“ก็ตั้งแต่กรเป็นลมที่คณะ ก่อนไปค่ายพวกเพื่อนๆของเราทั้ง 8 คนนั่นแหละ คือคนที่หามเรามาส่งที่โรงพยาบาล แต่ละคนนี่สีหน้าท่าทางตื่นตกใจมากเลยทีเดียว พรีมนี่เกือบจะร้องไห้อยู่ร่อมร่อ ส่วนเจมส์กับบาสแทบจะลุกไปเขย่าคอเสื้อของอาจารย์พี่ที่รับเคสของกรเลย แต่ก็นะเป็นใครเจอแบบนั้นก็ต้องตกใจกันหมดแหละ ไอตัวแสบที่ทุกคนคิดว่าแสบสันกว่าใครดันป่วยหนักจนเป็นลมหมดสติได้ แต่ในที่สุดพวกเพื่อน ๆ เราก็โดนพวกรุ่นพี่ที่รออยู่ที่คณะโทรตามว่ารถกำลังจะออกแล้ว จะไปค่ายไหม ตอนแรกเพื่อนเราทั้ง 8 คนก็จะไม่ไปค่ายกันเพราะเป็นห่วงกร แต่พี่เดินออกไปบอกเพื่อนเราทุกคนว่าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก กรถึงมือหมอแล้ว แต่เพื่อนๆพวกเราก็ยังคงไม่สบายใจ พี่เลยตบปากรับคำไปว่าพี่จะเฝ้าไข้กรเอง ทั้ง 8 คนเลยโอเค ยอมรับและต่างพากันกลับไปที่คณะครับ แต่ก่อนที่ทุกคนจะกลับไปที่คณะพวกเพื่อน ๆ ของเราก็ต่างพากันเขียนข้อความลงไปในกระดาษเอสี่ใบนั้น” พี่ศิเงียบเสียงลงพร้อมกับใช้มืออีกข้างที่ไม่ได้กอบกุมมือของผมชี้ไปที่กระดาษเอสี่ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง ผมหันไปมองตามก่อนจะหันหน้ากลับมาฟังพี่ศิเล่าต่อ
“พอทุกคนเขียนเสร็จก็ยื่นกระดาษเอสี่ใบนั้นแล้วบอกว่าให้แปะไว้ที่หน้าผากของกรไปเลย เวลามันตื่นขึ้นมาจะได้อ่านแต่พี่ก็ไม่ได้ทำหรอก เดี๋ยวเราหายใจไม่สะดวกพอดี พี่ก็เลยวางไว้ที่โต๊ะข้างหัวเตียงนั่นแหละ หลังจากนั้นพี่ก็โทรหาคุณป๊ากับคุณม๊าของเรา แต่สายไม่ว่างหรือปิดเครื่องเนี่ยแหละ พี่ก็เลยต้องโทรหาพวกท่านในวันต่อไป นี่ก็อีกไม่น่าเกิน 20 นาที ท่านก็คงจะมาแล้วล่ะครับ” พี่ศิพูดด้วยรอยยิ้มพร้อมกับนั่งพูดเล่าเรื่องหลาย ๆ อย่างให้ผมฟังแก้เบื่อ แต่มันก็ยังมีสิ่งที่คาใจผมอยู่นะครับเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อคืน และเรื่องที่ผมสงสัย พี่ศิก็ไม่ได้เล่าออกมาให้ผมฟังเสียด้วย แต่จะให้ผมถามผมก็หน้าไม่ด้านพอนะครับ เพราะสิ่งที่ผมจะถามมันเกี่ยวกับความรู้สึกของพี่ศิในตอนนั้น
…ผมก็แค่อยากรู้ว่าพี่ศิแกเป็นห่วงผมบ้างไหม...ก็เท่านั้นเอง…
ผมนั่งเม้มปากตัวเองไปเรื่อย ๆ และรู้สึกว่าพี่ศิแกจะจับอาการของผมได้นะครับว่าผมรู้สึกยังไง เสียงทุ้มจึงเอ่ยถามผมด้วยความสงสัย “กรเป็นอะไรไปเหรอครับ มีอะไรที่สงสัยอยู่อีกเหรอครับ กร” ผมที่กำลังป่วย ๆ อยู่ซึ่งปกติแล้วหน้าจะซีด พลันใบหน้าของผมก็ขึ้นสีเรื่องอย่างไม่รู้สาเหตุ ซึ่งใบหน้าของผมขึ้นสีแบบนั้น พี่ศิก็ตกใจกับอาการผิดปรกติของผม (เพราะแกนึกว่าเกี่ยวกับอาการป่วยของผม) ร่างสูงลุกขึ้นหมายจะไปหยิบออดเรียกพยาบาล แต่ผมเอื้อมมือไปจับแขนพี่ศิไว้ก่อน ร่างสูงยังคงงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เราสองคนเงียบใส่กันอยู่นาน แต่ในท้ายที่สุดผมก็ยอมเอ่ยปากถามออกไป แม้มันจะเป็นเสียงที่โคตรจะเบาเลยก็เถอะครับ
“แล้วเมื่อวานพี่ศิ...รู้สึกยังไง” แม้ผมจะเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา แต่คนอย่างคุณพี่ศิรวิทย์ไม่มีทางไม่ได้ยินหรอกครับใบหน้าคมคลี่รอยยิ้มร้ายและแสร้งทำตัวเป็นไม่ได้ยิน เพื่อทำให้ตัวผมเอ่ยประโยคน่าอายแบบนั้นออกมาอีกรอบ ผมเม้มปากแน่น ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำพวกนั้นออกมอีกครั้ง “แล้วเมื่อวาน พี่ศิรู้สึกยังไงบ้าง เรื่องกร” ผมหลับตาปี๋พร้อมกับเอ่ยออกไป แต่ทันทีที่ผมลืมตาขึ้นใบหน้าของพี่ศิก็อยู่ห่างกันแค่คืบเดียว ร่างสูงของพี่ค่อย ๆ เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ผม พร้อมกับเอี้ยวตัวไปกระซิบอย่างแผ่วเบาข้างใบหูของผม
ทันทีที่ถ้อยคำพวกนั้นลอยเข้ามาในหูของผม ใบหน้าของผมก็ยิ่งแดงจัด มือทั้งสองข้างพยายามดันชายที่ยืนอยู่ด้านข้างผมให้ถอยห่างออกไป ซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมรามือนะครับ แต่ว่าก่อนที่อีกฝ่ายนั้นจะผละออกไปร่างสูงนั้นยืนหน้าเข้ามาใกล้แก้มของผมพร้อมกับเอาจมูกของตนสัมผัสแก้มของผมอย่างแผ่วเบา
แต่สิ่งที่ประจวบเหมาะมากว่านั้นมันก็คือบ้านประตูห้องผู้ป่วยพิเศษดันเปิดออกพร้อมกับร่างของคุณเจ้และคุณน้องสาวที่เดินเข้ามา ผมแทบจะกัดลิ้นตายตรงนั้น แต่สิ่งที่ทำได้ในขณะนั้นก็คือการดันให้ร่างสูงนั้นถอยห่างออกไปจากร่างของผมเท่านั้นเอง
คุณเจ้และคุณน้องสาวที่ชะงักค้างอยู่ที่ประตูค่อย ๆ ถอยหลังออกไปจากห้อง บานประตูห้องผู้ป่วยถูกปิดลงพร้อมกับความวุ่นวายที่อยู่ภายในห้อง
พี่ศิที่(แทบ)ล้มกลิ้งเพราะแรงผลักของผมค่อยๆยันกายตนขึ้นมายืนพร้อมกับเดินไปเปิดประตูให้สองสาวที่ยืนทำหน้าแดงอยู่เข้ามาภายในห้อง
“พี่กิฟท์ กับน้องกิ้กเข้ามาเถอะครับ พวกคุณทั้งสองคนไม่ได้เข้าห้องผิดหรอก” เสียงพี่ศิที่เอ่ยชักชวนพี่สาวและน้องสาวของผมให้เข้ามาในห้องผู้ป่วยดังแว่วเข้ามาในห้อง เมื่อพี่ศิพูดแบบนั้น พี่สาวและน้องสาวของผมก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับถลาเข้ามาเกาะเตียงผมและจ้องใบหน้าของผมด้วยแววตาน่ากลัว
ท่าทางทั้งสองคนมีอะไรจะถามผมเยอะเอาเรื่องเลยครับ ซึ่งตอนนี้พวกเธอทั้งสองคนน่าจะคันปากอยากถามเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้ แต่ดูหน้าตาแล้วท่าทางทั้งสองคนอยากจะรู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นตอนที่เธอ ๆ ทั้งสองคนไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์เลยครับ แต่ดีที่คุณป๊ากับคุณม๊าและน้องกัซเดินตามเข้ามาซะก่อนเลยทำให้ผมรอดไปเปราะหนึ่ง เพราะอย่างน้อยก็ไม่ต้องเล่าอะไรให้คุณเจ้และคุณน้องสาวฟังตอนนี้
ผมหันไปยิ้มให้คุณป๊าและคุณม๊า คุณป๊าแทบจะถลาเข้ามากอดตัวผมแล้วเอาหน้าตัวเองถูกไถไปกับแก้มของผม ทว่าคุณม๊าแกถลามาก่อนครับ คุณป๊าแกเลยได้เป็นคิวถัดไป
“น้องกร เป็นไงมั่งเนี่ย ทำงานจนป่วยเลยเหรอ ตอนลูกศิโทรมาบอกคุณม๊า...คุณม๊าตกใจแทบแย่ ไม่เป็นไรนะลูกนะ” คุณม๊าไถหน้าไปมากับแก้มผมพร้อมกับพูดปลอบผมเบาๆ ซึ่งผมก็กอดคุณม๊ากลับครับ (ดีที่อาการของผมดีขึ้นจากเมื่อตอนกลางวันแล้ว ถ้าเกิดยังไม่ดีมีหวังได้อาเจียนออกมาใส่คุณม๊าแน่ๆ) และหลังจากคิวของคุณม๊าหมดลงก็ตามมาด้วยอ้อมกอดจากคุณป๊าครับ
“น้องกรป่วยไม่ยอมโทรบอกใคร ศิเขาฟ้องคุณป๊าหมดแล้ว เด็กดื้อจริงๆ คุณป๊ารู้ว่าเราจริงจังกับเรื่องค่าย แต่ก็ต้องดูแลตัวเองด้วย ไม่ใช่ทำงานหนักจนล้มป่วยแล้วที่เราทำมามันเสียเปล่าไหมล่ะ ไม่ไหวเลยนะน้องกร” คุณป๊ากอดผมแน่น ทุกท่านเห็นคุณป๊าบ่นใส่ผมแบบนี้ ไม่ใช่คุณป๊าแกจะต่อว่าผมหรอกครับ คุณป๊าเป็นห่วงผมมากๆ แต่คุณป๊าแกพูดปลอบไม่เก่ง เขาเลยใช้คำสอนมาสอนผมแทน ผมพยักหน้ารับคำพูดของคุณป๊า และคิวถัดไปที่จะมากอดผมนั่นก็คือน้องกัซนั่นเอง
“เฮียกร เฮียกรจะตายไหมอ่ะ ถ้าเฮียกรตาย ใครจะเล่นกับน้องกัซล่ะ” น้องกัซพูดด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น แต่คำถามของน้องกัซนี่ทำเอาผมสำลักน้ำลายเลยครับ มาพูดแช่งอะไรพี่ชายสุดหล่อแบบนี้ ไม่ดีเลยนะครับน้องกัซ มาพูดอะไรแบบนี้ใส่ได้ยังไงกัน แต่การที่น้องกัซพูดแบบนี้ทำให้คุณป๊าคุณม๊า เอาเป็นว่าทุกๆคนที่อยู่ในห้องหัวเราะออกมาเสียยกใหญ่ แต่ผมนี่แหละที่ไม่ตลกด้วย คุณม๊าลูบหัวน้องกัซที่นั่งอยู่บนเตียงผู้ป่วยเบาๆแล้วพูดสอนน้องกัซออกไป
“เฮียกรของน้องกัซไม่ตายหรอกจ้ะ น้องกัซก็รู้นี่นาว่าเฮียกรของเราแข็งแรงจะตาย แค่นี้ทำให้เฮียกรหมดแรงไปแค่สามสี่วันเท่านั้นเองนะจ๊ะ” คุณม๊าเอ่ยพูด น้องกัซจึงหันไปมองหน้าคุณม๊าทั้งน้ำตาแล้วทิ้งตัวลงมากอดผมแน่น เล่นเอาผมแทบจุกเลยครับ ผมได้แต่หัวเราะน้อยๆแล้วลูบหัวน้องกัซเบาๆ ซึ่งคิวถัดไปเป็นคิวของเจ้กิฟท์และยัยกิ้ก แต่น้องกัซยังคงไม่ปล่อยผมครับ ดีมากเลยครับ ผมมีความสุขมากเลยครับ ไม่งั้นผมคงโดนสองสาวเค้นคอถามแน่นอน
แต่ความอยากรู้อยากเห็นของคุณน้องสาวและคุณเจ้ของผมมันมีมากล้น ทั้งสองคนหันไปบอกให้คุณป๊ากับคุณม๊า (รวมไปถึงน้องกัซ) ให้ออกไปซื้ออะไรมาให้ผมกินเวลาหิว และเอ่ยปากว่าจะดูผมอยู่ในห้องเอง ซึ่งคุณป๊า คุณม๊าและน้องกัซก็ติดกับครับ ทั้งสามคนก็เดินออกจากห้องไปและทิ้งให้ผมอยู่กับคุณเจ้และคุณน้องสาวที่ส่งออร่าที่น่าหวาดหวั่นมาให้ ทั้งสองคนค่อยๆหันหลังมามองผมพร้อมกับแสยะรอยยิ้มที่โคตรไม่น่าไว้ใจมาให้ ทั้งสองคนค่อยๆก้าวเท้าเข้ามาใกล้ผม นิ้วชี้ข้างขวาของเธอสองคนตวัดมาที่หน้าผมพร้อมกับกับถามเดียวกับที่ออกมาจากปากของคนสองคน
“ไอกร!/เฮียกร! เรื่องมันเป็นยังไงมายังไงกัน เล่าออกมาให้หมดเดี๋ยวนี้เลย” เสียงของคุณเจ้กิฟท์กับคุณน้องสาวกิ้กแผดเสียงร้องลั่นห้อง ผมนี่สะดุ้งและค่อยๆเขยิบตัวไปติดกับหัวเตียง ท่าทางที่หวั่นกลัวของผมไม่ได้ช่วยอะไรชีวิตผมเลย หญิงสาวยังคงย่างสามขุมเดินเข้ามาใกล้ ๆ ผมอีก ‘นี่คุณเจ้ คุณน้องสาว พวกคุณลืมไปแล้วเหรอครับว่าผมกำลังป่วยหนักอยู่’ เจ้กิ้ฟท์นั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงพร้อมกับจ้องมองหน้าผม ส่วนยัยกิ้กเธอยืนกอดอกมองผมอยู่
ให้ตายเถอะ พวกเธอจะมาอยากรู้อะไรกับเรื่องของคนอื่นกันตอนนี้ ผมพยายามส่งรอยยิ้มแห้ง ๆ ไปให้พวกเธอ แต่หญิงสาวทั้งสองคนไม่ยอมรับรอยยิ้ม ซ้ำยังส่งสายตากดดันมาให้ผมอีก
คือถ้าพวกคุณเจ้คุณน้องสาวอยากรู้กรุณาไปถามพี่ศิเอานะครับ ตอนนี้ผมขอตัวนอนก่อนล่ะ ผมเมินพี่สาวและน้องสาวของตัวเองพร้อมกับดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงเป็นการปฏิเสธที่จะตอบคำถามของสาวๆทั้งสองคนกลายๆ แต่มีหรือครับว่าทั้งสองคนจะยอมให้ผมหนีง่ายๆ คุณเจ้เธอยืนขึ้นพร้อมกับจะกระชากผ้าห่มที่คลุมตัวของผมออก ส่วนยัยกิ้กดึงปลายผ้าห่ม ผมกับสองสาวยื้อแย่งกันอยู่นาน ในที่สุดเสียงสวรรค์ก็มาโปรดผมเสียงบานประตูเปิดออกอีกครั้ง (โดยที่ผมภาวนาว่าคนที่กลับมาเป็นคุณป๊ากับคุณม๊าทีเถอะ แต่มันก็ไม่ใช่ครับ) พร้อมกับการปรากฏร่างของว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์ที่ถือกระเป๋าใบไม่ใหญ่มากเข้ามา ท่าทางข้างในจะเป็นเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนครับ เพราะพี่แกรับปากคุณป๊าคุณม๊าของผมเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะคอยเฝ้าไข้ผมเอง ดังนั้นที่พี่ศิหายไปก็เพราะเขาไปเอาเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนมานั่นเองครับ
เมื่อพี่ศิเดินเข้ามาภายในห้องสงครามแย่งชิงผ้าห่มของผมก็หยุดลง เพราะใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มของนิสิตแพทย์เริ่มบึ้งตึง ดูเหมือนว่าพี่ศิแกจะไม่ค่อยชอบใจการกระทำของพี่สาวและน้องสาวของผมกระมังครับ เพราะดูเหมือนว่าพวกเธอทั้งสองคนกำลังรุมแกล้งคนป่วยที่ไม่สามารถต่อสู้ได้ พอพี่ศิเข้ามาก็ทำให้ผมโล่งใจไปเปราะหนึ่ง
“กรยังไม่หายดี ไม่สมควรทำแบบนั้นใส่กรนะครับ” เสียงพี่ศิเอ่ยดุหญิงสาวทั้งสองคน ใบหน้าคมนั้นเต็มไปด้วยความไม่พอใจ (อันนี้พี่ศิแกดุในฐานะว่าที่หมอนะครับ เพราะการทำอะไรกับรุนแรงที่ยังไม่หายดี มันไม่ค่อยจะเหมาะ จรรยาบรรณหมอของพี่ศิมันเลยปะทุขึ้นมาครับ)
คุณเจ้และคุณน้องสาวของผมก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาเดินไปนั่งอยู่มุมห้องพิเศษ พร้อมกับปิดปากตัวเองและทำตัวนิ่ง ๆ เพื่อไม่ได้ว่าที่นายแพทย์คนนี้โกรธอีก เราทั้งสี่คนนั่งอยู่ภายในห้องนี้ ไม่นานคุณป๊า คุณม๊าและน้องกัซก็กลับมาพร้อมกับของถุงกินเต็มไม้เต็มมือ (ท่าทางทั้งสามคนจะไม่ได้ซื้อมาให้ผมทานคนเดียว แต่คงซื้อมาให้พี่ศิทานด้วย)
“ลูกศิ มานี่ลูก อันนี้ของลูกศินะ ข้าวหน้าเป็ดย่าง อร่อยมากคุณม๊าคอนเฟิร์มจ้ะ แล้วนี่เป็นผลไม้ไว้กินเล่นตอนเฝ้าน้องกร อันนี้เป็นน้ำเก๊กฮวยจะ ถ้ายังไม่หิวเอาพวกผลไม้กับน้ำแช่ตู้เย็นไว้ก่อนก็ได้ แล้วอันนี้เป็นของน้องกรเขาโจ๊กร้อนๆใส่แต่หมูไม่ใส่ผัก ไม่ใส่ขิง ไม่ใส่เครื่องใน อันนี้เป็นข้าวต้มปลาของน้องกร น้องกรชอบข้าวต้มปลากะพงมากจ้ะ ส่วนน้ำที่น้องกรชอบคุณม๊าไม่ได้ซื้อมานะ ถ้าไม่เย็นมันจะไม่อร่อย แต่ตอนนี้น้องกรทานของเย็น ๆ ไม่ได้ ไข้ยังไม่หายดี ทานผลไม้ไปแล้วกันนะจ๊ะอันนี้แตงโมของโปรดของน้องกร” พี่ศิยกไม้ไหว้เป็นการขอบคุณ และรับถุงทั้งหมดมาไว้ในมือพร้อมกับเดินเอามันไปวางไว้ใกล้ ๆ ตู้เย็น
คุณป๊ากับคุณม๊าพูดคุยกับผมและพี่ศิไปอีกราว ๆ 10 นาทีในที่สุดเวลาเยี่ยมก็หมดลง คุณป๊าและคุณม๊าก็ได้เวลากลับบ้านครับ “คุณม๊าคิดว่าพวกเราคงได้เวลากลับบ้านแล้วล่ะจ้ะ นี่ก็ดึกมากแล้ว ไว้วันที่น้องกรหายก็กลับไปเยี่ยมคุณม๊ากับคุณป๊าที่บ้านแทนแล้วกันนะ” คุณม๊าเอ่ยด้วยรอยยิ้มพร้อมกับจัดแจงเก็บข้าวเก็บของแล้วเดินลากทุก ๆ คนออกไปจากห้อง
คุณเจ้กับยัยกิ้กจ้องผมด้วยแววตาแค้นเคืองและดูท่าการกลับบ้านครั้งต่อไป ผมต้องมีอะไรอธิบายให้คุณ ๆ ทั้งสองคนฟังอย่างละเอียดแบบไม่ปกปิดเลยล่ะครับ ในที่สุดห้องผู้ป่วยพิเศษที่เคยเสียงดังเพราะเสียงคุยของคนเกือบสิบคนก็เงียบสงบลง และเหลือไว้เพียงแต่ลมหายใจของคนสองคนเท่านั้น ผมลอบหันไปมองพี่ศิที่นั่งอยู่บนโซฟา ก่อนจะตวัดสายตาขึ้นไปมองที่เพดาน ผมทำแบบนี้หลายต่อหลายครั้งจนในที่สุด พี่ศิที่รักของทุกคนก็เหมือนจะทนไม่ไหว ร่างสูงลุกขึ้นยืนพร้อมกับเดินเข้ามาใกล้ ๆ เตียง
“กรเป็นอะไรไปอีกเหรอครับ มองหน้าพี่แล้วทำท่าเหมือนจะพูดแต่ก็ไม่พูดมาหลายทีแล้ว” เสียงทุ้มเอ่ยถามด้วยความสงสัย ซึ่งผมก็ใช้ความเงียบเป็นคำตอบ แต่ดูเหมือนพี่ศิแกจะไม่ชอบใจในคำตอบคำตอบนี้ของผมสักเท่าไหร่นัก ร่างสูงยืนกอดอกพร้อมกับนิ้วเรียวถูกยกขึ้นมายันที่ปลายคาง
ความจริงไอผมก็อยากจะตอบพี่ศิเขาไปอยู่หรอกครับ แต่ว่าไอเรื่องที่อยากจะพูด อยากจะถาม มันก็ไม่มีแล้ว เพราะคำตอบที่ผมได้จากปากพี่ศิ ก่อนที่เจ้และน้องสาวของผมจะเข้ามาภายในห้องผมก็รู้หมดแล้ว แต่ที่ผมมองหน้าพี่ศิไปแล้วไม่ยอมพูด หรือหลบตานี่ก็ไม่มีเหตุผลครับ ผมแค่อยากมองพี่ศิก็เท่านั้นเอง
พี่ศิดูท่าจะนึกอะไรออกหลังจากที่ตนเงียบเสียงไปสักพัก ร่างสูงค่อย ๆ เผยรอยยิ้มชั่วร้ายพร้อมกับเอ่ยถ้อยคำที่ทำเอาผมที่กำลังดื่มน้ำอยู่ถึงกับสำลักออกมา “หรือว่าที่พี่ตอบคำถามของกรไป เสียงมันจะเบาไปหรือว่าสิ่งที่พี่พูดมันจะยังแสดงถึงความจริงใจที่พี่มีต่อกรไม่พอ”
สิ้นเสียงของพี่ศิ ใบหน้าของผมก็ขึ้นสีแดงจัด ผมพยายามหาของใกล้ตัวไปฟาดใส่พี่เขา แต่ไอสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวผมมันก็มีแต่แจกัน (ถ้าอันนี้ฟาดลงไป พี่ศิอาจจะเข้ามานอนในโรงพยาบาลตามผม) แก้วน้ำ (อันนี้คงกรณีเดียวกับอันแรก) จาน (อันนี้ก็ไม่ต่างกัน) ผมพยายามมองหาสิ่งที่อยู่รอบตัวแต่ใน ท้ายที่สุดสิ่งที่ผมฟาดลงไปที่พี่ศิ คือ มือทั้งสองข้างของผมนั่นเอง ผมเอามือตีพี่ศิอยู่หลายครั้ง แต่ในท้ายที่สุดพี่ศิก็จับผมรวบแขนทั้งสองข้างและจับให้ผมนอนราบไปกับเตียง
ร่างสูงจ้องหน้าผมด้วยสายตาจริงจังและเอ่ยถ้อยคำที่ก่อนหน้านี้เขากระซิบที่ข้างหูผมออกมาเสียงดังว่า
“ตอนที่กรมาที่โรงพยาบาล พี่ที่เข้าเวรอยู่เป็นคนไปอุ้มกรจากเพื่อน ๆ มาที่เตียงและเป็นคนเข็นรถเข็นนั่นเอง ซึ่งภายในใจของพี่ก็ภาวนาว่าขอให้คนสำคัญที่สุดในชีวิตของพี่ไม่เป็นอะไร ได้โปรดอย่าให้เขาเป็นอะไรไปเลย และถ้าเขาลืมตาตื่นขึ้นมา ผมจะให้ความสำคัญกับเขามากกว่าเดิม ผมจะไม่ยอมให้เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นมาอีก ผมจะดูแลเขาไปตลอดจนกว่าเขาจะหาคนที่ดูแลเขาได้ดีมากกว่าผม” เมื่อเอ่ยจบประโยคพี่ศิก็ผละกายออกพร้อมกับไปนั่งที่โซฟา ส่วนผมก็นอนแผ่อยู่แบบนั้นไปราว ๆ สิบนาที ก่อนจะดึงผ้าห่มมาคลุมโปงเพื่อหลบสายตาของพี่ศิ
สิ่งที่พี่ศิพูดมามันไม่ต่างอะไรจากคำสารภาพรัก…แม้ผมจะหวั่นไหวมากๆ แต่ยังไงผมก็ยังไม่ให้พี่ศิเข้ามาอยู่ในหัวใจของผมมากกว่านี้หรอกครับ
__________________________________
ทุกคนเห้ฯวิธีที่พี่ศิตีก้นน้องกรหรือยังค้าาาาถ้ายังไม่เห็นอ่านซ้ำอเกนนนเย้ๆๆ (บ้าไปแล้วพลอย)
อ่อพลอยขอฝากอะไรนิดหน่อยนะคะถ้าหาจะติดตามผลงานอื่น ๆของพลอย(กับเพื่อนสามารถติดตามได้ที่ไม่ทราบว่าผิดกฏไหมแต่ถ้าผิดจะรีบเอาออกทันทีค่ะ)
https://www.facebook.com/pages/WIFACs-Work-Page/376396462412920