- Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้งข่าว] [03/06]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

ถ้าเกิดนิยายเรื่องนี้จะรวมเล่ม ??

อยากให้รวม
79 (90.8%)
ไม่ต้องรวม
8 (9.2%)

จำนวนผู้โหวตทั้งหมด: 82

ผู้เขียน หัวข้อ: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้งข่าว] [03/06]  (อ่าน 257883 ครั้ง)

ออฟไลน์ RenaBee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
น่าสงสารไฮซ์แต่ตอนนี้สงสารพี่ศิืมากกว่า ต้องมารอลุ้นกับคำตอบน้องกร
น้องกรคะ ตอบไม่ดีแม่ยกจับตีก้นลายนะคะ o18

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0



สวัสดีค่ะ ความจริงใจอยากจะเข้ามาลงตั้งแต่เมื่อวานแล้วแต่มีเหตุที่ทำให้ลงไม่ได้ที่ทุก ๆ คนก็ทราบกันดีนะคะ วันนี้หละคะเราจะมาลงนิยายตอนต่อให้อ่านกัน (พรุ่งนี้หยุด อิอิ)




Chapter 26



หลังจากที่ผมโดนคำถามพาระทวยไป ตอนนี้มันก็ผ่านมาได้ราวๆ 2 อาทิตย์แล้วครับ และผมก็รู้ว่าทุกคนในที่นี้ต่างก็สงสัยในคำตอบที่ผมตอบพี่ศิไปใช่ไหมล่ะครับ โอเคครับ ผมเล่าให้ทุกคนฟังก็ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นต่อในวันนั้น เพราะว่าหลังจากที่พี่ศิเอ่ยถามคำถามนั้นออกมาแล้วผมก็ไม่ตอบอะไรพี่เขาไปครับ ไม่ต้องมาส่งเสียงโห่ร้องว่า ทำไมไม่ตอบไปล่ะ ผมขอบอกเลยว่าใครมันจะไปกล้าบอกคนอื่นว่าตัวเองจะยอมรับรักเขาเมื่อไหร่ (ถ้าคุณกล้านี่ก็สุดยอดแล้วครับ แต่สำหรับผม…ผมขอพูดไว้ ณ ที่ตรงนี้เลยครับว่า ‘ผมไม่กล้า’)



ดังนั้นผมก็เลยได้แต่เงียบปากเอาไว้ แต่กว่าพี่ศิแกจะยอมรามือจากคำถามนี้ก็ปาไปหลายนาทีครับ อาจจะถึงสิบนาทีเลยก็เป็นได้ ไอผมก็อายแล้วอายอีก แถมหน้าก็แดงจนไม่รู้จะแดงยังไงแล้วครับ พี่ศิแกถึงจะปล่อยมือ ออกจากมือของผม ซึ่งในเวลานั้นแววตาพี่ศิก็ดูเศร้าเหมือนกันนะครับ แต่มันก็เศร้าพียงชั่วครู่เท่านั้นแหละ ไม่ถึงห้านาทีที่ศิแกก็กลับมาเป็นบุคคลผู้มีความคิดชั่วร้ายและเอาแต่ใจเช่นเดิม พี่ศิแกเหยียบคันเร่งจนเกือบมิดเพื่อพาผมไปขับรถเล่นครับ และหลังจากนั้นผมก็โดนพาไปทัวร์รอบกรุงเทพเลยครับ เล่นเอาตอนกลับมาที่คอนโด ผมแทบคลานขึ้นห้องเลยทีเดียว แต่เรื่องของวันนั้นก็เป็นเรื่องของวันนั้นครับ เพราะสิ่งที่ผมกำลังจะเจอต่อไปนี้มันยิ่งกว่าเรื่องในวันนั้นครับ (ผมขอเรียกว่ามันเป็นวันที่นรกและบัดซบเลยครับ) เพราะว่าช่วงเวลาต่อจากนี้มันคือช่วงเวลาของการสอบไล่ (หรือทุกคนจะเรียกมันว่าการสอบปลายภาค สอบไฟนอลนั่นแหละ)


และช่วงเวลาก่อนจะถึงการสอบไล่มันก็ต้องมีช่วงเวลา ๆ หนึ่งก่อนครับนั่นก็คือ ช่วงเวลา…แห่งการอ่านหนังสือสอบและนี่ล่ะคือนรกที่แท้จริงของช่วงเวลา (ใกล้) สอบเลยล่ะครับ


ซึ่งความจริงมันก็ไม่นรกสำหรับผมเท่าไหร่หรอกครับ เพราะผมก็คงใช้วิธีการแบบเดิมครับ คือการไปเกาะไอเจมส์ให้มันติวให้และตอนนี้มันรับปากที่จะติวให้ผมเรียบร้อยแล้วครับ แต่กว่าที่มันจะยอมติวให้ผมได้นี่ ผมต้องกระดิกหางหาของไปเซ่นไหว้มันหลายต่อหลายอย่างเลยล่ะครับ แต่สุดท้ายมันก็ใจอ่อนครับ ยอมเปิดติวรอบพิเศษให้พวกผม (ตามที่ผมได้บอกไว้นานมาแล้วครับว่าเจมส์เรียนเก่งมาก ถึงแม้ว่ามันจะไม่ค่อยได้มีเวลาอ่านหนังสือ หลังจากที่มันยอมรับตำแหน่งเป็นประธานรุ่นของพวกเราก็เถอะ) และการติวนั่นก็ทำให้ผมรอดชีวิตจากการสอบมาได้ด้วยดี อย่างน้อยผมก็ทำได้เกินครึ่งนั่นล่ะครับ และหลังจากสอบวิชาสุดท้ายจบ…สิ่งที่นิสิต นักศึกษาทุกคนรอคอยก็มาถึงนั่นก็คือการปิดเทอมนั่นเอง!


แต่การปิดเทอมครั้งนี้ของพวกผมออกจะพิเศษหน่อยนะครับ เพราะช่วงปลายเดือนมีนาคมทางคณะของผมจะมีการไปค่ายสร้างกัน (ซึ่งค่ายสร้างก็คือค่ายสร้างนั่นแหละครับ เอ่อ...ผมอธิบายแค่นี้กวนประสาทไปไหม เอาใหม่ ๆ ค่ายสร้างนั่นก็คือค่ายอาสาพัฒนาชนบทนั่นแหละครับ ค่ายสร้างมันเป็นชื่อย่อครับ ค่ายสร้างนั้นเป็นเหมือนกับว่าเราไปสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้กับบุคคลภายนอกที่ขลาดแคลน หรือแม้สิ่งที่เขามีอยู่แล้ว แต่เราอาจจะเข้าไปช่วยดู ช่วยปรับปรุงอะไรกับสถานที่นั้นได้ครับ ซึ่งผลของค่ายสร้างนั้นไม่ว่าสิ่งที่เราสร้างจะเป็นของเล็กน้อย หรือใหญ่โตขนาดไหน มันก็ไม่สำคัญเท่ากับคุณค่าทางจิตใจของผู้ให้ครับ ซึ่งผลลัพธ์จากค่ายนี้ก็ไม่ได้ส่งผลแค่ทางด้านนั้นด้านเดียว เพราะนอกจากเราจะมีจิตใจเอื้อเฟื้อต่อผู้ขาดแคลนแล้ว เราก็จะได้รู้ว่ามิตรภาพ การช่วยเหลือซึ่งกันและกันของทุกคน มันจะมีมากมายขนาดไหน และที่สำคัญค่ายสร้างไม่ใช่เป็นค่ายที่มีแต่การให้อย่างเดียว ค่ายสร้างนี้มันทำให้เราเป็นผู้รับได้ด้วยเช่นกันครับ ซึ่งที่พวกเราได้รับมันจะไม่ใช่เงินทองหรืออะไร แต่สิ่งที่ค่ายสร้างให้กับเรานั้นก็คือการให้เราเรียนรู้สังคมในชนบทครับ ไม่ว่าจะเป็นการเอาใจใส่กันของผู้คนในแถบนั้น (ซึ่งคนในเมืองแทบจะไม่มีการเอาใจใส่กัน บางคนนี่ยังไม่รู้จักชื่อของเพื่อนบ้านตัวเองเลยครับ) การใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและไม่วุ่นวายเร่งรีบเหมือนในเมือง การที่ได้ไปค่ายสร้างเหมือนกับการได้ไปเปิดโลกใหม่ของเด็กในเมืองกรุงอย่างผมเลยครับ)


ซึ่งค่ายสร้างที่ทางคณะผมจัดนั้นจะใช้เวลาราว ๆ  10 วันด้วยกันครับ  วันแรกที่เราจะไปค่ายกันคือวันที่ 25 มีนาคม (เป็นวันเดินทางไป) และเวลาที่จะเดินทางกลับคงไม่น่าจะเกินวันที่ 6 หรือวันที่ 7 เมษายนครับ ซึ่งค่ายสร้างนี่เป็นค่ายที่รุ่นพี่แต่ละคน (รวมไปถึงไอเจมส์และผม ซึ่งเป็นประธานรุ่นกับรองประธานรุ่น) เตรียมการมานานมากเลยครับ ผมคงไม่ได้เล่าเลยใช่ไหมครับว่าค่ายสร้างน่ะมันต้องใช้เงิน แม้เราจะหาสปอนเซอร์ได้ แต่มันก็ยังคงไม่พอเพียงกับสิ่งที่พวกเราต้องจ่ายไปอยู่ดีครับ ดังนั้นในแต่ละอาทิตย์พวกผมก็ต้องตระเวนกันไปรับบริจาคตามสถานที่ต่าง ๆ โดยหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันไปเรื่อยๆ  บางที่เขาก็ใจดีให้เราไปยืนพูด ตะโกนขอรับบริจาคได้ แต่บางที่อย่างสวนจัตุจักรผมของเจาะจงสถานที่เลยแล้วกัน การไปตะโกนขอรับบริจาคนั้นเป็นเรื่องยากครับ เพราะเราจะโดนไล่ที่ และสิ่งที่เราต้องทำหลังจากโดนไล่นั่นก็คือ…วิ่งหนีครับ เพราะมันไม่มีอะไรที่ดีไปกว่าการวิ่งหนีคนไล่ที่อีกแล้ว


การไปรับบริจาคมันทั้งเฮฮาและเหนื่อยครับ แต่คิดถึงสิ่งที่เราจะไปทำมันทำให้ความเหนื่อยยากลำบากกายหายไปหมดเลยครับ (เอาตรง ๆ ผมไม่ค่อยได้ไปเดินรับบริจาคหรอก ส่วนมากจะเป็นติดต่อประสานงานกับรุ่นพี่มากกว่าครับ แต่ตอนไอสวนจัตุจักรนั่นผมไปนะครับ และก็ได้วิ่งหนีอย่างเมามันมาก) แต่ส่วนมากการรับบริจาคของผม…ผมจะขอจากคนใกล้ ๆ ตัวมากกว่าครับ อย่างเช่น คนที่บ้านหรือพวกรุ่นพี่คณะอื่นครับ ซึ่งสิ่งที่ใช้ก็คือการใช้ลูกอ้อนครับ ต่อให้หยอดคนละยี่สิบ สามสิบบาท แต่ถ้าหยอดแบบนี้สิบคนยี่สิบคนก็ได้มาหลายร้อยแล้วครับ แต่นั่นก็ไม่ใช่เป้าหมายหลักของผมครับ เพราะผมมีบุคคลที่กระเป๋าหนักที่สุดช่วยบริจาค ซึ่งทุกคนก็คงเดาได้นะครับว่าเขาคนนั้นเป็นใคร เพราะว่ามันไม่ใช่ใครอื่นเลยนอกจากคุณพี่ศิรวิทย์นั่นเองครับ อ้อนทีแบงค์เทา 1 ใบ (แต่วันหนึ่งอ้อนหลายทีมันจะเปลี่ยนเป็นแบงค์แดงและแบงค์เขียวตามลำดับครับ) และอย่างที่บอกครับ ผมกับเพื่อน ๆ จะออกมารับบริจาคกันในช่วงวันหยุด และวันนี้ก็เป็นวันหยุดครับ ดังนั้นผมกับเพื่อน ๆ ก็เลยมายืนอยู่ใจกลางสยาม ซึ่งมันเป็นสถานที่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยและคอนโดของผมครับ


“เพื่อนบาสครับ มรึงนำสิครับว่ามรึงจะเดินไปจุดไหนก่อน แต่เพื่อนกรขอที่ร่ม ๆ และมีแอร์เย็น ๆ นะครับ” ผมหันไปพูดใส่เพื่อนบาสที่ตอนนี้แต่งชุดนิสิตเต็มยศ ซ้ำยังผูกไทค์มาให้น่าเชื่อถือครับ (แต่พวกเราก็แต่งแบบนี้กันทุกคนครับ ดังนั้นพวกเราเลยรู้สึกร้อนกันแทบตายแบบนี้ไงล่ะครับ) และเพื่อนบาส ผู้ซึ่งยืนกอดอกมองหาทำเลเหมาะ ๆ ให้พวกผมไปยืนตะโกนกัน ก็หันมาด่าผมพร้อมกับยกมือขึ้นตบหัวผมไปที


“อย่ามาทำตัวรักสบายสิครับเพื่อนกร  ถ้ามรึงจะไปยืนขอรับบริจาคแบบนั้น มรึงเอากล่องรับบริจาคมาให้กรูถือแล้วมรึงเดินเข้าพารากอนไปครับ ไม่มีมรึงพวกกรูไม่ลำบาก แถมยังจะสบายมากหูมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะไม่มีเสียงบ่นว่าร้อนว่าเหนื่อยของมรึง” ไอบาสพูดไล่ผมแบบนี้ ผมก็ไม่หน้าด้านพอ? ที่จะยืนอยู่ตรงนั้นครับ ผมยื่นกล่องรับบริจาคไปให้มันแล้วเตรียมตัวจะเดินเข้าพารากอนไปทันที แต่ไอการกระทำเช่นนี้ชองผม ทำให้ผมโดนเพื่อนทั้งกลุ่มกระโดดตบหัวครับ (ไม่เว้นแม้แต่พรีมที่สวมเสื้อนิสิตกระโปรงยาวยันตาตุ่ม) ข้อหากวนตรีนใส่พวกมันมากเกินไป


ไอผมก็คลำหัวตัวเองเบาๆ พร้อมกับ(แสร้งทำ)น้ำตาคลอใส่พวกมัน แต่สหายทั้งหลายของผมมันก็ไม่ใคร่จะสนใจอาการเรียกร้องความสนใจของผมเลยครับ  พวกมันต่างหันไปคุยกับและตกลงกันว่าจะไปยืนขอรับบริจาคกันตรงแถว ๆ ทางขึ้นรถไฟฟ้า BTS หรือสกายเทรนนั่นเองครับ


เมื่อข้อตกลงเป็นเช่นนั้นผมและเพื่อน ๆ ทั้งแปดก็ลากขากันไปยืนอยู่แถว ๆ ทางขึ้นรถไฟฟ้าดิจิตอลเกตเวย์ครับ และตอนนี้เป็นเวลา 9 โมงเช้า ย้ำกว่า 9 โมงเช้า ซึ่งเวลานี้ยังไม่มีใครแหกขี้ตาตื่นขึ้นมาหรอกครับ โดยเฉพาะช่วงปิดเทอมแบบนี้ (อันนี้ผมดูจากตัวเองนะครับ เพราะว่าถ้าเป็นผมปิดเทอมแบบนี้ แล้วยังเสาร์อาทิตย์แบบนี้อีก ผมไม่แหกขี้ตาตื่นมาให้เมื่อตุ้มหรอกครับ ง่วงจะตายถ้าผมตื่นก็โน่นใกล้ๆเที่ยง) แต่พวกผมก็ยังแหกปากกันเพื่อเรียกให้คนมาหยอดเงินบริจาคกันครับ ตอนแรกคนก็หยอดกันน้อยหน่อยครับ แต่พอเริ่มจะเข้าใกล้ช่วงเที่ยง คนเริ่มหยอดกันเยอะขึ้นครับ


ไอกลุ่มของผมนี่ ผมนำเสนอหนุ่ม ๆ (ก็เพื่อน ๆ ผมนั่นล่ะ) มายืนเรียงพร้อมส่งรอยยิ้มให้สาวๆเลยครับ ดังนั้นเงินที่ได้ส่วนใหญ่จะได้มาจากสาวๆครับ ส่วนหนุ่มๆนี่ยากหน่อย เพราะทางกลุ่มของพวกเรามีสาวคนเดียวนั่นก็คือ พรีม ครับ และพรีมยืนอยู่ในวงล้อมหนุ่มๆทั้ง 8 เธอเลยโดนรัศมีหนุ่มหล่อบดบังหมดครับ เธอเลยจืดจางมากสำหรับกลุ่มผมเลยตอนนี้ พรีมเธอก็บ่นนะครับ แต่ทำไงได้ความหล่อของพวกผมมันกระแทกตาสาว ๆ นี่ครับ แต่ว่าไอความหล่อของพวกผมก็ไปกระแทกตาเพศที่สามด้วยเหมือนกัน (แต่ในคณะผม พรีมนี่เด่นมากนะครับ ที่เด่นเพราะเป็นผู้หญิง ทุกๆคนก็คงรู้ว่าคณะผม ผู้หญิงนี่มีมากเหลือเกิน)


หลังจากที่ได้เล่าไป ตอนนี้เริ่มเข้าใกล้ช่วงเที่ยงแล้วครับ มันใกล้เวลาทานอาหารกลางวันแล้ว (แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่าอากาศตอนนี้ มันโคตรร้อนเลยครับ) ผมกับพวกเพื่อน ๆ ก็เลยตกลงกันว่าจะแบ่งกะกันไปกินข้าว ซึ่งผมเป็นคนต้นคิดเรื่องนี้เลยโดนเด้งไปอยู่กะสองครับ นั่นก็แสดงว่าผมต้องยืนตากแดดไปอีกราว ๆ ชั่วโมงหนึ่ง เพื่อให้เพื่อน ๆ กลุ่มแรกกินข้าวก่อน และหลังจากนั้นผมถึงคราวของผมที่จะได้ไปกินข้าวครับ


ผมยังคงยืนทำหน้าที่ไปเรื่อย ๆ ครับ โดยกะของผมก็จะมีผม ไอบาส ไอเจมส์ ไอบอส และไอวิวครับ ส่วนที่เหลือนั้นเป็นกะแรกครับและตอนนี้มันก็สลายตัวไปกินข้าวกันเรียบร้อยแล้วครับ (แต่นอกจากการกินข้าวกันเป็นกะ ๆ เรายังตกลงกันไว้อีกว่าถ้าพวกกะสองกินข้าวเสร็จ เราจะเลิกยืนรับบริจาคกันและแยกย้ายกันกลับบ้านกลับหอครับ เพราะว่าสภาพแต่ละคนก็ไม่ไหวกันแล้ว) ไอผมนี่แพ้อากาศร้อนครับ ร้อนแล้วหงุดหงิด ร้อนแล้วเป็นหมาบ้า ตอนนี้เลยเลิกยิ้มและเปลี่ยนมายืนกอดอกทำหน้าดุใส่คนที่จะมาหยอดกล่องรับบริจาคกันแล้ว แต่ก็มีไอคนที่ยังคงยิ้มกันอยู่ได้นะครับ นั่นก็คือไอบาสครับ (เพราะว่ามากกว่านี้ โหดกว่านี้ มันก็เคยฝึกมาแล้ว แค่นี้ชิลชีวิตมันมากครับ) ไอนี่พูดเกี้ยวสาวไป อ้อนสาวมา มันก็ได้มาเยอะอยู่ครับ ส่วนผมเพื่อน ๆ นี่จะเตะผมให้ออกจากกลุ่มไปแล้ว เนื่องจากไออาการหงุดหงิดของผมนั่นเอง


ผมก็ยืนรอพวกกะแรกไปอีกราว ๆ 1 ชั่วโมงได้ ในที่สุดพวกกะแรกก็เดินกลับมาครับ ไอผมนี่แทบจะโยนแผ่นป้ายที่แปะสถานที่ที่ผมจะไปค่ายกันไว้ให้พวกกะแรกเลย (ซึ่งเพื่อน ๆ ผมก็ไม่โกรธนะครับ เพราะมันรู้นิสัยว่าอากาศร้อนมาก ๆ ผมจะหงุดหงิด และกวนตรีนมากๆ ) เมื่อทางกะแรกทั้ง 4 คนรับและส่งมอบของกันเรียบร้อย ผมนี่ก็รีบวิ่งปรี่เข้าสยามเซนเตอร์เลยครับ พร้อมกับตรงไปที่ร้าน ZEN และถลาไปนั่งที่โซฟาของทางร้านเลยครับ สภาพผมตอนนี้เรียกได้ว่านอนไปกับโซฟาเรียบร้อย


หลังจากความเย็นจากแอร์ ทำให้ผมอารมณ์ดีขึ้น  ผมก็เริ่มที่จะสั่งอาหารครับ และสองอย่างแรกที่ผมสั่งมานั่นก็คือทาโกยากิกับพิซซ่าญี่ปุ่น หรือเรียกอีกอย่างว่าโอโคโนมิยากิครับ แล้วก็ตามด้วยเทมปุระกุ้งมาจานหนึ่ง จากนั้นผมก็จัดเซทข้าวมาเซทหนึ่งครับและอะไรจิปาถะอีกมากมาย และที่สำคัญผมก็ไม่ลืมที่จะสั่งน้ำส้ม ซึ่งเป็นน้ำสุดโปรดของผมด้วย เมื่อผมปิดสมุดเมนูลงเพื่อน ๆ ของผมก็เริ่มสั่งกันบ้าง โดยแต่ละคนสั่งไม่มากไม่มายครับ ข้าวเพิ่มคนละจานและเครื่องดื่มที่ตัวเองอยากกินเท่านั้นเอง (ก็ตามที่บอกผมสั่งไปเยอะมากและเพื่อนของผมก็กินกับผมด้วยกันนี่ล่ะครับ มันเลยสั่งแต่ข้าวเปล่ากันมากิน ส่วนเงินก็หารกันจ่ายครับ แต่หน้าที่สั่งมันเป็นผมสั่ง)


ผมนั่งดื่มน้ำส้มรออาหาร และในที่สุดอาหารจานแรกก็มาเสิร์ฟครับ ซึ่งมันก็คือโอโคโนมิยากินั่นเอง ผมประเดิมชิ้นแรกเลยครับ ขอบอกว่าหิวมาก ๆ และเพื่อนอีก 4 คนก็เริ่มหยิบกันกินคนละชิ้นครับ นี่ถือเป็นการรองท้องได้เป็นอย่างดีเลยล่ะครับ (ซึ่งดีหน่อยที่ทางร้านเขาตัดแบ่งไว้ 5 ชิ้นพอดีครับ เลยแบ่งกันสบายไม่ต้องตบตีแย่งชิงกันกิน) ถัดจากกโอโคโนมิยากิก็เป็นทาโกยากิครับ และไม่ต้องบอกเราทั้ง 5 คน ผม ไอบาส ไอเจมส์ ไอบอส ไอวิว ก็จัดการแย่งกันกินคนละลูกสองลูกจนหมดจาน และตอนนี้ออเดิร์ฟก็หมดไปแล้วครับ ถัดจากของกินเล่นก็เป็นเมนคอร์สแล้วครับ เซทข้าวของผมถูกวางบนโต๊ะตามด้วยอะไรจิปาถะทั้งหลายแหล่ที่ผมสั่งมา เอาล่ะ หลังจากนี้ผมก็ขอทานข้าวก่อนแล้วกันนะครับ หลังจากของกินหมดโต๊ะ เราค่อยกลับมาคุยกันอีกทีนะครับ ลาล่ะครับ


พวกผมใช้เวลาไปราว ๆ 45 นาที ของกินที่วางบนโต๊ะก็หมดเกลี้ยงครับ และทั้งหมดนี่เป็นฝีมือของใครก็ไม่ต้องบอกครับ เพราะมันเป็นใครไม่ได้เลยนอกจากพวกผมทั้ง 5 คนนั่นเอง พอท้องผมอิ่มเจออากาศเย็น ๆ อารมณ์ที่เคยหงุดหงิดก็กลับมาแฮปปี้ดี๊ด้าเหมือนเดิม ผมนี่แทบอยากจะกระโดดเล่นและเดินไปทั่วห้าง ทว่าเพื่อน ๆ อีก 4 คนของผมยังคงยืนรอกันอยู่ที่ทางขึ้นรถไฟฟ้า BTS ผมจึงจำใจต้องเดินออกจากห้างที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำไปเผชิญกับอากาศร้อนเปรี้ยงปร้างของหน้าร้อนในเดือนมีนาคม


เมื่อผมเดินไปถึงจุดที่เพื่อน ๆ ของผมยืนอยู่ สภาพแต่ละคนก็ไม่แพ้ผมเมื่อก่อนหน้านี้เลยครับ พวกชายหนุ่มสามคนตอนนี้หมดสภาพครับ เนคไทนี่ถูกถอดและยัดใส่กระเป๋ากางเกงแบบลวก ๆ เสื้อเชิ้ตแขนยาวก็ถูกพับแขนขึ้นไป ส่วนหญิงสาวคนเดียวของกลุ่ม พรีมเธอนี่แทบจะถลกกระโปรงแล้วครับ ท่าทางความเป็นกุลสตรีของเธอจะหมดสิ้นไปซะแล้วครับ ผมค่อย ๆ เดินเข้าไปทักสหายทั้งสี่ของผม ทั้งสี่คนนี่แทบจะเข้ามากอดขาผมเลยครับ


“ไง ยังไหวอยู่ไหมวะพวกแก” ผมโบกมือไปมาพร้อมกับส่งขวดน้ำเย็น ๆ ไปให้เพื่อนแต่ละคน ซึ่งคนแรกที่ถลามารับก็คือพรีม  เธอเอาน้ำเย็นไปถือพร้อมกับเอาหน้าแนบไปกับขวดน้ำเย็น


“ใกล้จะตายแล้วค่ะ เพื่อนกร” หญิงสาวคนเดียวของกลุ่มตอบผม หลังจากเธอคลายความร้อนจากร่างกายของตัวเองไปได้แล้ว เธอเริ่มลุกขึ้นและเก็บของที่วางอยู่รอบ ๆ เพื่อเตรียมตัวย้ายก้นตัวเองออกไปจากทางขึ้นของรถไฟฟ้า BTS ไปยังห้องของผมเพื่อนับเงินที่ได้รับบริจาคมาครับ (ผมบอกไปแล้วใช่ไหมล่ะครับว่าถ้าผมกินข้าวเสร็จ การรับบริจาคของเราก็จะหยุดลงทันที พรีมก็เลยเริ่มเก็บของไงล่ะครับ) เมื่อพรีมเธอเก็บของเสร็จ (โดยการยัด ๆ ของลงไปในกระเป๋า) พวกเราก็เริ่มย้ายก้นกันไปยังลานจอดรถของพารากอนที่รถของพวกเราจอดกันไว้อยู่ครับ (คราวนี้เราเอารถมาสามคันกับคน 9 คนครับ)


“แบ่งกันนั่งรถเหมือนเดิมใช่ไหม งั้นพรีมไปที่จอดรถก่อนนะจ๊ะ เจอกันที่คอนโดของกรจ้า” พรีมพูดพร้อมกับโบกมือลาเธอหิ้วของทั้งหมดด้วยแขนสองข้าง ซ้ำยังลากเปอร์กับแม็กซ์ไปกับเธอด้วย (พอดีตอนขามาเธอมากับเปอร์และแม็กซ์ครับ ขากลับเธอเลยลากทั้งสองคนกลับไปด้วย แต่ผมอยากให้ทุกคนดูที่ความถึกของเธอมากกว่าครับ เพราะว่าของทั้งหมดที่เธอถือไปมันไม่ใช่น้อย ๆ เลยแต่สาวแกร่งอย่างพรีมนี่หิ้วของเกือบจะทั้งหมดด้วยแขนทั้งสองข้างเท่านั้นเอง ไม่ถึกจะเรียกว่ายังไงกันล่ะครับ)


มองได้แต่มองตามพรีมไปด้วยสายตาปลงๆ ก่อนจะหันกลับไปชวนไอเจมส์กับไอบาสกลับไปที่รถที่จอดในลานจอดรถของห้างสรรพสินค้า ส่วนรถอีกคันเป็นของไอวิว ซึ่งผู้โดยสารก็คือไอฟองกับไอบอสครับ


“เพื่อนเจมส์ เพื่อนบาสครับ ไปกันเถอะ คุณกรูไม่อยากอยู่ในที่อากาศร้อนๆแบบนี้นาน” สิ้นเสียงของผม เจมส์กับบาสที่ยืนถือกล่องรับบริจาคกันคนละกล่องก็เดินตามผมไปยังลานจอดรถ ส่วนอีกสามคนที่เหลือก็สลายร่างหายตัวไปก่อนแล้วล่ะครับ ผมเดินดุ่มๆไปยังลานจอดรถที่จอดรถของผมไว้ พร้อมกับรีบขึ้นไปสตาร์ทรถและเปิดแอร์แรงสุดเป่าใส่หน้า เพื่อคลายความร้อนที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ และหลังจากสหายสองคนของผมขึ้นรถ (โดยมันนั่งข้างหลังเป็นคุณชายทั้งคู่ครับ ปล่อยให้ผมเป็นสารถีขับรถไปรับไปส่งมัน) ผมก็ถอยรถออกจากที่จอดพร้อมกับเหยียบคันเร่งเพื่อตรงกลับไปยันคอนโดของผมครับ ซึ่งจากที่นี่ก็ใช้เวลาแค่สิบกว่ายี่สิบนาทีถึงคอนโดของผมแล้วครับ


ผมเปิดประตูลงจากรถพร้อมกับเดินตรงไปที่ลิฟต์ ผมกดลิฟต์รอสหายทั้งสองก่อนจะเดินเข้าไปภายใน และรอให้ลิฟต์เคลื่อนตัวขึ้นไปยันชั้น 14 ซึ่งเป็นชั้นที่พำนักของผม เมื่อลิฟต์เคลื่อนตัวไปยังชั้นที่ 14 ผมก็เดินออกจากลิฟต์พร้อมกับเพื่อน ๆ ทั้งสองคน โดยตอนนี้หน้าห้องของผมมีเพื่อนทั้ง 6 คนของผมยืนรออยู่ ผมรีบวิ่งไปไขกุญแจห้องเพื่อปลดล็อคประตูให้เพื่อน ๆ เข้ามาทว่าไอประตูห้องเจ้ากรรมของผมมันไม่ได้ล็อคครับ ผมนี่หน้าซีดเลยครับ ขโมยขึ้นห้องเหรอ ผมค่อย ๆ แง้มประตูเข้าไปพร้อมกับใช้สายตากวาดดูรอบ ๆ ห้อง พลันสายตาผมก็ไปหันไปเจออาหารที่วางอยู่เต็มโต๊ะ เมื่อเห็นแบบนั้น ผมก็เปิดประตูเข้าไปอย่างแรงพร้อมกับกระโดดไปเกาะหลังพี่ศิที่กำลังยืนทำกับข้าวอยู่ในห้องครัวของห้องผมทันที โดยที่ไม่สนใจเพื่อนของผมที่ยืนออกันที่หน้าประตูห้อง



“พี่ศิ!...วันนี้นึกคึกอะไรมาทำกับข้าวในห้องกรกัน แล้วจะเข้ามา ทำไมไม่โทรบอกกรก่อน” ผมที่เข้าไปเกาะหลังพี่ศิทำให้พี่เขาสะดุ้งตัวเล็กน้อยแล้วค่อย ๆ หันมามองทางผม ใบหน้าคมนั้นคลี่ยิ้มออกมาจาง ๆ แล้วตอบผมด้วยน้ำเสียงเรียบง่ายว่า “นั่นสิ พี่ก็นึกคึกอะไรกันก็ไม่รู้ก็เลยมาทำอะไรที่ห้องของกร ก่อนกรจะกลับมา แต่ก็กลับมาไวเกิดคาดไปหน่อยนะ ส่วนที่ทำไมพี่ถึงไม่โทรไปบอกกร พี่ต้องเป็นฝ่ายถามกลับมากกว่า ว่าทำไมกรถึงไม่รับโทรศัพท์ของพี่จะดีกว่านะ พี่โทรไปตั้งหลายรอบ”


เมื่อพี่ศิพูดแบบนั้น ทำให้ผมต้องรีบล้วงโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาดูจนเห็นว่ามีสายเรียกเข้าที่ผมไม่ได้รับตั้งห้าหกสายซึ่งทั้งห้าหกสายนั้นเป็นของพี่ศิทั้งหมดเลยครับ ผมก็เลยได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ แล้วเก็บมือถือเข้ากระเป๋าไป แต่ดูเหมือนว่าผมจะคุยกับพี่ศิเพลินจนลืมอะไรบางอย่างไปนะครับ




v
v
v
v
v
v
v
v

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
ซึ่งไอที่ผมลืมก็คือก๊วนเพื่อนทั้งแปดคนที่ยืนงงกันอยู่หน้าประตูนั่นล่ะครับ เมื่อผมนึกถึงพวกมันได้ ผมก็ปล่อยมือออกจากหลังพี่ศิแล้ววิ่งไปเรียกให้เพื่อน ๆ เข้ามาในห้อง


“เข้ามาได้แล้ว พอดีพี่ศิมาทำข้าวเย็นให้กรูกินเลย ไม่ได้ล็อคประตู รีบ ๆ นับเงินกันนะเฮ้ย จะได้แยกย้ายกันกลับบ้านกลับช่อง แล้วพรุ่งนี้ค่อยนัดไปรับบริจาคกันใหม่” ผมพูดพร้อมเดินนำพวกเพื่อน ๆ ไปที่ห้องนั่งเล่น แต่ก็ไม่ได้นั่งบนโซฟากันหรอกครับ พวกเรานั่งล้อมวงที่พื้นกันเลยครับ และไอเจมส์กับไอบาสที่ทำหน้าที่ถือกล่องรับบริจาคสองใบก็แกะกล่องออกพร้อมกับเขย่าให้เงินที่อยู่ในนั้นทั้งหมดออกมากองที่พื้น


“พรีมแยกเหรียญบาทกับเหรียญสองบาทนะ ส่วนวิวแกแยกเหรียญห้ากับเหรียญสิบนะ ไอกรมรึงเก็บพวกแบงก์แล้วกัน ส่วนที่เหลือก็ช่วยกันนับเงิน” ผม พรีมและไอวิว ซึ่งได้รับหน้าที่ในการแยกเหรียญก็พยักหน้าตอบรับคำพูดของไอบาส และเราทั้งสามคนก็เริ่มแยกเหรียญ แยกแบงก์กันไป แต่ผมก็ได้รับหน้าที่เพิ่มในการนับแบงก์ด้วยนะครับว่ามันมีจำนวนยอดเท่าไหร่แต่ที่ลำบากสุดก็น่าจะเป็นพรีมครับ เพราะการนั่งแยกเหรียญบาท เหรียญสองบาท มันใช่เรื่องง่าย ๆ ซะที่ไหนล่ะครับ


ผมรวบรวมแบงก์ทั้งหมดมาใส่มือ โดยส่วนใหญ่จะเป็นพวกแบงก์ยี่สิบบาทกับแบงก์ห้าสิบบาทครับ แบงก์แดงนาน ๆ จะคุ้ยเจอที แต่เรื่องแบงก์สีม่วงกับสีเทานี่ ขอบอกว่าตัดไปได้เลย ไม่มีทางเจอเด็ดขาดเลยครับ (เพราะต่อให้ทำบุญยังไง ผมคงไม่บ้าคลั่งหยอดแบงก์ม่วง แบงก์เทาเหมือนกันครับ นั่นเป็นค่าข้าวได้หลายอาทิตย์เลยนะครับนั่น ผมรวบรวมแบงก์ทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ก็เหลือขั้นตอนนำจำนวนเงินก่อนครับ โดยขั้นแรกผมนับแบงก์ร้อยก่อนเลยครับ ซึ่งไอแบงก์แดง ๆ นี่มีอยู่ราวๆ 25 ใบครับ รวมทั้งหมดเป็น 2500 บาท ขั้นต่อไปที่ผมนับนั่นก็คือแบงก์สีฟ้าครับ สรุปรวมแล้วผมก็นับแบงก์สีฟ้านั้นได้ 42 ใบ เป็นจำนวนเงิน  2100 บาทครับ ขั้นสุดท้ายคือการนับแบงก์เขียวครับ ไอแบงก์พวกนี้นี่ขอบอกเลยว่ามันมีเยอะสุด ๆ น่าจะเป็นร้อยใบเลยมั้งครับ ผมนั่งนับไปเรื่อย ๆ ซึ่งผมก็โดนเพื่อนแกล้งบ่อยครับ ทำให้ผมต้องนับใหม่หลายต่อหลายรอบครับ แต่ในที่สุดผมก็นับไอแบงก์เขียวนี่เสร็จ ซึ่งเสร็จเกือบจะพร้อม ๆ กับพวกที่นับพวกเหรียญเลยครับ สรุปแบงก์ 20 ผมนับได้ 178 ใบครับ จำนวนเงินเป็น  3560 บาทครับ ส่วนที่ผมนับก็จะรวมได้เท่ากับ 8160 บาทครับ ส่วนยอดของเหรียญต่าง ๆ  อันนี้ไปถามไอเจมส์กับไอบาสแทนแล้วกันนะครับทุกคน


และเมื่อหมดทำหน้าที่ของผมเสร็จ ผมก็ลุกขึ้นและวิ่งกระโดดไปหาพี่ศิที่ห้องครัวที่กำลังยังคงวุ่นอยู่กับการลวกเส้นสปาเก็ตตี้อยู่
“พี่ศิจะเสร็จยัง นี่จะสี่โมงเย็นแล้วน้า กรหิวแล้วล่ะ” ผมเกาะหลังพี่ศิอีกครั้ง พร้อมกับชะโงกตัวไปดูเส้นสปาเก็ตตี้ที่ยังลวกไม่เสร็จ ส่วนไอคำว่ากรหิวแล้วนี่ผมโกหกครับ ผมไม่ได้หิวอะไรหรอกแค่อยากแกล้งเร่งพี่ศิเท่านั้นเอง


ผมกระโดดไปทั่วห้องครัวแอบชิมของในจานนี้ที ตอดในหม้อนี้ที จนในที่สุดสหายสุดที่รักของผมก็นับเหรียญกันเสร็จและมันก็ตะโกนมาบอกยอดให้ผมฟังยันห้องครัวเลยครับ


“เชี่ยกรครับ ยอดของเหรียญ 2,141 บาทครับ ยอดแบงก์เท่าไหร่นะครับมรึง” มันบอกผมพร้อมกับเอ่ยคำถามมาด้วยเล่นทำเอาผมต้องงัดความจำออกมาว่าจำนวนแบงก์ที่ผมนับได้มันมีจำนวนเท่าไหร่


“แบงก์รวมได้ 8,160 บาทครับสหาย คราวนี้แอบได้เยอะนะเนี่ย หมื่นนิดๆเลยเหรอวะ มันช่างเป็นยอดเงินที่คุ้มกับค่าแรงที่เราเสียไป” ผมพูดพร้อมปาดน้ำตา (อันนี้ผมตอแหลครับ) ผมผละออกจากพี่ศิอีกครั้ง พร้อมกับสาวเท้าเดินไปคุ้ยคู้เก็บของเพื่อหยิบถุงพลาสติกไปให้เพื่อน ๆ เอาเงินใส่ลงไป


ผมเดินออกจากห้องครัวในมือก็ถือถุงพลาสติก (แบบเอาไว้ใส่กับข้าวน่ะครับ) ออกมาหลายสิบใบพร้อมกับหนังยางรัดแกงถุงแล้วโยนไปให้พวกมัน แต่ละคนรับมันและช่วยกันจัดแจงแบ่งเงินใส่ถุง ส่วนพรีมก็ใช้ปากกาเขียนพลาสติกเขียนไปที่ถุงเพื่อบอกว่าจำนวนเงินในถุงมีอยู่เท่าไหร่ ผมยืนกอดอกมองพวกมันไปและไม่นานแบงก์และเศษเหรียญก็ถูกแพ็คอยู่ในถุงและมันก็โดนใส่ลงไปในกระเป๋านิสิตของประธานรุ่นของพวกเรา สิริรวมแล้วยอดทั้งหมดในวันนี้ที่เราได้นั่นก็คือ 10,301 บาทครับ นาน ๆ ทีจะได้ยอดเยอะขนาดนี้นะครับเนี่ย


“เสร็จแล้ว งั้นแยกย้ายกันกลับบ้านกลับหอเถอะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากันต่อ ตอนนี้กรูจะตายได้ทุกขณะแล้วครับ” เสียงของเพื่อนบาสพูดพร้อมกับหยิบกระเป๋านิสิตตัวเองขึ้นมาสะพายบ่า ส่วนเพื่อนคนอื่น ๆ ก็ทำเช่นกัน ซึ่งการกระทำเช่นนี้ของไอบาสออกจะแปลกไปสักหน่อยครับ เพราะว่าถ้าเป็นช่วงเวลาปกติ หรือเมื่อตอนเทอมหนึ่งอะไรแบบนี้ ตอนที่พวกเราไปรับบริจาคกันเวลาที่มันเหนื่อยสายตัวแทบขาดแบบนี้ มันจะง้องแง้งขอนอนที่คอนโดผมครับ แต่ครั้งนี้มาแปลกพูดจะกลับบ้าน เอาซะผมนี่มองหน้าไอบาสด้วยความสงสัย แต่ไอความสงสัยของผมมันก็อยู่ไม่นานครับ เพราะว่าหลังจากผมทำหน้างุนงงไอบาสก็เดินมาตบบ่าผมเบา ๆ แล้วกระซิบที่ข้างหูของผมว่า “สามีทำกับข้าวให้มรึงอยู่ แล้วกรูจะอยู่ขัดจังหวะขัดอาหารคู่สามีภรรยาได้ไงล่ะครับ กรูก็เกรงใจคนเป็นนะครับสหาย”


คำพูดของไอบาสทำให้ผมหน้าแดงจัดไปชั่วขณะหนึ่ง ซึ่งต้องใช้เวลาสักพักเลยครับที่จะทำให้สติของผมกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว เมื่อสติผมกลับมาอยู่กับตัว ผมก็วิ่งเข้าชาร์ตไอบาสที่กำลังจะเดินออกนอกห้องแล้วเอาเท้าเตะมันไปทีหนึ่ง “ไอเวรครับ พูดอะไรออกมา ไร้สาระ มโน เพ้อเจ้อ พูดเรื่อยเปื่อย” ผมไม่รู้จะด่ามันเป็นภาษาหรือคำพูดอะไรครับ แต่ผมก็ด่าเท่าที่ตัวเองจะสรรหาคำด่าออกมาได้นั่นล่ะ แต่ในขณะที่ผมตะโกนด่ามัน ใบหน้าของผมก็ยังคงแดงก่ำและมันก็ยิ่งแดงมากขึ้นไปอีกเพราะเสียงของพี่ศิที่ตะโกนเรียกหาผมจากภายในห้อง


คราวนี้ไอบาสยิ่งส่งรอยยิ้มมาล้อเลียนผมหนักเลยครับ สักพักเพื่อนทุก ๆ คนที่ยืนอยู่หน้าห้องก็ต่างกันหันมาส่งรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจมาให้ผมกันทุกคน  แต่ก็มีคน ๆ หนึ่งของกลุ่มที่ไม่ได้ส่งรอยยิ้มแบบนั้นมาให้ผม นั่นก็คือพรีมผู้เป็นหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวของกลุ่มผม แต่ว่าผมจะคาดเดาพลาดไป เพราะสิ่งที่พรีมพูดมาทำให้ผมอยากจะจับเธอยัดลงหม้อแล้วถ่วงน้ำเสียจริง ๆ “กร…มีคุณสามีที่ดีจังเลย พรีมล่ะอิจฉากรจริงๆ แต่กรมีสามีที่ดีแบบนี้ คืนนี้ต้องให้รางวัลแบบจัดเต็มด้วยนะ อ่อ...อีกอย่าง ถ้าเกิดคืนนี้มีอะไรเกิดขึ้น อย่าลืมมาเล่าให้พรีมฟังนะ เพราะพรีมอยากรู้ว่าพี่ศิจะรุนแรงกับกรไหม” สิ้นเสียงของพรีม ผมแทบจะสิ้นชีพ ณ ที่ตรงนี้ ส่วนเพื่อน ๆ สุดกวนประสาทของผมต่างส่งเสียงโห่ร้องให้กับคำพูดของพรีม ตอนนี้วิญญาณของผมออกจากร่างไปแล้วล่ะครับ ออกจากร่างไปพร้อมกับเพื่อน ๆ ทั้งหมดที่สลายหายตัวไป


ผมยืนนิ่งค้างอยู่หน้าห้องอยู่นาน จนพี่ศิต้องเดินมาสะกิดและเอ่ยเรียกชื่อของผมอีกครั้ง “กรเป็นอะไรไปเหรอครับ ทำไมไม่เข้าห้องล่ะ เข้ามาได้แล้วนะครับ ตอนนี้สปาเก็ตตี้ขี้เมาทะเลจะเสร็จแล้ว” เมื่อพี่ศิพูดแบบนั้น มือข้างหนึ่งของพี่เขาก็เดินจูงมือผมให้เข้าไปในห้อง พร้อมกับลากผมไปยังโต๊ะทานข้าว แต่วิญญาณของผมก็ยังคงหลุดลอยออกจากร่างไป และกว่าเจ้าวิญญาณของผมก็กลับเข้าร่างตอนที่พี่ศิแกยกจานสปาเก็ตตี้และซุปมาวางตรงหน้าของผมครับ “กรครับ วันนี้พี่ลองทำซุปดูด้วยครับ นานๆทีพี่จะได้ทำอะไรสไตล์ยุโรป หวังว่ามันน่าจะพอทานได้นะครับ”


ผมก้มมองจานสปาเก็ตตี้และถ้วยซุป ผมถึงกับน้ำตาไหลให้กับความดีงามของพี่ศิ แต่ว่ามันจะดีกว่านี้ ถ้าผมไม่โดนกลุ่มเพื่อนสุดที่รักมันล้อเลียนแบบนั้น ซ้ำคนที่ผมคิดว่าจะไม่ตอกย้ำและซ้ำเติมผมอย่างพรีม สาวน้อยคนเดียวของกลุ่ม  เธอกับใช้คำพูดที่แทงกรวยไตผมออกมาอย่างจังเลยครับ ในที่นี้ไม่มีใครคิดว่าผมจะรุกพี่ศิได้เลยหรือยังไงกันครับ ทำไมต้องให้พี่ศิอยู่ในฐานะสามีผมด้วย ผมเป็นสามีไม่ได้เหรอไง!


หลังจากที่ผมคร่ำครวญกับตัวเองจบ รายการถัดไปของผมนั่นก็คือการทานอาหารเย็นครับ ดูเหมือนพี่ศิแกจะทำไว้มากพอดู สงสัยเป็นเพราะผมไปบ่นว่าหิวให้พี่แกฟังแน่ๆ พี่เขาเลยจัดเต็ม จัดหนักให้ผมขนาดนี้ ผมนั่งเอาส้อมจิ้มและม้วนเส้นสปาเก็ตตี้ใส่ปากไปคำแรก รสชาติที่รับรู้ได้คือคำว่าอร่อยครับ พี่ศิทำอาหารไทยอร่อยแล้ว อาหารนานาชาติยังอร่อยไม่แพ้กัน ยิ่งไอรสชาติเผ็ดของสปาเก็ตตี้ขี้เมานี่นะซาบซ่านมากครับ มันเป็นรสชาติที่ผมชอบจริงๆ ผมใช้เวลาละเลียดทานสปาเก็ตตี้ไปสักพัก และในที่สุดมันก็หมดจากครับ (ที่ผมค่อย ๆ กินก็เพราะว่าผมยังคงอิ่มจากอาหารมื้อกลางวันครับ ถ้าเกิดรีบยัดเหมือนเดิม ผมเกรงว่ามันอาจจะออกมาจากปากผมแทนที่มันจะเข้าไปครับ) หลังจากเมนคอร์สสุดโหด ผมก็หันมาซดน้ำซุปให้โล่งคอครับ แต่มันไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคิด ยิ่งผมซดน้ำซุปผมยิ่งอิ่มจนจะอ้วกครับ ผมเลยบอกพี่ศิว่าผมอิ่มแล้วแ ละยกถ้วยชามทั้งหมดไปที่อ่างล้านจาน ก่อนจะค่อยๆทำความสะอาดครับ ส่วนหน้าที่ทำความสะอาดจานก็เหมือนเดิมครับ พี่ศิเป็นคนถูน้ำยาล้างจาน ส่วนผมเป็นคนล้างทำความสะอาดอีกทีครับ


เราสองคนง่วนอยู่กับการล้างจานและขัดเครื่องครัวที่พี่ศิใช้กันอยู่สักพัก  ไม่นานการทำความสะอาดก็เสร็จครับ ผมเอี้ยวตัวหันไปมองนาฬิกาและตอนนี้ก็เป็นเวลาหนึ่งทุ่มและละครก่อนข่าวที่ผมนั่งดูทุกวันก็มาแล้ว ผมก็เลยจัดการทิ้งจานชามทุกอย่างให้พี่ศิแกเก็บและรีบวิ่งไปนอนแผ่ที่โซฟาทันที ส่วนพี่ศิแกก็จัดการเก็บถ้วยเก็บจานและเดินออกมาบ่นผม ราวกับว่าเขาเป็นคุณพ่อที่กำลังคอยพูดสอนลูกๆ ซึ่งผมก็ไม่ใส่ใจอะไรหรอกครับ ผมก็นอนกลิ้งดูทีวีไป ส่วนพี่ศิก็ทิ้งตัวลงบนโซฟาแล้วก็ยืดเท้าออก และการกระทำนั่นของพี่ศิทำให้ตักของพี่ศิว่างครับ และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ผมกระเด้งตัวเอาหัวไปหนุนบนตักของพี่ศิและนอนดูทีวีไป


พี่ศิเอื้อมมือมาลูบหัวผมเล่นเบาๆ ก่อนจะเอ่ยทักออกมาตามประสาคุณหมอครับ “กรครับ ตัวรุมๆนะครับ ทานยากันไว้ก่อนดีกว่าไหม” เสียงทุ้มเอ่ยดัง มือกร้านวางแนบไปบนหน้าผากของผม ซึ่งที่ได้ยินแบบนั้น ผมก็เบ้ปากและส่ายหัวทันที ผมไม่ชอบกินยานี่นา ผมก็เลยส่ายหัวปฏิเสธไม่เอาไม่กินท่าเดียวเลย ในตอนแรกพี่แกก็จะบ่นผมนะครับว่า ‘เดี๋ยวก็เป็นไข้หนัก เดี๋ยวก็ป่วยจนไม่ได้ไป เดี๋ยวนั่น เดี๋ยวนี่’ แต่ด้วยสกิลอินเนอร์ต่อสิ่งที่อยู่รอบข้างขั้นสูงสุดของผม ทำให้พี่ศิแกรามือไปครับ แต่พี่ศิแกก็มีการพูดทิ้งท้ายไว้นะครับว่าถ้าเกิดป่วยจนไปไม่ได้จะหาว่าพี่ไม่เตือน


ผมก็ปล่อยเบลอและยังคงนอนเล่นต่อไป ซึ่งเวลาล่วงเลยผ่านไปถึงสี่ทุ่ม พี่ศิก็ขอตัวกลับห้องไป ส่วนผมก็ย้ายก้นเข้านอนครับ เพราะว่าพรุ่งนี้ผมยังคงมีคิวออกไปรับบริจาคที่อนุฯ ครับและคราวนี้ผมจะขับรถไปจอดมหาวิทยาลัยและขึ้นรถไฟฟ้าไป BTS แทน
ผมอาบน้ำ สระผม เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนเสร็จ ผมก็เดินเช็ดหัวไปยังเตียงนอน ผมยกมือป้องปากหาวน้อย ๆ ก่อนจะเดินไปนอนแผ่หลาที่เตียง แต่ว่าเสียงโทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้นมา ผมเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนหัวเตียงและหยิบเอามาอ่านไลน์ที่พี่ศิแกส่งมาให้ผม ‘ถึงเด็กดื้อ อย่าสระผมแล้วกัน ถ้าเราไม่ยอมกินยา แล้วนี่ก็นอนได้แล้วนะครับ ไม่งั้นจะป่วยเอาจริงๆ พรุ่งนี้ยังต้องไปยืนขอรับบริจาคอยู่อีกไม่ใช่เหรอ’ ผมแทบหัวเราะกับข้อความของพี่ศิ แต่ว่าผมนั้นได้สระผมไปแล้ว ดังนั้นไอคำเตือนที่ไม่ให้ผมสระผมของพี่ศิก็ ปล่อยเบลอไปแล้วกัน และตอนนี้ผมขอตัวเข้านอนอีกครั้ง ไว้เจอกันนะครับผม




หลังจากวันนั้นผมก็ยังคงทำกิจกรรมไปเรื่อยๆครับ วิ่งไปรับบริจาคที่โน่นที่นี่ วันธรรมดาผมก็ไปกันนะครับ แต่เพื่อน ๆ หลายคนว่างบ้าง ไม่ว่างบ้าง ก็ไปกันแบบไม่ครบกันครับ พอกลับมาที่คอนโด ผมก็หมดสภาพทุกครั้งในแต่ละวัน บางวันที่ไปสวนจตุจักร ผมนี่จะไปกันตั้งแต่เช้ายันมืด และไอตอนกลับมาถึงคอนโดเวลาก็ล่วงเลยไปถึงสามสี่ทุ่มแล้ว ดังนั้นอาการป่วยเริ่มแรกของผมมันก็เลยย่ำแย่ลงทุกวัน (และที่สำคัญพี่ศิไม่ได้มาทำกับข้าว หรือมาบ่นให้ผมทำอะไรแล้วล่ะครับ เพราะว่าพี่ศิแกใกล้สอบแล้ว แล้วเวลาที่พี่แกจะสอบเสร็จ มันก็คือช่วงที่ผมไปค่ายพอดี) จนในที่สุดอาการของผมก็มาเป็นหนัก ก่อนวันไปแค่ 2 วันครับ


ผมนอนซมอยู่ในห้องเพราะพิษไข้ แต่ใจผมก็ยังอยากที่จะไปค่ายอยู่ดีก็เลยลากสังขารตัวเองขึ้นจากเตียงและเตรียมกระเป๋าเดินทางมายัดเสื้อผ้าใส่ลงไป ผมคุ้ยเสื้อผ้าอยู่นาน (ไม่ใช่ว่าผมเลือกเอาชุดไปสวมที่นั่นไม่ถูกนะครับ ผมมึนหัวและปวดเมื่อยตัวมากจนไม่สามารถขยับได้อย่างใจต่างหาก) ในที่สุดจากจัดกระเป๋าตั้งแต่บ่ายโมงของผมก็เสร็จในเวลาบ่ายสามโมงตรงพอดี หลังจากนั้นผมก็ลากสังขารของตัวเองกลับไปนอนแหมะและซุกอยู่ใต้ผ้าห่มอีกครั้ง


การป่วยครั้งนี้ของผมไม่มีใครรู้ครับ เพราะผมแกล้งส่งเมสเสจไปหาเพื่อน ๆ ว่าเออ ผมไม่ว่างไปช่วยเตรียมงานนะ พอดีมีธุระ และหลีกเลี่ยงการที่จะรับโทรศัพท์ของเพื่อนๆ ถ้าเกิดผมโทรคุยกับเพื่อนมันได้ยินเสียงผมมันก็รู้หมดแล้วครับว่าผมเป็นไข้ ส่วนพี่ศิน่ะเหรอครับ พี่แกสลายร่างหายตัวไปเลยครับ เพราะเข้าใกล้ช่วงสอบ นั่นจึงทำให้ผมใช้ชีวิตแบบคนป่วยง่ายหน่อย (เพราะไม่ต้องหลบๆซ่อนๆพี่ศิ แต่ต่อให้หลบพี่แก ผมก็หลบไม่พ้น ถ้าผมไม่โผล่หน้าออกไปพี่ศิแกคงพังประตูเข้ามาในห้องนอนผมแน่นอน)


ผมใช้เวลา 2 วันในการนอนพักผ่อน ทว่าอาการของผมมันก็ไม่ได้ดีขึ้นเลยสักนิดเดียว จนในที่สุดวันที่ผมต้องไปค่ายอาสาพัฒนาชุมชนหรือค่ายสร้างก็มาถึงครับ แต่ก็ยังดีที่มันยังมีเวลาให้ผมนอนได้อีกครึ่งวัน เพราะรุ่นพี่ของผมนัดให้ไปขึ้นรถช่วงสองทุ่มครับ ผมนอนหลับสนิทจนเวลาล่วงเลยไปถึงหกโมงเย็น ผมก็เริ่มลากตัวเองไปอาบน้ำ สระผม และหิ้วกระเป๋าลงจากคอนโดชั้น 14 ไปชั้นหนึ่ง และคราวนี้ผมไม่ได้เอารถไปครับ จอดทิ้งมันไว้ที่คอนโดนั่นล่ะ ผมคิดว่ามันน่าจะปลอดภัยกว่าจอดมันทิ้งไว้ที่มหาวิทยาลัย ผมเดินออกไปโบกแท็กซี่หน้าคอนโดพร้อมกับบอกให้แท็กซี่ตรงไปที่มหาลัยและเข้าไปจอดเทียบฟุตบาทที่คณะของผม


คราวนี้รถแท็กซี่ใช้เวลาขับนานหน่อยครับ เพราะว่าช่วงเวลาทุ่มกว่า ๆ มันเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนกลับบ้านกันพอดี รถเลยติดมากเป็นพิเศษและแถวสยามนี่ยิ่งติดครับ แต่ในที่สุดผมก็พาร่างอันแสนอ่อนปวกเปียกไปถึงคณะได้ แต่กว่าจะเดินไปถึงสถานที่ที่รุ่นพี่นัดไว้ก็ใช้เวลาสิบกว่านาทีเลยครับ เพราะต้องลากกระเป๋าที่เอาเสื้อผ้าที่ต้องใช้สิบกว่าวันลงไปด้วย การเดินของผมที่ช้าแล้วมันยิ่งทำให้ช้ามากขึ้นไปอีกครับ


ผมเดินลากกระเป๋าและไปนั่งรอที่ม้านั่ง ซึ่งเป็นสถานที่นัดของรุ่นพี่ผมนอนฟุบไปกับโต๊ะพร้อมกับหลับตาลง ตอนนี้ก็รอให้เวลาถึงสองทุ่มตามเวลาที่รุ่นพี่ได้นัดไว้ครับ ผมนอนฟุบลงกับโต๊ะไปราวๆ10 นาที  คนอื่นๆก็ค่อยๆทยอยกันมาครับ โดยแกนนำที่มาคือเจ้น้ำหวานครับ ซึ่งกลุ่มนี้เป็นกลุ่มของรุ่นพี่ปี 4 (ผมมาคนแรกเลยครับ) ตามมาด้วยปีสามและปีสองครับ ส่วนปีหนึ่งตอนนี้ก็ค่อย ๆ ทยอยกันมา เพราะว่าต้องไปซื้อของตามที่รุ่นพี่สั่ง ซึ่งหน้าที่พวกนั้นมันเป็นหน้าที่ของผม ซึ่งเป็นกลุ่มของประธานรุ่นครับ แต่ผมอ้างว่าไม่ว่างก็เลยไม่ได้ไป


แต่ก็นะ พอพูดถึงมันก็มากันพอดีพวกเพื่อน ๆ ของผมน่ะครับ แต่ละคนหอบหิ้วของเต็มไม้เต็มมือ และเอามาวางไว้ตรงจุดที่รุ่นพี่นัด และเมื่อพวกนั้นคุยภารกิจของของมันเสร็จ มันก็กวาดสายตามองรอบ ๆ เพื่อหาผมและในที่สุดมันก็เห็นผมและเดินกันมาตรงจุดที่ผมนั่งอยู่


แต่ละคนทรุดตัวนั่งลงข้าง ๆ ผมพร้อมกับเอามือมาตบบ่าผม เพื่อเรียกให้ตื่นผมสะลึมสะลือตื่นขึ้นพลางมองหน้าเพื่อน ๆ แต่ละคน ก่อนจะฟุบหน้าลงไปนอนอีกครั้ง


ผมไม่ค่อยอยากจะให้พวกเพื่อน ๆ เห็นสภาพผมมากกว่านี้เท่าไหร่ครับ เพราะว่าถ้ามันเห็นผมคงโดนหามไปโรงพยาบาลทันที เนื่องจากดื้อไม่ยอมกินยา ฝืนตัวเองและไม่ไปโรงพยาบาล แล้วผมก็จะโดนพี่ศิจับได้ว่าป่วยและคงโดนว่าแน่ๆ ผมเลยรีบฟุบหน้าลงทันที


แต่ดูเหมือนว่าการกระทำของผมนี่จะหลบสายตาอันว่องไวของไอวิวไม่ได้ครับ (มันนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับผม) วิวยื่นมือของมันมาแล้วจับหน้าผากของผมให้เงยหน้าขึ้น แต่ไม่ทันทีผมจะได้เงยหน้ามองมันไอวิวก็พูดออกมาว่า “เชี่ยกรครับ ไข้มรึงสูงมาก ตัวมรึงนี่ร้อนจี๋เลยครับ ไปทำเชี่ยอะไรมาครับสหาย” เสียงของวิวเรียกความสนใจให้เพื่อน ๆ ทั้งกลุ่มมองมาที่ผม  มือของแต่ละคนเอื้อมมือมาแตะตัวผม จับหน้าผากผมและทุกคนก็พูดออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่าตัวผมร้อนมาก และมรึงไม่สมควรที่จะไปค่าย


แต่ผมก็ยังคงดื้อด้านจะไป ผมยืนขึ้นพร้อมกับแสดงให้พวกเพื่อน ๆ เห็นว่าผมยังไหวและยังคงไปค่ายได้ แต่ทว่าทำไมตอนนี้โลกมันหมุน ๆ ล่ะครับ อ่า...แย่แล้วสิ ร่างกายของผมค่อย ๆ ร่วงลงไปฟุบกับพื้นตามแรงโน้นถ่วงของโลกแล้วครับ แบบนี้แสดงว่าสภาพของผมก็ไม่น่าจะรอดแล้วสิ สงสัยคงอดไปค่ายจริง ๆ แล้วล่ะมั้ง  ทั้งๆที่หลบเพื่อนๆได้แต่ดันมาโดนจับได้ตอนก่อนจะไป
เมื่อร่างผมร่วงไปนอนฟุบที่พื้น สติที่เลือนรางของผมก็ดับลงพร้อมกับเสียงร้องเรียกชื่อผมของพวกเพื่อน ๆ และรุ่นพี่ที่อยู่โดยรอบ




______________________



.......คำตอบที่ทุก ๆ คนรอคอยให้มันออกมาจากปากของกร...มันยังไม่ออกมานะคะ เราบอกแล้วว่ากรไม่ง่ายนะฮร้า


เจอกันตอนหน้าค่ะ

ออฟไลน์ kongxinya

  • Skt KS
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
น้องกรปากแข็งน่าตีก้นจริง (แอบกลัวพี่ศิท้อ :mew2: )

ส่วนเรื่องหน้าที่สามีนี่ถ้าเป็นสามีมันเหนื่อยนะน้องกรแบบต้องออกเเรงเยอะ :o8:
เป็นภรรยานะดีแล้วววว เชื่อสิ  :hao7:

ว่าแต่ป่วยหนักขนาดนี้อดไปค่ายแน่ เผลอๆจะโดนพี่ศิตีก้นด้วยนะนี่  :mew2:

 :L2: :กอด1: :pig4: :L2:

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
ป่วยสะแล้วน้องกร ใครจะตามไปดูแลนะ
พี่ศิอยู่ไหน มาดูแลน้องกรด่วน

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1511
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
กรโครตดื้อเลยอ่ะป่วยแล้วก็ไม่ยอมกินยา โดนพี่ศิว่าให้แน่ๆ
ปล.ว่าแต่กรเราเป็นไข้เราก็ไม่ยอมกินยา เหอะๆ

ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 669
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
ดื้อจนป่วยอ่ะกร โตแล้วนะจับตีก้นเสียหรอก

ออฟไลน์ DZiik

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
พี่ศิออกมาด่วนน น้องกรดื้อจนป่วยแล้วว

ออฟไลน์ MoMoRin

  • I am Fujoshi! (・∀≦)ゞ
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1749
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +229/-2
น้องกรเตรียมตัวถูกดุได้เลยนะคะ
รับรองพี่หมอไม่ปล่อยผ่านแน่นอนค่ะ อิอิ

ออฟไลน์ RenaBee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
น้องกรดื้อจนน่าให้พี่ศิจับตีก้น!

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0

มาแล้วค่า...เราเชิญชวนทุกคนให้มาดูพี่ศิตีก้นน้องกรกันน้าา ห่ะ//




Chapter 27




นี่เป็นเวลาเช้าของวันที่ 26 มีนาคมครับ และร่างของผมตอนนี้ก็นอนอยู่บนตียงในห้องสีขาวสะอาดตา ซ้ำยังมีเตียงแบบเดียวกับผมเรียงเป็นแถว ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสถานที่ที่ผมนอนอยู่มันคือที่ไหน เมื่อผมหันไปทางซ้ายผมก็เจอกับเสาต้นสูงๆ ที่แขวนถุงน้ำเกลือไว้ ส่วนหันไปอีกข้างผมก็เจอกับถาดในยาที่วางอยู่ และข้าง ๆ ถาดนั่นมันก็มีกระดาษโน้ตขนาดเอสี่วางไว้และลายมือที่เขียนอยู่ในนั้น มันก็เป็นลายมือที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดีครับ เพราะมันเป็นลายมือของแปดสหายของผมนั่นเอง


ซึ่งแต่ละประโยคนี่จิกกัด แทะ แซะ คุ้ยได้เจ็บแสบมากเลยครับ ยกตัวอย่างเช่น ประโยคของไอเจมส์ครับ เพราะมันเขียนว่าผมเจ็บแสบที่สุดและมันเป็นประโยคแรกที่ปรากฏในกระดาษครับ


‘ถึงกรเพื่อนรัก เห็นทีเพื่อนกรคงจะไปค่ายกับเรามิได้แล้ว ขอให้เพื่อนกรนอนหยอดน้ำเกลือไปซะนะครับ เพราะมรึงเจือกป่วยไข้สูงเกือบสี่สิบองศา แม้ค่ายนี้เพื่อนกรจะจริงจังและมุ่งมั่นมากก็ตาม แต่เพื่อนเจมส์ขอให้เพื่อนกรนอนหลับที่โรงพยาบาลให้สบายกายา และรอฟังเรื่องเล่าจากค่ายแทนการไปค่ายแล้วกันนะครับ ที่สำคัญมรึงได้นอนโรงพยาบาลที่สามีมรึงอยู่ด้วยควรดีใจนะครับ เพราะพลังแห่งความรักคงทำให้มรึงหายไวขึ้น’


ผมอ่านแล้วเกิดอาการคันเท้าขึ้นมาตงิดๆ แต่ว่าผมก็ไม่มีแรงลุกไปทำอะไรเท่าไหร่ครับ ต่อให้ผมนอนให้น้ำเกลือมาคืนหนึ่งแล้วก็ตาม แต่ดูเหมือนไข้ของผมยังจะไม่ลดเลย ผมนอนตาปรืออยู่บนเตียงอยู่นานเลยล่ะครับ แต่ในที่สุดบานประตูห้องคนไข้รวมห้องก็ถูกเปิดออกและเผยให้เห็นร่างของเหล่านิสิตแพทย์เข้ามาภายในห้อง ที่สำคัญภายในกลุ่มคนพวกนั้นมีคนที่ผมรู้จักด้วยครับ แถมที่ผมสนิทๆนี่มีตั้งสามคน และทุกๆคนก็น่าจะเดาได้นะครับว่าเป็นใครกันบ้าง เพราะมันก็เป็นใครไม่ได้เลยนอกจาก คนที่หนึ่งนิสิตแพทย์ศิรวิทย์ ที่ทุกๆคนรู้จักกันดี คนที่สองนิสิตแพทย์วิรดา ดาวคณะแพทย์ปีสี่ และคนที่สามก็คือนิสิตแพทย์รเณศ ผู้เป็นเดือนของคณะแพทย์ปีสี่เช่นเดียวกัน (อันนี้ชื่อจริงพี่เตอร์ครับผม ผมไม่เคยพูดให้ทุกคนฟังใช่ไหมว่าพี่เตอร์แกชื่อจริงว่าอะไร พี่แกชื่อรเณศครับ) พี่ๆทั้งสามคนลอบโบกไม้โบกมือให้ผม ก่อนจะแกล้งตีหน้าขรึมเป็นนิสิตแพทย์ต่อ ผมเห็นกลุ่มนิสิตแพทย์ไล่ถามคนไข้ทีละเตียง ๆ ซึ่งไอคำถามที่พวกพี่เขาถามมันคืออะไรมั่งก็ไม่รู้ครับ และในที่สุดการเดินราวด์ของนิสิตแพทย์ก็มาถึงเตียงของผมครับ ผมหันมองรอบๆตัวมือข้างหนึ่งถูกเจาะสายน้ำเกลือ ส่วนอีกมือไม่มีอะไรเจาะคาอยู่ แต่เห็นรอยแผลจากการถูกเจาะเลือดไปตรวจอยู่หน่อยๆครับ ผมหันไปมองหน้านิสิตแพทย์ที่จะเป็นคนถามผม ซึ่งคน ๆ นั้นก็เป็นใครไม่ได้นอกจากพี่ศิที่ทุกคน ถีบ ยัน และช่วยกันดันออกมา


ร่างสูงกระแอ้มเสียงตัวเองน้อยๆ ก่อนจะทำหน้าเข้มเอ่ยคำถามถามผมออกมา ราวกับว่าเราสองคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน “สวัสดีครับ วันนี้เป็นยังไงบ้างครับ” ผมปรือตามองพี่ศิที่ถามคำถามผม ซึ่งผมไม่อยากจะตอบด้วยเหตุจากร่างกายหนึ่งล่ะ ด้วยเหตุจากเสียงเข้มที่แกล้งทำเป็นไม่รู้จักผมสองล่ะ และเหตุสุดท้ายนั่นก็คือเพื่อนๆ นิสิตแพทย์สาวๆนี่ตามเกาะตามแกะพี่ศิเสียไม่ได้ห่าง ผมเลยเลือกที่จะเมินพี่ศิ ผมหลับตาลงพร้อมกับดึงผ้าห่มขึ้นมา ทำเป็นแกล้งหลับต่อ ซึ่งการกระทำของผมทำให้พวกรุ่นพี่แต่ละคนเอาศอกไปกระทุ้งพี่ศิเบา ๆ เชิงหยอกล้อ คราวนี้เปลี่ยนคนถามใหม่เป็นพี่วิถามครับ “น้องกรที่น่ารักของพี่วิอาการเป็นไงมั่งคะ” เสียงหวานเรียกชื่อผม ทำให้ผมหันไป (ฝืน) ยิ้มให้กับพี่วิเขา ผมไอค่อกแค่กออกมาเบาๆ พร้อมกับค่อยๆ ใช้เสียงแหบแห้งตอบอีกฝ่ายไป “กรเจ็บคอมากเลย ปวดหัวมากด้วย ปวดไปทั้งตัวเลย แต่ว่ากรเป็นอะไรเหรอครับ พี่วิ” ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะตั้งแต่ผมป่วยผมก็กินยานะครับ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่เลย และผลสรุปหลังจากกินยา ผมก็เลยต้องมานอนแผ่ที่โรงพยาบาลแทนที่จะได้ไปค่ายแบบนี้ไงล่ะครับ


“น้องกรเป็นไข้เลือดออกจ้า ไปเล่นซนที่ไหนมาล่ะเนี่ย เป็นไข้เลือดออกแบบนี้ หรือว่าเป็นจากวันที่เรากลับหอมืดๆ จนศิเป็นห่วงจนต้องโทรตามหลายต่อหลายรอบจ้ะ” เสียงหวานเอื้อนเอ่ยออกมา ทว่ามันจะดีกว่านี้ ถ้าพี่วิแกไม่พูดถึงพี่ศิออกมาต่อท้าย แต่พี่วิแกก็คุยกับผมได้เล็กน้อย ก่อนจะเดินโบกมือลากผมและเดินไปเตียงต่อไป เพื่อไปถามอาการคนไข้ต่อ หลังจากพี่ ๆ นิสิตแพทย์เดินไปจากเตียงของผม ผมก็เริ่มที่จะง่วงนอน ผมหลับตาลงพร้อมกับเตรียมตัวเข้าสู่ห้วงนิทรา (ไม่เริ่มแล้วล่ะครับ แต่ผมง่วงมาก ๆ เลยต่างหาก)


แต่…ดูเหมือนผมจะไม่สามารถหลับได้นะครับ นิสิตแพทย์ปีสี่ที่ราวด์รอบแรกเสร็จ ตอนนี้ต่างเร่งรีบกันเดินออกไปนอกห้องทำให้เกิดเสียงรบกวนผมเล็กน้อยครับ (ซึ่งผมมึนๆหัวอยู่แต่ดันเจออะไรมารบกวน ไออาการปวดหัวปวดตัวยิ่งทวีคูณครับ) ผมเลยลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง และหันไปมองทางต้นเสียง ทว่านิสิตแพทย์กลุ่มนี้ดันเริ่มเดินราวด์อีกรอบ แต่คราวนี้ดูเหมือนจะมีคนเพิ่มขึ้นมานะครับ คาดว่าน่าจะเป็นรุ่นพี่ ผมก็เลยลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วนอนมองกลุ่มคนพวกนั้นแบบงง ๆ ‘การเดินราวด์คนไข้…มันต้องเดินกี่รอบต่อวันวะครับเนี่ย’ แต่ก็ช่างเถอะ ผมขอนอนต่อดีกว่าครับ....


…แต่ผมนอนได้สมใจที่ไหนเล่าเฮ้ย!...


กลุ่มนิสิตแพทย์กลุ่มเดิมเดินวนมาที่เตียงของผมอีกครั้ง พร้อมกับคนที่ดูเหมือนว่าจะเป็นรุ่นพี่เข้ามาถามอาการผมอีกครั้ง และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ผมต้องโอดครวญอาการเจ็บป่วยของตัวเองด้วยน้ำเสียงแหบแห้งออกไป แต่คราวนี้ผมไอออกมาเสียงดัง พร้อมกับควานมือหาแก้วน้ำที่ทำท่าจะวางอยู่ข้าง ๆ ผม แต่ผมกลับสัมผัสอะไรไม่ได้เลย ผมพยายามยันตัวไปหยิบขวดน้ำแต่ไม่ทันที่ผมจะได้ยันตัวขึ้นร่างสูงของคนที่ผมรู้จักดีก็หยิบแก้วน้ำมาให้ผม พร้อมกับยื่นแก้วที่เสียบหลอดไว้มาจ่อที่ปากผม สายตาของผมเหลือบมองคนๆนั้น แต่ก็ยอมที่จะดื่มน้ำจากแก้วน้ำนั่น (ช่วงเวลาป่วย ผมขอรามือก่อนแล้วกันนะครับ ขอเป็นเด็กว่าง่ายๆก่อน ไว้หายแล้วค่อยว่ากัน) เมื่อพี่ศิดูแล (แกมประคบประหงมผม) กลุ่มของนิสิตแพทย์ก็เดินย้ายเตียงไป โดยพี่ศิเป็นคนรั้งท้ายกลุ่ม ร่างสูงก้มลงมากระซิบแผ่วเบาที่ข้างหูพร้อมกับส่งรอยยิ้มมาให้


‘ช่วงค่ำกรคงได้ย้ายไปห้องพิเศษแล้วล่ะครับ ตอนนี้ทนร้อนไปหน่อยแล้วกันนะครับ น้องกร’ ผมมองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินจากไปราวกับหนังเกาหลี แต่ไอหนังเกาหลีที่เกิดขึ้น มันก็ใช้เวลาราวๆ 20-25 นาทีเท่านั้นครับ เพราะว่าไอกลุ่มนิสิตแพทย์กลุ่มเดิมก็เดินวนกลับมาราวด์อีกรอบ โดยมีคนมาเดินนำเพิ่มนั่นคืออาจารย์หมอครับ และเหตุการณ์ก็วนลูบอีกครั้ง ซึ่งผมขี้เกียจเล่าแล้ว ผมตอบคำถามคุณหมอไปเป็นรอบที่สามและค่อยๆไหลลงไปนอนหลับเป็นตายบนเตียง เพราะความอ่อนล้าและความเพลีย


งั้นผมขอสรุปคร่าวๆนะครับว่าทำไมการราวด์รอบเช้ามันจะมีหลายรอบแบบนี้ การราวด์ 1 ครั้งจะราวด์ 3 รอบครับ โดยรอบแรกจะเป็นการราวด์กันเองของนิสิตแพทย์ปี 4 เขาจะวนถามแต่ละเตียงไปรอบๆจนครบ หลังจากนั้นก็จะมีรุ่นพี่มาครับและนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของการราวด์รอบที่ 2 ครับ ส่วนรอบสุดท้าย (ล่ะมั้ง) รอบที่ 3 จะมีอาจารย์หมอเดินราวด์ด้วยครับ


ซึ่งไอจุดมุ่งหมายของการราวด์แต่ละครั้งนั่นก็คือการถามอาการคนไข้ของแต่ละคนครับ (แต่การราวด์อย่างต่ำ 3 รอบของโรงพยาบาลในเครือมหาวิทยาลัยนั้น ทำให้ผมหงุดหงิดแบบสุด ๆ เลยล่ะครับ เพราะผมต้องตอบคำถามซ้ำหลายรอบจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน หลังจากราวด์เสร็จ ผมก็โดนจับมาวัดไข้กับวัดความดันอีกครับ แต่ดีหน่อยที่การเจาะเลือด ผมน่าจะโดนเจาะไปตั้งแต่เช้าแล้วล่ะครับ เขาถึงไม่ได้มาเจาะเลือดผม หลังจากวัดความดันวัดไข้)


แต่ทุกคนก็สงสัยอีกใช่ไหมล่ะครับว่าทำไมผมพูดว่าราวด์รอบเช้า...เพราะว่ามันมีการราวด์รอบบ่ายอีกน่ะสิครับ และผมต้องเจอไอการราวด์แบบนั้นอีก(สาม)รอบสินะครับ แค่คิด ผมก็อยากจะเป็นใบ้เสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็นะ หลังจากที่ราวด์เสร็จ วัดความดันตรวจไข้เสร็จ ผมก็ได้นอนสมใจอยาก ผมซุกตัวลงไปกับผ้าห่มของโรงพยาบาลและเข้าสู่ห้วงนิทราไป


และหลังจากนั้นไปอีก 4 ชั่วโมง ผมก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นครับ โดยคนปลุกก็คือคุณพี่พยาบาลสุดสวยนั่นเอง เธอนำยามาให้ผมทานพร้อมกับวัดไข้และวัดความดันของผมอีกครั้ง เมื่อเธอทำทุกอย่างเสร็จ ผมก็พยักหน้าขึ้นลงเล็กน้อยเป็นการขอบคุณแต่ท่าทางผมจะผงกหัวไวไปหน่อย ทำให้ผมเกิดอาการตาลายเล็กน้อย จนผมต้องหลับตาของตัวเองลงเพื่อปรับสภาพสายตาให้คงที่ และเมื่อผมลืมตาขึ้นมาก็ผมกับใบหน้าคมของพี่ศิที่ยืนจ้องหน้าผมด้วยสายตาถมึงทึงแบบสุดๆ ท่าทางพี่แกจะโกรธผมเอาเรื่องเลยนะครับแบบนี้


ผมพยายามส่งรอยยิ้มแห้งๆไปให้ แต่พี่ศิกลับยื่นมือมาขยี้หัวผมสุดแรงแล้ว พร้อมกับทรุดตัวนั่งลงตรงที่นั่งข้างเตียงของผม ร่างสูงนั่นนั่งแกะขนมปังออกมาทานอย่างรวดเร็วพร้อมกับเจาะนมสดดัชมิลล์ ดูดรวดเดียวจนหมดกล่อง ผมนอนมองการกระทำพวกนั้นด้วยสีหน้าตกตะลึง (ที่ผมตะลึงนั่นก็เป็นเพราะผมไม่เคยเห็นพี่ศิมาดนิสิตแพทย์แบบนี้ครับ การกินอันแสนรวดเร็วนี่ทำเอาผมตกใจเลย ปกติพี่ศิเป็นคนที่มารยาทการกินสูงมาก เรียกได้ว่าสง่างามทุกท่าทางครับ แต่มากินไวแบบยัด ๆ แบบนี้ ทำเอาผมอดขำไม่ได้) แต่ผมก็ตะลึงได้ไม่นานครับ เพราะว่าคำสวดจากว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์ร่ายออกมายาวเหยียดจนผมถึงกับเรียบเรียงคำพูดพวกนั้นเข้ามาในสมองแทบจะไม่ทัน (ถ้าพี่จะเทศน์ให้ผมฟังก็ควรพูดช้าๆ ให้คนที่สติสตังตอนนี้ยังไม่อยู่กับตัวดีฟังรู้เรื่องด้วยก็ดีนะครับ พี่ศิ)


“พี่บอกให้รีบกินยาตั้งแต่แรกก็ไม่ยอมเชื่อ แถมร่างกายไม่พร้อมก็ยังดื้อออกไปยืนกลางแดดรับบริจาค จนอาการยิ่งทรุดหนักลงแบบนี้อีก ถ้าป่วยธรรมดา พี่ก็จะไม่ว่าเลย นี่เป็นถึงไข้เลือดออกแถมยังดื้อด้าน โกหก ปิดบังเพื่อที่จะให้ได้ไปค่ายอีก ดีนะ ที่เพื่อนๆเค้ารู้ว่าอาการเราไม่ค่อยจะดีเลยหามเรามาส่งที่โรงพยาบาลได้ทัน ไม่งั้นที่ค่ายจะเกิดเรื่องอะไรบ้างก็ไม่รู้ แล้วถ้าเรื่องที่เกิดปัญหาคนรับผิดชอบไม่ใช่เรา แต่มันเป็นรุ่นพี่ที่จัดค่ายขึ้นมา ความดื้อด้านและเอาแต่ใจของเราจะทำให้พี่ๆเขามีความผิดอาจจะโดนอาจารย์ทำโทษหรือหมายหัวเลยก็ได้ และที่สำคัญ คุณป๊า คุณม๊าของกรก็เป็นห่วงมาก พี่เพิ่งโทรไปบอกท่านเมื่อสักครู่ คิดว่าปิดร้านแล้ว ท่านจะมาเยี่ยมกร รู้ไหมว่าตัวเองทำให้ทุกๆคนเป็นห่วงมากขนาดไหน เพื่อนเราที่ไปค่ายก็ไม่สบายใจ รุ่นพี่ก็ไม่สบายใจ พ่อแม่เราไม่สบายใจ” พี่ศิหยุดพักหายใจสักเล็กน้อย ก่อนจะพูดประโยคสุดท้ายที่ชวนให้หน้าผมที่แดง เพราะพิษไข้ยิ่งทวีความหน้าแดงมาขึ้นไปอีก “และพี่ก็ไม่สบายใจ รู้ไหมตอนที่เพื่อนๆหามเรามาส่งที่โรงพยาบาลในสภาพหมดสติน่ะ พี่ตกใจแค่ไหน พี่จะอายุสั้นเพราะกรแล้วเนี่ย ชอบทำเรื่องให้พี่ใจหายแล้วก็ตกใจแบบสุดขีด กร ต่อไปนี้ช่วยฟังคำขอร้องของพี่ได้ไหมครับ” เสียงพี่ศิเอ่ยถาม ซึ่งผมที่อยู่ในสถานะหน้าแดงและเบลอเพราะพิษไข้ จึงทำให้ผมพยักหน้าตอบไป


“ถ้าเรารับปากพี่แบบนี้ งั้นพี่ก็คงอยากจะขอร้องกรว่า ‘อย่าทำให้พี่เป็นกรห่วงไปมากกว่านี้เลยได้ไหมครับ’” คำขอร้องแกมบังคับของพี่ศิ ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองจะละลายไปให้ได้เสียตรงนี้ แต่ไอฉากสวีทหวานแบบนี้มันก็อยู่ได้ไม่นานครับ เพราะว่าเวลามันเข้าช่วงบ่ายโมงกว่าแล้ว ซึ่งพี่ศิต้องไปเข้าเรียนตอนบ่ายโมงครึ่ง หลังจากเทศนาผมยาวเหยียด และขอร้อง (แกมบังคับ) ผมแล้ว พี่ศิแกก็ขอตัวออกไปเรียนแต่ก็ยังหันกลับมาพูดต่ออีกว่า ‘ไว้เจอกันตอนเย็นนะครับ กร’


รณกร ผู้เป็นไข้อยากจะดิ้นตาย รู้สึกเหมือนว่าผมจะมีหมอส่วนตัวคอยดูแลอยู่เลยล่ะครับตอนนี้ พี่ศิก็บ้าเอาเรื่องนะครับ พี่เขาดูแลผมทั้งที่บ้าน (คอนโด) ที่มหาลัยแล้วยังจะมาดูแลที่โรงพยาบาลเพิ่มอีก พี่ศินี่ชักจะก้าวเข้ามาในชีวิตของผมมากเกินไปแล้วนะ…แต่แบบนี้ก็ทำให้รู้สึกดีใจอย่างแปลกประหลาด เพราะมันทำให้ผมรู้สึกว่าผมนั้นสำคัญกับพี่ศิมาก ๆ และเช่นเดียวกันกับพี่ศิที่สำคัญต่อผมมาก ๆ เช่นกัน


ผมซึ่งพิษไข้ยังมีอยู่ล้นตัวก็ทานยาที่คุณพยาบาลที่มาวางไว้ให้และก็ซุกตัวลงบนเตียง (ที่ไม่ค่อยจะนุ่ม) ของโรงพยาบาล ก่อนจะหลับตาลง (แต่ผมก็ไม่ได้นอนหลับอยู่นะครับ) ผมนอนกลิ้งไป สักพักยาที่ทานไปก็ออกฤทธิ์ ผมเลยเริ่มนอนหลับเป็นตายไปอีกครั้ง และช่วงที่ผมนอนหลับไปก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้านครับ ดังนั้นจงช่างมันไปเถอะ แต่เมื่อเข็มนาฬิกาเดินเข้าไปถึงบ่ายสามโมงหรือ 15 นาฬิกา การราวด์ของนิสิตแพทย์ก็เกิดขึ้นอีกครับ (การราวด์ของนิสิตแพทย์จะมีการราวด์รอบเช้าคือเวลา 7 – 8 โมงเช้าครับ และการราวด์รอบบ่ายจะเป็นเวลา 15 นาฬิกาจนไปถึงเวลา 17 นาฬิกา (มั้ง) ครับ ซึ่งการราวด์ของนิสิตแพทย์นี่จะราวด์ในห้องรวมครับ ส่วนห้องพิเศษจะมีเจ้าหน้าที่ราวด์พิเศษครับ นิสิตแพทย์จะไม่ค่อยได้ขึ้นไปราวด์หรอกครับ อันนี้ผมฟังจากพี่ศิมาอีกทีนะครับ เลยรู้เรื่องการใช้ชีวิตของนิสิตแพทย์บ้างอะไรบ้าง)


ไอผมก็อยากจะรู้ว่าไอราวด์รอบบ่ายที่จะเริ่มขึ้นนี่มันจะราวด์ทั้งหมด 3 รอบเหมือนการราวด์รอบเช้าหรือเปล่า และถ้าเหมือนการราวด์รอบช้าแล้วล่ะก็ ถ้ามันเป็นแบบนั้นชีวิตการนอนหลับของผมคงไม่เป็นสุขอีกเช่นเดิม โอย...อยากย้ายไปนอนห้องพิเศษจริงๆ แต่ตามที่พี่ศิบอก ผมจะได้ย้ายห้องตอนช่วงหัวค่ำครับ ดังนั้นตอนนี้ผมก็ต้องยอมรับชะตากรรมโดนถามคำถามเดินวนลูบสามรอบ และนิสิตแพทย์ที่เข้ามาถามก็กลุ่มเดิมนั่นแหละครับ กลุ่มเดิมกับรอบเมื่อเช้าโดยคราวนี้แกนนำที่เดินถามคือพี่ศินั่นเองครับ (เรียกว่าพี่ศิเป็นหัวหน้ากลุ่มเลยก็ได้มั้งครับ เพราะผมเห็นพี่แกเดินนำมาตลอดเลยเวลาราวด์แต่ละรอบ)


ผมหรี่ตามองดูกลุ่มนิสิตแพทย์ที่กำลังเริ่มเดินราวด์ แต่คราวนี้พวกเขาไล่ถามเกี่ยวกับอาการของคนไข้จากญาติพี่น้องของผู้ป่วยมากกว่าครับ แต่สำหรับผมญาติก็ไม่มีเพื่อนก็ไม่อยู่ ดังนั้นไอคนตอบคำถามแทนผมนี่ไม่มีครับ ดังนั้นคำถามที่นิสิตแพทย์ถามมาตัวผมนี่ล่ะที่ต้องเป็นคนตอบอาการของตัวเองออกไป แล้วสภาพผมมันปกติสุขที่ไหนล่ะครับ ปวดไปทั้งตัวอยากจะอาเจียนด้วยอีกต่างหาก ตอนนี้ผมค่อย ๆ หมุนเตียงให้ตั้งชันขึ้นพร้อมกับนอนหลับตาในสภาพแบบนั้น (ถ้าให้ผมนอนราบไปกับเตียงปกติมันจะทำให้ผมรู้สึกอยากอาเจียนครับ เลยพยายามทำให้สิ่งที่อยากอาเจียนไหลลงท้องไปให้หมด)


และไวอย่างใจคิดกลุ่มนิสิตแพทย์ก็เดินมาถึงเตียงผมครับ เสียงทุ้มของพี่ศิเอ่ยถามออกมาพร้อมกับเดินเข้ามาเอามือวัดไข้ของผม “อาการเป็นยังไงมั่งครับ” ผมพยายามส่ายหัวเป็นคำตอบ แต่ดูเหมือนว่าพี่ศิแกจะไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมจะสื่อนะครับว่าผมนั้นส่ายหัวทำไม (ที่ผมส่ายหัวก็บอกไปแล้วนะครับว่าผมอยากอาเจียนสุดๆ ถ้าผมเปิดปากผมต้องเผลออ้วกออกมาแน่ ๆ พี่ศิเอ่ยถามซ้ำอีกครั้ง และผมก็เริ่มจะรำคาญจนยอมเอ่ยปากพูดไป แต่ในขณะที่ผมจะพูดทุกสิ่งทุกอย่างออกไป สิ่งที่อยู่ในท้องของผม (แม้มันจะไม่มีอะไรเลย) ก็ตีกลับและรวบรวมจนผมอาเจียนใส่พี่ศิออกมา ร่างสูงชะงักตัวเล็กน้อยด้วยความตกใจ แต่พี่แกก็ยังมีสปิริตนะครับ มือทั้งสองข้างของพี่ศิโอบตัวของผมไว้แล้วลูบหลังเบาๆ เพื่อนๆทุกคนที่กำลังช็อกกับเหตุการณ์ผมอาเจียนใส่พี่ศิ ก็มีพี่วิกับพี่เตอร์ที่เอาสติของตัวเองกลับมาได้ไวที่สุด ทั้งสองคนก็รีบหาถังขยะมายื่นให้พี่ศิและทำให้ผมอาเจียน น้ำใส ๆ ลงไปในถังขยะแทนเสื้อนิสิตของพี่ศิ ผมอาเจียนแบบนั้นอยู่พักใหญ่ (แต่สีที่ออกมาก็มีแต่พวกน้ำใส ๆ เท่านั้นนั่นแหละครับ) สักพักอาจารย์หมอหรืออะไรนี่แหละครับ ก็มาดูอาการผมพร้อมกับฉีดยาให้ผมแทนการให้ผมทานยา วกพยาบาลต่างพากันมาวัดความดันและวัดไข้ของผม พร้อมกับค่อยๆเข็นผมไปยังห้องพิเศษที่ได้จัดเตรียมไว้ (ที่ตอนแรกจะผมพาเข้าไปพักค่ำนี้ แต่นี่ผมโดนพาตัวไปอย่างเร่งด่วน แต่ก็ดีครับจะได้นอนห้องแอร์สักที)


อาการอยากอาเจียนของผมค่อยๆดีขึ้น ตอนนี้เริ่มกลับมาเป็นปกติแล้วครับ ผมนอนนิ่ง ๆ อยู่บนเตียงของผู้ป่วย (ส่วนเสื้อผู้ป่วยก็เปลี่ยนเรียบร้อยแล้วครับผม) และตอนนี่ก็เป็นเวลาสองทุ่ม และที่สำคัญกว่านั้นนี่เป็นเวลาปิดร้านเค้กของบ้านผมและคาดว่าไม่เกิน 3 ทุ่มคุณป๊า คุณม๊า คุณเจ้ คุณน้องสาว และน้องกัซคงพากันมาเยี่ยมผมแน่นอน ผมค่อยๆแทรกตัวและซุกตัวลงไปบนเตียง อาการไข้ของผมก็เริ่มทุเลาลงบ้างแล้วเลยนั่งดูทีวีในห้องพิเศษได้ แต่ในขณะที่ผมคิดอะไรเพลินๆ เสียงบานประตูห้องพิเศษของผมก็ถูกเปิดออกพร้อมกับชายร่างสูงที่เดินเข้ามาภายใน ผมก็คิดว่าทุกคนก็เดาถูกอีกนั่นแหละครับว่าคน ๆ นั้นเป็นใคร เพราะมีคนเดียวที่ทำแบบนี้ คนๆนั้นก็คือคนที่ผมอาเจียนใส่เขาเมื่อบ่าย ‘พี่ศิ’ นั่นเองครับ


“กรครับ รู้สึกดีขึ้นแล้วหรือยัง” พี่ศิเอ่ยถามออกมาน้ำเสียงทุ้มนั้นเต็มไปด้วยความเป็นห่วงเป็นแบบสุดๆครับ ผมพยักหน้าตอบพี่ศิไป และการพยักหน้าตอบพี่ศิไปแบบนั้น ทำให้ร่างสูงแสดงสีหน้าที่โล่งใจออกมา รอยยิ้มจางเริ่มผุดที่มุมปากพร้อมกับมือกร้านที่ค่อยๆ ยกขึ้นมาลูบหัวของผมเบา ๆ


“กรเบื่อ...” ผมพึมพำออกมา พี่ศิหันมามองหน้าของผมน้อย ๆ แล้วก็หัวเราะออกมาเสียงเบา พี่แกคงคิดว่าผมนี่ทำตัวเองจนป่วยหนัก แต่มาทำบ่นว่าเบื่อเวลาที่ต้องนอนในโรงพยาบาล ก็มันน่าเบื่อจริงๆนี่  เพื่อนๆของผมก็ไม่อยู่ ไม่มาเยี่ยมนอนในห้องพิเศษคนเดียว มันก็เหงา มันก็เบื่อเป็นธรรมดา


“เมื่อไหร่คุณป๊ากับคุณม๊าจะมา” ผมหันไปพูดกับพี่ศิด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ใบหน้าคมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย และเหมือนว่าเขาจะคิดขึ้นมาได้ มือกร้านที่เคยลูบหัวของผมเคลื่อนที่มากุมมือของผมเบา ๆ


คนป่วยก็อยากอ้อนคนใช่ไหมล่ะครับ ผมเลยอยากอ้อนคุณป๊ากับคุณม๊าเลยถามไป ทว่าในเวลานี้และที่ตรงนี้มีคนให้ผมอ้อนอยู่แค่คนเดียวนั่นก็คือพี่ศิ ดังนั้นผมอ้อนพี่ศิเอาก็ได้ครับ ผมกุมมือของพี่ศิแน่นพร้อมกับหันไปส่งรอยยิ้มซีดเซียวไปให้เขา


“ถ้าอยากอ้อนคุณป๊ากับคุณม๊ารอสักพักนะ ตอนนี้อ้อนพี่ไปก่อนก็ได้” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงขบขัน ไอคำพูดนี่ทำเอาผมจะสะบัดมือออกจากกับจับกุมของพี่ศิแล้วคลุมโปงนอนหันหลังให้จริงๆ ทว่าตอนนี้ผมไม่มีตัวเลือกอื่นที่ดีกว่านี้แล้วครับ เพราะภายในห้องนี้นอกจากผมก็มีพี่ศิเพียงคนเดียว ดังนั้นคนที่ผมจะอ้อนได้ก็คือพี่ศิ หรือ ว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์คนนี้เท่านั้น  ผมเบ้ปากใส่พี่ศิ เมื่อถ้อยคำเหล่านั้นพูดจบ แต่มือของผมกับพี่ศิก็ไม่คลายออกจากกัน มือของเราสองคนกับกอบกุมกันไว้แน่


“พี่ศิ กรอยากรู้ว่ากรมาที่นี้ได้ยังไงแล้ว...มันเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นอ่ะ” ผมพึมพำออกไปเสียงเบา ผมเอ่ยขอไปแบบนั้นหวังว่าพี่ศิจะคงเล่าให้ผมฟังล่ะมั้งครับ


ร่างสูงหันมามองหน้าผมด้วยแววตาสงสัยสักพัก แต่ในที่สุดพี่แกก็ยอมเปิดปากเอ่ยเล่าออกมา



v
v
v
v
v
v
v


ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
“ก็ตั้งแต่กรเป็นลมที่คณะ ก่อนไปค่ายพวกเพื่อนๆของเราทั้ง 8 คนนั่นแหละ คือคนที่หามเรามาส่งที่โรงพยาบาล แต่ละคนนี่สีหน้าท่าทางตื่นตกใจมากเลยทีเดียว พรีมนี่เกือบจะร้องไห้อยู่ร่อมร่อ ส่วนเจมส์กับบาสแทบจะลุกไปเขย่าคอเสื้อของอาจารย์พี่ที่รับเคสของกรเลย แต่ก็นะเป็นใครเจอแบบนั้นก็ต้องตกใจกันหมดแหละ ไอตัวแสบที่ทุกคนคิดว่าแสบสันกว่าใครดันป่วยหนักจนเป็นลมหมดสติได้ แต่ในที่สุดพวกเพื่อน ๆ เราก็โดนพวกรุ่นพี่ที่รออยู่ที่คณะโทรตามว่ารถกำลังจะออกแล้ว จะไปค่ายไหม ตอนแรกเพื่อนเราทั้ง 8 คนก็จะไม่ไปค่ายกันเพราะเป็นห่วงกร แต่พี่เดินออกไปบอกเพื่อนเราทุกคนว่าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก กรถึงมือหมอแล้ว แต่เพื่อนๆพวกเราก็ยังคงไม่สบายใจ พี่เลยตบปากรับคำไปว่าพี่จะเฝ้าไข้กรเอง ทั้ง 8 คนเลยโอเค ยอมรับและต่างพากันกลับไปที่คณะครับ แต่ก่อนที่ทุกคนจะกลับไปที่คณะพวกเพื่อน ๆ ของเราก็ต่างพากันเขียนข้อความลงไปในกระดาษเอสี่ใบนั้น” พี่ศิเงียบเสียงลงพร้อมกับใช้มืออีกข้างที่ไม่ได้กอบกุมมือของผมชี้ไปที่กระดาษเอสี่ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง ผมหันไปมองตามก่อนจะหันหน้ากลับมาฟังพี่ศิเล่าต่อ


“พอทุกคนเขียนเสร็จก็ยื่นกระดาษเอสี่ใบนั้นแล้วบอกว่าให้แปะไว้ที่หน้าผากของกรไปเลย เวลามันตื่นขึ้นมาจะได้อ่านแต่พี่ก็ไม่ได้ทำหรอก เดี๋ยวเราหายใจไม่สะดวกพอดี พี่ก็เลยวางไว้ที่โต๊ะข้างหัวเตียงนั่นแหละ หลังจากนั้นพี่ก็โทรหาคุณป๊ากับคุณม๊าของเรา แต่สายไม่ว่างหรือปิดเครื่องเนี่ยแหละ พี่ก็เลยต้องโทรหาพวกท่านในวันต่อไป นี่ก็อีกไม่น่าเกิน 20 นาที ท่านก็คงจะมาแล้วล่ะครับ” พี่ศิพูดด้วยรอยยิ้มพร้อมกับนั่งพูดเล่าเรื่องหลาย ๆ อย่างให้ผมฟังแก้เบื่อ แต่มันก็ยังมีสิ่งที่คาใจผมอยู่นะครับเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อคืน และเรื่องที่ผมสงสัย พี่ศิก็ไม่ได้เล่าออกมาให้ผมฟังเสียด้วย แต่จะให้ผมถามผมก็หน้าไม่ด้านพอนะครับ เพราะสิ่งที่ผมจะถามมันเกี่ยวกับความรู้สึกของพี่ศิในตอนนั้น


…ผมก็แค่อยากรู้ว่าพี่ศิแกเป็นห่วงผมบ้างไหม...ก็เท่านั้นเอง…


ผมนั่งเม้มปากตัวเองไปเรื่อย ๆ และรู้สึกว่าพี่ศิแกจะจับอาการของผมได้นะครับว่าผมรู้สึกยังไง เสียงทุ้มจึงเอ่ยถามผมด้วยความสงสัย “กรเป็นอะไรไปเหรอครับ มีอะไรที่สงสัยอยู่อีกเหรอครับ กร” ผมที่กำลังป่วย ๆ อยู่ซึ่งปกติแล้วหน้าจะซีด พลันใบหน้าของผมก็ขึ้นสีเรื่องอย่างไม่รู้สาเหตุ ซึ่งใบหน้าของผมขึ้นสีแบบนั้น พี่ศิก็ตกใจกับอาการผิดปรกติของผม (เพราะแกนึกว่าเกี่ยวกับอาการป่วยของผม) ร่างสูงลุกขึ้นหมายจะไปหยิบออดเรียกพยาบาล แต่ผมเอื้อมมือไปจับแขนพี่ศิไว้ก่อน ร่างสูงยังคงงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เราสองคนเงียบใส่กันอยู่นาน แต่ในท้ายที่สุดผมก็ยอมเอ่ยปากถามออกไป แม้มันจะเป็นเสียงที่โคตรจะเบาเลยก็เถอะครับ


“แล้วเมื่อวานพี่ศิ...รู้สึกยังไง” แม้ผมจะเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา แต่คนอย่างคุณพี่ศิรวิทย์ไม่มีทางไม่ได้ยินหรอกครับใบหน้าคมคลี่รอยยิ้มร้ายและแสร้งทำตัวเป็นไม่ได้ยิน เพื่อทำให้ตัวผมเอ่ยประโยคน่าอายแบบนั้นออกมาอีกรอบ ผมเม้มปากแน่น ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำพวกนั้นออกมอีกครั้ง “แล้วเมื่อวาน พี่ศิรู้สึกยังไงบ้าง เรื่องกร” ผมหลับตาปี๋พร้อมกับเอ่ยออกไป แต่ทันทีที่ผมลืมตาขึ้นใบหน้าของพี่ศิก็อยู่ห่างกันแค่คืบเดียว ร่างสูงของพี่ค่อย ๆ เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ผม พร้อมกับเอี้ยวตัวไปกระซิบอย่างแผ่วเบาข้างใบหูของผม


ทันทีที่ถ้อยคำพวกนั้นลอยเข้ามาในหูของผม  ใบหน้าของผมก็ยิ่งแดงจัด มือทั้งสองข้างพยายามดันชายที่ยืนอยู่ด้านข้างผมให้ถอยห่างออกไป ซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมรามือนะครับ แต่ว่าก่อนที่อีกฝ่ายนั้นจะผละออกไปร่างสูงนั้นยืนหน้าเข้ามาใกล้แก้มของผมพร้อมกับเอาจมูกของตนสัมผัสแก้มของผมอย่างแผ่วเบา


 แต่สิ่งที่ประจวบเหมาะมากว่านั้นมันก็คือบ้านประตูห้องผู้ป่วยพิเศษดันเปิดออกพร้อมกับร่างของคุณเจ้และคุณน้องสาวที่เดินเข้ามา ผมแทบจะกัดลิ้นตายตรงนั้น แต่สิ่งที่ทำได้ในขณะนั้นก็คือการดันให้ร่างสูงนั้นถอยห่างออกไปจากร่างของผมเท่านั้นเอง
คุณเจ้และคุณน้องสาวที่ชะงักค้างอยู่ที่ประตูค่อย ๆ ถอยหลังออกไปจากห้อง บานประตูห้องผู้ป่วยถูกปิดลงพร้อมกับความวุ่นวายที่อยู่ภายในห้อง


พี่ศิที่(แทบ)ล้มกลิ้งเพราะแรงผลักของผมค่อยๆยันกายตนขึ้นมายืนพร้อมกับเดินไปเปิดประตูให้สองสาวที่ยืนทำหน้าแดงอยู่เข้ามาภายในห้อง


“พี่กิฟท์ กับน้องกิ้กเข้ามาเถอะครับ พวกคุณทั้งสองคนไม่ได้เข้าห้องผิดหรอก” เสียงพี่ศิที่เอ่ยชักชวนพี่สาวและน้องสาวของผมให้เข้ามาในห้องผู้ป่วยดังแว่วเข้ามาในห้อง เมื่อพี่ศิพูดแบบนั้น พี่สาวและน้องสาวของผมก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับถลาเข้ามาเกาะเตียงผมและจ้องใบหน้าของผมด้วยแววตาน่ากลัว


ท่าทางทั้งสองคนมีอะไรจะถามผมเยอะเอาเรื่องเลยครับ ซึ่งตอนนี้พวกเธอทั้งสองคนน่าจะคันปากอยากถามเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้ แต่ดูหน้าตาแล้วท่าทางทั้งสองคนอยากจะรู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นตอนที่เธอ ๆ ทั้งสองคนไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์เลยครับ แต่ดีที่คุณป๊ากับคุณม๊าและน้องกัซเดินตามเข้ามาซะก่อนเลยทำให้ผมรอดไปเปราะหนึ่ง เพราะอย่างน้อยก็ไม่ต้องเล่าอะไรให้คุณเจ้และคุณน้องสาวฟังตอนนี้


ผมหันไปยิ้มให้คุณป๊าและคุณม๊า  คุณป๊าแทบจะถลาเข้ามากอดตัวผมแล้วเอาหน้าตัวเองถูกไถไปกับแก้มของผม ทว่าคุณม๊าแกถลามาก่อนครับ คุณป๊าแกเลยได้เป็นคิวถัดไป


“น้องกร เป็นไงมั่งเนี่ย ทำงานจนป่วยเลยเหรอ ตอนลูกศิโทรมาบอกคุณม๊า...คุณม๊าตกใจแทบแย่ ไม่เป็นไรนะลูกนะ” คุณม๊าไถหน้าไปมากับแก้มผมพร้อมกับพูดปลอบผมเบาๆ ซึ่งผมก็กอดคุณม๊ากลับครับ (ดีที่อาการของผมดีขึ้นจากเมื่อตอนกลางวันแล้ว ถ้าเกิดยังไม่ดีมีหวังได้อาเจียนออกมาใส่คุณม๊าแน่ๆ) และหลังจากคิวของคุณม๊าหมดลงก็ตามมาด้วยอ้อมกอดจากคุณป๊าครับ


“น้องกรป่วยไม่ยอมโทรบอกใคร ศิเขาฟ้องคุณป๊าหมดแล้ว เด็กดื้อจริงๆ คุณป๊ารู้ว่าเราจริงจังกับเรื่องค่าย แต่ก็ต้องดูแลตัวเองด้วย ไม่ใช่ทำงานหนักจนล้มป่วยแล้วที่เราทำมามันเสียเปล่าไหมล่ะ ไม่ไหวเลยนะน้องกร” คุณป๊ากอดผมแน่น ทุกท่านเห็นคุณป๊าบ่นใส่ผมแบบนี้ ไม่ใช่คุณป๊าแกจะต่อว่าผมหรอกครับ คุณป๊าเป็นห่วงผมมากๆ แต่คุณป๊าแกพูดปลอบไม่เก่ง เขาเลยใช้คำสอนมาสอนผมแทน ผมพยักหน้ารับคำพูดของคุณป๊า และคิวถัดไปที่จะมากอดผมนั่นก็คือน้องกัซนั่นเอง


“เฮียกร เฮียกรจะตายไหมอ่ะ ถ้าเฮียกรตาย ใครจะเล่นกับน้องกัซล่ะ” น้องกัซพูดด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น แต่คำถามของน้องกัซนี่ทำเอาผมสำลักน้ำลายเลยครับ มาพูดแช่งอะไรพี่ชายสุดหล่อแบบนี้ ไม่ดีเลยนะครับน้องกัซ มาพูดอะไรแบบนี้ใส่ได้ยังไงกัน แต่การที่น้องกัซพูดแบบนี้ทำให้คุณป๊าคุณม๊า เอาเป็นว่าทุกๆคนที่อยู่ในห้องหัวเราะออกมาเสียยกใหญ่ แต่ผมนี่แหละที่ไม่ตลกด้วย คุณม๊าลูบหัวน้องกัซที่นั่งอยู่บนเตียงผู้ป่วยเบาๆแล้วพูดสอนน้องกัซออกไป


“เฮียกรของน้องกัซไม่ตายหรอกจ้ะ น้องกัซก็รู้นี่นาว่าเฮียกรของเราแข็งแรงจะตาย แค่นี้ทำให้เฮียกรหมดแรงไปแค่สามสี่วันเท่านั้นเองนะจ๊ะ” คุณม๊าเอ่ยพูด น้องกัซจึงหันไปมองหน้าคุณม๊าทั้งน้ำตาแล้วทิ้งตัวลงมากอดผมแน่น เล่นเอาผมแทบจุกเลยครับ ผมได้แต่หัวเราะน้อยๆแล้วลูบหัวน้องกัซเบาๆ ซึ่งคิวถัดไปเป็นคิวของเจ้กิฟท์และยัยกิ้ก แต่น้องกัซยังคงไม่ปล่อยผมครับ ดีมากเลยครับ ผมมีความสุขมากเลยครับ ไม่งั้นผมคงโดนสองสาวเค้นคอถามแน่นอน


แต่ความอยากรู้อยากเห็นของคุณน้องสาวและคุณเจ้ของผมมันมีมากล้น ทั้งสองคนหันไปบอกให้คุณป๊ากับคุณม๊า (รวมไปถึงน้องกัซ) ให้ออกไปซื้ออะไรมาให้ผมกินเวลาหิว และเอ่ยปากว่าจะดูผมอยู่ในห้องเอง ซึ่งคุณป๊า คุณม๊าและน้องกัซก็ติดกับครับ ทั้งสามคนก็เดินออกจากห้องไปและทิ้งให้ผมอยู่กับคุณเจ้และคุณน้องสาวที่ส่งออร่าที่น่าหวาดหวั่นมาให้ ทั้งสองคนค่อยๆหันหลังมามองผมพร้อมกับแสยะรอยยิ้มที่โคตรไม่น่าไว้ใจมาให้ ทั้งสองคนค่อยๆก้าวเท้าเข้ามาใกล้ผม นิ้วชี้ข้างขวาของเธอสองคนตวัดมาที่หน้าผมพร้อมกับกับถามเดียวกับที่ออกมาจากปากของคนสองคน


“ไอกร!/เฮียกร! เรื่องมันเป็นยังไงมายังไงกัน เล่าออกมาให้หมดเดี๋ยวนี้เลย” เสียงของคุณเจ้กิฟท์กับคุณน้องสาวกิ้กแผดเสียงร้องลั่นห้อง ผมนี่สะดุ้งและค่อยๆเขยิบตัวไปติดกับหัวเตียง ท่าทางที่หวั่นกลัวของผมไม่ได้ช่วยอะไรชีวิตผมเลย หญิงสาวยังคงย่างสามขุมเดินเข้ามาใกล้ ๆ ผมอีก ‘นี่คุณเจ้ คุณน้องสาว พวกคุณลืมไปแล้วเหรอครับว่าผมกำลังป่วยหนักอยู่’ เจ้กิ้ฟท์นั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงพร้อมกับจ้องมองหน้าผม ส่วนยัยกิ้กเธอยืนกอดอกมองผมอยู่


ให้ตายเถอะ พวกเธอจะมาอยากรู้อะไรกับเรื่องของคนอื่นกันตอนนี้ ผมพยายามส่งรอยยิ้มแห้ง ๆ ไปให้พวกเธอ แต่หญิงสาวทั้งสองคนไม่ยอมรับรอยยิ้ม ซ้ำยังส่งสายตากดดันมาให้ผมอีก


คือถ้าพวกคุณเจ้คุณน้องสาวอยากรู้กรุณาไปถามพี่ศิเอานะครับ ตอนนี้ผมขอตัวนอนก่อนล่ะ ผมเมินพี่สาวและน้องสาวของตัวเองพร้อมกับดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงเป็นการปฏิเสธที่จะตอบคำถามของสาวๆทั้งสองคนกลายๆ  แต่มีหรือครับว่าทั้งสองคนจะยอมให้ผมหนีง่ายๆ คุณเจ้เธอยืนขึ้นพร้อมกับจะกระชากผ้าห่มที่คลุมตัวของผมออก ส่วนยัยกิ้กดึงปลายผ้าห่ม ผมกับสองสาวยื้อแย่งกันอยู่นาน ในที่สุดเสียงสวรรค์ก็มาโปรดผมเสียงบานประตูเปิดออกอีกครั้ง (โดยที่ผมภาวนาว่าคนที่กลับมาเป็นคุณป๊ากับคุณม๊าทีเถอะ แต่มันก็ไม่ใช่ครับ) พร้อมกับการปรากฏร่างของว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์ที่ถือกระเป๋าใบไม่ใหญ่มากเข้ามา ท่าทางข้างในจะเป็นเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนครับ เพราะพี่แกรับปากคุณป๊าคุณม๊าของผมเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะคอยเฝ้าไข้ผมเอง ดังนั้นที่พี่ศิหายไปก็เพราะเขาไปเอาเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนมานั่นเองครับ


เมื่อพี่ศิเดินเข้ามาภายในห้องสงครามแย่งชิงผ้าห่มของผมก็หยุดลง เพราะใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มของนิสิตแพทย์เริ่มบึ้งตึง ดูเหมือนว่าพี่ศิแกจะไม่ค่อยชอบใจการกระทำของพี่สาวและน้องสาวของผมกระมังครับ เพราะดูเหมือนว่าพวกเธอทั้งสองคนกำลังรุมแกล้งคนป่วยที่ไม่สามารถต่อสู้ได้ พอพี่ศิเข้ามาก็ทำให้ผมโล่งใจไปเปราะหนึ่ง


“กรยังไม่หายดี ไม่สมควรทำแบบนั้นใส่กรนะครับ” เสียงพี่ศิเอ่ยดุหญิงสาวทั้งสองคน ใบหน้าคมนั้นเต็มไปด้วยความไม่พอใจ (อันนี้พี่ศิแกดุในฐานะว่าที่หมอนะครับ เพราะการทำอะไรกับรุนแรงที่ยังไม่หายดี มันไม่ค่อยจะเหมาะ จรรยาบรรณหมอของพี่ศิมันเลยปะทุขึ้นมาครับ)


คุณเจ้และคุณน้องสาวของผมก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาเดินไปนั่งอยู่มุมห้องพิเศษ พร้อมกับปิดปากตัวเองและทำตัวนิ่ง ๆ เพื่อไม่ได้ว่าที่นายแพทย์คนนี้โกรธอีก เราทั้งสี่คนนั่งอยู่ภายในห้องนี้ ไม่นานคุณป๊า คุณม๊าและน้องกัซก็กลับมาพร้อมกับของถุงกินเต็มไม้เต็มมือ (ท่าทางทั้งสามคนจะไม่ได้ซื้อมาให้ผมทานคนเดียว แต่คงซื้อมาให้พี่ศิทานด้วย)


“ลูกศิ มานี่ลูก อันนี้ของลูกศินะ ข้าวหน้าเป็ดย่าง อร่อยมากคุณม๊าคอนเฟิร์มจ้ะ แล้วนี่เป็นผลไม้ไว้กินเล่นตอนเฝ้าน้องกร อันนี้เป็นน้ำเก๊กฮวยจะ ถ้ายังไม่หิวเอาพวกผลไม้กับน้ำแช่ตู้เย็นไว้ก่อนก็ได้ แล้วอันนี้เป็นของน้องกรเขาโจ๊กร้อนๆใส่แต่หมูไม่ใส่ผัก ไม่ใส่ขิง ไม่ใส่เครื่องใน อันนี้เป็นข้าวต้มปลาของน้องกร  น้องกรชอบข้าวต้มปลากะพงมากจ้ะ ส่วนน้ำที่น้องกรชอบคุณม๊าไม่ได้ซื้อมานะ ถ้าไม่เย็นมันจะไม่อร่อย แต่ตอนนี้น้องกรทานของเย็น ๆ ไม่ได้ ไข้ยังไม่หายดี ทานผลไม้ไปแล้วกันนะจ๊ะอันนี้แตงโมของโปรดของน้องกร” พี่ศิยกไม้ไหว้เป็นการขอบคุณ และรับถุงทั้งหมดมาไว้ในมือพร้อมกับเดินเอามันไปวางไว้ใกล้ ๆ ตู้เย็น


คุณป๊ากับคุณม๊าพูดคุยกับผมและพี่ศิไปอีกราว ๆ 10 นาทีในที่สุดเวลาเยี่ยมก็หมดลง คุณป๊าและคุณม๊าก็ได้เวลากลับบ้านครับ “คุณม๊าคิดว่าพวกเราคงได้เวลากลับบ้านแล้วล่ะจ้ะ นี่ก็ดึกมากแล้ว ไว้วันที่น้องกรหายก็กลับไปเยี่ยมคุณม๊ากับคุณป๊าที่บ้านแทนแล้วกันนะ” คุณม๊าเอ่ยด้วยรอยยิ้มพร้อมกับจัดแจงเก็บข้าวเก็บของแล้วเดินลากทุก ๆ คนออกไปจากห้อง


คุณเจ้กับยัยกิ้กจ้องผมด้วยแววตาแค้นเคืองและดูท่าการกลับบ้านครั้งต่อไป ผมต้องมีอะไรอธิบายให้คุณ ๆ ทั้งสองคนฟังอย่างละเอียดแบบไม่ปกปิดเลยล่ะครับ ในที่สุดห้องผู้ป่วยพิเศษที่เคยเสียงดังเพราะเสียงคุยของคนเกือบสิบคนก็เงียบสงบลง และเหลือไว้เพียงแต่ลมหายใจของคนสองคนเท่านั้น ผมลอบหันไปมองพี่ศิที่นั่งอยู่บนโซฟา ก่อนจะตวัดสายตาขึ้นไปมองที่เพดาน ผมทำแบบนี้หลายต่อหลายครั้งจนในที่สุด พี่ศิที่รักของทุกคนก็เหมือนจะทนไม่ไหว ร่างสูงลุกขึ้นยืนพร้อมกับเดินเข้ามาใกล้ ๆ เตียง


“กรเป็นอะไรไปอีกเหรอครับ มองหน้าพี่แล้วทำท่าเหมือนจะพูดแต่ก็ไม่พูดมาหลายทีแล้ว” เสียงทุ้มเอ่ยถามด้วยความสงสัย ซึ่งผมก็ใช้ความเงียบเป็นคำตอบ แต่ดูเหมือนพี่ศิแกจะไม่ชอบใจในคำตอบคำตอบนี้ของผมสักเท่าไหร่นัก ร่างสูงยืนกอดอกพร้อมกับนิ้วเรียวถูกยกขึ้นมายันที่ปลายคาง


ความจริงไอผมก็อยากจะตอบพี่ศิเขาไปอยู่หรอกครับ แต่ว่าไอเรื่องที่อยากจะพูด อยากจะถาม มันก็ไม่มีแล้ว เพราะคำตอบที่ผมได้จากปากพี่ศิ ก่อนที่เจ้และน้องสาวของผมจะเข้ามาภายในห้องผมก็รู้หมดแล้ว แต่ที่ผมมองหน้าพี่ศิไปแล้วไม่ยอมพูด หรือหลบตานี่ก็ไม่มีเหตุผลครับ ผมแค่อยากมองพี่ศิก็เท่านั้นเอง


พี่ศิดูท่าจะนึกอะไรออกหลังจากที่ตนเงียบเสียงไปสักพัก  ร่างสูงค่อย ๆ เผยรอยยิ้มชั่วร้ายพร้อมกับเอ่ยถ้อยคำที่ทำเอาผมที่กำลังดื่มน้ำอยู่ถึงกับสำลักออกมา “หรือว่าที่พี่ตอบคำถามของกรไป เสียงมันจะเบาไปหรือว่าสิ่งที่พี่พูดมันจะยังแสดงถึงความจริงใจที่พี่มีต่อกรไม่พอ”


สิ้นเสียงของพี่ศิ ใบหน้าของผมก็ขึ้นสีแดงจัด ผมพยายามหาของใกล้ตัวไปฟาดใส่พี่เขา แต่ไอสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวผมมันก็มีแต่แจกัน (ถ้าอันนี้ฟาดลงไป พี่ศิอาจจะเข้ามานอนในโรงพยาบาลตามผม) แก้วน้ำ (อันนี้คงกรณีเดียวกับอันแรก) จาน (อันนี้ก็ไม่ต่างกัน) ผมพยายามมองหาสิ่งที่อยู่รอบตัวแต่ใน ท้ายที่สุดสิ่งที่ผมฟาดลงไปที่พี่ศิ คือ มือทั้งสองข้างของผมนั่นเอง ผมเอามือตีพี่ศิอยู่หลายครั้ง แต่ในท้ายที่สุดพี่ศิก็จับผมรวบแขนทั้งสองข้างและจับให้ผมนอนราบไปกับเตียง


ร่างสูงจ้องหน้าผมด้วยสายตาจริงจังและเอ่ยถ้อยคำที่ก่อนหน้านี้เขากระซิบที่ข้างหูผมออกมาเสียงดังว่า


“ตอนที่กรมาที่โรงพยาบาล พี่ที่เข้าเวรอยู่เป็นคนไปอุ้มกรจากเพื่อน ๆ มาที่เตียงและเป็นคนเข็นรถเข็นนั่นเอง ซึ่งภายในใจของพี่ก็ภาวนาว่าขอให้คนสำคัญที่สุดในชีวิตของพี่ไม่เป็นอะไร ได้โปรดอย่าให้เขาเป็นอะไรไปเลย และถ้าเขาลืมตาตื่นขึ้นมา ผมจะให้ความสำคัญกับเขามากกว่าเดิม ผมจะไม่ยอมให้เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นมาอีก ผมจะดูแลเขาไปตลอดจนกว่าเขาจะหาคนที่ดูแลเขาได้ดีมากกว่าผม” เมื่อเอ่ยจบประโยคพี่ศิก็ผละกายออกพร้อมกับไปนั่งที่โซฟา ส่วนผมก็นอนแผ่อยู่แบบนั้นไปราว ๆ สิบนาที ก่อนจะดึงผ้าห่มมาคลุมโปงเพื่อหลบสายตาของพี่ศิ


สิ่งที่พี่ศิพูดมามันไม่ต่างอะไรจากคำสารภาพรัก…แม้ผมจะหวั่นไหวมากๆ แต่ยังไงผมก็ยังไม่ให้พี่ศิเข้ามาอยู่ในหัวใจของผมมากกว่านี้หรอกครับ




__________________________________



ทุกคนเห้ฯวิธีที่พี่ศิตีก้นน้องกรหรือยังค้าาาาถ้ายังไม่เห็นอ่านซ้ำอเกนนนเย้ๆๆ (บ้าไปแล้วพลอย)



อ่อพลอยขอฝากอะไรนิดหน่อยนะคะถ้าหาจะติดตามผลงานอื่น ๆของพลอย(กับเพื่อนสามารถติดตามได้ที่ไม่ทราบว่าผิดกฏไหมแต่ถ้าผิดจะรีบเอาออกทันทีค่ะ)



https://www.facebook.com/pages/WIFACs-Work-Page/376396462412920

ออฟไลน์ RenaBee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
รักพี่ศิๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  :sad4:
น้องกรดื้อแบบนี้ตีก้นน้องกรเลยค่ะพี่ศิ  :hao7:

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
พี่ศิคงหัวใจแทบวาย เมื่อน้องกรป่วย
มีหมอดีดูแลแบบนี้น้งกรคงหายป่วยเร็วแน่นอน

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8891
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
น้องกรหายไวๆนะคะ

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1511
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
อ๊ายยย นั่งอ่านไปดิ้นไป กัดปาก อ๊ายยยยยยยยยเขินง่ะ
กรนึกว่าจะเป็นแค่ไข้ธรรมดา สรุปเป็นถึงไข้เลือดออกกันเลยทีเดียว
ชอบพี่ศิอ่ะ กรเอ๊ย ถ้าพี่เขาขอหนูเป็นแฟนเนี่ยตกลงเลยนะลูก ผู้ชายที่ดีขนาดนี้ไม่มีอีกแล้วในชีวิตจริง
หนูอยากได้ อ๊ากกกกก >////////////<

ออฟไลน์ kongxinya

  • Skt KS
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
ถ้าป่วยแล้วมีหมออย่างพี่ศิมาดูแลใกล้ชิดงี้เค้ายอมมม  :-[

 :L2: :กอด1: :pig4: :L2:

ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 669
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
หายไวๆ นะน้องกร รับรักพี่ศิไวๆ ด้วย

ออฟไลน์ omyim_jjj

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 632
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
หายเร็วเร็วนะกร

ออฟไลน์ พลอยสวย

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1622
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-5
 :กอด1: รีบๆกลับมาเกรียนเร็วๆนะกร

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0



เป็นตอนพิเศษแบบรั่ว ๆ ที่นั่งจิ้มสดในทวิตเตอร์ในวันพ่อค่า




Special Father’s Day



                เนื่องจากวันนี้เป็นวันพ่อร่างโปร่งบางนายรณกรก็มีอะไรจะเซอร์ไพรส์อะไรนิดหน่อยแก่คน ๆ หนึ่ง และเมื่อเจ้าตัวแสบคนนี้เตรียมการอะไรเสร็จสิ้นขาเรียวยาวก็ค่อย ๆ อย่างเท้าเข้าไปในคอนโดของคนอย่างเงียบเชียบเขาสาวเท้าเข้าไปทีละนิด ๆ แต่ดูเหมือนว่าปฏิบัติการณ์ครั้งนี้ของนายรณกรจะเสียเปล่าเสียแล้วหละ



                เพราะเมื่อเขาก้าวเท้าเข้าไปในห้องไม่ถึงสิบก้าว ร่างสูงของว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์หรือคน ๆ หนึ่งที่ผมจะเซอร์ไพรส์ก็เดินเข้ามาสะกิดที่บ่าของร่างสูงโปร่งเบา ๆ การกระทำแบบนั้นของชายร่างสูงกว่านั้น ทำให้ร่างของนายรณกรสะดุ้งโหยงก่อนจะหันหลังกลับไปยิ้มเลิกลั่กใส่อีกฝ่าย มือทั้งสองข้างที่ก่อนหน้านี้ถึงบางสิ่งบางอย่างอยู่เปลี่ยนไปไขว้อยู่ทางด้านหลัง



                การกระทำแบบนั้นของรณกรทำให้ร่างสูงผู้มีเรือนผมสั้นสีดำสนิทนั่นสงสัยมิใช่น้อย ซึ่งไอความสงสัยพวกนั้นของชายร่างสูงกว่าทำให้เขาเอ่ยปากถามร่างตรงหน้าออกไป



                แต่อย่างไรก็ตามนายรณกรผู้ตอนนี้ที่ตกเป็นจำเลย??ก็ไม่คิดจะพูดอะไรออกมา ฝ่ายอัยการศิริวิทย์?? ก็ไม่ยอมเขาพยายามรีดเร้นจำเลยหนุ่มรุ่นน้องไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดเด็กหนุ่มรุ่นน้องผู้เป็นจำเลยที่เก็บอาการ คำพูดรวมไปถึงความลับไม่เก่งอย่างนายรณกรก็ยอมสารภาพออกมาอย่างหมดเปือกไม่มีปกปิดเลยแม้แต่นิดเดียว



                มือทั้งสองข้างที่เขาซ่อนไว้ทางด้านหลังถูกยื่นไปตรงหน้า ซึ่งภายในมือทั้งสองข้างของเขานั้นถือพวงมาลัยดอกมะลิสดพวงใหญ่ และเมื่อร่างโปร่งบางแสดงออกมาแบบนั้นอัยการศิรวิทย์??ก็ปลายสายตาลงไปมองที่มือจำเลยหนุ่มรณกร พลันความสงสัยก็พุดขึ้นมาอีกครั้ง ‘ไอตัวแสบของเขาเอาสิ่งนี้มาทำไมแล้วทำไมเขาถึงยื่นมันมาให้กับเขา’



                แต่ไอความสงสัยพวกนั้นมันก็อยู่ไม่นานและไม่ทันที่ริมฝีปากหนานั่นจะเอ่ยปากถามอะไรกับคนตรงหนา ร่างสูงโปร่งนั่นก็ยกมือไหว้เขาท้วมหัวพร้อมกับเอ่ยประโยคที่ฟังยังไงมันก็คงออกมาปากของไอตัวแสบของเขาคนเดียวเท่านั้นว่า



“วันนี้วันพ่อลูกกรเลยเอาพวงมาลัยมาไหว้พ่อ คุณป๊าคมสันของน้องกร ๆ ก็ไหว้ไปแล้ว ตอนนี้ก็เลยคุณพ่อศิรวิทย์ของน้องกรเท่านั้น น้องกรก็เลยเอาพวงมาลลัยมาไว้พ่อศิครับ พ่อศิรับไปแล้วอย่าลืมอวยพรน้องกรคนนี้ด้วยนะครับ” สิ้นประโยคนี้ศิรวิทย์ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แต่การที่ไอตัวแสบของเขามากวนประสาทแบบนี้ใส่ก็ต้องลงโทษสักที มือกร้านถูกยกขึ้นมาพร้อมกับเขกหัวของคนตัวเตี้ยกว่าเบา ๆ เพื่อเป็นการลงโทษ



แต่กระนั้นเขาก็ไม่คิดที่จะปฏิเสธการให้พรไอตัวแสบตรงหน้าหรอกหลังจากที่มือกร้านของตนลูบหัวของคนตัวเตี้ยกว่าเสร็จแล้ว มือข้างนั้นก็ไล่มือลงไปแตะที่แก้มใสและค่อย ๆ ไล่ลงไปสัมผัสที่ปลายคางของร่างโปร่งบางตรงหน้านั้นอย่างแผ่วเบา การกระทำนั่นทำให้นายรณกรสงสัยเล้กน้อยแต่เพียงชั่ววินาทีเดียวริมฝีปากหนาก็ก้มลงไปประทับเบาที่แก้มนุ่มพร้อมกับเสียงทุ้มที่เอ่ยเบา



“นี่คือคำอวยพรนะครับกร” สิ้นประโยคและสิ้นภารกิจของคนเป็นพ่อ? ร่างสูงนั่นก็ผละออกและเดินจากไปโดยคุณพ่อศิรวิทย์ก็ทิ้งให้ร่างโปร่งบางที่ถูกช่วงชิงความนุ่มละมุนของแก้มใสนั้นนิ่งค้างไปสักพักใหญ่ ๆ



ร่างสูงนั่นลอบแอบมองแล้วอมยิ้มกับการแสดงออกแบบนั้นออกมาจาก ๆ และเมื่อเวลาผ่านไปชั่วขณะหนึ่งลูกชายของคุณพ่อศิรวิทย์ก็ตั้งสติได้ ใบหน้าขาวและแก้มใสนั้นแดงก่ำพร้อมกับร่างสูงโปร่งของตนที่หมดเรี่ยวแรงและค่อย ๆ ทรุดตัวลงไปนั่งอยู่ที่พื้น ริมฝีปากบางนั้นพร่ำพูดออกมาไม่เป็นภาษามือทั้งสองข้างนั้นทึ้งหัวตัวเองไปมา การกระทำทั้งหมดนั้นเป็นการแสดงปฏิกิริยาที่ทำให้ร่างสูงนั่นลอบยิ้มกว้างออกมา



“สงสัยครั้งหน้าคงต้องอวยพรให้ดีกว่านี้แล้วสิ” เสียงทุ้มพึมพำกับตัวเองเบา ๆ พร้อมกับนิ้วเรียวยาวของร่างสูงถูกยกขึ้นมายันที่ปลายคาง



_______________________________________________________________________________


เป็นตอนพิเศษสั้น ๆ จากทวิตเตอร์ค่ะ พอดีไม่รู้นึกคึกอะไร เลยแต่งตอนพิเศษเบาสมอง?? มา (จริง ๆ ในทวิตเตอร์จะไม่ค่อยละเอียเท่านี้ค่ะอันนี้เป็นเวอรืชั่นเอามาแต่งเพิ่มแบบสั้น ๆ ฮา ๆ ค่ะ)


ส่วนทวิตเตอร์ถ้าอยากติดตามข่าสารอะไรเกี่ยวกับนิยายหรือจะเข้าไปคุยกันเล่น ๆ ก็สามารถติดตามได้ที่ทวิต https://twitter.com/P_Sokiss  ค่ะ

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
น้องกรรักพ่อศิที่สุด (พ่อทูนหัว...หัวใจ55)

ออฟไลน์ RenaBee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
พ่อยอดดวงใจซินะคะน้องกร5555

ออฟไลน์ Loste

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 430
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
น้องกรเจออวยพรแบบนี้ถึงกับทรุด :-[

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1511
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
กรเป็นไงคำอวยพรของพี่ศิ คึๆๆ

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
ตอนพิเศษ ฮ่าๆ

ออฟไลน์ kongxinya

  • Skt KS
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
พ่อทูนหัวสินะน้องกร  :-[

ออฟไลน์ MoMoRin

  • I am Fujoshi! (・∀≦)ゞ
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1749
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +229/-2
แบบพี่ศินี่หาได้ที่ไหนอีกมั้ยคะ อยากด้ายยยยยยยยยยยยยยย  :ling1:

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
สวัสดีค่ะหลังจากที่เมื่อวานเราลงตอนพิเศษจิตป่วนไปวันนี้เรามาลองตอนต่อแล้วค่า ยิ้มกว้าง// หวังว่าทุกท่านได้อ่านตอนต่อไปนี้จะยิ้มและมีความสุขกับนิยายเรื่องนี้นะคะ


ขอบคุณที่ทุก ๆ ท่านชื่นชอบตัวละครของพลอยและนิยายของพลอยค่ะ เชิญติดตามตอนต่อไปได้เลยค่ะพูดเหมือนลงนิยายตอนจบ ความจริงยังไม่จบแค่พูดซึ้ง ๆ ไว้ก่อน




Chapter 28



บางทีการป่วยก็ทำให้ความสัมพันธ์ของคนสองคนคืบหน้า และบางทีการป่วยก็ทำให้ความรู้สึกของคนหนึ่งที่มีให้กับอีกคนหนึ่งมันแปรเปลี่ยนไป มันอาจจะเป็นผลมาจากการดูแลเอาใจใส่ของอีกฝ่าย หรือการให้กำลังใจเวลาที่อีกฝ่ายป่วย แต่ผมขอบอกเลยครับว่าไอสิ่งที่ผมพูดออกมาทั้งหมดนั้นมันใช้ไม่ได้ผลกับผมครับ ไม่ใช่ว่าผมจะไม่ได้รู้สึกอะไรกับคนที่คอยมาดูแลผมอยู่ทุกวันในขณะที่ผมนอนอยู่ในโรงพยาบาล แต่นั่นเป็นเพราะผมรู้สึกถึงความสัมพันธ์และความรู้สึกที่อยู่ภายในจิตใจของผมอยู่แล้ว ถึงได้บอกไงว่าไอคำนิยามอะไรพวกนั้นมันใช้กับผมไม่ได้ เพราะช่วงเวลาที่ผมนอนอยู่ในโรงพยาบาล การกระทำของผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่อ ศิรวิทย์ มันทำให้ความรู้สึกและความสัมพันธ์ที่มีต่อเขามันถูกเติมเต็มให้เอ่อล้นยิ่งกว่าเก่าครับ



หัวใจของผมเริ่มหวั่นไหวกับการกระทำของเขามาตั้งนานแล้ว แต่ในช่วงเวลาที่ผมนอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาลการที่พี่ศิแวะเวียนมาหาผม ดูแลผม เอาใจใส่ผม ทำให้ความรู้สึกของผมยิ่งหวั่นไหวมากขึ้นไปอีก แม้ผมจะยืนยันว่าตัวเองเป็นชายแท้และชอบผู้หญิง แต่ความรู้สึกของผมที่มีให้แก่เขามันคืบหน้าไปไวมากเลยล่ะครับ บางทีคนที่น่ากลัวที่สุดในโลก (สำหรับผม) ก็คือพี่ศินั่นเอง (เพราะพี่แกเล่นเดาใจ เดาความคิด เดาความรู้สึกของผมได้หมดเลยครับ แถมยังรู้เรื่องต่าง ๆ ของผมเป็นอย่างดี มันทำให้ผมเริ่มสงสัยแล้วครับ ว่าพี่ศิเป็นสตอล์คเกอร์หรือเปล่า)



เอาเป็นว่าเรื่องด้านบนที่ผมพร่ำบ่นไปก็ช่างมันเถอะครับ ตอนนี้ผมก็ยังคงนอนอยู่ในห้องพิเศษที่โรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยผม ซึ่งถ้านับรวมวันนี้ด้วยนี่ก็เป็นวันที่ 5 แล้วที่ผมนอนอยู่ในโรงพยาบาลครับ แต่วันนี้ออกจะพิเศษกว่าวันอื่นนิดหน่อยครับ เพราะว่าผมจะได้กลับบ้านสักที หลังจากนั่งกินนอนกินในโรงพยาบาลมานานถึง 4 คืน ถ้าให้เล่าถึงคืนแรกที่คุณป๊ากับคุณม๊ามาเยี่ยมผมและพี่ศิเป็นคนเฝ้าไข้ในคืนนั้น ผมขอบอกเลยว่าผมหลับเป็นตายครับ แม้ว่าผมจะโดนพี่ศิพูดประโยคพวกนั้นใส่จนเขินหน้าแดงไปสักพักก็เถอะ (ทุกคนไม่ต้องมโนหรือจินตนาการอะไรนะครับว่าผมนี่โดนพี่ศิพูดแบบนั้นใส่แล้ว จะเกิดอาการเขินหน้าแดงนอนไม่หลับจิตใจว้าวุ่น  โทษทีครับ สถานการณ์แบบนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นกับผมแน่นอน เพราะเรื่องนอนสำหรับผมนี่มาก่อนเหนือสิ่งอื่นใดเลยครับ)


แต่ทำไมผมต้องมาเล่าย้อนเรื่องพวกนี้ให้ทุกคนฟังด้วยเนี่ย เรื่องเก่าๆเอามันเก็บลงกระเป๋าไปครับ เรามาอยู่กับปัจจุบันดีกว่า ตอนนี้ผมกำลังนอนให้คุณพยาบาลวัดความดันและวัดไข้เป็นรอบสุดท้าย ก่อนที่ผมจะออกจากโรงพยาบาล ซึ่งผลที่ได้รับมันก็บ่งบอกว่าสภาพร่างกายของผมหายดีและแข็งแรงแล้วล่ะครับ งานนี้ผมได้เที่ยวในช่วงเวลาปิดเทอมอย่างมีความสุขซะที…ล่ะมั้งครับ


ผมยกมือไหว้คุณหมอที่รักษาผมตลอดห้าวัน และเมื่อคุณหมอกับคุณพยาบาลออกจากห้องของผมแล้ว ผมก็เด้งตัวหยิบเสื้อผ้าที่พี่ศิเตรียมไว้ให้วิ่งเข้าห้องน้ำไปเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า ผ่านไปสิบนาที ผมก็ออกมาจากห้องน้ำด้วยชุดไปรเวทที่พี่ศิเลือกให้ ส่วนชุดผู้ป่วยผมถอดทิ้งไว้ในห้องน้ำแล้วครับ ในที่สุดก็เป็นอิสระจากเตียงนอนผู้ป่วยสักที ผมเก็บข้าวของส่วนตัวและของเยี่ยมไข้จากคนรู้จักลงกระเป๋า เมื่อจัดเตรียมของทุกสิ่งทุกอย่างเสร็จแล้ว ผมก็จัดการยกกระเป๋าขึ้นพาดบ่าและเตรียมที่จะเดินออกจากห้องไป ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงกว่าๆพอดีครับ ซึ่งมันเป็นช่วงเวลาพักของนิสิตแพทย์พอดี ดังนั้นบุคคลที่ยืนรออยู่หน้าประตูห้องของผมนั่นก็คือว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์ แต่ที่พิเศษยิ่งกว่านั้นก็คือช่อดอกไม้ช่อใหญ่ในมือที่ยื่นมาให้ผม “ยินดีด้วยนะครับกร ที่ได้ออกจากโรงพยาบาล เรื่องค่าใช้จ่ายคุณป๊าสั่งให้พี่จัดการเรียบร้อยแล้วครับ จะกลับคอนโดเลยใช่ไหม เดี๋ยวพี่ขับรถไปส่งนะครับ” พี่ศิ ผู้เป็นสุภาพบุรุษเอ่ยพูดกับผม ทว่าผมไม่ใช่สุภาพสตรีสักหน่อย ผมมองหน้าพี่ศิน้อย ๆ พร้อมกับรับช่อดอกไม้ในมือช่อใหญ่มาแล้วยกขึ้นฟาดเบา ๆ บนหัวของพี่ศิ


“พี่ศิครับ กรไม่ใช่ผู้หญิงที่จะดีใจกับดอกไม้นะครับ” ผมพูดพร้อมกับเบี่ยงตัวเดินผ่านพี่ศิไป โดยร่างสูงนั้นยังคงลูบศีรษะตัวเองเบา ๆ


“พี่เอามาแสดงความยินดีที่กรได้ออกจากโรงพยาลเท่านั้นเองครับ” ร่างสูงละมือออกจากศีรษะตน ก่อนจะเริ่มสาวเท้าเดินตามผม ดูท่าวันนี้พี่ศิจะว่างเอาเรื่องนะครับ ถึงได้มาเดินตามผมต้อยๆแบบนี้ ผมกอดช่อดอกไม้ไว้แน่นสายตาพลางเหลือบมองร่างสูงกว่าที่เดินตามอยู่ทางด้านหลัง ท่าทางของผมกับพี่ศิแบบนี้เรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มให้กับพยาบาลที่เดินผ่านไปผ่านมาแถวนั้นได้พอสมควรเลยล่ะครับ


เพราะภาพที่ทุก ๆ คนเห็นกันนั่นก็คือร่างสูงของนิสิตแพทย์เดินตามง้องอนร่างสูงโปร่งที่ทำหน้าไม่ค่อยจะพอใจสักเท่าไหร่  จริงๆผมก็ไม่ได้ไม่พอใจอะไรพี่ศิเขาหรอกนะครับ มันก็แค่… ‘เขินมาก’ เท่านั้นเองครับ การกลบเกลื่อนวิธีการเขินของผมนั่นก็คือแกล้งทำเป็นไม่พอใจแบบนี้นี่แหละ ผมเดินไปถึงลิฟต์ ผมก็กดลิฟต์ลงและบานประตูลิฟต์ก็เปิดออกทันที ผมเดินเข้ามาภายในลิฟต์ด้วยมาดนิ่ง ส่วนพี่ศิก็รู้สึกจะร้อนรนเล็กน้อยเพราะท่าทางอันแสนนิ่งเฉยของผม เมื่อลิฟต์เคลื่อนที่ลงไปชั้นล่างสุด ผมก็เดินออกจากตัวลิฟต์โดยไม่รอพี่ศิเลยสักนิด ร่างสูงที่สาวเท้าเดินอยู่ด้านหลังก็เลยจำใจเปลี่ยนเป็นการวิ่งตามผมแทน และเมื่อพี่ศิถึงตัวผม มือข้างหนึ่งที่ไม่ได้ถือช่อดอกไม้ ผมก็ถูกคว้าไปพร้อมกับโดนเจ้าของมือนั้นและลากให้เดินตามไป


ผมถูกลากไปยังลานจอดรถของโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย ร่างของผมถูกพี่ศิจับยัดเข้าไปภายในรถสุดหรูของเขา ผมนั่งอยู่นิ่งภายในรถมือทั้งสองข้างของผมกดช่อดอกไม้ไว้แน่น ใบหน้าของผมยังคงเชิดมองไปเบื้องหน้าโดยที่ไม่คิดจะสนใจชายผู้ที่เข้ามาใหม่ภายในรถเลยสักนิดเดียว (ไม่ได้งอนไม่ได้อะไรครับ…ผมเขินจนไม่กล้าทำอะไรเท่านั้นล่ะครับ) ผมนิ่งหันมามองผมที่ตีหน้านิ่ง ก่อนจะรวบหัวของผมให้ไปซบที่บ่าข้างหนึ่งของเขา


“เขินอยู่สินะครับ กร” เสียงทุ้มกล่าวออกมาอย่างจะรู้ความคิดของผมไปเสียหมด ผมพยายามดันตัวเองออกจากการจับกุมนั่น ทว่าร่างสูงกว่านั้นไม่ยอมให้ผมทำแบบนั้นได้ พี่ศิกดหัวของผมให้ลงต่ำไปอีก ใบหูของผมแนบไปกับแผ่นอกของพี่ศิและได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นแรงไม่แพ้หัวใจของผม


ใบหน้าของผมแดงก่ำหัวใจที่เต้นแรกอยู่แล้วยิ่งเต้นแรงมากขึ้นไปอีก ผมซุกใบหน้าลงไปที่แผ่นอกของพี่ศิ ส่วนมือทั้งสองข้างที่เคยถือช่อดอกไม้ไว้ก็ถูกปล่อยลง มือข้างหนึ่งของผมเอื้อมไปเกาะที่บ่าของพี่ศิและค่อย ๆ ยันตัวเองขึ้นมานั่งตัวตรงอีกครั้ง
“พี่ศิ…พี่มันบ้าไปแล้ว” ผมพึมพำออกมาเบาๆ แต่เสียงเหล่านั้นก็ไม่สามารถรอดพ้นหูนรกของพี่ศิไปได้ เสียงทุ้มเอ่ยถามกลับเพียงแต่ครั้งนี้ไม่เหมือนเมื่อครั้งก่อนๆ  ใบหน้าของพี่ศิก็แดงก่ำพร้อมกับสายตาที่ซ่อนอยู่ในกรอบแว่นสีดำนั่นเบนหนีเหมือนกับว่าพี่เขาไม่อยากที่จะสบตากับผม “พี่บ้าตรงไหนกันครับ ก็แค่แสดงความยินดีกับกรก็เท่านั้นเอง” ร่างสูงนั้นเอ่ยเบี่ยงเบนความสนใจ ทว่าไอเรื่องที่ผมว่าพี่ศิว่าบ้านั้นมันไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องช่อดอกไม้นี่สักหน่อย


เพราะไอคำการที่ผมพูดว่าพี่ศิบ้านั่น ผมหมายถึง…ทำไมพี่ศิถึงมาชอบคนอย่างผมได้ต่างหากล่ะ ทั้งๆที่ผู้หญิงดีๆ น่ารักๆ มีมากมาย แต่กลับมา…เอ่อ…มาชอบผู้ชายแบบผมได้ ผมเลยพูดออกไปว่าพี่ศิแกบ้าหรือเปล่ายังไงล่ะครับ (แถมชอบผมไม่ว่า พี่แกยังทำให้ผมรู้สึกหวั่นไหวได้แบบขั้นสุดยอดอีกด้วย)


“กรไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้นสักหน่อย…พอเถอะ เลิกพูดเรื่องนี้ กรอยากกลับคอนโดแล้ว” ผมเลือกที่จะกล่าวตัดบทสนทนานี้ ซึ่งพี่ศิแกก็ดูเหมือนจะเห็นด้วยกับผมนะครับ เสียงทุ้มไม่ได้ตอบโต้อะไรและค่อย ๆ สตาร์ทรถและเหยียบคันเร่งให้รถคันงามของเขาเคลื่อนที่ไปด้านหน้า


เราทั้งสองคนเงียบใส่กันไปตลอดทาง แต่ก่อนที่พี่ศิจะขับรถไปถึงคอนโดที่พวกเราสองคนอยู่ พี่ศิแกก็เอ่ยขึ้นถามผม “กรอยากไปทะเลหรือเปล่า” สิ้นเสียงนั่น ผมก็ตวัดสายตาตัวเองไปมองร่างสูงที่ยังคงขับรถอยู่ สีหน้าของเขาดูไม่รู้สึกประหม่าหรือแสดงอาการออกมาแต่อย่างใด แต่ก็เป็นแค่ที่สีหน้าล่ะนะ ส่วนมือไม้ของพี่ศิเขาตอนนี้รู้สึกว่าจะอยู่ไม่สุขแล้ว ดูก็รู้แล้วนะครับว่าพี่ศิแกตื่นเต้นเอาเรื่องเลยล่ะ (แต่พี่ศิครับ…อย่าทำรถแหกโค้งแล้วกัน ไม่งั้นจะไม่ได้คำตอบของคำถามที่ตัวเองถามมานะครับ)


“ทำไมเหรอ พี่ศิถามแบบนี้” ผมแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับคำถามพวกนั้น แต่ความจริงผมก็รู้เรื่องอยู่นะครับว่าพี่ศิแกต้องการอะไร แต่ตอนนี้ผมขอไล่บี้พี่ศิไปก่อนแล้วกัน เพราะว่าปกติคนที่ถูกไล่บี้นี่จะเป็นฝ่ายผมเสียมากกว่า ดังนั้นเวลาไหนที่แกล้งพี่ศิได้ ผมมักจะทำแบบนี้ทุกครั้งนั่นแหละ (แต่จำนวนครั้งที่ผมแกล้งพี่ศิได้ มันมีน้อยมากครับ เรียกได้ว่าแทบจะหาโอกาสแกล้งพี่แกไม่ได้เลยมากกว่า)


“ก็เปล่า อยากถามดูเท่านั้นเอง” พี่ศิเริ่มยกมือข้างหนึ่งขึ้นไปเกาแก้มของตน ส่วนอีกมือหนึ่งก็ยังคงจับพวงมาลัยบังคับรถต่อไป แต่ท่าทางพี่แกเริ่มจะหวั่น ๆ แล้วล่ะครับว่าผมจะปฏิเสธที่จะไม่ไป


“เหรอครับ นึกว่าจะพากรไป แบบนั้นก็ดีครับ พอพวกเพื่อน ๆ กรกลับจากค่าย กรค่อยชวนพวกนั้นไปกันเองก็ได้” ผมพูดออกไปพร้อมกับลอบหัวเราะภายในใจ บางทีการรู้ทันพี่ศิแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะครับ สนุกดี (และทำให้ผมเข้าใจความรู้สึกของพี่ศิที่รู้ทันผมเหมือนกันว่ามันสนุกแบบนี้นี่เอง)


พี่ศิถึงกับหน้าเสีย ริมฝีปากหนาเม้มแน่น ซึ่งผมก็แกล้งต่อเป็นไม่สนใจพี่เขาต่อไปครับ ทั้งยังแสร้งหยิบโทรศัพท์มือถือของตนขึ้นมากดเบอร์โทรศัพท์หาเหล่าสหายของผมอีก (ความจริงก็ไม่ถือว่าแกล้งสักทีเดียวหรอกครับ เพราะว่าผมกดโทรออกไปหาพวกเพื่อนๆจริงๆ แต่จุดประสงค์ที่โทรไปเพราะผมคิดถึงพวกมันต่างหากครับ) ผมถือสายรอเพื่อน ๆ ของผมสักพัก เสียงหวานที่เป็นเอกลักษณ์ของพรีมก็ดังขึ้นครับ (ที่ผมเลือกโทรหาพรีมก็เพราะสาว ๆ มักจะได้ทำงานเบา ๆ หนุ่ม ๆ ลงแรงกันครับ)


“กร! เป็นไงมั่ง หายแล้วเหรอ” พรีมเอ่ยตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงดีใจและท่าทางเธอจะวิ่งไปหาพวกก๊วนของผมและเปิดโฟนแล้วครับ (ที่รู้เพราะว่าผมได้ยินเสียงของเพื่อน ๆ ที่ถลากันเข้ามาหาโทรศัพท์มือถือเครื่องนี้)


“สวัสดีพรีม สนุกไหม ขอบใจนะที่เป็นห่วง กรหายแล้ว แข็งแรงแล้วล่ะ” ผมตอบพรีมไป ซึ่งคำตอบของผมทำให้เธอและเหล่าสหายที่กำลังเสนอหน้าอยู่ส่งเสียงยินดีตอบกลับมา


“ดีแล้วจ้ะ หายก็ดีแล้ว พรีมดีใจนะที่กรไม่ได้เป็นอะไรมากนะ โล่งใจจังเลย” พรีมพูดตอบกลับมาทำเอาผมซึ้งใจ แต่มันก็มีฝ่ายปากหมาที่พูดแหย่ผมอยู่เหมือนกัน “ยังไม่ตายอีกเหรอวะเพื่อนกร ดวงแข็งจริง ๆ มรึง” เสียงของเพื่อนบาส เพื่อนเจมส์พูดแทรกมาพร้อมกับเสียงคนอื่นอีกมากมายที่เฮกันมาคุยกับผม ท่าทางวันที่ผมล้มไปนี่จะทำให้รุ่นพี่และเพื่อนทั้งคณะเป็นห่วงจริง ๆ ตามคำบอกเล่าของพี่ศิสินะ


ผมพูดคุยเล่นกับพวกเขาไปอีกสักพัก สายตาก็พลางปรายมองท่าทีของคนข้างกาย ดูเหมือนว่าพี่ศิจะเริ่มหงุดหงิดซะแล้วล่ะครับ ผมก็เลยจัดการแกล้งต่อซะเลย “เออนี่ พอกลับมาจากค่ายแล้ว เข้าหน้าร้อนพอดี ไปทะเลกันไหม ไปช่วงสงกรานต์เลย จะได้ไปเล่นน้ำแถวนั้นเลย สนป่ะ” ผมเอ่ยชวนก๊วนเพื่อน ๆ ของผมพร้อมกับเลื่อนนิ้วไปกดเปิดสปีกเกอร์โทรศัพท์เพื่อนให้คนที่นั่งข้าง ๆ ผมได้ยิน แต่ผมก็แสร้งเอามือถือไปวางที่คอนโซลหน้ารถแล้วทำเป็นหยิบนั่นหยิบนี่ในกระเป๋าของตัวเอง แต่ใจจริงแล้วที่ผมเปิดสปีกเกอร์นั้นเพราะว่าผมอยากให้พี่ศิแกได้ยิน (และเพื่อแกล้งพี่ศิเขาด้วย ผมแค่อยากให้เขาได้ยินบทสนทนาของผมกับเพื่อน ๆ ครับและมีอีกอย่างที่ผมอยากทำแต่อันนี้ผมขออุบเงียบไว้ก่อนนะครับ ไว้ให้พี่ศิแกเผลอตัวออกมาก่อนครับและนั่นหละเวลาแห่งการเอาคืนของผม)


“โหย แผนเที่ยวนี้ดีวะกร เฮ้ย เพื่อนกรบอกว่าหลังจากเรากลับจากค่ายสงกรานต์ไปเที่ยวกันเปล่า” เสียงของทุกคนต่างร้องเรียกกัน ส่วนผมก็นั่งยิ้มชั่วร้ายอยู่ สภาพตอนนี้ของพี่ศิเริ่มจะไม่สู้ดีแล้วล่ะครับ ผมเชื่อเลยว่าที่พี่ศิแกเอ่ยปากถามผมว่าผมอยากไปทะเลไหม อันนี้พี่ศิแกเตรียมการไว้นานแล้วแน่นอน และถ้าเกิดมันผิดแพลนขึ้นมา พี่แกคงรู้สึกแย่น่าดู ผมนั่งเอามือเท้าคางกันพร้อมส่งรอยยิ้มไปให้พี่ศิ หูก็พลางฟังเสียงเพื่อน ๆ พูดคุยกันไปสักพักในที่สุด เสียงของไอเจมส์ก็ตอบกลับมาพร้อมกับเสียงทุ้มของพี่ศิที่เอ่ยสวนกลับไป “เฮ้ย…กรพวกกรูตกลงกันแล้วว่าจะปะ...”


“กรครับ ไปทะเลกับพี่เถอะครับ พี่ขอร้อง” เมื่อประโยคนี้ถูกตะโกนออกมาจากปากพี่ศิแบบนี้ก็เท่ากับว่าผมนายรณกร win แล้วล่ะครับ ผมไม่ได้คิดแค่จะให้พี่ศิแกได้ยินบทสนทนาของผมเท่านั้น ผมยังอยากให้พี่ศิแกเสียฟอร์มต่อหน้า (แม้จะไปแค่เสียงก็เถอะ) เพื่อนผมด้วย  ปกติผมมักจะโดนพี่ศิแกล้งให้เสียฟอร์มต่อหน้าเพื่อน ๆ แต่บางทีผมก็อยากเอาคือพี่ศิบ้างก็เท่านั้นและตอนนี้มันก็สำเร็จแล้วครับ พี่ศิแกติดกับผมเข้าเต็มเปา


ผมหันไปส่งรอยยิ้มชั่วร้ายให้กับพี่ศิ ก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง ส่วนเพื่อน ๆ ของผมนี่ต่างตะโกนล้อเลียนพี่ศิกันเสียยกใหญ่ และตอนนี้พี่ศิท่าทางจะรู้ตัวแล้วล่ะครับว่าแกโดนผมแกล้งเอา นั่นก็เป็นเพราะใบหน้าคมของพี่ศินี่แดงยิ่งกว่าตอนผมโดนดึงไปซบที่อกพี่เขาเสียอีก


เสียงเพื่อนของผมนี่ยังคงพูดล้อพี่ศิกันไม่หยุด ส่วนผมนี่นั่งขำจนน้ำตาไหลแล้วล่ะครับ และสภาพการณ์แบบนี้ยังคงดำเนินต่อไปจนพวกผมทั้งสองคนถึงคอนโด


ผมซึ่งลงจากรถก็ยังคงเดินกอดช่อดอกไม้ที่พี่ศิให้และคุยโทรศัพท์ของเพื่อนๆอยู่ ส่วนพี่ศิเหรอครับ ตอนนี้รับหน้าที่เป็นเจเนอรัลเบ้ถือกระเป๋าให้ผมอยู่ครับ ผมเดินตรงเข้าไปในลิฟต์และความฉิบ (หาย) ของผมก็เกิดขึ้นครับ เพราะทุกท่านก็น่าจะรู้ดีว่าการที่เราเข้ามาในลิฟต์แล้วสัญญาณมือถือจะหายไป ซึ่งไอเรื่องนี้มือถือยี่ห้อดังอย่าง แอป –beep- ก็ไม่เว้นครับ เมื่อบานประตูปิดลง เสียงของคู่สนทนาของผมก็หายไปพร้อมกับสัญญาณโทรศัพท์มือถือ


ผมยืนนิ่งสนิทอยู่ภายในลิฟต์ ก่อนจะเม้มปากตนแน่น ออร่าไม่น่าไว้ใจแผ่กระจายมาจากทางด้านหลังของผมพร้อมกับร่างสูงที่ค่อย ๆ เขยิบเข้ามาประชิด


“กรครับ…เมื่อครู่นี้รู้สึกว่าจะหัวเราะชอบอกชอบใจน่าดูเลยนะครับ” เสียงทุ้มกระซิบแผ่วเบาข้างใบหูของผม ส่วนผมที่โดนกระซิบข้าง ๆ หูน่ะเหรอ…ขนลุกตั้งแต่หัวจรดเท้าเลยครับ ไอตอนที่ผมคิดจะแกล้งพี่ศิ ผมไม่ได้คิดผลลัพธ์ที่ตามมาครับ ดังนั้นผมก็เลยไม่สามารถตอบโต้อะไรพี่ศิไปได้นอกจากการพูดว่าครับตอบกลับไป


“คะ...ครับพี่ศิ” ผมด้วยด้วยน้ำเสียงสั่นกลัว  (อันนี้นี่ผมกลัวจริงนะครับ พวกคุณก็รู้คนอย่างว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์ร้ายกาจแค่ไหน!)


“ทำไมเสียงสั่นแบบนั้นล่ะครับ กร” น้ำเสียงเย็น ๆ นิ่ง ๆ ยังคงพูดอยู่ข้างหูของผม มือกร้านค่อย ๆ ยกขึ้นมาแตะที่บ่าของผมและดันให้ผมออกจากลิฟต์ไป (พอดีประตูลิฟต์นี่เปิดตรงชั้นที่ 14 พอดีครับ )ผมสาวเท้าตามแรงดันและไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้อง 1404 ซึ่งเป็นที่พำนักของพี่ศิรวิทย์ครับ



ร่างสูงเอี่ยวตัวมาปลดล็อคบานประตูพร้อมกับร่างสูงดันให้ผมเดินเข้าไปในห้อง และเมื่อบานประตูห้องปิดลงอีกครั้งคราวนี้แหละมันคือคราวซวยเวอร์ชั่นฉิบ (หาย) ของผมแล้วครับ ร่างสูงนั้นพาผมไปนั่งที่โซฟา ส่วนตัวเองก็ไปจัดเตรียมอะไรต่าง ๆ นานาในห้องครัว พี่ศิเดินออกมาจากห้องครัวพร้อมกับจานของว่างกับแก้วน้ำส้มสองแก้ว ผมไม่รู้ว่าพี่ศิจะทำอะไรและไม่ทันที่ผมจะได้ถามอะไรกับพี่เขา  ร่างสูงที่เคยยืนอยู่เมื่อสักครู่ก็ทิ้งตัวลงนอนบนตักของผม พร้อมกับดวงตาที่ปิดสนิทลง


“บทลงโทษ ตักของกรต้องเป็นหมอนให้พี่หนึ่งอาทิตย์” พี่ศิพูดพร้อมกับหลับตาลงใบหน้าคมของพี่ศินั้นดูอ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด ท่าทางการเรียนไปด้วยและดูแลผมที่นอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาลไปด้วยท่าทางมันจะทำให้พี่ศิเหนื่อยน่าดูเลยนะครับ ผมก้มหน้ามองลงไปที่ใบหน้าของเขา ก่อนจะใช้นิ้วเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าของพี่ศิอยู่ ผมจ้องมองอย่างนั้นไปสักพักและในท้ายที่สุดผมก็ตัดสินใจถอดแว่นของพี่ศิออกให้



v
v
v
v
v
v
v
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-12-2013 18:35:50 โดย S_oKiss »

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
ใบหน้าคมยามไร้แว่นช่างดูไม่คุ้นตา ทว่ามันกลับทำให้ผมรู้สึกเก้อเขินขึ้นมายังไงก็ไม่รู้สิ ครั้นจะจับสวมแว่นแบบเดิมก็ไม่ได้ ผมจึงได้แต่จำใจปล่อยให้ร่างสูงกว่านอนหลับบนตักต่อไป ส่วนผมก็นั่งดูทีวีไปและกินขนมไปครับ เวลาผ่านไปสักสามสิบนาทีคนที่นอนหลับอยู่บนตักของผมก็ลืมตาตื่นครับ มือกร้านถูกยกขึ้นมาขยี้ตาเบาๆ ผมหัวเราะในท่าทางนั่น ก่อนส่งแว่นตาของเขาที่อยู่ในมือผมไปให้


“พี่ศิครับ แว่นอยู่นี่ครับ” ร่างสูงที่รู้สึกยังไม่ตื่นดียื่นมือมารับแว่นมาด้วยความงุนงง ก่อนจะกางขาแว่นเพื่อใส่มัน (บางทีผมก็รู้สึกว่าพี่ศินี่ดูดีทุกมุมมองเกินไปนะครับ เพราะพี่แกดูดีแม้กระทั้งตอนตื่นนอนและที่สำคัญไปกว่าการตื่นนอนของพี่ศิเวลาพี่เขาถอดแว่นนี่…โค-ตะ-ระ ดูดีเลยครับ ใบหน้ายามไร้แว่นของพี่แกเล่นเอาผมใจเต้นไปวูบหนึ่งเลย)


“กรครับ พี่หลับไปกี่นาทีเนี่ย” ร่างสูงที่ยันกายขึ้นหันมาถามผมพร้อมกับเซทผมตัวเองให้เข้าที่


“ก็ราว ๆ สามสิบนาทีได้ครับ หิวหรือเปล่าอ่ะ พี่ศิยังไม่ได้ทานข้าวกลางวันเลย นี่ก็จะบ่ายสองโมงแล้ว” ผมพูดตอบพร้อมกับปรายตาไปมองที่นาฬิกาที่ตั้งอยู่บนทีวี เมื่อผมพูดเช่นนั้นพี่ศิก็แสดงอาการตกใจออกมาพร้อมกับหันหน้ามาทางผม “ปวดท้องหรือเปล่าครับ กร” ที่พี่ศิถามผมแบบนี้ นั่นก็เป็นเพราะว่าถ้าผมทานข้าวไม่ตรงเวลา ผมจะปวดท้องมาก ๆ ครับ แต่วันนี้ผมไม่เกิดอาการปวดท้องเท่าไหร่เลยนะ นั่นเป็นเพราะว่าผมกินขนมที่พี่ศิแกเอามาให้ผมไปนิดหน่อยแล้วก็ได้มั้งครับ แต่การที่พี่ศิแกทักผมมาแบบนี้ ท้องของผมก็เริ่มจะร้องครวญครางนิดหน่อยแล้วล่ะครับ


“ยังไม่ปวดครับ แต่พี่ศิทักมา ท้องกรก็เริ่มจะร้องแล้วอ่ะ” ผมส่ายหัวปฏิเสธ แต่ผมก็เอามือลูบท้องที่เริ่มครวญครางเบา ๆ ซึ่งพี่ศิที่เห็นท่าทางแบบนั้นของผม เขาก็หลุดยิ้มออกมาก่อนจะลุกขึ้นตรงไปที่ห้องครัวเพื่อทำอาหารกลางวัน (แม้ว่าช่วงเวลากลางวันมันจะเลยมาร่วม 2 ชั่วโมงแล้วก็เถอะครับ) ผมนั่งกอดเข่ามองดูโทรทัศน์ไปสักพัก ถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสองถ้วยก็วางตรงหน้าของผมครับ คราวนี้พี่ศิเอาอาหารประจำชาติไทยมาให้ผมทาน แต่มาม่าฝีมือพี่ศิไม่ธรรมดาหรอกนะครับ! ไม่ใช่แต่มาม่าใส่น้ำร้อน แต่มาม่าสูตรพี่ศิใส่ไข่ใส่หมูสับ (หมักปรุงรส) ด้วยนะครับ! และที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือมันอร่อยมากเลยครับไอมาม่าสูตรพี่ศิเนี่ย แต่เสียอย่างครับ พี่ศิมักจะไม่ทำให้ผมกินเพราะว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไม่ค่อยดี ของกินที่ดีจริงๆ ต้องพวกข้าว ผักและเนื้อสัตว์ครับ


“ว้าว มาม่า กรไม่ได้กินมาตั้งหลายวันแล้ว โอย..น่าอร่อยจังเลย” ผมพูดด้วยน้ำเสียงยินดีพร้อมกับเอื้อมมือไปถือถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปขึ้นมาทานอย่างเอร็ดอร่อย


“พี่ไม่ค่อยอยากให้กรกินเลย แต่ช่วยไม่ได้เพราะไม่มีอะไรที่จะทำได้รวดเร็วเท่านี้อีกแล้ว เพราะถ้าไม่หาอะไรให้กรกินให้หนักท้อง เดี๋ยวกรก็ปวดท้องขึ้นมาอีก อันนั้นจะแย่ยิ่งกว่า” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงข้าง ๆ ผมพร้อมกับเอื้อมมือไปถือถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปขึ้นมากินเช่นเดียวกับผม เราสองคนนั่งทานกันไปดูโทรทัศน์กันไปสักพัก ในที่สุดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในถ้วยของผมและพี่ศิก็หมดลง ผมถือถ้วยของตัวเองไว้พร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบถ้วยของพี่ศิ เพื่อที่จะเอาไปทำความสะอาด ซึ่งคุณพี่ศิรวิทย์แกก็ยอมให้ผมจัดการครับ ผมลุกขึ้นเดินพร้อมกับถือถ้วยชามที่ต้องทำความสะอาดสายตาก็พลางเหลือบมองไปยังพี่ศิที่ยังคงนั่งอยู่บนโซฟา ท่าทางแบบนั้นพี่ศิคงยังจะไม่หายเพลียนะครับ เพราะร่างสูงนั้นล้มตัวลงนอนอีกครั้งแล้วล่ะครับ


ผมได้แต่อมยิ้มมองท่าทางของพี่ศิที่อ่อนเพลีย ก่อนจะทำความสะอาดจานและเครื่องครัวทั้งหมดให้พี่ศิ และเมื่อภารกิจทั้งหมดนั้นเสร็จสิ้น ผมก็เดินไปนั่งบนโซฟาเดี่ยวที่ตั้งอยู่ข้างๆโซฟายาวที่พี่ศิแกนอนอยู่ พร้อมกับยกขาขึ้นมากอดเข่าสายตาก็พลางมองร่างสูงที่ยังคงหลับสนิทอยู่แบบนั้น


ท่าทางการดูแลผมเวลาป่วยมันน่าจะหนักจริงๆ สงสัยคงต้องให้รางวัลกับพี่ศิโดยการไปเที่ยวทะเลตามคำชวนของเขาแล้วมั้งครับแบบนี้


ผมยังคงนั่งมองพี่ศิต่อไป เสียงโทรทัศน์ยังคงแทรกมาเรื่อยๆ แต่ผมกลับไม่ได้ใส่ใจมันเลยสักนิด ผมยังนั่งกอดเข่ามองพี่ศิต่อไปเรื่อยๆ จนในที่สุดเสียงเคาะประตูห้องก็ทำให้ผมสะดุ้งพร้อมกับรีบรนลานไปเปิดประตูห้อง


“มาแล้วครับ มาแล้ว” ผมถลาตัวไปเปิดประตูพร้อมกับส่งยิ้มไปให้ผู้มาเยือนที่อยู่ทางด้านนอก ซึ่งคนที่อยู่ทางด้านนอกก็เป็นใครไม่ได้เลยนอกจากสองสหายสุดซี้ของพี่ศินั่นเองครับ


“น้องกรของพี่วิ มาเตรียมตัวเป็นว่าที่เจ้าสาวที่ห้องของไอศิมันเหรอ” เสียงพี่วิดังขึ้นพร้อมกับร่างเล็กของเธอที่แทรกตัวเข้าไปในห้อง พี่วิสาวเท้าเดินไปยังห้องนั่งเล่นที่พี่ศิแกนอนอยู่ รอยยิ้มร้ายของพี่วิก็คลี่ยิ้มออกมาพร้อมกับตะโกนเรียกผมให้หาปากกากันน้ำมาให้ ดูเหมือนว่าพี่วิแกคงอยากจะแกล้งพี่ศิที่กำลังหลับอยู่มั้งครับแบบนี้  ซึ่งเรื่องแบบนี้ผม…ขอสนับสนุนพี่วิเต็มที่เลยครับ ผมวิ่งวนในห้องพร้อมกับหาปากกาเมจิกมาให้พี่วิกับพี่เตอร์กันคนละแท่ง ส่วนผมก็ยืนรอชมผลงานของพี่ ๆ ทั้งสองอย่างใจจดใจจ่อ


พี่วิเปิดปากกาเมจิกกันน้ำพร้อมจ่อปลายปากกาไปที่ใบหน้าของพี่ศิ ส่วนพี่เตอร์ก็เปิดปลอกปากกาเมจิกกันน้ำเตรียมจ่อรอคิวเสียบต่อพี่วิครับ และในขณะที่พี่วิจะจรดปลายปากกาลงไปบนใบหน้าของพี่ศิเปลือกตาหนาที่เคยปิดสนิทก็ลืมตื่น พี่วิถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกใจ ส่วนพี่เตอร์รีบทิ้งหลักฐานที่อยู่ในมือของตัวเองทันที


“เธอตั้งใจทำอะไร วิรดา” เสียงทุ้มเอ่ยนิ่งสนิท ดวงตาทั้งสองข้างของพี่ศิจ้องเขม่งไปยังปากกาเมจิกที่อยู่ในมือของพี่วิ


“เปล่าจ้ะ วิรดาไม่ได้ตั้งใจจะทำอะไรศิรวิทย์เลยนะคะ เนอะรเณศ เนอะน้องรณกร” พี่วิพยายามเอ่ยปากปฏิเสธ แต่ในเมื่อหลักฐานมันคามือของเธออยู่ ข้อแก้ตัวอะไรของพี่วิก็ช่วยเธอไม่ได้ครับ แต่ก็ยังดีที่พี่ศิแกไม่ได้ถือสาอะไรพี่วิเขาครับ ร่างสูงยันตัวขึ้นพร้อมกับใช้มือหยิกปากกาเมจิกกันน้ำมาเสียบปลอกพร้อมกับลุกขึ้นยืนมาหาผม


“ทำไมไม่ปลุกพี่ล่ะครับ นี่ก็เข้าช่วงเย็นแล้ว เดี๋ยวเย็นนี้กรได้กินมาม่าอีกหรอก” พี่ศิพูดพร้อมกับขยี้หัวของผมเบา ๆ ใบหน้าคมนั้นส่งรอยยิ้มน้อย ๆ ทว่าร่างสูงนั้นยังคงแสดงอาการอ่อนเพลียออกมาอยู่อีก


ผมยกมือขึ้นไปดึงมือของพี่ศิออกมาจากหัวของผมพร้อมกับทำแก้มป่องน้อย ๆ ใส่พี่ศิไป “ก็กรเห็นพี่ศิเพลียนี่นาก็เลยไม่อยากจะปลุก อยากให้นอนพักผ่อนแบบเต็มที่” ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะงอนพี่ศิออกไป


ซึ่งไอบรรยากาศงอนง้อพวกนี้มันเกิดขึ้นโดยที่ผมกับพี่ศิลืมนึกถึงพี่วิรดากับพี่รเณศไปเลยครับ ร่างสูงนั้นเดินจูงมือผมเข้าไปในครัวพร้อมกับถามนั่นถามนี่ผม ว่าผมนั้นอยากจะทานอะไร ซึ่งในท้ายที่สุดพี่วิก็ทนไม่ไหวพร้อมกับแผดเสียงกรีดร้องออกมาซะดัง


“ไอศิ ถ้าพวกแกจะสวีทหวานกันแบบนี้ พวกฉันกลับก็ได้ คนเค้าอุตส่าห์เป็นห่วง เห็นหน้าซีด ๆ ตอนราวด์รอบเช้าเลยมาเยี่ยม…แต่พอเพื่อนมาหาด้วยความเป็นห่วง แกกลับสวีทหวานกับสุดที่รัก นี่มันจะมากไปแล้วนะโว้ย เห็นเพื่อนเป็นอะไรวะ” เสียงพี่วิกรีดร้องเพราะทนไม่ไหวกับบรรยากาศสวีทหวาน? ที่ผมกับพี่ศิสร้างขึ้น ซึ่งเมื่อเสียงของพี่วิเงียบล คุณพี่ศิรวิทย์ที่รักของทุกคนก็ปรายตามองไปที่ร่างของหญิงสาวพร้อมกับกล่าวถ้อยคำที่โคตรจะไม่รักษาน้ำใจพี่วิแกออกมา


“ก็กลับไปดิ” พี่ศิหันไปตอบพี่วิแบบไม่คิด ซึ่งพี่วินี่แทบจะกระโดดมางับคอพี่ศิเขา ทว่าประโยคที่เอ่ยออกมาจากริมฝีปากหนานั้นยังไม่จบลง เสียงทุ้มเอ่ยออกมาอีกครั้งและครั้งนี้ทำให้พี่วิแทบจะหันมากระดิกหางใส่พี่ศิเลยล่ะครับ “ถ้าจะกลับก็ไม่ได้กินข้าวเย็น วันนี้จะทำสเต็ก คำนวณไว้แล้วว่าพวกแกจะมาก็เลยเตรียมเนื้อไว้แล้ว ถ้าพูดแบบนี้ยังจะกลับอยู่หรือเปล่า”


ผมหันไปมองพี่ศิที่พูดออกมาลอยแล้วก็หลุดขำออกมาเบาๆ ถ้าพี่ศิอยากจะชวนเพื่อนให้ทานข้าวเย็นด้วยกันแบบนี้ ไม่ต้องทำเป็นเก๊กก็ได้ครับ แค่บอกไปตรง ๆ เท่านั้นก็จบแล้ว


เฮ้อ…แต่ว่าที่พี่ศิทำแบบนี้ มันก็สมกับเป็นพี่ศิแล้วแหละครับ ถ้าเกิดพี่ศิไม่เย็นชากับคนรอบข้างหรือเพื่อนๆ  คนๆนั้นก็ไม่ใช่พี่ศิครับ (แต่สำหรับผมอาจจะเป็นข้อยกเว้นก็ได้มั้งครับ)


เมื่อเสียงของพี่ศิเงียบลง พี่วิก็รีบวิ่งเข้ามาให้ห้องครัวพร้อมกับคว้าผ้ากันเปื้อนมาใส่เพื่อช่วยพี่ศิ และพี่เตอร์ก็ทำเช่นเดียวกันกับพี่วิครับ ดังนั้นในตอนนี้ภายในห้องครัวมีผู้ชายร่างสูงแออัดกันอยู่ 3 คน และหญิงสาวร่างผอมบางอีก 1 คน ซึ่งสภาพการณ์ในตอนนี้ผมผู้ทำงานครัวไม่เป็น (นอกจากการทำเบเกอรี่) ก็ขอตัวออกจากห้องครัวก่อนแล้วกันนะครับ


ผมถอดผ้ากันเปื้อนออกจากตัวพร้อมกับสาวเท้าไปนั่งรอที่โต๊ะทานข้าวที่ตั้งอยู่ไม่ห่างจากห้องครัว ผมนั่งเตะเท้าไปมารอพวกพี่ ๆ เขาช่วยกันทำกับข้าว พอมานั่งมองดูแบบนี้แล้วมันก็เพลินดีเหมือนกันครับ มองพี่ ๆ แต่ละคนทะเลาะกัน ตีกันเรื่องวิธีการทำอาหาร ต่างคนต่างสไตล์กันครับ พี่ศิทอดสเต็กและทำน้ำเกรวี่ พี่วิทำน้ำสลัด และสุดท้ายพี่เตอร์หั่นผักที่ใช้ทำสลัดครับ (ความจริงคนที่ทะเลาะมีแค่พี่ศิกับพี่วิเท่านั้นแหละครับ พี่เตอร์แกใช้สมาธิในการหั่นผักมากเพราะแกกลัวโดนมีดบาดครับ) มองเท้าคางมองพี่ ๆ ตีกัน เอ้ย...เถียงกันเรื่องทำอาหารไปอีกสามสิบนาที ในที่สุดเสต็กฝีมือพี่ศิก็เสร็จครับ อ่อ..สลัดผักฝีมือพี่วิกับพี่เตอร์ก็เสร็จแล้วด้วยเหมือนกัน


ทั้งสามคนค่อย ๆ ทยอยกันเอาอาหารมาวางที่โต๊ะทานข้าว ซึ่งผมก็ทำตัวเป็นเด็กดีหยิบแก้วน้ำและช้อนส้อมมาวางเรียงกันตามจำนวนคนที่อยู่ในห้องครับ พอทุกอย่างจัดเรียงกันจนครบขั้นตอนต่อไปนั่นก็คือการกินครับ


ผมเดินไปนั่งที่ประจำที่อยู่ตรงข้ามกับพี่ศิ ส่วนพี่วิกับพี่เตอร์กำลังตบตีแย่งชิงที่นั่งกันครับ ด้วยเหตุผลที่ว่าสเต็กในจานของที่นั่งข้างพี่ศิมันชิ้นใหญ่กว่าอีกจาน พี่ ๆ ทั้งสองเลยแย่งชิงกันว่าใครจะสเต็กชิ้นนั้นไปครับ ผมได้แต่เท้าคางมองภาพนั้นด้วยความปลง ก่อนจะนั่งหั่นเสต็กทานตามพี่ศิไป ผ่านไปสองนาทีพี่วิกับพี่เตอร์แกก็ตกลงกันได้ครับเพราะพี่เตอร์แกใช้ทริกสุดท้ายในการเข้าข่มขู่พี่วิ ซึ่งคำข่มขู่นั่นทำให้พี่วิเดินคอตกมานั่งข้าง ๆ ผม (พวกคุณอยากรู้ไหมครับว่าคำข่มขู่นั่นมันคือคำข่มขู่แบบนั้น…มันเป็นคำที่ผู้หญิงทุกคนกลัวยังไงครับ ไอคำว่า ‘อ้วน’ น่ะ)


พวกเราทั้งสี่คนทั่งทานอาหารในจานของตัวเองไปสักพัก ในที่สุดผมกับพี่ศิก็ทานกันหมด ซึ่งผมกับพี่ศิทานกันหมดก่อนพี่วิกับพี่เตอร์ครับ เราทั้งสองก็เลยนั่งคุยกันไปหยอกล้อกันไปพลางรอพี่ ๆ อีกสองคนนั่งทานกันจนหมดครับ และอีกสิบนาทีต่อมาพี่วิกับพี่เตอร์ที่ตบตีแย่งชิง (สเต็กที่ชิ้นใหญ่กว่า) ก็ทานกันจนเสร็จครับ ด้วยเหตุนี้ผมก็ทำหน้าที่เป็นคนทำความสะอาดครับ เพราะว่าพี่ ๆ ทั้งสามคนเป็นคนทำอาหารให้ทานแล้ว ผมก็ต้องตอบแทนด้วยการทำความสะอาดถ้วยชามทั้งหมดให้นั่นเอง


ผมยันกายให้ลุกขึ้นพร้อมกับยื่นมือไปเก็บจานที่วางอยู่เบื้องหน้าทุกคนมารวมกันและยกมันไปวางไว้ที่อ่างล้างจาน ซึ่งพี่ศิแกก็ไม่ปล่อยให้ผมทำความสะอาดคนเดียวครับ ร่างสูงลุกขึ้นเดินตามผมและทำหน้าที่เดิมก็คือคอยล้างน้ำยาล้างจานให้ส่วนผมล้างน้ำเปล่าครับ


พี่วิกับพี่เตอร์ที่ทานกันจนอิ่มพี่ ๆ ทั้งสองคนก็ทำหน้าที่เดิม (เหมือนกับผมที่ทำหน้าที่เดิมคือการล้างจาน แต่สำหรับพี่เขาทั้งสองคนนั่นก็คือการนอนกลิ้งบนโซฟาและพื้นครับ) ในบริเวณห้องนั่งเล่นครับ


ผมยืนล้างจานและเครื่องครัวกับพี่ศิไปสักครู่หนึ่ง พี่วิกับพี่เตอร์ที่ดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออกก็ตะโกนออกมาจากห้องนั่นเล่นเพื่อขอตัวกลับหอของตัวเองไปก่อนครับ  ซึ่งพี่วิกับพี่เตอร์ก็น่ารักกันมากครับ ก่อนจะออกจากประตูไปยังมีมอบถ้อยคำส่งท้ายทำเอาผมอยากจะปล่อยเบลอเรื่องรุ่นพี่รุ่นน้องไปกระโดดยันพี่เขาสักทีสองทีเลยครับ


“น้องกรครับ ไอศิครับ เพื่อนเตอร์กับเพื่อนวิขอตัวกลับก่อนนะครับ พอดีไม่อยากอยู่เป็น ก ข ค คู่สามีภรรยาที่ภรรยาเพิ่งหายป่วยจากไข้ครับ” พี่เตอร์แกโบกมือลาและออกจากห้องไปก่อน ส่วนพี่วิผู้ใจกล้าและไม่เกรงกลัวพี่ศิ  เธอเดินเข้ามากุมมือของผมครับ แต่รู้สึกว่าแกไม่ได้ตั้งใจแค่จับมือของผมเท่านั้น เพราะผมรู้สึกว่าพี่วิแกยัดอะไรใส่มือผมมาด้วย เหมือนมันน่าจะเป็นกล่องกระดาษใบเล็ก ๆ ครับ หลังจากที่พี่วิแกส่งมอบของปริศนาให้ผม เธอก็ปล่อยมือพร้อมกับเดินยิ้มและวิ่งออกไปจากห้องของพี่ศิ
ผมได้แต่มองตามแผ่นหลังของทั้งสองคนด้วยความงุนงง ก่อนจะมองสิ่งที่อยู่ในมือหัวเองและกรีดร้องออกมาเสียงดังลั่นห้อง “เฮ้ยยย!!...นี่มัน!...พี่วิ พี่ให้อะไรผมมา”


ผมเดาหน้าตาของพี่วิกับพี่เตอร์แกออกเลยครับว่าหลังจากที่แกให้ของบ้าๆนี่กับผมแล้ว ทั้งสองคนจะแสดงสีหน้าออกมาเป็นแบบไหน ทุกๆคนอยากรู้ใช่ไหมครับว่าสิ่งที่พี่วิแกให้ผมมันคืออะไร…ไอผมกระดากปากจะพูดแบบสุดๆ แต่สิ่งที่พี่วิแกให้มามันก็คือ ‘กล่องถุงยางอนามัยยี่ห้อดูเร็กซ์ กลิ่นสตอเบอร์รี่’ ครับ  แถมมันไม่ได้มีแค่สิ่งนั้นนะครับ พี่วิกับพี่เตอร์แกพากันพร้อมใจเขียนกระดาษโน๊ตแปะไว้บนกล่องด้วยและในกระดาษแผ่นนั้นก็เขียนว่า


‘พรุ่งนี้ไอศิมันมีเรียน อย่าหนักหนานะน้องกร พวกพี่เป็นห่วงว่ามันจะไม่มีแรงเรียน จากพี่วิ’ ประโยคนี้เป็นประโยคที่พี่วิแกเขียนให้ผมครับ


ส่วนข้อความของพี่เตอร์เป็น ‘พี่ไม่รู้ว่ากล่องเดียวมันจะพอไหมนะน้องกร แต่ก็อย่างหนักหน่วงแล้วกัน ไอศิมันเพลียจากการดูแลกรที่โรงพยาบาลมา 5 วัน ส่วนกรก็เพิ่งหายป่วยแต่ก็ห้ามไม่ได้ใช่ไหมล่ะ ดังนั้นก็ก็อย่าหนักหน่วงแล้วกันนะครับ จากพี่เตอร์’


พวกพี่ทั้งสองคนคิดว่าผมเป็นอะไรกับพี่ศิครับ ผมนี่แทบจะปากล่องถุงยางอนามัยลงบนพื้น แต่ก็ห้ามใจไว้และเดินเอาหลักฐานที่พี่วิกับพี่เตอร์แกล้งผมไปให้พี่ศิดู ผมยื่นกล่องถุงยางนั่นไปให้พี่ศิด้วยใบหน้าสีแดงก่ำ “พี่ศิ! เพื่อนของพี่ศิแกล้งกรอ่ะ บ้าไปแล้ว เอาของแบบนี้มาให้กรทำไมก็ไม่รู้แถมเขียนอะไรอีกด้วย”


เสียงโวยวายของผมทำให้พี่ศิหันมามองหน้า ก่อนจะก้มลงมองไปที่ฝ่ามือของผม พลันใบหน้าของพี่ศิก็ขึ้นสีแดงก่ำไม่แพ้ผม ก่อนจะหยิบของที่อยู่ในมือผมโยนลงถังขยะไป ริมฝีปากหนาพึมพำคำด่าออกมาแทบไม่เป็นภาษา ส่วนมือของพี่เขาก็ควานหาโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าเพื่อโทรหาสองสหายสุดแสบของตน และไม่ต้องเดานะครับว่าพี่ ๆ ทั้งสองคนนั้นจะรับสายโทรศัพท์หรือเปล่าขอตออบเลยว่า ‘พี่วิกับพี่เตอร์ไม่มีทางรับสายแน่นอน’


เมื่อพี่ศิรัวแป้นพิมพ์ทัชสกรีนจนหนำใจ พี่ศิแกก็โยนโทรศัพท์ของตนไปบนโต๊ะพร้อมกับเอานิ้วทั้งสองข้างนวดบริเวณขมับ
“พี่ศิครับ เป็นอะไรมากไหมครับ” ผมเอ่ยถามออกไปด้วยความเป็นห่วง แต่เสียงของผมที่เอ่ยออกไปทำให้พี่ศิแกสะดุ้งและหันหน้ามามองที่ผมด้วยแววตาประหม่าเล็กน้อย ซึ่งสายตานั่นทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับว่าพี่ศิโดนแฉความลับอะไรบางออกมา ผมกอดอกมองหน้าพี่ศิด้วยแววตาสงสัย ผมมองไปมาระหว่างกล่องถุงยางที่พี่ศิแกโยนลงไปในถังขยะใบหน้าคมของพี่ศิ และในที่สุดผมก็รู้ถึงความจริงที่แสดงออกมาทางสีหน้าและแววตาของพี่ศิรวิทย์ ซึ่งเป็นที่รักของทุกคนครับ พี่ศิแกคิดถึงเรื่องอย่างว่าอยู่ครับ พอผมรู้ความคิดของพี่ศิเข้า ผมนี่แทบจะคว้าหมอนอิงปาใส่หน้าพี่ศิอย่างแรงเลยครับ แต่ก็นะผมรู้ว่าพี่ศิแกไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นกับผม (หรือคิดผมก็ไม่รู้ครับ) ครับ ไม่งั้นผมคงโดนพี่แกจัดการไปนานแล้วล่ะ


ผมกอดอกมองพี่ศิที่หน้าแดงก่ำ ซึ่งเช่นเดียวกับใบหน้าของผมก็แดงก่ำเช่นกัน ใบหน้าของเราสองคนต่างหันหน้าหนีซึ่งกันและกัน จนในที่สุดผมก็กล้าที่จะเอ่ยพูดออกไป ซึ่งประโยคแรกที่ผมเอ่ยออกมานั่นคือคำขอตัวกลับห้องของตัวเอง “พี่ศิ นี่ก็สามทุ่มแล้ว กรขอกลับห้องก่อนนะ”


ผมพูดพร้อมกับเดินไปหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าและช่อดอกไม้ช่อใหญ่ที่พี่ศิให้ผมไว้ ผมกอดมันไว้และเดินตรงไปยังประตูทว่าขาทั้งสองข้างของผมก็หยุดลงเพราะฝ่ามือกร้านที่ตรงมาคว้าข้อมือของผมไว้ ใบหน้าคมนั้นยังคงขึ้นสีแดงก่ำ ริมฝีปากหนาค่อย ๆ เปิดออกพร้อมกับเอ่ยถ้อยคำออกมา


“กรครับ เรื่องที่พี่...ชวนว่ายังไงเหรอครับ” ผมเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยพร้อมกับทบทวนความทรงจำของตัวเอง แต่ดูเหมือนผมจะทบทวนความทรงจำนานไปหน่อยจนพี่ศิเขาต้องเอ่ยถามออกมาอีกครั้ง “ที่พี่พูดชวนกรไปทะเลไง” สิ้นเสียงคำถามนั่น ผมก็ทำหน้าตาเหมือนจะนึกออก ผมพยักหน้าตอบพี่ศิไปน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยขอตัวออกจากห้องไปอีกครั้ง


และเมื่อบานประตูห้อง 1404 ปิดลง ร่างของผมก็วิ่งถลาเข้าห้องของตัวเองทันที และเมื่อผมเข้าไปในห้องของตัวเองแล้วร่างของผมก็ทรุดตัวนั่งลงไปที่พื้นพร้อมมือข้างหนึ่งที่ถูกล้วงเข้าไปในกระเป๋า เพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมา ผมโปรแกรมแอปพลิเคชั่น Line ออกมาพร้อมกับส่งข้อความข้อความหนึ่งไปให้พี่ศิ


“เรื่องไปทะเล กรโอเคครับ…แล้วเสาร์อาทิตย์หน้า กรจะไปหาซื้อชุดว่ายน้ำใหม่ ไปเป็นเพื่อนกรนะครับ ตอนเย็นๆก็ได้ ตกลงแล้วนะครับพี่ศิ”



____________________________________


>[]< ขอบคุณที่ติดตามมาตลอดนะคะ


ปล.ถ้าใครเล่นเฟวจะทราบว่าเดือนเมษามีงานออริอีเว้น (ทางพลอยก็จองไปแล้วหละคะส่วนอะไรที่จะลงความลับซะที่ไหน)




 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด