบทอดพระอาทิตย์เล่า…ไยเจ้าไม่คิดบ้างหรือว่าข้านั้นจะเจ็บปวดรวดร้าวทุกข์ทรมานในอกแค่ไหนที่จะไม่มีเจ้าคอยเคียงข้าง...จะไม่ได้นอนกอดเจ้าทุกราตรี...จะไม่มีเจ้าเคียงต่างหมอนหนุนแขนข้า”

“ข้าเองก็เสียใจที่มิอาจจะเป็นได้อย่างที่ท่านต้องการ...ว่าแต่ท่านมิได้รังเกียจข้าใช่หรือไม่ที่ข้าเคยเป็น...สนมบำเรอกามของท่านกนธีมาก่อน...” นาคินทร์เอ่ยถามเรื่องหนักอกหนักใจนี้กับรพีพงศ์โดยไม่ได้กังวลคำตอบนั้นจะเป็นเช่นไร...

“ไม่เลยสักนิด...ข้ารู้ตลอดมาว่าในใจเจ้าคงกังวลเรื่องนี้อยู่มากเช่นกัน ถึงแม้คราแรกที่ข้าได้ยินจะตกใจอยู่บ้างก็ตาม...แต่ในเมื่อชะตาลิขิตให้เราสองได้พบกัน เรื่องอื่นๆ ของเจ้า...ข้าก็มิได้สน...ขอให้ใจเจ้ามีเพียงข้าเท่านั้น...” รพีพงศ์มิได้คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องที่ผ่านของนาคินทร์

“ข้า…ฮึก..ขะ..ข้า” นาคินทร์พูดไม่ออก ใครจะคิดว่ารพีพงศ์จะเมตตาตนผู้ต่ำต้อยเช่นตนถึงเพียงนี้ นาคินทร์จึงตอบแทนเสี่ยงชีวิตด้วยความรักที่มีปกป้องทั้งที่รู้ฤทธาของตรีศูล แม้จักเสียใจที่มิอาจได้ยืนเคียงข้างคนรักแต่ไม่เสียดายที่ตัดสินใจเข้าช่วย

“เอาเถิด…หากเจ้าไม่รู้จะพูดอะไรก็ไม่ต้องพูด บอกสิ่งที่เจ้าขอมาเถิดข้านี้จะทำตาม” รพีพงศ์เปลี่ยนบทสนทนาด้วยเห็นหยาดน้ำตาที่รินไหลของนาคินทร์บ่งบอกว่าเจ็บปวดไม่ต่างจากตน…‘ข้าไม่ชอบน้ำตาของเจ้าเลย หากน้ำตานี้เกิดขึ้นเพราะข้าด้วยแล้ว’...

“ทะ…ท่านยังจำที่ข้านั้นเคยบอกถึงที่อาศัยของมารดาข้าได้หรือไม่”

“จำได้สิเจ้าเคยบอกว่าแม่ของเจ้าพำนักอยู่ ณ รอยต่อมหาสมุทรระหว่างโลกมนุษย์กับมหาสมุทรสีทันดร” รพีพงศ์หวนนึกถึงคำเล่าที่นาคน้อย ครั้งยังอยู่ในถ้ำม่านน้ำตก

“ฮึก…ดีแล้วท่านจงใช้ไข่มุกมรกตที่ข้ามอบให้ท่านแหวกว่ายสายนทีลงไปที่นั่น...เพราะสิ่งแรกข้านั้นขอให้ท่านช่วยดูแลมารดาของข้าอย่าได้รังเกียจและช่วยบอกว่าข้านั้นรักแม่มาก” นาคินทร์กลั้นสะอื้นเอ่ยสิ่งปรารถนาประการแรก ในห้วงความคิดมีใบหน้าของมุตตาผู้เป็นมารดาคอยส่งรอยยิ้มอบอุ่นมาให้…‘ท่านแม่ ข้าคิดถึงท่านแม่เหลือเกิน ข้าขอโทษที่ไม่ได้กลับไปทดแทนคุณ’...

“ข้าจะดูแลแม่ของเจ้าอย่างดี จะทำอย่างที่เจ้าต้องการอย่าได้กังวล” รพีพงศ์ให้คำมั่น มือหนาลูบหลังมือที่เย็นชืดของนาคินทร์อย่างแผ่วเบาหวังให้นาคินทร์รับรู้ถึงความอบอุ่น นาคินทร์ยิ้มออกมาเล็กน้อยที่รพีพงศ์รับปากดูแลมารดาที่ตนรัก ทำให้หายห่วงไปช่วงเปราะหนึ่ง

“เรื่องที่สอง…หากข้าสิ้นลมแล้วขอให้ท่านโปรดโอบกอดข้า แล้วเผาผลาญกายข้าด้วยอัคคีจากกายของท่านจักได้หรือไม่…แค่ก..แค่ก” นาคินทร์กระอักเลือดออกมาจนรพีพงศ์ใจหาย

“นาคินทร์!!!...นาคินทร์!!!...นี่เจ้าพูดอะไรออกมา...” รพีพงศ์แทบทนไม่ไหวดวงใจจะขาดรอน ด้วยคำวอนแสนยากที่จะทำ ซ้ำอาการนาคินทร์นั้นมิค่อยจะสู้ดีรังจะทรุดลงเรื่อยๆ

“ข้า…ข้ามิเป็นไรดอก ท่านรับปากข้ามาก่อน…รับปากข้าสิ” นาคินทร์ไม่สนใจว่าตนเจ็บหนักขนาดไหน สิ่งเดียวที่นาคินทร์สนใจคือคำตอบของรพีพงศ์

“ข้า…ข้า…” เพียงนึกภาพตนเผากายนาคินทร์รพีพงศ์ก็ทำใจไม่ได้…‘ให้ข้าไปตายยังจะง่ายกว่าอีก’...

“รับปากข้าสิ…อึก..สัญญากับข้า” นาคินทร์เร่งเร้าเอาคำตอบ

“ได้ข้ารับปากเจ้า” รพีพงศ์จำใจให้คำสัญญา…สัญญาที่ไม่อยากทำ

“ข้อที่สาม…จะหาว่าข้าหลงตัวเอง คิดว่าตนเองสำคัญกับท่านก็ได้ ข้าขอให้ท่านอย่าโทษตัวเองเรื่องข้าเป็นอันขาดและอย่าได้คิดตายตามข้า” ราวกับล่วงรู้ความคิดของรพีพงศ์ นาคินทร์ชิงให้อีกฝ่ายสัญญากับตน ใจของรพีพงศ์ไม่ต่างจากเปลวเพลิงของพระอาทิตย์เร่าร้อน พร้อมเผลาผลาญทุกสิ่งให้สูญสิ้น หากเปลวเพลิงนั้นบางคราวูบวาบอ่อนไหวเช่นกัน รพีพงศ์ได้ฟังถึงกับส่ายหน้าไม่ยอมสัญญา

“ท่านรพีพงศ์ได้โปรด…ให้นาคใกล้ตายเช่นข้าสบายใจ”

“ข้าจะพยายาม”

“ท่านใจดีที่สุด…ขะ…ข้อสุดท้าย ข้าอยากจะจูบท่าน…ท่านจะ…อื้อ..”

สำหรับรพีพงศ์คำขอนี้ช่างเล็กน้อย ร่างสูงไม่รอช้าโน้มใบหน้าใกล้ใบหน้างาม ลมหายใจรินรดจนสัมผัสไดถึงไออุ่น ริมฝีปากหยักประทับลงบนริมฝีปากนิ่มที่เปิดรับรอคอยความหวานที่ถูกส่งมาแทนที่รสเฝื่อนของเลือดผ่านปลายลิ้นที่เริ่มเกี่ยวตวัดกัน ความวาบหวามถ่ายโอนสู่กันและกัน กายนั้นกอดรัดแนบชิดเนื้อถึงเนื้อ

ความรู้สึกดีๆ ถ่ายทอดออกมาทางภาษากายทั้งอ้อมกอดทั้งบทจูบช่างอบอุ่นดั่งที่เคยได้รับ ณ ถ้ำม่านน้ำตก ไม่สิ…มันอบอุ่นมากกว่านั้น  จูบครั้งสุดท้ายที่นาคินทร์ร้องขอบันดาลความสุขให้ใจได้หวนคิดถึงอดีต แม้มิใช่รักแรกพบที่ประสบพักตร์แล้วต้องศรของกามเทพ หากเริ่มต้นด้วยความชังที่ค่อยๆ แปรผันเปลี่ยนไป จนความรู้สึกดีเข้ามาแทนที่และกลายเป็นความรักในที่สุด

รพีพงศ์ผละปากออกช้าๆ แล้วก้มจูบซ้ำย้ำๆ ก่อนจะประทับรอยจุมพิตตั้งแต่ปลายคาม ไล่ตามสันกรามและทำเรื่อยๆ จนทั่วกรอบหน้า การกระทำของรพีพงศ์ล้วนทำให้นาคินทร์ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา

“ข้ารักท่าน…ข้ารัก...ท่านพี่รพีพงศ์” เปลือกตาที่เคยบางเบาหนักอึ้ง นาคินทร์หลับตาลงพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม...เอ่ยคำรักและเรียกขานคำว่า...ท่านพี่...คำที่รพีพงศ์เคยอยากให้ตนเรียก...

‘เหตุใดถึงได้มืดมิดขนาดนี้ เหตุใดข้าถึงรู้สึกหนาวจับใจ…เรี่ยวแรงของข้าหายไปไหนกัน…หรือว่าจักถึงเวลาของข้าเสียแล้ว’…

“นาคินทร์!!!...นาคินทร์!!! ตื่นขึ้นมา นาคินทร์ตื่นมาฟังข้าบอกรักเจ้าก่อน ตื่นขึ้นมา!!!..เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าสั่งหรือไรเล่า!!! เจ้ามาบอกรักข้า ทำให้ข้ารักแล้วจากข้าไปเช่นนี้ได้อย่างไร นาคินทร์!!!...ไยเจ้าไม่คิดถึงหัวจิตหัวใจของข้าบ้าง...เจ้าเป็นของข้า…ฮือ…เป็นของข้า…เจ้าต้องอยู่กับข้าสิ” ในสุรเสียงที่เกรี้ยวกราดหากถ้อยคำที่ร้อยเรียงเป็นประโยคนั้นล้วนเป็นคำหวาน รพีพงศ์เรียกปลุกนาคินทร์ ทั้งกอดกายบางโยกไปมาหวังให้ลืมตาขึ้น

‘ข้าได้ยินชัดว่าท่านรักข้า ข้าดีใจยิ่งนักที่เราสองใจตรงกัน หากแต่ข้าต้องไปเสียแล้ว ข้าอยากให้ท่านรับรู้ว่าแม้นกายข้านี้จากไปแต่หัวใจข้าจะไม่ไปไหน หัวใจของข้าจะอยู่กับท่านเป็นของท่าน ข้ายังอยู่ในความทรงจำของท่าน…ท่านรพีพงศ์ผู้เป็นที่รัก โปรดจดจำรักนี้และข้าไว้ในใจของท่านด้วย...ท่านพี่รพีพงศ์...’ นาคินทร์ไม่สามารถโต้ตอบได้ต่อไป ได้แต่ภาวนาให้สายลมนำพาความคิดบอกกับรพีพงศ์ เพียงสักเสี้ยวให้ร่างสูงได้รู้ว่าตนนั้นได้ยินและรับรู้สิ่งที่ตนอยากจะเอ่ยกลับไป…แม้มันจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ก็ตาม

“ฮึก…ฮือ…ข้ารักเจ้านาคินทร์…ข้ารักเจ้า” รพีพงศ์ผู้ไม่เคยเสียน้ำตาให้กับใครกลับมาเสียน้ำตาให้กับนาคตัวเล็กๆ ตนหนึ่ง ทั้งยังเป็นเชลยที่บังอาจทำให้รพีพงศ์หลงรัก มันเร็วเกินไปสำหรับการที่ทั้งสองนั้นจากลา ถึงรู้ดีว่านาคินทร์จักไม่รอดจากตรีศูล…ใช่รู้ดี…หากใครจะทำใจได้ ต่อให้เป็นผู้ใจแข็งดั่งศิลาแกร่งพอได้สูญเสียคนรักก็เหมือนถูกสิ่วถูกค้อนทุบแทงสกัดให้พังทลายอยู่ดี

‘ข้าไม่อยากให้ท่านพี่กรรแสง น้ำตาไม่เหมาะกับใบหน้าของท่านพี่ ข้าชอบใบหน้าดุๆ ที่แสนกรุ้มกริ่ม ไม่ค่อยยิ้มและหาเรื่องหยอกเย้าข้าเสียมากกว่า’

“ข้ารพีพงศ์ขอให้คำมั่นสัญญากับเจ้าโดยมีหมู่ดาวทั้งจักรวาลนี้เป็นพยาน ชีวิตนี้ข้าจักไม่รักใครอื่นนอกจากนาคินทร์ ข้าจะรักนาคินทร์เพียงผู้เดียว…และไม่ขอมีชายาอื่นเพราะข้ามีชายาแล้ว...ชายาที่เสียสละชีวิตตนเพื่อปกป้องข้า ชายาที่ชื่อว่า...นาคินทร์”

‘ข้าเองก็ขอให้สัญญาว่าข้าจะรักท่านพี่เพียงผู้เดียว ต่อให้ความตายจะพรากข้ากับท่านพี่ ต่อให้ข้านั้นต้องดื่มน้ำให้สูญสิ้นความทรงจำ ข้าขอให้ดวงใจข้านั้นไม่ลืมท่านพี่ รักท่านพี่ไปตลอดกาล…ลาก่อน...ท่านพี่...’ นาคินทร์สิ้นลมหายใจพร้อมคำสัญญาของตนและรพีพงศ์ ที่พันธนาการกันด้วยสายใยแห่งรัก คำมั่นที่จะติดตัวทั้งสองไปไม่ว่าจะอยู่ในภพภูมิใดก็ตาม เทพหนุ่มบรรจงหอมเส้นผมดำงามด้วยอาลัยรัก...

ในหมู่ดาวที่สว่างไสวและเงียบงัน กลับมีเสียงๆ หนึ่งเข้ามาใกล้ เป็นเสียงกระพือปีกของวิหกตัวหนึ่ง...แต่นกอะไรเล่าถึงได้บินมาได้ไกลถึงทางช้างเผือก และมันกำลังมุ่งหน้าตรงมาทางหินอุกกาบาตที่รพีพงศ์กับนาคินทร์นั้นอยู่ เทพหนุ่มสัมผัสได้ถึงแรงลมจากผู้มาใหม่ที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนเห็นชัด ปรากฏกายว่านกนั้นคือนกแสกตัวหนึ่งที่มิน่าจะบินอยู่ในจักรวาล เมื่อมันบินถลาลงมาใกล้กับรพีพงศ์ที่ยังคงกอดร่างไร้ลมหายใจของนาคินทร์นั้น วิหกแห่งความตายกระพือปีกเล็กน้อย ทว่าขนนั้นค่อยๆ ร่วงโรยหล่นลงจนหมดสิ้นพร้อมรูปลักษณ์ที่แปรเปลี่ยนจากนกแสกค่อยๆ กลายเป็น...เจ้าของใบหน้าที่หล่อคมแสนดุดัน ฉวีวรกายนั้นสีแดงแต่งองค์ทรงเครื่องเฉกเช่นกษัตริย์ พระหัตถ์ขวาถือบ่วงยมบาศที่ใช้จับมัดวิญญาณทั้งหลาย พระหัตถ์ซ้ายทรงไม้ท้าวยมทัณฑ์

…เจ้าแห่งยมโลก...

“พญายมราช” รพีพงศ์เอ่ยนามของเทพผู้ครองโลกแห่งความตาย ท้าวจตุโลกบาลแห่งทิศทักษิณ รพีพงศ์เองยังแปลกใจว่าทำไมพญายมราชต้องมาปรากฏกายด้วยองค์เอง หาใช่บริวารอย่างพระกาฬชัยศรีที่มีหน้าที่รับวิญญาณ...แม้จะแปลกเพียงได้พบพักตร์มีหรือจะไม่ใจหาย...

อันพญายมราชมิสนใจรพีพงศ์เลยสักนิดเพียงมาเชิญวิญญาณนาคินทร์ไปยังภพภูมิของตนด้วยตนเอง เสียงกระซิบของพญายมราชเรียกขานวิญาณนาคกายนิลให้หลุดลอยโดยมิต้องใช้บ่วงยมบาศจับดังวิญญาณอื่น

“นาคินทร์…นาคินทร์!!!” รพีพงศ์ร้องหา มือก็คว้าจับแขนคนรักรั้งดวงวิญญาณไว้มิให้ไปไหน ทว่ากลับจับต้องไม่ได้

“บุตรพระอาทิตย์...ท่านตัดใจเสียเถิด ถือเสียว่าดวงวิญญาณนี้หมดเวรหมดกรรมแล้ว จำต้องไปอยู่ในภพภูมิที่ควรจะเป็น...ท่านเองก็เป็นเทพ...น่าจะรู้ดีว่าเทพนั้นมิใคร่ควรจะอยู่ในภพภูมิเดียวกับวิญญาณ...” พญายมราชเอ่ย แล้วเสกบ่วงบาศให้กลายเป็นคนโทปรากฏในหัตถาใหญ่ดูดกลืนวิญญาณนาคินทร์ให้เข้าไป

“ไม่!!!...นาคินทร์…นาคินทร์!!!” รพีพงศ์ชอกช้ำใจยิ่งนัก นาคินทร์จากไปแล้ว ร่างสูงร้องไห้ออกมาสวมกอดกายหยาบที่ไร้ชีวิตของนาคินทร์ไว้แน่นราวกับเด็กน้อยหวงของรัก เจ้าผู้ครองดินแดนยมโลกมองนิ่งแล้วกลายร่างกลับเป็นปักษาแห่งความตายอีกครา ไม่ใช่เรื่องแปลกที่พญายมราชได้พบเห็นสรรพสิ่งทั้งหลายร้องไห้เสียใจของการจากลาหรือเสียของรัก ไม่มีใครอยากจะจากลา พญายมราชเองก็ไม่คิดจะพรากรักของใคร แต่ตนนั้นต้องทำเพราะมันถูกลิขิตไว้แล้ว

“มีพบก็ต้องมีจาก มันเป็นสัจธรรมของชีวิต” พญายมราชกล่าวทิ้งท้ายให้รพีพงศ์คิดแล้วกลายร่างเป็นนกแสกบินจากไปพร้อมดับดวงวิญญาณของนาคินทร์ รพีพงศ์ทำได้เพียงมองตามไปเท่านั้น ก่อนจะก้มมองใบหน้าของนาคินทร์ที่ดูคล้ายจะนิทรามากกว่าสิ้นชีวี

‘นาคินทร์…ข้าจักโอบกอดเจ้าไว้แนบกายให้ไฟข้านี้แผดผลาญร่างเจ้าดั่งคำขอ’ เมื่อพญายมราชจากไปพร้อมดวงใจของตนเองแล้ว รพีพงศ์กลั้นสะอื้น ดวงตาพร่าน้ำตามองใบหน้างามที่ไม่ต่างจากหลับใหล…‘ข้าจะต้องทำตามสัญญาที่มีให้กับเจ้า’...

รพีพงศ์เร่งความร้อนในกาย ให้กายกลายเป็นอัคคีลุกโชนด้วยโชติช่วงชัชวาลไปทั้งทางช้างเผือก ไฟร้อนค่อยๆ แผดเผาร่างบางจนหมดสิ้น....

“นาคินทร์....ข้ารักเจ้า....ข้ารักเจ้า...ข้ารักเจ้า...”

รพีพงศ์เอ่ยคำรักให้กายบางที่กำลังมอดไหม้วนซ้ำไปมา ไม่นานนักไฟร้อนที่ลุกท่วมกายก็ค่อยๆ มอดดับลง เหลือเพียงเถ้าถ่านที่ล่องลอยหมุนวนขึ้นมาก่อตัวเป็นดวงแก้วนาคาส่องประกายแสงเรืองรองแล้วค่อยๆ ตกลงมาสู่ฝ่ามือของสุริยะบุตร แก้วนาคานี้คือสิ่งที่นาคินทร์หลงเหลือไว้นอกเหนือจากความรัก ความทรงจำ รพีพงศ์กุมแก้วนาคานั้นวางทาบไว้แนบอกข้างซ้าย…ให้ได้สัมผัสกับหัวใจที่ยังเต้นเพื่อนาคินทร์ ดวงแก้วนั้นแทรกซึมผ่านร่างกายเข้าไปแล้วหยุดอยู่ที่กลางดวงใจของรพีพงศ์

“เพียงเท่านี้เจ้ากับข้าก็จะได้อยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิตข้าแล้ว เจ้าจะอยู่กลางใจของข้าตลอดไป…ไม่มีวันลืม...นาคินทร์...”




​...............................................

ตอนนี้เป็นของนาคินทร์เต็มๆ ตามที่ทุกคนเรียกร้องคิดถึงไหมคะ

ด้วยรักอย่าได้สังหารท่านยุ่งเลยนะคะ

ตอนนี้ท่านยุ่งพยายามสุดความสามารถเพื่อให้มาม่า ดราม่ามากที่สุดอินกันไหม?

อย่างน้อยเขาบอกรักกัน ณ สถานที่ที่เขาต้องการจะอยู่ด้วยกันมากที่สุด

สุดท้ายนี้ท่านยุ่งขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมาเม้นกัน  ติชมได้นะคะ

ป. ล. เรื่องยึดไปอีกสองสามตอน เรื่องราวยังดำเนินต่ออย่าเพิ่งทิ้งกันนะคะ มาเอาใจช่วยหนูลันกับพี่นภนต์กัน

หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.33 P.11 (30/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 30-10-2017 07:37:15
สงสาร...
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.33 P.11 (30/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 30-10-2017 07:51:38
 :a5:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.33 P.11 (30/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: kinjikung ที่ 30-10-2017 09:15:48
หวังว่านาคินทร์จะได้มาเกิดใหม่เพื่อครองคู่กับรพีพงศ์นะ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.33 P.11 (30/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 31-10-2017 00:41:10
เศร้าอ่ะ...
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.33 P.11 (30/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 31-10-2017 22:47:48
 :hao5: เรื่องมันจะดราม่าสักนิดนึง
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.33 P.11 (30/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: moodyfairy ที่ 01-11-2017 22:09:55
สงสารรพีพงศ์อ่าาา :o12:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.33 P.11 (30/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: pp.ll.ee ที่ 01-11-2017 22:48:42
เดี๋ยวต้องกลับมาเจอกันอีกแน่ๆ  :sad11:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.33 P.11 (30/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: nonobu ที่ 01-11-2017 23:27:54
น้ำตาไหลพรากๆๆๆเลยเรา :m15:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.33 P.11 (30/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 02-11-2017 14:31:41
ฮือออ น้ำตาไหลพรากเลย สงสารอ่า :m15:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.33 P.11 (30/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 03-11-2017 11:12:47
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.33 P.11 (30/10/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 04-11-2017 07:12:20


ร้องไห้หนักมาก....

ไม่นะ

ไม่เอาแบบนี้

ฮือ.....

รอขอรับ

หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.34 P.12 (04/11/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 04-11-2017 12:23:37
สาปรัก…ทัณฑ์เทวา

Writer : Tan-Yung 0209

File : 34











เมื่อผ่ามิติจากกระจกเงาวิเศษแห่งเทพจันทรัช เพียงหลับตาพึงจิตระลึกนึกถึงจุดหมายปลายทางที่จะไป ถ้ำแก้วคือสถานที่ที่ปรากฏชัดในความคิดของเทพนภนต์  มือหนาแสนอุ่นจึงได้กุมมือคนรักไว้มั่นแล้วบอกกับชลันธรถึงเป้าหมาย

เพียงชั่วพริบตา…หนึ่งเทวาหนึ่งมนุษย์บุรุษก็ลืมตาขึ้นแล้วพบว่าตนนั้นได้อยู่ด้านหน้าปลายทางที่ตั้งใจ หน้าปากถ้ำแก้วมีเสียงวิหกตัวน้อยขับขานทำนองเพลงแห่งความสุขราวกับต้อนรับผู้เป็นนายกลับมายังวิมานอีกครั้ง นภนต์คลี่ยิ้มบางออกมา หมายความว่าในที่สุดตนและคนรักได้สำเร็จเสร็จสิ้นในภารกิจลุล่วง…ความวุ่นวายที่เหลืออยู่ก็เพียงภาวนาให้พระเสาร์ พระพุธ และเทพกาลเวลาช่วยจัดการอสูรร้ายในร่างเทวดาอย่างกนธีให้ดับดิ้น

“ชลันธรพี่ว่าเราสองเข้าไปพักผ่อนในถ้ำแก้วกันเถิด” นภนต์เอ่ยชวนเพราะตอนนี้เทพเวหานั้นอยากให้ชลันธรได้พักผ่อน คนงามที่ท่าทางอ่อนล้าเพียงพยักหน้าเห็นตามแล้วเดินเคียงข้างโดยมีนภนต์โอบเอวเข้าไป บรรยากาศที่เงียบสงบชวนให้ระลึกถึงวันเก่าๆ…ถ้ำแก้วนี้ไม่ต่างจากที่พักพิงให้จิตใจได้ผ่อนคลาย

“ท่านพี่หากเหนื่อยล้าก็นอนหลับไปก่อนเถิด...ไม่ต้องรอข้า” ชลันธรเอ่ยกับนภนต์ทันทีที่มาถึงที่คูหาบรรทม

“แล้วเจ้าล่ะ…ชลันธร มิอยากพักผ่อนหรอกหรือ” นภนต์ถามกลับ ร่างสูงอยากจะกอดชลันธรให้หายเหนื่อยแต่คนรักกลับจะไปไหนเสียนี่

“ตัวข้านั้นอยากจะชำระล้างร่างกายเสียก่อน ด้วยกายมนุษย์นี้รู้สึกเหนียวตัวเหลือเกิน หากได้สรงน้ำข้าคงสบายกายขึ้นมาก...” ชลันธรเอ่ยกับนภนต์ที่ทิ้งกายนอนลงบนแท่นบรรจถรณ์

“เจ้าอยากทำอันใดก็ทำเถิด พี่จะรอเจ้าอยู่ที่นี่ รอกอดเจ้าคนดีของพี่…” นภนต์มิได้ขัดข้องอันใด ชลันธรคงอยากมีเวลาเป็นส่วนตัวบ้าง ด้วยเป็นมนุษย์มีกลิ่นกายสาปกว่าเทพจึงจำเป็นที่ต้องชำระร่างกายเสียบ้าง...

ชลันธรแยกไปอีกห้องคูหาที่มีสระสรงน้ำโอ่อ่าอยู่กลางห้อง ขั้นบันไดขัดมันเงาวับเสียจนสะท้อนบุรุษผิวขาวที่อาภรณ์ปกคลุมกายค่อยๆ ปลดเปลื้องออกทีละชิ้น…ทีละชิ้น...จนเปล่าเปลือย เท้าเรียวเยื้องย่างก้าวลงไปในสระ

น้ำใสสูงท่วมท่อนล่างแต่หาได้ปิดบังภาพใต้น้ำได้มิดชิดหากชลันธรมิได้สนใจด้วยอยู่เพียงลำพัง มือเรียวกวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นแล้วจึงเริ่มชำระล้างร่างกาย บรรจงขัดสีฉวีวรรณให้ผุดผ่องหลังล้มลุกคลุกคลานในป่ากันติทัตมาจากการสู้ศึกกับพระปิตุลาของตน

…‘จริงสิ...ป่ากันติทัต’...

…‘รพีพงศ์…คินทร์’…

…‘สองทั้งจะเป็นเช่นไรบ้างหนอ เราก็ดันลืมไปเสียสนิท ยิ่งนาคินทร์ที่โดนตรีศูลพุ่งทำร้าย เห็นทีคง...’…

มัวแต่สู้ มัวแต่หนี จนแทบจะลืมสหายรักที่ถูกดึงเข้ามาโลดแล่นในโชคชะตาอันแสนโหดร้ายของตนเอง มันไม่ใช่เรื่องที่ใครจะรับเคราะห์นี้แทนเลย เฉกเช่นนาคินทร์ที่ต้องตรีศูลปักเข้าที่ท้อง หรือต่อให้ไม่ใช่จุดสำคัญ ทว่าชลันธรผู้เคยเป็นเจ้าของอาวุธคู่บัลลังก์มุกสีครามนี้ย่อมรู้ดีถึงฤทธานุภาพ รวมถึงชะตากรรมของสหายว่ามินานคงจะต้องสังเวยชีวิตให้ศาสตราวุธนี้เป็นแน่

“นาคินทร์…ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องเจอเรื่องราวเลวร้ายเช่นนี้” ชลันธรกล่าวขอโทษสหายรัก ใบหน้าและขอบตาร้อนผ่าวจนแดงก่ำ กายบางพยายามสะกดกลั้นน้ำตา แต่กระนั้นอัสสุชลก็รินไหลออกมาอยู่ดี ชลันธรทั้งเสียใจเรื่องนาคินทร์ ทั้งเจ็บใจที่ตนเองเป็นเพียงมนุษย์มิสามารถทำการใดได้ รังจะเป็นตัวถ่วง รังจะดึงผู้อื่นมาตาย มาเดือดร้อนด้วย...

‘ซ่า…ซ่า..’

วารีกระเซ็นออกตามแรงตี ชลันธรผู้ไม่เคยมีท่าทีโมโหกับสิ่งใด บัดนี้กำลังแสดงด้านเกรี้ยวกราดออกมา โกรธตนเองยิ่งนักที่อ่อนแอ…โกรธจนไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรให้ตนเองเจ็บให้มากกว่านี้

“นะ…นาคินทร์…เราขอโทษ” ชลันธรกระหน่ำตีน้ำจนพอใจก็พยายามสงบสติอารมณ์ให้คงที่แต่ร่างกายนั้นกลับโงนเงนโซเซจนหงายหลัง

‘หมับ’

ทุกครั้งที่มีอันตราย..หัตถาหนาแสนคุ้นเคยมักจะช่วยเหลือชลันธรได้ทันท่วงทีเสมอ นภนต์ที่น่าจะนอนรอชลันธรกลับมาโอบกอดคนรักมิให้พลัดตกจมน้ำ

“ท่านพี่…นี่เข้ามาตั้งแต่เมื่อใดกัน” ใบหน้างามเงยขึ้น ดวงตาเรียวช้อนมองผ่านขนตายาวประสานกับตาคมที่ก้มมองมาเช่นกัน

“พี่เข้ามาแอบดูเจ้าสักพักแล้ว มาทันเห็นเจ้าเกรี้ยวกราดจนหงายหลัง บอกพี่ได้หรือไม่เล่าว่ามีสิ่งใดกวนใจเจ้า” ในคราแรกนภนต์คิดจะนอนรอชลันธร แต่รอแล้วรอเล่าชลันธรยังไม่ออกมาเสียทีใจจึงนึกเป็นห่วงกลัวว่าเกิดเหตุร้ายยามที่คลาดสายตากัน เจ้าของถ้ำแก้วเลยออกมาดูก็พบว่าชลันธรโมโหโกรธาจนไม่สนใจสิ่งรอบกาย

“ข้า…ข้า…ข้าโกรธตัวเองที่ไม่สามารถทำอันใดได้...มีแต่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน” ชลันธรขยับตัวเข้าหาแล้วสวมกอดร่างกำยำแน่น นภนต์เองสวมกอดกลับ มือหนาคอยลูบแผ่นหลังเนียนเพื่อปลอบประโลม

“เรื่องมันจบแล้วชลันธร เราสามารถจับผู้กระทำผิด ผู้ที่ใส่ร้ายเจ้าได้แล้ว ไยเจ้าจะคิดมากอันใดอีก”

“จะไม่ให้ข้าคิดมากได้เช่นไร…ท่านพี่ลืมคินทร์กับรพีพงศ์ไปแล้วหรือ ภาพที่รพีพงศ์กอดคินทร์ข้านั้นยังจำได้” ชลันธรเอ่ยเสียงสั่นเครือเจือจะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง

“พี่จำได้” นภนต์เอ่ยเสียงแผ่ว ใช่ว่าจะลืมแต่เลือกไม่เอ่ยเสียมากกว่า เทพเวหานั้นมิต้องการกระตุ้นให้ชลันธรต้องคิดมาก

“ถ้าเช่นนั้นท่านพี่ยังจำได้ใช่หรือไม่ว่าตรีศูลของพระสมุทรใครได้ต้องจะเป็นเช่นไร…คินทร์…คินทร์โดนตรีศูลปักกายเช่นนั้น คงจะ…ฮึก…ฮือ…” ชลันธรน้ำตารินจนเทพแห่งท้องนภามิอาจนิ่งเฉยได้ นิ้วโป้งค่อยๆซับน้ำตาที่อาบแก้มนิ่มแผ่วเบา ริมฝีปากประทับลงบนกลางหน้าผากเนียน

“เจ้าเชื่อในโชคชะตาหรือไม่…บางครามักจะเล่นกลตลกให้สองใจได้จากกัน บ้างก็ไม่นาน บ้างก็นานแสนนานหลายภพ หลายชาติเช่นเจ้ากับพี่ ถึงกระนั้นสุดท้ายเราสองยังได้กลับมารักกัน”

“ท่านพี่จะบอกว่าคินทร์กับรพีพงศ์...” คำพูดของนภนต์ทำให้ชลันธรหัวใจอัดแน่นไปด้วยความหวังอีกครั้ง แต่ชลันธรกลับถอนหายใจเฮือกใหญ่

“ถอนหายใจทำไมเล่า เจ้ายังมีกังวลเรื่องใดอีก”

“ข้ากลัวเหลือเกิน กลัวว่าโชคชะตาจะไม่เล่นตลกหากแต่ซ้ำเติมทั้งคู่ให้พรากจากกันไปตลอดกาล ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าคง...เฝ้าโทษตนเองทุกวันคืนเป็นแน่” ความหวั่นใจแสดงออกผ่านดวงตา นภนต์นั้นพอได้เห็นรู้สึกปวดใจไม่น้อย แทนที่ชลันธรจะได้สบายใจที่หมดสิ้นมลทินกลับต้องมีเรื่องทุกข์ใจเสียนี่

“วันพรุ่งพี่จะทูลขอชีวิตนาคินทร์ให้คืนมาจากพระผู้สร้าง...” นภนต์มิอาจทนเห็นชลันธรตกอยู่ในวังวนน้ำตาอีกต่อไป ถ้าสิ่งใดที่คิดว่าจะช่วยฉุดดึงชลันธรกลับขึ้นมาได้นภนต์ก็ยินดีที่จะทำ

“ท่านพี่นภนต์…ท่านพี่จะช่วยจริงหรือ” รอยยิ้มหวานระบายออกมาประดับใบหน้าให้สดใส ด้วยแรกมิได้คิดว่าภัสดาตนจะช่วยเพราะนาคินทร์เคยทำผิดต่อตนมาก่อน...

“พี่มิเคยกล่าวเท็จกับเจ้า หากทั้งสองต้องบุพเพสันนิวาทแล้วก็ย่อมเป็นจริงได้...”

“ว่าแต่พระผู้สร้างจะยอมให้ในสิ่งที่ท่านพี่จะทูลขอหรือ...”

“ครานี้พี่นั้นมั่นใจว่าพระผู้สร้างจะต้องประทานสิ่งที่พี่ขอให้เป็นแน่ ด้วยตัวพี่นำชัยชนะสู่สวรรค์มานับไม่ถ้วนและพี่จะใช้โอกาสนี้ขอรางวัลเป็นชีวิตนาคินทร์ผู้เป็นสหายของเจ้า”

“แล้วหากเป็นไปไม่ได้เล่า...” ชลันธรยังอดเป็นกังวลมิได้

“ทุกปัญหาย่อมมีทางออกเสมอ...อย่ากังวลเลยคนดี เชื่อมั่นในตัวพี่สักครา...”

“ข้ารักท่านพี่ที่สุด” ชลันธรเอ่ยคำรักด้วยซาบซึ้งใจ รู้สึกมีกำลังใจและความหวังเรื่องนาคินทร์อีกครา...

“พี่เองก็รักเจ้า…ชลันธร” คำรักแสนอบอุ่นเอื้อนเอ่ยจากปากเทพหนุ่มในยามนี้ช่างถูกช่วงถูกเวลายิ่งนัก

…‘สิ่งใดที่ทำให้เจ้ามีความสุขพี่ยินดีที่จะทำ ก่อนที่พี่นั้นจะเข้ารับโทษกับความผิดที่ได้ก่อไว้กับเจ้า’…

“ท่านพี่หันหลังมาเถิด...ข้าจักช่วยถูหลังให้...” ชลันธรเอ่ย

“เจ้ามิกลัวพี่ทำสิ่งใดผิดแปลกหรือไร” นภนต์ถามลองเชิง ชลันธรเองรู้ความหมายถึงกับเขินอายจนหน้าแดง

“มีเรื่องผิดแปลกอันใดที่ข้าต้องกลัวเล่า...ข้ามิกลัวดอก...เว้นเสียแต่...” ชลันธรตอบทั้งที่ใบหน้าก้มลงต่ำไม่ยอมสบตาภัสดาของตน

“พี่ไม่ทำอันใดเจ้าหรอก พี่รู้ว่าเจ้าเหนื่อย คืนนี้พี่ขอเพียงเจ้าอาบน้ำให้พี่ก็พอ” นภนต์ลูบผมดำขลับนึกเอ็นดีพร้อมส่งรอยยิ้มให้ ชลันธรยิ้มตอบเช่นกัน ตามด้วยจัดการปลดภูษาอาภรณ์ให้กับคนรักแม้จะขัดเขินบ้างก็ตามที

น้ำเย็นฉ่ำไหลรินจากมือสวยที่คอยกวักรดให้ เมื่อเปียกทั่วดีแล้วจึงใช้ผ้าผืนน้อยคอยขัดถูตามแผ่นหลังกว้างอย่างเบามือให้นภนต์สบายตัวมากที่สุด ซึ่งได้ผลพอสมควรนภนต์สบายกายแต่หาได้สบายใจไม่

เทวาผู้คุมท้องนภาแสนกว้างใหญ่ ทั้งที่ก่อนหน้าคอยปลอบโยนประโลมใจชลันธรแต่ตนกลับมีเรื่องกลัดกลุ้มใจและเป็นเพียงไม่กี่เรื่องที่นภนต์อึดอัดใจถึงเพียงนี้ นั่นคือเรื่องที่ต้องนำตัวพระเทวีกวินตาผู้เป็นมารดาไปรับผิดกับพระผู้สร้าง

ใจเจ้าเอย…ถึงจะแกร่งดั่งหินผา ใบหน้าจะปั้นนิ่งไม่เผยความรู้สึกแท้จริงจากข้างใน ทว่าชลันธรกลับรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ นภนต์ไม่เคยนิ่งเงียบขนาดนี้…พอได้ชำเลืองมองดวงตาคม ดั่งคำกล่าวที่ว่าดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจจึงได้เห็นความเศร้าปนกังวลเผยออกมา

“ท่านพี่นภนต์...เมื่อครู่ท่านพี่นั้นปลอบข้าให้หายเศร้าแล้วเหตุใดผู้ที่ปลอบข้าถึงเศร้าเสียเอง หากท่านพี่มีความในใจอะไรที่กังวลก็บอกข้ามาเถิด ข้ายินดีรับฟังและแบ่งรับ เผื่อมันจะช่วยให้ท่านพี่เบาใจขึ้นมาได้” ชลันธรกอดเอวคนรัก ใบหน้าแสนสำอางแนบชิดแผ่นหลังกว้าง

“คือพี่…” นภนต์ไม่รู้จะบอกชลันธรอย่างไรดี ทั้งเจ็บใจที่ตนเองเผยความกังวล ความอ่อนแอออกมาให้ร่างบางเห็น

“เรื่องที่ท่านพี่จะไปรับตัวท่านน้ามาลงโทษใช่หรือไม่ หากเรื่องนี้เป็นเหตุให้ท่านพี่รู้สึกไม่ดีแล้วล่ะก็ ข้าว่าท่านพี่ให้ผู้อื่นทำเถิด”

“ไม่ได้ชลันธร…พี่บอกเจ้าแล้วว่าพี่นั้นตั้งใจตั้งแต่ต้นว่าจะนำคนผิดไปลงโทษกับพระผู้สร้างเอง”

“แต่ท่านพี่ไม่สบายใจ…”

“เจ้าอย่าห่วงแค่พี่นั้นไม่ทันจะเตรียมใจว่าผู้ที่ทำร้ายเจ้าจะเป็นท่านแม่ของพี่ก็เท่านั้น”

“ท่านพี่…” ชลันธรเสียงอ่อนลงทันที

“อย่าทำเสียงเช่นนี้สิ พี่มิได้เป็นอันใดมากดอก ถ้าเจ้านั้นกลัวพี่กังวลก็จงอยู่เคียงข้างพี่ให้พี่นี้มีความสุขในเพลานี้”…‘ก่อนที่พี่เองจะรับโทษเช่นกัน’... ประโยคหลังนภนต์ไม่ได้เอ่ยออกไป ทำได้เพียงแสร้งยิ้มบางให้ชลันธรไม่กังวลไปกับตนด้วย

“หากท่านพี่ประสงค์เช่นนี้ข้าเองก็มิขัด ข้าจะนวดให้ท่านพี่คลายปวดเมื่อยดีหรือไม่” ชลันธรเอ่ยชวน ในสมองมีความคิดบางอย่างผุดขึ้นมา

“เอาสิ เจ้าอยากทำอันใดพี่มิห้าม” นภนต์พูดเอาใจชลันธร

“ท่านพี่ห้ามคืนคำกับข้านะ” ชลันธรยิ้มร่าออกมาทันที คำพูดเมื่อครู่ของนภนต์ถือว่าเข้าทางตนยิ่งนัก

“พี่ไม่ผิดคำพูดกับเจ้าดอก” นภนต์ย้ำอีกครั้งให้ชลันธรมั่นใจ

“ถ้าเช่นนั้นท่านพี่ได้โปรดอยู่เฉยๆ ข้าจะทำให้ท่านพี่ผ่อนคลายเอง”

ดัชนีทั้งห้าเรียวงามดุจลำเทียนค่อยๆ ลูบไล้ผิวกายของเทพหนุ่มอย่างช้าๆ ไล่มาตั้งแต่ท้ายทอยลงมาตามแนวยาวของกระดูกสันหลัง ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นกอดเอวอีกครั้ง

ริมฝีปากนุ่มไล่พรมจูบตามแผ่นหลังกว้าง มือปัดป่ายลูบไล้ตามกล้ามเนื้อหน้าท้องแกร่ง การกระทำปลุกปั่นอารมณ์เทพแห่งท้องนภาได้เป็นอย่างดี จนบางอย่างใต้น้ำนั้นเริ่มตื่นตัวขึ้นมา

“ชลันธร…เจ้าทำอันใด เจ้ารู้ตัวหรือไม่” นภนต์ข่มอารมณ์เอ่ยถามคนงาม เผื่อชลันธรไม่ประสีประสาเผลอยั่วยวนตนไม่รู้ตัว

“ข้าต้องการให้ท่านพี่มีความสุขและผ่อนคลายให้มากที่สุด” ชลันธรไม่ใช่แค่ตอบปากเปล่าเท่านั้น หากร่างกายเบียดเสียนภนต์โดยเฉพาะบางสิ่งที่โดนเข้ากับขาของนภนต์

“ชลันธร น้องอย่าฝืนนะ พี่รู้ว่าเจ้าไม่อยากทำ” นภนต์ได้แต่งุนงงเล็กน้อยเพราะเรื่องนี้ตนมักจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อนเองเสมอ...

“ก็ข้าอยากทำ…อยากทำให้ท่านพี่ เหตุใดเล่าเรื่องพวกนี้...ข้าจะเป็นคนเริ่มก่อนมิได้...ท่านพี่อยู่เฉยๆ คอยให้ข้าบำรุงรักให้เถิด” แม้จะอายอยู่บ้างแต่ชลันธรก็พูดออกไป นภนต์เองไม่อยากให้ชลันธรฝืนใจด้วยไม่ใช่วิสัยของคนรัก แต่ความต้องการในยามนี้มันเอ่อล้นขึ้นมาเกินเสียจะควบคุม อีกอย่างนภนต์ให้คำมั่นไว้ว่าจะไม่ขัดชลันธรเลยทำได้เพียงปล่อยให้ชลันธรทำตามใจชอบ

“อ่ะ…ตรงนี้ท่าทางเอ็นจะยึดถึงได้แข็งขืนขนาดนี้” ไออุ่นจากฝ่ามือผิดกับความเย็นจากน้ำในสระสรง เลื่อนลงสัมผัสจุดกลางกายของเทพานักรบที่ชูชันมาได้สักพัก

“เช่นนี้แล้วเจ้าจะทำเช่นไรต่อ” นภนต์ถามกลับน้ำเสียงทุ้มกระเส่าเล็กน้อย

“ข้าจะจะบีบนวดให้ท่านพี่ผ่อนคลาย…จนมันคลายตัว” ปากบอกคำตอบไป มือนิ่มนั้นจับแท่งร้อนไว้มั่นขยับรูดรั้งไปมา

นภนต์ขยับตัวหันหน้ามาหาคนรักที่ก้มหน้าก้มตาไม่ยอมสบตาตน ร่างสูงนึกขบขันในใจกับท่าทีขัดเขินแต่กลับคอยทำรักให้ของอีกฝ่าย หัตถาหนาข้างหนึ่งกอดเอวคอดแนบชิดอีกข้างก็จับส่วนอ่อนไหวของชลันธร

“พี่จะนวดให้เจ้าบ้าง ของเจ้าเองดูจะเส้นยึดเหมือนกับพี่” เสียงกระซิบแนบชิดกับหูก่อนจะถือโอกาสจุมพิตบางเบาลงที่ใบหู หลังหู ลำคอขาวสลับกับดูดเม้มจนเกิดรอยจางๆ

“ทะ…ท่านพี่..อื้อ…” ชลันธรหลับตาพริ้มส่งเสียงเรียกหาภัสดา ความรู้สึกสวาทวาบหวามวูบวาบในท้องคล้ายมีบางอย่างจะถูกปลดปล่อย ยิ่งนภนต์ขยับมือขึ้นลงมากเท่าไร ชลันธรก็ยิ่งรู้สึกดีและเร่งมือขยับขึ้นลงนวดคลึงให้นภนต์เช่นเดียวกัน

“พะ…พี่นภนต์..ท่านพี่..เร็วอีก..…อ่ะ..อ่า” คำขอถูกส่งไปได้ไม่นานสายธารความสุขก็หลั่งรินออกมาผสมกับวารีในสระกว้าง

“น้ำมันนวดของข้าออกมาแล้ว…ท่านพี่นั่งลงก่อนเถิด ข้าจักนวดให้ต่อ” ชลันธรหอบเล็กน้อย แม้เหนื่อยอ่อนหากยังอยากจะทำให้นภนต์มีสุขบ้าง เทพเวหาเองทำตามแต่โดยดี ถอยไปนั่งตรงขั้นบันไดลงสระ

“เจ้าทำอันใด…ชลันธร” จะไม่ให้ถามคงจะไม่ได้ เมื่อร่างบางขยับขึ้นมานั่งคร่อมตัก ใบหน้าเลื่อนเข้ามาใกล้จนปลายจมูกชนกัน ลมหายใจอุ่นๆช่วยกระตุ้นอารมณ์ค้างเติ่งของนภนต์ได้เป็นอย่างดี

“ตัวข้านี้อยากนวดให้ท่านพี่ต่อ” รอยยิ้มหวานแสนยั่วยวนที่ไม่เคยได้พบเห็น เพลานี้อยู่ตรงหน้าของนภนต์เป็นที่เรียบร้อย อดีตพระสมุทรยกสะโพกตนขึ้นใช้นิ้วเรียวป้ายน้ำมันนวดสีขาวตรงส่วนปลายที่ยังหลงเหลือป้ายลงที่ช่องทางสีสวย ลูบวนไปมาตามรอยจีบ ดัชนีงามค่อยๆ เปิดแง้มแล้วสอดเข้าไป ระหว่างนั้นได้ใช้มืออีกข้างนวดแท่งร้อนแสนกร้าวของนภนต์

“อ๊ะ…อ่า…..” เสียงครางกระเส่าดังออกมา กายบางขยับขึ้นแผ่นอกขาวแอ่นเข้าหาใบหน้าหล่อเหลาที่ใช้ลิ้นแตะเลียเม็ดทับทิมสีชาดก่อนจะสลับดูดดุนจนแข็งสู้ลิ้นชื้น สายตาคมเหลือบมองใบหน้าแดงซ่านจากการสำเร็จความใคร่ของชลันธรเป็นระยะ…‘ไยเจ้าถึงยั่วยวนพี่เช่นนี้ชลันธร’…

จากนิ้วหนึ่งเพิ่มเป็นสอง จากสองเพิ่มเป็นสาม กระทั่งกายภายในช่องทางบีบรัดเล็กน้อยส่งสัญญาณความพร้อมจึงได้จับแก่นกายใหญ่จ่อเข้าปากทางแล้วกดกายลงไปทีละนิด…ทีละนิด

“อ๊า!!!...”

ชลันธรครางลั่นเมื่อผสานกายแนบสนิทเข้าด้วยกันกับคนรัก นภนต์เองสุขล้นจนแทบจะปลดปล่อยด้วยความคับแน่นที่กำลังครอบงำส่วนที่กำลังอึดอัดอยู่

“ชลันธร เจ้าช่วยนวดให้พี่เร็วเถิด พี่ปวดเมื่อยจนทรมานเสียแล้ว”

นภนต์ร้องขอมีหรือชลันธรจักไม่ทำตาม บั้นท้ายแน่นยกขึ้นลงขยับช้าๆก่อนจะเร่งจังหวะให้เร็วขึ้นเพื่อนนวดเค้นให้ตรงจุด นภนต์เห็นว่าชลันธรนั้นว่าง่ายจึงมอบจูบเร่าร้อนเป็นรางวัล ยามที่กายสอดประสานเข้าออกปลายลิ้นชื้นก็กระหวัดเข้าตักตวงความหวานของกันและกัน ยิ่งคราใดที่นภนต์แกล้งสวนสะโพก ชลันธรจะดูดปลายลิ้นของอีกฝ่ายจนเกิดเสียง

“อ่ะ…อ่า….อ้ะ…ท่านพี่…ชอบหรือไม่” ชลันธรโอบกอดคอนภนต์ ริมฝีปากขยับถามปนครางแทบฟังแทบไม่ได้ศัพท์

“ชอบสิ…เจ้าช่างนวดพี่ได้ถูกจุด ถูกใจนัก..ฮืม..” นภนต์เอ่ยปากชมก่อนจะยืนอุ้มชลันธรขึ้นมา ขาเรียวรีบเกี่ยวเอวหนาแทบจะทันทีจนร่างกายแนบชิด

“อ๊ะ…อ๊า..ท่านพี่…มัน..จุก..อื้อ..จุก” จากนี้ไปชลันธรมิได้ออกแรงนวด หากต้องเสียแรงนวดมากไม่ต่างกัน

‘ซ่า…ซ่า..’ นภนต์เป็นฝ่ายกระแทกกระทั้นแก่นกายเข้าไปจนวารีในสระกระจายเป็นวงกว้าง บ้างกระเพื่อมขึ้นมาเปียกชุ่มขั้นบันได

“ชลันธร…อ่า…กอดพี่ให้แน่น” คำสั่งแสนละมุนละไมถูกส่งให้กับร่างบางที่ทำตามไม่อิดออด แม้จะไม่รู้ด้วยเหตุใดหากชลันธรนั้นก็ยอมทำตาม

ขายาวก้าวลุยน้ำทีละก้าวขึ้นบันไดทีละขั้น ถึงจะอุ้มชลันธรไว้แต่ไม่เป็นอุปสรรคกลับยิ่งทำให้ตนฝังกายลึกเรียกเสียงครางหวานจากชลันธรได้ไม่ขาด

“อ่ะ…อ่า…อ่า…ท่านพี่นภนต์..อ่ะ..อ๊ะ”

ชลันธรทำได้เพียงให้นภนต์ชักจูง จากที่หมายใจจะให้นภนต์ผ่อนคลายกลับกลายเป็นตนเองถูกปรนเปรอเสียเอง ยิ่งนภนต์เดินมากเท่าใดยิ่งสอดลึกถึงจุดกระสันมากเท่านั้น แก่นกายของตนที่เพลานี้เบียดเสียดหน้าท้องแกร่งเริ่มมีน้ำใสใสปริ่มส่วนปลายอีกครา

“อ๊ะ!!”

ชลันธรร้องอุทาน เมื่อถูกนภนต์วางตนลงบนเตียงนุ่มพร้อมกายที่โถมเข้ามาอย่างรวดเร็ว มือหนาจับมือเรียวตรึงไว้แนบชิดติดเบาะ สะโพกหนากระแทกแรงถี่ระรัวมิให้ชลันธรได้หยุดหายใจ

“อ่ะ..อ๊ะ…อ่า…อื้อ….”

‘ปึง…ปัง..’

เสียงร้องครางเคล้าคลอกับเสียงแท่นบรรจถรณ์ที่กระทบกับผนังจนดังก้องไปทั่วถ้ำราวกับว่าเตียงจะแตกหักเสียให้ได้ นภนต์เร่งจังหวะมากขึ้นยิ่งผนังนุ่มในกายบางบีบรักแล้วยิ่งอดไม่ได้ที่จะไม่ออมแรง ด้านชลันธรรู้สึกร้อนผ่าวจากการเสียดสีหากกลับทำให้รู้สึกดีจนแอ่นสะโพกขึ้นรับ เรียวขากางออกรับกายนภนต์ให้ประชิดจนจะหลอมเป็นเนื้อเดียวกัน

“พี่รักเจ้า…อ่า..า…พี่รักเจ้าชลันธร”

“ข้าเอง..อึก..อ่า..ก็รักท่านพี่”

คำบอกรักถูกบอกผ่านทั้งภาษากาย ภาษาใจ และภาษาปากของทั้งสอง มันทำให้ความสุขล้นออกมาจากดวงใจจนมีรัศมีแห่งความรักห้อมล้อมรอบทุกคูหาของถ้ำแก้วแห่งนี้

“อ่า….”

ครรลองแห่งบทรักมาถึงช่วงสุดท้ายนภนต์และชลันธรต่างมอบให้กันและกัน ในที่สุดร่างกายสองกระตุกเกร็ง สายธารแห่งความสุขของเทพหนุ่มถูกปลดปล่อยออกมาจนสิ้น นภนต์แอนกายล้มนอนทาบทับร่างบาง ความชิดใกล้นี้ทำให้นภนต์ได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นระรัวของชลันธร

“ท่านพี่นภนต์…ข้ารักท่านพี่มากนะ…จุ๊บ” ชลันธรเอ่ยก่อนจะประทับจุมพิตแสนหวานกลางหน้าผากของคนรัก

“พี่เองก็รักเจ้ามาก…ชลันธร” นภนต์พูดจบก็ตรงเข้าหอมแก้มนิ่มทั้งสองข้าง ทว่ายามขยับกายส่วนที่เคยผ่อนคลายกลับปวดเมื่อยจนแข็งขืนขึ้นอีกครั้ง

“เอ่อ…ถ้าท่านพี่อยากจะคลายปวดคลายเมื่อยอีกครา ข้านี้ก็ยินดี” ชลันธรเอ่ยเชิญชวนด้วยใบหน้าแดงก่ำ เสียจนนภนต์อดเอ็นดูไม่ได้

“ถ้าเจ้าเชื่อเชิญเยี่ยงนี้เห็นทีคราเดียวคงไม่พอ...เจ้าจะยอมนวดให้พี่หรือไม่”

“ข้าเต็มใจขอให้ท่านพี่เป็นสุขตลอดราตรีนี้…อื้อ...” ถ้อยคำขาดหายด้วยริมฝีปากหยักประกบจูบ บทรักแรงสวาทเริ่มต้นบทใหม่อีกครั้งและไม่รู้ว่าจะจบบทเมื่อใด เพลานี้ทั้งสองต้องการจะตักตวงความรักให้กันและกัน โดยเฉพาะนภนต์ที่อยากจะครองกายชลันธรให้เนิ่นนานที่สุดเท่าที่จะทำได้...

…‘หลังจากราตรีนี้ไป พี่ไม่รู้ว่าจะได้กอดเจ้าเช่นนี้ได้อีกหรือไม่ชลันธร’…

.  .  .
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.34 P.12 (04/11/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 04-11-2017 12:24:36
(ต่อ)



‘เพล้ง!!!! เพล้ง!!!! เพล้ง!!!!’

เสียงเครื่องแก้ว เครื่องเรือนมากมายถูกเขวี้ยงทิ้งลงบนพื้นจนแตกกระจายแทบหมดสิ้น สิ่งใดที่ขวาง สิ่งใดที่อยู่ในสายตา เจ้าของวิมานพร้อมที่จะทำลายจนสิ้นซาก บัดนี้วิมานสถานที่เคยเงียบสงบกลับกลายเป็นสนามแห่งอารมณ์ความคลุ้มคลั่ง ครั้งแล้วครั้งเล่าเสียงสิ่งของถูกขว้างปาดังขึ้นเสียงของมันดังลอดผ่านประตูทำให้ผู้เพิ่งเสร็จจากการสู้รบและแวะมาเยือนรีบผลักบานประตูเข้าไป

บาทาที่ยกย่างผ่านธรณีประตูต้องชะงักค้างไว้ก่อนที่จะย่ำลง ถือว่าพระพุธนั้นยังโชคดีอยู่บ้างที่มิเหยียบเศษแก้วที่แตกกระจัดกระจาย พอกวาดสายตามองโดยรอบก็พบว่าข้าวของนั้นกระจัดกระจายเสียหายจำนวนมาก แท่นประทับตลอดจนโต๊ะตั่งต่างล้มคว่ำด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ยากนักที่พระพุธพอจะเดาออกว่าเจ้าของวิมานนั้นอยู่ห้วงอารมณ์ใด

“พี่เสาร์!!!” พระพุธเรียกหาพระเสาร์แต่ก็ไร้เสียงขานรับ กายบางจึงถือวิสาสะเดินหาจนทั่ววิมาน แต่ก็มิพบจนเหลือเพียงแค่ห้องบรรทมเท่านั้น และเป็นไปตามคาดพระเสาร์นั้นอยู่ในห้องบรรทมจริงๆ  ร่างสูงใหญ่กำยำนอนเอนยาวบนเขนย ในมือนั้นถือจอกเหล้าเอาไว้

“พี่เสาร์!!! ไยพี่เสาร์ถึงดื่มน้ำจันทร์เมามายเช่นนี้” พระพุธเดินเข้าหา มือเรียวคว้าจอกเหล้าออกจากมือของพระเสาร์

“เอามาเจ้าพุธ!!! นั่นมันเหล้าของพี่หรือว่าถ้าเจ้านั้นอยากดื่มก็จงมานั่งตรงนี้ มาดื่มด้วยกัน...”

“พี่เสาร์!! โอ๊ย!!!” พระพุธโวยวายเมื่อถูกอีกฝ่ายฉุดให้นั่งลงบนเตียงกว้าง

“พี่เสาร์พุธมิได้ต้องการมาดื่มน้ำจันกับพี่เสาร์ ที่พุธมาที่นี่เพราะพุธจะมาบอกว่าพุธและเทพกาลเวลานั้นจับพระสมุทรกนธีขังไว้ในคุกกาลเวลาแล้ว อีกอย่างทำไมพี่ไม่ตามตัวนาคินทร์ตามที่พุธบอกเล่า...พุธใคร่รู้ว่าหลานนั้นเป็นเช่นไรไรบ้าง”

“ไอ้ชั่วกนธีถูกขังเช่นนั้นมันไม่สาสมแก่ใจที่ข้าต้องการ เจ้าพุธเอ๋ย…ในเมื่อข้าตามหาลูกของข้าไม่เจอ เจ้าได้ยินหรือไม่ว่าข้าตามหาไม่เจอ ข้าถึงได้กลัดกลุ้มเช่นนี้อย่างไรเล่า...” พระเสาร์เอ่ยออกมาด้วยความทุกข์ใจ ถึงรู้ดีแก่ใจว่าไม่มีผู้ใดรอดชีวิตจากตรีศูลของพระสมุทร กระนั้นพระเสาร์ต้องการจะพบเจอบุตร กอดกายลูกไว้สักครั้งหนึ่งในชีวิต

“เพียงหานาคินทร์ไม่เจอ ท่านพี่จะอาละวาด ดื่มเหล้าไปทำไมกันเล่า” พระพุธส่ายหน้าให้กับเทพเจ้าอารมณ์ตรงหน้า ปกติพระเสาร์ไม่เคยจะแยแสสิ่งใดแต่ในเวลานี้กลับคุมอารมณ์ไม่อยู่

“ข้านั้นใจคอไม่ดีระหว่างที่ตามหานาคินทร์ อยู่ๆ สร้อยสังวาลของข้าขาดออกจากกัน เป็นลางบอกเหตุร้ายนั้นจะเกิด และมันคงเกิดขึ้นกับลูกข้าเป็นแน่แท้ หากเป็นเช่นนั้นข้าจะไม่อภัยคนที่ทำร้ายลูกข้าเป็นอันขาด มันจักต้องไม่ตายดี!!!” พระเสาร์เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น แววตาลุกโชนไปด้วยไฟโทสะ

“เช่นนั้นพุธจักลองใช้มิติมายาตามหาหลานดูอีกสักครั้ง” พระพุธเอ่ย แม้ตนจะอ่อนเพลียจากการที่ต้องจัดการขัดขวางพระเสาร์และกนธี แต่ใจนั้นอดจะนึกเป็นห่วงนาคินทร์ไม่แพ้พระเสาร์และเพื่อความสบายใจของพระเสาร์ด้วยเช่นกัน ผอบเถ้ากระดูกคชสารถูกนำมาใช้อีกครั้ง พระพุธไม่รอช้าร่ายคาถา ทว่า…เถ้ากระดูกนั้นมิได้ก่อขึ้นรูปเป็นสิ่งใดและไร้ซึ่งภาพของนาคินทร์

“เจ้าพุธ…เหตุใดถึงไม่มีสิ่งใดปรากฏ เจ้าร่ายคาถาผิดหรือไรเล่า” พระเสาร์ที่รอดูถามขึ้นมา

“พี่เสาร์…เหตุที่เถ้ากระดูกคชสารนั้นมิก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างนั้นมีอยู่ สองเหตุด้วยกันคือ ผู้ๆ นั้นไม่มีตัวตนอยู่จริง หรือ ผู้ที่เราตามหานั้นได้ละสังขารไร้ซึ่งกายหยาบไปเสียแล้ว” พระพุธตอบเสียงแผ่ว ตาสวยจ้องมองแววตาที่สิ้นหวังของพระเสาร์

“หมายความว่า…หมายความว่านาคินทร์ลูกของข้าตายไปแล้วหรือเจ้าพุธ!!! ตอบข้ามา!!!” พระเสาร์ควบคุมโทสะไว้ไม่อยู่ มือหนาจับต้นแขนขาวทั้งสองข้าง ทั้งบีบ ทั้งเขย่ากายจนพระพุธโยกไปตามแรง

“พี่เสาร์!!! ตั้งสติเอาไว้เสียก่อน” พระพุธคว้าหัตถาใหญ่ออกแล้วเข้าสวมกอดพระเสาร์แน่น

“ทำไม...ทำไม...ถึงเป็นเช่นนี้...อ้าก!!!!...”

‘ปัง!!!...ปัง!!!...ปัง!!!” เสียงบานประตู หน้าต่าง ขยับปิดเปิดเสียงดังไม่ต่างจากสายฟ้าฟาดทั้งที่ไม่ได้สัมผัสแตะต้องแต่ด้วยพลังที่ออกมาจากพระเสาร์จึงทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นมา แม้จะมีพระพุธที่พยายามสะกดพลังของพระเสาร์ด้วยอ้อมกอด

“พี่เสาร์…พุธรู้ว่าพี่เสาร์เจ็บปวดแต่พุธมิอยากให้พี่เสาร์โมโหโกรธาแล้วจมดิ่งลงไปในความทุกข์ พุธอยากให้พี่เสาร์ตั้งสติเอาไว้” เมื่อใดที่พระเสาร์โมโหทุกสรรพสิ่งจะเผชิญกับความโชคร้าย พระพุธรู้ดีจึงรีบเอ่ยเตือนสติเอาไว้ก่อนที่พระเสาร์จะระเบิดอารมณ์จนเกิดเหตุร้ายบานปลาย

“ลูกข้าทั้งคนจะให้ข้าตั้งสติได้หรือ หากคนตายนั้นสามารถฟื้นขึ้นมาได้เพียงแสงแดดส่อง ข้าคงมิเป็นเช่นนี้ดอก” พระเสาร์โต้กลับ

“โชคชะตาของคนเรานั้นไม่ว่าจะเป็น เทวดา มนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน จนไปถึงอสุรา ยักษาล้วนถูกกำหนดไว้แล้วทั้งสิ้น ในยามนี้พุธคงบอกได้เพียงให้พี่เสาร์ยอมรับความจริง...อีกอย่างผู้ที่รักนาคินทร์นั้นมิได้มีเพียงพี่เสาร์เพียงผู้เดียวสักหน่อย พุธเชื่อว่าในเร็ววันบุตรแห่งพระอาทิตย์ นามระพีพงษ์จะมาพบพี่ถึงที่วิมานแห่งนี้เป็นแน่...” พระพุธผู้มีญาณสูงส่ง เอ่ยสิ่งที่ตนล่วงรู้ให้กับพระเสาร์ได้ทราบ

“เจ้าพุธ ไยเจ้าถึงเอ่ยเช่นนี้...แต่ช่างเถิดในเมื่อบุตรแห่งพระอาทิตย์นั้นจะมาข้าก็จักตั้งท่ารอแล้วสังหารให้มันดับสูญให้สมกับที่มันเป็นสาเหตุที่ทำให้นาคินทร์ต้องมาตายและโทษฐานที่มันไร้ซึ่งความสามารถที่จะปกป้องลูกข้าได้...” พระเสาร์ดันกายพระพุธเพื่อออกจากอ้อมกอด ก่อนจะเอ่ยวาจาด้วยสุรเสียงที่หนักแน่นหมายมั่นจักทำตามในสิ่งที่ตนได้เอ่ยออกมา

“พี่เสาร์!!! พุธบอกให้พี่ยอมรับความจริงและตั้งสติ มิใช่คิดจะเอาผิดหรือคิดแค้น ถ้าจะให้พุธพูดตามที่คิดพี่เสาร์เองก็ผิดที่ถือทิฐิเห็นนาคินทร์คบหากับบุรุษเพศจึงลงไปช่วยล่าช้า…อ่ะ!!” พระพุธที่คอยเตือนสติกลับเป็นฝ่ายสติหลุดไปเสียเอง เทวาเจ้าสำอางยกมือเรียวมาป้องปากปิดไว้เมื่อรู้ตัวว่าตนนั้นดันพูดสิ่งที่ไม่สมควรจะพูดออกไป พระเสาร์พอได้ฟังจึงฉุกคิดขึ้นมาว่าตนเองก็มีส่วนผิดเช่นเดียวกัน

“พี่เสาร์…พุธขอโทษ” พระพุธเอ่ยน้ำเสียงแผ่วเบาด้วยรู้สึกผิดที่ตนนั้นใช้วาจาเชือดเฉือนจิตใจอีกฝ่าย

“เจ้าพูดถูก…เจ้าพุธ ข้าเอง...ก็ผิดไม่แพ้บุตรพระอาทิตย์นี่เช่นกัน ทำไมกันโชคซะตาของข้า...เป็นถึงพระเสาร์ผู้ยิ่งใหญ่มีทุกสิ่งทุกอย่าง แต่กลับมิเคยได้อยู่ด้วยลูกเมียกันพร้อมหน้าพร้อมตา” น้ำเสียงสั่นเครือผ่านเข้าหูพระพุธ เจ้าของประโยคแทบสิ้นแรงจนทิ้งตัวลงบนบรรจถรณ์ ความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามาพร้อมกับความเสียใจ

ทั้งสองนิ่งเงียบกันอยู่ครู่หนึ่ง พระพุธเห็นว่าพระเสาร์นั้นจิตใจได้เย็นสงบลงแล้ว เห็นแก่เวลาอันสมควรจึงขอตัวปลีกกลับวิมานตนเสียก่อน

“พี่เสาร์คงอยากจะพักผ่อน เช่นนั้นพุธจักออกไปจัดการข้าวของที่กระจัดกระจายหน้าห้องของพี่เสาร์ก่อน แล้วจะกลับ...” พระพุธเข้าใจว่าพระเสาร์คงอยากจะอยู่กับตัวเองและคิดทบทวนเรื่องราว กายงามจึงลุกออกจากเตียง

‘หมับ’

“พี่เสาร์!!!” ไม่ทันจะได้ลุกออกไปไหน ข้อมือเล็กก็ถูกคนที่เอนตัวนอนคว้าไว้ ทั้งออกแรงดึงจนพระพุธล้มนอนลงไป แขนแกร่งรั้งเอวบางเข้ามาให้นอนชิดติดกับตน

“ของพวกนั้นวันพรุ่งค่อยจัดการก็ เพลานี้ข้าอยากให้ใครสักคนอยู่กับข้า หาเรื่องอื่นทำให้คลายโศกเศร้าบ้าง เจ้าพุธ...เจ้าจะอยู่เป็นเพื่อนข้าในราตรีนี้ได้หรือไม่”

“ปล่อยพุธก่อนเถิด...ถึงเราจะอยู่กันสองต่อสองมัน ก็มิเป็นการควร...”  พระพุธเอ่ยสิ่งที่ยับยั้งทำให้ตนกำลังรู้ใบหน้าร้อนผ่าว พระเสาร์เองก็ลืมไป...จึงปล่อยกายบางให้ลุกขึ้นนั่งที่ขอบแท่นบรรทม...

















........................................

ตอนที่แล้วคอมเม้นเยอะมากกกก ท่านยุ่งถูกกล่าวหาว่าใจร้ายทั้งที่ท่านยุ่งนั้นแสนดีเหมาะสมกับป๋ากนธี งอนคนอ่าน 5555



ตอนนี้ชลันธรนวดให้พี่นภนต์หลังจากตะลอนตะลอนมาแทบจะจบเรื่อง พี่นภนต์เราดีนะคะ ใครที่เคยว่าพี่แกรีบมาขอโทษเลย //ท่านยุ่งก็เคยว่า

ส่วนอีกคู่ 'พี่น้อง' เขาดราม่ากัน ท่านยุ่งกลัวเรือคู่นี้มากยังไงขอระเบิดเรือก่อนนะคะ 5555

สุดท้านยนี้ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม ตามอ่าน ตามเม้น เป็นกำลังใจ และขอฝากนิยายเรื่องต่อไปของท่านยุ่งด้วยนะคะ

ป.ล. ท่านยุ่งต้องเข้าฝึกซ้อมและรับพระราชทานปริญญาบัตร อาจจะอัพนิยายล่าช้าขออภัยด้วย ยังไงจะอัพเดทในเพจนะคะ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.34 P.12 (04/11/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 04-11-2017 16:27:14
ทำไมต้องระเบิดเรือ พี่น้อง คู่นี้ด้วยคะ เรากำลังก้าวขาลงเรือพร้อมเสริมเครื่องยนต์ด้วยอ่ะ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.34 P.12 (04/11/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 04-11-2017 21:49:37
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.34 P.12 (04/11/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 04-11-2017 22:04:54
รอคู่นาคินทร์รพีพงศ์นะคะ หวังว่าผู้สร้างคงช่วยได้

ว่าแล้วก็คิดถึงคู่ผู้สร้าง ห่างหายไปนานเลย
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.34 P.12 (04/11/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 05-11-2017 00:58:54
 :pig4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.34 P.12 (04/11/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 05-11-2017 02:01:06
เรือพี่น้องดิฉันก้าวขาลงไปแล้วจะระเบิดมิได้นะเจ้าคะ
ตอนที่แล้วเสียน้ำตาตอนนี้เสียเลือดอีก
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.34 P.12 (04/11/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 05-11-2017 11:01:11


หมดหน้ากระดาษ.....

ไม่นะ

มาต่อไวๆนะขอรับ

หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.35.1 P.12 (19/11/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 19-11-2017 09:02:42
สาปรัก ทัณฑ์เทวา

Writer : Tan-Yung 0209

File : 35













ความมืดมนแห่งรัตติกาลเคลื่อนย้ายหนีหาย ทดแทนด้วยแสงสว่างแห่งสุริยาสาดส่องฉาบลงสู่พื้นป่าหิมพานต์ที่กว้างใหญ่ เหล่าสรรพสัตว์น้อยใหญ่ออกมาจากที่พำนัก เหล่าวิหกโผผินเที่ยวบินลัดเลาะเกาะกิ่งไม้ แข่งขันเปล่งส่งเสียงขับขานดังบทคีตกวีแสนไพเราะ หากยลยินในยามเช้าเช่นนี้คงเป็นเช้าวันใหม่ที่แสนสุขสดใส แต่เสียงเพลงนี้กลับปลุกสองกายาที่กอดก่ายนิทราแสนสนิทภายในคูหาบรรทมถ้ำรัตนาให้ตื่นขึ้นมารับเช้าวันใหม่

ชลันธรเบี่ยงขยับกายเล็กน้อย…มีเพียงจิตที่นึกคิดว่านานเพียงใดแล้วที่ตนนั้นมิได้นอนหลับสนิทเช่นนี้ เปลือกตาที่ซ่อนดวงตาเสน่หานั้นค่อยๆ เปิดออก ภาพแรกที่ได้เห็นคือพักตราของภัสดาที่กำลังจ้องมองตน ชลันธรรับรู้ได้ถึงความอ่อนโยนผ่านนัยน์ตาคู่นั้นที่ไม่รู้ว่าจ้องมองตนมานานเท่าใดแล้ว

“จ้องมองข้าเช่นนี้มานานแล้วหรือ...หากท่านพี่ตื่นนานแล้ว...ไยถึงไม่ปลุกข้าเล่า เอ๊ะ! หรือว่าท่านพี่ยังไม่ได้นอนหลับพักผ่อนเลย” ชลันธรเอ่ยถาม นภนต์ก็ไม่ตอบสิ่งใดหรือมีท่าทีลุกลี้ลุลน แต่ชลันธรนั้นก็พอจะเดาเป็นคำตอบว่าตนนั้นเดาได้ถูกทาง

“เหตุใดถึงไม่พักผ่อนเล่า…ท่านพี่เหนื่อยมามากทั้งเดินทาง ทั้งสู้รบ ไหนจะเรื่องเมื่อคืนนี้...อีก...” ชลันธรมิค่อยจะชอบใจนักที่นภนต์ไม่ยอมหลับยอมนอน ด้วยเหนื่อยล้าแรงกายสมควรที่จะพัก แต่เรื่องเมื่อคืนที่เริ่มจากสระน้ำ ก็ทำเอาประโยคสุดท้ายที่พูดไปทำให้แก้มนวลนั้นแต่งแต้มสีแดงเรื่อบางเบา

“เจ้ามิต้องกังวลดอกกับเรื่องเพียงเท่านี้...การที่พี่ได้อยู่กับเจ้านั้นก็ถือว่าเป็นการพักผ่อนแล้ว…ชลันธร” นภนต์ตอบ มือหนายกขึ้นมาลูบผมดำขลับแผ่วเบา…‘พี่นั้นอยากเห็นใบหน้าเจ้าก่อนที่พี่จักไม่มีโอกาสได้เห็นกันอีก’… แวบหนึ่ง เพียงแวบเดียวเท่านั้น ชลันธรรู้สึกถึงนัยน์ตาของนภนต์ที่แสดงความรู้สึกแต่งไปจากเดิม แต่ก็เพียงคิดว่านภนต์อาจจะกลัดกลุ้มใจที่จักต้องไปจับกุมพระเทวีกวินตาผู้เป็นมารดา

“ข้าแสนดีใจนัก..ที่ท่านพี่เห็นว่าข้านั้นเป็นที่พิงใจ หากข้าจะดีใจยิ่งกว่านี้ถ้าได้แบ่งปันความทุกข์จากท่านพี่มาให้ข้าบ้าง ข้ามิอยากเห็นท่านพี่นั้นคิดมาก...” ชลันธรคว้ามือที่ลูบเกศาตนมาแนบแก้ม

“เจ้านี่ช่างเจรจาเสียจริง พี่หาได้มีทุกข์ใจอะไรไม่หรือเป็นอันใดอย่างที่เจ้าคิด...คนดีของพี่อย่าคิดมากไปเลย... อืม…พี่ว่าเราทั้งสองไปอาบน้ำกันเสียดีกว่า วันนี้ยังคงจะต้องเดินทางกันอีก...” นภนต์เปลี่ยนเรื่องพร้อมกับช้อนแขนเข้าใต้ร่างกายชลันธรแล้วโอบอุ้มร่างบางขึ้นมา

“โปรดวางข้าลงเถิดท่านพี่...ข้าเดินเองได้…” ชลันธรรู้สึกอายเล็กน้อยที่ถูกอุ้มทั้งที่ยังคงเปลือยกายไร้ภูษาปกปิด แต่เทพหนุ่มก็หาได้วางลงไม่ก็ด้วยห่วงว่าเมียรักจะเดินไม่ไหวแม้จะเอ่ยว่าไหวก็ตามที ด้วยผ่านสมรภูมิรักแสนหนักห่วงมาแล้วทั้งคืน ก็ย่อมรู้ตนว่าตื่นมาต้องดูแลคนข้างกายเช่นไร ก็ด้วยรักมาก เสน่หามาก แรงรักแรงกระทำก็ยิ่งรุนแรงมาก... ชลันธรเอาแต่เงียบแอบซ่อนความรู้สึกน้อยใจที่นภนต์มีเรื่องทุกข์ใจปิดบังมิยอมเอ่ย

ทั้งสองชำระกายกันอยู่นานสองนาน จนแทบที่จะบรรเลงเพลงรักรับอรุณกันอีกรอบ แต่สตินั้นรู้ว่าเมียรักคงไม่ไหวจึงรีบชำระกายให้เสร็จสิ้น รีบจัดแจงแต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จสรรพ นภนต์นั้นสวมอาภรณ์และเครื่องประดับยศฐา ด้านชลันธรนั้นแต่งกายเรียบง่ายเครื่องประดับคงจะมีเพียงธำมรงค์ที่นภนต์สวมใส่ให้เท่านั้น

“แหวนวงนี้จะช่วยให้เจ้าอยู่บนสรรค์ได้ และบริวารของพี่ ...เจ้าทิชากรจะเชื่อฟัง และทำตามความประสงค์ทุกอย่างของเจ้า” ข้อจำกัดของชลันธรคือการที่ยังคงอยู่ในร่างมนุษย์ นภนต์จึงสวมธำมรงค์ประจำกายเทพบนนิ้วเรียวของอดีตพระสมุทร ก่อนจะจรดจุมพิตบางเบาที่แหวนงาม

“ขอบน้ำใจท่านพี่มาก” ชลันธรยิ้มกว้าง มองธำมรงค์ที่ส่องประกายงดงาม

“เจ้าชอบหรือไม่”

“แหวนของท่านพี่ มีหรือข้าจะมิชอบ...ข้าชอบมาก”

“พี่ยกให้เจ้า…ขอให้เจ้าเก็บรักษาแหวนวงนี้ไว้ให้ดี ถือเสียว่าแหวนวงนี้คือดวงใจของพี่ที่ยกให้เจ้าและจะอยู่เคียงข้างเจ้าตลอดไป” นภนต์เอ่ย ก่อนจะจรดริมฝีปากไปยังกลางหน้าผาก

“ข้าจะเก็บมันเอาไว้ให้ดี จะรักษาดวงใจของท่านพี่และรักของเราทั้งสองตลอดไป” ชลันธรให้คำมั่น แขนเรียวสองโอบกอดกายสูงไว้แน่น นภนต์เองกอดกลับชลันธรไว้เช่นกัน

“แต่หากเป็นแหวนมงคลสมรสพี่จะหาให้เจ้าทั้งงามทั้งพิสดารกว่านี้...มิให้น้อยหน้าเทพเทวีองค์ไหน...ให้สมหน้าสมตา...ชายาแม่ทัพสวรรค์” นภนต์เอ่ยความในใจสิ่งหนึ่งที่นอนครุ่นคิดมาทั้งคืน... แม้ยังมิรู้ด้วยว่าภายหน้านี้จะได้ทำดั่งใจหมายหรือไม่

“ท่าน....ท่านพี่พูดเรื่องอะไรกัน...” ชลันธรประหลาดใจคำพูดของนภนต์มิใช่น้อย...แหวนมงคลสมรสหรือ...นี่มันอะไร...นภนต์หวังที่จะวิวาห์กับตน ดั่งตกตะลึงอยู่ในภวังค์ความคิด ใจนั้นเต้นแรง ชลันธรหยุดหายใจไปชั่วขณะ นภนต์มิตอบอะไรเพียงแต่สบเนตรแสนหวานซึ้งให้คนตะลึงในอ้อมกอดไปเท่านั้น

‘พรึบ พรั่บ’ เสียงหนึ่งที่มาพร้อมกระแสลมทำให้ชลันธรหลุดจากภวังค์คำพูดเมื่อครู่ วิหกสีทองตัวใหญ่บินถลาลงมาแล้วหยุดยืนหน้าถ้ำแก้ว นภนต์และชลันธรจึงคลายกอดจากกัน ต่างมองลอดผ่านที่ปากถ้ำเห็น ‘ทิชากร’ สัตว์พาหนะของนภนต์ที่ทั้งสองไม่เห็นหน้าเห็นตาเสียพักใหญ่

“ทิชากร” ชลันธรวิ่งเข้าหาโอบกอดคอนกยักษ์นี้ไว้ด้วยความคิดถึง ผิดกับนภนต์ที่ตกอยู่ในห้วงความคิดว่าใกล้ถึงเวลาเริ่มต้นเข้าสู่การนับเวลาถอยหลังระหว่างตนกับชลันธรแล้ว

“ชลันธร พี่ว่าเราทั้งสองออกเดินทางกันเถิด…” นภนต์เอ่ย ชลันธรจึงคลายกอดจากทิชากรและปีนขึ้นหลังวิหกเนื้อเหมที่ย่อกายลงให้ผู้เป็นนายทั้งสองได้ขึ้นขี่หลัง

“ทิชากร จงนำข้าและชลันธรไปยังวิมานเวหาของข้า” นภนต์สั่งการ ทิชากรสยายปีกกว้างก่อนที่จะกระพือขึ้นโผบินสู่ท้องฟ้าตมคำบัญชา

วิหกทิชากรพาทั้งสองบินสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนเหนือเรือนยอดไม้ใหญ่ เห็นว่าต้นไม้หนึ่งมีเหล่าเทวดาและคนธรรพ์มากมาย บ้างกำลังต่อสู้กันเพื่อที่จะแย่งในสิ่งที่ต้องการไปเชยชม ต้นไม้ที่ว่าคงจะหนีมิพ้นเป็นต้นมักกะลีผลที่ออกผลเป็นนารีเรือนกายเย้ายวนอวนด้วยกลิ่นหอมหวานคละคลุ้ง แต่แล้วภาพเหตุการณ์ในเบื้องล่างถูกแทนที่ด้วยเมฆาที่เลื่อนลอยคล้ายหมอกจาง เงาตะคุ่มสีดำบินฝ่าเมฆมาเมื่อเข้าใกล้จึงรู้ว่าได้มีครุฑบินมาล้อมทั้งหมดเอาไว้

“ท่านพี่นภนต์เหตุใดครุฑทั้ง ๔ ตนนี้ จึงบินมาโอบล้อมเราไว้” ชลันธรถามนภนต์ด้วยความสงสัย ตาเรียวมองไปยังครุฑที่บินอยู่ไม่ห่าง

“เจ้าอย่าตกใจไปเลย ครุฑเหล่านี้ล้วนเป็นบริวารของพี่ มิใช่ครุฑเกเรที่จักมาหาเรื่องเราสองได้” นภนต์ไขความข้องใจทำให้ชลันธรโล่งอกเพราะคิดว่าจะเกิดเรื่องร้ายอีก

จากการเดินทางที่มีเพียงสามเพิ่มอีกสี่ ขบวนของนภนต์บินขึ้นชั้นฟ้าที่มีเมฆาหนาทึบจนปิดบังมองไม่เห็นสิ่งใดบนพื้นพิภพหิมพานต์ แต่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นคือวิมานตรงหน้าที่กว้างใหญ่โอฬารงดงามวิจิตร ยามต้องแสงดวงอาทิตย์วิมานนี้ได้ส่องแสงสีทองพลอยให้เมฆที่ลอยผ่านมีสีทองไปด้วย บัดนี้ทิชากรได้พานภนต์และชลันธรมาถึงวิมานสุวรรณเวหาหรือวิมานของเทพแห่งท้องนภาแล้ว

นภนต์ลงจากหลังทิชากรแล้วประคองร่างบางลงมาอย่างทะนุถนอม เมื่อเท้าได้สัมผัสกับพื้นด้านหน้า สายตาของทั้งคู่กวาดมองรอบกาย พลันทำให้ชลันธรนึกถึงเหตุการณ์ในวันที่ตนนำน้ำเกษียรสมุทรมามอบให้พระเทวีกวินตา

“แปลกเสียจริงเหตุใดจึงไร้ทหารเฝ้าวิมานเช่นนี้...” เสียงของนภนต์ฉุดชลันธรให้หลุดพ้นจากความคิดของตน ด้วยวิมานที่เคยมีบริวารมากมายกลับเงียบเหงาวังเวงเช่นนี้

“นั่นสิท่านพี่ ทหารยาม หรือทวารบานก็ไม่มี พวกเขาต่างหายหน้าไปไหนกันเสียหมด”

“หรือว่า…” และแล้วความคิดหนึ่งได้ผ่านเข้ามา นภนต์ไม่รอช้า เร่งสองเท้าย่างก้าวสู่วิมาน โดยมีชลันธรเดินตามติดอยู่ไม่ห่างกาย

‘แอ๊ด…’ เสียงบานประตูวิมานเปิดออก นภนต์ก้าวข้ามธรณีประตูสู่ภายในวิมาน

“ท่าทางรีบร้อนเช่นนี้ คิดว่าแม่หนีเจ้าไปหรือนภนต์…ลูกรัก” เทวีผู้งามล้นนั่งสางเส้นผมที่สลวยยาวด้วยสางทองคำ ริมฝีปากบางขยับถามความ หากดวงเนตรเรียบนิ่งคู่นั้นมิได้มองมายังคู่สนทนาด้วยเลยแม้แต่น้อย

“ท่านแม่” นภนต์เอ่ยเรียกมารดาเสียงแผ่วเบา เบาเสียจนคิดว่ากลืนไปกับสายลม

“เข้ามานั่งก่อนสิ...อดีตพระสมุทรชลันธร เจ้าก็เข้ามาด้วย” พระเทวีกวินตาเชื้อเชิญโอรสหนึ่งเดียวพร้อมชลันธรให้เข้ามา

“ท่านแม่ ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่าน”

“นภนต์เจ้าเข้ามาช่วยเกล้าผมให้แม่หน่อยเถิด เมื่อฟ้าสางแม่ไล่เหล่าบริวารออกไปจนเสียหมด พอจักทำสิ่งใดก็ช่างลำบากเหลือเกิน” เสียงเจื้อยแจ้วไม่ทุกร้อนเปล่งออกมาสั่งให้ลูกยาเข้าช่วยเหลือ นภนต์เทพผู้กตัญญูมิได้ขัดข้องลุกเข้าหาผู้เป็นแม่ มือหนารวบผมของมารดาเกล้าขึ้นสูง

“เหตุใดท่านแม่ถึงไล่ทุกคนออกไปเล่า” นภนต์ซักถามขณะเดียวกันนั้นได้หยิบศิราภรณ์รัดเกล้ายอดที่พระเทวีกวินตาเตรียมไว้มาประดับ

“แปลกใจใช่หรือ ไม่ต้องแปลกใจหรอก แม่จะพูดกับเจ้าตรงๆ...ก็ด้วยแม่มิอยากให้ใครต้องมาเห็นเจ้าจับกุมแม่ไปลงโทษ อีกทั้งยังพาคนที่แม่ชังน้ำหน้าเป็นหนักหนามาด้วย” พระเทวีกวินตาเอ่ย ดวงตาหวานแข็งกร้าวขึ้นทันทีที่เอื้อนเอ่ยถึงและมองไปยังชลันธรที่นั่งเงียบคล้ายจะเป็นอากาศธาตุ

“ท่านแม่ !! / ท่านน้ากวินตา !!!”

“จะส่งเสียงดังไปไย ในเมื่ออยู่ใกล้กันเพียงนิดเดียวเช่นนี้” พระเทวีกวินตายิ้มออกมา…ยิ้มที่เกิดจากการฝืน ยิ้มที่มิมาจากใจผิด

“วันนี้เจ้ามาจับแม่ไปให้พระผู้สร้างลงทัณฑ์เทวามิใช่หรือ...ก็มาจับไปเสียเถิด เพราะแม่เจ้ามันเลวหนักหนาที่คิดการชั่วใส่ร้ายเมียเจ้า” พระเทวีกวินตาพูดออกมาคล้ายตัดพ้อในตัวนภนต์ที่มาจับกุมตนตัวตนเอง แทนที่จะเป็นทหารสวรรค์ แต่อีกใจหนึ่งก็เห็นสมควรแล้วที่ตนต้องรับกรรมในสิ่งที่ก่อ

“ท่านน้า…” ชลันธรที่มิอาจอยู่นิ่งเฉยจึงลุกจากแท่นประทับ เดินมาหยุดตรงหน้าของพระเทวีกวินตา

“มีอันใดหรือชลันธร หรือว่าเจ้าจะด่าทอข้า เอาเถิด...พูดมาเลยข้ายินดีฟังคำผรุสวาทที่ออกมาจากปากของเจ้าหรือเจ้าอยากจะรู้ว่าเหตุใดข้าถึงเกลียดชังเจ้านัก”

“ข้ามิได้จะด่าทอท่านน้าสักหน่อย” ชลันธรเอ่ย

“แล้วเจ้ามีอะไร”

“ข้าขอโอกาส…โอกาสให้ท่านน้าเปิดใจให้กับความรักของข้าที่มีกับท่านพี่นภนต์ ท่านน้าอาจไม่พอใจที่ท่านพี่นภนต์มีใจให้บุรุษเพศ ข้าจึงอยากขอโอกาสจากท่าน” ชลันธรเว้าวอนขอร้องมารดาของคนรัก แม้ว่าคิดสงสัยเหตุใดพระเทวีกวินตาจึงเกลียดชังตนเป็นหนักหนา ทว่าเรื่องราวมันผ่านไปแล้ว จะรับรู้ไปก็เพียงเท่านั้น

“ข้าเองขอร้องท่านแม่เช่นกัน ได้โปรด….” นภนต์คุกเข่าขอร้องมารดา ยิ่งเห็นบุตรชายเพียงคนเดียวกระทำเช่นนี้พระเทวีกวินตายิ่งช้ำใจมากขึ้นทวีคูณ

“จะมาขอร้องอันใดข้าอีก ในเมื่อข้ากำลังจะถูกจับกุมไปรับโทษ ความผิดข้าร้ายแรงเหลือคณาจักต้องถึงชีพมลายเป็นแน่ ครานั้นข้าก็มิอยู่ขัดขวางความรักของเจ้าอีกแล้ว…ชลันธร จะรักกันมากเพียงไหนก็รักกันไปเถิด... เพราะแม่จะไม่อยู่ขวางความรักของเจ้าทั้งสองแล้ว...” พระเทวีกวินตาเอ่ยน้ำเสียงเรียบนิ่งไม่อ่อนข้อให้กับลูกของศัตรูที่สุดแค้น ด้วยยิ่งจ้องมองดวงตาที่กำลังอ้อนวอนให้ตนยอมรับ พระเทวีกวินตานั้นยิ่งนึกถึงกาลครั้งอดีต...อดีตที่สร้างรอยแผล สร้างความแค้น ความชิงชัง...

…‘ข้ามิรู้มาก่อนว่าเจ้าชอบพอด้วยพระสมุทร’…

…‘ยามนี้เจ้ารู้แล้วมิใช่หรือ... ถ้ารู้...เจ้าก็จงหลีกทางเสียสิชโลธร...’

‘ไยถึงนิ่งเงียบ!!! หรือเจ้าชอบพอด้วยพระสมุทรเช่นเดียวกับข้า นี่เจ้าคิดแย่งพระสมุทรไปจากข้าหรือ..!!’…

…‘ข้ามิเคยคิดแย่งเจ้าหรอกกวินตา หากแต่พระสมุทรเป็นผู้เลือกข้าตั้งแต่ต้นและข้าเองรักพระสมุทรด้วยใจจริง’…

… ‘เจ้าเอ่ยเช่นนี้เพื่อจะบอกข้าใช่หรือไม่ว่าพระสมุทรรักเจ้ามิใช่ข้า!!! ชโลธร!!! เจ้ามันเป็นมารความรักของข้า หากไม่มีเจ้า พระสมุทรต้องชอบพอด้วยข้า ต้องเลือกข้า มิใช่เจ้า ชโลธร ข้าเกลียดเจ้า!!! ได้ยินหรือไม่ข้าเกลียดเจ้า...!!!’…

สองนางอัปสรทั้งสองแห่งสวรรค์ผู้งามล้ำเหนือใครในชั้นฟ้าแลชั้นดิน เหตุการณ์ทั้งหมดถูกถ่ายทอดจากปากต่อปาก นางอัปสรกวินตาจึงแสร้งให้อภัยสวมหน้ากากขอโทษนางอัปสรชโลธรรวมถึงแก้ต่างว่าหาได้รักพระสมุทรดังข่าวลือที่ปรากฏ ใครจะคิดเมื่อนานมาแล้วทั้งสองต่างเป็นสหายสนิทรักใคร่ปรองดอง แต่แล้วเส้นด้ายแห่งมิตรภาพต้องขาดสะบั้นด้วยแรงอิจฉาที่ถูกซ่อนไว้ลึกภายในจิตใจของนางอัปสรกวินตาที่มีต่อนางอัปสรชโลธร รวมไปถึงความทะเยอทะยานอยากจักเป็นใหญ่ได้ตำแหน่งเทพีมหาสมุทร แท้ที่จริงแล้วนางอัปสรกวินตาหาได้รักพระสมุทรดั่งปากว่า หากแต่นางรักในอำนาจของพระสมุทรที่เป็นรองพระผู้สร้างมากกว่า

ความจงเกลียดจงชัง เมื่อยิ่งนึกถึงก็ยิ่งเจ็บใจ เมื่อยิ่งนึกถึงก็ยิ่งโกรธแค้น เมื่อยิ่งเห็นใบหน้าชลันธรก็พาลให้นึกถึงชโลธรเทวี









.......................................

มาแบบสั้นๆก่อนนะคะ ท่านยุ่งนั้นไม่ว่างค่ะติดงานและเร่งเคลียร์งานหลัก จนทำให้ล่าช้า ฮืออออ คิดถึงทุกคน

ส่วนตอนนี้...ไม่มีอะไรมากค่ะ ดูเนือยๆเอื่อยๆ แฮร่



สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน มาเม้น มาให้กำลังใจนะคะ ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.35.1 P.12 (19/11/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 19-11-2017 10:26:50


มาน้อย....

ดีกว่าไม่มาขอรับ

กวินตราจะร้ายไปไหน

รอต่อขอรับ

หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.35.1 P.12 (19/11/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: kinjikung ที่ 19-11-2017 11:01:05
จะแยกจากกันอีกไหมเนี่ย นภนต์พูดเหมือนจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.35.1 P.12 (19/11/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 19-11-2017 16:45:15
โอ้ ที่แท้ก็เป็นความแค้นฝังใจจากความผิดหวังเรื่องรักในอดีต
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.35.1 P.12 (19/11/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 19-11-2017 19:16:02
 :pig4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.35.1 P.12 (19/11/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 19-11-2017 22:47:50
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.35.2 P.12 (21/11/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 21-11-2017 06:25:56

สาปรัก ทัณฑ์เทวา

Writer : Tan-Yung 0209

File : 35 . 2













“นภนต์ ช้าอยู่ไยเล่า...รีบมาจับกุมแม่เสียสิ หลงเมียหนักเสียจนมาจับกุมแม่ด้วยตนเองแทนที่จะส่งผู้อื่นมา” พระเทวีกวินตาประชดประชันบุตรชาย ทุกน้ำคำที่เปล่งออกมาคล้ายน้ำกรดที่กัดเซาะใจนภนต์ให้ปวดหนึบทรมาน

“ท่านแม่ เหตุที่ลูกมาจับกุมท่านแม่ด้วยตนเองนั้น ก็ด้วยลูกให้คำสัตย์ต่อตนเองและฟ้าดินว่าจะนำตัวผู้กระทำผิดการครั้งนี้ไปลงโทษด้วยตนเองให้จงได้ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่ละเว้น แม้แต่...ท่านแม่ผู้เป็นที่เคารพรักของลูก…ก็ตาม”

“แล้วเจ้ามัวรออันใดเล่า ในเมื่อต้องจับกุมแม่นี้ด้วยสองมือเจ้าก็รีบเสียสิ รอช้าอยู่ไย...มิกลัวเสียคำสัตย์เจ้าหรอกหรือ...”

“อภัยให้ลูกด้วยที่ล่วงเกินท่านแม่” นภนต์คุกเข่าลงก้มกราบแทบเท้าของมารดา รอยยิ้มเมื่อครู่ของโฉมงามได้จางหายพร้อมกับน้ำตาที่พยายามสะกดกลั้นเอาไว้ นภนต์ยืนขึ้นมาแล้วผายมือเชิญมารดาตนออกจากวิมานอย่างมิเกรงกลัวต่อเรื่องภายหน้าที่กำลังจะเกิดขึ้น เมื่อพ้นบานประตูครุฑทั้งสี่บังคมกราบเท้าพระเทวีกวินตา ก่อนจะเปิดผอบทองคำสูบร่างอรชรเข้าไปภายในก่อนอัญเชิญขึ้นรถเทียม ที่ด้านบนมีไหมแก้วเส้นยาวที่มีวิหกหลากสีใช้เท้าเกาะเกี่ยวเส้นไหมนี้พร้อมพาผู้ที่ขึ้นนั่งท่องไปยังท้องนภากว้าง หากแต่ครั้งนี้วิหกหลากสีมิได้พาไปท่องเที่ยวอย่างเคย แต่นำพาพระเทวีกวินตาที่ประทับผอบทองคำนั้นตรงไปยังสภาเทวา …‘ใจเอ๋ยใจ เจ็บปวดยิ่งนัก’... นภนต์ทำได้เพียงมองพูดกับตัวเองเท่านั้น ความรู้สึกนี้ไม่สามารถระบายออกมาได้นอกจากเก็บมันไว้กับตัว

. . .

สภาเทวากว้างขวางยิ่งใหญ่ สถานที่ชุมนุมของเหล่าเทวาทั้งหลายเมื่อมีเหตุและวาระสำคัญ ด้านหน้าประตูมีทวารบาลเป็นสองอสุรากายสีขาวคอยเฝ้า ภายในที่ทุกครั้งจะเต็มไปด้วยเหล่าเทวาและเทพีชั้นสูง แต่ที่นั่งหลายที่ก็เว้นว่างเพราะเทพหลายองค์ก็มิได้มาเข้าร่วมประชุมครั้งนี้  หนึ่งที่นั่งสำคัญที่เว้นว่างคือที่นั่งของพระสมุทร แต่ที่เว้นว่างจำนวนมากโดยเฉพาะเทพหมู่ดาวนพเคราะห์ที่หายไปถึงสี่องค์ คือ พระพุธ พระอังคาร พระศุกร์ และพระเสาร์ ส่วนที่นั่งสูงสุดจะมีเพียงพระผู้สร้างเท่านั้นที่ประทับนั่งบนบัลลังก์ทองและบุษยะคนสนิทนั่งอยู่บนดอกบัวแก้วใกล้พระบาท เทพบุตรในดอกบัวนั้นลุกลี้ลุกลนนึกอยากเจอสหายโดยไว

วันนี้เป็นวันที่กงกรรมกงเกวียนของชลันธรจะสิ้นสุด ความบริสุทธิ์จักได้รับการพิสูจน์ มลทินจะถูกชำระล้าง ตราบาปจะถูกลบเลือน ทันทีที่นภนต์ย่างก้าวเข้ามาพร้อมผู้กระทำผิดที่อยู่ในผอบทองคำ และข้างกายคือผู้ที่ถูกกล่าวโทษจนถูกลงทัณฑ์เทวา

“ถวายบังคัมพระผู้สร้าง บัดนี้กระหม่อมนำตัวผู้กระทำผิดที่ใส่ร้ายอดีตพระสมุทรชลันธรจนเป็นเหตุให้ถูกสาปลงไปรับโทษทัณฑ์ยังโลกมนุษย์ บัดนี้กระหม่อมนำตัวผู้นั้นมาให้พระองค์ตัดสินโทษแล้ว…” นภนต์และชลันธรคุกเข่าตรงหน้าผู้ยิ่งใหญ่

“ไหนเล่าคือผู้ร้ายที่ท่านเอ่ยถึงเทพนถนต์” พระผู้สร้างตรัสถาม นภนต์จึงได้เปิดฝาผอบทองคำบนมือ ปรากฏกลุ่มขนวิหกสีขาวล่องลอยออกมาก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างของเทวีรูปงามที่กาลเวลามิอาจจะพรากความเยาว์วัยไปได้ บรรดาเทพและเทพีทุกองค์ที่นั่งเรียงรายอยู่นั้นเมื่อได้เห็นต่างตกใจไม่น้อยกับสิ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้ากลางสภาเทวา เทวีที่กำลังนั่งจะนั่งคุกเข่าลงบนพื้นนั้นจะเป็นพระเทวีกวินตาผู้มารดาของเทพนภนต์เอง

“เทพนภนต์ ท่านพาพระเทวีกวินตามารดาของเจ้ามากด้วยเหตุใดกัน” เสียงเทพพระจันทร์เอ่ยถาม

“มารดาข้าคือผู้กระทำผิดร่วมมือกับพระสมุทรกนธีใส่ร้ายอดีตพระสมุทรชลันธร” นภนต์ตอบ พลันเกิดเสียงฮือฮามากมาย ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างเริ่มวิพากษ์วิจารณ์

“เอาล่ะ เอาล่ะ…ทุกท่านโปรดเงียบก่อน ครั้งนี้ข้าให้ทุกท่านมาเป็นพยานร่วมฟัง มิใช่มาพูดแสดงความเห็นใดใดทั้งสิ้น ...พระเทวีกวินตาท่านมีสิ่งใดโต้แย้งสิ่งเทพนภนต์ได้กล่าวมาเมื่อครู่หรือไม่...” พระผู้สร้างตรัสถาม แม้พระองค์จะรู้ความจริงว่านภนต์มิได้จับผิดตัวเฉกเช่นครั้งชลันธร

“ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นใหญ่ สิ่งที่เทพแห่งท้องนภาเอ่ยมานั้นล้วนเป็นความจริง หม่อมฉันนั้นสร้างเรื่องใส่ร้ายป้ายวรอดีตเทพพระสมุทรชลันธรจริงดั่งกล่าวหา...” พระเทวีกวินตาสารภาพความผิดที่ตนได้ก่อ...‘เทพีกวินตา…ข้าเสียใจยิ่งนักที่ท่านทำเรื่องเลวร้ายนี้ขึ้นมาเพื่อเพียงให้บุตรชายของท่านและชลันธรผิดใจกัน’...

“เรื่องใส่ร้ายป้ายสีนั้น...บนสวรรค์ถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรงมิยอมความกันได้...ความผิดของท่านช่างใหญ่หลวงยิ่งนัก เอาล่ะ บัดนี้ข้าขอลง…”

“พระผู้สร้าง!!! กระหม่อมมีเรื่องจะทูลขอ” ชลันธรพูดแทรกขึ้นมาก่อนพระผู้สร้างจะเอ่ยโทษทัณฑ์

“เจ้ามีเรื่องอันใด…ชลันธร”

“กระหม่อมมิอยากให้พระเทวีกวินตามีโทษถึงดับสิ้นชีวา ด้วยตัวเรายังได้รับโทษทัณฑ์ให้จุติโลกมนุษย์ ทั้งยังได้รับโอกาสพิสูจน์ตนเอง เราจึงอยากให้ท่านผ่อนปรน แม้พระเทพีกวินตามิต้องพิสูจน์ตนอันใด แต่อย่างน้อยก็ให้ได้คิดทบทวนและสร้างความดีต่อไปเท่าที่จักทำได้” ชลันธรยอมรับว่าตนนั้นใจอ่อน และยินดียอมรับให้เหล่าเทพทั้งสภาเทวาหากจะถูกด่าว่าโง่เง่า ชลันธรยอมรับทุกสิ่งยกเว้นความเศร้าโศกของนภนต์ที่ฉายชัดในดวงตา อีกทั้งชลันธรมิอยากสร้างเวรสร้างกรรมแต่อยากจะสร้างบุญด้วยอภัยทาน

“เจ้าต้องการเช่นนั้นหรือชลันธร…ข้าก็กล่าวอยู่เมื่อครู่ว่าเรื่องใส่ร้ายป้ายสีบนสวรรค์นั้นยอมความมิได้...” 

“พระองค์ทรงเมตตา กระหม่อมทราบดีว่าเรื่องใส่ร้ายป้ายสีบนสวรรค์นั้นยอมความมิได้ เสียอย่างไรกระหม่อมก็พ้นผิดแล้ว...มิอยากให้ผู้ใดต้องมาต้องทัณฑ์เทวาสถานหนักเพราะกระหม่อมอีก...”

“เรื่องราวใส่ร้ายป้ายสีมากมายที่เกิดขึ้นบนสวรรค์นี้...มิเคยเลยสักครั้งที่ผู้ถูกใส่ร้ายจะยอมความเช่นนี้  เอาล่ะในเมื่อเป็นความต้องการของเจ้านะชลันธร ครั้นข้าจะไม่เมตตาพระเทวีกวินตาเหล่าเทพเทวาในสภานี้จะนินทาข้าเอาได้  ย่อมได้...ข้าจักให้ตามเจ้าต้องการข้าจะละโทษตายให้เทพีกวินตา…”

“พระองค์ทรงเมตตา ขอบพระทัย” ชลันธรเอ่ย นภนต์หันไปสบตาแล้วพยักหน้าราวกำลังขอบคุณคนรัก ทางด้านพระเทวีกวินตานั้นยังคงนิ่งเฉยไม่แสดงออกว่าดีใจกับการที่ถูกลดหย่อนโทษ นางยังคงปั้นใบหน้านิ่งไร้อารมณ์ต่อไป

“บัดนี้ข้าขอลงทัณฑ์พระเทวีกวินตาให้ไปพำนัก ณ เชิงผาดาราลักษณ์ เป็นเวลา ๓๐๐ ชาติมนุษย์ที่ชลันธรเคยได้รับ มิสามารถเจอหน้าใครทั้งสิ้นรวมถึงเทพนภนต์ ให้ทนทุกข์กับความถวิลหาโศกเศร้ากับการมีชีวิตอย่างโดดเดี่ยวเดียวดายไปจนครบเวลา...” พระผู้สร้างตัดสินโทษ บทลงโทษนั้นแสนเบาบางหากเทียบกับความผิด ทว่าลองคิดอีกแง่…ถ้าตัดสินโทษตายพระเทวีกวินตาคงมิได้สำนึกผิดกับสิ่งเลวร้ายที่ทำเอาไว้ การที่ทำเช่นนี้ย่อมดีกว่า…

“หม่อมฉันรับด้วยเกล้า...” พระเทวีกวินตาพนมมือก้มลงกราบพระผู้เป็นใหญ่ในโลกสวรรค์

“ทหาร!!! เข้ามาคุมตัวพระเทวีกวินตาไปที่เชิงผาดาราลักษณ์บัดเดี๋ยวนี้...” พระสุรเสียงดังก้องเรียกทหารสวรรค์ด้านนอกให้เข้ามาคุมตัวพระเทวีกวินตา

“นภนต์แม่รักลูก…” คำพูดสุดท้ายที่พระเทวีกวินตามีให้นภนต์ หัวใจของผู้เป็นแม่แทบแตกสลายที่ต้องจากลาลูกชายเพียงคนเดียว ถึงนางจะร้ายกาจเพียงใดหากหัวใจของความเป็นแม่นั้นยังคงมี สองแขนที่อุ้มชูบุตรครั้งเยาว์วัยเข้าสวมกอดร่างสูงแน่นเพื่อให้ได้จดจำสัมผัสนี้ไว้ นภนต์เองกอดตอบมารดาเช่นกัน ก่อนจะคลายกอดเมื่อเหล่าทหารสวรรค์ เข้ามาคุมตัวมารดาของตนออกไป  พระเทวีกวินตาได้ขอให้ทหารสวรรค์หยุดก่อนเพราะตนมีอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องพูดกับชลันธร

“ชลันธร…แม้ข้าจักต้องโดดเดี่ยวเดียวดายแต่ข้ามิยอมให้ลูกข้าเป็นเช่นนั้น ข้าคงหักห้ามเจ้าทั้งสองมิได้...ไม่ว่าเบื้องหน้าจะเป็นเช่นไร...ในฐานะที่เจ้าเป็นของลูกชายข้าแล้ว...ก็ขอสั่งเจ้าจงอยู่เคียงข้างลูกชายข้าอย่าได้ทอดทิ้งเป็นอันขาด...” พระเทวีกวินตาได้หันกลับมาพูดกับชลันธร ก่อนที่หันเดินเท้าด้วยท่วงท่าสง่างามข้ามธรณีประตูจำหลักออกไป  คำพูดที่เป็นคำสั่งแต่ได้ฟังกลับเป็นประโยคขอร้องเสียมากกว่า ถึงท่าทีจะแข็งกร้าวหากนางยอมเอื้อนเอ่ยด้วยชลันธรย่อมรู้สึกดีอยู่ลึกๆ อย่างน้อยพระเทวีกวินตานั้นได้ยอมรับตนบ้างแล้ว

“เรื่องของพระเทวีกวินตาได้ถือว่าสิ้นสุดลงแล้ว...และข้าขอประกาศ จากนี้ไปอีก ๓ วันข้างหน้า อดีตพระสมุทรชลันธรผู้นี้จะได้รับสถาปนาให้เป็นเทพขึ้นครองบัลลังก์มุก และคืนสู่ตำแหน่งพระสมุทรอีกครั้ง” พระผู้สร้างประกาศให้เหล่าเทพผู้อยู่ในสภาเทวาได้รับรู้ ต่างยินดีปรีดา โดยเฉพาะชลันธรที่ปลื้มปิติยิ่งนักที่ตนนั้นสามารถลบล้างมลทินได้ นภนต์เองรู้สึกดีใจและหมดห่วงอย่างน้อยการที่ชลันธรได้อำนาจคืนมาเท่ากับว่าคนรักของตนสามารถปกป้องตัวเองได้

“เอาล่ะ ทีนี้ก็ถึงตาท่านแล้ว...นภนต์” ความรู้สึกดีเมื่อครู่สลายลงพริบตาไม่ต่างจากภูผาแกร่งที่พังทลาย เมื่อชลันธรได้ยินสิ่งที่พระผู้สร้างเอ่ย ผิดกับนภนต์ที่ไม่แสดงท่าทางตกอกตกใจแม้แต่น้อย

“พระผู้สร้าง...พระองค์ทรงหมายความว่าอันใดกัน” ชลันธรใจหายวาบเมื่อได้ยิน …‘ในเมื่อจับผู้กระทำผิดได้แล้ว เหตุใดจึงพูดจาราวกับจะลงโทษนภนต์’…ชลันธรคิดในใจ ก่อนจะหันไปมองนภนต์ แต่กลับดูเหมือนจะไม่ตกใจแม้แต่น้อยเช่นตน

“เทพนภนต์ความผิดของท่านคือกระทำการบกพร่องต่อหน้าที่ มิได้สืบสวนเรื่องราวนี้ให้กระจ่างจริง...ทำให้ชลันธรต้องทนทุกข์เข็นในความผิดที่มิได้ก่ออย่างหนักหนาสาหัส ท่านจะยอมรับหรือไม่”

“กระหม่อมขอยอมรับว่ากระหม่อมได้กระทำการหละหลวมมิไต่ตรองให้ดีจริง จนทำให้ชลันธรต้องรับทัณฑ์เทวาอย่างทุกข์เข็นเป็นเวลานาน...”

“เมื่อเจ้ายอมรับความผิดแล้วเช่นนี้  เจ้าก็ต้องจำเป็นที่จะต้องรับโทษเช่นกัน...”

พลันเกิดเสียงฮือฮามากมาย จากเหล่าเทพที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมาอีกครั้ง...ใบหน้าของชลันธรแทบที่จะไม่มีสีเลือดฝาดกลัวเหลือเกินที่จะต้องจากลากับคนรักอีกครั้ง

“ในนามของพระผู้สร้าง ผู้เป็นจอมทัพแห่งสวรรค์ ข้าขอสั่งปลดเทพเวหานภนต์ออกจากตำแหน่งแม่ทัพสวรรค์บัดเดี๋ยวนี้...” ...สุรเสียงตรัชดังลั่นสั่งปลดตำแหน่งสำคัญของสวรรค์ให้เว้นว่าง...

“กระหม่อมขอรับด้วยเกล้า”  นภนต์โน้มกายลงคำนับรับทราบ  ชลันธรเองถึงแม้จะตั้งรับไม่ทันในสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ก็เบาใจที่คนรักมิได้...ถูกลงทัณฑ์อะไรมากมายอย่างที่กังวล  เพียงปลดออกจากตำแหน่งแม่ทัพเท่านั้น เหล่าเทพบริวารจึงเข้ามาปลดชุดแสดงยศแม่ทัพสวรรค์ของออกนภนต์เองกำลังจะลุกยืนขึ้น...แต่กลับต้องหยุดชะงัก

“โทษของท่าน ยังมิหมดเพียงเท่านี้ดอกนภนต์... ทหาร!!! คุมตัวเทพนภนต์ไปยังวชิรภูผาบัดเดี๋ยวนี้!!!” สุรเสียงตรัชดังก้อง มินานทหารสวรรค์จำนวนสี่นายก็เข้ามาพร้อมเชิญอดีตแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ไปรับโทษ

“อย่าเข้ามานะ!!! อย่าเข้ามา!!!” แม้ไร้ฤทธิ์เดชแต่ชลันธรยังคิดเอาตัวมาขวาง ชลันธรไม่ยอม ไม่ยอมให้นภนต์ไปไหน

“ชลันธรเอ๋ย…พี่จักต้องรับโทษที่พี่บกพร่องในหน้าที่ ไม่รอบคอบ มีอคติจับตัวเจ้ามาลงโทษ” นภนต์พยายามเอ่ยให้ชลันธรเข้าใจ

“ไม่!!!...ท่านพี่ ท่านพี่เข้าใจผิด ข้าจักไม่ยอมให้ท่านพี่รับโทษ…พระผู้สร้างโปรดเมตตาด้วย…ได้โปรดอย่าลงทัณฑ์ให้เทพนภนต์ไปยังยังวชิรภูผาเลย” ชลันธรเข้ามาสวมกอดนภนต์ไว้พักตรางามจ้องมองอ้อนวอนผู้เป็นใหญ่

“พี่ทำผิดต่อเจ้า พี่สมควรได้รับโทษ เจ้าอย่าพี่ต้องอายเหล่าเทพหรือเสียเกียรติไปมากกว่านี้เลยชลันธร...” นภนต์แข็งใจดึงแขนที่โอบกอดตนออก

“ไม่เอา…ท่านพี่ไม่ได้ตั้งใจข้า…ข้าถือว่าไม่ผิด” ชลันธรแข็งขืนไม่ยอมปล่อยกอดนภนต์แน่น เทวาในสภาได้เห็นจึงอดสงสารชลันธรมิได้ กรรมอันใดหนอ จึงได้พลัดพรากจากคนรักซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“ชลันธร…เจ้าปล่อยเทพนภนต์บัดเดี๋ยวนี้ อย่างไรเสียนภนต์จะต้องถูกลงโทษ” พระผู้สร้างเอ่ย

“ไม่…เราอยู่กับท่านพี่นภนต์…เราจะไม่ไปไหน” ชลันธรกอดนภนต์ไม่ยอมปล่อย นภนต์เองที่ใจแข็งมิอาจจะทนได้อีกต่อไปจึงกอดชลันธรแนบแน่นจนอากาศมิอาจแทรกผ่านได้

“บุษยะ…เจ้าจงนำตัวชลันธรออกไปจากที่นี่เสีย” พระผู้สร้างเอ่ย บุษยะน้อมรับคำบัญชาถึงใจจะไม่อยากทำ บงกชแก้วลอยเหนือพื้นเข้าหาชลันธร เทวาในดอกบัวเข้าฉุดร่างสหายให้เข้ามานั่งยังกลางเกสร แต่มิอาจสู้แรงได้จนเหล่าเทพบริวารต้องเข้ามาช่วยพาชลันธรขึ้นบงกชแก้วไป นภนต์เองไม่คิดจะรั้งเพราะนี่คือความจริง ความจริงที่ตนต้องปล่อยชลันธรไป

“ไม่!!!...เราไม่ไป…เราจะอยู่กับท่านพี่นภนต์..ท่านพี่พริษฐ์…โปรดเห็นความเป็นพี่น้องของเรา…ฮึก…เราขอ…ขอเถิดนะ…อย่าลงโทษท่านพี่นภนต์เลย” มือเรียวนั้นสุดเอื้อมคว้าจับกายหนา ทว่าดอกบัวแก้วกลับลอยสูงเกินก้มที่จะจับต้องได้

“บุษยะพาตัวชลันธรออกไป” สุรเสียงเรียบนิ่งเอ่ยชัด บุษยะมิอาจขัดได้จึงต้องนำตัวชลันธรไปจากสภาเทวานี้

เทพแห่งท้องนภาถูกนำตัวไปยังวชิรภูผา โดยมีพระผู้สร้างผู้ตัดสินโทษ โดยมีพระพาย เทพแห่งขุนเขา เทพพระจันทร์ เทพอัสนี และเทพปริศนา ร่วมเป็นพยาน อีกไม่ถึงอึดใจนภนต์จะต้องทัณฑ์เทวาจากความผิดที่ตนได้ก่อไว้ ใจนภนต์เพลานี้เริ่มมีความกลัวเข้าเกาะกุม มิใช่กลัวบทลงโทษแต่กลัวว่าถ้าไม่ตนแล้วใครเล่าจะดูแลชลันธร   ลานกว้างบนยอดวชิรภูผานั้นเงียบเหงาและน่ากลัวยิ่งนัก ไร้สิ่งมีชีวิต ณ ยอดภูผาแห่งนี้...มีเพียงกระแสลมเอื่อยๆ ที่วาบหวิวใจเท่านั้น ที่แห่งนี้เป็นสถานที่ลงทัณฑ์สถานหนักสถานหนึ่งของผู้กระทำผิด และมิเคยมีเทพองค์ไหนรอดชีวิตกลับไปได้...

“ท่านมีอะไรจะสั่งเสียหรือไม่นภนต์...”

“กระหม่อมเองก็ไม่รู้ว่าจะทนทัณฑ์นี้ได้หรือไม่  ทีแรกกระหม่อมว่าจะมิขอหากแต่ยามนี้มีเรื่องที่ยังข้างคาอยู่หนึ่งเรื่อง กระหม่อมจำต้องมีเรื่องจักทูลขอพระองค์สักครา”

“เดิมในตำแหน่งแม่ทัพสวรรค์ท่านนั้น ทำหน้าที่ด้วยดีมาตลอด สร้างผลงานไว้มากมายทั้งยังไม่เคยขอรางวัลหรือสิ่งใดจากเรา บอกมาเถิดว่าท่านประสงค์สิ่งใด เราสามารถประทานสิ่งใดให้ท่านก็ได้ จะเว้นก็เสียแต่จะขอให้พ้นโทษ ข้าคงจะมิสามารถประทานให้ท่านได้”

“มิใช่เรื่องนั้นดอกกระหม่อม...เพียงแต่เมื่อครั้งในระหว่างที่กระหม่อมทำภารกิจพาชลันธรไปยังวิมานของเทพกาลเวลา ยังมีอีกหนึ่งเทพหนึ่งนาคาที่ช่วยเหลือให้ชลันธรได้พิสูจน์ตนเองจนสำเร็จนั่นคือรพีพงศ์บุตรแห่งพระอาทิตย์และนาคนามว่านาคินทร์ ซึ่งเป็นนาคเกล็ดนิลซึ่งตนนี้นั้นเป็นที่รักของรพีพงศ์มาก แต่ทว่าเกิดเคราะห์ร้ายกับนาคินทร์จากการสู้รบระหว่างทั้งสองกับพระสมุทรกนธี จนนาคินทร์ต้องตรีศูลแน่นอนว่าผู้ใดต้องตรีศูลนี้ย่อมสิ้นชีวา กระหม่อมมิต้องการให้รพีพงศ์ต้องจำจากคนรักเหมือนกระหม่อม จึงอยากให้พระองค์ทรงโปรดชุบชีวิตนาคนามนาคินทร์ให้รพีพงศ์นั้นคลายเศร้าด้วยเถิด” นภนต์เอ่ย ก่อนที่ตนจะต้องทัณฑ์เทวา ตนขอทำตามคำมั่นที่ให้ไว้กับชลันธร

“การชุบชีวิตข้านั้นย่อมทำได้ หากรพีพงศ์นำร่างของนาคนาคินทร์มาให้ข้า” พระผู้สร้างเอ่ย  แต่ผู้ที่ร่วมเป็นพยานอย่างเทพพระจันทร์นั้นกลับตกใจในสิ่งที่ได้ยินนั้น ด้วยรพีพงศ์นั้นเป็นโอรสองค์โตของพระอาทิตย์ผู้เป็นพี่ใหญ่ ...แล้วทำไมถึงไปรักกับนาคชั้นต่ำที่ชื่อนาคินทร์ได้อย่างไร แล้วเรื่องนี้พระอาทิตย์ผู้พี่นั่นทราบความหรือไม่... เทพพระจันทร์เพียงเก็บความสงสัยทุกอย่างไว้ภายในใจ ปล่อยให้เหตุการณ์เบื้องหน้าดำเนินไปอย่างที่มันจะเป็น...

“ขอบพระทัยพระองค์ในความกรุณา ได้โปรดทรงเป็นธุระจัดการเรื่องนี้ด้วย”  ถือว่านภนต์พอจะหายกังวลเรื่องชลันธรไปได้บ้าง…‘ถ้านาคินทร์ฟื้นคืนจากความตายก็เท่ากับว่าชลันธรเองจะได้มีคนคอยอยู่เป็นเพื่อน รพีพงศ์เองไม่ต้องจมอยู่ในวังวนความเสียใจ’…นภนต์คิดว่าตนนั้นทำดีที่สุดแล้ว บทสรุปทั้งหมดตนควรจักต้องเป็นฝ่ายเจ็บปวดเพียงผู้เดียวก็พอ

“ข้ารับปาก…ข้าจักรีบจัดการให้โดยไว ว่าแต่ท่านเถิดยังมีสิ่งใดต้องประสงค์จะขอข้าอีกหรือไม่”

“กระหม่อมนั้นหมดสิ้นคำขอแล้ว”

“ถ้าเช่นนั้นข้าจะตัดสินโทษของท่าน…เทพนภนต์!!! ข้าขอลงโทษ…”

. . .

“บุษยะ!!! ได้โปรดพาเราไปหาท่านพี่นภนต์เถิด!!! หรือไม่ก็ปล่อยเรา  ปล่อยเราเดี๋ยวนี้!!!” ชลันธรโวยวายพยายามออกจากบงกชแก้วนี้ตลอดเวลา

“ข้าขอโทษนะชลันธร ที่ข้ามิอาจขัดคำสั่งของพระผู้สร้างได้” บุษยะเอ่ย เทวารูปงามลูบกลีบดอกบัวให้ตูมปิดล้อมทั้งตนและชลันธรไม่ให้ออก

“เจ้าไม่เห็นใจเราหรือบุษยะ…วชิรภูผานั่น…วชิรภูผานั่น…ผู้ใดก็รู้ว่าใครที่ได้ไปจักต้องถูกลงโทษเช่นไรและมิมีใครเคยรอดชิวิตกลับมา...”

“ชลันธร…ข้า…คือข้า…” บุษยะไม่รู้ว่าจักปลอบเช่นไรดี มันเป็นดั่งที่ชลันธรว่าเกี่ยวกับวชิรภูผา ปลอบไปก็เหมือนจะโกหก

ชลันธรนิ่งเงียบไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใดอีก เข่าทั้งสองยกขึ้นมาเพื่อให้ตนเองกอด ใบหน้างามซบลงไปใช้ความคิด… ‘ข้าเพียงหวังว่าสิ่งนั้นที่ข้ามอบให้ท่านพี่ไป จะเป็นเกราะป้องกันคุ้มภัยให้ท่านพี่รอดพ้นจากทัณฑ์ทรมานทั้งปวง’…





























........................................................

จบ 35 เสียที หลังจากดองเอาไว้ มีภารกิจเยอะสุดเลยอัพช้า ฮือออออออออ คนอ่านอย่าเพิ่งหายไปนะมาอ่านดราม่ากันก่อน 55555

บทสรุปจะเป็นเช่นไร ชลันธรจะเป็นหม้ายขันหมากหรือไม่ เรื่องสาปรักจะจบแฮปปี้แอนดิ้งหรือเปล่า เอ๊~~~~ ตอนหน้ามาดูกัน



ตอนนี้ดราม่าเบาๆนิดหน่อย นิดหน่อย อยากรู้ไหมว่าพี่นภนต์จะโดนอะไร ติดตามนะคะ ติดตาม



สุดท้ายนี้ขอขอบคุณที่เข้ามาอ่าน มาเม้น มาเป็นกำลังใจนะคะ จุ๊บ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.35.2 P.12 (21/11/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 21-11-2017 07:28:16
 :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.35.2 P.12 (21/11/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 21-11-2017 10:15:39

ตายนะขอรับเจอแบบนี้

คนอ่านนี่ล่ะตาย

รอต่อขอรับ

หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.35.2 P.12 (21/11/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 22-11-2017 08:51:40
รอตอนต่อไป~
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.35.2 P.12 (21/11/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: kinjikung ที่ 22-11-2017 11:32:30
พระผู้สร้างลงโทษเหมาะสมแล้วนะ เพราะนภนต์ไม่เชื่อใจคนรักเอง สถานที่ลงโทษหากนภนต์อยากอยู่กับชลันธรก็ต้องผ่านมาให้ได้ เพราะตอนอยู่โลกมนุษย์ชลันธรก็ทุกข์ทรมานไม่ต่างกัน ก็สมเหตุสมผลอยู่ นาคินทร์จะได้กลับมาหารพีพงศ์แล้ว
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.35.2 P.12 (21/11/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 27-11-2017 15:55:21
หน่วงๆกันไปจ้าาา
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.36 P.12 (08/12/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 07-12-2017 20:38:03


สาปรัก ทัณฑ์เทวา

Writer : Tan-Yung 0209

File : 36













นานโขแล้วที่สภาเทวาไร้ซึ่งเสียงดนตรีจากวงมโหรีที่มีเหล่าคนธรรพ์คอยขับกล่อมบทเพลง เสียงกระจับปี่แสนไพเราะเคล้าเสียงซอ และเครื่องดนตรีชิ้นอื่นๆ แต่เทพทวยเทพกำลังให้ความสนใจสิ่งที่อยู่กลางโถงสภาเทวาเสียมากกว่า ด้วยอัปสรยอดเยาวมาลย์ร่ายรำระบำตามจังหวะคีตะบรรเลงให้สวรรค์ได้ครื้นเครงไม่เงียบเหงา ทว่าบัดนี้งานฉลองครั้งยิ่งใหญ่ได้จัดขึ้น เทวาชั้นสูงจนถึงชั้นรองลงมาต่างมาร่วมแสดงความยินดีและเป็นสักขพยานในพิธีการอันศักดิ์สิทธิ์นี้

กลีบผกาหลากสีนานาพันธุ์โปรยปรายคล้ายพรมทอดทางยาว ถูกเหยียบย่ำด้วยเบื้องบาทของเทวารูปงาม เทพผู้มีพักตราหวานแสนหล่อเหล่า ฉวีงามขาวผ่องดั่งไข่มุกอาบแสงโสม อาภรณ์สีฟ้าอ่อนซ่อนไว้ในผ้าคลุมสีฝานคราม ตรงชายผ้าปักดิ้นเงินเป็นแถบยาว จากที่ทั้งสภาทั้งสองฝั่งข้างทางเทวาเคยให้ความสนใจเหล่านางอัปสรผู้ร่ายระบำนั้น มิอาจละสายตาจากเทวารูปงามที่กำลังเดินตรงเข้าหาผู้ที่ประทับอยู่บนบัลลังก์ทองได้

“ชลันธร” เจ้าของนามสาวเท้าก้าวไปด้านหน้าหนึ่งก้าวแล้วย่อกายลงนั่งคุกเข่ารอฟังเทวาราชโองการ

“ข้าพระผู้สร้าง… ขอประกาศเทวาราชโองการให้เทพชลันธรหวนคืนสู่ตำแหน่งพระสมุทร เป็นผู้ยิ่งใหญ่เหนือใครในห้วงมหานทีอีกครั้ง จากนี้สืบไปเบื้องหน้าจนกว่าจะครบวาระ...” พระพริษฐ์ประกาศเทวราชโองการดังกึกก้องไปทั่วทั้งสภาเทพ พระหัตถ์นั้นหยิบฉวยมงกุฎพลอยไพลินล้อมไข่มุกสวมลงบนศีรษะของชลันธร จากนั้นจึงมอบตรีศูลอาวุธคู่กาย คู่บัลลังก์แห่งสมุทรเทวา

“ข้าชลันธรขอให้คำสัตย์ปฏิญาณ ให้เหล่าเทวาในที่นี้เป็นสักขีพยาน ข้าจักปกครองอาณาจักรมหาสมุทรด้วยความเป็นธรรมให้เกิดความสงบสุขแก่ทุกสรรพสิ่ง” สิ้นคำสาบานตน คลื่นทะเลบิดเกลียวสูงราวกับรับรู้สิ่งที่ชลันธรได้เอื้อนเอ่ย หากไม่ใช่เพียงแค่นั้นเกิดเหตุอัศจรรย์วารีที่เคยสีเข้มแปรเปลี่ยนน้ำใสเสียจนเห็นเหล่ามัจฉาตลอดจนพื้นทรายใต้ท้องสมุทร เหล่าเงือกงามในมหานทีสีทันดรต่างว่ายขึ้นพ้นเหนือน้ำแล้วส่งเสียงขับขานเพลงไพเราะขับกล่อมฝูงปลา นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้เห็นภาพเหล่านี้

…ท่านพี่...แม้วันนี้จะเป็นวันที่ข้าอยากให้ท่านพี่อยู่ด้วยมากที่สุดแต่ก็มิเป็นเช่นที่ข้าหวัง...ทำไมกันโชคชะตาจึงเล่นตลกให้สองเราต้องพลัดพรากกันตลอด...แต่ข้ามิกลัวโชคชะตาอะไรที่จะผ่านเข้ามาอีกแล้ว...ข้าเข้มแข็งและอยู่คนเดียวได้ขอท่านพี่จะอย่าได้เป็นห่วง เพราะข้ามีท่านพี่อยู่ด้วยในใจเสมอ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนจงโปรดรู้ว่าตัวข้าหัวใจของข้า ยังคงเป็นของท่านพี่และรอคอยเสมอมิมีเปลี่ยนผัน...

ชลันธรหลังจากกล่าวสัตย์ปฏิญาณก็นึกถึงแต่นภนต์ เทพรูปงามพยายามเข้มแข็งไม่ให้ใครต่อว่าได้ หากนภนต์รับรู้ได้คงภูมิใจมิใช่น้อย ...แต่การทำใจในเร็ววันนี้เป็นเรื่องที่หนักหนาของชลันธรเช่นกัน

พิธีการดำเนินจนเสร็จสิ้น เหล่าเทวาตลอดจนเทพีทั้งหลายต่างเข้ามาร่วมยินดีกับผู้หวนคืนตำแหน่งพระสมุทร แม้จะมีเทพนพเคราะห์หลายองค์ที่ไม่มาปรากฏกายร่วมเทวราชพิธีนี้ ได้แก่ พระอังคาร และ พระศุกร์ ผู้ยังถูกจองจำ ส่วนพระเสาร์นั้นสำหรับชลันธรแล้วมิได้แปลกใจเท่าใดนัก ด้วยอุปนิสัยของเทพผู้นี้ที่ไม่ชอบพบปะสังสรรค์หรือเข้าร่วมเทวราชพิธีแม้จะเป็นงานสำคัญ รวมถึงพระเสาร์อาจจะยังโกรธเคืองเรื่องที่นาคินทร์ต้องมาตายจาก ด้วยเพราะเดินทางช่วยเหลือตน ชลันธรจึงคิดหาโอกาสสักคราเข้าขอขมาเหตุนี้กับพระเสาร์  น่าแปลกพระพุธ พระราหู ก็ไม่ปรากฏกายด้วยเช่นกัน มีเพียงพระอาทิตย์ พระจันทร์ พระพฤหัสบดีและพระเกตุที่เข้าร่วม แต่สิ่งที่ชลันธรแปลกใจที่สุดที่ไร้เงาของรพีพงศ์ อันที่จริงใครต่างก็ทราบดีว่ารพีพงศ์คือรัชทายาทบัลลังก์พระอาทิตย์ หากวันนี้ผู้ที่นั่งด้านหลังเทพพระอาทิตย์กลับเป็นอรุณเทพผู้เป็นน้องชายฝาแฝดแทน ถึงจักมีข้อสงสัยแต่ชลันธรไม่คิดจะถามถึงเรื่องภายในวงศาทินกร สิ่งตนอยากรู้นั้นกลับเป็นเพียง…

“พระอรุณเทพ” ชลันธรเรียกขานบุรุษเทพตรงหน้า

“เจริญสุขเถิดพระสมุทรชลันธร” พระอรุณขานรับ

“เจริญสุขเช่นกันเถิด พระอรุณเทพ” ชลันธรตอบกลับ

“…จริงสิข้ายังไม่ได้อวยพรท่านเลย ข้าขอถือโอกาสนี้ขอให้ท่านนั้นพบพานแต่ความสุขความเจริญตลอดไป” พระอรุณเทพกล่าวอย่างเป็นมิตร

“เราเองก็ขอให้ท่านนั้นมีความสุขตลอดไปเช่นกัน”

“ขอบน้ำใจท่านมาก”

“พระอรุณเทพ…เรามีเรื่องอยากจักถามท่านถึงพระรพีพงศ์เทพสหายเราสักหน่อย มิทราบว่าเพลานี้เป็นเช่นไรบ้าง” ชลันธรพูดเข้าประเด็นไม่อ้อมค้อม

“ท่านพี่รพีพงศ์เอาแต่ขังกายตนอยู่ในวิมานมิยอมออกมาเลย ทั้งยังดื่มเครื่องดองของเมาเสียจนเมามายร่างกายทรุดโทรม…ตัวข้าเองนั้นจนอับจนปัญญายิ่งนัก พระบิดาก็หาได้สนใจไม่ ด้วยมองว่าเรื่องที่ท่านพี่โศกเศร้านั้นเป็นเรื่องไร้สาระ ด้วยเสียใจเพราะนาคาเกล็ดนิลตนหนึ่งเท่านั้น” อรุณเทพเล่าเรื่องราวของรพีพงศ์ด้วยความเป็นห่วง ด้วยรพีพงศ์แฝดผู้พี่มิเคยเป็นเช่นนี้มาก่อน เมื่อก่อนนั้นเข้มแข็งไม่ว่าจะเผชิญเรื่องร้ายแรงขนาดไหน หรือจะเศร้าโศกาเพียงใด รพีพงศ์ก็ไม่เคยทำตัวเหลวแหลกเสียผู้เสียคนขนาดนี้ เพราะเหตุนี้พระอาทิตย์ผู้เป็นพระบิดาจึงไม่พอใจที่รพีพงศ์ไม่ทำตัวสมกับเป็นรัชทายาทผู้สืบทอดครองบัลลังก์พระอาทิตย์

จากที่ชลันธรได้รับฟังความนี้หากรพีพงศ์ยังเป็นเช่นนี้อยู่ร่ำไปคงมิพ้นถูกปลดจากการเป็นรัชทายาทแน่แท้ ความโศกเศร้าของรพีพงศ์ที่ได้รับฟังนั้น ชลันธรมิได้แปลกใจเลยเพราะตนเองตกในสถานะเดียวกันคือการที่ต้องจากลาคนรักหากแต่ตนเลือกที่จะเข้มแข็งมากกว่า

“พระอรุณอย่าได้ร้อนใจ เรื่องนี้เราเองก็มิได้นิ่งนอนใจไว้เรานั้นจักช่วยเหลือท่าน ในมิช้าที เราจักเข้าไปพูดคุยกับรพีพงศ์เอง” ชลันธรเอ่ยด้วยนึกเป็นห่วงรพีพงศ์ คราแรกคิดว่านภนต์จักสามารถขอร้องพระผู้สร้างได้สำเร็จแต่ดูจากรูปการแล้วคงจะมิเป็นผล

“ข้าขอบน้ำใจพระสมุทรเหลือเกิน...” พระอรุณเทพซาบซึ้งในตัวพระสมุทรผู้เมตตา จากนั้นทั้งสองต่างพูดคุยกันเล็กน้อยแล้วจึงแยกย้ายออกไป

บางครั้งความรู้สึกโดดเดี่ยวท่ามกลางผู้คนมากมายเกิดขึ้นกลางดวงใจของชลันธร แม้จะสามารถล้างมลทินให้กับตนเองได้แต่การที่ไร้คนเคียงข้าง ชลันธรหาได้ดีใจเลยสักนิด…‘ท่านพี่นภนต์ ท่านพี่ไปอยู่แห่งหนใดกัน’... ชลันธรตั้งคำถาม ตั้งแต่วันตัดสินโทษชลันธรก็มิได้พบหน้านภนต์อีกเลย พอทูลถามพระผู้สร้าง พระผู้เป็นใหญ่นั้นกลับไม่ตอบสิ่งใดออกมาเลยแม้แต่น้อย

“ชลันธร…” เสียงหนึ่งเรียกขานนามชลันธรอย่างสนิทสนม เจ้าของเสียงหวานวิ่งตรงเข้าหาจนเกินงามไม่สำรวมกิริยาแม้แต่น้อย

“บุษยะเจ้าวิ่งหาข้าเช่นนี้ ประเดี๋ยวจักถูกพระผู้สร้างเอ็ดเอาได้” ชลันธรตักเตือนพลางระบายยิ้ม ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ขวบรอบบุษยะยังคงทำตัวราวกับเด็กน้อยมิเคยเปลี่ยน

“พี่พริษฐ์ อ๊ะ!...พระผู้สร้างมิเอ็ดข้าดอก เพลานี้พระองค์กำลังถูกเหล่านางระบำอัปสรรายล้อมอยู่เช่นนั้น” บุษยะเอ่ย ดวงตาเหลือบมองไปยังผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์ที่มีทั้งมหาเทวีทั้งสาม เทพีชั้นสูงตลอดนางอัปสรรับใช้ที่คอยเอาอกเอาใจ…‘เห็นแล้วมันช่างน่าหงุดหงิดยิ่งนัก’...

“อย่าเพิ่งโมโหไปเลยบุษยะ…ถือว่าเป็นโชคของเราก็แล้วกันที่เจ้าปลีกตัวออกมา”

“โชคดีหรือโชคร้ายกันเล่า และข้านั้นเป็นโชคของท่านเสียแล้วหรือ” บุษยะเกิดความสงสัยในคำพูดของพระสมุทรรูปงาม

“โชคดีเพราะว่าเรานั้นอยากจะถามเจ้าว่าพอจะรู้เรื่องราวของท่านพี่นภนต์หรือไม่ว่ารับโทษเช่นไร ตลอดจนเรื่องราวของรพีพงศ์…พระผู้สร้างจักช่วยเหลือหรือไม่” ชลันธรซักถาม คิดว่าบุษยะนั้นเป็นคนสนิทของพระผู้สร้างอาจจะรู้เรื่องในสิ่งที่อยากรู้ก็เป็นไปได้

“ข้าซักถามแล้วแต่พระผู้สร้างมิยอมตอบข้า ตรัสเพียงว่า…”

…‘พี่พริษฐ์ พระองค์ทรงพอที่จะบอกน้องได้หรือไม่ว่าท่านนภนต์นั้นถูกกักขังอยู่ที่ไหนหรือรับโทษทัณฑ์สถานใด รวมถึงพระองค์จะช่วยชุบชีวิตให้กับคนรักของท่านรพีพงศ์หรือไม่’… บุษยะซักถามทั้งเรื่องคนรักของสหาย ทั้งเรื่องโอกาสที่สหายอีกคนของชลันธรจักคืนชีพเพราะจากที่ชลันธรได้ระบายทุกข์ในก่อนหน้านี้ บุษยะรู้สึกเห็นใจอยู่ไม่น้อย

…‘ความรักจะเป็นลูกกุญแจนำไขสิ่งที่อยากรู้ให้พานพบสิ่งที่อยากได้’…

“พระผู้สร้างตรัสกับข้าเพียงเท่านี้ ข้าขอโทษท่านด้วยที่ไม่สามารถช่วยอะไรเหลือท่านได้เลย..ข้านั้นไร้ซึ่งสามารถจริงๆ” บุษยะเอ่ยเสียงเรียบด้วยรู้สึกผิด และเสียดายที่ไม่อาจจะช่วยเหลือการของชลันธรได้

“เจ้าทำดีที่สุดแล้วบุษยะ อย่านึกโกรธโทษตัวเองเลย”

“ข้า…ข้าช่วยอันใดท่านมิได้เลย ข้ามันเป็นสหายที่แย่”

“ใครว่า…บุษยะเป็นสหายที่ดีต่างหากเล่า จะมีผู้ใดที่ไหนอีกที่จะสามารถทำให้พระผู้สร้างนั้นตรัสตอบกลับได้” รอยยิ้มหวานฉาบบนใบหน้างาม ชลันธรรู้แล้วว่าต่อจากนี้ตนนั้นจักทำเช่นไร

“ชลันธร...เจ้ารู้แล้วหรือ บอกข้าได้หรือว่าไม่ว่าพระผู้สร้างหมายความเช่นไร” บุษยะอดตื่นเต้นกับคำพูดของชลันธรมิได้

“เรายังไม่แน่ใจนักดอก ไว้เสร็จสิ้นจากงานสถาปนานี้ข้าจะไปตามหาท่านพี่นภนต์ด้วยตัวเราเอง” ชลันธรไม่ตอบคำถาม ทำให้บุษยะหน้าเง้าหน้างอเล็กน้อย จึงสวมกอดเชิงหยอกล้อให้หายงอน

“ทำการอันใดกันอยู่เล่าชลันธร...บุษยะ” พระพริษฐ์ที่เพิ่งจะปลีกตนจากวงล้อมของอิสตรีได้เพื่อมาตามบุษยะคนสนิท 

“กระหม่อมเพียงกอดบุษยะให้หายคิดถึงเพียงในฐานะสหายเท่านั้น มิได้ทำการอื่น ว่าแต่พระองค์ทรงมีอันใดหรือไม่” ชลันธรตอบน้ำเสียงเย้าแหย่ผู้ที่มีศักดิ์เป็นพระเชษฐา ใครก็ดูออกว่าพระผู้สร้างนั้นถูกลมพัดหึงหอบมา

“พระจันทร์เทพกำลังจะพาดวงจันทราขึ้นสู้ฟากฟ้าแล้วบ่งบอกว่างานมงคลนี้กำลังเลิกรา ข้าจึงมาตามบุษยะกลับวิมาน”

“ข้ามิอยากกลับวิมานดอก พระองค์ทรงพาเหล่าเทพี เหล่านางอัปสรไปเถอะ ข้าจะอยู่กับชลันธร” คำกล่าวบุษยะเชิงประชดน้อยใจ คงมิใช่เพียงพระผู้สร้างบุษยะเองก็หึงหวงพระผู้สร้างไม่แพ้กัน

“ไยเจ้าถึงดื้อรั้นกับข้า…บุษยะ กลับวิมานกับข้าเถิด...พระสมุทรเองก็ต้องกลับแล้วเช่นกัน...” ในเมื่อพูดดีๆแล้วอีกฝ่ายไม่ยอมฟัง พระผู้สร้างจึงต้องแกมบังคับให้บุษยะนั้นยอม

“ข้าคงต้องขอตัวก่อนนะชลันธร…ขอให้ท่านตามหาเทพนภนต์ให้เจอและจากนี้ขอให้ชีวิตท่านมีแต่ความสุขตลอดไป” บุษยะอวยพรให้สหายรักเพียงผู้เดียว ก่อนจะตามพระผู้สร้างกลับวิมานแก้ว

. . .

ดวงจันทร์ส่องสว่างเป็นสัญญาณให้เหล่าเทวาทั้งหลายกลับไปยังวิมานของตน ทว่าระหว่างทางที่ชลันธรนั้นนั่งราชรถเทียมกุญชรมัจฉาโดยมีเหล่าข้าราชบริวารรายล้อมอย่างสมเกียรติ พระสมุทรเทวากลับให้ราชรถลงไปยังผืนป่าหิมพานต์

“พวกเจ้ากลับไปก่อนเถิด…เรานั้นมีสิ่งต้องทำ ณ ผืนพนาหิมพานต์นี้” ชลันธรบอกกับเหล่าผู้ติดตาม

“หามิได้พระสมุทร พวกข้าน้อยทั้งหมดจะปักหลักอยู่ที่นี่ก่อนจนกว่าธุระของพระสมุทรจะแล้วเสร็จ แล้วข้าน้อยกับองครักษ์อีกสามนายจะติดตามพระสมุทรเพื่ออารักขามิให้เกิดภยันตรายใดๆ” หัวหน้าองครักษ์นายหนึ่งเอ่ย

“มิต้อง…เราอยากอยู่ตามลำพังได้ พวกเจ้าอย่าได้ห่วงเราเลย ณ ตอนนี้คงไม่มีใครสามารถทำอันตรายใดๆ เราได้อย่างเช่นตอนเป็นมนุษย์อีกแล้ว...พวกเจ้าคงเหนื่อยมากแล้วรีบกลับไปพักผ่อนเสียเถิดอย่ากังวล...” ชลันธรยืนยันที่จะเดินทางเพียงผู้เดียวไร้คนติดตาม

“แต่…ข้าน้อย...”

“ไม่มีแต่…พวกเจ้ากลับไปเถิดมิเช่นนั้นข้าจักลงโทษพวกเจ้า โทษฐานขัดคำสั่งพระสมุทร พวกเจ้ากล้าหรือ” ชลันธรขู่ ใครก็รู้ว่าขัดขืน ฝ่าฝืนคำสั่งพระสมุทรนั้นมีโทษสถานหนัก

“พวกเรามิกล้าขัดคำสั่ง” หัวหน้าองครักกล่าว

“ดี เช่นนั้นพวกเจ้ากลับไปได้แล้ว” ชลันธรไม่อยากจะใช้อำนาจในเรื่องส่วนตัวเสียเท่าใดนัก แต่การครั้งนี้มันจำเป็น…‘เราต้องตามหาท่านพี่นภนต์ พวกเจ้าอย่าได้ไม่พอใจเราเลย’... ชลันธรคิดในใจ ขณะที่ขบวนราชรถเหาะกลับไป

ร่างบางเดินทางลัดเลาะในป่าหิมพานต์ ยามรัติกาลทำให้บรรยากาศน่ากลัว ชวนให้คิดว่าอาจจะมีนักล่าฟ้ามืดที่ออกหาอาหาร โผล่พรวดพราดเข้ามาหมายจะทำร้ายได้ แต่ชลันธรมิได้นึกกลัวเพราะตนนั้นกลับคืนเป็นเทวาที่พร้อมด้วยพลังอำนาจ

ขาเรียวก้าวย่างไปไม่นาน กิ่งไม้บริเวณนั้นกระทบกันจนเกิดเสียง ทำให้ชลันธรชะงักและแหงนมองดูหาต้นกำเนิดเสียง…‘ประเดี๋ยวต้องมีตัวอะไรโผล่มาเป็นแน่’... ชลันธรไม่เพียงแค่คิด มือที่ว่างเปล่ายกขึ้นมาและได้มีลูกไฟสีฟ้าปรากฏในมือพร้อมที่จะจู่โจมสิ่งที่พุ่งตรงเข้ามา

“พึ่บ..พั่บ”  เสียงปีกที่กระพือออกทำให้ขนสีทองร่วงหล่นมาประจักษ์ต่อสายตาของชลันธร คนงามลดมือลงลูกไฟสีฟ้าหายวับดับไปแล้วจับขนสีทองนั้นแทน

“ท่านพี่นภนต์!!! ท่านพี่นภนต์ใช่หรือไม่!!!” ชลันธรเรียกหาแต่แล้วเจ้าของขนนกสีทองกลับเป็น ‘ทิชากร’ สัตว์พาหนะของนภนต์ กระนั้นไฟแห่งความหวังของชลันธรมิได้มอดดับไป

“ทิชากร...เจ้ารู้ไหมว่านายของเจ้าอยู่แห่งหนใด” ชลันธรไม่รีรอถามวิหกสีทองทันที ทว่าทิชากรกลับส่ายหน้าเป็นคำตอบ

“เราคิดว่าเจ้าจะรู้เสียอีกแต่ช่างเถิด เจ้าช่วยพาเราไปยังถ้ำแก้วจะได้หรือไม่” ทิชากรกระพือปีกเป็นตำตอบ ชลันธรจึงขึ้นไปนั่งบนหลังของทิชากรแล้วปล่อยให้วิหกพาหนะประจำกายของเทพแห่งท้องนภาโบยบินไปยังจุดหมาย

เรื่องราวเก่าๆค่อยๆ ไหลย้อนออกมาจากขวดแห่งความทรงจำของชลันธร นึกถึงครั้งแรกที่ได้เจอกับนภนต์ ตนนั้นก็แยกตัวจากเหล่าข้าราชบริวารและมาพบกับทิชากรที่อุ้มสมพาไปยังถ้ำแก้วเช่นกัน บางทีนี่อาจจะเป็นนิมิตหมายอันดีที่ตนจักได้เจอกับคนรักก็เป็นได้

ไม่นานทิชากรนั้นก็พาเทวาแห่งมหาสมุทรมาถึงถ้ำรัตนาที่แสงจันทราสาดส่องจนเกิดแสงเป็นประกาย สว่างโดดเด่นท่ามกลางความมืดมิด ชลันธรได้ลงจากกายของทิชากร พลันนกยักษ์ก็ย่อกายให้กลายเป็นนกน้อยตัวเล็กๆ แล้วโบยบินหนีหายไป

“ทิชากร!!! ทิชากร!!!” ชลันธรร้องเรียกแต่ทิชากรก็ไม่ยอมบินย้อนกลับมา…เมื่อรู้ว่าตนนั้นถูกทิ้งชลันธรจึงเดินหน้าเข้าไปในถ้ำแต่เพียงผู้เดียว…‘เห็นทีเราต้องเข้าไปในถ้ำเพียงผู้เดียวเสียแล้ว  มาถึงที่นี่แล้ว...ด้วยความรักที่มีต่อท่านพี่นำพาข้ามา...บางทีเราสองอาจจะได้กลับมาพบกันในที่แห่งนี้ก็เป็นได้...’

ขาเรียวก้าวเดินเข้าไปอย่างคุ้นเคย ภายในถ้ำช่างเงียบสงบชวนวังเวงยิ่งนัก เมื่อเบือนใบหน้าสบมองคบเพลิงที่ไร้ผู้จุด บ่งบอกได้ดีว่าเวลานี้ไม่มีผู้ใดอยู่ในถ้ำ ชลันธรผิดหวังที่ข้อสันนิษฐานของตนผิดพลาด ทั้งที่คิดว่าตนตีความหมายของพระผู้สร้างถูกแต่ไหนเลยสิ่งที่ตนหวังไว้กลับพังทลาย

...‘อาจเป็นเพราะความรักของเรามันไม่มากพอที่จะสร้างเป็นกุญแจไขประตูที่ขวางกั้นสองหัวใจให้พานพบกันอีกครั้ง...เวรกรรมอันใดกันเราถึงได้พลัดพรากจากคนรักเช่นนี้’…

































..........................................

อ้าวเฮ้ย!!! ไหนบอกว่าจบ แต่ดันไม่จบ สัญญาตอนหน้าจะจบแล้วจบจริงๆแล้ว 555555

ขอโทษที่หายไปนานขอโทษจริงๆค่ะ น้ำท่วมซ้ำซาก งานประจำก็ทำจนไม่ค่อยมีเวลา ท่านยุ่งเลยยุ่งสมชื่อค่ะ ฮือออออ

ตอนนี้ไม่มีอะไรมากค่ะ ชิชิ ใส อย่าเพิ่งเบื่อกันนะคะ ตอนหน้าตอนจบจะจัดเต็มรูปแบบ (จัดอะไร) ให้กับผู้อ่านที่น่ารักทุกคนนะคะ 555 ม๊วก

ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน มาเมนท์ มาเป็นกำลังใจให้กัน อย่าเพิ่งทิ้งกันไปนะคะ กลัวไม่มีคนอ่านเพราะหายไปนานแสนนาน
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.36 P.12 (08/12/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 07-12-2017 21:14:48
 :mew5: รู้สึกยังไม่เต็มอิ่มเลย
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.36 P.12 (08/12/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 08-12-2017 00:28:28
รออย่างมีความหวัง

หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.36 P.12 (08/12/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 08-12-2017 10:57:10
งื้ออ เมื่อไรจะเจอกันต้องตอนจบชิมิ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.36 P.12 (08/12/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 09-12-2017 00:12:01
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.37 50% P.13 (20/12/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 20-12-2017 10:53:24


สาปรัก…ทัณฑ์เทวา Writer : Tan-Yung 0209 File : 37

สายลมเย็นพัดผ่านบาดผิวกายให้หนาวเหน็บ ซ้ำยังพัดกำลังใจให้ปลิวหาย แรกเริ่มกายบางละล้าละลังที่ก้าวเข้าไป แต่กระนั้นชลันธรก็ยังเข้าไปภายในถ้ำแก้วที่เคยเป็นรังรักอยู่ดี แม้แสงแห่งความหวังจะริบหรี่กว่าแสงหิ้งห้อยที่บินเอื่อยอยู่ริมธาร หรือจะสว่างน้อยกว่าคบเพลิงที่เคยให้แสงสว่างอยู่ภายในถ้ำ เทวาพระสมุทรก็คงหวังตามผู้เป็นดวงใจของตนให้หวนคืน ทว่า...ภายในถ้ำแก้วแสนวิจิตรกลับไร้ร่องรอยใดๆ ของคนที่ตนนั้นอยากจะพบเจอ ไม่มีแม้ร่องรอยของผู้พักพิง

สองเท้าก้าวสืบเข้าหมายใจอยากแอนกายบนบรรจถรณ์ในคูหาห้องบรรทมให้หวนคะนึงความทรงจำแสนสุขเมื่อครั้งที่นภนพ์อยู่ใกล้...แม้จะมีแสงสว่างไม่มากนัก แต่ชลันธรก็จดจำได้ดีว่าต้องเดินไปทางไหน...

“ถ้าไม่ใช่ที่นี่แล้วจะเป็นที่ใดอีกเล่า…อื้อ!!!” พระสมุทรเปรยกับตนเอง แต่...ยังมิทันจะขาดคำ เสียงพูดกลับถูกดูดกลืนหายเงียบไป กายบางถูกสวมกอดด้วยอ้อมแขนแกร่งจากกายหนาที่สูงใหญ่...ริมฝีปากของผู้ที่ล่วงเกินจรดลงริมฝีปากบาง ชลันธรเม้มริมฝีปากปิดแน่นขัดขืนตามประสาที่หวงกาย ใบหน้างามหันหลบไปอีกทาง เมื่อหัตถาข้างหนึ่งที่หลุดพ้นพันธนาการ ปรากฏแสงสว่างของดวงแก้วสีฟ้าบนฝ่ามือของพระสมุทร

“บังอาจแท้...เจ้ากล้ามากที่กล้าบุกรุกวิมานแก้วสถาน ทั้งยังกล้ามาล่วงเกินเรา จงลิ้มรสนี่เสีย...” ชลันธรยกมือขึ้นพร้อมจะซัดพลังดวงแก้วสีฟ้านั่นใส่อีกฝ่าย ทว่ามือหนาของผู้บุกรุกนิรนามกลับคว้าข้อมือที่เล็กกว่าตรึงไว้แล้วดันกายพระสมุทรให้ร่นถอยจนติดผนังถ้ำ แสงจากสีฟ้าวูบวาบในมืองามส่องใบหน้าของอีกคนให้ชลันธรเห็น

“เจ้าเป็นใครกัน...” ดวงตาเรียวไล่มองใบหน้าผู้บุกรุกนิรนามตรงหน้า กลับเป็นรูปร่างเงาดำไม่มีแม้แต่ใบหน้า...พระสมุทรเริ่มตั้งสติ...หากนี่คือมารหรือปีศาจก็คงยากที่จะรับมือเป็นแน่...ด้วยสามารถต้านทานกายของตนได้

แต่เงาดำนิรนามนั้นค่อยๆ ปรากฏใบหน้าที่แท้จริงให้ชลันธรได้ยล กายบางหยุดหายใจไว้เพียงเท่านี้ หากยามนี้กำลังนิทราในความฝัน ชลันธรก็มิหมายที่จะตื่นฟื้นไปตลอดกาล

“ชลันธรคนดี…นี่พี่เอง เจ้าจะใจร้ายกล้าลงไม้ลงมือทำร้ายพี่เชียวหรือ” เทพหนุ่มรูปงามยิ้มกว้าง ให้กายบางที่คล้ายว่ากำลังจักร้องไห้

“นี่ขะ…ข้า ข้ามิได้ฝันใช่หรือไม่ นี่ท่านพี่นภนต์ตัวจริงใช่หรือไม่” ชลันธรถามเสียงสั่นเครือ น้ำตาแห่งความสุขเอ่อล้นออกมา

‘จุ๊บ’ นภนต์จุมพิศลงที่หน้าผากเนียนแทนคำตอบ มือที่ตรึงข้อมือเล็กเปลี่ยนดึงให้กายพระสมุทรนี้แนบชิดใกล้ ก่อนจะกอดกายขาวนี้แน่นราวกับได้สมบัติล้ำค่าที่สุดกลับคืนมา

“ท่านพี่ ข้าดีใจเหลือเกิน ดีใจเหลือเกินที่ท่านพี่นั้นปลอดภัย” ตลอดหลายวันที่ผ่านมาชลันธรแทบจะกินไม่ได้นอนไม่หลับนึกเป็นห่วงว่านภนต์ถูกลงโทษเช่นไร จะทุกข์ทรมานแสนสาหัสแค่ไหน จะได้กลับมาพบกันอีกหรือไม่...เมื่อได้พบหน้าจึงไม่วายที่เข้ากอดแน่น หยาดน้ำตาหลั่งรินด้วยความดีใจ

“พี่เองก็ดีใจที่มีชีวิตรอดกลับมาหาเจ้าอีก…ชลันธร พี่ไม่คิดเลยว่าตัวเองจะรอดจากสายฟ้าของพระผู้สร้าง” นภนต์เอ่ยพลางลูบหลังคนรักอย่างอ่อนโยน ก่อนจะใช้ความคิดนึกถึงเหตุการณ์บนวชิรภูผา

วชิรภูผาหรือแปลตรงตัวว่าภูผาแห่งสายฟ้า แต่ถ้าจะเรียกให้ถูกต้องคือลานตัดสินโทษหรือประหารเทพเสียมากกว่า เพราะผู้ที่ถูกลงโทษให้มาที่แห่งนี้จะถูกลงโทษด้วยสายฟ้า หรือไม่ก็ให้กระโดดลงไปเกิดใหม่ยังโลกมนุษย์ ปรกติที่แห่งนี้พระอัสนีจะเป็นผู้ใช้สายฟ้าลงทัณฑ์ผู้กระทำผิด แต่หากบางคราพระผู้สร้างก็จะเป็นผู้ลงทัณฑ์เอง สถานโทษใส่ร้ายป้ายสีนั้นคือการถูกโจมตีด้วยสายฟ้าเข้าที่ตัวถึงสามครั้งสามครา หากรอดปลอดภัยก็จะถูกปล่อยตัวไป แต่ส่วนใหญ่มักจะโดนไม่ครบตามจำนวนก็ต้องถึงจุดม้วยมรนาแตกดับ ผู้รอดชีวิตนั้นน้อยนักที่รอดมาได้และหสากรอดก็ใช่ว่าร่างกายนั้นจะปกติดั่งเก่า

ท้องนภามืดมนด้วยกลุ่มเมฆสีทมิฬแสนน่ากลัว ดั่งท้องฟ้าสีหม่นนั้นมีดวงตาซ่อนอยู่ และมันจับจ้องไปยังนักโทษเทวา ซึ่งบัดนี้กำลังถูกทหารคุมกายให้นอนราบกับพื้น แขนขาทั้งสองข้างถูกกางออก ข้อมือข้อเท้าถูกล่ามโซ่ตรวนเอาไว้ เสียงฟ้าร้องครืนๆ ราวจะบอกว่าฝนกำลังจะตกหรือมีพายุใหญ่ในอีกไม่ช้า แต่ก็หาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะที่แห่งนี้ไม่มีฝนจะมีก็มีเพียงแต่สายฟ้าผ่าลงมาก็เท่านั้น…และอีกไม่นานจะมีเทวาสิ้นชาติภพเป็นแน่

“เทพนภนต์…ท่านพร้อมที่จะรับการลงทัณฑ์จากเราแล้วหรือไม่” พระพริษฐ์เอ่ยถามหลังจากที่นภนต์ทูลขอเรื่องให้ชุบชีวิตแก่นาคินทร์

“กระหม่อมพร้อมแล้ว พระองค์โปรดลงทัณฑ์กระหม่อมด้วยเถิด” ทันทีที่พูดจบเปลือกตาทั้งสองข้างก็ปิดแน่น แม้จะเตรียมตัวเตรียมใจที่จะเข้ามารับโทษแล้ว แต่ดวงใจนี่สิกลับเต้นระรัว ไหนจะเหงื่อกาฬที่ไหลอาบหน้าอาบกายอีก…อดไม่ได้…นภนต์อดที่จะใจสั่นมิได้

…‘ไม่ว่าสายฟ้าจะฟาดให้ข้าทรมานจนร่างกายแทบดับสูญ ข้าจะอดทนเพื่อกลับไปหาเจ้าให้ได้…ชลันธร’…

“เทพแห่งเวหานภนต์...ผู้ครองฐานะแม่ทัพใหญ่แห่งสรวงสวรรค์ ท่านกลับบกพร่องต่อหน้าที่ มิยอมใช้สติปัญญาไตร่ตรองหาความจริง จนเป็นเหตุให้พระสมุทรต้องทนทุกข์ทรมานและยังเป็นเหตุทำให้ถูกปลดจากการเป็นแม่ทัพแห่งสรวงสวรรค์ ” สุรเสียงดังกังวานประกาศแจ้งความผิดที่นภนต์ได้ก่อและบ่งบอกอีกครั้งว่าตำแหน่งแม่ทัพหลวงนั้นไร้ผู้ครอบครอง

“กระหม่อมขอน้อมรับ” นภนต์ก้มหน้าลงน้อมรับโทษทัณฑ์ของตน

กรแกร่งยกขึ้นให้หัตถาสูงเหนือเศียรเกล้า พลันกลุ่มเมฆาบนท้องฟ้าสีควันเลื่อนลอยหมุนวน เสียงโครมครามดังสนั่นดั่งรามสูรเทพขว้างขวานก่อนแสงสีขาวสว่างจนมิอาจลืมตามองพุ่งลงมาในพระหัตถ์ขององค์มหาเทพ

‘เปรี๊ยะ…เปรี๊ยะ..’ อัสนีได้อยู่ในกำมือของพระผู้สร้างเป็นที่เรียบร้อยและพระองค์ไม่ทรงรีรอที่จะลงโทษ

‘เปรี้ยง!!’

“อ๊าก!!!...แค่ก..แค่ก”สายฟ้าฟาดลงบนกลางแผ่นหลังกายใหญ่ นภนต์กระอักโลหิตสีทองออกมา ความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวตามกระดูกก่อนจะรู้สึกชาไปตามกล้ามเนื้อ แขนและขาหนักอึ้งเสียแทบจะขยับไม่ได้ นี่เพียงแค่หนแรกเท่านั้นยังทำให้รู้สึกทรมานเช่นนี้... นภนต์จึงไม่แปลกใจ ไม่ว่าเทวาองค์ไหนที่กระทำผิดร้ายแรงนั้นต้องสิ้นชีพ ณ วชิรภูผาแห่งนี้

‘เปรี้ยง!!!’

ครั้งที่สองฟาดลงยังจุดเดิมภูษาที่สวมใส่นั้นไหม้เกรียมขาดวิ่น เกิดรอยแผลเป็นรูปอัสนี ก่อนจะตามด้วยรอยแดงพุพองเป็นอักขระทั่วกลางแผ่นหลัง ส่งผลให้เกิดความร้อนดั่งเพลิงเผาผลาญภายในกายให้ไหม้เกรียม หากนภนต์นั้นกัดฟันแน่นอดทนให้การลงโทษนี้ผ่านพ้นไปด้วยดี เทวดาผู้ที่อยู่ร่วมเหตุการณ์ต่างชื่นชมที่นภนต์อดทนมาถึงเพลานี้ ทว่าต่างก็คิดว่าครั้งที่สามเทพนภนต์คงจะไม่รอด

‘เปรี้ยง!!!...ปัง!!!’

พระหัตถ์จับสายฟ้าไว้มั่น เหวี่ยงอัสนีครั้งสุดท้ายฟาดฟันเทพแห่งเวหา ทว่าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น กลับมีรัศมีสีครามออกมาจากกายของนภนต์ ยามสายฟ้าตกลงมาก็ปกป้องกายของนภนต์ไว้ดั่งเกราะเหล็กที่สะท้อนพลังสายฟ้าจนเกิดเสียงดังสนั่นก้องทั่วทั้งลานวชิรภูผา จากนั้นรัศมีนี้ก็แทรกซึมตามรอยอักขระที่ฟุพองน่ากลัวให้บรรเทาจาง จนเหล่ารอยอักขระนี้จางหายไปในที่สุด ทั้งกายนถนต์ยังทุเลาอาการแสบร้อนภายในกายได้เป็นอย่างดี สร้างความอัศจรรย์ให้กับเทพาทั้งหลายรวมทั้งตัวของนภนต์เอง

“พระสมุทรชลันธร...คงรักและคงเป็นห่วงท่านมาก ถึงได้มอบสิ่งล้ำค่าชิ้นนี้ให้ท่าน...เมื่อกลับไปแล้วจงดีกับชลันธรให้มากสมกับที่ชลันธรดีกับท่าน ...เอาล่ะในเมื่อทัณฑ์จากข้าเสร็จสิ้นแล้ว...พวกเราก็หมดหน้าที่เพียงเท่านี้ กลับไปยังวิมานของพวกท่านกันเถิด...ทหารปลดพันธนาการออกจากเทพนภนต์ให้เป็นอิสระบัดเดี๋ยวนี้...” พระผู้สร้างกล่าวราวรู้ว่าชลันธรมอบสิ่งใดให้ติดกายนภนต์มา...แต่ก็มิได้บอกอะไรต่อ...ได้แต่กล่าวเชิญให้เหล่าเทพที่มาร่วมการครั้งนี้แยกย้ายกลับวิมาน และให้ทหารสวรรค์ปลดเครื่องจองจำนภนต์

“มิแปลกดอกที่ท่านพี่นั้นรอดมาจากสายฟ้าของพระผู้สร้าง” ชลันธรที่ได้ฟังเอ่ยออกมาทั้งรอยยิ้ม

“เจ้าหมายความว่าเช่นไรหรือ…ชลันธร” นภนต์สงสัยยิ่งเห็นรอยยิ้มของคนในอ้อมแขนก็พอจะเดาออกว่าชลันธรคงมีส่วนเกี่ยวข้อง

“ข้านั้นนำดวงใจพระสมุทรผนึกเข้าไปในกายของท่านพี่ เพียงหวังพลังและอำนาจจากสิ่งวิเศษนี้คอยปกป้องท่านพี่จากอันตรายทั้งปวง แต่ข้าก็มิรู้หรอกว่ามันจะได้ผลหรือไม่...แต่อย่างน้อยมันก็เหมือนกับว่าเราสองได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลา...ได้ร่วมฝ่าฟันทุกอย่างไปด้วยกัน” ชลันธรเอ่ยก่อนจะใช้มือสัมผัสที่แผ่นหลังกว้าง ทันทีที่มือเรียวแตะผิวกายแสงสีครามน้ำทะเลก็วูบวาบออกมาบ่งบอกว่าดวงใจพระสมุทรนั้นอยู่ในกายของนภนต์

“พี่ขอบน้ำใจเจ้ามากชลันธร…แต่การนำสมบัติล้ำค่าแห่งมหาสมุทรมอบให้พี่เช่นนี้ มันมิเป็นเรื่องที่ควรหรือ...”

“มิเป็นไรดอก…ในฐานะคนรักแม้หากสิ่งใดที่ข้าสามารถจะทำได้...ข้าก็จะทำ...แต่สิ่งที่ข้าอยากได้ยินมากกว่าคำขอบน้ำใจ...คือท่านพี่หายไปไหนตลอดหลายวันนี้และนอกจากโทษที่ต้องสายฟ้า ณ วชิรภูผา ท่านพี่ยังถูกรับโทษอื่นอีกหรือไม่”

“เจ้าถามพี่มากมายเพียงนี้เห็นทีให้เจ้าฟังเสียแล้ว แต่ว่ายืนคุยกันเช่นนี้คงไม่ดีกระมัง พี่ว่าเราไปคุยกันที่คูหาห้องบรรทมมิดีกว่าหรือ...นอนคุยกันให้สบายใจ”

ย้อนกลับไปในวันที่เทพนภนต์ผู้ที่คอยจับกบฏหรือผู้กระทำผิดมายังสภาเทวาเพื่อรับการลงทัณฑ์ บัดนี้กลับกลายเป็นผู้กระทำผิดเสียเอง หากผู้ที่เคยถูกตนจับกุมได้ล่วงรู้ว่าเทพท้องนภาและมีตำแหน่งเป็นถึงแม่ทัพเอกแห่งสรวงสวรรค์เป็นผู้ที่คุกเข่าตรงหน้าพระผู้สร้างเสียเอง คงจะนึกหัวเราะเยาะสะใจอยู่มิใช่น้อย หากนภนต์ไม่คิดจะกลัวเสียหน้าที่ถูกศัตรูเก่าเยาะเย้ยถากถาง สิ่งที่นภนต์กลัวคือการที่ไม่ได้รับโทษที่ตนได้ก่อไว้ แม้จะไม่ใช่เป็นผู้ที่ใส่ร้ายชลันธรแต่เทพหนุ่มกลับปล่อยอคติบังตาจนทำให้เทวาแห่งมหาสมุทรนี้ต้องถูกสาปให้ทุกข์ทรมานบนโลกมนุษย์ บทลงโทษของนภนต์ก็ได้เริ่มขึ้น หลังจากที่ผ่านทัณฑ์ต้องสายฟ้าไปได้ ก่อนที่นภนต์จะเป็นอิสระ พระผู้สร้างได้ตรัสก่อนที่จะเสด็จกลับ

“นอกจากนี้…นับแต่บัดนี้ไปจนครบ ๓ วัน เจ้าจงเดินทางไปยังขอบมหาสมุทร เพื่อไปเรียนรู้และฝึกซ้อมการเป็นองครักษ์ประจำกายพระสมุทรในทุกคืนวันเพ็ญเป็นเวลา ๑๐๐ ปีมนุษย์ การถูกลดตนเป็นผู้รับใช้อาจจะทำให้ท่านนั้นใจเย็นลงบ้าง” การลงโทษที่ไม่เหมือนการลงโทษของพระผู้สร้างทำให้รอยยิ้มปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าหล่อเหลา

“อย่าเพิ่งดีใจไป…โทษทัณฑ์สุดท้ายที่ท่านจักได้รับนั้น คือเจ้าจะต้องคำสาป...” สุรเสียงเรียบนิ่งค่อยๆแปรเปลี่ยนในประโยคสุดท้าย นั่นสินะ มันสมควรแล้วด้วยตนทำให้ชลันธรถูกสาปเป็นมนุษย์ การถูกสาปคงจะเป็นโทษทัณฑ์อันร้ายแรงที่สุด

“ข้าขอสาปให้เจ้า….!!!”

นภนต์ที่เล่าให้ชลันธรฟังนั้นเว้นวรรคช่วงประโยคก่อนจะโน้มใบหน้าให้ริมฝีปากแนบชิดติดใบหูแล้วบอกคำสาป ชลันธรที่ลุ้นว่าภัสดาตนจะต้องคำสาปเช่นไรจนหัวใจนั้นแทบจะทะลุจากอกแต่ใบหน้าขาวซีดที่มีเม็ดเหงื่อประดับตามหน้าผากกลับมีสีหน้าที่สดใสยิ่งขึ้นเมื่อรู้ว่านภนต์อันเป็นที่รักนั้นถูกสาปว่ากระไร...

“นอกจากพี่จะรับโทษแล้ว…พี่นั้นยังขอให้พระผู้สร้างนั้นช่วยชุบชีวิตของนาคินทร์ด้วย เจ้าสบายใจได้ชลันธร เพราะทรงรับปากแล้ว ในเร็ววันนี้คงเรียกรพีพงศ์เข้าเฝ้าเป็นแน่...”

“ท่านพี่พูดจริงหรือ…ท่านพี่มิได้โกหกข้าใช่หรือไม่” ชลันธรถามย้ำกลัวว่าตนนั้นจะฝันไป หากพระผู้สร้างรับคำจะช่วยแล้ว ตนจะได้พบเจอสหาย รพีพงศ์จะได้เจอยอดดวงใจอีกครั้ง

“พี่ไม่โกหกเจ้าดอก เจ้าเชื่อน้ำคำพี่ได้” นภนต์ยืนยัน ยิ่งตอกย้ำให้ชลันธรโล่งใจในเรื่องนี้ ความรู้สึกผิดได้รับการบรรเทา

“อารมณ์ดีขึ้นมาเชียว ราตรีนี้เจ้าอยากจะไปเที่ยวไหนบ้าง พี่จักพาเจ้าไป”

“ท่านพี่ไม่เหนื่อยหรือ เพิ่งจะกลับมาจากขอบมหาสมุทร ข้าว่าท่านพี่น่าจะพักผ่อนเสียก่อนจักดีกว่า”

“ตอนแรกพี่ก็เหนื่อยอยู่ดอก หากพบหน้าเจ้าพี่นั้นก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง พอได้กอดได้จูบเจ้า ดั่งได้โอสถแสนวิเศษเรี่ยวแรงก็กลับมาทันทีทันใด” นภนต์หยอดคำหวานจนชลันธรนั้นแทบอายม้วน

“ถ้าเช่นนั้นท่านพี่นภนต์…ข้าอยากจะไปเล่นน้ำกับเหล่ามัจฉา ณ สระอโนดาต ท่านพี่จะว่าเช่นไร” ชลันธรเอื้อนเอ่ยอย่างอารมณ์ดีทั้งยังขยับกายเข้ากอดแขนนภนต์ไว้

“ยามค่ำคืนเช่นนี้ พี่กลัวเจ้านั้นได้รับอันตราย พี่ว่าเราไปที่อื่นจักดีกว่าไหม” นภนต์ยังคงเป็นนภนต์ที่เป็นห่วงเทพเจ้าของบัลลังก์มุกผู้แสนซุกซน กลางดึกในละแวกสระอโนดาตจะมีพวกสรรพสัตว์รวมตัวกัน

“แต่ข้าอยากไป…ท่านพี่ลืมไปแล้วหรือว่าข้าหวนคืนพลังอำนาจดั่งเก่าก่อน...ซ้ำท่านพี่ก็อยู่ด้วยเห็นทีศัตรูคงต้องม้วยมรนาเสียมากกว่า” ชลันธรยังคงยืนยันคำตอบพร้อมเหตุผล ริมฝีปากเม้มเหยียดบ่งบอกว่าไม่พอใจหากอีกฝ่ายขัดใจตน

“ดูทำหน้าเข้าสิ…เช่นนี้พี่คงขัดเจ้ามิได้ อย่างนั้นเราไปสระอโนดาตกันเถิด” นภนต์เอ่ยแล้วเดินนำชลันธรไปหน้าถ้ำ ปีกสีทองสยายออกจากแผ่นหลัง เจ้าของปีกหันมองคนรักที่เดินตามมาตามด้วยช้อนอุ้มร่างบางขึ้นมา

“เจ้าพร้อมแล้วหรือยัง”

“ข้าพร้อมแล้ว” ชลันธรตอบด้วยน้ำเสียงสดใส สิ้นประโยค์นภนต์ก็โบยบินขึ้นสู่ท้องฟ้ายามราตรีที่สกาวด้วยแสงจันทร์นวลส่องสว่าง ชลันธรแนบศีรษะพิงอกแกร่งพร้อมคลี่ยิ้มออกมาอย่างเป็นสุข พระสมุทรนึกถึงเมื่อครั้งที่ตนนั้นได้เริ่มคบหาและสนิทสนมกับนภนต์ในช่วงแรกๆ ตนมักจะถูกเทพเวหาอุ้มพาเที่ยวชมป่าหิมพานต์ ทั้งที่ตนนั้นมีฤทธาที่จะเหาะเหินเดินอากาศได้แต่ชลันธรกลับเลือกที่จะให้นภนต์อุ้มแนบกายเพียงเพราะอยากชิดใกล้เทพหนุ่มผู้นี้







............ ......... 50% .................

ท่านยุ่งมาถึงจุดนี้ได้ยังไง จุดที่ลงนิยายครึ่งนึง ฮืออออออ อย่าเพิ่งหาย ตอนสุดท้ายแล้วขอเสียงจากมิตรรักเยอะๆนะคะ จุ๊บ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.37 50% P.13 (20/12/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 20-12-2017 23:50:21
รอๆขอให้แฮปปี้เอนดิ้ง~
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.37 50% P.13 (20/12/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 21-12-2017 02:51:33
รออีกครึ่งที่เหลือ .
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.37 50% P.13 (20/12/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 21-12-2017 15:54:50


เหลืออีกครึ่งหนึ่ง

รอต่อขอรับ

หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.37 100% จบแล้ว P.13 (21/12/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 21-12-2017 19:39:26
ไม่นานเทพเวหาก็พาชลันธรมาถึงสระอโนดาต ที่เพลานี้กลับมีเหล่ากินรีงามออกมาเล่นน้ำ ยามเดือนหงายเช่นนี้อยู่ถนัดไปอีกไม่ไกลนัก นภนต์วางกายชลันธรลงนั่งบนโขดหินโดยที่ตนเองก็นั่งชิดใกล้กันมิยอมห่าง

เทวารูปงามทั้งสององค์ได้ประทับเคียงคู่กัน รัศมีเรืองรองขับให้น่าดูชม จนนางกินรีที่เริงเล่นน้ำอยู่ใกล้ๆ กันนั้น อดมิได้ที่จะคอยเล่นหูเล่นตาส่งยิ้มส่งสายตาหวานให้นภนต์และชลันธรอยู่ไม่ขาด นภนต์นั้นทำเพียงยิ้มรับตามารยาทผิดกับชลันธรที่สีหน้าเรียบนิ่งแทนที่จะเริงใจเมื่อใกล้น้ำ กลับมองใบหน้านภนต์เป็นระยะ เดาไม่ยากหรอกว่าชลันธรนั้นกำลังไม่พอใจ ดั่งมีไฟหึงมันคุกรุ่นอยู่ในใจ

“ชลันธร…เจ้าไม่ลงเล่นน้ำหรือ” นภนต์ถามด้วยแปลกใจ เพราะทุกครั้งชลันธรพอเห็นสระน้ำหรือทะเล พระสมุทรคนงามจะอารมณ์ดีและลงเล่นน้ำสำราญใจเสียทุกครั้ง

“วันนี้ข้าไม่อยากเล่นน้ำแล้ว…ตอนนี้ข้าอยากกลับวิมาน” ชลันธรบอกกับนภนต์เสียงเรียบ เบือนหน้าหนีไปอีกทาง จนนภนต์อดสงสัยไม่ได้ว่าตนนั้นทำสิ่งใดไม่ถูกใจชลันธร

“ในเมื่อเจ้าอยากกลับวิมาน พี่นั้นจะกลับไปกับเจ้าด้วย ถือเสียว่าทำหน้าที่องครักษ์ให้เจ้า เจ้าว่าดีหรือไม่” นภนต์ถามพร้อมกุมมือนิ่มเอาไว้แน่น

“ตามใจท่านพี่ อยากตามข้าก็ตามมา” ชลันธรดึงมือกลับแล้วลุกขึ้นยืนเดินออกไป ทำให้นภนต์แน่ใจว่าชลันธรไม่พอใจตนเสียแล้ว ถึงกระนั้นนภนต์จะง้องอนอีกฝ่ายให้สำเร็จ

.
.
.

ยิ่งดำดึ่งลึกลงไปก็ยิ่งมืดมิด เนื่องด้วยแสงจันทรามิอาจจะส่องถึงท้องมหาสมุทรแสนกว้างใหญ่ได้ หากมันไม่ได้เป็นอุปสรรคให้กับพระสมุทรและเทพนภนต์ซึ่งตอนนี้กลายเป็นผู้ติดตามของชลันธร ทั้งสองอยู่ในฟองอากาศมนตราขนาดใหญ่ที่เคลื่อนตัวฝ่าชลธีใต้มหาสินธุ ตลอดเส้นทางนั้นสองเทพาแทบจะไม่ได้สนทนากัน ชลันธรนั้นจะเอื้อนเอ่ยเมื่อนภนต์ถามเท่านั้น ซึ่งปกติแล้วชลันธรจะพูดเจื้อยแจ้วยามอยู่กับนภนต์ จนนภนต์ลอบถอนหายใจคิดในใจว่าเมื่อถึงวิมานจะซักถามเอาคำตอบให้จงได้

วิมานสีครามตั้งตระหง่านลานแก้วไพฑูรย์ด้านหน้างามระยับสีนั้นตัดกับดอกไม้ทะเลสีเพลิงที่มีอยู่รายล้อม เมื่อฝ่าเท้าทั้งคู่สัมผัสที่พื้นฟองอากาศที่ห่อหุ้มนั้นก็มลายหายไป ชลันธรเดินนำหน้าไม่คิดจะรีรอนภนต์แต่อย่างใด

“พระสมุทรชลันธร อ่ะ!!...ไยกลับมาถึงมืดค่ำเช่นนี้...หากอีกช่วงยามยังมิกลับราชองครักษ์คงเกณฑ์ไพร่พลออกตามหาท่านแล้ว...” นางปลาผู้รับใช้ชลันธรปรี่เข้าหาเพราะด้วยร้อนใจเนื่องจากชลันธรไม่ยอมกลับมายังวิมานสีครามสักที

“เราก็กลับมาแล้วนี่...เราก็บอกแล้วไงว่าไม่ต้องห่วงเรา...” ชลันธรตอบกลับนางปลา

“แล้วนี่ท่านเทพนภนต์หรือไม่...รูปงามสมคำร่ำลือยิ่งนัก  ข้าไม่นึกว่าท่านจะตามมาด้วย…”

“เจ้าก็ไปจัดที่หลับที่นอนให้ท่านเทพนภนต์ด้วยแล้วกัน...ใช้ห้องรับรองทางปีกซ้าย...เมื่อ เจ้าทำเสร็จเรียบร้อยแล้วก็กลับไปพักผ่อนเถิด...”ชลันธรรับสั่งให้นางปลาผู้รับใช้จัดห้องให้นภนต์แล้วรีบเดินตรงไปที่ห้องบรรทมของตนเองทันที ทำเอานภนต์ตกใจมิน้อยที่ชลันธรกล่าวเช่นนั้นทำไมเล่าไม่พอใจอะไรหนักหนาถึงกับต้องให้นอนแยกห้องกันเลยหรือ...เห็นทีต้องรีบเจรจาให้รู้เรื่องเสียแล้ว

“ท่านเทพเวหา ข้าใคร่รู้นักเหตุใดท่านสามารถอยู่ใต้น้ำนี้ได้นานนัก...” นางปลาผู้รับใช้อดสงสัยมิได้ว่าทำไมเทพนภนต์ผู้ที่ไม่ได้มีชาติกำเนิดในมหาสมุทร แต่สามารถทนอยู่ใต้น้ำได้นานนักซ้ำยังมีทีท่าที่ปกติดีแต่กับเทพผู้อื่นที่ลงยังมหาสมุทรจะต้องใช้มนตราสร้างฟองอากาศคลุมกายเมื่ออยู่ใต้น้ำ

“พอดีว่าก่อนที่ข้าจะลงมาข้ากินหญ้าเหงือกปลามาด้วยก็เลยอยู่ใต้น้ำได้ดีปกติเหมือนชาวเมืองบาดาลทั่วไป...เอาล่ะตอนนี้ข้ารีบต้องไปรับใช้พระสมุทรเจ้าไปจัดห้องหับรับรองก่อนเถิด...ประเดี๋ยวข้าจะเข้าไปพักเอง...” นภนต์ไม่อยากให้ใครรู้เรื่องดวงใจพระสมุทร เพราะเกรงว่าชลันธรอาจต้องถูกติฉินนินทา และอาจได้รับอันตรายด้วยไม่มีดวงใจพระสมุทรสมบัติสำคัญแห่งเมืองสมุทรอยู่ที่ตนเอง  จึงตอบเลี่ยงว่าใช้หญ้าเหงือกปลาซึ่งนภนต์เองก็จำมาจากภาพยนต์ตะวันตกเรื่องหนึ่งที่เคยชมเมื่อครั้งอยู่โลกมนุษย์กับชลันธร

“เอ่อเป็นเช่นนั้นเอง...” เมื่อได้คำตอบแล้วนางปลาก็ไม่สนใจและซักถามนภนต์ต่อ

นภนต์ไม่ได้สนใจนางปลาผู้รับใช้ขี้สงสัยอีก รีบเดินตรงไปยังห้องบรรทมของชลันธร โดยตามประกบติดอยู่ห่าง

“ชลันธร…เจ้าบอกพี่ได้หรือไม่ ว่าเจ้าเคืองโกรธอันใดพี่”  ทันทีที่ประตูบานปิดลง นภนต์ที่แทรกกายเข้ามาในห้องบรรทมด้วยก็ซักถามชลันธรที่นั่งลงยังแท่นประทับทันที หากสิ่งได้รับคือความเงียบไม่มีคำพูดคำจาใดใด

“ชลันธร…” นภนต์พูดเสียงแผ่วเบาให้อีกฝ่ายเห็นใจยินยอมตอบตนมา  แต่ชลันธรก็มิได้ตอบสิ่งใดแต่กลับหันหน้าหนีไปทางอื่นแทน

“ในเมื่อเจ้ามิยอมพูด...พี่จะทำให้เจ้ายอมพูดกับพี่เอง” นภนต์รวบกายของชลันธรแล้วอุ้มไปยังเตียงใหญ่

“ปล่อยข้า!!!...ท่านพี่บังอาจเกินไปแล้ว...วางข้าลง...แล้วออกไปจากห้องข้าบัดเดี๋ยวนี้ ปล่อยข้า..อุ๊บ!!” ชลันธรร้องโวยวายให้ปล่อยกายก็ไร้ผล บัดนี้ริมฝีปากถูกครอบครองจนมิอาจเปล่งเสียงอันใดได้ นภนต์วางกายชลันธรลงแท่นบรรทมให้นอนราบ แล้วขึ้นคร่อมกายไว้โดยที่ริมฝีปากนั้นมิออกห่าง ชลันธรนั้นถูกกักขังเสียแล้วในเวลานี้

“บอกพี่ได้หรือยังว่าโกรธเคืองอันใด ถึงได้ทำหน้าทำตาบึ้งตึง ไม่พูดไม่จากับพี่เช่นนี้” นภนต์หยุดประโคมระดมจูบ ซักถามอีกครั้งและคำตอบที่ได้กลับมาคือความเงียบเช่นเดิม

“ถ้าเจ้าไม่ตอบพี่อีก…พี่จะทำเจ้ายิ่งกว่าจูบ” นภนต์ไม่ได้ขู่เทพหนุ่มนั้นพูดจริงทำจริง

“บอกแล้ว!!...ข้าบอกแล้ว!!!” ก่อนที่ริมฝีปากจะประกบปากตนอีกครา ชลันธรรีบส่งเสียงร้องตอบยินยอม พร้อมฝ่ามือเล็กที่ดันอกของนภนต์ให้ออกห่าง

“ไหนรีบบอกพี่มาเสียสิว่าเจ้าโกรธพี่เรื่องใด” นภนต์ยิ้มมุมปากมองใบหน้างามตรงหน้าที่สีหน้าคล้ายคนร้องไห้อยู่ทุกขณะ

“ข้าหาได้โกรธท่านพี่ไม่…ข้าโกรธตัวข้า โกรธที่ตัวข้าหึงหวงท่านพี่กับเหล่ากินรีพวกนั้น…ข้ามัน..ข้ามันไม่ดีหึงหวงไม่เข้าเรื่อง” ชลันธรระบายความอัดอั้นตันใจออกมา ชลันธรนั้นเชื่อใจนภนต์ว่าไม่นอกใจตนแน่นอนแต่ยามที่กินรีเยาวมาลย์ทั้งหลายเล่นหูเล่นตาส่งยิ้มหวานมาให้ ชลันธรมิสามารถควบคุมอารมณ์หึงหวงไม่ให้มันเกิดขึ้นมาได้ ครั้นจะให้โวยวายก็ดูว่าจะไม่สมควรจึงทำได้เพียงเก็บมันไว้เป็นไฟสุมอกให้ร้อนรนเอง

“พี่ก็นึกว่าเรื่องอันใด ที่แท้เจ้าหึงพี่นี่เอง” พอรู้สาเหตุที่ชลันธรนั้นขุ่นเคืองใจนภนต์กลับยิ้มแย้ม แววตาบ่งบอกว่าอารมณ์ดีมากมายเพียงใด

“ข้าบอกท่านพี่แล้ว ท่านพี่ก็ปล่อยข้าเสียสิ จักกักขังข้าด้วยร่างกายของท่านพี่ไว้ทำไมกันเล่า”

“พี่จักไม่ยอมปล่อยเจ้าดอก…ชลันธร อันตัวพี่ปล่อยเจ้าให้ห่างกายนับร้อยปี พี่นี้ไม่อยากจักปล่อยเจ้าให้ห่างกายอีก หากหลอมรวมกายกลายเป็นหนึ่งพี่ยินดีที่จะทำมิให้เจ้านั้นห่างกาย” นภนต์กระซิบสวาทคำหวานใกล้ใบหูก่อนจะซุกไซ้ซอกคอขาวสูดดมความหอมละมุน

“ท่านพี่…ท่านช่างหื่นกระหายยิ่งนัก พูดไปพูดมาท่านั้นก็หาเรื่องจะรังแกข้า เดินทางลงมาเมืองสมุทรมิเหน็ดเหนื่อยบ้างหรอกหรือ...” ชลันธรโวยวาย ถ้าฟังในน้ำเสียงจะรู้ว่าชลันธรมิได้ใส่ความจริงจังลงไปเลย คำโวยวายเมื่อครู่มีแต่ความเขินอายผสมลงไปด้วยเท่านั้น

“พี่มิได้รังแกเจ้าสักหน่อย…แต่พี่รักเจ้าต่างหาก...แล้วพี่ก็มิเหน็ดเหนื่อยด้วย...สงสัยจะเป็นเพราะพลังของดวงใจพระสมุทรกระมังที่ทำให้พี่มิรู้เหน็ดเหนื่อยเช่นนี้...”

“ถ้าเช่นนั้นข้าเอาดวงใจพระสมุทรคืนดีหรือไม่ ท่านพี่จะได้หยุดยังแกข้าสักที...”

“ชลันธรคนดีมิห่วงพี่หรอกหรือ...พี่ก็เหมือนเป็นพ่อนกนางแอ่นน้อยไร้รังนอน แต่นางแอ่นนี้มันคิดถึงถ้ำคิดถึงที่เคยอยู่อาศัยหลับนอน ขอให้นกน้อยตัวนี้ได้โบยบินตามใจด้วยเถิด…ชลันธร” ปากนั้นขยับพูดเกลี้ยกล่อม มือนั้นคอยนวดเค้น ลูบไล้ตามผิวเนียนให้ทั้งสองเกิดอารมณ์คล้อยตาม

“หากข้าให้ถ้ำเป็นรังพักพิง แล้วพ่อนกจะไม่หนีข้าเที่ยวบินเร่รอนชายตามองผู้อื่นอีกหรือ...”

“ไม่…มันจะอยู่ที่นี่ตราบช่วงชีวิตของมัน” นิ้วเรียวลากขึ้นมาที่แผ่นอกข้างซ้ายของชลันธรที่ปิดทับก้อนเนื้อที่เต้นระรัว…ใช่ ความรักของนภนต์อยู่ในใจของชลันธร

“ค่ำคืนนี้ขอให้พ่อนกตัวนี้บินสำรวจมหาสมุทรแสนกว้างใหญ่นี้จักได้หรือไม่เล่า” นภนต์หยอดคำหวานถามต่อ ดวงตาจ้องมองอ้อนวอนให้ชลันธรนั้นใจอ่อนยอมยินดี

“พ่อนกตัวนี้ไม่กลัวจมน้ำตายหรอกหรือ” ชลันธรแสร้งถามอยากรู้ว่าภัสดาจะตอบกลับมาเช่นไร หากตอบมาถูกใจชลันธรยินดีที่จะให้นภนต์นั้นทำตามใจตนเอง

“ต่อให้จมน้ำ…สำลักน้ำตาย หากมันได้ตายอยู่ที่นี่...มันก็ยินดีที่จะพลีชีพ” คำตอบแสนหวานปานน้ำผึ้งนั้นถูกใจชลันธรยิ่งนัก พระสมุทรจึงยินดีให้เทพแห่งท้องนภานี้ได้ทำในสิ่งที่ด้วยเป็นฝ่ายจุมพิตที่แก้มกร้านเป็นการอนุญาต

พ่อนกนางแอ่นเอย…ยามโผผินบินเหนือเวหายามนี้กลับดิ่งลงสู่มหาชลธาร แม้ลึกล้ำแต่กลับช่างน่าค้นหา พาลให้รู้สึกอยากสำรวจให้ทั่วแดนนี้ ไหนจะซอกหินขาวที่จะงอยปากกระทบเข้าจนเกิดเสียง ทั้งยังมีร่องรอยให้คนเห็นได้รู้ว่าใครทำ

เมื่อจับจองที่ทำรังจนพอใจ พ่อนกนางแอ่นก็บินลัดเลาะลงมายังเนินทรายขาว อันมียอดมุกดาสีแดงล้ำค่า เจ้าวิหกจึงมิอาจมองข้ามใช้เท้าเล็กนวดเค้นสลับไปมา ทั้งปากขบเม้มราวเจอลูกไม้แสนโอชะ

“อื้อ…”

มหาสมุทรกว้างต้องลมกระพืดพัดแม้จะแค่เพียงนกตีปีก แต่เกิดเกลียวคลื่นซัดฝั่งจนเกิดเสียง พ่อนกนางแอ่นได้ยินเช่นนั้น ดั่งใจหฤหรรษ์ที่ตนนั้นตัวเท่านี้สามารถทำให้มหาสมุทรปั่นป่วนได้

ยอดมุกดาสีแดงนั้นยังไม่สามารถทำให้พ่อนกนางแอ่นพอใจได้ จึงได้ท่องสายนทีลอยตามวารีแห่งห้วงอารมณ์ไล่ลงมายังปลาน้อยที่นอนสงบ แทนที่จะยินหนีไปให้ไกลแต่พ่อนกหาได้กลัวไม่ กลับเข้าหาปลุกเร้าให้ปลาน้อยนั้นตื่นตัว

“อื้อ..อ่า…”

ปลาน้อยนั้นตื่นตัวจนบวมพอง ส่งเสียงครางเร้าชวนวาบหวามคล้ายใกล้จะหมดแรง ยิ่งทำให้พ่อนกนางแอ่นสนุกกับการแกล้งเจ้าปลาน้อยตัวนี้

“อ่า…”

สุดท้ายเจ้าปลาน้อยมิอาจต่อกรแรงยั่วเย้าได้จึงได้ขับคาวเมือกออกมารอบกาย แต่พ่อนกนางแอ่นกลับอยากริลองชิมเมือกคาวนี้…สมแล้วกับที่ลองชิม ด้วยเมือกปลานั้นหวานล้ำ รสสัมผัสที่แตะลิ้นช่างหอมหวานและทำให้ลุ่มหลง

เมือกคาวที่ยังหลงเหลือไหลลงมาผ่านปากถ้ำที่ปิดอยู่ ถ้ำสีสวยที่พ่อนกนางแอ่นนี้อยากจะบินเข้าไปอาศัย ครั้นจะบินเข้าไปก็มิอาจจะเข้าได้จึงทำการเปิดทางด้วยปลายปากรอบถ้ำด้วยลิ้นเล็กพอให้ถ้ำนั้นขยาย…

“อ๊า….พี่นภนต์”

พระสมุทรเรียกขานนาม…บัดนี้พ่อนกนางแอ่นได้บินเข้าไปสำรวจถ้ำและบินวนเข้าออกอย่างช้าๆ มันสนุกสนานกับการได้บินเข้า บินออกเช่นนี้ ยิ่งได้บินเข้าไปลึกๆและบินกลับออกมาจนสุดตัว เสียงสัปดนแห่งความหฤหรรษ์นั้นก็ตามมายิ่งทำให้ฮึกเหิมจนกระพือปีกบินไม่หยุดและเพิ่มความเร็วมากยิ่งขึ้น

“อ่า…อ่ะ…อือ…พี่นภนต์”

“อ่า..ชลันธร”

ท้ายที่สุดพ่อนกนางแอ่นก็คายน้ำลายเพื่อสร้างเป็นรังเอาไว้ในตัวถ้ำ ซึ่งมันมากเสียจนล้นทะลักออกมาเลอเปรอะเปื้อนบริเวณปากถ้ำยามที่บินออกมา

นภนต์ขยับตัวนอนลงข้างชลันธรและจับคนรักนอนหนุนแขนส่วนตนนั้นก็กอดเอวคอดไว้แน่น เทพแห่งท้องนภารู้สึกมีความสุขเหลือเกินที่ได้อยู่กับคนที่ตนรัก มีความสุขเสียไม่สามารถปิดบังรอยยิ้มของตนออกมาได้

“เจ้ามีความสุขมากใช่หรือไม่...ชลันธร” นภนต์เอ่ย เมื่อก้มหน้าลงพบว่าคนในอ้อมแขนเองก็สีหน้าเป็นสุขระคนอมยิ้มไม่ยอมหุบเช่นเดียวกับตน

“จะมิสุขได้อย่างไรเล่า...การที่ได้อยู่กับคนที่รักย่อมทำให้ข้ามีความสุขหรือว่าท่านพี่ไม่ได้คิดเช่นข้า” ชลันธรพลิกตัวเข้าซุกหาไออุ่นจากแผ่นอกกว้าง

“ใครว่าพี่มิสุขกันเล่า การได้อยู่กับเจ้าผู้เป็นที่รักของพี่ ได้นอนกอดก่ายกันเหนือเขนยเยี่ยงนี้ย่อมทำให้พี่มีความสุขเหนือสิ่งอื่นใด” นภนต์ตอบ ชลันธรใบหน้าร้อนผ่าวทันทีที่ได้ฟัง

“ถ้าเช่นนั้นข้าขอสาปให้ท่านพี่เป็นความสุขของข้าและข้าคือความสุขของท่านพี่ เราสองคนจะอยู่ด้วยกันจะรักกันตลอดไป”

“ถึงเจ้าจะไม่เอื้อนเอ่ยขอพี่ พี่เองก็ตั้งใจจะอยู่กับเจ้า ร่วมทุกข์ ร่วมสุข ตลอดไปอยู่แล้วแม้มิต้องสาปทัณฑ์พี่นั้นก็จักเป็นความสุขของเจ้าตราบนิรันดร์”

.
.
.

“เทพนภนต์…ข้าขอสาปให้เจ้า…ไม่สิข้าจะให้เจ้านั้นกลับไปหาพระสมุทร และให้พระสมุทรเป็นผู้ลงทัณฑ์ในคำสาปแก่เจ้าด้วยตนเอง” สุรเสียงกร้าวของพระผู้สร้างประกาศแจ้งว่านี่คือบทลงโทษสุดท้ายของนภนต์

“กระหม่อมขอน้อมรับ”

ยินยอมพร้อมรับมาด้วยใจรักผูกพันแม้จะจากลากันนานแสนนาน มีม่านอคติบังใจ หรือบ่วงแค้นคอยขวางกั้น ทว่ามือเทพทั้งสองร่วมกุมมือฝ่าฟัน เมื่อก้าวผ่านมาได้จึงได้พบกับความรักที่สวยงามเฉกเช่นฟ้าหลังฝนที่วาดภาพเติมเต็มด้วยรุ้งกินน้ำ และนี่เป็นเพียงบททดสอบความรักของใจสองดวง จากอีกร้อยอีกพันที่ยังมีอยู่ในอนาคต โดยมีคำสาปเป็นบททดสอบ…‘สาปรัก ทัณฑ์เทวา’… จะยังเป็นทัณฑ์ที่ทำให้นภนต์ รักชลันธรเพียงผู้เดียว...

.
.
.

ณ ห้องรับรองทางปีกซ้ายแห่งวิมานมุกคราม นางปลาที่ได้จัดแจงห้องรับรองให้กับเทพเวหาก็ได้นั่งรอให้นภนต์นั้นกลับมายังห้องจนเผลอหลับไปที่หน้าประตูโดยมิรู้ตัว จนกระทั่งตื่นขึ้นมาในยามดึก นางปลาเปิดประตูห้องรับรองก็มิเห็นนภนต์กลับมา

“แย่แล้ว ท่านนภนต์ต้องรอข้าให้ไปตามเป็นแน่” นางปลาตกใจคิดว่านภนต์คงรอให้ตนไปตามเมื่อห้องนั้นได้จัดแจงเสร็จสิ้น คิดเช่นนั้นแล้วนางปลาจึงรีบลุกพรวดพราดไปยังห้องบรรทมของพระสมุทร

เพียงถึงหน้าห้องบรรทม กลับไร้นางเฝ้าประตูและทหารเวรองครักษ์ยาม  "เจ้าพวกนี้หายไปไหนกันหมด...เดี๋ยวข้าจะเรียนพระสมุทรให้ลงโทษสถานหนักทีเดียวเชียว....มือเรียวแตะสัมผัสที่บานประตูทำท่าออกแรงผลักออกไป หากประตูนั้นแง้มเพียงเล็กน้อย นางมัจฉากลับต้องหน้าขึ้นสี

“อ๊า...อ่ะ... ท่านพี่นภนต์”

“ฮืม…ชลันธร”

เสียงสัปดล แห่งความสุขสมดังระงมเข้าโสตประสาท นางปลาจึงรู้แจ้งว่าเหตุใดพวกหน้าห้องที่คอยรับใช้ถึงหายไปกันหมด.... เท้าเรียวเพียงถอยหลังกายกลับและรีบปิดบานประตูก่อนจะรีบเดินออกไปหาที่มิดชิดและพอจะเก็บเสียงได้เพื่อจะกรีดร้องด้วยความเขินอายรวมถึงความรู้สึกดีจนหัวใจเต้นระรัวให้กับความรักของบุรุษเทพทั้งสอง

"...ว๊าย!!!..พวกท่านทั้งสองทำไมทำกับข้าเช่นนี้..ข้าเขินไปหมดแล้ว.....!!"







สวัสดีค่ะผู้อ่านที่รักทุกคน  ท่านยุ่ง เองค่ะ คิดถึงไหมคะ ท่านยุ่งคิดถึงทุกคนมากๆ
จะกล่าวบทไปถึงการเขียนนิยายเรื่องนี้ ท่านยุ่งอยากลองเขียนนิยายแฟนตาซีดูเพราะไม่เคยเขียน ตอนแรกไม่ตั้งใจให้เขียนภาษาสวยด้วยซ้ำแต่พอมาเจอพี่พราวนักเขียนร่วมที่ปรึกษาที่คอยชี้แนะเลยกลายเป็นว่าต้องเขียนให้ภาษาสวย ต้องทำให้ดีและสมบูรณ์ที่สุด ต้องคิดหลายชั้นค่ะกว่าจะเขียนออกมาได้
ท่านยุ่งเริ่มวางพล็อตนิยายและเขียนมาเรื่อย ได้รับคำชี้แนะและตรวจมาเป็นระยะจนสุดท้ายก็เขียนเสร็จ ส่งคุณพราวตรวจอีกรอบเขียนดีหน่อยก็รอดพี่พราวขะเกลาจะดูให้ เขียนไม่ดีโดนตีกลับท่านยุ่งต้องแก้ใหม่แล้วส่งให้พี่พราวแก้อีกที 555 แทบจะกินหัวกันค่ะในบางครั้งแต่เราสองคนรักกันดี(เหรอ) อีกอย่างคุณพราวจะบอกว่าตัวเองเป็นนาคินทร์ ส่วนท่านยุ่งจะบอกว่าตนนั้นเป็นพระพุธ แน่นอนค่ะเราพยายามทำร้ายตัวละครตัวที่เราเป็นกัน(เอาฮา) **แต่ไม่เกี่ยวกับที่นาคินทร์ตายนะคะ ท่านยุ่งวางไว้ตั้งแต่เขียนได้สองตอนว่านาคินทร์ต้องตาย
ขอบคุณทุกคนที่ให้ความรักกับนิยายเรื่องนี้ ขอบคุณที่รักตัวละครของท่านยุ่งโดยเฉพาะกนธี 5555 อย่าลืมพี่นภนต์ หนูลัน พี่พริษฐ์ หนูบุษนะคะ อ่อ…ส่วนรพีพงศ์ นาคินทร์นั้น อิอิ…
ไม่เอาแล้ว ไม่พูดมากแล้ว สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกคนจริงๆค่ะที่ติดตาม มาอ่าน มาเม้น เป็นกำลังใจตลอด คอยโดนท่านยุ่งเม้นกวนๆหยอกๆเล่นๆ ถึงหลังๆจะไม่ว่างตอบแต่สัญญานะว่าจะตอบให้มากที่สุด รักทุกคน ติดตามกันไปเรื่อยๆกับนิยายทุกเรื่องนะคะ

ท่านยุ่ง




………………………………………………………………
สวัสดีค่ะ  ผู้อ่านที่รักทุกท่าน ดิฉัน  พราว พิชญาดา  ผู้เขียนร่วมอีกคนของนิยายเรื่องนี้  อากาศหนาวเหลือเกินค่ะตอนที่กำลังพิมพ์อยู่นี้ แรกเริ่มเดิมทีนั้นก็มีงานเขียนของตัวเองอยู่เหมือนกัน .... จริงๆ ดิฉันไม่อยากเปิดเผยตัวเองเท่าไหร่ แต่งานนี้คุณยุ่งขอให้เขียนอะไรสักหน่อยกับนักอ่านในตอนจบสุดท้ายนี้ ....
   ได้พบกับคุณยุ่งจากการที่เป็นติ่งนักแสดงในภาพอิมเมจเดียวกันค่ะ และได้ร่วมงานกับคุณยุ่งตั้งแต่ตอนที่ 3 หรือ 4 ก็ไม่แน่ใจ...เพราะนานเหลือเกิน  ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงตอนสุดท้ายด้วยกัน .... ดิฉันมีหน้าที่ดูแลพล๊อตเรื่องให้อยู่ในทำนองคลองธรรมและขัดเกลาภาษาที่ใช้ในการเขียน  จากแรกๆ ดูแล ให้คำปรึกษานิดหน่อย สุดท้ายถลำลึกเป็นนักเขียนร่วมไปเสียได้ ก็ต้องขอบคุณคุณยุ่งเป็นอย่างมากที่ไว้ใจให้ดูแลเรื่องภาษา....  งานเขียนอาจจะล่าช้าไปบ้าง เป็นเพราะดิฉันเองค่ะ  .... คุณยุ่งเธอเป็นคนคิดเร็วทำเร็ว เขียนเสร็จส่งต้นฉบับให้ดิฉันเร็วมาก  ด้วยที่ว่าดิฉันรับตรวจนิยายและให้คำปรึกษาหลายเรื่องเลยทำให้ลงแต่ละตอนนั้นช้าไปหน่อย แต่ก็อยากให้งานออกมาดีและสมบูรณ์ที่สุด....  หากผู้อ่านที่รักทุกท่านต้องการต่อว่า ว่าทำไมลงให้อ่านช้านัก...ก็ขอให้ต่อว่าดิฉันเพียงผู้เดียวนะคะ... คุณยุ่งเธอส่งมาให้นานแล้วคะ ... สุดท้ายนี้ขอให้ผู้อ่านที่รักทุกท่านมีความสุขกับความรักของนภนต์กับชลันธรนะค่ะ ....  ส่วน รพีพงศ์กับนาคินทร์ อดใจรอสักหน่อย ดิฉันและคุณยุ่งไม่ได้ทิ้งคว้างอย่างแน่นอน...เพราะหลายท่านให้ความสนใจตัวละครสองตัวนี้มาก....และดิฉันก็มโนตัวเองเสมอว่าตัวเองเป็น ..นาคินทร์...5555  ไว้พบกันในเรื่องแยกใหม่ต่อจากนี้ ....

สวัสดีค่ะ 
พราว พิชญาดา  2017




หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.37 100% จบแล้ว P.13 (21/12/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 21-12-2017 19:42:16
 การทำรูปเล่ม ท่านยุ่งจัดทำแน่นอนค่ะเพราะส่วนตัวอยากเก็บไว้ ถ้าใครสนใจติดตามรายละเอียดในช่วงสิ้นปีนี้นะคะ หรือจะเข้าไปที่เพจ Ginger Ale 's fiction ได้ค่ะ อ่อ เดี๋ยวจะเปิดตัวนิยายเรื่องใหม่ ชื่อเรื่อง ลิขิตรัก เพลิงเทวา ภาคต่อจากอีกคู่ของเรื่องนี้ค่ะ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.37 100% จบแล้ว P.13 (21/12/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 21-12-2017 20:50:05
 ขอบคุณสำหรับนิยายค่ะ  เป็นเรื่องที่อ่านเพลินดี  :pig4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.37 100% จบแล้ว P.13 (21/12/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 21-12-2017 21:42:51
แอบมาจิ้มเป็ดเหลืองไว้ก่อนค่ะ ช่วงนี้ยุ่งมาก ไว้จะมาตามอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.37 100% จบแล้ว P.13 (21/12/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: pacharapetch ที่ 21-12-2017 23:01:42
คูเอกแฮปปี้แล้ว อยากอ่านตอนพเศษหวานๆของบุษยะกับพระผู้สร้างบ้างจัง please :mew6: :mew6: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.37 100% จบแล้ว P.13 (21/12/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 23-12-2017 09:03:44
จบแล้ว รอเรื่องของนาคินทร์น้าๆ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.37 100% จบแล้ว P.13 (21/12/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 23-12-2017 12:33:02
งื้ออ จบแล้วววว
รอตอนพิเศษนะคะ
ขอบคุณนิยายดีๆแบบนี้นะคะ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.37 100% จบแล้ว P.13 (21/12/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: hoihak ที่ 23-12-2017 21:46:00
ชอบบบบบ เสียน้ำตาไปเป็นตอนๆ  :ruready แต่สนุกมากก
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.37 100% จบแล้ว P.13 (21/12/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: 14th-friedegg ที่ 24-12-2017 13:52:27
พึ่งเข้ามาอ่านสนุกมากเลยคะ
ภาษาสวยมากเลย
บทอัศจรรย์ เยอะมาก 55 แต่กลิ่นความรักฟุ้งกระจายจนหในไส้เลยคะ
รอติดตามเรื่องแยกต่อๆไปนะคะ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.37 100% จบแล้ว P.13 (21/12/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 27-12-2017 18:29:43
 :mew1:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.37 100% จบแล้ว P.13 (21/12/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 27-12-2017 20:04:28


ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ

กว่าจะได้รักกัน ฝ่าฟันกันมามากมายนัก

หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.37 100% จบแล้ว P.13 (21/12/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mickeyz.min ที่ 27-12-2017 23:12:27
 :hao5: สนุกและแปลกดี ไม่เคยอ่านแบบนี้
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.37 100% จบแล้ว P.13 (21/12/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 28-12-2017 02:08:07
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.37 100% จบแล้ว P.13 (21/12/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 06-01-2018 12:58:30
อ่านรวดเดียวจบเลยจ้า
คู่เอกเราโดนคู่รองแย่งซีนไปหมดเลย
อยากอ่านคู่รพีพงศ์-นาคินทร์แล้ว
แล้วพระเสาร์จะคู่กับใครนี่ก็น่าสน
จะพระพุธหรือมุตตากันแน่นะ
อยากอ่านมากๆๆเลย
รออ่านอยู่นะคะ มาเร็วๆน้า
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.37 100% จบแล้ว P.13 (21/12/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Sohso ที่ 11-01-2018 23:00:05
คู่รพีกับคินอ่ะ คู่พระผู้สร้างกับบุษยะอีก

แล้วพระเสาร์นี่จะคู่เมียเก่าหรือน้องกันนะ

รอตอนแยกของทุกคู่เลย เพราะตอนนี้ค้างมาก  5555
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.37 100% จบแล้ว P.13 (21/12/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Aoo_ooF ที่ 13-01-2018 12:35:56
พี่คับแล่วนาคินทร์จะฟื้นชีพมั๊ยคับ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.37 100% จบแล้ว P.13 (21/12/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 14-01-2018 15:58:50
คู่นี้ก็ไปทัวร์ถ้ำอย่างมีความสุขกันแล้ว แต่อีกคู่นี่ติดอยู่ในใจมากเพราะกายหยาบก็เผาไปแล้วหรือจะใช้ที่ฝังไว้ในร่างรพีพงษ์ ขอบคุณนะ นิยายสนุกมาก
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.37 100% จบแล้ว P.13 (21/12/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 15-01-2018 00:41:48
อยากรู้คู่นาคินท์กับรพีพงษ์
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.37 100% จบแล้ว P.13 (21/12/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 17-01-2018 08:17:35
เรื่องของนาคินทร์ ท่านยุ่งจะมาเปิดตอนเย็นและทิ้งลิงค์ไว้ให้นะคะ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.37 100% จบแล้ว P.13 (21/12/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 17-01-2018 17:02:18
มาแปะลิ้งค์นาคินทร์จ้า...

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65427.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65427.0)
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.37 100% จบแล้ว P.13 (21/12/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: sk_bunggi ที่ 18-01-2018 10:14:02
หมั่นไส้ความรักของคู่นี้จังงง 555555 สมดั่งใจหวัง สนุกมากเลยค่ะ รออ่านของพีรพงษ์กะนาคินทร์ ขอคู่พระผู้สร้างกับบุษยะด้วยก็จักดีแท้ อิอิ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.37 100% จบแล้ว P.13 (21/12/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: ตั้งโอ๋ ที่ 19-01-2018 10:46:39
คู่นาคินทร์ละไปไหนนนนนนน คู่นี้ทำน้ำ้ตาตกทั้วคืนไม่ไก้หลับบบบบ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.37 100% จบแล้ว P.13 (21/12/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: ● MaYa~Boy ● ที่ 19-01-2018 15:13:20
สนุกมาก รอคู่นาคินทร์ครับ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.37 100% จบแล้ว P.13 (21/12/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: wetter ที่ 20-01-2018 02:36:30
สนุกมากกกก
เนื้อเรื่องเข้มข้นมากค่ะ แต่งดีมากๆ และชอบภาษามากเลย
เราชอบอ่านพีเรียดแฟนตาซีอยู่แล้ว เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ชอบมากๆเลยค่ะ

รอเรื่องของรพีพงษ์กับนาคินทร์นะคะ อยากรู้ว่าจะกลับมาเจอกันยังไงในรูปแบบไหน

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ จบแล้ว P.13 แจ้งข่าว 20/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 20-01-2018 08:54:35
เรื่อง Pre - Oder สาปรัก ทัณฑ์เทวา

- นิยายเรื่องสาปรักฯ กำลังแก้ไขส่วนเนื้อหาและการใช้คำ ตอนที่ 00-04 (ถ้าจำกันได้ท่านยุ่งเขียนชื่อหนูลันว่าชลันในตอนแรก)
-ตรวจเนื้อหาตอนพิเศษทั้งของคู่พี่นภนต์และพี่พริษฐ์
- ตรวจคำผิด เพื่อจะเข้าสู่การจัดอาร์ต (จัดหน้าเสร็จแต่ยังไม่ใส่อาร์ต)
- กำลังรอภาพที่ใช้ในการทำโปสการ์ด *เห็นภาพร่างแล้วชื่นใจ
เมื่อจัดการเรื่องราวข้างต้นเสร็จแล้วท่านยุ่งจะทำการเปิดพรีอย่างเป็นทางการ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.37 100% จบแล้ว P.13 (21/12/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 20-01-2018 10:36:40
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65427.0


นาคินทร์ ลิขิตรัก เพลิงเทวา
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.37 100% จบแล้ว P.13 (21/12/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 20-01-2018 23:57:39
จบแล้ว เป็นแนวแฟนตาซีแปลกดี แต่ชอบสนุกมาก
ภาษาสละสลวยแต่บางคำแอบไม่เข้าใจ ศัพท์ยากเกิน ข้านั้นช่างโง่เขลายิ่งนัก

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.37 100% จบแล้ว P.13 (21/12/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 24-01-2018 21:46:10
 o13
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.37 100% จบแล้ว P.13 (21/12/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: lovejinjunno ที่ 26-01-2018 20:03:30
อ่านจบแล้ว
ชอบมากๆเลยค่ะ สนุกมากค่ะ
แอบเสียดายที่ตอนจบไม่มีนาคินทร์
อยากเห็นรพีพงศ์กับนาคินทร์ครองรักกันอย่างมีฟามเอ้ยความสุขจังค่ะ
นาคินทร์ทุกข์มาตลอดแล้ว ก็อยากเห็นนาคินทร์มีความสุขบ้างอะไรบ้างอ่ะนะ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.37 100% จบแล้ว P.13 (21/12/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: fager_yaoi ที่ 28-01-2018 12:57:14
อยากได้ตอนพิเศษ พีรพงษ์กับนาคินทร์
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.37 100% จบแล้ว P.13 (21/12/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 28-01-2018 21:53:03
อ่านจบแล้ว
ชอบมากๆเลยค่ะ สนุกมากค่ะ
แอบเสียดายที่ตอนจบไม่มีนาคินทร์
อยากเห็นรพีพงศ์กับนาคินทร์ครองรักกันอย่างมีฟามเอ้ยความสุขจังค่ะ
นาคินทร์ทุกข์มาตลอดแล้ว ก็อยากเห็นนาคินทร์มีความสุขบ้างอะไรบ้างอ่ะนะ



มีเรื่องแยกนะคะ ยุ่งทิ้งลิงค์ไว้ให้แล้วที่หน้า 13
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.37 100% จบแล้ว P.13 (21/12/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 28-01-2018 21:53:44
อยากได้ตอนพิเศษ พีรพงษ์กับนาคินทร์



มีเรื่องแยกนะคะ ยุ่งทิ้งลิงค์ไว้ให้แล้วที่หน้า 13
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.37 100% จบแล้ว P.13 (21/12/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: everyone ที่ 29-01-2018 18:41:00
รอ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.37 100% จบแล้ว P.14 (14/02/2561) เปิดพรีออเดอร์
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 14-02-2018 11:27:33
พรีออเดอร์สาปรักทัณฑ์เทวา ตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ - 31 มีนาคม 2561
รายละเอียดหนังสือ
สาปรักทัณฑ์เทวา ประกอบด้วย
-  หนังสือขนาด A5 1 เล่ม จำนวนประมาณ 450+ หน้า (ตอนพิเศษในเล่ม 3 ตอน)
-  หน้าปกใช้กระดาษอาร์ต 260 แกรม เคลือบด้าน
-  เนื้อภายในเล่มใช้กระดาษถนอมสายตา 70 แกรม
-  ราคา 525 บาท (ส่งฟรี)
-ems+เพิ่ม 20 บาทต่อเล่ม
สั่งสามเล่มขึ้นไปแนะนำว่าส่ง ems เพราะหนังสือหนักนะคะ
ของแถม
-  หนังสือเล่มพิเศษขนาด A5 ปกอาร์ตเคลือบด้าน 3 ตอน (พระพริษฐ์xบุษยะ) 1 เล่ม **เฉพาะการสั่งซื้อรอบนี้เท่านั้น
-  ที่คั่น จำนวน 4 ชิ้น ลายแบบปก 2ชิ้น / ลายแบบเดียวกับโปสการ์ด 2 ชิ้น
-  โปสการ์ดรูปแบบเดียวกับภาพประกอบในเล่มจำนวน 1 ชุด มี่ 4 ใบ (นภนต์xชลันธร / พระพริษฐ์xบุษยะ)
สั่งซื้อได้ที่ https://goo.gl/forms/SX5498MsY3thMMYs2

พรีออเดอร์สำหรับผู้ที่ต้องการสะสมโปสการ์ดการ์ดสาปรักทัณฑ์เทวาเพียงอย่างเดียว
รายละเอียด
โปสการ์ดตัวละครสาปรักทัณฑ์เทวาประกอบด้วย
-  1 ชุดมีจำนวน 4 ใบ
-  พิมพ์ด้านเดียว เคลือบด้าน
-  ราคา 50 บาท
รายละเอียดการจัดส่ง
- ลงทะเบียน 20 บาท
- EMS  35 บาท
สั่งซื้อได้ที่ https://goo.gl/forms/NGwyQqehj8VAOkJB3


ธนาคารกรุงไทย  8220292814  น.ส. มณฑานีย์  นิลละออ

ธนาคารไทยพาณิชย์  4087198878  น.ส. มณฑานีย์  นิลละออ

พร้อมเพย์ (ไทยพานิชย์) 0822737671



เพื่อความสะดวกไม่รับการจองล่วงหน้านะคะ ขอให้ผู้อ่านที่ต้องการซื้อหนังสือโปรดโอนเงินมาในระยะเวลาที่กำหนด
และแจ้งหลักฐานการโอนพร้อมกับกรอกข้อมูลลงไปค่ะ
และสามารถติดตามรายชื่อ
https://docs.google.com/spreadsheets/d/1UrUjIl1o6PS-RIPMxNGAjuJCt1VB__RBx2qkCcZqZL0/edit?usp=sharing

(สำหรับผู้ซื้อเฉพาะโปสการ์ดจะคลุมรายชื่อเป็นสีส้มนะคะ)
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.37 100% จบแล้ว P.13 (21/12/2560) เปิดจอง 14 ก.พ 61
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 14-02-2018 19:11:36
 :mew1:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.37 100% จบแล้ว P.13 (21/12/2560) เปิดจอง 14 ก.พ 61
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 20-03-2018 11:05:59
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.37 100% จบแล้ว P.13 (21/12/2560) เปิดจอง 14 ก.พ 61
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 29-03-2018 14:23:56
ขยายเวลาพรีถึง 7 เมษานี้นะคะ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.37 100% จบแล้ว P.13(21/12/2560) มีเรื่องแจ้งให้ทราบค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 09-04-2018 20:24:06
ยุ่งมีความผิดพลาดบางประการจะแจ้งให้ทราบ ตามที่ยุ่งได้เคยโพสต์เอาไว้ในส่วนหนังสือเล่มพิเศษว่าจะแถมเฉพาะรอบพรีเท่านั้น(ตามภาพ)  ยุ่งขอแก้นะคะว่าจะแถมให้ในรอบสต๊อคและถ้ามีการรีปริ้นท์ ย้ำว่าถ้ามีนะคะ ก็จะแถมให้ ...ส่วนโปสการ์ดตัวละครและที่คั่นลายตัวละคร จะแถมให้เฉพาะรอบนี้เท่านั้น ยุ่งขออภัยในความผิดพลาดด้วยค่ะ พอดีมีคนมาถามและส่งรูปมาจึงรู้ว่าท่านยุ่งพลาด พลาดเป็นเดือน
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.37 100% จบแล้ว P.13(21/12/2560) มีเรื่องแจ้งให้ทราบค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Bringmelove ที่ 05-08-2018 02:21:13
ทำไมถึงล็อคให้ของลัยเป็นข้อสอบยากได้ แล้วคือพระเอกดูใจร้ายมากโมโหเหมือนคนไปใส่ไฟมาซะเยอะ กนธีนี่เป็นคนทำเพราะหวังตำแหน่งถูกมั้ย แล้วนี่นาคินทร์ไม่ได้หวังดีกับลันจริงๆนะสิ
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.37 100% จบแล้ว P.13(21/12/2560) มีเรื่องแจ้งให้ทราบค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Bringmelove ที่ 08-08-2018 01:49:36
นภนต์ออกนอกหน้านอกตามาก ดูแลลันดีสุดๆ นี่ก็ว่าเริ่มรักกันเร๊วเร็ว
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา จบแล้ว P.14(1/6/2561) มีเรื่องแจ้งให้ทราบค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 01-09-2018 17:54:43
นิยายสาปรักยังพอมีเหลืออยู่นะจ๊ะ สนใจ inbox ในเพจได้เลยค่ะ #หมดแล้วหมดเลย
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา จบแล้ว P.14(13/10/2561) มีเรื่องแจ้งให้ทราบค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 13-10-2018 15:48:55
ประกาศ...ใครที่สนใจนิยายสาปรัก ทัณฑ์เทวา มีวางขายที่...
งานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 23
บูธ 011 โซน C1
บูธ G9 โซนแพลนนารีฮอลล์
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา จบแล้ว P.14(13/10/2561) มีเรื่องแจ้งให้ทราบค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 29-10-2018 23:21:08
 :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา จบแล้ว P.14 (24/04/2562) มีเรื่องแจ้งให้ทราบค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 24-04-2019 10:51:34
ใครสนใจนิยายยังมีอยู่นะคะ ติดต่อสอบถามได้ที่เพจ ginger ale 's fiction ค่า
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา จบแล้ว P.14(28/04/2562) มีเรื่องแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับe-bookค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 28-04-2019 19:58:00
ตอนนี้สาปรัก ทัณฑ์เทวามีเป็น e-book แล้วนะคะ ใครสะดวกอ่านออนไลน์มากกว่าเล่มก็สามารถซื้อได้ค่ะ

**หมายเหตุ*** เนื้อหาที่ลงไปจะเป็นรูปเล่มของเล่มหลัก ยุ่งขอสงวนเนื้อหาของพระพริษฐ์และบุษยะ(เล่มพิเศษสีชมพู) ไว้สำหรับคนที่ซื้อเป็นรูปเล่มนะคะ

http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMjQ5MTIyMyI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjU6Ijk0MjgyIjt9 (http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMjQ5MTIyMyI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjU6Ijk0MjgyIjt9)
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา จบแล้ว P.14(28/04/2562) มีเรื่องแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับe-bookค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: pmuntana ที่ 31-08-2019 10:37:27
สนุกมากค่ะ อ่านแล้วฟิน คู่รองน่ารัก เราชอบคู่รองมากค่ะ เนื้อหาน่าติดตามมากค่ะ แนวแฟนตาซี นิยายเรื่องนี้ภาษาดี อ่านเข้าใจง่ายดีค่ะ :mew1: :o8: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา จบแล้ว P.14(28/04/2562) มีเรื่องแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับe-bookค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 08:34:26
 :pig4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา จบแล้ว P.14(28/04/2562) มีเรื่องแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับe-bookค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 27-06-2021 15:21:03
สนุกมากค่ะ ไปอ่านตอนของรพีพงศ์กับนาคินทร์มา เลยต้องย้อนมาอ่านคู่นี้ด้วย ชอบค่ะ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ :pig4:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา จบแล้ว P.14(28/04/2562) มีเรื่องแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับe-bookค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: pogpax ที่ 24-07-2021 18:44:51
 :z13:
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา จบแล้ว P.14(28/04/2562) มีเรื่องแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับe-bookค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 14-09-2021 16:02:50
 o13
หัวข้อ: Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา จบแล้ว P.14(28/04/2562) มีเรื่องแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับe-bookค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: mylove88 ที่ 19-09-2021 20:10:29
สนุกมากๆ ค่ะ ภาษาสวยมาก อ่านไปลุ้นไป แล้วก็สงสารนาคินทร์  เดี๋ยวตามไปอ่านคู่นาคินทร์ด้วย, ขอบคุณมากนะคะ