สาปรัก…ทัณฑ์เทวา
Writer : Tan-Yung 0209
File : 27
ลึกลงไปใต้พิภพกลับมีเส้นทางให้น้ำไหลผ่าน เพียงใช้นิ้วสัมผัสก็แทบจะชักนิ้วมือกลับแทบในทันที สายวารีนี้เย็นเฉียบเข้าแกนกระดูก ด้วยก้อนหินใต้น้ำแต่ละก้อนนั้นกลับกลายคล้ายก้อนน้ำแข็งขนาดยักษ์ก็มิปาน หากสัมผัสต้องกายยามใดเป็นต้องสั่นสะท้าน แต่ด้วยพลังแห่งไข่มุกมรกตส่งผลให้รพีพงศ์นั้นสามารถประคองทั้งกายทั้งสติให้อยู่ในน้ำได้เยี่ยงนาคา แม้ว่าการเคลื่อนไหวจักช้าชักหน่อยตามที ก็ด้วยเพราะกระแสน้ำภายในอุโมงค์นั้นไหลเชี่ยวแรงเสียเหลือเกิน
‘ฟึบ’ นาคินทร์ที่บัดนี้กลายร่างเป็นนาคาเกล็ดนิล ตวัดหางรัดกายหนาไว้แน่นพอที่จะพยุงร่างรพีพงศ์แต่มิแรงมากจนโดนบาดแผลที่มหิงสาแห่งพระอังคารฝากฝังรอย ด้วยความกังวลใจแม้จะรู้ว่ารพีพงศ์สามารถว่ายน้ำได้ด้วยพลังของไข่มุกแต่นาคินทร์นั้นก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงรพีพงศ์อยู่ดี ไหนจะบาดเจ็บอีกทั้งยังมิได้นอนพักผ่อนเต็มให้ที่ ไฉนเลยยังต้องแหวกว่ายในอุโมงค์ชลธีที่มิรู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อใด เกรงว่านานเข้ารพีพงศ์จะทนไม่ไหวด้วยธาตุไฟย่อมแพ้น้ำ ผิดกับตนพอได้สัมผัสกับน้ำพลังก็ฟื้นขึ้นมา แต่ผิดคาดรพีพงศ์ยังคงดูปกติดี
ทั้งสองแหวกว่ายฝ่ากระแสน้ำที่มืดมิดภายในอุโมงค์ จนกระทั่งนาคินทร์เริ่มที่จะเห็นแสงสว่างจุดเล็กๆ ที่พร่ามัวจากใต้น้ำ ณ ปลายอุโมงค์ตรงหน้า ทั้งสองต่างเร่งให้แรงเฮือกสุดท้ายประหนึ่งว่าด้านหน้านั้น คือเส้นแสงสุดท้ายที่พบเจอ ซึ่งไม่ใช่คำเปรียบเปรยแต่อย่างใด หากคือสิ่งที่ดวงตาของรัชทายาทบัลลังทินกรและนาคาเกล็ดนิลมองเห็น ความมืดเริ่มถูกแทนที่ด้วยแสงสว่าง อีกไม่นานรพีพงศ์และนาคินทร์ก็จะผ่านออกจากอุโมงค์ใต้น้ำนี้เสียที
“ฮ้า…”
“แฮ่ก..แฮ่ก..”
ในที่สุดทั้งสองก็โผล่พ้นผิวน้ำ รพีพงศ์หอบถี่จึงอ้าปากกอบโกยอากาศจนเผลอกลืนไข่มุกวิเศษเข้าไป ส่วนนาคินทร์กลายร่างเป็นมนุษย์คอยยืนลูบหลังให้กับรพีพงศ์
“ท่านรพีพงศ์...ท่านยังไหวอยู่หรือไม่เล่า” คำถามที่ถ่ายทอดออกไปให้คนฟังรับรู้ถึงความห่วงใย
“ข้าไหว ก็คงด้วยพลังจากไข่มุกมรกตของเจ้าเป็นแน่ อีกอย่างข้าต้องขอโทษเจ้าด้วย ข้านั้นเผลอกลืนมันเข้าไปเสียแล้ว” รพีพงศ์เอ่ย
“มิเป็นไรดอก….”
“จะมิเป็นไรได้อย่างไร...ไข่มุกมรกตนี้ถือเป็นของวิเศษ...ซ้ำยังเป็นของมารดาเจ้า...ไยเจ้าถึงให้ข้าง่ายดายเช่นนี้...”
“ก็ถือเสียว่าข้ามอบให้ท่านเป็นสิ่งตอบแทนที่ช่วยเหลือข้า ไข่มุกมรกตนี้จะช่วยให้ท่านสามารถลงไปว่ายน้ำเกี้ยวเหล่ามัจฉาได้ตามใจชอบ เมื่อใด เวลาใดก็ได้”
“หากใช้มันเวลาที่ข้าเกี้ยวนาคเล่าจะได้หรือไม่” รพีพงศ์เอ่ยถาม ตาก็จ้องมองนาคน้อยสายตาแพรวพราวจนผู้ถูกมองหลบหน้าหนีด้วยมิอยากให้เห็นว่าแก้มขาวร้อนผ่าวจนขึ้นสีแดงระเรื่อ
“ข้ามิรู้หรอก เรื่องเช่นนี้มันขึ้นอยู่กับท่านว่าจักทำให้นาคที่ท่านเกี้ยวนั้น...รักท่านหรือไม่” นาคินทร์ตอบ ก่อนจะก้าวขาจ้ำอ้าวไปข้างหน้าไม่รีรอคนที่กลั้นหัวเราะเลยสักนิด
“รอข้าด้วยสิ นี่ใจคอจะขวยเขินข้าเสียจนเดินหนีเลยหรือไร” รพีพงศ์ยังคงหยอกนาคน้อยไม่เลิกก่อนจะเดินตามนาคินทร์ที่เดินนำไปแล้ว
“ข้าอยากเจอลันกับท่านนภนต์แล้ว ข้าหวังว่าทั้งสองจะปลอดภัยดีและคงกำลังเร่งเดินทางไปเขาจิรันดรในเพลานี้เช่นกัน” นาคินทร์เอ่ยโดยใช้นภนต์และสหายแก้ต่าง
“ข้าหวังว่าจะเป็นเช่นนั้น แม้ชลันธรถูกพายุพัดพาไปแต่ข้าเชื่อว่าเทพนภนต์สามารถปกป้องและพาชลันธรให้หลุดพ้นจากผู้ที่คอยจ้องทำร้ายได้” รพีพงศ์เอ่ย ใจนึกเป็นห่วงทั้งสองไม่รู้ว่าจะต้องไปสู้รบกับใครแล้วจะโชคดีมีใครมาช่วยเช่นเดียวกับตนและนาคินทร์หรือไม่
“ถ้าเป็นอย่างที่ท่านได้เอ่ยมาเมื่อครู่ บางทีเราอาจเจอท่านภนต์กับลันในระหว่างทางนี้ก็เป็นได้” นาคินทร์เอ่ยแววตาสวยเปล่งประกายแห่งความหวังขึ้นมา
“นั่นสิ...ไม่แน่ว่าสองคนนั้นอาจจะรุดหน้าไปแล้ว เราสองคนเองก็เดินทางรีบเร่งเดินทางเถิด”
หนึ่งเทวาหนึ่งนาคาเดินทางแข่งกับเวลาหมายจะไปให้ถึงเขาจิรันดรก่อนเวลาสนธยา ระหว่างนั้นรพีพงศ์คอยพูดจาเกี้ยวนาคินทร์จนคนโดนเกี้ยวหมั่นไส้แจกฝ่ามือไปประทับหลังกว้างไม่แรงมากนัก ทว่าตีครั้งหนึ่งนาคินทร์กลับแก้มช้ำครั้งหนึ่ง เพราะด้วยถูกรพีพงศ์แสร้งลงโทษด้วยการหอมแก้มจนแทบช้ำ
‘ฟอด…ฟอด’
“พอได้แล้วท่านรพีพงศ์ ข้าตีท่านเพียงครั้งเดียวเองนะ” นาคินทร์ดันกายรพีพงศ์ให้ออกห่าง
“ข้าต้องลงโทษเจ้า เห็นข้าใจดีเป็นไม่ได้ดูสิตีข้าจนหลังข้าแทบหัก” รพีพงศ์ทำทีเจ็บหลังจนนาคินทร์อย่างจะฟาดให้เต็มแรงเสียจริงๆ
‘กุ๊งกิ๊ง…กุ๊งกิ๊ง…”
กระดิ่งดั่งแว่วเข้าโสตประสาท อยู่ไม่ห่างจากที่ทั้งสองยืนอยู่ ทั้งรพีพงศ์และนาคินทร์กวาดสายตาไปโดยรอบจนพบต้นตอของเสียง กระดิ่งจากพระโคสีขาวบริสุทธิ์ที่มีมนุษย์กายบางผิวงามนั่งอยู่บนหลังและเดินข้างกายไม่ห่างเป็นใครไม่ได้นอกจากเทพนภนต์ที่กำลังพูดคุยกับชลันธร
“รู้สึกเหม็นความรักขึ้นมา…เห็นแล้วอยากแกล้งเสียจริง” รพีพงศ์เอ่ยแล้ว ก็ก้มลงหยิบก้อนหินเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากที่ตนยืนอยู่ขึ้นมาก้อนหนึ่ง กำเบาๆ ไว้ในอุ้งมือ
“ท่านจักทำอันใดหรือท่านรพีพงศ์” นาคินทร์ถามด้วยความสงสัยแต่ถ้าให้นาคินทร์เดาคงมิใช่เรื่องดีแน่
‘ฟึบ’
“นาคินทร์หมอบลง” ไม่พูดเปล่ารพีพงศ์ดันกายนาคน้อยให้นอนราบลงกับพื้นพร้อมกับตน รพีพงศ์ยิ้มมุมปากให้กับความรู้สึกสนุกที่ได้แกล้งเทพแห่งท้องนภา
“ไอ้อีใดที่ลอบปาหินใส่ข้า อย่ามัวหลบซ่อนตัวจงออกมาบัดเดี๋ยวนี้ หากเจ้านั้นกล้าพอ…!!!” สุรเสียงดังก้องประกาศกร้าวให้ผู้ที่ลอบทำร้ายออกมาจากที่ซ่อน ผู้ร้ายตัวจริงได้ยินแล้วแทนที่จะแสดงตัวออกไปกลับนิ่งเฉย หัตถาหนาปิดปากตนกลั้นหัวเราะ นาคินทร์มองรพีพงศ์ก่อนจะส่ายหน้าให้กับพฤติกรรมที่มิต่างจากกุมารน้อยจอมแก่น
“ในเมื่อมิยอมออกมา ข้าจะให้เจ้าลิ้มรสฝนลูกธนูของข้า” สิ้นเสียงของเทพนภนต์ ทั้งรพีพงศ์และนาคินทร์ถึงกับลุกขึ้นนั่งลอบมองผ่านพุ่มไม้ เทพเวหาในพระหัตถ์มีแสงสีทองวูบวาบเป็นทางยาวก่อนปรากฏให้เห็นเป็นคันธนูพร้อมลูกศรสีทอง เทพนภนต์ผู้ชำนาญด้านธนูยกอาวุธประจำกายขึ้นมาเล็งไปยังทิศทางรพีพงศ์
…‘เวรกรรมกำลังจะตอบสนองข้าเสียแล้วหรือนี่’…
“ช้าก่อนท่านนภนต์!!!...ข้านาคินทร์เอง” นาคินทร์ร้องตะโกนออกไปก่อนที่นภนต์จะปล่อยศร เทพหนุ่มเองพอได้ยินเช่นนั้นจึงลดคันธนูลง นาคินทร์จึงใช้โอกาสนี้ยืนขึ้นพร้อมดึงแขนตัวต้นเรื่องให้ยืนเคียงข้างกัน
“คินทร์…รพีพงศ์!!!” ชลันธรดีใจที่ได้เจอสหายก่อนจะขยับกายลงจากหลังพระโคศุภราชแต่นภนต์กลับไม่ให้ลงมา
“ท่านพี่…ข้าก็แค่อยากจะหาสหายของข้า” ชลันธรบอกความจำนง
“พี่รู้ว่าเจ้าอยากเจอสหายแต่อย่าลืมสิว่าเมื่อคืนเจ้า.... พี่เกรงว่าถ้าเจ้าลงจากหลังพระโคศุราชแล้วจะไม่มีแรงยืนต่างหาก อีกอย่างเดี๋ยวสองคนนั่นก็เดินเข้ามาหาเราเอง...” นภนต์เอ่ย มือลูบไปยังแก้มนิ่มอย่างเอ็นดูจนชลันธรเขินอายไม่น้อย
“ทำอันใดอายฟ้าอายดินบ้างสิ ท่านนภนต์” พอมาถึงรพีพงศ์แกล้งพูดจาเหน็บแนมใส่
“ข้าเพียงลูบแก้มเมียข้ามิได้คิดจะทำเรื่องอันใดหน้าอายดอก…เจ้าเด็กขี้อิจฉา” นภนต์เองไม่ยอมให้รพีพงศ์จึงพูดจาตอกกลับไปบ้าง
“ใครขี้อิจฉาท่านพูดให้ดีนะท่านนภนต์”
“เจ้าอย่างไรเล่ารพีพงศ์ อิจฉาข้าที่มีชลันธรเป็นคู่ครองและคู่ชีวิต...” นภนต์พูดข่มไม่จริงจังนัก เทพหนุ่มเพียงต้องการเอาคืนรพีพงศ์เพียงเท่านั้น
“ท่านพี่นภนต์…รพีพงศ์ด้วย หยุดเถียงกันเสียที ทะเลาะกันอย่างกับเด็กไปเสียได้” ชลันธรห้ามทัพตรงหน้า สุดระอากับเทพทั้งสองได้แต่ส่ายศีรษะไปมาเล็กน้อย
“คินทร์มานั่งบนหลังพระโคศุภราชกับเราเถิด เราเห็นคินทร์เดินมา มันดูขัดๆ ชอบพิกล” ชลันธรหันไปพูดคุยกับนาคินทร์ที่หน้าแดงทันทีที่โดนทัก นภนต์เองก็มองหน้ารพีพงศ์ด้วยสายตาที่พอจะเดาเหตุการณ์ก่อนหน้าระหว่างรพีพงศ์และสหายของคนรักออก
“พระโคศุภราชเป็นพาหนะของพระศุกร์ ข้าคิดว่าไม่เหมาะ ที่ข้าจะขึ้นไปนั่ง” นาคินทร์เอ่ย ก็ด้วยตนนั้นไร้ศักดิ์มิอาจนั่งบนพาหนะของเทพชั้นสูงได้ อีกอย่างอาการเจ็บเสียดที่บั้นท้ายนิดหน่อยแต่ทว่าไม่ใช่ว่าตนจักทนมิได้…ทว่าพระคาวีทรงฤทธิ์นั้นเดินเข้าหานาคินทร์เสียก่อนแล้วย่อกายหมอบลงต่ำประดุจว่าจักให้ขึ้นขี่บนหลังตนเฉกเช่นชลันธร
“พระโคศุภราชใจดีให้คินทร์นั่ง…คินทร์ขึ้นมานั่งด้านหน้าเราเถิด ประเดี๋ยวลันจะนั่งด้านหลังกอดคินทร์มิให้ตก” ชลันธรเอ่ยก่อนจะส่งสายตาหันไปปรามภัสดาที่กำลังจะอ้าโอษฐ์เอื้อนเอ่ยบางสิ่ง
“มิต้องร้องห้ามขัดขืนข้าเลยท่านพี่ เมื่อคืนข้านั้นตามใจท่านพี่แล้ว เพลานี้ท่านพี่ต้องตามใจข้าบ้าง...” ร่างบางพูดขัดก่อนจะขยับกายให้นาคินทร์ขึ้นมานั่งด้วยกัน จากนั้นทั้งหมดจึงเดินทางต่อโดยที่นภนต์เองเงียบไม่โต้กลับถึงจะหวงชลันธรอยู่บ้างก็ตามที แต่ก็อดแปลกใจมิได้ที่นาคินทร์เป็นนาคชั้นต่ำแต่พระโคศุภราชนั้นกลับให้ขึ้นขี่หลัง...
“ท่านกลายเป็นคนกลัวเมียเสียเมื่อไหร่หรือท่านนภนต์” รพีพงศ์เอ่ยทัก นึกขบขันที่นักรบผู้ยิ่งใหญ่กลับเชื่อฟังคำสั่งของบุรุษผิวงามร่างเล็ก
“ข้ามิได้กลัวแต่ข้านั้นรักเมียข้า เจ้าไม่มีเมียเจ้ามิเข้าใจดอก...” นภนต์เอ่ย
“จริงสินาคินทร์ เจ้าเป็นสหายที่ชลันธรรักเป็นหนักหนา ข้าอยากจะช่วยเจ้าให้สุขสบาย” นภนต์ที่ปกติไม่ค่อยจักสนทนาเอื้อนเอ่ยกับนาคินทร์
“ช่วยข้ากระนั้นหรือ…ท่านนภนต์จักช่วยอันใดข้า” นาคินทร์ซักถาม
“ข้าจะช่วย...หาคนรักให้เจ้าอย่างไรเล่า…ด้วยข้ามีสหายที่มีฤทธิ์เดชมากมาย ทั้งยศศักดิ์มากมี หากทวยเทพเหล่านั้นรับเลี้ยงดูแลเจ้าไม่ว่าจะฐานะใด การภายหน้าจะได้มิยากลำบากหลังจากที่สิ้นสุดภารกิจครั้งนี้” นภนต์เอ่ย ดวงตาคมเหลือบมองปฏิกิริยาคนข้างกายเล็กน้อย
“มิต้อง!!! นาคินทร์เป็นเชลยข้า ท่านอย่าได้เข้ามายุ่ง!!” เป็นดั่งที่นภนต์คิดไว้ รพีพงศ์ผู้นี้จักต้องขัดขวาง…‘ถ้ามีใครที่จะปากแข็งกว่าข้า...ก็คงหนีไม่พ้นรพีพงศ์คนนี้นี่แหละ’...เทพหนุ่มได้เพียงแต่อมยิ้มในใจ
“เชลยอันใดเล่า จบเรื่องครานี้และชลันธรเป็นผู้บริสุทธิ์ ทั้งตัวข้านี้จะไม่ถือความโทษเอาผิดนาคินทร์ที่เคยวางยาพิษชลันธร นั่นเท่ากับนาคินทร์เป็นอิสระเช่นกัน...”
“นั้นมันเรื่องของท่าน แต่นาคินทร์เป็นเชลยข้า...ข้าจะเป็นผู้ตัดสินใจในเรื่องนี้เอง...” รพีพงศ์เอ่ย
“รพีพงศ์…ท่านไม่มีเหตุผลเสียเลย ท่านพี่นภนต์รวมถึงเรานั้นมิเอาความแล้ว ไยท่านถึงอยากจะให้สหายข้าเป็นเชลยอีกเล่า” ชลันธรแสร้งดุรพีพงศ์ด้วยรู้แผนการของนภนต์ ซึ่งเดาได้ไม่ยากว่าความสัมพันธ์ของสหายทั้งสองเป็นเช่นไร…ในเมื่อมันชัดเจนเป็นรอยจุมพิตที่หลังใบหูทั้งสองข้างของนาคินทร์ ไหนจะตรงท้ายทอยอีกสองสามรอยอีก
“อย่าว่าท่านรพีพงศ์เลยลัน…เรายอมเป็นเชลยของท่านรพีพงศ์เอง” นาคินทร์พูดเสียงแผ่วทั้งยังก้มหน้ามิสบตาเพราะกลัวว่าใครที่มองจะรู้สึกถึงความรักในแววตาของนาคินทร์
“นาคินทร์เจ้าเป็นเช่นเดียวกับข้าแน่…เพราะรักจึงยอม” นภนต์เอ่ย คราวนี้นาคินทร์ถึงกับเงยหน้าขึ้นมาอย่างลืมตัวก่อนที่ใบหน้ารวมถึงหูแดงระเรื่อไม่ต่างจากเนื้อผลทับทิม
“จริงสิ…ชลันธรไยเจ้าจึงได้พระโคศุภราชมาเป็นพาหนะเล่า” รพีพงศ์ถามชลันธรด้วยมิอยากให้นภนต์พูดหยอกเชลยของตนไปมากกว่านี้
“เป็นเพราะว่า….”
อดีตพระสมุทรเทวาเล่าเรื่องราวถึงคำมั่นของพระศุกร์ที่เคยบอกว่าพระโคศุภราชจะไม่ทำร้ายและช่วยเหลือชลันธรครั้งเมื่อตอนเกี้ยวตนรวมถึงเล่าเหตุการณ์ที่ตนถูกลมหอบด้วยเวทย์ของพระศุกร์ โดยที่นภนต์คอยพูดเสริมเป็นระยะ จนกระทั่งได้รับการช่วยเหลือจากเทพีปัณฑารีย์
“ข้ากับชลันธรรอดมาได้ก็เพราะพระพฤหัสบดีโดยแท้ ที่ท่านนั้นมีระฆังแก้วที่ส่งเสียงยามพระศุกร์ทำเรื่องเดือดร้อนจึงได้ลงมาช่วยข้ากับชลันธรเอาไว้ได้”
“ด้วยหน้าที่พระพฤหัสบดีจะต้องกำราบพระศุกร์ซึ่งเป็นเรื่องที่ใครต่างรู้ดี ถึงได้มาช่วยพวกท่านไว้แต่ข้ากับนาคินทร์นี่สิ พระราหูมาช่วยเอาไว้ให้รอดจากพระอังคาร” รพีพงศ์เอ่ยอย่างไม่ค่อยเข้าใจนักกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“พระราหูมาช่วยเจ้าไว้หรือ...” นภนต์พอได้รู้ก็ขบคิดตาม ไม่ว่าเทวดา มนุษย์ หรือจะอสุราทั้งหลายล้วนรู้ดีว่าพระราหูมิชื่นชอบญาติดีกับวงศาสุริยะเทพมีหรือที่จะเมตตามาช่วยรพีพงศ์ให้พ้นภัย
“ใช่…ท่านเองก็คิดว่าแปลกใช่หรือไม่ กระนั้นพระราหูมาช่วยก็จริงแต่ข้าเองก็แทบจะเอาชีวิตไม่รอด...” รพีพงศ์เล่าเรื่องตนไปช่วยนาคินทร์จากพระอังคารจนเกิดการต่อสู้ จนพระราหูมาช่วยและตนพลัดตกลงไปยังผาน้ำตกจนแทบสิ้นชีวา หากนาคินทร์มาช่วยได้ทัน เรื่องราวทั้งหมดถูกถ่ายทอดให้เทพแห่งท้องนภาและชลันธรได้ฟังยกเว้น…เรื่องที่ตนตีตรารักจองจำเชลยคนงาม
“รอดจากพระอังคารที่เป็นถึงอดีตเทพสงครามมาได้นั้นถือว่าเจ้าดวงแข็งมิใช่น้อย” นภนต์เอ่ยชม ตนเองนั้นเคยประดาบประมือกับพระอังคารมาก่อนย่อมรู้ดีว่าพระอังคารองค์ปัจจุบันฝีไม้ลายมือการต่อสู้นั้นเป็นเลิศขนาดไหน
“ใครว่าล่ะ…ท่านรพีพงศ์โดนมหิงสาที่เป็นพาหนะของพระอังคารขวิดเข้าที่สีข้าง” นาคินทร์เอ่ย น้ำเสียงมีความเป็นห่วงสุริยะบุตรอยู่ไม่น้อยทั้งก่อนหน้านี้ลงไปในน้ำ ไหนจะเดินทางด้วยเท้าไร้พาหนะให้นั่งสบาย
“รพีพงศ์…ท่านบาดเจ็บหรือ เหตุใดไม่รีบบอกเราจะให้ท่านพี่นภนต์รักษาให้…ท่านพี่นภนต์ช่วยรักษารพีพงศ์ด้วยเถิด” ชลันธรซักถามรพีพงศ์ก่อนจะบอกให้คนรักช่วยรักษา
“แผลแค่นี้ไม่ต้องถึงมือข้าดอก รพีพงศ์รักษาตนเองได้ข้าเห็นช่วงที่เดินมาหาเราทั้งสอง รพีพงศ์จับสีข้างแล้วร่ายคาถารักษาแผล”
“ข้านับถือสายตาของท่านเสียจริง ช่างสังเกตยิ่งนัก” รพีพงศ์กล่าวชม จนลืมไปว่า…
“ท่านรพีพงศ์ท่านนี่ช่างใจร้ายนัก...ข้านี้แสนจะเป็นห่วงท่านเห็นท่านบาดเจ็บ ท่านเองกลับรักษาตนเองได้ไฉนจึงไม่บอกข้า แกล้งหลอกข้าให้ข้าเป็นห่วง...” นาคินทร์เอ่ยออกมาความน้อยใจ แล้วถูกส่งผ่านถ้อยคำ ความโศกาแฝงไว้ในน้ำเสียง เห็นทีรพีพงศ์นี้เจอดีเข้าอย่างจัง
“คือข้า…” รพีพงศ์พูดไม่ออก ถึงจะพูดออกก็ดูจะเหมือนเป็นการแก้ตัวเสียมากกว่า ทั้งที่ตนนั้นรักษาแผลได้ แต่ใจนั้นอยากให้นาคน้อยเป็นห่วงจึงมิยอมรักษาให้หายเจ็บและถ้าบอกเหตุผลไปมีหวังเทพนภนต์อดีตศัตรูหัวใจและชลันธรตะต้องส่งสายตาล้อเลียนเป็นแน่แท้ จึงทำได้เพียงมองตาอีกฝ่ายหวังจะให้เข้าใจ หากนาคินทร์กลับเบือนหน้าหนีไปอีกทาง
“ถึงกับพูดไม่ออกเลยหรือ…รพีพงศ์” นภนต์มิวายจะพูดล้อแม้รพีพงศ์ไม่ได้พูดคำแก้ต่างกับนาคินทร์
“อยู่เฉยๆ เถิดท่านนภนต์ มิเช่นนั้นข้าจะยุแยงให้ชลันธรหาเทพองค์อื่นมาเคียงข้าง”
“เสียใจด้วย…ชลันธรนั้นรักข้ามิมีทางเปลี่ยนใจไปรักใครอื่นได้” นภนต์เอ่ยออกมาน้ำเสียงท่าทางเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
“ใครว่าข้ามิมีทางเปลี่ยนใจเล่าท่านพี่…อันที่จริงข้าหลงรักนาคินทร์เสียแล้ว” ชลันธรแกล้งคนรักด้วยคำวาจา พร้อมทั้งกอดเอวเล็กของนาคินทร์ไว้แน่น จนนภนต์และรพีพงศ์ออกอาการหึงหวงคนของตน
“ชลันธรหยุดกอดนาคินทร์บัดเดี๋ยวนี้!!!” ทั้งเทพเวหาและรัชทายาทบัลลังก์สุริยะพูดออกมาพร้อมกัน ชลันธรจึงคลายกอดสหายรักเพราะเกรงว่าเทวาขี้หึงทั้งสองจักลงโทษตนและนาคินทร์ หลังจากนั้นชลันธรจึงถูกนภนต์ดุเล็กน้อยก่อนที่ทั้งหมดจักเดินทางกันต่อด้วยความสงบโดยชลันธรคอยชวนนาคินทร์พูดคุย นภนต์และรพีพงศ์เองสงบศึกปะทะคารมกันชั่วคราว ปรึกษาหารือเกี่ยวการทำหน้าที่ปกครองหลังจากที่ก้าวสู่ตำแหน่งซึ่งรพีพงศ์จะได้เป็นพระอาทิตย์ในไม่ช้า นภนต์เองก็ให้คำแนะนำเป็นอย่างดี
เวลาไม่รอใครหมุนเปลี่ยนเวียนไปจนพระอาทิตย์กำลังอัสดงลับหลังเขาจิรันดรทำให้แสงรวีต้องกับเครื่องลำยองของวิมานเทพกาลเวลา ช่างเป็นภาพที่แสนงดงามในสายตาของทั้งสี่ โดยเฉพาะชลันธรที่หลั่งน้ำตาแห่งความดีใจออกมา
“ใกล้แล้ว…ใกล้ถึงวิมานแล้ว…พวกเราเร่งเดินทางได้หรือไม่…ฮึก..เรารอไม่ไหวแล้ว” ชลันธรเอ่ย พระโคศุภราชจึงเร่งฝีเท้าไปข้างหน้าตามความต้องการของชลันธร
“หยุดก่อน” ไม่ทันจะถึงที่หมาย นภนต์กลับบอกให้ทุกคนหยุดการเคลื่อนไหว
“เหตุใดจึงสั่งให้หยุดเล่า…ท่านพี่นภนต์”
“เจ้าลองมองดีๆ สิชลันธร ว่าวิมานเทพแห่งการเวลามีทั้งหินยักษ์ หน้าดินปิดล้อมวิมานจนมิดจนไม่มีทางเข้าออก ยังดีที่หลงเหลือช่อฟ้าไล่ลงมาถึงนาคสะดิ้งให้พอรู้ว่านี่คือวิมานของเทพกาลเวลา” นภนต์เอ่ย พร้อมไล่สายตามองรอบบริเวณซึ่งเป็นลานศิลาหินอ่อนที่มีวัลยชาติเลื้อยคลุมอยู่รอบนอกออกดอกสวยงามแต่กลับไร้มวลหมู่ภมรภุมรามาดอมดมและที่น่าแปลกไปกว่านั้นมีเสาหินขนาดไม่ใหญ่โตมากนักตั้งตระหง่านโดดเด่นตรงหน้าวิมาน
“จริงด้วย ข้าว่ามันน่าแปลกยิ่งนักหรือว่าที่นี่จะมี…” รพีพงศ์เห็นด้วยกับนภนต์ สัญชาตญาณของตนบ่งบอกว่า ณ ที่แห่งนี้มีอันตราย
“เอาล่ะ ชลันธร นาคินทร์ จงลงมาจากหลังพระโคศุภราชแล้วมาหลบที่ด้านหลังข้า รพีพงศ์เจ้าเองก็ด้วย” ทุกคนทำตามคำสั่งแม่ทัพหลวงที่บัดนี้สยายปีกสีทองออกมาปกป้องผู้ร่วมเดินทางที่อยู่ด้านหลัง ร่างสูงก้มเก็บก้อนกรวดก่อนจะโยนไปที่ลานศิลาหินอ่อนตรงหน้า
‘ครืน…’
‘ฟึบ..ฟึบ…ฟึบ’
เสาหินทรุดลงไปกับพื้นธรณีเพียงเล็กน้อย พร้อมกับลูกดอกสีเงินจำนวนมากพุ่งออกมาจากหินยักษ์และหน้าดินหวังทำร้ายผู้บุกรุก ทว่าเทพผู้เป็นถึงนักรบผู้เก่งกาจมิยอมให้ลูกดอกนับร้อยนี้มาทำอันตราย ขนสีทองจากปีกทั้งสองข้างจึงพุ่งตัดทำลายลูกดอกจนสลายกลายเป็นผงธุลี
“ฮึ! นี่แค่ก้อนกรวดแตะลานยังส่งลูกดอกนับร้อยนับพันออกมาให้” นภนต์เอ่ย
“แล้วถ้าพวกเราเหยียบย่างเข้าไป มิต้องเจอดีกว่านี้เหรอท่านนภนต์” นาคินทร์เอ่ย เนื้อตัวสั่นเทาจนรพีพงศ์กอดปลอบจนลืมตัวว่ามิได้อยู่เพียงลำพัง
“ทั้งที่อุตส่าห์ถึงวิมานเทพกาลเวลาแล้วแท้ๆ…เห็นทีเราคงมิได้หลุดพ้นคำครหาว่าวางยาพิษสังหารท่านน้ากวินตาเป็นแน่...เหตุใดเทพกาลเวลาถึงต้องวางกับดักกลไก น่ากลัวถึงเพียงนี้” ชลันธรเอ่ย สุรเสียงเศร้าสร้อยทำให้นภนต์อดสงสารคนรักมิได้
(ต่อ)