- Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้งข่าว] [03/06]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

ถ้าเกิดนิยายเรื่องนี้จะรวมเล่ม ??

อยากให้รวม
79 (90.8%)
ไม่ต้องรวม
8 (9.2%)

จำนวนผู้โหวตทั้งหมด: 82

ผู้เขียน หัวข้อ: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้งข่าว] [03/06]  (อ่าน 241779 ครั้ง)

ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 669
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ Loste

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 430
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1

ออฟไลน์ j123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 699
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-1
อยากอ่านต่ออีกกกก รีบมาอัพไวๆๆๆ :call: :call: :call:

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
กรแบบ... เป็นไงล่ะ555

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
พี่ศิ ทำน้องกรช็อคไปแล้ว
ปลอบขวัญด่วน

ออฟไลน์ saiiisai

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เป็นผม ผมก็ละลายคร้าบ

june55

  • บุคคลทั่วไป
อ่านมารวดเดียวเลย สนุกดี

ออฟไลน์ mooping-7

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-5
นี่ถ้าพี่ศิไม่บอกน้องกรคงไม่มีทางรู้แน่ขนาดแสดงออกชัดดดดดดดเจนมากอะ555

ออฟไลน์ kongxinya

  • Skt KS
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
ละลายตามน้องกร  :-[
น้องกรรรรรรรรรรรร พี่ศิพูดชัดมาก เริ่มรู้อะไรๆ บ้างรึยังจ๊ะ  :z1:

 :L2: :กอด1: :pig4: :L2:

ออฟไลน์ RenaBee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
พี่ศินี่ชัดเจนมากค่ะ! กรคะป้าขอละลายไปพร้อมกับหนูนะคะไม่ไหวแล้วค่ะ เขินพี่ศิเหลือเกิน  :-[

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ aelfy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
 :-[ ฟินอีกแล้ว

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0



สวัสดีค่ะ รู้สึกพลอยจะวางทามไลน์ผิดไปนิด... ทางมหาวิทยาลัยของพลอยปีนี้จัดโอเพ่นเฮาส์ก่อนลอยกระทงแถมปีนี่ไม่ได้จัดงานวันลอยกระทงอีก โอ่ววงั้นเรามาฉลองกันในงานวันลอยกระทงของน้องกรกันเถอะค่า (ประเด็นคือมหาลัยของพลอยก่ะไม่ใช่มหาวิทยาลัยเดียวกันกับน้องกร// อันนี้จริงจัง)




Chapter 21



สวัสดีครับ วันนี้เป็นวันที่มีงานลอยกระทงวันสุดท้ายแล้วหละครับ ไม่ต้องสงสัยนะครับว่าทำไมผมไม่เล่าถึงเรื่องภายในวันที่สอง คือมันเหมือน ๆ กับวันแรกนั่นแหละครับ เพราะว่าผมก็ยังคงหนีเจ้น้ำหวานไปขายไอติมแทนการไปนั่งเป็นหนุ่มน้อยตกน้ำ (แข็ง) และพูดเกี้ยวสาว ๆ เพื่อให้รุ่นพี่และรุ่นเพื่อนมาซื้อไอติมกัน แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาก่อนวันแรกก็คือพี่ศิที่ดูเหมือนว่าจะว่างจัดมาคอยเดินตามรถสามล้อที่ไอฟอง (และไอวิว) ขี่ครับ ไอเดินตามนี่ผมก็ไม่ว่าหรอกครับแต่ว่าไอเสน่ห์ที่แสนล้นเหลือของพี่ศินี่สิทำให้สาว ๆ แทบจะมาเกาะล้อของรถสามล้อเพื่อตามพี่ศิเลยล่ะครับ


ไอจะว่าดีมันก็ดีอยู่หรอกครับเพราะพี่ศิทำให้ไอติมของเราขายดีมากกว่าเมื่อวันแรกมาก ๆ แต่ที่ไม่ดีคือมันทำให้ผมหงุดหงิดครับ เหตุผลที่หงุดหงิดผมตอบเลยว่าไม่รู้แต่มันไม่พอใจที่พี่ศินี่โปรยยิ้มให้ทุก ๆ คนที่มาซื้อครับ ผมนี่แทบอยากจะสั่งให้พี่ศิหุบยิ้มแต่ก็นะมันสิทธิของพี่เขาที่จะยิ้มผมเลยได้แต่นั่งข่มอารมณ์ไม่พอใจของตัวเองต่อไป


เรามาเล่าถึงเรื่องของวันนี้ดีกว่าครับหลังจากงานวันที่สองจบลงเจ้น้ำหวานที่กำลังหงุดหงิดได้ประกาศกร้าวว่าถ้าเกิดวันที่ 3 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของงานลอยกระทงที่มหาวิทยาลัยจัด ผมไม่ยอมไปนั่งเป็นหนุ่มน้อยตกน้ำ (แข็ง) ล่ะก็ ปีหนึ่งทั้งรุ่นจะโดนทำโทษ
ถึงกระนั้นทุกคนจะว่าผมเห็นแก่ตัวก็ได้นะครับเพราะว่าตอนนี้ผมกำลังหนีหัวซุกหัวซุนแบบไร้คนช่วยครับเพื่อน ๆ ทุกคนนี่ตามล่าผมหยั่งกับว่าผมเป็นนักโทษหนีคดี จะโทรไปหาพี่ศิให้พี่เขาช่วยผมก็ไม่สามารถทำได้ครับด้วยเหตุผลสองสามประการ นั่นคือข้อที่ 1.พี่ศิติดเรียนครับ ข้อที่ 2.ผมเรียกให้พี่ศิมาช่วยให้รอดพ้นจากน้ำมือของเจ้น้ำหวานไม่ได้เพราะวันนี้พี่ศิเขาเข้าเวรครับเวรคราวนี้เป็นเวรรอบเย็นถึงสี่ทุ่ม ซึ่งถ้าพี่ศิจะมาช่วยผมได้ก็คือหลังเลิกเวรซึ่งน่าจะราว ๆ 4 ทุ่มครึ่ง


แต่ตอนนี้มันเพิ่งบ่ายสามโมงเองครับดังนั้นงานนี้ผมต้องช่วยตัวเองไปก่อนครับอย่างน้อยก็หนีประวิงเวลาให้เข้าใกล้ 4 ทุ่มครึ่งให้ได้มากที่สุด เพราะว่ายิ่งใกล้เวลาที่พี่ศิเลิกเวรผมยิ่งมีโอกาสรอดมากขึ้นเรื่อย ๆ ครับ (อย่าบอกให้ผมกลับคอนโดนะครับนั่นเป็นที่แรกที่เพื่อน ๆ ผมไปดักรอผมเลยครับ)


ดังนั้นตรงไหนซ่อนได้ผมซ่อน ตรงไหนหนีได้ผมหนี แต่มันก็มีสิ่งที่ทำให้ผมหลบหนีอย่างยากลำบากเพิ่มมากขึ้นนั่นก็คือพวกเพื่อน ๆ ของผมมันใช้เส้นสายกันแบบโทรตามเพื่อนคณะต่าง ๆ ให้ช่วยกันหาผมครับ (เพราะพวกมันกลัวผมไปหลบที่คณะอื่นแล้วทุกคนจะตามกันไม่เจอ) และถ้าทุกท่านจะบอกให้ผมขับรถหนีออกจากมหาวิทยาลัยไปเลย ผมของบอกเลยว่าผมทำไม่ได้ครับเพราะไอเจมส์ผู้เป็นประธานชั้นปีมันยึดกุญแจรถของผมไว้ตั้งแต่งานวันลอยกระทงวันแรก ครับดังนั้นตอนนี้ผมมีเพียงขาแค่สองข้างที่เอาไว้ใช้หนีเพียงเท่านั้นแหละครับ


หัวใจผมมันเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ เพราะตอนนี้ผมหนีเข้ามาในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยครับและไม่รู้ว่าผมจะหลบที่นี่ไปได้อีกนานไหมด้วยสิ (ที่มาหลบที่นี่เพราะว่าที่นี่ใช้เสียงไม่ได้เพื่อน ๆ ที่คอยแยกกันตามหาผมก็ส่งเรียกเรียกเพื่อนไม่ได้ทำให้ผมมีโอกาสรอดมากยิ่งขึ้น) ตอนนี้ผมพยายามเดินเร็วไปทั่วหอสมุดเพื่อหลบสายตาของเพื่อนไปเรื่อย ๆ จุดที่ดีที่สุดในการหลดสายตาคนนั้นครับนั่นก็คือแอบตามชั้นหนังสือครับยิ่งพวกลอคทีสิสของพวกรุ่นพี่นี่เป็นที่ซ่อนชั้นดีเลยครับ (เหตุผลที่ผมต้องเดินไปรอบ ๆ หอสมุดนั่นก็คือผมไม่ต้องการเป็นเป้านิ่งครับ ถ้าเราอยู่เฉย ๆ ก็เหมือนกับว่าเราเป้านิ่ง ดังนั้นเราต้องเคลื่อนที่คอยหลบคอยหลีกสายตาคนตลอดเวลาครับ วิธีนี้อย่างน้อยก็ทำให้ผมหลบเพื่อน ๆ ได้ระยะหนึ่ง ถ้าผมไม่ซวยมากขนาดเดินหนี เดินหลบแล้วไปเจอเพื่อน ๆ ที่มาตามหาผมครับ ถ้าเกิดเจอเหตุการณ์แบบนั้นก็ตัวใครตัวมันครับ ต่อให้หอสมุดมีกฎห้ามทำเสียงดังหรือห้ามวิ่งภายในหอสมุด ผมคงไม่สนใจกฎพวกนั้นแล้วก็รีบโกยแนบออกจากหอสมุดแบบไม่คิดชีวิตครับ)


ตอนนี้ดูเหมือนเพื่อน ๆ ของผมจะตัดใจหาผมในหอสมุดแล้วครับ ผมแอบมองพวกมันจากชั้นบนเพื่อน ๆ ทุกคนเริ่มเดินมารวมกลุ่มและค่อย ๆ ทยอยกันเดินออกไปจากหอสมุด ความจริงแล้วหอสมุดพวกนี้ก็ไม่ได้กว้างมากจนหาลำบากแต่ตัวผมมันดันซ่อนเก่งเท่านั้นแหละครับ


ผมคิดว่าผมอาจจะซ่อนตัวอยู่ในนี้จนกว่ามันจะปิด ซึ่งเวลาปิดของหอสมุดนั่นก็คือเวลาสี่ทุ่มตรง แต่ด้วยมีงานเทศกาลวันลอยกระทงที่ทางมหาวิทยาลัยจัด หอสมุดเลยเลื่อนเวลาปิดเร็วขึ้นถึงสามชั่วโมง เวลาปิดหอสมุดก็เปลี่ยนไปเป็นปิด 1 ทุ่มตรงและผมคงซ่อนในนี้ได้ถึงเวลานั้นแหละครับ


ในที่สุดการหลบหนีภายในห้องสมุดของผมก็จบลงผมก็ได้นั่งพักสักทีหลังจากที่เล่นซ่อนแอบกับเพื่อน ๆ เป็นเวลาเกือบ ๆ สามสิบนาที ผมเดินไปยังชั้นที่เก็บหนังสือด้านวิศวกรรมศาสตร์พร้อมกับไล่หาหนังสือหรือบทความที่น่าสนใจออกมาอ่านเล่นฆ่าเวลา

ผมนั่งอ่านไปพลางมองนาฬิกาไปตอนนี้เป็นเวลาเกือบ ๆ จะหกโมงครึ่งแล้วครับ และมันก็ใกล้เวลาที่จะปิดหอสมุดแห่งนี้แล้ว ผมก็เลยต้องเตรียมตัวออกจากหอสมุดผมเดินเอาหนังสือหลายต่อหลายเล่มที่ผมหยิบเอาเอาไปเก็บเข้าชั้นหนังสือพร้อมกับเดินลงบันไดไปชั้นและและก้าวเท้าออกจากสถานที่นี้


แต่ทันทีที่ผมออกจากหอสมุดความซวยของผมก็เข้ามาเยือนทันทีสหายร่วมรุ่นคณะวิศวะของผมก็ดันบังเอิญเดินเข้ามาถามหาผมที่หอสมุดแห่งนี้นั่นจึงทำให้ต้องใช้สกิลเกียร์หมาวิ่งหนีพวกเพื่อน ๆ แบบไม่คิดชีวิต


“ไอกรหยุดนะเว้ย! นี่มรึงจะทำให้เพื่อนซวยยกชั้นปีเหรอวะ มรึงมานี่เลยเจ้น้ำหวานตามตัวมรึงอยู่” เสียงไอวิวตะโกนเรียกสงสัยว่าหน้าที่ขี่รถสามล้อน่าจะถูกยกให้เป็นหน้าที่ของคนอื่นแล้วครับ มันถึงมาวิ่งตามหาผมแบบนี้ได้


ซึ่งผมก็ไม่หยุดตามที่มันบอกหรอกครับซ้ำมันยิ่งทำให้ผมอัพสกิลเกียร์หมาของผมให้ไวขึ้นไปอีก “แม่ม ไอวิวเพื่อนกันรับผิดชอบร่วมกันสิวะ จะให้กรูไปเปียกคนเดียวได้ยังไง” คำนี้ทำเอาไอวิวมันลังเลแต่ไอเจมส์มันก็ตบหัวไอวิวเพื่อนเตือนสติแล้วตะโกนใส่ผมว่า


“มรึงไม่ต้องมาชักแม่น้ำทั้งห้าให้พวกกรูปล่อยมรึงไป เพราะมรึงเจือกโดดหน้าที่พวกกรูเลยต้องซวยดังนั้นมรึงต้องชดใช้ด้วยร่างกายไปเป็นหนุ่มน้อยตกน้ำที่ซุ้มคณะซะไอเชี่ยกร” ผมแทบอยากจะกัดลิ้นตายอยู่ตรงนี้ ผมไมได้โดดหน้าที่สักหน่อยงานสองวันผมก็ช่วยแต่ผมไม่ได้ไปทำหน้าที่ที่เจ้น้ำหวานจัดไว้ให้เท่านั้นเอง


“มรึงก็ไปนั่งแทนกรูดิ! กรูยกหน้าที่นั้นให้มรึงไอเจมส์” ผมตะโกนตอบมัน เท้าของผมก็ยังคงวิ่งหนีพวกมันต่อไปเรื่อย ๆ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าผมไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนถึงได้วิ่งได้นานขนาดนี้ ปกติแต่สิบนาทีก็จอดแล้วครับ นี่ผมพยายามวิ่งเข้าไปในกลุ่มคนมาก ๆ ดังนั้นที่ที่ผมวิ่งไปมันก็คือสถานที่จัดงานวันลอยกระทงนี่หละผมหวังว่าผู้คนที่มากมายมันจะช่วยให้ผมหนีรอดจากเพื่อน ๆ ที่ตอนนี้มันกำลังวิ่งตามผมอยู่ครับ แต่รู้สึกว่าผมนั้นคิดผิด คิดผิดแบบสุด ๆ เพราะผมลืมไปว่าซุ้มคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่รักของผมนั้นอยู่ช่วง ๆ ต้นงานดังนั้นการที่ผมวิ่งเข้าไปในงานเหมือนกับเป็นการบอกให้รุ่นเพื่อนและรุ่นพี่รู้ว่าผมนั้นได้เข้ามาในงานแล้ว


ตอนนี้ผมเปรียบเสมือนหมูในอวยแล้วครับ จะโดนจับตัวไปนั่งบนถังน้ำนรกนั่นเมื่อไหร่ก็ไม่รู้แถมขาตอนนี้ของผมเริ่มล้าแล้ว แถมเพื่อน ๆ ที่ซุ้มก็เริ่มวิ่งตามหาผมมากขึ้นกว่าเก่าจากกลุ่มเพื่อนของผม 8 คน ตอนนี้เพิ่มอีกยี่สิบสามสิบคน แล้วไอสภาพการณ์แบบนี้มันทำให้ผมรู้ตัวแล้วหละครับว่าผมหนีไม่รอดแน่ ๆ ในตอนนี้มันก็ขึ้นอยู่กับเวลาแล้วครับว่าผมจะหนีรอดต่อไปได้อีกกี่นาที


ผมวิ่งหนีมาหลังซุ้มคณะทันตะครับ เมื่อรอดสายตาของเพื่อน ๆ ผมก็ทรุดตัวนั่งลงไปกับพื้นพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่เลยครับ ‘ผมไม่อยากจะบอกว่าตอนนี้ผมเหนื่อยแบบสรัดผักเลยทีเดียว วิ่งหนีไม่ไปอีกต่อไปแล้วครับถ้าเพื่อนมันมานี่ผมยอมนอนให้มันจับผมไปนั่งบนถังน้ำนรกเลยครับ’ ผมยกนาฬิกาขึ้นมาดูตอนนี้เป็นเวลาเกือบ 2 ทุ่มแล้วครับตอนนี้ผมวิ่งหนีมาเป็นเวลาเกือบ ๆ ชั่วโมงครึ่งแล้วหรือเนี่ย มิน่าผมถึงเหนื่อยบัดซบขนาดนี้


ผมนั่งหลบอยู่หลังซุ้มคณะเภสัชไปอีกสักพักในที่สุดเพื่อน ๆ ของผมก็หาผมเจอครับ ร่างของผมนี่ถูกหิ้วปีกออกจากหลังซุ้มคณะเภสัชและตรงไปยังซุ้มคณะวิศวะที่รักของพวกเรา สายตาของคนในงานนี่จ้องผมแบบถ้าร่างของผมนี่ทะลุได้คงทะลุไปแล้ว


หลังจากการเดินทางจากซุ้มคณะเภสัชมาถึงคณะวิศวะผมก็ถูกเพื่อน ๆ ชั้นปีที่ 1 โยนไปหน้าเจ้น้ำหวานขาผมทรุดลงกับพื้นแทบจะทันทีโดยเบื้องหน้าของผมมีเจ้น้ำหวานที่ยืนกอดโปรยยิ้มชั่วร้ายใส่ผมอยู่


“สวัสดีจะน้องกรสุดที่รักของเจ้โดดงานไปสองวัน งานนี้ต้องทำงานชดใช้เจ้หน่อยซะแล้วหละ” สิ้นเสียงเจ้น้ำหวานก็ยกมือขึ้นมาดีดนิ้วเสียงดังพร้อม ๆ กับร่างของผมที่ถูกรุ่นพี่ลากเข้าไปในซุ้มคณะ


จะทำอะไรผมก็ทำเลยครับเชิญ! เพราะแม้แรงที่จะดิ้นหนีผมนี่ไม่มีแล้วครับเหนื่อยสายตัวแทบขาด ผมไม่เคยวิ่งเป็นระยะเวลานาน ๆ นี้มานานมากแล้วครับ นี่อาจจะเป็นครั้งแรกเลยก็ได้นะครับที่ผมวิ่งมาราธอนขนาดนี้


ตอนนี้ผมโดนเฮียก๊อตผู้เป็นเบ้กิตติมศักดิ์ของเจ้น้ำหวานโยนเสื้อสีขาวที่สกรีนคำว่าน้องกรมาให้ผมใส่ครับ ผมก็ถอดเสื้อนิสิตที่เปียกโชกไปด้วยเหงื่อให้เฮียก๊อต พร้อมกับสวมเสื้อสีขาวที่มีชื่อสุดสยิวของผมสกรีนอยู่ ต่อมาเฮียบุญเกิดซึ่งเขาก็เป็นเบ้กิตติมศักดิ์ของเจ้น้ำหวานก็โยนกางเกงขาสั้นมาให้ผมผมมองกางเกงตัวนั้นก่อนจะหามุมมืดเพื่อไปเปลี่ยนกางเกงแสลคเป็นกางเกงที่พวกรุ่นพี่เตรียมไว้ให้


ผมเดินตัวปลิวไปที่ฉากหลังที่รุ่นพี่กั้นไว้ให้เปลี่ยนเสื้อผ้าผมถอดกางเกงสแลคออกพร้อมกับสวมกางเกงเจ้ากรรมที่เฮียบุญเกิดแกส่งมาหลังจากที่ผมสวมมันผมกรีดร้องออกมาเสียงดังจนรุ่นพี่หลาย ๆ คนกรูกันเข้ามาดูผมว่าผมนั้นเป็นอะไรไปหรือเปล่า ผมหันไปมองพวกรุ่นพี่ทั้งน้ำตาพร้อมกับชี้กางเกงที่สั้นจนปิดต้นขาของผมไม่มิดทั้งน้ำตา


‘กางเกงเชี่ยอะไรครับ สั้นชิบเป๋งเลย ความยาวของมันนี่ปิดขาอ่อนของผมไม่มิดเลยครับ ความยาวของมันนี่ผมขอเปรียบเทียบกับกางเกงของนักกรีฑานะครับที่มันสั้นสุด ๆ นะ ไอกางเกงตัวนี้มันยาวกว่ากางเกงนั่นนิดหน่อยแต่มันก็ยังถือว่าสั้นอยู่ดีครับและที่แตกต่างอีกอย่างก็คือกางเกงนั่นจะเป็นกางเกงทรงปล่อยแล้วใช้ผ้ามัน ๆ ในการตัดเย็บแต่กางเกงตัวนี้ออกจะเข้ารูปสักนิดแล้วปลายกางเกงเป็นแบบพับขึ้นติดกระดุม ทรงมันก็น่ารักดีหรอกครับแต่มันโคตรไม่เหมาะกับผู้ชายแมน ๆ อย่างผมเลย แต่ที่หนักหนากว่าไอความสั้นนั่นมันก็คือตัวกางเกงเป็นสีขาวครับ ดีนะที่วันนี้ผมเลือกใส่กางเกงในสีขาวมาไม่งั้นเปียกน้ำไปนี่ กางเกงในผมต้องส่องแสงทะลุเนื้อผ้ามาปรากฏให้คนอื่น ๆ ได้เห็นเป็นแน่’


หลังจากที่ผมโวยวายใส่รุ่นพี่และประกาศกร้าวว่าไม่ยอมออกไปนั่งที่ถังน้ำนรกในสภาพนี้แน่ ๆ ในที่สุดรุ่นพี่ที่คุมงานอยู่ด้านหลังก็ทนไม่ไหวและเดินออกไปวิ่งตามให้เจ้น้ำหวานเข้ามาเคลียร์กับผม


ชายหนุ่มในมาดหญิงสาวค่อย ๆ ย่างก้าวเข้ามารอยยิ้มหวานที่ใช้เรียกแขกตอนนี้เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มชั่วร้ายครับเธอเดินเข้ามาใกล้ ๆ ผมพร้อมกับใช้แรงของผู้ชาย (ที่เจ้แกปกปิดเอาไว้) หิ้วคอผมและถีบให้ผมออกไปยืนหน้าฉากครับ คราวนี้แหละเสียงกรี๊ดของสาว ๆ ที่ยืนอยู่หน้าซุ้มนี่ดังสนั่นเลยครับ ไอผมแทบอยากจะกัดลิ้นตายมันตรงนั้นแต่เจ้น้ำหวานไม่ยอมให้ผมตายครับหลังจากที่เจ้แกถีบให้ผมออกไปหน้าฉากแล้วคราวนี้เจ้แกก็ลากคอผมให้ไปนั่งที่ถังน้ำอันกลางสุดเลยครับ เอาเป็นว่าตอนนี้สภาพผมเด่นแบบสุด ๆ ไฟแต่ละดวงนี่ต่างหันกันมาจ่อที่ผมเลยครับ


และหลังจากที่ผมปีนขึ้นไปนั่งบนถังน้ำแล้วเจ้น้ำหวานก็กรีดกรายถือไมค์โครโฟนพร้อมกับพูดกรอกเสียงลงไปพร้อมกับมอบโปรโมชั่นอันแสนพิเศษให้กับลูกค้าครับ


“สวัสดีค่า เจอกันอีกรอบแล้วนะคะ หลังจากที่เราให้หนุ่มน้อยของเราแต่ละคนไปพักผ่อนคลายความหนาวกัน คราวนี้รอบใหม่เราขอส่งหนุ่มน้อยที่ทุก ๆ คนรู้จักกันดีนะคะ เขาคนนั้นก็คือ ‘น้องกร’ ค่า!! และในรอบสุดท้ายเรามีโปรโมชั่นสุดแสนพิเศษมามอบให้ทุก ๆ คนนะคะ” เจ้น้ำหวานถือไมค์โครโฟนพร้อมกับเดินไปทั่วบริเวณหน้าซุ้มร้อยยิ้มชั่วร้านที่แกยิ้มให้ผมตอนนี้เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่ใช้สำหรับต้อนรับแขกแล้วครับ


“โปรโมชั่นของรอบนี้นั่นก็คือ ใครปาให้หนุ่มน้อยของเราตกน้ำรวดเดียวห้าครั้งด้วยลูกบอล 5 ลูก จะได้รับการหอมแก้มจากหนุ่มน้อยตกน้ำของเราแต่โปรโมชั่นนี้มาแรงกว่า! เด็ดกว่า! และยั่วยวนใจมากกว่ารอบที่แล้วค่ะ! เพราะคราวนี้ถ้าใครปาลูกบอลให้หนุ่มน้อยตกน้ำของเราตกน้ำ 5 ครั้งจาก 5 ลูก รับไปเลยค่ะหนุ่มน้อยตกน้ำของเรา! คุณสามารถพาหนุ่มน้อยตกน้ำของเราไปที่ไหนก็ได้ในงานลอยกระทงเป็นเวลา 30 นาที จะพาไปเดินเทียวให้อาหารปลาหรือจะพาหนุ่มน้อยของเราไปลอยกระทงเป็นคู่รักก็ได้นะคะ ใครดีใครได้ ห้าลูกแค่สามสิบบาทเท่านั้นเองค่ะ!” สิ้นเสียงของเจ้น้ำหวานคราวนี้ไม่ใช่ผมแค่คนเดียวที่อยากจะร้องกรี๊ด เพราะว่าเหล่าหนุ่มน้อยตกน้ำที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ผมก็หวีดร้องกันเสียงหลงแถมบางคนแทบจะกระโดดลงจากถังน้ำไปเขย่าคอเจ้น้ำหวานผู้มีอำนาจใหญ่สุดในซุ้มตอนนี้ แต่ทุกคนก็ไม่สามารถทำได้ครับเพราะว่าตอนนี้รอบ ๆ ตัวเจ้น้ำหวานนี่มีบอดี้การ์ดยืนล้อมเลยครับ (สงสัยเจ้น้ำหวานคงเตรียมการไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะเล่นมุกนี้ เจ้แกเลยเตรียมการแบบไม่บอกใคร ถ้าจะบอกก็บอกแค่คนสนิทเท่านั้นแหละครับ)


 แต่พวกเราทุกคนที่นั่งอยู่บนถังน้ำก็ได้แต่ปิดปากเงียบสนิท (เพราะสายตามหาโหดของเจ้น้ำหวานที่รักของพวกเรา) และยอมให้เจ้น้ำหวานพูดโปรโมชั่นที่โคตรจะเปลืองตัวพวกผมออกไป งั้นผมขอสรุปนะครับว่าโปรโมชั่นของเจ้น้ำหวานน่ะมีอะไรบ้าง ปาตก 1 ลูก ได้ไอติมปั่น 2 แท่งครับ (ไอติมปั่นมันก็ไอที่ผมไปแว้นซ์สามล้อขายกันนั่นแหละครับ ไอติมปั่นนั่นเลย) ถ้าปาตก 2 ลูกได้นมหนึ่งกล่องครับ ปาตก 3 ลูกได้นมสองกล่องครับ ไอโปรโมทชั่นสามโปรโมชั่นแรกนี่พวกผมกำไรกันแหลกลาน เงินเข้าคณะอย่างพรึบ แต่ไอโปรโมชั่นทั้งแต่ลูกที่ 4 เป็นต้นไปนี่แหละครับ มันเริ่มทำให้พวกผม ขอย้ำว่า ‘พวกผม’ นั้นขาดทุน เพราะถ้าเกิดมีใครปาผมพวกตกน้ำได้ 4 ลูก พวกเขาจะได้รับการหอมแก้มจากผมคนละทีครับ และถ้าเกิดมีใครโชคดีและเฮงสุด ๆ คือการปาให้พวกผมตกน้ำได้ 5 ครั้งติด พวกคุณจะได้พวกผมไปควงในงานลอยกระทงเป็นเวลา 30 นาทีและไอสามสิบนาทีนี้พวกผมไม่สามารถปฏิเสธ สิ่งที่อีกฝ่ายขอได้เลย


เรียกได้ว่ามันเป็นอะไรที่นรกแตกมากเลยครับ เจ้น้ำหวานแกไม่คิดถึงหัวอกลูกผู้ชายอย่างพวกผมเลย ถ้าสาว ๆ ปาตกผมไม่ว่า แต่ถ้าเป็นผู้ชายปาพวกผมตกหละก็งานนี้มีฟ้าผ่าไปกันข้างหนึ่งครับ


“หลังจากให้ทุกคนรอคอยมานานนะคะ เอาล่ะค่ะ ตอนนี้ซุ้มของคณะวิศวะของเราได้เปิดขึ้นอีกครั้งแล้วค่า” เจ้น้ำหวานพูดพร้อมกับเดินหลบฉากไปและเหล่าผู้คนก็เทกันเข้ามาต่อคิวเพื่อปาบอลครับ บางคนมาปาด้วยความสะใจ บางคนนี่ปามาหวังให้พวกผมไปหอมแก้ม หวังให้พวกผมไปเล่นเล่นด้วยเป็นเวลาสามสิบนาที




v
v
v
v
v
v
v
v

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0



ผมนั่งหลับตาปี๋และนั่งยอมรับชะตากรรมเป็นหนุ่มน้อยตกน้ำครับผมรอไปสักพักลูกบอลลูกแรกก็ถูกปามาครับแต่มันเฉียดเป้าไปไกลเลยครับทำให้ผมโล่งใจไปเปราะหนึ่ง (เอาเป็นว่าผมไม่ต้องไปเดินเที่ยวกับใครต่อใครเป็นเวลา 30 นาทีแล้วครับแต่ไม่รู้ว่าผมจะรอดแบบนี้ไปอีกนานไหมนี่สิ) ไอผมนี่โล่งใจแต่สาวน้อยร่างเล็กที่ปาลูกบอลมาดูเหมือนจะเสียใจมากครับที่ลูกแรกที่เธอปาไปไม่โดนเป้า เพื่อน ๆ ที่ยืนอยู่รอบ ๆ ข้างเธอช่วยกันปลอบกันยกใหญ่และคราวนี้ลูกบอลลูกที่สองที่สาวน้อยคนนั้นปามาเข้าเป้าเป๊ะและลูกบอลลูกนั้นทำให้ผมร่วงลงไปในถังน้ำขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งครับ


ความรู้สึกแรกที่ตัวของผมจุ่มลงไปในน้ำผมนี่แทบอยากจะกระโดดออกจากถังแล้วเข้าไปซุกในผ้าห่มอุ่น ๆ บนเตียงเลยครับ บอกได้คำเดียวว่าหนาวเชี่ย ๆ เลยครับ และหลังจากผมจมลงไปในถังไม่นานพี่สต๊าฟที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ปรี่เข้ามาช่วยผมให้ขึ้นไปนั่ง (สั่น) บนถังน้ำอีกครั้ง ผมกอดตัวเองพร้อมกับกัดฟันดังกึก ๆ แต่ดูเหมือนพี่สต๊าฟจะไม่ยอมให้ผมเอามือกอดอกซ้ำยังบังคับให้ผมยิ้มรับแขกอีก ‘ให้ตายเถอะคนมันหนาวนะพี่จะไม่ให้กอดตัวเองได้ยังไง แล้วไอการกัดฟันนี่มันก็ห้ามกันไม่ได้นะครับ!’ แต่ถึงผมจะบ่นไปแบบนั้นผมก็ได้แต่บ่นภายในใจและนั่งยิ้มให้ลูกค้าต่อไป คราวนี้สาวน้อยคนเมื่อกี้ปาให้ผมตกน้ำไปเมื่อสักครู่เธอดูมีกำลังใจในการปาเพิ่มมากขึ้นครับเพราะลูกที่สามที่เธอปามานี่โดนเป้าอีกเหมือนเดิมครับหนำซ้ำความรุนแรงที่ปามาเนี่ยรุนแรงมากกว่าลูกก่อนหน้าอีกครับ และลูกบอลลูกนี้ทำให้ผมร่วงลงไปในถังนรกนี่อีกครั้งและโดนหิ้วปีกให้ขึ้นไปนั่งบนถังอีกครั้ง ถ้าเล่าไปมันก็จะลงอีหรอบเดิมคือสาวน้อยคนนั้นปาลูกบอลมา และผมร่วงลงน้ำไปหลายรอบแต่โชคดีครับสาวน้อยคนนี้ปาผมตกน้ำไปแค่ 3 ที (เพราะเธอพลาดในลูกสุดท้าย) ในท้ายที่สุดเธอก็เดินคอตกออกจากแถวและก็เดินไปรับของรางวัลที่ปาผมตกไปสามรอบ หลังจากผมรับหน้าที่เป็นหนุ่มน้อยตกน้ำให้แก่แขกคนแรกคนที่สองและสามก็ต่อแถวกันมาและก็ยังไม่มีใครปาผมให้ตกน้ำได้เกิน 3 รอบเลยครับ


ทว่าความซวยสุดขีดของผมก็เข้ามานั่นก็เป็นเพราะเพื่อน ๆ ที่รักของผมนี่เดินเรียงแถวกันมา พร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่สุดแสนจะชั่วร้าย ‘นี่พวกมันกะเอาผมให้ตายคาถังเลยใช่ไหมครับ ความจริงที่น่ากลัวน่ะไม่ใช่สหายทั้งหมดที่ยืนเรียงแถวกันมาเพราะไอที่น่ากลัวจริง ๆ นั่นก็คือไอบาสกับไอเจมส์ที่ยืนอยู่ด้านหลังของผมครับ ผมเชื่อว่าถ้าเพื่อนของผมปาไม่โดนเป้าไอสองคนนี้หละจะเป็นคนดันเป้าให้ผมตกลงไปในน้ำครับ น้องกรขอเอาหัวเป็นประกันเลยว่าพวกแม่มต้องทำแบบนั้นแน่นอนชัวร์ป้าบ
รายแรกเป็นไอวิวครับมันเดินย่างสามขุมเข้ามาพร้อมกับถือลูกบอลในมือ รอยยิ้มที่มันยิ้มให้ผมนั้นโคตรแสดงให้เห็นเลยว่า ‘ไอกรมรึงตายไม่ดีแน่’ ครับ ผมกลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่เพราะกับเตรียมใจที่จะตกน้ำ แต่ก่อนที่บอลในมือของไอวิวจะได้ปามา ไอเจมส์และไอบาสมันก็เล่นผมก่อนแล้วครับ ไอเจมส์ส่งซิกให้ไอบาสตบป้ายซึ่งเป็นตัวควบคุมแผ่นไม้ที่ผมนั่งอยู่ในเอนลง งานนี้ผมตกน้ำแบบไม่ใช้แสตนอินแทนเลยครับไม่ได้เตรียมใจเอาไว้ก่อน ผมโผล่หน้าขึ้นมาพ้นน้ำพร้อมกับไอออกมาเสียงยกให้ และแทนที่เพื่อน ๆ หรือรุ่นพี่ทุก ๆ คนมาสอบถามว่าผมเป็นยังไงมั่งพวกเขากลับไม่ทำครับ ซ้ำยังหัวเราะออกมากันทั้งซุ้มแถม เอ่ยรุ่นพี่คนอื่น ๆ นี่เอ่ยชมไอเจมส์กับไอบาสว่าทำได้ดีมากเสียอีก


งานนี้รุ่นพี่กะเล่นให้ผมเข็ดเลยมั้งครับเพราะผมทำตัวกวนประสาทใส่พวกพี่เขาบ่อย (ไม่บ่อยธรรมดา บ่อยมากครับ) ดังนั้นนี่คือเป็นการแก้เผ็ดผมและเอาคืนไปในตัวเลยครับ เพราะพวกรุ่นพี่คิดว่าผมจะไม่กล้าหือกับพวกพี่ ๆ เขาอีก แต่คนอย่างรณกรการแก้เผ็ดแค่นี้จะใช้กับผมได้เหรอครับ ผมขอตอบอย่างเต็มปากเต็มคำเลยว่า มันใช้กับผมได้ครับตอนนี้ผมแทบอยากจะไปกราบเท้าขอโทษเจ้น้ำหวานเพื่อให้เจ้แกอนุญาตให้ผมออกไปจากถังน้ำนรกนี่สักที


แต่รู้สึกว่าเจ้น้ำหวานแกจะสะใจเป็นอย่างมากที่ผมตกน้ำหลายต่อหลายรอบด้วยน้ำมือเพื่อน ๆ ที่ปาบอลมาโดนป้ายบ้างหรือด้วยน้ำมือของไอเจมส์และไอบาสที่คอยดึงป้ายให้ผมตกลงในถังน้ำแบบไม่ได้ตั้งตัวบ้าง


ไอน้ำตาผมนี่แทบไหล หนาวก็หนาวหิวข้าวก็หิว ซ้ำมือกับเท้าของผมนี่ทั้งซีดและเหี่ยวไปหมดแล้วครับ สภาพผมนี่คงซีดแบบสุด ๆ แล้วครับ หนาวก็หนาวแถมยังโดนแกล้งอีก ‘แต่ตอนนี้มันกี่โมงแล้วเนี่ย’ ผมทำท่าจะหันไปถามไอเจมส์ที่จ้องจะแกล้งผมอีกครั้ง ซึ่งผมก็ชิงถามมันได้ก่อนที่มันจะแกล้งผมครับ


“เจมส์อย่าเพิ่งแกล้งกรู ตอนนี้กี่โมงแล้ววะ” ผมเอ่ยถามมันด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ซึ่งไอเจมส์กับไอบาสมันก็ใจดีตอบผมนะครับ ไอเจมส์ยกนาฬิกาขึ้นมาดูพร้อมกับพูดออกมาว่า “ตอนนี้สี่ทุ่มสิบห้าแล้วว่ะ มีไรเหรอ” ผมพยักหน้าตอบมันช้า ๆ พร้อมกับนั่งหันหน้าไปยังหน้าซุ้ม


ตอนนี้ผมเริ่มจะชินกับความหนาวแล้วครับ ไม่รู้ว่าผมด้านชาหรือผมไข้จะเริ่มขึ้นผมนั่งยกมือขึ้นมาเป่าให้มือทั้งสองข้าง พร้อมกับถูมือไปมาเพราะหวังว่ามันจะทำให้ผมอุ่นขึ้น แต่รู้สึกว่าแม่มไม่ได้ช่วยอะไรผมเลยครับ ผมยังถูกเพื่อน ๆ แกล้งและยังคงถูกลูกบอลปาใส่ป้ายจนตกน้ำไปหลายต่อหลายรอบในที่สุดผมก็รู้สึกว่าตัวเองทนไม่ไหวแล้วครับ รุ่นพงรุ่นพี่ผมไม่สนใจแล้วครับ ผมทำท่าจะปีนออกจากถังแต่ก่อนที่ผมจะได้ปีนออกจากถังสมใจบุคคลที่ผมรอมานาน (รอจะให้เขามาช่วยผมออกจากไอถังบ้า ๆ) นี่ก็มาถึงครับ


คุณพี่ศิรวิทย์นั่นเอง พี่ศิเดินเข้ามาที่ซุ้มพร้อมกับมองหาผมไปทั่วแต่พี่ศิก็หาไม่เจอครับ (นี่พี่ไม่คิดว่าจะมองมาที่ถังของหนุ่มน้อยตกน้ำเลยนะครับ) ในที่สุดความอดทนของพี่ศิก็หมดลง ร่างสูงของพี่เขาสาวเท้าเดินตรงไปหาเจ้น้ำหวานพร้อมกับเอ่ยถามหาตัวผม ไอคำถามนี้ทำเจ้น้ำหวานถึงกับหน้าซีด รู้สึกว่าเจ้น้ำหวานแกจะลืมไปว่าพี่ศิจะมารับผมในช่วงราว ๆ สี่ทุ่มเกือบ ๆ ห้าทุ่มครับ
สงสัยซุ้มคณะวิศวกรรมศาสตร์จะงานเข้าซะแล้วหละครับ ผมขอให้ทุกคนเตรียมข้ออ้างดี ๆ ด้วยแล้วกันนะครับ


“ไอวิน กรอยู่ไหน” พี่ศิเดินล้วงกระเป๋าพร้อมกับเดินเข้าไปใกล้ ๆ เจ้น้ำหวานใบหน้าคมขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยเหตุผลว่าเขาหาคนที่ตัวเองต้องการจะเจอกลับไม่เจอ


“ต้ายตาย..ศิขาไปนั่งหลังซุ้มก่อนนะคะเ ดี๋ยวน้ำหวาน..เอ้ย วินจะพาน้องกรไปส่งให้ถึงที่เลยค่ะ” เจ้น้ำหวานพยายามพูดบ่ายเบี่ยงพร้อมกับพยายามลากแขนพี่ศิให้เข้าไปหลังซุ้ม ท่าทางเจ้น้ำหวานแกไม่อยากให้พี่ศิรู้ว่าผมนั่งหนาวเป็นหนุ่มน้อยตกน้ำล่ะมั้งครับ เจ้แกเลยหาทางปิดบังไม่ให้พี่ศิรู้แต่การกระทำนั้นของเจ้น้ำหวานทำให้พี่ศิยิ่งสงสัยพี่เขากวาดสายตาไปรอบ ๆ ซุ้ม แต่รู้สึกว่าพี่เขาจะยังไม่ได้จ้องมายังถังน้ำที่ผมนั่งอยู่ มั้งครับพี่ศิเขาเลยยังไม่เจอผม


ผมนั่งแกว่งเท้าไปมารอสักพักแต่ผมก็ไม่คิดที่เอ่ยปากเรียกพี่ศิหรอกครับ พอดีผมยังสงสารพวกรุ่นพี่ ๆ กันอยู่ ถ้าเกิดผมร้องเรียกแล้วพี่ศิรู้ว่าผมถูกจับขึ้นมานั่งบนถังน้ำนี่ คนในซุ้มคณะวิศวะน่าจะนอนตายกันเป็นเบือครับ


แต่การที่พี่ศิมาซุ้มของเราก็ยังไม่หยุดกิจการนะครับผมยังคงนั่งเป็นหนุ่มน้อยตกน้ำอยู่ (แต่เพื่อนที่ต่อแถวเพื่อคอยแกล้งผมและไอเจมส์กับไอบาสที่ยืนขนาบข้างถังน้ำตอนนี้สลายร่างหนีหายกันไปหมดแล้วครับ) และผมก็ยังคงโดนจับให้นั่งอยู่บนถังน้ำนรกนั่น (และลูกบอลยังปามาที่ผมอยู่เหมือนกันครับ ดูเหมือนรุ่นพี่หลาย ๆ คนไม่รู้ว่าที่เจ้น้ำหวานแกประวิงเวลาให้มันยืดไปเพราะต้องการให้พี่สต๊าฟพาผมลงไปเปลี่ยนเสื้อผ้า) ในที่สุดลูกบอลลูกหนึ่งก็ปามาโดนเป้าทำให้ผมร่วงลงไปในน้ำซึ่งในตอนนี้ผมยังไม่ได้เตรียมใจที่จะตกลงไปในน้ำ ผมก็เลยเผลอส่งเสียงร้องออกมาเสียงดังและเสียงร้องของผมก็ทำให้พี่ศิและเจ้น้ำหวานหันมามองทางผม…ดูเหมือนว่าพี่ศิเขาจะเจอผมแล้วครับ


“เฮ้ยย!” ร่างของผมค่อย ๆ ร่วงลงไปในถังน้ำพร้อมกับสำลักน้ำออกมาอึกใหญ่ มือข้างหนึ่งของผมพยายามควานหาขอบถัง แต่สิ่งที่มือของผมไปสัมผัสได้กลับเป็นมือข้างหนึ่งของใครสักคนและผู้เป็นเจ้าของมือข้างนั้นก็เอื้อมมืออีกข้างมาจับตัวผมพร้อมกับช่วยพยุงให้ผมยืนขึ้น


“กรเป็นอะไรมากไหมครับ” เสียงทุ้มเอ่ยถามพร้อมกับหยิบผ้าเช็ดหน้าของตนออกมาช่วยเช็ดหน้าเช็ดตาของ ซึ่งคำถามนั้นผมก็ส่ายหัวปฏิเสธพร้อมกับส่งรอยยิ้มจาง ๆ กลับไปให้พี่ศิ “โหย สบายมากพี่สนุกดีออก มานั่งเป็นหนุ่มน้อยตกน้ำเนี่ย” ผมพูดโกหกใส่พี่ศิครับเพราะถ้าผมพูดความจริงออกไปมีหวังซุ้มคณะวิศวะคงมีศพของเจ้น้ำหวานนอนกองอยู่หน้าซุ้มคณะแน่นอนครับ


พี่ศิตวัดสายตาหันไปมองเจ้น้ำหวาน มือทั้งสองข้างก็พลางช่วยพยุงผมออกจากถัง ผมก็ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ให้กับพี่ศิพร้อมกับช่วยพูดแก้ตัวให้กับเจ้น้ำหวานและรุ่นพี่ทุก ๆ คน “โหยพี่ศิไปมองหน้าเจ้น้ำหวานแบบนั้นเจ้แกก็กลัวดิ ไม่ต้องหันไปมองเจ้เขาเลยแล้วไม่ต้องคิดด้วยว่าเจ้แกสั่งให้คนตามล่าตัวกรมานั่งที่ถังนี่ด้วย กรขอเจ้น้ำหวานนั่งเองเห็นว่ามันน่าสนุกดีเลยขอลองนั่งอ่ะ” สิ้นเสียงผมพี่ศิหันกลับมามองมพร้อมกับเปลี่ยนจากช่วยพยุงเป็นอุ้มผมออกมาจากถังเลยครับ แถมไม่ได้อุ้มธรรมดาด้วยนะครับพอตัวผมลอยขึ้นเนื้อน้ำแกก็เปลี่ยนเป็นท่าอุ้มเจ้าสาวเลยครับ


ไอผมนี่อายจนแทบจะมุดกลับลงไปในถังน้ำนรกนั่นอีกรอบเลยครับแต่ไม่ทันแล้วครับเพราะตอนนี้พี่ศิแกอุ้มผมเข้าไปหลังฉากพร้อมกับเรียกให้รุ่นพี่ที่คุมด้านหลังฉากเอาผ้าเช็ดตัวมาให้ผมห่อตัวครับ


“เดี๋ยวพี่ไปหาเสื้อเปลี่ยนให้นะครับกร” พี่ศิพูดพร้อมกับยกมือมาลูบศรีษะที่เปียกน้ำของผมก่อนจะลุกเดินออกไปจากซุ้มคณะของผม แต่ก่อนที่พี่ศิจะได้เดินออกไปเจ้น้ำหวานก็ทำหน้าหงอย ๆ เดินถือเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนมาให้ผมครับ


“นี่จะน้องกร…” เจ้น้ำหวานพูดเสียงหวานก่อนประโยคสุดท้ายเจ้แกจะพูดเสียงออกมาแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบว่า “ขอบใจนะกรที่พูดไปแบบนั้น ไม่งั้นไอศิเอาพี่ตายแน่ ๆ” เธอส่งยิ้มมาให้พร้อมกับเดินไปเรียกพี่ศิให้กลับมาดูแลผมที่ตอนนี้ซีดไม่รู้จะซีดยังไงแล้ว


“ไอวินเอาเสื้อมาให้เปลี่ยนแล้วรีบเปลี่ยนนะครับกร เดี๋ยวไม่สบายกันพอดี แถมตอนนี้หน้าซีดใหญ่แล้ว” ผมพยักหน้าตอบรับพี่ศิพร้อมกับเดินเข้าไปฉากกั้นที่เขากั้นไว้ให้เปลี่ยนเสื้อผ้า ผมจัดการถอดชุดที่เปียกโชกออกพร้อมกับสวมเสื้อชุดใหม่เข้าไป สภาพของผมตอนนี้ไม่ค่อยต่างจากตอนที่ผมนั่งบนถังน้ำนรกนั่นสักเท่าไหร่ สิ่งที่แตกต่างจากเดิมก็เปลี่ยนเป็นเสื้อยืดสีขาวไม่มีสกรีนลายชื่อของผมเท่านั้นครับ ส่วนกางเกงก็เป็นกางเกงขาสั้นแบบเดิมกับที่ผมสวมเมื่อสักครู่


ผมเดินออกจากฉากหลังพร้อมกับเอาผ้าขนหนูเช็ดผมส่วนมืออีกข้างก็ถือชุดที่ผมใส่เมื่อสักครู่ออกมาพี่ศิยืนกอดอกมองผมที่เดินออกมาจากฉากกั้น ในมือของพี่เขาก็ถือถุงใช่ใส่เสื้อนิสิตของผมไว้ แต่ผมกลับเลือกเดินตรงไปหาเจ้น้ำหวานพร้อมกับยื่นเสื้อผ้าที่เปียกโชกคืนให้เธอ แต่เธอก็ส่ายหัวปฏิเสธพร้อมกับพูดออกมาว่า “ชุดนี้เจ้ให้เลยจะ ยังมีอีกชุดนึงด้วยพวกพี่ทำไว้ให้สวมสามวันน่ะเอากลับไปด้วยสิจะ” เจ้น้ำหวานยื่นเสื้อผ้าอีกชุดนึงให้ผมในตอนนี้ในมือของผมมีเสื้อผ้าเหมือนกันสองตัว (แต่ถ้ารวมตัวที่ผมใส่อยู่ก็เป็นสามตัวครับ) หลังจากที่ผมคุยกับเจ้น้ำหวานเสร็จผมก็เดินถือเสื้อผ้าทั้งหมดไปหาพี่ศิพร้อมกับขอถุงพลาสติกที่พี่ศิถือไว้เอามาใส่เสื้อผ้าในมือ


“พี่ศิเอาถุงมาให้กรหน่อยสิ กรจะเอาใส่เสื้อพวกนี้อ่ะ” ผมยกเสื้อในมือให้พี่ศิดู ซึ่งพี่ศิก็ยื่นถุงมาให้ผมใส่เสื้อผ้าลงไป หลังจากผมจัดการเรื่องเสื้อผ้าเสร็จผมก็เอื้อมมือไปคว้าถุงพลาสติกไว้ แต่พี่ศิกับกระชากกลับไปเสียงก่อนพร้อมกับจูงมือของผมเดินออกไปจากซุ้มคณะวิศวะและตรงไปยังลานจอดรถ


‘เฮ้อ…ยังไม่ได้ลอยกระทงเลยต้องกลับแล้วสินะ’ ผมบ่นพึมพำในใจพร้อมกับยื่นมือไปเปิดประตูรถ แต่ก็ไม่ทันที่ผมจะได้เข้าไปนั่งในตัวรถเสียงทุ้มของพี่ศิก็เอ่ยขึ้นมาพร้อมกับใบหน้าคมที่จ้องมาทางผม


“กรไปลอยกระทงกันไหม กรอยากลอยไม่ใช่เหรอ” ใบหน้าของพี่ศิดูจะขึ้นสีน้อย ๆ นิ้วเรียวยาวพลางยกขึ้นมาเกาแก้มตนและเบนหน้าหันไปทางอื่น


“ไปสิไปกันเลย กรอยากลอยกระทงกับพี่ศิมากเลยล่ะ” ผมหลุดหัวเราะกับท่าทางเขินอายของพี่ศิ ก่อนจะเดินวนไปจับมือพี่ศิพร้อมกับลากพี่เขาเดินเข้าไปในงานอีกครั้ง





ตอนนี้ผมเดินเข้าไปในงานพร้อมกับควงแขนพี่ศิเดินไปซุ้มนั้นซุ้มนี้ พอเข้าไปในซุ้มผมก็อ้อนให้พี่ศิแกเล่นเกมส์ให้ (ประเด็นคือไอเกมส์ตามในงานวัดนี่ถ้าให้ผมเล่นมันก็เสียเงินฟรีครับไม่ก็ได้แต่ขนมขบเคี้ยวมากินเล่นเท่านั้น ไม่เคยได้ตุ๊กตามากอดมาเล่นหรอกครับ คราวนี้ผมเลยขอให้พี่ศิเล่นให้แทน) และตอนนี้เราเดินมาถึงบูทปาลูกโป่งครับซึ่งผมก็อ้อนให้พี่ศิปาลูกโป่งให้ ซึ่งพี่แกก็ไม่ปฏิเสธครับแถมซื้อแบบ 1 ดอกหนึ่งร้อยบาทครับ


พอพี่ศิได้รับลูกดอกมาอยู่ในมือ ไอผมก็ยืนลุ้นอยู่ข้าง ๆ พี่ศิเขาครับแถมพูดกดดันพี่เขาด้วย “พี่ศิอย่าให้พลาดนะพี่ ตั้ง 100 บาทเลยนะดอกนี้ ถ้าไม่ได้นี่กรจะเอาไปพูดบอกทุกคนให้หมดเลยว่านักกีฬาบาสปาลูกดอกพลาด” ผมพูดพร้อมกับเกาะบ่าอีกข้างของพี่ศิไว้แน่นพร้อมกับหลับตาปี๋ลุ้นให้พี่ศิปาให้โดนลูกโป่ง (พี่ศิถือลูกดอกมือซ้ายครับส่วนผมเกาะบ่าพี่เขาด้านขวาครับ) ช่วงเวลาไม่กี่อึดใจลูกดอกที่อยู่ในมือของพี่ศิก็ปาไปโดนลูกโป่งครับ ผมนี่ร้องกรี๊ดใส่หูพี่ศิเลยครับพร้อมกับเอามือกอดคอพี่ศิแล้วเขย่าไปมา


พี่ศิก็ได้แต่หัวเราะเบา ๆ พร้อมกับแกะมือของผมออกจากคอและจูงมือผมให้ไปเลือกตุ๊กตา “กรอยากได้ตัวไหนเลือกสิรางวัลเมื่อกี้พี่ยกให้กร” สิ้นเสียงพี่ศิผมนี่แทบอยากจะกระโดดไปกอดคอพี่ศิแล้วหอมแก้มสักทีสองทีแต่ได้แค่คิดหละครับอารมณ์คนมันดีใจผมรีบเดินไปมองกองตุ๊กตาแล้วเลือกตุ๊กตาแมวตัวโตออกมาหนึ่งตัว ผมหันไปยิ้มให้กับพี่ศิพร้อมกับกอดคอตุ๊กตาตัวใหญ่นั่นเดินออกจากซุ้มปาลูกโป่ง


และหลังจากที่ผมกับพี่ศิเดินวนเวียนเข้าซุ้มโน้น ซุ้มนี้หลายต่อหลายซุ้มตอนนี้นอกจากตุ๊กตาน้องแมวตัวโต มีทั้งลูกโป่งสวรรค์ ปลาทอง กังหันลม และอะไรจิปาถะอีกมากมายและสิ่งของที่อยู่ในมือผมนี่เป็นความอนุเคราะห์ของว่าที่นายแพยท์ศิรวิทย์นั่นเองครับ ไอของเล่นจิปาถะทั้งหลายนี่ยังไม่รวมของกินที่อยู่เต็มไม้เต็มมือของพี่ศินะครับ เพราะว่านอกจากผมจะเข้าไปเล่นเกมส์ตามบูทต่าง ๆ แล้วผมก็แวะร้านขายของกินไม่เว้นร้านเหมือนกันซื้อกันแบบเอาให้ตายไปข้างเลยครับ มีทั้งปลาหมึกย่างสายไหมทาโกยากิแบบบ้าน ๆ ซูชิชิ้นละ 5 – 10 บาท ไอติมทอด และแก้วนมสดร้านเดียวกับที่ผมซื้อไปเมื่อสองวันที่แล้ว (ไอร้านที่ผมเจอพี่ศินั่นแหละครับ)


ผมเดินกอดตุ๊กตาไปพลางลากพี่ศิเข้าร้านโน้นเข้าร้านนี้ไปในที่สุดเราก็ใกล้จะถึงสระที่ทางมหาวิทยาลัยจัดไว้ให้นิสิตและบุคคลภายนอกเข้ามาลอยกระธงกันครับ สองข้างทางจากเป็นร้านขายของกินของเล่นตอนนี้เปลี่ยนเป็นร้านขายกระทงจนเต็มสองข้างทาง ผมกับพี่ศิเดินดูกระทงกันไปมาในที่สุดผมกับพี่ศิก็เจอกระทงที่ถูกใจกันสักที


ผมกับพี่ศิวิ่งปรี่ตรงเข้าไปที่ร้าน ๆ นั้นพร้อมกับชี้กระทงที่ตัวเองหมายตากันเอาไว้ แต่เจ้ากรรมกระทงที่ผมกับพี่ศิเลือกดันเป็นกระทงใบเดียวกันเราหันหน้ากลับมามองกันก่อนที่พี่ศิจะบอกผมว่าให้ผมเอากระทงใบนี้ไปเถอะ ซึ่งผมก็ตั้งใจพูดกับพี่ศิแบบนั้นเช่นกัน


“กรเอาไปสิ พี่เอากระทงใบอื่นก็ได้นะ” เสียงทุ้มเอ่ยใส่ผมพร้อมกับหันไปมองกระทงใบอื่นแทน แต่ผมก็เกรงใจพี่ศิเหมือนกันเพราะไอของทั้งหมดในมือของผมกับพี่ศิมันเป็นเงินของพี่ศิทั้งนั้นผมเลยพูดให้พี่ศิเอากระทงใบนั้นไปแทน


“พี่ศิเอากระทงใบนี้ไปเถอะ เดี๋ยวกรดูใบอื่นแทน” ผมบอกปัดพร้อมกับหันหน้าไปดูกระทงใบอื่นแต่พี่ศิก็ไม่ยอมยังไงแกก็อยากจะให้ผมเอากระทงใบนั้นให้ได้ เราเถียงกันไปกันมาสักพักในที่สุดผมก็มีความคิดที่จะทำให้เราสองคนได้ลอยกระทงใบที่ชอบที่สุดแล้วครับ


“พี่ศิ ถ้าเราทั้งสองคนชอบกันทั้งคู่แบบนี้ก็ลอยกระทงใบเดียวกันไปซะก็สิ้นเรื่องไม่เห็นต้องมาเกี่ยงให้คนนี้ไปคนนี้มาเลย” ผมพูดพร้อมกับควักกระเป๋าเงินจ่ายแม่ค้าไป และที่ผมคิดว่าเราทั้งสองคนลอยกระทงใบเดียวกันได้นั่นก็เพราะกระทงใบนี้ราคาสูงพอสมควรเลยครับแถมมันก็ใหญ่ใช่เล่นเลยดังนั้นการลอยกระทงใบเดียวกันเพื่อขอขมาพระแม่คงคาคงได้ล่ะมั้ง


เมื่อจ่ายเงินเสร็จผมก็หันไปส่งยิ้มและยักคิ้วให้กับพี่ศิพร้อมกับยกกระทงด้วยมือเดียวขึ้นมา (แต่ท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ สักเล็กน้อยนะครับ เพราะว่ามืออีกข้างนึงผมถือทั้งตุ๊กตาทั้งของเล่นส่วนพี่ศิก็ท่าทางจะช่วยผมยากครับของกินที่ผมกับพี่ศิซื้อกันนี่เต็มไม้เต็มมือพี่เขาดังนั้นคนที่รับหน้าที่ถือกระทงของพวกเราสองคนนั่นก็คือผมครับ


ผมกับพี่ศิค่อย ๆ เดินแทรกตัวพร้อมกับพูดขอทางไปตลอดทาง ในที่สุดพวกเราสองคนก็เดินมาถึงริมขอบสระครับผมวางน้องแมวตัวโตของผมไว้ข้างๆ (เอาง่าย ๆ ผมวางของทุกอย่างไว้ข้างตัวหมดเลยครับซึ่งพี่ศิก็ทำเหมือนกัน) ผมเริ่มคว้าหาไปแชกที่เพิ่งยืมมาจากร้านพร้อมกับพยายามจุดธูปและเทียบให้ติดแต่ลมมันดันแรงมากทำให้ผมจุดไฟติด ๆ ดับ ๆ  อยู่หลายต่อหลายครั้ง ในที่สุดพี่ศิเขาก็ทนไม่ไหวมือกร้านถูกยกขึ้นมากันลมไว้ ในที่สุดกระทงของผมกับพี่ศิก็ไฟติดสักทีครับ


เราทั้งสองคนช่วยกันยกกระทงขึ้นเพื่ออธิฐานผมหลับตาลงพร้อมกับเอ่ยขมาพระแม่คงคาภายในใจและ พูดขอให้ตัวและและคนรอบข้างของผมมีความสุขแต่ดูเหมือนผมจะอวยพรเร็วไปหน่อยเพราะตอนที่ผมลืมตา ดวงตาคมที่ซ่อนอยู่ภายใต้แว่นสายตากรอบสีดำก็ยังไม่ยอมลืมตื่น ผมถือกระทงรอพี่ศิไปพลางมองไล่ตามโครงหน้าของพี่ศิไปแพขนตาหนาที่จัดเรียงกันไว้สวยงามบนใบหน้า จมูกที่โด่งเป็นสันทั้งริมฝีปากหนาที่มักจะส่งรอยยิ้มจาง ๆ มาให้ ผมมองใบหน้าคมนั่นไปอีกสักพักในที่สุดดวงตาของพี่ศิก็ลืมตื่นพร้อมกับจ้องมาในดวงตาของผม ทันใดนั้นดวงหน้าของผมก็ขึ้นสีแดงจัดก่อนที่ผมจะสะบัดหน้าหันหนีไปอีกทาง


“พะ...พี่ศิเรารีบลอยกระทงกันเถอะ หนะ…นี่ก็ดึกแล้วพรุ่งนี้ พี่ศิก็ยังมีเรียนไม่ใช่เหรอ” ผมพูดตะกุกตะกักพร้อมกับค่อย ๆ ถือกระทงและวางมันลงไปบนผิวน้ำ


เราทั้งสองคนปล่อยให้กระทงลอยไปตามสายน้ำเรามองดูกระทงใบนั้นที่ค่อย ๆ ลอยหากจากพวกเราไปจนในที่สุดเราก็เห็นเพียงแค่แสงไฟดวงเล็ก ๆ ที่สว่างไสวอยู่ในน้ำ


“กลับกันเถอะครับกร” พี่ศิลุกขึ้นพร้อมกับปัดกางเกงนิสิตของตัวเองก่อนจะยื่นมือข้างหนึ่งมาทางผมเพื่อนช่วยพยุงให้ผมลุกขึ้นยืน


ตลอดระยะทางที่เราเดินกลับไปที่ลานจอดรถเราทั้งสองคนเดินจูงมือกันตลอดทาง และกว่าเราทั้งสองคนจะปล่อยมือออกจากกันก็ตอนถึงรถกันแล้ว


บางทีวันนี้มันก็อาจจะทำให้ผมรู้สึกอะไรขึ้นมาได้อีกอย่างหนึ่งว่าความรู้สึกของผมที่มีให้พี่ศิมันเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และไม่มีท่าทีที่ผมจะหยุดความรู้สึกนั้นได้




_______________________



....พี่ศิ...นายจะทำน้องกรหวั่นไหวไปถึงไหนความจริงกรก็รู้นะคะว่าพี่ศิเออจีบนะ...แต่...ตามที่พลอยบอกไป กรไม่ง่ายนะคะ พอแต่งตอนนี้จบมันให้อารมณืว่าพี่ศิเป็นห่วงและหวงน้องกรมาก ๆ ค่ะ

ออฟไลน์ saiiisai

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
จะละลาย
ถ้าเป็นพี่ศิตอนนี้อาจจะเริ่มท้อแล้วว่า เมื่อไหร่กรจะยอมซักที  :-[

ออฟไลน์ kongxinya

  • Skt KS
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
 :impress2:   เค้าลอยกระทงใบเดียวกันด้วยยยย

สู้ต่อไปค่ะพี่ศิ    :a2:

 :L2: :กอด1: :pig4: :L2:

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
เขาได้ลอยกระทงใบเดียวกัน อิจฉาจริงๆ
น้องกรยังช่วยเจ้น้ำหวานรอดมือพี่ศิอย่างหวุดหวิด

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
เขิน อ๊ายยยย ฟินนน >//////< เจ๊น้ำหวานเกือบตายแล้ว55

ออฟไลน์ omyim_jjj

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 632
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
เขิน   หวานอ่ะ

:o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8:

ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 669
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
เกรงใจกันบ้างคนมันอิจฉา อิอิ

ออฟไลน์ mooping-7

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-5
ใครเป็นคนคิดชุดหนุ่มน้อยตกน้ำเนีย  o13. น้องกรเอาไว้ใส่ยั่วพี่ศิที่น้องนะ 555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ RenaBee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
พี่ศิสู้ๆค่่ะ!!!! แค่นี้น้องกรก็ไปไหนไม่รอดแล้ว!

ออฟไลน์ nongrak

  • ยังไงก็รักคาเมะจังที่สุด
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +912/-14
สนุกดีค่ะ แถมกรยังน่ารักน่ามึนได้อีก
อ่านหลายวันกว่าจะตามทัน

+1 เป็นกำลังใจให้นะค่ะ
 :กอด1:  :L2:

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0


ปีใหม่ คริสต์มาสยังไม่มา แต่ทางนี้ส่งน้องกรกับพี่ศิไปเค้าดาวน์กับคริสต์มาสแล้ว



Chapter 22



งานลอยกระทงเจ้ากรรมได้ผ่านพ้นไปแล้วครับ คณะวิศวกรรมศาสตร์ของเราได้กำไรแหลกลานกับซุ้มหนุ่มน้อยตกน้ำและวันที่ทำยอดได้มาที่สุดก็คือวันสุดท้ายครับ ก็ไอวันที่ผมโดนเจ้น้ำหวานจับไปนั่งบนถังน้ำนรกนั่นหละครับ ไอได้กำไรถล่มทลายก็ดีอยู่หรอกครับแต่หลังจากคืนนั้นวันต่อมาผมก็เป็นไข้ทันทีเลยหละครับแต่ว่าไข้มันก็ไม่ได้หนักหนาอะไรมาแค่ตัวร้อนนิดหน่อยแล้วไอเล็กน้อยเท่านั้นเองครับ แต่ก็ดีนะครับที่วันต่อมาเป็นวันหยุดผมเลยได้นอนพักผ่อนเต็มอิ่มจนหายดี และหลังจากวันลอยกระทงตอนนี้ก็ผ่านมาหลายอาทิตย์แล้วครับ ที่ผมบอกพวกคุณนี่เพราะว่าผมอยากเกริ่นเรื่องให้ทุกคนได้ฟังเท่านั้นเองแหละครับ เพื่อว่าทุกคนจะได้เข้าใจว่าผมจะเล่าเรื่องอะไรต่อไป (และผมก็รู้ว่าทุก ๆ คนอยากรู้เรื่องความสัมผัสกับผมกับพี่ศิ นับจากวันลอยกระทงเราทั้งสองคนก็ยุ่งหัวปั่นกันแบบเดิม พี่ศิก็ไปเรียนเช้ากลับดึก เข้าเวร ดังนั้นเวลาที่เราสองคนได้เจอกันก็เป็นเวลาช่วงเช้าที่พี่ศิมาปลุกผมและชวนผมไปทานข้าวเช้าเท่านั้นแหละครับ ส่วนตอนเย็นมีโอกาสน้อยมากที่จะได้เจอพี่เขาครับช่วงนี้พี่ศิวุ่น ๆ อยู่ด้วยเพราะพี่ศิเขาใกล้จะสอบแล้ว)


และตอนนี้ก็ก้าวเข้าสู่หน้าหนาวอย่างเต็มตัวแล้วครับ ดังนั้นอากาศในตอนเช้าจะทำให้หน้านอนมากขึ้นขึ้นผมก็แต่เกริ่นเรื่องไปเท่านั้นแหละ ที่ผมจะเล่าก็คือตอนนี้เข้าใกล้เทศกาลวันหยุดยาวคือวันขึ้นปีใหม่แล้วหละครับ แต่ก่อนวันขึ้นปีใหม่เราก็มีวันสำคัญทางศาสนาคริสต์อีกวันหนึ่งนั่นก็คือวันคริสต์มาสครับและวันนั้นพวกผมกับเพื่อน ๆ จะจัดปาร์ตี้กันครับและที่สถานที่ใช้จัดนั่นก็คือหอของผมนั่นเอง (แต่พวกเราจะจัดกันในวันคริสต์มาสอีฟนะครับ ซึ่งมันคือวันที่ 24 และเหตุผลสำคัญที่จะจัดวันนั้นเพราะมันเป็นวันศุกร์ไงครับดังนั้นพวกเพื่อน ๆ ของผมจะได้ดื่มยาวยันวันเสาร์ไปเลย) ไอผมก็อยากจะวายวายอยู่หรอกนะครับว่า ‘ทำไมต้องเป็นหอกรูตลอด’ เพื่อน ๆ ทั้งหมดก็ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบง่ายว่า ‘มรึงอยู่คนเดียวแล้วห้องมรึงกว้างดี’ แค่นั้นแหละครับ และหลังจากมันบังคับให้คอนโดของผมเป็นสถานที่จัดปาร์ตี้มันก็ไม่เปิดโอกาสให้ผมเถียงอีกต่อไปเหมือนกับว่าพวกมันตัดผมออกจากวงสนทนาไปแล้วครับ


เมื่อลงมติกันแบบนี้ผมก็เถียงมันไม่ไปครับ ผมก็ได้แต่จำใจจัดเตรียมห้องรอพวกมันมาฉลองกัน แต่ผมลืมบอกอะไรไปใช่ไหมล่ะครับว่าวันนี้เป็นวันที่เท่าไหร่แล้ว ตอนนี้เป็นวันที่ 23 ธันวาคมครับอีกวันเดียวก็ถึงวันคริสต์มาสอีฟแล้วครับดังนั้นผมก็ต้องปลีกตัวไปเตรียมห้องตั้งแต่วันนี้เลยครับ ผมลุกขึ้นพร้อมกับยกกระเป๋าสะพายขึ้นบนบ่าก่อนจะบอกลาเพื่อนเรียงคนและเดินจากไป (วันนี้ผมเรียนครึ่งวันครับเลยคิดว่าจะไปซุปเปอร์เพื่อซื้อของมาเตรียมไว้ ผมกะว่าจะทำเค้กเลี้ยงพวกมันครับและคิดว่าจะทำเลี้ยงคนข้างห้องที่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เห็นหน้าเห็นตาด้วย)


ผมเดินไปยังลานจอดรถพร้อมกับเดินไปหารถของตัวเอง (ผมคิดว่ารถคันนี้น่าจะน้อยใจผมสักเล็กน้อยนะครับเพราะตั้งแต่ผมรู้จักพี่ศินี่ไอรถคันนี้ผมแทบจะนับครั้งได้เลยว่าผมขับมันไปกี่รอบ) ผมเปิดประตูขึ้นรถพร้อมกับขับมันออกไปซุปเปอร์มาร์เก็ตครับ ส่วนซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ผมขับไปนั้นก็เป็นสถานที่เดียวกับที่ที่ไอเจมส์กับไปบาสขับพาผมไปซื้ออุปกรณ์ทำทาร์ตไข่เมื่อเทอมที่แล้วนั่นแหละครับ


เมื่อผมวนหาที่จอดรถได้สำเร็จผมก็รีบเดินลงจากรถพร้อมกับเดินเข้าไปภายในซุปเปอร์นั่นผมเข็ญรถเข็นออกมาหนึ่งคันพร้อมกับเดินไปยังแผนกเครื่องทำเบเกอร์รี่ ตอนนี้ผมยังคิดไม่ออกหรอกครับว่าผมจะทำอะไรเลี้ยงพวกมันแต่อย่างน้อยก็ควรเตรียมเค้กอร่อย ๆ ให้พวกมันกินเล่นสักสองสามปอนด์แหละครับ ผมเดินคิดเมนุไปเรื่อย ๆ แต่คิดยังไงผมก็ไม่รู้ว่าผมจะทำเค้กชนิดไหนเลี้ยงพวกมันดี ดังนั้นวิธีการสุดท้ายของผมนั่นก็คือโทรศัพท์หาที่ปรึกษากิตติมศักดิ์นั่นก็คือ พี่ศิรวิทย์ที่รักของทุก ๆ คนนั้นเองครับ
ผมหยิบมือถือรุ่นกลางเก่ากลางใหม่ขึ้นมาพร้อมกับกดเบอร์โทรศัพท์หาพี่ศิทันที (ถ้าจะให้บอกว่าผมจำเบอร์โทรศัพท์มือถือพี่ศิได้ขึ้นในแล้วก็น่าจะเขินอายเกินไปแต่ก็อย่างที่บอกครับผมไม่ต้องรันหาเบอร์โทรพี่ศิตอนนี้ตัวเลขทั้ง 10 หลักนั้นมันฝังลงไปในสมองของผมแล้วครับเพราะผมโทรหาพี่เขาบ่อยเกินจนจำได้ขึ้นใจ) ผมยืนฟังเสียงสัญญาณโทรศัพท์อยู่สักพัก ในที่สุดเสียงทุ้มอันเป็นเอกลักษณ์ของพี่ศิก็ก็ดังแทรกสัญญาณมา “สวัสดีครับกร ขอโทษที่พี่รับช้านะครับพอดีพี่กำลังทานข้าวกลางวันอยู่ มีอะไรงั้นเหรอครับ”


“พี่ศิ วันคริสต์มาสอีฟเพื่อนกรจะมาปาร์ตี้กับที่ห้องของกร กรควรทำเค้กอะไรเลี้ยงพวกมันดีอ่ะ” ผมถามพี่ศิด้วยน้ำเสียงร้อนรนเล็กน้อยซึ่งอีกฝ่ายผู้เป็นคู่สนทนาของผมก็ให้คำแนะนำได้เป็นอย่างดี (แต่พี่แกไม่คิดเลยเหรอว่าผมจะทำมันเป็นไหม)


“พี่อยากทานชีสเค้ก” เสียงทุ้มตอบกลับตามรสนิยมของตัวเองซึ่งผมไม่ได้ถามว่าพี่ศิเขาอยากจะทานอะไรแต่ผมถามว่า ‘กรควรทำอะไรเลี้ยงเพื่อนดี’


“กรถามถึงเพื่อน ๆ ไม่ได้ถามพี่ศิสักหน่อยว่าพี่ศิอยากกินอะไรสักหน่อย…อย่ามาโมเมอยากกินเลย กรไม่ทำให้กินหรอก…” ผมเบ้ปากพร้อมกับตอบพี่ศิไป ซึ่งเสียงหัวเราะของพี่ศิก็ดังตามสัญญาณมา ซึ่งในประโยคสุดท้ายที่ผมบ่นไปว่าผมไม่ทำให้พี่แกกินหรอก พี่ศิแกยังได้ยินผู้ชายบ้าอะไรหูนรกจริง ๆ


“พี่ไม่ได้โมเมสักหน่อยถ้าพี่บอกว่าพี่อยากทานยังไงกรก็ทำให้พี่ทานอยู่ดี ไม่งั้นกรจะโทรมาถามพี่ทำไมจริงไหมล่ะ” ให้ตายเถอะครับผู้ชายคนนี้นี่มั่นใจในตัวเองซะเหลือเกินแต่ก็จริงนะครับถ้าผมคิดออกผมก็คงไม่โทรไปถามความคิดเห็นพี่เขาและถ้าผมไม่ทำตามใจอยากของพี่ศิผมจะโทรไปหาพี่เค้าทำไม


“โอเค กรยอมแพ้พี่ศิอยากทานชีสเค้กธรรมดาหรือ สตรอเบอร์รี่ชีสเค้ก หรือบลูเบอร์รี่ชีสเค้กครับ” ผมเดินคุยโทรศัพท์ไปพร้อมกับเดินหยิบวัตถุดิบที่ใช้สำหรับทำชีสเค้กไป ซึ่งพี่ศิก็ตอบกลับมาหาผมอย่างรวดเร็วเหมือนกับว่าพี่เขามีของที่อยากจะกินอยู่ในใจเอาไว้แล้ว


“พี่อยากทานสตรอเบอร์รี่ชีสเค้ก แล้วสตรอเบอร์รี่พี่ขอเป็นของญี่ปุ่นนะเอาลูกใหญ่ ๆ สด ๆ นะครับกร” ดูสิครับดูพี่ศิเขาสั่งอะไรไอผมได้ฟังนี่แทบอยากจะล้วงมือเข้าไปในโทรศัพท์แล้วเขย่าคอของพี่ศิเสียงจริงแต่ผมก็ทำตัวหงุดหงิดไปอย่างนั้นแหละครับเพราะว่าหลังจากที่ผมหยิบพวกแป้งที่ใช้สำหรับทำตัวฐาน และเนื้อของชีสเค้กผมก็เดินต่อไปที่แผนกผลไม้สดเพื่อเลือกสตรอเบอร์รี่เอามาใช้เรียงบนหน้าชีสเค้กและทำน้ำซอสราดครับ


“พี่ศิชอบทานแบบไหนอ่ะ หวานมากไหม กรกำลังคิดว่าซอสที่ราดบนชีสเค้กจะเอาหวานอมเปรี้ยวนิด ๆ หรือเอารสธรรมชาติของสตรอเบอร์รี่เลย” ผมใช้ไหล่หนีบโทรศัพท์ไว้ ส่วนมือทั้งสองข้างกำลังถือแพคสตรอเบอร์รี่เพื่อเลือกดูว่าสตรอเบอร์รี่กล่องไหนสดกว่ากัน (ที่สำคัญที่สุดคือสตรอเบอร์รี่ในกล่องไหนลูกใหญ่กว่ากันด้วยครับพี่ศิแกรีเควสมา)


“พี่ทานอย่างไหนก็ได้ครับ แล้วแต่กรชอบดีกว่า” พี่ศิตอบผมทำเอาผมลอบแอบคิดไปว่า ‘นี่ผมยังไม่ได้บอกไปว่าจะทำเผื่อพี่ศิสักหน่อยนี่คุณพี่คิดไปเองแล้วเหรอครับว่าผมจะทำให้พี่เขาทานด้วยทำเป็นรู้ดี’


“ครับ ๆ ตามบัญชาครับท่านราชาเดี๋ยวข้าน้อยรณกรจะทำอาหารที่ท่านราชาศิรวิทย์ชอบทานเอง ดังนั้นตอนนี้ท่านราชาโปรดขึ้นไปเรียนเถอะครับ นี่เริ่มเข้าคาบบ่ายแล้วนะ” ผมกรอกเสียงตอบกลับพี่ศิไปพร้อมกับกล่าวถ้อยคำลา เพราะว่าตอนนี้เริ่มเข้าคาบบ่ายแล้วครับ ถ้าไม่รีบวางเห็นทีพี่ศิจะไปเข้าเรียนไม่ทันเอาก็ได้ ซึ่งพี่ศิแกก็ดูเหมือนจะรู้ตัวนะครับหลังจากพี่เขากล่าวลาผมพี่แกก็รีบกดตัดสายไปเลย สงสัยจะรีบจัดเลยกดตัดสายเองไปแบบนี้ (ปกติพี่ศิจะให้ผมเป็นคนวางสายก่อนตลอดครับแต่ครั้งนี้พี่ศิคงรีบจริง ๆ)


หลังจากที่พี่ศิวางสายไปผมก็เดินไปเลือกสตรอเบอร์รี่ต่อ และในที่สุดผมก็ได้สตรอเบอร์รี่ตามรีเควสของพี่ศิมาสองกล่องครับ (เพราะผมคงต้องทำชีสเค้กสองก้อน ก้อนแรกก็ต้องใหญ่หน่อยส่วนอีกก้อนเอาให้พี่ศิไป) คราวนี้สิ่งที่เตรียมพร้อมสำหรับทำชีสเค้ก (ที่พี่ศิแกอยากกิน) ก็เสร็จสมบูรณ์แล้วครับ


ผมเดินเข็นรถเข็นไปยังเคาท์เตอร์จ่ายเงิน ผมยืนรอพนักงานคิดเงินสักพักในที่สุดค่าเสียหายสำหรับชีสเค้กสองก้อนก็ปรากฏไอผมนี่จ่ายเงินไปทั้งน้ำตาเลยครับแถมเงินทอนจากการที่จ่ายแบงค์พันไปสองใบนี่เหลือทอนผมมาไม่ถึงร้อยบาท (ผมว่าไอการทำเค้กเลี้ยงเพื่อนครั้งนี้มันแพงบรรลัยเลยล่ะครับ)


ผมเดินตัวปลิวพร้อมกับหิ้วถุงพลาสติกออกมาจากซุปเปอร์พร้อมกับเอาของที่ซื้อมา (โยน) ใส่เข้าไปที่เบาะหลังของรถก่อนจะเดินตัวปลิว (เพราะกระเป๋าเงินเบาหยอง) กลับขึ้นที่นั่งคนขับพร้อมกับขับมันออกไปจากลานจอดรถแห่งนี้ และหลังจากที่ผมขับรถออกมาจากซุปเปอร์ไม่นานในที่สุดผมก็ขับรถมาถึงคอนโดของผมครับ พอรถจอดสนิทผมก็รีบเอาของลงจากรถและวิ่งขึ้นลิฟท์ไปทันที


ผมไขกุญแจเพื่อนปลดลอคห้องของผมพร้อมกับแทรกตัวเข้าไปในห้องทันที ที่ผมรีบไม่ใช่อะไรหรอกครับการทำชีสเค้กมันต้องใช้เวลาในการทำมากแถมทำเสร็จแล้วก็ต้องแช่ตู้เย็นทิ้งไว้หลายชั่วโมงอีก (ผมเลยทำชีสเค้กเจ้ากรรมในวันพรุ่งนี้ไม่ได้ไงเลยต้องมาทำวันนี้แทน) ผมหยิบชอบที่ซื้อมาทุกอย่างออกมาวางเรียงพร้อมวิ่งเอาสตรอเบอร์รี่ลูกโตตามรีเควสของพี่ศิเอาไปแช่ทิ้งไว้ในตู้เย็นเอาหละเมื่ออุปกรณ์ครบ วัตถุดิบพร้อม ต่อไปก็ถึงขั้นตอนการทำครับ


ขั้นแรกที่ต้องทำนั่นก็คือการเตรียมฐานของชีสเค้กครับ โดยส่วนมากหลาย ๆ คนจะทำเหมือนลักษณะทาร์ตกันนะครับคือการเอาพวกแครกเกอร์มาบด ๆ แล้วผสมเนยแต่คราวนี้ผมจะขอทำตามสูตรที่บ้านครับโดนใช้แปะมาทำแผ่นแครเกอร์ขนาดใหญ่ครับขันแรกคือโยนน้ำตาลและเนยมันลงไปในถังที่ใช้สำหรับตีพวกเนื้อครีมกับพวกคุกกี้ครับ (คราวนี้ผมมีอุปกรณ์ทำขนมเพิ่มแล้วนะครับ หลังจากที่ผมสัญญาณแลกเปลี่ยนกับพี่ศิว่าจะทำขนมให้ทานผมก็ทนทำขนมโดยใช้มือเปล่าตีไป แต่พอคุณม๊าแกทราบว่าเวลาผมทำขนมผมมักจะเอาไปฝากพี่ศิ คุณม๊าแกก็ถอยเครื่องตีเค็กมาให้ผมทันทีเลยครับผมเลยมีอุปกรณ์ทำขนมเพิ่มในห้องครัวด้วยประการฉะนี่ครับ) จะพูดว่าโยนมันก็รุนแรงไปเอาเป็นว่าผมเทลงไปอย่างรุนแรงครับผมเปิดเครื่องตีระดับเบาสุดพร้อมกับใส่วัตถุดิบชนิดต่าง ๆ ลงไป ไข่แดง วานิลลา และเกลือลงไปครับ และขั้นตอนสุดท้ายก็คือโรยแป้งใส่ไปอย่างช้า ๆ ครับพร้อมกับกดปุ่มให้เครื่องตีตีแรงขึ้นกว่าเดิมระดับหนึ่งและรอจนฐานของเค้กใช้ได้ครับ


พอฐานเค้กจับตัวกันได้ที่ผมก็นำมันออกมาคลึงเป็นแผ่นขนาดพอประมาณครับพร้อมกับเอาพิมพ์กดลงไปครับตอนนี้ผมก็ได้แผ่นแป้งเป็น 2 แผ่นครับใหญ่หนึ่งแผ่นเล็กหนึ่งแผ่นครับ หลังจากนั้นผมก็เตรียมการน้ำเจ้าแผ่นแป้งทั้งสองชิ้นเข้าไปอบในเตาให้เหลืองเป็นสีน้ำตาลสวยครับจากนั้นก็พักแป้งไว้ให้เย็นตัวครับและนำมันเข้าไปใส่ในพิมพ์สำหรับทำชีสเค้กครับแล้วก็เอาเนยสำหรับทาไม่ให้เนื้อเค้กติดทาไปบนตัวแม่พิมพ์ครับจากนั้นก็พักส่วนนั้นไปครับ แล้วเราก็มาทำส่วนของเนื้อชีสเค้กกันดีกว่าครับ
เรามาตีเนื้อครีมชีสกันดีกว่าครับผมเทเนื้อครีมชีสไปพร้อมกับใส่เนื้อโยเกิร์ตไปด้วยครับ พอเราตีไปได้สักพักเนื้อชีสเค้กก็จะเนียนสวยกำลังน่ากินเลยครับ หลังจากนั้นเราก็เทน้ำตาลทรายลงไปพร้อมกับใส่ไข่แดงลงไปครับก่อนจะตีให้มันเข้ากันอีกครั้งหลังจากนั้นส่วนประกอบที่เหลือก็โยน ๆ มันเข้าไปในเครื่องตีนั่นแหละครับ พอดีไปสักพักเนื้อครีมก็เข้ากันดีครับ ขั้นตอนจากนั้นก็คือการเทเข้าไปไปในแม่พิมพ์พร้อมกับเอาแม่พิมพ์ทั้งสองเข้าไปอบในเตาผมนั่งรอเจ้าเค้กตัวนี้อบไปสักพักในที่สุดเจ้าชีสเค้กเจ้ากรรมมันก็เสร็จครับ ผมใส่ถุงมือกันความร้อนพร้อมกับหยิบแม่พิมพ์เค้กทั้งสองออกมาแกะและแล้วเสื้อชีสเค้กของผมก็เสร็จเรียบร้อยแล้วครับ ขั้นตอนสุดท้ายก็คือนำไปใส่ตู้เย็นและแต่งหน้าด้วยสตรอเบอร์รี่และราดซอสสตรอเบอร์รี่ครับ ซึ่งผมคิดว่าไปปอนด์ใหญ่ผมเอาไว้แต่งพรุ่งนี้ส่วนปอนด์เล็กผมคิดว่าถ้ามันเย็นตัวดีแล้วคงเอาออกมาแต่งหน้าแล้วเอาไปให้พี่ศิเขาทานมันวันนี้เลยดีกว่า
และช่วงเวลาแห่งการรอผมก็จัดการทำความสะอาดอุปกรณ์ทำเค้กทั้งหมดก่อนจะหมุนตัวสวอนเลคไปหน้าทีวีพร้อมกับถลาลงไปที่โซฟายาว การทำชีสเค้กเป็นอะไรที่ละเอียดอ่อนมากเลยครับ ทั้งต้องพิถีพิถัน ไฟที่ใช้อบก็ใช้แรงมากไม่ได้ถ้าตีเนื้อครีมชีสไม่ดีรสชาติก็อาจจะแย่ไปเลยก็ได้ ดังนั้นมันเลยทำให้ร่างกายผมอ่อนล้ามากแบบนี้ยังไงหละ ผมหันไปมองเวลาตอนนี้เป็นเวลาเกือบ ๆ จะหกโมงแล้ว ‘โอย…นี่ผมยืนทำเค้กตั้งแต่บ่ายสองโมงจนถึงหกโมงเย็นเลยเหรอเนี่ย ผมใช้เวลานานเกินไปแล้วนะเนี่ย มิน่าถึงได้เมื่อยตัวขนาดนี้’ ผมครวญครางเบา ๆ พร้อมกับนอนฟุบแล้วก็เผลอหลับไป


ผมก็ไม่รู้หรอกนะครับว่าผมนอนหลับไปนานขนาดไหนแต่ที่รู้ ๆ ตอนนี้ท้องฟ้าข้างนอกกลายเป็นสีดำแล้วครับ ผมยันกายลุกขึ้นพร้อมกับเสยผมตนเองเล็กน้อย สายตาก็พลางปรายมองไปที่นาฬิกาที่วางอยู่บนโต๊ะข้างทีวีซึ่งตอนนี้มันก็สามทุ่มกว่าเกือบจะสี่ทุ่มแล้วครับ ตอนนี้พี่ศิคงกลับมาที่ห้องแล้วและชีสเค้กที่ผมทำก็น่าจะเซทตัวได้ที่แล้วหละครับ ผมรีบเด้งตัวขึ้นมาจากโซฟาทันทีและรีบวิ่งไปเปิดตู้เย็นเพื่อเอาเค้กออกมาตกแต่งหน้า


‘หวังว่าพี่ศิจะไม่ได้กินข้าวจนอิ่มมากนะ’ ผมพึมพำกับตัวเองเบา ๆ มือทั้งสองข้างก็ค่อย ๆ แกะกล่องสตรอเบอร์รี่ที่ซื้อมาจากซุปเปอร์เมื่อตอนบ่ายขึ้นมาเรียงไว้บนเค้กและเอาน้ำซอสสตรอเบอร์รี่ที่ไว้ (และแช่จนมันเย็น) มาราดไว้บนหน้าชีสเค้ก ในที่สุดชีสเค้กตามรีเควสของพี่ศิก็เสร็จแล้วครับ หลังจากนี้ก็คือน้ำเจ้าเค้กชิ้นนี้ไปให้พี่ศิกิน ผมเดินถือจานเค้กพร้อมกับเดินออกไปจากครัวและเลยออกไปจากห้องของตัวเอง


มือข้างหนึ่งของผมถือจานเค้ก ส่วนอีกมือหนึ่งของผมถูกยกขึ้นไปเคาะประตูห้อง 1404 ซึ่งเป็นประตูห้องของพี่ศิ ผมยืนรออยู่สักพัก ในที่สุดบานประตูที่ปิดอยู่ตรงหน้าของผมก็เปิดออกพร้อมกับร่างสูงที่ตอนนี้ดูไม่ค่อยจะเรียบร้อยเท่าไหร่นัก  ใบหน้าคมขมวดคิ้วเรือนผมสั้นสีดำยุ่งฟูเล็กน้อย แต่ไอสภาพดูไม่ค่อยเรียบร้อยของพี่ศิก็อยู่ได้ไม่นานเมื่อพี่ศิเขารู้ว่าคนที่เค้าประตูมาเป็นผม ใบหน้าคนก็ลอบยิ้มพร้อมยกมือตนขึ้นไปสางผมเบา ๆ “ตื่นแล้วเหรอครับกร” พี่ศิพูดติดหัวเราะพร้อมกับเอามือข้างเดียวกับที่พี่เขาสางผมมาขยี้ผมของผมแทน


“ตื่นแล้ว! อย่าเอามือมาขยี้ผมกรสิเดี๋ยวกรก็เอาชีสเค้กที่คนแถวนี้อยากกินเอากลับเข้าห้องเลย” ผมบ่นพึมพำใส่พี่ศิมืออีกข้างที่ไม่ได้ถือจานเค้กมาปัดมือพี่ศิออกไปจากหัว ซึ่งเสียงพี่ศิก็ได้แต่อมยิ้มน้อย ๆ พร้อมกับลดมือออกจากศีรษะของผมและเปิดบานประตูให้กว้างออกพร้อมกับเชื้อเชิญให้ผมเข้าไปข้างใน


“เข้ามาสิครับกร” ท่อนแขนแกร่งผายมือเพื่อเชื้อเชิญให้ผมเข้าไป ใบหน้าคมนั้นระบายไปด้วยรอยยิ้มยิ่งกว่าเก่า ซึ่งผมก็เดินเข้าไปในห้องของพี่เขาตามคำเชื้อเชิญครับ และจุดหมายแรกที่ผมเดินตรงไปก็คือห้องครัวและจัดการตัดเค้กเป็นแบ่งส่วน ๆ เตรียมจัดใส่จาน


“พี่ศิจานใบเล็กอยู่ไหนหมดอ่ะ กรหาไม่เจอเลยสักใบ” ผมตะโกนถามพี่ศิที่นั่งเขียนรายงานอยู่ในห้องนั่นเล่นซึ่งพี่ศิก็ตะโกนตอบกลับมาว่า “อยู่ตู้ด้านบนครับกร” และในที่สุดผมก็เอาจานใบเล็กลงมาพร้อมกับนำเค้กที่ตัดทิ้งไว้มาเรียงใส่จานแต่ด้วยเค้กปอนด์นี้ที่ผมทำมันเล็กและเป็นปริมาณสองคนกินพอดี ผมก็เลยเอาเค้กที่หั่นเป็นส่วน ๆ แบ่งเป็นคนละครึ่งเลยครับ (ให้ผมครึ่งปอนด์ส่วนพี่ศิอีกครึ่งปอนด์ เค้กชิ้นนี้มีขนาดหนึ่งปอนด์ครับ)


“อ่ะพี่ศิ สตรอเบอร์รี่ชีสเค้กสูตรของท่านกร” ผมเอ่ยพร้อมรอยยิ้มและก็ยื่นจานเค้กไปตรงหน้าของพี่ศิ และเมื่อพี่ศิรับจานเค้กนั่นไปผมก็ทิ้งตัวนั่งลงไปโซฟายาวซึ่งเป็นโซฟาตัวเดียวกันกับที่พี่ศินั่งทำรายงายอยู่ครับ “ว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์ครับทำงานเครียด ๆ ทานของหวานให้สบายใจดีกว่าดูสิสตรอเบอร์รี่ที่กรเลือกนี่ลูกใช้แล้วก็สดมากเลยนะลองกินดูดิ” ผมพูดพร้อมกับหยิบสตรอเบอร์รี่บนแค้กในจานพี่ศิไปจ่อที่ปากของพี่เขา (ทำไมต้องเป็นจานของพี่เขารู้ไหมครับถ้าไม่รู้ผมจะตอบให้…ก็ได้ครับ ผมอยากกินสตรอเบอร์รี่เหมือนกันนี่เรื่องอะไรจะเอาของตัวเองไปให้พี่ศิกินล่ะ) และการกระทำของผมนั้นใบหน้าที่ตึงเครียดของพี่ศิก็อมยิ้มออกมาน้อย ๆ ก่อนจะอ้าปากงับสตรอเบอร์รี่ที่อยู่ในมือผมรวดเดียวหมดลูก ชายร่างสูงตรงหน้าของผมยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะวางจานเค้กในมือลงบนโต๊ะและค่อย ๆ เขียนรายงานของตนต่อ




V
V
V
V
V
V

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0


ซึ่งผมก็นั่งมองพี่ศิไปพร้อมกับตักชิสเค้กในจานตัวเองใส่ปากไปในที่สุดผมก็จัดการชีสเค้กส่วนของผมจนหมดและเริ่มที่จะละลานไปที่จานชีสเค้กของพี่ศิครับ แต่เจ้าของเขาก็ไม่ให้ผมกินนะครับมือกร้านถูกยื่นมาตีมือของผมเบา ๆ ก่อนจะกลับไปเขียนรายงานต่อ


‘ขี้งก! พี่ศิขี้งกที่สุด! ตัวเองไม่กินคนอื่นเค้าจะกินแทนก็ไม่ยอมใจร้ายที่สุดเลย’ ผมบ่นพึมพำเบา ๆ ซึ่งพี่ศิผู้มีหูนรกมีหรือจะไม่ได้ยินในสิ่งที่ผมพูด นัยน์ตาคมหันมามองทางผมก่อนจะยกจานชีสเค้กของตัวเองส่งมาให้ผม ไอผมก็คิดว่าพี่ศิยกให้ผมกินผมก็เลยจัดการตักชีสเค้กเข้าปากแต่ทว่าพี่ศิกลับจับมือของผมและเอาชีสเค้กนั่นเข้าปาก


นี่หมายความว่าคุณพี่ศิรวิทย์แกจะให้ผมป้อนให้แกกินครับ ‘โถ่ว พ่อคุณชาย พ่อคนรักสบาย พ่อคนมือเท้าใช้ไม่ได้’ อันนี้ผมว่าพี่ศิในใจนะครับ ถ้าขืนผมบ่นพึมพำออกไปหูนรกของพี่แกคงได้ยินอีกและผมก็อาจจะโดนมะเหงกใส่หรือชีทที่อยู่ในมือของพี่ศิฟาดใส่หัว ดังนั้นผมก็ต้องทำตัวเป็นคนรับใช้ที่ดีตักเค้กไปป้อนพี่ศิและบางทีผมก็แอบตักเค้กเข้าปากผมไปบ้าง ส่วนสตรอเบอร์รี่ที่วางไว้บนเค้กผมเก็บไว้กินขั้นสุดท้ายครับ (ซึ่งผมหมายตาว่าจะกินแทนพี่ศิครับ เค้กชิ้นนี้มีสตรอเบอร์รี่ 4  ลูกครับ)


ผมตักเค้กป้อนพี่ศิไปพลางดูโทรทัศน์ไปด้วยในที่สุดเค้กในจานของพี่ศิก็หมดครับและเหลือสตรอเบอร์รี่ที่วางอยู่บนตัวเค้กเป็นอย่างสุดท้าย


ผมหยิบสตรอเบอร์รี่ชิ้นนั้นหมายจะเอาเข้าปากตัวเองแต่คิดเหรอครับว่าพี่ศิรวิทย์ที่รักของทุกคนจะยอม เขาไม่ยอมนั่นหละครับดังนั้นภายในห้อง 1404 ก็เกิดศึกแย่งชิงสตรอเบอร์รี่ขึ้นครับ ไอผมจะเอาสตรอเบอร์รี่ลูกนั้นใส่ปาก แต่พี่ศิก็เอามือมาปิดปากผมไว้พร้อมกับจับลอคแขนของผมไว้ครับเรายื้อแย่งกันอยู่นาน (ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าแย่งกันไปทำไมเพราะในห้องของผมยังมีสตรอเบอร์รี่เหลืออยู่อีกแพคกว่า ๆ เดี๋ยวไปหยิบเอามากินกันก็ได้) ในที่สุดผู้ที่กำชัยชนะก็เป็นพี่ศิครับสตรอเบอร์รี่ลูกนั้นปลิวเข้าไปอยู่ในปากของพี่ศิแล้ว ผมนี่ส่งเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจก่อนจะแกล้งทำเป็นงอนลุกขึ้นยืนแล้วเปิดประตูออกจากห้องของพี่ศิไป


ซึ่งการกระทำของผมทำให้พี่ศิตกใจเล็กน้อยแต่พี่ศิเขาก็ดูเหมือนจะไม่ว่างมาตามง้อผมครับเพราะรายงานที่ต้องส่งพรุ่งพี่ยังกองเป็นตั้ง แถมงานพี่เขาก็เสร็จไปก็แค่ 3 ใน 4 เท่านั้นเองครับ แต่ไอที่ผมทำเป็นงอนก็ไม่ได้งอนอะไรหรอกครับผมแค่จะกลับไปที่ห้องผมแล้วจะไปเอาสตรอเบอร์รี่ในตู้เย็นออกมาทานต่อเท่านั้นเองแหละครับ


ผมเดินเข้าห้องไปพร้อมกับคุ้ยตู้เย็นเพื่อหาสตอเบอร์รี่ที่เหลือในที่สุดผมก็เจอมันครับ ผมถือกล่องสตรอเบอร์รี่แล้ววิ่งกลับไปที่ห้องของพี่ศิพร้อมกับชูกล่องสตรอเบอร์รี่ให้พี่ศิดู ร่างสูงนั่นยิ้มตอบผมครับและเขยิบที่นั่งให้ผมกลับไปนั่งข้าง ๆ พี่เขาเหมือนเดิม


“มากินด้วยกันอีกนะพี่ศิ…แต่ว่าลูกสุดท้ายต้องเป็นของกรนะ ห้ามแย่ง ๆ” ผมพูดติดตลกมือทั้งสองข้างก็ค่อย ๆ แกะกล่องพลาสติกออกและหยิบสตรอเบอร์รี่ในนั้นขึ้นมากิน


‘อร่อยมาก ยิ่งเย็นยิ่งอร่อย สตรอเบอร์รี่ญี่ปุ่นนี่อร่อยที่สุด’ ผมหยิบสตรอเบอร์รี่ใส่ปากลูกแล้วลูกเล่า แต่ผมกับพี่ศิก็ดูเหมือนกำลังแข่งกันแย่งกินสตรอเบอร์รี่นะครับ (อารมณ์ประมาณว่าใครกินได้เยอะสุดเป็นผู้ชนะอย่างนั้นแหละ)


ผมกับพี่ศิพลัดกันกินไปมาจนในที่สุดตอนนี้สตรอเบอร์รี่กล่องแรกก็หมดลงไปแล้วครับ แต่มันก็ยังเหลืออีกกล่องหนึ่งครับผมก็จัดการแกะสตรอเบอร์รี่กล่องที่สองมาวางไว้ที่โต๊ะและนั่งกินกันต่อครับ แต่รู้สึกการนั่งแบบนี้จะทำให้ผมเบื่อไปสักเล็กน้อยดังนั้นผมจึงใช้อำนาจ (ที่มีตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้) ไล่ให้พี่ศิไปนั่งตรงโซฟาเดี่ยวและผมก็จัดการนอนรายไปกับโซฟาตัวยาวหน้าโทรทัศน์ครับและหลังจากนั้นผมก็ทำตัวแบบเดิมครับคือการหยิบสตรอเบอร์รี่ใส่ปากไปและดูโทรทัศน์ไป ส่วนพี่ศิน่ะเหรอครับ สกิลในการกินสตรอเบอร์รี่ลดลงไปแล้ว ดูเหมือนว่าพี่ศิจะเข้าโค้งสุดท้ายของรายงานแล้วดังนั้นปล่อยให้พี่เขาทำงานให้เสร็จไปเถอะ ส่วนผมก็ทำหน้าที่นอนให้กำลังใจต่อไป


ผมนอนกลิ้งไปสักพักก่อนจะเหลือบตาไปมองนาฬิกาที่แขวนไว้เหนือโทรทัศน์ซึ่งตอนนี้ก็เกือบจะเที่ยงคืนแล้วครับ (แต่ผมไม่ง่วงเลยนะ สงสัยว่าเมื่อเย็นผมจะนอนเยอะไปหน่อยท่าทางตาผมน่าจะสว่างอีกนานพอควรเลยแหละ) และเมื่อเข็มยาวชี้ไปที่เลข 12 รายงานนรกแตกของพี่ศิก็เสร็จครับ ส่วนผมนี่นอนกลิ้งกินสตรอเบอร์รี่จนอืดไปหมดแล้วแต่มันก็ยังไม่หมดนะครับ ผมคิดว่าจะเก็บไว้ให้พี่ศิแกกินด้วย


ผมมองดูพี่ศิที่ค่อย ๆ เก็บเลคเชอร์และแยกรายงานไว้เป็นกอง ๆ เมื่อทุกอย่างเสร็จร่างสูงนั่นก็ลุกขึ้นไปหยิบกระเป๋านิสิตของตนมาให้รายงานที่ต้องส่งทั้งหมดลงไป ผมนอนกลิ้งมองพี่ศิที่กำลังจัดกระเป๋าอยู่ พลันความรู้สึกที่อยากจะแกล้งพี่ศิก็เกิดขึ้นผมหยิบสตรอเบอร์รี่และยื่นไปจ่อที่ปากพี่ศิ (ซึ่งท่าทางผมเหมือนกับกำลังจะป้อนให้พี่ศิทาน) ซึ่งพี่ศิแกก็ก้มลมมางับนะครับแต่ก่อนที่พี่แกจะได้กินสตรอเบอร์รี่ลูกนั้นผมก็กระชากมือตัวเองลงพร้อมกับคาบสตรอเบอร์รี่ลูกนั้นเอาไว้ คิ้วข้างหนึ่งของผมยกขึ้นลงใส่พี่ศิเพื่อกวนอารมณ์ แต่ประเด็นมันไมได้จบแค่นั้นครับดูเหมือนว่าคุณพี่ศิรวิทย์จะไม่ยอมแพ้ผม เขาทำในสิ่งที่ผมไม่คาดฝันครับ


ร่างสูงค่อย ๆ ก้มหน้าลงมาใกล้ ๆ ผมพร้อมกับริมฝีปากหนาที่อ้างับสตรอเบอร์รี่ที่โผล่พ้นปากผม ริมฝีปากของเราสองคนเกือบจะสัมผัสกัน (แค่เกือบ ๆ ครับจะสัมผัสนะครับ ผมย้ำว่ามันไม่โดนไม่โดนครับแม้มันจะรับรู้ได้ถึงริมฝีปากอุ่น ๆ ที่เคลื่อนผ่านริมฝีปากของผมก็เถอะ) และเมื่อพี่ศิแย่งสตรอเบอร์รี่ออกจากปากของไปได้แล้วร่างสูงก็เคลื่อนหน้าไปที่ใบหูของผมพร้อมกับกระซิบด้วยเสียงที่แผ่วเบาพร้อมกับผละตัวเองออกมาจัดชีทและเอกสารของงตนต่อ


คำพูดนั้นทำเอาผมหน้าขึ้นสีแดงจัดผมนอนนิ่งค้างอย่างนั้นอยู่สักพักก่อนที่จะรีบลุกขึ้นและวิ่งหนีออกไปจากห้อง ๆ นี้


เสียงทุ้มที่กระซิบแผ่วเบา น้ำเสียงเข็มที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนเอ่ยออกมาว่า ‘วันที่ 31 เราสองคนไปเคาท์ดาวน์วันปีใหม่กันสองคนนะครับกร’


มือของผมถูกยกขึ้นมากุมไว้บริเวณแผ่นอกพร้อมกับร่างของผมที่ค่อย ๆ ทรุดลงไปนั่งกองอยู่ที่พื้น


“พี่ศิ...ถ้าหัวใจของกรเต้นแรงจนหลุดออกมาจากอก คราวนี้พี่ศิได้เป็นฆาตกรจริง ๆ แน่”




หลังจากที่เมื่อคืนผมเจอการประทำและประโยคเด็ดของพี่ศิไปมันทำเอาผมนอนแทบไม่หลับเลยครับ ตอนนี้ผมนี่ขอบตาคล้ำสนิทแถมร่างกายของผมก็แทบจะลุกขึ้นจากเตียงไม่ไหว (หมดแรงแบบสุดชีวิตครับ) เมื่อสภาพผมเป็นแบบนั้นผมก็เลยยันตัวเองขึ้นพร้อมกับควานหาโทรศัพท์มือถือที่วางไว้โต๊ะข้างหัวเตียงขึ้นมากดเบอร์โทรศัพท์ของสหายเจมส์ครับ ผมนี่ก้มหน้าฟุบลงกับหมอนพร้อมกับรอให้ไอเจมส์มันรับสาย แต่ความหวังที่ผมจะพึ่งมันก็ไม่มีครับ ผมรอสายอยู่นานในที่สุดมันก็ตัดเข้าไปเป็นบริการรับฝากข้อความผมกดปิดทันทีพร้อมกับเลือกเบอร์โทรศัพท์หาเป้าหมายคนใหม่ซึ่งเป้าหมายคนใหม่ของผมคือพรีมครับ ด้วยมาดของนิสิตสาวไฟแรงตั้งใจเรียนและควบตำแหน่งเลขาท่านประธานชั้นปีดังนั้นพรีมต้องตื่นมาเรียนแน่นอนครับ เมื่อได้เป้าหมายผมก็รีบกดโทรศัพท์หาพรีมทันทีผมถือสาย รอไม่นานนักพรีมก็รับโทรศัพท์พร้อกับกรอกเสียงอันแสนจะสดใสซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเธอออกมา “ไงจ๊ะกร มีอะไรเหรอ”


“พรีม วันนี้พรีมจะเข้าเรียนใช่ไหม กรฝากเช็คชื่อทั้งวันเลยนะ กรไม่ไหวแล้ว” ผมกรอกเสียงอันแสนงัวเงียของตนลงไปพร้อมกับลงท้ายหาวใส่พรีมสองรอบ


ซึ่งเมื่อพรีมเธอได้ยินเสียงของผมพร้อมกับเสียงหาวที่บ่งบอกว่าผมง่วงนอนมากพรีมเธอก็รีบตกปากรับคำตกลงที่จะเช็คชื่อให้ผมทันที (ผมไม่ได้ตั้งใจจะโดดเรียนนะครับแต่แบบสภาพผมนี่ไม่ไหวแล้วจริง ๆ ขอโดดหน่อยเถอะแถมวิชาที่เรียนเป็นวิชานอกคณะอารมณ์วิชาช่วยที่บังคับเรียนนั่นหละครับโดดสักคาบสองคาบคงไม่เป็นอะไรมากหรอกมั้งครับ) “โอเคกร เดี๋ยวพรีมเช็คชื่อให้ แต่เมื่อคืนกรทำอะไรมาเหรอถึงได้ง่วงหนาวหาวนอนแบบนี้...เอ๋ หรือว่ากร…ไปทำอะไรกับพี่ศิมา!” ไอแรก ๆ ผมก็ซึ้งใจอยู่หรอกที่พรีมเป็นห่วงผมแต่ไอประโยคหลังของพรีมนี่ทำเอาผมแทบอยากจะกัดลิ้นตายมันตรงนี้


“พรีมไม่ใช่แล้ว คิดไปถึงไหนแล้วเนี่ย กรแค่นอนดึกไปหน่อยเองช่วยเช็คชื่อให้ทีนะ แล้วถ้ากรตื่นแล้วเดี๋ยวกรเตรียมห้องรอพวกเพื่อน ๆ แล้วกันเวลามาจะได้ปาร์ตี้กันได้เลย” ผมส่งเสียงอันแสนจะงัวเงียของตัวเองตอบพรีมไปซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าพรีมเขาจะเข้าใจในสิ่งที่ผมพูดไปหรือเปล่าแต่ตอนนี้ผมขอลาแล้วหละครับเพราะตอนนี้ผมไม่สามารถคุมสติให้ตัวเองตื่นต่อไปให้อีกแล้ว





หลังจากเวลาผ่านไปราว ๆ 7 ชั่วโมง (ซึ่งตอนที่ผมสะลึมสะลือโทรหาพรีมก็ราว ๆ 7 โมงเช้าครับ) ตอนนี้ก็เป็นเวลาบ่ายสองโมงตรงแล้วครับ และตอนนี้ตาของผมก็สว่างแบบเต็มที่ผมรีบลุกขึ้นมาจัดห้องเพื่อให้เพื่อน ๆ ทั้งหมดมานั่งก๊งเหล้าแดรกเบียร์กันครับ ขั้นแรกก็ต้องทำแบบเหมือนตอนไปปาร์ตี้กันที่ห้องพี่ศิครับนั่งคือเก็บพรมเป็นอย่างแรกเลยถ้าพวกมันเมาแล้วอ้วกรดพรมนี่ ผมคงต้องเสียเงินซื้อใหม่อีกหลายพันแน่นอนครับ


หลังจากพรมที่ถูกเก็บแล้วก็ต้องเคลียร์พื้นที่ภายในห้องให้ทุกคนนั่งทานได้กันครบ ทั้งต้องเก็บขยะมุมโน้น เก็บขยะมุมนี้ซ้ำยังต้องเก็บพวกเครื่องแก้วหรือกระเบื้องออกจากห้องนั่งเล่นอีกถ้าเกิดไม่เก็บออก พวกเพื่อน ๆ ของผมอาจจะทำแตกและทำให้เกิดบาดแผลได้ครับ ผมใช้เวลาจัดห้องประมาณ  2  ชั่วโมงในที่สุดห้องของผมก็เรียบร้อยเตรียมพร้อมกับใช้งานแล้วครับ


ผมยกมือขึ้นปาดเหงื่อพลางดูความสามารถในการจัดห้องของตัวเองแล้วอมยิ้มออกมาน้อย ๆ ‘แหมจากห้องที่รกอย่างกับรูหนูกลายเป็นห้องว่าง ๆ ที่มีพื้นที่มากพอให้คนสิบคนแด้นซ์กันได้นี่เราก็มีฝีมือเหมือนกันแหะ’


ผมภาคภูมิใจกับความสามารถของตัวเองก่อนจะยกถุงขยะทั้งหมดที่กองอยู่ในห้องออกไปบริเวณที่ทิ้งขยะและนำขยะแต่ละชนิดแยกลงไปใส่ในแต่ละถัง ซึ่งผมโดนปลูกฝังแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ๆ ครับ ถ้าไม่แยกขยะนี่คุณป๊ากับคุณม๊าตีผมตายแน่นอน และหลังจากผมจัดเตรียมทุกอย่างเสร็จสิ้น ทั้งลงไปซื้อน้ำแข็ง ล้างแก้วพลาสติก จานพลาสติก (ผมซื้อเอามาไว้ใช้เวลาดื่มโดยเฉพาะเลยครับ ก่อนหน้านี้ไม่เคยซื้อใช้จานกับแก้วกระเบื้องนี่แตกหมดบ้านครับ เลยต้องซื้อพวกของพลาสติกมาใช้แทน) หน้าที่ต่อไปของผมนั่นก็คือการรอให้เพื่อน ๆ มาครับ ผมหันไปมองเวลาตอนนี้ก็เป็นเวลาราว ๆ 5 โมงใกล้จะ 6 โมงเย็นแล้วหละรับผมคิดว่าอีกไม่เกิน สามสิบนาทีสหายทั้งหมดของผมก็คงจะมาถึงครับ


ผมนอนกลิ้งอยู่บนโซฟารอเพื่อน ๆ ไปสั่งพักไม่นานนักสหายสองคนแรกของผมก็โผล่ครับนั่นก็คือไอบาสกับไอเจมส์นั่นเอง (ไอสองคนนี้เรื่องแดรกไม่ต้องบอกมันไวเสมอ) และอีกสักครู่เพื่อนคนอื่น ๆ ก็ต่างทยอยกันมาห้องของผมครับ และเมื่อครบจำนวนคนงานปาร์ตี้คริสต์มาสอีฟก็เริ่มต้นขึ้นได้ ไอบอสนี่ถือแก้วเบียร์มาเลยครับพร้อมกับไล่ชนแก้วกับเพื่อน ๆ เรียงคน ซึ่งแต่ละคนก็ไม่เบียร์ก็เหล้าผสมเป๊ปซี่ครับ แต่ผมกับพรีม…ซดเป๊ปซี่เปล่า ๆ ครับ


เหตุผลของผมกับพรีมไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ครับ ทางพรีมพ่อแม่เธอไม่ให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และเธอก็ดื่มไม่เป็นเลยครับ ส่วนผมคุณป๊าคุณม๊าแกไม่ได้ห้ามให้ผมดื่มแต่คุณพี่ศิรวิทย์ที่อยู่ห้องข้าง ๆ (และทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองผมในช่วงที่ผมไม่อยู่บ้าน) แกไม่ให้ผมดื่มครับผมเลยไม่ดื่ม (ที่ไม่ดื่มไม่ใช่ว่ากลัวพี่เขานะครับผมแค่ไม่อยากฟังเสียงบ่นของพี่ศิก็เท่านั้นเองมันน่ารำคาญนิดหน่อยเพราะพี่ศิแกบ่นแบบยาวเหยียดจนผมหลับได้อ่ะครับ ผมก็โดนมาหลายรอบแล้วซึ่งเข็ดครับ) เพื่อนของผมเริ่มดื่มด้วยของอ่อน ๆ พร้อมกับกินกับแกล้มไป


ผมยืนกอดอกมองเพื่อนแต่ละคนในที่สุดมันก็เริ่มเมากันแล้วหละครับส่วนผมก็เดินแยกเข้าไปในห้องครัวพร้อมกับถือชีสเค้กชิ้นใหญ่ออกมา พรีมเห็นเค้กในมือผมพร้อมกับร้องกรีสออกมาด้วยความดีใจ (ดูเหมือนว่าที่บ้านนอกจากจะไม่ให้พรีมดื่มแอลกอฮอล์แล้วตอนนี้ที่บ้านเธอยังบังคับให้เธอลดน้ำหนักอีกของกินเล่นขนมนี่ที่บ้านไม่มีเลย พอเธอเห็นชีสเค้กในมือผมเธอก้กระโดดเข้ามาหาผมพร้อมกับของกินทันที ส่วนเพื่อนคนอื่น ๆ ยังคงดื่มกันต่อไป)


“กร พรีมขอชิ้นที่มีสตรอเบอร์รี่ลูกใหญ่ที่สุดนะ” พรีมเธอพูดพร้อมกับวิ่งเข้ามาถือมีดตัดเค้กแทนผมทันที (คือพรีมไม่ต้องขอ ผมก็เชื่อว่าพรีมจะหยิบชีสเค้กที่มีสตรอเบอร์รี่ลูกใหญ่ที่สุดอยู่แล้วครับเพราะตอนนี้อำนาจอยู่ในมือเธอแล้วครับ) เธอตัดเป็นชิ้น ๆ เท่า ๆ กันซึ่งเธอแบ่งออกมาเป็นสิบชิ้นตามลูกสตรอเบอร์รี่ที่ผมเรียงไว้ครับ แต่ผมก็แอบสงสัยตัวเองนะครับ เค้กขนมประมาณนี้น่าจะเรียงสตรอเบอร์รี่แค่ 8 ลูกก็พอทำไมผมถึงเรียงไว้ 10 ลูกก็ไม่รู้ ซึ่งผมก็ทำเบลอไปและยกจานไปแจกเพื่อน ๆ แต่ละคนที่เริ่มกรึ่ม ๆ กันแล้ว


แต่ละคนนั่งตักเค้กใส่ปากทากันไปจนเกือบจะหมดพลันเสียงเคาะประตูห้องของผมก็ดังขึ้นและบานประตูก็ค่อย ๆ เปิดออกเผยให้เห็นร่างสูงของบุคคลที่ทำให้ผมไม่ได้นอนเมื่อคืนนี้ซึ่งคน ๆ นั้นก็คือ ‘ว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์ผู้เป็นคนสำคัญของผมและควบตำแหน่งผู้ปกครองผมนั่นเองครับ’


ผมขมวดคิ้วมองพี่ศิไปและพี่ศิก็ส่งยิ้มกลับคืนมาให้ผม ไอรอยยิ้มกวนประสาทนั่นทำเอาผมอยากจะกระโดดไปงับคอเขาจริง ๆ ผมสะบัดหน้าหนีไปอีกทางพร้อมกับเดินไปนั่งที่โซฟาและเปิดเพลงให้เสียงดังยิ่งขึ้น (ไม่ต้องแคร์คนข้างห้องครับเพราะตอนนี้คนข้างห้องมาอยู่ในห้องของผมเรียบร้อย) และผู้เป็นเจ้าของรอยยิ้มกวนประสาทนั่นก็เดินสาวเท้ามานั่งข้าง ๆ ผมพร้อมกับหยิบชีสเค้กที่เหลืออยู่ชิ้นหนึ่งไปขึ้นไปกิน


“เมื่อวานมีคนป้อนให้ วันนี้พี่ทานเองก็ได้ครับ” พี่ศิตัวร้ายพูดย้อนไปถึงเมื่อวานพร้อมกับตักชีสเค้กในจานเข้าปากไป ไอจะกินชีสเค้กนี่ผมไม่ว่าหรอกครับแต่ทำไมต้องมาพูดย้อนไปถึงเมื่อวานด้วยมันทำเอาผมคิดไปถึงช่วงเวลาที่ผมนั่งนอนดีดขากินสตรอเบอร์รี่แล้วจอมมารศิรวิทย์ใช้สกิลโกงแย่งสตรอเบอร์รี่ที่อยู่ในปากของผมไป


พลันใบหน้าของผมก็ขึ้นสีแดงเรื่องก่อนมือเรียวจะยกมือขึ้นไปตบหลังพี่ศิเต็มแรงแก้เขิน ซึ่งเสียงนั้นดังสนั่นไปรอบ ๆ ห้องเพื่อนของผมที่บางคนก็กรึ่ม ๆ บางคนก็ยังไม่กรึ่มหันมามองผมกับพี่ศิเป็นตาเดียว ทุกคนนี่ถลึงตาใส่ผมราวกับทุกคนกำลังส่งสายตาถามผมว่า ‘มรึงทำอะไรพี่ศิ มรึงไม่กลัวตายหรือยังไงวะ’ ซึ่งผมก็ไหวไหล่ตอบพวกมันทุกตนไปพร้อมกับหยิบสตรอเบอร์รี่ที่อยู่ลนจานชีสเค้กของพี่ศิขึ้นมาใส่ปากและเคี้ยวมันอย่างเอร็ดอร่อย ‘นี่ถือว่าเป็นการเอาคืนเรื่องเมื่อวานก็แล้วกัน ถึงมันน่าจะทำอะไรเอาคืนมากกว่านี้ก็เถอะนะ’


หลังจากจัดการสตรอเบอร์รี่บนจานของพี่ศิเสร็จผมก็ลุกขึ้นไปนั่งร่วมวงกับเหล้าสหายที่กำลังดื่มกันอย่างเมามันและผมก็เริ่มหยิบเหล้าผสมน้ำเป๊ปซี่ขึ้นมาดื่มแล้วครับ และทุก ๆ ท่าคิดว่าผู้ปกครองที่คุมผมอยู่จะให้ผมดื่มเหรอครับถ้าคุณคิดว่าไม่ให้ดื่ม คุณคิดถูกครับ! พี่ศิแกหยิบแก้วเหล้าในมือของผมขึ้นไปดื่มแทนแล้วครับ ผมมองพี่ศิจนตาแทบถลนนี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นพี่ศิดื่มเหล้าเลยนะครับใบหน้าคมอมยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะส่งแก้วเหล้าที่ว่างเปล่ามาให้ ดูจากสภาพการแล้วพี่ศินี่ท่าทางจะเป็นคนที่คอแข็งพอตัวเลยครับ


ทุก ๆ คนคิดว่าพี่ศิแกไม่ยอมให้ผมดื่ม…แล้วทุก ๆ ท่านคิดว่าผมจะยอมเหรอครับผมขอตอบเลยครับว่า ผมไม่มีทางยอมหรอก ผมรินแก้วเหล้าแก้วใหม่ลงไปแต่คราวนี้รินเป็นสองแก้วเลยครับเมื่อผมจะยกขึ้นดื่มพี่ศิก็แย่งแก้วในมือของผมไปดื่มเอง ซึ่งผมก็กวนประสาทพี่เขาโดยการยกแก้วเหล้าที่ผมรินไว้อีกแก้วขึ้นดื่มเมื่อพี่ศิดื่มหมดผมก็ดื่มแก้วในมือของผมหมดเช่นกัน ผมยักคิ้วกวนประสาทพี่ศิกลับไปซึ่งพี่ศิก็ยกมือมาขยี้ผมของผมแรง ๆ แสดงการยอมแพ้ครับ


ดังนั้นหลังจากนี้ผมก็ดื่มเหล้าได้อย่างสบายใจแล้ว ผมยื่นแก้วให้พรีมผู้ซึ่งทำหน้าที่เป็นสาวเชียร์เบียร์ (?) เธอผสมเหล้าแบบอ่อน ๆ ให้ผมทานซึ่งมันทำให้ผมเมาช้าครับและพี่ศิที่รักของทุกคนจากตอนแรกที่นั่งฟังเพลงอยู่เฉย ๆ ตอนนี้ก็ลงมานั่งที่พื้นพร้อมกับดื่มเหล้าไปพร้อมกับพวกผมแล้วครับ


แต่ละคนนี่กรึ่ม ๆ กันได้ที่แล้วครับซึ่งผมก็มึน (ไม่) หน่อย ๆ แล้ว หัวของผมเอียงไปซบที่บ่าของพี่ศิ (ซึ่งยังไม่เมา) ผมพูดอ้อแอ้ไม่เป็นภาษาไปสักพักจนท้ายที่สุดผมก็เผลอหลับไป (คาบ่าของพี่ศินั่นเลยครับ)


ผมไม่รู้วว่าพี่ศิจะเข้าใจความหมายที่ผมพูดไปหรือเปล่านะครับแต่ผมขอแปลให้ทุกคนฟังเป็นกรณีพี่เศษนะครับผมบอกพี่ศิไปว่า “วันที่ 31 ธันวาที่พี่ศิชวนกรไปเคาท์ดาวน์…กรตกลงไปกับพี่ศินะ”



_____________________________________



เจอกันตอนถนัดไปนะฮร้า

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
พี่ศิฉกสตอเบอรรี่ที่ปากกร อร๊าย ฟิน
 :-[ :-[

ออฟไลน์ kongxinya

  • Skt KS
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
เค้าอยากกินสตอเบอรรี่ !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!  :-[

 :L2: :กอด1: :pig4: :L2:

ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 669
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
จะหนีไปเคาต์ดาวน์กันสองคน ชิชะ
จะแอบไปสวีตกันละซิ

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
ฟินนนค่าาา พี่ศิถ้าจะใกล้ขนาดนั้นทำไมไม่จูบไปเลยล่ะคะ อ๊ายยยยย

ออฟไลน์ RenaBee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0

พี่ศิคะจูบเลยซิคะโถ่!!!! แม่ยกขัดใจอ่่ะค่่ะ!!!

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0


หายหน้าหายตากันไปหลายวันตอนนี้แวปมาต่อแล้วค่ะพอดีตอนนี้กำลังแต่งซีรีย์ Love Sugery อยู่ค่ะ ซึ่ง งมพลอตกันเมามันมากค่ะ แต่อีกเรื่องจะได้อรรถรสต่างจากเรื่องนี้นะคะถ้าเกิดพลอยนำมาลงแล้วอยาจะขอฝากผลงานเรื่องนั้นเอาไว้ด้วยนะคะ




Chapter 23


บางครั้งความเมาก็ทำให้อยู่ในสถานการณ์ที่เราไม่อยากจะพบเจอนะครับ อย่างเช่นตัวผมในตอนนี้ซึ่งไอความเมาของผมดันนำพาความซวยมาให้ แต่ถ้ามองในมุมมองของคนอื่นมันอาจจะไม่ใช่ความซวยก็ได้นะครับเพราะว่าไอสิ่งที่ผมกำลังพบเจออยู่ตอนนี้ก็เป็นผลพวงมาจากปาร์ตี้ฉลองวันคริสต์มาสอีฟนั่นแหละครับ ผมก็จำไม่ได้หรอกว่าไอตอนตอนเมา ๆ มึน ๆ นั้นผมพูดพล่ามอะไรไปบ้าง


แต่เท่าที่ผมรู้ ผมต้องไปพูดตบปากรับคำอะไรกับพี่ศิแน่นอนเลยครับ ไม่งั้นตอนนี้ซึ่งเป็นช่วงเวลาบ่ายสามโมงเกือบจะสี่โมงเย็นของวันที่ 31 ธันวาคมบริเวณหน้าประตูห้อง 1403 ซึ่งเป็นสถานที่ที่ผมใช้ซุกหัวนอนคงไม่มีร่างสูงของว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์ยืนยิ้มและแต่งตัวประหนึ่งนายแบบที่ออกมาจากหนังสือแฟชั่นยืนอยู่หรอกครับ ผมเกาหัวตัวเองแบบงง ๆ พร้อมกับเปิดริมฝีปากเพื่อเอยถามพี่ศิไปว่าพี่เขามีธุระอะไรกับผมหรือเปล่า


“แต่งตัวซะหล่อจะไปไหนอ่ะพี่ หรือนัดสาวไปเคาม์ดาวน์ไว้” สิ้นคำถามของผมมือของพี่ศิก็ถูกยกขึ้นมาส่งมะเหงกมาใส่หัวผมเบา ๆ ร่างสูงตรงหน้าผมทอดถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะเอ่ยปากทวงสัญญาที่ผมไปสัญญาไว้ตอนไหนก็ไม่อาจทราบได้
“กรบอกกับพี่ว่าจะไปเคาท์ดาวน์กับพี่ไง พี่เลยมารับนี่ยังไม่ได้แต่งตัวอีกเหรอ” พี่ศิกอดอกปรายตามองสภาพผมหัวจรดเท้า (ซึ่งผมก็อยู่ในชุดเก่งครับเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงบอลขาสั้น) เมื่อพี่ศิพินิจสภาพของผมเสร็จพี่แกก็เดินลากผมเข้าไปในห้องพร้อมกับเริ่มปฏิบัติการคุ้ยตู้เสื้อผ้าของผมเพื่อเลือกเสื้อผ้าให้ผมใส่ครับ


ไอผมนี่แทบจะร้องทักพี่ศิเขาแทบจะไม่ทัน (ความจริงมันก็ไม่จริง ๆ แล้วแหละครับ) “พี่ศิแปปดิ อย่างเพิ่งคุ้ยตู้กร! กรไม่เห็นจำได้เลยว่ากรไปตบปากรับคำพี่ศิตรงไหน” สิ้นเสียงพูดของผมมือทั้งสองข้างของพี่ศิก็ชะงักทันทีพร้อมกับหันหลังมาทำหน้าเครียดใส่ผม


คิ้วเข้มขมวดเป็นปมแน่นพร้อมกับริมฝีปากหน้าเอื้อยเอ่ยถ้อยคำออกมา “กรจำไม่ได้เหรอครับตอนวันที่ 23 ที่พี่ชวนไปเคาท์ดาวน์ไงครับ” ยิ่งพี่ศิพูดผมยิ่งนึกย้อนไปถึงวันนั้น และไอการย้อนนึกไปถึงวันนั้นทำให้ผมหน้าขึ้นสีแดงจัดอีกครั้ง ‘ให้ตายเถอะรณกรเรื่องอื่นมีให้คิดไม่คิดดันเจือกไปคิดถึงเรื่องนั้น นายบ้าไปแล้วรณกร’ เมื่อความคิดนั้นลอยเข้ามาใส่หัวผมก็สะบัดหัวไปมาเพื่อไล่ความคิดนั่นออกไปจากสมอง ทว่าพี่ศิแกจะรู้ว่าภายในสมองของผมนั้นคิดอะไรอยู่ริมฝีปากหนาเหยียดรอยยิ้มร้ายพร้อมกับก็ลงกระซิบที่ข้างหูของผมด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “จำเรื่องที่ตอบตกลงกับพี่ไม่ได้…แต่กลับจำเรื่อง ๆ นั้นได้นี่นะทะลึ่งเหมือนกันนะครับกร”


เมื่อริมฝีปากหนานั่นเอ่ยจนจบผมก็เด้งตัวหนีพร้อมกับเอามือทั้งสองข้างไปกุมที่ใบหูข้างที่พี่ศิก้มลงมากระซิบ ทว่าพี่ศิจอมวายร้ายแกไม่ยอมให้ผมหนีจากเงื้อมมือของเขาไปได้ สภาพของผมกับพี่ศิตอนนี้เหมือนกับว่าผมกำลังเป็นลูกแกะตัวน้อย ๆ และทางพี่ศิเป็นหมาป่า (ผมคิดว่าไม่ใช่หมาป่าด้วยครับท่าทางจะเป็นไฮยีน่าเลยหละครับนิสัยขี้แกล้งแบบนี้) ร่างสูงค่อย ๆ ก้าวเท้าเข้ามาใกล้ผมมือข้างหนึ่งของพี่เขาถูกยกขึ้นมาเพื่อมายที่จะแตะตัวผม ไอมผมนี่แทบจะร้องกรี๊ดกลางห้องแต่พี่ศิเขาก็ไม่ได้ทำอะไรชั่วร้ายใส่ผมหรอกครับมือกร้านยกขึ้นมือลูบหัวของผมเบา ๆ พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเศร้า ๆ ออกมา


“ถ้ากรไม่อยากไปเคาท์ดาวน์กับพี่ก็ได้นะครับ พี่อาจจะจริงจังกับคำพูดของกรตอนเมามากเกินไป งั้นพี่กลับห้องก่อนนะครับ” เสียงทุ้มนั้นเอ่ยสั่นเครือซึ่งทำเอาผมรู้สึกผิดแบบสุด ๆ ก่อนที่ร่างของพี่ศิแกจะเดินออกไปจากห้องนอน มือข้างหนึ่งของผมก็เผลอเอื้อมไปจับมือของพี่ศิไว้ (ซึ่งผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงทำแบบนั้นครับ ผมรู้สึกว่าตอนนี้ผมปล่อยพี่ศิเดินออกไปจากห้องไม่ได้ครับ)


การกระทำของผมทำให้พี่ศิปรายตามองกลับมาด้วยความสงสัยซึ่งไอผมก็ก้มหน้าลงเพื่อสูดลมหายใจเข้าปอดพร้อมกับริมฝีปากที่ค่อย ๆ เอ่ยคำพูดออกมา “พี่ศิ…อย่าเพิ่งไปดิ กรแค่จำไม่ได้” ผมเงียบเสียงไปอีกสักพักก่อนจะกลั้นลมหายใจเอ่ยประโยคท้ายที่สุดออกมา “แต่ไม่ใช่ว่ากร…จะไม่ไปกับพี่ศิสักหน่อย” เมื่อผมพูดจบห้องทั้งห้องก็เงียบสนิทถ้าจะมีเสียงก็มีเพียงแต่เสียงลมหายใจของผมและพี่ศิเท่านั้น


เวลามันผ่านไปราว ๆ ห้านาทีได้ดูเหมือนพี่ศิแกจะประมวลผลเสร็จครับใบหน้าคมคลี่ยิ้มพร้อมกับลากผมไปที่ตู้เสื้อผ้าของผมอีกครั้ง และคราวนี้พี่ศิแกจับให้ผมยืนพร้อมกับเอาเสื้อแต่ละตัวในตู้มาเทียบกับตัวของผมเลยครับดูเหมือนว่าพี่แกกำลังจะมองว่าเสื้อตัวไหนมันเข้ากับผมมากที่สุด (สงสัยพี่ศิกลัวผมแต่งตัวดูไม่ได้ไปเทียบกับพี่ศิที่แต่งตัวหล่อประดุจเดินออกมาจากหนังสือแฟชั่นล่ะมั้งครับ)


พี่ศิแกคุ้ยตู้เสื้อผ้าของผมอยู่นานครับแต่ในที่สุดเหมือนพี่ศิแกจะเลือกได้ว่าชุดตัวไหนเหมาะกับผมที่สุด ในท้ายที่สุดผมก็อยู่ในลุคแบดบอยนิด ๆ เสื้อยืดคอด้านในกับเสื้อสูทพับแขนขึ้นทั้งกางเกงสแลคขาเดฟนิด ๆ ทั้งพี่ศิยังหยิบแว่นตาดำมาสวมให้ผมอีกคราวนี้เป็นหนุ่มแบดบอยของแท้เลยครับสภาพผมตอนนี้ แถมให้ไปเดินกับพี่ศิที่แต่งตัวสไตล์พระเอกเกาหลีผมนี่กลายเป็นตัวโกงในซีรีย์เกาหลีทันทีครับ (แต่ผมไม่อยากจะบอกเลยครับว่าไอชุด ๆ นี้ผมซื้อมันมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่เท่าที่ผมผมจำได้นะผมว่าผมไม่เคยซื้อชุดสไตล์นี้มาใส่เลยนะครับ แต่เอาเถอะสวมแล้วหล่อก็พอแล้วครับ)


เมื่อผมแต่งตัวเสร็จพี่ศิแกก็รีบจูงมือผม (กึ่งลากนิด ๆ) เดินไปที่ลิฟท์พร้อมกับกดปุ่มให้ลิฟท์เคลื่อนที่ไปยังชั้นลานจอดรถครับ ทว่าทั้งแต่ที่พี่ศิแกมายืนยิ้มอยู่หน้าห้องของผมผมก็ยังไม่รู้เลยว่าพี่ศิแกจะพาผมไปที่ไหนครับ เอาไงก็เอาเถอะอย่างน้อยพี่ศิก็เป็นคนที่ไว้ใจได้ไม่พาผมไปฆ่าไปแกงที่ไหนหรอกครับ


เมื่อลิฟท์เคลื่อนที่ลงมายังชั้นลานจอดรถพี่ศิก็เดินนำพร้อมกับปลดลอคกุญแจรถ BMW คันงามของเขาและเปิดประตูที่นั่งข้างคนขับเพื่อเชื้อเชิญให้ผมขึ้นไปนั่ง (ซึ่งไอการกระทำแบบนี้ของพี่ศิก็เกิดขึ้นทุก ๆ วันที่พี่ศิไปรับไปส่งผมครับ แกทำจนผมติดเป็นติดเป็นนิสัยไปเลยหละแต่ก็ติดเป็นนิสัยที่รถพี่ศิคนเดียวนะครับรถของเพื่อน ๆ คนอื่นนี่ผมก็เปิดขึ้นเปิดลงเองนั่นหละ) ผมก็ว่าง่ายครับผมก็ขึ้นไปนั่งบนที่นั่งข้างคนขับที่พี่ศิเปิดประตูให้นั่นหละส่วนพี่ศิเมื่อปิดบานประตูแล้วพี่แกก็เดินอ้อมไปอีกฝั่งพร้อมกับเปิดประตูและแทรกตัวเองขึ้นรถมาครับ


วันนี้พี่ศิดูจะดี้ด้าอารมณ์ดีเป็นที่สุดเลยครับ ให้ตายเถอะแต่ผมตอบตกลงว่าจะไปเคาท์ดาวน์กับพี่ศิเขาเท่านั้นนะถ้าเกิดผมตอบตกลงว่าผมจะไปเที่ยวทะเละ เที่ยวภูเขาค้างคืนสักสองสามคืนนี่ พี่ศิแกคงไม่ตีลังกาซัมเมอร์ซอลล์สามรอบแสดงอาการดีใจออกมาหรอกมั้งครับ ผมลอบมองพี่ศิพร้อมกับอมยิ้มออกมาจาง ๆ แต่ก็นะถึงจะถูกลากออกมาแบบงง ๆ แต่ถ้ามันทำให้พี่ศิแกดีใจแบบนี้ก็โอเคแล้วครับ (เพราะถ้าพี่แกงอนชีวิตผมอาจจะไม่สงบสุขได้ครับ)


ผมนั่งนิ่ง ๆ อยู่ในรถและปล่อยให้สารถีกิตติมศักดิ์นามว่าศิรวิทย์ขับไปส่งแต่ว่าไปผมก็ยังไม่รู้เลยนะครับว่าพี่ศิแกตั้งใจจะพาผมไปเคาท์ดาวน์ที่ไหน และตอนนี้เวลามันยังไม่ถึงหกโมงเย็นเลยครับรีบออกจากบ้านมาตั้งแต่ตอนนี้ พี่ศิตั้งใจจะไปที่ไหนกันนะ ซึ่งผมก็ไม่ถามพี่เขาหรอกครับเพราะถามไปก็คงใช้คำตอบเดิม ๆ ส่งมาว่า ‘บอกก่อนก็ไม่เซอร์ไพรส์สิครับกร’ หรือไม่ก็ ‘ไว้ถึงก็รู้เองครับกร’ แบบนี้แน่นอนเพราะผมโดนมาทุกคำตอบแล้วครับ


สรุปในตอนนี้ผมก็เอาไอโฟนห้า (ที่กำลังจะโดนขายและเปลี่ยนเป็นห้าเอส) ของพี่ศิมาเปิดเพลงฟังเล่นพร้อมกับเอนหลังไปกับเบาะแล้วหลับตาลง ผมโยนหัวตามจังหวะเพลงไปเรื่อย ๆ และในที่สุดรถคันงามของพี่ศิก็จอดลงที่ใดที่หนึ่งครับ ผมลืมตาขึ้นพร้อมกับมองไปคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ทว่าร่าง ๆ นั้นก็หายไปแล้วครับแต่ที่พี่ศิแกหายไปคือพี่แกหายมาเปิดประตูรถให้ผมลงครับ (โถ่ว! พ่อคนเทคแคร์คนเก่ง พ่อคนสุภาพบุรุษ พ่อคนดี แต่ถึงผมจะบ่นไปแบบนี้ผมก็ลงจากรถตามที่พี่ศิเชื้อเชิญให้ผมลงครับ)
หลังจากที่ผมลงจากรถผมก็ปรายสายตามองไปรอบ ๆ บริเวณที่ผมยืนอยู่ มันก็คือลานจอดรถในโรงแรมสุดหรูห้าดาวใจกลางกรุงเทพครับ ผมกอดอกพร้อมกับหันไปมองพี่ศิ (ผมไมได้คิดอกุศลนะครับแต่แค่ใช้สายตาถามพี่ศิแกเองว่าพาผมมาทำอะไรที่นี่) และพี่ศิคงจะรู้สึกได้ถึงสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามของผมพี่แกเลยอมยิ้มพร้อมกับตอบคำถามผมครับ


“ที่นี่มีร้านอาหารอาหารอิตาลีอร่อยครับกรพี่เลยอยากพากรมาทานข้าวในที่หรู ๆ บ้างส่วนมากเราก็ทานแต่ร้านในห้างสรรพสินค้ากันคราวนี้พี่อยากพากรมานั่งทานอะไรหรู ๆ บ้าง” ผมมองพี่ศิที่ตอบคำถาม ไอใจผมก็อยากจะสวนพี่ศิไปนะครับว่าร้านอาหารที่กินในห้างแต่ละร้านนี่ยังหรูไม่พออีกเหรอครับพี่ แต่ก็ได้เก็บมันไว้ในใจเพราะว่าถ้าเกิดผมปากเสียพูดอะไรไม่เข้าหูพี่ศิไปผมอาจจะได้จ่ายค่าอาหารมื้อนี้เองและท่าทางราคาอาหารของที่จะคงจะแพงมิใช่น้อย ๆ เลยครับ ผมไหวไหล่ตอบพี่ศิไปพร้อมกับสาวเท้าเดินเข้าไปในตัวอาคารพร้อม ๆ กับพี่ศิ


พนักงานที่ยืนอยู่หน้าฟร้อนต์โค้งตัวทักทายคุณพี่ศิรวิทย์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าผม พร้อมกับเอ่ยถามคำถามตามหน้าที่ของเขา “สวัสดีค่ะมาติดต่อเรื่องอะไรคะ” พนักสาวประจำหน้าฟร้อนต์พูดพร้อมกับส่งรอยยิ้มหวานมาให้แต่ผมรู้สึกว่ารอยยิ้มที่เธอยิ้มมามันจะหวานเกินหน้าที่แล้วครับ


ไอผมเริ่มหงุดหงิดที่พนักงานสาวพยายามพูดคุยเพื่อรั้งพี่ศิเอาไว้ในท้ายที่สุดผมก็ทนไม่ไหวครับผมเอาข้อศอกกระทุ้งสีข้างของพี่ศิไปทีหนึ่งเพื่อเตือนสติพี่เขา และไอการเตือนสติของผมทำให้พนักงานสาวเห็นหัวผมที่ยืนอยู่ด้านหลังพี่ศิเธอได้แต่ส่งรอยยิ้มแห้ง ๆ มาให้พร้อมกับรีบบอกทางไปภัตตาคารให้อย่างรวดเร็ว


ท่าทางหน้าตาของผมน่าจะน่ากลัวมากเลยสินะครับพนักงานคนอื่น ๆ ถึงไม่ได้อยากคุยหรือสนทนากับผมแต่หันไปพูดจ้อกับพี่ศิแทน ผมทำหน้าบึ้งตึงพร้อมกับเดินตามพี่ศิที่กำลังเดินนำผมไปยังภัตตาคารที่พี่ศิเขาได้จองไว้ เราทั้งสองคนขึ้นลิฟท์ไปยังชั้น 25 ซึ่งเป็นชั้นบนสุดซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของภัตตาคารที่พี่ศิได้จองไว้ พนักงานที่ยืนคอยยืนต้อนรับอยู่หน้าลิฟท์โค้งให้พวกเราสองคนพร้อมกับเดินนำพวกผมไปยังโต๊ะที่พี่ศิแกได้จองไว้


ผมเดินล้วงกระเป๋าพร้อมสาวเท้าเดินตามพนักงานไปผมกับพี่ศิเดินไปจนสุดขอบชั้น ในที่สุดผมก็เจอโต๊ะที่พี่ศิจองไว้สักที โต๊ะที่พี่แกจองไว้เป็นโต๊ะบริเวณริมหน้าต่างเลยครับครับและด้วยชั้นที่เราอยู่ตอนนี้เป็นชั้นบนสุดของโรงแรมห้าดาวทำให้พวกเราทั้งสองคนเห็นดวงอาทิตย์ยามเย็นใจกลางกรุงเทพครับ ผมหันมายกนิ้วให้กับพี่ศิที่เลือกสถานที่ได้ดีเหลือเกินซึ่งพี่ศิก็พยักหน้าเล็กน้อยเชิงขอบคุณ แต่ว่าเจ้าของใบหน้าคมไม่หยุดเพียงแค่นั้นริมฝีปากหนาที่คลี่ยิ้มก็เอ่ยพูดออกมา


“รู้ไหมพี่จองล่วงหน้าตั้งเดือนหนึ่งนะเนี่ยถึงจะได้ที่นั่งตรงนี้ในวันที่ 31 ธันวา” ร่างสูงตรงหน้าผมพูดอวด แต่ผมรู้สึกตะหงิดใจนิดหน่อยนะครับว่าพี่แกจองล่วงหน้าตั้งหนึ่งเดือนแล้วผมกลับปฏิเสธพี่ศิว่าผมไม่ยอมมาเคาท์ดาวน์กับพี่ศิเขา แล้วไอโต๊ะที่จองไว้จะทำยังไง


ผมนั่งเท้าคางมองหน้าพี่ศิพร้อมกับเอยถามคำถามที่ผมคิดไว้เมื่อสักครู่ “นี่พี่ศิ ถ้ากรปฏิเสธไม่มาเคาท์ดาวน์กับพี่ศิแล้วโต๊ะที่จองไว้พี่จะทำยังไงอ่ะ เห็นจองไว้ตั้งหนึ่งเดือนนี่วางแผนไว้นานแล้วใช่ไหมเนี่ย” เมื่อพูดจนจบประโยคผมก็เอียงคอมองพี่ศิไปครับซึ่งพี่ศิแกก็ยิ้มตอบกลับมาเช่นเดิม


“คำตอบแรกถ้ากรปฏิเสธเหรอ...พี่เชื่อว่ากรไม่ปฏิเสธคำชวนของพี่หรอกครับพี่เลยตัดสินใจจองไป ส่วนเรื่องที่ว่าพี่เตรียมการมาเป็นเดือน ๆ แล้วใช่ไหมถ้าตอบว่าไม่ใช่ก็เหมือนว่าพี่โกหก งั้นพี่ตอบว่าใช่แล้วกันพี่เตรียมการชวนกรมาทานข้าวที่นี่เป็นเดือน ๆ แล้วครับ” พี่ศิพูดพร้อมรอยยิ้มซึ่งเป็นซิงเนเจอร์ของพี่เขาแต่ทำไมรอยยิ้มนี้มันดูจะกวนอารมณ์ผมจริง ๆ เลยชักอยากจะพูดโต้ตอบไปบ้างแล้วสิแต่ผมก็ได้แต่สงบจิตสงบใจไว้เพราะว่ามื้อนี้พี่ศิเป็นคนจ่าย ถ้าเกิดปากหมามากเกินไปผมอาจจะโดนพี่ศิให้จ่ายเงินค่าอาหารเองก็ได้ครับ


ผมนั่งรอบริกรเพื่อที่จะสั่งอาหารอยู่นานแต่บริกรก็ไม่มาสักพักผมจึงหันไปถามพี่ศิแต่ก็ไม่ทันได้ถามอะไรบริกรหนุ่มก็ยกเครื่องดื่มมาวางไว้บนโต๊ะพร้อมกับจัดเรียงช้อน ซ้อม มีดและอะไรจิปาถะบนโต๊ะ ไอผมก็บ้านนอกครับไม่เคยมากินอะไรที่หรู ๆ แบบนี้เลยตกใจกับการที่เขามาเรียงช้อนซ้อมมีดอะไรมากมายแบบนี้ แต่จากการที่ผมดูหนังมาเยอะไอชอนแต่ละคัน มีดแต่ละเล่มนี่เอาไว้ใช้แต่สถานการณ์กัน แต่ผมขอสารภาพเลยครับผมเห็นว่ามันก็ไม่ต่างตรงไหนมันตักข้าว ตักอะไรใส่ปากได้หมดไม่เห็นจะต้องมีเยอะ ๆ ให้ยุ่งยากแบบนี้เลย  ส่วนบุคคลที่นั่งฝั่งตรงข้ามผมพี่แกน่าจะรู้มารยาทบนโต๊ะอาหารดีนะครับคงจะมาทานร้านอาหารอะไรจำพวกนี้บ่อยล่ะสิ ถึงได้ดูคล่องแคล่วซะขนาดนั้น ผมนั่งเท้าคางมองพี่ศิที่จัดองค์ทรงเครื่องตัวเองผ้าสีขาวที่ทางร้านวางไว้บนจานพี่ศิก็คลี่ออกพร้อมกับวางไว้บนตัก ผมก็เท้าคางมองพี่ศิแบบเบลอ ๆ ก่อนจะทำตามอย่างที่พี่ศิทำ


ค่อย ๆ คลี่ผ้าออกมาแล้ววางไว้บนตักผมมองพี่ศิเตรียมพร้อมกับทำขั้นตอนต่อไปแต่ดูเหมือนพี่ศิแกจะแกล้งผมซะแล้วล่ะครับเพราะการกระทำของผมที่เงอะ ๆ งะ ๆ ที่ค่อย ๆ ทำตามพี่ศิถูกพี่ศิใช้ไอโฟนเก็บภาพของผมไว้แทบจะทุกช็อต มือข้างหนึ่งผมเอื้อมไปหมายจะเอากล้องมาลบภาพ แต่ด้วยสกิลมือไวของพี่ศิตอนนี้ไอโฟนห้า (ที่อีกไม่นานก็น่าจะเปลี่ยนเป็นห้าเอส) ก็ถูกเก็บลงไปในกระเป๋าพร้อมกับใบหน้าที่เผยรอยยิ้มร้ายของตนออกมา ผมเบ้ปากใส่พี่ศิพร้อมกับกอดอกและหันหน้าหนีไปอีกทาง แต่พี่ศิแกก็ไม่ยอมให้ผมหันหน้าหนีครับนิ้วเรียวยาวถูกยื่นมาพร้อมกับเอามาแตะที่จมูกของผมและบีบเบา ๆ


ไอผมที่โดนทำแบบนั้นก็หันหน้ากลับไปเบ้ปากใส่พี่ศิทันทีซึ่งพี่ศิที่เห็นผมแบบนั้นพี่แกก็หลุดหัวเราะออกมา ‘นี่เฮีย…ผมไม่ใช่ของเล่นนะครับเฮีย แล้วก็ไม่ใช่ตัวตลกด้วยนะ’ ผมแลบลิ้นใส่พี่ศิไปพร้อมกับแงะมือพี่ศิที่อยู่บนจมูกให้ปล่อยออกไปแต่ท่านจอมมารศิรวิทย์? แกไม่หยุดอยู่แค่นั้นหรอกครับผมไม่ให้บีบจมูกแกก็เอื้อมมือมาเล่นผม พอไม่ให้เล่นผมแกก็กลับมาบีบจมูก ผมเอามือปัดป้องพี่ศิอยู่นานกว่าพี่ศิแกจะหยุดแกล้งผม แต่ไอที่หยุดแกล้งผมไม่ใช่พี่แกเบื่อหรอกนะครับแต่พอดีอาหารที่พี่ศิแกไปแอบสั่งไว้ตอนไหนก็นำมาเสริฟบนโต๊ะครับ ‘แหม คราวนี้เลี้ยงสเต็กแซลมอลเลยนะครับพี่ศิ แต่ผมไม่อิ่มด้วยสเต็กแซลมอลชิ้นเดียวหรอกครับ’ ผมมองจานสเต็กแล้วค่อย ๆ เงยหน้ามองพี่ศิ แต่ดูเหมือนพี่ศิแกก็รู้ใจผมนะครับเพราะรอไปอีกไม่ถึงห้านาทีจานซุปหอยแมลงภู่ก็นำมาเสริฟและอาหารต่าง ๆ ก็ทยอยมาเสิร์ฟเรื่อย ๆ ครับ ไม่ว่าจะเป็นสปาเก็ตตี้ครีมซอส พาสต้าทูน่า สลัดทูน่า (ซึ่งผมไม่ยอมกินและยกให้พี่ศิแกกินให้หมดจาน) ลาซานญ่ามีทซอสแฮมเห็ด เอาเป็นว่าเยอะมากครับและเป็นอาหารยุโรปแทบทั้งหมด


พี่ศิแกคิดจะให้ผมเลี่ยนตายเลยหรือไงครับเล่นเอาหารยุโรปมาขนาดนี้ แต่ก็ยังดีนะครับที่พี่ศิแกสั่งน้ำส้มมาให้ผมล้างปากแก้เลี่ยนนะครับ


ขั้นแรกผมจัดการเอาพาสต้าทูหน้ามาจัดก่อนเลยครับแต่ผมก็กินไปได้แค่หนึ่งในสี่ของจานผมก็ดันไปให้พี่ศิเขาทานต่อครับ ต่อไปผมก็เอาซุปหอยแมลงภู่มาล้างปาก แล้วจัดฟูลคอร์สเลยครับ ผมนี่แทนเวียนกินเลยครับส่วนไอช้อนเชิ้นมีดเมิดที่วางเรียงไว้ผมไม่สนใจมันเลยล่ะครับ เพราะผมถือช้อนถือซ่อมที่พอดีมือจิ้มโน้น ตักนี่ใส่ปากอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนพี่ศิน่ะเหรอครับไม่ต่างจากผมหรอกตอนแรกแกก็ทานแบบสไตล์ยุโรปแหละครับ แต่พอผมเริ่มเปิดแบบบ้าน ๆ พี่ศิแกก็ไม่สนใจมารยาทบนโต๊ะอาหารอีกแล้วครับ เราแย่งกันกินของในจานต่าง ๆ อย่างสนุกสนานในที่สุดของทั้งหมดบนโต๊ะก็หมดลงครับ (ผมไม่อยากจะบอกเลยนะครับพวกเราสั่งกันมาเยอะก็จริงแต่ของในจานนี่มีนิดเดียวเองครับพวกเราเลยกินกันได้อิ่มแบบสบายท้องไม่ได้ต้องยัดกันแบบตอนไปกินสคูลซี่ครับ)


หลังจากเราจัดฟูลคอร์สกันไปรายการถัดไปก็เป็นของหวานครับ แต่คราวนี้ของหวานพี่ศิแกไม่ได้สั่งเตรียมไว้ครับเพราะพี่แกรู้ว่าผมไม่ทานเค้กหรือขนมจากที่อื่นนอกจากของในร้านบ้านผม แต่คราวนี้ผมสั่งของหวานมาทานนะครับแต่เป็นไอศครีมครับ (ที่สั่งไอศครีมก็เพราะว่าบ้านของผมไม่ได้ทำไอศครีมขายนี่นา) ของผมเป็นช็อกโกแลตเชอร์เบตส่วนของหวานของพี่ศิก็เป็นชาเย็นปั่นใส่ไอศครีมวานิลลาครับ ไอผมก็มองว่ามันเป็นของหวานตรงไหนกันแต่เอาเถอะอย่างน้อยมันก็มีไอศกรีมลูกหนึ่งใส่ลงไปเหมือนกันล่ะ


ผมนั่งกินไอศกรีมไปสักพักพลันเสียงโทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้นและหน้าจอปรากฏเป็นชื่อของสหายเก่าเพื่อนสนิทตั้งแต่เกิดของผม (ที่ได้พี่ศิช่วยรักษามิตรภาพเอาไว้) โทรมาครับ ทุกท่านอาจจะลืมไปคน ๆ นั้นคือ ไอไฮซ์ นั่นเองครับผมหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาพร้อมกับกรอกเสียงของตัวเองลงไป “ไฮซ์ ไงมีไรเหรอ”


“เปล่า ไฮซ์ก็แค่จะถามว่าวันนี้กรว่างไหม ถ้าว่างไฮซ์คิดว่าจะชวนกรไปเคาท์ดาวน์ด้วยกัน” ไฮซ์เอ่ยปากชวนผมไปเคาท์ดาวน์…แต่รู้สึกว่าไฮซ์มันจะชวนช้าไปสักห้าหกวันนะครับ เพราะถ้ามันชวนผมเร็วกว่านี้ผมอาจจะตบปากรับคำมันไปแล้วและผมก็คงไม่ได้มานั่งกินอาหารสุดหรูกับพี่ศิแน่นอน


“โทษทีไฮซ์ กรไม่ว่างแล้วแหละพอดีกรนัดกับพี่ศิไว้ว่าจะไปเคาท์ดาวน์กันตอนนี้เลยอยู่กับพี่ศิน่ะ โทษทีนะไฮซ์” ผมพูดตอบไฮซ์ไปแต่ดูเหมือนว่าชื่อของไอไฮซ์จะทำให้พี่ศิที่นั่งดื่มชาอยู่จะคิ้วกระตุกเล็กน้อย ไม่รู้สิครับปกติพี่ศิแกไม่เคยสนใจกับการที่ผมคุยโทรศัพท์กับใคร แต่กับไฮซ์ทำไมพี่ศิถึงทำหน้าไม่ชอบใจแบบนั้นด้วย


“งั้นเหรอกร แล้วจะไปเคาท์ดาวน์ที่ไหนล่ะเผื่อว่าไฮซ์จะตามไปเคาท์ดาวน์ด้วย” ไฮซ์ถามถึงสถานที่ที่ผมกับพี่ศิจะไปเคาท์ดาวน์กันซึ่งผมก็หันมาถามพี่ศินะครับว่าพี่ศิตั้งใจว่าจะพาผมไปเคาท์ดาวน์ที่ไหน


“พี่ศิ ๆ ไฮซ์ถามว่าจะเราจะไปเคาท์ดาวน์ที่ไหนกันอ่ะ” ซึ่งคำถามของผมพี่ศิเขาเลือกที่จะไม่ตอบครับซ้ำยังหยิบโทรศัพท์มือถือของผมไปปิดเครื่องเสียอีก




v
v
v
v
v
v

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด