สวัสดีค่ะ ไหน ๆ ก้ไหน ๆ เราก็เปิดจองเซทลีมีเต็จของนิยายเรื่องนี้กันไปแล้วเราก็ขอเอาตอนจบหละมั้ง ของนิยายเรื่อง Love Surgery มาลงสักที ขอให้ทุก ๆ ท่านมีความสุจกับตอนจบ หละมั้งนะคะ ขอบคุณที่ติดตามนิยายของพลอยจนถึงตอนนี้ (ซึ่ง พลอยยังคงจะมาอัพนิยาต่อเรื่อย ๆ เพราะน้องจากตอนจบหละมั้งแล้วเรายังมี จบจริง ๆ หละมั้ง อยู่ ห่ะ// อะไรมันจะวกวนได้ขนาดนี้
แต่หากท่านไดยังไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับการสั่งจอง ติดตามได้ที่ลิ้งค์นี้นะคะ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=40768.msg2599402#msg2599402Chapter 34
บางครั้งการวางเดิมพันอะไรมันก็เป็นเรื่องที่มีความเสี่ยงสูงเอาเรื่อง โดยเฉพาะการเดิมพันเรื่องความรักแล้วมันยิ่งเสี่ยงหนักเลยล่ะครับ และที่ผมพูดถึงเรื่องการเดินพันนี้ขึ้นมา นั่นก็เป็นเพราะผมกำลังวางเดิมพันกับคนๆหนึ่งอยู่และสิ่งที่เดิมพันนั้นมันเป็นความรู้สึกของผม หรือเรียกง่าย ๆ ก็คือมันเป็นการวางเดิมพันของความรักนั่นล่ะครับ ซึ่งในตอนนี้ผู้ที่วางเดิมพันกับผมกำลังพยายามทำข้อตกลงนั้นของเราสองคนให้เป็นจริงอยู่ครับ
ถ้าจะให้บอกเป็นภาษาง่ายๆนะครับนั่นก็คือพี่ศิกำลังเล่นบาสอยู่ในสนามบาสครับ ซึ่งคณะแพทย์กำลังแข่งอยู่กับถาปัตครับ ซึ่งไอสกง สกอร์ผมไม่รู้หรอกครับว่ามันนับยังไง (เพราะผมเป็นบุคคลที่ไม่ชอบกีฬาเอาซะเลย) แต่เท่าที่ดูแผ่นป้ายที่เขียนคะแนนของทั้งสองฝ่าย คณะแพทย์…กำลังตามอยู่ราว ๆ 2 แต้มครับ (ท่าทางข้อตกลงของผมกับพี่ศิจะไม่สำเร็จแล้วล่ะครับ เพราะตอนนี้เวลาของการแข่งมันใกล้จะหมดแล้ว และที่ผมรู้ว่าเวลาจะหมดเพราะผมหันไปถามเฮียก๊อตที่มานั่งดูการแข่งบาสด้วยกันครับ ถ้าให้พูดกันตรง ๆ นะครับ ผมดูไม่รู้เรื่องเลยล่ะครับเลยได้แต่ดูสกอร์คะแนนที่เขียนอยู่บนบอร์ดเท่านั้น)
เมื่อผมเห็นแต้มที่เพิ่มขึ้นของคณะถาปัตนี่ทำเอาผมนั่งกอดเข่าหงอยเลยล่ะครับ เพราะในหัวของผมนี่คิดไว้แต่ว่าคณะแพทย์ต้องแพ้แน่ๆ และไอสภาพหมาหงอยของผมตอนนี้ทำเอาเฮียก๊อตที่นั่งอยู่ข้างๆของผมเป็นกังวล จนต้องละความสนใจจากเกมมาปลอบเลยล่ะครับ แต่ในขณะที่เฮียแกกำลังพูดปลอบผมว่า เดี๋ยวคณะแพทย์ก็ทำคะแนนตีตื้นขึ้นมาได้ อย่าห่วงเลย พลันเสียงรอบ ๆ ตัวของผมก็เฮดังขึ้นพร้อม ๆ กับสกอร์คะแนนถูกเปลี่ยนเป็น 67 ต่อ 67 เท่ากัน เมื่อเห็นแต้มเป็นแบบนั้นผมแทบจะคว้าคอของเฮียก็อตมากอดแล้วเขย่า ๆ เลยล่ะครับ แต่ก็ต้องเก็บอาการไว้ (แล้วทำไมผมถึงมาที่สนามบาสกับเฮียก๊อตนั่นเหรอครับ…เฮียก๊อตแกเป็นคนเดียวที่รู้เรื่องเกี่ยวกับข้อตกลงของผมกับพี่ศิครับ เพราะผมขอตามเฮียแกไปที่สนามบาสตอนแข่งกีฬาระหว่างคณะทำให้เฮียแกสงสัยจนผมต้องอธิบายไปครับ)
เมื่อการแข่งกลับมาเสมอเวลาที่จวนเจียนจะหมดของเกมก็ต้องถูกเพิ่มเวลาขึ้นครับ และช่วงเวลานั้นทำให้ผมได้ลุ้นว่าคณะแพทย์จะชนะหรือเปล่า (การเล่นบาส ถ้าเกิดว่าคะแนนเป็นแต้มเสมอ เค้าจะมีการเพิ่มเวลาขึ้นอีกครับแล้วก็เวลานั้นจะตายตัวเพื่อให้แข่งทำแต้มไปอีก ผมรู้แค่นี้ล่ะครับเกี่ยวกับการเล่นบาส)
และการแข่งนี้ทำให้ผมลุ้นจนตัวโก่งเลยล่ะครับว่าคณะแพทย์ชนะไหม แต่พี่ศิแกก็ทำตามข้อตกลงที่ผมให้ไว้ได้ครับเพราะตอนนี้เวลาการแข่งหมดลงแล้ว และที่สำคัญคณะแพทย์มีคะแนนนำคณะถาปัตอยู่สองแต้มนั่นก็หมายความว่าคณะแพทย์ชนะไงครับ ผมที่ยังคงนั่นอึ้งอยู่โดนเฮียก๊อตเขย่าตัวเบาๆ ก่อนจะบอกให้ผมวิ่งลงจากสแตนไปแสดงความยินดีกับพี่ศิครับ ซึ่งผมก็พยักหน้าตกลงพร้อมกับลากเฮียก๊อตให้ไปเป็นเพื่อน (ที่ผมลากเฮียแกไป นั่นก็เป็นเพราะพี่แกน่าจะรู้จักคนเล่นบาสต่างคณะครับ ผมไม่อยากไปยืนหัวโด่แบบไม่รู้จักใครในวงล้อมนักบาสของคณะแพทย์ครับ)
เมื่อผมเดินลงไปที่ด้านล่างของแสตน ผมก็ต้องเบียดเสียดกับนิสิตต่างคณะที่เข้าไปแสดงความยินดีและปลอบใจผู้ชนะและผู้แพ้ครับ และทันทีที่ผมแทรกตัวเข้าไปในวงล้อมของคณะแพทย์ได้ผมก็เจอหญิงสาวที่มีนามว่าน้ำฟ้ากำลังยื่นขวดน้ำเย็นให้พี่ศิอยู่ อารมณ์ที่สงบนิ่ง (ปนดีใจ) ของผมนี่ถึงกับพุ่งปรี๊ดขึ้นมาทันทีเลยครับ เมื่อเห็นภาพ ๆ นั้นผมก็จัดการสาวเท้าตัวเองไปพร้อมกับส่งยิ้มให้กับนักบาสจำเป็นผู้มีนามว่าศิรวิทย์ทันที
“พี่ศิ...กรมาแล้ว โทษทีที่มาช้านะครับ แข่งชนะแล้วดีใจด้วยนะ” ผมกล่าวเสียงใสพร้อมกับหยิบผ้าขนหนูในถุงที่เตรียมมายื่นให้พี่ศิไป ซึ่งพี่ศิเขาก็รับของที่ผมส่งไปด้วยรอยยิ้มครับ ซ้ำยังยักมือขึ้นมาขยี้ผมของผมเสียอีก
เสียงทุ้มเอ่ยขอบคุณผมแผ่วเบา แต่พี่เขาจะน่ารักกว่านี้ ถ้าเขาไม่โน้มตัวมากระซิบขอบคุณที่ข้างใบหูของผมแบบนี้ “ขอบคุณครับ น้องกร” ผมนี่ขนลุกเลยล่ะครับเมื่อพี่ศิแกเอ่ยจบ ไอขนลุกไม่ใช่เพราะที่พี่ศิกระซิบครับ แต่ที่ผมขนลุกนั่นก็เป็นเพราะสายตาผู้หญิงที่ยืนอยู่รอบๆ พี่ศิที่ส่งมาให้กับผม และที่น่ากลัวไปกว่านั้นนั่นก็คือใบหน้าสวยหวานของน้ำฟ้าที่จ้องมองมาที่ผมด้วยแววตาไม่เป็นมิตร แต่ก็นะ ถึงจะขนลุก แต่ผมก็รู้สึกสะใจแบบแปลกๆครับเพราะว่าสิ่งที่พี่ศิแกทำ มันเหมือนเป็นการประกาศกลาย ๆ ว่า… ‘พี่ศิเค้าเลือกผมครับ’ (ถึงผมจะยังไม่ได้ตอบตกลงพี่ศิเขาก็เถอะนะ)
ไอตัวผมก็ได้แต่ยิ้มอย่างสะใจพร้อมกับแกะขวดน้ำเปล่าเย็นแล้วยื่นไปให้พี่ศิ “นี่พี่ศิทำข้อตกลงเสร็จไปอีกขั้นแล้วนะครับ แบบนี้กรเอาใจช่วยให้พี่ศิชนะเลิศแล้วกัน…แต่ก็อย่าลืมว่ายังไม่จบ คณะวิศวะเป็นคู่แข่งอยู่” เมื่อผมส่งน้ำไปให้พี่เขา ผมก็เอ่ยถึงทีมบาสของคณะผมเพื่อเป็นการข่มขวัญพี่ศิ แต่ดูเหมือนว่าพี่แกจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยล่ะครับ ซ้ำยังส่งรอยยิ้มกลับคืนมาให้แก่ผมพร้อมกับเอ่ยถ้อยคำที่แสนมั่นใจออกมาว่าทางฝ่ายเขาต้องเป็นฝ่ายชนะเลิศแน่นอน
“มาข่มขวัญพี่แบบนี้ไม่ดีนะครับ กร…พี่ไม่มีทางแพ้หรอก แม้ในทีมของกรจะมีนักบาสของมหาลัยแบบก๊อตก็เถอะ” ร่างสูงกระตุกยิ้มพร้อมกับกอดอกมองมาที่ผมแต่ประโยคที่พี่ศิพูดออกมานั้นมันไม่ได้จบเพียงแค่นั้น ร่างสูงนั้นโน้มตัวมากระซิบเบาที่ข้างหูผมอีกครั้ง พร้อมกับเอ่ยประโยคที่ทำให้ผมอยากเอาขวดน้ำที่อยู่ในมือพี่ศิราดหัวของเขาให้รู้แล้วรู้รอด “ถ้าเกิดพี่แพ้…คงไม่ใช่พี่คนเดียวที่เสียใจ เพราะพี่ก็คิดว่ากรคงจะต้องเสียใจเป็นเพื่อนพี่แน่ๆ”
พี่ศินี่นะ…รู้ทันไปเสียทุกเรื่องจริง ๆ …
เมื่อพี่ศิพูดจบ ผมก็สะบัดหน้าหันหนีพร้อมกับมือทั้งสองข้างที่ไขว้กอดกันไว้ การแสดงท่าทางไม่พอใจเหมือนกับเด็กๆ ของผมทำให้พี่ศิหลุดหัวเราะออกมาเสียงดังพร้อมกับเอ่ยพูดขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อที่ห้องห้องน้ำ ผมพยักหน้าตอบเขา ก่อนจะค่อยๆสาวเท้าเดินตามไป
…ผมรู้นะครับว่าทุกๆคนสงสัยว่าผมสร้างข้อตกลงอะไรกับพี่ศิ ข้อตกลงที่ผมสร้างขึ้นเกี่ยวกับกำไลที่พี่ศิให้ผมมาเมื่อสองสามวันก่อนครับ การที่พี่ศิขอผมให้ผมสวมกำไลคู่กับพี่เขานั่นก็หมายความว่าพี่ศิต้องการขอคบกับผมอย่างเปิดเผยครับ…ซึ่งในตอนนั้นหัวสมองของผมนี่เบลอไปหมดทุกอย่างเป็นสีขาวโพลน และในสมองผมก็เกิดปิ้งอะไรขึ้นมาได้ครับนั่นก็คือข้อตกลงของผมกับพี่ศินั่นเอง จะเรียกว่าการพนันของผมกับพี่ศิก็ได้นะครับ เพราะว่าถ้าพี่ศิชนะผมจะยอมสวมกำไลคู่กับพี่ศิเขาหรือจะให้พูดง่าย ๆ ก็คือผมยอมที่จะคบกับพี่ศิเขาครับ แต่ถ้าพี่แกแพ้…เรื่องนี้เอาไว้ค่อยคิดครับ แต่ผมไม่คิดนะครับว่าพี่ศิแกจะแพ้เพราะว่าผมเชื่อในฝีมือชู้ตสามแต้มของพี่ศิเขาครับ
ผมยืนกอดอกพิงกำแพงรอพี่ศิอยู่หน้าห้องน้ำ ซึ่งพี่ศิแกต้องใช้เวลาแต่งตัวและอาบน้ำพอสำควรเลยล่ะครับ ดังนั้นมันก็มีสิ่งหนึ่งที่ผมคาดเดาเอาไว้ในใจว่าระหว่างที่ผมยืนรอพี่ศินั้นต้องมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาคุยกับผม และมันเป็นไปตามการคาดเดาครับ หญิงสาวคนหนึ่งเดินสาวเท้าเข้ามาหาผมพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ หากแต่แววตาของเธอนั้นจ้องมองผมราวกับว่าเธอจะกินเลือดกินเนื้อของผมเลยล่ะครับ
“สวัสดีครับ น้ำฟ้า” ผมเอ่ยทักทายเธอด้วยรอยยิ้ม (แม้ว่าภายในใจของผมจะไม่ยิ้มให้กับเธอเลยก็เถอะนะ) พร้อมกับพลิกกายหันไปหาเธอตามมารยาทของการสนทนา เวลาคุยกับเราต้องมองหน้าของคู่สนทนาใช่ไหมล่ะครับ ผมก็เลยหันไปหาเธอตามมารยาทจริงๆ ไม่ได้มีความหมายอื่นแอบแฝงเลยสักนิดครับ
“สวัสดีค่ะ พี่กร” น้ำฟ้าเอ่ยตอบกลับผมด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้น ซึ่งผมก็เข้าใจนะครับว่าทำไมเธอถึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจถึงขนาดนั้น ก็ผมเล่นไปสวีทหวานแหววกับพี่ศิ จนพี่ศิเมินสนิทใส่เธอแล้วหันมาสนใจผมแทนเธอ ทั้งๆที่เธอเป็นถึงดาวคณะนิเทศ เรื่องนี้นี่ทำให้เธอเสียหน้าเอาเรื่องเลยล่ะครับ แต่ช่วยไม่ได้นี่ครับการที่พี่ศิเมินเธอ มันไม่ใช่ความผิดของผมสักหน่อยนี่นะ
“มีอะไรจะคุยกับผมเหรอครับ น้ำฟ้า” ผมเอ่ยถามเธอด้วยรอยยิ้มและที่สำคัญรอยยิ้มของผมนี่เต็มไปด้วยความสะใจครับ (ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะแกล้งสุภาพสตรีเลยนะครับ แต่สำหรับน้ำฟ้าเธอคงไม่ใช่หญิงสาวปกติแล้วล่ะครับ เพราะมารยาของเธอนี่ล้ำเกินความเป็นกุลสตรีครับ)
“พี่กร…ทำน้ำฟ้าเสียหน้านะคะ ไปทำอย่างงั้นกับพี่ศิของน้ำฟ้าได้ยังไงกันล่ะคะ ไม่รู้หรือไงว่าพี่เขารังเกียจพี่กรขนาดไหน” ไอประโยคนี้ของน้ำฟ้าทำผมปรี๊ดขึ้นอีกครั้งเลยครับ ผมไม่ใช่พวกที่จะทำอะไรผู้หญิงก่อนนะ แต่เจอผู้หญิงปากแบบนี้มันน่าสั่งสอนไปสักทีสองที
“ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะครับ ผมแค่ยืนอยู่เฉยๆและพี่ศิก็เดินมาหาผมเอง ไม่เหมือนกับใครบางคนที่ต้องเดินไปหาเขาถึงที่ แต่พอถึงที่ คนๆนั้นเขาก็ไม่แล” ผมยังคงเอ่ยตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม แต่ถ้อยคำที่ผมเอ่ยไปนี่โคตรเสียดสีน้ำฟ้าเลยล่ะครับ เข้าใจนะว่าเธออยากควงพี่ศิ แต่การกระทำของเธอนั้นหนักหนา ขนาดเสแสร้งส่งข้อความมาทำให้ผมผิดใจกับพี่ศินี่มันเกินไปนะครับ ถ้าเกิดอยากควงพี่ศิมากขนาดนั้น โปรดใช้ฝีมือของตัวเองแย่งไปเถอะครับ
แต่ถ้าแย่งได้นี่ ผมยกให้เลยครับ แถมผมให้เงินเพิ่มด้วยเอา…
“นี่พี่กรหาว่าน้ำฟ้าเข้าหาพี่ศิเหรอคะ พี่ศิต่างหากที่เข้าหาน้ำฟ้าแล้วชวนน้ำฟ้าไปทานข้าวด้วยบ่อยๆ” น้ำฟ้าพยายามสรรหาคำโกหกมาใช้ครับ เพราะเธอรู้ว่าการเรียนแพทย์มันหนักมาก และผมกับพี่ศิไม่ค่อยจะมีเวลาเจอกันเท่าไหร่ เธอเลยใช้ช่วงเวลานั้นโกหกว่าเธอไปทานข้าวกับพี่ศิทุกวัน...แต่ไอคำโกหกพวกนั้นมันใช้กับผมไม่ได้หรอกครับ เพราะผมรู้ตารางเรียนพี่ศิแกดี และที่สำคัญ…ตอนเย็นพี่ศิแกไปนั่งอ่านหนังสือรอผม (ไม่ก็ผมไปนั่งรอพี่ศิสลับกันครับ) ที่คณะแทบทุกวันด้วยซ้ำ แล้วพี่ศิแกจะไปกินข้าวกับเธอทุกเย็นได้ยังไงกันเล่า คำโกหกบ้า ๆ ของเธอนี่ปั่นหัวผมไม่ได้อีกแล้ว
“น้ำฟ้า ผมว่าน้ำฟ้าเลิกโกหกเถอะนะครับ ไม้นี้มันใช้กับผมไม่ได้แล้วล่ะ จริงๆมันใช้กับผมไม่ได้นานมากๆแล้วด้วย” ผมพูดพร้อมกับทอดถอนลมหายใจออกมา ทว่าผมพูดไปแบบนั้นน้ำฟ้ายังคงไม่ยอมหยุดครับ นี่ผมชักจะเบื่อเธอแล้วนะครับ ผู้หญิงคนอื่นๆที่ผมรู้จักนี่ไม่มีใครนิสัยแบบนี้เลยสักคน แต่ดีแล้วล่ะครับที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่ผมรู้จักไม่ได้นิสัยแบบนี้ เพราะว่าถ้าผู้หญิงนิสัยแบบนี้มีเยอะ ผมคงคิดว่าโลกนี้คงจะแย่แน่ ๆ
“นี่พี่กรหาว่าน้ำฟ้าโกหกเหรอคะ เรื่องจริงนะคะน้ำฟ้าไลน์คุยกับพี่ศิเรียบร้อยแล้ว พอน้ำฟ้าออกจากโรงยิมไป พี่ศิจะขับรถมารับน้ำฟ้าทันที” ตอนนี้ผมชักเบื่อคำโกหกของเธอแล้วล่ะครับ ซึ่งผมก็มั่นใจว่าพวกรุ่นพี่ที่เปลี่ยนเสื้อผ้ากันเสร็จแล้วในห้องน้ำก็คงเบื่อคำโกหกของน้ำฟ้าแล้วเหมือนกัน ผมก็เลยตัดสินใจตะโกนเรียกให้นักบาสของทั้งสองคณะออกมาจากห้องน้ำครับ “นี่…พี่ๆครับออกมาจากห้องน้ำได้แล้วล่ะ ผมเคลียร์กับผู้หญิงคนนี้เสร็จแล้วล่ะครับ ไม่สิ เรียกว่าผมรำคาญมากกว่าครับขอความกรุณาด้วยนะครับ”
เมื่อผมพูดจบ ผมก็เอาเลิกเอาไหล่พิงกำแพงพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองที่เมมโมรี่คำพูดของน้ำฟ้าทั้งหมดขึ้นมาพร้อมกับกดให้มันเล่นเพื่อให้หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของนั้นฟัง
มันเก็บได้ทุกคำพูดเลยล่ะครับว่าเธอได้ร่ายคำโกหกอะไรออกมามั่ง นออกจากนั้นนักบาสที่เข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้ออยู่ในห้องน้ำก็ค่อยๆทยอยเดินออกมา และที่สำคัญไปว่านั้นสีหน้าของผู้ที่ได้ยินทุกคนแสดงให้เห็นถึงความผิดหวังในตัวตนที่แท้จริงของผู้หญิงที่เป็นดาวคณะนิเทศ และมีโอกาสที่จะได้เป็นถึงดาวมหาลัยอย่างน้ำฟ้า
และเมื่อนักบาสของทั้งสองคณะแต่ละคนเดินออกมาเรียงกันแล้ว น้ำฟ้าถึงกับหน้าซีดแถมเธอพยายามพูดแก้ตัวว่าผมเป็นคนหลอกล่อให้เธอพูดออกมา น้ำฟ้าเอ๊ย..เค้ารู้ธาตุแท้ของเธอกันหมดแล้ว อย่าแก้ตัวให้เสียเวลาเลย แต่คำพูดของน้ำฟ้าก็มีคนที่ลังเลจะเชื่อนะครับ เพราะสายตาบางคู่ของนักบาสคณะสถาปัตเริ่มเบนมามองที่ผม ทว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้องเงียบสงัดลง เมื่อพี่ศิสาวเท้าออกมาจากห้องน้ำเป็นคนสุดท้าย
ไอผมนี่ยิ้มออกมากว้างด้วยความสะใจเลยล่ะครับ น้ำฟ้าไม่รู้สินะว่าพี่ศิอยู่ในห้องน้ำนี้ด้วย ร่างสูงเดินออกมาด้วยใบหน้าที่แสนเรียบนิ่ง หากแต่ดวงตาคมที่ถูกจัดเรียงไว้อย่างสวยงามบนใบหน้านั่นกลับแฝงไปด้วยความโกรธเคือง ใช่แล้วครับพี่ศิแกได้ยินที่น้ำฟ้าแกพูดหมดทุกอย่าง แถมได้ยินเรื่องที่เธอใส่ร้ายตัวเขาอีกด้วย
คราวนี้น้ำฟ้าเธอดิ้นไม่หลุดแน่ๆครับว่าเธอนั้นเป็นฝ่ายโกหก และที่สำคัญมันก็ทำให้พี่ศิแกหลุดออกจากการเป็นผู้ต้องสงสัยในการโกหกใส่ผมครับ
น้ำฟ้าเธอยังไม่รู้สินะว่า…มือถือของพี่ศิน่ะมันพังไปแล้วด้วยฝีมือของผม และตอนนี้พี่ศิก็ไม่มีมือถือใช้เพราะยังไม่ได้ไปซื้อเครื่องใหม่เลย
ผมที่ยืนอยู่ข้างประตูส่งโทรศัพท์มือถือของตัวเองให้พี่ศิพร้อมกับกดเพลย์อีกครั้ง เพื่อให้มันเล่นซ้ำคำพูดที่ออกมาจากโทรศัพท์ของผมเป็นสิ่งยืนยันอย่างดีเลยล่ะครับว่าความใสซื่อของน้ำฟ้ามันเป็นเรื่องหลอกลวง ความน่ารักและความสวยของเธอ เบื้องหลังมันฉาบไปด้วยการหลอกลวงทั้งนั้น
และการที่เธอเปิดเผยตัวจริงของเธอออกมานี่ไม่ใช่ความผิดของผมนะครับ ผมแค่มายืนรอพี่ศิหน้าห้องน้ำเองและไม่ได้ไปยั่วยุให้น้ำฟ้าแกมาพูดเสียดสี โกหกใส่ผมเลยนะครับ อันนี้ผมพูดจริง ๆ นะ (ถึงตอนที่ผมให้น้ำกับผ้าขนหนูแก่พี่ศิ ผมจะส่งสายตาเยาะเย้ยเธอไปเล็กน้อยก็เถอะ)
“น้ำฟ้าครับ พี่เคยบอกกรนะว่าน้ำฟ้านิสัยเปลี่ยนไปแล้ว นิสัยของน้องไม่เหมือนกับตอนที่กรรู้จักสมัยมัธยม แต่พี่ไม่คิดเลยว่าความใสซื่อของน้ำฟ้าจะเป็นเรื่องโกหกแบบนี้ พี่ไม่รู้นะครับว่าน้ำฟ้าต้องการอะไร แต่พี่ขอร้องเถอะครับ เลิกโกหกว่าไปไหนมาไหนกับพี่สักที และที่สำคัญช่วยเลิกใส่ร้ายพี่สักที พี่ไม่เคยว่ากรแบบนั้น ไม่เคยพูดแบบนั้นสักครั้ง” พี่ศิเอ่ยออกมาราวกับเขาไม่ได้หยุดหายใจและเมื่อพี่ศิเอ่ยพูดจนจบ พี่ศิก็เดินลากผมออกไปจากที่แห่งนั้นทันที
v
v
v
v
v
v
v