สาปรัก…ทัณฑ์เทวา
Writer : Tan-Yung0209
File : 18
ผืนพนากันติทัตนั้นแสนกว้างขวางทั้งยังรกทึบ การจะตามใครสักคนนั้นมิต่างอะไรกับงมเข็มเล่มเล็กในมหาสมุทรที่แสนกว้างใหญ่ ทั้งรพีพงศ์และนาคินทร์ที่ดั้นด้นเดินทางตามหานภนต์และชลันธร บัดนี้ทั้งสองก็ได้เข้าสู่ป่ากันติทัตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากที่นาคินทร์ได้ล่ำลาอาชามีปีกอย่างมารุตเป็นที่เรียบร้อยและกว่าจะจากลากันได้นั้นก็ใช้เวลาพักใหญ่ ก็พ่อมารุตของนาคินทร์นั้นต้องการที่จะเดินทางไปด้วย
“พ่อมารุต ไม่ต้องตามข้าดอก พ่อกลับไปที่ของพ่อเถิด” นาคินทร์เอ่ยกับมารุตที่ไม่ยอมกลับไป ทั้งยังจะเดินตามทั้งคู่เข้าไปยังป่ากันติทัต
‘ฮี้..ฮี่..’ มารุตร้องครางเสียงอ่อนเบาๆ บ่งบอกความเศร้าที่มี ไม่ว่าจะเป็นเทวา มนุษย์ธรรมดาหรือแม้แต่สัตว์เดรัจฉาน เมื่อมีจิตเชื่อมถึงกันก็ล้วนแต่มีมิตรภาพผูกพันดังเช่นมารุตกับนาคินทร์
“พ่อเป็นห่วงข้าอย่างนั้นหรือ” นาคินทร์ถามต่อ มารุตไม่ได้ร้องออกมา เจ้าม้าปีกกลับใช้ภาษากายแทน ใบหน้ายาวนั้นคลอเคลียไล่ไปตามบ่าอย่างอาวรณ์ นาคินทร์เผยยิ้มออกมาเล็กน้อบ นึกเอ็นดูอาชามีปีกตัวนี้เสียจริง มือเรียวยื่นพลางไปลูบที่แผงขนคอเบาๆ
“พ่อไม่ต้องห่วงข้า ผัวข้าเป็นถึงบุตรแห่งเทพทินกร เขาไม่ปล่อยข้าให้เป็นอันตรายดอกนะ” นาคินทร์กระซิบข้างใบหูใหญ่เมื่อต้องโป้ปดให้รพีพงศ์เป็นคนรัก มารุตหันชำเลืองมองหน้ารพีพงศ์ที่ยืนมองม้าหนึ่งตัวกับนาคาหนึ่งตนด้วยความหมั่นไส้ เพราะล่ำลากันอยู่นานทำให้การเดินทางนั้นล่าช้า แต่จะโวยวายก็ใช่ที่เพราะถ้าไม่ได้ทั้งสองก็คงมาที่นี่ได้ล่าช้าเช่นกัน ว่าแล้วก็เลิกสนใจนาคากับเจ้าม้าแกลบ ก่อนจะถอยห่างออกไปยืนอีกด้าน
“เจ้าพูดอันใดหรือ เจ้าม้ามารุตจึงยอมกลับไป” เมื่อนาคินทร์ที่จูงมารุตรีบเดินตามเข้ามาใกล้ผู้ที่ถูกนาคน้อยอุปโลกให้เป็นผัวเอ่ยถาม ทำให้ใบหน้าขึ้นสีก่อนจะรีบส่ายหน้าไปมา
“ไม่มีอันใดสำคัญดอก ท่านอย่าใส่ใจเลย ข้าว่าเราขอบคุณมารุตกันดีกว่า” นาคินทร์บ่ายเบี่ยงเชิญชวนร่างสูงกล่าวขอบคุณสัตว์พาหนะที่มาส่งทั้งสองถึงป่ากันติทัตแห่งนี้
“ข้าขอบน้ำใจเจ้ามากมารุต ที่ยอมมาส่งข้ากับนาคินทร์” รพีพงศ์เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน แม้น้ำเสียงจะนิ่งแต่แฝงถึงความจริงใจ
‘ฮี้…’ มารุตรับรู้ความจริงใจของรพีพงศ์ท่าทีของม้าปีกดำเองก็ดูจะอ่อนลงกว่าแต่ก่อน
“ข้าต้องไปแล้วนะพ่อ ข้าหวังว่าจะได้พบพ่ออีกครั้ง…ข้าขอบใจพ่อจริงๆ” นาคินทร์เอ่ย มารุตเองก็คลอเคลียบ่าเล็กเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจากลากันไปในเส้นทางของตน
ดวงตาคู่สวยฉายแววความโศกเศร้าขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด จนรพีพงศ์รับรู้ความรู้สึกของนาคินทร์ที่คงจะเสียใจที่จากลากัน หากความโศกานั้นกลับอยู่กับนาคาผู้นี้ได้ไม่นาน เมื่อย่างเข้าสู่ป่ากันติทัต ที่เต็มไปด้วยสรรพสิ่งที่น่าสนใจให้นาคินทร์คลายความเศร้าไปได้บ้าง ไม่ว่าจะเป็นพืชพรรณหรือจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีมากมายหลากหลายชนิดนั้นสามารถเรียกร้อยยิ้มของนาคินทร์ให้ปรากฏบนใบหน้างดงามนี้
“ท่านรพีพงศ์ ดูนั่นสิ...กวางสีขาวตัวนั้นสิที่เขาของมันเป็นสีทองด้วย ช่างงดงามยิ่งนัก ไม่เหมือนกับที่โลกมนุษย์เลยนะกวางส่วนมากขนสีน้ำตาลทั้งนั้น” นาคน้อยกระตุกแขนของผู้ร่วมเดินทางแล้วชี้ให้ดูมฤคาขนขาวที่เดินเล็มยอดหญ้าห่างจากทั้งสองไม่ไกลนัก รพีพงศ์เองก็มองตามแล้วยิ้มออกมา รอยยิ้มนี้หาใช่รอยยิ้มที่เกิดจากการพบเห็นกวางแต่เป็นรอยยิ้มเอ็นดูกับความสดใสราวกับเด็กน้อยของนาคินทร์
“ท่าน..นั่น…กระต่ายใช่หรือไม่”
“นั้นก็คล้ายตัวกระรอก แต่ทำไมมันเหมือนจะร่อนและบินได้ด้วย…ทะ…ท่านรพีพงศ์ กระรอกมันบินข้ามต้นไม้ดูสิ...”
ไม่ใช่แค่กวางเผือกเท่านั้น ไม่ว่าสิ่งใดในป่าแห่งนี้ ทุกสรรพสิ่งที่นาคินทร์ได้พบเจอก็ล้วนทำให้ตื่นเต้น นาคินทร์เองก็ไม่ต่างอะไรกับชลันธรที่ไม่ค่อยได้ออกจากนครบาดาล พอได้ออกมาก็ใช้ชีวิตอยู่โลกมนุษย์แต่และใจก็อยู่ภายใต้การควบคุมของ…กนธี
‘ท่านกนธี’ พอนึกถึงบุรุษที่เป็นรักแรก ร่างบางกลับหยุดกระโดนโลดเต้น ดวงใจน้อยๆ ก็พลันเจ็บแปลบแสนเจ็บปวด สำหรับนาคินทร์แล้วกนธีนั้นคือบุรุษผู้สง่างามและเก่งกาจที่สุดในสายตา ที่สำคัญที่สุดคือได้เล็งเห็นค่าในตัวของนาคินทร์ จากนาคชั้นต่ำที่มีชีวิตอยู่กันเพียงสองแม่ลูกใต้ร่องเหวท้องทะเลลึก ถูกกนธีพบเข้าโดยบังเอิญเมื่อครั้งที่ค้นหาดวงใจพระสมุทรครั้งใหญ่ และเป็นเพียงผู้เดียวที่สามารถทำให้ตนนั้นต้องการความรัก แต่ในยามนี้เมื่อไม่เป็นที่ต้องารแล้ว ก็จะลืมเลือนไปให้หมดสิ้น นึกย้อนไปก็สมเพชตัวเองเสียจริงที่ตอนนั้นคิดสั้น ครั้นจะอยากกลับลงน้ำไปหาแม่ก็ไม่ได้ เมื่อชีวิตเป็นของตนก็จะขอใช้ชีวิตนี้อย่างอิสระ เพราะเวลาที่ผ่านไปทุกวินาทีนั้นไม่เคยรอใคร ทุกเรื่องที่กำลังจะเข้ามานาคินทร์อยากให้มันเป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้
“นาคินทร์ เจ้าเป็นอันใด” รพีพงศ์ที่ปล่อยให้เชลยของตนวิ่งวุ่นเดินชมป่า ถึงกระนั้นทุกสิ่งทุกอย่างล้วนตกอยู่ในสายตาของตนที่อยู่ดีๆ ก็หยุดนิ่ง แม้แต่มุมปากที่เคยยกยิ้มตอนนี้กลับหายไป
“ข้าหาได้เป็นอันใดไม่ เพียงแต่เหนื่อยนิดหน่อยก็เท่านั้น” เพียงคำแก้ตัวให้อีกฝ่ายมิรู้ด้วยสาเหตุ ก่อนพลางเบือนใบหน้าทำทีมองไปทางอื่นเพื่อไม่ให้รพีพงศ์ผิดสังเกตได้
“คิดถึง อาลัยอาวรณ์เจ้ามารุตหรือ...” มิรู้ด้วยเหตุ เทพหนุ่มจึงเอ่ยถาม
“หากเป็นเช่นนั้นข้าจะคิดมิได้หรือ ในชีวิตข้าจะมีสิ่งรักและผูกพันธ์เพียงกี่สิ่งกัน...” ตอบไปตัดเพ้อดั่งว่า นาคน้อยก็ยังคงปกปิดเรื่องของกนธีต่อไป
“ข้าขอโทษ...” ช่างแปลกใจทั้งคนพูดและคนฟัง นาคินทร์ไม่นึกว่าจะได้ยินคำๆ นี้จากปากรพีพงศ์
“มิเป็นไร...ว่าแต่กลิ่น...กลิ่นหอมนี้มาจากไหนกัน” กลิ่นหอมชวนดอมดมลอยตามลมฟุ้งทั่วบริเวณ นาคินทร์ที่สัมผัสได้กลิ่นนี้เดินตามหาที่มาของกลิ่นจนไปพบกับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เมื่อแหงนหน้ามองขึ้นไปก็พบกับมวลผกาสีขาวกำลังผลิบานอยู่เต็มต้นไม้ใหญ่ตรงหน้า
ต้นพะยอมยักษ์ที่เติบใหญ่ในป่ากันติทัตนานนับสหัสวรรษ ในปีหนึ่งนั้นต้นพะยอมนี้จะผลิดอกสีขาวนวลออกมาให้มวลหมู่ภมรได้เคล้าคลอเคลียดูดดื่มน้ำหวานอยู่เพียง 1 สัปดาห์ หากแม้นผู้ใดได้สัมผัสกลิ่นดอกพะยอมแห่งแดนหิมพานต์นี้ ก็ล้วนหลงใหลเฉกเช่น แมลงภู่ ผึ้ง ผีเสื้อเหล่านี้ ที่กระพือปีกบินวนมิยอมออกห่าง รวมไปถึงนาคินทร์ที่ต้องมนต์ความหอม บัดนี้นาคน้อยนั้นก็เดินเข้าไปใต้ร่มเงาแห่งต้นพะยอมนี้
ดั่งต้องมนต์เมื่อแรกเห็น ร่างอรชรย่อกายลงนั่งแล้วก้มเอื้อมมือเก็บดอกพะยอมที่ร่วงหล่นลงบนพื้นมาไว้ที่ฝ่ามืออีกข้าง หยิบจับขึ้นดอมดมกลิ่นหอมพลางเรียกความสุขและรอยยิ้มกลับคืนสู่นาคินทร์อีกครั้ง เห็นทีนาคินทร์ต้องขอบคุณต้นพะยอมยักษ์นี่เสียแล้วที่ทำให้ลืมความทุกข์ไปช่วยขณะ
“ท่านรพีพงศ์ ท่านลองมาดมดอกพะยอมดูสิ แม้จะร่วงตกลงพื้นดินแต่กลิ่นหอมก็หาได้หมดไป” นาคินทร์ยืนขึ้นแล้วหยิบดอกพะยอมยื่นให้เทวินทร์รูปงามที่เดินตามมาติดๆ ได้ลองดมดูบ้าง
“ท่านลองดมดูสิ” นาคินทร์ยื่นดอกพะยอมในมือจ่อที่ปลายจมูกคมหมายให้รพีพงศ์นั้นเพลินใจ ด้วยความไร้เดียงสาหารู้ไม่ว่าตนกำลังจะมีภัย
…‘กลิ่นเอ๋ย…กลิ่นพะยอมแก้ว ความหอมเจ้านั้นหาสิ่งใดได้เปรียบเว้นเสีย...นาคาตรงหน้าข้า’… สูดดมเพียงเล็กน้อย กลิ่นผกาในหัตถาเล็กหาใช่เพียงส่งกลิ่นหอมธรรมดาให้ชื่นใจแต่ยังปลุกเสน่ห์ในตัวของผู้ที่ได้สัมผัส รพีพงศ์ต้องมนต์กับดักสิเน่หาพะยอมเข้าให้แล้ว…อันนาค งู นั้นโดยปกติก็มีกายที่ยั่วยวน พอได้ผนวกกับกลิ่นหมอจากดอกพะยอมนี้ ยิ่งทำให้รัชทายาทบัลลังก์พระอาทิตย์เริ่มลุ่มหลง แทบครองสติตนไม่อยู่
“เจ้าออกไปก่อน...ไปให้ไกลจากข้าก่อน...” รพีพงศ์พยายามข่มใจตนเอาไว้มิอยากให้ตัณหาเข้าครอบงำจิตใจแล้วทำร้ายนาคินทร์จนผิดคำสัตย์สัญญาที่เคยให้ไว้
“ท่านเป็นอะไรไป...อยู่ดีๆ มาไล่ข้าเยี่ยงนี้ไม่กลัวข้าหนีหรอกหรือ...” นาคินทร์แสร้งถาม ในใจก็ตั้งคำถามว่าเหตุใดรพีพงศ์ถึงมีท่าทางแปลกไปจากเดิม
“อย่าพูดมาก ข้าสั่งให้เจ้าออกห่างไปก่อนก็ออกไปเสียสิ ไปให้ไกลข้าบัดเดี๋ยวนี้!!!” ต้องเอ่ยตะคอกเสียงดังด้วยหวังให้นาคน้อยนั้นปลอดภัยจากความไม่มั่นใจของตน เม็ดเหงื่อร้อนเริ่มผุดพรายเต็มหน้าผาก จากแรงกำหนัดที่พุ่งทะยานมากขึ้นเรื่อยๆ จนแทบข่มใจไว้ไม่อยู่เสียแล้ว นาคินทร์พอโดนรพีพงศ์ขึ้นเสียงใส่ก็ตกใจมิใช่น้อย หากก็ยังไม่ทำตามคำสั่งอยู่ดี
“อย่าเพิ่งโมโหโกรธาข้าสิท่านรพีพงศ์ สูดดมกลิ่นดอกพะยอมหอมๆ นี่อีกเสียก่อนแล้วท่านจะอารมณ์ดี” แทนที่จะออกไปให้ไกลตามสั่ง นาคินทร์ผู้มิรู้เดียงสากลับเดินเข้าหารพีพงศ์ มือเรียวถือดอกพะยอมยื่นจ่อใต้จมูกโด่งให้รพีพงศ์ได้สูดดม
ตอนนี้ดอกพะยอมนั้นไม่ใช่สิ่งที่สุริยะบุตรสนใจ ด้วยอารมณ์ดิบถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาอยู่เหนือสติเสียแล้ว หัตถาใหญ่ที่เคยกุมดาบบัดนี้กลับจับกุมข้อมือเล็กกระชากกายบางเข้าหาตน แขนยาวที่ว่างเข้ากอดรัดเอวนาคาตรงหน้าไว้ไม่ให้หนี พร้อมทั้งโน้มใบหน้าลงจุมพิตหนักยังริมฝีปากสีแดงสด นาคินทร์พยายามขัดขืนบ่ายเบี่ยงแต่มิอาจสู้แรงได้ ริมฝีปากบดเบียดเต็มแรงจนรู้สึกแสบร้อนดั่งไฟรน นาคน้อยจึงไม่อาจทนเผยอปากให้ลิ้นร้อนเข้ามาหยอกเย้าด้วยความเอาแต่ใจ
“อื้อ..อืม…” นาคินทร์ร้องท้วงในลำคอ ยามที่ฝ่ามือที่กอดรัดเอวเมื่อครู่ เริ่มลูบไล้ตามเอวคอดลงมาแล้วสอดเข้าไปในสาบเสื้อ ผิวนุ่มลื่นมือชวนให้รพีพงศ์อารมณ์พลุ่งพล่านกว่าเก่า เทพหนุ่มลูบวนที่หน้าท้องที่หดเกร็งเพราะความเสียวซ่านลากผ่านขึ้นไปยังแผ่นอกบางที่ประดับด้วยเม็ดทับทิมสีสดทั้งสองข้าง
“อื้อ….” กายบางดิ้นเร่าขยับกายหนี อยากจะร้องออกมาดังๆแต่ถูกอีกฝ่ายปิดปากเอาไว้ ยิ่งนิ้วโป้งบดขยี้ยอดอกร่างกายนั้นก็เหมือนจะหมดแรง
รพีพงศ์ดันนาคินทร์ให้แผ่นหลังชิดกับลำต้นของต้นพะยอม จึงถอนจูบ หลังจากที่อิ่มเอมกับการตักตวงความหวาน ปลายจมูกคมซุกไซ้ลงที่ซอกลำคอ สูดขาวดมกลิ่นหอมแห่งตัณหาที่เหนือกว่าดอกพะยอมหรือมวลบุษบาที่เคยได้พบเจอ แม้จะเคยลิ้มลองครั้งหนึ่งแล้วแต่ครั้งนี้นั้นแตกต่าง...ด้วยแรงฤทธิ์ร้ายกลเสนห่าแห่งดอกพะยอม
“ทะ…ท่านรพีพงศ์ หยุด…อื้อ..ข้าเจ็บ” นาคินทร์ร้องขอออกมา เมื่อถูกรพีพงศ์ดูดเม้มหนักจนเกิดรอยช้ำ
…‘สุดท้ายทุกคนก็เหมือนกันหมด คำพูดที่สัญญาไร้ซึ่งน้ำหนักดั่งลมปากที่บางเบา…มองเห็นข้าเป็นเพียงที่ระบายตัณหา’… คิดแล้วก็นึกน้อยใจตนเองที่เกิดมาเป็นได้เพียงเบี้ยล่างเท่านั้น มิใช่ชนชั้นสูงที่ใครใคร่ถนอม ในขณะที่ถูกรพีพงศ์เล้าโลมร่างกายจนอ่อนระทวย ภาพความทรงจำที่ถูกเทวาผู้นี้ขืนใจก็ปรากฏขึ้นมา เพียงแค่คิดน้ำตาเม็ดใสก็หลั่งรินออกมาอาบแก้มขาว
“ท่านรพีพงศ์…ฮือ..หยุดเถิด..ข้าขอร้อง” นาคินทร์ร่ำไห้เว้าวอนขอความเมตตาจากผู้ที่กำลังหื่นกระหายร่างกายของตนราวกับสัตว์ป่าร้ายที่กำลังลิ้มรสเหยื่อแสนโอชะ
คำขอร้องที่ถูกเอ่ยออกมาพร้อมกับหยาดน้ำตา แต่ทว่าอีกฝ่ายหาได้สนใจไม่ ด้วยบัดนี้สำนึกผิดชอบชั่วดีนั้นจางหายไป กระหายตัณหาที่จะได้ครอบครองเสพสมนาคาเนื้อหวานเข้ามาครอบงำในจิตใจแทน รพีพงศ์เลื่อนมือลงมานวดเค้นบั้นท้ายก่อนจะปลดผ้าที่ปกปิดกายท่อนล่างจนร่วงหล่นลงกองกับพื้นเช่นเดียวกับหัวใจของนาคินทร์ …‘นี่ข้า...จะต้องพลีกายให้ท่านอีกแล้วหรือ...ท่านรพีพงศ์’…
…‘เจ้านาคเอ๋ย ฟังคำข้าเอาไว้ ความรักและหัวใจของเจ้ามันมีค่ายิ่งนัก จงมอบให้คนที่เห็นคุณค่าในตัวเจ้าเถิด’… ชั่วเสี้ยววินาทีแห่งความคิดนั้น นาคินทร์ที่กำลังจะถอดใจมิรู้ด้วยสิ่งใดนั้นดลใจให้หวนนึกถึงคำที่ฤาษีวิทูได้กล่าวไว้กับตน... เมื่อได้สติจึงได้ตระหนักว่าตนนั้นถึงแม้จะอยู่ในฐานะเชลยแต่ก็จะต้องปกป้องเกียรติของเอาไว้ไม่ให้ใครย่ำยีได้อีก
“หยุด!!!...หยุดกระทำเช่นนี้กับข้าบัดเดี๋ยวนี้!!! ท่านรพีพงศ์…ฮึก…ไหนสัญญากับข้าแล้วมิใช่หรือ...มีสติแล้วนึกถึงคำมั่นที่ท่านลั่นวาจาสิ...ว่าจะไม่ขืนใจข้า!!!... ท่านรพีพงศ์!!!....ฮึก..ฮือ..” กำหมัดเล็กทุบตีไปตามแผ่นหลังกว้างปากก็ร้องออกมาดังก้องและดูเหมือนว่าครั้งนี้จะได้ผล รพีพงศ์มีกำลังต้องกำหนัดมนตราพะยอม ได้สติขึ้นมาและหยุดการกระทำหยาบโลนของตนลง
“ฮือ…ฮือ…ฮึก..ฮือ…” ร่างเล็กร้องไห้ทรุดลงไปนั่งกับพื้น มือเรียวดึงผ้าที่หล่นอยู่มาปกปิดกาย รพีพงศ์มองตามก็รู้สึกผิดที่ทำร้ายคนตรงหน้า
“นาคินทร์…เอ่อ…ข้า..” รพีพงศ์นั่งลงแล้วเอื้อมมือไปแตะบ่าที่สั่นเทิ้มแต่กลับถูกนาคินทร์เบี่ยงกายหนี ตากลมโตที่มีหยาดน้ำตาพอมองลึกลงไปก็พบว่ามีทั้งความเสียใจ ผิดหวังและความกลัว
“ท่านเห็นข้าเป็นเพียงเชลย เป็นเพียงนาคชั้นต่ำไร้ค่าใช่หรือไม่ จึงได้กระทำกับข้าเยี่ยงนี้…ฮือ…ทั้งที่ท่านเคยสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายข้า หากข้าทำดีกับท่าน…ฮึก..แต่แล้วทำไมท่านยังทำ…ท่านไม่ต่างอะไรกับคนใจร้ายที่ทำร้ายจิตใจข้า” ต่อว่าไปพลางสะอื้นไห้ให้อาดูร รพีพงศ์ผู้นี้คงไม่ต่างอะไรกับกนธีผู้ที่ตนเคยรัก
“นาคินทร์...เจ้าหยุดกรรแสงก่อนแล้วฟังข้า” รพีพงศ์รู้สึกผิดจับใจและอยากจะอธิบายสาเหตุที่ทำให้ตนนั้นเกิดกำหนัดจนควบคุมตนเองไม่ได้
“ข้าไม่ฟัง..ฮึก..ไม่ฟัง” นาคินทร์ไม่อยากจะได้ยินคำพูดของเทพผู้ไม่รักษาสัญญาอีกต่อไป
“เจ้าดื้อกับข้าอีกแล้ว” รพีพงศ์ดึงนาคินทร์เข้ามากอดหวังปลอบ แม้จะถูกนาคน้อยขัดขืนก็ตาม
“ปล่อย…ปล่อยข้า!!”
“ข้าไม่ปล่อยจนกว่าข้าจะพูดจบ เจ้าเห็นดอกพะยอมนี่ไหม ดอกพะยอมที่เจ้าเก็บมานั้นเป็นดอกพะยอมพันปีที่เหล่านางฟ้า นางสวรรค์ นำไปบดเป็นผงเพื่อทากายในยามที่ถูกเรียกให้รับใช้เหล่าทหารเทวา ฤทธิ์ของดอกพะยอมพันปีนั้นคือทำให้คนที่ต้องจับมีเสน่ห์ เย้ายวน แก่ผู้ที่ได้พบเห็นจนเกิดกำหนัดได้”
“ถ้าเยี่ยงนั้น…” นาคินทร์พอจะเดาออกแล้วว่าเหตุใดรพีพงศ์ถึงได้เข้ามาปลุกปล้ำ
“ใช่...อย่างที่เจ้าคิดนาคินทร์ เจ้านั้นเก็บดอกพะยอมผนวกกับพวกนาคมีกายเย้ายวนอยู่แล้ว ข้าจึงได้ปฏิบัติกับเจ้าเยี่ยงนี้....คือ ข้า....”
“แล้วเหตุใดจึงไม่บอกข้าเล่า ข้าจะได้ไม่ต้องสัมผัสดอกพะยอมนี้” นาคินทร์พูดเสียงแผ่ว กลับกลายเป็นว่าตนก็มีส่วนผิดที่ไปสัมผัสดอกพะยอมพันปี
“ก็เจ้าวิ่งถลาเข้าไป ข้าก็พูดห้ามไม่ทัน พอข้าไล่เจ้าให้ออกห่าง เจ้าก็ยิ่งมาใกล้ข้าอีก ข้าก็ลืมเรื่องดอกพะยอมนี้ไปชั่วขณะเสียด้วย...ก็เลยมิได้เตือนเจ้า”
“เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ข้าเป็นคนผิดสินะ” นาคินทร์เอ่ย…‘ทั้งที่รู้อยู่ว่าดอกพะยอมอันตราย ไฉนจึงไม่บอกตอนขับไล่ข้า แสร้งตอบว่าลืม...มีหรือข้าจะเชื่อท่าน’…
“ข้าขอโทษ” รพีพงศ์กระซิบข้างใบหูนิ่ม เทพหนุ่มรู้ตัวดีว่าตอนนี้นาคินทร์คงไม่พอใจที่สถานการณ์พาไปให้เหมือนทุกอย่างเป็นความผิดของคนในอ้อมกอดจึงได้เอ่ยคำขอโทษที่กลั่นออกมาจากใจ นาคินทร์ที่ได้รับคำขอโทษนั้น ถึงจะไม่แน่ใจนักว่าเทพหนุ่มจะมาไม้ไหนกับตนอีก แต่ก็รู้สึกดีขึ้นมาอย่างประหลาด ถึงจะยังตีหน้านิ่งไม่ยอมผ่อนทีท่าคลายกังวลให้
“ไม่รู้...ข้าโกรธท่านอยู่ดี…ท่าน..ท่านทำข้าเจ็บ ไม่ใช่คนรักกันจะมาทำแบบนี้กับข้ามิได้...” นาคินทร์เอ่ยออกมา รพีพงศ์จึงยอมผละอ้อมกอดแล้วไล่สายตาดูร่องรอยที่ตนได้ฝากเอาไว้บนกายบาง…ไม่แปลกใจเลยหากนาคินทร์นั้นจะไม่พอใจตน
“เจ้าจักให้ข้าทำเยี่ยงไร เจ้าจึงจะหายโกรธข้า” ทั้งที่ไม่มีความจำเป็นจะต้องงอนง้อเชลย รพีพงศ์กลับเลือกที่จะเป็นฝ่ายหยิบยื่นให้นาคินทร์เสียเอง อาจจะเป็นเพราะได้รับการอบรมมาอย่างดีที่เมื่อกระทำความผิดก็ต้องรับผิดชอบ
“หากข้าวอนขอท่าน ท่านจะทำให้ข้าจริงหรือ” นาคินทร์เอ่ยออกมาน้ำเสียงตื่นเต้น ช่วงชีวิตนี้นาคินทร์ไม่เคยมีใครให้ความสำคัญเยี่ยงนี้มาก่อน รพีพงศ์พอได้เห็นท่าทางของนาคินทร์ก็กลั้นยิ้มเอาไว้…‘ดูไปดูมา นาคน้อยตนนี้ก็ใสซื่ออยู่มิใช่น้อย’
“เพียงเจ้าเอ่ยปากมาข้าจักทำให้ ยกเว้นขอร้องให้ข้าปล่อยเจ้า” รพีพงศ์พูดดักทางเอาไว้
“ข้ามิได้ขอให้ท่านปล่อยตัวข้าดอก ข้าขอ…”
. . .
จันทราขึ้นทอแสงพบท้องนภาแทนสุริยาที่ลาลับ ทั้งสองจึงจำต้องหยุดเดินทางต่อ ค่ำคืนเช่นนี้พระพายนั้นได้เป่าสายลมให้พัดทั่วผืนพนา จนสรรพสัตว์น้อยใหญ่ล้วนต่างกลับไปยังถิ่นที่อาศัยหมายจะหลบลมหนาว ในเพลานี้นาคินทร์เองก็นั่งกอดเข่ามองรพีพงศ์ที่หอบหิ้วกิ่งไม้มาก่อกองไฟให้หมายมอบไออุ่น แม้นาคจะเป็นสัตว์เลือดเย็นแต่อากาศในป่ากันติทัตนั้นช่างหนาวเกินกว่าจะทนได้โดยเฉพาะยามที่ไร้ซึ่งทินกร
“ท่านรพีพงศ์…ข้าหนาวเหลือเกิน เร็วกว่านี้ไม่ได้หรือ” นาคินทร์เอ่ยเสียงสั่น
“ประเดี๋ยวเจ้าก็หายหนาวแล้ว เป็นแค่เชลยตัวจ้อยริบังอาจมาเร่งข้าเชียวหรือ” รพีพงศ์ที่กำลังนั่งจัดเตรียมกิ่งไม้มาทำเป็นฟืนเอ่ยออกมาไม่จริงจังมากนัก สิ่งที่นาคินทร์ขอช่างเล็กน้อยสำหรับตนเสียจริงเพียงแค่ให้มอบความอบอุ่นคลายหนาวยามค่ำคืน หากเรื่องเล็กน้อยนี้คงจะเป็นเรื่องใหญ่สำหรับนาคน้อยของตนที่นั่งตัวซีดสั่นเป็นลูกนกจนอดที่จะสงสารมิได้
‘พรึบ’ รพีพงศ์ใช้ดัชนี้ชี้ไปที่กองฟืน พลันแสงสว่างแห่งอัคคีก็โชติช่วงขึ้นมา นาคินทร์ยกยิ้มขึ้นมาที่ได้รับความอบอุ่นแม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม
“หายโกรธข้าหรือยัง อุ่นขึ้นบ้างหรือไม่” รพีพงศ์ซักถาม…‘ดูจากรอยยิ้มคงจะหายโกรธตนแล้ว’ รพีพงศ์สันนิษฐาน
“ข้าหายโกรธท่านแล้ว ส่วนความอบอุ่นจากกองไฟที่ท่านก่อให้นั้น ข้าสัมผัสได้บ้างถึงจะไม่มากพอให้ข้าหายหนาวแต่ก็ดีกว่าไม่มีสิ่งใดทำให้ข้าอบอุ่น” นาคินทร์ตอบตามความเป็นจริง
“เยี่ยงนี้เจ้าจักนอนได้หรือ…นาคินทร์” รพีพงศ์ถามด้วยความเป็นห่วง สำหรับบุตรแห่งพระอาทิตย์อากาศหนาวเพียงเท่านี้ไม่สามารถทำอะไรตนได้อยู่แล้วเหลือเพียงนาคินทร์ที่แม้จะก่อไฟให้ก็นั่งกอดเข่าตัวสั่นอยู่ดี
“ไม่เป็นไรดอก ข้านอนได้” นาคินทร์ล้มตัวนอนลงให้รพีพงศ์ได้เห็นว่าตนนั้นทนต่อความหนาวนี้ได้
ทว่าทันทีที่นาคินทร์ล้มตัวลง รพีพงศ์ก็เข้ามานอนอยู่เคียงข้าง ไหนจะจะใช้แขนแกร่งข้างหนึ่งสอดให้นาคินทร์ได้หนุนนอน ส่วนอีกข้างก็รั้งเอาเอวบางมากอดไว้ให้ชิดกาย
“ท่าน…ท่านจะทำอันใดข้า” นาคินทร์ตกใจคิดว่ารพีพงศ์จะข่มเหงน้ำใจเฉกเช่นเมื่อตอนกลางวันนี้
“ข้าไม่ทำอันใดเจ้าดอก นอกจะกอดเจ้าเพียงเท่านั้น” รพีพงศ์ยิ้มออกมา จะไม่ให้ยิ้มได้อย่างไรในเมื่อได้เห็นพักตราที่แดงก่ำราวผลอุลิตสุกของนาคินทร์ ครั้นที่เคยคิดว่าพวกนาคจะใจแข็ง หน้านิ่ง เห็นทีคงจะไม่ใช่กับทุกตัว
“เหตุใดถึงมากอดข้าเล่า ถ้าอยากหาอะไรกอด ท่านก็ไปกอดขอนไม้ตรงนั้นสิ”
“ข้าอยากกอดเจ้าหาใช่ขอนไม้ไม่…” คำพูดของรพีพงศ์ยิ่งทำให้ใบหน้าของนาคินทร์แดงหนักเข้าไปอีก บัดนี้หัวใจของนาคินทร์เต้นระรัวจนกลัวว่าจะทะลุออกมานอกอก หากดวงใจดวงน้อยนั้นมีปีกบิน คงเหลิงลอยลมพบเมฆินทร์ได้ดั่งใจนึก
“และข้านั้นก็ทำตามคำขอเจ้าด้วย เจ้าบอกให้ข้ามอบความอบอุ่นใช่หรือไม่ ไออุ่นจากกายข้านี่แหละร้อนพอที่จะทำให้เจ้าหายหนาวได้ ข้ารู้ว่าเจ้าหายหนาวอยู่ใช่หรือไม่” รพีพงศ์พูดต่อ นาคินทร์เองก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าไออุ่นที่แผ่ออกมาจากบุรุษวงษ์พระอาทิตย์ผู้นี้ช่วยทำให้ตนคลายความหนาวได้จริง
“ข้า...ข้าหายหนาวแล้ว” นาคินทร์ตอบ
“ฮึ ไม่เสียแรงที่ข้านั้นสละกายมาสัมผัสเจ้า” รพีพงศ์พูดหยอกเล่นเอาคนฟังหน้าเสียไม่พอใจ
“ถ้าลำบากมาก ท่านก็อย่าได้กอดข้าหรือแตะต้องตัวข้า!!!” นาคินทร์เอ่ยน้ำเสียงปนน้อยใจ พลางดึงแขนที่กอดรัดออก แต่รพีพงศ์กลับกระชับอ้อมแขนแกร่งให้แน่นกว่าเก่า
“ข้ายังพูดไม่จบ…การเสียสละครั้งนี้สำหรับข้าถือว่าคุ้มยิ่งนัก ที่ได้เห็นเจ้าเขินจนหน้าแดง เกิดมาข้าเพิ่งจะรู้ว่านาคนั้นเขินเป็น จะว่าไปเวลาเจ้าเขินมันน่ารักน่าแกล้งยิ่งนัก”
“ท่าน…ท่านรพีพงศ์บ้า!! ไยถึงชอบแกล้งข้านัก” นาคินทร์เผลอตัวว่ารพีพงศ์ที่มาเอ่ยหยอกจนตอนนี้นาคินทร์อายจนอยากแทรกแผ่นดินหนี ...‘ท่านไม่ได้ชอบพอข้า...ไยจึงช่างเจรจาเกี้ยวพาข้าเยี่ยงนี้ด้วยเล่า’...
“นี่เจ้าว่าข้าหรือ ปากเก่งเสียจริง...เห็นทีข้าจะต้องมอบไออุ่นให้กับปากของเจ้า ลิ้นของเจ้าเสียแล้ว” รพีพงศ์แสร้งทำหยอกแกมเป็นดุ นาคินทร์ถึงได้รู้ตัวว่าตนบังอาจไปต่อปากต่อคำเสียแล้ว
“ข้าขอโทษ” นาคินทร์เอ่ย ในใจหวังให้รพีพงศ์ให้อภัย
“ข้ายกโทษให้ก็ได้ เห็นว่าวันนี้ข้าเองก็ทำไม่ดีกับเจ้าไว้มาก…” รพีพงศ์เอ่ยจบ ก็มิได้พูดอะไรต่อเพียงจ้องมองและสบสายตาคนตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่ง ไม่มีเสียงพูดอะไรต่อนับจากนี้ เมื่อสายตาคมถูกปิดลง ใบหน้าที่หล่อเหลาก็ซุกเข้าไปที่ท้ายทอยขาวทำให้นาคินทร์สัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่น ...นี่หรือบุรุษที่ทั่วทั้งสามโลกขนานนามว่าหากได้สบตาต้องยอมพลีกายขึ้นเตียงด้วย...แล้วเขามากอดก่ายเราอยู่เช่นนี้...ข้าเองก็มิใช่ก้อนหินไร้ความรู้สึกใดๆ นะท่านรพีพงศ์...
“ท่านรพีพงศ์ขยับใบหน้าออกไปหน่อยมิได้หรือ... ข้า…ข้านอนไม่หลับ” นาคินทร์เอ่ยเสียงแผ่ว หวังให้เทพหนุ่มเคลื่อนกายเพื่อหมายคลายกังวลใจ แต่รพีพงศ์กลับไม่ขยับตามคำขอ นาคินทร์จึงหันเพียงหน้าเล็กน้อยแล้วเหลือบมอง…รพีพงศ์นั้นเข้าสู่ห้วงนิทราเสียแล้ว
... ‘แม้นิทราก็ยังคงรูปงาม...มิต่างจากยามตื่น ยามร้ายก็ร้ายเหลือกำลัง ยามดีก็แสนจะเป็นสุภาพบุรุษ และที่ข้าไม่ไปจากท่านทั้งๆ ที่ตอนนั้นข้าสามารถจะหนีจากท่านได้ ก็เพราะไม่ว่าข้าจะอยู่ที่ไหนหากมีท่านอยู่ด้วยข้ามิไม่เคยหวั่นอันตรายใดๆ หากวันหนึ่งข้าต้องไกลห่างกันจากท่านจนสุดกู่ ข้าคงพร่ำเพ้อถึงอ้อมแขนกับลมหายใจอบอุ่นนี้เป็นแน่... ข้ามิอยากรู้สึกเช่นนี้ทุกค่ำเช้า กลัวใจตัวเองเหลือเกินท่านรพีพงศ์ ข้ากลัว...กลัวว่าเมื่อทุกอย่างนั้นจบลงแล้วทุกวัน ข้านั้นต้องเฝ้ามอง...เหม่อ คร่ำครวญเรียกหาท่าน ข้าคงทำได้แต่ครวญเสียงเพลงฝากลมเพื่อคลายทุกข์ตรมที่ท่วมท้นอุรา ฝากพระพายกระซิบถึงท่าน...ว่า ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน
ดั่งครานี้ข้านั้นเหมือนกำลังฝันที่ท่านกำลังกอด ยิ่งคิดคราใดใจไหวหวั่น หากตื่นมาแล้วพบว่าความจริงแล้วคนในใจท่านเป็นชลันธร มิใช่ข้า...มันคือความจริงที่ข้าต้องผ่านไปให้ได้ใช่หรือไม่ท่านรพีพงศ์
ข้ามิหวังอะไรมากอีกแล้ว... ขอแค่ว่ารุ่งสางวันพรุ่งตื่นขึ้นมา ขอให้ได้พบหน้าท่านก็เพียงเท่านี้...หากเทวาแห่งความฝันล่วงรู้ถึงประสงค์ของข้า ข้ามิอยากให้ค่ำคืนนี้ข้าหลับฝันเรื่องใดๆ อีกเพราะข้าชอบเวลานี้เสียเหลือเกิน...
ราตรีสวัสดิ์...ท่านรพีพงศ์’...
...........................................
มาแล้วค่ะ มาแล้วค่ะ ท่านยุ่งมาแล้วค่ะ
หลายคนหรือทุกคนนั้น ข้ารู้นะว่าพวกท่านรอคู่ปากเปื่อยอยู่ อิอิอิ
คู่นี้น่าเบื่อเนอะไม่มีสีสันอะไรเลย5555 อยากให้เขาทะเลาะตบๆๆๆๆตีๆๆชกกันไรงี้ 5555
ขอบคุณทุกท่านมากที่ติดตามมหากาพย์สุดแสนยิ่งใหญ่ของข้า ข้าดีใจยิ่งนัก ข้าปลื้มใจยิ่งนัก
สุดท้ายนี้ข้าขอขอบน้ำใจพวกท่านมาก ที่รอข้า อ่านนิยายข้า แสดงความเห็นเป็นกำลังใจให้ข้าข้ารักทุกท่านนะ ติชมข้าได้ตามสบาย ข้ายินดี