- Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้งข่าว] [03/06]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

ถ้าเกิดนิยายเรื่องนี้จะรวมเล่ม ??

อยากให้รวม
79 (90.8%)
ไม่ต้องรวม
8 (9.2%)

จำนวนผู้โหวตทั้งหมด: 82

ผู้เขียน หัวข้อ: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้งข่าว] [03/06]  (อ่าน 241778 ครั้ง)

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
พี่ศินี่ใจเย็นจริงๆ อยู่ข้างๆกรตลอด ความผูกพันมันเพิ่มขึ้นทุกวัน
พี่ศิห่วงใย เอาใจใส่กรทุกเรื่อง ค่อยๆเล่าให้พี่ศิฟังนะกร

จริงๆอยากให้กรเคลียร์กับไฮท์ให้มันจบไป จะได้สบายใจ
(กรน่าจะเข้าใจผิดไฮท์เรื่องแฟนเก่า)


ออฟไลน์ kongxinya

  • Skt KS
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
มีเก็บโพลอินที่พี่ศิให้ด้วยน้องกรที่น่ารักจริงๆ :-[
พี่ศิก็โรแมนติก อิจฉากรเบาๆ :-[

แต่ท่าทางน้องกรจะฝังใจกับเรื่องที่ไฮซ์ทำมากเลยนะนี่ รอฟังๆพร้อมพี่ศิตอนหน้า :ling1:

รอตอนต่อไปค่ะ   :L2: :กอด1: :pig4: :L2:


ออฟไลน์ RenaBee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
พี่ศิใจดี อบอุ่น ฮืออออออออออออรักพี่ศิ ยิ่งผ่านไปหลายตอนความรักที่มีให้พี่ศิก็เพิ่มขึ้น!! อยากจะจับน้องกรผูกโบส่งให้พี่ศิ!


ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 669
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
ทั้งสองคนมีมุมมุ่งมิ้งกันน่ารักดี

รอตอนต่อไปจร้า

ออฟไลน์ j123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 699
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-1
เรื่องน่ารักดี รออ่านต่อจ้า ^^

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0


มาอัพนิยายฉลองวันฮาโลวีนค่า >< ฮะๆๆๆๆๆๆๆๆ แอบกระซิบว่าตอนนี้พลอยแมีแพลนที่จะเปิดนิยายเรื่องใหม่ค่ะ ถ้าเกิดพลอยเปิดนิยายเรื่องใหม่แล้วจะเอามาแนะนำนะคะ โค้ง// แต่ตอนนี้ก็ต้องขอฝากพี่ศิและน้องกรไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ



Chapter 18



ในตอนนี้ผมกับพี่ศิกำลังขับรถกับคอนโดกันครับ หลังจากที่ผมตัดสินใจว่าจะเล่าเรื่อราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นหระว่างผมกับไอไฮซ์ให้พี่ศิฟัง หลังจากนั้นพี่ศิเขาก็พาผมไปทานข้าวครับโดยร้านอาหารที่เราไปทานมันก็ไมได้หรูหราอะไรมากมายเหมือนร้านอาหารญี่ปุ่นที่พวกเราเข้ากันในตอนแรกครับ มันเป็นแค่ฟูดคอร์ดธรรมดา ๆ เท่านั้นเอง ที่จริงผมก็บอกให้พี่ศิกลับไปที่ร้านอาหารญี่ปุ่นนะครับแต่พี่ศิเขาปฏิเสธพร้อมกับบอกว่าฝากเงินไว้ให้พี่วิกับพี่เตอร์แล้วไม่ต้องเป็นห่วงอะไร ผมก็เลยได้แต่พยักหน้าและเดินตามพี่ศิมาทานอาหารค่ำที่ฟูดคอร์ดในห้างครับ ผมนั่งทานข้าวต้มทะเลครับส่วนพี่ศิทานเป็นข้าวราดแกงครับ อาหารที่พวกผมทานตอนนี้ต่างกับที่สั่งในร้านอาหารญี่ปุ่นราวกับฟ้ากับเหวเลยครับ แต่ทำไมผมรู้สึกอยากอาหารและคิดว่าอาหารพวกนี้อร่อยกว่าในร้านสุดหรูนั้นซะอีก มื้อค่ำมื้อนี้แม่ก่อนหน้าจะมีปัญหาหรือทำให้ผมหงุดหงิดใจแต่ผมก็ทานมันจนหมดซึ่งพี่ศิเขาก็ทานจนหมดจานเช่นหัน หลังจากที่พวกเราทานมื้อค่ำเสร็จเราทั้งสองคนก็เดินเที่ยวในห้างอีกสักหน่อยผมเข้าไปใน B2S เข้าไปเดินดูแผนกเครื่องเขียนสำหรับเทอมใหม่กับพวกแผ่น DVD เพลงกับหนัง และได้อะไรติดไม้ติดมือกลับคอนโดไปนิดหน่อย พอผมเดินซื้อของเสร็จพี่ศิก็ชวนผมกลับจนผมนั่งอยู่ในรถแบบนี้ครับ


พี่ศิขับรถช้า ๆ เนิบ ๆ พร้อมกับเปิดแผ่นเพลงที่ผมเพิ่งซื้อมาจากห้างเมื่อสักครู่ให้ผมฟัง ดูเหมือนว่าพี่ศิจะรู้นิสัยผมนะครับว่าเวลาผมมีอารมณ์แบบไหนผมจะฟังเพลงตามอารมณ์ อย่างเช่นตอนนี้ผมรู้สึกเบื่อหน่ายผมก็จะฟังเพลงเศร้า หรือพวกเพลงช้า ๆ หรือเวลาผมรู้สึกสนุกสนาน ผมก็แหกไปฟังสามช่าหรือลูกทุ่งเลยก็มีครับ พี่ศิขับรถต่อไปอีกไม่นาน สักพักเราก็มาถึงคอนโดแล้วหละครับ เมื่อรถยนต์จอดสนิทผมก็ออกจากรถและเดินไปกดลิฟท์เพื่อขึ้นไปยังชั้นที่ 14 ซึ่งเป็นชั้นที่ผมกับพี่ศิพักอยู่ เราทั้งสองคนรอลิฟท์อยู่สักพักแค่ช่วงอึดใจบานประตูลิฟท์ก็เปิดออกเพื่อให้พวกเราทั้งสองคนเข้าไปด้านใน ช่วงเวลาที่อยู่ในลิฟท์เราทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรใส่กันเลยครับผมยืนอยู่เงียบ ๆ ในมุม ๆ หนึ่งของลิฟท์ซึ่งพี่ศิก็ยืนห่างออกจากผมนิดหน่อยไม่ช้าบ้านประตูลิฟท์ก็เปิดออกอีกครั้งในชั้นที่ 14 เราสองคนเดินออกจากลิฟท์ไปและเดินตรงไปยังห้อง 1404 ซึ่งเป็นห้องของพี่ศิ


พี่ศิเปิดประตูห้องเชื้อเชิญให้ผมเดินเข้าไปด้านในซึ่งผมก็ก้าวเดินเข้าไปตามคำเชื้อเชิญนั่นกระเป๋าของผมวางลงบนโซฟาซึ่งเป็นที่นอนดูหนังประจำของผมและร่างกายของผมก็ค่อย ๆ ทรุดตัวลงผมนั่งนิ่งอยู่นานเพื่อเรียบเรียงเรื่องราวที่อยู่ภายในสมองผมอยู่ในสมาธิของตนเองจนกระทั้งพี่ศิวางแก้วน้ำเย็นตรงหน้าผม


ผมเหลือบตามองพี่ศิก่อนจะทอดถอนลมหายใจตนออกมาเฮือกใหญ่และเริ่มต้นเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับไอไฮซ์ให้พี่ศิฟัง


“พี่ศิ…พี่เคยมีเพื่อนที่สนิทกันตั้งแต่เกิดไหม…ตั้งแต่เกิดมาเราก็เจอหน้ากัน ตอนไปโรงเรียนอนุบาลเราก็อยู่ห้องเดียวกัน ชั้นประถม มัธยมเราก็อยู่ห้องเรียนเดียวกัน… เพื่อนที่สนิทที่สุด เพื่อนที่คิดว่ามันจะเป็นเพื่อนตายของเราเพื่อนที่คิดว่าเราจะสนิทกับมันไปตลอดชีวิต…แต่มันกลับมาหักหลังเรา ทำลายความไว้ใจของเรา” ผมพูดออกไปอย่างเหม่อลอยหยดน้ำตาหยดแรกค่อย ๆ ไหลรินออกจากดวงตาแต่ผมก็ไม่คิดจะปาดมันออกไปจากใบหน้า ริมฝีปากผมสั่นเครือแต่ก็ยังคงฝืนกล่าวเรื่องราวที่เกิดขึ้นออกมาต่อ “เรื่องมันเกิดขึ้นตอนกรอยู่ ม.6 ครับพี่ศิ ตอนนั้นกรมีแฟนชื่อน้ำฟ้า น้ำฟ้าอายุน้อยกว่ากรปีหนึ่งครับเธอเป็นเด้กผู้หญิงน่ารัก พูดเล่นยิ้มแย้มแจ่มใสและกรก็รักน้ำฟ้ามาก” หลังจากประโยคที่ผมบอกว่าผมรักน้ำฟ้ามากผมรู้สึกเหมือนพี่ศิจะกำมือแน่นเหมือนกับพยายามอดกลั้นอะไรบางอย่างผมรู้ครับว่าพี่เค้าพยายามอดทนเรื่องอะไรอยู่ การที่คนสำคัญของตัวเองมาบอกว่ารักคนอื่นมากต่อหน้าตัวเองมันเป็นอะไรที่ทรมานครับ ถึงผมยังจะไม่ให้ฐานะพี่เขาเป็นคนพิเศษของผมแต่ผมก็รับรู้ได้ครับว่าผมนั้นกลายเป็ยคนพิเศษสำหรับพี่ศิไปแล้ว


“วันนั้นเป็นวันเกิดของไอไฮซ์ครับ วันเกิดครบ 18 ปีของมันและเป็นวันที่ทำให้กรกับมันเลิกคบเป็นเพื่อนกันครับ วันนั้นบ้านของไอไฮซ์มันจัดงานวันเกิดครับซึ่งกรก็ดื่มตามประสาเด็กผู้ชายวัยรุ่นและวันนั้นกรก็พาน้ำฟ้าไปด้วยและกัก็ปล่อยให้เธอไปคุยกับเพื่อน ๆ ของกรครับ ตอนนั้นกีดื่มกันอย่างสนุกสนานจนในที่สุดกรก็เมาครับ ไอบาสกับไอเจมส์ก็ทำหน้าที่หามผมเข้าตัวบ้านเพื่อจะพาไปนอน แต่ไอสองคนนั้นพาไปผิดครับมันพาผมไปห้องนอนส่วนตัวของไอไฮซ์ และทันทีที่เปิดประตูเข้าไปกรเห็นภาพ ๆ นั้นเต็มสองตา ภาพที่คนทั้งคู่กับนัวเนียกัน เสื้อผ้าของแต่ละคนไม่ครบชิ้น หลังจากเห็นภาพนั้นกรก็แทบจะสร่างเมาทันทีและรีบวิ่งออกมาจากบ้านของไอไฮซ์และไม่เคยคุยกับมันอีกเลยจนถึงวันนี้” ผมเล่าไปน้ำตาที่ตอนแรกไหลน้อย ๆ ตอนนี้มันกลับพรั่งพรูออกมาราวกับสายน้ำไหล ผมสะอึกสะอื้นเบา ๆ แต่ก็ยังไม่คิดจะปาดน้ำตาตัวเองอยู่ดี ผมมองพี่ศิผ่านม่านน้ำตาร่างของพี่ศิค่อย ๆ ขยับมาใกล้ผมและคว้าบ่าและกดหัวของผมให้ไปซบที่บ่าเขาการกระทำแบบนี้ของพี่ศิยิ่งทำให้ผมสะอึกสะอื้นออกมาเสียงดัง ความรู้สึกที่เหมือนมีคนอยู่เคียงข้าง ความรู้สึกที่เหมือนมีคนเข้าใจ


ผมรู้ครับว่าเหตุการณ์ในวันนั้นไม่ใช่ไอไฮซ์คนเดียวที่ผิดน้ำฟ้าก็ผิดด้วยเพราะตบมือข้างเดียวมันไม่ดังหรอกครับแต่ผมกลับไม่ฟังเหตุผลจากใครเลยไม่ฟังเหตุผลไอไฮซ์ซึ่งเป็นเพื่อนตายของผมว่าทำไมถึงทำแบบนั้น ผมรู้จักนิสัยมันดีครับแต่ผมปฏิเสธที่จะรับฟังคำพูดของมันและผมยังคงหนีความจริงจากปากของมันจนถึงทุกวันนี้


ทั้ง ๆ ที่ผมควรจะเชื่อใจและรับฟังเหตุผลของคนที่ผมรู้จักมาทั้งชีวิต…มากกว่าที่จะหนีแบบนี้


พี่ศิลูบหัวปลอบผมอย่างแผ่วเบาพร้อมกับเสียงทุ้มที่เอ่ยออกมาอย่างอ่อนโยนว่า “พี่รู้ว่ากรเก็บเรื่อง ๆ นี้ไว้ในใจมานานมาก ถ้ากรอยากร้องไห้กรก็ร้องไห้ออกมาให้พอเถอะครับ” สิ้นเสียงของพี่ศิมันทำให้ผมยิ่งส่งเสียงสะอื้นออกมามากกว่าเก่า


มันก็เป็นอย่างที่พี่ศิพูดมานั่นหละครับผมเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจมานานไม่เคยแสดงความรู้สึกอ่อนแอออกมาให้ใครเห็นแม้แต่พ่อแม่และเพื่อนฝูง ผมเก็บความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจเก็บมันมานานมากจนบางครั้งมันเกือบจะปะทุขึ้นมาหลายต่อหลายครั้ง ทว่าผมก็ยังคงขุดหลุมฝังมันให้ลงไปลึกยิ่งกว่าเก่า


แต่รู้สึกว่าตัวผมจะลืมความจริงข้อหนึ่งไป…ว่าคนเราไม่มีทางหนีความจริงหรือหนีปัญหาไปได้ตลอด…และในที่สุดวันนี้ความจริงมันก็ถูกขุดขึ้นและมันก็ดึงเอาความลูกสึกที่ผมเก็บไว้ในส่วนลึกของหัวใจออกมา


“กรครับ…กรลองถามความรู้สึกของตัวเองนะครับว่ากรรู้สึกยังไง กรเสียใจเพราะอะไรและกรอยากที่จะทำอะไรต่อ” เสียงทุ้มยังคงเอ่ยปลอบโปลมซ้ำยังเอ่ยคำถามออกมาให้ผมได้ย้อนคิดถึงความรู้สึกที่อยู่ภายในใจ


และในถ้อยคำที่แสดงความเป็นห่วงเป็นใยผม มันทำให้ตัวของผมย้อนคิดถึงความรู้สึกและทบทวนความคิดของตัวเอง ผมซึ่งรู้จักไอไฮซ์ดีกว่าใคร ผมรู้ตัวตนของมันไอไฮซ์ไม่ใช่คนฉวยโอกาส มันไม่ใช่ผู้ชายที่จะหักหลังเพื่อนหรือทรยศเพื่อนเรื่องผู้หญิง…โดยเฉพาะเพื่อนรักอย่างผมมันไม่มีทางทำลายมิตรภาพระหว่างเรา ผมรู้ว่ามันรู้สึกผิดมากในสิ่งที่มันทำและมันก็พร้อมที่จะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดในวันนั้น


เพียงแต่ผมไม่ยอมรับฟังคำอธิบายของมัน….ผมเอาแต่หนี หนี และก็หนี ในสมองของผมคิดเพียงแต่ว่าไอไฮซ์มันแย่งแฟนของผมไปมันหักหลังผม มันทรยศผม มันทำลายความเชื่อใจของผม


แต่ผมก็ไม่ได้ย้อนคิดไปถึงทางฝั่งน้ำฟ้าเลยว่าเธอได้ยั่วยุไอไฮซ์มันหรือเปล่าหรือว่าเธอเรียกร้องให้ไอไฮซ์ทำ…


“พี่ศิ…กรไม่เคยคิดที่จะรับฟังคำอธิบายออกจากปากของไอไฮซ์…ไม่ยอมฟังความจริงว่าเรื่องราวในวันนั้นมันเกิดขึ้นได้ยังไงเพราะใคร และฝ่ายไหนเป็นคนเริ่มก่อน” น้ำเสียงสะอึกสะอื้นของผมยังคงเอื้อนเอ่ยต่อไปน้ำตาก็ยังคงไหลรินออกจากดวงตาทั้งสองข้างอย่างไม่ขาดสาย “ที่กรรู้สึกไม่พอใจเวลาที่เจอหน้าไอไฮซ์มันทุกครั้ง มันไม่ใช่เพราะกรเกลียดมันหรอกแต่มันเป็นเพราะเวลาที่กรเห็นหน้าไอไฮซ์ มันทำให้กรรู้สึกผิด…ผิดที่ไม่ฟังความจริงจากปากมัน ผิดที่ไม่ฟังคำอธิบายจากมัน กรแค่อยากจะโทษและโยนความผิดทั้งหมดให้ใครสักคนเพื่อไม่ให้กรเจ็บปวด และคนที่ต้องมารับความรู้สึกทั้งหมดของกรก็คือไอไฮซ์…”


เมื่อพี่ศิได้ฟังถึงความรู้สึกของผมพี่แกก็ไม่ได้เอ่ยพูดอะไรออกมามือกร้านยิ่งกระชับวงแขนของตนแน่น ส่วนอีกมือหนึ่งก็ยังลูบหัวผมปลอบปโลมอย่างแผ่วเบา อ้อมกอดของพี่ศิที่มอบให้ผมนั้นมันเป็นความรู้สึกอบอุ่นที่ผมไม่เคยได้รับจากใครมาก่อนมันแตกต่างจากอ้อมกอดของครอบครัว มันแตกต่างจากอ้อมกอดของเพื่อน ๆ มันเป็นอ้อมกอดที่เต็มไปด้วยความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยและมันก็ทำให้หัวใจของผมได้รู้สึกถึงความอบอุ่นของคำว่ารัก


ผมยังคงนั่งอยู่ในอ้อมกอดของพี่ศิต่อไปเราทั้งสองคนไม่มีใครขยับเขยื้อนภายในห้องยังคงมีเสียงสะอึกสะอื้นของผมอยู่แต่มันก็ค่อย ๆ เบาลงจนภายในห้องนั้นเงียบสนิท


“กรครับ…ทิฐิคนเรามีได้นะครับแต่อย่ามีมากจนเกินไป” เสียงทุ้มของพี่ศิที่เงียบไปนานเอ่ยขึ้น “ถ้ากรมีมากเกินไปมันจะย้อนมาทำร้ายกรได้เหมือนอย่างตอนนี้”


ในถ้อยคำของพี่ศิมันทำให้ผมคิดได้ครับว่าสุดสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นและเรื่องราวทั้งหมดที่ค่อย ๆ เลวร้ายขึ้น…มันเกิดมาจากทิฐิของผมนั่นเอง แต่ต่อให้ผมรู้ต้นเหตุของเรื่องนี้แล้วผมจะทำอะไรได้หละสิ่งที่ผมทำใส่ไอไฮซ์มันเลวร้ายเกินกว่าที่มันจะให้อภัยผม


“แล้วกรจะทำยังไงได้หละสิ่งที่กรทำใส่ไอไฮซ์ มันเลวร้ายเกินไปกรทำร้ายมันมากเกินไปมากจนไม่รู้ว่ามันจะให้อภัยกรได้อีกไหม” ผมเอ่ยถามพี่ศิเสียงสั่นมือทั้งสองข้างของผมนั้นขยุ้มเสื้อนิสิตของพี่ศิแน่น


“น้องกรที่พี่รู้จักหายไปไหนครับ น้องกรที่พร้อมวิ่งเข้าชนกับปัญหาเคลียร์กับทุกสิ่งหายไปไหน” คำถามนี้ของพี่ศิทำให้ผมคลายมือออกจากเสื้อนิสิตของพี่เขาและก็ค่อย ๆ ดันตัวเองออกมาจากอ้อมกอดของพี่ศิ


“น้องกรที่พี่รู้จักคือน้องกรที่กล้าสู้กับปัญหา มั่นใจและเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองทำนะครับ” สิ้นเสียงทุ้มนิ้วเรียวของพี่ศิก็ถูกยกขึ้นมาเกลี่ยน้ำตาออกจากใบหน้าของผมพร้อมกับจับแก้มของผมให้ฉีกยิ้ม “น้องกรที่พี่รู้จักไม่ใช่คนเจ้าน้ำตา แต่เป็นน้องกรที่สามารถยิ้มรับกับทุกสถานการณ์ได้นะครับ”


ถ้อยคำที่พี่ศิเอื้อนเอ่ยออกมานั้นมันเหมือนเป็นถ้อยคำที่เตือนสติผม ผมให้ผมรู้ตักว่าผมไม่ใช่คนขี้ขลาดที่จะวิ่งหนีปัญหาแบบนี้ แต่ผมเป็นคนที่พร้อมต่อสู้กับและยิ้มรับกับทุกสถานการณ์


“ขอบคุณนะครับพี่ศิ…ที่พี่เตือนสติผมไม่ให้ลืมตัวตนของตัวเอง” ผมเอ่ยพร้อมรอยยิ้มมือตั้งสองข้างของผมถูกยกขึ้นไปจับฝ่ามือทั้งสองข้างของคนตรงหน้า และนำมือนั้นมาแนบไว้กับแผ่นอกของตน “พี่ศิทำให้หัวใจดวงนี้มีกำลังใจมากขึ้นและยังทำให้หัวใจดวงนี้เข็มแข็งขึ้นกว่าเก่า…ขอบคุณนะครับพี่ศิ” เมื่อผมเอ่ยจนจบประโยคเราทั้งสองคนก็ส่งยิ้มให้แก่กันก่อนที่มันจะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะเบา ๆ ที่ดังไปทั่วทั้งห้อง


‘กรขอบคุณพี่ศิมาก ๆ เลยนะครับที่เตือนสติกร และเรียกตัวตนเดิมของกรออกมา’


หลังจากที่ผมหยุดร้องไห้พวกเราทั้งสองคนก็แยกย้ายกันกลับห้องเพราะผมกับพี่ศิก็มีเรียนตอนเช้ากันครับ ผมเดินออกจากห้องของพี่ศิพร้อมกับโบกมือลาพี่ศิด้วยรอยยิ้มแต่ก่อนที่ผมจะได้เดินกลับไปที่ห้องของผม เสียงทุ้มของพี่ศิก็เอ่ยรั้งผมไว้ “กรครับ พรุ่งนี้มาทานอาหารเช้าด้วยกันนะครับแล้วเดี๋ยวพี่พาไปส่งที่คณะ” ผมพยักหน้าตอบรับคำพูดของพี่ศิด้วยรอยยิ้มก่อนจะหันหลังกลับเพื่อเดินเข้าห้องของตัวเองไป


วันนี้ผมได้พบเจออะไรหลาย ๆ อย่างไม่ว่าจะเป็นเสียงหัวเราะ คราบน้ำตา แถมรำลึกไปถึงอดีตที่เคยเกิดขึ้นมันทำให้ผมทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ ในสมอง และมันก็ทำให้ผมตัดสินใจได้แล้วว่าผมจะยอมฟังเรื่องราวจากปากของไอไฮซ์ เพื่อที่ว่าพวกเราทั้งสองคนอาจจะได้สายสัมพันธ์ที่เรียกว่าเพื่อนกลับมา





หลังจากเกิดเหตุการณ์เมื่อเย็นวานพี่วิกับพี่เตอร์ทั้งสองคนโทรมาหาผมพร้อมกับขอให้ผมเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฟัง ซึ่งเป็นที่แน่นอนครับว่าผมปฏิเสธที่เล่าให้พี่ ๆ ทั้งสองฟัง การตัดสินใจของผมทำให้พี่วิกับพี่เตอร์โวยวายใส่โทรศัพท์ผมเสียยกใหญ่ คือผมก็เข้าใจพี่ ๆ เขานะครับ ผมทราบว่าพี่วิกับพี่เตอร์เป็นห่วงผมมากครับพี่เขาเลยอยากรู้เรื่องราวและปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับไอไฮซ์ แต่ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวพอดูครับผมจึงตัดสินใจไม่เล่าให้พี่ ๆ ทั้งสองฟัง (ซึ่งผมเชื่อว่าพี่ ๆ ทั้งสองคงไปเค้นถามเอาจากพี่ศิแน่นอน และเป็นที่แน่นอนอีกครั้งว่าพี่ศิก็คงไม่เล่าให้ฟังด้วยเช่นกัน)


วันนี้ในตอนเช้าผมก็ถูกปลุกด้วยเสียงเคาะประตูห้องโดยพี่ศิ ตื่นมาทานอาหารเช้าโดยฝีมือของพี่ศิ การเจอหน้ากันของผมกับพี่ศิในทุก ๆ เช้าและการไปมหาวิทยาลัยด้วยกันมันกลายกิจวัตรประจำวันของผมกับพี่ศิไปแล้วครับ เอาเป็นว่าถ้าวันไหนผมกับพี่ศิไม่ได้เจอหน้ากันหรือคุยกันวันนั้นต่างฝ่ายจะนอนกันไม่หลับครับ ความจริงผมก็พูดเกินไปมันแค่มีความรู้สึกโหวง ๆ ในชีวิตเท่านั้นเองครับ (แต่ในช่วงพี่ปิดเทอมตามที่ผมเคยบอกไปก่อนหน้านี้ผมย้ายสำมโนครัวไปอยู่ห้องพี่ศิครับดังนั้นเรื่องการโหวงเหวงในชีวิตก็ไม่เกิดขึ้น แต่นี่เปิดเทอมแล้วผมเลยต้องมีความเกรงใจสักเล็กน้อย ผมก็เลยตัดสินใจย้ายสำมะโนครัวกลับมานอนที่ห้องของผมครับ)


และตอนนี้ผมก็มาถึงมหาวิทยาลัยโดยสารถีกิตติมศักดิ์ส่วนตัวของผมที่มีนามว่าพี่ศิรวิทย์นั่นเอง


“ขอบคุณนะครับพี่ศิตอนเย็นเจอกันนะครับ” ผมพูดขอบคุณพี่ศิพร้อมรอยยิ้มก่อนจะก้าวเท้าลงจากรถไปและโค้งตัวให้พี่ศิเขาอีกที (นี่ก็เป็นกิจวัตรประจำวันของผมอีกอย่างครับ นั่งก็คือการกล่าวขอบคุณพี่ศิที่มาส่งผมถึงคณะในทุก ๆ เช้าครับ)


“ครับกรเจอกันตอนเย็นนะครับพี่ไปก่อนหละ” เสียงทุ้มของพี่ศิตอบกลับใบหน้าคมระบายไปด้วยรอยยิ้มดั่งเช่นทุก ๆ วัน
หลังจากที่ผมบอกลาอะไรกับพี่ศิเรียบร้อยแล้วผมก็เดินเข้าไปใต้คณะพร้อมกับเดินไปยังโต๊ะม้าหินอ่อนตัวเดิมซึ่งเป็นที่ประจำของกลุ่มผมครับ และตอนนี้ก็มีสมาชิกของกลุ่มผมมาแล้วครับนั่นก็คือไอเจมส์กับไอบาสซึ่งมันทำให้ผมตกใจมากครับเพราะไอสองตัวนี้ถือได้ว่าเป็นสองสหายที่มาเลตที่สุดในกลุ่มครับ และในทันทีที่ผมเดินไปยังโต๊ะม้านั่งไอเพื่อนสองตัวนั้นก็ส่งเสียงทักผมออกมาทันที


“โย่ว...เชี่ยกร” นี่คือเสียงของไอบาสครับส่วนไอเจมส์แค่โบกมือให้ผมเล็กน้อยเท่านั้นหละครับเพราะมันกำลังเล่นเกมส์ในไอโฟนของมันอยู่มันเลยไม่มีสมาธิที่จะมากล่าวทักทายอะไร


ผมสาวเท้าเดินต่อไปพร้อมกับทรุดตัวนั่งข้าง ๆ พวกมันทั้งสองคน “วันนี้ผีเข้าเหรอครับพวกมรึง มาซะเช้าเลย” ผมถามพร้อมกับปรายสายตาไปที่พวกมันสองคน “หรือว่าที่พวกมรึงมาเช้า ๆ กันเพราะมีอะไรจะคุยกับกรูสินะ” ดูเหมือนว่าประเด็นหลังที่ผมพูดท่าทางจะถูกประเด็นมากที่สุดไอเจมส์กับไอบาสหันมาส่งรอยยิ้มแห้ง ๆ ให้ผม


“แล้วคงเป็นเรื่องของไอไฮซ์ใช่ไหม” ผมเอ่ยถามออกไปตรง ๆ ซึ่งชื่อของไอไฮซ์ที่ผมเรียกนั้นทำให้เพื่อนสองหน่อของผมตกใจจนถึงกับสะดุ้งเฮือกเลยครับ พวกมันคงคิดว่าชื่อ ๆ นี้คงไม่มีทางถูกเอ่ยออกมาจากปากของผมอีกครั้งแล้วก็ได้มั้งครับ ซึ่งไอท่าทางเหวอ ๆ ของพวกมันทำให้ผมหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ


“ทำไม มรึงคิดว่าชื่อนี้จะไม่หลุดออกมาจากปากของกรูอีกแล้วใช่ไหม” ผมพูดพร้อมกับนั่งเท้าคางมองพวกมัน ซึ่งไอเจมส์กับไอบาสก็พยักหน้ายอมรับในคำพูดของผมครับ


ผมคิดว่าพวกมันคงแปลกใจพอดูเลยหละว่าทำไมผมถึงพูดชื่อของไอไฮซ์ออกมาอีกครั้งได้ทั้ง ๆ ที่ผมทำตัวรังเกียจมันขนาดนั้น
“เมื่อวานมันคงเล่าอะไรให้พวกมรึงฟังหละสิ” ผมพูดออกไปราวกับว่าผมไปสิงสถิตอยู่ในหอของพวกมัน ซึ่งไอสองสหายของผมก็พยักหน้ายอมรับเบา ๆ “งั้นก็เล่ามาสิว่าไอไฮซ์มันพูดอะไรให้ฟังบ้าง” สิ้นเสียงมือที่เท้าคางอยู่ก็เปลี่ยนมากอดอกพร้อมกับนั่งไขว่ห้างมองพวกมัน


“มันก็เล่าว่าบังเอิญไปเจอมรึงตอนที่รุ่นพี่ปี 4 นัดเลี้ยงสาย หลังจากนั้นมรึงก็เดินหนีออกจากร้านอาหารไปเลยซึ่งไอไฮซ์มันก็คิดจะวิ่งตามมรึงไปอยู่หรอก แต่ว่ารุ่นพี่ปีสี่เขาวิ่งตามมรึงออกไปซะก่อนมันเลยไม่ได้วิ่งตามออกไป” ไอเจมส์เล่าให้ผมฟังซึ่งมันก็เป็นความจริงทั้งหมดหละครับแต่การที่ไอไฮซ์เรียกพี่ศิว่ารุ่นพี่ปี 4 แสดงว่ามันคงไม่รู้จักพี่ศิสินะ



v
v
v
v
v
v
v

ออฟไลน์ Candy Venus

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
จิ้มก่อนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน

แล้วค่อยอ่านนนนนนนนนนนนนน

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0

“ซึ่งรุ่นพี่ปี 4 ที่วิ่งตามมรึงไปก็คงไม่พ้นพี่ศิผู้ที่เป็นสามีของมรึง” อันนี้เป็นเสียงไอบาสพูดเสริมครับ ไอตอนได้ยินนี่แทยจะจระเข้ฟาดหางใส่มันสักทีแต่ติดว่ามันดันเก่งเรื่องศิลปะการต่อสู้มากกว่าผมขืนเตะใส่มันผมน่าจะกลายเป็นศพแทนมันครับดังนั้นผมไม่เตะมันดีกว่า


ผมพยักหน้าตอบรับคำพูดของพวกมันสองคน (แม้ผมอยากจะเตะปากไอบาสมากก็เถอะ) พร้อมกับไหวไหล่เชิงอนุญาตให้มันเอ่ยปากถามคำถามที่คั่งค้างอยู่ในใจพวกมันออกมา


“ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนมรึงไม่แม้แต่จะเอ่ยชื่อไอไฮซ์แล้วไงตอนนี้มรึงพูดชื่อมันได้แบบสบายอารมณ์ว่ะ” สิ้นคำถามนี้ผมยักคิ้วให้ไอเจมส์ไปทีนึงและไม่ยอมตอบอะไร ซึ่งการกระทำแบบนี้ของผม ไอเจมส์และไอบาสมันรู้ครับว่าผมท้าทายให้มันเดาเอา


“…นี่มรึงคิดว่ากรูจะเดาถูกเหรอ” ซึ่งไอเจมส์มันไม่ยอมเดาหรอกครับไอบาสก็ด้วยที่ผมรู้ว่ามันไม่ยอมเดาหนะเหรอก็เพราะว่าตอนนี้คอเสื้อของผมโดนพวกมันสองคนเขย่าไปมาเพื่อบังคับให้ผมพูดแล้วครับ


“มรึงบอกพวกกรูมาครับกร บอกมา! นี่มรึงคิดว่ากรูจะเดาความอินดี้ของมรึงออกเหรอครับ ให้ตายกรูก็เดาไม่ออกครับ” สหายทั้งสองคนของผมพูดประสานเสียงกันพร้อมกับบังคับให้ผมพูดสิ่งที่ทำให้ผมเปลี่ยนใจเป็นไม่โกรธไอไฮซ์ได้ ผมหัวเราะเบา ๆ พร้อมกับค่อย ๆ แกะมือของเพื่อนทั้งสองคนออก


“เพราะพี่ศิหนะสิ…ที่เปลี่ยนความคิดของกรูและดึงตัวตนที่แท้จริงของกรูให้กลับคืนมา ครั้งหน้าถ้ากรูเจอไอไฮซ์กรูขะยอมฟังคำอธิบายของมันก็แล้วกัน” ริมฝีปากที่เอื้อนเอ่ยถ้อยคำระบายไปด้วยรอยยิ้ม นัยน์ตาทั้งสองข้างที่ในตอนแรกมองเย้าแหย่เพื่อน ๆ ตอนนี้กลับหลุบตาลงเพื่อนหลบซ่อนแววตาที่แสนอ่อนโยนของตน


ผมไม่รู้นะครับว่าทำไมทุกครั้งที่ผมเอ่ยถึงพี่ศิผมจะรู้สึกอบอุ่นในหัวใจและมีความสุขแบบนี้ มันคงเป็นอาการของคนที่เอ่ยพูดถึงคนสำคัญของตัวเองกระมังครับ ผมมันเลยรู้สึกออกไปแบบนี้


“พี่ศิ พี่ศิ พี่ศิอีกแล้วนะมรึง ช่วงนี้ชีวิตมรึงมีแต่พี่ศินะครับไอคุณเพื่อนอกร” ไอเจมส์พูดใส่ผมพร้อมกับทิ้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้ข้าง ๆ ผม


“กรูว่า…มรึงหนะเป็นศิรวิทย์ลิซึ่มแล้ววะ โรคขาดพี่ศิไม่ได้” ไอบาสพูดแหย่พร้อมกับเอาศอกมากระทุ้งที่ท้องของผมเบา ๆ ซึ่งไอการกระทำแบบนี้ของมันทำให้ผมระงับตรีนที่จะกระโดดถียมันไม่อยู่ครับ ในที่สุดผมก็วิ่งไล่เตะมันจนได้ ผมวิ่งไล่ตามมันไปสักพักไอร่างกายของคนที่ไม่ใคร่จะชอบออกกำลังกายของผมมันก็หมดแรงคลานกลับมานั่งหอบที่โต๊ะม้าหินอ่อนข้าง ๆ ไอเจมส์


“อย่าให้กรูหายเหนื่อยนะครับมรึง กรูจะไล่เตะมรึงอีกรอบไอบาส” ผมพูดเสยงหอบมือข้างหนึ่งถูกตวัดชี้ไปทางไอบาสที่ตอนนี้ยังคงวิ่งเล่นและแลบลิ้นล้อเลียนใส่ผม ‘โถ่วไอนักกีฬา ไอคนพลังเยอะ ไอเบื่อเวรอย่าให้กรูหายเหนื่อยนะครับมรึง’ ซึ่งผมก้ได้แต่กร่นด่ามันในใจและส่งสายตาเคียดแค้นใส่มัน


ไอเจมส์หัวเราะร่า ไอบาสก็ยังทำตัวกวนประสาท ผมมองภาพ ๆ นี้ไปสักพักพลางนึกย้อนกลับไปช่วงมัธยมต้นที่พวกเรา (ผม ไอเจมส์ ไอบาส ไอไฮซ์ แล้วก็กานต์) เรียนด้วยกันมันเคยมีภาพ ๆ นี้มาก่อน มันเป็นภาพที่ชวนคิดถึงเสียจริง และหวังว่าถ้าผมได้คุยและเคลียร์ปัญหากับไอไฮซ์แล้วภาพเก่า ๆ พวกนั้นมันอาจจะย้อนกลับมาสร้างรอยยิ้มของพวกเราให้เกิดขึ้นอีกครั้งก็ได้หละมั้ง
พวกเราทั้งสามคนนั่งหยอกเล่นแหย่เล่นกันไปสักพักไม่นานนักสหายที่เหลือของผมก็ค่อย ๆ ทยอยกันมาและทุกคนก็แสดงอาการเช่นเดียวกับผมนั่นก็คือตกใจที่ไอเจมส์กับไอบาสมาถึงที่มหาวิทยาลัยก่อนและทุก ๆ คนที่มาถึงต่างพูดกันเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘วันนี้พายุเฮอร์ริเครนคงเข้าประเทศไทยแน่นอนที่เห็นไอสองคนนี้มันมาเรียนไวได้’


แต่ก็นะถ้าผมไม่รู้มาก่อนว่าพวกมันมาไวเพื่อที่ต้องการจะคุยกับผม ผมคงคิดว่าพายุเข้าประเทศไทยเช่นเดียวกับเพื่อน ๆ ที่ค่อย ๆ ทยอยมาของผม พวกเราทั้งหมดนั่งรอกันอีกสักครู่เพื่อน ๆ ทั้งกลุ่มก็มากันครบและคราวนี้พวกเราก็ได้เวลาเคลื่อนตัวขึ้นห้องเรียนแล้วครับและวิชาแรกที่ต้องเจอในวันนี้ก็คือ ‘ฟิสิกส์ 2’ …นั่นเอง


ไอผมไม่อยากจะคุยนะครับว่าฟิสิกส์ 1 ผมผ่านมาด้วยเกรดเท่าไหร่ (ความจริงที่ไม่อยากคุยก็เพราะว่าผมอาบครับดังนั้นอย่ารู้กันเลยเรื่องเกรดของผมเอาเป็นว่ารอดมาได้แบบฉิวเฉียดครับ) ดังนั้นผมให้ทุกคนเดาครับว่าการเรียนฟิสิกส์ในวันนี้ผมนั้นรู้เรื่องกับมันไหม ถ้าเดากันไม่ถูกผมเฉลยให้ก็ได้เลยครับว่า ‘ผมไม่รู้เรื่องเลยสักกะนิดเดียว’ แม้มันจะเป็นแค่อินโทรเปิดการเรียนการสอนก็เถอะ


ผมนั่งทนทรมานในห้องเรียนไป 1 ชั่วโมงครึ่ง ในที่สุดเวลาแห่งการปลดปล่อยก็มาถึง ผมแทบอยากจะกรีดร้องออกมากลางห้อง + ด้วยการต้นรำรอบห้องสักทีแต่ก็ต้องระงับอาการไว้เพราะต้องเกรงใจอาจารย์ที่ยังคงเก็บของอยู่หน้าห้อง ผมก็เลยเปลี่ยนการกระทำเป็นการวิ่งออกจากห้องเรียนไปกระโดดโลดเต้นหน้าห้องแทน


และแล้ววิชาต่อไปที่ผมต้องเรียนนั่นก็คือแลปฟิสิกส์ 2 ครับ (ผมบอกแล้วว่าไอสองวิชานี้มันมาคู่กัน) ดังนั้นผมกับสหายทั้งหมดก็ต้องเคลื่อนย้ายตัวเองไปยังตึกคณะวิทยาศาสตร์ครับ ซึ่งแต่ละคนเตรียมพร้อมกันดีมากครับวิ่งแจ้นไปซ้อนมอไซค์พวกที่อยู่หอในกันจ้าละหวั่นและผมก็เป็นหนึ่งคนที่วิ่งแจ้นไปซ้อนมอไซค์ของไอเจมส์เหมือนกัน


แลปฟิสิกส์ 2 ที่เรากำลังจะไปเรียนกันนั้นมันคล้าย ๆ กับเนื้อหาที่เราเรียนฟิสิกส์ 2 ครับ ดังนั้นมันจึงจำเป็นที่เราจะต้องเรียนสองวิชานี้ควบคู่กัน เพราะเนื้อหาในวิชาฟิสิกส์ 2 สามารถนำเอาไปใช้ในวิชาแลปได้ ซึ่งผมให้ทุกคนเดาอีกครั้งนะครับว่าผมทำแลปฟิสิกส์ 2 ไปแล้วผมรู้เนื้อหาที่เรียนไหม แต่ก็ถามไปงั้น ๆ นั้นหละครับเพราะไม่ต้องเดาทุกคนก็รู้ใช่ไหมครับว่าผมจะตอบด้วยคำตอบเดิมนั่นก็คือ ‘ผมไม่รู้เรื่องเลยสักนิดเดียว’ ผมผมนั่งจดบันทึกการทดลองตามคู่แลปของผมเท่านั้นหละครับ ไอการทดลงทดลองนั่นเหรอ ผมปล่อยให้เป็นหน้าที่เพื่อนผมครับแล้วหน้าที่ของผมเหรอครับนั่นก็คือการจดผลแลปที่เกิดขึ้นครับอ่อมีอีกอย่างนั่นก็คือ จิ้มเครื่องคิดเลขตามสูตรที่มีอยู่ในหนังสือให้ออกมาเป็นตัวเลขสุทธิ


และแล้ววันนี้การเรียนก็ของผมหมดไปอีกวันครับ ทุกท่านก็คงสงสัยกันอีกสินะครับว่าทำไมผมเรียนแค่สองวิชาแล้วเลิก นั่นก็เป็นเพราะ! วันนี้ผมมีเรียนแค่สองวิชาเท่านั้นหละครับแล้วสองวิชานั้นเป็นสองวิชาที่ติดกันและมันเสร็จเรียบร้อยในช่วงเช้า ดังนั้นช่วงบ่ายว่างผมว่างครับ! ซึ่งเพื่อน ๆ ของผมแต่ละคนก็ไม่ได้ตกลงไปที่ห้องของผมเหมือนเมื่อวานครับเพราะต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้านกลับหอ โดยเฉพาะสหายสองหน่อที่สร้างความตกตะลึงให้กับเพื่อน ๆ ทั้งกลุ่มนั่นก็คือ ไอเจมส์กับไอบาส ไอสองคนนี้มันรีบวิ่งแจ้นกลับหอโดยไม่รอใครเลยครับ สงสัยมันจะกลับไปนอนหลับทดแทนเมื่อเช้าที่มันมาเรียนไวหละมั้งครับ


และการที่พวกมันกลับหอไปอย่างเร่งด่วนโดยที่ไม่บอกผมมันทำให้ผมต้องขอติดรถพรีมออกมาจากมหาวิทยาลัยเพื่อกลับไปยังคอนโดของผม


ช่วงนี้ชีวิตผมมีสารถีกิตติมศักดิ์เยอะจังเลยครับทั้งผู้หญิงและผู้ชายและรถที่นั่งก็รถญี่ปุ่น รถยุโรป แหมผมรู้สึกความเป็นไฮโซติดตัวแต่ผมก็นึกถึงรถของตัวเองเหมือนกันครับ ตอนนี้มันยังคงจะสตาร์จติดอยู่อีกไหมเนี่ย พูดไปก็เป็นห่วงรถวันไหนว่าง ๆ ผมคงต้องขับรถไปเรียนเองมั่งแล้วหละ


หลังจากที่ผมพร่ำเพ้ออยู่นานรถของพรีมก็จอดเทียบฟุตบาทหน้าคอนโดของผมครับ “ขอบใจนะพรีมช่วยได้มากเลย ช่วยได้ดีกว่าไอบาสกับไอเจมส์อีก” ผมเอ่ยขอบคุณพรีมพร้อมกับด่าไอสองสหายนั่นของผม


เมื่อพรีมได้ฟังเธอก็หัวเราะคิกคักออกมาแผ่วเบาพร้อมกับเอ่ยลาผม “เจอกันกรุ่งนี้นะกรพรีมไปก่อนหละ” สิ้นเสียงหวานพรีมก็ขับรถออกไป (ผมไม่อยากจะบอกนะครับพรีมหนะ…ขับรถไวมากครับเธอเป็นสาวเท้าหนักที่เหยียบคันเร่งทีเกือบ 120 km/hr ครับ นั่งกับเธอนี่แม้จะระยะทางใกล้แค่ไหนผมก็ต้องคาดเข็มขัดนิรภัยตลอดเวลา)


หลังจากที่ผมลงจากรถของพรีมผมก็เดินเข้าไปยังล๊อบบี้ของคอนโดมืออีกข้างพลางล้วงกุญแจห้องของผมออกมา ผมหมุนกุญแจในนิ้วของผมพร้อมกับกดลิฟท์เพื่อขึ้นไปยังชั้นที่ 14 ซึ่งเป็นชั้นที่พักของผม


เมื่อลิฟท์เปิดออกผมก็เดินตัวปลิวเข้าห้องของผมไปพร้อมกับเริ่มจัดการหาน้ำ หาขนมมานั่งจกกินหน้าทีวีในห้องนั่งเล่น (การเรียนวิศวะดีอย่างนะครับคือพวกปี 1 ปี 2 จะไม่ค่อยมีการบ้านครับผมเลยนอนชิลแบบนี้ได้ แต่ว่ามันก็ลำบากนิดหน่อยตอนช่วงเข้าภาคอย่างเต็มตัวครับ เพราะว่าเข้าภาคแล้วแลปต่าง ๆ จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และแต่หละแลปนี่โหดร้ายทารุณต่อชีวิตมากครับเพราะภาคที่ผมเลือกเข้าเป็นภาคที่ทรหดมากที่สุดเลยครับ แต่หละแลปนี่ทำกลางดินกินกลางทรายเลยหละครับ)


ผมนอนดูทีวีเล่นฆ่าเวลาไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดเวลามันก็ล่วงเลยมาถึง หกโมงเย็นซึ่งเป็นเวลาทานอาหารเย็นของผมแล้วครับ แต่คนที่จะทำข้าวเย็นให้ผมทานยังไม่กลับมาที่ห้องดังนั้นผมก็ยังคงกินขนมรอเชฟส่วนตัวของผมต่อไป ซึ่งผมก็นอนกลิ้งเล่นบนเตียงไปได้ไม่นานเสียงเคาะกระตูห้องของผมก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงกลอนประตูที่ถูกปลดลอค อันนี้เป็นสัญญาที่แสดงให้ผมรู้ว่าพี่ศิกลับมาแล้วครับผมนี่วิ่งถลาไปที่ประตูห้องทันที (ถ้าเกิดว่าผมมีหูกับหางนี่คงกระดิกไปมารอคนมาให้อาหารแล้วหละครับ) เมื่อบานประตูเปิดอ้าออกเผยให้เห็นร่างสูงของพี่ศิแต่มันไมได้มีพี่ศิเพียงแค่คนเดียวด้านหลังพี่เขามีไอเจมส์กับไอบาส และคนอีกหนึ่งคนยืนอยู่ด้านหลังซึ่งคน ๆ นั้นผมมองไม่ออกว่าเขาเป็นใครครับ


“กลับมาแล้วเหรอพี่ศิ ไอเจมส์ไอบาสแม่มก็มาด้วยเข้ามา ๆ เชิญ ๆ” ผมพูดเชื้อเชิญให้แขกทั้งหมดเข้ามาในห้อง ซึ่งทั้งสามคนนั้นก็ยอมเดินเข้าห้องมาโดยเหลือคนสุดท้ายที่ผมไม่รู้จักที่ยังไม่ยอมเดินก้าวเข้ามาในห้อง


ซึ่งพี่ศิ ไอเจมส์ ไอบาสก็ไมได้พูดชวนให้คน ๆ นั้นเข้ามาในห้องจนลำบากมาที่ผมต้องเดินย้อนกลับไปเรียกให้บุคคลที่สี่เข้ามาในห้องของผม ผมเดินหงุดหงิดเดินไปยังประตูหน้าห้องของผมอีกครั้งและเอ่ยเสียงเรียกให้คน ๆ นั้นเข้ามา แต่ไม่ทันที่เสียงของผมจะได้เอ่ยออกไป ร่างทั้งร่างของผมก็ชะงัก ริมฝีปากที่จะเอ่ยทักกลับเม้มแน่น


ที่ผมต้องชะงักแบบนั้นเพราะคนตรงหน้าของผมคือ ‘ไอไฮซ์’ เพื่อนรักเพื่อนแค้นของผม ผมตวัดหางตาไปมองคนสามคนที่ต้องนี้ยืนกอดอกอยู่ในห้องนั่งเล่น


ดูเหมือนว่าการที่ไอบาสกับไอเจมส์มันรีบกลับหอและพี่ศิกลับมาที่หอช้าทั้งสามคนอาจจะไปเตรียมการให้ผมได้คุยกับไอไฮซ์หละมั้งครับ


“เข้ามาสิ ปิดประตูด้วยนะ” ผมเอ่ยเสียงสั่นแม้ผมตั้งใจแล้วว่าผมจะคุยกับมันฟังเหตุผลของมันแต่นี่มันไม่เร็วไปหน่อยเหรอครับพูดตอนเช้าได้คุยตอนเย็นงี้ให้เวลาผมทำใจบ้างอะไรบ้างก็ได้ ผมหันหลังกลับพร้อมจับจ้องเขม่งไปยังสามคนผู้ที่คิดแผนการนี้ และทั้งสามก็ได้แต่ยิ้มจาง ๆ ให้กับผม


ผมรู้ครับที่ทั้งสามคนทำแบบนี้เขาอยากให้ผมหายกลุ่มใจเรื่องไอไฮซ์มันสักทีแต่พวกเขาก็วางแผนกันไวไปหน่อยนะครับเอาซะผมไม่ทันตั้งตัวเลย


ผมเดินดุ่ม ๆ ไปนั่งที่โซฟาพร้อมกับใช้สายตาเรียกให้ไอไฮซ์ไปนั่งที่ฝั่งตรงข้าม (ตอนนี้ผมนั่งโซฟาเดียวครับ ผมเลยให้ไอไฮซ์นั่งฝั่งตรงข้ามกันกับผม) ซึ่งมันก็ทำตามครับมันทรุดตัวนั่งลงที่โซฟาฝั่งตรงข้ามของผม สีหน้าของมันดูเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัดครับ ส่วนผมก็ได้แต่นั่งนิ่ง ๆ กอดอกทำหน้าขรึมใส่มัน (แต่ผมไม่อยากจะบอกนะครับว่าผมนี่สั่นไปทั้งตัวแล้วที่ทำหน้านิ่งอยู่ได้นี่คือเก็กล้วน ๆ ครับกลัวเสียฟอร์ม)


“กร…” ไอไฮซ์มันเรียกชื่อผม ซึ่งผมก็พยักหน้าเป็นคำตอบ


“เรื่องวันนั้นไฮซ์อธิบายได้นะ” มันพูดต่อก่อนจะเงียบเสียงไปสักพักสิ่งที่ผมรับรู้ได้จากน้ำเสียงของมันก็คือความประหม่าที่มากล้น “เรื่องวันนั้นไฮซ์ไม่ได้เริ่มก่อนนะ น้ำฟ้าเขาเข้ามาหาไฮซ์ในห้องเอง”


ผมพยักหน้าเชิงรับรู้เรื่องราวในสิ่งที่ไอไฮซ์เล่า แต่ท่าทางของผมดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจมันสักเท่าไหร่ไอไฮซ์มันก็เลยเม้มริมฝีปากของตัวเองแน่นมือนั้งสองข้างนั้นแทบจะจิกเข้าไปในเบาะของโซฟา เมื่อเห็นท่าทางแบบนั้นของไอไฮซ์ผมก็ได้แต่ทอดถอนลมหายใจออกมาแล้วเลยด้วยถ้อยคำสั้น ๆ ออกไปว่า “ไฮซ์อยากให้กรรับรู้เรื่องราวของวันนั้นไม่ใช่เหรอทำไมไม่เล่าให้กรฟังต่อหละ”


ถ้อยคำสั้น ๆ ที่ผมเอ่ยออกไปทำให้ไอไฮซ์มีกำลังใจที่จะเล่าเหตุการณ์ในวันนั้นต่อมันส่งยิ้มให้ผมน้อย ๆ และค่อย ๆ เล่าเรื่องราวต่อไปออกมา “น้ำฟ้าเข้ามารุกไฮซ์แล้วบอกว่ากรไม่รู้หรอกว่าเราทำอะไรกัน จากนั้นสภาพมันก็เป็นอย่างที่กรเห็นในวันนั้นนั่นแหละ” เมื่อเล่าจบไอไฮซ์ก็ก้มหน้าลงเพื่อเป็นการแสดงให้ผมรู้ว่ามันรู้สึกผิด


เรื่องราวที่ถูกเล่าออกมาจากปากของไอไฮซ์ไม่ใช่ผมไม่เชื่อมันนะครับผมเชื่อมันและเชื่อมากเสียด้วยครับ คนที่รู้จักมาทั้งชีวิตกับคนที่รู้จักแค่ปีสองปียังไงผมก็เชื่อคนที่ผมรู้จักมาทั้งชีวิตอยู่แล้ว แต่ที่ผมไม่ยอมฟังมันตั้งแต่แรกนั่นก้เป้นเพราะอย่างที่ได้บอกไปครับผมพยายามหาคนมารับผิดในเรื่อง ๆ นี้ ซึ่งคนที่รับเคราะห์ก็คือไอไฮซ์ครับ


หลังจากที่มันพูดจบผมก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไปเรานั่งเงียบใส่กันอยู่นานจนในที่สุดผู้เป็นพยานในเรื่องราวอย่างไอบาสกับไอเจมส์ก็ทนไม่ไหว ไอเพื่อนสองหน่อก็รีบเอ่ยคำพูดช่วยไอไฮซ์ทันที “กรมันเป็นเรื่องจริงนะ ตอนแรกที่พวกกรูอยู่หอเดียวกับมันกรูก็ไม่ชอบใจแต่พอไอไฮซ์มันบอกมันอธิบายและมันบอกถึงนิสัยจริงของน้ำฟ้า ตอนแรกพวกกรูก็ไม่เชื่อจนไปสืบเอา น้ำฟ้าไม่ใช่สาวน้อยน่ารักอย่างที่มรึงคิดนะไอกร น้ำฟ้าเป็นผู้หญิงเจ้าเล่ห์แล้วก็…” แต่ก่อนที่พวกมันทั้งสองคนจะได้พูดจนจบประโยคผมก็ยกมือขึ้นเพื่อเป็นสัญญาณให้พวกมันทั้งสองคนหยุดพูด


“ไฮซ์...กรรู้จักไฮซ์มาตลอดด 19 ปี เราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เกิดถ้าไฮซ์พูดอะไรออกมากรก็เชื่อไฮซ์หมดทุกอย่างเพียงแต่ที่กรไม่ยอมคุยกับไฮซ์ ไม่ยอมมองหน้าไฮซ์นั่นก็เป็นเพราะกรพยายามโยนความผิดให้ไฮซ์ ความจริงเรื่องราวที่มันใหญ่โตขนาดนี้เป็นเพราะกรเองมากกว่าที่งี่เง่าไม่ยอมรับฟังอะไรจากไฮซ์” ผมพูดความรู้สึกของตัวเองออกไป และเมื่อผมได้ปลดปล่อยคำพูดทั้งหมดออกทางริมฝีปาก ภายในหัวใจของผมก็รู้สึกโล่งขึ้นเยอะ เหมือนกับว่าอะไรที่มันมันอัดแน่นอยู่ในใจได้ถูกยกออกไป


ซึ่งสิ่งที่ผมพูดออกไปทำให้ไอไฮซ์มันเงยหน้าขึ้นมามองทางผมและลุกขึ้นถลาเข้ามากอดผมแน่น ความรู้สึกแบบนี้เหมือนว่าผมไม่ได้รับมันมานาน  ‘ความรู้สึกของเพื่อนที่สนิทที่สุด’ ผมเอื้อมมือไปโอบหลังมันไว้แน่นพร้อมกับรับฟังคำขอโทษซ้ำไปซ้ำมาของไอไฮซ์มัน


“เรากลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมแล้วนะไฮซ์” ผมพูดพร้อมกับกระชับวงแขนแน่น


ถ้าเกิดไม่มีพี่ศิผมกับเพื่อนสนิทจะกลับมาคุยกันได้ไหมผมยังไม่รู้เลยเรื่องนี้ต้องยกให้เป็นความดีความชอบของพี่ศิเขาแล้วกัน ‘พ่อคนชอบวางแผน’ ผมหันไปมองพี่ศิน้อย ๆ พร้อมกับพยักหน้าขอบคุณให้แก่เขาซึ่งพี่ศิก็ยิ้มจาง ๆ ออกมาพร้อมกับส่งสายตาอันแสนอ่อนโยนมาให้


บางทีพี่ศิอาจจะมีคำแหน่งเพิ่มอีกตำแหน่งแล้วก็ได้หละมั้งครับนั่นก็คือ ตำแหน่ง ‘ผู้ช่วยเคลียร์เรื่องราวที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวผมให้เรียบร้อย’


อย่างน้อยผมก็มีความรู้สึกว่าผมเป็นโรคศิรวิทย์ลึซึ่มตามที่สหายทั้งสองคนของผมบอกแล้วก็ได้มั้งครับ




_____________________________________________



จบแล้วนะค้าสำหรับตอนนี้ ทำหน้าเหนียยมอาย// เขิน

ขอฝากนิยายเรื่องนี้ต่อไปและขอฝากนิยายเรื่องใหม่ที่จะเปิดด้วยนะคะ

ปล. ตอนนี้ยังไม่ได้เปิดนิยายเลยหละคะกำลังปั่นตอนพิเศษของเรื่องนี้อยู่

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
ต้องขอบคุณพี่ศิที่ทำให้กรคิดได้ พอได้เคลียร์กันก็สบายใจ

อยากได้ตอนหวานๆของพี่ศิกับกร

ออฟไลน์ DZiik

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
เคลียร์กันเรียบร้อยแล้ว  :katai2-1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ kongxinya

  • Skt KS
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
แล้วพี่ศิก็ทำสำเร็จ กรกับไฮซ์เคลียร์กันได้แล้วดีใจจริงๆ  :mew3:

 :L2: :กอด1: :pig4: :L2:

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
ดีกันแล้ว พี่ศิโครตฮีโร่

ออฟไลน์ RenaBee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
ต้องขอบคุณพี่ศิที่พูดในน้องกรคิดได้
ดีใจกับน้องกรด้วยนะคะคืนดีกับเพื่อนแล้วเย้ๆ

ปล.รักพี่ศิค่า!!!!

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0


วันนี้แอบมาต่อให้ไวค่ะ ><




Chapter 19



เอาหละครับหลังจากวันที่ผมได้เคลียร์ปัญหาคาใจทั้งหมดกับไอไฮซ์ (ด้วยฝีมือจัดการของว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์) ตอนนี้กลุ่มของผม (ตั้งแต่มัธยม) ก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้งโดยแกนนำของกลุ่มก็ยังเป็นผม ไอเจมส์ ไอบาส และกานต์แต่เราก็มีสมาชิกใหม่แต่หน้าเดิมเพิ่มขึ้นมานั่นก็คือไอไฮซ์ครับ พวกเราทั้งห้าคนเริ่มไปเที่ยวกันเป็นก๊วนแบบเก่าและเฮฮาปาจิงโกะกันแบบเดิม (แม้ว่ากานต์จะมีคนโทรตามหรือติดสอยห้อยตามไปแต่ละครั้งก็ตาม) ซึ่งความดีความชอบพวกนี้ทั้งหมดผมต้องยกให้กับพี่ศิ ผู้เป็นคนจัดการวางแผนให้ผมคืนดีกับไอไฮซ์เพื่อนสนิทของผมครับ แต่ก็ต้องไม่ลืมยกความดีความชอบให้กับไอเจมส์กับไอบาสด้วยเหมือนกันเพราะว่ามันก็มีส่วนช่วยในการวางแผนทำให้ผมคืนดีกับไอไฮซ์ในครั้งนี้ด้วย และนับจากวันที่ผมเคลียร์ปัญหาทั้งหมดจนเสร็จสิ้นมันก็ผ่านมาอาทิตย์กว่าเกือบจะสองอาทิตย์แล้วหละครับ


และตอนนี้มันก็เข้าใกล้วันสำคัญอีกวันหนึ่งของชาวไทยครับนั่นก็คือวันลอยกระทง งานวันลอยกระทงจะจัดขึ้นในช่วงเวลา 15 ค่ำเดือน 12 ครับ ซึ่งมหาวิทยาลัยของผมก็ได้มีการจัดกิจกรรมสำหรับงานวันลอยกระทงเช่นกัน โดยกิจกรรมนี้มันก็จัดในมหาวิทยาลัยของผมเลยครับซึ่งกำหนดการของเทศกาลนี้ยาวนานถึง 3 วัน และในทุก ๆ วันงานจะเริ่มตั้งแต่บ่าย 4 โมงเย็น ซึ่งบูทกิจกรรม บูทขายของต่าง ๆ ก็มาจากนิสิตในมหาวิทยาลัยนั่นหละครับ


แต่ละคณะจะออกแบบตีมบูทของตัวเองหรือเรียกง่าย ๆ นั่นก็คือการประชันความเทพของแต่ละคณะครับ และคณะวิศวกรรมศาสตร์ของผมก็จะมีการจัดบูทหนุ่มน้อย ?? ตกน้ำครับ ที่ต้องเป็นหนุ่มน้อยนั่นก็เพราะ คณะของเรามีผู้หญิงเยอะซะที่ไหนหละครับ ดังนั้นเราก็ต้องดึงดูดใจด้วยการส่งหนุ่มน้อยน่ารัก ๆ ลงไปเรียกแขกสาว ๆ แทนเท่านั้นหละ แต่ทางคณะของผมก็ไม่ได้มีแค่กิจกรรมเดียวเพราะอีกกิจกรรมหนึ่งของคณะผมนั่นก็คือการถีบรถสามล้อไปรอบ ๆ งานเพื่อขายไอติมปั่นครับ (ถ้าพวกคุณสูงอายุหน่อยพวกคุณจะรู้จักไอติมชนิดนี้มันเป็นไอติมที่ใช้น้ำอัดลมทำและนำลงไปปั่นในถังให้มันแข็งครับ มันเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านโดยแท้ครับ) ซึ่งหน้าที่ขายไอติ่มปั่นนั้นเป็นมันก็หน้าที่ของพวกเด็กปี 1 ครับ (ผมไม่อยากจะบอกเลยครับว่าไอการขายไอติมปั่นนี่ขาดทุนทุกปีครับเพราะส่วนใหญ่มันจะหมดไปกับการแจกสาว ๆ คณะนิเทศครับ เห็นรุ่นพี่เล่าว่าพอถีบไปถึงบูทคณะนิเทศพวกเราจะหยุดอยู่ตรงนั้นนานเป็นพิเศษและไอติมมันก็จะหมด ณ ที่ตรงนั้นหละครับ) ส่วนปี 2 ขึ้นไปก็รับหน้าที่จัดบูทหนุ่มน้อยตกน้ำนั่นเอง (ความจริงผมโดนจับให้เป็นหนุ่มน้อยที่จะไปนั่งในถังน้ำเหมือนกันหละครับ แต่หัวเด็ดตีนขาดยังไงผมก็ไม่ยอมไปนั่งบนถังน้ำนั่นแน่ ๆ


ดังนั้นในวันเปิดงานและตลอดระยะเวลาการจัดงานผมก็คงโดดร่มไปช่วยเพื่อน ๆ ขายไอติมปั่นรอบงานแทนครับ (เรื่องอะไรใครจะยอมเปียกน้ำในช่วงใกล้ ฤดูหนาวกันหละครับเดี๋ยวก็เป็นไข้กันพอดี)


 ซึ่งที่กล่าวมาทั้งหมดมันก็ทำให้พวกผมนิสิตชั้นปีที่ 1 วุ่นวายจนถึงตอนนี้ครับ ไหนจะต้องวิ่งโล่ไปหารถสามล้อมาปั่น ไหรนจะต้องวิ่งไปขอยืมถั่งไอติมปั่นอีก กว่าจะจัดการเรื่องยืมอะไรพวกนี้เสร็จก็ใช้เวลาไปสองสามวันครับกว่าจะเอาทั้งสองอย่างมาไว้ที่ใต้คณะได้


ขั้นตอนต่อไปของกิจกรรมนี้นั่นก็คือการแต่งรถสามล้อให้เฟี้ยวฟ้าวเป็นที่สะดุดตาสะดุดใจของผู้ซื้อครับ และไองานศิลป์ติสแตกพวกนี้มันก็ถูกยกให้กับไอฟองผู้ซึ่งติสแตกตลอดเวลา (แต่ผมคาดเดาว่ามันเป็นคนที่สติแตกตลอดเวลามากกว่า) โดยเวลาที่มันออกแบบก็ใช้เวลาไปเกือบสามวันครับ พอไปถามมันว่าแบบรถสามล้อเสร็จหรือยัง มันก็จะพูดพร่ำออกมาว่า ‘ตอนนี้อารมณ์ศิลป์กรูยังไม่ออก ศิลปะมันไม่ได้เกิดขึ้นมาง่าย ๆ นะเว้ยมันต้องใช้ความรู้สึกสร้างขึ้น ถ้าเกิดไม่มีฟีลลิ่งงานศิลป์ก็ไม่เกิดครับ แต่ต่อให้เกิดมันก็ไม่ใช่ศิลปะที่สมบูรณ์แบบ’ ซึ่งความจริงผมคิดว่ามันตอบสั้น ๆ ว่ายังไม่เสร็จก็จบแล้วครับไม่ต้องพร่ำเพ้อให้เสียน้ำลายอะไรหรอกครับและผมก็วนถามมันแบบนี้อยู่สองสามวันในจนในที่สุดไอฟองมันก็ออกแบบรถเสร็จ ซึ่งผมมองดูแล้ว…ผมคิดว่ารูปแบบของรถสามล้อที่ไอฟองคิดมันล้ำเกินไปผมจึงไล่ให้มันกลับไปออกแบบมาใหม่อีกครั้ง และในครั้งที่สองที่มันออกแบบ มันก็ยังคงดูล้ำอยู่เหมือนเดิมแต่พวกเราก็ไม่มีเวลาแล้วครับ ผมจึงจำใจต้องใช้แบบรถที่ไอฟองมันออกแบบครั้งที่สองมาจัดการตกแต่งรถสามล้อที่พวกเราจะไปปั่นขายกันรอบงานลอยกระทง


(พวกท่านไม่รู้ว่ามันล้ำยังไงเหรอครับแบบแรกมันบอกว่างานลอยกระธงเป็นเทศกาลของชาวไทยดังนั้นมันเลยออกแบบประมาณเรืองสุพรรณหงส์ครับ แล้วแบบที่สองค่อยดูซอฟลงหน่อยแต่ก็ล้ำอยู่ดี คราวนี้มาแบบแอ๊บแบ๊วหน่อยติดดาวรอบคันรถครับพร้อมกับตกแต่งด้วยร่มที่ห้อยโมบายรูปหัวใจหวานแหว๋ว คิคุอาโนเนะมากครับแล้วผมให้ทุก ๆ ท่านคิดดูเด็กวิศวะหน้าโหดมาขัดรถสามล้อลายแอ๊บแบ๊ว ๆ มันโคตรเข้าเลยครับ แต่ทำไงได้มันไม่ทันแล้วผมก็เลยได้แต่ทำใจและทำตามแบบที่สองที่ไอฟองออกแบบไว้ ไม่รู้ว่าตอนมันออกแบบมันดูเซเลอร์มูนหรือแม่มดน้อยโดเรมีไปด้วยหรือเปล่า สภาพรถมันเลยออกมาเป็นแบบนี้ได้)
หลังจากที่ผมเล่าย้อนความไปผมขอเชิญทุกท่านกลับมาสู่โลกปัจจุบันครับ ตอนนี้ผมและสหายราว ๆ สี่ถึงห้าคนกำลังยืนอยู่หน้าร้านขายเครื่องเขียนขนาดใหญ่ที่ทุกคนพูดกันว่ามันถูกที่สุดในย่านนี้แล้ว และเหตุผลที่ผมมาที่นี่หนะเหรอครับผมไม่ขอให้ทุกท่านเดาแล้วครับคิดว่ามันน่าจะเปลืองหน้ากระดาษผมเฉลยเลยแล้วกัน คือตอนนี้พวกผมกับเพื่อน ๆ จะมาซื้อของเพื่อเอาไปตกแต่งรถเจ้ากรรมที่ไอฟองออกแบบไงหละครับ งานนี้ไม่รู้จะหมดเท่าไหร่แต่ที่รู้ ๆ พวกเราตัดโฟมกันหัวบานแน่ ดาวดวงเล็กดวงน้อย ดวงใหญ่อะไรของมันนั่นหละ


“เฮ้ย…นอกจากโฟมต้องซื้ออะไรอีกบ้างวะเนี่ย” ผมดูลิสต์รายการที่เพื่อน ๆ ผู้มีความติสอยู่ในตัวจดมาให้พร้อมกับทำหน้างุนงง ไม่ใช่ผมอ่านไม่รู้เรื่องหรอกครับคือในกระดาษมันจดมาแค่ว่าต้องใช้โฟมหนาเท่าไหร่เอากี่แผ่นเท่านั้น ส่วนที่เหลือมันเขียนบอกพวกผมว่า ‘มรึงอยากจะซื้ออะไรมาตกแต่งเพิ่มก็แล้วแต่ศรัทธาของมรึงแล้วกัน’ ไอผมตอนอ่านจบผมก็แทบจะฉีกกระดาษจดแผ่นนี้ทิ้งทันที


‘คือถ้าพวกมรึงจะปล่อยให้กรูตัดสินใจเองมากขนาดนี้ พวกมรึงไม่ต้องเสียงค่าน้ำหมึกปากกาจดอะไรมาให้กรูก็ได้ครับ’ ผมขย้ำกระดาษที่อยู่ในมือแล้วโยนทิ้งพร้อมกับเดินเข้าร้านเครื่องเขียนแบบไร้จุดประสงค์แบบสุด ๆ


“โฟมหนาสองนิ้วหนึ่งแผ่น หนึ่งนิ้วสองแผ่น เอาสีกับกากเพชรด้วยนะ สีเอาเป็นอครีลิกดีไหมหรือเอาโปสเตอร์ธรรมดา” ผมเริ่มพูดรายการที่ต้องซื้อออกมาพร้อมกับหันไปถามความคิดเห็นกับเพื่อน ๆ ที่เหลือ


“เราว่าโปสเตอร์มันเลอะง่ายนะเอาอครีลิคดีกว่าติดทนด้วย” เสียงพรีมเอ่ยขึ้นมาพร้อมกับเดินไปเลือกสีอครีลิคเรืองแสงออกมาสามสี่สี “ที่สำคัญสีโปสเตอร์ไม่มีแบบที่เรืองแสงด้วย” เมื่อพรีมหยิบสีออกมาเสร็จก็หันมาพูดกับผมพร้อมรอยยิ้ม เธอเดินเข้ามาใกล้ผมพร้อมกับโยนสีอครีลิคที่อยู่ในมือลงไปในตระกร้าที่ผมถืออยู่


“แค่สี่สีแล้วสีหละกระปุกจะพอหรือพรีม” ผมเอ่ยถามเธอต่อซึ่งพรีมก็หันกลับมายิ้มให้ผมจาง ๆ แล้วพูดต่อออกมาว่า “ที่พรีมหยิบมันเป็นเหหมือนหัวเชื้อหนะกรเอาไปผสมกับตัวทะละลายถึงจะใช้ได้แต่สีหละหลอดก็พอแล้วหละส่วนสีน้อยไปหรือเปล่ากรหยิบสีฟ้าเรืองแสงที่อยู่ข้าง ๆ มาใส่เพิ่มไปอีกสีก็แล้วกันนะ” สิ้นเสียงของพรีมผมก็ทำตามที่เธอบอก ความจริงผมก็ไม่รู้ว่าพรีมเธอจะมีความรู้เรื่องศิลปะมากขนาดนี้ ถือว่าผมพาผู้ช่วยมาถูกคนครับ


พรีมค่อย ๆ เดินวนในร้านเพื่อดูของที่จะใช้ตกแต่งรถขายไอติมของเราได้จนในที่สุดตะกร้าในมือผมก็เต็มไปด้วยอุปกรณ์จิปาถะที่พรีมคิดว่ามันจะเอามาใช้ตกแต่งรถสามล้อของพวกเรา จนในที่สุดการช็อปปิ้งอุปกรณ์ของเราก็เสร็จสิ้น ยอดรวมทั้งหมดที่พวกผมต้องจ่ายไปก่อนนี่ระบุออกมาเป็นจำนวนเงินรวมแล้วน้ำตาของผมแทบไหลออกมาเป็นสายเลือดครับ แพงบรรลัยเลยครับขอบอก
หลังจากที่ตัวและกระเป๋าของพวกเราซูบซีดไปกับร้านขายเครื่องเขียน เราทั้งห้าคนก็เดินตัวปลิวพร้อมหิ้วของทั้งหมดออกมาจากร้าน หน้าแต่ละคนไม่สู้ดียิ่งนักครับแต่ก็ต้องจำใจขนของขึ้นรถของผมกับรถของพรีม เพื่อนำของที่กองอยู่เต็มรถไปส่งที่คณะ


ไอผมนี่ใจลอยตลอดเวลาการขับรถเลยครับ ไม่อยากจะเชื่อว่าของแค่นี้ราคามันจะแพงได้นรกแตกขนาดนี้ แค่สีอคลีลิกหนึ่งกระปุกก็ล่อไปเกือบสามร้อยบาทแล้วแถมเราหยิบกับมา 5 – 6 กระปุก แค่สีก็ปาไปเป็นพันแล้วครับ ตามด้วยกลิตเตอร์ที่พรีมเธอไปทุ่มเทนั่งเลือกจากร้านมา (ความจริงโฟมที่ใช้มันไม่แพงครับมันแพงตรงพวกเครื่องที่ใช้ตกแต่งประดับมากกว่า แล้วพรีมใช่ว่าเธอจะเลือกของถูกมาใช้ นี่เธอเล่นเลือกของแพงเลยครับแพคละเป็นร้อยแล้วหยิบมาซะหลายแพค เล่นเอาผมคิดไปเลยว่าเธอจะเอาไว้ใช้ตกแต่งยันล้อของรถสามล้อเลยเหรอครับพรีม)


ผมขับรถไปเรื่อย ๆ ก่อนจะวนเข้าประตูของมหาวิทยาลัยพร้อมกับขับไปจอดเทียบกับฟุตบาทข้างคณะ เมื่อลงจากรถผมล้วงโทรศัพท์มือถือของผมออกมาและกดเบอร์โทรหาไอฟองทันที ซึ่งทีผมโทรไปหามันนั้นก็เพราะจะให้พวกมันมาช่วยกันหิ้วของที่โคตรเยอะลงจากรถครับ (ประเด็นคือของที่พวกผมซื้อก็มีอันที่รุ่นพี่ฝากซื้อด้วยเหมือนกันครับก็เลยเยอะและแพงเป็นพิเศษ) ผมยืนกอดอกพิงรถรอพวกมันประมาณห้านาทีในที่สุดพวกเพื่อน ๆ ที่นั่งรอกันอยู่ใต้คณะก็เดินออกมาช่วยพวกผมขนของลงจากรถ
“ช้าสรัดครับเพื่อนฟอง พวกกรูไปซื้อมาแล้วหน้าที่ขนของคือพวกมรึงเลยครับ” ผมพูดพร้อมกับไขกุญแจเปิดท้ายรถให้เหล่าสหายมาช่วยกันแบกของลง “ส่วนนี่บิล เอาไปเบิกพี่ปีสี่ให้ทีด้วย” และใบเสร็จจากร้านเครื่องเขียนผมก็ส่งไปให้ไอเจมส์กับไอบาสที่เดินตามมาทีหลัง (ความจริงสองคนนี้เป็นประธานรุ่นกับเหรัญญิกครับ ไอเจมส์เป็นประธาน ไอบาสเหรัญญิก ส่วนผมเหรอครับผมเป็นรองประธานรุ่นครับ แต่เป็นรองประธานรุ่นที่โดดประชุมรุ่นตลอดและโยนหน้าที่รองประธานให้ไอเจมส์มันทำรวบยอดเลยครับ)


ซึ่งไอบาสก็รับใบเสร็จไปนะครับพร้อมกับบ่นพึมพำเบา ๆ ด้วยความเบื่อหน่ายออกมาว่า “เรื่องเบิกเงินมันหน้าที่ของกรูก็จริงแต่กรูไม่อยากไปเจอเจ้น้ำหวานของมรึงเล้ย ไอกร” เสียงบ่นพวกนั้นทำให้ผมเผลอหัวเราะออกมาเบา ๆ ไอโรคขยาดเจ้น้ำหวานของไอบาสก็ยังคงไม่หายขาดสินะ


ผมไหวไล่ตอบไอบาสพร้อมกับหันไปพูดกับพวกเพื่อน ๆ ให้ช่วย ๆ กันหิ้วของเข้าไปใต้ตึกคณะ “ของที่ซื้อมาไม่ได้หมดแค่นี้นะยังมีอยู่ในรถของพรีมอีกคัน ไปช่วยขนของจากรถคันนั้นบ้าง”


และหลังจากที่พวกเราขนของออกจากรถพร้อมกับแบกเข้าไปใต้ตึกคณะแล้ว ขั้นตอนต่อไปนั่นก็คือการยำกับวัสดุอุปกรณ์ที่ซื้อมา ให้กลายเป็นสิ่งที่ต้องการครับโดยแกนนำของการจัดงานสิ่งของพวกนี้ก็ไม่ต้องบอกนะครับว่าคน ๆ นั้นเป็นใคร เพราะมันเป็นใครไม่ได้อีกไปแล้วนอกจากผู้ออกแบบรถสุดล้ำคันนี้ ‘ไอฟอง’ นั่นเอง


พอถึงเวลาทำงานศิลป์ไอฟองนี่จะเป็นแกนนำเลยครับ (คือไอฟองมันเก่งศิลปะมากจนผมสงสัยว่าทำไม่ไปเรียนด้านศิลป์มันจะมาเรียนวิศวะทำไมกัน) ออกแบบ จัดการ ดรออิ้ง แล้วลงมือไอนี่มันทำเป็นทุกขั้นตอนครับ  ที่จริงพวกผมเด็กปี 1 ปล่อยให้มันตกแต่งรถสามล้อคนเดียวทั้งคันก็ได้นะครับ ผมเชื่อว่ามันทำได้แต่ในฐานะเพื่อนที่ดีก็ต้องลงมือช่วยมันทำสักหน่อย พวกเราทุกคนต่างแยกย้ายไปทำงานที่ตัวเองถนัด บ้างก็วาดรูปต้นแบบบนโฟมแผ่นที่ซื้อมาบ้างก็นั่งตกแต่งของกระจุกกระจิก บ้างก็ยืนมองนิ่ง ๆ แบบผม (ไอพวกที่ยืนมอองเนี่ยพวกผู้ชายเลยครับ พวกผู้ชายที่ลงช่วยทำส่วนใหญ่ไม่ติสแตกแบบไอฟอง ก็จะเป็นพวกผู้หญิงที่ชอบทำอะไรกุ๊กกิ้ก ๆ ครับ แต่นิยามนั้นใช้กับพรีมไม่ได้ครับเพราะตอนนี้เธอวิ่งแจ้นไปช่วยงานรุ่นพี่ปี 2 นั่งเลื่อยไม้แล้วครับ)


หลังจากผมยืนดูพวกเพื่อน ๆ ช่วยกันตกแต่งรถสักพักผมก็ไว้วางใจให้มันทำต่อ (เพราะผมทำมันไม่เป็น) และวิ่งไปหากลุ่มรุ่นพี่เพื่อช่วยทำซุ้มหนุ่มน้อยตกน้ำครับ คนคุมงานคือเจ้น้ำหวานสุดที่รักของเพื่อนเจมส์และเพื่อนบาส เบ้กิตติมศักดิ์คือ เฮียบุญเกิด เฮียก๊อตครับ และเมื่อผมเดินเข้าไปในดงของรุ่นพี่ ผมซึ่งเป็นรุ่นน้องก็ต้องผันตัวไปเป็นเบ้กิตติมศักดิ์อีกคน


“น้องกรของเจ้ ไปเลื่อยไม้ตรงนั้นหน่อยสิจะ” เจ้น้ำหวานชี้นิ้วสั่งให้ผมไปเลื่อยไม้ทำฉากซึ่ง ณ จุด ๆ นั้นมีพรีม ไอเจมส์ ไอบาสและเพื่อนคนอื่น ๆ ของผมกำลังทำอยู่ ผมรีบพยักตกลงและวิ่งหยิบเลื่อยไปช่วยพวกนั้นอีกแรง แต่ก็ไม่ทันที่ผมได้ลงมือเลื่อยไหมเสียงของเจ้น้ำหวานก็ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับออกคำสั่งห้ามให้ผมทำงาน “น้องกรของเจ้ไม่ต้องทำแล้วจ่ะ มายืนคุมงานกับเจ้ดีกว่า” ท่าทางที่เปลี่ยนไปของเจ้น้ำหวานทำให้ผมเกิดอาการงุนงง ทว่าเจ้น้ำหวานก็ไม่ได้ทำให้ผมสงสัยอยู่นานริมฝีปากของเจ้แกเหยีดยยิ้มพร้อมกับพูดถ้อยคำที่คลายความสงสัยทั้งหมดของผมออกมา


“เจ้คิดว่าถ้าน้องกรไปทำงานใช้แรงงานแล้วเกิดอุบัติเหตุอะไร ไอคุณศิรวิทย์ว่าที่สามีของน้องกรอาจจะมาฆ่าเจ้ได้ค่ะ” สิ้นเสียงเจ้น้ำหวานรุ่นพี่ และรุ่นเพื่อนก็ส่งเสียงโห่ร้องออกมาเสียงดังไอผมนี่แทบจะกัดลิ้นตายมันตรงนี้ ไอผมหนะคิดว่าเจ้น้ำหวานแกจะเข้าข้างผมและไม่แกล้งผมแล้วนะ


แต่นี่เจ้แกเล่นพูดเสียงดังกลางตึกคณะแสดงให้เห็นว่าเจ้แกนี่โคตรรักผมเลยครับ!


ผมหันไปแยกเขี้ยวใส่เจ้น้ำหวานแล้วยังคงเดินถือเลื่อยตรงไปยังกลุ่มเพื่อนของผมที่ขมักเขม่นทำงานอยู่ ซึ่งผมก็คิดว่าสหายทั้งหมดของผมนั้นจะยอมให้ผมช่วยงานและไม่พูดล้อเลียนอะไรผม แต่เพื่อนของผมก็ยังคงเป็นเพื่อนของผมวันยังค่ำทันทีที่ผมเดินไปถึง สาวสวยที่สุดในก๊วนของผมก็คลี่รอยยิ้มหวานหยดออกมาและใช้คำพูดแนวเดียวกับเจ้น้ำหวานไล่ให้ผมไปนั่งนิ่ง ๆ ไม่ต้องทำอะไร “กร…พรีมว่ากรไปนั่งเฉย ๆ เถอะ พรีมกลัวว่ากรจะมีแผลกลับบ้านไปแล้วพี่ศิอาจจะมาถล่มคณะเราได้นะ กรห่วงชีวิตของพวกเราเถอะ” สิ้นเสียงพูดของพรีม เสียงหัวเราะอย่างสะใจของเจ้น้ำหวานก็ดังขึ้น เจ้เธอตวัดมือเรียกลุงรหัสและพี่รหัสของผมให้เดินมาหิ้วผมออกจากวงทำงาน และพี่ ๆ ทั้งสองคนก็พาผมนั่งไปจุ่มอยู่ที่ม้าหินอ่อน ซึ่งเจ้น้ำหวานแกมอบหมายหน้าที่สุดแสนจะน่ารักให้ผม นั่นก็คือหน้าที่ ‘หนุ่มน้อยที่รอคอยจะตกน้ำครับ’ ให้ตายเถอะเจ้น้ำหวานแกยังไม่เลิกคิดจะเอาผมไปนั่งบนถังน้ำนั่นอีกเหรอ ผมว่าผมปฏิเสธเจ้แกหลายต่อหลายครั้งแล้วนะ


ผมนั่งเตะเท้ารอไปพร้อมกับมองทุก ๆ คนนั่งทำงานไป สภาพการแบบนี้มันน่าเบื่อพอดูเลยนะครับที่ต้องมานั่งมองคนอื่นทำงานโดยที่ตัวเองไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ไอความเบื่อของผมมันก็เกิดขึ้นได้ไม่นานครับเพราะว่าหลังจากนั้นราว ๆ 15 นาที โทรศัพท์จากคนที่ทุกคนก็รู้ว่าใครก็โทรมาหาผมครับ ผมเร่งกดรับสายโดยไม่รีรอสิ่งใดเลยครับ



v
v
v
v
v
v

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0


“สวัสดีครับพี่ศิ เลิกเรียนแล้วเหรอครับ” ผมกรอกเสียงลงไปตามสายและทันทีที่ผมเรียกชื่อของพี่ศิ ทุกคนที่กำลังทำงานอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมาและพร้อมใจกันหันมามองทางผม แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรหรอกครับผมก็ยังคงคุยและเมาส์แตกกับพี่ศิต่อไป


“ครับแล้วนี่กรอยู่ไหนพี่จอดรถอยู่ที่เดิมมาสักพักแล้วนะครับ นี่ก็เกือบจะหกโมงเย็นแล้วกรยังไม่เลิกเรียนอีกเหรอครับ” เสียงทุ้มดังตามสายซึ่งผมก็เอ่ยปฏิเสธพี่ศิไปพร้อมกับบอกเหตุผลให้พี่เขาฟังด้วย


“เปล่าหรอกพี่ศิตอนนี้กรกำลังนั่งทำงานกันอยู่หนะนี่อยู่กันทั้งหมดเลยพอดีงานวันลอยกระทง คณะกรจะทำหลายอย่างไงเลยต้องเร่งมือทำกันนี่ยังไม่เสร็จเลยสักอย่างเลย พี่ศิกลับไปก่อนเลยก็ได้นะเดี๋ยวกรกลับเองได้” ผมพูดใส่หูโทรศัพท์บอกอีกฝ่ายไป ซึ่งทางพี่ศิก็ตอบเสียงพึมพำกลับมาครับ เราทั้งสองคนคุยกันอีกสักพักไม่นานนักพี่ศิก็วางสายไปโดยบอกเหตุผลกับผมว่าเขามีธุระ ผมก็เลยจำใจกดตัดสายโทรศัพท์ไปและในทันทีที่ผมละความสนใจจากโทรศัพท์ผมก็ต้องพบกับรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจของคนทั้งคณะ


‘ตายหละครับผมดังลืมไปว่าผมไม่ได้อยู่คนเดียวเลยง้องแง้งใส่พี่ศิไปซะเต็มที่ ซวยแล้วครับชีวิต” ผมได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ตอบกลับไปและรีบเก็บกระเป๋าเตรียมที่จะหนีออกไปจากใต้คณะแต่มีหรือเจ้น้ำหวานสุดสวยของผมจะให้ผมหนีไปได้ ผมขอบตอบเลยครับว่าเจ้น้ำหวานแกไม่มีวันปล่อยผมครับและที่ผมมั่นใจขนาดนี้ก็เพราะผมโดนลุงรหัสและพี่รหัสลอคตัวไว้ไม่ให้หนีไปไหนโดยคำสั่งของเจ้น้ำหวานครับ


ซึ่งเจ้น้ำหวานก็ยิ้มหวานใส่ผมสมชื่อของเจ้เค้าครับ เธอค่อย ๆ ย่างสามขุมเข้ามาใกล้ ๆ ผมมือทั้งสองข้างกอดอกก่อนรอยยิ้มหวาน ๆ จะแปรเปลี่ยนเป็นแสยะยิ้มเย็น ๆ ใส่ผม


“น้องกรที่รักของเจ้ บอกเจ้น้ำหวานหน่อยสิจะว่าตอนนี้น้องกรขั้นไหนกับไอศิมันแล้ว” ผมส่ายหัวปฏิเสธเจ้น้ำหวานแต่เจ้แกก็ไม่ยอมหยุดอยู่แค่นั้นร่างเล็กค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้ผมพร้อมกับกางมือเตรียมที่จะตะครุบตัวผมไว้ แต่ผมก็อาศัยจังหวะที่เจ้ลุงรหัสและปู่รหัสเผลอดิ้นหนีหลุดออกมาได้ครับและเมื่อผมหลุดออกมาจากการจับกุมผมก็ใส่เกียร์หมาและวิ่งหนีทันที ทว่าเจ้น้ำหวานแกก็ไม่ยอมรามือครับเธอวิ่งตามผมมาติด ๆ ด้วยส้นเข็มสูง 4 นิ้วของแกนั่นหละครับ


ผมวิ่งหนีไปหลบไป การกระทำแบบนี้ของผมและเจ้น้ำหวานทำให้ทุกคนที่อยู่ใต้คณะวิศวะหัวเราะกันเสียยกใหญ่แต่ไม่รู้ว่าทำไมเสียงหัวเราะมันค่อย ๆ เงียบลงและเจ้น้ำหวานค่อยชะลอฝีเท้าของตัวเองและค่อย ๆ เดินถอยหลังกลับไปยังกลุ่มเพื่อน ๆ ที่นั่งทำงานอยู่


ผมได้แต่มองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความสงสัยแต่ผมก็ยังไม่หยุดฝีเท้าของตัวเองจนในที่สุดผมก็ได้รับรู้ถึงต้นเหตุที่ทำให้ทุกคนที่นั่งอยู่ใต้คณะเงียบสนิทแล้วหละครับ


ผมวิ่งต่อไปอีกไม่กี่ก้าวร่างของผมก็ชนเข้ากลับร่างของคน ๆ หนึ่ง ผมนี่ถึงกับทรุดลงไปกุมหน้าตัวเองกับพื้นเลยครับแต่ผมก็ยังมีมารยาทนะครับผมยังเอ่ยคำขอโทษใส่คนที่ผมเข้าไปชนนะ “ขอโทษครับพอดีไม่ได้มองทางเป็นอะไรมากไหมครับ” ผมพูดพร่ำทั้ง ๆ ที่ตัวเองยังคงทรุดนั่งลงอยู่ที่พื้น (จริง ๆ ผมไม่ได้เจ็บอะไรมากหรอกครับ แต่ผมเหนื่อยมากกว่าได้นั่งแบบนี้ทำให้ความเหนื่อยล้าจากการวิ่งหนีเจ้น้ำหวานมันตีกลับครับ)


“เป็นห่วงคนอื่น แต่ไม่ห่วงตัวเองเลยนะครับกร” น้ำเสียงที่คุ้นเคยถูกเอ่ยดังพร้อมกับร่างของผมที่ถูกประคองขึ้นด้วยมือกร้านของคน ๆ นั้น ซึ่งก็ไม่ต้องเดาผมก็คิดว่าทุกคนน่าจะรู้นะครับว่าเขาคนนั้นคือใครเพราะมันไม่ใช่ใครอื่นนอกจากนิสิตแพทย์ ศิรวิทย์ หิรัญศิริ นั่นเองครับ


พี่ศิเดินเข้ามาใต้คณะวิศวกรรมศาสตร์พร้อมกับถุงขนมเต็มไม้เต็มมือไปหมด ร่างสูงกว่าค่อย ๆ ละมือออกจากร่างของผมพร้อมกับจูงมือผมไปยังโต๊ะข้าง ๆ บริเวณที่ทุกคนทำงานอยู่ และถุงทั้งหมดที่พี่ศิหิ้วมาถูกวางไว้บนโต๊ะพร้อมกับถุงข้าวกล่องที่ไม่ต้องบอกว่าพี่ศิซื้อมาให้ใครกิน


“ไงไอวิน งานหนักไหมมรึงเห็นว่าเป็นประธานสโมงานคงเยอะหละสิ” พี่ศิพูดทักทายเจ้น้ำหวานของผมพร้อมกับโยนขวดน้ำชาเขียวไปให้ ซึ่งเจ้น้ำหวานก็ยิ้มหวานสมชื่อตอบกลับและก็ยื่นมือไปรับขวดน้ำนั่นไว้


“ขอบใจนะคะศิที่รัก แต่อย่าเรียกชื่อนั้นของดิฉันเลยดิฉันพยายามลืมมันไปแล้วค่ะ” เจ้น้ำหวานพูดติดตลกพร้อมกับบิดฝาเพื่อเปิดขวดน้ำชาเขียวดื่ม


“ก็เรียกแบบนั้นมาตั้งแต่ม.4มันติดไปแล้ววะไอวิน มานี่เอาขนมไปแจกน้อง ๆ ไป” พี่ศิไหวไหล่ทำเป็นไม่สนใจในสิ่งที่เจ้น้ำหวานพูดพร้อมทั้งยังสั่งให้เจ้แกมาเอาขนม นม เนย ไปแจกพวกรุ่นน้องเสียอีก (ท่าทางพี่ศิจะน่ากลัวพอดูที่ทำให้คนแสบ ซ่า ก๋ากั่น อย่างเจ้น้ำหวานสั่นกลัวได้ถึงขนาดนี้)


ผมได้แต่มองของพวกนั้นด้วยสายตาละห้อยแต่ผมก็ไม่ได้เสียดายของพวกนั้นนานถุงสุดท้ายที่พี่ศิยังวางไว้บนโต๊ะก็ถูกเลื่อนเข้ามาใกล้ ๆ พร้อมกับหยิบบะหมี่เป็ดย่าง (เวอร์ชั่นพิเศษเส้นพิเศษเป็ด) ออกมาสองกล่องและไม่ต้องเดาเลยครับว่าบะหมี่สองกล่องนี้เป็นของใครถ้าไม่ใช่ของผมกับพี่ศิ


ผมมองกล่องบะหมี่พร้อมกับยิ้มจนแก้มปริ ผมรีบเปิดฝากล่องเพื่อจัดการของที่อยู่ในกล่องนั่นทันที (อย่าว่าผมเห็นแก่ตัวมีคนคอยส่งน้ำส่งอาหารนะครับ คือทุก ๆ คนก็พลัดเปลี่ยนกันไปกินข้าวกินน้ำกันแต่ผมนี่นั่งอยู่ตรงนี้ตลอดและเพิ่งมีพี่ศิมาส่งข้าวส่งน้ำให้เมื่อกี๋นี้เอง ดังนั้นเวลาต่อจากนี้ไปเป็นเวลาทานข้าวของผมครับ)


ผมนั่งคีบเส้นบะหมี่ใส่ปากอย่างเอร็ดอร่อยพร้อมกับแอบไปแย่งเป็ดย่างในกล่องของพี่ศิมาใส่ปากตัวเองด้วย นี่ไม่ใช่ผมแย่งพี่ศิกินนะครับ พี่ศิเขาก็แย่งผมกินเหมือนกันพวกเราสู้รบกันระยะเวลาหนึ่ง ก่อนต่างคนจะทนความหิวไม่ไหวและก้มหน้าก้มตากินบะหมี่และเป็ดในกล่องของตัวเองแทนการไปแย่งกินของอีกฝ่าย ผมนั่งกินบะหมี่ไปสักพักไม่นานนักทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในกล่องก็ลงไปอยู่ในท้องของผม


ผมหันไปส่งยิ้มให้กับพี่ศิพร้อมกับยกมือไหว้ขอบคุณที่พี่ศิเลี้ยงอาหารมื้อนี้ให้ “ขอบคุณครับพี่ศิ คราวนี้ไปซื้อเจ้าไหนมาเนี่ยอร่อยจังเลย” ผมพูดพร้อมกระเถิบเข้าไปใกล้ ๆ พี่ศิ และแอบขโมยเป็ดย่างที่เหลืออยู่ในกล่องของพี่ศิมากินต่อ ซึ่งการกระทำแบบนั้นของผมทำให้พี่ศิหันมาจ้องผมเขม็งและยกมือขึ้นมายีหัวผมอย่างแรง


“ของตัวเองกินหมดแล้วยังมาแย่งของพี่กินอีกนะกร ไอตัวแสบเอ้ย” พี่ศิพูดกลั้วหัวเราะใบหน้าคมนั้นระบายไปด้วยรอยยิ้ม “ซื้อแถวหน้ามหาลัยเดี๋ยวว่าง ๆ พี่พาไปกินแล้วกัน”


“จริงนะ จะพากรไปกินจริง ๆ นะพี่ศิ” ผมพูดราวกับว่าตัวเองเป็นเด็กเล็ก ๆ ซึ่งท่าทางเช่นนี้ของผมทำให้พี่ศิหัวเราะออกมาเสียยกใหญ่


พวกเราทั้งสองคนพูดหยอกล้อกันไปอีกสักหน่อยในที่สุดผู้คนที่อยู่โดยรอบก็ทนไม่ไหวโดยเฉพาะเจ้น้ำหวาน ก็พูดโพล่งออกมา “ถ้าจะมาจีบกันก็กลับไปจีบกันที่คอนโดไปโลกนี้ไม่ได้มีพวกแกสองคนนะยะ! เห็นใจคนโสดหาแฟนไม่ได้อย่างพวกฉันมั่งสิ!” เสียงของเจ้น้ำหวานกรีดร้องทำให้ผมกับพี่ศิหลุดออกจากโลกที่มีเราเพียงสองคน ผมหันไปยิ้มแห้ง ๆ ให้เจ้น้ำหวาน ส่วนพี่ศิหนะเหรอแกหันไปจ้องเจ้น้ำหวานด้วยใบหน้าที่แสนจะเย็นชาทำเอาเจ้น้ำหวานนี่ปิดปากตัวเองแทบไม่ทันครับ (ท่าทางเจ้น้ำหวานจะกลัวพี่ศิน่าดู ผมจะชักอยากรู้แล้วสิว่าเมื่อตอนที่พี่ศิอยู่มัธยมพี่ศิเขาเป็นคนยังไง)


บางทีผมก็คิดว่าเจ้น้ำหวานนี่เป็นใหญ่ที่สุดในคณะวิศวะแล้วแต่วันนี้ทำให้ผมรู้เพิ่มมาอีกอย่างครับว่าเจ้น้ำหวานมีคนที่แพ้ทางแบบสุด ๆ อย่างพี่ศิอยู่ (ไว้งานหน้าถ้าโดนเจ้น้ำหวานแกล้งผมคงต้องวิ่งแจ้นไปฟ้องพี่ศิซะแล้วสิครับ)


“กรงานยังไม่เสร็จไม่ใช่เหรอ ฉันก็เลยรอกรทำงานเสร็จก่อนแล้วค่อยกลับกัน” ถ้อยคำที่พี่ศิเอ่ยมานั้นทำเอาผมต้องหันไปถลึงตาใส่พี่ศิเขาเลยครับ นั่นข้ออ้างหรือไงกันวันนี้พี่แกก็รู้ว่าผมเอารถมาพี่ศิแกไม่จำเป็นต้องรอผมทำงานเสร็จแล้วกลับพร้อมกันก็ได้ครับ


“พี่ศิวันนี้กรเอารถมาเดี๋ยวกรกลับเองก็ได้นะ” ผมพูดเสียงอ่อยพร้อมกับเอามือดันไหล่พี่ศิให้ลุกขึ้น แต่คนดื้อดึงอย่างพี่ศิหนะเหรอครับแกจะยอมทำตามที่ผมพูด ผมขอตอบแทนพี่ศิเลยนะครับว่าไม่มีทางยอมกลับแน่นอนซ้ำพี่แกทำหน้าไม่รู้สึกรู้สากับคำไล่?? ของผมโดยการหยิบชีทและอุปกรณ์สำหรับการเขียนรายงานส่งอาจารย์ขึ้นมาอ่านและทำเสียด้วย


นี่พี่ศิจะทำตัวเป็นเด็กดื้อมากไปแล้วนะครับ!


ผมได้แต่หันไปยิ้มแห้ง ๆ ใส่เจ้น้ำหวานพร้อมกับก้มหัวขอโทษและลุกขึ้นเพื่อไปช่วยงานรุ่นพี่และเพื่อน ๆ แต่ด้วยอำนาจมืดอันแสนล้นเหลือของพี่ศิ รุ่นพี่และเพื่อน ๆ ทุกคนของผมนี่ส่งสายตาที่สื่อความหมายเป็นันยเดียวกันมาว่า ‘มรึงอย่าลุกขึ้นมาเชียวนะ ถ้ามรึงลุกมาพวกกรูซวยแน่นอนดังนั้นมรึงจงนั่งต่อไป’ และไอสายตาพวกนั้นทำให้ผมต้องจำใจนั่งจุ่มอยู่ที่โต๊ะเหมือนเดิมครับ
แบบนี้ทำเอาผมรู้สึกว่าผมไปกินแรงคนอื่นเลยครับ มันรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก แต่ทุกคนก็ต่างกลัวพี่ศิกัน ผมจึงต้องจำใจนั่งนิ่ง ๆ อยู่ข้าง ๆ พี่ศิเขาครับ


และเหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้ผมตัดสินใจได้เด็ดขาดว่า ‘เวลาที่ผมจะมานั่งทำงานหรือมาร่วมกิจกรรมอะไรผมจะไม่มีทางพาพี่ศิติดสอยห้อยตามมาอีกเด็ดขาด’


เวลาล่วงเลยผ่านไปจนตอนนี้เป็นเวลา 4 ทุ่มแล้วครับ เพื่อน ๆ ทุกคนนี่ยังคงนั่งทำงานอย่างขะมักเขม้นครับ แถมงานของพวกผมนั่งคือรถสามล้อที่จะใช้ในการขายไอติมปั่นก็ใกล้จะเสร็จแล้วหละครับ (มีไอฟองสุดอาร์ตอยู่งานศิลป์ก็ทำงานเสร็จได้อย่างรวดเร็วครับ ในตอนนี้ก็เหลื่อแต่เอาของที่ทำเสร็จแล้วเอาไปประดับตกแต่งที่รถครับ) เมื่อเห็นสภาพการณ์เป็นแบบนั้นผมก็ลุกขึ้นและกระโดดไปยังกลุ่มปี 1 ซึ่งเป็นเพื่อน ๆ ของผมครับ


“งานใกล้จะเสร็จแล้วดิไอฟอง” ผมเดินวนไปรอบ ๆ กลุ่มก่อนจะปลายตามองไปยังรถสามล้อที่ตอนนี้เริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้วหละครับ


พระจันทร์ดวงใหญ่ที่เป็นจุดเด่นของรถคันนี้ถูกแปะลงไปที่ตัวรถแล้วหละครับโดยรอบนี่มีก้อนเมฆที่ทำจากโฟมและดาวดวงเล็ก ๆ ติดกัน ความจริงผมคิดว่ามันน่ารักไปเสียหน่อยครับ แต่มองไปมองมามันก็เข้าตีม ‘ลอยกระทง’ ดีนะครับสภาพนีเนี่ย


“เหลือแค่เอาของไปประดับตกแต่ง รับรองไม่เกินพรุ่งนี้ลูกรักกรูคันนี้ต้องเสร็จแน่นอน” ไอฟองพูดกับหันมายกนิ้วโป้งให้ผม ซึ่งผมก็ยกนิ้วโป้งตอบกลับไปให้มันเหมือนกันครับ


ส่วนอีกด้านหนึ่งคือกลุ่มของรุ่นพี่ซึ่งมีเจ้น้ำหวานเป็นแกนนำครับทางนั้นรู้สึกว่าเขาจะเริ่มละเลงสีบนฉากแล้วหละครับหลังจากพวกรุ่นพี่เถียงกันอยู่นานสองนานว่าจะทำพื้นหลังเป็นฉากแบบไหนดี ข้อสรุปที่ได้ก็คือฉากด้านหลังจะถูกระบายสีเป็นท้องฟ้ายามเช้าครับ มันจะได้สว่าง ๆ เห็นหน้าหนุ่มน้อยตกน้ำแต่ละคนดี (อันนี้เป็นความคิดของเจ้น้ำหวานครับ เจ้แกบอกว่าเวลาสาว ๆ เขามาเล่นพวกเธอจะได้เห็นหน้าหนุ่มน้อยชัด ๆ สาว ๆ จะได้กรีดกร้าดกัน และที่สำคัญเวลาเปียกเนี่ยเสื้อมันจะแนบเนื้อครับสาว ๆ จะได้เห็นผิวของหนุ่มน้อยชัด ๆ)


“พวกแกเร่งกันทาสีหน่อยสิยะ!! งานมันจะเริ่มอีกสามวันแล้วนะยะดีที่พวกถังกับที่กั้นไปหากันมาได้แล้วนี่เหลือแต่ฉากนี่เท่านั้นนะยะ! เร่งมือกันเข้า” เสียงเจ้น้ำหวานพูดดังลั่นพร้อมกับถือม้วนกระดาษไล่ฟาดเพื่อน ๆ และน้อง ๆ ที่นั่งสะลึมสะลือเรียงคนเพื่อนให้แต่ละคนตาสว่าง ไอผมก็กลืนน้ำลายลงท้องฮึกใหญ่ก่อนจะย่องกลับไปนั่งข้าง ๆ พี่ศิที่ตอนนี้กำลังปั่นรายงายถึงช่วงสุดท้ายแล้วครับท่าทางใกล้จะเสร็จเต็มทนแล้วหละ


แต่ว่าผมนี่เริ่มง่วงขั้นวิกฤติแล้วครับ มือข้างหนึ่งของผมถูกยกขึ้นมาป้องปากหาววอด ๆ พร้อมกับเดินกลับไปที่ม้านั่งและเขยิบเข้าไปใกล้พี่ศิแล้วซบลงบนบ่าของพี่ศิเขาครับ


ที่ผมยืมบ่าพี่ศินี่เพราะผมง่วงนี่ครับผมเลยตัดสินใจยืมบ่าพี่เขาเป็นหมอนซะเลยแล้วก็คงไม่ทำให้พี่ศิลำบากอะไรด้วยครับเพราะพี่ศิเป็นคนที่ถนัดทั้งมือซ้ายและมือขวาครับ


ดังนั้นผมทีเอนหัวไปซบที่บ่าทางด้านขวาของพี่ศิมันจึงไม่ทำให้พี่ศิลำบากในการเขียนรายงานครับเพราะทันทีที่ผมเอนหัวไปซบปากกาในมือขวาก็ถูกเปลี่ยนไปถือในมือซ้ายและเขียนรายงานต่อไปอย่างไม่ติดขัดครับ


ผมนี่เอาหัวดัน ๆ ไหล่พี่ศิไปมา (สภาพของผมตอนนี้คือผมนั่งหันหลังใส่พี่ศิครับแล้วหัวก็เอนซบไปที่บ่าข้างขวาของพี่เขาครับ) สายตาที่เริ่มปรือจนใกล้จะหลับมองรุ่นพี่และเพื่อน ๆ แต่ละคนทำงานอย่างขะมักเขม้น ไอผมก็รู้อยู่หรอกครับว่าทำไมทุก ๆ คนถึงไม่ค่อยจะอยากให้ผมทำงานกันเพราะผมเป็นคนที่ซุ่มซ่ามขั้นเทพครับ อะไรที่ต้องใช้ของมีคมเข้ามาช่วยนี่ เพื่อน ๆ และรุ่นพี่จะไม่ให้ผมแตะเลย (คือมันมีประสบการณ์จากทำพาเรดตอนแข่งขันกีฬาเฟรชชี่ครับ คราวนั้นผมโดนฉีดยากันบาดทะยักไปแถมโดนพันผ้าพันแผลไปอีกหลายวัน เหตุผลที่ต้องทำแบบนั้นก็เพราะว่าตอนนั้นผมกรีดคัตเตอร์แล้วพลาดไปโดนนิ้วชี้ครับแถมเป็นแผลทางยาวและลึกเล้กน้อย สถานการณ์ตอนนั้นรุ่นพี่หิ้วผมไปส่งโรงพยาบาลกันแทบจะไม่ทัน นับจากวันนั้นผมเลยไม่ได้รับอนุญาตจากรุ่นพี่และเพื่อน ๆ ให้จับคัตเตอร์อีกเลย)


ผมอ้าปากหาววอด ๆ อีกสักสองสามครั้ง เจ้น้ำหวานผู้กำอำนาจสูงสุดในคณะวิศวะ (แต่ก็เป็นรองว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์) ก็สั่งให้ทุก ๆ คนเลิกงานครับ งานทางฝั่งปี 1 นี่ผมคิดว่ามันเสร็จเรียบร้อยแล้วครับเพราะไอฟองมันวิ่ยแจ้นมาช่วยทางฝั่งรุ่นพี่เมื่อสามสิบนาทีก่อนและรถสามล้อลูกรักของมันตอนนี้ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ใต้คณะ ส่วนงานของรุ่นพี่ปี 2 เป็นต้นไปกำลังรอให้สีฟ้ที่เป็นสีพื้นแห้งครับถึงจะละเลงสีขาว เทา ลงไปให้ดูเหมือนก้นเมฆได้ ดังนั้นดูจากรูปการณ์แล้วงานของวันนี้ก็เสร็จเรียบร้อยแล้วครับพรุ่งนี้มาทำต่อกันอีกสักหน่อยงานก็คงเสร็จเรียบร้อยและเตรียมแบกไปที่ตั้งบูทของพวกเราได้แล้วหละครับ


“นี่…น้อง ๆ ค่ะเพื่อน ๆ ค่ะวันนี้เลิกงานแค่นี้ก่อนนะคะ แต่ก่อนจะกลับช่วยกันเก็บอุปกรณ์นะคะทุกคนแล้วค่อยแยกย้ายกันกลับบ้านกลับหอ น้องคนไหนอยู่หอในแล้วไม่มีรถกลับหาเพื่อน ๆ หรือมาหารุ่นพี่นะคะพี่จะหาคนไปส่งให้แต่ถ้าใครมีคนมารับแล้วดันเอารถมาด้วยนี่อันนี้ไปตกลงกันเอานะคะว่าจะกลับกันยังไง” ในประโยคแรกเจ้น้ำหวานแกพูดถึงเพื่อน ๆ ผมครับแต่ในประโยคสุดท้ายนี่เจ้น้ำหวานหันมาเล่นงานผมกับพี่ศิโดยตรงเลยครับแต่เจ้แกยังไม่หยุดแค่นั้นนะครับเพราะเธอยังเอ่ยปากพูดเย้าแหย่ผมกับพี่ศิออกมาอีก


“หวานกันจนจะหมดขึ้นหวังว่าพรุ่งนี้คงไม่ได้มาส่งข้าวส่งน้ำให้กันแล้วนะคะ แต่ถ้ามีอีกเราอาจจะเจอรังมดในคณะเราเป็นสิบ ๆ รังเพราะออร่าความหวานมันแพร่กระจายค่ะ” สิ้นเสียงพูดของเจ้น้ำหวานทุกคนที่อยู่ใต้คณะต่างพากันส่งเสียงร้องแซวผมกับพี่ศิกันใหญ่ เสียงโห่แซวพวกนั้นทำผมหน้าแดงก่ำพร้อมกับสะกิดพี่ศิเบา ๆ แต่ดูเหมือนว่าพี่ศิรวิทย์จะไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับเสียงพวกนั้นเลยครับพี่แกค่อย ๆ เก็บรายงานที่เขียนเสร็จใส่แฟ้มพร้อมกับเก็บเครื่องเขียนใส่กระเป๋าดินสอด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง และเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปอยู่ในกระเป๋าพี่ศิก็ยันกายลุกขึ้นพร้อมหันหน้าไปจ้องมองเจ้น้ำหวานที่กำลังจะอ้าปากเตรียมพูดแซวพวกผมต่อ


“มีอะไรครับไอวิน เมื่อสักครู่แกพูดอะไรนะ” เสียงทุ้มเอ่ยเสียงเรียบนัยน์ตาคมกริบที่ซ่อนอยู่ภายใต้แว่นตากรอบสีดำสนิทจ้องมองไปยังเจ้น้ำหวานที่ปิดปากของตัวเองทันทีที่พี่ศิลุกขึ้นยืน


“ปะ...เปล่าจ้าศิที่รัก น้ำหวานไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับศิที่รักเลยนะอ่อไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับน้องกรที่รักของศิเลยด้วย” ไอประโยคแรกท่าทางจะฟังดูเข้าหูหน่อย แต่ไอประโยคสุดท้ายที่พูดว่า ‘น้องกรที่รักของศิ’ มันคืออะไรกันครับผมหันหลังไปจ้องเจ้น้ำหวานด้วยแววตาสงสัยแต่ผมก็ทำได้แค่จ้องครับ แต่คนที่ยืนอยู่ข้างกายผมเมื่อสักครู่ตอนนี้โยนกระเป๋านิสิตให้ผมพร้อมกับวิ่งเข้าไปชาร์ตเจ้น้ำหวานเต็มแรงเลยครับ มือกร้านตรงเข้าไปลอคคอเจ้น้ำหวานแล้วลากเจ้แกไปคุยกันแบบสองต่อสองผมมองภาพของทั้งคู่ด้วยความงุนงง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นภายในใจของผมมันไม่ได้มีแค่ความสงสัยเพียงอย่างเดียวแต่มันกับมีความไม่พอใจแฝงอยู่ภายใน ผมขมวดคิ้วจนแทบจะเป็นปมพร้อมกับทรุดตัวลงไปนั่งกอดกระเป๋าของพี่ศิไว้แน่นเพื่อรอพี่ศิกลับมาเอามัน


‘พี่ศิ…มีโมเมนต์แบบนั้นด้วยเหรอไม่เคยเห็นมาก่อนเลย แล้วตอนที่พี่ศิอยู่มัธยมปลายเขาเป็นยังไงกันนะ แล้วทำไมทุก ๆ คนที่เป็นรุ่นพี่ถึงกลัวพี่ศิกันหมดชักอยากจะรู้ซะแล้วสิ’ ผมนั่งก้มหน้าก้มตารอพี่ศิกับเจ้น้ำหวานให้เดินกลับเข้ามาใต้คณะ รุ่นพี่ทีละคนสองคนค่อย ๆ เดินออกจากใต้คณะไปพร้อมกับพวกเพื่อน ๆ ของผมที่ตอนนี้ก็ทยอยกันกลับหอ กลับบ้านกัน จนในที่สุดภายใต้คณะก็เหือผมนั่งกอดกระเป๋าของพี่ศิอยู่เพียงคนเดียว


‘ช้าจังเลย’ ผมยังนั่งเตะเท้ารอให้พี่ศิกลับมาไปเรื่อย ๆ ในที่สุดพี่ศิก็เดินกลับเข้ามาใต้คณะพร้อม ๆ กับเจ้น้ำหวานครับ
ผมลุกขึ้นยืนพร้อมกับส่งกระเป๋าไปให้พี่ศิแล้วเดินดุ่ม ๆ ออกจากใต้คณะมาเลย โดยที่ไม่คิดจะรอพี่ศิที่ร้องเรียกตามหลังผม
ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองนั้นหงุดหงิดอะไรแต่รู้เพียงแต่ว่าผมไม่ค่อยจะพอใจที่เห็นพี่ศิกับเจ้น้ำหวานแกสนิทกันขนาดนั้น ไม่ค่อยพอใจเจ้น้ำหวานที่รู้จักตัวตนของพี่ศิมากกว่าผม


‘หรือว่าตอนนี้ผมกำลังหึงพี่ศิอยู่…’ ไม่จริงน่าผมกับพี่ศิไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าคนสำคัญของกันและกันครับ


ผมสะบัดหัวไล่ความคิดทุกอย่างให้ออกจากสมองก่อนจะก้าวขึ้นรถและขับกลับคอนโดของตัวแอง ผมหวังว่าการนอนหลับสักตื่นนี่อาจจะทำให้ผมไล่ความหงุดหงิดออกไปจากสมองได้กระมังครับ




_______________________________




ออฟไลน์ DZiik

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
น้องกรหึงพี่ศิ  :-[

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
อยากรู้อ่ะว่าพี่ศิเป็นยังไงสมัยก่อน ฮาาาา

ออฟไลน์ kongxinya

  • Skt KS
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
ดีใจกับพี่ศิจริงๆ พัฒนาได้อีกขั้นล่ะ น้องกรหึงพี่ศิแล้ววุ้ยยยยยยยยยยยยยยยย  o18

 :L2: :กอด1: :pig4: :L2:

ออฟไลน์ RenaBee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
 :hao7:  ว๊ายยยยยน้องกรหึงพี่ศิแล้ว~

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
น้องกรหึงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงพี่ศิกับเจ้หวาน
พี่ศิอีกด้านเป็นคนยังไงนะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ omyim_jjj

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 632
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
กรหึงพี่ศิ

 :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:

ออฟไลน์ mooping-7

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-5
น้องกร. ขี้หึงไม่เบาเลยนะเนี่ยยยยย :heaven

ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 669
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
หึงน้องกรหึงพี่ศิแน่นอน

ออฟไลน์ aelfy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
อร๊ายย น่ารักอ่ะ ฟินๆ :katai2-1:

น้องกรแอบหึง :impress2:

ออฟไลน์ loveview

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1912
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-10
ตอนอ่านครั้งแรกมีความรู้สึกว่า พี่ศิเนี่ยดูแบบดีเกิ้น
จืดๆชืดๆ ยังไงก็ไม่รู้ แตจ่พออ่านมาเรื่อยๆ เรื่่อยๆ ก็ดูเหมือนว่าจะซ่อนอะไรเอาไว้เยอะแยะ
ความจริงพี่ศิไม่ได้เป็นคนเอาแต่ใจ แต่น่าจะใส่ใจมากกว่า
ถ้าเจอคนอย่างนี้บ้างรักตายเลยนะเนี่ย แอบสงสัยว่าพี่ศิสมัยมัธยมคงจะนักเลงน่าดู
แต่นั่นไม่สำคัญ ที่สำคัญคือครอบครัวพี่ีศิมากกว่า(แอบคิดถึงอนาคต)
ส่วนน้องกรผู้แสบซ่าซน นี่ก็น่ารักน่ายิก แบบน้องชายคนเล็กยังไงๆไม่รู้

ออฟไลน์ nongrak

  • ยังไงก็รักคาเมะจังที่สุด
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +912/-14
ยังอ่านไม่ถึงไหนเลย แต่อ่านจบหน้า2 แล้ว

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0

เปิดเทอมแล้วหละค่าขอบคุณที่ทุก ๆ ติดตามมานะคะ (พูดหยั่งกับมันจะจบ ยังไม่จบง่าย ๆ หรอกค่า พอ ๆ กับ กรไม่ง่ายค่ะ)






Chapter 20



สวัสดีครับทุก ๆ หลังจากที่พวกเราตรากตรำทำงานหนักกันมานาน (ศิริรวมเวลาแล้ว 3 วันผมของเรียกว่าเราเผางานมากกว่าทำงานครับ) ในที่สุดวันพรุ่งนี้ก็ถึงวันเริ่มงานลอยกระทงที่มหาวิทยาลัยจัดขึ้นแล้วครับ ตอนนี้งานของพวกเราสำเร็จไปกว่า 95.66% แล้วครับ


แล้วไออีกราว ๆ 5% ที่เหลือนั่นก็คือการขนของทุกสิ่งทุกอย่าง (และสามล้อพาลูกรักไอฟอง) ไปที่ซุ่มของคณะเราครับซึ่งผมคงไม่ไปที่บูทหรอกครับถ้าไปผมก็โดนจับนั่งบนถังน้ำสิครับ งานนี้ผมไม่ยอมนั่งแน่นอน ใครมันจะไปยอมตกน้ำในช่วงใกล้ ๆ หน้าหนาวหรอกครับ


และยังมีอีกอย่างหนึ่งที่คาใจทุกคนใช่ไหมครับว่าหลังจากที่ผมเมินพี่ศิแล้วขับรถกลับบ้านมาเองก่อนต่อจากนั้นเป็นยังไง ผมขอสรุปง่าย ๆ เลยแล้วกัน ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ผมหลบหน้าพี่ศิมาตลอดเลยครับ เจอหน้าก็เมิน โทรศัพท์ก็ไม่รับ ข้อความส่งมาก็ไม่ส่งตอบ พี่เขามาเคาะประตูให้ไปทานข้าวเช้าผมก็ไม่ไป ชวนไปมหาวิทยาลัยผมก็ขับรถไปเอง ขากลับผมก็ขับรถกลับมาเองครับ ซึ่งเท่าที่ผมทราบมาจากที่พี่วิกับพี่เตอร์โทรมาบอกผมว่าพี่ศิตอนนี้เหมือนระเบิดเวลาเดินได้ น้องกรมีอะไรหรือทะเลาะอะไรกับพี่ศิเขาหรือเปล่าผมก็ตอบปฏิเสธนะครับ ‘ว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้นครับ’


ซึ่งมันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริง ๆ  นี่นา ผมแค่เซ็งตัวเองที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพี่ศิเลยทั้ง ๆ ที่ผมให้พี่ศิเป็นคนสำคัญที่ขาดไม่ได้ของผม แต่ผมกลับไม่รู้เรื่องราวอะไรของพี่เขาเลย ไม่รู้แม้กระทั่งวันเกิดของพี่ศิ ไม่รู้ว่าอะไรที่พี่ที่ศิชอบทานมากที่สุด แต่เป็นพี่ศินี่แหละที่รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับครอบครัวของผม อาหารการกินของโปรดและอะไรอีกมากมายเกี่ยวกับผม และที่สำคัญพี่ศิรู้ตัวตนในอดีตของผมครับ ผมไม่รู้เรื่องราวในอดีตของพี่ศิเขาไม่เท่าไหร่ แต่สิ่งที่ทำให้ที่ผมน้อยใจจริง ๆ นั่นก็คือพี่ศิไม่เคยบอกอะไรผมเลยสักคำ ไม่เคยพูดว่าตัวเองชอบอะไรไม่ชอบอะไร แล้วสิ่งที่ผมทำให้พี่ศิพี่เขาพอใจหรือเปล่า หรือทุก ๆ ครั้งที่ผมทำตัวป่วนใส่พี่ศิเขาพี่เขารู้สึกไม่ดีหรือเปล่า ซึ่งทุกการกระทำที่ผมทำใส่พี่ศิ พี่ศิก็ได้แต่ยิ้มตอบกลับมาตลอดซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าในรอยยิ้มที่พี่ศิยิ้มให้ผมนั้นมันแฝงอะไรภายในใจหรือเปล่า


ถึงทุกคนจะบอกว่าเรื่องรสนิยมหรือของที่ชอบเราสังเกตเอาก็เองเดี๋ยวก็รู้เอง ครับผมสังเกตและพอรู้มาบ้างว่าพี่ศิชอบทานอะไร ชอบกินอะไรเป็นพิเศษชอบอาหารสไตล์ไหน แต่มันก็มีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมไม่รู้เกี่ยวกับพี่ศิอีกมากมาย ทั้งวันเกิด งานอดิเรก สเป็กที่ชอบ เพื่อนที่สนิทที่สุดและสุดท้ายนั่นก็คือตัวตนที่แท้จริงของพี่ศิไม่ใช่ตัวตนที่มอบรอยยิ้มให้ผมตลอดเวลา ไม่ใช่ตัวตนที่คอยตามใจผมตลอดเวลาแบบนี้


สิ่งที่ผมอยากรู้จากพี่ศินั่นก็คือตัวตนของพี่ศิทั้งหมดในทุก ๆ ด้าน และในทุก ๆ มุม ทุก ๆ คนจะหาว่าผมโลภก็ได้นะครับแต่ผมอยากรู้จริง ๆ ในตัวตนที่แท้จริงของพี่ศิ


ส่วนหนึ่งที่ผมหลบหน้าก็คือการน้อยใจพี่ศิเขาแต่อีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมหลบหน้าพี่เขามันก็คือผมไม่พอใจตัวเองทั้ง ๆ ที่เหมือนจะอยู่ใกล้ชิดมากกว่าใคร ๆ แต่ผมกลับไม่รู้ตัวตนของพี่ศิเขาจริง ๆ เลยครับ มันดูออกจะงง ๆ ไปบ้าง แต่ผมรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ ไม่พอใจพี่ศิและไม่พอใจกระทั่งตัวของผมเอง ผมเลยขอไม่เจอหน้าพี่ศิให้ตัวเองหงุดหงิดพี่ใส่เขาและหงุดหงิดตัวเองที่เป็นคนไม่รู้อะไรเลยมากกว่าเก่าดีกว่าครับ


และหวังว่าวันนี้ผมจะหลบหน้าพี่ศิไปได้อีกวัน แม้จะรู้สึกหวิว ๆ โหวงเหวง ๆ ไปบ้างที่ไม่ได้คุยไม่ได้เจอหน้าพี่ศิเลยแต่ไอความรู้สึกไม่พอใจนี่มันมีมากกว่าครับ ผมเลยเลือกที่จะหลบหน้าแทน





ผมเดินไปพร้อมกับพวกไอบาสไอเจมส์ที่ช่วยกันถีบรถสามล้อลูกรักของไอฟองไปที่ซุ้มของคณะวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งรุ่นพี่ทุกคนก็ตั้งหน้าตั้งแต่ประกอบฉากกันครับ โดยผู้สั่งการก็เป็นเจ้จ้ำหวานเจ้าประจำคนเดิมครับผม


เจ้น้ำหวานแกยืนบนเก้าอี้พร้อมกับถือโทรโข่งสีชมพูสดใสไฉไลครับ “เฮ้ย ตรงนั้นมรึงตอกตะปูดี ๆ สิวะ เฮ้ย ไอเป้” เจ้น้ำหวานสั่งเพื่อนของเขาครับด้วยเสียงทุ่มที่บ่งบอกความเป็นชายของตัวเธอครับ หลังจากที่เจ้น้ำหวานแกหันไปสั่งเพื่อนแกแล้ว แกก็หันกลับไปบ่นใส่เฮียบุญเกิดที่ตอนนี้เริ่มหันไปหลีสาวคณะวิทยาศาสตร์ที่ตั้งบูทอยู่ฝั่งตรงข้ามครับ “ไอบุญเกิด มรึงอยากเกิดใหม่สมชื่อมรึงไหมคะ ถ้ามรึงไม่อยากก็เลิกหลีสาวแล้วหันมาช่วยทำงานซะนะคะ ไอน้องรหัส” เจ้แกตะคอกใส่ลุงรหัสผมเสียงดังด้วยน้ำเสียงสุดมาดแมนของแกนั่นแหละ เสียงของเจ้น้ำหวานนั้นทำเอาเฮียบุญเกิดแกสะดุ้งและรีบวิ่งกลับมาช่วยตอกตะปูประกอบฉากแทบไม่ทัน (เจ้น้ำหวานเป็นว้ากเกอร์เก่าครับเสียงของแกนี่แปดหลอดและแมนมากทุกวันที่แกพูดคะขานี่ใช้การดันเสียงทั้งนั้น  แต่ถ้าเวลาจริงจังอย่างสั่งงานเจ้แกจะเอาเสียงเกาของแกมาใช้นั่นแหละครับ)


ส่วนพวกผมที่เพิ่งเดินเข็ญรถสามล้อ (ลูกรักของไอฟอง) ไปถึงที่ซุ้มพวกเราก็จัดการเอาถังไอติมปั่นตั้งในรถและเริ่มโทรตามหน่วยที่ขับรถไปซื้อวัตถุดิบครับ (ซึ่งในกลุ่มนั้นก็มีขาประจำเจ้าเดิมคือพรีม ตามด้วยไอแมทซ์ ไอวิว ไอเปอร์ และเพื่อน ๆ ที่ผมไม่ค่อยสนิทอีกสัก สามสี่คนครับ) โดยพวกซื้อวัตถุดิบแยกกันเป็นสองกลุ่มกลุ่มแรกไปซื้อพวกน้ำอัดลมกับไม้ไอติม ส่วนอีกกลุ่มคือไปซื้อน้ำแข็งและเกลือครับ (คงสงสัยหละสิครับว่าเกลือเอาไว้ทำอะไร เกลือนั้นเอาไว้ช่วยทำให้น้ำแข็งละลายช้าครับ นี่จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ไอติมปั่นพวกนี้มีรสชาติเค็มเพราะมีเกลือที่บังเอิญร่วงลงไปในกระบอกไอติมครับ) และตอนนี้ผมต่อสายตรงไปหาสาวพรีมที่ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมในการไปซื้อน้ำอัดลมครับ


 ผมยืนถือสายรออยู่เพียงครู่เดียวเสียงใส ๆ ของพรีมก็ตอบกลับมา “ไงกร ตอนนี้พรีมเพิ่งได้คิวจ่ายเงินนะ อีกสักพักก็น่าจะเสร็จถ้าเสร็จแล้วล่ะ กรรอแปปนึงนะ ถ้าเสร็จพรีมรีบบึ่งรถกลับไปเลยจ้า เออแต่กรตอนนี้กี่โมงแล้วอ่ะ” ไอผมนี่แทบจะกุมขมับกับความเอื่อยเฉื่อยของพรีมครับ พรีมเป็นสาวฮ้าวแมน ๆ ก็จริงแต่ความเอื่อยเฉื่อยและเรื่อย ๆ ของเธอที่ทำเอาผมปวดขมับมาหลายรอบแล้ว “ตอนนี้จะสามโมงแล้วพรีม ถ้าไม่รีบมาไอติมลอตแรกจะเสร็จไม่ทันขายตอน 4 โมงนะ” ต่อให้พูดไปแบบนั้นแต่น้ำแข็งก็ยังไม่มาครับผมกดตัดสายพรีมพร้อมกับกดเบอร์โทรหาไอวิวผู้ที่เป็นแกนนำในการไปช็อปปิ้งน้ำแข็ง และรายนี้ก็รับโทรศัพท์ไวพอ ๆ กับพรีมครับ


“ไอกรมีไรวะ” เพียงแต่ว่าไอวิวทักได้สั้นง่ายได้ใจความมากกว่าพรีมเยอะเลยครับ


“ถึงไหนแล้ววะนี่จะสามโมงแล้ว” ในเมื่อไอวิวทักผมมาด้วยถ้อยคำที่สั้นง่ายและได้ใจความ ผมก็เลยตอบมันกลับไปด้วยถ้อยคำสั้น ๆ เช่นเดียวกัน


“เออ จะถึงมหาลัยแล้วแปปนึง” พูดจบมันก็ตัดสายทันทีครับและไม่นานเกินรอไอวิวมันก็มาถึงครับแต่มันขับรถเข้ามาที่ซุ้มไม่ได้ มันก็เลยโทรหาพวกผมให้พวกผมไปรับมันเพราะว่าน้ำแข็งที่ไอวิวไปเอามานี่เต็มกระบะหลังเลยครับ (คราวนี้เจากรถเก๋งสุดหรูเปลี่ยนไปใช้รถกระบะบ้านไอวิวไปรับครับ พอดีพวกผมบังคับให้มันขับรถกระบะมา) โดยน้ำแข็งนี้ใช้เอาไว้ใช้ใส่ในถังไอติมแล้ว นำแข็งนี้ก็จะถูกใส่ลงไปในถังน้ำของหนุ่มน้อยตกน้ำทุก ๆ ถังด้วย


ผมถึงได้บอกไงว่าผมไม่มีทางขึ้นไปนั่งบนถังพวกนั้นเด็ดขาด! ขืนตกลงไปไม่ใช่แค่เปียกอย่างเดียวไข้หวัดน่าจะถามหาด้วยและถ้าไข้หวัดถามหา ผมก็ต้องไปโรงพยาบาลแล้วก็เจอพี่ศิน่ะสิครับ เรื่องนั้นผมไม่มีทางยอมเด็ดขาดเลย




ผมกับเพื่อน ๆ ปี 1 ค่อย ๆ ทยอยกันไปเดินไปยังลานจอดรถครับ ซึ่งไอวิวและเพื่อน ๆ อีกสองสามคนก็ยืนกอดอกทำเท่ห์กันอยู่
“…แทนที่พวกมรึงจะกอดอกทำเท่ห์มรึงช่วยทยอยเอาน้ำแข็งลงจากรถดีกว่าไหม” ผมเดินเข้าไปตบหัวไอวิวพร้อมกับเดินเลยไปยังท้ายรถและค่อย ๆ ขนน้ำแข็งลงจากรถทีละถุง ไอวิวก็ได้แต่คลำหัวตัวเองแต่ก็ยอมเดินมาช่วยพวกผมแบกของเข้าซุ้มครับ และด้วยจำนวนคนที่ล้นเหลือ (คือปี 1 สั่งครึ่งภาค) การขนน้ำแข็งไปใส่ถังน้ำแข็งส่วนกลาง (ถังน้ำแข็งส่วนกลางคือถังใส่น้ำแข็งสีน้ำเงิน ๆ ครับแบบตามร้านอาหารจะมีแล้วนี่ก็เป็นถังขนาดใหญ่เอาเรื่องเลยครับเจ้น้ำหวานแกสั่งมากะให้หนุ่มน้อยตกน้ำนี่หนาวตายชัวร์)


เมื่อภารกิจเสร็จสิ้นเราก็เบนความสนใจมาที่ถังไอติมครับเพราะด้วยเหตุที่น้ำอัดลมยังไม่มาพวกเราก็ได้แต่เตรียมการเอาน้ำแข็งใส่ถังไอติมครับ


ผมกับไอเจมส์ผู้ที่เป็นประธานและรองประทานชั้นปีตอนนี้เริ่มหงุดหงิดเต็มทนแล้วครับ แต่ไม่นานในที่สุดสิ่งที่พวกผมรอคอยกันก็มาถึงครับ สาวพรีมกับเพื่อนอีกสามสี่คนเดินหิ้วถุงน้ำอัดลมเข้ามายังซุ้มครับ (ขอบอกเลยสาวพรีมเธอแบกน้ำอัดลมมาหลายถุงมาก บางทีเธออาจจะแบกมากกว่าไอแมทซ์กับไอเปอร์อีกครับ ผมบอกแล้วว่าเธอเป็นสาวถึกของจริง)


“ขอโทษนะกร…พอดีพรีมเดินเลือกของเพลินไปหน่อยน่ะ” เมื่อพรีมวางถุงขวดน้ำอัดลมเธอก็เดินดุ่ม ๆ เข้ามายกมือไหว้ของโทษผมกับไอเจมส์ครับ เธอคงรู้ตัวว่าเธอทำให้พวกผมหงุดหงิดเพราะกลัวว่ามันจะเตรียมการไม่ทันแต่ตอนนี้เธอมาแล้วนอกจากนี้ไม่มีเวลามาไม่พอใจแล้วครับ พวกเราชั้นปีหนึ่งทุกคนช่วยกันกรอกน้ำอัดลมใส่กระบอกไอติมและเริ่มกันการทำไอติมปั่นทันที


ผมกอดอกมองเพื่อนแต่ละคนที่เริ่มสนุกกับการปั่นไอติมแล้วครับ ท่าทางคนที่อยากรับหน้าที่ปั่นถังไอติมนี่อาจจะมีมากกว่าหนึ่งคนซะแล้วครับ ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกไม่มีคนอยากจะรับหน้าที่นี้เลยแท้ ๆ ตอนนี้รู้สึกว่าต่างคนต่างแย่งกันปั่นแล้วครับ หัวมองภาพที่เพื่อน ๆ แก่งแย่งกันพร้อมกับหัวเราะออกมาเบา ๆ


ตอนนี้เป็นเวลาใกล้จะ 4 โมงเย็นแล้วครับมันได้เวลาเริ่มงานแล้วแต่คนยังมากันไม่เยอะพวกเราก็เลยยังคงจอดรถสามล้อไว้ที่หน้าซุ้มของคณะพวกเรา ผมไล่พวกเพื่อน ๆ ให้ไปทำหน้าที่ต่าง ๆ ที่ค้างคาอยู่ ส่วนผมตอนนี้ผมปีนขึ้นไปนั่งที่รถสามล้อแล้วครับพร้อมกันทำตัวเป็นโมษก ค่อยเรียกลูกค้าครับ (ผมคิดว่าถ้าเกินเพื่อนเริ่มขี่รถสามล้อไปผมก็จะนั่งมันบนนี้แล้วพูดขายของให้ครับ เป็นการหนีงานการเป็นหนุ่มน้อยตกน้ำที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ ครับ ไม่หล่อและฉลาดนี่คิดไม่ได้นะครับแบบนี้)


พวกเรานั่งรอเวลาครับตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสี่โมงครึ่งเกือบ ๆ จะห้าโมงเย็นแล้วครับนิสิตก็เริ่มทยอยกันมาซ้ำยังมีเด็กนักเรียนโรงเรียนข้างเคียงมาเดินแล้วครับ เอาหละทีนี้รถขายไอติมปั่นก็เตรียมตัวออกเดินทางแล้วครับ!


ผมปีนขึ้นไปนั่งข้าง ๆ ถังไอติมพร้อมกับสาวพรีมที่นั่งอีกฝั่งหนึ่งกับผมส่วนคนขับคือไอฟองครับ (มันบอกว่าลูกรักมันคนขับต้องเป็นมันครับ) ตามด้วยไอวิวซ้อนท้ายจักรยานคราวนี้หละการเดินทาง (รอบงานลอยกระทง) ได้เริ่มต้นแล้วครับ “ลุยเลยไอฟอง” ผมชี้นิ้วไปข้างหน้าพร้อมกับรถสามล้อที่ค่อย ๆ เคลื่อนตัวไป


ซุ้มแรกที่เราผ่านนั่นก็คือซุ้มของคณะวิทยาศาสตร์ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามครับ ซุ้มนี้ผมของบอกว่าเด็ดมากเพราะสาว ๆ เยอะเลยครับ คณะนี้ถือว่าเป็นคณะที่มีประชากรหญิงมากกว่าประชากรชายครับ ดังนั้นคนที่เฝ้าซุ้มก็จะมีแต่พวกสาว ๆ ครับ คณะนี้ดีนะครับเขาแยกกิจกรรมเป็นตามภาควิชามันเลยมีความหลากหลายของซุ้มดี (ไม่เหมือนซุ้มของคณะผมเราทำงานร่วมกันทั้งคณะครับ แต่ส่วนใหญ่ก็ทำตามแกนนำครับ อย่าคุณเจ้อยู่ภาคไฟฟ้าคนทำงานก็จะเป็นภาคไฟฟ้าครับแต่ว่ามีเฮียบุญเกิด กับเฮียก็อตที่อยู่ภาคโยธากันพวกเฮีย ๆ โดนเจ้น้ำหวานเรียกตัวมาเพื่อน ๆ ของเฮีย ๆ ก็ตามมาช่วยกันครับ ผมบอกขอบอกเลยว่าวิศวะนี่เรารักกันดีครับเพราะในช่วยเทอมแรกเราจะเรียนรวมกันหมดและจะแยกภาคกันในเทอมสองผมให้พวกคุณเดากันนะครับว่าผมกับเพื่อน ๆ เลือกภาคอะไรกัน  เอางี้ เดาแค่ผมดีกว่าเพื่อน ๆ แต่ละคนก็เลือกตามสายที่ตัวเองถนัดครับ ไอเจมส์กับไอบาสแล้วก็พรีมเลือกภาคเดียวกันกับผม) ผมเห็นมียิงเป้าผมนี่อยากจะกระโดดลงไปยิงเพื่อเอาตุ๊กตาแต่ว่าผมโดนสายตาทิ่มแทงของพรีมที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็เลยได้แต่นั่งเจียมและปั่นถังไอติมไปพร้อมกับส่งรอยยิ้มเรียกลูกค้าครับ (อย่างน้อยผมก็อยากสนุกสนานมั่งนี่ พรีมใจร้ายไม่ยอมให้ผมลงไปเล่นอะไรเลย)


“มาแล้วครับ ไอติมปั่นคลายร้อนแม้แต่ตอนนี้จะเข้าใกล้หน้าหนาวแต่ประเทศไทยที่มีสามฤดู ร้อนโคตร ร้อนมาก แล้วก็ร้อน เราเลยขอนำเสนอไอติมสูตรพื้นบ้านครับไอติมปั่น” ผมเอามือป้องปากพร้อมกับตะโกนเรียกลูกค้าเป้าหมายแรกก็ที่บูทคณะวิทยาศาสตร์นี่แหละครับ


ผมขยิบตาให้สาว ๆ แต่ละคนพร้อมกับโปรยยิ้มให้ ผมไม่อยากจะโม้นะครับว่ารอยยิ้มของผมนี่สาว ๆ เขากรีสกันน่าดูเลยครับ ผมไม่เคยบอกใช่ไหมหละว่าผมเป็นลีดเก่าของคณะ (ที่เจ้น้ำหวานใช้อำนาจมืดบังคับให้ผมเป็น) ดังนั้นชื่อเสียงของผมไม่ได้ดังเพราะความเกรียนอย่างเดียวมันดังในฐานะหนุ่มน้อยน่ารักสุดแบ๊ว (อันนี้เป็นฉายาตอนแรกที่ทุกคนเขาให้ผมกันก่อนที่ทุกคนจะรู้ถึงความเกรียนของผมครับ) และลีดคณะด้วยครับ แต่ด้วยเหตุที่ผมเกรียนมากขนาดหนักฉายาผมเลยเปลี่ยนไปครับ กลายเป็นไอคุณน้องกรจนถึงทุกวันนี้


“คุณผู้หญิงสุดสวยครับสนใจไอติมปั่นสูตรไหมครับ ปั่นด้วยรักทำด้วยใจเลยนะครับเนี่ย” ผมพูดเกี้ยวรุ่นพี่คณะวิทยาศาสตร์ที่เดินผ่านรถสามล้อของพวกผมไป เสียงพูดของผมนี่ทำให้พวกพี่สาวบิดตัวไปมาและอายม้วนครับผมพูดเยินยอพวกเธออีกสักหน่อยในที่สุด พี่สาวกลุ่มนั้นก็ยอมซื้อไอติมปั่นของพวกผมคนละไม้สองไม้ครับ


ผมหันไปยกนิ้วให้พรีมและหันไปยักคิ้วให้ไอฟองกับไอวิวที่กำลังปั่นรถสามล้อกันอยู่ ซึ่งทั้งสามคนก็หันมาส่งยิ้มและยกนิ้วตอบกลับใส่ผมครับ


ผมสั่งให้ไอฟองปั่นรถสามล้อต่อไปอีกนิด (แต่ก็ยังอยู่ในซุ้มคณะวิทยาศาสตร์นะครับ) เราก็เจอกลุ่มรุ่นพี่ผู้ชายและคราวนี้ก็เป็นหน้าที่ของพรีมแล้วครับ ผมหันไปส่งซิกให้พรีมซึ่งพรีมเธอก็รับรู้แล้วครับว่าคราวนี้คือหน้าที่ของเธอ พรีมเธอปรับสีหน้าเป็นสาวอ่อนหวานก่อนจะกระโดดลงจากรถและเดินตรงไปยังกลุ่มรุ่ยพี่คณะวิทยาศาสตร์กลุ่มนั้น “เออ…รุ่นพี่ค่ะ” พรีมพูดเสียงแผ่วพร้อมกับสะกิดแขนเสื้อรุ่นพี่ผู้ชายกลุ่มนั้นคนหนึ่ง รุ่นพี่ทั้งกลุ่มนั้นหันมามองพรีมกันเป็นตาเดียว ซึ่งพรีมก็เริ่มเก๊กทำสีหน้าเขินอายแล้วค่อย ๆ พูดเชิญชวนให้รุ่นพี่พวกนั้นมาซื้อไอติมของพวกเราครับ “รุ่นพี่ค่ะ รุ่นพี่ช่วยหนูซื้อไอติมปั่นของหนูหน่อยได้ไหมคะ หนูเดินผ่านมาหลายกลุ่มแล้วไม่มีใครช่วยหนูซื้อเลยถ้าเกิดขายไม่หมดหนูโดนรุ่นพี่ที่คณะว่าแน่ ๆ เลยค่ะ”


พรีมพูดเสียงอ้อนพร้อมกับเริ่มทำหน้าตาเหมือนจะร้องไห้ครับ ท่าทางแบบนั้นของพรีมทำเอารุ่นพี่คณะวิทยาศาสตร์ทั้งกลุ่มรีบวิ่งมาที่รถสามล้อของพวกเราและพร้อมใจกับช่วยกันซื้อไอติมปั่นกันคนละหลาย ๆ ไม้เลยครับ คราวนี้พรีมได้ความดีความชอบไปยกใหญ่เลยครับทำเอาไอติมแทบจะหมดถังเลยครับ ซึ่งพวกเราทั้งสองคน (ผมกับพรีมที่นั่งยู่บนรถสามล้อ) ก็ต้องช่วยกันเติมและปั่นไอติมกันยกใหญ่ ผมจอดรถอยู่บริเวณหน้าซุ้มคณะวิทยาศาสตร์กันเป็นเวลานานมากลูกค้าก็มาซื้อเรื่อย ๆ ครับ ทำเอาไอติมของพวกเรานี่แข็งกันไม่ทันเลยครับมันน่าจะเป็นของแปลกสำหรับคนอยู่ในตัวเมืองอย่างพวกเราหรือบางคนก็ซื้อด้วยความคิดถึงครับเพราะว่าเหมือนเป็นเด็กต่างจังหวัดแล้วรถเข็ญพวกนี้จะเข็นผ่านหน้าบ้านอะไรทำนองนั้นครับ (ผมคิดว่าในกรุงเทพนี่มันออกจะหาทานยากนะครับไอไอติมแบบนี้ ส่วนมากที่ผมเห็น ๆ ก็จะมีขายตามสวนจตุจักรหรือตามสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชาวต่างชาติกันเยอะ ๆ ครับ ไม่ก็ต่างจังหวัดหรือปริมณฑลกันไปเลย)


หลังจากพวกเราขายของกันมือเป็นระวิงตอนนี้วัตถุดิบก็หมดเกลี้ยงเลยครับผมเลยส่งไอวิววิ่งกลับไปเอาน้ำอัดลมพร้อมน้ำแข็งที่ซุ้มคณะครับพวกผมทั้งสามคนนั่งเตะเท้ารอบนรถสามล้อในที่สุดไอวิวก็กลับมาพร้อมกับผู้ชายขายอีกหนึ่งคนนั่นก็คือไอบาสครับ
ผมปลายตามองไอบาสด้วยสายตาฉงนซึ่งท่าทีของมันกระหืดกระหอบมากเลยครับจนผมอดไม่ได้ที่จะถามมันไป “ไปหนีอะไรมาวะไอบาส” สิ้นเสียงคำพูดผมไอบาสก็ตวัดนิ้วชี้มาที่หน้าของผมแล้วกรีสร้องออกมาเสียงดังว่า


“เพราะมรึงไอกร ไม่ยอมอยู่ที่บูท หน้าที่ของมรึงคือนั่งบนถังน้ำแต่มรึง! หนีมาขายไอติมกรูเลยเกือบจะซวยแทนมรึงไงครับไอเชี่ยกร ไม่งั้นกรูไม่วิ่งหนีมาช่วยขายไอติมแบบนี้หรอก” ไอบาสพูดเสียงหอบพร้อมกับกระโดดขึ้นมานั่งบนรถสามล้อข้าง ๆ ผม ไอผมนี่หัวเราะเสียตัวงอแต่ผมก็ไม่สำนึกผิดหรอกนะที่ทำให้เพื่อนมาซวยแทนแบบนี้ผมยืนยันนอนยันแล้วว่าจะไม่นั่งแต่เจ้น้ำหวานแกไม่ยอมผมก็เลยหนีมาดื้อ ๆ แบบนี้เลยครับ


“งั้นเหรอ…งั้นกรูไว้อาลัยคนที่จะซวยแทนกรูคนต่อไปก็แล้วกันยังไงกรูก็ยืนยันคำเดิมว่ากรูไม่ยอมนั่งบนถังน้ำเวรนั่น เด็ดขาดน้ำในถังแม่มเหมือนจะฆ่ากรูให้ตายให้ได้มรึงคิดดูเจ้น้ำหวานแกเอาน้ำแข็งเทใส่ถังไปกี่กระป๋อง นี่ถ้ากรูตกลงไปในนั้นนะกรูตายห่าแน่นอน” ผมบ่นพึมพำพร้อมกับขยับตัวให้ไอบาสนั่งบนรถสามล้อได้ถนัด


“กรูก็เข้าใจมรึงอยู่หรอก แต่พรุ่งนี้ไม่ก็มะรืนนี้มรึงไม่รอดแน่เพราะวันสุดท้ายของลอยกระทงพี่ศิอยู่เวรไม่มีใครคุ้มกะลาหัวมรึงได้แล้วครับ” ไอบาสพูดถึงพี่ศิผมก็ขมวดคิ้วจนแทบจะเป็นปม ไอเราก็ว่าเราสนุกสนานจนลืมเรื่องของพี่ศิไปแล้วไอบาสยังกลับขุดขึ้นมาให้ผมหงุดหงิดใจอีก




v
v
v
v
v
v
v

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0

 “มาเบ้หน้าอะไรใส่กรูอีกล่ะมรึง ทะเลาะกับพี่เขามาอีกหละสิทำหน้าแบบนี้ทีไรแม่มต้องทะเลาะกันทุกที” ไอบาสพูดพร้อมกับผลักหัวของผมเบา ๆ ซึ่งในตอนนี้ผมก็ยังเบ้หน้าไม่พอใจในสิ่งที่มันพูดอยู่เหมือนเดิมครับผมจ้องหน้ามันสักพักก่อนจะสะบัดหน้าหันหนีไปอีกทาง


ซึ่งการกระทำของผมนี่ทำให้ไอบาสนี่ถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย แต่มันก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาต่อ (เพราะมันรู้ดีครับว่าผมดื้อมากพูดยังไงผมก็ไม่ฟังมันหรอก คือว่าถ้าใครอยากจะเคลียร์กับผม ต้องมามัดมือชกผมบังคับให้ผมไปคุยครับแบบนั้นผมถึงจะยอม)


พวกผมนั่งให้ไอฟองขับลูกรักของมันไปสักพักในที่สุดไอฟองมันก็ล้าครับ (รถสามล้อนี่เป็นเวอร์ชั่นจักรยานแล้วคิดดูว่าคนนั่ง 4 คนถังไอติมอีกหนึ่งพร้อมกับจิปาถะ) ไอฟองแม้จะรักลูกสุดที่รักมันขนาดไหนมันก็มีวันเหนื่อยครับดังนั้นหน้าที่ขี่ต่อไปก็คือไอวิวผู้ซึ่งเป็นนักกีฬาครับ และเมื่อมันถีบมันก็บ่นไปตลอดทางเลยครับว่า ‘ปั่นยากเชี่ย ไอฟองมรึงทนปั่นมานานได้ไงวะ ไอกรไอบาสมรึงลงจากรถแล้วลงไปเดินเลย’ มันบ่นแบบนี้ตลอดทางจนผมกับไอบาสรู้สึกรำคาญและในที่สุดผมกับไอบาสก็ยอมลงไปเดินครับ แต่ก่อนที่เราจะลงไปเดินผมกับไอบาสก็ได้ทำการตกลงว่า ‘ถ้าลงไปเดิน มรึงกับกรูเดินหายเข้ากลีบเมฆไปเลยนะเว้ย ปล่อยให้ไอวิวไอฟองแล้วพรีมขายของกัน โอเคป่ะ’ ซึ่งข้อตกลงนี้ไอบาสมันโอเคครับ


ผมกับไอบาสกระโดดลงจากรถพร้อมกับเดินดุ่ม ๆ หนีออกไปจากรถสามล้อทันทีครับ ซึ่งสิ่งที่ผมกับไอบาสตกลงกันนี่ทำให้ไอวิวร้องเรียกพวกผมเสียงหลงเลยครับ แล้วพวกคุณคิดเหรอครับว่าผมจะฟังมันเหรอ ขอตอบเลยว่าไม่ฟังครับพวกผมทั้งสองคนเดินหายเข้าไปในกลุ่มคนและแยกย้ายกันไปเดินเที่ยวงาน (ดีนะที่ผมหิ้วเอาของจากซุ้มคณะติดไม้ติดมือมาด้วยจะได้โดดกลับคอนโดได้เลย วันนี้ผมเอารถมาครับจริง ๆ ผมเอารถมาตลอดหลังจากวันนั้นแหละครับ)


ตอนนี้ผมเดินเข้ามาที่ซุ้มของคณะบัญชีแล้วครับ ซึ่งคณะบัญชีก็มีกิจกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ และมีการขายข้าวโพดคลุกเนยครับ ผมก็ลองซื้อมาทานถ้วยหนึ่งตักเข้าไปคำแรกก็อร่อยอยู่นะครับว่าทานนาน ๆ ไปแล้วผมรู้สึกเลี่ยนนิดหน่อยครับ ดูเหมือนว่าสาว ๆ คณะบัญชีนี่จะใส่นมกับน้ำตาลมากเกินไปหน่อยนะครับเลยทำให้ทานมาก ๆ ไม่ไหวครับ พอผมทานไปได้ครึ่งถ้วยผมก็ต้องนำมันลงถังขยะครับ จะว่าผมสิ้นเปลืองก็ได้นะครับแต่ผมขอบอกว่าผมเลี่ยนจนทานไม่ไหวจริง ๆ (ความจริงผมไม่ได้ทานข้าวกลางวันรวมไปถึงข้าวเย็นด้วยครับ


เพราะแบบนั้นจึงทำให้ตอนนี้ผมเกิดอาการพะอืดพะอมสุด ๆ เลยครับ สงสัยต้องไปซื้อพวกนมสดหรืออะไรรองท้องก่อนแล้วหาข้าวทานแล้วมั้งครับแบบนี้


ผมเดินต่อไปเรื่อย ๆ ซุ้มถัดไปเป็นซุ้มของบุคคลภายนอกครับและผมก็หันไปมองเห็นร้านขายนมสดที่ตั้งอยู่ผมเลยวิ่งปรี่เข้าไปที่ร้านนั้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับสั่งนมสดแก้วใหญ่เลยครับ


ผมเคาะนิ้วยืนรอนมสดอยู่สักครู่นมสดแก้วใหญ่ก็ถูกยื่นมาให้พร้อม ๆ กับคน ๆ หนึ่งที่ในตอนนี้ผมไม่อยากเจอเขามากที่สุดเดินเข้ามาต่อแถวด้านหลังผมครับ (ผมจำเสียงพี่เขาได้ครับและผมก็เชื่อว่าพี่ศิเขาก็จำแผ่นหลังของผมได้เช่นกันพี่แกเลยมาต่อแถวด้านหลังผมแบบนี้) พี่ศิมาต่อหลังผมแบบนี้ทำเอาผมไม่กล้าหันหน้าไปทางไหนเลยครับเพราะผมสัมผัสได้ถึงออร่าอันแสนน่ากลัวที่แผ่พุ่งมาจากทานด้านหลัง ‘พี่ศิตอนนี้เป็นระเบิดเวลาเดินได้ตามคำพูดของพี่วิและพี่เตอร์จริง ๆ’


เวลาไปนาทีนึงก็แล้วผมก็ยังไม่ยอมขยับตัว สองนาทีก็แล้วผมก็ยังไม่ยอมขยับตัวในที่สุดคุณแม่ค้าก็ต้องออกปากเชิญให้ผมออกจากหน้าร้านของเขาครับ ซึ่งคำเชิญนี้ทำให้ผมต้องหันไปเจอหน้ากับพี่ศิที่ตอนนี้โคตรน่ากลัวเลยครับ ผมยิ้มแห้ง ๆ ใส่พี่ศิก่อนจะใส่เกียร์หมาวิ่งหนีไป แต่ผมก็ไม่ได้วิ่งหนีความใจคิดหรอกครับมือข้างที่ผมไม่ได้ถือแก้วน้ำก็ถูกจับกุมด้วยมือของพี่ศิพร้อมกับรอยยิ้มเย็นเยือกที่บอกอารมณ์ไม่ได้


“ไม่ได้เจอหน้ากันหลายวันเลยนะครับกร” เสียงเรียบนิ่งกับรอยยิ้มเหี้ยม ๆ นี่ทำเอาผมสยิวสันหลัง ซึ่งคำตอบของคำถามนี้ผมก็ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ตอบพี่ศิเขา


“แล้วนี่ก็ทำท่าจะหนีพี่อีกแล้วสินะครับ สงสัยถ้าพี่ไม่ยอมมาเดินงานลอยกระทงตามคำชวนของวิกับเต๋อร์มันพี่คงไม่ได้เจอกรสินะครับ” ยิ่งพี่ศิพูดเสียงยิ่งน่ากลัวบางทีผมอาจจะรับรู้อีกมุมหนึ่งของพี่ศิแล้วครับ ว่าพี่แกไม่ชอบให้คนหลบหน้ามากที่สุดและไม่ชอบเรื่องที่ไร้เหตุผลแบบที่ผมทำอยู่ (คือมันมีเหตุผลสำหรับผมนะครับแต่มันดูไร้เหตุผลสำหรับพี่ศิครับ)


“แหมะ....แหม พี่ศิที่ไม่ได้เจอหน้าเพราะช่วงนี้กรยุ้ง ยุ่งก็เลยไม่ค่อยได้เจอหน้าพี่ศิไง” ผมพยายามสรรหาคำตอบตอบพี่ศิไปครับ ซึ่งมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรผมเลยสักนิดเดียว


“แล้วนี่หายยุ่งแล้วเหรอครับกรพี่ถึงเจอตัวเราได้เนี่ย” สิ้นเสียงของพี่ศิผมก็ส่ายหัวไปมาอย่างรุนแรงและเอ่ยปากขอตัวไปช่วยงานเพื่อนต่อ แต่ดูเหมือนพี่ศิจะไม่ปล่อยให้ผมทำอย่างที่ผมหวังได้พี่ศิหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาพร้อมกับกดไล่หาเบอร์ของเจ้น้ำหวานและกดโทรออกไป


“ไอวินกรูขอตัวกรไปก่อนงานอะไรให้คนอื่นทำตอนนี้ กรูมีเรื่องคุยกับน้องเค้า” สั้นง่ายได้ใจความพร้อมกับกดตัดสายทิ้งอย่างรวดเร็ว อารมณ์แบบพี่ศิแกจะไม่ให้เจ้น้ำหวานแกเอ่ยทักท้วงอะไรครับ


หลังจากกดตัดสายสายตาเย็นเฉียบของพี่ศิก็หันมามองที่ผมพร้อมกับลากผมออกจากงานลอยกระทงทันทีครับ ส่วนพี่วิกับพี่เตอร์ที่ยืนเป็นแบคกราวอยู่ด้านหลังของพี่ศิก็ได้แต่โบกมือ โบกทิชชู่ลาผมและพูดอวยพรให้ผมโชคดี ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่พร้อมกับมองไปที่ใบหน้าของพี่ศิที่ขมวดคิ้วจนแทบจะเป็นปม


‘ท่าทางวันนี้ผมคงหนีไม่ได้อีกแน่นอนเลยครับ รถก็จอดอยู่ที่คณะงานนี้ใช้แรงเฮือกสุดท้ายสะบัดมือแล้วหนีขึ้นรถก็ไม่ได้ วันนี้ต้องทำใจครับรณกรวันนี้นายไม่รอดแน่’ เมื่อคิดเช่นนั้นผมก็ได้แต่จำใจสาวเท้าเดินตามพี่ศิไปติด ๆ และแน่นอนก่อนที่จะไปยังลานจอดรถมันต้องผ่านซุ้มคณะของผม ผมจึงตะโกนเรียกไอเจมส์พร้อมกับโยนกุญแจรถของผมไปให้มัน (ไอเจมส์มันคุมด้านนอกอยู่ครับผมเลยให้มันช่วยขับรถของผมกลับคอนโดได้) ซึ่งมันก็ทำหน้างงเล็กน้อยแต่พอเห็นว่าผมกำลังโดนพี่ศิลาก อยู่มันก็ทำหน้าเข้าใจทันทีพร้อมกับเก็บกุญแจรถของผมใส่เข้ากระเป๋า


ผมตัวปลิวตามแรงดึงของพี้ ผู้คนรอบข้างค่อย ๆ น้อยลงจนในที่สุดผมก็มานั่งยิ้มแห้ง ๆ ในรถของพี่ศิครับ คราวนี้พี่ศิขับรถได้หวาดเสียวที่สุดในชีวิต พี่แกเหยียบเกือบ 140 ณ ถนนใจกลางกรุงเทพครับและการเหยียบขนาดนั้นทำให้ผมถึงคอนโดภายใน 5 นาทีจากปกติต้องใช้เวลาราวๆ 15 - 20 นาทีครับ (ตอนนั้นขับแบบเอื้อยเฉื่อยแล้วรถเยอะครับ คราวนี้รถน้อยเพราะมืดแล้วเกือบ ๆ 4 ทุ่มแล้วครับถนนเลยโล่งโจ้งเลย) และหลังจากที่ผมถึงคอนโด พี่ศิก็ลากผมไปยังห้องของเขาพร้อมกับโยนผมเข้าไปภายในห้อง


“แหม...พี่ศิมีอะไรจะคุยกับกรเหรอครับ” ผมพูดพร้อมยิ้มแห้ง ๆ ใส่พี่ศิ


“มีอะไรจะอธิบายไหมเมื่อสี่วันกรที่กรดูเหมือนไม่พอใจพี่ แล้วหลังจากวันนั้นก็หลบหน้าพี่เลย” พี่ศิจับให้ผมนั่งที่โซฟาครับส่วนพี่เขายืนอยู่ตรงหน้าผม


“ไม่มีนี่พี่ศิ กรบอกแล้วไงว่ากรไม่มี้ ไม่มีอะไรเลย” ผมยังคงยืนกรานปฏิเสธ ซึ่งพี่ศิก็ยังไม่เชื่ออยู่ดีครับแต่มันก็สมควรจะไม่เชื่ออยู่หรอกเพราะว่าท่าทางของผมมันโคตรตั้งใจหลบหน้าพี่ศิแบบจริงจังเลยนี่ครับ


“กรครับ พูดแบบนี้กี่รอบพี่ก็ไม่เชื่อหรอกครับบอกมาเถอะโกรธอะไรพี่” พี่ศิยังคงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่แววตานี่ของบอกเลยว่าดุแบบสุด ๆ ในสายตานั้นสื่ออารมณ์ออกมาแบบ ‘ถ้ากรไม่บอกคืนนี้ไม่ต้องนอน’ อะไรแบบนั้นเลยแหละครับ ไอผมกลัวก็กลัวนะ แต่ถ้าจะให้พูดเรื่องหน้าอายแบบนั้นมันก็ใช่ทีอยู่


“ไม่มีจริง ๆ นะ พี่ศิ เชื่อน้องกรคนนี้เถอะนะ” ผมเริ่มใช้น้ำเสียงออดอ้อน แต่รู้สึกว่าไอน้ำเสียงอ้อนของผมคราวนี้ท่าทางจะใช้ไม่ได้ผลแล้วครับ เพราะตอนนี้พี่ศิแกนอกจากจะพูดเค้นคอให้ผมตอมตอนนี้เริ่มแขยิบเข้ามาใกล้ผมพร้อมกับเริ่มใช้คำพูดหรือน้ำเสียงที่แสดงให้รู้ว่าพี่ศิเขาไม่พอใจแล้วครับ


“กร…พี่ไม่ชอบคนโกหก เลิกโกหกพี่แล้วบอกความจริงมาสักทีสิครับ” แม้คำพูดมันจะฟังดูสุภาพแต่น้ำเสียงนี่ไปแล้วครับ ว่าที่คุณหมอศิรวิทย์นี่อารมณ์เสียแบบสุด ๆ แล้ว ร่างสูงทรุดลงตรงหน้าผมพร้อมกับเคลื่อนหน้าของตนเข้ามาใกล้ คราวนี้ลมหายใจของผมปะทะกับใบหน้าของพี่ศิแล้วครับผมเล่นจ้องตากับพี่ศิอยู่สักพัก ในที่สุดผมก็ขอยอมแพ้และค่อย ๆ พูดสารภาพออกไป


“กรพูดแล้ว! เอาหน้าไปไกล ๆ เลยพี่ศิ” ผมพูดออกมาเสียงดังพร้อมกับพยายามดันพี่ศิให้หันไปทางอื่น ไอการที่ผมยอมสารภาพไม่ใช่เพราะว่าตัวผมกลัวน้ำเสียงหรือสายตาของพี่ศิหรอกครับ แต่สิ่งที่ทำให้ผมสารภาพนั่นก็คือลมหายใจร้อน ๆ กับดวงตาคมที่ซ่อนอยู่ภายใต้กรอบแว่นนั่นต่างหาก มันคือสิ่งที่ทำให้ผมยอมสารภาพความจริงว่าผมไม่พอใจเรื่องอะไรออกไป เพราะในตอนนี้ ‘ผมรู้สึกเขินมากกว่าที่จะปากแข็งแล้วครับ’


ทั้งลมหายใจอุ่น ๆ ทั้งนัยน์ตาสีเข้มที่จ้องมองมา…แค่การกระทำพวกนี้ของพี่ศิมันก็ทำให้ผมเขินอายและสติของผมกระเจิดกระเจิงไปหมดแล้วครับ


พี่ศิยอมเอาหน้าของตนถอยพร้อมกับลุกขึ้นยืนส่วนผมก็ยกมือขึ้นมากุมหน้าอกพร้อมกับค่อย ๆ ปรับลมหายใจ (และอัตราการเต้นของหัวใจ) ตนเอง ผมกลืนน้ำลายลงท้องอึกใหญ่ก่อนจะค่อย ๆ เปิดริมฝีปากเล่าเรื่องราวที่ผมน้อยใจพี่ศิออกมา


“กรไม่พอใจตัวเองที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพี่ศิเลย” ผมเกริ่นออกไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ศึ่งทันทีที่พี่ศิได้ยินถ้อยคำของผมนัยน์ตาคมของพี่ศิก็เปลี่ยนอารมณ์จากคนที่กำลังโกรธกลายเป็นแววตาของคนตกใจแทน แต่พี่เขาก็ไม่ยอมพูดอะไรกับผมนะครับดูเหมือนเขาจะยืนฟังอยู่ท่าเดียว


“แล้วกรก็ไม่พอใจที่พี่ศิอ่ะไม่เคยพูดอะไรเกี่ยวกับตัวเองให้กรฟังเลย ทั้ง ๆ ที่พี่ศิรู้เรื่องราวของกรเกือบจะหมดเลยแท้ ๆ กรทั้งน้อยใจพี่ศิ ทั้งไม่พอใจตัวเอง คิดจนปวดสมองไปหมดไอความรู้สึกพวกนี้มันก็เลยทำให้กร…หงุดหงิดตัวเองมาก ๆ เลยไม่อยากเจอหน้าพี่ศิไง” ผมพูดความรู้สึกของตัวเองออกไป ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าพี่ศิแกจะเข้าใจความรู้สึกของผมหรือเปล่าแต่ถ้าจะให้พูดถึงเหตุผลที่ผมหลบหน้าพี่ศิก็มีแต่เรื่องนี้นี่แหละที่ให้ผมไม่ใคร่ที่จะอยากเจอหน้าของพี่ศิ


สิ้นเสียงของผมใบหน้าและดวงตาเรียบนิ่งของพี่ศิตอนนี้เปลี่ยนไปเป็นสีหน้าและแววตาของคนตกใจ พี่ศิรู้สึกจะเรียบเรียงสิ่งที่ผมพูดอยู่ในหัวสักเล็กน้อยในที่สุด ใบหน้าคมก็เผยรอยยิ้มพร้อมกับมือกร้านที่ถูกยกขึ้นมาลูบศรีษะของผมอย่างแผ่วเบา แต่ไอฝ่ามืออันแสนอบอุ่นนี้ไม่ได้ช่วยในอารมณ์ในใจของผมเย็นลงเลยครับแถมมันยังให้ผมพูดพร่ำความรู้สึกของตัวออกมาเสียงหมด ทั้งอารมณ์น้อยใจ ทั้งอารมณ์ไม่พอใจ ทั้งอารมณ์หงุดหงิดใจ เอาเป็นว่าผมรู้สึกอะไรนี่พูดออกมาทั้งหมดเลยครับหมดเกลี้ยงแบบไม่มีกั๊กเลย


“รู้หรือเปล่าพี่ศิกรไม่พอใจมาก ๆ เลยที่ทุก ๆ คนในคณะ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นพี่หรือรุ่นเพื่อนของกรที่รู้จักตัวตนของพี่ศิ รู้ว่าพี่ศิเป็นคนแบบไหน ในอดีตพี่ศิเป็นคนยังไง ทุกคนเขารู้แต่! กรไม่รู้เลย ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพี่ศิเลยสักนิดเดียว หนำซ้ำเวลาที่ทุกคนคุยกับพี่พูดเรื่องราวของพี่ศิออกมากรก็รู้สึกอิจฉาทุกครั้งด้วย เพราะทุกสิ่งที่ทุกคนพูดมันเป็นสิ่งที่กรไม่รู้อะไรเลยสักนิดเดียวและพี่ศิก็ไม่คิดจะบอกกรด้วย เรื่องครอบครัวพี่ศิก็รู้ว่าบ้านกรเป็นยังไงแต่กรนี่สิไม่รู้เลยว่าพี่ศิมีพี่มีน้องหรือเปล่า ครอบครัวของพี่ศิทำงานอะไร มันจะดูล่วงเกินแต่กรก็อยากรู้ อยากรู้ในทุก ๆ เรื่องของพี่ศิ!” พอผมพูดทุกสิ่งทุกอย่างออกไปจนหมดผมก็ตอบสูดหายใจออกมาเฮือกใหญ่ (ก็เล่นพูดแบบไม่ได้หายใจเลยนี่ ถ้าไม่หอบก็แปลกแล้วครับ) ผมพูดออกไปแบบไม่สนใจที่จะมองสีหน้าของพี่ศิเลยครับ และไม่รู้ว่าในตอนนี้พี่ศิแสดงสีหน้ายังไง แต่ผมขอบอกเลยว่าผมนี่นอกจากจะได้ระบายอะไรที่อยู่ในใจออกไปหมดแล้ว ผมก็เจือกเขินออกมาแบบขั้นสุดยอดด้วยครับ อารมณ์แบบว่าเกิดมาไม่เคยเขินอะไรขนาดนี้มาก่อน อย่างไอตอนที่เล่นกันในบ้านของผมมันเขินแล้วนะ ไอการบอกความรู้สึกพวกนี้ออกไปเนี่ย! มันทำให้ผมรู้สึกเขินอายยิ่งกว่าตอนนั้นเสียอีกครับดังนั้นหลังจากผมสูดลมหายใจเข้าปอดเสร็จผมก็ก้มหน้าก้มตาไม่คิดแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นไปมองพี่ศิเลยสักนิดเดียวครับ


ภายในห้องเงียบสนิทไม่มีใครจะเอ่ยอะไรออกมา ทุกท่านอาจจะคิดว่าผมจะเป็นฝ่ายอดทนไม่ไหวแล้วพูดออกมาก่อนสินะครับ แต่ว่าครั้งนี้คุณเดาผิดครับเพราะคนที่ทนต่อความเงียบไม่ไหวนั่นก็คือพี่ศิครับ เสียงทุ้มเอื้อยเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาพร้อมกับใบหน้าคมที่ยื่นเข้ามากระซิบที่ข้างหูของผม


“ถ้ากรอยากรู้ทำไมไม่ถามพี่ตรง ๆ ล่ะครับ” ถ้าทุกคนจะบอกว่าเสียงนี้พาระทวยพวกคุณคิดผิดอีกแล้วครับเพราะเสียงนี้ ทั้งการกระทำที่กระซิบเบา ๆ ข้างใบหูของผมมันทำให้ผมใช้เท้ายันพี่ศิออกไปจากตัวเต็มแรงแถมผมยังกระโดดหนีออกจากโซฟาและตั้งการ์ดเตรียมไฟท์กับพี่ศิครับ แต่ผมก็ตั้งการ์ดได้ไม่ถึงห้านาทีผมก็ต้องลดการ์ดลงพร้อมกับค่อยเดินย่องเข้าไปหาพี่ศิ


ดูท่ารูปถีบผมจะทำให้พี่ศิจุกจนลุกไม่ขึ้นแล้วครับ จากไอบรรยากาศพาเครียดกลายเป็นบรรยากาศเฮฮาผมนี่ต้องเข้าไปประคองพี่ศิให้ลุกขึ้นมานั่งที่โซฟาเลยครับ คราวนี้ผมน่าจะใช้แรงเยอะเกินไปเล่นเอาพี่ศิพูดไม่ออกไปเกือบ ๆ สิบนาทีเลยครับ แต่ในที่สุดอาการจุกของพี่ศิก็หายไปพร้อมกับใบหน้าคมที่เงยหน้าขึ้นมามองผมและค่อย ๆ เปิดริมฝีปากเล่าเรื่องราวของตัวเองออกมา


“พี่เป็นลูกชายคนเดียว คุณพ่อเป็นผอ.โรงพยาบาล ส่วนคุณแม่เป็นหนึ่งในผู้บริหารของมหาวิทยาลัยที่เราเรียนอยู่ วันเกิดคือวันที่ 9 กุมภา กรุ๊ปเลือดโอ ตั้งแต่เล็กจนโตเรียนอยู่ที่โรงเรียนสวนกุหลาบใหญ่ เล่นบาสมาตั้งแต่ม.ต้นจนถึงเวลานี้และตอนนี้พี่เป็นนักกีฬาบาสของคณะแต่ปฏิเสธที่จะเป็นนักกีฬาบาสของมหาวิทยาลัย และตอนขึ้นมหาวิทยาลัยก็อยากเป็นหมอจึงสอบเข้าคณะแพทย์ช่วงนั้นทำให้พี่ต้องเลิกเล่นบาสไปสักพักใหญ่ ๆ เพื่อนอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้าคณะแพทย์ศาสตร์ ความจริงพี่ไม่ใช่เด็กดีเด็กเรียนเรื่องชกต่อยระหว่างโรงเรียนก็มีบ้าง เกือบโดนพักการเรียนก็หลายครั้งอยู่แต่ก็หนีทันก่อนจะโดนจับตัวเลยรอดมาได้ทุกครั้ง ตอนที่เข้าชั้นปีที่ 1 พี่เคยโดนลากไปประกวดเดือนคณะแต่ พี่สละสิทธิให้ไอเต๋อร์มันเป็นเดือนไปเพราะพี่คิดว่ามันวุ่นวาย นิสัยจริง ๆ ของพี่คือพี่ไม่ชอบสุงสิงกับใครและไม่ชอบคุยกับคนแปลกหน้า ส่วนสูงของพี่ก็คือ 185 เซน ส่วนน้ำหนักประมาณ 74-75 กิโลกรัม สีที่ชอบคือขาวกับดำ เป็นคนถนัดทั้งมือซ้ายและมือขวา ของกินที่ชอบไม่มีเป็นพิเศษ งานอดิเรกคือการเล่นกล้องและถ่ายรูปแต่ตอนนี้มีงานอดิเรกเพิ่มขึ้นมาก็คือการไปรับไปส่งกร ทำกับข้าวให้กรกินและการทำให้กรยิ้มและหัวเราะได้ สิ่งที่เกลียดไม่มีเป็นพิเศษแต่พี่คิดว่าตอนนี้น่าจะมีแล้วแต่พี่ขอไม่บอกว่ามันคืออะไร ส่วนสเปกที่ชอบพี่ขอไม่บอกเพราะพี่คิดว่ากรน่าจะรู้ได้ด้วยตัวเองได้แล้ว” ไอผมนี่ถึงกับช็อคที่พี่ศิแกบรรยายเกี่ยวกับชีวิตแกออกมาได้เป็นฉาก ๆ แต่ไอที่สุดช็อกมากที่สุดก็คือครอบครัวของพี่แกครับ


พ่อเป็นผอ.โรงพยาบาล โอเค อันนี้เข้าใจบ้านถึงได้รวย แต่ไอการที่แม่เป็นหนึ่งในผู้บริหารของมหาวิทยาลัยที่ผมเรียนอยู่นี่ถึงกับให้ผมช็อคครับ มิน่าล่ะทุกคนถึงได้กลัวพี่ศิกันนัก


“กรอยากรู้อะไรเกี่ยวกับพี่อีกไหมครับ” พี่ศิเอ่ยถามออกมาอีกครั้งหลังจากที่ผมเงียบไปนาน คือไอสิ่งที่อยากรู้อีกมันก็มีอยู่หรอกแต่ตอนนี้ผมไม่รู้จะเรียบเรียงคำถามอะไรใส่พี่ศิแล้วครับสิ่งที่พี่เขาพูดมานี่ทำเอาผมแทบช็อคครับ แต่ขอสรุปได้เลยว่าครอบครัวและตัวของพี่ศิไม่ธรรมดา ไม่ธรรมดาแบบสุด ๆ เลยครับหลังจากวันนี้ผมควรระวังตัวไม่ให้พี่ศิโกรธสินะครับไม่งั้นผมอาจจะโดนเด้งออกจากมหาวิทยาลัยแบบไม่รู้ตัวก็ได้


ผมส่ายหัวตอบพี่ศิไปแต่ดูเหมือนเรื่องราวที่พี่ศิอยากพูดยังไม่หมดนี่สิ แกพูดต่อไปเรื่อย ๆ และเรื่อย ๆ และในประโยคสุดท้ายที่พี่ศิพูดให้ผมฟังมันทำเอาผมตกใจและช็อคยิ่งกว่าเก่า


“พี่น่ะมองกรมาตั้งแต่กีฬาเฟรชชี่แล้ว แต่พี่ไม่รู้ว่ากรเป็นใครรู้แค่ว่าอยู่คณะวิศวะไม่รู้ว่าพี่มองกรทำไมแต่พี่คิดว่าพี่คงติดใจในรอยยิ้มของกรก็ได้ล่ะมั้งพี่เลยละสายตาจากรอยยิ้มของกรไปไม่ได้”


ใครก็ได้เอาผมออกจากความฝันนี่ทีขอร้องเถอะครับให้ผมตื่นจากฝันก่อนที่ผมจะละลายตายไปที!



_______________________________


ขอบคุณที่ติดตามนะคะ โค้ง//



ออฟไลน์ Noo_Patchy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1055
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +123/-4
 :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: กรงี้งอนนะคะ  อิอิ น่าร้ากก

ออฟไลน์ DZiik

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ไม่ธรรมดาจริงๆพี่ศิของเรา  :hao3:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด