สาปรัก...ทัณฑ์เทวา จบแล้ว P.14(28/04/2562) มีเรื่องแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับe-bookค่ะ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา จบแล้ว P.14(28/04/2562) มีเรื่องแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับe-bookค่ะ  (อ่าน 96397 ครั้ง)

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.11 P.4 (6/04/2560)
«ตอบ #120 เมื่อ07-05-2017 11:44:32 »

 :mew1:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.11 P.4 (6/04/2560)
«ตอบ #121 เมื่อ07-05-2017 12:08:40 »

ไม่พูดออกมาแล้วเมื่อไหร่จะเข้าใจกัน
แน่ใจเหรอว่าตอนนั้นคนที่เห็นน่ะเป็นชลันธรจริง ๆ

ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.12 P.5 (11/05/2560)
«ตอบ #122 เมื่อ11-05-2017 22:36:51 »

​สาปรัก…ทัณฑ์เทวา

Writer : Tan-Yung0209

File : 12













สุริยันจันทราหมุนเวียนเปลี่ยนผันจวบหลายเพลาแล้ว อาการของอดีตพระสมุทรเทพก็ดีวันดีคืน ด้วยยาใจตำหรับนภนต์นั้นคอยดูแลไม่ห่างกาย ถึงแม้ว่าตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันนั้นทั้งสองจะไม่ค่อยพูดจาดีๆ กันเสียเท่าไหร่ เทพนภาถึงจะรู้แก่ใจตัวเองว่ารักคนงามมากแค่ไหน กลับยังปากแข็งมิยอมเอื้อนเอ่ยความในใจ แต่มักแสดงออกด้วยการกระทำ ชลันธรเองนั้นก็เง้างอนน้อยใจนภนต์ที่ชอบเหย้าแหย่ตนเอง คิดแต่ในแง่ดีที่ว่าเป็นแบบนี้ก็อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่พูดจาอะไรกันเลย

“ตื่นได้แล้ว...จะนอนให้ถ้ำถล่มหรือไร” นภนต์ปลุกร่างบางขี้เซาที่นอนอยู่ข้างกาย ชลันธรหน้านิ่วเปลือกตายังคงปิดอยู่ก่อนจะหันมาซุกตรงอกอุ่น นภนต์เห็นพฤติกรรมก็อดที่จะระบายยิ้มออกมาไม่ได้

“ฟอด…จะตื่นหรือไม่เล่า หากเจ้าไม่ตื่นข้าจะหอมแก้มเจ้าจนกว่าเจ้านั้นจักตื่นขึ้นมา” นภนต์โน้มหน้าหอมแก้มใส ก่อนจะกระซิบข้างใบหูนิ่มส่งผลให้ชลันธรตื่นขึ้นมาทันที

“หยุดล่วงเกินเราได้แล้ว เราตื่นแล้ว!!” ชลันธรเอ่ย พร้อมฝ่ามือบางที่ค้ำยันใบหน้าที่หล่อเหลา ก่อนที่นภนต์จะหอมแก้มตนจนช้ำ

“ตื่นแล้วก็รีบไปจัดแจงสรงน้ำแต่งกายเสียให้พร้อมสรรพ วันนี้พวกเราจักต้องเดินทาง” นภนต์เอ่ย

“เราไม่ไปกับท่านหรอก” ชลันธรสวนทันควันไม่คิดจะฟังว่านภนต์จะพาตนไปแห่งหนใด

“เจ้าจะทำตัวเป็นคนอกตัญญูไม่รู้คุณหรือ…ชลันธร ข้าจะพาเจ้าไปกราบขอบพระคุณฤาษีวิทู พระอาจารย์ที่ช่วยเหลือเจ้าให้รอดจากพิษนาคา” นภนต์แสร้งพูดว่า ชลันธรที่พอรู้จุดประสงค์ก็รู้สึกผิดเล็กน้อย ที่ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท...ใช่แล้วควรที่จะไปกราบชอบพระคุณท่านฤาษีสักครั้ง...

“ถ้าเป็นการที่ท่านว่า...เช่นนั้นก็ได้ เราจักไป เราก็อยากกราบเท้าขอบพระคุณท่านฤาษีวิทูที่ได้ช่วยชีวิตเราไว้” ชลันธรเอ่ย นภนต์ก็ทำนิ่งเฉยทั้งที่ในใจนั้นอดเอ็นดูท่าทางทำนิ่งขรึมของชลันธรเสียไม่ได้

“ทีข้านั้นทั้งช่วยชีวิตเจ้า รักษาเจ้า ใยเจ้าถึงมิกราบแทบบาทาข้าบ้างเล่า” นภนต์เอ่ยเย้าคนงาม ใบหน้าสวยบ่งบอกว่าไม่พอใจในคำพูดของเทพนภา

“ได้ หากท่านนั้นประสงค์ที่จะให้เรากราบแทบบาทาของท่านแล้วไซ้ เราก็ยินดี...” ชลันธรพนมมือขึ้นมาแล้วก้มลงกราบแทบเท้าของนภนต์ ในเมื่ออยากให้กราบตนก็จะกราบแต่ก็ใช่การกราบที่ตนนั้นยินดีไม่ ในระหว่างที่โน้มลงก้มกราบฝ่ามือใหญ่ก็รวบมือพนมคู่เล็กเอาไว้เสียก่อน ชลันธรมองใบหน้าของนภนต์อย่างไม่เข้าใจ

“เหตุใดท่านถึงมารวบข้อมือของเราเสียเล่า ท่านอยากให้เรากราบท่านมิใช่หรือ” ชลันธรเอ่ยถาม

“เจ้าคงอยู่โลกมนุษย์มายาวนาน จึงลืมประเพณีของเราชาวสวรรค์เสียสิ้นแล้วกระมัง การที่เทพยดาหรือนางอัปสรจะก้มกราบบาทผู้ใดนั้น ก็จะต้องกราบหนึ่งผู้ที่เราเคารพ สองผู้ที่เราจักขอโทษและสามผู้ที่จะมีศักดิ์เป็นภัสดา ส่วนที่ข้าหยุด...เจ้าข้าเพียงอยากจะรู้ให้แจ้งแก่ใจว่าเจ้านั้นกราบข้าด้วยเพราะเหตุใด…” นภนต์เอ่ยโดยเน้นเสียงที่ข้อสามก่อนจะยิ้มร้ายออกมาเหย้าแหย่ให้ชลันธรหน้ามุ่ยเสียอย่างนั้น

“เราไม่กราบท่านแล้ว ท่านชอบทำให้เราไม่พอใจ” เอ่ยแล้วก็นอนหันหลังให้กับอีกฝ่าย ทำเหมือนงอนแต่ภายในใจนั้นคิดอะไรก็มิอาจจะคาดเดา

“กระนั้นหรือ ตอนแรกข้าคิดเสียว่าเจ้าจะกราบข้าผู้ที่เป็นดั่งภัสดาของเจ้าเสียอีก” นภนต์เอ่ยออกมาพร้อมกับสรวลเล็กน้อย

“เราไม่กราบท่านเพราะเหตุผลนี้เป็นแน่”

“แล้วเจ้าจะกราบข้าด้วยเหตุผลใดหรือว่าจะกราบขอโทษเรื่องที่เจ้าทำร้ายมารดาข้า”

“นั่นก็ยิ่งแล้วใหญ่ เราไม่ผิดเราจะกราบขอโทษทำไม เราไม่เคยคิดที่จะทำร้ายท่านน้ากวินตา ถ้าเราจะวางยาใครสักคน คนนั้นก็คือท่าน…ท่านนภนต์” ตอบกลับไปด้วยอารมณ์ประชดประชันแต่ คำพูดของคนงามก็หาได้ทำให้นภนต์โกรธเคืองแต่อย่างใด

“ถ้าเจ้าไม่ได้ทำก็จงพิสูจน์ให้ข้าเห็นสิชลันธร ไม่ใช่มัวนอนยั่วยวนข้าบนเตียงเช่นนี้” นภนต์แหย่แมวน้อยให้กลายเป็นเสือ ชลันธรพลิกตัวกลับมาแล้วใช้มือใช้เท้า ทั้งผลักทั้งถีบให้นภนต์ตกลงเตียงไป

“เราพิสูจน์แน่ ถึงครานั้นท่านจะเสียใจที่ไม่เชื่อใจเราและหมดรักในตัวเรา” ชลันธรเอ่ยใส่ร่างสูงที่พลัดตกเตียงไปเมื่อครู่

“ฤทธิ์เยอะเสียจริง...ข้าบอกไว้เลย ข้าไม่เสียใจ!!!... อืม นี่ก็สายมากแล้วเจ้ารีบไปจัดแจงสรงน้ำและพลัดผ้าได้แล้ว ข้าจะไปรอเจ้าที่นอกถ้ำแก้วนี้ อย่าให้ช้าเสียล่ะ” นภนต์พูดจบก็ลุกขึ้นเดินออกไปแต่ก็ไม่วายหยิบผ้าห่มคลุมกายชลันธรจนมิด จนร่างบางโวยวาย

…‘ข้าเองก็อยากเสียใจที่ข้าไม่เชื่อใจเจ้า…แต่ข้านั้นไม่นึกเสียใจที่หมดรักเจ้า...เพราะข้ายังคงรักเจ้าอยู่มิได้ลดลงเลย…ชลันธรน้องพี่’...

เมื่อจัดแจงสรงน้ำและแต่งกายด้วยอาภรณ์ใหม่ที่นภนต์ตระเตรียมไว้ให้  เนื้อภูษาอาภรณ์นั้นงามชั้นเลิศแลลวดลายวิจิตรพิศดานยิ่งนัก  แต่ทว่ากว่าจะเรียบร้อยก็กินเวลาไปเสียพักใหญ่ ทำเอาคนที่ยืนรอหน้าถ้ำลุกลี้ลุกลนเดินวนไปมาไม่ยอมหยุด ด้วยอาภรณ์ที่ว่างามแล้วและคนงามที่สวมใส่ยิ่งทำให้กายนั้นดูมีสง่าราศีมากขึ้นทั้งที่ยังคงกายมนุษย์  ไม่ว่าจะเป็นเทพเทวาหรือมนุษย์โลกหากได้ยลเพียงเสี้ยวเดียวของใบหน้าคนงามในยามนี้ ก็จำเป็นต้องมนต์เสน่หาซึ้งตรึงใจ หลงรักใคร่ในเพียงครั้งเดียวเป็นแน่แท้

“ท่านนภนต์…” เสียงเรียกเทพหนุ่มที่กำลังยืนคุยกับพญาอินทรีเผือกตัวใหญ่ที่เข้ามาเกาะท่อนแขนแกร่ง นภนต์หันหน้าไปมองตามเสียงเรียกนั้น ทันทีที่ได้ชมกายเจ้าของเสียงก็แทบจะตกอยู่ในภวังค์ ดั่งเมื่อครั้งแรกที่ได้ยลกายงามที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ดวงใจนั้นจำต้องผูกสมัครภิรมย์รักใคร่โดยมิทันตั้งตัว ซ้ำยังเกี่ยวพันผูกดวงใจมิมีคิดว่าจะร้างลา ยิ่งได้เห็นเต็มตาก็ยิ่งพาให้รำพึงถึงยามที่คนึงหาแนบด้วยกายอยู่ด้วยเสียทุกครั้งไป แม้อาภรณ์งามที่สวมใส่บนกายนั้นจะไม่ได้ประดับด้วยยศฐา แต่ชลันธรก็ดูงามเสียเทพหนุ่มมิอยากผู้ใดได้ยลโฉม

“เจ้ากลับไปก่อน” พอตื่นสติ นภนต์ก็ไล่พญาอินทรีเผือกนั้นให้โผบินกลับไปเสีย ส่วนตนก็ทำตีหน้านิ่งขรึมแสร้งว่าทำเป็นไม่พอใจชลันธร

“ช้า…มาช้ายิ่งนัก” นภนต์พูดบ่น ทำเอาชลันธรหน้าถึงกับเสียทันทีทันใด

“เราขออภัยที่ล่าช้า” ชลันธรรีบขอโทษอีกฝ่ายง่ายๆ เพราะรู้ดีว่าตนนั้นมาสายจริงๆ

“อืม อย่าทำบ่อยก็แล้วกัน” นภนต์พูดจบก็เดินเข้าหาแล้วช้อนกายอีกคนขึ้นมาอุ้ม เล่นเอาจนชลันธรที่กำลังเผลอนั้นร้องตกใจ แต่ก็รีบโอบรอบคอเทพหนุ่มไว้เพราะกลัวเทพหนุ่มจะแกล้งปล่อยให้ตกลงพื้น

“ท่านอุ้มเราทำไมเล่า ปล่อยเราบัดเดี๋ยวนี้”

“ก็ข้าจักพาเจ้าไปหาฤาษีวิทูน่ะสิ เข้าใจหรือไม่...หรือว่าเจ้าจะเดินไป...” นภนต์เอ่ยจบ ชลันธรเพียงพยักหน้ารับตามคำกล่าว เทพเวหาพอเห็นว่ามนุษย์ในอ้อมแขนไม่ขัดขืนอะไรก็สยายปีกสีทองออกแล้วโบยบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

กลุ่มเมฆาสีขาวล่องลอยผ่านร่างทั้งสอง มันช่างน่าตื่นตาตื่นใจสำหรับชลันธรที่ไม่ได้เหาะเหินเยี่ยงนี้มาแสนนาน พาลคิดถึงอดีตที่นภนต์มักจะพาตนเหาะเที่ยวเล่นอยู่บ่อยครั้งในยามที่ตนว่าง นภนต์เองก็ก้มมองชลันธรที่อมยิ้มก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้…

‘...ข้าคิดถึงความสุขในครั้งอดีตยิ่งนัก ท่านนภนต์...’

“ข้าแปลกใจยิ่งนัก เพลานี้ข้าอุ้มเจ้าอยู่เหตุใดเจ้าจึงไม่ร้องบอกให้ข้าปล่อยเจ้า” นภนต์พูดขึ้นมาทำลายความเงียบ ชลันธรที่ได้ฟังก็หุบยิ้มทันที... ‘ใครจะกล้าร้องกันเล่า ขืนร้องออกมาโดนปล่อยกลางอากาศ ตกลงไปเบื้องล่าง คงเจ็บหนักเป็นแน่...’

“เจ้าคงคิดว่าข้าจะโยนเจ้าเฉกเช่นที่ข้าเคยทำกับเจ้าตอนสรงน้ำใช่หรือไม่ เจ้าอย่ากังวลเลยข้าไม่ปล่อยเจ้าลงไปดอก” คำพูดของนภนต์ทำให้ชลันธรนั้นหวั่นไหวไปกับประโยคหากไม่มีประโยคอื่นตามหลัง

“ถ้าเจ้าตกลงไปข้าเกรงว่าจะไปทับเหล่าสรรพสัตว์ที่อยู่เบื้องล่างจมดินตายไปเสียน่ะสิ” นภนต์เอ่ยพร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงดัง นานมากแล้วที่เทพท้องนภาจะยิ้มหรือหัวเราะออกมาเช่นนี้

“ท่านช่างกวนประสาทเรานัก กายเรานี้ก็นิดเดียว จะไปทับตัวอะไรได้อย่างไรกัน ...เราจักไม่คุยกับท่านแล้ว...” ชลันธรเอ่ย ใบหน้าสวยบูดบึ้งไม่พอใจ นภนต์เองไม่คิดจะง้อคนรักเพราะ ด้วยตนนั้นชอบแกล้วกวนประสาทให้คนงามงอนเล่นอยู่เสมอ เสมือนเป็นประจำวันเรื่องหนึ่งที่ขาดไปเสียมิได้ ผู้ใดเล่าจะได้เห็นคนงามยามเง้างอนเยี่ยงนี้จะมีก็แต่เขาเพียงผู้เดียวเท่านั้น

เมื่อล่วงเข้าสู่เขตขัณฑ์คันทมาศคีรี ไม่นานนภนต์ก็บินลงมายังหน้าอาศรมของฤาษีวิทูผู้เป็นพระอาจารย์แล้ววางชลันธรลงให้ยืนอยู่เคียงข้าง ฤาษีวิทูนั้นรู้ว่าศิษย์จะมาพร้อมกับคนรักจึงออกมาจากอาศรมเพื่อต้อนรับ

“ท่านนภนต์ ท่านชลันธรเชิญนั่งก่อน” ฤาษีวิธูเชิญทั้งสองให้ประทับลงบนแคร่ไม้ใกล้ๆ

“อย่าได้เรียกเราว่าท่านเลยท่านฤาษีวิทู เพลานี้เราเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น” ชลันธรถ่อมตน รู้ดีว่าสถานะของตนตอนนี้เป็นมนุษย์สองกรหาใช่เทพมหาสมุทรสี่กรไม่

“ถ้าท่านประสงค์เช่นนั้นก็ย่อมได้ ว่าแต่มาหาข้านั้นมีเรื่องอันใดเล่า” ฤาษีวิทูถาม

“ข้ารู้ว่าท่านอาจารย์รู้ดีว่าเราทั้งสองมาเพราะเหตุใด” นภนต์ตอบ เนื่องจากเป็นศิษย์จึงรู้ว่าพระอาจารย์ของตนมีความสามารถหยั่งรู้อนาคต

“คือข้าจักมาขอบคุณท่านฤาษีวิทูที่ช่วยเหลือข้าให้รอดชีวิตไม่ให้เหลือไว้เพียงชื่อ” ชลันธรกล่าวออกมาจากใจที่ซาบซึ้งในพระคุณของฤาษีผู้นี้

“ทีข้าเจ้าไม่เห็นขอบคุณบ้าง ชลันธร” นภนต์เอ่ยออกมา ชลันหันขวับมองค้อนใส่…’คนบ้า ท่านพูดเยี่ยงนี้ท่านฤาษีวิทูก็รู้กันพอดีว่าท่านช่วยรักษาข้าด้วยวิธีใด’

“ท่านฤาษีวิทู เรามีเรื่องอยากจะขอให้ท่านช่วย” ชลันธรเปลี่ยนเรื่องคุย ทำเป็นไม่สนใจที่นภนต์ได้เอื้อนเอ่ยออกมาเมื่อครู่

“ว่ามาเถิด มีการใดจะให้ข้าช่วยเล่า”

“ความทรงจำของข้านั้นกลับคืนมาแล้วและข้านั้นต้องพิสูจน์ตัวเองให้หลุดพ้นจากข้อครหาเสียที ท่านฤาษีวิทูพอจะชี้แนะให้ข้าจะได้หรือไม่” ชลันธรบอกถึงสิ่งที่จะให้ฤาษีผู้เก่งกล้ารับรู้ในระหว่างที่พูดก็มองใบหน้าของชลันธรไปด้วย

“ถ้าอยากรู้ว่าเกิดเหตุอันใดเมื่อกาลก่อน มีทางเดียวคือ...ต้องย้อนเวลากลับไปยังอดีต”

“ย้อนเวลาอย่างนั้นหรือ แล้วจักต้องทำอย่างไรเล่าจะย้อนเวลาให้ข้าได้” ชลันธรเริ่มหมดหวังเพราะตัวเขานั้นไม่มีกำลังพอที่จักทำการนี้ได้หรือต่อให้เป็นเทวาอย่างนภนต์เองก็ไม่สามารถทำได้เช่นเดียวกัน

“อย่าทำหน้าเศร้าโศกเช่นนั้นเลยชลันธร ทุกปัญหาย่อมมีทางออกเสมอ หากคิดที่จะย้อนเวลา ก็ต้องไปหาเทพที่เกี่ยวข้องกับเวลา”

“เทพกาลเวลา...” นภนต์เอ่ยนามเทพผู้ลึกลับที่ไม่มีใครได้เห็นมานานนับสหัสวรรษ

“ใช่แล้วท่านนภนต์ เทพกาลเวลานี้เป็นผู้เดียวที่จะสามารถนำพาท่านทั้ง 2 ย้อนเวลากลับไปยังอดีตได้” ฤาษีวิทูกล่าวเสริม

“แล้วท่านเทพกาลเวลาอยู่ที่ใดกันเล่า ตั้งแต่เราจำความได้เราก็ไม่เคยเห็นเทพกาลเวลาเลยสักครั้ง” ชลันธรเอ่ยเสียงเครียด ถึงจะรู้วิธีพิสูจน์ตัวเองหากมันช่างยากเย็นเหลือเกิน

“เทพกาลเวลานั้นเพลานี้ได้ถูกสาปให้นิทราอยู่ในวิมานซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาจิราดร”

“เหตุใดกันเทพกาลเวลาจึงได้ถูกสาป” ชลันธรถามต่อ

“เรื่องราวนั้นเกิดขึ้นเมื่อสามพันปีก่อน…”

โลกได้ถือกำเนิดมาเป็นหมื่นล้านปี พระผู้สร้างองค์ก่อนรวมถึงเหล่าทวยเทพและนางฟ้าทั้งหลายต่างช่วยกันสร้างโลกให้สวยงามราวกับสรวงสวรรค์ เทพบางองค์ใช้คราบไคลสร้างเป็นดินปั้นเป็นหินผา เทพธิดาที่สระเกศาจากสระอโนดาตก็บิดมวยผมให้เกิดแหล่งน้ำบนผืนโลก บ้างก็หว่านเมล็ดพืชพันธุ์ เนรมิตสรรพสัตว์ทั้งหลายและท้ายที่สุดพระผู้สร้างก็สร้างมนุษย์ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ มีความเฉลียวฉลาด สติปัญญา ให้อาศัยบนพื้นพิภพจนเกิดโลกาที่สมบูรณ์แบบ

เวลาผ่านไปทุกสิ่งทุกอย่างก็สงบเรียบร้อยไร้ซึ่งความทุกข์ ทั้งมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายก็อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข จนกระทั่งเทพแห่งความตายละเหล่าอสูรกายในมหาอเวจีนรกที่ไม่พอใจเหล่าทวยเทพ เพราะพวกตนไม่มีส่วนร่วมในการนี้ จึงคิดจะทำลายสิ่งที่พระผู้สร้างได้สร้างเอาไว้นั้นก็คือโลก กระนั้นหากลงมือเองก็คงจะสู้ไม่ได้ จึงได้คิดใช้มนุษย์เป็นเครื่องมือเพราะคิดว่าพระผู้สร้างและเหล่าทวยเทพคงจะไม่ทำลายสิ่งที่ตนสร้างมากับมือ

ตามบัญชาเทพแห่งความตาย เหล่าอสูรกายได้แปลงร่างเป็นต้นไม้ปีศาจหยั่งรากลึกแผ่กิ่งก้านสาขาและออกผลเป็นอัญมณีนพเก้า เหล่ามนุษย์ผู้มีกิเลสหนานั้นได้เห็น ต่างก็อยากที่จะได้มาครอบครองจึงคิดจะปลิดผลหากแต่ต้นไม้ปีศาจนั้นกลับพูดขึ้นมา

...“พวกเจ้าไม่สามารถเก็บผลของข้าได้ ผลไม้เหล่านี้เป็นของเทพบนสวรรค์”... เสียงอสูรร้ายเอื้อนเอ่ย

… “แล้วเหตุใดต้นไม้นี้จึงได้กำเนิดบนพื้นโลก ไยไม่อยู่สรวงสวรรค์เล่า”... มนุษย์ขี้สงสัยคนหนึ่งเอ่ยถามต่อ ซึ่งเข้าทางอสูรกายยิ่งนัก

“ก็เพราะเหล่าเทวานั้นถือว่าเป็นเจ้าของทุกสรรพสิ่ง จึงเอาแต่ใจจักทำอะไรก็ได้  นึกอยากจะเสกฝน เสกลมมายังโลกมนุษย์เวลาไหนก็ได้ เจ้าว่ายุติธรรมหรือไม่ ทั้งที่พวกเจ้าเองมีสมองอันชาญฉลาดมิต่างจากเหล่าเทพยาดาเลยแม้แต่น้อย...แต่วันนี้ข้านั้นใจดี หากพวกเจ้าหมายอยากจะได้ผลไม้อัญมณีนพเก้าแล้วล่ะค่ะ ข้าจะยอมให้ปลิดไปได้คนละหนึ่งผล”...ต้นไม้ปีศาจเริ่มปลุกเร้ากิเลสที่ซ่อนอยู่ภายในใจของมนุษย์  แสร้งไหวกิ่งไม้ให้กลิ่นไอปีศาจจากผลไม้นั้นลอยลมทั่วบริเวณเพื่อกล่อมประสาทสะกดให้มนุษย์ไม่สนใจถึงคุณงามความดี

“ที่สำคัญพวกเจ้าเองก็รักษาประพฤติด้วยศรี ซ้ำยังสร้างคุณงามความดี เจริญสมาธิบำเพ็ญเพียร แล้วไยถึงมิได้ขึ้นไปยังสรวงสวรรค์ ก็ด้วยเพราะเหล่าเทวดาพวกนั้นล้วนอิจฉาไม่อยากให้มนุษย์ธรรมดาอย่างพวกเจ้าได้ดี เจ้ามนุษย์เอ๋ย...พวกเจ้านั้นช่างโง่เขลายิ่งนักที่ถูกหลอกมานานแสนนาน ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

เหล่ามนุษย์พอได้ฟังก็สดับคิดบวกกับกลิ่นอายปีศาจจากผลไม้นพเก้า และคำยั่วยุที่คอยสร้างความเกลียดชัง ปลุกกิเลสให้ลืมความรู้สึกผิดชอบชั่วดี  ในเมื่อทำความดีแล้วไม่ได้ดีก็ทำความชั่วก็คงจะดีเสียกว่า

ดั่งคำที่ว่าความชั่วนั้นทำง่าย…ไม่นานมนุษย์ก็เลือกเดินทางผิดสร้างความวิบัติให้กับโลกและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ คุณธรรมที่เคยจรรโลงใจต่างดับสูญมีเพียงมนุษย์บางกลุ่มที่ยึดมั่นในความดีก็พาลต้องถูกตามล่าและหนีกันหัวซุกหัวซุน

โลกที่งดงามกำลังจะกลายเป็นเพียงอดีต เหล่าทวยเทพทั้งหลายต่างประชุมกันอย่างเคร่งเครียด ทั่วทั้งสภาต่างถกเถียง จนแล้วสุดสรุปผลได้ว่าจักต้องทำการล้างโลกให้สิ้นนั่นก็คือสร้างอุทกภัย หน้าที่นี้จึงตกเป็นของเทพมหาสมุทร

เทพมหาสมุทรใช้พลังสร้างคลื่นยักษ์ขึ้นมาโดยมีวายุเทพคอยช่วยสร้างพายุพัดคลื่นสีครามไปยังทิศทางต่างๆ หากในเวลานั้นเทพกาลเวลากลับสงสารเหล่ามนุษย์และสรรพสัตว์อื่นๆที่ไม่รู้เรื่องราว จึงได้ทำการหยุดเวลาแล้วนำมนุษย์ พืชพันธุ์ และสิ่งมีชีวิตที่ไม่เกี่ยวข้องใส่ในเรือสำเภาทองจากนั้นก็ปล่อยเวลาให้ดำเนินตามปกติ วารีก็ท่วมผืนปฐพีกวาดล้างมนุษย์ชั่วหมดแผ่นดิน ดูเหมือนว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร หากการหยุดเวลาของเทพกาลเวลาทำให้การหมุนตัวของโลกในระบบสุริยะแปรเปลี่ยน ทั้งยังทำโดยพลการโดยไม่ปรึกษาหารือ จึงถือว่าเทพแห่งกาลเวลานั้นขัดเทวราชโองการของพระผู้สร้าง

...“ณิชรันดร ความผิดของเจ้านั้นช่างใหญ่หลวง หยุดเวลาโดยพลการส่งผลให้ระบบสุริยะต้องแปรปรวน ข้าขอสาปเจ้าให้หลับใหลในวิมานของเจ้าเป็นเวลาสามพันปีมนุษย์!!!”...

“แล้วนับแต่นั้นเป็นต้นมา เทพณิชรันดรหรือเทพแห่งกาลเวลาก็นิทราไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย” ฤาษีวิทูเล่าเรื่องราวของเทพแห่งกาลเวลา ทั้งนภนต์และชลันธรต่างสดับฟังก็พาลหน้าเสียเพราะถึงจะเจอตัวเทพกาลเวลาก็ไม่สามารถจะร้องขอให้ช่วยได้

“ข้ารู้ว่าพวกท่านกำลังกังวล แต่นับตั้งแต่น้ำท่วมโลกครั้งนั้นมาจนถึงบัดนี้ก็ใกล้ครบกำหนดสามพันปีแล้ว” คำพูดของฤาษีวิทูทำให้ชลันธรใจชื้น

“ถ้าเป็นเยี่ยงนั้นแล้วข้าขอกราบลาท่านอาจารย์ก่อน ข้าคงต้องพาชลันธรบินไปยังเขาจิราดร ถ้าเดินทางเพลานี้วันพรุ่งก็คงถึง”

“ช้าก่อนท่านนภนต์การจะเดินทางไปถึงเชิงเขาจิราดร หากเดินทางทางอากาศเห็นทีจะไม่รอด เพราะเหนือยอดไม้บนผืนป่ากันติทัตนั้นมีกระแสลมแรงพัดวนอยู่ กล่าวกันว่าแรงมากขนาดพญาครุฑผู้มากด้วยกำลังยังไม่สามารถบินผ่านได้ และถูกกระแสลมนั้นพัดออกไปไกลอีก มีเพียงวิธีเดียวคือต้องเดินผ่านป่ากันติทัตเท่านั้นและอีกอย่างท่านนภนต์...ท่านเองหมดหน้าที่ที่จักต้องดูแลชลันธรแล้วมิใช่หรือ อย่าลืมว่าตอนนี้ชลันธรก็จำเรื่องราวทุกอย่างได้หมดสิ้นแล้ว...” นภนต์ได้แต่นั่งเงียบเป็นอย่างที่ฤาษีวิทูได้กล่าว เพลานี้ก็หมดหน้าที่ของตนแล้ว ทางด้านชลันธรเองก็หันไปมองหน้านภนต์คนรักด้วยแววตาเศร้าสร้อย

“มีเรื่องอันใดจักถามข้าอีกหรือไม่ พอดีข้าต้องไปถือศีลภาวนายังเชิงเขาไกรลาสต่อ”

“เราไม่มีเรื่องไรจะรบกวนท่านฤาษีแล้ว ขอขอบพระคุณที่ช่วยชี้แนะให้กับเรา” ชลันธรพนมมือไหว้อย่างนอบน้อมพร้อมกับนภนต์ พลันฤาษีวิทูก็หายไป ชลันธรสีหน้าไม่สู้ดีนักเพราะถึงความทรงจำกลับมาตนก็ยังเป็นมนุษย์การเดินทางไปคนเดียวย่อมเสี่ยงอันตรายดีไม่ดีก็อาจจะตายกลางทางเสียได้ก่อนจะได้พิสูจน์ความจริง

“อ๊ะ!!” ชลันธรร้องออกมาที่ถูกนภนต์อุ้มทีเผลอเป็นครั้งที่สอง

“ท่านอุ้มเราทำไม ท่านนภนต์” ชลันธรเอ่ยถาม

“ข้ารู้ว่าข้าหมดหน้าที่แล้วแต่ข้าจะช่วยสงเคราะห์ส่งเจ้าที่ทางเข้าป่ากันติทัตเป็นการเอาบุญ” นภนต์ผู้แสนปากแข็งเอ่ย อยากช่วยแต่ก็ดันพูดวาจาชวนให้คนฟังนั้นเกิดโทสะ ชลันธรมองค้อนแต่ก็ไม่พูดอะไร นึกถึงว่าเมื่อถึงป่ากันติทัตแล้วคงตั้งจำจากนภนต์และอยู่เพียงลำพัง ไม่ว่าเทพหนุ่มจะพูดจายียวน หรือล่วงเกินเพียงใด ถึงตอนนี้ตนอยากจะอยู่ในอ้อมแขนของนภนต์ให้นานที่สุดเพราะอาจจะไม่มีโอกาสนี้แล้วก็เป็นได้

นภนต์กระชับอ้อมแขนให้ชลันธรแนบร่างกว่าปกติแล้วทะยานสู่ท้องฟ้าไปยังป่ากันติทัต ใจของนภนต์อยากจะวอนขอพรสักประการให้กาลเวลาหยุดไว้แต่เพียงเท่านี้  ตลอดสองร้อยเก้าสิบเก้าชาติที่ทิ้งคนรักเพราะทิฐิ พอรู้ตัวว่าตัดใจไม่ขาดเทพหนุ่มก็ไม่อยากทิ้งให้ชลันธรต้องเดินทางเพียงลำพัง แต่จักทำอย่างไรได้เล่าในเมื่อเวลานี้นภนต์หมดหน้าที่ดูแลชลันธรแล้ว

อกใดไหนเล่าจะอบอุ่นเท่าอกภัสดาตน ด้วยแอบอิงใบหน้าแนบอกแกร่ง ทิ้งสิ้นความเขินอายใดๆ กายบางอยากจดจำและสัมผัสกายนภนต์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

...เราต้องห่างเขามาแล้วสองเก้าสิบเก้าชาติ ...เมื่อกลับมาเจอกันแล้วจำต้องห่างกันอีกแล้วกระนั้นหรือ... แต่...รักเขามิใช่หรือ... ก็ต้องทำให้แม่เขายอมรับด้วย...อย่างไรเสียเราก็เป็นผู้บริสุทธิ์  และเราจักทำการนี้สำเร็จให้จงได้...ท่านนภนต์...ที่เราทำไปนั้นก็เพื่อ...เราทั้งสอง...























...............................

คัมแบ็กแล้วจ้า มาแล้ว มาแบบหวานๆเนอะ อาจจะไม่ถูกใจใครเพราะมันไม่มีอะไรพีค หรือมาม่ารสเข้ม ส่วนน้ำท่วมโลกนี่อ้างมาจากตำนานที่เราได้ยินกันซึ่งท่านยุ่งก็ได้ดัดแปลงมานะคะ

เรามาเอาใจช่วยหนูลันให้พิสูจน์ตัวเองกันดีกว่า ส่งแรงใจให้ด้วยเนอะ อย่าเพิ่งทิ้งกันนะคะ

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกคอมเม้น ทุกคำติชมนะคะ อันไหนที่ยุ่งพลาดยุ่งแก้ไข อันไหนที่ชมมาก็เก็บเป็นพลัง รักนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-05-2017 23:55:32 โดย TanYung0209 »

ออฟไลน์ kinjikung

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2940
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +163/-8
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.12 P.5 (11/05/2560)
«ตอบ #123 เมื่อ11-05-2017 23:02:00 »

พิสุจนืตัวเองให้ได้นะ จะได้เอาคืนเทพนภนต์บ้าง ไม่เชื่อใจคนรักเลย

ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.12 P.5 (11/05/2560)
«ตอบ #124 เมื่อ11-05-2017 23:18:59 »

พิสุจนืตัวเองให้ได้นะ จะได้เอาคืนเทพนภนต์บ้าง ไม่เชื่อใจคนรักเลย




เอาคืนแล้วค่ะ ถีบพี่นภนต์ตกเตียง 555555

ออฟไลน์ HISY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.12 P.5 (11/05/2560)
«ตอบ #125 เมื่อ11-05-2017 23:44:32 »

เอาคืนแค่ถีบตกเตียงมันไม่พอออ

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.12 P.5 (11/05/2560)
«ตอบ #126 เมื่อ11-05-2017 23:56:30 »

ใจอ่อนอะไรขนาดนี้

ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.12 P.5 (11/05/2560)
«ตอบ #127 เมื่อ12-05-2017 23:26:49 »

คิดถึงพระผู้สร้างกับบุษยะไหมคะ

ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.13 P.5 (16/05/2560)
«ตอบ #128 เมื่อ16-05-2017 20:37:37 »



สาปรัก ทัณฑ์เทวา Writer : Tan-Yung0209 File : 13

ชะตาชีวิตนั้นมี 2 ด้าน แฉกเช่นเหรียญกลมๆ เหรียญหนึ่งที่มีด้านหัวด้านก้อยหรือจะเป็นพระจันทร์ที่ด้านหนึ่งสุกสกาวแสง แต่อีกด้านหนึ่งกลับมืดมิดเพราะเป็นเงาวิ่งไล่ตามแสงสว่างนั้น ในขณะที่นภนต์และชลันธรกำลังเดินทางเพื่อไปยังป่ากันติทัตในแดนหิมพานต์เพื่อพบเทพกาลแห่งเวลา ด้านนาคน้อยนาคินทร์นั้นก็โดนบุตรแห่งสุริยะเทพกักขังจองจำในอาคารร้างเฉกเช่นนักโทษเชลย รพีพงศ์ได้ใช้ให้เหล่าสัมภเวสีผีไร้ญาติรวมถึงเจ้าที่คอยดูแลไม่ให้นาคินทร์หนีไปได้ ในระหว่างที่ตนนั้นออกไปตามหาชลันธร

วันที่รพีพงศ์ได้ขืนใจนาคน้อยนั้น หลังจากสุขสมจนเป็นที่พอใจแล้ว รพีพงศ์ก็ได้กลับไปยังสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำของคณะอีกครั้ง  ที่นั่นมีผู้คนมากมายมุงอยู่หน้าห้องจัดแสดงสัตว์ทะเลมีพิษเพื่อหาสาเหตุเข้าตรวจสอบแก้ไขเรื่องตู้กระจกที่จัดแสดงงูทะเลแตก สุริยะบุตรเดินฝ่าวงล้อมเข้าไปก็พบว่ามีซากงูทะเลที่นอนตายอยู่ใกล้ประตู รวมทั้งขนนกสีทองจำนวนมากที่กระจายทั่วพื้นห้องปะปนเศษกระจกใส รพีพงศ์ย่อตัวลงก้มเก็บขนสีทองแล้วพินิจดู…ขนจากปีกของเทพแห่งท้องนภา…นภนต์

ถึงจะไม่พอใจที่นภนต์มาช่วยชลันธรแทนที่จะเป็นตน แต่คิดในทางที่ดีอย่างน้อยชลันธรนั้นก็ปลอดภัย หากติดอยู่ที่ว่ารพีพงศ์ออกตามหาชลันธรและนภนต์ไม่พบ พอพลบค่ำก็กลับมาสอบสวนเชลยที่เขาเชื่อว่าผู้กระทำผิดอย่างนาคินทร์ที่ถูกกักขังไว้

“นาคินทร์เพียงเจ้าบอกมาว่าใครคือผู้บงการ ใครคือผู้คิดแผนชั่วช้านี้ ข้าสัญญาว่าจะปล่อยตัวเจ้าไปให้เป็นอิสระโดยทันที” คำพูดซ้ำๆ เดิมๆ ออกมาจากปากของรพีพงศ์ทุกค่ำคืน เหมือนดูภาพยนตร์เรื่องเดิมซ้ำๆ อย่างไรก็อย่างนั้น

“ไม่!!! ข้าก็บอกไปแล้วอย่างไรว่าข้าทำเองแต่ผู้เดียว ถึงแม้ว่ามี ข้า...ก็จะไม่บอกท่าน ต่อให้ข้าสิ้นชีวาวาย ข้าก็ไม่บอกท่านเป็นอันขาด” เช่นเดียวกับนาคินทร์ที่ตอบกลับได้ด้วยประโยคซ้ำซาก ด้วยความจงรักภักดีต่อกนธี นาคินทร์ไม่มีวันที่จะให้คนรักต้องมาเข้ามีส่วนรับผิดชอบเรื่องนี้เป็นอันขาด  ตนเพียงยินดีที่จะแบกรับผิดเรื่องนี้คนเดียวไว้ทั้งหมด

“เจ้ามันช่างดื้อด้านเสียจริง หรือว่า...เจ้าอยากให้ข้าข่มแหงน้ำใจเจ้าเหมือนคราก่อนอีก” รพีพงศ์พูดขู่ ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ก็ร่วมเจ็ดราตรีที่รพีพงศ์ก็ไม่ได้แตะต้องกายนาคินทร์แม้แต่ปลายเล็บ

“ต่อให้ท่านขืนใจข้าเป็นร้อยเป็นพันครั้ง ข้าก็ไม่บอกท่านหรอก!!! ก็เอาสิ เอาเลย...หากท่านทำอีกล่ะก็ โลกานี้ต้องจารึกว่า เทพรพีพงศ์โอรสแห่งพระอาทิตย์ มันชั่วช้ารังแกได้แม้กระทั้งเดรัจฉานไม่มีทางสู้อย่างข้า...” ในเมื่อไม่มีอะไรจะต้องเสียนาคินทร์ก็พร้อมเผชิญหน้า

“ได้…ถ้าเจ้าต้องการให้ข้าทำเช่นนี้กับเจ้า!!!”

รพีพงศ์เหวี่ยงนาคินทร์ให้นอนราบกับพื้นแล้วตามคร่อมทับ นาคินทร์นอนนิ่งไม่คิดจะหลบหนี อีกฝ่ายอยากจะทำอะไรนาคินทร์ก็ปล่อยให้ทำตามใจ แต่สายตานั้นจ้องฝ่ายที่คร่อมทับอย่างไม่เกรงกลัว ท่าทางหยิ่งผยองไม่กลัวอะไรของนาคินทร์บวกกับเรื่องที่ตามหานภนต์และชลันธรไม่พบก็ยิ่งทำให้รพีพงศ์อยากจะกระทำรุนแรงใส่นาคาใต้ร่างนี้เพื่อเป็นการระบายอารมณ์

‘ท่านพี่รพีพงศ์…ข้ามีเรื่องจะแจ้งกับท่าน โปรดกลับมายังวิมานเพลิงด้วยเถิด’

สุรเสียงของอรุณเทพน้องชายฝาแฝดของรพีพงศ์ดังแว่วเข้ามาในความคิด รพีพงศ์จึงจำต้องหยุดชะงักการกระทำทั้งหมด ร่างสูงละออกจากกายของนาคินทร์ที่มองรพีพงศ์อย่างไม่ค่อยเข้าใจ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามมันก็ดีสำหรับนาคินทร์ที่จะต้องมาร่วมสังวาทด้วยความมิเต็มใจเป็นครั้งที่สองกับรพีพงศ์ แต่แล้วร่างสูงก็หันกลับมาอีกครั้ง มือหนาข้างหนึ่งพุ่งเข้าจับคางเรียวเชิดขึ้น หมายให้ฟังตนพูด

“ราตรีนี้ข้าจักปล่อยให้เจ้าได้ไตร่ตรองอีกสักคราว่าเจ้าควรจักทำเยี่ยงไร ควรจะเปิดปากบอกข้าหรือไม่ แล้วเมื่อข้ากลับมาหวังว่าจะได้คำตอบ…ที่ข้าต้องการ” รพีพงศ์ปล่อยมือที่บีบคางของนาคน้อยลงหลังเอ่ยจบ แล้วก็หายวับไปกลับสู่วิมานเพลิง

กายบางกลั้นสะอื้น ลุกขึ้นนั่งกอดเข่าตัวเองเอาไว้ ความน่ากลัวที่เคยผ่านพ้นเข้ามาในชีวิต คงเป็นครั้งนี้ที่ความกลัวนั้นยิ่งกว่าความกลัวครั้งไหนๆ  ตลอดเวลาที่ถูกคุมตัว ถึงจะกลัวเพียงไรก็อดทน จะสะอื้อไห้ก็โดนดุ เหล่าเจ้าที่ผีสางก็แค่ถูกสั่งให้เฝ้าแต่มิได้ถูกสั่งให้ช่วยปลอบ นาคินทร์อยากจะหนีกลับไปกอดกายซบแผ่นอกกว้างของกนทียอดดวงใจยิ่งนัก ติดกับว่ารพีพงศ์คอยให้เจ้าที่และพวกผีสางเฝ้าตนเอาไว้ จนไม่สามารถหนีออกไปไหนก็ไม่ได้ จึงจำต้องนั่งทุกข์ใจรองรับอารมณ์ที่คุ้มร้ายและร้ายกว่าของรพีพงศ์

“หากมีบ่อน้ำให้ข้าได้หนีก็คงจะดี” นาคินทร์พึมพำพร้อมกับกวาดสายตาคู่สวยมองไปรอบๆห้อง ที่นี่มีเพียงซากโต๊ะเก้าอี้เก่าๆที่ปกคลุมด้วยฝุ่นหนาเตอะ ไม่รวมมด แมลงสาปและแมงมุมที่ทำให้นาคินทร์ถูกจับได้อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ นี้ อย่าหวังว่าจะมีบ่อน้ำเลยน้ำสักหยดก็ยังไม่มี

‘บ่อน้ำ…น้ำสักหยด…จริงสิ…’

ใจนั่นเริ่มชื้นเมื่อนาคินทร์นึกอะไรบางอย่างออก ก่อนที่จะกักน้ำลายไว้ในปากจนเต็มแล้วถมลงบนพื้นเปื้อนฝุ่น น้ำบ่อน้อยอย่างไรเล่า นาคินทร์เคยได้ยินเรื่องราวที่พญาวานรเผือกโดนไฟกรดเผาหางจึงได้ใช้ ‘น้ำบ่อน้อย’ หรือ ‘น้ำลาย’ ดับไฟ คิดแล้วก็ขันตัวเองยิ่งนักมัวแต่หาบ่อน้ำจนลืมว่าตนเองก็มีบ่อน้ำอยู่กับตัว

เพื่อไม่ให้เสียเวลาและน้ำลายแห้งเหือดไป เพียงดัชนีเรียวยาวจุ่มลงไปที่กลุ่มน้ำลายของตน นึกด้วยร่ายมนต์คาถา ไม่กี่อึดใจน้ำบ่อน้อยกลับกลายเป็นแอ่งน้ำวนกว้างเท่าขนาดห้องทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก จนเหล่าผีสางไม่สามารถจะหยุดนาคาน้อยได้ทัน แล้วนาคินทร์ก็หายกลืนไปกับกระแสน้ำวนฝ่ามิติลงไปยังวิมานใต้ผืนทะเล

‘วิมานมุกสีคราม’

นาคินทร์ล้มกองลงพื้นผิวแก้วมันสีน้ำเงินเข้ม รอยยิ้มที่น่ารักก็ปรากฏบนใบหน้า ในที่สุดตนก็กลับมาหากนธีผู้เป็นที่รักได้แล้ว นาคินทร์ยืนขึ้นเดินไปหยิบผ้าคลุมมาปิดบังกายช่วงต้นคอกลัวว่าหากกนธีเห็นรอยจ้ำแดงที่เขาไม่ใช่ผู้สร้างนี้เข้าจะเป็นเรื่อง คงเค้นเอาจนล่วงรู้ว่าตนถูกรพีพงศ์สร้างรอยราคีเอาไว้จนเต็มกาย นาคน้อยนั่งลงรอคอยกนธีกลับมา

‘เอี๊ยด…’ ไม่นานประตูหินจำลักก็เปิดออก ปรากฏร่างสูงกำยำของกนธี

“ท่านพี่…” นาคินทร์ร้องเรียกอีกคนด้วยความดีใจ แม้จะห่างกันเจ็ดวันก็ไม่ต่างกับเจ็ดปีของนาคินทร์ น้ำตาเม็ดใสเอ่อซึมที่หางตาทั้งที่มุมปากยกยิ้ม

“ท่านพี่กนธี น้องคิดถึงท่านพี่เหลือเกิน” นาคินทร์วิ่งเข้าสวมกอดหวังให้การได้อยู่กับกนธีจะทำให้ลืมเรื่องเลวร้ายที่ได้เจอในช่วงเวลาที่ผ่านมา

‘เพี๊ยะ!!’ เสียงฝ่าหัตถาใหญ่ตบเข้าไปที่แก้มขาวอย่างเต็มแรง  ทำให้ใบหน้างามหันไปตามแรงและล้มเซไปนั่งลงกับพื้นในทันที  ปรากฏเกิดรอยแดงรูปฝ่ามือบนใบหน้าขาว นาคินทร์รู้สึกชาวาบไปทั่วร่าง ทุกความรู้สึกจุกอยู่ที่อก ตกตะลึงที่โดนคนรักกระทำเยี่ยงนี้ มือบางเลื่อนมาสัมผัสใบหน้าข้างที่ถูกตบ

“ท่านพี่..ฮึก…เหตุใดเล่าท่านพี่ถึงตบหน้าน้องเยี่ยงนี้” นาคินทร์กลั้นสะอื้นถามกนธีที่ยืนจ้องตนราวจะฆ่าให้ตายคามือ ว่าเรื่องเมื่อครู่ที่ทำนั้นคืออะไร

“เจ้ายังจะมาถามอีกหรือ เจ้าทำงานให้ข้าไม่สำเร็จ!!! ชลันธรถูกไอ้นภนต์ช่วยไปได้อีก ซ้ำร้าย…พวกมันยังหนีหายเข้ากลีบเมฆไปไม่รู้พาไปกกกันอยู่แห่งหนใด ดวงใจพระสมุทรก็สาบสูญ เยี่ยงนี้แล้วเจ้ายังจะมาถามข้า!!! กลับมาหาข้าอีกหรือ!!!” กนธีตวาดลั่น ทั้งที่อุตส่าห์วางแผนเอาไว้เสียดิบดี นาคินทร์ก็ยังทำไม่ได้มันน่าโมโหยิ่งนัก

“ข้าขอโทษ…ฮือ..อ…ข้าขอโทษ…ท่านพี่อภัยให้ข้าด้วยเถิด”

“อย่ามาเรียกข้าว่าท่านพี่ ได้ยินแล้วคลื่นเหียนชวนสำรอก ไปซะนาคินทร์ ข้าขยะแขยงเจ้ายิ่งนัก ออกไปจากวิมานข้าบัดเดี๋ยวนี้!!! แล้วไม่ต้องกลับมาให้ข้าเห็นหน้าเจ้าอีก!!!” กนธีเกรี้ยวกราดจนเกิดคลื่นทะเลคลั่งปั่นป่วน ถาโถมขึ้นฝั่งตามระดับอารมณ์ หลายชายหาดถูกซัดด้วยคลื่นยักษ์แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

“ฮึก..ก..อย่าไล่ข้าเลย ข้าไม่เรียกว่าท่านพี่ก็ได้…ฮือ..อ…ฮือ..ได้โปรดอย่าไล่ข้าเลยท่านกนธี ข้ารักท่าน ยินดีทำทุกอย่างเพื่อท่าน..ฮือ..อ” นาคินทร์กอดขากนธีแน่นแก้มอาบน้ำตาก็แนบไปที่แข้งหนาหวังให้กนธีสงสารไม่ไล่ตนไป

“นาคินทร์เจ้าฟังข้าให้ดี นอกจากรสสวาทที่เจ้าปรนเปรอข้าแล้ว เจ้าก็ไม่มีดีอะไรให้ข้าถูกใจเจ้าเลย และที่สำคัญ…ข้านั้นไม่ได้รักเจ้า!!!! ออกไป!!!” กนธีเตะนาคินทร์ให้ออกไปแต่นาคินทร์ก็ยังคลานมาจับข้อเท้าตนอยู่ดี…ดื้อด้านน่ารำคาญยิ่งนัก

“ท่านกนธี…ฮือ..อ..ข้ากราบท่านแล้วโปรดเมตตาข้าเถิดนะ อย่าไล่ข้าไปเลย  ท่านกณธี” นาคินทร์ก้มกราบแทบเบื้องบาทาผู้เป็นสามีหมายให้ใจอ่อน หากแต่กนธีก้าวเท้าออกหนี

“ทหารนำนาคินทร์ออกไปจากวิมานข้าบัดเดี๋ยวนี้ แล้วเอาไปโยนไว้บนฝั่ง จงตรวจตราให้ดี อย่าให้มันกลับลงมาในท้องสมุทรได้อีก !!!” กนธีเรียกบริวารของตนให้ลากนาคินทร์ออกไปให้เสียพ้นๆ แล้วโยนร่างขึ้นไปบนชายฝั่ง นาคินทร์ไม่มีแรงขัดขืน อีกทั้งเสียใจที่กนธีไม่ได้รักตนแม้แต่น้อย เจ้ามันโง่เสียจริงนาคินทร์เอ๋ย

‘ตุบ...’ กายบางถูกโยนไว้บนหาดทราย ร่างบางไร้เรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้น เวลานี้นาคินทร์ทำได้เพียงกรรแสงออกมา ไม่อายจันทราที่สาดแสงส่อง ความเสียใจ น้อยเนื้อต่ำใจประเดประดังเข้ามา

“เจ้าตัดใจเสียเถิดนาคินทร์ พระสมุทรมีชายาแลสนมทั้งผู้เมียเป็นร้อย ใยเจ้าถึงปักใจรักด้วยเช่นนั้น นี่เจ้ามีบุญแค่ไหนแล้วที่รอดออกมาได้ ปกติหากทำให้พระสมุทรต้องพิโรธ ทัณฑ์สถานเดียวก็คือตาย...แล้วเจ้าก็อย่ากลับลงทะเลอีกล่ะ...หากยังรักตัวกลัวตายอยู่ล่ะก็ ไปตามทางของเจ้าเสียเถิดนาคินทร์...”  ทหารนายหนึ่งที่จับนาคินทร์ขึ้นมาบนฟังกล่าวกับนาคน้อย ที่ยามนี้หัวใจแตกสลายยับเยิบ ก่อนจะกลับลงไปยังวิมานมุกสีคราม 

เสียใจสุดเสียใจ กนธีผู้ที่ตนรักและเคารพ สู้พลีกายถวายใจหวังว่าอีกฝ่ายจะรักเพียงสักเศษเสี้ยวกลับขับไล่และหลอกใช้ตน พอก้มมองร่างกายตัวเองก็มีร่องรอยราคีสีจางจากรพีพงศ์ ช่างน่าอัปยศอดสูยิ่งนักความรักที่ไม่สมหวัง ร่างกายก็ถูกย่ำยี ทั้งยังต้องถูกทิ้งให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย

‘...ข้าคงดีไม่พอ...ข้าคงทำดีไม่พอ  ไม่พอที่ท่านจะรักข้าได้...ท่านกนที...’

 การมีชีวิตอยู่แล้วต้องทนทุกขเวทนา ในเมื่อกลับลงทะเลก็ไม่ได้ นาคาน้อยคิดหาทางออกที่เหมาะสมนั่นก็คือ...ความตาย...

หัตถาเรียวตั้งพนม ขยับริบฝีปากพึมพำร่ายเวทย์คาถา ชั่วอึดใจกายงามถูกแปรเปลี่ยนกลับสู่ร่างนาคาสีนิล แล้วส่งเสียงร้องโหยหวนชวนขนหัวลุก แต่มีสิ่งมีชีวิตอย่างหนึ่งที่สนใจเสียงนี้  นาคินทร์หวังจะเรียกเหล่าพญาครุฑเจ้าเวหาออกมากระชากฉีกลากพากายให้ขาดรอนเป็นอาหารอันโอชะแก่ครุฑสืบไป

ด้วยเสียงร้องของนาคสีนิลที่ดังไปไกลยังวิมานฉิมพลี เหล่าพญาครุฑที่ได้ยินต่างก็เร่งแรงเต็มบินลงมายังเกาะแสมสารนับสิบ สายตาคมมองกายนาคสีนิลตัวจ้อยที่นอนบนผืนทราย พญาครุฑต่างบินโฉบสร้างบาดแผลให้นาคินทร์ที่อ่อนแออยู่แล้วก็ยิ่งหายใจรวยริน ถึงจะเจ็บปวดสะบัดสะบอมเพียงใด แต่ความตายที่หมายมั่นนั้นก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม

“หยุด!!! เดี๋ยวนี้เหล่าพญาครุฑ” เสียงร้องห้ามให้หยุดนั้นดังสนั่น รัศมีเปลวเพลิงแดงฉานที่ร้อนระอุวาบทำให้เหล่าครุฑที่หมายจะกินกายมันของนาคินทร์นั้นต่างตกใจ และโผบินสูงขึ้นไปตั้งหลักอยู่บนท้องฟ้า นาคินทร์ลืมตามองดูก็พบว่ารพีพงศ์กำลังใช้กายบังตนอยู่ กายของเขามีโลหิตที่เป็นเปลวไฟเคลื่อนผ่านเป็นเส้นสายทั่วทั้งร่าง

“ท่านรพีพงศ์ ท่านไม่ควรมาขัดขวางพวกข้าที่กำลังจะกินนาคชั้นต่ำตนนั้น” เวณุวัฒน์พญาครุฑตนหนึ่งกล่าวกับรพีพงศ์อย่างเสียอารมณ์

“ขออภัยข้าจำต้องขัดขวาง นาคตนนี้เป็นเชลยของข้า หากข้าไม่อนุญาตจะไม่มีใครหน้าไหนสามารถฆ่า กิน หรือแตะต้องได้ทั้งนั้น” รพีพงศ์เอ่ย หวังว่าพวกครุฑจะยอมแต่โดยดี

“เห็นทีจักไม่ได้ ด้วยนาคตนนี้ร้องเรียกพวกเราให้ลงมาฉีกเนื้อขย่ำร่าง  พวกข้าก็จะช่วยสังเคราะห์ให้ไม่ดีหรอกหรือ...” การเจรจาไม่เป็นผล เหล่าพญาครุฑคงยืนกรานต้องการจะกินเนื้อและมันแสนหอมหวานของนาคินทร์

“ถ้าพูดดีๆ กันไม่รู้เรื่องก็เข้ามา ข้าจะใช้เพลิงแห่งสุริยาเผาขนปีกพวกเจ้าไม่ให้เหลือแม้แต่ซาก...” ไม่ใช่แค่พูดขู่ แต่เพลิงไฟสว่างจ้าโหมลุกท่วมกายของรพีพงศ์ เหล่าครุฑพอเห็นว่าสุริยะบุตรเอาจริง การนี้หากสู้กันจริงคงได้ไม่คุ้มเสียเป็นแน่ ต่างจึงพากันร่นถอยบินกลับไป ไม่คิดต่อกรกับเพลิงแห่งพระอาทิตย์ที่มีแสนยานุภาพล้นเหลือ

“ฮึก..ท่านมาขวางทำไม..ฮือ..อ..ข้าอยากตาย..ฮือ” นาคินทร์กลับเข้าสู่ร่างมนุษย์แล้วก็ต่อว่ารพีพงศ์ที่เข้าช่วยเหลือตนเอง รพีพงศ์ที่ตอนแรกจะลงโทษนาคินทร์ฐานหลบหนี แต่พอเห็น ดวงตาที่แดงก่ำ และรอยช้ำที่แก้มนวลซ้ำยังฉาบด้วยคราบน้ำตา รพีพงศ์จึงมิอาจใจร้ายลงโทษนาคินทร์ได้

“เหตุใดเจ้าทำเช่นนี้นาคินทร์...”

“ข้าหมายที่จะตาย แล้วมันใช่กงการอะไรของท่านที่จักต้องมายุ่ง...”

“กงการหรือ...ข้ามิรู้สาเหตุดอกที่ทำให้เจ้าต้องการที่จะปลิดชีพให้ครุฑกินเยี่ยงนี้เพราะอะไร... ข้ารู้เพียงแต่เจ้ามีใจกล้ามากที่หนีข้า ข้าชอบใจที่เจ้ามีความกล้าเช่นนี้...ดังนั้นเจ้าจะตายไม่ได้เด็ดขาด... เจ้าต้องเป็นเชลยของข้า...ต่อไป” รพีพงศ์เอ่ยแล้วมองนาคินทร์ที่ซึ่งดูไร้วิญญาณและไม่ได้สนใจในสิ่งที่ตนพูดแม้แต่น้อย

“จะนิ่งเงียบเช่นนี้อีกนานหรือไม่ หยุดโศกเศร้าเสียใจได้แล้ว ข้าไม่ชอบคนเจ้าน้ำตา...” ยิ่งห้ามให้หยุดร้องก็เหมือนจะเป็นการยุเสียมากกว่า นาคินทร์สะอื้นไห้หนักกว่าเก่าจนรพีพงศ์ถอนหายใจไม่รู้จักทำเช่นไรดี หากเป็นชลันธรคงไม่แคล้วจะเข้าสวมกอดแต่นี่เป็นเชลยสิ่งที่รพีพงศ์จะทำได้นั้น...

“ลุกขึ้นแล้วขึ้นขี่หลังข้า เราจะต้องเดินทางกันอีก...” รพีพงศ์ย่อตัวลงหันหลังให้กับนาคินทร์ นาคน้อยมองแผ่นหลังกว้างพลางนึกแปลกใจที่เทพผู้ยิ่งใหญ่ยอมให้ตนขึ้นขี่หลัง

“ท่านพูดว่าอะไรนะ...”

“ไม่ได้ยินหรืออย่างไรเล่า ข้าบอกให้เจ้าขี่หลังข้า เร็วๆ เข้า” รพีพงศ์พูดซ้ำ นาคินทร์จึงขยับกายเกาะบ่าขี่หลังของรพีพงศ์เอาไว้

“กอดคอข้าไว้สิ เดี๋ยวก็หล่นหงายหลังลงไปหรอก....” รพีพงศ์บอกให้นาคินทร์กอดคอตนเองไว้เพื่อนไม่ให้หล่นจากหลัง นาคน้อยก็ทำตามสั่ง แต่ใจเองก็ยังงงๆ ปกติเคยเห็นห่วงเป็นใยที่ไหนมีแต่ขู่ทำร้ายกายใจอยู่ตลอด  ยืนขึ้นก่อนจะเดินก้าวไปด้านหน้าต่อไป

“เหตุใดท่านจึงให้นาคชั้นต่ำอย่างข้าขี่หลังผู้เป็นเทพท่านเล่า มัน...” นาคินทร์ที่ในศีรษะเต็มไปด้วยความสงสัยนั้นเอ่ยถาม

“เนื้อตัวเจ้ามีแต่บาดแผล ถ้าข้าปล่อยให้เดินเองก็เสียเวลาเดินทาง อีกอย่างเจ้าหยุดเรียกตัวเองว่านาคชั้นต่ำเสียที ท่านพ่อข้าเคยบอกไว้ว่าสรรพสัตว์ล้วนเสมอกันด้วยศีล ด้วยความดี หาใช่ตระกูลที่ถือกำเนิดมา หากทำความดีละซึ่งความชั่วไม่เดรัจฉานชั้นต่ำหรือเทพชั้นสูงก็เสมอกันด้วยศีลทั้งนั้น...” ประโยคที่รพีพงศ์ตอบ  ทำเอานาคินทร์นั้นมียิ้มเล็กๆ ที่มุมปากออกมาเพราะความรู้สึกดีที่รพีพงศ์ไม่ได้ดุด่าว่าร้ายตนอีกทั้งยังมีใจเมตตากรุณาอยู่บ้าง

“แล้วท่านจะพาข้าไปหนแห่งใด จะกักขังข้าไว้ที่อาคารร้างอีกหรือ”

“ป่าหิมพานต์”

“ป่าหิมพานต์ !!!…เหตุใดต้องไปที่นั่นด้วยเล่า แล้วจะเดินทางข้ามทะเลสีทันดรอย่างไร แล้วที่หรือว่าลัน…”

“ใช่เป็นอย่างที่เจ้าคิดนั่นแหละ ส่วนเรื่องการเดินทางเจ้าไม่ต้องกังวล” รพีพงศ์ตอบ นับว่าเป็นข่าวดีที่อรุณเทพแฝดน้องได้แจ้งมา . . ‘มีอันใดจะแจ้งข้าเล่า อรุณเทพน้องพี่’

‘ข้ามีข่าวดีจะบอกกับท่าน ในวันนี้ข้าได้เทียมราชรถผ่านป่าหิมพานต์ก็เห็นท่านนภนต์อุ้มชลันธรบินออกจากถ้ำแก้ว คาดว่าคงอยู่ที่นั่นตลอดเจ็ดทิวาราตรีและเพิ่งจะออกมาในวันนี้

‘ขอบน้ำใจเจ้ามาก ข้าขอลาไปตามหาชลันธรยังป่าหิมพานต์ก่อนก็แล้วกัน’ ถึงจะระคายหูกับคำสันนิษฐานของอรุณเทพผู้น้องแต่รพีพงศ์ก็พยายามไม่คิดถึง สิ่งสำคัญคือต้องกลับไปนำตัวนาคินทร์และเดินทางไปสู่ป่าหิมพานต์ด้วยกัน

รพีพงศ์มาถึงอาคารร้างก็พบว่านาคินทร์หายไปแล้ว ความโมโหถึงจุดเดือดก็เร่งออกตามหา หากเจอตัวก็จะลงโทษให้สาแก่ใจ รพีพงศ์รวมจิตใช้เนตรเพลิงหาตัวนาคินทร์ก็เห็นนาคาสีรัตติกาลนอนแผ่อยู่บนหาดทรายที่ตนได้เจอกับนาคินทร์ครั้งแรกก็รีบเร่งมาหาและเจอตัวในที่สุด

“อื้ม..ม…”

นาคินทร์ที่อ่อนเพลียและบอบช้ำจากแผลทางกายและใจก็หลับซบไปที่บ่าของรพีพงศ์ สุริยะบุตรหยุดชะงักเพราะรับรู้ลมหายใจแผ่วเบาสม่ำเสมอที่รดต้นคอของตน ดวงตาคมเหลือบมองใบหน้าหลับใหลไม่ต่างจากเด็กน้อยของนาคินทร์…ดูแล้วไร้พิษภัยเสียเหลือเกิน

‘ข้าหวังว่าเจ้าจะกลับตัวกลับใจนะนาคินทร์’

. . .

สายลมเย็นพัดผ่านผิวใบหน้าสวย นาคินทร์ค่อยๆ ปรือตาขึ้นมาแล้วกระชับผ้าคลุมที่เปิดเผยไหล่เนียนให้ปิดคุมเข้าที่ ดวงตาหวานมองไปรอบๆ ก็ตื่นตระหนกตกใจยิ่งนัก ที่ตรงหน้ามีปุยเมฆสีขาวนั่นพัดผ่านใบหน้า ส่วนเบื้องล่างเป็นทะเลสีครามและที่น่าตกใจไปกว่านั้น นาคินทร์นั่งอยู่บนหลังม้าลักษณะดีตัวหนึ่งโดยที่รพีพงศ์นั่งซ้อนหลังกุมบังเหียนและรวบกอดเอวตนเอาไว้

“ตื่นแล้วหรือ…นาคินทร์ นั่งดีๆ ล่ะ เดี๋ยวเจ้าจักตกลงไปในมหานทีสีทันดร” คางเรียวเกยเข้าลาดไหล่ประสงค์เตือนคนที่ตื่นฟื้นกำลังที่ข้างใบหู  รพีพงศ์เอ่ยแล้วกุมบังเหียนเร่งม้าอุจฉัยศรพที่ได้ลอบนำมาจากวิมานของเทพทินกรโดยมีพระอรุณคอยช่วยเหลือ

‘เพลานี้ท่านพ่อทรงบรรทมอยู่ ท่านพี่ก็รีบนำม้าอุจฉัยศรพไปใช้เถิด เมื่อถึงที่หมายมันจะวิ่งกลับขึ้นวิมานเองแต่มีข้อแม้ว่าอย่าเกินเที่ยงคืนนี้’

เงื่อนไขของเวลาทำให้รพีพงศ์ต้องรีบเร่งข้ามมหานทีสีทันดรไปให้จงได้ เพื่อไปพบกับชลันธรผู้ที่ตนเฝ้ารักเฝ้าถนอมมาตั้งแต่แรกพบประสบพักตร์

‘ชลันธร…ไม่นานข้าจักได้พบเจ้าแล้ว...’

“เหตุใดจึงพาข้าไปด้วยเล่า” นาคินทร์เอ่ยถาม ทำให้รพีพงศ์ที่ใจลอยหาชลันธรได้สติขึ้นมา

“เพราะข้ายังไม่คิดจะปล่อยเจ้าไปไหน…หากปล่อยไปเจ้าต้องไปทำอะไรไม่ดีกับชลันธรอีกเป็นแน่ และเจ้าอย่าลืมสินาคินทร์... เจ้านั้นเป็นเชลยของข้าเพียงผู้เดียว”

“แล้วใยเป็นเชลยท่านต้องกอดเอวข้าแน่นเยี่ยงนี้ด้วยเล่า...” นาคินทร์สงสัยครั้นจะดิ้นรนขัดขืนก็กลัวจะตกลงไปในห้วงทะเลลึก

“ถ้ากอดไม่แน่นแล้วเจ้าตกลงไป...ก็เสียเวลาลงไปช่วยเจ้าอีก...เวลาข้ามีจำกัด...”

“อย่างนั้นก็ทิ้งกายข้าลงไปเถิด มันจะช่วยให้เบาหลังม้านี้มากขึ้น มันจะได้เร่งฝีเท้าเร่งพาท่านไปหาชลันธรได้เร็วๆ อย่างไรเล่า...”

“ม้านี้คือ ม้าอุจฉัยศรพ สัตว์วิเศษแห่งเทพพระอาทิตย์ มิใช่ม้าเทียมรถธรรมดา ต่อให้กายหนักกว่านี้ฝีเท้ามันก็ไม่ตกหรอก...อย่าเป็นกังวลไปเลย”

“เร่งไปหาชลันธร...แล้วท่านคิดหรือไม่เล่า...ว่าชลันธรนั้นอยากพบท่าน...” นาคินทร์พูดออกไปโดยไม่รู้ว่าถ้อยคำที่ออกมานั้นสร้างความไม่ชอบใจให้กับรพีพงศ์

“นี่เจ้าพูดอะไรนาคินทร์!!!”

“เขาก็อยู่กับคู่ของเขา...ท่านอย่าไปเป็นก้าง….ฮื้อ..”

รพีพงค์ใช้มือที่กุมบังเหียนดันปลายคางของนาคินทร์ให้เชิดขึ้นมาแล้วหันมาก่อนจะโน้มใบหน้าเข้าประกบริมฝีปากลงกับริมฝีปากบางหมายดูดกลืนคำพูดของอีกฝ่ายให้หายสิ้น นาคินทร์กายแข็งทื่อไปชั่วขณะที่โดนรพีพงค์จุมพิตจนทำอะไรไม่ถูก สุริยะบุตรลงโทษนาคน้อยจนพอใจก็ผละปากออก ตาคมจ้องมองใบหน้างาม นาคินทร์เจอสายตาร้อนแรงก็หลบหน้าหนี

“เจ้าฟังข้าให้ดีนาคินทร์ เจ้าจงนั่งเงียบๆนิ่งๆ หากเจ้ายังพูดมากอีกข้าจะจูบเจ้าไม่หยุดจนถึงป่าหิมพานต์”

























......................................

มาม่าเบาๆค่ะ รสต้มยำเย็นตาโฟ เผ็ช!!!! สีชมพู!!!!

หลังจากที้ได้อ่าน หลายคนคงสงสารนาคน้อยดังนั้นอย่าเพิ่งตบตีหรือวางแผนเผากระท่อมน้อยหอยสังข์ของไรท์นะคะ ไรท์ต้องเก็บกระท่อมหลังนี้ไปขายใช้หนี้ค่าหวยที่สูญเสียไป 5555555

ขอโทษทุกคนที่ช้านะคะ ขอบคุณทุกคนที่ติดตามที่รอกัน ขอบคุณคอมเม้น ขอบคุณกำลังใจนะคะ มีอะไรติชมกันได้นะคะ



ป.ล. ถ้าท่านยุ่งเป็นนาคินทร์จะพ฿ดไม่หยุดจะให้รพีพงค์จูบจนปากเปื่อย

ท่านยุ่งนั้นดูจะหื่นหน่อยๆ


ออฟไลน์ double9JH

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1809
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-7
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.13 P.5 (16/05/2560)
«ตอบ #129 เมื่อ16-05-2017 20:57:20 »

หวังว่านาคน้อยจะคิดได้นะ  :mew1:


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.13 P.5 (16/05/2560)
« ตอบ #129 เมื่อ: 16-05-2017 20:57:20 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.13 P.5 (16/05/2560)
«ตอบ #130 เมื่อ16-05-2017 23:58:08 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.13 P.5 (16/05/2560)
«ตอบ #131 เมื่อ17-05-2017 09:19:51 »

พ่อนาคน้อยเริ่มชอบรพีรึยัง 555 รออ่านต่อ

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.13 P.5 (16/05/2560)
«ตอบ #132 เมื่อ17-05-2017 09:22:29 »

คู่นี้จะลงเอยกันรึเปล่านะ

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.13 P.5 (16/05/2560)
«ตอบ #133 เมื่อ17-05-2017 14:01:36 »

 :mew2: :mew2:

ออฟไลน์ armize

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.13 P.5 (16/05/2560)
«ตอบ #134 เมื่อ17-05-2017 20:32:02 »

  :L1:

ออฟไลน์ HISY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.13 P.5 (16/05/2560)
«ตอบ #135 เมื่อ18-05-2017 00:23:13 »

คู่นี้เขาก็แซ่บนะเออ

ออฟไลน์ KnightDevil

  • Love is neither smile or cry.
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.13 P.5 (16/05/2560)
«ตอบ #136 เมื่อ19-05-2017 21:44:56 »

อูยยย เอาใจช่วยทั้งสองคู่เลยค่า

อยากให้แฮปปี้เอนดิ้งกันทั้งหมดเลย

ส่วนตัวร้ายอย่างกนธี ตายไปซะ ชิชิชิ

ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.S 02 P.5 (24/05/2560)
«ตอบ #137 เมื่อ24-05-2017 09:53:44 »

​สาปรัก ทัณฑ์เทวา

Writer : Tan-Yung0209

File : สหายและการผจญภัยในสวนขวัญ

จะกี่สหัสวรรษวิมานแก้วแสนวิจิตรนั่นมีเพียงความเงียบและไร้ซึ่งชีวิตชีวามานานนับ แต่บัดนี้ความเงียบเหงานั่นกลับจางหาย  ด้วยสุรเสียงพระสรวลของพระผู้สร้างเคล้าเสียงเง้างอนของเทพบุตรผู้ซึ่งได้ถือกำเนิดจากดอกบัว… ‘บุษยะ’ ผู้เป็นที่โปรดปรานของพระผู้สร้างและมีสิทธิ์เพียงหนึ่งเดียวที่ได้อยู่ร่วมกับมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ในวิมานแก้วสถานนี้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการอาศัยอยู่ที่วิมานแก้วก็ใช่ว่าจะมีความสุข ยามใดที่พระผู้สร้างต้องออกไปทำเทวราชกิจผู้ทรงธรรม บุษยะก็จะไร้ซึ่งความสุข ตาสวยฉายแววเศร้าสร้อยจนเจ้าของวิมานเสด็จกลับมาบุษยะถึงจะมีรอยยิ้มปรากฎ

“พระองค์เสด็จกลับมาแล้วหรือ” บุษยะวิ่งออกมารับพระผู้สร้างที่กลับมาจากการประชุมเหล่าทวยเทพเพื่อจัดสรรปันหน้าที่ในส่วนที่เทพเหล่านั้นต้องรับผิดชอบ

“วิ่งมาหาข้าเยี่ยงนี้ดูไม่งามนัก เจ้าเองก็รู้มิใช่หรอกหรือบุษยะ” ถึงคำตรัสดูไม่จริงจังนัก แต่เมื่อบุษยะนึกขึ้นได้ จึงหยุดวิ่งแล้วค่อยๆ ก้าวเดินเข้ามาด้วยกายสำรวม

“เทวอาญามิพ้นเกล้า ข้าเพียงแค่คิดถึงพระองค์เลยรีบวิ่งออกมาไม่ทันได้นึกว่าต้องสำรวมดั่งเทวราชดำรัสที่พระองค์ตรัสสอน” พลางก้มหน้าสำนึกผิดที่ทำอะไรไม่คิดไตร่ตรองเสียก่อน บุษยะคนงามกลับใช้อารมณ์ของตนนำพาทำทุกสิ่ง พระผู้สร้างพอได้ฟังก็นึกเอ็นดูผู้อยู่เบื้องหน้าไม่น้อย

“เมื่อครู่เจ้าบอกข้าว่าเจ้าคิดถึงข้ามิใช่ดอกหรือ แล้วเจ้าจำได้หรือไม่ว่าคิดถึงข้านั้นเจ้าจักต้องทำเยี่ยงไร” มหาเทพย่อพระวรกายลง พระหัตถ์หนาจับปลายคางบุษยะให้มองตนแล้วเอื้อนเอ่ย

‘จุ๊บ’ บุษยะประทับริมฝีปากแดงระเรื่อลงข้างพระปรางค์พระพริษฐ์แล้วผละออก ก่อนจะพระกรแกร่งจะเอื้อมเกี่ยวเอวคอดมากอดรัดแนบพระวรกาย พระผู้สร้างทรงจุมพิตริมฝีปากบางตอบกลับ ทำเอาบุษยะคนงามนั้นเขินอายยิ่ง ด้วยพระเนตรแสนคมที่ทอดมองใบหน้าตน ความเขินอายนั้นมากล้นจนแก้มเนียนเปลี่ยนจากสีขาวกลายเป็นสีเนื้อในผลอุลิด

“ข้าเองก็คิดถึงเจ้า” สุรเสียงกระซิบสวาทแผ่วเบาข้างใบหูนิ่มแล้วแย้มสรวล ที่บุษยะนั้นว่านอนสอนง่ายเชื่อฟังไปทุกสิ่งสรรพ ที่พระองค์คอยพร่ำสอนประดุจเป็นแก้วน้ำเจียระไนที่พระองค์จักเติมน้ำไปเท่าไรก็พร้อมรับ

…‘หากเจ้าคิดถึงข้า…เจ้าจงแสดงออกด้วยประทับริมฝีปากเจ้ากับแก้มของข้าและห้ามไปทำสิ่งนี้กับผู้ใด จงแสดงออกกับข้าเพียงผู้เดียวเข้าใจหรือไม่’...

หลังจากที่พร่ำสอน วันใดที่พระพริษฐ์มีภารกิจแล้วจำต้องทิ้งเทพบุตรตัวน้อยเพียงลำพัง พอกลับมาก็จะได้รับการจุมพิตนี้เสมอ ไม่เพียงเท่านั้นพระองค์เป็นถึงมหาเทพในสามโลกจะให้รับเพียงอย่างเดียวก็หาใช่เรื่อง พระองค์เองก็เป็นฝ่ายมอบความคิดถึงแก่บุษยะเช่นกัน

“บุษยะเจ้าเบื่อหรือไม่เล่าที่ต้องอยู่วิมานแก้วนี้เพียงลำพัง” พระพริษฐ์คลายกอดแล้วอุ้มร่างบางไปยังบรรจถรณ์แก้วที่มีรัตนชาติประดับไว้อย่างงดงาม พระพริษฐ์นั่งลงโดยจับบุษยะนั่งบนตัก

“ข้าเบื่อแต่...ข้าเหงามากกว่า ยามที่พระองค์ไม่อยู่ ข้าก็ไม่รู้จะพูดคุยหรือหัวเราะกับผู้ใด” บุษยะตอบตามความเป็นจริง อย่างทุกวันนี้บุษยะเองก็นั่งเฝ้ารอพระพริษฐ์ให้รีบกลับมาหาตนอยู่เสมอ บุษยะรู้สึกว่าตนนั้นขาดเจ้าของวิมานแก้วนี้ไม่ได้

“เป็นไปอย่างที่ข้าคิดจริงๆ เสียด้วย พรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าออกจากวิมานแก้วไปยังสภาเทพ”

“พระองค์ไม่ได้ล้อข้าเล่นใช่หรือไม่” บุษยะถามย้ำอีกครั้งเพราะกลัวว่าตนจะหูฝาดหูเพี้ยนไป

“ข้าไม่ล้อเจ้าเล่นหรอก แต่เจ้าต้องทำตัวให้เรียบร้อยเมื่ออยู่ที่สภาเข้าใจหรือไม่” พระผู้สร้างตรัสแลพระหัตถ์ก็ลูบผมสีปีกกาของบุษยะเบาๆ ไปด้วย

‘ฟอด’ ด้วยดีใจที่จะได้ออกไปนอกวิมาน บุษยะยื่นใบหน้าเข้าหอมพระปรางค์พระผู้สร้างซ้ายขวาตามด้วยกอดพระวรกายสูงแน่น

“ข้าให้รางวัลกับพระองค์ที่ทำให้ข้ามีความสุข” บุษยะยิ้มร่าแล้วกระโดดลงจากพระเพลากว้างไปยังบงกชแก้วของตน คงจะมีเทพบุตรบงกชงามนี้แต่เพียงผู้เดียวที่สามารถล่วงเกินมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้โดนไม่ต้องมีเทวราชนุญาตใดๆ แถมยังเป็นที่พอพระหฤทัยโปรดปรานมากกว่าใครๆ ทั้งปวง

. . .

จันทราลาลับดวงตะวันเริ่มฉายแสง ห่วงราตรีหายกลืนกลับคืนสู่เช้าวันใหม่ พระผู้เป็นใหญ่และเทพตัวน้อยต่างสาวะวนกับการจัดแต่งฉลองพระองค์ ซึ่งเมื่อก่อนหน้าที่เหล่านี้จะเป็นหน้าที่ของนางฟ้าผู้รับใช้หรือเทพีอื่นๆ แต่บัดนี้มีเพียงบุษยะเท่านั้นที่ถวายการรับใช้ใกล้ชิดเช่นนี้ทุกเช้า เมื่อพระพริษฐ์จับเทวบุตรงามจัดแต่งกายเสร็จร้อยร้อยแล้ว ก็เป็นคราของบุษยะบ้าง มือบางพนมไหว้ก่อนถือพระสางทองจัดแต่งเกล้าพระเกศามหาเทพ แล้วจัดฉลองพระองค์ให้สวมใส่ ก่อนเชิญพระมหาเทวาพิชัยมงกุฎขึ้นสู่ยอดพระเกศาเป็นอันสมบูรณ์  บุษยะจึงนิมิตกายกลับไปอยู่ในบงกชแก้ว พระผู้สร้างนิมิตพระกรแกร่งให้งอกเพิ่มอีกข้างหนึ่ง เพียงวางฝ่าพระหัตถ์ดอกบัวแก้วก็ลอยขึ้นจากสระ มาหยุดอยู่บนฝ่าพระหัตถ์นั้น แล้วจึงเสด็จพระราชดำเนินไปยังสภาเทพ

ตั่งลำดับล่างนั้น เหล่าทวยเทพต่างนั่งเรียงรายกันไปในสภา ทั้งสุริยะเทพ นภาเทพ พระสมุทรเทพที่มาพร้อมกับราชบุตร รวมไปถึงเทพยดาและเทพีอีกหลายองค์ต่างก็เฝ้ารอผู้ที่จะนั่งลงยังเทวบัลลังก์ทองกลางสภา ซึ่งพระผู้สร้างที่ปกตินั้นจะเสด็จตรงเวลาไม่เคยสาย

“ถึงเวลาแล้ว เหตุใดพระผู้สร้างจึงยังเสด็จไม่มาถึงอีก” เทพพระอาทิตย์เอ่ยขึ้นมากลางที่สภาประชุม ในใจก็กลัวเหตุร้ายจักเกิดขึ้นกับผู้เป็นใหญ่

“นั่นสิ ข้าว่าแปลกยิ่งนักหรือว่าพระผู้สร้างจักทรงประชวร” เทพีแห่งการรักษาเอื้อนเอ่ยขึ้นมา ซึ่งข้อสันนิษฐานนี้เป็นไปได้เพราะพระผู้สร้างใช้พลังในการรักษาสมดุลของโลกามาหลายวันติดต่อกัน

“แต่ที่ข้าแปลกใจยิ่งกว่านั่นก็คือ…เหตุใดพระสมุทรท่านจึงนำบุตรชายมาร่วมประชุมสภานี้ด้วย ถึงแม้ว่าบุตรชายของท่านจักรั้งตำแหน่งรัชทายาทผู้สืบบัลลังก์มุกสืบไปก็ตามที...” เทพพระศุกร์เอ่ยถามขึ้นด้วยแฝงความนัยบางประการ จะดูคล้ายไม่พอใจที่พระสมุทรนำบุตรชายเข้ามาซึ่งปกติการประชุมสภาเทพนี้จะไม่ให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าร่วม แต่สายตาแสนเจ้าชู้นั้นกลับมองไปที่กายชลันธรที่หลบหน้าหันหนีไปทางอื่น… ‘งามสมคำเล่าลือเสียจริง ผิวพรรณก็ขาวผ่องดั่งไข่มุกยิ่งนัก’…

งามล้ำด้วยสะกดทุกสายตาเทพหนุ่มโสดจ้องมองไปที่ชลันธร เพราะผิวกายงามเสียจน นางฟ้าและเหล่าเทพียังต้องแอบริษยา ด้วยตอนกำเนิดกายชลันธรนั้นเล็กนักผิดแปลกจากเทวดาแรกเกิดทั่วไป พระมหาเทวีชวัลลักษณ์จึงแนะนำให้พระสมุทรนำกายทารกน้อยฝากไว้ในแม่มุกกำภูพันปีคอยเป็นแม่เลี้ยงให้ อยู่ 7 ปี 7 เดือน 7 วัน เมื่อครบกำหนดมือน้อยๆ ก็แง้มฝาแม่มุกกำภูพันปีออกมาเอง เป็นที่ตกตะลึงเลื่องลือไปทั่วทั้งนครบาดาลสมุทร ปรากฏกายเทวาบุตรองค์น้อยที่ผิวพรรณนั้นงามด้วยมุกกำภูพันปีเคลือบผิวกายให้จนเปล่งประกายดั่งผิวมุกเม็ดงาม พระสมุทรและพระมเหสีชโลธรจึงได้หวงชลันธรเป็นหนักหนา ด้วยใครก็หมายยลผิวกายงามที่เลื่องลือไปถึงสวรรค์ชั้นพรหม ชลันธรจำต้องอยู่แต่ในวิมานมุกสีครามมิเคยได้ออกไปไหนไกลๆ เลยสักครา

“ถ้าท่านอยากรู้ก็ถามพระผู้สร้างเองเสียเถิด” พระสมุทรตอบน้ำเสียงเรียบนิ่งไม่พอใจ ผู้เป็นบิดาชลันธรดูออกว่าอีกฝ่ายนั้นสนใจบุตรของตนจึงได้ใช้กายเข้ากำบังชลันธรเอาไว้ ใครต่างก็รู้ว่าเทพหนุ่มรูปงามที่กายเปล่งปลั่งแสงรัศมีสีฟ้านามพระศุกร์นี้ เห็นผู้ใดงามล้ำก็ชอบโปรยเสน่ห์ตามเกี้ยวพาอยู่ทั่วไป ไม่ว่าจะสตรีหรือบุรุษ มนุษย์หรือทวยเทพ

ประตูบานใหญ่เปิดออกปรากฏร่างกำยำแสนสง่าก้าวย่างเข้ามา เทพทั้งหลายจึงหยุดสนทนาก่อนจะส่งสายตามองไปยังบงกชแก้วที่มหาเทพสามโลกได้ถือเอาไว้ด้วยพระกรนิมิต พระผู้สร้างเสด็จขึ้นประทับบนบัลลังก์ตั่งทองแล้ววางดอกบัวแก้วใกล้บัลลังก์ พลันเกิดแสงสว่างฉายออกมาพร้อมกับดอกบัวแก้วที่ขยายใหญ่และผลิบานออก ปรากฏกายบุษยะเทพบุตรที่นั่งอยู่เหนือเหล่าเทพทั้งปวง

“พระผู้สร้าง เทพในบงกชแก้วนี้คือผู้ใดหรือ” เทพแห่งท้องนภาถามแทนทุกคนที่อยากรู้ว่าเทพหนุ่มที่หน้าตาสะสวยมิแพ้บุตรของเทพพระสมุทรนี้เป็นใคร

“เทพผู้นี้นามว่าบุษยะ ผู้ซึ่งเป็นเทพผู้ใกล้ชิดของข้าเอง...” พระผู้สร้างตรัสตอบนภาเทพ บุษยะเองก็พนมมือขึ้นเพราะรู้ว่าตนนั้นต้อยต่ำกว่าเทพองค์อื่นๆ กิริยามารยาทที่อ่อนน้อมแสดงออกล้วนทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นต่างก็นึกหลงรัก

“บุษยะกำเนิดจากบงกชแก้วในวิมานของเรา ซึ่งที่นั่นพวกท่านน่าจะรู้ดีว่าไม่มีใครนอกจากข้า…พระสมุทรเทพสิ่งที่ข้าได้สั่งการไป ท่านนั้นได้ดำเนินการหรือไม่” พระผู้สร้างกล่าวต่อก่อนจะหันไปเรียกพระสมุทรที่นั่งอยู่ไม่ห่าง

“ชลันธรออกมาถวายบังคมพระผู้สร้างเสียสิ” พระสมุทรเทพบอกกับบุตรชายที่หลบอยู่ด้านหลังให้ออกมานั่งที่กลางสภา ชลันธรลุกออกมาก้าวย่างช้าๆ แล้วนั่งก้มกราบถวายบังคมพระผู้สร้าง

“ชลันธรข้ามีเรื่องจะให้เจ้าช่วย”

“ข้าพร้อมที่จะทำตามพระประสงค์อย่างสุดความสามารถเท่าที่ข้าจักทำได้” ชลันธรตอบ ความตื่นเต้นเข้ารุมเร่าพลุ่งพล่านในกาย ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งจะได้เหยียบย่างเมฆา ได้เจอมหาเทพมากมาย ไหนยังได้รับเทวราชโองการอีก

“เรื่องที่ให้เจ้าช่วยมีเล็กน้อย กลัวเสียเจ้าจักไม่ยอมทำเพราะมันดูไม่สมกับเกียรติของเจ้า” คำพูดของพระผู้สร้างสร้างความประหลาดใจให้กับทุกคน

“พระองค์มีพระประสงค์สิ่งใดโปรดรับสั่งข้ามาเถิด เรื่องที่พระองค์ทรงขอให้ช่วยไม่ใช่เรื่องเสียเกียรติสำหรับข้า” ชลันธรยังยืนยันเจตนารมณ์แน่วแน่ มุ่งมั่น ทำให้พระสมุทรวางใจที่บุตราเข้มแข็งกว่าที่คิด

“ข้าจะให้เจ้ามาเป็นสหายกับบุษยะ เจ้ายินดีหรือไม่” ชลันธรมองหน้างดงามของบุษยะที่ส่งยิ้มให้ก็พยักหน้าทันที ไม่คิดลังเลเพราะชลันธรเองก็อยากมีสหายบนชั้นสวรรค์นี้เช่นกัน

“ข้ายินดีที่เป็นสหายของบุษยะ” คำตอบของชลันธรทำให้บุษยะรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก

“บุษยะเพลานี้เจ้ามีเพื่อนแล้ว ไปเล่นกับเพื่อนของเจ้าสิ” น้ำเสียงนุ่มนวลที่ตรัสเอ่ยกับบุษยะชวนให้เหล่าเทพแปลกใจไม่น้อย ด้วยสุรเสียงที่ใช้ในการประชุมมักจะเรียบเฉยแฝงความดุดัน มืองามของบุษยะพนมก้มกราบลงบนพระเพลาของพระพริษฐ์แล้วลงจากดอกบัวแก้วอย่างสำรวมทั้งที่ใจนั้นอยากจะกระโดดโลดเต้นออกไปก็ตาม

“ข้าฝากเจ้าด้วยนะชลันธร” ตรัสส่งท้ายที่ทำให้เทพพระสมุทรเองแทบกุมขมับ ในเมื่อชลันธรนั้นก็ไม่ได้ประสีประสาเรื่องราวที่อยู่เหนือห้วงนครมหาสมุทรเลย

“เราสองคนจักไปไหนดี” บุษยะเอ่ยถามหลังจากเดินก้าวข้ามประตูสภาออกมา

“นั่นสิ ความจริงแล้วข้าเองก็ไม่เคยท่องเที่ยวที่ไหนเลยนอกจากในมหาสมุทร วันนี้เป็นวันแรกที่ท่านพ่อพาข้าขึ้นมาบนสรวงสวรรค์ด้วย” ชลันธรเอ่ย ตาเรียวยาวมองไปรอบด้วยความตื่นเต้นที่ได้เจอเมฆสีขาวล่องลอย

“เอาอย่างนี้เราสองคนเดินไปเรื่อยๆ ดีกว่าเผื่อเจออะไรน่าสนใจให้พอเล่นสนุกได้บ้าง” บุษยะนำเสนอ ชลันธรก็เห็นด้วย

เทพทั้งสองวิ่งเล่นไปมา เทพดาที่เห็นต่างนึกว่านางอัปสรกำลังหยอกเอิ้นกัน หนึ่งก็ขาวปลั่งดุจดั่งสีมุกทะเลจนน่าสัมผัส หนึ่งก็กลิ่นกายหอมดั่งเกสรปทุมจนอยากแปลงเป็นภุมราตามดอมดม หากพอเข้าไปใกล้ก็พบว่านางอัปสรนั่นก็คือเทพบุตรหาใช่อิสตรี

“กลีบดอกไม้”

กลีบผกาสีม่วงอ่อนลอยมาตามลมพัดผ่านหน้านวลให้มองตามหาที่มา สวนขวัญสวยประจักษ์อยู่ตรงหน้า ด้วยพืชพรรณนานาดูแล้วชวนตื่นตาตื่นใจ ชลันธรก้าวนำสหาย บุษยะเองก็กอดแขนเรียวเดินตามใกล้ ก่อนจะก้มลงเก็บดอกไม้ที่ตกลงพื้นหญ้าขึ้นมาเชยชม

“สวยจังเลยชลันธร” บุษยะถือดอกไม้มาชื่นชม ชลันธรก็นั่งลงเก็บดอกไม้ขึ้นมาบ้าง

“นอกจากจะสวยแล้วยังหอมอีก” สูดดมรับกลิ่นหอมของบุปผา ตั้งแต่เล็กการจะได้สัมผัสดอกไม้นั้นเป็นสิ่งยากยิ่งสำหรับชลันธรเพราะใต้ท้องทะเลมีเพียงปะการังและดอกไม้ทะเลหลากสีสันแต่กลับไร้ซึ่งกลิ่นหอม ส่วนบุษยะเองก็อยู่แต่ในวิมานแก้วสถานพอได้พอเจอสิ่งแปลกใหม่ก็อดที่จะสนุกกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไม่ได้

“ชลันธร เราว่าเดินไปดูข้างในกันดีกว่า” บุษยะชวนสหายเข้าไปข้างในสวน มวลภูตจิ๋วที่มีปีกคล้ายผีเสื้อกระพือปีกหาน้ำหวานตามเกสรมาลา เทวาน้อยทั้งสองพอได้เห็นก็วิ่งไล่จับกันอย่างสำราญใจ จนกระทั่ง…

‘ตุบ!!’ มีบางสิ่งตกกระทบพื้นจนเกิดเสียง เทวาน้อยหันมองพบผลมะม่วงทิพย์ร่วงหล่นบนพื้น ทั้งบุษยะและชลันธรวิ่งเข้าไปดูต่างก็หยิบผลไม้สีทองขึ้นมาดูก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปเห็นผลมะม่วงทิพย์มากมายอยู่บนต้นของมัน

“ผลมะม่วงทิพย์นี่น่ากินเสียจริง” บุษยะยิ้มกว้างแววตาเปล่งประกาย

“เราเคยได้ยินจากผู้ติดตามของท่านพ่อว่าผลมะม่วงทิพย์บนสวรรค์มีรสเลิศมากที่สุดกว่าผลไม้ชนิดใดในสามโลก” ชลันธรบอกบุษยะตามที่ตนเคยได้ยินจากทหารกล้าของพระสมุทรที่มักจะเล่าเรื่องราวบนสวรรค์ชั้นฟ้าให้ฟัง

“อย่างนั้นหรือ…ถ้าเยี่ยงนั้นข้าจักเก็บไปถวายพระผู้สร้าง”

“เราเองจักปีนขึ้นไปเก็บผลมะม่วงทิพย์นี้ เราอยากจะนำไปให้ท่านแม่ของเราได้ลิ้มรส” ชลันธรผู้แสนซุกซนนึกถึงมารดาที่นอนประชวรอยู่ในวิมาน หากได้กินผลมะม่วงทิพย์นี้มารดาอาจจะอาการดีขึ้นก็เป็นได้

เทวาน้อยทั้งสองปีนป่ายขึ้นบนไปบนต้นมะม่วงทิพย์ไม่ต่างจากลูกวานร ขาก็เหยียบกิ่งไม้มือก็เอื้อมคว้าผลมะม่วงทิพย์สีเหลืองทองอย่างเพลินใจจนไม่ทันระวังว่าได้เหยียบย่ำไปยังกิ่งไม้เล็กๆจนหักร่วงลงพื้น รวมทั้งไม่ได้สังเกตว่าเจ้าของสวนขวัญกำลังเดินเข้ามา

“เจ้าพวกหัวขโมย...จงลงมาบัดเดี๋ยวนี้!!!”

เสียงสูงแหลมแฝงไปด้วยอำนาจแผดออกมาของหนึ่งในสามมหาเทวี ‘ภัควลัญชญ์’ ที่เข้ามาชมสวนขวัญพร้อมกับบริวารนางอัปสรทำให้บุษยะและชลันธรตกใจจนเสียการทรงตัวพลัดตกลงมาสู่พื้นดิน ผลมะม่วงทิพย์ที่เก็บได้ก็กลิ้งกระจายไปรอบทิศ ทันใดนั้นเองเหล่าผู้ติดตามของมหาเทวีต่างก็ตรงเข้าจับตัวของทั้งสองเอาไว้โดยที่บุษยะและชลันธรเองยังไม่ทันจะนั่งเสียด้วยซ้ำ

“ปล่อยเราบัดเดี๋ยวนี้!!!!”

“ปล่อยข้า!!! มาจับข้าทำไม!!!”

เสียงร้องโวยวายนั้นดังลั่นมีกายงามทั้งสองถูกควบคุม สองกายต่างก็ดิ้นรนขัดขืนจากการเข้าจับกุม แต่ทว่าแรงนั้นช่างต่างกันมากโข ขยับกายหนีไม่กี่ครั้งก็หมดแรงไปเสียดื้อๆ บุษยะและชลันธรต่างถูกบังคับให้นั่งลงคุกเข่าตรงหน้ามหาเทวีเจ้า

“พวกเจ้ากล้ามากที่มาขโมยผลมะม่วงทิพย์บนสรวงสวรรค์!! พิมพ์ผกาเจ้าจงใช้หางกระเบนเฆี่ยนตีทั้งสองคนนี้” ดัชนีงามชี้แจ้งไปตรงหน้า ภัควลัญชญ์เทวีสั่งการให้ลงทัณฑ์เทพน้อยทั้งสองที่เวลานี้นั่งตัวสั่นราวกับลูกนกขาดแม่ บุษยะคิดว่านี่ช่างไม่ยุติธรรมเสียเลย ถึงแม้ว่าตนและสหายอาจจะผิดที่เก็บผลมะม่วงทิพย์แต่กลับไม่มีการไตร่สวน สอบถามอันใดเลย

“เราไม่ได้ตั้งใจจะขโมย เราแค่อยากเก็บผลมะม่วงทิพย์ไปฝาก…..”

“มานี่!!!!” ชลันธรยังมิทันจะพูดจบ นางอัปสรที่เหลือก็จับบุษยะกับชลันธรมัดกับเชือกที่เพิ่งจะเสกคาถาให้ปรากฏ เชือกสีทองผูกข้อมือเล็กแน่นปลายเชือกอีกด้านก็ผูกติดไว้กับกิ่งไม้สูง

“ถ้าจะเฆี่ยนก็เฆี่ยนเราผู้เดียว อย่าทำอะไรบุษยะ” ชลันธรที่ถูกพันธนาการเรียบร้อยแล้วก็ร้องออกมาเสียงดังเมื่อเห็นสหายกำลังถูกรุมล้อมพันธนาการเช่นเดียวกับตน ชลันธรไม่ยอมให้บุษยะเป็นอะไรเพราะตนได้ให้คำมั่นกับพระผู้สร้างเอาไว้แล้ว

“ต่อหน้ามหาเทวียังกล้าดีอวดเก่ง เห็นทีเจ้าจะเป็นคนแรกที่ได้ลิ้มรสหางกระเบนจากข้า!!!” พิมพ์ผกาที่อิจฉาในผิวพรรณเนียนละเอียดดั่งไข่มุกเกินบุรุษของชลันธรอยู่แล้ว ก็หมายจะหาเรื่องเฆี่ยนตีให้เป็นรอยแผล นางร่ายคาถาเสกหางกระเบนเรียวยาวขึ้นมา

“ข้าเป็นคนชวนเอง ตีข้าเพียงผู้เดียวเถิด…ฮึก..ก…” บุษยะพูดออกมาทั้งน้ำตา เทวาน้อยไม่อยากให้สหายเพียงผู้เดียวนั้นเป็นอะไรไป

“ไม่ต้องเถียงข้าจักให้พวกเจ้าลิ้มรสหางกระเบนนี้พร้อมกัน” พิมพ์ผกาเอ่ยแล้วส่งสัญญาณให้นางอัปสรอีกคนเสกหางกระเบนมาถือไว้เช่นเดียวกัน

“โอ๊ย!!!!”

เสียงร้องแห่งความเจ็บปวดเปล่งออกมาพร้อมกัน ทั้งบุษยะและชลันธรก็ถูกหางกระเบนเส้นเรียวเฆี่ยนลงไปยังแผ่นหลังเพียงตวัดเบาๆ ก็ปรากฎรอยช้ำรวมถึงโลหิตที่ไหลซึมออกมา กลิ่นกายหอมบุษบงถูกกลบไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ผิวขาวดั่งไข่มุกล้ำค่าก็ถูกย้อมเป็นสีแดงฉาน น้ำตาเม็ดใสก็ไหลนองทั่วแก้มทั้งสองข้าง ภัควลัญชญ์เทวีเองก็ยืนมองไม่มีจิตสงสารเทวาที่ถูกทำโทษเลยสักนิด มหาเทวีเองก็ต้องการระบายอารมณ์ที่พระผู้สร้างไม่เคยเยี่ยงกรายมาในวิมานเลย บุษยะและชลันธรจึงไม่ต่างอะไรจากที่รองรับอารมณ์ของภัควลัญชญ์เทวี ในขณะที่กำลังสำราญใจกับการที่เห็นเทพน้อยถูกเฆี่ยนตีก็หารู้ไม่ว่าได้มีเทพบุตรผู้หนึ่งเห็นการกระทำอันป่าเถื่อนนี้พอดิบพอดี

เทพบุตรผู้นั้นข้าก็ไม่เคยเห็นใบหน้า ส่วนเทพบุตรอีกตนสวมผ้าคลุมปักดิ้นสีครามตรงชายผ้า มีวงศาเดียวที่จะปักดิ้นสีครามเยี่ยงนี้ ผู้สวมใส่ก็มีผิวขาวประกายงามดั่งไข่มุกเกินใครในโลกหล้าหรือว่า…


ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.S 02 P.5 (24/05/2560)
«ตอบ #138 เมื่อ24-05-2017 09:54:13 »

‘ปัง!!!!!!’ ประตูสลักถูกผลักออกอย่างแรงจากเทพบุตรที่รีบเหาะจากสวนขวัญมายังสภาเหล่าเทวาชั้นสูง

“นภนต์เจ้าทะเล่อทะล่าเข้ามาได้อย่างไร ต่อให้เจ้าเป็นลูกข้าเจ้าก็ต้องถูกลงโทษรู้หรือไม่!!!” เทพแห่งท้องนภาผู้เป็นบิดาโกรธาที่บุตรชายวัยฉกรรจ์พุ่งพรวดเข้ามา นภนต์หาได้สนคำดุด่าของบิดาไม่กลับไปนั่งคุกเข่าตรงหน้าเทพพระสมุทร

“เทพพระสมุทร บุตรชายของท่านได้ติดตามท่านมาหรือไม่” นภนต์ถามพระสมุทรเพื่อความแน่ชัด ถ้านภนต์คาดการไม่ผิดเทพที่ตนเห็นไม่แคล้วจะเป็นรัชทายาทแห่งบัลลังก์มุก

“ใช่ มีเหตุใดหรือ เกิดอันใดขึ้นกับชลันธรลูกข้า” พระสมุทรตกใจไม่น้อยที่ถูกนภนต์ถามถึงบุตรชาย

“บัดนี้บุตรของท่านร่วมด้วยเทพบุตรรูปงามอีกตนหนึ่งกำลังถูกเฆี่ยนตีที่สวนขวัญ” นภนต์พูดจบ ใจของพระสมุทรตกวูบลงตาตุ่มห่วงหนึ่งก่อนที่จะร้อนรนลุกโชนเป็นเพลิงไฟ แต่ยังมีใครอีกคนที่ก้าวลงบัลลังก์ทองโดยพลันแล้วรีบรุดออกจากสภาเมื่อได้ยินคำของบุตรนภาเทพ

‘บุษยะใครบังอาจทำเจ้าเช่นนี้  หากผิวกายเจ้ามีรายเท่าหนวดวิฬาร ข้าจักลงโทษมันผู้นั้นอย่างสาสม’

. . .

“เราขอโทษ…ฮึก..ก…ปล่อยเราเถิดเราไม่ได้ตั้งใจ..ฮือ..โอ๊ย!!” ชลันธรร้องไห้ออกมา คำขอโทษถูกกล่าวออกมานับร้อยหากมหาเทวีก็ไม่ฟังซ้ำยังให้พวกของตนเฆี่ยนตีหนักมือกว่าเก่า

“ฮือ..อ..ข้าแค่จะเก็บผลมะม่วงทิพย์..ฮึก..ก..โอ๊ย!!!..ถวายพระผู้สร้าง…ข้าขอโทษ..ฮือ..อ..”

“พระผู้สร้าง…เจ้าเป็นอะไรกับพระผู้สร้างจึงกล้าดีจักถวายผลมะม่วงทิพย์ถวายแก่พระองค์”

“บุษยะเป็นคนของข้า!!! จงหยุดพฤติการณ์ลงทัณฑ์ป่าเถื่อนของพวกเจ้าบัดเดี๋ยวนี้” คำถามของภัควลัญชญ์เทวีถูกตอบโดยพระผู้สร้าง ที่ทรงสั่งห้ามและเสด็จนำเหล่าเทพในสภาด้วยพระองค์เอง เหล่านางอัปสรรีบวางหางกระเบนแล้วคุกเข่าลง ภัควลัญชญ์เทวีก็ชะงักรีบหันมาถวายบังคมเคารพโดยไว

สองเทพน้อยชื้นใจเป็นหนักหนาเมื่อได้ยินสุรเสียงให้หยุดลงทัณฑ์ตนทั้งสอง แต่เสียงระงมสะอื้นไห้นั้นหาได้เงียบไม่ ดวงใจมหาบุรุษทั้งสองต่างพิโรธอย่างมิเคยเป็นที่เห็นโลหิตสีชาดฉาบไปทั่วทั้งแผ่นหลังเทพน้อยทั้งสอง ชั่วหนึ่งเกิดอสุนีบาตฟาดตกลงมากลางสวนขวัญ เทพแห่งต่างแตกตื่นตกใจ เพราะเพลานี้ผู้ที่ทำให้เกิดนั้นกำลังกริ้วหนัก ด้วยเลี้ยงเทพบุตรน้อยมาด้วยความรักไม่เคยทำอะไรให้ระคายใจหรือเคืองผิว แต่กลับทำการลงทัณฑ์แสนป่าเถื่อนเช่นนี้นั่นหมายความว่าอย่างไร

แต่จะทำอย่างไรตรงหน้านั้นก็เมีย เมื่อพระหฤทัยสงบลง พระผู้สร้างทรงหาได้สนใจมหาเทวีของตนไม่ พระองค์กลับไปแก้มัดบุษยะแล้วพยุงร่างบางไว้ด้วยพระองค์เอง บุษยะหันหน้าเข้าซุกพระอุราหลั่งรินน้ำตาสะอื้นไห้จนตัวโยน เช่นเดียวกับนภนต์ที่ตามพระผู้สร้างมา ก็เข้าไปแก้มัดให้ชลันธรแล้วพยุงร่างโปร่งไร้เรี่ยวแรงส่งต่อพระสมุทรที่ตามมาทีหลัง

“ฮึก..เจ็บ..พระองค์ข้าเจ็บเหลือเกิน…” บุษยะสะอื้นไห้ยิ่งทำให้ไฟในอกของพระผู้สร้างโหมกระพือจนเกิดสายอสุนีบาตฟาดลงยังทั้งสามโลก

“ท่านพ่อ…ลูกเจ็บ..ฮึก..นางฟ้าใจร้ายกับลูก ไม่ใจดีเหมือนพี่ปลา..พี่ปูในทะเลเลย…ฮือ..พระผู้สร้าง..ฮึก..ข้าขออภัยที่ดูแลบุษยะไม่ดี…” ชลันธรที่มีใจนึกถึงสหายก็ได้สวมกอดผู้เป็นบิดาแน่น น้ำตาของบุตรชายที่พระสมุทรเลี้ยงถนอมกายมาอย่างดีกลับมีบาดแผล ความโกรธาที่เกิดขึ้นส่งผลให้เกลียวคลื่นสูง ท้องทะเลลึกเกิดน้ำวนขนาดใหญ่ขึ้น

“พระสมุทรท่านได้โปรดใจเย็นลงเถิด” เหล่าเทพองค์อื่นๆก็รีบเตือนสติพระสมุทรเพราะกลัวว่าน้ำจักท่วมโลกมนุษย์เสีย

“เหตุใดจึงลงโทษบุษยะและชลันธรเช่นนี้ ภัควลัญชญ์ตอบข้ามา!!!” พระผู้สร้างเริ่มไตร่สวน สรุเสียงทุ้มดังลั่นจนผู้ที่ได้ฟังตัวสั่นระริก

“ข้าเห็นเทพทั้งสองปีนเก็บผลมะม่วงทิพย์ของข้า ข้าเลยทำโทษ” ภัควลัญชญ์เอ่ยตอบเสียงแผ่วเบา แต่ก็มิได้เกรงกลัวอะไรเพราะยังคงติดว่าตนนั้นทำถูก

“เรื่องแค่นี้เจ้าตักเตือนเสียก็ได้ ไยต้องเฆี่ยนตีด้วยเล่า การกระทำของเจ้านั้นเกินกว่าเหตุโดนแท้ ข้าจักลงทัณฑ์เจ้า โดยกักบริเวณเจ้าไว้ในสวนขวัญนี้เจ็ดร้อยปี และในเมื่อเจ้าหวงมะม่วงทิพย์นี้นัก ข้าก็จักให้เจ้ากินไปตลอดเจ็ดร้อยปีเช่นกัน…ภัควลัญชญ์”

“พระองค์จะทำกับข้าเยี่ยงนี้ไม่ได้!!!”

“ขืนเจ้ายังพูดมากไม่ยอมรับผิด ข้าจักเพิ่มโทษให้กับเจ้า” พระผู้สร้างไม่ใช่แค่ขู่พระองค์นั้นลงมือทำจริงหากภัควลัญชญ์ไม่ยอมรับโทษแต่โดยดี มหาเทวีเองก็รู้ดีว่าพระพริษฐ์เจ้าทรงเอาจริงแน่แท้ก็สงบปากสงบคำก้มหน้ารับผิด

“คุมกายพระมหาเทวีภัควลัญชญ์ไปส่งที่พระที่นั่งกลางสวนขวัญบัดเดี๋ยวนี้” สิ้นสุรเสียง พระมหาเทวีถูกทหารสวรรค์อันเชิญไปประทับ ณ พระที่นั่งกลางสวนขวัญ ในทันที

“พระอาลักษณ์เจ้าจงสั่งการลงไป ให้พระเสาร์และพระพุธ นำทหารสวรรค์มาเฝ้าพลัดเปลี่ยนห้ามผู้ใดเข้าออกสวนขวัญแห่งนี้ ใครขัดเทวราชโองการของข้าให้กุดเศียรมันได้ทันทีโดยมิต้องไตร่สวน ส่วนพวกเจ้าที่ลงมือเฆี่ยนตีบุษยะและชลันธร ข้าจักให้พระสมุทรเป็นผู้ตัดสินโทษเอง” พระผู้สร้างตรัสแล้วก็โอบอุ้มกายบุษยะที่ยังสะอื้นไห้ ขึ้นประทับราชรถพระที่นั่งแล้วเร่งกลับไปยังวิมานแก้วสถานในทันที

พิมพ์ผกาและเหล่านางอัปสรที่เกี่ยวข้องต่างมีใบหน้าซีดเผือดเพราะเคยได้ยินกิตติศัพท์ของเทพพระสมุทรที่เหล่าเทวาร่ำลือกันว่าครั้นคราวดีก็ดีใจหาย ครั้นถึงคราวร้ายก็ร้ายเสียจนพระผู้สร้างองค์ก่อนเกือบจะห้ามปรามไม่อยู่

“เทพนภนต์ ข้ามีเรื่องให้เจ้าช่วย” พระสมุทรหันไปเอ่ยกับเทพบุตรผู้มีส่วนช่วยชีวิตบุตรของตนไว้

“พระสมุทรท่านปรารถนาสิ่งใด โปรดได้บอกข้า”

“ข้าขอวานเจ้าอุ้มชลันธรไปหาเทพโอสถและเทพีแห่งการรักษาก่อน” นภนต์จึงเข้ามารับร่างบางที่สลบไปด้วยความอ่อนเพลียรุดหน้าทยานบินไปยังวิมานของเทพโอสถและเทพีแห่งการรักษาทันที พอฝากบุตรชายไว้กับเทพนภนต์เรียบร้อยแล้วพระสมุทรก็หันหน้ามองเหล่านางอัปสรที่ตัวสั่นอยู่ตรงหน้า

“พอยามนี้ทำมาเป็นนั่งตัวสั่น!!! พวกเจ้าที่กล้าอย่างไรดีมาเฆี่ยนตีลูกข้ากับบุษยะ ข้าขอสาปให้พวกเจ้ากลายเป็นชะนีไพรร้องหาผัวทุกเช้าค่ำ จงลงไปจุติยังโลกมนุษย์และจักต้องกินผลมะม่วงเป็นอาหารทุกมื้อตลอดวัน เป็นเวลาเจ็ดร้อยปี !!!”

ทางด้านพระผู้สร้างที่ยังคงกลัดกลุ้มพระหฤทัย ทรงอุ้มกายบุษยะไปยังวิมานแก้วสถาน พระกรที่โอบลองแผ่นหลังเปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิต บุษยะคงเจ็บปวดมากกับบาดแผลที่ได้รับ ความเจ็บปวดจากบาดแผลพระองค์นั้นพอรักษาได้ แต่ความเจ็บปวดทางใจนี่สิ บุษยะจะลืมลงหรือไม่...

เมื่อถึงวิมานที่ประทับ พระผู้สร้างจึงวางบุษยะให้นอนคว่ำลงบนพระแท่นบรรจถรณ์ พระหัตถ์หนาลูบไล่ไปตามความยาวของแผล…ที่ยิ่งเห็นรอยเถื่อน พระผู้สร้างก็ยิ่งอยากลงทัณฑ์พระเทวีภัควลัญชญ์ให้หนักกว่าที่เคยลงไปแล้วเสียอีกกว่าสิบเท่าพันเท่า

“พระองค์ข้าเจ็บ..ฮือ..อ…ข้าแค่จะเก็บผลมะม่วงทิพย์ หมายถวายด้วยพระองค์…ไม่คิดว่าจักต้องโดนลงโทษหนักขนาดนี้…ฮือ..อ…” ปลายนิ้วเรียวลูบลงบาดแผล บุษยะก็ร้องออกมาอีกครั้งพาลให้คนฟังทุกข์ใจ

“อดทนหน่อยนะบุษยะ…ข้าจักรักษาเจ้าให้หาย” มหาเทพพูดจบก็โน้มใบหน้าลงประทับริมฝีปากจรดกับรอยแผลแล้วเริ่มพรมจูบแผ่วเบา รอยแผลก็ค่อยๆ จางหายไปตามรอยจุมพิต ความเจ็บปวดที่บุษยะได้รับกลับแปรเปลี่ยนเป็นความวาบหวามไล่เรียงไปตามแผ่นหลังจนกระทั่งรอยแผลทั้งหมดก็จางหายไปพร้อมกับความรู้สึกเจ็บปวด

“หายเจ็บหรือยังบุษยะ” พระผู้สร้างเอ่ยด้วยพระหฤทัยที่เป็นห่วงร่างบาง ก่อนที่พระองค์จะล้มลงนอนเคียงข้าง

“หายแล้ว..ข้าหายปวดแล้วแต่...ข้ากลัว…ฮึก…กลัวเหลือเกิน...” บุษยะสวมกอดพระวรกายพระผู้สร้างแน่น พระหัตถ์หนาลูบเกศาดำขลับเป็นการปลอบโยน

“ไม่ต้องกลัวบุษยะ เจ้ามีข้าอยู่ทั้งคน”

“ข้ากลัวคนใจร้ายและข้าก็กลัวจะไม่มีสหายอีก ชลันธรเจ็บตัวเพราะข้า…ฮึก…ฮือ..อ..ข้าเกรงว่าชลันธรจะไม่มาเล่นกับข้าอีก” บุษยะสะอื้นไห้ ยิ่งได้นึกภาพตอนชลันธรถูกเฆี่ยนตีน้ำตาก็ยิ่งไหลออกมา เด็กก็ยังเป็นเด็กห่วงเล่นมากกว่าเจ็บตัว

“เจ้าหยุดร้องเสียเถิด พรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าลงไปวิมานมุกครามใต้มหาสมุทร เราจักไปเยี่ยมชลันธรกัน” พระผู้สร้างตรัส การไปเยี่ยมชลันธรก็เป็นเหตุผลหนึ่ง จุดประสงค์สำคัญคือการไปขอโทษและพูดคุยกับพระสมุทรที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพระปิตุลาของพระองค์เองให้หายโกรธเคืองในสิ่งที่เกิดขึ้น

“เย้!!!! ข้าดีใจเหลือเกิน ที่ได้เจอชลันธร” บุษยะดีใจโห่ร้องออกมา ทั้งที่ก่อนหน้านี้ร้องไห้เสียจนน้ำตาแทบหมดตัว ใบหน้างามยังกรังคราบน้ำตาอยู่แท้ๆ ส่วนพระผู้สร้างก็เริ่มทรงตระหนักกลัวว่าชลันธรจะมาแย่งความรักจากบุษยะไปจากตน

‘ฟอด…ฟอด’

“นี่เป็นรางวัลที่พระองค์ช่วยเหลือข้า รักษาข้าให้หายเจ็บแล้วก็ทำให้ข้าได้มีสหาย…ข้าดีใจเหลือเกินที่มีพระองค์อยู่กับข้า” ประโยคที่บุษยะเอื้อนเอ่ยหลังจากหอมพระปรางค์ทั้งสองข้าง ทำให้พระผู้สร้างแย้มพระโอษฐ์กว้างอย่างพอพระหฤทัย พระองค์ไม่น่าทรงกังวลไปเองเลย ในสามโลกนี้คงมิมีผู้ใดหาญกล้า จะมาแย่งความรักของบุษยะไปจากพระองค์ได้ในเมื่อ…

...บุษยะเกิดมาเพื่อพระองค์เพียงผู้เดียว...

































...........................................

ป่วยแล้วจ้า ป่วยหนักด้วย ฮือ แต่ท่านยุ่งจะสู้เพื่อทุกคนนะคะ

วันนี้ขอคั่นกลางคู่พิเศษของเราก่อนนะคะ ให้บพระพริษฐ์และทีมน้องบุษยะได้หายคิดถึง

เอาตรงๆตอนนี้หนูลันเธอมีความแมนจนท่านยุ่งจะจับคู่ 'ลันบุษ' ให้เป็นคู่เบี้ยนกัน 5555

ตอนหน้าเจอกันกับความไบโพร่าที่มีให้ทุกคนได้กินยาอย่างต่อเนื่อง 55555 เราจะบ้าไปด้วยกัน

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านเม้น เป็นกำลังใจ ติชม วิจารณ์ นะคะ



#ง่วงแล้วขอไปนอน เมายา

ป.ล. แอบคิดว่าถ้าพระสมุทรยังอยู่แล้วรู้ว่าหนูลันถูกอิพี่นภนต์รวมร่าง พระสมุทรจะทำยังไง =_=

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-05-2017 10:37:10 โดย TanYung0209 »

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.S 02 P.5 (24/05/2560)
«ตอบ #139 เมื่อ24-05-2017 11:06:18 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.S 02 P.5 (24/05/2560)
« ตอบ #139 เมื่อ: 24-05-2017 11:06:18 »





ออฟไลน์ Ooaummii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.S 02 P.5 (24/05/2560)
«ตอบ #140 เมื่อ24-05-2017 14:35:26 »

 :mc4: บุษยะ มาแล้ว

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.S 02 P.5 (24/05/2560)
«ตอบ #141 เมื่อ24-05-2017 15:27:28 »

โถ ตอนวัยเอ๊าะนี่คงน่ารักตะมุตะมิกันเหลือเกินเชียว ฮา

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.S 02 P.5 (24/05/2560)
«ตอบ #142 เมื่อ24-05-2017 15:59:46 »

พอสิ้นพ่อแล้วก็มีแต่คนรุมรังแกน่าสงสารจริงๆ

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.S 02 P.5 (24/05/2560)
«ตอบ #143 เมื่อ24-05-2017 17:29:02 »

รอตอนต่อไป~

ออฟไลน์ HISY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.S 02 P.5 (24/05/2560)
«ตอบ #144 เมื่อ24-05-2017 22:52:05 »

ดีต่อใจจริงๆตอนนี้
เจอบทลงโทษพระสมุทรอิชั้นลั่นเลยเจ้าค่ะ 55

ออฟไลน์ Quatree

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 279
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.S 02 P.5 (24/05/2560)
«ตอบ #145 เมื่อ25-05-2017 15:45:02 »

สนุกมากรออ่านตอนไปเลย o13

ออฟไลน์ Pe_no

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 375
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.S 02 P.5 (24/05/2560)
«ตอบ #146 เมื่อ26-05-2017 00:19:32 »

สนุกมากค่ะติดตามต่อไปจ้า :mew2:

ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.14 P.5 (28/05/2560)
«ตอบ #147 เมื่อ28-05-2017 08:35:07 »

​สาปรัก…ทัณฑ์เทวา

Writer : Tan-Yung0209

File : 14













ที่ใดมีรัก…ที่นั่นมีทุกข์ แลเห็นจะเป็นจริงดังคำที่เคยได้ยินมา ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของความรักใดก็ตาม รวมไปถึงความรักของมิตรสหายที่หมายจะช่วยเหลือเกื้อกูลกัน หากความปรารถนาดีไม่สามารถส่งต่อถึงกันได้ก็ต้องมีฝ่ายที่นั่งอมทุกข์ดังเช่น…บุษยะ

ร่างอรชรนั่งซบแขนเรียวของตนในบุษบงแก้ว ตากลมโตสอดส่องดูสหายรักผ่านวารีที่ต้องมนต์ ก็รับรู้เหตุการณ์ที่ชลันธรนั้นจำต้องเข้าป่ากันติทัตเพียงลำพัง  ไร้ซึ่งนภนต์เทพนภาคอยปกป้อง ไร้ศาสตราวุธใช้ป้องกันกาย... ‘ชลันธรจะฝ่าฟันไปยังเขาจิรันดรเพียงผู้เดียวได้หรือ’… ยิ่งคิดก็ยิ่งเป็นห่วงเหมือนมีบ่วงมาคอยรัดดวงใจให้แน่นอก เจ็บทรมานจนน้ำตาเม็ดใสไหลริน

“บุษยะน้องพี่ เหตุใดเจ้าจึงกรรแสงเล่า” พระพริษฐ์ตรัสเมื่อก้าวย่างมายังสระสรงหมายจะชำระล้างพระวรกาย ต้องมาพาลพบหยดน้ำตาที่หลั่งรินออกมาจากดวงตาที่เคยเป็นประกายระยิบระยับ ที่เพลานี้กลับเศร้าหมอง พระวรกายหนาตรงเข้าหาแล้วดึงร่างบางเข้ามาสวมกอดเอาไว้

“พี่พริษฐ์…ฮึก..พี่จะทรงช่วยน้องได้หรือไม่” บุษยะกอดกลับ ใบหน้าสวยดุจนางฟ้านางสวรรค์ซุกตรงอกแกร่งแล้วจึงปล่อยสะอื้นออกมา

“เจ้าต้องการให้พี่ช่วยสิ่งใดจงบอกมาเถิด สิ่งที่เจ้าปรารถนาพี่นั้นไม่เคยจะขัด ย่อมให้เจ้าได้เสมอ” ตรัสอย่างเอาใจเทพหนุ่มที่แอบอุระ  บุษยะที่ได้ฟังก็ช้อนตามองผ่านขนตาแพยาวที่เปียกชุ่ม

“น้องนั้นปรารถนาให้พี่ทรงช่วยชลันธรได้หรือไม่เล่า บัดนี้ก็หมดหน้าที่ของท่านนภนต์ที่ต้องดูแลชลันธรแล้ว เพราะสิ้นภารกิจตามเทวาราชโองการ  ด้วยยามนี้ชลันธรเองไร้พลังไร้ซึ่งอิทธิฤทธิ์ใดๆ  น้องเกรงว่าชลันธรจักได้รับอันตรายก่อนจะถึงวิมานของเทพแห่งกาลเวลาเป็นแน่แท้ พี่พริษฐ์จะทรงทำให้ความปรารถนาของน้องเป็นจริงได้หรือไม่”

“ได้สิบุษยะน้องพี่ ความปรารถนาของเจ้า  พี่จะปฏิเสธได้อย่างไรหากว่าอยู่ในข้อกำหนด  เจ้าจงอย่ากังวลไป พี่จะให้เจ้านำเทวราชโองฉบับนี้ไปให้แก่เทพนภนต์และชลันธร” พระพริษฐ์ผู้ไร้พ่ายกลับต้องแพ้ให้เทพบุตรตรงหน้า ไม่ว่าบุษยะจะเอื้อนเอ่ยขอสิ่งใดพระพริษฐ์ก็ยากจะปฏิเสธได้

“พี่จะทรงช่วยน้องจริงหรือ…พี่พริษฐ์มิได้พูดปดใช่หรือไม่” อารมณ์เศร้าโศกก็แปรเปลี่ยนเป็นความร่าเริงสดใสโดยฉับพลัน

“พี่เคยโกหกเจ้าด้วยหรือบุษยะ... ฮืม...”

“น้องรู้ว่าพี่มิเคยก็โกหก...”

“พี่ทำตามใจเจ้าแล้ว ....แล้วไหนเล่ารางวัลของพี่...”  บุษยะทำหน้างงเล็กน้อยว่าสิ่งใดคือรางวัลที่พระผู้สร้างหมายถึง  พระพริษฐ์เห็นใบหน้าที่กำลังงุนงง จึงแสร้งใช้ดัชนีเรียวยาวแตะไปที่พระปรางค์กร้านของพระองค์เป็นการหมายความนัยให้บุษยะได้เข้าใจ

‘ฟอด…’ เสียงดมดอมหอมพระปรางค์ฟอดใหญ่ ทำให้พระผู้สร้างทรงเกษมสำราญมิใช่น้อย แต่บุษยะคนงามนี่สิกลับขวยเขินใจเต้นแรงเสียอย่างนั้น  ทั้งที่ก็หอมกันอยู่ทุกวันแต่บุษยะก็เขินอายทุกครั้งที่เมื่อคนที่ตนเรียกว่าพี่นั้นเข้าใกล้...เมื่อไหร่กันจะคุ้นชิน

. . .

นภนต์นั้นบินเร็วไม่แพ้ครุฑา…จากเชิงเขาคันธมาศสู่ป่ากันติทัตใช้เวลาไม่กี่อึดใจก็ไปถึง ทว่าเทพแห่งท้องนภากลับกระพือปีกบินให้เชื่องช้ากว่าทุกครั้งจนชลันธรยังรู้สึกถึงความผิดปกตินี้ได้ หากร่างบางขาวราวไข่มุกกลับไม่ทักท้วง เพราะด้วยใจนั้นอยากอยู่กับคนรักให้มากที่สุด เช่นเดียวกับนภนต์ที่แกล้งบินให้ช้าเพื่อที่จะโอบกอดชลันธรไว้ เพื่อที่จะสัมผัสลมหายใจอุ่นๆ ที่รดลงแนบอุราอยู่ขณะนี้

“ท่านส่งข้าแล้วท่านจะไปไหนต่อหรือ ท่านนภนต์” หลังจากที่นิ่งเงียบกันเสียนาน ชลันธรก็เริ่มชวนคุยไม่ให้บรรยากาศดูน่าอึดอัดจนเกินไปนัก

“ข้าคงต้องกลับไปยังวิมานของข้า…เพื่อ....(รอเจ้า)” นภนต์ตอบโดยที่ประโยคหลังนั้นนภนต์กลับเลือกเก็บไว้ในใจไม่เอื้อนเอ่ยออกมา

ต่างคนต่างไม่พูดสิ่งใดต่อเมื่อมองไปด้านหน้าคือผืนพนากันติทัต มันคงถึงเวลาแล้วที่ต้องจากลากันอีกครา  แต่การจากลาที่จะสามารถชำระล้างข้อกล่าวหาทั้งมวล การจากลาที่จะเป็นข้อพิสูจน์ความสัมพันธ์ของเทพทั้งสอง

“ข้าคงส่งเจ้าได้เพียงเท่านี้...” นภนต์วางชลันธรลง ร่างโปร่งยืนขึ้นตาก็มองไปยังปากทางเข้าที่แสนน่ากลัว

“ข้าขอบใจท่านมากที่กรุณามาส่งข้า” ชลันธรเอ่ยออกมาน้ำเสียงเศร้าสร้อย นึกกลัวว่าตนอาจจะต้องทิ้งชีวิตไว้ ณ ป่าแห่งนี้แล้วให้เทพมฤตยูนำพาวิญญาณไปพบพระยายม แม้ว่าความตายจะเป็นเรื่องของกฏแห่งกรรมและหลีกหนีไม่พ้น แต่การที่ต้องตายโดยไม่ได้พิสูจน์ตนเอง ต้องตายโดยที่ไม่ได้อยู่เคียงข้างคนรักมันช่างน่าเศร้าใจยิ่งนัก …ชลันธรเอ๋ย

...การรอคอยพรหมลิขิตบางทีต้องรอเป็นร้อยเป็นพันปี  ข้าหลงรักท่านเพียงแค่ได้เห็นเพียงชั่วพริบตา  หรือความรักนี้เป็นได้แค่ความเสี่ยง ข้ายินดีที่จะผ่านทุกอุปสรรคในโลกหล้านี้เพื่อที่จะได้พิสูจน์ตนเอง  ไม่ว่าจะต้องทุกข์ทรมานเพียงใด หยาดน้ำตาที่เสียไปก็ยังรู้สึกว่ามันหวานยิ่งนัก...

“อ่ะ”

ชลันธรร้องออกมาด้วยความตกใจ นภนต์ดึงแขนชลันธรจนเซถลาเข้าหาตนก่อนจะกอดเอวบางไว้แน่น ใบหน้าหล่อโน้มลงใกล้ใบหูชลันธร เพียงลมหายใจอุ่นที่คนงามสัมผัสได้นั้นก็ทำให้หัวใจต้องไหวหวั่น 

....ชลันธรหลังจากนี้ แม้โลกจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงแต่ใจข้าจะมิเคยเปลี่ยนแปลงไปจากเจ้า หากว่าการพิสูจน์ตนนี้สำเร็จ ข้าสัญญาข้าจะไม่ตะขิดตะขวงใจเจ้าอีกและจะมีชีวิตเพื่อเจ้าข้ายอมสละซึ่งทุกอย่าง นอกจากเจ้าเพียงผู้เดียว...

“ข้าขอให้เจ้าโชคดีและข้าอยากจะบอกกับเจ้าว่าตลอดเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา ข้านั้นก็….”

“ชลันธร!!!!”

ยังมิทันที่นภนต์พูดประโยคนั้นจบ ชลันธรก็ถูกขัดแบนความสนใจตนจากเสียงเรียกที่มาจากฟากฟ้า ทั้งนภนต์และเจ้าของนามเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงที่ตอนนี้เห็นเพียงบงกชแก้วลอยเด่นอยู่  บุษยะนั่งบงกชแก้วลงมาพร้อมกับสายลมที่พัดผ่าน อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมเกสรปทุมล่องลอยอบอวลไปทั่ว  เรียกหมู่มวลผีเสื้อและภู่ภมรต่างบินวนไปทั่วบริเวณ

“ชลันธร…ชลันธรข้าดีใจยิ่งนักที่ได้เจอเจ้าอีก”  พอดอกบัวแก้วหยุดนิ่งลงพื้น  บาทากรูวิ่งเข้าหาแทรกกายระหว่างชลันธรกับนภนต์  บุษยะเข้าสวมกอดสหายรักแน่น  แน่นเสียจนนภนต์แอบหวงอยู่ไม่น้อย แต่ก็ต้องปล่อยไปเพราะตนไม่สามารถจะห้ามปราม คนรักคนโปรดของพระผู้สร้างได้

“ข้าเองก็ดีใจที่ได้เจอเจ้าบุษยะ” ชลันธรกอดกลับแน่น  นานเพียงใดแล้วที่เราสองนั้นไม่ได้พบกัน

“ข้าว่าที่เจ้ามาถึงที่นี่คงไม่ใช่เพราะคิดถึงชลันธรเพียงอย่างเดียวใช่หรือไม่” ด้วยทั้งสองนั้นกอดกันแน่นไป นภนต์พูดแทรกขึ้นมาเพื่อขัดจังหวะที่ไม่ค่อยชอบใจนัก  บุษยะที่มัวแต่ดีใจก็นึกขึ้นได้ว่าตนนั้นมาที่แห่งนี้ด้วยตามเทวบัญชาของพระผู้สร้าง

“จริงสิ... ข้ามัวแต่ดีใจที่ได้เจอชลันธรจนลืมไปเสียสนิท” บุษยะผละอ้อมกอดแล้วหยิบเทวราชโองการที่พกติดกายไว้ขึ้นมาก่อนจะคลี่ออกแล้วอ่านเนื้อความด้านใน

“มีเทวราชโองการ….” แค่ขึ้นต้นมาทั้งนภนต์และชลันธรก็คุกเข่าลงเพื่อน้อมรับเทวราชโองการจากผู้เป็นใหญ่ในสามโลก

“ข้าพระพริษฐ์ พระผู้สร้างองค์ปัจจุบัน ข้าขอสั่งให้เทพนภนต์เทวาแห่งท้องนภา ทำภารกิจดูแลชลันธรจนกว่าจะได้พบกับเทพแห่งกาลเวลาตลอดจนสามารถสืบสาวความจริงให้แน่ชัด หากเทพนภนต์ขัดขืนจะถูกลงโทษสถานหนัก…” บุษยะอ่านอักขระในผ้าไหมสีทองทุกถ้อยคำไม่ขาดตกบกพร่อง

“ข้ายินดีน้อมรับเทวบัญชา” นภนต์เอ่ยรับเทวบัญชา เทพหนุ่ม รู้สึกดีใจไม่น้อยที่จะได้ติดตามดูแลคนรักต่อไปใจนั้นจะกระโดดโลดเต้นแต่ก็ต้องทำทีนิ่งขรึมไว้ ชลันธรเองก็โล่งใจที่ต่อไปจะมีนภนต์เคียงข้างกายไม่แยกจากกัน

“จากนี้ไปข้าหวังว่าท่านจักดูแลสหายข้าเป็นอย่างดีนะ…ท่านนภนต์” บุษยะเอ่ยมือก็ม้วนเก็บเทวราชโองไปพลาง แล้วยืนส่งให้นภนต์ที่เงียบไม่พูดอะไรแต่กลับส่งตาคมจ้องมองชลันธรที่มองมาที่ตนเช่นเดียวกัน

“ชลันธร ข้านั้นต้องจากเจ้าไปเสียแล้ว เวลาของเราช่างน้อยนิดเสียเหลือเกิน” บุษยะเข้าไปสวมกอดชลันธรอีกครั้ง

“แต่อีกไม่นาน ข้าจะพิสูจน์ว่าข้านั้นบริสุทธิ์ถึงเวลานั้นเราจะได้กลับมาเจอกันอีก” ชลันธรเอาคางเกยบ่าอีกฝ่าย

“ถึงเวลาที่ข้าต้องไปแล้ว…ข้าจะส่งแรงใจให้เจ้าทุกวันนะชลันธร”  สหายรักต่างล่ำลา ชลันธรมองบุษยะที่ถอยห่างจากตนไปยังบงกชแก้วแล้วลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าผ่านม่านน้ำตา

“เก็บความเศร้าของเจ้าเอาไว้เสียก่อน บัดนี้สิ่งที่สำคัญกว่าคือการเดินทางไปยังวิมานของเทพกาลเวลา” นิ้วโป้งเกลี่ยน้ำเม็ดใสที่ไหลรินที่หางตาของชลันธร พลางพูดเตือนสติให้ชลันธรรู้ว่าควรจักต้องทำเช่นไร

“อืม เราไปกันเถอะ” ชลันธรแก้มแดงระเรื่อ รู้สึกสุขใจกับคำพูดและนิ้วมือใหญ่ที่เข้ามาเกลี่ยน้ำตาให้ผ่านพ้น ความรู้สึกดีๆ เข้ามาแทนความเศร้าได้อย่างรวดเร็ว เมื่อก่อนนภนต์มักจะทำให้ชลันธรเปลี่ยนอารมณ์จากเศร้าใจเป็นสุขใจได้เสมอ

“เขินอายข้าหรือชลันธร  หน้าเจ้าแดงแล้ว...” นภนต์แสร้งถาม

“ข้าหาได้เขินอายไม่ ท่านอย่าคิดไปเอง” ชลันธรเดินหนีพยายามข่มความรู้สึกไม่ให้แสดงออกไปมากกว่านี้ นภนต์ยิ้มออกมาทำไมเขาจะไม่รู้กันเล่าว่าชลันธรรู้สึกเช่นไร ก็เป็นผัวเมียกันแล้วจะมิรู้ใจเมียก็คงมิใช่ ก่อนจะเดินตามชลันธรที่เดินนำหน้าไป

ฝ่าเท้าของทั้งสองย่างก้าวเข้าไปในป่ากันติทัต สิ่งที่สัมผัสได้จากพงไพรนี้คือความหนาวเหน็บที่ทำให้ขนลุกซู่ทั้งที่เวลานี้พระอาทิตย์ยังฉายแสงแสดงเวลาเที่ยงวัน ชลันธรใช้มือลูบแขนเบาๆ หวังให้กายอบอุ่น

“หนาวหรือ” นภนต์เข้ามากอดบ่าแล้วกระชับให้กายของร่างโปร่งชิดใกล้กับกายตน

“อืม เราหนาว ท่านไม่หนาวหรือท่านนภนต์” ชลันธรตอบแล้วถามกลับไป

“ข้าหาได้รู้สึกหนาวกายไม่ ข้าว่าเพราะเจ้าเป็นมนุษย์จึงไม่คุ้นชินหรือปรับตัวให้เข้ากับป่าแห่งนี้ได้” นภนต์สันนิฐานตามที่คิด ชลันธรเองก็คิดเช่นเดียวกัน

“แต่เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะดูแลเจ้าไม่ให้หนาว ข้าจักโอบกอดเจ้าไว้แล้วต่อให้เจ้าหายหนาว…ข้าก็จะกอดไว้อยู่ดี”

“ท่านไม่จำเป็นต้องกอดเราไว้ตลอดเวลาหรอก อ่อ…ตอนที่ท่านมาส่งเราที่ปากทางเข้าป่า ท่านจะพูดอะไรต่อหรือ”

“ไม่มีอะไรสำคัญหรอก เจ้าอย่าได้สนใจเลย” นภนต์พูดปัด ใครจะบอกกันเล่าว่าตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น นภนต์เองเหมือนก็ถูกสาปให้รักชลันธรไม่เสื่อมคลาย แม้อยากจะแก้แค้นเพียงใดก็ตาม ฝ่ายชลันธรก็ทำหน้างอที่นภนต์ไม่ยอมตอบคำถามตน จึงได้จับแขนของนภนต์ให้ออกไปแล้วเดินรุดหน้าทิ้งห่าง

“อ้าว เดินหน้างอโกรธข้าหรือชลันธร” นภนต์ถาม ชลันธรก็ทำทีไม่ได้ยินไม่สนใจในสิ่งที่นภนต์เอ่ย

“อยากโกรธก็โกรธให้พอใจ ข้าไม่ง้อเจ้าหรอกนะ” นภนต์พูดต่ออยากจะดัดนิสัยเอาแต่ใจที่ไม่เคยเปลี่ยนของคนรัก หากชลันธรที่ได้ฟังก็ยิ่งน้อยใจยิ่งโกรธที่นภนต์ไม่ให้ความสำคัญ ‘ใช่สิ! เรามันคนร้ายที่วางยาพิษมารดาเขา จักให้เขามาง้อมาเราได้อย่างไรกัน’

“โอ๊ย!!” ชลันธรที่ไม่ได้ใช่สติเป็นที่ตั้งในการก้าวย่างก็สะดุดรากไม้ใหญ่จนล้มลง

“มัวแต่โกรธข้าเป็นอย่างไรเล่า ต้องหกล้มหน้าคะมำ” นภนต์ที่ปากบ่นหากการกระทำกลับตรงข้ามร่างสูงเข้าพยุงชลันธรขึ้นมาแต่กลับถูกคนงามผลักไส

“ไม่ต้องมาสนใจเรา!!! เราลุกขึ้นเองได้!!”

“อย่ามาดื้อรั้นนะชลันธร ดูก็รู้ว่าเพลานี้ว่าเจ้านั้นบาดเจ็บลุกขึ้นเองไม่ไหวหรอก” นภนต์ฉุดชลันธรให้ยืนขึ้นมา ชลันธรเองก็ทิ้งน้ำหนักตัวลงไม่ให้นภนต์พยุงตนได้

“ออกไปเลยไม่ต้องมาช่วยเหลือเรา!!!” ชลันธรเริ่มทุบตีนภนต์ กำปั้นน้อยๆหาได้ระคายเคืองผิวกายเทพหนุ่มไม่ ถึงกระนั้นก็สร้างความเคืองใจที่ชลันธรทำตัวเยี่ยงนี้

“นี่เจ้าไล่ข้าอย่างนั้นหรือ พอข้าใจดีเจ้าเลยได้ใจสินะ ฮึ! ถ้าอยากให้ข้าไปข้าก็จะไป เชิญเจ้านั่งอยู่ตรงนี้ต่อไปเถิด” นภนต์ปล่อยตัวชลันธรแล้วเดินจากไป ทิ้งให้คนขี้น้อยใจอยู่ลำพังในป่าใหญ่ นภนต์ตั้งใจจะให้ชลันธรสงบจิต สงบใจ ส่วนตนก็จะไปสงบสติอารมณ์ห่างออกไปไม่ไกลนัก

“คนใจร้ายทิ้งเราไว้ตามลำพัง  ง้อใครไม่เป็นหรืออย่างไร” แผ่นหลังกว้างหายลับไปชลันธรก็พึมพำออกมาพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลริน ถึงจะรู้ตัวว่าตนนั้นผิด ถึงจะรู้ว่าไม่ควรแสดงพฤติกรรมเอาแต่ใจเยี่ยงนี้ ก็คนมันน้อยใจจะให้ทำอย่างไรได้เล่า

ลมพัดเอื่อยผ่านสัมผัสกาย จักจั่นเรไรร้องดังเซ็งแซ่ไม่ให้ป่ากันติทัตนี้เงียบงัน แต่มันก็เงียบเหงาในใจของชลันธรอยู่ดี  …‘ท่านพี่จะทิ้งน้องไว้ลำพังจริงหรือ…ไม่อยู่ปกป้องน้องอีกหรือ…ไม่กลัวจะเกิดอันตรายกับน้องหรือไร’...

‘กิ๊ง..กิ๊ง’ แว่วเสียงกระดิ่งดังมาจากด้านหลัง ชลันธรหันไปตามเสียงนั้น ก็พบกับพระคาวีสีขาวน้ำนมผิวขนละเอียด รูปร่างสันทัดงดงามได้กล้ามเนื้อแน่น ประดับแต่งด้วยเครื่องทรงล้ำค่า หาใช่โคป่าธรรมดาไม่ แลมีรัศมีละอองสีฟ้าฟุ้งกระจายและท่าทางโคตัวนี้กำลังเดินมาทางเขาเสียด้วยสิ  ชลันธรที่ไม่รู้ว่าพระคาวีงามนี้อยู่ในอารมณ์แบบไหน ไยจึงเดินตรงเข้าหา หากไม่หลีกทางให้คงโดนเหยียบเป็นแน่แท้  ร่างบางพยายามลุกหนี แต่ขาเจ้ากรรมนี่สิดันทำฤทธิ์พอจะขยับก็เจ็บเสียจนลุกไม่ไหว เห็นทีต้องมาสิ้นชีพใต้กีบเท้าของโคตัวนี้เสียแล้วหรือ

“อุสุภราช หยุดเดินบัดเดี๋ยวนี้ เจ้ามิเห็นดอกหรือไรว่ามีใครนั่งอยู่ตรงหน้า” ก่อนที่พระคาวีอุสุภราชจะเข้าเหยียบชลันธรก็ได้มีเสียงห้ามทำให้ชลันธรนั้นรอดอย่างหวุดหวิด

“จงอย่ากลัวไปเลย อุสุภราชไม่ทำร้ายเจ้าหรอก มันชอบเจ้าต่างหาก เจ้าไม่เป็นอันใดใช่ไหมเล่า ชลันธร...”

“เป็นเช่นนั้นดอกหรือ... เราไม่เป็นไร ว่าแต่ท่านรู้นามของเราได้อย่างไรกัน” ชลันธรสงสัยทั้งที่เพิ่งจะเจอะเจอกันครั้งแรก ‘เหตุใดคนตรงหน้าถึงได้รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของเราได้’

“เจ้าจำข้าไม่ได้หรือ เฮ้อ…ก็ไม่แปลกข้าเจอเจ้าในครานั้นก็ผ่านพ้นมาเสียหลายร้อยปี...” หลายร้อยปีแล้วอย่างนั้นหรือ… ชลันธรพยายามคิดในครั้งวัยเยาว์ที่ตนยังเป็นเทวามหาสมุทร เทพที่มีกายแผ่รัศมีสีฟ้านี้แล้วท่าทางของโคที่เชื่องกับเทพผู้นี้อีกก็คงจะเป็นสัตว์พาหนะ…เทพที่มีลักษณะนี้มีโคเป็นพาหนะ มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น

“พระศุกร์”

“ในที่สุดเจ้าก็จำข้าได้ ข้าดีใจยิ่งนัก” พระศุกร์ยิ้มออกมา รอยยิ้มที่พิชิตใจนางอัปสรหรือเทพบุตรหน้าหวานมาแล้วนับไม่ถ้วน แม้แต่ใจของชลันธรยังรู้สึกวูบวาบไม่น้อยที่ได้เห็นรอยยิ้มนี้

“จริงสิ เจ้าบาดเจ็บที่ขา ข้านั้นจะช่วยรักษาให้ ถือเสียว่าชดใช้ที่อุสุภราชทำให้เจ้าตกใจก็แล้วกัน” พระศุกร์เอ่ยเสร็จก็ไม่รอให้ชลันธรตอบรับ หัตถาวางลงท่อนขาเรียวที่แพลงบวมเล็กน้อย แล้วร่ายมนต์ใส่เป่าลมบางเบาสู่ขาของชลันธร ไม่นานก็กลับเป็นปกติ อาการเจ็บปวดที่มีอยู่ก็มลายหายไป

“เราหายเจ็บแล้ว เราขอบพระคุณท่านมาก” ชลันธรพนมมือไหว้ พระศุกร์ก็จับมือนิ่มเอาไว้พร้อมส่งสายตาเจ้าชู้ให้กับชลันธร สายตาเหมือนที่ตอนที่พบเจอชลันธรครั้งแรกไม่มีผิด

“พระศุกร์ ท่านปล่อยมือข้าเถิด” ชลันธรขยับมือหนีแต่ก็ถูกรวบเอาไว้แน่นกว่าเก่าด้วยมือเพียงข้างเดียว

“ข้าไม่ปล่อยมือเจ้าหรอกชลันธร ขนาดอยู่ในกายมนุษย์ ผิวกายเจ้าก็ยังงามน่าสัมผัสไม่แปรเปลี่ยน  มาเถิดข้าจะให้เจ้าทำความรู้จักกับอุสุภราช” ไม่ใช่เพียงแค่เอื้อนเอ่ยวาจา พระศุกร์ใช้มือที่ว่างอีกข้างลูบแก้มเนียน ชลันธรหลบหลีกพระศุกร์ก็ยิ่งขยับใกล้

จังหวะเดียวกันนั้นนภนต์ที่ออกไปสงบสติอารมณ์และเก็บผลไม้ป่าหวังจะมาง้อชลันธรให้หายโกรธก็มาเจอภาพบาดตาบาดใจพอดี ผลไม้ในมือร่วงตกลงพื้นกลิ้งไปหาสองคนที่นั่งหยอกเอินในสายตาของนภนต์ ชลันธรและพระศุกร์พอเห็นผลไม้ที่กลิ้งมาก็มองย้อนตามทางไปเห็นเทพนภายืนหน้านิ่งอยู่ไม่ไกล ไฟหึงผุดประทุแผดเผาใจจนเสียไหม้เกรียม ความรักถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ลมโมโหช่วยโหมแรงกระพือให้เพิ่มขึ้น

“ขอโทษที่ข้ามาขัดจังหวะ แต่ข้าต้องพาชลันธรออกเดินทางไปกับข้าแล้ว” นภนต์เดินเข้าไปฉุดชลันธรให้ยืนขึ้นมาแล้วใช้กายบังร่างโปร่งเอาไว้ เทพพระศุกร์เองก็ยืนขึ้นมามองหน้านภนต์ไม่พอใจ

“แต่เมื่อครู่ข้าเห็นชลันธรนั่งบาดเจ็บเพียงผู้เดียว อยู่ๆ ท่านจะมานำตัวชลันธรไปกับท่านได้อย่างไรเล่า”

“ข้าไปหาผลไม้ป่ามา ไม่คิดว่ากลับมาจะเจอท่านกำลังเกี้ยวพาชลันธรอยู่ ฮึ!! เสียใจด้วยนะชลันธรเป็นของข้า เชิญท่านกลับไปเสียเถิด อย่ามาเสียเวลาลักกินขโมยกินของผู้อื่นเลย...” นภนต์เอ่ย พระศุกร์ที่ได้ยินก็กำหมัดข่มอารมณ์ตัวเองแน่น หากมีเรื่องวิวาทกับแม่ทัพหลวงแห่งสรวงสวรรค์คงไม่เป็นการดี

“ท่านนี่ก็แปลกจริง...ทั้งที่เป็นผู้จับชลันธรมารับทัณฑ์เทวาแท้ๆ แต่กลับมาดูแลกันอีกกระนั้นหรือ... ชลันธรเจ้าจะอยู่กับคนเยี่ยงนี้หรือ มากับข้าเสียดีกว่าข้าจะตามใจเจ้า ป่านี้อันตรายนัก หากอยู่บนหลังอุสุภราชแล้วเจ้าจะปลอดภัย และข้าจะดูแลเจ้าเป็นอย่างดี...” พระศุกร์ได้ทีโต้กลับอีกทั้งยังเชื้อเชิญชลันธรให้มาอยู่กับตน

“ข้าว่าท่านเอาเวลาไปดูแลมเหสีของท่านหรือเหล่าสนมนับร้อยนับพันไม่ให้ตีกันเสียดีกว่ากระมัง… มากเสียจนนับไม่หวาดไม่ไหว...ชลันธรมากับข้า” นภนต์ทิ้งท้ายให้พระศุกร์เจ็บใจเล่น ก่อนจะคว้าข้อมือเรียวของชลันธรเดินออกไป

‘จำเอาไว้นภนต์ ข้าจะแย่งชิงชลันธรจากเจ้าให้จงได้’  สีหน้าที่เรียบนิ่งแต่ภายในใจนั้นเคียดแค้นที่ถูกชิงคนที่ตนหมายปอง พระศุกร์ตั้งใจที่จะเอาคืนเทพนภนต์ให้จงได้

“ท่านนภนต์!! ข้าเจ็บ ท่านบีบแขนข้าแรงเกินไปแล้ว” ชลันธรร้องออกมา

“อ่อ คงต้องให้ข้าลูบเบาๆ อย่างที่พระศุกร์ทำกับเจ้าใช่หรือไม่จึงจะไม่เจ็บ หากข้าไม่มาขวางไว้เจ้าคงจะยอมให้เทพพระศุกร์ลูบไล้ไปทั้งกายเป็นแน่แท้  ข้าเพียงผู้เดียวไม่พอสินะ หรือจักให้ข้าเรียกรพีพงศ์มาให้เจ้าด้วยจะได้พร้อมหน้าทั้งผัวทั้งชู้รัก” คำพูดที่ไม่ไต่ตรองก่อนพูดมักจะส่งผลกระทบต่อจิตใจไม่ว่าจะเป็นคนฟังหรือแม้แต่คนพูดเอง เช่นเดียวกับชลันธรที่รู้สึกว่าใบหน้านั้นชาไปทั้งหน้าเมื่อได้ยินคำหยามเหยียด นภนต์เองก็คิดได้ว่าความหึงหวงหน้ามือตามัวนั้นทำให้ตนพลั้งปากพูดอะไรพล่อยๆ ไปเสียแล้ว

“ความคิดของท่านมันช่างสกปรกเสียจริง…ฮึก..ก…ถ้าข้าเลวดังคำที่ท่านกล่าวหาแล้วล่ะก็…ฮึ….ข้าจะไปจากท่าน ไม่ให้เป็นเสนียดจัญไรกับชีวิตของท่านอีก” ชลันธรวิ่งหนีเข้าไปในป่าลึกไม่คิดว่าคนรักผู้หมายให้เป็นภัสดาเพียงหนึ่งเดียวจะพูดจาไม่เกียรติตนถึงเพียงนี้  เวลาผ่านไปเพียงครู่นภนต์จึงคิดได้แล้วออกวิ่งตามไป แต่ยิ่งเส้นทางป่ายิ่งลึกเข้าไปนั้นยิ่งรกทึบมืดไร้แสงรวีส่องถึงพื้นล่าง ชลันธรอาศัยความมืดบดบังกำบังพลางกายหลบหนี นภนต์เองก็พยายามมองสอดส่องดั้นด้นหาอย่างไม่ลดละ

“ชลันธร!!! ชลันธร!!!...เจ้าอยู่ที่ไหน!!!”



























...................................

เชื่อหรือไม่เล่า ว่าตอนนี้มีความไบโพล่าสูง

หากท่านอยากจะปากระท่อมข้า ข้าจะหนีไปยังวิมานมุกสีครามอิอิ

เรามาลุ้นกันว่าตอนหน้านภนต์จะเจอชลันธรหรือไม่ แล้วชลันธรจะหนีนภนต์พ้นหรือเปล่า ตอนหน้ามาแบบเบาๆ เชื่อนะ เบาจริงๆ อิอิอิ



สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมาเม้นมาติชม วิจารณ์ แสดงความเห็นให้กับนิยายเรื่องนี้ ม๊วฟ



ป.ล. ใครชอบพระศุกร์บอกมาได้นะคะ จะได้ให้พระศุกร์ออกมาบ่อยๆ 5555555

ออฟไลน์ HISY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.14 P.5 (28/05/2560)
«ตอบ #148 เมื่อ28-05-2017 09:14:02 »

ดีกันไม่เท่าไรงอนกันอีกแล้วจ้าาา
ตบปากพี่นภนต์ที

ออฟไลน์ Ooaummii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.14 P.5 (28/05/2560)
«ตอบ #149 เมื่อ28-05-2017 11:15:19 »

มีเมียงามล้ำในสามโลกก็งี้แหละ ท่านพี่คงต้องหึงสามเพลาหลังอาหารเป็นแน่แท้

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด