สวัสดีค่า พลอยนะคะ ช่วงนี้เราอาจจะเจอกันไม่บ่อยสักหน่อยนะคะแต่เจอกันไม่บ่อยแต่พลอยรักคนอ่านทุกคนหมดใจนะเออ
แต่วันนี้พลอยจะมากล่าวอะไรที่หน้าเศร้าสักเล็กน้อยนะคะ นิยายเรื่อง Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน (ว่าที่) คุณหมอจะจบภายในตอนที่ 35 ค่ะ เนื้อหาทั้งหมดพลอยแต่งเสร็จตั้งแต่เดือน ตุลาแล้วหละคะแต่เราอุบเงียบไว้ ซึ่งนิยายของพลอยนั้นจะมีตอนพิเศษราวๆ 6 - 7 ตอนค่ะ บางตอนจะลงในเล้าแห่งนี้และบางตอนอาจจะไม่ได้ลงค่ะ เพราะพลอยอาจจะรวมเล่มนิยายเรื่องนี้ค่ะ สอบถามไง้ก่อนค่ะว่าสนใจกันไหน
Chapter 29
พวกคุณก็เป็นเหมือนกับผมใช่ไหมครับ ว่าทุกครั้งที่เราจะไปเที่ยวที่ไหน ยกตัวอย่างเช่น น้ำตก ภูเขา หรือว่าทะเล เราทุกคนจะต้องไปซื้อของใช้ใหม่อย่างเช่นชุดว่ายน้ำ เสื้อตัวใหม่ หรือรองเท้าคู่ใหม่ ที่ผมเกริ่นมาแบบนี้ ทุกคนก็น่าจะรู้แล้วใช่ไหมครับ ว่าตอนนี้ผมยืนอยู่ที่ไหน ถ้าทุกๆคนจำได้ว่าเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ผมไปตกลงอะไรกับพี่ศิเขา ทุกคนก็จะรู้ว่าตอนนี้ผมยืนอยู่ในห้างสรรพสินค้า เบื้องหน้าผมตอนนี้คือแผนกกีฬาไงล่ะครับ
วันนี้ที่ผมมาที่แผนกนี้ก็เพราะว่าผมจะซื้อชุดว่ายน้ำชุดใหม่ครับ ตายแล้ว ผมรู้สึกตื่นเต้นจังเลยที่จะได้ซื้อชุดว่ายน้ำใหม่แบบนี้ ผมไม่ได้ซื้อชุดว่ายน้ำมาตั้งแต่ม.5 แล้วนะเนี่ย ผมเดินเข้าไปในแผนกชุดว่ายน้ำพร้อมกับเดินดูไปทั่ว จับตัวนั้นมาดูหยิบตัวนี้มาลอง บ้างก็หันไปชูให้คนที่มาเป็นเพื่อนผมช่วยดูให้ ซึ่งคนที่ผมชวนให้มาด้วยกันก็คือคนที่ชวนผมไปทะเลนั่นแหละครับ
“พี่ศิ ตัวนี้เป็นยังไงมั่ง” ผมวิ่งกระดิกหาง(?) ไปหาพี่ศิพร้อมกับชูชุดว่ายสีดำคาดน้ำเงินให้พี่ศิดู ซึ่งพี่ศิแกก็ส่ายหัวไปมาซึ่งเป็นผลสรุปว่าไม่ผ่านครับ ผมจึงจำใจก้มหน้าก้มตาเก็บชุดว่ายน้ำชุดนั้นแล้วก็เลือกชุดว่ายน้ำชุดใหม่มาแทน ผมวิ่งปรี่ไปรอบๆ แผนกกีฬา ไล่หาชุดว่ายน้ำชุดแล้วชุดเล่า มันก็ไม่ผ่านสำหรับพี่ศิอยู่ดี หรือว่ารสนิยมของผมมันจะผิดเพี้ยนเอามากๆล่ะเนี่ย ผมทรุดตัวลงไปนั่งช็อคที่พื้น แต่ในที่สุดพี่ศิก็ยอมเอ่ยแสดงความคิดเห็นออกมา ผมแหงนหน้าไปมองพี่ศิด้วยสายตามีความหวัง
“ไม่ใช่รสนิยมกรไม่ดีหรอกครับ แต่พี่คิดว่ามันดูจะสั้นไปหน่อย ถ้าทรงนั้นเดี๋ยวนี้กางเกงว่ายน้ำไม่ได้มีแค่รูปแบบๆนั้นอย่างเดียวแล้วล่ะครับ ถ้าพี่เป็นกร พี่จะเลือกแบบกางเกงเล่นเซิร์ฟอย่างตัวนี้ ตัวขาของกางเกงว่ายน้ำจะยาวกว่าทรงแบบเก่า กรลองดูสิครับ” พี่ศิพูดพร้อมกับก้มลงไปหยิบกางเกงเล่นเซิร์ฟขายาวสามส่วนขึ้นมาหนึ่งตัวพร้อมกับยื่นมาให้ผม ซึ่งผมก็รับมันมาถืออยู่ในมือและก้มลงมองกางเกงตัวนั้น ซึ่งผมวิเคราะห์อยู่ประมาณ 10 วิ ผมก็ตัดสินใจซื้อกางเกงว่ายน้ำตัวนี้ทันทีครับ
ผมโบกมือเรียกพนักงานขายพร้อมกับหยิบแบงก์สีเทาให้เขาไปสองใบ โดยผมก็ไม่รู้ราคามันหรอกครับว่ามันราคาเท่าไหร่ แต่จ่ายไปเท่านั้นก็น่าจะพอล่ะมั้ง ผมยืนกอดอกรอพนักงานที่เดินไปที่เคาท์เตอร์จ่ายเงินเวลาผ่านไปราว ๆ 3 นาที ร่างของพนักงานก็เดินกลับมาพร้อมกับยื่นเงินทอนให้ผม ‘ให้ตายเถอะครับ กางเกงว่ายน้ำมันแพงขนาดนี้เลยหรือไง’ ผมนี่เหงื่อตกกับราคากางเกงว่ายน้ำเลยครับ ผมซื้อไปแล้ว คราวนี้ก็เหลือพี่ศิเลือกครับ พี่ศิใช้เวลาเลือกและเวลาจ่ายเงินไม่ถึง 5 นาทีตอนนี้ถุงของชุดว่ายน้ำของพี่ศิก็อยู่ในมือของพี่ศิเขาเรียบร้อย
ผมมองพ่อคนใจง่าย(?) ที่รับถุงจากพนักงาน ก่อนจะเดินหิ้วถุงของตัวเองไปแผนกเครื่องแต่งตัวบุรุษ คราวนี้ผมจะเดินไปดูชุดลำลองสำหรับใส่เล่นที่ทะเลครับ และที่ดูคงเป็นกางเกงขาสามส่วนและเสื้อมีฮู้ดตามสไตล์ที่ผมชอบใส่ครับ การไปเที่ยวทะเลกับพี่ศิครั้งนี้ นี่ผมแทบจะซื้อของใหม่ยกแผงเลยครับ (แต่ให้ทำไงได้ล่ะ ผมไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่มาตั้งกี่เดือนแล้วก็ไม่รู้ พอได้มาเดินดู เดินซื้อ มันก็พาลทำให้อยากซื้อไปหมด ก็เลยถล่มซื้อมันรวดเดียวไปเลยดีกว่า สบายกว่าเยอะ แถมไม่ต้องมาเดินดูอะไรหลาย ๆ รอบด้วย) ใหม่ยกแผง ไม่เว้นแม้กระทั้งกางเกงในตัวใหม่ (พูดแบบนี้ออกไปจะน่าเกลียดไหมครับเนี่ย)
และเมื่อผมเดินไปถึงแผนกเครื่องแต่งกายบุรุษ ผมก็จัดการวิ่งไปทั่วแผนกอีกครั้ง และทำเช่นเดิมครับ คือยกเสื้อผ้ามาทาบกับตัวและให้พี่ศิแกช่วยดูให้ แต่ครั้งนี้พี่ศิแกไม่ได้ส่ายหัวไปมาเหมือนทุกๆครั้งครับ เพราะครั้งนี้พี่ศิแกพยักหน้าว่าผ่านรัวๆ เลยล่ะครับ ซึ่งไอการพยักหน้ารัว ๆ นั้นทำให้มือของผมนี่เต็มไปด้วยเสื้อผ้ากางเกง เสื้อฮู้ดและอะไรจิปาถะเยอะแยะไปหมดเลยครับ ซึ่งค่าเสียหายนี่คงไม่ต่ำกว่าสี่ห้าพันแน่นอน (แต่ดีที่ผมมีบัตรลดราคา 50 เปอร์เซนอยู่ แถมบางบูทก็จัดโปรโมชั่นลดราคาเลยสบายกระเป๋ามาหน่อยหนึ่ง) ผมเดินเลือกเสื้อผ้าไปอีกสิบนาที ในที่สุดผมก็เดินไปทั่วแผนกเครื่องแต่งกายบุรุษและเสื้อผ้าในมือผมก็เริ่มระรานไปยังแขนทั้งสองข้างของพี่ศิครับ
ร่างสูงที่ยืนอยู่ทางด้านหลังผมได้แต่ยิ้มแห้งๆให้ ส่วนผมก็เรียกพนักงานที่คอยเดินตามให้เอาเสื้อผ้าและข้าวของทั้งหมดไปจ่ายเงิน
“คุณพนักงานครับ ช่วยเอาของทั้งหมดนี่ไปคิดเงินหน่อยครับ นี่บัตรลดราคา แล้วนี่ก็…” ผมกำลังล้วงกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบบัตรเดบิตที่คุณป๊ากับคุณม๊าให้ไว้ แต่มันก็ไม่ทันผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างๆผมครับ ผู้ชายคนนั้นยื่นบัตรเครดิตสีทองให้พนักงานไปเรียบร้อยแล้ว ผมหันไปถลึงตาใส่พี่ศิ ก่อนจะเอามือตีบ่าพี่เขาไปหนึ่งที
“นี่ของของกร มาจ่ายเงินอะไรให้กรเนี่ย” ผมหันไปบ่นอุบอิบใส่พี่ศิ ซึ่งผมไม่พอใจพี่เขาจริงๆนะครับ คือมันไม่ใช่อะไรหรอก ผมแค่เกรงใจพี่เขามากๆก็เท่านั้นเอง “เอาเงินคืนไปเลย ไม่รู้เท่าไหร่แต่ก็เอาไปเลย” ผมพูดพร้อมกับหยิบแบงก์พันสามสี่ใบคืนไปให้พี่ศิ และเป็นที่แน่นอนเลยครับว่าเฮียแกไม่ยอมรับเงินพวกนั้น ผมนี่ทำแก้มป่องใส่พี่ศิไปทีแล้วก็ยัดแบงก์พวกนั้นใส่กระเป๋าเสื้อเชิ้ตของพี่ศิและเดินหนีไป
ผมทำถึงขนาดนี้แล้ว พี่ศิจะไม่เอาเงินของผมก็เชิญครับ แต่พี่ศิแกก็จะเอาเงินทั้งหมดนั่นมาคืนผมตอนนี้ไม่ได้เพราะว่าหนึ่ง พี่ศิแกต้องรับของทั้งหมดที่ถูกนำไปที่เคาท์เตอร์จ่ายเงิน และ สอง พี่ศิแกต้องรอรับบัตรเครดิตสีทองของแกคืนครับ ดังนั้นถ้าพี่ศิแกจะไม่เอาเงินของผมก็เหลือวิธีโยนแบงก์ทั้งหมดทิ้งไว้ที่พื้นนั่นแหละครับ (ซึ่งพี่ศิแกไม่ทำแน่นอนครับ เพราะพี่แกต้องหาเรื่องเอาเงินทั้งหมดนั่นมาคืนให้ผมให้ได้อยู่ดี แม้มันจะถูกคืนมาให้ในรูปแบบของกินหรือของใช้ก็เถอะ)
ผมเดินออกมาจากแผนกเครื่องแต่งกายบุรุษพร้อมกับเดินขึ้นบันไดเลื่อนไปเพื่อขึ้นไปเดินเล่นในร้าน B2S ครับ ซึ่งที่ไปก็คิดจะเข้าไปดูอะไรเล่นเท่านั้นแหละครับ ผมเป็นคนชอบเดินดูอะไรพวกนี้ แต่ไม่ค่อยซื้อครับเพราะซื้อไปก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร ถ้าซื้อไปนี่คงเอาไปเก็บเสียมากกว่า ดังนั้นก็เดินดูแล้วฟินเบา ๆ พอครับ (ผมเป็นพวกชอบชอบจุกจิกน่ารัก ๆ นะครับ แต่เรื่องนี้ต้องเงียบไว้เพราะมีคนรู้ว่าผมชอบของแนว ๆ นี้มีไม่กี่คนครับ)
ผมเดินไปทั่วร้าน ในที่สุดผมก็เห็นของน่าสนใจเข้าครับ สมุดโน้ตแพ็กคู่สลับสีกัน ผมเดินตรงไปยังจุดที่วางขายสมุดโน้ตนั่นทันที (นอกจากผมเป็นพวกชอบของเล็ก ๆ น่ารัก นุ่ม ๆ ฟู ๆ แล้วของที่ผมชอบอีกอย่างหนึ่งก็คือการซื้อสมุดโน้ตสะสมครับ ตอนนี้ไม่อยากจะบอกว่ามีเต็มห้อง แต่แทบไม่เคยใช้เขียนอะไรเลย) ผมก้มหน้ามองไล่สมุดโน้ตนั่น ในที่สุดผมก็เจอสมุดโน้ตคู่สีที่ผมอยากได้ครับ แถมมันเหลืออยู่เพียงคู่เดียวในกองซะด้วย สมุดโน้ตสีฟ้าอ่อนที่เป็นสีที่ผมชอบและสมุดโน้ตสีดำเป็นสีที่พี่ศิชอบครับ ผมหยิบสมุดโน้ตคู่นั้นขึ้นมาสมุดโน้ตคู่นั้นถูกใส่ไว้ไปแพ็กเกจของมันเป็นอย่างดี ผมมองมันแล้วอมยิ้มออกมาจาง ๆ ก่อนจะคว้ามันเพื่อเอาไปจ่ายเงิน
ผมไม่รู้หรอกนะครับว่าทำไมผมถึงอยากซื้อมัน แต่ในความรู้สึกของผม…ผมอยากได้อะไรที่มันเป็นเซทเข้าคู่กันสำหรับผมกับพี่ศิครับ ถึงแม้ราคาของสมุดโน้ตคู่นี้มันจะไม่สูงมากเหมือนสร้อยคู่ แหวนคู่ หรือกำไลคู่ก็เถอะ ผมก็คิดว่าสิ่งที่ให้ด้วยใจมันมีคุณค่าทางจิตใจมากไม่แพ้ราคาของหรอกครับ (แต่ว่าต่อให้ซื้อสร้อยคู่ แหวนคู่ กำไลคู่ เอาง่าย ๆ คือพวกเครื่องประดับคู่รักนั่นแหละครับ ผมก็คงให้พี่ศิแกไม่ได้อยู่ดี เพราะว่าผมกับพี่ศิยังไม่ได้เป็นอะไรกันเลย เราเป็นแค่คนสำคัญของกันและกันเท่านั้นเอง แม้มันจะเป็นในมุมมองความคิดของผมก็เถอะ)
ผมเดินหิ้วถุงออกมาจากร้าน B2S พอผมเดินออกมาจากร้านได้ไม่ถึง 5 ก้าว พี่ศิที่รอพนักงานที่เอาของไปที่เคาท์เตอร์จ่ายเงินพี่แกก็เดินมาถึงบริเวณหน้าประตูทางเข้าร้านพอดี ผมรีบเอาถุงของร้านแอบไว้ทางด้านหลังพร้อมกับส่งรอยยิ้มกว้างไปให้พี่ศิ
“ค่าเสื้อของกรสามพันก้าวร้อยสี่สิบสามบาทครับ ราคานี้ใช้บัตรลดราคา 50 เปอร์เซนและรวมโปรโมชั่นของแต่ละบูทแล้วครับ” ร่างสูงเอ่ยด้วยรอยยิ้มมือทั้งสองข้างนั้นหอบหิวถุงของห้างสรรพสินค้าเต็มไปหมด เมื่อผมเห็นเช่นนั้นผมก็รีบวิ่งไปช่วยพี่ศิถือทันที (จะไม่ช่วยได้ยังไงครับ ในมือของพี่ศิเกินครึ่งเป็นของของผม ถึงจะมีของของพี่ศิปนอยู่บ้างก็เถอะ แต่น้อยกว่าของของผมเยอะ)
“เอามานี่ เดี๋ยวกรช่วยถือ” ผมเอื้อมมือไปหยิบของในมือพี่ศิ แต่พี่ศิก็ไม่ยอมให้ผมถือครับเพราะว่าเมื่อผมเดินไปพี่แกก็ตีเนียนเดินนำไปครับ ผมจึงได้แต่เดินตามไปอย่างเดียว
‘พี่ศินะครับพี่ศิ จะทำตัวเป็นสุภาพบุรุษไปไหนเนี่ย ผมไม่ใช่สาวน้อยสักหน่อยนะ แต่ช่วยไม่ได้ เขาอยากวางฟอร์มเป็นสุภาพบุรุษก็ปล่อยเขาไป’ ผมมองแผ่นหลังที่ก้าวเดินนำไปด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะสาวเท้าเดินตามไปขนาบข้าง
“พี่ศิหิวหรือยัง...นี่จะหกโมงเย็นแล้วนา” ผมถามออกมาลอยๆ มือทั้งสองข้างที่ถือถุงเสื้อผ้าไว้ถูกยกกลับหลังไปพาดที่บ่าของตัวเอง ซึ่งคำถามที่ผมถามไปนั้นไม่ได้ต้องการคำตอบหรอกครับ ต่อให้พี่ศิเขาตอบมาว่าไม่หิว แต่ผมก็ยังจะกินครับนั่นก็เป็นเพราะผมหิวแล้วนั่นเอง
ร่างสูงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ผมก็พยักหน้าเบา ๆ เป็นคำตอบไอผมนี่ยิ้มแก้มแทบปริเลยครับ “แล้วกรอยากทานอะไรเหรอครับ พี่ยังไงก็ได้ เอาที่กรอยากทานนั่นแหละ” ร่างสูงเอ่ยขึ้นซึ่งมันเป็นคำตอบประจำที่พี่ศิแกตอบผมมาครับ เพราะว่าผมหิวหรือผมอยากกินอะไร พี่ศิมักจะให้ผมเป็นคนเลือกร้านอาหารเสมอครับ
ผมเดินนำไปเบื้องหน้าของพี่ศิพร้อมกับชี้ไปที่ MK สุกี้ พี่ศิก็พยักหน้าตอบพร้อมกับเดินนำเข้าไปภายในร้าน พนักงานแต่ละคนที่มองพี่ศิแกตาเป็นมันเลยครับ ไอผมนี่จะบอกว่าไม่พอใจก็ไม่พอใจอยู่หรอก แต่จะให้พูดออกไปได้ยังไงล่ะว่าผม…อาจจะหึงพี่ศิเขาอยู่
ผมเดินตามพี่ศิไปยังโต๊ะที่พนักงานนำทางไปพร้อมกับหย่อนก้นลงไปนั่งที่โซฟาเต็มแรง และที่ที่ผมนั่งคือที่นั่งข้างพี่ศิครับ ส่วนของที่ซื้อมาทั้งหมดถูกอัปเปหิไปอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งการนั่งแบบนี้ ผมไม่เคยนั่งมาก่อนครับ เพราะมันไม่ค่อยสะดวกตอนกินเท่าไหร่นัก
ปกติเวลาผมกับพี่ศิมานั่งทานข้าวกันสองคน เราจะนั่งหันหน้าเข้าหากันตลอด แต่คราวนี้ไม่รู้เป็นยังไง ผมถึงได้มานั่งข้างพี่ศิแถมเขยิบไปซะชิดพี่เขาด้วยครับ ส่วนคุณพี่ศิรวิทย์ที่รักของทุกคนเขาก็ไม่ว่าผมนะครับ หนำซ้ำยังยิ้มพอใจเสียอีกที่ผมเข้าไปนั่งเบียดพี่แก
ร่างสูงรับเมนูมาเปิดสั่ง ส่วนผมโบกมือเป็นการปฏิเสธว่าไม่เอาครับที่ไม่เอามันก็มีเหตุผลนะครับที่มันก็ไม่ได้กว้างมากผมก็คิดว่าจะดูเมนูเล่มเดียวกับพี่ศินั่นแหละ ผมหันไปสะกิดพี่ศิเขาเบาๆ พร้อมกับมุดหัวเข้าไปดูเมนูด้วย ดังนั้นสภาพของผมกับพี่ศิตอนนี้ก็ประมาณผมเข้าไปนั่งซุกพี่ศิครับ แล้ววงแขนของพี่ศิก็คล้าย ๆ โอบบ่าของผมอยู่ ผมไม่ได้มีเจตนาจะทำให้สาว ๆ ที่หมายปองพี่ศิผิดหวังอะไรเลยนะครับ ผมก็แค่ทำตามความเคยชินเหมือนตอนที่อยู่คอนโดเท่านั้นเอง (เพราะปกติเวลาพี่ศิอ่านหนังสือบนโซฟา ผมจะนั่งเกาะโซฟาอยู่ด้านหลังแล้วเอาคางเท้าบ่าของพี่ศิครับ อารมณ์คนขี้เกียจเดินไปนั่ง บ้างก็เอาตัวนั่งพิงพี่ศิแล้วชะโงกหน้าดูหนังสือในมือพี่ศิ ดังนั้นการที่ผมมุดหัวเข้าไปดูเมนูในวงแขนของพี่ศิก็เป็นเรื่องปกติที่เราทำกันเป็นประจำครับ)
พนักงานสาวที่กำลังยืนรอออเดอร์ของโต๊ะผมเธอทำหน้าตกใจ ส่วนสาวๆในร้านที่หมายตาพี่ศินี่ยกมือขึ้นมาปิดปากและทำหน้าผิดหวังกันเป็นแถบ ๆ
เราทั้งสองคนสั่งของกินที่อยากกินกันไปเรื่อยๆ จนในที่สุดผมก็รัวสั่งเมนูมาเสียจนไม่น่าจะกินหมด ไม่ว่าจะเป็นหมี่หยก เป็ดย่าง ของสดต่าง ๆ (แถมผมบีบคอพี่ศิด้วยว่าอย่าสั่งชุดผักมา พี่เขาก็เลยจำใจก็เลยเปลี่ยนจากชุดผักเป็นชุดเห็ดแทนครับ) ซึ่งพวกเราทั้งสองคนก็ใช้เวลารอไม่ถึงห้านาทีของต่าง ๆ ก็ถูกนำมาเสิร์ฟจนเต็มโต๊ะครับ
การกินเอ็มเคของผม สูตรการกินจะแปลกนิดหน่อยครับ เพราะว่าผมจะตักน้ำซุปใส ๆ ที่อยู่ในหม้อมาใส่ถ้วยของตัวเองก่อนครับและก็ตามด้วยใส่พวกเห็ดและของทะเลลงไปลวกครับ ซึ่งผมมักจะลวกไม่ค่อยสุกมากครับและผมก็จะโดนพี่ศิแกดุพร้อมกับจับมือผมให้ลวกของที่อยู่ในตะแกรงเพิ่มครับ (ทำไงล่ะ ผมไม่ชอบของทะเลที่ลวกสุกมากนี่นา…กินแล้วมันอร่อยกว่าอ่ะ พอลวกสุกเนื้อของทะเลมันก็จะแข็ง ผมเลยไม่ชอบกินไง) ผมก็เลยแต่ทำหน้ามุ่ยไม่พอใจ แต่ก็จำใจยอมลวกของทะเลต่อเวลาผ่านไปอีกสองสามนาที พี่ศิแกก็ปล่อยมือผมและยอมให้ผมเอาของทะเลที่ลวกไว้ตักใส่ถ้วยส่วนตัวของผมครับ ผมหันไปเบ้ปากใส่ร่างสูงกว่าที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะตักของที่อยู่ในถ้วยส่วนตัวเข้าปากไป
ผมกับพี่ศิใช้เวลานั่งกินสุกี้กันนานเอาเรื่องเลยล่ะครับ เพราะออกจากร้านมามันก็เป็นเวลาเกือบจะทุ่มครึ่งแล้วครับ ผมยืดตัวและบิดไปมาพร้อมกับออกปากชวนพี่ศิกลับคอนโด “พี่ศิ กลับบ้านกันเถอะ กรอยากกลับบ้านแล้ว” ซึ่งร่างสูงก็พยักหน้าตอบตกลงและเดินนำไปที่ลานจอดรถครับ ส่วนของที่ผมซื้อมันก็ไปอยู่ในมือของพี่ศิทั้งหมดแ ต่ก็ยังมีถุงหนึ่งถุงที่ผมไม่ยอมให้พี่ศิแกถือครับ เพราะถุง ๆ นั้นคือถุงที่ผมแวะซื้อตอนที่พี่ศิแกไม่อยู่นั่นเอง ผมถือถุงใบนั้นไขว้หลังไว้แล้วเดินตามพี่ศิไปติด ๆ พอผมเดินถึงรถ พี่ศิก็ทำหน้าที่เดิมคือการเปิดประตูรถให้ผมขึ้นไปนั่ง (ส่วนของที่ซื้อมาพี่ศิแกยัดเข้ารถไปหมดแล้วครับ เหลือแต่ถุงที่ผมถือไว้อย่างหวงแหน)
ผมก้าวขึ้นรถไปพร้อมกับนั่งจุ้มปุ๊กอยู่หน้ารถ ส่วนพี่ศิก็เดินวนไปยังที่นั่งคนขับพร้อมกับเหยียบคันเร่งให้รถเคลื่อนตัวออกจากลานจอดรถ ผมกอดถุงใส่สมุดโน้ตแน่นตลอดทาง จนในที่สุดรถยนต์ของพี่ศิก็ขึ้นไปจอดยังลานจอดรถของคอนโด (ความจริงพี่ศิแกก็ส่งสัยนะครับ ว่าผมถืออะไร มันเป็นความลับมากหรือไง แต่ผมก็ไม่บอกพี่เขาอยู่ดี) เมื่อรถจอดสนิทผมก็ช่วยหิ้วของส่วนหนึ่งออกจากรถและรีบวิ่งไปที่ลิฟต์ครับ ผมกดลิฟต์เพื่อที่จะขึ้นลิฟต์ก่อนพี่ศิและผมก็ได้ขึ้นลิฟต์ก่อนสมใจหวังครับ และเมื่อลิฟต์เคลื่อนที่ขึ้นไปถึงชั้นที่ 14 ผมก็ใส่เกียร์หมาอีกครั้งพร้อมกับวิ่งปรี่เข้าห้องของตัวเองไป
อย่างแรกที่ผมจัดการนั่นก็คือ สมุดโน้ตสองเล่มที่อยู่ในแพ็คครับ ผมจัดการแกะแพ็กเกจที่ถูกจัดมาไว้อย่างสวยงามทันทีและเริ่มละเลงลายมือตัวเองลงไปบนหน้าแรกสุดของสมุดโน้ตเล่มสีดำ และเมื่อผมเขียนข้อความทั้งหมดของผมเสร็จ ผมก็เดินอย่างมีความสุขออกไปเคาะประตูห้องของพี่ศิในมือก็ถือสมุดโน้ตแบบเดียวกันแต่คนละสีไว้ ส่วนอีกข้างก็เป็นข้าวของที่ซื้อมา (เพราะต้องเอาไปแยกว่าอันไหนของผมอันไหนของพี่ศิ)
ผมรอเพียงชั่วครู่บานประตูห้อง 1404 ก็เปิดออกและผู้เป็นเจ้าของห้องเชื้อเชิญให้ผมเข้าไปภายในครับ พี่ศิมองใบหน้าที่ยิ้มกว้างของผมด้วยความงุนงง แต่ความสงสัยที่เกิดขึ้นภายในสมองของพี่ศิก็หายไป เมื่อสมุดโน้ตในมือของผมที่ยื่นไปให้พี่เขา “เล่มนี้ของกร…พี่ศิเขียนอะไรให้กรในหน้าแรกหน่อยสิ อ่อ...ยังมีอีก ๆ เล่มนี้ของพี่ศินะ กรเขียนอะไรลงไปให้ในหน้าแรกนิดหน่อย พอดีกรแอบซื้อมาตอนที่พี่ศิไม่ได้อยู่ด้วย กรพยายามปิดเป็นความลับตั้งสามชั่วโมง ในที่สุดก็ได้ให้สักที มันเป็นเซทคู่กันนะ เห็นเปล่า เหมือนกันเลยแล้วเส้นในลายหนังสือก็ต่อกันด้วย” ผมพูดพร้อมกับเอาสมุดโน้ตทั้งสองเล่มมาประกบกันให้พี่ศิดู และเมื่อพี่ศิก้มลงไปดูเพียงช่วงครู่ เขาก็เงยหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ร่างสูงนั้นรับสมุดโน้ตทั้งสองเล่มไว้พร้อมกับเดินไปยังโต๊ะในห้องนั่งเล่นพร้อมกับจรดปากกาลงไปในหน้าแรกของสมุดเล่มนั้น พี่ศิแกใช้เวลาเขียนให้ผมสักสิบนาทีครับ เมื่อพี่ศิเขียนเสร็จพี่เขาก็ลุกขึ้นพร้อมกับยื่นสมุดโน้ตเล่มสีฟ้าคืนมาให้ผมพร้อมกับกำชับว่าให้ผมกลับไปเปิดอ่านตอนที่อยู่ในห้องคนเดียว ผมก็พยักหน้าตกลงครับ
และหลังจากนั้นผมก็ลงไปนั่งแยกเสื้อผ้าของผมออกจากถุงที่พื้นครับ ผมคุ้ยถุงไปเรื่อย ๆ พร้อมกับแยกของของเราสองคนออกจากกัน แต่ผมก็แอบสังเกตนะครับว่าของที่ผมซื้อมักจะเหมือนกับของที่พี่ศิซื้อ ซึ่งความแตกต่างของสิ่งที่เราซื้อนั่นก็คือไซส์เสื้อครับ ผมจะใส่เบอร์ M ส่วนพี่ศิเขาจะใส่เบอร์ L ครับ ผมนั่งแยกไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดผมก็แยกของเสร็จ โดยมันเป็นไปตามที่คาดเดาครับ เพราะของของผมมีมากกว่าพี่ศิแกเกือบเท่าหนึ่ง (เพราะสิ่งที่พี่ศิแกซื้อจะเป็นพวกกางเกงขาสั้นที่ในห้องพี่แกไม่ค่อยจะมี แล้วก็เสื้อยืดคอกลมและชุดว่ายน้ำ) เมื่อผมแยกของเสร็จทั้งหมด เวลาก็มันล่วงเลยไปถึงสี่ทุ่มแล้วครับ ผมรีบกุลีกุจอเก็บของและออกจากห้องของพี่ศิไป แต่ผมก็ไม่ลืมที่จะหยิบสมุดโน้ตคู่ของผมกับพี่ศิไปด้วยนะครับ ผมหอบของพะรุงพะรังเต็มสองมือ (ซึ่งพี่ศิแกมองแล้วว่าสภาพผมนี่ไม่น่าจะรอดถึงห้อง) จนพี่ศิต้องออกมาช่วยผมขนของทั้งหมดกลับห้องไป และเมื่อบานประตูห้องของผมเปิดออก พี่ศิแกก็เดินเอาข้าวของทั้งหมดไปวางไว้ที่โซฟาในห้องพร้อมกับเดินออกจากห้องไป ผมโบกมือส่งพี่ศิไปพร้อมรอยยิ้มพร้อมกับบานประตูห้องที่ค่อย ๆ ปิดสนิทลง
ผมหันหลังไปพิงกับบานประตูที่ปิดสนิท สมุดสีฟ้าอ่อนที่อยู่ในมือถูกเปิดออกพร้อมกับไล่สายตาไปยังตัวอักษรที่เขียนเรียงกันอย่าง (ไม่ค่อยจะ) สวยงาม พลันใบหน้าของผมก็แดงก่ำ หัวใจของผมเต้นสั่นระรัว ตัวอักษรที่พี่ศิแกเขียนมาให้ผมนั้นทำเอาผมเขิน เขินเสียจนไม่รู้จะแสดงออกมาเป็นยังไง ถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความรู้สึก…แม้มันจะเป็นประโยคภาษาอังกฤษสั้นๆ (และผมก็ง่อยภาษาอังกฤษมาก ๆ) ก็ตาม
‘I don't regret the things I have done or the things I have chosen not to do because whatever I've done, I must have done something right because I ended up with you.’ ฉันไม่เคยเสียใจในสิ่งที่ได้เลือกหรือทำไปแล้ว นั่นเพียงเพราะว่าทุกๆ สิ่งที่ฉันได้ทำคงจะเป็นเรื่องถูกต้องแล้วในเมื่อวันนี้ฉันมีเธออยู่เคียงข้าง
‘พี่ศิ…พี่มันบ้าชะมัดเลย ใครใช้ให้เอาประโยคเดียวกันกับที่กรเขียนมาเขียนใส่ลงในสมุดเล่มเดียวกับกรเล่า’ ผมแทบจะละลายกองอยู่ตรงนั้น เมื่ออ่านประโยคพวกนี้จนหมด ผมไม่รู้ว่าเราทั้งสองคนใจตรงกัน หรือว่าพี่ศิแกแอบอ่านข้อความที่ผมเขียนให้ไปก่อนแล้วแต่เท่าที่ผมรู้ในตอนนี้นั่นก็คือ
ผู้ชายอย่างนายศิรวิทย์เป็นคนที่ชั่วร้ายที่สุดในโลกเลยล่ะครับ…!!!
v
v
v
v
v
v
v
v