สาปรัก...ทัณฑ์เทวา จบแล้ว P.14(28/04/2562) มีเรื่องแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับe-bookค่ะ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา จบแล้ว P.14(28/04/2562) มีเรื่องแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับe-bookค่ะ  (อ่าน 96443 ครั้ง)

ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.27 P.9 (25/09/2560)
«ตอบ #270 เมื่อ25-09-2017 18:59:58 »

สาปรัก…ทัณฑ์เทวา

Writer : Tan-Yung 0209

File : 27















ลึกลงไปใต้พิภพกลับมีเส้นทางให้น้ำไหลผ่าน เพียงใช้นิ้วสัมผัสก็แทบจะชักนิ้วมือกลับแทบในทันที สายวารีนี้เย็นเฉียบเข้าแกนกระดูก ด้วยก้อนหินใต้น้ำแต่ละก้อนนั้นกลับกลายคล้ายก้อนน้ำแข็งขนาดยักษ์ก็มิปาน หากสัมผัสต้องกายยามใดเป็นต้องสั่นสะท้าน  แต่ด้วยพลังแห่งไข่มุกมรกตส่งผลให้รพีพงศ์นั้นสามารถประคองทั้งกายทั้งสติให้อยู่ในน้ำได้เยี่ยงนาคา แม้ว่าการเคลื่อนไหวจักช้าชักหน่อยตามที ก็ด้วยเพราะกระแสน้ำภายในอุโมงค์นั้นไหลเชี่ยวแรงเสียเหลือเกิน

‘ฟึบ’ นาคินทร์ที่บัดนี้กลายร่างเป็นนาคาเกล็ดนิล ตวัดหางรัดกายหนาไว้แน่นพอที่จะพยุงร่างรพีพงศ์แต่มิแรงมากจนโดนบาดแผลที่มหิงสาแห่งพระอังคารฝากฝังรอย ด้วยความกังวลใจแม้จะรู้ว่ารพีพงศ์สามารถว่ายน้ำได้ด้วยพลังของไข่มุกแต่นาคินทร์นั้นก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงรพีพงศ์อยู่ดี ไหนจะบาดเจ็บอีกทั้งยังมิได้นอนพักผ่อนเต็มให้ที่ ไฉนเลยยังต้องแหวกว่ายในอุโมงค์ชลธีที่มิรู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อใด เกรงว่านานเข้ารพีพงศ์จะทนไม่ไหวด้วยธาตุไฟย่อมแพ้น้ำ ผิดกับตนพอได้สัมผัสกับน้ำพลังก็ฟื้นขึ้นมา แต่ผิดคาดรพีพงศ์ยังคงดูปกติดี

ทั้งสองแหวกว่ายฝ่ากระแสน้ำที่มืดมิดภายในอุโมงค์ จนกระทั่งนาคินทร์เริ่มที่จะเห็นแสงสว่างจุดเล็กๆ ที่พร่ามัวจากใต้น้ำ ณ ปลายอุโมงค์ตรงหน้า ทั้งสองต่างเร่งให้แรงเฮือกสุดท้ายประหนึ่งว่าด้านหน้านั้น คือเส้นแสงสุดท้ายที่พบเจอ ซึ่งไม่ใช่คำเปรียบเปรยแต่อย่างใด หากคือสิ่งที่ดวงตาของรัชทายาทบัลลังทินกรและนาคาเกล็ดนิลมองเห็น ความมืดเริ่มถูกแทนที่ด้วยแสงสว่าง อีกไม่นานรพีพงศ์และนาคินทร์ก็จะผ่านออกจากอุโมงค์ใต้น้ำนี้เสียที

“ฮ้า…”

“แฮ่ก..แฮ่ก..”

ในที่สุดทั้งสองก็โผล่พ้นผิวน้ำ รพีพงศ์หอบถี่จึงอ้าปากกอบโกยอากาศจนเผลอกลืนไข่มุกวิเศษเข้าไป ส่วนนาคินทร์กลายร่างเป็นมนุษย์คอยยืนลูบหลังให้กับรพีพงศ์

“ท่านรพีพงศ์...ท่านยังไหวอยู่หรือไม่เล่า” คำถามที่ถ่ายทอดออกไปให้คนฟังรับรู้ถึงความห่วงใย

“ข้าไหว ก็คงด้วยพลังจากไข่มุกมรกตของเจ้าเป็นแน่ อีกอย่างข้าต้องขอโทษเจ้าด้วย ข้านั้นเผลอกลืนมันเข้าไปเสียแล้ว” รพีพงศ์เอ่ย

“มิเป็นไรดอก….”

“จะมิเป็นไรได้อย่างไร...ไข่มุกมรกตนี้ถือเป็นของวิเศษ...ซ้ำยังเป็นของมารดาเจ้า...ไยเจ้าถึงให้ข้าง่ายดายเช่นนี้...”

“ก็ถือเสียว่าข้ามอบให้ท่านเป็นสิ่งตอบแทนที่ช่วยเหลือข้า ไข่มุกมรกตนี้จะช่วยให้ท่านสามารถลงไปว่ายน้ำเกี้ยวเหล่ามัจฉาได้ตามใจชอบ เมื่อใด เวลาใดก็ได้”

“หากใช้มันเวลาที่ข้าเกี้ยวนาคเล่าจะได้หรือไม่” รพีพงศ์เอ่ยถาม ตาก็จ้องมองนาคน้อยสายตาแพรวพราวจนผู้ถูกมองหลบหน้าหนีด้วยมิอยากให้เห็นว่าแก้มขาวร้อนผ่าวจนขึ้นสีแดงระเรื่อ

“ข้ามิรู้หรอก เรื่องเช่นนี้มันขึ้นอยู่กับท่านว่าจักทำให้นาคที่ท่านเกี้ยวนั้น...รักท่านหรือไม่” นาคินทร์ตอบ ก่อนจะก้าวขาจ้ำอ้าวไปข้างหน้าไม่รีรอคนที่กลั้นหัวเราะเลยสักนิด

“รอข้าด้วยสิ นี่ใจคอจะขวยเขินข้าเสียจนเดินหนีเลยหรือไร” รพีพงศ์ยังคงหยอกนาคน้อยไม่เลิกก่อนจะเดินตามนาคินทร์ที่เดินนำไปแล้ว

“ข้าอยากเจอลันกับท่านนภนต์แล้ว ข้าหวังว่าทั้งสองจะปลอดภัยดีและคงกำลังเร่งเดินทางไปเขาจิรันดรในเพลานี้เช่นกัน” นาคินทร์เอ่ยโดยใช้นภนต์และสหายแก้ต่าง

“ข้าหวังว่าจะเป็นเช่นนั้น แม้ชลันธรถูกพายุพัดพาไปแต่ข้าเชื่อว่าเทพนภนต์สามารถปกป้องและพาชลันธรให้หลุดพ้นจากผู้ที่คอยจ้องทำร้ายได้” รพีพงศ์เอ่ย ใจนึกเป็นห่วงทั้งสองไม่รู้ว่าจะต้องไปสู้รบกับใครแล้วจะโชคดีมีใครมาช่วยเช่นเดียวกับตนและนาคินทร์หรือไม่

“ถ้าเป็นอย่างที่ท่านได้เอ่ยมาเมื่อครู่ บางทีเราอาจเจอท่านภนต์กับลันในระหว่างทางนี้ก็เป็นได้” นาคินทร์เอ่ยแววตาสวยเปล่งประกายแห่งความหวังขึ้นมา

“นั่นสิ...ไม่แน่ว่าสองคนนั้นอาจจะรุดหน้าไปแล้ว เราสองคนเองก็เดินทางรีบเร่งเดินทางเถิด”

หนึ่งเทวาหนึ่งนาคาเดินทางแข่งกับเวลาหมายจะไปให้ถึงเขาจิรันดรก่อนเวลาสนธยา ระหว่างนั้นรพีพงศ์คอยพูดจาเกี้ยวนาคินทร์จนคนโดนเกี้ยวหมั่นไส้แจกฝ่ามือไปประทับหลังกว้างไม่แรงมากนัก ทว่าตีครั้งหนึ่งนาคินทร์กลับแก้มช้ำครั้งหนึ่ง เพราะด้วยถูกรพีพงศ์แสร้งลงโทษด้วยการหอมแก้มจนแทบช้ำ

‘ฟอด…ฟอด’

“พอได้แล้วท่านรพีพงศ์ ข้าตีท่านเพียงครั้งเดียวเองนะ” นาคินทร์ดันกายรพีพงศ์ให้ออกห่าง

“ข้าต้องลงโทษเจ้า เห็นข้าใจดีเป็นไม่ได้ดูสิตีข้าจนหลังข้าแทบหัก” รพีพงศ์ทำทีเจ็บหลังจนนาคินทร์อย่างจะฟาดให้เต็มแรงเสียจริงๆ

‘กุ๊งกิ๊ง…กุ๊งกิ๊ง…”

กระดิ่งดั่งแว่วเข้าโสตประสาท อยู่ไม่ห่างจากที่ทั้งสองยืนอยู่ ทั้งรพีพงศ์และนาคินทร์กวาดสายตาไปโดยรอบจนพบต้นตอของเสียง กระดิ่งจากพระโคสีขาวบริสุทธิ์ที่มีมนุษย์กายบางผิวงามนั่งอยู่บนหลังและเดินข้างกายไม่ห่างเป็นใครไม่ได้นอกจากเทพนภนต์ที่กำลังพูดคุยกับชลันธร

“รู้สึกเหม็นความรักขึ้นมา…เห็นแล้วอยากแกล้งเสียจริง” รพีพงศ์เอ่ยแล้ว ก็ก้มลงหยิบก้อนหินเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากที่ตนยืนอยู่ขึ้นมาก้อนหนึ่ง กำเบาๆ ไว้ในอุ้งมือ

“ท่านจักทำอันใดหรือท่านรพีพงศ์” นาคินทร์ถามด้วยความสงสัยแต่ถ้าให้นาคินทร์เดาคงมิใช่เรื่องดีแน่

‘ฟึบ’

“นาคินทร์หมอบลง” ไม่พูดเปล่ารพีพงศ์ดันกายนาคน้อยให้นอนราบลงกับพื้นพร้อมกับตน รพีพงศ์ยิ้มมุมปากให้กับความรู้สึกสนุกที่ได้แกล้งเทพแห่งท้องนภา

“ไอ้อีใดที่ลอบปาหินใส่ข้า อย่ามัวหลบซ่อนตัวจงออกมาบัดเดี๋ยวนี้ หากเจ้านั้นกล้าพอ…!!!” สุรเสียงดังก้องประกาศกร้าวให้ผู้ที่ลอบทำร้ายออกมาจากที่ซ่อน ผู้ร้ายตัวจริงได้ยินแล้วแทนที่จะแสดงตัวออกไปกลับนิ่งเฉย หัตถาหนาปิดปากตนกลั้นหัวเราะ นาคินทร์มองรพีพงศ์ก่อนจะส่ายหน้าให้กับพฤติกรรมที่มิต่างจากกุมารน้อยจอมแก่น

“ในเมื่อมิยอมออกมา ข้าจะให้เจ้าลิ้มรสฝนลูกธนูของข้า” สิ้นเสียงของเทพนภนต์ ทั้งรพีพงศ์และนาคินทร์ถึงกับลุกขึ้นนั่งลอบมองผ่านพุ่มไม้ เทพเวหาในพระหัตถ์มีแสงสีทองวูบวาบเป็นทางยาวก่อนปรากฏให้เห็นเป็นคันธนูพร้อมลูกศรสีทอง เทพนภนต์ผู้ชำนาญด้านธนูยกอาวุธประจำกายขึ้นมาเล็งไปยังทิศทางรพีพงศ์

…‘เวรกรรมกำลังจะตอบสนองข้าเสียแล้วหรือนี่’…

“ช้าก่อนท่านนภนต์!!!...ข้านาคินทร์เอง” นาคินทร์ร้องตะโกนออกไปก่อนที่นภนต์จะปล่อยศร เทพหนุ่มเองพอได้ยินเช่นนั้นจึงลดคันธนูลง นาคินทร์จึงใช้โอกาสนี้ยืนขึ้นพร้อมดึงแขนตัวต้นเรื่องให้ยืนเคียงข้างกัน

“คินทร์…รพีพงศ์!!!” ชลันธรดีใจที่ได้เจอสหายก่อนจะขยับกายลงจากหลังพระโคศุภราชแต่นภนต์กลับไม่ให้ลงมา

“ท่านพี่…ข้าก็แค่อยากจะหาสหายของข้า” ชลันธรบอกความจำนง

“พี่รู้ว่าเจ้าอยากเจอสหายแต่อย่าลืมสิว่าเมื่อคืนเจ้า.... พี่เกรงว่าถ้าเจ้าลงจากหลังพระโคศุราชแล้วจะไม่มีแรงยืนต่างหาก อีกอย่างเดี๋ยวสองคนนั่นก็เดินเข้ามาหาเราเอง...” นภนต์เอ่ย มือลูบไปยังแก้มนิ่มอย่างเอ็นดูจนชลันธรเขินอายไม่น้อย

“ทำอันใดอายฟ้าอายดินบ้างสิ ท่านนภนต์” พอมาถึงรพีพงศ์แกล้งพูดจาเหน็บแนมใส่

“ข้าเพียงลูบแก้มเมียข้ามิได้คิดจะทำเรื่องอันใดหน้าอายดอก…เจ้าเด็กขี้อิจฉา” นภนต์เองไม่ยอมให้รพีพงศ์จึงพูดจาตอกกลับไปบ้าง

“ใครขี้อิจฉาท่านพูดให้ดีนะท่านนภนต์”

“เจ้าอย่างไรเล่ารพีพงศ์ อิจฉาข้าที่มีชลันธรเป็นคู่ครองและคู่ชีวิต...” นภนต์พูดข่มไม่จริงจังนัก เทพหนุ่มเพียงต้องการเอาคืนรพีพงศ์เพียงเท่านั้น

“ท่านพี่นภนต์…รพีพงศ์ด้วย หยุดเถียงกันเสียที ทะเลาะกันอย่างกับเด็กไปเสียได้” ชลันธรห้ามทัพตรงหน้า สุดระอากับเทพทั้งสองได้แต่ส่ายศีรษะไปมาเล็กน้อย

“คินทร์มานั่งบนหลังพระโคศุภราชกับเราเถิด เราเห็นคินทร์เดินมา มันดูขัดๆ ชอบพิกล” ชลันธรหันไปพูดคุยกับนาคินทร์ที่หน้าแดงทันทีที่โดนทัก นภนต์เองก็มองหน้ารพีพงศ์ด้วยสายตาที่พอจะเดาเหตุการณ์ก่อนหน้าระหว่างรพีพงศ์และสหายของคนรักออก

“พระโคศุภราชเป็นพาหนะของพระศุกร์ ข้าคิดว่าไม่เหมาะ ที่ข้าจะขึ้นไปนั่ง” นาคินทร์เอ่ย ก็ด้วยตนนั้นไร้ศักดิ์มิอาจนั่งบนพาหนะของเทพชั้นสูงได้ อีกอย่างอาการเจ็บเสียดที่บั้นท้ายนิดหน่อยแต่ทว่าไม่ใช่ว่าตนจักทนมิได้…ทว่าพระคาวีทรงฤทธิ์นั้นเดินเข้าหานาคินทร์เสียก่อนแล้วย่อกายหมอบลงต่ำประดุจว่าจักให้ขึ้นขี่บนหลังตนเฉกเช่นชลันธร

“พระโคศุภราชใจดีให้คินทร์นั่ง…คินทร์ขึ้นมานั่งด้านหน้าเราเถิด ประเดี๋ยวลันจะนั่งด้านหลังกอดคินทร์มิให้ตก” ชลันธรเอ่ยก่อนจะส่งสายตาหันไปปรามภัสดาที่กำลังจะอ้าโอษฐ์เอื้อนเอ่ยบางสิ่ง

“มิต้องร้องห้ามขัดขืนข้าเลยท่านพี่ เมื่อคืนข้านั้นตามใจท่านพี่แล้ว เพลานี้ท่านพี่ต้องตามใจข้าบ้าง...” ร่างบางพูดขัดก่อนจะขยับกายให้นาคินทร์ขึ้นมานั่งด้วยกัน จากนั้นทั้งหมดจึงเดินทางต่อโดยที่นภนต์เองเงียบไม่โต้กลับถึงจะหวงชลันธรอยู่บ้างก็ตามที แต่ก็อดแปลกใจมิได้ที่นาคินทร์เป็นนาคชั้นต่ำแต่พระโคศุภราชนั้นกลับให้ขึ้นขี่หลัง...

“ท่านกลายเป็นคนกลัวเมียเสียเมื่อไหร่หรือท่านนภนต์” รพีพงศ์เอ่ยทัก นึกขบขันที่นักรบผู้ยิ่งใหญ่กลับเชื่อฟังคำสั่งของบุรุษผิวงามร่างเล็ก

“ข้ามิได้กลัวแต่ข้านั้นรักเมียข้า เจ้าไม่มีเมียเจ้ามิเข้าใจดอก...” นภนต์เอ่ย

“จริงสินาคินทร์ เจ้าเป็นสหายที่ชลันธรรักเป็นหนักหนา ข้าอยากจะช่วยเจ้าให้สุขสบาย” นภนต์ที่ปกติไม่ค่อยจักสนทนาเอื้อนเอ่ยกับนาคินทร์

“ช่วยข้ากระนั้นหรือ…ท่านนภนต์จักช่วยอันใดข้า” นาคินทร์ซักถาม

“ข้าจะช่วย...หาคนรักให้เจ้าอย่างไรเล่า…ด้วยข้ามีสหายที่มีฤทธิ์เดชมากมาย ทั้งยศศักดิ์มากมี หากทวยเทพเหล่านั้นรับเลี้ยงดูแลเจ้าไม่ว่าจะฐานะใด การภายหน้าจะได้มิยากลำบากหลังจากที่สิ้นสุดภารกิจครั้งนี้” นภนต์เอ่ย ดวงตาคมเหลือบมองปฏิกิริยาคนข้างกายเล็กน้อย

“มิต้อง!!! นาคินทร์เป็นเชลยข้า ท่านอย่าได้เข้ามายุ่ง!!” เป็นดั่งที่นภนต์คิดไว้ รพีพงศ์ผู้นี้จักต้องขัดขวาง…‘ถ้ามีใครที่จะปากแข็งกว่าข้า...ก็คงหนีไม่พ้นรพีพงศ์คนนี้นี่แหละ’...เทพหนุ่มได้เพียงแต่อมยิ้มในใจ

“เชลยอันใดเล่า จบเรื่องครานี้และชลันธรเป็นผู้บริสุทธิ์ ทั้งตัวข้านี้จะไม่ถือความโทษเอาผิดนาคินทร์ที่เคยวางยาพิษชลันธร นั่นเท่ากับนาคินทร์เป็นอิสระเช่นกัน...”

“นั้นมันเรื่องของท่าน แต่นาคินทร์เป็นเชลยข้า...ข้าจะเป็นผู้ตัดสินใจในเรื่องนี้เอง...” รพีพงศ์เอ่ย

“รพีพงศ์…ท่านไม่มีเหตุผลเสียเลย ท่านพี่นภนต์รวมถึงเรานั้นมิเอาความแล้ว ไยท่านถึงอยากจะให้สหายข้าเป็นเชลยอีกเล่า” ชลันธรแสร้งดุรพีพงศ์ด้วยรู้แผนการของนภนต์ ซึ่งเดาได้ไม่ยากว่าความสัมพันธ์ของสหายทั้งสองเป็นเช่นไร…ในเมื่อมันชัดเจนเป็นรอยจุมพิตที่หลังใบหูทั้งสองข้างของนาคินทร์ ไหนจะตรงท้ายทอยอีกสองสามรอยอีก

“อย่าว่าท่านรพีพงศ์เลยลัน…เรายอมเป็นเชลยของท่านรพีพงศ์เอง” นาคินทร์พูดเสียงแผ่วทั้งยังก้มหน้ามิสบตาเพราะกลัวว่าใครที่มองจะรู้สึกถึงความรักในแววตาของนาคินทร์

“นาคินทร์เจ้าเป็นเช่นเดียวกับข้าแน่…เพราะรักจึงยอม” นภนต์เอ่ย คราวนี้นาคินทร์ถึงกับเงยหน้าขึ้นมาอย่างลืมตัวก่อนที่ใบหน้ารวมถึงหูแดงระเรื่อไม่ต่างจากเนื้อผลทับทิม

“จริงสิ…ชลันธรไยเจ้าจึงได้พระโคศุภราชมาเป็นพาหนะเล่า” รพีพงศ์ถามชลันธรด้วยมิอยากให้นภนต์พูดหยอกเชลยของตนไปมากกว่านี้

“เป็นเพราะว่า….”

อดีตพระสมุทรเทวาเล่าเรื่องราวถึงคำมั่นของพระศุกร์ที่เคยบอกว่าพระโคศุภราชจะไม่ทำร้ายและช่วยเหลือชลันธรครั้งเมื่อตอนเกี้ยวตนรวมถึงเล่าเหตุการณ์ที่ตนถูกลมหอบด้วยเวทย์ของพระศุกร์ โดยที่นภนต์คอยพูดเสริมเป็นระยะ จนกระทั่งได้รับการช่วยเหลือจากเทพีปัณฑารีย์

“ข้ากับชลันธรรอดมาได้ก็เพราะพระพฤหัสบดีโดยแท้ ที่ท่านนั้นมีระฆังแก้วที่ส่งเสียงยามพระศุกร์ทำเรื่องเดือดร้อนจึงได้ลงมาช่วยข้ากับชลันธรเอาไว้ได้”

“ด้วยหน้าที่พระพฤหัสบดีจะต้องกำราบพระศุกร์ซึ่งเป็นเรื่องที่ใครต่างรู้ดี ถึงได้มาช่วยพวกท่านไว้แต่ข้ากับนาคินทร์นี่สิ พระราหูมาช่วยเอาไว้ให้รอดจากพระอังคาร” รพีพงศ์เอ่ยอย่างไม่ค่อยเข้าใจนักกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

“พระราหูมาช่วยเจ้าไว้หรือ...” นภนต์พอได้รู้ก็ขบคิดตาม ไม่ว่าเทวดา มนุษย์ หรือจะอสุราทั้งหลายล้วนรู้ดีว่าพระราหูมิชื่นชอบญาติดีกับวงศาสุริยะเทพมีหรือที่จะเมตตามาช่วยรพีพงศ์ให้พ้นภัย

“ใช่…ท่านเองก็คิดว่าแปลกใช่หรือไม่ กระนั้นพระราหูมาช่วยก็จริงแต่ข้าเองก็แทบจะเอาชีวิตไม่รอด...”  รพีพงศ์เล่าเรื่องตนไปช่วยนาคินทร์จากพระอังคารจนเกิดการต่อสู้ จนพระราหูมาช่วยและตนพลัดตกลงไปยังผาน้ำตกจนแทบสิ้นชีวา หากนาคินทร์มาช่วยได้ทัน เรื่องราวทั้งหมดถูกถ่ายทอดให้เทพแห่งท้องนภาและชลันธรได้ฟังยกเว้น…เรื่องที่ตนตีตรารักจองจำเชลยคนงาม

“รอดจากพระอังคารที่เป็นถึงอดีตเทพสงครามมาได้นั้นถือว่าเจ้าดวงแข็งมิใช่น้อย” นภนต์เอ่ยชม ตนเองนั้นเคยประดาบประมือกับพระอังคารมาก่อนย่อมรู้ดีว่าพระอังคารองค์ปัจจุบันฝีไม้ลายมือการต่อสู้นั้นเป็นเลิศขนาดไหน

“ใครว่าล่ะ…ท่านรพีพงศ์โดนมหิงสาที่เป็นพาหนะของพระอังคารขวิดเข้าที่สีข้าง” นาคินทร์เอ่ย น้ำเสียงมีความเป็นห่วงสุริยะบุตรอยู่ไม่น้อยทั้งก่อนหน้านี้ลงไปในน้ำ ไหนจะเดินทางด้วยเท้าไร้พาหนะให้นั่งสบาย

“รพีพงศ์…ท่านบาดเจ็บหรือ เหตุใดไม่รีบบอกเราจะให้ท่านพี่นภนต์รักษาให้…ท่านพี่นภนต์ช่วยรักษารพีพงศ์ด้วยเถิด” ชลันธรซักถามรพีพงศ์ก่อนจะบอกให้คนรักช่วยรักษา

“แผลแค่นี้ไม่ต้องถึงมือข้าดอก รพีพงศ์รักษาตนเองได้ข้าเห็นช่วงที่เดินมาหาเราทั้งสอง รพีพงศ์จับสีข้างแล้วร่ายคาถารักษาแผล”

“ข้านับถือสายตาของท่านเสียจริง ช่างสังเกตยิ่งนัก” รพีพงศ์กล่าวชม จนลืมไปว่า…

“ท่านรพีพงศ์ท่านนี่ช่างใจร้ายนัก...ข้านี้แสนจะเป็นห่วงท่านเห็นท่านบาดเจ็บ ท่านเองกลับรักษาตนเองได้ไฉนจึงไม่บอกข้า แกล้งหลอกข้าให้ข้าเป็นห่วง...” นาคินทร์เอ่ยออกมาความน้อยใจ แล้วถูกส่งผ่านถ้อยคำ ความโศกาแฝงไว้ในน้ำเสียง เห็นทีรพีพงศ์นี้เจอดีเข้าอย่างจัง

“คือข้า…” รพีพงศ์พูดไม่ออก ถึงจะพูดออกก็ดูจะเหมือนเป็นการแก้ตัวเสียมากกว่า ทั้งที่ตนนั้นรักษาแผลได้ แต่ใจนั้นอยากให้นาคน้อยเป็นห่วงจึงมิยอมรักษาให้หายเจ็บและถ้าบอกเหตุผลไปมีหวังเทพนภนต์อดีตศัตรูหัวใจและชลันธรตะต้องส่งสายตาล้อเลียนเป็นแน่แท้ จึงทำได้เพียงมองตาอีกฝ่ายหวังจะให้เข้าใจ หากนาคินทร์กลับเบือนหน้าหนีไปอีกทาง

“ถึงกับพูดไม่ออกเลยหรือ…รพีพงศ์” นภนต์มิวายจะพูดล้อแม้รพีพงศ์ไม่ได้พูดคำแก้ต่างกับนาคินทร์

“อยู่เฉยๆ เถิดท่านนภนต์ มิเช่นนั้นข้าจะยุแยงให้ชลันธรหาเทพองค์อื่นมาเคียงข้าง”

“เสียใจด้วย…ชลันธรนั้นรักข้ามิมีทางเปลี่ยนใจไปรักใครอื่นได้” นภนต์เอ่ยออกมาน้ำเสียงท่าทางเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

“ใครว่าข้ามิมีทางเปลี่ยนใจเล่าท่านพี่…อันที่จริงข้าหลงรักนาคินทร์เสียแล้ว” ชลันธรแกล้งคนรักด้วยคำวาจา พร้อมทั้งกอดเอวเล็กของนาคินทร์ไว้แน่น จนนภนต์และรพีพงศ์ออกอาการหึงหวงคนของตน

“ชลันธรหยุดกอดนาคินทร์บัดเดี๋ยวนี้!!!” ทั้งเทพเวหาและรัชทายาทบัลลังก์สุริยะพูดออกมาพร้อมกัน ชลันธรจึงคลายกอดสหายรักเพราะเกรงว่าเทวาขี้หึงทั้งสองจักลงโทษตนและนาคินทร์ หลังจากนั้นชลันธรจึงถูกนภนต์ดุเล็กน้อยก่อนที่ทั้งหมดจักเดินทางกันต่อด้วยความสงบโดยชลันธรคอยชวนนาคินทร์พูดคุย นภนต์และรพีพงศ์เองสงบศึกปะทะคารมกันชั่วคราว ปรึกษาหารือเกี่ยวการทำหน้าที่ปกครองหลังจากที่ก้าวสู่ตำแหน่งซึ่งรพีพงศ์จะได้เป็นพระอาทิตย์ในไม่ช้า นภนต์เองก็ให้คำแนะนำเป็นอย่างดี

เวลาไม่รอใครหมุนเปลี่ยนเวียนไปจนพระอาทิตย์กำลังอัสดงลับหลังเขาจิรันดรทำให้แสงรวีต้องกับเครื่องลำยองของวิมานเทพกาลเวลา ช่างเป็นภาพที่แสนงดงามในสายตาของทั้งสี่ โดยเฉพาะชลันธรที่หลั่งน้ำตาแห่งความดีใจออกมา

“ใกล้แล้ว…ใกล้ถึงวิมานแล้ว…พวกเราเร่งเดินทางได้หรือไม่…ฮึก..เรารอไม่ไหวแล้ว” ชลันธรเอ่ย พระโคศุภราชจึงเร่งฝีเท้าไปข้างหน้าตามความต้องการของชลันธร

“หยุดก่อน” ไม่ทันจะถึงที่หมาย นภนต์กลับบอกให้ทุกคนหยุดการเคลื่อนไหว

“เหตุใดจึงสั่งให้หยุดเล่า…ท่านพี่นภนต์”

“เจ้าลองมองดีๆ สิชลันธร ว่าวิมานเทพแห่งการเวลามีทั้งหินยักษ์ หน้าดินปิดล้อมวิมานจนมิดจนไม่มีทางเข้าออก ยังดีที่หลงเหลือช่อฟ้าไล่ลงมาถึงนาคสะดิ้งให้พอรู้ว่านี่คือวิมานของเทพกาลเวลา” นภนต์เอ่ย พร้อมไล่สายตามองรอบบริเวณซึ่งเป็นลานศิลาหินอ่อนที่มีวัลยชาติเลื้อยคลุมอยู่รอบนอกออกดอกสวยงามแต่กลับไร้มวลหมู่ภมรภุมรามาดอมดมและที่น่าแปลกไปกว่านั้นมีเสาหินขนาดไม่ใหญ่โตมากนักตั้งตระหง่านโดดเด่นตรงหน้าวิมาน

“จริงด้วย ข้าว่ามันน่าแปลกยิ่งนักหรือว่าที่นี่จะมี…” รพีพงศ์เห็นด้วยกับนภนต์ สัญชาตญาณของตนบ่งบอกว่า ณ ที่แห่งนี้มีอันตราย

“เอาล่ะ ชลันธร นาคินทร์ จงลงมาจากหลังพระโคศุภราชแล้วมาหลบที่ด้านหลังข้า รพีพงศ์เจ้าเองก็ด้วย” ทุกคนทำตามคำสั่งแม่ทัพหลวงที่บัดนี้สยายปีกสีทองออกมาปกป้องผู้ร่วมเดินทางที่อยู่ด้านหลัง ร่างสูงก้มเก็บก้อนกรวดก่อนจะโยนไปที่ลานศิลาหินอ่อนตรงหน้า

‘ครืน…’

‘ฟึบ..ฟึบ…ฟึบ’

เสาหินทรุดลงไปกับพื้นธรณีเพียงเล็กน้อย พร้อมกับลูกดอกสีเงินจำนวนมากพุ่งออกมาจากหินยักษ์และหน้าดินหวังทำร้ายผู้บุกรุก ทว่าเทพผู้เป็นถึงนักรบผู้เก่งกาจมิยอมให้ลูกดอกนับร้อยนี้มาทำอันตราย ขนสีทองจากปีกทั้งสองข้างจึงพุ่งตัดทำลายลูกดอกจนสลายกลายเป็นผงธุลี

“ฮึ! นี่แค่ก้อนกรวดแตะลานยังส่งลูกดอกนับร้อยนับพันออกมาให้” นภนต์เอ่ย

“แล้วถ้าพวกเราเหยียบย่างเข้าไป มิต้องเจอดีกว่านี้เหรอท่านนภนต์” นาคินทร์เอ่ย เนื้อตัวสั่นเทาจนรพีพงศ์กอดปลอบจนลืมตัวว่ามิได้อยู่เพียงลำพัง

“ทั้งที่อุตส่าห์ถึงวิมานเทพกาลเวลาแล้วแท้ๆ…เห็นทีเราคงมิได้หลุดพ้นคำครหาว่าวางยาพิษสังหารท่านน้ากวินตาเป็นแน่...เหตุใดเทพกาลเวลาถึงต้องวางกับดักกลไก น่ากลัวถึงเพียงนี้” ชลันธรเอ่ย สุรเสียงเศร้าสร้อยทำให้นภนต์อดสงสารคนรักมิได้

(ต่อ)

ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.27 P.9 (25/09/2560)
«ตอบ #271 เมื่อ25-09-2017 19:00:29 »


“อย่าได้เป็นกังวลไปเลย กลไกป้องกันวิมานของเทพกาลเวลาเพียงเท่านี้มิอาจจะขัดขวางพี่ได้ดอก…” นภนต์จุมพิตที่หน้าผากมนแล้วส่งยิ้มให้คนรักคลายกังวล

“ท่านพี่พูดเยี่ยงนี้หมายความว่าเช่นไร อย่าบอกนะว่า...”

“ใช่แล้วพี่จะจัดการทำลายกลไกพวกนี้ให้หยุดทำงาน เจ้า รพีพงศ์ นาคินทร์ รวมถึงพระโคศุภราชจะได้ปลอดภัย” เป็นไปตามที่ชลันธรคิด นภนต์คนรักนั้นคิดจะเสี่ยงชีวิตเข้าไปยังลานศิลาหินอ่อนที่เต็มไปด้วยกับดักสังหารที่คอยปกป้องวิมานของเทพกาลเวลายามหลับใหล มิให้ผู้ใดคอยรุกล้ำเข้าทำร้ายหรือก่อความวุ่นวายได้

“ท่านคนเดียวจะหยุดกลไกเหล่านี้ได้อย่างไร ข้าจะเข้าไปสู้รบกับท่านด้วย” รพีพงศ์เป็นฝ่ายถามขึ้นมาบ้าง จากที่ประเมินสถานการณ์แล้วยังคงมีกับดักท่ามกลางความว่างเปล่าของลานหินอ่อนนี้เป็นแน่

“ถ้าอยากเจ้าอยากช่วยก็จงถอยห่างจากลานศิลานี้แล้วดีกว่า และคอยปกป้องเชลยของเจ้ารวมถึงคนรักของข้าเอาไว้ในระหว่างที่ข้าเข้าไปทำลายกับดักกลไก อันตัวข้าขึ้นชื่อว่าเป็นแม่ทัพหลวง กับดักกลไกเพียงเท่านี้มิอาจทำอันตรายข้าได้ดอก…อ่อ พระโคศุภราชเองถึงข้ามิใช่นายเจ้าแต่ข้าจักขอให้ช่วยปกป้องทุกคนเอาไว้ด้วย” นภนต์เอ่ยและไม่ลืมมอบหน้าที่สำคัญให้กับพระคาวีสีน้ำนมที่ฮึดฮัดเมื่อก่อนหน้านี้ พอได้ยินว่านภนต์ขอร้องให้ช่วยก็เดินมาขวางกายชลันธรและอีกสองคนไว้ราวกับเป็นกำแพงกัน

“รออยู่ตรงนี้ไม่ว่าเกิดอันใดขึ้นกับข้า เจ้าก็ห้ามเข้าไปเด็ดขาด...” นภนต์สั่งน้ำเสียงหนักแน่นผิดกับเวลาปกติ นี่สินะผู้ครองตำแหน่งแม่ทัพ…เทพผู้พิชิตสงคราม เทพเวหาหันกลับมายืนมองวิมานตรงหน้า ขนสีทองตามปีกทั้งสองข้างค่อยๆ หลุดออกมาตามแรงลมจนหมดแล้วหมุนวนกลายเป็นง้าวคมสุดน่าเกรงขามในฝ่าหัตถ์หนา

“ท่านพี่...อย่าเพิ่งไป!!!” ชลันธรร้องออกมาก่อนที่คนรักจะก้าวไปข้างหน้าแล้ววิ่งเข้ามากอดกายาแกร่งไว้แน่น นภนต์จับแขนชลันธรออกแล้วขยับตัวหันกลับมามองร่างบางที่แววตานั้นเต็มไปด้วยความห่วงใย

“มีอันใดหรือ…ถึงได้เรียกพี่” มือหนาเกลี่ยแก้มใสของคนรัก มิได้คิดว่าชลันธรเขย่งเท้ายกตัวให้สูงขึ้นแล้วจุมพิตไปยังริมฝีปากของเทพแห่งท้องนภา จากนั้นจึงผละออก

“ข้าขอมอบกำลังใจให้ท่านพี่…”  สิ่งที่ชลันธรทำนั้น...มิต่างจากกาลก่อนที่นภนต์จะออกรบกับเหล่าอสูร ทำให้เทพหนุ่มย้อนนึกถึงวันวานที่หวานหอม

“พี่สัญญาว่าพี่นั้นจะไม่ทำให้กำลังใจที่เจ้ามอบให้เสียเปล่า” นภนต์เอ่ยคำมั่น ชลันธรเองก็ภาวนาไว้ว่านภนต์จักต้องปลอดภัย ไร้ซึ่งรอยขีดข่วนใดๆ

กำลังใจจากชลันธรทำให้ความกล้าของนภนต์มีเต็มเปี่ยม รวมถึงความกระหายที่จะเอาชนะอุปสรรคตรงหน้าไปให้ได้ ทันทีที่ฝ่าเท้าเหยียบบนลานศิลา เสาหินนั้นก็เริ่มขยับจมลงไปทีละนิดอีกครั้งเป็นสัญญาณเริ่มต้นบททดสอบนี้…

เถาไม้เลื้อยก็เริ่มเคลื่อนขยับมาใกล้หมายจะรัดพันข้อเท้าของนภนต์ไว้ ในคราแรกนภนต์นั้นว่องไวกว่าใช้ง้าวฟันฉับไปตามลำต้นของมัน แต่ทว่าจำนวนเถาไม้เลื้อยมีมากมาย ยิ่งตัดก็ยิ่งแตกกิ่งก้านทวีจำนวนมากกว่าเดิมจนนภนต์เริ่มจะรับมือไม่ไหวไม้เลื้อยเหล่านี้รัดเข้าที่ขาทั้งสองข้าง บ้างก็พยายามเลื้อยขึ้นมาพันกายมิให้เทพหนุ่มขยับไปไหนได้  จนเหล่าเถาไม้เลื้อยขึ้นปกคลุมพันธนาการกายใหญ่จนมิด

“ท่านพี่นภนต์!!!...ท่านพี่นภนต์!!!” ชลันธรพอเห็นภัสดาตกอยู่ในอันตรายจนลืมตน ก็ออกจากหลังของพระโคศุภราชเร่งสืบเท้าเข้าไปหา ดีที่รพีพงศ์กับนาคินทร์ช่วยกันรั้งตัวเอาไว้

“อย่าออกไปชลันธร เจ้าอย่าลืมว่าเทพนภนต์บอกเอาไว้ว่าอย่างไร เจ้าเข้าไปก็ช่วยทำอะไรมิได้ หรอก...อย่าลืมสิยามนี้เจ้าเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา” รพีพงศ์เตือนสติ ชลันธรว้าวุ่น อยู่ไม่สุขด้วยแสนห่วงหาเกรงว่านภนต์จักเป็นอะไรไป

“ลัน…อย่าวังวลไปเลย ลันดูสิท่านนภนต์กำลังยิ้มอยู่เลย” นาคินทร์เอ่ยพร้อมชี้นิ้วให้ชลันธรเห็นนภนต์ที่กำลังยิ้มกว้างไร้กังวลผ่านช่องที่เถาไม้เลื้อยเปิดออก

‘พรึบ’ อยู่ๆ ก็เกิดแสงสีฟ้าเจิดจ้าลอดส่องออกมาตามรอยแยกเถาไม้เลื้อยที่คลุมกายนภนต์ และกลายเป็นเพลิงไฟสีฟ้าลุกท่วมในเวลาต่อมา ก่อนจะลุกลามไปตามเถาไม้เลื้อยจนมอดไหม้จนเป็นเถ้าถ่าน เพียงเท่านี้เทพเวหาก็หลุดจากพันธนาการเถาไม้เลื้อย ส่วนที่เหลือก็เคลื่อนที่หนีหายมิกล้าเข้าเกี่ยวพันรัดกายต่อ  นภนต์ไม่รอช้าจึงรีบวิ่งไปยังเสาหินที่ค่อยๆ จมลงไปใต้ปฐพีแต่ยังก้าวขาไม่ถึงสามก้าวด้วยซ้ำ มีรูปสลักหินนักรบห้าตัวโผล่ขึ้นมาล้อมรอบกายขวางนภนต์เอาไว้อีก ในมือของรูปสลักแต่ละตัวมีอาวุธไว้ครอบครองและดูเหมือนว่ารูปสลักหินนักรบเหล่านี้ได้ฆ่าฟันผู้รุกรานมาแล้วนับไม่ถ้วน เนื่องจากคราบโลหิตแห้งเกรอะกรังอยู่ที่ปลายศาสตราวุธต่างๆ

“ถึงพวกเจ้าจะสังหารผู้อื่นมามากมาย แต่ก็มิอาจจะทำอันใดข้าได้แม้เพียงรอยขีดข่วน...เข้ามาเลย...” คำสบประมาทที่ท้าทายถูกส่งไปยังรูปสลักหินนักรบทั้งห้าที่รับรู้ได้ทุกถ้อยคำ

หน้าที่ที่ต้องปกป้องวิมานจิรันดรของเทพณิชนิรันดร์รวมกับคำดูถูกของนภนต์เป็นแรงเสริมให้นักรบหินทั้งห้าคิดสั่งสอนให้แม่ทัพหลวงผู้อวดดีได้หลาบจำ ศาตราวุธทั้ง หอก ทวน ดาบ สามง่าม และกระบอง เข้าโรมรันฟันแทงไปยังกลางอกอย่างพร้อมเพรียง ถ้าเป็นผู้อื่นคงจะสิ้นชีพไปเสียแล้วแต่นี่คือนภนต์ผู้กรำศึก ประสบการณ์มากเหลือเสียจนหาทางพลิกแพลงย่อตัวหลบแล้วยกง้าวขึ้นมาป้องคมหอกคมดาบไว้ได้ แรงกายทั้งหมดถูกส่งไปยังกรแกร่งค้ำยันให้ง้าวเป็นโล่ป้องกันก่อนจะผลักให้อาวุธที่หมายชีวิตตนนั้นออกไปได้สำเร็จ

“เข้ามาเลย!!!” นภนต์ท้าทาย นานเพียงใดที่ไม่ได้รู้สึกสนุกกับการต่อสู้ที่มิต่างจากการฝึกซ้อมกับเหล่าทหาร เพียงแต่ถ้านภนต์พลาดพลั้งนั่นเท่ากับต้องทิ้งชีวิตไว้ ณ ลานหินอ่อน….แน่นอนว่านภนต์ไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น

“ย้าก!!!!!!” นภนต์กระโดดตัวลอยง้างง้าวฟันศีรษะนักรบหินผู้ถือทวนขาดครึ่ง ตามด้วยจัดการตัวที่สองที่กำลังใช้ดาบฟาดฟันแผ่นหลังซ้ำรอยแผลที่พระศุกร์ฝากทิ้งไว้

“ท่านพี่ด้านหลัง!!!” ชลันธรร้องตะโกนสุดเสียง ทั้งลุ้น ทั้งกลัวจนก้อนเนื้อในอกเต้นตุบตับระรัวดั่งกลองศึก

‘ตึก’ บาทาใหญ่ถีบไปด้านหลังให้นักรบหินผู้ถือดาบลอบกัดนั้นถอยห่าง ส่วนตนเองรีบหันตัวตามแล้วจึงง้างง้าวฟันกลางลำตัวจนนักรบหินตัวที่สองจนประกายไฟกระเด็น ขาดสะพายแล่งไปต่อหน้าต่อตา

รูปสลักนักรบหินอีกสามตัวมิได้ปล่อยให้นภนต์พัก ทั้งยังเคลื่อนกายเข้ามาประจัญหน้าเข้ามาพร้อมกัน

‘ฟึบ…ฟึบ’

‘เคร้ง!!’

หอกและสามง่ามถูกขว้างเข้าหากายพร้อมกัน นภนต์ใช้ง้าวตั้งรับแล้วหมุนปัดให้อาวุธทั้งสองกระเด็นออกไป ส่วนนักรบผู้ถือกระบองอีกตัวก็เข้ามาพร้อมใช้กระบองยักษ์นั้นเข้าทุบตี

‘ฉับ’ เทพเวหายอบกายลงให้ง้าวฟันมือที่ถือกระบองขาดแล้วรีบถอยออกเพื่อไปจัดการกับนักรบหินไร้อาวุธอีกสองตัวที่เคลื่อนกายขนาบข้างนภนต์และกำลังจะใช้หมัดชกเทพแห่งท้องนภาพร้อมกัน

‘พลั่ก!!!’ นภนต์กระโดดขึ้นเหนือศีรษะของนักรบหิน ตาคมจึงได้เห็นหมัดแลกหมัด…กำปั้นแลกกำปั้นของนักรบหินทั้งสองที่กลับชกกันเองจนแตกศีรษะกระจายเป็นก้อนกรวด…‘นี่สินะที่เขาเรียกว่าแพ้ภัยตนเอง’…

…‘จบเสียที…เหลือเพียงเสาหินต้นนั้น’…

แม่ทัพหลวงแห่งสรวงสวรรค์นึกดีใจรีบวิ่งไปยังเสาหินที่จมหายไปกว่าครึ่ง หากพอก้าวขาวิ่งแผ่นหินอ่อนกลับแตกแยกออกจากกัน  แต่ที่ไหนได้นักรบหินที่เพิ่งทำลายไปนั้นกลับมารวมตัวกันกลายเป็นยักษ์หิน เบญจพักตร์สิบกรพร้อมด้วยศาสตราวุธ ดูน่าเกรงขามยิ่งนัก 

“ท่านพี่!!!”

“ท่านนภนต์!!!”

ผู้เฝ้ารอทั้งสามร้องออกมาด้วยความตกใจกับสิ่งที่เห็น กลัวว่านภนต์จะพลาดพลั้งให้แก่ยักษ์หิน เพราะเมื่อรวมตัวกันแล้วยักษ์หินนี้แข็งแกร่งกว่าคราวเป็นนักรบทั้งห้ามาก  ไม่ว่าจะง้างง้าวเข้าฟาดฟันเท่าไหร่ก็ไม่ชนะ ซ้ำยังเป็นแค่รอยขีดข่วนเล็กน้อยเท่านั้น  .... ‘นี่มันอะไรกัน’...

นภนต์เห็นว่าหากใช้แต่พละกำลังคงเอาชนะไม่ได้แน่ ขณะหลบหลีกยักษ์หินตนนี้จึงคิดว่าไม่ว่าหินผาจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ย่อมมีจุดที่ทำให้แตกสลายได้ในคราเดียว  หากหวังจะเอาชนะด้วยอาวุธมิได้ ก็อาจจะต้องใช้เพียงมือเปล่าเข้าสู้ ...นภนต์หวังใช้วิชาดัชนีพิฆาต เข้าจี้ทำลายด้วยปลายนิ้ว...แต่ก็ต้องมองหาก่อนว่าจุดแตกที่ว่านั่นอยู่ตรงไหน...

ง้าวคมเข้าฟาดฟันเบิกทาง นภนต์พยายามใช้ดัชนีเปล่าถ่ายทอดพลังเข้าจี้จุดสำคัญต่างๆ บนร่างยักษ์หิน แต่ก็ไม่สามารถทำให้แตกได้ ... ยังเหลืออีกไม่กี่จุดแต่เวลาก็กระชั้นชิดเสียเหลือเกิน...แต่นภนต์กลับสังเกตได้ว่ามือด้านขวาที่อยู่ด้านบนสุดนั้นยกบนบังกลางเศียรไว้ตลอดเวลา... ‘ไม่ผิดแน่จุดแตกของเจ้ายักษ์หินนี่ต้องอยู่กลางเศียรมันแน่...แต่จะเข้าจี้ทำลายจุดนั้นได้อย่างไร...ในเมื่ออาวุธครบมือขนาดนั้น...อย่างนี้ต้องหลอดล่อ...’

ว่าแล้วนภนต์ไม่รอช้า ร่ายมนต์แยกร่างสร้างให้ตนนั้นแบ่งออกเป็นห้ากาย เบี่ยงแบนความสนใจยักษ์หิน  โดยร่างที่แท้จริงกระโดดขึ้นฟ้าแล้วพุ่งลงใช้ดัชนีพิฆาต จี้จุดแตกลงกลางเศียรยักษ์หินทำให้เศียรนั้นระเบิดเป็นจุลฝุ่นผงฟุ้งกระจาย ชลันธร  รพีพงศ์และนาคินทร์ ต่างดีใจที่นภนต์สามาราถเข้าทำลายยักษ์หินได้  แต่นภนต์เองก็หาวางใจไม่เพราะตอนนี้พื้นศิลาหินอ่อนเริ่มแยกออกจากกัน นภนต์จึงพุ่งเข้าถีบร่างยักษ์หินให้ตกลงไปตามรอยแตกที่ขยายออกกว้าง ซ้ำยังมีน้ำกรดสีดอกอินทนิลรอกัดกร่อนทุกสิ่งที่ตกลงไป  สถานการณ์แบบนี้มีแต่สติปัญญาและการตัดสินใจที่รวดเร็วเท่านั้นที่จะสามารถเอาชนะกับดักกลไกนี้ได้ ...

…‘เพลานี้ถ้าจะร่ายเวทย์สยายปีกออกมาคงไม่ทัน สู้วิ่งอย่างระวังไปข้างหน้าจะเป็นการดีที่สุด’…

ขายาวก้าวไปเหยียบย่างแผ่นหินอ่อนที่ขยับห่างออกจากกันเรื่อยๆ ไหนจะต้องวิ่ง ไหนจะต้องทนกับไอร้อนที่ลอยปะปนกับอากาศของน้ำกรดเบื้องล่างอีกจนผิวกายแดงดุจน้ำร้อนลวก กระนั้นนภนต์ก็ไม่สนใจกัดฟันอดทนเพื่อที่จะได้เข้าสู่วิมานแห่งเขาจิรันดร….สู้เพื่อชลันธรคนรัก

‘ตุบ!!!’ กายาสูงใหญ่กระโดดข้ามไปยังเสาหินที่กำลังจะจมลงไป หัตถาหนาไม่รอช้าจับปลายเสาที่ยังโผล่เหนือดินแล้วดึงขึ้นมา หากเสาหินไม่ยอมเขยื้อนทั้งยังฉุดนภนต์ให้ล้มลงไป

…‘ข้าเทพนภนต์ผู้ดูแลสรรพสิ่งเหนือฟากฟ้าและรั้งตำแหน่งแม่ทัพเหนือผู้ใดในไตรภพ ข้ามาดีมิได้มาร้าย ได้โปรดช่วยเปิดทางให้ข้าและคนรักรวมทั้งสหายของข้าได้เข้าไปพบเทพแห่งกาลเวลาด้วยเถิด’…

แรงอธิษฐานของนภนต์นั้นสัมฤทธิ์ผล เสาหินที่แทบจะไม่ขยับเขยื้อนในคราแรกนภนต์กลับดึงขึ้นมาโดยง่าย พลันเกิดแผ่นดินสั่นสะเทือน ลานหินอ่อนเลื่อนเข้าชิดติดกันราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น นภนต์เดินถอยห่างออกมาไม่นานก้อนหินและดินที่ปิดล้อมวิมานก็ทลายออกเผยให้เห็นผนังประตูไพฑูรย์สลักขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้า

…‘หลังจากก้าวผ่านประตูนี้เข้าไป ข้าหวังไว้ว่าเทพณิชนิรันดร์จักช่วยนำพาความจริงมาประจักษ์แก่ข้า’…

























..............................................

ข้ากลับมาแล้วกลับมาพร้อมความสดใส แจกความสดใสให้กับทุกคน

รุมกระทืบคนปาหินกันค่ะ

ยอมรับว่าแต่งยากมากกับฉากต่อสู้ งานหนักเลยตกที่รุ่นพี่คนสวยคนเก่งที่คอยเหลางาน คือมันยิ่งกว่าเกลา 555555

ตอนนี้เป็นตอนที่เทพนภนต์ได้โชว์เหนือ โชว์ความสามารถที่มี...เก่งใช่มั้ย ขอคำชมหน่อย 555

ส่วนความรพีพงศ์ปากแข็งไปก็ดี นภนต์จะได้หาเทพอื่นให้นาคินทร์ วันนั้นจะสมน้ำหน้า ก๊ากกกก

ตอนหน้าอย่าลืมติดตามนะคะ...จะพาย้อนอดีตไปหาคนร้ายตัวจริง...แหม่ เดาถูกกันแล้วชิมิ

สุดท้ายนี้ขอบคุณผู้อ่านทุกคนที่เข้ามาอ่าน มาเม้น มาเป็นกำลังใจ ติดตามนิยายนะคะ

ป.ล. บางทีก็เหม็นความรักนะคะ แค่สามีไปรบมีจุมพงจุมพิต

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.27 P.10 (25/09/2560)
«ตอบ #272 เมื่อ25-09-2017 22:50:46 »



กลับมาแล้ว

หลังจากที่หายไปหลายวัน

รอต่อขอรับ


ออฟไลน์ Pe_no

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 375
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.27 P.10 (25/09/2560)
«ตอบ #273 เมื่อ25-09-2017 23:48:37 »

อ๊ายยยยยยกลับมาแล้วคิดถึง   :mew2:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.27 P.10 (25/09/2560)
«ตอบ #274 เมื่อ26-09-2017 00:36:31 »

จะได้รู้ความจริงแล้วใช่ไหม

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.27 P.10 (25/09/2560)
«ตอบ #275 เมื่อ26-09-2017 10:00:57 »

รอความจริงเปิดเผย!

ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.27 P.10 (25/09/2560)
«ตอบ #276 เมื่อ26-09-2017 21:52:34 »

 ดีใจที่ทุกคนติดตามกันนะคะ :mew1:

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.27 P.10 (25/09/2560)
«ตอบ #277 เมื่อ26-09-2017 23:21:50 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.29 P.10 (03/10/2560)
«ตอบ #278 เมื่อ03-10-2017 06:07:25 »

สาปรัก…ทัณฑ์เทวา

Writer : Tan-Yung 0209

File : 28















ฝุ่นละอองมากมายคละคลุ้งหนาทึบ จากหินยักษ์ที่ถล่มทลายลงมา มันมากมายเสียจนกลายเป็นม่านหมอกบดบังกายแสนองอาจของเทพนภนต์ ทางด้านผู้เฝ้ารอต่างกลัวว่าเทพแห่งท้องนภาจะได้รับอันตราย โดยเฉพาะชลันธรที่รู้สึกกระวนกระวายใจไม่น้อย  ด้วยเสียงระเบิดนั้นดังก้องกัมปนาทสนั่นสะเทือนไปทั่ว

“ท่านพี่!!!!...ท่านพี่เป็นเช่นไรบ้าง ได้โปรดตอบข้าด้วยเถิด” ชลันธรเรียกหาภัสดาแสนรัก เสียงห้าวที่ว่าหวานสัมผัสสู่โสตประสาททำให้นภนต์ที่จมอยู่ในความคิดได้สติกลับคืนมา

“พี่มิเป็นไร...ชลันธรเข้ามาหาพี่สิ” เสียงทุ้มเปล่งออกมาทำให้ชลันธรรวมถึงผู้ร่วมทางต่างดีใจที่นภนต์ปลอดภัยดี

ขาเรียวทั้งสองข้างเยื้องย่างเข้าหาผู้เชื้อเชิญ ม่านฝุ่นละอองหนาทึบที่ปิดทางเข้าวิมานเทพกาลเวลาค่อยๆ จางหาย ยิ่งก้าวขาใกล้มากเท่าไร เงาของนภนต์ที่อยู่ภายในม่านพลังกันฝุ่นละอองก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น ในที่สุดชลันธรก็อยู่ตรงหน้าของนภนต์ เทพเวหามองใบหน้าของคนรัก มือหนาค่อยๆ ยกขึ้นมาเกลี่ยแก้มใสที่ของอีกฝ่าย ชลันธรจับมือของนภนต์ให้แนบแก้มนิ่มค้างเอาไว้ ไออุ่นจากฝ่ามือนี้ยืนยันได้ดีว่านภนต์ยังคงปลอดภัย

‘หมับ’ ชลันธรเข้าสวมกอดนภนต์แนบชิดจนอากาศมิสามารถผ่านได้และไม่นึกอายว่ายังมีสายตาอีกสามคู่คอยจ้องมองตนกับคนรักเอาไว้

“พี่อยู่นี่แล้ว….” นภนต์ลูบหลัง ใบหน้าหล่อเหลามีรอยยิ้มประดับอยู่ให้กับความเอ็นดูของชลันธร

“ข้าคิดว่าท่านพี่จะโดนหินโดนดินทับไปเสียแล้ว…ข้า..ฮึก..ไม่อยากให้ท่านพี่เสี่ยงชีวิตเพื่อข้าอีก” หลายครั้งหลายคราที่นภนต์ต้องเสี่ยงปกป้องชลันธรอยู่บ่อยครั้ง จนชลันธรเองรู้สึกไม่ดีคิดว่าตนไม่ต่างจากภาระของนภณต์

“...คนดีพี่รู้ว่าเจ้านั้นคิดอะไรอยู่...มันเป็นหน้าที่ของพี่ที่จะต้องปกป้องเจ้า...พี่ยินดีที่จะเสี่ยงชีวิตเพื่อเจ้า” นภนต์เอ่ยแล้วโน้มใบหน้าลงหอมแก้มนิ่มเพื่อเติมเต็มพลังใจให้กับตนเอง...

“อะแฮ่ม!!...ทำอะไรเกรงใจทางนี้บ้าง โลกใบนี้ไม่ได้มีเพียงพวกท่านแค่สองคนนะ…ท่านนภนต์” รพีพงศ์แกล้งกระแอมขัดจังหวะ ส่วนนาคินทร์นั้นมองชลันธรด้วยสายตาเชิงล้อจนอดีตเทพสมุทรอายม้วน

“ดูเหมือนเจ้าจะอิจฉาข้านะรพีพงศ์ ถ้าเจ้าอิจฉาข้าก็หอมแก้มนาคน้อยของเจ้าเสียสิ” นภนต์เอ่ย รพีพงศ์ชะงักส่วนนาคินทร์นั้นเป็นฝ่ายหน้าแดงขึ้นมาบ้าง คราวนี้ชลันธรจึงกลายเป็นฝ่ายที่ส่งสายตาหยอกล้อนาคินทร์

“หอมแก้มอะไรของท่าน...อืม…ข้าขอชื่นชมท่านที่ล่วงรู้ว่าเสาหินต้นนี้เป็นหมุดสลักใช้เปิดทางเข้าสู่ประตูวิมาน” รพีพงศ์เห็นว่ากลายเป็นตนที่โดนดี จึงเปลี่ยนเรื่องคุยมาชื่นชมนภนต์แทน

“ประสบการณ์ในการสู้รบสอนข้ามาเยอะ ทำให้ข้ารู้ว่าอะไรเป็นอะไร” นภนต์เอ่ย เนื่องด้วยได้ภารกิจรบบ่อยครั้งจึงพอจะอ่านทางออก

“ท่านนภนต์เก่งกาจยิ่งนัก ทั้งยังมีไหวพริบด้วย เสียงเล่าลือว่าท่านเป็นนักรบผู้เก่งกาจ วันนี้ข้านั้นได้เห็นเต็มสองตาถือว่าเป็นบุญของข้ายิ่งนัก” นาคินทร์ชื่นชมออกหน้าออกตาจนดูผิดปกติ จนเทวาข้างกายเหลือบมองไม่พอใจด้วยความหึงหวง…‘ทีกับข้าไม่เห็นเจ้าจักชื่นชมออกหน้าออกตาเยี่ยงนี้บ้าง’…รพีพงศ์นึกน้อยใจ

“ท่านพี่ข้าตื่นเต้นเหลือเกิน…ข้าอยากเข้าไปพบเทพกาลเวลาแล้ว” ชลันธรเอ่ย ความจริงอยู่ใกล้แค่เอื้อมเพียงย่างขึ้นบันไดแล้วเปิดประตูวิมาน ชลันธรจักหลุดพ้นจากตราบาปที่ตนไม่ได้ก่อเสียที

“อืม พี่เองเห็นด้วย พวกเราอย่ามัวชักช้าเลย รีบเข้าไปในวิมานกันเถิด” นภนต์เอ่ย

‘มอ…มอ..’ พระโคศุภราชส่งเสียงร้องคล้ายว่าไม่สามารถเดินทางต่อไปได้ ชลันธรจึงเดินไปหาแล้วย่อกายลงโอบกอดคอพระคาวีสีขาวนี้ไว้

“พระโคศุภราช เราขอบน้ำใจมากที่เจ้าช่วยเหลือเราจนมาถึงวิมานแห่งเทพณิชนิรันดร์ เพลานี้เราเห็นเป็นสมควรที่เจ้านั้นควรกลับไปหาพระศุกร์ผู้เป็นนายและเราอยากฝากให้เจ้าขอบน้ำใจพระศุกร์แทนเราด้วย” ชลันธรเอ่ยน้ำเสียงแฝงไปด้วยความอ่อนโยน แม้พระศุกร์คิดจะชิงตัวและทำร้ายนภนต์ก็ตามที หากพระศุกร์นี้กลับให้พระโคพาหนะดูแลช่วยเหลือตน

‘มอ…’ พระโคศุภราชร้องเป็นสัญญาณว่ารับรู้ในสิ่งที่ชลันธรเอื้อนเอ่ย ชลันธรระบายยิ้มออกมานึกรักใคร่พระโคศุภราชแสนดีก่อนจะผละกอดออกมา พระคาวีจ้องมองใบหน้าสวยผ่านน้ำตาที่หลั่งไหลออกมา พระโคนั้นเศร้าสร้อยที่จำต้องจากเจ้านายใหม่แต่จำต้องตัดใจแล้วเดินกลับไปทางเก่าโดยไม่หันมอง

“พระโคศุภราชดูเสียใจที่ต้องจากลันไป” นาคินทร์เอ่ย

“ไม่ว่าคนหรือสัตว์ เทวดาหรือสรรพสิ่งใดใด เมื่ออยู่ด้วยกันล้วนแต่มีจิตผูกพันด้วยกันทั้งนั้น พอพ้นพรากจากกันจริงไม่แปลกที่จะเสียใจ” รพีพงศ์เอ่ย ตาคมมองไปยังนาคินทร์ที่เบือนหน้าหนี เห็นทีคงจะโกรธตนเรื่องบาดแผลไม่หาย

“เมื่อพระโคศุภราชก็จากไปแล้ว เราอย่างเสียเวลาอยู่เลย ...ข้าว่าพวกเราเข้าไปด้านในวิมานไพฑูรย์นี้กันเถิด” นภนต์เอ่ย เชื้อชวนทุกคนให้เข้าไป

“พวกท่านเข้าไปเถิด ข้าขออาสาเฝ้าอยู่ด้านนอกจะดีกว่า เผื่อมีอันตรายหรือสิ่งใดผิดสังเกตจักได้บอกกับท่านได้ทันท่วงที” นาคินทร์เอ่ย เมื่อทุกคนก้าวขึ้นบันได

“คินทร์ไปกับพวกเราเถอะ จะอยู่ด้านนอกตามลำพังได้อย่างไรเล่า” ชลันธรจับข้อมือเล็กฉุดดึงให้ขึ้นบันไดตาม

“คินทร์อยู่คนเดียวได้ ลันไม่ต้องเป็นห่วงคินทร์หรอกนะ ลันรีบเข้าไปในวิมานดีกว่า” นาคินทร์ดึงมือที่จับกุมตนไว้ ชลันธรเองก็ไม่ยอมปล่อย  ฟ้ามืดขนาดนี้ใครจะยอมทิ้งสหายร่างบอบบางหน้าตางดงามราวกับเทพธิดาไว้กลางป่าดงเพียงลำพังกันเล่า…ชลันธรไม่ยอม

“แต่ว่าคินทร์….”

“ชลันธร...เจ้าเข้าไปกับท่านนภนต์เถิด ข้าจะอยู่ข้างนอกนี้กับนาคินทร์เอง” รพีพงศ์เอ่ย นับว่าเป็นการแก้ปัญหาได้ดีเลยทีเดียว ชลันธรจะได้ไม่กังวลอีกทั้งตนจะได้ปรับความเข้าใจกับเชลยรักด้วย

“ถ้ารพีพงศ์อยู่ด้วยเราเบาใจขึ้นมาหน่อย” ชลันธรโล่งใจขึ้นมาทันที

“เอาล่ะ...ตกลงกันได้แล้ว เราสองก็รีบเข้าไปในวิมานกันเถิด” นภนต์คว้ามือของชลันธรมากุมไว้แล้ว ย่างก้าวขึ้นบันไดทีละขั้นพร้อมกัน จนมาถึงประตูวิมาน ชลันธรยกฝ่ามือขึ้นมาค่อยๆ ดันบานประตูให้เปิดออก

‘เอี๊ยด…’

เสียงแหลมบาดหูของความฝืดเคืองของประตูที่ปิดตายไปนานดังขึ้น ทั้งสองก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปในวิมานที่แสนมืดมิด ไร้ซึ่งแสงจันทร์หรือแสงจากเทียนไขสาดส่องให้แสงสว่าง…ความมืดมิดทำให้ความกลัวก่อขึ้นในความรู้สึกของชลันธร มือเรียวจับมือหนาไว้แน่นจนนภนต์สัมผัสได้ว่าคนรักไม่ชอบใจในความมืดนี้

แต่ไม่ว่าเรื่องใดที่ทำให้ชลันธรต้องกลัวหรือขุ่นข้องใจ นภนต์พร้อมที่จะขจัดมันให้พ้นทาง  เจ้าของผิวงามราวไข่มุกผู้นี้กลัวความมืด นภนต์จึงใช้ดวงแก้วแห่งแสงนำทางในการสร้างแสงสว่าง ดวงแก้วนั่นมีปีกบินได้มันจึงบินอยู่เหนือศีรษะของทั้งสอง แสงนั้นสว่างจนเห็นทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ปรากฏผนังแก้วผลึกสีฟ้ากว้างขวางทั่วทั้งห้องวิมาน  ตรงกลางวิมานนั้นมีสระน้ำสีเงินยวงที่ไร้ซึ่งพืชพรรณหรือสิ่งมีชีวิต มีเพียงกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นดอกแก้วที่ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ยามอยู่ใกล้สระ

“เทพกาลเวลาอยู่แห่งใดกัน” ชลันธรหันซ้าย แลขวาก็ไม่พบผู้เป็นเจ้าของวิมานแต่อย่างใด ซึ่งในความเป็นจริงแล้วน่าจะหลับใหลอยู่ในวิมานนี้

“นั่นสิ…แท่นบรรทมกลับไม่มีใครนิทราอยู่เลย นับว่าแปลก” นภนต์เอ่ย ตามองไปยังแท่นบรรทมที่ไร้เจ้าของก่อนจะเดินไปใกล้

“หรือข้าจะไร้บุญ ไร้วาสนาที่จักพิสูจน์ความบริสุทธิ์เสียแล้ว…ท่านพี่นภนต์ข้าจักต้องกลายเป็นผุยผง ข้า…ข้าจะไม่มีโอกาสได้อยู่เคียงท่านอีก…” ชลันธรเอ่นเสียงเครือเศร้า เนื่องจากคำสาปของพระผู้สร้างจะแก้ได้ก็ต่อเมื่อชลันธรหาสามารถหลักฐานมายืนยันความบริสุทธิ์แล้วจึงสามารถกลับคืนสู่สวรรค์ในสถานะเทวาดั่งเก่า แต่ในทางกลับกันถ้าทำมิได้ชลันธรจะกลายเป็นผงธุลีไม่สามารถเกิดในภพภูมิใดได้อีก

“ชลันธร...เจ้าโปรดใจเย็นสักนิดแล้วดูสิ่งนี้…ฟูกบนแท่นบรรทมของเทพณิชนิรันดร์นั้นยังอุ่นอยู่ พี่ว่าท่านนั้นตื่นจากนิทราและคงซ่อนกายอยู่ในวิมานนี้เป็นแน่” นภนต์สัมผัสผ้าเนื้อลื่นแล้วจึงบอกชลันธรที่กำลังรู้เศร้าสร้อย

“เป็นจริงดั่ง ท่านพี่ว่า ...” ชลันธรสูดลมหายใจลึกๆ มือบางที่สัมผัสฟูกนุ่มนั้นทำให้ความหวังที่จะหลุดพ้นคำสาปกลับคืนมาสู่ใจอีกครั้ง

“พี่ว่าเรารีบหาตัวเทพกาลเวลาเถิด ท่านน่าอาจจะซ่อนตัวอยู่ในวิมานเป็นแน่...” นภนต์ชักชวนชลันธรหาตัวเทพกาลเวลา

“ท่านเทพณิชนิรันดร์…ท่านซ่อนตัวอยู่แห่งใดกัน ได้โปรดออกมาเถิด”

“โปรดออกมาเถิด เราสองมิได้จะมาทำร้ายท่าน หากพวกเรานี้มาขอความช่วยเหลือจากท่าน”

ทั้งสองเรียกหา พลางเดินหาเทพกาลเวลาตามห้องหับต่างๆ แต่ก็ไม่พบเจอแม้แต่เงา  จนช่วงเลยเวลาไปสักพักชลันธรเริ่มหวาดหวั่นทั้งที่อุตส่าห์ดั้นด้นบุกป่าฝ่าดงอุปสวรรค์นานามานับไม่ถ้วน  เหตุใดกันโชคชะตาถึงเล่นตลกไม่ให้ตนพบเจอเทพแห่งกาลเวลา

“เราทั้งสองหากันจนทั่วแล้วแต่ก็ไม่พบแม้แต่เงาเลย ไม่แน่บางทีเทพกาลเวลาอาจจะหนีไปตอนที่พวกเราพยายามหาทางเข้ามาในวิมานก็เป็นได้” ชลันธรเอ่ย

“พี่ว่าคงไม่ได้หนีไปไหนดอก ด้วยวิมานนั้นถูกปิดล้อมทุกด้าน ทางเข้าออกนั้นมีเพียงทางเดียว...นอกเสียจาก...จะหนีในตอนที่เราเปิดประตูเข้ามา ถ้าเป็นเช่นนั้นคงต้องเจอรพีพงศ์กับนาคินทร์ที่เชิงบันได”

“หากหนีเราออกไปได้... มีหรือที่จะหนีจากรพีพงศ์กับนาคินทร์ไม่ได้...นี่เราหากันจนทั่วทุกแห่งหนแล้วนะท่านพี่…เทพกาลเวลา...ท่านไปอยู่ที่ไหนกัน...”

“ใครว่าทั่ว…ยังมีอีกแห่งนะชลันธร ที่ๆเราทั้งสองยังไม่ได้ตามหา...” นภนต์บอกกับชลันธร จากนั้นจึงเดินนำร่างบางมายังสระกลางวิมาน

“เรายังไม่ได้หาในนี้…”  นภนต์เอ่ยแล้วส่งสายตาไปยังสระน้ำสีเงินยวงตรงหน้า

“ท่านพี่หมายถึง...ในน้ำนี้หรือ....” ชลันธรเอ่ยถาม

“ใช่...เดี๋ยวพี่จะลงไปในสระเอง”

“อย่าดีกว่า... ข้าคิดว่าภายในสระนี้คงไม่ปลอดภัยเป็นแน่ อีกอย่างข้านั้นเป็นผู้ที่มาขอความช่วยเหลือต่อเทพกาลเวลาโดยตรง ควรจะเป็นข้าที่ต้องลงไปในสระเอง”

“ไม่!!! พี่ไม่ยอมให้เจ้าลงสระเป็นอันขาด เมื่อครู่เจ้ายังไม่แน่ใจว่ามันอันตรายหรือเปล่า แล้วเจ้าจังลงไปในสระนั้นได้อย่างไร...ในเมื่อพี่เองมีส่วนทำให้เจ้าต้องโดนสาป พี่จักรับผิดชอบ…” นภนต์ไม่รีรอให้ชลันธรห้าม ตั้งท่าเตรียมกระโดดลงสระ

“ไม่!!! ท่านพี่นภนต์!!!”

“หยุด!!! ไม่ต้องมีใครลงในสระทั้งนั้น...”

นอกเหนือจากเสียงห้ามของชลันธรยังมีเสียงอีกเสียงหนึ่งที่ดังแทรกขึ้นมา เทพเวหาที่กำลังจะลงสระสีเงินหยุดชะงัก พร้อมกับกวาดมองทั่วบริเวณเพื่อหาเจ้าของเสียงแต่ไม่พบใคร

“ใคร!!! ออกมาบัดเดี๋ยวนี้” นภนต์คว้าเอวบางให้มายืนใกล้ตนก่อนจะเสกพระขรรค์ขึ้นมาหมายจะต่อสู้หากใครที่ซ่อนตัวนั้นคิดทำร้าย

“ทะ…ท่านพี่นภนต์” ชลันธรเรียกเทวาหนุ่มเสียงสั่น นภนต์หันมองคนรักที่ก้มหน้ามองพื้นจึงมองตาม เงาของชลันธรแผ่ขยายยาวขึ้นไปตามพื้นจนพาดกับผนัง ก่อนที่เงานั้นจะปรากฏกายหยาบของกุมารทรงอาภรณ์สีเงิน สร้อยสังวาลไพฑูรย์ ก้าวขาเยื้องย่างมาหาทั้งสอง

“หากถามว่าข้านั้นคือใคร ข้าจะตอบไว้ให้เอาบุญก็ได้... ข้าเป็นผู้ดูแลสระศักดิ์สิทธิ์นี้มีนามว่า ...จิรนาถ…แล้วพวกท่านเป็นใครกันถึงบุกรุกเข้ามาในวิมานเทพกาลเวลา…” กุมารน้อยเอ่ยเสียงเรียบ นภนต์จึงลดพระขรรค์ลงเมื่อเห็นว่าอักฝ่ายมิใช่ศัตรู

“เรานามว่าชลันธรและผู้ที่ยืนอยู่เคียงข้างเรานั้นคือเทพนภนต์ เทวาแห่งท้องนภา” ชลันธรแนะนำตนและคนรัก

“ข้าขอบอกอะไรไว้ก่อน...พวกท่านห้ามแตะต้องน้ำในสระศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นอันขาดนอกเสียจากเทพแห่งกาลเวลาจะอนุญาต” จิรนาถกุมารเอ่ยต่อ

“ว่าแต่กุมารน้อย เจ้าจักบอกข้าได้หรือไม่เล่าว่าเทพกาลเวลาบัดนี้อยู่แห่งหนใด ทั้งที่จริงแล้วท่านก็น่าที่จักนิทราอยู่ในวิมานสถานแห่งนี้...” ชลันธรซักถาม ไม่แน่ว่ากุมารน้อยผู้นี้อาจจะช่วยเหลือตนได้

“ข้าบอกให้ก็ต่อเมื่อ…พวกท่านต้องบอกข้ามาก่อนว่าเหตุใดถึงต้องการพบท่านเทพณิชนิรันดร์ผู้เป็นนายของข้า”

“ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเจ้า…กุมารน้อย เจ้ามิจำเป็นต้องรู้ว่าข้ากับชลันธรต้องการพบเทพกาลเวลาเพราะเหตุใด เพียงแต่เจ้านำทางเราไปพบเทพกาลเวลาก็พอ...” นภนต์ตอบกลับไปเนื่องจากมิอยากจะเสวนาให้เสียเวลา

“เช่นนั้นข้าจะไม่บอกพวกท่านว่าเทพกาลเวลาอยู่แห่งหนใด” จิรนาถกุมารกอดอก ชำเลืองมองนภนต์พร้อมยิ้มเยาะ สร้างความไม่พอใจให้กับนภนต์เป็นอันมาก…‘ไอ้เด็กสามหาว’...

“ถ้าเราเล่าให้ฟังเจ้าจะพาเราไปหาเทพกาลเวลาจริงใช่หรือไม่” ชลันธรถาม มือเรียวกุมมือนภนต์เอาไว้ให้อารมณ์เสีย

“ข้าไม่โกหก…ข้าสัญญา” จิรนาถกุมารยืนยัน

ชลันธรจึงตัดสินใจเล่าเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ตนนั้นเป็นพระสมุทรเทวาที่โดนสาปไปเกิดเป็นมนุษย์เพื่อชดใช้กรรมตามโทษทัณฑ์ที่ก่อไว้ และการที่จะแก้คำสาปได้ชลันธรจักต้องหาหลักฐานเพื่อให้ตนพ้นมลทิน…นั่นก็คือขอร้องเทพกาลเวลาให้พาตนและนภนต์ผู้ซึ่งจะเป็นพยานหากได้ย้อนเวลาหาตัวผู้กระทำผิดที่บังอาจวางยาพระเทวีกวินตาผู้เป็นมารดาของเทพนภนต์

“ข้าเห็นใจท่านยิ่งนักที่โดนสาป หากท่านไม่ได้ทำผิดโดนใส่ร้ายจริง…เทพนภนต์ผู้นี้ช่างใจร้อน ใจดำที่จับตัวคนรักให้โดนลงทัณฑ์สถานหนัก…”

“ฟังเสร็จแล้วก็รีบบอกมาว่าเทพกาลเวลาอยู่แห่งใด มิใช่มาวิจารณ์นิสัยใจคอของข้า” นภนต์เอ่ยเสียงแข็งไม่พอใจที่โดนเด็กตัวไม่ถึงเอวมาพูดจาเยี่ยงนี้ใส่

“ใจร้อน…ใจร้อนเสียจริง” จิรนาถกุมารส่ายหน้านึกขำ เทพเวหาผู้นี้เป็นผู้เก่งกาจ รอบรู้ มีคุณธรรมแต่ข้อเสียนั้นก็คือความใจร้อน

“เจ้า!!!...ประเดี๋ยวโดนข้าตีก้นเป็นแน่”

“ข้าว่า...ท่านน่าจะเข้าไป...สงบสติอารมณ์...ในคุกนาฬิกาทรายของเทพกาลเวลาสัก 200 ปีนะ เผื่ออารมณ์ท่านจะเย็นลงบ้าง...”

“นี่เจ้าเด็กน้อย...มันจะมากไปแล้วนะ...”

“ท่านพี่นภนต์ก่อนใจเย็นเถิด ข้าขอร้อง” ชลันธรกอดแขนนภนต์ที่หงุดหงิดและทำท่าจะเดินไปตีกุมารน้อยตามที่ได้พูดเอาไว้ จิรนาถกุมารเองยืนนิ่งไม่ทุกข์ ไม่ร้อน ไม่กลัวนภนต์แม้แต่น้อย

“เอาเป็นว่าข้านั้นเห็นแก่อดีตพระสมุทรผู้น่าสงสารก็แล้วกัน...ส่วนเรื่องที่เทพท้องนภาจะตีข้า ข้าจะไม่ใส่ใจ ถือว่าแค่เสียงนกตัวน้อยๆ ขับขานบทเพลงให้ข้าฟังก็แล้วกัน…เอาเถิด ไหนๆ ท่านทั้งสองก็อุตส่าห์บากบั่นมาพบท่านเทพกาลเวลาถึงที่ กว่าจะมาถึงก็คงจะลำบากอยู่มิใช่น้อย...ข้าจะนำทางท่านทั้งสองไปหาเทพกาลเวลาเอง...” จิรนาถกุมารเอ่ยแล้วเดินนำนภนต์และชลันธรกลับเข้าไปในห้องบรรทมอีกครั้ง โดยทั้งสองนั้นเดินตามไปแต่โดยดี

“เจ้าอย่าเล่นตุกติก...เมื่อครู่ข้านั้นเดินมาสำรวจในนี้ไม่พบเทพแห่งกาลเวลาหรือใครอื่นเลย” นภนต์เอ่ย สีหน้าไม่สบอารมณ์คิดว่าตนนั้นเสียท่าโดนเด็กหลอกเสียแล้ว แถมยังโดนดูแคลนว่าคำพูดของตนเป็นเสียงนกตัวน้อยๆ ร้องเพลงอีก...

“นั่นไง..เทพกาลเวลา” จิรนาถชี้ไปยังผนังกระจกเงาบานใหญ่ ทั้งนภนต์และชลันธรมองไปยังกระจกก็ตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น กระจกเงาสะท้อนภาพของนภนต์ ชลันธรแต่มิเห็นจิรนาถ กลับมีภาพของบุรุษวัยกลางคน รูปร่างสูงโปร่ง เส้นผมหยักศกยาว แต่งกายเช่นเดียวกับกุมารน้อยมิผิดเพี้ยน

“หรือว่า..จิรนาถ….” ชลันธรพอจะเดาออกจึงหันกลับไปมองกุมารน้อย

“ใช่…ข้าคือเทพแห่งกาลเวลา นามที่แท้จริงคือ ณิชนิรันดร์…” จิรนาถกุมารเผยฐานะที่แท้จริงก่อนจะเดินไปนั่งที่อาสน์ของตน

“เชิญท่านทั้งสองนั่งตามสบาย” เทพณิชนิรันดร์ ผายมือเชื้อเชิญผู้มาเยือนให้นั่งบนอาสน์ตรงข้ามตน

“ข้าขออภัยที่ล่วงเกินท่านไม่ว่าจะเป็นวาจาหรือท่าทางก็ดี ข้ายินดีที่จะรับโทษ” พอนั่งลงเป็นที่เรียบร้อยนภนต์รีบกล่าวคำขอโทษผู้อาวุโสในร่างเด็ก

“มิเป็นไร ข้าบอกแล้วข้าไม่ถือสา...นานๆ ครั้งจะมีใครให้ข้าได้กวนประสาทเล่นก็สนุกดีมิใช่น้อย...” เทพณิชนิรันดร์เอ่ยอย่างอารมณ์ดี

“เหตุใดท่านถึงไม่แสดงตนออกมาเลยเล่าจะหลบซ่อนไปทำไม” นภนต์ถามต่อ

“ด้วยตัวข้านั้นต้องหลับใหลเป็นเวลานับพันปีเรื่องพวกนี้เจ้าน่าจะทราบก่อนที่จะมีที่นี่อยู่แล้ว... เพื่อมิให้ใครต้องรบกวนและเข้ามาวุ่นวายภายในวิมานของข้า ข้าจึงต้องย้ายวิมานมายังป่ากันติทัตแห่งนี้ แล้ววางกับดักกลไกไว้มากมาย... และข้าก็เพิ่งจะตื่นขึ้นมาก่อนหน้านี้ได้ไม่นานนัก การที่ข้านิทรานี้ส่งผลให้ร่างกายของข้ากลายเป็นเด็กน้อยและพลังยังไม่ฟื้นคืนมาเต็มที่ พอสักพักวิมานข้าก็โดนบุกรุกจึงจำเป็นหลบซ่อนก่อนเพราะเกรงว่าจะมีคนเข้ามาหมายทำร้ายข้า...” เทพณิชนิรันดร์ตอบกลับไป

“หากพลังของท่านยังฟื้นคืนมาไม่เต็มที่ เรานั้นจะไม่ขอรบกวนท่าน รอให้ท่านฟื้นคืนพลังเสียก่อน” ชลันธรเอ่ยด้วยความเกรงใจ

“ข้าพักผ่อนมานานแล้วอยากจะยืดเส้นยืดสายบ้าง อีกอย่างเพียงย้อนเวลาให้พวกท่านได้ตามตัวผู้ร้ายตัวจริงนั้นก็ไม่เหนือบ่ากว่าแรงข้าดอก...” เทพณิชนิรันดร์บอกกับทั้งสองด้วยท่าทางเป็นมิตร

“เราขอบน้ำใจท่านมาก…หากครั้งหน้ามีโอกาสเราทั้งสองจะตอบแทนคุณ” ชลันธรตื้นตันใจที่ได้รับการช่วยเหลือ ตาเรียวมองไปที่นภนต์ที่ยิ้มมาให้ตนอย่างยินดี เทพเวหาเองคงอยากจะลบรอยบาปในใจและตราบาปที่สร้างให้กับชลันธร…ในที่สุดคนรักก็ปราศจากมลทินเสียที

“เอาล่ะ เพื่อไม่เป็นการเสียเวลาอีก ข้าขอให้ท่านทั้งสองนอนลงบนแท่นหินขาวนี้เถิด แล้วตั้งสมาธิเพ่งจิตจงระลึกถึงวันเวลาที่ท่านต้องการย้อนไป... ไปยังช่วงเหตุการณ์ที่พวกท่านต้องการจะไป พวกท่านจะเป็นเพียงกายทิพย์ไร้ผู้คนพบเห็นและจงจำไว้ว่าพวกท่านมิสามารถเปลี่ยนแปลงอดีตได้ อย่าได้กระทำอันใดนอกเหนือจากมองดูรับรู้ความจริง” เทพกาลเวลาเอ่ย

“ตกลง ข้าทั้งสองจะทำตามที่ท่านแนะนำอย่างเคร่งครัด” ทั้งนภนต์และชลันธรทำตามไม่อิดออดรอช้สนอนราบลงไป ยังแท่นหินขาวมือสองประสานกันก่อนที่เปลือกตาจะปิดลง จิตใจมุ่งมั่นไปยังวันที่ชลันธรนำน้ำเกษียรสมุทรมอบให้พระเทวีกวินตา

เทพกาลเวลาเห็นว่าทั้งสองนั้นได้นอนและตั้งมั่นในสมาธิแล้ว จึงเสกคนโทน้ำใบหนึ่งถือออกไปตักน้ำสีเงินจากสระแล้วกลับเข้ามา มือข้างหนึ่งเสกกิ่งทับทิบแล้วจุ่มลงไปในน้ำศักสิทธิ์...‘ในนามแห่งเทพกาลเวลา…ขอให้สายน้ำศักดิ์สิทธิ์นี้จงนำทางให้บุรุษทั้งสองย้อนเวลากลับไปดั่งใจนึกด้วยเถิด’… สิ้นคำอธิษฐานเทพแห่งการเวลาใช้กิ่งทับทิมพรมน้ำศักดิ์สิทธิ์ทั่วทั้งสองร่างที่นอนสงบอยู่บนแท่นหินขาว

เมื่อหยดน้ำสีเงินสัมผัสลงผิวกาย นภนต์และชลันธรลืมตาขึ้นมาพบว่ามีประตูที่แสงสว่างสาดส่องเข้ามาเพียงหนึ่งบานท่ามกลางความมืดมิด ร่างสูงสัมผัสได้ถึงความประหม่าผ่านแววตาของคนข้างกาย

“ชลันธร…อยู่กับพี่...ไม่มีเรื่องอันใดต้องกลัว” นภนต์เอ่ยให้กำลังใจตามด้วยจูงมือพาชลันธรเดินผ่านประตูเข้าไป



ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.29 P.10 (03/10/2560)
«ตอบ #279 เมื่อ03-10-2017 06:07:59 »

(มีต่อ)


“นี่มัน…ห้องบรรทมของข้า” ชลันธรพึมพำออกมา ไม่นานประตูห้องได้เปิดออกมา ปรากฏร่างของชลันธรในอดีตนุ่งผ้าแพรและมีผ้าผืนบางคลุมกายท่อนบนไว้ ในหัตถาทั้งสองถืออ่างใส่น้ำเกษียรสมุทร

‘ชลันธรไยเจ้าแต่งกายเช่นนี้…เสร็จภารกิจพี่จะลงโทษเจ้าให้หนักจักได้เข็ดหลาบ’ นภนต์คิดพร้อมส่งสายตาดุหาคนรักที่ยิ้มเล็กน้อย ชลันธรรู้ตัวว่าทำให้นภนต์คงไม่พอใจเสียแล้ว

“อัมพุชา…ช่วยจัดเครื่องทรงให้ข้าด้วย วันพรุ่งข้าจะออกจากวิมานเสียหน่อย” ชลันธรในอดีตนั่งลงบนแท่นบรรทมเอ่ยกับนางกำนัลคนสนิทพร้อมวางอ่างน้ำไว้บนโต๊ะที่อยู่ใกล้ เสียงหวานเมื่อครู่ทำให้นภนต์และชลันธรมองด้วยความสนใจ

“ท่านชลันธรจะออกไปซุกซนแห่งหนใดอีกเล่า ยังมิใช่คืนวันเพ็ญมิใช่หรือ” อัมพุชาผู้เป็นเพื่อนเล่นของชลันธรในวัยเยาว์ที่สนิทสนมจนกล้าเอ่ยถามเชิงหยอกล้อกับพระสมุทรผู้นี้ได้

“เรามิได้ซุกซนดั่งคำที่เจ้ากล่าวหา เราจะนำน้ำเกษียรสมุทรไปให้พระเทวีกวินตาต่างหากเล่า...” ชลันธรตอบ ใบหน้าบึ้งตึงที่อัมพุชารู้ว่าตนแอบหนีออกจากวิมานทุกคืนวันเพ็ญ

“ข้าขออภัยที่เข้าใจท่านผิด ปกติข้าเห็นท่านแอบหนีออกไปตลอดจนข้าคิดว่าท่านไปเกี้ยวสตรี เอ๊ะ!! เยี่ยงนี้วิมานของเราจักมีพิธีมงคล” อัมพุชายิ้มแย้มออกมาทันที ผิดกับชลันธรที่เริ่มจะกลัวนางปลาตรงหน้าเสียแล้วที่รู้เสียไปหมดทุกเรื่อง ผิดแค่ตนมิได้เกี้ยวสาวหากโดนเกี้ยวเสียเองจากเทวารูปงาม

“เราหาได้มีสตรีที่ไหนดอก แต่ที่เราออกไปทุกคืนวันเพ็ญนั้นเพราะว่าเราอยากจะพักผ่อนเพราะทุกวันนี้เราปกครองผืนสมุทรให้อยู่อย่างสงบร่มเย็นมิเคยบกพร่อง บางเวลาเรานั้นรู้สึกเหนื่อยจึงอยากออกไปสำราญใจบ้างก็เท่านั้น....” ชลันธรพูดแก้ต่าง

“แล้วท่านจะไปที่ใดกันเล่าข้าจะได้จัดอาภรณ์ เครื่องทรง เครื่องประดับได้ถูกต้อง”

“วิมานแห่งเทพท้องนภา…เทพนภนต์” ชลันธรตอบ

“วิมานเทพแห่งท้องนภา…เหตุใดท่านถึงที่นั่นเล่า” อัมพุชาถามต่อ

“ข้าจะนำน้ำเกษียรสมุทรไปให้ท่านน้ากวินตามารดาของเทพนภนต์และยังเป็นสหายเก่าของท่านแม่ข้าอีกด้วย ทราบจากเทพนภนต์ว่ากำลังประชวร ข้าจึงอยากไปเยี่ยมเพียงเท่านั้น” ชลันธรตอบพร้อมปรายตามองไปยังน้ำสีน้ำนมขาวใส

“ให้มันจริงเถิด มิใช่ว่าอยากนำน้ำเกษียรสมุทรไปเป็นของกำนัลให้หญิงสาวอื่นหรือเอาไปสู่ขอบุตรสาวเทพองค์ไหนมาเป็นพระชายา...” อัมพุชาเอ่ยน้ำเสียงหยอกล้อ โดยมิรู้ว่านภนต์ที่เฝ้าดูเหตุการณ์ต้องใช้หัตถาปิดปากกลั้นหัวเราะ…อัมพุชาเหมือนจะเดาถูกยกเว้นชลันธรไม่ได้ไปขอชายา แต่จะเป็นชายาของเทพเวหาเสียเอง

‘ท่านพี่ไม่ต้องมาหัวเราะเยาะข้าเลยนะ!’ ชลันธรอยากจะหยิกแขนนภนต์ยิ่งนักที่ขบขันตน แต่อยู่ในห้วงอารมณ์นั้นได้ไม่นานนัก สมาธิก็ต้องกลับมาจับจ้องอยู่กับเหตุการณ์ตรงหน้าอีกครั้ง

“เราง่วงนอนแล้ว เจ้าออกไปเถิดเราไม่อยากถูกครหาว่าเป็นคนรักของเจ้า…เราจะเสียหาย” ชลันธรแสร้งหาวซ้ำยังพูดจาแกล้งสหายนางปลาของตน

“ท่านชลันธร คนเสียหายมันต้องเป็นข้าสิ!!!” อัมพุชาหน้านิ่วคิ้วขมวดที่โดนแกล้งกลับ ก่อนจะเดินออกไปนอกห้องเพราะไม่อยากจะรบกวนชลันธรต่อ

เมื่อบานประตูปิดลงอย่างสนิท พระสมุทรรูปงามเอนกายลงนอนบนแท่นบรรทมแล้วเข้าสู่ห้วงนิทราในทันที ทางด้านนภนต์และชลันธรได้เฝ้ามองผู้หลับใหลรวมไปถึงอ่างบรรจุน้ำเกษียรสมุทรที่วางอยู่ใกล้กัน จนกระทั่งเวลาผ่านไปนานก็หาได้มีสิ่งผิดปกติใดเกิดขึ้น

“พระสมุทร…พระสมุทรชลันธร!!!” นางกำลันต้นห้องเรียกชลันธรอยู่ที่หน้าประตูห้องบรรทม เสียงดังก้องปลุกให้ชลันธรตื่นขึ้นมา

“มีเรื่องอันใดหรือ ...ถึงได้ปลุกเรายามวิกาล...หากมีเรื่องด่วนก็เข้ามาแจ้งให้เราทราบบัดเดี๋ยวนี้” ชลันธรลุกขึ้นนั่งลงเรียกนางกำลันต้นห้องให้เข้าพบ ก็คงจะมีเรื่องคอขาดบาดตายเป็นแน่ถึงได้กล้าปลุกในเวลาบรรทมเช่นนี้  แต่ที่น่าแปลกใจ ไม่เพียงแต่นางกำลันต้นห้องที่เข้ามากลับที่นายทหารนายหนึ่งเข้ามาด้วย...ซ้ำใบหน้าแสดงถึงความวิตก ท่าทางดูลุกลี้ลุกลนเสียเหลือเกิน

“พระสมุทร เกิดเรื่องใหญ่แล้ว…มีอสูรร้ายเข้ามารุมขุดกินซากศพ ณ สุสานของเหล่าบริวารทั้งหลาย รวมถึงจักบุกเข้าไปยังสุสานหลวงของเหล่าพญานาคแล้ว” ไม่รอให้ชลันธรเอ่ยถามหรืออนุญาตให้พูด นายทหารก็รายงานเหตุร้ายที่เกิดขึ้นในทันที

“แล้วท่านแม่ทัพสมุทรส่งทหารของเราออกไปรับมือพวกนั้นกันแล้วหรือยัง”

“บัดนี้ท่านแม่ทัพสมุทรได้นำทัพออกไปสู้รบแล้วแต่พวกมันมีจำนวนมากและดุร้ายเหลือเกิน แม้แต่พญานาคชั้นสูงยังแทบต้านไม่อยู่ ข้าจึงต้องมาเรียนให้พระสมุทรทราบเพื่อที่จะได้ออกไปสู้กับพวกมัน”

“ถึงเจ้าไม่ขอให้เราออกไป…เราก็จะไปรบเพื่อปราบอสุรกายพวกนี้อยู่ดี” ชลันธรพูดจบก็มุ่งหน้าไปยังสุสานทันทีเพื่อขจัดเหล่าอสุรกายร้ายที่บังอาจทำลายความสงบสุขใต้มหาสมุทร

เพลานี้ภายในห้องนอกจากนภนต์และชลันธรแล้วก็หาได้มีสิ่งมีชีวิตอื่น รวมถึงอ่างน้ำเกษียรสมุทรที่ยังวางอยู่ที่เดิม…วางอยู่ในที่แจ้งเสียด้วย

“หากเจ้าออกไปรบแสดงว่าน้ำเกษียรสมุทรมิได้ตกอยู่ในสายตาเจ้าเสียแล้ว เช่นนี้ผู้ร้ายตัวจริงมันจะต้อง…”

ไม่ทันขาดคำกลุ่มฟองน้ำใสกลุ่มหนึ่งได้ลอยเข้ามาวนเวียนอยู่รอบอ่าง ก่อนจะแตกกระจายมากมายแล้วเกาะกลุ่มรวมร่างเป็นบุรุษสูงใหญ่ท่าทางองอาจ ยืนจ้องมองน้ำในอ่างพร้อมกับเผยรอยยิ้มสุดแสนจะเย้ยหยัน

.

.

.



…‘นั่นมัน....พระปิตุลากนธี’...





















...........................

ตอนนี้อาจจะดูเนือยๆ เฉื่อยๆ ไร้ความตื่นเต้น แต่ก็สำคัญนะจ๊ะ เจอทั้งเทพกาลเวลาที่แสนจะกวน...เบื้องล่าง แถมดูออกว่าพ่อพระเอกแสนใจร้อน fc. เทพกาลเวลาค่ะ

และตอนนี้ต่างย้อนอดีตกันแล้ว ย้อนกันแล้ว...ว๊าย!!!! และผู้ที่ปรากฎกายคือสุดหล่อของท่านยุ่ง อิอิ ป๋ากนธี

มีหลายคนคิดถึงป๋ากนธีวันนี้ป๋าปรากฎกาย หายคิดถึงป่ะ ห้ามกระทืบป๋านะ ท่านยุ่งปกป้อง 555



สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกคนนะคะทั้งอ่านเม้นให้กำลังใจ รักนะ จุ๊บ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.29 P.10 (03/10/2560)
« ตอบ #279 เมื่อ: 03-10-2017 06:07:59 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.29 P.10 (03/10/2560)
«ตอบ #280 เมื่อ03-10-2017 08:49:21 »

รอตอนต่อไป~

ออฟไลน์ kinjikung

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2940
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +163/-8
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.29 P.10 (03/10/2560)
«ตอบ #281 เมื่อ03-10-2017 09:45:26 »

เจอเทพกาลเวลาซักที ชอบที่เทพกาลเวลาว่าเทพนภนต์ 555+

ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.29 P.10 (03/10/2560)
«ตอบ #282 เมื่อ03-10-2017 21:31:20 »

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.29 P.10 (03/10/2560)
«ตอบ #283 เมื่อ03-10-2017 22:26:01 »

ที่จริงก็ควรจะเดาได้ตามหลัก ถ้าเจ้าสมุทรชลันธรมีอันเป็นไป ใครจะได้ผลประโยชน์มากที่สุด (นิยายสืบสวนก็มา)

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.29 P.10 (03/10/2560)
«ตอบ #284 เมื่อ03-10-2017 22:56:02 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ moodyfairy

  • สวย อร่อย ย่อยง่าย :)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 693
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.29 P.10 (03/10/2560)
«ตอบ #285 เมื่อ04-10-2017 18:47:24 »

คือชอบอ่าาาาาาา ชอบมากๆๆๆๆๆเลยยยยย ตามอ่านจนทันจนไม่เป็นอันทำงานทำการ :hao7:
รอนะจ๊าาาา รอๆๆๆๆๆ :z2:

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.29 P.10 (03/10/2560)
«ตอบ #286 เมื่อ04-10-2017 20:54:08 »

 :pig4:

ออฟไลน์ HISY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.29 P.10 (03/10/2560)
«ตอบ #287 เมื่อ04-10-2017 23:46:53 »

อิป๋าโผล่มาและ

ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.29 P.10 (03/10/2560)
«ตอบ #288 เมื่อ05-10-2017 12:06:21 »



สาปรัก…ทัณฑ์เทวา

Writer : Tan-Yung 0209

File : 29













เรื่องราวที่เข้ามาในชีวิตนั้นมีนับร้อยนับพันหลากหลาย เฉกเช่นเดียวกับผู้คนที่เข้ามาในชีวิตมีทั้งผ่านมาเพียงรู้จักแล้วจากลา มีทั้งเข้ามาสร้างความสุขให้กับเราจนก่อเกิดมิตรภาพและความรัก แต่ทว่าบางคนนั้นกลับเข้ามาสร้างบาดแผลกรีดลึกที่ขั้วหัวใจ

“พระปิตุลากนธี...”

ใครจะคิดว่าผู้ที่ชลันธรเห็นมาตั้งแต่วัยเยาว์ ผู้ที่เคยใช้มืออุ้มชูชลันธร สองกรที่เคยกอดตนผู้เป็นหลานด้วยความรัก รอยยิ้มที่เคยมอบให้สร้างความไว้เนื้อเชื้อใจให้กับผู้พบเห็น กลับกลายเป็นผู้ร้ายนำภัยมาให้…ชลันธรแทบจะล้มทั้งยืนเมื่อเห็นพระปิตุลาที่ตนยกย่องกำลังเทของเหลวที่มีพิษจากขวดจิ๋วลงในอ่างเกษียรสมุทร

“เพียงเท่านี้ชลันธรก็จักหลุดพ้นจากจากการเป็นเทวาและถูกปลดจากบัลลังก์มหานที…ผู้ที่จักเป็นพระสมุทรต้องเป็นข้าเท่านั้นรวมถึงดวงใจพระสมุทร…ต้องเป็นข้าเพียงผู้เดียว” กนธีวาดฝันแสนหวาน ความฝันที่จะกลายเป็นจริงในอีกไม่ช้า ไม่สิ…ต้องเรียกว่าผลของการพยายามสร้างสถานการณ์เสียมากกว่า กนธีนั้นได้เรียกเหล่าสัมภเวสีจากผืนทรายใต้นทีให้ฟื้นขึ้นมาเป็นอสูรร้าย เพื่อให้เหล่าทหารตั้งรับไม่ทัน ไหนจะกำกับเวทให้พวกมันนั้นมีฤทธิ์แกร่งกล้าจนชลันธรต้องออกโรงเอง กนธียกยิ้มกับความฉลาดของตนขณะรอให้ยาพิษหยดสุดท้ายหยดลงไปในอ่าง

‘ตึ๋ง’ เสียงยาพิษหยดสุดท้ายที่ไร้สีไร้กลิ่นถูกผสมลงไปในน้ำเกษียรสมุทร กนธีเก็บขวดไว้กับตน จากนั้นแปลงกายเป็นฟองน้ำลายละล่องออกไปจากห้องบรรทมของชลันธร

“ท่านพี่ข้าไม่นึกเลยว่าท่านอากนธีจะเป็น…ฮึก…หากแต่ท่านอาประสงค์บัลลังก์ข้า ต้องการเป็นใหญ่ในห้วงสมุทรนี้ไยถึงไม่บอกกับข้าดีๆ เล่า ถ้าเป็นท่านอาข้ายินดีจักยกบัลลังก์ให้...” ชลันธรสุดกลั้นกลืนจนกรรแสง นภนต์ดึงกายบางที่สั่นไหวไปตามแรงสะอื้นเจ้ามากอด ชลันธรกำลังเสียใจที่ถูกผู้เป็นอาที่มิอาจนึกว่าจะสามารถหักหลังกันได้ แต่ทว่านภนต์นั้นขบฟันสะกดกลั้นความโกรธเกรี้ยวที่กนธีนั้นทำร้ายชลันธรและดึงมารดาของตนมารับเคราะห์ร้ายจากพิษนี้ด้วย แต่สิ่งเลวร้ายที่สุดคือชลันธรนั้นถูกสาปให้เวียนว่ายตายเกิดทุกข์ทรมานในโลกมนุษย์อยู่สามร้อยชาติ

“ถึงเราจักย้อนเวลาตามหาความจริงได้ แต่เรานั้นมิอาจทำการอันใดเพื่อแก้ไขอดีตได้…ช่างน่าเจ็บใจยิ่งนัก” นภนต์เอ่ย หากสามารถแก้ไขได้ นภนต์จะไม่รีรอโยนอ่างน้ำเจือยาพิษนี้ทิ้งเสีย

“แย่แล้ว สร้อยข้อมือของข้า…ตกอยู่ในห้องบรรทมของพระสมุทรเป็นแน่” เสียงโหวกเหวกดังอยู่หน้าห้องก่อนที่บานประตูจะถูกเปิดออกอีกครั้ง นางปลาอัมพุชาผู้รับใช้พระสมุทรเดินเข้ามา แล้วก้มหาสร้อยที่ทำจากกัลปังหาโดยที่คนรักเป็นผู้มอบให้ อัมพุชาจึงร้อนรนนัก เพราะถ้าหายไปคงมิเป็นการดีแน่

“อ่ะ!!...ตกอยู่ตรงนี้นี่เอง” อัมพุชาหยิบสร้อยที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมา ด้วยความเร่งรีบจึงไม่ได้ระวัง เป็นเหตุให้บั้นท้ายชนเข้ากับโต๊ะที่วางอ่างใส่น้ำเกษียรสมุทร

‘เคร้ง!!’ เสียงอ่างเคลือบตกลงมา มือเรียวคู่งามพยายามจะรับไว้แต่มิอาจจะรับไว้ได้ทัน อ่างจึงร่วงลงกระทบพื้นแตกกระจาย น้ำเกษียรสมุทรเจือพิษไหลหกนองพื้น

“แย่แล้ว…โธ่ อัมพุชาไยเจ้าสะเพร่าเช่นนี้” อัมพุชาบ่นกับตัวเองแล้วก็เร่งเก็บกวาดทำความสะอาดมิให้เหลือหลักฐานท่ามกลางสายตาของนภนต์และชลันธร

…‘น้ำที่ผสมพิษอัมพุชาได้ทำหกหมดแล้วกระนั้นหรือ’...

“โชคดีเสียจริงที่พระสมุทรชลันธรไม่อยู่ ข้าจะได้นำน้ำเกษียรสมุทรมาใหม่” อัมพุชาคิดได้ดังนั้นจึงรีบออกจากห้องไป โชคดีที่องครักษ์เวรยามเหลือน้อยการเฝ้าระวังจึงหละหลวม จนไม่ทันสังเกตว่าอัมพุชาลอบเข้าออกในห้องบรรทมของชลันธรอีกครั้ง นภนต์เองให้ชลันธรรออยู่ในห้องส่วนตนนั้นจะตามไปดูอัมพุชา เผื่อว่านางจะเป็นผู้ลอบวางยาพิษ

นภนต์จับตามองอัมพุชาที่ไปนำน้ำเกษียรสมุทรกลับมายังห้องบรรทมของชลันธรอีกครั้ง ระหว่างนั้นก็ลอบสังเกตท่าทางอัมพุชา ซึ่งไม่มีสิ่งผิดปกติแต่อย่างใด จนกระทั่งนางปลานำอ่างน้ำแบบเดียวกับที่แตกวางไว้ดังเดิมแล้วรีบออกจากห้องไป

“อัมพุชาไม่ได้นำพิษหรือะไรใส่ลงไปแม้แต่น้อย...” นภนต์บอกกับชลันธรเมื่อเห็นว่าหญิงสาวออกไปนอกห้อง

“ข้าเองก็คิดเช่นนั้นว่าอัมพุชามิมีทางทำเรื่องเลวร้ายได้…ใครกันนะที่เป็นผู้วางยาพิษ” ชลันธรคิดหนัก กนธีแม้จะวางยาก็จริงแต่น้ำเกษียรสมุทรถูกอัมพุชาทำหกไปเสียแล้ว เท่ากับว่าพิษจากกนธีไม่ได้ทำให้พระเทวีกวินตาผู้เป็นมารดาคนรักทุรนทุรายอย่างทรมาน

“อีกไม่นานดอก…ชลันธร เราจักได้รู้ว่าผู้ใดเป็นผู้ร้ายตัวจริง”

ใช่แล้ว… อดีตพระสมุทรอดทนรอมาถึง ๒๙๙ ชาติจนมาถึงในชาติที่ ๓๐๐ นี้ อีกไม่นานความจริงจะปรากฏ รอยมลทินที่ชลันธรได้รับจะถูกชำระล้างเผยความจริงที่ถูกปกปิดเอาไว้ เพลานี้ทั้งนภนต์และชลันธรคงทำได้เพียงแค่รอ หากคำว่ารอและใจเย็นคือหนทางที่ดีที่สุดที่ทั้งสองจะทำได้

ยามอรุณรุ่นเยี่ยมเยือนอีกครั้งให้รู้ว่าเวลาได้เดินหน้าไปอีกวัน ชลันธรที่ออกไปรบได้กลับมาในสภาพอิดโรยเนื่องจากตรากตรำทำศึกกับอสุราทั้งหลาย …‘น่าประหลาดที่อยู่ๆ มีอสูรร้ายมากมายบุกเข้ามาถึงในเขตสุสานหลวงราวกับว่ามีใครคอยบงการ’… แม้จะฉุกคิดขึ้นมาแต่สุดท้ายชลันธรมิได้ใส่ใจในเมื่อตนและทหารปราบเหล่าอสูรจนสิ้นซาก เวลานี้ชลันธรต้องการพักผ่อนเอาแรงมากกว่า ร่างบางประทับลงบนแท่นศิลาประดับมุกแล้วเอนกายแนบชิดอิงหมอน

“พระสมุทร...ข้าอัมพุชาขออนุญาตเข้าเฝ้า” เสียงเจื้อยแจ้วดังมาจากอีกฝั่งของบานประตู อัมพุชาที่ตื่นเช้าได้นำเครื่องทรงมาให้พระสมุทรเทพ

“เข้ามา” ชลันธรเอ่ยเสียงไม่ดังมากนักแต่ก็พอที่จะทำให้หญิงสาวได้ยิน อัมพุชาพอได้รับอนุญาตจึงนำเครื่องทรง เครื่องประดับที่จัดใส่พานถือเข้ามาให้ผู้เป็นเจ้าของแต่พอเข้ามากลับเห็นสีหน้าของชลันธรมิสู้ดีนัก

“ท่านชลันธร…ท่านได้รับบาดเจ็บหรือ” อัมพุชาซักถามด้วยความเป็นห่วงพระสมุทรผู้เป็นนาย

“เรามิได้บาดเจ็บอันใด เพียงแต่เรานั้นอ่อนเพลียเท่านั้น” ชลันธรตอบ อัมพุชาแนบมือทาบอกอย่างโล่งใจที่ชลันธรมิได้เป็นอะไร

“ถ้าเช่นนั้นข้าว่าท่านนั้นพักผ่อนเสียเถิด แล้ววันพรุ่งท่านค่อยไปวิมานของเทพเวหาจะเป็นการดีกว่า” อัมพุชาเสนอขึ้น ไม่อยากให้ชลันธรฝืนกายไปเกรงว่าจะล้มป่วยขึ้นมาจริงๆ

“เราไม่เป็นอันใดมากเจ้าอย่าได้กังวลไปเลย เราแค่นำน้ำเกษียรสมุทรไปให้ท่านน้ากวินตา เพียงไม่นานก็กลับ” ชลันธรเอ่ย โดยไม่รู้ว่าตนจะไม่ได้กลับมายังวิมานมุกสีครามนี้อีก

“หากท่านปรารถนาเช่นนั้นข้าเองก็ไม่ขัด” อัมพุชารู้ดีว่าพระสมุทรนั้นดื้อขนาดไหน เมื่อตัดสินใจอะไรไปแล้วยากที่จะเปลี่ยนใจ

“เยี่ยงนั้นเจ้าจงออกไปบอกเหล่าทหารให้เตรียมตัว เมื่อเราจัดการตนเองเสร็จแล้วจะเดินทางไปยังวิมานของเทพแห่งท้องนภาทันที” ชลันธรเอ่ย อัมพุชาน้อมรับคำสั่งแล้วออกไปแจ้งเหล่าทหารให้เตรียมจัดขบวน

ชลันธรชำระล้างคราบเลือดที่เปรอะเปื้อนกายจนผิวขาวดั่งไข่มุกนั้นกลับมาเช่นเดิม เมื่อสรงน้ำเสร็จเจ้าของผิวงามก็รีบจัดแจงแต่งกายด้วยพัตราภรณ์สีขาวปักดิ้นสีน้ำเงินเข้มที่ชายผ้าและภูษาสีคราม ปิดท้ายเครื่องประดับยศทั้งศิราภรณ์และถนิมพิมพาภรณ์อย่างสังวาลย์ ธำมรงค์ประจำกายกำไลข้อเท้า ทุกอิริยาบถตกอยู่ในสายตาของเทพแห่งท้องนภาที่คอยกลืนน้ำลายยามเห็นผิวกายขาวเนียน

“ไม่มีสิ่งผิดปกติกับน้ำเกษียรสมุทรเลย” ชลันธรที่เฝ้าดูอ่างใส่น้ำเกษียรสมุทรเอ่ยขึ้นมาพร้อมมองคนรักที่หาได้สนใจอ่างน้ำไม่ แต่มัวสนใจอยู่กับกายตนในอดีต

“ท่านพี่นภนต์!!...จ้องอันใดนักหนา ฮึ้ย!! หน้าสิ่ว หน้าขวานยังจะมา...” ชลันธรเอ็ดคนรัก ใบหน้างามตรงกลางหว่างคิ้วนั้นขมวดมิพอใจ

“พี่ขอโทษแต่กายเจ้าช่างยั่วยวนยิ่งนักจนพี่ละสายตาจากเจ้ามิได้” นภนต์เอ่ยสำนึกผิด

“ข้าให้อภัยก็ได้แต่จากนี้ไปท่านพี่ต้องไม่วอกแวกอีกนะ” ชลันธรเอ่ย นภนต์พยักหน้าตกลง

เทวัญผู้เป็นใหญ่ในมหาสมุทรทรงเครื่องอาภรณ์งามกว่าใครจะเทียบได้ เมื่อเสร็จสิ้นก็เยื้องย่างออกจากห้องบรรทมเพื่อเข้าร่วมกับขบวน หากได้พบกับกนธีผู้เป็นพระปิตุลาที่ยืนอยู่หน้าประตูพอดีเสียก่อน

“พระสมุทรชลันธรจะเดินทางไปแห่งหนใด ถึงได้ให้เหล่าทหารรวมถึงนางกำนัลทั้งหลายจัดเตรียมขบวนเดินทาง” กนธีแสร้งถามทั้งที่สืบทราบมาว่าชลันธรนั้นจะไปวิมานของเทพแห่งท้องนภา

“ตัวเรานั้นจะเดินทางไปหาท่านน้ากวินตาอ่อ..ท่านอาอย่าได้เรียกเราเช่นนี้เลย โปรดเรียกข้าเฉกเช่นหลานตัวน้อยดั่งเก่าจะดีกว่า” ชลันธรเอ่ยออกมาด้วยไมตรี รอยยิ้มหวานถูกส่งไปให้กับผู้เป็นพระปิตุลา

“ถ้าเช่นนั้นหลานจงระวังตัวไว้ให้ดี อานั้นเป็นห่วงเจ้าด้วยเจ้านั้นไม่ประสีประสากับโลกที่อยู่เหนือพื้นน้ำ อีกทั้งราตรีที่ผ่านมาหลานนั้นสู้รบกับเหล่าอสุรกาย อาเกรงว่าเจ้าจะเจ็บไข้เสีย” กนธีเอ่ยด้วยท่าทางแสดงความเป็นห่วงหากชลันธรสังเกตสักนิดจะเห็นความชั่วร้ายในแววตาของกนธี

“หลานขอบน้ำใจท่านอาที่หวังดีและเป็นห่วงหลานเสมอมา” ชลันธรโค้งคำนับอย่างอ่อนน้อม ถึงจะยิ่งใหญ่รั้งตำแหน่งพระสมุทร ชลันธรยังคงอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่ดี อาจจะดูอ่อนแอ แต่ชลันธรเก่งกาจทั้งการปกครองและการรบไม่แพ้ใคร

“ชลันธรหลานอาเร่งเดินทางเถิด อาจะไม่รบกวนเจ้าแล้วประเดี๋ยวจะล่าช้าเสีย” กนธีพูดส่งท้ายสายตาจับจ้องไปที่ชลันธรที่ถืออ่างน้ำสีขาวนวล

…‘ลาก่อนชลันธรหลานรัก…ของอา’...

ขบวนของพระสมุทรชลันธรแหวกมหาสมุทรขึ้นสู่ห้วงนภากาศแสนกว้างใหญ่ ร่างบางนั่งบนหลังของกุญชรวารีซึ่งเป็นสัตว์พาหนะ ในมือทั้งสองถืออ่างน้ำเกษียรสมุทรด้วยตนเอง มิยอมให้ผู้ใดแตะต้อง เหล่าทหารคอยดูแลอารักขาไม่ห่าง รวมถึงนางมัจฉาทั้งหลายที่มีอัมพุชาเป็นผู้นำคอยถือเครื่องหอมและกลีบมาลาโปรยปรายหอมตลบอบอวนตลอดเส้นทาง จนกระทั่งมาถึง…วิมานสีทองของเทพแห่งท้องนภา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-10-2017 00:07:49 โดย TanYung0209 »

ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.29 P.10 (05/10/2560)
«ตอบ #289 เมื่อ05-10-2017 12:07:24 »

(ต่อ)


“พระสมุทรชลันธร” เหล่าทหารต่างทำความเคารพแก่ผู้มาเยือน

“ลุกขึ้นเถิด เจ้าจงไปแจ้งให้พระเทวีกวินตาทราบเถิดว่าเรานั้นต้องการเข้าพบ” ชลันธรเอ่ย นายทวารรับคำสั่งจึงนำความเข้าไปแจ้งแก่พระเทวีกวินตา ไม่นานนางอัปสรผู้รับใช้จึงออกมาพร้อมกับทวารบาล

“พวกข้าต้องกราบขออภัยพระสมุทรด้วย ที่เป็นฝ่ายออกมาเชิญท่านไปยังด้านในแทนพระเทวีกวินตาที่กำลังป่วย” นางอัปสรผู้รับใช้นางหนึ่งเอ่ย ด้วยผู้อยู่ตรงหน้านั้นมีบรรดาศักดิ์สูงส่งเสียเหลือเกิน การต้อนรับที่ไม่สมเกียรติ์อาจจะโดนกล่าวหาว่าลบหลู่ก็เป็นได้

“มิเป็นไร…เรารู้อยู่แล้วว่าพระเทวีนั้นไม่สบาย อย่าได้เสียเวลาเลยจงนำทางเราไปพบพระเทวีเถิด” ชลันธรเอ่ย ก่อนจะหันไปสั่งการกับข้าราชบริพารของตนให้รออยู่ที่หน้าประตู

พระสมุทรคนงามถืออ่างน้ำเกษียรสมุทรเข้าไปด้านใน ด้วยใจหวังว่าน้ำนมมหาสมุทรนี้จะช่วยรักษาอาการป่วยให้พระเทวีกวินตารวมถึงรักษาแผลใจระหว่างพระเทวีกวินตาและพระเทวีชโลธรผู้เป็นมารดาของตน ที่มีเหตุขัดข้องใจกันจนมิมองหน้าสบตาจวบจนถึงบัดนี้ ถ้าจะกล่าวให้ถูก…มีแต่ผู้เป็นแม่ของนภนต์เท่านั้นที่คับแค้นใจ

“ท่านน้ากวินตา”

พอเข้ามาถึงส่วนรับรอง ชลันธรก็เอ่ยทักหญิงงามที่นั่งเอนพิงหมอนอยู่บนแท่นอาสน์ พระเทวีกวินตาแม้จะเจ็บป่วยแต่เค้าโครงความงามนั้นมิได้ลดน้อยถอยลงเลย สมคำร่ำลือว่างามล้ำเกินกว่าผู้ใดในวัยเดียวกัน

“พระสมุทรชลันธร ข้าขออภัยด้วยที่ไม่ได้ไปต้อนรับท่านที่หน้าวิมาน เชิญท่านประทับลงเถิด” พระเทวีกวินตารีบลุกขึ้นนั่งเมื่อมีผู้มาเยือน

“ท่านน้าตามสบายเถิด เราต่างหากต้องขออภัยที่มารบกวนท่านน้าเช่นนี้ เรานั้นได้ยินมาว่าท่านน้าป่วยจึงได้นำน้ำเกษียรสมุทรมามอบให้ แม้จะไม่ได้ทำให้เป็นอมตะดุจดั่งน้ำอมฤตแต่น้ำนมมหาสมุทรนี้จะช่วยให้ท่านน้านั้นหายจากอาการป่วยที่รุมเร้าได้” ชลันธรเอ่ยพร้อมวางอ่างน้ำไว้บนโต๊ะใกล้กับแท่นประทับของพระเทวีกวินตา

“ข้าขอบน้ำใจท่านมากที่นำสิ่งมีค่ามามอบให้เช่นนี้ ข้านั้นมิรู้จะตอบแทนเช่นไร”

“หากท่านน้าจะตอบแทนข้า ขอแค่ท่านน้าพูดคุยหรือรู้สึกกับข้าเฉกเช่นข้านั้นเป็นลูกเป็นหลานคนหนึ่ง และขออย่าได้แค้นเคืองใจเรื่องระหว่างท่านน้ากับท่านแม่ของข้าอีกเลย ท่านน้าจะทำให้ได้หรือไม่”

“หากเป็นเรื่องแรกข้าทำให้เจ้าได้พระสมุทรชลันธร แต่เรื่องที่สองข้านั้นคงทำให้เจ้าไม่ได้ เนื่องจากข้าหาได้แค้นเคืองใจแม่ของเจ้าไม่ ทุกอย่างที่เจ้านั้นได้ยินคงจะเป็นเพียงข่าวลือ” พระเทวีกวินตาเอ่ยออกมา ทำให้ชลันธรใจชื้นขึ้นมาบ้างแต่ก็มิอาจจะเบาใจได้ทั้งหมด

“ข่าวลือเรื่องท่านแม่ของข้ากับท่านน้าชโลธรกระนั้นหรือ…ใช่เรื่อง…”

“ใช่แล้วท่านพี่…เรื่องที่แพร่สะพัดราวกับไฟลามทุ่งแม้เราจะไม่รู้เบื้องลึกว่าเป็นอย่างไรก็ตามทีแต่เป็นเรื่องที่ทำให้ข้านั้นต้องไปปรึกษารพีพงศ์” ชลันธรบอกกับนภนต์ที่คอยฟังบทสนทนาระหว่างพระสมุทรคนรักและมารดาของตนเอง ก่อนจะกลับไปสนใจเหตุการณ์ตรงหน้าต่อ ทั้งยังคอยดูว่ามีสิ่งผิดปกติเข้าใกล้อ่างน้ำเกษียรสมุทร

“เราดีใจเหลือเกินว่าเรื่องที่เคยได้ยินนั้นเป็นเพียงข่าวลือ” หัวใจเต้นดั่งลิงโลด ความสุขล้นออกมาผ่านรอยยิ้มหวาน เช่นนี้แล้วอุปสรรคที่มีผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างชลันธรและนภนต์คงจะมีโอกาสไปในทิศทางที่ดีขึ้น

“เราทราบมาว่าท่านนภนต์นั้นไปปราบกบฏมิทราบว่าจักเป็นเช่นไรบ้าง” ชลันธรได้ทีซักถามถึงคนรักที่พักนี้มีท่าทีเหินห่าง ออกไปรบก็มิยอมบอกกล่าว

“ข้าเองไม่รู้ดอกว่าเป็นเช่นไรบ้าง ยามไปสู้รบบุตรชายข้านี้ไม่เคยเลยที่จะส่งข่าว จบศึกกลับมาก็มิยอมบอก” พระเทวีกวินตาตอบ ชลันธรทำได้แต่ฟังแล้วเก็บมาให้ใจนั้นมีกังวล…‘เรากลัวเหลือเกิน กลัวท่านพี่มีอันตราย’…

“อย่าได้ทำสีหน้ากังวลอย่างนั้นสิ นภนต์นั้นมิเป็นไรง่ายๆดอก” พระเทวีกวินตาเอ่ย เพียงเห็นใบหน้าพระสมุทรนางรู้ทันทีว่ารู้สึกเช่นไร

ชลันธรและพระเวทีกวินตาสนทนากันต่อไม่นาน พระสมุทรรูปงามจึงขอตัวกลับเพราะไม่อยากรบกวนพระเทวีกวินตาที่กำลังป่วย ทันทีที่ขบวนของชลันธรเคลื่อนออกจากวิมานเทพเวหา พญาอินทรีสีเงินตัวหนึ่งสยายปีกโบยบินลงมาแล้วตรงเข้าทางหน้าต่างหยุดเกาะตรงแขนของพระเทวีกวินตา

“เรื่องที่ข้าให้เจ้าไปทำเป็นเช่นไรบ้าง” พระเทวีกวินตาเอ่ยถาม สีหน้ารวมถึงท่าทางอิดโรยก่อนหน้านั้นได้หายออกไปจนสิ้น….หายไปจนนภนต์และชลันธรที่จ้องมองอยู่ยังแปลกใจ

“ท่านนภนต์กำลังใกล้จะถึงวิมานแล้ว” พญาอินทรีแจ้งข่าวตามที่เทวีผู้เป็นนาย ใครว่าพระเทวีกวินตาไม่รู้ความเคลื่อนไหวของเทพนภนต์กันเล่า ผู้เป็นมารดาสั่งให้เฝ้าดูบุตรชายที่ไปทำศึกกับเหล่ายักษาที่ตั้งตนเป็นกบฏ คิดว่าตนเก่งจึงกระด้างกระเดื่องวางแผนจะโค่นล้มเหล่าเทวดา หากพวกมันนั้นมีฤทธิ์เดชน้อยนิดคิดการใหญ่ ไม่รู้จักประมาณตัวจึงถูกนภนต์นำทัพไปปราบจนแพ้ราบคาบ นภนต์เมื่อได้รับชัยชนะกลับมาอย่างง่ายดายทำให้เดินทางกลับวิมานเร็วขึ้น

“เจ้าออกไปได้แล้ว…ฮึ!! ข้าจะทำตามแผนต่อไป” พระเทวีกวินตากล่าวไล่พญาอินทรีออกไป

หัตถางามหยิบอ่างน้ำเกษียรสมุทรมาวางไว้บนตัก ดัชนีเรียวที่ห่อหุ้มด้วยเครื่องประดับทองคำไม่ต่างจากฝักดาบเคาะผงพิษสีเขียวลงไปในอ่างท่ามกลางสายตาของนภนต์และชลันธรที่จาบจ้อง

…‘ยาพิษที่ได้รับมาจากท่านกนธี…เพียงบางเบาแม้จะไม่ทำให้ถึงฆาตแต่ก็สร้างความทุรนทุรายให้ผู้ที่รับรสได้’...

กนธีและพระเทวีกวินตาได้คบคิดติดต่อกันเพื่อกำจัดชลันธรให้ออกไปให้พ้นทาง หนึ่งเพื่อแย่งชิงบัลลังก์พระสมุทร อีกหนึ่งเพื่อมิให้บุตรของตนต้องรักกับบุตรของพระเทวีชโลธรผู้ซึ่งพระเทวีกวินตานี้เกลียดชิงชังยิ่งกว่าสิ่งใดในโลกหล้า ทั้งสองจึงได้ร่วมมือกันอย่างลับๆ วางแผนอัปรีย์สร้างข่าวลือ ทั้งแกล้งล้มหมอนเจ็บไข้เพื่อให้ชลันธรมาเยี่ยมเยียน ถึงพระสมุทรน้อยจะไม่ได้นำน้ำเกษียรสมุทรมาให้ กนธีก็จะให้คนไปพูดจูงใจให้ชลันธรหาโอสถมาให้พระเทวีกวินตาอยู่ดี ความโชคดีเข้าข้างทั้งคู่ โดยเฉพาะพระเทวีกวินตาแท้ที่จริงแล้วจะต้องถูกพิษที่ผสมในอ่างจากกนธีจนสิ้นชีพ ทว่านางปลาอัมพุชาทำหกตกแตกไปเสียก่อน เรื่องราวการหักหลังจึงไม่เกิดขึ้นดั่งที่กนธีหวัง เพียงต้องพิษร้ายอีกชนิดที่ให้ไว้ในคราแรก

แขนยกขึ้นมือจับอ่างไว้มั่นจรดริมฝีปาก ของเหลวเข้าไปด้านในไหลลงคออึกแล้วอึกเล่า จนกระทั่งพิษร้ายออกฤทธิ์แผ่ซ่านทั่วทั้งร่างกาย

‘เพล้ง!!’

พิษนาคาอันน้อยนิดกัดกร่อนเรี่ยวแรงจนหายไป พระเทวีแห่งเทพเวหาองค์ก่อนล้มลงนอนดิ้นทุรนทุรายกับพื้น…‘มันช่างทรมานเหลือเกิน’…พระเทวีกวินตาจับคอที่ร้อนผ่าวเสมือนโดนไฟเผา น้ำตาเม็ดใสไหลรินเป็นทางยาว....‘ข้ายินดีที่จะทรมานกับยาพิษ ถ้ามันจะกำจัดลูกของนังชโลธรไปให้พ้นทาง...!!’

“ท่านแม่ข้ากลับมาแล้ว” นภนต์เสร็จการศึกรีบเข้ามาหาผู้เป็นมารดาตามลมคิดถึง ทว่าภาพตรงหน้าทำให้เทพแห่งท้องนภาต้องหยุดหายใจ เมื่อเห็นมารดานอนดิ้นทุรนทุรายทั้งยังกระอักเลือดผสมพิษสีเขียวออกมา

“ท่านแม่ !!!...ใครก็ได้ไปตามเทพโอสถมาให้ข้าบัดเดี๋ยวนี้” ยังดีที่นภนต์ตั้งสติได้จึงร้องตะโกนให้ทหารด้านหน้าไปตามเทพอโอสถมารักษา ส่วนตนนั้นเข้าไปประคองผู้เป็นแม่เอาไว้ในอ้อมแขน

“ท่านแม่…เหตุใดท่านแม่เป็นเช่นนี้” นภนต์กอดผู้ให้กำเนิดแนบชิด สายตาคมกวาดมองเศษอ่างที่แตกกระจายที่มีน้ำเกษียรสมุทรที่ไม่ถูกดื่มเข้าไปเจ่อนองตามพื้น

“ชลันธร..อึก!!...น้ำ..น้ำของชลันธร” คำใส่ร้ายถูกส่งไปให้กับนภนต์ ราวกับมีดที่เฉือนฟางเส้นสุดท้ายที่ตนกับชลันธรถึงคราวขาดสะบั้น

. . .

ณ ด้านหน้าวิมานของเทพกาลเวลา หนึ่งเทพกับหนึ่งนาคากำลังนั่งรอนภนต์และชลันธรอยู่ตรงหน้าบันได ตั้งแต่อีกสองคนได้เข้าไปในวิมาน รพีพงศ์กับนาคินทร์ต่างไม่พูดคุยกัน จนบรรยากาศรอบบริเวณชวนให้อึดอัดยิ่งนัก

“นาคินทร์…ข้าขอโทษที่ทำตัวสำออยไม่ยอมรักษาแผลตัวเอง เจ้าหายโกรธข้าเถิด” รพีพงศ์ขยับกายเข้าไปนั่งใกล้นาคน้อยที่เขยิบถอยห่างออกไปเช่นกัน รพีพงศ์เป็นฝ่ายเริ่มทำลายความเงียบด้วยการกล่าวขอโทษ

“ข้ามิได้โกรธท่าน…เชลยเช่นข้าไม่มีสิทธิ์จะโกรธเคืองอันใดอยู่แล้ว” นาคินทร์เอ่ยเสียงเรียบ ใบหน้างามหันมองไปทางอื่นไม่ยอบสบตาคนข้างกาย รพีพงศ์ส่ายหน้ากับพฤติกรรมของนาคินทร์เล็กน้อย…‘ดูกิริยาที่เจ้าทำดูสิ…ใครจะไปเชื่อเล่าว่าเจ้าไม่ได้โกรธเคืองข้า’…

“หากเจ้าไม่โกรธข้าจริง…ได้โปรดหันหน้ามาคุยกับข้าดีๆ ไม่ใช่เอาแต่มองต้นไม้ใบหญ้า” รพีพงศ์แสร้งใช้เสียงดุพร้อมกับกอดเอวบางไว้แนบกาย นาคินทร์ก้มมองแขนแกร่งที่รัดกายก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาหันมองรพีพงศ์

“ข้าไม่โกรธท่านแต่...ข้าน้อยใจที่ท่านใช้ความห่วงใยของข้าที่มีต่อท่านไปล้อเล่น ข้าใจเสียแค่ไหน รู้สึกเศร้าแค่ไหน ยามเห็นท่านถูกทำร้าย มีบาดแผล ข้าเจ็บปวดยิ่งนัก แต่ท่านกลับปล่อยให้ข้าเจ็บปวดอยู่อย่างนั้น เมื่อเห็นบาดแผลแทนที่จะรักษามันให้หายออกจากกายท่าน” นาคินทร์ตัดพ้อรพีพงศ์ พูดจบนาคน้อยนั้นขบเม้มริมฝีปากตนกลั้นน้ำตาที่คลอเบ้า รพีพงศ์พอได้ฟังยิ่งรู้สึกผิดมากกว่าเก่า

“ข้าขอโทษที่ทำเจ้าเสียใจ นาคินทร์...เจ้าให้อภัยข้าเถอะนะ” รพีพงศ์เอ่ยพลางรั้งท้ายทอยอีกฝ่ายให้ใบหน้าลงมาซุกตรงอกแกร่ง ปกติก็มิเคยยอมหรืออ่อนข้อให้ใครแต่กับนาคน้อยกลับมิใช่  ในยามนี้ความรู้สึกที่เคยมีนั้นเปลี่ยงแปลงไป อะไรยอมได้ก็ยอมไปเสียหมด

“อือ…ข้าให้อภัยท่านก็ได้” ความรู้สึกผิดและความจริงใจในคำพูดของรพีพงศ์ทำให้นาคินทร์รู้สึกดีขึ้นมาและยอมที่จะให้อภัย

“ไว้ข้าพาเจ้าไปวิมานเพลิงของข้าเมื่อใด ข้าจะเลี้ยงดูเจ้าและให้เจ้ามีความสุขเป็นการชดใช้ความผิดนี้...”

“นาคชั้นต่ำเช่นข้า...ท่านจะเลี้ยงดูให้สุขหรือทุกข์ก็ตามใจเถิด เพียงได้อยู่กับท่านไม่ว่าที่ไหนข้ายินดี แต่คงมิใช่วิมานเพลิงพระอาทิตย์” คำพูดของนาคินทร์นั้นเรียกรอยยิ้มพร้อมกับความกังวลใจไม่น้อยให้กับรพีพงศ์ ด้วยวิมานเทพชั้นสูงอย่างสุริยะเทพหรือแม้แต่วิมานอื่นๆ แม้จะไม่มีกฎข้อห้ามเรื่องชนชั้นแต่ก็ไม่มีเทพชั้นสูงองค์ไหนเคยให้นาคชั้นต่ำ หรือเทพชั้นสามัญ ได้อยู่อาศัยร่วมวิมานมาก่อน นอกจากเหล่าบริวารข้ารับใช้

“ไหนคราแรกเจ้าให้คำมั่นว่าเจ้านั้นจะอยู่กับข้าในวิมานเพลิง แล้วไหนเลยเพลานี้จึงกลับคำไม่ยอมอยู่กับข้าที่นั่นเล่า” รพีพงศ์ทวงถามคำมั่นสัญญาที่ทั้งสองได้ให้ไว้ ณ ถ้ำม่านน้ำตก

“ฐานะของข้านั้นต้อยต่ำ แม้ท่านจักไม่สนใจในเรื่องนี้ แต่ข้ากังวลว่าตัวข้าจะนำความเดือดร้อน คำติฉินนินทาจากผู้อื่นมาสู่ท่านรพีพงศ์…ท่านอาจจะเสียเกียรติเพราะตัวข้า” การที่นาคินทร์รับปากในครั้งก่อนเป็นเพราะทำตามสิ่งที่ใจต้องการผิดกับในเวลานี้ที่นาคน้อยได้คิดทบทวน…บางครั้งเรานั้นก็ไม่สามารถทำตามใจต้องการได้เสียทุกสิ่ง

“นาคินทร์เจ้าอย่าได้กังวลหรือคิดแทนใคร ข้าจะเสื่อมเสียเกียรติหรือไม่ข้านั้นยังไม่กังวลเลย ดังนั้นเจ้าได้โปรดเชื่อใจข้าเถิด…นาคินทร์ฟังข้านะ ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ชนชั้นใด ข้าก็ให้เจ้าอยู่ร่วมวิมานเพลิงได้ ถึงแม้ว่าบางครั้งวิมานของข้าจะวุ่นวายไปเสียบ้างจนข้านั้นปวดหัวไม่เว้นแต่ละวัน ข้าอยากขอให้เจ้าจะอยู่กับข้าได้หรือไม่” ตาคมจ้องมองนาคินทร์ทั้งคำพูดและแววตาของสุริยะบุตรแสดงออกถึงความจริงจังและจริงใจ

“เอ่อ…คือข้า” ครั้นจะปฏิเสธรพีพงศ์กลับกอดนาคินทร์แน่น

 “อย่าลืมสิ...เจ้าเป็นของข้าแล้ว...” รพีพงศ์ใช้สิทธิ์ของการเป็นเจ้าของชีวิตด้วยการเน้นย้ำสถานะของเชลยรัก

“ข้าคงจะปฏิเสธท่านไม่ได้แล้วสินะ...ท่านบอกว่าข้านั้นเป็นของท่าน ถ้าข้าไม่อยู่กับท่านข้านั้นเห็นทีจะไปอยู่กับผู้ใดได้อีก อีกอย่างชีวิตข้าพบเจอทุกข์มากกว่าสุขเสียด้วยซ้ำ หากจะต้องทุกข์ใจบ้างก็มิเป็นไร”

“เจ้านี่มันช่างพูดช่างเจรจาเสียจริง…ข้าอยากรู้เสียจริงว่าความสุขที่น้อยนิดของเจ้านั้นมีข้าอยู่ด้วยหรือไม่”

“มีสิ..ท่านคือหนึ่งในความสุขของข้า...ท่านรพีพงศ์” นาคินทร์เอ่ยแล้วกอดตอบรพีพงศ์ ใบหน้างามซุกอกแกร่งยิ่งกว่าเก่าด้วยเขินอาย จนรพีพงศ์อดที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ นึกเอ็นดูท่าทางของนาคินทร์ยิ่งนัก

“ถ้าข้าคือความสุขของเจ้า…แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าเองก็เป็นความสุขของข้าเช่นกัน ในเมื่อเราสองเป็นความสุขของกันและกันเหตุใดถึงไม่มอบความสุขให้กันเล่า” รพีพงศ์โน้มหน้าลงริมฝีปากเอ่ยกระซิบข้างใบหูนิ่มก่อนจะใช้ริมฝีปากขบเม้มหลังใบหูนั้นเบาๆ จนกายนาคินทร์สะดุ้งเล็กน้อย

“ท่านรพีพงศ์…แต่ตรงนี้มันหน้าวิมานเทพแห่งกาลเวลานะ” กำปั้นน้อยๆ ทุบลงบนบ่ากว้าง แม้ไม่รุนแรงมากนักมาแต่เสียงดุที่ชวนฟังของนาคินทร์ ทำให้รพีพงศ์ฟังแล้วกลับยิ่งอยากกลั่นแกล้งคนในอ้อมกอดมากขึ้นเรื่อยๆ

“เจ้าคิดเลยเถิดไปถึงไหนเสียเล่า ข้ารู้ดีว่าตรงหน้านี้คือวิมานเทพกาลเวลา จักให้ข้าทำเฉกเช่นในถ้ำม่านน้ำตกคงไม่เหมาะสมนัก อยู่ตรงนี้ข้าคงทำได้เพียง…”

‘อื้อ..อื้ม…”

ไม่รอให้นาคินทร์ได้ทันตั้งตัว รพีพงศ์ได้แสดงคำตอบผ่านการจูบแทนคำพูด ซึ่งว่ากันว่าการกระทำเพียงการกระทำเดียวสามารถบ่งบอกความรู้สึกทั้งหมดที่มีได้ แสงตะวันสาดส่องลอดผ่านระหว่างทั้งสองเหมือนเป็นพยานรัก ในครั้งนี้รพีพงศ์อยากถ่ายทอดความรู้สึกรักผ่านปลายลิ้นที่เข้าไปหยอกเอิ้นกับลิ้นเล็กให้รับรู้ว่าหลงใหลก่อนจะตวัดไปทั่วให้รู้ว่ารัก ในเมื่อรพีพงศ์แสดงออกมาเช่นนี้แล้วนาคินทร์เองก็ไม่นิ่งเฉยดูดดุนปลายลิ้นรับความหอมหวานจูบตอบสนองอีกคนเช่นกัน

เมื่อมอบความสุขให้กันและกันจนเป็นที่พึงพอใจทั้งสองฝ่ายแล้ว ริมฝีปากทั้งสองค่อยๆผละออกจากกันช้าๆ ราวกับไม่อยากจะหยุดเพียงเท่านี้ ดวงตาหยาดเยิ้มด้วยแรงอารมณ์จ้องมองเงาสะท้อนของตัวเองในดวงตาของอีกคน รพีพงศ์ใช้นิ้วโป้งเกลี่ยน้ำหวานที่เปื้อนมุมปากของนาคินทร์…ยิ่งนานวันรพีพงศ์ยิ่งหลงใหล…

“ข้าขออภัยที่เข้ามาขัดจังหวะพวกเจ้าทั้งสอง” สุรเสียงดังกังวานของผู้มาใหม่ขัดห้วงอารมณ์รักของรพีพงศ์และนาคินทร์ให้หันไปมอง หนึ่งในเทวาผู้ยิ่งใหญ่ที่มือข้างหนึ่งกำตรีศูลคมไว้มั่นยากจะหาใครมาเทียบและต่อกร ได้ปรากฏกายขึ้นมิห่างจากตรงหน้าของทั้งสองนัก

.

.

.



“พระสมุทร...กนธี”





......................

อ้าวเฮ้ย!!! ไม่เหมือนที่คิดไว้นี่นา สรุปคนที่วางยาแม่ของพี่นภนต์คือแม่ของพี่นภนต์เอง มีความฉลาด มีความเกลียดสะใภ้อย่างชลันธรถึงขั้นร่วมมือกับกนธีเสี่ยงชีวิตด้วยยาพิษ...ส่วนป๋ากนธีร้ายเช่นเดิม(ร้ายก็รัก) สงสารพี่นภนต์ที่ตกเป็นเครื่องมือทำร้ายคนรัก ต้องอยู่ห่างเมียมานาน โดนแม่หลอก

ทางฝั่งหน้าวิมานคู่นี้เขาหวานกันนะคะแต่คงเป็นเวรกรรมที่รพีพงศ์แกล้งป๋าหินเหม็นความรักนภนต์จึงโดนขัดขวาง อิอิ สะใจท่านยุ่งยิ่งนัก

ป๋ากนธีผู้มีค่าตัวนาทีละแสน แพงจนท่านยุ่งจะขายกระท่อมปลายนา ป๋าออกมาแวบๆแวมๆ และมีชื่อตอนท้ายสุดถึง 2 ตอน แลมีความสำคัญมาก 5555+

สุดท้ายนี้ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน มาเม้น ติชมกันนะคะ ท่านยุ่งอ่านตลอดเพราะคือกำลังใจห้ท่านยุ่งได้เขียนนิยาย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.29 P.10 (05/10/2560)
« ตอบ #289 เมื่อ: 05-10-2017 12:07:24 »





ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.29 P.10 (05/10/2560)
«ตอบ #290 เมื่อ05-10-2017 19:23:42 »

กระซิบเบาๆมีชิงนาง อิอ

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.29 P.10 (05/10/2560)
«ตอบ #291 เมื่อ05-10-2017 20:01:43 »

แล้วอิป๋าโผล่มาทำไม  :mew5:

ออฟไลน์ donutnoi

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-7
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.29 P.10 (05/10/2560)
«ตอบ #292 เมื่อ05-10-2017 20:23:09 »

รพีพงศ์ได้โอกาสแก้แค้นให้นาคินทร์แล้วจัดการเลย

ออฟไลน์ kinjikung

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2940
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +163/-8
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.29 P.10 (05/10/2560)
«ตอบ #293 เมื่อ05-10-2017 20:36:16 »

ท่านกนธีปรากฏตัวแล้ว สามีเก่า สามีใหม่ปะหน้ากัน

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.29 P.10 (05/10/2560)
«ตอบ #294 เมื่อ05-10-2017 20:56:42 »

ลาสบอสโผล่มาแล้ว

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.29 P.10 (05/10/2560)
«ตอบ #295 เมื่อ05-10-2017 23:05:40 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Pe_no

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 375
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.29 P.10 (05/10/2560)
«ตอบ #296 เมื่อ05-10-2017 23:47:18 »

รักเรื่องนี้ชอบๆๆ :mew2:

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.29 P.10 (05/10/2560)
«ตอบ #297 เมื่อ06-10-2017 09:16:37 »

กนธีตามมาขัดขวางสุดฤทธิ์!

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.29 P.10 (05/10/2560)
«ตอบ #298 เมื่อ06-10-2017 16:43:40 »



แกจะมาทำไม

ไม่มีใครเชิญเลยนะ


รอขอรับ


ออฟไลน์ DraCo_SLa13

  • I swear that, will love Super Junior forever..........
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +314/-3
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.29 P.10 (05/10/2560)
«ตอบ #299 เมื่อ06-10-2017 20:48:28 »

เอ๊า อิกนธี เสนอหน้ามาทำไมนี่

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด