พิมพ์หน้านี้ - - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้งข่าว] [03/06]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: S_oKiss ที่ 05-09-2013 18:53:47

หัวข้อ: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้งข่าว] [03/06]
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 05-09-2013 18:53:47
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
 


____________________________________________________

(http://i529.photobucket.com/albums/dd340/S_oKiss/Original/1369092.jpg) (http://s529.photobucket.com/user/S_oKiss/media/Original/1369092.jpg.html)




สวัสดีค่ะขอแนะนำตัวก่อนเลยนะคะ เราชื่อพลอยค่ะแอบซุ่มแต่งนิยายมาหลายเรื่องแล้วแต่มักจะไม่ค่อยจบตลอดเลย(ติดเรียนบ้างขี้เกียจบ้างและ...เบลอว่าเคยแต่งไปบ้าง แหะๆ)
และส่วนใหญ่จะแต่งนิยายเป็นแนวแฟนตาซีค่ะแต่คราวนี้ของผันตัวเองมาแต่งเรื่องราวในโลกปกติแนวเลิฟคอมเมดี้ค่ะ รักใส ๆ
ในรั้วมหาลัย ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่เราหันมาแต่งแนวนี้เลยค่ะ ดังนั้นพลอยก็ขอฝากผลงานเรื่องนี้ไว้ด้วยนะคะ

ปล.หากมีข้อผิลพลาดไม่ว่าจะเป็นกฏ หรือ เนื้อหาของนิยายทุกท่านสามารถเตือนหรือติชมได้นะคะ
ปล2.เมื่อคุณอ่านนิยายเรื่องนี้ภาพความคิดเกี่ยวกับนักศึกษา/นิสิตแพทย์ปี4 ขึ้นไปอาจจะเปลี่ยนไป
(เพราะนิสัยตัวละครการกระทำของตัวละครบางการกระทำของนิสิต/นักศึกษาแพทย์ในเรื่องนี้เราหยิบมาจากนักศึกษาแพทย์ที่เป็นเพื่อนของเราดังนั้นนี่คืออีกมุมมองหนึ่งของ นิสิต/นักศึกษาแพทย์ค่ะ พวกคุณอาจจะสลัดภาพนักศึกษา/นิสิตแพทย์ผู้เขร่งขรึมและดูเคร่งเครียดตลอดเวลาไปได้นะคะ)



หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Intro] 05/09/2013
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 05-09-2013 18:57:13



Intro



   เสียงตะโกนคำสั่งบ้าบอของเหล่าเพื่อนตัวร้ายมันดังก้องอยู่ในหัวของผม มันเป็นคำสั่งที่มีผลมาจากการเล่นเกมส์ที่เกี่ยวกับพวกอบายมุกหรือเรียกง่าย ๆ คือการเล่นไพ่ซึ่งก่อนเล่นพวกผมนั้นตกลงกันไปว่าถ้าใครแพ้ติดต่อกันสามตาจะต้องทำตามคำสั่งของเพื่อน ๆ ในกลุ่มทั้งหมดหนึ่งคำสั่งและนั่นก็ทำให้ผมต้องมายืนอยู่หน้าผู้ชายคนหนึ่งที่ผมก็ไม่เคยแม้แต่จะรู้จักเขา ไม่รู้แม้ทั่งคณะที่เขาเรียนอยู่ และไม่รู้ด้วยว่าเค้าอยู่ชั้นปีไหนแม้เค้าจะดูหน้าใส่ดุจดั่งเฟรซชี่คณะวิศวะแบบผม แต่ด้วยเท็กซ์บุ๊คเล่มหนาที่ถืออยู่ในมือและแว่นสายตาที่ดูจะหนาพอตัวของเขาทำให้ผมรู้เลยว่าผู้ชายตรงหน้าผมนั้นไม่ใช่นิสิตชั้นปีที่ 1 เช่นผมและแน่นอนเขาก็ไม่ใช่รุ่นพี่คณะผมเสียด้วย


   “น้องมีอะไรหรือเปล่าครับถึงได้มาจับมือพี่ไว้ หรือว่าหลงทางในมหาลัย” เสี่ยงทุ้มนุ่มลึกของรุ่นพี่ที่ผมไปถือวิสาสะคว้ามือเขาไว้เมื่อครู่เอ่ยขึ้นทำให้ตัวของผมหลุดออกจากผวังความคิดของผม


   “เออ…คืองี้พี่ จะว่ามีธุระอะไรก็ว่าได้แต่จะเรียกว่าไม่มีก็เรียกได้นะครับ” ผมพูดโดยใช้คำที่วกวนนิดหน่อยพูดออกไปแม้ว่าผมจะมีธุระกับพี่เขาจริง ๆ แต่มันก็ไม่ใช่ธุระที่เจาะจงกับพี่เขาโดยตรง ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะเงยหน้านิดหน่อยเพื่อไปจ้องนัยน์ตาสีดำคมกริบที่ซ่อนอยู่ภายใต้แว่นสายตากรอบสีเหลี่ยมสีดำสนิท


   “น้องครับ ถ้าไม่มีธุระช่วยปล่อยมือพี่หน่อยนะครับพอดีพี่ต้องรีบไปเขาเลคเชอร์ของอาจารย์หนะครับ” เสียงทุ้มนั้นเอ่ยขึ้นอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มจาง ๆ ที่มอบมาให้ผม


   ให้ตายเถอะถ้าผมเป็นผู้หญิงคงหลุดกรีสพร้อมกับลงไปกอดขาพี่เค้าแล้ว คนบ้าอะไรหน้านิ่ง ๆ ก็ดูดี ยิ่งยิ้มแม่มยิ่งโคตรดูดี นี่ขนาดใส่แว่นนะถ้าไม่ใส่แล้วมันจะขนาดไหนกันหละครับ ไอคุณน้องกรคนนี้อิจฉานัก ผมอาจจะไมได้บอกชื่อของผมกับพวกคุณสินะครับ ผมชื่อรณกร กิตติพงษ์พิพัฒน์  หรือคุณจะเรียกผมว่ากร ไอ้กร ไอเชี่ยกร หรือไอคุณน้องกรอย่างที่พวกรุ่นพี่ที่คณะของผมเรียกก็ได้นะครับเพราะยังไงผมถือว่าชื่อพวกนี้พวกคุณเรียกผมด้วยความเคารพในกิตติศัพท์ความเกรียนของผมแน่นอนก่อนที่ผมจะออกทะเลไปยิ่งกว่านี้มีเสียงเสียงหนึ่งเรียกเตือนสติผมอีกครั้งแต่ครั้งนี้มันไม่ได้มาชายไอผู้ชายสุดหล่อตรงหน้าผม


   “ไอเชี่ยกรครับ…เมื่อไหร่คุณมรึงจะรีบ ๆ รับบทลงโทษของพวกกรูสักทีล่ะครับ เพื่อนบาสคนนี้รอคอยคำสารภาพรักสุดหวานซึ้งของมรึงอยู่นะครับ” จบเสียงพูดของไอเชี่ยบาส เสียงโห่ร้องของเฟรซซี่วิศวะชั้นปีที่ 1 ที่นั่งอยู่บทโต๊ะหินอ่อนด้านหลังของผมก็ดังขึ้นและมันก็ยิ่งทำให้ผมประหม่ายิ่งขึ้นไปอีก หลังจากที่ผมประหม่าสุด ๆ ตอนนี้กลายเป็นว่าผมประหม่าขั้นเทพเลยครับ


   ให้ตายเถอะคุณพ่อ คุณแม่ คุณเจ้ และคุณน้อง ๆ ที่รักยิ่งของท่านกรคนนี้ต้องมาทำเรื่องเสียศักดิ์ศรี หรือเสียเชิงชายโดยการสารภาพรักกับชายหนุ่ม ใช่แล้วครับคุณฟังไม่ผิดหรอกผมต้องสารภาพรักกับชายหนุ่ม! เพราะบทลงโทษบ้า ๆ ที่ผมเล่นอบายมุกแพ้ไอเพื่อนบ้า ๆ พวกนั้นทำให้ผมต้องมายืนจับแขนรุ่นพี่สุดเพอเฟกที่อยู่คณะไหนก็ไม่รู้แบบนี้ ยิ่งไอพวกเพื่อน ๆ ผมเสียงดังยิ่งทำให้ผมกับรุ่นพี่ที่อยู่ตรงหน้านั้นเป็นจุดสนใจมากยิ่งขึ้นไอเราที่อายจะตายอยู่แล้วยิ่งอยากจะตายให้ดูเลยจริง ๆ แม่มเสียงพวกมรึงนี่แหละที่ยิ่งเพิ่มความอับอายให้กรูขึ้นไปอีก


‘ไอเพื่อนเวร…อย่าให้ถึงทีกรูบ้างนะพวกมรึง’ ผมเอ่ยอย่างเคียดแค้นในใจ


   “น้องครับถ้าไม่มีอะไรพี่…” รุ่นพี่คนนั้นพูดช้า ๆ พร้อมกับค่อย ๆ แกะมือของผมออกจากข้อมือของเขาอย่างเบามือแต่ผมกลับตะโกนสวนกลับไปเสียก่อน “ไม่พี่ไม่!!! ผมมีธุระกับพี่จริง ๆ นะ” แม้ประโยคแรกผมจะตะโกนออกไปแต่ประโยคหลังเนี่ยล่ะผมกลับเอ่ยเสียงอ่อยราวกับคนใกล้หมดลมหายใจ


   “ครับ?” พี่เขาตอบรับคำพูดของผมด้วยน้ำเสียงที่งุนงง ปนตกใจเล็กน้อยพร้อมกับหยุดชะงักมือที่กำลังแกะมือของผมจากข้อมือข้างขวาของเขา ผมสูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ พร้อมกับทอดถอนลมหายใจของตัวเองออกมาเฮือกใหญ่ดวงตาทั้งสองข้างของผมหลับตาปี๋พร้อมกับเอ่ยคำพูดออกไปดัง ๆ ราวกับว่าคนที่ยืนอยู่ข้างหน้าของผมนั้นเป็นคนหูตึง ซึ่งผมคิดว่าไอคำพูดนี้ของผมน่ะมันคงดังไปทั่วและทำให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาแถวนั้นหันมามองผมและรุ่นพี่คนนี้เป็นตาเดียว


   “ผมชอบพี่ครับ! ได้โปรดคบกับผมด้วย” เอ่ยจนจบประโยค ไอผมนี่แทบจะแทรกแผ่นดินหนี ไอพวกเพื่อน ๆ เวรปนพวกรุ่นพี่ที่ผมสนิทต่างหัวเราะชอบใจกันเสียยกใหญ่ที่ทำให้ไอคุณน้องกรสุดที่รักหรือไอเพื่อนเชี่ยกรสุดเกรียนคนนี้อับอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนีได้ ผมค่อยลืมตาของตัวเองขึ้นก่อนจะเหลือบไปมองหน้าคมที่ค่อนข้างจะเหวอเล็กน้อยหลังจากได้ยินคำบอกรักสุดร้อนแรงที่ผมได้มอบให้เค้าไป


   ทุก ๆ ท่านได้โปรดอย่าเข้าใจผิดนะครับไอคุณน้องกรคนนี้มิได้มีรสนิยมชมชอบไม้ป่าเดียวกันเหตุผลมันอย่างที่บอกไปด้านบนนั่นล่ะผมอ่ะแพ้ไอพวกเพื่อน ๆ เวรเลยถูกสั่งให้มาบอกรักรุ่นพี่ รุ่นเพื่อนหรือบอกรัก….อะไรก็ได้ที่เป็นเพศชาย ตอนแรกผมจะอีดออดขอบ่ายเบี่ยงไปบอกรักเพื่อนกระเทยที่ซื่อซินดี้หรือชื่อจริงมันคือไอศักดิ์เพื่อนโรงเรียนมัธยมเดียวกันกับผมแต่เรียนต่างคณะแต่ไอพวกเพื่อนเวรมันก็ไม่ยอม ปากบอกป่าว ๆ ว่ามรึงห้ามเอาคนรู้จักของมรึงดิมรึงต้องไปบอกคนที่พวกกรูเลือกให้ ผมได้แต่นั่งคอตกด้วยความจนใจและยอมรับชะตากรรมและมอบชะตากรรมอันแปลกประหลาดให้รุ่นพี่ที่ยืนหน้าเหวออยู่ตรงหน้าผม


   “พะ…พี่ครับ หยะ…อย่าคิดอะไรกับสิ่งที่ผมพูดไปเมื่อกี๋นะครับคือผมแพ้พนันเพื่อนเลยต้องรับบทลงโทษโดยการบอกรักใครสักคนที่เป็นผู้ชายน่ะครับผมขอโทษพี่ด้วยจริง ๆ ที่ลากพี่มาเอี่ยวด้วยแบบนี้” ผมก้มหัวขอโทษขอโพยพี่เค้าเสียยกใหญ่ก่อนจะปล่อยมือพี่เขา พร้อมกับหมุนหันกลับหลังหันและออกวิ่งกลับมาที่โต๊ะของเพื่อนด้วยความรวดเร็วหากแต่ก็ต้องชะงักด้วยเสียงของไอเพื่อนบาสสุดเลิฟของผมที่มันตะโกนสวนกลับมาว่า "ไอกรมรึงลืมอะไรไปอย่างนะคนที่เค้าบอกรักกันเนี่ยเค้าต้องยืนรอคำตอบด้วยเว้ย ว่าเขาจะตกลงหรือเค้าจะไม่ตกลงจริงไหมว่ะพวกมรึง” มันพูดจบก็หันไปถามพวกลูกคู่ของมันครับและพวกลูกคู่ของมันก็เจือก…ตอบกันโดยพร้อมเพียงกันว่า



“ใช่มรึงต้องรอคำตอบของว่าที่แฟนมรึงนะเฮ้ย”



   เสียงของเพื่อนเวรนามว่าบาสและไอเพื่อนเชี่ยอีกหลาย ๆ คนเหมือนฟ้าผ่ากลางหัวใจดวงน้อย ๆ ของผมนักแม้ผมไม่อยากทำแต่ก็ต้องทำ ไม่งั้นเพื่อนที่รักจะหาว่าผมปอดซึ่งแน่นอนไอคุณน้องกร ไอเชื่อกร หรือไอกรของเพื่อน ๆ มันไม่ชอบคำว่าปอดเอาเสียเลย ผมจึงจำใจหันหลังกลับไปประชันหน้ากับรุ่นพี่คนนั้นอีกครั้งพร้อมกับสะกิดที่ข้อมือพี่เขาเบา ๆ เหมือนกับเป็นการเรียกสติของพี่เขาไปในตัว


   รู้สึกว่าพี่เขาจะใช้เวลาจูนสมองตัวเองสักเล็กน้อยก่อนจะยิ้มออกมาจาง ๆ อีกครั้งและรอยยิ้มนั่นก็ทำให้ผมแทบล้มทั้งยืน ถ้าไม่ติดว่าผมเป็นผู้ชายนะผมคงเป็นลมกับรอยยิ้มนั้นไปแล้ว


โหยยยย…คนบ้าอะไรแม่มโคตรดูดี ทั้งสูง(กว่าผมทั้งๆที่ผมคิดว่าผมอ่ะสูงแล้วแต่ไอรุ่นพี่คนนี้กลับสูงกว่าผมราว ๆ 4-5 เซนได้พอดีผมสูง 180 เซนติเมตร) ทั้งหล่อ(แม้พี่เขาจะใส่แว่นหนาเตอะแต่มันก็เป็นแว่นที่ทำให้หน้าพี่เค้าดูดีขึ้นมาสุด ๆ ไอผมล่ะอยากจะไปถอดแว่นที่เหมาะกับรูปหน้าเขามากระทืบทิ้งซะเหลือเกินเผื่อว่าความดูดีมันจะลดลง) และรวย(ที่รู้ก็เพราะผมเห็นในมือเค้าถือไอโฟนรุ่นล่าสุดอย่าไอโฟน 5 พร้อมกับไอแพทรุ่นใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวทั้งยังมีกุญแจรถยี่ห้อ BMW อยู่ในมือไม่ต้องบอกก็รู้ว่ารุ่นพี่คนนี้แม่มรวยมาก ๆ )


   “น้องชื่ออะไรเหรอครับ” น้ำเสียงทุ้มนั้นเรียกสติของผมให้กลับคืนร่าง “ถ้าพี่ไม่รู้ชื่อน้อง พี่ก็คงให้คำตอบกับน้องไม่ได้เพราะพี่คงไม่ตอบตกลงคบกับคนที่พี่ไม่รู้จักหรอก” เสียงทุ้มเอ่ยเย้าแหย่แต่ผมไม่มีอารมณ์โดนแหย่! เพราะว่ายิ่งพี่เค้ายิ้มหวานพร้อมกับพูดดี ๆ ใส่ผมไอพวกเพื่อนที่รักยิ่งก็ยิ่งส่งเสียงเกรี้ยวกร้าวดังขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนที่ผมจะกลับหลังหันไปด่าไอเพื่อนพวกนั้นผมก็โดนรุ่นพี่(ที่ผมยังไม่รู้จักแม้แต่ชื่อหรือคณะที่พี่เค้าเรียน)คว้ามือไว้


   เค้ายิ้มให้ผม…แน่นอนผมก็ยิ้มแหย ๆ ตอบพี่เขาไป พี่เขากระตุกมือผมอีกครั้งเหมือนเรียกร้องให้ผมตอบคำถามของเขา เราเล่นเกมส์จ้องตากันอยู่สักพักก่อนที่ผมนี่ล่ะเป็นคนยอมแพ้และเอ่ยคำตอบที่เขาต้องการออกไป
   

“รณกร หรือพี่จะเรียกผมว่ากร ไอคุณน้องกร ไอเชี่ยกร หรือไอ้กรก็ได้ครับ เมื่อกี๋นี้ผมขอโทษด้วยจริง ๆ ผมโดนเพื่อน ๆ แกล้งน่ะครับ” ผมพูดตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่นอบน้อบพร้อมกับเอ่ยคำขอโทษขอโพยออกไปพี่เค้าพยักหน้าน้อย ๆ ก่อนจะยิ้มและยกมือข้างที่เมื่อกี๋นี้ที่จับข้อมือของผมขึ้นมาลูบหัวพร้อมกับขยี้ผมของผมเล่น


   “พี่ชื่อศิ ศิรวิทย์ หิรัณศิริ อยู่คณะแพทย์ศาสตร์ชั้นปีที่ 4 แล้วเราชื่อน้องกรอยู่คณะวิศวะสินะ ส่วนคำตอบของคำสารภาพรักเมื่อกี๋พี่ตกลงครับ พอดีตอนนี้พี่ติดเลคเชอร์ของอาจารย์ไว้เจอกันวันหลังนะครับน้องกร” โถ่ว ๆๆๆ น้องกร ไม่มีใครเรียกผมด้วยชื่อนี้มานานแล้ว น้องกรคนนี้ออกจะซาบซึ้งใจแบบสุด ๆ ถ้ามันไม่มีคำตอบตกลงรับรักผมพร้อมกับรอยยิ้มกวน ๆ บนใบหน้ารุ่นพี่ที่ชื่อศิรวิทย์คนนั้น
   

และผมก็ไม่ได้ล่วงรู้เลยว่าไอรอยยิ้มกวน ๆ ของรุ่นพี่หน้าหล่อคนนั้นจะเปลี่ยนชีวิตที่แสนเรียบง่ายและสุดแสนจะเกรียนสะบัดของผมไปตลอดกาล…




___________________________________


สวัสดีค่ะนี่เป้ฯครั้งแรกที่พลอยลงนิยายขอฝานิยายเรื่องนี้เอาไว้ด้วยนะคะ
นิยายเรื่องนี้อาจจะมีคำหยาบคายปนอยู่บ้างแต่ขอให้คำนึงว่าเป้นอรรถรสในการอ่านนะคะ (...แหะๆ ทางนี้สัมผัสกับโลกของวิศวะมาดังนั้น...ก็เลยนึกถึงความสมจริงของตัวละครมากค่ะ)
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Intro] 05/09/2013
เริ่มหัวข้อโดย: `ลoงสิจ๊ะ™ ที่ 05-09-2013 19:09:07
เจาะไข่ๆ
ยังมีคำผิดอยู่นะคะ
เป็นกำลังใจให้คะ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Intro] 05/09/2013
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 05-09-2013 19:24:04
ชอบค่ะ จะรออ่านต่อนะคะ อย่าหายไปนะคะ  :mew1: เป็นกำลังใจให้ค่ะ :3123:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Intro] 05/09/2013
เริ่มหัวข้อโดย: Windiizz ที่ 05-09-2013 19:50:13
อ๊ากกกกกกกกกกกกกก แกกกกกกก
ชั้นเขินพี่หมอมากกกกกกกกก อย่าทำให้ชอบหมอไปมากกว่านี้จะได้มั้ยยยย
อร๊ายๆๆๆๆ ยิ้มจนปากจะฉีกแล้ววว
เรื่องนี้ไม่ดองนะขอร้อง >[]<//// ติดตามอ้ะะะะ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Intro] 05/09/2013
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 05-09-2013 19:58:21
แต่งให้จบนะคะเรื่องนี้!!  สนุกมากๆ ชอบจริง เมะชนเมะ กล้ามชนกล้ามเนี่ย อร๊ายยยย!!
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Intro] 05/09/2013
เริ่มหัวข้อโดย: Ouizzz ที่ 05-09-2013 21:11:23
ว๊ากกกกกกกกกกเรื่องใหม่ๆๆๆ รอๆๆๆๆ มาต่อไวๆนะคะรอดูว่าพี่หมอจะทำไรกับน้องวิศวะ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Intro] 05/09/2013
เริ่มหัวข้อโดย: Jadd ที่ 05-09-2013 21:19:48
 :110011: น่ารักอะ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Intro] 05/09/2013
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 05-09-2013 23:18:06
สงสัยพี่หมอจะติดใจน้องกรเข้าแล้ว
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Intro] 05/09/2013
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 05-09-2013 23:21:50
มาลุ้นพี่หมอกับน้องวิศวะจ้า
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Intro] 05/09/2013
เริ่มหัวข้อโดย: ข้าวเหนียวหมูปิ้ง ที่ 05-09-2013 23:41:53
อร๊ายยยย ชอบหมอค่า ชอบหมอออออออออออออออออออออ  :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Intro] 05/09/2013
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 06-09-2013 09:54:28
อร๊ายยยยยย  :hao7:
ชอบบบ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 1] 06/09/2013
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 06-09-2013 20:47:50
Chapter 1



   ใคร ๆ ต่างก็บอกว่าถ้าเกลียดอะไรคนเรามักจะได้อย่างงั้น ดังนั้นผมจึงขอเลือกที่จะไม่เกลียดอะไรเลยแทน แต่มันก็ทำไม่ได้เพราะไอพวกเพื่อนเวรที่ประกาศิตให้ผมไปสารภาพรักกับบุรุษ (หรือตัว…อะไรก็ได้ที่เป็นผู้ชาย) และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นให้ผมเริ่มเกลียดสายตาพวกผู้ชาย(ที่มันเป็นเพศเดียวกันกับผม)ที่เริ่มมองผมด้วยแววตาแปลก ๆ และสายตาของพวกผู้หญิงที่ต่างมองผมด้วยแววตาที่เคียดแค้น ไอผมน่ะอยากจะกรีดร้องออกไปดัง ๆ ว่ากรูไม่ใช่พวกอนุรักษ์พันธุ์ไม้แต่มันก็ทำไม่ได้เสียแล้ว…


เพราะว่าข่าวลือที่ไอคุณน้องกรสุดเกรียนที่เป็นถึงดินคณะวิศวะ(พวกคุณคงสงสัยว่าดินคณะวิศวะคืออะไรมันก็คือ ๆ กับพวกดาวเดือนนั่นละครับดินนี่จะมอบให้กับคนที่…เอ่อ ออกจะเกรียนเล็กน้อยและบ้าบอหน่อย ๆ )ได้สารภาพรักและตกลงปลงใจคบกับรุ่นพี่ผู้ชายคนหนึ่งมันดังไปทั่วมหาลัยแล้ว…


ข่าวลือที่ผมไปสารภาพรักกับรุ่นพี่ผู้ชายคนหนึ่งต่างลือกันไปปากต่อปากจนตอนนี้ทั้งคณะวิศวกรรมศาสตร์และคณะแพทย์ศาสตร์(และอาจจะทั้งมหาลัย)ต่างเรียกผมว่า ‘ว่าที่ภรรยาคุณหมอ’ หมดแล้วครับ พวกคุณยังคงจำได้สินะครับไอรุ่นพี่ที่ผมไปสารภาพรักน่ะมันอยู่คณะแพทย์ศาสตร์ซึ่งคณะผมและคณะเขาก็อยู่ไม่ห่างกันเสียเท่าไหร่นัก  ข่าวลือมันเลยยิ่งแพร่ไว แต่ไอในคณะผมน่ะไม่เท่าไหร่เรารู้กันว่าผมโดนเพื่อนแกล้งแต่ไอคณะแพทย์ศาสตร์ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลดันไม่ได้รู้เรื่องราวที่ผมแพ้พนันพวกเพื่อน ๆ จนต้องไปสารภาพรักกับพี่หมอสุดหล่อคนนั้นเลยสักนิด


ดังนั้นการเข้าใจผิดครั้งนี้มันจึงนำพาความซวยมาให้ผมและตอนนี้ผมแทบอยากจะหายตัวไปจากตรงนี้เสียให้ได้…
เพราะตั้งแต่เกิดมาไอคุณน้องกรคนนี้ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะถูกผู้หญิงเรียกออกมาเคลียร์เรื่องผู้ชายเลยสักนิดให้ตายเถอะชีวิตน้องกรช่างแสนโหดร้าย


“นายชื่อกรสินะ หน้าตาก็ดีไม่น่าจะเป็นอะไรพวกนั้นเลย น่าขยะแขยงชะมัด” สาวน้อยคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเหยียด ๆ ไอผมน้ำตาจะไหลเพราะคำพูดของสาวน้อยคนนั้น น้องยาสุดน่ารักอย่าได้เข้าใจพี่กรคนนี้ผิดเพราะรณกรที่เป็นชายหนุ่มรูปงามคนนี้ก็ขนลุกสุด ๆ ที่ต้องไปสารภาพรักกับเพศเดียวกันครับ (แถมไอคุณพี่หมอคนนั้นยังตอบตกลงรับรักผมมันยิ่งโคตรทำให้ผมขนลุกคูณ 2 เลยครับ)


“คือเราไม่ได้อยากไปสารภาพรักกับพี่เค้านะ คือมันเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อยน่ะ” ผมตอบสาวน้อยคนนั้นไปแต่ดูเหมือนเธอจะไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่ผมพูดสักเท่าไหร่นัก
แต่ผมคิดผิดเพราะเธอไม่ใช่ไม่ค่อยเข้าใจละครับ แต่เธอน่ะไม่เข้าใจผมเลยสักนิดต่างหาก!


“เข้าใจผิดงั้นเหรอ แล้วไอคำตอบตกลงของพี่ศินั่นคืออะไรยะ แล้วข่าวลือว่านายเป็น ‘ว่าที่ภรรยาคุณหมอ’ มันคืออะไรกัน ฉันล่ะขยะแขยงพวกผิดเพศจริง ๆ” คำด่าของสาวน้อยนั้นเหมือนปักลงกลางใจ ผมอุตส่าห์ทำใจกับข่าวลือพวกนั้นได้แล้วนะ แต่นี่ทำไมใยเธอถึงต้องมาตอกย้ำความผิดพลาดครั้งนั้นของผม น้องกรสุดหล่อคนนี้สุดแสนจะเสียใจ


“นั่นก็เป็นการเข้าใจผิดเหมือนกันนั่นละ เราไม่ได้อยากจะไปสารภาพรักกับพี่เขาเลยนะ เธอช่วยฟังเหตุผลที่เราต้องทำแบบนั้นหน่อยได้หรือเปล่า” ผมพยายามไกล่เกลี่ยแต่ดูเหมือนว่าคำพูดของผมไม่น่าจะเขาหูสาวน้อยคนนั้นซะแล้ว เธอค่อย ๆ ก้าวเท้าเดินเข้ามาใกล้ผมพร้อมกับง้างมือตบหน้าผมเต็มแรง “นี่สำหรับการที่นายทำให้พี่ศิเป็นพวกผิดเพศ แล้วก็อย่ามายุ่งกับพี่ศิอีกนะ”
ใบหน้าของผมหันไปตามแรงตบพร้อมกับปรากฏรอยแดงขึ้นที่แก้มด้านซ้าย


‘อูยยย มือหนักชิบ’ ผมครวญครางอยู่ในใจแต่ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษผมเลือกที่จะไม่ตอบโต้ พร้อมหันกลับไปมองหน้าเธอช้า ๆ แต่ไม่ทันที่ผมจะได้เอ่ยอะไรกับเธอคนนั้นต่อสาวน้อยคนนั้นก็สะบัดหน้าเดินหนีออกไปเสียแล้ว แถมเธอยังทิ้งให้ผมยืนหน้ามึน ๆ เพราะเพิ่งโดนฝ่ามืออรหันของเธอตบไปหมาด ๆ


‘ให้ตายเถอะช่วงนี้อะไรมันจะซวยนักหนาวะ กรูโดนผู้หญิงตบมากี่รอบแล้ววะในอาทิตย์สองอาทิตย์นี้’ ผมบ่นพึมพำพร้อมกับเดินกลับเข้าไปในตัวคณะ




“ไงครับไอคุณเพื่อนกรคราวนี้โดนสาว ๆ เรียกไปทำอะไรอีกละ” เพื่อนบาสตัวแสบมันพูดกับผมพร้อมกับมือของมันที่กำลังจดบันทึกยอดที่ผมโดน สาวน้อย สาวใหญ่และสาวเทียมเรียกออกไปเคลียร์เรื่องของไอคุณพี่หมอคนนั้น


“โดนฝ่ามืออรหันวะมรึง ดูดิ” ผมพูดพร้อมกับหันแก้มด้านซ้ายที่ปรากฏรอยมือให้ไอพวกเพื่อน ๆ ดู “แม่มเจ็บฉิบเพราะพวกมรึงเลยนะกรูเลยต้องซวยแบบนี้” ผมแยกเขี้ยวใส่พวกมันพร้อมกับชูนิ้วกลางให้ไอเพื่อนบาสด้วยความเสน่ห์หา


“มรึงจะโกรธอะไรนักหนาวะไอกร มรึงน่าจะดีใจนะที่ตอนนี้มรึงได้เป็นถึง ‘ว่าที่ภรรยาคุณหมอ’ น่ะ” เพื่อนบาสตอบผมพร้อมกับปล่อยเสียงหัวเราะออกมายกใหญ่ ดูท่าทางมันน่าจะชอบใจมากที่ผมถูกเข้าใจผิดแบบนี้ ไอผมล่ะอยากจะถามมันกลับไปว่าถ้ามรึงโดนเรียกแบบนั้นบางมรึงจะดีใจไหม


“กรูจะไปดีใจทำซากอะไร กรูเป็นผู้ชายเว้ย กรูไม่ได้อยากไปเป็นเมียใครสักหน่อย” ผมพูดพร้อมกับทิ้งตัวนั่งลงบนโต๊ะม้าหินอ่อนซึ่งเป็นที่นั่งประจำของผม


“เอาน่ามรึง ไอคุณเพื่อนกรสุดเลิฟ มรึงก็น่าจะรู้ว่าข่าวลือพวกนี้มันหายไปไวนัก อย่าได้แคร์เลยสหาย สักสองสามอาทิตย์เรื่องมันก็จะเงียบไปเองนั่นล่ะวะ” เพื่อนเจมส์ซึ่งเป็นสหายรักอีกคนของผม (ซึ่งมันเป็นตัวเนิร์ดของกลุ่มซึ่งเมื่อกลางภาคที่ผ่านมาผมก็ไปฝากฝังชีวิตไว้ที่มันมารอบ) พูดปลอบพร้อมกับมือของมันตบที่หัวของผมเบา ๆ


ผมได้แต่นั่งเซ็งนับจากวันแรกที่ผมได้โดนเกมลงทัณฑ์บ้า ๆ นั้นไปมันก็ผ่านมาได้สองอาทิตย์แล้วและหลังจากวันนั้นผมถูกสาว ๆ (และหนุ่ม ๆ) เรียกไปคุยหลังไมค์เสมอ โดยเฉพาะหนุ่ม ๆ ที่ไม่ใช่หนุ่มแท้กลับเข้าหาผมมากกว่าปกติ  ซึ่งปกติผมก็เป็นหนุ่มในสเปกของชาวสีม่วงอยู่แล้วตอนนี้ยิ่งมีข่าวลือว่าผมเป็นหนึ่งในกลุ่มชนชาวสีม่วงมันยิ่งทำให้ผมรู้สึกถึงความยากลำบากของการใช้ชีวิตมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการเดินทางกลับหอช่วงระยะเวลาสองอาทิตย์นี้ผมแทบจะวิ่งกลับหอหลังจากที่ผมเรียนวิชาสุดท้ายของวันเสร็จเลยทีเดียว เหล้า ยา ปลา ปิ้ง  อบายมุขทั้งหลายแหล่ซึ่งเป็นปัจจัยที่ 5 ของผม ผมก็แทบจะไม่ได้แตะเลยในสองอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ และในตอนนี้เสบียงผมที่ผมตุนเอาไว้ในห้องผมมันก็เริ่มจะหมดแล้ว จนผมต้องส่งสายตาออดอ้อนเพื่อนรักเพื่อนแค้นให้ช่วยพาผมไปซื้อของมาตุนไว้ในห้องสักหน่อย


“ไอเจมส์ ไอบาส…มาม่าในหอกรูจะหมดแล้วพากรูไปซื้อหน่อยดิ” ผมพูดขึ้นพร้อมกับเงยหน้าขึ้นแต่หน้าของผมยังคงวางแหมะอยู่บนโต๊ะม้าหินอ่อนเช่นเดิม ซึ่งไอเพื่อนสองตัวก็ไม่ได้ทำให้ผมผิดหวังมันมองหน้ากันอย่างพร้อมเพรียงพร้อมกับโยนกุญแจรถมอไซค์ของไอบาสมาให้ผม


ครับนี่คือคำตอบของมันหรือคุณจะให้ผมสรุปง่าย ๆ ก็คือมันไล่ให้ผมไปซื้อเองซึ่งมันสองคนคงมีนัดไปแดรกเหล้าต่อกับก๊วนพี่รหัส ป้ารหัส ปู่รหัสของมัน


“เชี่ยเจมส์ เชี่ยบาสกรูขอให้พวกมรึงพากรูไปไม่ใช่ให้กรูขับมอไซค์พวกมรึงไปเอง มรึงก็รู้ว่ากรูขับมอไซค์แข็งซะที่ไหนล่ะ”


“พอดีพวกกรูไม่ว่างสายรหัสนัดเลี้ยง เอาน่าซุปเปอร์มันไม่ไกลเท่าไหร่มรึงขับดี ๆ ช้า ๆ คงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง” พวกมันสองคนตอบโดยพร้อมเพรียงกันและรีบลุกขึ้นวิ่งปรี่ไปที่รถมอไซค์อีกคันซึ่งเป็นของไอเจมส์ โดยทิ้งให้ผมนั่งมองกุญแจรถมอไซค์ของไอบาสอย่างุนงง


‘ไอเพื่อนเชี่ยมรึงก็รู้ว่าจักรยานกรูยังขับไม่แข็งแล้วนับประสาอะไรกับมอไซค์ว่ะ’ ผมบ่นพึมพำกับตัวเองเบา ๆ แต่สุดท้ายผมก็ต้องยอมตกลงปลงใจขับมอไซค์ของเพื่อนบาสไปซุปเปอร์มาร์เก็ตที่อยู่ใกล้ ๆ กับมหาวิทยาลัย


‘ถ้ามอไซค์มรึงเจ๊งขึ้นมาจะหาว่ากรูไม่เตือนนะครับเพื่อนบาส’ ผมลุกขึ้นออกจากโต๊ะม้าหินอ่อนพร้อม ๆ กับบอกลาพวกเพื่อนที่ยังคงนั่งอยู่ในโต๊ะก่อนจะเดินออกไปตามล่าหามอไซค์ที่จอดทิ้งไว้ข้าง ๆ คณะของเพื่อนบาส


‘ฮอนด้าเวฟสีฟ้าอ่อน ฮอนด้าเวฟสีฟ้าอ่อน’ ผมเดินตามหารถมอไซค์ของเพื่อนบาสอยู่สักพักก่อนจะหันไปเจอมันจอดเด่นเป็นสง่าอยู่ท่ามกลางสายลม แสงแดด และหมู่แมกไม้ ‘เจือกเลือกจอดซะไกลเลยนะครับเพื่อนบาส’ ผมบ่นพึมพำก่อนจะย้ายก้นตัวเองขึ้นไปประทับบนเบาะมอไซค์แล้วค่อย ๆ ขับออกไป


ไม่ใช่ว่าผมจะขับรถมอไซค์ หรือจักรยานไม่เป็นหรอกครับพอดีผมขับเป็นแต่ผมพอดีผมดันเป็นพวกซุ่มซ่ามดังนั้นไอการขับรถที่ไม่สมดุลตามหลักฟิสิกส์แบบนี้ทำให้ผมขับรถมอไซค์หรือจักรยานล้มบ่อย ๆ ซึ่งครั้งนี้ผมก็ยังไม่มั่นใจตัวเองเลยว่าผมจะขับมอไซค์คันนี้รอดไปถึงซุปเปอร์มาเก็ตและนำพามอไซค์คันนี้กลับไปจอดที่หอของไอเพื่อนบาสได้ตลอดรอดฝั่งหรือเปล่า
แต่ในตอนนี้ที่แน่ ๆ ผมรู้สึกว่าตัวของผมชักจะบังคับไอเครื่องจักรสองล้อนี้ไม่ได้เสียแล้วละ พวกคุณอย่าหาว่าผมอ่อนหรืออะไรเลยครับก็ผมบอกพวกคุณไปแล้วว่าผมน่ะขับไอพวกยานพาหนะสองล้อไม่แข็งเลย เรียกง่าย ๆ ถ้าไปบอกใครต่อใครว่าผมขับมอไซค์เป็นตั้งแต่ม.4 ทุกคนต่างก็ไม่เชื่อแน่นอน (แต่เป็นเรื่องจริงนะครับที่ผมขับพวกยานพาหนะสองล้อนี้เป็นตั้งแต่ ม.4 แต่หลังจากการขับได้ในครั้งนั้นผมก็ไม่ได้แตะมันอีกเลยจนยันมหาลัยนี่ละ)


รถมอไซค์ที่ผมขับเริ่มส่ายไปส่ายมาจนผมไม่สามารถควบคุมมันได้อีกแล้วผมหลับตาปี๋ก่อนที่จะพยายามชะลอรถมอไซค์ในจอดช้า ๆ แต่มันดันเจือกไม่เป็นตามที่ผมหวังไว้น่ะสิ  รถมอไซค์ที่ตอนนี้ผมกำลังบังคับมันอย่างสุดความสามารถมันค่อย ๆ เอียงลง เอียงลง ตามกฎแรงโน้นถ่วงโลกของเซอร์ไอแซก นิวตันพร้อมกับร่างของผมที่ร่วงออกจากรถนั้นคนที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างมองผมเป็นตาเสียงไอคุณน้องกรคนนี้สุดแสนจะอับอายในการกระทำของตนที่ได้สร้างวีรกรรมใหม่ขึ้น จากการที่ผมเป็น ‘ว่าที่ภรรยาคุณหมอ’ ตอนนี้คงเพิ่มเป็นไอคนซุ่มซ่ามมาด้วยแน่นอน โธ่..ชีวิตของไอกรมันช่างรันทดเสียจริง แต่ยังดีที่ผมสวมหมวกกันน็อคของไอเชี่ยบาสจึงทำให้ผมบาดเจ็บไม่มากเท่าไหร่นัก แต่ขาขูดกับพื้นจนตัวกางเกงแสลคขาดให้เห็นรอยแผลที่ถูกไถลไปกับพื้นพร้อมกับแขนทั้งสองข้างที่มีชะตากรรมเช่นเดียวกับขาของผม


ให้ตายเถอะ! เดือนนี้มันอะไรทำไมผมซวยได้ถึงขนาดนี้กันนะ ผมบ่นพึมพำกับตัวเองพร้อมกับพยายามพาร่างของตัวเองไปจับแฮนด์มอเตอร์ไซค์ให้ขึ้นมาเหมือนเดิมแต่ก่อนที่ผมจะได้ทำแบบนั้นกลับมีมือมือนั่งมาฉุดร่างของผมออกไปเสียก่อน ซึ่งไอตัวผมที่กำลังโงนเงนอยู่แล้วก็ยิ่งปลิวง่ายเลยสิครับผมค่อยเซไปหาเจ้าของมือนั่นพร้อมกับฟุบหน้าลงไปบนบ่าด้านขวาของเขา


“น้องกรเป็นอะไรมากไหมครับ” เสียงทุ้มนั้นถามผมด้วยความเป็นห่วงเป็นใยแต่ไม่ทันที่ผมจะได้ตอบคำถามของเขาไปไอความสามารถในการคุมสติของผมมันได้หมดไปแล้ว ตาของผมค่อย ๆ ปรือหลับลงพร้อมกับทิ้งร่างของตัวเองให้อยู่ในอ้อมแขนของชายปริศนาคนนั้น รู้สึกว่าเขาจะร้องเรียกชื่อผมอีกหลายทีแต่สติผมดันไม่อยู่กับตัวเสียแล้วตอนนี้ผมขอเข้าเฝ้าพระอินทร์บนสวรรค์ก่อนละนะครับ วันนี้น้องกรขอลาฝันดีนะครับทุกคน




สติที่เริ่มลางเลือนค่อย ๆ คืนกลับมาพร้อมกับนัยน์ตาที่ลืมตื่นขึ้นพร้อมการปรับโฟกัสการมองเห็นของตนให้เข้าที่คำถามแรกที่ลอยขึ้นมาในหัวของไอคุณน้องกรตอนนี้ก็คือ ‘คุณกรูนอนอยู่ที่ไหนวะเพดานสีขาวกำแพงสีขาว…เตียงสีขาว เชี่ยล่ะหรือว่ากรูตายไปแล้ววะเนี่ย’ แต่ก่อนที่ผมจะได้สติแตกไปมากกว่านี้มือมือหนึ่งก็ถูกเอื้อมขึ้นมาตบกลางหัวผมพร้อมกับมืออีกหลายมือต่างพากันเขย่าร่างของผมราวกับว่าผมนั้นไม่ใช่คนป่วยที่พึ่งประสบอุบัติเหตุมาหมาด ๆ


“เชี่ยกร มรึงตื่นขึ้นมาแล้ว” เสียงของไอเจมส์ครวญครางขึ้นมาพร้อมกับเขย่าร่างของผมไปมาด้วยความดีใจ


“มรึงจำพวกกรูได้ป่ะวะไอกร เฮ้ยอย่าเงียบดิวะถ้ามรึงจำไม่ได้แล้วใครแม่มจะจ่ายค่าซ่อมมอไซค์ของกรูวะ มรึงต้องตื่นมารับผิดชอบรอยถลอกบนรถสุดที่รักกรูด้วย” และเสียงที่สองของไอบาสก็ตามมาด้วย…ด้วยความเป็นห่วงรถของมัน
ไอเพื่อนเวรครับมรึงไมคิดจะห่วงกรูเลยหรือไงครับกรูเป็นคนเจ็บนอนพันผ้าพันแผลอยู่นะครับเพื่อนไหงมรึงถามเรื่องมอไซค์มรึงได้ล่ะครับไอคุณเพื่อนที่รัก เดี๋ยวแม่แกล้งทำเป็นคนความจำเสื่อมซะเลยหรอกจะได้แม่มเลิกยุ่งกับผมสักที


“เบา ๆ หน่อยดิวะกรูเจ็บแผล” ผมพูดตอบมันเสียงอ่อยพร้อมกับค่อย ๆ ยันตัวเองให้ลุกขึ้นมานั่งพิงหมอนที่ถูกพวกเพื่อน ๆ จัดแจงให้เป็นอย่างดี “แต่ที่นี่ที่ไหนวะ”


“มรึงอยู่โรงพยาบาลของมหาลัยอ่ะดิ แม่มกรูตกใจแทบตายที่พี่หมอเค้าโทรมาบอกว่ามรึงรถล้มตอนนี้นอนอยู่ที่โรงพยาบาล” เสียงเพื่อนเจมส์ของพูดอยู่ข้าง ๆ และรู้สึกว่ามันจะหมดความสนใจเกี่ยวกับแผลหรือสภาพร่างกายผมแล้ว และตอนนี้มั่นนั่งกระดิกเท้าเจาะนมกล่องดัชมิลล์รสนมกล้วยของมันกินอย่างเอ็ดอร่อยอยู่


“ให้ตายเถอะไอเชื่อกรมรึงขับรถไม่แข็ง  ก็ยังจะฝืนขับนะมรึง  ดีที่ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าแผลถลอก” ไอเพื่อนบาสบ่นพลางตบหัวผมเบา ๆ อีกที


เชื่ยบาสครับ อยากให้กรูเซดสิครับว่าใครแม่มเป็นคนบังคับให้กรูต้องขับมอไซค์ไปซื้อของทั้งที่กรูขับไม่แข็ง ถ้าแม่มไม่ใช่เพราะมรึง


“มรึงอย่ามาพูดครับเชี่ยบาส ใครหน้าไหนแม่มโยนกุญแจรถมอไซค์ของมรึงมาให้กรูครับถ้าไม่ใช่มรึง” ผมด่ามันกลับไปรอบแต่ไอเชี่ยบาสดูจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยที่มันทำให้ผมมีสภาพแบบนี้
ครับพวกมันรู้ล่ะครับว่าผมขับมอไซค์และขับไม่เก่งแต่มันก็ไม่ได้รู้ว่าผมน่ะขับมอไซค์ไม่แข็งขั้นเทพแบบนี้


“เพื่อนกรครับถ้ามรึงขับไม่แข็งขั้นเทพขนาดนี้  มรึงก็ไม่สมควรขับนะครับเข้าใจเพื่อนบาสพูดไหมครับ” มันพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลงแต่ก็ยังไม่วายใช้คำพูดที่กวนอวัยวะส่วนล่างของผมอยู่ดี ถ้าไม่ติดว่ากำลังเจ็บแผลอยู่นะผมคงลุกออกจากเตียงแล้ววิ่งไปกระโดนเตะก้านคอมันแล้วละครับ


“เออ กรูก็ไม่อยากจะขับหรอกครับถ้ามรึงไม่เจือกโยนกุญแจรถมรึงมาให้กรู จนกรูต้องรับผิดชอบชีวิตลูกรักมรึงเนี่ย” ผมบ่นพึมพำก่อนจะไหลกลับไปนอนแบบเดิมพร้อมกับดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงตัวเอง แต่ก่อนที่ผมจะทำตัวงอนสุดขีดให้พวกมันเห็นผมก็ดันไปนึกขึ้นมาได้ว่าแล้วใครเป็นคนพาผมมาโรงพยาบาลกันละ ผมเด้งขึ้นขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับกว้านมือไปคว้าคอของเพื่อนรักนามว่าบาสมาเขย่าถามว่าใครเป็นคนพาผมมาโรงพยาบาลและจัดห้องพิเศษแบบนี้ให้


“เพื่อนบาสครับ ก่อนที่กรูจะงอนมรึงกรูขอเวลาสิบนาที ใครเป็นคนพากรูมาโรงพยาบาลวะ” เมื่อผมเอ่ยจนจบประโยคไอเพื่อนบาสก็กระตุกยิ้มกวนประสาทผมขึ้นมาทำที มันทำหน้ากระยิ้มกระย่องพร้อมกับแงะมือ และผลักผมให้นอนลงไปอย่างเดิม


“กรูไม่บอกมรึงหรอกครับเพื่อนกร แต่มรึงก็ควรรู้ไว้นะว่าพรุ่งนี้มรึงได้ดังระเบิดมากกว่าเก่าแน่นอน” มันพูดพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะ ‘หึหึ’ เบา ๆ ให้ผมใจเสีย


ดังระเบิด…ตอนนี้ไอคุณน้องกรคนนี้ก็ดังระเบิดจนไม่ต้องทำอะไรกินแล้วละครับดังไปทั่วหมาลัยแล้ว ยังมีอะไรที่จะทำให้ผมดังกว่านี้ได้อีกเหรอ


ผมเหลือบตามองพวกก๊วนเพื่อนสุดที่รักของผมด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลยสักนิดเดียวทิ้งให้ผมนอนหง่อยอยู่บนเตียงและพวกมันก็ต่างพากันแยกย้ายกลับหอ(หรืออาจจะกลับไปแดรกเหล้ากับพี่รหัสมันต่อ) เพราะตอนนี้มันก็หมดเวลาเยี่ยมแล้ว


ผมกระพริบตามองตามหลังพวกมันไปตาปริบ ๆ ก่อนที่จะ ซุกตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง
ปล่อยให้วันพรุ่งนี้เป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้ไปแล้วกัน ผมคิดในใจพร้อมกับปล่อยให้ความง่วงเข้ามาปกคลุมความรู้สึกและฉุดผมเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง


v
v
v
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 1] 06/09/2013
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 06-09-2013 20:48:16

เช้าวันต่อมาผมต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมแสงแดดยามเช้าจากหน้าต่างด้านข้างเตียงนอนที่คุณพี่พยาบาลสุดสวยเดินเข้ามาเปิดผ้าม่านให้ ผมนอนกระพริบตาถี่ ๆ ก่อนจะปรับสายตาให้รับกับแสงแดดด้านนอกข้าวต้มร้อน ๆ หอมฉุยถูกเข็นมาวางไว้ด้านหน้าของผมและแน่นอนผมก็จัดการสวาปามมันทันทีด้วยความรวดเร็ว ผ่านไปไม่กี่นาทีนักข้าวต้มร้อน ๆ นั่นก็หมดเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่ข้าวเมล็ดเดียว


‘บางครั้งอาหารของโรงพยาบาลก็รสชาติไม่เลวเหมือนกันแฮะ’ ผมพูดพร้อมกับลูบท้องของตัวเองที่ป่องออกมาน้อย ๆ เพราะข้าวต้มถ้วยเมื่อกี้… เออแต่นี่ผมจะต้องนอนโรงพยาบาลไปอีกนานไหมเนี่ย  ผมชักจะเบื่อซะแล้วสิที่ต้องนอนแกร่วในห้องเงียบ ๆ คนเดียวแบบนี้


แต่ไอความเงียบที่ผมแสนจะเบื่อหน่ายนั้นมันก็หมดลงไปทันทีที่พวกก๊วนเพื่อตัวแสบเดินเข้ามาพร้อมกับโยนเสื้อนิสิตชุดใหม่ให้ผม และไล่ผมให้ไปแต่งตัวในห้องน้ำ


“กรูให้เวลามรึง 10 นาที รีบแต่งตัวแล้วออกมาแม่มวันนี้ จารย์เค้าเช็คชื่อกรูไม่อยากให้มรึงขาด ไม่งั้นไม่มีคนติวฟิให้กรู” เชื่อบาสพูดพร้อมกับโบกมือไล่ผมให้เข้าห้องน้ำไปซึ่งผมก็ต้องทำตามคำพูดมันพร้อมกับลากสังขารที่ไม่ค่อยจะอำนวยเข้าห้องน้ำไป
ผ่านไปไม่ถึงสิบนาทีผมก็เดินออกมาจากห้องน้ำด้วยชุดนิสิตชุดใหม่ที่พวกเพื่อน ๆ ลงทุนหารเงินกันซื้อมาให้ผมใส่เพื่อเป็นการไถ่โทษที่ไม่ได้พาผมไปซุปเปอร์ตามที่ผมขอและส่งผลให้ผมเป็นไอเดี้ยงในเวลานี้


ถ้ามรึงจะขอโทษด้วยของพวกนี้ มรึงสู้พากรูไปเลี้ยงซิสเลอร์ดีกว่านะไอพวกเพื่อนเวร


หลังจากที่พวกเพื่อน ๆ ของผมหิ้วผมออกมาจากโรงพยาบาลผมก็บ่นกระปอดกระแปดตลอดว่างเจ็บแผลบ้าง ปวดแผลบ้าง แต่ไอพวกเพื่อน ๆ มันก็ไม่ได้สนใจเสียบ่น หรือเสียงครวญครางของผมเลย พอถึงตึกคณะมันก็จับผมโยนเข้าห้องเลคเชอร์และตามด้วยการนั่งประกบผม เพื่อให้ผมเลคเชอร์ให้พวกมันเอาไปซีรอก


‘ให้ตายเถอะ ชีวิตกรูมีค่าแค่เลคเชอร์ให้พวกมรึงสินะ’ ผมบ่นงึมงำใจในแต่ยอมก็ก้มหน้าก้มตาจดเลคเชอร์ให้พวกมันกันไป
เพียงแต่ในตอนนี้ตัวผมนั้นไม่มีสมาธิเอาเสียเลยด้วยที่ว่าตอนนี้ผมกำลังสงสัยว่าใครกันนะที่เป็นคนช่วยพาผมไปส่งที่โรงพยาบาล และใครกันนะที่เอ่ยเรียกชื่อของผมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนแบบนั้นกัน ผมได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจต่อไปจนกระทั้งเวลานั้นได้ล่วงเลยจนมาถึงช่วงเวลาพักกลางวัน




ผมเดินกะเผลกเข้าไปในโรงอาหารกลางซึ่งเป็นโรงอาหารรวมที่คนทั้งมหาวิทยาลัยมานั่งกินข้าวกันไอตอนแรกผมก็ไม่คิดจะใส่ใจหรือสนใจอะไรกับสายตาคนรอบข้างหรอก แต่พอผมยิ่งเดินเข้าไปใกล้โรงอาหารกลางมากขึ้นเท่าไหร่ไอสายตาของผู้คนรอบข้างก็ยิ่งทวีคูณมองมาที่ผมมากขึ้นเท่านั้น  ในใจก็อยากจะพูดด่ากลับไปหรอกนะแต่ด้วยสภาพสังขารที่มิเอื้ออำนวยตอนนี้ผมจึงทำได้แค่ปิดปากเงียบไม่พูดอะไรเพราะผมกลัวว่าจะวิ่งหนีตรีนนับร้อยไม่ทัน


เมื่อพวกผมพากันเดิน(ซึ่งยกเว้นผมที่โดนเพื่อนหามมา)มาถึงโต๊ะประจำที่พวกผมจะนั่งกันในโรงอาหารกลางแห่งนี้พวกเพื่อน ๆ ก็ทำหน้าที่สหายที่แสนดีโดยการตบหัวผมคนละที แล้วถามว่าผมอยากจะกินอะไรซึ่งค่าตบหัวผมนั้นเป็นค่าจ้างที่พวกมันจะต้องเดินไปซื้ออะไรมาให้ไอเดี้ยงอย่างผมกินซึ่งผมก็โวยวายอะไรไม่ได้เหมือนกันเพราะไอเดี้ยงอย่างผมมันก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งรอส่วนบุญส่วนกุศลที่พวกเพื่อน ๆ ของผมมันจะแผ่เมตตามาให้


เดี้ยง ๆ แบบนี้ผมไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่เลยแฮะ ความเกรียนขอผมมันหดหายไปหมดหนำซ้ำตอนนี้ผมชักเย็นสันหลังวูบวาบหนักกว่าตอนที่ผมมีข่าวลือว่าผมเป็น ‘ว่าที่ภรรยาคุณหมอ’ เสียอีก ให้ตายเถอะมันจะเกิดข่าวลืออะไรขึ้นอีกวะ  ผมชักจะรำคาญข่าวลือพวกนั้นแล้วนะ ถ้ามันจะลือกันก็ลือกันไปเถอะแต่ช่วงอย่าเรียงแถวมาตบหน้าผมหรืออะไรกับผมเลย ผมขอร้องล่ะตอนนี้ชีวิตผมก็วุ่นวายมากพอดูอยู่แล้ว ขอเถอะครับได้โปรดอย่าสร้างข่าวลือที่ทำให้ผมเดือดร้อนมากอีกเลย ผมนึกในใจพร้อมกับยกมือท่วมหัวเหมือนจะขอร้องพระเจ้าให้ฟังคำขอของผมบ้างแต่ก็ไม่เลยไอการกระทำบ้าบอของผมยิ่งทำให้ผม…โดนมองยิ่งเข้าไปใหญ่…


เวลาผ่านไปไม่นานนักเจ้าพวกเพื่อนสุดที่รักของผมก็เดินกลับกันมาพร้อมกับกลิ่นบะหมี่เป็ดย่างที่ผมได้สั่งไป “ใส่ผักหรือเปล่า” นี่เป็นคำถามแรกที่ผมถามมันไปพวกคุณคงสงสัยล่ะสิทำไมผมถึงได้ถามมันไปแบบนั้น…โอเค ผมสารภาพก็ได้ผมน่ะนอกจากจะขับจักรยานไม่เป็น ขับมอไซค์ไม่เป็นแล้ว ผมน่ะยังไม่ชอบกินผักเสียด้วย  ดังนั้นการฝากให้เพื่อนผมซื้ออะไรมาให้กินนั้นจึงต้องกำชับว่าผมไม่เอาผักเลยซึ่งบางทีเพื่อนมันก็มีเผลอลืมสั่งให้ผมเหมือนกัน


“ไม่ได้ใส่กรูไม่ลืมหรอกน่าว่ามรึงเป็นเด็กที่ไม่ชอบกินผัก” ไอเพื่อนบาสพูดล้อเลียนผมซึ่งผมก็ไม่เถียงมันหรอกเพราะว่าผมไม่กินผักจริง ๆ นี่นา ผมก้มหน้าก้มตากินบะหมี่เป็ดย่างสุดที่รักของผมไปซึ่งสายตาของคนทั้งโรงอาหารก็ยังคงทิ่มแทงแผ่นหลังของผมไปเรื่อย ๆ


โธ่เว้ย ผมอยากรู้นะเนี่ย ผมไปสร้างวีรกรรมอะไรเอาไว้อีกถึงได้โดยสายตาของคนทั้งมหาลัยมองทิ่มแทงมาแบบนี้ แม่มเล่นมองกันแบบนี้จะมองให้ตัวผมทะลุไปเลยหรือยังไงกัน ความอดทนของผมก็มีจำกัดเหมือนกันนะเมื่อบะหมี่เป็ดย่างของผมหมดจานผมก็รีบลุกขึ้นยืนโดยไม่สนใจอาการเดี้ยงต่อเนื่องของผม  แต่ก่อนที่ผมจะทันได้ตะโกนหรือพูดอะไรออกไป กรกานต์หรือกานต์เพื่อนรักตั้งแต่ชั้นประถมของผมก็เดินเข้ามาหาพร้อมกับรอยยิ้มหวานฉ่ำที่มอบมาให้


โอ้ว…รอยยิ้มของนางฟ้า…รอยยิ้มนั้นนำพาความขุ่นข้องหมองใจของผมไปจนหมดถ้าไม่ติดว่าด้านหลังของกานต์เพื่อนรักผมมีบุคคลที่แผ่ออร่ามาคุอยู่ล่ะก็ ผมคงเดินเข้าไปออดอ้อนกานต์แล้วละว่าผมเจ็บตรงนั้นปวดตรงนี้แล้วล่ะ


แต่ผมคงลืมบอกอะไรกับทุก ๆ ท่านไป กรกานต์แสนงามคนนี้เป็นผู้ชายนะครับ เป็นผู้ชายทั้งแท่งแต่ด้วยความสูง 170 เซนติเมตรถ้วนของเขา ทำให้เขาดูอ่อนแอและน่าทะนุถนอมยิ่งนัก อีกทั้งยังมีเรือนผมสีน้ำผึ้งกับดวงตาสีท้องฟ้าทำให้ร่างเล็กตรงหน้านี้มีแต่คนอยากจับจองเป็นข้าวของ แต่ไอพวกที่กล้าลองดีก็มีไม่มากนักหรอกเพราะว่ากรกานต์มีเจ้าของเสียแล้ว ซึ่งผมผู้ที่เป็นเพื่อนสนิทของกานต์อย่างผม เขาก็ไม่อนุญาตให้ผมแม้แต่จะจับมือของกานต์เลย เรียกได้ว่า…ว่าที่เจ้าของของกรกานต์ดุมาก ดุอย่างกับจงอางหวงไข่ ซึ่งหลาย ๆ คนก็ต่างเข้าใจผิดว่าสองคนนี้เป็นคู่รักกันแต่ความจริงแล้วสองคนนี้ยังไม่ได้เป็นอะไรกันนอกจากคุณพี่ข้างบ้านกับคุณน้องข้างบ้านกันเลย ให้ตายเถอะอาจารย์ธาราจะหวงกานต์ไปไหนกันนะ


“สวัสดีกร เมื่อวานเห็นว่าเข้าโรงพยาบาลกรเป็นอะไรมากหรือเปล่า กานต์เป็นห่วงนะกรนะครับ” เสียงหวานฉ่ำเอยออกมาด้วยความเป็นห่วงพร้อมกับมือบางที่เอื้อมมือจับแขนผมเผื่อไปพลิกดูแผลที่เกิดขึ้น “กานต์เห็นในหนังสือพิมพ์ของมหาวิทยาลัยแล้วละว่ากรรถล้ม” ผมหลับตาฟังน้ำเสียงนุ่ม ๆ ของกานต์ด้วยความสุข แต่เอ๊ะ…แต่ว่ามีอะไรหนังสือพิมพ์ของมหาลัยนะ “ในข่าวมีรูปกรโดนอุ้มขึ้นรถของรุ่นพี่นิสิตแพทย์ด้วยละ” อืมมมมม นุ้มนุ่ม แต่เอ๊ะเมื่อกี้กานต์ว่าอะไรนะใครประคองใครอุ้มใครขึ้นรถใคร


ผมเบิกตาโพรงพร้อมกับรัวคำถามใส่กานต์ไม่ยั้ง “กานต์เมื่อกี้กานต์ว่าอะไรนะ ใครถูกอุ้ม ใครประคองใครขึ้นรถ ใคร??” ผมรัวคำถามเสียจนกานต์ตกใจ แต่อาการตกใจของกานต์ก็คือยิ้มจาง ๆ ออกมา เหมือนกับว่ากานต์จะเรียบเรียงคำพูดในสมองเล็กน้อยก่อนจะค่อย ๆ พูดตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่หวานฉ่ำเหมือนเดิมว่า “ก็กรไง กรโดนรุ่นพี่นิสิตอุ้มขึ้นรถไปเพื่อพาไปส่งโรงพยาบาล กรไม่รู้หรอกเหรอ กานต์นึกว่ากรรู้แล้วนะเนี่ย” เมื่อกานต์พูดจบ เสียงหัวเราะเบา ๆ ก็หลุดออกมาจากริมฝีปากสีสดของกานต์ ถ้าไม่ติดว่าผมน่ะกำลังตกใจอยู่ผมคงละลายกองไปกับพื้นด้วยอาการน่ารักน่าชังของกานต์แล้ว


“กานต์มีหนังสือพิมพ์ของมหาวิทยาลัยไหม  กรอยากอ่านตอนนี้เลย” ผมเร่งเร้าให้กานต์หาหนังสือพิมพ์ของมหาวิทยาลัยให้ผมอ่านแต่ว่ากานต์ก็ปฏิเสธผมและบอกเหตุผลว่า ‘หนังสือพิมพ์ของมหาวิทยาลัยอยู่บนรถของอาจารย์ธารากานต์ไม่อยากกวนอาจารย์น่ะ ขอโทษด้วยนะกรกานต์ขอตัวก่อนล่ะดูท่าทางอาจารย์คงหิวข้าวน่าดูแล้ว’ กานต์กล่าวลาพร้อมกับทิ้งให้ตัวผมซึ่งกำลังช็อกกับสิ่งที่กานต์คนงามได้บอกเล่ามาให้ผมฟัง


แต่ผมก็ช็อกไปไม่เท่าไหร่ไอเจ้าสหายที่กำลังกลั้นหัวเราะอยู่ก็เผลอปล่อยเสียงหัวเราะออกมาซะดังผมตวัดตาไปมองเจ้าเพื่อนเวรพวกนั้น  พร้อมกับส่งสายตาที่บ่งบอกว่าพวกมรึงช่วยบอกให้กรูรู้ที  ว่าในหนังสือพิมพ์มหาลัยของอาทิตย์นี้มีอะไรเกี่ยวกับกรูบ้าง


สหายรักของผมก็ดึงมือฉุดให้ผมนั่งลงพร้อมกับโยนหนังสือพิมพ์ของมหาวิทยาลัยมาให้  ไม่ต้องเปิดอ่านผมก็กระจ่างในหัวใจ รูปภาพที่อยู่หน้าหนึ่งเป็นภาพของผมที่ถูกไอคุณพี่หมอที่ผมไปสารภาพรักเพราะโดนเกมลงทัณฑ์บ้า ๆ นั่นอุ้มขึ้นรถอยู่
ให้ตายเถอะไอข่าวลือที่ผมคิดว่ามันจะจบลงไปสักทีในอาทิตย์นี้มันยิ่งปะทุขึ้นมาอีก ใต้ภาพมีคำบรรยายสุดสยิวกิ้วว่า ‘นิสิตแพทย์คนดังอุ้มแฟนหนุ่มหมาด ๆ ขึ้นรถ สายตาคมของนิสิตหนุ่มคนนั้นดูห่วงหาอาทรเด็กน้อยเฟรซชี่คณะวิศวะคนนี้ซะเหลือเกิน คาดว่าความหวานนี้คงจะทำให้มดขึ้นกันทั่วโรงพยาบาลเป็นแน่’ เมื่ออ่านคำโปรยใต้ภาพจบผมแทบจะฉีกหนังสือพิมพ์ของมหาวิทยาลัยเป็นชิ้น ๆ


ไอผมน่ะไม่ได้โกรธไอพี่หมอคนนั้นหรอก แต่ผมโกรธไอคนที่เขียนข่าวนี่ต่างหากละ มาเขียวข่าวมั่วซั้วได้ยังไงว่าไอคุณน้องกรสุดหล่อคนนี้เป็นแฟนกับพี่หมอคนนั้นไม่! กรรับไม่ได้!


ผมแทบจะลากพาสังขารที่เดี้ยง ๆ ของผมไปถล่มถึงห้องชมรมหนังสือพิมพ์ของมหาวิทยาลัยแต่ไอพวกเพื่อน ๆ ทั้งหลายกับฉุดและดึงร่างของผมให้นั่งลงกับโต๊ะเพื่อสงบจิตสงบใจเอาไว้


“พวกมรึงดู พวกมรึงดู จะให้กรูเย็นได้ไงครับ มรึงดูข่าวที่เขาพาดหัวดิ  กรูไม่ได้เป็นอะไรกับพี่เขานะเฮ้ย แล้วนี่มันอะไร นี่มันอาร้ายยยยย!” ผมตะโกนและตะคอกกรอกหูพวกมันซึ่งพวกเพื่อนของผมมันก็ได้แต่นั่งขำกันท้องคัดท้องแข็ง


“ไอกร มรึงเย็นไว้นะ ฮะๆ…” ไอเจมส์พูดพร้อมกับปาดคราบน้ำตาที่ไหลออกมาเพราะการหัวเราะไม่หยุดของมัน “มรึงจะสนใจอะไรว่ะแต่ข่าวมรึงไม่ได้เป็นอะไรกับพี่เค้าซะหน่อย  ปล่อยไว้เดี๋ยวข่าวแม่มก็ซาไปเองอ่ะ ข่าวลือพวกนี้แม่มอยู่นานซะที่ไหน” เจมส์มันพูดปลอบพร้อมกับยีหัวของผมเบา ๆ


“ลามปามละมรึง ไอเจมส์” ผมพูดกลับก่อนจะยกมือขึ้นจัดทรงผมของผมให้เข้าที่เหมือนเดิม


“เอาน่าปัญหานี้แก้ได้โดยมรึงอ่ะเงียบเอาไว้  อย่าไปสร้างกระแสเพิ่มก็เท่านั้นเดี๋ยวข่าวมันก็เงียบ ๆ ไปเอง  เข้าใจป่ะวะมรึง” ไอบาสเข้ามาพูดเสริมไอผมก็ได้แต่จำใจยอมรับและพยักหน้าตอบมันไป


“กรูนึกว่าเรื่องนี้จะเงียบแล้วนะเฮ้ยแม่มทำไมมันยิ่งเป็นประเด็นฮอตฮิตแบบนี้วะ” ผมบ่นพึมพำก่อนจะนอนแหมะคว่ำหน้าลงไปบนโต๊ะม้าหินอ่อน ผมไม่ใช่ว่าจะอะไรนะครับเพียงแต่ผมไม่อยากโดนสาว ๆ หรือหนุ่ม ๆ มาเรียกให้ไปคุยอีกแล้วถ้าสาว ๆ มาเรียกไม่พ้นผมนี่ละโดนตบ ถ้าหนุ่ม ๆ มาเรียกก็ไม่พ้นเรียกไปสารภาพรักพูดแล้วขนลุก


แม่มเอ้ย…สองสามอาทิตย์ที่ผ่านมานี่มันเป็นนรกสำหรับผมเลยชัด ๆ ซวย ซวย ซวย ซวยสุด ๆ เท่าที่ชีวิตนี้เคยเจอมากเลยเถอะ ปีชงของผมหรือไงวะเนี่ย


“เชี่ยกรครับ ลุกได้แล้วครับบ่ายนี้มีแลป และมรึงก็โดดไม่ได้นะครับ” พูดจบสหายของผมก็เริ่มออกแรงหามผมที่สติหลุดออกจากร่างไปแล้วให้ไปเรียนคาบบ่ายที่ตึกคณะวิทยาศาสตร์




ร่างที่อ่อนระโหยโรยแรงของผมถูกเพื่อนลากไปลากมาอย่างกับตุ๊กตา เพียงแต่มันก็สบายดีเหมือนกันแฮะ  ไม่ต้องเดินไปไหนมาไหนให้เมื่อยให้เพื่อนลากไปก็ดีเหมือนกัน และผมก็ยอมให้พวกเพื่อน ๆ ลากไปมาจนหมดคาบเรียนของวันนี้ ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายมาก เพราะวันนี้เป็นวันที่สายรหัสของผมนัดเลี้ยงพวกอบายมุขให้น้อง ๆ และแน่นอนด้วยสังขาร และสภาพจิตใจของผมที่ยังไม่พร้อมจะรองรับพวกอบายมุขทั้งหลายแหล่ ผมเลยจำใจต้องปฏิเสธพี่รหัส ลุงรหัส และปู่รหัสที่จะเลี้ยงเหล้าผมไปและนำพาร่างอันไม่สมประกอบของตัวเองไปให้ถึงหอ(จริง ๆ เรียกว่าคอนโดจะดีกว่าแม่ของผมซื้อให้ผมกับคุณเจ้อยู่แต่ด้วยที่คุณเจ้แกจบพร้อมกับรับปริญญาเสร็จไปตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว  และคอนโดนี้ก็เลยกลายเป็นของผมแต่เพียงผู้เดียว) ที่ผมใช้ซุกหัวนอนมาตั้งแต่สมัยผมอยู่มัธยมปลาย


ขาทั้งสองข้างที่เต็มไปด้วยแผลของผมนำพาสังขารอันแสนอ่อนล้าไปที่ตัวลิฟท์  นิ้วชี้ขอผมต่างกดปุ่มของลิฟท์เล่นไปมา ทุกท่านอย่าคิดว่าผมสติไม่เต็มนะครับผมแค่อยากเร่งให้ไอลิฟท์บ้าตัวนี้แม่มลงมาถึงชั้น 1 ไว ๆ เท่านั้นล่ะครับผมเลยเล่นกดรัว ๆ แบบนี้


ผมยืนรอสักพักไม่นานนักไอลิฟท์เจ้ากรรมก็ลงมาถึงชั้น 1 เสียที และหน้าที่ที่จะพาผมเข้าไปในลิฟท์มันก็เป็นหน้าที่ของขาอันแสนอ่อนล้าของผมนั่นละที่จะลากสังขารของคนเดี้ยง ๆ เข้าไปในลิฟท์ มือของผมควานหาปุ่มปิดประตูลิฟท์ก่อนที่จะเลื่อนขึ้นไปจิ้มลิฟท์ชั้น 14 ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นชั้นบนสุด(ถ้าไม่นับรวมดาดฟ้า) ตัวลิฟท์ค่อย ๆ เลื่อนตัวขึ้นไปทีละชั้นทีละชั้นอย่างเชื่องช้าแล้วด้วยความสามารถในการควบคุมสติของผมนั้นใกล้ ๆ จะหมดลงตัวลิฟท์นั้นก็หยุดอยู่ที่ชั้น 14 ที่เป็นจุดหมายของผมซะที


ชั้น 14 นี้จะเรียกได้ว่าเป็นชั้น VIP ก็ว่าได้เพราะมันมีอยู่ไม่ถึง 10 ห้องเสียด้วยซ้ำ  ซึ่งผมก็พอใจนะกับการอยู่เงียบ ๆ ไม่มีใครด่าอะไรกัน  เพราะผมชวนเพื่อนมาสังสรรค์กันทีไร  ไม่มีใครมาเคาะประตูเพื่อด่าผมเลยสักนิด


ผมเดินโซซัดโซเซไปที่ห้องของผมพร้อมกับควานหากุญแจห้องด้วยความอ่อนล้าแต่ไอความอ่อนล้าของผมนี่ละทำให้ผมเผลอทำกุญแจร่วงหลุดจากมือไป และกระเด็นไปตกอยู่ที่ประตูห้องของเพื่อนบ้านของผมผมส่งเสียงจิ๊จ๊ะด้วยความไม่พอใจแต่ก็ยังคงจำใจลากสังขารของตัวเองไปที่หน้าประตูห้องข้าง ๆ ที่เขียนเบอร์ห้องไว้ว่า 1404 ซึ่งเลขตัวหน้าเป็นเลขบอกชั้น และเลขสองตัวหลังเป็นเลขที่บอกถึงหมายเลขห้องแต่จะว่าไป  ตั้งแต่ผมมาอยู่ที่คอนโดนี้ผมยังไม่เคยเห็นเจ้าของห้อง 1404 นี่เลยสักครั้ง เป็นคนชอบเก็บตัวหรือไง  ผมบ่นพึมพำเบา ๆ พร้อมกับก้มตัวลงไปเก็บกุญแจห้องพักของผมขึ้นมา และในขณะเดียวกันบานประตูของห้อง 1404 ก็เปิดออกปรากฏให้เห็นร่างสูงของชายคนหนึ่งที่ผมรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาเขาเสียเหลือเกิน ผมเพ่งมองเขาเล็กน้อย  ก่อนจะก้มหัวขอโทษที่มายืนบ้าบออยู่หน้าประตูห้องของเขาเพียง  แต่ผู้ชายคนนั้นกลับไม่ให้ผมเดินกลับไปได้โดยง่ายเค้ารั้งมือของผมเอาไว้พร้อมกับส่งรอยยิ้มจาง ๆ มาให้


“น้องกรครับ แผลเป็นยังไงบ้างครับ” เขาเอ่ยถามผมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน...แต่ผมกลับไม่ดีใจเลยสักนิดเพราะเจ้าของรอยยิ้มและน้ำเสียงพวกนั้น…มันเป็นคน ๆ เดียวกับคนที่ผมถูกเพื่อนบังคับให้ไปสารภาพรัก และเขาก็เป็นคน ๆ เดียวกับคนที่อยู่ในข่าวหรือเรียกง่าย ๆ ว่าเขาเป็นคนอุ้มผมไปส่งโรงพยาบาลนั่นเอง


“แผลน่ะ ยังเจ็บอยู่ไหมครับ” พี่หมอคนนี้เอ่ยถามซ้ำพร้อมกับโปรยรอยยิ้มจาง ๆ ที่ขยี้หัวใจของสาว ๆ มานักต่อนักให้กับผมอีกครั้ง


ไม่!....อะไรชีวิตของผมจะซวยได้ถึงขนาดนี้…คิดว่าเรื่องมันจะเงียบลงโดยดีแต่ไอเพื่อนบ้านเพื่อนข้างห้องผมดันเป็นคนเดียวกับคนที่เป็นข่าวกับผมให้ตายเถอะถ้ามีใครเห็นผมเดินออกมาจากคอนโดเดียวกับรุ่นพี่คนนี้ผมจะไม่โดนเอาไปทำข่าวอีกหรือไงใครก็ได้ช่วยไอคุณน้องกรทีตอนนี้น้องกรอยากจะบ้าตายไปจริง ๆ แล้ว



--------------------------------------------------


ครั้งนี้มาพร้อมกับการแก้คำผิดค่า (ให้เพื่อนช่วยแก้ให้แหะๆ)
นิยายเรื่องนี้จะเล่าถึงความสัมพันธ์ของตัวละครสองคนคือพี่ศิ กับน้องกรนะคะ โดยความสัมพันธ์ของทั้งสองจะเริ่มจาก 0 คือคนไม่รู้จักกัน มารู้จักกัน ต่อไปเป็นพี่ชาย พี่ชายคนสนิท และความสัมพันธ์ของทั้งสองจะพัฒนาไปเรื่อย ๆ ค่ะ และนิสัยส่วนตัวของแต่ละคนก็จะเผยออกมาเรื่อย ๆ เช่นกัน ในตอนนี้พี่ศิและน้องกรไม่รู้นิสัยของกันและกัน เพราะความสัมพันธ์ยังไม่ได้ก้าวไปไกลค่ะแต่พอ นาน ๆ ไปโมเมนต์การแสดงอารมณ์ การแสดงอะไรต่าง ๆ ก็จะเผยออกมาเยอะขึ้นค่ะ

แก้ไขคำผิด//
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 1] 06/09/2013
เริ่มหัวข้อโดย: shokung13 ที่ 06-09-2013 21:02:12
พี่ศิขาาาาาา พี่หมอออออ >//< อร๊ายยยยยย
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 1] 06/09/2013
เริ่มหัวข้อโดย: Windiizz ที่ 06-09-2013 21:11:23
ดิฉันมั่นใจว่ามันจะต้องเป็นพรหมลิขิตแน่ๆค่ะ
พี่หมอโค่ดแมนอ่ะบ่องตง
อ่านแล้วเขินเว่ยยยยย แอร๊ยยย
อยากจะมีแฟนเป็นหมอ T__T //แดดิ้น
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 1] 06/09/2013
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 06-09-2013 21:19:48
พี่หมอศินี่บังเอิญเจอกรอีกแล้ว
ตอนกรรถล้มก็บังเอิญผ่านมาเจอ
ยังจะบังเอิญอยู่คอนโดเดียวกัน
ห้องข้างกันอีกต่างหาก
สมควรแล้วที่จะเป็นข่าว
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 1] 06/09/2013
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 06-09-2013 21:25:46
ท่าทางจะหนีพี่ศิไม่พ้นแล้วล่ะน้องกรเอ๊ยยยยย :hao7:

กดบวกกดเป็ดเป็นกำลังใจ รอตอนต่อไปค่ะ  :L2: :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 1] 06/09/2013
เริ่มหัวข้อโดย: naisojill ที่ 06-09-2013 21:46:15
ติดตามค่ะ สนุกดี ^^
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 1] 06/09/2013
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 06-09-2013 22:09:48
มาตามเรื่องนี้ด้วยคน พี่ศิน้องกร น่ารักจังเลย  :-[  ‘ว่าที่ภรรยาคุณหมอ’  :laugh: 
โถ ๆ สงสารน้องกรจังโดนผู้หญิงรังเกียจแถมทำร้ายร่างกายอีก พี่ศิ จะฮอทเกินไปแล้วนะ
น้องกานต์กับอาจารย์ธารา น่าสนใจนะเนี่ย พี่ชายข้างบ้านแค่นั้นจริงอ่ะ มันต้องมีอะไรสิน่า
ยิ่งเจอพี่ศิ ยิ่งมีแต่เรื่องเข้ามาหาน้องกรนะเนี่ย แถมยังเป็นเพื่อนบ้านคอนโดเดียวกันซะอีก พรหมลิขิตชัด ๆ
พี่ศิ ปิ๊งน้องกรน่ะชัวร์อยู่แล้ว แต่น้องกรนี่สิ จะเริ่มรู้สึกอะไร ๆ กับพี่ศิ เมื่อไหร่กันน้า
สนุกดีจัง รอตอนต่อไปนะจ้ะ ขอบคุณค่า  :L2: :3123:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 1] 06/09/2013
เริ่มหัวข้อโดย: konishiki ที่ 06-09-2013 22:25:57
ป๊าพลอยแต่งแนวรักคอมเมดี้ !

แหวกแนวจากเดิมเลยสินะ สินะ สินะ

เรื่องน่าติดตามมม ชอบการดำเนินเรื่องแบบพัฒนาความสัมพันธ์แบบนี้จัง ♥ ♥ ♥ ♥



เหมือนเห็นชื่อคุ้น ๆ  >> กรกานต์ (หรือจำผิดรึเปล่านะ..?)

ปล. นี่วีลวี่ลูกสาวป๊าเองนะ อิอิ ; 9
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 1] 06/09/2013
เริ่มหัวข้อโดย: preaw-sm ที่ 06-09-2013 23:37:03
แอร๊ยยย
เปิดตัวคู่พี่ศิน้องกรแล้ว แอบมีอีกคู่มาแจมด้วยนะเออ~~

ภาษายังมีความเป็นตัวของตัวเองอยู่ ดีแล้วๆ
ตามตอนต่อไปนะคะ~ สู้ๆ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 1] 06/09/2013
เริ่มหัวข้อโดย: rubymoona ที่ 07-09-2013 00:15:56
กรคะ เป็นเราจะเกรียนใส่สาวๆที่มาเรียงคิวตบเลย ไม่ยอมเจ็บตัวฟรีแน่ๆอะ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 2] 07/09/2013
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 07-09-2013 21:14:51



Chapter 2
   


สวัสดีครับ ผมรณกร ชายหนุ่มผู้ซึ่งที่ช่วงนี้ความซวยนั้นพัดพาเข้ามาหาตัวผมซะเหลือเกิน ผมขอบรรยายต่อจากเมื่อสักครู่นะครับ ผมโดนไอคุณพี่หมอทักว่าแผลผมเป็นยังไงบ้าง  ผมได้แต่นิ่งค้างโดยไม่ตอบอะไร และจากนั้นไม่นานร่างของผมก็ถูกลากเข้ามาให้ห้องของพี่เขาครับ...


พวกคุณฟังไม่ผิดหรอกครับ ผมถูกชายไทยอายุมากกว่าผมสักสองสามปีลากเข้าห้อง แต่ก็ช่วยอย่าเข้าใจผิดกันนะครับ เพราะว่าที่ผมโดนลากเข้าห้องมาเพราะว่าอันตัวผมนั้นตอนเย็นไม่ยอมไปล้างแผล และเปลี่ยนผ้าพันแผลไอคุณพี่หมอที่ผมจำชื่อไม่ได้ก็เลยลากผมเข้ามาในห้องเพื่อที่จะช่วยทำความสะอาด และล้างแผลให้ผมนั่นเอง เรื่องทั้งหมดมันก็มีแค่นี้จริง ๆ ผมนั่งจุ่มบนโซฟาตัวกว้างของพี่เขา เฟอร์นิเจอร์ในห้องออกจะแตกต่างไปจากห้องผมเล็กน้อยเพราะผมเป็นพวกชอบสีฟ้าเฟอร์นิเจอร์และเครื่องประดับภายในห้องจะออกเป็นโทนสีฟ้าเสียส่วนใหญ่ แต่ไอห้องของไอคุณพี่หมอคนนี้กลับตกแต่งไปด้วยโทนสีขาว และมีเครื่องเรือนสีดำแต่งแต้มบ้างเป็นบางจุด และที่สำคัญภายในห้องนี้เป็นระเบียบเรียบร้อยมากกว่าห้องผมเป็นร้อยเท่า อย่างน้อยห้องนั่งเล่นนี้ก็ดูเป็นห้องนั่งเล่นมากกว่าห้องนั่งเล่นภายในห้องของผมแล้วกัน


“น้องกรครับ ทำไมวันนี้ไม่ไปล้างแผลละครับ” พี่หมอที่ผมก็ยังนึกชื่อเขาไม่ออกถามซ้ำและไอตัวผมนั้นก็ได้แต่ส่ายหัวพร้อมกับตอบปฏิเสธพี่เขาไป “ผมไม่รู้ว่าไอการเป็นแผลแบบนี้ ทำให้ผมต้องถ่อสังขารไปล้างแผลทุกวันนี่ครับ” ก็ผมไม่รู้จริง ๆ นี่นาว่าการเป็นแผลแค่นี้ต้องถ่อสังขารไปโรงพยาบาล เพื่อล้างแผลทุกวันนี่ ผมไมได้กวนประสาทพี่เขาเลยสักนิดเดียวนะ น้องกรคนนี้ไม่รู้จริง ๆ


“เรานี่นะ…นิสัยแบบตามข่าวที่เขาลือจริง ๆ” ไอคุณพี่หมอพูดพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ พี่เข้าเดินเข้ามานั่งข้าง ๆ ผมพร้อมกับกล่องพยาบาลเล็ก ๆ ที่ถูกนำมาว่างตั้งไว้บนโต๊ะ “เอาล่ะส่งแขนมาได้ครับน้องกรเดี๋ยวพี่จะล้างแผลให้” เสียงของไอคุณพี่หมอเอ่ยออกมาด้วยความอ่อนโยน และผมก็บ้าจี้ยื่นแขนไปให้พี่เขาล้างแผลให้


ให้ตายเถอะ ถ้าคุณพ่อ คุณแม่ คุณเจ้ คุณน้องทั้งสองรู้ว่าผมยอมให้ผู้ชายจับมือถือแขนนี่ ผมคงโดนด่าไปยันแต่งงานและโดนด่ายันลูกชายผมบวชเป็นแน่ แต่เอ๊ะผมก็ไม่ใช่ผู้หญิงนี่นาแล้วผมจะไปสนใจอะไรวะ


“พี่…เบา ๆ นะ ผมไม่ชอบแอลกอฮอล์ มันแสบ” พี่พูดเสียงอ่อยพร้อมกับหลับตาปี๋ให้พี่เขาค่อย ๆ ล้างแผลผมไปทีละนิด บางครั้งผมก็สะดุ้งตัวเล็กน้อยด้วยความแสบของแอลกอฮอล์ที่พี่เขาเช็ดเบา ๆ บนท่อนแขนของผม พี่เขาลอบยิ้มน้อย ๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมากเขายังคงทำหน้าที่ของเขาต่อไปโดยที่คอยระมัดระวังมากขึ้นเพื่อไม่ให้ผมส่งเสียงซี้ดซ้าดชวนเข้าใจผิดออกมา


‘ให้ตายเถอะผู้ชายบ้าอะไรมือเบาชะมัด’ ผมเอ่ยพึมพำเบา ๆ โดยที่ไม่คิดว่าไอคุณพี่หมอที่อยู่ตรงหน้าของผมจะได้ยิน


“พี่ก็ผู้ชายธรรมดานี่ละครับ แค่เรียนหมอเอง” เขาตอบคำถามของผมซึ่งทำเอาผมสะดุ้งตัวสุดขีดด้วยความตกใจ (ว่าพี่เขาได้ยินได้ยังไง) จนท่อนแขนของผมที่พี่เขาจับอยู่กระเด้งไปโดนสำลีที่จุ่มแอลกอฮอล์อย่างเต็มพิกัดเข้า (เรียกง่าย ๆ ว่ามันชุ่มโชกไปด้วยแอลกอฮอล์)


ผมแทบจะกรีดร้องออกมาเสียงดังแต่ผมก็พยายามกัดผมทนไว้ ‘แสบโว้ยยยย’ ผมพูดในใจเบา ๆ แต่ท่าทางการแสดงออกทางความรู้สึกผมไม่ได้อดกลั้นตามเสียงพูด เอาเป็นว่าสภาพของผมตอนนี้คือสภาพที่อเน็จอนาจมาก ร่างกายที่สูง 180 เซนบอดี้เปะกำลังนอนดิ้นอยู่บนโซฟายาวในห้องของชายอื่นที่ไม่ใช่ห้องของพ่อ ของเพื่อนหรือของใคร ๆ เอาเป็นว่าตอนนี้ผมนอนดิ้นแด่ว ๆ ในห้องของคนที่ผมยังจำชื่อไม่ได้นั่นล่ะ


ท่าทางที่เจ็บปวดของผมทำให้พี่หมอคนนี้ลอบอมยิ้มเพียงแต่งว่าผมไม่ตลกด้วย เลยตะคอกใส่พี่เขาทั้งน้ำตาว่า “ไอคุณพี่หมอครับ มีอะไรให้หัวเราะเหรอครับ มันน่าตลกไหมเนี่ย คนเค้าแสบจะตายพี่ยังมาหัวเราะอีก!!” เสียงพูดของผมทำให้พี่เขาปิดปากเงียบทันที พร้อมกับเอ่ยขอโทษผมออกมาเบา ๆ


“พี่ขอโทษครับ พี่ไม่คิดว่าท่าทางและแอคติ้งของน้องกรจะแสดงออกมาได้น่าตลกแบบนี้” สิ้นเสียงพี่เขาผมก็ขมวดคิ้วจนแทบจะเป็นปมทันทีมันมีอะไรน่าตลกห่ะ กับคนปวดแสบปวดร้อนกับแอลกอฮอล์ที่พี่จุ่มจึ้กมาโดนแผลผมเนี่ย แต่ก่อนที่ผมจะได้โวยวายหรืออะไรต่อใบหน้าของพี่หมอคนนั้นก้มลงบนแขนผมพร้อมกับเป่าเบา ๆ เหมือนคาถาสมัยเด็ก ๆ ที่พ่อกับแม่ชอบเป่าให้ผมตอนที่ผมหกล้มเป็นแผลกลับบ้านมา


“โอมเพี้ยง...ไม่เจ็บแล้วนะครับน้องกร” เสียงเข้มเอ่ยถ้อยคำน่ารักน่าชังออกมา ก่อนจะเริ่มลงมือทำแผลให้ผมอีกครั้ง…
เอาล่ะครับ  คราวนี้ผมละนิ่งสนิทเลย นิ่งสนิทจนแทบจะลืมหายใจเลยก็ว่าได้ ‘ให้ตายเถอะคนเป็นหมอต้องทำอะไรแบบนี้ให้คนไข้ด้วยเหรอวะ’ ผมพึมพำในใจพร้อมกับเบี่ยงหน้าตัวเองหนี เพราะผมรู้สึกว่าใบหน้าของผมออกจะร้อนขึ้นสักเล็กน้อย (ร้อนขึ้นเล็กน้อยจริง ๆ นะครับ ผมแค่เขินที่โดนทำรุ่นพี่ทำตัวเหมือนผมเป็นเด็กประถมเท่านั้นละ  ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นเลยจริง ๆ นะ)


พี่เขาใช้เวลาไม่นานนัก  แขนข้างขวาของผมก็ถูกพันด้วยผ้ากอซผืนใหม่ และตามต่อด้วยแขนด้านซ้ายของผมที่เตรียมขึ้นเขียงทำแผลเป็นรายต่อไป


เราสองคนนั่งอยู่เงียบ ๆ โดยที่พี่เขาไม่คิดจะพูดอะไรออกมา และผมก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกมา แต่ด้วยนิสัยของไอคุณน้องกรสุดเกรียนอย่างผมมันมักจะปิดปากนั่งเงียบ ๆ ไม่ได้นานหรอก และแล้วความอดทนที่มีต่อความเงียบของผมก็ได้หมดลงพร้อมกับเสียงของผมที่เอ่ยดังจนไม่เกรงใจเจ้าของห้องที่นั่งทำแผลให้ผมอยู่


“นี่พี่หมอ พี่ชื่ออะไรนะ” ผมถามคำถามแรกออกไปด้วยความสงสัยซึ่งคำถามนั้นทำเอามือของคนที่ทำแผลให้ผมอยู่แทบจะทำสำลีร่วงออกจากมือ


“พี่จำได้ว่าพี่บอกน้องกรไปแล้วนี่ครับ” พี่เค้าเหลือบตามองหน้าผมเล็กน้อยก่อนจะหันไปสนใจแผลบนท่อนแขนด้านซ้ายของผมต่อ


“ก็ผมจำไม่ได้นี่ ตอนนั้นมันกำลังช็อก ๆ ใครจะไปจำอะไรได้กันล่ะพี่!! โธ่ เอาอะไรคิดตอนนั้นผมอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี แถมอยากลืมอะไรตอนนั้นไปให้หมด ๆ ด้วยเถอะ เรื่องน่าอายแบบนั้น!!” ผมตอบพี่เขาไปสุดเสียงแม้พี่เขากับผมจะอยู่ห่างกันเพียงแค่เอื้อมมือแต่ผมก็ใช้คำพูดที่เหมือนกับผมและเขาอยู่ไกลแสนใคร ซึ่งเรียกง่าย ๆ ว่าผมตะโกนตอบพี่เขานั่นเอง


พี่หมอหลุดขำออกมาเบา ๆ พร้อมกับพยักหน้าเชิงเข้าใจในความหมายของคำพูดผม “พี่ก็พอเข้าใจล่ะนะ น้องกร” เขาเอื้อมมือมาตบบ่าของผมพร้อมกับเอ่ยแนะนำตัวเองใหม่อีกครั้ง


“พี่ชื่อศิครับ ศิรวิทย์ เรียนอยู่คณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยเดียวกับน้องเนี่ยละ คราวนี้จำชื่อของพี่ได้หรือยังครับ” เมื่อพูดจบพี่ศิก็ส่งรอยยิ้มบาดใจสาว(แต่ไม่บาดใจผม)มาให้


ผมพยักหน้าเบา ๆ เป็นการตอบคำถามให้กับพี่เขาพร้อมกับเรียกชื่อพี่เขาให้เพื่อพี่เขาอยากจะฟังเสียงเรียกชื่อของเขาจากผมบ้าง “พี่ศิ” และเมื่อผมพูดชื่อพี่เขาดูเหมือนพี่เขาจะตกใจสักเล็กน้อย กับเสียงเรียกของผม แต่พี่เขาก็ตกใจได้ไม่นานนักหรอก พี่ศิตั้งสติสักพักก่อนจะเอ่ยขอบคุณพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างมาให้ผมอีกที “ขอบคุณนะครับน้องกรที่จำชื่อพี่ได้สักที”


น้องกร โอ้ว…เสียงนี้พาระทวยแม้ผมจะโดนเรียกอะไรก็ตามแต่เช่น ไอ้กร ไอคุณน้องกร หรือไอเชี่ยกร มันไม่มีครั้งไหนที่สยิวกิ้วได้เท่ากับชื่อนี้อีกแล้ว น้องกรเป็นชื่อที่พ่อแม่ผมเรียกเท่านั้น ส่วนพวกคุณเจ้ คุณน้องชายและน้องสาวของผมจะเรียกไอกร หรือ เฮียกรกันทั้งนั้น  ดังนั้นคำว่าน้องกรที่ออกมาจากปากของคนอื่นที่ไม่ใช่พ่อแม่ทำให้ผมรู้สึกหวิว ๆ สักเล็กน้อย ซึ่งผมก็ไม่ได้อยากให้อาการหวิว ๆ ในใจนี้อยู่นาน จึงรีบเอ่ยปากพูดอนุญาตให้พี่เขาเรียกผมว่ากรเฉย ๆ ก็ได้


“พี่ศิครับ ผมขอนะครับ พี่ช่วยเรียกผมว่ากรปกติได้ไหมครับ เรียกน้องกรแล้วผมรู้สึกฟังแล้วสยิวไส้แปลก ๆ” ผมแทบจะยกมือไหว้พี่เขา เพื่อให้พี่เขาเลิกเรียกผมว่าน้องกรสักที พี่ศิทำท่าคิดอยู่เล็กน้อยก่อนที่จะเอ่ยข้อแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมกัน(??) โดยพี่ศิเขาขอให้ผมแทนชื่อตัวเองว่ากรเวลาคุยกับพี่ศิเขาซึ่ง…แม่ม ไอการแทนตัวว่ากรเนี่ยทำให้ผมรู้สึกสยิวกิ้วไม่แพ้กับการที่ผมโดนเรียกว่าน้องกรเลยสักนิด  แต่เอาก็เอาวะ อย่างน้อยคำว่ากรก็สยิวไส้น้อยกว่าคำว่าน้องกรก็แล้วกัน!


ผมพยักหน้าตกลงไปพร้อมกับส่งรอยยิ้มแห้ง ๆ ไปให้พี่เขา  ซึ่งไอการที่ผมพินิจพิจารณ์ถึงข้อแลกเปลี่ยมที่เท่าเทียมนั้นมันก็ทำให้พี่ศิทำความสะอาดแผลที่ท่อนแขนข้างซ้ายของผมเสร็จเรียบร้อย และแน่นอนจุดต่อไปที่ต้องทำความสะอาดมันก็คือบริเวณขาทั้งสองข้างของผมนั่นเอง


“กรถอดกางเกงออก เดี๋ยวพี่ทำแผลที่ขาให้” พี่ศิพูดพร้อมกับหัวใจของผมตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม โอ้ว ไม่...ทำไมผมต้องถอดกางเกงให้คุณพี่ข้างห้องคนนี้เห็นขาอ่อนของผมด้วยเล่า


ซึ่งเป็นที่แน่นอนผมไม่ยอมแน่ๆ และเมื่อผมตั้งสติกับคำถามนั่นได้ผมก็แทบจะลุกขึ้นหนีทันทีที่พี่เขาพูดจบประโยค  แต่ทุก ๆ ท่านก็คนรู้นะครับว่าเดี้ยง ๆ อย่างผมจะไปสู้อะไรกับคนที่มีร่างกายสมบูรณ์ครบ 32 ซึ่งผมเขย่งหนีพี่เขาไปรอบห้องได้ไม่นาน  ผลสรุปสุดท้ายผมก็โดนจับมานั่งที่เก่าและต้องจำใจถอดกางเกงแสลคออกให้เหลือแต่บ็อกเซอร์ให้พี่ศิเขาทำแผลให้ได้ง่าย ๆ


‘เกิดมาชาตินี้ไอกรคนนี้ไม่เคยให้ใครเห็นขาอ่อนนอกจากคุณพ่อคุณแม่ คุณเจ้ และคุณน้อง ๆ เลย แล้วไอคุณพี่หมอศินี่เป็นใครกันถึงได้มีอภิสิทธิ์มามองขาอ่อนผมแบบนี้ละ ผมกล้ำกลืนฝืนทนให้พี่เขาทำแผลอยู่ไม่นานนัก  สักพักขาทั้งสองข้างของผมก็ถูกเปลี่ยนเป็นผ้ากอซผืนใหม่ พร้อมกับเสียงกำจับของพี่ศิที่บอกว่าผมต้องไปทำแผลที่โรงพยาบาลทุกวัน หรือมาให้เขาทำแผลทุกวันจนกว่าแผลที่แขนและขานั้นจะแห้งดี  ซึ่งมันก็คงต้องใช้เวลาสักสามสี่วันที่(ไอ)แผล(เวร)ของผมจะแห้งได้ที่  ซึ่งพี่ศิก็เตือนว่าอย่าให้ผมเดินเล่น(หรือแว๊นซ์มอไซค์อีก ไม่งั้นแผลอาจจะเพิ่มขึ้นหรือแผลจะเกิดอาการอักเสบขึ้นมาอีกได้ ผมก็พยักหน้าตอบรับส่ง ๆ ก่อนจะลากสังขารกลับห้องของตัวเองไป


แต่ก่อนที่ประตูห้องของพี่ศิจะปิดลงคนมารยาทดีอย่างผมก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยปากขอบคุณพี่เขาไปอีกครั้ง  แม้การทำแผลครั้งนี้จะดูรั่ว ๆ และทำให้ผมแสบจนแทบจะร้องไห้จากการโดนสำลีที่ชุ่มโชกไปด้วยแอลกอฮอล์แปะไปบนแผลก็เถอะ


“พี่ศิครับ” พี่เขาชะงักตัวเล้กน้องก่อนจะโผล่หน้าออกมาจากห้องนิดหน่อยตามเสียงเรียกของผม


“ขอบคุณนะครับที่พี่ศิช่วยทำแผลให้กร” ผมรีบพูดรัว ๆ ก่อนจะวิ่งกะเผลก ๆ อย่างคนไม่สมประกอบไปที่หน้าประตูห้องของตัวเอง ซึ่งในขณะนั้นผมไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า เมื่อผมเหลียวหลังกลับไปมองที่หน้าประตูห้องของพี่ศิ หางตาของผมหันไปเห็นใบหน้าคมนั้นอมยิ้มเล็กน้อย ก่อนที่มือของเขาจะปิดประตูห้องของตนไป


ผมนิ่งค้างอยู่ในท่าเดิมไปสักพัก  ก่อนที่ภายในสมองกับหลั่งสารที่เรียกว่าอะไรไม่รู้ที่มันทำให้ผมรู้สึกเขินอายออกมา


‘บ้าไปแล้วหรือไงวะไอกร…ที่คิดว่ารอยยิ้มกับแววตานั้นดูอ่อนโยนและเป็นห่วงเป็นใยผมเสียเหลือเกิน มรึงบ้าไปแล้วเหรอครับกรที่มรึงรู้สึกเขินอายกับรอยยิ้มของผู้ชายด้วยกัน’ ผมสะบัดหัวไปมาเบา ๆ เพื่อให้ความคิดเหล่านั้นหลุดออกไปจากสมอง ก่อนที่จะไขกุญแจห้องของตัวเองเพื่อกลับเข้าไปพักผ่อนภายในห้อง


ผมลากพาสังขารตัวเองไปนอนแหมะอยู่บนเตียง ก่อนที่จะหลับตาลงและผล็อยหลับไปโดยที่ผมไม่ได้เปลี่ยนชุด หรือหาอาหารเย็นทานเลย





ตอนเด็ก ๆ คุณพ่อ คุณแม่คอยห้ามให้ผมนอนหลับในช่วงตอนเย็นซึ่งเป็นช่วงเวลาของผีตากผ้าอ้อมกำลังออกอาละวาด ไอผมก็รู้หรอกครับว่ามันเป็นคำโกหก แต่ตอนนี้ผมรู้ถึงเหตุผลที่แท้จริงของพ่อกับแม่ที่สอนแล้วไม่ให้ผมนอนในเวลาตอนเย็นแล้วล่ะครับ…


เพราะแม่มจะทำให้ผมตื่นมาตอนตีสอง และนอนต่อไม่หลับแบบนี้ยังไงละ!   ไอท้องของผมก็ร้องครวญครางเสียเหลือเกินราวกับว่ามันร้องประท้วงว่ากรูหิวข้าวหาอะไรมาให้กรูย่อยที จนผมต้องจำใจลุกขึ้นจากเตียงและนำพาสังขารอันไม่เที่ยงของผมลงไปชั้นล่างสุด เพื่อหาอะไรทานแต่ทันทีที่ผมเปิดบานประตูออกผมก็พบถุงโจ๊กแขวนอยู่ที่ลูกบิดประตูด้านนอกของประตูห้องพักของผม ไอผมก็งงสงสัยสิครับว่ามันมาได้ไงแต่สิ่งที่คลายความสงสัยก็คือช็อดโน้ตสั้น ๆ ที่เขียนด้วยลายมือหวัด ๆ ตามประสาคนเรียนหมอว่า


‘พี่เห็นกรไม่ได้ออกมาหาอะไรทานตั้งแต่ตอนเย็นพี่เลยซื้อโจ๊กมาฝากทานให้อร่อยนะครับกร จากพี่ศิ’



โถๆๆๆ พ่อคุณ  ถ้าผมเป็นผู้หญิงผมคงไปเคาะประตูห้องของพี่แล้วถวายดีฟคิสไปสักทีแล้วล่ะ แต่นี่ผมเป็นผู้ชายถึงได้แต่ซาบซึ้งในน้ำใจของพี่ศิเขาเฉย ๆ และเดินลากขาหิ้วถุงโจ๊กเข้าไปสวาปามในห้องอย่างไม่รีรอ ผมแกะถุงโจ๊กออกช้า ๆ พร้อมกับนำถ้วยโจ๊กนั่นเข้าไปอุ่นในไมโครเวฟ


‘ไม่ใส่ผักด้วยแหะ’ ผมพึมพำเบา ๆ พร้อมกับมองถ้วยโจ๊กที่กำลังหมุนวนอยู่ภายในตู้ไมโครเวฟ ‘พี่ศิเค้ารู้ได้ยังไงกันนะว่าเราน่ะไม่ชอบกินผัก’


แต่ผมก็ไม่ได้คิดอะไรต่อให้ปวดสมอง  เมื่อเสียงของไมโครเวฟดังขึ้นผมก็พุ่งตรงเข้าไปหยิบถ้วยโจ๊กร้อน ๆ ขึ้นมาตักกินทันที โดยปล่อยให้ความสงสัยนั่นหายไปพร้อมกับความหิวของผม




เช้าวันต่อมา  ผมตื่นด้วยแสงแดดที่สาดส่องแยงตาของผมเหมือนกับทุก ๆ เช้า  ซึ่งมันก็เป็นนาฬิกาปลุกชั้นดีที่ทำให้ผมตื่นไปเข้าเรียนที่มหาลัยทัน เพียงแต่สภาพผมตอนนี้มันจะทำให้ผมไปเข้าเรียนทันหรือเปล่าเนี่ย ผมค่อย ๆ นำพาร่างกายที่แสนอ่อนล้าของตัวเองไปยังห้องน้ำ พร้อมกับเข้าไปชำระร่างกายตามปกติเฉกเช่นทุก ๆ วัน  แต่วันนี้ผมกลับรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ ยังไงก็ไม่รู้สิ  แถมยังปวดเมื่อยตามตัวด้วยเฮ้อ… ท่าทางไอพวกแผลตามร่างกายของผมนี่ท่าทางจะทำพิษให้ผมเป็นไข้ซะแล้วสิเนี่ย และตอนนี้ผมก็เริ่มปวดหัวหน่อย ๆ แล้วละ


ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าผมก็ไม่คิดที่จะฝืนร่างกายตัวเองไปมหาลัยตอนนี้ และในวันนี้ก็ไม่ได้มีวิชาอะไรน่าเป็นห่วงแบบพวกแลป หรือการทดลองอะไร  ผมจึงตัดสินใจลากตัวเองขึ้นไปนอนบนเตียงพร้อมกับกดเบอร์โทรศัพท์ของเพื่อนเจมส์  เพื่อจะฝากให้มันเช็คชื่อแทนผม ผมถือสายรอมันพร้อมกับฟังเสียงเพลงรอสายของมันไปด้วยสักพักเสียของเพื่อนเจมส์ก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงของเพื่อนบาสแทรกดังเข้ามาเป็นครั้งคราว



“ไงเพื่อนกรมรึงหายหัวไปไหนเนี่ย  จะเข้าเรียนแล้วนะเฮ้ย” น้ำเสียงของไอเจมส์ดูร้อนรนเล็กน้อยแต่ไม่ทันที่มันจะได้ถามผมจนจบประโยคไอเพื่อนบาสก็แย่งโทรศัพท์ของเจมส์ไป  พร้อมกับพ่นคำถามจิปาถะที่ทำให้คนป่วยอย่าผมแทบจะหายจากการโดนไข้กินทันที


“ไอกรมรึง...ว่าที่สามีมรึงมาหาว่ะ  รู้สึกจะถามถึงมรึงด้วย  แต่กรูบอกไปว่ามรึงยังไม่มามหาลัย พี่เขาก็เลยพยักหน้าตอบรับแล้วก็รีบเดินออกไปทันทีเลยว่ะ  มรึงไปทำอะไรกับพี่เขามาวะ  ร้อยวันพันปีกรูไม่เคยเห็นเจอตอนนี้เดินดุ่ม ๆ เข้ามาถามหามรึงเลยเนี่ย” ผมตกใจกับคำพูดของไอบาสแต่ไม่ทันที่ผมจะได้ตอบคำถามของของเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นพร้อม ๆ กับตัวผมที่สะดุ้งโหย่งด้วยความตกใจ


‘เชี่ยละครับ…ใครมาเคาะประตูห้องผมตอนนี้เนี่ย’ ผมพึมพำในใจก่อนจะตัดสายโทรศัพท์ทิ้งโดยที่คู่สายอีกฝั่งยังคงรอคอยคำตอบของผมอยู่ “เชี่ยกร…มรึงอย่าเพิ่งวางงง” ผมไม่คิดจะใส่ใจเสียงร้องเรียกของไอบาสมันหรอกที่มันอยากได้คำตอบจากผม  ก็เพราะมันจะเอาไปล้อผมนั่นล่ะผมเลยไม่ใส่ใจอะไรกับเสียงร้องเรียกของมัน และตอนนี้สิ่งที่ทำให้ผมสนใจยิ่งกว่าเสียงร้องเรียกของเพื่อน นั่นก็คือเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นเป็นครั้งที่สองนั่นต่างหาก


ผมลุกขึ้นออกจากห้องนอน และเดินตรงไปยันบานประตูห้องนอนของผม  ซึ่งผมก็ไม่ได้ส่องตาแมวดูผู้มาเยือนก่อนหรอก  เพราะว่ามันเสียเวลาผมเลยเปิดประตูออกไปทันที และแน่นอนสิ่งที่ผมเดาก็คงไม่ผิดเพี้ยนอะไรเลยสักนิด  ไอคนที่มาเคาะกระตูห้องนอนของผมนั่นก็คือ ว่าที่คุณหมอ พี่ศิรวิทย์ คนที่นั่งทำแผลให้ผมเมื่อเย็นวานนั่นเอง


ผมมองหน้าของเขาด้วยสีหน้าสงสัย  แต่พี่ศิเขาก็เร่งตอบคำถามคลายความสงสัยให้ผมได้อย่างทันท่วงที  โดยที่ผมไม่จำเป็นต้องร้องเรียกหาคำตอบอะไรจากพี่เขาเลยสักนิด “พี่คิดว่ากรน่าจะเป็นไข้จากอาการอักเสบของแผลน่ะเลยเข้ามาดูอาการของเราหน่อย เป็นอะไรมากไหม” พี่ศิเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พร้อมกับถือวิสาสะยกมือขึ้นแตะที่หน้าผากของผมเพื่อวัดอุณหภูมิเบื้องต้นของร่างกายผม


การกระทำนั้น ทำให้ผมสะดุ้งตัวอีกครั้งและถอยหลังไปหนึ่งก้าว และพี่ศิเขาดูท่าทางว่าผมจะไม่ค่อยชอบใจให้ใครมาจับตัวเสียเท่าไหร่  พี่ศิก็เลยเอ่ยปากขอโทษพร้อมกับหยิบยาแก้ไข แก้ไอ แก้ปวดหัวและสารพัดแก้ใส่มือผมแล้วเดินออกจากประตูห้องของผมไป  โดยทิ้งให้ผมงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าเมื่อห้านาทีก่อน


‘อ่อม...ถ้าพี่จะมาแค่นี้ไม่ต้องมาก็ได้นะครับผมขึ้นเกียจลุกขึ้นมาเปิดประตู’ ผมพูดในใจตามแผ่นหลังกว้างที่รีบเดินจากไปดูเหมือนว่าพี่เขาจะแอบแวะมาหาผม  ก่อนที่ตัวพี่เขาจะเข้าเรียนล่ะมั้ง  ถึงได้รีบเร่งแบบนี้ ผมยิ้มมุมปากเบา ๆ ก่อนจะปิดประตูห้องของตัวเองและลากสังขารร่างของตัวเองไปนอนฟุบที่เตียงนอนอีกครั้ง


“คิดถึงคุณเจ้จัง ถ้าคุณเจ้อยู่ป่านนี้ได้กินข้าวต้มร้อน ๆ ฝีมือคุณเจ้แล้ว” ผมบ่นพึมพำในใจเบา ๆ ก่อนที่ดวงตาทั้งสองข้างจะหลับตาลงไปเพราะพิษไข้อีกครั้ง



v
v
v
v
v
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 2] 07/09/2013
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 07-09-2013 21:17:21


ผมลืมตาตื่น เพราะเสียงอื้ออึงและเสียงพูดคุยภายในห้องผมนอนปรับร่างกายของตัวเองไปสักพัก ก่อนจะเบิกตาโพรงเมื่อเห็นตุ๊กตาแมวสีขาวสุดที่รักของผมโดนเหวียงข้ามหัวผมไป


“เชี่ยยย! ใครปาลูกรักกรู” ผมเด้งตัวขึ้นมาทันทีก่อนจะรู้สึกวูบจนร่วงลงไปอีกครั้ง ครับ ตอนนี้อาการไข้ของผมหนักเพิ่มมากขึ้นกว่าเมื่อเช้าเสียอีก ทำเอาผมลุกขึ้นนั่ง และโวยวายไอเพื่อนรักสองคนที่เล่นปาลูกสาวสุดที่รักไม่ได้เลย


“ดีครับ เชี่ยกรตื่นแล้วเหรอวะ” นี่คือเสียงของไอเจมส์เอ่ยทักผม พร้อมด้วยกับเสียงของเพื่อนบาสที่เอ่ยทักทายถัดมา “โธ่ มรึงยังไม่ตายน่าเสียดาย  ถ้าตาย กุจะได้ยึดห้องนี้เป็นหอใหม่ของกรูซะเลย”


“นั่งปากมรึงหรือครับ ไอบาส” พอผมพูดจบผมก็คว้าหมอนอิงที่วางอยู่ข้าง ๆ ปาใส่หน้ามันไป แต่ความรุนแรงของหมอนนั้นเอากำลังเดิมของผมหารด้วยสิบ ซึ่งหมายความว่าหมอนที่ผมปาไปยังปลิวไปไม่พ้นขอบเตียงเลยไปบาสเลยได้แต่แลบลิ้นล้อเลียนผม
ทุกท่านคงสงสัยสินะครับว่าไอพวกนี้มันมีกุญแจห้องของผมได้ยังไง  ไอพวกนี้มันมีกุญแจห้องของผมตั้งแต่พวกมันอยู่ ม.ปลายแล้ว  ผมลืมบอกไปใช่ไหมครับว่าผม ไอเจมส์ ไอบาสเป็นก๊วนเพื่อนสนิทกันตั้งแต่มัธยมต้น และเรียนอยู่ห้องเดียวด้วยกันมาตลอดรวมถึงกานต์ด้วย แต่กานต์เขาจะเรียบร้อยไม่ค่อยซนเป็นลิงทโมนแบบพวกผม


“โธ่ เพื่อนกร ร่างกายมรึงอ่อนล้ามากเลยสินะสงสัยเมื่อคืนมรึงน่าจะทำอะไรหนักไปหน่อยละมั้ง” ไอบาสพูดล้อเลียนผมพร้อมกับในมือถือโพสอิสที่มีลายมือหวัด ๆ ที่เหมือนจะเป็นโพสอิสอันเดียวกับอันที่ผมได้รับเมื่อวาน


“นี่ มรึงปิดบังพวกกรูเหรอ กร” ไอเจมส์พูดเสียงนิ่งราวกับว่าคนที่กำลังเสียใจสุดซึ้งที่เพื่อนรักเพื่อนสนิทไม่คิดจะบอกเล่าความจริงอะไรให้มันฟัง “พวกกรูยังเป็นเพื่อนสนิทมรึงอยู่หรือเปล่า” ไอเจมส์มันพูดเสียงนิ่งขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อกดดันผม  แต่สุดท้ายนิสัยของมันก็ไม่ได้กวนตรีนน้อยไปกว่าไอบาสเลย “นี่ มรึงริมีผัวโดยไม่บอกพวกกรูเหรอ!” เมื่อไอเจมส์พูดจบไอบาสก็หัวเราะออกมาเสียยกใหญ่  ส่วนผมช็อกจนน้ำลายแทบจะฟูมปากตายอยู่แล้ว


“มีผงมีผัวอะไรละพวกมรึง พวกมรึงคงจำพี่หมอที่มรึงไล่ให้กรูไปสารภาพรักได้ใช่ป่ะ พอดีพี่เขาอยู่ห้องข้าง ๆ กรูก็เท่านั้นละ  แล้วเมื่อวานเขาก็ช่วยกรูทำแผลนิดหน่อยเท่านั้น  มีผงมีผัวอะไรกันวะแค่เพื่อนบ้านเว้ย” ผมพูดไปพลางไอค่อกแค่กไปด้วยพิษไข้
ซึ่งผมอธิบายไปอย่างงี้  ไอพวกเพื่อน ๆ ของผมก็ยังทำสีหน้าไม่ไว้ใจผมอยู่ดี  ท่าทางมันอยากจะให้ผมมีผัวมากเลยสินะไอเพื่อนเวร


“อ๋อออ…เหรอออ” ไอเจมส์ลากเสียงยาวพร้อมกับทำเสียงจิ๊จ๊ะเบา ๆ  ส่วนไอบาสก็เริ่มลงเดินออกไปนอกห้องนอนดูเหมือนว่ามันจะไปที่ครัวเพื่อทำข้าวต้มให้ผมกิน


อย่าว่าอย่างงั้นอย่างงี้เลยครับ  บ้านไอบาสเป็นร้านอาหาร  ซึ่งไอบาสก็ทำอาหารเก่งมากจนผมนี่แทบอยากจะไปถวายตัวเป็นลูกเขยบ้านมันซึ่งเป็นที่น่าเสียดาย…บ้านไอบาสไม่มีลูกสาวเลยสักคน  และมันก็เป็นลูกคนเล็กของบ้านด้วย แล้วเฮีย ๆ ของไอบาสหวงไอบาสยิ่งกว่าจงอางหวงไข่ มดไม่ให้ไต่  ไรไม่ให้ตอม  ราวกับว่าน้องชายของพวกเฮีย ๆ เป็นสาวน้อยบอบบางอย่างงั้นละ ผมยังไม่ได้บอกใช่ไหมครับว่าไอบาสมันสูงน้อยกว่าผมราว ๆ  5 เซน ตัวกะทัดรัดสูงไม่มากนัก  แต่ทุกท่านอย่าคิดนะครับว่ามันจะอ้อนแอ้นอ่อนแอ  ถ้าคุณคิดแบบนั้นคุณคิดผิดครับไอบาสนี่เป็นนักเทควันโด้เก่าของโรงเรียนผมซึ่งมันเตะผู้ชายตัวโตกว่ามันคว่ำมาแล้วหลายสิบ  ดังนั้นเลิกไปแหยมกับมันเถอะครับบางทีผมยังไม่กล้าที่จะเข้าไปแหยมกับมันเลย


ส่วนไอเจมส์  บ้านของมันพ่อแม่มันเป็นครูครับ  คุณไม่ต้องนึกเลยครับว่ามันเรียนเก่งขนาดไหนด้วย  คะแนนที่มันแอดมิชชั่นเข้ามหาลัยมาติด 1 ใน 5 แล้ว คะแนนการเรียนของมันก็ท็อป 5 ของภาควิชาเช่นกัน ส่วนรูปร่างของไอเจมส์ มันตัวพอ ๆ กันกับผมนี่ละครับสูงต่างกันไม่มากไม่มายกันเสียเท่าไหร่  รู้สึกว่ามันจะเตี้ยกว่าผมสักเซนนึงได้มั้งครับ ไอเนิร์ดคนนี้มันสวมแว่นครับ  ซึ่งสายตามันก็ไม่ได้สั้นอะไรเลยสักนิดเดียวเอียงก็ไม่เอียง แต่พอผมถามมันไปว่ามรึงจะใส่แว่นทำซากอะไรวะ สายตาก็ไม่ได้สั้น มันก็เลยตอบผมกลับมาว่า มันเป็นสไตล์ของคนหล่อที่อยากจะปกปิดใบหน้าที่แท้จริงของตัวเอง คำตอบที่มันตอบผมนั้นทำเอาผมขนลุกเกรียวและรีบหาอะไรยัดปากมันแทบจะทันที


ส่วนผมน่ะเหรอครับ  ก็อย่างที่บอกครับผมสูง 180 เซนถ้วนไม่ขาดไม่เกิน หน้าตาก็ขาวใสตามประสาลูกคนจีนแต่ผมก็ยังสงสัยไม่หายว่าทำไมตาผมนี่โตซะเหลือเกิน  คุณป๋าคุณม๊าของผมตาก็ไม่ได้โตอะไร  แต่ทำไมตาผมมันโตกลมและใสแหววแบบนี้ หลังจากที่ผมบรรยายลักษณะของเพื่อน ๆ ให้พวกคุณได้อ่านกันตอนนี้  กระเพาะของผมก็เริ่มเรียกร้องของกินแล้วละครับ  ดังนั้นผมของไปเรียกไอเพื่อนบาสให้มันเร่งมือทำข้าวต้มให้กินที


“เพื่อนบาสครับ…เพื่อนกรหิวข้าวครับ  ตอนนี้เพื่อนบาสทำข้าวต้มเสร็จหรือยังครับ” ผมพูดเสียงอ่อยพร้อมกับค่อย ๆ ปลอบท้องของผมที่ร้องครวญครางด้วยความหิว


“รอสักแปบสิครับเพื่อนกร  ถ้าเพื่อนกรเร่ง ระวังเพื่อนบาสจะเผลอใส่เครื่องปรุงผิดนะครับ” ไอบาสตะโกนตอบกลับมาแต่กลิ่นหอมของข้าวต้มปลา (ที่ไม่ใส่แม้แต่ผักโรย) ก็หอมโชยมาไกลแสดงให้เห็นว่าท้องน้อย ๆ ที่กำลังร้องครวญครางของผมกำลังจะมีอะไรตกถึงท้องแล้ว และไม่นานเกินรอ  สักพักเพื่อนบาสก็ยกถ้วนข้าต้มเข้ามาในห้องนอนของผมพร้อมกับยื่นถ้วยข้าวต้มปลาที่กลิ่นหอมฉุยมาให้ผม
ผมอมยิ้มตอบรับมันไปนิดหน่อยก่อนที่จะเริ่มลงมือสวาปามข้าวต้มถ้วยนั้นด้วยความรวดเร็ว ผมใจเวลาทานข้าวต้มถ้วยนี้เป็นเวลาสิบนาทีเศษ  ซึ่งไอสิบนาทีเศษนั้นผมก็ทานมันไปได้เพียงแค่สองสามคำก่อนจะยื่นถ้วยข้าวต้มกลับคืนไปให้ไอเพื่อนบาส


เวลาผมไม่ค่อยจะอยากอาหารเลย ให้ตายสิ  หิวแทบตายแต่กินไปสองสามคำก็อิ่มแล้ว ผมคิดในใจก่อนจะยื่นมือไปรับยาที่อยู่ในมือไอเจมส์มากรอกเข้าปากพร้อมกับดื่มน้ำอุ่น ๆ ตามลงไปและหลังจากที่ผมทานยาเสร็จสหายทั้งสองของผมก็ผลักผมให้ลงไปนอนเหมือนเดิม พร้อมกับทำตัวเป็นยามรักษาการนั่งเฝ้าไข้ให้ผม ซึ่งเวลานี้ผมก็ยังสงสัยไม่หายเลยว่าไอสองคนนี้มันรู้ได้ยังไงว่าผมป่วยนอนซมอยู่ในห้อง


“เชี่ยบาส เชี่ยเจมส์ มรึงรู้กันได้ยังไงว่ากรูไม่สบายวะ” ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงยานคาง อ่า...ยาแก้ไข้ค่อย ๆ ออกฤทธิ์แล้วสินะผมถึงได้เริ่มง่วงแบบนี้ สติตอนนี้ผมไม่พร้อมที่จะรับฟังอะไรแล้วเสียงไอเจมส์ที่ตอบคำถามผมมันช่างลางเลือนเหมือนพูดอยู่ห่างไกลไม่นานนักผมก็นอนหลับไป


บาสและเจมส์ที่คิดจะใช้คำพูดแหย่เจ้ากรแต่ได้แต่ถอนหายใจพลางส่ายหัวไปมา


“ไอกรเอ้ย...คนที่บอกว่ามรึงเป็นไข้ก็ไอพี่หมอของมรึงนั่นละ สงสัยชาตินี้เพื่อนกรูจะหาเมียไม่ได้ แต่คงได้ผัวแทนแล้วล่ะมั้ง” เจมส์พูดออกมาขำ ๆ พร้อมกับหยิบผ้าเช็ดหน้าที่โปะอยู่บนหน้าผากของกรออกไป


“เฮ้อ…กรูควรสงสาร หรือสมน้ำหน้าไอกรมันดีวะเจมส์  ไอนี่ทะเล้นอย่างกับปลาไหลแต่เจือกตรงสเปกของเกย์” บาสพูดพร้อมกับถอนลมหายใจออกมามือข้างหนึ่งก็เอื้อมไปรับผ้าเช็ดหน้าในมือมาจุ่มน้ำแล้วบิดหมาด ๆ แล้วก็ยื่นกลับคืนไปให้เจมส์


“ไม่รู้ดิวะแต่แม่ม...ไอพี่หมอของมันท่าทางจะรักจริงหวังแต่งว่ะ  ไม่งั้นพี่แกคงไม่รีบบึ่งรถมาหาพวกเราแล้วบอกให้พวกเรามาเฝ้าไอกรมันหรอก” เจมส์พูดพลางนึกย้อนการกระทำของรุ่นพี่ที่เรียนแพทย์คนนั้น ทั้งสีหน้าแววตาและการกระทำมันช่างเป็นห่วงเป็นใยเพื่อนกรซะเหลือเกิน แถมมีกำชับว่า...


‘ถ้าพี่ยังไม่ไปเคาะประตูห้องของกรห้ามพวกน้อง ๆ ออกจากห้องกรเป็นอันขาด  เดี๋ยวพี่ไปเรียนก่อนล่ะ ไว้เย็น ๆ พี่จะกลับไปดูกรที่ห้อง’ สภาพการเป็นแบบนั้นถ้าไม่โง่จัดขั้นเป็นออทิสติกใคร ๆ เขาก็รู้ว่าไอคุณพี่หมอสุดหล่อคนนี้แอบหมายตาเพื่อนกรของเราไว้อยู่ แถมไม่รู้ว่าซ้ำดีหรือซ้ำร้ายที่ห้องของทั้งคู่ดันอยู่ติดกันเสียอีก  แบบนี้เพื่อนของเราจะรอดมือไอคุณพี่หมอคนนั้นไปได้ยังไง


“…มรึงคิดว่าไอกรของพวกเราจะเสร็จพี่เขาในกี่เดือนวะ เดือนหรือสองเดือน” หลังจากที่ภายในห้องเงียบไปสักพักเสียงของเจมส์ก็ดังขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มเป็นประกายที่ไม่น่าไว้ใจ


“กรูว่าสักสองเดือนว่ะ กรูเชื่อว่าเพื่อนกรของกรูไม่ง่ายขนาดนั้น” บาสพูดตอบแต่ในใจก็กระยิ้มกระย่องอยากที่จะเห็นเจ้าเพื่อนตัวแสบคนนี้โดนพี่หมอปราบให้อยู่หมัดจนไม่สามารถออกลายเกรียนได้อีก


“เฮ้ยสองเดือนไวไปเปล่าวะ กรูว่าเพื่อนกรกรูน่ะไม่ง่ายขนาดนั้น  กรูพนันสามเดือน ภายในสามเดือนนี้ไอกรแม่มต้องเสร็จแน่นอน กรูขอพนันด้วยฟูจิมื้อนึงเลย” เจมส์สายหัวให้กับความมั่นใจของบาสแต่จากการวิเคราะห์และพิจารณาแล้วเพื่อนกรแม่มซื่อบื้อกว่าที่ไอบาสคิดมันต้องไม่รู้ใจตัวเองแน่นอน  ดังนั้นพนันไว้สามเดือนนั่นละถูกแล้ว  ต่อให้ซื่อบื้อขนาดไหนก็คงไม่โง่จัดขนาดไม่รู้ใจของตัวเองในสามเดือนหรอก


“โหย  พนันกันด้วยฟูจิมื้อนึงเลยเหรอได้! งานนี้จะได้รู้กันว่าใครจะเป็นคนเสียเงินเลี้ยงฟูจิมื้อนี้” ราวกับว่ามีสายฟ้าปะทะกันในแววตาของคนทั้งคู่


ศึกครั้งนี้เป็นการพนันที่ใหญ่หลวงนัก  ซึ่งทั้งสองก็ต้องวิ่งไปหากลวิธีให้เพื่อนกรสุดที่รักของพวกมันตกหลุมรักพี่หมอให้ได้ภายในระยะเวลาที่ตัวเองต้องการ


ศึกระหว่างลูกผู้ชาย(ที่เอาเพื่อนตัวเองไปให้ผู้ชายคนอื่นจีบ)ได้เริ่มขึ้นแล้ว!




ระยะเวลานั้นได้ผ่านไปสรุปตอนนี้เวลาที่นาฬิกาบอกก็เป็นเวลา 17 นาฬิกา 45 นาทีแล้วซึ่งมันเป็นเวลาเดียวกับเสียงเคาะประตูได้ดังขึ้น บาสกับเจมส์ที่เผลอหลับไปสะดุ้งตื่นขึ้นก่อนจะพยักหน้าให้กันและกัน พร้อมกับวิ่งถลาไปเปิดประตูห้องหมายเลข 1403 (ซึ่งเป็นเบอร์ห้องคอนโดของกร) เพื่อเชื้อเชิญแขกผู้มาใหม่ให้เข้าห้องมา


“สวัสดี  อาการของกรเป็นยังไงบ้างครับ น้องเจมส์ น้องบาส” พี่หมอพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่นพร้อมกับส่งรอยยิ้มที่เป็นกันเองมาให้


“มันหลับสบายเลยพี่  เข้าไปดูมันได้เลยพวกผมดูแลมันอย่างดีเยี่ยม” บาสยกนิ้วโป้งขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มกวน ๆ ไปให้


“แต่ให้พี่เข้าห้องโดยที่ไม่ขออนุญาตกรแบบนี้จะดีเหรอ” เสียงของศิรวิทย์เอ่ยออกมาด้วยความกังวลแต่ ก๊วนลูกคู่สองคนเจมส์และบาสกับส่ายหัวไปมาพร้อมกับบอกว่า “ไม่เป็นไรหรอก ไอกรมันไม่ว่าอะไรแน่นอน บาสและเจมส์คอนเฟิร์ม” ก่อนที่ทั้งคู่จะลากและดันให้พี่ศิเข้าไปในห้องนอนของกร


“พี่ครับ พวกผมขอตัวก่อนแล้วกันนะ ฝากดูไอกรมันด้วยตอนป่วยมันชอบเพ้อ แถมชอบนอนดิ้นอีกต่างหาก  ถ้าพี่รำคาญมันมาก  สามารถกระโดดลงไปนอนตะครุบมันได้เลย  ผมคอนเฟิร์มวิธีนี้ใช้ได้ผลยิ่งนัก เพราะผมกับไอเจมส์ลองกันมาแล้ว  รับรองมันไม่ดิ้นไปไหนแน่นอน” บาสพูดชงพร้อมกับยกนิ้วโป้งให้ศิรวิทย์ก่อนจะรีบควงแขนเพื่อนเจมส์ของตนออกไปจากห้องด้วยความรวดเร็ว


ทั้งสองคนนั้นทิ้งให้ศิรวิทย์ยืนงงกับคำพูดนั้น  แต่ในสมองของว่าที่แพทย์ในอนาคตก็ใช้เวลาประมวลผลไม่นานนักก็เข้าใจความหมายที่รุ่นน้องทั้งสองคนของคนสื่อ มือกร้านยกขึ้นมาปิดบังใบหน้าของตนเองไว้ริมฝีปากหนาพลางบ่นพึมพำออกมาเบา ๆ ว่า “นี่เราดูออกง่ายขนาดนั้นเลยหรือไงกันนะ”


แต่ด้วยจรรยาบรรณว่าที่แพทย์ก็ไม่สามารถทิ้งให้คนป่วยหนักนอนอ่อนระโหยโรยแรงได้  เขาทำการเลิกผ้าห่มที่คลุมร่างของกรไว้พร้อมกับยกกล่องพยาบาลขึ้นมาเพื่อทำการล้างแผลให้กรอีกครั้ง


เมื่อสำลีจุ่มแอลกอฮอล์สัมผัสลงไปบนผิวหนังกรก็ส่งเสียอื้ออึงออกมาเล็กน้อยด้วยความรำคาญ  แต่ยังไงได้ล่ะ  ต่อให้เป็นไข้ยังไงก็ต้องทำความสะอาดแผลที่ยังไม่แห้ง  ศิรวิทย์ก็เลยได้แต่ยื้อแขนของกรไว้พร้อมกับค่อย ๆ ทำแผลให้เจ้าตัวแสบตรงหน้าอย่างเบามือ
“แม้แต่ตอนนอนก็ยังดื้อ เป็นไปตามกิตติศัพท์จริง ๆ” ศิรวิทย์ลอบยิ้มจาง ๆ พร้อมกับยื่นมือไปบีบจมูกที่เชิดรั้นของคนที่นอนอยู่ด้วยความหมั่นเขี้ยว


“ราตรีสวัสดิ์ครับกร ไว้เจอกันพรุ่งนี้  หวังว่าเราจะหายไข้แล้วนะครับ” หนุ่มรุ่นพี่ก้มลงไปกระซิบเบา ๆ ที่ข้างหูของคนที่นอนหลับอยู่  ก่อนจะเดินออกนอกห้องไปโดยทิ้งให้ร่างสูงโปร่งนอนหลับอย่างสบายอกสบายใจต่อไป




________________________


ตอนนี้พพลอยขอคอมเม้นสั้น ๆ ว่า ... อยากมีแฟนเป็นพี่ศิค่ะ// (จบ)
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 2] 07/09/2013
เริ่มหัวข้อโดย: konishiki ที่ 07-09-2013 22:00:12
ขำน้องกรตอนทำแผลจริง ๆ นะ 555555555555

พี่ศิแม่ม.... ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ
ถ้าผมเป็นน้องกร ผมคงเขิลม้วนไปแล้ว

บาส กับเจมส์ แหม....
พนันด้วยคนดิ  อยากกินฟูจิ ' q ' #ผิด

ขอสมัครเป็นติ่งพี่ศิค่ะ ♥
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 2] 07/09/2013
เริ่มหัวข้อโดย: janji ที่ 07-09-2013 22:11:43
น่ารักจังเลย
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 2] 07/09/2013
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 07-09-2013 22:14:44
บาสกะเจมส์นี่ท่าทางจะรักเพื่อนมากดูดิเอาน้องกรเราใส่พานประเคนให้พี่ศิเลย หุหุ
ดีนะที่พี่ศิไม่ใจร้อน?ตะครุบ?น้องกรอย่างที่บาสกะเจมส์แนะนำ  :laugh:

ว่าเเต่พี่ศิมีฝาแฝดไหมค่ะคุณพลอย แบบว่าอยากได้เเบบพี่ศิเหมือนกันแต่ไม่อยากแย่งน้องกรอะ  :-[

รอตอนต่อไปค่ะ  :L2: :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 2] 07/09/2013
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 07-09-2013 22:33:19
พี่หมอศิเก็บอาการไม่อยู่ สงสัยว่าพี่หมอศิอาจจะชอบกรมาก่อนหน้านี้รึป่าว

เพื่อนเจมส์เพื่อนบาส รักเพื่อนมากอยากให้เพื่อนมีปั๋ว เปิดโอกาสสสุดๆ

แต่ว่าพนันกันด้วยฟูจิหนึ่งมื้อน้อยไปไหม เราอยากกินด้วยอย่าลืมเรียกน๊า 55
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 2] 07/09/2013
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 07-09-2013 22:38:42
เอ่อ บาสกับเจมส์นี่ใช่เพื่อนรึเปล่า? รู้ทั้งรู้ว่าเพื่อนขี่มอไซด์ไม่แข็งแต่โยนกุญแจให้เพื่อนขี่ไปคนเดียวแบบนั้นได้ยังไง อย่าคิดว่าไปแค่นี้แล้วไม่เป็นอะไรคนขี่แข็ง ๆ ยังเกิดอุบัติเหตุได้เลยและตอนมาเยี่ยมอ่านแล้วไม่ได้รับรู้ถึงความรู้สึกสำนึกผิดหรือสงสารเพื่อนเลย แย่มากนะเพื่อนแบบนี้

เพื่อนเราขับรถไม่แข็งหรือร่างกายไม่พร้อมแม้แต่นิดเราไม่ยอมให้ขับแน่นอน เรายอมเสียเวลาไปส่งมันเองดีกว่าเพราะคุณไม่มีทางรู้หรอกว่าเพียงแค่ชั่ววินาทีเดียวอุบัติเหตุมันเกิดขึ้นได้ และมันก็เกิดขึ้นมาจริง ๆ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 2] 07/09/2013
เริ่มหัวข้อโดย: ZiiZone ที่ 08-09-2013 01:24:58
อ๊ากกกกกกก น่ารักกกกกกกกกกกกกกกกกกก :-[ :-[ :-[

ฟินเบาๆ
รอตอนต่อไปไม่ไหวเเล้วววววววววววว

 :z13: :z10:


หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 2] 07/09/2013
เริ่มหัวข้อโดย: MangoBlue ที่ 08-09-2013 01:53:25
น่ารักกกกกกกกพี่ศิขา ไม่นานหรอกค่ะน้องกรเสร็จแน่ๆ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 2] 07/09/2013
เริ่มหัวข้อโดย: ekonut ที่ 08-09-2013 03:32:15
หมอศิรู้จักกรมาก่อนใช่มั้ยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 2] 07/09/2013
เริ่มหัวข้อโดย: Windiizz ที่ 08-09-2013 15:22:02
พี่ศิแม่มมมมมมม ทำไมไม่มีผู้ชายอย่างนี้อยุ่บนโลกวะะะะะ
ถ้ามีหมอมาทำแผลให้งี้ฟินตายอ่ะ
เขิน บิดเป็นเกลียว หน้าแดงแปร๊ด พูดไม่ออก โค่ดหวั่นไหว
นับถือกรเจงๆ 5555555
แล้วคือตอนจบนั่นมัน... คือพี่ศิค่อนข้างเก็บอารมณ์เก่งนะ เป็นเราถ้าอยุ่กับคนที่ชอบแบบนี้คงแบบ ตระครุบแม่ม 55555
ยิ่งตอนกรเรียก พี่ศิ ครั้งแรก //พอ!
ฟินจ้ะ รอตอนต่อนะ จิบิๆ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 2] 07/09/2013
เริ่มหัวข้อโดย: tong89 ที่ 08-09-2013 15:43:56
สู้ๆครับ ^^ o13 :bye2:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 3] 09/09/2013
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 09-09-2013 17:13:18



Chapter 3



รุ่งอรุณของเช้าวันใหม่ซึ่งงแสงแดดยามเช้าก็ยังคงทำหน้าที่ของมันเช่นเดิมนั่นก็คือการปลุกร่างสูงโปร่งที่นอนขดตัวอยู่บนเตียงให้ลืมตาตื่นขึ้น ร่าง ๆ นั้นค่อย ๆ ผุดลุกขึ้นมานั่งพร้อมกับมือทั้งสองข้างขยี้ขอบตาตัวเองเบา ๆ ก่อนจะป้องปากตนหาววอด ๆ ออกมาอย่างไม่เกรงใจใคร


“เช้าแล้วสินะ...แต่ตอนนี้แม่มหิวข้าวชะมัดสงสัยจะหลับเพลินจนลืมกินข้าวเย็น” ผมเอ่ยพูดกับตัวเองเบา ๆ พร้อมกับค่อย ๆ ยันตัวเองให้ลุกขึ้นจากเตียง มือทั้งสองข้างของผมนั้นพยุงตัวน้อย ๆ เท้าที่แตะลงไปบนพื้นไม่มีความรู้สึกเจ็บหรือปวดเหมือนกับเมื่อวันสองวันก่อนแล้ว


‘อ่า…ท่าทางแผลของผมจะเริ่มหายแล้วสินะ แถมไข้ก็ไม่มีแล้วด้วย’ ผมพึมพำเบา ๆ ก่อนจะก้มหน้าลงมองแขนและขาทั้งสองข้างของตนเองก่อนจะรู้สึกสะดุดตากับผ้าพันแผลที่สีมันแตกต่างออกไปจากเดิม


‘ใครมาเปลี่ยนผ้าพันแผลให้กรูว่ะ’ พวกคุณคงคิดว่า ‘ผ้ากอซมันก็สีเหมือนกันหมดแล้วมรึงรู้ได้ยังไงว่ะว่ามีคนเปลี่ยนผ้าพันแผลให้มรึง’ สินะครับ แล้วก็สงสัยอีกข้อด้วยว่าทำไมคนอย่างผมถึงใส่ใจรายละเอียด(ที่เปลี่ยนไปแม้แต่สีของผ้าพันแผลนี่ได้ ผมไม่อยากจะบอกผมนี่นักจับผิดภาพตัวยงเลยนะครับอย่าให้ผมเซดถึงความเก่งกาจในการจับผิดภาพหรือผิดสีของผม)ขนาดนี้ นั่นก็เป็นเพราะบ้านของผมเป็นร้านเบอเกอร์รี่ยังไงละ รู้น่าว่าทุกคนสงสัยว่าบ้านของผมเป็นร้านเบอเกอรี่แล้วมันช่วยให้ผมมองเห็นจุดที่เปลี่ยนไปของสิ่งของรอบกายผมไปได้ยังไง ท่านก็ลองให้คุณป๊ากับคุณม๊าพาเข้าครัวตั้งแต่เด็กสิครับคุณจะจำแนกสิ่งของได้ตั้งแต่กลิ่น สี และรสชาติของอาหารได้เลย(เพราะขนมบางชนิดสีเปลี่ยนไปนิดหน่อยทำให้รสชาติเปลี่ยนดังนั้นผมที่หวังจะฮุบกิจการของทางบ้านมาเป็นของผมเอง จึงได้ศึกษาเรื่องของขนม นม เนยเป็นอย่างดี) ดังนั้นแค่สีผ้ากอซที่เปลี่ยนไปสักเล็กน้อยมันก็ทำให้ผมรู้สึกแล้วว่ามันถูกเปลี่ยนด้วยฝีมือใครสักคนแน่นอน แต่ไอคนที่เปลี่ยนผ้าพันแผลของผมมันใครว่ะ


ซึ่งผมก็ขอเดาไว้ว่าคงเป็นไอเพื่อนเจมส์หรือไม่ก็เป็นไอเพื่อนบาสแน่นอนเพราะสองศรีเพื่อนสนิทของผมทั้งสองคนนี้มันมีกุญแจห้องคอนโดของผมและผมก็อนุญาตให้มันเข้านอกออกในห้องผมได้อย่างกับห้อง ๆ นี้เป็นห้องของพวกมันเอง จนบางครั้งมันก็ทำตัวเป็นเจ้าของห้องมากเกินไปจนผมไล่ตะเพิดมันออกไปหลายทีอยู่ แต่ไอผมก็พูดเกินไปมันก็นาน ๆ ทีละครับที่ผมจะออกปากไล่พวกมันให้ไปก๊งเหล้ากันที่อื่น


และช่วงที่ผมจะออกปากไล่มันไปนั้นก็เป็นช่วงที่ผมต้องการความสงบสุขในชีวิตหรือเรียกง่าย ๆ ว่าช่วงที่ผมอินดี้นั่นเองซึ่งตอนนี้อารมณ์อินดี้ของผมมันได้หมดไปเรียบร้อยแล้ว ผมรีบเดินเขย่งไปที่โทรศัพท์ที่ชาร์ตค้างไว้ตรงหัวเตียงพร้อมกับสไลด์หาเบอร์เพื่อนสนิททั้งสองของผมเพื่อชวนให้มันไปเที่ยวเป็นเพื่อนผมในวันหยุดนี้


ผมถือสายรอพวกมันสักพักก่อนน้ำเสียงงัวเงียของไอบาสกับไอเจมส์จะดังขึ้น เออผมลืมบอกไปอีกอย่างใช่ไหมครับว่าไอบาสและไอเจมส์มันเป็นรูมเมทกันซึ่งมันพักอยู่ในหอของของมหาวิทยาลัยนั่นเอง


“ไงครับไอเดี้ยงโทรมาแต่เช้ามีอะไรให้รับใช้ว่ะ” ไอบาสมันพูดบ่นงึมงำเหมือนคนเพิ่งตื่นซึ่งแน่นอนมันก็เพิ่งตื่นจริง ๆ นั่นละแล้วผมจะบอกว่าเสียงมันเหมือนคนเพิ่งตื่นได้ยังไง


“ไปเที่ยวกัน กรูอยากร่อน” ผมตอบมันไปดูเหมือนว่าไอบาสและไอเจมส์มันจะตั้งสติเล็กน้อยก่อนที่พวกมันจะประสานเสียงแล้วพูดตะคอกผมกลับมาว่า “ไข้มรึงก็ยังไม่หายดี เดี้ยงก็ยังเดี้ยงอยู่อย่าทำตัวซ่าสิครับเพื่อนกร”


ผมเร่งพูดสวนกลับไปทันทีแม่มรู้ได้ไงว่ะว่าผมยังไม่หายไข้ดีต่อให้ไม่หายไข้ดีแต่ตอนนี้ผมอยากร่อนมากกว่านอนหงอยอยู่ในห้องละวะ “กรูหายแล้วแล้วตอนนี้กรูอยากร่อน และก็กรูให้เวลาพวกมรึงสามสิบนาทีรีบแต่งตัวแล้วออกมารอกรูหน้ามหาลัยเดี๋ยวกรูขับรถไปรับ”


ฮั่นแน่ทุกท่านก็สงสัยอีกแล้วสินะครับว่าผมซึ่งขับมอไซค์หรือแม้แต่ขี่จักรยานไม่เป็นทำไมถึงบอกพวกมันได้ว่าผมจะขับรถไปรับพวกมันได้ ใช่ครับผมน่ะขี่ไอยานพาหนะสองล้อไม่เป็นแต่ไอยานพาหนะที่สมดุลตามหลักฟิสิกส์อย่างรถยนต์สี่ล้อเนี่ยผมแอบเซียนนิด ๆ ล่ะ(มั้ง)ครับ ถึงจะไม่เซียนเท่ากับนักแข่งรถหรือประสบการณ์ไม่แน่นอย่างกับคนขับรถมาหลายสิบปี แต่นี่ผมก็ได้ใบขับขี่มาแล้วโดยการสอบใบขับขี่ครั้งเดียวผ่าน (ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าผมสอบผ่านมาได้อย่างไร) แต่พอดีผมไปเห็นคุณเจ้ของผมเข้าไปคุยอะไรกับกรรมการคุมสอบก็ไม่รู้ ก่อนที่เขาจะเดินหน้างอย ๆ ออกมาแล้วบอกว่าผมสอบผ่านเตรียมถ่ายรูปทำใบขับขี่ได้เลย ดูความเทพของ(คุณเจ้)ผมสิครับ! ดูสิว่า(คุณเจ้)ผมเทพขนาดไหน


เจ้าพวกเพื่อน ๆ ของผมทันทีที่ได้ยินว่าผมจะขับรถไปรับมัน มันทั้งสองคนก็รีบตาสว่างพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดออกมาว่า “กรเดี๋ยวพวกกรูไปหามรึงเอง มรึงไม่ต้องขับรถมารับพวกกรูเลยนะ คือพวกกรูกลัวว่ามรึงจะขับมาไม่ถึงหน้ามหาลัยว่ะ” เสียงของเพื่อนบาสฟังดูกังวล ก็แน่นอนสิครับมันก็ต้องกังวลนั่นล่ะ เพราะผมถึงจะได้ใบขับขี่(มาด้วยการข่มขู่ของคุณเจ้)มาด้วยน้ำพักน้ำแรงของผม แต่ผมก็เคยขับรถเสยเกาะกลางถนนมาแล้วนั่นขนาดถนนว่าง ๆ นะครับ ยิ่งถ้าให้ผมไปขับในที่ที่มีรถติดตลอดเวลาอย่างหน้ามหาวิทยาลัยของผมด้วยแล้วมันก็ไม่ผิดที่เพื่อนของผมจะห่วงสวัสดิภาพของผมและรถของผม


“เออถ้ามรึงไม่อยากให้กรูขับรถไปรับพวกมรึง มรึงก็รีบมาเลยกรูให้เวลาสามสิบนาทีเหมือนเดิมถ้ามรึงยังมาไม่ถึงหน้าคอนโดกรูในสามสิบนาทีมรึงได้เจอกรูขับรถไปรับพวกมรึงยันหน้าหอแน่” ไอคำพูดที่ว่าผมจะขับรถไปหาพวกมันเหมือนเป็นคำขู่ซึ่งมันก็ใช้ได้ผลกับเพื่อนของผมเสียด้วย


“เออเดี๋ยวพวกกรูรีบไป” ไอบาสพูดจบพร้อมกับตัดสายผมทิ้งทันทีแต่ก่อนที่มันจะตัดสายทิ้งผมแอบได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายของไอบาสที่มันพูดเร่งให้ไอเจมส์รีบเข้าไปอาบน้ำในห้องอาบน้ำอย่างด่วน


ไอผมเห็นเพื่อนรีบร้อนแบบนี้ผมก็ยิ้มย่องในใจสิครับแกล้งเพื่อนได้ แถมจะไปเที่ยวมีสารถีขับรถให้อีกมันสุดแสนจะแฮปปี้สุด ๆ เลยล่ะครับ ไอที่ผมพูด ๆ ไปว่าผมจะขับรถไปรับพวกมันนั่นเป็นเรื่องโกหกครับเพราะผมรู้ว่าผมน่ะไม่ถูกกับยานพาหนะสองล้อหรือสี่ล้อเลยสักนิดต่อให้ได้ใบขับขี่มาอย่างงง ๆ (หรือได้มาด้วยอำนาจมนต์ดำของคุณเจ้ของผม) แต่ผมก็ได้แต่ทิ้งให้เจ้ารถที่คุณป๊ากับคุณม๊าออกให้นอนเดียวดายอยู่ในโรงจอดรถนั่นละครับ และนาน ๆ ทีผมถึงจะพามันออกไปขับซึ่งคนขับมันก็ไม่ใช่ผมอีกนั่นละ


ผมใช้เวลาอาบน้ำและเตรียมตัวไม่ถึงสิบนาทีก่อนที่ผมจะอยู่ในชุดไปรเวทย์สีฟ้าอ่อนกับกางเกงขาสามส่วนสีออฟไวท์ ผมมองความหล่อของตัวเองในกระจกก่อนจะยิ้มออกมา “ถ้ามีแว่นกันแดดสักอันนี่ ผมคงจะหล่อกว่านี้ไปแล้ว” ผมเก็กอยู่หน้ากระจกเพื่อดูความหล่อของผมสักพักก่อนจะเริ่มเตรียมตัวออกจากห้องไป


หน้าตาพร้อม กระเป่าตังพร้อม กุญแจห้องพร้อม แต่ร่างกายผมไม่ค่อยจะพร้อม ผมยังคงเดินลากขาอยู่นิดหน่อยแต่สภาพผมก็คงดูดีขึ้นมากกว่าเมื่อวานหลายขุมแล้ว ผมละความสนใจเกี่ยวกับร่างกายตัวเองก่อนจะเดินออกมาจากห้องและไขกุญแจห้องของผมเพื่อล็อคมัน ซึ่งมันก็เป็นเวลาเดียวกับบานประตูห้อง 1404 ถูกเปิดออกมา ผมหันไปมองตามต้นเสียงของประตูบานนั้น ร่างสูงในชุดไปรเวทสีขาวก็เดินออกมาพร้อมกับล็อคประตูห้องเช่นเดียวกันกับผม


และตามมารยาทเพื่อนบ้านที่ดีผมก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยทักทายพี่เขาไป “สวัสดีครับพี่ศิ แต่งตัวซะหล่อเลยจะไปไหนเนี่ยจะไปเดทกับแฟนเหรอครับ” เมื่อผมพูดจบพี่เขาก็ได้แต่ยิ้งแห้ง ๆ มาให้ผมซึ่งสงสัยผมจะเอ่ยทักแทงใจดำพี่เขาไปซะแล้วสิพี่เขาเลยหน้าเสียซะแบบนั้น


“พี่ยังไม่มีแฟนหรอกครับกร พอดีพี่จะไปดูหนังคนเดียวตามประสาคนโสดสักหน่อย แล้วกรล่ะจะไปไหนแต่งตัวซะหล่อเชียวหายไข้แล้วหรือไงเรา” พี่ศิตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอบอุ่นพร้อมกับรอยยิ้มที่เป็นกันเองซึ่งมันเป็นเหมือนเครื่องหมายการค้าของพี่เขา


“หายแล้วดิพี่ แต่ต่อให้ไม่หายผมก็ไม่อยากนอนแกร่วในห้องอ่ะ เลยคิดว่าจะไปหาอะไรกินกับไอบาสกับไอเจมส์แล้วต่อด้วยดูหนังสักเรื่องเหมือนกัน” ผมยิ้มตอบพี่เขาไปและดูเหมือนเราทั้งคู่จะใจตรงกันเสียแล้วดูหนังงั้นเหรอ งั้นเลี้ยงข้าวแล้วเลี้ยงหนังตอบแทนพี่เขาที่พาเราไปส่งโรงพยาบาลแล้วก็ช่วยทำแผลให้ผมดีกว่า


“เออพี่ศิไปคนเดียวเหรอครับ ไปกับพวกกรไหม ไปคนเดียวเหงาน้า ไปกันหลาย ๆ คนสนุกกว่ากันเยอะเลย แล้วกรคิดว่ากรจะเลี้ยงข้าวเลี้ยงหนักพี่ศิเพื่อเป็นการตอบแทนที่ช่วยกรไว้หลาย ๆ เรื่อง” ผมออกปากชวนพี่ศิเขาไปและพี่ศิก็ใช้เวลาคิดอยู่ไม่นานหรือจะเรียกได้ว่าพี่เขาไม่ใช้เวลาคิดเลยมากกว่าใบหน้าคมที่ถูกบดบังไปด้วยแว่นเกือบครึ่งก็พยักหน้าตอบตกลงช้า ๆ และยังไม่วายโปรยรอยยิ้มที่เป็นซิกเนเจอร์ของพี่เขาออกมา


“แต่กรไม่ต้องเลี้ยงพี่หรอก พี่เป็นรุ่นพี่จะให้รุ่นน้องเลี้ยงข้าวเลี้ยงหนังได้ยังไง เดี๋ยวพี่จ่ายเองก็ได้หรือจะให้พี่เลี้ยงพวกเราพี่ก็เลี้ยงได้นะ” พี่ศิปฏิเสธน้ำใจจากผมพร้อมกับเอื้อมมือขึ้นมาขยี้ผมของผมที่เซทไว้แล้วเป็นอย่างดี ผมพยายามยกมือขึ้นไปตีมือของพี่ศิเขาแต่ไม่ทันแล้วพี่ศิก็รีบชักมือของตนกลับไปแทบจะทันทีและนั่นก็ทำให้ผมออกแรงหวดลมไปซะเต็มที่ ผมทำหน้ามุ่ยใส่พี่เขาไปทีนึง ซึ่งท่าทางของผมทำให้พี่ศิหัวเราะออกมาเสียงดังพร้อมกับเอื้อมมือมาจับมือผมและออกแรงลากผมไปยังลานจอดรถที่ของรถ BMW คันงามของพี่เขา


นี่พี่ศิ…พี่ถือวิสาสะจับมือผมอีกแล้วนะครับ




“กรโทรบอกน้องบาสกับน้องเจมส์ให้รออยู่ข้างล่างนะเดี่ยวพี่วนรถลงไปรับ” พี่ศิพูดขึ้นมาพร้อมกับผมที่นั่งจุ่มลงบนที่นั่งข้างคนขับเรียบร้อย ไอผมก็พยักหน้าเออ ๆ ออ ๆ ไปกับพี่เขาพร้อมกับหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาไล่หาเบอร์มือถือของสหายสองคนนั้น
แต่เอะผมรู้สึกว่ามันจะผิดแพลนไปหน่อยนะตอนแรกผมว่าผมจะให้ไอบาสหรือไอเจมส์เป็นสารถีขับรถของผมไปห้างแต่ไงผมกลับกลายมาเป็นตุ๊กตาหน้ารถของไอคุณพี่ศิแทนได้วะครับกรคนนี้สงสัยนัก แต่ก็ดีประหยัดค่าน้ำมัน ผมก็ไล่ ๆ หาเบอร์ของไอเจ้าเพื่อนตัวแสบทั้งสองก่อนจะกดปุ่มโทรออกไป


“สวัสดีครับเพื่อนเจมส์ สวัสดีครับเพื่อนบาส…พวกมรึงรออยู่ข้างล่างนั่นละครับเดี๋ยวกรูลงไปโอเคนะ” ผมรีบกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์โดยที่ไม่ให้ทางคู่สนทนาของผมได้ตอบอะไรกลับพร้อมกับการตัดสายใส่มันทันทีที่ผมนั้นพูดจนจบประโยค พี่ศิที่นั่งอยู่ข้าง ๆ มองผมด้วยสายตาทึ่ง ๆ แต่พี่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เสียงสตาร์ทรถดังขึ้นพร้อม ๆ กับรถยนต์คันงามค่อย ๆ เคลื่อนตัวลงไปด้านล่างซึ่งมันก็ใช้เวลาเคลื่อนตัวไม่นานเท่าไหร่หรอกสักพักรถของพี่ศิก็เคลื่อนที่ลงมาจอดด้านล่างของคอนโด ซึ่งด้วยสกิลความเทพของพี่เขารถยนต์คันนี้ก็จอดเทียบกับฟุตบาทตรงกับที่ไอบาสกับไอเจมส์ยืนอยู่พอดีเป๊ะ


บานกระจกรถยนต์เลื่อนลงพร้อมกับหน้าของผมที่โผล่หัวออกไปกวักมือให้ไอเจมส์กับไอบาสรีบขึ้นรถมา “จะมองหาพระแสงอะไรว่ะรีบขึ้นมาดิกรูหิวข้าวแล้วนะเฮ้ย” ผมตะโกนเรียกสติของสหายทั้งสองของผม พวกมันสองคนทำหน้าเลิกลั่กเล็กน้อย แต่มันก็ยอมขึ้นรถ BMW สุดหรูของพี่ศิแต่โดยดี


ท่าทางพวกมันสองคนจะเกรงไม่ใช่น้อยถึงได้สงบปากสงบคำแบบนี้ซึ่งแบบนี้มันผิดวิสัยของผมเพราะผมเป็นพวกที่อยู่กับความเงียบไม่ได้นาน “พวกมรึงสองคนจะนั่งเกร็งไปไหนว่ะ ปากมีไว้พูดนะเฮ้ยไม่ใช่มีไว้เงียบ” ผมบ่นพึมพำพร้อมกับเอี้ยวตัวไปข้างหลังเพื่อคุยกับไอบาสและไอเจมส์


“สรัดครับเพื่อนกร ทำไมมรึงไม่บอกว่าพี่หมอเขาจะไปด้วย” เสียงไอบาสเอ่ยท้วงขึ้นมาหนึ่งเสียง


“ใช่ครับไอคุณเพื่อนกร เจอหน้าพี่หมอพวกกรูแม่มทำตัวสถุลไม่ออกเลยครับ” ทันทีที่เสียงไอบาสจบลงเสียงไอเจมส์ก็พูดสวนออกมาติด ๆ


อืมม…อย่างที่คิดไว้มันต้องด่าผมแน่ ๆ เพราะการที่พาคนอื่นมาด้วยทำให้พวกมันไม่กล้าทำตัวสถุล ๆ อะไรออกมา ซึ่งมันก็เป็นผลดีกับผม ทำให้ผมไม่จำเป็นต้องตีหน้าเนียนทำเป็นไม่รู้จักกับพวกมันเวลาที่พวกมันทำอะไรบ้า ๆ ขึ้นมา


“ก็ดีแล้วนี่มรึง...กรูขี้เกียจตีหน้าเนียนทำเป็นไม่รู้จักพวกมรึงตอนพวกมรึงทำอะไรบ้า ๆ กัน” ผมพูดออกไปตามความจริงซึ่งไอเพื่อนสองคนนั้นก็ประเคนฝ่ามืองาม ๆ ของมันตบที่กลางหัวของผมพอดี


“พวกกรูไม่ได้เชี่ยขนาดนั้นครับเพื่อนกร” พวกมันทั้งสองคนพูดออกมาพร้อมกับมีเสียงหัวเราะเบา ๆ ของพี่ศิที่หลุดขำออกมา
 พวกเราทั้งสามคนหันควับไปมองที่พี่ศิทันทีก่อนที่จะนั่งทำตัวสงบเสงี่ยมในรถราวกับว่าเรื่องเมื่อสักครู่นี้ไม่เคยเกินขึ้นพวกเราทั้งสามคนท่าทางจะนั่งเกร็งกันเกินไปจนพี่ศิอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากให้พวกเราเลิกแสดงละครเป็นเด็กดีกันได้แล้ว “ไม่ต้องเกร็งหรอก พี่ไม่ได้ว่าอะไรพวกเรานะครับ ถ้าพวกเราจะคุยอะไรกันเสียงดัง” พี่ศิพูดพร้อมกับอมยิ้มจาง ๆ


ให้ตายเถอะพ่อคุณ! เกิดมาเพื่อเป็นพ่อพระหรืออย่างไร คนอะไรใจดีกับรุ่นน้องขนาดนี้แถมที่บ้านพี่ขายรอยยิ้มเป็นอาชีพเสริมเหรอครับถึงได้ยิ้มเก่งขนาดนี้


เมื่อเจ้าของรถไม่ได้ว่าอะไรไอนิสัยเดิมของพวกผมก็บังเกิด เสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นไปทั่วรถพร้อมกับเสียงตบหัวกันไปมาเพื่อเป็นการเสริมสร้างมิตรภาพของพวกเราสามคนให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น


การกระทำบ้า ๆ บอ ๆ ของเราสามคนทำให้พี่ศิหลุดหัวเราะออกมาตลอดทางไปห้างสรรพสินค้าจนบางครั้งพี่เขาหัวเราะจนไม่ได้ดูทางวิดรถจะชนอยู่หลายต่อหลายรอบ แต่ยังไงพวกเราก็เดินทางมาถึงห้างสรรพสินค้าสุดแสนจะไฮโซวนี้ได้อย่างปลอดภัย แม้เวลาที่มาถึงออกจะดีเลย์จากที่คิดไปเสียหน่อยแต่ยังไงพวกเราทั้งสี่คนก็มาถึงห้างสรรพสินค้าแห่งนี้โดยสวัสดิภาพ


ผมบอกให้พี่ศิวนรถขึ้นไปจอดชั้นบน ๆ เพื่อที่จะได้หาที่จอดได้ง่ายขึ้นพวกเราใช้เวลาวนหาที่จอดรถสักพักผ่านไปไม่นานนัก (แต่ผมนั่งรอจนปวดก้น) พวกเราก็ได้ที่จอดรถซึ่งอยู่ไม่ไกลจากประตูทางเข้าห้าง


“โอยได้ลงจากรถสักที นั่งจนปวดก้นไปหมด” ผมแงะตัวออกมาจากรถพร้อมกับบิดขี้เกียจไปมาซึ่งไอเพื่อนรักของผมทั้งสองคนมันก็แงะตัวออกมาจากรถแล้วบิดขี้เกียจไม่ต่างจากผมเช่นกัน เว้นเสียแต่พี่ศิผู้เป็นสารถีกิตติมศักดิ์ในวันนี้เท่านั้นที่ยังรักษาภาพพจน์ของตัวเองไว้ได้เป็นอย่างดี


ร่างสูงก้าวลงมาจากรถคันหรูของเขานัยน์ตาคมกริบถูกซ่อนอยู่ภายใต้กรอบแว่นสีดำสนิทเช่นเดียวกับเรือนผมสั้นสีดำของเขามือกร้านเสยผมที่ปรกหน้าตนออกเล็กน้อยก่อนจะใช้นิ้วชิ้นดันแว่นสายตาของตนให้เข้าที่


พวกผมทั้งสามคนมองว่าที่หมอในอนาคตคนนี้ด้วยสายตาอิจฉา ‘คนบ้าอะไรเพอร์เฟกตั้งแต่หัวจรดเท้าแบบนี้ว่ะ’ ผมบ่นในใจและผมก็เชื่อว่าทั้งไอเจมส์และไอบาสก็คงคิดเช่นเดียวกับผม


น้องกรคนนี้ละอิจฉานัก…แต่ก็ได้แค่อิจฉานั่นละ ตัวผมก็เป็นแบบนี้มาตั้งนานซึ่งผมจะไปเลียนแบบพี่ศิเขาก็ไม่ได้และพี่ศิก็ไม่สามารถเลียนแบบความเกรียนของผมได้เช่นกัน


ผมสะบัดหัวไล่ความอิจฉาออกไปก่อนจะเอ่ยปากชวนพวกเพื่อน ๆ แล้วก็พี่ศิเข้าห้างเพื่อไปหาอะไรกินกัน “เข้าห้างกันเถอะมรึง กรูหิวแล้ว” ผมหันไปพูดกับสหายของผมก่อนจะหันไปพูดกับพี่ศิที่ยืนรอคอยการตัดสินใจของพวกผม “พี่ศิครับกรอยากกินอาหารญี่ปุ่นพี่ศิกินได้ไหมครับ” ผมเอียงคอมองหน้าพี่เขาก่อนจะหันไปมองเพื่อนทั้งสองด้วยสายตาห้ามปรามว่า ‘พวกมรึงอย่ามาขัดกรู…ตอนนี้กรูอยากกินอาหารญี่ปุ่น’


“แล้วแต่กรเลยครับพี่ทานได้หมดนั่นล่ะ” พี่ศิตอบผมพร้อมรอยยิ้ม ให้ตายเถอะครับ พี่ศิเลี้ยงง่าย ดูแลง่ายและเชื่อฟังแบบนี้มันน่าจับเลี้ยงไว้เฝ้าบ้านจริง ๆ เฮ้ยไม่ใช่ล่ะครับแบบนั้น


หลังจากพี่ศิตอบตกลงที่จะทานอาหารญี่ปุ่นผมก็เดินนำคนทั้งสามคนเข้าประตูห้างไป และเร่งฝีเท้าตนเพื่อไปให้ถึงจุดมุ่งหมายนั่นก็คือร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีชื่อว่า ‘ZEN’ นั่นเอง




v
v
v
v
v
v
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 3] 09/09/2013
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 09-09-2013 17:18:20


ผมเดินดุ่ม ๆ เข้าไปในร้านและเข้าไปนั่งโต๊ะขนาด 8 คน ทั้ง ๆ ที่เรามากันเพียงแค่สี่คน พนักงานมองผมด้วยแววตาสงสัยเช่นเดียวกับพี่ศิ แต่ไม่ต้องถามถึงสายตาของไอสหายสองหน่อของผม เพราะว่ามันรู้อยู่แล้วล่ะครับว่าเวลามากินอะไรกับผม หรือจะต่อให้มากันสองคนผมก็จะเลือกนั่งโต๊ะที่กว้างที่สุดเพื่อที่จะให้มันมีที่ว่างมากพอจะรองรับอาหารทั้งหมดที่ผมจะสั่งมาทานนั่นเอง แต่ผมยังไม่ได้บอกพวกคุณใช่ไหมว่าผมน่ะเป็นคนที่ทานเยอะมากไอที่ทานเยอะไม่ใช่ว่าจะทานเยอะหรือกินจุอะไรแบบนั้นนะครับ ผมเป็นคนชอบทานอาหารหลาย ๆ แบบในมื้อนึงซึ่งแต่ละอย่างผมจะทานไม่ค่อยหมดหรอก ดังนั้นเวลาผมมากินร้านอาหารอะไรพวกนี้ ผมก็มักจะลากไอเพื่อนสองหน่อนี่มานั่งกินด้วยเสมอเพื่อให้มันเป็นคนกินของที่ผมกินไม่หมดนั่นล่ะ เรียกง่าย ๆ ว่าถังขยะเคลื่อนที่ส่วนตัวครับ


ผมยกมือของออเดอร์ของร้านพร้อมกับเรียกพนักงานที่ยืนอยู่ข้าง ๆ มาคอยจดรายการอาหารเพื่อนของผมทั้งคู่ดูเหมือนจะรู้หน้าที่ของตัวเองดี ไอเจมส์และไอบาสมันนั่งพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์พร้อมกับเปิดหน้าเมนูเกี่ยวกับเครื่องดื่มเพื่อสั่งน้ำให้คนทั้งโต๊ะกิน ส่วนเรื่องของคาวพวกมันก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมสั่งครับ


ผมออกปากสั่งเมนูอาหารด้วยความรวดเร็วและทั้งหมดเป็นสิ่งที่ผมอยากกินเองทั้งนั้น ซึ่งผมก็ไม่ค่อยจะสนใจอะไรเกี่ยวกับความอยากทานของผู้ร่วมโต๊ะคนอื่น ๆ พอดีผมเป็นพวกผมอยากกินอะไรผมก็กิน ไม่อยากกินอะไรก็โยนให้ไอบาสกับไอเจมส์กินแทน ซึ่งเมนูที่ผมสั่งไปนั้นก็ศิริรวมหกถึงเจ็ดเมนูและเมื่อผมสั่งอาหารจนพอใจแล้วสมุดเมนูอาหารก็ถูกปิดลงพร้อมกับใบหน้าตกใจของพี่ศิผู้ที่ไม่เคยมากินอาหารกับผม


แต่สหายเจมส์มันก็ไม่ปล่อยให้พี่ศิสงสัยอะไรนานมันนั่งเล่นไอโฟนของมันไปพร้อมกับบอกพี่ศิด้วยน้ำเสียงเนิบ ๆ ว่า “ให้กรมันสั่งไปคนเดียวเถอะพี่ เห็นมั่นสั่งเยอะแบบนี้มันกินไม่หมดหรอก ตอนแรกผมก็ยังไม่เข้าใจว่ามันสั่งมาทำไมเยอะแยะหลัง ๆ ผมก็เข้าใจคือมันอยากกินเมนูพวกนั้นทั้งหมดมันเลยสั่งมากินหมดเลยและก็กินไม่หมด พอนาน ๆ เข้าพวกผมก็เลิกสั่งแล้วหันมาช่วยไอกรกินแทน”

 
“มากับมันก็ต้องทำแบบนั้นล่ะพี่ ไม่งั้นเสียดายเงินตายแล้วไอนี่เป็นพวกไม่ชอบกินของซ้ำมื้อด้วยดังนั้นเรื่องห่อกลับบ้านนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย” บาสพูดต่อให้พี่ศิเข้าใจนิสัยของผม ผมขมวดคิ้วมองพวกมันอย่างไม่เข้าใจแต่ก็นะมันติดเป็นนิสัยไปแล้วนี่ที่อยากกินอะไรก็สั่ง ไม่อยากกินก็ไม่กิน


ผมหันไปทำแก้มป่องให้เพื่อน ๆ ทั้งสองคนก่อนจะหันกลับมามองหน้าพี่ศิอีกครั้ง “พี่ศิอยากกินอะไรก็สั่งเลยนะพี่ ส่วนพวกผมกินกันแบบนี้ละ” แต่พี่ศิก็ส่ายหัวเป็นคำตอบพร้อมกับน้ำเสียงทุ่มละลายหัวใจสาวกล่าวออกมา “เอาเถอะ พี่เห็นกรสั่งมาเยอะ ๆ แบบนั้นทำเอาพี่ไม่รู้จะสั่งอะไรทานแล้ว เดี๋ยวพี่ใช้สูตรเดียวกับน้องบาส น้องเจมส์เอาแล้วกัน แต่ว่าทำแบบนี้มันสิ้นเปลืองนะถึงจะมีเพื่อน ๆ ช่วยหารกันออกก็เถอะ” พี่เขาเอ่ยยิ้ม ๆ ก่อนจะปิดสมุดเมนูแล้วส่งคืนไปให้พนักงาน


ผมเบ้ปากให้พี่ศินิดหน่อยที่พี่เขาพูดแบบนั้นใส่ผมมาแต่ทำยังไงได้ละมันติดเป็นนิสัยของผมไปแล้วนี่นา


ผมนั่งเอาคางเท้ากับโต๊ะรออาหารมาส่ง นั่งรอไปสักพักถาดน้ำดื่มซึ่งเป็นสิ่งแรกที่จะนำมาบริการลูกค้าก็มาส่งและน้ำที่ผมสุดแสนจะโปรดปรานนั่นก็คือน้ำส้ม ส่วนของไอเจมส์กับไอบาสคือน้ำเปล่า ส่วนของพี่ศินั่นรู้สึกว่าจะเป็นชาเขียวล่ะมั้ง ผมชะโงกหน้าดูแก้วชาของพี่ศิด้วยอารมณ์คนอยากลองของแปลก (คือปกติผมไม่ทานชาเขียวแบบปกติไง ส่วนมากจะทานแบบมีอะไรผสมแบบเก็กฮวย น้ำผึ้งมะนาวหรือพวกเบอร์รี่ดังชาเขียวเปล่า ๆ เพียว ๆ ไร้สิ่งเจือปนของพี่ศินั้นทำให้ผมอยากลิ้มลองยิ่งนัก) และดูเหมือนว่าพี่ศิคงจะพอเข้าใจความรู้สึกอยากลองชิมของผม พี่เขายื่นแก้วน้ำของตัวเองมาให้ราวเชื้อเชิญให้ผมลองชิมมัน ซึ่งเป็นที่แน่นอนผมก็ลองชิมสิครับ แต่แวปแรกที่น้ำชาเข้ามาสัมผัสลิ้นผมแทบจะบ้วนทิ้งทันที ‘น้ำบ้าอะไรขมชะมัด’ ท่าทางที่แสดงออกมาของผม ทำให้พี่ศิและพวกเพื่อน ๆ ของผมหลุดหัวเราะออกมาส่วนผมก็จ้องเขม็งกลับไป แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรเพราะความขมที่เต็มริมฝีปากทำให้ผมไม่อยากที่จะพูดอะไรออกมา


‘ไอเพื่อนบ้าพวกเอ็งก็รู้ว่ากรูเกลียดอะไรขม ๆ ที่สุด แต่ดันเจือกไม่ห้ามปล่อยให้ผมกินอีกแบบนี้มันน่าเอาคืนนัก’ ผมเบ้ปากใส่ไอบาสกับไอเจมส์ก่อนจะสะบัดหน้าหนีไปและไอองศาที่ผมสะบัดหน้าไปนั้นใบหน้าของผมก็ไปประชันหน้ากับพี่ศิที่พยายามกลั้นเสียงหัวเราะของตัวเองอยู่


“โหยพี่…ถ้าอยากจะหัวเราะก็หัวเราะออกมาเถอะ กรไม่ว่าอะไรหรอก” ผมบ่นด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจซึ่งทันทีที่พี่ศิได้ยินเขาก็หลุดหัวเราะออกมาพร้อมกับลูบหัวของผมเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู “ทานอะไรหวาน ๆ ล้างปากไปแล้วกันนะกร ส่วนเรื่องชาพี่ขอโทษจริง ๆ พี่ไม่รู้ว่ากรไม่ชอบทานอะไรขม ๆ” พี่ศิดึงแก้วชาวเขียวของตัวเองกลับแล้วค่อย ๆ ยื่นแก้วน้ำส้มของผมมาตรงหน้า


มันต้องแบบนี้สิพี่ไม่ใช่ทำตัวเหมือนเพื่อนเวรเพื่อนกรรมของผมที่ตอนนี้มันยังคงหัวเราะเพราะภาคภูมิใจที่แกล้งผมได้สำเร็จ


ผมนั่งหน้าบึ้งไปพักใหญ่ ๆ จนอาหารทั้งหมดที่ผมได้สั่งไปถูกนำมาวางไว้จนเต็มโต๊ะ ผมแกะตะเกียบออกจากซองพร้อมกับพุ่งเป้าหมายไปที่กุ้งทอดเท็มปุระสีเหลืองอร่ามที่ถูกจัดใส่จานไว้ อาหารบนโต๊ะค่อย ๆ พร่องไปทีละอย่างสองอย่างจนตอนนี้เมนูทั้งหมดก็ถูกจัดการเรียบด้วยฝีมือของคนสี่คน ผมนั่งลูบพุงตัวเองเบา ๆ ด้วยความอิ่มก่อนจะเรียกให้พนักงานมาเชคบิลค่าอาหารทั้งหมดของมื้อนี้
ผมค่อย ๆ ลุกขึ้นเพื่อหยิบกระเป๋าเงินออกมาจ่ายเงินค่าอาหาร แต่ความไวในการชักกระเป๋าเงินของผมดันไม่เท่ากับความไวของพี่ศิ บัตรเครดิตสีทองอร่ามถูกยื่นไปให้พนักงานเป็นที่เรียบร้อย


“เฮ้ยยย...พี่ศิ กรบอกแล้วไงว่ากรจะเลี้ยงข้าวพี่ตอบแทนที่ช่วยกรหลาย ๆ เรื่อง” ผมร้องประท้วงขึ้นซึ่งไอคุณพี่ศิก็ไม่ได้ฟังเสียงร้องประท้วงของผมเลยสักนิดเขานั่งทำหูทวนลมโดยที่ไม่สนใจว่าผมจะร้องประท้วง พูดประท้วงหรือเขย่าคอพี่เขาประท้วงเลยสักนิด
ผมเกรงใจนะเนี่ยปกติผมจะหารกับเพื่อน ๆ กินกันเสมอแต่นี่พี่ศิแกเล่นจ่ายค่าอาหารทั้งโต๊ะเองหมดเลยมันก็หลายพันอยู่แต่พี่เขาดูไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไรกับจำนวนเงินที่เสียไปเลยสักนิด


พี่ศิรับบัตรเครดิตของเขากลับพร้อมกับหันมายิ้มให้ผม “พี่เป็นรุ่นพี่ของกรนะครับ แล้วรุ่นพี่แบบพี่จะยอมให้รุ่นน้องเลี้ยงข้าวได้ยังไงกันจริงไหม?” พี่เขาพูดกลับมาทำเอาผมต้องเงียบปากไปเลย ใช่ครับการที่รุ่นน้องเลี้ยงรุ่นพี่มันออกจะไม่ค่อยเหมาะสมแ ต่การที่รุ่นพี่เลี้ยงรุ่นน้องมันเป็นวัฒนธรรมประเพณีของทุกมหาลัยอยู่แล้วซึ่งผมก็พยักหน้ายอมรับและนั่งจดลิสต์รายการที่ผมติดหนี้พี่ศิเพิ่มอีกหนึ่งรายการ
หลังจากที่พวกเรานั่งทานอาหารจนเสร็จมันก็มาถึงรายการต่อไปแล้วล่ะครับ นั่นคือการดูหนัง ผมยืนรอไอบาสกับไอเจมส์ที่กำลังเลือกดูเมนูหนังอยู่ซึ่งอันตัวผมก็ไม่ได้มีหนังอะไรที่อยากดูมากเป็นพิเศษหรอกครับแต่วันนี้ว่าง ๆ ก็เลยหาอะไรทำแก้เซ็งเล่น ๆ อย่างการดูหนังนั่นเอง แต่ตอนนี้ผมรู้สึกจะร้อน ๆ หนาว ๆ ขึ้นมาอีกแล้วสิ แล้วผมก็ไม่ค่อยอยากบอกไอบาสกับไอเจมส์มันด้วยเพราะว่าถ้าผมบอกไปไม่แคล้วผมต้องโดนแบกกลับไปและบังคับให้ผมนอนคุดคู้อยู่ในห้องนอนของตัวเองแน่นอนซึ่งผมไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้นแน่เพราะผมเบื่อการนอนนิ่ง ๆ แบบคนไม่มีอะไรทำสุด ๆ ไปเลยครับ


ผมยืนรอพวกมันสองคนเลือกหนังไปสักพักและดูเหมือนไอช่วงเวลาสักพักที่ผมให้พวกมันไปนั้นมันไม่ได้ช่วยให้สหายผมทั้งสองคนตกลงเลือกหนังกันได้เลยและผลสุดท้ายการเลือกหนังที่จะดูก็เป็นสิทธิเด็ดขาดของผมอีกเช่นเดิมเพราะผมทนไม่ไหวจึงเดิมดุ่ม ๆ เข้าไปอาละวาดและเลือกหนังที่ผมคิดว่าทุกคนน่าจะดูได้ด้วยตัวเอง และแน่นอนนี่เป็นอีกครั้งที่ผมกำลังรวบรวมเงินของไอบาส ไอเจมส์และของตัวเองเพื่อที่จะไปซื้อตั๋วหนังแต่ผมก็ไม่ทันพี่ศิอีกแล้ว


พี่ศิใช้บัตรเครดิตสีทองใบเดิมยื่นไปให้พนักงานพร้อมกับระบุจำนวนที่นั่งและเลือกที่นั่งให้เสร็จสรรพจนพวกผมไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลยได้แต่ยืนเอ๋อ มองหน้าพี่ศิที่เป็นเจ้ามือใหญ่เลี้ยงหนังอีกครั้ง หลังจากที่พี่เขาเป็นเจ้ามือใหญ่เลี้ยงข้าวพวกผมไปแล้ว
“พี่ศิ…พวกกรจ่ายกันเองได้ พี่ไม่ต้องเป็นเจ้าบุญทุ่มเลี้ยงหนังเลี้ยงข้าวพวกกรอะไรแบบนี้ก็ได้นะ” ผมรีบวิ่งปรี่เข้าไปหาพี่ศิที่กำลังเริ่มสั่งป็อปคอร์นกับน้ำอัดลมมาให้พวกผมกินเล่นกันเวลาดูหนัง


เป็นอีกครั้งที่พี่ศิส่ายหัวพร้อมกับพูดว่า “ไม่เป็นไร ถือว่าพี่เป็นพี่เทคเลี้ยงพวกน้อง ๆ ก็ได้” คำตอบนี้ของพี่เขาทำเอาพวกผมเงียบสนิทกันไปเลย การเป็นรุ่นพี่นี่มันดีแบบนี้นี่เองสั่งรุ่นน้องให้ทำตามอะไรก็ได้ ไอดีใจก็ดีใจอยู่หรอกที่มีคนเลี้ยงหนังเลี้ยงข้าว แต่แบบนี้มันมากเกินไปหน่อยแล้วมั้งข้าวมื้อนึงก็ไม่ใช่น้อย ๆ แถมค่าหนังหนังและค่าป็อปคอร์นกินเล่นอีกต่อให้พวกผมเป็นคนขี้งกและหน้าเงินแต่มากแบบนี้พวกผมก็เกรงใจเป็นเว้ย


ผมหันหน้าไปมองเพื่อนเจมส์และเพื่อนบาส สีหน้าของมันบ่งบอกออกมาชัดเจนเลยว่ามันแฮปปี้มากที่มันไม่ต้องเสียเงินค่าข้าวค่าหนังรวมไปถึงค่าป็อปคอร์นกับน้ำอัดลม


ผมถอนหายใจออกมาเบา ๆ ด้วยความเกรงใจ (แต่เพื่อนผมเจือกไม่เกรงใจ) ผมจึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาและจดลิสต์รายการที่ผมต้องเป็นหนี้พี่ศิเพิ่มขึ้นไปอีกหนึ่งอย่าง


‘เฮ้อ…ตอนนี้ยอม ๆ พี่เขาไปก่อนแล้วกันไว้คราวหลังจะคืนให้ทั้งต้นทั้งดอกเลย’ ผมพึมพำบ่นในใจของตัวเองเบา ๆ ก่อนที่จะรีบวิ่งตามพี่ศิและสองสหายของผมเข้าไปในโรงหนัง


มือหนึ่งผมถือกล่องป็อปคอร์นอีกมือหนึ่งผมยกแก้วน้ำขึ้นและแขนทั้งสองข้างของผมกำลังบังตาของผมอยู่ ผมแทบกรีดร้องออกมาไม่เป็นภาษาเมื่อหนังที่ผมเลือกที่จะดูนั้นเป็นหนังผี เอาล่ะสิครับคราวนี้ค่าตัวหนัง 160 บาท น้องกรคนนี้ขอดูแค่ 20 บาทก็พอ หนังนั้นดำเนินมาได้ถึงครึ่งเรื่องแล้วแต่ผมกลับดูหนังเรื่องนี้ไม่รู้เรื่องเลยสักนิดผมหันไปซ้ายไปก็เจอไอเจมส์กับไอบาสเบิ่งตาดูหนังอย่างไม่ทุกข์ร้อนอะไร พอผมหันกลับมาทางขวาก็เจอพี่ศินั่งทำหน้าเคร่งเครียดไปดูหนังไปสรุปว่าในสี่คนนี้มีผมคนเดียวสินะที่กลัวหนังผีเป็นที่สุด


เอาตามความจริงเลยนะครับผมน่ะไม่ได้กลัวผีหรอกแต่ผมเป็นคนขี้ตกใจ ซึ่งหนังผีแม่มชอบเอาผีโผล่ออกมาให้คนดูตกใจเล่นนั่นละครับเป็นสิ่งที่ผมไม่ชอบเอาเสียเลย และไอการที่หนังเรื่องนี้นั้นเล่นมาแล้วเกือบครึ่งเรื่อง ทำให้ผมสะดุ้งจนป๊อปคงป๊อปคอร์นหกระเนระนาดไปทั่วพื้นแล้วครับ


ก็บอกแล้วว่าผมเป็นคนขี้ตกใจขั้นสุดยอดเรื่องหนังผงหนังผีนี่ผมยอมแพ้เลยผมไม่ถูกกับมันเลยจริง ๆ


ผมแสดงอาการตกใจออกมาทุกครั้งที่ผีในหนังมันออกมาและดูเหมือนสหายของผมทั้งสองคนเริ่มจะรำคาญแอคติ้งอันแสนโอเวอร์ของผมซะแล้ว ไอบาสกับไอเจมส์กระซิบกระซาบกันสักครู่ก่อนที่ไอบาสจะกลายเป็นนกพิราบสื่อสารมากระซิบบอกข้อสรุปที่ไอบาสกับไอเจมส์ได้นั่งคิดกันเมื่อครู่ “เชี่ยกรถ้ามรึงกลัวแบบนี้…มรึงออกไปนั่งรอนอกโรงหนังเถอะพวกกรูรำคาญมรึงแล้วว่ะ” ผมเบ้หน้าทันทีที่ฟังมันจบก่อนจะพูดกระซิบกระซาบตอบมันไปว่า “กรูไม่ออกเว้ย ถึงกรูจะกลัวแต่กรูก็ไม่ออก”


จะว่าน้องกรปอดแหกก็ได้นะครับตอนนี้แม้แต่จะลุกไปเข้าห้องน้ำผมยังกลัวเลยแล้วนับประสาอะไรให้ผมออกไปนั่งคนเดียวนอกโรงหนัง ฝันไปเถอะครับคุณเพื่อนกรูไม่ยอมออกจากโรงหนังคนเดียวแน่นอน


ผมกับไอบาสกระซิบกระซาบต่อกันไปอีกสักพักและดูเหมือนว่าคนที่นั่งทางขวาของผมเริ่มที่จะทนไม่ไหวแล้วกับเสียงของผมและเสียงของไอบาสที่เริ่มเถียงกัน พี่ศิถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะใช้มือของขาเอื้อมมาปิดตาพร้อมกับผลักหัวของผมให้เอนไปซบที่บ่าของพี่เขา


“ถ้ากรกลัวมาก หลับตาหรือจะนอนหลับไปเลยก็ได้พี่ให้กรยืมบ่า” พี่เขาเบา ๆ ข้างหูของผมซึ่งผมก็ซาบซึ้งใจยิ่งนัก ผมก็เลยอาศัยบ่าของพี่ศิต่างหมอนและเอนคอลงไปซบบนบ่าพี่ศิอย่างไม่เกรงใจ


“ถ้าหนังจบแล้วพี่ศิบอกกรด้วยนะ” ผมพูดงึมงำเบา ๆ พร้อมกับหลับตาลงเตรียมพร้อมกับการนอนหลับในโรงหนังนี่เรียบร้อยแล้ว
ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าผมนอนหลับไปนานแค่ไหนแต่พอรู้ตัวอีกทีก็เป็นตอนที่ไอบาสกับไอเจมส์สะกิดผมให้ตื่นขึ้นดูเหมือนว่าหนังจะจบแล้วสินะผมพยายามยันตัวขึ้นแต่รู้สึกเหมือนมีอะไรกดทับศรีษะของผมอยู่ ผมค่อย ๆ หันหน้าไปมองข้าง ๆ ภาพที่ปรากฏอยู่ในสายตาก็คือในหน้าของพี่ศิที่กำลังหลับตาพริ้มอยู่


รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้จะไม่ได้สร้างมาให้ผมนั่งหลับคนเดียวเสียแล้วผมสะกิดพี่ศิเบา ๆ เพื่อเรียกให้พี่เขาตื่นซึ่งเขาก็มีอาการงัวเงียเช่นเดียวกับผม เราทั้งสองลุกขึ้นยืนพร้อมกับป้องปากหาวน้อย ๆ


“หนังจบไปนานยังว่ะเจมส์” ผมหันหน้าไปถามเจมส์ที่แอบอมยิ้มจาง ๆ


“สักพักแล้วตอนนี้ในโรงเหลือพวกเราสี่คนนี่ละรีบออกไปกันเถอะ เดี๋ยวเขามาไล่ที่ เดี๋ยวเราจะซวยเอา” ผมพยักหน้าตอบรับคำพูดของเจมส์พร้อมกันเดินออกจากโรงหนังไป


รู้สึกการดูหนังครั้งนี้เหมือนเป็นการเปลี่ยนสถานที่หลับของผมกับของพี่ศิเสียมากกว่า เราทั้งสี่คนเดินออกมายังลานจอดรถอีกครั้งและหน้าที่สารถีกิตติมศักดิ์ก็ยังคงเป็นของพี่ศิรวิทย์อีกเช่นเดิม แต่คราวนี้รู้สึกว่าบรรยายกาศภายในรถออกจะแต่งต่างจากตอนมาสักหน่อยเพราะตอนนี้รถทั้งรถเงียบสนิทและไม่มีใครเปิดปากพูดอะไรออกมา


ไอผมก็ขี้เกียจที่จะพูดแถมผมก็ยังง่วง ๆ อยู่นิดหน่อยผมจึงใช้เวลาอันน้อยนิดในการขับรถกลับหอเป็นการนอนหลับไปในตัวสารถีกิตติมศัดิ์อย่างพี่ศิก็ทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยมโดยการขับรถอย่างนุ่มนวลช้า ๆ ด้วยอารมณ์ที่เขากลัวว่าผมจะตื่นขึ้นมารถคันงามจอดสนิทเทียบไปกับตัวฟุตบาทพร้อมกับการจากไปของเพื่อนร่วมเดินทางสองคนคือไอบาสกับไอเจมส์ที่ขอตัวแว๊นซ์มอเตอร์ไซค์กลับหอเอง


ส่วนผมน่ะเหรอก็ยังคงนอนหลับสนิทจนกระทั่งพี่ศิปลุกให้ผมตื่นนั่นละ ผมเดินขึ้นลิฟท์ด้วยความมึนงงก่อนจะเดินตรงไปยังประตูห้องนอนของตัวเอง แต่ด้วยความมารยาทดีของผมแม้ผมจะง่วงนอนอยู่ก็ตาม ผมก็ไม่ลืมที่จะไหว้ขอบคุณพี่ศิที่เขาพาผมและเพื่อน ๆ ไปเลี้ยงหนังและเลี้ยงข้าวในวันนี้


พี่ศิตอบรับไหว้ผมด้วยรอยยิ้มพร้อมถ้อยคำราตรีสวัสดิ์เบา ๆ แต่สติตอนนั้นของผมมันช่างลางเลือนเสียเหลือเกิน ณ จุด ๆ นี้ผมอยากจะถลาขึ้นไปนอนบนเตียงนอนของผมแล้ว


ผมโบกมือลาพี่ศิอีกครั้งก่อนที่จะรีบไขกุญแจห้องตัวเองและวิ่งปรี่ไปที่ห้องนอนพร้อมกับกระโดดทิ้งตัวลงไปนอนบนเตียงนุ่มพร้อมกับสติที่ค่อย ๆ จ่มดิ่งเข้าไปสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง



___________________________________________


ตอนนี้จะเป็นช่วงที่เผยนิสัยส่วนตัวของกรออกมานะคะ บางนิสัยจะดูไม่ดีหรือแย่แต่นี่ก็คือตัวตนของกร พลอยคิดว่าในโลกนี้ไม่มีใครดีที่สุดหรอกค่ะ ทุกคนมีจุดไม่ดีของตัวเองกันทั้งนั้นและกรก็มีแถมมีมากซะด้วยค่ะ ส่วนตัวพลอยคิด่ากรเป็นเด็กเอาแต่ใจงี่เง่า แล้วก็ดื้อสุด ๆ เลยค่ะอ่านต่อ ๆ ไปจะทราบเองว่ากรมีนิสัยแบบนั้นจริงหรือเปล่า (ซึ่งพี่ศิเองก็ไม่ใช่คนดีแบบสุด ๆ เหมือนกันพออ่านไปเรื่อย ๆ ทุกคนจะเข้าใจและสัมผัสได้ถึงนิสัยของพี่ศิเค้าคะ)
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 3] 09/09/2013 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: preaw-sm ที่ 09-09-2013 17:40:25
พี่ศิ!! พ่อเจ้าประคุณบุญทุ่ม~!!
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 3] 09/09/2013 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: mengsama ที่ 09-09-2013 22:27:23
สนุกดีนะคะ  ชอบ....อย่าหายไปนะคะ^^
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 3] 09/09/2013 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 10-09-2013 10:02:07
พี่ศินี่เจ้าบุญทุ่มจริงๆ เลี้ยงน้องๆ
นิสัยส่วนตัวนี่สมกับที่จะเป็นเคะมากกว่าเมะ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 3] 09/09/2013 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: august_may ที่ 10-09-2013 10:28:06
ถ้าพี่ศิจะทุ่มทุนขนาดนี้ ฮิฮิ กรไม่รอดแน่ๆ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 3] 09/09/2013 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 10-09-2013 12:47:47
ทุกคนมีข้อดีข้อเสียในตัวเองขอให้เข้าใจกันก็พอ
ปล.พี่ศิน่ารัก
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 3] 09/09/2013 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: konishiki ที่ 10-09-2013 21:03:57
พี่ศิคะ เป็นแฟนกับหนูเถอะ !! //โดนตบคว่ำ

เหงกรนิสัยการกินเหมือนเรา แต่ผมไม่ขนาดนั้นนะ สั่งมากสุดแค่ 4-5 อย่าง

วันรุ่งขึ้นกรไข้ขึ้นอีกแหงเลยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 4] 10/09/2013 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 10-09-2013 21:28:18
พลอยขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นนะคะ >< ดีใจมากเลยคะที่ทุกคนชอบกัน





Chapter 4



หลังจากวันเสาร์ที่พวกเราสี่คนรวมถึงพี่ศิได้ไปดูหนังกันข่าวลือของผมที่เกี่ยวโยงกับพี่ศิมันก็ค่อย ๆ ซาและจางหายไป ความจริงแล้วถ้ามันไม่ซาก็แปลกสิครับหลังจากวันที่ผมได้สารภาพรักบ้า ๆ บอ ๆ กับพี่ศิก็มันผ่านมาเกือบ ๆ จะสองอาทิตย์แล้วล่ะครับ มันก็เป็นไปตามคำพูดของเพื่อน ๆ ผมล่ะ ข่าวลือในมหาลัยไม่นานมันก็จะหายไปเอง แต่กว่ามันจะเงียบลงก็เล่นเอาผมแทบแย่ไปเหมือนกัน


ผมนั่งฮัมเพลงเบา ๆ อยู่ใต้คณะที่โต๊ะม้าหินอ่อนโต๊ะประจำของผมซึ่งทำไมผมมานั่งอยู่คนเดียวน่ะเหรอ นั่นก็เป็นเพราะไอเจมส์กับไอบาสมันติดธุระกับอาจารย์ที่ปรึกษาครับ พอดีอาจารย์ที่ปรึกษาเรียกให้มันไปช่วยงานของคณะ ส่วนผมน่ะเหรอครับ….
ผมก็ชิ่งไงครับโดยส่วนตัวแล้วถึงผมจะดูเป็นคนทะเล้น บ้าบอ และดูเข้ากับคนอื่นได้ แต่ความจริงแล้วผมน่ะเป็นคนที่เข้าถึงยากน่าดูนะครับและไม่ชอบกิจกรรมของมหาลัยแบบสุด ๆ ตัวตนจริง ๆ ของผมไม่ใช่เกรียนแตกอะไรแบบนั้นหรอก ถ้าพวกคุณรู้จักผมจริง ๆ เช่นสนิทกับผมมากอย่างไอเจมส์กับไอบาสพวกคุณจะรู้เลยว่าอายุสมองของผมไม่ค่อยต่างอะไรจากเด็ก 10 ขวบหรอกครับ ผมจะงี่เง่าง้องแง้งตามประสาผมนั่นละ


ผมนั่งฮัมเพลงรอสองสหายไปอีกสักพัก ร่างสูงที่ดูคุ้นหน้าคุ้นตาก็เดินผ่านหน้าผมไป ดูเหมือนพี่เขาจะเร่งรีบอะไรหน่อยล่ะมั้งเพราะว่าปกติทุกครั้งที่ผมนั่งอยู่ที่ม้าหินอ่อนตัวนี้แล้วพี่เขาเดินผ่านเขาจะหันมาทักทายโบกไม้โบกมือทักกันตามประสาคนรู้จักกันครับแต่ครั้งนี้เขากลับเดินลิ่ว ๆ โดยไม่สนใจผมที่นั่งอยู่บนโต๊ะม้าหินอ่อนเลย


‘เฮ้อ…ท่าทางจะรีบมากพอดูเลยนะเนี่ย’ ผมบ่นพึมพำเบา ๆ พร้อมกับทำหน้าที่คนรอคอยอยู่เงียบ ๆ ผมนั่งรอพวกเพื่อน ๆ ไปอีกสักพักก่อนสมองของผมจะคิดย้อนกลับไปถึงเมื่อสองถึงสามอาทิตย์ที่ผ่านมา พวกผม (ที่จริงเรียกว่าผมคนเดียวน่าจะดีกว่า) กับพี่ศิดูจะสนิทสนมกันขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยเหตุผลที่ผมกับพี่เขาเป็นเพื่อนบ้านกันทำให้แทบจะทุกเช้าผมจะเห็นพี่เขาออกมาจากห้องเพื่อเตรียมตัวไปเรียนซึ่งมันก็เป็นเวลาเดียวกับผมก็เตรียมตัวออกไปเรียนเช่นกัน (คือจากปกติที่ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อนจนตอนนี้กลายเป็นว่าผมกับพี่ศิเห็นหน้ากันแทบจะทุกเช้าแล้วครับ)


การเห็นหน้าพี่เขาในทุก ๆ เช้าเริ่มจะเข้ามาเป็นกิจวัตรประจำวันของผมแล้วล่ะครับซึ่งผมก็คงยังแปลกใจอยู่ พี่ศิกับผมเข้ามาอยู่ที่คอนโดนี้แทบจะพร้อม ๆ กัน แต่ทำไมระยะเวลา 3 – 4 ปีมานี่ผมแทบจะไม่เคยเห็นหน้าพี่เขาเลย แต่ไอความสงสัยนี้ผมก็ยังไม่ได้ถามพี่เขาหรอกครับเอาเป็นว่าเก็บไว้ถามพี่ศิเขาตอนเจอหน้ากันครั้งหน้าแล้วกัน


ผมตกอยู่ในพวังความคิดตัวเองไปอีกสักพักไม่นานนักสองศรีเพื่อนรักของผมก็เดินมาตบบ่าผมเบา ๆ พร้อมกับเรียกให้ผมลุกขึ้นเพื่อที่จะไปซุปเปอร์มาร์เก็ตตามที่ผมขอร้องมันไว้เมื่อเช้า


ใช่ครับหลังจากผมรอคอยมาหลายอาทิตย์?? คราวนี้ผมก็ได้ไปซุปเปอร์มาร์เก็ตจริง ๆ สักทีหลังจากที่ต้องใช้ชีวิตด้วยอาหารประจำชาติอย่างมาม่ารสเดิม ๆ มาหลายอาทิตย์


“เชี่ยกรครับนั่งอาร์ตอะไรครับ รีบลุกขึ้นสิครับ คุณมรึงจะไปซื้อของไม่ใช่เหรอครับ” เสียงของบาสเรียกสติผม ผมพยักหน้าน้อย ๆ ตอบรับมันก่อนจะรีบลุกขึ้นและวิ่งตามมันไปที่รถของผม


ทุกท่านอาจจะสงสัยว่าทำไมคราวนี้ผมถึงเอารถมา ครับ..ผมเอารถยนต์(ที่แทบจะไม่ได้ใช้)ของผมมา แต่ไอคนขับมันไม่ใช่ผมหรอกเพราะคนขับมันก็คือไอเจมส์ ส่วนมอไซค์สุกรักสุดหวงของไอเจมส์และไอบาสมันก็จอดเน่า ๆ อยู่ที่คอนโดผมครับ


วันนี้ที่ผมเอารถมาเพราะว่าผมอยากจะซื้อของอะไรเยอะนิดหน่อยแล้วตอนนี้ผมก็เสี้ยนของหวานมากเลยครับ อยากซื้อพวกวัตถุดิบไปทำขนมกินเล่นที่ห้อง อย่าถามนะครับว่าทำไมผมไม่ซื้อไปกินล่ะจะทำเองทำไมให้เสียเวลา…เหตุผลก็บอกทุก ๆ คนไปแล้วไงครับว่าผมน่ะเป็นลูกชายเจ้าของร้านเบอเกอรี่ซึ่งผมไม่มีทางไปสนับสนุนร้านค้าคู่แข่งของบ้านผมเด็ดขาดดังนั้นเวลาผมเสี้ยนขนมหวานผมจะออกไปซื้อวัตถุดิบมานั่งทำกินเองที่หอทุกครั้ง ไอผมก็ไม่อยากจะอวดนะครับในคอนโดผมเนี่ยเครื่องมือทำขนมครบครันครับเพราะคุณม๊าแกเล่นซื้อชุดเครื่องครัวชุดใหญ่มาให้ผมกับคุณเจ้ที่หอเลยครับ ด้วยเหตุผลว่าคุณม๊าของผมกลัวว่าลูก ๆ สุดที่รักของคุณม๊าไม่มีเครื่องครัวสะดวกสบายอย่างที่บ้านใช้กัน คุณม๊าก็เลยเล่นสั่งซื้อเครื่องครัวชุดใหญ่ให้ผมกับคุณเจ้เลย ซึ่งส่วนมากผมก็จะใช้หม้อครับ…ใช้ทำอะไรเหรอครับก็ต้มอาหารประจำชาติไทยกินไงครับผมใช้อยู่แค่นั้นแต่ก็มีบางทีที่ผมนึกคึกอยากทำขนมกินเล่นเป็นบางครั้งอย่างเช่นวันนี้ที่ผมเสี้ยนอยากกินขนมหวาน


“เพื่อนเจมส์ครับ เพื่อนกรขอซุปเปอร์มาเก็ตที่มีแผนกเครื่องทำเบอเกอร์รี่นะครับ” เมื่อผมเข้ามานั่งในรถผมก็ออกปากสั่งให้ไอเจมส์วนรถไปห้างสรรพสินค้าที่มีวัตถุดิบที่ใช้ทำขนมขาย ไอเจมส์หันหน้ามามองผมสักเล็กน้อยแล้วก็พยักหน้าตอบรับ
มันก็คงรู้ล่ะครับว่าผมเสี้ยนของหวานอยากทำขนมกินเอง


“อยากกินขนมอีกแล้วอะดิไอกร” เสียงของบาสพูดขึ้นซึ่งผมก็พยักหน้าตอบรับมันไป “อยากทำทาร์ตกินว่ะไม่ได้กินนานล่ะ แถมกรูไม่ได้กลับบ้านเลยสองสามอาทิตย์มานี่เลยไมได้กินสมใจอยาก วันนี้เลยอยากทำกินเองดู” ไม่อยากจะพูดนะครับผมนี่ว่าที่ผู้สืบทอดกิจการร้านเบอเกอรี่ของที่บ้านอันดับหนึ่งเลยครับเพราะผมทำขนมได้อร่อยที่สุดในบ้านรองจากคุณป๊ากับคุณม๊าเลยนะครับ ส่วนคุณเจ้ของผมอย่าไปพูดถึงครับคุณเจ้ของผมอย่าว่าแต่ทำขนมเลยให้คุณเจ้แกทอดไข่ดาวให้ไม่ไหม้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากันครับ


สองสหายของผมพยักหน้าตอบรับก่อนไอเจมส์จะค่อย ๆ ขับรถวนออกจากมหาลัยไปและไม่นานนักพวกผมก็ขับรถมาถึงจุดหมายซึ่งเป็นห้างเล็ก ๆ ไม่ได้ใหญ่อะไรมากหรอกครับแต่เครื่องมือที่ใช้ทำขนมครบครันและที่สำคัญราคาไม่แพงอย่างในห้างใหญ่ ๆ


ผมรีบปรี่ไปหยิบรถเข็นพร้อมกับรีบเข็นรถไปยังแผนกวัตถุดิบเบอเกอรี่ทันที


“วันนี้จะทำเท่าไหร่ดีว่ะแล้วจะเก็บไว้กินกี่อันดี” ผมไล่มองวัตถุดิบพวกนั้นพร้อมกับคำนวนสูตรขนมในหัวพลันความคิดของผมก็ดันไปนึกถึงไอคุณพี่หมอที่เดินผ่านหน้าผมไปโดยที่ไม่ได้ทักทายเมื่อตอนสาย ๆ มันจึงทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าผมยังไม่ได้ทำอะไรตอบแทนที่พี่ศิเลี้ยงข้าวเลี้ยงหนังเลยนี่หว่า ดังนั้นวัตถุดิบที่ใช้ทำนขนมในสมองก็ต้องปรับเปลี่ยนสูตรสักนิดหน่อยด้วยการเพิ่มปริมาณให้มากขึ้นซึ่งปกติผมจะทำให้ไอเพื่อนเจมส์กับเพื่อนบาสกินด้วยอยู่แล้ว แต่ตอนนี้มีพี่ศิเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคนผมก็เลยต้องเพิ่มจำนวนวัตถุดิบให้มากขึ้นกว่าเดิมสักนิดหน่อย


จุดหมายแรกที่พุ่งตรงเข้าไปคือแผนกแป้งทำขนม ผมหยิบแป้งสาลีมาหนึ่งถุงพร้อมกับโยนใส่รถไป หยิบวัตถุดิบที่ใช้สำหรับทำตัวแท้ของทาร์ตครบผมก็มุ่งตรงไปยังแผนกของสดเพื่อซื้อไข่ไก่และเครื่องปรุงที่ใช้สำหรับทำไส้คัสตาร์ดของทาร์ต


ทุกท่านคงจะไม่รู้สินะครับ ผมกำลังจะทำอะไร ผมกำลังจะทำทาร์ตไข่ครับซึ่งทาร์ตไข่นี่จะเรียกว่ามันเป็นขนมโปรดของผมอีกหนึ่งชนิดเลยก็ว่าได้ครับแต่ว่าผมไม่ค่อยได้ทำทานกินเองสักเท่าไหร่หรอกส่วนมากกก็ไปขโมยจากที่บ้านมากินเล่นที่หอทั้งนั้น แต่ครั้งนี้ผมก็ไม่รู้เป็นบ้าอะไรถึงอยากจะกินไอทาร์ตไข่นี่ขึ้นมาแต่ยังไงก็เอาเถอะสูตรทำทาร์ตไข่สุดอร่อยเหาะของบ้านผมมันก็อยู่ในหัวสมองของผมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


ผมมีพรสวรรค์ทางด้านทำขนมนะครับ แต่ทำไมผมถึงมาเลือกเรียนวิศวะก็ไม่อาจได้รู้ครับ เอาเป็นว่าผมจะเอาดีทั้งสองทางแล้วกันทำหน้าที่เป็นวิศวกรไปพร้อมกับทำการยึดครองร้านขนมของบ้านผมไปด้วย


ผมเข็นรถเข็นเดินมองของในซุปเปอร์มาร์เก็ตแห่งนี้ไปอีกสักพักก่อนที่ไอเพื่อนของผมทั้งสองคนเรียกให้ผมเข็นรถไปหาพวกมัน ทั้งสองคนหอบถุงขนมขบเคี้ยวพร้อมกับอาหารประจำชาติไทยเต็มไม้เต็มมือ ทั้งสองคนถลามาที่รถเข็นของผมพร้อมกับโยนของที่อยู่ในมือของมันลงบนรถเข็มที่ผมเข็นอยู่


“กรจะเอาอะไรอีกป่ะว่ะ พวกกรูพอละเดี๋ยวแม่มจะกินไม่หมดกัน” ไอเจมส์พูดพร้อมกับบิดตัวไปมาเพื่อคลายความเมื่อยล้าเนื่องจากการแบกถุงขนมนมเนย


“อื้อ กรูซื้อของพอแล้วละไปจ่ายเงินกันเถอะ” ผมตอบกลับมันไปพร้อมกับเข็นรถเข็นไปที่เคาท์เตอร์จ่ายเงิน




“ทั้งหมดหนึ่งพันแปดสิบสี่บาทค่ะ” พนักงานสาวบอกผมผมควักแบงค์พันสองใบไปให้พี่สาวคนนั้นก่อนจะเลื่อนรถเข็นออกไปรอเพื่อนของผมทั้งสองคน พอดีผมแยกจ่ายกับพวกมันครับผมเลยคิดเงินเสร็จก่อนมัน ผมนั่งรอไอเพื่อนสองคนนั้นสักพักไม่นานนักมันก็เข็นรถเข็นของมันออกไปพร้อมกับเรียกผมให้เดินกลับไปที่รถ


“น้ำตาแม่มจะไหล…เดือนนี้เงินกรูจะติดลบแล้วครับ” ไอเจมส์พูดพร้อมแสร้งทำหน้าปาดน้ำตา “กรูบอกมรึงแล้วว่าอย่าออกไปแดรกเหล้ามากเป็นไงช็อตอย่างที่กรูพูดไหมละ” ผมบ่นมันไปชุดใหญ่แต่คำบ่นของผมมันก็ไม่ได้เข้าหูมันหรอกครับยังไงมันก็ไม่ได้ติดตัวแดง(เพราะค่าเหล้า)ตามที่มันบอกหรอกเพราะมันแอบไปขอเงินพ่อมันใต้โต๊ะเพื่อเอาไปแดรกเหล้าต่อได้ ถึงพ่อแม่ไอเจมส์จะเป็นครูแต่พ่อแม่มันก็ไม่ได้เคร่งครัดอะไรนักหรอกครับโดยเฉพาะพ่อของมัน พอดีมีวันนึงผมกับไอบาสไปเที่ยวบ้านของไอเจมส์ แล้วก็ไม่รู้ว่าพ่อไอเจมส์มันเป็นอะไรนึกครึ้มอกครึ้มใจอะไรขึ้นมา พ่อไอเจมส์มันชวนพวกผมดวลเหล้าซะงั้น ไอเราก็เป็นเด็กดีไม่อยากจะปฏิเสธผู้หลักผู้ใหญ่ก็เลยนั่งก๊งกันไปจนเกือบเช้าแถมตื่นมาแฮงค์กันไปเป็นวัน ๆ ดีนะที่วันนั้นเป็นช่วงวันหยุดยาวต่อกันสี่วันทำให้พวกผมมีเวลานั่งเบลอเพราะฤทธิ์เหล้าได้อยู่บ้าง
 

“เหล้ามันเป็นปัจจัย 5 ที่ขาดไม่ได้สำหรับกรูเลยนะครับ” ไอเจมส์มันตอบผมมาพร้อมกับเดินหิ้วถุงของซุปเปอร์มาร์เก็ตไปเก็บที่รถของผม


“ปัจจัยที่ 5 ของมรึงจะทำให้มรึงตายไวครับไอคุณเพื่อนเจมส์” ผมร้องบ่นมันไปแต่ยังไงได้ล่ะไอเจมส์นี่มันเป็นพวกคอทองแดงกรอกเหล้าไปยังไงก็ไม่เมาซึ่งตอนแรกผมก็ไม่รู้หรอกว่าไอเจมส์เป็นพวกดื่มเหล้ายังไงก็ไม่เมา มารู้อีกทีก็ตอนไปรับน้องนี่ละครับ เพราะกิตติศักดิ์ของมันก็คือมันดวลเหล้ากับพี่ปี 2 ยันพี่ปีสูงจนพวกพี่ ๆ เขายอมแพ้นอนสลบไสลเมาปลิ้นกันไปเป็นแถบ ๆ ส่วนไอเจมส์น่ะเหรอมันแค่กรึ่ม ๆ เท่านั้นเอง


“จะไปไหนต่อเปล่ามรึง หรือจะกลับคอนโดเลย” เจมส์ถามผมหลังจากที่พวกเราเอาของที่ซื้อมาขึ้นมาไว้บนรถจนหมดแล้ว และผมก็ส่ายหัวเป็นคำตอบเพราะผมอยากกลับไปทำทาร์ตไข่ที่คอนโดแล้ว ไอเจมส์ก็พยักหน้าตอบรับผมกลับมาพร้อมกับสตาร์ทรถขับกลับคอนโดของผมที่ตั้งอยู่เกือบจะใจกลางของกรุงเทพ


เมื่อถึงคอนโดผมก็รีบปรี่วิ่งกลับห้องของตัวเองทันทีโดยทั้งสองมือนั้นหิ้วถุงวัตถุดิบสำหรับการทำทาร์ตไข่ไว้เต็มสองมือ ผมวิ่งนำไอบาสกับไอเจมส์เข้าไปในห้องพร้อมกับกับถอดปมเน็คไทค์โยนมันทิ้งไว้ที่โซฟาก่อนจะแปรสภาพตัวเองจากนิสิตวิศวะเป็นพาทิซิเย่ฝึกหัดทันที


“เชี่ยบาส เชี่ยเจมส์...ถ้าอยากแดรกพวกมรึงจงย้ายก้นจากโซฟามาช่วยกรูทำขนมในห้องครัวเดี๋ยวนี้เลยครับ” ผมตะโกนบอกเพื่อน ๆ สองคนที่เริ่มทำตัวเป็นเจ้าของห้องของผมโดยการเปิดทีวีและนอนผึ่งพุงตากแอร์ ให้ย้ายก้นของมันมาช่วยผมทำขนมในครัวแต่คิดเหรอครับว่ามันจะยอมเดินมาช่วยผมง่าย ๆ


ใช่ครับ…พวกคุณคิดถูกเพราะสิ้นเสียงของผม พวมันไม่ยอมย้ายก้นออกจากโซฟาของผมหนำซ้ำมันไม่คิดจะแลตามองมาที่ห้องควรเลยสักนิดแต่ละคนตาแกะถุงขนมกินกันคนละห่อพร้อมกับนั่งกดช่องทีวีดาวเทียมดูไปเรื่อย ๆ อย่างสบายอารมณ์


 ผมก็ได้แต่จ้องมองพวกมันอย่างเคียดแค้น แต่ก็นะ…ต่อให้มันมาช่วยผมทำพวกมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากมายหรอกหนำซ้ำถ้ามันมาช่วยมันอาจจะทำให้ครัวของผมอาจจะเกิดความวิบัติและบรรลัยขึ้นได้ ผมจึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาเตรียมแป้งเพื่อทำเป็นตัวทาร์ตพร้อมกับเตรียมไส้ครีมคัสตาร์ดไปพร้อม ๆ กันด้วย ผมใช้เวลาในการทำแป้งอยู่ไม่นานนัก จากแป้งสาลีอเนกประสงค์สีขาวก็กลายเป็นก้อนแป้งสีครีมที่พร้อมสำหรับใส่แม่พิมพ์เพื่อนำเข้าเตาอบ


ผมหยิบแม่พิมพ์เทปล่อนสีดำสนิทออกมาพร้อมกับแบ่งแป้งเป็นก้อน ๆ เพื่อนำไปใส่ในแม่พิมพ์ ผมมองฝีมือของตัวเองพร้อมกับอมยิ้มออกมา


‘กรูนี่เก่งจริง ๆ’ ผมพยักหน้าพอใจในผลงานที่เกิดขึ้น พร้อมกับนำพิมพ์ขนมทั้งหมดใส่เข้าตู้อบพร้อมกับนั่งคอยให้แป้งทาร์ตที่อยู่ในเตาอบสุกได้ที่


ผมนั่งเท้าแขนมองแสงไฟสีนวลในเตาอบไปพร้อมกับอมยิ้มไป ถ้าพูดไปทุกคนอาจจะหาว่าผมบ้าก็ได้ครับ พอดีผมเป็นพวกมีความสุขที่ได้มองผลงาน(ขนม)ของผมที่ค่อย ๆ ออกมาเป็นรูปเป็นร่างล่ะครับ


ผมนั่งรอคอยเวลาไปสักพักและก็ไม่นานสักเท่าไหร่นักก็ได้ยินเสียงกริ่งที่ร้องบอกว่าแป้งทาร์ตที่อยู่ในเตาอบสุกได้ที่แล้วผมค่อย ๆ นำถาดทาร์ตออกมาก่อนจะค่อย ๆ บรรจงตักไส้ครีมคัสตาร์ดลงไปในแป้งที่เพิ่งอบเสร็จใหม่ ๆ


ผมนำมันเข้าเตาอบไปอีกครั้งและก็ยังคงนั่งจ้องเตาอบด้วยแววตาที่เป็นประกายเช่นเดียวกับเมื่อสักครู่ ครั้งนี้ในการอบไส้คัสตาร์ดต้องละเอียดอ่อนนิดหน่อยและต้องไม่ใจร้อนผมนำถาดขนมออกมาอีกรอบพร้อมกับเทคาราเมลที่ทำจากน้ำตาลทรายเผาลงไปที่หน้าทาร์ตบาง ๆ หลังจากนี้ก็เหลือแต่รอให้น้ำตาลทรายเผาของทาร์ตซึมซับลงไปที่เนื้อครีมคัสตาร์ดขั้นตอนทั้งหมดของการทำไข่ก็เสร็จสิ้นแล้ว ผมนั่งนับเวลารอเสียงกริ่งของเตาอบให้ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับความตื่นเต้นที่จะได้เห็นผลงานของตัวเองออกมาเป็นรูปเป็นร่าง


และเวลาที่ผมตั้งตารอก็มาถึงเสียงกริ่งของเตาอบดังผมรีบถลาไปที่เตาอบทันที


“เสร็จแล้วโว้ยยยย” ผมกรีดร้องออกมาด้วยความยินดีพร้อม ๆ กับสองสหายที่แย่งกันวิ่งเข้ามาในครัว


“เสร็จแล้วเหรอว่ะกร” เสียงไอบาสพูดขึ้น


“วันนี้ทำทาร์ตไข่เหรอว่ะหอมว่ะ” และตามด้วยเสียงของไอเจมส์ที่พูดตามขึ้นมาติด ๆ
ผมมองสภาพเพื่อนของผมที่ตอนนี้ทำตัวเหมือนลูกหมาที่มากระดิกหางขอของกินซึ่งผมก็ยังไม่ยอมให้มันกินกันหรอกครับ มันต้องแบ่งสรรปันส่วนของแต่ละคนให้ครบก่อนไม่งั้นไอพวกนี้มีหวังได้กินเพลินจนเกินเข้าไปส่วนของคนอื่นแน่ ๆ


“วันนี้ทำเยอะกว่าปกตินะกร” เจมส์พูดพลางปรายสายตาขึ้นมามองที่หน้าของผม ซึ่งผมก็พยักหน้าตอบรับคำพูดของมันแล้วก็พูดออกไปอีกว่า “กรูก่ะว่าจะทำไปให้พี่ศิเขากินด้วย ก็เลยทำออกมามากกว่าปกติน่ะ” สิ้นเสียงของผมเพื่อนเจมส์และเพื่อนบาสก็หันหน้าไปมองกันริมฝีปากของทั้งสองยักขึ้นเล็กน้อยก่อนที่จะพูดถ้อยคำล้อเลียนผมออกมา


“กรูก่ะว่าจะทำไปให้พี่ศิเขากินด้วย” เสียงแรกเป็นเสียงของไอบาสที่แสร้งตีหน้าเขินอายออกมาเพื่อล้อเลียนผมก่อนประโยคต่อมาจะเป็นบทของไอเจมส์ที่ก็เอ่ยคำพูดล้อเลียนผมเช่นเดียวกัน “ก็เลยทำออกมามากกว่าปกติน่ะ”


ผมจ้องเขม็งใส่ไอเพื่อนสองคนที่พูดล้อเลียนก่อนจะยกที่ตีไข่ขึ้นเพื่อฟาดไปบนหัวเพื่อนผมแบบเรียงคน (อ่อผมล้างที่ตีไข่แล้วนะครับ) “กุทำให้พี่เขาเพื่อตอบแทนที่พี่เขาเลี้ยงหนังเลี้ยงข้าวเว้ย พวกมรึงนี่นะคิดอะไรกันไร้สาระชะมัด” ผมบ่นพึมพำพร้อมกับค่อย ๆ จัดทาร์ตไข่ใส่กล่องแยกไว้เป็นสามกล่องโดยสองกล่องแรกผมก่ะยกให้ไอเจมส์กับไอบาสเพื่อยกให้มันเอากลับไปกินที่หอส่วนกล่องที่สามผมก่ะว่าจะเอาไว้ให้พี่หมอที่อยู่ข้างห้องผม ส่วนของผมน่ะเหรออยู่ในจานนั่นละครับต่อให้พูดว่าผมเสี้ยนของหวานขนาดไหนแต่ผมก็กินไม่มากหรอกครับชิ้นสองชิ้นก็พอแล้ว


ผมเดินหยิบจานทาร์ตไข่ที่เพิ่งออกมาจากเตาอบร้อน ๆ ออกไปนั่งบนโซฟาพร้อมกับนั่งดูทีวีพร้อมกับเพื่อน ๆ ทั้งสองคน พวกเราแย่งกันกินทาร์ตไข่ในจานอย่างเมามันและสุดท้ายก็เป็นไอบาสที่เป็นคนได้ชิ้นสุดท้ายไป ไอเจมส์มองทาร์ตไข่ชิ้นนั้นด้วยสายตาผิดหวังก่อนมันจะหาวิธีแก้เผ็ดไอบาสด้วยคำพูดที่ทำให้บาสแทบจะสำลักทาร์ตชิ้นนั้นออกมา


“มรึงรู้เปล่าบาส…ผู้หญิงเขาชอบบอกกันว่าชิ้นสุดท้ายได้แฟนหล่อนะ” เสียงของไอเจมส์พูดขึ้นลอย ๆ แต่มันก็เงียบลงไปด้วยเสียงตบหัวดังแปะด้วยฝ่ามืออรหันของไอบาส “เงียบไปเลยมรึงถ้าผู้ชายกินเขาก็เปลี่ยนเป็นชิ้นสุดท้ายได้แฟนสวยแทนเว้ย”
ผมหัวเราะท่าทางของเพื่อนทั้งสองคนก่อนที่เสียงออดที่หน้าประตูห้องของผมดังขึ้นจึงทำให้ผมต้องลุกขึ้นไปเปิดประตูดูว่าแขกที่มาใหม่นั่นคือใคร



v
v
v
v
v
v
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 4] 10/09/2013 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 10-09-2013 21:32:24


บานประตูของห้อง 1403 ถูกเปิดออกพร้อมกับเผยให้เห็นร่างสูงของว่าที่หมอที่มีนามว่าศิรวิทย์ ผมโค้งหัวทักทายพี่เขาพร้อมกับส่งสายตาเป็นคำถามว่าพี่ศิมาทำอะไรครับ


“ให้พี่เข้าไปในห้องได้หรือเปล่า พอดีพี่ซื้อขนมมา ขอโทษที่เมื่อกลางวันพี่ไม่ได้ทักเราตอนเดินผ่านหน้าเราน่ะ” พี่ศิตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม ผมเบนสายตาลงไปมองถุงที่เต็มไม้เต็มมือของพี่เขาก่อนที่ผมจะหลีกทางจากประตูเพื่อให้พี่ศิเดินเข้ามาในห้องของผมได้สะดวก ๆ


“พี่ศิไม่ต้องซื้อขนมมาเซ่นกรก็ได้ กรไม่ได้โกรธอะไรพี่ศิหรอกครับแค่โดนเมินเอ้งง” ผมแกล้งทำเสียงโกรธ ๆ พร้อมกับพูดแหย่พี่ศิเขาไป ประโยคพวกนั้นทำให้พี่ศิรีบลนลานวิ่งมาขอโทษผมแทบจะไม่ทัน


“พี่ขอโทษนะกร พี่ไม่ได้ตั้งใจจะเมินกรเลยนะ” พี่ศิเดินมาดักหน้าผมไว้พร้อมกับโค้งหัวน้อย ๆ เป็นการขอโทษ ซึ่งไอผมก็ไม่ได้โกรธอะไรพี่ศิเขาอยู่แล้วจึงหัวเราะออกมาดัง ๆ ที่แกล้งพี่ศิเขาได้สำเร็จ


“โหยพี่ กรล้อเล่น กรไม่โกรธพี่ศิหรอก” ผมพูดพร้อมกับมือที่ยื่นขึ้นไปตบที่บ่าของพี่เขาก่อนจะสาวเท้าเดินนำพี่ศิเขาไปในห้องนั่งเล่นที่มีเพื่อนของผมทั้งสองคนนอนอืดอยู่


มันสองตัวเขยิบตัวขึ้นมาเล็กน้อบก่อนจะโค้งหัวน้อย ๆ ใส่พี่ศิเป็นการทักทายแล้วมันทั้งสองคนก็หันไปสนใจทีวีต่อ


‘โถ่วเพื่อนกรู…โคตรมีมารยาทกับรุ่นพี่เลยจริง ๆ’ ผมยกมือขึ้นตบหน้าผากของตัวเองเบา ๆ ก่อนจะพูดเชิญให้พี่ศิเดินเที่ยวห้องของผมได้ตามสบาย “เชิญพี่ศิเลยครับ หรือพี่ศิอยากจะไปกระโดดทับไอสองคนนั้นกรก็ไม่ว่าหรอก พวกมันออกจะทำตัวสบายเกินเจ้าของห้องอย่างกรมากไปแล้ว" ตอนนี้ผมเริ่มที่จะชินกับการเรียกชื่อกรแทนตัวแล้วล่ะครับ ในตอนแรก ๆ ผมก็มีหลุด ๆ บ้างซึ่งถ้าเมื่อผมหลุดพูดแทนตัวด้วยคำอื่นนอกจากคำว่ากร พี่ศิก็จะเรียกผมกลับมาด้วยสรรพนามที่สยิวไส้อย่างน้องกรกลับมาเช่นกัน


ซึ่งตัวของผมนั้นสยิวไส้คำว่าน้องกรมากกว่าคำว่ากรครับจึงเลยจำยอมแทนตัวเองว่ากรกับพี่ศิไป


พี่ศิหัวเราะออกมาเบา ๆ แต่พี่เขาก็ไม่ได้เดินไปกระโดดทับไอเพื่อนสองคนของผมนั่นหรอก พี่ศิเขาเลือกที่จะเดินมาช่วยผมจัดขนมทั้งหมดใส่จานแทน


“พี่ศิรู้เปล่า...กรน่ะไม่กินขนมของร้านไหนนอกจากร้านของบ้านตัวเองนะ” ผมพูดปณิธานของตัวเองให้พี่ศิฟังซึ่งพี่เขาก็เลิกคิ้วขึ้นมาด้วยความสงสัย


“ทำไมเหรอครับกร” พี่ศิเอี้ยวตัวมามองหน้าผมที่กำลังจัดขนมในจานให้สวยงามผมหันไปสบตาพี่ศิสักพักก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มว่า


“ก็บ้านกรเปิดร้านขายขนมเบอเกอรี่นี่นา...กรจะไปช่วยคู่แข่งของบ้านตัวเองทำไมล่ะครับ” สิ้นเสียงขอผมพี่ศิก็พยักหน้าอย่างเข้าใจแต่สีหน้าของพี่เขาออกจะผิดหวังไปสักเล็กน้อยที่ผมปฏิเสธที่จะทานขนมที่พี่เขาซื้อมา ผมมองสีหน้าผิดหวังนั้นสักพักก่อนจะถอนหายใจและยอมแพ้ให้กับสีหน้าผิดหวังของพี่เขา


“เฮ้อ...ถือว่าครั้งนี้กรยกให้พี่ศินะครับ” ผมพูดขึ้นพร้อมกับกอดอกตัวเองก่อนจะพูดต่อออกไปอีกว่า “คราวนี้กรจะยอมกินขนมที่พี่ศิซื้อมาก็ได้แต่กรคงกินได้ไม่มากนะครับ เพราะพอดีพวกกรเพิ่งกินทาร์ตไข่กันไปเมื่อกี้นี้เอง” เมื่อผมพูดจบ ผมก็ฉีกยิ้มกว้างให้กับพี่เขาซึ่งพี่เขาก็หัวเราะออกมาพร้อมกับยกมือขึ้นขยี้หัวของผมแรง ๆ จนผมของผมฟูไม่เป็นทรง “กรทำเอาพี่ผิดหวังไปวูบใหญ่เลยนะ”


“เอ้า...ก็กรถือคติไม่กินของของร้านค้าคู่แข่งของบ้าน ที่กรยอมกินขนมที่พี่ศิซื้อมานี่เพราะสีหน้าผิดหวังสุด ๆ ของพี่ศิเลยนะเนี่ย” ผมพูดแหย่พี่เขาพร้อมกับเดินถือจานขนมจานใหม่เข้าไปในห้องนั่งเล่น ผมใช้เท้าเขี่ยเพื่อนทั้งสองคนให้นั่งดี ๆ ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงข้าง ๆ พวกมัน


“เสบียงมาเพิ่มแล้วเว้ย” ผมพูดพร้อมกับวางจานลงไปกลางโต๊ะและเป็นที่แน่นอนไอบาสและไอเจมส์ก็ถลาไปตอดขนมในจานชิ้นใหม่อย่างรวดเร็ว


“ไอกรนี่มันไม่ใช่ขนมจากบ้านมรึงนี่” เสียงของบาสพูดขึ้นมาก่อนจะตามด้วยเสียของไอเจมส์ “แล้วก็ไม่ใช่ขนมที่มรึงทำด้วย” ผมพยักหน้าตอบรับพวกมันแต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาต่อทั้งยังเอื้อมมือไปหยิบส้อมพร้อมกับจิ้มเค้กที่หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ เข้าปากไป ก็อร่อยดีแหะแต่ยังไงก็สู้สูตรเค้กของบ้านผมไม่ได้หรอก


“แล้วมรึงแดรกลงไปได้ยังไงว่ะ! ไหนบอกว่าจะไม่แดรกขนมที่ไม่ใช่สูตรบ้านมรึงนี่” ทั้งสองคนพูดประสานเสียงกันซึ่งผมก็ยกมือทั้งสองข้างมาปิดหูไว้พอพวกมันพูดจบผมถึงค่อยเอามือออก “กรูทนเห็นสีหน้าหมาหงอยของพี่ศิไม่ได้ว่ะ เลยยอมกินนิดนึง” ผมไหวไหล่ขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับยื่นมือขึ้นไปจิ้มเค้กชิ้นที่สองเข้าปาก ‘อร่อยดีแหะ...’ ผมคิดในใจ แต่ไม่ได้ ๆ เพราะยังไงขนมบ้านผมก็ดีกว่าอยู่แล้ว


ในขณะที่ผมบ่นพึมพำพลางจิ้มเค้กชิ้นเล็ก ๆ เข้าปากเรื่อย ๆ เจ้าเพื่อนสนิททั้งสองคนของผมก็หันไปซุบซิบ ๆ อะไรกันบางอย่างก่อนจะลุกขึ้นไปเดินควงแขนพี่ศิคนละข้างและลากไปคุยมุมห้อง ซึ่งผมก็ไม่สงสัยอะไรหรอกครับปล่อยให้พวกเขาทั้งสามคนคุยกันไป ส่วนผมก็นั่งจิ้มเค้กชิ้นต่อไปกินอย่างเพลิดเพลิน


อย่าว่าผมเห็นแก่กินเลยนะครับ ผมแค่ขี้เกียจจะไปสนใจอะไรที่สามคนนั้นคุย(เพราะมันคงไม่เกี่ยวอะไรกับผม)ดังนั้นผมก็เลยเลือกที่จะนั่งเฉย ๆ แล้วกินเค้ก(ของร้านอื่นที่ไม่ใช่ของของร้านผม)ต่อไปดีกว่า


ผ่านไปสักพักทั้งสามคนก็เดินกลับมานั่งที่เดิมของเขา ไอบาสกับไอเจมส์ยิ้มเจ้าเล่ห์น้อย ๆ พร้อมกับส่งสายตาน่าขนลุกมาให้ผม ส่วนพี่ศิรู้สึกว่าหน้าของพี่เขาจะแดงขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับมุมปากที่มีรอยยิ้มจาง ๆ ราวกับคนที่เพิ่งได้ฟังเรื่องน่ายินดีอะไรบางอย่างมา


ผมวางส้อมลงกับจานก่อนจะเอนหลังไปพิงกับโซฟาตัวกว้าง


“เป็นอะไรกันอ่ะ แล้วพวกมรึงสองคนยิ้มแบบนั้นทำไม พวกมรึงยิ้มแบบนี้ทีไรกรูไม่ไว้ใจมรึงทุกที” ผมมองเพื่อนทั้งสองคนด้วยสายตาหวาดหวั่น นั่นก็เป็นเพราะเวลามันยิ้มแบบนั้นใส่ผม (หรือใส่ใคร) คน ๆ นั้นก็จะซวยทุกทีซึ่งผมไม่อยากให้มันยิ้มแบบนั้นใส่ผมครับ เพราะผมก็ซวยไปแล้วรอบนึงนั่นก็คือรอบที่ผมโดนเกมส์ลงโทษให้ไปสารภาพรักกับพี่ศินั่นล่ะครับรอบนั้นผมซวยแบบสุด ๆ ต่อให้ไปทำบุญ 7 วัด 9 วัดก็ไม่หาย


“โถ่วเพื่อนกรที่รักพวกกรูจะไปทำอะไรมรึงได้ล่ะครับ จริงไหมครับพี่ศิ” ไอบาสพูดพร้อมกับหันไปถามพี่ศิที่ตอนนี้ผันตัวมาเป็นลูกคู่ให้ไอบาสเรียบร้อยแล้ว


“ใช่ครับกร ที่พี่ไปคุยกับบาสแล้วก็เจมส์กันเมื่อกี้นี้มันไม่มีอะไรเลยจริง ๆ นะครับ” พี่ศิพูดไปนิ้วมือของพี่เขาก็พลางเกาแก้มตัวเองไป ผมขมวดคิ้วจนเป็นปมก่อนจะเบนสายตาไปมองที่ไอเจมส์ที่ตอนนี้มันกำลังใช้ส้อมนั่งจิ้มเค้กที่ผมกินค้างไว้เข้าปาก


“ไม่ต้องมามองที่กรูครับ ไอคุณกรต่อให้มรึงจะทำอะไรกรู กรูก็ไม่บอกครับว่าที่แอบไปคุยกันมา…พวกเราแอบไปคุยอะไรกัน” เพื่อนเจมส์พูดเสียงอู้อี้เพราะเค้กที่อยู่เต็มปากแต่มันก็ไม่วายยักคิ้วข้างหนึ่งของมันเพื่อกวนประสาทผม


“ริอาจมีความลับกับเพื่อนกับฝูง กับน้องกับนุ่งเหรอ” ผมพูดเสียงทุ้มต่ำพร้อมกับก้มหน้าแสร้งตีหน้าเศร้าซึ่งมันก็ใช้ได้ผมแต่ใช้ได้ผลกับพี่ศิคนเดียวสองสหายของผมมันรู้แกวหมดแล้วครับว่าผมทำท่าแบบนี้ผมเสแสร้งแกล้งทำแน่นอน
ไอเจมส์ดึงมือพี่ศิไว้ก่อนจะส่ายหัวไปมาเชิงห้ามปรามว่าอย่าไปสนใจผมเลย ส่วนไอบาสมันใช้ตัวมันดันผมไว้เพื่อให้ผมไม่สามารถลุกขึ้นไปถามอะไรพี่ศิได้


ผมเลยได้แต่นั่งทำแก้มป่องเพราะงอนทั้งสามคนก่อนจะสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง แต่ถึงผมจะสะบัดหน้าหันหนีก็เถอะแต่ก็มีแอบปรายหางตามองทั้งสามคนบ้างซึ่งไอบาสกับไอเจมส์มันไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไรแต่กับพี่ศิพี่เขาดูเดือดเนื้อร้อนใจมากคิ้วเข้มของเขาตอนนี้มันแทบจะขมวดเป็นปมแล้ว


ผมจะไม่ใจอ่อนเด็ดขาดไม่ว่ากรณีไหนก็ตาม คราวนี้ผมใช้วิธีการขั้นเด็ดขาดคือการลุกขึ้นและเดินเข้าประตูห้องนอนของตัวเองแล้วล็อคห้องหนีทั้งสามคนซะเลย ซึ่งวิธีนี้ทำให้ไอเจมส์กับไอบาสทำหน้าเหวอได้ ส่วนพี่ศิพี่เขาแทบจะถลาไปรั้งผมไว้ซึ่งไม่ทันผมหรอกครับ…กว่าพี่เขาจะเดินถึงตัวผม ผมก็ปิดประตูลงกลอนเรียบร้อย และอย่านึกนะครับว่าทั้งสามคนจะเข้ามาในห้องนอนของผมได้ ไม่มีทางซะหรอกเพราะไอบาสกับไอเจมส์มันมีแต่กุญแจเข้าคอนโดผมแต่มันไม่มีกุญแจเข้าห้องนอนผมครับ


ผมแอบนั่งเอาหูแนบไปกับประตูเพื่อแอบฟังทั้งสามคนคุยอะไรกันพี่ศิดูจะเดือดเนื้อร้อนใจมากที่สุด ส่วนไอเพื่อนสองคนของผมนี่คอยปลอบให้พี่ศิใจเย็นลงซึ่งผมรู้สึกสะใจเหลือเกิน ก็เล่นไม่ยอมบอกผมว่าไอแอบคุยอะไรกันถึงแม้ตอนแรกผมจะไม่อยากรู้ก็เถอะแต่พอโดนทั้งสามคนจ้องหน้าพร้อมกับรอยยิ้มไม่น่าไว้ใจใคร ๆ ก็อยากรู้กันทั้งนั้นล่ะครับ ด้วยสภาพการณ์เป็นแบบนั้นไอที่ไปแอบคุย ๆ กันนี่ต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับผมแน่นอนเลย ไอกรคนนี้ขอฟันธง!


ผมนั่งลงพร้อมกับพิงไปที่ประตูเพื่อแนบหูฟังเสียงที่คุยกันอยู่หน้าห้องนอนของผม ดูเหมือนว่าพี่ศิใกล้จะสติแตกไปแล้วที่เห็นผมหายเงียบเข้าไปในห้อง ไอเจมส์กับไอบาสก็ยังคงทำหน้าที่เดิมคือคอยปลอบและรั้งพี่ศิไม่ให้พังประตูห้องนอนของผมเข้ามา
ให้ตายเถอะครับพี่ ไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้ผมไม่ใช่พวกงอนเพื่อนจนคิดสั้นฆ่าตัวตายหรอกนะ


เวลาผ่านไปได้สักพักไอผมก็เริ่มจะทนเสียงโวยวายหน้าห้องของผมไม่ไหว จึงได้เปิดประตูห้องออกไปพร้อมกับเก็กหน้านิ่ง ๆ แสร้งทำเป็นว่าผมกำลังโกรธพวกเขาทั้งสามคนอยู่ซึ่งคราวนี้ทั้งสามคนเชื่อผมอย่างสนิทใจเลยครับว่าผมโกรธพวกเขาจริง ๆ งานนี้ผม(แกล้งทำเป็น)โกรธทำเอาห้องทั้งห้องเงียบลงถนัดตาแถมทั้งสามคนก็เดินตามหลังผมต้อย ๆ แล้วก็ไปนั่งจุ่มกันที่โซฟา ผมนั่งไขว้ห้างหยิบรีโมตทีวีขึ้นมากดเปลี่ยนช่องไปมา แต่ก็ไม่มีช่องไหนที่ผมสนใจผมก็เลยโยนรีโมตทีวีไปโต๊ะที่ตั้งอยู่ตรงหน้าโซฟา พี่ศิและเพื่อน ๆ อีกสองหน่อของผมสะดุ้งโหยงทันที ท่าทางการเก็กแกล้งทำเป็นโกรธครั้งนี้ดูท่าจะได้ผลล่ะครับ แต่ละคนนั่งทำหน้าหงอยอย่างกับลูกหมาเลยครับ ผมนี่แทบจะเก็กหน้านิ่งเอาไว้ไม่อยู่ ขอสารภาพตามตรงเลยว่าอยากหัวเราะกับสีหน้าของพวกเขาทั้งสามคนมาก แต่ความรู้สึกอยากแกล้งคนนี่มันมีมากกว่าครับผมจึงพยายามตีหน้านิ่งต่อไป


ตอนนี้ผมแบบจะลุกขึ้นทุกคนก็ลุกขึ้นตาม ผมจะเดินไปไหนก็มีทั้งสามคนเดิมตามแต่ละคนเริ่มทำหน้าเสียขึ้นไปเรื่อย ๆ ช่วงเวลาแห่งความเงียบนี้ผ่านไปได้สักสามสิบนาที ไอบาสมันก็เริ่มทนไม่ไหวมันเดินมาดักหน้าผมแล้วพูดพร่ำขอโทษผมใหญ่


“เฮ้ยกรกรูขอโทษแต่กรูบอกมรึงไม่ได้จริง ๆ” มันยกมือขอโทษขอโพยผมใหญ่ สิ่งที่มันบอกผมไม่ได้นี่มันยิ่งใหญ่อะไรนักหนากันนะ แต่เอาเถอะผมก็ไมได้สนใจอะไรหรอกเพื่อนไม่อยากให้ผมรู้ผมไม่รู้ก็ได้เพราะผมเคารพสิทธิของเพื่อน ถ้ามันอยากบอกมันก็จะบอกเอง แต่พอดีตอนนี้ผมเจือกอยากจะแกล้งมันขึ้นมาก็เลยตีสีหน้านิ่งสนิทใส่พวกเขาไป


“เหรอ” ผมพุดตอบมันไปสั้น ๆ ง่าย ๆ ได้ใจความ คำตอบของผมมันยิ่งทำให้ไอบาสหน้าเสียเข้าไปใหญ่จนไอเจมส์ก็ต้องเดินมาเกาะไหล่พร่ำขอโทษผมอีกคน


“เฮ้ยคือพวกกรูไม่ได้มีอะไรปิดบังมรึงเลยนะเว้ยแต่นี่มันเรื่องส่วนตัวของพี่ศิเค้ากรูเลยบอกไม่ได้” ผมปรายตามองไอเจมส์ช้า ๆ ก่อนจะเบนสายตาไปมองหน้าพี่ศิ ผมพยายามทำสีหน้าให้เย็นชาแบบสุด ๆ เอาไว้ สายตาของผมดูท่าจะนิ่งสนิทมากเพราะคิ้วเข้มของพี่ศิเขาขมวดกันจนแทบจะเป็นปมอยู่บนในหน้าอันแสนหล่อเหลาของเขาอยู่แล้ว


ผมไหวไหล่ขึ้นก่อนจะเดินเข้าไปในห้องครัวพร้อมหยิบน้ำส้มทิปโก้ขึ้นมาเทใส่แก้วพร้อมกับยกขึ้นดื่มช้า ๆ ผมแอบเหลือบมองสีหน้าของคนทั้งสามคนที่ตอนนี้หน้าตาเคร่งเครียดเป็นอย่างมากเมื่อผมดื่มน้ำส้มจนหมดแก้วผมก็วางแก้วกระแทกลงบนโต๊ะจนทำให้ทั้งสามคนนั้นสะดุ้งขึ้นมาทันที


“…พอล่ะ” ผมพูดงึมงำออกมาเบา ๆ จนทำให้ทั้งสามคนต้องเงี่ยหูฟังว่าผมพูดอะไร


“พอล่ะ” คราวนี้ผมพูดดังขึ้นมาอีกนิดดูเหมือนว่าทั้งสามคนที่ยืนทำหน้าหงอยจะได้ยินเสียงของผมแล้วล่ะ


“ไม่โกรธแล้ว” คราวนี้ประโยคที่ผมพูดออกไปทำให้ทั้งสามคแทบจะกระโดดกอดคอผมซึ่งผมก็ยกมือห้ามพวกเขาไว้เพราะว่าผมยังไม่อยากล้มหน้าคว่ำตอนนี้ หลังจากที่ผมพูดออกไปว่าไม่โกรธแล้วสีหน้าทั้งสามคนก็ดีขึ้นเล็กน้อยโดยเฉพาะพี่ศิเขายิ้มแป้นออกมาด้วยความยินดี ส่วนเพื่อนทั้งสองคนของผมนั่นเหรอครับสีหน้ามันก็ดีขึ้นมาหน่อยแต่มันก็ยังคงขมวดคิ้วเป็นปมกันอยู่ดี


“ไม่โกรธพวกกรูแล้วแน่นะ” ไอเจมส์มันถามซ้ำและผมก็พยักหน้าตอบมันกลับไป


“แน่ใจนะมรึง” ไอบาสถามซ้ำอีกครั้งเพื่อความชัวร์และผมก็พยักหน้าตอบคำถามมันกลับไปอีก


“กรไม่โกรธพวกพี่ ๆ แล้วสินะครับ” ผมชักจะรำคาญไอคำถามนี้แล้วนะผมก็เลยตัดปัญหาเลยตอบกระแทกเสียงออกไป “เออไม่โกรธแล้ว….แต่ถ้าถามอีกทีมีโกรธอ่ะ”


สิ้นเสียงของผมทั้งสามคนก็ปิดปากจนเงียบสนิทผมหันไปมองดูนาฬิกาที่แขวนไว้บนข้างฝาตอนนี้เข็มสั้นมันชี้อยู่ที่ใกล้ ๆ กับเลข 9 และเข็มยาวกำลังเคลื่อยนตัวไปบรรจบที่เลข 12 ซึ่งเวลานี้ก็เป็นเวลาเกือบจะสามทุ่มแล้วผมจึงไล่ให้ไอบาสกับไอเจมส์รีบขับรถกลับหอพร้อมกับหิ้วกล่องทาร์ตไข่ที่ผมส่งให้มันไป


“รีบไปได้แล้ว เดี๋ยวประตูหอปิดกรูไม่รู้ด้วยนะ” ผมพูดเตือนมันและเหมือนคำพุดของผมจะเตือนสติของพวกมัน ไอเจมส์กับไอบาสรีบร่ำลาผมพร้อมกับวิ่งถลาไปที่ประตูลิฟท์พร้อมกับรีบกดลิฟท์ย้ำ ๆ เหมือนกับที่ผมเคยทำ ซึ่งทำไปมันก็ไม่ได้ช่วยให้ลิฟท์ขึ้นมาหรือลงไปไวขึ้นกว่าเดิมหรอก


เมื่อประตูลิฟท์เปิดขึ้นไอสองสหายของผมก็รีบปรี่เข้าไปในลิฟท์พร้อมกับโบกมือลาผมกับพี่ศิที่ยืนส่งมันอยู่หน้าห้อง(ของผม)
ผมเบนสายตาหันไปมองพี่ศิที่ยังคงยืนอยู่ในห้องแต่ดูเหมือนพี่เค้าจะรู้ตัวพี่ศิส่งยิ้มให้ผมเล็กน้อยก่อนจะขอตัวกลับห้องไป แต่ผมก็ยังไม่ยอมให้พี่เขากลับไปง่าย ๆ มือข้างหนึ่งผมรั้งมือพี่เขาไว้ ส่วนมืออีกข้างนึงก็ยื่นกล่องทาร์ตไข่ให้พร้อมกับเอ่ยคำพูดขอบคุณพี่เขาไป


“แทนคำขอบคุณที่เลี้ยงหนังกับเลี้ยงข้าวกรกับเพื่อน ๆ เมื่อสองอาทิตย์ก่อน อันนี้กรทำเองเลยนะหวังว่ามันจะถูกใจพี่ศิ” ผมพูดพร้อมรอยยิ้มก่อนที่จะปล่อยมือพี่ศิไป


พี่ศิรับกล่องขนมของผมด้วยความงุนงงชั่วครู่ก่อนใบหน้าคมจะเผยรอยยิ้มกว้างออกมาพร้อมกับบานประตูห้องของผมที่ปิดสนิทลง


“ขอบคุณนะครับกรพี่จะตั้งใจทานเป็นอย่างดี” เสียงพูดของพี่ศิลอยเข้ามาในประตูและเสียงนั่นก็ทำให้ผมยิ้มออกมาเสียกว้าง


“ลองชิมฝีมือท่านกรคนนี้แล้วจะติดใจ” ผมพึมพำกับตัวเองเบา ๆ พร้อมกับเดินเข้าห้องนอนของตัวเองไป



_________________________________


ขอบคุณทุกคอมเม้นนะคะ บางทีพลอยก็ว่าพี่ศิเขาน่ารัก แต่บางทีพลอยก็ว่ากรน่ารักกว่า พลอยชอบตัวตนของกรค่ะ เป้นคนที่แสดงอะไรออกมาตรง ๆ แต่ก้แกล้งคนบ้างเป็นบางครั้ง >< ขอให้อ่านนิยายเรื่องนี้อย่างสนุกสนานกันทุกคนนะคะขอบคุณค่า
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 4] 10/09/2013 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Windiizz ที่ 10-09-2013 21:34:31
เม้นตอน 3

อ่านตอนนี้แล้วรุ้สึกว่ากรค่อนข้างเอาแต่ใจฝุดๆไปเลย
ถ้าไม่ใช่พี่ศิกุอาจมีตบเกรียนได้อ่ะ 55555
หวังว่าตอนหน้าๆกรจะไม่เอาแต่ใจขนาดนี้นะะะะ
แต่ที่กรี๊ดสุดคือฉากในโรงงงงง
ถ้าอิฉันเป็นเจมส์คงจะแอบถ่ายรูปไปสัก10ชอตอ่ะค่ะ แอร๊ยยยยย อยากสิงเข้าไปอยุ่ในโรงนั้นนน

ตอน4

ตอนนี้เขินว่ะะะะะะะะะะะ เขินตอนท้ายอ่ะะะะ กรโค่ดแม่ศรีเรือน ชอบอ่ะ อ่านแล้วอิ่มๆแบบพี่ศิโค่ดมุ้งมิ้งงงง

คนเขียนอัพไวมากบอกเลย
ควรจดไว้เป็นสถิติ ปลื้มมากค่ะ 55555
คนอ่านงานสุม พลาดไปตอนเลย TvT
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 4] 10/09/2013 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: MangoBlue ที่ 10-09-2013 23:25:38
ทาร์ตไข่ชิ้นนี้พี่ศิคงจะจำรสชาติไปอีกนานแน่ๆ ทาร์ตแห่งความรักกกก :-[
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 4] 10/09/2013 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 11-09-2013 05:09:40
น้องกรมีเสน่ห์ปลายจวักด้วย น่ารักเกินไปละ
เราว่าน้องกรยอมลงให้พี่ศิแบบไม่รู้ตัวนะเนี่ย แม้กับเพื่อนจะเอาแต่ใจแต่กับคนอื่นก็มีความเกรงใจ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 4] 10/09/2013 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 11-09-2013 09:11:29
น้องกรแม่ศรีเรือนจริงๆ
เขาสามคนคุยอะไรกันนะ เกี่ยวกับกรแน่
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 4] 10/09/2013 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 11-09-2013 10:30:47
น้องกรน่ารัก :mew1:

เรื่องสนุกดีค่ะ ชอบ ถ้าลดการใช้คำว่า แม่ม ลงจะได้อรรถรสกว่านี้  :L2:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 4] 10/09/2013 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 11-09-2013 10:55:58
น่ารัก สมเป็นแม่บ้านจริง "ว่าที่ภรรยาคุณหมอ" อิอิ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 5] 11/09/2013 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 11-09-2013 20:44:38



Chapter 5



   วันนี้ผมเริ่มต้นเช้าวันใหม่ด้วยโจ๊กกระป๋องรสหมูสับที่ซื้อจากซุปเปอร์มาร์เก็ตเมื่อวานซึ่งมันเป็นอาหารง่าย ๆ สบาย ๆ ที่ทำกินง่ายพอ ๆ กับอาหารประจำชาติไทย(นั่นก็คือมาม่า)เราล่ะครับ ทุกท่านก็คงสงสัยสินะครับว่าทำไมผมถึงทำตัวชิลขนาดนี้ทั้ง ๆ ที่วันนี้เป็นธรรมดาที่ผมนั้นต้องไปเรียน ที่ผมชิลแบบนี้นั่นก็เป็นเพราะอาจารย์ที่สอนวิชาฟิสิกส์ 1 (รวมไปถึงการเรียนแลปฟิสิกส์ต่อสองวิชานี้จะต้องเรียนควบคู่กันครับ) วันนี้อาจารย์เขาประกาศแคนเซิลคลาสซึ่งทำให้ผมยินดีปรีดาและนอนผึ่งพุงอยู่ในห้องอย่างสบายอารมณ์


ส่วนไอเจมส์กับไอบาสน่ะเหรอครับ หลังจากที่มันโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงโทรมาบอกผมว่าอาจารย์เขาแปะกระดาษเอสี่ไว้หน้าห้องเพื่อประกาศแจ้งว่ายกเลิกคลาสเรียน มันสองคนก็เงียบหายไปเลย สงสัยพวกมันจะขับมอไซค์หลีสาวแก้เซ็งที่คณะนิเทศน์แล้วล่ะมั้งครับ(ที่มันหงุดหงิดก็เป็นเพราะว่าพวกมันอุตส่าห์แหกขี้ตาตื่นขึ้นไปเรียนซึ่งปกติไอสองคนนี้มักจะเข้าเรียนวิชานี้สาย แต่พอวันที่มันตื่นเช้าอาจารย์ก็ยกเลิกคลาสซะงั้น มันเลยโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงแบบนั้นล่ะครับ แถมตอนโทรศัพท์มาบอกผมมันบ่นใส่ผมเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วมันค่อยวาง) ซึ่งการไปหลีสาวคณะนิเทศน์ปกติผมก็จะไปกับมันด้วยนั่นละครับ แต่วันนี้ผมขอนอนชิลอยู่ในคอนโดแทนแล้วกันไหน ๆ ก็ได้หยุดทั้งที


ผมนอนกลิ้งเล่นอยู่ในห้องไปพร้อมกับกวาดสายตาไปรอบ ๆ ห้องของผม เมื่อผมมองไปทั่วห้องคำ ๆ นึงที่ลอยแวปมาในหัวของผมนั่นก็คือ ‘ทำไมห้องกรูมันรกได้ขนาดนี้ว่ะ’ สภาพคอนโดผม ขอเรียกได้ว่ามันสกปรกซกมกแต่ยังไม่ถึงขั้นโสโครกครับ
ผมมองห้องที่เต็มไปด้วยถุงขนมที่วางไว้มุมต่าง ๆ กองเสื้อผ้าที่ผมลืมส่งให้แม่บ้านเอาไปซักและรวมไปถึงห้องครัวที่ผมนั่งทำทาร์ตไข่กินกันไปเมื่อวาน


‘สภาพห้องแบบนี้ผมอยู่ไปได้ยังไงกัน’ ผมพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะตัดสินใจแน่วแน่ว่า วันนี้ผมจะทำความสะอาดห้องให้สะอาดเอี่ยมอ่อง(เหมือนกับตอนที่คุณเจ้ของผมอยู่)ให้ได้


เริ่มแรกผมก็ต้องจัดการเก็บเศษขยะและถุงขนมที่กองอยู่รอบ ๆ บริเวณห้องก่อนผมเดินเข้าไปในห้องครัวพร้อมกับคุ้ยหาถุงขยะที่ซุกไว้อยู่ในตู้ ผมกางถุงขยะนั่นออกพร้อมกับเริ่มจัดการกับขยะที่อยู่ในห้องทันที เวลาที่จัดห้องผมจะเป็นพวกแบบอะไรไม่ใช้ก็ทิ้ง(โดยไม่สนว่าราคาของที่ผมทิ้งไปนั้นมันเท่าไหร่) ผมโยนหนังสือการ์ตูนที่ผมซื้อซ้ำมาลงในถุงขยะก่อนจะโยนถุงขนมขบเคี้ยวตามลงไปผมวิ่งย้ายมุมไปรอบ ๆ ห้องพร้อมกับถุงขยะคู่กาย ค่อย ๆ เก็บเศษขยะไปเรื่อย ๆ จนถุงขยะใบแรกเต็ม จึงมัดปากถุงขยะแล้วเอาไปวางไว้มุมห้องก่อนจะหยิบถุงขยะใบใหม่ขึ้นมาจัดการกองขยะที่ยังคงกองเต็มห้องผมต่อ


ทุกท่านก็คงสงสัยอีกสินะทำไมห้องของผมถึงมีขยะหรือของที่ไม่ได้ใช้เยอะซะเหลือเกิน ผมสารภาพก็ได้ครับ ก็ตั้งแต่วันที่ผมโดนไอบาสกับไอเจมส์ให้ยอมรับโทษของเกมส์ลงทัณฑ์ตั้งแต่วันนั้นล่ะครับ เอะยังนึกไม่ออกอีกเหรอครับก็ไอวันที่ผมไปสารภาพรักกับพี่ศินั่นละครับ ตั้งแต่วันนั้นผมยังไม่ได้ทำความสะอาดห้องเลยครับไอกวาดเกวิดก็ทำไปนิดหน่อย แต่พวกเศษของถุงขนมหรือเศษขยะอะไรที่ผมกอง ๆ ไว้ในห้องผมไม่ได้จัดการอะไรกับมันเลยครับ ผมไม่ใช่คนซกมกนะผมแค่ขี้เกียจทำความสะอาดเอง คือเมื่อก่อนคุณเจ้ผมจะทำให้แต่ตอนนี้คุณเจ้แกแพคกระเป๋ากลับไปนอนบ้านแล้วมันก็เหลือผมคนเดียวนั่นละครับที่ต้องทำ ซึ่งก็บอกไปเมื่อสักครู่แล้วว่าผมขี้เกียจทำความสะอาดสภาพห้องก็เลยดูเหมือนผ่านสงครามครูเสดมาแบบนี้นั่นล่ะครับ
ใช้เวลาพักใหญ่กับการจัดการขยะที่กองระเกะระกะภายในห้องและในที่สุดสิ่งที่ผมใฝ่ฝัน(ว่าขยะมันจะหมดจากห้องไปเสียที)ก็สำฤทธิ์ผล ในที่สุดขยะทั้งหมดทั้งมวลก็หมดไปจากห้องของผมสักที ตอนนี้ก็เหลือแต่ตรงบริเวณหน้าประตูห้องซึ่งผมยังไม่ได้จัดการกับขยะหรือกองรองเท้าที่วางระเกะระกะเลย ผมรวบรวมถุงขยะไปกองไว้มุม ๆ หนึ่งของห้องพร้อมกับหยิบถุงขยะถุงใหม่เดินตรงไปที่ประตูห้อง


ผมก้มจัดรองเท้าที่วางกอง ๆ ไว้เป็นคู่ ๆ เมื่อผมจัดคู่มันไปสักพักพลันสายตาของผมก็หันไปเห็นกระดาษสีฟ้าอ่อนใบเล็ก ๆ ที่ถูกเสียบอยู่ใต้ประตูผมหยิบมันขึ้นมาอ่านด้วยความงุนงง แต่ความสงสัยของผมก็หายไปทันทีที่ได้อ่านข้อความที่เขียนไว้ในกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ใบนั้น



‘ทาร์ตไข่ของกรอร่อยมากครับ ทำเอาพี่ที่ซื้อเค้กมาอายเลยทีเดียว ไว้วันอื่นพี่อาจจะขอไปฝากท้องที่ห้องของกรอีกนะครับ จากพี่ศิ’



ผมอมยิ้มขึ้นมาทันทีที่อ่านจบผมหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นพร้อมกับใส่ไว้ที่กระเป๋ากางเกงเพราะผมคิดว่าหลังจากที่จัดห้องเสร็จผมจะเอามันไปแปะกับกระดานแม่เหล็กที่แขวนอยู่ในห้องนอน


ผมจัดรองเท้าไปอีกสักพักไม่นานนักชั้นรองเท้าที่ตั้งไว้ข้างประตูห้องก็ถูกจัดวางไว้เป็นระเบียบเรียบร้อยซึ่งสภาพมันแตกต่างจากเมื่อสักครู่นี้มากเพราะมันไม่ได้วางระเกะระกะอีกแล้ว


ว่ากันตามตรงนะครับ ไอห้องผมที่รกขนาดนี้มันไม่ใช่ฝีมือผมหรอกครับ ผลงานแอ๊บสแตรกภายในห้องของผมมันก็เป็นเพราะพวกไอเพื่อนเจมส์กับเพื่อนบาสนั่นละครับ เพราะของในคอนโดของผมเป็นของพวกมันสองคนเสียเกือบครึ่งอย่างเช่นรองเท้าที่ผมจัดไว้ในตู้ ในสิบกว่าคู่เป็นของผมสักสามสี่คู่ได้ส่วนอีกเจ็ดแปดคู่ที่เหลือเป็นของไอบาสกับไอเจมส์อย่างละเท่า ๆ กัน


ดูสิครับ…พวกมันทำตัวเป็นเจ้าของคอนโดของผมมากขนาดไหนนี่ไม่รวมถึงเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของมันนะครับแค่รองเท้ายังจิบ ๆ เสื้อผ้าของพวกมันมีมากกว่าของผมหลายเท่าครับ


หรือจะให้ผมบ่นต่อนะครับอย่างตอนที่พวกผมไปดวลเหล้ากันหรือรุ่นพี่พาพวกผม(หรือพวกมันสองคน)ไปเลี้ยงเหล้าคอนโดผมนี่ละครับที่กลายมาเป็นที่ที่ให้พวกมันมานอนซุกหัวกัน นั่นก็เป็นเพราะว่าประตูหอในปิดตอนเที่ยงคืนซึ่งทุกคนก็น่าจะทราบครับเวลาก๊งเหล้ากันมันมักจะติดลม ใช่ครับติดลมจนลืมเวลาที่ประตูหอในปิดดังนั้นคอนโดของผมแม่มก็กลายเป็นที่ซุกนอนของพวกมันหรือที่ซุกหัวนอนของเพื่อน ๆ คนอื่น ๆ ครับ


ดังนั้นในคอนโดของผมที่มันเละเทะแบบนี้ก็เป็นเพราะไอสองคนนั้นล่ะครับ เพราะมันสองคนเลยและทุกครั้งที่ผมเก็บห้อง พวกมันทั้งสองคนก็ไม่เคยมาช่วยผมเลยสักครั้งไม่เคยแม้แต่จะถามเป็นมารยาทว่า ‘เฮ้ยให้พวกกรูช่วยไหม’ มันน่าให้มันซุกหัวนอนไหมเนี่ย แต่ไอความโกรธพวกนั้นก็จางหายไปเมื่อผมนึกไปถึงกระดาษใบเล็ก ๆ ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงของผมข้อความน่ารัก ๆ ทำให้ผมลืมความโกรธเคืองไป


ผมอมยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมกับจัดห้องของผมต่อไปด้วยความเพลิดเพลินซึ่งอารมณ์ของผมมันก็แตกต่างไปจากการจัดห้องในครั้งก่อน ๆ


สุดท้ายห้องของผมก็กลับมาสะอาดสะอ้านเหมือนใหม่ กองขยะและกองผ้าทั้งหมดตอนนี้ทั้งสองอย่างถูกส่งไปจักการตามสมควรเรียบร้อยแล้วผมหันไปมองดูนาฬิกาที่ตอนนี้เริ่มเปลี่ยนตัวเลข(มันเป็นนาฬิกาดิจิตอลครับในห้องผมมีนาฬิกาหลายแบบครับ) จาก 12.59 เป็น 13 นาฬิกาตรงเป๊ะ


‘อ่า…มิน่าล่ะทำไมถึงเริ่มหิวแล้วบ่ายโมงแล้วนี่เอง’ ผมลูบท้องตัวเองเบา ๆ พร้อมกับเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบนมกล่องออกมาดื่มเพื่อประทังความหิวของตัวเองแต่มันก็ไมได้ช่วยอะไรผมได้เลยสักนิด เพราะเนื่องจากเมื่อเช้าผมทานโจ๊กไปด้วยมั้งแถมผมก็ใช้แรงงานเยอะซะด้วยเลยหิวมากขนาดนี้ และถ้าผมหิวขนาดนี้อาหารประจำชาติไทยของเราก็ไม่สามารถช่วยให้อิ่มท้องได้แน่นอน ผมจึงได้แต่จำใจเดินออกจากห้องและลงไปหาอะไรทานแทนการกินมาม่า


ผมอาบน้ำแต่งตัวเสียใหม่แต่ก็ไม่ลืมที่จะเอากระดาษแผ่นเล็ก ๆ ที่พี่ศิสอดไว้ใต้ประตูห้องของผมเอาไปแปะไว้ที่กระดานไวท์บอร์ดของผม ไม่นานนักผมก็เปลี่ยนสภาพจากชนชั้นแรงงาน(จากการจัดห้อง)เป็นคุณหนูลูกผู้ดีเตรียมตัวออกไปข้างนอกเพื่อหาอะไรกิน


ผมเดินควงกุญแจรถยนต์ของผมออกไปนอกห้องแต่ในขณะที่ผมกำลังจะไขกุญแจเพื่อล็อคห้องหางตาของผมก็ไปสะดุดที่ประตูห้องที่แปะหมายเลขห้อง 1404 ที่เป็นห้องของพี่ศิพลันความคิดหนึ่งของผมก็ลอยเข้ามาในสมอง ผมปลดล็อคประตูห้องอีกครั้งก่อนจะเดินเข้าไปหยิบกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ออกมาเขียนตอบพี่ศิออกไปว่า



‘บอกแล้วว่าขนมของกรอร่อยมาก แต่เรื่องจะมาฝากท้องที่ห้องของกรนี่ กรไม่รับผิดชอบนะครับถ้าเกิดพี่ศิทานขนมของกรแล้วท้องจะเสีย จาก กร’



เมื่อผมเขียนเสร็จผมก็เดินไปที่หน้าประตูห้องของพี่ศิก่อนจะโค้งตัวลงไปสอดแผ่นกระดาษเข้าไปที่ร่องทางด้านล่างของประตู ผมอมยิ้มเล็ก ๆ พร้อมกับเดินควงกุญแจรถยนต์เดินไปที่ลิฟท์


ผมกดลิฟท์ลงไปชั้น5 ซึ่งเป็นชั้นที่คอนโดนจัดไว้ให้เป็นลานจอดรถ (คือคอนโดของผมชั้น 3-5 เป็นชั้นที่ให้อาศัยอยู่ในคอนโดจอดรถ ส่วนชั้นที่สองจะเป็นชั้นที่รวบรวมสิ่งอำนวยความสะดวกรวมไปถึงฟิตเนสครับ ส่วนชั้น 1 จะเป็นเหมือนล็อบบี้โรงแรมครับ) ผมเดินตรงไปยังที่จอดรถประจำของผมก่อนจะกดรีโมตเพื่อปลดล็อคประตูพร้อมกับเข้าไปนั่งตรงที่นั่งคนขับ


‘ครับ…คราวนี้ผมจะขับรถออกไปหาอะไรทานคนเดียวครับ’ ถึงผมจะบอกว่าผมขับรถไม่เก่งสักเท่าไหร่แต่ผมก็ขับรถได้นะครับ แต่ก็ช่วย ๆ กันอวยพรผมด้วยแล้วกัน ขอให้ผมขับรถถึงจุดหมายและกลับมายังคอนโดโดยสวัสดิภาพด้วยนะครับผมขอร้องล่ะ
ผมเสียบกุญแจเพื่อสตาร์ทรถแต่ก่อนที่ผมจะสตาร์ทรถนั้นผมต้องเรียบเรียงลำดับขั้นตอนของการขับรถในสมองผมก่อน อ่า…ขั้นแรกต้องคาดเข็มขัดผมหันไปหยิบเข็มขัดนิรภัยมาล็อคตัวของผมไว้ ขั้นต่อไปก็ดูเกียร์ซึ่งตอนนี้เกียร์ของรถผมถูกปรับอยู่ในช่องของเกียร์ว่างครับ ใช้ได้ ๆ ส่วนขั้นสุดท้ายก็สตาร์ทรถได้เลย(มั้ง)ครับ ผมบิดกุญแจเพื่อสตาร์ทพร้อมๆกับค่อย ๆ ถอยรถออกจากที่จอดแล้วก็วนรถลงไปชั้นล่างสุด ดีที่ลานจอดรถของคอนโดนี้ไม่วกวนเหมือนกับห้างสรรพสินค้าใหญ่ ๆ ไม่งั้นผมอาจจะไม่ได้ไปทานข้าวแต่อาจจะได้ไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มที่โรงพยาบาลแทน


และแล้วผมก็วนรถลงมาถึงชั้นล่างสุดของคอนโดได้สักทีพอผมเลี้ยวรถออกไปที่ถนนใหญ่ ในที่สุดการผจญภัยของผมก็ได้เริ่มต้นขึ้น แต่พูดว่าผจญภัยก็อาจจะพูดเกินไปครับเปลี่ยนเป็นภารกิจเสี่ยงตายขับรถไปหาอะไรลงท้องแทนจะดีกว่าครับ


ผมนั่งเคาะนิ้วบนพวงมาลัยพลางรอสัญญาณไฟจราจรที่ตอนนี้เป็นสีแดงให้เปลี่ยนเป็นสีเขียวและวินาทีที่ไฟเขียวปรากฏเสียงแตรจากคันหลังก็ดังขึ้น ให้ตายเถอะพี่ครับให้ผมเปลี่ยนเกียร์ก่อนได้ไหมแล้วค่อยบีบ ผมพึมพำเบา ๆ แต่ก็ไม่ได้ทำตัววีนแตกลงไปด่าอะไรเขาหรอกครับ ทันทีที่ผมเปลี่ยนเกียร์เสร็จผมก็เหยียบคันเร่งเพื่อนมุ่งตรงไปยังห้างสรรพสินค้าที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า
ห้างสรรพสินค้านี้ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับมหาวิทยาลัยของผมครับซึ่งทำไมผมถึงเลือกมาที่นี่น่ะเหรอครับ…ก็เผื่อว่าผมดันขับรถออกจากห้างสรรพสินค้านี้ไม่ได้ผมจะได้โทรให้ไอเจมส์หรือไอบาสออกมาขับรถพาผมกลับหอให้ผมได้ครับ แต่ดูเหมือนครั้งนี้การเดินทางของผมจะเป็นไปด้วยดีครับเพราะผมขับรถเข้าสู่ที่จอดโดยสวัสดิภาพ (แต่อีกเหตุผลที่ผมเลือกห้างสรรพสินค้าแห่งนี้เพราะว่ามันใกล้คอนโดผมล่ะครับ ผมจะได้ไม่ต้องขับรถไปไกลให้เสี่ยงอันตรายเพิ่ม)


ผมเดินลงจากรถพร้อมกับหยิบแว่นตากันแดดยี่ห้ออะไรก็ไม่รู้ผมไม่ได้จำพอดีคุณเจ้เธอซื้อมาฝากขึ้นมาสวม ผมเสยผมตัวเองน้อย ๆ ก่อนจะกดรีโมตเพื่อล็อคประตูรถพร้อมกับเดินเข้าไปในห้าง


เป้าหมายของการมาห้างครั้งนี้ไม่ได้แต่มาหาอะไรกินอย่างเดียวหรอกครับผมคิดว่าจะออกมาช็อปปิ้งเสื้อผ้าชุดใหม่สักหน่อยเพราะไม่ได้ซื้อมานานแล้ว คือปกติผมไม่ค่อยซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่เองหรอกครับผมจะให้คุณป๊าคุณม๊าจัดการให้(รวมไปถึงคุณเจ้ด้วยครับ) ซึ่งช่วงนี้ผมไม่ค่อยได้กลับบ้านบ่อยเท่ากับตอนที่ผมอยู่มัธยมด้วยเหตุที่กิจกรรมมหาลัยเยอะและรุ่นพี่ชอบนัด(ก๊งเหล้า)วันเสาร์อาทิตย์ ทำให้หนึ่งเดือนมานี่ผมแทบจะไม่ได้กลับบ้านเลย แต่ผมโทรหาคุณป๊ากับคุณม๊าทุกวันนะครับเห็นแบบนี้ผมก็เป็นคนดีถึงจะโทรไปแล้วให้คุณป๊าคุณม๊าโทรกลับก็เถอะ


เอาล่ะเลิกสนใจเกี่ยวกับครอบครัวของผมสักทีเป้าหมายแรกของการมาห้างของผมนั่นก็คือการหาอะไรกินผมเดินขึ้นไปชั้นบนสุดของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งก็จะเดินวนดูร้านอาหารที่ตั้งเรียงรายเอาไว้ช่วงนี้เป็นช่วงปลายเดือนอาหารการกินก็สมควรจะประหยัดเงินสักหน่อยผมเดินเข้าร้านราเมงร้านหนึ่งซึ่งทุก ๆ ท่านก็น่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดีนั่นก็คือร้านฮาจิบังราเมงนั่นละครับผมเดินเข้าไปสั่งรางเมงพร้อมกับของทานเล่นอย่างเกี้ยวซ่าทอดและทาโกยากิทันที


ถึงมันจะถูก แต่สั่งหลายอย่างมันก็แพงเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ผมยัดเกี๊ยวซ่าเข้าปากไปชิ้นแรกทำเอาผมต้องอ้าปากเพื่อระบายความร้อน ในขณะที่ผมทำท่าทาง(น่าอาย)แบบนั้นสายตาของผมก็เหลือบไปเห็นพี่ศิที่เดินเข้ามาในร้านพร้อมกับกลุ่มเพื่อน ๆ ของพี่เขา รู้สึกว่าพวกเขาเดินเข้ามาในร้านเกือบสิบคนซึ่งมีทั้งเพศหญิงและเพศชายและรวมไปถึงเพศที่สามและเพศที่สี่ เมื่อพี่ศิหันไปคุยกับพนักงานเพื่อบอกจำนวนคนที่จะเข้ามานั่งทานในร้านอาหารพนักงานไม่รู้ว่าว่าตั้งใจหรือจงใจหรือว่าที่นั่งยาว ๆ มันจะมีข้างผมตรงที่เดียวเขาก็ผายมือมาตรงโต๊ะข้าง ๆ ผมพร้อมกับเดินนำพี่ศิและพองเพื่อนของพี่เขาให้เดินมานั่งที่โต๊ะที่จัดอยู่ข้าง ๆ โต๊ะของผม


พี่ศิเดินนำเข้ามาคนแรกแต่ดูเหมือนว่าพี่ศิจะยังมองไม่เห็นผมซึ่งผมก็ไม่คิดจะทักทายอะไรพี่เขา (คือพี่เขาอยู่กับกลุ่มเพื่อนของตัวเอง ผมก็ไม่อยากจะเข้าไปแทรกอะไร) แต่ยังไม่ทันที่ผมจะทำตัวฟีบ ๆ ทำเป็นไม่รู้จักพี่เขา พี่ศิก็เหมือนจะเพิ่งเห็นผม พี่ศิโบกมือทักทายผมพร้อมกับทักผมออกมาตามประสาคนรู้จักและตามประสาเพื่อนบ้าน(คอนโด) กัน

v
v
v
v
v



หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 5] 11/09/2013 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 11-09-2013 20:53:24
“เอ้ากร มากินฮาจิบังด้วยเหรอ” ผมหันไปมองพี่ศิพร้อมกับพยักหน้าตอบ ทั้ง ๆ เกี๊ยวซ่าชิ้นเมื่อกี้ยังคาอยู่ในปากผมเร่งเคี้ยวมันและกลืนลงท้องก่อนจะเอ่ยคำพูดตอบกลับพี่ศิไป


“ครับพอดีกรหิวเลยขับรถมาหาอะไรกิน” พี่ศิเลิกคิ้วขึ้นหลังจากได้ยินคำว่าผมขับรถออกมาหาอะไรกิน ท่าทางพี่เขาจะสงสัยว่าไอบาสกับไอเจมส์หายไปไหนแล้วทำไมผมถึงมานั่งกินข้าวคนเดียวได้


“แล้วบาสกับเจมส์ล่ะ” นั่นเป็นอย่างที่ผมคาดเดาไว้จริง ๆ ด้วย “คราวนี้กรขับรถมาเองครับพี่ ไอสองคนนั้นขับมอไซค์ไปจีบสาวแถวคณะนิเทศน์แล้วมั้ง แล้วศิมากับเพื่อน ๆ เหรอครับ” ผมถามแบบโง่ ๆ ทั้ง ๆ ที่ก็น่าจะรู้ว่าพี่ศิเขามากับเพื่อน ๆ ก็เพราะว่าก๊วนนักศึกษาแพทย์กำลังยืนทำหน้าสงสัยว่าผมคือใครอยู่เต็มหลังพี่ศินั่นไงที่เป็นพยานยืนยันว่าพี่เขาไม่ได้มาคนเดียว


“อืม พอดีบ่ายสามพี่ต้องเข้าคณะแล้วมันเหลือเวลาเยอะพวกเพื่อน ๆ ก็เลยชวนกันมาหาอะไรกินกันน่ะ แต่ไม่อยากจะเชื่อเลยนะที่มาบังเอิญเจอกรที่นี่” พี่ศิเอี้ยวตัวเองให้ผมเห็นกลุ่มเพื่อน ๆ ขอเขาผมยกมือไว้อย่างมีมารยาทและพี่ ๆ ทุกคนก็พยักหน้าตอบรับหรือยกมือขึ้นมารับไหว้ผมกันทุกคน เพื่อนพี่ศินี่นิสัยดีจังเลยแหะ ไม่เหมือนรุ่นพี่ที่คณะผม พอผมไหว้พวกพี่เขา(พี่ ๆ ที่ผมสนิท) ก็เดินมาตบหัวไม่ก็ตบบ่าผมกัน


หลังจากที่ผมไหว้พวกพี่ ๆ ที่เป็นเพื่อนกับพี่ศิเสร็จ พี่สาวคนหนึ่งก็เดินถลาเข้ามาพร้อมกับจับแก้มผมทั้งสองข้างหยิกไปมาเบา ๆ “ศิ…นี่น้องกรคนที่เป็นข่าวกับศิใช่ป่ะ” พี่สาวคนนั้นเอ่ยปากถามแล้วพี่ศิก็พยักหน้าตอบรับคำถามนั่นก็จะบอกให้พี่สาวคนนั้นปล่อยมือออกจากแก้มผม “วิ…เอามือออกจากแก้มกรได้แล้ว ดูสิน้องเขาทานข้าวลำบากเห็นไหม” พี่สาวที่จับแก้มของผมนี่ชื่อพี่วินี่เองตายละมือพี่เค้านิ่มดีจังเลย


“ไอศิอย่ามาหวง แก้มน้องกรเขานิ่มดีนี่หว่า เลยอยากจับนาน ๆ เฟรซชี่นี่ดีจังเลยน้า อิจฉาจังผิวก็นุ้มนุ่ม หน้าก็ข้าวขาว ตาก็โต น้องกรน่ารักเป็นที่สุด!” พี่วิบ่นพึมพำเบา ๆ แต่มือทั้งสองข้างก็ยังไม่ละมือออกไปจากแก้มของผม ซึ่งผมก็ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ให้พี่วิกับพี่ศิเขา


พี่ศิส่ายหัวไปมาเบา ๆ ก่อนจะเดินมาแงะมือพี่วิออกจากแก้มของผม เอาละผมได้มองพี่วิเต็มตาสักที พี่เป็นเป็นสาวสวยสูง 160 เซนติเมตรเธอดูเปรี้ยวซ่าแต่แฝงไปด้วยความเรียบร้อยอยู่ในตัวผมหันไปมองเพื่อนพี่ศิแต่ละคนทุกคนมีสไตล์การแต่งตัวแตกต่างกันไปทำทำเอาผมสงสัยเลยว่าพวกนิสิตแพทย์นี่ไม่ได้มีแต่พวกเนิร์ด ๆ หน้าตาดูตั้งใจเรียนอย่าง (พี่ศิ) เดียวเหรอ


“…ไอศิอย่ามาหวง ถอยไป ๆ ฉันจะนั่งข้าง ๆ น้องกร” พี่วิพูดจบพี่เขาก็แทรกตัวเข้ามานั่งข้าง ๆ ผมทันที พี่ศิก็ได้แต่ส่ายหัวไปมาเบา ๆ ด้วยความระอาก่อนจะทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้างกับผม


“ไอศิแม่มหวงเว้ยดูดิ แม่มไม่ได้นั่งข้าง ๆ แม่มก็มานั่งจ่อตรงหน้าเลย” เสียงพี่ผู้ชายที่ผมไม่รู้จักชื่อพูดล้อขึ้น พี่ศิก็หันไปเอามือชกท้องเพื่อนคนนั้นของพี่เขาเบา ๆ “เปล่ามันใกล้ดี พอดีขี้เกียจเดินไปนั่งไกล ๆ” พี่ศิตอบกลับไปพร้อมกับนั่งหน้าตายมือพลางเปิดเมนูอาหารเพื่อที่จะสั่ง


“จะไม่นั่งกันหรือไงนั่งกันได้แล้วย่ะ” เสียงพี่วิพูดใส่กลุ่มเพื่อนที่ยืนยิ้มด้วยรอยยิ้มแปลก ๆ พวกพี่ ๆ ที่เหลือพยักหน้าพร้อมกับลากโต๊ะมาติดกับโต๊ะของผมพร้อมกับนั่งเรียงกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย


จากโต๊ะทานอาหารที่ผมนั่งทานคนเดียว ตอนนี้โต๊ะอาหารของผมถูกจัดซ้อนกัน  6 ตัวรวด อ่า…ผมได้เพื่อนร่วมทานอาหารเกือบสิบคนเลยทีเดียว ผมได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ และแล้วราเมงที่ผมสั่งไปก็มาพร้อมกับทาโกยากิถ้วยเล็ก ๆ ที่วางไว้ที่หน้าของผม ผมหมายตาว่าจะหยิบทาโกยากิที่วางอยู่ชิ้นกลางแต่รู้สึกว่าจะไม่ทันแล้วพี่วิใช้ตะเกียบของผมจิ้มจึกไปตรงกลางพร้อมกับคว้าทาโกยากิชิ้นนั้นเข้าปากพร้อมกับเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย


ผมมองภาพภาพนั้นเป็นภาพสโลโมชั่น ‘ไม่นะ…..ทาโกยากิของผมมม’ ผมมองทาโกยากิชิ้นนั้นด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ ส่วนพี่วิที่แย่งผมกินไปน่ะเหรอเธอหัวเราะออกมาแล้วก็พูดออกมาว่า ‘พี่รู้ว่ากรอยากกินทาโกยากิชิ้นนั้นพี่เลยแย่งกินก่อนไง” สิ้นเสียงของพี่วิ พี่เขาก็หัวเราะออกมาเสียงดังจนภาพพจน์ของหญิงสาวเปรี้ยวซ่าหายไปแทบจะทันที


“วิ...อย่าไปแย่งน้องเค้ากิน อยากกินมรึงสั่งใหม่ดิว่ะ” พี่ศิเอ่ยปรามพี่วิ ส่วนพี่วิก็ได้แต่ยักคิ้วกวน ๆ ไปให้พี่ศิ


“น้องกรไม่ได้ว่าอะไรเลย แล้วแกจะมาว่าอะไรแทนน้องเขาว่ะ” ไม่ใช่ผมไม่อยากจะว่า แต่ตอนนี้ผมช็อคจนพูดอะไรไม่ออกมากกว่าครับ เพราะปกติไม่มีใครแย่งอะไรผมกินเลยทุกคนปล่อยให้ผมกินคนแรกตลอดนี่เป็นครั้งแรกที่ผมโดนแย่งกินของกินไป


“ไอวิ…มรึงไม่รู้นิสัยกรเขา” พี่ศิพูดย้ำอีกครั้งจนทำให้พี่วิหันมามองหน้าที่สุดแสนจะสะเทือนใจของผม


“น้องกรโกรธเหรอ” พี่วิพูดพร้อมกับชะโงกตัวมามองหน้าผม ซึ่งผมก็ส่ายหัวปฏิเสธคือผมไม่ได้โกรธครับผมแค่ตกใจ


“ผมไมได้โกรธหรอกครับคือผมแค่ตกใจน่ะ แหะ ๆ” ผมพูดพลางเกาแก้มตัวเองน้อย ๆ “คือผมไม่ค่อยโดนใครแย่งกินของกินมาก่อน พอมาโดนก็เลยตกใจแต่ผมไมได้โกรธพี่วิจริง ๆ เลยนะครับ ขอโทษที่ทำให้พี่เข้าใจผิดครับ” ผมพูดพลางก้มหัวขอโทษ


“ส่วนพี่วิอยากทานทาโกยากิก็ทานได้นะครับ พอดีผมทานราเมงกับเกี้ยวซ่าก็พอแล้ว พอดีผมทานไม่ค่อยเยอะหรอกครับที่สั่ง ๆ มาก็แค่อยากทานเฉย ๆ” ผมพูดออกไปอีกก่อนจะยิ้มไปให้พี่เขา


สิ้นเสียงของผม พี่วิแทบน้ำตาปริ่มออกมาด้วยความยินดีแต่ผมก็น่าจะพูดมากเกินไป สิ้นเสียงของผมพี่วิก็ถลาเข้ามากอดผมเต็มรักพร้อมกับประกาศกลางโต๊ะว่า “น้องกรเป็นน้องของฉัน พวกแกห้ามทำอะไรให้น้องกรเจ็บหรือเสียใจเด็ดขาดรวมทั้งแกล้งน้องเขาด้วยไม่งั้น…พวกแกอดเลคเชอร์จากฉันแน่”


พี่ ๆ ทุกคนส่งเสียงฮือฮาพร้อมกับพูดต่อรองกับพี่วิ ผมได้แต่นั่งเอ๋ออยู่ในอ้อมกอดของพี่วิเขา วันนี้มันวันอะไรเนี่ยเจออะไรแปลก ๆ ทั้งวันเลยแหะ


หลังจากพี่วิตกลงกับพวกเพื่อน ๆ ที่เหลือของเขาเสร็จพี่วิก็ตวัดหางตาไปมองพี่ศิที่นั่งอยู่ตรงข้ามผม “ไอศิส่วนแก…ห้ามล่วงเกินน้องกรของฉันนะเว้ย ไม่งั้นตาย” พี่วิพูดกับพี่ศิพร้อมใช้นิ้วโป้งทำท่าปาดที่คอตัวเอง


พี่ศิไหวไหล่ตอบพี่วิไป เหมือนเรื่องราวนี้จะจบลง แต่พี่วิก็พูดต่อออกมาอีกว่า “แต่ถ้าน้องกรเขายอมให้แกล่วงเกิน…ฉันก็ไม่ว่า ถือว่าเป็นการตัดสินใจของน้องเขา” สิ้นเสียงของพี่วิผมที่กำลังดื่มน้ำอยู่ก็แทบจะสำลักน้ำ ส่วนพี่ศิที่กำลังคีบเส้นราเมงอยู่ถึงกับทำตะเกียบหลุดออกจากมือ


“เอ้า…นี่ฉันอนุญาตขนาดนี้แล้วมาตกอกตกใจอะไรกัน” พี่วิพูดด้วยน้ำเสียงและใบหน้าที่นิ่งสนิท และผมกับพี่ศิก็แทบจะตะโกนออกไปพร้อมกับและด้วยคำพูดเดียวกันอย่างกับว่าเราสองคนได้นัดกันไว้


“จะบ้าเหรอไงว่ะ/ครับ ใครจะไปทำ/ยอม แบบนั้นกัน” สิ้นเสียงของเราสองคน ทั้งโต๊ะก็เงียบสนิท ผมรีบชักมือขึ้นมาปิดปากตัวเอง ส่วนพี่ศิก็เม้มปากแล้วหันหน้าหนี ใบหน้าของเราทั้งสองน่าจะแดงขึ้นมาทั้งคู่ โต๊ะทั้งโต๊ะเงียบสนิทไปสักพักก่อนความเงียบนั้นจะถูกทำลายด้วยเสียงหัวเราะอย่างสะใจของพี่วิด้วยตามเสียงโหร้องเย้าแหย่ของพวกเพื่อน ๆ พี่ศิ


“ตายล่ะใจตรงกันซะด้วย” พี่วินั่งลงกับเก้าอี้พร้อมกับเอนตัวมาแซะไหล่ของผมซึ่งผมก็ได้แต่หันหน้าหนีแต่ผมก็ไม่สามารถทำอะไรกับแก้มที่ขึ้นสีน้อย ๆ ของผมได้


“แก้มแดงใหญ่เลยนะน้องกร” พี่วิเอานิ้วมาจิ้มแก้มผมเบา ๆ พร้อมกับพูดล้อผมไปเรื่อย ส่วนผมน่ะเหรอได้แต่ก้มหน้าหนีนิ้วเรียวยาวของพี่วิที่จิ้มแก้มผมเบา ๆ


“วิพอได้แล้วน่าอย่าแกล้งน้องสิ” เสียงพี่ศิเหมือนเสียงสวรรค์ที่ช่วยชีวิตผมแต่ดูเหมือนว่า…ผมจะคิดผิดเสียงพี่ศิที่ช่วยพูดให้ผมดันเป็นเสียงจากนรกที่ทำให้พวกเราสองคนโดนล้อมากกว่าเดิม


“โถ่วเป็นห่วงเป็นใย ทีกรูเป็นเพื่อนกับมรึงมา 3 – 4 ปีมรึงยังไม่เคยปกป้องกรูแบบนี้เลยไอศิ แม่มมมเพื่อนกันเปล่าว่ะ” เสียงของพี่ผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงของพี่เขาลุกขึ้นมาชี้หน้าพี่ศิ


“ไอเต๋อร์เงียบไป” พี่ศิหันไปพูดใส่พี่ที่ลุกขึ้นมาคนนั้น อ่อพี่เขาชื่อพี่เต๋อร์นี่เองแต่ชื่อของพี่เต๋อร์จะได้เมมลงในเมมโมรีสมองของผมเสียงของพี่เต๋อร์ก็พูดสวนออกมา


“กรูชื่อกลอสเตอร์ครับ ชื่อเล่นของกรูก็ต้องย่อว่าเตอร์ ไม่ใช่เต๋อร์เว้ย” พี่เต๋อร์ เอ้ย...พี่เตอร์ปากเศษทิชชู่ใช่แล้วใส่พี่ศิซึ่งพี่ศิก็เอี้ยวตัวหลบไปได้


และหลังจากเทศทิชชู่ชิ้นแรกนั้นมันก็ตามมาด้วยซองกระดาษที่ใส่ตะเกียบและตามมาด้วยอีกหลายอย่างนับไม่ถ้วนซึ่งฝ่ายที่เป็นคนปามาก็คือพี่เตอร์คนเดียวส่วนพี่ศิก็เอี้ยวตัวหลบไปมาพร้อมกับไม่สนใจอะไรพี่เตอร์อีก


แต่สงครามทิชชู่ ซองตะเกียบและซองของหลอดก็ต้องจบลงด้วยเสียงเรียกเข้ามือถือของผมนั่นเอง ผมหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาพร้อมกับยิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะขอตัวออกไปคุยโทรศัพท์ทางด้านนอกของร้าน


มือถือของผมยังคงสั่นและกรีดร้องเสียงเพลงอยู่พร้อมกับหน้าจอมือถือที่ปรากฏชื่อของไอเพื่อนเจมส์ ผมกดรับโทรศัพท์ทันทีพร้อมกับกรอกเสียงตัวเองลงไป


“ไงครับมรึงมีอะไรครับเพื่อนเจมส์”


“กรสายรหัสมรึงจะเลี้ยงเหล้าแล้ววันนี้มรึงปฏิเสธไม่ได้เพราะคราวที่แล้วมรึงปฏิเสธไปแล้วพี่เค้าฝากให้กรูโทรมาบอกมรึง เออแล้วตอนนี้อยู่ไหน” ไอเจมส์พูดกรอกหูผมอย่างรวดเร็วและผมคาดเดาด้วยว่ามันคงพูดรวดเดียวจบโดยที่มันไม่ได้หายใจแน่นอนหนำซ้ำมันยังมัดมือชกให้ผมไปก๊งเหล้ากับพี่รหัสด้วย


“กรูไม่อยากแดรกเหล้าตอนนี้เข้าใจป่ะ” ผมตอบมันกลับไปแต่มันก็ยังคงพูดแก้มบังคับให้ผมไปให้ได้อยู่ดี


“กรูไม่เข้าใจมรึง ตอนนี้กรูรู้ว่ามรึงต้องไปแดรกเหล้ากับพี่รหัสมรึงเข้าใจป่ะ” ผมเกาหัวกับการพูดไม่รู้เรื่องของมันซึ่งผมพอจะเข้าใจแล้วล่ะครับว่าทำไมไอเจมส์ถึงอยากจะให้ผมไปกินเหล้ากับพี่รหัสซะเหลือเกิน


นั่นก็เป็นเพราะมันจะได้กินฟรีด้วยอ่ะสิเพราะว่าถ้าผมไป การที่ไอเจมส์และไอบาสไปก็ไม่ใช่เรื่องแปลกและรุ่นพี่จะเลี้ยงเหล้าเพื่อนของน้องรหัสก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเหมือนกัน


“ไอเจมส์…มรึงอยากแดรกเหล้าฟรีว่างั้น” ผมพูดน้ำเสียงนิ่ง ๆ ไป และไอเจมส์ก็ส่งเสียงหัวเราะแห้ง ๆ ตอบกลับมา


“มรึงบอกกรูมาตรง ๆ ก็ได้ว่าอยากแดรกฟรีไม่ต้องตอแหลอย่างงั้นอย่างงี้หรอกครับมรึง” ผมพ่นเสียงบ่นให้มันฟังซึ่งไอเจมส์ก็เอ่ยเสียงอ่อยขอโทษครับ ขอโทษครับผมอยู่เรื่อย ๆ


“เออ ๆ เดี๋ยวกรูไปแดรกก็ได้ แต่กรูไม่แดรกเหล้านะมรึงวันนี้กรูขับรถออกมาเอง” ผมใจอ่อนให้ไอเจมส์จนได้ผมยอมไปแดรกเหล้ากับมัน และแสดงว่าผมต้องยอมให้ไอเจมส์กับไอบาสมานอนที่คอนโดผมที่เพิ่งจัดเสร็จเรียบร้อยแล้วซึ่งผมไม่ยอมครับ “แต่ถ้าแดรก ห้ามเกิน 5 ทุ่ม เพราะกรูจะไม่ให้พวกมรึงมานอนที่คอนโดกรูครับ” ผมเสนอข้อตกลงให้มันไปดูท่าทางไอเจมส์จะคิดหนักอยู่ แต่สุดท้ายมันก็ต้องจำใจยอมรับข้อตกลงของผมไป


“ครับคุณเพื่อนกร เพื่อนเจมส์กับเพื่อนบาสจะแดรกไม่เกิน 5 ทุ่มครับ” ทั้งสองคนตอบรับเสียงอ่อยพร้อมกับทำใจยอมรับข้อตกลงของผม ผมคุยกับพวกมันสองคนอีกสักพักก่อนที่จะวางสายไปและทันทีที่ผมวางสาย เสียงๆหนึ่งก็เรียกผมมาจากด้านหลังผมหันไปมองพี่ศิและกลุ่มเพื่อน ๆ ของเขาด้วยสายตาตกใจ ผมชะโงกตัวไปมองด้านในร้านพร้อมกับหันมาถามพี่ศิว่า


“พี่ศิแล้วออกมาได้ไงกรยังไม่ได้จ่ายค่าราเมงของกรเลย” ผมพูดพร้อมกับจะเดินเข้าไปจ่ายเงินแต่พี่ศิก็เอื้อมมือไปรั้งผมไว้ก่อน


“กรไม่ต้องแล้วพี่จ่ายให้แล้วล่ะ” พี่ศิพูดเบา ๆ พร้อมกับยื่นแว่นกันแดดที่ผมวางทิ้งไว้บนโต๊ะมาให้


“พี่ศิ...อีกแล้วนะครับเลี้ยงข้าวกรอีกแล้ว” ผมพูดพลางถอนหายใจพร้อมกับล้วงกระเป๋าเงินของตัวเองออกมาเพื่อจะจ่ายค่าอาหารให้กับพี่ศิ แต่พี่ศิส่ายหัวปฏิเสธไม่รับเงินพร้อมกับดันมือของผมที่กำลังยื่นแบงค์ร้อยสามใบให้พี่เขา


“พี่ศิครับ...รับไปเถอะผมรู้สึกไม่ดีนะที่พี่มาจ่ายค่าอาหารให้ผมอีกแล้ว” ผมพูดพร้อมกับทำแก้มป่องให้พี่ศิ พี่ศิหัวเราะกับท่าทางผมเล็กน้อยก่อนจะลูบหัวผมเบา ๆ พร้อมกับขอตัวกลับไปเรียนต่อก่อน


“ไว้กรทำขนมให้พี่ทานแทนแล้วกันถือว่าหายกันนะ พี่ไปเรียนก่อนล่ะขับรถกลับคอนโดดี ๆ เรายิ่งขับรถไม่ค่อยแข็งอยู่” สิ้นเสียงของพี่ศิ นิสิตแพทย์ร่วมสิบคนก็เดินออกไปทิ้งให้ผมที่ยืนเซทผมตัวเองให้เข้าที่หลังจากโดนพี่ศิมาลูบหัว


‘พี่ศินะพี่ศิ…กรไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะ” ผมลูบผมตัวเองให้เข้าทีก่อนจะควักแว่นกันแดดอันเดิมขึ้นมาสวมอีกครั้ง


ผมเดินเล่นทั่วห้างเพื่อฆ่าเวลาทิ้งไป ไม่นานนักมือผมก็เต็มไปด้วยถุงต่าง ๆ ของร้านเสื้อผ้าที่ตั้งอยู่ในห้างแห่งนี้ ผมยกมือขึ้นดูนาฬิกาที่ผมสวมไว้ที่ข้อมือด้านซ้ายซึ่งตอนนี้ก็เป็นเวลา 5 โมงเย็นแล้วซึ่งมันก็ใกล้กับเวลาที่ผมนัดไว้กับพี่รหัสแล้วล่ะครับ (จริง ๆ เป็นเวลาที่ผมนัดไว้กับไอเจมส์และไอบาสต่างหากล่ะครับ) ผมก็เดินออกจากห้างพร้อมกับบึ่งรถไปยังร้านที่ไอเจมส์กับไอบาสได้นัดผมไว้


ท่าทางผมจะมาเร็วไปหน่อยล่ะมั้งตอนนี้ร้านนี้ยังไม่ค่อยมีคนมานั่งกินกันสักเท่าไหร่ (เพราะว่ามันยังไม่ดึก ถ้าดึก ๆ ร้านนี้คนจะเยอะมากและโดยส่วนใหญ่จะต้องเป็นนิสิตวิศวะ) ผมเดินเข้าไปบอกพนักงานพร้อมกับเดินไปนั่งโต๊ะประจำที่พี่รหัสผมชอบมานั่งกันเป็นประจำ


พนักงานเดินมาหาผมพร้อมกับถือใบออเดอร์มายืนข้าง ๆ ซึ่งผมก็ยังไม่อยากจะสั่งอะไรเพราะรุ่นพี่และคนที่มันอยากจะดื่มยังไม่มาผมก็เลยสั่งน้ำพั้นช์ (ที่มันผสมแอลกอฮอลนิด ๆ ) มาดื่มรอ


ผมนั่งรอรุ่นพี่กับไอคุณเพื่อนที่รักของผมสักพักไม่นานนักเพื่อน ๆ พร้อมกับรุ่นพี่ของผมก็เดินเข้ามาในร้านพร้อมกับเดินตรงมานั่งที่โต๊ะที่ผมนั่ง ผมยืนขึ้นพร้อมกับยกมือไหว้รุ่นพี่เรียงคน พี่ ๆ เข้าพยักหน้าตอบรับพร้อมกับเรียกพนักงานมาพร้อมกับร่ายรายการออเดอร์รวมทั้งของมึนเมาเสียยาวเหยียด


‘ท่าทาง…คงจะเมากันตั้งแต่หัวค่ำ’ ผมนั่งฟังออเดอร์ที่พี่รหัสผมร่ายให้กับพนักงานพร้อมกับพึมพำออกมาเบา ๆ


ก่อนทุกท่านจะดื่มด่ำบรรยากาศของวงเหล้านี้ต่อ ผมขอแนะนำพี่รหัสของผมหน่อย พี่รหัสของผมชื่อ ก็อต ครับ พี่เขาเป็นชายไทยไซส์เกินมาตรฐานที่เกินมาตรฐานที่ไม่ใช่อ้วนเกินนะครับ แต่พี่เขาสูงเกินมาตรฐานต่างหาก แถมเป็นนักกีฬาบาสเก็ตบอลของคณะครับและคงเป็นของมหาลัยด้วย พี่เขาเป็นคนคุยเก่งยิ้มง่ายสุภาพบุรุษแต่พี่แกชอบแอ๊บแบ๊วครับและที่สำคัญ…เฮียแกเป็นคนเดียวที่แดรกเหล้าได้สูสีพอ ๆ กับไอเจมส์ซึ่งนั่นทำให้พี่รหัสของผมสนิทกับไอเจมส์มากกว่าน้องรหัสอย่างผมครับ (ผมไม่อยากจะบอกว่า…สายรหัสผมไม่ธรรมดาครับผ่านไปสักพักทุกคนจะรู้ว่าไม่ธรรมดายังไง)


ผมนั่งมองเพื่อนของผมและพี่รหัสของผม(และเพื่อน ๆ ของพี่รหัสผม) นั่งดื่มเหล้ากันไปครับบางคนนี่เมาหลับคอพับไปแล้วซึ่งไอเมาหลับคอพับนี่ใช้ไม่ได้กับไอเจมส์เพราะตอนนี้มันยังคงนั่งดวลเหล้ากับเฮียก็อตอยู่เลยครับท่าทางศึกนี้จะอีกนานเวลานี้เป็นเวลา 3 ทุ่มแล้วครับผมนั่งอยู่ในร้านนี้มา 4 ชั่วโมงแล้วครับ ไอผมก็นั่งดื่มแต่น้ำพั้นช์กับกินกับแกล้มนิดหน่อยเท่านั้นซึ่งการทำแบบนั้นทำให้ผมเบื่อมากครับ เพราะปกติพอผมดื่มเหล้าก็เรื้อนแตกครับ แต่วันนี้ผมดื่มแต่แอลกอฮอล์อ่อน ๆ ทำให้ผมไม่มีความรู้สึกเมาเลยสักนิด ผมก่ะว่าผมจะนั่งดื่มเล่นอีกสักหน่อย แล้วก็จะขอตัวกลับคอนโดแล้วล่ะครับและเวลาก็ผ่านไปไม่นาน ช่วงเวลาของการอดทนของผมก็หมดลงผมลุกขึ้นพร้อมกับยกมือไว้รุ่นพี่ทั้งโต๊ะแล้วก็ขอตัวกลับก่อน


ซึ่งไอการกลับก่อนเนี่ยผมก็โดนรุ่นพี่รั้งกันไว้บ้างล่ะและก็กว่าจะแงะตัวเองออกจากโต๊ะได้ก็กินเวลาเข้าไปอีกสามสิบกว่านาทีและเมื่อผมหลุดพ้นจากมือปลาหมึกของพี่รหัสและเพื่อน ๆ ผมก็รีบวิ่งกลับรถและบึ่งรถกลับคอนโดทันทีแต่ด้วยที่ผมนั่งจิบน้ำพั้นช์ที่ผสมแอลกอฮอลทำให้ผมรู้สึกมึน ๆ เล็กน้อยซึ่งไม่เป็นปัญหาสำหรับการขับรถของผม(ล่ะมั้ง) ผมก็จัดไปเลยครับเหยียบเกือบ 120 บึ่งกลับคอนโดนและไม่นาน (สัก 10 นาทีได้) ผมก็นำรถของตัวเองเข้าจอดในที่จอดประจำของผม


ผมเดินเซไปมาเล็กน้อยหลังออกมาจากรถก่อนจะก้าวขาเดินไปที่ลิฟท์พร้อมกับกดลิฟท์ขึ้นไปยังชั้นบนสุดที่เป็นห้องพักของผม
ผมเดินตรงออกจากลิฟท์และเดินต่อไปจนถึงห้องพัก 1403 เสียงโทรศัพท์ของผมก็กรีดร้องออกมาหลายทีซึ่งผมก็ไม่ได้หยิบมันขึ้นมาดูว่าใครเป็นคนโทรมา เวลานี้น่าจะเป็นคุณป๊ากับคุณม๊าของผมล่ะมั้ง เสียงโทรศัพท์กรีดร้องออกมาอีกครั้งพร้อม ๆ กับมือของผมที่ล้วงเข้าไปหยิบมือถือมากดรับสาย


“ไรครับคุณม๊า” ผมกรอกเสียงลงไปซึ่งผมพยายามทำเสียงของตัวเองให้ปกติที่สุด ผมไม่อยากให้คุณม๊ารู้ว่าผมแอบดื่มแอลกอฮอล์ครับ


“น้องกรแม่โทรตั้งหลายทีแล้วทำไมน้องกรไม่รับโทรศัพท์แม่ล่ะครับ” แม่ผมเป็นแบบนี้ละครับใช้คำพูดครับ ๆ ค่ะ ๆ ก่ะลูก


“น้องกรหลับครับคุณม๊า คุณม๊าไม่ต้องห่วงน้องกรนะครับ วันนี้น้องกรไม่มีเรียนเลยไปแอบช็อปปิ้งมา เดี๋ยวอาทิตย์หน้าน้องกรจะกลับบ้านไปสวมให้คุณม๊าดูนะครับ” ผมพูดเสียงอ้อนใส่คุณม๊าซึ่งคุณม๊าก็หัวเราะคิก ๆ คัก ๆ ใส่ผมก่อนจะยื่นโทรศัพท์ไปให้คุณป๊าของผมที่แอบฟังผมกับคุณม๊าคุยกัน


“ไงไอตัวแสบแอบแม่แกไปทำอะไรมาล่ะ” คุณป๊าผมพูดทักออกมาอย่างรู้ทัน ผมบ่นอุบอิบเบา ๆ แต่ก็ยอมสารภาพใส่คุณป๊าว่าผมแอบไปนั่งดื่มแอลกอฮอลมานิดหน่อย คุณป๊าฟังก็ไม่ได้พูดหรือว่าอะไรผมเพราะคุณป๊ารู้ว่ามันเป็นเรื่องของลูกผู้ชายกันเราคุยกันต่อไปอีกสักพักคุณป๊าก็วางโทรศัพท์เพราะทั้งคู่กำลังจะเข้านอนแล้ว


หลับจากวางโทรศัพท์จากคุณป๊ากับคุณม๊าคราวนี้ผมก็จะได้เข้าห้องตัวเองเสียที (ที่ไอคุณกันยาว ๆ ผมยืนคุยอยู่หน้าห้องผมนั่นละครับไม่ต้องอายหรอกครับเพราะว่าชั้นนี้มีคนน้อยมากและเวลาสี่ห้าทุ่มแบบนี้ไม่มีใครเดินผ่านไปผ่านมาแล้วละครับ ดังนั้นจึงไม่มีอะไรให้ต้องอาย)


ผมไขกุญแจเผื่อปลดล็อคประตูห้องก่อนจะเดินเข้าไปมือข้างนึงผมถือถุงเสื้อผ้าที่ผมซื้อไว้เมื่อกลางวันส่วนอีกมือนึงควานหาสวิตซ์ไฟเพื่อเปิดไฟในห้องให้สว่างผมควานหาสักพักมือผมก็ไปสัมผัสกับสวิตซ์ไฟ ผมกดเปิดลงไปพลันไฟทั้งห้องก็สว่างและในขณะที่ผมกำลังจะถอดรองเท้าและเดินเข้าห้องไปสายตาผมก็เหลือบไปเห็นกระดาษโน๊ตแผ่นเล็ก ๆ สีฟ้าอ่อนที่สอดเข้ามาใต้ประตูห้องของผม


ผมก้มมองประดาษโน้ตแผ่นนั้นพร้อมกับอมยิ้มจาง ๆ ก่อนจะก้มลงไปหยิบกระดาษโน๊ตแผ่นนั้นขึ้นมาพร้อมกับอ่านตัวอักษรหวัด ๆ ที่เขียนไว้สั้น ๆ ว่า



‘ถ้าท้องพี่เสีย กรก็คงต้องเสียก่อนพี่แล้วล่ะครับ วันนี้พี่ขอโทษด้วยนะครับที่เพื่อน ๆ พี่แกล้งกรไปไว้คราวหน้าพี่จะเลี้ยงข้าวขอโทษอีกที เห็นว่าวันนี้ขับรถออกไปเองหวังว่าจะไม่ไปชนใครเขาเข้านะครับกร จากพี่ศิ’



ผมอมยิ้มออกมาอีกครั้งก่อนจะพูดใส่กระดาษโน้ตแผ่นนั้นเบา ๆ “บ้าน่าพี่ศิคนอย่างท่านกรไม่ขับรถชนอะไรง่าย ๆ หรอก” เมื่อผมพูดจบผมก็เดินถือกระดาษโน้ตแผ่นนั้นพร้อมกับเอาเข้าไปติดที่กระดานแม่เหล็ก ติดไว้ข้าง ๆ กับกระดาษโน๊ตสีฟ้าแผ่นเมื่อเช้านี้





________________________________





ตอนนี้พลอยรู้สึกว่ากรเค้าเหมือนเด็ก ๆ มาก กรเป็นเด็กเอาแต่ใจและเป้นพวกที่ตรงไปตรงมากับความรู้สึกสุด ๆ ค่ะ ซึ่งในตอนหน้าทุกคนอาจจะมีความรู้สึกว่ากรโคตรงี่เง่า เลยก็เป็นได้นะคะ แต่อยากจะบอกว่ากรเขามีเหตุผลที่งี่เง่าและเพื่อน ๆ ของเขาก็มีเหตุผลของเขาค่ะ ดังนั้นบางความเห็นบางการระทำจะทำร้ายกันบ้างแต่ในความคิดของอีกฝ่ายเขาอาจจะหวังดีกับเรามากที่สุดก็ได้ค่ะ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 5] 11/09/2013 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: konishiki ที่ 11-09-2013 22:20:31
เม้นรวบ 2 ตอนนะป๊า 55555555
อ่านตอน 4 ยังไม่จบ ป๊าอัพตอน 5 ฟฟฟฟฟฟฟฟ

อยากกินทาร์ตไข่ฝีมือกรบ้างงงงงงงงงง //ดิ้น

อ่านตอน 5 แล้วอดยิ้มไปกับความน่ารักของกรไม่ได้ + จะละลายเพราะพี่ศิ
ชอบที่เขียนโน้ตคุยกันแบบนี้จัง มันมุ้งมิ้ง(?)น่ารักดี

ขำพี่วิแบบไม่เบา
พี่เป็นตัวแแทนสาววายใช่ไหม..
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 5] 11/09/2013 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: full69 ที่ 12-09-2013 01:52:06
 :pig4: :L2: :กอด1: :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 5] 11/09/2013 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 12-09-2013 12:52:11
ชอบพี่วิแหะ ดูท่าน้องกรจะได้พี่สาวเพิ่มมาอีกคน
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 6] 14/09/2013 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 14-09-2013 12:40:53


Chapter 6



ผมยันกายลุกขึ้นจากเตียงนอนหนานุ่มพร้อมกับยืนบิดขี้เกียจไปมาด้วยความปวดเมื่อยหลังจากที่ผมนอนมาตลอดทั้งคืน ผมก้าวเดินไปยังห้องน้ำที่ตั้งอยู่มุมห้องก่อนจะเดินเข้าไปชำระล้างร่างกายของตัวเองเพื่อเตรียมตัวไปเรียนวิชาแรกของวัน หลังจากผมแต่งตัวเสร็จ


กิจวัตรประจำวันทุกเช้าของผมก็คือการเปิดตู้เย็นเพื่อหาอะไรกินซึ่งมื้อเช้าของผมวันนี้คือไส้กรอกชีสของ CP 1 ห่อพร้อมกับนมถั่วเหลืองไวตามิลล์ 1 กล่อง


หากแต่ช่วงระยะเวลาอาทิตย์กว่ามานี้มันดันมีกิจวัตรอีกอย่างที่เพิ่มขึ้นมาในชีวิตของผมนั่นก็คือการเดินไปที่หน้าประตูพร้อมกับเก็บกระดาษโน๊ตแผ่นเล็ก ๆ สีฟ้าอ่อน(ตามสีที่ผมชอบ) ที่มีคนสอดมาใต้ประตูของผมแทบจะทุกเช้า


ซึ่งคนสอดกระดาษโน้ตมาใต้ประตูของผมก็ไม่ใช่ใครอื่นเขาคนนั้นก็คือไอคุณพี่หมอ(ที่ผมมักจะเผลอเรียกเวลาที่พี่เขาแกล้งผม) หรือคุณพี่ศิรวิทย์ หรือพี่ศิผู้ที่เป็นเพื่อนบ้านของผมนั่นเอง


กระดาษโน้ตที่พี่เขาส่งมาให้พี่ศิจะเขียนข้อความน่ารัก ๆ ที่ทำให้ผมอมยิ้มออกมาได้เสมอ ๆ ซึ่งผมก็เก็บกระดาษโน๊ตพวกนั้นไว้เป็นอย่างดี โดยผมจะนำมันไปแปะไว้ที่กระดานไวท์บอร์ดที่แขวนไว้ที่ห้องนอนของผมครับ ตอนนี้ผมรู้สึกว่ากระดานแผ่นเล็ก ๆ ที่ผมแขวนไว้บนหัวนอนมันเริ่มจะไม่มีที่พอสำหรับจะรองรับกระดาษโน้ตสีฟ้าอ่อนพวกนี้อีกแล้ว


‘สงสัยต้องเก็บออกซะมั่งแล้วสินะ’ ผมพึมพำกับตัวเองเบา ๆ พร้อมกับวางกระดาษโน้ตแผ่นนั้นเอาไว้ที่ข้างหัวเตียงของผมแทน
แต่กิจวัตรประจำวันที่เพิ่มขึ้นของผมมันก็ไม่ได้หมดเพียงแค่นั้น


กิจวัตรประจำวันของผมที่เพิ่มขึ้นมาอีกนั่นก็คือการเขียนกระดาษโน้ตตอบพี่ศิเขาไปซึ่งกระดาษที่ผมใช้เขียนจะเป็นสีขาวบริสุทธิ์เพื่อให้เข้ากับห้องนอนที่ตกแต่งด้วยเครื่องเรือนสีขาว


ผมนั่งนึกถ้อยคำที่จะเขียนตอบพี่เขาไปสักพักก่อนจะบรรจงเขียนตัวอักษรลงไปด้วยลายมือที่ผมพยายามจะทำให้มันดูสวยที่สุด (ความจริงแล้วไม่ใช่อะไรหรอกครับผมเคยโดนพี่ศิล้อว่าอ่านลายมือของผมไม่ออก ซึ่งผมก็ล้อพี่เขากลับไปเหมือนกันว่าผมก็อ่านลายมือของพี่ศิเขาไม่ออกเช่นกัน)


ผมจรดปากกาลงบนกระดาษแผ่นเล็กนั่นไปสักพักก่อนจะล่ะมือออกพร้อมกับก้มหน้าลงอ่านถ้อยคำที่ผมเขียนตอบพี่ศิซ้ำอีกครั้ง



‘ถ้าพี่ศิไม่ว่า งั้นพี่ศิวันเสาร์หน้าว่างไหม ถ้าว่างล่ะก็กรจะพาพี่ศิไปกินของอร่อยขั้นสุดยอด แต่ถ้าไม่ว่างไม่เป็นไรนะครับพี่ จาก กร’



ผมอมยิ้มเล็กน้อยทันทีที่อ่านถ้อยคำพวกนั้นจบผมหันไปมองดุนาฬิกาที่ตอนนี้กำลังจะเปลี่ยนเลขตัวหน้าจาก 8 นาฬิกาเป็น 9 นาฬิกาแล้วผมผุดลุกขึ้นไปคว้ากระเป๋าคู่ใจและไม่ลืมที่จะหยิบกระดาษโน้ตแผ่นนั้นออกจากห้องไปด้วย ทุก ๆ เช้าผมจะต้องเดินเลยห้องของตัวเองไปหน้าห้อง 1404 เพื่อทำหน้าที่เป็นบุรุษไปรษณีย์เพื่อส่งจดหมายฉบับเล็กนี้ไปให้ผู้รับ เมื่อผมทำหน้าที่เป็นบุรุษไปรษณีย์เสร็จก็เดินตัวปลิวออกมาจากหน้าห้องนั้น พร้อมกันภายในสมองที่เริ่มคิดว่าพี่ศิจะตอบรับหรือตอบตกลงอะไรหรือเปล่า


การรอคอยจดหมายของพี่ศิที่ส่งมาให้ผมนั้นมันเป็นความเคยชินของผมไปซะแล้วซึ่งพี่ศิก็มักจะเขียนแล้วสอดมาใต้ประตูห้องนอนของผมไม่ขาดและแน่นอนผมก็ตอบพี่เขากลับไปด้วยทุกครั้ง


ทุกท่านก็คงคิดสินะครับว่าทำไมเราสองคนไม่โทรศัพท์ทุกกันผมอยากจะบอกพวกคุณทุกคนเลยว่า ตั้งแต่ผมรู้จักกับพี่ศิมา เราทั้งสองคนไม่เคยขอเบอร์โทรศัพท์กันเลยครับแม้แต่อีเมล ไลน์ ว๊อทแอป ทวิตเตอร์หรือเฟซบุคพวกเราทั้งสองก็ไม่เคยแลกกันเลย
ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมหรือพี่เขาไม่ขอแลกอะไรสักอย่าง มันอาจจะเป็นเพราะพวกผมอยู่ใกล้กันก็ได้มั้งครับเพราะผมเดือดร้อนอะไรผมก็วิ่งแจ้นไปเคาะประตูห้องของพี่ศิ หรือถ้าพี่ศิเกิดอยากกินขนมที่ผมทำ(อันเนื่องจากพี่ศิได้กลิ่นหอม ๆ ของขนมที่ผมทำ โชยออกไปทางด้านระเบียบแล้วลอยเข้าไปในห้องพี่ศิเขา) พี่ศิก็จะวิ่งแจ้นมาเคาะประตูห้องของผมแล้วเข้ามาช่วยพวกไอเจมส์กับไอบาสป่วนผมพร้อมกับนั่งแย่งกินขนมกันอย่างสนุกสนาน
ผมเลยรู้สึกว่ามันไม่จำเป็นต้องขอเบอร์โทรศัพท์กันก็ได้มั้งเพราะว่าถ้าขอไป ผมก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไรด้วยในเมื่อประตูห้องของเราห่างกันไม่ถึงสามเมตร ดังนั้นการใช้โทรศัพท์ติดต่อกันน่าจะเป็นเรื่องลำบากมากกว่าการเดินออกไปเคาะประตูห้องเพื่อเรียกพี่เขาครับ มันจึงทำให้ผมกับพี่เขาไม่ได้แลกอะไรที่ใช้ติดต่อกันได้เลย


ถ้านับจากวันแรกที่ผมรู้จักกับพี่เขาช่วงเวลานั้นก็ผ่านมาเดือนกว่า ๆ แล้วครับจากรุ่นพี่ที่ผมไม่เคยรู้จักกันและไม่เคยแม้แต่จะเห็นหน้ากันแปรเปลี่ยนเป็นพี่ชายข้างห้องไปแล้วล่ะครับ


ผมรีบสาวเท้าตนให้ไวขึ้นเพื่อจะเดินไปลานจอดรถที่จอดรถยนต์ของผม ตอนนี้สถานที่จอดรถของผมไม่มีมีรถของผมจอดเน่าอยู่เดียวดายอีกแล้วล่ะครับเพราะว่าพี่ศิตอนนี้เขาย้ายรถของเขามาจอดไว้ที่ข้าง ๆ รถของผมแล้วครับซึ่งผมก็บ่นพี่ศิไปยกใหญ่ว่าจะเอารถ BMW มาทำให้รถของกรดูเป็นรถกระป๋องเด็กเล่นหรือไง พอผมพูดจบพี่ศิก็หัวเราะออกมาเสียยกใหญ่ไอผมก็ไม่ได้โกรธอะไรมากมายหรอกครับแค่พูดเล่น ๆ และก็งอนพี่ศิเขาเล่น ๆ ก็เท่านั้นเอง


ผมเดินควงกุญแจไปที่รถของผมพร้อมกับไขกุญแจเปิดประตูเพื่อแทรกตัวเข้าไปในรถ คราวนี้หลังจากที่ผมได้(หัด)ขับรถออกถนนใหญ่(ไปหลาย ๆ รอบและหวิดชนไปหลาย ๆ รอบเหมือนกัน)แล้ว ตอนนี้ไอบาสและไอเจมส์มันก็อนุญาตให้ผมขับรถของตัวเองไปม.ได้แล้วครับหลังจากที่ผมต้องโบกแท็กซี่เพื่อให้เข้าไปส่งผมที่คณะ ณ บัดนี้พวกแท็กซี่ก็จะไม่ได้แดร็กเงินจากผมอีกแล้ว แต่ก็นะจากเงินจ่ายค่าแท็กซี่ก็ต้องเปลี่ยนเงินพวกนั้นนำไปถวายให้เป็นค่าน้ำมันรถแทน


ผมวนรถออกมาจากคอนโดพร้อมกับเลี้ยวซ้ายเพื่อมุ่งตรงไปยันถนนใหญ่ที่สุดแสนจะติดบรมซึ่งผมจะไม่ผ่านมันก็ทำไม่ได้ก็เพราะว่ามันเป็นถนนสายหลักที่พาให้ผมเข้าม.นั่นล่ะครับไม่งั้นผมไม่มีทางมาขับรถในถนนที่ติดบรรลัยแบบนี้ได้หรอก


ผมใช้เวลาไม่นานเพราะระยะทางมันใกล้นิดเดียว(แต่รถมันดันติดบรม) ผมก็สามารขับรถเข้ามาข้างในของม.ได้สักที ผมใช้เวลาอีกสักพักเพื่อวนหาที่ ไม่นานนักผมก็ได้ที่จอดรถสมใจอยากแต่มันก็ไกลจากตึกคณะของผมน่าดู ผมเดินตากแดดไปอีกสักห้านาทีบัดนี้ตัวของผมก็มาถึงตึกคณะวิศวกรรมศาสตร์สักที ผมยกนาฬิกาขึ้นมามองเวลาตอนนี้เข็มยาวของตัวนาฬิกากำลังจะวนไปบรรจบเลข 6 แล้วส่วนเข็มสั้นยังคงอยู่กึ่งกลางระหว่างเลข 9 กับเลข 10


‘ชิบล่ะ จะเก้าโมงครึ่งแล้วไอเจมส์กับไอบาสยังไม่มาอีกเหรอว่ะ’ ผมพึมพำในใจก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเลื่อนหาเบอร์ไอเพื่อนสองตัวนั่น เมื่อผมเจอชื่อของเพื่อนที่เป็นเป้าหมายผมก็บรรจงเอานิ้วจิ้มลงไปบนปุ่มสีเขียวเพื่อโทรออกไปหาพวกมันทันที
ผมยืนฟังเพลงเสียงรอสายของมือถือไอบาสสักพักไม่นานนักเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของคนเพิ่งตื่นนอนก็ถูกส่งผ่าน สัณญาณโทรศัพท์มาให้ผมได้ยิน


 “ไรว่ะ เชี่ยกร” ไอบาสพูดงึมงำตามประสาคนเพิ่งตื่นนอนจนผมแทบจะฟังไม่ได้ศัพท์แต่ท่าทางมันจะถามว่าผมโทรหามันไปทำไมสินะ
“วันนี้มีเรียนชดฟิไม่ใช่เหรอว่ะ แล้วตอนนี้ก็เก้าโมงจะครึ่งแล้วด้วย ทำไมพวกมรึงยังไม่มากันอีกว่ะ” ผมกรอกเสียงที่บ่งบอกว่าอารมณ์ของผมกำลังหงุดหงิดลงไปในโทรศัพท์เพื่อให้ไอเพื่อนรักเพื่อนเลิฟของผมได้ฟัง ซึ่งในตอนแรกถ้ามันรับโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงตื่นตัวหรือน้ำเสียงเร่งรีบแล้วพูดว่าเออกรูจะไปถึงคณะแล้วนะรอกรูแปปผมก็จะไม่หงุดหงิดพวกมันหรอกครับแต่นี่มันเพิ่งตื่นครับ…มันเพิ่งตื่น!


ความจริงทุกท่านก็คงแอบคิดไว้ในใจทำไมครับว่าทำไมผมน่ะถึงต้องหงุดหงิดไอเพื่อนสองคนนี้ด้วย คือมันมีเหตุผลครับ…คือไอบาสกับไอเจมส์มันสองคนพร้อมใจกันโทรมาหาผมตอนเที่ยงคืนของเมื่อวานว่าวันพรุ่งนี้หรือบอกได้ว่าวันนี้ซึ่งเป็นวันเสาร์อาจารย์สอนฟิสิกส์ที่ประกาศแคนเซิลคลาสไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้วเขาจะสอนชดเชย จึงบอกให้พวกนิสิตวิศวะชั้นปีที่ 1 มาเรียนชดเชยในวันเสาร์เวลาเก้าโมงครึ่ง และตอนนี้นาฬิกาของผมเข็มยาวมันเริ่มที่จะเคลื่อนที่เข้าไปใกล้เลข 6 แล้ว พูดง่าย ๆ คือมันกำลังจะเก้าโมงครึ่งตามเวลาที่อาจารย์สอนฟิสิกส์นัดไว้แล้วนั่นเองครับ และดูไอคนที่บอกผมทั้งสองคนว่าวันนี้มีเรียนชดเชยมันกลับยังนอนอยู่บนเตียงอย่างสบายอารมณ์และตอนนี้ผมก็เชื่อว่ามันทั้งสองคนก็แม่มยังไม่ได้แงะตัวออกจากเตียงของมันแน่นอน ซึ่งต่างจากผมที่แหกขี้ตาตื่นมาในวันเสาร์(แห่งชาติ)เพื่อมาเรียนเพราะคำพูดของพวกมัน ผมจึงอยากลองให้พวกคุณคิดว่าผมควรใช้น้ำเสียงไหนเวลาคุยกับไอเพื่อนรักสองคนนี้ดี


“เรียนฟิ…เรียนอะไรว่ะไม่มีนะวันเสาร์ไม่มีเรียน” สิ่งที่พวกมันตอบทำให้ผมแทบจะปรี๊ดแตก แล้วไอเชี่ยหน้าไหนโทรมาหาผมตอนเที่ยงคืนว่ามีเรียนฟิสิกส์วันนี้ว่ะ


“ไอเชี่ยบาส! ไอเชี่ยเจมส์! พวกมรึงบอกกรูเองว่าวันนี้มีเรียนนะครับ พวกมรึงโทรมาบอกกรูตอนเที่ยงคืนซึ่งตอนนั้นกรูอาบน้ำปะแป้งเตรียมนอนแล้ว” ผมตะคอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ซึ่งแน่นอนทุกคนในบริเวณนั้นหันมามองผมเป็นตาเดียวซึ่งตอนนี้ผมเคืองไอเพื่อนสองตัวนั้นมาก มากจนไม่แคร์สายตาคนรอบข้างแล้วครับ


“แปปกรูขอนึกก่อนนะไอกร” เสียงของไอเชี่ยบาสเงียบลงไปสักแปป ก่อนที่มันจะร้องเสียงอ๋อออกมาเสียงดัง “อ๋อออเออใช้กรูโทรไปบอกมรึงว่ามีเรียนชดเชยฟิสิกส์ แต่กรูลืมโทรบอกมรึงว่ะว่า…มันเป็นเรียนชดเชยฟิสิกส์ 2 ไม่ใช่ฟิสิกส์ 1 ที่เราเรียนกัน โทษทีว่ะกรูเพิ่งอ่านเจอตอนตีสองแล้วกรูรู้ว่ามรึงคงหลับไปแล้วเลยไม่ได้โทรไปบอกว่ะ คิดว่าจะตื่นแล้วส่งเมสเสจหาเอา” มันพูดเสียงเจื่อน ๆ ผมรู้ครับว่ามันสำนึกผิด แต่ตอนนี้ผมยืนอยู่ในคณะวิศวกรรมศาสตร์แล้วครับซึ่งตอนนี้ผมหงุดหงิดมากถึงมากที่สุดเลยครับ


“อ่อ…เหรอครับเชี่ยบาสไม่เมสเสจหากรูซะชาติหน้าเลยล่ะ ตอนนี้กรูยืนอยู่ที่คณะแล้วเว้ย” ผมกระแทกเสียงตัวเองลงไปในโทรศัพท์ซึ่งผมรู้ว่าไอบาสมันเปิดโฟนโทรศัพท์ไว้ผมจึงหันไปพูดกับไอเจมส์บ้าง “มรึงอีกตัวเชี่ยเจมส์พวกมรึงทำให้กรูต้องแหกขี้ตาตื่นมาในตอนเช้าทั้ง ๆ ที่มันเป็นวันเสาร์แห่งชาติ หลังจากวันนี้ไปจนสอบไฟนอลกรูไม่ให้พวกมรึงมาห้องของกรู” สิ้นเสียงของผมเสียงโห่ร้องของไอเจมส์และไอบาสก็ดังเข้ามาในโทรศัพท์พร้อมกับมันทั้งสองคนพยายามพูดขอโทษขอโพยผมเสียยกใหญ่


“กรกรูขอโทษคือแบบเมื่อคืนกรูนอนดึกแล้วคิดว่าจะตื่นเช้ามาส่งเมสเสจให้มรึงแต่กรูก็ไม่ตื่นว่ะโทษที” ผมยืนฟังคำแก้ตัวของไอบาสก่อนแล้วก็ตามด้วยคำแก้ตัวของไอเจมส์ “กรคือกรูตั้งนาฬิกาปลุกไปแล้วนะเฮ้ย แต่แบบเมื่อวานกรูนอนดึกไปนิดเลยแบบไม่ตื่นว่ะ” ผมยืนฟังคำแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้นของเพื่อนทั้งสองคนก่อนจะถอนหายใจออกมายาวเหยียด


“เฮ้ออออออออออ...พวกมรึงรอกรูที่หอเดี๋ยวกรูไปหาพวกมรึงถึงที่” เมื่อผมพูดจบ เสียงกลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่ของพวกมันสองคนก็ดังขึ้น


คือไอพวกมันสองคนไม่ค่อยอยากให้ผมไปที่หอของมันสักเท่าไหร่ครับซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงไม่อยากให้ผมไปที่ห้องของพวกมันนักหนา


“หรือมรึงจะไม่ให้กรูไป...กรูมีสองตัวเลือกให้ 1 ให้กรูไปห้องมรึง 2 พวกมรึงห้ามมาห้องกรู” ผมยื่นข้อเสนอให้พวกมันไปซึ่งแน่นอนครับมันเลือกข้อ 1 ครับ เพราะว่าพูดกันตรง ๆ เลยก็ได้ไอเพื่อนสองตัวของผมเนี่ย มันแทบจะย้ายสำมโนครัวมาอยู่ที่คอนโดผมแล้วครับ ซึ่งถ้าผมไม่ให้มันไปที่ห้องของผมมันก็ต้องนอนในหอซึ่งเป็นห้องแคบ ๆ ง่ายๆคือมันไม่สะดวกสบายเท่ากับคอนโดของผมนั่นเอง แถมบางห้องต้องนอนถึงสามคนซึ่งไอเพื่อนสองคนนี้มันไม่รู้สึกสะดวกสบายเท่าไหร่ บ่อยครั้งมันก็เก็บข้าวเก็บของมานอนที่ห้องผมเป็นอาทิตย์ ๆ เลยก็มี


“งั้นเดี๋ยวกรูไปหามรึงรอกรูอยู่ที่หอมรึงเลย ถ้ากรูไปถึงแล้วพวกมรึงไม่อยู่…กรูไล่เตะเรียงตัว” ผมพูดขู่พวกมันไปพร้อมกับรีบเดินออกจากใต้ตึกคณะเพื่อไปขึ้นรถที่ผมจอดไว้


ผมวนรถกลับเข้าไปในส่วนกลางของมหาลัยไม่นานนักผมก็ขับมาถึงหอของไอเชี่ยเจมส์และไอเชี่ยบาส ผมขับและพุ่งตรงเข้าไปจองหน้าหอของมันทันทีและแน่นอนไอเพื่อนสองคนนั้นมันก็ชะโงกหน้าออกมาทันทีที่มันได้ยินเสียงรถของผม

(ไอเจมส์กับไอบาสมันจำเสียงรถของผมได้ครับเพราะมันขับเป็นประจำมันเลยจำได้)


ผมเงยหน้ามองพวกมันสองตัวที่ทำหน้าซีดผมยกมือขึ้นไปชี้หน้าพวกมันพร้อมกับเดินเข้าหอไปพร้อมกับกดลิฟท์ของหอขึ้นไปชั้น 5 ซึ่งเป็นชั้นที่พวกมันสองคนอยู่


เสียงลิฟท์ประกาศบอกว่าตอนนี้ได้ถึงชั้นห้าแล้วผมก็รีบสาวเท้าออกจากประตูทันทีที่ประตูลิฟท์เปิดและรีบเดินไปที่ห้อง 518 ซึ่งเป็นห้องที่เพื่อนทั้งสองคนของผมได้พักอาศัยอยู่


ผมไม่รู้หรอกครับว่าห้องของพวกมันมีคนอาศัยอยู่ในห้องนี้ด้วยกันกี่คนไม่รู้ว่าสองหรือสามแต่ที่แน่ ๆ เพื่อนรักเพื่อนเลิฟของผมตอนนี้มันนั่งรอในห้องเพื่อเตรียมขึ้นเขียงแล้วครับ
เมื่อขาทั้งสองข้างของผมก้าวเดินมาถึงประตูห้อง 518 ผมก็ไม่รีบร้อนครับ


ผมบรรจงใช้กุญแจไขห้องพวกมันอย่างเบามือซึ่งไม่ต้องถามว่าผมมีกุญแจห้องพวกมันได้ยังไง…ผมก็เอาไปปั้มมาสิครับถือว่าเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่ผมให้กุญแจคอนโดผมไปส่วนพวกมันก็ต้องให้กุญแจหอมันกับผม


และทันทีที่ประตูปลดล็อดผมก็แทบจะกระโดดถีบประตูเข้าไปทันทีซึ่งภาพ ๆ แรกที่ผมเห็นภายในห้องคือไอเพื่อนรักของผมที่นั่งขุกเข่าทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ และภาพที่สองที่ผมเห็นก็คือผู้ชายร่างสูงคนหนึ่งซึ่งผมช่างคุ้นหน้าคุ้นตามันซะเหลือเกิน ผมยืนประมวลผลสักเล็กน้อยก่อนความทรงจำจะเริ่มปะติดปะต่อและเรียบเรียงเป็นภาพย้อนหลังในสมองของผม


“ไอ...ไฮซ์...” ผมครางเรียกชื่อของคน ๆ นั้นก่อนจะถลาเข้าไปหมายจะต่อยหน้าคน ๆ นั้นที่ผมเรียกชื่อมันออกมา


คราวนี้ผมรู้ถึงเหตุผลแล้วล่ะครับว่าทำไม…ไอสองตัวนี้มันถึงไม่อยากให้ผมมาที่หอของมัน และไม่เคยให้ผมเข้าห้องของมันเลยแม้ผมจะมีกุญแจ…ผมรู้เหตุผลหมดแล้วล่ะครับ….เพราะว่ามันมีไอไฮซ์เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของผม…อยู่นั่นเอง…


ทุก ๆ ท่านเคยได้ยินคำพูดนี้ไหมครับ ‘แค่ผู้หญิงคนเดียวก็ทำให้เพื่อนแตกคอกันได้’ ในตอนแรกผมไม่เชื่อคำพูดนี้หรอกครับ ไม่เคยเชื่อเลยว่าผมจะต้องแตกกับเพื่อนเพราะผู้หญิงคนเดียว…


ครับ…ไอไฮซ์ซึ่งเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของผม เป็นเพื่อนที่ผมไว้ใจเล่นกับมันตั้งแต่แบเบาะหรือเรียกง่าย ๆ ว่ามันเป็นเพื่อนตั้งแต่เกิดของผม (เพราะบ้านของผมกับมันอยู่ถัดกันไปแค่สองสามหลังครับ) แย่งแฟนคนแรกของผมไปครับ ตอนแรกผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าแฟนคนแรกของผมกับไอไฮซ์แอบคบกัน


ผมยังคงยิ้มเฮฮาปาร์ตี้กับมันจนวันหนึ่งที่เป็นวันเกิดของไอไฮซ์ พวกผมก็ถูกชวนไปปาร์ตี้วันเกิดของไฮซ์มันครับช่วงนั้นผมอยู่ม. 6 กันแล้วครับ (แถมสอบตรงติดกันถ้วนหน้าโดยเหลือแค่ไอไฮซ์ครับที่มันรอผลคะแนนโอเน็ตให้เกิน 60 เปอเซนเพื่อที่จะเข้าเรียนคณะแพทย์มหาวิทยาลัยเดียวกับพวกผม)


ในวันนั้นที่เป็นวันเกิดไอไฮซ์พวกผมที่ถูกชวนไปปาร์ตี้บ้านมันก็ต่างกันโชว์พาวเวอร์ควงสาวไปด้วยซึ่งผมก็ควงแฟนสาวที่ผมคบกันมาตั้งแต่ม.5 ไปงานนี้ ผมก็เฮฮาตามนิสัยของผมส่วนแฟนของผมเธอชื่อน้ำฟ้า เธอเป็นคนน่ารักมากยิ้มเก่งคุยง่ายและเป็นกันเองครับ


ผมพาน้ำฟ้าไปรู้จักกับเพื่อนร่วมชั้นของผม (น้ำฟ้าเป็นเด็กคอนแวนครับเธอไม่ใช่เด็กเครือสาธิตแบบผม)และผมก็ปล่อยให้เธอคุยกันกลุ่มสาว ๆ ไปส่วนผมก็มาเสพอบายมุขกับเพื่อนผู้ชายที่เหลือผมดื่มเหล้าไปนิดหน่อยแต่ผมเป็นคนที่ออกจะคออ่อนสักเล็กน้อยผมเลยเมาอย่างรวดเร็วจนสภาพอาการผมไม่ค่อยจะดีแล้วจนไอบาสกับไอเจมส์ต้องแบกผมขึ้นไปนอนที่ห้องที่พ่อแม่ไอไฮซ์มันเตรียมไว้เพื่อรับแขก(เรียกง่าย ๆ ว่ารับไอพวกเมาง่ายคออ่อนแบบผม)


แต่พวกไอเจมส์มันเดินผิดครับมันพาผมไปที่ห้องนอนส่วนตัวของไอไฮซ์และทันทีที่เปิดประตูเข้าไปภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้ผมแทบจะสร่างเมามันทีเพราะภาพที่ผมเห็นคือภาพของน้ำฟ้าแฟนสาวที่แสนน่ารักของผมกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับไอไฮซ์ทั้งสองเสื้อผ้าหลุดรุ่ยไอไฮซ์เหลือแต่กางเกงยีนคู่ใจ ส่วนน้ำฟ้าเหลือเพียงชุดชั้นในที่ปกปิดส่วนบนของตัวเองไว้ภาพ ๆ นั้นทำพวกผมและคนทั้งสองคนที่กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงอยู่บนเตียงชะงักค้างไป


แต่เมื่อผมตั้งสติได้ผมก็ถลาเข้าไปต่อยหน้าไอไฮซ์เต็มแรงพร้อมกันใช้อีกมือหนึ่งต่อยท้องมันไปอีกหมัด ผมยืนโงนเงนเล็กน้อยเพราะฤทธิ์เหล้าที่ผมดื่มเข้าไปแต่ตอนนี้ผมสร่างเมาเรียบร้อยแล้วครับ สร่างเมาด้วยภาพเพื่อนรักของผมกับแฟนสาวของผมกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกัน ภาพๆนั้นทำให้ผมเจ็บแทบจะหลั่งน้ำตาลูกผู้ชายออกมาผมเดินออกจากบ้านไอไฮซ์ทันทีและเดินตรงกลับบ้านของตัวเองไปและหลังจากวันนั้น…ผมก็ไม่มองหน้าไอไฮซ์อีกเลยและมันก็ค่อย ๆ หายไปจากชีวิตผม ซึ่งผมก็ไมได้ตามข่าวสารของมันครับว่ามันติดที่ไหนยังไงแต่ตอนนี้ผมรู้แล้วล่ะครับว่ามันเรียนที่ไหน นี่คืออดีตของผมกับมันครับ



v
v
v
v
v
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 6] 14/09/2013 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 14-09-2013 12:52:23


เพื่อทั้งสองคนที่นั่งหน้าตาเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ในห้องพุ่งถลามารั้งตัวผมไว้แทบจะทันทีมันพยายามรั้งมือผมไว้ ส่วนไอไฮซ์ก็ยังคงนั่งหน้านิ่งแต่สายตามันมองมาที่ผมด้วยแววตาอาลัยอาวรณ์อย่างแปลกประหลาด


“ไอเชี่ยเจมส์ ไอเชี่ยบาสเพราะแบบนี้ใช่ไหมมรึงถึงได้ไม่ให้กรูมาที่ห้อง ไอเพื่อนเชี่ยทำไมมรึงไม่บอกกรูว่ะถ้ามรึงบอกกรูกรุจะให้พวกมรึงมาอยู่ที่หอกรูแบบไม่อะไรเลย พวกมรึงจะได้ไม่มีเสนียดมาเกาะแบบนี้” ผมตะโกนใส่เพื่อนสองคนที่คอยรั้งร่างของผมอยู่ผมขัดขืนพวกมันสองคนเต็มแรง เพราะผมอยากจะถลาเข้าไปต่อยหน้านิ่ง ๆ นั่นของไอไฮซ์มัน
ผมมองหน้ามันและมันก็มองหน้าผมกลับ แววตาผมเต็มไปด้วยความเคียดแค้น


ส่วนไอไฮซ์แววตาของมันผมไม่สามารถระบุได้ว่ามันรู้สึกยังไง ผมดิ้นขัดขืนเพื่อนสองคนสุดแรงมือทั้งสองข้างผมฟาดไปฟาดมาที่หัวที่หลังของไอเจมส์กับไอบาสจนในที่สุดร่างของผมก็ถูกพาออกมานอกห้องและถูกเพื่อนสนิทสองคนหิ้วลงไปด้านล่าง


แล้วไอเจมส์ก็ยึดกุญแจรถของผมแล้วโยนผมเข้าไปนั่งในรถแล้วขับรถออกไปส่วนไอบาสก็ขับมอไซค์ตามกลับรถของผมที่ไอเจมส์ขับนำออกไป


ตั้งแต่ออกจากหอไอเจมส์ไอบาส ผมก็ยังคงโวยวายตลอดทางรถหวิดจะชนตั้งหลายรอบแต่ไอเจมส์มันก็ขับรถของผมพาผมกลับมาส่งที่คอนโดผมโดยสวัสดิภาพ เมื่อไอเจมส์รอไอบาสขับมอไซค์มาที่คอนโดของผมคนทั้งคู่ก็ลากผมขึ้นลิฟท์พร้อมกับโยนผมเข้าไปในห้อง


“…มรึงเคยคิดจะบอกกรูไหม” ผมถามเพื่อนรักทั้งสองคนของผมด้วยน้ำเสียงนิ่งสนิทและแววตาของผมที่จ้องมองพวกมันสองคนก็เต็มไปด้วยความก้าวร้าว
ผมยืนรอคำตอบที่จะออกมาจากปากพวกมันไปสักพัก


ซึ่งพวกมันทั้งสองคนก็ให้ความเงียบมาแทนคำตอบผมก็ได้แต่หัวเราะในลำคอพร้อมกับออกปากไล่ให้พวกมันทั้งสองคนออกจากห้องของผมไป แต่เพื่อนผมมันก็นิสัยไม่ต่างกันมันก็ยังดื้อดึงยืนนิ่งจ้องหน้าผมกันทั้งสองคน


“ถ้ามรึงไม่มีอะไรจะพูดก็ไสหัวไปจากห้องของกรู” ผมเอ่ยปากไล่ซ้ำอีกครั้งซึ่งมันก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมที่พวกมันทั้งสองคนไม่ยอมออกจากห้องของผมไป คราวนี้ผมเริ่มมีน้ำโหกับพวกมันทั้งสองคนแทนไอไฮซ์แล้วล่ะครับ


“ไอเพื่อนเวรถ้ามรึงไม่คิดจะบอกอะไรกรูมรึงก็ไสหัวออกไปดิวะ แล้วที่พวกมรึงปกปิดไม่ให้กรูรู้เรื่องไอเชี่ยไฮซ์มัน พวกมรึงสนุกมากไหมว่ะเห็นกรูโง่มากใช่ไหมที่ปิดบังกรูมาถึงขนาดนี้ โหวว ตั้งหลายเดือน…พวกมรึงจูงจมูกกรูเก่งเนอะ”


ผมเริ่มใช่คำพูดกวนประสาทกับพวกมันและแน่นอนผมรู้นิสัยเพื่อนของผมดีว่าพวกมันไม่ใช่พวกที่มีความอดทนมากพอที่จะยอมทนให้คนอื่นพูดกวนประสาทหรือดูถูกมันได้หรอก


พวกมันทั้งสองคนเริ่มกำมือแน่นราวกับว่าพวกมันทั้งสองคนกำลังระงับความโกรธที่พุ่งสูงขึ้นอยู่แล้ว ส่วนผมน่ะเหรอก็ฉีกรอยยิ้มเหยียด ๆ ให้พวกมันไป
“พวกมรึงโกรธงั้นเหรอ…ตายแล้ว แค่นี้พวกมรึงก็โกรธกันแล้วอ่อนวะ พวกมรึงดูกรูสิกรูเข้าห้องนอนของเพื่อนสนิทสองคนไปเจอหน้าไอเชี่ยที่กรูไม่อยากเจออีกตลอดชีวิต แถมเพื่อนสนิททั้งสองคนของกรูก็ไม่คิดจะบอกกรูอีกว่าในห้องมันมีตัวเสนียดอยู่ โถ่วแค่นี้กรูยังไม่โกรธพวกมรึงเลย”


ถ้าทุกคนจะบอกว่าผมสติแตกไปแล้วผมยอมรับครับ ผมสติแตกไปแล้วจริง ๆ ตอนนี้ใครหน้าไหนก็หยุดผมไม่อยู่แล้วล่ะครับ
ตอนนี้ผมเป็นสิ่งมีชีวิตที่พร้อมจะทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างที่ยืนอยู่รอบ ๆ ตัวผมแล้วครับ


ผมเค้นรอยยิ้มออกมาพร้อมกับเอ่ยคำพูดออกปากไล่ไอเจมส์กับไอบาสออกจากห้องของผมไป คราวนี้ผมพยายามคุมสติแล้วนะครับพยายามที่จะไม่ใช้คำพูดกวน ๆ หรือคำพูดกระทบกระทั่งพวกมัน “พวกมรึงไสหัวออกไปจากห้องกรูเดี๋ยวนี้” ผมพูดพลางชี้นิ้วไปที่ประตูซึ่งเป็นประตูทางออกไปจากห้องของผม “ไม่ได้ยินที่กรูพูดหรือไงครับ...หรือว่าพวกมรึงฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องจะให้กรูพูดภาษาอะไรดี ภาษาเชี่ยดีไหมครับพวกมรึงจะได้รู้เรื่อง”


สิ้นเสียงพูดของผมหมัดตรงของไอเจมส์ก็ประเคนเข้ามาที่แก้มขวาของผมหนึ่งหมัด และหมัดนั้นทำให้หน้าผมสะบัดไปตามแรงที่อีกฝ่ายต่อยทันทีผมเซไปเล็กน้อยจนเกือบจะล้มแต่ผมก็ใช้เท้ายันจนทรงตัวกลับมาได้


‘ต่อยซะปากกรูแตกเลยนะมรึง’ ผมพึมพำเบา ๆ และที่ผมรู้ว่าผิดปากแตกนั้นก็เป็นเพราะลิ้นของผมสัมผัสกับรสเลือดที่เจือจางในปากได้ 
ผมค่อย ๆ หันหน้าช้า ๆ ไปมองหน้าพวกมันริมฝีปากผมยิ้มเหยียด ภาพตรงหน้าของผมตอนนี้คือภาพที่ไอบาสพยายามรั้งแขนไอเจมส์สุดแรงเพื่อไม่ให้ไอเจมส์เผลอเดินเข้ามาต่อยผมอีกหมัด
ผมรู้นะครับไอบาสมันก็โกรธผมเหมือนกันแต่มันเป็นคนอารมณ์เย็นกว่าไอเจมส์เยอะและมันก็รู้ตัวว่าพวกมันเป็นคนผิด ความจริงผมก็ไม่ใช่คนโมโหร้ายและปากร้ายแบบนี้นะครับถ้าพวกมันบอกตั้งแต่ทีแรกว่ามันเป็นรูทเมทกับไอไฮซ์ผมก็จะไม่โกรธพวกมันมากขนาดนี้ แต่นี่มันไม่แม้แต่จะคิดบอกผมแล้วผมดันเจือกรู้เอง


ซึ่งแบบนี้ผมยอมไม่ได้หรอกครับผมไม่ชอบการปิดบังหรือการรู้ทีหลังชาวบ้านมากที่สุด
ผมมองพวกมันสองคนด้วยความเย็นชาพร้อมกับยกมือขึ้นปาดเลือดสีแดงสดที่ไหลออกมาจากมุมปากของผม “พอใจแล้วใช่ไหมพวกมรึง ถ้าแบบนั้นงั้นก็ไสหัวออกจากห้องกรูไปสักทีสิวะ พวกมรึงแม่มเกะกะลูกตาว่ะ” ผมละมือจากริมฝีปากของผมก่อนจะยกมือขึ้นมากอดอกเอาไว้


“ไอกร...มรึงน่าจะรู้ตัวนะทำไมกรูไม่บอกมรึงเรื่องไอไฮซ์” เสียงของไอบาสตอบผมกลับแต่ผมก็ทำหูทวนลมแสร้งเป็นไม่รับฟังในสิ่งที่ไอบาสพูด “ไอกรถึงมรึงจะทำเป็นไม่ได้ยินที่กรูพูดแต่มรึงก็ฟังกรูหน่อยเถอะ เรื่องไอไฮซ์พวกกรูรู้เรื่องวันนั้นจากไอไฮซ์หมดแล้ว” ไอบาสพูดไปพร้อมกับถอนหายใจไป ผมรู้ครับว่ามันระอากับท่าทางที่ผมแสดงออกมาแล้ว
แต่ทำได้ไงล่ะครับตอนนี้ผมโกรธพวกมันมากกว่า มากกว่าที่จะแคร์ความรู้สึกของพวกมันแล้วครับ


“เหรอ…พวกมรึงรู้ แต่บังเอิญกรูไม่รู้ว่ะครับ กรูไม่รู้อะไรสักอย่างเพราะพวกมรึงไม่คิดจะบอกกรู และตอนนี้ต่อให้พวกมรึงอยากจะบอกอะไรกรูหรืออยากจะอธิบายอะไรให้กรูฟัง กรูก็ไม่อยากจะรับรู้แล้ววะครับ พูดแค่นี่พวกมรึงคงรู้เรื่องนะ” ผมพูดบอกพวกมันพร้อมกับไหวไหล่เดินจากไป ขาทั้งสองข้างของผมนำพาร่างของผมไปยังห้องนอน ผมรีบปิดประตูห้องพร้อมกับล็อคกลอนแทบจะทันทีที่ร่างของผมเข้าไปในห้อง
ขาทั้งสองข้างที่เมื่อกี้เก้าเดินอย่างมั่นคงตอนนี้กลับไร้เรี่ยวแรงที่จะยืดหยัดได้อีกต่อไปผมฝืนยืนต่อไปอีกสักพักก่อนที่ร่างของผมจะค่อย ๆ ทรุดตัวลงไปนั่งที่พื้น ผมนั่งกอดเข่าของตัวเองไว้พร้อมกับซุกหน้าลงไปที่เข่า


ดวงตาทั้งสองข้างของผมร้อนผ่าวก่อนผมพยายามกลั้นหยาดน้ำตาของผมเอาไวแต่มันกลับไม่ได้ช่วยอะไรเลยตอนนี้น้ำตาของผมไหลรินออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างพร้อมกับเสียงสะอึกสะอื้นที่ดังไปทั่วห้อง


ผมไม่สนใจไอเจมส์ไอบาสที่ยืนอยู่นอกห้องอีกแล้วแต่ก่อนที่ผมจะได้เสียงประตูคอนโดผมปิดลงผมก็ได้ยินเสียงของไอเจมส์ตะโกนแว่วดังเข้ามาให้โสตประสาทว่า “พวกรูรู้ไงถ้ามรึงรู้ว่าไอไฮซ์เป็นเมทพวกกรู มรึงก็จะทำตัวเชี่ย ๆ แบบตอนนี้ไง ไอกรมรึงมันเป็นพวกไม่ยอมรับฟังความจริง มรึงมันเป็นพวกปักใจเชื่ออะไรไปแล้วมรึงก็ยังจะเชื่อแบบนั้นต่อไป ต่อให้ความจริงมันจะเป็นแบบไหนก็ตาม” สิ้นเสียงพูดของไอเจมส์เสียงบานประตูก็ถูกปิดลงพร้อม ๆ กับพวกมันทั้งสองคนที่ก้าวเดินออกไปจากคอนโดของผม


ผมนั่งกอดเข่าซุกหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้นไปอีกสักพักก่อนจะปาดน้ำตาของตัวเองออกพร้อมกับควานหาโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงของผม ผมเลื่อนหาเบอร์โทรศัพท์ของใครสักคนที่ผมจะโทรไประบายใส่เขาได้ เพียงแต่ตอนนี้ผมกลับไม่รู้ว่าผมควรจะโทรหาใคร


เพราะว่าตอนนี้ผมไม่รู้ว่าใคร…จะสามารถรับฟังความเสียใจที่มากล้นของผมตอนนี้ได้…อีกครั้งหนึ่ง
ผมก้มหน้าซุกลงไปที่เข่าอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับหยาดน้ำตาระลอกใหม่ที่ไหลรินออกมาจากดวงตาของผมอีกครั้ง ผมไม่รู้ว่าผมอยู่ในสภาพนี้ไปถึงเมื่อไหร่ ผมไม่รู้ว่าผมจะยังคงนั่งร้องไห้แบบนี้ไปอีกนานไหม ผมพยายามใช้มือทั้งสองข้างปาดน้ำตาของตัวเองออกไปจากดวงตาแต่ทำยังไงมันก็ไม่อาจหยุดไหลสักที
ผมรู้ว่าเรื่องนี้พวกไอบาสกับไอเจมส์มันไม่ได้ผิดไปทั้งหมดหรอกผมรู้ว่าผมก็มีส่วนผิดเหมือนกันแต่ในตอนนั้นผมไม่อาจจะควบคุมสติของตัวเองให้เย็นลงที่จะรับฟังสิ่งที่เพื่อนสนิททั้งสองคนของผมพูดได้


ผมถึงได้ทำตัวแบบนั้นพูดถ้อยคำดูถูกมิตรภาพของพวกเราทั้งสามคนออกไป และถ้าถามผมว่าผมเสียใจไหม…ครับผมเสียใจ…แต่ผมก็มีความโกรธมากพอ ๆ กับความเสียใจนั้นเช่นกัน


ผมนั่งซุกหน้าลงกับเข่าตัวเองต่อไปแผลที่เกิดจากหมัดตรงของไอเจมส์เริ่มระบมและตอนนี้ผมคิดว่ามันน่าจะขึ้นเป็นรอยช้ำแล้วล่ะ ผมพยายามยันร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงให้ลุกขึ้นยืนพร้อมกับค่อย ๆ ก้าวเท้าเดินไปที่ห้องน้ำเพื่อดูผลงานของเพื่อนสนิทที่ฝากไว้บนใบหน้าของผม


รอยช้ำที่มุมปากกับดวงตาที่แดงก่ำสภาพของผมมันช่างดูไม่ได้เสียจริงผมเปิดก๊อกน้ำที่อ่างล้างหน้าของผมพร้อมกับวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าของตัวเอง ผมมองใบหน้าของตัวเองผ่านหยาดน้ำที่เข้ามากระทบกับผิวหน้าพร้อมกับเบนหน้าหนีและก้าวออกไปจากห้อง
ผมทรุดตัวนั่งลงบนที่เตียงนอนของผมพร้อมกับซุกหน้าลงไปบนหมอนใบนุ่มที่ผมใช่ซักหัวนอนในทุก ๆ ฉับพลันสายตาผมก็เหลือบไปเห็นกระดาษโน้ตแผ่นเล็ก ๆ ที่เมื่อเช้าผมได้วางไว้ที่โต๊ะข้างหัวเตียง ผมเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมาพร้อมกับอ่านถ้อยคำที่พี่ศิเขียนไว้ในกระดาษแผ่นนั้นอีกครั้ง



‘กรครับวันนี้พี่มีราวด์ตอนเช้าและเข้าเวรตอนเย็นจนถึง 3 ทุ่ม เรื่องที่กรจะเลี้ยงข้าวพี่เอาไว้วันหลังนะครับ ขอโทษด้วยนะกรแล้ววันนี้เห็นว่ามีเรียนชดเชยฟิสิกส์พยายามเข้านะครับ จากพี่ศิ’



ผมอ่านกระดาษโน้ตที่พี่ศิให้ผมหลายต่อหลายครั้งจนน้ำตาของผมไหลรินและหยดลงไปบนกระดาษโน้ตแผ่นนั้นอีกครั้ง ผมปาดน้ำตาออกจากดวงตาทั้งสองข้างพร้อมกับพาร่างของตัวเองเดินออกจากห้องของตัวเองไป


เมื่อผมยืนอยู่หน้าห้องผมก็เดินเลี้ยวซ้ายไปสักสองสามก้าวก่อนจะหยุดเท้าลงเบื้องหน้าประตูห้อง 1404 ก่อนจะค่อย ๆ ทรุดตัวนั่งลงบนหน้าประตูห้อง ๆ นั้น


ผมนั่งกอดเข่ารอคอยเจ้าของห้อง ๆ นั้นไปเรื่อย ๆ  จนไม่รู้ว่าเวลานั้นผ่านไปเท่าไหร่แล้ว ผมนั่งรอคอยพี่ศิเขาตั้งแต่แสงของพระอาทิตย์สาดส่องอยู่เหนือศรีษะจวบจนแสงนั้นได้หายไปจากท้องฟ้าเหลือทิ้งไว้แค่เพียงแสงจากดวงจันทร์พร้อมกับหมู่ดาวที่ต่างก็พราวแสงระยิบระยับ
ผมนั่งรอพี่ศิที่หน้าห้องของเขาต่อไปอีกเรื่อย ๆ


เวลาตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มครึ่งแล้วและผมก็ยังคงนั่งรอคอยพี่ศิต่อไปแม้ผมจะนั่งรอพี่เขามาเกือบ ๆ 5 ชั่วโมงแล้ว ผมซุกหน้าลงบนเข่าตัวเองอีกครั้งพร้อมกับหลับตาลง ผมนั่งอยู่แบบนั้นอีกไม่นานสักเท่าไหร่นัก เสียง ๆ หนึ่งก็ดังขึ้นพร้อมกับท่อนแขนแกร่งยื่นเข้ามาเพื่อฉุดรั้งร่างของผมให้ลุกยืนขึ้น


“กร…กรครับ กรเป็นอะไร ทำไมสภาพของกรเป็นแบบนี้” เสียงทุ่มที่แสนอ่อนโยนนั้นเอ่ยเรียกชื่อผมซ้ำไปซ้ำมา ทว่าสภาพผมในตอนนี้ไม่อาจเอ่ยปากพูดตอบเจ้าของเสียงนั่นออกไปได้ ผมค่อย ๆ เงยหน้ามองเจ้าของต้นเสียงนั้นพร้อมกับมอบรอยยิ้มจาง ๆ ไปให้


“กรบอกพี่มาสิครับว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรา” เจ้าของเสียงทุ้มที่แสนอ่อนโยนนั้นเป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกจากพี่ศิคนที่ผมตั้งใจนั่งรอพี่เขามาตลอดทั้งวัน
ผมส่ายหัวไปมาเบา ๆ เชิงปฏิเสธหากแต่ดวงตาของผมมันกลับเอ่อล้นไปด้วยน้ำตาอีกครั้งริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันพร้อมกับร่างกายของผมที่ถลาเข้าไปซุกอยู่อ้อมแขนของพี่ศิ


ผมร้องไห้สะอึกสะอื้นราวกับเด็ก ๆ ใบหน้าของผมซุกลงบนบ่าของพี่เขา น้ำตาที่ไหลรินออกมาจากดวงตาของผมทำให้บ่าของพี่ศิเปียกชื้นไปหมด พี่ศิได้แต่ลูบหัวของผมอย่างแผ่วเบา พร้อมกับพาเด็กขี้แยอย่างผมเข้าไปนั่งสงบสติอารมณ์ในห้องของพี่ศิ


ภายในห้องสีขาวตัดดำนั้นมีผมที่นั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่บนโซฟายาวโดยผมนั้นได้ยืมบ่าของพี่ศิเป็นที่รองรับน้ำตาที่ไหลรินของผม ส่วนพี่ศิได้แต่นั่งปลอบผมอย่างเดียวและไม่คิดจะถามอะไรผมต่อ เพราะพี่เขาคงรู้ว่าถ้าผมพร้อมผมก็คงจะเล่าเรื่องทุกอย่างที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ให้พี่เขาฟังเอง
มือกร้านยังคงลูบหัวอย่างแผ่วเบาพร้อมกับมืออีกข้างที่โอบตัวผมไว้หลวม ๆ เพื่อเป็นบ่งบอกว่าตัวของผมนั้นไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว
การกระทำแบบนั้นของพี่ศิทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้นเพียงเล็กน้อยแต่ว่ามันก็ไม่ได้ช่วยลดทอนความเสียใจที่มันเอ่อล้นอยู่ในหัวใจของผมได้เลยสักนิดเดียว


พี่ศินั่งโอบตัวผมเบา ๆ อยู่แบบนี่ไปสักพักจนในที่สุดเสียงสะอื้นของผมก็ค่อย ๆ เบาลงจนเงียบไปในที่สุด ผมดันตัวออกมาจากอ้อมกอดของพี่ศิซึ่งพี่ศิก็ปล่อยผมออกจากอ้อมกอดอย่างง่ายดาย เขาใช้มือข้างที่เมื่อสักครู่ลูบหัวของผมสักพักก่อนพี่เขาจะลุกจากโซฟาเดินตรงเข้าไปในครัว ผมไม่รู้หรอกครับว่าพี่ศิเข้าไปทำอะไรในนั้น แต่เวลาก็ผ่านไปชั่วอึดใจพี่ศิก็เดินออกมาจากห้องครัวพร้อมกับกะลามังใส่น้ำอุ่นกับผ้าขนหนูผืนเล็กออกมา
ผมมองหน้าพี่เขาด้วยความสงสัยว่าคนตรงหน้าของผมนั้นเอาของพวกนั้นมาทำไมแต่ผมก็ได้คำตอบในทันทีผ้าขนหนูในมือของพี่ศิถูกจุ่มลงไปในกะลามังน้ำอุ่น พี่ศิยกผ้าขนหนูผืนนั้นขึ้นมาบิดหมาด ๆ พร้อมกับน้ำมันมาแนบกับหน้าของผมที่มีรอยช้ำจากการโดนไอเจมส์ต่อย


ผมพยักหน้าให้พี่ศิเขาน้อย ๆ เพื่อเป็นการขอบคุณแต่พี่ศิก็ได้แต่ยิ้มจาง ๆ และเอ่ยคำพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “พี่ขอโทษที่วันนี้มาช้าจนทำให้กรรอนานทั้ง ๆ ที่กรมีเรื่องไม่สบายใจ” พี่เขาเงียบเสียงลงไปสักพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้ผมรู้สึกเขินอายกับการกระทำของตัวเอง “แต่พี่ดีใจนะที่เป็นที่พึ่งให้กรได้และพี่ดีใจที่กรไว้ใจพี่ชายข้างห้องคนนี้”


เมื่อเสียงที่แสนจะอ่อนโยนพูดจนจบประโยคใบหน้าของผม(ที่แดงอยู่แล้ว) ก็ขึ้นสีขึ้นมา ผมเบนหน้าหนีไปอีกทางเพื่อแอบซ่อนใบหน้าที่แดงก่ำของตน


ซึ่งในขณะเดียวกันผมก็ไม่ทราบเลยว่าฝ่ายที่พูดประโยคนั้นออกมาก็แสดงสีหน้าที่เขินอายออกมาด้วยเช่นกัน
แต่เหตุการณ์ที่เจอในวันนี้ทำให้ผมนึกอะไรขึ้นได้อีกอย่างแล้วล่ะครับ…คราวนี้ผมคงต้องขอเบอร์โทรศัพท์มือถือของพี่ศิไว้จริง ๆ จัง ๆ แล้ว



-_____________



พออัพแล้วหน้าจอมันแปลก ๆ แต่แบบว่าตอนนี้กรงี่เง่ามากค่ะ และที่เพื่อน ๆ ไม่ยอมบอกกรก็เป็นเพราะเค้าไม่อยากให้กรคิดมากและกรอาจจะใช้อำนาจมืดโวยวายอะไรก็ได้ค่า เค้าเลยตัดสินใจไม่บอกแต่ทั้งสองคนก็ไม่รู้ว่าการไม่บอกจะทำให้เรื่องมันเลวร้ายขึ้นหนักถึงจะรู้นิสัยเพื่อนดีก็เถอะแต่การเลือกบางทีมันก็อาจจะผิดพลาดได้ค่ะ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 6] 14/09/2013 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: shokung13 ที่ 14-09-2013 22:06:58
ตอน6แล้วหรอ น้องกรรรรรรร แลดูงี่เง่าไปนิดนะ แต่ยังไงพี่ศิก็ยังเป็นคนที่น่ารักเสมออออออ ><
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 6] 14/09/2013 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 14-09-2013 23:24:17
น้องกรยังเด็กนี่เนอะจะงี่เง่าบ้างเราก็ให้อภัย เห็นแก่ความน่ารักของน้อง  o18
พี่ศิจัดการอบรมน้องเป็นการด่วน  :katai2-1:

รอตอนต่อไปค่ะ  :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 6] 14/09/2013 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: konishiki ที่ 15-09-2013 00:06:05
น้องกรคะะะะะะะ ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ

ป๊าอัพตอนต่อเร้ววววววว อยากรู้เรื่องเป็นไงต่อ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 6] 14/09/2013 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 15-09-2013 09:14:25
น้องกรกำลังน้อยใจเพื่อน คงเหมือนโดนหักหลัง
แต่เพราะกรเป็นแบบนี้ เพื่อนเลยไม่อยากบอก
คนกลางอย่างบาส เจมส์ คงลำบากใจก็เพื่อนทั้งสองฝ่าย

พี่ศิน่ารัก มาตอนน้องกรกำลังอ่อนแอ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 6] 14/09/2013 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: yymomo ที่ 15-09-2013 19:11:30
ความจริงกรสมควรจะได้รับรู้ตั้งแต่แรก เจม+บาส ผิดเองที่ไม่บอกแต่แรกปิดมานานเท่าไหร่ ไหนว่าเพื่อนสนิทกันไง เข้าใจความรู้สึกกรนะ โดนเพื่อนสนิทหักหลังแบบนั้นแล้วยังมาเจอแบบาอีกตอนนั้นใครเองก็คุมอารมไม่อยู่หรอก  ส่งพี่ศิไปจัดการเจม :z6:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 6] 14/09/2013 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 16-09-2013 20:40:53
คราวนี้มาอัพตอน 7 หละคะ เด็กน้อยรณกรกำลังร้องไห้งองแงงใส่พี่ศิแล้ว เย้




Chapter 7



ตอนนี้เข็มนาฬิกาได้เดินไปบรรจบที่เลข 12แล้วครับซึ่งผมกับพี่ศิก็ยังคงนั่งเงียบใส่กันอยู่โดยที่พี่ศิก็รอคอยให้ผมพร้อมที่จะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้พี่เค้าฟัง ส่วนผมก็พยายามนั่งทำใจและเรียบเรียงข้อมูลภายในสมองเพื่อที่จะได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นออกไป


ผมเงยหน้ามองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้าอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ และเมื่อสายตาของผมมองขึ้นไปบรรจบกับดวงตาคมที่ซ่อนอยู่ภายใต้แว่นสีดำสนิทนั้นผมก็ได้รับรู้ว่าพี่ศิกำลังกังวลและเป็นห่วงผมอยู่มาก ผมเม้มปากของตัวเองไว้ใจนึงก็อยากจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ออกไปให้หมด แต่อีกใจผมก็กลัว…กลัวว่าถ้าพี่ศินั่งฟังเรื่องที่ผมเล่าและได้รับรู้การกระทำแย่ ๆ ของผม พี่ศิจะยังคอยเป็นที่พึ่งพิงให้ผมอยู่หรือเปล่า


แต่ดูเหมือนว่าพี่ศินั้นจะอ่านความคิดในหัวสมองผมออก มือกร้านนั้นยกขึ้นมือวางที่หัวของผมพร้อมกับเอ่ยคำพูดที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนออกมา “กรไม่ต้องกลัวหรอกว่าพี่จะว่าอะไรเรา พี่อยากบอกกรไว้นะไม่ว่ากรจะเป็นยังไงพี่ก็ยังคงยืนยันว่าพี่จะอยู่ข้างกรเสมอ” คำพูดเหล่านั้นแทบจะทำให้ผมหลั่งน้ำตาออกมาอีกครั้งแต่ก่อนที่น้ำตาผมจะไหลรินออกมาตากดวงตาร่างกายของผมก็ถูกดึงเข้าไปสู่อ้อมกอดของพี่ศิอีกครั้ง


ดวงตาทั้งสองข้างของผมหลับลงพร้อม ๆ กับซึมซัมความอบอุ่นและความอ่อนโยนจากอ้อมกอดนี้ไว้อย่างเต็มที่


“พี่ศิ...กรทำผิดกับไอเจมส์ กับไอบาสไป ตอนนั้นกรใช้คำพูดดูถูกมิตรภาพของพวกเราออกไป” ผมตัดสินใจพูดออกมา เสียงของผมอู้อี้เล็กน้อยเพราะใบหน้าของผมยังคงซบอยู่ที่อ้อมกอดของพี่ศิ


“ตอนนั้นกรโกรธพวกมันมาก…มากจนไม่รู้ว่ากรจะระบายความโกรธพวกนั้นออกมาเป็นรูปแบบไหน” ผมพูดจบประโยคก่อนจะเงียบเสียงไปสักพักขอบตาของผมร้อนผ่าวอีกแล้วสิน้ำตามันกำลังจะไหลออกมาอีกครั้งแล้วสิ ผมกลั้นใจพูดประโยคสุดท้ายออกไปพร้อมกับดวงตาที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตาอีกครั้ง “จนสุดท้ายผมก็เลือกระบายความโกรธพวกนั้นออกมาเป็นคำพูดที่ด่าทอพวกมัน”


ผมยังไม่ได้เล่าออกไปว่าสาเหตุที่ผมโกรธไอเจมส์กับไอบาสคืออะไรและพี่ศิก็ไม่คิดที่จะเสียมารยาทถามคำถามนั้นผมใช้เวลาสงบสติอารมณ์ของตัวเองไปสักพักในที่สุดเสียงสะอึกสะอื้นของผมก็เงียบลงพร้อมกับผมที่เอ่ยถ้อยดำบอกเล่าเรื่องราวต่อไป


“จากนั้นไอเจมส์ก็วิ่งเข้ามาต่อยกร กรรู้ว่ากรสมควรโดนมันต่อยแต่ตอนนั้นกรกลับรู้สึกโกรธพวกมันมากกว่าเก่ากรก็เลยใช้คำพูดที่แรงกว่าเดิมด่าพวกมันไป” เมื่อเอ่ยจนจบประโยคผมก็ก้มหน้านิ่งเพราะไม่อยากเงยหน้าขึ้นไปเจอกับสีหน้าที่ผิดหวังของพี่ศิที่ได้รับรู้ว่าผมทำตัวแย่ขนาดไหน


แต่ปฏิกิริยาที่พี่ศิมอบกลับมาให้ผมมันไม่เป็นเหมือนอย่างที่ผมคิด มือของพี่ศิที่โอบกอดตัวผมอยู่นั้นกระชับวงแขนเพราะโอบกอดตัวของผมให้แน่นขึ้น ริมฝีปากหนาได้รูปนั้นก็ค่อย ๆ เอ่ยถ้อยคำปลอบประโลมออกมา “พี่เข้าใจกรนะว่ากรเสียใจ แต่กรจะทำร้ายตัวเองโดยการไม่ทานข้าวทานปลาอะไรแบบนี้ไม่ได้นะครับ ดูสิขอบตาแดงหมดแล้วถามปากที่เป็นแผลก็เริ่มช้ำจนเห็นได้ชัดแล้วนะครับ” พี่ศิดันตัวผมออกมาจากอ้อมกอดของตัวเองพร้อมกับจ้องมาที่ใบหน้าของผม นิ่วเรียวยาวของพี่ศิเริ่มสัมผัสใบหน้าของผมไล่จากดวงตาและลงไปจบที่ริมฝีปากการกระทำของพี่ให้ทำให้ผมรู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาทันทีแต่ก่อนที่ผมจะได้เบี่ยงหน้าหนีจากมือของพี่ศิ พี่เขาก็ผละตัวออกจากผมพร้อมกับลุกเดินตรงเข้าไปในห้องครัวอีกครั้ง


“ตอนนี้พี่คิดว่ากรน่าจะทานอะไรอุ่น ๆ ดีกว่าเอาเป็นข้าวต้มดีไหม?? จะได้ทานง่าย ๆ แถมปากเราก็ยังแตกอยู่ด้วย” เสียงทุ้มของพี่ศิเอ่ยดังพร้อมกับใบหน้าคมที่ชะโงกหน้าออกมารอคำตอบรับจากผม


ผมได้แต่พยักหน้าตอบรับพี่เขาเบา ๆ และนั่งรอเชฟศิรวิทย์ทำข้าวต้มออกมาให้ผมทาน ผมนั่งกดรีโมตทีวีไปเรื่อย ๆ พร้อมกับเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือของผมที่ดังขึ้น ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอนั่นก็คือชื่อของกานต์ ซึ่งทำให้ผมแปลกใจมากที่กานต์จะนอนดึกได้ขนาดนี้


ผมมองดูมือถือที่สั่นอยู่อีกสักพักก่อนจะตัดสินในปล่อยให้มันสั่นต่อไปจนเสียงเงียบลง ที่ผมตัดสินใจไม่รัโทรศัพท์ของกานต์นั่นก็เป็นเพราะผมไม่อยากเอาปัญหาของผมไปลงที่กานต์ ผมไม่อยากให้เพื่อนสนิทเดือดเนื้อร้อนใจและแก้ปัญหาของผมกับไอเจมส์กับไอบาสแทนผม ผมจึงตัดสินใจไม่ยืมมือของกานต์ที่จะช่วยเหลือ โทรศัพท์ของผมสั่นและกรีดร้องเสียงริงโทนออกมาอีกสองสามครั้งก่อนมันจะเงียบลงด้วยฝีมือของผมเอง


ผมจัดการกดปิดโทรศัพท์ของผมพร้อมกับโยนมันไปยังโซฟาที่ตั้งอยู่ตรงกันข้ามกับตัวที่ผมนั่ง เวลาผ่านไปไม่นานเท่าไหร่นักพี่ศิก็เดินออกมาจากห้องพร้อมกับถ้วยข้าวต้มร้อน ๆ ในมือ พี่ศิส่งถ้วยข้าวต้มมาให้ผมพร้อมกับพูดเหย้าแหย่ผมออกมา “ทานไหวไหมกรหรือว่าต้องให้พี่ป้อนด้วย”


สิ้นเสียงของพี่ศิมือข้างหนึ่งที่ว่างของผมก็กยิบหมอนอิงที่วางอยู่ด้านข้างปาใส่คนตรงหน้าผมไปและคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมก็เอี้ยวตัวหลบไปได้ ผมได้แต่บ่นอุบอิบพร้อมกับใช้ช้อนตักข้าวต้มร้อน ๆ เข้าปากคำโตซึ่งรู้สึกว่าผมนั้นจะลืมไปว่าข้าวต้มในถ้วยนั้นเพิ่งทำเสร็จร้อน ๆ ผมเผลอพ่นข้าวต้มออกมาพร้อมกับไอคอกแคก มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาเช็ดที่ริมฝีปากส่วนอีกข้างพยายามควานหาน้ำเย็นมาดื่มเพื่อระบายความร้อนที่อยู่ในปากให้ออกไป


ศิรวิทย์มองภาพที่ร่างเพรียวตรงหน้าแสดงออกมาด้วยความขำขันเขาค่อย ๆ ทรุดตัวนั่งลงข้าง ๆ ร่างนั้นพร้อมกับหยิบทิ้บชู่มาเช็ดที่ริมฝีปากร่างนั้นอย่างแผ่วเบา


“รู้งี้พี่น่าจะป้อนกรตั้งแต่แรกน่ะ” พี่ศิยังไม่หยุดขำมือทั้งสองข้างนั้นแย่งถ้วยข้าวต้มบนตักของผมไปถือไว้ก่อนจะใช้ช้อนตักข้าวต้มขึ้นมาจ่อที่ปากของผม


ผมส่ายหัวไม่เอาเพราะตอนนี้ข้าวต้ในถ้วยนั้นยังร้อนอยู่ผมคิดว่าจะรอให้มันเย็นก่อนแล้วค่อยกินมัน ทว่าพี่ศิกลับทำเหมือนผมเป็นเด็กเล็ก ๆ ริมฝีปากหนาเป่าข้าวต้มในช้อนจนเย็นลง พร้อมกับยัดช้อนนั่นเข้าปากผมทันทีในตอนแรกผมดิ้นขลุกขลักทำท่าจะคายมันออกแต่ว่าพี่ศิกับดึงช้อนออกแล้วเอามือปิดปากผมเพื่อบังคับให้ผมเคี้ยวและกลืนมันลงท้องไป ช้อนต่อไปถูกยกขึ้นมาจ่อที่ริมฝีปากผมซึ่งผมก็ต้องจำใจอ้าปากรับช้อนข้าวต้มนั้นเข้ามาในปากด้วยเหตุที่ผมกลัวว่าพี่ศิจะยัดช้อนเข้าไปทะลุคอหอยของผมเข้า
“พี่ศิ…ช้า ๆ หน่อยกรเคี้ยวไม่ทัน” ผมบ่นทั้ง ๆ ที่ข้าวยังเต็มปากโดยพี่ศิยังคงหัวเราะไม่เลิกกับท่าทางของผม ความตรึงเครียดเมื่อก่อนหน้านี่มันจางหายไปจากห้อง ๆ นี้หมดแล้วเหลือไว้แต่เพียงรอยยิ้มกับเสียงหัวเราะของคนสองคน


เมื่อข้าวต้มหมดถ้วยพี่ศิก็ทำหน้าที่ของเจ้าของห้องโดยการนำถ้วยข้าวต้มไปทำความสะอาดส่วนผมก็นั่งนิ่ง ๆ บนโซฟาตามประสาผู้มาเยือนที่ดี


ความตึงเครียดและความกังวลทั้งหมดของผมเริ่มหายใจไปจากผมไม่รู้ว่ามันเป็นแบบนั้นได้อย่างไรแต่มีอย่างหนึ่งที่ผมรู้นั่นก็คือ พี่ศิเป็นคนช่วยทำให้สิ่งที่คั่งค้างอยู่ในใจผมออกไป


“กรครับคืนนี้…เอ่อ...กรจะนอนห้องของพี่หรือเปล่า” ผมหันไปถลึงตาใส่ทางต้นเสียงพร้อมกับคว้าหมอนอิงอีกใบปาใส่ผู้เป็นเจ้าของเสียงนั่น “พี่ศิพูดอะไรออกมา!” ผมตะคอกใส่พี่ศิเสียงดังพร้อมกับกระเถิบห่างจากพี่ศิจนไปติดฝั่งโซฟาอีกด้าน ซึ่งพี่ศิก็ไม่ทำให้ผมเข้าใจผิดต่อไปเสียงทุ่มเอ่อยออกมาด้วยความขบขำพร้อมกับโยนผ้าขนหนูผ้าใหญ่มาให้ผม “กร…พี่หมายถึงจะให้กรนอนในห้องนอนที่ว่างไม่ได้ให้มานอนห้องเดียวกับพี่สักหน่อยคิดอะไรเนี่ยไอตัวแสบ ไปอาบน้ำซะจะได้เข้านอนสักตีจะตีสองอยู่แล้วแถมพรุ่งนี้พี่มีราวด์เช้าด้วย” ผมพยักหน้าตอบรับพี่ศิเขาก่อนจะเดินเข้าไปยังห้องนอนว่างอีกห้องที่พี่ศิได้เตรียมไว้
ผมใช้เวลาอาบน้ำไม่ถึง 5 นาทีเพราะหลังจากที่สบายใจแถมหนังท้องผมก็เริ่มตึงหนังตาผมก็เริ่มหย่อนผมใช้เวลาอาบน้ำน้อยกว่าปกติสักสองเท่าได้ไม่นานนักผมก็อยู่ในชุดนอนของพี่ศิ (ที่พี่ศิเขาเตรียมไว้ให้ผมตอนผมเข้าไปอาบน้ำ) ที่รู้สึกว่าตัวจะใหญ่ไปเสียหน่อยสำหรับผม ซึ่งเสื้อผ้าตัวใหญ่เกินมันไม่เป็นอุปสรรค์สำหรับการนอนผมรีบถลาขึ้นเตยงพร้อมกับซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนนุ่มนั่นทันที


ผมนอนกลิ้งเล่นบนเตียงไม่นานนักสติผมก็ค่อย ๆ ลางเลือนและดับวูบลงด้วยความเหนื่อยล้าที่ต้องเผชิญเรื่องราวมากมายมาตลอดทั้งวัน




ผมรู้สึกถึงเสียงรูดผ้าม่านที่อยู่ข้าง ๆ หัวเตียงของผมแสงแดดทอแสงจ้าเข้ามาจนทำให้ผมต้องยกผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัวตัวเองไว้ แต่รู้สึกว่าคนที่เปิดผ้าม่านในห้องนอนผมจะไม่ค่อยอยากให้ผมนอนต่อสักเท่าไหร่นักเพราะผ้าห่มที่คลุมหัวของผมอยู่ถูกดึงออกไปจากตัวร่างกายที่นอนซุกตัวอยู่ในผ้าห่มหดตัวทันทีที่ร่างกายสัมผัสกับความหนาวเย็นของแอร์ภายในห้อง


“อรุณสวัสดิ์กร เช้าแล้วนะครับ” เสียงของพี่ศิดังขึ้นพร้อมกับร่างกายของผมที่เด้งตัวขึ้นมานั่งบนเตียงทันที ดูเหมือนว่าผมจะลืมไปซะแล้วสิว่าตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ในห้องนอนตัวเอง


“อะ...อรุณสวัสกดิ์ครับพี่ศิ” ผมเอ่ยเสียงตอบกลับพี่เขาไปซึ่งใบหน้าคมนั้นก็พยักหน้าตอบรับคำของผมน้อย ๆ


“พี่ต้องไปโรงพยาบาลแล้วล่ะ ข้าวเช้าพี่ทำเพื่อกรไว้แล้วหวังว่าจะทนทานอาหารฝีมือพี่ได้นะครับกร” พี่ศิยิ้มจาง ๆ พร้อมกับเดินเข้ามาลูบหัวของผมอย่างแผ่วเบา ซึ่งคราวนี้ผมไม่ยอมให้พี่ศิมาลูบหัวผมได้ง่าย ๆ มือทั้งสองข้างของผมก็รีบขึ้นไปตะปบมือพี่เข้าและดึงมือพี่ศิให้ทรุดลงมานั่งข้าง ๆ ผมแสยะยิ้มร้ายก่อนจะเด้งตัวขึ้นไปยีหัวพี่ศิแทน


“พี่ศิชอบทำให้ผมกรยุ่งวันนี้พี่ศิจงผมยุ่งแทนกรไปแล้วซะ!!” คำพูดนั้นทำให้พี่ศิหัวเราะออกมาเสียงดังพร้อมกับยอมให้ผมยีหัวพี่เขาต่อ ผมไม่ได้คิดจะปีนเกลียวนะครับผมแค่อยากให้พี่เขารู้สึกบ้างว่าการที่เซทผมเสร็จแล้วแต่มาโดนคนทำผมให้ยุ่งมันรู้สึกยังไง


เราทั้งสองคนนั่งเล่นกันไปอีกสักพักหนึ่งแต่กรที่เราจะเพลิดเพลินกับการขยี้ผมของอีกฝ่ายไปมากกว่านี้เสียงนาฬิกาปลุกในมือถือของพี่ศิก็ดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงที่พุดลุกขึ้นและกำลังจะเดินออกจากห้องไป แต่ผมก็ไม่ยอมให้พี่ศิทำแบบนั้นได้ง่ายมือของผมจับเข้าที่ข้อมือขวาของพี่เขาพร้อมกับรั้งไม่ให้เขาเดินออกไปจากห้อง อย่าว่าผมแกล้งพี่ศิเขาเลยนะครับพอดีผมมีเรื่องที่จะต้องขอพี่เขาต่างหากล่ะผมถึงได้รั้งพี่เขาแบบนี้
พี่ศิที่ถูกผมรั้งเอาไว้ส่งสายตางุนงงเล็กน้อยมาให้ผมมือข้างซ้ายที่ไม่ได้โดนผมจับเอาไว้พยายามเอื้อมมือมาแกะมือของผมออก
“พี่ศิ…กรขอเบอร์พี่ศิได้ไหม…คือว่าเออเพื่อฉุกเฉินจะได้โทรไปหา” ผมพูดเสี่ยงแผ่วมือของพี่ศิที่กำลังพยายามจะแงะมือที่เหนียวหนึบของผมออกก็ชะงักไป


‘ไอกรเอ้ยเกิดมาไม่เคยขอเบอร์ผู้ชายคนไหนที่น่าอายขนาดนี้เล้ยยยยย’ ผมก้มหน้านิ่งพร้อมกับบ่นพึมพำในใจ พี่ศิไม่มีปฏิกิริยาอะไรตอบกลับมาเพียงแต่พี่ศิส่งโทรศัพท์มือถือยี่ห้อไอโฟนที่พ่วงรุ่นใหม่ล่าสุดอย่างไอโฟน 5 มาให้ผม ผมเงยหน้ามองพี่ศิด้วยสายตางุนงงจนพี่ศิต้องบอกให้ผมกดเบอร์โทรศัพท์ของตัวเองลงไปในมือถือของพี่เขา “กดเบอร์แล้วกดโทรออกสิครับกรพี่จะได้มีเบอร์โทรศัพท์มือถือเราเอาไว้ด้วย จอนโทรมาพี่จะได้ไม่สงสัยว่าเบอร์นั้นเบอร์นี้ของใคร” ผมรีบกดเบอร์โทรศัพท์ของผมลงในเครื่องแล้วกดโทรออกทันที


“พี่ศิกรปิดโทรศัพท์มือถือเอาไว้ เดี๋ยวกรไปเปิดเครื่องก่อนแล้วค่อยเมมเบอร์ของพี่ศินะ” ผมพูดพร้อมกับยื่นโทรศัพท์ราคาแพงระยับคืนไปให้เจ้าของ ซึ่งพี่ศิก้พยักหน้าตอบรับเบา ๆ พร้อมกับเอ่ยปากขอตัวไปเรียนก่อน “ไปก่อนนะเดี๋ยวพี่ไปราวด์ไม่ทันอาจารย์จะว่าเอาได้” พี่ศิโบกมือลาพร้อมกับรีบออกจากห้องไปโดยที่พี่เขาไม่ทันรีรอให้ผมถามพี่ศิเลยว่าถ้าผมออกจากห้องไปผมจะล็อคห้องของพี่เขายังไงในเมื่อการที่จะปิดประตูห้องมันต้องใช้กุญแจไขเพื่อล็อคซ้ำอีกที


ผมนอนกลิ้งเล่นบนเตียงไปอีกสักพักก่อนจะลุกขึ้นเดินออกจากห้องนอนไป พลันจมูกของผมก็ได้กลิ่นหอมโชยมาจากในห้องครัวผมเดินก้าวเท้าเข้าไปผมกับจานแพนเค้กหอมกรุ่นที่วางไว้ในฝาครอบพร้อมกับกระดาษโน้ตสีฟ้าแผ่นเล็ก ๆ ที่เสียบไว้ที่ขอบจาน
 


‘ข้าวเช้าวันนี้เป็นแพนเค้กนะครับกร พอพี่ไม่รู้ว่ากรจะทานเยอะไหมเลยทำไว้ให้สองชิ้น ทานให้อร่อย ๆ นะกร จาก พี่ศิ’



ผมมองกระดาษโน้ตแผ่นนั้นแล้วยิ้มออกมาจนแก้มปริก่อนจะจัดการแพนเค้กสองชิ้นที่อยู่ในจานอย่างเอ็ดอร่อยไม่นานนักผมก็จัดการเจ้าแพนเค้กสองชิ้นนั้นจนหมดพร้อมกับทำความสะอาดจานและเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย


เมื่อเสร็จภารกิจในห้องครัวผมก็เดินออกมาพร้อมกันเดินตรงไปที่โซฟาซึ่งเป็นตัวเดิมที่ผมนั่งร้องไห้กับพี่ศิเมื่อวาน ผมก้มลงไปหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดพร้อมกับเสียงเตือนข้อความเข้าที่ดังขึ้นมาหลายต่อหลายรอบ


ข้อความแรกเป็นข้อความของกานต์ที่แจ้งเตือนว่าหมายเลขโทรศัพท์ของกานต์โทรเข้ามาในเครื่องของผมกี่ครั้ง


ข้อความที่สองเป็นข้อความของกานต์ที่ส่งเมสเสจมาบอกว่า ‘กร…กานต์โทรไปทำไมกรไม่รับสายล่ะ กานต์เป็นห่วงกรนะ’


ข้อความที่สามก็ยังคงเป็นของกานต์อีกเช่นเดิมโดยกานต์เมสเสจมาบอกว่า ‘ถ้ากรเปิดมือถือแล้วช่วยโทรหากานต์ด้วยนะ’


ผมไล่ดูข้อความทั้งหมดที่หลาย ๆ คนส่งมาให้ผม ทุกคนใช้ข้อความที่ดูเป็นห่วงเป็นใยผมกันหมดทุกคนดุเหมือนว่าเรื่องที่ผมไปโวยวายใส่ไอไฮซ์ที่หอคงจะดังไปทั่วคณะล่ะมั้งครับทุกคนถึงได้ส่งข้อความมาถามผมมากมายขนาดนี้ซึ่งผมพยายามไหล่หาเมสเสจหรือข้อความแจ้งเตือนหมายเลขโทรศัพท์ของคนสองคนที่ผมหวังเอาไว้ว่าจะเจอ แต่ผมก็กลับไม่เจอข้อความของเพื่อนสนิทสองคนนั้นเลย


ผมเม้มปากพร้อมกับเงยหน้าขึ้นเพื่อกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาเพียงแต่ผมกลับห้ามมันไม่ให้ไหลออกมาได้เลยผมปาดน้ำตาออกจากดวงตาก่อนจะกดโทรออกไปหากานต์ทันที


ผมถือสายรอสักพักแต่ก็แวปเดียวเท่านั้นเสียงของกานต์ก็ส่งผ่านสัญญาณเข้ามาให้ผมได้รับฟัง “กรนี่กานต์นะ กรอยู่ไหนตอนนี้ กานต์กำลังนั่งรถไปที่คอนโดของกรนะกรอยู่ที่คอนโดหรือเปล่า” น้ำเสียวหวานที่เอ่ยออกมาอย่างเป็นห่วงเป็นใยทำให้น้ำตาของผมที่เริ่มจะแห้งไปแล้วกลับมาไหลรินอีกครั้ง


“ฮึก…กานต์อย่าเพิ่งมาหากรตอนนี้เลยนะ” ผมสอื้นตอบกานต์ไปซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงไม่อยากเจอกานต์ตอนนี้ทั้ง ๆ ที่กานต์ก็เป็นเพื่อนสนิทของผมอีกคนหนึ่ง


“กรร้องไห้เหรอ กรอยู่ไหนกานต์เป็นห่วงกรมากเลยนะ” น้ำเสียงกานต์เริ่มร้อนรนและเต็มไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ซึ่งผมกลับปฏิเสธความหวังดีของกานต์นั้นไปอีกครั้ง


“กานต์ กรขอโทษนะแต่ตอนนี้กรไม่สะดวกจะเจอใครจริง ๆ ไว้สักพักถ้ากรดีขึ้นเราค่อยเจอกันนะ” ผมยังคงสะอึกสะอื้นตอบกานต์ไปแม้ผมจะรู้สึกผิดที่ทำแบบนี้แต่ในตอนนี้ผมไม่อยากจะเจอหน้าใครเลย ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสนิทมาก ๆ อย่างกานต์หรือแม้กระทั่งครอบครัวของผมก็ตาม


“…จะเอาแบบนั้นเหรอกร…ถ้ากรต้องการแบบนั้นกานต์ก็ไม่ขัดกรนะไว้เจอกันนะ” เสียงหวานนั้นเอ่ยออกมาแผ่วเบาแม้กรกานต์จะเป็นห่วงผมมากมายขนาดไหนแต่ในเมื่อผมร้องขอว่ายังไม่อยากเจอหน้าใครตอนนี้กานต์ก็ไม่คิดจะขัดผม เสียงของกานต์เงียบหายไปพร้อมกับเสียงสัญญาณโทรศัพท์ที่ถูกตัดไป


“กรขอโทษนะกานต์” ผมพร่ำขอโทษอีกฝ่ายแม้สัญญาณโทรศัพท์มือถือนั้นจะตัดไปแล้ว



v
v
v
v
v
v
v
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 7] 16/09/2013 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 16-09-2013 20:44:48


เวลาเดินผ่านล่วงเลยไปหลังจากที่พี่ศิได้ออกไปเรียนมันก็ผ่านไปสัก 4 – 5 ชั่วโมงแล้วครับ ซึ่งในตอนนี้ผมก็ยังคงนั่งอยู่ในห้องของพี่เขาเงียบ ๆ หลังจากที่กานต์โทรศัพท์มาหาผมไม่นานนักคุณป๊า กับคุณม๊าที่ได้เมสเสจจากเครื่องผมว่า ‘หมายเลขโทรศัพท์นี้สามารถติดต่อได้แล้ว’ คุณป๊าและคุณม๊าก็รีบกดโทรศัพท์มาหาผมด้วยความรวดเร็วแถมถามแล้วถามอีกว่าทำไมผมถึงปิดโทรศัพท์มือถือ คุณม๊าบ่นจนผมหูชา ส่วนคุณป๊าบ่นว่าใจหายใจคว่ำหมดที่กรปิดโทรศัพท์ (ปกติผมไม่เคยโทรศัพท์มือถือครับ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมปิดโทรศัพท์เพื่อตัดขาดการติดต่อจากทุกคนครับ) ซึ่งทั้งสองคนก็ถามหาเหตุผลว่าทำไมผมถึงปิดมือถือ ผมจึงจำใจต้องโกหกคุณป๊ากับคุณม๊าไปว่า ‘ก็กรไปดื่มกับเพื่อน แล้วลืมชาร์ทแบตมือถือไปมันเลยหมดตอนสักสามทุ่ม เพิ่งรู้ว่าแบทหมดนี่ก็เช้าแล้วกรเลยเพิ่งเปิดโทรศัพท์ตอนนี้ไง’ หลังจากข้อแก้ตัวอันแสนงี่เง่าของผมลอยเข้าใส่หูคุณม๊า ผมก็โดนเทศนาจากคุณม๊าออกมายาวเหยียดอีกครั้ง กว่าจะวางโทรศัพท์ของคุณม๊ากับคุณป๊าได้ผมก็คุยไปร่วมชั่วโมงจนผมคอแหบคอแห้งไปหมด
แต่กับการคุยกับพ่อแม่แบบนี้มันก็ทำให้ผมหายเครียดจากเรื่องหนักใจได้อีกไปเปราะหนึ่งผมอมยิ้มมองโทรศัพท์ตัวเองพร้อมกับกอดมันเอาไว้แนบอก “ขอบคุณนะครับคุณป๊า คุณม๊ากรสบายใจขึ้นเยอะเลยล่ะ” 


หลังจากวางสายจากคุณป๊าและคุณม๊าผมก็ไล่ส่งเมจเสจตอบรุ่นพี่และเพื่อน ๆ ทั้งหมด โดยทุกเมสเสจส่งมาถามเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘ที่หอในมันเกิดอะไรขึ้นวะไอคุณน้องกร’ หรือว่าลงท้ายได้วคำว่า ‘ไอกร’ ซึ่งผมก็ต้องจำใจโกหกพวกเพื่อน ๆ และรุ่นพี่ออกไปอีก


วันนี้ผมโกหกไปตั้งแต่คุณป๊า คุณม๊า รุ่นพี่ เพื่อน ถ้าผมตายไปผมคงตกนรกหมกไหม้แน่ ๆ เลยครับ ดันไปทำผิดศีลของสองเต็ม ๆ เลยนี่ครับ ถ้าไม่ตกนรกไม่รู้จะพูดยังไงแล้วละ


ผมนอนกลิ้งเล่นบนโซฟาในห้องพี่ศิไปอีกสักพักไม่นานนักเสียงกลอนประตูก็ถูกปลดล็อคพร้อมกับร่างสูงของพี่ศิที่เดินเข้ามาเป็นคนแรก ผมสะดุ้งตัวเต็มนี่พร้อมกับเด้งตัวขึ้นมานั่งอย่างเรียบร้อยบนโซฟา


“อ่าว...พี่ศิกลับมาแล้วเหรอครับ” ผมเอ่ยตอนรับแต่เสียงที่ตอบรับมานั้นไม่ใช่แค่เสียงของพี่ศิคนเดียว เพราะผมรู้สึกได้ว่านอกจากเสียงของพี่ศิแล้วยังมีเสียงของคนอื่น ๆ เอ่ยทักทายออกมาอีก


“กลับมาแล้วล่ะ” เสียงพี่ศิเอ่ยพร้อมกับส่งรอยยิ้มแห้ง ๆ ตอบกลับมา


“ไงน้องกรสุดที่รักของพี่” เสียงหวานของหญิงสาวดังขึ้นพร้อมกับร่างบางนั้นถลาเข้ามากอดผมแน่น ถ้าจำไม่ผิดพี่สาวคนนี้น่าจะชื่อพี่วิ เป็นเพื่อนก๊วนเดียวกับพี่ศิที่ไปเจอตอนไปกินฮาจิบังเมื่อวันนั้น


ผมเซเล็กน้อยเมื่อร่างนั้นถลาเข้ามาก่อนแต่เสียงของผู้ชายร่างสูงอีกคนก็พูดแทรกขึ้น “ไอวิ แกก็รู้ว่าไอกรมันหวงน้องกรแกก็ยังจะไปแหย่มานะ” นี่น่าจะเป็นเสียงของพี่เตอร์ล่ะมั้งครับที่พูดออกาแต่อะไรใครหวงใครนะครับเมื่อกี๋ผมฟังไม่ค่อยจะถนัดเลย
ก่อนที่ผมเอ่ยปากถามพี่เตอร์ซ้ำอีกครั้งเสียงพี่ศิก็พูดแทรกขึ้นพร้อมกับลากคอพี่เตอร์และหิ้วคอพี่วิไปนั่งที่โซฟา ทิ้งให้ผมยืนเอ๋ออยู่คนเดียว


‘เมื่อกี้คลับคล้ายคลับคาว่าจะได้ยินเสียงของพี่เตอร์ว่าพี่ศิหวงผม…หรือว่าผมฟังผิดกันนะ’ แต่ผมก็ตกอยู่ในห้วงแห่งความคิดของตัวเองไม่นานเสียงหวาน ๆ ของพี่วิก็พูดขึ้นและประโยคนั้นทำให้ผมหน้าแดงไปถึงใบหู


“น้องกร…ยอมไอศิมันแล้วเหรอ ถึงได้มาอยู่ที่ห้องไอศิในสภาพแบบนี้” พี่วิพูดพร้อมกับปรายตามองชุดที่ผมใส่ซึ่งสภาพของผมนั้นยังคงอยู่ในชุดนอนของพี่ศินั่นเอง ผมละล่ำละลักกล่าวปฏิเสธแทบไม่ทันแต่พี่ศิก็ไม่ยอมให้ผมเสียหายด้วยคำพูดของพี่วิเขาจึงได้เอ่ยคำแกก้ตัวแทนผมออกไป


“น้องเค้าไม่สบายใจกรูเลยปลอบแล้วให้กรห้องที่ว่าง พวกแกอย่ามาเข้าใจผิด” พี่ศิถอนหายใจให้กับความขี้แกล้งของพี่วิ ส่วนพี่เตอร์ก็นั่งยิ้มกรุ่มกริ่ม มองผมกับพี่ศิสลับกันไปมา


“โถ่ ไอศิกรูเห็นว่ามรึงนอนหลับในห้องเลคเชอร์ก็นึดว่ามรึงไปทำกิจกรรมเข้าจังหวะกับใครที่ไหนมาทำกับน้องกรนี่เองสินะ” พี่เต่อร์พูดแหย่ออกมาอีกซึ่งผมที่หน้าแดงอยู่แล้วแทบจะเอาหัวมุดลงดิน ส่วนพี่ศิใบหน้าคมนั้นขึ้นสีเล็กน้อยก่อนที่มือกร้านจะหยิบหมอนอิงผ้าเข้าใส่หน้าของพี่เตอร์


“ไอแต๋อร์อย่าพูดหมา ๆ กรเค้าเสียหาย” พี่ศิเถียงแทนผมแต่ว่าพี่เตอร์ก็ยังไม่ยอมหยุดล้อเลียนแค่นั้น “โหย…เสียหาย น้องมันจะมาเสียหายอะไรตอนนี้ ถ้ามันจะเสียหายน้องมันก็เสียหายตั้งแต่ตอนที่มรึงอุ้มน้องเขาไปโรงพยาบาลแล้วเว้ย”


สิ้นเสียงของพี่เตอร์ พี่ศิและผมก็หน้าแดงก่ำ (ซึ่งผมหน้าแดงอยู่แล้วมันก็ยิ่งแดงขึ้นไปอีก) เหตุการณ์วันนั้นมันมันรีรันและวนลูบอยู่ในสมองของผม เอาก้มหน้าพร้อมกับยกมือขึ้นมาปิดที่หน้าซึ่งพี่ศิก็แสดงปฏิกิริยาเช่นนั้นออกมาเหมือนกัน


เสียงของพี่วิหัวเราะออกมาลั่นห้องพร้อมกับเอาไหล่กระทุ้งท้องพี่ศิเบา ๆ “โฮะ ๆๆ….ฉันไม่เคยเห็นแกอายขนาดนี้มาก่อนเลยวะไอศิ ให้ตายเถอะถ้ารู้ว่าน้องกรทำให้ไอศิเขินได้ขนาดนี้ฉันก็คงแหย่มันไปนานแล้วละ”


สิ้นเสียงของพี่วิพี่เตอร์ก็ยื่นมือเข้ามาแทคกับพี่วิทันทีผมรู้สึกว่าสองคนนี้จะเข้าขากันได้ดีมากเกินไปนะครับให้ตายครับ มันไม่ใช่พี่ศิคนเดียวที่อายมากขนาดนี้หรอกครับเพราะว่าผมก็คิดว่าครั้งนี้เรื่องที่ทำให้ผมอายมากที่สุดเหมือนกัน


“เลิกพูดเรื่องนี้สักทีเถอะ วันนี้ที่พวกแกของมาห้องกรูก็เพราะว่าจะมาเชียนรายงานกันไม่ใช่เหรอไงถ้าพวกแกยังขืนพูดมากกว่านี้อีกก็ไสหัวกลับห้องของพวกแกไปเลย” พี่ศิเริ่มอารมณ์เสียเพื่อกลบเกลื่อนความอายส่วนผมไม่มีอะไรมากลบเกลือนความอายพวกนั้น จึงตัดสินใจวิ่งเข้าห้องครัวไปเพื่อหาอะไรมาเสริฟให้พี่ศิและเพื่อน ๆ ทาน


และเมื่อผมเดินออกมาจากห้องครัวทั้งสามคนก็เริ่มหยิบสมุดรายงานขึ้นมานั่งเขียนกันแล้วล่ะครับทุกคนดูหน้าตาเคร่งเครียดกันมาก พี่วิกับพี่เตอร์หยิบเอาอุปกรณ์คู่ตามาใส่ (นั่นก็คือแว่นสายตานั่นเอง) บรรยายกาศโดยรอยของสามคนนั้นเปลี่ยนไปทันทีผมเดินเอาน้ำเปล่าพร้อมกับขนมที่พอหาได้ในควรมาวางไว้บนโต๊ะ พี่ ๆ ทั้งสามคนก็เหลือบตาขึ้นมามองเล็กน้องก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ แทนคำขอบคุณแล้วทั้งสามคมก็นั่งก้มหน้าก้มตาอ่านเลคเชอร์กันบ้างก็ผละไปเขียนเรายงาน


‘คนเรียนหมอนี่ต้องเคร่งเครียดขนาดนี้เลยเหรอ’ ผมพึมพัมเบา ๆ พร้อมกับยืนถือถาดมองพี่ ๆ ทั้งสามคนที่ยังคงนั่งหน้าเครียดกันอยู่ผมยังคงยืนมองอยู่อีกสักพัก ไม่นานนักความเคร่งเครียดในลุ่มนี้ก็หมดไปเริ่มด้วยจากเสียงหวีดร้องของพี่วิที่คร่ำครวญถึงรายงานที่ยังค้างอยู่


“ไม่ ไม่ ไม่!!! ฉันเกลียดเลคเชอร์ ฉันเกลียดรายงาน ศิขา ศิที่รักช่วยหนูวิคนนี้หน่อยได้ไหม” เสียงของพี่วิกรีดร้องพร้อมกับร่างบอบบางกระเถิบไปกระแซะพี่ศิเพื่อออดอ้อน ซึ่งวิธีทีไม่น่าจะใช้ได้ผลกับพี่ศิสักเท่าไหร่นะเพราะว่าพี่เค้ายังคงนั่งก้มหน้าก้มตาอ่านเลคเชอร์และเขียนรายงานต่อไป


พี่วิเบ้ปากใส่พี่ศิที่ไม่คิดจะสนใจเธอเลยสักนิดพร้อมกับสะบัดผมยาวสลวยของตนไปโดนใบหน้าของพี่ศิ


‘อืม…รู้สึกว่าพี่ศิจะเป็นคนที่มีสมาธิสูงมากเลยนะ โดนพี่วิแกล้งมาขนาดนั้นยังนั่งอ่านหนังสือเงียบ ๆ ได้เลย” ผมบ่นพึมพำแต่ดูเหมือนว่าคนที่สมาธิหลุดคงจะไม่ใช่พี่วิคนเดียวแล้วล่ะครับ พี่เตอร์เริ่มไหลตัวเองลงจากโซฟาก่อนจะไปนอนขดตัวและกลิ้งไปมาอยู่อยู่บนพื้นพรม มันช่างเป็นการหลุดจากสมาธิที่แปลกจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นพี่เตอร์หรือพี่วิก็ตาม ตอนนี้พี่วิเริ่มวิ่งวนหาอะไรทำรอบ ๆ ห้อง ส่วนพี่เตอร์ก็เริ่มกลิ้งตัวออกมาจากโซฟาก่อนจะกลิ้งไปแอบนอนที่หลังโซฟา


ผมหลุดขำเบา ๆ กับกิริยาที่ทั้งสองคนทำแต่ดูเหมือนว่าพี่ศิ…จะยังไม่หลุดจากสมาธิเลยสักนิดแหะ ผมยืนมองเขาอยู่นานจนกระทั้งใบหน้าคมนั้นเงยหน้าขึ้นมามองผมพร้อมกับเอ่ยปากเรียกผมให้ไปนั่งที่โซฟา

“กรเหมื่อยไหมมานั่งที่โซฟาก็ได้นะ ยังไงวิกับไอเต๋อร์สติมันคงยังไม่กล้ามาอีกนาน” พี่ศิพูดติดขำ ส่วนผมก็ยกมือขึ้นมาปิดปากเหลือแอบหัวเราะเบา ๆ


ผมเดินตรงไปยังโซฟาตามที่พี่ศิเชื้อเชิญแต่ทันทีที่ผมหย่อนก้นลงไปนั่ง พี่เตอร์กับพี่วิก็เลิกเล่นกิจกรรมตอนที่ตัวเองสติแตกพร้อมกับมานั่งแหมะบนโซฟาเพื่อทำงานต่อ


แต่ก่อนที่พี่วิกับพี่เตอร์จะเริ่มลงมือทำงานพี่ ๆ ทั้งสองคนแอบหันไปกระซิบกระซาบกันเบา ๆ ก่อนทั้งคู่จะเผยรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจออกมา


“เต๋อร์ แกคิดว่าแถวนี้บรรยากาศดูหวานเลี่ยน ๆ มั่งไหมว่ะ” พี่วิพูดพร้อมกับยกแก้วน้ำ (ที่ผมยกมาเสริฟให้เมื่อสักครู่) ขึ้นดื่ม


“อืมม…กรูว่าไม่นะ” พี่เตอร์ปฏิสธออกมาซึ่งทพให้ผมโล่งใจขึ้นมานิดหน่อยที่พี่เตอร์ไม่พูดล้อผมกับพี่ศิ แต่รู้สึกว่าเหมือนผมจะคิดผิดไปเพราะว่าประโยคที่พี่เตอร์พูดถัดไปออกมาแทบทำให้ผมกับพี่ศิพร้อมใจกับผาสิ่งใกล้ตัวเข้าไปปะทะหน้าของพี่เตอร์ทันที “แต่กรูว่า แม่มเหมือนบรรยากาศคู่ข้าวใหม่ปลามันที่เพิ่งแต่งงานกันมากกว่าว่ะ ไอวิ”


ตัวขงผมไถลลงจากโซฟาไปทรุดนั่งที่พื้น ส่วนพี่ศิชะงักมือที่เขียนรายงานทันทีที่ได้ฟังคำพูดของพี่เตอร์จนจบประโยค ซึ่งปฏิกิริยาของผมและพี่ศิที่แสดงออกมานั้นทำให้พี่ ๆ ทั้งสองที่วางแผนกันหัวเราะออกมาแทบตัวงอ พี่วิทรุดลงไปกับพื้นแล้วทุกเบา ๆ ส่วนพี่เตอร์รู้สึกลงจะไปกลิ้งบนพรมพร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงดัง


‘ให้เถอะครับไม่รู้ว่าคนเรียนหมอจะมีนิสัยเฮฮาแบบนี้ได้ นึกว่าจะมีแบบเนิร์ดเคร่งเครียดอย่างเดียวเสียงอีก’ ผมค่อย ๆ ยันตัวขึ้นมานั่งบนโซฟาใหม่พร้อมกับก้มหน้าก้มตาไม่ยอมเงยหน้ามองพี่วิกับพี่เตอร์อีก


บรรยากาศภายในห้องเริ่มเงียบอีกครั้งพร้อมเพราะว่าพี่วิกับพี่เตอร์ที่กลับเข้าสู่สมาธิและนั่งทำรายงานอีกครั้ง


ผมถอนหายใจโล่งอกออกมาพร้อมกับเอนหลังพิงไปที่โซฟา นัยน์ตาทั้งสองข้างของผมเริ่มจะปิดลงพร้อม ๆ กับสติของผมที่จมเข้าสู่ห้วงนินทรา




ไม่รู้ว่าผมนั่งหลับบนโซฟานี้ไปนานเท่าไหร่แต่ที่รู้ ๆ ทันทีที่ผมลืมตาตื่นพี่ ๆ ทั้งสามคนก็อยู่ในครัวพร้อมกับถกเถียงกันเรื่องเมนูอาหารเย็นที่จะทำกันแล้วล่ะครับ


ผมรีบเด้งตัวขึ้นจากโซฟาบนโต๊ะที่วางไว้ตอนนี้รายงานทั้งสามชุดท่าทางจะทำกันเสร็จเรียบร้อยแล้วล่ะมั้งครับผมเดินเข้าไปในห้องครัวพร้อมกับเดินเข้าไปพูดว่า “ขอโทษที่หลับไปนะครับ แต่พวกพี่ ๆ มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ” รุ่นพี่ทั้งสามคนหันมามองหน้าผมพร้อมกับส่ายหัวไปมาเพื่อบอกปฏิเสธ


“กรไปนั่งรอเถอะ เดี๋ยวพวกพี่ทำมื้อเย็นให้กรทานเอง” พี่ศิหันมาตอบผมด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ผมก็แอบหลุดขำออกมาจนได้เพราะใบหน้าของพี่ศิมีบางสิ่งบางอย่างติดอยู่ ‘ไม่รู้สึกเลยนะ คิดว่าน่าจะเป็นเนยล่ะมั้ง’ ผมคิดพร้อมกับน้ำหน้าที่เป็นคนดีเดินหยิบทิชชู่เข้าไปเช็ดคราบเนยที่ติดอยู่บนใบหน้าของพี่ศิออก


“คุณพ่อครัวครับ ไม่สะอาดเลยนะครับมีคราบเนยติดอยู่ที่แก้มแบบนี้” ผมพูดออกไปขำ ๆ พร้อมกับยื่นกระดาษทิชชู่ที่มีคราบเนยติดออกไปให้ดู พี่ศิผงกหัวขอบคุณผมน้อย ๆ ก่อนจะหันกลับไปทำกับข้าวต่อ


การกระทำของผมกับพี่ศินั้นดูเหมือนว่าจะเรียกเสียงแซวจากพี่วิกับพี่เตอร์ได้อีกแล้วพี่ทั้งสองคนแซวผมซะจนผมต้องเดินหนีแต่ผมก็ยังแอบชโงกดูอาหารที่อยู่ในเตาอยู่ว่ามันคืออะไรนะครับ


อาหารเย็นที่ทำจากไข่ นม และเนยท่าทางจะเป็นไข่คนล่ะมั้งผมเคยลองทำทานเองครั้งนึงรู้สึกว่ามันจะทานไม่ได้ถึงจะไม่ไหม้ติดกระทะเหมือนตอนผมทำไข่ดาวแต่มันก็เลี่ยนเสียจนทานไม่ได้ครับ ผมขอสารภาพความจริงเลยแล้วกันถึงผมจะทำขนมเก่งเป็นเลิศจนแทบจะยึดร้านของที่บ้านมาเป็นของตัวเองได้


ทว่าผม….กลับทำกับข้าวไม่เป็นสักอย่างเลยครับทำไม่เป็นแม้กระทั่งไข่ดาวง่าย ๆ แต่ยังดีที่ผมพอต้มน้ำเป็นบ้างก็เลยต้มมาม่ากินในหอเองได้


หลังจากผมแอบชะโงกหน้าดูแล้วว่าเมนูมื้อค่ำนี้คืออะไรผมก็เดินหลบออกมาจากห้องครัวและเดินไปนั่งที่โซฟาอย่างว่าง่าย (ความจริงแล้วผมเดินหนีเสียงล้อเสียงแซวของพี่วิกับพี่เตอร์นั่นละครับให้ตายเถอะมาล้อผมกับพี่ศิแบบนี้ได้ยังไงกับ ผมกับพี่ศิเป็นแค่พี่น้องข้างห้องกันเองนะครับ…เอ่อแต่หลังจากเกิดเรื่องขึ้นเมื่อวานผมมาคิดทบทวนดูแล้ว ผมยอมเลื่อนฐานะของพี่ศิก็ได้ ผมให้พี่เชาเป็นพี่ชายคนสนิทของผมแทนก็แล้วกัน)


ผมกดรีโมตทีวีดูเปลี่ยนช่องไปมาก่อนจะหยุดอยู่ที่ข่าวกีฬาที่กำลังฉายผลของทีมฟุตบอลที่ผมชอบ ‘ว้าวชนะ 2 – 0 แบบนี้เอาไปข่มไอพวกนั้นได้…แล้ว’ ผมมองดูทีวีช่องข่าวกีฬาก็พาลย้วนกลับไปคิดถึงไอพวกนั้นปกติเวลานี้ผมไอเจมส์กับไอบาสมักจะนั่งดูทีวีแล้วแข่งกันข่มเรื่องทีมฟุตบอลที่เราเชียร์กันแต่ตอนนี้ ผม…กลับทำลายช่วงเวลานั้นไปเสียแล้ว


ผมว่างรีโมตทีวีจอแบนลงบนโต๊ะก่อนจะยกข้าทั้งสองข้างของตนขึ้นมากอดแนบอกพร้อมกับซุกใบหน้าลงไปกับเข่า ‘พรุ่งนี้….จะทำยังไงดีนะมีเรียนซะด้วยสิ’ ผมคิดในใจเบา ๆ ตอนนี้ผมไม่รู้สึกเศร้ามากมายอย่างเมื่อวานแล้วล่ะครับ ผมไม่รู้ว่าทำไมผมถึงรู้สึกแบบนั้น แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกอุ่นใจและสบายใจขึ้นเมื่อได้ระบายความทุกข์นั้นให้พี่ศิฟัง ได้หัวเราะกับพี่เขาและได้เขินอายกับคำแซวของพี่วิกับพี่เตอร์


ทั้ง ๆ ที่เมื่อวานหัวใจของผมเต็มไปด้วยความทุกข์และความเศร้าแต่วันนี้มันสิ่งพวกนั้นมันหายไปเหมือนกับความทุกข์พวกนั้นพี่ศิและเพื่อน ๆ ได้มอบความสุขและความสนุกมาทดแทน…ไม่สิพวกพี่ ๆ เขาช่วยปัดเป่าความทุกข์ในใจของผมให้หายไปต่างหาก
ผมนั่งซุกหน้าลงบนเข่าตนเงียบ ๆ ไปสักพักพลันเสียงเรียกชื่อผมก็ดังขึ้น “กรครับอาหารเย็นเสร็จแล้วนะมาทานได้แล้วล่ะ”


“วันนี้เชฟศิเข้าครัวเองเลยนะปกติเห็นชอบซื้อของจากเซเว่นกินวันนี้มาแปลกนะไอศินึกคึกยังไงมาทำกับข้าวกินเองได้” เสียงพี่วิตะคอกใส่พี่ซิ รู้สึกว่าพี่วิจะแค้นพี่ศิมากเลยล่ะครับจากการคาดเดาจากคำพูดของพี่วิท่าทางเวลาพวกพี่ ๆ เขามาที่ห้องของพี่ศิ พี่ศิคงจะไล่ให้ไปซื้อของกินที่เซว่นที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ คอนโดแน่ ๆ เลย ผมแอบหัวเราะคิกคักเบา ๆ ก่อนจะส่งเสียงขานรับพร้อมกับลุกขึ้นวิ่งไปที่ห้องครัว


เราทั้งสามคนจัดการอาหารบนโต๊ะอย่างเรียบวุธ เรียกง่าย ๆ ว่าไม่เหลือแม้แต่ข้าวเมล็ดเดียว ตอนที่พวกเรานั่งกินข้าวเย็นพวกเราก็เล่าเรื่องตลก ๆ ของตัวเองออกมา อย่างพี่ศิเขาเล่าว่าตอนที่เพิ่งเข้าปี 1 มาใหม่ ๆ โดนรุ่นพี่ปี 2 ยกมือไหว้เพราะทุกคนคิดว่าพี่เขาเป็นปีพี่ 3 – 4 ส่วนพี่วิกับพี่เตอร์ต่างเล่าว่าพวกเขาเนี่ยละเป็นดาวกับเดือนของคณะเมื่อตอนปีหนึ่งไปสร้างเรื่องป่วนไว้กับเวทีการประกวดดาวเดือนมหาลัยมาซึ่งทำให้โดนตัดสิทธิอดได้รับรางวันกันไป ส่วนเรื่องราวน่าหัวเราะของผมไม่จำเป็นต้องเล่าก็ได้ล่ะมั้งครับเพราะมันดังไปทั่วมหาลัย มันดังแบบถ้าไม่มีใครรู้เรื่องนี้จะเรียกได้วว่าเชยขนาด และเหมือนพี่วิกับพี่เตอร์จะรู้ดี พี่ทั้งสองคนยกมือห้ามไม่ให้ผมเล่าแต่พี่ทั้งสองคนนั้นดันหัวเราะนำไปก่อนซะแล้ว


หลังจากที่เรื่องคุยบนโต๊ะอาหารหมดลง (จะเรียกได้ว่าถึงเวลาต้องกลับบ้านกลับช่องของตัวเองได้แล้วจะดีกว่าครับ) พวกเราทั้งสี่ก็ช่วยกันทำความสะอาดจานชามทั้งหมดพร้อมกับเตรียมตัวกันกลับบ้านกลับช่องกัน (ส่วนผมก็เรียกได้ว่าได้เวลาอันสมควรที่จะกลับห้องของตัวเองแล้วล่ะครับ)


ผมกับพี่ศิเดินโบกมือให้พี่วิกับพี่เตอร์ที่เดินออกไปจากห้อง ผมรู้สึกว่าพี่วิจะติดรถของพี่เตอร์เข้าไปที่หอในของมหาลัย (พี่ศิบอกผมว่าพี่วิกับพี่เตอร์พักอยู่หอพักนิสิตแพทย์ครับ)


หลังจากที่ผมส่งพี่วิกับพี่เตอร์ไปแล้วคราวนีก็ถึงคราวของผมที่ควรจะเสด็จกลับห้องได้แล้วผมก้าวถอยหลังออกจากห้องของพี่ศิพร้อมกับโบกมือลาพี่เขาไปแต่ก่อนที่ผมจะได้เดินย้อนกลับไปที่ห้องของผมพี่ศิก็คว้ามือของผมเอาไว้พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงประหม่าออกมาว่า


“ถ้าพรุ่งนี้กรให้พี่ไปส่งที่คณะก็ได้นะมันเป็นทางผ่านไปคณะพี่อยู่แล้ว” ผมมองพี่ศิกลับพร้อมกับพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะพูดแหย่พี่ศิต่อไปอีกว่า “พี่สนใจจะไปรับไปส่งกรก็ได้นะพี่ ทุกวันเลยยิ่งดีกรขี้เกียจขับรถไปเอง” ผมพูดพร้อมรอยยิ้มก่อนจะขอตัวเดินกลับห้อง


ประเด็นคือผมไม่ทราบเลยว่าสิ่งที่ผมพูดออกไปนั้นมันกลับทำให้พี่ศิจริงจังจนผมมีสารถีกิตติมศักดิ์ขับรถไปรับไปส่งทุกวัน




ตอนนี้...พี่วิกับพี่เตอร์ น่ารักมาก ส่วนกร... ขี้แยมากค่า
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 7] 16/09/2013 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 16-09-2013 21:56:37
พี่ศิดูแลกรที่กำลังอ่อนแออย่างดี ทำให้กรลืมทุกข์ได้ชั่วคราว
ชอบที่พี่วิกับพี่เต๋อร่วมด้วยช่วยแซว อวยกันไป
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 7] 16/09/2013 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: rainiefonnie ที่ 17-09-2013 02:36:28
พี่ศิ น้องกร น่ารักจัง น้องกรดีกับเพื่อนเร็วๆๆนะ :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 7] 16/09/2013 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ZiiZone ที่ 17-09-2013 03:14:30
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ บอกได้คำเดียวว่า  "ฟินนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน"

 :z13:
จดจ่อ รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 7] 16/09/2013 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 17-09-2013 08:45:00
พี่ศิ น้องกรน่ารักจริงๆ  :-[
ความสัมพันธ์แบบว่าค่อยๆเป็นค่อยๆไป แต่มั่นคง  :L2:
แถมมีกองเชียร์อย่างพี่วิพี่เต๋ออีก  :mew3:

รอตอนต่อไปค่ะ  :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 7] 16/09/2013 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 17-09-2013 11:40:12
พี่ศิน่ารักมาก
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 8] 18/09/2013 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 18-09-2013 20:16:27



Chapter 8


เมื่อผมกล่าวลาพี่ศิและเดินกลับเข้าห้องของตัวเอง สายตาผมก็พลันไปเห็นกุญแจสองดอกที่วางไว้ที่ชั้นรองเท้า  น้ำตาที่ผมคิดว่ามันแห้งเหือดไปแล้วเริ่มไหลรินออกมา แม้มันจะไม่มากมายเหมือนกับเมื่อวานแต่มันก็เต็มไปด้วยความโศกเศร้าไม่แพ้กัน


‘ไอเจมส์...กับไอบาสเอามาคืนสินะ’ ผมพึมพำเบา ๆ ก่อนจะปาดน้ำตาออกจากใบหน้า ตอนนี้ผมเข็มแข็งขึ้นแล้วล่ะครับ ถึงจะมีความเสียใจคั่งค้างอยู่ แต่ผมรู้แล้วว่าสิ่งที่ผมต้องทำในตอนนี้คืออะไร


ผมยืนทำใจอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง เพื่อนำโทรศัพท์มือถือออกมา ผมไล่หาเบอร์เพื่อนสนิททั้งสองของผมก่อนจะกดปุ่มโทรออก


‘สิ่งที่ผมต้องทำในตอนนี้ก็คือ...ผมต้องขอโทษพวกมัน นั่นก็เป็นเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมันเกิดจากความใจร้อนและเอาแต่ใจของผม ผมจะไม่กลัวอีกต่อไปแล้ว ต่อให้ผลที่จะตอบกลับมาเป็นยังไงในเมื่อตอนนี้ผมได้กำลังใจจากคนรอบข้างมาหมดแล้ว ไม่ว่าจะมาจากครอบครัว พี่ศิ พี่วิรวมไปถึงพี่เตอร์(แม้พี่ ๆ สองคนนี้ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับความทุกข์ของผมเลยก็เถอะนะ) ความเศร้าความเสียใจทั้งหมดมันได้ถูกปัดเป่าออกไปหมดแล้ว’ และที่สำคัญจริง ๆ นั่นก็คือคำพูดของพี่ศิที่พูดให้ผมฟัง ก่อนที่ผมจะเดินกลับห้องของตัวเองไป


‘เพื่อนน่ะคือสายสัมพันธ์ที่ตัดยังไงก็ไม่ขาดนะกร’


ผมยืนถือสายโทรศัพท์สักพักไม่นานนัก เสียงของไอเจมส์ก็ดังขึ้น “มีไร” คำพูดของไอเจมส์ที่ดังขึ้นมันสั้นและเรียบง่ายแต่ถ้าคนที่รู้จักมันดีอย่างผมน้ำเสียงแบบนี้มันแสดงถึงความโกรธแต่พยายามอดกลั้นความรู้สึกทั้งหมดไว้อยู่


“เจมส์คือกรู…” ผมเอ่ยชื่อมันแล้วเงียบเสียงลงไป ซึ่งอาการนิ่งเงียบและไม่เอ่ยอะไรต่อของผมนั้น มันทำให้ไอเจมส์ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดขึ้นไปอีกขั้น


“มีอะไรก็รีบพูดมากรูจะแดรกข้าว” เจมส์ตะคอกเสียงตอบกลับซึ่งเสียงนั้นทำให้ผมสะดุ้งเบา ๆ ปกติมันไม่เคยใช้คำพูด หรือใช้น้ำเสียงก้าวร้าวแบบนี้ใส่ผมมาก่อนเลย


แสดงว่า…เมื่อวานซืน สิ่งที่ผมทำมันเลวร้ายไปสินะ คำพูดของผมมันอาจจะทำลายมิตรภาพที่ยาวนานของพวกผมไปแล้วก็ได้มั้ง


“กรูขอโทษ...” ผมพูดเสียงแผ่วเบาริมฝีปากผมเม้มแน่น ผมไม่รู้ว่าไอเจมส์มันจะได้ยินไหม แต่ตอนนี้ผมอยากจะกดตัดสายทิ้งให้รู้แล้วรู้รอดเพราะว่าผมไม่อยากได้ยินคำตอบที่จะออกมาจากปากมันเลย


นั่นก็เป็นเพราะผมกลัวคำตอบที่จะออกมาจากปากของมันกลัวว่ามันจะปฏิเสธและไม่อยากจะเป็นเพื่อนกับผมต่อ ผมเม้มริมฝีปากตัวเองจนเกือบจะเรียกได้ว่าผมกัดปากตัวเองอยู่ ปลายสายยังคงเงียบไปอีกสักพักแต่ไม่นานนัก เสียงถอนหายใจที่ยาวเหยียดของปลายสายก็ตอบกลับมาพร้อมกับคำพูดที่ผมคิดว่าผมจะไม่ได้ยินมันอีกตลอดชีวิตแล้ว


“เฮ้อออออออออออ…จนได้นะมรึงไอกร กรูล่ะเกลียดนิสัยปากหมาของมรึงจริง ๆ แต่ทำไงได้ละ มันเป็นนิสัยของมรึงนี่นะ ไอเกลอ” น้ำเสียงที่ไอเจมส์เอ่ยตอบผมมันอ่อนลงและไม่แข็งกร้าวเหมือนกับประโยคแรกที่มันพูดตอบรับโทรศัพท์ของผม และเสียง ๆ นั้นทำให้ผมแทบจะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง ไม่สิ เสียงของไอเจมส์นั้นทำให้ผมร้องไห้ออกมาแล้วล่ะครับ


“ฮึก...ไอเพื่อนบ้า ไอบ้าไอเจมส์ มรึงแม่มทำกรูร้องไห้” แต่น้ำตาที่ไหลออกมาในคราวนี้ไม่ใช่ความเศร้าโศกหรอกครับมันเป็นน้ำตาแห่งความดีใจต่างหาก


“ที่มรึงต้องขอโทษ ไม่ใช่กรูคนเดียวนะเว้ย ไอขี้แย” เสียงของไอเจมส์พูดตอบกลับ และดูเหมือนว่ามันกำลังจะส่งโทรศัพท์ให้คนที่ผมต้องขอโทษอีกคนหนึ่งไปแล้วล่ะครับ “ไงไอกร หายบ้าช้าไปนะมรึง ปล่อยพวกกรูรอตั้งนาน” น้ำเสียงแห่งความดีใจของไอบาสดังแทรกเข้ามาในโทรศัพท์ และเสียงนั้นทำให้ผมเผลอยิ้มกว้างมากกว่าเก่าออกมา


“ไอบาส...กรูขอโทษ คือกรูมันปากหมาเอง แถม…แถมกรูไม่ยอมฟังอะไรจากพวกมรึงเลย” ผมเอ่ยคำขอโทษซ้ำไปอีกครั้ง และรู้สึกว่าครั้งนี้ไอบาสจะกดเปิดโฟนโทรศัพท์เพื่อให้ไอเจมส์ได้ยินด้วย


“รู้แล้วน่าว่ามรึงรู้สึกผิด เพราะคนปากหนักอย่างมรึงนี่ไม่ยอมพูดขอโทษง่าย ๆ หรอก ถ้ามรึงไม่รู้สึกผิดจริง ๆ” เสียงไอเจมส์แทรกเข้ามาพลางสลับเสียงของไอบาสที่พูดพร่ำออกมาด้วยความดีใจ “แม่มไอกรรู้ไหม...กว่ากรูจะทำใจวางกุญแจคอนโดของมรึงได้นี่ใช้เวลานานขนาดไหน ดังนั้นพรุ่งนี้มรึงจงเอากุญแจของกรูมาคืนกรูด้วยนะครับ ไอคุณเพื่อนกร” เสียงโหยหวนของไอบาสทำให้ผมหัวเราะออกมาเบา ๆ เพียงแต่ว่าคำพูดต่อประโยคต่อไปของไอบาสกลับทำให้ผมรู้สึกสะอึกออกมา “เออ แต่ไอกรเมื่อกลางวันที่พวกกรูเอากุญแจของมรึงไปคืน ตอนนั้นมรึงอยู่ไหนวะ”


“เอ่อ…” ผมเงียบเสียงลงและไม่คิดจะเอ่ยปากตอบพวกมันสองคนไปแต่ดูเหมือนว่าปฏิกิริยาของผมนั้นจะทำให้ไอเพื่อนสองคนนี้รู้ความจริงซะแล้วสิ


“มรึงเงียบแบบนี้ แสดงว่าไปร้องไห้ซบอกใครอีกสินะไอขี้แย” เสียงของไอเจมส์พูดนิ่งสนิทมันพูดออกมาแบบทำให้ผมเดาท่าทางของมันขณะตอนที่มันพูดออกเลยครับ สภาพตอนนี้ของมันคงยืนกอดอกพร้อมกับใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจ


“เรื่องของกรูน่า” ผมพูดปัด ๆ มันไป แต่ว่าพวกเพื่อนสองคนนั้นมันไม่ยอมหยุดซักถามมันยังคงใช้คำพูดเย้าแหย่ผม ให้ผมยอมเผยความจริงว่าผมแอบไปร้องไห้ใส่ใครออกมา


“ตายล่ะ…คราวนี้เป็นคนสำคัญที่บอกไม่ได้งั้นเหรอ คงไม่ใช่กานต์ด้วยสินะเพราะกานต์โทรมาบอกว่าแกไม่ให้กานต์เข้าไปหาที่คอนโด แถมตอนกานต์พูดนี่ เสียงของกานต์เหมือนคนจะร้องไห้เลยนะมรึง งานนี้มรึงเสร็จอาจารย์ธาราแน่” ประโยคนี้เป็นเสียงของไอบาสครับ มันแหย่ผมพร้อมกับพูดขู่ผมเพราะผมดันไปปฏิเสธความหวังดีของกานต์เข้า ซึ่งการกระทำนั้นของผมทำให้กานต์รู้สึกกังวลมาก


ไอตอนนั้น ผมก็ลืมนึกถึงผลลัพธ์ที่จะส่งผลกลับมาหาผม แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกว่าผมอาจจะตายในวันพรุ่งนี้ หรือมะรืนนี้ก็ได้นะครับ เล่นไปทำร้ายจิตใจของไข่ในหินอย่างกรกานต์เข้า ผมคงต้องโดนสายตาเย็นชาของอาจารย์ธาราทำร้ายแน่นอน ไอกรนะไอกร ทำไมไม่คิดก่อนพูดวะตอนนั้น


ผมคร่ำครวญในใจ แต่ไม่ทันที่ผมจะได้เอ่ยพูดอะไรต่อไปเสียง ๆ หนึ่งที่ผมคุ้นเคยมา ตั้งแต่เด็กก็ดังขึ้นและเสียง ๆ นั้นก็ทำให้ผมรีบกดตัดสายจากไอสองคนนั้นทิ้งทันที


มันเป็นเสียงของคนที่ผมไม่อยากได้ยินมากที่สุด...เสียงของไอไฮซ์ ผมกำโทรศัพท์มือถือของตัวเองเอาไว้แน่นพร้อมกับเดินเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง


‘หวังว่าพรุ่งนี้จะเป็นวันที่ดีกว่าวันนี้นะ’ ผมพึมพำเบา ๆ พร้อมกับถลาตัวไปที่เตียงแล้วหลับตาลง




อรุณสวัสดิ์ครับ วันนี้เป็นเช้าวันจันทร์ ซึ่งเป็นวันเริ่มต้นของอาทิตย์ใหม่ และเมื่อสองสามวันก่อนผมนั้นได้เจอกับโจทย์เก่า และทำให้ผมทะเลาะกับเพื่อนสนิททั้งสองคนเข้า และคนที่ช่วยให้ผมเคลียร์ปัญหากับเพื่อนได้นั่นก็คือ พี่ศิ หรือ นิสิตแพทย์ที่มีนามว่า ศิรวิทย์ ซึ่งตอนนี้…ผมกำลังนั่งหาววอด ๆ อยู่ในห้องของพี่ศิเขาครับ


วันนี้พี่ศิเดินไปเคาะประตูห้องผมตั้งแต่ตีห้าครึ่ง โดยเวลานั้นยังคงเป็นเวลานอนของผมครับ (ปกติผมจะตื่นสักเจ็ดโมงและออกเดินทางจากคอนโดในเวลา 7.30 ครับ) ผมเดินสะลึมสะลือออกไปเปิดประตูพร้อมกับร่างที่โดนพี่ศิฉุดให้เดินเข้าไปในห้องพี่เขาอย่างงง ๆ ครับ และตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเช้าซึ่งเป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับการทานอาหารเช้า (ที่พี่ศิเขาบอกผมครับ) และตรงหน้าของผมตอนนี้เป็นเบรคฟัสต์ฝีมือพี่ศิครับ


ไอตัวผมเนี่ย อยากจะบอกพี่ศิไปว่าเช้าขนาดนี้ ผมกระเดือกอะไรไม่ลงหรอกครับ แต่ทันทีที่เห็นใบหน้าคมที่ยิ้มแย้มกับการตั้งใจทำอาหารมื้อเช้าให้ผม (ที่มักจะกินแต่อาหารสำเร็จรูปเป็นข้าวเช้าทุกวัน) ผมก็พูดไม่ออก และจำใจนั่งทานอาหารเช้าที่พี่เขาทำให้


พี่ศิดูจะเป็นพ่อบ้านพ่อเรือนที่ดีน่าดู  ใครได้พี่ศิไปเป็นสามีนี่คงโชคดีไปสิบชาติล่ะครับ ทั้งเอาใจใส่ ทั้งเข้าใจ ทั้งอ่อนโยน และเป็นสุภาพบุรุษ


สงสัยหลังจากวันนี้ ผมผมคงต้องวิ่งมาฝากท้องที่ห้องของพี่ศิบ่อย ๆ แล้วล่ะ  จะได้ประหยัดค่าอาหารไปได้อีกมื้อหนึ่ง ผมไม่ได้งก หรือหน้าเลือดเลยนะครับ  ผมแค่หาหนทางที่ประหยัดกระเป๋าเงินผมให้ได้มากที่สุดเองนะครับ


ผมนั่งจิ้มไส้กรอกชิ้นสุดท้ายใส่ปาก พร้อมกับลูบพุงตัวเองเบา ๆ เพื่อบ่งบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าตัวของผมนั้นได้อิ่มแล้ว พี่ศิหันมามองผมด้วยรอยยิ้ม และเอื้อมมือมาเก็บจานที่ว่างเปล่าตรงหน้าผม


“หวา...พี่ศิเดี๋ยวกรทำเอง อุตส่าห์เลี้ยงข้าวกรเนี่ย” ผมรีบเอื้อมมือไปคว้าจานอีกฝั่งเอาไว้ (เพราะด้วยมารยาทของแขกผู้มาเยือนที่ดี และกินข้าวของเจ้าบ้านซะเรียบ ดังนั้นก็ต้องมีการทำอะไรตอบแทนกันซะหน่อย)


ผมกับพี่ศิยื้อแย่งจานใบนั้นกันอยู่สักพัก ราวกับว่ามันเป็นของมีค่ามากสำหรับตัวเอง แต่ในเมื่อพี่ศิไม่ยอมให้ผมล้างผมก็เลยตัดสินใจปล่อยมือของตัวเองออกจากจาน ทว่าพี่ศิก็มีความคิดเช่นเดียวกับผมเราทั้งสองคนปล่อยมือออกจากจานใบนั้น  สภาพการณ์แบบนั้น คิดว่าจานใบนั้นจะหลงเหลือสภาพให้เรียกว่าจานไหมล่ะครับ ถ้าคุณคิดว่าไม่ เช่นนั้นคุณก็คิดถูกครับ เพราะทันทีที่จานกระทบลงกับพื้นมันก็แปรสภาพจากจานสวยหรูดูดีมีราคากลายเป็นเศษขยะอันตรายที่สามารถทำให้เราบาดเจ็บได้ทันที ผมรีบยกมือขึ้นไหว้เพื่อขอโทษพี่ศิ ซึ่งพี่ศิก็ไม่ได้ว่าอะไรกับการที่ผมนั้นได้ทำจานแตก
 

“…กรขอโทษพี่ศิ หวาย..จานตกแตกหมดเลย” ผมรีบก้มลงเก็บเศษจานที่แตกกระจายอยู่บนพื้น ซึ่งพี่ศิก็ทำเช่นเดียวกันกับผม แต่มันไม่มีโมเมนต์หวานแหววแบบบังเอิญแตะมือกันระหว่างเก็บจานที่ทุก ๆ คนหวังกันไว้หรอกครับ เราทั้งคู่ช่วยกันเก็บเศษจานที่กระจายอยู่บนพื้นเสร็จ พี่ศิก็ไล่ให้ผมไปอาบน้ำเตรียมตัวไปมหาลัย


ผมรีบสาวเท้าเดินออกไปจากห้องของพี่ศิ พร้อมกับก้มตัวเพื่อแสดงการขอบคุณสำหรับอาหารมื้อเช้านี่อีกครั้ง “ขอบคุณสำหรับมื้อเช้าสุดอร่อยนะครับ พี่ศิ” ผมกล่าวด้วยรอยยิ้มก่อนจะวิ่งหนีเข้าไปในห้องของตนเองเพื่อไปเตรียมตัวไปมหาวิทยาลัย


ผมอาบน้ำและแต่งตัวอยู่ภายในห้องของผม ซึ่งตัวผมนั้นเป็นคนอาบน้ำไวทำอะไรไว ดังนั้นเวลาที่ผมอาบน้ำผมจะใช้เวลาเพียงแค่ 10 นาที และอีก 10 นาทีสำหรับการแต่งตัวและเซทผม ซึ่งสภาพผมตอนนี้เรียกได้ว่าเพอร์เฟคครับ เสื้อนิสิตเรียบร้อย กางเกงสแลคเรียบร้อย ทรงผมเรียบร้อย…แต่หน้าผมไม่เรียบร้อย เพราะที่มุมปากของผมยังมีรอยช้ำจาง ๆ จากร่องรอยหมัดของไอเจมส์อยู่ แต่มันก็ช่วยไม่ได้ ไอผมจะเอารองพื้นทาทับ ในห้องผมมันก็ไม่มี  ดังนั้นผมจึงวิ่งไปที่ห้องนั่งเล่นพร้อมกับวิ่งไปเปิดกล่องพยาบาลที่วางอยู่บนชั้นและหยิบพลาสเตอร์มาหนึ่งแผ่นเพื่อนำไปใช้ปิดบังรอยช้ำที่มุมปาก


ผมยื่นหน้าตัวเองเข้าไปในกระจกพร้อมกับพร่ำชมตัวเองอยู่ในใจว่า ‘ลุคนี้ก็ดูแบดบอยดีเหมือนกันแฮะ’ ผมยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ พร้อมกับเดินออกจากห้องทันทีที่มีเสียงเคาะประตูเกิดขึ้น


“เสร็จแล้ว ๆ เสร็จแล้วครับ พี่ศิอย่าเร่งกรสิ มาปลุกกรแต่เช้าแล้วยังมาขัดเวลาเสริมหล่อของกรอีกเหรอ” ผมตะโกนจากในห้องตอบพี่ศิไป ก่อนจะเปิดประตูคอนโดออกไปเผชิญหน้ากับพี่เขา


ตอนนี้เวลาใกล้จะ 7 โมงเช้าแล้วล่ะครับ ซึ่งช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่สมควรจะออกไปเดินรับวิตามิน D สุด ๆ (เพราะถ้าออกไปเดินช้ากว่านี้ อาจจะเป็นมะเร็งผิวหนังแทนได้ครับ) แต่ผมก็ไม่ได้เดินไปตากแดดรับวิตามินอะไรพวกนั้นหรอก  นั่นก็เป็นเพราะว่าผมกับพี่ศิ…ขับรถไปเรียนกันครับ ไม่ได้เดินไปเรียน แต่ที่ผมพูดเรื่องนี้ออกมาพอดีผมอยากพูดให้ทุกคนฟังเท่านั้นเองหละครับ ไม่มีอะไรมากกว่านี้


ผมเดินออกไปตามเสียงเรียกของพี่ศิ เมื่อทันทีที่ประตูห้องของผมเปิดออกรอยยิ้มสว่างไสวของพี่ศิก็ส่งมาให้ผม คราวนี้ทำไมผมรู้สึกว่ารอยยิ้มของพี่ศิจะดูเจิดจ้าและดีใจแบบแปลก ๆ  แบบนี้ละ ผมมองรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจของพี่ศิแต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากถามอะไร ผมจัดการล็อคประตูห้องของตัวเองพร้อมกับเดินนำพี่ศิไปยังลานจอดรถ


ผมเดินตรงไปยังรถของผมและเตรียมจะควักรีโมตกุญแจขึ้นมาปลดล็อครถ แต่ผมก็ไม่ได้ทำตามอย่างที่ใจหวัง พี่ศิก็เดินมาสะกิดแขนผม และลากผมไปยังหน้ารถของพี่เขา ผมเหลือบตามองพี่ศิด้วยสายตางุนงง แต่พี่ชายสุดหล่อของผมนาม ศิรวิทย์ก็ไม่ได้ทำให้ผมสงสัย หรือตงิดใจนาน  ริมฝีปากหนาคลี่ยิ้มพร้อมกับเอ่ยเชิญให้ผมขึ้นรถคันงามขอเขา


“ขึ้นรถสิกร เมื่อคืนพี่บอกกรแล้วไงว่าพี่จะไปส่งกรที่มหาลัย” เหมือนคำพูดนั้นจะทำให้ผมนึกย้อนไปถึงเรื่องราวเมื่อคืนได้ ผมพยักหน้าตอบรับพี่เขาและยอมขึ้นรถของพี่ศิไป ซึ่งผมก็ไม่ได้คาดคิดว่าการที่พี่ศิขับรถไปส่งผมที่คณะ มันจะทำให้เกิดข่างลือแปลก ๆ อะไรขึ้นมาอีกรอบ (แต่อย่าหาว่าผมใจง่ายเลยครับ…ผมแต่อยากจะประหยัดค่าน้ำมันรถ ค่ากับข้าวเท่านั้นเองเลยใจง่ายยอมไปกับพี่เขาง่าย ๆ)


ผมนั่งคาดเข็มขัดเรียบร้อยอยู่ในรถของพี่ศิ ซึ่งผมก็นั่งทำตาแป๋วแหว๋วรอให้คุณพี่ชายที่รับตำแหน่งเป็นสารถีจำเป็นขับรถพาผมไปส่งในที่มหาลัย แต่ด้วยความง่วงทั้งหมดที่มีอยู่ในตัว แม้มันจะใช้เวลาเพียงชั่วครู่หนึ่งก็ถึงมหาลัย ผมก็ยังเผลอหลับไปจนได้
ถ้าพวกคุณหาว่าผมขี้เซานะครับ ผมแนะนำให้ไปว่าพี่ศิเขาเพราะนั่นเป็นต้นเหตุให้ผมง่วงนอนมากขนาดนี้ ใครใช้ให้มาปลุกผมตอนตีห้าครึ่งกัน(วะ)ครับ


เมื่อรถเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้คณะวิศวกรรมศาสตร์ พี่ศิก็สะกิดผมเพื่อปลุกให้ผมตื่น ซึ่งผมก็ตื่นตามที่พี่เขาปลุกนั่นล่ะแต่เหมือนคนยังไม่ตื่นดี ผมสะลึมสะลือเดินรถจากรถของพี่เขาไป และยกมือไหว้เพื่อเป็นการขอบคุณ แต่ก่อนที่ผมจะปิดประตูรถไปนั้นเสียงของพี่ศิก็เอ่ยออกมาเพื่อบอกอะไรผมสักอย่าง แต่ตอนนี้ผมไม่สามารถจูนสติให้รับฟังคำพูดของพี่ศิได้อีกแล้วผมปิดประตูไปเสียงดังและเดินสะโหลสะเหลเข้าใต้ตึกคณะไป


ชายหนุ่มที่ยังคงนั่งอยู่ในรถได้แต่ส่ายหัวไปมาเบา ๆ ก่อนจะพึมพำกับตัวเองว่า “แค่จะบอกว่าวันนี้พี่ไม่มีเวรไว้พี่ขับรถมารับแล้วกลับคอนโดพร้อมกันเท่านั้นเอง” ชายหนุ่มร่างสูงยิ้มกับท่าทางหนุ่มรุ่นน้องที่แสดงออกมา แต่ก็ปล่อยให้มันเลยตามเลยไว้ให้กรรู้ทีเดียว ตอนที่เขาขับรถมาเทียบหน้าประตูทางออกของคณะกรเลยก็แล้วกัน


ชายหนุ่มไหวไหล่เล็กน้อย ก่อนจะขับรถออกไปจากที่แห่งนี้



v
v
v
v
v
v
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 8] 18/09/2013 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 18-09-2013 20:20:24


ผมเดินสะโหลสะเหลเข้ามาในคณะพร้อมกับหิ้วตัวเองไปยังโต๊ะม้าหินอ่อนเจ้าประจำที่ผมและเพื่อน ๆ นั้นชอบมานั่งกันอยู่ตรงนี้บ่อย ๆ ผมฟุบหน้าลงไปกับโต๊ะพร้อมกับปล่อยสติให้เลื่อนลอยไปเข้าเฝ้าพระอินทร์อีกครั้ง


ผมไม่รู้ว่าช่วงเวลาที่ผมนอนหลับนั้นมันผ่านไปกี่นาที แต่ผมก็ตื่นขึ้นมาทันเข้าเรียนตอนเช้าซึ่งเป็นเวลา 8 โมงพอดิบพอดี ซึ่งการตื่นนอนของผมนั้นเกิดจากการปลุกของเพื่อน ๆ ที่รักยิ่ง ซึ่งวิธีการปลุกของพวกมันไม่ได้พิสดาร หรือแปลกประหลาดเลยแต่มันกลับสร้างความเจ็บปวดให้ผม…เพราะพวกมันประเคนฝ่ามือนับสิบใส่หัวของผม และลากคอผมขึ้นลิฟท์ของมหาลัย และโยนผมเข้าไปนั่งในห้องเรียนแบบมึน ๆ


ซึ่งผมพยายามจะหันไปโวยวายกับสหายทั้งหลายของผม แต่ก็ไม่ทันซะแล้วล่ะครับ เพราะว่าสไลด์แผ่นแรกได้ถูกฉายไปยังโปรเจคเตอร์ซะแล้ว และคนตั้งใจเรียนอย่างผมจะไม่ตั้งใจจดเลคเชอร์พวกนั้นได้ยังไง  ผมควงปากการอบหนึ่งก่อจะใช้สกิลขั้นสูงสุดจดเลคเชอร์ด้วยความรวดเร็ว


และแล้วเวลาก็ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงครึ่ง คาบแรกของวันนี้ก็ได้จบลงไปแล้วครับ ผมนอนสิ้นสภาพอยู่บนโต๊ะเลคเชอร์พร้อมกับเพื่อน ๆ ที่เข้ามามุงเพื่อแย่งเลคเชอร์จากผมเอาไปถ่ายเอกสารเสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นทั่วทั้งห้อง แต่สภาพตอนนี้ผมโคตรอยากนอนเลยครับ โคตรอยากนอน กระทั่งไอเจมส์และไอบาสเข้ามานั่งข้าง ๆ (ไอสองคนนี้มันมาไม่ทันคาบแรกครับ) ผมยังไม่รู้สึกถึงความอยากที่จะหันไปทักทายมันเลยครับ


แต่รู้สึกว่าพวกมันน่าจะทนไม่ไหวกับความเงียบที่ผมมอบให้มันทั้งสองคนก็ประเคนฝ่ามือลงบนหัวผมจนผมต้องสะดุ้งตัวตื่นขึ้นมา
“เชี่ยเจมส์ เชี่ยบาส...ปล่อยให้กรูนอนเถอะ กรูง่วง” ผมพูดและแทบจะยกมือไหว้พวกมันทั้งสองคน…ผมให้พวกคุณเดาแล้วกันว่าเพื่อนทั้งสองคนมันจะเห็นใจผมไหม ถ้าคุณตอบว่าเห็นใจ…คุณคิดผิดครับเพราะมันทั้งสองคนไม่เห็นใจผมที่ง่วงนอนมากจนแทบจะหลับได้ตลอดเวลาอย่างผมหรอกครับ


“ไม่ต้องมาบ่นว่าง่วงนอน มรึงบอกมาซะดี ๆ มรึงไปร้องไห้ซบอกใคร” ไอบาสพูดขึ้น แต่ยังดีที่มันเบาเสียงของมันลงจนแทบจะกลายเป็นเสียงกระซิบ (ที่พวกผมต้องกระซิบคุยกันแบบนี้ เพราะว่าไม่มีใครรู้นิสัยง้องแง้งแบบนี้ของผม(นอกจากเพื่อนจากโรงเรียนเดียวกันของผม) พวกมันทั้งสองคนก็เลยต้องกระซิบคุยกัน)


“…ไว้กรูหายง่วงก่อน กรูจะเล่า ตอนนี้พวกมรึงปล่อยให้กรูนอนก่อนเถอะ กรูขอร้อง กรูง่วง” ผมพึมพำตอบมันไปแม้ว่าผมจะโดนมันตบหัวกันไปคนละทีสองทีแล้วก็เถอะ แต่ผมก็ยังไม่หายง่วงนอนอยู่ดี


“พวกกรูไม่ให้มรึงนอนครับ บอกพวกกรูมาก่อนว่ามรึงไปขอให้ใครช่วยปลอบมรึง กานต์ก็ไม่ใช่ พวกกรูก็ไม่ใช่ ยิ่งพ่อแม่มรึงยิ่งแล้วใหญ่ สารภาพมาซะมรึงไปร้องไห้กับใครมา” ผมอยากจะร้องไห้ครับ เพื่อนรักทั้งสองมันดันอยากรู้เรื่องราวของผมมากกว่าห่วงเรื่องสุขภาพของผมซะอีก


“คนที่พวกมรึงก็รู้จักน่า” ผมสะลึมสะลือตอบมันไป แต่คำตอบของผมก็ยังไม่คลายความสงสัยให้กับพวกมันสองคน


“คนที่พวกกรูรู้จักมีน้อยมากเลยเนอะ มรึงบอกเจาะจงหน่อยดิ ถ้าไม่อยากให้พวกกรูเดาก็บอกมา ถ้ายอมบอก กรูยอมให้มรึงนอนยาวยันสี่โมงเย็นเลยเอา” ไอบาสเร่งเร้า ซึ่งผมก็เริ่มรำคาญเต็มทนแล้วครับ คนแม่มง่วง ๆ อยากจะนอนหลับให้เต็มอิ่ม แต่ดันไม่ได้หลับสมใจ และสภาพผมตอนนี้ไม่ได้มีสติครบครันอะไรหรอกครับ เข้าเฝ้าพระอินทร์ไปเกินครึ่งแล้วครับ ดังนั้นต่อให้มันเป็นเรื่องที่สมควรจะเป็นความลับมากขนาดไหน ผมก็ไม่สนแล้วครับ


สิ้นเสียงของไอบาสพูดจบ ผมก็ตะโกนสวนมันออกไปแทบจะทันที ไอเพื่อนสองตัวนี้หน้าเหวอ ส่วนคนอื่น ๆ หันมามองที่ผมด้วยความตกใจ “ที่มรึงไม่เห็นกรูอยู่ที่ห้องเพราะกรูไปนอนห้องพี่ศิเว้ย แค่นี้พอใจแล้วใช่ไหมวะ ทีนี้ก็ปล่อยให้กรูนอนสักที กรูง่วงเว้ย”


เมื่อผมเอ่ยออกไปจนจบประโยค ผมก็ทรุดตัวนั่งลงพร้อมกับฟุบหน้าลงไปกับโต๊ะเพื่อหลับต่อ ซึ่งในตอนนั้นผมไม่ได้สงสัย หรือคิดอะไรเลยว่าการที่ผมพูดออกไปแบบนี้จะทำให้ทุกคนเข้าใจผิดเรื่องผมกับพี่ศิไปมากกว่าเก่า


เวลาน่าจะผ่านไปสักสามคาบได้แล้วครับ ตอนนี้ผมกำลั่งนั่งทานข้าวกลางวันอยู่ในโรงอาหารของคณะวิศวะครับ ซึ่งสายตาของทุกคนในโรงอาหารนี้ทำไมมันถึงจ้องมองมาที่ผมจังเลยวะ


ช่วงที่ผมง่วงนอน (ถ้าให้พูดตรง ๆ คือช่วงที่ผมกำลังนอนหลับ) มันเกิดอะไรขึ้นเหรอวะเนี่ย หรือทุกคนตกใจที่ใบหน้าอันแสนเพอร์เฟคของไอคุณน้องกรคนนี้มีรอยแผล โอ้ว...สงสัยรอยแผลบนใบหน้าจะทำให้ทุก ๆ คนใจสลายสินะครับ เรื่องนี้กรจะไม่ยุ่ง ถ้าอยากยุ่ง ให้ไปหาไอเจมส์ที่มันดันมาต่อยมาหน้าผมครับ แต่ไอบาสมันก็ทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์ความคิดที่ตัวเองมโนขึ้น เพราะมันเอื้อมมือมาแตะที่บ่าผมเบา ๆ พร้อมกับกระซิบเบา ๆ ที่ข้างหูผมว่า “แดรกข้าวเสร็จไปที่ประจำ เดี๋ยวกรูเล่าให้ฟังว่ามรึงเจือกไปทำอะไร และทำไมทุกคนถึงมองมรึงกันแบบนี้” ผมหันหน้าไปมองไอบาสน้อย ๆ ก่อนจะพยักหน้าตอบรับในสิ่งที่ไอบาสนัด


สิ้นเสียงของไอบาส ผมก็รีบจัดการยำมาม่าเจ้าดังของมหาวิทยาลัยทันที เวลานั้นผ่านไปไม่เกิน 2 นาที ยำมาม่าเจ้าดังก็เกลี้ยงจาน รวมไปถึงชานมน้ำผึ้งไข่มุกที่หมดแก้วไปพร้อม ๆ กัน หลังจากผมกินเสร็จผมก็รีบวิ่งแจ้นไปเก็บจานพร้อมกับลากแขนของไอบาสและไอเจมส์ไปยังที่ประจำของพวกผม (เรียกง่าย ๆ ว่ามันเป็นที่สิงสถิตของพวกผมเลยก็ได้ครับ ถ้าอยากหาผมให้มาที่โต๊ะนี้ รับรองว่าเจอผมแน่นอน)


ผมทรุดตัวนั่งลงบนม้าหินอ่อม พร้อมกับกอดอกมองเพื่อนทั้งสองพร้อมกับส่งสายตาร้องขอความจริงจากปากพวกมันว่าหลังจากที่ผมหลับไปแล้ว (หรือก่อนที่ผมจะหลับ) มันดันเกิดเรื่องเชี่ยอะไรขึ้น แล้วทำไมทุกคนทั้งคณะถึงมองผมด้วยสายตาแบบนั้นกัน


“กร มรึงจำเรื่องที่มรึงตะโกนใส่พวกกรูเมื่อเช้าได้หรือเปล่า” เสียงไอเจมส์เอ่ยขึ้นพร้อมกับยืนกอดอกมองผมด้วยสีหน้านิ่งสนิท (ซึ่งผมรู้ว่ามันเก๊กครับ แล้วทำไมถึงรู้น่ะเหรอ ดูแววตามันสิครับ สั่นระริกเหมือนกับคนที่กำลังกลั้นหัวเราะอยู่)


“กรูว่ากรูไม่ได้พูดอะไรนะครับ คุณเพื่อนเจมส์” ผมตอบไอเจมส์ด้วยน้ำเสียงและสีหน้าแอ๊บแบ๊ว ซึ่งแน่นอนไอเจมส์มันก็เอื้อมมือมะเหงกใส่หัวผมหนึ่งที  ข้อหาที่ผมกวนประสาทใส่มัน ผมได้แต่กุมหัวตัวเองเบา ๆ และทำตัวเจียม ๆ นั่งฟังเรื่องที่ไอเจมส์และไอบาสเล่าออกมา


“ไอกร มรึงน่ะหาเรื่องใส่ตัวเอง มรึงก็น่าจะรู้ตัวอยู่แล้วว่ามรึงเป็นข่าวกับพี่ศิอยู่  ถึงมันจะซาลงไปแล้วก็เถอะ แต่มรึงก็ไม่ระวังตัวเองเลยว่ะ ถึงพวกกรูจะจับมรึงใส่สะ…” เสียงของไอบาสเงียบเสียงลงพร้อมกับฝ่ามือของไอเจมส์ที่เอื้อมมือไปตะครุบปากของไอบาสพร้อมกับพูดแทรกขึ้นมาแทนไอบาสทันที


“ไอกร เมื่อเช้ามรึงตะโกนบอกพวกกรูว่ามรึงไปนอนห้องพี่ศิมา” ผมพยักหน้ารับคำมัน แต่ผมก็ไม่ได้คิดว่ามันจะเกี่ยวกับพี่ศิตรงไหน ผมจึงตัดสินใจยกมือขึ้นเหมือนขอเวลานอกพร้อมกับเอ่ยคำถามที่ตนเองสงสัยออกไป “แล้วเรื่องที่กรูโดนมองเกี่ยวอะไรกับพี่ศิวะ”


“เฮ้อออ…เพื่อนกรูโง่หรือว่าซื่อบื้อวะ” ไอเจมส์พูดพร้อมกับส่ายหัว  ส่วนไอบาสมันทรุดลงไปนั่งกับพื้นพร้อมกับเอ่ยคำพูดด่าผมเบา ๆ “ไอเชี่ยกร ไอซื่อบื้อเอ้ย”


“พวกมรึงเลิกว่ากรูแล้วเล่าทั้งหมดพร้อมอธิบายให้กรูฟังทีดิว่าที่กรูไปนอนห้องพี่ศิ แล้วแม่มเกี่ยวอะไรกับการที่คนทั้งโรงอาหารมองกรูเป็นตาเดียวแบบนั้นวะ” ผมยังคงเอ่ยปากถามพวกมันซ้ำซึ่งไม่ทันที่พวกมันจะได้พูดอะไรต่อโทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้น พร้อมกับหน้าจอที่ระบุว่าใครโทรมา


‘เจ้น้ำหวาน’ ผมมองชื่อ ๆ นั้นด้วยสายตางุนงงแต่ก็คงกดรับโทรศัพท์ไป


“สวัสดีครับเจ้  มีอะไรให้หลานรหัสสุดหล่อคนนี้รับใช้เหรอครับ” ผมกรอกเสียงลงไปอย่างรวดเร็วโดยปลายสายได้แต่ส่งเสียงหัวเราะเบา ๆ ออกมาเป็นคำตอบ


ทุกท่านคงสงสัยเจ้น้ำหวานเป็นใครน่ะเหรอครับ เจ้น้ำหวานเป็นปู่รหัสผมเองครับ…ไม่ต้องสงสัยนะครับว่าทำไมผมเรียกแกว่าเจ้น้ำหวาน และทำไมแกถึงเป็นปู่รหัสของผม เหตุผลง่าย ๆ เลยนะครับ เพราะว่าเจ้น้ำหวานเป็นผู้ชายน่ะสิครับ ชื่อจริงของแกนั้นแมนสุด ๆ โดยปู่รหัสของผมคนนี้ชื่อจริงว่านายสาละวินครับ และชื่อเล่นของเจ้แกคือ วิน (ชื่อนี่ฟังดูแล้วแข็งแกร่งเอาเรื่อง เป็นแม่น้ำที่ใหญ่ที่รวมทั้งชื่อเล่นที่แปลว่าผู้ชนะแล้ว ถ้าเป็นผู้ชายแท้คงชอบชื่อนี้ไม่หยอก) แต่มันไม่ใช่กับเจ้น้ำหวานของผมนี่สิครับ เจ้น้ำหวานเธอร้องขอคุณพ่อคุณแม่ว่าขอเปลี่ยนชื่อจริงให้สาวสำอางมากกว่านี้ แต่พ่อแม่ของเจ้แกไม่ยอมครับ  แกเลยจัดการเปลี่ยนชื่อเล่นตัวเองแทนครับ จากวินกลายเป็นน้ำหวานจนถึงทุกวันนี้


“กร ตอนนี้กรอยู่ไหนจ๊ะ พอดีวันนี้เจ้ได้ยินอะไรมา เจ้เลยอยากเจอหน้ากรแล้วถามอะไรนิดหน่อยน่ะจ่ะ ตอนนี้กรว่างไหมเอ่ย เจ้จะได้ไปหากรเลย” เสียงของเจ้น้ำหวานนี่จัดได้ว่าเป็นสาวประเภทสองที่นุ่มนิ่มและหวานมากครับ (ถึงเสียงจะหวานไม่เท่ากานต์ก็เถอะ) แต่ไม่ใช่ว่าเจ้แกจ ะทำเสียงแมนไม่ได้นะครับ อย่าให้แกแอ๊บเป็นพี่ว้ากเชียว รับรองปีหนึ่งไฮเปอร์ขึ้นกันกระจาย


“กรว่างครับ ตอนนี้กรอยู่ที่กับไอเจมส์กับไอบาสที่โต๊ะประจำของกรน่ะครับ” ผมตอบเจ้น้ำหวานไปตามความจริง ส่วนเพื่อน ๆ ทั้งสองคนของผมตอนนี้มันแทบจะกัดลิ้นตายกันทันที เมื่อผมบอกเจ้น้ำหวานไปว่าพวกมันอยู่กับผม


“อ๋อเหรอจ้ะ กรตอนนี้เจ้อยู่ใกล้ ๆ ที่ที่กรอยู่พอดี เดี๋ยวอีกไม่เกิน 5 นาทีเจ้จะไปหานะ อย่าลืมบอกน้องเจมส์กับน้องบาสด้วยวว่าเจ้น้ำหวานคิดถึงทั้งสองคนมาก” และเหตุผลที่ไอเพื่อนสองคนของผมนั้นอยากจะกัดลิ้นตายกันทันที เพราะมันสองตัวดันไปปีนเกลียวแซวเจ้น้ำหวานของผมเข้าน่ะสิครับ (ซึ่งตอนนั้นมันไม่รู้ว่าเจ้ของผมเป็นสาวประเภทสอง คือ เจ้น้ำหวานเป็นสาวประเภทสองที่สวยมากครับ เจ้แกตัวเล็ก ๆ ตากลม ๆ เลยทำให้ดูเหมือนผู้หญิง แถมเจ้แกไว้ผมยาวแถมสวมเสื้อนิสิตหญิงอีกด้วยครับ) มันเลยต้องหนีหัวซุกหัวซุนเพื่อไม่ให้เจอหน้าเจ้น้ำหวาน เรื่องมันก็เป็นแบบนี้ล่ะครับ


“ผมคิดว่า...พวกมันทั้งสองคนได้รับความรู้สึกพวกนั้นของเจ้น้ำหวานจนวิ่งหนีไปไกลแล้วล่ะครับ” ผมตอบเจ้น้ำหวานไปพร้อมกับหัวเราะลงท้ายประโยคเบา ๆ ผมกับเจ้น้ำหวายคุยกันอีกสักพัก ก่อนเจ้น้ำหวานจะขอตัดสายไป


ผมนั่งรอแจ้น้ำหวานไม่นานนัก ร่างเล็กของเจ้น้ำหวานก็เดินเข้ามาหาผมจากทางด้านหลัง มือเรียวเล็กนั้นเอื้อมมาปิดตาทั้งสองข้างของผมแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่มาดแมนว่า “ทายสิ กร ใครเอ่ย”


“เจ้น้ำหวานครับ ไม่ใช่เวลาเล่นนานะ” ผมพูดใส่เจ้น้ำหวานพร้อมกับมือบางของเจ้ที่ผละออกจากดวงตาทั้งสองข้างของผม


“เจ้แกล้งกรไม่ได้เลยนะ” เธอพูดพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ แต่ผมก็ไม่อยากให้เสียเวลาไปมากกว่านี้ เพราะคาบบ่ายผมมีแลป ซึ่งเลตไม่ได้เพราะวิชานี้จะมีควิซก่อนทำแลปทุกครั้ง


“เจ้น้ำหวานครับ รีบมาหากรแบบนี้ เจ้มีอะไรให้กรช่วยเหรอ” ผมถามเจ้เขาพร้อมกับส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยไปให้ ซึ่งเจ้น้ำหวานแกก็เป็นพวกรวบรัดรวดเร็ว เจ้น้ำหวานไม่ปล่อยให้ผมสงสัยไปมากกว่านี้เสียงนุ่มที่เป็นเอกบักษณ์ของเจ้น้ำหวานก็ถูกเอ่ยขึ้นมาพร้อม ๆ กับโทรศัพท์มือถือของผมที่ตกลงไปกับพื้นเพราะความช็อก “กร…กรเป็นแฟนกับศิเหรอ  วันนี้เจ้ได้ยินเค้าพูดกันทั้งนั้นเลยนะว่าที่กรเพลีย ๆ นี่กรไปนอนห้องของศิมา”


ผมรีบประมวลผลภายในสมองของผมอย่างรวดเร็ว ผมพยายามย้อนนึกไปถึงเมื่อเช้าตอนที่ผมกำลังสะลึมสะลือว่าผมนั้นได้เผลอพูดอะไรออกไปมั่งในตอนนั้นซึ่งผมก็คงยังจำได้ว่าตัวเองนั้นไม่ได้พูดอะไรออกไป ผมยืนนึกไปอีกสักพักทันใดนั้นคำพูดของไอเจมส์กับไอบาสก็ลอยขึ้นมาในสมอง


‘ไอกร มรึงน่ะหาเรื่องใส่ตัวเอง มรึงก็น่าจะรู้ตัวอยู่แล้วว่ามรึงเป็นข่าวกับพี่ศิอยู่ถึงมันจะซาลงไปแล้วก็เถอะ แต่มรึงก็ไม่ระวังตัวเองเลยว่ะ’ คลับคล้ายคลับครานะว่าไอบาสจะพูดอะไรต่อ ผมพยายามนึกต่อไป (ทั้ง ๆ ที่เรื่องมันเพิ่งเกิดขึ้นไปเมื่อไม่ถึง 10 นาทีนี่เองแต่ทำไมผมจำไม่ค่อยได้วะ) จนกระทั้งประโยคต่อไปที่ไอเจมส์มันพูดขึ้นก็ลอยเข้ามาในสมอง


‘ไอกร เมื่อเช้ามรึงตะโกนบอกพวกกรูว่ามรึงไปนอนห้องพี่ศิมา’ ประโยคนี้ทำให้ผมถึงกับพูดไม่ออก และแทบอยากจะวิ่งไปเอามีดไล่ฟันไอคนปล่อยข่าวสัปดนพรรค์นั้นออกมา!


“เจ้…เจ้น้ำหวานที่รัก เจ้น้ำหวานเข้าใจผิดแล้วกรไม่ได้เป็นแฟนกับพี่ศิครับ กรกับพี่ศิเป็นเพื่อนบ้านกันเฉย ๆ” ผมรีบพูดหาข้อแก้วตัว แม้สิ่งที่เขาลือจะเป็นความจริงครึ่งหนึ่งก็เถอะ (แถมความจริงข้อนั้นดังออกมาจาปากของผมเองด้วย)


“เหรอ กร…เมื่อเช้าเจ้มาคุยกับอาจารย์ตอนเช้า เจ้เห็นรถของศิมาส่งกรด้วยนะ  อย่าปิดบังเจ้น่า” เจ้น้ำหวานทำหน้าเจ้าเล่ห์พร้อมกับยื่นนิ้วเรียวมาจิ้มที่จมูกของผม


“โหย ประหยัดน้ำมันไงพี่ คอนโดเดียวกัน ไปด้วยกัน กลับด้วยกัน ประหยัดจะตาย” ผมรีบพูดแก้ตัวรัว ๆ ซึ่งเจ้น้ำหวานก็ยิ้มกรุ้มกริ่มออกมา ผมรู้สึกว่าเจ้แกจะไม่เชื่อความจริงจากปากของผมเลยล่ะครับ


ฮึย…กรอยากจะร้องไห้…แต่ทำไมเจ้น้ำหวานถึงรู้จักพี่ศิได้หละ


“แต่เจ้แปบ ๆ กรมีคำถาม ทำไมเจ้น้ำหวานถึงรู้จักพี่ศิได้อ่ะ” ผมถามคำถามที่ผมสงสัยออกไป ซึ่งเจ้น้ำหวานก็หัวเราะออกมาเสียงดัง


“กรจ๊ะ เจ้อยู่สวนใหญ่ห้องหนึ่ง...แล้วเราเคยถามศิไหมว่าศิอยู่โรงเรียนไหนตอนม.ปลาย และอยู่ห้องไหนหรือเปล่า” เจ้น้ำหวานพูดใบ้ให้กับผม ซึ่งคำตอบของคำใบ้ที่เจ้น้ำหวานพูดมา มันก็ไม่ต้องคาดเดาอะไรเลยครับ...เพราะว่าสิ่งที่เจ้แกใบ้มามันเจาะจงอยู่ในตัวแล้วว่า เจ้น้ำหวานกับพี่ศิเคยเป็นเพื่อนร่วมห้องชั้นมัธยมกันมาก่อน


“เจ้น้ำหวานกับพี่ศิเป็นเพื่อนร่วมห้องกันมาก่อน ตั้งแต่ชั้นมัธยมสินะครับ” ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจแน่นอนคำตอบนั้นเป็นคำตอบที่ถูกต้องอยู่แล้ว ซึ่งเจ้น้ำหวานก็พยักหน้าตอบรับเบา ๆ


“อ่า…คอนโดห้องข้างกันนี่เอง ยังไม่ได้เป็นแฟนกันสินะ…เดี๋ยวเจ้ไปแก้ข่าวให้กรดีไหมน้าว่ากรกับศิยังไม่ได้เป็นแฟนกันทั้งสองคนเป็นแค่เพื่อนบ้านกัน ที่นั่งรถคันเดียวกันมามหาลัยเพราะว่าทั้งคู่ต้องการจะประหยัดค่าน้ำมัน” เจ้น้ำหวานทำหน้านึกพร้อมกับเอานิ้วแตะปากของตัวเองเบา ๆ ใบหน้าหวานที่สวยราวกับผู้หญิงแท้ ๆ จ้องมายังผม


ผมไม่อยากจะบอกเลยว่าทันทีที่เจ้น้ำหวานพูดจบ ผมแทบจะไปกอดขาขอร้องเจ้น้ำหวานให้ช่วยแก้ข่าวให้ผมที ซึ่งดูเหมือนเจ้น้ำหวานจะเข้าใจความรู้สึกผม เธอเอื้อมมือขึ้นมาขยี้ผมของผมเบา ๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเย้าแหย่ออกมาว่า “เจ้จะแก้ข่าวให้กรแล้วกัน หลานรหัสสุดรักของเจ้ทำหน้าขอร้องมาทั้งที แต่ถ้าไม่แก้ข่าวพี่ว่าศิน่าจะดีใจมากกว่านะเนี่ย”


สิ้นเสียงของเจ้น้ำหวาน  ร่างเล็กนั่นก็วิ่งออกไปจากคณะ โดยทิ้งประโยคสุดท้ายให้ผมสงสัยว่า ‘พี่ศิจะดีใจทำไมในเมื่อตัวเองต้องเป็นข่าวกับผู้ชาย’ แต่นี่ก็วางใจได้แล้วล่ะ ถ้าเจ้น้ำหวานออกปากว่าจะช่วยแบบนี้ก็ไม่มีอะไรน่าห่วงแล้วล่ะ ข่าวลือก็คงไม่แพร่กระจายมากกว่านี้ (แต่ต่อให้กระจายก็คงกระจายอยู่แค่ในคณะวิศวะนี่เท่านั้นละ) ยังไงคำพูดนั้นก็ออกมาจากปากประธานสโมเลยนี่นา


หลังจากที่ผมคุยกับเจ้น้ำหวานเสร็จ ผมก็นำพาร่างอันไร้วิญญาณของผมไปยังห้องเรียนแลป ซึ่งในสมองของผมนั้นว่างเปล่า ควิซก็ทำไม่ได้มันสักข้อ แต่ดีที่ผมมีเพื่อนดี ลอกไอเจมส์ได้ (เด็กดีไม่สมควรเอาผมเป็นเยี่ยงอย่างนะครับที่ผมลอกเพราะสมองผมมันเบลอไปหมดแล้วจริง ๆ) ผมส่งกระดาษควิซอย่างเหม่อลอยพร้อมกับสวมเสื้อแลป (วันนี้ผมเรียนแลปเคมีครับ) และเดินไปทำการทดลองแบบเบลอ ๆ มึน ๆ อึน ๆ


สภาพผมตอนนี้ ทำให้เพื่อนร่วมกลุ่มที่ทำแลปเป็นห่วงมาก เพื่อนร่วมแลปทั้งสองคนของผม ก็ปล่อยให้ผมนั่งทำหน้าเหม่อลอยอยู่เฉย ๆ พร้อมกับบอกอาจารย์ให้ด้วยว่าผมเกิดอาการป่วยกะทันหันเลยให้ผมทำหน้าที่แค่จดบันทึกการทดลองเฉย ๆ ครับ ผมก็ทำหน้าที่นั้นได้ดีพอ ๆ กับการเป็นเทพเจ้าเลคเชอร์ แต่ว่าเนื้อหาของการเรียนวันนี้ดันไม่เข้าหัวผมมาเลยสักกะนิดเดียวน่ะสิครับ!
ให้ตายเถอะอนุภาพข่าวลือนี่มันน่ากลัวจริง ๆ!


เมื่อสิ้นสุดเวลาเรียน  ผมก็คงยังเบลอ ๆ และเหม่อลอยอยู่ผมเดินตัวปลิวแบบไร้วิญญาณออกมาจากตึกคณะวิทยาศาสตร์ ซึ่งผมเดินออกมาอย่างอึน ๆ เบลอ ๆ นั่นละครับ  แต่สิ่งที่ช่วยฉุดกระชากสติของผมให้กลับมาเข้าร่างก็ คือ รถคันงามยี่ห้อ BMW ที่จอดเทียบอยู่ข้างฟุตบาท พร้อมกับชายหนุ่มร่างสูงที่มีนามว่า ศิรวิทย์ ยืนพิงรถคันงามของเขาอยู่


ไอผมนี่อยากจะกรีดร้องออกมาดัง ๆ พร้อมกับวิ่งหนี หรือแอบหนีไปจากที่ตรงนี้แล้วละครับ แต่ทันทีที่ผมจะได้สาวเท้าหนี  พี่ศิ ผู้เป็นเจ้ากรรมนายเวรของผมก็ดันเห็นผมเข้าเสียแล้ว เสียงทุ้มนั้นเอ่ยทักผมออกมาเสียงดัง พร้อมกับพูดประโยคที่ทำให้ผมแทบอยากจะฆ่าตัวตาย ณ ที่ตรงนี้ทันที


“กรพี่มารับแล้วนะ ไปกันเถอะ เดี๋ยวพี่พาไปเลี้ยงข้าวแล้วค่อยกลับคอนโด”


รณกรคนนี้อยากตาย และสลายร่างหายไปจากตอนนี้เลยครับ พี่ศิมาได้พอดี๊พอดี พอดีที่จะช่วยให้ข่าวลือมันแพร่สะพัดดังขึ้นไปอีก


แล้วอย่างนี้…คำพูดของประธานสโมอย่างเจ้น้ำหวานจะช่วยอะไรผมได้ไหมนะ เพราะภาพคู่รัก (ที่คนอื่นมโนกันเอาเอง) ที่สวีทหวานแหววกระทั้งไปรับไปส่งกันถึงคอนโด มันทิ่มแทงตาของคนอื่นซะขนาดนี้



_______________________


ทางนี้ไม่กล้าใจร้ายให้น้องกรแกงอนกับเพื่อนนาน อิอิอิอิอิ (พลอยคิดว่าเพื่อนกันแค่ขอโทษกันก็หายแล้วหละคะ ถ้าเรารู้ความผิดของตัวเองและความผิดของอีกฝ่ายแล้วยอมรับมันให้ได้พลอยก็คิดว่าปัยหามันก็เคลียร์ได้แล้วค่ะ)
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 8] 18/09/2013 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: patchylove ที่ 18-09-2013 20:44:34
พี่ศิต้องแอบชอบกรมานานแล้วแน่ๆๆ คึคึ  :hao7:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 8] 18/09/2013 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 18-09-2013 22:00:11
เพื่อนสองคนโอเคแล้วเหลืออีกหนึ่ง เอาไว้ก่อน
ส่วนพี่ศิมารอรับกรได้ถูกที่ถูกเวลาถูกคำพูด อะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้น
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 8] 18/09/2013 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 18-09-2013 23:58:07
กรจ๋าต้องทำใจแล้วละ
ปลงใจคบพี่ศิไปเลย อิอิ

รอตอนต่อไปจร้าาา
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 8] 18/09/2013 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: saiiisai ที่ 19-09-2013 00:00:20
แวะมาให้กำลังใจคนเขียนครับ
ชอบเรื่องนี้มาก
แต่งต่อเรื่อย ๆ เลยน้า
อ่านแล้วมัน feel good สุดยอด
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 8] 18/09/2013 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 19-09-2013 12:07:23
น้องกรตกลงหนูจะมึนทั้งตอนเลยใช่มั๊ยลูก :laugh:
จะสงสัยจะโดนรังสีความรักของพี่ศิเข้าไปอะดิ  :m12:

กรเอ๊ยถ้าไม่อยากให้มันเป็นข่าวลือก็ทำให้มันเป็นความจริงไปเลยลูก
พอเป็นเเฟนพี่ศิจริงปุ๊บ เดี๋ยวคนก็เลิกลือเองล่ะ เพราะส่วนใหญ่คนสนใจความลือมากกว่าความจริง 
เห็นมะ วิธีแก้ง่ายมั๊กมากกกกก  :hao7:

รอตอนต่อไป เป็นกำลังใจให้ค่ะ  :L2: :กอด1: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Image character] 21/09/2013 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 21-09-2013 22:22:47
สวัสดีค่ะพลอยนะคะวันนี้พลอยขอภาพตัวละครหลักของพลอยออกมาแนะนำให้ทุกคนได้ยลโฉมหน้ากันนะคะ

(http://i529.photobucket.com/albums/dd340/S_oKiss/Original/1369092.jpg)

ตามที่เห็นในภพคนทางด้านซ้ายมือคือน้องกรสุดเกรียนพร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจ ส่วนอีกด้านคือพี่ศิหรือพี่หมอค่ะ >< ขอบอกเลยว่าแววตาของพี่ศิเจ้าเล่ห์มากค่ะ แต่สกิลนั้นก็ใช้กับน้องกรแค่คนเดียวค่ะ


ปล. ภาพนี้พลอยไม่ได้วาดเองเพื่อนของพลอยวาดให้
ปล2. ความจริงพี่ศิรวิทยืไม่ใช่ออริของพลอยแต่เป็นออริของเพื่อนพลอยค่ะ (เป็นคนที่วาดรูปให้กับพลอย)
ปล3. พรุ่งนี้เจอกันตอน 9 ค่ะ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Image character] 21/09/2013 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: yymomo ที่ 22-09-2013 02:40:24
 :hao7:  แบบว่าหนุ่มแว่นคนนี้ ดาเมจจิตใจสาวน้อยเค้ามากอ่ะ  :m25: รอนะจ๊ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Image character] 21/09/2013 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 22-09-2013 13:04:02
แวะมารอด้วยคนค่ะ  :L2:
อิมเมจน่ารักชอบๆ ทั้งน้องกรทั้งพี่ศิเลย  :mew1:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 9] 22/09/2013 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 22-09-2013 15:26:24
สวัสดีค่ะ พลอยมาต่อให้ตามสัญญาแล้วนะคะ หวังว่าทุก ๆ คนจะสนุกกับนิยายเรื่องนี้นะคะ >< เลื่อนขึ้นไปนิดจะเป็นภาพคาร์แรคเตอร์ตัวละครที่พลอยรีเควสให้เพื่อนวาดให้ค่า (ความจริงแล้วตัวละครศิรวิทย์เป็นตัวละครออริจินอลของเพื่่อนที่มาคู่กับลูกชายพลอยน้องกรนั่นเองค่า)




Chapter 9


หลังจากเหตุการณ์เมื่อสักครู่ ทุกท่านไม่ต้องเดากันหรอกครับว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพราะผมใช้ร่างที่ไร้วิญญาณของตัวเองเดินเข้าไปหาพี่ศิไงล่ะครับ พร้อมกับเข้าไปนั่งในรถของพี่เขาที่เปิดประตูเชื้อเชิญผมเป็นอย่างดี  ชีวิตกรป่นปี้หมดแล้ว  ให้ตายเถอะ ข่าวลือเก่าหายไปไม่ถึงสองอาทิตย์ ข่าวลือใหม่ก็เข้ามาแทนที่อีกแล้ว กรคนนี้อยากจะร้องไห้


ผมทำหน้าเศร้าใจเบา ๆ ในรถ (แต่สำหรับพี่ศิ พี่ศิคงคิดว่าผมทำท่าทางประหลาด ๆ อยู่ล่ะครับ) จนพี่ศิต้องเอ่ยปากถามว่าผมเป็นอะไร


“กรเป็นอะไรงั้นเหรอ พี่เห็นเราทำท่าแปลก ๆ มาตั้งแต่ออกมาจากตึกคณะวิทย์แล้ว” พี่ศิพูดพร้อมกับปรายสายตามาทางผม
“กรเป็นกรไงละ กรเป็นกร ไม่มีอะไร้” ผมตอบพี่ศิไป พร้อมกับหัวเราะราวกับคนบ้า ทั้งยังยกเสียงสูงในท้ายประโยคซะด้วย ซึ่งคำตอบที่ผมเอ่ยออกไปนั้นทำให้พี่ศิชะงักและรีบปัดไฟเลี้ยวเพื่อขอทางเพื่อเข้าจอดที่ข้างทาง


มือกร้านยกขึ้นมาแตะที่หน้าผากผมเบา ๆ และเริ่มแตะนั่นจับนี่แกะโน่นเพื่อตรวจร่างกายผมเบื้องต้น


“พี่ศิ กรไม่ได้เป็นอะไร พอ ๆ นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลนะเฮ้ย แต่เป็นในรถ” พี่รีบเอามือของตัวเองยันพี่ศิทันทีที่พี่แกจะแกะกระดุมเสื้อของผมเพื่อวันชีพจรของผม


“ไอคุณพี่ศิครับ ชีพจรมันวัดที่ข้อมือก็ได้ ไม่ต้องมาแกะกระดงกระดุมเสื้อเพื่อวัดชีพจรที่ต้นคอหรอกครับ” ผมตะคอกใส่พี่ศิ พร้อมกับตะครุบคอเสื้อตัวเองไว้ ส่วนพี่ศิรวิทย์ที่สุดแสนจะกังวลว่าน้องกรคนนี้จะเป็นอะไรก็ได้แต่ยิ้มแหย ๆ ใส่ผมก่อนจะหันไปตีหน้าเนียนขับรถต่อ


‘โธ่ ผมรู้ว่าพี่เป็นคนดี แต่นี่มันดีเกินไปแล้วล่ะครับ พี่แกเล่นจะตรวจร่างกายผมในรถ ให้ตายเถอะ นี่มันรถนะ ไม่ใช่โรงพยาบาล อะไรจะมารู้สึกอยากใช้ความรู้แพทย์ที่ร่ำเรียนมาตรวจร่างกายคนในรถกัน พี่ศิ พี่น่ะบ้าไปแล้ว’


เราทั้งสองนั่งเงียบกันไปอีกสักพักหนึ่ง ก่อนที่รถยนต์คันงามของพี่ศิจะวนเข้าไปจอดในห้างสรรพสินค้าที่อยู่ใกล้ ๆ กับคอนโดของเราทั้งสองคน ผมรีบเปิดประตูลงจากรถด้วย ‘ตัวเอง’ ที่ผมย้ำคำนี้นั่นก็เป็นเพราะตั้งแต่วันแรกที่ผมย้อนรำลึกความหลังได้ ผมไม่เคยเปิดประตูรถพี่ศิเองเลยสักครั้ง มีพี่ศิเนี่ยล่ะที่เป็นคนคอยเปิดประตูรถให้ผมขึ้นลงโดยตลอด (ซึ่งหลังจากวันนี้ไป ผมจะไม่ให้มันซ้ำรอยเดิมอีกแล้ว! เพราะผมจะเปิดประตูรถขึ้นลงเองแล้วครับ)


หลังจากที่ผมยืนรอพี่ศิล็อครถยนต์สุดหรูของตัวเองเสร็จ ผมก็รีบวิ่งปรี่เข้าไปในห้างเพื่อสูดไอความเย็นทันที ซึ่งพี่ศิเขาก็หัวเราะน้อย ๆ ในการแสดงออกอันแสนจะสุดโอเวอร์ของผม แต่กระนั้นพี่ศิก็ไม่ได้ว่าอะไรออกมา แถมยังเดินคว้าข้อมือของผมพร้อมกับลากผมไปร้านอาหารที่พี่ศิแกได้หมายตาไว้


สถานการณ์แบบนี้ ทำเอาผมนึกถึงพี่ศิแสนดีที่คอยตามใจผมมาตลอดเลยครับ คือวันนี้มันทำให้ผมได้รู้ว่าพี่ศิเป็นคนที่เอาแต่ใจมาก ๆ เลยล่ะครับ น้องกรอยากจะร้องไห้


หลังจากที่ผมโดนพี่ศิลากเดินไปสักพัก ตอนนี้พี่ศิกับผม (ซึ่งโดนพี่ศิลากมา) ได้อยู่หน้าร้านอาหารอิตาเลี่ยนที่มีชื่อร้านว่า ‘Scoozi’  ซึ่งรายการเมนูอาหารนั้นแต่ละอย่างเรียกได้ว่าแพงระยับ ซึ่งปกติผมจะไม่ค่อยเข้ามาทานในร้านอาหารแบบนี้เท่าไหร่หรอกครับ เพราะมันแพงแล้วก็สั่งหลาย ๆ อย่างตามที่ผมอยากทานไม่ได้ เพราะถ้าขืนสั่งเยอะ ๆ แบบนั้นผมว่าคงหมดไม่ต่ำกว่าสามพัน อีกทั้งมันยังมีของหวานที่ชวนให้ลิ้มลองอีก ถ้าเกิดผมเข้าคำปฏิญาณตนของตัวเองที่จะไม่กินขนมอื่นนอกจากสูตรขนมบ้านตัวเองคงพังทลายแน่นอนเลยครับ


ไอใจผมน่ะไม่อยากจะเข้าเลย แต่ตอนนี้ผมมานั่งจุ่มปุกในร้านเรียบร้อยแล้วครับ พร้อมพ่วงด้วยเมนูอาหารเล่มใหญ่ที่อยู่ในมือ ไอปากผมนี่อยากจะสั่งมากินหลาย ๆ อย่างแต่ด้วยราคาที่แพง…ทำให้ผมจำใจสั่งของที่อยากกินมากที่สุดออกไปเพียงอย่างเดียวแทน


“ขอฟูซีลี่ต้มยำทะเลที่หนึ่งครับ แล้วก็ของน้ำส้มคั้นด้วยอีกแก้วครับ” ผมเอ่ยปากสั่งอาหารที่ผมอยากทานที่สุดไปพร้อมกับปิดเมนูเล่มใหญ่ลง การกระทำของผมนั้น ทำให้พี่ศิรู้สึกสงสัยในการกระทำของผมมาก แต่พี่ศิก็ไม่ได้ทักท้วงอะไรต่อใบหน้าคมที่ซ่อนอยู่ภายใต้กรอบแว่นปรายตามองตามเมนูอาหารก่อนจะสั่งเมหนูอาหารออกไป


“ผมขอรีซอทโต้เห็ดรวม ตามด้วยแซลมอนสลัด ลอบสเตอร์ซุปแล้วก็สปาเก็ตตี้ครีมซอสกับปลาแซลมอน น้ำเป็นน้ำเปล่าครับ” พี่ศิสั่งของทั้งหมดรัว ๆ โดยที่เขาไม่สนใจราคาของเมนูอาหารแต่ละชนิดเลยสักนิด


“พี่ศิสั่งเยอะไปแล้วนะ ร้านนี้แพง” ผมบ่นให้พี่ศิฟังเบา ๆ ซึ่งพี่ศิก็ไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนอะไรออกมา ใบหน้าคมอมยิ้มน้อย ๆ ตอบกลับมาให้ผม พร้อมกับริมฝีปากนั้นเอ่ยถ้อยคำที่ผมไม่รู้ว่าจะรู้สึกเขินดี ดีใจดี หรือรู้สึกว่ามันสิ้นเปลืองดีออกมา “พี่เห็นกรจด ๆ จ้อง ๆ อยากสั่งของพวกนี้นี่ แต่ด้วยราคากรก็เลยไม่กล้าสั่ง พี่ก็เลยสั่งแทน”


“โหยยยย พี่ศิ…กรควรซึ้งใจดีไหมพี่” ผมแหย่กลับไป แต่ในใจก็ยังคิดว่ามันมากเกินไปอยู่ดี ความสปอร์ตแบบนี้มันสมควรเอาไว้เลี้ยงสาวนะเฮ้ย! ไม่ใช่เอามาเลี้ยงรุ่นน้องแบบผม


สิ้นเสียงของผม พี่เขาก็หัวเราะออกมาเบา ๆ แล้วก็พูดอย่างแผ่วเบาราวกับไม่อยากให้ผมได้ยินว่า “เพื่อกร พี่ทำได้หมดนั่นหละ” ผมสะดุ้งกับคำพูดนั่น (พี่ศิเขาพูดเบาก็จริง แต่ผมก็หูดีพอที่จะได้ยินนะครับ) ก่อนจะส่งรอยยิ้มพร้อมคำขอบคุณให้พี่เขาไป

 
“ขอบคุณนะครับพี่ชาย” น้ำเสียงนั้นทำให้พี่ศิยิ่งยิ้มกว้างออกมา พร้อมกับพยายามยื่นมือข้ามโต๊ะเพื่อจะมาลูบหัวของผม แล้วทุกคนคิดว่าผมจะยอมให้พี่ศิเค้าลูบทรงผมที่ผมตั้งใจเซทมาอย่างดีน่ะเหรอ…ใช่ครับ ทุกคนคิดถูก ผมยอมให้พี่ศิลูบหัวแต่โดยดี
ไม่รู้สินะครับว่าทำไมผมถึงยอมให้พี่เขาลูบหัว หรือจับมืออยู่บ่อย ๆ อาจจะเป็นเพราะผมรู้สึกว่าสัมผัสจากฝ่ามือของพี่ศิ มันอ่อนโยน และทำให้ผมรู้สึกสบายใจกระมัง  ผมถึงได้ยอมให้พี่เขาลูบหัว จูงมือ หรือทำอะไรกับผมเหมือนเด็กแบบนี้


เราทั้งสองคนนั่งรออาหารที่สั่งกันไปอยู่สักพัก  ไม่นานนักโต๊ะที่เคยว่างเปล่าก็เต็มไปด้วยอาหารนานาชนิด (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นของที่พี่ศิสั่ง แต่มันเป็นสิ่งที่ผมอยากกินครับ) ผมเริ่มสวาปามอาหารจานแรกคือ ฟูซีลี่ต้มยำทะเล ที่ผมอยากกินมากที่สุด ถ้าทุกท่านเคยมาทานอาหารในร้านนี้นะครับ ผมจะขอบอกว่ามันอร่อยมาก ถึงราคาจะแพง แต่เขาให้ปริมาณอาหารตามราคาจริง ๆ (รวมไปถึงรสชาติก็อร่อยสมราคา) อย่างอาหารที่ผมทานจานนี้ของบอกว่าพวกเครื่องซีฟู้ด ไม่ว่าจะเป็นกุ้ง หอย หรือปลาหมึก ผมขอบอกเลยครับว่าเขาให้แบบจัดเต็มจริง ๆ ส่วนอาหารอย่างอื่นนี่ ผมขอบอกเลยว่ารสชาติก็อร่อยไม่แพ้กัน


 เราทั้งสองคน (ผมและพี่ศิ) ก็นั่งจัดการอาหารบนโต๊ะจนหมดเรียบ ไม่ใช่ว่าผมกับพี่ศิหิวจัดอะไรหรอกครับ ผมกับพี่เขาแค่ทำใจไม่ได้กับราคาที่สูงปรี๊ดจึงจำใจกิน (จริง ๆ เรียกว่ายัดก็ได้ครับ) มันให้หมด ๆ ไป  แม้ผมจะกระเดือกลงคอไปแทบไม่ไหวแล้วก็เถอะ


ผมนั่งเย็นปาก พร้อมกับหยิบแก้วน้ำส้มขึ้นมาดูด เพื่อให้อาหารทั้งหมดไหลลงท้องไป แต่ด้วยความจุกที่มีอยู่ในตัว  การที่ผมดื่มน้ำส้มไปนั้นทำให้ผมแทบจะอาเจียนออกมาทันที ซึ่งพี่ศิก็ยังคงทำหน้าที่เป็นผู้ปกครอง(?)ของผมได้เป็นอย่างดี  มือกร้านเอื้อมไปดึงทิชชู่แล้วส่งมาให้ผมเอาไว้ปิดปาก ผมทำสีหน้าพะอืดพะอมอีกสักพัก  ไม่นานนักสภาพของผมก็กลับเป็นปกติหายจากการอาเจียนแล้วครับ (ถึงมันจะยังจุกอยู่เลยก็เถอะครับ)


เมื่อสภาพของผมกลับเป็นปกติพี่ศิก็สั่งให้พนักงานเช็คบิล ซึ่งผมก็เตรียมเงินค่าอาหารส่วนของผม แต่พี่ศิยังไงก็เป็นพี่ศิ  คิดเหรอครับว่าเขาจะให้ผมจ่าย…ไม่มีทาง ทันทีที่ผมจะหยิบแบงค์พันออกมาช่วยพี่เขาจ่าย  พี่ศิก็ร่อนบัตรเครดิตสีทองไปให้พนักงานแล้วล่ะครับ ผมทำแก้มป่องให้พี่ศิ  ส่วนพี่ศิก็ไหวไหล่กลับมาให้ผม


ให้ตายเถอะ  การมากินข้าวกับคน ๆ นี้  ทำให้ผมรู้สึกเป็นหนี้พี่เขาทุกที  นั่นก็เป็นเพราะว่าอันตัวผมนั้นไม่เคยได้จ่ายเงินค่าอาหารเองเลยสักครั้งครับ พี่ศิทำตัวเป็นเสี่ยใหญ่เลี้ยงข้าวผมทุกครั้งที่พวกเรา (พวกเรานี่หมายถึงไอเจมส์กับไอบาสด้วยนะครับ) ไปไหนมาไหนด้วยกัน


“พี่ศิทุกทีอ่ะ กรอยากจ่ายบ้างอะไรบ้าง รู้ไหมพี่” ผมบ่นอุบอิบ ในขณะที่พวกเรากำลังรอใบเสร็จจากพนักงานอยู่ และปฏิกิริยาของพี่ศิก็เป็นเหมือนเดิม คือ ได้แต่ส่งรอยยิ้มมาให้ แต่คราวนี้ไม่ได้มาแค่รอยยิ้มเพียงอย่างเดียว ริมฝีปากหนาค่อย ๆ เปิดออกพร้อมกับพูดข้อแลกเปลี่ยนกับผมออกมา “งั้นกรก็ทำขนมให้พี่ทานแทนค่าอาหารทั้งหมดก็แล้วกัน” พี่ศินั่งเท้าคางมองผม และใช้สายตากดดันให้ผมยอมตกลงกับข้อเสนอของพี่เขาแต่โดยดี


ซึ่งข้อเสนอนั้นมันก็ไม่ได้ยากลำบาก หรือเลวร้ายอะไรสำหรับผมหรอกครับ มันออกจะทำให้ผมเพลิดเพลินบันเทิงใจเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นผมจึงรับปากตอบตกลงพี่ศิไปอย่างง่ายดาย “พี่ศิเอาแค่นั้นเองเหรอ แบบนั้นก็สบายมาก แต่ข้อแลกเปลี่ยนไม่ค่อยเท่าเทียมกันสักเท่าไหร่เลยนะพี่ศิ” ถึงผมจะตอบตกลงไปแต่ผมก็ยังคงคำนึงถึงผลได้ผลเสียของพี่ศิอยู่ ผมก็เลยเปิดโอกาสให้พี่ศิเรียกร้อง ถึงผมจะตอบตกลงแต่ผมก็ยังคำนึงถึงผลได้ผลเสียของพี่ศิอยู่เลยบอกเปิดโอกาสให้พี่ศิเรียกร้องข้อแลกเปลี่ยนใหม่ แต่ไม่ว่าจะถามกี่ที พี่ศิก็ยังคงยืนยันคำเดิมนั่นก็คือการให้ผมทำขนมให้พี่เขากิน


ซึ่งผมก็ไม่ได้ขัดอะไรพี่เขาอีก เพราะในเมื่ออีกฝ่ายเขาเรียกร้องมาแค่นั้น ผมก็ขี้เกียจจะไปสนใจความเท่าเทียมกันของข้อแลกเปลี่ยนแล้วล่ะครับ เมื่อเราคุยข้อตกลงจบพนักงานก็เดินมาพร้อมกับยื่นบัตรเครดิตสีทองอร่ามคืนให้แก่เจ้าของของมัน


งานนี้ผมขอไม่เรียกดูบิลนะครับเพราะเท่าที่คิดก็ หลายตังพอดูผมจึงไม่อยากดูให้มันรู้สึกแสลงใจ  ผมจึงปล่อยให้เจ้ามือเค้าแสลงใจกับใบเสร็จคนเดียว เราทั้งสองคนเดินออกมาจากร้านอาหารพร้อมกับเดินออกไปที่ลานจอดรถเพื่อที่จะขับกลับคอนโดที่พวกเราทั้งคู่อาศัยอยู่


เมื่อถึงคอนโดพวกเราก็แยกย้ายกันเข้าห้องของตัวเอง แต่ก่อนที่ประตูห้องของผมจะปิดลง เสียงพี่ศิก็ดังแทรกเข้ามาจนทำให้ผมต้องจับลูกบิดประตูค้างไว้


“ไว้พรุ่งนี้พี่ไปส่งอีกนะกร แต่ขากลับอาจจะช้าหน่อยเพราะพรุ่งนี้พี่มีเข้าเวร กรจะกลับเองก่อน หรือจะกลับพร้อมพี่ก็ได้นะครับ เดี๋ยวพี่ไปรับที่คณะ หรือไม่กรก็ติดรถเพื่อนมานั่งรอที่คณะพี่ก็ได้นะครับ” พี่ศิพูดพร้อมกับปล่อยรอยยิ้มพิมพ์ใจ และปิดประตูห้องตัวเองไปโดยที่ไม่คิดจะรอฟังคำตอบกลับจากผมเลยสักนิด และพี่ศิก็ได้ทิ้งผมที่สติล ค้าง อึ้ง ทึ่ง เบลอกับความเอาแต่ใจอันแสนแปลกประหลาดของพี่เขา


นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกได้ว่าพี่ศิเป็นคนที่เอาแต่ใจมาก ๆ เลยคนหนึ่ง แต่กระนั้นความเอาแต่ใจของพี่ศิก็เป็นการเอาแต่ใจที่เป็นห่วงเป็นใยอีกฝ่ายหนึ่งล่ะครับ


ดังนั้นผมก็คิดว่านิสัยแบบนี้ของพี่เขาก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรเท่าไหร่นักหรอก แถมผมก็ยังคิดว่านิสัยนี้ของพี่เขาออกจะน่ารักเสียด้วยซ้ำไป




การใช้ชีวิตประจำวันของผมก็เป็นเช่นนี้ดังที่กล่าวไปข้างต้น พี่ศิเริ่มเข้ามาในชีวิตผมมากขึ้น  โดยตอนแรกพี่เขาผันตัวมาเป็นสารถีของผม ซึ่งพี่เขาจะขับรถไปรับไปส่งผมในทุกเช้าและแทบจะทุกเย็น (ขอใช้คำว่าแทบจะทุกเย็นก็เป็นเพราะเวลาพี่ศิติดราวด์ หรือติดอยู่เวรผมจะอัปเปหิตัวเองขึ้นแท็กซี่กลับมาที่คอนโดด้วยตัวเองก่อน พอดีว่าผมขี้เกียจรอ) การกระทำแบบนั้นของพี่ศิก็ทำให้ผมกลายเป็นคนตื่นเช้าขึ้น และมีเวลาทานอาหารเช้าด้วย (อันนี้เป็นสิ่งที่น่าดีใจครับ เพราะมันทำให้โรคกระเพาะของผมไม่กำเริบรวมไปถึงอาการปวดหัวไมเกรนด้วยเช่นกัน) ซึ่งในทุกเช้า ผมก็จะไปฝากท้องที่ห้องของพี่ศินั่นหละครับ ง่ายดี  ไหน ๆ พี่เขาก็เป็นคนปลุกผมให้ตื่นเช้าแล้ว ดังนั้นการรับผิดชอบท้องของผมที่ร้องคร่ำครวญว่าหิวข้าว มันก็สมควรเป็นหน้าที่ของพี่เขาด้วยเช่นกัน


เอ๊ะ ผมลืมบอกไปใช่ไหมครับ การใช้ชีวิตแบบนี้ของผมมันดำเนินมาเป็นเวลาเท่าไหร่แล้ว ถ้าจะให้นับตั้งแต่วันแรกที่พี่ศิขับรถไปรับไปส่งผมตอนนี้ก็ร่วม 2 อาทิตย์แล้วล่ะครับ ซึ่งไอระยะเวลาที่ผ่านไปสองอาทิตย์นั้น ผมรู้สึกเพลิดเพลินกับความสะดวกสบายจนลืมไปเลยว่าอีกไม่กี่วันข้างหน้า (น่าจะราว ๆ อีก 1 อาทิตย์ครับ)


ผม…จะเริ่มสอบไฟนอลแล้ว!!!


และที่สำคัญ…ผมยังไม่ได้อ่านหนังสือเลยสักตัวเดียวครับ!!!


ผมนั้นอยากจะย้อนเวลากลับไปสักสองอาทิตย์ก่อนหน้านี้ ถ้ามันย้อนไปได้นะ ผมจะนั่งอ่านหนังสือมันตั้งแต่ตอนนั้นเลยล่ะครับ อ่านมันให้กระดาษทะลุ ให้ตัวอักษรจากหนังสือแกะสลักจารึกลงในซีรีเบลลัมของผมเลยละครับ (แต่จริง ๆ แล้วต่อให้ย้อนได้ผมก็ไม่อ่านหรอก ผมก็คร่ำครวญไปงั้นล่ะ)


และจากที่ผมคร่ำครวญมาทั้งหมดข้างต้น…ผมก็จำต้องหาติวเตอร์ส่วนตัวที่จะยัดวิชาพื้นฐาน เช่น เคมี ฟิสิกส์ แคลลูลัส ลงไปในหัวสมองของผมให้ได้ภายในเวลา 1 อาทิตย์ ส่วนวิชาอื่น...ค่อยว่ากันเพราะว่าไอสามวิชานี้มันสำคัญนัก โดยวิชาฟิสิกส์ ถ้าผมติดเอฟนี่ผมมีจะต้องเรียนสี่ปีครึ่งโดยอัตโนมัติเลยทันที


ดังนั้น!! ผมจะเอฟวิชาพวกนี้ไม่ได้เลยแม้แต่วิชาเดียว ต่อให้ผมจะต้องผ่านมันไปได้ด้วย D ก็ตาม!!


หลังจากที่พี่ศิขับรถมาส่งผมหน้าคณะวิศวะภารกิจแรกของวันก็คือการตามหาตัวไอเจมส์ และไปเกาะขาออดอ้อนมันให้มันช่วยติววิชาพวกนี้ให้ ซึ่งไอเจมส์มันไม่ปฏิเสธหรอกครับ เพราะถ้ามันปฏิเสธ มันก็จะไม่มีสถานที่ติวทันที (เพราะมันใช้ห้องผมเป็นที่ติวเพื่อน ๆ ครับ)


“เพื่อนเจมส์ที่รักกกก” ผมตะโกนเรียกไอเจมส์จากระยะไกล พร้อมกับวิ่งเข้าไปตะครุบกอดมันแน่น “เพื่อนเจมส์ครับ เพื่อนกรมีอะไรจะขอร้องครับ” ผมเอาหน้าถูไถมันหน้าท้องของมัน (ผมจะอธิบายสภาพผมแบบง่าย ๆ นะครับ ตอนนี้ผมกำลังนั่งคุกเข่ากอดเอวไอเจมส์อยู่ ซึ่งหน้าของผมอยู่ตรงท้องของไอเจมส์พอดี ผมเลยเอาหน้าถูไถท้องมันไงครับ)


“มีอะไรอีกล่ะมรึง…” มันถามผมกลับครับซึ่งเป็นที่แน่นอนผมไม่ปล่อยให้เพื่อนเจมส์ของผมสงสัยนานครับ ดังนั้นผมก็รีบพ่นคำขอร้องออกไปซึ่งคำขอร้องของผมมันก็เป็นคำขอร้องของเพื่อน ๆ คนอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน (ผมบอกแล้วไงครับว่าเรื่องการเรียนต้องยกให้ไอเจมส์ ถึงผมจะเลคเชอร์ไว แต่ผมไม่ค่อยเข้าใจหรอกครับ ดีแต่จด เก่งแต่จดครับผม)


“ติว......แคล ฟิ เคม และทุก ๆ วิชาที่มรึงรู้เรื่องให้กรูทีนะครับ เพื่อนเจมส์” สิ้นเสียงของผม ไอเจมส์มันก็ถลึงตาใส่ผมแทบจะทันที ซึ่งไอคำขอร้องของผมนั้นมันช่างเป็นที่ถูกใจของเพื่อน ๆ ในกลุ่มของผมครับ นั่นก็เพราะเมื่อผมพูดจบทุกคนแทบจะคุกเข่ากอดขาไอเจมส์ตามผมทันที


“ไอเจมส์อย่าปฏิเสธ มรึงเป็นที่พึ่งสุดท้ายของกรูแล้วจริง ๆ” ทรุดตัวลงไปอีกพร้อมกับหน้าถูกกับหน้าแข้งมันเต็มที่ ‘กรูอ้อนมรึงขนาดนี้แล้วนะ ถ้ามรึงไม่ให้นะ กรูไม่ให้มรึงเข้าคอนโดกรูอีกแล้ว แถมกรูจะยึดกุญแจคอนโดของกรูจากมรึงด้วย’ 


และเหมือนไอเจมส์มันจะอ่านใจผมได้ขึ้นมาซะอย่างงั้น (แต่ความจริงแล้วไอเจมส์ไม่เคยปฏิเสธเรื่องติวอะไรให้เพื่อนหรอกครับ เพราะเราอยู่คณะเดียวกัน รุ่นเดียวกัน ภาคเดียวกันและมีเลือดสีเดียวกันนั่นก็คือสีแดงเลือดหมู ดังนั้นพวกเราก็ไม่มีทางทิ้งกันเด็ดขาดครับ)


“กรูติวทุกวิชาให้ได้แต่มีวิชานึงที่กรูติวให้พวกมรึงไม่ได้…พวกมรึงก็รู้ใช่ไหมว่าเคมี กรูให้ไอกรเช็คชื่อให้แทบจะทุกคาบ…เพราะแบบนั้นล่ะ กรูเลยไม่รู้เรื่องเคมีครึ่งไฟนอลนี้เลยสักนิดเดียว  ดังนั้นวิชานี้พวกมรึงต้องช่วยเหลือตัวเองกันแล้วล่ะครับ สหายทั้งหลาย” ผมพยักหน้าตกลง เพราะยังไงวิชาเคมีก็เป็นวิชาที่ถูกจัดไว้สอบเป็นวิชาสุดท้ายของเทอมนี้อยู่แล้วเรื่องหาคนติววิชานี้ ค่อยหาหลังจากสอบวิชาอื่น ๆ หมดก็ได้ครับ


“เจมส์...กรูรักมรึงงง” ผมพูดพร้อมกระโดดกอดแสดงความรักให้แก่มันทันที ซึ่งที่ผมกระโดดเข้าหามันก็ทำให้มันแทบจะล้มทั้งยืน “พรุ่งนี้เริ่มวิชาแรกเลยนะครับ เพื่อนเจมส์ และวิชาแรก กรูขอเป็นแคลที่สอบวิชาแรกครับ ส่วนสถานที่ติวคือคอนโดของกรูครับ” ผมพูดพร้อมกับขยิบตาให้มัน ซึ่งแน่นอนไอเจมส์ก็ถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่และตอบตกลงในคำพูดของผม


“เฮ้ออออ...เออ ๆ เรียนเสร็จไปห้องไอกรมันเลย ตรงเวลากันด้วยนะเว้ย เนื้อหามันเยอะ ใครมาเลตกรูไม่ย้อนสอนให้นะครับคุณเพื่อน ๆ ทั้งหลาย” มันพูดพร้อมกับโบกมือไปมาซึ่งมันก็พูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น ก่อนมันจะลากสังขารของมันไปที่ลูกรักของมัน (ถ้าทุกคนยังจำได้ ลูกรักของมันคือมอไซค์ของมันครับ ซึ่งมอไซค์คันนี้เป็นคู่รักคู่กรรมของไอเจมส์เลยทีเดียวตอนนี้สภาพของมันไม่ค่อยจะสู้ดีเท่าไหร่นักเห็นว่าช่วงนี้เข้าอู่ไปหลายรอบแล้ว)


เมื่อผมได้สิ่งที่ต้องการ ผมก็ยิ้มแป้นด้วยความยินดีครับ ทีนี้คำว่า F ก็ลอยไปห่างไกลกับใบทรานสคริปของผมแล้วครับ  แล้วทำไมผมถึงสบายใจได้งั้นเหรอครับ…นั่นก็เป็นเพราะไอเจมส์เป็นติวเตอร์มือทองเลยสิครับ มันเทพมากจนผมต้องขนานนามให้มันเลยว่าเก็งร้อยข้อถูกร้อยข้อเลยล่ะครับ (แต่ความจริงผมก็ตั้งโอเวอร์ไป แต่เรื่องเก็งข้อสอบนี่ไอเจมส์มันเก็งข้อสอบเก่งจริง ๆ นั่นละครับ ผมถึงไปขอให้มันมาช่วยไง)


ผมก็เดินตัวปลิวพร้อมกับหิ้วกระเป๋าออกไปจากตึกคณะวิศวะ และทำการโบกมอไซค์รับจ้างเพื่อตรงไปยังคณะแพทย์ศาสตร์ทันที ทุกท่านอย่าได้รู้สึกแปลกอันใดที่ผมไปคณะแพทย์นะครับ พอดีผมดูจากตารางเข้าเวรของพี่ศิ (และฟังจากพี่ศิว่าวันนี้รุ่นพี่ที่คุมราวด์ เขาเป็นพวกที่ทำอะไรรวดเร็วทำให้ราวด์เสร็จไว) นั้นไม่มี และผมวิชาสุดท้ายอาจารย์ก็แปะประกาศไว้หน้าห้องว่าแคนเซิลคลาสซะอย่างงั้น ผมก็เลยตั้งใจว่าจะไปหาพี่ศิที่คณะแล้วเกาะรถยนต์คันงามของพี่ศิติดกลับคอนโดไป (แต่ความจริงเดินไปก็ได้นะครับ  มันเรื่อย ๆ ดี แต่ผมขี้เกียจ มันร้อนเลยโบกมอไซค์รับจ้างเลย สะดวกดีครับ)



v
v
v
v
v
v
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 9] 22/09/2013 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 22-09-2013 15:34:37


ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที บัดนี้ผมก็ยืนอยู่หน้าคณะแพทย์แล้วล่ะครับ ไม่อยากจะบอกว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้มาคณะแพทย์เลยล่ะครับ (จริงๆจะว่าเป็นครั้งแรกก็ไม่ถูก เพราะคณะแพทย์คือสถานที่เดียวกับโรงพยาบาลนั่นละครับ) ใจผมหวิว ๆ นิดหน่อยที่มายืนอยู่ที่นี่ ผมมองซ้ายมองขวา  ซึ่งรอบ ๆ ตัวนั้นผมก็ไม่รู้จักใครครับ  ผมไม่รู้จักใครสักคนแถมคนที่รู้จัก  ผมก็หาไม่เจอ ครั้นไอผมจะเดินไปสะกิดนิสิตแพทย์ถามว่าพี่ศิรวิทย์อยู่ไหนก็ใช่ที ดังนั้นมาตรการสุดท้ายของผมก็คือ การใช้โทรศัพท์ครับ


ผมควักโทรศัพท์มือถือขึ้นมา พร้อมกับเลื่อนหาเบอร์โทรศัพท์ของพี่ศิทันที แต่ในขณะที่ผมกำลังจะกดจิ้มปุ่มโทรออกนั้นความคิดบางความคิดมันก็ลอยละลิ่วปักเข้าที่หัวของผม


‘ผมไม่เคยโทรหาพี่ศิเลยสักครั้งนี่หว่า หนำซ้ำพี่ศิก็ไม่เคยโทรหาผมสักครั้งเลยด้วย...แล้วงี้ผมจะพูดอะไรใส่โทรศัพท์ทักไปดีล่ะครับ’ ทุกท่านอย่าคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องไร้สาระ แต่พูดอะไรลงไปในโทรศัพท์ก็ได้นะครับ อันนี้มันเป็นปัญหาระดับชาติเลยจริง ๆ เวลาคุยต่อหน้าเราคุยได้ แต่เวลาที่เราจะคุยโทรศัพท์กัน แต่ไม่กล้าพูดเนี่ย  กรณีนี้มีเยอะนะครับ ทำไงดีล่ะ คราวนี้ผมจะทำยังไงดี


ผมยืนเอานิ้วยันปลายคางคิด แต่ความคิดของผมมันดันไม่ไวตามนิ้วของผมสิครับเพราะตอนนี้นิ้วของผมจิ้มจึ้กไปที่ปุ่มโทรออกเรียบร้อยแล้ว ‘ให้ตายเถอะครับ ผมยังไม่ได้เตรียมคำพูดที่จะพูดกับพี่ศิออกมาเลยสักคำ’


ผมยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู พร้อมกับฟังเสียงสัญญาณเพื่อรอให้อีกฝ่ายรับสาย เสียงสัญญาณดังครั้งหนึ่งก็แล้ว ครั้งที่สองก็แล้ว ครั้งที่สามก็แล้ว และตอนนี้มันดังเกือบจะสิบครั้งแล้วล่ะครับ ตอนแรกผมก็ตื่นเต้นแทบตายที่จะต้องโทรหาพี่เขาแต่ตอนนี้ผมหงุดหงิดแทนแล้วล่ะครับ ผมกอดอกพลางเหยียบเท้ารอ เพื่อให้อีกฝ่ายรับสาย และทันทีที่สัญญาณครั้งที่ 13 ดังขึ้นความอดทนทั้งหมดของผมมันก็หมดลง ผมกดตัดสายทิ้งและเดียวหิ้วกระเป๋าออกจากคณะแพทย์ทันที


‘กลับเองก็ได้วะ’ ผมบ่นพึมพำในใจก่อนจะยืนรอรถแท็กซี่เพื่อโบกกลับคอนโด


ผมยืนรอห้านาทีก็แล้วรถแท็กซี่ก็ยังไม่ผ่านมาเลยสักคัน สิบนาทีก็แล้วมันก็ยังไม่มีวี่แววจะขับผ่านมา ไอการรอท่ามกลางอากาศร้อน ๆ แบบนี้ทำให้ผมยิ่งรู้สึกหงุดหงิดเข้าไปใหญ่


‘ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนกรูกลับคอนโดเองได้ แต่ตอนนี้เวลาจะกลับทำไมกรูต้องนึกถึงพี่ศิตลอดด้วยวะ’


ผมเอ่ยกับตัวเองในใจพร้อมกับพยายามค้นหาคำตอบในหัวสมอง ซึ่งไอสมองน้อย ๆ ของผมมันก็ไม่ได้ช่วยให้ผมรู้คำตอบของคำถาม ๆ นี้เลยครับ แถมมันยิ่งทำให้ผมสับสนกับความคิดของตัวเองมากขึ้นไปอีก


ให้ตาย พี่ศิเข้ามาในชีวิตไม่เท่าไหร่จากคนไม่รู้จักกันจนตอนนี้กลายมาเป็นพี่ชายคนสนิท…และตอนนี้พี่ศิก็กลายเป็นคนที่ผมนึกถึงอยู่บ่อย ๆ ซะแล้วล่ะครับ


ไม่ว่าจะเป็นตอนทำขนมก็มักจะทำขนมเพื่อพี่เขาตลอด (แต่อันนี้พี่เขารีเควสเองครับว่าจะกินฝีมือผม) หรือจะเป็นตอนไปเดินห้างผมก็มักจะซื้อของกินที่พี่ศิชอบมาฝากพี่เขาเสมอ หรือจะเป็นตอนนี่ที่ผมกำลังจะกลับบ้านผมก็ยังนึกถึงพี่ศิอยู่เช่นกัน


‘ให้ตายเถอะ ไอกรนี่มรึงเป็นโรคศิรวิทย์ลิซึ่มแล้วเหรอวะเนี่ย’ ผมคิดไปพลางยกมือทั้งสองข้างมาขย้ำผมตัวเอง ‘ไม่นะผมจะไม่เป็นโรคศิรวิทย์ลิซึ่มเด็ดขาด!” ผมครวญครางกับตัวเองในใจแต่ทว่ามีเสียง ๆ หนึ่งเรียกผมจากด้านหลังและทำให้ตัวผมหลุดออกจากผวังของตัวเอง


“น้องกรของพี่วิ” เสียงหวานของหญิงสาวนามวิรดา (ชื่อจริงของพี่วิครับ) ดังแว่วขึ้นด้านหลังพร้อมกับถลาเข้ามาเกาะที่หลังของผม (ผมขอใช้คำว่าเกาะเพราะพี่วิแกไม่ใช่แค่เกาะหลังผม ขาของแกก็เล่นเกี่ยวมาที่ผมด้วยครับ) การกระทำของพี่วินั้นทำให้ผมเซจนแทบจะล้ม แต่ก่อนที่ผมจะร่วงไปที่พื้นท่อนแขนแกร่งของคน ๆ หนึ่งก็ช่วยประคองผมไว้พร้อมกับเอ่ยคำว่าพี่วิออกมา
“วิ…กรเค้าจะล้มแล้ว เลิกเล่นสักที” น้ำเสียงนิ่ง ๆ ของไอคนที่ผมนึกถึงอยู่ดังขึ้น ผมตวัดสายตาไปมองเขาสักแวบหนึ่งก่อนจะสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง


“พี่วิครับเกาะแน่น ๆ เลยครับ เดี๋ยวกรพาวิ่งเล่น” ผมพูดประชดพี่ศิพร้อมกับเอามือไปรองรับร่างเล็กที่เกาะอยู่ทางด้านหลังของผม ซึ่งจะอธิบายให้เขาใจง่าย ๆ นั่นก็คือ ผมให้พี่วิขี่หลังผมอยู่ครับและการกระทำนี้ของผมทำให้พี่วิหัวเราะร่าพร้อมกับผมที่เผลอหัวเราะตามพี่สาวคนนี้ไปด้วย


“น้องกรนี่น่าว่าง่ายจริง ๆ น่ารักที่สุดสมกับเป็นน้องกรของพี่” พี่วิพูดพร้อมกับยื่นมาทางหน้าด้านและหยิกแก้มของผมเบา ๆ ตอนนี้ผมทำให้โลกนี้มีแค่ผมกับพี่วิแล้วล่ะครับ ส่วนพี่ ๆ คนอื่นผมตัดทิ้งออกไปจากโลกแล้วล่ะครับ


“พี่วิครับ ให้กรไปส่งไหมครับ ที่หอของพี่วิน่ะ กรอยากเห็นหอพักนิสิตแพทย์น่ะครับ” ผมพูดออดอ้อนซึ่งทำให้พี่วิยิ่งหัวเราะชอบใจยิ่งขึ้นไปอีก


“ตายละ น้องกร  วันนี้พี่สาวมีธุระต้องกลับบ้านจ๊ะ สงสัยคงให้น้องกรไปส่งไม่ได้แล้วล่ะ” พี่วิตอบผมทำให้ผมถึงกับเบ้หน้าไม่พอใจออกมาทันที


ผมกับพี่วิคุยกันกระหนุงกระหนิงไปสักพัก จนกระทั่งเสียงทุ้มเสียงหนึ่งก็ดังแทรกขึ้นมาทำลายโลกส่วนของของผมกับพี่วิ
“ขับรถมาหรือไง ถึงบอกว่าจะไปส่งวิมัน” เสียงนั่นไม่ใช่ใครอื่น มันเป็นเสียงของพี่ศิ บุคคลที่กำลังทำให้ผมเป็นโรคศิรวิทย์ลิซึ่มนั่นเอง


“ไม่ได้ขับมา แต่จะโบกแท็กซี่ไปส่ง” ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะพอใจ พร้อมกับเชิดหน้าหันไปมองพี่ศิ อย่าว่าอย่างงั้นอย่างงี้เลยนะครับที่ผมทำเสียงไม่พอใจใส่พี่เขา นั่นก็เป็นเพราะพี่ศิทำเสียงไม่พอใจใส่ผมก่อนต่างหากผมก็เลยทำตัวไม่พอใจกลับน่ะครับ


“แท็กซี่อันตราย และดูไม่ดีด้วยที่ไปส่งผู้หญิงด้วยกันสองต่อสอง” พี่ศิพูดติผม ซึ่งไอประโยคของพี่เขาน่ะ ทำให้ผมอยากจะสวนกลับไปเสียเหลือเกินไป ตอนพี่วิกับพี่เตอร์ไปห้องพี่ศิอันนี้ 3p เลยชัด ๆ ไม่คิดว่าจะน่าเกลียดเลยหรือไงแล้วนี่คิดยังไงถึงมาว่าผมแบบนี้


“ผมบริสุทธิ์ใจ ส่วนเรื่องอันตรายผมคิดว่าผมปกป้องพี่วิได้” ผมพูดกลับไป และตอนนี้ผมปล่อยให้พี่วิลงจากหลังของผมแล้วครับ และผมก็หันหน้าไปปะทะคารมกับพี่ศิเต็ม ๆ


“ปกป้องตัวเองยังจะไม่รอด คิดจะปกป้องคนอื่นแล้วหรือไง” ในถ้อยคำที่พี่ศิสวนมานั้น ทำเอาอารมณ์โกรธของผมปรี๊ดขึ้นสมองเลยครับ กล้าดียังไงมาหาว่าผมปกป้องตัวเองไม่เป็น!


“นี่พี่ครับ ถ้าผมปกป้องตัวเองไม่เป็นป่านนี้ ผมคงไปเกิดใหม่หลายชาติแล้วล่ะครับ” เวลาผมโกรธใคร หรือหงุดหงิดใคร (ที่ไม่ใช่ไอสองหน่อเจมส์กับบาส) ผมจะเปลี่ยนสรรพนามเรียกตัวเองแล้วก็ใช้คำสุภาพที่สุดเท่าที่ตัวเองจะคิดออกมาได้พูดใส่เขาไปครับ
ซึ่งคำตอบที่ผมสวนพี่ศิไปนั้น ทำให้พี่เขาถึงกับปิดปากเงียบสนิทบรรยากาศหน้าคณะแพทย์ศาสตร์ตอนนี้มันร้อนระอุไปด้วยอารมณ์โกรธของคนสองคน จนในที่สุดพี่เตอร์ก็ต้องเข้ามาห้ามศึกประชันฝีปากของผมกับพี่ศิครับ


“ไอศิ มรึงใจเย็น โกรธอะไรน้องเค้าวะ” พี่เตอร์ถามพลางตบไหล่พี่ศิเบา ๆ ซึ่งพี่ศิไหวไหล่เพื่อสะบัดมือพี่เตอร์ออกจากบ่า การกระทำนั้นทำให้พี่เตอร์หน้าเสียเล็กน้อย ก่อนจะเดินมาพูดจาห้ามทัพทางฝั่งของผมบ้าง


“น้องกรครับ เย็นไว้ครับ โอ๋เอ๋นะ” พี่เตอร์พูดกับผมเหมือนผมเป็นเด็ก ๆ ซึ่งผมก็ยิ้มเย็นยะเยือกเป็นคำตอบให้พี่เขาไป
งานนี้พี่เตอร์ผู้แสนอารมณ์ดีก็เอาไม่อยู่แล้วละครับ อารมณ์ของผมกับพี่ศิตอนนี้ชักจะไม่สู้ดีกันแล้ว ผมจ้องหน้าพี่ศิต่อไปอีกสักพัก ก่อนจะสะบัดหน้าเดินหนีเพื่อไปโบกแท็กซี่กลับคอนโด


และทุกท่านคิดเหรอว่าผู้ชายที่แสนเอาแต่ใจนามว่า ศิรวิทย์ จะยอมให้ผมทำแบบนั้นได้ ทุกคนคิดถูกอีกแล้วล่ะครับพี่ศิเดินตรงเข้ามาทางผมพร้อมกับลากผมไปยังที่จอดรถของคณะแพทย์ศาสตร์ ผมดิ้นไปมาอยู่สักพัก ก่อนจะโดนดันให้เข้าไปนั่งในรถ BMW ของพี่ศิ ไอผมก็กะว่าจะเปิดประตูออกแล้ววิ่งหนี แต่พี่ศิเหมือนจะรู้ทัน พี่แกเลยล็อคกุญแจไม่ให้คนด้านในเปิดออกไปด้านแล้ว พี่ศิก็เดินวนไปเปิดประตูฝั่งคนขับ


ผมเกาะกระจกมองพวกพี่ ๆ ที่เป็นเพื่อนพี่ศิ แต่สิ่งที่พี่ ๆ ทั้งหมดแสดงผมตอบกลับมาคือการก้มหน้าไว้อาลัยให้กับผม พี่ ๆ ครับผมไม่ได้จะไปตายสักหน่อย ทำไมถึงต้องไว้อาลัยผมขนาดนั้นด้วย ผมเกาะกระจกรถมองอยู่ไม่นานก่อนจะกลับมานั่งท่าปกติของคนที่นั่งบนรถกัน


ผมกอดอกไม่พูดไม่จา พี่ศิก็นั่งขับรถโดยไม่พูดไม่จาเช่นเดียวกับผม เราสองคนนั่งเงียบกันไปสักพักจนกระทั่งไอต่อมความอดทนที่มีต่อความเงียบของผมมันก็ถึงขีดสุด


“โทรไปไม่รับ ทั้ง ๆ ที่บอกให้โทรไปหาเองแท้ ๆ” ผมเอ่ยขึ้นมาลอย ๆ ตำพูดนี้ทำให้พี่ศิถึงกับสะดุ้งและหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาดูทันที


สีหน้าของพี่ศิอ่อนลงเล็กน้อยแต่ยังไงพี่แกก็ไม่ยอมพูดกับผมอยู่ดี


“ไอเราเลิกไวก็เลยคิดว่าจะไปเซอร์ไพรส์หน้าคณะ ยังไม่ทันได้เซอร์ไพรส์…ก็โดนใครบางคนพูดไม่พอใจใส่” ผมก็บ่นตามประสาผมไปเรื่อย ๆ และปรายสายตาตัวเองดูปฏิกิริยาของพี่ศิไป


‘หนอย ยังนิ่งอยู่เหรอ…’


“มันน่าน้อยใจนัก เราก็คิดว่าอยากกลับบ้านกับเค้า แต่พอเจอหน้าก็มาทำท่าทางไม่พอใจใส่ ทั้ง ๆ ที่เราน่าจะเป็นคนโกรธแท้ ๆ แต่ดันกลายเป็นคนโดนโกรธ” ผมยังบ่นพึมพำไปเรื่อย ๆ โดยที่ผมเลิกปรายตาไปมองพี่ศิแล้วละครับ ตอนนี้ผมบ่นทุกอย่างเท่าที่ผมจะบ่นได้แล้วครับและสุดท้ายผมก็เอ่ยประโยคที่ผมคิดว่ามันเป็นไม้เด็ดของผมออกไปให้พี่ศิฟัง


“ไอเราก็เชื่อใจ เชื่อคำพูดของเขาว่าเราโทรไปเขาจะรีบรับโทรศัพท์ของเรา ให้ตายเถอะ รอแล้วรออีก เขาก็ไม่คิดจะกดรับสายจนเราต้องกดตัดสายทิ้งเอง มันน่าน้อยใจกว่าไหมนะ” สิ้นประโยคนี้ทำให้พี่ศิถึงกับชะงักและชะลอรถจอดเทียบข้างทางทันที
ใบหน้าคมหันมาหาผมพร้อมเอ่ยปากขอโทษผมออกมา


“กร พี่ขอโทษนะครับ” เสียงทุ้มที่เอ่ยออกมาแสดงถึงความรู้สึกผิดจากหัวใจ แม้ผมไม่มองหน้าเขา ผมก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกเสียใจจากน้ำเสียงได้ครับ


ผมค่อย ๆ หันไปมองสีหน้าที่รู้สึกผิดช้า ๆ ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ เพื่อแสดงให้อีกฝ่ายรู้ว่าผมนั้นยกโทษให้เค้าแล้ว ซึ่งพี่ศิเห็นใบหน้าผมที่พยักหน้าขึ้นลง พี่เขาก็ยิ้มจาง ๆ ออกมาทันที


‘อ่า…ผมรู้สึกว่าใบหน้าของพี่ศิ เขาเหมาะกับรอยยิ้มจาง ๆ แบบนี้ที่สุดเลยล่ะครับ’


เมื่อผมเห็นใบหน้าคมนั้นยิ้มมาให้ ผมก็ยิ้มตอบกลับ พี่ศิก็ละมือออกจากพวงมาลัยรถแล้วยื่นมาขยี้หัวของผมแรง ๆ หนึ่งทีเพื่อแสดงถึงอาการหมั่นเขี้ยว


“กรไม่รู้นะว่าพี่ศิไม่พอใจอะไร แต่พูดแบบนั้น ทำให้น้องชายคนนี้เสียใจนะเออ ไม่ดี้ไม่ดีเลยน้า” ผมพูดยอกย้อนพี่ศิไปแต่ตอนนี้ถ้อยคำของผมไม่ได้ทำให้พี่ศิเค้ารู้สึกหงุดหงิดอีกแล้ว พี่ศิหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะหันกลับไปขับรถต่อ พี่ศิเปิดไฟของทางก่อจะเหยียบคันเร่งเพื่อเคลื่อนตัวรถ


“พี่ศิพรุ่งนี้ ไอเจมส์ ไอบาสแล้วเพื่อน ๆ ของกรจะมาติวที่ห้องกรล่ะ คาดว่าคงติวกันดึกแล้วก็ติวหลายวันด้วย กรว่าน่าจะติวกันจนกว่าจะสอบเสร็จหมดทุกวิชาอ่ะ ถ้ากรกับเพื่อนทำเสียงดัง กรขอโทษด้วยน้า” ผมพูดบอกพี่ศิ และขอโทษพี่ศิล่วงหน้า ถ้าเกิดพวกผมทำเสียงดัง ซึ่งพี่ศิก็ไม่ได้ว่าอะไรแถมยังบอกว่าเดี๋ยวจะซื้อเสบียงไปให้ด้วย


‘ตายละ มีพี่ชายแบบนี้ รักตายเลยละครับคุณพี่ศิ’ ผมแทบจะยกมือไหว้ท่วมหัว กับความใจดีของพี่ศิ  ซึ่งการแสดงท่าทางของผมทำให้พี่ศิหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง


เราทั้งสองคนคุยเรื่องสัพเพเหระไปสักพัก รถของพี่ศิก็เคลื่อนตัวมาถึงคอนโดของพวกเราสักที


“พี่ศิ…กรอยากรู้ วันนี้พี่ศิเป็นอะไรเหรอ หงุดหงิดอะไรอ่ะ” ก่อนจะลงจากรถผมเอ่ยถามพี่ศิด้วยความสงสัยซึ่งคำถามนี้ทำให้พี่ศิที่กำลังลงจากรถถึงกับชะงักทันที


“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก พี่หงุดหงิดจากราวด์น่ะ” ผมเอียงคอมองพี่เขาก่อนจะพยักหน้าตอบรับในคำตอบของพี่ศิ (แต่ผมก็ไม่ได้เชื่อร้อยเปอร์เซ็นอะไรหรอกครับ เพราะว่ากลุ่มเพื่อนพี่เขาแสดงสีหน้าแฮปปี้ดี้ด้ากันจะตาย แล้วอย่างพี่ศิอ่ะนะจะหงุดหงิดจากการเดินราวด์)


“งั้นเหรอครับ คราวหน้าอย่าหงุดหงิดอีกนะ พี่ศิหงุดหงิดแบบนี้ทำกรใจหายวาบเลยอ่ะ คิดว่าพี่ชายของกรจะไปฆ่าใครเข้าหรือเปล่า” ผมบอกพี่ศิพร้อมกับรอยยิ้มก่อนจะวิ่งหนีเข้าลิฟท์ไปก่ อนปล่อยให้พี่ศิยืนมองแผ่นหลังของผมไป ผมรีบกดปิดลิฟท์ทันที เพื่อแกล้งไม่ให้พี่ศิเข้ามาในลิฟท์ตัวเดียวกับผมได้ ผมโบกมื้อบ้ายบายพร้อมกับทะหน้าทะเล้นใส่พี่ศิจนประตูลิฟท์ปิดสนิทลง


“ตอนนี้พี่เป็นได้แค่พี่ชายของกรเท่านั้นสินะ” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาแผ่วเบาพร้อมกับริมฝีปากที่เผยรอยยิ้มอันแสนเศร้าออกมาจาง ๆ



__________________________________


สวัสดีค่ะพลอยขอแจ้งอะไรนิดหน่อยนะคะ >< ตอนนี้พลอยก็ติดสถานการณ เดี่ยวกับน้องกรค่ะคือพลอยกำลังจะสอบไฟนอลและพลอยก็ยังไม่ได้อ่านหนังสือสักตัวเลยค่ะ (สภาพเดียวกับกรเลยค่ะและตอนนี้พลอยก็จะไปติวกับเพื่อนค่ะติววันจันทร์ สอบมันวันพุธไม่ต้องบอกเลยว่านิสัยกรมันเหมือนใครในด้านนี้) ดังนั้นหลังจากวันนี้ไปพลอยจะขออนุญาตลงนิยายช้าลงหน่อยนะคะ แต่พยายามนำมาลงให้อ่านกันไวที่สุดนะคะ ขอบคุณค่ะ

หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 9] 22/09/2013 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 22-09-2013 15:57:28
พี่ศิชอบน้องจริงๆด้วย ตั้งแต่ตอนไหนนะ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 9] 22/09/2013 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 22-09-2013 15:59:31
ตอนนี้พี่ศิรับบทพี่ชายที่แสนดีอยู่สินะ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 9] 22/09/2013 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: patchylove ที่ 22-09-2013 16:07:16
 :monkeysad: :monkeysad: :monkeysad: :monkeysad: สงสารพี่ศิ สงสัยต้องรุกน้องกรให้หนักๆแล้ว
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 9] 22/09/2013 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 22-09-2013 20:33:19
พี่ศิ กล้าๆหน่อย สู้ๆ บอกน้องกรไปเลย เพราะท่าทางน้องกรจะซื่อนะ ถ้าไม่บอกอาจจะไม่เข้าใจรึปล่าว?  :hao4:

รอตอนต่อไปและขอให้โชคเอกับการสอบนะคะ
เป็นกำลังใจให้ทั้งคนเขียนทั้งน้องกร?เลย สู้ๆค่ะ   :L2: :กอด1: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 9] 22/09/2013 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: yymomo ที่ 22-09-2013 21:47:17
 :z3:  กร ซื่อบื้อไปนะ แต่พี่ศิเองก็ไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่ ออกจะไปทางพี่ชายจริงๆน่ะแหละ ทุบหัวลากเข้าห้องเลย  :laugh:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 9] 22/09/2013 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ข้าวเหนียวหมูปิ้ง ที่ 22-09-2013 22:10:39
กรงี่เง่าอะ - -

คือโทรไปครั้งเดียว เค้าไม่รับก็งอน เฮ้ย ครั้งเดียวเองนะเฟ้ย ถ้าแกโทรไปเป็นสิบๆสายแล้วเค้าไม่รับสิ ถึงสมควรงอน

-ดึงพี่ศิมากอดปลอบ-  :กอด1:

*หลบตรีนน้องกร* กร้ากกกกกกกกกกก  :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 9] 22/09/2013 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: zylph_z ที่ 25-09-2013 01:59:32
เพิ่งเข้ามาอ่านจ้า อ่านไปไม่กี่ตอนต้องบอกว่าหลงรักในความเกรียนปนซื่อของน้องกรมากอ่ะ >.< คนอะไรน่ารักได้ใจ
แถมยังมีแอบปันใจไปหลงพี่หมอเบาๆด้วย แพ้ทางนักศึกษาแพทย์ผู้สุขุมอ่ะ >///<
รอติดตามต่อไปจ้า ^^
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 10] 26/09/2013 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 26-09-2013 21:00:59
โอยยกลับมาต่อแล้วค่ะหลังจาก เผชิญ ไปวิชาหนึ่ง เกือบตายค่ะ (ปล.พลอยเรียนคณะเดียวกันน้องกรเค้าค่า) เอาหละเรามาต่อตอน 10 กันเถอะ ไม่อยากจะบอกว่ายังไม่ได้แก้คผิดเลยค่ะ ; w ; ไว้ตอนอื่น ๆจะแก้นะคะ คนช่วยแก้ไม่ว่างค่าแงง



Chapter 10



สวัสดีครับผมรณกร ไอกร หรือไอคุณน้องกรที่ทุก ๆ คนเรียกกันตอนนี้ขอรายงายตัวครับ ณ ขณะนี้ผมอยู่ที่อาคารเรียนรวมและนั่งสถิตอยู่ภายในห้องสอบที่ 2031 ครับ และตอนนี้ผมกำลังปั่นข้อสอบแคลคูลัส 1 อย่างไฟลุกเลยครับหลังจาก 1 อาทิตย์ที่ผ่านมาผมได้ติวแบบนอนสต็อปกับไอเจมส์และสหายทั้งหมด จนเรียกได้ติวกันแบบไม่เห็นเดือนเห็นตะวันวันนี้ผมก็ต้องใช้สกิลทั้งหมดที่มีและที่ได้รับมาจากไอเจมส์เข้ามาพิสูจน์ความฉลาดของตัวเองภายในห้องสอบแห่งนี้แล้วล่ะครับ


ไอผมก็อยากจะส่งสายตาขับไล่ไปที่อาจารย์คุมสอบเผื่อว่าอาจารย์จะเกิดอาการอยากออกไปเข้าห้องน้ำบ้างอะไรบ้างแล้วผมจะได้มีโอกาสชำเลืองมองข้อสอบของไอเจมส์ที่นั่งถัดจากผมไปสองที่ แต่กระนั้นผมก็กลัวว่าผมจะโดนจับทุจริตเสียก่อน ดังนั้นผมก็นั่งทำใจยอมรับชะตากรรมที่โดนข้อสอบทำร้ายต่อไป


ผมก้มหน้าก้มตาเขียนคำตอบลงไปในข้อสอบและคอยภาวนาว่าที่ผมเขียนลงไปนั้นมันอาจจะถูกบ้างหรือต่อให้ไม่ถูกก็ขอให้อาจารย์เห็นใจและให้คะแนนค่าปากกาดินสอผมสักสองสามคะแนนก็ยังดี


ผมนั่งทนทรมานในห้องสอบต่อไปอีกสักสามสิบนาทีสมาธิของผมนั้นแตกกระเจิงไปเรียบร้อยแล้วครับ ตามปกติการสอบไฟนอลหรือเรียกเต็ม ๆ ว่าการสอบปลายภาคแต่ละวิชาอาจารย์จะใช้เวลาสอบทั้งหมด 3 ชั่วโมงครับ (แต่ข้อสอบกลางภาคหรือข้อสอบมิดเทอม อาจารย์จะให้เวลา 2 ชั่วโมงครับ) แต่ผมอยากจะเดินเข้าไปหาอาจารย์แต่ละวิชาแล้วบอกท่านว่า ‘จารย์ครับให้เวลาผมแค่หนึ่งชั่วโมงครึ่งก็พอครับให้เวลาผมมา 3 ชั่วโมงผมเมื่อยตรูดครับ ยังไงผมก็นั่งทำไม่ถึง 3 ชั่วโมงอยู่แล้ว’ ที่ผมคิดแบบนั้นไม่ใช่ว่าผมเก่งเทพประดุจพระเจ้าอะไรหรอกครับคือตามที่พูดไปนั่งนานผมเมื่อยแถมสมาธิของผมหนะมันหายไปตั้งแต่ชั่วโมงแรกแล้วครับ ส่วนอีกสามสิบนาทีให้หลังมันเป็นช่วงของสติของผมกำลังจะหลุดลอยตามสมาธิไป


แต่ต่อให้ผมบ่นกก็เถอะนิสิตอย่างพวกเรามีสิทธิที่จะออกห้องสอบก่อนหมดเวลาได้ครับดังนั้นหลังจากที่ผมนั่งสติหลุดลอยและเรียกให้มันกลับเข้ามาในสมองก็ศิริรวมเวลาไปแล้ว 2 ชั่วโมงเอาหละผมได้ฤทธิ์ออกจากห้องสอบแล้วครับ


ผมพลิกกระดาษข้อสอบคว่ำไว้ผมกับเดินตัวปลิว (โดยทิ้งความรู้ที่ไอเจมส์ยัดมาให้ทั้งหมดไว้ในห้องนั่นหละ) ออกจากห้องสอบไป วันนี้ผมมีสอบสองวิชาครับโดยช่วงเช้าเป็นการสอบวิชาแคล 1 ส่วนการสอบตอนบ่ายเป็นการสอบวิชาภาษาไทย


ทุกคนสงสัยละสิว่าทำไมนิสิตอย่างพวกผมต้องเรียนวิชาภาษาไทยอีกพวกคุณสงสัย…ผมก็สงสัยเหมือนกันครับดังนั้นพวกคุณไม่ต้องมาหาคำตอบกับผมครับเพราะผมก็ตอบพวกคุณไม่ได้เหมือนกัน


หลังจากที่ผมประเดิมออกจากห้องสอบเป็นคนแรกมิตรสหายร่วมคณะก็เริ่มเดินตามออกมาทีละคนสองคน พวกคุณคงเข้าใจสินะครับถ้ามันไม่มีใครประเดิมออกจากห้องสอบเป็นคนแรก มันก็จะไม่มีใครกล้าที่จะออกจากห้องสอบ ดังนั้นผมนี่ล่ะจะเป็นคนประเดิมออกจากห้องสอบคนแรกให้เพื่อน ๆ ทุกคนเอง (ความจริงผมแค่คิดว่าผมนั่งไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาสู้ออกมาจากห้องสอบแล้วนั่งชิล ๆ ไม่ปวดสมองนอกห้องดีกว่า)


ผมนั่งแกว่งเท้ารอสหายทั้งหมดไปสักพักไม่นานนักเพื่อน ๆ ของผมก็ค่อย ๆ ทยอยออกจากห้องสอบมาเกือบจะหมดทุกคนและไม่ต้องเดานะครับใครมันจะออกมาจากห้องสอบเป็นคนสุดท้าย…ถ้าไม่ใช่ไอเจมส์


ผมกับพรรคพวกนั่งรอไอเจมส์จดหมดเวลาสอบไม่เกินห้านาทีไอเจมส์ก็เดินออกมาจากห้องพร้อมสีหน้าภาคภูมิใจของมัน
“ถ้ากรูไม่ได้ B ขึ้นกรูยอมให้ตบหัวเลย” มันพูดออกมาด้วยความมั่นใจ...มั่นใจมากเกินเหตุจนผมต้องลุกจากโต๊ะและไปกระโดดตบหัวมัน 1 ที


“เออไอเก่ง ไอเทพถ้ามรึงได้ต่ำกว่า B นะกรูจะหัวเราะให้สะใจเลย” ผมพูดขู่มันไปซึ่งผมก็ไม่เคยได้ทำตามอย่างที่พูดเลยสักทีครั้บเพราะว่าไอเจมส์มันพูดอย่างไหนมันก็ได้แบบนั้นตลอด ‘โถ่วไอเทพพระเจ้า ไอเก่ง ไอฉลาด’


“เออ ๆ พอเลิกพูดเรื่องที่ผ่านไปแล้วตอนนี้ไปกินข้าวก่อนตอนบ่ายมีสอบอีกวิชา” ไอบาสพูดตัดบทก่อนที่ผมกับไอเจมส์จะเถียงกันไปยาวมากกว่านี้ มันใช้มือทั้งสองข้างดันหลังของผมกับไอเจมส์เพื่อให้พวกผมทั้งสองคนเดินไปยังโรงอาหาร


พวกเราทั้งหมดใช้เวลาหาที่นั่งในโรงอาหารสักพักผ่านไปสิบนาทีพวกผมก็เพิ่งจะได้โต๊ะนั่งกินข้าวกัน พวกเราทั้งหมดรีบวางกระเป๋าพร้อมกับวิ่งปรี่ไปต่อคิวเข้าแถวเพื่อสั่งอาหาร


วันนี้เมนูอาหารกลางวันของผมเป็นกระเพราะหมูกรอบใส่เห็ดเข็มทองครับเห็นผมไม่ชอบกินผักแบบนี้แต่ผมก็ชอบกินเห็ดมากเลยนะครับ ผมเดินถือจานข้าวออกมาจากร้านอาหารตามสั่งด้วยสีหน้ามีความสุขก่อนจะเดินตรงไปนั่งที่โต๊ะทานอาหารที่พวกผมได้กองพวกกระเป๋าเอาไว้


ผมเริ่มลงมือจัดการกิน…ผมคิดว่าเรียกว่าผมกะซวกใส่ปากกันเลยดีกว่าครับเพราะว่าเวลาพักเที่ยงนี่กำลังจะหมดลงแล้วครับกิน…ผมคิดว่าเรียกว่ากระซวกใส่ปากกันเลยดีกว่าครับเพราะว่าเวลาพักเที่ยงนี่มันใกล้จะหมดลงแล้วพวผมทั้งหมดรีบจัดการอาหารในจานพร้อมกับรีบเร่งเดินขึ้นตึกเรียนไปยังห้องสอบ


คราวนี้ห้องสอบของผมอยู่ชั้นสามครับแต่อาคารสอบเป็นอาคารเดิมพอดีว่าวิชานี้เป็นวิชาที่เด็กปีหนึ่งทั้งมหาวิทยาลัย (ไม่ว่าจะเป็นคณะไหน) ต้องเรียนกันทุกคนห้องสอบก็เลยขยับนิดหน่อยผมเลยต้องมาสอบบนชั้นสามครับ เมื่อผมมาถึงเก้าอี้หน้าห้องสอบก็โดนจับจองไปหมดแล้วครับผมก็เลยใช้วิธีบ้าน ๆ ครับ ผมนั่งลงบนพื้นหน้าห้องสอบนี่หละครับ


เมื่อผมได้ที่นั่งที่เหมาะเจาะผมก็เริ่มเปิดกระเป๋าหยิบหนังสือเรียนและชีทออกมาอ่านทันที ผมปรายสายตามองไปทั่วแผ่นกระดาษก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาถามไอเจมส์ในจุดที่ผมสงสัยแต่ทว่าเมื่อผมเงยหน้าขึ้นมานั้นสายตาของผมกับไปเจอกับบุคคลที่ผมไม่อยากจะเจอมันมากที่สุด…มันจะมีใครอีกหละครับ นอกจากไอไฮซ์


ผมรีบก้มหน้าลงทันทีพร้อมกับนั่งเปิดหนังสืออ่านเงียบ ๆ จนเพื่อน ๆ ทั้งกลุ่มรู้สึกแปลก ๆ เพราะปกติผมจะเป็นคนช่างจ้อช่างคุยมากที่สุดกลับเงียบปากไปเสียแบบนี้เพื่อน ๆ แต่ละคนต่างกันยื่นมามาตบหัวตบบ่าผมพร้อมกับถามว่าผมเป็นอะไร


“เป็นไรครับเชี่ยกร” เสียงนี้เป็นเสียงของเพื่อนเปอร์ครับชื่อจริงมันคือไฮเปอร์ (ชื่อแปลกล่ะสิครับ) ไอนี่ผมรู้จักตอนเปิดเทอมวันแรกแต่มาสนิทกันตอนประกวดดินคณะครับ (เพราะไอนี่เป็นว่าที่ดินเหมือนกันแต่มันเกรียนแพ้ผม) มันถามด้วยความห่วงใยแต่ผมเลือกที่จะไม่ตอบไอเจมส์กับไอบาสเริ่มจะกวาดสายตามองไปรอบตัวแล้วล่ะครับซึ่งมันทั้งสองคนก็คงเห็นไอไฮซ์แล้วมันเลยลากคอไอเปอร์ให้ออกห่างจากผมก่อนที่ผมจะระเบิดออกมา


ไอเจมส์กับไอบาสมันรู้ครับแต่ผมเห็นหน้าไอไฮซ์ สลักระเบิดในสมองผมมันก็ถูกปลดแล้วและถ้าใครมากวนข้าง ๆ ผมมาก ๆ ผมก็จะโวยวายออกมาทันที ด้วยเหตุนีไอบาสกับไอเจมส์ก็ช่วยกันกันเพื่อนคนอื่น ๆ ให้ออกห่างจากผม


ผมนั่งอ่านชีทไปด้วยพร้อมกับพยายามระงับความโกรธที่คุกกรุ่นในใจ ผมรับรู้ได้ถึงสายตาที่ไอไฮซ์มันมองมาซึ่งแน่นอนผมเลือกที่จะไม่สนใจมัน ซึ่งมันก็ยังไม่ยอมละสายตาจากผมครับ (ที่ผมรู้เพราะสีหน้าไอเจมส์กับไอบาสมันเลิกลั่กมากเพราะว่ามันเห็นไอไฮซ์มันจ้องมาที่ผมเป้ฯตาเดียวและในช่วงวินาทีสุดท้ายที่ผมจะระเบิดลงพลันเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้นพร้อมกับตัวอักษรที่ปรากฏบนหน้าจอว่า ‘พี่ศิ’


ผมรีบกดรับสายโทรศัพท์นั่นทันทีและลุกขึ้นขอตัวออกมาคุยโทรศัพท์กับพี่ศิ


“ฮัลโหล สวัสดีครับนี่เป็นเบอร์โทรศัท์ของนายรณกรสุดหล่อไม่ทราบว่าจะเรียนสายพูดกับใครครับ” ผมกรอกเสียงลงไปสิ้นเสียงพูดของผมพี่ศิก็ปล่อยหัวเราะออกมาเสียยกใหญ่ซึ่งผมก็อมยิ้มน้อย ๆ ที่พี่ศิแสดงอาการแบบนั้นออกมา


“งั้นพี่ขอสายนายรณกรหน่อยครับสามารถโอนสายของพี่ไปให้นายรณกรได้หรือเปล่า” พี่ศิตบมุกกลับมาให้ผมซึ่งนั่นทำให้ผมยิ่งหัวเราะออกมาเสียงยกใหญ่


“นายรณกรตอนนี้ไม่ว่ารับสายครับ แต่น้องกรว่างสนใจคุยกับน้องกรแทนไหมครับ” ผมพูดย้อนให้พี่เขาก่อนจะ เอนตัวไปพิงกับเสาที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ ตอนนี้ผมหันหน้าไปประชันกับไอไฮซ์ครับแต่ตอนนี้ผมไม่ได้สนใจอะไรมันอีกแล้วเพราะความสนใจของผมนั้นเปลี่ยนไปสนใจบุคคลที่กำลังพูดคุยหยอกล้อผมในโทรศัพท์แล้วครับ


“งั้นขอสายน้องกรหน่อยครับ พอดีพพี่ชายนามศิรวิทย์มีคาถามาอวยพรให้น้องกรทำข้อสอบได้” สิ้นเสียงของพี่ศิผมก็เปลี่ยนน้ำเสียงเป้นออดอ้อนพี่เขาแทบจะทันทีพูดถึงเรื่องสอบไม่ว่าจะ ติดสินบนอาจารย์ ลากคอเพื่อนมาติว พึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือจะพึ่งคำอวยพรของคนอื่นผมก็ยอมทั้งหมดแล้วหละครับ


“น้องกรสุดหล่อตอนนี้กำลังพูดสายอยู่ครับถ้าจะอวยพรรีบอวยพรเพราะคุณมีเวลาอีก 5 นาทีเท่านั้นเพราะอีก 5 นาทีหลังจากนี้น้องกรสุดหล่อคนนี้จะเข้าห้องสอบแล้ว” ผมยกนาฬิกาขึ้นมาเพื่อดูเวลาว่าผมนั้นมีเวลาคุยกับพี่เขาอีกเท่าไหร่ ซึ่งตอนนี้ เข็มยาวมันเริ่มจะเคลื่อนที่เข้าใกล้เลข 12 แล้วครับ (ผมสอบตอนบ่ายโมงตรงครับและตอนนี้เป็นเวลาประมาณเที่ยงห้าสิบกว่านาที)
 “เลิกเล่นได้แล้วกร” พี่ศิพูดกลั้วหัวเราะก่อนจะพูดออกมาต่อ “สอบวิชาที่สองแล้วสินะ เมื่อเช้าทำได้ไหมครับกร” น้ำเสียงพี่ศิที่เอ่ยผ่านสัญญาณโทรศัพท์นั้นเต็มไปด้วยความเห็นห่วง ซึ่งผมก็ยืดอกตอบไปด้วยความภาคภูมิใจว่า “…ก็ทำได้...ส่วนใหญ่จะได้ทำมากกว่าครับพี่ชาย” ตอนนี้ผมเริ่มเล่นมุกกับพี่ศิแล้วล่ะครับผมมักจะเรียกพี่ศิว่าพี่ชายแล้วพี่ศิก็หยอกผมกลับด้วยการเรียกตัวเองว่าพี่ชายเช่นกัน (แต่บางครั้งผมก็รู้สึกว่าเวลาที่พี่ศิแทนตัวเองด้วยคำว่าพี่ชายน้ำเสียงของพี่ศิจะดูโหวง ๆ เศร้า ๆ ไปนิดซึ่งผมก็ไม่รู้ว่านั่นเป็นเพราะอะไร)


“งานนี้พี่ต้องคิดคำอวยพรเรายังไงดีหละทีนี้ กรเล่นบอกพี่มาว่าได้ทำมากกว่าทำได้” เสียงพี่ศิยังคงเต็มไปด้วยความกังวลส่วนผมหนะเหรอ ถ้าตอนนี้ผมมีหูกับมีหางนะป่านนี้คงกระดิกไปมารอคำอวยพรจากพี่ศิไปแล้วหละครับเพราะน้ำเสียงของผมที่ตอบพี่ศิไประรื่นขนาดนั้น “เอาคำอวยพรที่เด็ด ๆ ทำให้กรทำข้อสอบได้แล้วกันนะพี่ศิ”


พี่ศิเงียบเสียงลงไปสักนิดไม่นานนักเสียงทุ้มของพี่ศิก็เอ่ยออกมาด้วยความอ่อนโยน น้ำเสียงนั้นทำให้ผมอมยิ้มออกมากว้างจนเพื่อน ๆ ผมที่นั่งอยู่ที่พื้นพูดแซวผมเสียยกใหญ่


“โหยไอเชี่ยกรแม่มมีกำลังใจส่วนตัว น่าอิจฉาเว้ย” เสียงของเพื่อน ๆ ในกลุ่มของผมต่างโห่ร้องแซวผมกันเสียยกใหญ่การคุยกับพี่ศินั้นทำให้ผมมีกำลังใจทำข้อสอบขึ้นตั้งเยอะและที่สำคัญมันทำให้ผมหายจากอาการหงุดหงิดเสียด้วย


ผมอมยิ้มเบา ๆ ให้กับโทรศัพท์มือถือของผมก่อนจะวิ่งเดินไปหยิบกระเป๋าตัวเองเพื่อเข้าห้องสอบไป


‘พี่ขอให้น้องกรทำข้อสอบได้เยอะ ๆ มีสมาธิอยู่กับข้อสอบนะครับ สู้ ๆ ล่ะไอตัวแสบของพี่’


เพียงแค่ประโยคเดียวมันทำให้ผมอมยิ้มไปได้ตลอดทั้งบ่ายและมันทำให้กำลังใจของผมขึ้นมาเต็มเปี่ยมจนทะลักออกมาเลยหละครับ



และแล้ววันสอบนรกแตกวันแรกก็จบลงครับผมนี่แม้จะได้คำอวยพรและกำลังใจจากพี่ศิมาอย่างเต็มเปี่ยม…แต่สภาพผมก็ไม่ต่างอะไรจากเพื่อน ๆ หรอกครับเพราะผมก็แทบจะคลานออกมาจากห้องสอบเหมือนพวกเพื่อนคนอื่น ๆ วิชานี้เป้นวิชาที่ผมนั่งสอบสามชั่วโมงเต็มเลยครับไม่ใช่ว่าขยันรักการเรียนรักการศึกษา แต่ด้วยเหตุที่ข้อสอบมันเยอะบรรลัยมากเลยครับ พวกปรนัยนี่ไม่เท่าไหร่ แต่อัตนัยนี่เข้าขั้นจัดเต็ม โยนสมุดมาให้ 1 เล่มพร้อมกับคำสั่งจิปาถะที่ให้เขียนเรียงความ คำตอบ อะไรต่อมีอะไรลงไป คือแบบถ้าใครทำเสร็จก่อนเวลานี่ผมกราบเลยครับ


อย่าว่าแต่ทำเสร็จก่อนเวลาเลย…ทำให้ทันก่อนดีกว่าครับแล้วค่อยมาคุยกับผมนี่ ไอผมน่ะถือปากกากำลังจะเขียนคำตอบข้อสุดท้ายอาจารย์คุมสอบสุดโหดก็กระชากข้อสอบกับกระดาษคำตอบในมือผมไปแล้ว ตอนนั้นนี่น้ำตาผมนี่แทบจะไหลออกมาเลยครับ  หลังจากที่ผมนั่งทำใจและไว้อาลัยกับข้อสอบที่ผมได้ทำไปผมก็เดินหิ้วกระเป๋าออกมาสมทบกับเพื่อนที่ยืนรออยู่ห้องห้องใบหน้าแต่ละคนช่างเหม่อลอยสภาพทุกคนตอนนี้ (แม้กระทั่งไอเจมส์) สติเหมือนไม่อยู่กับตัว ส่วนวิญญาณก็ไม่อยู่ในร่างครับ
พวกเราทุกคนเดินลงจากตึกสอบด้วยสภาพไร้วิญญาณก่อนจะโบกมือแยกย้ายกลับบ้านกลับช่องกลับหอ กลับอะไรก็กลับกันครับ แล้วสำหรับผมวันนี้ผมขับรถมาเองครับเลยไม่ต้องพึ่งพิงพี่ศิในวันนี้ผมเดินลากขาพาร่างที่ไว้วิญญาณของตัวเองไปยังรถที่จอดไว้ข้าง ๆ ตึกสอบแต่ไม่ทันที่ผมจะได้เดินไปถึงรถหรอกครับมันก็มีใครบางคนมายืนดักหน้าผมอยู่ ซึ่งไอคน ๆ นั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก… ไอไฮซ์


ผมปรายตามองมันด้วยสีหน้านิ่งสนิทก่อนจะเดินเบี่ยงตัวหลบไปอีกทางเพื่อวิสัยทัศน์การมองของผมจะได้ไม่มีมันเข้ามาอยู่ในสายตา แต่ดูเหมือนว่าไอไฮซ์มันจะไม่ยอมให้ผมเดินหนีมันไปได้ง่ายมันเดินตรงมาที่ผมพร้อมกับจับข้อมือผมไว้แน่น
“กร เรามีเรื่องต้องคุยกัน” มันพูดเสียงนิ่งแต่คนอย่างผมหนะเหรอจะยอมทำตามที่มันสั่ง


ถ้าผมทำตามกโง่แล้วครับ ผมสะบัดมือมันออกจากแขนผมทันทีก่อนจะใช้มืออีกข้างต่อยสวนมันไปอีกหนึ่งหมัด แต่น่าเสียดายครับ…ไอไฮซ์มันเจือกหลบได้ทำให้ผมแทบหน้าคว่ำลงไปกับพื้น (พอดีผมก่ะต่อยเต็มแรงเลยพุ่งตัวไปสุดแรงเลยครับ) ในขณะที่ผมกำลังจะลงไปนอนบอกรักกับพื้นดินผมก็รู้สึกเหมือนมีใครเอาท่อนแขนมาประคองรอบเอวผมไว้อยู่


ซึ่งผมก็รู้ได้โดยทันทีว่าใครเป็นคนช่วยผมไว้ ผมพยายามดิ้นออกจากอ้อมแขนของไอไฮซ์แล้วเดินกระฟัดกะเฟียดไปที่รถยนต์ของตัวเอง ผมเปิดประตูพร้อมกับปิดมันอย่างแรงก่อนจะสตาร์ทเครื่องและเหยียดคันเร่งจนเกือบมิดรถของผมพุ่งทะยานไปเบื้องหน้าพร้อมกับเคลื่อนตัวผ่านไอไฮซ์อย่างรวดเร็ว


ไม่ใช่ว่าผมนั้นจะไม่ได้รับรู้ถึงความรู้สึกของไอไฮซ์มันหรอกครับ ผมรู้ว่ามันรู้สึกผิดมากกับเรื่อง ๆ นั้นและผมก็รู้ว่ามันอยากจะขอโทษผมและอธิบายให้ผมเข้าใจ แต่เป็นเพราะผมเองนั่นหละครับที่ปฏิเสธทุกอย่างมาตลอดนั่นก็เป็นเพราะว่าผมไม่อยากโดนเพื่อนสนิทหักหลังอีกแล้ว ทุกคนจะมองผมในแง่ร้ายก็ได้นะครับแต่ถ้าคนเรามีครั้งแรกแล้วทำไมมันถึงจะไม่มีครั้งที่สองตามมาหละครับ


พอดีความไว้ใจของผมหนะ…ผมให้ได้แค่คนละครั้งเท่านั้นหละครับ…



v
v
v
v
v
v
v
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 10] 26/09/2013 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 26-09-2013 21:05:28



และเมื่อผมขับรถมาถึงที่คอนโดของตัวเองผมก็วิ่งเข้าไปในลิฟท์พร้อมกับกดที่ชั้น 14 แต่ทันทีที่ประตูลิฟท์นั้นเปิดออกผมก็รีบวิ่งออกไปแต่จุดที่ผมวิ่งไปนั้นมันไม่ใช่ประตูห้องของผมแต่เป็นประตูห้อง 1404  ซึ่งเป็นของของพี่ศินั่นหละครับผมเคาะประตูห้อง กดออดอยู่หลายทีแต่ก็ยังไม่มีใครเดินออกมาเปิด พลันสิ่งที่พี่ศิพูดกับผมเมื่อเช้าก็ลอยขึ้นมาภายในหัว ‘กรครับ วันนี้พี่เข้าเวรนะครับน่าจะกลับสักสามสี่ทุ่มเลยวันนี้กรกลับเองนะครับ’


ประโยคนั้นในตอนเช้าผมก็ไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับมันหรอกแต่ตอนนี้มันกลับทำให้ผมรู้สึกเซงพอดูเลยละครับ


‘ทีไอตอนอยากจะคุยก็ไม่อยู่ ไอตอนที่อยากปรึกษาก็ยิ่งไม่อยู่คนเรียนหมอมันไม่มีเวลาว่างมั่งเลยหรือไงวะเนี่ย’ ผมพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะเดินย้อนกลับไปยังห้องของผมซึ่งมันก็ไม่ได้ห่างจากประตูห้อง 1404 สักเท่าไหร่นัก


ผมไขกุญแจเพื่อปลดลอดห้องก่อนจะเปิดประตูเพื่อเดินเข้าไปภายในและเมื่อผมเข้ามาอยู่ภายในห้องผมก็จัดการเปิดไฟ เปิดแอร์ เปิดแม่มทุกอย่างที่ทำให้ผมไม่รู้สึกว่าตัวผมนั้นอยู่คนเดียวในห้องนี้ แต่ไม่ทันที่ผมจะได้เปิดโทรทัศน์ หรือ สเตริโอให้ดังลั่นห้องเสียงเรียกเข้ามือถือของผมก็ดังขึ้นและหน้าจอของมันก็ปรากฏชื่อของคนที่ผมเพิ่งได้บ่นถึงไปเมื่อสักครู่


‘พี่ศิ’


ผมรีบกดรับสายโทรศัพท์ทันทีพพร้อมกับพ่นถ้อยคำบ่นให้พี่ศิฟังจนพี่เขาไม่สามารถพูดอะไรสวนมาได้นอกจากคำว่า ‘อืม อื้อ แล้วก็ครับ’


“พี่ศิรู้ไหมวันนี้กรน่ะ เซงที่สุดเลยดันไปเจอคนที่กรไม่ชอบขี้หน้ามาตั้งแต่มัธยม พี่ศิคิดดูดิกรจะรู้สึกยังไงแต่เจอหน้ามันไม่พอนะมันยังมาจับแขนกรแล้วบอกว่ามันมีเรื่องจะคุยกับกรด้วย กรก็ไม่อยากจะคุยนะเลยสะบัดมือมันออกพร้อมกับจะต่อยสวนไปสักหมัดแต่ให้ตายมันดันเจือกหลบได้ มันก็เลยเป็นกรที่จะล้มหน้าคว่ำแทน จริง ๆ ไอล้มไปเลยนี่กรไม่ค่อยอายหรอกเราะกรล้มประจำแต่ที่หน้าอายกรดันโดนไอคน ๆ นั้นมันช่วยประคองกรขึ้นมาน่ะสิ ให้ตายเถอะ กรหงุดหงิดชะมัดเลยอยากจะเดินเข้าไปต่อย ๆ หน้ามันสักหลาย ๆ ที แต่ก็ทำไม่ได้กลัวโดนพักการเรียน” เมื่ออผมบ่นจนจบ ผมก็สูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่พร้อมกับนั่งฟังเสียงหัวเราะเบา ๆ ของพี่ศิที่ลอยมาตามสาย


“หัวเราะอะไรพี่หนะนี่มันไม่ใช่เรื่องตลกเลยนะ ไอคนที่กรไม่ชอบขี้หน้าคนนี้ของกรน่ะมันทำกรไว้แสบมันหนะ….....เออช่างเถอะ” ผมทำท่าจะบ่นเรื่องที่พี่ศิหัวเราะใส่ผมต่อแต่ผมก็ต้องเงียบปากลงเพราะถ้าขืนพูดมากยิ่งไปกว่านี่สิ่งที่เป็นความลับ (จริง ๆ มันก็ไม่ใช่ความลับหรอกครับผมแค่ไม่อยากพูดมันออกมาเท่านั้นเอง) ก็จะถูกเปิดเผยออกมาและผมก็ไม่อยากจะร้องไห้ให้กับเรื่องบ้า ๆ พันธ์นั้นอีกแล้วไม่อยากจะร้องไห้ให้กับมันอีกสักครั้งเดียว


เมื่อผมเงียบไปพักใหญ่พี่ศิพี่ก็ถามผมด้วยน้ำเสียงร้อนลนออกมา “กรโกรธพี่เหรอ” ซึ่งแน่นอนคำถามนี้ผมกล่าวปฏิเสธ ผมไม่ได้รู้สึกโกรธพี่ศิเลยสักนิดเดียว


“แล้วทำไมกรถึงเงียบหละ” พี่ศิเอ่ยปากถามซ้ำซึ่งผมก็ไม่รู้จะอธิบายให้พี่เขาฟังยังไงว่าทำไมผมถึงเงียบแล้วรู้สึกไม่อยากพูดอะไรออกไปแต่ยังไงละทุกคนก็น่าจะรู้นิสัยของพี่ศิดีนะครับว่าพี่ศิเป็นคนเอาแต่ใจมากอย่างหนึ่งซึ่งถ้าพี่ศิไม่รู้ความจริงจากปากของผมพี่ศิก็จะไม่วางโทรศัพท์ เขาถามคำถามสองคำถามนี้วนอยู่หลายต่อหลายครั้งจนผมต้องยอมเอ่ยปากเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกไป ซึ่งมันก็ไม่ได้ทั้งหมดจริง ๆ หรอกครับมันเป็นแค่เรื่องราวโดยย่อแถมเซนเซอร์ชื่อของไอไฮซ์ไว้ด้วย


“ที่กรเงียบเพราะกรไม่อยากเล่าให้พี่ศิฟังว่าระหว่างกรกับไอคนนั้นมันเกิดเรื่องอะไรขึ้น…กรคิดว่ามันไร้สาระมากแต่ถ้าพี่ศิอยากรู้กรก็จะเล่าให้ฟังแต่เอาคร่าว ๆ นะ” ผมพูดอธิบายให้พี่ศิเขาฟังและรับปากว่าจะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับไอไฮซ์ออกไป และเมื่อผมเล่าจนจบหมด (แต่เป็นการเล่าโดยย่อ) พี่ศิก็เอ่ยปากขอโทษขอโพยผมออกมาเสียยกใหญ่


ซึ่งพี่ศิเขาก็ไม่ได้คิดว่าเรื่องที่ผมไม่ยอมเล่าออกไปนั้นมันจะเป็นเรื่องที่กระทบกับจิตใจผมมากมายขนาดนี้ผมนอนคุยเล่นกับพี่ศิไปอีกสักพักผมก็กดวางสายจากพี่เขาไป (ความจริงแล้วที่ต้องวางสายก็เป็นเพราะพี่ศิโดนรุ่นพี่เรียกให้ไปช่วยงานครับ ผมกับพี่เขาก็เลยจำใจต้องวางโทรศัพท์และแยกย้ายไสหัวกันไปทำงานของตัวเองส่วนผมก็เตรียมอ่านหนังสือเพื่อเอาไปสอบในวันพรุ่งนี้ครับ)


การคุยกับพี่ศิในครั้งนี้ทำให้ผมสบายใจขึ้นและเหมือนกับว่าตัวเองนั้นได้ยกภูเขาออกจากอกไป ก็ไม่รู้สินะครับว่าทำไมผมรู้สึกแบบนี้ ผมก็เลยแอบตั้งฉายาให้พี่ศิเงียบ ๆ โดยรู้อยู่คนเดียวว่า ‘ที่ปรึกษาทางใจประจำตัวน้องกร’ ซะเลย


ผมนอนกลิ้งเล่นบนโซฟาในห้องของตัวเองไปอีกพักใหญ่ ๆ ก่อนจะเริ่มลุกเตรียมของว่างพร้อมกับหยิบหนังสือมาเปิดอ่านเพื่อเอาความรู้ยัดใส่สมองไปสอบในวันรุ่งนี้



บางครั้งผมก็สงสัยนะครับว่าทำไมการวัดผลการเรียนรู้ของนักศึกษาคือการสอบ คือไม่ได้อยากจะคัดค้านเรื่องการสอบเลยแต่การวัดผลการเรียนรู้ของนักศึกษามันน่าจะมีวีธีที่ดีกว่าการสอบสิ อย่างเช่นให้นักศึกษาทำร้ายงานอะไรแบบนี้ หรือให้นักศึกษาออกมาบรรยายสิ่งที่ตัวเองได้รับเข้าไปในสมองในระหว่าง 1 ภาคเรียน (ซึ่งผมเชื่อว่าถ้าเกิดมีการวัดผลการเรียนรู้แบบนั้นผมคงสามารถพูดแถไปแถมาจนได้เกรด A เป็นแน่แท้) ทำไมอาจารย์ทุกท่านถึงได้หยิบยื่นความทรมานที่เรียกว่าการสอบมาให้นักศึกษาแบบนี้ด้วย ผมคร่ำครวญอยู่ในใจ


ผมลืมบอกไปสินะครับว่าตอนนี้ผมอยู่ในห้องสอบอีกแล้วครับนี่เป็นวิชาสุดท้ายที่ผมจะต้องสอบแล้ว (ความจริงมันมีอีกวิชาแต่ผมขอปล่อยเบลอมันไปก็แล้วกันวิชานั้นผมยังไม่ได้แตกสักตัวแต่ดีที่มันยังพอมีเวลาก่อนวันสอบให้ผมติวได้อีกสองวัน) นั่นก็คือวิชาฟิสิกส์ 1 ที่เป็นตัววัดชะตาผมเลยครับชี้เป็นชี้ตายว่า คุณมรึงจะเรียน 4 ปีจบได้หรือไม่หรือว่าคุณจะดวงซวยต้องเรียนไปถึงปีที่ 5 ครับ


ซึ่งวิชานี้ผมก็ไมได้เดือดร้อนอะไรเท่าไหร่นักผมออกจะทำมันได้ดีพอควรเลย นั่นก็เป็นเพราะเพื่อนเจมส์นั่นหละครับที่ทำให้ผมได้มีวันนี้ วันที่ทำให้ผมรู้จักคำว่าอยู่เหนือมีนคืออะไร


ผมนั่งทำข้อสอบไปยิ้มไปเพราะมันตรงกับสิ่งที่ไอเจมส์มันเกรงข้อสอบไว้ผมซึ่งผมก็คิดว่าสหายทั้งหมดของผมก็คงยิ้มในใจแล้วก็ทำข้อสอบไปอย่างเพลิดเพลินแน่นอน ซึ่งคราวนี้เวลา 3 ชั่วโมงเต็มของอาจารย์ที่ให้ผมมามันไม่สูบเปล่าครับคราวนี้ผมนั่งทำมันจนหมดช่วงโมง ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้จนต้องนั่งงม แต่นั่นเป็นเพราะผมทำได้ครับเลยนั่งทำข้อสอบแบบสบายสมองชิล ๆ กันไปเลย


ผมเดินออกจากห้องสองก็เจอสหายทั้งหมดยืนกันหน้าสลอนและกำลังปรึกษากันอยู่ว่าเรื่องวิชาเคมีจะเอายังไงกันดีมีใครจะพอรู้เรื่องติวให้ได้มั่งไหม ซี่งผมไม่อยากจะใส่ใจแล้วครับผมคิดว่าผมจะปล่อยวิชานี้แล้ว (พอดีคะแนนตอนมิดเทอมผมได้มาเยอะเพราะเพื่อนเจมส์มันสอนแต่คราวนี้ไอเพื่อนเจมส์มันไม่รู้เรื่องเลยสนไม่ได้ดังนั้นผมทำอีกไม่กี่คะแนนก็ผ่าน F แล้วครับ)


ผมเดินโบกมือลาเพื่อน ๆ คนอื่น ๆ ที่ยังคงนั่งหน้าเคร่งเครียดเรื่องจะเอายังไงกับวิชาสุดท้ายที่จะต้องสอบแต่ผมลอยตัวครับ (จริง ๆ ใจก็ไมได้อยากจะชิลสบายอะไรขนาดนี้ แต่…ผมไม่รู้จะไปหาใครนี่ผมไม่ค่อยสนิทกับรุ่นพี่ด้วย แต่แค่รุ่นพี่ทุกคนรู้จักผมก็เท่านั้นเอง)


ผมเดินลงมาจากตึกพร้อมกับกดเบอร์โทรศัพท์โทรหาพี่ศิครับ (วันนี้พี่ศิกลับมาทำหน้าที่สารถีกิตติมศักดิ์ให้ผมหลังจากวันนั้น วันที่ผมเล่าไปว่าเจอไอไฮซ์นั่นละครับพี่ศิเลยบอกว่าจะมาขับรถไปรับไปส่งผมทุกวันถ้าวันไหนว่าง ซึ่งเวลาว่างพี่เขาก็มีไม่เยอะหรอกครับวัน ๆ เห็นวิ่งวุ่นทั่วโรงพยาบาลโดยส่วนใหญ่ผมขับมาเองทุกครั้งแต่ช่วงนี้ดีหน่อยที่ช่วงสอบผมเลยมีสารถีส่วนตัวเป็นประจำ) ผมยืนฟังสัญญาณโทรศัทพ์ไปสักพักพี่ศิก็กดรับพร้อมกับกรอกเสียงใส่โทรศัพท์โดยที่ไม่ต้องให้ผมถามเลยว่าพี่ศิเขาอยู่ที่ไหน “ตอนนี้พี่กำลังจะเลี้ยวไปหน้าตึกที่กรสอบรอสักนาทีสองนาทีนะ พี่กำลังจะถึงแล้ว”


แน่นอนครับผมก็ตอบแค่ “อื้อ” เบา ๆ แล้วกดตัดสายไป พักนี้ผมคุยกับพี่ศิเป็นคำสั้น ๆ แล้วล่ะครับคือไม่ใช่โกรธอะไรกันหรอกครับคือเหมือนพี่ศิจะรู้ทันผมและทำทุกอย่างหรือพูดอะไรออกมาตามที่ใจผมนึก ซึ่งผมก็มีปฏิกิริยาแบบเดียวกันกับพี่เขาครับซึ่งพี่เขาอยากได้อะไรหรือต้องการอะไร ผมจะทำให้ล่วงหน้าเอาไว้ ดันนั้นเราเลยพูดคุยกันน้อยลง (ความจริงจะเรียกว่าน้อยลงก็ไม่ได้หรอกครับเราแค่เหมือนจะรู้สิ่งที่อีกฝ่ายต้องการมากขึ้น หละมั้งครับพวกเราเลยทำอะไรให้กันและกันโดยที่อีกฝ่ายไม่ต้องบอกอะไร)


ผมยืนรอหน้าตึกสักพักผมรถยนต์คันหรูของพี่ศิก็มาจอดเทียบฟุตบาทจรงบริเวณที่ผมนั้นได้ยืนอยู่ ซึ่งผมก็ไม่ได้รีรอให้อีกฝ่ายเอ่ยปากชวนผมขึ้นรถผมก็ถือวิสาสะ (ที่เจ้าของเขาอนุญาต) เปิดประตูด้านข้างคนขับและขึ้นรถไปทันที


ทุกท่านอาจจะสงสัยว่าผมไม่กลัวเรื่องข่าวลือแล้วหรือไง ข่าวซุบซิบอะไรเนี่ยเมื่อก่อนเห็นกลัวนักกลัวหนาตอนนี้ผมอยากจะบอกว่าผมช่างแม่ม ไปนานแล้วครับจะเอาไปพูดบ้าพูดบอว่าผมเป็นอะไร ยังไง ก็เชิญเอาเป็นว่าผมรู้ตัวว่าผมทำอะไร พี่ศิทำอะไร และสถานะของผมกับพี่ศิคืออะไร (ซึ่งตอนนี้ผมกับพี่ศิเป็นแค่พี่น้องกันครับในความคิดผมนะ) แค่นั้นก็พอแล้วตอนแรกผมก็ไม่ได้คิดอะไรแบบนี้หรอกครับแต่คำพูดของพี่ที่บอกผมมาว่า ‘กรจะสนใจข่าวทำไมเราไม่ได้ทำอะไรผิด และเราก็ไม่ได้เป็นไปตามข่าวที่เขาเขียนแล้วเราจะรู้สึกทุกข์ร้อนทำไม’


แค่นั้นนั่นละครับทำเอาผมบรรลุธรรมและปล่อยให้ข่าวมันลือไปทั่วมหาลัย และใช้สกิลช่างแม่มที่พี่ศิสอนมาให้ผมนั่นละครับ
ตอนนี้ผมนั่งยึดไอโฟนห้าของพี่ศิมานั่งเล่นแล้วสวมหูฟังไปด้วยพลางโยกหัวตามจังหวะไปด้วย (ความจริงโทรศัพท์ของผมก็เป็นไอโฟนนะแต่มันรุ่นเก่ากว่าของพี่ศิไม่รู้ว่ามันเป็น 4 หรือ 4S ช่างมันก็แล้วกันตอนนี้เล่นมือถือของพี่ศิต่อไปก่อน) ผมอยู่ในโลกส่วนตัวไปอีกสักพักเสียงทุ้มของพี่ศิก็เอยถามผมเรื่องการสอบและถามต่ออีกว่าผมยังเหลือวิชาไหนอยู่อีกบ้าง


“วันนี้เป็นยังไงบ้างกรสอบน่ะ” พี่ศิถามผมก็ตอบไปตามความจริง “สบายมากพี่ยิ่งฟิสิกส์เนี่ยยิ่งสบายไอเจมส์มันเกรงข้อสอบถูกแทบจะทุกข้อ”


“แล้วเหลือวิชาไหนอีกบ้างหละเรา” พี่ศิพูดไปพลางเอามือขยี้หัวผมไปก่อนสุดท้ายจะมือข้างนั้นของเขามาดึงฟูฟังไอโฟนออกจากหูของผม


ผมตวัดตาไปมองพี่ศิแล้วเพพ่งเบา ๆ แต่ก็ต้องระงับปากตัวเองเอาไวเพราะในมือมันมือถือของพี่ศิเขา “เคมี แต่วิชานี้กรปล่อยแล้วไอเจมส์มันติวให้ไม่ได้มันบอกเรียนไม่รู้เรื่อง” ผมพูดไปพพลางหยิบพูฟังไอโฟนใส่หูไปแต่ทันทีที่พี่ศิแกได้ยินว่าผมจะปล่อยวิชานี้ทิ้งพี่ศิแกเล่นเอามือมากระชากไอโฟน (ของพี่เขา) ออกจากมือผมพร้อมกับสายหูฟังที่หลุดตามไปด้วย


ไอผมก็ร้องเสียงหลงเลยสิครับว่าทำไมพี่ศิทำแบบนี้ “เฮ้ยยยย! พี่ศิอย่าเอาไปเอามาให้กรฟังเพลงต่อก่อน” ผมพยายามเอื้อมมือไปหมายจะคว้าไอโฟนเครื่องนั้นแต่ไม่ทันเสียแล้วพี่ศิจัดการเก็บไอโฟนลงกระเป๋ากางเกงพร้อมกับโยนสายหูฟังไปทางเบาะด้านหลัง


“เดี๋ยวพี่ติวให้” พี่ศิพูดขึ้นมาลอย ๆ พร้อมกับใบหน้าของผมที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายเควสชั่นมาร์ค


“อะไรนะพี่ศิติวอะไร” ผมถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่าสิ่งที่ผมเข้าใจกับสิ่งที่พี่ศิสื่อมันตรงกัน


“เดี๋ยวพี่ติวเคมีให้” คำพูดนั้นทำให้ผมถลึงตามองพี่ศิทันที (ที่ผมมองแบบนั้นก็เพราะว่าพี่ศิเขาไม่ค่อยว่าง จริง ๆ คือไม่ว่างเลยมากกว่าแล้วพี่เขาจะมาติวเคมีให้ผมได้เยี่ยงไร)


“ก็พี่ศิไม่ว่าง เห็นว่าพรุ่งีน้ต้องเข้าเวรด้วยอีกนี่พี่จะมาติวให้ผมได้ยังไง” ผมพูดปฏิเสธพี่เขาซึ่งอย่างพี่ศิทุกคนคิดว่าเขาจะยอมให้ผมปฏิเสธเหรอครับ…คำตอบคือพพี่ศิเค้าไม่ยอมอยู่แล้ว


“หลังเข้าเวรพี่จะกลับมาติวให้” อันนี้ทำให้ผมยิ่งต้องถลึงตามองพี่ศิขึ้นไปอีก


นี่พี่ครับหลังจากพี่จะเข้าเวรเสร็จกว่าพี่จะกลับมาถึงคอนโดมันก็ปาไปสามสี่ทุ่มแล้ว ถึงติวพี่จะเอาเวลาที่ไหนนอนครับเนื้อหาเคมีก็ไม่ใช่น้อย ๆ นะครับพี่


“ไม่เอาดึกไป” อย่าว่าแต่พี่ศิเขาไม่ยอม…ผมเองก็ไม่ยอมติวตอนดึกตอนดื่นหรอกครับ


“เดี๋ยวก็เอฟ…” ฮึก คำว่าเอฟ คำ ๆ นี้มันปักใจ “งั้นเริ่มวันนี้เลยก็ได้ กลับห้องไปเดี๋ยวพี่ติวให้”


ซึ่งคำว่าเอฟมันเป็นคำที่ทำให้ผมสะเทือนใจไปทั้งสามโลก ดังนั้นผมก็จำใจตอบตกลงพี่ศิเขาไปโดยที่มีคำว่าเอฟลอยอยู่เต็มหัว



เอาล่ะครับหลังงจากที่เราทั้งสองคน ผมและพี่ศิมาถึงคอนโดตอนนี้ผมนั่งอยู่ในห้องของพี่ศิครับตอนแรกผมจะอีดออดว่าจะติวห้องผม ๆ แต่พี่ศิเขาไม่ยอมครับพี่แกกลัวว่าผมจะวิ่งเข้าห้องตัวเองแล้วลอคประตูห้องจนพี่เขาเข้าไปตามไม่ได้ พี่ศิเลยประกาษิตให้ผมเก็บเสื้อผ้าของใช้ไปอาศัยในห้องของพี่ศิจนกว่าผมจะสอบเคมีเสร็จ


ซึ่งตอนนี่ผมก็นั่งหน้าเจียม ๆ อยู่กลางห้องนั่งเล่นในห้องของพี่ศิเรียบร้อยแล้วครับด้านหน้าของผมมีโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็ก ๆ วางไว้อยู่ส่วนพี่ศิน่ะเหรอทำหน้าเข้มเปิดเลคเชอร์และชีทวิชาเคมีของผมอ่านคร่าว ๆ อยู่


“พะ…พี่ศิครับไม่ต้องเคร่งเครียดขนาดนั้นก็ได้” ผมพูดเสียงเบาพร้อมกับส่งสายตาว่าผมไม่อยากติวแล้วไปให้พี่ศิเขา แต่ทันทีที่พี่ศิเหลือบสายตาขึ้นมามองผม ผมก็จำใจต้องหุบปากตัวเองลงทันทีเพราะตอนนี้พี่ศิเขาสวมโหมดติวเตอร์สุดโหดเพื่อที่จะติววิชาเคมีผมเรียบร้อยแล้วครับ


“พี่พอเข้าใจเนื้อหาขอเราแล้ว หลัก ๆ ของครึ่งเทอมหลังนี่ท่าทางจะเป็นเรื่องของเคมีอินทรีย์ แล้วก็พวกสมดุลเคมี แล้วเทอร์โมไดนามิกนะกร เอางี้เราบอกพี่มาว่าเราถนัดเรื่องอะไรมากที่สุด” พี่ศิวางเลคเชอร์และชีททั้งหมดลงพร้อมกับเหลือบตามองมาที่ผม
ซึ่งผมก็ได้แต่ส่ายหัวไปมาเบา ๆ เป็นการปฏิเสธ คือว่าครึ่งเทอมหลังนี้ผมเรียนเคมีไม่รู้เรื่องเลยครับผมถึงบอกพี่ผม…เรียนเคมีไม่รู้เรื่องเลยครับผม ถึงบอกพี่ศิไม่ได้ไงว่าผมถนัดเรื่องไหนจากทั้งหมด


ซึ่งปฏิกิริยาของผม…ทำให้พี่ศิถึงกับส่ายหัวไปมาอย่างระอา “คราวนี้งานไม่ใช่น้อย ๆ เลยนะกรถ้าถนัดเรื่องไหนบ้าง พี่จะได้ข้ามเรื่องนั้นไปแต่นี่ไม่รู้เรื่องเลยสักอย่างเลยสินะ”


“คืนนี้ไม่ได้นอนแน่กร” พี่ศิพูดหมายหัวผมเอาไว้พร้อมกับเริ่มมหกรรมติวมหาโหดนรกแตกทันที แต่ก่อนที่พี่ศิจะเริ่มติวผมก็ยกมือเพื่อขอเวลานอก ซึ่งพี่ศิก็ใจดียอมให้เวลานอกผมผมวิ่งไปที่โซฟา (ตัวที่ผมโยนกระเป๋าเสื้อผ้าไว้) แล้วหยิบแว่นสายตาขึ้นมาสวมไว้


ผมหันไปมองหน้าพี่ศิพร้อมยิ้มแห้ง ๆ ให้ พร้อมกับเอ่ยปากตอบคำถามที่พี่ศิสงสัยทันที “กรสวมเวลาอ่านหนังสืออ่ะ นี่จะติวไงเลยเอาออกมาสวมไว้ ปกติไม่ค่อยได้ใส่หรอกกรใส่คอนแทคเลนต์เอา” (ทุกท่ายอย่ามาถามผมนะครับว่าทำไมผมถึงบอกพี่ศิไปแบบนั้นก็พี่ศิแกเล่นมองผมแล้วทำหน้างง ๆ เนี่ยละผมเลยตอบไปแกคงสงสัยล่ะครับว่าผมสวมแว่นสายตาด้วยเหรอ)


เมื่อผมพพูดจบผมก็รีบพาตัวเองไปนั่งที่เดิมทันทีพร้อมกับตั้งใจรับความรู้เข้าสู่สมองน้อย ๆ ที่ไม่มีอะไรเลยของผม


บรรยากาศภายในห้องนั้นเงียบสงัดมีเพียงแต่เสียของี่ศิที่คอยอิบายเรื่องราวพพันธะเคมี สมดุล แรงยึดเหนี่ยวโควาเลนตฺ แรงลอนดอน และสารมีขั่วไม่มีชั่วทั้งหมดยัดเข้ามาในหัวผมจนผมเบลอไปหมด ไอผมเริ่มยกมือจะขอเวลานอกแต่ก็โดนพี่ศิพูดดักเอาไว้เสียก่อน “กรนี่พี่ยังเริ่มติวเราได้ไม่ถึง 10 นาทีเลยนะจะมาขอเวลานอกอะไรบ่อย ๆ”


พี่ศูดเสียงดุใส่ผมจนผมสะดุ้งและก้มหน้าก้มตาจดในสิ่งที่พี่เขาสอนไป ผมก็อยากจะบอกนะครับว่าพี่ศิเป็นคนสอนอะไรที่เข้าใจง่ายแต่เรื่องความโหดในการติวนี่ถ้าเต็มร้อยผมให้พันเลยล่ะครับ เหม่อเมื่อไหร่มีเอาชีทฟาดหัว สะลึมสะลือเมื่อไหร่ก็เอาชีทฟาดหัว ไม่ว่าจะทำอะไรที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเรียน ชีทปึกใหญ่ก็ประเคนลงบนหัวผมล่ะครับให้ตายเถอะพี่ศิครับ พี่จะติวโหดไปไหนนี่มันเริ่มเรียกว่าทำร้ายร่างกายแล้วนะครับ


ผมคร่ำครวญในใจแต่ก็เอ่ยออกไปไม่ได้เพราะถ้าเกิดพูดอะไรหรือถามอะไรนอกเหนือจากเรื่องบทเรียกชีทในมือพี่ซิก็จะปลิวมาฟาดหัวผมทันที


ความรู้ผมมันจะปลิวเพราะชีทที่พี่ตีหัวผมเนี่ยละครับให้ตายเถอะโหดไปไหนเนี่ย!



“กร! เขี่ยนหมู่ฝังชั่นของเคมีอินทรีย์มาให้พี่ทั้งหมดเดี๋ยวนี้มี 8 หมู่ห้ามดูในหนังสือด้วยเรื่องนี้ต้องจำได้ จำไม่ได้นี่ไม่ต้องสอบเลยกร ตกแน่ ๆ” พี่ศิสั่งผมซึ่งแน่นอนคิดเหรอว่าผมจะทำได้…ก็ผมทำไม่ได้แน่นอนอยู่แล้วยังไงครับ ถ้าทำได้ผมจะมานั่งให้พี่ศิติวแบบนี้เหรอไง


ตอนนี้ใครก็ได้ช่วยผมทีพพี่ศิกำลังจะกินหัวผมแล้วครับ ไม่นะ!





___________________________________


โค้งงงง ยังสอบไม่เสร็จเลยค่ะทางพลอยสอบเสร็จวันที่ 10 ช่วงนี้อาจจะ ไม่ได้เจอกันถี่แต่ยังแต่งนิยายตุนไว้เรื่อยๆค่า

หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 10] 26/09/2013 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 26-09-2013 21:23:27
พี่ศิเป็นติวเตอร์ที่โหดกับน้องกรมากๆ ถ้าผ่านไปได้
รีบมาหอมแก้มติวเตอร์เป็นรางวัลเงยนะ น้องกรสู้ๆ

พี่ศิทุ่มสุดตัว สงสัยจะเป็น รักซึมลึก ละมั้งคู่นี้
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 10] 26/09/2013 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 26-09-2013 21:32:17
ติวเตอร์โหดเค้าก็ชอบ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 10] 26/09/2013 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 26-09-2013 21:43:23
อิจฉาน้องกร ถึงพี่ศิติวเตอร์จำเป็นจะโหดไปหน่อยก็เถอะ :hao7:
สู้ๆน้องกร สู้ๆค่ะคนเขียน  :L2: :กอด1: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 10] 26/09/2013 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: yymomo ที่ 26-09-2013 22:37:34
 :katai1:  อิตาไฮ เนี่ยจะมาอีกทำไม อย่าบอกนะว่าชอบ กรอ่ะ รู้ข่าวเรื่องกรกับพี่ศิเลยหึงสินะ  :hao3:  :angry2: ชร๊านไม่ยกให้หรอก
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 10] 26/09/2013 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: RenaBee ที่ 01-10-2013 17:21:34
อ่านรวดเดียว10ตอน พี่ศิน่ารักมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก  :-[
น้องกรก็น่ารักน่าหยิก เมื่อไหร่พี่กรจะใจกล้าบอกความรู้สึกในใจให้น้องกรรู้กันน๊า

ส่วนไฮซ์ ฉันว่านายคิดอะไรกับน้องกรใช่ไม๊!

ติดตามตอนต่อไปเป็นกำลังใจให้พลอยและน้องกรทำข้อสอบได้นะจ๊ะ  o13
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 11] 02/10/2013 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 02-10-2013 18:37:52
ไม่ได้เจอกันเกือบอาทิตย์ลากสังขารมาต่อแล้วค่า >< พอดีวันนี้เพิ่งสอบเสร็จไป(แต่เหลือวิชานรกแตกอีกวิชาเลยเอามาลงให้ก่อนเกรงว่าจะหายตัวไปนานเกินไป)




Chapter 11



สวัสดีครับนี่คือการรายงานสดภายในห้องสอบวิชาเคมีซึ่งเป็นวิชาสอบวิชาสุดท้ายครับ ผู้สื่อข่าวคือนายรณกร กิตติพงษ์พิพัฒน์คนเดิมที่ทุก ๆ ท่านรู้จักกันดีนะครับ ตอนนี้สหายเบอร์หนึ่งของผมคือเพื่อนบาสได้ปักธงขาวยอมแพ้วิชานี้และเดินออกจากห้องสอบไปเรียบร้อยแล้วกับ ส่วนเพื่อนเจมส์ผู้เป็นสหายเบอร์สองปากมันบอกว่ามันไม่รู้เรื่องวิชานี้เลยแม้แต่นิดเดียว แต่ผมก็เห็นว่ามันนั่งเขียนอะไรลงไปในข้อสอบอะไรเยอะแยะเลยหละครับ ผู้สื่อข่าวรณกรคนนี้ไม่อยากจะบอกเลยว่าเพื่อนเจมส์ของผมนี่มันต้องแอบซุ่มเก็บ A อย่างไม่ต้องสงสัยเลยครับ


แล้วส่วนกระดาษสอบของผู้สื่อข่าวรณกรเหรอครับ ผมไม่อยากจะอวดครับผมเขียนคำตอบได้แทบจะทุกข้อเลยครับแต่ว่าไอที่เขียนลงไปนั้นผมก็ไม่รู้ว่ามันจะถูกมากน้อยขนาดไหนหรอกครับ เอาง่าย ๆ คือผมก็เขียนคำตอบลงไปตามที่ติวเตอร์สุดโหดนามศิรวิทย์สอนนั่นละครับไม่มีอะไรมากมายไปกว่านี้ ข้อไหนติวเตอร์ส่วนตัวของผมไม่สอนผมก็ไม่เขียนครับแต่ก็ยังดีเพราะว่าสิ่งที่ติวเตอร์ศิรวิทย์สอนมันออกสอบมากกว่าสิ่งที่ติวเตอร์ศิรวิทย์ไม่สอนครับ ดังนั้นทุกท่านอย่าได้เป็นห่วงอะไรผู้สื่อข่าวรณกรคนนี้เลย ผ่านเอฟแน่นอนครับแต่ตอนนี้ผู้สื่อข่าวรณกรขอตัวออกจากห้องสอบก่อนหละครับเพราะตอนนี้ผู้สื่อข่าวกำลังปวดก้นมากเนื่องจากนั่งทำข้อสอบมาอย่างยาวนานโดยนับเวลาจากวินาทีแรกที่เข้าห้องสอบจนถึงเวลานี้ก็ศิริรวมแล้วประมาณสองชั่วโมงเศษแล้วครับ


ดังนั้นการรายงานสดจากห้องสอบเคมีต้องขอจบลงเพียงเท่านี้ครับ เนื่องจากผมเกิดอาการปวดก้นขึ้นมาแล้ว


ทุกท่านอย่าคิดว่าผมทำอะไรไร้สาระเลยนะครับผมแค่อยากบอกให้ทุกคนรู้ว่าสถานการในห้องสอบตอนนี้เป็นยังไงส่วนผมหนะเหรอก็ตามที่เล่าไปครับผมลอยตัวเพราะมีพี่ศิติวให้เลยสบาย ๆ ทำข้อสอบแบบชิล ๆ (อย่าให้พูดเลยครับว่าพี่ศิติวโหดขนาดไหน…เอาเป็นว่ามันบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้เลยครับ ดีกรีความโหดขึ้นอยู่กับความรู้ในสมองของผมแล้วความรู้ในสมองผมมันไม่มีเลยสักนิดเดียว ดีนะที่มันไม่ติดลบถ้าติดลบผมคงให้วิญญาณของผมออกมาสองแทบร่างกายของผมแล้วหละครับ)


นี่ผมพูดถึงพี่ศิไปไม่เท่าไหร่เจ้าตัวก็โทรมาแล้วหละครับดู้ดู พี่ศิแกมีญาณทิพย์หรือยังไง พี่แกถึงได้ชอบโทรมาตอนผมกำลังนินทาพี่แก (อยู่ในใจ) ทุกที


ผมกดรับสายพี่เขาพร้อมกับกรอกเสียงทักทายไป “สวัสดีครับพี่ตอนนี้นายรณกรสุดหล่อกำลังพูดอยู่ก่อนที่คุณจะพูดนะครับนายรณกรคนนี้อยากจะถามพี่ศิว่าพี่มีญาณทิพย์หรือไงครับทำไมถึงชอบโทรมาจังหวะเดียวกับที่ผมนายรณกรกำลังนินทาพี่อยู่ทุกทีเลย” ผมพูดตอบพร้อมกับใส่มุกเล็ก ๆ น้อย ๆ ลงไปในคำพูดจึงทำให้คู่สนทนาของผมหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ


“พอดีพี่คำนวณว่ากรจะอดทนนั่งทำข้อสอบอยู่ในห้องสอบได้นานเท่าไหร่แล้วเท่านั้นเองแล้วส่วนเรื่องที่ชอบโทรมาหาทุกทีที่กรกำลังนินทาพี่อยู่ในใจอันนี้ไม่ทราบได้ครับว่าทำไมถึงโทรมาตอนเวลานั้นได้เหมาะเจาะพอดี” น้ำเสียงพี่ศิที่พูดตอบผมออกมานั้นมันเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ซึ่งสิ่งที่พี่เขาตอบผมมานั้นมันพูดอีกก็ถูกอีกครับเพราะผมดันไปเล่าให้พี่ศิฟังซะเยอะแยะเลยเรื่องเวลาที่เขาให้มานั่งทำข้อสอบมันเยอะเกินไป (มันเยอะเกินไปสำหรับผมหนะครับ) นั่งไปนาน ๆ แล้วอาการปวดมันรวดร้าวไปตั้งแต่คอถึงตรูดครับ


“แหม เดาเก่งนะครับพี่ศิเดาได้ตรงเปะเลยโทรมาหากรตอนกรอยู่นอกห้องพอดีเลย” ผมพูดแซวพี่ศิพร้อมกับสาวเท้าเดินแยกตัวออกมาจากกลุ่มเพื่อน ๆ


ผมยืนคุยกระหนุงกระหนิงกับพี่ศิไปสักพักเสียงเรียนเข้าผมก็แพดเสียงดังขึ้น ผมรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยเมื่อการสนทนาระหว่างผมกับพี่ศิถูกขัดจังหวะแต่ในเมื่อชื่อของปู่รหัสผมเด่นหราอยู่บนหน้าจอมือถือผมก็เลยต้องจำในพักสายโทรศัพท์ของพี่ศิและหันไปรับสายโทรศัพท์ของปู่รหัสหรือเจ้น้ำหวานของผมนั่นเอง


“สวัสดีครับน้ำหวานมีอะไรให้กรรับใช้เหรอครับ” ผมกรอกเสียงพูดลงไปถึงจะรู้สึกหงุดหงิดแต่คู่สนทนาของผมคนนี้ไม่ผิดครับผมเลยพยายามใช้น้ำเสียงที่เป็นปกติคุยกับเจ้น้ำหวานเขาไป


“กรจ๋า กรวันนี้กรสอบวันสุดท้ายใช่ไหมจะ” น้ำเสียงข้อเจ้น้ำหวานฟังดูเหมือนจะออดอ้อนผมซึ่งแบบนี้ผมรู้แล้วหละครับว่าเจ้แกต้องการอะไร


เพราะมันจะเป็นอะไรไม่ได้เลยนอกจากเจ้น้ำหวานจะนัดเลี้ยงสายครับ


“ครับเจ้มีอะไรเหรอ ตอนนี้กรมีสายซ้อนนะเจ้ถ้าเจ้จะนัดที่ไหนของแบบด่วน ๆ กรให้อีกสายเขารออยู่” ผมบอกเจ้น้ำหวานไปตามตรงว่าผมติดสายโทรศัพท์อีกสายอยู่


“จากไอศิมันอะดิ” เจ้น้ำหวานพูดขึ้นผมนี่แทบจะสำลักน้ำลายตัวเอง “เจ้รู้ได้ไงอะ” ผมถามเจ้แกไปเสียงสั่น ๆ ซึ่งเจ้น้ำหวานก็แพดเสียงตอบผมกลับมาด้วยความมั่นใจว่า “เจ้เดา! เอา”


ไอผมพพอฟังคำตอบนั้นก็แทบอยากจะทรุดลงไปนั่งับเพียบกับพื้น เจ้ครับเจ้เดาเก่งไปนะครับไอผมนี่ใจหายวูบเลยแต่… ‘ทำไมต้องรู้สึกใจหายแบบนี้ด้วยว่ะแค่ผมคุยโทรศัพท์กับพี่ศิเท่านั้นเอง’


“เรื่องไอศิช่างมันเถอะเย็นนี้คงว่างสินะ เจ้ไปสืบมาแล้วว่าวันนี้ไอศิติดเข้าเวรดังนั้นเย็นนี้ตอน 6 โมงตรงที่เก่านะจะน้องกรของเจ้ แล้วอย่าลืมลากคอน้องเจมส์น้องบาสของเจ้มาด้วยนะเพราะปู่รหัสของทั้งสองก็ฝากให้เจ้ชวนน้อง ๆ เหมือนกัน” สิ้นเสียงเจ้น้ำหวานเจ้แกก็ตัดสายไปโดยทิ้งให้ผมยืนเหวออยู่คนเดียว ผมใช้เวลาตั้งสติสักพักก่อนจะสลับสายกลับไปคุยกับพี่ศิต่อโดยผมเล่าให้พี่ศิฟังวว่าเย็นนี้ผมมีนัดเลี้ยงสายแล้วก็คงกลับดึก


“พี่ศิเจ้น้ำหวานบอกว่าจะนัดเลี้ยงสายอะวันนี้กรน่าจะกลับดึกนะ” ผมพูดให้พี่ศิฟัง พี่เขาก็ส่งเสียงตอบรับกลับมา ซ้ำยังมีการบอกด้วยว่าถ้างานเลี้ยงเลิอกเมื่อไหร่ให้โทรหาเดี๋ยวพี่จะไปรับที่ร้าน ตามนิสัยคนขี้เกรงใจอย่างผม (??) ก็ต้องกล่าวปฏิเสธอยู่แล้ว (มันก็ต้องมีการเล่นตัวนิดนึงครับเดี๋ยวคนอื่นจะหาว่าเราง่ายเกินไป…ใช่ซะที่ไหนละเฮ้ย!!) แต่ทุกคนคิดเหรอครับว่า ว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์คนนี้จะยอม


ก็ไม่ยอมหนะสิครับแถมพี่ศิแกชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูดให้ผมฟังจนผมใจอ่อนยอมให้พี่เขามารับจนได้


“กรถ้ากรจะไปดื่มนี่พี่ไม่ว่าหรอกนะแต่ถ้ากรเมาละแล้วจะทำยังไงกลับยังไง บาสกับเจมส์ก็โดนนัดเลี้ยงด้วยยังไงก็ต้องดื่ม เมาแล้วขับมันดีตรงไหนกรให้พี่ไปรับดีกว่าไม่ต้องเกรงใจด้วยเพราะวันนี้พี่อยู่เวรดึกเวลาเลิกเวรเดี๋ยวพี่ขับรถแวะไปรับกรเอาได้ครับ” เมื่อแม่น้ำทั้งห้าสายถูกชัดมาพูดโดยว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์ทุกคนคิดว่า ว่าที่นายช่างอย่างผมจะเอาอะไรไปเถียงกับเขาครับ ก็เถียงไม่ได้หนะสิครับผมก็เลยจำใจรับปากพี่ศิเขาให้พี่ศิมารับผมกลับคอนโดพร้อมกัน


แต่มันก็ดีไปอีกอย่างนะครับ…เพราะถ้ามองในอีกมุมหนึ่งผมมีคนมารับแบบนี้ผมก็สามารถเมาเรื้อนได้ตามใจชอบโดยไม่ต้องสนใจเรื่องที่ผมจะกลับยังไงเพราะผมมีสารถีกิตติมศักดิ์รับปากแล้วว่าจะมารับผมและหิ้วผมไปส่งยันห้อง


“พี่ศิ ถ้าพี่จะชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูดแบบนี้กรก็ปฏิเสธไม่ลงแล้วครับนี่ถือว่ากรเห็นความพยายามของพี่ศิเลยนะกรเลยตกลงให้พี่ศิมารับ” ผมพูดจอบพี่ศิไปโดยตั้งใจใช้คำพูดแหย่พี่เขาไปสักหน่อยซึ่งตำพูดของผมก็เรียกหัวเราะหัวเบา ๆ ตามสายมาได้อีกครั้ง


‘พ่อคนเส้นตื้น หัวเราะอีกแล้ว...อะไรมันจะเส้นตื้นได้ขนาดนี้นะ’ ผมบ่นในใจโดยไม่กล้าที่จะพูดแหย่อะไรพี่ศิผมคุยกับพี่ศิจนเวลาสอบวิชาเคมีหมดลง (ราว ๆ 5 นาทีได้ครับ) ผมก็เลยขอตัววางสายจากพี่ศิเพื่อที่จะเดินไปคุยเรื่องนัดเลี้ยงสายเย็นนี้ของผมกับไอบาสและไอเจมส์


“พี่ศิกรขอวางก่อนนะกรต้องไปคุยกับไอเจมสืกับไอบาสอีก เรื่องที่ปู่รหัสนัดเลี้ยง” ผมพูดจบพี่ศิก็ตอบรับและกดตัดสายโทรศัพท์ไป 


ผมก้มมองโทรศัท์ของตัวเองแล้วถอนลมหายใจออกมาเบา ๆ ช่วงนี้ผมไม่รู้เป็นอะไรทำไมถึงคุยกับพี่ศิได้เรื่อย ๆ โดยที่ไม่รู้สึกเบื่ออะไรเลยสักนิดแต่ก็นะ…คิดไปมันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาผมเก็บโทรศัพท์ของผมลงกระเป๋าแล้วสาวเท้าเดินกลับไปยังกลุ่มเพื่อนของผมที่ยืนออกันอยู่หน้าห้อง


รู้สึกว่าในวงสนทนาจะคุยกับบ้างเรื่องข้อสอบประปราย แต่ส่วนใหญ่ทุกคนคุยว่าสอบเสร็จแล้วเย็นนี้จะไปต่อที่ไหนดีไหน ๆ ก็ปิดเทอมแล้วก็เมาเรื้อนกันฉลองปิดเทอมไปเลยซึ่งบทสนทนานี้ผมก็วิ่งเข้าไปร่วมแจมกับพวกมันด้วย (ส่วนเรื่องสอบ…ปล่อยมันไปเถอะครับ)


“ไอเจมส์ ไอบาสปู่รหัสมรึงบอกว่าเย็นนี้จะนัดเลี้ยงสายวะ แต่กรูไม่ถามว่ามรึงจะไปไหมนะเพราะกรูรู้ว่าพวกมรึงว้อนท์ของฟรีแดรกกัน” ผมพูดบอกมันโดยไม่คิดถึงคำตอบของพวกมันสองคนเลยว่ามันจะตอบตกลงหรือปฏิเสธ (ถ้าใครอยู่หอคงเข้าใจดีนะครับว่าเด็กหอมันสรรหาของฟรีกินกันทั้งนั้น คือไอการอยู่หอมันสบายก็จริงแต่ มันลำบากตรงเรื่องเงินเนี่ยหละครับต้องจัดสรรปันส่วนกันให้ดีให้มันพอมีกินไปได้ถึงสิ้นเดือน ซึ่งวิศวะเป็นคณะที่รุ่นพี่มักจะนัดเลี้ยงบ่อยมาก ไม่ก็นัดแดรกกันเองบ่อยมาสภาพการเงินมันจะฟืดเคืองตรงนี้ครับ)


ซึ่งไอสหายรักสองคนของผมทันทีที่ได้ยินว่าปู่รหัสนัดเลี้ยงมันก็รีบ กระดิกหู กระดิกหาง สาวเท้าวิ่งมาหาผมทันที (ไอที่ผมเปรียบเทียบมันเหมือนหมานี่ก็เพราะไอสองตัวนี่ทำหน้าระรื่นเหมือนน้องหมาพัน์โกลเด้นท์รีทีฟเวอร์ที่มันจะวิ่งอย่างเริงร่ามาหาเจ้าของละครับ สภาพพวกมันสองคนไม่ต่างกับสภาพน้องหมาในเวลานั้นเลย)


“เฮ้ยจริงเหรอว่ะทำไมเฮียแกไม่โทรมาบอกพวกกรูเลยวะ ทำไมเฮียโทรไปบอกมรึงแทน” คำถามนี้ของไอเจมส์ทำให้ผมแทบอยากเอาเท้าขึ้นไปยันหน้ามัน ถ้ามันใช้สมองมันคิดสักนิดว่าเมื่อห้านาทีก่อนหน้านี้มรึงกำลังทำอะไรมรึงก็จะรู้คำตอบเองหละครับว่าทำไมพี่เขาถึงไม่โทรไปหามรึง ถ้าทุกท่านจะถามถึงไอบาสหนะเหรอครับว่าทำไมมันไม่โวยวายนั่นก็เพราะปู่รหัสมันโทรมาบอกมันเรียบร้อยแล้วครับ (แถมบอกครบถึงสถานที่โต๊ะนั่งเลยครับว่านั่งโต๊ะไหน ๆ ใครไปมั้งละเอียดกว่าที่เจ้น้ำหวานบอกผมตั้งเยอะ) มันเลยไม่ได้มาโวยวายกับผมยังไงหละ


แต่คนที่ทำหน้าที่กระโดดยันหน้าไอเจมส์แทนผมก็คือไอบาสครับซึ่งมันก็ไม่ได้กระโดดยันหรอกมัยแค่ตบหัวไอเจมส์อย่างแรงเพื่อจูนสมองพร้อมกับพูดว่า “เชี่ยตอนนั้นมรึงสอบ ถ้าลองให้พี่เขาโทรหามรึงดิมรึงได้โดนหิ้วไปสอบสวนข้อหาทุจริตการสอบแน่มรึง”


คำพูดของไอบาสเหมือนจะทำให้ไอเจมส์สำนึกได้ครับมันเลยรีบวิ่งออกจากกลุ่มและกดโทรศัพท์หาปู่รหัสมันทันทีครับซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันคุยอะไรกับปู่ของมันแต่ท่าทางดี้ด้าแบบนั้นมันคงได้อะไรพิเศษจากปู่รหัสของมันแน่นอนครับ (ไม่ขอให้ปู่รหัสสุดแสนจะเป็นคนดีของมันเลี้ยงข้าวก็คงเป็นเรื่องเกี่ยวกับสาว ๆ มั้งครับ) ซึ่งมันคุยโทรศัพท์อยู่ไม่นานมันก็วิ่งกลับมาในกลุ่มพร้อมกับหิ้วคอผมกับไอบาสเพื่อเดินลงจากตึกสอบไป


ท่าทางไอเจมส์มันลั่นล้าสุด ๆ ครับ อันนี้ท่าทางมันน่าจะมีข่าดีอะไรจากปู่รหัสมันเยอะ ซึ่งผมยังไม่อยากถามอะไรมันตอนนี้เพราะถามไปมันก็ไม่บอก สู้ไปถามปู่รหัสของมันเอาเลยดีกว่าน่าจะได้เรื่องกว่า ปู่รหัสของไอเจมส์ชื่อเฮียซันครับ เฮียแกเป็นคนดีมากเลยครับเฮียแกรักษาศิลป์ 5 ได้ครบ เข้าวัดทุกวันเสาร์ ตักบาตรทุกวันอาทิตย์ เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่แตะ แต่เพื่อนชวนไปร้านเหล้านี่เฮียซันแกไปหมดครับแต่ที่ไปไม่ได้ไปก๊งเหล้านะครับเฮียเข้าไปกินน้ำส้มไม่ก็กินนม (บางทีผมก็อยากจะบอกเฮียซันไปว่าหัดปฏิเสธเพื่อนบ้างก็ได้นะครับ ไม่ใช่จะยอมตามเขาไปซะหมด) ซึ่งนิสัยของเฮียซันมันช่างแตกต่างจากสายรหัสของพี่เขาเลยจริง ๆ ครับ นอกจากเฮียซันแล้ว สายรหัสของเฮียแกแดรกเหล้าอย่างกับน้ำทุกคนเลยครับเรียกง่าย ๆ ว่า เฮียซันไม่แดรกพวกผมแดรกแทนเฮียเองครับอะไรแบบนั้น


ส่วนไอบาสสายปีสองมันขาดครับมันเลยมีแค่ป้ารหัส กับปู่รหัส (พี่รหัสของมันเห็นว่าจะไปตามความฝันจะไปเป็นเดอะสตาร์ เฮ้ยไม่ใช่แล้วครับ) พี่รหัสมันซิ่วออกไปเข้าสถาปัตครับซึ่งมันก็ได้เจอกับพี่รหัสมันบ้างเป็นบางครั้งซึ่งพี่รหัสของไอเจมส์เป็นรุ่นพี่โรงเรียนเก่าของผมครับก็เลยสนิทกัน ตอนที่มันรู้ว่าพี่รหัสมันซิ่วไอบาสแทบตามไปเขย่าคอพี่เขาถึงบ้าน แต่ทำไงได้ครับพี่เขาอยากเรียนสถาปัตมากกว่าไอบาสมันก็เลยปล่อยเลยตามเลย แต่บางทีมันก็ไปลากพี่เขามาแดรกเหล้าให้ครบสายก็มีครับ ซึ่งป้ารหัสกับปู่มันก็ไม่ได้ว่าอะไร แถมดีใจด้วยซ้ำว่าน้องรหัสกับหลานรหัสมานั่งก๊งเหล้าร่วมวงกันได้อีก


ตอนนี้เท้าของผมก็ลงมาแตะยังพื้นดินแล้วหละครับหลังจากเหยียบพื้นคอนกรีตมานานและตอนนี้ผมก้กำลังจะเดินไปยังลานจอดรถที่ได้จอดมอไซค์ของสองสหายของผมไว้ตอนนี้พวกเรากำลังจะเดินทางไปยังจุดหมายที่เหล่าบรรดาปู่รหัสของพวกผมได้นัดไว้ (จริงแค่ผมบอกว่าผมลงมาถึงชั้นล่างแล้วกำลังจะซ้อนมอไซค์ของไอเจมส์ไปร้านที่พวกปู่รหัสนัดไว้จะง่ายกว่านะครับ พอดีผมอยากโอเว่อร์เลยใช้คำโอเว่อร์ ๆ บรรยายไปนิดหน่อยเท่านั้นเอง แหะ ๆ )


ใช้เวลาไม่นานนักตอนนี้ผมและสหายก็มายืนอยู่หน้าร้านที่พวกปู่รหัสนัดกันไว้ ผมยืนรอไอเจมส์กับไอบาสแว้นซ์มอไซค์เข้าไปจอด ส่วนตัวผมก็ยืนรออยู่หน้าประตูร้านครับ ผมยืนกดโทรศัพท์มือถือเล่นสักพักไอเจมส์กับไอบาสก็เดินมาหาผมพร้อม ๆ กับเหล่ารุ่นพี่ ทั้งลุง ทั้งป้าทั้งปู่รหัส


ไอผมแทบจะยกมือไหว้ไม่ทันมิน่าทำไมพวกมันถึงไปจอดรถนาน สรุปว่าเจอพวกรุ่นพี่ในที่จอดรถนั่นเองเลยเดินเข้ามาพร้อมกันซะเลย ซึ่งแน่นอนในกลุ่มรุ่นพี่นั้นก็มีเจ้น้ำหวานปู่รหัสสุดที่รักของผมอยู่ด้วยครับ ร่างเล็กนั่งวิ่งเข้ามาพร้อมกระโดดมากอดผมแน่น


“น้องกรของเจ้ เจ้คิดถึ้งคิดถึงน้องกรจริง ๆ เลย” เจ้น้ำหวานกอดผมพลางเอาแก้มของเธอถูไถแก้มของผมด้วยความพิศสวาท ผมหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะปล่อยให้เจ้น้ำหวานลงจากตัวผม “กรก็ว่าทำไมไอเจมส์กับไอบาสไปจอดรถกันนานจัง พวกพี่ ๆ มากันแล้วนี่เอง”


“มาครบแล้วเข้าร้านเถอะ” เสียงของเจ้น้ำหวานพูดตัดบทเพราะกลัวว่าเราจะคุยอะไรกันไปมากกว่านี้


สิ้นเสียงข้องเจ้น้ำหวานเธอก็เดินเข้ามาควงแขนผมพร้อมกับลากผมเข้าไปในร้านด้วยเรี้ยวแรงอันมหาศาลแต่ในช่วงที่เจ้น้ำหวานลากผมเข้าไปในร้านนั้น เธอแอบกระซิบถามผมเบา ๆ ว่า “บอกไอศิแล้วใช่ไหมว่ามากินเหล้ากับเจ้” ผมมองเจ้น้ำหวานด้วยความสงสัยแต่ผมก็ไม่ได้คิดอะไรเลยพยักหน้าตอบเจ้แกไป ซึ่งเมื่อเจ้น้ำหวานเห็นผมพยักหน้าตอบแบบนั้นเจ้แกก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เหมือนกับว่าเธอรู้สึกโล่งอกอะไรประมาณนั้น


ซึ่งเจ้น้ำหวานแกก็ไม่ได้ทิ้งให้ผมสงสัยอยู่นานว่าทำไมเจ้เขาถึงถามผมแบบนั้นริมฝีปากบางที่ทาด้วยลิสกลอสสีชมพูก็พร่ำบ่นออกมาว่า “ตั้งแต่ไอศิมันรู้นะว่าเจ้เป็นปู่รหัสของกร มันแทบจะสั่งห้ามเจ้เลยละว่าห้ามพากรไปกินเหล้า ห้ามพากรไปผับ แต่ครั้งนี่เจ้แอบไปขอแยบ ๆ ไอศิมาแล้วมันอนุญาตมันบอกว่าถือเป็นการฉลองปิดเทอม เจ้เลยถึงได้โทรมาชวนกรได้ไง เจ้ก็ไม่รู้นะว่าไอศิมันห่วงอะไรกรนักหนานะแต่ว่าแบบนี้ไอศิมันอาจจะคิดไม่ซื่อกับกรก็ได้นะ”


ไอประโยคแรกของเจ้น้ำหวานผมก็เข้าใจอยู่หรอกครับเพราะผมกับพี่ศิมีฐานะเป็นน้องชายกับพี่ชายที่สนิทกันมาก ๆ แต่ไอประโยคหลังของเจ้น้ำหวานนี่ผมชักจะตะงิด ๆ ใจนิดหน่อยนะ “เจ้คิดมากพี่ชายก็ห่วงน้องชายเป็นธรรมดา แล้วไอที่เจ้บอกว่าพี่ศิคิดไม่ซื่อนี่เป็นไปไม่ได้เลยถ้ากับคนอื่นก็ว่าไปอย่างกับกรนี่ไม่มีทางอะ พี่น้องทั้งนั้นหละเจ้” ผมพูดปฏิเสธเจ้ไปพร้อมกับหัวเราะออกมาดัง ๆ ซึ่งเจ้น้ำหวานก็ได้แต่กอดอกมองผมแล้วพึมพำเบา ๆ โดยที่ผมฟังไม่ได้ศัพท์ (เลยจับเอามากระเดียดเผยแพร่ให้ทุกคนฟังไม่ได้ครับเรื่องนี้รณกรเสียใจมากจริง ๆ ทุกคนโปรดเข้าใจด้วย) แต่เจ้น้ำหวานก็พูดบ่นกับตัวเองไม่นานเจ้น้ำหวานก็เดินมาควงแขนผมร้อมกับลากให้ผมไปนั่งที่โต๊ะ


ตอนนี้ที่โต๊ะมีทั้งหมด 11 คนครับ (ซึ่งพี่รหัสไอบาสมาไม่ได้ครับพรุ่งนี้ติดสอบอีกวิชา) โดยผมถูกปู่รหัสและลุงรหัสนั่งประกบกันอยู่ครับดังนั้นผมขอแนะนำไล่จากปู่รหัสสุดสวยของผมเลยนะครับทุกท่านคงรู้จักกันดีแล้วเจ้ชื่อเจ้น้ำหวานซึ่งโดยส่วนใหญ่จะไม่มีใครเรียกเจ้แกว่าเจ้น้ำหวานหรอกครับทุกคนต่างเรียกชื่อเล่นจริง ๆ ของเจ้ด้วยกันทั้งนั้นครับตามที่ผมบอกไปชื่อเล่นของเจ้น้ำหวานคือวินครับ ซึ่งทุกคนเรียกเจ้แกว่า ‘เฮียวิน’ กันหมดเลยครับ


คนถัดไปจากเจ้น้ำหวานคือพี่รหัสของผมเอง เฮียก๊อตนั่นหละครับตามที่ผมได้เล่าไปวามหล่อของเฮียแกจัดเต็มแต่ความแอ๊บแบ๊วของแกมีเยอะกว่า คนถัดไปคือเฮียซันครับเฮียซันคนดีของไอเจมส์กิตติศักดิ์คนดีของเฮียเขาผมก็ได้กล่าวไปไว้หมดแล้ว ถัดจากเฮีนซันคือเชี่ยเจมส์ครับ ถัดจากเชี่ยเจมส์คือ เฮียพีลุงรหัสของไอเจมส์ครับ เฮียพีแกนิสัยก็ไม่ได้ต่างจากไอเจมส์เท่าไหร่ครับ กินเหล้าต่างน้ำความจริงแล้วเฮียพีเป็นเด็กซิ่วครับเฮียแกซิ่วจากแพทย์มาเรียนวิดวะมันโคตรแตกต่างเลยครับผมเคยถามเฮียพีแกนะครับว่าทำไมย้ายมาเรียนวิศวะ เฮียตอบผมด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ ว่า  ‘เรียนหมอมันไม่มีเพื่อนกินเหล้ามากเท่าวิศวะนี่หว่า’ ซึ่งผมรู้หละครับว่าพี่แกพูดไปงั้นแหละความจริงแล้วมันไม่ใช่สไตล์เฮียเขาเฮียแกเลยซิ่วจากหมอมาเรียนวิดวะเรียกว่าแหวกแนวสุด ๆ คนต่อไปคือพี่รหัสของไอเจมส์ครับเป็นผู้หญิงครับตัวเล็ก ๆ น่ารักและดูเป็นกุลสตรี แต่อย่าไปมองว่าเจ้แกเป็นผู้หญิงหรือเจ้แกดูเป็นกุลสตรีเลยครับความโหดเหี้ยมเจ้แกนี่ทำให้หนุ่ม ๆ ในวิศวะศิโรราบมาแล้วครับซึ่งเจ้แกเป็นเฮดปี 2 ครับ ผมลืมบอกชื่อพี่รหัสไอเจมส์ไปใช้ไหมครับคือเจ้แกชื่อน้ำผึ้งครับผมเรียกแกว่าเจ้ผึ้ง ถัดจากเจ้ผึ้งเหรอครับคือไอบาสครับ ไอนี่มันก่ะหลีเจ้ผึ้งครับซึ่งมันโดนเจ้แกประเคนเท้าให้ไปหลายรอบแล้ว ถัดจากไอบาสคือปู่รหัสไอบาสเรียกว่าปู่เกรซ ชื่อผู้หญิงละสิครับใช่ครับชื่อผู้หญิงแต่เฮียแกเป็นผู้ชายแท้นะครับ ปู่รหัสของไอบาสนี่ที่ดูนุ่มนิ่มและใจดีสุด ๆ แต่อย่าให้เหล้าเข้าปากสุนัขจะล้นร้านทันทีครับ(เฮียเกรซแกเป็นพวกเมาแล้วปากหมาครับ) และที่สำคัญเฮียเกรซเป็นลูกครึ่งครับ แต่ลูกครึ่งอะไรนี่ผมก็ไม่ทราบได้ ถัดจากเฮยเกรซคือป้ารหัสของไอบาสครับพี่เรียวครับ พี่เรียวคนสวยที่เป็นถึงอดีตดาวมหาลัยครับ เรื่องนี้ไอบาสปลื้มมากมันเที่ยวบอกชาวบ้านว่าป้ารหัสมันเป็นดาวมหาลัยมาก่อนแต่ก็นะทำไงได้ป้ารหัสมันสวยจริงอะไรจริงครับ คนสุดท้ายที่ผมจะแนะนำคือลุงรหัสของผมครับชื่อของเฮียแกคือเฮียบุญเกิด ไม่ต้องนั่งหัวเราะตอนนี้นะครับเพราะบุญเกิดไม่ใช่ชื่อของเฮียแกหรอกครับ (ประมาณว่าเป็นฉายาของเฮียแกครับ) จริง ๆ ชื่อของแกคือเฮียแป้ง (ชื่อน่ารักน่าหยิกมาก…แต่นิสัยของเฮียแกผมไม่อยากจะบรรยายว่าเรื้อนไร้ที่ติครับ) ผมเคยถามเฮียแกนะครับว่าทำไมเฮียถึงโดนเรียกแบบนี้ เฮียบุญเกิดก็เลยตีหน้าเศร้าแล้วเล่าว่า คือตอนที่เฮียไปรับน้องแล้วมันจะมีการประกวด เดือน ดาว ดิน และอีกสองตำแหน่ง ภายในภาคแล้วตอนปีนั้นคือสองตำแหน่งหลังคือ นายบุญเกิด กับนางสาวสมศรีครับ ซึ่งเฮียบุญเกิดก็ได้ตำแหน่งนั้นมาและนับจากวันนั้นชื่อของเฮียแป้งก็กลายเป็นบุญเกิดทันที



อ่า…หลังจากที่ผมทนปากเปียกปากแฉะเล่าเรื่องของรุ่นพี่ทุกคนผมก็แค่อยากจะนำเสนอลุงรหัสของผมเท่านั้นละครับผมอยากสำเสนอความเรื้อนที่ไร้ที่ติของแกครับ (ผมไม่อยากจะบอกว่าแม้เหล้าไม่เข้าปากเฮียบุญเกิดก็สามารถเรื้อนและรั่วได้ครับ)



v
v
v
v
v
v
v
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 11] 02/10/2013 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 02-10-2013 18:40:30


เอาหละหลังจากที่ผมแนะนำรุ่นพี่ทุก ๆ คนให้พวกคุณรู้จักกันขั้นต่อไปก็เป็นการกังการเหล่าอบายมุขที่อยู่บนโต๊ะครับซึ่งรุ่นพี่หลาย ๆ คนพยายามเพลา ๆ เรื่องการดื่มเพราะว่ารุ่นพี่บางคนขับรถมา พวกไอเจมส์มันก็ต้องเพลา ๆ ครับ ส่วนตัวผม…สบายตัวครับมีสารถีกิตติมศักดิ์รับปากว่าจะมารับแล้วครับ ดังนั้นผม…สามารถแดรกเหล้าได้อย่างไม่ต้องแคร์ว่าหลังจากนี้ผมจะเมาเหมือนหมามากขนาดไหน


‘เรื่องเมากรไม่แคร์ กรแคร์แค่ว่ากรจะไม่ได้ดื่มครับ’


ช่วงหัวค่ำพวกเราสั่งของเบา ๆ มารองท้องก่อนครับถือว่าเอาข้าวลงไปตุนในกระเพราะเพื่อไม่ให้เมาง่ายพวกเรานั่งทานข้าวไปคุยไป (ร้านนี้เป็นสไตล์ร้านนั่งกินมากกว่านั่งดื่มครับไม่ใช่ผับหรือร้านเหล้าโดยตรงแต่ก็มีฟลอร์ให้ไปออกสเตปแด็นซ์ครับรู้สึกเจ้าของร้านจะทำแนวประยุคร้านเหล้ากับร้านอาหารเข้าด้วยกัน) พวกเราทุกคนหัวเราะเฮฮา บางคนนั่งคร่ำครวญถึงข้อสอบที่ได้สอบไป เช่น ไอบาสที่มันบ่นว่าเฮีย ผมจะเอฟเคมีไหมว่ะแม่มทำไม่ได้เลย หรือบางคนที่บ่นเรื่องปัญหาหัวใจเช่นเฮียก๊อต เพราะแฟนแกเริ่มบ่นว่าจะแอ๊บแบ๊วเกินฉันไปหน่อยแล้วนะเลิกแอ๊บแบ๊วสักทีสิ


ซึ่งปัญหาหลาย ๆ อย่างถูกปล่อยออกมาจากปากทุกคนโดยที่ทุกคนยังไม่ได้แตะเหล้าสักหยดครับ พวกเราหัวเราะเฮฮากันไปตามประสาครับ และหลังจากพวกเราเคลียร์อาหารบนโต๊ะหมดช่วงต่อไปก็เป็นช่วงของอบายมุขทั้งหลายแล้วหละครับ เจ้น้ำหวานแกเปิดตัวด้วยการสั่งเบียร์มาครึ่งโหลและเหล้าพร้อมมิกเซอร์มาเซทใหญ่ และเจ้น้ำหวานแกก็เป็นคนประเดิมคนแรกเลยครับ ในวงเหล้ามันจะมีคนที่มีหน้าที่เป็นคนชงเหล้าให้ใช่ครับหน้าที่นี้ไม่ต้องบอกเลยว่ามันจะตกเป็นของใครถ้าไม่ใช่ปู่รหัสผู้ไม่ดื่มเหล้าหรือแตะต้องอบายมุขของไอเจมส์ เฮียซันนั่งเองครับ


ไอผมเห็นเฮียแกชงเหล้ามือเป็นระวิงผมก็อยากจะไปช่วยชงอยู่หรอกครับแต่ ว่าวันนี้ผมตั้งใจแล้วว่าผมจะเมาดังนั้นหน้าที่ของผมคือการดื่มเหล้าครับไม่ใช่ชงเหล้า


เริ่มแรกผมเปิดด้วยเบียร์ครับเป็นของเบา ๆ เพื่อไม่ให้เมาไว (ตอนนี้เพิ่งทุ่มกว่าสองทุ่มเองครับถ้าจะมาเมาตั้งแต่หัวค่ำนี่ไม่ไหวครับ) ผมนั่งจิบเบียร์ไปสักพักพลางมองเพื่อนร่วมโต๊ะไปด้วยไอเจมส์กับเฮียพี ลุงรหัสของมันพยายามจับปู่รหัสมันกรอกเหล้าครับซึ่งเฮียซันปฏิเสธครับ เฮียซันแกบอกว่าพี่ถือศิล 5 พี่ไม่ดื่มแอลกอฮอลนะน้อง ๆ สิ้นประโยคนี้ของเฮียซัน ไอเจมส์และลุงรหัสของมันก็ยอมแพ้โดยทันทีและคร่ำครวญว่ารู้สึกผิดที่จะหยิบยื่นอบายมุขไปให้เฮียซันผู้เป็นคนดีที่สุดในสาย (คือมันเคยจะให้เฮียซันแกดื่มเหล้ามาหลายทีละครับแต่เฮียแกใช้ความดี แพ่ออร่าแห่งพ่อพระแพร่กระจายใส่ไอเจมส์และเหล่าน้อง ๆ หลาน ๆ รหัสของแกจนพวกนั้นต้องพ่ายให้กับความเป็นคนดีของเฮียซันเขาครับ จะให้อธิบายง่าย ๆ ก็คือมันไม่เคยจับเฮียซันกรอกเหล้าได้เลยสักครั้งครับ) ผมมองกลุ่มสายรหัสของไอเจมส์แล้วก็หลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ ปู่รหัสของมันกำลังเทศน์เหล่าน้อง ๆ หลาน ๆ รหัสของตัวเองอยู่ซึ่งมันเป้ฯภาพที่แปลกน่าดูชมที่มีคนมาสั่งสอนเรื่องการดื่มเหล่าในวงเหล้าแบบนี้


ถัดมาก็เป็นกลุ่มสายรหัสของไอบาสสายรหัสนี้ผมอยากจะบอกว่าเป็นสายรหัสที่ธรรมดาที่สุดแล้วครับถ้าเปรียบเทียบกับสายรหัสของผมหรือของไอเจมส์ ป้ารหัสของไอบาสนั่งจิบเบียร์เงียบ ๆ ซึ่งไอบาสชวนคุยป้ารหัสของมันคุยเป็นพัก ๆ ป้ารหัสมันก็ส่งยิ้มมาให้แล้วหัวเราะเบา ๆ ตามประสาสาวสวยในวงล้อมของหนุ่ม ๆ ครับ


เอาหละครับผมบรรยายถึงสองสายรหัสในวงเหล้าแล้วตอนนี้ผมของพูดถึงสายรหสัของผมมั่งแล้วกันนะครับ ตอนนี้เจ้น้ำหวานเธอออกไปเต้นอยู่กลางฟลอร์แล้วครับ (คือเจ้แกจัดหนักตั้งแต่หัวคว่ำเลยเหล้าเปล่าแบเพรียว ๆ) ตอนนี้ความเมาเข้าครอบงำเจ้แกเรียบร้อยแล้วครับ ส่วนพี่รหัสของผมพี่ก๊อตคนนี้ก็จัดหนักไปตั้งแต่หัวค่ำเหมือนกันแต่ตามที่ผมได้เล่าไปนะครับเฮียก๊อตแกเป็นพวกดื่มแล้วไม่ค่อยจะเมาดังนั้นแกยังคงคุมสติของตัวเองได้อยู่และยังคงดื่มแบบจัดหนักกันต่อไป มาที่เฮียบุญเกิดครับ รายนี้เรื้อนอย่างไม่ต้องบรรยายเฮียแกจัดหนักและวิ่งไปกลางฟลอร์เต้นรำพร้อม ๆ กับเจ้น้ำหวานครับ สเตปของเฮียแกนี่ไม่ต้องบอกว่าท่าเต้นแกวอนตรีนขนาดไหน (ขนาดที่ผมเห็นแล้วผมยังอยากเข้าไปประเคนเท้าให้เขาเลยครับผมได้แต่ภาวนาในใจไม่ให้แกโดนยันออกมาจากฟลอร์ตอนนี้ละครับ)


แล้วสุดท้ายก็คือผมตอนนี้ผมเริ่มเปลี่ยนจากเบียร์มาเป็นเหล้าแล้วครับซึ่งเหล้าแก้วแล้วแก้วเล่าก็มาจากการชงเหล้าขั้นเทพของเฮียซันครับ (ถึงเฮียซันแกดื่มเหล้าไม่เป็นแต่ชงเหล้านี่ของบอกเลยว่าเทพพระเจ้าสุด ๆ) ในตอนแรกผมก็ค่อย ๆ จิบ เอาละครับ เพราะผมยังไม่อยากเมาไวแต่พอเริ่มมึน ๆ ผมก็เริ่มจิบถี่ขึ้นเรื่อย ๆ จนใจที่สุดผมก็เปลี่ยนมาเป็นกระดกเหล้าเข้าปากแทนจิบแล้วครับ


ซึ่งการกระดกเหล้าเข้าปากของผมแต่ละครั้งนี่ทุกคนมัจะเชียร์ให้ผมดื่มหมดแก้ว ๆ แน่นอนครับผมก็ไม่ทำให้คนเชียร์เขาเสียน้ำใจผมก็จัดหนักจัดเต็มดื่มหมดแก้วตามคำที่ทุก ๆ คนเชียร์เลยครับ ซึ่งแน่นอนไอการกระดกเหล้าเข้าปากหมดแก้วเนี่ยมันทำให้เมาไวมาก และเป็นที่แน่นอนครับว่าในตอนนี้ผมเมาแล้วแถมเมามากเสียด้วย แต่กระนั้นผมก็ยังไม่หยุดกระดกเหล้าเข้าปากนะครับ ผมยังนั่งกระดกเหล้าต่อไปเรื่อย ๆ เพื่อทดแทนในส่วนที่มันขาดหายไปจากชีวิตผมครับ (ช่วงสอบนี่ผมไม่ได้แตะอะไรพวกนี้เลยต้องมีการกระดกทดแทนสักนักหน่อยครับ)


เวลาผ่านไปล่วงเลยจากสองทุ่มเป็นสามทุ่ม เอาละครับผมก็เมาได้ที่แล้วละครับและหลังจากเมามันก็ต้องออกสเตปแด็นซ์สิครับผมพยายามยันตัวเองให้ลุกขึ้นยืนพร้อมกับเดินเซไปที่กลางฟลอร์พร้อมกับออกสเตปเต้นไปพร้อม ๆ กับ สายรหัสผมทันทีครับ


ความจริงแล้วสภาพผมไม่อาจเรียกว่าเต้นได้หรอกครับเรียกว่าผมไปเลื้อยไปกอดคอโอบเอวคนอื่นมากกว่าครับ ผมเริ่มออกลายสเตปเต้นบ้างก็เซไปซบสาวที่เต้นอยู่ด้านข้างบางทีก็หงายหลังไปซบกับแผ่นอกของผู้ชาย (คือสภาพของผมตอนนี้จะเรียกว่าเต้นก็ไม่ถูก ถ้าเต้นผมคงล้มลุกคลุกคลานมากกว่าเพราะขนาดยืนผมยังจะยืนไม่ไหวเลยครับแล้วนับประสาอะไรกับเต้น)


ความจริงถ้าเป็นผมในเวลาปกติ (เรียกง่าย ๆ ว่าตอนผมมีสติครบถ้วนสมบูรณ์ไม่ได้มีอาการเมาเหมือนหมาแบบตอนนี้ครับ) ไออย่างแรกผมไม่มายครับได้ซบสาว ๆ มันเป็นความสุขอย่างหนึ่งในชีวิตของผู้ชายแต่ไออย่างหลังที่ผมดันหงายหลังไปอิงแอบแนบชิดกับแผ่นอกของเพศเดียวกันนี่ผมขอบอกเลยว่าผมรู้สึกขนลุกยิ่งนักและยิ่งมือของมันเริ่มเลื้อยมาโอบเอวผมนี่ผมยิ่งสยิวกริ้วครับ


แต่ไอตรรกะนั้นมันใช้กับผมไม่ได้ในตอนนี้ครับเพราะว่าตอนนี้ผมแยะแยะเพศชายเพศหญิงไม่ออกแล้วครับไม่ว่าจะชายหรือหญิง และตอนนี้ผมเดินเซเข้าไปอยู่กลางฟลอร์และออกเสตปเต้นอย่างเมามัน (เรียกว่าผมไปเลื้อยและกระแซะชาวบ้านมากกว่า) ผมไม่รู้ว่าใครต่อใครเอามือมาลูบไล้ตามตัวผมบ้างซึ่งผมก็ไม่ได้ห้ามหรือยกมือปัดป้องนะครับและในขณะที่ผมกำลังออกสเตปแด้นซ์อย่างเมามันสิ่งที่ดึงสติของผมให้กลับคืนมา (บ้างเล็กน้อย) คือกระดุมเสื้อนิสิตของผมที่ถูกปลดออกทั้งหมดและฝ่ามือร้อน ๆ ของใครสักคน (ที่ผมมั่นใจว่าเป็นผู้ชายแน่นอน) ที่มาสัมผัสที่แผ่นอกของผมแล้วลูบไล้อย่างเบามือ


และนั่นละครับทำให้สติที่กระเจิงไปแล้วของผมกลับคืนมา ผมตวัดตาไปมองหน้าไอผู้ชายคนนั้นพร้อมกับส่งยิ้มจาง ๆ มาให้และแน่นอนมันคิดว่าผมจะเล่นด้วยมันก็เลยเอาใหญ่นอกจากสัมผัสแผ่นอกผมเบา ๆ ตอนนี้มันเริ่มเลื่อนลงไปที่ขอบกางเกงของผมแล้วครับแล้วทุกท่านคิดว่าผมจะยอมหรือ…ผมไม่ยอมแน่นอนหลังจากรอยยิ้มของผมที่มอบให้มันผมก็ประเคนหมัดงาม ๆ ไปที่หน้าของมันทันที (ท่าทางมันจะสูงกว่าผมนิดหน่อยนะครับแต่เรื่องส่วนสูงมันไม่มีผลกับผมครับ) ต่อด้วยลูกถีบที่ผมประทับไปที่แผ่นอกของมัน


คราวนี้ละครับสติของทุกคนในร้านนี่กลับมาหมดและหันมามองผมด้วยสายตาตกตะลึง


ผมซึ่งกำลังเบลอ ๆ แต่สติยังพอมีอยู่ที่ร่างก็ชี้นิ้วไปที่ไอผู้ชายคนนั้นพร้อมกับด่ามันด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้ของคนเมาว่า “ไอเชี่ยกรูไม่ใช่อีตัวถ้า เสี้ยนมากนักไปหาที่อื่นไป” เมื่อผมพูดจบผมก็คิดว่าจะเดินเข้าไปกระทืบมันต่อสักหน่อยแต่ว่าเจ้น้ำหวานกับเฮียบุญเกิดแกถลามารั้งแขนของผมและขืนตัวไม่ให้ผมเดินเข้าไปประเคนตรีนให้มันต่อ


ซึ่งผมก็ไม่ยอมหนะสิครับผมออกแรงดิ้นเต็มแรงซึ่งก็เกือบจะหลุดออกจากการประกบลอคของเจ้น้ำหวานกับเฮียบุญเกิดละครับ (คือเมากันทั้งสามคนเลยละครับเรี่ยวแรงเลยหดหาย) ซึ่งเฮียซันกับเฮียพีเห็นท่าจะไม่ดีก็รีบวิ่งมาหิ้วปีกผมแทนเจ้น้ำหวานกับเฮียบุญเกิดและลากกลับที่ไปที่โต๊ะ


แต่ก่อนผมจะได้กลับโต๊ะผมก็ถมน้ำลายใส่มันไปทีซึ่งไอการกระทำนั้นของผมทำให้ไอเชี่ยนั่นลุกขึ้นมาพร้อมกับประเคนหมัดใส่ผม แน่นอนครับไอผมที่โดนหิ้วปีกอยู่ก็โดนไปเต็ม ๆ ครับ เพราะผมหลบไม่ได้คราวนี้เริ่มชุลมุลแล้วละครับผมสะบัดตัวออกจากเฮียซันกับเฮียพี และวิ่งเข้าไปตะลุมบอลกับมันทันที


ไม่ต้องถามเลยนะครับว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นคราวนี้เพื่อนทั้งกลุ่มของมันและพวกรุ่นพี่ของผมก็รีบวิ่งถลาเข้ามาแยกผมกับไอเชี่ยนั่นออกทันทีผมยังดีดดิ้นอยู่อีกสักพักจนสุดท้ายร่างของผมก็ถูกลากไปโยนแหมะไว้ที่โต๊ะของผม ซึ่งผมยังดื้อไม่ยอมที่จะหยุดผมก็จะถีบตัวไปต่อยไอเชี่ยนั่นให้ได้ ซึ่งไอทางนั้นมันก็จะถลามาต่อยผมเหมือนกันและเพื่อน ๆ มันก็ต่างหิ้วปีกไม่ให้มันถลามาต่อยผมได้


ผมยังดิ้ขลุกขลักไปเรื่อยจนในที่สุดมาตรการสุดท้ายที่จะจัดการผมได้มันก็คือการเรียกใครสักคนมารับผมกลับไปนอนที่คอนโด และแน่นอนหน้าที่นั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากพี่ศินั่นเอง


ไอเจมส์เอามือเข้ามาล้วงที่กระเป๋ากางเกงของผมแล้วคว้านหาโทรศัพท์รุ่นกลางเก่ากลางใหม่ของผมออกไปมันรีบไล่หาเบอร์


โทรศัพท์ของพี่ศิพร้อมกับกดโทรออกไปทันที


ไอเจมส์ยืนรอให้พี่ศิรับโทรศัพท์สักพักไม่นานนักเสียงทุ้มของว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์ก็ดังขึ้น




“กร เดี๋ยวอีกสามสิบนาทีพี่จะออกเวรแล้วครับเดี๋ยวพี่ไปรับนะ” เสียงของศิรวิทย์ดังตามสัญญาณมาแต่เสีงที่กล่าวตอบเขาไปไม่ใช่เสียงของรณกรซึ่งเสียงที่ตอบกลับมานั้นทำให้ศิรวิทย์ประหลาดใจเล็กน้อย “พี่ศิ ๆ นี่เจมส์เองนะพี่ กง่าพี่จะมารับกรอีกสามสินาทีเลยเหรอ”


“ครับพี่ออกเวรตอนสี่ทุ่มครับ ตอนนี้สามทุ่มครึ่งแล้วน้องเจมส์มีอะไรเหรอครับหรือกรเขามีปัญหาอะไร” เสี่ยงทุ้มที่เต็มไปด้วยความกังวลของศิรวิทย์เอ่ยถาม ซึ่งเจมส์ก็คิดว่าถ้าเกิดพี่ศิไม่ถามเขาก็ตั้งใจจะบอกอยู่แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับรณกรเพื่อนสนิทของเขา


“งั้นพี่ถ้าเข้าเวรเสร็จมารับมันด่วนเลยนะตอนนี้มันเมาอย่างกับหมาแถมกำลังจะมีเรื่องกลางร้านแล้วพี่ ถ้าพี่ออกเวรเมื่อไหร่รีบมาด่วน ๆ เลยตอนนี้ผมกับไอบาสกับพวกรุ่นพี่จะเอามันไม่อยู่แล้ว” สิ้นเสียงของเจมส์ศิรวิทย์ก็รู้สึกร้อนใจขึ้นมาทันทีที่ได้ยินว่าไอตัวแสบของเขาดันไปมีเรื่องชกต่อยในร้าน ในใจอยากจะขอเลิกเวรมันเสียแต่ตอนนี้แต่เขาก็ไม่สามารถทำได้จึงได้แต่จดจ้องนาฬิกาให้มันหมุนบอกเวลาไปที่ 22.00 เสียที


เมื่อเจมส์คุยจนจบเขาก็โยนโทรศัพท์ไปให้ผู้เป็นเจ้าของที่ตอนนี้กำลังดิ้นและโวยวายอยู่ ซึ่งเขาเองก็เข้าใจว่าทำไมไอเพื่อนตัวแสบคนนี้มันถึงอารมณ์เสียมากมายขนาดนี้ แต่ทำยังไงได้ละเมื่อมันเป็นพวกเมาแล้วเลื่อยไปซบคนนี้กระแซะคนนั้นเองนี่หว่า ใคร ๆ มันก็คิดว่าไอเพื่อนตัวแสบของเขามันก็ให้ท่ากันทั้งนั้นแหละ (ซึ่งผมก็เคยบอกไปแล้วว่าไอกรนี่สเปกของชนชาวสีม่วงครับไม่ว่าจะเป็นสเปกของฝ่ายรุกหรือฝ่ายรับก็เถอะ) แต่ครั้งนี่ก็ถือว่าร้ายแรงที่สุดเท่าที่เคยเห็นไอกรมันเมาครับ ปกติมันไม่เมาเหมือนหมาขนาดนี้หรอกอันนี้ขอเรียกได้ว่าหนักสุด ๆ และมันก็โดนลวนลามแบบสุด ๆ เหมือนกัน


“เชี่ยเจมส์...มรึงเอามือถือกรูไปไหนเอาคืนมา” เสียงขงไอกรมันร้องโวยวายให้ผมเอาโทรศัพท์ของมันไปคืนแต่ท่าทางสติมันเริ่มจะเบลออีกแล้วละครับเพราะผมโยนโทรศัพท์คืนให้มันไปตั้งนานแล้ว


“อยู่ตรงท้องมรึงไงไอสรัดผัก” เสียงของไอบาสตะโกนตอบไอกร ซึ่งตอนนี้ไอบาสเปลี่ยนหน้าที่กับเฮียพีมาลอคไอกรแทนแล้วละครับเพราะเฮียพีท่าทางจะหมดแรงแล้ว (คิดว่าเฮียคงดื่มหนักเกินไป)


“เชี่ยยปล่อยกรูดิว่ะ แม่มกรูจะไปต่อยหน้ามานน” เสียงอ้อแอ้ของไอกรมันก็ยังคงโวยวายอยู่เรื่อย ๆ แต่ท่าทางมันจะอ่อนลงขึ้นเยอะแล้วครับ ซึ่งทางนั้นก็ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ผมเห็นว่าเพื่อน ๆ ของทางนั้นเริ่มปล่อยให้ไอคนที่มาลวนลามไอกรนั่งนิ่ง ๆ โดยที่ไม่มีใครไปจับลอคอะไรมันแล้ว


แต่ไอกรเพื่อนของผม…ผมคิดว่าอีกนานกว่ามันจะหายสติแตก ผมยกนาฬิกาขึ้นมาดูตอนนี้เป็นเวลา 22.17 นาทีแล้วท่าทางพี่ศิคงกำลังบึ่งรถมารับไอตัวแสบอยู่แน่นอน และยังพูดไม่ทันขาดคำรถยนต์คันหรูของซิรวิทย์ก็ทะยานเข้ามาจอดตรงหน้าประตูพร้อมกับร่างสูงที่รีบเร่งลงมาจากรถ


“เจมส์ กรอยู่ไหน” เสียงของพี่ศิดูร้อนรนมากครับแต่มันก็สมควรนั้นแหละครับเพราะคนที่เฮียแกชอบกำลังมีเรื่องในร้านเหล้าแบบนี้เป็นใครมันจะไม่ห่วงกันหละครับ


ผมชี้ให้พี่ศิหันไปดูที่โต๊ะซึ่งตอนนี้หน้าที่จับไอกรลอคไว้ไม่ให้ดิ้นเป็นหน้าที่ของเฮียบุญเกิดกับเฮียก๊อตแล้วละครับ พี่ศิรีบเดินสาวเท้าเข้าไปพร้อมกับขอโทษขอโพยทุก ๆ คนแล้วพี่เขาก็ใช้แรงทั้งหมดหิ้วร่างของไอกรไปที่รถของเขาทันที


ไอพวกผมและพี่ ๆ ทั้งโต๊ะได้แต่โบกมือลาไอกรไปและไว้อาลัยให้กับชะตากรรมของไอกรที่มันจะต้องเผชิญต่อไป





______________________________________________


กรสอบเสร็จแล้วแต่นังพลอยยังสอบไม่เสร็จเลยค่ะ ร้ำตาซึมใส่ทุก ๆ คน
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 11] 02/10/2013 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 02-10-2013 19:09:54
ร่วมไว้อาลัยด้วยคนค่า


ปล.สู้ๆ นะคุณพลอย
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 11] 02/10/2013 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 02-10-2013 20:27:16
พี่ศิอบรมด่วน ไม่ไหวเลยน้องกรเมาแล้วเลื้อนนี่ดูสิโดนลวนลามเลย :mew2:

รอตอนต่อไป สู้ๆและโชคเอค่ะคนเขียน  :L2: :pig4: :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 11] 02/10/2013 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 02-10-2013 20:56:08
ขอไว้อาลัยให้น้องกรด้วยคน
สงสัยพี่ศิเปิดคอร์สอบรมชุดใหญ่

รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 11] 02/10/2013 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: RenaBee ที่ 03-10-2013 10:28:48
ไว้อาลัยให้น้องกร งานนี้พี่ศิต้องอบรบน้องกรนะคะ! จับน้องกรตีก้นเลย!(เอ๊ะ อันนี้หวังอะไร)  :hao7:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 11] 02/10/2013 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: ioohja ที่ 03-10-2013 12:06:29
 :z1: สงสัยน้องกร จะโดนทำโทษหนักแน่ๆ ขอไว้อาลัยให้น้องกร 55555  :hao7:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 11] 02/10/2013 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: xeruoh ที่ 03-10-2013 14:26:52
เพิ่งเข้ามาอ่าน
ติดงอมแงม
พี่ศิเอาแต่ใจแบบน่ารักมากกก ที่สำคัญกระเป๋าหนัก !!
อิจฉากรมันจริง ๆ เล้ยยย
แต่เมาแล้วเรื้อนแบบนี้ไม่ไหวนะลูกก
พี่ศิเค้าเป็นห่วงงงง !!

รอติดตามตอนต่อไป
 :hao6:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 12] 07/10/2013 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 07-10-2013 19:05:52



Chapter 12



อรุณสวัสดิ์นะครับ เช้านี้เป็นเช้าของวันปิดเทอมวันแรกของผม หลังจากที่เมื่อวานที่สายรหัสของผม (รวมไปถึงสายของไอเจมส์และสายของไอบาส) ได้นัดเลี้ยงสายนี่ก็ผ่านมาคืนนึงแล้วครับ ซึ่งผมจำได้แค่ว่าเมื่อคืน…ผมได้เมาสมใจอยากแถมอาการเมาของผมก็เปรียบเทียบได้ว่าผมนั้นเมาเหมือนหมาเลยครับ อีกทั้งในตอนนี้ผมนั้นจำไม่ได้เลยว่าเมื่อคืนผมได้ทำอะไรไปบ้าง และยิ่งจำไม่ได้ใหญ่เลยครับว่าผมกลับมาที่คอนโดของผมได้ยังไง ที่สำคัญคอนโดนี้ไม่ใช่ห้องของผมเสียด้วยแต่มันเป็นห้องของว่าที่คุณหมอศิรวิทย์ครับ


ผมพยายามยันตัวให้ลุกขึ้นจากเตียง เสียแต่ว่าไออาการแฮงค์ของผมมันยังคงสะสมอยู่ในตัวมันก็เลยทำให้ผมออกอาการเวียนหัวและมึนเล็กน้อย อ่อ..ผมลืมบอกไปตอนนี้เป็นเวลา 10 โมงเช้าแล้วครับ ซึ่งพวกคุณไม่ต้องถามถึงเจ้าของห้องหรอกครับผมบอกเลยว่าพี่เขาไม่อยู่ครับ ผมไม่รู้ว่าคนเรียนหมอมันหนักยังไงแค่รู้ว่าพี่เขามักจะมีราวด์รอบเช้า และราวด์รอบเย็นเสมอ และบางวันยังมีเข้าเวรตอนมืด ๆ ดึก ๆ ด้วยครับ  แล้วแต่ตารางของอาจารย์เขาจะจัดให้ แต่การเข้าเวรก็มีการเข้าตอนช่วงบ่ายถึงเย็นก็มีนะครับ แล้วแต่ใครจะได้ช่วงไหน ซึ่งเรื่องการเข้าเวรของว่าที่แพทย์นี่เรียกได้ว่าอาศัยดวงสุด ๆ เพราะคนไข้จะมาเยอะเฉพาะบางช่วง ช่วงไหนคนไข้เยอะ เราก็เหนื่อยมากแต่ก็ได้ความรู้มากตามนะครับ เพราะบางทีเราอาจจะได้เจอเคสแปลก ๆ เหมือนกัน ทั้งหมดทั้งมวลนี่ผมฟังมาจากพี่ศิครับ ซึ่งผมก็รู้สึกสงสารพี่เขา (และนิสิตแพทย์ทุกคน) นะครับ เรียนหนักและยังมีเวลาพักผ่อนน้อยอีก แต่ทำยังไงได้ละครับ ผมคิดว่าหมอนี่เป็นอาชีพที่ละเอียดอ่อน ซึ่งผมคิดว่าพี่ศิเนี่ยละเหมาะกับการเรียนหมอที่สุดแล้ว
หลังจากที่ผมเริ่มที่จะหายเบลอจากอาการแฮงค์ ตอนนี้ผมก็ได้มายืนอยู่ในห้องครัวในห้องของพี่ศิแล้วครับ ซึ่งผมก็ถือวิสาสะเดินเข้าไปเปิดตู้เย็นโดยไม่ขออนุญาตเจ้าของห้อง (อย่าหาว่าผมเสียมารยาทเลยนะครับ หลังจากที่ผมโดนพี่ศิลากคอมาติวนรกในห้องของพี่ศิเขา ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องผมสถาปนากลายเป็นของผมหมดแล้วครับไม่ว่าจะเป็นเตียง หรือของกินต่าง ๆ ในตู้เย็น) ผมคุ้ยของที่พอจะนำมาทำเป็นอาหารได้ในตู้เย็น ก่อนผมจะปรายตาไปเจอยาแก้แฮงค์ที่มีขายตามเซเว่นวางอยู่ในตู้ ไอผมก็รู้สุกแปลกใจนิดหน่อยครับว่าทำไมของแบบนี้มันถึงมาอยู่ในห้องของพี่ศิได้ (คือตั้งแต่ผมรู้จักพี่ศิมา ผมไม่เคยเห็นพี่ศิดื่มเหล้าเลยครับ) แต่ความสงสัยพวกนั้นก็ได้หมดไปเพราะที่ขวดยาแก้แฮงค์นั้นมีกระดาษโน้ตแผ่นเล็ก ๆ แปะไว้ข้างขวด และกระดาษแผ่นนั้นมีตัวอักษรหวัด ๆ ที่ผมคุ้นเคยเขียนอยู่



‘ยาแก้แฮงค์ครับกร ส่วนข้าวเช้ากับกลางวันพี่ใส่ไว้ในตู้เย็นให้แล้ว ถ้ากรตื่นแล้วค่อยอุ่นทานแล้วกันนะครับ จะได้ทานตอนมันร้อน ๆ จากพี่ศิ ปล.เย็นนี้พี่คิดว่าพี่อยากคุยอะไรกับเราสักหน่อย อย่าเพิ่งกลับห้องนะครับ’



ผมนั่งอ่านประโยคที่พี่ศิเขียนด้วยรอยยิ้ม แต่ในประโยคสุดท้ายที่พี่ศิเขียนทิ้งไว้มันทำให้ผมรู้สึกขนลุก เย็นเยือกไปถึงกระดูกไขสันหลังเลยละครับ ซึ่งที่พี่ศิเขียนลงท้ายไว้แบบนี้ มันไม่น่าจะใช่เรื่องดีแน่ ผมคนต้องโดนพี่ศิเทศน์อะไรใส่แน่นอนเลยครับ ผมก็รู้นะว่าผมผิดที่กินเหล้าหนักมาก จนต้องลำบากพี่ศิให้พี่เขาหิ้วผมกลับคอนโดมา แต่ถ้าผมบอกไปว่าเมื่อคืนผมจำวีรกรรมที่ผมสร้างขึ้นไม่ได้เลย พี่ศิจะมีการลดหย่อนผ่อนโทษสักนิดหน่อยไหมนะ ทุกคนอย่าคิดว่าผมกลัวพี่ศินะครับ ผมแค่…เออ แค่... ช่างมันเถอะครับ แต่ผมอยากจะบอกอะไรเลยนะครับ อย่าทำให้พี่ศิออกปากเทศนาอะไรเลยครับ ยาวเหยียดยันสามชั่วโมงก็ไม่จบครับ พูดแล้วเหนื่อยใจไม่รู้ว่าเย็นนี้ผมจะเจอเทศนายาวขนาดไหน ผมปัดความคิดเรื่องพวกนั้นออกจากสมองพร้อมกับหยิบยาแก้แฮงค์ขวดนั้นขึ้นมาดื่มจนหมดขวด


ต่อไปก็เป็นการคุ้ยอาหารเช้าออกมาจากตู้เย็นแล้วละครับ (ความจริงตู้เย็นของพี่ศิจัดเป็นระเบียบเรียบร้อยมากครับ แต่หลังจากที่ผมมาอาศัยห้องพี่เขาอยู่หลาย ๆ อย่างก็เริ่มเข้าไปสุ่ม ๆ กันอยู่ในตู้เย็นจนตอนนี้ทุกอย่างต้องเริ่มคุ้ยหาแล้วครับ)  และแล้วผมก็เจอข้าวเช้าของผม วันนี้เมนูที่พี่ศิทำไว้ให้ข้าวผัดแบบง่าย ๆ ครับ (ข้าวผัดแบบง่าย ๆ คือ ใส่ข้า ใส่หมูใส่ไข่ เท่านั้นล่ะครับ) ผมเดินถือจากที่ถูกซีนด้วยพลาสติกใสใส่เข้าไปในไมโครเวฟ รอเวลาสัก 3-4 นาที ข้าวผัดร้อน ๆ ฝีมือของพี่ศิก็พร้อมทานแล้วครับ
ผมตักข้าวผัดเข้าไปในปากรสชาติแรกที่ผมได้รับรู้คือรสชาติของความอร่อยครับ รสชาติมันกลมกล่อมมากจนแบบแน่ใจเหรอนี่คือฝีมือของนิสิตแพทย์! ผมนี่ไม่อยากจะบอกเลยนะครับว่าพี่ศิเป็นนิสิตแพทย์ที่ทำอาหารที่อร่อยที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมาเลยครับ ซึ่งทุกท่านก็สงสัยสินะครับว่าทำไมผมถึงรู้…ก็เพราะว่าผมมาฝากท้องที่ห้องของพี่ศิแทบจะทุกวันเลยครับไม่ว่าจะเป็นมื้อเช้า (ที่พี่ศิมักจะไปเคาะประตูห้องของผม เพื่อปลุกให้ผมไปทานข้าว) หรือจะเป็นมื้อเย็นที่ผมไปเคาะประตูห้องพี่ศิเพื่อของกิน
เอาเป็นว่าที่เล่ามาทั้งหมด ผมแค่จะชมว่าพี่ศิเป็นคนที่ทำอาหารอร่อยมาก ๆ เท่านั้นเองครับ น่าอิจฉาคนที่จะได้พี่ศิแกไปเป็นสามีจริง ๆ


หลังจากที่ผมจัดการข้าวผัดฝีมือของว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์ ผมก็เก็บจานและทำความสะอาดจานชามและของต่าง ๆ ที่ผมได้ใช้ไป เมื่อผมจัดการกับภารกิจทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยผมก็สาวเท้าเดินไปที่โซฟา และค่อย ๆ ทิ้งตัวลงนอนไป ในขณะที่ผมทิ้งตัวลงนอนกับโซฟามันก็ความคิดความคิดหนึ่งลอยเข้ามาในสมอง…


‘นี่กรูสวมชุดอะไรอยู่เหรอวะครับ’ ผมรีบเด้งตัวขึ้นมาทันทีพร้อมกับเช็คสภาพตัวเองซึ่งตามที่ผมคาดเดาครับ  เสื้อที่ผมสวมอยู่ในเวลานี้มันเป็นคนละชุดกับเมื่อคืนครับ และคนเปลี่ยนคงจะเป็นใครไม่ได้นอกจากไอคุณพี่ศิครับ เมื่อผมรู้ตัวผมก็รีบเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในห้องนอนพร้อมกับกดโทรออกไปหา (ว่าที่) นายแพทย์ศิรวิทย์ หิรัณศิริทันที


ผมถือสายรออยู่สักพักไม่นานนักเสียงของ (ว่าที่) นายแพทย์ศิรวิทย์ ก็ดังขึ้นในโทรศัพท์ “ตื่นแล้วเหรอครับ กรเห็นยาแก้แฮงค์ที่พี่ซื้อมาให้ในตู้เย็นหรือยัง ถ้ายังไม่เจอมันอยู่ชั้นล่างสุดครับ” น้ำเสียงที่พี่ศิพูดมานั้นแสดงถึงความเป็นห่วงเป็นใยมาก ซึ่งผมทราบดีครับพี่ชายคนนี้ของผมเป็นห่วงผมและคอยเอาใจใส่ดูแลผมดีมาก…แต่ว่าไอการเปลี่ยนเสื้อให้ (หรือมากกว่าเปลี่ยนเสื้อคืออาบน้ำหรือเช็ดตัวให้ผม) มันดูแลกันมากเกินไปแล้วกับ ผมก็มีของสงวนของผมเหมือนกันนะ


“เห็นแล้วพี่! แต่กรอยู่ในชุดนอนได้ยังไง ใครเป็นคนเปลี่ยน เมื่อคืนกรสวมเสื้อนิสิตอยู่นะ!” ผมตะคอกเสียงถามพี่ศิไปทันที ซึ่งทันทีที่ผมพูดจนจบประโยคเสียงหัวเราะของพี่ศิก็ลอยมาตามสายจนผมนี่อยากจะล้วงเข้าไปในโทรศัพท์แล้วเขย่าคอพี่ศิแรง ๆ สักหลาย ๆ ที


“ก็พี่ไง” พี่ศิตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบง่ายและดูเหมือนว่าพี่ศิแกจะรู้สึกธรรมดา ๆ กับการเปลี่ยนเสื้อให้ผมเสียด้วย
“แล้วทำอะไรมากกว่าเปลี่ยนเสื้อหรือเปล่า” ผมถามเสียงแผ่วและคำถามนี้ของผมทำให้พี่ศิยิ่งหัวเราะออกมาดังมากกว่าเก่า
“แล้วอะไรที่มากกว่าเปลี่ยนเสื้อล่ะกร” พี่ศิเปลี่ยนจากคำตอบเป็นคำถาม ซึ่งคำถามนี้ทำให้ผมรู้สึกโกรธจนหน้าดำหน้าแดงเลยครับ (ความจริงผมอายจนหน้าแดงเสียมากกว่า)


“นอกจากเปลี่ยนเสื้อนี่พี่เช็ดตัวหรืออาบน้ำอะไรให้ผมหรือเปล่า” ประโยคนี้ผมพูดเสียงแผ่ว ซึ่งพี่ศิก็เกิดอาการหูตึงชั่วขณะ และแกล้งบอกให้พูดซ้ำโดยใช้เหตุผลว่าพี่เขาไม่ได้ยินคำถามที่ผมถาม “พี่ไม่ค่อยได้ยินเสียงกรเลย กรพูดใหม่อีกทีสิพอดีสัญญาณในโรงพยาบาลมันไม่ค่อยจะดีเลย”


ซึ่งไอประโยคสองประโยคนี้ผมกับพี่ศิพลัดกันพูดวนเวียนกันอยู่หลายทีจนในที่สุดความอดทนทั้งหมดของผมมันก็สิ้นสุดลง ผมสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วตะโกนเข้าไปในโทรศัพท์มือถือของตัวเองทันที “นอกจากเปลี่ยนเสื้อนี่พี่เช็ดตัวหรืออาบน้ำอะไรให้ผมหรือเปล่า!” ซึ่งประโยคนี้ที่ผมได้พูดไปนั้นทำให้พี่ศิถึงกับต้องเอาโทรศัพท์มือถือ ออกห่างจากหูเลยทีเดียว และไม่นานเสียงหัวเราะคิก ๆ คัก ๆ ของคนอื่นก็ดังแทรกเข้ามาในสาย และเสียงพวกนั้นทำให้ผมรู้ว่าผมได้ทำอะไรผิดมหันต์ลงไปเสียแล้ว
“ฮะ ๆ ….ถ้าพี่บอกว่าพี่ทำมากกว่าเปลี่ยนเสื้อละ กรจะว่ายังไงเหรอ” เสียงของพี่ศิที่ตอบกลับมาให้ผมนั้นกลัวไปด้วยเสียงหัวเราะ ซึ่งตอนนี้ผมเริ่มจะหน้าแดงแล้วล่ะครับ คือไม่ได้หน้าแดงเพราะความโกรธแต่ผมหน้าแดงเพราะความอายที่ได้รู้ความจริงว่าร่างกายของผมถูกพี่ศิเห็นไปหมดทุกส่วนแล้ว เกิดมานอกจากคุณป๊ากับคุณม๊า ไม่มีใครเคยได้ดูตอนผมโป๊เลยนะครับ แล้วนี่พี่ศิถือดีอะไรกันมาเห็นตอนผมโป๊ได้


“…” ผมเงียบเสียงของตัวเองลงไปสักพักเพื่อตั้งสติ (ทว่าในตอนนี้สติของผมมันไม่เหลือแล้วครับ ตอนนี้ผมอยากจะเอาหน้ามุดดินหนีคนทั้งโลกแล้ว หลังจากวันนี้ผมจะไม่ไปเหยียบโรงพยาบาลของมหาลัยอีกต่อไปแล้วครับ กรอยากจะบ้าตาย) ก่อนจะพูดเสียงแผ่วราวกับคนใกล้ผมลมออกไปว่า “เย็นนี้พี่ไม่ได้ตายดีแน่พี่ศิ”


สิ้นประโยคนี้ผมก็กดตัดสายโทรศัพท์ทิ้งทันที พร้อมกับเดินพาร่างที่ไร้วิญญาณไปนอนแหมะที่โซฟา สายตาของผมเหม่อลอยราวกับคนบ้าที่ไร้สติสัมปชัญญะ


“พี่ศิ…เย็นนี้ได้เห็นดีกันแน่ ไอเรื่องที่พี่จะเทศนาอะไรไม่สนแล้วไม่พี่ก็ผมเย็นนี้ต้องตายกันไปข้าง” ผมพูดประโยคนี้ซ้ำไปซ้ำมาเบา ๆ พร้อมกับแผ่รังสีอำมหิตออกมาทั่ว ๆ ห้อง


ซึ่งผมก็นอนในสภาพแบบนี้จนถึงเย็นละครับ (แต่ผมก็ลุกไปทานข้าวนะครับ คราวนี้ข้าวกลางวันเป็นแกงจืดเต้าหู้ฝีมือพี่ศิครับ ขอบอกว่ารสชาติก็อร่อยไม่แพ้ข้าวผัดครับ) และผมก็นอนยาวไปถึงตอนที่พี่ศิกลับมาถึงห้อง


เสียงปลดล็อดกลอนดังขึ้นพร้อม ๆ กับบานประตูที่เคลื่อนที่เปิดอย่างช้า ๆ เสียง ๆ นั้นทำให้ผมเด้งตัวขี้นมานั่งทันที พร้อมกับรีบลุกขึ้นวิ่งไปหาพี่ศิที่ยืนอยู่หน้าห้อง


“ไอคุณพี่ศิครับ!” เสียงผมตะโกนลั่นห้องผมกันร่างที่ถลาเข้าไปเขย่าคอพี่ศิอย่างคลุ้มคลั่ง


“กรเบา ๆ พี่หายใจไม่ออก ใจเย็น ๆ สิกร” ซึ่งพี่ศิก็พูดปฏิเสธ แต่พี่แกไม่คิดจะเอามือมาปัดป้องอะไรเลยดูเหมือนว่าพี่ศิเขาจะจงใจให้ผมเขย่าคอพี่เค้าล่ะมั้ง


“ไอคุณพี่ศิจะให้ไอคุณน้องกรคนนี้เย็นได้ไงหละครับ เมื่อคืนไอคุณพี่ศิทำอะไรไว้ครับ ทำอะไรไว้บอกมาขอทุกขั้นตอน และรายละเอียดแบบเรียลไทม์!” ผมยังคงตะคอกและเขย่าคอพี่ศิไปมา ส่วนพี่ศิก็คงยังหัวเราะใส่ผมเช่นเดียวกัน ตอนนี้ผมสติแตกแบบสุด ๆ แล้วล่ะครับ ไออายมันก็อายหรอกครับแต่ไอความอยากรู้อยากเจือกมันมีมากกว่าครับ


“ปล่อยมือจากคอพี่ก่อน เดี๋ยวพี่เล่าให้ตั้งแต่ตอนที่พี่ไปรับกรเลย” พี่ศิยื่นข้อเสนอให้ผมซึ่งทางเลือกของผมมีเพียงข้อเดียวครับ คือปล่อยมือออกจากคอพี่ศิเท่านั้นล่ะครับ


ผมละมือออกจากคอเสื้อนิสิตของพี่ศิพร้อมกับกลับหลังหันเดินไปนั่งกระดิกเท้าที่โซฟา ซึ่งพี่ศิก็เดินตามผมมานะครับแต่พี่ศิยังไม่ยอมนั่งพี่แกยังคงเดินไปทำธุระรอบ ๆ ห้องเหมือนพี่แกตั้งใจจะแกล้งผมให้ผมสติแตก และมันก็สำเร็จครับ ผมสติแตกขึ้นมาจริง ๆ ผมลุกขึ้นพร้อมกับตะคอกใส่พี่ศิไปอีกที “ถ้าพี่จะมีเวลาเดินไปเดินมาป่วนประสาทผม พี่ก็มาเล่าให้ผมฟังสักทีสิครับไอคุณพี่ศิ”
พี่ศิหัวเราะร่าพร้อมกับยอมแพ้ต่อความอยากรู้ของผมและเดินมานั่งที่โซฟาตัวข้าง ๆ ที่ผมนั่ง


“เจมส์เขาโทรไปให้พี่ไปรับกรที่ร้าน” พี่ศิกอดอกพร้อมกับเปรยคำพูดออกมา “ซึ่งตอนที่พี่ไปถึงที่ร้านสภาพของกร พี่ขอพูดเลยว่าดูไม่ได้สุด ๆ เสื้อผ้าหลุดลุ่ย เมาแล้วโวยวาย พยายามจะมีเรื่องกับโต๊ะอื่น จนพี่ต้องไปหิ้วกรออกจากร้าน” ผมพยักหน้าตอบรับในคำพูดของพี่ศิ ซึ่งผมก็จำอะไรไม่ได้หรอกครับว่าเมื่อคืนทำอะไรไปมั่ง รู้แต่ความ ผมเมาและเข้าไปแด๊นซ์แล้วก็ต่อยคนพร้อมกระโดดถีบอกเขาไปที และโดนต่อกลับมาทีเท่านั้นเอง นอกจากนั้นผมจำไม่ได้ว่าผมอะไรและพูดอะไรไปมั่งครับ


“และหลังจากพี่พากรออกจากร้าน กรก็เมามากแล้วก็พูดโวยวายซ้ำไปซ้ำมา เรื่องนี้พี่คิดว่าเอาไว้คุยกับกรทีหลัง หลังจากถึงคอนโดพี่ก็ต้องหิ้วกรขึ้นมาที่ห้อง ซึ่งพี่คิดว่าพี่พากรมาที่ห้องของพี่จะสะดวกกว่าก็เลยพามาที่ห้องของพี่ ในตอนนั้นตัวของกรเหม็นเหล้ามาก พี่ก็เลยจัดการทำความสะอาดกรโดยที่ไม่ถามความคิดเห็นจากกรครับ เรื่องมันก็มีเท่านี้หละครับกร” พี่ศิเล่าไปพลางคลี่รอยยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจออกมา ผมมองหน้าพี่ศิด้วยความหวาดหวั่น และเมื่อพี่ศิพูดจนจบประโยคผมนี่ก็ถลาเข้าไปเขย่าคอพี่ศิอีกครั้งทันที


“ไอคุณพี่ศิ...เห็นอะไรไปมั่ง” ผมพูดงึมงำเบา ๆ ซึ่งคราวนี้พี่ศิก็ไม่ได้แกล้งอะไรผมแบบเดิม ๆ แล้วครับเพราะคราวนี้พี่ศิแกเล่นพูดออกมาตรง ๆ จนผมนี่เขินจนหน้าแดงไปถึงใบหู
“เห็นอะไรไปมั่งเหรอ…ก็ทุกอย่างน่ะกร” น้องกรอยากจะกัดลิ้นตาย โธ่...กรน้อยของพ่อ! พ่อจะเอาเลือดหัวของไอพี่ศิมาล้างความอายของกรน้อยให้ได้


ผมไม่รีรอให้พี่ศิพูด หรือทำอะไรต่อ ผมกระโจนตรงเข้าไปบนตักของพี่ศิแล้วเขย่าคอพี่ศิไปมา ปากนี่พร่ำคำพูดแทบไม่เป็นภาษา ส่วนหน้าทั้งหน้าก็ยิ่งขึ้นสีแดงจัดยิ่งขึ้น


“พี่ศิ...ตาย... ตายยย วันนี้พี่ต้องตายด้วยน้ำมือกร!” ผมกรีดร้องออกมาและเขย่าคอพี่ศิที่ยังคงหัวเราะร่า ทว่ารอยยิ้มนั้นก็ปรากฏบนใบหน้าคมไม่นานนัก สักพักใบหน้าของพี่ศิก็ตีหน้านิ่งพร้อมกับโอบตัวผมและดันให้ผมนอนราบไปกับโซฟาโดยที่มีร่างของพี่ศิทาบทับอยู่


“ฮะ...เฮ้ย…พี่ศิจะทำอะไรอ่ะ” ผมที่ในตอนแรกยังคงส่งเสียงดังเอะอะโวยวาย แต่ตอนนี้เสียงที่ผมกล่าวออกไปนั้นกลับสั่นไหว และใบหน้าของผมที่เริ่มที่จะเบี่ยงหน้าหลบสายตาคมที่ซ่อนอยู่ภายใต้กรอบแว่นที่พี่ศิจ้องมองมา


“ตอนที่พี่ไปรับกรที่ร้านพี่ได้ยินกรพูดว่า ‘ไอเชี่ยนั่นมาแกะกระดุมของกร แล้วมือของไอเชี่ยนั่นมาลูบแผ่นอกของกร’ เรื่องนี้พี่อยากรู้รายละเอียดช่วยเล่าให้พี่ฟังหน่อยได้ไหม” เสียงทุ้มของพี่ศิที่เอ่ยออกมานั้นนิ่งสนิท ซึ่งน้ำเสียงนั้นก็มิได้ต่างอะไรไปจากใบหน้าคมของพี่ศิเลย


“เฮ้ย...อันนั้นกรไม่รู้ กรจำไม่ได้” ผมพูดปฏิเสธเสียงสั่น ซึ่งสิ่งที่ผมพูดออกไปมันก็เป็นความจริง เพราะตามที่ผมได้บอกไปแล้ว เมื่อตอนเช้าว่าผมนั้นจำอะไรไม่ได้เลยนอกจากเมา เมาแล้วเต้น เต้นแล้วมีเรื่อง มีเรื่องแล้วกระโดดถีบ กระโดดถีบแล้วก็มาตื่นที่คอนโดพี่ศิเนี่ย


“แน่ใจเหรอ…” พี่ศิเอ่ยถามซ้ำโดยน้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นยิ่งเพิ่มความกดดันให้ตัวผมมากขึ้นไปอีก
คือผมจำไม่ได้จริง ๆ ผมไม่ได้โกหกนะ เวลาผมเมาตอนตื่นขึ้นมาอีกวัน ผมจะจำอะไรไม่ได้เลยนอกจากจะมีคนมาเล่าให้ผมฟังผมถึงจะค่อย ๆ จำได้


“แน่ใจสิจ๊ะ พี่ศิจ๋า” ผมเริ่มพูดจ๊ะจ๋าตามประสา แต่ในใจผมนี่แทบอยากจะดันตัวพี่ศิแล้ววิ่งหนีออกจากห้องไปเสียเหลือเกิน


“งั้นเหรอ...” เสียงทุ้มตอบรับแบบส่ง ๆ ก่อนจะใช้มือเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา นิ้วเรียวยาวกดไล่หาเบอร์โทรศัพท์ที่เมมโมรี่ชื่อของเพื่อนตนเอาไว้พร้อมกับกดโทรออกไปทันทีเมื่อตนเจอชื่อของเป้าหมาย ‘วิน’


v
v
v
v
v
v
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 12] 07/10/2013 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 07-10-2013 19:09:03


พี่ศิถือสายโทรศัพท์รอสักพักไม่นานนักเสียงแหลม ๆ หวาน ๆ ของสาวประเพศสองที่มีนามว่า สาละวินก็ดังขึ้น “ไงยะไอศิมีไรเหรอ”


“วินครับ ช่วยเล่าเรื่องเมื่อคืนให้ศิฟังได้ไหมครับ” พี่ศิกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์พร้อมกับเปิดสปีคเกอร์ให้ผมฟังไปด้วย


“เรื่องของน้องกรเหรอแก เอาเรื่องไหนละเมื่อคืนเรื่องมันเยอะมากเลยนะ” เสียงของเจ้น้ำหวานพูดออกมา ผมแทบอยากจะตะโกนบอกเจ้น้ำหวานว่าอย่าไปเล่าให้พี่ศิฟัง แต่ผมก็ต้องเงียบปากและล้มเลิกความคิดนั้นไปเพราะเหมือนพี่ศิจะรู้ทันผมนัยน์ตาคมปรายมองพร้อมกับส่งสายตาดุมาให้ผม


“เรื่องที่กรโดนลวนลาม” เสียงทุ้มเอ่ยออกไป ซึ่งสิ่งที่ผมรับรู้ได้ในน้ำเสียงนั้นคือความโกรธ ความไม่พอใจและมันก็แฝงไปด้วยความรู้สึกผิดเล็ก ๆ


“ตาย แกจะฟังได้เหรอยะไอศิ…” เจ้น้ำหวานพูดตอบกลับซึ่งพี่ศิก็ไม่ได้รอให้เจ้แกพูดจนจบประโยค เสียงทุ้มก็เอ่ยตะคอกกลับไป “บอกให้เล่าก็เล่ามาสิวะ ไอวิน”


คำหยาบคายคำแรกของพี่ศิหลุดออกมา ไอผมนี่ตกใจขั้นรุนแรง (แต่ก็ไม่รุนแรงเท่ากับการที่ผมต้องมานอนแผ่ สามบาทห้าสิบอยู่ใต้ร่างของพี่ศิแบบนี้)


“เฮ้ย อย่าเพิ่งโกรธดิไอศิ ฉันเล่าก็ได้วะ…” เจ้น้ำหวานตอบตกลงพร้อมกับเอ่ยปากเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในคืนนั้นออกมา


“คือน้องกรแกก็กินเหล้าปกติล่ะแก แต่วันนั้นน้องมันดื่มมากไปหน่อยจนเมา  แล้วก็นะตามประสาคนเมาก็ต้องทำอะไรบ้า ๆ ใช่ไหม่ละ อย่างฉันก็คือออกไปแด๊นซ์อะไรแบบนี้ แล้วน้องกรเขาก็เมาคือฉันเคยได้ยินว่าน้องกรเวลาเมาแล้วจะเลื้อยอ่ะแก คือแบบเลื้อยไปซบคนนั้นเอนไปทับคนนี้อ่ะ แล้วน้องกรแกก็เลยลุกขึ้นไปเต้น มันก็ไม่เชิงเต้นอีกแหละแก เรียกว่าน้องเขาไปเซไปเซมาในฟลอร์เต้นรำดีกว่า แล้วไม่รู้อีท่าไหนน้องกร แกโดนปลดกระดุมเสื้อนิสิตจนหมดแล้วก็มีคน ๆ หนึ่งพยายามเข้ามาเต้นใกล้ ๆ น้องเขา ความจริงก็ไม่ใช่มันคนเดียวหรอกแก ตอนน้องเขาไม่ได้ปลดกระดุมก็มีคนมาเต้นใกล้ ๆ น้องมันแล้วก็ลูบไล้ ๆ กันนั่นหละ เพียงแต่ไอคนนี้น่ะมันเข้าไปโอบกรมันแล้วลูบไปที่หน้าอกของน้องมัน กรก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรหรอกนะ แต่ว่ามันนึกว่ากรเล่นด้วยมันเลยเริ่มลูบต่ำไปที่ขอบกางเกงน่ะ” เจ้น้ำหวานหยุดเล่าไปสักนิดพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าปอดไปเฮือกใหญ่ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำออกมาต่อ “แล้วตอนนั้นรู้สึกว่าน้องกรมันเหมือนจะมีสติขึ้นมาแล้ว น้องมันก็เลยประเคนหมัดไปที่หน้าไอเชี่ยนั่น  แล้วตามด้วยตรีนที่น้องมันกระโดดยันไปที่หน้าอกมัน หลังจากนั้นฉันก็เข้าไปหิ้วปีกน้องมันกลับโต๊ะ แต่ก่อนจะได้กลับไปที่โต๊ะน้องมันก็โดนไอนั่นต่อยกลับมาทีนึงที่หน้าอ่ะแก เรื่องมันก็มีแค่นี้ว่ะศิ” เมื่อเจ้น้ำหวานเอ่ยประโยคสุดท้ายจบ พี่ศิก็กดตัดสายโทรศัพท์ของเจ้น้ำหวานทันที  ใบหน้าคมค่อย ๆ หันหนามามองหน้าผมพร้อมกับส่งรอยยิ้มเย็นเฉียบมาให้


ซึ่งผมก็พยายามส่งรอยยิ้มกลับไปให้พี่ศิเขานะครับ แต่ทว่าแววตาที่พี่ศิมองมายังผม…มันทำให้ผมยิ้มไม่ออก ผมไม่รู้ความหมายของรอยยิ้มของพี่ศิ ผมไม่รู้ถึงความหมายในแววตาของพี่เขาที่เขาสื่อออกมา ผมรับรู้เพียงแต่ว่าพี่ศิเขารู้สึกโกรธและก็รู้สึกผิดกับอะไรสักอย่างที่ผมก็ไม่อาจรู้ได้


ผมไม่อยากจะสารภาพเลยว่าผมจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอะไรไม่ได้เลยสักนิด และเพิ่งมานึกได้ทั้งหมดตอนที่เจ้น้ำหวานแกเล่า ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมโดนคนอื่นกระทำจะทำให้คน ๆ หนึ่งเป็นห่วงผมขนาดนี้ นอกจากครอบครัวของผม ไอเจมส์ ไอบาส แล้วก็กานต์ ผมก็ไม่เคยมีใครเป็นห่วงผมมากมายขนาดนี้ ผมรู้สึกได้ว่าพี่ศิโกรธตัวเองที่ไม่ได้ปกป้องน้องชายอย่างผมไม่ได้  โกรธตัวเองที่ไม่ได้ช่วยเหลือผมในขณะที่ผมโดนใครสักคนหนึ่งทำร้าย (ในที่นี้ผมหมายถึงกรณีที่ผมโดนต่อยนะครับ)


เราทั้งสองคนเงียบใส่กับไปสักพัก ซึ่งพี่ศิก็ยังจับผมล็อคอยู่ในท่าเดิมและผมก็ไม่ได้มีความคิดที่จะดิ้นหรือขัดขืนอะไรพี่ศิเขาเลยสักนิดเดียว


เราทั้งสองคนยังอยู่ในท่านี้อีกสักพักไม่นานนัก พี่ศิก็ปล่อยให้ผมเป็นอิสระพร้อมกับร่างของพี่ศิที่โถมเข้ามากอดผมไว้แน่น ซึ่งผมก็ยกมือขึ้นกอดพี่ศิตอบไปมือกร้านของพี่ศิลูบหัวของผมเบา ๆ พร้อมกับริมฝีปากหนาที่เอ่ยพร่ำคำขอโทษผมซ้ำไปซ้ำมาก


“พี่ชายขอโทษนะครับที่ตอนนั้นพี่ชายไปปกป้องน้องชายไม่ได้” ผมรู้สึกได้ว่าพี่ศิกำลังระงับความโกรธของตัวเองเอาไว้ซึ่งที่พี่ศิโกรธไม่ใช่โกรธไอบ้านั่นที่มาลวนลามผม แต่พี่ศิเขาโกรธตัวเองที่มาปกป้องผมไม่ได้


ผมลูบหลังพี่ศิเบา ๆ พร้อมกับเอ่ยถ้อยคำปลอบพี่ศิออกมา “ก็พี่ชายไม่ว่างมาปกป้องน้องชายตลอดเวลานี่นา น้องชายคนนี้รู้ว่าพี่ชายไม่ว่าง  พี่ชายไม่ต้องโกรธตัวเองนะที่พี่ชายโกรธต้องเป็นตัวของน้องชายต่างหาก  น้องชายทำผิดเพราะน้องชายทำให้พี่ชายเป็นห่วง”


สิ้นเสียงพูดของผม พี่ศิก็ดันร่างของผมออกจากอ้อมกอดก่อนที่ใบหน้าคมจะเลื่อนขึ้นไปประทับริมฝีปากที่หน้าผากผมอย่างแผ่วเบา  ผมชะงักตัวเล็กน้อยเมื่อได้รับสัมผัสที่อ่อนโยนแต่ผมก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรเลยสักนิด ผมปล่อยให้ริมฝีปากของพี่ศิแนบอยู่นานพอดูจนพี่ศินั้นละริมฝีปากของตนออกไปเอง


ในตอนนี้ใบหน้าของผมร้อนฉ่าพร้อมกับหัวใจที่เต้นแรงราวกับว่ามันกำลังจะระเบิดในไม่กี่วินาทีนี้  เราทั้งสองคนค่อย ๆ กระเถิบออกจากกัน  หลังจากนั้นพวกเราสองคนก็ได้แต่นั่งเงียบ ๆ อยู่ในห้อง
ความเงียบเข้าครอบคลุมภายในห้องสักพัก พลันเสียงทุ้มของพี่ศิก็เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบสงัดที่อยู่ในห้องไปจนหมด


“กร เย็นนี้อยากทานอะไรครับ เดี๋ยวพี่เข้าครัวทำให้ทาน” คำถามนี้ของพี่ศิทำให้ผมส่ายหัวปฏิเสธ และปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพี่ศิคิดเมนูไป


“แล้วแต่พี่ศิเลยครับ กรทานอะไรก็ได้” ผมได้แต่ก้มหน้างุด อาการหัวใจเต้นแรงของผมมันก็ยังไม่ยอมหยุด ผมพยายามที่จะไม่เงยหน้ามองใบหน้าของพี่ศิ เพราะผมรู้ตัวว่าถ้าหากผมยิ่งมองใบหน้าและสายตาของพี่ศิเขามันจะยิ่งทำให้หัวใจของผมที่เต้นแรงอยู่นั้นยิ่งเต้นแรงมากขึ้นไปอีก


“งั้นเหรอกร เดี๋ยวพี่ทำอะไรง่าย ๆ แต่หนักท้องให้ทานแล้วกันนะ นี่ก็เลยเวลาทานอาหารเย็นของกรมาแล้วด้วยนี่” พี่ศิพูดพร้อมกับหันไปมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนัง ในตอนนี้เวลาที่เข็มสั้นและเข็มยาวชี้บอก มันก็ล่วงเลยไปถึงหนึ่งทุ่มเศษแล้วครับ


ผมพยักหน้าตอบพี่ศิน้อย ๆ โดยที่ผมก็ยังคงก้มหน้างุด ๆ เพื่อซ่อนใบหน้าที่แดงก่ำของคนอยู่ ผมแอบเหลือบมองพี่ศิที่เดินเข้าครัวไป แต่ในทันทีที่พี่ศิหันมามองที่ผม ผมก็รีบหันหน้ากลับเพื่อหลบสายตาของพี่เขาทันที เราทั้งสองคนผลัดกันแอบมอง ผลัดกันหลบสายตากันไปสักพัก ไม่นานนักอาหารที่พี่ศิทำก็เสร็จพร้อมกับเสียงทุ้มที่เรียกให้ผมเข้าไปทานอาหารในห้องครัว


ผมเดินตามเสียงเรียกของพี่ศิเข้าไปในห้อง พร้อมกับเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิมที่ผมชอบนั่งประจำเวลาทานอาหารกับพี่ศิเขา
กับข้าวมื้อนี้ข้าวกะเพราหมูสับไข่ดาวครับ ซึ่งผมอมยิ้มเล็กน้อย เมื่อเห็นจานทั้งสองจานวางไว้คู่กันและพี่ศิก็ไม่ต้องเชื้อเชิญให้ผมนั่ง ผมก็จัดการเอาตรูดไปวางแหมะไว้บนเก้าอี้และเริ่มจัดการอาหารเย็นที่พี่ศิทำไว้ให้ทันที


รสชาติยังคงอร่อยเช่นเดิมและไข่ดาวที่พี่ศิทอดนี่ด้านบนขาวสะอาดและด้านล่างเป็นรอยไหม้เล็กน้อยซึ่งมันเป็นการทอดไข่ดาวที่เพอร์เฟคที่สุดเลยครับ (ผมเคยอ่านในหนังสือมา) แต่เอ๊ะ...แล้วผมจะมาบรรยายการทอดไข่ดาวและรสชาติกับข้าวของพี่ศิเขาทำไมเนี่ย  ช่างเถอะครับ เรามาเจอกันหลังที่ผมจัดการข้าวกะเพราไข่ดาวนี่เสร็จก็แล้วกัน


ผมค่อย ๆละเอียดทานข้าวแต่ละคำอย่างช้า ๆ โดยตลอดการทานอาหารมื้อนี้ผมหลบสายตาของพพี่ศิตลอดเลยครับซึ่งพี่ศิก็ทำเช่นเดียวกันกับผม อาหารมื้อนี้ผมกับพี่ศิไม่ได้พูดคุยหรือสบตาอะไรกันเลย เรานั่งกินกันเงียบ ๆ จนกระทั่งอาหารในจานนั้นหมดไป ผมรีบลุกเดินขึ้นไปล้างจาน ส่วนพี่ศินั้นก็ลุกขึ้นตามผมมาติด ๆ เราทั้งสองคนยืนล้างจานกันอยู่เงียบ ๆ โดยผมเป็นคนล้างน้ำเปล่า ส่วนพี่ศิเป็นคนใช้น้ำยาล้างจานล้างคราบอาหาร ผมกับพี่ศิใช้เวลาช่วยกันล้างจานไม่นานนักในที่สุดจานชามและกระทะที่ใช้ทำกับข้างก็สะอาดเรียบร้อย


ตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มแล้วครับ ซึ่งมันก็เป็นเวลาที่ผมสมควรจะกลับห้องแล้ว ผมเดินไปสะกิดพี่ศิเขาเบา ๆ พร้อมกับขอตัวกลับไปยังห้องของตัวเองก่อน


“พี่ศิ กรกลับห้องแล้วนะ ขอบคุณสำหรับข้าวมื้อนี้นะครับ” ผมยกมื้อไหว้ขอบคุณพี่ศิเหมือนทุกครั้งและค่อย ๆ สาวเท้าเดินออกจากห้องของพี่ศิเขา แต่ไม่ทันที่ร่างผมจะได้ก้าวออกจากห้อง มือของพี่ศิก็รั้งแขนผมเอาไว้พร้อมกับส่งกุญแจดอกหนึ่งมาให้ผม ผมมองกุญแจดอกนั้นด้วยความสงสัย แต่รู้สึกเหมือนพี่ศิเขาจะรู้ว่าผมกำลังงุนงงกับการกระทำของพี่เขา


พี่ศิยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “กุญแจห้องของพี่เอง ไว้กรอยากเข้ามาเล่นอะไร หรือลืมอะไรไว้ในห้องพี่กรก็ไขเข้ามาได้เลยนะ พี่อนุญาต’


ซึ่งผมก็รับกุญแจดอกนั้นด้วยรอยยิ้มพร้อมกับหยิบพวงกุญแจห้องของตัวเองขึ้นมา และแกะกุญแจสำรองห้องของผมและยื่นคืนไปให้พี่ศิ


“อันนี้กุญแจห้องของกร ถ้าพี่ศิอยากเข้ามากินขนมที่กรทำก็ไขเข้ามาได้เลยนะ กรไม่ว่า” ผมพูดกลับด้วยรอยยิ้มเราทั้งสองคนยิ้มให้กันสักครู่หนึ่ง สักพักผมก็เอ่ยปากขอตัวกลับห้องของตัวเองไป


“แล้วเจอกันนะครับพี่ศิ” ผมพูดพร้อมกับโบกมือลาและเดินเข้าห้องของตัวเองไป


และทันทีที่บานประตูห้องของผมปิดลง ร่างกายของผมก็ทรุดลงไปนั่งที่พื้นใบหน้าที่พยายามสะกดกลั้นความเขินอายตอนนี้กลับแดงก่ำและหัวใจที่เริ่มเต้นแรงอีกครั้ง


‘เป็นเชี่ยอะไรวะ...ทำไมแม่มต้องเขินแบบนี้ด้วย’ ผมพึมพำกับตัวเองในใจพร้อมกับยก กุญแจห้องของพี่ศิขึ้นมาดู และกอดมันไว้แนบอก “ขอบคุณนะครับ พี่ศิ” ริมฝีปากของผมยกรอยยิ้มขึ้นมาพร้อมกับมือทั้งสองข้างของผม ผมนำกุญแจห้องของพี่ศิไปแขวนอยู่ในพวงเดียวกับกุญแจห้องของผม


ผมยกมันขึ้นมองเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นยืนและเดินเข้าไปจัดการร่างกายและเตรียมตัวไปเปิดคอมพิวเตอร์ หลังจากที่ไม่ได้แตะมันมานาน


หลังจากที่ผมจัดการและทำความสะอาดตัวเองเสร็จ ผมก็วิ่งถลาเข้าไปเปิดคอมคู่ใจและเริ่มเปิดอีเมล์ และเฟซบุ๊คเช็คดูข้อมูลที่ผมพลาดไปตอนช่วงสอบ


ผมเลื่อนเคอเซอร์ไปที่กรุ๊ปของภาควิชาผมซึ่งในก่อนหน้านี้ (คือช่วงสอบ) มันเป็นแหล่งที่สูบคลังข้อสอบครับ แต่ในเวลานี้มันกลายเป็นที่แชร์รูปที่ทุก ๆ ต่างไปเที่ยวมา ไม่ก็เป็นภาพของตัวเองที่กลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอนที่อยู่ต่างจังหวัดบ้างหรืออยู่แถบชานเมือง หรือปริมณฑล และในนั้นก็มีรูปของเมื่อคืนที่สายของผมไอเจมส์ไอบาสอัพอยู่ด้วย


ภาพแรก ๆ ก็ดูดีอยู่หรอกครับ บนโต๊ะยังไม่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่ภาพหลัง ๆ เริ่มเละครับ ขวดเหล้าขวดเบียร์เริ่มเต็มโต๊ะและหลาย ๆ คนก็เริ่มเมาและมึนกันไป รูปต่อไปเป็นรูปเจ้น้ำหวานที่กำลังเต้นอยู่กลางฟลอร์พ่วงด้วยลุงรหัสของผมเฮียบุญเกิดที่กำลังเต้นท่าอะไรไม่รู้หลีสาวอยู่


ผมหัวเราะน้อย ๆ กับภาพ ๆ นั้นก่อนจะเลื่อนดูภาพถัดไป และถัดไปจนมาถึงรูปสุดท้ายที่ทำให้ผมต้องเลื่อนหน้าตัวเองเข้าไปดูใกล้ ๆ และถึงขั้นเซฟรูปมาขยายดูในโฟโต้ช็อปเลยทีเดียวครับ


ภาพ ๆ นั้นเป็นภาพของผมกับพี่ศิโดยผมโดยพี่ศิอุ้มอยู่ในท่าเจ้าสาวครับ ซึ่งในภาพพี่ศิกำลังพูดคุยอยู่กับเจ้น้ำหวานใบหน้าของพี่เขามีสีหน้ากังวลเล็กน้อยแล้วผมที่อยู่ในอ้อมกอดของพี่ศินั้นกำลังเอามือโอบรอบคอพี่ศิ และยื่นตัวไปหอมแก้มพี่ศิเขาเบา ๆ แต่ก็ยังดีที่มันเป็นภาพที่ถ่ายด้านข้างซึ่งเป็นข้างที่ผมหันหลังใส่กล้องพอดีในภาพจึงมีแต่ใบหน้าของพี่ศิกับแผ่นหลังของผมที่ยื่นหน้าไปประทับริมฝีปากที่แก้มของพี่ศิเขา


และเมื่อภาพนั้นประจักษ์แก่สายตาว่านั่นคือผมที่กำลังหอมแก้มพี่ศิไปเสียฟอดใหญ่…ไอผมนี่แทบจะกรีดร้องออกมาเสียงดัง แต่ไม่ใช่เพราะโกรธอะไรคนที่ถ่ายภาพหรอกนะครับ แต่ผมอยากจะกรีดร้องด้วยความอับอาย กับสิ่งที่ผมได้ทำลงไป


รู้สึกภาพนี้จะดูเหมือนเป็นภาพทอล์กออฟเดอะทาวน์เลยทีเดียว คอมเม้นท์นี่ยาวเป็นพรืด ซึ่งทุกคนต่างสงสัยว่าชายหนุ่มที่กำลังยื่นหน้าไปหอมแก้มว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์คนนั้นคือใคร แล้วทำไมว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์ถึงห่วงใยคนในอ้อมแขนของคนซะเหลือเกิน


คอมเม้นท์ในภาพนี้ยาวติดต่อกันเป็นร้อย ซึ่งทุกคนก็ต่างเดากันไปต่าง ๆ นานาว่าเด็กหนุ่มในภาพนั้นคือใคร แต่คนที่จะรู้ว่าเด็กหนุ่มในอ้อมแขนของว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์คือผม ก็คงมีพวกพี่ ๆ ที่เป็นสายรหัสของผมและของไอเพื่อนสนิทของผมที่นัดกันไปเลี้ยงรวมไปถึงพี่ศิเท่านั้นหละครับ (รวมตัวผมด้วยก็แล้วกัน ถึงจะมารู้ทีหลังก็เถอะ)


หลังจากที่ผมเช็คภาพจนหมดผมก็รีบกดโทรศัพท์ไปหาไอเจมส์และไอบาสทันที ผมถือสายโทรศัพท์มันรอสักพัก เสียงไอเจมส์ก็ดังแทรกขึ้นพร้อมกับเสียงเครื่องยนต์รถที่ขับผ่านไปผ่านมา


“มีไรวะกร ตอนนี้กรูกำลังกลับบ้าน ไว้โทรมาใหม่นะเว้ย” เมื่อไอเจมส์พูดจบมันก็ตัดสายทิ้งไปทันที โดยมันทิ้งให้ผมยืนเอ๋อแดรกกับความรวดเร็วในการวางสายของมัน


รายต่อไปที่ผมจะโทรศัพท์ไปหานั่นก็คือไอบาส  ผมก็กดไล่หาเบอร์โทรศัพท์เช่นเดิมและกดโทรออกไปตามขั้นตอนเดียวที่ได้ทำตอนโทรไปหาไอเจมส์ ซึ่งคราวนี้สิ่งที่ผมได้รับจากการรอสายของไอบาสคือข้อความของคอลเซ็นเตอร์ที่บอกให้ส่งข้อความเสียงแทนเสียงของไอบาส ไอผมนี่แทบอยากจะปามือถือทิ้งหนักกว่ารอบของไอเจมส์อีกครับ  ซึ่งผมก็ฝากข้อความให้มันไว้นะครับ แต่ฝากเป็นข้อความด่ามันไปยาวเหยียดแบบไม่หยุดหายใจ ก่อนจะกดตัดสายทิ้งไปครับ


ตอนนี้ผมถลาลงไปนอนฟุบกับเตียงเรียบร้อย หนำซ้ำตอนนี้เวลามันก็ล่วงเลยมาถึง 4 ทุ่มจะครึ่งแล้ว ดังนั้นคืนนี้ผมขอลา ราตรีสวัสดิ์นะครับทุกคน



อรุณสวัสดิ์อีกครั้งนะครับทุกคน  วันนี้เป็นเช้าของวันปิดเทอมวันที่สองของผม ซึ่งแน่นอนผมควรจะแจ่มใสและลั่นล้ามากกว่านี้ ทว่าผมนั้นกลับรู้สึกว่าตัวเองโทรมลงยังไงก็ไม่รู้ นั่นก็เพราะสาเหตุมาจากอาการนอนไม่หลับของผมครับ เพราะทันทีที่ผมหลับตาลงภาพความทรงจำมันก็ลอยเข้ามาในหัวผมครับ ภาพที่พี่ศิแนบริมฝีปากบนหน้าผากของผมเบา ๆ และไม่ใช่แค่นั้น ภาพของผมที่อยู่ในอ้อมกอดของพี่ศิก็เข้ามาวนเวียนอยู่ในหัวสมองของผมด้วยครับ และเหตุผลที่กล่าวมานี่ทำให้ผมนอนไม่หลับเลยสักนิดเดียว ซึ่งกว่าผมจะหลับได้ก็ร่วมตีสองครับ และตอนนี้เป็นเวลา 8 โมงเช้าครับซึ่งในเวลา  นี่ถ้าเป็นวันปกติผมต้องวิ่งไปเข้าเรียนแล้วหละครับ แต่นี่ก็เป็นวัดหยุดผมจึงค่อย ๆ คลานลงจากเตียงแล้วเดินไปหาอะไรทานเป็นข้าวเช้าในห้องครัวครับ


แต่ผมก็ลืมไปตอนนี้ในครัวของผมไม่มีวัตถุดิบที่จะทำอาหารอะไรมากินได้เลยครับ ดังนั้นผมจึงได้ลากสังขารตัวเองไปหน้าห้องเพื่อที่จะออกไปซื้ออะไรทานเป็นข้าวเช้า แต่ก่อนที่ผมจะเดินออกจากประตูไปกระดาษโน้ตแผ่นหนึ่งก็เสียบไว้ในช่องประตูของผมซึ่งไม่ต้องเดาอีกนะครับว่ามันเป็นกระดาษโน้ตของใคร  เพราะเป็นที่แน่นอนอยู่แล้วครับว่ามันเป็นของพี่ชายข้างห้องของผมเอง ผมกวาดสายตาอ่านตัวอักษรหวัด ๆ ที่เขียนลงในกระดาษก่อนจะอมยิ้มออกมาจาง ๆ



‘ข้าวเช้าวันนี้เป็นข้าวผัดเหมือนเดิมนะครับ พอดีพี่ตื่นสายเลยไม่ทันทำอะไรที่แปลกไปจากเมื่อวาน กรใช้กุญแจที่พี่ให้ไขเข้าไปได้เลยนะครับ จากพี่ศิของน้องกร ปล.ข้างผัดอยู่ในตู้เย็นเหมือนเดิมครับผม’




_____________________________

นาน ๆ มาหย่อนให้ทีค่ะ แหะ ๆ สอบยังไม่เสร็จ ติวหนังสือก่ะยังไม่ไปถึงไหนแต่อยากลงนิยาย เลยแวปมาลงให้ก่อนค่า เกินกันอีกทีวันที่พลอยสอบเสร็จเลยนะคะ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 12] 07/10/2013 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 07-10-2013 19:48:54
 :impress2: อิจฉาน้องกรมีคนทำกับข้าวให้กินทุกมื้อเลย

ความสัมพันธ์ค่อยๆคืบหน้าแล้ว แต่ดูท่าทางพี่ศิคงต้องทำอะไรให้ชัดเจนกว่านี้ เพราะงั้นพี่ศิสู้ๆ  :mew1:

รอตอนต่อไป โชคดีกับการสอบค่ะ   :L2: :กอด1: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 12] 07/10/2013 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 07-10-2013 20:13:42
:impress2: อิจฉาน้องกรมีคนทำกับข้าวให้กินทุกมื้อเลย

ความสัมพันธ์ค่อยๆคืบหน้าแล้ว แต่ดูท่าทางพี่ศิคงต้องทำอะไรให้ชัดเจนกว่านี้ เพราะงั้นพี่ศิสู้ๆ  :mew1:

รอตอนต่อไป โชคดีกับการสอบค่ะ   :L2: :กอด1: :pig4: :L2:
เห็นด้วยเป็นที่สุด
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 12] 07/10/2013 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: krit24 ที่ 07-10-2013 22:27:09
ความสัมพันธ์เริ่มคืบหน้า พีี่หมอศิน่ารักอ่ะ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 12] 07/10/2013 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: RenaBee ที่ 10-10-2013 13:39:52
อิจฉาน้องกร พี่ศิน่ารักกกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 12] 07/10/2013 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 10-10-2013 14:23:24
อิจฉากรจริงเลย
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 12] 07/10/2013 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 11-10-2013 21:39:03
กรีส ๆๆๆ สอบเสร็จแล้วค่า(จริง ๆ สอบเสร็จตั้งแต่เมื่อวานแต่แบบเพิ่งโผล่หัวมาตอนนี้)




Chapter 13



นับจากวันที่ผมสายรหัสของผมนัดไปเลี้ยงฉลองปิดเทอมนี่ก็ผ่านมาเกือบจะครบอาทิตย์แล้วหละครับ ซึ่งในเวลา 1 อาทิตย์ที่ผ่านมาผมกับพี่ศิแทบจะไม่ได้เจอหน้ากันเลยครั้งเดียวและรวมไปถึงการโทรศัพท์พูดคุยกันผมก็ไม่ได้โทรไปหาพี่ศิเขาและพี่ศิก็ไม่ได้โทรศัพท์มาหาผม เรากลับไปใช้กระดาษโน้ตในการติดต่อเหมือนเมื่อก่อนซึ่งผมก็ไม่รู้นะครับว่าทำไมเราถึงกลับไปใช้กระดาษโน้ตติดต่อกันทั้ง ๆ ที่การใช้โทรศัพท์ติดต่อกันมันง่ายดายและรวดเร็วกว่าด้วยซ้ำ


ความผมก็ตั้งใจจะโทรไปหาพี่ศิหลายต่อหลายรอบอยู่นะครับแต่ไม่รู้ทำไม เวลาที่ผมเลื่อนเบอร์ของพี่ศิมาดูและกำลังจะกดโทรออกนิ้วของผมมันก็ชะงักค้างติ่งไม่กล้าที่จะกดโทรออกไป ผมจด ๆ จ้อง ๆ โทรศัพท์อยู่นานก่อนจะยอมพ่ายแพ้ให้ความรู้สึกประหลาด ๆ ที่วนเวียนอยู่ในใจ


มือของผมกำโทรศัพท์แน่นพร้อมกับเอนตัวนอนลงไปแผ่หลาที่โซฟา ภายในสมองพลางคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนั้นอ้อมกอดของพี่ศิที่แสดงถึงความห่วงใย ริมฝีปากหน้าที่ประทับอยู่บนหน้าผากของผม ไอความรู้สึกพวกนี้ผมยังรู้สึกถึงมันได้จนถึงทุกวันนี้เลยครับ ซึ่งในทุก ๆ ครั้งที่ผมนึกถึงมันผมก็ยังคงมีอาการเขินอายและหน้าแดงอยู่เรื่อย ๆ 


ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นอะไรกับตัวผมแต่ที่ผมรู้แน่ ๆ ไอต้นเหตุที่ทำให้ผมมีอาการแบบนี้มันต้องเกิดมาจากพี่ชายข้างห้องหรือจะให้ระบุตัวตนเขาคนนั้นก็คือว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์ หิรัณศิรินั่นเอง


ผมนอนกลิ้งตัวไปมาอยู่บนโซฟาภายในห้องของผมพลันความคิดความคิดหนึ่งของผมก็ลอยเข้ามา ‘ถ้าเรายังบึ้งตึงกับพี่ศิอยู่แบบนี้ไม่ใช่แค่เราจะไม่สบายอยู่ฝ่ายเดียวแต่พี่ศิก็เกิดความรู้สึกที่ไม่สบายใจด้วยเช่นกัน’ เมื่อความคิดนั้นเกิดขึ้นผมก็รีบวิ่งไปหยิบกระดาษโน้ตแผ่นเล็กที่ผมวางทิ้งไว้ในห้องนอนออกมาเขียนข้อความลงไป




‘พี่ศิครับพรุ่งนี้วันเสาร์พี่ศิหยุดหรือเปล่าครับพอดีกรมีที่ที่อยากจะให้พี่ศิไปด้วยสักหน่อย ถ้าพี่ศิว่างช่วยส่งข้อความหรือโทรศัพท์มาหาผมหน่อยนะครับ จากกร’




เมื่อผมเขียนเสร็จผมก็ฉีกกระดาษโน้ตแผ่นนั้นออกและรีบเปิดประตูออกไปหน้าห้องเพื่อที่จะนำกระดาษแผ่นนั้นไปสอดใต้ประตูห้องของพี่ศิ แต่ทันทีที่ผมเปิดประตูห้องออกร่างสูงของบุคคลที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดีก็เดินออกมาจากลิฟท์พอดิบพอดี
ในตอนนั้นผมแทบอยากจะปิดประตูห้องของตัวเองเขามาทันทีแต่ร่างกายมันก็ไม่ยอมขยับ ผมจึงได้แต่พยายามหลบสายตาของพี่ศิเขาและแน่นอนคนที่อัธยาศัยดีแบบพี่ศิมีหรือจะไม่เอ่ยปากทักผมหนะ


“สวัสดีครับกร” และเป็นไปตามอย่างที่ผมคาดเดาพี่ศิเขาเอ่ยทักผมมาจริง ๆ แต่ปฏิกิริยาของพี่ศิที่แสดงออกมานั้นก็คล้าย ๆ กับสิ่งที่ผมแสดงออกไป นั่นก็คือพี่ศิพยายามที่จะไม่มองหน้าผมตรง ๆ หรือเรียกง่าย ๆ ก็คือพี่เขานั้นพยายามจะหลบสายตาเช่นเดียวกับผมนั่นเอง


“เอ่อ...สวัสดีครับพี่ศิ” ผมยกมือไหว้พี่ศิทั้ง ๆ ที่มีกระดาษโน้ตอยู่ในมือ ไอตอนแรกความรู้สึกกล้าที่จะชวนพี่ศิเขาไปที่ ๆ แห่งนึ่งตอนนี้ความรู้สึกพวกนั้นมันหายไปหมดแล้วครับ มันเหลือแต่ความรู้สึกเขินอายแบบแปลก ๆ โดยที่ผมก็ไม่ทราบสาเหตุที่มาของมันได้


เมื่อผมเอ่ยจนจบประโยคเราสองคนก็ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาต่อเราได้แต่ยืนเงียบและหลบหน้ากันเท่านั้นแต่ผมนี่หละที่อดทนต่อความอึดอัดนี่ไม่ไหว ริมฝีปากผมเปิดออกและเอ่ยถามพี่ศิออกไป “พี่ศิลืมของเหรอครับทำไมวันนี้กลับคอนโดไวจังเลย” ผมถามพี่เขาในสิ่งที่ผมสงสัย นั่นก็เป็นเพราะปกติพี่ศิมักจะกลับคอนโดในตอนเย็น ๆ หรือไม่ก็ดึกไปเลย แต่ในตอนนี้ผมเชคนาฬิกาดูแล้วมันยังไม่ถึงบ่ายสองโมงเลยผมจึงสงสัยว่าทำไมวันนี้พี่ศิถึงได้กลับคอนโดมาไวจัง


“วันนี้พี่สอบหนะแล้วนี่พี่ก็สอบเสร็จแล้วแต่ก็ไม่คิดจะไปต่อที่ไหนก็เลยกลับคอนโดมาเลย” พี่ศิกล่าวตอบผมนิ้วมือข้างหนึ่งของพี่ศิถูกยกขึ้นไปเกาแก้มเบา ๆ


เราสองคนอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ไม่มีใครพูดอะไรใส่กันอยู่สักพักไม่นานนักความอดทนของผมมันก็หมดไปผมยื่นกระดาษโน้ตที่ผมเขียนไปเมื่อสักครู่ให้พี่ศิเขาและสั่งให้พี่ศิเขาอ่านข้อความที่อยู่ในกระดาษนั่นทันที “พี่ศิอ่านเลยนะกรอยากได้คำตอบตอนนี้เลย” สิ้นเสียงของผมพี่ศิก็ทำหน้างุนงงเล็กน้อยก่อนจะก้มลงอ่านกระดาษแผ่นนั้น


พี่ศิใช้เวลาอ่านกระดาษโน้ตแผ่นนั้นไม่นานนักใบหน้าคมก็เผยรอยยิ้มพร้อมกับล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงและหยิบโทรศัพท์ออกมา ผมมองการกระทำของพี่เขาด้วยความสงสัยแต่ความสงสัยของผมมันก็อยู่ไม่นานคำตอบของมันก็เฉลยขึ้นทันทีที่เสียงเรียกเขาโทรศัพท์ของผมดังขึ้น


ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาพร้อมกับกดรับสายด้วยความสงสัยว่าพี่ศินั้นตั้งใจจะทำอะไรกันแน่และทันทีที่ผมยกโทรศัพท์แนบกับหนูเสียงทุ้มที่เป็นเอกลักษณ์ของพี่ศิเขาก็ดังตามสายมาว่า “พรุ่งนี้พี่ว่างครับกร แล้วกรจะพาพี่ไปไหนเหรอครับ”


เมื่อทุกอย่างเฉลยว่าพี่ศินั้นต้องการทำอะไรผมก็ถลึงตาไปมองที่พี่ศิทันที ซึ่งการกระทำแบบนั้นของผมมันเรียกเสียงหัวเราะของพี่เขาออกมาได้น้อย ๆ ไอผมก็อยากจะกดตัดสายทิ้งแต่ก็นะในเมื่อพี่ศิเขาทำตามที่ผมเขียนในกระดาษโน้ตผมก็ยอมเล่นตามพี่เขาไปสักหน่อย “ที่ลับเฉพาะถ้าอยากไปก็ตกลงมาถ้าไม่อยากไปก็นอนแกร่วในห้องไปนะครับพี่ศิ” ผมพูดติดตลกซึ่งพี่ศิก็หัวเราะออกมาน้อย ๆ ตามประสาคนเส้นตื้น


“โอเคครับพี่ได้หยุดเสาร์อาทิตย์นี้สองวันครับ ถ้ากรจะพาพี่ไปนอนค้างคืนพี่ก็ว่างครับผม” เสียงทุ้มยังคงดังผ่านสายโทรศัพท์ คำตอบนั้นทำให้ผมยิ้มออกมาด้วยความยินดี


“งั้นจากโปรแกรมที่กรจะพาพี่ศิไปแล้วกลับ กรของสั่งให้พี่ศิเก็บเสื้อผ้าเตรียมไปนอนค้าง 1 คืนแทนนะครับ” เมื่อผมรับรู้ว่าพี่ศิว่างยาวสองวัน (นี่ถือเป็นการว่างยาวที่สุดของนิสิตแพทย์ปี 4 ขึ้นไปแล้วหละครับ) ผมจึงออกคำสั่งให้พี่ศิเตรียมตัวไปนอนค้างคืนทันที


“โอเคครับ กรอยากพาพี่ไปไหนก็เต็มที่เลยเสาร์อาทิตย์นี้พี่ยกให้กรหมดเลยก็ได้” พี่ศิกล่าวตอบผมด้วยรอยยิ้ม ซึ่งคำตอบนั้นทำให้ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างมากผมกดตัดสายโทรศัพท์ทิ้งทันทีและรีบปิดลอคประตูห้องของตัวเองก่อนจะลากมือพี่ศิไปที่หน้าของของเขา


ทุกท่านไม่ต้องสงสัยนะครับว่าผมทำอะไร…ผมแค่จะเข้าไปผลาญค่าไฟในห้องพี่ศิเท่านั้นเองครับไม่มีอะไรมากไปกว่านี้…อ่อ! อีกอย่างหนึ่งคือผมจะเข้าไปฝากท้องกับพี่ศิเขาครับเพราะในตอนนี้ผมยังไม่ได้ทานข้าวกลางวันเลยนิดเดียว…


การคุยครั้งนี้ทำให้ผมกับพี่ศิกลับมาคุยกันเหมือนเดิมอีกครั้ง ซึ่งมันทำให้ความอึดอัดภายในใจของผมหายไป แต่ทว่าไอความรู้สึกที่เขินอายและใจเต้นแรงเป็นระยะ ๆ นั้นมันก็ยังคงอยู่เช่นเดิมโดยที่ผมก็ไม่รู้ว่าสาเหตุที่มันเกิดขึ้นนั้นมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไรและทำไมผมถึงรู้สึกแบบนั้นกับพี่ศิเขา




เวลาล่วงเลยไปจนตอนนี้เป็นช่วงเวลาของเช้าวันเสาร์แล้วครับไอผมก็ไม่อยากจะเล่าว่าหลังจากผมไปบุกห้องพี่ศิผมทำอะไรต่อไปมั่งผมเลยขอตัดบทมาเล่าอีกวันหนึ่งเลยก็แล้วกัน


เอะ…อะไรนะครับพวกคุณอยากรู้กันเหรอ…โอเค ๆ ครับผมเล่าให้พวกคุณฟังก็ได้ผมก็เข้าไปป่วนในห้องพี่ศิเหมือนกับทุก ๆ ครั้งนั่นหละครับ ป่วนในครัวคุ้ยหาอะไรกินบ้าง พยายามทำกับข้าวเองบ้าง (แต่มันกินไม่ได้เลยสักอย่างครับไอกับข้าวที่ผมทำ ๆ ไว้หนะ) จนสุดท้ายเมื่อพลังงานหมดผมก็ไปนอนแหมะบนโซฟาเปิดโฮมเทียเอเตอร์ในห้องพี่ศิดูหนังอย่างสบายอารมณ์ ส่วนเรื่องทำความสะอาดครัวหนะเหรอครับ…ยกให้เป็นหน้าที่ของพี่ศิเขาไปเรียบร้อยแล้วครับ


ทุกคนอย่าว่าผมนิสัยไม่ดีนะผมบอกพี่ศิว่าจะช่วยพี่เขาแล้วแต่พี่เขาก็ไม่ยอมให้ผมช่วย เหตุผลน่าจะมาจากการที่ผมทำจานในห้องพี่ศิแตกไปหลายใบและไม่รวมแก้วน้ำที่แตกไปอีก แหะ ๆ ขอโทษทีนะครับพอดีมือมันลื่นไปหน่อยเลยทำร่วงแตกไปซะหลายชิ้น


เรื่องของเมื่อวานมันก็มีเท่านี้ละครับไม่มีอะไรมากกว่านี้ อ่อ! ผมเล่าเพิ่มอีกอย่างนึงให้พวกคุณฟังก็แล้วกันนะครับหลังจากที่ผมนอนดูหนังอยู่ที่โซฟาผมก็เผลอหลับไปและตื่นขึ้นมาในเช้าอีกวันนึงเลยครับ (ไม่ต้องจิ้นกันไปนะครับว่าผมโดนพี่ศิอุ้มไปนอนบนเตียงหรืออะไร คือทั้งผมและพี่ศิก็นั่งหลับและนอนหลับคาโซฟาด้วยกันทั้งคู่นั่นละแต่เป็นโซฟาคนหละตัวกันนะครับ) และเมื่อผมตื่นผมก็วิ่งแจ้นกลับห้องของผมไปและจัดการกับตัวเองจนอยู่ในสภาพเรียบร้อยแบบนี้ไงหละครับ เรื่องของเมื่อวานมันก็มีเท่านี้หละครับ


ตอนนี้ผมยืนรอพี่ศิอยู่หน้าห้องของพี่เขาซึ่งผมก็ทำตัวเป็นผู้มาเยือนที่ดีโดยการเปิดประตูเข้าไปในห้องของพี่ศิโดยที่ไม่ขออนุญาตพี่เขาเลยครับ (เห็นไหมหละผมเป็นคนดีขนาดไหนเจ้าของห้องบอกว่าให้ผมเข้ามาได้อย่างไม่ต้องเกรงใจผมก็ทำตามคำพูดของเจ้าของห้องทุกอย่างเลยครับโดยการเดินดุ่ม ๆ เข้ามาในห้องแบบไม่เกรงใจเจ้าของห้องที่กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่เลยครับ)


“พี่ศิเสร็จยังเนี่ยกรรอนานแล้วนะ” ผมตะโกนตามพี่ศิที่ยังคงเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ในห้อง ก่อนจะเดินตรงเข้าไปกอดอกเอาไหล่พิงประตูที่หน้าห้องนอนของพี่ศิเขา


ซึ่งการกระทำของผมก็เป็นการเร่งพี่เขาไปในตัวนะครับและไม่นานเกิดรอพี่ศิก็แต่งตัวและเก็บของที่จะเตรียมพร้อมไปนอนค้างคืนเสร็จเรียบร้อยแล้วหละครับ


“เสร็จแล้วครับกรไม่ต้องเร่งพี่ขนาดนั้นก็ได้” เสี้ยงทุ้มหัวเราะออกมาเบา ๆ พร้อมกับเดินมาหาผมที่ยืนพิงประตูอยู่


“เสร็จแล้วแน่นะพี่ศิงั้นไปกันเลย” ผมกำลังจะก้าวเดินออกจากประตูห้องไปแต่ผมก็ไม่ทันที่จะได้ก้าวเดินออกไปมือกร้านของพี่ศิก็รั้งแขนผมไว้พร้อมกับถามคำถามหนึ่งออกมา “ไปรถพี่หรือรถกรครับ” พวกคุณไม่ต้องคิดว่าผมเป็นคนดีบอกพี่ศิไปว่า ‘ไปรถของกรเถอะเดี๋ยวกรขับเอง’ คำ ๆ นี้ไม่มีทางหลุดออกมาจากปากของผมแน่นอนครับ


“ไปรถพี่ศิดิ พี่ศิขับด้วยนะเดี๋ยวกรบอกทางให้” ผมเอ่ยตอบพร้อมกับโบ้ยหน้าที่ขับรถให้พี่ศิขับ ซึ่งพี่ศิก็ไม่คิดที่จะปฏิเสธแถมยังตอบรับคำพูดผมด้วยรอยยิ้มเสียด้วย


“ครับกรเดี๋ยวพี่ขับให้” ผมปรายตามองพี่ศิที่ยังคงยิ้มหน้าระรื่นก่อนจะเดินนำออกจากห้องของพี่เขาไป ผมสาวเท้าเดินตรงไปที่ลิฟท์พร้อมกับกดลิฟท์เพื่อนที่จะลงไปยังลานจอดรถ


เมื่อบานประตูลิฟท์เปิดออกผมก็เดินนำพี่ศิเขาไปในตัวลิฟท์และกดปุ่มเปิดประตูค้างไว้เพื่อให้พี่ศิที่เพิ่งออกจากห้องวิ่งเข้ามาในลิฟท์ได้ทันผมยืนมองพี่ศิลอคประตูห้องตัวเองสักพักหนึ่งไม่นานนักร่างสูงก็ค่อย ๆ เดินตรงและก้าวเท้าเข้ามาในลิฟท์ บานประตูลิฟท์ปิดลงและค่อย ๆ เคลื่อนตัวลงไปยังลานจอดรถที่จอดรถคันหรูของพี่ศิ


หลังจากที่พวกเราสองคนเดินออกมาจากลิฟท์ผมก็เดินนำพี่ศิไปยังรถของพี่เขา (พี่ศิขับรถไปรับไปส่งผมจนผมจำรายละเอียดรถของพี่เขาได้ทุกส่วนแล้วครับเรียกได้ว่าผมนั้นจะเป็นเจ้าของรถแทนพี่ศิเขาแล้วหละครับ) เมื่อเราทั้งสองคนเดินมาถึงตัวรถพี่ศิก็จัดการกดรีโมตเพื่อปลดลอคประตูออก ซึ่งทันทีที่ประตูถูกปลดลอคผมก็เปิดประตูและย้ายก้นของตัวเองลงไปนั่งบนที่นั่งข้างคนขับทันที การกระทำของผมทำให้พี่ศิอมยิ้มออกมาน้อย ๆ ซึ่งผมก็ไม่ได้สนใจอะไรในรอยยิ้มของพี่ศิหรอกครับผมรู้ว่าพี่เขาเป็นคนรวยรอยยิ้ม ผมทำอะไรนิดอะไรหน่อยพี่แกก็ยิ้มออกมาแล้วหละครับ ผมนั่งรอพี่ศิในรถสักพักไม่นานนักพี่ศิก็ก้าวเข้ามานั่งในที่นั่งของคนขับ ผมกับพี่ศิหยิบเข็มขัดนิรภัยมาคาดเอาไว้ก่อนที่รถคันหรูจะสตาร์ทขึ้นและทะยานตัวออกไปจากลานจอดรถ


ทุกท่านคงสงสัยสินะครับว่าผมจะพาพี่ศิไปไหนมันเป็นที่ ๆ ทุกคนคาดไม่ถึงหรอกครับเพราะสถานที่ที่ผมจะพาพี่ศิไปมันก็คือร้านเบเกอรี่ของบ้านผมนั่นและ (และมันก็เป็นบ้านของผมด้วยครับ)


ผมบอกทางใหพี่ศิขับรถไปซึ่งพี่ศิก็ขับตามไปอย่างว่าง่ายโดยที่พี่เขาก็ยังไม่รู้จุดหมายปลายทางที่ผมจะพาพี่เขาไป ไอผมหละสงสัยว่าถ้าเกิดมีใครมาหลอกให้พี่ศิขับรถไปนั่นมานี่พี่ศิแกจะยอมว่าง่ายแบบนี้ไหม แต่ก็นะผมมันเป็นน้องชายคนสนิทพี่แกเลยว่าง่ายขับตามยอมไปไหนมาไหนกับผม แต่สำหรับคนอื่นพี่แกคงจะระวังตัวมากกว่านี้หละมั้งครับ


ผมบอกทางให้พี่ศิขับตามไปไม่นานนัก (ราว ๆ สัก 45 นาทีได้ครับ) เราทั้งสองคนก็มาถึงจุดหมายเรียบร้อยแล้วครับ เบื้องหน้าของเราทั้งสองเป็นร้านเค้กตกแต่งสไตล์วินเทจ บริเวณหน้าร้านจัดเป็นสวนเล็ก ๆ และมีชุดโต๊ะเก้าอี้วางอยู่สามสี่ชุด ตรงจุด ๆ นี้ทางคุณม๊าของผมบอกว่าเอาไว้ให้ลูกค้าที่อยากชื่นชมดื่มดำกับธรรมชาติเวลากินเค้กครับ


ซึ่งไอตอนที่คุณม๊าจะจัดตรงส่วนนี้ผมก็เถียงกับคุณม๊าแกยกใหญ่เพราะผมคิดว่าไม่น่าจะมีใครอยากมากินเค้กแล้วทนนั่งร้อนอยู่ทางด้านนอกหรอกครับ (เพราะถ้าเป็นผมผมขอเดินเข้าไปกินในร้านตากแอร์ให้เย็นสบายดีกว่า) ซึ่งศึกระหว่างคุณม๊าและผมใครชนะก็อย่างที่เห็นครับ ความจริงผมไม่คิดว่าตัวเองจะแพ้นะแต่ผลการโหวตภายในบ้านผมดันแพ้คุณม๊าไปสองคะแนนเพราะคุณม๊าแกเล่นใช้อำนาจมืดดึงให้คุณป๊าไปอยู่ฝั่งตัวเองครับ


ผลก็เลยทำให้ร้านเค้กของบ้านผมมีสวนตั้งอยู่ด้านหน้าเลยครับ ถัดจากสวนเข้าไปก็จะเป็นส่วนของตัวร้านที่ติดแอร์แล้วหละครับ
ผมรีบสาวเท้าเดินเข้าไปโดยไม่รอพี่ศิที่เดินตามหลังมา ผมพุ่งตัวเข้าไปหมายจะเปิดประตูร้านแต่เจ้ากรรมประตูหน้าร้านมันลอคสนิทและภายในร้านยังไม่มีลูกค้าเลยสักคน ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู ในตอนนี้ตัวเลขที่ปรากฏบนหน้าจอมือถือมันคือ 10.35 นาทีซึ่งมันยังไม่ถึงเวลาเปิดร้านครับ (ร้านเค้กบ้านผมเปิดตอนเที่ยงครับ) ไอผมที่เดินไปเปิดประตูแต่ประตูมันดันไม่เปิดผมก็หน้าเสียสิครับแถมได้ยินเสียงของพี่ศิหัวเราะเบา ๆ อยู่ด้านหลังเสียด้วย แต่ผมไม่ยอมเสียหน้าหรอกครับผมคว้าพวงกุญแจออกมาแต่พวงนี้เป็นคนละพวงกับที่ผมห้องประตูคอนโดนะครับ ผมไล่หาตัวลูกกุญแจสักพักก่อนที่จะหยิบมันออกมาและไขเพื่อปลดลอคประตูที่ขวางผมอยู่ในตอนนี้


“กริ้ก” เสียงปลดลอคประตูดังขึ้นผมกับร่างของผมที่ถลาเข้าไปภายในร้าน ผมหันหลังมามองพี่ศิที่ทำหน้าตกใจแต่ผมก็ไมได้เอ่ยอะไรออกมา แต่พี่เขาก็ไม่กล้าเดินเข้ามาในร้านนะครับจนในที่สุดผมก็ทนไม่ไหวและเดินออกไปลากแขนของพี่ศิให้เข้ามาในร้านขนมแห่งนี้


“ไม่ยอมเข้ามาสักทีตกใจอะไรเหรอพี่” ผมถามพี่เขาพร้อมกับเดินจูงมือพี่ศิเพื่อเดินเข้าไปหลังร้านเค้ก แต่รู้สึกว่าพี่ศิยังจะเดาไม่ออกว่าร้านเค้กแห่งนี่เป็นร้านเค้กของผมบ้านพี่ศิกระตุกมือผมให้หยุดเดิมพร้อมกับริมฝีปากหน้าที่เอ่ยคำถามที่คั้งค้างในใจตนออกมา


“กร...พาพี่มาที่ไหนเนี่ย” สิ้นเสียงของพี่ศิผมก็หันไปพร้อมกับรอยยิ้มและเฉลยข้อข้องใจให้พี่ศิฟัง “พี่ศิรู้ใช่ไหมว่าบ้านกรเปิดร้านขนมเค้ก” พี่ศิพยักหน้าตอบรับและก็ไม่ได้พูดแทรกอะไรออกมา ผมรู้สึกว่าพี่ศิเขายังรอคอยให้ผมเฉลยข้อข้องใจของเขาต่อไปอีก (พี่ศิครับผมใบ้ขนาดนี้แล้วพี่ยังไม่รู้อีกเหรอครับว่านี่ที่เป็นร้านของบ้านผม) “เฮ้อ…พี่ศิกรใบ้ขนาดนี้แล้วนะ กรเฉลยก็ได้เนี่ยร้านเค้กบ้านกรเอง”


สิ้นเสียงของผมพี่ศิแกก็แทบจะปล่อยมือออกจากกระเป๋าที่พี่แก้ใส่เสื้อผ้ามา คราวนี้ผมกลับเป็นคนหัวเราะในท่าทางตกใจของพี่ศิแทนแล้วละครับ ซึ่งผมก็ใจร้ายปล่อยให้พี่เขาตกใจอยู่แบบนั้นและเริ่มทำการลากพี่ศิเข้าไปหลังร้านซึ่งเป็นที่ที่เอาไว้ทำขนมเค้กนั่นเอง


ผมที่กำลังจูงมือพี่ศิไว้ก็ถลาเข้าไปเปิดประตูบานที่ขวางกั้นหน้าร้านกับหลังร้านไว้ ร่างของผมและพี่ศิที่ปรากฏต่อสายตาเหล่าผู้คนที่อยู่หลังร้านสร้างความประหลาดใจให้ทุก ๆ คนมาก (เพราะว่าทุก ๆ ในร้านและที่บ้านของผมเขารู้ว่าผมไม่ค่อยอยากจะกลับบ้านด้วยเหตุผลส่วนตัว ซึ่งมันไมได้เกี่ยวอะไรกับคนในบ้านหรอกครับ ผมแค่ไม่อยากกลับมาเจอหน้าไอบ้าคนหนึ่งที่อยู่บ้านไม่ใกล้ไม่ไกลจากบ้านของผมก็เท่านั้น เรื่องนี้คุณป๊าคุณม๊าเออเรียกง่าย ๆ ว่าทั้งครอบครัวเขารู้หมดครับว่าผมมีปัญหาอะไรกับไอไฮซ์)



v
v
v
v
v
v
v
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 13] 11/10/2013 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 11-10-2013 21:45:31


แต่หลังจากที่ทุกคนในหลังร้านถลึงตามองผมกับพี่ศิทั่วทุกซอกทุกมุมคุณป๊าและคุณม๊าก็วิ่งถลามาหาผมทั้ง ๆ ที่อยู่ในชุดของปาติซิเย่ครับ


“น้องกรทำไมกลับมาที่บ้านไม่ยอมบอกคุณป๊ากับคุณม๊าหละ นี่คุณป๊ากับคุณม๊าตกใจมากเลยนะที่เห็นกรเดินเข้ามาหลังร้านแบบนี้” คุณป๊ากับคุณม๊าต่างบ่นใส่ผมกันใหญ่เพราะว่าครั้งนี้ผมไม่ได้บอกทั้งสองคนว่าผมจะกลับมาที่บ้านความจริงผมก็ตั้งใจจะบอกนั่นหละครับแต่ว่ามันบอกไม่ทันเท่านั้นเองกว่าจะนึกได้รถของพี่ศิก็มาจอดที่หน้าประตูร้านซะแล้ว


ซึ่งผมก็ได้แต่ส่งยิ้มแห้ง ๆ ให้กับคุณป๊าและคุณม๊า ก่อนจะเบี่ยงตัวไปด้านข้างเพื่อแนะนำชายร่างสูงที่ผมพามาด้วยให้ทุก ๆ คนได้รู้จัก


“คุณป๊าคุณม๊า นี่พี่ศิพี่ชายคนสนิทของน้องกร พี่ศิเขาอยู่ห้องข้าง ๆ ห้องของน้องกรอะ” ผมพูดกับคุณป๊าคุณม๊าด้วยน้ำเสียงปกติที่ใช้คุยกับท่านทั้งสอง (ซึ่งมันจะออกดูน่ารักน่าหยิกไปสักหน่อยหน่อยแต่ไอสำเนียงและวิธีพูดแบบนี้ผมไม่เคยเอาไปใช้กับคนที่ไม่ใช่คนในครอบครัวเลยนะครับ)


คุณป๊าคุณม๊าที่เริ่มจะตั้งสติได้ก็เริ่มที่จะมองเห็นคนอีกคนที่ผมพามาด้วยทั้งสองท่านก็เปลี่ยนเป้าหมายจากผมไปเป็นว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์ทันที แม้พี่ศิยังคงงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่แต่พี่แกก็สามารถตั้งสติกลับมาได้ไวพอดูครับเพราะตอนนี้พี่ศิยกมือไหว้คุณป๊ากับคุณม๊าของผมพร้อมกับกล่าวแนะนำตัวเองให้ทั้งสองคนได้รับฟังเป็นที่เรียบร้อบแล้วครับ


“สวัสดีครับคุณลุงคุณป้า ผมชื่อศิรวิทย์เป็นรุ่นพี่ของกรเขาครับ แล้วพอดีห้องของผมกับกรอยู่ข้าง ๆ กันพวกเราก็เลยสนิทกันครับ” พี่ศิเอ่ยแนะนำตัวออกมาด้วยรอยยิ้มและรอยยิ้มนั้นของพี่ศิทำให้คุณป๊ากับคุณม๊าของผมประทับใจตั้งแต่แรกเห็นเลยครับเพราะทันทีที่พี่ศิพูดจบลงท่านทั้งสองก็ลืมลูกชายอย่างผมและพาพี่ศิเดินออกจากหลังร้านเข้าไปยังส่วนด้านในที่เป้ฯสถานที่ที่ตั้งบ้านของผมเอาไว้


ผมเดินตามท่านทั้งสองกับพี่ศิไปด้วยความมึนงงจนผมสงสัยว่าใครกันแน่วะที่เป็นลูกชายของบ้านนี้แต่ก็นะคุณป๊ากับคุณม๊าแกดูเหมือนจะเห่อพี่ศิกันน่าดูตอนนี้ทั้งสองคนอนุญาตให้พี่ศิเรียกพวกเขาว่าคุณป๊าและคุณม๊าแบบผมแล้วหละครับ


“นี่พ่อศิจะเรียกเราสองคนตามน้องกรมันก็ได้นะลูก คุณป๊ากับคุณม๊าไม่ว่านะ” คุณม๊าแกพูดออกมาซึ่งคำพูดแบบนั้นทำให้พี่ศิคลี่ยิ้มออกมาอีกครั้ง และรู้สึกว่าท่านทั้งสองคนกำลังรอให้พี่ศิออกปากเรียกพวกเขาว่าคุณป๊าคุณม๊าอยู่ ซึ่งพี่ศิก็ไม่ได้ทำให้ท่านทั้งสองเสียใจริมฝีปากหนาเอื้อยเอ่ยเสียงทุ่มถูกเปร่งออกมาจากลำคอ “ขอบคุณครับคุณป๊า คุณม๊า” 


ประโยค ๆ นี้ของพี่ศิดูเหมือนจะทำให้คุณม๊าของผมแทบจะเป็นลม ทำเอาคุณป๊าของผมรีบมารับร่างของคุณม๊าผมแทบจะไม่ทัน
ไอผมอยากจะกล่าวตัดพ้อท่านทั้งสองเสียจริงแต่ก็นะ คุณป๊าคุณม๊าดูแฮปปี้กับพี่ศิก็ดีแล้วหละครับยังไงคงต้องเจอกันอีกหลาย ๆ รอบเพราะผมคงลากพี่ศิมาเลี้ยงตอบแทนที่ร้านบ้านของผมแทนแล้วหละครับ (ผมนี่ติดหนี้ค่าข้าวเข้า ข้าวเย็นเป็นพัน ๆ แล้วมั้งครับ)


และหลังจากที่สั้งสามคนคุยกระหนุงกระหนิงกันเสร็จ คุณป๊าและคุณม๊าก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าทิ้งให้ลูกชายสุดที่รักยืนอยู่นอกวงสนทนามานาน


“น้องกรจะมานอนค้างที่บ้านใช่ไหม น้องกรไม่บอกคุณม๊าก่อนคุณม๊าเลยยังไม่ได้ให้ใครไปทำความสะอาดห้องของน้องกรเลย แล้วนี่ก็ไม่ยอมบอกคุณม๊าอีกด้วยว่าจะพาศิมาคุณม๊าก็เตรียมห้องนอนแขกให้ไม่ทันอีก สงสัยคงต้องนอนห้องเดียวกันแล้วหละมั้งสองคนนี้” คุณม๊าเธอบ่นใส่ผมพร้อมกับรีบร้อนสั่งให้คนรับใช้ในบ้านไปจัดเตรียมห้องของผมไว้แต่เหมือนแกจะรู้สึกว่าถ้าจัดการทำความสะอาดสองห้องไม่ทันแน่ คุณม๊าแกก็เลยตัดสินใจมัดมือชกผมให้รับแขก (ที่ผมเชิญมาเอง) เข้ามานอนในห้องนอนของผมด้วย ซึ่งผมก็ไม่ได้รู้สึกไม่ดีหรอกครับแต่ติดที่พี่ศิเนี่ยหละว่าพี่เขาจะรับมือกับการนอนดิ้นขั้นเทพของผมได้หรือเปล่า


“ก็ได้นะคุณม๊าน้องกรไม่คิดอะไรมากหรอก น้องกรแค่กลัวว่าพี่ศิแกจะหลับได้ไหมถ้าต้องมาเผชิญกับลูกเตะของกรบนเตียงเนี่ย” ผมตอบคุณม๊าไปพร้อมกับใส่มุขไปขำ ๆ ซึ่งพี่ศิเขาก็หันมามองหน้าของผมแล้วพูดตอบออกมาว่า “ไม่ต้องห่วงนะกรพี่ได้วิธีจากน้องบาสกับน้องเจมส์มาแล้ว เราจะดิ้นแค่ไหนพี่ก็รับมือได้สบายมาก”


หลังจากผมที่ได้ยินคำตอบจากปากของพี่ศิก็ทำให้ผมนึกย้อนไปถึงวิธีหลากวิธีที่ไอบาสกับไอเจมส์ต่างกับช่วยสรรหากันมาให้ผมเลิกนอนดิ้น ซึ่งมันเยอะแยะมากมายมีทั้งสำเร็จและไม่สำเร็จ ดังนั้นผมก็เลยพูดหมายหัวพี่ศิออกไปว่า “ถ้าพี่ศิทำอะไรแปลก ๆ นะ พี่ศิโดนเตะตกเตียงแน่” ซึ่งเมื่อผมพูดประโยคนี้ออกไปคุณป๊ากับคุณม๊าก็ถลาเข้ามาตีผมกันคนละทีซึ่งมันไม่เจ็บอะไรหรอกครับแต่มันน่าน้อยใจนักที่ พ่อแม่ของตัวเองดันโอ๋คนอื่นมากกว่า


“คุณป๊าคุณม๊า น้องกรเจ็บนะ” ผมพูดพร้อมทำแก้มป่องใส่ท่านทั้งสอง ซึ่งการกระทำของผมนั้นเรียกเสียงหัวเราะให้กับทุก ๆ คนที่ยืนอยู่ในที่นี้


ไอผมหละงอนจริงนะครับเลยสะบัดหน้าเดินดุ่ม ๆ หนีเข้าบ้านมาเลยโดยผมปล่อยให้พี่ศิยืนคุยกับคุณป๊าและคุณม๊าอยู่นอกบ้าน
ตอนนี้ผมยืนอยู่ภายในบ้านของผมแล้วหละครับและกำลังจะเดินตรงไปยังห้องนั่งเล่นที่ผมคาดเดาว่าคุณเจ้ กับน้อง ๆ ของผมน่าจะสิงสถิตอยู่ในห้อง ๆ นั้น ผมถลาเข้าไปที่บานประตูห้องนั่นเล่นและเปิดประตูเข้าไปจนสุดแรง เหล่าพี่ ๆ น้อง ๆ ของผมทั้งสามคนหันมาตกใจกันแทบตาจะถลน ทั้งสามคนนั้นตั้งสติกันสักพักหนึ่งและเป็นคุณเจ้ของผมที่ตั้งสติได้ก่อนใครเพื่อนซึ่งสิ่งที่คุณเจ้แกทำก็ไม่ใช่อะไรอื่นเลยนอกจากการตะโกนด่าผมออกมาชุดใหญ่


“ไอกร นี่! เจ้ดูซีรีย์เกาหลีอยู่ดี ๆ มาทำอะไรให้ตกใจหมดอยากนอนตายตอนนี้หรือไงยัง” เสียงของเจ้กิฟท์ตะคอกขึ้นพร้อมกับร่างเล็กที่ค่อย ๆ ก้าวเดินมาหมายจะตบหัวผม ซึ่งทันทีที่เจ้แกหวดมือลงมาไอผมก็หลบหนะสิครับใครมันจะบ้ายอมเจ็บตัวกันหละ
หลังจากที่ผมวิ่งหนีเจ้กิฟท์ไปสักพักเราทั้งสองคนก็หมดแรงและนอนแผ่ลงไปบนพื้นพรมของห้องนั่งเล่น งั้นตอนที่ผมหมดแรงผมขอแนะนำครอบครับของผมเต็ม ๆ เลยแล้วกันนะครับ


ครอบครัวของผมเป็นคนไทยเชื้อสายจีนฐานะทางบ้านค่อนข้างมีอันจะกินนิดนึงครับ ซึ่งที่บ้านของผมหนะตามที่ได้บอกไปคือเปิดร้านเค้กสไตล์วินเทจครับ ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นเหล่าผู้คนที่ต้องการความสงบมานั่งทำงานและสนทนาเรื่องงานกัน ในครอบครัวของผมมีอยู่ 6 คน (ซึ่งนั่นรวมผมเข้าไปด้วยนะครับ) หัวหน้าครอบครัวของผมคือคุณป๊าคมสัน แต่หน้าที่ตัดสินใจทั้งหมดในบ้านคือหน้าที่ของคุณม๊านัทชา ซึ่งอำนาจของคุณป๊ากับคุณม๊านั้นกำลังข่มกันอยู่แต่เหมือนคุณป๊าจะยอมอ่อนให้คุณ ม๊าดังนั้นในบ้านกิตติพงษ์พิพัฒน์คนที่มีอำนาจสูงสุดคือคุณม๊าครับ


ผมมีพี่น้อง 4 คนในนั้นรวมผมด้วยนะครับพี่คนโตเป็นผู้หญิงครับชื่อเจ้กิฟท์ ตอนนี้เจ้แกอายุ 23-24 แล้วจบมาจากมหาวิทยาลัยเดียวกับผมได้ 2-3 ปีแล้วครับและตอนนี้กำลังทำงานในบริษัทชื่อดังแห่งหนึ่งซึ่งผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรเจ้แก คนถัดมาคือผมครับกร แต่ผมคงไม่ต้องบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองให้พวกคุณฟังแล้วหละมั้งครับเพราะเหมือนว่าจะรู้ ๆ กันหมดแล้ว คนที่สามก้เป้นเด็กผู้หญิงครับชื่อยัยกิ้ก เป็นน้องสาวตัวแสบที่ผมอยากจะไล่เตะเสียให้ได้ทุกครั้งที่คุยกับมัน และตอนนี้ยัยกิ้กเรียนอยู่ม.4 ครับ คนสุดท้ายคือน้องกัซ น้องชายที่น่ารักของผมครับ น้องกัซอยู่ป.2 ครับในพี่ ๆ น้อง ๆ นี่ผมรักน้องกัซที่สุดเลยครับน้องกัซไม่เคยว่าไม่เคยบ่นอะไรผมเลยครับผิดไปกับคุณเจ้และยัยกิ้กสองคนนี้ รวมพลังกันข่มเหงผมมากเลยครับ เอาหละผมคิดว่าผมแนะนำครอบครัวของผมครบแล้วหละครับตอนนี้ทุกท่านก็รู้จักครอบครัวของผมดีแล้วและผมก็หายเหนื่อยแล้วดังนั้นผมขอกลับไปสู้รบกับคุณเจ้และยัยกิ้กก่อนนะครับ


“เฮียกรกลับบ้าน โอย! พายุเฮอร์ริเคนถล่มบ้านแน่เลยเจ้กิฟท์รีบย้ายออกจากบ้านเถอะกิ้กว่าบ้านต้องถล่มแน่ ๆ เลยอะ” ยัยกิ้กพูดพร้อมกับทำท่าจะวิ่งหนีออกจากห้องไปจนผมต้องเอามือฟสดไปที่หัวยัยกิ้กหนึ่งทีเพื่อให้มันสงบสติอารมณ์


“เฮียกลับบ้านมาไม่คิดจะต้อนรับเลยยัยกิ้ก ดูน้องกัซเป็นตัวอย่างสิน้องกัซ น้องกัซนั่งยิ้มต้อนรับเฮียกรใช่ไหมครับ” ผมพูดจบพร้อมกับถลาไปกอดน้องกัซเอาไว้แน่น แก้มของผมถูไถไปที่แก้มของน้องกัซเบา ๆ ซึ่งน้องกัซน้องชายสุดที่รักของผมก็หัวเราะไปมาตามประสาเด็ก ๆ หละครับ


“เฮียกร น้องกัซคิดถึงเฮียกรครับ” อ่า…ได้ยินคำนี้ผมก็ชื่นใจครับที่เติมพลังของผมนี่คือน้องกัซจริง ๆ พวกเราส่งเสียงเอะอะโวยวายกันได้ไม่นาน คุณป๊ากับคุณม๊าก็เดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นพร้อม ๆ กับพี่ศิ เจ้กิฟท์กัยยัยกิ้กมองคนที่เดินเข้ามาทีหลังด้วยสายตาลุกวาว แววตาของพี่สาวและน้องสาวของผมนี่ระยิบระยับมากแถมยังจ้องพี่ศิจนแทบทะลุไอผมนี่ก็อยากจะเข้าไปบอกคุณเจ้กับยัยกิ้กว่าเก็บอาการหน่อยเถอะครับ ก่อนที่พี่ศิเขาจะหนีไปเพราะสายตาของคุณเจ้กับยัยกิ้ก


แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรเพราะพี่สาวและน้องสาวของผมถลาเข้าไปทำความรู้จักกับพี่ศิเรียบร้อยแล้ว


“สวัสดีจ้านี่เป็นเพื่อนของไอ…เอ้ย…น้องกรเหรอคะ งั้นก็เป้นน้องของพี่ พี่ชื่อกิฟท์นะจะ” เจ้กิฟท์ถลาเข้าไปแนะนำตัวคนแรกและตามด้วยยัยกิ้กที่แนะนำตัวเป็นคนที่สอง


“สวัสดีค่ะหนูชื่อกิ้กค่ะ พี่น้องสาวของเฮียกรยินดีที่ได้รู้จักนะคะ” เมื่อยัยกิ้กพูดจบเธอก็แสร้งทำท่าเขินอายและบิดตัวไปมา ซึ่งพี่ศิก็ยิ้มตอบรับให้ทั้งสองคนนะครับพร้อมกับกล่าวแนะนำตัวออกไปด้วยน้ำเสียงที่สุภาพว่า “สวัสดีครับผมเป็นรุ่นพี่ของน้องกรชื่อศิรวิทย์ครับ” พี่ศิพูดพร้อมกับโปรยรอยยิ้มพิมพ์ใจซึ่งคุณเจ้กับยัยกิ้กแทบจะเป็นลมสลบมันอยู่ตรงนั้น


ผมหละอยากจะบ้ากับพี่สาวน้องสาวของผมจริง ๆ ดังนั้นผมก็เลยเดินจูงมือน้องกัซเข้าไปหาพี่ศิพร้อมกับลากทั้งสองคนขึ้นห้องนอนของผมทันที แต่ก่อนที่ผมจะได้ลากพี่ศิขึ้นห้องผมก็หันมาแลบลิ้นใส่สาว ๆ ทั้งสองคนและรีบวิ่งปรี่ขึ้นไปทันที เพราะว่าถ้าขืผมอยู่ต่อผมอาจจะตายด้วยน้ำมือยัยกิ้กกับเจ้กิ้ฟท์ก็เป็นได้ครับ


ทันทีที่ผมลากทั้งสองคนไปที่หน้าห้องของผมผมก็เปิดประตูและโญนทั้งสองคนเข้าไปในห้องและรีบปิดลอคทันที ผมหัวเราะออกมาเสียงดังพร้อมกับถลาตัวไปนอนบนเตียง คราวนี้หละเราจะได้คุยกันตามประสาลูกผู้ชายกันสักที “พี่ศินี่น้องกัซน้า น้องกัซเป็นน้องชายสุดที่รักของกร น้องกัซครับไหว้พี่ศิเขาสิครับ” ผมบอกให้น้องกัซยกมือไหว้พี่ศิเขา ซึ่งน้องกัซน้องชายสุดที่รักของผมก็ทำตามที่ผมบอกครับ น้องกัซพนมมือขึ้นแล้วโค้งตัวไหว้อย่างสวยงามก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาส่งรอยยิ้มไปให้พี่ศิ (เฮียกรเป็นปลื้มน้ำชายของเฮียไหว้ได้สวยมาก)


“สวัสดีครับน้องกัซพี่ชื่อศิรวิทย์นะเรียกพี่ว่าพี่ศิก็ได้นะครับน้องกัซ” พี่ศิพูดแนะนำตัวออกไปอีกครั้งแต่น้องกัซดูเหมือนจะไม่ค่อยอยากเรียกพี่ศิว่าพี่ศินัก น้องกัซเลยขอเรียกพี่ศิว่าเฮียศิเหมือนกับที่เรียกผมว่าเฮียกรซึ่งพี่ศิก็อนุญาตให้น้องกัซเรียกแบบนั้น ไอผมนี่อยากจะบ่นใส่พี่แกจริง ๆ เลยว่าพ่อคุณดี พ่อคนประเสริฐ แต่กลัวว่าจะโดนพี่ศิเอาอะไรฟาดหัวอีก (เหมือนตอนติวสอบให้) ผมก็เลยสงบปากสงบคำของตัวเองเอาไว้


เราทั้งสามคนคุยกันไปอีกสักพักจนตอนนี้เวลานั้นผ่านไปร่วม 2 ชั่วโมงแล้วหละครับและตอนนี้ร้านเค้กของบ้านผมก็ได้เปิดทำการเรียบร้อยแล้วหละครับ ผมเลยชวนน้องกัซกับพี่ศิลงไปที่ร้านเพื่อว่าจะได้ขนมอะไรติดมือขึ้นมากินบนห้องบ้าง


“พี่ศิ น้องกัซหิวหรือยังครับลงไปหาขนมกินกันเถอะ” ซึ่งผมก็ถามทั้งสองคนไปงั้น ๆ เพราะต่อให้เขาไม่ตกลงผมก็จะลากทั้งสองคนลงไปหาขนมกินอยู่ดี ซึ่งดีหน่อยที่พี่ศิและน้องกัซพยักหน้าตอบรับผมผมเลยทำตัวเป็นแม่เป็ดเดินนำพี่ศิและน้องกัซลงไปด้านล่างและด้านล่างก็มีคุณเจ้และยัยกิ้กยืนขวางไว้อยู่ทั้งสองจ้องผมตาขวางแต่ด้วยคนที่เดินตามหลังผมมาคือพี่ศิทั้งสองคนก็เปลี่ยนท่าทีเป็นพี่สาวและน้องสาวผู้รักพี่ร้กน้องทันที ไอผมนี่ขนลุกชันไปทั้งตัวก่อนจะบอกคุณเจ้และคุณน้องสาวของผมไปว่า “คุณเจ้ ยัยกิ้กพี่ศิได้ยินกิตติศักดิ์ของคุณเจกับคุณน้องสาวหมดแล้วครับไม่ต้องแอ๊บ”


สิ้นประโยคที่ผมพูดทั้งสองสาวก็แทบจะวิ่งเข้ามาแพ่นกระบาลผมทันทีซึ่งมันก็เรียกเสียงหัวเราะให้ผมพี่ศิ และทุก ๆ คนที่ยืนอยู่ในที่นี้ทั้งหมด ตอนนี้เพื่อนร่วมทางการไปขโมยขนมที่ร้านของคุณป๊าคมสันกับคุณม๊านัทชาก็เพิ่มขึ้นจากสามคนเป็นห้าคนเรียบร้อยแล้วครับ


ซึ่งพวกผมก็วางแผนกันอยู่พักใหญ่ว่าเราจะไปแอบยกถาดขนมเค้กจากในร้านกันยังไงดี (ความจริงเดินเข้าไปขอก็ได้ครับแต่ผมอยากทำอะไรน่าตื่นเต้น ๆ เท่านั้นเอง) จนได้ข้อสรุป คุณเจ้กับคุณน้องสาวตกลงกันว่าจะไปเบี่ยงเบนความสนใจของคุณป๊าและคุณม๊า ส่วนผมกับพี่ศิเป็นคนเข้าไปขโมยเค้กจากในร้านแล้วน้องกัซเหรอครับ น้องกัซเป็นตัวล่อเวลาผมกับพี่ศิโดนจับได้ยังไงหละจะได้มีเวลาหนีกันทัน และเมื่อทุกคนตกลงและรับรู้หน้าที่แล้วพวกเราก็เริ่มแผนการกันได้แล้วหละครับ


ตอนนี้ผมนั่งแอบอยู่ข้าง ๆ ร้านกับพี่ศิครับซึ่งตอนนี้คุณเจ้กับคุณน้องสาวกำลังเดินเข้าไปตะล่อมคุยกับคุณม๊าและคุณป๊าที่ยืนคุมร้านอยู่ซึ่งเมื่อคุณป๊ากับคุณม๊าตายใจคุณเจ้ของผมเธอก็จะส่งซิกให้ผมกับพี่ศิวิ่งเข้าไปขโมยถาดเค้กครับ


ซึ่งตอนนี้ผมกับพี่ศินั่งรอมาสิบนาทีจนตอนนี้คุณเจ้ของผมก็เริ่มส่งซิกให้ผมกับพี่ศิแล้วครับเราทั้งสองคนเดินย่องเข้าไปในร้าน ภารกิจนี้ของเราห้ามให้มีใครเห็นเราสองคนครับ (ความจริงเห็นไปก็ไม่เสียหายอะไรครับผมแค่อยากสร้างสถานการณ์ตื่นเต้นให้กับชีวิตเท่านั้นเองหละครับ) ผมค่อย ๆ คลานลงกับพื้นพร้อมกับจับมือของพี่ศิให้คลานตามมา (ทุกท่านคงสงสัยว่าทำไมผมถึงมาทำอะไรปัญญาอ่อนแบบนี้ นาน ๆ ผมจะกลับมาที่บ้านทีครับดังนั้น…ผมขอเล่นอะไรเป็นเด็ก ๆ สักหน่อยซึ่งผมไม่รู้หรอกครับว่าพี่ศิอยากเล่นด้วยหรือเปล่าแต่ที่รู้ ๆ คือผมอยากเล่นครับ) ตอนนี้ผมกับพี่ศิอยู่ในห้องครัวและหลบอยู่ในซอก ๆ หนึ่งของห้องครัวครับผมพยายามชะโงกหน้าออกไปมองคุณเจ้และคุณน้องสาวที่กำลังจะพาคุณป๊ากับคุณม๊าไปหน้าร้าน ซึ่งทั้งสองคนทำสำเร็จครับผมก็เลยก่ะว่าจะหันกลับไปหาพี่ศิเพื่อเรียกให้พี่ศิเขาออกทำภารกิจแต่ทันทีที่ผมหันกลับไปหาพี่ศิ ปลายจมูกของผมก็เกือบจะชนกับปลายจมูกของพี่ศิใบหน้าคมกับใบหน้าของผมมันอยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ ริมฝีปากของผมเม้มแน่น ก่อนสายตาจะไล่ขึ้นไปมองที่นัยน์ตาที่ซ่อนอยู่ในกรอบแว่นสีดำสนิทของพี่ศิ แววตาของพี่เขาที่ส่งผ่านมานั้นผมไม่รู้ความหมายของมันผมไม่รู้ว่าดวงตาคู่นั้นแสดงความรู้สึกอะไรอยู่ แต่ผมรู้ว่าในตอนนี้ตัวของผมนั้นหน้าแดงก่ำไปด้วยความเขินและหัวใจของผมก็เต้นแรงมาก…มากพอที่จะทำให้พี่ศิได้ยินด้วยเช่นกัน


เราทั้งสองคนจ้องตากันอยู่แบบนี้ไปอีกสักพักไม่นานนักบานประตูที่ขวางระหว่างห้องครัวกับหน้าร้านก็ถูกเปิดออกพร้อมกับคุณเจ้และคุณน้องสาวของผมที่เดินกลับเข้ามาหลังร้านเสียงปิดประตูของทั้งสองคนทำให้ผมสะดุ้งและเบือนหน้าหนีเพื่อหลบสายตาของพี่ศิ สติของผมกลับคืนมาและผมยังคงทำภารกิจขโมยขนมเค้กต่อไปแต่ภายในใจของผม…มันกับไม่ได้ไปจดจ่ออยู่ที่ขนมเค้กแล้วหละครับเพราะว่าในตอนนี้ภายในสมองของผมกลับคิดถึงแต่ดวงตาที่พี่ศิมองมายังผม พร้อมกับลมหายใจร้อน ๆ ที่พวกเราทั้งสองคนหายใจรดกัน


ริมฝีปากของเราห่างกันแค่คืบและในตอนนั้นผมไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปเองหรือเปล่าว่าพี่ศิเขาค่อย ๆ เคลื่อนตัวมาใกล้ ๆ ผมเพื่อที่จะประทับริมฝีปากของเขาลงบนริมฝีปากของผม




_______________________________


เจอกันใหม่นะคะ จุบ ๆๆ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 13] 11/10/2013 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: patchylove ที่ 11-10-2013 22:43:12
 :hao6: จุ๊บเลยพี่ศิ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 13] 11/10/2013 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 11-10-2013 22:48:03
ภารกิจระดับชาติเลยนะ
แหมะขโมยเค้กระวังโดนตีน่าน้องกร
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 13] 11/10/2013 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: yymomo ที่ 12-10-2013 00:50:11
 :m20:  ขโมยของกินกันเนี่ยนะ  ว่าแต่ทำไมพี่ศิไม่จับปล้ำ เอ๊ย จับจุ๊ฟๆๆๆไปเลย  :katai1:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 13] 11/10/2013 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 12-10-2013 12:45:42
พี่ศิ จูบเลย จูบเลยยยยยยยยย   :hao7:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 13] 11/10/2013 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 12-10-2013 21:01:31
จุ๊บเลย จุ๊บเลย จุ๊บจุ๊บ
มึนๆนะกร พาพี่ศิมาบ้านซะงั้น
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 13] 11/10/2013 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: karatop ที่ 13-10-2013 04:29:37
แอบมาอ่านรวดเดียว น่ารักมาก ^^" รอครับ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 14] 17/10/2013 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 17-10-2013 19:04:51




Chapter 14



ผมไม่รู้ว่าตัวเองถูกพาออกมาจากห้องครัวของร้านได้ยังไง เพราะสิ่งที่ผมรับรู้ได้ในตอนนี้คือใบหน้าห่างกันแค่คืบของผมกับพี่ศิพร้อมกับลมหายใจร้อน ๆ ของเราสองคนที่หายใจรดกัน จะให้พูดยังไงดีหละครับเอาเป็นว่าในตอนนั้นและตอนนี้สติของผมที่หลุดลอยไปยังไม่กลับเข้าสู่ร่างของผมเลยหละครับ


ในสมองของผมได้แต่คิดซ้ำไปซ้ำผมกับภาพพวกนั้นเข้ามาวนลูบในสมองของผม จะให้ผมพูดยังไงดีหละครับ ผมไม่พอใจเหรอ ผมขอปฏิเสธครับผมไม่ได้ไม่พอใจ รังเกียจเหรออันนี้ก็ขอปฏิเสธอีกเช่นกันครับผมไม่ได้รังเกียจพี่ศิ หรือว่ามันจะเป็นความรู้สึกเขินอาย…บางทีมันอาจจะเป็นความรู้สึกนี้ก็ได้มั้งครับ


อาการหัวใจเต้นแรงและอยากจะหลบสายตาที่อีกฝ่ายจ้องมองมามันอาจจะเป็นอาการของคนที่กำลังเขินอยู่ก็ได้หละมั้ง
ผมก้มหน้าก้มตาทานเค้กอยู่เงียบ ๆ โดยที่น้องกัซนั้นคั่นกลางระหว่างผมกับพี่ศิไว้ ผมพพยายามที่จะทำตัวให้เป็นปกติแต่ไม่รู้สิครับเวลาที่ผมหันไปมองหน้าพี่ศิหรือเหลือบตามองไปยังพี่เขาผมก็รู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาซะอย่างงั้น ซึ่งมันเป็นปฏิกิริยาที่แปลกประหลาดมากครับ


อาการแบบนี้ผมไม่เคยเป็นมาก่อนเลยครับ ไอใจผมก็อยากจะโทรไปปรึกษาไอสองสหาย หรือกานต์นะครับแต่เกรงว่าจะไปรบกวนพวกเขาเข้าเพราะนี่ก็เป็นช่วงเวลาปิดเทอมแต่ละคนก็มีสถานที่ที่ตัวเองอยากเที่ยวกับครอบครัว หรือเที่ยวกับคนสำคัญผมจึงได้แต่เก็บงำความรู้สึกแปลกประหลาดนี้ไว้ภายในใจโดยที่ไม่สามารถปรึกษาหรือระบายให้ใครฟังได้


‘เอาไว้มีโอกาสค่อยปรึกษาไอพวกนั้นก็แล้วกัน’ ผมพึมพำมเบา ๆ แต่รู้สึกว่ามันจะเสียงดังเกินไปสักหน่อยจนทำให้พี่ศิที่นั่งถัดจากน้องกัซ (จากตำแหน่งที่ผมนั่งพี่ศิกับผมจะถูกขั้นกลางด้วยน้องกัซครับ) เบนสายตาจากซีรีย์เกาหลีบนหน้าจอทีวีให้หันมามองที่ผม


ไอผมก็สะดุ้งสุดตัวเลยสิครับจากตอนแรกที่รู้สึกแปลก ๆ เวลามองพี่เขา คราวนี้เพิ่มมาอีกอาการแล้วหละครับมันเป็นความรู้สึกแปลกประหลาดภายในใจในตอนที่โดนพี่ศิจ้องมอง หัวใจของผมยิ่งเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ แรงขึ้นมาจนผมคิดว่าผมจะหัวใจวายได้เสียตอนนี้ แต่อาการพวกนี้ของผมก็ถูกขัดด้วยเสียงของน้องกัซที่พูดพร้อมรอยยิ้มว่า


“เฮียกร เฮียศิ น้องกัซอยากกินสตอเบอร์รี่” น้องกัซกระโดดตัวออกจากโซฟาพร้อมกับหันหน้าเข้ามาหาผมกับพี่ศิ ที่น้องกัซพูดใส่ผมกับพี่ศิแบบนี้นั่นก็เป็นเพราะสตอเบอร์รี่ที่วางอยู่บนครีมเค้กในชิ้นของผมกับพี่ศิ ยังไม่ถูกแตะต้องอะไรเลยครับ ซึ่งสตอเบอร์รี่นี่เป็นผลไม้โปรดของน้องกัซครับผมจึงส่งยิ้มกลับไปให้น้องกัซและตักสตอเบอร์รี่บนชิ้นเค้กของตัวเองส่งไปให้น้องกัซครับซึ่งพี่ศิก็ทำเช่นเดียวกับผมครับ (ตายหละพี่ศิคนอะไรใจดี้ ใจดีแถมยังรักเด็กอีก)


น้องกัซน้องชายสุดที่รักของผมก็ดีใจใหญ่ครับดีใจจนวิ่งไปหาคุณเจ้กับคุณน้องสาวที่กำลังนั่นดูซีรีย์เกาหลีอยู่หน้าโฮมเทียเอเตอร์ และหลังจากน้องกัซเดินจากไปบนโซฟาก็เหลือแต่ผมกับพี่ศิเท่านั้นครับ ซึ่งผมที่ยังคงมีความรู้สึกแปลกประหลาดอยู่ในใจก็ไม่กล้าที่จะพูดหรือชวนคุยอะไรออกไป ส่วนพี่ศิก็ตีหน้าขรึมไม่ยอมพูดอะไรออกมาเช่นกัน เราทั้งสองคนยังคงนั่งเงียบใส่กัน จนกระทั้งคุณน้องสาวและคุณเจ้ของผมดูซีรีย์เกาหลีจนจบ เธอทั้งสองคนหันหน้ามามองพวกผมด้วยสายตางุนงง แต่พวกเธอก็สงสัยไม่ได้นานครับรอยยิ้มเป็นประกายที่ไม่น่าไว้ใจของทั้งสองคนก็ผุดขึ้นที่มุมปากและพร้อมใจกันจูงมือพาน้องกัซออกไปจากห้อง โดยพวกเธอทิ้งให้ผมกับพี่ศินั่งอยู่ภายในห้องนี้กันเพียงสองคน (กับเค้กอีกครึ่งก้อน)


เอาหละครับคราวนี้ห้องทั้งห้องยิ่งเงียบสนิทเลยครับ ในตอนแรกที่มันยังคงมีเสียงของซีรีย์เกาหลีดังขึ้นเป็นระยะ ๆ แต่นี่ทีวีก็ปิดไปแล้ว แถมคนในห้องทั้งสองคนก็ไม่คิดจะเอ่ยปากพูดกัน ผมขอสรุปสถานการณ์ตอนนี้เลยนะครับว่ามันอึดอัดแบบขั้นสุดยอดไปเลย


ผมไม่พูดและพี่ศิก็ไม่คิดจะพูด ซึ่งทุกท่านก็คงรู้ดีนะครับว่าผมนายรณกรเป็นบุคคลที่มีความต้านทานต่อความเงียบต่ำมาก ซึ่งตอนนี้ความอดทนของผมนั้นกำลังจะหมดไปแล้วหละครับ มือทั้งสองข้างผมกำแน่นพพร้อมกับริมฝีปากที่เม้มแน่นจนเกือบจะเรียกได้ว่าผมกำลังกัดริมฝีปากของตัวเองอยู่แล้วหละครับ


แต่ดูเหมือนพี่ศิจะสังเกตเห็นว่าผมกำลังกำมือของตัวเองแน่นพร้อมกับกัดริมฝีปากตัวเองไปด้วยจนพี่ศิเขาเขยิบเข้ามาใกล้และจับมือข้องผมไปนวดเบา ๆ เหมือนกับว่าพี่ศิกำลังพยายามทำให้ผมผ่อนคลายอยู่


“อย่ากำมือแน่นสิกรเดี๋ยวเล็กก็จิกเข้าไปในเนื้อหรอก ถึงมันจะไม่เป็นแผลแต่ก็ทำให้เราเจ็บได้นะ” เสียงของพี่ศิเอ่ยออกมาอย่างอ่อนโยนทั้งมือแกร่งที่คอยนวดเบา ๆ ที่มือของผม


ผมไม่อยากจะบอกครับว่ายิ่งพี่ศิทำแบบนี้ผมยิ่งสติแตกใบหน้าของผมที่ในตอนแรกน่าจะหายแดงแล้วตอนนี้กับร้อนผ่าวและขึ้นสีแดงเรื่องขึ้นมาอีกครั้ง ไอใจผมก็อยากจะชักมือออกจากมือพี่ศิแล้วกระเถิบหนีพี่เขาไปอีกฝากของโซฟา แต่อีกใจก็คิดว่าปล่อยไว้แบบนี้หละดีแล้ว


ความคิดสองความคิดของผมต่างตีกันไปตีกันมาจนกระทั้งพี่ศิปล่อยมือข้างนั้นของผมและเอื้อมไปสัมผัสมืออีกข้างของผมจนทำให้ผมสะดุ้งออกมาเบา ๆ พี่ศิหัวเราะในท่าทางของผมน้อย ๆ ก่อนจะนวดมืออีกข้างของผมอย่างแผ่วเบา


ซึ่งการกระทำแบบนี้ของพี่ศิทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายจากความคิดและความรู้สึกที่แปลกประหลาดเหล่านั้น ผมยิ้มน้อย ๆ ตอบพี่ศิไปก่อนจะเอนศีรษะของตัวเองลงไปซบที่บ่าของพี่ศิและยังคงปล่อยให้พี่เขาถือวิสาสะจับมือผมนวดเบา ๆ ต่อไป


เราทั้งสองคนยังคงนั่งอยู่ในห้องนั่นเล่นกันต่อไปจนไม่รู้เวลามันผ่านไปเท่าไหร่แล้ว และเค้กที่วางตรงหน้าของพวกเราตอนนี้ก็โดนผมกับพี่ศิจัดการทาน (และเล่นบ้าง) กันไปจนเกือบจะหมดแล้วหละครับ ผมยังคงเอนหัวซบบนบ่าของพี่ศิส่วนพี่ศิก็ยังคงนั่งนิ่ง ๆ ให้ผมซบบ่าของเขา ทว่ามีสิ่งหนึ่งสิ่งที่เพิ่มขึ้นมาจากนั้นนั่นก็คือฝ่ามือของผมกับพี่ศิยังคบกอบกุมกันอยู่นิ้วมือของเราสอดประสานกันแน่น


จะให้ผมบรรยายความรู้สึกหนะเหรอครับว่าตอนนี้ผมรู้สึกอย่างไร…ผมขอบอกเลยว่าแม้ในตอนนี้ผมจะมีอาการใจเต้นแรงและความรู้สึกแปลก ๆ อยู่ แต่ถึงอย่างนั้นผมกลับรู้สึกอุ่นใจและสบายใจมากขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ


แต่มันก็มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมมั่นใจว่าความรู้สึกและอาการแปลก ๆ เหล่านี้มันเกิดขึ้นมาจากว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์ หิรัณศิริและมันก็สามารถรักษาให้หายได้โดยว่าที่นายแพยท์ศิรวิทย์คนนี้เช่นกัน


ผมหลับตาลงทั้ง ๆ ที่ยังคงเอนหัวของตัวเองไปพิงกับบ่าของพี่ศิอยู่แบบนั้น ในตอนนี้ผมรู้สึกสบายใจและอบอุ่นในหัวใจแล้วมากพอตัวเลยหละครับ


ผมไม่รู้ว่าตัวของผมและพี่ศินั้นเผลอหลับกันไปตั้งแต่กี่โมง แต่ที่ผมรู้ว่านาฬิกาที่แขวนไว้บนผนังมันบอกเวลาว่าตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงเย็นแล้วหละครับ ซึ่งคนที่มาทำหน้าที่ปลุกผมก็คือคุณเจ้ คุณน้องสาว และน้องกัซนั่นเอง


“กรตื่นไปกินข้าวเย็นได้แล้ว อ่อพี่ศิด้วยนะคะคุณป๊าคุณม๊าเตรียมข้าวเย็นไว้ให้แล้ว” ในประโยคแรกคุณเจ้พูดกระแทกเสียงใส่ผม ส่วนประโยคหลังที่อ่อนหวานน่าฟังนั้นคุณเจ้แกพูดให้กับพี่ศิครับ ผมกับพี่ศิต่างง่วงเงียและยกมือขึ้นมาขยี้ตา แต่ในขณะที่ผมจะลุกขึ้นยืนมือข้างหนึ่งของผมรู้สึกจะไปติดกับอะไรสักอย่างการที่ลุกขึ้นอย่างแรงแบบนั้นทำให้ผมเซตัวล้มลงไปนั่งที่เดิมทันทีผมหันซ้ายไปเพื่อจะมองว่ามือของผมนั้นติดอะไรอยู่พลันใบหน้าของผมก็ขึ้นสีอีกครั้งพร้อมกับพยายามแกะมือของผมกับพี่ศิให้ออกจากกัน


การะกระทำของผมทำให้คุณเจ้และคุณน้องสาวลอบหัวเราะคิก ๆ คัก ๆ กัน แต่สุดท้ายพวกเธอก็พยายามกลั้นหัวเราะและพาน้องกัซออกจากห้องไปอีกครั้งแต่ครั้งนี้พวกเธอสองคนโผล่หน้าเข้ามาพูดใส่ผมกับพี่ศิว่า “พี่ศิ/น้องศิ ค่ะที่มาวันนี้อย่าบอกนะว่าจะมาขอ ไอกร/เฮียกร จากคุณป๊าคุณม๊าหนะ” สิ้นเสียงของทั้งสองคนผมก็ใช้เวลาประมวลผลอยู่สักหน่อยแต่ทันทีที่สติผมกลับคืนมาสู่ร่างผมก็แทบจะเอาหมอนอิงทั้งหมดในห้องปากใส่สองสาวที่วิ่งหนีไปพร้อมกับเสียงหัวเราะคิกคัก


“บ้าไปแล้ว! นี่พี่ชายเว้ยพี่ชาย พี่ศิพี่เป็นพี่ชายของกรใช่ไหม” ผมพูดตะคอกออกไปพร้อมกับหันกลับมาถามพี่ศิเพื่อหาลูกคู่ ซึ่งพี่ศิก็พยักหน้าตอบรับผมเบา ๆ แต่ในแววตาที่พี่เขาจ้องมองมาที่ผมนั้น กลับแทรกไปด้วยความรู้สึกเศร้าใจอย่างแปลกประหลาด และเมื่อผมเห็นแววตาแบบนั้นของพี่ศิผมก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก ซ้ำมันก็ยังทำให้ผมรู้สึกผิดขึ้นมาอีกด้วย


ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมพูดออกไปนั้นมันผิดอะไรรู้เพียงแต่ความมันเป็นประโยคที่ทำร้ายพี่ศิและมันก็ทำร้ายผมด้วยเช่นกัน ไม่รู้สินะครับเมื่อผมเห็นแววตาแบบนั้นของพี่ศิผมก็รู้สึกเจ็บปวดในใจเบา ๆ อย่าไม่รู้สาเหตุ บรรยากาศในห้องเริ่มตึงเครียดขึ้นอีกครั้ง เราทั้งสองเงียบใส่กันแต่ในที่สุดความเงียบงันนั้นก็ถูกทำลายด้วยเสียทักทาย และเสียงบ่นของคุณป๊าและคุณม๊าที่กลับมาจากร้าน


“น้องกร น้องศิอยู่ไหนกันออกมาต้อนรับคุณป๊าหน่อยเร็ว” เสียงของคุณป๊าพูดขึ้นพร้อมกับเดินเปิดประตูห้องนั่งเล่นเข้ามา และร่างที่เดินตามหลังคุณป๊าคมสันก็คือร่างของคุณม๊านัทชาที่พูดบ่นเรื่องที่ผมแอบเข้าไปขโมยขนมเค้กในร้าน “น้องกรนี่เล่นอะไรอีกแล้วใช่ไหมเนี่ยคุณม๊านึกว่าเค้กหายไปไหนมาอยู่นี่นี่เอง เดี๋ยวคุณม๊าจับน้องกรตีซะเลย”


เสียงของคุณม๊าพูดกลั้วหัวเราะความจริงแล้วคุณม๊าไม่ได้โกรธอะไรหรอกครับ เท่านก็แค่บ่นไปอย่างงั้นเองซึ่งปกติทุกครั้งที่ผมกลับมาบ้านจะมีภารกิจขโมยขนมของร้านแบบนี้ประจำจน คุณป๊ากับคุณม๊าแกจับไต๋ได้แล้วหละครับแต่บางทีก็มีการลืมเพราะผมก็กลับบ้านมานาน ๆ ทีครับ


สิ้นเสียงของคุณป๊าและคุณม๊าผมก็ถลาไปกอดเองท่านทั้งสองทันทีซึ่งภาพนี้ทำให้พี่ศิที่ยังคงนั่งอยู่ที่โซฟาอมยิ้มออกมาน้อย ๆ (แต่แววตาของพี่เขาก็ยังมีความรู้สึกเศร้าแฝงอยู่) พี่ศิลุกขึ้นก่อนจะสาวเท้าเดินมายังที่ที่ผมยืนอยู่พวกเราสี่คนคุยอะไรจิปาถะกันไปสักพัก จนกระทั้งเสียงท้องของผมร้องขึ้นเพื่อบ่งบอกว่าผมนั้นหิวมาก ๆ แล้ว


คุณป๊ากับคุณม๊าไม่ได้ว่าอะไรที่ท้องผมร้องดังเพราะท่านชินแล้ว แต่พี่ศิรายนี้หัวเราะซะเหมือนกับคนที่ไม่ได้หัวเราะมานานผมจึงจัดฝ่ามืออรหันไปที่บ่าพี่ศิสักหนึ่งดอกเพื่อให้พี่ศิหยุดหัวเราะ


“อย่ามาหัวเราะกรนะพี่ศิ” ผมบ่นพึมพำเบา ๆ ก่อนจะเดินนำทั้งสามคนไปห้องทานข้าวที่มีพี่น้องของผมนั่งรอกันอยู่อย่างพร้อมเพรียงแล้ว


ผมรีบวิ่งปรี่ไปที่ที่นั่งประจำของผมและหย่อนตรูดนั่งลงไปทันทีและรอไม่นานคุณป๊ากับคุณม๊าก็พาพี่ศิเข้ามาภายในห้องทานอาหารและเชิญแขก (ของผม) ให้นั่งลง ซึ่งที่นั่งของพี่ศิก็ขอบอกเลยว่าทุกคนพร้อมใจกันยกที่นั่งข้างผมให้พี่ศิเขานั่งด้วยเหตุผล ก็สนิทกันมาก ๆ เลยนี่ พวกเรากลัวศิเขาจะเกรงกินอาหารไม่อร่อยเลยให้นั่งข้างคนสนิทน่าจะกินอาหารได้สบายใจกว่า ซึ่งเหตุผลนั้นก็ทำให้ผมถียงอะไรไม่ได้เลยอยู่ในภาวะจำยอม ยอมให้พี่ศินั่งทานข้าวข้าง ๆ ผม (ความจริงผมก็ไม่น่าจะรู้สึกแปลก ๆ อะไรนะครับเพราะว่าผมกับพี่ศิกินข้าวด้วยกันบ่อยแต่ไม่รู้วันนี้เป็นอะไรผมถึงเกิดอาการแปลก ๆ ไม่อยากนั่งข้างพี่ศิขึ้นมาซะแบบนี้)


ผมนั่งทานข้าวเงียบ ๆ ซึ่งมันผิดวิสัยของผมแต่ทำไงได้หละผมไม่รู้เป็นอะไรดันไม่รู้สึกอยากพูดขึ้นมาซะแบบนั้นผมจึงได้แต่รีบ ๆ กินข้าวให้หมดจานและรีบขอตัวกลับขึ้นห้องนอนของตัวเองไป และทุกท่านคิดว่าผมจะได้ทำตามที่ใจหวังเหรอครับไม่มีทางครับคุณป๊าคมสันกับคุณม๊านัทชามิให้ผมหนีขึ้นห้องของตัวเองได้ง่ายครับนั่นก็เป็นเพราะคุณม๊านัทชาเป็นบุคคลที่ชอบไปสปามากครับ แน่นอนคุณม๊านัทชาที่รักมักจะชวนลูก ๆ ไปเสมอ และในทุก ๆ ครั้งที่ผมกลับบ้านมาคุณม๊านัทชาก็จะลากผมไปสปาด้วยและคุณม๊าก็จัดครอสบำรุงผิวให้ผมยกใหญ่ (แบบนี้หละครับทำให้ผมที่ผิวขาวตามประสาลูกคนจีนอยู่แล้วยิ่งขาวเข้าไปใหญ่ แต่ก็ขาวแค่ช่วงอาทิตย์สองอาทิตย์แรกหละครับหลัง ๆ ไปผมก็กลับสู่สภาพเดิม)


“น้องกรวันนี้คุณม๊าอยากไปสปา” เสียงจากนรกเรียกผมแล้วหละครับ ทำไมผมถึงพูดว่าเสียงจากนรกเหรอครับสำหรับผู้หญิงการไปสปามันเสริมสวยจริง ๆ แต่สำหรับผู้ชายมันคือนรกดี ๆ นี่เอง คือผมไม่จำเป็นต้องผิวขาวเด้งไปอวดใครนี่ครับสาว ๆ เขาชอบหนุ่มสไตล์หล่อ เลว ๆ กันนะครับขาวใสน่ารักสไตล์เกาหลีนี่สาว ๆ เขาไม่ค่อยสนใจหรอกครับ


หลังจากเสียงจากนรกของคุณม๊าพูดจบคุณม๊าเธอก็ไม่ได้รอให้ผมปฏิเสธคุณม๊าแกรีบเดินมาจับมือผมและลากแขนผมออกไปจากห้องอาหารและมุ่งตรงไปยังโรงจอดรถครับ


อ่า…จนกว่าผมจะกลับมาทุกท่านรอไปสักพักนะครับเดี่ยวผมกลับมาเล่าเรื่องราวให้ทุก ๆ คนฟังต่อแต่ตอนนี้กรขอลาไปลงนรกที่ชื่อว่าสปากับคุณม๊าก่อนนะครับ



หลังจากที่ผมไปทรมานที่สปามาราว ๆ สองชั่วโมงตอนนี้ก็เป็นเวลาสองทุ่มแล้วหละครับและตอนนี้ผมก็รู้สึกเหนื่อยจนอยากจะนอนมากและคิดว่าถ้ากลับไปถึงบ้านผมจะไม่อาบน้ำครับ นอนมันทั้งแบบนี้ไปเอง ยังไงเราก็อาบน้ำมาจากสปาอยู่แล้วมันคงไม่สกปรกมากหรอกถ้าเกิดจะนอนไปทั้งสภาพแบบนี้ครับ


รถของคุณม๊าค่อย ๆ เคลื่อนตัวเข้าไปที่ลานจอดรถและทันทีที่รถมันจอดสนิทผมก็ดีดตัวออกจากรถและรีบวิ่งเข้าบ้านทันที และทันทีที่เท้าผมเหยียบถึงตัวบ้านผมก็รีบวิ่งปรี่ไปที่ห้องนั่งเล่นซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของบ้านทันที ผมเปิดประตูเข้าไปด้านในพร้อมกับกวาดสายตามองหาพี่ชายที่มีนามว่าศิรวิทย์ ซึ่งพี่ชายคนนั้นของผมก็นั่งหัวโด่อยู่บนโซฟาโดยมีน้องกัซน้องชายสุดที่รักของผมนอนหนุนตักพี่เขาอยู่


‘ให้ตายเถอะพี่ศิ...เป็นคนที่สนิทกับคนอื่น ๆ ง่านจริง ๆ’ ผมมองพี่ศิที่ตอนนี้เริ่มคุ้นเคยกับครอบครัวผมแล้วใจหนึ่งผมก็ดีใจนะครับที่พี่ศิเขาคุ้นเคยกับครอบครัวผมไวแบบนี้


แต่อีกใจมันก็พาลไปนึกถึงความอัธยาศัยดีของพี่เขา…มันจะทำให้พี่ศิสนิทกับคนอื่น ๆ รวดเร็วแบบนี้หรือเปล่า แล้วเราเป็นน้องชายคนสนิทของพี่เขาคนเดียวไหมนะ หรือว่าพี่ศิเขาจะมีรุ่นน้องที่สนิทสนมแบบผมหลายต่อหลายคนพอนึกถึงแล้วผมก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่พอลองคิดไปว่าผมก็ไม่ได้เป็นอะไรกับพี่ศินี่นา การที่พี่ศิจะไปสนิทกับคนอื่นมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผมสักนิดเดียว พอคิดแบบนั้นจากไอความรู้สึกไม่พอใจก็เปลี่ยนเป็นความรู้สึกเศร้า ๆ เหงา ๆ แทน ผมเม้มปากแน่นก่อนจะกลั้นใจเอ่ยถ้อยคำออกไป


“นี่กรขึ้นนอนก่อนนะง่วงไม่ไหวแล้ววันนี้คุณม๊าจัดหนักกับกรมาก ตอนนี้หนังตาของกรจะปิดแล้วอะ” ผมพูดพร้อมกับแสร้งยกมือขึ้นมาป้องปากหาว พร้อมกับเดินถอยหลังออกมาจากห้องนั่งเล่นเพื่อนที่จะเดินขึ้นไปบนชั้นสองแต่ไม่ทันที่บานประตูจะปิดลงเสียงทุ้มเข้มของพี่ศิก็เอ่ยดังพร้อมกับค่อย ๆ ขยับตัวออกจากน้องกัซและรีบเร่งเดินตามผมออกมา “กรครับรอพี่หน่อยครับ เดี๋ยวพี่ขึ้นไปด้วย”



v
v
v
v
v
v
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 14] 17/10/2013 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 17-10-2013 19:09:21

ประโยค ๆ นี้ของพี่ศิทำให้ผมต้องชะงักตัวและยืนรอพี่เขา เราสองคนเดินขึ้นบันไดไปอย่างช้า ๆ ซึ่งตลอดทางเดินที่ทอดยาวไปยังห้องนอนของผมเราทั้งสองคนไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำ


ผมไม่รู้ว่ามันอะไรมันเกิดขึ้นระหว่างผมกับพี่ศิ แต่ตอนนี้ผมรู้ว่าความคิดของผมความรู้สึกของผมที่มอบให้แก่พี่ศินั้นไม่น่าใช่ตำแหน่งของพี่ชายคนสนิทธรรมดาแล้วหละครับ ตั้งแต่ที่ผมรู้จักพี่ศิมาแม้มันจะไม่นานมากนักแต่ความสัมพันธ์ของเราสองคนจากคนที่ไม่เคยแม้แต่จะรู้จักชื่อกัน พัฒนาขึ้นมาเป็นคนรู้จักกัน และพัฒนาขึ้นมาเป็นพี่ชายคนสนิทผมคิดว่าความสัมพันธ์และตำแหน่งที่ผมจะให้พี่ศินั้นมันคงต้องเปลี่ยนไปอีกรอบแล้วหละครับเพราะในตอนนี้ความรู้ของผมที่มีต่อพี่ศิมันมากเกินคำว่าพี่ชายแต่มันก็ยังไม่ก้าวข้ามคำ ๆ นั้นไปมากนัก ตอนนี้ผมคิดว่าความสัมพันธ์ของผมและพี่ศิน่าจะอยู่ในฐานะของคนสำคัญของกันและกันแล้วก็ได้นะครับ


แต่ผมก็ไม่รู้ว่าทางพี่ศินั้นคิดอย่างเดียวกับผมหรือเปล่านี่สิ…


เมื่อผมเดินมาถึงหน้าประตูผมก็เปิดบานประตูและเชื้อเชิญให้แขกเข้าไปในห้องซึ่งพี่ศิก็อมยิ้มให้ผมเล็กน้อยก่อนที่จะเดินก้าวเข้าไปในห้องตามผมแบบติด ๆ ผมดันบานประตูให้ผิดลงพร้อมกับไฟที่เพดานนั้นได้สว่างขึ้น ผมถลาตัวไปนั่งบนเตียงพร้อมกับลากพี่ศิให้ลงมานั่งข้าง ๆ


ทุกท่านก็คงสงสัยอีกสินะครับว่าทำไมผมถึงทำแบบนี้ นั่นก็เป็นเพราะผมตั้งใจว่าจะถามพี่ศิในเรื่องที่ผมสงสัยทั้งหมดออกไปนั่นหละครับ


ผมสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ก่อนจะรวบรวมความกล้าทั้งหมดเพื่อเอ่ยถามคำถามกับพี่ศิ


“พี่ศิครับ…” ผมพยายามใช้ความกล้าทั้งหมดที่มีในตัวกลั่นกรองคำพูดออกมา ผมหยุดเงียบที่ประโยคนี้ไปสักพักก่อนจะกลั่นลมหายใจพูดทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมสงสัยออกไปทั้งหมด “พี่ศิ…เป็นคนอัธยาศัยดีแบบนี้แสดงว่าพี่ศิก็สนิทกับรุ่นน้องเยอะแยะเลยสินะครับ น่าอิจฉาจังเลยกรอยากมีคนสนิทเยอะ ๆ แบบนั้นบ้างจังเลย”


สิ้นเสียงของผมพี่ศิก็เลิกคิ้วมองมายังผมด้วยแววตาสงสัยแต่ถึงพี่ศิจะยังคงงุนงงกับสิ่งที่ผมถามแต่พี่เขาก็ยอมเอ่ยคำตอบออกมา “พี่หนะเหรอพี่เป็นคนที่อัธยาศัยแย่สุด ๆ เลยต่างหากหละกร ชีวิตพี่วัน ๆ พี่มีแต่เรียน เรียน เรียนแล้วก็เรียน พี่ไม่สนิทกับรุ่นพี่รุ่นน้องหรอกแม้แต่รุ่นเดียวกันที่สนิทมาก ๆ ก็มีแต่ไอเต๋อร์กับวิมันเท่านั้นเอง ส่วนรุ่นน้องที่พี่สนิทมากก็มีแค่กรคนเดียวเท่านั้นครับ” พี่ศิตอบผม ซึ่งคำตอบที่พี่ศิเอ่ยออกมานั้นทำให้ผมแทบจะหุบยิ้มไม่อยู่ แต่ผมก็กลับฝืนตัวทำหน้านิ่งและพยายามหุบรอยยิ้มของตัวเองเอาไว้


“จริงเหรอ กรเห็นพี่ศิเข้ากับคนในบ้านกรได้ง่ายนี่นา พี่ศิก็น่าจะเข้ากับคนอื่น ๆ ได้ง่ายเหมือนกันนะ” ผมกอดอกตัวเองพร้อมกับเบนหน้ามองไปทางอื่นหากแต่สายตาของผมก็ลอบเหลือบไปมองสีหน้าและการกระทำของพี่ศิที่จะแสดงออกมาหลังจากสิ้นคำพูดของผม


ใบหน้าของพี่ศิก็ยังคงเต็มไปด้วยความสงสัยแต่กระนั้นพี่ศิก็ยอมเอ่ยคำตอบออกมา และคำตอบนั้นมันทำให้ผมรู้สึกเขินอายขึ้นมาอีกยังไงก็ไม่รู้สิครับ ทั้ง ๆ ที่พี่ศิเอ่ยปากชมครอบครัวผมแต่ทำไมผมรู้สึกเหมือนถูกพี่ศิเขาชมแบบทางอ้อมแบบนี้หหละ “ก็ครอบครัวของน้องชายที่พี่สนิทที่สุดนี่ พี่ก็อยากจะสนิทเอาไว้แล้วครอบครัวของกรก็น่ารัก ทุก ๆ คน…น่ารักเหมือนกร”


“อ่อออ…กรก็สงสัยนึกว่าพี่ศิรักแรกพบกับคุณเจ้หรือคุณน้องสาวกรหรือเปล่าเลยตีสนิทกันไวจริง” ผมลองพูดแหย่พี่ศิไปอีกรอบแต่พี่ศิก็ส่ายหัวปฏิเสธ ซึ่งการที่พี่ศิเอ่ยปฏิเสธออกมาแบบนี้ทำให้ผมรู้สึกโล่งในใจแบบแปลก ๆ ไม่รู้สิครับเหมือนกับว่าผมดีใจหละมั้งดีใจที่พี่ศิไม่ได้ชอบหรือปิ้งพี่สาวและน้องสาวของผม


โอ้ย…นี่ผมเป็นอะไรเนี่ยทำไมผมมีความรู้สึกว่าหวงพี่ศิมากขนาดนี้เนี่ย ทั้ง ๆ ที่คนที่พี่ศิคุยด้วยหยอกล้อด้วยเป็นคนในครอบครัวของผมแท้ ๆ ทำไมผมรู้สึกไม่อยากให้พี่เขาพูดหยอกล้อกับคนอื่นหรือสนใจคนอื่นมากกว่าผมกันเนี่ย


ผมเม้มปากแน่นและไม่ได้พูดอะไรต่อแต่พี่ศิเหมือนจะจับทางผมได้แล้วหละครับว่าผมตั้งใจจะถามอะไรกับพี่เขามือกร้านยกขึ้นมาลูบหัวผมอย่างอ่อนโยนพร้อมกับเสียงทุ้มที่เอ่ยออกมาข้าง ๆ ใบหูของผม “ในตอนนี้ กรหนะสำคัญที่สุดสำหรับพี่แล้วหละครับอย่าคิดมากเลย”


ประโยคที่พี่ศิกระซิบข้างหูผมนั้นมันแทบจะทำให้ผมลงไปละลายกองอยู่ที่พื้นเลยหละครับ แถมตอนนี้ใบหน้าของผมนี่ไม่รู้ว่าแดงไปถึงไหนต่อไหนแล้วหนำซ้ำหัวใจก็เต้นแรงมาก แรงเสียจนมันจะออกมาเต้นเบรกแด้นซ์นอกตัวผมเลยครับ ผมพยายามก้มหน้าเพื่อหลบสายจาของพี่ศิที่มองมาแต่ยิ่งผมหลบสายตาของพี่ศิมาขึ้นเท่าไหร่พี่ศิก็ยิ่งแกล้งทำเป็นมองหน้าผมมากขึ้นเท่านั้น จนในที่สุดผมก็ทนไม่ได้กับการถูกแกล้งแบบนี้จนยื่นมือไปยันที่หน้าของพี่ศิและแกล้งผลักพี่เขาออกไปเบา ๆ


ซึ่งคิดเหรอครับผู้ชายที่แสนเอาแต่ใจอย่างว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์จะยอมให้ผมทำแบบนั้นได้…ถ้าคุณคิดแบบนั้นคุณคิดถูกแล้วหละครับเพราะพี่ศิเขาไม่ยอมให้ผมดันพี่เขาออกไปห่าง ๆ ได้ ซ้ำยังคว้ามือทั้งสองข้าของผมไว้อีก


พี่ศิจับแขนผมทั้งสองข้างและออกแรงพลิกให้ผมหันไปมองทางพี่เขา และเมื่อสายตาของพี่ศิและผมจ้องมองกันไอผมที่คิดว่าตัวเองจะละลายลงไปกองอยู่ที่พื้นตอนนี้ผมคิดว่าตัวผมคงระเหิดกลายเป็นไอไปแทนเรียบร้อยหละครับ สายตาที่พี่ศิจ้องมานั้นมันมากไปด้วยความหมายแม้ผมจะเดาความรู้สึกที่พี่ศิส่งมาได้ไม่หมด แต่ผมก็สามารถรับรู้ถึงความรู้สึกบางอย่างในแววตาที่พี่ศิส่งผ่านมาได้ครับ


มันเป็นความรู้สึกห่วงใย ความรู้สึกอยากดูแลและอยากทำให้คน ๆ นึงมีความสุขไปตลอดชีวิต ยิ่งผมรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของพี่ศิแบบนี้มันยิ่งทำให้ผมถึงกับทำอะไรไม่ถูกจะเบือนหน้าหนีก็ทำไม่ได้ หรือแม้แต่จะจ้องตาพี่ศิกลับไปผมก็ไม่สามารถทำได้ครับ
พวกเราทั้งสองคงเงียบเสียงกันไปอีกสักพัก จนในที่สุดพี่ศิที่ยังมีความรู้สึกสงสัยในคำถามของผมก็เอ่ยถ้อยคำออกมา “กรครับที่กรถามพี่แบบนี้ กรกำลังคิดอะไรอยู่เหรอครับ”


สิ้นคำถามของพี่ศิมันยิ่งทำให้ผมไปต่อไม่เป็นเลยครับ พี่แกเล่นถามมาแบบนี้แล้วผมจะตอบเขาไปยังไงหละเนี่ย ซึ่งทักษะในการเอาตัวรอดของผมมีสูงครับผมก็เฉไฉไปเรื่อยตามประสาผมแต่คิดเหรอว่าพี่ศิเขาจะเชื่อ…ผมขอบอกเลยนะครับว่าคนอย่างว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์ไม่มีทางเชื่ออะไรง่าย ๆ ครับ


เมื่อผมหมดหนทางที่จะต่อกรกับพี่ศิเขา ผมก็จำใจ (และทำใจอยู่นานมาก ๆ) เอ่ยความรู้สึกที่อยู่ในหัวใจของผมออกไป
ผมไม่รู้ว่าการบอกความรู้สึกครั้งนี้ของผมจะทำให้สถานะภาพของผมกับพี่ศิเปลี่ยนไปยังไง พี่ศิอาจจะไม่พอใจก็ได้แต่ผมที่โดนพี่ศิไล่บี้แบบนี้มันไม่มีหนทางอื่นนอกจากการบอกความรู้สึกจริง ๆ ของผมออกไปแล้วหละครับ


“กรแค่คิดว่า...เออ กร” แม้ผมจะตัดสินใจแล้วว่าจะพูดความรู้สึกของตัวเองออกไปให้พี่ศิฟังแต่ยังไงมันก็พูดออกไปยากอยู่ดีครับผมพยายามจะพูดออกไปหลายต่อหลายครั้งจนในที่สุดพี่ศิก็ดูเหมือนจะอดทนต่ออาการอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ของผมไม่ได้แล้วหละครับ
ร่างสูงของพี่ศิค่อย ๆ เขยิบมาใกล้พร้อมกับมือกร้านที่เลื่อนขึ้นมาปิดที่ดวงตาของผมแทน “ถ้ากรอายที่จะมองหน้าพี่แล้วพูดออกมาพี่อนุญาตให้กรหลับตาพูดก็ได้ครับ” ซึ่งไอการได้หลับตาพูดมันก็ดีอยู่หรอกครับแต่มันจะดีกว่านี้ถ้ามือที่ปิดตาผมอยู่มันไม่ใช่มือของพี่ศิ


แต่มันก็ทำให้ผมลดอาการประหม่าไปได้ส่วนหนึ่งหละครับ ริมฝีปากผมที่เคยเม้มแน่นตอนนี้เริ่มคลายออก ก่อนที่มันจะค่อย ๆ เปิดปากและเอ่ยในสิ่งที่พี่ศิต้องการจะรู้จากตัวผมออกไป “พี่ศิ...รู้ป่ะตั้งแต่วันแรกที่กรได้รู้จักพี่อะ ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ กรคิดว่าทำไมเราทั้งสองคนที่ไม่เคยแม้แต่จะรู้จักกัน ไม่เคยแม้แต่จะเคยเห็นหน้ากันทำไมเราถึงสนิทกันได้มากขนาดนี้” หลังจากที่ผมพูดจนจบประโยคนี้ผมก็เงียบเสียงไปสักพักพร้อมกับสูดลมหายใจเข้ามาในปอดเฮือกใหญ่ “กรไม่รู้ว่าทำไมจากคนที่ไม่เคยแม้แต่จะรู้จักกัน ถึงพัฒนาเป็นคนรู้จักกันและค่อย ๆ กลายเป็นพี่น้องที่สนิทกัน จนตอนนี้กรคิดว่าพี่ศิกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตกรเป็นคนสำคัญคนหนึ่งของกร…พี่ศิเป็นคนสำคัญของกรที่กรรู้สึกได้เลยว่ากรนั้นขาดพี่ศิไปไม่ได้อีกแล้ว”


สิ้นเสียงพูดของผมห้องทั้งห้องก็เงียบสงัดลงทันทีทั้งผมและพี่ศิไม่มีใครคิดจะเอ่ยคำพูดอะไรออกมา (เนื่องจากผมนั้นพูดออกไปหมดแล้วส่วนพี่คงน่าจะกำลังตกใจอยู่หละมั้งครับ) เราเงียบเสียงกันไปสักพักไม่นานนักร่างของผมก็ถูกดึงเข้าไปในอ้อมกอดของพี่ศิพร้อมกับแขนทั้งสองข้างของพี่เขาที่ค่อย ๆ โอบรัดตัวผมแน่นขึ้นเรื่อย ๆ ผมไม่รู้ว่าการกระทำแบบนี้ของพี่ศิหมายถึงอะไรแต่เท่าที่ผมรู้นั่นก็คือพี่ศิแกไม่ได้ไม่พอใจผมหรือโกรธผมเลยครับ


ผมยอมให้พี่ศิโอบกอดตัวผมอยู่แบบนั้นไปสักพักไม่นานนัก วงแขนแกร่งของพี่ศิก็คลายออกพร้อมกับปล่อยให้ผมเป็นอิสระจากอ้อมแขนของพี่เขา


“นี่พี่ศิ…” หลังจากที่ผมเป็นอิสระจากอ้อมแขนของพี่ศิแล้วผมก็ทำการเอานิ้วสะกิดพี่ศิเบา ๆ พร้อมกับเอ่ยปากถามพี่เขาออกไปว่า “พี่ศิเป็นคนสำคัญของกร…แล้วกรเป็นคนสำคัญของพี่ศิหรือเปล่า” ผมเอ่ยขึ้นมาด้วยความสงสัยแต่ไม่ทันที่ผมจะได้คำตอบจากปากของพี่ศิเขาผมก็โดนซัดมะเหงกลงบนหน้าฝากไปหนึ่งดอก


“อูย…พี่ศิทำอะไรกรเนี่ยมันเจ็บนะ!!” ผมบ่นงึมงำซึ่งการบ่นของผมนั้นทำให้พี่ศิหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ


“กรคิดว่ายังไงหละ…” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นก่อนจะเงียบเสียงตนลงไปราวกับว่าเขานั้นกำลังปล่อยให้อีกฝ่ายคิดถึงการกระทำของตนเอง แต่รู้สึกเหมือนว่าตัวของผมนั้นจะนึกอะไรไม่ออกเลยสักนิดสักพักเหมือนกับว่าตัวของพี่ศิจะทนรอคำตอบจากผมไม่ไหว ริมฝีปากหนาคลี่รอยยิ้มจาง ๆ ก่อนจะเอ่ยประโยคที่คลายความสงสัยของผมออกมา “สิ่งที่พี่ทำให้กรทั้งหมด…พี่คิดว่ากรน่าจะเดาได้แล้วนะว่าพี่ให้ความสำคัญกับกรมากขนาดไหน ฐานะของกรสำหรับพี่งั้นเหรอ พี่คิดว่าก็น่าจะเป็น ‘คนสำคัญที่ไม่สามารถหาใครมาแทนที่ได้’ หละมั้ง” เมื่อพี่ศิพูดจบมือกร้านของพี่ศิก็ยกขึ้นมาลูบบนศรีษะผมอย่างเบามือ


ที่จริงผมอยากจะโวยวายออกไปอยู่นะครับเพราะมือที่พี่ศิลูบหัวผมเนี่ยมันเป็นข้างเดียวกับมือที่พี่ศิใช้ซัดมะเหงกใส่หัวผมนั่นหละ อย่างงี้เค้าเรียกว่าตบหัวแล้วลูบหลังหรือเปล่าครับเนี่ย แต่ครั้งนี้ผมยอมให้พี่ศิก็ได้ครับปล่อยให้เขาลูบหัวผมอย่างสนุกมือส่วนผมก็ขอยืมบ่าพี่ศิเป็นที่หนุนต่างหมอนแล้วกัน


ผมนั่งพิงพี่ศิอยู่นานพอควรเลยครับ จนสุดท้ายไอบรรยากาศหวานแหวว (ชวนขนลุก) ในห้องก็หมดไปเพราะความง่วงของผมนั่นเอง


“พี่ศิกรง่วงแล้ว” ผมพูดพึมพำในขณะที่ผมกำลังยกหัวตัวเองออกจากบ่าพี่ศิซึ่งพี่ศิก็พยักหน้าตอบรับพร้อมกับลุกออกจากเตียงไปและเมื่อพี่ศิลุกออกจากเตียงผมก็ถลาเข้าไปครอบครองเตียงทันที


ผมแทรกตัวเข้าไปในผ้าห่มที่หนานุ่มพร้อมกับหลับตาลงโดยไม่สนใจเลยว่า อีกฝ่ายที่ต้องนอนบนเตียงเดียวกับผมจะเข้าแทรกตัวนอนที่ตรงไหนเพราะในตอนนี้ร่างของผมนอนแผ่หราอยู่บนเตียง


พี่ศิได้ส่ายหัวไปมาพลางทอดสายตามองมายังร่างของผมที่ตอนอยู่เบื้องหน้า พี่ศิมองค้างแบบนั้นอยู่สักพักไม่นานนักชายหนุ่มที่มีนามว่าศิรวิทย์ก็ตัดสินใจเดินหยิบผ้าขนหนูเข้าห้องอาบน้ำไป


หลังจากพี่ศิเดินเข้าห้องอาบน้ำผมก็ทำตัวเป็นคนดีเล็กน้อยโดนการขยับตัวนิดหน่อยเพื่อให้เหลือที่นอนสำหรับอีกคนพร้อมกับหลับตาลงเพื่อเข้าสู่ห้วงนินทรา




สวัสดีครับผมศิรวิทย์หลังจากที่ผมเดินเข้าห้องน้ำมาแล้วผมก็ยังลอบแอบมองเจ้าตัวแสบของผมที่นอนเล่นอยู่บนเตียง แต่สักพักเจ้าตัวแสบของผมก็นอนแน่นิ่ง ผมว่าเขาคงจะหมดฤทธิ์ซะแล้วหละครับถึงได้นอนหลับอุตุอยู่บนเตียงแบบนี้ แถมมีแอบกรนการแอบกรนเบา ๆ ด้วยหละครับ ซึ่งการกระทำแบบนั้นของเจ้าตัวแสบทำให้ผมหัวเราะออกมาน้อย ๆ ซึ่งไม่ว่ายังไงในสายตาของผมเจ้าตัวแสบคนนี้ก็น่ารักเสมออยู่ดีหละครับและที่สำคัญวันนี้เจ้าตัวแสบของผมน่ารักเป็นพิเศษเสียด้วยนั่นก็เป็นเพราะว่ากรเขายอมพูดความในใจของตัวเองออกมา ซึ่งคำพูดพวกนั้นของกรมันทำให้ผมดีใจเป็นอย่างมาก แม้ผมจะรู้ว่า ‘คนสำคัญ’ ในความหมายของกรมันไม่ได้หมายถึงคนรักก็ตาม แต่การที่กรยกฐานะให้ผมขึ้นมาตั้งขนาดนี้มันก็ทำให้ผมมีความสุขมาก ๆ แล้วหละครับ


ผมลอบอมยิ้มเบา ๆ พร้อมกับเดินเข้าห้องอาบน้ำเพื่อไปทำความสะอาดร่างกายผมใช้เวลาไม่นานในการอาบน้ำตอนนี้สภาพของผมก็เตรียมพร้อมที่จะนอนแล้วครับ ผมสาวเท้าเดินไปข้าง ๆ เตียงแล้วทรุดตัวนั่งลงบนพื้นที่ว่างที่เจ้าตัวแสบมันเว้นไว้ให้


ผมไม่อยากจะพูดเลยว่าการที่ให้ผมมาห้องเดียวกับเจ้าตัวแสบนี่มันต้องทำให้ผมอดทนมากมายขนาดไหน จากตอนแรกที่ผมต้องอดทนที่จะไม่เคลื่อนหน้าตัวเองเข้าไปไกลกรในตอนที่พวกเราไปขโมยขนมเค้กกัน ตอนนี้ผมยังต้องอดทนที่จะไม่ทำอะไรกรอีกแล้วสินะครับ เมื่อความคิดนั่นลอยเข้ามาภายในสมองผมก็ถึงกับต้องถอนลมหายใจออกมาเสียงดังความจริงไอการนอนนิ่ง ๆ ผมก็ไม่อะไรหรอกครับแต่ในเรื่องกฤติศักดิ์การนอนดิ้นของกรมันหนักหนาเอาเรื่องครับผมได้แต่ปาดเหงื่อมองเจ้าตัวแสบที่ตอนนี้เริ่มพลิกตัวและกวาดมือไปมาแล้วหละครับ เห็นอย่างงี้ผมก็ไม่อยากจะไปนั่งขวางพื้นที่ของกรเขาเลยตัดสินใจลุกออกจากเตียงและเดินไปนั่งที่โซฟาใยห้อง ผมเฝ้ามองร่างสูงโปร่งนั่นดิ้นไปดิ้นมาด้วยรอยยิ้ม


การเฝ้ามองเจ้าตัวแสบแบบนี้ทำให้ผมยิ้มและหัวเราะได้เสมอ ตั้งแต่วันแรกที่เราได้เจอกันแล้วหละครับวันนั้นผมรู้สึกงุนงงมากกับการโดนรุ่นน้องที่ไม่รู้จักจับมือและลากมาสารภาพรัก ไอตอนแรกที่ผมตอบตกลงไปด้วยอารมณ์นึกสนุกอยากแกล้งน้องเขา
แต่พอผมรู้ว่านายรณกรรุ่นน้องที่มาสารภาพรักกับผมดันเป็นคนเดียวที่อยู่ในกล้องถ่ายภาพของผมมากที่สุด (พูดง่าย ๆ คือน้องเขาเป็นคนที่ผมสนใจนั่นเองหละครับ) ซึ่งภาพพวกนั้นเป็นภาพถ่ายจากงานกีฬาเฟรชชี่ครับ และไอตัวแสบของผมมันดันเป็นลีดปี 1 ของขณะวิศวะเสียด้วย ในวันนั้นรอยยิ้มของกรที่ส่องประกายทำให้ผมละลายตาจากเจ้าตัวแสบนี่ไม่ได้เลยสักวินาทีเดียว กล้องในมือของผมถูกยกขึ้นมาถ่ายภาพของกรหลายต่อหลายภาพจนในที่สุดเมมโมรี่กล้องของผมก็เต็มไปด้วยภาพรอยยิ้มและใบหน้าที่มีความสุขของไอตัวแสบ แต่สิ่งที่มันเซอร์ไพรส์ผมยิ่งกว่านั้นมันก็คือนายรณกรคนนั้นหรือไอคุณน้องกรที่ทุก ๆ คนเรียกกัน (ซึ่งความแสบของมันเป็นที่เรื่องลือไปทั่วมหาลัยเลยหละครับ) มันดันอยู่คอนโดเดียวกับผมและอยู่ห้องข้าง ๆ ผมเสียด้วย ตอนที่ผมบังเอิญเปิดประตูออกมาเจอกรเขามันทำเอาผมตกใจแทบแย่แต่ประจวบเหมาะที่น้องเขาขับมอเตอร์ไซค์ล้ม (ซึ่งผมนี่หละก็เป็นคนหิ้วน้องมันไปส่งที่โรงพยาบาลและมารู้ทีหลังว่าน้องเขาเป็นโรคที่ไม่ถูกกับเครื่องจักรประเภทยานยนต์แทบจะทุกชนิดแต่ตอนนี้ดีขึ้นเยอะแล้วครับน้องเขาจับมือญาติดีกับรถยนต์สี่ล้อเรียบร้อยแล้ว) และวันนี้น้องเขาไม่ยอมไปทำแผล ในฐานะว่าที่นายแพทย์ในอนาคตอย่างผมก็เลยลากน้องเข้าห้องเพื่อพาไปทำความสะอาดแผลครับ ซึ่งการทำความสะอาดแผลคราวนี้ทำให้ผมรู้จักตัวตนของน้องเขามากยิ่งขึ้นครับ ไม่ว่าจะเป็นนิสัยส่วนตัวหรือความป่วนที่ใครต่อใครเขาพูดถึงกัน ผมอยากจะบอกเลยว่าความแสบ ป่วนและฮาของน้องมันนั้นไม่ตรงกับฉายาที่ทุก ๆ คนตั้งให้น้องเขาเลยครับ เพราะว่าสกิลการป่วน กวน แสบและฮาของกรเขามันยิ่งกว่าฉายาของน้องเขาอีกครับ ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยเห็นใครกวนประสาทได้เท่าน้องมันเลยครับและนั่นก็คงเป็นจุดเริ่มต้นให้ผมเริ่มมองน้องเขาจนในที่สุดผมก็ไม่สามารถละสายตาไปจากเขาได้เลย


ยิ่งผมได้รู้จักกรผมก็ยิ่งรู้ว่าความสุขในชีวิตคืออะไรแม้อีกฝ่ายนั้นไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกับผม แต่แค่นี้ผมก็มีความสุขแล้วแม้จะรู้สึกเจ็บบ้างเป็นบางครั้งที่น้องเขาบอกคนอื่น ๆ ว่าผมเป็นแค่พี่ชาย แต่การที่ได้อยู่ในฐานะนั้นผมคิดว่ามันก็มากเกินพอสำหรับผมแล้วหละครับ ผมพอใจกับฐานะนี้ที่น้องเขามอบให้ผมไม่อยากจะทรยศความไว้ใจของน้องมัน


แต่พอเรื่องราวในวันที่น้องไปฉลองวันปิดเทอมเกิดขึ้นและได้ฟังเรื่องราวจากปากของไอวิน ผมขอสารภาพเลยครับว่าผมโกรธมาก แต่ผมไม่ได้โกรธน้องหรอกครับแต่ผมโกรธตัวเอง โกรธที่ตัวเองไม่สามารถไปปกป้องน้องเขาได้ วันนั้นผมกล่าขอโทษน้องเขาหลายต่อหลายรอบ ซึ่งน้องเขาก็ไม่ได้โทษอะไรผมเลยสักนิด จนในที่สุดวันนั้นผมก็เผลอตัวทำบางสิ่งที่มากเกินกว่าหน้าที่ของพี่ชายนั้นสมควรทำและหลังจากวันนั้นเหมือนกรเขาจะหลบหน้าผมซึ่งผมเองก็หลบหน้าน้องเขาด้วยเรากลับมาใช้การติดต่อทางกระดาษโน้ตแทนการโทรศัพท์จนในที่สุดผมก็บังเอิญเจอกรเข้าที่หน้าประตูและถูกกรชวนมาที่บ้านของเขาถึงแม้ในช่วงแรก ๆ ผมกับกรจะทำอะไรไม่ถูกและอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ใส่กัน


แต่ในตอนนี้ผมก็รู้แล้วว่าที่กรทำแบบนั้นเขาไม่ได้รังเกียจผมแต่มันเป็นเพราะความรู้สึกที่กรมีให้ผมมันแปลกไปจากเดิมและกรก็กำลังปรับตัวรับกับความรู้สึกพวกนั้นไม่ทันก็เท่านั้นเอง


ผมอมยิ้มนั่งมองร่างที่นอนดิ้นอยู่บนโซฟาก่อนจะถอดแว่นตาของตัวเองออกและนั่งหลับบนโซฟานั่นไป (ในวันนี้ถ้าผมนอนเตียงเดียวกับกรผมคงคิดว่าผมไม่น่าจะมีความอดทนได้มากขนาดนั้น ดังนั้นที่นอนของผมในวันนี้ขอเป็นโซฟาแทนก็แล้วกันครับ)



____________________________________


ส่งจูบให้ทุกคน ไม่ได้อัพมาสักพักพอจะกลับมาอัพก็เกิดอาการขี้เกียจตัวเป็นขนนิดหน่อยค่ะ ตอนนี้ยังคงมุ่งมั่นกับการปั่นนิยายต่อไปแม้จะเสียทรัพย์แบบถล่มมทลายไปแล้วก็ตาม (ตอนนี้พลอยจนกรอบมากเลยค่ะน้ำตาจะไหล)


คราวนี้กรยอมเลื่อนตำแหน่งให้กับพี่ศิแล้วหละคะ ส่วนที่พี่ศิพยายามมา 13-14 ตอนก็เป็นผลสำเร็จแล้วหละค่า
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 14] 17/10/2013 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 17-10-2013 19:37:42
น้องกรน่ารัก ได้คุยกับพี่ศิถึงความรู้สึกของตัวเองที่เปลี่ยนไป
ได้เป็นคนสำคัญของน้องกรแล้ว รออีกนิดนะพี่ศิ รอให้กรปรับตัวปรับใจ
ถึงวันนั้นน้องกรคงบอกพี่ศิได้เต็มปากว่า เป็นแฟนเป็นคนรัก
คงอีกไม่นาน
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 14] 17/10/2013 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 17-10-2013 20:00:03
 :katai2-1: ตบมือแสดงความดีใจดังๆกับพี่ศิ ในที่สุดก็ได้เลื่อนขั้นขยับฐานะมาเป็น "คนสำคัญ" ของน้องกรแล้วววว  :katai2-1:

สู้ต่อไปค่ะพี่ศิ สู้ๆ  :mew3:

รอตอนต่อไปค่ะ  :L2: :กอด1: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 14] 17/10/2013 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 17-10-2013 21:36:06
ขยับฐานะขึ้นมาอีกนิดแล้วนะพี่ศิดีใจด้วย
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 14] 17/10/2013 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: karatop ที่ 18-10-2013 15:11:00
ดีใจกับน้องกรด้วยนะที่กล้าบอกความในใจไป สู้ๆ จ้า :mew1:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 14] 17/10/2013 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: RenaBee ที่ 18-10-2013 16:25:35
ได้เลื่อนขั้นกลายเป็นคนสำคัญแล้วนะคะพี่ศิ รุกเข้าไปสู้ๆค่ะ!!! /โบกป้ายไฟพี่ศิ FC/  :hao7:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 14] 17/10/2013 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: xeruoh ที่ 18-10-2013 18:36:30
พี่ศิก็น่ารักไปนะเนี่ยย
กรเอ้ยย คนสำคัญของแกมันโคตรดี ! โครเพอร์เฟคแมน
ให้ตาย

เปิดใจตัวเองให้มากๆนะกร แล้วจะรู้ว่ามีคนๆนึงรอการตอบรับจากกรอยู่
อิอิ

รอติดตามตอนต่อไปค่า
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 14] 17/10/2013 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: patchylove ที่ 18-10-2013 20:39:02
 :m1: :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 14] 17/10/2013 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 18-10-2013 20:58:44
น้องกรแค่กลัวจนไม่กล้าพูดความรู้สึกจริงๆเท่านั้นเองพี่ศิ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 14] 17/10/2013 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: DZiik ที่ 19-10-2013 16:29:38
ค่อยๆขยับเลื่อนขั้นกันไป  :hao3:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 15] 21/10/2013 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 21-10-2013 20:46:50


...ตอนนี้พลอยขอบอกลเยว่า...มันอีปิคมากและมันเกี่ยวกับแรง g= 9.81 ค่ะ...



Chapter 15



เอาหละครับหลังจากเมื่อคืนที่ผมได้สนทนาธรรมกับพี่ศิและทำความเข้าใจ (กับความรู้สึกของตัวผมเอง) กันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นผมก็เข้าสู่ห้วงนิทราและหลับลึกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มันอาจจะเป็นเพราะความสบายใจหรือผมนั้นโล่งใจกระมังครับที่ผมได้พูดทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในใจออกไปและไอการนอนหลับลึกแบบนั้นทำให้ผมตื่นเช้ามาด้วยสดชื่น ผมค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นจากเตียงพร้อมกับบิดขี้เกียจไปมา ดวงตาทั้งสองข้างผมก็ปรายมองไปยังที่ที่สมควรจะมีร่างสูงของบุรุษที่มีนามว่าศิรวิทย์นอนอยู่ ทว่ามันกลับว่างเปล่าผมแทบจะพลิกเตียงหาพี่ศิเขาจนหางตาของผมเหลือบไปเห็นร่างของพี่ศิกำลังนั่งหลับอยู่บนโซฟา
เมื่อเห็นอย่างงั้นผมตกใจจนแทบสิ้นสติ นี่ผมนอนดิ้นมากขนาดพี่ศิทนไม่ไหวจนต้องหนีไปนอนที่โซฟาเลยเหรอ ผมยกมือขึ้นปากของตนเองและค่อย ๆ คลานลงจากเตียงไปสะกิดพี่ศิที่ยังคงนอนหลับอยู่


“นี่…พี่ศิ พี่ศิ ตื่นหน่อยสิ” ผมเอานิ้วสะกิดแขนพี่ศิเขาเบา ๆ แต่มันก็ไม่ทำให้พี่ศิรู้สึกสะทกสะท้านอะไรเลย ‘ท่าทางพี่ศิคงจะหลับลึกไม่แพ้แน่ ๆ เลยหละครับ’


เมื่อผมสะกิดพี่ศิเบา ๆ แล้วมันไม่ตื่นผมจึงใช้วิธีแอดวาซ์นมากกว่านั้นก็คือการเจย่าตัวและตะโกนปลุกมันข้างหูเขาเลยหละครับ
มือทั้งสองเขย่าเข้าร่างสูงนั้นอย่างแรงพร้อมกับเสียงเรียบที่ตะโกนข้างหูอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงใจชาวบ้านชาวช่องที่กำลังนอนหลับอยู่ (ทั้งในห้องผมและห้องของคนอื่น) “พี่ศิ!!! พี่ศิ!!! พี่ศิ้!!! ตื่นได้แล้ววววว!!” 


เสียงของผมดังลั่นห้องจนทำให้ร่างที่ยังคงหลับใหลอยู่สะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที ใบหน้าคมที่กำลังเพิ่งได้สติทำหน้าเหรอหรา มันเป็นใบหน้าที่ตลกน่าดูเลยหละครับถ้าเกิดถ่ายภาพแล้วอัพลงอินสตราแกรมพร้อมทั้งแชร์ไปทั่วเฟซบุค แฟนคลับของพี่ศิอาจจะลดลงฮวบ ๆ เลยก็ได้หละมั้งครับ


เรือนผมสีดำที่ยุ่งเหยิง ใบหน้าคมที่กำลังงัวเงียตามประสาคนเพิ่งตื่น มือกร้านถูกยกขึ้นมาสางผมตัวเองเบา ๆ ก่อนจะลุกขึ้นบิดขี้เกียจน้อย ๆ


“กรเสียงดังไปแล้วนะ เดี๋ยวคุณป๊ากับคุณม๊าตื่นขึ้นมาว่างหรอก” เสียงทุ้มเอ่ยปรามผม พร้อมกับนิ้วเรียวยกขึ้นมาดีดหน้าฝากของผมเบา ๆ


ผมทำหน้ายู่ยี่ใส่พี่ศิพร้อมกับคว้ามือของพี่เขาออกจากใบหน้าของผมแล้วกับยัดใส่ปากพร้อมกับงับลงไป (เกือบจะ) เต็มแรง เอาแล้วหละครับคราวนี้เป็นพี่ศิที่ต้องเบ้หน้าแทนผมแล้วหละครับมืออีกข้างของพี่ศิพยายามยื่นเข้ามาหมายจะง้างปากของผมออก แต่พวกคุณคิดเหรอว่าผมจะยอมซึ่งผมก็ไม่ยอมนั่นหละครับจากมือกร้านที่คิดจะเอามาง้างปากผมกลายมาเป็นการลูบที่ใบหน้าของผมอย่างแผ่วเบา


สัมผัสนั้นทำให้ผมหน้าร้อนขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุและฟันของผทที่กำลังงับนิ้วของพี่ศิอยู่ ตอนนี้ก็กลายเป็นผมนั้นกำลังอมนิ้วของพี่เขาไว้เฉย ๆ ลิ้นของผมสัมผัสกับนิ้วของพี่ศิอย่างแผ่วเบาก่อนมือข้างนั้นของพี่ศิจะลดมือออกจากปากของผมและไล่ลงไปเชยคางของผมให้เชิดหน้าขึ้นไปมองหน้าของพี่ศิเขา


ผมส่งสายตาท้าทายไปให้พี่ศิซึ่งพี่ศิก็ใช้แววตาเจ้าเล่ห์มองมายังผมเช่นกันเราทั้งสองคนเล่นเกมส์จ้องตากันแบบนี้อยู่ไปสักพัก ไม่นานนะเสียงประตูของผมก็ถูกปลดลอคพร้อมกับร่างของคุณเจ้และคุณน้องสาวที่วิ่งเข้ามาหมายจะด่าผม (ด้วยเหตุผลที่ผมทำเสียดังจนทำคุณผู้หญิงทั้งสองคนตื่นครับ)


แต่ทั้งสองคนก็ต้องงะชักตัวและถอยปรี่ออกจากห้องแทบไม่ทัน และเช่นเดียวกันผมกับพี่ศิก็ดีดตัวออกห่างจากกันทันทีที่คุณเจ้และคุณน้องสาวของผมเปิดประตูห้องเข้ามา


“พี่ศิ! เล่นอะไรคุณเจ้กับยัยกิ้กเข้าใจผิดกันหมดแล้ว” ผมยกมือหวดไปที่แขนของพี่ศิพร้อมกับบ่นใส่พี่เขาไปเสียยาวเหยียด ซึ่งทางฝ่ายพี่ศิก็ไม่คิดจะยอมให้ผมบ่นใส่อยู่ฝ่ายเดียวร่างสูงยกมือขึ้นมาบีบจมูกของผมเอ่ยถ้อยคำออกมา “กรนั่นหละ ตะโกนซะคนทั้งบ้านตื่น แถมเล่นอะไรไม่รู้เอานิ้วพี่ไปกัด”


พี่ศิเถียงผมมาแบบนี้ผมก็ปรี้ดแตกสิครับผมแค่กัดแต่ไอคนที่ทำภาพให้ส่อต่อการจินตนาการไปต่าง ๆ นานามันพี่ศิครับ “กรแค่กัด แต่พี่ศินั่นหละเล่นอะไรไม่รู้มาเชยคงเชยคางกรเนี่ย แล้วทีนี้กรจะอธิบายคุณเจ้กับยัยกิ้กยังไง!!” ผมกรีดร้องใส่หูพี่ศิ มือทั้งสองข้างของผมก็เอื้อมไปเขย่าคอพี่ศิอย่างแรงจนพี่ศิตัวโคลงเคลงไปมาจนเกือบจะล้ม


ซึ่งพี่ศิก็ได้แต่ยิ้มหน้าระรื่นใส่ผมจนใจที่สุด ผมก็พลาดครับ (เป็นการพลาดที่ไม่น่าให้อภัยที่สุดในชีวิตของนายรณกรเลยครับ) ผมที่เขย่าร่างพี่ศิเต็มแรงดันเผลอไปลื่นพรมเช็ดเท้าที่วางไว้ข้างเตียงทำให้ผมนั้นหงายหลังไปนอนแผ่หลาบนเตียง เพียงแต่ไม่ใช่แค่ตัวผมที่หงายหลังเพราะพี่ศิที่โดนผมกำคอเสื้ออยู่นั้นก็ล้มคว่ำตามผมลงมาด้วย


และด้วยแรง g = 9.81 ที่ทุกคนรู้จักดีของเหล่าผู้เคยผ่านฟิสกส์และจากสมการ F = ma แต่ตอนนี้เป็นการเคลื่อนที่ในแนวดิ่งเลยต้องใช้สมการ F = mg แทน ซึ่ง m ในที่นี้คือน้ำหนักของพี่ศิและ g = 9.81 จากการแก้สมการทั้งหมดผมมันก็เท่ากับว่ามีสิ่งของที่มีน้ำหนักราว ๆ 700 (กว่า ๆ) นิวตันก็หล่นลงมาทับผม และที่สำคัญด้วยส่วนสูงที่ไม่ต่างกันมากนักของผมกับพี่ศิ ทำให้ลักษณ์การล้ม (แบบมีแรงเสียดทานเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเพราะมีการเคลื่อนที่ในแนวระนาบ 2 มิติในตอนแรก) ของพวกเราทั้งคู่เป็นการล้มที่ใบหน้าของเราแนบกันพอดีและริมฝีปากของเราทั้งสองคนก็ประกบกับเปะแบบไม่น่าเชื่อ


ผมนอนนิ่งชะงักค้างอยู่แบบนั้นไปสักพักจนผมตั้งสติได้ว่าในตอนนี้ผมกำลังอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นใบหน้าของผมร้อนผ่าวและท่าทางตอนนี้หน้าของผมก็คงขึ้นสีแดงก่ำไม่แพ้แสงของดวงอาทิตย์ยามเย็นแน่นอนครับ แต่สิ่งที่ผมสนใจมากกว่าสถานการณ์และใบหน้าของผมในตอนนี้นั่นก็คือ…ริมฝีปากของผมครับ


หลังจากสติของผมกลับคือสู่ร่างอย่างครบถ้วนผมก็บรรจงยกเข่าของผมขึ้นและแรงยันพี่ศิไปเต็มแรง ในทันทีที่ผมหลุดออกจากอ้อมอกของพี่ศิผมก็รีบลุกนั่งพร้อมกับยกมือขึ้นมาปิดริมฝีปากผมไว้ พี่ศิเห็นปฏิกิริยาแบบนั้นของผมใบหน้าคมก็แสดงสีหน้ารู้สึกผิดและพยายามสรรหาคำมาขอโทษผมซึ่งผมก็ได้แต่ส่ายหัวไปมาอย่างเดียว


การกระทำแบบนั้นของผมไม่ใช่ว่าผมไม่รับคำขอโทษของพี่ศิ หรือโกรธอะไรพี่ศิมากมายหรอกครับและที่สำคัญผมไม่เด็กน้อยขนาดที่จะมาเขินอายกับการโดนจูบอะไรแบบนี้ด้วยแต่ที่ผมปิดปากนั่นก็คือ… ‘ผมปากแตกครับ’ อะไรกันนะครับพวกคุณไม่ได้ยินเหรอครับคือ ‘ผมปากแตกครับ’ และตอนนี้มันเจ็บมาก เจ็บจนน้ำตาจะไหลครับ


พวกคุณทุกคนอย่ามโน หรืออย่าจิ้นอะไรกันนะครับแบบล้มทับกันปุ๊ปปากชนกันปั้บแล้วส่งสายตาวิ้งวับ ๆ ใส่กัน อันนั้นมันเพ้อฝันเกินไปแล้วครับ คุณรู้ไหมการที่โดนอีกฝ่ายล้มทับแล้วริมฝีปากประกบกันเนี่ยมันเป็นนรกเลยนะครับ


พวกคุณนึกถึงร่างที่มีน้ำหนักเกือบ 700 (กว่า ๆ)  นิวตั้นมาล้มทับ ดูสิรับของหนัก ๆ มาล้มทับนอกจากจุกแล้วจะมีอะไรได้อีกครับและนี่ยิ่งริมฝีปากประกบกันเนี่ย ไอปากต่อปากมันก็นุ่มนิ่มอยู่หรอกครับแต่คุณลองคิดสิ่งที่อยู่ภายในปากสิครับนั่นก็คือฟัน คุณคิดว่าของแข็งกับของแข็งกระทบกันและแรงส่งถึง 700 (กว่า ๆ) นิวตัน มันจะไม่ทำให้สิ่งบอบบางอย่างเช่นเนื้อของมนุษย์จะมีความเจ็บปวดกันเลยเหรอครับ


ดังนั้นผมอยากจะบอกไว้เลยว่าผมเจ็บปากมากตอนนี้และตอนนี้น้ำตาผมไหลออกมาเป็นหยด ๆ แล้วหละครับซึ่งเมื่อพี่ศิเป็นน้ำตาของผมพี่แกก็ถลาเข้ามาขอโทษผมยกใหญ่ ซึ่งในขณะนั้นผมก็ได้แต่ส่ายหัวไปมาเพื่อเป็นการปฏิเสธ แต่ผมก็ยังเอ่ยพูดอะไรออกมาสักคำ ผมนั่งฟังพี่ศิไปมือทั้งสองข้างก็พลางปาดน้ำตาไปจนในที่สุดน้ำตาผมก็หยุดไหลและความเจ็บในปากก็บรรเทาลงแล้วจนใจที่สุดผมก็เอ่ยพูดออกไปจนได้


“พี่ศิ พอ ๆ ไม่ต้องขอโทษ” ผมพูดในขณะที่ยังใช้มือปิดริมฝีปากตนอยู่ เมื่อผมพูดไปแบบนั้นพี่ศิก็ปรายตาขึ้นมามองหน้าผมด้วยความสงสัย (ซึ่งพี่แกคนคิดว่าถ้าผมไม่หวงอีเฟริสคิสจูบแรกของผมแล้วผมจะตกใจร้องไห้แล้วก็ปิดปากทำไม) ผมสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ก่อนจะเอ่ยคำพูดที่คลายความสงสัยให้กับพี่ศิออกไปจนหมดเปลือก (แต่มือทั้งสองข้างของผมก็ยังคงปิดปากของผมอยู่นะ)


“พี่ศิ...กรปากแตก...” มันเป็นประโยคสั้น ๆ ที่คลายความสงสัยให้กับพี่ศิทั้งหมด คำพูดเหล่านั้นของผมทำให้ผมพี่ศิถึงกับทำหน้าเหวอและค่อย ๆ หัวเราะออกมาเสียงดัง


“ไหน ๆ ให้พี่ดูหน่อย” พี่ศิค่อย ๆ ยันตัวลุกขึ้นและเอื้อมมือมาแงะมือของผมออกซึ่งผมก็ยอมว่าง่ายปิดปากให้พี่เชาดู พี่ศิขมวดคิ้วแน่นก่อนจะพูดอาการบาดเจ็บ (??) ที่ริมฝีปากผมออกมา


“ริมฝีปากช้ำมากเลยกร บวมด้วยแถมมีเลือดไหลออกมาน้อย ๆ อีกต่างหาก” พี่พูดพลางเอื้อมมือไปควานกระดาษที่อยู่ตรงหัวเตียงมาซับเลือดที่ริมฝีปากของผมเบา ๆ ผมยื่นหน้าให้พี่ศิเช็ดคราบเลือดจากริมฝีปากจนในที่สุดเลือดก็หยุดให้ผมทำหน้ามุ่ยเพราะความเจ็บแต่กระนั้นพี่ศิก็ยังคงยิ้มและหัวเราะออกมาเบา ๆ


คนบ้าอะไรมาหัวเราะมามีความสุขทั้ง ๆ ที่คนอื่นเค้าเจ็บปากแทบตาย แถมไอการเจ็บปากนั่นก็เกิดมาจากฝีมือตัวเองซะด้วย ผมเลยหวดมือใส่บ่าพี่ศิไปอีกสักทีหนึ่งจนพี่ศิรู้ตัวและยอมหยุดหัวเราะออกมา มือกร้านลูบหัวผมน้อย ๆ ก่อนจะใช้มือฉุดแขนให้ผมยืนขึ้น


“ไปอาบน้ำได้แล้วกร” พี่ศิพูดพร้อมกับตบหลังให้ผมเดินไปที่ห้องน้ำซึ่งผมก็ทำตามพี่ศิเขานะครับแต่ก่อนที่ผมจะเข้าห้องน้ำไป ผมก็หันไปแลบลิ้นปริ้นตาใส่พี่ศิเขาและปิดประตูห้องน้ำลง


เมื่อบานประตูห้องน้ำปิดลงผมก็หันหลังไปพิงกับประตูห้องน้ำ มือของผมพลางยกขึ้นมาไล้ริมฝีปากอย่างแผ่วเบา…


ความจริงไม่ใช่ว่าผมนั้นจะไม่เขินหรอกครับ เขินหนะมันเขินแต่ว่าความเจ็บมันมีมากกว่า จนทำเอาผมลืมความเขินไปเสียหมดเกลี้ยงเลยครับ


แต่ก็นะผมก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายที่ยืนอยู่หลังบานประตูนี้จะรู้สึกเขินแบบเดียวกับผมหรือเปล่า เอาเถอะปล่อยให้เป็นเรื่องของพี่ศิเขาไปเถอะครับส่วนผมขอตัวไปอาบน้ำเตรียมทานข้าวเช้าก่อนก็แล้วกัน


หลังที่ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ (ซึ่งเสร็จก่อนพี่ศิหละครับ) ผมก็วิ่งปรี่ออกมาจากห้องนอนของผมทันทีโดยที่ไม่รอพี่ศิที่เข้าไปอาบน้ำหลังจากผม ผมรีบวิ่งลงบันไดจากชั้นสองลงไปชั้นหนึ่งและทันทีที่เท้าของผมแตะลงบนพื้นสายตาทิ่มแทงของคุณเจ้และคุณน้องสาวของผมก็เพ่งมายังผมทันที


สายตาของทั้งสองคนนั้นเต็มไปด้วยความสงสัยและต้องการคำตอบออกจากปากของผมเดี๋ยวนี้ ซึ่งสายตานั่นทำให้ผมอยากจะหันหลังกลับและวิ่งหนีกลับขึ้นไปบนห้องทันที ทว่ามันไม่ทันเสียแล้วสองสาวที่มีความสงสัยที่ล้นปรี่ทั้งสองคนเดินมาจับแขนผมคนละข้างและลากผมออกจากตัวบ้านเพื่อเข้าไปในสวนแล้วหละครับ


ร่างของผมโดนคุณเจ้และคุณน้องสาวที่รักยืนค่อมอยู่ (เอ้อตอนนี้ผมนั่งอยู่ที่ม้านั่งในสวนของบ้านผมครับ) ทั้งสองคนนี่ทำสีหน้าที่อยากจะรู้ความจริงจากปากของผมเต็มแก่แล้วซึ่งผมก็ไม่อยากจะเล่าได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ให้คุณผู้หญิงทั้งสองและกวาดสายตาเพื่อหาทางหนี


“ไอกร บอกเจ้มาดิ แกกับน้องศิเป็นอะไรกัน” คำถามตรง ๆ ที่ทิ่มแทงมาในหัวใจ เจ้ครับ เจ้ใช้คำถามอ้อม ๆ หน่อยก็ดีนะครับ แต่คำถามแรกจากคุณเจ้ยังไม่พอคุณน้องสาวของผมก็เอ่ยถามคำถามที่สองออกมาทันที “เฮียกร เฮียเป็นหนุ่มวายตั้งแต่เมื่อไหร่อะ”
ไอคำถามแรกผมไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่หรอกครับแต่ไอคำถามที่สองของนันกิ้กนี่ทำเอาผมแทบกัดลิ้นตาย ให้ตายเถอะผมต้องอธิบายสองคนนี้ยังไงดีว่าผมกับพี่ศิไม่ได้เป็นอะไรกันมากกว่าเออ…คนสำคัญของกันและกัน…ครับ


“เจ้ถามอะไรเนี่ย ยัยกิ้กด้วยเอาที่ไหนมาพูด” ถึงความจริงผมจะให้สถานะพี่ศิเป็นคนสำคัญแต่ว่าผมก็ไม่อยากป่าวประกาศบอกใครหรอกครับว่าผมมีคนสำคัญชองชีวิตแล้ว คือไม่ว่าคนสำคัญของผมจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายมันก็อายไม่แพ้กันหรอกครับ


“เมื่อเช้า...เจ้เห็นยัยกิ้กก็เห็น สารภาพมาซะดี ๆ อย่าให้เจ้ต้องบีบบังคับแกไอกร” คุณเจ้กิ้ฟท์ที่รักของผมเริ่มพูดขู่ ซึ่งผมไม่เคยบอกทุก ๆ คนใช่ไหมครับว่าผมกลัวเจ้กิ้ฟ?ที่สุดในบ้าน กลัวมากกว่าคุณป๊าคุณม๊าอีกครับ วีรกรรมของเจ้แกที่ทำไว้กับผมมันเยอะมาก เยอะจนผมกลัวเลยหละครับ


ผมกลืนน้ำลายลงไปอึกใหญ่ก่อนจะยอมแพ้และยอมศิโรราบให้กับคุณเจ้ที่รักของผม “เมื่อเช้าแค่เล่นกัน คือไปกรงับนิ้วพี่ศิเขาก็แค่นั้นเอง”ผมตอบคำถามเจ้แกไปแต่รู้สึกคำตอบของผมมันจะยังไม่ถูกใจคุณเจ้เขา เพราะคุณเจ้ยกมือขึ้นมากอดอกพร้อมกับเชิดหน้าเพื่อแสดงให้ผมรู้ว่า ‘แกตอบให้ตรงคำถามซะ’ ซึ่งผมก็ยอมรับชะตากรรมแล้วก็ก้มหน้าก้มตาพูดความจริงไป


“กรกับพี่ศิ…เฮ้อ…สำหรับกร พี่ศิเป็นคนสำคัญของกรก็เท่านั้นเองเจ้” ผมพูดเสียงแผ่วแต่ต่อให้ผมพูดเบาแค่ไหนสกิลการฟังของเจ้กิ้ฟท์นั้นสูงมากเพราะเจ้เขาได้ยินในสิ่งที่ผมพูดอย่างครบถ้วนเลยครับ (ยัยกิ้กก็ได้ยินครับ)


คุณเจ้แกกอดอกพร้อมกับพยักหน้ารับรู้ ส่วนคำถามถัดมาเป็นคำถามของยัยกิ้กครับซึ่งคำถามนี้ผมเอ่ยปากตอบไปอย่างเต็มปากเต็มคำเลยครับว่า “หนุ่มวายคืออะไรว่ะ ไอกิ้ก” สิ้นคำถามของผมยัยกิ้กผู้เป็นน้องสาวสุดที่รักของผมก็ประเคนมะเหงกใส่หัวผมทันที พร้อมกับส่งเสียงบ่นพึมพำแต่ก็ยอมอธิบายคำว่าหนุ่มวายออกมา


“หนุ่มวายมันหมายความว่าอารมณ์แบบ…เป็นผู้ชายแต่กลับไปหลงรักผู้ชายด้วยกันไง นั่นหละเรียกว่าหนุ่มวาย” ยัยกิ้กอธิบายซึ่งคำอธิบายของยัยกิ้กนั้นทำให้ผมต้องพูดปฏิเสธเสียหลง “ไอกิ้กกรูไม่ใช่เกย์!!” และผมก็ถูกยัยกิ้กประเคนมะเหงกใส่หัวให้อีกหนึ่งที


“กิ้กหมายถึงเฮียเป็นหนุ่มวาย ไม่ใช่เกย์เว้ยกิ้กรู้ว่าเฮียไม่ได้เป็นเกย์ เฮียแค่ชอบพี่ศิเท่านั้น” ผมงงกับคำพูดของยัยกิ้กแต่ในประโยคสุดท้ายที่ยัยกิ้กบอกกับผมว่าผมชอบพี่ศิ มันทำให้ผมรู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาแปลก ๆ ผมเม้มปากแน่นไม่ยอมตอบยัยกิ้กแต่ท่าทางของผมที่แสดงออกไป ดูเหมือนว่ายัยกิ้กและเจ้กิฟท์แกจะเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับผมและพี่ศิแล้วหละครับ
คุณเจ้กับคุณน้องสาวของผมมองหน้ากันสักพักก่อนทั้งสองสาวจะหัวเราะและแสดงอาการดีใจและกรีดกร้าดออกมา ผมมองทั้งคู่ด้วยแววตาสงสัยแต่ความสงสัยทั้งหมดก็คลายไปด้วยคำพูดของคุณเจ้ว่า “เจ้ว่าแล้ว…แกไอกรหน้าอย่างแกหนะไม่พ้นเป็นเมียชาวบ้านวะ เห็นไหมกิ้กเจ้บอกแล้วไม่เชื่อเจ้”


“ใครมันจะไปคิดหละเจ้ กิ้กก็เห็นเฮียมันมีแฟนเป้นผู้หญิงหลีหญิงไปเรื่อยแล้วใครคิดว่าเฮียกรจะกลายเป็นแบบนี้ได้” ผมนั่งฟังบทสนทนาของคุณเจ้และคุณน้องสาวด้วยความงุนงง ถ้าผมยกมือขอเวลานอกเพื่อถามว่าทั้งสองคนคุยเรื่องอะไรกันผมจะโดนคุณเจ้และยิ้ยกิ้กแพ่นกระบาลไหมครับ


ผมทนนั่งฟังหญิงสาวสองคนสนทนาธรรมกันได้ไม่นานและเหมือนกับว่าทั้งสองคนก็หมดธุระกับผมแล้วผมจึงเอ่ยปากขอตัวออกออกไปจากวงสนทนาที่ผมไม่เข้าใจนี้ “นี่เจ้ ยัยกิ้ก หมดเรื่องที่จะถามกรแล้วใช่ป่ะ งั้นกรไปนะ” สิ้นเสียงผมหญิงสาวทั้งสองคนปรายตามามองที่ผมก่อนทั้งคู่จะยกมือไล่ให้ผมออกไปจากวงสนทนา พวกเธอทั้งสองคนทำกับว่าตอนนี้ผมหมดประโยชน์เรียบร้อยแล้วครับ


ซึ่งผมก็ทำตามเธอทั้งคู่นะครับโดยการเดินก้มหน้าก้มตาออกจากตรงนั้นและปล่อยให้ทั้งสองสาวคุยกันไปอย่างออกรสออกชาติ
และเมื่อผมรอดพ้นจากสองสาวได้ผมก็ต้องกลับมาเผชิญหน้ากับพี่ศิที่ตอนนี้อยู่ในชุดไปรเวทเรียบร้อยแล้วหละครับ พี่แกมองผมด้วยรอยยิ้มและเอ่ยปากชวนผมไปทานข้าว “กรครับคุณป๊ากับคุณม๊าของกร ให้พี่มาเรียกกรไปทานข้าวครับ แล้วให้พี่ไปตามพี่กิฟท์กับน้องกิ้กกด้วยครับ”


“ไม่ต้องตามหรอกสองคนนั้นอะพี่ศิเดี๋ยวเขาก็เข้ามากินกันเอง ไปกินข้าวเถอะกรหิวแล้ว” ผมพูดรัว ๆ พร้อมกับเดินตรงเข้าไปในห้องทานข้าวพร้อมกับนั่งลงบนที่ของผมและสวาปามข้าวทั้งหมดลงท้องด้วยความรวดเร็ว


หลังจากผมทานข้าวเสร็จคุณป๊ากับคุณม๊าก็เอ่ยปากชวนให้ผมลองเข้าครัวไปทำเค้กอะไรสักหน่อยซึ่งผมก็ไม่ปฏิเสธหรอกครับแต่ไอคนที่นั่งทานข้าวอยู่ข้าง ๆ ผม ก็เสนอตัวอยากลองทำเค้กด้วย (คนที่นั่งข้าง ๆ ผมคือใครเหรอครับก็คุณพี่ศิที่รักของทุก ๆ คนไงครับ) บอกว่าอยากทำขนมเค้กหรืออะไรง่าย ๆ เป็นบ้างเลยขอสมัครตัวเป็นลูกมือของคุณป๊าคมสันและคุณม๊านัทชาอีกคนครับ ผมปรายตาหันไปมองพี่ศิซึ่งพี่เขาก็ได้แต่ยิ้มน้อย ๆ ให้ผมครับซึ่งผมก็ถลึงตาใส่พี่เขาไป การกระทำแบบนี้ของผมกับพี่ศิทำให้คุณป๊ากับคุณม๊าหัวเราะคิก ๆ คัก ๆ กันใหญ่


แต่ถ้าให้พูดถึงการไปช่วงงานในครัวของร้านขนม…ผมขอเรียกง่าย ๆ คือการเข้าไปเป็นเบ้ดี ๆ นี่เองหละครับ…



v
v
v
v
v
v
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 15] 21/10/2013 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 21-10-2013 20:49:46


เอาหละตอนนี้ผมกับพี่ศิอยู่ในชุดพร้อมรบกับขนมเรียบร้อยแล้วครับ (ความจริงก็แค่สวมผ้ากันเปื้อนเท่านั้นหละครับ) และตอนนี้ผมกำลังสอนพี่ศิตีครีมเค้กที่จะเอาไว้ทาชั้นแต่ละชั้นของเครปเค้กอยู่ครับ


“พี่ศิ!! กรบอกให้ตีครีมไม่ใช่ให้คนถ้าทำแบบนั้นเมื่อไหร่ครีมมันจะใช้ได้!” ผมตีไปที่บ่าพี่ศิแล้วแย่งที่ตีและกะละมังที่ใส่ครีมของเค้กอยู่มาตีเอง “ดูซะ! พี่ศิเค้าต้องตีกันแบบนี้” ผมสอนพี่ศิพลางใช้มือตีครีมเค้กให้พี่ศิดู ซึ่งสกิลนี้ผมได้รับการสั่งสอนมาจากคุณม๊าครับ ไอผมก็โดนตีไปหลายทีอยู่จนกว่าจะทำได้แบบนี้ ผมก็เลยใช้วิธีสอนแบบเดียวกับที่คุณม๊าสอนผมเอาไปสอนพี่ศิครับ ซึ่งพี่ศิก็พยักหน้าเออ ๆ ออ ๆ ตามผมแต่ผมคิดว่าพี่ศิแกคงไม่รู้เรื่องหรอกครับผมจึงจัดการยึดกะละมังมาตีเองจนเสร็จ เนื้อครีมที่อยู่ในนั้นมันนุ่มฟูและดูน่ากินมากครับซึ่งผมก็แอบคุณป๊าคุณม๊าจิ้มกินไปหลายทีแล้วหละครับ (ไม่ต้องสงสัยหรอกครับว่าทำไมผมถึงต้องใช้ระบบอัตโนมือและแอบใช้นิ้วจิ้มทานไปบ้าง ปกติตามร้านเค้กจะมีเครื่องมีครบครันใช่ไหมครับแต่นี่เป็นเครปเค้กที่ผมจะเอากลับไปทานที่หอครับผมก็เลยจำใจต้องใช้ระบบอัตโนมือตีเนื้อครีมเค้ก และตีเนื้อแป้งทำเครปเองครับ พอดีเครื่องตีมันไม่ว่าง แต่ความจริงที่หอผมก็ใช้มือตีเองหมดหละครับเลยชิน)


หลังจากผมตีครีมเสร็จผมก็วิ่งแจ้นไปหยิบแป้งเค้กในตู้เย็นออกมาครับแล้วก็เอาครีมเข้าไปใส่แทน เอาหละทีนี้ได้เวลาทำเครปแล้วหละครับ ช่วงเวลาทำเครปนี่เป็นอะไรที่ทรมานและยากสุดชีวิตเลยครับคุณต้องมีความอดทนสูงมากและมีสกิลการพลิกเนื้อเครปที่สูงมาก ๆ เช่นกัน ไม่งั้นตัวเนื้อแป้งของเครปจะขาดได้ และผมขอบอกเลยว่าตัวของผมนั้น…สกิลด้านนี้ผมไม่ค่อยจะมีเลยครับ


ผมตั้งกระทะเทปลอนบนเตาไฟฟ้าผมกับเร่งไฟให้อยู่ในระดับปานกลางถึงอ่อนไม่งั้นแผ่นเครปมันจะไหม้ครับ แถมเวลาจะทำเครปนี่เนื้อแป้งต้องไม่หนาจนเกินไปและก็ไม่บางจนเกินไปนะครับซึ่งผมไม่เคยกะถูกเลยสักทีทำทีไรไม่ขาดกระจุยกระจายก็จะหนาจนทานแล้วเลี่ยนครับมันเป็นอะไรที่ดราม่ามากเลยนะครับ ดังนั้นเครปเค้กที่ผมทำมันมักกลายเป็นเครปเปล่า ๆ เอาไปจิ้มแยมกินเล่น แทนที่จะเป็นเครปเค้กที่สวยงามครับ แต่ว่าคราวนี้ผมมีลูกมือแล้วแต่ไม่รู้ว่าลูกมือกิตติมศักดิ์คนนี้จะช่วยผมได้มากน้อยขนาดไหนเท่านั้นละ


“พี่ศิมาตรงนี้ ๆ ถ้าแป้งสุกได้ที่แล้วพี่ศิคอยกลับแป้งนะเดี่ยวกรไปดูครีมกับทำน้ำซอสราดเอง” ผมชี้นิ้วสั่งพี่ศิเอาเป็นว่าผมโป้ยหน้าที่ที่ลำบากที่สุดและน่าเบื่อที่สุดให้พี่ศิทำครับ ทำแบบเดิม ๆ เป็นสิบ ๆ แผ่นมันน่าเบื่อนะครับแถมต้องระมัดระวังอีก ดังนั้นผมเชื่อว่าคนเป็นหมอจะเป็นคนที่ระมัดระวังมากกว่าผมแล้วก็น่าจะทำอะไรละเอียด ๆ และอดทน ๆ ได้มากกว่าคนเรียนวิศวะแบบผมแน่นอน


และแล้วผมก็โยนหน้าที่ทำแผ่นเครปให้พี่ศิแล้วก็วิ่งไปอีกฝั่งหนึ่งของครัวพร้อมกับหยิบเครื่องเค้กออกมาเพื่อเตรียมจะทำน้ำซอสที่ใช้ราสลงบนหน้าเครปเค้ก คราวนี้ผมคิดว่าผมจะใช้น้ำซอสช็อกโกแลตครับแล้วเหตุผลที่ผมจะทำน้ำซอสเป็นช็อกโกแลตนั่นเหรอครับตอบแบบง่าย ๆ เลยนะ คือว่า ‘ผมชอบ’ เท่านั้นเองหละครับไม่มีอะไรมากมายไปกว่านี้แต่การที่เราจะใช้น้ำซอสราดเป็นช็อกโกแลตอาจจะทำให้เรารู้สึกเลี่ยนไปสักหน่อยดังนั้นน้ำซอสที่ราดบนเครปเค้กก็ต้องเป็นดาร์กช็อกครับ


ผมนั่งคนน้ำซอสช้อกโกแลตที่ตอนนี้อยู่ในหม้อไปแต่บางทีก็ใช้สายตาเหลือบไปมองพี่ศิที่กำลังนั่งทำแผ่นเครปอย่างขะมักเขม้น แต่รู้สึกว่าพี่ศิเขาจะทำตัวแผนเครปใช้ได้เลยหละครับเพราะว่าผมเห็นพี่ศิพลิกแผ่นเครปนี่อย่างโปรเลยครับ ไม่มีขาดเลยสักแผ่น ถ้าเป้นผมนะในสิบแผ่นขาดมันหมดทั้งสิบแผ่นนั่นหละครับ ผมยังคงเตรียมน้ำซอสราดไปเรื่อย ๆ (และแอบไปขโมยเค้กในร้านกินบ้างอะไรบ้าง) จนในที่สุดตัวน้ำซอสราดของผมเสร็จเรียบร้อยแล้วหละครับและตัวแผ่เครปพี่ศิก็ทำเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ
และเมื่อผมเห็นผลงานของพี่ศิผมก็วิ่งแก้มกระโดดไปหาพี่ศิและเอ่ยชมพี่ศิ “โหยเก่งนะเนี่ยพี่ศิ กรนำกลับตัวแผ่นแป้งไม่เคยได้สักทีทำทีไรเละตลอดอะ อ้าคราวนี้จะได้กินเครปเค้กสักทีน้า” เมื่อผมพูดจบผมก็เอาข้อศอกกระทุ้งหน้าท้องของพี่ศิไปทีพร้อมกับถือถาดที่ใส่แป้งเครปเค้กไปวางบนโต๊ะที่มีพื้นที่ว่าง เพื่อเตรียมทำขั้นตอนต่อไป


“พี่ศิไปเอาตัวครีมในตู้เย็นให้กรที” ผมออกปากสั่งพี่ศิอีกครั้งซึ่งพี่ศิก็ว่าง่ายครับ พี่ศิแกก็เดินไปหยิบถ้วยครีมของเครปเค้กที่ผมนำไปใส่ในตู้เย็นออกมาครับและพี่แกกฌค่อย ๆเดินกลับมาหาผมครับ


เอาหละครับงานขั้นต่อไปคือการประกอบร่าง เอ้ย…การทาครีมบนแผ่นเครปแล้วน้ำมาประกบเป็นชั้น ๆ ครับ อันนี้เป็นอะไรที่ท่าสนุกที่สุดเท่าที่ผมทำเครปเค้กมาแล้วครับ ผมค่อย ๆ บรรจงป้ายครีมลงแผ่นแผ่นเครปเค้กแผ่นแรกอย่างเบามือหลังจากทาไปทั่ว ๆ แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเอาแผ่นเครปชิ้นต่อไปมาวางครั้บและหน้าที่นี้จะเป็นของใครไม่ได้เลยนอกจากพี่ศิหรือนายศิรวิทย์นั่นเอง


“พี่ศิเอาแผ่นเครปวางให้กรที” ผมเอามือตบบ่าพี่ศิและรอให้พี่ศิเอาแผ่นเครปแผ่นต่อไปมาวางทับแต่ในขณะที่พี่ศิกำลังใช้สมาธิในการยกแผ่นเครปไปวางผมก้ฉวยโอกาศเอาครีมที่ใช้สำหรับทาแต่ละชั้นของเครปเค้กป้ายหน้าพี่ศิไปนิดนึง พี่ศิสะดุ้งตัวแล้วหันมามองที่ผม ไอผมก็หัวเราะใส่พี่ศิเขามือข้างหนึ่งก็ถึงใบพัดที่ใช้สำหรับเกลียเนื้อครีมให้เรียบส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็ถูกเอาไปกุมไว้ที่ท้องเพราะผมดันหัวเราะจนตัวงอ


การกระทำแบบนี้ของผมคิดเหรอว่าพี่ศิแกจะยอมแพ้พี่ศิแกไม่ยอมแพ้ครับเพราะพี่แกเล่นเอานิ้วจุ่มไปในถ้วยครีมและเอามันมาป้ายที่จมูกของผม เอาหละครับคราวนี้เป็นศึกระหว่างผมกับพี่ศิแล้วหละครับว่าใครจะเป้นคนเปื้อนมากกว่ากันเราพลัดกันป้ายกันไปกันมาจนในที่สุดกรรมการห้ามทับก็คือคุณม๊าของผมนั่นเอง “น้องกร น้องศิถ้าเล่นมากกว่านี้ท่าทางทั้งคู่จะไม่ได้ทานเครปเค้กเอานะคะ” เสียงของคุณม๊าเตือนสติทำให้ผมหันไปมองเนื้อครีมที่หายไปจากในถ้วย เราสองหัวยิ้มแห้ง ๆ ให้กันก่อนจะทำหน้าที่ของตัวเองต่อ นั่นก็คือผมเป็นคนป้ายเนื้อครีมลงบนเครปแต่ละแผ่นและพี่ศิก็เป็นคนเอาแผ่นเครปมาวางเรียงกันเป็นชั้น ๆ หลังจากที่ผมป้ายเนื้อครีมเสร็จแล้ว


เราทั้งสองคนทำแบบนี้กันไปเรื่อย ๆ จนในที่สุด! เครปเค้กของเราก็เรียงกันเป็นชั้นสวยงามครับ และขั้นตอนต่อจากนี้ไปก็คือการนำวิปครีมทารอบ ๆ เครปเค้กของเราที่เสร็จแล้วนะครับแต่ไอเครปเค้กมีหลายสูตรครับ บางสูตรก็ไม่ต้องใช้วิปครีมแต่บางสูตรก็ใช้วิปครับ ซึ่งสูตรบ้านผมเป็นสูตรที่ใช้วิปครีมทาที่เนื้อเครปเป้นขั้นสุดท้ายครับ


งานนี้ก็สนุกหละสิครับผมรีบวิ่งปรี่ไปหยิบวิปครีมที่เตรียมไว้ในตู้เย็นออกมาและรีบวิ่งกลับมาตรงที่เครปเค้กที่เป็นผลงานของผมกับพี่ศิวางไว้


ผมแสยะยิ้มร้ายก่อนจะใช้ใบพัดจุ่มวิปครีมและเอาใบพัดนั่นหละป้ายไปที่แก้มพี่ศิหนึ่งทีใบหน้าข้างหนึ่งของพี่ศิขาวจั้วะไปครึ่งหนึ่ง ซึ่งที่ผมทำแบบนี้ทำให้พี่ศิตกใจเป็นอย่างมา จนในที่สุดจากการที่เราทั้งสองคนจะต้องทำเครปเค้กให้เสร็จมันก็เปลี่ยนมาเป็นศึกวิปครีม (หลังจากมีศึกครีมเค้กไปรอบแล้วครับ) ครับ เราเอาใบพัดฟันกันโชะเชะ แน่นอนการกระทำของเราทำให้คนที่อยู่ภายในห้องครัวนั้นหัวเราะคิก ๆ คัก ๆ กัน ส่วนคุณป๊าคมสันกับคุณม๊านัทชาเริ่มส่ายหัวระอากับการเล่นของผมกับพี่ศิครับ


ใบหน้าของพวกเราทั้งสองเริ่มเละไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดคุณม๊านัทชาก็ทนไม่ไหวและออกปากไล่พวกเราสองคนให้ไปล้างหน้ากันครับ ผมเดินคอตกออกจากห้องครัวและตรงไปที่ห้องน้ำ ซึ่งพี่ศิก็ทำเช่นเดียวกันกับผมแต่ก่อนที่ผมจะเปิดประตูห้องน้ำเพื่อเข้าไปล้างหน้ามือข้างหนึ่งของพี่ศิก็รั้งร่างของผมไว้พร้อมกับใช้นิ้วมือเกี่ยววิปครีมที่ติดอยู่ข้างแก้มของผมออกมา


ผมมองการกระทำเช่นนั้นของพี่ศิด้วยความฉงนแต่เฉลยของการกระทำนั้นก็ปรากฏขึ้นเมื่อพี่ศิใช้นิ้วที่ป้ายวิปครีมออกจากข้างแก้มผมไปเลียเบา ๆ


“หวาน....” เสียงทุ้มเอ่งดังพร้อมกับคลี่ริมฝีปากตนเป็นรอยยิ้มร้ายที่ส่งมอบมาให้ผม ไอผมแทบจะกรีดบ้านแต่แต่ไออาการอับอายผมมีมากกว่าผมพยายามสะบัดมือพี่ศิให้หลุดก่อนจะวิ่งหนีเข้าห้องน้ำและจัดการล้างหน้าตัวเอง เมื่อผมเงยหน้าขึ้นไปมองใบหน้าของตัวเองในกระจกเอาหละครับแก้มผมก็ขึ้นสีแดงแปรดทันที


ผมยกมือขึ้นมากุมแก้มทั้งสองข้างของตัวเองเอาไว้พร้อมกับพุดคำว่า ‘พี่ศิบ้า’ ไปมาไม่หยุด


หลังจากที่ผมสงบสติและอาการหน้าแดงของผมหายไปตอนนี้ผมก็เปิดประตูออกมาเจอพี่ศิที่ยืนรอพร้อมกับยิ้มหน้าบานใส่ผม ซึ่งผมก็เลือกที่จะเมินพี่ศิเขาครับผมเดินตรงเข้าไปในห้องครัวและทำเครปเค้กต่อโดยไม่สนใจพี่สิที่เดินตามหลัง ผมป้ายวิปครีม (ที่ยังเหลือรอดจากสงครามเมื่อสักครู่) ลงบนหน้าเครปเค้กและเกลี่ยไปตามขอบที่เป็นชั้น ๆ ของเค้กอย่างเบามือผมใช้เวลาจัดการเนื้อวิปครีมนี้ให้เรียบอยู่สักพักในที่สุดความพยายามของผมก็เป็นผลสำเร็จครับ ขั้นตอนสุดท้ายก็คือการตกแต่งหน้าเค้กครับ


และสิ่งที่ผมเลือกมาตกแต่งหน้าเค้กก็คือ! สตอร์เบอร์รี่กับช็อกโกแลตที่เป้ฯของโปรดผมครับ ผมยืนเรียงสตอร์เบอร์รี่ลูกใช้วางตั้งไว้โดยแบ่งให้เป็น 8 ส่วนเท่า ๆ กันตามด้วยโรยช็อกโกแลตขูดลงไปบนหน้าของเครปเค้ก เอาหละครับในที่สุด! ผลงานของผมกับพี่ศิก็สำเร็จเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ


ผมยิ้มปลื้มให้ผลงานก่อนจะหันไปยักคิ้วให้พี่ศิและพี่ศิก็หันมายกนิ้วให้ผมเราสองคนหัวเราะคิก ๆ คัก ๆ กันอยู่สักพักก่อนที่ผมจะยิ้มไอโฟน (ที่รุ่นมันเก่ากว่าไอโฟนของพี่ศิ) ขึ้นมาและยื่นมันไปให้คนตรงหน้า


“พี่ศิถ่ายรูปกรกับเค้กให้หน่อยสิ” ผมพูดใส่พี่ศิพร้อมกับใบหน้าที่ระบายไปด้วยรอยยิ้มซึ่งพี่ศิก็พยายามหน้าและกดเปลี่ยนโหมดหน้าจอเป็นโหมดกล้องและถ่ายรูปผมที่แอคท่าถ่ายกับเค้กไปเสียหลายรูป


และในขณะที่ผมกำลังเบนความสนใจไปยังเค้กที่ทำสำเร็จ ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรคนที่อยู่ข้างกายเลยและมัวแต่วิ่งเอาเค้กไปอวดทุกคนที่อยู่ในครัวจนหมด ในเวลานั้นผมลืมไปศิไปเลยครับและก็ไม่ได้รับรู้เลยว่าทุกการกระทำของผมมันอยู่ในสายตาของพี่ศิทั้งหมดแถมอีกฝ่ายก็ควักมือถือของตนขึ้นมาถ่ายภาพทีเผลอของผมไว้เสียด้วย


หลังจากที่ผมวิ่งร่อนอวดเครปเค้กให้ทุกคนดูจนหมดบ้าน (ไม่ว่าจะเป็นคุณป๊า คุณม๊า คุณเจ้ คุณน้องสาว น้องกัซหรือจะลูกมือของคุณป๊าคุณม๊าในครัว) คราวนี้ก็ได้เวลาแพคเค้กชิ้นนี้ลงกล่องเสียทีละครับและตอนนี้ก็ปาไปจะบ่ายโมงแล้วครับมันก็ใกล้เวลาที่ผมกับพี่ศิต้องกลับหอกันแล้วครับ (ความจริงคือพี่ศิคนเดียวหละครับผมไม่มีความจำเป็นอะไรจะต้องกลับไปที่หอเพราะว่าผมปิดเทอมแล้วครับ)


ผมจึงต้องรีบแพคเค้กลงไปในกล่องพร้อมกับรีบเร่งเอาซอสที่ใช้ราดลงบนเครปเล็กใส่กระปุกไปผมเตรียมการอยู่ไม่นานตอนนี้เครปเค้กฝีมือผมกับพี่ศิก็อยู่ในบรรจุพันธ์เรียบร้อยแล้วครับผม หลังจากแพคเค้กเสร็จผมก็เดินลั่นลาเข้าตัวบ้านไปโดยที่มีพี่ศิเดินตามอยู่ทางด้านหลัง ผมบอกให้พี่ศิไปจัดการกับข้าวของบนห้องของผมซะเพื่อที่พวกเราทั้งสองคนจะได้เดินทางกลับคอนโดกันเสียทีซึ่งพี่ศิก็ยังว่าง่ายเหมือนเดิมครับพี่ศิก็เดินขึ้นไปเก็บกระเป๋าตามที่ผมบอกส่วนผมหนะเหรออยู่ในช่วงกอบโกยเสบียงเอาไปกินเล่นที่หอไงครับ


ขนมขบเคี้ยวอะไรที่มีอยู่ในบ้านผมนี่โกยใส่ถุงอย่างเดียวอ่อรวมไปถึงขนมของร้านของผมด้วยนะครับผมก้หยิบไปเท่าที่ผมอยากจะกิน ถ้ากินไม่หมดก็แช่ตู้ไว้ครับเอาไว้กินวันหลังได้ ขนมของบ้านผมแม้ค้างคืนก็ยังคงอร่อยไม่เสื่อมคลายครับเรื่องรณกรคอนเฟริม


ผมยืนรอพี่ศิที่ขึ้นไปจัดของบนห้องสักพักไม่นานนักร่างสูงก็เดินลงมาพร้อมกับหิ้วกระเป๋าใบไม่ใหญ่มากอยู่ในมือพี่พยักหน้าให้กับพี่ศิพร้อมกับยื่นถุงขนมขบเคี้ยวเกือบจะทั้งหมดบ้านและรวมไปถึงขนมต่าง ๆ นานา ที่ขายอยู่ในร้านเค้กของบ้านผม อ่อเครปเค้กที่พวกผมช่วยกันทำด้วยนะครับให้พี่ศิเอาไปใส่ไว้ในรถ (นี่ผมไม่ได้ใช้พี่ศิเค้านา พี่ศิเค้าถามผมว่าพี่จะเอาของไปเก็บที่รถ ‘กรจะให้พี่เอาอะไรไปเก็บให้ไหมครับ’ ผมก็เลยเอาของที่ผมขโมยจากในบ้านและร้านยื่นไปให้พี่ศิเขาเอาไปเก็บในรถให้ครับ ผมแค่ไม่อยากให้คำถามของพี่ศิเค้าเสียเปล่าไงเลยส่งไปให้ทั้งหมดเลย) ซึ่งพี่ศิเขาก็ไม่ได้ว่าอะไรนะครับซ้ำยังยิ้มตอบแล้วแบกของทั้งหมดเอาไปใส่ไว้ในรถ (จริง ๆ มันก็ไม่มากหรอกครับผมก็โม้ ๆ ไปงั้นละ)


ตายละ! พี่ศิเป็นคนที่น่ารักและเชื่องจริง ๆ บอกให้ทำอะไรก็ทำหมดเลยหละครับ แต่ให้พูดไปถ้าพี่แกเอาแต่ใจขึ้นมานี่น่ากลัวแบบสุดชีวิตเลยนะครับ


หลังจากที่เราทั้งสองคนยกเค้า เอ้ย…เก็บของเตรียมตัวกลับคอนโดเสร็จผมกับพี่ศิก็เดินเข้าไปในร้านเพื่อลาคุณป๊าคมสันกับคุณม๊านัทชา ผมวิ่งปรี่ไปกอดท่านทั้งสองพร้อมกับเอาหน้าซุกลงที่บ่าคุณม๊า คุณม๊าก็ได้แต่ลูบหัวผมเบา ๆ และคุณป๊าก็ตบบ่าผมเบา ๆ กลับมา


ส่วนพี่ศิหนะเหรอกครับพี่แกได้เป็นลูกชายคนที่สามของบ้านไปเรียบร้อยแล้วครับ แถมคุณม๊าของผมนี่หอมแก้มทั้งสองข้างของพี่ศิแล้วให้พรพี่ศิเขาเสียยกใหญ่ ส่วนคุณป๊าหนะเหรอฝากฝังผมกับพี่ศิให้ดูแลผมให้ดี ซ้ำยังบอกว่าถ้าผมดื้อให้โทรมาบอกคุณป๊าหรือคุณม๊าได้เลย


ทำไม! ทำไม! ทำไม! คุณป๊ากับคุณม๊าทำกับกรแบบนี้ กระเป็นถึงลูกชายคนโตของบ้านนี้แต่ทำไมไปหลงพี่ศิกันนัก! น้องกรไม่ยอม! ผมกอดอดทำหน้ามุ่ยใส่คุณป๊ากับคุณม๊าซึ่งทั้งสองคนก็ไม่ได้สนใจอะไรผมเล้ย! มัวแต่โอ๋ลูกชายคนใหม่อย่างพี่ศิกันอยู่ ผมเลยงอนและเดินกระแทคเท้าออกจากบ้านไปรอที่รถของพี่ศิก่อน แต่จริง ๆ ผมก็แอบมองพี่ศิคุยกับคุณป๊าคุณม๊านะครับแต่ด้วยอารมณ์อยู่ไกลผมเลยไม่ได้ยินที่ทั้งสามคนคุยกัน ผมยืนรอไปสักพักคุณเจ้และคุณน้องสาวก็เดินเข้ามาคุยด้วยอีกจนตอนนี้ในวงนั้นมีคนพูดคุยกันถึง 5 คนแล้วครับไอผมก็อยากจะเข้าไปเจือกอยู่หรอกแต่ด้วยฐิธิครับผมเลยไม่เข้าไปและยืนตากแดดร้อน ๆ รอให้พี่ศิออกมา แต่ดูเหมือนว่าพี่ศิจะจับออร่าไม่พอใจของผมที่ยืนรออยู่ที่รถได้พี่ศิเลยรีบตัดบทยกมือไหว้ทุก ๆ คนและเดินออกมาหาผมที่ตอนนี้กำลังจะสุกเพราะแดดสุดร้อนแรงแล้วครับ


“คุยกับคุณป๊าคุณม๊าเสร็จแล้วเหรอ” ผมกอดอกพร้อมกับพูดเสียงเรียบ ๆ ใส่พี่ศิ ซึ่งพี่ศิก้ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ตอบผมพร้อมกับปลดลอคประตูรถให้ผมเข้าไปนั่ง ซึ่งผมก็ย้ายตรูดของผมเข้าไปนั่งที่เบาะนั่งข้างคนขับและหยิบเข็มขัดนิรภัยมาคาดเพื่อเตรียมพร้อมให้คุณพี่ศิรวิทย์ออกรถ


เราทั้งสองคนนั่งเงียบใส่กันมาตลอดทางพี่ศิก็เหลือบตามองมายังผมในบางทีแต่ผมก็ยังคงเชิดหน้าไม่ยอมหันไปคุยกับพี่ศิอยู่จนในที่สุดเราทั้งสองคนก็กลับมาถึงคอนโดผมรีบหิ้วข้าวของของผมลงจากรถและรีบวิ่งตรงไปที่ลิฟท์โดยไม่รอพี่ศิเลยสักนิด ผมเดินดุ่ม ๆ เข้าไปในห้องพร้อมกับโยนของพี่เอามาจากที่บ้านลงไปที่โซฟา (ส่วนเค้กกับขนมผมเอาไปวางไว้ในห้องครัวแล้วครับ)


ผมยังคงนั่งงอนค้างอยู่แบบนั้นในที่สุดผมก็ยอมใจอ่อนและเดินไปคั่นเครปเค้กที่ผมกับพี่ศิช่วยกันทำมาสองชิ้นก่อนจะวิ่งออกจากห้องของตัวเองและเคาะไปที่ประตูห้องของพี่ศิ ผมยืนรออยู่สักพักไม่นานนักบานประตูก็เปิดออกพร้อมกับใบหน้ายู่ ๆ ของพี่ศิแต่ทันทีที่พี่ศิเห็นร่างของผมพร้อมกับขนมเค้กในมือใบหน้าที่ดูเหมือนจะกังวลใจและหนักใจก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มจาง ๆ แต่แววตาของพี่เขาก็เป็นไปด้วยความสงสัย ไอผมก็เลยได้แต่ส่งรอยยิ้มพร้อมกับเอ่ยพูดกับพี่ศิออกไปว่า


“เมื่อบ่ายกรร้อนจนหงุดหงิดไปหน่อยตอนนี้ตากแอร์แล้วอารมณ์เย็นลงแล้ว…คือกรเลยจะมาชวนพี่ศิ…คือ…พี่ศิครับมากินเค้กด้วยกันนะ” ผมพูดพร้อมกับส่งสายตาแป่วแหววที่แฝงไปด้วยความรู้สึกผิดไปให้พี่ศิ ซึ่งผมก็ทำสายตาแบบนั้นไม่นาน (จริง ๆ แค่พี่ศิเห็นผมยืนอยู่หน้าห้องพี่ศิแกเกือบจะยิ้มออกมากว้างแล้วแต่ว่าพี่ศิแกแอบเก็กไว้) พี่ศิก็คลี่ยิ้มกว้างและเชื้อเชิญให้ผมเข้าไปในห้อง


“พี่คิดว่ากรจะแอบกินเค้กจนหมดคนเดียวซะแล้วสิ” เสียงทุ้มเอ่ยตามหลังผมจึงได้แต่หัวเราะคิกคักเบา ๆ พร้อมกับเดินตรงไปวางจานเค้กในห้องครัว


“พี่ศิได้กินแค่ชิ้นนี้หละ ที่เหลือกรจัดการเองหมดแน่นอน” สิ้นเสียงของผมพี่ศิก็ยกมือขึ้นมาขยี้หัวผมเบา ๆ พร้อมกับริมฝีปากหนาที่เอ่ยบ่นด้วยเสียงแผ่วเบาว่า ‘ไอตัวแสบเอ้ย’



____________________________________________


รณกร...นิสัยของนายมันอีปิคที่สุด... เป็นการจูบ?? โอเคค่ะเอาปากกระแทคกันที่ไร้ความหวานแบบสุด ๆ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 15] 21/10/2013 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 21-10-2013 21:07:04
  :impress2: อ๊า หนูกรแอบยั่วพี่ศิเบาๆเเบบมิรู้ตัวซะเเล้วลูก
           
                  อารมณ์คู่นี้เค้าเเบบว่าค่อยๆรักกัน "เบาๆ"  จริงๆอะ อ๊ายยย อยากกินเค้กขึ้นมาทันที   :-[

                  รอตอนต่อไปค่ะ  :L2: :กอด1: :pig4: :L2:                 
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 15] 21/10/2013 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 21-10-2013 21:07:43
น้องกรสาวแตกขึ้นทุกวันนะ
น่าจะดีใจนะที่พี่ศิเข้ากับที่บ้านได้
ขี้งอนนนะเรา
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 15] 21/10/2013 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 21-10-2013 21:48:16
อาร์มประมาณว่าไม่สนกรศิ
สนแต่เครปเค้กอยากกินมากม๊ากกกก
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 15] 21/10/2013 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: karatop ที่ 21-10-2013 21:56:30
ฟินๆ มีเอาครีมป้ายหน้ากันด้วย น่ารักไปไหน ^^"
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 15] 21/10/2013 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 22-10-2013 02:25:46
หวานกว่าเครปเค้กแล้วเนี่ย อิอิ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 15] 21/10/2013 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 22-10-2013 06:01:42
แรงจริงๆด้วย ปากแตกเลย
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 16] 24/10/2013 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 24-10-2013 21:12:22


อัพแบบไวว่องมากเลยหละคะ ไม่รู้เกิดนึกคึกอะไรแต่งตอนที่สต็อกไว้ได้ด้วยความเร่ง จึทำให้พลอยนำนิยายมาลงไวได้ค่ะขอฝากนิยายเรื่องนี้ด้วยนะค้า



Chapter 16



การปิดเทอมนี่ว่างจริง ๆ เลยนะครับ ตั้งแต่สมัยประถมแล้วหละทุกครั้งที่ปิดเทอมเรามักจะบ่นว่าอยากเปิดเทอมจังเลยอยากไปเจอเพื่อน ๆ ที่โรงเรียน แต่ช่วงเวลาเปิดเทอมมาถึงทุก ๆก็จะกลับไปคร่ำครวญว่าทำไมไม่ปิดเทอมสักทีอยากหยุดมาเรียนนี่เบื่อมาก ซึ่งตอนนี้ผมอยู่ในอาการขั้นแรกครับคือว่างมากเพราะปิดเทอมและตอนนี้อยากจะเปิดเทอมเต็มแก่แล้วแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอนจากบ่นอย่างเดียวนี่ละครับ แล้วก็ทำได้อีกอย่างคือการนอนพึ่งพุงตากแอร์เล่นเกมส์ออนไลน์และออฟไลน์ (ในห้องพี่ศิเพราะประหยัดค่าไฟห้องผม)


ตั้งแต่ผมกลับมาจากบ้านเมื่ออาทิตย์สองอาทิตย์ก่อนผมก็เริ่มทำการย้ายสำมโนครัวไปอยู่ห้องพี่ศิทันที ทุกท่านอย่าคิดนะครับว่าผมนี่ไปเสนอตัวให้พี่เชาถึงห้องอย่าจิ้นกันไปแบบนั้นมันน่าขนลุกครับ คือที่ผมย้ายไปนอนเล่นนั่งเล่นในห้องพี่ศิเพราะข้อหนึ่ง ประหยัดค่าไฟห้องผมครับ ข้อสอง ผมไปตอดข้าวในห้องพี่ศิทานได้สะดวก และข้อสามของเล่นในห้องพี่ศิเยอะมากครับ แต่ผมก็แบกเครื่องเล่นเกมส์ของผมมานั่งเล่นด้วยนะหยิบพวกเกมส์แล้วก็พวกโน๊ตบุคมาเปิดนอนเล่นในห้องนั่งเล่นของห้องพี่ศิเขาครับ
ในตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมงตรงทุกคนอย่าถามถึงพี่ศินะครับว่าพี่เขาอยู่ในห้องด้วยหรือเปล่า ขอคอบเลยนะครับว่าไม่อยู่และทุกคนอยากถามซ้ำสินะครับว่าพี่ศิไปไหนถ้าให้พูดรายนั้นก็หมกตัวอยู่ในโรงพยาบาลตามประสานักศึกษาแพทย์หละครับ ไปโรงพยาบาลแต่เช้าและกลับจากโรงพยาบาลในตอนดึก


ดังนั้นห้องของพี่ศิตอนนี้มันคล้ายกับเป็นห้องของของผมกลาย ๆ เอาเป็นว่าผมถือว่ามันเป็นอานานิคมของผมอีกที่หนึ่งก็แล้วกันนะครับ


และในขณะที่ผมกำลังนอนพึ่งพุงเล่นคอมสบาย ๆ (พร้อมกับผลาญค่าไฟพี่ศิไปด้วย) เมสเสจจากเฟซบุคของผมก็เด้งขึ้นมา ซึ่งมันเป็นข้อความจากไอบาสครับ (ผมว่าทุกคนคิดถึงมันผมเลยยอมคุยกับมันให้ทุกคนหายคิดถึงมันก็ได้ครับ) ผมลากเม้าส์คลิกไปดูข้อความที่มันส่งมา อีกมือหนึ่งก็หยิบมันฝรั่งทอดกรอบใส่ปากไป


บาส : สวัสดีครับเพื่อนกร เดี๋ยววันนี้กรูจะเข้าหอแล้วหละแต่กรูไม่นอนที่หอของกรูหรอกนะครับ ดังนั้นมรึงเตรียมเปิดห้องให้กรูไปนอนเลยครับเชี่ยกร


ผมอ่านข้อความที่ไอบาสส่งมาก่อนจะขมวดคิ้วน้อย ๆ ‘ไอบาสครับนี่มรึงสั่งหยั่งกับคอนโดของคุณกรูเป็นของคุณมรึงเลยนะครับ’ ผมได้แต่คิดประโยคพวกนี้ในใจ แต่นิ้วมือทั้งสองข้างผมก็พิมพ์ตอบกลับมันไปอีกอย่างหนึ่ง


ท่านกร : เปิดห้องให้คุณมรึงนอนหรือเปิดห้องให้คุณมรึงมาแดรกเหล้ากันครับ เพื่อนกรคิดว่ามรึงเมสเสจมาแบบนี้ไม่ใช่แค่จะมานอนที่ห้องกรูหรอกครับ บอกมาเลยดีกว่าว่าพวกมรึงมากันกี่คน


หลังจากที่ไอบาสได้อ่านเมสเสจมันก็ได้แต่ส่งอีโมชั่นยิ้มแหะ ๆ มาให้พร้อมกับยอมสารภาพความจริงว่าเป้าหมายที่มันต้องการมาค้างที่ห้องของผมคืออะไร


บาส : มรึงนี่รู้ทันตลอดวะไอกรก็ มีกรู มีไอเจมส์ ไอเปอร์แล้วอีกหลาย ๆ คนวะขอหน่อยน่า มรึงก็รู้ว่าหอในเอาเหล้าเข้าไปแดรกได้ที่ไหน กรูอยากแดรกเหล้าพร้อมหน้าพร้อมตากับเพื่อนเท่านั้นเองนะ เลยขอมาแดรกที่คอนโดมรึงไงนะ นะ นะ


ไอคำของแบบนี้ในตอนแรกผมก็ปฏิเสธมันไปหละครับแต่ว่าไอบาสมันเจือกส่งเมสเสจมาป่วนผมหลายต่อหลายรอบทำเอาเฟซบุคของผมเด้งไม่หยุดหนำซ้ำยังทำให้โน๊ตบุคลูกรักของผมค้างอีก จนในท้ายที่สุดผมก็ต้องจำใจยอมให้เหล่าเพื่อนฝูงและมิตรสหายเข้ามาก๊งเหล้าที่ห้องของผมครับ


ซึ่งไอบาสบอกว่าเวลาที่พวกมันจะมาคือราว ๆ บ่าย 4 โมงและตอนนี้ก็เป็นเวลาบ่าย 2 โมงครึ่งแล้ว นี่แสดงว่าผมต้องวิ่งกลับไปเคลียร์ห้องเพื่อไปรองรับพวกมันภายในชั่วโมงครึ่งสินะ ให้ตายเถอะผมไม่มีทางทำทันแน่นอน ตามที่ผมบอกไงครับผมย้ายสำมโนครัวมาที่ห้องพี่ศิได้สักพักแล้ว…


ดังนั้นตอนนี้ห้องของผมมันเขรอะและเต็มไปด้วยฝุ่นแน่นอนครับ…ถ้าให้ทำความสะอาดนี่มีตายแน่นอนครับและถ้าเกิดจะทำความสะอาดจริง ๆ คงใช้เวลาสักครึ่งวันแน่นอนครับ…


คราวนี้…งานเข้าผมหละครับจะทำยังไงให้ห้องของผมเคลียร์เสร็จในชั่วโมงครึ่ง ยิ่งคิดยิ่งหนักใจไอผมก็รับปากพวกมันไปแล้วด้วยสิ งานนี้ผมก็ได้แต่นอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงเพื่อหาวิธีแต่ในท้ายที่สุดผมก็ไม่สามารถหาวิธีมาทำให้ห้องของผมสะอาดภายในหนึ่งชั่วโมงครึ่งได้ ผมจึงจำใจปล่อยมันไว้อย่างนั้นหละพวกมันจะกินเหล้า แดรกกับแกล้มก็แดรกกันเคล้าฝุ่นไป ส่วนผมก็สิงสถิตอยู่ที่ห้องของพี่ศิต่อไปนี่ละครับ แล้วเดือนหน้าผมค่อยเอาเงินที่อดออมมาจากการมาผลาญไฟห้องพี่ศิใช้เอาไปจ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดห้องก็แล้วกัน (ปกติตามคอนโดจะมีพวกแม่บ้านประจำคอนโดรับจ้างทำความสะอาดใช่ไหมครับพอดีผมไม่ได้จ้างไว้ครับเพราะปกติผมทำความสะอาดห้องเองอยู่แล้วแต่นี่ผมบอกว่าผมย้ายสำมโนครัวมาห้องพี่ศิร่วม 2 อาทิตย์แล้วดังนั้นห้องของผมมันก็เลยเป็นที่สิงสถิตของฝุ่นครับและถ้ามันไม่มีฝุ่นนี่หละแปลกแล้วหละครับ)


ผมยังคงนอนกลิ้งไปกลิ้งมาเล่นคอมต่อไปอีกสักพักไม่นานนักโทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้นซึ่งชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอมือถือก็ไม่ต้องบอกครับว่าใครนอกจากว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์ที่ตอนนี้กำลังยุ่งหัวหมุนอยู่ในโรงพยาบาลครับ ผมกดรับโทรศัพท์พร้อมกับกรอกเสียงที่อู้อี้ลงไป


“ไงพี่ศิ” ผมพูดพร้อมกับนั่งงับมันฝรั่งทอดกรอบเข้าปากไปพร้อมกับเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยให้พี่ศิฟังเสียด้วย


“กรเย็นนี้พี่คงกลับไปทานข้าวด้วยไมได้นะครับพอดี เพื่อนพี่ของแลกเวรนิดหน่อยทำให้พี่ต้องเข้าเวรช่วงหัวค่ำจนถึงตีสองครับ” สิ้นเสียงความคิดความคิดหนึ่งของผมก็ลอยขึ้นมาในสมอง ‘ถ้าห้องของไม่สะดวกที่จะรับรองพวกเพื่อน ๆ มัน…ทำไมผมไม่ใช้ห้องของพี่ศิซะเลยละ’ สิ้นความคิดนั้นผมก็ทำเสียงกระดี้กระด้าและเตรียมคำพูดอ้อนว่าที่คุณหมอศิรวิทย์ทันที


”นี่พี่ศิ…พี่ศิครับ…วันนี้เพื่อนน้องกรของพี่ศิเขาบอกน้องกรว่าเขาอยากมาดื่มที่ห้องของน้องกรหนะครับ” ผมพูดไปก็คันปากตัวเองไป ความจริงแล้วผมไม่อยากจะเรียกตัวเองว่าน้องกรของพี่ศิหรอกครับมันรู้สึกจักกะเดียมหัวใจแต่นี่ผมต้องอ้อนพี่ศินี่นะเลยต้องทำตัวน่ารัก ๆ ใส่พี่ศิเขาสักหน่อย


“กรมีอะไรจะอ้อนพี่เหรอครับ” พี่ศิพูดตอบกลับอย่างรู้ทัน ซึ่งถ้าพี่ศิรู้ทันผมอย่างงี้ผมก็ไม่ต้ององต้องอ้อนพี่ศิมันแล้วหละครับ ผมพูดมันไปตรง ๆ เลยดีกว่าครับ


“ก็จากผมบอกว่าเพื่อนของกรเขาบอกว่าจะมาขอดื่มที่ห้องของกร…พี่ศิก็รู้ใช่ไหมว่าสภาพห้องของกรตอนนี้มันเต็มไปด้วยฝุ่นอ่ะ กรก็เลย…อยากขอยืมห้องพี่ศิสักวันได้ไหมอ่ะ คือถ้าดื่มกันเสร็จนี่พวกกรจะเก็บให้เรียบร้อยเลยนะ จะไม่ให้รกเลยสักนิดเดียวนะ นะ นะ นะ พี่ศินะ น้า…..” ผมย้ำเสียงในคำว่า ‘นะ’ ไปเรื่อย ๆ จนพี่ศิหัวเราะออกกมาเสียงดัง สักพักเสียงทุ้มค่อย ๆ ปรับอารมณ์พร้อมกับเอ่ยถ้อยคำตอบกลับมา “น้องกรมีอะไรแลกเปลี่ยนกับพี่ศิหรือเปล่าครับ”


ผมขมวดคิ้วแน่นพี่ศิมามุกนี้ แสดงว่าพี่ศิต้องอยากได้อะไรบางอย่างจากผมแน่นอนซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าพี่แกอยากได้อะไรผมก็เลยออกปากถามไปอย่างซื่อ ๆ นั่นหละครับ “แล้วพี่ศิอยากได้อะไรจากกรครับ”


สิ้นเสียงของผมพี่ศิก็หัวเราะออกมาเบา ๆ ผมไม่อยากจะบอกเลยว่าผมสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวบางอย่างที่แฝงอยู่ในเสียงหัวเราะนั่นครับ “…พี่ให้กรเดาครับว่าพี่อยากได้อะไรจากกร” เอาหละครับมามุกให้เดาแล้วผมจะเดาใจพี่แกถูกเหรอครับพี่แกนี่ความคิดชั่วร้ายเต็มสมองแต่แกไม่แสดงออกมาครับ


ผมไม่อยากจะบรรยายถึงความชั่วร้ายของพี่ศิหลังจากพี่แกได้อัพเกรดเป็นคนสำคัญของผมครับ มีโอกาสนี่ไม่ได้เลยต้องมาจับมือถือแขน (แต่ผมว่าอันนี้พี่แกทำประจำอยู่แล้วครับ) แกล้งหยอกผมบ่อยขึ้นผมสาบานได้เลยครับก่อนหน้าที่พี่แกจะได้อัพเกรดสถานะพี่ศิแกไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลยครับ! ตัวนี่ผมนี่แทบจะไม่เคยแตะถ้าไม่จำเป็น แถมเมื่อก่อนก็ตามใจผมอย่างกับอะไรดี…


แต่ตอนนี้นี่! ตอนนี้!…พี่ศิสุดที่รักของทุก ๆ คนเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้าครับ ความเจ้าเล่ห์ของพี่ศินี่มีมากพอ ๆ กับความรู้ในสมองของพี่เขาครับ ผมบอกไว้ก่อนเลยนะว่า…ใครที่คิดว่าพี่ศิเป็นคนดีเป็นพ่อพระนี่คุณคิดผิดแล้วครับพี่ศินี่สำหรับผมตอนนี้แกกลายเป็นจอมมารสุดชั่วร้ายที่ฉวยโอกาสอะไรจากผมได้พี่แกก็ทำผมแล้วครับ


หลังจากที่ผมพร่ำเพ้ออยู่นานสองนานในที่สุดผมก็ได้เวลาตอบคำถามของพี่ศิแล้วครับ “พี่ศิคิดว่ากรจะเดาถูกเหรอครับพี่ศิบอกมาเลยดีกว่าว่าพี่ศิอยากได้อะไรแต่เอาในขอบเขตที่กรทำให้พี่ศิได้นะครับ”


ทุก ๆ คนคงคิดสินะครับที่ผมพูดแบบนี้เหมือนเปิดโอกาสให้พี่ศิขออะไรได้จากผมสินะ ความจริงพี่ศิเขาขออะไรจากผมไม่ได้ทุกอย่างหรอกครับ (ที่เล่าเมื่อกี๋เป็นช่วงเวลาที่ผมเผลอครับถ้าไม่เผลอพี่แกไม่มีโอกาสหรอกครับ) พี่ศิกับผมเป็นแค่คนสำคัญแต่ไม่ใช่คนพิเศษของกันและกันนะครับขอบเขตที่พี่ศิขอได้จากผมมันมีไม่มากหรอก พวกคุณไม่ต้องจิ้นหรือมโนกันไปนะครับมันไม่เป็นไปตามอย่างที่พวกคุณคิดไว้แน่นอนครับต่อให้ผมบ่นถึงความเจ้าเล่ห์ของพี่ศิแต่พี่ศิก็ไม่เคยขอให้ผมทำอะไรเกิดขอบเขตของฐานะที่ผมให้หรอกครับ (แต่บางทีก็มีอย่างที่เล่าไปเมื่อกี๋นะครับ พี่เขาอาจจะมีเผลอไปบ้างอันนั้นหยวน ๆ ให้เพราะบางทีผมก็เผลอเหมือนกัน)


“ถ้าแบบนั้น...ถ้าแบบนั้นไว้พี่ขอจากกรตอนเจอหน้ากันดีกว่าแค่นี้ก่อนนะครับน้องกรของพี่ศิ พี่ต้องเข้าไปเลคเชอร์ต่อแล้ว” สิ้นเสียงของพี่ศิสายโทรศัพท์ก็ถูกตัดไป พร้อมกับผมที่ทำหน้าเหวอกับคำพูดของพี่ศิเขา


ผมได้แต่บ่นพึมพำกับตัวเองเบา ๆ พร้อมกับใบหน้าที่ขึ้นสีน้อย ๆ อย่างไม่รู้สาเหตุ “พี่ศิบ้า ถึงกรจะพูดว่าน้องกรของพี่ศิก็ไม่ต้องมาล้อกรแบบนี้ก็ได้นะ”




หลังจากที่ผมคุยโทรศัพท์กับพี่ศิเสร็จผมก็นอนกลิ้งอย่างสบายอารมณ์จนในที่สุดตอนนี้ก็เป็นเวลาบ่ายสี่โมงเย็นตามที่เหล่ามิตรสหายได้นัดกันแล้วครับและพวกมันก็ไม่ทำให้ผมต้องนั่งรอเหล่าสหายร่วม 10 คนก็เดินออกจากลิฟท์และมุ่งตรงมายังที่ห้องของผมครับ ซึ่งผมก็ไปยืนดักรอพวกมันที่หน้าห้องครับเพราะไอห้องที่พวกมันจะนั่งดื่มกันมันไม่ใช่ห้องของผมแต่มันเป็นห้องของพี่ศิครับ


“โหยไอกร นี่มรึงมารอรับพวกกรูเลยเหรอคิดถึงพวกกรูมากหนะสิ” ผมขมวดคิ้วมองไอบาสที่พูดพล่ามออกมาก่อนจะยื่นมือไปมอบมะเหงกให้มันไปหนึ่งที


“ไอเชี่ยบาสมรึงคิดว่ากรูจะพิศสวาทพวกมรึงมากขนาดนั้นเลยเหรอว่ะ กรูแต่มาดักรอพวกมรึงก่อนที่พวกมรึงจะเข้าไปคลุกฝุ่นในห้องกรูครับ” สิ้นเสียงของผมพวกสหายทุก ๆ คนของผมก็มองหน้าผมด้วยความสงสัยมันมองผมอยู่นานจนในที่สุดผมก็ต้องพูดไขข้อข้องใจให้พวกมัน


“กรูไมได้อยู่ในห้องกรูมาเกือบสองอาทิตย์แล้วตอนนี้ฝุ่นมันเขรอะมาก กรูเลยจะเปลี่ยนสถานที่ให้พวกมรึงแดรกกันไงครับกรูห่วงสุขภาพพวกมรึงเลยนะครับ กรูถึงได้ไปหน้าด้านของพี่เขาเนี่ย” พอมาประโยคนี้ไอบาสกับไอเจมส์นี่เริ่มจะเก็ตแล้วหละครับ ส่วนเพื่อน ๆ คนอื่นยังคงมึน ๆ งง ๆ อยู่


ในที่สุดผมก็เฉลยให้พวกมันรู้โดยการเดินเลยห้องของผมไปอีกห้องพร้อมกับไขกุญแจเปิดประตูห้อง 1404 ให้พวกมันทุกคนเข้าไปในห้อง “ห้องของพี่ศิ กรูโทรไปขอพี่เขามาวันนี้พี่เขาแลกเวรกับเพื่อนเลยจะกลับห้องมาดึกให้พวกมรึงมานั่งแดรกเหล้ากันได้”


สิ้นเสียงพูดของผมพวกมารทั้งหลายก็ร้องแซวผมกันเกรี้ยวกร้าวซึ่งผมก็ไม่ได้ใส่ใจหรอกครับ แต่ในประโยคสุดท้ายที่แว่วดังมาจากใครสักคนมันทำให้ผมหันหลังกลับไปกระโดดเตะเพื่อนคนที่พูดประโยคนั้นออกมาครับ ใครใช้ให้มันพูดออกมาหละครับว่า ‘กรแม่มมีผัวดี พูดอ้อนอะไรผัวแม่มให้หมดเลยเว้ยน่าอิจฉา ๆ”


“สรัดผักครับ กรูยังไม่มีผัวครับอย่ามาปากพล่อย” หหลังจากกระโดดเตะเพื่อน ๆ เรียงตัว ถัดจากนี้ไปก็คือการทำให้ห้องของพี่ศิกลายเป็นที่ตั้งวงเหล้าครับ


ตอนนี้สหายของผมเริ่มเข้าไปในครัวและจัดกับแกล้มต่าง ๆ ใส่จานแล้วหละครับ ส่วนเพื่อน ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในครัวตอนนี้มันเริ่มม้วนพรม (ที่พี่เตอร์แกชอบกลิ้งเล่นบ่อย ๆ) เก็บครับ เพราะพวกมันกลัวว่าตอนมันเมามันจะเผลอทำเหล้าหกหรืออ้วกรดใส่พรมครับ พอดีพวกมันไม่มีเงินจะชดใช้ค่าพรมที่ท่าทางจะแพงระยับนี่


ผมนั่งกระดิกเท้าบนโซฟา (ที่ผมชอบนอนกลิ้งดูทีวี) มองพวกมันจัดห้องของพี่ศิกันไป บ้างก็หยิบมันฝรั่งทอดกรอบ (ถุงเดิมที่ผมกินไม่หมดสักที) ใส่ปากไป ไม่นานนักห้องของพี่ศิที่ผมเคยรู้จักมันก็กลายเป็นที่ที่พร้อมสำหรับการตั้งวงเหล้าของชายหนุ่มเกือบสิบคนเรียบร้อยแล้วครับ


“มรึงจัดกันแบบนี้…ถ้าพี่ศิกลับมาแล้วด่าพวกมรึงนี่กรูจะไม่สงสัยเลยวะครับ” ผมพูดหลังจากมองสภาพห้องที่เปลี่ยนไปมืออีกข้างหนึ่งก็ยังคงหยิบมันฝรั่งทอดใส่ปากไปด้วย


“กรูไม่กลัวครับ ถ้าพี่เค้าด่าพวกกรูก็เตะมรึงให้พี่เขาแล้ววิ่งออกจากห้องกันไปเท่านี้ก็จบแล้ว พี่ศิแม่มไม่กล้าทำอะไรมรึงหรอกครับเพื่อนกร” เสียงไอเจมส์พูดขึ้นมาพร้อมกับเสียงตบไม้ตบมือขอสหายทั้งหลายที่ยืนอยู่รอบ ๆ คำพูดนั่นมันแทบจะทำให้ผมลงจากโซฟาไปกระโดดเตะพวกมันเรียงตัวอีกรอบเสียจริง


“…ถ้าพวกมรึงไม่เลิกพูดกรูจะไล่พวกมรึงออกจากห้องพี่ศิตอนนี้เลย” ผมพูดด้วยอารมณ์หงุดหงิดก่อนจะหันหน้าหนีพวกมันไปแล้วนอนกลิ้งบนโซฟา เรียกง่าย ๆ ว่าผม ‘งอน’ พวกมันครับ


ซึ่งพวกมันทุกคนก็ไม่สนใจคนที่นอน ‘งอน’ อยู่ตรงนี้เลยครับผมเลยเมินพวกมันสนิทและปล่อยให้เหล่าสหายของผมนั่งก๊งเหล้ากันอย่างสนุกสนาน ไอใจผมก็อยากจะเข้าไปร่วมด้วยหรอกครับแต่ไออาการ ‘งอน’ ของผมยังคงมีอยู่แต่…ในที่สุดผมก็อดทนต่อความอยากไม่ไหวและกระโดดเข้าไปร่วมวงเหล้ากับเหล่าสหายทั้ง ๆ ที่ยังคงความ ‘งอน’ ของตัวเองไว้ครับ (เอาเป็นว่าผมไปแดรกเหล้ากับพวกเพื่อน ๆ แบบเงียบ ๆ ไม่พูดไม่จาแล้วกันครับ)


ผมยังคงนั่งจิบเหล้าเงียบ ๆ ไปเรื่อย ๆ และฟังเรื่องของเพื่อน ๆ แต่ละคนเล่าถึงวีรกรรมที่ทุก ๆ คนทำในปิดเทอม ซึ่งต่อให้ผมไม่งอนพวกมันจนไม่พูดผมก็ไม่มีเรื่องจะเล่าหรอกครับ เพราะตั้งแต่ปิดเทอมวันแรกยันวันนี้ผมก็นอนไม่ก็นั่งเล่นคอมเล่นเกมส์ในห้องพี่ศิเนี่ยหละครับ (รวมถึงห้องตัวเองแล้วก็กลับบ้านด้วย)


ระยะเวลาผ่านไปจนตอนนี้เริ่มค่ำแล้วครับผมกับเพื่อน ๆ ก็ กรึ่ม ๆ กันเต็มที่หละครับ บางคนที่ขอไปนอนเก็บแรงไว้ตอนดึกกว่านี้ ส่วนผมก็แค่มึน ๆ ครับยังไม่ได้เมาอะไรมากมาย (อย่างน้อยผมก็ไม่เมาเหมือนตอนที่ฉลองวันปิดเทอมครับ)


แต่มันดันมีไอคน ๆ หนึ่งที่ยังไม่เมาไม่มึนและไม่กรึ่ม ดันนึกครึ้มอกครึ้มใจเสนอให้เล่นเกมส์กันครับไอคน ๆ นั้นก็คือไอเจมส์นั่นเองและเกมส์ที่มันเสนอก็คือ ‘เกมส์กล้าหรือจริง’ เกมส์นี้หลาย ๆ คนอาจจะสงสัยนะครับแต่ว่าไอเกมส์กล้าหรือจริงมันเป้ฯคายความลับของเพื่อนมานักต่อนักครับแต่ใครบางคนที่ไม่อยากเผยความลับก็เลือกเป็นกล้าแทนครับ วิธีการเล่นก็ง่าย ๆ ครับ ขวดเหล้า 1 ขวด ตั้งกลางวงแล้วหมุนปากขวดชี้ไปที่ใครคนนั้นต้องเลือกความกล้าหรือความจริง ผมขออธิบายจากความกล้าก่อนนะครับ ถ้าเกิดคุณเลือกความกล้า คุณอาจจะโดนทุก ๆ คนสั่งให้ไปทำอะไรบ้าบออย่างเช่นไล่ให้ไปวิ่งขึ้นลงจากชั้น 1ถึงชั้น 15 ของคอนโดผมหรือการสุ่มเบอร์ให้โทรไปบอกรักใครครับ แต่ยางวงเหล้าความกล้านี่จะหมายถึงการดื่มครับแล้วไอการดื่มนี่คือดื่มตามจำนวนแก้วของคนที่อยู่ในวงเหล้าครับ สมมติในวงมี 5 คนไม่รวมตัวเอง นั่นก็หมายถึงคุณต้องดื่มเหล้าหรือเบียร์ 5 แก้วครับ (ไอเหล้าหรือเบียร์นี่แล้วแต่วงอีกเหมือนกัน)


ส่วนความจริงถ้าคุณเลือกความจริงนั่นหมายความว่าเวลาเพื่อนในวงเหล้าของคุณบอกให้คุณพูดความจริงเกี่ยวกับเรื่องอะไร คุณก็ต้องพูดครับ (โดนส่วนใหญ่ข้อนี้จะทำให้ความลับรั่วไหลกันมาเยอะแล้วครับดังนั้นถ้าในวงไม่สนิทกันผมไม่อยากให้เลือกข้อนี้นะครับ) ยกตัวอย่างเช่น คุณอาจจะโดนคนในวงให้พูดถึงเรื่องในอดีตอย่างเช่นคุณฉี่รดที่นอนจนถึงกี่ขวบ หรืออาจจะโดนแบบให้บอกชื่อคนที่ชอบออกมาอะไรแบบนั้นครับ หรือขั้นหนักหน่อยก็คืออาจจะโดนบอกให้เล่าเรื่องเซ็กส์ครั้งล่าสุดเลยก็ได้ครับ ผมถึงบอกไงว่าถ้าไม่ชัวร์อย่าเอาข้อนี้ครับ ถ้าคุณจะเลือกคุณต้องมั่นใจว่าคุณไม่มีความลับอะไรที่ต้องปิดบังหรือคุณไม่มีความผิดติดตัวครับ




หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 16] 24/10/2013 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 24-10-2013 21:14:49
“พวกมรึงมาเล่นเกมส์กล้าหรือจริงกันเถอะวะ กุคิดว่าเกมส์นี้พวกเราไม่ได้เล่นกันนานแล้วนะเฮ้ย” ประโยค์บอกเล่าเชิงคำถามของไอเจมส์เอ่ยขึ้นแต่รู้สึกว่าเวลามันพูดชวนเพื่อน ๆ นี่มันปรายตามองมาที่ผมนิด ๆ นะครับ


ท่าทางที่มันเอ่ยปากชวนเล่นเกมส์นี้เพราะว่ามันอยากล้วงความลับของผมแน่นอนเลยครับและความลับที่มันอยากจะรู้ก็คือความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพี่ศิแน่นอนครับ ‘ไอนี่มันชอบเจือกเรื่องของชาวบ้านเสียจริง ไอเจมส์’


ซึ่งเพื่อนทุกคนก็ช่างเออ ๆ ออ ๆ ตามไอเจมส์กันไปหมด ไอผมก็ทำท่าจะลุกออกจากวงเพราะไม่อยากเล่นแต่คุณคิดเหรอครับว่าพวกเพื่อน ๆ โดยเฉพาะไอเจมส์กับไอบาส จะปล่อยให้ผมหนีรอดเหรอครับ ขอบอกเลยว่ามันไม่ปล่อยผมครับเพราะตอนนี้มือของไอเจมส์และไอบาส…มันดึงผมให้นั่งลงพร้อมกับเข้าขนาบข้างผมทันที


“ไอกรมรึงไม่ต้องมาหนี มรึงเป็นผู้เล่ยรายแรกเลยครับ” ไอบาสเอ่ยขึ้นพร้อมกับเอาแขนเข้าลอคผมไว้ข้างหนึ่ง “ใช่เกมส์นี้กรูเสนอเพื่อมรึงเลยนะครับไอกร” สิ้นเสียงของไอบาสเสียงของไอเจมส์ก็เอ่ยขึ้นตามมาติด ๆ พร้อมกับอามือเข้ามาลอคแขนผมอีกข้างหนึ่งไว้ สรุปสภาพผมตอนนี้โดยสหายรักทั้งสองลอคตัวไม่ให้ขยับเขยื้อนครับ


‘นี่พวกมรึงกลัวกรูหนีขนาดนี้เลยเหรอไงวะ’ ผมลอบคิดในใจและถ้ามันอยากจะให้ผมเล่นมากขนาดนี้ผมก็ไม่ขัดศรัทธามันครับ ‘เล่นก็เล่นว่ะ’ ถ้ามันโดนผมผมก็เลือกความกล้าแทนความจริงก็แล้วกัน จะได้ไม่ต้องกลัวโดนล้วงความลับหรือโดนมันถามอะไรพิสดาร ๆ


“เอาก็เอาวะ...มรึงจะบังคับให้กรูเล่นมา! กรูยอมเล่นกับพวกมรึงก็ได้” ผมพูดพร้อมกับตบเข่าแล้วกระเถิบเข้าไปใกล้ขวดเหล้านั้นพร้อมกับเอ่ยปากเริ่มเกมส์ทันที “กรูหมุนขวดเหล้าเปิดเอง พวกมรึงนี่เตรียมความกล้าหรือความจริงของพวกมรึงไว้เลยกุจะไล่บี้พวกมรึงเรียงคนเลยครับ” สิ้นเสียงผมก็ใช้มือหมุนขวดเหล้าอย่างแรง ขวดเหล้าค่อย ๆ หมุนวนไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดมันก็ชะลอลงและหยุดลงตรงหน้าไอเปอร์ครับ…


เพื่อน ๆ ทุกคนแสยะรอยยิ้มและจ้องหน้าไอเปอร์ด้วยสายตาชั่วร้ายแต่ก่อนที่พวกเราจะทำอะไรมันนะครับเราต้องเริ่มจากการถามว่าไอเปอร์จะเอาความกล้ามหรือความจริง


“คุณเปอร์ผู้โดนเปิดประเดิมคนแรกครับ…คุณมรึงจะเลือกความกล้าหรือความจริงครับคุณเปอร์” เสียงของไอเจมส์เอ่ยขึ้นพร้อมกับโปรยรอยยิ้มร้ายใส่ไอเปอร์ (ผมไม่อยากจะบอกเลยนะครับมันเป็นการเลือกที่ยากจริง ๆ ถ้าเลือกความกล้ามันก็กลัวโดนเพื่อนสั่งไปทำอะไรแปลก ๆ ถ้าเลือกความจริงเราอาจจะโดนคำถามพิสดาร ๆ ก็ไดครับ)


ไอเปอร์ในเวลาคิดไปสักพักจนในที่สุดเหมือนมันจะตัดสินใจได้และมันก็เลือกความจริงออกมาครับ “คุณกรูเลือกความจริงครับสหาย” ดูท่าทางมันมั่นใจมากเลยครับว่ามันไม่มีความลับให้ล้วง


แต่ทุกท่านคิดว่าไอเจมส์มันจะไม่มีเส้นสายสืบความลับล้วงความลับอะไรของเพื่อน ๆ เหรอครับ ผมไม่อยากจะบอกว่าไอเจมส์นี่สายมันเยอะมากครับมากจนน่ากลัว บางความลับหรือบางคำถามที่มันถามของมันเนี่ยผมไม่รู้ว่ามันขุดมาจากไหนเลยครับ คราวนี้ไอเปอร์ซวยแล้วครับซวยแน่นอน


“มรึงเลือกความจริงสินะครับคุณเปอร์ มรึงแน่ใจนะครับว่าจะเอาความจริง” เสียงของไอเจมส์ชั่วร้ายมากครับซึ่งผมก็กลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่เพราะกลัวในน้ำเสียงชั่วร้ายของมัน ซึ่งสีหน้าของไอเปอร์ที่ได้ยินคำถามนั้นมันก็ซีดลงทันทีแต่ด้วยคติประจำใจลูกผู้ชายพูดแล้วไม่คืนคำ ดังนั้นไอเปอร์ก็ยังคงตัดสินใจเลือกที่จะพูดความจริงมากกว่าความกล้าครับ (ผมของบอกเลยว่าไม่ว่าคุณจะเลือกความจริงหรือความกล้า ไอเจมส์ก็หาเรื่องบัดซบหรือบรรลัยมาให้ทำ มาถามคุณได้ครับ)


“เปอร์ครับกรูให้โอกาสมรึงแล้วนะครับแต่ถ้ามรึงเลือกความจริง ดังนั้นกรูก็ไม่ขัดศรัทธามรึงแล้วครับ” ไอเจมส์เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งสนิทมันนิ่งเงียบไปอีกสักพักก่อนจะค่อย ๆ เอ่ยคำถามออกมา


“เพื่อนเปอร์ครับ...กรูได้ยินข่าวเกี่ยวกับมรึงมาครับตอนปิดเทอมอาทิตย์แรก มรึงรีบเก็บกระเป๋ากลับบ้านไปทันทีซึ่งเท่าที่คุณกรูสืบมาได้หลังจากที่มรึงถึงบ้านมรึงก็รีบร้อนขับรถออกไปรับใครสักคนสงสัยว่าจะไปเที่ยวทะเลกันหละมั้งแถมที่มรึงไปเที่ยวครั้งนั้นมรึงไม่ได้ไปกับครอบครัว คำถามของกรูก็คือ คน ๆ คือใครเพศหญิงหรือชายและความสัมพันธ์ระหว่างมรึงกับเขาคืออะไร และตอนนี้ไปถึงขั้นไหนแล้ว” ไอเจมส์ยิ้มที่มุมปากหลังจากที่มันเอ่ยคำถามออกไปจนหมด งานนี้คำถามนี้ทำเอาเพื่อนเปอร์ของเราถึงกับหน้าซีดหนักกว่าเก่าเลยครับ


ความจริงไอเจมส์มันคงรู้อยู่หนะครับว่าคนในรถเป็นใครและมีความสัมพันธ์กับไอเปอร์ลึกซึ้งขนาดไหน (ตามที่บอกครับแหล่งข่าวมันดีจริงอะไรจริง) แต่ที่มันถามออกไปแบบนี้มันแค่อยากแกล้งไอเปอร์ที่ปิดบังพวกผมเท่านั้นหละครับ มันก็แค่อยากให้เพื่อนฝูงเปิดตัวคนพิเศษออกมาก็เท่านั้นครับ


ไอเปอร์เงียบไปสักพักใหญ่ ๆ แต่ในเมื่อตัวเองเลือกความจริงไปแล้วก็ต้องพูดความจริงออกไปหละครับ (ในเกมส์นี้มันจะมีกฎอีกอย่างหนึ่งซึ่งถ้าเลือกความจริงแล้วไม่พูดความจริงอาจจะโดนบทลงโทษอะไรแต่ส่วนใหญ่ก็ไม่มีใครพูดโกหกหรอกครับยังไงก็เล่นกันในวงเพื่อนสนิทอยู่แล้ว)


“กรูไปกับพิมพ์เด็กคณะนิเทศ ความสัมพันธ์กำลังดูใจกันอยู่ ส่วนขั้นไหน…กรูไปเที่ยวกับเขากรูยังแยกห้องนอนกันมรึงคิดว่ากรูกับเขาจะไปถึงขั้นไหนได้ว่ะ!” ไอเปอร์แม่มตอบออกมาด้วยน้ำเสียงไม่ใคร่จะยินดีนัก ที่มันบ่นแบบนี้แสดงว่ามันคิดว่าจะเผด็จซึกสาวคณะนิเทศน์ที่ทะเลแน่นอนครับ


ไอประโยคแรก ๆ พวกผมก็พยักหน้าตอบรับกันอยู่หละครับแต่พอในประโยคสุดท้ายที่ไอเปอร์มันพูดออกมาด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ พวกผมนี่ก็หัวเราะออกมาเสียงดัง แถมบางคนมีการนอนกลิ้งไปชักดิ้นชักงอเสียด้วย ความจริงพวกคุณจะบอกว่าพวกผมแย่ก็ได้นะครับ เพราะพวกผมถือคติว่า ‘ความทุกข์ของเพื่อนคือความสุขของเรา’ ครับ ดังนั้นการที่พวกผมหัวเราะชักดิ้นชักงอสะใจบนความทุกข์ของไอเปอร์นั้นถือเป็นเรื่องปกติครับ


หลังจากที่พวกเราสูดลมหายใจเข้าปอดกันเสร็จแล้ว ขั้นต่อไปของเกมส์ก็คือให้คนที่โดนปากขวดชี้ในรอบที่แล้วเป็นคนหมุนต่อตาไปครับ ซึ่งหน้าที่นี้ก็เป็นหน้าที่ของไอเปอร์ครับผมรอให้ไอเปอร์ทำใจไปสักพัไม่นานนักเกมส์ตาต่อไปก็เริ่มขึ้นไอเปอร์ยื่นมือไปหมุนขวดที่อยู่ตรงกลางวงพร้อมกับลดมือมานั่งดราม่ากับชีวิตของมันต่อ


คราวนี้ขวดมุนหมุนไปตรงกับเพื่อนบอสครับ ทุกท่านไม่รู้จักมันสินะครับเอางี้ผมอธิบายสหายในกลุ่มทั้งหมดให้พวกคุณฟังก่อนดีกว่าแล้วค่อยเล่าต่อว่าไอบอสมันจะเลือกความจริงหรือความกล้า กลุ่มของผมมี 9 คนครับถ้าตัดผม ไอเจมส์ ไอบาส ไอเปอร์ ทืพวกคุณรู้จักแล้วในวงยังมี ไอบอส ผู้ที่ถูกปากขวดชี้เป็นรายที่สองนิสัยมันออกจะเงียบ ๆ ครับแต่อย่าให้มันมีเรื่องพูด ถ้ามันพูดทุกคนต้องอุดปากมันแน่นอนครับเพราะเห็นมันเงียบ ๆ แต่เรื่องพูดมันเยอะนะครับ คนถัดไปคือไอฟองครับไอนี่…ผมจะอธิบายมันยังไงดีหละเอาเป็นว่ามันอาร์ตครับอาร์ตเสียจนนึกว่ามันอยู่ศิลปกรรมศาสตร์ครับนึกมันเป็นเด็กศิลป์กันหมดแล้วครับและขอบอกว่าอย่าไปขัดตอนมันบิ้วความอาร์ตนะครับอาจจะโดนมันแผ่นกระบาลได้ คนถัดมาคือไอแมกซ์ครับไอนี่จืดจางอย่าไปพูดถึงมันเลย เอ้ยสงสารมันเหรอครับก็ได้ครับมันเป็นคนจืดจางของกลุ่มครับมันเป็นคนเงียบ ๆ แต่เหล้าเข้าปากเมื่อไหร่หละสนุกสนานครับผมสนิทกับมันได้เพราะอยู่ในวงเหล้าเนี่ยหละครับถ้าไม่ได้ไปกินเหล้ากับมันไม่มีทางสนิทกับมันได้หรอกครับ คนถัดมาคือไอวิวครับชื่อเสียงเรียงนามเหมือนผู้หญิงแต่ตัวจริงมันก็แมนแท้ครับแม้ชื่อจะน่ารักน่าหยิกแต่ก็นะ ตัวมันไม่หน้าหยิกอย่างชื่อมันหรอกครับส่วนสูง 187 เซน มันเป็นนักบาสของคณะครับ ซึ่งไอวิวก็ซี้กับเฮียก๊อตพี่รหัสของผมพอ ๆ กับไอเจมส์นั่นหละครับในวงเหล้าก็มีเท่านี้หละครับ แต่เพื่อนในกลุ่มของผมมี 9 คนใช่ไหมพอดีคนที่ 9 เขาบอกว่าถ้าเกิดผู้หญิงไปคอนโดหรือหอเพื่อนผู้ชายมันไม่ดีนางเลยขอตัวอยู่บ้านวันเปิดเทอมค่อยเจอกันครับ ทุกท่าคงจะสงสัยกันอีกสินะครับว่าทำไมผมถึงเรียกเพื่อนคนนี้ว่านางใช่ไหมครับ ที่ผมเรียกแบบนั้นก็เพราะนางเป็นผู้หญิงไงครับเป็นผู้หญิงแท้ ๆ ที่ไม่ใช่สาวประเภทสองครับแต่จะเรียกนางว่าเป็นผู้หญิงก็ถูกนักหรอกเพราะนางอึด ถึกและทนมาก ขนาดผมเป็นผู้ชายยังยอมแพ้ความถึกของนางเลยแต่นางเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เท่านั้นนะครับแต่ไม่รู้ว่าทำไมนางถึงถึกได้ขนาดนั้น ผมลืมบอกชื่อของนางไปสินะครับนางชื่อพรีมครับ เป็นสาวสวยประจำกลุ่ม ในกลุ่มนี่นางสวยที่สุดแล้วครับ (ก็นางเป็นผู้หญิงคนเดียวของกลุ่มครับ ถ้านางไม่สวยที่สุดก็แปลกหละครับ)


เอาหละหลังจากที่ผมเล่าถึงเพื่อนของผมทั้งหมดคราวนี้เรามาดูกันว่าเพื่อนบอสของเรานี่จะเหลือความจริงหรือความกล้า ซึ่งไม่ต้องคิดมากเลยครับไอบอสมันเลือกความกล้า คราวนี้เป็นหน้าที่เพื่อนบาสแล้วครับว่ามันจะตัดสินใจให้เพื่อนบอสมันทำอะไร (ไอบาสเป็นบุคคลที่คิดอะไรแผลง ๆ ให้เพื่อนทำได้เสมออย่างเช่นตอนที่ผมแพ้ไพ่จนต้องไปสารภาพรักกับพี่ศิอันนั้นมันก็คิดครับ)
“เพื่อนบอสครับถ้าเพื่อนสอบเลือกความกล้า” ไอบาสเงียบเสียงตัวเองไปสักพักให้ไอบอสใจเสียเล่น ๆ มันเงียบเสียบลงไปไม่นานนักมันก็โปรยยิ้มร้ายพร้อมกับออกปากสั่งไอบอสทันที “กรูของสั่งให้มรึง ไปไล่เคาะประตูคอนโดชั้น 14 ทุกห้องยกเว้นห้องไอกรกับพี่ศิแล้วไปขอเบอร์ครับ”


ไอบาสสั่งอย่างงี้ไอบอสก้หน้าซีดครับคือไอไปเคาะห้องไม่เท่าไหร่ แต่ให้ขอเบอร์ด้วยเนี่ยสิงานหนักเลยครับซึ่งไอบอสมันทำหน้าเสียอยู่นานจนในที่สุดมันก็ยอมออกไปไล่เคาะประตูห้องทุกห้องในคอนโดชั้น 14 นี้ (ซึ่งมีไม่ถึงสิบห้องครับน่าจะสัก 8 ห้องและถ้าตัดห้องของผมกับพี่ศิไปมันก็เหลือไปเคาะประตูแค่ 6 ห้องเองซึ่งจิ้บ ๆ ครับแต่ไองานหนักคือขอเบอร์นี่หละครับคือคอนโดผมนี่ใกล้มหาลัยครับเลยจะมีพวกเด็กมหาลัยอยู่เยอะแต่ชั้นบน ๆ นี่ราคาห้องจะสูงเลยจะมีแต่พวกผู้ใหญ่อยู่กันซึ่ง…มันคงโดนด่ากลับมาทุกห้องหละครับ) ไอบอสเดินออกไปเคาะประตูห้อง 1401 – 1408 สักพัก (โดยมีตากล้องบาสเดินตาม) ไม่นานนักสักสามสิบนาทีได้ ไอบอสก็เดินกลับเข้าห้องมาพร้อมกับเสียงหัวเราะของไอบาส


ไอบาสหัวเราะน้ำหูน้ำตาไหลไปหลายตลบจนในที่สุดมันก็ส่งมือถือของมันวางไว้กลางวงแล้วปล่อยให้เพื่อน ๆ ทุกคนดูความหรรษาของคำสั่งนี้ และหลังจากที่ทุกคนดูแล้วทุกคนก็มีอาการไม่แพ้กับไอบาสที่ตอนนี้ยังไม่สามารถหยุดเสียงหัวเราะของตัวเองได้เลยครับมันยังคงนั่งทุบพื้นหัวเราะอยู่อย่างนั้น พวกเราทุกคนในห้องหัวเราะกันอยู่นาน ในที่สุดเกมส์ตาต่อไปก็ได้เริ่มสักทีครับ และหน้าที่เปิดเกมส์ก็เป็นไอบอสครับมันยื่นมืออันอ่อนระโหยโรยแรงไปหมุนขวดก่อนจะผละมือออกจากขวดครับ พวกเรานั่งลุ้นกันต่อไปว่าคราวนี้ปากขวดมันจะไปหยุดที่ใคร ผมแอบหันมองไปด้านข้างทั้งสองของผมครับไอเจมส์กับไอบาสเหมือนจะสวดมนต์ภาวนาอะไรสักอย่างอยู่ในที่สุดขวดที่กำลังหมุนอยู่ก็ค่อย ๆ ชะลอและค่อย ๆ หยุดลง คราวนี้ผมให้เดาครับว่าปากขวดมันมาหยุดที่ใคร 1 ไอเจมส์ 2 ไอบาส 3 ผม… ผมให้เวลาคุณคิดหนึ่งนาทีครับแล้วผมจะมาเฉลย


เอาหลังครับคุณอ่านผ่านไป 1 บรรทัดผมขอมโนว่ามันผ่านไป 1 นาทีแลว ใครที่เดาว่าไอเจมส์หรือไอบาสโดนนี่คุณคิดผิดครับเพราะคนที่โดนปากขวดเหล้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าคือ…ผมเอง…


เอาหละครับผมเริ่มหน้าซีดไอเพื่อนสองตัวที่อยู่ด้านข้างก็กระยิ้มกระย่อง เหมือนกับว่ากำลังยินดีปรีดาอะไรสักอย่างผมไม่อยากจะบรรยายเลยว่ารอยยิ้มของพวกมันสองตัว เออ…เรียกว่ารอยยิ้มของคนทั้งห้องจะดีกว่าครับผมไม่อยากจะบรรยายออกมาว่ามันยินดีปรีดากันขนาดไหน ไอรอยยิ้มนี้ผมรู้เลยจุดประสงค์ของการเล่นเกมส์เนี่ยเลย พวกมันต้องการมาล้วงความลับจากผมชัด ๆ ไม่งั้นพวกมันทุกคนไม่ลุ้นให้ปากขวดมาหยุดที่หน้าผมกันขนาดนี้หรอกครับ


แล้วทุก ๆ คนคิดเหรอครับว่าผมจะยอมเลือกความจริงผมไม่เลือกอยู่แล้วผมเลือกความกล้าออกไปแทนซึ่งไอการที่ผมเลือกนี่มันทำให้เพื่อน ๆ ของผมนี่อารมณืเสียกันไปเป็นแทบ ๆ ผมรอไอเจมส์กับไอบาสสั่งไปสักพักเหมือนว่ามันจะไปตกลงความคิดเห็นกันได้ในที่สุดทั้งสองคนก็คลี่รอยยิ้มที่แสนชั่วร้ายออกมาอีกครั้งพร้อมกับเอ่ยคำสั่งที่ทำให้ผมอยากจะไปกระโดดตบหัวพวกมันทั้งสองคนอย่างแรง


“เพื่อนกรครับไหน ๆ กรูก็สนิทกับมรึงมากที่สุดกรูเลยไม่อยากสั่งอะไรรุนแรงกับมรึงครับ…ดังนั้นคำสั่งที่กรูกับไอบาสไปคิดกันมากนั่นก็คือ มรึงจงตอบคำถามที่พวกกรูสองคนถามทุก ๆ จนกว่ากรูจะพอใจครับ” เอากับมันไหมหละยังไงมันก็อยากรู้เรื่องของผมกับพี่ศิให้ได้ไอเราก็เลือกความกล้าไปแล้วนึกว่าตะรอด ดันเจอคำสั่งที่น่าสยองกว่าเลือกความจริงอีกครับไอตอนแรกผมก็ทำทีไม่ยอมมันอยู่หรอกแต่เพื่อนทุกคนต่างตะโกนบอกว่าผมปอด ผมไมได้เรื่องจนผมต้องตัดสินใจตบปากตกลงว่าจะทำไป


“เอา…ถ้ามรึงสั่งแบบนี้โอเคกรูทำ” มันบอกให้ผมตอบทุกคำถามที่พวกมันถามแต่มันไม่ได้บอกว่าผมห้ามโกหกนี่ครับจริงไหม
ผมกอดอกกรอคำถามของพวกมันจนในที่สุดคำถามแรกก็ถูกเอ่ยออกมาจากปากของไอบาส “มรึงกับพี่ศิเป็นอะไรกันวะ”


มันเป็นคำถามแรกที่ผมเดาเลยครับว่ามันต้องถามคำถามนี้ซึ่งคำถามนี้ผมไม่มีปัญหากับการตอบคำถามครับ “กรูไม่ใช่แฟนของพี่ศิพี่ศิเป็นคนสำคัญของกรู” แค่ตำตอบนี้ของผมเพื่อนผมทั้งห้องก็โห่ร้องแซวผมกันเกรี้ยวกร้าวไอผมนี่ก็มานั่งคิดว่าผมบอกพวกมันไปเนี่ยผมคิดถูกหรือเปล่า ผมปรายสายตามองหน้าไอเจมส์และไอบาสที่อมยิ้มน้อย ๆ


“แล้วที่มรึงพาพี่ศิไปที่บ้านมรึงพาพี่เขาไปทำอะไรว่ะ อันนี้กรู้เพราะคุณปากับคุณม๊ามรึงโทรมาเมาส์แตกกับกรู” ไอเจมส์พูดพร้อมกับริมฝีปากที่ยังเต็มไปด้วยรอยยิ้ม


“เลี้ยงเค้ก” ผมตอบมันไปตรง ๆ ก็พาพี่ศิไปบ้านก็จะพาพี่ศิแกไปเลี้ยงข้าวเลี้ยงขนมนั่นหละครับ แต่ดูเหมือนคำตอบนี้ของผมจะไม่เป็นที่พอใจของเพื่อน ๆ สักเท่าไหร่นักเพราะจากท่าทางของพวกมันนี่ส่งเสียงจิ้จะไม่พอใจไม่ก็เบ้หน้ากัน (อ่อผมลืมบอกนะครับไอพวกเพื่อน ๆ ของผมตอนนี้กดโทรศัพท์หาพรีมสาวคนเดียวของกลุ่มแถมพวกมันนี่เปิดโฟนพร้อมเลยครับ)


“แล้วมรึงกับพี่ศิขั้นไหนกันแล้ววะ เห็นไปที่บ้านก็นอนห้องเดียวกัน ตอนนี้มรึงก็ยังมานอนห้องพี่เขาอีกมรึงอธิบายให้เคลียร์ข้อนี้พวกกรูอยากรู้มาก” ไอคำถามนี่ทำเอาผมหลุดหัวเราะออกมาเลยครับไอพวกนี้นะ ผมกับพี่ศิยังไม่ใช่คนพิเศษกันสักหน่อยจะให้มันเกินเลยไปขั้นไหนกันได้หละครับก็บอกว่าคนสำคัญและยังไม่ใช่แฟนไอพวกนี่ก็มโนเดากันไปได้เลยเรื่อย ๆ นะ ผมถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่และเอ่ยปากตอบพวกมันออกไป


“…ขั้นไหนหละมรึง...กรูมาผลาญไฟห้องพี่ศิเท่านั้นห้องนอนก็แยกห้องกัน ส่วนที่บ้านพี่ศิเค้านอนบนโซฟา ส่วนกรูนอนดิ้นมันบนเตียงนี่มรึงถามกรูแบบนี้ มรึงอยากให้กรูเสียตัวมากเลยไงว่ะ” สิ้นเสียงผมก็ประเคนมือไปตบหัวของไอบาสและไอเจมส์ทันทีข้อหามันคิดแต่อยากจะให้ผมเสียตัวให้พี่ศิ


ซึ่งไอพวกเพื่อนที่ลุ้นคำตอบก็ทำหน้าเหมือนจะผิดหวังแถมบางคนมีตบไม้ตบมือกันแล้วพูดใส่อีกคนว่า ‘มรึงเสียพนันให้กรูแล้วจ่ายมาซะดี ๆ’ ประเด็นคือนี่พวกมรึงเอาเวอร์จิ้นกรูไปพนันกันเหรอวะครับอย่างงี้มันน่าต่อยเรียงตัวจริง ๆ ผมหน้ามุ่ยมองเพื่อนทุก ๆ คนก่อนจะยืนขึ้นแล้วเดินออกจากกลุ่มไปแต่ผมก็ไม่สามารถทำแบบนั้นได้เพราะมือของไอเจมส์มันรั้งแขนของผมไว้อยู่


“แล้วที่คุณเจ้โทรมาบอกกรูหละวะ…ที่มรึงกับพี่ศิจูบกัน” ประโยคนี้ทำเอาผมชะงักและเพื่อน ๆ ทุกคนที่อยู่ในห้อง (ยกเว้นพรีมไว้คนนะครับแม่นี่แค่ร้องเสียงหลง) ต่างหันไปทางต้นเสียงก่อนจะหันกลับมามองหน้าผมแล้วพวกมันก็ส่งเสียตกใจออกมา


ผมขมวดคิ้วแน่นพลางคิดในใจว่า ‘คุณเจ้นี่เอาเรื่องผมไปเล่าให้ใครฟังมั่งวะ’ แต่ผมก็ต้องหลุดออกจากผวั่งเพราะไอเจมส์มันเขย่าแขนผมให้ผมตอบคำถามผมก้มมองมันที่ยังคงนั่งอยู่ที่พื้น รอยยิ้มและแววตามันมุ่งร้ายกับผมมากเลยครับท่าทางของมันนี่แบบว่าถ้าไม่ได้คำตอบจากผมมันจะไม่ปล่อยมือผม


“ไม่ได้จูบ...คุณเจ้เข้าใจผิดคุณเจ้มโนไปเองโอเคป่ะ” ผมตอบไปตามความจริงครับ แต่ว่าผมก็ไม่ได้พูดไปถึงเหตุการณ์หลังจากนั้นครับซึ่งปฏิกิริยาของผมนี่ทำเพื่อน ๆ เสียเซลเป็นแทบ ๆ นี่ผมตอบความจริงทุกข้อเลยนะครับแถมกลัวว่าคำถามที่พวกมันถามมันน่าจะน่ากลัวกว่านี้อันนี้จิบ ๆ เบ ๆ ไม่ต้องโกหกก็เอาตัวรอดได้ครับผมสะบัดมือของไปเจมส์ออกแล้วเดินออกจากวงไป


อย่างน้อยคำถามที่มันถามผมก็ไม่ได้น่ากลัวขนาดล้วงลับถึงไส้ถึงพุงผมมันเป็นคำถามที่ตอบได้ง่าย ๆ และไม่มีอะไรน่ากลัวกับคำถามผมเลยหละครับ และหลังจากที่ผมออกจากวงเหล้าไปพวกสหายทั้งหมดของผมก็เลิกเล่นเกมส์นี้และนั่งดื่มกันอย่างปกติสุขกันต่อไป จนเวลาล่วงเลยไปถึงเที่ยงคืนสหายทั้งหมดของผมก็หมดสภาพนอนตายกันเป็นแทบ ๆ ไอผมก็ได้แต่มองพวกมันและทิ้งตัวลงนอนที่โซฟา


‘เพื่อนก็นอนลำบากละ นอนลำบาก ๆ เป็นเพื่อนพวกมันแล้วกัน ถ้าเก็บของพรุ่งนี้หวังว่าพี่ศิจะไม่โกรธที่ทำห้องรกขนาดนี้นะ แถมผมยังมีข้อติดค้างจากพี่ศิอยู่ด้วยถ้าโกรธขึ้นมาแล้วต้องทำอะไรแผลง ๆ ให้พี่แกนี่ผมซวยแน่ ๆแต่ช่างมันเถอะยังไงพี่ศิก็ไม่ขอเกินขอบเขตของฐานะที่ผมให้พี่เขาอยู่แล้ว’ ผมคิดแบบนั้นก่อนจะซุกตัวนอนขดบนโซฟาและเข้าสู่ห้วงนินทราไป




__________________________________________



...โบกทิชชู่ด้วยความมึนและความเมา// เจอกันตอนหน้าค่า
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 16] 24/10/2013 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 24-10-2013 21:46:37
รู้สึกว่าเพื่อนๆ เชียร์อยากให้กรมีปั๋วจังเลยนะ
ค่อยๆเป็นค่อยๆไป
มารอลุ้นดีกว่า พี่ศิจะขออะไรน้องกร
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 16] 24/10/2013 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: RenaBee ที่ 24-10-2013 22:17:13
เพื่อนๆสนับสนุนให้น้องกรมีฝามีขนาดนี้น้องกรก็น่าจะทำตามนะคะ ฝาระมีแสนดี ดีกรีคุณหมอในอนาคตเลยนะคะ!
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 16] 24/10/2013 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 24-10-2013 22:38:52
โธ่ น้องกรจ๋าเปิดใจมองพี่ศิมั่งสิลูกเอ๊ย :ling1:
สงสารพี่ศิเบาๆ   :a6:
แต่รักจริงก็ต้องสู้ต่อไปล่ะนะพี่ศิ ใส่เกียร์เดินหน้าเต็มที่เลย สู้ตายพี่ศิ :a2:

รอตอนต่อไปค่ะ  :L2: :กอด1: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 16] 24/10/2013 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: karatop ที่ 25-10-2013 02:48:45
แหมๆๆๆ เป็นสำคัญของกันและกัน ใกล้แล้วอ่ะดิ คิคิ ^^"
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 16] 24/10/2013 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: DZiik ที่ 25-10-2013 11:52:10
พี่ศิจะให้น้องการทำอะไรหว่า  :hao3:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 16] 24/10/2013 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 25-10-2013 12:28:51
แหมคนสำคัญของกันและกัน
พี่ศิต้องการอะไรจากน้องกรกันแน่นะ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 16] 24/10/2013 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 25-10-2013 21:37:43
พี่ศิน่ารักง่ะ อยากได้คนเป็นนี้เป็นแฟน ฮาา
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 16] 24/10/2013 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 27-10-2013 07:47:13
พี่ศิ น้องกร โอ้ยยยยน่ารักอะ เมื่อไหร่จะเป็นแฟนกันซักที่ คาดว่าพี่ศิคงพร้อมเป็นแฟนนานแระ น้องกรรู้ตัวไวๆนะว่าตอนนี้พี่ศิอะจีบอยู่ :impress2:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 17] 27/10/2013 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 27-10-2013 19:55:30







Chapter 17



อรุณสวัสดิ์นะครับทุกคนเช้าวันนี้เป็นเช้าของวันเปิดเทอมใหม่ครับซึ่งการลงทะเบียนเรียนผมก็ลงเรียบร้อยไปเมื่อสามวันก่อน ดังนั้นวันนี้ผมก็ได้เวลาไปเรียนแล้วครับวิชาแรกของเทอมคราวนี้ผมเรียนช่วง 11 โมงเช้าจนถึงเที่ยงครึ่งครับ และต่อด้วยวิชาตอนบ่ายที่เรียนตั้งแต่บ่ายโมงครึ่งจนถึงสี่โมงครึ่งเลยครับ เรียนแบบนอนสต็อกสามชั่วโมงติดเลยทีเดียว แต่มันก็ไม่คนามือผมหรอกครับ เพราะเย็นนี้มีสิ่งดึงดูดให้ผมพยายามเร่งเรียนให้หมดวัน…นั่นก็เป็นเพราะพี่ศิจะเลี้ยงข้าวผมครับ (ทุกท่านคงคิดว่าทุก ๆ วันพี่ศิก็ทำกับข้าวให้เอ็งกินอยู่แล้วกรแล้วมาดีใจอะไรกับการเลี้ยงข้าง) พอดีพี่ศิ พี่วิ พี่เตอร์ จะนัดเลี้ยงสายครับดังนั้นพี่ศิเลยชวนผมไป ผมก็เลยเกาะติดเป้นปลิงดูดเลือดไปเขาไปด้วยเรื่องมันก็เป็นฉะนี้แล


และทุกท่านคงจะสงสัยต่ออีกสินะครับหลังจากเมื่อคืนนั้น คืนที่พวกผมยืมห้องพี่ศิก๊งเหล้ากันหละครับ เมื่อพี่ศิกลับมาถึงห้องในตอนปีสองกว่า ๆ พวกเราทุกคนก็ตื่นครับ ตื่นมานั่งฟังเสียงเทศน์ของพี่ศิกัน พี่แกไม่ได้ว่าอะไรที่พวกเราทำห้องรกหรอกครับแต่พี่แกบ่นว่าดื่มเหล้ามากไม่ดี นี่ดื่มกันไปกี่ขวด และอะไรอีกหลาย ๆ อย่าง หลังจากพวกเราฟังเทศน์จากพี่ศิเสร็จพวกเพื่อน ๆ ของผมทุกคนก็ตาสว่างและทำตัวเป็นเด็กดีสำนึกผิดช่วยกันเก็บข้าว เก็บของ ที่วางระเกะระกะอยู่ที่พื้นและปูพรมให้เรียบร้อยเหมือนเดิม ดูเหมือนการเก็บห้องจะทำให้พี่ศิหายโกรธได้หน่อยหนึ่ง แต่ผมไม่อยากจะอวดนะครับผมนี่หละเป็นคนเดียวที่อยู่ในห้องที่ไม่โดนพี่ศิว่าเอา เพราะผมดื่มไม่มาก และยังมีสติ พี่ศิเลยไม่ว่าอะไรผม


แล้วหลังจากเรื่องห้องของพี่ศิทุกท่านก็ยังคงคาใจกับข้อแลกเปลี่ยนของพี่ศิที่มีต่อผมใช่ไหมครับ ผมจะบอกอะไรให้ว่าตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้พี่ศิแกไม่ได้เอ่ยปากขอข้อแลกเปลี่ยนกับผมเลยครับ และที่สำคัญเหมือนพี่ศิแกจะลืมไปแล้วด้วย แต่ก็คาดเดาแบบนั้นไม่ได้เพราะคนอย่างพี่ศิเป็นมนุษย์ชั่วร้ายที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมาก ดังนั้นพี่เขาต้องมีแผนร้ายอะไรในใจแน่นอนเลยครับ ผมขอเอาหัวของผมเป็นประกันเลยครับว่าแกต้องกำลังคิดข้อแลกเปลี่ยนกับผมอยู่แน่นอน


เอาหละครับหลังจากที่ผมบรรยายไปเสียยืดยาวตอนนี้ก็เป็นเวลาสิบโมงกว่าแล้วได้เวลาผมจะต้องไปเรียนวิชาแรกแล้วหละครับผมขอตัวก่อนนะครับ อ่อแล้วใครคิดว่าพี่ศิจะไปส่งผมนี่พวกคุณคิดผิดเลยครับเพราะว่าพี่ศิไปเรียนตั้งแต่ 7 โมงเช้าแล้วครับ แต่ตอนเย็นพี่ศิแกจะมารับผมนะครับดังนั้นผมจึงต้องใช้บริการสารถีกิตติมศักดิ์คนที่สองคือไอบาส (ไม่ก็ไอเจมส์ครับ) และตอนนี้ผมก็ออกมายืนรอมันหน้าคอนโดผมแล้วครับ (ความจริงผมก็เห็นใจมันนะ ต้องขับรถจากหอในมารับผมแล้วก็ต้องขับเข้าไปอีกแต่ทำไงได้หละครับ ผมไม่อยากเสียเงินนี่เพราะช่วงนี้ผมกำลังเก็บเงินอยู่ด้วยสิ) ผมยืนรอไอบาสไปสักพักไม่นานมอเตอร์ไซค์คู่ใจของมันก็ขับมาเทียบท่าพร้อมให้ผมขึ้นไปซ้อนแล้วครับ ซึ่งแน่นอนผมก็รีบซ้อนและบอกให้มันขับออกไปทันที ความจริงมันก็เหลือเวลาตั้งเยอะนะครับกว่าจะเข้าเรียนแต่ผมอยากไปเจอหน้าเพื่อน ๆ ก่อนเข้าเรียนจะได้เมาส์อะไรได้สะใจ ไม่งั้นเข้าเรียนแล้วจะไม่มีเวลาพูดกัน ซึ่งการขับมอเตอร์ไซค์มันเร็วกว่าขับรถยนต์ครับดังนั้นเราจึงใช้เวลาไม่นานมากนักก็ขับมาจอดที่ตึกคณะแล้วครับ
ผมเดินตรงเข้าไปใต้คณะพร้อมกับยกมือไหว้พวกรุ่นพี่ตั้งแต่ปี 2 ยันปีสูง ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะม้าหินอ่อนซึ่งเป็นที่นั่งประจำของพวกผม และเมื่อผมเดินไปถึงโต๊ะผมก็ยกมือขึ้นทักทายทันที แต่ไอพวกเพื่อนทั้งหลายต่างส่งเสียงโห่ร้องแซวผมเรื่องพี่ศิกันยกใหญ่ไม่เว้นแม้แต่พรีมสาวน้อยคนเดียวของกลุ่ม (มันทำให้ผมรู้สึกเสียใจทันทีเลยครับว่าผมไม่น่าเล่าเรื่องผมกับพี่ศิให้พวกมันฟังเล้ย)


“กรแม้ตอนนั้นเราจะมิได้อยู่ร่วมวงเหล้าแต่เราได้ยินเสียงกรทุกประโยคนะจะ” เสียงเล็กของสาวน้อยนามว่าพรีมเอ่ยขึ้นเธอพูดพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะเบา ๆ ออกมา ท่าทางเช่นนั้นของเธอน่ารักน่าชังมากครับผมอาจจะใจสั่นได้ถ้าสิ่งที่เธอพูดไม่ใช่เรื่องที่เธอกำลังพูดล้อผมอยู่ ซึ่งผมกได้แต่ทำหน้ามุ่ยใส่เธอไปซึ่งสาวพรีมเธอก็ไมได้ทุกร้อนกับการกระทำของผมทั้งยังออกปากชมผมเสียอีกว่าท่าทางแบบนั้นของผมน่ารัก “อร้ายย….น่ารักจังเลยกร แต่ตอนพรีมได้ยินกรพูดนะ พรีมขอบอกเลยว่าตกใจมาก ก็พรีมคิดว่ากรไม่น่าจะตกลงปลงใจกับตกเป็นพี่ศิ”


คำถูดของพรีมทำเอาผมแทบจะกัดลิ้นตาย พรีมกับพรีม พรีมพูดอะไรออกมาครับเพื่อนกรคนนี้ยังไม่เสียเวอร์จิ้นครับ “พรีมครับ พูดอะไรกับครับใครตกลงปลงใจเป็นของใครกันพรีม ฟังมั่วแล้ว” ผมพูดตอบพรีมไปซึ่งพรีมก็อุทานออกมาด้วยความตกใจ


“วิวกับฟองบอกพรีมว่ากรมีสามีแล้วอะ เอ้านี่ยังไม่ได้เสียกันอีกเหรอ” บางครั้งผมก็คิดว่าพรีมเป็นคนที่พูดตรงเกินไปครับ ตรงมากจนแบบ…เออผมอธิบายไม่ถูกครับแต่รู้คงแนว ๆ ขวานฝ่าซากหละมั้งครับ (บางทีการพูดตรง ๆ แบบนี้ของพรีมทำให้เข้ากลุ่มสาว ๆ ไม่ได้ครับเธอเลยรเห็จมาอยู่กลุ่มพวกผมไง แต่พรีมเขาเป็นเพื่อนสมัยม.ปลายของผมครับเธอจะสนิทและอยู่กลุ่มของกับพวกผมก็ไม่แปลกหรอกครับ)


สิ้นเสียงของพรีมเล่นทำเอาผมจะเป็นลมนอนฟุบไปกับพื้นแต่นี่ผมให้อภัยพรีมนะครับเพราะเธอพูดด้วยหน้าตาเหลอหรา แบบคนไม่รู้เรื่องจริง ๆ แต่ไอคนที่รู้เรื่องแต่เอาไปสื่อสารกันผิด ๆ แบบไอวิวกับไอฟองนี่ต้องมีไล่เตะครับ ผมปรายตามองไปยังไอสองคนนั้นทันทีซึ่งพวกมันก็รู้ครับว่าผมหมายหัวของมันอยู่ ไม่ทันที่ผมจะได้ เตะอะไรมันไอสหายสองคนนั้นก็วิ่งหนีขึ้นลิฟท์ไปเรียนแล้วครับ ‘เรื่องหนีนี่พวกมรึงไวหยั่งกับปรอทจริง’


“…พรีมครับกรกับพี่ศิเป็นพี่คนพิเศษกันนะครับ ยังไม่ได้เกินเลยขนาดนั้นครับพรีม” ผมพยายามใจเย็นพูดบอกพรีมไป ซึ่งพรีมก็พยักหน้าเข้าอกเข้าใจนะครับและหลังจากผมพูดอธิบายให้เธอฟังจนหมดสิ้น เธอก็เอ่ยพูดประโยคที่ทำให้ผมเกือบจะสำลักอากาศเลยครบ “อ่อ…คนพิเศษของกันและกันเหรอดูโรแมนติกจังเลย งั้นแบบนี้แสดงว่าอีกไม่นานกรจะต้องสละโสดแล้วสิเนี่ยแบบนี้พรีมให้อะไรกรเป็นของขวัญวันสละโสดของกรดีเนี่ย…” ผมยกมือขึ้นบอกให้พรีมเขาหยุดพูดแต่ทว่าสาวพรีมของเราจะหยุดการจินตนาการของตัวเองไม่ได้แล้วหละครับตอนนี้เธอยิ่งเพ้อใหญ่เลยครับ พูดอะไรเคะ ๆ เมะ ๆ วาย ๆ เนี่ยหละ เล่นทำเอาผมปวดสมองไปเลย ผมเลยขอตัดบทสนทนาของพรีมกับผมลงแค่นี้ครับก่อนที่ผมจะเมากับคำพูดเธอไปเสียก่อน


หลังจากผมตัดจบบทสนทนาไม่นานก๊วนเพื่อนของผมก็มายังดต๊ะม้านั่งประจำของเราจนครบ (ขาดแต่ไอวิวกับไอฟองที่ตอนนี้มันหนีตรีนผมขึ้นไปรอที่ห้องเรียนแล้ว) และในเมื่อเพื่อนของเรามาครบก๊วนสักทีตอนนี้พวกเราก็ได้เวลาเคลื่อนย้ายก้นออกจากเก้าอี้และขึ้นไปที่ห้องเรียนกันได้แล้วครับ ผมลุกขึ้นเป็นคนแรกก่อนที่หลาย ๆ คนจะลุกตาม ตอนนี้เป็นเวลา 10.45 นาทีแล้วครับดังนั้นถ้าไม่รีบนี่มีแววอาจจะเข้าเรียนสายตั้งแต่คาบแรกก็ได้ครับ


พวกเรารีบวิ่งขึ้นห้อง (เพราะลิฟท์ไม่ว่าง ดันไปขึ้นตอนช่วงใกล้เรียนคนก็เยอะเป็นธรรมดาครับ) กันอย่างรวดเร็วในที่สุดเราก็วิ่งขึ้นมาถึงห้องเรียนจนได้ เวลาก็พอเหมาะ อีกห้านาทีจะสิบเอ็ดโมง พอผมเปิดประตูเข้าไปในห้องผมก็เจอหน้าไอวิวกับไอฟองนั่งกันหน้าสลอนอยู่แถวที่สามครับ ผมเลยเดินตรงเข้าไปพร้อมกับตลบหัวมันคนละทีแล้วทรุดตัวนั่งลงข้าง ๆ พวกมันสองคน ถัดจากผมไปก็เป้ฯไอเจมส์ ไอบาสและคนที่เหลือครับส่วนพรีมเธอนั่งแถวสองครับเพราะด้วยเหตุพวกผมตรงสูงเปรตเกินไปถ้าไปนั่งหลังพวกผมเธอคงเรียนไม่รู้เรื่องแน่นอน


เวลาล่วงเลยไปถึงสิบเอ็ดโมงสิบห้านาทีพวกเราก็เพิ่งจะได้พบหน้าอาจารย์ของเราครับ (บางทีผมคิดว่ามันน่าจะมีแบบ จารย์เข้าเลต 15 นาทีหมดสิทธิสอน อะไรแบบนั้น อย่างพวกผมนี่ สิบห้านาทีหักคะแน หลังสามสิบนาทีเชคขาไรงี้อะครับ) ครอสเอาท์ไลน์ถูกแจกให้ทุกคนในห้องผมก้มมองเนื้อหาวิชาเรียนจนตาแทบถลน วิชานี้เป็นวิชาเกี่ยวกับการเขียนภาษาคอมพิวเตอร์ครับ ซึ่งผมคิดว่าทุก ๆ คนคงเคยเจอกับภาษานรกนี้มาตั้งแต่ม.ปลายแล้ว เช่นไอคำว่า Hello world. ไงครับ (แต่ว่าไอคำว่า Hello world.นี่…ในข้อสอบมันไม่มีครับในข้อสอบมันจะเป็นอะไรมากกว่าพวกนี้เยอะ ผมคิดว่ามันแอ๊บสแตรกครับมันไม่มีตัวตนไม่มีรูปร่างมันล่องลอยอยู่ในจินตนาการครับ) ไอภาษานี้ผมไม่ได้ถนัดอะไรเลย ไม่อยากจะบอกว่าตอนเห้นครอสเอาท์ไลน์ที่ผมอยากจะกดดรอปเสียให้รู้แล้วรู้รอดครับ มันเป็นอะไรที่ดราม่าสุดชีวิตจริง ๆ กับการต้องมาเรียนภาษาที่แอ๊บสแตรกแบบนี้


หลังจากผมหลุดออกจากห้วงคำนึงผมก็หันไปมองสหายของผมแต่ละคนซึ่งทุกคนก็มีสีหน้าอยากจะกดดรอปวิชานี้มันตอนนี้ไม่แพ้ผมครับ หน้าตาแต่ละคนนี่อารมณ์แบบโลกที่อาศัยอยู่ตรงนี้มันจะพังทลายให้ได้เสียตอนนี้


พวกเรานั่งมึน ๆ งง ๆ ฟังอาจารย์พูดถึงเนื้อหาวิชาที่จะเรียนกันไปสักพัก ผ่านไปสามสิบนาทีอาจารย์ก็ประกาศปล่อยครับ (สำหรับคาบแรกของเทอมจะเป็นแบบนี้หละครับอาจารย์จะสอนนิด ๆ หน่อย ๆ แล้วก็ปล่อยแล้วเด็กทุกคนก็ยินดีปรีดาแต่อาจารย์บางคนก็ประกาศเลยนะครับว่าการเรียนการสอนจะมีในอาทิตย์ถนัดไปหรือถัด ๆ ไป วิชาที่จะไม่สอนในคาบแรกของเทอม และส่วนใหญ่จะเป็นพวกวิชาเรียนยาวสามชั่วโมงแบบวิชาช่วงบ่ายของผมในวันนี้ หรือจะเป็นพวกแลปที่ต้องเชคเครื่องมือสำหรับการทำการทดลองให้พร้อมก่อนแล้วค่อยให้นิสิตเข้ามาเรียนเข้ามาทำการทดลองครับ) และหลังจากสิ้นเสียงของอาจารย์ผึ้งในห้อง (มันคือ ๆ กับผึ้งในรังหนะครับ) ก็แตกฮือส่งเสียจ็อกแจ็กคุยกันแบบไม่สนใจอาจารย์ที่ยังคงยืนอยู่หน้าห้องแต่ดูเหมือนกว่าท่าอาจารย์ของเราจะปลงแล้วแกก้ได้แต่ยิ้มและส่ายหัวไปมาก่อนจะเก้บของบนโต๊ะแล้วเดินออกไปจากห้อง


ผมกับเพื่อน ๆ ยังคงนั่งปักหลักในห้องเพื่อเสพเอาอากาศเย็น ๆ ของแอร์อยู่แต่ในท้ายที่สุดคุณป้าแม่บ้านก็ต้องเข้ามาไล่เนื่องจากไม่มีการเรียนการสอนทางมหาลัยต้องการประหยัดไฟ เลยทำให้ป้าแกต้องเข้ามาปิดแอร์ปิดไฟไล่พวกผมออกจากห้อง ไอระแบบแบบนี้มันก็ดีหรอกครับ แต่…พวกผมจะหาที่หลบร้อนที่ไหนได้ อยู่นอกห้องแอร์ก็ร้อนจะตายถึงมันจะเข้าใกล้หน้าหนาวแล้วก็เถอะ แต่เมืองไทยเค้ามีหน้าหนาวที่ไหนกันหละ! (ปล. ที่ผมยังไม่กลับคอนโดเพราะว่าคาบตอนบ่ายยังไม่ชัวร์ว่าอาจารย์จะประกาศยกเลิกคราสหรือเปล่านะครับ พอดีมันเป็นวิชาช่วยครับซึ่งโอกาสยกเลิกคราสสูงมากแต่ผมรอให้มันแจ้งให้ผมแน่ใจก่อนดีกว่าแล้วผมค่อยย้ายก้นกลับคอนโดแล้วโทรให้พี่ศิไปรับที่คอนโดเลย)


แต่คุณป้าแม่บ้านไล่พวผมก็ยอมย้ายตรูดออกจากห้องไปนะครับพวกเราทั้ง 9 คนก็เดินตรงไปที่โรงอาหารซึ่งเป็นสถานที่พักพิงสุดท้ายของพวกผมแล้วครับ (ความจริงมีโต๊ะหินอ่อนอีกที่และ ไอแมทซ์หิวข้าวครับ (มันคือคนสุดท้ายที่มาถึงครับและมันบอกว่ามันเพิ่งตื่นดังนั้นมันยังไมได้กินข้าวกินน้ำเลยครับ ดังนั้นพวกเราก็ทนต่อสีหน้าโอดครวญของมันไม่ไหวเลยมาที่โรงอาหารให้ไอแมทซ์กินข้าวครับ) ซึ่งในโรงอาหารนี้มีพวกรุ่นพี่ที่ผมรู้จักเยอะแยะเลยครับ ผมนี่ยกมือไหว้จนมือแทบจะพันกันอยู่แล้ว และเพื่อน ๆ ของผมก็ต้องรับกรรมตามเพราะมันไม่รู้จักรุ่นพี่สักคนแต่ต้องมายกมือไหว้พร้อม ๆ กับผม (ถึงผมจะไม่ชอบทำกิจกรรมแต่ตอนช่วงที่เพิ่งเข้ามหาลัยตอนแรก ๆ กิจกรรมแรกพบ เฟิร์สเดทไรพวกนี้ผมไปทุกงานนะครับ คือผมไปป่วนจนพี่ ๆ ตั้งฉายาให้ผมคือไอคุณน้องกรครับ)


พวกเราเดินหาโต๊ะกันอยู่ไม่นานนักสักพักเราก็เจอโต๊ะที่กว้างพอที่จะให้พวกเราทั้ง 9 คนนั่งยัดรวมกันได้แล้วครับผมถลาไปที่โต๊ะพร้อมโยนกระเป๋าไปกลางโต๊ะทันที ส่วนคนอื่น ๆ ก็ค่อยเดินตามกันมาโยนกระเป๋าลงบนโต๊ะและแยกย้ายกันไปหาอะไรกินรองท้องกัน (ทั้งกินให้หนักท้องกับกินเล่นหละครับ แต่สำหรับผมกินเล่นก็พอเพราะผมจะล้างท้องรอไปกินข้าวพร้อมกับพี่ศิครับ)
ผมเดินมองร้านอาหารี่เปิดเรียงรายอยู่ในโรงอาหารแต่ละร้านนี่คิวยาว ๆ กันทั้งนั้นเลยครับซึ่งกว่าจะได้นี่ชาติเศษแน่ในที่สุดที่ฝากท้องสุดท้ายของผมก็คือร้านผลไม้ครับ ผมเดินเข้าไปสั่งแตงโมกับมะม่วงมาอย่างละถุงก่อนจะเดินกลับมานั่งที่โต๊ะโดยที่บนโต๊ะยังไม่มีใครกลับมานั่งเลยสักคน ‘ท่าทางแต่หละคนนี่คงจะยอมทนต่อแถวยาวเหยียดเพื่อกินอาหารขึ้นชื่อในโรงอาหารแน่ ๆ’


ไอผมก็นั่งรอเพื่อนไปเอาไม้จิ้มมะม่วงจิ้มเข้าปากไป ผมรอพวกเพื่อน ๆ ไปอีกสักพักในที่สุดไอบาสกับไอเจมส์ก็เป็นสองคนแรกที่ได้กลับมาจากศึกแย่งชิงข้าวกินครับ มันทั้งสองคนคงกินร้านเดียวกัน (ถ้าคนละร้านคงไม่กลับมาพร้อมกันหรอกครับ) ซึ่งร้านที่มันกินนั้นเป็นพวกขายข้าวมันไก่ครับ ไอเจมส์กินข้าวมันไก่เน้นว่าไก่นั้นต้องเป็นส่วนน่องเท่านั้นด้วย ส่วนไอบาสกินข้าวมันไก่ย่างครับไอนี่ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ นอกจากของน้ำซุปเยอะ ๆ ครับ ผมมองคนทั้งคู่ก่อนจะค่อย ๆ จิ้มมะม่วงเข้าปากไปอีกคำ พวกมันทั้งสองคนนั่งลงและกระเถิบเข้ามานั่งข้าง ๆ ผม ‘นี่พวกมรึงจะเอามาให้กรูอยากจนต้องวิ่งไปซื้อเหรอไม่มีวันซะหรอก มรึงยั่วไอกรคนนี้ไม่ได้หรอกสหาย’ ผมยั่งทำหน้านิ่งและกินมะม่วงจิ้มน้ำปลาหวานของผมต่อไป


ในที่สุดเพื่อนคนอื่น ๆ ของผมก็เดินตาม ๆ กันกลับมานั่งที่โต๊ะแต่ละคนนี่จัดเต็มกับอาหารกลางวันมื้อนี้มากเลยครับทำเอาผมนี่อยากจะลุกขึ้นเดินไปซื้อข้าวมาจ้วงกินกับพวกมันจริง ๆ แต่ทำไงได้ ผมตั้งใจแล้วว่าจะล้างท้องไปทานขาวกับก๊วนพี่ศิดังนั้น…ผมก็ต้องอดทนให้ได้ครับ


ผมนั่งมองเพื่อนแต่ละคนตักข้าวเข้าปาก คีบก๋วยเตี๋ยวเข้าปากแล้วก็ต้องกลืนน้ำลายตัวเองลงไป ในใจก็พยายามท่องคำว่า ‘ไม่สนใจ ไม่สนใจ ไม่สนใจ’ แล้วนั่งจิ้มผลไม้เข้าปากไป


ในที่สุดช่วงเวลาแห่งนรกของผมก็เสร็จสิ้นครับเพื่อนทุกคนกินข้าวจนหมดจานกันแล้ว และผมก็อิ่มด้วยผลไม้แล้วครับดังนั้นไม่มีใครมาทำร้ายท้องผมได้อีกแล้ว ผมหยิบน้ำส้มซึ่งเป็นน้ำดื่มประจำของผม หรือเรียกง่าย ๆ ว่ามันเป็นซิงเนเจอร์ของผมเวลาดื่มน้ำขึ้นมาดื่มก่อนจะหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาดูเวลาว่าตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมงแล้วครับซึ่งเหลือเวลาอีก 30 นาทีก็จะถึงเวลาเริ่มคาบต่อไปแล้ว คราวนี้พวกผมต้องรีบเร่งกันแล้วหละครับเพราะวิชานี้เป็นวิชาช่วยที่ไม่ได้เรียนในคณะครับดังนั้นพวกผมทุกคนก็ใส่เกียร์หมาวิ่งกันไปที่ตักเรียนรวมเลยครับ ผมเราวิ่งกันไปหอบกันไปในที่สุดตอนนี้เราก็มาถึงหน้าห้องเรียนแล้วหละครับ แล้วเมื่อเรามาถึงหน้าห้องเรียนมันก็ปรากฏว่า…อาจารย์ไม่ประกาศยกเลิกคราสครับ แต่อาจารย์ท่านนี้ก็ทำแบบเดียวกับอาจารย์ท่านแรกครับแต่อาจารย์ท่านนี่เอาครอสเอาท์ไลน์มาวางแปะไว้หน้าห้องและให้นิสิตแต่ละคนลงมาหยิบเองครับ (แต่แกให้หยิบหลังจากแกปล่อยแล้วหนะครับ)


ซึ่งอาจารย์ท่านนี้ก็ทำเช่นเดียวกับอาจารย์ท่านแรกครับแกแค่พูดเรื่องบทเรียนที่จะสอนซึ่งคิดเหรอครับว่าพวกผมจะฟังกันผมนี่รายแรกเลยครับหยิบไอแพทมินิขึ้นมานั่งต่อไวไฟเล่น และเพื่อนแต่ละคนของผมนี่ไม่ไอโฟนก็ไอแพท ไม่ไอแพทก็แดนดรอยครับว่างกัน 9 เครื่องเรียงกันอย่างสวยงามเลยครับ เวลาผ่านไปได้สักสามสิบนาทีอาจารย์ท่านนี้ก็พูดเกี่ยวกับเนื้อหาการเรียนเสร็จสักที


ในที่สุดพวกผมก็เป็นไทกันครับไอเจมส์นี่ลุกเป็นคนแรกเลยครับพร้อมกับบิดขี้เกียจแบบไม่เกรงใจอาจารย์ที่ยังคงนั่งอยู่หน้าห้องครับ รายถัดไปคือไอวิวด้วยความสูงของมันทำให้มันนี่ทำให้นั่งโต๊ะเลคเชอร์ลำบากครับ และหลังจากนี้ทุก ๆ คนก็ค่อยลุกขึ้นตามกันแล้วครับแต่ละคนทำหน้าเหมือนเพิ่งตื่นนอนกันทุกคน (ขนาดมือไอแพทไอโฟนแอนดรอยแล้วยังเอาไม่อยู่สินะวิชานี้คิดถูกคิดผิดที่ลงเนี่ย) แต่ละคนนี่สภาพแบบยกมือขยี้ตา บ้างก็เอามือป้องปากหาว แต่พวกเราทุกคนก็มีจุดมุ่งหมายครับนั่นก็คือการเดินไปยังประตูทางออกจากห้องนี้ครับ


ในตอนนี้พวกเราทั้ง 9 คนยืนอยู่หน้าห้องเรียนครับซึ่งในตอนนี้พวกเรากำลังคุยว่าจะไปอยู่ที่ไหนกันดี บางคนนี่ขี้เกียจกลับหอ บางคนก็ขี้เกียจกลับบ้าน (หรือคอนโดเช่นผม) พวกเรายืนสนทนาธรรมกันอยู่สักพักในที่สุดข้อตกลงก็สรุปได้ว่าไปคอนโดผมครับ… (ทำไมอะไรยังไงก็ต้องคอนโดผมวะครับที่อื่นที่ดีกว่านี้ไม่มีแล้วหรือไงเนี่ย)


หลังจากทุกคนได้ข้อสรุปพร้อมกับบีบบังคับผมให้ยอมอนุญาตให้พวกมันไปสิงสถิตที่คอนโด ทุกคนก็ขับรถคู่ใจของแต่ละคนตรงไปยังคอนโดของผมครับ บ้างก็ขับมอไซค์ไป (อันนี้เป็นพวกอยู่หอใน) บ้างก็ขับรถไปเช่นพรีมเพราะเธอไปกลับครับใช้เวลาไม่นานพวกเรา 9 คน ก็มาถึงคอนโดของผมครับไอในใจผมนะอยากจะพูดใส่พวกมันว่าพวกมรึงเคยถามความสมัครใจของกรูมั่งไหมเนี่ย แต่ก็ต้องเงียบปากไปเพราะสายตาพิฆาตของเพื่อนแต่หละคนนี่หละครับ ผมก็เลยต้องจำใจให้เพื่อนทุก ๆ คนเข้ามาสิงที่หอผมครับในเวลาว่าง ๆ และพวกมันไม่อยากกลับบ้านกลับหอกัน


เมื่อมาถึงคอนโดผมก็ทำหน้าที่เป็นเจ้าบ้านที่ดีเปิดประตูห้องตัวเองให้เพื่อน ๆ เข้าไปด้านใน (แต่ผมขอบอกไว้เลยนะครับตอนนี้เครื่องเล่นเกมส์ของผมไปสิงสถิตที่ห้องพี่ศิหมดแล้วต่อให้พวกมันมา มันก็เล่นเกมส์ไม่ได้) ก้าวแรกที่สหายทั้งหมดของผมเข้าไปในห้องคำถามแรกของมันก็คือ “เพลย์ 3 หายไปไหนว่ะ” น่านผมคิดไว้แล้วหละครับว่าจุดประสงค์ของไอเพื่อนของผมแต่ละคนคืออะไร ‘นี่พวกมันตั้งใจมาผลาญค่าไฟห้องผมชัด ๆ เลยครับ’


“อยู่ห้องพี่ศิ” ผมตอบไปตามความจริงซึ่งไอพวกเพื่อน ๆ ของผมก็หันมามองผมเป็นตาเดียว แถมสายตาของเพื่อนแต่และคนนี่สื่ออารมณ์ไม่ต่างกันเลยครับเพราะสิ่งที่ผมรับรู้ได้จากสายตาพวกมันก็คือ ‘ไอกรมีสามีแล้วแม่มหนีตามกันไปที่ห้องสามีเลยนะมรึง’
“ไม่ต้องมามองแบบนั้นเดี๋ยวกรูไปเอามาให้เล่น พวกมรึงนั่งเรียบร้อย ๆ อยู่ในห้องก็แล้วกัน” ผมชี้นิ้วสั่งเพื่อนแต่ละคนก่อนจะออกจากห้องตัวเองเพื่อไปห้องพี่ศิ ผมเปิดประตูเข้าไปพร้อมกับแบกเครื่องเล่นต่าง ๆ (พร้อมเกมส์) ออกมาจากห้องพี่ศิและเดินกลับไปยังห้องของตัวเอง


“มาแล้ว ๆ เอาไปต่อกันเองนะเว้ยเดี่ยวกรูต้องโทรบอกพี่ศิก่อนว่ากรูกลับมาที่หอแล้วพี่เขาจะได้มารับถูก” ผมพูดพร้อมกับโบกมือไปมาเพื่อบ่งบอกว่าผมของเวลานอก แต่ไอเพื่อนเวรเพื่อนกรรมที่น่ารักของผมไม่ปล่อยให้ผมขอเวลานอกได้ครับเพราะว่ามันส่งเสียงซวย เสียงอวยกันมาจนผมต้องจ้องเขม่งใส่พวกมันและเดินออกไปคุยโทรศัพท์ที่นอกระเบียง


ผมเข้าระบบโทรศัพท์ในไอโฟนของผมก่อนจะกดลงไปที่ระบบโทรออกล่าสุด คือหาแบบนี้ง่ายกว่าครับเพราะผมกับพี่ศิช่วงนี้โทรหากันบ่อยมากดังนั้นเบอร์ที่โทรเข้าโทรออกในเครื่องผมนั้นจะเป็นเบอร์ของพี่ศิที่ขึ้นอยู่คนแรกเลยครับ ผมจิ้มไปยังเบอร์ของพี่ศิ พร้อมกับถือสายรอพี่เข้าไปสักพักหนึ่ง ไม่นานนักเสียงทุ้มก็เอ่ยพูดขึ้น


“สวัสดีครับกร แปปนะครับกรเดี๋ยวพี่ออกจากห้องเลคเชอร์ก่อน” พี่ศิพูดบอกผม ผมได้ยินเสียงขยับเขยื้อนโต๊ะเล็กน้อยและเสียงของอาจารย์ในห้องค่อย ๆ เบาลง เบาลงจนในท้ายที่สุดก็เงียบสนิท สงสัยพี่ศิเดินออกจากห้องเลคเชอร์ไปจริง ๆ เพราะผมได้ยินเสียงบานประตูปิดลงด้วย ไม่นานเกินรอเสียงพี่ศิก็ดังขึ้นในโทรศัพท์อีกครั้ง “มีอะไรเหรอครับกร”


“คือกรจะแค่โทรมาบอกพี่ศิว่าตอนนี้กรอยู่คอนโดนะ พอดีตอนบ่ายมันไม่มีเรียนเพื่อน ๆ เลยตกลงกันว่าจะมานั่งเล่นห้องของกร ดังนั้นตอนเย็นพี่ศิมารับกรที่ห้องแทนนะ” ผมพูดให้พี่ศิฟังซึ่งพี่ศิก็ตบปากรับคำว่าจะมารับผมที่คอนโดแทนการไปรับที่ตึกเรียน เมื่อจุดประสงค์ของการสนทนานี้ของผมจบลงผมก็ตั้งใจจะวางสายเพราะไม่อยากรบกวนพี่ศิมากกว่านี้ ทว่าก่อนที่ผมจะวางสายคำพูดของพี่ศิก็ดังแว่วมา และไอประโยคนั้นทำให้ผมแทบจะสำลักอากาศตายอีกรอบ “ครับ ไว้เจอกันตอนเย็นนะครับน้องกรของพี่ศิ” สิ้นประโยคนี้เสียงของพี่ศิก็หายไปพร้อมกับสัญญาณที่ถูกตัดทิ้ง




v
v
v
v
v
v
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 17] 27/10/2013 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 27-10-2013 19:58:02




ใบหน้าของผมแดงก่ำพร้อมกับกำโทรศัพท์มือถือในมือตนไว้แน่น ‘พี่ศินะพี่ศิ เล่นกรซะแล้วแล้วแบบนี้จะกลับเข้าไปในห้องได้ยังไงเนี่ยหน้าแดงแบบนี้’ ผมสงบสติอารมณ์ของตัวเองสักพักค่อย ๆ ปรับให้หัวใจของตนเต้นช้าลงและค่อย ๆ เปิดประตูเลื่อนเข้าไปในห้อง


แต่ทันทีที่ผมเข้าไปในห้องผมเจอเพื่อนของผมที่แอบฟังบทสนทนาของผมกับพี่ศิยืนกันหน้าสลอน แต่ละคนนี่ร้อยยิ้มชั่วร้ายกันทุกคนครับไม่เว้นแม่แต่สาวน้อยคนเดียวของกลุ่มเรา พรีมนี่ค่อย ๆ เดินนำแล้วทำมือเป็นโทรศัพท์แล้วพูดประโยคล้อเลียนผมพร้อมกับบิดไปบิดมาแสร้งทำเป็นท่าเขินอายส่วนไอวิวก็เดินออกมาแสดงเห็นพี่ศิ ไอผมนี่อยากจะกระโดดเตะทั้งสองคนเสียจริงแต่ผมถือคติว่าผมจะไม่ทำอะไรผู้หญิงครับดังนั้นผมก็ได้แต่โกรธหน้าดำหน้าแดงกระทืบเท้าเดินหนีไป โดยมีเสียงล้อเลียนและแซวผมตามหลัง ‘ไอเพื่อนบ้าอย่าให้ถึงทีกรูมั่งนะ จะเล่นให้พวกมรึงพูดไม่ออกกันเลย’


ผมเดิยลี้ภัยเข้ามาหลบในห้องนอนของผมแล้วลอคประตูทันที ห้องนอนของผมในตอนนี้เหมือนเป็นห้องแห่งความลับไปแล้วครับ เพราะแม้แต่ไอเจมส์กับไอบาสผมก็ไม่อนุญาตให้มันเข้ามาในห้องนอนของผมแล้วครับ ตอนแรกมันก็ไม่ใช่ห้องแห่งความลับอะไรหรอก แต่ตั้งแต่ผมรู้จักกันพี่ศิมาในห้องของผมก็เต็มไปด้วยกระดาษโน้ตสีฟ้าอ่อนที่แปะไปทั่วกระดานไวท์บอร์ดบนหัวเตียงและตอนนี้เริ่มลามไปตามประตูตู้และกำแพงแล้วด้วย นี่แหละที่ทำให้ผมไม่อยากให้พวกเพื่อน ๆ เข้ามาในห้องเหตุผลก็เพราะผมกลัวว่ามันจะล้อนี่หละครับ กลัวว่ามันจะล้อเลียนว่าผมนี่ทำตัวเป็นสาวน้อยเพิ่งเจอรักแท้ รักแรกเลยตั้งใจเก็บของของอีกฝายที่ให้มาทั้งหมดไว้ไม่อยากจะทิ้งไปสักแผ่นเดียว


ความจริงมันก็ไม่ถึงขนาดนั้นครับที่ผมเก็บกระดาษโน้ตไว้เพราะประโยคแต่ละประโยคของพี่ศิที่เขียนลงในกระดาษโน้ตนั่นหละครับ ต่อให้ผมกลับมาอ่านซ้ำกี่ครั้งต่อกี่ครั้งมันก็ทำให้ผมอมยิ้มและทำให้ผมมีแรงที่จะทำอะไรได้เสมอ ผมเลยเก็บพวกมันไว้เป็นอย่างดีและไม่เคยเก็บออกเลยสักใบ ผมไม่รู้ว่าพี่ศิแกจะเก็บกระดาษโน้ตที่ผมเขียนส่งให้พี่ศิทุกวันไว้ไหม แต่ผมรู้ว่าผมเก็บก็เป็นพอ


ผมถลาขึ้นไปนอนที่เตียงและหยิบกระดาษโน้ตแผ่นล่าสุดที่พี่ศิแกสอดไว้ใต้ประตูเมื่อเช้าออกมาอ่านซ้ำ




‘กรครับ วันนี้เปิดเทอมวันแรกอย่าสายนะครับ พี่ไปเรียนก่อนนะ ตอนเย็นเจอกันล้างท้องรอได้เลยเดี่ยวพี่เลี้ยงข้างกรเอง จากพี่ศิ’



ผมหัวเราะน้อย ๆ กับประโยคที่พี่ศิเขียนเหมือนพี่เขาจะรู้ใจผมนิดหน่อยนะครับว่าผมล้างท้องรอผลาญเงินพี่ศิเขา ผมค่อยๆ ยันตัวขึ้นพร้อมกับน้ำกระดาษโน้ตแผ่นนั้นขึ้นไปแปะบนกระดานไว้บอร์ดเพิ่มขึ้นอีกแผ่น นี่เป็นแผ่นที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้แต่ที่รู้กระดาษโน้ตทุกใบที่พี่ศิเขียนให้ผม…มันทำให้ผมมีความสุขทุกครั้งที่ได้อ่านครับ


หลังที่ผมชื่อชมกับกระดาษโน้ตแต่ละแผ่นเรียบร้อยผมก็ขอเข้าเฝ้าพระอินทร์ตอนกลางวันก่อนนะครับลาหละครับเจอกันตอนเย็น (ตอนพี่ที่ศิแกมาเคาะประตูห้องของผมแล้วกัน)




เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ภายนอกห้องนอนผมก็ส่งเสียงโห่ร้องกับเกรียวกราวและเสียงนี่ทำให้ผมสะดุ้งตื่นขึ้นทันที ผมหันไปมองนาฬิกาที่หัวเตียงซึ่งมันบอกผมว่าตอนนี้เป็นเวลา 5 โมงเย็นแล้วครับ ผมรีบเด้งตัวออกจากเตียงพร้อมกับวิ่งถลาไปเปิดประตูห้องนอนทันที


ซึ่งสภาพภายในห้องของผมมันไม่ได้คลาดเคลื่อนไปจากการคาดเดาของผมเลยครับ เพราะผมเดาไว้ว่าเมื่อพี่ศิแกไขกุญแจห้องของผมเข้ามาก็คงเจอกับพวกเพื่อน ๆ ของผม และไอเพื่อน ๆ ตัวร้ายของผมนี่แต่หละคนมันเกรงใจกันเป็นซะที่ไหนหละครับ พอพวกมันเห็นพี่ศิมันก็ส่งเสียงโห่ร้องและแซวพี่ศิกันเสียยกใหญ่ (ไอพวกนี่ปีนเกลียวกันเก่งจริง ๆ) ส่วนพี่ศิก็ได้แต่เกาแก้มที่ขึ้นสีจาง ๆ ของตัวเองเบา ๆ โดยที่ไม่คิดจะพูดตอบโต้อะไรพวกเพื่อน ๆ ของผมเลยครับ


และทันทีที่ผมเปิดประตูห้องนอนของผมออกมาเป้าหมายใหม่ของเหล่าสหายก็พุ่งมาที่ผม โดยมีไอเจมส์ไอบาสเป็นแกนหลักของการแซว “ตายแล้วสามีมารับแล้วครับ เพื่อนกรออกมาต้อนรับสามีเร็วจริง ๆ”


สิ้นประโยคนี้ผมก็วิ่งถลาเข้าไปกระโดดเตะพวกมันเรียงตัวเลยครับ ส่วนพี่ศิหนะเหรอตอนนี้ก็ยังคงยืนยิ้มจางๆพร้อมกับใบหน้าที่ขึ้นสีเล็กน้อย


พี่ศิเขิน! ผมก็เขิน! แต่พี่มาช่วยผมเตะไอพวกนี้ ให้มันเลิกล้อทีเถอะครับอย่ามัวแต่ทำตัวเหนียมอายเลยครับผมขอร้องแต่ผมก็ไล่เตะพวกมันได้ไม่นานเสียงโทรศัพท์มือถือของพี่ศิกรีดร้องดังขึ้น ซึ่งทันทีที่พี่ศิแกกดรับสายเสียงของพี่วิก็กรีดร้องผ่านสายสัญญาณโทรศัพท์ออกมาทันที “ศิที่รักค่ะนี่ ศิที่รักไปรับน้องกรหรือไปทำมิดีมิร้ายน้องกรค่ะไปนานจริง นี่วิกับเต๋อร์มารอที่ร้านได้สักพักแล้วนะคะ”


เสียงของพี่ศินี่ดังออกมานอกโทรศัพท์ เสียงนั้นทำให้พวกเพื่อน ๆ ของผมนี่หัวเราะเป็นบ้าเป็นบอเลยครับ พร้อมกับช่วยกันดันหลังผมกับพี่ศิให้ออกจากห้องไปพร้อมกับบอกลาด้วยประโยคตามประสาแม่บ้านว่า “ไปดีมาดีนะคะ/ครับ แต่อย่าทำอะไรเพื่อนกรของพวกเรานะ ครับ/ค่ะ แต่ถ้าทำก็รับผิดชอบมันด้วยนะคะ/ครับ”


ไอผมที่โดนดันออกมาจากห้องแบบงง ๆ แต่ก็เดินแบบงง ๆ ไปที่ลิฟท์เพื่อลงไปยังชั้นจอดรถและขึ้นรถพี่ศิไปยังร้านอาหารที่พี่วิกับพี่เต๋อร์นั่งรออยู่




พวกเราทั้งสองคนใช้เวลาไม่นานนักเราก็มาถึงห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่พี่ศินัดกับพี่วิและพี่เตอร์ไว้ โดยพี่ศิวนรถเข้าไปจอดในตัวห้าง เราวนหาที่จอดกันอยู่นานนั่นก็คงเป็นเพราะช่วงนี้เป็นช่วงเย็นซึ่งเป็นเวลาเลิกงานและเลิกเรียนพอดีเลยทำให้หาที่จอดรถยากมากกว่าเดิมแต่มันก็ไม่ยากเกินความอดทนครับ เราวนรถกันอยู่สิบนาทีได้ในที่สุดเราก็เจอช่องที่จะให้รถคันหรูของพี่ศิเข้าไปจอดได้แล้ว (น้ำตาผมแทบจะไหลปลาบปลื้มกับการหาที่จอดรถได้ เหตุผลก็เพราะว่าตอนนี้ตรูดของผมเริ่มจะชาแล้วครับ นั่งนาน ๆ มันเมื่อยตรูดครับ!)


และทันทีที่ตัวรถจอดสนิทตัวผมนั้นก็เด้งออกจากรถทันทีพร้อมกับบิดขี้เกียจออกมาเสียงยกใหญ่ ซึ่งพี่ศิก็หัวเราะในท่าทางของผมเล็กน้อย แต่คนมันเมื่อยจริง ๆ นี่นาก็เลยต้องบิดขี้เกียจแบบนี้ หลังจากที่พี่ศิรอผมทำการคลายปวดเมื่อยตามตัวเสร็จแล้ว ผมกับพี่ศิก็เดินเข้าไปในตัวห้างและตรงไปที่ร้านอาหารที่นัดกับพี่วิกับพี่เตอร์ไว้ (ไม่อยากจะบอกเลยนะครับไม่ว่ารถจะหรูหรือโลโซขนาดไหน...นั่งแล้วก็พวกตรูดด้วยกันทุกคันนะครับดังนั้นซื้อรถถูก ๆ ก็ได้ไม่ต้องซื้อรถแพง ๆ แบบพี่ศิใช้กันหรอกครับมันเปลืองเงิน)


“พี่ศินัดพี่ ๆ เค้าร้านไหนอะ” ผมเอ่ยขึ้นพร้อมกับหันไปมองพี่ศิที่กำลังเดินอยู่ข้าง ๆ


“พี่คิดว่าน่าจะเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นนะ ไอพี่ก็ไม่ค่อยได้มาทานอะไรพวกนี้เท่าไหร่เลยไม่รู้ว่าชื่อร้านอะไร” พี่ศิตอบผมพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรหาพี่วิ และทันทีที่พี่วิรับสายพี่ศิก็กรอกเสียงลงไปโดยที่ไม่ยอมให้พี่วิพูดสวนอะไรมาเลยสักคำ (ถ้าพี่วิพูดมันคงยาวกว่าการถามทางนะครับผมคิดแบบนั้นพี่ศิแกเลยชิงพูดก่อน)


และเมื่อพี่ศิวางสายจากพี่วิ มือกร้านของพี่เขาก็เอื้อมมาจับมือของผมพร้อมกับเดินนำผมเพื่อพาไปที่ร้านอาหารที่ได้นัดพวกพี่ ๆ เขาไว้


แต่บางทีผมก็รู้สึกว่าพี่ศิไม่จำเป็นต้องจูงมือผมก็ได้นะครับเพราะผมคงไม่หลงกับพี่เขาง่าย ๆ หรอกแต่ก็นะการโดนพี่เขาจูงมือแบบนี้ก็ดีเหมือน กันไม่รู้สินะครับผมแค่รู้สึกดีเวลาที่มือของผมถูกกอบกุมด้วยมือของพี่ศิเท่านั้นเอง แต่งบางครั้งผมก็แอบคิดนะว่า พี่ศิจะรู้บ้างหรือเปล่าว่าทุกครั้งที่มือของผมถูกกอบกุมด้วยมือของพี่ศิมันทำให้ผมมีความสุขทุกครั้ง


ผมโดนพี่ศิจูงมือไปไม่นานตอนนี้เราก็มายืนอยู่หน้าร้านอาหารญี่ปุ่นที่พี่วิกับพี่เตอร์รออยู่ด้านใน โดยพี่ศิเดินนำเข้าไปก่อนพร้อมกับพูดคุยกับพนักงานไม่นานนัก พนักงานคนนั้นก็เดินนำเราสองคนไปโต๊ะที่พี่วิกับพี่เตอร์นั่งจุ่มรอกันอยู่ ผมยกมือไหว้พี่ ๆสองคนตามมารยาทพร้อมกับเดินเข้าไปนั่งเก้าอี้ที่นั่งตรงข้ามกับพี่วิ (อธิบายสภาพโต๊ะนะครับโต๊ะต่อกัน 3 ตัว ตัวแรกเป็นโต๊ะที่พี่วิ พี่เตอร์ พี่ศิ แล้วก็ผมนั่งส่วนอีกสองตัวที่เหลือไว้ให้สายรหัสของพี่ ๆ ทั้งสามคนเค้านั่งซึ่งตอนนี้ยังไม่มีใครมาสักคนเลยครับ


“น้องกร…ไอศิไปรับน้องกรของพี่นานมาก ไอศิมันทำอะไรน้องกรหรือเปล่า หรือล่วงเกินอะไรไหม ถ้ามีนี่บอกพี่วิเลยนะ เดี๋ยวพี่วิคนนี้จะจัดการไอศิแทนน้องกรให้” พอเจอหน้ากันพี่วิก็เริ่มเลยครับ ผมหละปวดสมองเวลาที่มาเจอก๊วนของพี่ศิเขาจริง ๆ ไม่โดนล้อก็โดนแซวไม่โดนแซวก็โดนจับเป็นคู่ชู้ชื่นกับพี่ศิเขา


“พี่วิก็พูดไปครับไปเสียเวลากับเพื่อน ๆ ของกรที่มาเที่ยวในห้องกรกันมากกว่าเลยมาช้าแถมที่จอดรถก็ไม่มีกว่าจะได้ที่จอดก็ปากไปสิบกว่านาทีแล้วเลยมาเลตแบบนี้ไงครับ” ผมปฏิเสธพี่วิพร้อมกับบอกเหตุผลที่แท้จริงของการมาช้าว่าคืออะไรออกมาซึ่งพี่วิก็หรี่ตามองอย่างไม่ไว้ใจจนพี่ศิต้องเอาตะเกียบไปตีหัวพี่วิให้แกเลิกจินตนาการอะไรเลยเถิดสักที


พี่ซิยกมือคลำหัวตัวเองและหันไปแลบลิ้นให้กับพี่ศิ พวกเรานั่งรอพวกรุ่นน้องของพี่ศิไปสักพักไม่นานนักพวกรุ่นพี่ปีสามก็เริ่มถอยกันมาทุกคนนี่ยกมือไหว้พี่ ๆ ทั้งสามคนหมดและทุกคนก็มองมาที่ผมด้วยแววตาสงสัยเหมือนกันหมดด้วย ไอผมก็ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ตอบไปและกระตุกแขนพี่ศิให้พี่ศิช่วยพูดอธิบายให้รุ่นพี่พวกนั้นฟัง ซึ่งพี่ศิก็ทำหน้าที่ล่ามแปลภาษา (??) ให้เป็นอย่างดีครับพูดอธิบายพร้อมกับแนะนำตัวผมเรียบร้อย และรุ่นพี่ปีสามพวกนั้นก็พยักหน้าเข้าใจพร้อมกับทรุดตัวนั่งลงที่โต๊ะที่เสริมด้านข้างที่พวกเรานั่งกัน


พวกรุ่นพี่ปีสีอย่างพี่วิ พี่เตอร์ก็ซักถามพวกน้อง ๆ ของตัวเองว่าเป็นอะไรมั่งเรียนสนุกไหมซึ่งพี่ศิก็ทำครั้งด้วยการที่พวกเค้าพูดศัพท์แพทย์ที่ผมฟังไม่รู้เรื่องเลยสักกะนิดเดียว็เลยได้แต่นั่งเฉย ๆ และยิ้มอย่างเดียว ผ่านไปสักสิบนาทีได้รุ่นน้องล็อตสองก็มาถึงครับคราวนี้เป็นพี่ปีสองครับทุกคนยกมือไหว้คนทั้งโต๊ะและเป็นอีกครั้งที่ทุกคนมองมายังผมด้วยแววตาที่สงสัย และถัดจากนี้ก็เป็นหน้าที่ของล่ามแปลภาษาอย่างพี่ศิที่ต้องอธิบายให้ทุก ๆ คนเข้าใจครับ ซึ่งมันก็ผ่านไปได้ด้วยดีอีกครั้งครับ เมื่อพี่ศิอธิบายจบพี่ ๆ ชั้นปีที่สองก็เข้ามานั่งต่อจากรุ่นพี่ปีสามครับ


หลังจากที่ทุกคนทักทายกันเสร็จโต๊ะทั้งโต๊ะก็เต็มไปด้วยศัพท์แพทย์ลอยว่อนอีกครั้งครับ และผมก็กลายเป็นคนธรรมดาที่หลุดมาอยู่ในโลกของนิสิตแพทย์ครับ ผมนั่งดูดน้ำส้มที่เป้นน้ำโปรดของผมเงียบ ๆ จนในที่สุดพี่ศิก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศดำมืดข้าง ๆ ตัวเอง พี่ศิเลยรู้สึกตัวและหันมาคุยกับผมบ้าง (จริง ๆ ผมไม่ได้โกรธอะไรพี่ศิเลยนะครับแค่ไม่พอใจเท่านั้นเอง อนึ่งพี่ศิชวนผมมาแต่ให้ผมมานั่งหงอยแบบไม่มีใครคุย น้ำลายผมบูดหมดครับ สอง…รุ่นน้องของพี่ศิที่คุยแต่ละคนนี่ส่งสายตาวิ้งวับให้พี่ศิทั้งนั้นเลยครับ นี่ผมไม่ได้หวงพี่ศินะครับผมแค่ไม่พอใจแทนพี่ศิที่โดนมองด้วยสายตาแบบนั้น)


“กรครับอยาทานอะไรสั่งได้เลยนะครับ วันนี้พี่เลี้ยงเอง” เสียงทุ้มของพี่ศิเอ่ยบอกผมพร้อมกับมือกร้านของพี่เขายกขึ้นมาลูบหัวของผมอย่างแผ่วเบา ผมก็ดูดน้ำส้มพยักหน้าเออ ๆ ออ ๆ ตอบพี่ศิไปพร้อมกับโบกมือเรียกพนักงานให้นำเมนูมาให้ผม แต่ขอบอกเลยครับว่าตอนนี้ผมอยากกลับไปนอนที่คอนโดแล้วมากกว่า


ผมรู้สึกว่ามันหงุดหงิดยังไงก็ไม่รู้สิครับแถมผมไม่มีความรู้สึกอยากอาหารเลยสักนิดเดียวครับ แต่ในเมื่อผมรับปากพวกพี่ ๆ เขาแล้วว่าจะมาทานข้าวด้วยผมก็เลยต้องจำใจนั่งทานข้าวตามคำชวนของพวกพี่ ๆ เขาครับ (ที่สำคัญที่สุดผมมารถพี่ศิครับผมไมได้ขับรถมาเองดังนั้นการกลับคอนโดของผมมันลำบากมากครับคือต้องเสียตังเสียเวลาด้วย) ผมบอกเมนูอาหารที่ผมอยากทานไปสามสี่อย่างตามที่ผมอยากทาน (แต่เชื่อว่าผมทานไม่ลงแน่นอนครับ) และหลังจากผมเริ่มสั่งอาหารพวกรุ่นพี่ทุก ๆ คนก็เริ่มสั่งอาหารที่ตัวเองอยากทานตาม ๆ กันไปทีนี้ก็เหลือรอพนักงานมาเสริฟอาหารกับรอให้สายรหัสปีหนึ่งของพวกพี่ ๆ เขามา


ผมนั่งดูดน้ำส้มเล่นจนหมดแก้วแล้วอาหารที่ผมสั่งไปก็ยังไม่มา จนในที่สุดสิ่งที่ผมรอคอยอีกอย่างก็มาถึงก่อนนั่นคือสายรหัสปีหนึ่งของพวกพี่ ๆ เขาครับ คนแรกที่เดินเขามาเป็นสาวน้อยน่ารักผมบ๊อบครับรู้สึกว่าคนนี้จะเป็นสายรหัสของพี่เตอร์ครับเพราะพี่เตอร์เขาทักทายสาวน้อยคนนั้นด้วยรอยยิ้มและเดินไปรับให้เขามานั่งที่โต๊ะ ซึ่งการกระทำแบบนั้นเรียกเสียงโหร้องของน้องรหัสและหลานรหัสทั้งสองคนพี่เตอร์ได้เป็นอย่างดี คนต่อมาก็เป็นผู้หญิงครับแต่ดูแตกต่างจากหลานรหัสของพี่เตอร์นิดหน่อยครับเพราะสาวคนนี้จะดูเนิร์ดและคงแก่เรียนแต่ก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะเป็นพวกรั่วหลบในแบบพี่ศิ พี่วิ พี่เตอร์ไหมผมหันไปทักทายเพื่อนรุ่นเดียวกันกับผมด้วยรอยยิ้มและมาถึงคนสุดท้ายซึ่งเป็นหลานรหัสของพี่วิครับผมหันไปหาเพื่อจะทักทายเขาแต่ผมก็ต้องชะงักไว้เพียงเท่านั้น ชายหนุ่มร่างสูงที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดีใบหน้าคมที่ไม่ค่อยจะแสดงสีหน้าอะไรออกมานอกจากอยู่ในกลุ่มเพื่อนสนิทซึ่งผมได้เห็นใบหน้าของคน ๆ นี้มาครบทุกรูปแบบแล้วครับเพราะผมกับมันเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเด็ก เรียกง่าย ๆ ว่า ตั้งแต่เกิดผมก็เห็นหน้ามันแล้วครับ คน ๆ นี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากไอไฮซ์เพื่อนรักเพื่อนแค้นของผมนั่นเอง


และทันทีที่ผมเห็นหน้ามันผมก็ยันตัวลุกขึ้นทันที โดยการกระทำของผมนั้นสร้างความสงสัยให้กับรุ่นพี่ทุกคนในโต๊ะมากครับแต่มันก็ยังไม่เกิดอะไรขึ้นผมพยายามสงบสติอารมณ์เป็นอย่างมากไม่ให้ระเบิดลงกลางโต๊ะ ส่วนไอไฮซ์มันชักสีหน้าเล็กน้อยและมันก็ทำท่าจะเดินตรงเข้ามาคุยกับผม ซึ่งทุกคนคิดว่าผมจะให้มันทำแบบนั้นเหรออย่าฝันครับผมไม่ยอมคุยกับมันหรอก หลังจากที่ผมลุกขึ้นผมก็ลุกขึ้นเดินออกจากร้านแทบจะทันทีโดยเส้นทางที่ผมต้องเดินออกนั้นต้องผ่านไอไฮซ์ ผมเดินผ่านมันโดยไม่แม้แต่จะชายตาแลและไม่คิดที่จะหยุดฟังเสียงเรียกของพี่ศิ ตอนนี้สติของผมไม่อยากจะรับรู้อะไรอีกแล้วอะไรมันจะบังเอิญได้ขนาดนั้นไอเพื่อนรักสุดแค้นของผมเป็นหลานรหัสของพี่วิ ให้ตายเถอะมันเรื่องบ้าอะไรกัน


ผมเดินตรงลิ่ว ๆ ไปอย่างไร้จุดหมายแต่รู้ว่าตอนนี้ผมกำลังจะเดินออกจากห้องสรรพสินค้าเพื่อจะออกไปโบกรถแท็กซี่กลับบ้าน แต่ก็ไม่ทันที่ผมจะได้เดินออกจากประตูบานเลื่อนของห้างสรรพสินค้าร่างของผมก็ถูกกระชากเข้าไปในอ้อมกอดของคน ๆ หนึ่ง ซึ่งผมก็รับรู้ได้ทันทีว่าคน ๆ นั้นคือใคร ผมหลับตาอยู่ในอ้อมกอดของเขาคนนั้นและซึมซับความห่วงใยที่อีกฝ่ายมอบให้มา


“กร...ยังจำข้อแลกเปลี่ยนที่พี่ขอไปตอนนั้นได้ไหมครับ” เสียงพี่ศิเอ่ยขึ้ยพร้อมกับวงแขนที่กระชับอ้อมกอดให้แน่นยิ่งขึ้น ซึ่งผมก็ครางเสียงเบาตอบพี่ศิเขาไป และเมื่อพี่ศิได้รับฟังคำตอบของผมเสียงทุ้มก็เอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาพร้อมกับมือกร้านที่ลูบแผ่วเบาที่ศรีษะของผม “งั้นพี่ขอจากเราตอนนี้เลยแล้วกันนะครับ…พี่อยากขอกรว่า ถ้ากรรู้สึกเจ็บปวด กังวล หรือมีปัญหาอะไรภายในใจ…นอกจากครอบครัวของกรแล้ว…พี่ขอให้กรคิดถึงพี่เป็นคนแรกได้ไหมครับ…จะถือว่าเป็นคำขอร้องของพี่ก็ได้…” ริมฝีปากหนาเอื้อนเอ่ยคำร้องขอพร้อมกับอ้อมกอดที่กระชับแน่นยิ่งขึ้นกว่าเก่า ผมรับรู้ได้ถึงความประหม่าในน้ำเสียงของพี่ศิเขาซึ่งถ้าเป็นผมเอ่ยถามแบบนี้หรือเอ่ยขอร้องแบบนี้ออกไปผมก็รู้สึกประหม่าเช่นกัน ผมซุกใบหน้าตนเองลงไปบนแผ่นอกกว้างของพี่ศิเขา พร้อมกับมือทั้งสองข้างที่ถูกยกขึ้นมาโอบกอดตอบอีกฝ่าย


“พี่ศิครับ…พี่ศิพอมีเวลาฟังเรื่องราวของกรหรือเปล่า กรอยากเล่าเรื่องทุกเรื่องที่เกิดขึ้นให้พี่ศิฟัง” ผมคิดว่าคำพูดของผมประโยคนี้น่าจะเป็นคำตอบให้พี่ศิได้ ร่างตรงหน้าผมค่อย ๆ คลายอ้อมกอดพร้อมกับพยักหน้าตอบรับคำพูดของผมเบา ๆ


มือกร้านละลงไปกอบกุมมือของผมอีกครั้งพร้อมกับพาผมเดินกลับเข้าไปในตัวห้างสรรพสินค้า “ก่อนที่พี่จะฟังกร พี่อยากให้กรทานข้าวก่อนดีกว่าเพื่อน ๆ เราบอกว่าเมื่อกลางวันกรทานแต่ผลไม้ ไม่ได้ทานข้าวตอนนี้คงหิวเอาเรื่องแล้วใช่ไหมครับ…ดังนั้นทานข้าวก่อน และถ้าถึงคอนโดแล้วพี่จะรับฟังเรื่องราวทั้งหมดจากกรนะครับ”




___________________________________________



เจอกันตอนหน้านะค้า สวัสดีค่ะ

หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 17] 27/10/2013 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 27-10-2013 20:30:16
พี่ศินี่ใจเย็นจริงๆ อยู่ข้างๆกรตลอด ความผูกพันมันเพิ่มขึ้นทุกวัน
พี่ศิห่วงใย เอาใจใส่กรทุกเรื่อง ค่อยๆเล่าให้พี่ศิฟังนะกร

จริงๆอยากให้กรเคลียร์กับไฮท์ให้มันจบไป จะได้สบายใจ
(กรน่าจะเข้าใจผิดไฮท์เรื่องแฟนเก่า)

หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 17] 27/10/2013 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 27-10-2013 20:34:34
มีเก็บโพลอินที่พี่ศิให้ด้วยน้องกรที่น่ารักจริงๆ :-[
พี่ศิก็โรแมนติก อิจฉากรเบาๆ :-[

แต่ท่าทางน้องกรจะฝังใจกับเรื่องที่ไฮซ์ทำมากเลยนะนี่ รอฟังๆพร้อมพี่ศิตอนหน้า :ling1:

รอตอนต่อไปค่ะ   :L2: :กอด1: :pig4: :L2:

หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 17] 27/10/2013 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: RenaBee ที่ 27-10-2013 23:22:35
พี่ศิใจดี อบอุ่น ฮืออออออออออออรักพี่ศิ ยิ่งผ่านไปหลายตอนความรักที่มีให้พี่ศิก็เพิ่มขึ้น!! อยากจะจับน้องกรผูกโบส่งให้พี่ศิ!

หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 17] 27/10/2013 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 29-10-2013 17:11:30
ทั้งสองคนมีมุมมุ่งมิ้งกันน่ารักดี

รอตอนต่อไปจร้า
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 17] 27/10/2013 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: j123 ที่ 29-10-2013 23:56:19
เรื่องน่ารักดี รออ่านต่อจ้า ^^
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 18] 31/10/2013 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 31-10-2013 20:27:30


มาอัพนิยายฉลองวันฮาโลวีนค่า >< ฮะๆๆๆๆๆๆๆๆ แอบกระซิบว่าตอนนี้พลอยแมีแพลนที่จะเปิดนิยายเรื่องใหม่ค่ะ ถ้าเกิดพลอยเปิดนิยายเรื่องใหม่แล้วจะเอามาแนะนำนะคะ โค้ง// แต่ตอนนี้ก็ต้องขอฝากพี่ศิและน้องกรไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ



Chapter 18



ในตอนนี้ผมกับพี่ศิกำลังขับรถกับคอนโดกันครับ หลังจากที่ผมตัดสินใจว่าจะเล่าเรื่อราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นหระว่างผมกับไอไฮซ์ให้พี่ศิฟัง หลังจากนั้นพี่ศิเขาก็พาผมไปทานข้าวครับโดยร้านอาหารที่เราไปทานมันก็ไมได้หรูหราอะไรมากมายเหมือนร้านอาหารญี่ปุ่นที่พวกเราเข้ากันในตอนแรกครับ มันเป็นแค่ฟูดคอร์ดธรรมดา ๆ เท่านั้นเอง ที่จริงผมก็บอกให้พี่ศิกลับไปที่ร้านอาหารญี่ปุ่นนะครับแต่พี่ศิเขาปฏิเสธพร้อมกับบอกว่าฝากเงินไว้ให้พี่วิกับพี่เตอร์แล้วไม่ต้องเป็นห่วงอะไร ผมก็เลยได้แต่พยักหน้าและเดินตามพี่ศิมาทานอาหารค่ำที่ฟูดคอร์ดในห้างครับ ผมนั่งทานข้าวต้มทะเลครับส่วนพี่ศิทานเป็นข้าวราดแกงครับ อาหารที่พวกผมทานตอนนี้ต่างกับที่สั่งในร้านอาหารญี่ปุ่นราวกับฟ้ากับเหวเลยครับ แต่ทำไมผมรู้สึกอยากอาหารและคิดว่าอาหารพวกนี้อร่อยกว่าในร้านสุดหรูนั้นซะอีก มื้อค่ำมื้อนี้แม่ก่อนหน้าจะมีปัญหาหรือทำให้ผมหงุดหงิดใจแต่ผมก็ทานมันจนหมดซึ่งพี่ศิเขาก็ทานจนหมดจานเช่นหัน หลังจากที่พวกเราทานมื้อค่ำเสร็จเราทั้งสองคนก็เดินเที่ยวในห้างอีกสักหน่อยผมเข้าไปใน B2S เข้าไปเดินดูแผนกเครื่องเขียนสำหรับเทอมใหม่กับพวกแผ่น DVD เพลงกับหนัง และได้อะไรติดไม้ติดมือกลับคอนโดไปนิดหน่อย พอผมเดินซื้อของเสร็จพี่ศิก็ชวนผมกลับจนผมนั่งอยู่ในรถแบบนี้ครับ


พี่ศิขับรถช้า ๆ เนิบ ๆ พร้อมกับเปิดแผ่นเพลงที่ผมเพิ่งซื้อมาจากห้างเมื่อสักครู่ให้ผมฟัง ดูเหมือนว่าพี่ศิจะรู้นิสัยผมนะครับว่าเวลาผมมีอารมณ์แบบไหนผมจะฟังเพลงตามอารมณ์ อย่างเช่นตอนนี้ผมรู้สึกเบื่อหน่ายผมก็จะฟังเพลงเศร้า หรือพวกเพลงช้า ๆ หรือเวลาผมรู้สึกสนุกสนาน ผมก็แหกไปฟังสามช่าหรือลูกทุ่งเลยก็มีครับ พี่ศิขับรถต่อไปอีกไม่นาน สักพักเราก็มาถึงคอนโดแล้วหละครับ เมื่อรถยนต์จอดสนิทผมก็ออกจากรถและเดินไปกดลิฟท์เพื่อขึ้นไปยังชั้นที่ 14 ซึ่งเป็นชั้นที่ผมกับพี่ศิพักอยู่ เราทั้งสองคนรอลิฟท์อยู่สักพักแค่ช่วงอึดใจบานประตูลิฟท์ก็เปิดออกเพื่อให้พวกเราทั้งสองคนเข้าไปด้านใน ช่วงเวลาที่อยู่ในลิฟท์เราทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรใส่กันเลยครับผมยืนอยู่เงียบ ๆ ในมุม ๆ หนึ่งของลิฟท์ซึ่งพี่ศิก็ยืนห่างออกจากผมนิดหน่อยไม่ช้าบ้านประตูลิฟท์ก็เปิดออกอีกครั้งในชั้นที่ 14 เราสองคนเดินออกจากลิฟท์ไปและเดินตรงไปยังห้อง 1404 ซึ่งเป็นห้องของพี่ศิ


พี่ศิเปิดประตูห้องเชื้อเชิญให้ผมเดินเข้าไปด้านในซึ่งผมก็ก้าวเดินเข้าไปตามคำเชื้อเชิญนั่นกระเป๋าของผมวางลงบนโซฟาซึ่งเป็นที่นอนดูหนังประจำของผมและร่างกายของผมก็ค่อย ๆ ทรุดตัวลงผมนั่งนิ่งอยู่นานเพื่อเรียบเรียงเรื่องราวที่อยู่ภายในสมองผมอยู่ในสมาธิของตนเองจนกระทั้งพี่ศิวางแก้วน้ำเย็นตรงหน้าผม


ผมเหลือบตามองพี่ศิก่อนจะทอดถอนลมหายใจตนออกมาเฮือกใหญ่และเริ่มต้นเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับไอไฮซ์ให้พี่ศิฟัง


“พี่ศิ…พี่เคยมีเพื่อนที่สนิทกันตั้งแต่เกิดไหม…ตั้งแต่เกิดมาเราก็เจอหน้ากัน ตอนไปโรงเรียนอนุบาลเราก็อยู่ห้องเดียวกัน ชั้นประถม มัธยมเราก็อยู่ห้องเรียนเดียวกัน… เพื่อนที่สนิทที่สุด เพื่อนที่คิดว่ามันจะเป็นเพื่อนตายของเราเพื่อนที่คิดว่าเราจะสนิทกับมันไปตลอดชีวิต…แต่มันกลับมาหักหลังเรา ทำลายความไว้ใจของเรา” ผมพูดออกไปอย่างเหม่อลอยหยดน้ำตาหยดแรกค่อย ๆ ไหลรินออกจากดวงตาแต่ผมก็ไม่คิดจะปาดมันออกไปจากใบหน้า ริมฝีปากผมสั่นเครือแต่ก็ยังคงฝืนกล่าวเรื่องราวที่เกิดขึ้นออกมาต่อ “เรื่องมันเกิดขึ้นตอนกรอยู่ ม.6 ครับพี่ศิ ตอนนั้นกรมีแฟนชื่อน้ำฟ้า น้ำฟ้าอายุน้อยกว่ากรปีหนึ่งครับเธอเป็นเด้กผู้หญิงน่ารัก พูดเล่นยิ้มแย้มแจ่มใสและกรก็รักน้ำฟ้ามาก” หลังจากประโยคที่ผมบอกว่าผมรักน้ำฟ้ามากผมรู้สึกเหมือนพี่ศิจะกำมือแน่นเหมือนกับพยายามอดกลั้นอะไรบางอย่างผมรู้ครับว่าพี่เค้าพยายามอดทนเรื่องอะไรอยู่ การที่คนสำคัญของตัวเองมาบอกว่ารักคนอื่นมากต่อหน้าตัวเองมันเป็นอะไรที่ทรมานครับ ถึงผมยังจะไม่ให้ฐานะพี่เขาเป็นคนพิเศษของผมแต่ผมก็รับรู้ได้ครับว่าผมนั้นกลายเป็ยคนพิเศษสำหรับพี่ศิไปแล้ว


“วันนั้นเป็นวันเกิดของไอไฮซ์ครับ วันเกิดครบ 18 ปีของมันและเป็นวันที่ทำให้กรกับมันเลิกคบเป็นเพื่อนกันครับ วันนั้นบ้านของไอไฮซ์มันจัดงานวันเกิดครับซึ่งกรก็ดื่มตามประสาเด็กผู้ชายวัยรุ่นและวันนั้นกรก็พาน้ำฟ้าไปด้วยและกัก็ปล่อยให้เธอไปคุยกับเพื่อน ๆ ของกรครับ ตอนนั้นกีดื่มกันอย่างสนุกสนานจนในที่สุดกรก็เมาครับ ไอบาสกับไอเจมส์ก็ทำหน้าที่หามผมเข้าตัวบ้านเพื่อจะพาไปนอน แต่ไอสองคนนั้นพาไปผิดครับมันพาผมไปห้องนอนส่วนตัวของไอไฮซ์ และทันทีที่เปิดประตูเข้าไปกรเห็นภาพ ๆ นั้นเต็มสองตา ภาพที่คนทั้งคู่กับนัวเนียกัน เสื้อผ้าของแต่ละคนไม่ครบชิ้น หลังจากเห็นภาพนั้นกรก็แทบจะสร่างเมาทันทีและรีบวิ่งออกมาจากบ้านของไอไฮซ์และไม่เคยคุยกับมันอีกเลยจนถึงวันนี้” ผมเล่าไปน้ำตาที่ตอนแรกไหลน้อย ๆ ตอนนี้มันกลับพรั่งพรูออกมาราวกับสายน้ำไหล ผมสะอึกสะอื้นเบา ๆ แต่ก็ยังไม่คิดจะปาดน้ำตาตัวเองอยู่ดี ผมมองพี่ศิผ่านม่านน้ำตาร่างของพี่ศิค่อย ๆ ขยับมาใกล้ผมและคว้าบ่าและกดหัวของผมให้ไปซบที่บ่าเขาการกระทำแบบนี้ของพี่ศิยิ่งทำให้ผมสะอึกสะอื้นออกมาเสียงดัง ความรู้สึกที่เหมือนมีคนอยู่เคียงข้าง ความรู้สึกที่เหมือนมีคนเข้าใจ


ผมรู้ครับว่าเหตุการณ์ในวันนั้นไม่ใช่ไอไฮซ์คนเดียวที่ผิดน้ำฟ้าก็ผิดด้วยเพราะตบมือข้างเดียวมันไม่ดังหรอกครับแต่ผมกลับไม่ฟังเหตุผลจากใครเลยไม่ฟังเหตุผลไอไฮซ์ซึ่งเป็นเพื่อนตายของผมว่าทำไมถึงทำแบบนั้น ผมรู้จักนิสัยมันดีครับแต่ผมปฏิเสธที่จะรับฟังคำพูดของมันและผมยังคงหนีความจริงจากปากของมันจนถึงทุกวันนี้


ทั้ง ๆ ที่ผมควรจะเชื่อใจและรับฟังเหตุผลของคนที่ผมรู้จักมาทั้งชีวิต…มากกว่าที่จะหนีแบบนี้


พี่ศิลูบหัวปลอบผมอย่างแผ่วเบาพร้อมกับเสียงทุ้มที่เอ่ยออกมาอย่างอ่อนโยนว่า “พี่รู้ว่ากรเก็บเรื่อง ๆ นี้ไว้ในใจมานานมาก ถ้ากรอยากร้องไห้กรก็ร้องไห้ออกมาให้พอเถอะครับ” สิ้นเสียงของพี่ศิมันทำให้ผมยิ่งส่งเสียงสะอื้นออกมามากกว่าเก่า


มันก็เป็นอย่างที่พี่ศิพูดมานั่นหละครับผมเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจมานานไม่เคยแสดงความรู้สึกอ่อนแอออกมาให้ใครเห็นแม้แต่พ่อแม่และเพื่อนฝูง ผมเก็บความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจเก็บมันมานานมากจนบางครั้งมันเกือบจะปะทุขึ้นมาหลายต่อหลายครั้ง ทว่าผมก็ยังคงขุดหลุมฝังมันให้ลงไปลึกยิ่งกว่าเก่า


แต่รู้สึกว่าตัวผมจะลืมความจริงข้อหนึ่งไป…ว่าคนเราไม่มีทางหนีความจริงหรือหนีปัญหาไปได้ตลอด…และในที่สุดวันนี้ความจริงมันก็ถูกขุดขึ้นและมันก็ดึงเอาความลูกสึกที่ผมเก็บไว้ในส่วนลึกของหัวใจออกมา


“กรครับ…กรลองถามความรู้สึกของตัวเองนะครับว่ากรรู้สึกยังไง กรเสียใจเพราะอะไรและกรอยากที่จะทำอะไรต่อ” เสียงทุ้มยังคงเอ่ยปลอบโปลมซ้ำยังเอ่ยคำถามออกมาให้ผมได้ย้อนคิดถึงความรู้สึกที่อยู่ภายในใจ


และในถ้อยคำที่แสดงความเป็นห่วงเป็นใยผม มันทำให้ตัวของผมย้อนคิดถึงความรู้สึกและทบทวนความคิดของตัวเอง ผมซึ่งรู้จักไอไฮซ์ดีกว่าใคร ผมรู้ตัวตนของมันไอไฮซ์ไม่ใช่คนฉวยโอกาส มันไม่ใช่ผู้ชายที่จะหักหลังเพื่อนหรือทรยศเพื่อนเรื่องผู้หญิง…โดยเฉพาะเพื่อนรักอย่างผมมันไม่มีทางทำลายมิตรภาพระหว่างเรา ผมรู้ว่ามันรู้สึกผิดมากในสิ่งที่มันทำและมันก็พร้อมที่จะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดในวันนั้น


เพียงแต่ผมไม่ยอมรับฟังคำอธิบายของมัน….ผมเอาแต่หนี หนี และก็หนี ในสมองของผมคิดเพียงแต่ว่าไอไฮซ์มันแย่งแฟนของผมไปมันหักหลังผม มันทรยศผม มันทำลายความเชื่อใจของผม


แต่ผมก็ไม่ได้ย้อนคิดไปถึงทางฝั่งน้ำฟ้าเลยว่าเธอได้ยั่วยุไอไฮซ์มันหรือเปล่าหรือว่าเธอเรียกร้องให้ไอไฮซ์ทำ…


“พี่ศิ…กรไม่เคยคิดที่จะรับฟังคำอธิบายออกจากปากของไอไฮซ์…ไม่ยอมฟังความจริงว่าเรื่องราวในวันนั้นมันเกิดขึ้นได้ยังไงเพราะใคร และฝ่ายไหนเป็นคนเริ่มก่อน” น้ำเสียงสะอึกสะอื้นของผมยังคงเอื้อนเอ่ยต่อไปน้ำตาก็ยังคงไหลรินออกจากดวงตาทั้งสองข้างอย่างไม่ขาดสาย “ที่กรรู้สึกไม่พอใจเวลาที่เจอหน้าไอไฮซ์มันทุกครั้ง มันไม่ใช่เพราะกรเกลียดมันหรอกแต่มันเป็นเพราะเวลาที่กรเห็นหน้าไอไฮซ์ มันทำให้กรรู้สึกผิด…ผิดที่ไม่ฟังความจริงจากปากมัน ผิดที่ไม่ฟังคำอธิบายจากมัน กรแค่อยากจะโทษและโยนความผิดทั้งหมดให้ใครสักคนเพื่อไม่ให้กรเจ็บปวด และคนที่ต้องมารับความรู้สึกทั้งหมดของกรก็คือไอไฮซ์…”


เมื่อพี่ศิได้ฟังถึงความรู้สึกของผมพี่แกก็ไม่ได้เอ่ยพูดอะไรออกมามือกร้านยิ่งกระชับวงแขนของตนแน่น ส่วนอีกมือหนึ่งก็ยังลูบหัวผมปลอบปโลมอย่างแผ่วเบา อ้อมกอดของพี่ศิที่มอบให้ผมนั้นมันเป็นความรู้สึกอบอุ่นที่ผมไม่เคยได้รับจากใครมาก่อนมันแตกต่างจากอ้อมกอดของครอบครัว มันแตกต่างจากอ้อมกอดของเพื่อน ๆ มันเป็นอ้อมกอดที่เต็มไปด้วยความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยและมันก็ทำให้หัวใจของผมได้รู้สึกถึงความอบอุ่นของคำว่ารัก


ผมยังคงนั่งอยู่ในอ้อมกอดของพี่ศิต่อไปเราทั้งสองคนไม่มีใครขยับเขยื้อนภายในห้องยังคงมีเสียงสะอึกสะอื้นของผมอยู่แต่มันก็ค่อย ๆ เบาลงจนภายในห้องนั้นเงียบสนิท


“กรครับ…ทิฐิคนเรามีได้นะครับแต่อย่ามีมากจนเกินไป” เสียงทุ้มของพี่ศิที่เงียบไปนานเอ่ยขึ้น “ถ้ากรมีมากเกินไปมันจะย้อนมาทำร้ายกรได้เหมือนอย่างตอนนี้”


ในถ้อยคำของพี่ศิมันทำให้ผมคิดได้ครับว่าสุดสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นและเรื่องราวทั้งหมดที่ค่อย ๆ เลวร้ายขึ้น…มันเกิดมาจากทิฐิของผมนั่นเอง แต่ต่อให้ผมรู้ต้นเหตุของเรื่องนี้แล้วผมจะทำอะไรได้หละสิ่งที่ผมทำใส่ไอไฮซ์มันเลวร้ายเกินกว่าที่มันจะให้อภัยผม


“แล้วกรจะทำยังไงได้หละสิ่งที่กรทำใส่ไอไฮซ์ มันเลวร้ายเกินไปกรทำร้ายมันมากเกินไปมากจนไม่รู้ว่ามันจะให้อภัยกรได้อีกไหม” ผมเอ่ยถามพี่ศิเสียงสั่นมือทั้งสองข้างของผมนั้นขยุ้มเสื้อนิสิตของพี่ศิแน่น


“น้องกรที่พี่รู้จักหายไปไหนครับ น้องกรที่พร้อมวิ่งเข้าชนกับปัญหาเคลียร์กับทุกสิ่งหายไปไหน” คำถามนี้ของพี่ศิทำให้ผมคลายมือออกจากเสื้อนิสิตของพี่เขาและก็ค่อย ๆ ดันตัวเองออกมาจากอ้อมกอดของพี่ศิ


“น้องกรที่พี่รู้จักคือน้องกรที่กล้าสู้กับปัญหา มั่นใจและเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองทำนะครับ” สิ้นเสียงทุ้มนิ้วเรียวของพี่ศิก็ถูกยกขึ้นมาเกลี่ยน้ำตาออกจากใบหน้าของผมพร้อมกับจับแก้มของผมให้ฉีกยิ้ม “น้องกรที่พี่รู้จักไม่ใช่คนเจ้าน้ำตา แต่เป็นน้องกรที่สามารถยิ้มรับกับทุกสถานการณ์ได้นะครับ”


ถ้อยคำที่พี่ศิเอื้อนเอ่ยออกมานั้นมันเหมือนเป็นถ้อยคำที่เตือนสติผม ผมให้ผมรู้ตักว่าผมไม่ใช่คนขี้ขลาดที่จะวิ่งหนีปัญหาแบบนี้ แต่ผมเป็นคนที่พร้อมต่อสู้กับและยิ้มรับกับทุกสถานการณ์


“ขอบคุณนะครับพี่ศิ…ที่พี่เตือนสติผมไม่ให้ลืมตัวตนของตัวเอง” ผมเอ่ยพร้อมรอยยิ้มมือตั้งสองข้างของผมถูกยกขึ้นไปจับฝ่ามือทั้งสองข้างของคนตรงหน้า และนำมือนั้นมาแนบไว้กับแผ่นอกของตน “พี่ศิทำให้หัวใจดวงนี้มีกำลังใจมากขึ้นและยังทำให้หัวใจดวงนี้เข็มแข็งขึ้นกว่าเก่า…ขอบคุณนะครับพี่ศิ” เมื่อผมเอ่ยจนจบประโยคเราทั้งสองคนก็ส่งยิ้มให้แก่กันก่อนที่มันจะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะเบา ๆ ที่ดังไปทั่วทั้งห้อง


‘กรขอบคุณพี่ศิมาก ๆ เลยนะครับที่เตือนสติกร และเรียกตัวตนเดิมของกรออกมา’


หลังจากที่ผมหยุดร้องไห้พวกเราทั้งสองคนก็แยกย้ายกันกลับห้องเพราะผมกับพี่ศิก็มีเรียนตอนเช้ากันครับ ผมเดินออกจากห้องของพี่ศิพร้อมกับโบกมือลาพี่ศิด้วยรอยยิ้มแต่ก่อนที่ผมจะได้เดินกลับไปที่ห้องของผม เสียงทุ้มของพี่ศิก็เอ่ยรั้งผมไว้ “กรครับ พรุ่งนี้มาทานอาหารเช้าด้วยกันนะครับแล้วเดี๋ยวพี่พาไปส่งที่คณะ” ผมพยักหน้าตอบรับคำพูดของพี่ศิด้วยรอยยิ้มก่อนจะหันหลังกลับเพื่อเดินเข้าห้องของตัวเองไป


วันนี้ผมได้พบเจออะไรหลาย ๆ อย่างไม่ว่าจะเป็นเสียงหัวเราะ คราบน้ำตา แถมรำลึกไปถึงอดีตที่เคยเกิดขึ้นมันทำให้ผมทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ ในสมอง และมันก็ทำให้ผมตัดสินใจได้แล้วว่าผมจะยอมฟังเรื่องราวจากปากของไอไฮซ์ เพื่อที่ว่าพวกเราทั้งสองคนอาจจะได้สายสัมพันธ์ที่เรียกว่าเพื่อนกลับมา





หลังจากเกิดเหตุการณ์เมื่อเย็นวานพี่วิกับพี่เตอร์ทั้งสองคนโทรมาหาผมพร้อมกับขอให้ผมเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฟัง ซึ่งเป็นที่แน่นอนครับว่าผมปฏิเสธที่เล่าให้พี่ ๆ ทั้งสองฟัง การตัดสินใจของผมทำให้พี่วิกับพี่เตอร์โวยวายใส่โทรศัพท์ผมเสียยกใหญ่ คือผมก็เข้าใจพี่ ๆ เขานะครับ ผมทราบว่าพี่วิกับพี่เตอร์เป็นห่วงผมมากครับพี่เขาเลยอยากรู้เรื่องราวและปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับไอไฮซ์ แต่ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวพอดูครับผมจึงตัดสินใจไม่เล่าให้พี่ ๆ ทั้งสองฟัง (ซึ่งผมเชื่อว่าพี่ ๆ ทั้งสองคงไปเค้นถามเอาจากพี่ศิแน่นอน และเป็นที่แน่นอนอีกครั้งว่าพี่ศิก็คงไม่เล่าให้ฟังด้วยเช่นกัน)


วันนี้ในตอนเช้าผมก็ถูกปลุกด้วยเสียงเคาะประตูห้องโดยพี่ศิ ตื่นมาทานอาหารเช้าโดยฝีมือของพี่ศิ การเจอหน้ากันของผมกับพี่ศิในทุก ๆ เช้าและการไปมหาวิทยาลัยด้วยกันมันกลายกิจวัตรประจำวันของผมกับพี่ศิไปแล้วครับ เอาเป็นว่าถ้าวันไหนผมกับพี่ศิไม่ได้เจอหน้ากันหรือคุยกันวันนั้นต่างฝ่ายจะนอนกันไม่หลับครับ ความจริงผมก็พูดเกินไปมันแค่มีความรู้สึกโหวง ๆ ในชีวิตเท่านั้นเองครับ (แต่ในช่วงพี่ปิดเทอมตามที่ผมเคยบอกไปก่อนหน้านี้ผมย้ายสำมโนครัวไปอยู่ห้องพี่ศิครับดังนั้นเรื่องการโหวงเหวงในชีวิตก็ไม่เกิดขึ้น แต่นี่เปิดเทอมแล้วผมเลยต้องมีความเกรงใจสักเล็กน้อย ผมก็เลยตัดสินใจย้ายสำมะโนครัวกลับมานอนที่ห้องของผมครับ)


และตอนนี้ผมก็มาถึงมหาวิทยาลัยโดยสารถีกิตติมศักดิ์ส่วนตัวของผมที่มีนามว่าพี่ศิรวิทย์นั่นเอง


“ขอบคุณนะครับพี่ศิตอนเย็นเจอกันนะครับ” ผมพูดขอบคุณพี่ศิพร้อมรอยยิ้มก่อนจะก้าวเท้าลงจากรถไปและโค้งตัวให้พี่ศิเขาอีกที (นี่ก็เป็นกิจวัตรประจำวันของผมอีกอย่างครับ นั่งก็คือการกล่าวขอบคุณพี่ศิที่มาส่งผมถึงคณะในทุก ๆ เช้าครับ)


“ครับกรเจอกันตอนเย็นนะครับพี่ไปก่อนหละ” เสียงทุ้มของพี่ศิตอบกลับใบหน้าคมระบายไปด้วยรอยยิ้มดั่งเช่นทุก ๆ วัน
หลังจากที่ผมบอกลาอะไรกับพี่ศิเรียบร้อยแล้วผมก็เดินเข้าไปใต้คณะพร้อมกับเดินไปยังโต๊ะม้าหินอ่อนตัวเดิมซึ่งเป็นที่ประจำของกลุ่มผมครับ และตอนนี้ก็มีสมาชิกของกลุ่มผมมาแล้วครับนั่นก็คือไอเจมส์กับไอบาสซึ่งมันทำให้ผมตกใจมากครับเพราะไอสองตัวนี้ถือได้ว่าเป็นสองสหายที่มาเลตที่สุดในกลุ่มครับ และในทันทีที่ผมเดินไปยังโต๊ะม้านั่งไอเพื่อนสองตัวนั้นก็ส่งเสียงทักผมออกมาทันที


“โย่ว...เชี่ยกร” นี่คือเสียงของไอบาสครับส่วนไอเจมส์แค่โบกมือให้ผมเล็กน้อยเท่านั้นหละครับเพราะมันกำลังเล่นเกมส์ในไอโฟนของมันอยู่มันเลยไม่มีสมาธิที่จะมากล่าวทักทายอะไร


ผมสาวเท้าเดินต่อไปพร้อมกับทรุดตัวนั่งข้าง ๆ พวกมันทั้งสองคน “วันนี้ผีเข้าเหรอครับพวกมรึง มาซะเช้าเลย” ผมถามพร้อมกับปรายสายตาไปที่พวกมันสองคน “หรือว่าที่พวกมรึงมาเช้า ๆ กันเพราะมีอะไรจะคุยกับกรูสินะ” ดูเหมือนว่าประเด็นหลังที่ผมพูดท่าทางจะถูกประเด็นมากที่สุดไอเจมส์กับไอบาสหันมาส่งรอยยิ้มแห้ง ๆ ให้ผม


“แล้วคงเป็นเรื่องของไอไฮซ์ใช่ไหม” ผมเอ่ยถามออกไปตรง ๆ ซึ่งชื่อของไอไฮซ์ที่ผมเรียกนั้นทำให้เพื่อนสองหน่อของผมตกใจจนถึงกับสะดุ้งเฮือกเลยครับ พวกมันคงคิดว่าชื่อ ๆ นี้คงไม่มีทางถูกเอ่ยออกมาจากปากของผมอีกครั้งแล้วก็ได้มั้งครับ ซึ่งไอท่าทางเหวอ ๆ ของพวกมันทำให้ผมหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ


“ทำไม มรึงคิดว่าชื่อนี้จะไม่หลุดออกมาจากปากของกรูอีกแล้วใช่ไหม” ผมพูดพร้อมกับนั่งเท้าคางมองพวกมัน ซึ่งไอเจมส์กับไอบาสก็พยักหน้ายอมรับในคำพูดของผมครับ


ผมคิดว่าพวกมันคงแปลกใจพอดูเลยหละว่าทำไมผมถึงพูดชื่อของไอไฮซ์ออกมาอีกครั้งได้ทั้ง ๆ ที่ผมทำตัวรังเกียจมันขนาดนั้น
“เมื่อวานมันคงเล่าอะไรให้พวกมรึงฟังหละสิ” ผมพูดออกไปราวกับว่าผมไปสิงสถิตอยู่ในหอของพวกมัน ซึ่งไอสองสหายของผมก็พยักหน้ายอมรับเบา ๆ “งั้นก็เล่ามาสิว่าไอไฮซ์มันพูดอะไรให้ฟังบ้าง” สิ้นเสียงมือที่เท้าคางอยู่ก็เปลี่ยนมากอดอกพร้อมกับนั่งไขว่ห้างมองพวกมัน


“มันก็เล่าว่าบังเอิญไปเจอมรึงตอนที่รุ่นพี่ปี 4 นัดเลี้ยงสาย หลังจากนั้นมรึงก็เดินหนีออกจากร้านอาหารไปเลยซึ่งไอไฮซ์มันก็คิดจะวิ่งตามมรึงไปอยู่หรอก แต่ว่ารุ่นพี่ปีสี่เขาวิ่งตามมรึงออกไปซะก่อนมันเลยไม่ได้วิ่งตามออกไป” ไอเจมส์เล่าให้ผมฟังซึ่งมันก็เป็นความจริงทั้งหมดหละครับแต่การที่ไอไฮซ์เรียกพี่ศิว่ารุ่นพี่ปี 4 แสดงว่ามันคงไม่รู้จักพี่ศิสินะ



v
v
v
v
v
v
v
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 18] 31/10/2013 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Candy Venus ที่ 31-10-2013 20:31:09
จิ้มก่อนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน

แล้วค่อยอ่านนนนนนนนนนนนนน
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 18] 31/10/2013 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 31-10-2013 20:34:06

“ซึ่งรุ่นพี่ปี 4 ที่วิ่งตามมรึงไปก็คงไม่พ้นพี่ศิผู้ที่เป็นสามีของมรึง” อันนี้เป็นเสียงไอบาสพูดเสริมครับ ไอตอนได้ยินนี่แทยจะจระเข้ฟาดหางใส่มันสักทีแต่ติดว่ามันดันเก่งเรื่องศิลปะการต่อสู้มากกว่าผมขืนเตะใส่มันผมน่าจะกลายเป็นศพแทนมันครับดังนั้นผมไม่เตะมันดีกว่า


ผมพยักหน้าตอบรับคำพูดของพวกมันสองคน (แม้ผมอยากจะเตะปากไอบาสมากก็เถอะ) พร้อมกับไหวไหล่เชิงอนุญาตให้มันเอ่ยปากถามคำถามที่คั่งค้างอยู่ในใจพวกมันออกมา


“ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนมรึงไม่แม้แต่จะเอ่ยชื่อไอไฮซ์แล้วไงตอนนี้มรึงพูดชื่อมันได้แบบสบายอารมณ์ว่ะ” สิ้นคำถามนี้ผมยักคิ้วให้ไอเจมส์ไปทีนึงและไม่ยอมตอบอะไร ซึ่งการกระทำแบบนี้ของผม ไอเจมส์และไอบาสมันรู้ครับว่าผมท้าทายให้มันเดาเอา


“…นี่มรึงคิดว่ากรูจะเดาถูกเหรอ” ซึ่งไอเจมส์มันไม่ยอมเดาหรอกครับไอบาสก็ด้วยที่ผมรู้ว่ามันไม่ยอมเดาหนะเหรอก็เพราะว่าตอนนี้คอเสื้อของผมโดนพวกมันสองคนเขย่าไปมาเพื่อบังคับให้ผมพูดแล้วครับ


“มรึงบอกพวกกรูมาครับกร บอกมา! นี่มรึงคิดว่ากรูจะเดาความอินดี้ของมรึงออกเหรอครับ ให้ตายกรูก็เดาไม่ออกครับ” สหายทั้งสองคนของผมพูดประสานเสียงกันพร้อมกับบังคับให้ผมพูดสิ่งที่ทำให้ผมเปลี่ยนใจเป็นไม่โกรธไอไฮซ์ได้ ผมหัวเราะเบา ๆ พร้อมกับค่อย ๆ แกะมือของเพื่อนทั้งสองคนออก


“เพราะพี่ศิหนะสิ…ที่เปลี่ยนความคิดของกรูและดึงตัวตนที่แท้จริงของกรูให้กลับคืนมา ครั้งหน้าถ้ากรูเจอไอไฮซ์กรูขะยอมฟังคำอธิบายของมันก็แล้วกัน” ริมฝีปากที่เอื้อนเอ่ยถ้อยคำระบายไปด้วยรอยยิ้ม นัยน์ตาทั้งสองข้างที่ในตอนแรกมองเย้าแหย่เพื่อน ๆ ตอนนี้กลับหลุบตาลงเพื่อนหลบซ่อนแววตาที่แสนอ่อนโยนของตน


ผมไม่รู้นะครับว่าทำไมทุกครั้งที่ผมเอ่ยถึงพี่ศิผมจะรู้สึกอบอุ่นในหัวใจและมีความสุขแบบนี้ มันคงเป็นอาการของคนที่เอ่ยพูดถึงคนสำคัญของตัวเองกระมังครับ ผมมันเลยรู้สึกออกไปแบบนี้


“พี่ศิ พี่ศิ พี่ศิอีกแล้วนะมรึง ช่วงนี้ชีวิตมรึงมีแต่พี่ศินะครับไอคุณเพื่อนอกร” ไอเจมส์พูดใส่ผมพร้อมกับทิ้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้ข้าง ๆ ผม


“กรูว่า…มรึงหนะเป็นศิรวิทย์ลิซึ่มแล้ววะ โรคขาดพี่ศิไม่ได้” ไอบาสพูดแหย่พร้อมกับเอาศอกมากระทุ้งที่ท้องของผมเบา ๆ ซึ่งไอการกระทำแบบนี้ของมันทำให้ผมระงับตรีนที่จะกระโดดถียมันไม่อยู่ครับ ในที่สุดผมก็วิ่งไล่เตะมันจนได้ ผมวิ่งไล่ตามมันไปสักพักไอร่างกายของคนที่ไม่ใคร่จะชอบออกกำลังกายของผมมันก็หมดแรงคลานกลับมานั่งหอบที่โต๊ะม้าหินอ่อนข้าง ๆ ไอเจมส์


“อย่าให้กรูหายเหนื่อยนะครับมรึง กรูจะไล่เตะมรึงอีกรอบไอบาส” ผมพูดเสยงหอบมือข้างหนึ่งถูกตวัดชี้ไปทางไอบาสที่ตอนนี้ยังคงวิ่งเล่นและแลบลิ้นล้อเลียนใส่ผม ‘โถ่วไอนักกีฬา ไอคนพลังเยอะ ไอเบื่อเวรอย่าให้กรูหายเหนื่อยนะครับมรึง’ ซึ่งผมก้ได้แต่กร่นด่ามันในใจและส่งสายตาเคียดแค้นใส่มัน


ไอเจมส์หัวเราะร่า ไอบาสก็ยังทำตัวกวนประสาท ผมมองภาพ ๆ นี้ไปสักพักพลางนึกย้อนกลับไปช่วงมัธยมต้นที่พวกเรา (ผม ไอเจมส์ ไอบาส ไอไฮซ์ แล้วก็กานต์) เรียนด้วยกันมันเคยมีภาพ ๆ นี้มาก่อน มันเป็นภาพที่ชวนคิดถึงเสียจริง และหวังว่าถ้าผมได้คุยและเคลียร์ปัญหากับไอไฮซ์แล้วภาพเก่า ๆ พวกนั้นมันอาจจะย้อนกลับมาสร้างรอยยิ้มของพวกเราให้เกิดขึ้นอีกครั้งก็ได้หละมั้ง
พวกเราทั้งสามคนนั่งหยอกเล่นแหย่เล่นกันไปสักพักไม่นานนักสหายที่เหลือของผมก็ค่อย ๆ ทยอยกันมาและทุกคนก็แสดงอาการเช่นเดียวกับผมนั่นก็คือตกใจที่ไอเจมส์กับไอบาสมาถึงที่มหาวิทยาลัยก่อนและทุก ๆ คนที่มาถึงต่างพูดกันเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘วันนี้พายุเฮอร์ริเครนคงเข้าประเทศไทยแน่นอนที่เห็นไอสองคนนี้มันมาเรียนไวได้’


แต่ก็นะถ้าผมไม่รู้มาก่อนว่าพวกมันมาไวเพื่อที่ต้องการจะคุยกับผม ผมคงคิดว่าพายุเข้าประเทศไทยเช่นเดียวกับเพื่อน ๆ ที่ค่อย ๆ ทยอยมาของผม พวกเราทั้งหมดนั่งรอกันอีกสักครู่เพื่อน ๆ ทั้งกลุ่มก็มากันครบและคราวนี้พวกเราก็ได้เวลาเคลื่อนตัวขึ้นห้องเรียนแล้วครับและวิชาแรกที่ต้องเจอในวันนี้ก็คือ ‘ฟิสิกส์ 2’ …นั่นเอง


ไอผมไม่อยากจะคุยนะครับว่าฟิสิกส์ 1 ผมผ่านมาด้วยเกรดเท่าไหร่ (ความจริงที่ไม่อยากคุยก็เพราะว่าผมอาบครับดังนั้นอย่ารู้กันเลยเรื่องเกรดของผมเอาเป็นว่ารอดมาได้แบบฉิวเฉียดครับ) ดังนั้นผมให้ทุกคนเดาครับว่าการเรียนฟิสิกส์ในวันนี้ผมนั้นรู้เรื่องกับมันไหม ถ้าเดากันไม่ถูกผมเฉลยให้ก็ได้เลยครับว่า ‘ผมไม่รู้เรื่องเลยสักกะนิดเดียว’ แม้มันจะเป็นแค่อินโทรเปิดการเรียนการสอนก็เถอะ


ผมนั่งทนทรมานในห้องเรียนไป 1 ชั่วโมงครึ่ง ในที่สุดเวลาแห่งการปลดปล่อยก็มาถึง ผมแทบอยากจะกรีดร้องออกมากลางห้อง + ด้วยการต้นรำรอบห้องสักทีแต่ก็ต้องระงับอาการไว้เพราะต้องเกรงใจอาจารย์ที่ยังคงเก็บของอยู่หน้าห้อง ผมก็เลยเปลี่ยนการกระทำเป็นการวิ่งออกจากห้องเรียนไปกระโดดโลดเต้นหน้าห้องแทน


และแล้ววิชาต่อไปที่ผมต้องเรียนนั่นก็คือแลปฟิสิกส์ 2 ครับ (ผมบอกแล้วว่าไอสองวิชานี้มันมาคู่กัน) ดังนั้นผมกับสหายทั้งหมดก็ต้องเคลื่อนย้ายตัวเองไปยังตึกคณะวิทยาศาสตร์ครับ ซึ่งแต่ละคนเตรียมพร้อมกันดีมากครับวิ่งแจ้นไปซ้อนมอไซค์พวกที่อยู่หอในกันจ้าละหวั่นและผมก็เป็นหนึ่งคนที่วิ่งแจ้นไปซ้อนมอไซค์ของไอเจมส์เหมือนกัน


แลปฟิสิกส์ 2 ที่เรากำลังจะไปเรียนกันนั้นมันคล้าย ๆ กับเนื้อหาที่เราเรียนฟิสิกส์ 2 ครับ ดังนั้นมันจึงจำเป็นที่เราจะต้องเรียนสองวิชานี้ควบคู่กัน เพราะเนื้อหาในวิชาฟิสิกส์ 2 สามารถนำเอาไปใช้ในวิชาแลปได้ ซึ่งผมให้ทุกคนเดาอีกครั้งนะครับว่าผมทำแลปฟิสิกส์ 2 ไปแล้วผมรู้เนื้อหาที่เรียนไหม แต่ก็ถามไปงั้น ๆ นั้นหละครับเพราะไม่ต้องเดาทุกคนก็รู้ใช่ไหมครับว่าผมจะตอบด้วยคำตอบเดิมนั่นก็คือ ‘ผมไม่รู้เรื่องเลยสักนิดเดียว’ ผมผมนั่งจดบันทึกการทดลองตามคู่แลปของผมเท่านั้นหละครับ ไอการทดลงทดลองนั่นเหรอ ผมปล่อยให้เป็นหน้าที่เพื่อนผมครับแล้วหน้าที่ของผมเหรอครับนั่นก็คือการจดผลแลปที่เกิดขึ้นครับอ่อมีอีกอย่างนั่นก็คือ จิ้มเครื่องคิดเลขตามสูตรที่มีอยู่ในหนังสือให้ออกมาเป็นตัวเลขสุทธิ


และแล้ววันนี้การเรียนก็ของผมหมดไปอีกวันครับ ทุกท่านก็คงสงสัยกันอีกสินะครับว่าทำไมผมเรียนแค่สองวิชาแล้วเลิก นั่นก็เป็นเพราะ! วันนี้ผมมีเรียนแค่สองวิชาเท่านั้นหละครับแล้วสองวิชานั้นเป็นสองวิชาที่ติดกันและมันเสร็จเรียบร้อยในช่วงเช้า ดังนั้นช่วงบ่ายว่างผมว่างครับ! ซึ่งเพื่อน ๆ ของผมแต่ละคนก็ไม่ได้ตกลงไปที่ห้องของผมเหมือนเมื่อวานครับเพราะต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้านกลับหอ โดยเฉพาะสหายสองหน่อที่สร้างความตกตะลึงให้กับเพื่อน ๆ ทั้งกลุ่มนั่นก็คือ ไอเจมส์กับไอบาส ไอสองคนนี้มันรีบวิ่งแจ้นกลับหอโดยไม่รอใครเลยครับ สงสัยมันจะกลับไปนอนหลับทดแทนเมื่อเช้าที่มันมาเรียนไวหละมั้งครับ


และการที่พวกมันกลับหอไปอย่างเร่งด่วนโดยที่ไม่บอกผมมันทำให้ผมต้องขอติดรถพรีมออกมาจากมหาวิทยาลัยเพื่อกลับไปยังคอนโดของผม


ช่วงนี้ชีวิตผมมีสารถีกิตติมศักดิ์เยอะจังเลยครับทั้งผู้หญิงและผู้ชายและรถที่นั่งก็รถญี่ปุ่น รถยุโรป แหมผมรู้สึกความเป็นไฮโซติดตัวแต่ผมก็นึกถึงรถของตัวเองเหมือนกันครับ ตอนนี้มันยังคงจะสตาร์จติดอยู่อีกไหมเนี่ย พูดไปก็เป็นห่วงรถวันไหนว่าง ๆ ผมคงต้องขับรถไปเรียนเองมั่งแล้วหละ


หลังจากที่ผมพร่ำเพ้ออยู่นานรถของพรีมก็จอดเทียบฟุตบาทหน้าคอนโดของผมครับ “ขอบใจนะพรีมช่วยได้มากเลย ช่วยได้ดีกว่าไอบาสกับไอเจมส์อีก” ผมเอ่ยขอบคุณพรีมพร้อมกับด่าไอสองสหายนั่นของผม


เมื่อพรีมได้ฟังเธอก็หัวเราะคิกคักออกมาแผ่วเบาพร้อมกับเอ่ยลาผม “เจอกันกรุ่งนี้นะกรพรีมไปก่อนหละ” สิ้นเสียงหวานพรีมก็ขับรถออกไป (ผมไม่อยากจะบอกนะครับพรีมหนะ…ขับรถไวมากครับเธอเป็นสาวเท้าหนักที่เหยียบคันเร่งทีเกือบ 120 km/hr ครับ นั่งกับเธอนี่แม้จะระยะทางใกล้แค่ไหนผมก็ต้องคาดเข็มขัดนิรภัยตลอดเวลา)


หลังจากที่ผมลงจากรถของพรีมผมก็เดินเข้าไปยังล๊อบบี้ของคอนโดมืออีกข้างพลางล้วงกุญแจห้องของผมออกมา ผมหมุนกุญแจในนิ้วของผมพร้อมกับกดลิฟท์เพื่อขึ้นไปยังชั้นที่ 14 ซึ่งเป็นชั้นที่พักของผม


เมื่อลิฟท์เปิดออกผมก็เดินตัวปลิวเข้าห้องของผมไปพร้อมกับเริ่มจัดการหาน้ำ หาขนมมานั่งจกกินหน้าทีวีในห้องนั่งเล่น (การเรียนวิศวะดีอย่างนะครับคือพวกปี 1 ปี 2 จะไม่ค่อยมีการบ้านครับผมเลยนอนชิลแบบนี้ได้ แต่ว่ามันก็ลำบากนิดหน่อยตอนช่วงเข้าภาคอย่างเต็มตัวครับ เพราะว่าเข้าภาคแล้วแลปต่าง ๆ จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และแต่หละแลปนี่โหดร้ายทารุณต่อชีวิตมากครับเพราะภาคที่ผมเลือกเข้าเป็นภาคที่ทรหดมากที่สุดเลยครับ แต่หละแลปนี่ทำกลางดินกินกลางทรายเลยหละครับ)


ผมนอนดูทีวีเล่นฆ่าเวลาไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดเวลามันก็ล่วงเลยมาถึง หกโมงเย็นซึ่งเป็นเวลาทานอาหารเย็นของผมแล้วครับ แต่คนที่จะทำข้าวเย็นให้ผมทานยังไม่กลับมาที่ห้องดังนั้นผมก็ยังคงกินขนมรอเชฟส่วนตัวของผมต่อไป ซึ่งผมก็นอนกลิ้งเล่นบนเตียงไปได้ไม่นานเสียงเคาะกระตูห้องของผมก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงกลอนประตูที่ถูกปลดลอค อันนี้เป็นสัญญาที่แสดงให้ผมรู้ว่าพี่ศิกลับมาแล้วครับผมนี่วิ่งถลาไปที่ประตูห้องทันที (ถ้าเกิดว่าผมมีหูกับหางนี่คงกระดิกไปมารอคนมาให้อาหารแล้วหละครับ) เมื่อบานประตูเปิดอ้าออกเผยให้เห็นร่างสูงของพี่ศิแต่มันไมได้มีพี่ศิเพียงแค่คนเดียวด้านหลังพี่เขามีไอเจมส์กับไอบาส และคนอีกหนึ่งคนยืนอยู่ด้านหลังซึ่งคน ๆ นั้นผมมองไม่ออกว่าเขาเป็นใครครับ


“กลับมาแล้วเหรอพี่ศิ ไอเจมส์ไอบาสแม่มก็มาด้วยเข้ามา ๆ เชิญ ๆ” ผมพูดเชื้อเชิญให้แขกทั้งหมดเข้ามาในห้อง ซึ่งทั้งสามคนนั้นก็ยอมเดินเข้าห้องมาโดยเหลือคนสุดท้ายที่ผมไม่รู้จักที่ยังไม่ยอมเดินก้าวเข้ามาในห้อง


ซึ่งพี่ศิ ไอเจมส์ ไอบาสก็ไมได้พูดชวนให้คน ๆ นั้นเข้ามาในห้องจนลำบากมาที่ผมต้องเดินย้อนกลับไปเรียกให้บุคคลที่สี่เข้ามาในห้องของผม ผมเดินหงุดหงิดเดินไปยังประตูหน้าห้องของผมอีกครั้งและเอ่ยเสียงเรียกให้คน ๆ นั้นเข้ามา แต่ไม่ทันที่เสียงของผมจะได้เอ่ยออกไป ร่างทั้งร่างของผมก็ชะงัก ริมฝีปากที่จะเอ่ยทักกลับเม้มแน่น


ที่ผมต้องชะงักแบบนั้นเพราะคนตรงหน้าของผมคือ ‘ไอไฮซ์’ เพื่อนรักเพื่อนแค้นของผม ผมตวัดหางตาไปมองคนสามคนที่ต้องนี้ยืนกอดอกอยู่ในห้องนั่งเล่น


ดูเหมือนว่าการที่ไอบาสกับไอเจมส์มันรีบกลับหอและพี่ศิกลับมาที่หอช้าทั้งสามคนอาจจะไปเตรียมการให้ผมได้คุยกับไอไฮซ์หละมั้งครับ


“เข้ามาสิ ปิดประตูด้วยนะ” ผมเอ่ยเสียงสั่นแม้ผมตั้งใจแล้วว่าผมจะคุยกับมันฟังเหตุผลของมันแต่นี่มันไม่เร็วไปหน่อยเหรอครับพูดตอนเช้าได้คุยตอนเย็นงี้ให้เวลาผมทำใจบ้างอะไรบ้างก็ได้ ผมหันหลังกลับพร้อมจับจ้องเขม่งไปยังสามคนผู้ที่คิดแผนการนี้ และทั้งสามก็ได้แต่ยิ้มจาง ๆ ให้กับผม


ผมรู้ครับที่ทั้งสามคนทำแบบนี้เขาอยากให้ผมหายกลุ่มใจเรื่องไอไฮซ์มันสักทีแต่พวกเขาก็วางแผนกันไวไปหน่อยนะครับเอาซะผมไม่ทันตั้งตัวเลย


ผมเดินดุ่ม ๆ ไปนั่งที่โซฟาพร้อมกับใช้สายตาเรียกให้ไอไฮซ์ไปนั่งที่ฝั่งตรงข้าม (ตอนนี้ผมนั่งโซฟาเดียวครับ ผมเลยให้ไอไฮซ์นั่งฝั่งตรงข้ามกันกับผม) ซึ่งมันก็ทำตามครับมันทรุดตัวนั่งลงที่โซฟาฝั่งตรงข้ามของผม สีหน้าของมันดูเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัดครับ ส่วนผมก็ได้แต่นั่งนิ่ง ๆ กอดอกทำหน้าขรึมใส่มัน (แต่ผมไม่อยากจะบอกนะครับว่าผมนี่สั่นไปทั้งตัวแล้วที่ทำหน้านิ่งอยู่ได้นี่คือเก็กล้วน ๆ ครับกลัวเสียฟอร์ม)


“กร…” ไอไฮซ์มันเรียกชื่อผม ซึ่งผมก็พยักหน้าเป็นคำตอบ


“เรื่องวันนั้นไฮซ์อธิบายได้นะ” มันพูดต่อก่อนจะเงียบเสียงไปสักพักสิ่งที่ผมรับรู้ได้จากน้ำเสียงของมันก็คือความประหม่าที่มากล้น “เรื่องวันนั้นไฮซ์ไม่ได้เริ่มก่อนนะ น้ำฟ้าเขาเข้ามาหาไฮซ์ในห้องเอง”


ผมพยักหน้าเชิงรับรู้เรื่องราวในสิ่งที่ไอไฮซ์เล่า แต่ท่าทางของผมดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจมันสักเท่าไหร่ไอไฮซ์มันก็เลยเม้มริมฝีปากของตัวเองแน่นมือนั้งสองข้างนั้นแทบจะจิกเข้าไปในเบาะของโซฟา เมื่อเห็นท่าทางแบบนั้นของไอไฮซ์ผมก็ได้แต่ทอดถอนลมหายใจออกมาแล้วเลยด้วยถ้อยคำสั้น ๆ ออกไปว่า “ไฮซ์อยากให้กรรับรู้เรื่องราวของวันนั้นไม่ใช่เหรอทำไมไม่เล่าให้กรฟังต่อหละ”


ถ้อยคำสั้น ๆ ที่ผมเอ่ยออกไปทำให้ไอไฮซ์มีกำลังใจที่จะเล่าเหตุการณ์ในวันนั้นต่อมันส่งยิ้มให้ผมน้อย ๆ และค่อย ๆ เล่าเรื่องราวต่อไปออกมา “น้ำฟ้าเข้ามารุกไฮซ์แล้วบอกว่ากรไม่รู้หรอกว่าเราทำอะไรกัน จากนั้นสภาพมันก็เป็นอย่างที่กรเห็นในวันนั้นนั่นแหละ” เมื่อเล่าจบไอไฮซ์ก็ก้มหน้าลงเพื่อเป็นการแสดงให้ผมรู้ว่ามันรู้สึกผิด


เรื่องราวที่ถูกเล่าออกมาจากปากของไอไฮซ์ไม่ใช่ผมไม่เชื่อมันนะครับผมเชื่อมันและเชื่อมากเสียด้วยครับ คนที่รู้จักมาทั้งชีวิตกับคนที่รู้จักแค่ปีสองปียังไงผมก็เชื่อคนที่ผมรู้จักมาทั้งชีวิตอยู่แล้ว แต่ที่ผมไม่ยอมฟังมันตั้งแต่แรกนั่นก้เป้นเพราะอย่างที่ได้บอกไปครับผมพยายามหาคนมารับผิดในเรื่อง ๆ นี้ ซึ่งคนที่รับเคราะห์ก็คือไอไฮซ์ครับ


หลังจากที่มันพูดจบผมก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไปเรานั่งเงียบใส่กันอยู่นานจนในที่สุดผู้เป็นพยานในเรื่องราวอย่างไอบาสกับไอเจมส์ก็ทนไม่ไหว ไอเพื่อนสองหน่อก็รีบเอ่ยคำพูดช่วยไอไฮซ์ทันที “กรมันเป็นเรื่องจริงนะ ตอนแรกที่พวกกรูอยู่หอเดียวกับมันกรูก็ไม่ชอบใจแต่พอไอไฮซ์มันบอกมันอธิบายและมันบอกถึงนิสัยจริงของน้ำฟ้า ตอนแรกพวกกรูก็ไม่เชื่อจนไปสืบเอา น้ำฟ้าไม่ใช่สาวน้อยน่ารักอย่างที่มรึงคิดนะไอกร น้ำฟ้าเป็นผู้หญิงเจ้าเล่ห์แล้วก็…” แต่ก่อนที่พวกมันทั้งสองคนจะได้พูดจนจบประโยคผมก็ยกมือขึ้นเพื่อเป็นสัญญาณให้พวกมันทั้งสองคนหยุดพูด


“ไฮซ์...กรรู้จักไฮซ์มาตลอดด 19 ปี เราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เกิดถ้าไฮซ์พูดอะไรออกมากรก็เชื่อไฮซ์หมดทุกอย่างเพียงแต่ที่กรไม่ยอมคุยกับไฮซ์ ไม่ยอมมองหน้าไฮซ์นั่นก็เป็นเพราะกรพยายามโยนความผิดให้ไฮซ์ ความจริงเรื่องราวที่มันใหญ่โตขนาดนี้เป็นเพราะกรเองมากกว่าที่งี่เง่าไม่ยอมรับฟังอะไรจากไฮซ์” ผมพูดความรู้สึกของตัวเองออกไป และเมื่อผมได้ปลดปล่อยคำพูดทั้งหมดออกทางริมฝีปาก ภายในหัวใจของผมก็รู้สึกโล่งขึ้นเยอะ เหมือนกับว่าอะไรที่มันมันอัดแน่นอยู่ในใจได้ถูกยกออกไป


ซึ่งสิ่งที่ผมพูดออกไปทำให้ไอไฮซ์มันเงยหน้าขึ้นมามองทางผมและลุกขึ้นถลาเข้ามากอดผมแน่น ความรู้สึกแบบนี้เหมือนว่าผมไม่ได้รับมันมานาน  ‘ความรู้สึกของเพื่อนที่สนิทที่สุด’ ผมเอื้อมมือไปโอบหลังมันไว้แน่นพร้อมกับรับฟังคำขอโทษซ้ำไปซ้ำมาของไอไฮซ์มัน


“เรากลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมแล้วนะไฮซ์” ผมพูดพร้อมกับกระชับวงแขนแน่น


ถ้าเกิดไม่มีพี่ศิผมกับเพื่อนสนิทจะกลับมาคุยกันได้ไหมผมยังไม่รู้เลยเรื่องนี้ต้องยกให้เป็นความดีความชอบของพี่ศิเขาแล้วกัน ‘พ่อคนชอบวางแผน’ ผมหันไปมองพี่ศิน้อย ๆ พร้อมกับพยักหน้าขอบคุณให้แก่เขาซึ่งพี่ศิก็ยิ้มจาง ๆ ออกมาพร้อมกับส่งสายตาอันแสนอ่อนโยนมาให้


บางทีพี่ศิอาจจะมีคำแหน่งเพิ่มอีกตำแหน่งแล้วก็ได้หละมั้งครับนั่นก็คือ ตำแหน่ง ‘ผู้ช่วยเคลียร์เรื่องราวที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวผมให้เรียบร้อย’


อย่างน้อยผมก็มีความรู้สึกว่าผมเป็นโรคศิรวิทย์ลึซึ่มตามที่สหายทั้งสองคนของผมบอกแล้วก็ได้มั้งครับ




_____________________________________________



จบแล้วนะค้าสำหรับตอนนี้ ทำหน้าเหนียยมอาย// เขิน

ขอฝากนิยายเรื่องนี้ต่อไปและขอฝากนิยายเรื่องใหม่ที่จะเปิดด้วยนะคะ

ปล. ตอนนี้ยังไม่ได้เปิดนิยายเลยหละคะกำลังปั่นตอนพิเศษของเรื่องนี้อยู่
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 18] 31/10/2013 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 31-10-2013 20:54:57
ต้องขอบคุณพี่ศิที่ทำให้กรคิดได้ พอได้เคลียร์กันก็สบายใจ

อยากได้ตอนหวานๆของพี่ศิกับกร
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 18] 31/10/2013 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: DZiik ที่ 31-10-2013 21:06:40
เคลียร์กันเรียบร้อยแล้ว  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 18] 31/10/2013 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 31-10-2013 21:55:39
แล้วพี่ศิก็ทำสำเร็จ กรกับไฮซ์เคลียร์กันได้แล้วดีใจจริงๆ  :mew3:

 :L2: :กอด1: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 18] 31/10/2013 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 01-11-2013 23:54:03
ดีกันแล้ว พี่ศิโครตฮีโร่
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 18] 31/10/2013 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: RenaBee ที่ 02-11-2013 00:10:32
ต้องขอบคุณพี่ศิที่พูดในน้องกรคิดได้
ดีใจกับน้องกรด้วยนะคะคืนดีกับเพื่อนแล้วเย้ๆ

ปล.รักพี่ศิค่า!!!!
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 19] 2/11/2013 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 02-11-2013 19:43:47


วันนี้แอบมาต่อให้ไวค่ะ ><




Chapter 19



เอาหละครับหลังจากวันที่ผมได้เคลียร์ปัญหาคาใจทั้งหมดกับไอไฮซ์ (ด้วยฝีมือจัดการของว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์) ตอนนี้กลุ่มของผม (ตั้งแต่มัธยม) ก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้งโดยแกนนำของกลุ่มก็ยังเป็นผม ไอเจมส์ ไอบาส และกานต์แต่เราก็มีสมาชิกใหม่แต่หน้าเดิมเพิ่มขึ้นมานั่นก็คือไอไฮซ์ครับ พวกเราทั้งห้าคนเริ่มไปเที่ยวกันเป็นก๊วนแบบเก่าและเฮฮาปาจิงโกะกันแบบเดิม (แม้ว่ากานต์จะมีคนโทรตามหรือติดสอยห้อยตามไปแต่ละครั้งก็ตาม) ซึ่งความดีความชอบพวกนี้ทั้งหมดผมต้องยกให้กับพี่ศิ ผู้เป็นคนจัดการวางแผนให้ผมคืนดีกับไอไฮซ์เพื่อนสนิทของผมครับ แต่ก็ต้องไม่ลืมยกความดีความชอบให้กับไอเจมส์กับไอบาสด้วยเหมือนกันเพราะว่ามันก็มีส่วนช่วยในการวางแผนทำให้ผมคืนดีกับไอไฮซ์ในครั้งนี้ด้วย และนับจากวันที่ผมเคลียร์ปัญหาทั้งหมดจนเสร็จสิ้นมันก็ผ่านมาอาทิตย์กว่าเกือบจะสองอาทิตย์แล้วหละครับ


และตอนนี้มันก็เข้าใกล้วันสำคัญอีกวันหนึ่งของชาวไทยครับนั่นก็คือวันลอยกระทง งานวันลอยกระทงจะจัดขึ้นในช่วงเวลา 15 ค่ำเดือน 12 ครับ ซึ่งมหาวิทยาลัยของผมก็ได้มีการจัดกิจกรรมสำหรับงานวันลอยกระทงเช่นกัน โดยกิจกรรมนี้มันก็จัดในมหาวิทยาลัยของผมเลยครับซึ่งกำหนดการของเทศกาลนี้ยาวนานถึง 3 วัน และในทุก ๆ วันงานจะเริ่มตั้งแต่บ่าย 4 โมงเย็น ซึ่งบูทกิจกรรม บูทขายของต่าง ๆ ก็มาจากนิสิตในมหาวิทยาลัยนั่นหละครับ


แต่ละคณะจะออกแบบตีมบูทของตัวเองหรือเรียกง่าย ๆ นั่นก็คือการประชันความเทพของแต่ละคณะครับ และคณะวิศวกรรมศาสตร์ของผมก็จะมีการจัดบูทหนุ่มน้อย ?? ตกน้ำครับ ที่ต้องเป็นหนุ่มน้อยนั่นก็เพราะ คณะของเรามีผู้หญิงเยอะซะที่ไหนหละครับ ดังนั้นเราก็ต้องดึงดูดใจด้วยการส่งหนุ่มน้อยน่ารัก ๆ ลงไปเรียกแขกสาว ๆ แทนเท่านั้นหละ แต่ทางคณะของผมก็ไม่ได้มีแค่กิจกรรมเดียวเพราะอีกกิจกรรมหนึ่งของคณะผมนั่นก็คือการถีบรถสามล้อไปรอบ ๆ งานเพื่อขายไอติมปั่นครับ (ถ้าพวกคุณสูงอายุหน่อยพวกคุณจะรู้จักไอติมชนิดนี้มันเป็นไอติมที่ใช้น้ำอัดลมทำและนำลงไปปั่นในถังให้มันแข็งครับ มันเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านโดยแท้ครับ) ซึ่งหน้าที่ขายไอติ่มปั่นนั้นเป็นมันก็หน้าที่ของพวกเด็กปี 1 ครับ (ผมไม่อยากจะบอกเลยครับว่าไอการขายไอติมปั่นนี่ขาดทุนทุกปีครับเพราะส่วนใหญ่มันจะหมดไปกับการแจกสาว ๆ คณะนิเทศครับ เห็นรุ่นพี่เล่าว่าพอถีบไปถึงบูทคณะนิเทศพวกเราจะหยุดอยู่ตรงนั้นนานเป็นพิเศษและไอติมมันก็จะหมด ณ ที่ตรงนั้นหละครับ) ส่วนปี 2 ขึ้นไปก็รับหน้าที่จัดบูทหนุ่มน้อยตกน้ำนั่นเอง (ความจริงผมโดนจับให้เป็นหนุ่มน้อยที่จะไปนั่งในถังน้ำเหมือนกันหละครับ แต่หัวเด็ดตีนขาดยังไงผมก็ไม่ยอมไปนั่งบนถังน้ำนั่นแน่ ๆ


ดังนั้นในวันเปิดงานและตลอดระยะเวลาการจัดงานผมก็คงโดดร่มไปช่วยเพื่อน ๆ ขายไอติมปั่นรอบงานแทนครับ (เรื่องอะไรใครจะยอมเปียกน้ำในช่วงใกล้ ฤดูหนาวกันหละครับเดี๋ยวก็เป็นไข้กันพอดี)


 ซึ่งที่กล่าวมาทั้งหมดมันก็ทำให้พวกผมนิสิตชั้นปีที่ 1 วุ่นวายจนถึงตอนนี้ครับ ไหนจะต้องวิ่งโล่ไปหารถสามล้อมาปั่น ไหรนจะต้องวิ่งไปขอยืมถั่งไอติมปั่นอีก กว่าจะจัดการเรื่องยืมอะไรพวกนี้เสร็จก็ใช้เวลาไปสองสามวันครับกว่าจะเอาทั้งสองอย่างมาไว้ที่ใต้คณะได้


ขั้นตอนต่อไปของกิจกรรมนี้นั่นก็คือการแต่งรถสามล้อให้เฟี้ยวฟ้าวเป็นที่สะดุดตาสะดุดใจของผู้ซื้อครับ และไองานศิลป์ติสแตกพวกนี้มันก็ถูกยกให้กับไอฟองผู้ซึ่งติสแตกตลอดเวลา (แต่ผมคาดเดาว่ามันเป็นคนที่สติแตกตลอดเวลามากกว่า) โดยเวลาที่มันออกแบบก็ใช้เวลาไปเกือบสามวันครับ พอไปถามมันว่าแบบรถสามล้อเสร็จหรือยัง มันก็จะพูดพร่ำออกมาว่า ‘ตอนนี้อารมณ์ศิลป์กรูยังไม่ออก ศิลปะมันไม่ได้เกิดขึ้นมาง่าย ๆ นะเว้ยมันต้องใช้ความรู้สึกสร้างขึ้น ถ้าเกิดไม่มีฟีลลิ่งงานศิลป์ก็ไม่เกิดครับ แต่ต่อให้เกิดมันก็ไม่ใช่ศิลปะที่สมบูรณ์แบบ’ ซึ่งความจริงผมคิดว่ามันตอบสั้น ๆ ว่ายังไม่เสร็จก็จบแล้วครับไม่ต้องพร่ำเพ้อให้เสียน้ำลายอะไรหรอกครับและผมก็วนถามมันแบบนี้อยู่สองสามวันในจนในที่สุดไอฟองมันก็ออกแบบรถเสร็จ ซึ่งผมมองดูแล้ว…ผมคิดว่ารูปแบบของรถสามล้อที่ไอฟองคิดมันล้ำเกินไปผมจึงไล่ให้มันกลับไปออกแบบมาใหม่อีกครั้ง และในครั้งที่สองที่มันออกแบบ มันก็ยังคงดูล้ำอยู่เหมือนเดิมแต่พวกเราก็ไม่มีเวลาแล้วครับ ผมจึงจำใจต้องใช้แบบรถที่ไอฟองมันออกแบบครั้งที่สองมาจัดการตกแต่งรถสามล้อที่พวกเราจะไปปั่นขายกันรอบงานลอยกระทง


(พวกท่านไม่รู้ว่ามันล้ำยังไงเหรอครับแบบแรกมันบอกว่างานลอยกระธงเป็นเทศกาลของชาวไทยดังนั้นมันเลยออกแบบประมาณเรืองสุพรรณหงส์ครับ แล้วแบบที่สองค่อยดูซอฟลงหน่อยแต่ก็ล้ำอยู่ดี คราวนี้มาแบบแอ๊บแบ๊วหน่อยติดดาวรอบคันรถครับพร้อมกับตกแต่งด้วยร่มที่ห้อยโมบายรูปหัวใจหวานแหว๋ว คิคุอาโนเนะมากครับแล้วผมให้ทุก ๆ ท่านคิดดูเด็กวิศวะหน้าโหดมาขัดรถสามล้อลายแอ๊บแบ๊ว ๆ มันโคตรเข้าเลยครับ แต่ทำไงได้มันไม่ทันแล้วผมก็เลยได้แต่ทำใจและทำตามแบบที่สองที่ไอฟองออกแบบไว้ ไม่รู้ว่าตอนมันออกแบบมันดูเซเลอร์มูนหรือแม่มดน้อยโดเรมีไปด้วยหรือเปล่า สภาพรถมันเลยออกมาเป็นแบบนี้ได้)
หลังจากที่ผมเล่าย้อนความไปผมขอเชิญทุกท่านกลับมาสู่โลกปัจจุบันครับ ตอนนี้ผมและสหายราว ๆ สี่ถึงห้าคนกำลังยืนอยู่หน้าร้านขายเครื่องเขียนขนาดใหญ่ที่ทุกคนพูดกันว่ามันถูกที่สุดในย่านนี้แล้ว และเหตุผลที่ผมมาที่นี่หนะเหรอครับผมไม่ขอให้ทุกท่านเดาแล้วครับคิดว่ามันน่าจะเปลืองหน้ากระดาษผมเฉลยเลยแล้วกัน คือตอนนี้พวกผมกับเพื่อน ๆ จะมาซื้อของเพื่อเอาไปตกแต่งรถเจ้ากรรมที่ไอฟองออกแบบไงหละครับ งานนี้ไม่รู้จะหมดเท่าไหร่แต่ที่รู้ ๆ พวกเราตัดโฟมกันหัวบานแน่ ดาวดวงเล็กดวงน้อย ดวงใหญ่อะไรของมันนั่นหละ


“เฮ้ย…นอกจากโฟมต้องซื้ออะไรอีกบ้างวะเนี่ย” ผมดูลิสต์รายการที่เพื่อน ๆ ผู้มีความติสอยู่ในตัวจดมาให้พร้อมกับทำหน้างุนงง ไม่ใช่ผมอ่านไม่รู้เรื่องหรอกครับคือในกระดาษมันจดมาแค่ว่าต้องใช้โฟมหนาเท่าไหร่เอากี่แผ่นเท่านั้น ส่วนที่เหลือมันเขียนบอกพวกผมว่า ‘มรึงอยากจะซื้ออะไรมาตกแต่งเพิ่มก็แล้วแต่ศรัทธาของมรึงแล้วกัน’ ไอผมตอนอ่านจบผมก็แทบจะฉีกกระดาษจดแผ่นนี้ทิ้งทันที


‘คือถ้าพวกมรึงจะปล่อยให้กรูตัดสินใจเองมากขนาดนี้ พวกมรึงไม่ต้องเสียงค่าน้ำหมึกปากกาจดอะไรมาให้กรูก็ได้ครับ’ ผมขย้ำกระดาษที่อยู่ในมือแล้วโยนทิ้งพร้อมกับเดินเข้าร้านเครื่องเขียนแบบไร้จุดประสงค์แบบสุด ๆ


“โฟมหนาสองนิ้วหนึ่งแผ่น หนึ่งนิ้วสองแผ่น เอาสีกับกากเพชรด้วยนะ สีเอาเป็นอครีลิกดีไหมหรือเอาโปสเตอร์ธรรมดา” ผมเริ่มพูดรายการที่ต้องซื้อออกมาพร้อมกับหันไปถามความคิดเห็นกับเพื่อน ๆ ที่เหลือ


“เราว่าโปสเตอร์มันเลอะง่ายนะเอาอครีลิคดีกว่าติดทนด้วย” เสียงพรีมเอ่ยขึ้นมาพร้อมกับเดินไปเลือกสีอครีลิคเรืองแสงออกมาสามสี่สี “ที่สำคัญสีโปสเตอร์ไม่มีแบบที่เรืองแสงด้วย” เมื่อพรีมหยิบสีออกมาเสร็จก็หันมาพูดกับผมพร้อมรอยยิ้ม เธอเดินเข้ามาใกล้ผมพร้อมกับโยนสีอครีลิคที่อยู่ในมือลงไปในตระกร้าที่ผมถืออยู่


“แค่สี่สีแล้วสีหละกระปุกจะพอหรือพรีม” ผมเอ่ยถามเธอต่อซึ่งพรีมก็หันกลับมายิ้มให้ผมจาง ๆ แล้วพูดต่อออกมาว่า “ที่พรีมหยิบมันเป็นเหหมือนหัวเชื้อหนะกรเอาไปผสมกับตัวทะละลายถึงจะใช้ได้แต่สีหละหลอดก็พอแล้วหละส่วนสีน้อยไปหรือเปล่ากรหยิบสีฟ้าเรืองแสงที่อยู่ข้าง ๆ มาใส่เพิ่มไปอีกสีก็แล้วกันนะ” สิ้นเสียงของพรีมผมก็ทำตามที่เธอบอก ความจริงผมก็ไม่รู้ว่าพรีมเธอจะมีความรู้เรื่องศิลปะมากขนาดนี้ ถือว่าผมพาผู้ช่วยมาถูกคนครับ


พรีมค่อย ๆ เดินวนในร้านเพื่อดูของที่จะใช้ตกแต่งรถขายไอติมของเราได้จนในที่สุดตะกร้าในมือผมก็เต็มไปด้วยอุปกรณ์จิปาถะที่พรีมคิดว่ามันจะเอามาใช้ตกแต่งรถสามล้อของพวกเรา จนในที่สุดการช็อปปิ้งอุปกรณ์ของเราก็เสร็จสิ้น ยอดรวมทั้งหมดที่พวกผมต้องจ่ายไปก่อนนี่ระบุออกมาเป็นจำนวนเงินรวมแล้วน้ำตาของผมแทบไหลออกมาเป็นสายเลือดครับ แพงบรรลัยเลยครับขอบอก
หลังจากที่ตัวและกระเป๋าของพวกเราซูบซีดไปกับร้านขายเครื่องเขียน เราทั้งห้าคนก็เดินตัวปลิวพร้อมหิ้วของทั้งหมดออกมาจากร้าน หน้าแต่ละคนไม่สู้ดียิ่งนักครับแต่ก็ต้องจำใจขนของขึ้นรถของผมกับรถของพรีม เพื่อนำของที่กองอยู่เต็มรถไปส่งที่คณะ


ไอผมนี่ใจลอยตลอดเวลาการขับรถเลยครับ ไม่อยากจะเชื่อว่าของแค่นี้ราคามันจะแพงได้นรกแตกขนาดนี้ แค่สีอคลีลิกหนึ่งกระปุกก็ล่อไปเกือบสามร้อยบาทแล้วแถมเราหยิบกับมา 5 – 6 กระปุก แค่สีก็ปาไปเป็นพันแล้วครับ ตามด้วยกลิตเตอร์ที่พรีมเธอไปทุ่มเทนั่งเลือกจากร้านมา (ความจริงโฟมที่ใช้มันไม่แพงครับมันแพงตรงพวกเครื่องที่ใช้ตกแต่งประดับมากกว่า แล้วพรีมใช่ว่าเธอจะเลือกของถูกมาใช้ นี่เธอเล่นเลือกของแพงเลยครับแพคละเป็นร้อยแล้วหยิบมาซะหลายแพค เล่นเอาผมคิดไปเลยว่าเธอจะเอาไว้ใช้ตกแต่งยันล้อของรถสามล้อเลยเหรอครับพรีม)


ผมขับรถไปเรื่อย ๆ ก่อนจะวนเข้าประตูของมหาวิทยาลัยพร้อมกับขับไปจอดเทียบกับฟุตบาทข้างคณะ เมื่อลงจากรถผมล้วงโทรศัพท์มือถือของผมออกมาและกดเบอร์โทรหาไอฟองทันที ซึ่งทีผมโทรไปหามันนั้นก็เพราะจะให้พวกมันมาช่วยกันหิ้วของที่โคตรเยอะลงจากรถครับ (ประเด็นคือของที่พวกผมซื้อก็มีอันที่รุ่นพี่ฝากซื้อด้วยเหมือนกันครับก็เลยเยอะและแพงเป็นพิเศษ) ผมยืนกอดอกพิงรถรอพวกมันประมาณห้านาทีในที่สุดพวกเพื่อน ๆ ที่นั่งรอกันอยู่ใต้คณะก็เดินออกมาช่วยพวกผมขนของลงจากรถ
“ช้าสรัดครับเพื่อนฟอง พวกกรูไปซื้อมาแล้วหน้าที่ขนของคือพวกมรึงเลยครับ” ผมพูดพร้อมกับไขกุญแจเปิดท้ายรถให้เหล่าสหายมาช่วยกันแบกของลง “ส่วนนี่บิล เอาไปเบิกพี่ปีสี่ให้ทีด้วย” และใบเสร็จจากร้านเครื่องเขียนผมก็ส่งไปให้ไอเจมส์กับไอบาสที่เดินตามมาทีหลัง (ความจริงสองคนนี้เป็นประธานรุ่นกับเหรัญญิกครับ ไอเจมส์เป็นประธาน ไอบาสเหรัญญิก ส่วนผมเหรอครับผมเป็นรองประธานรุ่นครับ แต่เป็นรองประธานรุ่นที่โดดประชุมรุ่นตลอดและโยนหน้าที่รองประธานให้ไอเจมส์มันทำรวบยอดเลยครับ)


ซึ่งไอบาสก็รับใบเสร็จไปนะครับพร้อมกับบ่นพึมพำเบา ๆ ด้วยความเบื่อหน่ายออกมาว่า “เรื่องเบิกเงินมันหน้าที่ของกรูก็จริงแต่กรูไม่อยากไปเจอเจ้น้ำหวานของมรึงเล้ย ไอกร” เสียงบ่นพวกนั้นทำให้ผมเผลอหัวเราะออกมาเบา ๆ ไอโรคขยาดเจ้น้ำหวานของไอบาสก็ยังคงไม่หายขาดสินะ


ผมไหวไล่ตอบไอบาสพร้อมกับหันไปพูดกับพวกเพื่อน ๆ ให้ช่วย ๆ กันหิ้วของเข้าไปใต้ตึกคณะ “ของที่ซื้อมาไม่ได้หมดแค่นี้นะยังมีอยู่ในรถของพรีมอีกคัน ไปช่วยขนของจากรถคันนั้นบ้าง”


และหลังจากที่พวกเราขนของออกจากรถพร้อมกับแบกเข้าไปใต้ตึกคณะแล้ว ขั้นตอนต่อไปนั่นก็คือการยำกับวัสดุอุปกรณ์ที่ซื้อมา ให้กลายเป็นสิ่งที่ต้องการครับโดยแกนนำของการจัดงานสิ่งของพวกนี้ก็ไม่ต้องบอกนะครับว่าคน ๆ นั้นเป็นใคร เพราะมันเป็นใครไม่ได้อีกไปแล้วนอกจากผู้ออกแบบรถสุดล้ำคันนี้ ‘ไอฟอง’ นั่นเอง


พอถึงเวลาทำงานศิลป์ไอฟองนี่จะเป็นแกนนำเลยครับ (คือไอฟองมันเก่งศิลปะมากจนผมสงสัยว่าทำไม่ไปเรียนด้านศิลป์มันจะมาเรียนวิศวะทำไมกัน) ออกแบบ จัดการ ดรออิ้ง แล้วลงมือไอนี่มันทำเป็นทุกขั้นตอนครับ  ที่จริงพวกผมเด็กปี 1 ปล่อยให้มันตกแต่งรถสามล้อคนเดียวทั้งคันก็ได้นะครับ ผมเชื่อว่ามันทำได้แต่ในฐานะเพื่อนที่ดีก็ต้องลงมือช่วยมันทำสักหน่อย พวกเราทุกคนต่างแยกย้ายไปทำงานที่ตัวเองถนัด บ้างก็วาดรูปต้นแบบบนโฟมแผ่นที่ซื้อมาบ้างก็นั่งตกแต่งของกระจุกกระจิก บ้างก็ยืนมองนิ่ง ๆ แบบผม (ไอพวกที่ยืนมอองเนี่ยพวกผู้ชายเลยครับ พวกผู้ชายที่ลงช่วยทำส่วนใหญ่ไม่ติสแตกแบบไอฟอง ก็จะเป็นพวกผู้หญิงที่ชอบทำอะไรกุ๊กกิ้ก ๆ ครับ แต่นิยามนั้นใช้กับพรีมไม่ได้ครับเพราะตอนนี้เธอวิ่งแจ้นไปช่วยงานรุ่นพี่ปี 2 นั่งเลื่อยไม้แล้วครับ)


หลังจากผมยืนดูพวกเพื่อน ๆ ช่วยกันตกแต่งรถสักพักผมก็ไว้วางใจให้มันทำต่อ (เพราะผมทำมันไม่เป็น) และวิ่งไปหากลุ่มรุ่นพี่เพื่อช่วยทำซุ้มหนุ่มน้อยตกน้ำครับ คนคุมงานคือเจ้น้ำหวานสุดที่รักของเพื่อนเจมส์และเพื่อนบาส เบ้กิตติมศักดิ์คือ เฮียบุญเกิด เฮียก๊อตครับ และเมื่อผมเดินเข้าไปในดงของรุ่นพี่ ผมซึ่งเป็นรุ่นน้องก็ต้องผันตัวไปเป็นเบ้กิตติมศักดิ์อีกคน


“น้องกรของเจ้ ไปเลื่อยไม้ตรงนั้นหน่อยสิจะ” เจ้น้ำหวานชี้นิ้วสั่งให้ผมไปเลื่อยไม้ทำฉากซึ่ง ณ จุด ๆ นั้นมีพรีม ไอเจมส์ ไอบาสและเพื่อนคนอื่น ๆ ของผมกำลังทำอยู่ ผมรีบพยักตกลงและวิ่งหยิบเลื่อยไปช่วยพวกนั้นอีกแรง แต่ก็ไม่ทันที่ผมได้ลงมือเลื่อยไหมเสียงของเจ้น้ำหวานก็ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับออกคำสั่งห้ามให้ผมทำงาน “น้องกรของเจ้ไม่ต้องทำแล้วจ่ะ มายืนคุมงานกับเจ้ดีกว่า” ท่าทางที่เปลี่ยนไปของเจ้น้ำหวานทำให้ผมเกิดอาการงุนงง ทว่าเจ้น้ำหวานก็ไม่ได้ทำให้ผมสงสัยอยู่นานริมฝีปากของเจ้แกเหยีดยยิ้มพร้อมกับพูดถ้อยคำที่คลายความสงสัยทั้งหมดของผมออกมา


“เจ้คิดว่าถ้าน้องกรไปทำงานใช้แรงงานแล้วเกิดอุบัติเหตุอะไร ไอคุณศิรวิทย์ว่าที่สามีของน้องกรอาจจะมาฆ่าเจ้ได้ค่ะ” สิ้นเสียงเจ้น้ำหวานรุ่นพี่ และรุ่นเพื่อนก็ส่งเสียงโห่ร้องออกมาเสียงดังไอผมนี่แทบจะกัดลิ้นตายมันตรงนี้ ไอผมหนะคิดว่าเจ้น้ำหวานแกจะเข้าข้างผมและไม่แกล้งผมแล้วนะ


แต่นี่เจ้แกเล่นพูดเสียงดังกลางตึกคณะแสดงให้เห็นว่าเจ้แกนี่โคตรรักผมเลยครับ!


ผมหันไปแยกเขี้ยวใส่เจ้น้ำหวานแล้วยังคงเดินถือเลื่อยตรงไปยังกลุ่มเพื่อนของผมที่ขมักเขม่นทำงานอยู่ ซึ่งผมก็คิดว่าสหายทั้งหมดของผมนั้นจะยอมให้ผมช่วยงานและไม่พูดล้อเลียนอะไรผม แต่เพื่อนของผมก็ยังคงเป็นเพื่อนของผมวันยังค่ำทันทีที่ผมเดินไปถึง สาวสวยที่สุดในก๊วนของผมก็คลี่รอยยิ้มหวานหยดออกมาและใช้คำพูดแนวเดียวกับเจ้น้ำหวานไล่ให้ผมไปนั่งนิ่ง ๆ ไม่ต้องทำอะไร “กร…พรีมว่ากรไปนั่งเฉย ๆ เถอะ พรีมกลัวว่ากรจะมีแผลกลับบ้านไปแล้วพี่ศิอาจจะมาถล่มคณะเราได้นะ กรห่วงชีวิตของพวกเราเถอะ” สิ้นเสียงพูดของพรีม เสียงหัวเราะอย่างสะใจของเจ้น้ำหวานก็ดังขึ้น เจ้เธอตวัดมือเรียกลุงรหัสและพี่รหัสของผมให้เดินมาหิ้วผมออกจากวงทำงาน และพี่ ๆ ทั้งสองคนก็พาผมนั่งไปจุ่มอยู่ที่ม้าหินอ่อน ซึ่งเจ้น้ำหวานแกมอบหมายหน้าที่สุดแสนจะน่ารักให้ผม นั่นก็คือหน้าที่ ‘หนุ่มน้อยที่รอคอยจะตกน้ำครับ’ ให้ตายเถอะเจ้น้ำหวานแกยังไม่เลิกคิดจะเอาผมไปนั่งบนถังน้ำนั่นอีกเหรอ ผมว่าผมปฏิเสธเจ้แกหลายต่อหลายครั้งแล้วนะ


ผมนั่งเตะเท้ารอไปพร้อมกับมองทุก ๆ คนนั่งทำงานไป สภาพการแบบนี้มันน่าเบื่อพอดูเลยนะครับที่ต้องมานั่งมองคนอื่นทำงานโดยที่ตัวเองไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ไอความเบื่อของผมมันก็เกิดขึ้นได้ไม่นานครับเพราะว่าหลังจากนั้นราว ๆ 15 นาที โทรศัพท์จากคนที่ทุกคนก็รู้ว่าใครก็โทรมาหาผมครับ ผมเร่งกดรับสายโดยไม่รีรอสิ่งใดเลยครับ



v
v
v
v
v
v
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 19] 2/11/2013 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 02-11-2013 19:46:29


“สวัสดีครับพี่ศิ เลิกเรียนแล้วเหรอครับ” ผมกรอกเสียงลงไปตามสายและทันทีที่ผมเรียกชื่อของพี่ศิ ทุกคนที่กำลังทำงานอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมาและพร้อมใจกันหันมามองทางผม แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรหรอกครับผมก็ยังคงคุยและเมาส์แตกกับพี่ศิต่อไป


“ครับแล้วนี่กรอยู่ไหนพี่จอดรถอยู่ที่เดิมมาสักพักแล้วนะครับ นี่ก็เกือบจะหกโมงเย็นแล้วกรยังไม่เลิกเรียนอีกเหรอครับ” เสียงทุ้มดังตามสายซึ่งผมก็เอ่ยปฏิเสธพี่ศิไปพร้อมกับบอกเหตุผลให้พี่เขาฟังด้วย


“เปล่าหรอกพี่ศิตอนนี้กรกำลังนั่งทำงานกันอยู่หนะนี่อยู่กันทั้งหมดเลยพอดีงานวันลอยกระทง คณะกรจะทำหลายอย่างไงเลยต้องเร่งมือทำกันนี่ยังไม่เสร็จเลยสักอย่างเลย พี่ศิกลับไปก่อนเลยก็ได้นะเดี๋ยวกรกลับเองได้” ผมพูดใส่หูโทรศัพท์บอกอีกฝ่ายไป ซึ่งทางพี่ศิก็ตอบเสียงพึมพำกลับมาครับ เราทั้งสองคนคุยกันอีกสักพักไม่นานนักพี่ศิก็วางสายไปโดยบอกเหตุผลกับผมว่าเขามีธุระ ผมก็เลยจำใจกดตัดสายโทรศัพท์ไปและในทันทีที่ผมละความสนใจจากโทรศัพท์ผมก็ต้องพบกับรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจของคนทั้งคณะ


‘ตายหละครับผมดังลืมไปว่าผมไม่ได้อยู่คนเดียวเลยง้องแง้งใส่พี่ศิไปซะเต็มที่ ซวยแล้วครับชีวิต” ผมได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ตอบกลับไปและรีบเก็บกระเป๋าเตรียมที่จะหนีออกไปจากใต้คณะแต่มีหรือเจ้น้ำหวานสุดสวยของผมจะให้ผมหนีไปได้ ผมขอบตอบเลยครับว่าเจ้น้ำหวานแกไม่มีวันปล่อยผมครับและที่ผมมั่นใจขนาดนี้ก็เพราะผมโดนลุงรหัสและพี่รหัสลอคตัวไว้ไม่ให้หนีไปไหนโดยคำสั่งของเจ้น้ำหวานครับ


ซึ่งเจ้น้ำหวานก็ยิ้มหวานใส่ผมสมชื่อของเจ้เค้าครับ เธอค่อย ๆ ย่างสามขุมเข้ามาใกล้ ๆ ผมมือทั้งสองข้างกอดอกก่อนรอยยิ้มหวาน ๆ จะแปรเปลี่ยนเป็นแสยะยิ้มเย็น ๆ ใส่ผม


“น้องกรที่รักของเจ้ บอกเจ้น้ำหวานหน่อยสิจะว่าตอนนี้น้องกรขั้นไหนกับไอศิมันแล้ว” ผมส่ายหัวปฏิเสธเจ้น้ำหวานแต่เจ้แกก็ไม่ยอมหยุดอยู่แค่นั้นร่างเล็กค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้ผมพร้อมกับกางมือเตรียมที่จะตะครุบตัวผมไว้ แต่ผมก็อาศัยจังหวะที่เจ้ลุงรหัสและปู่รหัสเผลอดิ้นหนีหลุดออกมาได้ครับและเมื่อผมหลุดออกมาจากการจับกุมผมก็ใส่เกียร์หมาและวิ่งหนีทันที ทว่าเจ้น้ำหวานแกก็ไม่ยอมรามือครับเธอวิ่งตามผมมาติด ๆ ด้วยส้นเข็มสูง 4 นิ้วของแกนั่นหละครับ


ผมวิ่งหนีไปหลบไป การกระทำแบบนี้ของผมและเจ้น้ำหวานทำให้ทุกคนที่อยู่ใต้คณะวิศวะหัวเราะกันเสียยกใหญ่แต่ไม่รู้ว่าทำไมเสียงหัวเราะมันค่อย ๆ เงียบลงและเจ้น้ำหวานค่อยชะลอฝีเท้าของตัวเองและค่อย ๆ เดินถอยหลังกลับไปยังกลุ่มเพื่อน ๆ ที่นั่งทำงานอยู่


ผมได้แต่มองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความสงสัยแต่ผมก็ยังไม่หยุดฝีเท้าของตัวเองจนในที่สุดผมก็ได้รับรู้ถึงต้นเหตุที่ทำให้ทุกคนที่นั่งอยู่ใต้คณะเงียบสนิทแล้วหละครับ


ผมวิ่งต่อไปอีกไม่กี่ก้าวร่างของผมก็ชนเข้ากลับร่างของคน ๆ หนึ่ง ผมนี่ถึงกับทรุดลงไปกุมหน้าตัวเองกับพื้นเลยครับแต่ผมก็ยังมีมารยาทนะครับผมยังเอ่ยคำขอโทษใส่คนที่ผมเข้าไปชนนะ “ขอโทษครับพอดีไม่ได้มองทางเป็นอะไรมากไหมครับ” ผมพูดพร่ำทั้ง ๆ ที่ตัวเองยังคงทรุดนั่งลงอยู่ที่พื้น (จริง ๆ ผมไม่ได้เจ็บอะไรมากหรอกครับ แต่ผมเหนื่อยมากกว่าได้นั่งแบบนี้ทำให้ความเหนื่อยล้าจากการวิ่งหนีเจ้น้ำหวานมันตีกลับครับ)


“เป็นห่วงคนอื่น แต่ไม่ห่วงตัวเองเลยนะครับกร” น้ำเสียงที่คุ้นเคยถูกเอ่ยดังพร้อมกับร่างของผมที่ถูกประคองขึ้นด้วยมือกร้านของคน ๆ นั้น ซึ่งก็ไม่ต้องเดาผมก็คิดว่าทุกคนน่าจะรู้นะครับว่าเขาคนนั้นคือใครเพราะมันไม่ใช่ใครอื่นนอกจากนิสิตแพทย์ ศิรวิทย์ หิรัญศิริ นั่นเองครับ


พี่ศิเดินเข้ามาใต้คณะวิศวกรรมศาสตร์พร้อมกับถุงขนมเต็มไม้เต็มมือไปหมด ร่างสูงกว่าค่อย ๆ ละมือออกจากร่างของผมพร้อมกับจูงมือผมไปยังโต๊ะข้าง ๆ บริเวณที่ทุกคนทำงานอยู่ และถุงทั้งหมดที่พี่ศิหิ้วมาถูกวางไว้บนโต๊ะพร้อมกับถุงข้าวกล่องที่ไม่ต้องบอกว่าพี่ศิซื้อมาให้ใครกิน


“ไงไอวิน งานหนักไหมมรึงเห็นว่าเป็นประธานสโมงานคงเยอะหละสิ” พี่ศิพูดทักทายเจ้น้ำหวานของผมพร้อมกับโยนขวดน้ำชาเขียวไปให้ ซึ่งเจ้น้ำหวานก็ยิ้มหวานสมชื่อตอบกลับและก็ยื่นมือไปรับขวดน้ำนั่นไว้


“ขอบใจนะคะศิที่รัก แต่อย่าเรียกชื่อนั้นของดิฉันเลยดิฉันพยายามลืมมันไปแล้วค่ะ” เจ้น้ำหวานพูดติดตลกพร้อมกับบิดฝาเพื่อเปิดขวดน้ำชาเขียวดื่ม


“ก็เรียกแบบนั้นมาตั้งแต่ม.4มันติดไปแล้ววะไอวิน มานี่เอาขนมไปแจกน้อง ๆ ไป” พี่ศิไหวไหล่ทำเป็นไม่สนใจในสิ่งที่เจ้น้ำหวานพูดพร้อมทั้งยังสั่งให้เจ้แกมาเอาขนม นม เนย ไปแจกพวกรุ่นน้องเสียอีก (ท่าทางพี่ศิจะน่ากลัวพอดูที่ทำให้คนแสบ ซ่า ก๋ากั่น อย่างเจ้น้ำหวานสั่นกลัวได้ถึงขนาดนี้)


ผมได้แต่มองของพวกนั้นด้วยสายตาละห้อยแต่ผมก็ไม่ได้เสียดายของพวกนั้นนานถุงสุดท้ายที่พี่ศิยังวางไว้บนโต๊ะก็ถูกเลื่อนเข้ามาใกล้ ๆ พร้อมกับหยิบบะหมี่เป็ดย่าง (เวอร์ชั่นพิเศษเส้นพิเศษเป็ด) ออกมาสองกล่องและไม่ต้องเดาเลยครับว่าบะหมี่สองกล่องนี้เป็นของใครถ้าไม่ใช่ของผมกับพี่ศิ


ผมมองกล่องบะหมี่พร้อมกับยิ้มจนแก้มปริ ผมรีบเปิดฝากล่องเพื่อจัดการของที่อยู่ในกล่องนั่นทันที (อย่าว่าผมเห็นแก่ตัวมีคนคอยส่งน้ำส่งอาหารนะครับ คือทุก ๆ คนก็พลัดเปลี่ยนกันไปกินข้าวกินน้ำกันแต่ผมนี่นั่งอยู่ตรงนี้ตลอดและเพิ่งมีพี่ศิมาส่งข้าวส่งน้ำให้เมื่อกี๋นี้เอง ดังนั้นเวลาต่อจากนี้ไปเป็นเวลาทานข้าวของผมครับ)


ผมนั่งคีบเส้นบะหมี่ใส่ปากอย่างเอร็ดอร่อยพร้อมกับแอบไปแย่งเป็ดย่างในกล่องของพี่ศิมาใส่ปากตัวเองด้วย นี่ไม่ใช่ผมแย่งพี่ศิกินนะครับ พี่ศิเขาก็แย่งผมกินเหมือนกันพวกเราสู้รบกันระยะเวลาหนึ่ง ก่อนต่างคนจะทนความหิวไม่ไหวและก้มหน้าก้มตากินบะหมี่และเป็ดในกล่องของตัวเองแทนการไปแย่งกินของอีกฝ่าย ผมนั่งกินบะหมี่ไปสักพักไม่นานนักทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในกล่องก็ลงไปอยู่ในท้องของผม


ผมหันไปส่งยิ้มให้กับพี่ศิพร้อมกับยกมือไหว้ขอบคุณที่พี่ศิเลี้ยงอาหารมื้อนี้ให้ “ขอบคุณครับพี่ศิ คราวนี้ไปซื้อเจ้าไหนมาเนี่ยอร่อยจังเลย” ผมพูดพร้อมกระเถิบเข้าไปใกล้ ๆ พี่ศิ และแอบขโมยเป็ดย่างที่เหลืออยู่ในกล่องของพี่ศิมากินต่อ ซึ่งการกระทำแบบนั้นของผมทำให้พี่ศิหันมาจ้องผมเขม็งและยกมือขึ้นมายีหัวผมอย่างแรง


“ของตัวเองกินหมดแล้วยังมาแย่งของพี่กินอีกนะกร ไอตัวแสบเอ้ย” พี่ศิพูดกลั้วหัวเราะใบหน้าคมนั้นระบายไปด้วยรอยยิ้ม “ซื้อแถวหน้ามหาลัยเดี๋ยวว่าง ๆ พี่พาไปกินแล้วกัน”


“จริงนะ จะพากรไปกินจริง ๆ นะพี่ศิ” ผมพูดราวกับว่าตัวเองเป็นเด็กเล็ก ๆ ซึ่งท่าทางเช่นนี้ของผมทำให้พี่ศิหัวเราะออกมาเสียยกใหญ่


พวกเราทั้งสองคนพูดหยอกล้อกันไปอีกสักหน่อยในที่สุดผู้คนที่อยู่โดยรอบก็ทนไม่ไหวโดยเฉพาะเจ้น้ำหวาน ก็พูดโพล่งออกมา “ถ้าจะมาจีบกันก็กลับไปจีบกันที่คอนโดไปโลกนี้ไม่ได้มีพวกแกสองคนนะยะ! เห็นใจคนโสดหาแฟนไม่ได้อย่างพวกฉันมั่งสิ!” เสียงของเจ้น้ำหวานกรีดร้องทำให้ผมกับพี่ศิหลุดออกจากโลกที่มีเราเพียงสองคน ผมหันไปยิ้มแห้ง ๆ ให้เจ้น้ำหวาน ส่วนพี่ศิหนะเหรอแกหันไปจ้องเจ้น้ำหวานด้วยใบหน้าที่แสนจะเย็นชาทำเอาเจ้น้ำหวานนี่ปิดปากตัวเองแทบไม่ทันครับ (ท่าทางเจ้น้ำหวานจะกลัวพี่ศิน่าดู ผมจะชักอยากรู้แล้วสิว่าเมื่อตอนที่พี่ศิอยู่มัธยมพี่ศิเขาเป็นคนยังไง)


บางทีผมก็คิดว่าเจ้น้ำหวานนี่เป็นใหญ่ที่สุดในคณะวิศวะแล้วแต่วันนี้ทำให้ผมรู้เพิ่มมาอีกอย่างครับว่าเจ้น้ำหวานมีคนที่แพ้ทางแบบสุด ๆ อย่างพี่ศิอยู่ (ไว้งานหน้าถ้าโดนเจ้น้ำหวานแกล้งผมคงต้องวิ่งแจ้นไปฟ้องพี่ศิซะแล้วสิครับ)


“กรงานยังไม่เสร็จไม่ใช่เหรอ ฉันก็เลยรอกรทำงานเสร็จก่อนแล้วค่อยกลับกัน” ถ้อยคำที่พี่ศิเอ่ยมานั้นทำเอาผมต้องหันไปถลึงตาใส่พี่ศิเขาเลยครับ นั่นข้ออ้างหรือไงกันวันนี้พี่แกก็รู้ว่าผมเอารถมาพี่ศิแกไม่จำเป็นต้องรอผมทำงานเสร็จแล้วกลับพร้อมกันก็ได้ครับ


“พี่ศิวันนี้กรเอารถมาเดี๋ยวกรกลับเองก็ได้นะ” ผมพูดเสียงอ่อยพร้อมกับเอามือดันไหล่พี่ศิให้ลุกขึ้น แต่คนดื้อดึงอย่างพี่ศิหนะเหรอครับแกจะยอมทำตามที่ผมพูด ผมขอตอบแทนพี่ศิเลยนะครับว่าไม่มีทางยอมกลับแน่นอนซ้ำพี่แกทำหน้าไม่รู้สึกรู้สากับคำไล่?? ของผมโดยการหยิบชีทและอุปกรณ์สำหรับการเขียนรายงานส่งอาจารย์ขึ้นมาอ่านและทำเสียด้วย


นี่พี่ศิจะทำตัวเป็นเด็กดื้อมากไปแล้วนะครับ!


ผมได้แต่หันไปยิ้มแห้ง ๆ ใส่เจ้น้ำหวานพร้อมกับก้มหัวขอโทษและลุกขึ้นเพื่อไปช่วยงานรุ่นพี่และเพื่อน ๆ แต่ด้วยอำนาจมืดอันแสนล้นเหลือของพี่ศิ รุ่นพี่และเพื่อน ๆ ทุกคนของผมนี่ส่งสายตาที่สื่อความหมายเป็นันยเดียวกันมาว่า ‘มรึงอย่าลุกขึ้นมาเชียวนะ ถ้ามรึงลุกมาพวกกรูซวยแน่นอนดังนั้นมรึงจงนั่งต่อไป’ และไอสายตาพวกนั้นทำให้ผมต้องจำใจนั่งจุ่มอยู่ที่โต๊ะเหมือนเดิมครับ
แบบนี้ทำเอาผมรู้สึกว่าผมไปกินแรงคนอื่นเลยครับ มันรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก แต่ทุกคนก็ต่างกลัวพี่ศิกัน ผมจึงต้องจำใจนั่งนิ่ง ๆ อยู่ข้าง ๆ พี่ศิเขาครับ


และเหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้ผมตัดสินใจได้เด็ดขาดว่า ‘เวลาที่ผมจะมานั่งทำงานหรือมาร่วมกิจกรรมอะไรผมจะไม่มีทางพาพี่ศิติดสอยห้อยตามมาอีกเด็ดขาด’


เวลาล่วงเลยผ่านไปจนตอนนี้เป็นเวลา 4 ทุ่มแล้วครับ เพื่อน ๆ ทุกคนนี่ยังคงนั่งทำงานอย่างขะมักเขม้นครับ แถมงานของพวกผมนั่งคือรถสามล้อที่จะใช้ในการขายไอติมปั่นก็ใกล้จะเสร็จแล้วหละครับ (มีไอฟองสุดอาร์ตอยู่งานศิลป์ก็ทำงานเสร็จได้อย่างรวดเร็วครับ ในตอนนี้ก็เหลื่อแต่เอาของที่ทำเสร็จแล้วเอาไปประดับตกแต่งที่รถครับ) เมื่อเห็นสภาพการณ์เป็นแบบนั้นผมก็ลุกขึ้นและกระโดดไปยังกลุ่มปี 1 ซึ่งเป็นเพื่อน ๆ ของผมครับ


“งานใกล้จะเสร็จแล้วดิไอฟอง” ผมเดินวนไปรอบ ๆ กลุ่มก่อนจะปลายตามองไปยังรถสามล้อที่ตอนนี้เริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้วหละครับ


พระจันทร์ดวงใหญ่ที่เป็นจุดเด่นของรถคันนี้ถูกแปะลงไปที่ตัวรถแล้วหละครับโดยรอบนี่มีก้อนเมฆที่ทำจากโฟมและดาวดวงเล็ก ๆ ติดกัน ความจริงผมคิดว่ามันน่ารักไปเสียหน่อยครับ แต่มองไปมองมามันก็เข้าตีม ‘ลอยกระทง’ ดีนะครับสภาพนีเนี่ย


“เหลือแค่เอาของไปประดับตกแต่ง รับรองไม่เกินพรุ่งนี้ลูกรักกรูคันนี้ต้องเสร็จแน่นอน” ไอฟองพูดกับหันมายกนิ้วโป้งให้ผม ซึ่งผมก็ยกนิ้วโป้งตอบกลับไปให้มันเหมือนกันครับ


ส่วนอีกด้านหนึ่งคือกลุ่มของรุ่นพี่ซึ่งมีเจ้น้ำหวานเป็นแกนนำครับทางนั้นรู้สึกว่าเขาจะเริ่มละเลงสีบนฉากแล้วหละครับหลังจากพวกรุ่นพี่เถียงกันอยู่นานสองนานว่าจะทำพื้นหลังเป็นฉากแบบไหนดี ข้อสรุปที่ได้ก็คือฉากด้านหลังจะถูกระบายสีเป็นท้องฟ้ายามเช้าครับ มันจะได้สว่าง ๆ เห็นหน้าหนุ่มน้อยตกน้ำแต่ละคนดี (อันนี้เป็นความคิดของเจ้น้ำหวานครับ เจ้แกบอกว่าเวลาสาว ๆ เขามาเล่นพวกเธอจะได้เห็นหน้าหนุ่มน้อยชัด ๆ สาว ๆ จะได้กรีดกร้าดกัน และที่สำคัญเวลาเปียกเนี่ยเสื้อมันจะแนบเนื้อครับสาว ๆ จะได้เห็นผิวของหนุ่มน้อยชัด ๆ)


“พวกแกเร่งกันทาสีหน่อยสิยะ!! งานมันจะเริ่มอีกสามวันแล้วนะยะดีที่พวกถังกับที่กั้นไปหากันมาได้แล้วนี่เหลือแต่ฉากนี่เท่านั้นนะยะ! เร่งมือกันเข้า” เสียงเจ้น้ำหวานพูดดังลั่นพร้อมกับถือม้วนกระดาษไล่ฟาดเพื่อน ๆ และน้อง ๆ ที่นั่งสะลึมสะลือเรียงคนเพื่อนให้แต่ละคนตาสว่าง ไอผมก็กลืนน้ำลายลงท้องฮึกใหญ่ก่อนจะย่องกลับไปนั่งข้าง ๆ พี่ศิที่ตอนนี้กำลังปั่นรายงายถึงช่วงสุดท้ายแล้วครับท่าทางใกล้จะเสร็จเต็มทนแล้วหละ


แต่ว่าผมนี่เริ่มง่วงขั้นวิกฤติแล้วครับ มือข้างหนึ่งของผมถูกยกขึ้นมาป้องปากหาววอด ๆ พร้อมกับเดินกลับไปที่ม้านั่งและเขยิบเข้าไปใกล้พี่ศิแล้วซบลงบนบ่าของพี่ศิเขาครับ


ที่ผมยืมบ่าพี่ศินี่เพราะผมง่วงนี่ครับผมเลยตัดสินใจยืมบ่าพี่เขาเป็นหมอนซะเลยแล้วก็คงไม่ทำให้พี่ศิลำบากอะไรด้วยครับเพราะพี่ศิเป็นคนที่ถนัดทั้งมือซ้ายและมือขวาครับ


ดังนั้นผมทีเอนหัวไปซบที่บ่าทางด้านขวาของพี่ศิมันจึงไม่ทำให้พี่ศิลำบากในการเขียนรายงานครับเพราะทันทีที่ผมเอนหัวไปซบปากกาในมือขวาก็ถูกเปลี่ยนไปถือในมือซ้ายและเขียนรายงานต่อไปอย่างไม่ติดขัดครับ


ผมนี่เอาหัวดัน ๆ ไหล่พี่ศิไปมา (สภาพของผมตอนนี้คือผมนั่งหันหลังใส่พี่ศิครับแล้วหัวก็เอนซบไปที่บ่าข้างขวาของพี่เขาครับ) สายตาที่เริ่มปรือจนใกล้จะหลับมองรุ่นพี่และเพื่อน ๆ แต่ละคนทำงานอย่างขะมักเขม้น ไอผมก็รู้อยู่หรอกครับว่าทำไมทุก ๆ คนถึงไม่ค่อยจะอยากให้ผมทำงานกันเพราะผมเป็นคนที่ซุ่มซ่ามขั้นเทพครับ อะไรที่ต้องใช้ของมีคมเข้ามาช่วยนี่ เพื่อน ๆ และรุ่นพี่จะไม่ให้ผมแตะเลย (คือมันมีประสบการณ์จากทำพาเรดตอนแข่งขันกีฬาเฟรชชี่ครับ คราวนั้นผมโดนฉีดยากันบาดทะยักไปแถมโดนพันผ้าพันแผลไปอีกหลายวัน เหตุผลที่ต้องทำแบบนั้นก็เพราะว่าตอนนั้นผมกรีดคัตเตอร์แล้วพลาดไปโดนนิ้วชี้ครับแถมเป็นแผลทางยาวและลึกเล้กน้อย สถานการณ์ตอนนั้นรุ่นพี่หิ้วผมไปส่งโรงพยาบาลกันแทบจะไม่ทัน นับจากวันนั้นผมเลยไม่ได้รับอนุญาตจากรุ่นพี่และเพื่อน ๆ ให้จับคัตเตอร์อีกเลย)


ผมอ้าปากหาววอด ๆ อีกสักสองสามครั้ง เจ้น้ำหวานผู้กำอำนาจสูงสุดในคณะวิศวะ (แต่ก็เป็นรองว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์) ก็สั่งให้ทุก ๆ คนเลิกงานครับ งานทางฝั่งปี 1 นี่ผมคิดว่ามันเสร็จเรียบร้อยแล้วครับเพราะไอฟองมันวิ่ยแจ้นมาช่วยทางฝั่งรุ่นพี่เมื่อสามสิบนาทีก่อนและรถสามล้อลูกรักของมันตอนนี้ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ใต้คณะ ส่วนงานของรุ่นพี่ปี 2 เป็นต้นไปกำลังรอให้สีฟ้ที่เป็นสีพื้นแห้งครับถึงจะละเลงสีขาว เทา ลงไปให้ดูเหมือนก้นเมฆได้ ดังนั้นดูจากรูปการณ์แล้วงานของวันนี้ก็เสร็จเรียบร้อยแล้วครับพรุ่งนี้มาทำต่อกันอีกสักหน่อยงานก็คงเสร็จเรียบร้อยและเตรียมแบกไปที่ตั้งบูทของพวกเราได้แล้วหละครับ


“นี่…น้อง ๆ ค่ะเพื่อน ๆ ค่ะวันนี้เลิกงานแค่นี้ก่อนนะคะ แต่ก่อนจะกลับช่วยกันเก็บอุปกรณ์นะคะทุกคนแล้วค่อยแยกย้ายกันกลับบ้านกลับหอ น้องคนไหนอยู่หอในแล้วไม่มีรถกลับหาเพื่อน ๆ หรือมาหารุ่นพี่นะคะพี่จะหาคนไปส่งให้แต่ถ้าใครมีคนมารับแล้วดันเอารถมาด้วยนี่อันนี้ไปตกลงกันเอานะคะว่าจะกลับกันยังไง” ในประโยคแรกเจ้น้ำหวานแกพูดถึงเพื่อน ๆ ผมครับแต่ในประโยคสุดท้ายนี่เจ้น้ำหวานหันมาเล่นงานผมกับพี่ศิโดยตรงเลยครับแต่เจ้แกยังไม่หยุดแค่นั้นนะครับเพราะเธอยังเอ่ยปากพูดเย้าแหย่ผมกับพี่ศิออกมาอีก


“หวานกันจนจะหมดขึ้นหวังว่าพรุ่งนี้คงไม่ได้มาส่งข้าวส่งน้ำให้กันแล้วนะคะ แต่ถ้ามีอีกเราอาจจะเจอรังมดในคณะเราเป็นสิบ ๆ รังเพราะออร่าความหวานมันแพร่กระจายค่ะ” สิ้นเสียงพูดของเจ้น้ำหวานทุกคนที่อยู่ใต้คณะต่างพากันส่งเสียงร้องแซวผมกับพี่ศิกันใหญ่ เสียงโห่แซวพวกนั้นทำผมหน้าแดงก่ำพร้อมกับสะกิดพี่ศิเบา ๆ แต่ดูเหมือนว่าพี่ศิรวิทย์จะไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับเสียงพวกนั้นเลยครับพี่แกค่อย ๆ เก็บรายงานที่เขียนเสร็จใส่แฟ้มพร้อมกับเก็บเครื่องเขียนใส่กระเป๋าดินสอด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง และเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปอยู่ในกระเป๋าพี่ศิก็ยันกายลุกขึ้นพร้อมหันหน้าไปจ้องมองเจ้น้ำหวานที่กำลังจะอ้าปากเตรียมพูดแซวพวกผมต่อ


“มีอะไรครับไอวิน เมื่อสักครู่แกพูดอะไรนะ” เสียงทุ้มเอ่ยเสียงเรียบนัยน์ตาคมกริบที่ซ่อนอยู่ภายใต้แว่นตากรอบสีดำสนิทจ้องมองไปยังเจ้น้ำหวานที่ปิดปากของตัวเองทันทีที่พี่ศิลุกขึ้นยืน


“ปะ...เปล่าจ้าศิที่รัก น้ำหวานไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับศิที่รักเลยนะอ่อไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับน้องกรที่รักของศิเลยด้วย” ไอประโยคแรกท่าทางจะฟังดูเข้าหูหน่อย แต่ไอประโยคสุดท้ายที่พูดว่า ‘น้องกรที่รักของศิ’ มันคืออะไรกันครับผมหันหลังไปจ้องเจ้น้ำหวานด้วยแววตาสงสัยแต่ผมก็ทำได้แค่จ้องครับ แต่คนที่ยืนอยู่ข้างกายผมเมื่อสักครู่ตอนนี้โยนกระเป๋านิสิตให้ผมพร้อมกับวิ่งเข้าไปชาร์ตเจ้น้ำหวานเต็มแรงเลยครับ มือกร้านตรงเข้าไปลอคคอเจ้น้ำหวานแล้วลากเจ้แกไปคุยกันแบบสองต่อสองผมมองภาพของทั้งคู่ด้วยความงุนงง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นภายในใจของผมมันไม่ได้มีแค่ความสงสัยเพียงอย่างเดียวแต่มันกับมีความไม่พอใจแฝงอยู่ภายใน ผมขมวดคิ้วจนแทบจะเป็นปมพร้อมกับทรุดตัวลงไปนั่งกอดกระเป๋าของพี่ศิไว้แน่นเพื่อรอพี่ศิกลับมาเอามัน


‘พี่ศิ…มีโมเมนต์แบบนั้นด้วยเหรอไม่เคยเห็นมาก่อนเลย แล้วตอนที่พี่ศิอยู่มัธยมปลายเขาเป็นยังไงกันนะ แล้วทำไมทุก ๆ คนที่เป็นรุ่นพี่ถึงกลัวพี่ศิกันหมดชักอยากจะรู้ซะแล้วสิ’ ผมนั่งก้มหน้าก้มตารอพี่ศิกับเจ้น้ำหวานให้เดินกลับเข้ามาใต้คณะ รุ่นพี่ทีละคนสองคนค่อย ๆ เดินออกจากใต้คณะไปพร้อมกับพวกเพื่อน ๆ ของผมที่ตอนนี้ก็ทยอยกันกลับหอ กลับบ้านกัน จนในที่สุดภายใต้คณะก็เหือผมนั่งกอดกระเป๋าของพี่ศิอยู่เพียงคนเดียว


‘ช้าจังเลย’ ผมยังนั่งเตะเท้ารอให้พี่ศิกลับมาไปเรื่อย ๆ ในที่สุดพี่ศิก็เดินกลับเข้ามาใต้คณะพร้อม ๆ กับเจ้น้ำหวานครับ
ผมลุกขึ้นยืนพร้อมกับส่งกระเป๋าไปให้พี่ศิแล้วเดินดุ่ม ๆ ออกจากใต้คณะมาเลย โดยที่ไม่คิดจะรอพี่ศิที่ร้องเรียกตามหลังผม
ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองนั้นหงุดหงิดอะไรแต่รู้เพียงแต่ว่าผมไม่ค่อยจะพอใจที่เห็นพี่ศิกับเจ้น้ำหวานแกสนิทกันขนาดนั้น ไม่ค่อยพอใจเจ้น้ำหวานที่รู้จักตัวตนของพี่ศิมากกว่าผม


‘หรือว่าตอนนี้ผมกำลังหึงพี่ศิอยู่…’ ไม่จริงน่าผมกับพี่ศิไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าคนสำคัญของกันและกันครับ


ผมสะบัดหัวไล่ความคิดทุกอย่างให้ออกจากสมองก่อนจะก้าวขึ้นรถและขับกลับคอนโดของตัวแอง ผมหวังว่าการนอนหลับสักตื่นนี่อาจจะทำให้ผมไล่ความหงุดหงิดออกไปจากสมองได้กระมังครับ




_______________________________



หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 19] 2/11/2013 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: DZiik ที่ 02-11-2013 20:20:40
น้องกรหึงพี่ศิ  :-[
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 19] 2/11/2013 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 02-11-2013 21:18:24
อยากรู้อ่ะว่าพี่ศิเป็นยังไงสมัยก่อน ฮาาาา
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 19] 2/11/2013 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 02-11-2013 21:20:44
ดีใจกับพี่ศิจริงๆ พัฒนาได้อีกขั้นล่ะ น้องกรหึงพี่ศิแล้ววุ้ยยยยยยยยยยยยยยยย  o18

 :L2: :กอด1: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 19] 2/11/2013 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: RenaBee ที่ 02-11-2013 21:24:05
 :hao7:  ว๊ายยยยยน้องกรหึงพี่ศิแล้ว~
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 19] 2/11/2013 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 02-11-2013 22:02:55
น้องกรหึงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงพี่ศิกับเจ้หวาน
พี่ศิอีกด้านเป็นคนยังไงนะ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 19] 2/11/2013 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: omyim_jjj ที่ 02-11-2013 22:27:59
กรหึงพี่ศิ

 :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 19] 2/11/2013 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 02-11-2013 22:32:36
น้องกร. ขี้หึงไม่เบาเลยนะเนี่ยยยยย :heaven
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 19] 2/11/2013 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 03-11-2013 10:26:12
หึงน้องกรหึงพี่ศิแน่นอน
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 19] 2/11/2013 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: aelfy ที่ 03-11-2013 13:33:25
อร๊ายย น่ารักอ่ะ ฟินๆ :katai2-1:

น้องกรแอบหึง :impress2:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 19] 2/11/2013 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 03-11-2013 17:38:41
ตอนอ่านครั้งแรกมีความรู้สึกว่า พี่ศิเนี่ยดูแบบดีเกิ้น
จืดๆชืดๆ ยังไงก็ไม่รู้ แตจ่พออ่านมาเรื่อยๆ เรื่่อยๆ ก็ดูเหมือนว่าจะซ่อนอะไรเอาไว้เยอะแยะ
ความจริงพี่ศิไม่ได้เป็นคนเอาแต่ใจ แต่น่าจะใส่ใจมากกว่า
ถ้าเจอคนอย่างนี้บ้างรักตายเลยนะเนี่ย แอบสงสัยว่าพี่ศิสมัยมัธยมคงจะนักเลงน่าดู
แต่นั่นไม่สำคัญ ที่สำคัญคือครอบครัวพี่ีศิมากกว่า(แอบคิดถึงอนาคต)
ส่วนน้องกรผู้แสบซ่าซน นี่ก็น่ารักน่ายิก แบบน้องชายคนเล็กยังไงๆไม่รู้
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 19] 2/11/2013 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 04-11-2013 17:28:50
ยังอ่านไม่ถึงไหนเลย แต่อ่านจบหน้า2 แล้ว
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 20] 06/11/2013 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 06-11-2013 18:14:34

เปิดเทอมแล้วหละค่าขอบคุณที่ทุก ๆ ติดตามมานะคะ (พูดหยั่งกับมันจะจบ ยังไม่จบง่าย ๆ หรอกค่า พอ ๆ กับ กรไม่ง่ายค่ะ)






Chapter 20



สวัสดีครับทุก ๆ หลังจากที่พวกเราตรากตรำทำงานหนักกันมานาน (ศิริรวมเวลาแล้ว 3 วันผมของเรียกว่าเราเผางานมากกว่าทำงานครับ) ในที่สุดวันพรุ่งนี้ก็ถึงวันเริ่มงานลอยกระทงที่มหาวิทยาลัยจัดขึ้นแล้วครับ ตอนนี้งานของพวกเราสำเร็จไปกว่า 95.66% แล้วครับ


แล้วไออีกราว ๆ 5% ที่เหลือนั่นก็คือการขนของทุกสิ่งทุกอย่าง (และสามล้อพาลูกรักไอฟอง) ไปที่ซุ่มของคณะเราครับซึ่งผมคงไม่ไปที่บูทหรอกครับถ้าไปผมก็โดนจับนั่งบนถังน้ำสิครับ งานนี้ผมไม่ยอมนั่งแน่นอน ใครมันจะไปยอมตกน้ำในช่วงใกล้ ๆ หน้าหนาวหรอกครับ


และยังมีอีกอย่างหนึ่งที่คาใจทุกคนใช่ไหมครับว่าหลังจากที่ผมเมินพี่ศิแล้วขับรถกลับบ้านมาเองก่อนต่อจากนั้นเป็นยังไง ผมขอสรุปง่าย ๆ เลยแล้วกัน ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ผมหลบหน้าพี่ศิมาตลอดเลยครับ เจอหน้าก็เมิน โทรศัพท์ก็ไม่รับ ข้อความส่งมาก็ไม่ส่งตอบ พี่เขามาเคาะประตูให้ไปทานข้าวเช้าผมก็ไม่ไป ชวนไปมหาวิทยาลัยผมก็ขับรถไปเอง ขากลับผมก็ขับรถกลับมาเองครับ ซึ่งเท่าที่ผมทราบมาจากที่พี่วิกับพี่เตอร์โทรมาบอกผมว่าพี่ศิตอนนี้เหมือนระเบิดเวลาเดินได้ น้องกรมีอะไรหรือทะเลาะอะไรกับพี่ศิเขาหรือเปล่าผมก็ตอบปฏิเสธนะครับ ‘ว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้นครับ’


ซึ่งมันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริง ๆ  นี่นา ผมแค่เซ็งตัวเองที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพี่ศิเลยทั้ง ๆ ที่ผมให้พี่ศิเป็นคนสำคัญที่ขาดไม่ได้ของผม แต่ผมกลับไม่รู้เรื่องราวอะไรของพี่เขาเลย ไม่รู้แม้กระทั่งวันเกิดของพี่ศิ ไม่รู้ว่าอะไรที่พี่ที่ศิชอบทานมากที่สุด แต่เป็นพี่ศินี่แหละที่รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับครอบครัวของผม อาหารการกินของโปรดและอะไรอีกมากมายเกี่ยวกับผม และที่สำคัญพี่ศิรู้ตัวตนในอดีตของผมครับ ผมไม่รู้เรื่องราวในอดีตของพี่ศิเขาไม่เท่าไหร่ แต่สิ่งที่ทำให้ที่ผมน้อยใจจริง ๆ นั่นก็คือพี่ศิไม่เคยบอกอะไรผมเลยสักคำ ไม่เคยพูดว่าตัวเองชอบอะไรไม่ชอบอะไร แล้วสิ่งที่ผมทำให้พี่ศิพี่เขาพอใจหรือเปล่า หรือทุก ๆ ครั้งที่ผมทำตัวป่วนใส่พี่ศิเขาพี่เขารู้สึกไม่ดีหรือเปล่า ซึ่งทุกการกระทำที่ผมทำใส่พี่ศิ พี่ศิก็ได้แต่ยิ้มตอบกลับมาตลอดซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าในรอยยิ้มที่พี่ศิยิ้มให้ผมนั้นมันแฝงอะไรภายในใจหรือเปล่า


ถึงทุกคนจะบอกว่าเรื่องรสนิยมหรือของที่ชอบเราสังเกตเอาก็เองเดี๋ยวก็รู้เอง ครับผมสังเกตและพอรู้มาบ้างว่าพี่ศิชอบทานอะไร ชอบกินอะไรเป็นพิเศษชอบอาหารสไตล์ไหน แต่มันก็มีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมไม่รู้เกี่ยวกับพี่ศิอีกมากมาย ทั้งวันเกิด งานอดิเรก สเป็กที่ชอบ เพื่อนที่สนิทที่สุดและสุดท้ายนั่นก็คือตัวตนที่แท้จริงของพี่ศิไม่ใช่ตัวตนที่มอบรอยยิ้มให้ผมตลอดเวลา ไม่ใช่ตัวตนที่คอยตามใจผมตลอดเวลาแบบนี้


สิ่งที่ผมอยากรู้จากพี่ศินั่นก็คือตัวตนของพี่ศิทั้งหมดในทุก ๆ ด้าน และในทุก ๆ มุม ทุก ๆ คนจะหาว่าผมโลภก็ได้นะครับแต่ผมอยากรู้จริง ๆ ในตัวตนที่แท้จริงของพี่ศิ


ส่วนหนึ่งที่ผมหลบหน้าก็คือการน้อยใจพี่ศิเขาแต่อีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมหลบหน้าพี่เขามันก็คือผมไม่พอใจตัวเองทั้ง ๆ ที่เหมือนจะอยู่ใกล้ชิดมากกว่าใคร ๆ แต่ผมกลับไม่รู้ตัวตนของพี่ศิเขาจริง ๆ เลยครับ มันดูออกจะงง ๆ ไปบ้าง แต่ผมรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ ไม่พอใจพี่ศิและไม่พอใจกระทั่งตัวของผมเอง ผมเลยขอไม่เจอหน้าพี่ศิให้ตัวเองหงุดหงิดพี่ใส่เขาและหงุดหงิดตัวเองที่เป็นคนไม่รู้อะไรเลยมากกว่าเก่าดีกว่าครับ


และหวังว่าวันนี้ผมจะหลบหน้าพี่ศิไปได้อีกวัน แม้จะรู้สึกหวิว ๆ โหวงเหวง ๆ ไปบ้างที่ไม่ได้คุยไม่ได้เจอหน้าพี่ศิเลยแต่ไอความรู้สึกไม่พอใจนี่มันมีมากกว่าครับ ผมเลยเลือกที่จะหลบหน้าแทน





ผมเดินไปพร้อมกับพวกไอบาสไอเจมส์ที่ช่วยกันถีบรถสามล้อลูกรักของไอฟองไปที่ซุ้มของคณะวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งรุ่นพี่ทุกคนก็ตั้งหน้าตั้งแต่ประกอบฉากกันครับ โดยผู้สั่งการก็เป็นเจ้จ้ำหวานเจ้าประจำคนเดิมครับผม


เจ้น้ำหวานแกยืนบนเก้าอี้พร้อมกับถือโทรโข่งสีชมพูสดใสไฉไลครับ “เฮ้ย ตรงนั้นมรึงตอกตะปูดี ๆ สิวะ เฮ้ย ไอเป้” เจ้น้ำหวานสั่งเพื่อนของเขาครับด้วยเสียงทุ่มที่บ่งบอกความเป็นชายของตัวเธอครับ หลังจากที่เจ้น้ำหวานแกหันไปสั่งเพื่อนแกแล้ว แกก็หันกลับไปบ่นใส่เฮียบุญเกิดที่ตอนนี้เริ่มหันไปหลีสาวคณะวิทยาศาสตร์ที่ตั้งบูทอยู่ฝั่งตรงข้ามครับ “ไอบุญเกิด มรึงอยากเกิดใหม่สมชื่อมรึงไหมคะ ถ้ามรึงไม่อยากก็เลิกหลีสาวแล้วหันมาช่วยทำงานซะนะคะ ไอน้องรหัส” เจ้แกตะคอกใส่ลุงรหัสผมเสียงดังด้วยน้ำเสียงสุดมาดแมนของแกนั่นแหละ เสียงของเจ้น้ำหวานนั้นทำเอาเฮียบุญเกิดแกสะดุ้งและรีบวิ่งกลับมาช่วยตอกตะปูประกอบฉากแทบไม่ทัน (เจ้น้ำหวานเป็นว้ากเกอร์เก่าครับเสียงของแกนี่แปดหลอดและแมนมากทุกวันที่แกพูดคะขานี่ใช้การดันเสียงทั้งนั้น  แต่ถ้าเวลาจริงจังอย่างสั่งงานเจ้แกจะเอาเสียงเกาของแกมาใช้นั่นแหละครับ)


ส่วนพวกผมที่เพิ่งเดินเข็ญรถสามล้อ (ลูกรักของไอฟอง) ไปถึงที่ซุ้มพวกเราก็จัดการเอาถังไอติมปั่นตั้งในรถและเริ่มโทรตามหน่วยที่ขับรถไปซื้อวัตถุดิบครับ (ซึ่งในกลุ่มนั้นก็มีขาประจำเจ้าเดิมคือพรีม ตามด้วยไอแมทซ์ ไอวิว ไอเปอร์ และเพื่อน ๆ ที่ผมไม่ค่อยสนิทอีกสัก สามสี่คนครับ) โดยพวกซื้อวัตถุดิบแยกกันเป็นสองกลุ่มกลุ่มแรกไปซื้อพวกน้ำอัดลมกับไม้ไอติม ส่วนอีกกลุ่มคือไปซื้อน้ำแข็งและเกลือครับ (คงสงสัยหละสิครับว่าเกลือเอาไว้ทำอะไร เกลือนั้นเอาไว้ช่วยทำให้น้ำแข็งละลายช้าครับ นี่จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ไอติมปั่นพวกนี้มีรสชาติเค็มเพราะมีเกลือที่บังเอิญร่วงลงไปในกระบอกไอติมครับ) และตอนนี้ผมต่อสายตรงไปหาสาวพรีมที่ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมในการไปซื้อน้ำอัดลมครับ


 ผมยืนถือสายรออยู่เพียงครู่เดียวเสียงใส ๆ ของพรีมก็ตอบกลับมา “ไงกร ตอนนี้พรีมเพิ่งได้คิวจ่ายเงินนะ อีกสักพักก็น่าจะเสร็จถ้าเสร็จแล้วล่ะ กรรอแปปนึงนะ ถ้าเสร็จพรีมรีบบึ่งรถกลับไปเลยจ้า เออแต่กรตอนนี้กี่โมงแล้วอ่ะ” ไอผมนี่แทบจะกุมขมับกับความเอื่อยเฉื่อยของพรีมครับ พรีมเป็นสาวฮ้าวแมน ๆ ก็จริงแต่ความเอื่อยเฉื่อยและเรื่อย ๆ ของเธอที่ทำเอาผมปวดขมับมาหลายรอบแล้ว “ตอนนี้จะสามโมงแล้วพรีม ถ้าไม่รีบมาไอติมลอตแรกจะเสร็จไม่ทันขายตอน 4 โมงนะ” ต่อให้พูดไปแบบนั้นแต่น้ำแข็งก็ยังไม่มาครับผมกดตัดสายพรีมพร้อมกับกดเบอร์โทรหาไอวิวผู้ที่เป็นแกนนำในการไปช็อปปิ้งน้ำแข็ง และรายนี้ก็รับโทรศัพท์ไวพอ ๆ กับพรีมครับ


“ไอกรมีไรวะ” เพียงแต่ว่าไอวิวทักได้สั้นง่ายได้ใจความมากกว่าพรีมเยอะเลยครับ


“ถึงไหนแล้ววะนี่จะสามโมงแล้ว” ในเมื่อไอวิวทักผมมาด้วยถ้อยคำที่สั้นง่ายและได้ใจความ ผมก็เลยตอบมันกลับไปด้วยถ้อยคำสั้น ๆ เช่นเดียวกัน


“เออ จะถึงมหาลัยแล้วแปปนึง” พูดจบมันก็ตัดสายทันทีครับและไม่นานเกินรอไอวิวมันก็มาถึงครับแต่มันขับรถเข้ามาที่ซุ้มไม่ได้ มันก็เลยโทรหาพวกผมให้พวกผมไปรับมันเพราะว่าน้ำแข็งที่ไอวิวไปเอามานี่เต็มกระบะหลังเลยครับ (คราวนี้เจากรถเก๋งสุดหรูเปลี่ยนไปใช้รถกระบะบ้านไอวิวไปรับครับ พอดีพวกผมบังคับให้มันขับรถกระบะมา) โดยน้ำแข็งนี้ใช้เอาไว้ใช้ใส่ในถังไอติมแล้ว นำแข็งนี้ก็จะถูกใส่ลงไปในถังน้ำของหนุ่มน้อยตกน้ำทุก ๆ ถังด้วย


ผมถึงได้บอกไงว่าผมไม่มีทางขึ้นไปนั่งบนถังพวกนั้นเด็ดขาด! ขืนตกลงไปไม่ใช่แค่เปียกอย่างเดียวไข้หวัดน่าจะถามหาด้วยและถ้าไข้หวัดถามหา ผมก็ต้องไปโรงพยาบาลแล้วก็เจอพี่ศิน่ะสิครับ เรื่องนั้นผมไม่มีทางยอมเด็ดขาดเลย




ผมกับเพื่อน ๆ ปี 1 ค่อย ๆ ทยอยกันไปเดินไปยังลานจอดรถครับ ซึ่งไอวิวและเพื่อน ๆ อีกสองสามคนก็ยืนกอดอกทำเท่ห์กันอยู่
“…แทนที่พวกมรึงจะกอดอกทำเท่ห์มรึงช่วยทยอยเอาน้ำแข็งลงจากรถดีกว่าไหม” ผมเดินเข้าไปตบหัวไอวิวพร้อมกับเดินเลยไปยังท้ายรถและค่อย ๆ ขนน้ำแข็งลงจากรถทีละถุง ไอวิวก็ได้แต่คลำหัวตัวเองแต่ก็ยอมเดินมาช่วยพวกผมแบกของเข้าซุ้มครับ และด้วยจำนวนคนที่ล้นเหลือ (คือปี 1 สั่งครึ่งภาค) การขนน้ำแข็งไปใส่ถังน้ำแข็งส่วนกลาง (ถังน้ำแข็งส่วนกลางคือถังใส่น้ำแข็งสีน้ำเงิน ๆ ครับแบบตามร้านอาหารจะมีแล้วนี่ก็เป็นถังขนาดใหญ่เอาเรื่องเลยครับเจ้น้ำหวานแกสั่งมากะให้หนุ่มน้อยตกน้ำนี่หนาวตายชัวร์)


เมื่อภารกิจเสร็จสิ้นเราก็เบนความสนใจมาที่ถังไอติมครับเพราะด้วยเหตุที่น้ำอัดลมยังไม่มาพวกเราก็ได้แต่เตรียมการเอาน้ำแข็งใส่ถังไอติมครับ


ผมกับไอเจมส์ผู้ที่เป็นประธานและรองประทานชั้นปีตอนนี้เริ่มหงุดหงิดเต็มทนแล้วครับ แต่ไม่นานในที่สุดสิ่งที่พวกผมรอคอยกันก็มาถึงครับ สาวพรีมกับเพื่อนอีกสามสี่คนเดินหิ้วถุงน้ำอัดลมเข้ามายังซุ้มครับ (ขอบอกเลยสาวพรีมเธอแบกน้ำอัดลมมาหลายถุงมาก บางทีเธออาจจะแบกมากกว่าไอแมทซ์กับไอเปอร์อีกครับ ผมบอกแล้วว่าเธอเป็นสาวถึกของจริง)


“ขอโทษนะกร…พอดีพรีมเดินเลือกของเพลินไปหน่อยน่ะ” เมื่อพรีมวางถุงขวดน้ำอัดลมเธอก็เดินดุ่ม ๆ เข้ามายกมือไหว้ของโทษผมกับไอเจมส์ครับ เธอคงรู้ตัวว่าเธอทำให้พวกผมหงุดหงิดเพราะกลัวว่ามันจะเตรียมการไม่ทันแต่ตอนนี้เธอมาแล้วนอกจากนี้ไม่มีเวลามาไม่พอใจแล้วครับ พวกเราชั้นปีหนึ่งทุกคนช่วยกันกรอกน้ำอัดลมใส่กระบอกไอติมและเริ่มกันการทำไอติมปั่นทันที


ผมกอดอกมองเพื่อนแต่ละคนที่เริ่มสนุกกับการปั่นไอติมแล้วครับ ท่าทางคนที่อยากรับหน้าที่ปั่นถังไอติมนี่อาจจะมีมากกว่าหนึ่งคนซะแล้วครับ ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกไม่มีคนอยากจะรับหน้าที่นี้เลยแท้ ๆ ตอนนี้รู้สึกว่าต่างคนต่างแย่งกันปั่นแล้วครับ หัวมองภาพที่เพื่อน ๆ แก่งแย่งกันพร้อมกับหัวเราะออกมาเบา ๆ


ตอนนี้เป็นเวลาใกล้จะ 4 โมงเย็นแล้วครับมันได้เวลาเริ่มงานแล้วแต่คนยังมากันไม่เยอะพวกเราก็เลยยังคงจอดรถสามล้อไว้ที่หน้าซุ้มของคณะพวกเรา ผมไล่พวกเพื่อน ๆ ให้ไปทำหน้าที่ต่าง ๆ ที่ค้างคาอยู่ ส่วนผมตอนนี้ผมปีนขึ้นไปนั่งที่รถสามล้อแล้วครับพร้อมกันทำตัวเป็นโมษก ค่อยเรียกลูกค้าครับ (ผมคิดว่าถ้าเกินเพื่อนเริ่มขี่รถสามล้อไปผมก็จะนั่งมันบนนี้แล้วพูดขายของให้ครับ เป็นการหนีงานการเป็นหนุ่มน้อยตกน้ำที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ ครับ ไม่หล่อและฉลาดนี่คิดไม่ได้นะครับแบบนี้)


พวกเรานั่งรอเวลาครับตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสี่โมงครึ่งเกือบ ๆ จะห้าโมงเย็นแล้วครับนิสิตก็เริ่มทยอยกันมาซ้ำยังมีเด็กนักเรียนโรงเรียนข้างเคียงมาเดินแล้วครับ เอาหละทีนี้รถขายไอติมปั่นก็เตรียมตัวออกเดินทางแล้วครับ!


ผมปีนขึ้นไปนั่งข้าง ๆ ถังไอติมพร้อมกับสาวพรีมที่นั่งอีกฝั่งหนึ่งกับผมส่วนคนขับคือไอฟองครับ (มันบอกว่าลูกรักมันคนขับต้องเป็นมันครับ) ตามด้วยไอวิวซ้อนท้ายจักรยานคราวนี้หละการเดินทาง (รอบงานลอยกระทง) ได้เริ่มต้นแล้วครับ “ลุยเลยไอฟอง” ผมชี้นิ้วไปข้างหน้าพร้อมกับรถสามล้อที่ค่อย ๆ เคลื่อนตัวไป


ซุ้มแรกที่เราผ่านนั่นก็คือซุ้มของคณะวิทยาศาสตร์ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามครับ ซุ้มนี้ผมของบอกว่าเด็ดมากเพราะสาว ๆ เยอะเลยครับ คณะนี้ถือว่าเป็นคณะที่มีประชากรหญิงมากกว่าประชากรชายครับ ดังนั้นคนที่เฝ้าซุ้มก็จะมีแต่พวกสาว ๆ ครับ คณะนี้ดีนะครับเขาแยกกิจกรรมเป็นตามภาควิชามันเลยมีความหลากหลายของซุ้มดี (ไม่เหมือนซุ้มของคณะผมเราทำงานร่วมกันทั้งคณะครับ แต่ส่วนใหญ่ก็ทำตามแกนนำครับ อย่าคุณเจ้อยู่ภาคไฟฟ้าคนทำงานก็จะเป็นภาคไฟฟ้าครับแต่ว่ามีเฮียบุญเกิด กับเฮียก็อตที่อยู่ภาคโยธากันพวกเฮีย ๆ โดนเจ้น้ำหวานเรียกตัวมาเพื่อน ๆ ของเฮีย ๆ ก็ตามมาช่วยกันครับ ผมบอกขอบอกเลยว่าวิศวะนี่เรารักกันดีครับเพราะในช่วยเทอมแรกเราจะเรียนรวมกันหมดและจะแยกภาคกันในเทอมสองผมให้พวกคุณเดากันนะครับว่าผมกับเพื่อน ๆ เลือกภาคอะไรกัน  เอางี้ เดาแค่ผมดีกว่าเพื่อน ๆ แต่ละคนก็เลือกตามสายที่ตัวเองถนัดครับ ไอเจมส์กับไอบาสแล้วก็พรีมเลือกภาคเดียวกันกับผม) ผมเห็นมียิงเป้าผมนี่อยากจะกระโดดลงไปยิงเพื่อเอาตุ๊กตาแต่ว่าผมโดนสายตาทิ่มแทงของพรีมที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็เลยได้แต่นั่งเจียมและปั่นถังไอติมไปพร้อมกับส่งรอยยิ้มเรียกลูกค้าครับ (อย่างน้อยผมก็อยากสนุกสนานมั่งนี่ พรีมใจร้ายไม่ยอมให้ผมลงไปเล่นอะไรเลย)


“มาแล้วครับ ไอติมปั่นคลายร้อนแม้แต่ตอนนี้จะเข้าใกล้หน้าหนาวแต่ประเทศไทยที่มีสามฤดู ร้อนโคตร ร้อนมาก แล้วก็ร้อน เราเลยขอนำเสนอไอติมสูตรพื้นบ้านครับไอติมปั่น” ผมเอามือป้องปากพร้อมกับตะโกนเรียกลูกค้าเป้าหมายแรกก็ที่บูทคณะวิทยาศาสตร์นี่แหละครับ


ผมขยิบตาให้สาว ๆ แต่ละคนพร้อมกับโปรยยิ้มให้ ผมไม่อยากจะโม้นะครับว่ารอยยิ้มของผมนี่สาว ๆ เขากรีสกันน่าดูเลยครับ ผมไม่เคยบอกใช่ไหมหละว่าผมเป็นลีดเก่าของคณะ (ที่เจ้น้ำหวานใช้อำนาจมืดบังคับให้ผมเป็น) ดังนั้นชื่อเสียงของผมไม่ได้ดังเพราะความเกรียนอย่างเดียวมันดังในฐานะหนุ่มน้อยน่ารักสุดแบ๊ว (อันนี้เป็นฉายาตอนแรกที่ทุกคนเขาให้ผมกันก่อนที่ทุกคนจะรู้ถึงความเกรียนของผมครับ) และลีดคณะด้วยครับ แต่ด้วยเหตุที่ผมเกรียนมากขนาดหนักฉายาผมเลยเปลี่ยนไปครับ กลายเป็นไอคุณน้องกรจนถึงทุกวันนี้


“คุณผู้หญิงสุดสวยครับสนใจไอติมปั่นสูตรไหมครับ ปั่นด้วยรักทำด้วยใจเลยนะครับเนี่ย” ผมพูดเกี้ยวรุ่นพี่คณะวิทยาศาสตร์ที่เดินผ่านรถสามล้อของพวกผมไป เสียงพูดของผมนี่ทำให้พวกพี่สาวบิดตัวไปมาและอายม้วนครับผมพูดเยินยอพวกเธออีกสักหน่อยในที่สุด พี่สาวกลุ่มนั้นก็ยอมซื้อไอติมปั่นของพวกผมคนละไม้สองไม้ครับ


ผมหันไปยกนิ้วให้พรีมและหันไปยักคิ้วให้ไอฟองกับไอวิวที่กำลังปั่นรถสามล้อกันอยู่ ซึ่งทั้งสามคนก็หันมาส่งยิ้มและยกนิ้วตอบกลับใส่ผมครับ


ผมสั่งให้ไอฟองปั่นรถสามล้อต่อไปอีกนิด (แต่ก็ยังอยู่ในซุ้มคณะวิทยาศาสตร์นะครับ) เราก็เจอกลุ่มรุ่นพี่ผู้ชายและคราวนี้ก็เป็นหน้าที่ของพรีมแล้วครับ ผมหันไปส่งซิกให้พรีมซึ่งพรีมเธอก็รับรู้แล้วครับว่าคราวนี้คือหน้าที่ของเธอ พรีมเธอปรับสีหน้าเป็นสาวอ่อนหวานก่อนจะกระโดดลงจากรถและเดินตรงไปยังกลุ่มรุ่ยพี่คณะวิทยาศาสตร์กลุ่มนั้น “เออ…รุ่นพี่ค่ะ” พรีมพูดเสียงแผ่วพร้อมกับสะกิดแขนเสื้อรุ่นพี่ผู้ชายกลุ่มนั้นคนหนึ่ง รุ่นพี่ทั้งกลุ่มนั้นหันมามองพรีมกันเป็นตาเดียว ซึ่งพรีมก็เริ่มเก๊กทำสีหน้าเขินอายแล้วค่อย ๆ พูดเชิญชวนให้รุ่นพี่พวกนั้นมาซื้อไอติมของพวกเราครับ “รุ่นพี่ค่ะ รุ่นพี่ช่วยหนูซื้อไอติมปั่นของหนูหน่อยได้ไหมคะ หนูเดินผ่านมาหลายกลุ่มแล้วไม่มีใครช่วยหนูซื้อเลยถ้าเกิดขายไม่หมดหนูโดนรุ่นพี่ที่คณะว่าแน่ ๆ เลยค่ะ”


พรีมพูดเสียงอ้อนพร้อมกับเริ่มทำหน้าตาเหมือนจะร้องไห้ครับ ท่าทางแบบนั้นของพรีมทำเอารุ่นพี่คณะวิทยาศาสตร์ทั้งกลุ่มรีบวิ่งมาที่รถสามล้อของพวกเราและพร้อมใจกับช่วยกันซื้อไอติมปั่นกันคนละหลาย ๆ ไม้เลยครับ คราวนี้พรีมได้ความดีความชอบไปยกใหญ่เลยครับทำเอาไอติมแทบจะหมดถังเลยครับ ซึ่งพวกเราทั้งสองคน (ผมกับพรีมที่นั่งยู่บนรถสามล้อ) ก็ต้องช่วยกันเติมและปั่นไอติมกันยกใหญ่ ผมจอดรถอยู่บริเวณหน้าซุ้มคณะวิทยาศาสตร์กันเป็นเวลานานมากลูกค้าก็มาซื้อเรื่อย ๆ ครับ ทำเอาไอติมของพวกเรานี่แข็งกันไม่ทันเลยครับมันน่าจะเป็นของแปลกสำหรับคนอยู่ในตัวเมืองอย่างพวกเราหรือบางคนก็ซื้อด้วยความคิดถึงครับเพราะว่าเหมือนเป็นเด็กต่างจังหวัดแล้วรถเข็ญพวกนี้จะเข็นผ่านหน้าบ้านอะไรทำนองนั้นครับ (ผมคิดว่าในกรุงเทพนี่มันออกจะหาทานยากนะครับไอไอติมแบบนี้ ส่วนมากที่ผมเห็น ๆ ก็จะมีขายตามสวนจตุจักรหรือตามสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชาวต่างชาติกันเยอะ ๆ ครับ ไม่ก็ต่างจังหวัดหรือปริมณฑลกันไปเลย)


หลังจากพวกเราขายของกันมือเป็นระวิงตอนนี้วัตถุดิบก็หมดเกลี้ยงเลยครับผมเลยส่งไอวิววิ่งกลับไปเอาน้ำอัดลมพร้อมน้ำแข็งที่ซุ้มคณะครับพวกผมทั้งสามคนนั่งเตะเท้ารอบนรถสามล้อในที่สุดไอวิวก็กลับมาพร้อมกับผู้ชายขายอีกหนึ่งคนนั่นก็คือไอบาสครับ
ผมปลายตามองไอบาสด้วยสายตาฉงนซึ่งท่าทีของมันกระหืดกระหอบมากเลยครับจนผมอดไม่ได้ที่จะถามมันไป “ไปหนีอะไรมาวะไอบาส” สิ้นเสียงคำพูดผมไอบาสก็ตวัดนิ้วชี้มาที่หน้าของผมแล้วกรีสร้องออกมาเสียงดังว่า


“เพราะมรึงไอกร ไม่ยอมอยู่ที่บูท หน้าที่ของมรึงคือนั่งบนถังน้ำแต่มรึง! หนีมาขายไอติมกรูเลยเกือบจะซวยแทนมรึงไงครับไอเชี่ยกร ไม่งั้นกรูไม่วิ่งหนีมาช่วยขายไอติมแบบนี้หรอก” ไอบาสพูดเสียงหอบพร้อมกับกระโดดขึ้นมานั่งบนรถสามล้อข้าง ๆ ผม ไอผมนี่หัวเราะเสียตัวงอแต่ผมก็ไม่สำนึกผิดหรอกนะที่ทำให้เพื่อนมาซวยแทนแบบนี้ผมยืนยันนอนยันแล้วว่าจะไม่นั่งแต่เจ้น้ำหวานแกไม่ยอมผมก็เลยหนีมาดื้อ ๆ แบบนี้เลยครับ


“งั้นเหรอ…งั้นกรูไว้อาลัยคนที่จะซวยแทนกรูคนต่อไปก็แล้วกันยังไงกรูก็ยืนยันคำเดิมว่ากรูไม่ยอมนั่งบนถังน้ำเวรนั่น เด็ดขาดน้ำในถังแม่มเหมือนจะฆ่ากรูให้ตายให้ได้มรึงคิดดูเจ้น้ำหวานแกเอาน้ำแข็งเทใส่ถังไปกี่กระป๋อง นี่ถ้ากรูตกลงไปในนั้นนะกรูตายห่าแน่นอน” ผมบ่นพึมพำพร้อมกับขยับตัวให้ไอบาสนั่งบนรถสามล้อได้ถนัด


“กรูก็เข้าใจมรึงอยู่หรอก แต่พรุ่งนี้ไม่ก็มะรืนนี้มรึงไม่รอดแน่เพราะวันสุดท้ายของลอยกระทงพี่ศิอยู่เวรไม่มีใครคุ้มกะลาหัวมรึงได้แล้วครับ” ไอบาสพูดถึงพี่ศิผมก็ขมวดคิ้วจนแทบจะเป็นปม ไอเราก็ว่าเราสนุกสนานจนลืมเรื่องของพี่ศิไปแล้วไอบาสยังกลับขุดขึ้นมาให้ผมหงุดหงิดใจอีก




v
v
v
v
v
v
v
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 20] 06/11/2013 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 06-11-2013 18:19:30

 “มาเบ้หน้าอะไรใส่กรูอีกล่ะมรึง ทะเลาะกับพี่เขามาอีกหละสิทำหน้าแบบนี้ทีไรแม่มต้องทะเลาะกันทุกที” ไอบาสพูดพร้อมกับผลักหัวของผมเบา ๆ ซึ่งในตอนนี้ผมก็ยังเบ้หน้าไม่พอใจในสิ่งที่มันพูดอยู่เหมือนเดิมครับผมจ้องหน้ามันสักพักก่อนจะสะบัดหน้าหันหนีไปอีกทาง


ซึ่งการกระทำของผมนี่ทำให้ไอบาสนี่ถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย แต่มันก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาต่อ (เพราะมันรู้ดีครับว่าผมดื้อมากพูดยังไงผมก็ไม่ฟังมันหรอก คือว่าถ้าใครอยากจะเคลียร์กับผม ต้องมามัดมือชกผมบังคับให้ผมไปคุยครับแบบนั้นผมถึงจะยอม)


พวกผมนั่งให้ไอฟองขับลูกรักของมันไปสักพักในที่สุดไอฟองมันก็ล้าครับ (รถสามล้อนี่เป็นเวอร์ชั่นจักรยานแล้วคิดดูว่าคนนั่ง 4 คนถังไอติมอีกหนึ่งพร้อมกับจิปาถะ) ไอฟองแม้จะรักลูกสุดที่รักมันขนาดไหนมันก็มีวันเหนื่อยครับดังนั้นหน้าที่ขี่ต่อไปก็คือไอวิวผู้ซึ่งเป็นนักกีฬาครับ และเมื่อมันถีบมันก็บ่นไปตลอดทางเลยครับว่า ‘ปั่นยากเชี่ย ไอฟองมรึงทนปั่นมานานได้ไงวะ ไอกรไอบาสมรึงลงจากรถแล้วลงไปเดินเลย’ มันบ่นแบบนี้ตลอดทางจนผมกับไอบาสรู้สึกรำคาญและในที่สุดผมกับไอบาสก็ยอมลงไปเดินครับ แต่ก่อนที่เราจะลงไปเดินผมกับไอบาสก็ได้ทำการตกลงว่า ‘ถ้าลงไปเดิน มรึงกับกรูเดินหายเข้ากลีบเมฆไปเลยนะเว้ย ปล่อยให้ไอวิวไอฟองแล้วพรีมขายของกัน โอเคป่ะ’ ซึ่งข้อตกลงนี้ไอบาสมันโอเคครับ


ผมกับไอบาสกระโดดลงจากรถพร้อมกับเดินดุ่ม ๆ หนีออกไปจากรถสามล้อทันทีครับ ซึ่งสิ่งที่ผมกับไอบาสตกลงกันนี่ทำให้ไอวิวร้องเรียกพวกผมเสียงหลงเลยครับ แล้วพวกคุณคิดเหรอครับว่าผมจะฟังมันเหรอ ขอตอบเลยว่าไม่ฟังครับพวกผมทั้งสองคนเดินหายเข้าไปในกลุ่มคนและแยกย้ายกันไปเดินเที่ยวงาน (ดีนะที่ผมหิ้วเอาของจากซุ้มคณะติดไม้ติดมือมาด้วยจะได้โดดกลับคอนโดได้เลย วันนี้ผมเอารถมาครับจริง ๆ ผมเอารถมาตลอดหลังจากวันนั้นแหละครับ)


ตอนนี้ผมเดินเข้ามาที่ซุ้มของคณะบัญชีแล้วครับ ซึ่งคณะบัญชีก็มีกิจกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ และมีการขายข้าวโพดคลุกเนยครับ ผมก็ลองซื้อมาทานถ้วยหนึ่งตักเข้าไปคำแรกก็อร่อยอยู่นะครับว่าทานนาน ๆ ไปแล้วผมรู้สึกเลี่ยนนิดหน่อยครับ ดูเหมือนว่าสาว ๆ คณะบัญชีนี่จะใส่นมกับน้ำตาลมากเกินไปหน่อยนะครับเลยทำให้ทานมาก ๆ ไม่ไหวครับ พอผมทานไปได้ครึ่งถ้วยผมก็ต้องนำมันลงถังขยะครับ จะว่าผมสิ้นเปลืองก็ได้นะครับแต่ผมขอบอกว่าผมเลี่ยนจนทานไม่ไหวจริง ๆ (ความจริงผมไม่ได้ทานข้าวกลางวันรวมไปถึงข้าวเย็นด้วยครับ


เพราะแบบนั้นจึงทำให้ตอนนี้ผมเกิดอาการพะอืดพะอมสุด ๆ เลยครับ สงสัยต้องไปซื้อพวกนมสดหรืออะไรรองท้องก่อนแล้วหาข้าวทานแล้วมั้งครับแบบนี้


ผมเดินต่อไปเรื่อย ๆ ซุ้มถัดไปเป็นซุ้มของบุคคลภายนอกครับและผมก็หันไปมองเห็นร้านขายนมสดที่ตั้งอยู่ผมเลยวิ่งปรี่เข้าไปที่ร้านนั้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับสั่งนมสดแก้วใหญ่เลยครับ


ผมเคาะนิ้วยืนรอนมสดอยู่สักครู่นมสดแก้วใหญ่ก็ถูกยื่นมาให้พร้อม ๆ กับคน ๆ หนึ่งที่ในตอนนี้ผมไม่อยากเจอเขามากที่สุดเดินเข้ามาต่อแถวด้านหลังผมครับ (ผมจำเสียงพี่เขาได้ครับและผมก็เชื่อว่าพี่ศิเขาก็จำแผ่นหลังของผมได้เช่นกันพี่แกเลยมาต่อแถวด้านหลังผมแบบนี้) พี่ศิมาต่อหลังผมแบบนี้ทำเอาผมไม่กล้าหันหน้าไปทางไหนเลยครับเพราะผมสัมผัสได้ถึงออร่าอันแสนน่ากลัวที่แผ่พุ่งมาจากทานด้านหลัง ‘พี่ศิตอนนี้เป็นระเบิดเวลาเดินได้ตามคำพูดของพี่วิและพี่เตอร์จริง ๆ’


เวลาไปนาทีนึงก็แล้วผมก็ยังไม่ยอมขยับตัว สองนาทีก็แล้วผมก็ยังไม่ยอมขยับตัวในที่สุดคุณแม่ค้าก็ต้องออกปากเชิญให้ผมออกจากหน้าร้านของเขาครับ ซึ่งคำเชิญนี้ทำให้ผมต้องหันไปเจอหน้ากับพี่ศิที่ตอนนี้โคตรน่ากลัวเลยครับ ผมยิ้มแห้ง ๆ ใส่พี่ศิก่อนจะใส่เกียร์หมาวิ่งหนีไป แต่ผมก็ไม่ได้วิ่งหนีความใจคิดหรอกครับมือข้างที่ผมไม่ได้ถือแก้วน้ำก็ถูกจับกุมด้วยมือของพี่ศิพร้อมกับรอยยิ้มเย็นเยือกที่บอกอารมณ์ไม่ได้


“ไม่ได้เจอหน้ากันหลายวันเลยนะครับกร” เสียงเรียบนิ่งกับรอยยิ้มเหี้ยม ๆ นี่ทำเอาผมสยิวสันหลัง ซึ่งคำตอบของคำถามนี้ผมก็ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ตอบพี่ศิเขา


“แล้วนี่ก็ทำท่าจะหนีพี่อีกแล้วสินะครับ สงสัยถ้าพี่ไม่ยอมมาเดินงานลอยกระทงตามคำชวนของวิกับเต๋อร์มันพี่คงไม่ได้เจอกรสินะครับ” ยิ่งพี่ศิพูดเสียงยิ่งน่ากลัวบางทีผมอาจจะรับรู้อีกมุมหนึ่งของพี่ศิแล้วครับ ว่าพี่แกไม่ชอบให้คนหลบหน้ามากที่สุดและไม่ชอบเรื่องที่ไร้เหตุผลแบบที่ผมทำอยู่ (คือมันมีเหตุผลสำหรับผมนะครับแต่มันดูไร้เหตุผลสำหรับพี่ศิครับ)


“แหมะ....แหม พี่ศิที่ไม่ได้เจอหน้าเพราะช่วงนี้กรยุ้ง ยุ่งก็เลยไม่ค่อยได้เจอหน้าพี่ศิไง” ผมพยายามสรรหาคำตอบตอบพี่ศิไปครับ ซึ่งมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรผมเลยสักนิดเดียว


“แล้วนี่หายยุ่งแล้วเหรอครับกรพี่ถึงเจอตัวเราได้เนี่ย” สิ้นเสียงของพี่ศิผมก็ส่ายหัวไปมาอย่างรุนแรงและเอ่ยปากขอตัวไปช่วยงานเพื่อนต่อ แต่ดูเหมือนพี่ศิจะไม่ปล่อยให้ผมทำอย่างที่ผมหวังได้พี่ศิหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาพร้อมกับกดไล่หาเบอร์ของเจ้น้ำหวานและกดโทรออกไป


“ไอวินกรูขอตัวกรไปก่อนงานอะไรให้คนอื่นทำตอนนี้ กรูมีเรื่องคุยกับน้องเค้า” สั้นง่ายได้ใจความพร้อมกับกดตัดสายทิ้งอย่างรวดเร็ว อารมณ์แบบพี่ศิแกจะไม่ให้เจ้น้ำหวานแกเอ่ยทักท้วงอะไรครับ


หลังจากกดตัดสายสายตาเย็นเฉียบของพี่ศิก็หันมามองที่ผมพร้อมกับลากผมออกจากงานลอยกระทงทันทีครับ ส่วนพี่วิกับพี่เตอร์ที่ยืนเป็นแบคกราวอยู่ด้านหลังของพี่ศิก็ได้แต่โบกมือ โบกทิชชู่ลาผมและพูดอวยพรให้ผมโชคดี ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่พร้อมกับมองไปที่ใบหน้าของพี่ศิที่ขมวดคิ้วจนแทบจะเป็นปม


‘ท่าทางวันนี้ผมคงหนีไม่ได้อีกแน่นอนเลยครับ รถก็จอดอยู่ที่คณะงานนี้ใช้แรงเฮือกสุดท้ายสะบัดมือแล้วหนีขึ้นรถก็ไม่ได้ วันนี้ต้องทำใจครับรณกรวันนี้นายไม่รอดแน่’ เมื่อคิดเช่นนั้นผมก็ได้แต่จำใจสาวเท้าเดินตามพี่ศิไปติด ๆ และแน่นอนก่อนที่จะไปยังลานจอดรถมันต้องผ่านซุ้มคณะของผม ผมจึงตะโกนเรียกไอเจมส์พร้อมกับโยนกุญแจรถของผมไปให้มัน (ไอเจมส์มันคุมด้านนอกอยู่ครับผมเลยให้มันช่วยขับรถของผมกลับคอนโดได้) ซึ่งมันก็ทำหน้างงเล็กน้อยแต่พอเห็นว่าผมกำลังโดนพี่ศิลาก อยู่มันก็ทำหน้าเข้าใจทันทีพร้อมกับเก็บกุญแจรถของผมใส่เข้ากระเป๋า


ผมตัวปลิวตามแรงดึงของพี้ ผู้คนรอบข้างค่อย ๆ น้อยลงจนในที่สุดผมก็มานั่งยิ้มแห้ง ๆ ในรถของพี่ศิครับ คราวนี้พี่ศิขับรถได้หวาดเสียวที่สุดในชีวิต พี่แกเหยียบเกือบ 140 ณ ถนนใจกลางกรุงเทพครับและการเหยียบขนาดนั้นทำให้ผมถึงคอนโดภายใน 5 นาทีจากปกติต้องใช้เวลาราวๆ 15 - 20 นาทีครับ (ตอนนั้นขับแบบเอื้อยเฉื่อยแล้วรถเยอะครับ คราวนี้รถน้อยเพราะมืดแล้วเกือบ ๆ 4 ทุ่มแล้วครับถนนเลยโล่งโจ้งเลย) และหลังจากที่ผมถึงคอนโด พี่ศิก็ลากผมไปยังห้องของเขาพร้อมกับโยนผมเข้าไปภายในห้อง


“แหม...พี่ศิมีอะไรจะคุยกับกรเหรอครับ” ผมพูดพร้อมยิ้มแห้ง ๆ ใส่พี่ศิ


“มีอะไรจะอธิบายไหมเมื่อสี่วันกรที่กรดูเหมือนไม่พอใจพี่ แล้วหลังจากวันนั้นก็หลบหน้าพี่เลย” พี่ศิจับให้ผมนั่งที่โซฟาครับส่วนพี่เขายืนอยู่ตรงหน้าผม


“ไม่มีนี่พี่ศิ กรบอกแล้วไงว่ากรไม่มี้ ไม่มีอะไรเลย” ผมยังคงยืนกรานปฏิเสธ ซึ่งพี่ศิก็ยังไม่เชื่ออยู่ดีครับแต่มันก็สมควรจะไม่เชื่ออยู่หรอกเพราะว่าท่าทางของผมมันโคตรตั้งใจหลบหน้าพี่ศิแบบจริงจังเลยนี่ครับ


“กรครับ พูดแบบนี้กี่รอบพี่ก็ไม่เชื่อหรอกครับบอกมาเถอะโกรธอะไรพี่” พี่ศิยังคงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่แววตานี่ของบอกเลยว่าดุแบบสุด ๆ ในสายตานั้นสื่ออารมณ์ออกมาแบบ ‘ถ้ากรไม่บอกคืนนี้ไม่ต้องนอน’ อะไรแบบนั้นเลยแหละครับ ไอผมกลัวก็กลัวนะ แต่ถ้าจะให้พูดเรื่องหน้าอายแบบนั้นมันก็ใช่ทีอยู่


“ไม่มีจริง ๆ นะ พี่ศิ เชื่อน้องกรคนนี้เถอะนะ” ผมเริ่มใช้น้ำเสียงออดอ้อน แต่รู้สึกว่าไอน้ำเสียงอ้อนของผมคราวนี้ท่าทางจะใช้ไม่ได้ผลแล้วครับ เพราะตอนนี้พี่ศิแกนอกจากจะพูดเค้นคอให้ผมตอมตอนนี้เริ่มแขยิบเข้ามาใกล้ผมพร้อมกับเริ่มใช้คำพูดหรือน้ำเสียงที่แสดงให้รู้ว่าพี่ศิเขาไม่พอใจแล้วครับ


“กร…พี่ไม่ชอบคนโกหก เลิกโกหกพี่แล้วบอกความจริงมาสักทีสิครับ” แม้คำพูดมันจะฟังดูสุภาพแต่น้ำเสียงนี่ไปแล้วครับ ว่าที่คุณหมอศิรวิทย์นี่อารมณ์เสียแบบสุด ๆ แล้ว ร่างสูงทรุดลงตรงหน้าผมพร้อมกับเคลื่อนหน้าของตนเข้ามาใกล้ คราวนี้ลมหายใจของผมปะทะกับใบหน้าของพี่ศิแล้วครับผมเล่นจ้องตากับพี่ศิอยู่สักพัก ในที่สุดผมก็ขอยอมแพ้และค่อย ๆ พูดสารภาพออกไป


“กรพูดแล้ว! เอาหน้าไปไกล ๆ เลยพี่ศิ” ผมพูดออกมาเสียงดังพร้อมกับพยายามดันพี่ศิให้หันไปทางอื่น ไอการที่ผมยอมสารภาพไม่ใช่เพราะว่าตัวผมกลัวน้ำเสียงหรือสายตาของพี่ศิหรอกครับ แต่สิ่งที่ทำให้ผมสารภาพนั่นก็คือลมหายใจร้อน ๆ กับดวงตาคมที่ซ่อนอยู่ภายใต้กรอบแว่นนั่นต่างหาก มันคือสิ่งที่ทำให้ผมยอมสารภาพความจริงว่าผมไม่พอใจเรื่องอะไรออกไป เพราะในตอนนี้ ‘ผมรู้สึกเขินมากกว่าที่จะปากแข็งแล้วครับ’


ทั้งลมหายใจอุ่น ๆ ทั้งนัยน์ตาสีเข้มที่จ้องมองมา…แค่การกระทำพวกนี้ของพี่ศิมันก็ทำให้ผมเขินอายและสติของผมกระเจิดกระเจิงไปหมดแล้วครับ


พี่ศิยอมเอาหน้าของตนถอยพร้อมกับลุกขึ้นยืนส่วนผมก็ยกมือขึ้นมากุมหน้าอกพร้อมกับค่อย ๆ ปรับลมหายใจ (และอัตราการเต้นของหัวใจ) ตนเอง ผมกลืนน้ำลายลงท้องอึกใหญ่ก่อนจะค่อย ๆ เปิดริมฝีปากเล่าเรื่องราวที่ผมน้อยใจพี่ศิออกมา


“กรไม่พอใจตัวเองที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพี่ศิเลย” ผมเกริ่นออกไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ศึ่งทันทีที่พี่ศิได้ยินถ้อยคำของผมนัยน์ตาคมของพี่ศิก็เปลี่ยนอารมณ์จากคนที่กำลังโกรธกลายเป็นแววตาของคนตกใจแทน แต่พี่เขาก็ไม่ยอมพูดอะไรกับผมนะครับดูเหมือนเขาจะยืนฟังอยู่ท่าเดียว


“แล้วกรก็ไม่พอใจที่พี่ศิอ่ะไม่เคยพูดอะไรเกี่ยวกับตัวเองให้กรฟังเลย ทั้ง ๆ ที่พี่ศิรู้เรื่องราวของกรเกือบจะหมดเลยแท้ ๆ กรทั้งน้อยใจพี่ศิ ทั้งไม่พอใจตัวเอง คิดจนปวดสมองไปหมดไอความรู้สึกพวกนี้มันก็เลยทำให้กร…หงุดหงิดตัวเองมาก ๆ เลยไม่อยากเจอหน้าพี่ศิไง” ผมพูดความรู้สึกของตัวเองออกไป ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าพี่ศิแกจะเข้าใจความรู้สึกของผมหรือเปล่าแต่ถ้าจะให้พูดถึงเหตุผลที่ผมหลบหน้าพี่ศิก็มีแต่เรื่องนี้นี่แหละที่ให้ผมไม่ใคร่ที่จะอยากเจอหน้าของพี่ศิ


สิ้นเสียงของผมใบหน้าและดวงตาเรียบนิ่งของพี่ศิตอนนี้เปลี่ยนไปเป็นสีหน้าและแววตาของคนตกใจ พี่ศิรู้สึกจะเรียบเรียงสิ่งที่ผมพูดอยู่ในหัวสักเล็กน้อยในที่สุด ใบหน้าคมก็เผยรอยยิ้มพร้อมกับมือกร้านที่ถูกยกขึ้นมาลูบศรีษะของผมอย่างแผ่วเบา แต่ไอฝ่ามืออันแสนอบอุ่นนี้ไม่ได้ช่วยในอารมณ์ในใจของผมเย็นลงเลยครับแถมมันยังให้ผมพูดพร่ำความรู้สึกของตัวออกมาเสียงหมด ทั้งอารมณ์น้อยใจ ทั้งอารมณ์ไม่พอใจ ทั้งอารมณ์หงุดหงิดใจ เอาเป็นว่าผมรู้สึกอะไรนี่พูดออกมาทั้งหมดเลยครับหมดเกลี้ยงแบบไม่มีกั๊กเลย


“รู้หรือเปล่าพี่ศิกรไม่พอใจมาก ๆ เลยที่ทุก ๆ คนในคณะ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นพี่หรือรุ่นเพื่อนของกรที่รู้จักตัวตนของพี่ศิ รู้ว่าพี่ศิเป็นคนแบบไหน ในอดีตพี่ศิเป็นคนยังไง ทุกคนเขารู้แต่! กรไม่รู้เลย ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพี่ศิเลยสักนิดเดียว หนำซ้ำเวลาที่ทุกคนคุยกับพี่พูดเรื่องราวของพี่ศิออกมากรก็รู้สึกอิจฉาทุกครั้งด้วย เพราะทุกสิ่งที่ทุกคนพูดมันเป็นสิ่งที่กรไม่รู้อะไรเลยสักนิดเดียวและพี่ศิก็ไม่คิดจะบอกกรด้วย เรื่องครอบครัวพี่ศิก็รู้ว่าบ้านกรเป็นยังไงแต่กรนี่สิไม่รู้เลยว่าพี่ศิมีพี่มีน้องหรือเปล่า ครอบครัวของพี่ศิทำงานอะไร มันจะดูล่วงเกินแต่กรก็อยากรู้ อยากรู้ในทุก ๆ เรื่องของพี่ศิ!” พอผมพูดทุกสิ่งทุกอย่างออกไปจนหมดผมก็ตอบสูดหายใจออกมาเฮือกใหญ่ (ก็เล่นพูดแบบไม่ได้หายใจเลยนี่ ถ้าไม่หอบก็แปลกแล้วครับ) ผมพูดออกไปแบบไม่สนใจที่จะมองสีหน้าของพี่ศิเลยครับ และไม่รู้ว่าในตอนนี้พี่ศิแสดงสีหน้ายังไง แต่ผมขอบอกเลยว่าผมนี่นอกจากจะได้ระบายอะไรที่อยู่ในใจออกไปหมดแล้ว ผมก็เจือกเขินออกมาแบบขั้นสุดยอดด้วยครับ อารมณ์แบบว่าเกิดมาไม่เคยเขินอะไรขนาดนี้มาก่อน อย่างไอตอนที่เล่นกันในบ้านของผมมันเขินแล้วนะ ไอการบอกความรู้สึกพวกนี้ออกไปเนี่ย! มันทำให้ผมรู้สึกเขินอายยิ่งกว่าตอนนั้นเสียอีกครับดังนั้นหลังจากผมสูดลมหายใจเข้าปอดเสร็จผมก็ก้มหน้าก้มตาไม่คิดแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นไปมองพี่ศิเลยสักนิดเดียวครับ


ภายในห้องเงียบสนิทไม่มีใครจะเอ่ยอะไรออกมา ทุกท่านอาจจะคิดว่าผมจะเป็นฝ่ายอดทนไม่ไหวแล้วพูดออกมาก่อนสินะครับ แต่ว่าครั้งนี้คุณเดาผิดครับเพราะคนที่ทนต่อความเงียบไม่ไหวนั่นก็คือพี่ศิครับ เสียงทุ้มเอื้อยเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาพร้อมกับใบหน้าคมที่ยื่นเข้ามากระซิบที่ข้างหูของผม


“ถ้ากรอยากรู้ทำไมไม่ถามพี่ตรง ๆ ล่ะครับ” ถ้าทุกคนจะบอกว่าเสียงนี้พาระทวยพวกคุณคิดผิดอีกแล้วครับเพราะเสียงนี้ ทั้งการกระทำที่กระซิบเบา ๆ ข้างใบหูของผมมันทำให้ผมใช้เท้ายันพี่ศิออกไปจากตัวเต็มแรงแถมผมยังกระโดดหนีออกจากโซฟาและตั้งการ์ดเตรียมไฟท์กับพี่ศิครับ แต่ผมก็ตั้งการ์ดได้ไม่ถึงห้านาทีผมก็ต้องลดการ์ดลงพร้อมกับค่อยเดินย่องเข้าไปหาพี่ศิ


ดูท่ารูปถีบผมจะทำให้พี่ศิจุกจนลุกไม่ขึ้นแล้วครับ จากไอบรรยากาศพาเครียดกลายเป็นบรรยากาศเฮฮาผมนี่ต้องเข้าไปประคองพี่ศิให้ลุกขึ้นมานั่งที่โซฟาเลยครับ คราวนี้ผมน่าจะใช้แรงเยอะเกินไปเล่นเอาพี่ศิพูดไม่ออกไปเกือบ ๆ สิบนาทีเลยครับ แต่ในที่สุดอาการจุกของพี่ศิก็หายไปพร้อมกับใบหน้าคมที่เงยหน้าขึ้นมามองผมและค่อย ๆ เปิดริมฝีปากเล่าเรื่องราวของตัวเองออกมา


“พี่เป็นลูกชายคนเดียว คุณพ่อเป็นผอ.โรงพยาบาล ส่วนคุณแม่เป็นหนึ่งในผู้บริหารของมหาวิทยาลัยที่เราเรียนอยู่ วันเกิดคือวันที่ 9 กุมภา กรุ๊ปเลือดโอ ตั้งแต่เล็กจนโตเรียนอยู่ที่โรงเรียนสวนกุหลาบใหญ่ เล่นบาสมาตั้งแต่ม.ต้นจนถึงเวลานี้และตอนนี้พี่เป็นนักกีฬาบาสของคณะแต่ปฏิเสธที่จะเป็นนักกีฬาบาสของมหาวิทยาลัย และตอนขึ้นมหาวิทยาลัยก็อยากเป็นหมอจึงสอบเข้าคณะแพทย์ช่วงนั้นทำให้พี่ต้องเลิกเล่นบาสไปสักพักใหญ่ ๆ เพื่อนอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้าคณะแพทย์ศาสตร์ ความจริงพี่ไม่ใช่เด็กดีเด็กเรียนเรื่องชกต่อยระหว่างโรงเรียนก็มีบ้าง เกือบโดนพักการเรียนก็หลายครั้งอยู่แต่ก็หนีทันก่อนจะโดนจับตัวเลยรอดมาได้ทุกครั้ง ตอนที่เข้าชั้นปีที่ 1 พี่เคยโดนลากไปประกวดเดือนคณะแต่ พี่สละสิทธิให้ไอเต๋อร์มันเป็นเดือนไปเพราะพี่คิดว่ามันวุ่นวาย นิสัยจริง ๆ ของพี่คือพี่ไม่ชอบสุงสิงกับใครและไม่ชอบคุยกับคนแปลกหน้า ส่วนสูงของพี่ก็คือ 185 เซน ส่วนน้ำหนักประมาณ 74-75 กิโลกรัม สีที่ชอบคือขาวกับดำ เป็นคนถนัดทั้งมือซ้ายและมือขวา ของกินที่ชอบไม่มีเป็นพิเศษ งานอดิเรกคือการเล่นกล้องและถ่ายรูปแต่ตอนนี้มีงานอดิเรกเพิ่มขึ้นมาก็คือการไปรับไปส่งกร ทำกับข้าวให้กรกินและการทำให้กรยิ้มและหัวเราะได้ สิ่งที่เกลียดไม่มีเป็นพิเศษแต่พี่คิดว่าตอนนี้น่าจะมีแล้วแต่พี่ขอไม่บอกว่ามันคืออะไร ส่วนสเปกที่ชอบพี่ขอไม่บอกเพราะพี่คิดว่ากรน่าจะรู้ได้ด้วยตัวเองได้แล้ว” ไอผมนี่ถึงกับช็อคที่พี่ศิแกบรรยายเกี่ยวกับชีวิตแกออกมาได้เป็นฉาก ๆ แต่ไอที่สุดช็อกมากที่สุดก็คือครอบครัวของพี่แกครับ


พ่อเป็นผอ.โรงพยาบาล โอเค อันนี้เข้าใจบ้านถึงได้รวย แต่ไอการที่แม่เป็นหนึ่งในผู้บริหารของมหาวิทยาลัยที่ผมเรียนอยู่นี่ถึงกับให้ผมช็อคครับ มิน่าล่ะทุกคนถึงได้กลัวพี่ศิกันนัก


“กรอยากรู้อะไรเกี่ยวกับพี่อีกไหมครับ” พี่ศิเอ่ยถามออกมาอีกครั้งหลังจากที่ผมเงียบไปนาน คือไอสิ่งที่อยากรู้อีกมันก็มีอยู่หรอกแต่ตอนนี้ผมไม่รู้จะเรียบเรียงคำถามอะไรใส่พี่ศิแล้วครับสิ่งที่พี่เขาพูดมานี่ทำเอาผมแทบช็อคครับ แต่ขอสรุปได้เลยว่าครอบครัวและตัวของพี่ศิไม่ธรรมดา ไม่ธรรมดาแบบสุด ๆ เลยครับหลังจากวันนี้ผมควรระวังตัวไม่ให้พี่ศิโกรธสินะครับไม่งั้นผมอาจจะโดนเด้งออกจากมหาวิทยาลัยแบบไม่รู้ตัวก็ได้


ผมส่ายหัวตอบพี่ศิไปแต่ดูเหมือนเรื่องราวที่พี่ศิอยากพูดยังไม่หมดนี่สิ แกพูดต่อไปเรื่อย ๆ และเรื่อย ๆ และในประโยคสุดท้ายที่พี่ศิพูดให้ผมฟังมันทำเอาผมตกใจและช็อคยิ่งกว่าเก่า


“พี่น่ะมองกรมาตั้งแต่กีฬาเฟรชชี่แล้ว แต่พี่ไม่รู้ว่ากรเป็นใครรู้แค่ว่าอยู่คณะวิศวะไม่รู้ว่าพี่มองกรทำไมแต่พี่คิดว่าพี่คงติดใจในรอยยิ้มของกรก็ได้ล่ะมั้งพี่เลยละสายตาจากรอยยิ้มของกรไปไม่ได้”


ใครก็ได้เอาผมออกจากความฝันนี่ทีขอร้องเถอะครับให้ผมตื่นจากฝันก่อนที่ผมจะละลายตายไปที!



_______________________________


ขอบคุณที่ติดตามนะคะ โค้ง//


หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 20] 06/11/2013 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Noo_Patchy ที่ 06-11-2013 18:39:55
 :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: กรงี้งอนนะคะ  อิอิ น่าร้ากก
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 20] 06/11/2013 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: DZiik ที่ 06-11-2013 20:53:23
ไม่ธรรมดาจริงๆพี่ศิของเรา  :hao3:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 20] 06/11/2013 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 06-11-2013 22:00:48
กรขี้งอน
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 20] 06/11/2013 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Loste ที่ 06-11-2013 22:29:42
ละลายแทนกร
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 20] 06/11/2013 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: j123 ที่ 06-11-2013 22:38:11
อยากอ่านต่ออีกกกก รีบมาอัพไวๆๆๆ :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 20] 06/11/2013 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 06-11-2013 22:38:29
กรแบบ... เป็นไงล่ะ555
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 20] 06/11/2013 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 06-11-2013 23:24:51
พี่ศิ ทำน้องกรช็อคไปแล้ว
ปลอบขวัญด่วน
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 20] 06/11/2013 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: saiiisai ที่ 07-11-2013 00:52:42
เป็นผม ผมก็ละลายคร้าบ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 20] 06/11/2013 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: june55 ที่ 07-11-2013 03:36:15
อ่านมารวดเดียวเลย สนุกดี
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 20] 06/11/2013 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 07-11-2013 06:01:09
นี่ถ้าพี่ศิไม่บอกน้องกรคงไม่มีทางรู้แน่ขนาดแสดงออกชัดดดดดดดเจนมากอะ555
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 20] 06/11/2013 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 07-11-2013 09:28:26
ละลายตามน้องกร  :-[
น้องกรรรรรรรรรรรร พี่ศิพูดชัดมาก เริ่มรู้อะไรๆ บ้างรึยังจ๊ะ  :z1:

 :L2: :กอด1: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 20] 06/11/2013 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: RenaBee ที่ 07-11-2013 12:06:17
พี่ศินี่ชัดเจนมากค่ะ! กรคะป้าขอละลายไปพร้อมกับหนูนะคะไม่ไหวแล้วค่ะ เขินพี่ศิเหลือเกิน  :-[
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 20] 06/11/2013 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: aelfy ที่ 07-11-2013 21:52:02
 :-[ ฟินอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 21] 09/11/2013 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 09-11-2013 12:56:02



สวัสดีค่ะ รู้สึกพลอยจะวางทามไลน์ผิดไปนิด... ทางมหาวิทยาลัยของพลอยปีนี้จัดโอเพ่นเฮาส์ก่อนลอยกระทงแถมปีนี่ไม่ได้จัดงานวันลอยกระทงอีก โอ่ววงั้นเรามาฉลองกันในงานวันลอยกระทงของน้องกรกันเถอะค่า (ประเด็นคือมหาลัยของพลอยก่ะไม่ใช่มหาวิทยาลัยเดียวกันกับน้องกร// อันนี้จริงจัง)




Chapter 21



สวัสดีครับ วันนี้เป็นวันที่มีงานลอยกระทงวันสุดท้ายแล้วหละครับ ไม่ต้องสงสัยนะครับว่าทำไมผมไม่เล่าถึงเรื่องภายในวันที่สอง คือมันเหมือน ๆ กับวันแรกนั่นแหละครับ เพราะว่าผมก็ยังคงหนีเจ้น้ำหวานไปขายไอติมแทนการไปนั่งเป็นหนุ่มน้อยตกน้ำ (แข็ง) และพูดเกี้ยวสาว ๆ เพื่อให้รุ่นพี่และรุ่นเพื่อนมาซื้อไอติมกัน แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาก่อนวันแรกก็คือพี่ศิที่ดูเหมือนว่าจะว่างจัดมาคอยเดินตามรถสามล้อที่ไอฟอง (และไอวิว) ขี่ครับ ไอเดินตามนี่ผมก็ไม่ว่าหรอกครับแต่ว่าไอเสน่ห์ที่แสนล้นเหลือของพี่ศินี่สิทำให้สาว ๆ แทบจะมาเกาะล้อของรถสามล้อเพื่อตามพี่ศิเลยล่ะครับ


ไอจะว่าดีมันก็ดีอยู่หรอกครับเพราะพี่ศิทำให้ไอติมของเราขายดีมากกว่าเมื่อวันแรกมาก ๆ แต่ที่ไม่ดีคือมันทำให้ผมหงุดหงิดครับ เหตุผลที่หงุดหงิดผมตอบเลยว่าไม่รู้แต่มันไม่พอใจที่พี่ศินี่โปรยยิ้มให้ทุก ๆ คนที่มาซื้อครับ ผมนี่แทบอยากจะสั่งให้พี่ศิหุบยิ้มแต่ก็นะมันสิทธิของพี่เขาที่จะยิ้มผมเลยได้แต่นั่งข่มอารมณ์ไม่พอใจของตัวเองต่อไป


เรามาเล่าถึงเรื่องของวันนี้ดีกว่าครับหลังจากงานวันที่สองจบลงเจ้น้ำหวานที่กำลังหงุดหงิดได้ประกาศกร้าวว่าถ้าเกิดวันที่ 3 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของงานลอยกระทงที่มหาวิทยาลัยจัด ผมไม่ยอมไปนั่งเป็นหนุ่มน้อยตกน้ำ (แข็ง) ล่ะก็ ปีหนึ่งทั้งรุ่นจะโดนทำโทษ
ถึงกระนั้นทุกคนจะว่าผมเห็นแก่ตัวก็ได้นะครับเพราะว่าตอนนี้ผมกำลังหนีหัวซุกหัวซุนแบบไร้คนช่วยครับเพื่อน ๆ ทุกคนนี่ตามล่าผมหยั่งกับว่าผมเป็นนักโทษหนีคดี จะโทรไปหาพี่ศิให้พี่เขาช่วยผมก็ไม่สามารถทำได้ครับด้วยเหตุผลสองสามประการ นั่นคือข้อที่ 1.พี่ศิติดเรียนครับ ข้อที่ 2.ผมเรียกให้พี่ศิมาช่วยให้รอดพ้นจากน้ำมือของเจ้น้ำหวานไม่ได้เพราะวันนี้พี่ศิเขาเข้าเวรครับเวรคราวนี้เป็นเวรรอบเย็นถึงสี่ทุ่ม ซึ่งถ้าพี่ศิจะมาช่วยผมได้ก็คือหลังเลิกเวรซึ่งน่าจะราว ๆ 4 ทุ่มครึ่ง


แต่ตอนนี้มันเพิ่งบ่ายสามโมงเองครับดังนั้นงานนี้ผมต้องช่วยตัวเองไปก่อนครับอย่างน้อยก็หนีประวิงเวลาให้เข้าใกล้ 4 ทุ่มครึ่งให้ได้มากที่สุด เพราะว่ายิ่งใกล้เวลาที่พี่ศิเลิกเวรผมยิ่งมีโอกาสรอดมากขึ้นเรื่อย ๆ ครับ (อย่าบอกให้ผมกลับคอนโดนะครับนั่นเป็นที่แรกที่เพื่อน ๆ ผมไปดักรอผมเลยครับ)


ดังนั้นตรงไหนซ่อนได้ผมซ่อน ตรงไหนหนีได้ผมหนี แต่มันก็มีสิ่งที่ทำให้ผมหลบหนีอย่างยากลำบากเพิ่มมากขึ้นนั่นก็คือพวกเพื่อน ๆ ของผมมันใช้เส้นสายกันแบบโทรตามเพื่อนคณะต่าง ๆ ให้ช่วยกันหาผมครับ (เพราะพวกมันกลัวผมไปหลบที่คณะอื่นแล้วทุกคนจะตามกันไม่เจอ) และถ้าทุกท่านจะบอกให้ผมขับรถหนีออกจากมหาวิทยาลัยไปเลย ผมของบอกเลยว่าผมทำไม่ได้ครับเพราะไอเจมส์ผู้เป็นประธานชั้นปีมันยึดกุญแจรถของผมไว้ตั้งแต่งานวันลอยกระทงวันแรก ครับดังนั้นตอนนี้ผมมีเพียงขาแค่สองข้างที่เอาไว้ใช้หนีเพียงเท่านั้นแหละครับ


หัวใจผมมันเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ เพราะตอนนี้ผมหนีเข้ามาในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยครับและไม่รู้ว่าผมจะหลบที่นี่ไปได้อีกนานไหมด้วยสิ (ที่มาหลบที่นี่เพราะว่าที่นี่ใช้เสียงไม่ได้เพื่อน ๆ ที่คอยแยกกันตามหาผมก็ส่งเรียกเรียกเพื่อนไม่ได้ทำให้ผมมีโอกาสรอดมากยิ่งขึ้น) ตอนนี้ผมพยายามเดินเร็วไปทั่วหอสมุดเพื่อหลบสายตาของเพื่อนไปเรื่อย ๆ จุดที่ดีที่สุดในการหลดสายตาคนนั้นครับนั่นก็คือแอบตามชั้นหนังสือครับยิ่งพวกลอคทีสิสของพวกรุ่นพี่นี่เป็นที่ซ่อนชั้นดีเลยครับ (เหตุผลที่ผมต้องเดินไปรอบ ๆ หอสมุดนั่นก็คือผมไม่ต้องการเป็นเป้านิ่งครับ ถ้าเราอยู่เฉย ๆ ก็เหมือนกับว่าเราเป้านิ่ง ดังนั้นเราต้องเคลื่อนที่คอยหลบคอยหลีกสายตาคนตลอดเวลาครับ วิธีนี้อย่างน้อยก็ทำให้ผมหลบเพื่อน ๆ ได้ระยะหนึ่ง ถ้าผมไม่ซวยมากขนาดเดินหนี เดินหลบแล้วไปเจอเพื่อน ๆ ที่มาตามหาผมครับ ถ้าเกิดเจอเหตุการณ์แบบนั้นก็ตัวใครตัวมันครับ ต่อให้หอสมุดมีกฎห้ามทำเสียงดังหรือห้ามวิ่งภายในหอสมุด ผมคงไม่สนใจกฎพวกนั้นแล้วก็รีบโกยแนบออกจากหอสมุดแบบไม่คิดชีวิตครับ)


ตอนนี้ดูเหมือนเพื่อน ๆ ของผมจะตัดใจหาผมในหอสมุดแล้วครับ ผมแอบมองพวกมันจากชั้นบนเพื่อน ๆ ทุกคนเริ่มเดินมารวมกลุ่มและค่อย ๆ ทยอยกันเดินออกไปจากหอสมุด ความจริงแล้วหอสมุดพวกนี้ก็ไม่ได้กว้างมากจนหาลำบากแต่ตัวผมมันดันซ่อนเก่งเท่านั้นแหละครับ


ผมคิดว่าผมอาจจะซ่อนตัวอยู่ในนี้จนกว่ามันจะปิด ซึ่งเวลาปิดของหอสมุดนั่นก็คือเวลาสี่ทุ่มตรง แต่ด้วยมีงานเทศกาลวันลอยกระทงที่ทางมหาวิทยาลัยจัด หอสมุดเลยเลื่อนเวลาปิดเร็วขึ้นถึงสามชั่วโมง เวลาปิดหอสมุดก็เปลี่ยนไปเป็นปิด 1 ทุ่มตรงและผมคงซ่อนในนี้ได้ถึงเวลานั้นแหละครับ


ในที่สุดการหลบหนีภายในห้องสมุดของผมก็จบลงผมก็ได้นั่งพักสักทีหลังจากที่เล่นซ่อนแอบกับเพื่อน ๆ เป็นเวลาเกือบ ๆ สามสิบนาที ผมเดินไปยังชั้นที่เก็บหนังสือด้านวิศวกรรมศาสตร์พร้อมกับไล่หาหนังสือหรือบทความที่น่าสนใจออกมาอ่านเล่นฆ่าเวลา

ผมนั่งอ่านไปพลางมองนาฬิกาไปตอนนี้เป็นเวลาเกือบ ๆ จะหกโมงครึ่งแล้วครับ และมันก็ใกล้เวลาที่จะปิดหอสมุดแห่งนี้แล้ว ผมก็เลยต้องเตรียมตัวออกจากหอสมุดผมเดินเอาหนังสือหลายต่อหลายเล่มที่ผมหยิบเอาเอาไปเก็บเข้าชั้นหนังสือพร้อมกับเดินลงบันไดไปชั้นและและก้าวเท้าออกจากสถานที่นี้


แต่ทันทีที่ผมออกจากหอสมุดความซวยของผมก็เข้ามาเยือนทันทีสหายร่วมรุ่นคณะวิศวะของผมก็ดันบังเอิญเดินเข้ามาถามหาผมที่หอสมุดแห่งนี้นั่นจึงทำให้ต้องใช้สกิลเกียร์หมาวิ่งหนีพวกเพื่อน ๆ แบบไม่คิดชีวิต


“ไอกรหยุดนะเว้ย! นี่มรึงจะทำให้เพื่อนซวยยกชั้นปีเหรอวะ มรึงมานี่เลยเจ้น้ำหวานตามตัวมรึงอยู่” เสียงไอวิวตะโกนเรียกสงสัยว่าหน้าที่ขี่รถสามล้อน่าจะถูกยกให้เป็นหน้าที่ของคนอื่นแล้วครับ มันถึงมาวิ่งตามหาผมแบบนี้ได้


ซึ่งผมก็ไม่หยุดตามที่มันบอกหรอกครับซ้ำมันยิ่งทำให้ผมอัพสกิลเกียร์หมาของผมให้ไวขึ้นไปอีก “แม่ม ไอวิวเพื่อนกันรับผิดชอบร่วมกันสิวะ จะให้กรูไปเปียกคนเดียวได้ยังไง” คำนี้ทำเอาไอวิวมันลังเลแต่ไอเจมส์มันก็ตบหัวไอวิวเพื่อนเตือนสติแล้วตะโกนใส่ผมว่า


“มรึงไม่ต้องมาชักแม่น้ำทั้งห้าให้พวกกรูปล่อยมรึงไป เพราะมรึงเจือกโดดหน้าที่พวกกรูเลยต้องซวยดังนั้นมรึงต้องชดใช้ด้วยร่างกายไปเป็นหนุ่มน้อยตกน้ำที่ซุ้มคณะซะไอเชี่ยกร” ผมแทบอยากจะกัดลิ้นตายอยู่ตรงนี้ ผมไมได้โดดหน้าที่สักหน่อยงานสองวันผมก็ช่วยแต่ผมไม่ได้ไปทำหน้าที่ที่เจ้น้ำหวานจัดไว้ให้เท่านั้นเอง


“มรึงก็ไปนั่งแทนกรูดิ! กรูยกหน้าที่นั้นให้มรึงไอเจมส์” ผมตะโกนตอบมัน เท้าของผมก็ยังคงวิ่งหนีพวกมันต่อไปเรื่อย ๆ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าผมไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนถึงได้วิ่งได้นานขนาดนี้ ปกติแต่สิบนาทีก็จอดแล้วครับ นี่ผมพยายามวิ่งเข้าไปในกลุ่มคนมาก ๆ ดังนั้นที่ที่ผมวิ่งไปมันก็คือสถานที่จัดงานวันลอยกระทงนี่หละผมหวังว่าผู้คนที่มากมายมันจะช่วยให้ผมหนีรอดจากเพื่อน ๆ ที่ตอนนี้มันกำลังวิ่งตามผมอยู่ครับ แต่รู้สึกว่าผมนั้นคิดผิด คิดผิดแบบสุด ๆ เพราะผมลืมไปว่าซุ้มคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่รักของผมนั้นอยู่ช่วง ๆ ต้นงานดังนั้นการที่ผมวิ่งเข้าไปในงานเหมือนกับเป็นการบอกให้รุ่นเพื่อนและรุ่นพี่รู้ว่าผมนั้นได้เข้ามาในงานแล้ว


ตอนนี้ผมเปรียบเสมือนหมูในอวยแล้วครับ จะโดนจับตัวไปนั่งบนถังน้ำนรกนั่นเมื่อไหร่ก็ไม่รู้แถมขาตอนนี้ของผมเริ่มล้าแล้ว แถมเพื่อน ๆ ที่ซุ้มก็เริ่มวิ่งตามหาผมมากขึ้นกว่าเก่าจากกลุ่มเพื่อนของผม 8 คน ตอนนี้เพิ่มอีกยี่สิบสามสิบคน แล้วไอสภาพการณ์แบบนี้มันทำให้ผมรู้ตัวแล้วหละครับว่าผมหนีไม่รอดแน่ ๆ ในตอนนี้มันก็ขึ้นอยู่กับเวลาแล้วครับว่าผมจะหนีรอดต่อไปได้อีกกี่นาที


ผมวิ่งหนีมาหลังซุ้มคณะทันตะครับ เมื่อรอดสายตาของเพื่อน ๆ ผมก็ทรุดตัวนั่งลงไปกับพื้นพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่เลยครับ ‘ผมไม่อยากจะบอกว่าตอนนี้ผมเหนื่อยแบบสรัดผักเลยทีเดียว วิ่งหนีไม่ไปอีกต่อไปแล้วครับถ้าเพื่อนมันมานี่ผมยอมนอนให้มันจับผมไปนั่งบนถังน้ำนรกเลยครับ’ ผมยกนาฬิกาขึ้นมาดูตอนนี้เป็นเวลาเกือบ 2 ทุ่มแล้วครับตอนนี้ผมวิ่งหนีมาเป็นเวลาเกือบ ๆ ชั่วโมงครึ่งแล้วหรือเนี่ย มิน่าผมถึงเหนื่อยบัดซบขนาดนี้


ผมนั่งหลบอยู่หลังซุ้มคณะเภสัชไปอีกสักพักในที่สุดเพื่อน ๆ ของผมก็หาผมเจอครับ ร่างของผมนี่ถูกหิ้วปีกออกจากหลังซุ้มคณะเภสัชและตรงไปยังซุ้มคณะวิศวะที่รักของพวกเรา สายตาของคนในงานนี่จ้องผมแบบถ้าร่างของผมนี่ทะลุได้คงทะลุไปแล้ว


หลังจากการเดินทางจากซุ้มคณะเภสัชมาถึงคณะวิศวะผมก็ถูกเพื่อน ๆ ชั้นปีที่ 1 โยนไปหน้าเจ้น้ำหวานขาผมทรุดลงกับพื้นแทบจะทันทีโดยเบื้องหน้าของผมมีเจ้น้ำหวานที่ยืนกอดโปรยยิ้มชั่วร้ายใส่ผมอยู่


“สวัสดีจะน้องกรสุดที่รักของเจ้โดดงานไปสองวัน งานนี้ต้องทำงานชดใช้เจ้หน่อยซะแล้วหละ” สิ้นเสียงเจ้น้ำหวานก็ยกมือขึ้นมาดีดนิ้วเสียงดังพร้อม ๆ กับร่างของผมที่ถูกรุ่นพี่ลากเข้าไปในซุ้มคณะ


จะทำอะไรผมก็ทำเลยครับเชิญ! เพราะแม้แรงที่จะดิ้นหนีผมนี่ไม่มีแล้วครับเหนื่อยสายตัวแทบขาด ผมไม่เคยวิ่งเป็นระยะเวลานาน ๆ นี้มานานมากแล้วครับ นี่อาจจะเป็นครั้งแรกเลยก็ได้นะครับที่ผมวิ่งมาราธอนขนาดนี้


ตอนนี้ผมโดนเฮียก๊อตผู้เป็นเบ้กิตติมศักดิ์ของเจ้น้ำหวานโยนเสื้อสีขาวที่สกรีนคำว่าน้องกรมาให้ผมใส่ครับ ผมก็ถอดเสื้อนิสิตที่เปียกโชกไปด้วยเหงื่อให้เฮียก๊อต พร้อมกับสวมเสื้อสีขาวที่มีชื่อสุดสยิวของผมสกรีนอยู่ ต่อมาเฮียบุญเกิดซึ่งเขาก็เป็นเบ้กิตติมศักดิ์ของเจ้น้ำหวานก็โยนกางเกงขาสั้นมาให้ผมผมมองกางเกงตัวนั้นก่อนจะหามุมมืดเพื่อไปเปลี่ยนกางเกงแสลคเป็นกางเกงที่พวกรุ่นพี่เตรียมไว้ให้


ผมเดินตัวปลิวไปที่ฉากหลังที่รุ่นพี่กั้นไว้ให้เปลี่ยนเสื้อผ้าผมถอดกางเกงสแลคออกพร้อมกับสวมกางเกงเจ้ากรรมที่เฮียบุญเกิดแกส่งมาหลังจากที่ผมสวมมันผมกรีดร้องออกมาเสียงดังจนรุ่นพี่หลาย ๆ คนกรูกันเข้ามาดูผมว่าผมนั้นเป็นอะไรไปหรือเปล่า ผมหันไปมองพวกรุ่นพี่ทั้งน้ำตาพร้อมกับชี้กางเกงที่สั้นจนปิดต้นขาของผมไม่มิดทั้งน้ำตา


‘กางเกงเชี่ยอะไรครับ สั้นชิบเป๋งเลย ความยาวของมันนี่ปิดขาอ่อนของผมไม่มิดเลยครับ ความยาวของมันนี่ผมขอเปรียบเทียบกับกางเกงของนักกรีฑานะครับที่มันสั้นสุด ๆ นะ ไอกางเกงตัวนี้มันยาวกว่ากางเกงนั่นนิดหน่อยแต่มันก็ยังถือว่าสั้นอยู่ดีครับและที่แตกต่างอีกอย่างก็คือกางเกงนั่นจะเป็นกางเกงทรงปล่อยแล้วใช้ผ้ามัน ๆ ในการตัดเย็บแต่กางเกงตัวนี้ออกจะเข้ารูปสักนิดแล้วปลายกางเกงเป็นแบบพับขึ้นติดกระดุม ทรงมันก็น่ารักดีหรอกครับแต่มันโคตรไม่เหมาะกับผู้ชายแมน ๆ อย่างผมเลย แต่ที่หนักหนากว่าไอความสั้นนั่นมันก็คือตัวกางเกงเป็นสีขาวครับ ดีนะที่วันนี้ผมเลือกใส่กางเกงในสีขาวมาไม่งั้นเปียกน้ำไปนี่ กางเกงในผมต้องส่องแสงทะลุเนื้อผ้ามาปรากฏให้คนอื่น ๆ ได้เห็นเป็นแน่’


หลังจากที่ผมโวยวายใส่รุ่นพี่และประกาศกร้าวว่าไม่ยอมออกไปนั่งที่ถังน้ำนรกในสภาพนี้แน่ ๆ ในที่สุดรุ่นพี่ที่คุมงานอยู่ด้านหลังก็ทนไม่ไหวและเดินออกไปวิ่งตามให้เจ้น้ำหวานเข้ามาเคลียร์กับผม


ชายหนุ่มในมาดหญิงสาวค่อย ๆ ย่างก้าวเข้ามารอยยิ้มหวานที่ใช้เรียกแขกตอนนี้เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มชั่วร้ายครับเธอเดินเข้ามาใกล้ ๆ ผมพร้อมกับใช้แรงของผู้ชาย (ที่เจ้แกปกปิดเอาไว้) หิ้วคอผมและถีบให้ผมออกไปยืนหน้าฉากครับ คราวนี้แหละเสียงกรี๊ดของสาว ๆ ที่ยืนอยู่หน้าซุ้มนี่ดังสนั่นเลยครับ ไอผมแทบอยากจะกัดลิ้นตายมันตรงนั้นแต่เจ้น้ำหวานไม่ยอมให้ผมตายครับหลังจากที่เจ้แกถีบให้ผมออกไปหน้าฉากแล้วคราวนี้เจ้แกก็ลากคอผมให้ไปนั่งที่ถังน้ำอันกลางสุดเลยครับ เอาเป็นว่าตอนนี้สภาพผมเด่นแบบสุด ๆ ไฟแต่ละดวงนี่ต่างหันกันมาจ่อที่ผมเลยครับ


และหลังจากที่ผมปีนขึ้นไปนั่งบนถังน้ำแล้วเจ้น้ำหวานก็กรีดกรายถือไมค์โครโฟนพร้อมกับพูดกรอกเสียงลงไปพร้อมกับมอบโปรโมชั่นอันแสนพิเศษให้กับลูกค้าครับ


“สวัสดีค่า เจอกันอีกรอบแล้วนะคะ หลังจากที่เราให้หนุ่มน้อยของเราแต่ละคนไปพักผ่อนคลายความหนาวกัน คราวนี้รอบใหม่เราขอส่งหนุ่มน้อยที่ทุก ๆ คนรู้จักกันดีนะคะ เขาคนนั้นก็คือ ‘น้องกร’ ค่า!! และในรอบสุดท้ายเรามีโปรโมชั่นสุดแสนพิเศษมามอบให้ทุก ๆ คนนะคะ” เจ้น้ำหวานถือไมค์โครโฟนพร้อมกับเดินไปทั่วบริเวณหน้าซุ้มร้อยยิ้มชั่วร้านที่แกยิ้มให้ผมตอนนี้เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่ใช้สำหรับต้อนรับแขกแล้วครับ


“โปรโมชั่นของรอบนี้นั่นก็คือ ใครปาให้หนุ่มน้อยของเราตกน้ำรวดเดียวห้าครั้งด้วยลูกบอล 5 ลูก จะได้รับการหอมแก้มจากหนุ่มน้อยตกน้ำของเราแต่โปรโมชั่นนี้มาแรงกว่า! เด็ดกว่า! และยั่วยวนใจมากกว่ารอบที่แล้วค่ะ! เพราะคราวนี้ถ้าใครปาลูกบอลให้หนุ่มน้อยตกน้ำของเราตกน้ำ 5 ครั้งจาก 5 ลูก รับไปเลยค่ะหนุ่มน้อยตกน้ำของเรา! คุณสามารถพาหนุ่มน้อยตกน้ำของเราไปที่ไหนก็ได้ในงานลอยกระทงเป็นเวลา 30 นาที จะพาไปเดินเทียวให้อาหารปลาหรือจะพาหนุ่มน้อยของเราไปลอยกระทงเป็นคู่รักก็ได้นะคะ ใครดีใครได้ ห้าลูกแค่สามสิบบาทเท่านั้นเองค่ะ!” สิ้นเสียงของเจ้น้ำหวานคราวนี้ไม่ใช่ผมแค่คนเดียวที่อยากจะร้องกรี๊ด เพราะว่าเหล่าหนุ่มน้อยตกน้ำที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ผมก็หวีดร้องกันเสียงหลงแถมบางคนแทบจะกระโดดลงจากถังน้ำไปเขย่าคอเจ้น้ำหวานผู้มีอำนาจใหญ่สุดในซุ้มตอนนี้ แต่ทุกคนก็ไม่สามารถทำได้ครับเพราะว่าตอนนี้รอบ ๆ ตัวเจ้น้ำหวานนี่มีบอดี้การ์ดยืนล้อมเลยครับ (สงสัยเจ้น้ำหวานคงเตรียมการไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะเล่นมุกนี้ เจ้แกเลยเตรียมการแบบไม่บอกใคร ถ้าจะบอกก็บอกแค่คนสนิทเท่านั้นแหละครับ)


 แต่พวกเราทุกคนที่นั่งอยู่บนถังน้ำก็ได้แต่ปิดปากเงียบสนิท (เพราะสายตามหาโหดของเจ้น้ำหวานที่รักของพวกเรา) และยอมให้เจ้น้ำหวานพูดโปรโมชั่นที่โคตรจะเปลืองตัวพวกผมออกไป งั้นผมขอสรุปนะครับว่าโปรโมชั่นของเจ้น้ำหวานน่ะมีอะไรบ้าง ปาตก 1 ลูก ได้ไอติมปั่น 2 แท่งครับ (ไอติมปั่นมันก็ไอที่ผมไปแว้นซ์สามล้อขายกันนั่นแหละครับ ไอติมปั่นนั่นเลย) ถ้าปาตก 2 ลูกได้นมหนึ่งกล่องครับ ปาตก 3 ลูกได้นมสองกล่องครับ ไอโปรโมทชั่นสามโปรโมชั่นแรกนี่พวกผมกำไรกันแหลกลาน เงินเข้าคณะอย่างพรึบ แต่ไอโปรโมชั่นทั้งแต่ลูกที่ 4 เป็นต้นไปนี่แหละครับ มันเริ่มทำให้พวกผม ขอย้ำว่า ‘พวกผม’ นั้นขาดทุน เพราะถ้าเกิดมีใครปาผมพวกตกน้ำได้ 4 ลูก พวกเขาจะได้รับการหอมแก้มจากผมคนละทีครับ และถ้าเกิดมีใครโชคดีและเฮงสุด ๆ คือการปาให้พวกผมตกน้ำได้ 5 ครั้งติด พวกคุณจะได้พวกผมไปควงในงานลอยกระทงเป็นเวลา 30 นาทีและไอสามสิบนาทีนี้พวกผมไม่สามารถปฏิเสธ สิ่งที่อีกฝ่ายขอได้เลย


เรียกได้ว่ามันเป็นอะไรที่นรกแตกมากเลยครับ เจ้น้ำหวานแกไม่คิดถึงหัวอกลูกผู้ชายอย่างพวกผมเลย ถ้าสาว ๆ ปาตกผมไม่ว่า แต่ถ้าเป็นผู้ชายปาพวกผมตกหละก็งานนี้มีฟ้าผ่าไปกันข้างหนึ่งครับ


“หลังจากให้ทุกคนรอคอยมานานนะคะ เอาล่ะค่ะ ตอนนี้ซุ้มของคณะวิศวะของเราได้เปิดขึ้นอีกครั้งแล้วค่า” เจ้น้ำหวานพูดพร้อมกับเดินหลบฉากไปและเหล่าผู้คนก็เทกันเข้ามาต่อคิวเพื่อปาบอลครับ บางคนมาปาด้วยความสะใจ บางคนนี่ปามาหวังให้พวกผมไปหอมแก้ม หวังให้พวกผมไปเล่นเล่นด้วยเป็นเวลาสามสิบนาที




v
v
v
v
v
v
v
v
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 21] 09/11/2013 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 09-11-2013 12:59:40



ผมนั่งหลับตาปี๋และนั่งยอมรับชะตากรรมเป็นหนุ่มน้อยตกน้ำครับผมรอไปสักพักลูกบอลลูกแรกก็ถูกปามาครับแต่มันเฉียดเป้าไปไกลเลยครับทำให้ผมโล่งใจไปเปราะหนึ่ง (เอาเป็นว่าผมไม่ต้องไปเดินเที่ยวกับใครต่อใครเป็นเวลา 30 นาทีแล้วครับแต่ไม่รู้ว่าผมจะรอดแบบนี้ไปอีกนานไหมนี่สิ) ไอผมนี่โล่งใจแต่สาวน้อยร่างเล็กที่ปาลูกบอลมาดูเหมือนจะเสียใจมากครับที่ลูกแรกที่เธอปาไปไม่โดนเป้า เพื่อน ๆ ที่ยืนอยู่รอบ ๆ ข้างเธอช่วยกันปลอบกันยกใหญ่และคราวนี้ลูกบอลลูกที่สองที่สาวน้อยคนนั้นปามาเข้าเป้าเป๊ะและลูกบอลลูกนั้นทำให้ผมร่วงลงไปในถังน้ำขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งครับ


ความรู้สึกแรกที่ตัวของผมจุ่มลงไปในน้ำผมนี่แทบอยากจะกระโดดออกจากถังแล้วเข้าไปซุกในผ้าห่มอุ่น ๆ บนเตียงเลยครับ บอกได้คำเดียวว่าหนาวเชี่ย ๆ เลยครับ และหลังจากผมจมลงไปในถังไม่นานพี่สต๊าฟที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ปรี่เข้ามาช่วยผมให้ขึ้นไปนั่ง (สั่น) บนถังน้ำอีกครั้ง ผมกอดตัวเองพร้อมกับกัดฟันดังกึก ๆ แต่ดูเหมือนพี่สต๊าฟจะไม่ยอมให้ผมเอามือกอดอกซ้ำยังบังคับให้ผมยิ้มรับแขกอีก ‘ให้ตายเถอะคนมันหนาวนะพี่จะไม่ให้กอดตัวเองได้ยังไง แล้วไอการกัดฟันนี่มันก็ห้ามกันไม่ได้นะครับ!’ แต่ถึงผมจะบ่นไปแบบนั้นผมก็ได้แต่บ่นภายในใจและนั่งยิ้มให้ลูกค้าต่อไป คราวนี้สาวน้อยคนเมื่อกี้ปาให้ผมตกน้ำไปเมื่อสักครู่เธอดูมีกำลังใจในการปาเพิ่มมากขึ้นครับเพราะลูกที่สามที่เธอปามานี่โดนเป้าอีกเหมือนเดิมครับหนำซ้ำความรุนแรงที่ปามาเนี่ยรุนแรงมากกว่าลูกก่อนหน้าอีกครับ และลูกบอลลูกนี้ทำให้ผมร่วงลงไปในถังนรกนี่อีกครั้งและโดนหิ้วปีกให้ขึ้นไปนั่งบนถังอีกครั้ง ถ้าเล่าไปมันก็จะลงอีหรอบเดิมคือสาวน้อยคนนั้นปาลูกบอลมา และผมร่วงลงน้ำไปหลายรอบแต่โชคดีครับสาวน้อยคนนี้ปาผมตกน้ำไปแค่ 3 ที (เพราะเธอพลาดในลูกสุดท้าย) ในท้ายที่สุดเธอก็เดินคอตกออกจากแถวและก็เดินไปรับของรางวัลที่ปาผมตกไปสามรอบ หลังจากผมรับหน้าที่เป็นหนุ่มน้อยตกน้ำให้แก่แขกคนแรกคนที่สองและสามก็ต่อแถวกันมาและก็ยังไม่มีใครปาผมให้ตกน้ำได้เกิน 3 รอบเลยครับ


ทว่าความซวยสุดขีดของผมก็เข้ามานั่นก็เป็นเพราะเพื่อน ๆ ที่รักของผมนี่เดินเรียงแถวกันมา พร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่สุดแสนจะชั่วร้าย ‘นี่พวกมันกะเอาผมให้ตายคาถังเลยใช่ไหมครับ ความจริงที่น่ากลัวน่ะไม่ใช่สหายทั้งหมดที่ยืนเรียงแถวกันมาเพราะไอที่น่ากลัวจริง ๆ นั่นก็คือไอบาสกับไอเจมส์ที่ยืนอยู่ด้านหลังของผมครับ ผมเชื่อว่าถ้าเพื่อนของผมปาไม่โดนเป้าไอสองคนนี้หละจะเป็นคนดันเป้าให้ผมตกลงไปในน้ำครับ น้องกรขอเอาหัวเป็นประกันเลยว่าพวกแม่มต้องทำแบบนั้นแน่นอนชัวร์ป้าบ
รายแรกเป็นไอวิวครับมันเดินย่างสามขุมเข้ามาพร้อมกับถือลูกบอลในมือ รอยยิ้มที่มันยิ้มให้ผมนั้นโคตรแสดงให้เห็นเลยว่า ‘ไอกรมรึงตายไม่ดีแน่’ ครับ ผมกลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่เพราะกับเตรียมใจที่จะตกน้ำ แต่ก่อนที่บอลในมือของไอวิวจะได้ปามา ไอเจมส์และไอบาสมันก็เล่นผมก่อนแล้วครับ ไอเจมส์ส่งซิกให้ไอบาสตบป้ายซึ่งเป็นตัวควบคุมแผ่นไม้ที่ผมนั่งอยู่ในเอนลง งานนี้ผมตกน้ำแบบไม่ใช้แสตนอินแทนเลยครับไม่ได้เตรียมใจเอาไว้ก่อน ผมโผล่หน้าขึ้นมาพ้นน้ำพร้อมกับไอออกมาเสียงยกให้ และแทนที่เพื่อน ๆ หรือรุ่นพี่ทุก ๆ คนมาสอบถามว่าผมเป็นยังไงมั่งพวกเขากลับไม่ทำครับ ซ้ำยังหัวเราะออกมากันทั้งซุ้มแถม เอ่ยรุ่นพี่คนอื่น ๆ นี่เอ่ยชมไอเจมส์กับไอบาสว่าทำได้ดีมากเสียอีก


งานนี้รุ่นพี่กะเล่นให้ผมเข็ดเลยมั้งครับเพราะผมทำตัวกวนประสาทใส่พวกพี่เขาบ่อย (ไม่บ่อยธรรมดา บ่อยมากครับ) ดังนั้นนี่คือเป็นการแก้เผ็ดผมและเอาคืนไปในตัวเลยครับ เพราะพวกรุ่นพี่คิดว่าผมจะไม่กล้าหือกับพวกพี่ ๆ เขาอีก แต่คนอย่างรณกรการแก้เผ็ดแค่นี้จะใช้กับผมได้เหรอครับ ผมขอตอบอย่างเต็มปากเต็มคำเลยว่า มันใช้กับผมได้ครับตอนนี้ผมแทบอยากจะไปกราบเท้าขอโทษเจ้น้ำหวานเพื่อให้เจ้แกอนุญาตให้ผมออกไปจากถังน้ำนรกนี่สักที


แต่รู้สึกว่าเจ้น้ำหวานแกจะสะใจเป็นอย่างมากที่ผมตกน้ำหลายต่อหลายรอบด้วยน้ำมือเพื่อน ๆ ที่ปาบอลมาโดนป้ายบ้างหรือด้วยน้ำมือของไอเจมส์และไอบาสที่คอยดึงป้ายให้ผมตกลงในถังน้ำแบบไม่ได้ตั้งตัวบ้าง


ไอน้ำตาผมนี่แทบไหล หนาวก็หนาวหิวข้าวก็หิว ซ้ำมือกับเท้าของผมนี่ทั้งซีดและเหี่ยวไปหมดแล้วครับ สภาพผมนี่คงซีดแบบสุด ๆ แล้วครับ หนาวก็หนาวแถมยังโดนแกล้งอีก ‘แต่ตอนนี้มันกี่โมงแล้วเนี่ย’ ผมทำท่าจะหันไปถามไอเจมส์ที่จ้องจะแกล้งผมอีกครั้ง ซึ่งผมก็ชิงถามมันได้ก่อนที่มันจะแกล้งผมครับ


“เจมส์อย่าเพิ่งแกล้งกรู ตอนนี้กี่โมงแล้ววะ” ผมเอ่ยถามมันด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ซึ่งไอเจมส์กับไอบาสมันก็ใจดีตอบผมนะครับ ไอเจมส์ยกนาฬิกาขึ้นมาดูพร้อมกับพูดออกมาว่า “ตอนนี้สี่ทุ่มสิบห้าแล้วว่ะ มีไรเหรอ” ผมพยักหน้าตอบมันช้า ๆ พร้อมกับนั่งหันหน้าไปยังหน้าซุ้ม


ตอนนี้ผมเริ่มจะชินกับความหนาวแล้วครับ ไม่รู้ว่าผมด้านชาหรือผมไข้จะเริ่มขึ้นผมนั่งยกมือขึ้นมาเป่าให้มือทั้งสองข้าง พร้อมกับถูมือไปมาเพราะหวังว่ามันจะทำให้ผมอุ่นขึ้น แต่รู้สึกว่าแม่มไม่ได้ช่วยอะไรผมเลยครับ ผมยังถูกเพื่อน ๆ แกล้งและยังคงถูกลูกบอลปาใส่ป้ายจนตกน้ำไปหลายต่อหลายรอบในที่สุดผมก็รู้สึกว่าตัวเองทนไม่ไหวแล้วครับ รุ่นพงรุ่นพี่ผมไม่สนใจแล้วครับ ผมทำท่าจะปีนออกจากถังแต่ก่อนที่ผมจะได้ปีนออกจากถังสมใจบุคคลที่ผมรอมานาน (รอจะให้เขามาช่วยผมออกจากไอถังบ้า ๆ) นี่ก็มาถึงครับ


คุณพี่ศิรวิทย์นั่นเอง พี่ศิเดินเข้ามาที่ซุ้มพร้อมกับมองหาผมไปทั่วแต่พี่ศิก็หาไม่เจอครับ (นี่พี่ไม่คิดว่าจะมองมาที่ถังของหนุ่มน้อยตกน้ำเลยนะครับ) ในที่สุดความอดทนของพี่ศิก็หมดลง ร่างสูงของพี่เขาสาวเท้าเดินตรงไปหาเจ้น้ำหวานพร้อมกับเอ่ยถามหาตัวผม ไอคำถามนี้ทำเจ้น้ำหวานถึงกับหน้าซีด รู้สึกว่าเจ้น้ำหวานแกจะลืมไปว่าพี่ศิจะมารับผมในช่วงราว ๆ สี่ทุ่มเกือบ ๆ ห้าทุ่มครับ
สงสัยซุ้มคณะวิศวกรรมศาสตร์จะงานเข้าซะแล้วหละครับ ผมขอให้ทุกคนเตรียมข้ออ้างดี ๆ ด้วยแล้วกันนะครับ


“ไอวิน กรอยู่ไหน” พี่ศิเดินล้วงกระเป๋าพร้อมกับเดินเข้าไปใกล้ ๆ เจ้น้ำหวานใบหน้าคมขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยเหตุผลว่าเขาหาคนที่ตัวเองต้องการจะเจอกลับไม่เจอ


“ต้ายตาย..ศิขาไปนั่งหลังซุ้มก่อนนะคะเ ดี๋ยวน้ำหวาน..เอ้ย วินจะพาน้องกรไปส่งให้ถึงที่เลยค่ะ” เจ้น้ำหวานพยายามพูดบ่ายเบี่ยงพร้อมกับพยายามลากแขนพี่ศิให้เข้าไปหลังซุ้ม ท่าทางเจ้น้ำหวานแกไม่อยากให้พี่ศิรู้ว่าผมนั่งหนาวเป็นหนุ่มน้อยตกน้ำล่ะมั้งครับ เจ้แกเลยหาทางปิดบังไม่ให้พี่ศิรู้แต่การกระทำนั้นของเจ้น้ำหวานทำให้พี่ศิยิ่งสงสัยพี่เขากวาดสายตาไปรอบ ๆ ซุ้ม แต่รู้สึกว่าพี่เขาจะยังไม่ได้จ้องมายังถังน้ำที่ผมนั่งอยู่ มั้งครับพี่ศิเขาเลยยังไม่เจอผม


ผมนั่งแกว่งเท้าไปมารอสักพักแต่ผมก็ไม่คิดที่เอ่ยปากเรียกพี่ศิหรอกครับ พอดีผมยังสงสารพวกรุ่นพี่ ๆ กันอยู่ ถ้าเกิดผมร้องเรียกแล้วพี่ศิรู้ว่าผมถูกจับขึ้นมานั่งบนถังน้ำนี่ คนในซุ้มคณะวิศวะน่าจะนอนตายกันเป็นเบือครับ


แต่การที่พี่ศิมาซุ้มของเราก็ยังไม่หยุดกิจการนะครับผมยังคงนั่งเป็นหนุ่มน้อยตกน้ำอยู่ (แต่เพื่อนที่ต่อแถวเพื่อคอยแกล้งผมและไอเจมส์กับไอบาสที่ยืนขนาบข้างถังน้ำตอนนี้สลายร่างหนีหายกันไปหมดแล้วครับ) และผมก็ยังคงโดนจับให้นั่งอยู่บนถังน้ำนรกนั่น (และลูกบอลยังปามาที่ผมอยู่เหมือนกันครับ ดูเหมือนรุ่นพี่หลาย ๆ คนไม่รู้ว่าที่เจ้น้ำหวานแกประวิงเวลาให้มันยืดไปเพราะต้องการให้พี่สต๊าฟพาผมลงไปเปลี่ยนเสื้อผ้า) ในที่สุดลูกบอลลูกหนึ่งก็ปามาโดนเป้าทำให้ผมร่วงลงไปในน้ำซึ่งในตอนนี้ผมยังไม่ได้เตรียมใจที่จะตกลงไปในน้ำ ผมก็เลยเผลอส่งเสียงร้องออกมาเสียงดังและเสียงร้องของผมก็ทำให้พี่ศิและเจ้น้ำหวานหันมามองทางผม…ดูเหมือนว่าพี่ศิเขาจะเจอผมแล้วครับ


“เฮ้ยย!” ร่างของผมค่อย ๆ ร่วงลงไปในถังน้ำพร้อมกับสำลักน้ำออกมาอึกใหญ่ มือข้างหนึ่งของผมพยายามควานหาขอบถัง แต่สิ่งที่มือของผมไปสัมผัสได้กลับเป็นมือข้างหนึ่งของใครสักคนและผู้เป็นเจ้าของมือข้างนั้นก็เอื้อมมืออีกข้างมาจับตัวผมพร้อมกับช่วยพยุงให้ผมยืนขึ้น


“กรเป็นอะไรมากไหมครับ” เสียงทุ้มเอ่ยถามพร้อมกับหยิบผ้าเช็ดหน้าของตนออกมาช่วยเช็ดหน้าเช็ดตาของ ซึ่งคำถามนั้นผมก็ส่ายหัวปฏิเสธพร้อมกับส่งรอยยิ้มจาง ๆ กลับไปให้พี่ศิ “โหย สบายมากพี่สนุกดีออก มานั่งเป็นหนุ่มน้อยตกน้ำเนี่ย” ผมพูดโกหกใส่พี่ศิครับเพราะถ้าผมพูดความจริงออกไปมีหวังซุ้มคณะวิศวะคงมีศพของเจ้น้ำหวานนอนกองอยู่หน้าซุ้มคณะแน่นอนครับ


พี่ศิตวัดสายตาหันไปมองเจ้น้ำหวาน มือทั้งสองข้างก็พลางช่วยพยุงผมออกจากถัง ผมก็ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ให้กับพี่ศิพร้อมกับช่วยพูดแก้ตัวให้กับเจ้น้ำหวานและรุ่นพี่ทุก ๆ คน “โหยพี่ศิไปมองหน้าเจ้น้ำหวานแบบนั้นเจ้แกก็กลัวดิ ไม่ต้องหันไปมองเจ้เขาเลยแล้วไม่ต้องคิดด้วยว่าเจ้แกสั่งให้คนตามล่าตัวกรมานั่งที่ถังนี่ด้วย กรขอเจ้น้ำหวานนั่งเองเห็นว่ามันน่าสนุกดีเลยขอลองนั่งอ่ะ” สิ้นเสียงผมพี่ศิหันกลับมามองมพร้อมกับเปลี่ยนจากช่วยพยุงเป็นอุ้มผมออกมาจากถังเลยครับ แถมไม่ได้อุ้มธรรมดาด้วยนะครับพอตัวผมลอยขึ้นเนื้อน้ำแกก็เปลี่ยนเป็นท่าอุ้มเจ้าสาวเลยครับ


ไอผมนี่อายจนแทบจะมุดกลับลงไปในถังน้ำนรกนั่นอีกรอบเลยครับแต่ไม่ทันแล้วครับเพราะตอนนี้พี่ศิแกอุ้มผมเข้าไปหลังฉากพร้อมกับเรียกให้รุ่นพี่ที่คุมด้านหลังฉากเอาผ้าเช็ดตัวมาให้ผมห่อตัวครับ


“เดี๋ยวพี่ไปหาเสื้อเปลี่ยนให้นะครับกร” พี่ศิพูดพร้อมกับยกมือมาลูบศรีษะที่เปียกน้ำของผมก่อนจะลุกเดินออกไปจากซุ้มคณะของผม แต่ก่อนที่พี่ศิจะได้เดินออกไปเจ้น้ำหวานก็ทำหน้าหงอย ๆ เดินถือเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนมาให้ผมครับ


“นี่จะน้องกร…” เจ้น้ำหวานพูดเสียงหวานก่อนประโยคสุดท้ายเจ้แกจะพูดเสียงออกมาแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบว่า “ขอบใจนะกรที่พูดไปแบบนั้น ไม่งั้นไอศิเอาพี่ตายแน่ ๆ” เธอส่งยิ้มมาให้พร้อมกับเดินไปเรียกพี่ศิให้กลับมาดูแลผมที่ตอนนี้ซีดไม่รู้จะซีดยังไงแล้ว


“ไอวินเอาเสื้อมาให้เปลี่ยนแล้วรีบเปลี่ยนนะครับกร เดี๋ยวไม่สบายกันพอดี แถมตอนนี้หน้าซีดใหญ่แล้ว” ผมพยักหน้าตอบรับพี่ศิพร้อมกับเดินเข้าไปฉากกั้นที่เขากั้นไว้ให้เปลี่ยนเสื้อผ้า ผมจัดการถอดชุดที่เปียกโชกออกพร้อมกับสวมเสื้อชุดใหม่เข้าไป สภาพของผมตอนนี้ไม่ค่อยต่างจากตอนที่ผมนั่งบนถังน้ำนรกนั่นสักเท่าไหร่ สิ่งที่แตกต่างจากเดิมก็เปลี่ยนเป็นเสื้อยืดสีขาวไม่มีสกรีนลายชื่อของผมเท่านั้นครับ ส่วนกางเกงก็เป็นกางเกงขาสั้นแบบเดิมกับที่ผมสวมเมื่อสักครู่


ผมเดินออกจากฉากหลังพร้อมกับเอาผ้าขนหนูเช็ดผมส่วนมืออีกข้างก็ถือชุดที่ผมใส่เมื่อสักครู่ออกมาพี่ศิยืนกอดอกมองผมที่เดินออกมาจากฉากกั้น ในมือของพี่เขาก็ถือถุงใช่ใส่เสื้อนิสิตของผมไว้ แต่ผมกลับเลือกเดินตรงไปหาเจ้น้ำหวานพร้อมกับยื่นเสื้อผ้าที่เปียกโชกคืนให้เธอ แต่เธอก็ส่ายหัวปฏิเสธพร้อมกับพูดออกมาว่า “ชุดนี้เจ้ให้เลยจะ ยังมีอีกชุดนึงด้วยพวกพี่ทำไว้ให้สวมสามวันน่ะเอากลับไปด้วยสิจะ” เจ้น้ำหวานยื่นเสื้อผ้าอีกชุดนึงให้ผมในตอนนี้ในมือของผมมีเสื้อผ้าเหมือนกันสองตัว (แต่ถ้ารวมตัวที่ผมใส่อยู่ก็เป็นสามตัวครับ) หลังจากที่ผมคุยกับเจ้น้ำหวานเสร็จผมก็เดินถือเสื้อผ้าทั้งหมดไปหาพี่ศิพร้อมกับขอถุงพลาสติกที่พี่ศิถือไว้เอามาใส่เสื้อผ้าในมือ


“พี่ศิเอาถุงมาให้กรหน่อยสิ กรจะเอาใส่เสื้อพวกนี้อ่ะ” ผมยกเสื้อในมือให้พี่ศิดู ซึ่งพี่ศิก็ยื่นถุงมาให้ผมใส่เสื้อผ้าลงไป หลังจากผมจัดการเรื่องเสื้อผ้าเสร็จผมก็เอื้อมมือไปคว้าถุงพลาสติกไว้ แต่พี่ศิกับกระชากกลับไปเสียงก่อนพร้อมกับจูงมือของผมเดินออกไปจากซุ้มคณะวิศวะและตรงไปยังลานจอดรถ


‘เฮ้อ…ยังไม่ได้ลอยกระทงเลยต้องกลับแล้วสินะ’ ผมบ่นพึมพำในใจพร้อมกับยื่นมือไปเปิดประตูรถ แต่ก็ไม่ทันที่ผมจะได้เข้าไปนั่งในตัวรถเสียงทุ้มของพี่ศิก็เอ่ยขึ้นมาพร้อมกับใบหน้าคมที่จ้องมาทางผม


“กรไปลอยกระทงกันไหม กรอยากลอยไม่ใช่เหรอ” ใบหน้าของพี่ศิดูจะขึ้นสีน้อย ๆ นิ้วเรียวยาวพลางยกขึ้นมาเกาแก้มตนและเบนหน้าหันไปทางอื่น


“ไปสิไปกันเลย กรอยากลอยกระทงกับพี่ศิมากเลยล่ะ” ผมหลุดหัวเราะกับท่าทางเขินอายของพี่ศิ ก่อนจะเดินวนไปจับมือพี่ศิพร้อมกับลากพี่เขาเดินเข้าไปในงานอีกครั้ง





ตอนนี้ผมเดินเข้าไปในงานพร้อมกับควงแขนพี่ศิเดินไปซุ้มนั้นซุ้มนี้ พอเข้าไปในซุ้มผมก็อ้อนให้พี่ศิแกเล่นเกมส์ให้ (ประเด็นคือไอเกมส์ตามในงานวัดนี่ถ้าให้ผมเล่นมันก็เสียเงินฟรีครับไม่ก็ได้แต่ขนมขบเคี้ยวมากินเล่นเท่านั้น ไม่เคยได้ตุ๊กตามากอดมาเล่นหรอกครับ คราวนี้ผมเลยขอให้พี่ศิเล่นให้แทน) และตอนนี้เราเดินมาถึงบูทปาลูกโป่งครับซึ่งผมก็อ้อนให้พี่ศิปาลูกโป่งให้ ซึ่งพี่แกก็ไม่ปฏิเสธครับแถมซื้อแบบ 1 ดอกหนึ่งร้อยบาทครับ


พอพี่ศิได้รับลูกดอกมาอยู่ในมือ ไอผมก็ยืนลุ้นอยู่ข้าง ๆ พี่ศิเขาครับแถมพูดกดดันพี่เขาด้วย “พี่ศิอย่าให้พลาดนะพี่ ตั้ง 100 บาทเลยนะดอกนี้ ถ้าไม่ได้นี่กรจะเอาไปพูดบอกทุกคนให้หมดเลยว่านักกีฬาบาสปาลูกดอกพลาด” ผมพูดพร้อมกับเกาะบ่าอีกข้างของพี่ศิไว้แน่นพร้อมกับหลับตาปี๋ลุ้นให้พี่ศิปาให้โดนลูกโป่ง (พี่ศิถือลูกดอกมือซ้ายครับส่วนผมเกาะบ่าพี่เขาด้านขวาครับ) ช่วงเวลาไม่กี่อึดใจลูกดอกที่อยู่ในมือของพี่ศิก็ปาไปโดนลูกโป่งครับ ผมนี่ร้องกรี๊ดใส่หูพี่ศิเลยครับพร้อมกับเอามือกอดคอพี่ศิแล้วเขย่าไปมา


พี่ศิก็ได้แต่หัวเราะเบา ๆ พร้อมกับแกะมือของผมออกจากคอและจูงมือผมให้ไปเลือกตุ๊กตา “กรอยากได้ตัวไหนเลือกสิรางวัลเมื่อกี้พี่ยกให้กร” สิ้นเสียงพี่ศิผมนี่แทบอยากจะกระโดดไปกอดคอพี่ศิแล้วหอมแก้มสักทีสองทีแต่ได้แค่คิดหละครับอารมณ์คนมันดีใจผมรีบเดินไปมองกองตุ๊กตาแล้วเลือกตุ๊กตาแมวตัวโตออกมาหนึ่งตัว ผมหันไปยิ้มให้กับพี่ศิพร้อมกับกอดคอตุ๊กตาตัวใหญ่นั่นเดินออกจากซุ้มปาลูกโป่ง


และหลังจากที่ผมกับพี่ศิเดินวนเวียนเข้าซุ้มโน้น ซุ้มนี้หลายต่อหลายซุ้มตอนนี้นอกจากตุ๊กตาน้องแมวตัวโต มีทั้งลูกโป่งสวรรค์ ปลาทอง กังหันลม และอะไรจิปาถะอีกมากมายและสิ่งของที่อยู่ในมือผมนี่เป็นความอนุเคราะห์ของว่าที่นายแพยท์ศิรวิทย์นั่นเองครับ ไอของเล่นจิปาถะทั้งหลายนี่ยังไม่รวมของกินที่อยู่เต็มไม้เต็มมือของพี่ศินะครับ เพราะว่านอกจากผมจะเข้าไปเล่นเกมส์ตามบูทต่าง ๆ แล้วผมก็แวะร้านขายของกินไม่เว้นร้านเหมือนกันซื้อกันแบบเอาให้ตายไปข้างเลยครับ มีทั้งปลาหมึกย่างสายไหมทาโกยากิแบบบ้าน ๆ ซูชิชิ้นละ 5 – 10 บาท ไอติมทอด และแก้วนมสดร้านเดียวกับที่ผมซื้อไปเมื่อสองวันที่แล้ว (ไอร้านที่ผมเจอพี่ศินั่นแหละครับ)


ผมเดินกอดตุ๊กตาไปพลางลากพี่ศิเข้าร้านโน้นเข้าร้านนี้ไปในที่สุดเราก็ใกล้จะถึงสระที่ทางมหาวิทยาลัยจัดไว้ให้นิสิตและบุคคลภายนอกเข้ามาลอยกระธงกันครับ สองข้างทางจากเป็นร้านขายของกินของเล่นตอนนี้เปลี่ยนเป็นร้านขายกระทงจนเต็มสองข้างทาง ผมกับพี่ศิเดินดูกระทงกันไปมาในที่สุดผมกับพี่ศิก็เจอกระทงที่ถูกใจกันสักที


ผมกับพี่ศิวิ่งปรี่ตรงเข้าไปที่ร้าน ๆ นั้นพร้อมกับชี้กระทงที่ตัวเองหมายตากันเอาไว้ แต่เจ้ากรรมกระทงที่ผมกับพี่ศิเลือกดันเป็นกระทงใบเดียวกันเราหันหน้ากลับมามองกันก่อนที่พี่ศิจะบอกผมว่าให้ผมเอากระทงใบนี้ไปเถอะ ซึ่งผมก็ตั้งใจพูดกับพี่ศิแบบนั้นเช่นกัน


“กรเอาไปสิ พี่เอากระทงใบอื่นก็ได้นะ” เสียงทุ้มเอ่ยใส่ผมพร้อมกับหันไปมองกระทงใบอื่นแทน แต่ผมก็เกรงใจพี่ศิเหมือนกันเพราะไอของทั้งหมดในมือของผมกับพี่ศิมันเป็นเงินของพี่ศิทั้งนั้นผมเลยพูดให้พี่ศิเอากระทงใบนั้นไปแทน


“พี่ศิเอากระทงใบนี้ไปเถอะ เดี๋ยวกรดูใบอื่นแทน” ผมบอกปัดพร้อมกับหันหน้าไปดูกระทงใบอื่นแต่พี่ศิก็ไม่ยอมยังไงแกก็อยากจะให้ผมเอากระทงใบนั้นให้ได้ เราเถียงกันไปกันมาสักพักในที่สุดผมก็มีความคิดที่จะทำให้เราสองคนได้ลอยกระทงใบที่ชอบที่สุดแล้วครับ


“พี่ศิ ถ้าเราทั้งสองคนชอบกันทั้งคู่แบบนี้ก็ลอยกระทงใบเดียวกันไปซะก็สิ้นเรื่องไม่เห็นต้องมาเกี่ยงให้คนนี้ไปคนนี้มาเลย” ผมพูดพร้อมกับควักกระเป๋าเงินจ่ายแม่ค้าไป และที่ผมคิดว่าเราทั้งสองคนลอยกระทงใบเดียวกันได้นั่นก็เพราะกระทงใบนี้ราคาสูงพอสมควรเลยครับแถมมันก็ใหญ่ใช่เล่นเลยดังนั้นการลอยกระทงใบเดียวกันเพื่อขอขมาพระแม่คงคาคงได้ล่ะมั้ง


เมื่อจ่ายเงินเสร็จผมก็หันไปส่งยิ้มและยักคิ้วให้กับพี่ศิพร้อมกับยกกระทงด้วยมือเดียวขึ้นมา (แต่ท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ สักเล็กน้อยนะครับ เพราะว่ามืออีกข้างนึงผมถือทั้งตุ๊กตาทั้งของเล่นส่วนพี่ศิก็ท่าทางจะช่วยผมยากครับของกินที่ผมกับพี่ศิซื้อกันนี่เต็มไม้เต็มมือพี่เขาดังนั้นคนที่รับหน้าที่ถือกระทงของพวกเราสองคนนั่นก็คือผมครับ


ผมกับพี่ศิค่อย ๆ เดินแทรกตัวพร้อมกับพูดขอทางไปตลอดทาง ในที่สุดพวกเราสองคนก็เดินมาถึงริมขอบสระครับผมวางน้องแมวตัวโตของผมไว้ข้างๆ (เอาง่าย ๆ ผมวางของทุกอย่างไว้ข้างตัวหมดเลยครับซึ่งพี่ศิก็ทำเหมือนกัน) ผมเริ่มคว้าหาไปแชกที่เพิ่งยืมมาจากร้านพร้อมกับพยายามจุดธูปและเทียบให้ติดแต่ลมมันดันแรงมากทำให้ผมจุดไฟติด ๆ ดับ ๆ  อยู่หลายต่อหลายครั้ง ในที่สุดพี่ศิเขาก็ทนไม่ไหวมือกร้านถูกยกขึ้นมากันลมไว้ ในที่สุดกระทงของผมกับพี่ศิก็ไฟติดสักทีครับ


เราทั้งสองคนช่วยกันยกกระทงขึ้นเพื่ออธิฐานผมหลับตาลงพร้อมกับเอ่ยขมาพระแม่คงคาภายในใจและ พูดขอให้ตัวและและคนรอบข้างของผมมีความสุขแต่ดูเหมือนผมจะอวยพรเร็วไปหน่อยเพราะตอนที่ผมลืมตา ดวงตาคมที่ซ่อนอยู่ภายใต้แว่นสายตากรอบสีดำก็ยังไม่ยอมลืมตื่น ผมถือกระทงรอพี่ศิไปพลางมองไล่ตามโครงหน้าของพี่ศิไปแพขนตาหนาที่จัดเรียงกันไว้สวยงามบนใบหน้า จมูกที่โด่งเป็นสันทั้งริมฝีปากหนาที่มักจะส่งรอยยิ้มจาง ๆ มาให้ ผมมองใบหน้าคมนั่นไปอีกสักพักในที่สุดดวงตาของพี่ศิก็ลืมตื่นพร้อมกับจ้องมาในดวงตาของผม ทันใดนั้นดวงหน้าของผมก็ขึ้นสีแดงจัดก่อนที่ผมจะสะบัดหน้าหันหนีไปอีกทาง


“พะ...พี่ศิเรารีบลอยกระทงกันเถอะ หนะ…นี่ก็ดึกแล้วพรุ่งนี้ พี่ศิก็ยังมีเรียนไม่ใช่เหรอ” ผมพูดตะกุกตะกักพร้อมกับค่อย ๆ ถือกระทงและวางมันลงไปบนผิวน้ำ


เราทั้งสองคนปล่อยให้กระทงลอยไปตามสายน้ำเรามองดูกระทงใบนั้นที่ค่อย ๆ ลอยหากจากพวกเราไปจนในที่สุดเราก็เห็นเพียงแค่แสงไฟดวงเล็ก ๆ ที่สว่างไสวอยู่ในน้ำ


“กลับกันเถอะครับกร” พี่ศิลุกขึ้นพร้อมกับปัดกางเกงนิสิตของตัวเองก่อนจะยื่นมือข้างหนึ่งมาทางผมเพื่อนช่วยพยุงให้ผมลุกขึ้นยืน


ตลอดระยะทางที่เราเดินกลับไปที่ลานจอดรถเราทั้งสองคนเดินจูงมือกันตลอดทาง และกว่าเราทั้งสองคนจะปล่อยมือออกจากกันก็ตอนถึงรถกันแล้ว


บางทีวันนี้มันก็อาจจะทำให้ผมรู้สึกอะไรขึ้นมาได้อีกอย่างหนึ่งว่าความรู้สึกของผมที่มีให้พี่ศิมันเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และไม่มีท่าทีที่ผมจะหยุดความรู้สึกนั้นได้




_______________________



....พี่ศิ...นายจะทำน้องกรหวั่นไหวไปถึงไหนความจริงกรก็รู้นะคะว่าพี่ศิเออจีบนะ...แต่...ตามที่พลอยบอกไป กรไม่ง่ายนะคะ พอแต่งตอนนี้จบมันให้อารมณืว่าพี่ศิเป็นห่วงและหวงน้องกรมาก ๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 21] 09/11/2013 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: saiiisai ที่ 09-11-2013 14:03:39
จะละลาย
ถ้าเป็นพี่ศิตอนนี้อาจจะเริ่มท้อแล้วว่า เมื่อไหร่กรจะยอมซักที  :-[
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 21] 09/11/2013 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 09-11-2013 14:15:14
 :impress2:   เค้าลอยกระทงใบเดียวกันด้วยยยย

สู้ต่อไปค่ะพี่ศิ    :a2:

 :L2: :กอด1: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 21] 09/11/2013 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 09-11-2013 15:07:48
เขาได้ลอยกระทงใบเดียวกัน อิจฉาจริงๆ
น้องกรยังช่วยเจ้น้ำหวานรอดมือพี่ศิอย่างหวุดหวิด
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 21] 09/11/2013 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 09-11-2013 20:29:13
เขิน อ๊ายยยย ฟินนน >//////< เจ๊น้ำหวานเกือบตายแล้ว55
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 21] 09/11/2013 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: omyim_jjj ที่ 09-11-2013 21:28:03
เขิน   หวานอ่ะ

:o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 21] 09/11/2013 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 09-11-2013 23:30:18
เกรงใจกันบ้างคนมันอิจฉา อิอิ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 21] 09/11/2013 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 10-11-2013 00:46:31
ใครเป็นคนคิดชุดหนุ่มน้อยตกน้ำเนีย  o13. น้องกรเอาไว้ใส่ยั่วพี่ศิที่น้องนะ 555
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 21] 09/11/2013 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: RenaBee ที่ 11-11-2013 01:06:06
พี่ศิสู้ๆค่่ะ!!!! แค่นี้น้องกรก็ไปไหนไม่รอดแล้ว!
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 21] 09/11/2013 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 13-11-2013 16:33:21
สนุกดีค่ะ แถมกรยังน่ารักน่ามึนได้อีก
อ่านหลายวันกว่าจะตามทัน

+1 เป็นกำลังใจให้นะค่ะ
 :กอด1:  :L2:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 22] 13/11/2013 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 13-11-2013 19:58:27


ปีใหม่ คริสต์มาสยังไม่มา แต่ทางนี้ส่งน้องกรกับพี่ศิไปเค้าดาวน์กับคริสต์มาสแล้ว



Chapter 22



งานลอยกระทงเจ้ากรรมได้ผ่านพ้นไปแล้วครับ คณะวิศวกรรมศาสตร์ของเราได้กำไรแหลกลานกับซุ้มหนุ่มน้อยตกน้ำและวันที่ทำยอดได้มาที่สุดก็คือวันสุดท้ายครับ ก็ไอวันที่ผมโดนเจ้น้ำหวานจับไปนั่งบนถังน้ำนรกนั่นหละครับ ไอได้กำไรถล่มทลายก็ดีอยู่หรอกครับแต่หลังจากคืนนั้นวันต่อมาผมก็เป็นไข้ทันทีเลยหละครับแต่ว่าไข้มันก็ไม่ได้หนักหนาอะไรมาแค่ตัวร้อนนิดหน่อยแล้วไอเล็กน้อยเท่านั้นเองครับ แต่ก็ดีนะครับที่วันต่อมาเป็นวันหยุดผมเลยได้นอนพักผ่อนเต็มอิ่มจนหายดี และหลังจากวันลอยกระทงตอนนี้ก็ผ่านมาหลายอาทิตย์แล้วครับ ที่ผมบอกพวกคุณนี่เพราะว่าผมอยากเกริ่นเรื่องให้ทุกคนได้ฟังเท่านั้นเองแหละครับ เพื่อว่าทุกคนจะได้เข้าใจว่าผมจะเล่าเรื่องอะไรต่อไป (และผมก็รู้ว่าทุก ๆ คนอยากรู้เรื่องความสัมผัสกับผมกับพี่ศิ นับจากวันลอยกระทงเราทั้งสองคนก็ยุ่งหัวปั่นกันแบบเดิม พี่ศิก็ไปเรียนเช้ากลับดึก เข้าเวร ดังนั้นเวลาที่เราสองคนได้เจอกันก็เป็นเวลาช่วงเช้าที่พี่ศิมาปลุกผมและชวนผมไปทานข้าวเช้าเท่านั้นแหละครับ ส่วนตอนเย็นมีโอกาสน้อยมากที่จะได้เจอพี่เขาครับช่วงนี้พี่ศิวุ่น ๆ อยู่ด้วยเพราะพี่ศิเขาใกล้จะสอบแล้ว)


และตอนนี้ก็ก้าวเข้าสู่หน้าหนาวอย่างเต็มตัวแล้วครับ ดังนั้นอากาศในตอนเช้าจะทำให้หน้านอนมากขึ้นขึ้นผมก็แต่เกริ่นเรื่องไปเท่านั้นแหละ ที่ผมจะเล่าก็คือตอนนี้เข้าใกล้เทศกาลวันหยุดยาวคือวันขึ้นปีใหม่แล้วหละครับ แต่ก่อนวันขึ้นปีใหม่เราก็มีวันสำคัญทางศาสนาคริสต์อีกวันหนึ่งนั่นก็คือวันคริสต์มาสครับและวันนั้นพวกผมกับเพื่อน ๆ จะจัดปาร์ตี้กันครับและที่สถานที่ใช้จัดนั่นก็คือหอของผมนั่นเอง (แต่พวกเราจะจัดกันในวันคริสต์มาสอีฟนะครับ ซึ่งมันคือวันที่ 24 และเหตุผลสำคัญที่จะจัดวันนั้นเพราะมันเป็นวันศุกร์ไงครับดังนั้นพวกเพื่อน ๆ ของผมจะได้ดื่มยาวยันวันเสาร์ไปเลย) ไอผมก็อยากจะวายวายอยู่หรอกนะครับว่า ‘ทำไมต้องเป็นหอกรูตลอด’ เพื่อน ๆ ทั้งหมดก็ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบง่ายว่า ‘มรึงอยู่คนเดียวแล้วห้องมรึงกว้างดี’ แค่นั้นแหละครับ และหลังจากมันบังคับให้คอนโดของผมเป็นสถานที่จัดปาร์ตี้มันก็ไม่เปิดโอกาสให้ผมเถียงอีกต่อไปเหมือนกับว่าพวกมันตัดผมออกจากวงสนทนาไปแล้วครับ


เมื่อลงมติกันแบบนี้ผมก็เถียงมันไม่ไปครับ ผมก็ได้แต่จำใจจัดเตรียมห้องรอพวกมันมาฉลองกัน แต่ผมลืมบอกอะไรไปใช่ไหมล่ะครับว่าวันนี้เป็นวันที่เท่าไหร่แล้ว ตอนนี้เป็นวันที่ 23 ธันวาคมครับอีกวันเดียวก็ถึงวันคริสต์มาสอีฟแล้วครับดังนั้นผมก็ต้องปลีกตัวไปเตรียมห้องตั้งแต่วันนี้เลยครับ ผมลุกขึ้นพร้อมกับยกกระเป๋าสะพายขึ้นบนบ่าก่อนจะบอกลาเพื่อนเรียงคนและเดินจากไป (วันนี้ผมเรียนครึ่งวันครับเลยคิดว่าจะไปซุปเปอร์เพื่อซื้อของมาเตรียมไว้ ผมกะว่าจะทำเค้กเลี้ยงพวกมันครับและคิดว่าจะทำเลี้ยงคนข้างห้องที่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เห็นหน้าเห็นตาด้วย)


ผมเดินไปยังลานจอดรถพร้อมกับเดินไปหารถของตัวเอง (ผมคิดว่ารถคันนี้น่าจะน้อยใจผมสักเล็กน้อยนะครับเพราะตั้งแต่ผมรู้จักพี่ศินี่ไอรถคันนี้ผมแทบจะนับครั้งได้เลยว่าผมขับมันไปกี่รอบ) ผมเปิดประตูขึ้นรถพร้อมกับขับมันออกไปซุปเปอร์มาร์เก็ตครับ ส่วนซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ผมขับไปนั้นก็เป็นสถานที่เดียวกับที่ที่ไอเจมส์กับไปบาสขับพาผมไปซื้ออุปกรณ์ทำทาร์ตไข่เมื่อเทอมที่แล้วนั่นแหละครับ


เมื่อผมวนหาที่จอดรถได้สำเร็จผมก็รีบเดินลงจากรถพร้อมกับเดินเข้าไปภายในซุปเปอร์นั่นผมเข็ญรถเข็นออกมาหนึ่งคันพร้อมกับเดินไปยังแผนกเครื่องทำเบเกอร์รี่ ตอนนี้ผมยังคิดไม่ออกหรอกครับว่าผมจะทำอะไรเลี้ยงพวกมันแต่อย่างน้อยก็ควรเตรียมเค้กอร่อย ๆ ให้พวกมันกินเล่นสักสองสามปอนด์แหละครับ ผมเดินคิดเมนุไปเรื่อย ๆ แต่คิดยังไงผมก็ไม่รู้ว่าผมจะทำเค้กชนิดไหนเลี้ยงพวกมันดี ดังนั้นวิธีการสุดท้ายของผมนั่นก็คือโทรศัพท์หาที่ปรึกษากิตติมศักดิ์นั่นก็คือ พี่ศิรวิทย์ที่รักของทุก ๆ คนนั้นเองครับ
ผมหยิบมือถือรุ่นกลางเก่ากลางใหม่ขึ้นมาพร้อมกับกดเบอร์โทรศัพท์หาพี่ศิทันที (ถ้าจะให้บอกว่าผมจำเบอร์โทรศัพท์มือถือพี่ศิได้ขึ้นในแล้วก็น่าจะเขินอายเกินไปแต่ก็อย่างที่บอกครับผมไม่ต้องรันหาเบอร์โทรพี่ศิตอนนี้ตัวเลขทั้ง 10 หลักนั้นมันฝังลงไปในสมองของผมแล้วครับเพราะผมโทรหาพี่เขาบ่อยเกินจนจำได้ขึ้นใจ) ผมยืนฟังเสียงสัญญาณโทรศัพท์อยู่สักพัก ในที่สุดเสียงทุ้มอันเป็นเอกลักษณ์ของพี่ศิก็ก็ดังแทรกสัญญาณมา “สวัสดีครับกร ขอโทษที่พี่รับช้านะครับพอดีพี่กำลังทานข้าวกลางวันอยู่ มีอะไรงั้นเหรอครับ”


“พี่ศิ วันคริสต์มาสอีฟเพื่อนกรจะมาปาร์ตี้กับที่ห้องของกร กรควรทำเค้กอะไรเลี้ยงพวกมันดีอ่ะ” ผมถามพี่ศิด้วยน้ำเสียงร้อนรนเล็กน้อยซึ่งอีกฝ่ายผู้เป็นคู่สนทนาของผมก็ให้คำแนะนำได้เป็นอย่างดี (แต่พี่แกไม่คิดเลยเหรอว่าผมจะทำมันเป็นไหม)


“พี่อยากทานชีสเค้ก” เสียงทุ้มตอบกลับตามรสนิยมของตัวเองซึ่งผมไม่ได้ถามว่าพี่ศิเขาอยากจะทานอะไรแต่ผมถามว่า ‘กรควรทำอะไรเลี้ยงเพื่อนดี’


“กรถามถึงเพื่อน ๆ ไม่ได้ถามพี่ศิสักหน่อยว่าพี่ศิอยากกินอะไรสักหน่อย…อย่ามาโมเมอยากกินเลย กรไม่ทำให้กินหรอก…” ผมเบ้ปากพร้อมกับตอบพี่ศิไป ซึ่งเสียงหัวเราะของพี่ศิก็ดังตามสัญญาณมา ซึ่งในประโยคสุดท้ายที่ผมบ่นไปว่าผมไม่ทำให้พี่แกกินหรอก พี่ศิแกยังได้ยินผู้ชายบ้าอะไรหูนรกจริง ๆ


“พี่ไม่ได้โมเมสักหน่อยถ้าพี่บอกว่าพี่อยากทานยังไงกรก็ทำให้พี่ทานอยู่ดี ไม่งั้นกรจะโทรมาถามพี่ทำไมจริงไหมล่ะ” ให้ตายเถอะครับผู้ชายคนนี้นี่มั่นใจในตัวเองซะเหลือเกินแต่ก็จริงนะครับถ้าผมคิดออกผมก็คงไม่โทรไปถามความคิดเห็นพี่เขาและถ้าผมไม่ทำตามใจอยากของพี่ศิผมจะโทรไปหาพี่เค้าทำไม


“โอเค กรยอมแพ้พี่ศิอยากทานชีสเค้กธรรมดาหรือ สตรอเบอร์รี่ชีสเค้ก หรือบลูเบอร์รี่ชีสเค้กครับ” ผมเดินคุยโทรศัพท์ไปพร้อมกับเดินหยิบวัตถุดิบที่ใช้สำหรับทำชีสเค้กไป ซึ่งพี่ศิก็ตอบกลับมาหาผมอย่างรวดเร็วเหมือนกับว่าพี่เขามีของที่อยากจะกินอยู่ในใจเอาไว้แล้ว


“พี่อยากทานสตรอเบอร์รี่ชีสเค้ก แล้วสตรอเบอร์รี่พี่ขอเป็นของญี่ปุ่นนะเอาลูกใหญ่ ๆ สด ๆ นะครับกร” ดูสิครับดูพี่ศิเขาสั่งอะไรไอผมได้ฟังนี่แทบอยากจะล้วงมือเข้าไปในโทรศัพท์แล้วเขย่าคอของพี่ศิเสียงจริงแต่ผมก็ทำตัวหงุดหงิดไปอย่างนั้นแหละครับเพราะว่าหลังจากที่ผมหยิบพวกแป้งที่ใช้สำหรับทำตัวฐาน และเนื้อของชีสเค้กผมก็เดินต่อไปที่แผนกผลไม้สดเพื่อเลือกสตรอเบอร์รี่เอามาใช้เรียงบนหน้าชีสเค้กและทำน้ำซอสราดครับ


“พี่ศิชอบทานแบบไหนอ่ะ หวานมากไหม กรกำลังคิดว่าซอสที่ราดบนชีสเค้กจะเอาหวานอมเปรี้ยวนิด ๆ หรือเอารสธรรมชาติของสตรอเบอร์รี่เลย” ผมใช้ไหล่หนีบโทรศัพท์ไว้ ส่วนมือทั้งสองข้างกำลังถือแพคสตรอเบอร์รี่เพื่อเลือกดูว่าสตรอเบอร์รี่กล่องไหนสดกว่ากัน (ที่สำคัญที่สุดคือสตรอเบอร์รี่ในกล่องไหนลูกใหญ่กว่ากันด้วยครับพี่ศิแกรีเควสมา)


“พี่ทานอย่างไหนก็ได้ครับ แล้วแต่กรชอบดีกว่า” พี่ศิตอบผมทำเอาผมลอบแอบคิดไปว่า ‘นี่ผมยังไม่ได้บอกไปว่าจะทำเผื่อพี่ศิสักหน่อยนี่คุณพี่คิดไปเองแล้วเหรอครับว่าผมจะทำให้พี่เขาทานด้วยทำเป็นรู้ดี’


“ครับ ๆ ตามบัญชาครับท่านราชาเดี๋ยวข้าน้อยรณกรจะทำอาหารที่ท่านราชาศิรวิทย์ชอบทานเอง ดังนั้นตอนนี้ท่านราชาโปรดขึ้นไปเรียนเถอะครับ นี่เริ่มเข้าคาบบ่ายแล้วนะ” ผมกรอกเสียงตอบกลับพี่ศิไปพร้อมกับกล่าวถ้อยคำลา เพราะว่าตอนนี้เริ่มเข้าคาบบ่ายแล้วครับ ถ้าไม่รีบวางเห็นทีพี่ศิจะไปเข้าเรียนไม่ทันเอาก็ได้ ซึ่งพี่ศิแกก็ดูเหมือนจะรู้ตัวนะครับหลังจากพี่เขากล่าวลาผมพี่แกก็รีบกดตัดสายไปเลย สงสัยจะรีบจัดเลยกดตัดสายเองไปแบบนี้ (ปกติพี่ศิจะให้ผมเป็นคนวางสายก่อนตลอดครับแต่ครั้งนี้พี่ศิคงรีบจริง ๆ)


หลังจากที่พี่ศิวางสายไปผมก็เดินไปเลือกสตรอเบอร์รี่ต่อ และในที่สุดผมก็ได้สตรอเบอร์รี่ตามรีเควสของพี่ศิมาสองกล่องครับ (เพราะผมคงต้องทำชีสเค้กสองก้อน ก้อนแรกก็ต้องใหญ่หน่อยส่วนอีกก้อนเอาให้พี่ศิไป) คราวนี้สิ่งที่เตรียมพร้อมสำหรับทำชีสเค้ก (ที่พี่ศิแกอยากกิน) ก็เสร็จสมบูรณ์แล้วครับ


ผมเดินเข็นรถเข็นไปยังเคาท์เตอร์จ่ายเงิน ผมยืนรอพนักงานคิดเงินสักพักในที่สุดค่าเสียหายสำหรับชีสเค้กสองก้อนก็ปรากฏไอผมนี่จ่ายเงินไปทั้งน้ำตาเลยครับแถมเงินทอนจากการที่จ่ายแบงค์พันไปสองใบนี่เหลือทอนผมมาไม่ถึงร้อยบาท (ผมว่าไอการทำเค้กเลี้ยงเพื่อนครั้งนี้มันแพงบรรลัยเลยล่ะครับ)


ผมเดินตัวปลิวพร้อมกับหิ้วถุงพลาสติกออกมาจากซุปเปอร์พร้อมกับเอาของที่ซื้อมา (โยน) ใส่เข้าไปที่เบาะหลังของรถก่อนจะเดินตัวปลิว (เพราะกระเป๋าเงินเบาหยอง) กลับขึ้นที่นั่งคนขับพร้อมกับขับมันออกไปจากลานจอดรถแห่งนี้ และหลังจากที่ผมขับรถออกมาจากซุปเปอร์ไม่นานในที่สุดผมก็ขับรถมาถึงคอนโดของผมครับ พอรถจอดสนิทผมก็รีบเอาของลงจากรถและวิ่งขึ้นลิฟท์ไปทันที


ผมไขกุญแจเพื่อนปลดลอคห้องของผมพร้อมกับแทรกตัวเข้าไปในห้องทันที ที่ผมรีบไม่ใช่อะไรหรอกครับการทำชีสเค้กมันต้องใช้เวลาในการทำมากแถมทำเสร็จแล้วก็ต้องแช่ตู้เย็นทิ้งไว้หลายชั่วโมงอีก (ผมเลยทำชีสเค้กเจ้ากรรมในวันพรุ่งนี้ไม่ได้ไงเลยต้องมาทำวันนี้แทน) ผมหยิบชอบที่ซื้อมาทุกอย่างออกมาวางเรียงพร้อมวิ่งเอาสตรอเบอร์รี่ลูกโตตามรีเควสของพี่ศิเอาไปแช่ทิ้งไว้ในตู้เย็นเอาหละเมื่ออุปกรณ์ครบ วัตถุดิบพร้อม ต่อไปก็ถึงขั้นตอนการทำครับ


ขั้นแรกที่ต้องทำนั่นก็คือการเตรียมฐานของชีสเค้กครับ โดยส่วนมากหลาย ๆ คนจะทำเหมือนลักษณะทาร์ตกันนะครับคือการเอาพวกแครกเกอร์มาบด ๆ แล้วผสมเนยแต่คราวนี้ผมจะขอทำตามสูตรที่บ้านครับโดนใช้แปะมาทำแผ่นแครเกอร์ขนาดใหญ่ครับขันแรกคือโยนน้ำตาลและเนยมันลงไปในถังที่ใช้สำหรับตีพวกเนื้อครีมกับพวกคุกกี้ครับ (คราวนี้ผมมีอุปกรณ์ทำขนมเพิ่มแล้วนะครับ หลังจากที่ผมสัญญาณแลกเปลี่ยนกับพี่ศิว่าจะทำขนมให้ทานผมก็ทนทำขนมโดยใช้มือเปล่าตีไป แต่พอคุณม๊าแกทราบว่าเวลาผมทำขนมผมมักจะเอาไปฝากพี่ศิ คุณม๊าแกก็ถอยเครื่องตีเค็กมาให้ผมทันทีเลยครับผมเลยมีอุปกรณ์ทำขนมเพิ่มในห้องครัวด้วยประการฉะนี่ครับ) จะพูดว่าโยนมันก็รุนแรงไปเอาเป็นว่าผมเทลงไปอย่างรุนแรงครับผมเปิดเครื่องตีระดับเบาสุดพร้อมกับใส่วัตถุดิบชนิดต่าง ๆ ลงไป ไข่แดง วานิลลา และเกลือลงไปครับ และขั้นตอนสุดท้ายก็คือโรยแป้งใส่ไปอย่างช้า ๆ ครับพร้อมกับกดปุ่มให้เครื่องตีตีแรงขึ้นกว่าเดิมระดับหนึ่งและรอจนฐานของเค้กใช้ได้ครับ


พอฐานเค้กจับตัวกันได้ที่ผมก็นำมันออกมาคลึงเป็นแผ่นขนาดพอประมาณครับพร้อมกับเอาพิมพ์กดลงไปครับตอนนี้ผมก็ได้แผ่นแป้งเป็น 2 แผ่นครับใหญ่หนึ่งแผ่นเล็กหนึ่งแผ่นครับ หลังจากนั้นผมก็เตรียมการน้ำเจ้าแผ่นแป้งทั้งสองชิ้นเข้าไปอบในเตาให้เหลืองเป็นสีน้ำตาลสวยครับจากนั้นก็พักแป้งไว้ให้เย็นตัวครับและนำมันเข้าไปใส่ในพิมพ์สำหรับทำชีสเค้กครับแล้วก็เอาเนยสำหรับทาไม่ให้เนื้อเค้กติดทาไปบนตัวแม่พิมพ์ครับจากนั้นก็พักส่วนนั้นไปครับ แล้วเราก็มาทำส่วนของเนื้อชีสเค้กกันดีกว่าครับ
เรามาตีเนื้อครีมชีสกันดีกว่าครับผมเทเนื้อครีมชีสไปพร้อมกับใส่เนื้อโยเกิร์ตไปด้วยครับ พอเราตีไปได้สักพักเนื้อชีสเค้กก็จะเนียนสวยกำลังน่ากินเลยครับ หลังจากนั้นเราก็เทน้ำตาลทรายลงไปพร้อมกับใส่ไข่แดงลงไปครับก่อนจะตีให้มันเข้ากันอีกครั้งหลังจากนั้นส่วนประกอบที่เหลือก็โยน ๆ มันเข้าไปในเครื่องตีนั่นแหละครับ พอดีไปสักพักเนื้อครีมก็เข้ากันดีครับ ขั้นตอนจากนั้นก็คือการเทเข้าไปไปในแม่พิมพ์พร้อมกับเอาแม่พิมพ์ทั้งสองเข้าไปอบในเตาผมนั่งรอเจ้าเค้กตัวนี้อบไปสักพักในที่สุดเจ้าชีสเค้กเจ้ากรรมมันก็เสร็จครับ ผมใส่ถุงมือกันความร้อนพร้อมกับหยิบแม่พิมพ์เค้กทั้งสองออกมาแกะและแล้วเสื้อชีสเค้กของผมก็เสร็จเรียบร้อยแล้วครับ ขั้นตอนสุดท้ายก็คือนำไปใส่ตู้เย็นและแต่งหน้าด้วยสตรอเบอร์รี่และราดซอสสตรอเบอร์รี่ครับ ซึ่งผมคิดว่าไปปอนด์ใหญ่ผมเอาไว้แต่งพรุ่งนี้ส่วนปอนด์เล็กผมคิดว่าถ้ามันเย็นตัวดีแล้วคงเอาออกมาแต่งหน้าแล้วเอาไปให้พี่ศิเขาทานมันวันนี้เลยดีกว่า
และช่วงเวลาแห่งการรอผมก็จัดการทำความสะอาดอุปกรณ์ทำเค้กทั้งหมดก่อนจะหมุนตัวสวอนเลคไปหน้าทีวีพร้อมกับถลาลงไปที่โซฟายาว การทำชีสเค้กเป็นอะไรที่ละเอียดอ่อนมากเลยครับ ทั้งต้องพิถีพิถัน ไฟที่ใช้อบก็ใช้แรงมากไม่ได้ถ้าตีเนื้อครีมชีสไม่ดีรสชาติก็อาจจะแย่ไปเลยก็ได้ ดังนั้นมันเลยทำให้ร่างกายผมอ่อนล้ามากแบบนี้ยังไงหละ ผมหันไปมองเวลาตอนนี้เป็นเวลาเกือบ ๆ จะหกโมงแล้ว ‘โอย…นี่ผมยืนทำเค้กตั้งแต่บ่ายสองโมงจนถึงหกโมงเย็นเลยเหรอเนี่ย ผมใช้เวลานานเกินไปแล้วนะเนี่ย มิน่าถึงได้เมื่อยตัวขนาดนี้’ ผมครวญครางเบา ๆ พร้อมกับนอนฟุบแล้วก็เผลอหลับไป


ผมก็ไม่รู้หรอกนะครับว่าผมนอนหลับไปนานขนาดไหนแต่ที่รู้ ๆ ตอนนี้ท้องฟ้าข้างนอกกลายเป็นสีดำแล้วครับ ผมยันกายลุกขึ้นพร้อมกับเสยผมตนเองเล็กน้อย สายตาก็พลางปรายมองไปที่นาฬิกาที่วางอยู่บนโต๊ะข้างทีวีซึ่งตอนนี้มันก็สามทุ่มกว่าเกือบจะสี่ทุ่มแล้วครับ ตอนนี้พี่ศิคงกลับมาที่ห้องแล้วและชีสเค้กที่ผมทำก็น่าจะเซทตัวได้ที่แล้วหละครับ ผมรีบเด้งตัวขึ้นมาจากโซฟาทันทีและรีบวิ่งไปเปิดตู้เย็นเพื่อเอาเค้กออกมาตกแต่งหน้า


‘หวังว่าพี่ศิจะไม่ได้กินข้าวจนอิ่มมากนะ’ ผมพึมพำกับตัวเองเบา ๆ มือทั้งสองข้างก็ค่อย ๆ แกะกล่องสตรอเบอร์รี่ที่ซื้อมาจากซุปเปอร์เมื่อตอนบ่ายขึ้นมาเรียงไว้บนเค้กและเอาน้ำซอสสตรอเบอร์รี่ที่ไว้ (และแช่จนมันเย็น) มาราดไว้บนหน้าชีสเค้ก ในที่สุดชีสเค้กตามรีเควสของพี่ศิก็เสร็จแล้วครับ หลังจากนี้ก็คือน้ำเจ้าเค้กชิ้นนี้ไปให้พี่ศิกิน ผมเดินถือจานเค้กพร้อมกับเดินออกไปจากครัวและเลยออกไปจากห้องของตัวเอง


มือข้างหนึ่งของผมถือจานเค้ก ส่วนอีกมือหนึ่งของผมถูกยกขึ้นไปเคาะประตูห้อง 1404 ซึ่งเป็นประตูห้องของพี่ศิ ผมยืนรออยู่สักพัก ในที่สุดบานประตูที่ปิดอยู่ตรงหน้าของผมก็เปิดออกพร้อมกับร่างสูงที่ตอนนี้ดูไม่ค่อยจะเรียบร้อยเท่าไหร่นัก  ใบหน้าคมขมวดคิ้วเรือนผมสั้นสีดำยุ่งฟูเล็กน้อย แต่ไอสภาพดูไม่ค่อยเรียบร้อยของพี่ศิก็อยู่ได้ไม่นานเมื่อพี่ศิเขารู้ว่าคนที่เค้าประตูมาเป็นผม ใบหน้าคนก็ลอบยิ้มพร้อมยกมือตนขึ้นไปสางผมเบา ๆ “ตื่นแล้วเหรอครับกร” พี่ศิพูดติดหัวเราะพร้อมกับเอามือข้างเดียวกับที่พี่เขาสางผมมาขยี้ผมของผมแทน


“ตื่นแล้ว! อย่าเอามือมาขยี้ผมกรสิเดี๋ยวกรก็เอาชีสเค้กที่คนแถวนี้อยากกินเอากลับเข้าห้องเลย” ผมบ่นพึมพำใส่พี่ศิมืออีกข้างที่ไม่ได้ถือจานเค้กมาปัดมือพี่ศิออกไปจากหัว ซึ่งเสียงพี่ศิก็ได้แต่อมยิ้มน้อย ๆ พร้อมกับลดมือออกจากศีรษะของผมและเปิดบานประตูให้กว้างออกพร้อมกับเชื้อเชิญให้ผมเข้าไปข้างใน


“เข้ามาสิครับกร” ท่อนแขนแกร่งผายมือเพื่อเชื้อเชิญให้ผมเข้าไป ใบหน้าคมนั้นระบายไปด้วยรอยยิ้มยิ่งกว่าเก่า ซึ่งผมก็เดินเข้าไปในห้องของพี่เขาตามคำเชื้อเชิญครับ และจุดหมายแรกที่ผมเดินตรงไปก็คือห้องครัวและจัดการตัดเค้กเป็นแบ่งส่วน ๆ เตรียมจัดใส่จาน


“พี่ศิจานใบเล็กอยู่ไหนหมดอ่ะ กรหาไม่เจอเลยสักใบ” ผมตะโกนถามพี่ศิที่นั่งเขียนรายงานอยู่ในห้องนั่นเล่นซึ่งพี่ศิก็ตะโกนตอบกลับมาว่า “อยู่ตู้ด้านบนครับกร” และในที่สุดผมก็เอาจานใบเล็กลงมาพร้อมกับนำเค้กที่ตัดทิ้งไว้มาเรียงใส่จานแต่ด้วยเค้กปอนด์นี้ที่ผมทำมันเล็กและเป็นปริมาณสองคนกินพอดี ผมก็เลยเอาเค้กที่หั่นเป็นส่วน ๆ แบ่งเป็นคนละครึ่งเลยครับ (ให้ผมครึ่งปอนด์ส่วนพี่ศิอีกครึ่งปอนด์ เค้กชิ้นนี้มีขนาดหนึ่งปอนด์ครับ)


“อ่ะพี่ศิ สตรอเบอร์รี่ชีสเค้กสูตรของท่านกร” ผมเอ่ยพร้อมรอยยิ้มและก็ยื่นจานเค้กไปตรงหน้าของพี่ศิ และเมื่อพี่ศิรับจานเค้กนั่นไปผมก็ทิ้งตัวนั่งลงไปโซฟายาวซึ่งเป็นโซฟาตัวเดียวกันกับที่พี่ศินั่งทำรายงายอยู่ครับ “ว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์ครับทำงานเครียด ๆ ทานของหวานให้สบายใจดีกว่าดูสิสตรอเบอร์รี่ที่กรเลือกนี่ลูกใช้แล้วก็สดมากเลยนะลองกินดูดิ” ผมพูดพร้อมกับหยิบสตรอเบอร์รี่บนแค้กในจานพี่ศิไปจ่อที่ปากของพี่เขา (ทำไมต้องเป็นจานของพี่เขารู้ไหมครับถ้าไม่รู้ผมจะตอบให้…ก็ได้ครับ ผมอยากกินสตรอเบอร์รี่เหมือนกันนี่เรื่องอะไรจะเอาของตัวเองไปให้พี่ศิกินล่ะ) และการกระทำของผมนั้นใบหน้าที่ตึงเครียดของพี่ศิก็อมยิ้มออกมาน้อย ๆ ก่อนจะอ้าปากงับสตรอเบอร์รี่ที่อยู่ในมือผมรวดเดียวหมดลูก ชายร่างสูงตรงหน้าของผมยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะวางจานเค้กในมือลงบนโต๊ะและค่อย ๆ เขียนรายงานของตนต่อ




V
V
V
V
V
V
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 22] 13/11/2013 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 13-11-2013 20:02:08


ซึ่งผมก็นั่งมองพี่ศิไปพร้อมกับตักชิสเค้กในจานตัวเองใส่ปากไปในที่สุดผมก็จัดการชีสเค้กส่วนของผมจนหมดและเริ่มที่จะละลานไปที่จานชีสเค้กของพี่ศิครับ แต่เจ้าของเขาก็ไม่ให้ผมกินนะครับมือกร้านถูกยื่นมาตีมือของผมเบา ๆ ก่อนจะกลับไปเขียนรายงานต่อ


‘ขี้งก! พี่ศิขี้งกที่สุด! ตัวเองไม่กินคนอื่นเค้าจะกินแทนก็ไม่ยอมใจร้ายที่สุดเลย’ ผมบ่นพึมพำเบา ๆ ซึ่งพี่ศิผู้มีหูนรกมีหรือจะไม่ได้ยินในสิ่งที่ผมพูด นัยน์ตาคมหันมามองทางผมก่อนจะยกจานชีสเค้กของตัวเองส่งมาให้ผม ไอผมก็คิดว่าพี่ศิยกให้ผมกินผมก็เลยจัดการตักชีสเค้กเข้าปากแต่ทว่าพี่ศิกลับจับมือของผมและเอาชีสเค้กนั่นเข้าปาก


นี่หมายความว่าคุณพี่ศิรวิทย์แกจะให้ผมป้อนให้แกกินครับ ‘โถ่ว พ่อคุณชาย พ่อคนรักสบาย พ่อคนมือเท้าใช้ไม่ได้’ อันนี้ผมว่าพี่ศิในใจนะครับ ถ้าขืนผมบ่นพึมพำออกไปหูนรกของพี่แกคงได้ยินอีกและผมก็อาจจะโดนมะเหงกใส่หรือชีทที่อยู่ในมือของพี่ศิฟาดใส่หัว ดังนั้นผมก็ต้องทำตัวเป็นคนรับใช้ที่ดีตักเค้กไปป้อนพี่ศิและบางทีผมก็แอบตักเค้กเข้าปากผมไปบ้าง ส่วนสตรอเบอร์รี่ที่วางไว้บนเค้กผมเก็บไว้กินขั้นสุดท้ายครับ (ซึ่งผมหมายตาว่าจะกินแทนพี่ศิครับ เค้กชิ้นนี้มีสตรอเบอร์รี่ 4  ลูกครับ)


ผมตักเค้กป้อนพี่ศิไปพลางดูโทรทัศน์ไปด้วยในที่สุดเค้กในจานของพี่ศิก็หมดครับและเหลือสตรอเบอร์รี่ที่วางอยู่บนตัวเค้กเป็นอย่างสุดท้าย


ผมหยิบสตรอเบอร์รี่ชิ้นนั้นหมายจะเอาเข้าปากตัวเองแต่คิดเหรอครับว่าพี่ศิรวิทย์ที่รักของทุกคนจะยอม เขาไม่ยอมนั่นหละครับดังนั้นภายในห้อง 1404 ก็เกิดศึกแย่งชิงสตรอเบอร์รี่ขึ้นครับ ไอผมจะเอาสตรอเบอร์รี่ลูกนั้นใส่ปาก แต่พี่ศิก็เอามือมาปิดปากผมไว้พร้อมกับจับลอคแขนของผมไว้ครับเรายื้อแย่งกันอยู่นาน (ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าแย่งกันไปทำไมเพราะในห้องของผมยังมีสตรอเบอร์รี่เหลืออยู่อีกแพคกว่า ๆ เดี๋ยวไปหยิบเอามากินกันก็ได้) ในที่สุดผู้ที่กำชัยชนะก็เป็นพี่ศิครับสตรอเบอร์รี่ลูกนั้นปลิวเข้าไปอยู่ในปากของพี่ศิแล้ว ผมนี่ส่งเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจก่อนจะแกล้งทำเป็นงอนลุกขึ้นยืนแล้วเปิดประตูออกจากห้องของพี่ศิไป


ซึ่งการกระทำของผมทำให้พี่ศิตกใจเล็กน้อยแต่พี่ศิเขาก็ดูเหมือนจะไม่ว่างมาตามง้อผมครับเพราะรายงานที่ต้องส่งพรุ่งพี่ยังกองเป็นตั้ง แถมงานพี่เขาก็เสร็จไปก็แค่ 3 ใน 4 เท่านั้นเองครับ แต่ไอที่ผมทำเป็นงอนก็ไม่ได้งอนอะไรหรอกครับผมแค่จะกลับไปที่ห้องผมแล้วจะไปเอาสตรอเบอร์รี่ในตู้เย็นออกมาทานต่อเท่านั้นเองแหละครับ


ผมเดินเข้าห้องไปพร้อมกับคุ้ยตู้เย็นเพื่อหาสตอเบอร์รี่ที่เหลือในที่สุดผมก็เจอมันครับ ผมถือกล่องสตรอเบอร์รี่แล้ววิ่งกลับไปที่ห้องของพี่ศิพร้อมกับชูกล่องสตรอเบอร์รี่ให้พี่ศิดู ร่างสูงนั่นยิ้มตอบผมครับและเขยิบที่นั่งให้ผมกลับไปนั่งข้าง ๆ พี่เขาเหมือนเดิม


“มากินด้วยกันอีกนะพี่ศิ…แต่ว่าลูกสุดท้ายต้องเป็นของกรนะ ห้ามแย่ง ๆ” ผมพูดติดตลกมือทั้งสองข้างก็ค่อย ๆ แกะกล่องพลาสติกออกและหยิบสตรอเบอร์รี่ในนั้นขึ้นมากิน


‘อร่อยมาก ยิ่งเย็นยิ่งอร่อย สตรอเบอร์รี่ญี่ปุ่นนี่อร่อยที่สุด’ ผมหยิบสตรอเบอร์รี่ใส่ปากลูกแล้วลูกเล่า แต่ผมกับพี่ศิก็ดูเหมือนกำลังแข่งกันแย่งกินสตรอเบอร์รี่นะครับ (อารมณ์ประมาณว่าใครกินได้เยอะสุดเป็นผู้ชนะอย่างนั้นแหละ)


ผมกับพี่ศิพลัดกันกินไปมาจนในที่สุดตอนนี้สตรอเบอร์รี่กล่องแรกก็หมดลงไปแล้วครับ แต่มันก็ยังเหลืออีกกล่องหนึ่งครับผมก็จัดการแกะสตรอเบอร์รี่กล่องที่สองมาวางไว้ที่โต๊ะและนั่งกินกันต่อครับ แต่รู้สึกการนั่งแบบนี้จะทำให้ผมเบื่อไปสักเล็กน้อยดังนั้นผมจึงใช้อำนาจ (ที่มีตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้) ไล่ให้พี่ศิไปนั่งตรงโซฟาเดี่ยวและผมก็จัดการนอนรายไปกับโซฟาตัวยาวหน้าโทรทัศน์ครับและหลังจากนั้นผมก็ทำตัวแบบเดิมครับคือการหยิบสตรอเบอร์รี่ใส่ปากไปและดูโทรทัศน์ไป ส่วนพี่ศิน่ะเหรอครับ สกิลในการกินสตรอเบอร์รี่ลดลงไปแล้ว ดูเหมือนว่าพี่ศิจะเข้าโค้งสุดท้ายของรายงานแล้วดังนั้นปล่อยให้พี่เขาทำงานให้เสร็จไปเถอะ ส่วนผมก็ทำหน้าที่นอนให้กำลังใจต่อไป


ผมนอนกลิ้งไปสักพักก่อนจะเหลือบตาไปมองนาฬิกาที่แขวนไว้เหนือโทรทัศน์ซึ่งตอนนี้ก็เกือบจะเที่ยงคืนแล้วครับ (แต่ผมไม่ง่วงเลยนะ สงสัยว่าเมื่อเย็นผมจะนอนเยอะไปหน่อยท่าทางตาผมน่าจะสว่างอีกนานพอควรเลยแหละ) และเมื่อเข็มยาวชี้ไปที่เลข 12 รายงานนรกแตกของพี่ศิก็เสร็จครับ ส่วนผมนี่นอนกลิ้งกินสตรอเบอร์รี่จนอืดไปหมดแล้วแต่มันก็ยังไม่หมดนะครับ ผมคิดว่าจะเก็บไว้ให้พี่ศิแกกินด้วย


ผมมองดูพี่ศิที่ค่อย ๆ เก็บเลคเชอร์และแยกรายงานไว้เป็นกอง ๆ เมื่อทุกอย่างเสร็จร่างสูงนั่นก็ลุกขึ้นไปหยิบกระเป๋านิสิตของตนมาให้รายงานที่ต้องส่งทั้งหมดลงไป ผมนอนกลิ้งมองพี่ศิที่กำลังจัดกระเป๋าอยู่ พลันความรู้สึกที่อยากจะแกล้งพี่ศิก็เกิดขึ้นผมหยิบสตรอเบอร์รี่และยื่นไปจ่อที่ปากพี่ศิ (ซึ่งท่าทางผมเหมือนกับกำลังจะป้อนให้พี่ศิทาน) ซึ่งพี่ศิแกก็ก้มลมมางับนะครับแต่ก่อนที่พี่แกจะได้กินสตรอเบอร์รี่ลูกนั้นผมก็กระชากมือตัวเองลงพร้อมกับคาบสตรอเบอร์รี่ลูกนั้นเอาไว้ คิ้วข้างหนึ่งของผมยกขึ้นลงใส่พี่ศิเพื่อกวนอารมณ์ แต่ประเด็นมันไมได้จบแค่นั้นครับดูเหมือนว่าคุณพี่ศิรวิทย์จะไม่ยอมแพ้ผม เขาทำในสิ่งที่ผมไม่คาดฝันครับ


ร่างสูงค่อย ๆ ก้มหน้าลงมาใกล้ ๆ ผมพร้อมกับริมฝีปากหนาที่อ้างับสตรอเบอร์รี่ที่โผล่พ้นปากผม ริมฝีปากของเราสองคนเกือบจะสัมผัสกัน (แค่เกือบ ๆ ครับจะสัมผัสนะครับ ผมย้ำว่ามันไม่โดนไม่โดนครับแม้มันจะรับรู้ได้ถึงริมฝีปากอุ่น ๆ ที่เคลื่อนผ่านริมฝีปากของผมก็เถอะ) และเมื่อพี่ศิแย่งสตรอเบอร์รี่ออกจากปากของไปได้แล้วร่างสูงก็เคลื่อนหน้าไปที่ใบหูของผมพร้อมกับกระซิบด้วยเสียงที่แผ่วเบาพร้อมกับผละตัวเองออกมาจัดชีทและเอกสารของงตนต่อ


คำพูดนั้นทำเอาผมหน้าขึ้นสีแดงจัดผมนอนนิ่งค้างอย่างนั้นอยู่สักพักก่อนที่จะรีบลุกขึ้นและวิ่งหนีออกไปจากห้อง ๆ นี้


เสียงทุ้มที่กระซิบแผ่วเบา น้ำเสียงเข็มที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนเอ่ยออกมาว่า ‘วันที่ 31 เราสองคนไปเคาท์ดาวน์วันปีใหม่กันสองคนนะครับกร’


มือของผมถูกยกขึ้นมากุมไว้บริเวณแผ่นอกพร้อมกับร่างของผมที่ค่อย ๆ ทรุดลงไปนั่งกองอยู่ที่พื้น


“พี่ศิ...ถ้าหัวใจของกรเต้นแรงจนหลุดออกมาจากอก คราวนี้พี่ศิได้เป็นฆาตกรจริง ๆ แน่”




หลังจากที่เมื่อคืนผมเจอการประทำและประโยคเด็ดของพี่ศิไปมันทำเอาผมนอนแทบไม่หลับเลยครับ ตอนนี้ผมนี่ขอบตาคล้ำสนิทแถมร่างกายของผมก็แทบจะลุกขึ้นจากเตียงไม่ไหว (หมดแรงแบบสุดชีวิตครับ) เมื่อสภาพผมเป็นแบบนั้นผมก็เลยยันตัวเองขึ้นพร้อมกับควานหาโทรศัพท์มือถือที่วางไว้โต๊ะข้างหัวเตียงขึ้นมากดเบอร์โทรศัพท์ของสหายเจมส์ครับ ผมนี่ก้มหน้าฟุบลงกับหมอนพร้อมกับรอให้ไอเจมส์มันรับสาย แต่ความหวังที่ผมจะพึ่งมันก็ไม่มีครับ ผมรอสายอยู่นานในที่สุดมันก็ตัดเข้าไปเป็นบริการรับฝากข้อความผมกดปิดทันทีพร้อมกับเลือกเบอร์โทรศัพท์หาเป้าหมายคนใหม่ซึ่งเป้าหมายคนใหม่ของผมคือพรีมครับ ด้วยมาดของนิสิตสาวไฟแรงตั้งใจเรียนและควบตำแหน่งเลขาท่านประธานชั้นปีดังนั้นพรีมต้องตื่นมาเรียนแน่นอนครับ เมื่อได้เป้าหมายผมก็รีบกดโทรศัพท์หาพรีมทันทีผมถือสาย รอไม่นานนักพรีมก็รับโทรศัพท์พร้อกับกรอกเสียงอันแสนจะสดใสซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเธอออกมา “ไงจ๊ะกร มีอะไรเหรอ”


“พรีม วันนี้พรีมจะเข้าเรียนใช่ไหม กรฝากเช็คชื่อทั้งวันเลยนะ กรไม่ไหวแล้ว” ผมกรอกเสียงอันแสนงัวเงียของตนลงไปพร้อมกับลงท้ายหาวใส่พรีมสองรอบ


ซึ่งเมื่อพรีมเธอได้ยินเสียงของผมพร้อมกับเสียงหาวที่บ่งบอกว่าผมง่วงนอนมากพรีมเธอก็รีบตกปากรับคำตกลงที่จะเช็คชื่อให้ผมทันที (ผมไม่ได้ตั้งใจจะโดดเรียนนะครับแต่แบบสภาพผมนี่ไม่ไหวแล้วจริง ๆ ขอโดดหน่อยเถอะแถมวิชาที่เรียนเป็นวิชานอกคณะอารมณ์วิชาช่วยที่บังคับเรียนนั่นหละครับโดดสักคาบสองคาบคงไม่เป็นอะไรมากหรอกมั้งครับ) “โอเคกร เดี๋ยวพรีมเช็คชื่อให้ แต่เมื่อคืนกรทำอะไรมาเหรอถึงได้ง่วงหนาวหาวนอนแบบนี้...เอ๋ หรือว่ากร…ไปทำอะไรกับพี่ศิมา!” ไอแรก ๆ ผมก็ซึ้งใจอยู่หรอกที่พรีมเป็นห่วงผมแต่ไอประโยคหลังของพรีมนี่ทำเอาผมแทบอยากจะกัดลิ้นตายมันตรงนี้


“พรีมไม่ใช่แล้ว คิดไปถึงไหนแล้วเนี่ย กรแค่นอนดึกไปหน่อยเองช่วยเช็คชื่อให้ทีนะ แล้วถ้ากรตื่นแล้วเดี๋ยวกรเตรียมห้องรอพวกเพื่อน ๆ แล้วกันเวลามาจะได้ปาร์ตี้กันได้เลย” ผมส่งเสียงอันแสนจะงัวเงียของตัวเองตอบพรีมไปซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าพรีมเขาจะเข้าใจในสิ่งที่ผมพูดไปหรือเปล่าแต่ตอนนี้ผมขอลาแล้วหละครับเพราะตอนนี้ผมไม่สามารถคุมสติให้ตัวเองตื่นต่อไปให้อีกแล้ว





หลังจากเวลาผ่านไปราว ๆ 7 ชั่วโมง (ซึ่งตอนที่ผมสะลึมสะลือโทรหาพรีมก็ราว ๆ 7 โมงเช้าครับ) ตอนนี้ก็เป็นเวลาบ่ายสองโมงตรงแล้วครับ และตอนนี้ตาของผมก็สว่างแบบเต็มที่ผมรีบลุกขึ้นมาจัดห้องเพื่อให้เพื่อน ๆ ทั้งหมดมานั่งก๊งเหล้าแดรกเบียร์กันครับ ขั้นแรกก็ต้องทำแบบเหมือนตอนไปปาร์ตี้กันที่ห้องพี่ศิครับนั่งคือเก็บพรมเป็นอย่างแรกเลยถ้าพวกมันเมาแล้วอ้วกรดพรมนี่ ผมคงต้องเสียเงินซื้อใหม่อีกหลายพันแน่นอนครับ


หลังจากพรมที่ถูกเก็บแล้วก็ต้องเคลียร์พื้นที่ภายในห้องให้ทุกคนนั่งทานได้กันครบ ทั้งต้องเก็บขยะมุมโน้น เก็บขยะมุมนี้ซ้ำยังต้องเก็บพวกเครื่องแก้วหรือกระเบื้องออกจากห้องนั่งเล่นอีกถ้าเกิดไม่เก็บออก พวกเพื่อน ๆ ของผมอาจจะทำแตกและทำให้เกิดบาดแผลได้ครับ ผมใช้เวลาจัดห้องประมาณ  2  ชั่วโมงในที่สุดห้องของผมก็เรียบร้อยเตรียมพร้อมกับใช้งานแล้วครับ


ผมยกมือขึ้นปาดเหงื่อพลางดูความสามารถในการจัดห้องของตัวเองแล้วอมยิ้มออกมาน้อย ๆ ‘แหมจากห้องที่รกอย่างกับรูหนูกลายเป็นห้องว่าง ๆ ที่มีพื้นที่มากพอให้คนสิบคนแด้นซ์กันได้นี่เราก็มีฝีมือเหมือนกันแหะ’


ผมภาคภูมิใจกับความสามารถของตัวเองก่อนจะยกถุงขยะทั้งหมดที่กองอยู่ในห้องออกไปบริเวณที่ทิ้งขยะและนำขยะแต่ละชนิดแยกลงไปใส่ในแต่ละถัง ซึ่งผมโดนปลูกฝังแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ๆ ครับ ถ้าไม่แยกขยะนี่คุณป๊ากับคุณม๊าตีผมตายแน่นอน และหลังจากผมจัดเตรียมทุกอย่างเสร็จสิ้น ทั้งลงไปซื้อน้ำแข็ง ล้างแก้วพลาสติก จานพลาสติก (ผมซื้อเอามาไว้ใช้เวลาดื่มโดยเฉพาะเลยครับ ก่อนหน้านี้ไม่เคยซื้อใช้จานกับแก้วกระเบื้องนี่แตกหมดบ้านครับ เลยต้องซื้อพวกของพลาสติกมาใช้แทน) หน้าที่ต่อไปของผมนั่นก็คือการรอให้เพื่อน ๆ มาครับ ผมหันไปมองเวลาตอนนี้ก็เป็นเวลาราว ๆ 5 โมงใกล้จะ 6 โมงเย็นแล้วหละรับผมคิดว่าอีกไม่เกิน สามสิบนาทีสหายทั้งหมดของผมก็คงจะมาถึงครับ


ผมนอนกลิ้งอยู่บนโซฟารอเพื่อน ๆ ไปสั่งพักไม่นานนักสหายสองคนแรกของผมก็โผล่ครับนั่นก็คือไอบาสกับไอเจมส์นั่นเอง (ไอสองคนนี้เรื่องแดรกไม่ต้องบอกมันไวเสมอ) และอีกสักครู่เพื่อนคนอื่น ๆ ก็ต่างทยอยกันมาห้องของผมครับ และเมื่อครบจำนวนคนงานปาร์ตี้คริสต์มาสอีฟก็เริ่มต้นขึ้นได้ ไอบอสนี่ถือแก้วเบียร์มาเลยครับพร้อมกับไล่ชนแก้วกับเพื่อน ๆ เรียงคน ซึ่งแต่ละคนก็ไม่เบียร์ก็เหล้าผสมเป๊ปซี่ครับ แต่ผมกับพรีม…ซดเป๊ปซี่เปล่า ๆ ครับ


เหตุผลของผมกับพรีมไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ครับ ทางพรีมพ่อแม่เธอไม่ให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และเธอก็ดื่มไม่เป็นเลยครับ ส่วนผมคุณป๊าคุณม๊าแกไม่ได้ห้ามให้ผมดื่มแต่คุณพี่ศิรวิทย์ที่อยู่ห้องข้าง ๆ (และทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองผมในช่วงที่ผมไม่อยู่บ้าน) แกไม่ให้ผมดื่มครับผมเลยไม่ดื่ม (ที่ไม่ดื่มไม่ใช่ว่ากลัวพี่เขานะครับผมแค่ไม่อยากฟังเสียงบ่นของพี่ศิก็เท่านั้นเองมันน่ารำคาญนิดหน่อยเพราะพี่ศิแกบ่นแบบยาวเหยียดจนผมหลับได้อ่ะครับ ผมก็โดนมาหลายรอบแล้วซึ่งเข็ดครับ) เพื่อนของผมเริ่มดื่มด้วยของอ่อน ๆ พร้อมกับกินกับแกล้มไป


ผมยืนกอดอกมองเพื่อนแต่ละคนในที่สุดมันก็เริ่มเมากันแล้วหละครับส่วนผมก็เดินแยกเข้าไปในห้องครัวพร้อมกับถือชีสเค้กชิ้นใหญ่ออกมา พรีมเห็นเค้กในมือผมพร้อมกับร้องกรีสออกมาด้วยความดีใจ (ดูเหมือนว่าที่บ้านนอกจากจะไม่ให้พรีมดื่มแอลกอฮอล์แล้วตอนนี้ที่บ้านเธอยังบังคับให้เธอลดน้ำหนักอีกของกินเล่นขนมนี่ที่บ้านไม่มีเลย พอเธอเห็นชีสเค้กในมือผมเธอก้กระโดดเข้ามาหาผมพร้อมกับของกินทันที ส่วนเพื่อนคนอื่น ๆ ยังคงดื่มกันต่อไป)


“กร พรีมขอชิ้นที่มีสตรอเบอร์รี่ลูกใหญ่ที่สุดนะ” พรีมเธอพูดพร้อมกับวิ่งเข้ามาถือมีดตัดเค้กแทนผมทันที (คือพรีมไม่ต้องขอ ผมก็เชื่อว่าพรีมจะหยิบชีสเค้กที่มีสตรอเบอร์รี่ลูกใหญ่ที่สุดอยู่แล้วครับเพราะตอนนี้อำนาจอยู่ในมือเธอแล้วครับ) เธอตัดเป็นชิ้น ๆ เท่า ๆ กันซึ่งเธอแบ่งออกมาเป็นสิบชิ้นตามลูกสตรอเบอร์รี่ที่ผมเรียงไว้ครับ แต่ผมก็แอบสงสัยตัวเองนะครับ เค้กขนมประมาณนี้น่าจะเรียงสตรอเบอร์รี่แค่ 8 ลูกก็พอทำไมผมถึงเรียงไว้ 10 ลูกก็ไม่รู้ ซึ่งผมก็ทำเบลอไปและยกจานไปแจกเพื่อน ๆ แต่ละคนที่เริ่มกรึ่ม ๆ กันแล้ว


แต่ละคนนั่งตักเค้กใส่ปากทากันไปจนเกือบจะหมดพลันเสียงเคาะประตูห้องของผมก็ดังขึ้นและบานประตูก็ค่อย ๆ เปิดออกเผยให้เห็นร่างสูงของบุคคลที่ทำให้ผมไม่ได้นอนเมื่อคืนนี้ซึ่งคน ๆ นั้นก็คือ ‘ว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์ผู้เป็นคนสำคัญของผมและควบตำแหน่งผู้ปกครองผมนั่นเองครับ’


ผมขมวดคิ้วมองพี่ศิไปและพี่ศิก็ส่งยิ้มกลับคืนมาให้ผม ไอรอยยิ้มกวนประสาทนั่นทำเอาผมอยากจะกระโดดไปงับคอเขาจริง ๆ ผมสะบัดหน้าหนีไปอีกทางพร้อมกับเดินไปนั่งที่โซฟาและเปิดเพลงให้เสียงดังยิ่งขึ้น (ไม่ต้องแคร์คนข้างห้องครับเพราะตอนนี้คนข้างห้องมาอยู่ในห้องของผมเรียบร้อย) และผู้เป็นเจ้าของรอยยิ้มกวนประสาทนั่นก็เดินสาวเท้ามานั่งข้าง ๆ ผมพร้อมกับหยิบชีสเค้กที่เหลืออยู่ชิ้นหนึ่งไปขึ้นไปกิน


“เมื่อวานมีคนป้อนให้ วันนี้พี่ทานเองก็ได้ครับ” พี่ศิตัวร้ายพูดย้อนไปถึงเมื่อวานพร้อมกับตักชีสเค้กในจานเข้าปากไป ไอจะกินชีสเค้กนี่ผมไม่ว่าหรอกครับแต่ทำไมต้องมาพูดย้อนไปถึงเมื่อวานด้วยมันทำเอาผมคิดไปถึงช่วงเวลาที่ผมนั่งนอนดีดขากินสตรอเบอร์รี่แล้วจอมมารศิรวิทย์ใช้สกิลโกงแย่งสตรอเบอร์รี่ที่อยู่ในปากของผมไป


พลันใบหน้าของผมก็ขึ้นสีแดงเรื่องก่อนมือเรียวจะยกมือขึ้นไปตบหลังพี่ศิเต็มแรงแก้เขิน ซึ่งเสียงนั้นดังสนั่นไปรอบ ๆ ห้องเพื่อนของผมที่บางคนก็กรึ่ม ๆ บางคนก็ยังไม่กรึ่มหันมามองผมกับพี่ศิเป็นตาเดียว ทุกคนนี่ถลึงตาใส่ผมราวกับทุกคนกำลังส่งสายตาถามผมว่า ‘มรึงทำอะไรพี่ศิ มรึงไม่กลัวตายหรือยังไงวะ’ ซึ่งผมก็ไหวไหล่ตอบพวกมันทุกตนไปพร้อมกับหยิบสตรอเบอร์รี่ที่อยู่ลนจานชีสเค้กของพี่ศิขึ้นมาใส่ปากและเคี้ยวมันอย่างเอร็ดอร่อย ‘นี่ถือว่าเป็นการเอาคืนเรื่องเมื่อวานก็แล้วกัน ถึงมันน่าจะทำอะไรเอาคืนมากกว่านี้ก็เถอะนะ’


หลังจากจัดการสตรอเบอร์รี่บนจานของพี่ศิเสร็จผมก็ลุกขึ้นไปนั่งร่วมวงกับเหล้าสหายที่กำลังดื่มกันอย่างเมามันและผมก็เริ่มหยิบเหล้าผสมน้ำเป๊ปซี่ขึ้นมาดื่มแล้วครับ และทุก ๆ ท่าคิดว่าผู้ปกครองที่คุมผมอยู่จะให้ผมดื่มเหรอครับถ้าคุณคิดว่าไม่ให้ดื่ม คุณคิดถูกครับ! พี่ศิแกหยิบแก้วเหล้าในมือของผมขึ้นไปดื่มแทนแล้วครับ ผมมองพี่ศิจนตาแทบถลนนี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นพี่ศิดื่มเหล้าเลยนะครับใบหน้าคมอมยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะส่งแก้วเหล้าที่ว่างเปล่ามาให้ ดูจากสภาพการแล้วพี่ศินี่ท่าทางจะเป็นคนที่คอแข็งพอตัวเลยครับ


ทุก ๆ คนคิดว่าพี่ศิแกไม่ยอมให้ผมดื่ม…แล้วทุก ๆ ท่านคิดว่าผมจะยอมเหรอครับผมขอตอบเลยครับว่า ผมไม่มีทางยอมหรอก ผมรินแก้วเหล้าแก้วใหม่ลงไปแต่คราวนี้รินเป็นสองแก้วเลยครับเมื่อผมจะยกขึ้นดื่มพี่ศิก็แย่งแก้วในมือของผมไปดื่มเอง ซึ่งผมก็กวนประสาทพี่เขาโดยการยกแก้วเหล้าที่ผมรินไว้อีกแก้วขึ้นดื่มเมื่อพี่ศิดื่มหมดผมก็ดื่มแก้วในมือของผมหมดเช่นกัน ผมยักคิ้วกวนประสาทพี่ศิกลับไปซึ่งพี่ศิก็ยกมือมาขยี้ผมของผมแรง ๆ แสดงการยอมแพ้ครับ


ดังนั้นหลังจากนี้ผมก็ดื่มเหล้าได้อย่างสบายใจแล้ว ผมยื่นแก้วให้พรีมผู้ซึ่งทำหน้าที่เป็นสาวเชียร์เบียร์ (?) เธอผสมเหล้าแบบอ่อน ๆ ให้ผมทานซึ่งมันทำให้ผมเมาช้าครับและพี่ศิที่รักของทุกคนจากตอนแรกที่นั่งฟังเพลงอยู่เฉย ๆ ตอนนี้ก็ลงมานั่งที่พื้นพร้อมกับดื่มเหล้าไปพร้อมกับพวกผมแล้วครับ


แต่ละคนนี่กรึ่ม ๆ กันได้ที่แล้วครับซึ่งผมก็มึน (ไม่) หน่อย ๆ แล้ว หัวของผมเอียงไปซบที่บ่าของพี่ศิ (ซึ่งยังไม่เมา) ผมพูดอ้อแอ้ไม่เป็นภาษาไปสักพักจนท้ายที่สุดผมก็เผลอหลับไป (คาบ่าของพี่ศินั่นเลยครับ)


ผมไม่รู้วว่าพี่ศิจะเข้าใจความหมายที่ผมพูดไปหรือเปล่านะครับแต่ผมขอแปลให้ทุกคนฟังเป็นกรณีพี่เศษนะครับผมบอกพี่ศิไปว่า “วันที่ 31 ธันวาที่พี่ศิชวนกรไปเคาท์ดาวน์…กรตกลงไปกับพี่ศินะ”



_____________________________________



เจอกันตอนถนัดไปนะฮร้า
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 22] 13/11/2013 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 13-11-2013 20:35:51
พี่ศิฉกสตอเบอรรี่ที่ปากกร อร๊าย ฟิน
 :-[ :-[
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 22] 13/11/2013 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 13-11-2013 20:48:45
เค้าอยากกินสตอเบอรรี่ !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!  :-[

 :L2: :กอด1: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 22] 13/11/2013 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 13-11-2013 20:54:54
จะหนีไปเคาต์ดาวน์กันสองคน ชิชะ
จะแอบไปสวีตกันละซิ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 22] 13/11/2013 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 13-11-2013 21:25:47
ฟินนนค่าาา พี่ศิถ้าจะใกล้ขนาดนั้นทำไมไม่จูบไปเลยล่ะคะ อ๊ายยยยย
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 22] 13/11/2013 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: RenaBee ที่ 16-11-2013 01:11:15

พี่ศิคะจูบเลยซิคะโถ่!!!! แม่ยกขัดใจอ่่ะค่่ะ!!!
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 23] 18/11/2013 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 18-11-2013 20:52:23


หายหน้าหายตากันไปหลายวันตอนนี้แวปมาต่อแล้วค่ะพอดีตอนนี้กำลังแต่งซีรีย์ Love Sugery อยู่ค่ะ ซึ่ง งมพลอตกันเมามันมากค่ะ แต่อีกเรื่องจะได้อรรถรสต่างจากเรื่องนี้นะคะถ้าเกิดพลอยนำมาลงแล้วอยาจะขอฝากผลงานเรื่องนั้นเอาไว้ด้วยนะคะ




Chapter 23


บางครั้งความเมาก็ทำให้อยู่ในสถานการณ์ที่เราไม่อยากจะพบเจอนะครับ อย่างเช่นตัวผมในตอนนี้ซึ่งไอความเมาของผมดันนำพาความซวยมาให้ แต่ถ้ามองในมุมมองของคนอื่นมันอาจจะไม่ใช่ความซวยก็ได้นะครับเพราะว่าไอสิ่งที่ผมกำลังพบเจออยู่ตอนนี้ก็เป็นผลพวงมาจากปาร์ตี้ฉลองวันคริสต์มาสอีฟนั่นแหละครับ ผมก็จำไม่ได้หรอกว่าไอตอนตอนเมา ๆ มึน ๆ นั้นผมพูดพล่ามอะไรไปบ้าง


แต่เท่าที่ผมรู้ ผมต้องไปพูดตบปากรับคำอะไรกับพี่ศิแน่นอนเลยครับ ไม่งั้นตอนนี้ซึ่งเป็นช่วงเวลาบ่ายสามโมงเกือบจะสี่โมงเย็นของวันที่ 31 ธันวาคมบริเวณหน้าประตูห้อง 1403 ซึ่งเป็นสถานที่ที่ผมใช้ซุกหัวนอนคงไม่มีร่างสูงของว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์ยืนยิ้มและแต่งตัวประหนึ่งนายแบบที่ออกมาจากหนังสือแฟชั่นยืนอยู่หรอกครับ ผมเกาหัวตัวเองแบบงง ๆ พร้อมกับเปิดริมฝีปากเพื่อเอยถามพี่ศิไปว่าพี่เขามีธุระอะไรกับผมหรือเปล่า


“แต่งตัวซะหล่อจะไปไหนอ่ะพี่ หรือนัดสาวไปเคาม์ดาวน์ไว้” สิ้นคำถามของผมมือของพี่ศิก็ถูกยกขึ้นมาส่งมะเหงกมาใส่หัวผมเบา ๆ ร่างสูงตรงหน้าผมทอดถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะเอ่ยปากทวงสัญญาที่ผมไปสัญญาไว้ตอนไหนก็ไม่อาจทราบได้
“กรบอกกับพี่ว่าจะไปเคาท์ดาวน์กับพี่ไง พี่เลยมารับนี่ยังไม่ได้แต่งตัวอีกเหรอ” พี่ศิกอดอกปรายตามองสภาพผมหัวจรดเท้า (ซึ่งผมก็อยู่ในชุดเก่งครับเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงบอลขาสั้น) เมื่อพี่ศิพินิจสภาพของผมเสร็จพี่แกก็เดินลากผมเข้าไปในห้องพร้อมกับเริ่มปฏิบัติการคุ้ยตู้เสื้อผ้าของผมเพื่อเลือกเสื้อผ้าให้ผมใส่ครับ


ไอผมนี่แทบจะร้องทักพี่ศิเขาแทบจะไม่ทัน (ความจริงมันก็ไม่จริง ๆ แล้วแหละครับ) “พี่ศิแปปดิ อย่างเพิ่งคุ้ยตู้กร! กรไม่เห็นจำได้เลยว่ากรไปตบปากรับคำพี่ศิตรงไหน” สิ้นเสียงพูดของผมมือทั้งสองข้างของพี่ศิก็ชะงักทันทีพร้อมกับหันหลังมาทำหน้าเครียดใส่ผม


คิ้วเข้มขมวดเป็นปมแน่นพร้อมกับริมฝีปากหน้าเอื้อยเอ่ยถ้อยคำออกมา “กรจำไม่ได้เหรอครับตอนวันที่ 23 ที่พี่ชวนไปเคาท์ดาวน์ไงครับ” ยิ่งพี่ศิพูดผมยิ่งนึกย้อนไปถึงวันนั้น และไอการย้อนนึกไปถึงวันนั้นทำให้ผมหน้าขึ้นสีแดงจัดอีกครั้ง ‘ให้ตายเถอะรณกรเรื่องอื่นมีให้คิดไม่คิดดันเจือกไปคิดถึงเรื่องนั้น นายบ้าไปแล้วรณกร’ เมื่อความคิดนั้นลอยเข้ามาใส่หัวผมก็สะบัดหัวไปมาเพื่อไล่ความคิดนั่นออกไปจากสมอง ทว่าพี่ศิแกจะรู้ว่าภายในสมองของผมนั้นคิดอะไรอยู่ริมฝีปากหนาเหยียดรอยยิ้มร้ายพร้อมกับก็ลงกระซิบที่ข้างหูของผมด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “จำเรื่องที่ตอบตกลงกับพี่ไม่ได้…แต่กลับจำเรื่อง ๆ นั้นได้นี่นะทะลึ่งเหมือนกันนะครับกร”


เมื่อริมฝีปากหนานั่นเอ่ยจนจบผมก็เด้งตัวหนีพร้อมกับเอามือทั้งสองข้างไปกุมที่ใบหูข้างที่พี่ศิก้มลงมากระซิบ ทว่าพี่ศิจอมวายร้ายแกไม่ยอมให้ผมหนีจากเงื้อมมือของเขาไปได้ สภาพของผมกับพี่ศิตอนนี้เหมือนกับว่าผมกำลังเป็นลูกแกะตัวน้อย ๆ และทางพี่ศิเป็นหมาป่า (ผมคิดว่าไม่ใช่หมาป่าด้วยครับท่าทางจะเป็นไฮยีน่าเลยหละครับนิสัยขี้แกล้งแบบนี้) ร่างสูงค่อย ๆ ก้าวเท้าเข้ามาใกล้ผมมือข้างหนึ่งของพี่เขาถูกยกขึ้นมาเพื่อมายที่จะแตะตัวผม ไอมผมนี่แทบจะร้องกรี๊ดกลางห้องแต่พี่ศิเขาก็ไม่ได้ทำอะไรชั่วร้ายใส่ผมหรอกครับมือกร้านยกขึ้นมือลูบหัวของผมเบา ๆ พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเศร้า ๆ ออกมา


“ถ้ากรไม่อยากไปเคาท์ดาวน์กับพี่ก็ได้นะครับ พี่อาจจะจริงจังกับคำพูดของกรตอนเมามากเกินไป งั้นพี่กลับห้องก่อนนะครับ” เสียงทุ้มนั้นเอ่ยสั่นเครือซึ่งทำเอาผมรู้สึกผิดแบบสุด ๆ ก่อนที่ร่างของพี่ศิแกจะเดินออกไปจากห้องนอน มือข้างหนึ่งของผมก็เผลอเอื้อมไปจับมือของพี่ศิไว้ (ซึ่งผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงทำแบบนั้นครับ ผมรู้สึกว่าตอนนี้ผมปล่อยพี่ศิเดินออกไปจากห้องไม่ได้ครับ)


การกระทำของผมทำให้พี่ศิปรายตามองกลับมาด้วยความสงสัยซึ่งไอผมก็ก้มหน้าลงเพื่อสูดลมหายใจเข้าปอดพร้อมกับริมฝีปากที่ค่อย ๆ เอ่ยคำพูดออกมา “พี่ศิ…อย่าเพิ่งไปดิ กรแค่จำไม่ได้” ผมเงียบเสียงไปอีกสักพักก่อนจะกลั้นลมหายใจเอ่ยประโยคท้ายที่สุดออกมา “แต่ไม่ใช่ว่ากร…จะไม่ไปกับพี่ศิสักหน่อย” เมื่อผมพูดจบห้องทั้งห้องก็เงียบสนิทถ้าจะมีเสียงก็มีเพียงแต่เสียงลมหายใจของผมและพี่ศิเท่านั้น


เวลามันผ่านไปราว ๆ ห้านาทีได้ดูเหมือนพี่ศิแกจะประมวลผลเสร็จครับใบหน้าคมคลี่ยิ้มพร้อมกับลากผมไปที่ตู้เสื้อผ้าของผมอีกครั้ง และคราวนี้พี่ศิแกจับให้ผมยืนพร้อมกับเอาเสื้อแต่ละตัวในตู้มาเทียบกับตัวของผมเลยครับดูเหมือนว่าพี่แกกำลังจะมองว่าเสื้อตัวไหนมันเข้ากับผมมากที่สุด (สงสัยพี่ศิกลัวผมแต่งตัวดูไม่ได้ไปเทียบกับพี่ศิที่แต่งตัวหล่อประดุจเดินออกมาจากหนังสือแฟชั่นล่ะมั้งครับ)


พี่ศิแกคุ้ยตู้เสื้อผ้าของผมอยู่นานครับแต่ในที่สุดเหมือนพี่ศิแกจะเลือกได้ว่าชุดตัวไหนเหมาะกับผมที่สุด ในท้ายที่สุดผมก็อยู่ในลุคแบดบอยนิด ๆ เสื้อยืดคอด้านในกับเสื้อสูทพับแขนขึ้นทั้งกางเกงสแลคขาเดฟนิด ๆ ทั้งพี่ศิยังหยิบแว่นตาดำมาสวมให้ผมอีกคราวนี้เป็นหนุ่มแบดบอยของแท้เลยครับสภาพผมตอนนี้ แถมให้ไปเดินกับพี่ศิที่แต่งตัวสไตล์พระเอกเกาหลีผมนี่กลายเป็นตัวโกงในซีรีย์เกาหลีทันทีครับ (แต่ผมไม่อยากจะบอกเลยครับว่าไอชุด ๆ นี้ผมซื้อมันมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่เท่าที่ผมผมจำได้นะผมว่าผมไม่เคยซื้อชุดสไตล์นี้มาใส่เลยนะครับ แต่เอาเถอะสวมแล้วหล่อก็พอแล้วครับ)


เมื่อผมแต่งตัวเสร็จพี่ศิแกก็รีบจูงมือผม (กึ่งลากนิด ๆ) เดินไปที่ลิฟท์พร้อมกับกดปุ่มให้ลิฟท์เคลื่อนที่ไปยังชั้นลานจอดรถครับ ทว่าทั้งแต่ที่พี่ศิแกมายืนยิ้มอยู่หน้าห้องของผมผมก็ยังไม่รู้เลยว่าพี่ศิแกจะพาผมไปที่ไหนครับ เอาไงก็เอาเถอะอย่างน้อยพี่ศิก็เป็นคนที่ไว้ใจได้ไม่พาผมไปฆ่าไปแกงที่ไหนหรอกครับ


เมื่อลิฟท์เคลื่อนที่ลงมายังชั้นลานจอดรถพี่ศิก็เดินนำพร้อมกับปลดลอคกุญแจรถ BMW คันงามของเขาและเปิดประตูที่นั่งข้างคนขับเพื่อเชื้อเชิญให้ผมขึ้นไปนั่ง (ซึ่งไอการกระทำแบบนี้ของพี่ศิก็เกิดขึ้นทุก ๆ วันที่พี่ศิไปรับไปส่งผมครับ แกทำจนผมติดเป็นติดเป็นนิสัยไปเลยหละแต่ก็ติดเป็นนิสัยที่รถพี่ศิคนเดียวนะครับรถของเพื่อน ๆ คนอื่นนี่ผมก็เปิดขึ้นเปิดลงเองนั่นหละ) ผมก็ว่าง่ายครับผมก็ขึ้นไปนั่งบนที่นั่งข้างคนขับที่พี่ศิเปิดประตูให้นั่นหละส่วนพี่ศิเมื่อปิดบานประตูแล้วพี่แกก็เดินอ้อมไปอีกฝั่งพร้อมกับเปิดประตูและแทรกตัวเองขึ้นรถมาครับ


วันนี้พี่ศิดูจะดี้ด้าอารมณ์ดีเป็นที่สุดเลยครับ ให้ตายเถอะแต่ผมตอบตกลงว่าจะไปเคาท์ดาวน์กับพี่ศิเขาเท่านั้นนะถ้าเกิดผมตอบตกลงว่าผมจะไปเที่ยวทะเละ เที่ยวภูเขาค้างคืนสักสองสามคืนนี่ พี่ศิแกคงไม่ตีลังกาซัมเมอร์ซอลล์สามรอบแสดงอาการดีใจออกมาหรอกมั้งครับ ผมลอบมองพี่ศิพร้อมกับอมยิ้มออกมาจาง ๆ แต่ก็นะถึงจะถูกลากออกมาแบบงง ๆ แต่ถ้ามันทำให้พี่ศิแกดีใจแบบนี้ก็โอเคแล้วครับ (เพราะถ้าพี่แกงอนชีวิตผมอาจจะไม่สงบสุขได้ครับ)


ผมนั่งนิ่ง ๆ อยู่ในรถและปล่อยให้สารถีกิตติมศักดิ์นามว่าศิรวิทย์ขับไปส่งแต่ว่าไปผมก็ยังไม่รู้เลยนะครับว่าพี่ศิแกตั้งใจจะพาผมไปเคาท์ดาวน์ที่ไหน และตอนนี้เวลามันยังไม่ถึงหกโมงเย็นเลยครับรีบออกจากบ้านมาตั้งแต่ตอนนี้ พี่ศิตั้งใจจะไปที่ไหนกันนะ ซึ่งผมก็ไม่ถามพี่เขาหรอกครับเพราะถามไปก็คงใช้คำตอบเดิม ๆ ส่งมาว่า ‘บอกก่อนก็ไม่เซอร์ไพรส์สิครับกร’ หรือไม่ก็ ‘ไว้ถึงก็รู้เองครับกร’ แบบนี้แน่นอนเพราะผมโดนมาทุกคำตอบแล้วครับ


สรุปในตอนนี้ผมก็เอาไอโฟนห้า (ที่กำลังจะโดนขายและเปลี่ยนเป็นห้าเอส) ของพี่ศิมาเปิดเพลงฟังเล่นพร้อมกับเอนหลังไปกับเบาะแล้วหลับตาลง ผมโยนหัวตามจังหวะเพลงไปเรื่อย ๆ และในที่สุดรถคันงามของพี่ศิก็จอดลงที่ใดที่หนึ่งครับ ผมลืมตาขึ้นพร้อมกับมองไปคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ทว่าร่าง ๆ นั้นก็หายไปแล้วครับแต่ที่พี่ศิแกหายไปคือพี่แกหายมาเปิดประตูรถให้ผมลงครับ (โถ่ว! พ่อคนเทคแคร์คนเก่ง พ่อคนสุภาพบุรุษ พ่อคนดี แต่ถึงผมจะบ่นไปแบบนี้ผมก็ลงจากรถตามที่พี่ศิเชื้อเชิญให้ผมลงครับ)
หลังจากที่ผมลงจากรถผมก็ปรายสายตามองไปรอบ ๆ บริเวณที่ผมยืนอยู่ มันก็คือลานจอดรถในโรงแรมสุดหรูห้าดาวใจกลางกรุงเทพครับ ผมกอดอกพร้อมกับหันไปมองพี่ศิ (ผมไมได้คิดอกุศลนะครับแต่แค่ใช้สายตาถามพี่ศิแกเองว่าพาผมมาทำอะไรที่นี่) และพี่ศิคงจะรู้สึกได้ถึงสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามของผมพี่แกเลยอมยิ้มพร้อมกับตอบคำถามผมครับ


“ที่นี่มีร้านอาหารอาหารอิตาลีอร่อยครับกรพี่เลยอยากพากรมาทานข้าวในที่หรู ๆ บ้างส่วนมากเราก็ทานแต่ร้านในห้างสรรพสินค้ากันคราวนี้พี่อยากพากรมานั่งทานอะไรหรู ๆ บ้าง” ผมมองพี่ศิที่ตอบคำถาม ไอใจผมก็อยากจะสวนพี่ศิไปนะครับว่าร้านอาหารที่กินในห้างแต่ละร้านนี่ยังหรูไม่พออีกเหรอครับพี่ แต่ก็ได้เก็บมันไว้ในใจเพราะว่าถ้าเกิดผมปากเสียพูดอะไรไม่เข้าหูพี่ศิไปผมอาจจะได้จ่ายค่าอาหารมื้อนี้เองและท่าทางราคาอาหารของที่จะคงจะแพงมิใช่น้อย ๆ เลยครับ ผมไหวไหล่ตอบพี่ศิไปพร้อมกับสาวเท้าเดินเข้าไปในตัวอาคารพร้อม ๆ กับพี่ศิ


พนักงานที่ยืนอยู่หน้าฟร้อนต์โค้งตัวทักทายคุณพี่ศิรวิทย์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าผม พร้อมกับเอ่ยถามคำถามตามหน้าที่ของเขา “สวัสดีค่ะมาติดต่อเรื่องอะไรคะ” พนักสาวประจำหน้าฟร้อนต์พูดพร้อมกับส่งรอยยิ้มหวานมาให้แต่ผมรู้สึกว่ารอยยิ้มที่เธอยิ้มมามันจะหวานเกินหน้าที่แล้วครับ


ไอผมเริ่มหงุดหงิดที่พนักงานสาวพยายามพูดคุยเพื่อรั้งพี่ศิเอาไว้ในท้ายที่สุดผมก็ทนไม่ไหวครับผมเอาข้อศอกกระทุ้งสีข้างของพี่ศิไปทีหนึ่งเพื่อเตือนสติพี่เขา และไอการเตือนสติของผมทำให้พนักงานสาวเห็นหัวผมที่ยืนอยู่ด้านหลังพี่ศิเธอได้แต่ส่งรอยยิ้มแห้ง ๆ มาให้พร้อมกับรีบบอกทางไปภัตตาคารให้อย่างรวดเร็ว


ท่าทางหน้าตาของผมน่าจะน่ากลัวมากเลยสินะครับพนักงานคนอื่น ๆ ถึงไม่ได้อยากคุยหรือสนทนากับผมแต่หันไปพูดจ้อกับพี่ศิแทน ผมทำหน้าบึ้งตึงพร้อมกับเดินตามพี่ศิที่กำลังเดินนำผมไปยังภัตตาคารที่พี่ศิเขาได้จองไว้ เราทั้งสองคนขึ้นลิฟท์ไปยังชั้น 25 ซึ่งเป็นชั้นบนสุดซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของภัตตาคารที่พี่ศิได้จองไว้ พนักงานที่ยืนคอยยืนต้อนรับอยู่หน้าลิฟท์โค้งให้พวกเราสองคนพร้อมกับเดินนำพวกผมไปยังโต๊ะที่พี่ศิแกได้จองไว้


ผมเดินล้วงกระเป๋าพร้อมสาวเท้าเดินตามพนักงานไปผมกับพี่ศิเดินไปจนสุดขอบชั้น ในที่สุดผมก็เจอโต๊ะที่พี่ศิจองไว้สักที โต๊ะที่พี่แกจองไว้เป็นโต๊ะบริเวณริมหน้าต่างเลยครับครับและด้วยชั้นที่เราอยู่ตอนนี้เป็นชั้นบนสุดของโรงแรมห้าดาวทำให้พวกเราทั้งสองคนเห็นดวงอาทิตย์ยามเย็นใจกลางกรุงเทพครับ ผมหันมายกนิ้วให้กับพี่ศิที่เลือกสถานที่ได้ดีเหลือเกินซึ่งพี่ศิก็พยักหน้าเล็กน้อยเชิงขอบคุณ แต่ว่าเจ้าของใบหน้าคมไม่หยุดเพียงแค่นั้นริมฝีปากหนาที่คลี่ยิ้มก็เอ่ยพูดออกมา


“รู้ไหมพี่จองล่วงหน้าตั้งเดือนหนึ่งนะเนี่ยถึงจะได้ที่นั่งตรงนี้ในวันที่ 31 ธันวา” ร่างสูงตรงหน้าผมพูดอวด แต่ผมรู้สึกตะหงิดใจนิดหน่อยนะครับว่าพี่แกจองล่วงหน้าตั้งหนึ่งเดือนแล้วผมกลับปฏิเสธพี่ศิว่าผมไม่ยอมมาเคาท์ดาวน์กับพี่ศิเขา แล้วไอโต๊ะที่จองไว้จะทำยังไง


ผมนั่งเท้าคางมองหน้าพี่ศิพร้อมกับเอยถามคำถามที่ผมคิดไว้เมื่อสักครู่ “นี่พี่ศิ ถ้ากรปฏิเสธไม่มาเคาท์ดาวน์กับพี่ศิแล้วโต๊ะที่จองไว้พี่จะทำยังไงอ่ะ เห็นจองไว้ตั้งหนึ่งเดือนนี่วางแผนไว้นานแล้วใช่ไหมเนี่ย” เมื่อพูดจนจบประโยคผมก็เอียงคอมองพี่ศิไปครับซึ่งพี่ศิแกก็ยิ้มตอบกลับมาเช่นเดิม


“คำตอบแรกถ้ากรปฏิเสธเหรอ...พี่เชื่อว่ากรไม่ปฏิเสธคำชวนของพี่หรอกครับพี่เลยตัดสินใจจองไป ส่วนเรื่องที่ว่าพี่เตรียมการมาเป็นเดือน ๆ แล้วใช่ไหมถ้าตอบว่าไม่ใช่ก็เหมือนว่าพี่โกหก งั้นพี่ตอบว่าใช่แล้วกันพี่เตรียมการชวนกรมาทานข้าวที่นี่เป็นเดือน ๆ แล้วครับ” พี่ศิพูดพร้อมรอยยิ้มซึ่งเป็นซิงเนเจอร์ของพี่เขาแต่ทำไมรอยยิ้มนี้มันดูจะกวนอารมณ์ผมจริง ๆ เลยชักอยากจะพูดโต้ตอบไปบ้างแล้วสิแต่ผมก็ได้แต่สงบจิตสงบใจไว้เพราะว่ามื้อนี้พี่ศิเป็นคนจ่าย ถ้าเกิดปากหมามากเกินไปผมอาจจะโดนพี่ศิให้จ่ายเงินค่าอาหารเองก็ได้ครับ


ผมนั่งรอบริกรเพื่อที่จะสั่งอาหารอยู่นานแต่บริกรก็ไม่มาสักพักผมจึงหันไปถามพี่ศิแต่ก็ไม่ทันได้ถามอะไรบริกรหนุ่มก็ยกเครื่องดื่มมาวางไว้บนโต๊ะพร้อมกับจัดเรียงช้อน ซ้อม มีดและอะไรจิปาถะบนโต๊ะ ไอผมก็บ้านนอกครับไม่เคยมากินอะไรที่หรู ๆ แบบนี้เลยตกใจกับการที่เขามาเรียงช้อนซ้อมมีดอะไรมากมายแบบนี้ แต่จากการที่ผมดูหนังมาเยอะไอชอนแต่ละคัน มีดแต่ละเล่มนี่เอาไว้ใช้แต่สถานการณ์กัน แต่ผมขอสารภาพเลยครับผมเห็นว่ามันก็ไม่ต่างตรงไหนมันตักข้าว ตักอะไรใส่ปากได้หมดไม่เห็นจะต้องมีเยอะ ๆ ให้ยุ่งยากแบบนี้เลย  ส่วนบุคคลที่นั่งฝั่งตรงข้ามผมพี่แกน่าจะรู้มารยาทบนโต๊ะอาหารดีนะครับคงจะมาทานร้านอาหารอะไรจำพวกนี้บ่อยล่ะสิ ถึงได้ดูคล่องแคล่วซะขนาดนั้น ผมนั่งเท้าคางมองพี่ศิที่จัดองค์ทรงเครื่องตัวเองผ้าสีขาวที่ทางร้านวางไว้บนจานพี่ศิก็คลี่ออกพร้อมกับวางไว้บนตัก ผมก็เท้าคางมองพี่ศิแบบเบลอ ๆ ก่อนจะทำตามอย่างที่พี่ศิทำ


ค่อย ๆ คลี่ผ้าออกมาแล้ววางไว้บนตักผมมองพี่ศิเตรียมพร้อมกับทำขั้นตอนต่อไปแต่ดูเหมือนพี่ศิแกจะแกล้งผมซะแล้วล่ะครับเพราะการกระทำของผมที่เงอะ ๆ งะ ๆ ที่ค่อย ๆ ทำตามพี่ศิถูกพี่ศิใช้ไอโฟนเก็บภาพของผมไว้แทบจะทุกช็อต มือข้างหนึ่งผมเอื้อมไปหมายจะเอากล้องมาลบภาพ แต่ด้วยสกิลมือไวของพี่ศิตอนนี้ไอโฟนห้า (ที่อีกไม่นานก็น่าจะเปลี่ยนเป็นห้าเอส) ก็ถูกเก็บลงไปในกระเป๋าพร้อมกับใบหน้าที่เผยรอยยิ้มร้ายของตนออกมา ผมเบ้ปากใส่พี่ศิพร้อมกับกอดอกและหันหน้าหนีไปอีกทาง แต่พี่ศิแกก็ไม่ยอมให้ผมหันหน้าหนีครับนิ้วเรียวยาวถูกยื่นมาพร้อมกับเอามาแตะที่จมูกของผมและบีบเบา ๆ


ไอผมที่โดนทำแบบนั้นก็หันหน้ากลับไปเบ้ปากใส่พี่ศิทันทีซึ่งพี่ศิที่เห็นผมแบบนั้นพี่แกก็หลุดหัวเราะออกมา ‘นี่เฮีย…ผมไม่ใช่ของเล่นนะครับเฮีย แล้วก็ไม่ใช่ตัวตลกด้วยนะ’ ผมแลบลิ้นใส่พี่ศิไปพร้อมกับแงะมือพี่ศิที่อยู่บนจมูกให้ปล่อยออกไปแต่ท่านจอมมารศิรวิทย์? แกไม่หยุดอยู่แค่นั้นหรอกครับผมไม่ให้บีบจมูกแกก็เอื้อมมือมาเล่นผม พอไม่ให้เล่นผมแกก็กลับมาบีบจมูก ผมเอามือปัดป้องพี่ศิอยู่นานกว่าพี่ศิแกจะหยุดแกล้งผม แต่ไอที่หยุดแกล้งผมไม่ใช่พี่แกเบื่อหรอกนะครับแต่พอดีอาหารที่พี่ศิแกไปแอบสั่งไว้ตอนไหนก็นำมาเสริฟบนโต๊ะครับ ‘แหม คราวนี้เลี้ยงสเต็กแซลมอลเลยนะครับพี่ศิ แต่ผมไม่อิ่มด้วยสเต็กแซลมอลชิ้นเดียวหรอกครับ’ ผมมองจานสเต็กแล้วค่อย ๆ เงยหน้ามองพี่ศิ แต่ดูเหมือนพี่ศิแกก็รู้ใจผมนะครับเพราะรอไปอีกไม่ถึงห้านาทีจานซุปหอยแมลงภู่ก็นำมาเสริฟและอาหารต่าง ๆ ก็ทยอยมาเสิร์ฟเรื่อย ๆ ครับ ไม่ว่าจะเป็นสปาเก็ตตี้ครีมซอส พาสต้าทูน่า สลัดทูน่า (ซึ่งผมไม่ยอมกินและยกให้พี่ศิแกกินให้หมดจาน) ลาซานญ่ามีทซอสแฮมเห็ด เอาเป็นว่าเยอะมากครับและเป็นอาหารยุโรปแทบทั้งหมด


พี่ศิแกคิดจะให้ผมเลี่ยนตายเลยหรือไงครับเล่นเอาหารยุโรปมาขนาดนี้ แต่ก็ยังดีนะครับที่พี่ศิแกสั่งน้ำส้มมาให้ผมล้างปากแก้เลี่ยนนะครับ


ขั้นแรกผมจัดการเอาพาสต้าทูหน้ามาจัดก่อนเลยครับแต่ผมก็กินไปได้แค่หนึ่งในสี่ของจานผมก็ดันไปให้พี่ศิเขาทานต่อครับ ต่อไปผมก็เอาซุปหอยแมลงภู่มาล้างปาก แล้วจัดฟูลคอร์สเลยครับ ผมนี่แทนเวียนกินเลยครับส่วนไอช้อนเชิ้นมีดเมิดที่วางเรียงไว้ผมไม่สนใจมันเลยล่ะครับ เพราะผมถือช้อนถือซ่อมที่พอดีมือจิ้มโน้น ตักนี่ใส่ปากอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนพี่ศิน่ะเหรอครับไม่ต่างจากผมหรอกตอนแรกแกก็ทานแบบสไตล์ยุโรปแหละครับ แต่พอผมเริ่มเปิดแบบบ้าน ๆ พี่ศิแกก็ไม่สนใจมารยาทบนโต๊ะอาหารอีกแล้วครับ เราแย่งกันกินของในจานต่าง ๆ อย่างสนุกสนานในที่สุดของทั้งหมดบนโต๊ะก็หมดลงครับ (ผมไม่อยากจะบอกเลยนะครับพวกเราสั่งกันมาเยอะก็จริงแต่ของในจานนี่มีนิดเดียวเองครับพวกเราเลยกินกันได้อิ่มแบบสบายท้องไม่ได้ต้องยัดกันแบบตอนไปกินสคูลซี่ครับ)


หลังจากเราจัดฟูลคอร์สกันไปรายการถัดไปก็เป็นของหวานครับ แต่คราวนี้ของหวานพี่ศิแกไม่ได้สั่งเตรียมไว้ครับเพราะพี่แกรู้ว่าผมไม่ทานเค้กหรือขนมจากที่อื่นนอกจากของในร้านบ้านผม แต่คราวนี้ผมสั่งของหวานมาทานนะครับแต่เป็นไอศครีมครับ (ที่สั่งไอศครีมก็เพราะว่าบ้านของผมไม่ได้ทำไอศครีมขายนี่นา) ของผมเป็นช็อกโกแลตเชอร์เบตส่วนของหวานของพี่ศิก็เป็นชาเย็นปั่นใส่ไอศครีมวานิลลาครับ ไอผมก็มองว่ามันเป็นของหวานตรงไหนกันแต่เอาเถอะอย่างน้อยมันก็มีไอศกรีมลูกหนึ่งใส่ลงไปเหมือนกันล่ะ


ผมนั่งกินไอศกรีมไปสักพักพลันเสียงโทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้นและหน้าจอปรากฏเป็นชื่อของสหายเก่าเพื่อนสนิทตั้งแต่เกิดของผม (ที่ได้พี่ศิช่วยรักษามิตรภาพเอาไว้) โทรมาครับ ทุกท่านอาจจะลืมไปคน ๆ นั้นคือ ไอไฮซ์ นั่นเองครับผมหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาพร้อมกับกรอกเสียงของตัวเองลงไป “ไฮซ์ ไงมีไรเหรอ”


“เปล่า ไฮซ์ก็แค่จะถามว่าวันนี้กรว่างไหม ถ้าว่างไฮซ์คิดว่าจะชวนกรไปเคาท์ดาวน์ด้วยกัน” ไฮซ์เอ่ยปากชวนผมไปเคาท์ดาวน์…แต่รู้สึกว่าไฮซ์มันจะชวนช้าไปสักห้าหกวันนะครับ เพราะถ้ามันชวนผมเร็วกว่านี้ผมอาจจะตบปากรับคำมันไปแล้วและผมก็คงไม่ได้มานั่งกินอาหารสุดหรูกับพี่ศิแน่นอน


“โทษทีไฮซ์ กรไม่ว่างแล้วแหละพอดีกรนัดกับพี่ศิไว้ว่าจะไปเคาท์ดาวน์กันตอนนี้เลยอยู่กับพี่ศิน่ะ โทษทีนะไฮซ์” ผมพูดตอบไฮซ์ไปแต่ดูเหมือนว่าชื่อของไอไฮซ์จะทำให้พี่ศิที่นั่งดื่มชาอยู่จะคิ้วกระตุกเล็กน้อย ไม่รู้สิครับปกติพี่ศิแกไม่เคยสนใจกับการที่ผมคุยโทรศัพท์กับใคร แต่กับไฮซ์ทำไมพี่ศิถึงทำหน้าไม่ชอบใจแบบนั้นด้วย


“งั้นเหรอกร แล้วจะไปเคาท์ดาวน์ที่ไหนล่ะเผื่อว่าไฮซ์จะตามไปเคาท์ดาวน์ด้วย” ไฮซ์ถามถึงสถานที่ที่ผมกับพี่ศิจะไปเคาท์ดาวน์กันซึ่งผมก็หันมาถามพี่ศินะครับว่าพี่ศิตั้งใจว่าจะพาผมไปเคาท์ดาวน์ที่ไหน


“พี่ศิ ๆ ไฮซ์ถามว่าจะเราจะไปเคาท์ดาวน์ที่ไหนกันอ่ะ” ซึ่งคำถามของผมพี่ศิเขาเลือกที่จะไม่ตอบครับซ้ำยังหยิบโทรศัพท์มือถือของผมไปปิดเครื่องเสียอีก




v
v
v
v
v
v
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 23] 18/11/2013 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 18-11-2013 20:55:05



“พี่ศิ! ทำแบบนั้นทำไมนั่นมือถือกรนะ!” ผมร้องเสียงหลงแต่พี่ศิแกก็ไม่ได้สนใจอะไรครับแถมยังยึดโทรศัพท์มือถือของผมไปเสียอีก ไอผมก็คิดจะโวยวายนะครับแต่คุณพี่ศิรวิทย์แกพูดทวนไปถึงคำชวนของเขาที่เอ่ยชวนผมเมื่อวันที่ 23 นะครับว่า “พี่บอกแล้วไงครับว่าเราจะไปเคาท์ดาวน์กันสองคน” รอยยิ้มเย็น ๆ ของพี่สิ่งถูกส่งมาพร้อมกับเอาโทรศัพท์มือถือของผมย่อนเข้าไปในกระเป๋าสูทของตัวเองอีกครับ ไอผมที่เห็นรอยยิ้มแบบนั้นของพี่แกทำเอาผมปิดปากเงียบสนิทและก้มหน้าก้มตากินไอศกรีมในถ้วยของตัวเองต่อ


ไม่นานนักผมก็จัดการไอศกรีมในถ้วยของผมจนหมด ผมลอบแอบตาเหลือบมองหน้าของพี่ศิที่ตอนนี้แสดงถึงอาการไม่พอใจ ไอหน้าตาแบบนั้นทำผมร้อน ๆ หนาว ๆ จนในที่สุดผมก็ทนไม่ไหวครับนิ้วชี้ของผมถูกยื่นไปพร้อมกับจิ้มไปตรงระหว่างคิ้วเข้มที่ขมวดเป็นปม รอยยิ้มจาง ๆ ของผมถูกส่งไปพร้อมกับพูดอ้อน ๆ เล็กน้อย (ความจริงผมก็อายเหมือนกันนะครับที่ต้องพูดแบบนั้น แต่ทำไงได้ล่ะผมไม่อยากให้พี่ศิรู้สึกหงุดหงิดรับปีใหม่นี่ครับ ตอนนี้ก็เกือบจะ 3 ทุ่มแล้วด้วยถ้าปล่อยให้พี่ศิแกหงุดหงิดต่อไปท่าทางจะยาวครับ) “พี่ศิอย่าขมวดคิ้วสิ น้องกรคนนี้ไม่ชอบหน้าของพี่ศิตอนเคร่งเครียดเลยน้า ยิ้ม ๆ ยิ้มนะพี่ศิ” เมื่อพูดจนจบประโยคผมก็เอียงคอส่งยิ้มให้พี่ศิครับและดูเหมือนว่าพี่ศิแกจะคลายความตึงเครียดของตัวเองได้เล็กน้อยครับเพราะพี่แกก็ส่งยิ้มตอบกลับมาให้ผมครับ


ผมนั่งเท้าคางพลางมองบรรยากาศยามค่ำคืนใจกลางกรุงเทพไปสักพักในที่สุดพี่ศิก็เรียกบริกรให้มาเช็คบิลครับ ไอผมก็ไม่อยากจะรู้ราคาของค่าอาหารทั้งหมดครับผมก็เลยเลี่ยงที่จะดูใบเสร็จครับ แต่พี่ศิแกก็รู้สึกจะไม่สนใจราคาเหมือนกันบัตรเครดิทสีทองก็ถูกร่อนไปวางบนสมุดหนังและพนักงานก็โค้งตัวและเดินจากไป ผมนั่งเคาะนิ้วรอบริกรนำบัตรเครดิทของพี่ศิกลับมาคืนสักพักบัตรเครดิทใบนั้นก็คืนสู่เจ้าของพร้อมกับร่างของผมกับพี่ศิก็ลุกขึ้นยืนและเดินย้อนกลับไปที่ลิฟท์


ผมยกมือทั้งสองข้างประกบกับที่หัวพร้อมกับสาวเท้าเดินไปที่รถแต่พี่ศิแกก็เดินนำผมไปก่อนนะครับและทำหน้าที่ประจำของแกคือการเปิดประตูรถให้ผมขึ้นไปนั่ง และผมก็ว่าง่ายอีกรอบครับผมก็ขึ้นไปนั่งที่นั่งข้างคนขับและทันทีที่ก้นของผมสัมผัสกับเบาะพี่ศิก็ปิดประตูรถทันทีและเดินอ้อมไปขึ้นรถอีกฝั่ง ผมปรายตามองพี่ศิที่ตอนนี้เหมือนจะอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อยแต่ดูแล้วก็ยังเหมือนจะมีความไม่พอใจแฝงอยู่ภายในครับ ผมก็เลยจัดการทำลายความเงียบด้วยการแกล้งหยอกพี่ศิพร้อมกับถามว่าพี่ศิตั้งใจจะพาผมไปเคาท์ดาวน์ที่ไหน


“พี่ศิของน้องกรครับ พี่ศิจะพาน้องกรคนนี้ไปเคาท์ดาวน์ที่ไหนเหรอครับ หรือว่าพี่ศิจะพาน้องกรคนนี้เข้าไปเคาท์ดาวน์ที่โรงแรมไม่น่ะ!” ผมพูดพร้อมกับแอ็คติ้งเต็มที่ซึ่งไอคำพูดของผมทำพี่ศิแกอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง มือกร้านถูกยกมือขึ้นมายีผมของผม (ที่ผมใช้เวลาเกือบสามสิบนาทีเซทมัน) จนยุ่งก่อนจะพูดตอบผมด้วยน้ำเสียงที่ไม่หน้าไว้ใจพร้อมกับรอยยิ้มร้ายที่ส่งมา “ถ้ากรอยากเคาท์ดาวน์ที่โรงแรมหรู ๆ พี่วนรถกลับไปก็ได้นะครับแล้วพี่จะจองห้องสวีทให้เลย”


ไอคำตอบนั่นของพี่ศิเอาผมชะงักไปเลยครับผมเอามือฟาดไปที่ไหล่พี่ศิทีหนึ่งแล้วบ่นคำว่า ‘พี่ศิบ้า’ ไปตลอดทางเลยครับ


ผมนั่งกอดอกพร้อมกับสะบัดหน้าหันไปมองทางนอกหน้าต่างภาพวิวภายนอกที่ตอนแรกเป็นตึกสูงตระหง่านระฟ้าตอนนี้เริ่มเปลี่ยนไปเป็นตึกเตี้ย ๆ และแปรสภาพเป็นพื้นที่ว่าง ๆ ที่เต็มไปด้วยต้นไหมแล้วหละครับ ท่าทางพี่ศิแกจะขับรถพาผมออกนอกตัวเมืองซะแล้วสิ สงสัยจริงว่าจะพาผมไปเคาท์ดาวน์ที่ไหนกันนะ


ผมนั่งเคาะกอดอกและหันไปมองภาพบรรยากาศด้านนอกตลอดทาง ในที่สุดพี่ศิก็ชะลอรถลงครับพร้อมกับเลี้ยวรถเข้าไปจอดในบ้านเรือนไทยหลังหนึ่งซึ่งมีพื้นที่กว้างขวางพอดู ผมไม่รู้ว่าสถานที่นี่มันคือที่ไหนแต่พี่ศิที่ลงจากรถไปก่อนแกก็อ้อมตัวรถลงมาเปิดประตูให้ผมแล้วครับ ผมแหงนหน้ามองพี่ศิด้วยความงุนงงแต่ผมก็ยอมลงจากรถและเดินตามพี่ศิขึ้นบ้านเรือนไทยหลังนั้นไป
ผมคิดว่าพี่ศิคงไม่พาผมมาล่าท้าผีฉลองปีใหม่หรอกนะครับบ้านเรือนไทยหลังนี่ท่าทางจะเก่าพอตัวเลยและที่สำคัญพื้นที่ของบ้านเรือนไทยหลังนี้กว้างมากครับทำให้ระยะห่างจากบ้านหลังนี้ไปบ้านหลังอื่น ๆ ออกจะห่างสักเล็กน้อยและนั่นก็ทำให้บ้านหลังนี้โคตรวังเวงเลยครับ


และในทุก ๆ ครั้งที่ก้าวเดินไปตามไม้กระดาน พื้นไม้ก็จะลั่นดังทุกครั้ง ไอผมที่เดินตามพี่ศินี่ก็ทำเอาผมสะดุ้งไปหลายรอบแต่บ้านหลังนี้ก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เห็นภายนอกนะครับเพราะทันทีที่เราขึ้นถึงตัวบ้านคนรับใช้ของบ้านนี้ก็เดินออกมาต้อนรับพี่ศิครับแถมเรียกพี่ศิว่าคุณหนูเสียอีก


‘เออ…อย่าบอกนะว่านี่คือบ้านของพี่ศิเขาน่ะ’ ไอผมที่คิดไปอย่างนั้นก็เริ่มหนาวสันหลังและก็รีบเดินไปเกาะหลังพี่ศินี่แสดงว่าผมจะได้เจอหน้าคุณพ่อคุณแม่ของพี่ศิแล้วใช่ไหมเนี่ย


ซึ่งไอท่าทางของผมที่แสดงออกมาทำให้พี่ศิหลุดหัวเราะเบา ๆ พร้อมกับเอื้อมมือมากุมมือของผมไว้ “นี่บ้านคุณยายของพี่ครับไม่ใช่บ้านของคุณพ่อคุณแม่พี่หรอกครับ” พี่สิพูดให้ผมคลายกังวลแต่มันกลับผิดถนัดเลยครับผมนึกว่าจะได้เจอคุณแม่คุณพ่อของพี่ศิ แต่นี่กลับมาเจอแจ็คพอร์ตครับผมโดนพี่ศิล่อลวง? ให้มาเจอหม่อมยายของพี่ศิเลยครับ


ไอสภาพครอบครัวที่ทำให้พี่ศิดูเป็นคนเคร่งขรึมและบรรยากาศโดยรอบ ๆ ตัวดูกดดันเนี่ย…มันจะเป็นยังไง สภาพหม่อมยายของพี่ศินี่ต้องอารมณ์คุณหญิงน่ากลัว ๆ แน่ ๆ เลยครับ ผมยืนกลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนที่จะเดินตามพี่ศิไปหาหม่อมยายของพี่เขาในห้องรับแขกครับ


ผมเดินก้มหน้าก้มตาตามไปและเมื่อพี่ศิแกหยุดฝีเท้าลงผมก็เดินชนแผ่นหลังของพี่ศิเขาเต็มเปา ไอผมนี่ตั้งใจจะเอ่ยปากว่าพี่เขาแต่ถ้อยคำที่คิดไว้ทั้งหมดก็ต้องถูกกลืนลงไปคอเสียหมดเพราะตอนนี้ผมกับพี่ศิกำลังยืนอยู่เบื้องหน้าคุณยายของพี่ศิแล้วแหละครับร่างขอองพี่ศิค่อย ๆ นั่งพับเพียบลงกับพื้นพร้อมกับรั้งมือของผมให้ลงไปนั่งข้าง ๆ


“สวัสดีครับคุณยาย ไม่ได้เจอหน้ากันนานเลยนะครับ” พี่ศิยกมือไหว้และพูดอย่างนอบน้อม ส่วนผมก็ต้องยกมือไหว้ตามพี่ศิเขาครับ แต่คุณยายของพี่ศินี่แตกต่างไปจากที่ผมคิดไว้เยอะนะครับผมนึกว่าคุณยายของพี่ศิจะเชิดหน้าแล้วดูขรึม ๆ หยิ่ง ๆ (เรื่องนี้อย่าไปบอกพี่ศินะครับเพราะขืนพวกคุณเอาไปบอกผมนี่อาจจะโดนพี่ศิเทศน์ยกใหญ่เลยแหละครับ) แต่นี่มันคนละเรื่องจากที่ผมคิดเลยครับเพราะคุณยายของพี่ศินี่ใจดีมาก ๆ แถมยังมีบรรยากาศอบอุ่นโอบล้อมรอบกายด้วยครับ แต่ทำไมหลานชายของคุณยายถึงได้มีบรรยากาศไม่น่าไว้ใจรายล้อมรอบตัวเองหละครับเนี่ย ผมตกอยู่ในภวังค์ของตัวเองไปสักพักพลันเสียงเรียกของพี่ศิก็ฉุดสติของผมให้กลับร่างพร้อมกับเอ่ยพูดแนะนำผมให้คุณยายท่านแกรู้จักครับ


“กรครับมาใกล้ ๆ หน่อยสิคุณยายเขามองหน้ากรไม่ชัดนะ” ไอเสียงเรียกนั้นทำให้ผมต้องเขยิบไปใกล้ ๆ คุณยายของพี่ศิเขาครับ ผมแหงนหน้ามองคุณยายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้พร้อมกับส่งยิ้มให้


“สวัสดีครับคุณยาย ผมชื่อกรครับ รณกรเป็นรุ่นน้องของพี่ศิเขาครับ” ผมเอ่ยแนะนำตัวอย่างนอบน้อมพร้อมกับทำตัวเป็นเด็กดีมากขึ้นไปอีกโดยการก้มลงไปกราบที่เท้าของคุณยายพี่ศิครับ (อันนี้เรียกว่าซื้อใจผู้ใหญ่ครับถึงผมจะเกรียนและบ้าแต่เรื่องมารยาทกับผู้หลักผู้ใหญ่เนี่ยผมแหละได้เป็นที่หนึ่งเลยครับ)


คุณยายของพี่ศิซึ่งเห็นกิริยาแบบนั้นของผมท่านก็ยิ้มออกมาเสียงยกใหญ่พร้อมกับพยุงตัวให้ผมลุกขึ้นไปนั่งข้าง ๆ แก (นี่ไงผมบอกแล้วว่าเรื่องมารยาทกับผู้หญิงผมเป็นที่หนึ่งครับ) ท่านจับหน้าผมและบิดไปบิดมาเพื่อมองหน้าของผมแกจ้องมองหน้าของผมสักพักในที่สุดริมฝีปากของคุณยายก็เปิดออกแต่เป็นคำพูดที่หันไปพูดคุยกับพี่ศิครับ “คนนี้เหรอใหม่…ทั้งนิสัยและหน้าตาน่ารักตามที่เราบอกยายจริง ๆ เลยนะ”


ผมสงสัยว่าคุณยายท่านพูดถึงใครผมจึงหันไปมองพี่ศิที่นั่งประกบคุณยายอีกข้างพี่เขากำลังส่งยิ้มให้กับคุณยายก่อนจะหันมาส่งยิ้มให้แก่ผม ‘นี่ผมไม่ได้อยากได้รอยยิ้มมาเป็นคำตอบนะแต่ผมอยากรู้ว่าคนชื่อใหม่คือใครครับพี่ช่วยเคลียร์ให้ผมสงสัยสักทีดิพี่’ พี่ศิที่เห็นคิ้วของผมที่ขมวดเป็นปมพี่เขาถึงกับหลุดหัวเราะออกมาท่าทางพี่เขาจะรู้แล้วครับว่าผมกำลังสงสัยว่าคนชื่อใหม่ที่คุณยายของพี่ศิท่านพูดหมายถึงใคร


“คุณยายครับท่าทางคุณยายจะทำให้น้องเขาสงสัยซะแล้วสิครับว่าคนชื่อใหม่คือใคร” พี่ศิพูดกลั้วหัวเราะน้อย ๆ ใบหน้าคมเบนหันไปสบตามองกับคุณยายของเขาและดูเหมือนคุณยายท่านแกจะรู้ในสิ่งที่ผมสงสัยใบหน้าที่มีริ้วรอยตามวัยคลี่ยิ้มพร้อมกับมือที่ถูกยกขึ้นมาลูบที่หัวของผมอย่างแผ่วเบา


“สงสัยสินะจ๊ะว่ายายเรียกใครว่าใหม่...ส่วนตาใหม่นี่ก็แย่จริง ๆ ชื่อนี้ยายอุตส่าห์ตั้งให้สมกับเวลาที่เราเกิด แต่เราก็ดันชอบไปบอกคนอื่นว่าชื่อศิ ทำแบบนี้ยายเสียใจนะ” คำพูดของคุณยายของพี่ศิเริ่มจะทำให้ผมคลายความสงสัยขึ้นเล็กน้อยแล้วหละครับว่าคนชื่อใหม่นั่นหมายถึงใคร


เพราะมันเป็นใครไม่ได้เลยนอกจากพี่ศิรวิทย์ผู้ที่บอกชื่อเล่นให้ผมฟังว่าตัวเองชื่อศิ ผมเบนสายตาจากคุณยายไปมองพี่ศิพร้อมกับคิ้วด้านหนึ่งที่กระตุกเบา ๆ การแสดงสีหน้าแบบนั้นของผมทำให้พี่ศิรู้ว่าผมต้องการคำอธิบายจากปากของพี่เขาอย่างแรง ซึ่งพี่ศิก็หัวเราะแห้ง ๆ ใส่พร้อมกับพูดอธิบายให้ผมฟัง


“จริง ๆ แล้วชื่อเล่นของพี่คือ วันใหม่ ครับเพราะพี่เกิดช่วงเที่ยงคืนพอดีคุณยายท่านเลยตั้งให้ชื่อนั้น ตอนแรกพี่ก็บอกทุก ๆ คนไปว่าพี่ชื่อวันใหม่แต่มันดูจะน่ารักน่าหยิกเกินไปเพื่อน ๆ พี่ก็ไม่ค่อยเรียกกันส่วนใหญ่ก็จะเรียกว่าศิ พี่เลยเปลี่ยนชื่อเล่นตัวเองว่าศิ ส่วนชื่อเล่นว่าวันใหม่จะเป็นชื่อที่คนในบ้านเรียกกันครับกร” พี่สิอธิบายด้วยรอยยิ้มส่วนคุณยายท่านก็ดูภาคภูมิใจกับชื่อเล่นนี่ของพี่ศิมากเลยล่ะครับ พวกทั้งสามคนนั่งคุยกันไปสักพักใหญ่ ๆ การคุยครั้งนี้ทำให้ผมรู้อีกว่าพี่ศิเป็นคนที่ติดคุณยายมากเลยครับ และที่สำคัญการคุณกับคุณยายทำให้ผมได้รับรู้ว่าคนในบ้านพี่ศิไม่ได้น่ากลัวเหมือนพี่ศิเขาทุกคนครับ เราพูดคุยกันต่อไปอีกสักพักคุณยายท่านก็ขอตัวเข้านอนก่อนเพราะว่าตอนนี้มันก็เป็นเวลาดึกมากแล้วผมกับพี่ศิจึงช่วยกันประคองคุณยายพาไปที่ห้องนอนของท่าน หลังจากนั้นพวกผมก็เดินออกนั่งที่ชานบ้านของบ้านเรือนไทยหลังนี้


ผมนั่งเท้าคางมองพี่ศิอย่างปลง ๆ ดูเหมือนพี่ศิแกจะดูหงอยมากเลยครับ (จะไม่หงอยให้ได้ยังไงหละผมเล่นไม่พูดกับแกเลยหลังจากที่พาคุณยายท่านไปส่งที่ห้อง) ถ้าให้เปรียบเทียบสภาพของพี่ศิตอนนี้ผมก็ของเปรียบเทียบเลยครับว่าพี่แกเหมือนน้องหมาโกลเด้นรีทีฟเวอร์ที่กำลังนั่งหูหางลู่สำนึกผิดอยู่ครับ ที่จริงผมก็ไมได้โกรธอะไรพี่ศิเขาหรอกครับแต่แค่ตกใจที่พี่เขาทำเซอร์ไพรส์พาผมมาหาผู้หลักผู้ใหญ่แบบนี้ แต่ผมก็ทนนั่งเมินพี่ศิแกไปได้ราว ๆ สิบถึงสิบห้านาทีเท่านั้นหละครับผมก็ทนต่อความเงียบไม่ไหวหันไปหาพี่ศิ (ที่หูหางลู่ เอ้ย ไม่ใช่!) พร้อมเปิดริมฝีปากตนเพื่อคุยกับพี่เขา “นี่คือสถานที่ที่พี่ตั้งใจว่าจะพาผมมาเคาท์ดาวน์สินะ”


เมื่อผมเปิดปากพูดน้องหมาศิรวิทย์ที่นั่งหูหางลู่อยู่ก็กระดิกหางแล้วพยักหน้าตอบผมครับ (…ทุกคนอย่าว่าที่ผมเปรียบพี่ศิเขาแบบนี้เลยนะครับเพราะว่ามันเหมือนจริง ๆ นี่นาผมเลยพูดเปรียบไปแบบนั้น) ริมฝีปากคมนั้นยิ้มจนแก้มแทบปริที่ผมหันมาคุยกับเขา แถมนอกจากจะพยักหน้าตอบผมกับยิ้มแล้วพี่ศิมีการบอกถึงโปรแกรมในวันพรุ่งนี้ด้วยครับว่าจะพาผมไปทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ และกี่โมง


“กรครับพรุ่งนี้เราจะไปทำบุญวันปีใหม่กับคุณยายพี่นะครับ แล้วก็ไปให้อาหารปลากันวัดที่เราจะไปนี่เป็นวัดเล็ก ๆ ไม่ใหญ่มากแต่เป็นวัดที่ขึ้นชื่อของจังหวัดปทุมธานีเลยนะครับ” อ่อ…พี่แกพาผมมาจังหวัดปทุมนี่เองท่าทางจะอยู่ในตัวเมืองปทุมซะด้วยเพราะผมได้ยินมาว่าทางตัวเมืองปทุมไม่ค่อยจะเจริญเท่าชานเมืองที่ติดกับตัวกรุงเทพอย่างเช่นรังสิตแต่มันก็ให้อารมณ์คราสสิคอีกแบบหนึ่งแหละครับ ผมนั่งมองสวนเล็ก ๆ ของบ้านหลังนี้พร้อมกับหลับตาลงฟังเสียงพลุที่ถูกจุดขึ้นเพื่อนฉลองวันขึ้นปีใหม่ ‘เป็นการเคาท์ดาวน์ที่เงียบสงบกว่าทุก ๆ ปีที่ผมเคยเจอมา แต่มันก็เป็นการเคาท์ดาวน์ที่อบอุ่นใจที่สุดเท่าที่ผมเคยได้พบมา’ ผมยังคงนั่งมองพลุแบบนั้นไปอีกสักพักหนึ่งก่อนจะลุกขึ้นและถามหาถึงที่ห้องนอนที่จัดเตรียมไว้





เมื่อคืนผมนอนราว ๆ ตีหนึ่งกว่าครับเพราะกว่าผมจะได้นอนนี่ต้องถอดเสื้อถอดผ้าอาบน้ำสระหัวที่เต็มไปด้วยเจลแล้วก็ทะเลาะกันแย่งที่นอนกับพี่ศิอีกราว ๆ สามสิบนาทีครับ ในที่สุดหัวของผมก็ได้สัมผัสกับหมอนครับ (ซึ่งผมแย่งเตียงนอนได้สำเร็จและไล่พี่ศิไปนอนที่พื้นได้ครับ) และหลับยาวจนถึงตอนนี้แหละครับ ในความรู้สึกแรกที่ผมได้นอนบนเตียงและไล่พี่ศิไปนอนที่พื้นได้ผมนี่ก็รู้สึกสงสารพี่เขาอยู่หรอกครับ


แต่ตอนนี้…ผมชักจะสงสารพี่ศิไม่ออกแล้วครับ ซ้ำผมยังอยากจะประเคนเท้าให้พี่ศิไปสักทีเพื่อให้พี่เขาคลายวงแขนออกจากตัวผม ‘พี่ศิ…ไอคนฉวยโอกาส’ ผมกลั้นลมหายใจก่อนจะค่อย ๆ เอามือเสยคางพี่ศิไปหนึ่งที คราวนี้ร่างที่โอบกอดผมอยู่ถึงกับสะดุ้งตื่นและคลายวงแขนออกจากตัวผมทันที มือกร้านถูกยกขึ้นมากุมที่คางพร้อมกับบ่นพึมพำเรื่องที่ผมใช้หมัดสอยพี่เขาไปหนึ่งที “รุนแรงไปแล้วนะครับกร ถ้าจะปลุกพี่ก็ปลุกดี ๆ หน่อยได้ไหมครับแล้วนี่กี่โมงแล้วเนี่ย แล้วพี่จะไปทำบุญกับคุณยายทันไหมเนี่ย” พี่ศิแกดูร้อนรนนิดหน่อยครับแต่แกไม่ได้คิดไปถึงสิ่งที่ตัวเองทำเมื่อคืนเลยครับ


“พี่ศิ ไหนบอกว่าจะนอนข้างล่าง แล้วไหงตอนเช้าขึ้นมานอนกอดกรได้เล่า” ผมพูดพร้อมกับเอาหมอนข้างฟาดไปที่พี่ศิ พี่ศิก็เอามือปัดป้องนะครับแต่แกก็หัวเราะแห้ง ๆ ตอบกลับมา ไอเสียงหัวเราะนั่นทำให้ผมรู้สึกปรี๊ดขึ้นมาอีกผมจึงใช้หมอนข้างฟาดพี่ศิรัว ๆ เลยครับ “ไม่สำนึกเลยเหรอ นี่แหนะ!”


“เปล่านะพี่ไม่ใช่ไม่สำนึก คือยุงมันกัดแล้วมุ้งมันก็มีอยู่บนเตียงพี่เลยขอไปนอนด้วยแต่กรนอนดิ้นเหลือเกินพี่ก็เลยใช้วิธีที่เจมส์กับบาสบอกเพื่อแก้อาการนอนดิ้นของกรครับ” คำพูดของพี่ศิทำเอาผมชะงักค้างพร้อมกับหมอนข้างที่อยู่ในมือร่วงไปนอนแหมะบนเตียง


‘ไอเพื่อนเวร อย่าให้กรูเจอหน้าพวกมรึงนะ จะต่อยคนละทีสองทีข้อหาสอนอะไรให้พี่ศิ’ ผมเอามือกุมหัวแล้วส่ายหัวไปมา แต่ผมก็สติหลุดได้แค่แปปเดียวเท่านั้นแหละครับเสียง ๆ หนึ่งก็เรียกสติของผมให้กลับคืนมาและเจ้าของเสียงนั่นก็คือคุณหญิงยายของท่านพี่ศินั่นเอง


“ตาใหม่ลูก ตื่นนอนหรือยังเดี๋ยวยายจะไปวัดแล้วนะถ้าไม่รีบเดี๋ยวยายทิ้งไว้นะจ๊ะ อ่อ อย่าลืมปลุกน้องกรด้วยนะลูก” สิ้นของคุณยายพูดอยู่หน้าประตูผมก็เด้งตัวลงจากเตียงทันทีเลยครับ ซ้ำผมยังรีบวิ่งเข้าห้องน้ำและอาบน้ำแต่งตัวอย่างรวดเร็ว แต่รู้สึกว่าผมลืมอะไรบางอย่างไปแหละครับ ตอนมาผมมาแต่ตัวแต่เสื้อผ้าผมไม่ได้เอามาเปลี่ยนครับ


ดังนั้นไอผมที่ตั้งใจว่าวันนี้จะไม่คุยกับพี่ศิก็ต้องยอมแพ้กับปณิธานกับตัวเองครับ ผมเกิดประตูพร้อมกับชะโงกหน้าไปหาพี่ศิแล้วร้องเรียกหาเสื้อผ้าครับ “พี่ศิ! มีเสื้อให้กรเปลี่ยนไหมตอนกรมากรมาแต่ตัวอ่ะ” ผมพูดแบบนี้ไปพี่ศิก็ได้แต่หัวเราะจาง ๆ พร้อมกับส่งเสื้อและกางเกงสีสุภาพมาให้ผม


ในที่สุดผมก็ได้ออกมาจากห้องน้ำครับด้วยเสื้อเชิ้ตแขนยาว (ที่ผมพับแขนขึ้น) สีฟ้าอ่อนกับกางเกงกึ่งสแลคสีขาวครับส่วนพี่ศิ (ที่ไปอาบน้ำอีกห้องหนึ่ง) เขาอยู่ในเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงสีดำครับ เราทั้งสองคนที่แต่งตัวกันเสร็จแล้วก็รีบวิ่งลงบันไดไปหาคุณยายที่ยืนรอกันอยู่หน้าบ้านครับ


คุณยายที่ยืนรอพวกผมท่านก็ส่งยิ้มมาให้นะครับและพวกผมก็พาท่านขึ้นรถและขับรถไปที่วัดกันครับ เราใช้เวลาขับรถกันไปไม่นานครับ สักพักเราก็ไปถึงวันที่คุณยายท่านคิดจะไปทำบุญ พวกผมเดินกันเข้าโบสถ์เพื่อไปถวายสังฆทาน แต่ไอผมผู้ที่นั่งพับเพียบไม่ได้นาน ๆ ก็ขอปลีกตัวไปให้อาหารปลาก่อนดีกว่าซึ่งพี่ศิแกก็ไม่ต่างกับผมครับแกก็ขอตัวมาให้อาหารปลากับผมเช่นกัน เราซื้ออาหารปลากันคนละสองถังพร้อมกับไปหาที่นั่งเหมาะ ๆ ให้อาหารปลากัน


“นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่วันขึ้นปีใหม่กรได้มาทำบุญแบบนี้” ผมพูดไปพร้อมกับโปรยอาหารปลาไปใบหน้าของผมยิ้มแย้มและดูแจ่มใสมากเลยครับส่วนพี่แกก็พยักหน้าตอบผมมานะครับแต่พี่แกก้ไม่หยุดเพียงแค่นั้นใบหน้าคมหันมามองผมพร้อมกับพูดถ้อยคำที่ทำให้ผมหน้าขึ้นสีแดงจัด


“แบบนี้พี่ก็สบายใจแล้วหละครับได้ทำบุญกับกรแล้วชาติหน้าเราคงได้เจอกันอีกและขอให้เราทั้งสองคนเจอกันในชาติต่อ ๆ ไปด้วยนะครับ” รอยยิ้มและน้ำเสียงยืนดีที่ออกมาจากริมฝีปากของพี่ศิทำให้ผมเกิดอาการหน้าร้อนขึ้นมาชั่วขณะหนึ่งซึ่งผมก็พยายามจะเฉไฉเปลี่ยนเรื่องคุยกับพี่ศิเขาแต่ไม่ว่ายังไงผมก็เปลี่ยนเรื่องคุยไม่ได้เลยในท้ายที่สุดผมก็ต้องนั่งฟังคำพูดของพี่ศิต่อไป ไอผมนี่เขินจนแทบจะกระโดดลงไปว่ายน้ำเป็นเพื่อนกับปลาที่อยู่ในน้ำแล้วครับ แต่ก็ทำไม่ได้เพราะมือของผมข้างหนึ่งถูกพี่ศิกอบกุมอยู่ พี่ศินั่งกุมมือผมแบบนี้มาตั้งแต่แกพูดประโยคแรกแล้วครับ เสียงทุ้มยังคงพูดพร่ำต่อไป มืออีกข้างที่พี่เขาไม่ได้กอบกุมมือของผมไว้ก็พลางชี้ไปโน่นมานี่ให้ผมดู ไอผมก็อยากจะสะบัดมือออกจากมือของพี่ศิอยู่หรอกครับแต่ด้วยความรู้สึกบางอย่างผมก็อยากให้พี่ศิแกกุมมือผมอยู่แบบนั้นผมนั่งมองบรรยากาศโดยรอบอย่างสบายใจและในที่สุดคุณยายของพี่ศิท่านก็ออกมาจากโบสถ์ครับ ไอผมก็เตรียมตัวจะลุกขึ้นและเดินไปหาท่านแต่ทว่าพี่ศิกับรั้งมือของผมเอาไว้และพูดประโยคสุดท้ายออกมา


“แต่ก่อนจะถึงชาติหน้า...ชาตินี้พี่ดีใจนะครับที่ได้เจอกรได้รู้จักกับกรและสนิทกับกร” เสียงทุ้มกระซิบแผ่วเบาข้างหูก่อนจะเดินนำและจูงมือผมกลับไปหาคุณยายที่ยืนรออยู่ด้านบน





______________________________




เค้าเรียกว่าทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขันค่ะกร
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 23] 18/11/2013 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 18-11-2013 21:39:37
เขาได้อยู่ด้วยกันฉลองปีใหม่แบบสวบแต่อบอุ่นไปทั้งใจ
แล้วยังได้ทำบุญด้วยกันอีก

ส่วนไฮซ์ชักแปลกๆ เหมือนพี่ศิจะสัมผัสได้
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 23] 18/11/2013 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 18-11-2013 22:05:52
แล้วอย่างนี้กรจะหนีไปไหนพ้น
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 23] 18/11/2013 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: RenaBee ที่ 18-11-2013 23:04:34
พี่ศิชื่อวันใหม่ ชื่อน่ารักยังทำตัวน่ารักอีกน้องกรไปไหนไม่ได้แล้วค่่ะ แต่ระวังนะคะพี่วันใหม่หวานมากขนาดนี้น้องกรอาจเป็นเบาหวานจนต้องให้ว่าที่คุณหมอรักษา ส่วนน้องกรคะเรียก"พี่ศิของน้องกร"แบบนั้นพี่เค้าก็หลงเราหนักขึ้นไปอีกซิลูก
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 23] 18/11/2013 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 18-11-2013 23:44:12
น่ารักกันจัง อยากมีบ้าง ^^
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 23] 18/11/2013 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: omyim_jjj ที่ 19-11-2013 00:03:01
พี่ศิน่ารัก
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 23] 18/11/2013 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 19-11-2013 08:10:11
ห๊าา พี่ศิชื่อวันใหม่ โอ๊ยย น่ารักน่าหยิกมาอะ  :-[
ตอนนี้พี่ศิพาน้องกรเข้าบ้านแล้ว มีทำบุญร่วมชาติกันอีก แล้วงี้กรจะหนีไปไหนพ้นจ๊ะ   o18
ว่าแต่ไฮซ์แอบหลงเสน่ห์น้องกรอีกคนแล้วสิท่า

 :L2: :pig4: :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 23] 18/11/2013 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 19-11-2013 10:35:10
พี่ศิน่ารักมากอะ แล้วเมื่อไหร่จะได้เป็นแฟนกานนนนน
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 23] 18/11/2013 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 19-11-2013 17:32:40
พี่ศิทำกรหัวใจละลายไปแล้ว ตั้งแต่พาไปดินเนอร์ที่โรงแรมหรู
คำพูดของศิทำเอาเราเขินแทนกรไปเลย
ตอนไฮน์โทรมาสงสัยพี่ศิหึงน่าดู กรเลยต้องง้อแถมง้อได้น่ารักซะด้วย
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 23] 18/11/2013 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: aelfy ที่ 19-11-2013 22:01:41
เมื่อไหร่จะคบกันเป็นเรื่องเป็นราว สวีท วีดวิ้ว ซะที :-[ :-[ :ling1:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 24] 23/11/2013 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 23-11-2013 18:40:35




Chapter 24



หลังจากวันหยุดปีใหม่จบลงพวกผมทุกคนก็เผชิญชะตากรรมนรกแตกที่เรียกว่าสอบครับ แต่ครั้งนี้เป็นสอบมิดเทอมไม่ใช่ไฟนอลและช่วงเวลานั่นผมก็ผ่านมาได้โดยการติวของติวเตอร์คนเดิมเพื่อนเจมส์ที่รักนั่นเองครับ คราวนี้เพื่อนเจมส์นี่ไม่มีพลาดเหมือนรอบที่แล้วครับ เพราะเพื่อนเจมส์นี่ติวได้เป๊ะทุกวิชา ซ้ำเก็งข้อสอบแม่นอย่างกับว่ามันไปออกข้อสอบให้อาจารย์เพื่อเอามาสอบพวกผมเลยครับ แล้วคะแนนที่มันออกมาผมก็คิดว่ามันใช้ได้อยู่ครับ (มันทำให้ผมสัมผัสกับคำว่าอยู่เหนือมีนสักทีครับ)

 
และหลังจากเทศกาลสอบมันก็เข้าสู่เทศกาลจัดงานโอเพนเฮาส์ของมหาวิทยาลัยครับ ซึ่งกิจกรรมของมหาวิทยาลัยผมจะจัดเป็นเวลาสองวันและจะเปิดคณะให้เด็ก ๆ ชั้นมัธยมเข้าชมกัน แต่กิจกรรมพวกนี้มันเป็นหน้าที่ของพวกรุ่นพี่ปี 2 – 3 จัดกันครับและที่ไม่ให้พวกชั้นปี 1 อย่างพวกผมจัดก็เพราะอย่างพวกผมที่ยังไม่เข้าถึงเนื้อหาของวิชาชีพวิศวกรก็เลยยังไปแนะแนวพวกน้อง ๆ มัธยมที่จะมาสอบถามเกี่ยวกับวิชาชีพนี้ได้ครับ แถมไอวิชาที่เรียน ๆ กันก็เป็นแค่วิชาพื้นฐานครับยังไม่ได้เข้าภาควิชาดังนั้นตอบคำถามพวกน้อง ๆ เขาไม่ได้หรอก


แต่ก็นะต่อให้พี่ ๆ เขาลากผมให้ไปช่วยผมก็ไม่ไปหรอกครับขอบอกเลยว่าขี้เกียจมาก! ถ้าให้ผมไปยืนปากเปียกปากแฉะแนะแนวรุ่นน้อง สู้ให้ผมไปปั่นรถสามล้อขายไอติมปั่นแบบงานวันลอยกระทงดีกว่าครับ แต่คนที่คิดแบบผมจะไม่ค่อยมีนะครับยกตัวอย่างเช่นไอบาสกับไอเจมส์ ไอสองคู่หูหน้าหม้อรอหลีสาวครับ ไอสองคนนี้ระริกระรี้ไปช่วยรุ่นพี่ทำแถมยังตบปากรับคำ (และลากผมไปด้วย) ว่าจะไปช่วยรุ่นพี่ที่ซุ้มของคณะด้วยครับ จุดประสงค์ของมันก็ไม่ต้องบอกเลยครับว่าพวกมันต้องการอะไร
เพราะมันไม่ต้องการอะไรนอกจาก ‘การได้หลีสาวรุ่นน้องที่น่ารัก’ ครับ เห็นไหมครับว่าจุดประสงค์มันไม่ค่อยจะชัดเจนเลย


และไอการที่สองสหายของผมรับปากรุ่นพี่มันก็ทำให้ผมมายืนหน้าบึ้งช่วยรุ่นพี่จัดซุ้มแบบนี้ไงครับ ซึ่งการที่รุ่นน้องมาช่วยงานรุ่นพี่แบบนี้ พวกผมชาวปี 1 ก็กลายเป็นเจเนอรัลเบ้ไงครับงานแบกหาม วิ่งหาของจัดไวนิลอะไรเนี่ยกลายเป็นหน้าที่ของพวกผมทั้งนั้นแหละครับ ไอตัวผมก็คิดจะโดดร่มครับแต่ก็ทำไม่ได้ครับเพราะด้วยอำนาจอันล้นเหลือของประธานรุ่นไออย่างไอเจมส์และสายตาทิ่มแทงของเพื่อนทั้งกลุ่มที่มองมาทำให้ผมต้องทำตัวเจียม ๆ พร้อมกับกล้ำกลืนน้ำตาช่วยกันจัดซุ้มตามคำสั่งของรุ่นพี่จนเสร็จครับ


และกว่าที่พวกเราจะจัดซุ้มกันเสร็จเวลาก็ผ่านไปเกือบจะห้าโมงเย็นแล้วหละครับซึ่งเวลานี้เป็นเวลาที่สารถีกิตติมศักดิ์ของผมเลิกเรียนและจะขับรถมารับผมครับ


นั่นพูดไม่ทันขาดคำคุณคนขับรถก็เดินมาหาผมที่นั่งแกร่วอยู่ในซุ้มแล้วหละครับ ผมยกมือทักทายไปและพี่ศิก็ส่งรอยยิ้มซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองคืนกลับมาให้ผม


“ซุ้มใกล้เสร็จแล้วนะครับกร” ร่างสูงโค้งคัวมาพูดใส่ผมที่ยังคงนั่งหน้ามุ่ยอยู่บนเก้าอี้ (ไม่ต้องสงสัยกันนะครับว่าทำไมพี่ศิถึงรู้ว่าผมมาช่วยงานรุ่นพี่ ก็เพราะผมโทรไปบ่นใส่พี่แกเป็นชั่วโมงตั้งแต่ไอเจมส์มันมัดมือชกผมให้มาช่วยงานที่ซุ้มคณะครับ แต่พี่ศิก็ช่วยงานที่ซุ้มคณะแพทย์เหมือนกันนะครับแต่พี่ศิแกเป็นคนมาช่วยอธิบายเกี่ยวกับวิชาการเรียนให้รุ่นน้องฟังครับ พูดง่าย ๆ คือหน้าที่ของพี่แกคือใช้สมองแต่หน้าที่ของพวกผมมันชนชั้นแรงงานครับ)


“พี่ศิก็มาช่วยกันสิมันจะได้เสร็จสักที กรนี่วิ่งไปวิ่งมาตลอดทั้งบ่ายแล้วเหนื่อยจะตายแล้วเนี่ย มารับก็มารับช้ากรนี่นั่งรอจนไม่รู้จะรอยังไงแล้ว” ผมบ่นเสียงดังใส่พี่ศิซึ่งรุ่นพี่และเพื่อน ๆ ของผมที่อยู่ที่ซุ้มหันมามองที่ผมเป็นตาเดียว และทุกคนคิดว่าคนอย่างผมมีหรือจะสนใจสายตาอะไรพวกนั้น ซึ่งเป็นที่แน่นอนครับผมไม่สนใจไงหละซ้ำยังคงเปิดปากบ่นต่อไปเรื่อย ๆ จนพี่ศินี่ถึงกับเอื้อมมือมาปิดปากผมเพราะกลัวว่าผมจะโดนคนที่กำลังทำงานอยู่ทั้งซุ้มมาไล่กระทืบครับ (แต่ก็ไม่มีใครไล่กระทืบผมหรอกครับเพราะว่าพวกมันรู้นิสัยของผมดีผมมันพวกปากหมา ปากไว ทุกคนเลยไม่ค่อยถือสาอะไรกับสิ่งที่ผมพูดครับ)


ก็แหมผมมันเป็นพวกที่เจออากาศร้อน ๆ เหงื่อแตกเยอะ ๆ แล้วอารมณ์เสียนี่ครับ ผมเลยวีนใส่คนทั้งซุ้มและพาลไปหาพี่ศิแบบนี้ไง


ผมขมวดคิ้วมองพี่ศิก่อนจะยืนมือส่งไปให้พี่เขาและพี่ศิแกก็รู้หน้าที่ดีนะครับมือกร้านยื่นมาจับมือของผมพร้อมกับช่วยดึงร่างของผมที่นั่งหมดแรงให้ลุกขึ้นยืนครับ ซึ่งผมก็กระเด้งตัวลุกขึ้นยืนตามแรงดึงของพี่ศิพร้อมกับเดินตามพี่เขาไปที่รถที่จอดไว้ไม่ไกลไปจากซุ้ม


(ทุกท่านคงสงสัยว่าทำไมพวกผมถึงรีบเร่งกันจังเลยกับการจัดซุ้มคณะเพื่อนเตรียมรับโอเพนเฮาส์ของมหาลัย แต่ต่อให้ผมไม่บอกทุกคนก็น่าจะคาดเดาได้นะครับว่าทำไมต้องรีบ นั่นก็เป็นเพราะพรุ่งนี้เป็นวันโอเพนเฮาส์มหาวิทยาลัยของผมวันแรกครับพวกผมชนชั้นแรงงานเลยถูกใช้งานเยี่ยงทาสแบบนี้ไง)


และเมื่อผมได้ขึ้นไปนั่งบนรถของพี่ศิ (และเร่งแอร์เปิดจนสุด) ไออารมณ์หงุดหงิดโวยวายของผมก็เพลาลงแล้วล่ะครับ หลังจากผมอารมณ์เย็นลงผมก็กระดื๊บไปหยิบไอโฟน 5s รุ่นใหม่ล่าสุดจากกระเป๋าเสื้อนิสิตของพี่ศิและหยิบมาเปิดเพลงฟังเหมือนกับทุก ๆ ครั้ง (ผมไม่อยากจะอวดนะครับว่าแบตไอโฟนของพี่ศิที่ต้องชาร์ตบ่อย ๆ ก็เป็นเพราะผมนี่หละของตัวเองมีให้เล่นก็ไม่เล่นไปเล่นของพี่เขา อ่อ อีกอย่างพี่ศิเปลี่ยนมือถือเป็นไอโฟน 5s แล้วส่วนไอโฟน 5 เครื่องเก่าของพี่ศิผมก็ซื้อต่อมาในราคาพิเศษครับ พอดีพี่ศิแกคิดจะขายไอผมก็อยากได้มือถือเครื่องใหม่เลยไปขอซื้อต่อพี่เขามา) แต่ว่าครั้งนี่น่าจะพิเศษกว่าครั้งก่อน ๆ นิดหน่อยครับนั่นก็คือผมกดเข้าไปดูในอัลบั้มภาพถ่ายครับ (ไม่รู้ว่าผมครึ้มอกครึ้มใจอะไรเลยกดเข้าไป ส่วนมือถือเครื่องเก่าของพี่ศิก่อนที่จะให้ผมพี่แกล้างเครื่องแล้วค่อยส่งให้ผมครับผมเลยไม่รู้ว่าความลับของพี่ศิแกมีอะไรบ้าง) และผมก็ไปพบเจอกับอัลบั้มอัลบั้มหนึ่งที่มีชื่อว่า N’Korn (อ่อม…นี่มันชื่อของผมไม่ใช่เหรอครับแล้วพี่ศิแกมาตั้งอะไรแบบนี้ไว้เนี่ย)


ผมหันไปหมายจะถามพี่ศิแต่ผมก็ชั่งใจครับและหันมาเปิดอัลบั้มดูเงียบ ๆ โดยที่ไม่บอกอะไรพี่ศิเขา (ถ้าขืนบอกพี่ศิไปผมอาจจะไม่ได้ดูว่ามันมีอะไรอยู่ในอัลบั้มนั่นหนะสิ) ผมจิ้มเข้าไปอัลบั้มนั้นพร้อมกับไล่ตามองภาพต่าง ๆ ที่เรียงรายเต็มหน้าจอ แต่ไอจำนวนภาพมันไม่สำคัญเท่ากับคนที่อยู่ในภาพครับผมมองตั้งแต่ภาพแรกไล่ไปถึงภาพสุดท้าย (แบบยังไม่ขยายภาพนะครับ) ทุกภาพนี่เค้าลางว่าน่าจะเป็นผมทุกภาพเลยครับ แล้วบางภาพเนี่ยผมไม่รู้ว่าพี่แกถ่ายไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ตอนไหนเวลาไหน


ผมจิ้มดูภาพใหญ่และไอการทำแบบนั้นมันทำให้ผมยิ่งช็อคมากกว่าเก่าเสียอีก…


เพราะภาพที่ปรากฏอยู่ในสายตาของผมมันเป็นภาพของผมตั้งแต่งานกีฬาเฟรชชี่เมื่อเทอมก่อนครับ เป็นภาพตอนผมเป็นหลีดของคณะครับ (ผมโดนคุณเจ้น้ำหวานใช้อำนาจมืดบังคับให้เป็นครับ) ผมเลื่อนดูไปเรื่อย ๆ เพราะมันมีภาพของผมแทบทุกมุม ทุกสถานการณ์ ภาพที่ผมยิ้ม ภาพที่ผมหัวเราะและไม่เว้นกระทั้งภาพที่ผมเบ้หน้าใส่เพื่อนเวลาพัก นี่พี่ศิแกไปเอาภาพพวกนี้มาจากไหนกันผมยังคงนั่งเลื่อนภาพดูต่อไปเรื่อย ๆ หลังจากภาพถ่ายในงานกีฬาเฟรซชี่ก็เปลี่ยนเป็น ภาพกิจวัตรประจำวันของผม (ที่ถ่ายด้วยไอโฟนและกล้องโปร) ภาพต้องผมนอนหลับบ้าง ภาพที่ผมกำลังทำขนมบ้าง ภาพที่ผมกำลังอ่านหนังสือบ้าง นี่พี่ศิแกเก็บภาพของผมทุกโมเมนต์เลยครับและหลังจากผมที่ดูรูปภาพไปเรื่อย ๆ รถคันหรูของพี่ศิก็จอดสนิทในลานจอดรถของห้างสรรพสินค้า พี่สิแกถอดเข็มขัดนิรภัยพร้อมกับหันมาเรียกผมให้ลงจากรถและในเวลานั้นแหละที่พี่ศิแกรู้ตัวว่าผมแอบดูรูปภาพในมือถือของเขา


ร่างสูงใบหน้าแดงก่ำพร้อมกับเอื้อมมือไปกระชากมือถือของตนออกไป พี่ศิยกมือขึ้นมาขยี้ผมตัวเองแก้เขินก่อนจะลนรานเปิดประตูรถออกไปและรีบสาวเท้าตนไปยืนกอดอกทำเป็นเท่ห์อยู่หน้ารถ ไอผมก็หลุดขำในท่าทีที่ของพี่ศิเขานะครับแต่ผมก็ไม่คิดจะพูดอะไรต่อ ผมลงจากรถตามพี่ศิไปพร้อมกับเดินจับมือพี่เขาเพื่อเข้าไปในตัวห้าง


คราวนี้ผมเลือกทานอาหารง่าย ๆ ครับนั่นก็คือข้าวแกงกะหรี่ของร้านโคโค่ (นี่มันง่ายตรงไหนกัน) ผมเดินตรงเข้าไปนั่งโต๊ะพร้อมกับบอกพนักงานให้นำเมนูมาให้ แต่ผมก็ลอบแอบมองใบหน้าคมของพี่ศิเขานะครับว่ามันแสดงออกมายังไงแต่มันก็ยังคงแสดงออกมาเป็นแบบเดิมครับนั่นก็คือ ใบหน้าคมขึ้นสีแดงก่ำริมฝีปากหนานี่เม้มแน่นเชียว ท่าทางจะเขินมากนะเนี่ย (อย่าถามผมนะครับว่าผมไม่เขินเหรอ ผมตอบเลยว่าเขินครับแต่เขินไม่เท่าพี่ศิผู้เป็นคนถ่ายภาพพวกนั้นหรอกครับ) เมื่อพนักงานยื่นเมนูมาให้ผมผมก็จัดการสั่งของโปรดของผมนั่นก็คือ กางกะหรี่ซีฟู้ดเพิ่มเห็ดกับปลาทอดลดข้าวเลเวลความเผ็ดคือ 5 ครับ ส่วนพี่ศิสั่งเป็นแกงกะหรี่เห็ดรวมเพิ่มปลาทอดดันไก่ทอดครับส่วนความเผ็ดเป็นเลเวล 3 ส่วนน้ำดื่มนี่ไม่ต้องถามนะครับว่าเราสั่งอะไรกันเพราะผมก็ไม่พ้นสั่งน้ำส้มคั้นแล้วของพี่ศิก็เป็นน้ำเปล่าครับ (ใครที่เคยมาทานร้านโคโค่นี่ทุกคนจะรู้กันดีว่ารอนานมากมันก็เลยทำให้ผมนั่งแกร่วสักเล็กน้อยส่วนพี่ศิแกก็ยังเขินไม่หายแต่อาการเขินของพี่เขาก็ลดลงไปเยอะแล้วครับ) ผมนั่งเคาะนิ้วบนโต๊ะรออาหารส่วนพี่ศิก็นั่งเบนหน้าหลบสายตาผม แต่ในที่สุดผมก็เลือกที่จะเอ่ยปากถามพี่ศิไปว่าพี่ศิเขามองผมมาตั้งแต่เมื่อไหร่


“นี่พี่ศิ ภาพพวกนั้นคือพี่ศิ…พี่เริ่มแอบถ่ายภาพของกรตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ” ไอเรื่องที่ผมเอ่ยปากถามไปนี่ไม่ใช่ไม่เขินนะครับผมเขินครับแต่ความอยากรู้อยากเห็นมันมีมากกว่าความอายเยอะครับ (เรียกง่าย ๆ ว่าผมหน้าด้านแล้วนั่นเอง) แม้หน้าของผมนั้นจะด้านแล้วแต่คนตรงหน้าของผมหน้ายังไม่หนาเท่าผมครับมือของพี่ศิชะงักทันทีเมื่อได้ยินเสียงผมเอ่ยปากถามและปัดแก้วน้ำเปล่าลงจากโต๊ะทันทีเมื่อผมถามจบ (ปฏิกิริยาที่พี่ศิแสดงออกมา…ดูเป็นผู้ชายขี้อายมากครับไม่เหมือนกับว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์ที่ผมรู้จักเลยแต่แบบนี้มันก็น่ารักไปอีกแบบครับ) เสียงแก้วแตกดังลั่นทำให้พนักงานทั้งร้านหันมามองและทุกคนก็ต่างรีบกุลีกุจรมาเก็บกวาดและเตรียมแก้วน้ำใหม่ให้


ผมนั่งเท้าคางมองพี่ศิแล้วส่งยิ้มไป ส่วนพี่ศิก็แสดงอาการลนลานออกมาอย่างเห็นได้ชัด สภาพการแบบนี้แสดงว่ามองผมมานานแล้วแน่ ๆ เลยครับ จะให้พูดว่าเขินไหมผมเขินนะครับที่รู้ว่ามีคน ๆ หนึ่งมองผมมาตั้งนานแบบนี้แต่ก็นะสำหรับคนบางคนอาจจะรู้สึกไม่ดีก็ได้เพราะมีผู้ชายเฝ้ามองตัวเองมาตั้งนานทั้ง ๆ ที่ตัวเองเป็นผู้ชายด้วยเช่นกัน แต่ผมกลับไม่ได้รู้สึกไม่ดีหรือรังเกียจเลยครับ ซ้ำยังแอบดีใจลึก ๆ เสียด้วยซ้ำครับบางทีผมอาจจะค่อย ๆ ตกหลุมรักพี่ศิไปเรื่อย ๆ แล้วล่ะมั้งครับแต่ก็ยังก่อนผมขอเล่นตัวใส่พี่ศิก่อนแล้วกันผมยังอยากเห็นมุกจีบของพี่ศิที่จะงัดมาจีบผมแบบไหนอยู่


คนบางคนอาจจะมองว่าผมแปลกทำไมผมถึงรับเรื่องแบบนี้ได้ง่าย ๆ ว่าตัวเองอาจจะตกหลุมรักผู้ชายไปแล้วอะไรแบบนั้นผมไม่คิดว่าการชอบหรือมีความรู้สึกดี ๆ ให้กับเพศเดียวกันว่ามันแปลกหรอกครับเพราะความรักมันไม่มีพรมแดนนี่นาไม่ว่าใครก็รักกันได้ ไม่ว่าเพศไหนก็รักกันได้และไม่ว่าเราจะมีสภาพแบบไหนคนเราก็รักกันได้ครับ แต่ตอนนี้ผมยังไม่สามารถยืนยันความรู้สึกตัวเองกับพี่ศิได้ครับว่าผมรู้สึกยังไงกับพี่เขาแต่เท่าที่รู้ตอนนี้คน ๆ นี้เขาเป็นคนสำคัญของผมครับ


ผมยังคงนั่งมองหน้าพี่ศิที่แสดงสีหน้าประหม่าอย่างเห็นได้ชัดผมก็แกล้งเคาะนิ้วรอมืออีกข้างก็เท้าคางตัวเองไปด้วยจนในที่สุดผมก็ทนไม่ไหวและตัดสินใจจะเอ่ยปากถามไปอีกรอบทว่าพี่ศิผู้ที่นั่งเงียบมานานก็เอ่ยตอบกลับมาเสียก่อน


“ตั้งแต่กีฬาเฟรซชี่นั่นแหละครับกร…ตอนนั้นพี่มองกรผ่านเลนต์กล้องและกดชัตเตอร์เพื่อถ่ายภาพของกรไม่รู้กี่สิบภาพ รอยยิ้มของกรใบหน้าของกรที่มีความสุขทำให้พี่ละสายตาไปจากกรไม่ได้แต่หลังจากวันนั้นพี่ก็ไม่ได้เจอกรอีกเลยและพื่อก็ไม่รู้ว่ากรเป็นใครจนกระทั่งวันนั้นวันที่กรมาดึงแขนพี่นั่นหละที่ทำให้พี่รู้ว่าเด็กที่ทำให้พี่ละลายตาไม่ได้คนนั้นก็คือกร” สิ้นเสียงของพี่ศินิ้วมือของผมที่เคาะเล่นบนโต๊ะก็ชะงักค้างพร้อมกับใบหน้าที่ก่อนหน้านี้ส่งรอยยิ้มยียวนใส่พี่ศิตอนนี้มันขึ้นสีแดงชาดและริมฝีปากของผมก็เม้มแน่น


‘ตายแล้วไอกรไอการที่คิดว่าจะแกล้งคนอื่นเขาแต่กลับโดนตลบหลังซะเองถึงแม้เจ้าตัวเขาจะไม่ได้ตั้งใจก็เถอะ มรึงบ้าไปแล้วครับกรจะแกล้งเขาแล้วทำไมมาหน้าแดงเองแบบนี้ แถมหัวใจก็เต้นแรงราวกับว่ามันจะหลุดออกมาเต้นเบรกแดนซ์นอกอก’ ผมพึมพำกับตัวเองในใจพร้อมกับกร่นด่าตนองไปด้วย ตอนนี้สภาพโต๊ะของเรานี่อึมครึมมากครับต่างคนต่างเขินและไม่มีใครพูดอะไรใส่กันแต่ในที่สุดเสียงจากสวรรค์ก็ดังขึ้นพร้อมกับจานข้าวราดแกงกะหรี่มาวางลงมาข้างหน้าผมกับพี่ศิ (ที่เป็นเสียงจากสวรรค์ก็เป็นเพราะมันทำให้บรรยากาศน่าอึดอัดบนโต๊ะหมดไป)


ไอผมนี่ถอนลมหายใจออกมาด้วยความโล่งใจซึ่งพี่ศิก็แสดงออกมาด้วยเช่นกัน เราทั้งสองคนค่อย ๆ จัดการข้าวราดแกงกะหรี่ในจานไป ส่วนพี่ศิตักผักดองของสุดฮอตฮิตของร้านใส่จานตัวเองไปเสียพูนจานและค่อย ๆ ตักข้าวในจานใส่ปาก (ไอผักดองของร้านนี้ผมไม่อยากจะบอกนะครับว่าเพื่อน ๆ ของผมนี่มากินผักดองกันมากกว่าข้าวแกงกะหรี่ครับผมไม่รู้ว่าพวกมันชอบกินกันได้ยังไง แต่ที่รู้ ๆ ผมไม่ชอบกินครับเพราะว่ามันเป็นผักนั่นหละครับ)


 เราทั้งสองคนค่อย ๆ นั่งกินข้าวทานกันไปพลางจิบน้ำไปพลาง จานของผมนี่เป็นระดับเผ็ดขั้นสุดยอดครับ มันเลยทำให้น้ำหูน้ำตาผมเลยไหลเอา ๆ เพราะความเผ็ด ซึ่งในขณะที่ผมนั่งปาดน้ำตาไปสูดน้ำมูกไปทิชชู่จำนวนหนึ่งก็ถูกยื่นมาซับน้ำมูกของผมที่ไหลอยู่ครับและไม่ต้องบอกเลยว่าเจ้าของมือที่ส่งทิชชู่มาให้ผมนั้นคือใครเพราะมันเป็นใครไม่ได้เลยนอกจากคุณพี่ศิรวิทย์ที่รักของทุก ๆ คนไงครับ หน้าของร่างสูงยังคงขึ้นสีเล็กน้อยแต่มันก็ไม่ได้แดงก่ำเมื่ออย่างก่อนหน้านี้แล้วหละครับ
ผมรับทิชชู่มาซับน้ำมูกที่ไหลแต่ก็ยังคงนั่งกินข้าวแกงกะหรี่กันแบบนั้นและในที่สุดผมก็นั่งกินหมดจานครับแต่กว่าจะหมดจานนี่ผมต้องสั่งน้ำเปล่ามาเพิ่มหลายขวดเลยครับ ส่วนทางฝั่งพี่ศิแกก็ต้องกินน้ำเยอะไม่แพ้กันเพราะพี่ศิแกกินเผ็ดมากไม่ค่อยได้ครับแต่สั่งความเผ็ดเลเวล 3 มา (พี่ศินี่กินเผ็ดไม่ได้แต่ก็ซ่าสั่งมาซะเผ็ดเลยนะครับ) การทานอาหารเย็นครั้งนี้ของพวกผม ขอบอกเลยว่ามันเป็นการทานอาหารที่เงียบที่สุดเท่าที่ผมทานกับพี่ศิเลยครับ (แต่มันก็ไม่ได้มีอาการอึดอัดใจนะครับมันเป็นอารมณ์ของคนที่เขินใส่กันมากจนไม่กล้าจะพูดคุยอะไรออกมา) มันอาจจะเป็นเพราะไอโทรศัพท์มือถือเจ้ากรรมของพี่ศิ ความมือบอนของผมที่ไปเปิดไล่ดูภาพในมือถือเครื่องนั้นและก็รวมไปถึงคำถามที่วัดความหนาของหน้าที่ผมถามพี่ศิไปนั่นก็เป็นได้หละมั้งครับ เลยทำให้ต่างคนต่างไม่กล้าพูดคุยอะไรออกมาก (เพราะต่างคนต่างก็เขินใส่กัน)


และหลังจากที่พวกเราจัดการอาหารกันจนหมดโต๊ะพวกเราทั้งคู่ก็เช็คบิลและเดินออกจากร้านครับ ผมเดินนำพี่ศิไปยังลานจอดรถพร้อมกับกระเด้งตัวขึ้นไปนั่งบนรถครับ (ซึ่งไอประตูนี่พี่ศิแกก็เปิดให้ผมขึ้นครับ) ตลอดทางกลับไปยังคอนโดเราสองคนต่างไม่ได้พูดคุยอะไรกันเหมือนเดิมครับ แต่บรรยากาศภายในรถกลับรู้สึกอบอุ่นภายในหัวใจยังไงก็ไม่รู้ครับ เมื่อรถคันงานถูกวนขึ้นไปจอดในลานจอดรถผมก็ดีดตัวออกมาจากรถของพี่ศิทันที (คราวนี้ผมลงมาเองโดยที่ไม่รอให้พี่ศิมาเปิดประตูให้ครับ) พร้อมกับวิ่งตรงเข้าไปในลิฟท์โดยทิ้งให้พี่ศิแกขึ้นลิฟท์รอบต่อไป


เมื่อถึงชั้น 14 ผมก็รีบวิ่งปรี่ไปยังห้องของผมและรีบไข้กุญแจห้องเข้าไป และทันทีที่ร่างของผมเข้าไปในตัวห้องผมก็ถลาตัวขึ้นไปนอนบนโซฟา มือทั้งสองข้างทุบไปที่เบาะพร้อมกับใบหน้าที่แสนแดงก่ำของผมที่ซุกไปลงกับโซฟา
‘พี่ศิ…พี่เกือบจะฆาตกรรมผมอีกแล้วนะครับคำตอบของพี่ศิที่ตอบผมในร้านมันทำเอาหัวใจของผมเต้นแรงจนผมคิดว่ามันจะหลุดออกมาจากอกแล้วครับ ถ้าเกิดตอนนั้นผมหัวใจวายไปพี่ศิต้องเป็นคนรับผิดชอบผมด้วยนะ’ เสียงผมบ่นพึมพำกับตัวเองเบา ๆ พร้อมกับดวงตาทั้งสองข้างที่ปรือและหลับลง





อรุณสวัสดิ์ครับหลังจากเมื่อคืนผมได้นอนซุกตัวบนโซฟาแบบไมได้อาบน้ำและไมได้แปรงฟันตอนนี้ผมตื่นแล้วครับซึ่งตอนนี้เป็นเวลา หกโมงเช้าซึ่งเป็นเวลาที่เหมาะสมกับการไปจ๊อกกิ้งยามเช้ามากแต่ผมคงไม่ทำเพราะขี้เกียจทำให้ตัวเองเหนื่อยโดยใช่เหตุทั้ง ๆ ที่ตัวเองมีหุ่นอันสุดแสนจะเพอร์เฟกอยู่แล้ว ขั้นแรกหลังจากที่ผมตื่นนั่นก็คือควานมือไปรับโทรศัพท์ที่แผดเสียงอยู่ในกระเป๋ากางเกงเพราะไอเจมส์มันโทรมาปุกผมให้ผมไปสแตนบายที่ซุ้มคณะได้แล้ว (ทุกท่านยังไม่ลืมใช่ไหมครับว่าวันนี้เป็นวันโอเพนเฮาส์มหาลัยผมวันแรก) ผมก็ใช้ความง่วงงุนพร้อมมึน ๆ ตอบมันไปและก็รีบปลุกสติตัวเองให้กลับคืนมาพร้อมกับจัดการตัวเองที่เน่ามาตั้งแต่เมื่อคืนครับ ทั้งอาบน้ำ สระผม ขัดตัวอะไรต่าง ๆ และในที่สุดตอนนี้เป็นเวลาเจ็ดโมงผมก็อยู่ในชุดนิสิตเรียบร้อยพร้อมผูกไทค์อย่างสวยงาม ผมเตรียมตัวจะออกจากห้องมือหนึ่งล้วงประเป๋าส่วนอีกมือถือกุญแจรถยนต์ของตัวเอง (วันนี้ผมคิดว่าผมจะขับรถไปมหาวิทยาลัยเองครับไม่ต้องถามถึงเหตุผลนะครับตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ผมยังไม่กล้าเจอหน้าพี่ศิตรง ๆ เลยครับ) แต่คนเราเวลาไม่อยากจะเจออะไรมันมักจะเจอหรือได้แบบนั้นเพราะว่าตอนนี่ประตูห้องข้าง ๆ ของผมก็เปิดออกพร้อมกับร่างสูงของคนที่ผมยังไม่อยากเจอ (เรียกว่าไม่กล้าเจอ) ที่ก้าวเดินออกมา


พี่ศิหันมามองผมพร้อมกับชะงักตัวส่วนผมก็พยายามยกมุมปากส่งรอยยิ้มไปให้พี่ศิส่วนพี่แกก็พยายามยิ้มกลับมาให้ผมเรามองหน้ากันสักพักก่อนจะเบนสายตากันไปอีกทาง และการที่เราหลบหน้ากันนั่นก็เป็นเพราะใบหน้าของเราทั้งสองขึ้นสีแดงก่ำและหัวใจของผมก็เต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง


ผมรีบรนลานและรีบวิ่งปรี่ไปที่ลิฟท์แต่พี่ศิแกก็ไม่ได้ปล่อยให้ผมหนีหายไปมือกร้านเอื้อมมารั้งผมไว้พร้อมกับเอ่ยปากชวนให้ผมขึ้นรถไปมหาลัยด้วยกัน (ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติครับที่ผมจะนั่งรถไปกับพี่ศิในทุก ๆ เช้าและกลับด้วยกันเกือบจะทุกเย็น) ซึ่งผมที่กำลังหน้าแดงก่ำและหัวใจเต้นแรงผมก็พยักหน้าตอบพี่เขาไปโดยใบหน้าของผมก็พยายามเบี่ยงเพื่อหลบสายตาที่อีกฝ่ายจ้องมองมา (ทั้ง ๆ ที่วันนี้ผมคิดว่าจะขับรถไปมหาลัยเอง แต่ทำไมถึงใจอ่อนยอมนั่งรถไปกับพี่ศิด้วยนะและที่สำคัญยิ่งกว่าการใจอ่อนให้พี่ศิ ทำไมผมต้องดีใจทุกครั้งหรือมีความสุขทุกครั้งที่ได้เจอหน้าของพี่ศิด้วยหละครับเนี่ยบ้าไปแล้วผม)


ผมก้มหน้าก้มตาเดินตามพี่ศิไป หรือเรียกง่าย ๆ ว่าผมเดินตามแรงดึงของพี่ศิจะดีกว่าตอนนี้ผมโดนพี่ศิจับมืออยู่ครับผมเงยหน้ามองด้านหลังของพี่ศิไปพลันสายตาก็เป็นใบหูที่แดงก่ำของพี่ศิเขา


…แย่จังเลยนะ เราทั้งสองคนหน้าแดงกันทั้งคู่แบบนี้ถ้าใครมาเห็นจะคิดว่ายังไงกันนะ…



v
v
v
v
v
v
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 24] 23/11/2013 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 23-11-2013 18:43:25


ผมยอมนั่งรถคันงามของพี่ศิไปและผมทำตัวเป็นตุ๊กตาหน้ารถได้อย่างดีเยี่ยมในที่สุดรถของพี่ศิก็ขับมาถึงคณะของผมผมเดินลงจากรถพร้อมกับโค้งตัวขอบคุณพี่ศิไปซึ่งพี่ศิรวิทย์ที่รักของทุก ๆ คนก็ส่งรอยยิ้มเขิน ๆ กลับมาให้และหลังจากพวกเราส่งยิ้มให้กันสักพักเราทั้งสองคนก็ค่อย ๆ เบือนหน้าหนีกันด้วยความเขินอาย ผมยืนค้างอยู่ตรงประตูรถสักพักไม่นานนักพี่ศิก็เอ่ยขอตัวไปยังคณะของตัวเองเพื่อเตรียมความพร้อมในการต้นรับรุ่นน้องชั้นมัธยมปลายที่จะมาเยี่ยมเยียนที่คณะ (ผมไม่อยากจะบอกเลยว่าบรรยากาศภายในรถระหว่างทางที่จะมามหาวิทยาลัยบรรยากาศนี่โคตรจะเป็นใจเลยครับเพราะว่าไม่ว่าจะเปิดเพลงจากวิทยุก็เป็นเพลงหวาน ๆ สำหรับคนมีความรัก ไม่ว่าจะเปิดซีดีฟังในรถก็เต็มไปด้วยเพลงรัก สุดท้ายผมปิดเครื่องเสียงไปซะเลยครับภายในรถถึงค่อย ๆ กลับไปสู่ภาวะปกติ)


ผมค่อย ๆ สาวเท้าตนเข้าไปยังซุ้มของคณะวิศวกรรมศาสตร์ซึ่งในตอนนี้ทุกคนที่อยู่ภายในบูทกำลังขยันขันแข็งเตรียมงานกันอย่างเต็มที่และเมื่อผมเดินเข้าไปสายตาของคนทั้งซุ้มก็หันมาทางผมพร้อมกับส่งรอยยิ้มที่ไม่น่าจะไว้ใจมาให้ ซึ่งการกระทำแบบนั้นของทุกคนก็ทำให้ผมแปลกใจแต่ไอความแปลกใจทั้งหมดของผมก็ถูกคลายด้วยคำพูดของเพื่อนเจมส์และเพื่อนบาสที่พากันเดินมากอดคอผม


“สวัสดีครับเพื่อนกรเมื่อกี้ทุกคนเห็นฉากหวานแหว๋วที่หน้าคณะกันนะครับ หวานชื่นซะกรูอิจฉาเลยทีเดียว” เสียงของเจมส์เอ่ยขึ้นพร้อมกับแกล้งเอานิ้วชี้เอาแตะคางผมแล้วเชยขึ้น ส่วนไอบาสมันลดมือจากคอของผมพร้อมกับเอาศอกเข้ากระทุ้งสีข้างของผม “วันนี้หวานยิ่งกว่าทุกวันเลยนะครับเพื่อนกร กรูเห็นมรึงนี่หน้าแดงเดินเข้าซุ้มมาเลยถึงกรูจะไม่เห็นหน้าพี่ศิก็เถอะแต่ก็คงมีสภาพเดียวกับมรึงตอนนี้หละมั้ง” เมื่อผมได้ยินคำพูดหยอกล้อของเพื่อน ๆ ทั้งสองคนผมก็รีบสะบัดตัวออกจากการจับกุมของพวกมันนั้นสอง แต่ก็ไม่สามารถทำได้ครับเพราะไอเพื่อนสองคนที่มีแรงช้างนี่ต่างพากันลอคคอผมไว้อยู่ครับ พี่ ๆ และเพื่อน ๆ ในซุ้มคณะต่างหัวเราะพวกผมสามคนแต่ ทุกคนก็สนใจพวกผมกันไม่นานทุกคนก็ต่างแยกย้ายไปกันทำงานของตัวเองต่อ


และในที่สุดเวลาก็ล่วงเลยมาถึง 8 โมงเช้าครับและงานโอเพนเฮาส์ของมหาวิทยาลัยของผมก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วในตอนแรกน้อง ๆ ชั้นมัธยมปลายยังไม่ค่อยมีครับพวกผมเลยสบายหน่อย


แต่พอเข้าช่วงสายเท่านั้นแหละพวกผมนี่แทบไม่มีเวลาทำอะไรกันเลยครับขนาดเวลาไปเข้าห้องน้ำยังไม่มีเลยครับ ผมพวกคงยังต้องทำงานต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงช่วงเที่ยงน้อง ๆ มัธยมปลายก็ค่อย ๆ ซ่าลงและผมก็ได้ฤทธิ์ทานเข้ากลางวันสักทีครับ


ผมเดินโซซัดโซเซไปที่โรงอาหารของคณะแต่ผมก็ต้องพบการณ์กลุ่มก้อนของนักเรียนมัธยมมหาศาลที่ไม่รู้มาจากไหนกัน นั่งจับจองโต๊ะภายในโรงอาหารกันจนหมดเกลี้ยงแล้วครับ ผมมองภาพตรงหน้าอย่างปลง ๆ พร้อมกับเดินโซซัดโซเซไปยังโรงอาหารของคณะอื่นซึ่งโรงอาหารของคณะอื่น ๆ มันก็ไม่ต่างจากโรงอาหารคณะผมสักเท่าไหร่ครับจนในที่สุดผมก็เดินเซไปมาจนถึงคณะแพทย์จนได้ครับ


ผมมองสภาพคณะแพทย์ด้วยสีหน้าปลง ๆ น้อง ๆ มัธยมปลายยังคงเต็มซุ้มคณะแพทย์อยู่เลยครับท่าทางคณะนี่ฮอตฮิตไม่เปลี่ยนเลยจริง ๆ นี่ขนาดยังไม่ได้เข้าไปใกล้มากนะครับคนยังเยอะขนาดนี้ถ้าเข้าไปใกล้กว่านี้คนมันจะแออัดขนาดไหน ผมค่อย ๆ สาวเท้าเดินเข้าไปใกล้นี้มาขึ้นโดยที่ตัวผมสูงอยู่แล้วผมก็เห็นร่างสูงของคุณพี่ศิรวิทย์ที่ยืนให้คำแนะนำลูกน้องอยู่ไกล ๆ ผมอมยิ้มกับใบหน้าจริงจังของพี่เขาและตัดสินใจที่จะเข้าไปทัก แต่ก็ไม่ทันที่ผมจะได้เดินเข้าไปบ่าของผมก็ถูกมือของใครสักคนพาดมาพร้อมกับเสียงทักทายดังขึ้น


“ไงกร มาแถวคณะไฮซ์มีอะไรเหรอ” และผู้เป็นเจ้าของมือนั่นก็คือไฮซ์เพื่อนสนิทสุดแสบของผมเองครับ ผมหันไปส่งยิ้มทักทายให้กับมันพร้อมกับโอดครวญถึงอาการท้องร้องให้มันฟัง “มาหาข้าวกินอ่ะคณะกรมีแต่เด็ก ๆ นั่งจองโต๊ะเต็มไปหมดเลย กรก็เลยเดินมาดูที่คณะอื่นบ้างว่าจะมีอะไรให้กินไหมแต่ก็เหมือนกันทุกคณะเลยเลยเดินยาวมาถึงคณะแพทย์ไง” ไฮซ์พยักหน้ารับทราบพร้อมกับออกปากชวนผมไปทานข้าวกลางวันด้วยกันแต่ว่าผมกลับขอเวลาไปทักทายพี่ศิแกก่อนครับ


“เดี๋ยวไปกินด้วยแต่กรขอไปทักพี่ศิก่อนนะไฮซ์” ผมพูดพร้อมขยิบตาให้ไฮซ์และหาทางที่แทรกตัวเข้าไปในซุ้มของคณะแพทย์แต่ดูเหมือนท่าทางของผมจะเก้ ๆ กัง ๆ สักหน่อยไฮซ์เลยออกปากที่จะพาผมเข้าไปทางด้านหลังซุ้มเพื่อที่จะได้ไม่ต้องไปเบียดกับพวกรุ่นน้อง


“มานี่กรเดี๋ยวไฮซ์พาเข้าไป” ผมหันไปมองหน้าไฮซ์พลางพยักหน้าขอบคุณมือของผมถูกไฮซ์จับไว้แน่นพร้อมกับร่างสูงของไฮซ์เดินนำผมไปที่หลังซุ้มของคณะแพทย์


เมื่อไปถึงหลังซุ้มคณะแพทย์ผมก็เจอรุ่นพี่หลายคนที่คุ้นหน้าคุ้นตากันหลายต่อหลายคน (ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเพื่อนพี่ศิแกทั้งนั้นครับ) ผมยกมือไหว้พวกรุ่นพี่ที่ทำงานกันอยู่ซึ่งคนข้างตัวผมก็ทำเช่นเดียวกันกับผม พี่ ๆ ส่วนหนึ่งที่รู้จักผมดีก็ยกมือทักทายผม ส่วนรุ่นพี่ที่สนิทกับผมอย่างพี่วิกับพี่เตอร์พอทั้งสองคนเห็นผมพี่แกก็วิ่งถลาเข้ามากอดผมทันทีเลยครับพี่เตอร์แกเอาหน้าถูไถที่หน้าท้องของผมส่วนพี่วิแกเอาหน้าถูไถกับบ่าของผม ทั้งสองคนต่างร้องโอดครวญพร้อมกับพร่ำพูดแทบจะไม่เป็นภาษาแต่ผมก็พอจะจับใจความได้ว่า “เหนื่อยมากเลยน้องกร พี่หิวข้าว พี่ไม่ไหวแล้ว เอาพี่ออกไปจากตรงนี้ทีเถอะขอร้องแล้วก็พี่กำลังจะตายแล้วน้องกรที่รัก” ไอผมที่ได้ยินแบบนี้ก็ทำเอาผมหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ พร้อมกับพูดปลอบคนทั้งคู่ไปมา ผมปลอบอยู่นานสองนานเลยหละครับกว่าพี่ ๆ ทั้งสองแกจะยอมปล่อยมือจากร่างของผมพี่เตอร์แกลุกขึ้นยืนพร้อมกับทำหน้าเศร้าส่วนพี่วิเธอทำหน้าเหมือนคนจะร้องไห้ ผมพูดปลอบพี่ ๆ ทั้งสองคนอีกสักพักในที่สุดพี่วิกับพี่เตอร์ก็ยอมเดินกลับไปหน้าซุ้มคณะเพื่อทำหน้าที่ของตัวเองต่อ ซึ่งผมที่ตั้งใจจะไปหาพี่ศิที่ยืนอยู่หน้าซุ้มก็เอ่ยปากขอตามพี่เขาไม่ทันจนทำให้ผมต้องวิ่งตามออกไปทีหลัง ผมพลางเบียดไปมากับเด็ก ๆ ชั้นมัธยมสักพักในที่สุดร่างของผมก็ไปถึงพี่ศิผมสะกิดบ่าพี่เขาเบา ๆ พร้อมกับเอ่ยทักทายพี่เขาไป “สวัสดีครับพี่ศิ”


เสียงทักทายของผมทำให้พี่ศิแกสะดุ้งพร้อมกับหันหน้ามามองทางด้านหลัง เมื่อพี่ศิแกหันหน้ามาหาผม ผมก็จัดการส่งรอยยิ้มกว้างไปให้ ร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมแกเกิดอาการตกใจเล็กน้อยครับก่อนจะยกมือขึ้นมาขยี้หัวของผมเบา ๆ ผมคิดว่าไอการเขินอาจที่ส่งผลต่อเนื่องมาจากเมื่อคืนนี่คงหมดไปแล้วนะครับ ผมคุยกับพี่ศิอีกเล็กน้อยก่อนจะขอตัวไปทานข้าวกับไฮซ์ก่อน ทว่าพี่ศิกลับยังไม่ยอมให้ผมไปแถมยังจับผมไปยืนข้าง ๆ พี่แกอีก


ไอผมก็มึนเลยสิครับเรียนวิศวะกลับโดนลากมาอยู่ซุ้มคณะแพทย์น้อง ๆ ถามคำถามกันมาทำเอาผมงงมิใช่น้อยแต่จะบอกว่าผมไม่ได้เรียนแพทย์แต่ดันมาอยู่ซุ้มคณะแพทย์มันก็ยังไง ๆ อยู่ผมเลยนิ่งเงียบและสะกิดให้พี่ศิแกตอบคำถามแทนผมยืนอยู่หน้าซุ้มนี่นานพอดูเลยครับ และมันก็นานพอที่จะทำให้ไฮซ์ที่ยืนรอผมอยู่หลังซุ้มเดินออกมาตามเสียงของไฮซ์เรียกชื่อของผมเบา ๆ ซึ่งผมก็จะหันไปคิดว่าจะเดินไปหามันนั่นหละครับ ทว่าร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างกายผมกลับคว้ามือของผมและจับไว้แน่นซ้ำนิ้วทั้งหน้าขอพี่แกก็แทรกเข้ามาระหว่างฝ่ามือของผม


การกระทำนั่นของพี่ศิทำให้ผมหน้าขึ้นสีขึ้นมาทันทีแต่ดีที่ไม่มีใครเห็นมือของผมกับพี่ศิที่กำลังสัมผัสกันผมก็เลยได้แต่โค้งหัวลงพร้อมกับบอกให้ไฮซ์ไปกินข้าวก่อนแล้วผมจะตามไปพร้อมกับพี่ศิ เมื่อไฮซ์เขาเห็นผมทำท่าทางแบบนั้นไปเขาก็ได้แต่ส่งรอยยิ้มกลับมาให้ผมจาง ๆ พร้อมกับโบกมือขอตัวไปทานข้าวก่อน พอผมหันหลังกลับมาพี่ศิก้ทำหน้าไม่พอใจออกมานิดหน่อยจนทำเอาผมสงสัยแต่ผมก็ไม่คิดที่จะถามอะไรต่อหรอกครับ เพราะพี่ศิเป็นคนปากหนักไม่พอใจอะไรแกจะไม่ค่อยบอกต้องปล่อยให้หายเอง


ผมกับพี่ศิยังคงยืนแนะแนวน้องที่สนใจคณะแพทย์ไปสักพักในที่สุดซุ้มคณะแพทย์นี้คนก็ซาลงเสียที และในขณะที่ผมกับพี่ศิจะสลายตัวจากซุ้มไปทานข้าวกลางวัน (ที่ตอนนี้เลยมาราว ๆ 1 ชั่วโมงเพราะตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมงกว่าเกือบบ่ายสองโมงแล้วครับ) เสียง ๆ หนึ่งที่ผมรู้สึกคุ้นหูก็ถูกเอ่ยขึ้นพร้อมกับร่างเล็กของเด็กสาวชั้นม.ปลายก็เดินเข้ามาในซุ้มคณะแพทย์


“ขอโทษนะคะรุ่นพี่ คือฟ้าอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับคณะแพทย์หน่อยนะคะ รุ่นพี่จะไปแล้วเหรอคะแย่จังเลยแล้วแบบนี้ฟ้าจะถามใครได้หละเนี่ย” เสียงเล็กนั่นยังคงฟังแล้วระรื่นหูอยู่เช่นเดิมและไม่มีทางที่ผมจะจำเจ้าของน้ำเสียงนั่นผิดเพราะเธอคือ ‘น้ำฟ้า’ แฟนเก่าของผมนั่นเอง


ผมแทบจะไม่อยากหันหลังกลับไปมองทว่าพี่ศิผู้ที่รับหน้าที่ดูแลซุ้มกลับทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดีร่างสูงพลิกตัวกลับไปเพื่อตะสนทนากับเธอคนนั้นโดยมือของพี่ศิยังคงกอบกุมมือของผมอยู่นั่นก็ทำให้ผมก็จำใจต้องหันไปมองหน้าของเธอคนนั้น ‘น้ำฟ้า’ หรือเด็กสาวผู้เป็นแฟนเก่าของผมเอง


พี่ศิหันไปต้อนรับเธอด้วยร้อยยิ้มส่วนผมนี่ก้มหน้าพร้อมกับพยายามหลบหน้าของเด็กสาวคนนั้น ไม่ใช่ว่าผมยังเจ็บปวดหรือเสียใจเพราะเธอนะครับเพียงแต่ผมไม่อยากพบเจอใบหน้าและรอยยิ้มที่แสนหลอกลวงผู้คนของเธอคนนี้อีกแล้ว ผมพยายามกระตุกมือของพี่ศิเบา ๆ แต่เหมือนเขาจะไม่รู้ตัวอะไรเลย ใบหน้าคมยังส่งยิ้มนั่นให้กับเธอคนนั้นและริมฝีปากหนาก็เริ่มเอ่ยพูดคุยออกไป
“สวัสดีครับน้อง สนใจอะไรหรือมีปัญหาอะไรเกี่ยวกับการเรียนแพทย์เหรอครับหรือต้องการให้พี่อธิบายอะไรหรือเปล่าครับ” เสียงทุ้มเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งพร้อมกับริมฝีปากคมส่งรอยยิ้มบาง ๆ ไปให้ (แม้รอยยิ้มนั้นจะเป็นรอยยิ้มหลอกลวงผู้คนก็เถอะ)


“ว้าว รุ่นพี่คะฟ้าอยากรู้ว่าพอเริ่มขึ้นปีหนึ่งนี่ถ้าสายแพทย์ต้องเรียนอะไรบ้างเหรอคะ แล้วตอนขึ้นปีสองที่ต้องผ่าอาจารย์ใหญ่นี่น่ากลัวไหมคะแล้วก็เอ่อ…” คำถามของน้ำฟ้าเป็นคำถามเดิม ๆ ที่พวกเด็ก ๆ ชั้นมัธยมชอบถามกันซึ่งพี่ศิก็ตอบไปตามแพทเทินเดิมที่แกตอบมาตลอดครึ่งวันเช้าครับ


ผมพยายามจะแกะมือพี่ศิออกและวิ่งไปหลังซุ้มมากแต่พี่ศิยังคงจับมือผมไว้แน่นจนผมต้องตัดสินใจที่จะหลบหลังพี่ศิแกแทนวิ่งหนีออกไปจากที่ตรงนี้ เด็กสาวตรงหน้าเธอยิ้มแย้มอย่างกับว่าเธอไม่เคยทำอะไรผิด เธอยิ้มอย่างไม่เคยนึกย้อนกลับไปว่าเธอเคยเสแสร้งแกล้งทำอะไรไว้มั่ง


ผมยืนฟังทั้งสองคนคุยกันไปสักพักในที่สุดน้ำฟ้าเธอก็ทำตามแพทเทินเดิมของเธอครับนั่นคือการถามชื่อคู่สนทนาครับ (ทำไมถึงแพทเทินเดิมเหรอครับเพราะผมกับไอไฮซ์ก็เคยเจอแบบนี้มากันทั้งคู่ยังไงหละ)


“รุ่นพี่ชื่ออะไรเหรอคะ หนูชื่อน้ำฟ้าค่ะยินดีที่ได้รู้จักนะคะหนูอยากเรียนแพทย์มากเลยหละคะ” เธอพูดคุยกับพี่ศิอย่างคล่องแคล่วซึ่งสิ่งที่เธอพูดออกมานั่นโกหกหมดครับเพราะว่าเธอไม่ได้เรียนสายวิทย์คณิตครับ แต่เธอเรียนสายภาษาซึ่งแทบจะไม่ได้เรียนอะไรเกี่ยวกับทางวิทยาศาสตร์เลยสักนิดเดียวครับ หลังจากที่ผมได้รับฟังคำพูดของไฮซ์มาทำให้ผมรู้จักด้านเลวร้ายของผู้หญิงคนนี้มามากมายครับ คำพูดของเธอหลาย ๆ อย่างมันโกหกทั้งเพเลยครับ


ซึ่งผมเป็นคนที่โดนเธอโกหกใส่มากที่สุด ผมจึงรู้จักคำโกหกขอเธอเป็นอย่างดี…


“พี่ชื่อศิครับน้องน้ำฟ้าถ้าสงสัยอะไรมากกว่านี้ถามรุ่นพี่คนอื่นนะครับ พอดีพี่ยังไม่ได้ทานข้าวเลย” พี่ศิบอกชื่อของตนไปพร้อมกับเอ่ยขอตัวไปทานข้าวซึ่งน้ำฟ้าเธอก็ไม่ปล่อยให้เป้าหมายที่เธอเลงไว้พลาดหรอกครับมือข้างหนึ่งของน้ำฟ้าเอื้อมมาคว้ามืออีกข้างของพี่ศิไว้พร้อมกับพูดขอเบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวของพี่ศิออกมา “พี่ศิคะ จะว่าอะไรไหมคะ ถ้าเกิดว่าน้ำฟ้าอยากขอเบอร์มือถือของพี่ศิ”


พอพี่ศิแกได้ยินอย่างนั้นก็ชะงักตัวแล้วคิดอยู่เล็กน้อยแต่พี่เขาก็กล่าวปฏิเสธออกไป นั่นทำให้ผมโล่งใจไปได้เปราะหนึ่งแต่น้ำฟ้าเธอก็ยังไม่ยอมแพ้ครับเธอพยายามที่จะหาทางที่จะติดต่อพี่ศิเป็นการส่วนตัวให้ได้เธอขอแทบจะหมุดทุกอย่างผมซึ่งอยู่ด้านหลังของพี่ศิก็เริ่มที่จะทนไม่ไหว ผมไม่ได้ทนไม่ไหวที่เธอมายุ่งกับคนสำคัญของผมหรอกครับแต่สิ่งที่ผมไม่ชอบใจนั่นก็คือการที่เธอเสแสร้งตีหน้าหลอกลวงและยังทำตัวใสซื่อบริสุทธิ์ทั้ง ๆ ที่เธอมีพิษสงร้ายกาจ


พี่ศิยังโดนน้ำฟ้ายื้อไว้ราว ๆ 10 นาทีตอนนี้พี่ศิมีสีหน้าลำบากใจสุด ๆ แล้วครับและตอนนี้เขาก็กำลังจะตัดสินใจให้เฟซบุค (ที่ไม่ค่อยได้เข้า) ของเขาไป ทว่าไอความอดทนของผมมันหมดลงเสียงก่อนผมที่ยังโดนพี่ศิกุมมือแน่นเดินสาวเท้าไปทางน้ำฟ้าพร้อมกับกระชากมือของพี่ศิออกมาจากมือของเธอ


น้ำฟ้าตวัดสายตามองมาที่ผมเล็กน้อยด้วยความไม่พอใจและดุเหมือนเธอยังจะจำผมไม่ได้ครับเพราะตอนนี้ผมก้มหน้าก้มตาและไว้ผมคนละทรงกับเมื่อก่อน


แต่ทันทีที่ผมเงยหน้าขึ้นใบหน้าของน้ำฟ้าก็แสดงสีหน้าตกใจเล็กน้อย (แค่เล็กน้อยเท่านั้นนะครับ) ก่อนจะส่งยิ้มและพูดแนะนำตัวให้กับผมอีกคน “สวัสดีค่ะหนูชื่อน้ำฟ้ายินดีที่ได้รู้จักนะคะรุ่นพี่” เธอแกล้งทำเป็นไม่รู้จักผมครับ แต่ฝั่งผมไม่มีความจำเป็นที่จะทำเป็นไม่รู้จักเธอ


“ไม่ได้เจอกันนานนะครับน้องน้ำฟ้า ไม่ได้เจอกันไม่เท่าไหร่ถึงกับจำพี่ไม่ได้เลยเหรอครับถ้าจำไม่ได้ก็ไม่เป็นไรแต่ตอนนี้พี่กับพี่ศิหิวข้าวมากครับ ดังนั้นช่วยปล่อยมือพี่ศิด้วยเพราะพี่จะเป็นลมเพราะหิวข้าวแล้วครับ” ผมพูดด้วยถ้วยคำสุภาพพร้อมกับส่งรอยยิ้มกว้างไปให้ (แต่ทุกคนก็หน้าจะรู้นะครับว่าไอรอยยิ้มกว้างของผมมันแปลความหมายได้เป็นยังไง) ส่วนพี่ศินี่พี่แกตะลึงเลยครับที่ผมทำแบบนั้นลงไปแต่ดูพี่แกดีใจนิด ๆ นะครับเพราะพี่แกอาจจะคิดว่าผมหึงพี่เขาแต่ความจริงใช่ครับผมไม่อยากให้พี่ศิตกหลุมผู้หญิงข้างหน้าเขาต่างหาก


น้ำฟ้าพยายามตีหน้าเนียนไม่รู้เรื่องแต่ผมสุดจะทนแล้วครับผมเอ่ยขอตัวลาพร้อมกับดึงร่างพี่ศิให้กลับเข้าไปหลังซุ้ม ผมรีบเก็บกระเป๋าของตัวเองที่วางทิ้งไว้พร้อมกับหยิบกระเป่าของพี่ศิขึ้นมาและลากคุณพี่ศิรวิทย์ที่ฮอตฮิตมากในขณะนี้ไปยังรถสุดหรูของพี่เขา ผมแบมือขอกุญแจรถของพี่ศิซึ่งพี่แกก็ส่งให้ผมด้วยความงุนงงครับ และเมื่อผมปลดลอครถผมก็จัดการโยนของทุกอย่างในมือเข้าไปที่หลังรถและเรียกให้พี่ศิแกขึ้นรถมา


เมื่อเตรียมการเสร็จสิ้นผมก็เหยียบคันเร่งรถไปเกือบ 120 แล้วตรงดิ่งกลับคอนโดเลยครับ เมื่อรถถึงคอนโดผมก็เดินลงจากรถพร้อมกับปิดประตูกระแทกและเดินนำพี่ศิไปที่ลิฟท์คราวนี้ผมรอให้พี่ศิเข้าลิฟท์มาพร้อมกันนะครับและกดลิฟท์ให้ตรงดิ่งขึ้นไปยังชั้นที่ 14 ทันที


พี่ศิแกก็มองออกนะครับว่าผมอารมณ์เสียมาก ๆ ผมแทบจะทนให้ลิฟท์ขึ้นไปยัน 14 ไม่ไหวและเมื่อมันขึ้นไปถึงชั้นที่ผมพักผมก็รีบดึงแขนให้ตรงไปยังห้องของผมเมื่อบานประตูห้องปิดลง ผมก็ดันไปศิไปกระแทกกับประตูและพูดใส่เครียดใส่พี่ศิว่า


“อย่าไปยุ่งกับผู้หญิงคนนั้น...เด็ดขาด...ถ้าพี่ศิไม่อยากโดนเธอหลอกจนเกือบจะบ้าแบบกร” เมื่อผมพูดจนจบประโยคพี่ศิก็เกิดอาการงุนงงเล็กน้อยและเมื่อประโยคถัดไปของผมเอ่ยออกมาพี่ศิก็เข้าใจในสิ่งที่ผมพูดทั้งหมด


“เธอคนนั้นชื่อน้ำฟ้า...แฟนเก่ากรเอง”





_______________________________________________


โนคอมเมนค่ะตอนนี้ สถานะ...ป่วย//
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 24] 23/11/2013 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 23-11-2013 19:44:31
ที่แท้น้องกรก็ตกหลุมรักพี่ศิแล้วนิเอง  :mew3:
รอดูวิธีจีบของพี่ศิด้วยคน แต่เอ๊ะไม่ใช่ว่ากำลังจีบอยู่รึ  :hao7:
ว่าแต่ยัยน้องน้ำฟ้าโผล่มานิจะมาเป็นก้างระหว่างพี่ศิกะกรรึปล่าวนี่

รอตอนต่อไป หายป่วยไวๆนะคะ  :L2: :กอด1: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 24] 23/11/2013 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: omyim_jjj ที่ 23-11-2013 19:57:59
คนเขียนหายไวๆนะ


หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 24] 23/11/2013 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: aelfy ที่ 23-11-2013 20:40:14
 :katai1: นังน้ำฟ้า นางจอมมารยา :angry2:

น้องกรตบมันค่ะ :fire:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 24] 23/11/2013 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 23-11-2013 20:45:02
เขินกันไปเขินกันมา จนเราเขินแทน

ยัยน้ำฟ้ามาทำไม
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 24] 23/11/2013 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 23-11-2013 21:02:10
 :hao7:  น้องกรอย่าแกล้งพี่ศิสิ รู้ว่ารักแล้วจัดเลยกองเชียร์เพียบ อย่าให้น้ำฟ้ามาตัดหน้านะ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 24] 23/11/2013 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 24-11-2013 10:05:40
น้ำฟ้าดูเหมือนจะร้ายกาจมากอ่า
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 24] 23/11/2013 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 24-11-2013 11:24:24
แย่แล้ว แฟนเก่า (น้ำฟ้า) VS แฟนใหม่ (พี่ศิ)
พี่ศิต้องดีกว่าอยู่แล้ว เพราะน้องกรรักพี่ศิแล้ว อิอิ สู้ๆ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 24] 23/11/2013 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: RenaBee ที่ 24-11-2013 18:28:12
ชะนีล้านเล่มเกวียนโผล่มาแล้ว! เชอะๆอ่อยไปเถอะยังไงพี่ศิคนดีก็มีแต่น้องกรเท่านั้น
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [สอบถามหน่อยค่ะ] 24/11/2013 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 24-11-2013 20:26:49


สวัสดีค่ะพลอยนะคะพอดีพลอยอยากจะสอบถามอะไรนิดหน่อยค่ะเนื่องจากพลอยแต่งนิยายเรื่องนี้จบแล้วพร้อมตอนพิเศษ 6 ตอน

พลอยเลยอยากจะสอบถามอะไรนิดหน่อยนะคะตามโพลด้านบนเลยค่ะ คืออยากจะรู้ยอดหนะคะว่ามีใครสนใจนิยายเรื่องนี้ไหมถ้าเกินรวมเล่ม

ถ้าเกิดโพลสอบถามนี้ผิดกฏยังไงขอโทษด้วยนะคะจะทำการลบทันทีค่ะ

หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [สอบถามหน่อยค่ะ] 24/11/2013 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: pemiko2012 ที่ 24-11-2013 22:30:21
 :katai2-1:

อ่านรวดเดียว ตามทันแล้วเย่ๆ
น้องกรน่ารักจุง ฮ่าๆๆๆๆ
เมื่อไหร่จะใช้คำว่าคนรักน้า อิอิ

แอบสงสัยไฮซ์แหละ คิดไรกะกรป่ะเนี่ย
ดูจากที่พี่ศิ ไม่พอใจเวลาน้องกรเจอไฮซ์
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 25] 27/11/2013 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 27-11-2013 19:03:01
สวัสดีค่ะพลอยค่ะ เราคิดว่าตอนนี้ใครหลาย ๆ คนอาจจะหมั่นไส้อะไรสาวน้อยที่เพิ่งโผล่มาในตอนที่แล้ว แต่ตอนนี้...เราขอบอกไว้เลยว่า..คามพยายาม 25 ตอนของพี่ศิ สำเร็จแล้วค่ะ แต่...สำเร็จในด้านไหนก็ไม่รู้นะคะ





Chapter 25



‘เธอคนนั้นชื่อน้ำฟ้า...แฟนเก่ากรเอง’ เมื่อผมพูดจบประโยคนี้ห้องทั้งห้องก็เงียบสนิทผมไม่อยากที่จะเอ่ยปากพูดอะไรออกไปต่อ ส่วนพี่ศิเขาก็ไม่คิดจะพูดหรือซักถามอะไรผมออกมาเช่นกัน (ความจริงคือพี่ศิแกรู้นิสัยแฟนเก่าของผมหมดแล้วครับเพราะผมเล่าให้ฟังเกือบจะทุกเรื่องที่ผมเจอ แต่ผมก็ไม่รู้ว่าพี่ศิแกจะเชื่อที่ผมเล่าออกไปหรือเปล่า)


เรานิ่งเงียบใส่กันไปอีกสักพักในที่สุดมือของผมที่ดันร่างของพี่ศิให้ติดกับประตูก็ทิ้งตัวลงไปข้างกาย ใบหน้าของผมหันเบนหนีสายตาของพี่ศิ ริมฝีปากของผมเม้มแน่นจนเกือบจะเป็นเส้นตรง


ผมเตรียมที่จะหันหลังและวิ่งหนีพี่ศิเข้าไปหลบภายในห้องนอน ทว่าผมก็ไม่ได้ทำตามอย่างที่หวังร่างของผมกลับถูกรั้งเข้าไปในอ้อมกอดของพี่ศิ วงแขนแกร่งนั่นกอดรัดร่างของผมไว้แน่น


“พี่ขอโทษครับกร” เสียงทุ้มกระซิบแผ่นเบาข้างใบหูพร้อมกับใบหน้าคมที่ก้มหน้าซบลงไปที่บ่าของผม


ผมรู้สึกว่าคำขอโทษของพี่ศิที่เอ่ยออกมานั้นไม่ใช่คำขอโทษที่ทำให้ผมหงุดหงิดใจจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ หรือทำให้ผมไม่พอใจที่พี่ศิแกไปสนิทสนมกับน้ำฟ้า แต่คำขอโทษนี้น่าจะเป็นคำขอโทษที่พี่เขาคิดว่าตนเป็นต้นเหตุให้ผมนึกย้อนกลับไปถึงอดีตที่ผมได้พบเจอและเสียใจกับมันมา ร่างของผมสั่นน้อย ๆ ในอ้อมกอดของพี่เขาพร้อมกับมือข้างหนึ่งของผมที่ยกขึ้นไปแตะเบา ๆ ที่ท่อนแขนแกร่งของพี่ศิ


และในขณะที่ผมอยู่ในอ้อมกอดของพี่ศินั้นผมก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ส่งผ่านมาและก็ยังรับรู้ได้ถึงความห่วงใยที่พี่ศิแกมอบให้กับผม ริมฝีปากของผมที่เม้มเม้นเริ่มคลายออกก่อนจะแปรเปลี่ยนออกมาเป็นรอยยิ้มจาง ๆ ขึ้นมาแทน


“ขอบคุณครับพี่ศิกรไม่เป็นอะไรแล้วล่ะครับ ที่กรรู้สึกไม่ชอบใจที่พี่ศิไปคุยหรือสนทนาอะไรกับน้ำฟ้าเป็นเพราะกรห่วงพี่ศิมาก ๆ และที่สำคัญกรอาจจะหวงพี่ศิด้วยล่ะมั้งครับถึงได้ไม่พอใจและแสดงออกมาแบบนี้” ผมเอ่ยถ้อยคำพวกนั้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบแต่ผมก็รู้นะครับว่าพี่ศิแกได้ยิน


ร่างของผมที่ในตอนแรกหันหลังและอยู่ในอ้อมกอดของพี่ศิตอนนี้ถูกมือแกร่งนั้นพลิกกายไปประจันหน้ากับพี่เขาพร้อมกับใบหน้าคมที่ค่อย ๆ โน้มตัวลงมาใกล้ใบหน้าของผม แต่ผมก็ไม่อยากให้ทุกคนคิดกันไปว่าพี่ศิแกจะโน้มตัวลงมาจูบผมนะครับเพราะพี่แกแค่โน้มตัวลงมาเพื่อเอาหน้าผากของเขามาแตะเบา ๆ ที่หน้าผากของผมเท่านั้นเอง สายตาของเราทั้งคู่จ้องมองกันปลายจมูกของเราห่างกันไม่ถึงคืบผมจ้องมองดวงตาคมผ่านใต้กรอบแว่นสีดำสนิทไปอีกสักพักในที่สุดความเงียบงันที่เกิดขึ้นภายในห้องก็ถูกทำลายด้วยเสียงทุ้มหากแต่ฟังแล้วรื่นหูของพี่ศินั่นเอง


“พี่ดีใจที่กรห่วงพี่นะครับและยิ่งดีใจเข้าไปอีกที่ได้ยินว่ากรก็หวงพี่เหมือนกับที่พี่หวงกร” เสียงทุ้มที่เอ่ยออกมานั้นแฝงไปด้วยความยินดีอย่างล้นเหลือแต่ทำไมหลังจากที่ผมได้ยินที่พี่ศิพูดประโยคนี้จบผมกลับรู้สึกสงสัยในคำว่า ‘พี่หวงกร’ ออกมากันได้หละ ผมจำได้ว่ารอบ ๆ ตัวผมไม่มีใครมาเกาะแกะเลยนี่นาแถมสาว ๆ ที่เคยเรียงคิวมาขอเบอร์ผมนี่หายหมดตั้งแต่เป็นข่าวกับพี่ศิมา


ผมดันตัวเองออกจากอ้อมแขนของพี่ศิพร้อมกับเอ่ยคำถามที่ผมสงสัยในใจออกไป “นี่พี่ศิ…อย่างกรมีอะไรน่าหวงเหรอสาว ๆ มาเกาะติดก็ไม่มีแถมต้นเหตุที่ทำให้สาว ๆ หายหมดก็เป็นเพราะพี่ศินี่แหละ แล้วพี่จะมาหวงกรได้ยังไง” ผมกอดอกเอียงคอมองด้วยความสงสัย ซึ่งพี่ศิก็ได้แต่คลี่รอยยิ้มกว้างออกมาแต่ก็ไม่คิดจะเอ่ยพูดเพื่อคลายความสงสัยให้ผมเลยสักนิดเดียวซ้ำยังบอกผมด้วยถ้อยคำชวนงุนงงอีกว่า “ถ้ากรรู้ไปพี่ว่ากรจะไม่สบายใจเปล่า ๆ”


คือรู้กับไม่รู้ผมก็ไม่สบายใจพอ ๆ กันนั่นหละครับ เพราะถ้าไม่รู้ผมก็หงุดหงิดว่าทำไมมีอะไรไม่บอกและถ้ารู้ผมก็อาจจะคิดมากว่าเรื่องมันเป็นแบบนั้นได้ยังไง ไอมือขอผมนี่ยื่นไปหมายจะเขย่าคอของพี่ศิแต่เสียงเรียกเขาโทรศัพท์มือถือของพี่ศิดังขึ้นมาเสียก่อน พี่ศิล้วงโทรศัพท์ของตนขึ้นมากดรับสายพร้อมกับเปิดสปีกเกอร์โฟนให้ผมได้ยินด้วย


เสียงแรกที่แทรกมาคือเสียงของพี่วิครับเธอโอดครวญออกมาเสียงยกใหญ่จนผมเดาท่าทางของพี่วิออกเลยครับว่าตอนที่เธอกำลังพูดเธอนั้นทำท่าทางอะไรอยู่ “ศิที่รักกลับมาช่วยงานที่ซุ่มทีเถอะค่ะ วิรดาคนนี้จะไม่ไหวแล้ววิจะตายแล้วนะคะศิที่รักขา” พี่วิคร่ำครวญตามสายซึ่งเสียงพวกนั้นทำให้ผมกับพี่ศิลอบหัวเราะกันออกมาอย่างแผ่วเบาแต่ไม่ทันที่พี่วิแกจะได้พูดโอดครวญอะไรต่อเสียงพี่เตอร์ก็ดังแทรกมาพร้อมกับเสีงพี่ซิที่กรีดร้องเหมือนแว่นดังมาจากที่ไกล ๆ นี่ท่าทางพี่เตอร์จะกระชากโทรศัพท์ออกจากมือของพี่วิแล้วเดินหนีพี่วิเพื่อคุยเงียบ ๆ สินะ


“ไอศิมรึงกลับมาด่วนเลยหายหัวไปไหนวะ ตอนนี้น้องแม่มล้นซุ้มมากถ้ามรึงไม่กลับพวกกรูก็ตายครับ” เสียงของพี่เตอร์แลดูจริงจังมากเลยครับ แต่ฟังเสียงที่แทรกเข้ามาตามสายโทรศัพท์เรื่องที่ว่าเด็ก ๆ เต็มซุ้มคณะแพทย์นี่น่าจะเป็นเรื่องจริงนะครับ ไอผมก็พยักหน้าเชิงอนุญาตให้พี่ศิแกกลับไปช่วยงานที่ซุ้ม (แต่ผมเป็นแม่พี่ศิแกตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ยพี่ศิแกถึงต้องมาขอคำอนุญาตจากปากผม) เพียงแต่ว่าว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์แกส่ายหัวปฏิเสธครับพร้อมกับพูดตอบกลับไปให้พี่วิกับพี่เตอร์แกฟังว่า “โทษทีนะวิ โทษทีนะเต๋อร์เราคิดว่าเราคงกลับไปช่วยที่ซุ้มไม่ได้แล้วแหละ ไม่ว่าวันนี้หรือพรุ่งนี้ พอดีมีคน ๆ หนึ่งเขาไม่ค่อยพอใจที่เราต้องไปทำอะไรแบบนั้นน่ะสิ” พี่ศิเอ่ยตอบพี่เตอร์ออกไปพร้อมกับปรายตามามองผมซ้ำยังส่งรอยยิ้มยียวนกวนประสาทมาให้ผม
ไอทางผมที่เห็นรอยยิ้มแบบนั้นของพี่ศิก็คิดจะเอ่ยปากโวยวายแต่พี่ศิเขายกนิ้วชี้ขึ้นมาแตะที่ริมฝีปากเพื่อบ่งบอกให้ผมเงียบเสียงของตนเอาไว้ เมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้นผมก็ได้แต่เบ้ปากแล้วหันหน้าหนีและปล่อยให้พี่ศิคุยกับพี่เตอร์แกต่อ (เอาตรง ๆ นะครับผมว่าผมปล่อยให้พี่ศิแกฟังเสียงคร่ำครวญของพี่วิกับพี่เตอร์แกมากกว่า)


“ไอศินี่แกทิ้งเพื่อนเหรอวะ! นี่แกกล้าทิ้งเพื่อนของแกเลยเหรอ” รู้สึกว่าพี่วิแกจะถลามาแย่งโทรศัพท์มือถือแล้วกรีดร้องใส่โทรศัพท์มาครับไอผมนี่ยกมือขึ้นมาอุดหูแทบจะไม่ทัน เสียงพี่วินี่แสบแก้วหูได้ใจจริง ๆ เลยครับแถมนอกจากเสียงของพี่วิยังมีเสียงของพี่เตอร์แกแทรกมาเป็นพัก ๆ ด้วยครับ


ผมยืนกอดอกฟังที่พี่ศิคุยกับพี่ ๆ ทั้งสองคนไม่นานพี่ศิแกก็พูดรวบรัดพร้อมกับตัดสายทิ้งไปทันที เพราะท่าทางดูเหมือนพี่แกจะขี้เกียจฟังคำคร่ำครวญของพี่วิกับพี่เตอร์แล้วครับ และหลังจากที่พี่ศิแกตัดสายทิ้งพี่แกก็กดปิดเครื่องทันทีพร้อมกับโยนโทรศัพท์สุดหรูไปที่โซฟาที่ตั้งอยู่ในห้องของผม (เห็นแล้วเสียวไส้จริง ราคาโทรศัพท์แพงบรรลัย แต่พี่ศิแกดูเหมือนไม่รู้สึกถึงค่าของมันเลยครับ) ร่างสูงนั้นยืนบิดขี้เกียจอยู่สักพักก่อนที่จะหันกลับมาเอ่ยถามผมเรื่องข้าวกลางวัน


“กรครับ ยังหิวอยู่หรือเปล่าเนี่ยเห็นตอนมาที่ซุ้มคณะพี่โอดครวญว่าหิวข้าวเสียยกใหญ่” พี่ศิพูดเหมือนเตือนสติผมครับและหลังจากที่พี่แกพูดท้องของผมก็ร้องประท้วงทันที ผมจึงได้เงยหน้ามองพี่ศิแล้วยิ้มแห้ง ๆ ตอบไปให้


ร่างสูงตรงหน้าของผมหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ มือกร้านยกขึ้นมายีหัวผมเมื่อปกติและค่อย ๆ เดินเลยผมเข้าไปในห้องครัว สภาพการแบบนี้แสดงว่าผมจะได้กินอาหารรสชาติอร่อย ๆ ฝีมือพี่ศิแน่นอนเลยครับ ผมสาวเท้าเดิมตามพี่ศิเข้าไปในห้องครัวผมกับเสนอตัวเป็นลูกมือช่วยพี่ศิทำอาหาร (เรียกว่าช่วยทำอาหารก็ไม่ได้หรอกครับ เรียกว่าผมไปนั่งกดดันพี่ศิจะดีกว่านะครับ)


ผมนั่งกอดเข่าอยู่บนเก้าอี้รอพี่ศิทำอาหารไปคราวนี้ดูเหมือนพี่ศิแกจะทำอาหารมื้อใหญ่เลยหละครับ เพราะพี่แกเล่นเอาของในตู้เย็นของผมมาทำซะเกือบหมดตู้แถมหันมาส่งยิ้มแล้วบอกว่าไว้พี่จะซื้อวัตถุดิบต่าง ๆ มาใส่คืนให้ด้วยครับ ท่าทางพี่แกคงอดกลั้นมานานหลังจากที่ผมไม่ได้ทานพี่ฝีมือพี่แก (รวมทั้งตัวแกเองไม่มีเวลาทำด้วย) ก็ได้มั้งครับแบบนี้น่ะ


ผมนั่งรอต่อไปอีกราว ๆ 30 นาที อาหารชุดใหญ่ฝีมือของเชฟศิรวิทย์ก็เสร็จครับจานกับข้าวทั้งหมดถูกยกมาวางไว้บนโต๊ะทานข้าวพร้อมกับจานของข้าวสวยหอมกรุ่นที่สุกพอดี ผมคลี่ยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจและเริ่มจัดการทานอาหารทั้งหมดหลังจากที่พี่ศิแกนั่งลงอีกฝั่งของโต๊ะ เราทั้งสองคนคุยกันไปทานข้าวกันไปจนในที่สุดเราทั้งสองคนก็จัดการอาหารบนโต๊ะกันหมดเกลี้ยงเลยครับ ผมไม่อยากจะบอกว่าอาหารมื้อนี้มันอิ่มเสียจนไม่รู้จะอิ่มยังไงเลยครับ หลังจากผมกับพี่ศิจัดการทานบนโต๊ะหมดผมกับพี่ศิก็ช่วยกันเก็บและทำความสะอาดจานกัน เมื่อจานทุกใบสะอาดเรียบร้อยและรวมไปถึงเครื่องครัวที่พี่ศิใช้ปรุงอาหารก็สะอาดเอี่ยมอ่องผมกับพี่ศิก็เคลื่อนตัวจานห้องทานอาหารไปยังห้องนั่งเล่นพร้อมกับนอนเอกเขนกบนโซฟากันครับ


โซฟาบนในห้องของผมจะแต่งตางจากโซฟาในห้องของพี่ศิสักเล็กน้อยครับเพราะว่าโซฟาของผมจะเป็นแบบรูปตัวแอลครับดังนั้นสภาพของผมกับพี่ศิที่ซุกกันอยู่บนโซฟาตัวเดียวกันก็จะเป็นพี่ศินั่งยืดเท้าเอาหลังพิงผนักพิงส่วนผมเหรอผมก็นอนเอาราบไปกับโซฟาแล้วหัวของผมก็หนุนบนตักของพี่ศิครับ ผมนอนกินขนมขบเคี้ยวไปส่วนพี่ศิก็นั่งอ่านเลคเชอร์และหนังสือเรียนของตัวเองไป


เราสองคนนั่งเล่นกันแบบนี้ไปอีกสักพักใหญ่ ๆ เลยครับจนตอนนี้ท้องฟ้าที่เคยเป็นสีฟ้าสว่างก็แปรเปลี่ยนเป็นสีนิลกาลซึ่งเป็นสีของท้องฟ้ายามราตรี


เสียงโทรศัพท์มือถือของผมกรีดร้องทำให้ผมสะดุ้งตัวเล็กน้อยและเอามือควานหาโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงผมกดรับสายก่อนจะกรอกเสียงตนลงไปให้ผู้ถือสายอีกสั่งนั้นได้ยิน “ฮัลโหล ใครพูดสายอยู่ครับ” ที่ผมเอ่ยถามไปแบบนี้นั่นก็เป็นเพราะผมไม่รู้ว่าคู่สนทนาที่คุยกับผมอยู่นั้นคือใคร


“สวัสดีค่ะพี่กร” ปลายสายเอ่ยชื่อของผมพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะออกมาแผ่ว เสียง ๆ นี้เป็นเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งที่ทำให้ผมจำขึ้นใจและเป็นเสียงของผู้หญิงที่ผมไม่มีวันลืมเลยล่ะครับ เพราะมันเป็นใครไม่ได้จากเด็กสาวที่ผมเจอเมื่อตอนบ่ายหรือคนที่ทำให้ผมอารมณ์เสียในวันนี้ไงหละครับคนที่กำลังพูดสายกับผมในตอนนี้นั่นก็คือ ‘น้ำฟ้านั่นเอง’


“สวัสดีครับ” ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งจึงทำให้พี่ศิที่ตอนนี้ยังคงนั่งอ่านหนังสืออยู่หลุบตาลงมามองผมที่น้ำเสียงเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ผมโบกมือให้พี่ศิเชิงบอกว่าอย่าเพิ่งถามอะไรก่อนจะเปิดสปีกเกอร์โทรศัพท์แล้ววางไว้บนโต๊ะนั่งเล่นข้างหน้า


“วันนี้พี่กรทำน้ำฟ้ารู้สึกไม่ดีเลยนะคะ” น้ำเสียงหวานเอ่ยถ้อยคำที่แสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจออกมาแต่มีหรือผมจะสนใจความรู้สึกของพี่หญิงร้ายกาจคนหนึ่ง คำตอบของคำถามนี้ผมขอบอกเลยครับว่าผมไม่มีวันสนใจหรือแคร์ความรู้สึกอะไรของผู้หญิงคนนี้อีกแล้วครับ


“น้ำฟ้ารู้สึกไม่ดีแล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมหละครับ” ผมตอบคำถามเธอไปพร้อมกับหยิบแก้วน้ำขึ้นมาส่งให้พี่ศิ (พอดีพี่ศิแกกระซิบผมว่าหิวน้ำครับผมเลยหยิบแก้วน้ำที่วางอยู่ตรงหน้าให้)


“ก็พี่กรมาขัดขวางน้ำฟ้านี่คะ ตั้งแต่รอบพี่ไฮซ์แล้ว” ผู้หญิงคนนี้เป็นอย่างที่ไฮซ์และเพื่อนผู้หญิงหลาย ๆ คนของผมบอกจริง ๆ เธอมักจะทำตัวละรานคนที่มาขัดขวางการจีบผู้ชายเสมอและสำหรับผมที่รู้ธาตุแท้ของเธอแม้ผมจะเป็นผู้ชายเธอก็มาวีนหรือโวยวายใส่ผมได้ครับ (ผมหมดประโยชน์กับเธอแล้วไง)


“ขัดขวางเหรอครับ ผมแค่ช่วยพี่ศิเท่านั้นเองครับเพราะผมไม่อยากให้พี่ศิเขาเจอผู้หญิงอย่างน้ำฟ้าไม่สิไม่อยากให้พี่เขามายุ่งเกี่ยวกับน้ำฟ้าเลยต่างหากหละครับ”ผมตอบกลับไปน้ำเสียงของผมนี่เริ่มใส่อารมณ์มากขึ้นเรื่อง ๆ พี่สิที่กำลังดื่มน้ำอยู่พลางปรายตามองผมพร้อมกับอมยิ้มออกมา


พี่ศินะพี่ศิมาทำหน้าดีใจอะไรตอนนี้  โอเคครับ ผมยอมรับว่าผมไม่พอใจน้ำฟ้าที่มายุ่งกับพี่ศิแต่ผมยังไม่ได้บอกพี่เขาเลยนะครับว่าผม ‘หึง’ พี่เขา แต่ผมแค่ ‘หวง’ พี่ศิเท่านั้นเองครับ


“พี่กรนี่ไม่ตามใจน้ำฟ้าเหมือนเมื่อก่อนเลยนะคะ น้ำฟ้าอยากได้อะไรให้นำฟ้าหมดแต่คราวนี้พี่กรกับไม่ยอมตามใจน้ำฟ้าเลย” น้ำเสียงเธอเริ่มออดอ้อนผมครับแต่ผมก็รับรู้ได้ในน้ำเสียงนั่นว่าเธอกำลังเริ่มไม่ค่อยจะพอใจผมสักเท่าไหร่แล้ว ความจริงเธอก็ไม่พอใจตั้งแต่เริ่มโทรมาหาผมแล้วหละครับแต่นี่แค่ยิ่งทวีความไม่พอใจจากเดิมมากกว่า แต่ผมสงสัยนิดหน่อยนะเนี่ยน้ำฟ้าเธอยังเก็บเบอร์โทรศัพท์มือถือผมไว้อยู่อีกเหรอเนี่ยน่าแปลกใจจริง ๆ หรือเธอจะเก็บแต้มกันนะ ถ้าถามถึงทางด้านผมเรื่องเบอร์โทรศัพท์ของน้ำฟ้าผมไม่อยากจะบอกเลยว่าผมลบไปตั้งแต่วันแรกที่ผมเลิกกับเธอไปแล้วหละครับ


“แล้วผมมีความจำเป็นอะไรที่ต้องตามใจน้ำฟ้าหละครับ” ผมพูดตอบเธอไปอย่างไร้อารมณ์ซ้ำผมยังลุกขึ้นมาบีบจมูกพี่ศิคืนด้วยเพราะตอนที่น้ำฟ้าเธอพูดเมื่อสักครู่พี่แกขยับปากให้ผมอ่านว่า ‘เด็กขี้แกล้ง’ แล้วนิ้วเรียวของพี่ศิยกขึ้นมาบีบจมูกของผมเบา ๆ
ผมคิดว่าถ้าน้ำฟ้าเธอมาเห็นสภาพผมกับพี่ศิตอนนี้เธออาจจะถอยกรูไปติดข้างฝาแล้วกรีสร้องรับไม่ได้แน่นอนเลยครับเพราะว่าคนที่เธอเล็งไว้กลับมานั่งเล่นกุ๊กกิ๊ก ๆ อะไรกับผม


“ในฐานะที่น้ำฟ้าเป็นผู้หญิงแล้วพี่กรเป็นผู้ชายไงคะ ต่อให้พี่กรเป็นเพื่อนกับพี่ศิก็ควรหลีกทางให้พี่ศิได้เจอกับผู้หญิงที่เหมาะสมกับพี่เขานะคะ” ประโยคนี้ที่น้ำฟ้าพูดทำให้ผมสะอึกออกมาเบา ๆ มันก็เป็นความจริงนั่นแหละครับที่ผมควรปล่อยให้พี่ศิแกได้เจอกับผู้หญิงดี ๆ และเหมาะสมกับเขาแต่ผู้หญิงดี ๆ คนนั้นมันต้องไม่ใช่น้ำฟ้าแน่นอนครับ


“ผู้หญิงที่เหมาะสมกับพี่ศิตอนนี้พี่ยังหาไม่เจอเลยนะครับ แต่ถ้าน้ำฟ้าหมายถึงตัวเอง พี่คิดว่าน้ำฟ้าคงเข้าใจอะไรผิดเกี่ยวกับตัวเองนิดหน่อยหละครับ เพราะผมคิดว่าน้ำฟ้าไม่ได้มีอะไรเหมาะสมกับพี่ศิเลยสักนิดเดียว” ผมตอบเอ่ยไปด้วยน้ำเสียงเรียบง่ายแต่ภายในใจของผมกลับสั่นไหว ถึงแม้ผมจะยอมรับได้กับความรักของคนเพศเดียวกันแต่ผมกลับลืมไปเลยว่าพี่ศิเขาอาจจะไม่ได้มีรสนิยมแบบนั้น (ซึ่งผมก็ไม่ได้มีรสนิยมแบบนั้นเหมือนกัน) ก็ได้ สิ่งที่เราเป็นอยู่แบบนี้อาจจะเป็นความเข้าใจผิดที่เราทั้งสองคนสนิทกันมากเกินไปก็เป็นได้


หัวใจของผมสั่นไหวไม่แพ้แววตากำลังที่สั่นเครือเมื่อผมเอ่ยตอบน้ำฟ้าไปจนจบประโยคริมฝีปากของผมก็เม้มเข้าหากันแน่นภายในสมองของผมไม่ได้หาถ้อยคำโต้ตอบน้ำฟ้าแล้วครับ เพราะตอนนี้ผมกลับนึกถึงเรื่องพี่ศิกับตัวผมและความสัมพันธ์ของเราสองคน แต่ดูเหมือนคุณพี่ศิรวิทย์แกจะอ่านใจผมออกนะครับมือกร้านถูกยกขึ้นมาลูบศีรษะของผมเบา ๆ พร้อมกับค่อย ๆ ดันหัวของผมให้ไปซบกับบ่าของพี่เขา เสียงของน้ำฟ้ายังคงดังออกมาจากโทรศัพท์มือถือของผมแต่สภาพของผมในตอนนี้กลับไม่รับรู้อะไรที่อยู่รอบตัวอีกแล้วครับ





v
v
v
v
v
v

หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 25] 27/11/2013 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 27-11-2013 19:07:19



เพราะในขณะที่พี่ศิดันหัวของผมให้ไปซบบ่าของพี่ศิมือกร้านข้างนั้นก็จับคางของผมให้หันตามไปด้วยหลังจากนั้นริมฝีปากหนานุ่มก็ทาบทับลงมาที่ริมฝีปากของผมและค่อย ๆ ไล้เลียริมฝีปากของผมอย่างแผ่วเบา มือทั้งสองข้างของผมทุบไปที่แผ่นอกของพี่ศิทว่าร่างกายจองผมกับไร้เรี่ยวแรง ดวงตาทั้งสองข้างผมค่อย ๆ ปรือตาหลับลงพร้อมกับรับสัมผัสที่พี่ศิมอบให้นั้นอย่างเต็มใจ
มือทั้งสองข้างของผมแปรเปลี่ยนจากการทุบแผ่นอกของพี่ศิเป็นขยำเสื้อนิสิตของพี่เขาแน่น เวลานั้นผ่านไปไม่รู้กี่นาทีแล้วในที่สุดพี่ศิก็ปล่อยให้ผมเป็นอิสระแต่ที่ร่างสูงนั้นก็ไม่คิดจะปล่อยให้ผมหลุดออกจากอ้อมกอดของเขา เสียงทุ้มของพี่ศิก็กระซิบแผ่วเบาที่ข้างหูของผม ถ้อยทำนั่นทำให้ใบหน้าที่แดงเรื่องของผมยิ่งขึ้นสีจัดยิ่งกว่าเดิมเข้าไปใหญ่


 “สำหรับพี่...กรคือคนที่สำคัญและพิเศษที่สุดจนไม่สามารถหาใครมาแทนที่ได้นะครับ ได้โปรดอย่าฟังคำพูดของคนอื่นเลยครับกร” ถ้อยคำเหล่านี้ดังก้องไปมาอยู่ภายในหัวของผมและไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ร่างของผมถูกรวบไปกอดแน่นใบหน้าของผมซุกอยู่บนบ่าของพี่ศิ เราทั้งสองคนนั่งกันอยู่แบบนี้ไปสักพักสายโทรศัพท์ของน้ำฟ้าถูกตัดไปแล้วทว่าพี่ศิแกก็ยังไม่คิดที่จะคลายอ้อมแขนของตัวเองออกผมจึงนั่งอยู่ในสภาพแบบนั้นไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดเสียงเคาะประตูและเสียงปลดลอคห้องของผมก็ดังขึ้นซึ่งทำเอาผมกับพี่ศินี่เด้งตัวออกจากกันแทบจะไม่ทัน


บานประตูห้องของผมถูกเปิดออกพร้อมกับร่างสูงของไฮซ์ที่เดินนำเข้ามาอย่างรวดเร็วและตามด้วยไอบาส ไอเจมส์ และเหล่าก๊วนสนิทมิตรสหายของผมทั้งหมด แต่ละคนถือของกินกันมาเต็มไม้เต็มมือแต่กลุ่มคนที่เข้ามาในห้องของผมนั้นไม่ได้มีแต่พวกเพื่อน ๆ ของผมทางด้านหลังสุดก็ยังปรากฏร่างของพี่วิกับพี่เตอร์ที่พากันกอดคอเดินโซซัดโซเซเข้ามา


“กร...เป็นอะไรหรือเปล่า” ไฮซ์รีบเดินมาหาผมพร้อมกับเอ่ยถามผมด้วยความเป็นห่วง ผมรู้สึกว่าไฮซ์กับเพื่อน ๆ ทุกคนของผมนี่น่าจะรู้ว่าวันนี้ผมเจอได้น้ำฟ้า


“เปล่า ไม่เป็นอะไรมากหรอก เมื่อกี้น้ำฟ้ายังโทรมาหากรเลยเรื่องที่กรไปขัดขวางน้ำฟ้าไว้” ผมลุกขึ้นพร้อมไหวไหล่ไปทางพี่ศิ ซึ่งพี่ศิแกก็ลุกขึ้นมาต้อนรับเพื่อน ๆ ของผม  (และของตัวแกเอง) ด้วยเช่นกัน


สิ้นเสียงที่ผมเอ่ยออกไปเพื่อนทั้งหมดของผมก็หันมามองที่ผมพร้อมกับทำสีหน้าตกใจกันทุกคน ไอผมก็เลยหลุดหัวเราะออกมาเสียงยกใหญ่กับท่าทางของเพื่อน ๆ แต่ละคน ผมส่งยิ้มให้พวกมัน (รวมไปถึงพี่วิกับพี่เตอร์ด้วย) แล้วกล่าวเชิญให้ทุก ๆ คนเข้ามาในห้องอย่างไม่ต้องเกรงใจ


“เข้ามา ๆ เลยซื้ออะไรกันมาเยอะแยะนั่น วางแผนจะมากินเลี้ยงกันที่ห้องของกรหรือไง” ผมเดินออกไปช่วยพรีมถือของที่เต็มไม้เต็มมือแต่ไฮซ์กลับเข้ามาหยิบถุงพวกนั้นออกไปจากมือของผมก่อนผมมองมันด้วยสีหน้าที่ประหลาดใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรทุกคนทยอยกันเอาของไปเก็บในครัวก่อนจะออกมานั่งล้อมวงคุยกัน


ผมนั่งอยู่ข้างพี่ศิพร้อมกับเอนหัวไปซบที่บ่าของพี่เขา แต่ละคนพูดคุยกันถึงเรื่องของวันนี้บ้างก็นั่งกินขนมกินน้ำอัดลมกันไปสนใจที่สุดทุกคนก็วกกลับมาเปิดประเด็นเรื่องของน้ำฟ้า


“กร…กรูนึกว่ามรึงจะหนีกลับมาร้องไห้ซะอีก ไหงกลับมานั่งสวีทกับพี่ศิแบบนี้ได้วะ” ไอบาสพูดประโยคแรกผมก็ซึ้งใจอยู่แต่ไอประโยคหลังผมนี่แทบจะกระโดดเข้าไปเตะปากไอบาสมันจริง ๆ แต่ผมก็แค่ทำได้แต่หาอะไรใกล้มือปาใส่มันแทน ไอบาสโยกหัวหลบพร้อมกับส่งรอยยิ้มยียวนกลับมาให้


“สวีทเตี่ย กรูพาพี่ศิเขาโดดงานมาก็เลย พามาเทคแคร์เท่านั้นเอง” ผมยกหัวออกจากบ่าของพี่ศิพร้อมกับพูดเถียงใส่พวกมัน
พวกเราทุกคนในห้องคุยกันเฮฮาไปจนเวลานั้นล่วงเลยจนตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าแล้วทุกคน ๆ คนก็เอ่ยขอตัวและทยอยกันกลับบ้านกลับหอกันไปหมดดังนั้นภายในห้องตอนนี้ขอบผมเหลือไอบาส ไอเจมส์ ไฮซ์และพี่ศิที่ช่วยกันเก็บขยะที่ทุก ๆ คนกินกันในที่สุดเวลาก็เลยไปถึงสี่ทุ่มครึ่งภายในห้องของผมก็สะอาดเอี่ยมอ่องเหมือนเดิมครับ (ทำไมไอไฮซ์ ไอบาส ไอเจมส์ถึงยังอยู่ในห้องของผมหนะเหรอครับพวกมันทั้งสามคนมันตกลงกันว่าจะนอนที่ห้องผมกันซึ่งผมก็ปฏิเสธไม่ได้ก็เลยยอม ๆ ให้มันนอนไป ส่วนพี่ศิเป็นเพื่อนบ้านผมดังนั้นอยู่ใกล้เลยต้องรับเคราะห์ช่วยกันเก็บขยะในห้องของผมด้วยแต่ดูเหมือนพี่แกจะเต็มใจช่วยนะครับท่าทางแบบนั้น)


และเมื่อทุกอย่างภายในห้องสะอาดเรียบร้อยผมพี่ศิก็ขอตัวกลับห้องตัวเองไปและก่อนบานกระตูห้องของผมจะปิดลงพี่ศิก็ส่งรอยยิ้มจาง ๆ มาให้ผมแต่มีเพียงวูบหนึ่งสายตาอันแสนอ่อนโยนของพี่ศิก็แข็งกร้าวและจ้องมองผ่านตัวผมเข้าไปในห้อง


หลังจากที่ผมส่งพี่ศิที่หน้าห้องเสร็จแล้วผมก็หันหลังกลับมามองสามสหายที่นั่งทำตัวเป็นเจ้าของห้องของผมอยู่ผมไล่ให้ไอเจมส์กับไอบาสไปนอนห้องนอนที่ว่าง (ซึ่งเดิมเป็นห้องนอนของคุณเจ้ของผม) ส่วนไฮซ์ผมก็บอกให้มันเข้ามานอนห้องเดียวกับผมครับซึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่ไฮซ์มันได้เข้ามานอนในห้องของผมดังนั้นเสื้อผ้าของมันก็ไม่มีใครผมจึงจำใจโยนเสื้อผ้าและชุดนอนของผมให้มันไปเปลี่ยน ไฮซ์ส่งยิ้มมาให้ผมพร้อมกับเดินเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ


(อ่อ ที่หลาย ๆ ท่านสงสัยว่าพวกกระดาษโน้ตของพี่ศิหายไปไหนหมดผมจะบอกว่ามันไม่มีที่ติดจนผมต้องเก็บกระดาษโน้ตพวกนั้นลงกล่องและยัดใส่ลิ้นชักไปแล้วหละครับดังนั้นห้องนอนของผมก็ไม่กลายเป็นห้องแห่งความลับอีกแล้วครับ)


ผมซึ่งอาบน้ำเสร็จแล้วเพราะใช้อำนาจมืดของเจ้าของห้องก็นั่งเตะเท้าเล่นอยู่บนเตียงพร้อมกับรอให้ไฮซ์มันออกมาจากห้องน้ำด้วยผมนั่ง (และนอนกลิ้ง) บนเตียงไปสักพักร่างสูงของไฮซ์ที่อยู่ในชุดนอนของผมก็เดินออกมาจากห้องน้ำ “กรผ้าขนหนูนี้ให้ไฮซ์เอาไปพาดไว้ตรงไหน” ผมหันไปมองเล็กน้อยพร้อมกับชี้นิ้วไปที่ราวตากผ้าที่วางไว้ข้าง ๆ ห้องน้ำ ไฮซ์พยักหน้าตอบรับพร้อมกับเดินเอาผ้าผืนนั้นไปพาดเอาไว้แล้วเดินมานั่งบนเตียงข้าง ๆ ผม


“สภาพแบบนี้นึกถึงตอนกรไปนอนที่บ้านไฮซ์เลยนะ ตอนนั้นกรร้องไห้ด้วยที่ไฮซ์แกล้งปิดไฟห้องน้ำตอนกรอาบน้ำอยู่” เสียงของไฮซ์พูดพร้อมกับหัวเราะออกมาเบา ๆ ไอถ้อยคำพวกนั้นทำให้ผมรู้สึกเขินอายเป็นอย่างมากใครใช้ให้ใครเอาเรื่องเก่าเรื่องแก่ออกมาพูด เมื่อสิ้นเสียงนั้นผมก็ควานหาหมอนเอาไปฟาดไฮซ์เสียหลายที


“นั่นมันเป็นเรื่องมากี่ชาติแล้วครับไฮซ์ เลิกพูด ๆ ตอนนี้กรไม่เป็นแบบนั้นแล้วสักหน่อยนะ” ผมพูดไปเสียงของไฮซ์ก็หัวเราะออกมามือทั้งสองข้างของเขาพลางยกมือมาปัดป้อง


เราเล่นกันแบบนี้ไปอีกสักพักใหญ่ ๆ ในที่สุดไฮซ์ก็คว้าข้อมือของผมและดึงผมเข้าไปกอด “ไฮซ์เล่นบ้าอะไรวะ ปล่อยดิ” ผมพูดบ่นใส่มันพร้อมกับดิ้นไปมาเบา ๆ ทว่าเสียงทุ้มของไฮซ์ที่เอ่ยออกมาหลังจากผมโวยวายนั้นทำให้ผมต้องหยุดดิ้นและนั่งนิ่ง ๆ ฟังคำพูดของผม


“กรรู้ไหม พอไฮซ์รู้ว่าน้ำฟ้ามาที่ซุ้มคณะแพทย์ตอนกรอยู่ในนั้นแล้วโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง…แล้วลากพี่ศิออกมาจากซุ้มไฮซ์ห่วงกรมากเลยนะคิดว่าจะแอบไปร้องไห้ที่ไหนหรือเปล่า” ไฮซ์เงียบเสียงไปสักพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมาต่อ “แต่ไฮซ์เห็นกรยิ้มได้หัวเราะได้นี่ไฮซ์ก็ดีใจมากแล้วหละ” มือของไฮซ์ลูบหัวผมอย่างแผ่วเบา


ผมอมยิ้มน้อย ๆ กับการกระทำของมันและยอมให้ไฮซ์มันลูบหัวผมแบบนั้นต่อไป ซึ่งเมื่อก่อนหน้าที่ปลอบผมเวลาร้องไห้ก็จะเป็นหน้าที่ของไฮซ์มันนั่นหละครับผมเลยยอมให้มันลูบหัวปลอบแบบนี้ เราทั้งสองคนนั่งแบบนี้ไปสักพักเสียงเมสเสจของโทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้นทำให้ผมเด้งตัวออกจากไฮซ์และไปหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมาอ่าน เมสเสจนี้เป็นเมสเสจจากพี่ศิครับและเมสเสจที่พี่ศิแกส่งมาให้ผมมันก็มีข้อความเขียนส่งมาว่า ‘คืนนี้ฝันดีนะครับกร อย่าหลับจนน้ำลายยืดแบบตอนที่แอบหลับบนตักของพี่นะครับ’ ผมอ่านประโยคพวกนั้นด้วยรอยยิ้มก่อนจะพิมพ์เมสเสจส่งกลับไปให้พี่ศิเขา และในขณะที่ผมพิมพ์ส่งเมจเสจไปผมไม่ได้หันไปมองเพื่อนสนิทที่สุดของผมเลยว่ามันกำลังทำสายตาแบบไหนและยังไงอยู่ ผมทิ้งให้ไฮซ์นั่งอยู่ทางด้านหลังและตัวผมก็หันไปมีความสุขกับข้อความที่โต้ตอบไปมาของผมกับพี่ศิ


แววตาที่สั่นไหวจ้องมองมาที่แผ่นหลังของผมโดยที่ตัวผมไม่ได้รับรู้อะไรเลยว่าผู้เป็นเจ้าของสายตานั้นจะมีความรู้สึกอย่างไร
หลังจากผมคุยกับพี่ศิจบผมก็ถลาขึ้นไปบนเตียงซึ่งไฮซ์นอนหลับตาอยู่ก่อนแล้วผมมองหน้ามันแล้วยิ้มออกมาน้อย ๆ กับใบหน้ายามหลับของมัน และที่ผมยิ้มออกมาเพราะผมคิดว่าผมจะไม่มีโอกาสได้เห็นภาพแบบนี้อีกแล้วครับแต่ก็เป็นเพราะผู้ช่วยจอมวางแผนคงหนึ่งทำให้ผมได้กลับมาคุยกับเพื่อนสนิทที่สุดคนนี้กับผมอีกครั้ง เอาหละครับหลังจากนี้ผมขอเวลาส่วนตัวสักหน่อยนะครับราตรีสวัสดิ์ครับไว้พรุ่งนี้เจอกันนะครับ




ผมนอนขดตัวอยู่บนเตียงอันหนานุ่มและที่สำคัญผ้าห่มผืนที่ผมห่มอยู่มันก็อุ่นมาก อุ่นและนุ่มจนผมไม่อยากจะตื่นแต่ด้วยอำนาจมืดของใครก็ไม่รู้มากระชากผ้าห่มออกจากร่างของผมจนทำให้ผมเด้งตัวขึ้นจากเตียงพร้อมกับหันไปชี้นิ้วด่าผู้เป็นอำนาจมืดคนนั้น และคน ๆ นั้นมันก็เป็นใครไปไม่ได้จากไอไฮซ์นั่นแหละครับ “เชี่ยไฮซ์ครับ ทำอะไรเนี่ยคนเขาจะหลับจะนอน มาทำตัวเป็นเด็กดีนอนไวตื่นไวแบบนี้วะ ไม่เหมือนพี่ศิเลยตอนพี่ศิปลุกกรไม่เห็นปลุกรุนแรงอะไรแบบนี้เลย”


ผมบ่นงึมงำใส่ไฮซ์ไปแต่ผมก็ยอมตื่นตามที่มันปลุกนะครับผมค่อย ๆ คลานลงจากเตียงและหยิบผ้าขนหนูที่พาดไว้ที่ราวตากผ้าหน้าห้องน้ำผมใช้เวลาอาบน้ำราว ๆ สิบนาทีพร้อมกับแต่งตัวและเซทผมอีกสิบนาที ในตอนนี้ผมก็แต่งตัวสวมเสื้อนิสิตเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ ผมเดินเปิดประตูห้องนอนออกมาก่อนพร้อมกับหันมองไปรอบ ๆ ห้องเพื่อหาไฮซ์ครับ (พอดีเมื่อกี๋ตอนที่ผมออกมาจากห้องน้ำไฮซ์เขาไม่ได้อยู่ในห้องนอนผมครับ) แล้วผมก็ไปเจอไฮซ์ที่กำลังง่วนทำอะไรอยู่ในครัว ผมสาวเท้าเดิมเข้าไปในครัวพร้อมกับชะโงกหน้าไปมองสิ่งที่ไฮซ์เขากำลังทำอยู่


“จะทำข้าวเช้าเหรอไฮซ์” ไฮซ์สะดุ้งตัวโหย่งพร้อมกับหันหลังมามองที่ผมใบหน้าของไฮซ์พยักหน้าขึ้นลงเล็กน้อยเป็นการตอบว่า ‘ใช่แล้ว’


“แต่สภาพแบบนี้จะกินได้ไหมเนี่ย” ผมพูดพร้อมกับดูสภาพห้องครัวผมกระตุกยิ้มน้อย ๆ แล้วผลักให้ไฮซ์ออกไปยืนด้านข้างแล้วจัดการทำข้าวเช้าเอา “เอาเป็นแบบสไตล์ฝรั่งแล้วกันนะเพราะไฮซ์เตรียมของเอาไว้แล้วด้วย แต่เรื่องทอดไข่กับแฮมกรไม่รับปากนะว่ามันจะไหม้หรือเปล่า” เมื่อพูดจบผมก็หยิบผ้ากันเปื้อนตัวเก่งของผมมาสวมแล้วก็จัดการตอกไข่ลงไปในกระทะพร้อมกับกระโดดหนีน้ำมันที่มันกระเด็นใส่ ท่าทางที่แสดงออกมาของผมทำให้ไฮซ์หัวเราะออกมาเสียงดังจนทำให้ไอเพื่อนสองคนที่นอนอยู่อีกห้องเอามือปิดปากหาววอด ๆ กันออกมาจากห้อง


“ทำอะไรเสียงดังพวกกรูตื่นหมดแล้วเนี่ย” ไอบาสพูดบ่นเป็นคนแรกพร้อมกับเดินมาดันผมออกจากกระทะแล้วจัดการทอดไข่ฟองนั้นเอง ท่าทางมันกลัวว่าผมจำห้องไฟไหม้หละมั้งครับเพราะว่าเวลาที่ไอบาสมันเห็นผมเข้าครัวทำอาหารคาวต่อให้มันง่วงนอนมากขนาดไหนมันก็จะรีบวิ่งมาทำแทนผมทันทีเลยครับ


“ไอไฮซ์ให้กรมันทำกับข้าวอยากเห็นไฟไหม้ห้องมันหรือไง” เสียงของไอเจมส์พูดออกมาหลังจากไอบาสพูดจบมือข้างหนึ่งของมันยกมือขึ้นมาป้องปากหาวตามไอบาสส่วนอีกข้างถูกยกขึ้นไปเกาที่ท้ายทอย ไอเจมส์มันสาวเท้าเดินเข้ามาในห้องตามไอบาสมาติด ๆ พร้อมกับทิ้งตัวนั่งลงไปบนโต๊ะทานอาหาร


พวกผมทั้งสามคนรอเชฟบาสทำอาหารเช้ากันสักพักไม่นานนักอาหารเช้า 4 ชุดก็ถูกนำมาวางเรียงไว้บนโต๊ะทานข้าวและพวกเราทั้งสี่คนก็นั่งจัดการอาหารในจานกันจนเกลี้ยง พวกเราทั้งสี่คนนั่งหัวเราะกันแบบเดิมเหมือนกับตอนมัธยม (แต่ก็ขาดกานต์ไปหนึ่งคนนะครับ) พร้อมกับคุยเรื่องสนุกสนานเฮฮากันออกมาเราคุยกันจวบจนเวลาล่วงเลยมาถึงเจ็ดโมงแล้วหละครับผมมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังก่อนจะเอ่ยขอตัวและรีบไปหยิบกระเป๋านิสิตมาถือไว้


“ไปก่อนนะสายแล้ว” ผมหันไปขยิบตาใส่พักพวกพร้อมกับรีบสาวท้าเดินออกไปจากห้อง ทุกคนคงคิดว่าสายแล้วอะไรของผมกันหละ แต่ว่าเวลานี้ของผมมันถือว่าสายแล้วหละครับเพราะว่าถ้าเกิดออกจากห้องช้ากว่านี้ผมจะออกมาไม่ทันสารถีที่ขับรถไปรับไปส่งผมที่มหาลัยไงหละครับ


ผมที่รีบเปิดประตูห้องของตัวเองออกไปมันก็เป็นจังหวะพอดีที่พี่ศิเปิดประตูห้องออกมาเช่นกันผมหันไปสบตากับพี่ศิพลันเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวานมันก็ลอยเข้ามาใน


ริมฝีปากอุ่นที่ทาบทับพร้อมกับลิ้นที่ไล้เลียที่ริมฝีปากของผม และไอความคิดพวกนั้นทำให้ผมสติแตกและแทบอยากจะปิดประตูห้องตัวเองทันทีเลยครับ


ทว่ามันก็ไม่ทันแล้วใบหน้าของพี่ศิหันมามองทางผมพร้อมกับเอ่ยทักทายออกมาด้วยน้ำเสียงที่แสนจะสดชื่น “อรุณสวัสดิ์ครับกรเมื่อคืนหลับสบายไหมครับ”


ถ้าไม่นับว่าเรื่องที่พี่ศิแกจูบผมผมก็หลับสบายดีแหละครับ แต่ถ้าให้นับเรื่องนั้นนี่ผมอยากจะบอกว่าผมโคตรจะไม่สบายดีเลยครับ ผมกระตุกยิ้มแห้ง ๆ พร้อมกับพยักหน้าตอบพี่ศิไปเบา ๆ


“งั้นเหรอครับ งั้นไปกันเถอะ แต่เออ…วันนี้เรากับพี่ตกลงกันแล้วว่าจะไม่ไปช่วยที่ซุ้มคณะแล้วแบบนี้เราจะไปไหนกันแทนครับ” พี่ศิทำท่าชวนผมไปมหาวิทยาลัยแต่ว่าเมื่อวานพวกเราสองคนตกลงกันไว้แล้วว่าเราจะไม่ไปช่วยงานที่ซุ้มของมหาวิทยาลัยอีกแต่ดูเหมือนพี่ศิจะตีเนียนทำเป็นลืม (แต่ผมนี่ลืมจริงครับ) และเตรียมแผนการที่จะพาผมไปเที่ยวแทนพาผมไปมหาวิทยาลัยผมนี่กระตุกยิ้มส่งให้พี่ศิที่ทำหน้าเนียนแต่ผมก็ไม่ทันได้ปฏิเสธพี่ศิครับเพราะมือข้างหนึ่งของพี่ศิถูกยื่นมาคว้ามือของผมไว้และลากผมตรงไปที่ลิฟท์ทันที


ผมไม่อยากจะบอกเลยนะครับว่าเจ็ดโมงเช้ามันมีห้างที่ไหนเปิดและที่สำคัญเช้าขนาดนี้ไม่มีอะไรทำนอกจากขับรถเล่นแต่การที่เราคิดจะขับรถเล่นในกรุงเทพนี่มันเป็นเรื่องที่ผิดมหันเลยครับเพราะอะไรทุก ๆ ท่านก็ทราบดีนะครับว่ากรุงเทพไม่ว่ายามเช้า ยามสาย ยามบ่าย ยามเย็นนี่รถมันติดตลอดเวลาแต่ดูเหมือนไอเรื่องรถติดมันไม่ใช่ปัญหาของคุณพี่ศิรวิทย์สักนิดเดียว ผมส่ายหัวให้กับความเอาแต่ใจของพี่เขาพร้อมกับยอมเข้าไปนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถของพี่ศิ


ซึ่งกิจกรรมที่ผมทำในรถของพี่ศิก็เป็นกิจกรรมเดิม ๆ ครับนั่นก็คือการเอาไอโฟนของพี่ศิมาเปิดเพลงฟังและคราวนี้ผมไม่ไปมือบอนทำอะไรอีกแล้วครับเจอรอบที่แล้วไปหนึ่งทีผมเข็ดเลยครับไม่อยากทำตัวไม่ถูกต่อหน้าพี่ศิอีกแล้วแต่จะให้พูดไปตอนนี้ผมก็ทำอะไรไม่ถูกต่อหน้าพี่ศิอยู่นั่นแหละครับ เวลาที่ผมหันไปหมายจะคุยกับพี่ศิสายตาผมก็ไปจับจ้องที่ริมฝีปากพี่เขาแล้วก็หน้าแดงจนต้องหันหน้ากลับมา ถึงผมจะเคยริมฝีปากประกบกับพี่ศิเมื่อนานมาแล้วแต่สัมผัสอย่างเมื่อวานมันไม่เหมือนกับวันนั้นครับเพราะว่าครั้งนี้มันรู้สึกได้ถึงความอ่อนโยน ความอบอุ่นและมันก็มีความรู้สึกลึกซึ้งที่เรียกว่าความรักปะปนอยู่ในรสจูบนั่นด้วย
ไอใจผมก็อยากจะถามพี่ศินะครับว่าเมื่อวานพี่จูบผมทำไมแต่มันไม่กล้าครับ คราวนี้นายรณกรของยอมรับเลยนะครับว่าปอดมากแต่ไอความอยากเจือกมันมีมากล้นเหมือนกันผมลังเลอยู่สักพักจนในที่สุดผมก็ตัดสินใจเอ่ยไอคำพูดพวกนั้นออกไป (ถ้าทุกคนสงสัยว่าทำไมผมเพิ่งมาออกอาการเขินตอนนี้ผมตอบเลยครับว่าช่วงเวลาหลังจากที่พี่ศิแกผละออกจากผมเพื่อน ๆ ของผมและเพื่อน ๆ ของพี่ศิเข้ามาในห้องพอดีอาการพีคตอนนั้นเลยเปลี่ยนไปเป็นเฮฮาปาจิงโกะกับพี่ ๆ เพื่อน ๆ แทน)


“พี่ศิ เรื่องเมื่อวาน” ผมเอ่ยเกริ่นเรื่องแต่ดูเหมือนพี่ศิแกจะเข้าใจว่าผมจะคุยเรื่องของน้ำฟ้าครับพี่แกเลยตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเรียบง่ายว่า “เรื่องเด็กผู้หญิงคนนั้นพี่ไม่สนใจอะไรหรอกกร แล้วเรื่องที่เธอโทรมาบอกให้กรเลิกคุมพี่ก็ไม่ต้องไปสนใจนะเพราะเรื่องคนที่เหมาะสมสำหรับพี่ พี่เลือกเองได้และที่สำคัญพี่มีคน ๆ หนึ่งในใจแล้ว” สิ้นเสียงพูดพี่ศิก็ปรายตามองมาที่ผมไอผมก็รู้อยู่แล้วหละครับว่าพี่ศิไม่สนใจอะไรน้ำฟ้าหรอกแต่ไอเรื่องที่ผมจะถามหนะมั่นไม่ใช่เรื่องนี้ครับ ผมสูดลมหายใจเข้าปอดไปเฮือกใหญ่แล้วตัดสินใจเอ่ยถามพี่ศิออกไปอีกครั้ง “ไม่ใช่เรื่องนั้นพี่ คือมันเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่กรสงสัย แล้วไอเรื่องที่กรอยากรู้มันก็เกี่ยวกับพี่ศิ…เอ่อ แต่เรียกว่าเกี่ยวกับการกระทำของพี่ศิก็ว่าได้”


ผมพูดไปแบบนี้เหมือนพี่แกจะรู้ตัวแล้วหละครับว่าผมหมายถึงเรื่องอะไร มือกร้านหักรถเลี้ยวเข้าไปจอดข้างทางพร้อมกับใบหน้าคมที่หน้ามาจ้องยังใบหน้าของผม ไอผมนี่กลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่เลยครับ


“ที่พี่ทำก็เพราะพี่อยากทำ ที่พี่จูบกรไปเพราะพี่อยากจูบและสิ่งที่พี่ทำไปเมื่อวานพี่ไม่เคยคิดอยากทำกับใครนอกจากกร” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาด้วยความหนักแน่น ถ้อยคำพวกนั้นของพี่ศิมันวิ่งพุ่งเข้ามาภายในสมองของผมแต่แค่นั้นยังไม่พอมันยังวนลูบไปมาอย่างไม่จบไม่สิ้น


ไม่ต้องเดาเลยว่าหน้าของผมตอนนี้มีสภาพเป็นอย่างไรเพราะมันคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นนอกจากใบหน้าของผมที่ขึ้นสีแดงก่ำพร้อมกับริมฝีปากที่เม้มเข้าหากันแน่น


ผมเขินครับ เขินมาก ๆ เลยถ้อยคำที่พี่ศิพูดออกมาเหมือนกับว่ามันเป็นคำสารภาพรักเลยหละครับแต่มันยังไม่จบเพียงแค่นั้นมือกร้านที่ก่อนหน้านี้ยังจับอยู่ที่พวงมาลัยรถยนต์ตอนนี้ละมือมากุมมือของผมแน่น นัยน์ตาคมที่ซ่อนอยู่ภายใต้อกรอบแว่นสีดำสนิทนั่นจองมองมายังผมพร้อมกับเอ่ยถ้อยคำที่ทำให้ผมอยากจะเปิดประตูรถออกไปแล้ววิ่งหนีกลับไปนอนซุกที่คอนโดของผม


“สำหรับพี่ ตามที่พี่บอกไปตั้งแต่เมื่อคืน กรคือคนสำคัญที่และพิเศษที่สุดสำหรับพี่และเป็นคนที่เข้ามาอยู่ในนี้ของพี่ไม่รู้ตั้งแต่ตอนไหน…” พี่ศิเอ่ยออกมาพร้อมกับยกมือของผมไปแนบที่แผ่นอกด้านซ้ายของเขา ไอผมนี่อายม้วนจนไม่รู้จะทำยังไงแต่ในประโยคถัดมาของพี่ศิกลับทำให้ผมเกิดอาการนิ่งค้างยิ่งกว่าเก่าเสียงอีก


“แล้วสำหรับกรหละ พี่...จะได้ตำแหน่งคนสำคัญและพิเศษที่สุดเมื่อไหร่”




_____________________________


บอกแล้วว่าความพยายามของพี่ศิที่รักของพลอยสำเร็จแล้วเปราะหนึ่ง ตอนจากนี้ก็เหลืออีกเปราะหนึ่งค่ะว่าเมื่อไหร่กรจะให้ตำแหน่งพิเศากว่านี้กับพี่ศิสักที



ปล. ฝากโหวตด้านบนด้วยนะคะ//
ปล2.เจอกันตอนหน้าค่ะ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 25] 27/11/2013 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 27-11-2013 19:54:48
พี่ศิบอกความรู้สึกให้กรรู้ แล้วกรล่ะรู้สึกกับพี่ศิพิเศษขนาดไหน
ลุ้นคำตอบของกรอยู่นะ

พี่ศิหึงกรกับไฮซ์เพราะพี่ศิรู้ว่าไฮซ์คิดยังไงแน่ๆ แต่กรสิไม่รู้อะไรบ้างเลย
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 25] 27/11/2013 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 27-11-2013 20:09:19
ลุ้นคำตอบกรด้วยคน
แอบสงสารไฮซ์เหมือนกันอารมณ์แอบรักเพื่อน มันเศร้าง่ะ  :mew4:
 :L2: :กอด1: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 25] 27/11/2013 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: DZiik ที่ 27-11-2013 20:26:51
 :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 25] 27/11/2013 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 27-11-2013 20:39:15
กรยกตำแหน่งให้ไปเลย
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 25] 27/11/2013 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: aelfy ที่ 28-11-2013 10:40:52
ไฮด์ เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ

นายสู้พี่สิ ไม่ได้หลอก
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 25] 27/11/2013 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 28-11-2013 18:49:07
เดี๋ยวน้ำฟ้าต้องกลายมาเป็นมือที่สามแน่ๆ ฮึ่มฮั่ม
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 25] 27/11/2013 P.8
เริ่มหัวข้อโดย: RenaBee ที่ 29-11-2013 00:28:56
น่าสงสารไฮซ์แต่ตอนนี้สงสารพี่ศิืมากกว่า ต้องมารอลุ้นกับคำตอบน้องกร
น้องกรคะ ตอบไม่ดีแม่ยกจับตีก้นลายนะคะ o18
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 26] 1/12/2013 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 01-12-2013 20:04:47



สวัสดีค่ะ ความจริงใจอยากจะเข้ามาลงตั้งแต่เมื่อวานแล้วแต่มีเหตุที่ทำให้ลงไม่ได้ที่ทุก ๆ คนก็ทราบกันดีนะคะ วันนี้หละคะเราจะมาลงนิยายตอนต่อให้อ่านกัน (พรุ่งนี้หยุด อิอิ)




Chapter 26



หลังจากที่ผมโดนคำถามพาระทวยไป ตอนนี้มันก็ผ่านมาได้ราวๆ 2 อาทิตย์แล้วครับ และผมก็รู้ว่าทุกคนในที่นี้ต่างก็สงสัยในคำตอบที่ผมตอบพี่ศิไปใช่ไหมล่ะครับ โอเคครับ ผมเล่าให้ทุกคนฟังก็ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นต่อในวันนั้น เพราะว่าหลังจากที่พี่ศิเอ่ยถามคำถามนั้นออกมาแล้วผมก็ไม่ตอบอะไรพี่เขาไปครับ ไม่ต้องมาส่งเสียงโห่ร้องว่า ทำไมไม่ตอบไปล่ะ ผมขอบอกเลยว่าใครมันจะไปกล้าบอกคนอื่นว่าตัวเองจะยอมรับรักเขาเมื่อไหร่ (ถ้าคุณกล้านี่ก็สุดยอดแล้วครับ แต่สำหรับผม…ผมขอพูดไว้ ณ ที่ตรงนี้เลยครับว่า ‘ผมไม่กล้า’)



ดังนั้นผมก็เลยได้แต่เงียบปากเอาไว้ แต่กว่าพี่ศิแกจะยอมรามือจากคำถามนี้ก็ปาไปหลายนาทีครับ อาจจะถึงสิบนาทีเลยก็เป็นได้ ไอผมก็อายแล้วอายอีก แถมหน้าก็แดงจนไม่รู้จะแดงยังไงแล้วครับ พี่ศิแกถึงจะปล่อยมือ ออกจากมือของผม ซึ่งในเวลานั้นแววตาพี่ศิก็ดูเศร้าเหมือนกันนะครับ แต่มันก็เศร้าพียงชั่วครู่เท่านั้นแหละ ไม่ถึงห้านาทีที่ศิแกก็กลับมาเป็นบุคคลผู้มีความคิดชั่วร้ายและเอาแต่ใจเช่นเดิม พี่ศิแกเหยียบคันเร่งจนเกือบมิดเพื่อพาผมไปขับรถเล่นครับ และหลังจากนั้นผมก็โดนพาไปทัวร์รอบกรุงเทพเลยครับ เล่นเอาตอนกลับมาที่คอนโด ผมแทบคลานขึ้นห้องเลยทีเดียว แต่เรื่องของวันนั้นก็เป็นเรื่องของวันนั้นครับ เพราะสิ่งที่ผมกำลังจะเจอต่อไปนี้มันยิ่งกว่าเรื่องในวันนั้นครับ (ผมขอเรียกว่ามันเป็นวันที่นรกและบัดซบเลยครับ) เพราะว่าช่วงเวลาต่อจากนี้มันคือช่วงเวลาของการสอบไล่ (หรือทุกคนจะเรียกมันว่าการสอบปลายภาค สอบไฟนอลนั่นแหละ)


และช่วงเวลาก่อนจะถึงการสอบไล่มันก็ต้องมีช่วงเวลา ๆ หนึ่งก่อนครับนั่นก็คือ ช่วงเวลา…แห่งการอ่านหนังสือสอบและนี่ล่ะคือนรกที่แท้จริงของช่วงเวลา (ใกล้) สอบเลยล่ะครับ


ซึ่งความจริงมันก็ไม่นรกสำหรับผมเท่าไหร่หรอกครับ เพราะผมก็คงใช้วิธีการแบบเดิมครับ คือการไปเกาะไอเจมส์ให้มันติวให้และตอนนี้มันรับปากที่จะติวให้ผมเรียบร้อยแล้วครับ แต่กว่าที่มันจะยอมติวให้ผมได้นี่ ผมต้องกระดิกหางหาของไปเซ่นไหว้มันหลายต่อหลายอย่างเลยล่ะครับ แต่สุดท้ายมันก็ใจอ่อนครับ ยอมเปิดติวรอบพิเศษให้พวกผม (ตามที่ผมได้บอกไว้นานมาแล้วครับว่าเจมส์เรียนเก่งมาก ถึงแม้ว่ามันจะไม่ค่อยได้มีเวลาอ่านหนังสือ หลังจากที่มันยอมรับตำแหน่งเป็นประธานรุ่นของพวกเราก็เถอะ) และการติวนั่นก็ทำให้ผมรอดชีวิตจากการสอบมาได้ด้วยดี อย่างน้อยผมก็ทำได้เกินครึ่งนั่นล่ะครับ และหลังจากสอบวิชาสุดท้ายจบ…สิ่งที่นิสิต นักศึกษาทุกคนรอคอยก็มาถึงนั่นก็คือการปิดเทอมนั่นเอง!


แต่การปิดเทอมครั้งนี้ของพวกผมออกจะพิเศษหน่อยนะครับ เพราะช่วงปลายเดือนมีนาคมทางคณะของผมจะมีการไปค่ายสร้างกัน (ซึ่งค่ายสร้างก็คือค่ายสร้างนั่นแหละครับ เอ่อ...ผมอธิบายแค่นี้กวนประสาทไปไหม เอาใหม่ ๆ ค่ายสร้างนั่นก็คือค่ายอาสาพัฒนาชนบทนั่นแหละครับ ค่ายสร้างมันเป็นชื่อย่อครับ ค่ายสร้างนั้นเป็นเหมือนกับว่าเราไปสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้กับบุคคลภายนอกที่ขลาดแคลน หรือแม้สิ่งที่เขามีอยู่แล้ว แต่เราอาจจะเข้าไปช่วยดู ช่วยปรับปรุงอะไรกับสถานที่นั้นได้ครับ ซึ่งผลของค่ายสร้างนั้นไม่ว่าสิ่งที่เราสร้างจะเป็นของเล็กน้อย หรือใหญ่โตขนาดไหน มันก็ไม่สำคัญเท่ากับคุณค่าทางจิตใจของผู้ให้ครับ ซึ่งผลลัพธ์จากค่ายนี้ก็ไม่ได้ส่งผลแค่ทางด้านนั้นด้านเดียว เพราะนอกจากเราจะมีจิตใจเอื้อเฟื้อต่อผู้ขาดแคลนแล้ว เราก็จะได้รู้ว่ามิตรภาพ การช่วยเหลือซึ่งกันและกันของทุกคน มันจะมีมากมายขนาดไหน และที่สำคัญค่ายสร้างไม่ใช่เป็นค่ายที่มีแต่การให้อย่างเดียว ค่ายสร้างนี้มันทำให้เราเป็นผู้รับได้ด้วยเช่นกันครับ ซึ่งที่พวกเราได้รับมันจะไม่ใช่เงินทองหรืออะไร แต่สิ่งที่ค่ายสร้างให้กับเรานั้นก็คือการให้เราเรียนรู้สังคมในชนบทครับ ไม่ว่าจะเป็นการเอาใจใส่กันของผู้คนในแถบนั้น (ซึ่งคนในเมืองแทบจะไม่มีการเอาใจใส่กัน บางคนนี่ยังไม่รู้จักชื่อของเพื่อนบ้านตัวเองเลยครับ) การใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและไม่วุ่นวายเร่งรีบเหมือนในเมือง การที่ได้ไปค่ายสร้างเหมือนกับการได้ไปเปิดโลกใหม่ของเด็กในเมืองกรุงอย่างผมเลยครับ)


ซึ่งค่ายสร้างที่ทางคณะผมจัดนั้นจะใช้เวลาราว ๆ  10 วันด้วยกันครับ  วันแรกที่เราจะไปค่ายกันคือวันที่ 25 มีนาคม (เป็นวันเดินทางไป) และเวลาที่จะเดินทางกลับคงไม่น่าจะเกินวันที่ 6 หรือวันที่ 7 เมษายนครับ ซึ่งค่ายสร้างนี่เป็นค่ายที่รุ่นพี่แต่ละคน (รวมไปถึงไอเจมส์และผม ซึ่งเป็นประธานรุ่นกับรองประธานรุ่น) เตรียมการมานานมากเลยครับ ผมคงไม่ได้เล่าเลยใช่ไหมครับว่าค่ายสร้างน่ะมันต้องใช้เงิน แม้เราจะหาสปอนเซอร์ได้ แต่มันก็ยังคงไม่พอเพียงกับสิ่งที่พวกเราต้องจ่ายไปอยู่ดีครับ ดังนั้นในแต่ละอาทิตย์พวกผมก็ต้องตระเวนกันไปรับบริจาคตามสถานที่ต่าง ๆ โดยหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันไปเรื่อยๆ  บางที่เขาก็ใจดีให้เราไปยืนพูด ตะโกนขอรับบริจาคได้ แต่บางที่อย่างสวนจัตุจักรผมของเจาะจงสถานที่เลยแล้วกัน การไปตะโกนขอรับบริจาคนั้นเป็นเรื่องยากครับ เพราะเราจะโดนไล่ที่ และสิ่งที่เราต้องทำหลังจากโดนไล่นั่นก็คือ…วิ่งหนีครับ เพราะมันไม่มีอะไรที่ดีไปกว่าการวิ่งหนีคนไล่ที่อีกแล้ว


การไปรับบริจาคมันทั้งเฮฮาและเหนื่อยครับ แต่คิดถึงสิ่งที่เราจะไปทำมันทำให้ความเหนื่อยยากลำบากกายหายไปหมดเลยครับ (เอาตรง ๆ ผมไม่ค่อยได้ไปเดินรับบริจาคหรอก ส่วนมากจะเป็นติดต่อประสานงานกับรุ่นพี่มากกว่าครับ แต่ตอนไอสวนจัตุจักรนั่นผมไปนะครับ และก็ได้วิ่งหนีอย่างเมามันมาก) แต่ส่วนมากการรับบริจาคของผม…ผมจะขอจากคนใกล้ ๆ ตัวมากกว่าครับ อย่างเช่น คนที่บ้านหรือพวกรุ่นพี่คณะอื่นครับ ซึ่งสิ่งที่ใช้ก็คือการใช้ลูกอ้อนครับ ต่อให้หยอดคนละยี่สิบ สามสิบบาท แต่ถ้าหยอดแบบนี้สิบคนยี่สิบคนก็ได้มาหลายร้อยแล้วครับ แต่นั่นก็ไม่ใช่เป้าหมายหลักของผมครับ เพราะผมมีบุคคลที่กระเป๋าหนักที่สุดช่วยบริจาค ซึ่งทุกคนก็คงเดาได้นะครับว่าเขาคนนั้นเป็นใคร เพราะว่ามันไม่ใช่ใครอื่นเลยนอกจากคุณพี่ศิรวิทย์นั่นเองครับ อ้อนทีแบงค์เทา 1 ใบ (แต่วันหนึ่งอ้อนหลายทีมันจะเปลี่ยนเป็นแบงค์แดงและแบงค์เขียวตามลำดับครับ) และอย่างที่บอกครับ ผมกับเพื่อน ๆ จะออกมารับบริจาคกันในช่วงวันหยุด และวันนี้ก็เป็นวันหยุดครับ ดังนั้นผมกับเพื่อน ๆ ก็เลยมายืนอยู่ใจกลางสยาม ซึ่งมันเป็นสถานที่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยและคอนโดของผมครับ


“เพื่อนบาสครับ มรึงนำสิครับว่ามรึงจะเดินไปจุดไหนก่อน แต่เพื่อนกรขอที่ร่ม ๆ และมีแอร์เย็น ๆ นะครับ” ผมหันไปพูดใส่เพื่อนบาสที่ตอนนี้แต่งชุดนิสิตเต็มยศ ซ้ำยังผูกไทค์มาให้น่าเชื่อถือครับ (แต่พวกเราก็แต่งแบบนี้กันทุกคนครับ ดังนั้นพวกเราเลยรู้สึกร้อนกันแทบตายแบบนี้ไงล่ะครับ) และเพื่อนบาส ผู้ซึ่งยืนกอดอกมองหาทำเลเหมาะ ๆ ให้พวกผมไปยืนตะโกนกัน ก็หันมาด่าผมพร้อมกับยกมือขึ้นตบหัวผมไปที


“อย่ามาทำตัวรักสบายสิครับเพื่อนกร  ถ้ามรึงจะไปยืนขอรับบริจาคแบบนั้น มรึงเอากล่องรับบริจาคมาให้กรูถือแล้วมรึงเดินเข้าพารากอนไปครับ ไม่มีมรึงพวกกรูไม่ลำบาก แถมยังจะสบายมากหูมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะไม่มีเสียงบ่นว่าร้อนว่าเหนื่อยของมรึง” ไอบาสพูดไล่ผมแบบนี้ ผมก็ไม่หน้าด้านพอ? ที่จะยืนอยู่ตรงนั้นครับ ผมยื่นกล่องรับบริจาคไปให้มันแล้วเตรียมตัวจะเดินเข้าพารากอนไปทันที แต่ไอการกระทำเช่นนี้ชองผม ทำให้ผมโดนเพื่อนทั้งกลุ่มกระโดดตบหัวครับ (ไม่เว้นแม้แต่พรีมที่สวมเสื้อนิสิตกระโปรงยาวยันตาตุ่ม) ข้อหากวนตรีนใส่พวกมันมากเกินไป


ไอผมก็คลำหัวตัวเองเบาๆ พร้อมกับ(แสร้งทำ)น้ำตาคลอใส่พวกมัน แต่สหายทั้งหลายของผมมันก็ไม่ใคร่จะสนใจอาการเรียกร้องความสนใจของผมเลยครับ  พวกมันต่างหันไปคุยกับและตกลงกันว่าจะไปยืนขอรับบริจาคกันตรงแถว ๆ ทางขึ้นรถไฟฟ้า BTS หรือสกายเทรนนั่นเองครับ


เมื่อข้อตกลงเป็นเช่นนั้นผมและเพื่อน ๆ ทั้งแปดก็ลากขากันไปยืนอยู่แถว ๆ ทางขึ้นรถไฟฟ้าดิจิตอลเกตเวย์ครับ และตอนนี้เป็นเวลา 9 โมงเช้า ย้ำกว่า 9 โมงเช้า ซึ่งเวลานี้ยังไม่มีใครแหกขี้ตาตื่นขึ้นมาหรอกครับ โดยเฉพาะช่วงปิดเทอมแบบนี้ (อันนี้ผมดูจากตัวเองนะครับ เพราะว่าถ้าเป็นผมปิดเทอมแบบนี้ แล้วยังเสาร์อาทิตย์แบบนี้อีก ผมไม่แหกขี้ตาตื่นมาให้เมื่อตุ้มหรอกครับ ง่วงจะตายถ้าผมตื่นก็โน่นใกล้ๆเที่ยง) แต่พวกผมก็ยังแหกปากกันเพื่อเรียกให้คนมาหยอดเงินบริจาคกันครับ ตอนแรกคนก็หยอดกันน้อยหน่อยครับ แต่พอเริ่มจะเข้าใกล้ช่วงเที่ยง คนเริ่มหยอดกันเยอะขึ้นครับ


ไอกลุ่มของผมนี่ ผมนำเสนอหนุ่ม ๆ (ก็เพื่อน ๆ ผมนั่นล่ะ) มายืนเรียงพร้อมส่งรอยยิ้มให้สาวๆเลยครับ ดังนั้นเงินที่ได้ส่วนใหญ่จะได้มาจากสาวๆครับ ส่วนหนุ่มๆนี่ยากหน่อย เพราะทางกลุ่มของพวกเรามีสาวคนเดียวนั่นก็คือ พรีม ครับ และพรีมยืนอยู่ในวงล้อมหนุ่มๆทั้ง 8 เธอเลยโดนรัศมีหนุ่มหล่อบดบังหมดครับ เธอเลยจืดจางมากสำหรับกลุ่มผมเลยตอนนี้ พรีมเธอก็บ่นนะครับ แต่ทำไงได้ความหล่อของพวกผมมันกระแทกตาสาว ๆ นี่ครับ แต่ว่าไอความหล่อของพวกผมก็ไปกระแทกตาเพศที่สามด้วยเหมือนกัน (แต่ในคณะผม พรีมนี่เด่นมากนะครับ ที่เด่นเพราะเป็นผู้หญิง ทุกๆคนก็คงรู้ว่าคณะผม ผู้หญิงนี่มีมากเหลือเกิน)


หลังจากที่ได้เล่าไป ตอนนี้เริ่มเข้าใกล้ช่วงเที่ยงแล้วครับ มันใกล้เวลาทานอาหารกลางวันแล้ว (แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่าอากาศตอนนี้ มันโคตรร้อนเลยครับ) ผมกับพวกเพื่อน ๆ ก็เลยตกลงกันว่าจะแบ่งกะกันไปกินข้าว ซึ่งผมเป็นคนต้นคิดเรื่องนี้เลยโดนเด้งไปอยู่กะสองครับ นั่นก็แสดงว่าผมต้องยืนตากแดดไปอีกราว ๆ ชั่วโมงหนึ่ง เพื่อให้เพื่อน ๆ กลุ่มแรกกินข้าวก่อน และหลังจากนั้นผมถึงคราวของผมที่จะได้ไปกินข้าวครับ


ผมยังคงยืนทำหน้าที่ไปเรื่อย ๆ ครับ โดยกะของผมก็จะมีผม ไอบาส ไอเจมส์ ไอบอส และไอวิวครับ ส่วนที่เหลือนั้นเป็นกะแรกครับและตอนนี้มันก็สลายตัวไปกินข้าวกันเรียบร้อยแล้วครับ (แต่นอกจากการกินข้าวกันเป็นกะ ๆ เรายังตกลงกันไว้อีกว่าถ้าพวกกะสองกินข้าวเสร็จ เราจะเลิกยืนรับบริจาคกันและแยกย้ายกันกลับบ้านกลับหอครับ เพราะว่าสภาพแต่ละคนก็ไม่ไหวกันแล้ว) ไอผมนี่แพ้อากาศร้อนครับ ร้อนแล้วหงุดหงิด ร้อนแล้วเป็นหมาบ้า ตอนนี้เลยเลิกยิ้มและเปลี่ยนมายืนกอดอกทำหน้าดุใส่คนที่จะมาหยอดกล่องรับบริจาคกันแล้ว แต่ก็มีไอคนที่ยังคงยิ้มกันอยู่ได้นะครับ นั่นก็คือไอบาสครับ (เพราะว่ามากกว่านี้ โหดกว่านี้ มันก็เคยฝึกมาแล้ว แค่นี้ชิลชีวิตมันมากครับ) ไอนี่พูดเกี้ยวสาวไป อ้อนสาวมา มันก็ได้มาเยอะอยู่ครับ ส่วนผมเพื่อน ๆ นี่จะเตะผมให้ออกจากกลุ่มไปแล้ว เนื่องจากไออาการหงุดหงิดของผมนั่นเอง


ผมก็ยืนรอพวกกะแรกไปอีกราว ๆ 1 ชั่วโมงได้ ในที่สุดพวกกะแรกก็เดินกลับมาครับ ไอผมนี่แทบจะโยนแผ่นป้ายที่แปะสถานที่ที่ผมจะไปค่ายกันไว้ให้พวกกะแรกเลย (ซึ่งเพื่อน ๆ ผมก็ไม่โกรธนะครับ เพราะมันรู้นิสัยว่าอากาศร้อนมาก ๆ ผมจะหงุดหงิด และกวนตรีนมากๆ ) เมื่อทางกะแรกทั้ง 4 คนรับและส่งมอบของกันเรียบร้อย ผมนี่ก็รีบวิ่งปรี่เข้าสยามเซนเตอร์เลยครับ พร้อมกับตรงไปที่ร้าน ZEN และถลาไปนั่งที่โซฟาของทางร้านเลยครับ สภาพผมตอนนี้เรียกได้ว่านอนไปกับโซฟาเรียบร้อย


หลังจากความเย็นจากแอร์ ทำให้ผมอารมณ์ดีขึ้น  ผมก็เริ่มที่จะสั่งอาหารครับ และสองอย่างแรกที่ผมสั่งมานั่นก็คือทาโกยากิกับพิซซ่าญี่ปุ่น หรือเรียกอีกอย่างว่าโอโคโนมิยากิครับ แล้วก็ตามด้วยเทมปุระกุ้งมาจานหนึ่ง จากนั้นผมก็จัดเซทข้าวมาเซทหนึ่งครับและอะไรจิปาถะอีกมากมาย และที่สำคัญผมก็ไม่ลืมที่จะสั่งน้ำส้ม ซึ่งเป็นน้ำสุดโปรดของผมด้วย เมื่อผมปิดสมุดเมนูลงเพื่อน ๆ ของผมก็เริ่มสั่งกันบ้าง โดยแต่ละคนสั่งไม่มากไม่มายครับ ข้าวเพิ่มคนละจานและเครื่องดื่มที่ตัวเองอยากกินเท่านั้นเอง (ก็ตามที่บอกผมสั่งไปเยอะมากและเพื่อนของผมก็กินกับผมด้วยกันนี่ล่ะครับ มันเลยสั่งแต่ข้าวเปล่ากันมากิน ส่วนเงินก็หารกันจ่ายครับ แต่หน้าที่สั่งมันเป็นผมสั่ง)


ผมนั่งดื่มน้ำส้มรออาหาร และในที่สุดอาหารจานแรกก็มาเสิร์ฟครับ ซึ่งมันก็คือโอโคโนมิยากินั่นเอง ผมประเดิมชิ้นแรกเลยครับ ขอบอกว่าหิวมาก ๆ และเพื่อนอีก 4 คนก็เริ่มหยิบกันกินคนละชิ้นครับ นี่ถือเป็นการรองท้องได้เป็นอย่างดีเลยล่ะครับ (ซึ่งดีหน่อยที่ทางร้านเขาตัดแบ่งไว้ 5 ชิ้นพอดีครับ เลยแบ่งกันสบายไม่ต้องตบตีแย่งชิงกันกิน) ถัดจากกโอโคโนมิยากิก็เป็นทาโกยากิครับ และไม่ต้องบอกเราทั้ง 5 คน ผม ไอบาส ไอเจมส์ ไอบอส ไอวิว ก็จัดการแย่งกันกินคนละลูกสองลูกจนหมดจาน และตอนนี้ออเดิร์ฟก็หมดไปแล้วครับ ถัดจากของกินเล่นก็เป็นเมนคอร์สแล้วครับ เซทข้าวของผมถูกวางบนโต๊ะตามด้วยอะไรจิปาถะทั้งหลายแหล่ที่ผมสั่งมา เอาล่ะ หลังจากนี้ผมก็ขอทานข้าวก่อนแล้วกันนะครับ หลังจากของกินหมดโต๊ะ เราค่อยกลับมาคุยกันอีกทีนะครับ ลาล่ะครับ


พวกผมใช้เวลาไปราว ๆ 45 นาที ของกินที่วางบนโต๊ะก็หมดเกลี้ยงครับ และทั้งหมดนี่เป็นฝีมือของใครก็ไม่ต้องบอกครับ เพราะมันเป็นใครไม่ได้เลยนอกจากพวกผมทั้ง 5 คนนั่นเอง พอท้องผมอิ่มเจออากาศเย็น ๆ อารมณ์ที่เคยหงุดหงิดก็กลับมาแฮปปี้ดี๊ด้าเหมือนเดิม ผมนี่แทบอยากจะกระโดดเล่นและเดินไปทั่วห้าง ทว่าเพื่อน ๆ อีก 4 คนของผมยังคงยืนรอกันอยู่ที่ทางขึ้นรถไฟฟ้า BTS ผมจึงจำใจต้องเดินออกจากห้างที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำไปเผชิญกับอากาศร้อนเปรี้ยงปร้างของหน้าร้อนในเดือนมีนาคม


เมื่อผมเดินไปถึงจุดที่เพื่อน ๆ ของผมยืนอยู่ สภาพแต่ละคนก็ไม่แพ้ผมเมื่อก่อนหน้านี้เลยครับ พวกชายหนุ่มสามคนตอนนี้หมดสภาพครับ เนคไทนี่ถูกถอดและยัดใส่กระเป๋ากางเกงแบบลวก ๆ เสื้อเชิ้ตแขนยาวก็ถูกพับแขนขึ้นไป ส่วนหญิงสาวคนเดียวของกลุ่ม พรีมเธอนี่แทบจะถลกกระโปรงแล้วครับ ท่าทางความเป็นกุลสตรีของเธอจะหมดสิ้นไปซะแล้วครับ ผมค่อย ๆ เดินเข้าไปทักสหายทั้งสี่ของผม ทั้งสี่คนนี่แทบจะเข้ามากอดขาผมเลยครับ


“ไง ยังไหวอยู่ไหมวะพวกแก” ผมโบกมือไปมาพร้อมกับส่งขวดน้ำเย็น ๆ ไปให้เพื่อนแต่ละคน ซึ่งคนแรกที่ถลามารับก็คือพรีม  เธอเอาน้ำเย็นไปถือพร้อมกับเอาหน้าแนบไปกับขวดน้ำเย็น


“ใกล้จะตายแล้วค่ะ เพื่อนกร” หญิงสาวคนเดียวของกลุ่มตอบผม หลังจากเธอคลายความร้อนจากร่างกายของตัวเองไปได้แล้ว เธอเริ่มลุกขึ้นและเก็บของที่วางอยู่รอบ ๆ เพื่อเตรียมตัวย้ายก้นตัวเองออกไปจากทางขึ้นของรถไฟฟ้า BTS ไปยังห้องของผมเพื่อนับเงินที่ได้รับบริจาคมาครับ (ผมบอกไปแล้วใช่ไหมล่ะครับว่าถ้าผมกินข้าวเสร็จ การรับบริจาคของเราก็จะหยุดลงทันที พรีมก็เลยเริ่มเก็บของไงล่ะครับ) เมื่อพรีมเธอเก็บของเสร็จ (โดยการยัด ๆ ของลงไปในกระเป๋า) พวกเราก็เริ่มย้ายก้นกันไปยังลานจอดรถของพารากอนที่รถของพวกเราจอดกันไว้อยู่ครับ (คราวนี้เราเอารถมาสามคันกับคน 9 คนครับ)


“แบ่งกันนั่งรถเหมือนเดิมใช่ไหม งั้นพรีมไปที่จอดรถก่อนนะจ๊ะ เจอกันที่คอนโดของกรจ้า” พรีมพูดพร้อมกับโบกมือลาเธอหิ้วของทั้งหมดด้วยแขนสองข้าง ซ้ำยังลากเปอร์กับแม็กซ์ไปกับเธอด้วย (พอดีตอนขามาเธอมากับเปอร์และแม็กซ์ครับ ขากลับเธอเลยลากทั้งสองคนกลับไปด้วย แต่ผมอยากให้ทุกคนดูที่ความถึกของเธอมากกว่าครับ เพราะว่าของทั้งหมดที่เธอถือไปมันไม่ใช่น้อย ๆ เลยแต่สาวแกร่งอย่างพรีมนี่หิ้วของเกือบจะทั้งหมดด้วยแขนทั้งสองข้างเท่านั้นเอง ไม่ถึกจะเรียกว่ายังไงกันล่ะครับ)


มองได้แต่มองตามพรีมไปด้วยสายตาปลงๆ ก่อนจะหันกลับไปชวนไอเจมส์กับไอบาสกลับไปที่รถที่จอดในลานจอดรถของห้างสรรพสินค้า ส่วนรถอีกคันเป็นของไอวิว ซึ่งผู้โดยสารก็คือไอฟองกับไอบอสครับ


“เพื่อนเจมส์ เพื่อนบาสครับ ไปกันเถอะ คุณกรูไม่อยากอยู่ในที่อากาศร้อนๆแบบนี้นาน” สิ้นเสียงของผม เจมส์กับบาสที่ยืนถือกล่องรับบริจาคกันคนละกล่องก็เดินตามผมไปยังลานจอดรถ ส่วนอีกสามคนที่เหลือก็สลายร่างหายตัวไปก่อนแล้วล่ะครับ ผมเดินดุ่มๆไปยังลานจอดรถที่จอดรถของผมไว้ พร้อมกับรีบขึ้นไปสตาร์ทรถและเปิดแอร์แรงสุดเป่าใส่หน้า เพื่อคลายความร้อนที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ และหลังจากสหายสองคนของผมขึ้นรถ (โดยมันนั่งข้างหลังเป็นคุณชายทั้งคู่ครับ ปล่อยให้ผมเป็นสารถีขับรถไปรับไปส่งมัน) ผมก็ถอยรถออกจากที่จอดพร้อมกับเหยียบคันเร่งเพื่อตรงกลับไปยันคอนโดของผมครับ ซึ่งจากที่นี่ก็ใช้เวลาแค่สิบกว่ายี่สิบนาทีถึงคอนโดของผมแล้วครับ


ผมเปิดประตูลงจากรถพร้อมกับเดินตรงไปที่ลิฟต์ ผมกดลิฟต์รอสหายทั้งสองก่อนจะเดินเข้าไปภายใน และรอให้ลิฟต์เคลื่อนตัวขึ้นไปยันชั้น 14 ซึ่งเป็นชั้นที่พำนักของผม เมื่อลิฟต์เคลื่อนตัวไปยังชั้นที่ 14 ผมก็เดินออกจากลิฟต์พร้อมกับเพื่อน ๆ ทั้งสองคน โดยตอนนี้หน้าห้องของผมมีเพื่อนทั้ง 6 คนของผมยืนรออยู่ ผมรีบวิ่งไปไขกุญแจห้องเพื่อปลดล็อคประตูให้เพื่อน ๆ เข้ามาทว่าไอประตูห้องเจ้ากรรมของผมมันไม่ได้ล็อคครับ ผมนี่หน้าซีดเลยครับ ขโมยขึ้นห้องเหรอ ผมค่อย ๆ แง้มประตูเข้าไปพร้อมกับใช้สายตากวาดดูรอบ ๆ ห้อง พลันสายตาผมก็ไปหันไปเจออาหารที่วางอยู่เต็มโต๊ะ เมื่อเห็นแบบนั้น ผมก็เปิดประตูเข้าไปอย่างแรงพร้อมกับกระโดดไปเกาะหลังพี่ศิที่กำลังยืนทำกับข้าวอยู่ในห้องครัวของห้องผมทันที โดยที่ไม่สนใจเพื่อนของผมที่ยืนออกันที่หน้าประตูห้อง



“พี่ศิ!...วันนี้นึกคึกอะไรมาทำกับข้าวในห้องกรกัน แล้วจะเข้ามา ทำไมไม่โทรบอกกรก่อน” ผมที่เข้าไปเกาะหลังพี่ศิทำให้พี่เขาสะดุ้งตัวเล็กน้อยแล้วค่อย ๆ หันมามองทางผม ใบหน้าคมนั้นคลี่ยิ้มออกมาจาง ๆ แล้วตอบผมด้วยน้ำเสียงเรียบง่ายว่า “นั่นสิ พี่ก็นึกคึกอะไรกันก็ไม่รู้ก็เลยมาทำอะไรที่ห้องของกร ก่อนกรจะกลับมา แต่ก็กลับมาไวเกิดคาดไปหน่อยนะ ส่วนที่ทำไมพี่ถึงไม่โทรไปบอกกร พี่ต้องเป็นฝ่ายถามกลับมากกว่า ว่าทำไมกรถึงไม่รับโทรศัพท์ของพี่จะดีกว่านะ พี่โทรไปตั้งหลายรอบ”


เมื่อพี่ศิพูดแบบนั้น ทำให้ผมต้องรีบล้วงโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาดูจนเห็นว่ามีสายเรียกเข้าที่ผมไม่ได้รับตั้งห้าหกสายซึ่งทั้งห้าหกสายนั้นเป็นของพี่ศิทั้งหมดเลยครับ ผมก็เลยได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ แล้วเก็บมือถือเข้ากระเป๋าไป แต่ดูเหมือนว่าผมจะคุยกับพี่ศิเพลินจนลืมอะไรบางอย่างไปนะครับ




v
v
v
v
v
v
v
v
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 26] 1/12/2013 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 01-12-2013 20:07:31
ซึ่งไอที่ผมลืมก็คือก๊วนเพื่อนทั้งแปดคนที่ยืนงงกันอยู่หน้าประตูนั่นล่ะครับ เมื่อผมนึกถึงพวกมันได้ ผมก็ปล่อยมือออกจากหลังพี่ศิแล้ววิ่งไปเรียกให้เพื่อน ๆ เข้ามาในห้อง


“เข้ามาได้แล้ว พอดีพี่ศิมาทำข้าวเย็นให้กรูกินเลย ไม่ได้ล็อคประตู รีบ ๆ นับเงินกันนะเฮ้ย จะได้แยกย้ายกันกลับบ้านกลับช่อง แล้วพรุ่งนี้ค่อยนัดไปรับบริจาคกันใหม่” ผมพูดพร้อมเดินนำพวกเพื่อน ๆ ไปที่ห้องนั่งเล่น แต่ก็ไม่ได้นั่งบนโซฟากันหรอกครับ พวกเรานั่งล้อมวงที่พื้นกันเลยครับ และไอเจมส์กับไอบาสที่ทำหน้าที่ถือกล่องรับบริจาคสองใบก็แกะกล่องออกพร้อมกับเขย่าให้เงินที่อยู่ในนั้นทั้งหมดออกมากองที่พื้น


“พรีมแยกเหรียญบาทกับเหรียญสองบาทนะ ส่วนวิวแกแยกเหรียญห้ากับเหรียญสิบนะ ไอกรมรึงเก็บพวกแบงก์แล้วกัน ส่วนที่เหลือก็ช่วยกันนับเงิน” ผม พรีมและไอวิว ซึ่งได้รับหน้าที่ในการแยกเหรียญก็พยักหน้าตอบรับคำพูดของไอบาส และเราทั้งสามคนก็เริ่มแยกเหรียญ แยกแบงก์กันไป แต่ผมก็ได้รับหน้าที่เพิ่มในการนับแบงก์ด้วยนะครับว่ามันมีจำนวนยอดเท่าไหร่แต่ที่ลำบากสุดก็น่าจะเป็นพรีมครับ เพราะการนั่งแยกเหรียญบาท เหรียญสองบาท มันใช่เรื่องง่าย ๆ ซะที่ไหนล่ะครับ


ผมรวบรวมแบงก์ทั้งหมดมาใส่มือ โดยส่วนใหญ่จะเป็นพวกแบงก์ยี่สิบบาทกับแบงก์ห้าสิบบาทครับ แบงก์แดงนาน ๆ จะคุ้ยเจอที แต่เรื่องแบงก์สีม่วงกับสีเทานี่ ขอบอกว่าตัดไปได้เลย ไม่มีทางเจอเด็ดขาดเลยครับ (เพราะต่อให้ทำบุญยังไง ผมคงไม่บ้าคลั่งหยอดแบงก์ม่วง แบงก์เทาเหมือนกันครับ นั่นเป็นค่าข้าวได้หลายอาทิตย์เลยนะครับนั่น ผมรวบรวมแบงก์ทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ก็เหลือขั้นตอนนำจำนวนเงินก่อนครับ โดยขั้นแรกผมนับแบงก์ร้อยก่อนเลยครับ ซึ่งไอแบงก์แดง ๆ นี่มีอยู่ราวๆ 25 ใบครับ รวมทั้งหมดเป็น 2500 บาท ขั้นต่อไปที่ผมนับนั่นก็คือแบงก์สีฟ้าครับ สรุปรวมแล้วผมก็นับแบงก์สีฟ้านั้นได้ 42 ใบ เป็นจำนวนเงิน  2100 บาทครับ ขั้นสุดท้ายคือการนับแบงก์เขียวครับ ไอแบงก์พวกนี้นี่ขอบอกเลยว่ามันมีเยอะสุด ๆ น่าจะเป็นร้อยใบเลยมั้งครับ ผมนั่งนับไปเรื่อย ๆ ซึ่งผมก็โดนเพื่อนแกล้งบ่อยครับ ทำให้ผมต้องนับใหม่หลายต่อหลายรอบครับ แต่ในที่สุดผมก็นับไอแบงก์เขียวนี่เสร็จ ซึ่งเสร็จเกือบจะพร้อม ๆ กับพวกที่นับพวกเหรียญเลยครับ สรุปแบงก์ 20 ผมนับได้ 178 ใบครับ จำนวนเงินเป็น  3560 บาทครับ ส่วนที่ผมนับก็จะรวมได้เท่ากับ 8160 บาทครับ ส่วนยอดของเหรียญต่าง ๆ  อันนี้ไปถามไอเจมส์กับไอบาสแทนแล้วกันนะครับทุกคน


และเมื่อหมดทำหน้าที่ของผมเสร็จ ผมก็ลุกขึ้นและวิ่งกระโดดไปหาพี่ศิที่ห้องครัวที่กำลังยังคงวุ่นอยู่กับการลวกเส้นสปาเก็ตตี้อยู่
“พี่ศิจะเสร็จยัง นี่จะสี่โมงเย็นแล้วน้า กรหิวแล้วล่ะ” ผมเกาะหลังพี่ศิอีกครั้ง พร้อมกับชะโงกตัวไปดูเส้นสปาเก็ตตี้ที่ยังลวกไม่เสร็จ ส่วนไอคำว่ากรหิวแล้วนี่ผมโกหกครับ ผมไม่ได้หิวอะไรหรอกแค่อยากแกล้งเร่งพี่ศิเท่านั้นเอง


ผมกระโดดไปทั่วห้องครัวแอบชิมของในจานนี้ที ตอดในหม้อนี้ที จนในที่สุดสหายสุดที่รักของผมก็นับเหรียญกันเสร็จและมันก็ตะโกนมาบอกยอดให้ผมฟังยันห้องครัวเลยครับ


“เชี่ยกรครับ ยอดของเหรียญ 2,141 บาทครับ ยอดแบงก์เท่าไหร่นะครับมรึง” มันบอกผมพร้อมกับเอ่ยคำถามมาด้วยเล่นทำเอาผมต้องงัดความจำออกมาว่าจำนวนแบงก์ที่ผมนับได้มันมีจำนวนเท่าไหร่


“แบงก์รวมได้ 8,160 บาทครับสหาย คราวนี้แอบได้เยอะนะเนี่ย หมื่นนิดๆเลยเหรอวะ มันช่างเป็นยอดเงินที่คุ้มกับค่าแรงที่เราเสียไป” ผมพูดพร้อมปาดน้ำตา (อันนี้ผมตอแหลครับ) ผมผละออกจากพี่ศิอีกครั้ง พร้อมกับสาวเท้าเดินไปคุ้ยคู้เก็บของเพื่อหยิบถุงพลาสติกไปให้เพื่อน ๆ เอาเงินใส่ลงไป


ผมเดินออกจากห้องครัวในมือก็ถือถุงพลาสติก (แบบเอาไว้ใส่กับข้าวน่ะครับ) ออกมาหลายสิบใบพร้อมกับหนังยางรัดแกงถุงแล้วโยนไปให้พวกมัน แต่ละคนรับมันและช่วยกันจัดแจงแบ่งเงินใส่ถุง ส่วนพรีมก็ใช้ปากกาเขียนพลาสติกเขียนไปที่ถุงเพื่อบอกว่าจำนวนเงินในถุงมีอยู่เท่าไหร่ ผมยืนกอดอกมองพวกมันไปและไม่นานแบงก์และเศษเหรียญก็ถูกแพ็คอยู่ในถุงและมันก็โดนใส่ลงไปในกระเป๋านิสิตของประธานรุ่นของพวกเรา สิริรวมแล้วยอดทั้งหมดในวันนี้ที่เราได้นั่นก็คือ 10,301 บาทครับ นาน ๆ ทีจะได้ยอดเยอะขนาดนี้นะครับเนี่ย


“เสร็จแล้ว งั้นแยกย้ายกันกลับบ้านกลับหอเถอะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากันต่อ ตอนนี้กรูจะตายได้ทุกขณะแล้วครับ” เสียงของเพื่อนบาสพูดพร้อมกับหยิบกระเป๋านิสิตตัวเองขึ้นมาสะพายบ่า ส่วนเพื่อนคนอื่น ๆ ก็ทำเช่นกัน ซึ่งการกระทำเช่นนี้ของไอบาสออกจะแปลกไปสักหน่อยครับ เพราะว่าถ้าเป็นช่วงเวลาปกติ หรือเมื่อตอนเทอมหนึ่งอะไรแบบนี้ ตอนที่พวกเราไปรับบริจาคกันเวลาที่มันเหนื่อยสายตัวแทบขาดแบบนี้ มันจะง้องแง้งขอนอนที่คอนโดผมครับ แต่ครั้งนี้มาแปลกพูดจะกลับบ้าน เอาซะผมนี่มองหน้าไอบาสด้วยความสงสัย แต่ไอความสงสัยของผมมันก็อยู่ไม่นานครับ เพราะว่าหลังจากผมทำหน้างุนงงไอบาสก็เดินมาตบบ่าผมเบา ๆ แล้วกระซิบที่ข้างหูของผมว่า “สามีทำกับข้าวให้มรึงอยู่ แล้วกรูจะอยู่ขัดจังหวะขัดอาหารคู่สามีภรรยาได้ไงล่ะครับ กรูก็เกรงใจคนเป็นนะครับสหาย”


คำพูดของไอบาสทำให้ผมหน้าแดงจัดไปชั่วขณะหนึ่ง ซึ่งต้องใช้เวลาสักพักเลยครับที่จะทำให้สติของผมกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว เมื่อสติผมกลับมาอยู่กับตัว ผมก็วิ่งเข้าชาร์ตไอบาสที่กำลังจะเดินออกนอกห้องแล้วเอาเท้าเตะมันไปทีหนึ่ง “ไอเวรครับ พูดอะไรออกมา ไร้สาระ มโน เพ้อเจ้อ พูดเรื่อยเปื่อย” ผมไม่รู้จะด่ามันเป็นภาษาหรือคำพูดอะไรครับ แต่ผมก็ด่าเท่าที่ตัวเองจะสรรหาคำด่าออกมาได้นั่นล่ะ แต่ในขณะที่ผมตะโกนด่ามัน ใบหน้าของผมก็ยังคงแดงก่ำและมันก็ยิ่งแดงมากขึ้นไปอีกเพราะเสียงของพี่ศิที่ตะโกนเรียกหาผมจากภายในห้อง


คราวนี้ไอบาสยิ่งส่งรอยยิ้มมาล้อเลียนผมหนักเลยครับ สักพักเพื่อนทุก ๆ คนที่ยืนอยู่หน้าห้องก็ต่างกันหันมาส่งรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจมาให้ผมกันทุกคน  แต่ก็มีคน ๆ หนึ่งของกลุ่มที่ไม่ได้ส่งรอยยิ้มแบบนั้นมาให้ผม นั่นก็คือพรีมผู้เป็นหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวของกลุ่มผม แต่ว่าผมจะคาดเดาพลาดไป เพราะสิ่งที่พรีมพูดมาทำให้ผมอยากจะจับเธอยัดลงหม้อแล้วถ่วงน้ำเสียจริง ๆ “กร…มีคุณสามีที่ดีจังเลย พรีมล่ะอิจฉากรจริงๆ แต่กรมีสามีที่ดีแบบนี้ คืนนี้ต้องให้รางวัลแบบจัดเต็มด้วยนะ อ่อ...อีกอย่าง ถ้าเกิดคืนนี้มีอะไรเกิดขึ้น อย่าลืมมาเล่าให้พรีมฟังนะ เพราะพรีมอยากรู้ว่าพี่ศิจะรุนแรงกับกรไหม” สิ้นเสียงของพรีม ผมแทบจะสิ้นชีพ ณ ที่ตรงนี้ ส่วนเพื่อน ๆ สุดกวนประสาทของผมต่างส่งเสียงโห่ร้องให้กับคำพูดของพรีม ตอนนี้วิญญาณของผมออกจากร่างไปแล้วล่ะครับ ออกจากร่างไปพร้อมกับเพื่อน ๆ ทั้งหมดที่สลายหายตัวไป


ผมยืนนิ่งค้างอยู่หน้าห้องอยู่นาน จนพี่ศิต้องเดินมาสะกิดและเอ่ยเรียกชื่อของผมอีกครั้ง “กรเป็นอะไรไปเหรอครับ ทำไมไม่เข้าห้องล่ะ เข้ามาได้แล้วนะครับ ตอนนี้สปาเก็ตตี้ขี้เมาทะเลจะเสร็จแล้ว” เมื่อพี่ศิพูดแบบนั้น มือข้างหนึ่งของพี่เขาก็เดินจูงมือผมให้เข้าไปในห้อง พร้อมกับลากผมไปยังโต๊ะทานข้าว แต่วิญญาณของผมก็ยังคงหลุดลอยออกจากร่างไป และกว่าเจ้าวิญญาณของผมก็กลับเข้าร่างตอนที่พี่ศิแกยกจานสปาเก็ตตี้และซุปมาวางตรงหน้าของผมครับ “กรครับ วันนี้พี่ลองทำซุปดูด้วยครับ นานๆทีพี่จะได้ทำอะไรสไตล์ยุโรป หวังว่ามันน่าจะพอทานได้นะครับ”


ผมก้มมองจานสปาเก็ตตี้และถ้วยซุป ผมถึงกับน้ำตาไหลให้กับความดีงามของพี่ศิ แต่ว่ามันจะดีกว่านี้ ถ้าผมไม่โดนกลุ่มเพื่อนสุดที่รักมันล้อเลียนแบบนั้น ซ้ำคนที่ผมคิดว่าจะไม่ตอกย้ำและซ้ำเติมผมอย่างพรีม สาวน้อยคนเดียวของกลุ่ม  เธอกับใช้คำพูดที่แทงกรวยไตผมออกมาอย่างจังเลยครับ ในที่นี้ไม่มีใครคิดว่าผมจะรุกพี่ศิได้เลยหรือยังไงกันครับ ทำไมต้องให้พี่ศิอยู่ในฐานะสามีผมด้วย ผมเป็นสามีไม่ได้เหรอไง!


หลังจากที่ผมคร่ำครวญกับตัวเองจบ รายการถัดไปของผมนั่นก็คือการทานอาหารเย็นครับ ดูเหมือนพี่ศิแกจะทำไว้มากพอดู สงสัยเป็นเพราะผมไปบ่นว่าหิวให้พี่แกฟังแน่ๆ พี่เขาเลยจัดเต็ม จัดหนักให้ผมขนาดนี้ ผมนั่งเอาส้อมจิ้มและม้วนเส้นสปาเก็ตตี้ใส่ปากไปคำแรก รสชาติที่รับรู้ได้คือคำว่าอร่อยครับ พี่ศิทำอาหารไทยอร่อยแล้ว อาหารนานาชาติยังอร่อยไม่แพ้กัน ยิ่งไอรสชาติเผ็ดของสปาเก็ตตี้ขี้เมานี่นะซาบซ่านมากครับ มันเป็นรสชาติที่ผมชอบจริงๆ ผมใช้เวลาละเลียดทานสปาเก็ตตี้ไปสักพัก และในที่สุดมันก็หมดจากครับ (ที่ผมค่อย ๆ กินก็เพราะว่าผมยังคงอิ่มจากอาหารมื้อกลางวันครับ ถ้าเกิดรีบยัดเหมือนเดิม ผมเกรงว่ามันอาจจะออกมาจากปากผมแทนที่มันจะเข้าไปครับ) หลังจากเมนคอร์สสุดโหด ผมก็หันมาซดน้ำซุปให้โล่งคอครับ แต่มันไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคิด ยิ่งผมซดน้ำซุปผมยิ่งอิ่มจนจะอ้วกครับ ผมเลยบอกพี่ศิว่าผมอิ่มแล้วแ ละยกถ้วยชามทั้งหมดไปที่อ่างล้านจาน ก่อนจะค่อยๆทำความสะอาดครับ ส่วนหน้าที่ทำความสะอาดจานก็เหมือนเดิมครับ พี่ศิเป็นคนถูน้ำยาล้างจาน ส่วนผมเป็นคนล้างทำความสะอาดอีกทีครับ


เราสองคนง่วนอยู่กับการล้างจานและขัดเครื่องครัวที่พี่ศิใช้กันอยู่สักพัก  ไม่นานการทำความสะอาดก็เสร็จครับ ผมเอี้ยวตัวหันไปมองนาฬิกาและตอนนี้ก็เป็นเวลาหนึ่งทุ่มและละครก่อนข่าวที่ผมนั่งดูทุกวันก็มาแล้ว ผมก็เลยจัดการทิ้งจานชามทุกอย่างให้พี่ศิแกเก็บและรีบวิ่งไปนอนแผ่ที่โซฟาทันที ส่วนพี่ศิแกก็จัดการเก็บถ้วยเก็บจานและเดินออกมาบ่นผม ราวกับว่าเขาเป็นคุณพ่อที่กำลังคอยพูดสอนลูกๆ ซึ่งผมก็ไม่ใส่ใจอะไรหรอกครับ ผมก็นอนกลิ้งดูทีวีไป ส่วนพี่ศิก็ทิ้งตัวลงบนโซฟาแล้วก็ยืดเท้าออก และการกระทำนั่นของพี่ศิทำให้ตักของพี่ศิว่างครับ และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ผมกระเด้งตัวเอาหัวไปหนุนบนตักของพี่ศิและนอนดูทีวีไป


พี่ศิเอื้อมมือมาลูบหัวผมเล่นเบาๆ ก่อนจะเอ่ยทักออกมาตามประสาคุณหมอครับ “กรครับ ตัวรุมๆนะครับ ทานยากันไว้ก่อนดีกว่าไหม” เสียงทุ้มเอ่ยดัง มือกร้านวางแนบไปบนหน้าผากของผม ซึ่งที่ได้ยินแบบนั้น ผมก็เบ้ปากและส่ายหัวทันที ผมไม่ชอบกินยานี่นา ผมก็เลยส่ายหัวปฏิเสธไม่เอาไม่กินท่าเดียวเลย ในตอนแรกพี่แกก็จะบ่นผมนะครับว่า ‘เดี๋ยวก็เป็นไข้หนัก เดี๋ยวก็ป่วยจนไม่ได้ไป เดี๋ยวนั่น เดี๋ยวนี่’ แต่ด้วยสกิลอินเนอร์ต่อสิ่งที่อยู่รอบข้างขั้นสูงสุดของผม ทำให้พี่ศิแกรามือไปครับ แต่พี่ศิแกก็มีการพูดทิ้งท้ายไว้นะครับว่าถ้าเกิดป่วยจนไปไม่ได้จะหาว่าพี่ไม่เตือน


ผมก็ปล่อยเบลอและยังคงนอนเล่นต่อไป ซึ่งเวลาล่วงเลยผ่านไปถึงสี่ทุ่ม พี่ศิก็ขอตัวกลับห้องไป ส่วนผมก็ย้ายก้นเข้านอนครับ เพราะว่าพรุ่งนี้ผมยังคงมีคิวออกไปรับบริจาคที่อนุฯ ครับและคราวนี้ผมจะขับรถไปจอดมหาวิทยาลัยและขึ้นรถไฟฟ้าไป BTS แทน
ผมอาบน้ำ สระผม เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนเสร็จ ผมก็เดินเช็ดหัวไปยังเตียงนอน ผมยกมือป้องปากหาวน้อย ๆ ก่อนจะเดินไปนอนแผ่หลาที่เตียง แต่ว่าเสียงโทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้นมา ผมเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนหัวเตียงและหยิบเอามาอ่านไลน์ที่พี่ศิแกส่งมาให้ผม ‘ถึงเด็กดื้อ อย่าสระผมแล้วกัน ถ้าเราไม่ยอมกินยา แล้วนี่ก็นอนได้แล้วนะครับ ไม่งั้นจะป่วยเอาจริงๆ พรุ่งนี้ยังต้องไปยืนขอรับบริจาคอยู่อีกไม่ใช่เหรอ’ ผมแทบหัวเราะกับข้อความของพี่ศิ แต่ว่าผมนั้นได้สระผมไปแล้ว ดังนั้นไอคำเตือนที่ไม่ให้ผมสระผมของพี่ศิก็ ปล่อยเบลอไปแล้วกัน และตอนนี้ผมขอตัวเข้านอนอีกครั้ง ไว้เจอกันนะครับผม




หลังจากวันนั้นผมก็ยังคงทำกิจกรรมไปเรื่อยๆครับ วิ่งไปรับบริจาคที่โน่นที่นี่ วันธรรมดาผมก็ไปกันนะครับ แต่เพื่อน ๆ หลายคนว่างบ้าง ไม่ว่างบ้าง ก็ไปกันแบบไม่ครบกันครับ พอกลับมาที่คอนโด ผมก็หมดสภาพทุกครั้งในแต่ละวัน บางวันที่ไปสวนจตุจักร ผมนี่จะไปกันตั้งแต่เช้ายันมืด และไอตอนกลับมาถึงคอนโดเวลาก็ล่วงเลยไปถึงสามสี่ทุ่มแล้ว ดังนั้นอาการป่วยเริ่มแรกของผมมันก็เลยย่ำแย่ลงทุกวัน (และที่สำคัญพี่ศิไม่ได้มาทำกับข้าว หรือมาบ่นให้ผมทำอะไรแล้วล่ะครับ เพราะว่าพี่ศิแกใกล้สอบแล้ว แล้วเวลาที่พี่แกจะสอบเสร็จ มันก็คือช่วงที่ผมไปค่ายพอดี) จนในที่สุดอาการของผมก็มาเป็นหนัก ก่อนวันไปแค่ 2 วันครับ


ผมนอนซมอยู่ในห้องเพราะพิษไข้ แต่ใจผมก็ยังอยากที่จะไปค่ายอยู่ดีก็เลยลากสังขารตัวเองขึ้นจากเตียงและเตรียมกระเป๋าเดินทางมายัดเสื้อผ้าใส่ลงไป ผมคุ้ยเสื้อผ้าอยู่นาน (ไม่ใช่ว่าผมเลือกเอาชุดไปสวมที่นั่นไม่ถูกนะครับ ผมมึนหัวและปวดเมื่อยตัวมากจนไม่สามารถขยับได้อย่างใจต่างหาก) ในที่สุดจากจัดกระเป๋าตั้งแต่บ่ายโมงของผมก็เสร็จในเวลาบ่ายสามโมงตรงพอดี หลังจากนั้นผมก็ลากสังขารของตัวเองกลับไปนอนแหมะและซุกอยู่ใต้ผ้าห่มอีกครั้ง


การป่วยครั้งนี้ของผมไม่มีใครรู้ครับ เพราะผมแกล้งส่งเมสเสจไปหาเพื่อน ๆ ว่าเออ ผมไม่ว่างไปช่วยเตรียมงานนะ พอดีมีธุระ และหลีกเลี่ยงการที่จะรับโทรศัพท์ของเพื่อนๆ ถ้าเกิดผมโทรคุยกับเพื่อนมันได้ยินเสียงผมมันก็รู้หมดแล้วครับว่าผมเป็นไข้ ส่วนพี่ศิน่ะเหรอครับ พี่แกสลายร่างหายตัวไปเลยครับ เพราะเข้าใกล้ช่วงสอบ นั่นจึงทำให้ผมใช้ชีวิตแบบคนป่วยง่ายหน่อย (เพราะไม่ต้องหลบๆซ่อนๆพี่ศิ แต่ต่อให้หลบพี่แก ผมก็หลบไม่พ้น ถ้าผมไม่โผล่หน้าออกไปพี่ศิแกคงพังประตูเข้ามาในห้องนอนผมแน่นอน)


ผมใช้เวลา 2 วันในการนอนพักผ่อน ทว่าอาการของผมมันก็ไม่ได้ดีขึ้นเลยสักนิดเดียว จนในที่สุดวันที่ผมต้องไปค่ายอาสาพัฒนาชุมชนหรือค่ายสร้างก็มาถึงครับ แต่ก็ยังดีที่มันยังมีเวลาให้ผมนอนได้อีกครึ่งวัน เพราะรุ่นพี่ของผมนัดให้ไปขึ้นรถช่วงสองทุ่มครับ ผมนอนหลับสนิทจนเวลาล่วงเลยไปถึงหกโมงเย็น ผมก็เริ่มลากตัวเองไปอาบน้ำ สระผม และหิ้วกระเป๋าลงจากคอนโดชั้น 14 ไปชั้นหนึ่ง และคราวนี้ผมไม่ได้เอารถไปครับ จอดทิ้งมันไว้ที่คอนโดนั่นล่ะ ผมคิดว่ามันน่าจะปลอดภัยกว่าจอดมันทิ้งไว้ที่มหาวิทยาลัย ผมเดินออกไปโบกแท็กซี่หน้าคอนโดพร้อมกับบอกให้แท็กซี่ตรงไปที่มหาลัยและเข้าไปจอดเทียบฟุตบาทที่คณะของผม


คราวนี้รถแท็กซี่ใช้เวลาขับนานหน่อยครับ เพราะว่าช่วงเวลาทุ่มกว่า ๆ มันเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนกลับบ้านกันพอดี รถเลยติดมากเป็นพิเศษและแถวสยามนี่ยิ่งติดครับ แต่ในที่สุดผมก็พาร่างอันแสนอ่อนปวกเปียกไปถึงคณะได้ แต่กว่าจะเดินไปถึงสถานที่ที่รุ่นพี่นัดไว้ก็ใช้เวลาสิบกว่านาทีเลยครับ เพราะต้องลากกระเป๋าที่เอาเสื้อผ้าที่ต้องใช้สิบกว่าวันลงไปด้วย การเดินของผมที่ช้าแล้วมันยิ่งทำให้ช้ามากขึ้นไปอีกครับ


ผมเดินลากกระเป๋าและไปนั่งรอที่ม้านั่ง ซึ่งเป็นสถานที่นัดของรุ่นพี่ผมนอนฟุบไปกับโต๊ะพร้อมกับหลับตาลง ตอนนี้ก็รอให้เวลาถึงสองทุ่มตามเวลาที่รุ่นพี่ได้นัดไว้ครับ ผมนอนฟุบลงกับโต๊ะไปราวๆ10 นาที  คนอื่นๆก็ค่อยๆทยอยกันมาครับ โดยแกนนำที่มาคือเจ้น้ำหวานครับ ซึ่งกลุ่มนี้เป็นกลุ่มของรุ่นพี่ปี 4 (ผมมาคนแรกเลยครับ) ตามมาด้วยปีสามและปีสองครับ ส่วนปีหนึ่งตอนนี้ก็ค่อย ๆ ทยอยกันมา เพราะว่าต้องไปซื้อของตามที่รุ่นพี่สั่ง ซึ่งหน้าที่พวกนั้นมันเป็นหน้าที่ของผม ซึ่งเป็นกลุ่มของประธานรุ่นครับ แต่ผมอ้างว่าไม่ว่างก็เลยไม่ได้ไป


แต่ก็นะ พอพูดถึงมันก็มากันพอดีพวกเพื่อน ๆ ของผมน่ะครับ แต่ละคนหอบหิ้วของเต็มไม้เต็มมือ และเอามาวางไว้ตรงจุดที่รุ่นพี่นัด และเมื่อพวกนั้นคุยภารกิจของของมันเสร็จ มันก็กวาดสายตามองรอบ ๆ เพื่อหาผมและในที่สุดมันก็เห็นผมและเดินกันมาตรงจุดที่ผมนั่งอยู่


แต่ละคนทรุดตัวนั่งลงข้าง ๆ ผมพร้อมกับเอามือมาตบบ่าผม เพื่อเรียกให้ตื่นผมสะลึมสะลือตื่นขึ้นพลางมองหน้าเพื่อน ๆ แต่ละคน ก่อนจะฟุบหน้าลงไปนอนอีกครั้ง


ผมไม่ค่อยอยากจะให้พวกเพื่อน ๆ เห็นสภาพผมมากกว่านี้เท่าไหร่ครับ เพราะว่าถ้ามันเห็นผมคงโดนหามไปโรงพยาบาลทันที เนื่องจากดื้อไม่ยอมกินยา ฝืนตัวเองและไม่ไปโรงพยาบาล แล้วผมก็จะโดนพี่ศิจับได้ว่าป่วยและคงโดนว่าแน่ๆ ผมเลยรีบฟุบหน้าลงทันที


แต่ดูเหมือนว่าการกระทำของผมนี่จะหลบสายตาอันว่องไวของไอวิวไม่ได้ครับ (มันนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับผม) วิวยื่นมือของมันมาแล้วจับหน้าผากของผมให้เงยหน้าขึ้น แต่ไม่ทันทีผมจะได้เงยหน้ามองมันไอวิวก็พูดออกมาว่า “เชี่ยกรครับ ไข้มรึงสูงมาก ตัวมรึงนี่ร้อนจี๋เลยครับ ไปทำเชี่ยอะไรมาครับสหาย” เสียงของวิวเรียกความสนใจให้เพื่อน ๆ ทั้งกลุ่มมองมาที่ผม  มือของแต่ละคนเอื้อมมือมาแตะตัวผม จับหน้าผากผมและทุกคนก็พูดออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่าตัวผมร้อนมาก และมรึงไม่สมควรที่จะไปค่าย


แต่ผมก็ยังคงดื้อด้านจะไป ผมยืนขึ้นพร้อมกับแสดงให้พวกเพื่อน ๆ เห็นว่าผมยังไหวและยังคงไปค่ายได้ แต่ทว่าทำไมตอนนี้โลกมันหมุน ๆ ล่ะครับ อ่า...แย่แล้วสิ ร่างกายของผมค่อย ๆ ร่วงลงไปฟุบกับพื้นตามแรงโน้นถ่วงของโลกแล้วครับ แบบนี้แสดงว่าสภาพของผมก็ไม่น่าจะรอดแล้วสิ สงสัยคงอดไปค่ายจริง ๆ แล้วล่ะมั้ง  ทั้งๆที่หลบเพื่อนๆได้แต่ดันมาโดนจับได้ตอนก่อนจะไป
เมื่อร่างผมร่วงไปนอนฟุบที่พื้น สติที่เลือนรางของผมก็ดับลงพร้อมกับเสียงร้องเรียกชื่อผมของพวกเพื่อน ๆ และรุ่นพี่ที่อยู่โดยรอบ




______________________



.......คำตอบที่ทุก ๆ คนรอคอยให้มันออกมาจากปากของกร...มันยังไม่ออกมานะคะ เราบอกแล้วว่ากรไม่ง่ายนะฮร้า


เจอกันตอนหน้าค่ะ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 26] 1/12/2013 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 01-12-2013 21:02:31
น้องกรปากแข็งน่าตีก้นจริง (แอบกลัวพี่ศิท้อ :mew2: )

ส่วนเรื่องหน้าที่สามีนี่ถ้าเป็นสามีมันเหนื่อยนะน้องกรแบบต้องออกเเรงเยอะ :o8:
เป็นภรรยานะดีแล้วววว เชื่อสิ  :hao7:

ว่าแต่ป่วยหนักขนาดนี้อดไปค่ายแน่ เผลอๆจะโดนพี่ศิตีก้นด้วยนะนี่  :mew2:

 :L2: :กอด1: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 26] 1/12/2013 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 01-12-2013 21:45:11
ป่วยสะแล้วน้องกร ใครจะตามไปดูแลนะ
พี่ศิอยู่ไหน มาดูแลน้องกรด่วน
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 26] 1/12/2013 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 01-12-2013 21:51:10
กรโครตดื้อเลยอ่ะป่วยแล้วก็ไม่ยอมกินยา โดนพี่ศิว่าให้แน่ๆ
ปล.ว่าแต่กรเราเป็นไข้เราก็ไม่ยอมกินยา เหอะๆ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 26] 1/12/2013 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 01-12-2013 22:24:44
ดื้อจนป่วยอ่ะกร โตแล้วนะจับตีก้นเสียหรอก
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 26] 1/12/2013 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: DZiik ที่ 01-12-2013 22:27:42
พี่ศิออกมาด่วนน น้องกรดื้อจนป่วยแล้วว
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 26] 1/12/2013 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: MoMoRin ที่ 02-12-2013 00:14:13
น้องกรเตรียมตัวถูกดุได้เลยนะคะ
รับรองพี่หมอไม่ปล่อยผ่านแน่นอนค่ะ อิอิ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 26] 1/12/2013 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: RenaBee ที่ 02-12-2013 00:31:40
น้องกรดื้อจนน่าให้พี่ศิจับตีก้น!
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 27] 05/12/2013 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 05-12-2013 12:29:34

มาแล้วค่า...เราเชิญชวนทุกคนให้มาดูพี่ศิตีก้นน้องกรกันน้าา ห่ะ//




Chapter 27




นี่เป็นเวลาเช้าของวันที่ 26 มีนาคมครับ และร่างของผมตอนนี้ก็นอนอยู่บนตียงในห้องสีขาวสะอาดตา ซ้ำยังมีเตียงแบบเดียวกับผมเรียงเป็นแถว ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสถานที่ที่ผมนอนอยู่มันคือที่ไหน เมื่อผมหันไปทางซ้ายผมก็เจอกับเสาต้นสูงๆ ที่แขวนถุงน้ำเกลือไว้ ส่วนหันไปอีกข้างผมก็เจอกับถาดในยาที่วางอยู่ และข้าง ๆ ถาดนั่นมันก็มีกระดาษโน้ตขนาดเอสี่วางไว้และลายมือที่เขียนอยู่ในนั้น มันก็เป็นลายมือที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดีครับ เพราะมันเป็นลายมือของแปดสหายของผมนั่นเอง


ซึ่งแต่ละประโยคนี่จิกกัด แทะ แซะ คุ้ยได้เจ็บแสบมากเลยครับ ยกตัวอย่างเช่น ประโยคของไอเจมส์ครับ เพราะมันเขียนว่าผมเจ็บแสบที่สุดและมันเป็นประโยคแรกที่ปรากฏในกระดาษครับ


‘ถึงกรเพื่อนรัก เห็นทีเพื่อนกรคงจะไปค่ายกับเรามิได้แล้ว ขอให้เพื่อนกรนอนหยอดน้ำเกลือไปซะนะครับ เพราะมรึงเจือกป่วยไข้สูงเกือบสี่สิบองศา แม้ค่ายนี้เพื่อนกรจะจริงจังและมุ่งมั่นมากก็ตาม แต่เพื่อนเจมส์ขอให้เพื่อนกรนอนหลับที่โรงพยาบาลให้สบายกายา และรอฟังเรื่องเล่าจากค่ายแทนการไปค่ายแล้วกันนะครับ ที่สำคัญมรึงได้นอนโรงพยาบาลที่สามีมรึงอยู่ด้วยควรดีใจนะครับ เพราะพลังแห่งความรักคงทำให้มรึงหายไวขึ้น’


ผมอ่านแล้วเกิดอาการคันเท้าขึ้นมาตงิดๆ แต่ว่าผมก็ไม่มีแรงลุกไปทำอะไรเท่าไหร่ครับ ต่อให้ผมนอนให้น้ำเกลือมาคืนหนึ่งแล้วก็ตาม แต่ดูเหมือนไข้ของผมยังจะไม่ลดเลย ผมนอนตาปรืออยู่บนเตียงอยู่นานเลยล่ะครับ แต่ในที่สุดบานประตูห้องคนไข้รวมห้องก็ถูกเปิดออกและเผยให้เห็นร่างของเหล่านิสิตแพทย์เข้ามาภายในห้อง ที่สำคัญภายในกลุ่มคนพวกนั้นมีคนที่ผมรู้จักด้วยครับ แถมที่ผมสนิทๆนี่มีตั้งสามคน และทุกๆคนก็น่าจะเดาได้นะครับว่าเป็นใครกันบ้าง เพราะมันก็เป็นใครไม่ได้เลยนอกจาก คนที่หนึ่งนิสิตแพทย์ศิรวิทย์ ที่ทุกๆคนรู้จักกันดี คนที่สองนิสิตแพทย์วิรดา ดาวคณะแพทย์ปีสี่ และคนที่สามก็คือนิสิตแพทย์รเณศ ผู้เป็นเดือนของคณะแพทย์ปีสี่เช่นเดียวกัน (อันนี้ชื่อจริงพี่เตอร์ครับผม ผมไม่เคยพูดให้ทุกคนฟังใช่ไหมว่าพี่เตอร์แกชื่อจริงว่าอะไร พี่แกชื่อรเณศครับ) พี่ๆทั้งสามคนลอบโบกไม้โบกมือให้ผม ก่อนจะแกล้งตีหน้าขรึมเป็นนิสิตแพทย์ต่อ ผมเห็นกลุ่มนิสิตแพทย์ไล่ถามคนไข้ทีละเตียง ๆ ซึ่งไอคำถามที่พวกพี่เขาถามมันคืออะไรมั่งก็ไม่รู้ครับ และในที่สุดการเดินราวด์ของนิสิตแพทย์ก็มาถึงเตียงของผมครับ ผมหันมองรอบๆตัวมือข้างหนึ่งถูกเจาะสายน้ำเกลือ ส่วนอีกมือไม่มีอะไรเจาะคาอยู่ แต่เห็นรอยแผลจากการถูกเจาะเลือดไปตรวจอยู่หน่อยๆครับ ผมหันไปมองหน้านิสิตแพทย์ที่จะเป็นคนถามผม ซึ่งคน ๆ นั้นก็เป็นใครไม่ได้นอกจากพี่ศิที่ทุกคน ถีบ ยัน และช่วยกันดันออกมา


ร่างสูงกระแอ้มเสียงตัวเองน้อยๆ ก่อนจะทำหน้าเข้มเอ่ยคำถามถามผมออกมา ราวกับว่าเราสองคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน “สวัสดีครับ วันนี้เป็นยังไงบ้างครับ” ผมปรือตามองพี่ศิที่ถามคำถามผม ซึ่งผมไม่อยากจะตอบด้วยเหตุจากร่างกายหนึ่งล่ะ ด้วยเหตุจากเสียงเข้มที่แกล้งทำเป็นไม่รู้จักผมสองล่ะ และเหตุสุดท้ายนั่นก็คือเพื่อนๆ นิสิตแพทย์สาวๆนี่ตามเกาะตามแกะพี่ศิเสียไม่ได้ห่าง ผมเลยเลือกที่จะเมินพี่ศิ ผมหลับตาลงพร้อมกับดึงผ้าห่มขึ้นมา ทำเป็นแกล้งหลับต่อ ซึ่งการกระทำของผมทำให้พวกรุ่นพี่แต่ละคนเอาศอกไปกระทุ้งพี่ศิเบา ๆ เชิงหยอกล้อ คราวนี้เปลี่ยนคนถามใหม่เป็นพี่วิถามครับ “น้องกรที่น่ารักของพี่วิอาการเป็นไงมั่งคะ” เสียงหวานเรียกชื่อผม ทำให้ผมหันไป (ฝืน) ยิ้มให้กับพี่วิเขา ผมไอค่อกแค่กออกมาเบาๆ พร้อมกับค่อยๆ ใช้เสียงแหบแห้งตอบอีกฝ่ายไป “กรเจ็บคอมากเลย ปวดหัวมากด้วย ปวดไปทั้งตัวเลย แต่ว่ากรเป็นอะไรเหรอครับ พี่วิ” ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะตั้งแต่ผมป่วยผมก็กินยานะครับ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่เลย และผลสรุปหลังจากกินยา ผมก็เลยต้องมานอนแผ่ที่โรงพยาบาลแทนที่จะได้ไปค่ายแบบนี้ไงล่ะครับ


“น้องกรเป็นไข้เลือดออกจ้า ไปเล่นซนที่ไหนมาล่ะเนี่ย เป็นไข้เลือดออกแบบนี้ หรือว่าเป็นจากวันที่เรากลับหอมืดๆ จนศิเป็นห่วงจนต้องโทรตามหลายต่อหลายรอบจ้ะ” เสียงหวานเอื้อนเอ่ยออกมา ทว่ามันจะดีกว่านี้ ถ้าพี่วิแกไม่พูดถึงพี่ศิออกมาต่อท้าย แต่พี่วิแกก็คุยกับผมได้เล็กน้อย ก่อนจะเดินโบกมือลากผมและเดินไปเตียงต่อไป เพื่อไปถามอาการคนไข้ต่อ หลังจากพี่ ๆ นิสิตแพทย์เดินไปจากเตียงของผม ผมก็เริ่มที่จะง่วงนอน ผมหลับตาลงพร้อมกับเตรียมตัวเข้าสู่ห้วงนิทรา (ไม่เริ่มแล้วล่ะครับ แต่ผมง่วงมาก ๆ เลยต่างหาก)


แต่…ดูเหมือนผมจะไม่สามารถหลับได้นะครับ นิสิตแพทย์ปีสี่ที่ราวด์รอบแรกเสร็จ ตอนนี้ต่างเร่งรีบกันเดินออกไปนอกห้องทำให้เกิดเสียงรบกวนผมเล็กน้อยครับ (ซึ่งผมมึนๆหัวอยู่แต่ดันเจออะไรมารบกวน ไออาการปวดหัวปวดตัวยิ่งทวีคูณครับ) ผมเลยลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง และหันไปมองทางต้นเสียง ทว่านิสิตแพทย์กลุ่มนี้ดันเริ่มเดินราวด์อีกรอบ แต่คราวนี้ดูเหมือนจะมีคนเพิ่มขึ้นมานะครับ คาดว่าน่าจะเป็นรุ่นพี่ ผมก็เลยลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วนอนมองกลุ่มคนพวกนั้นแบบงง ๆ ‘การเดินราวด์คนไข้…มันต้องเดินกี่รอบต่อวันวะครับเนี่ย’ แต่ก็ช่างเถอะ ผมขอนอนต่อดีกว่าครับ....


…แต่ผมนอนได้สมใจที่ไหนเล่าเฮ้ย!...


กลุ่มนิสิตแพทย์กลุ่มเดิมเดินวนมาที่เตียงของผมอีกครั้ง พร้อมกับคนที่ดูเหมือนว่าจะเป็นรุ่นพี่เข้ามาถามอาการผมอีกครั้ง และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ผมต้องโอดครวญอาการเจ็บป่วยของตัวเองด้วยน้ำเสียงแหบแห้งออกไป แต่คราวนี้ผมไอออกมาเสียงดัง พร้อมกับควานมือหาแก้วน้ำที่ทำท่าจะวางอยู่ข้าง ๆ ผม แต่ผมกลับสัมผัสอะไรไม่ได้เลย ผมพยายามยันตัวไปหยิบขวดน้ำแต่ไม่ทันที่ผมจะได้ยันตัวขึ้นร่างสูงของคนที่ผมรู้จักดีก็หยิบแก้วน้ำมาให้ผม พร้อมกับยื่นแก้วที่เสียบหลอดไว้มาจ่อที่ปากผม สายตาของผมเหลือบมองคนๆนั้น แต่ก็ยอมที่จะดื่มน้ำจากแก้วน้ำนั่น (ช่วงเวลาป่วย ผมขอรามือก่อนแล้วกันนะครับ ขอเป็นเด็กว่าง่ายๆก่อน ไว้หายแล้วค่อยว่ากัน) เมื่อพี่ศิดูแล (แกมประคบประหงมผม) กลุ่มของนิสิตแพทย์ก็เดินย้ายเตียงไป โดยพี่ศิเป็นคนรั้งท้ายกลุ่ม ร่างสูงก้มลงมากระซิบแผ่วเบาที่ข้างหูพร้อมกับส่งรอยยิ้มมาให้


‘ช่วงค่ำกรคงได้ย้ายไปห้องพิเศษแล้วล่ะครับ ตอนนี้ทนร้อนไปหน่อยแล้วกันนะครับ น้องกร’ ผมมองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินจากไปราวกับหนังเกาหลี แต่ไอหนังเกาหลีที่เกิดขึ้น มันก็ใช้เวลาราวๆ 20-25 นาทีเท่านั้นครับ เพราะว่าไอกลุ่มนิสิตแพทย์กลุ่มเดิมก็เดินวนกลับมาราวด์อีกรอบ โดยมีคนมาเดินนำเพิ่มนั่นคืออาจารย์หมอครับ และเหตุการณ์ก็วนลูบอีกครั้ง ซึ่งผมขี้เกียจเล่าแล้ว ผมตอบคำถามคุณหมอไปเป็นรอบที่สามและค่อยๆไหลลงไปนอนหลับเป็นตายบนเตียง เพราะความอ่อนล้าและความเพลีย


งั้นผมขอสรุปคร่าวๆนะครับว่าทำไมการราวด์รอบเช้ามันจะมีหลายรอบแบบนี้ การราวด์ 1 ครั้งจะราวด์ 3 รอบครับ โดยรอบแรกจะเป็นการราวด์กันเองของนิสิตแพทย์ปี 4 เขาจะวนถามแต่ละเตียงไปรอบๆจนครบ หลังจากนั้นก็จะมีรุ่นพี่มาครับและนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของการราวด์รอบที่ 2 ครับ ส่วนรอบสุดท้าย (ล่ะมั้ง) รอบที่ 3 จะมีอาจารย์หมอเดินราวด์ด้วยครับ


ซึ่งไอจุดมุ่งหมายของการราวด์แต่ละครั้งนั่นก็คือการถามอาการคนไข้ของแต่ละคนครับ (แต่การราวด์อย่างต่ำ 3 รอบของโรงพยาบาลในเครือมหาวิทยาลัยนั้น ทำให้ผมหงุดหงิดแบบสุด ๆ เลยล่ะครับ เพราะผมต้องตอบคำถามซ้ำหลายรอบจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน หลังจากราวด์เสร็จ ผมก็โดนจับมาวัดไข้กับวัดความดันอีกครับ แต่ดีหน่อยที่การเจาะเลือด ผมน่าจะโดนเจาะไปตั้งแต่เช้าแล้วล่ะครับ เขาถึงไม่ได้มาเจาะเลือดผม หลังจากวัดความดันวัดไข้)


แต่ทุกคนก็สงสัยอีกใช่ไหมล่ะครับว่าทำไมผมพูดว่าราวด์รอบเช้า...เพราะว่ามันมีการราวด์รอบบ่ายอีกน่ะสิครับ และผมต้องเจอไอการราวด์แบบนั้นอีก(สาม)รอบสินะครับ แค่คิด ผมก็อยากจะเป็นใบ้เสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็นะ หลังจากที่ราวด์เสร็จ วัดความดันตรวจไข้เสร็จ ผมก็ได้นอนสมใจอยาก ผมซุกตัวลงไปกับผ้าห่มของโรงพยาบาลและเข้าสู่ห้วงนิทราไป


และหลังจากนั้นไปอีก 4 ชั่วโมง ผมก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นครับ โดยคนปลุกก็คือคุณพี่พยาบาลสุดสวยนั่นเอง เธอนำยามาให้ผมทานพร้อมกับวัดไข้และวัดความดันของผมอีกครั้ง เมื่อเธอทำทุกอย่างเสร็จ ผมก็พยักหน้าขึ้นลงเล็กน้อยเป็นการขอบคุณแต่ท่าทางผมจะผงกหัวไวไปหน่อย ทำให้ผมเกิดอาการตาลายเล็กน้อย จนผมต้องหลับตาของตัวเองลงเพื่อปรับสภาพสายตาให้คงที่ และเมื่อผมลืมตาขึ้นมาก็ผมกับใบหน้าคมของพี่ศิที่ยืนจ้องหน้าผมด้วยสายตาถมึงทึงแบบสุดๆ ท่าทางพี่แกจะโกรธผมเอาเรื่องเลยนะครับแบบนี้


ผมพยายามส่งรอยยิ้มแห้งๆไปให้ แต่พี่ศิกลับยื่นมือมาขยี้หัวผมสุดแรงแล้ว พร้อมกับทรุดตัวนั่งลงตรงที่นั่งข้างเตียงของผม ร่างสูงนั่นนั่งแกะขนมปังออกมาทานอย่างรวดเร็วพร้อมกับเจาะนมสดดัชมิลล์ ดูดรวดเดียวจนหมดกล่อง ผมนอนมองการกระทำพวกนั้นด้วยสีหน้าตกตะลึง (ที่ผมตะลึงนั่นก็เป็นเพราะผมไม่เคยเห็นพี่ศิมาดนิสิตแพทย์แบบนี้ครับ การกินอันแสนรวดเร็วนี่ทำเอาผมตกใจเลย ปกติพี่ศิเป็นคนที่มารยาทการกินสูงมาก เรียกได้ว่าสง่างามทุกท่าทางครับ แต่มากินไวแบบยัด ๆ แบบนี้ ทำเอาผมอดขำไม่ได้) แต่ผมก็ตะลึงได้ไม่นานครับ เพราะว่าคำสวดจากว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์ร่ายออกมายาวเหยียดจนผมถึงกับเรียบเรียงคำพูดพวกนั้นเข้ามาในสมองแทบจะไม่ทัน (ถ้าพี่จะเทศน์ให้ผมฟังก็ควรพูดช้าๆ ให้คนที่สติสตังตอนนี้ยังไม่อยู่กับตัวดีฟังรู้เรื่องด้วยก็ดีนะครับ พี่ศิ)


“พี่บอกให้รีบกินยาตั้งแต่แรกก็ไม่ยอมเชื่อ แถมร่างกายไม่พร้อมก็ยังดื้อออกไปยืนกลางแดดรับบริจาค จนอาการยิ่งทรุดหนักลงแบบนี้อีก ถ้าป่วยธรรมดา พี่ก็จะไม่ว่าเลย นี่เป็นถึงไข้เลือดออกแถมยังดื้อด้าน โกหก ปิดบังเพื่อที่จะให้ได้ไปค่ายอีก ดีนะ ที่เพื่อนๆเค้ารู้ว่าอาการเราไม่ค่อยจะดีเลยหามเรามาส่งที่โรงพยาบาลได้ทัน ไม่งั้นที่ค่ายจะเกิดเรื่องอะไรบ้างก็ไม่รู้ แล้วถ้าเรื่องที่เกิดปัญหาคนรับผิดชอบไม่ใช่เรา แต่มันเป็นรุ่นพี่ที่จัดค่ายขึ้นมา ความดื้อด้านและเอาแต่ใจของเราจะทำให้พี่ๆเขามีความผิดอาจจะโดนอาจารย์ทำโทษหรือหมายหัวเลยก็ได้ และที่สำคัญ คุณป๊า คุณม๊าของกรก็เป็นห่วงมาก พี่เพิ่งโทรไปบอกท่านเมื่อสักครู่ คิดว่าปิดร้านแล้ว ท่านจะมาเยี่ยมกร รู้ไหมว่าตัวเองทำให้ทุกๆคนเป็นห่วงมากขนาดไหน เพื่อนเราที่ไปค่ายก็ไม่สบายใจ รุ่นพี่ก็ไม่สบายใจ พ่อแม่เราไม่สบายใจ” พี่ศิหยุดพักหายใจสักเล็กน้อย ก่อนจะพูดประโยคสุดท้ายที่ชวนให้หน้าผมที่แดง เพราะพิษไข้ยิ่งทวีความหน้าแดงมาขึ้นไปอีก “และพี่ก็ไม่สบายใจ รู้ไหมตอนที่เพื่อนๆหามเรามาส่งที่โรงพยาบาลในสภาพหมดสติน่ะ พี่ตกใจแค่ไหน พี่จะอายุสั้นเพราะกรแล้วเนี่ย ชอบทำเรื่องให้พี่ใจหายแล้วก็ตกใจแบบสุดขีด กร ต่อไปนี้ช่วยฟังคำขอร้องของพี่ได้ไหมครับ” เสียงพี่ศิเอ่ยถาม ซึ่งผมที่อยู่ในสถานะหน้าแดงและเบลอเพราะพิษไข้ จึงทำให้ผมพยักหน้าตอบไป


“ถ้าเรารับปากพี่แบบนี้ งั้นพี่ก็คงอยากจะขอร้องกรว่า ‘อย่าทำให้พี่เป็นกรห่วงไปมากกว่านี้เลยได้ไหมครับ’” คำขอร้องแกมบังคับของพี่ศิ ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองจะละลายไปให้ได้เสียตรงนี้ แต่ไอฉากสวีทหวานแบบนี้มันก็อยู่ได้ไม่นานครับ เพราะว่าเวลามันเข้าช่วงบ่ายโมงกว่าแล้ว ซึ่งพี่ศิต้องไปเข้าเรียนตอนบ่ายโมงครึ่ง หลังจากเทศนาผมยาวเหยียด และขอร้อง (แกมบังคับ) ผมแล้ว พี่ศิแกก็ขอตัวออกไปเรียนแต่ก็ยังหันกลับมาพูดต่ออีกว่า ‘ไว้เจอกันตอนเย็นนะครับ กร’


รณกร ผู้เป็นไข้อยากจะดิ้นตาย รู้สึกเหมือนว่าผมจะมีหมอส่วนตัวคอยดูแลอยู่เลยล่ะครับตอนนี้ พี่ศิก็บ้าเอาเรื่องนะครับ พี่เขาดูแลผมทั้งที่บ้าน (คอนโด) ที่มหาลัยแล้วยังจะมาดูแลที่โรงพยาบาลเพิ่มอีก พี่ศินี่ชักจะก้าวเข้ามาในชีวิตของผมมากเกินไปแล้วนะ…แต่แบบนี้ก็ทำให้รู้สึกดีใจอย่างแปลกประหลาด เพราะมันทำให้ผมรู้สึกว่าผมนั้นสำคัญกับพี่ศิมาก ๆ และเช่นเดียวกันกับพี่ศิที่สำคัญต่อผมมาก ๆ เช่นกัน


ผมซึ่งพิษไข้ยังมีอยู่ล้นตัวก็ทานยาที่คุณพยาบาลที่มาวางไว้ให้และก็ซุกตัวลงบนเตียง (ที่ไม่ค่อยจะนุ่ม) ของโรงพยาบาล ก่อนจะหลับตาลง (แต่ผมก็ไม่ได้นอนหลับอยู่นะครับ) ผมนอนกลิ้งไป สักพักยาที่ทานไปก็ออกฤทธิ์ ผมเลยเริ่มนอนหลับเป็นตายไปอีกครั้ง และช่วงที่ผมนอนหลับไปก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้านครับ ดังนั้นจงช่างมันไปเถอะ แต่เมื่อเข็มนาฬิกาเดินเข้าไปถึงบ่ายสามโมงหรือ 15 นาฬิกา การราวด์ของนิสิตแพทย์ก็เกิดขึ้นอีกครับ (การราวด์ของนิสิตแพทย์จะมีการราวด์รอบเช้าคือเวลา 7 – 8 โมงเช้าครับ และการราวด์รอบบ่ายจะเป็นเวลา 15 นาฬิกาจนไปถึงเวลา 17 นาฬิกา (มั้ง) ครับ ซึ่งการราวด์ของนิสิตแพทย์นี่จะราวด์ในห้องรวมครับ ส่วนห้องพิเศษจะมีเจ้าหน้าที่ราวด์พิเศษครับ นิสิตแพทย์จะไม่ค่อยได้ขึ้นไปราวด์หรอกครับ อันนี้ผมฟังจากพี่ศิมาอีกทีนะครับ เลยรู้เรื่องการใช้ชีวิตของนิสิตแพทย์บ้างอะไรบ้าง)


ไอผมก็อยากจะรู้ว่าไอราวด์รอบบ่ายที่จะเริ่มขึ้นนี่มันจะราวด์ทั้งหมด 3 รอบเหมือนการราวด์รอบเช้าหรือเปล่า และถ้าเหมือนการราวด์รอบช้าแล้วล่ะก็ ถ้ามันเป็นแบบนั้นชีวิตการนอนหลับของผมคงไม่เป็นสุขอีกเช่นเดิม โอย...อยากย้ายไปนอนห้องพิเศษจริงๆ แต่ตามที่พี่ศิบอก ผมจะได้ย้ายห้องตอนช่วงหัวค่ำครับ ดังนั้นตอนนี้ผมก็ต้องยอมรับชะตากรรมโดนถามคำถามเดินวนลูบสามรอบ และนิสิตแพทย์ที่เข้ามาถามก็กลุ่มเดิมนั่นแหละครับ กลุ่มเดิมกับรอบเมื่อเช้าโดยคราวนี้แกนนำที่เดินถามคือพี่ศินั่นเองครับ (เรียกว่าพี่ศิเป็นหัวหน้ากลุ่มเลยก็ได้มั้งครับ เพราะผมเห็นพี่แกเดินนำมาตลอดเลยเวลาราวด์แต่ละรอบ)


ผมหรี่ตามองดูกลุ่มนิสิตแพทย์ที่กำลังเริ่มเดินราวด์ แต่คราวนี้พวกเขาไล่ถามเกี่ยวกับอาการของคนไข้จากญาติพี่น้องของผู้ป่วยมากกว่าครับ แต่สำหรับผมญาติก็ไม่มีเพื่อนก็ไม่อยู่ ดังนั้นไอคนตอบคำถามแทนผมนี่ไม่มีครับ ดังนั้นคำถามที่นิสิตแพทย์ถามมาตัวผมนี่ล่ะที่ต้องเป็นคนตอบอาการของตัวเองออกไป แล้วสภาพผมมันปกติสุขที่ไหนล่ะครับ ปวดไปทั้งตัวอยากจะอาเจียนด้วยอีกต่างหาก ตอนนี้ผมค่อย ๆ หมุนเตียงให้ตั้งชันขึ้นพร้อมกับนอนหลับตาในสภาพแบบนั้น (ถ้าให้ผมนอนราบไปกับเตียงปกติมันจะทำให้ผมรู้สึกอยากอาเจียนครับ เลยพยายามทำให้สิ่งที่อยากอาเจียนไหลลงท้องไปให้หมด)


และไวอย่างใจคิดกลุ่มนิสิตแพทย์ก็เดินมาถึงเตียงผมครับ เสียงทุ้มของพี่ศิเอ่ยถามออกมาพร้อมกับเดินเข้ามาเอามือวัดไข้ของผม “อาการเป็นยังไงมั่งครับ” ผมพยายามส่ายหัวเป็นคำตอบ แต่ดูเหมือนว่าพี่ศิแกจะไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมจะสื่อนะครับว่าผมนั้นส่ายหัวทำไม (ที่ผมส่ายหัวก็บอกไปแล้วนะครับว่าผมอยากอาเจียนสุดๆ ถ้าผมเปิดปากผมต้องเผลออ้วกออกมาแน่ ๆ พี่ศิเอ่ยถามซ้ำอีกครั้ง และผมก็เริ่มจะรำคาญจนยอมเอ่ยปากพูดไป แต่ในขณะที่ผมจะพูดทุกสิ่งทุกอย่างออกไป สิ่งที่อยู่ในท้องของผม (แม้มันจะไม่มีอะไรเลย) ก็ตีกลับและรวบรวมจนผมอาเจียนใส่พี่ศิออกมา ร่างสูงชะงักตัวเล็กน้อยด้วยความตกใจ แต่พี่แกก็ยังมีสปิริตนะครับ มือทั้งสองข้างของพี่ศิโอบตัวของผมไว้แล้วลูบหลังเบาๆ เพื่อนๆทุกคนที่กำลังช็อกกับเหตุการณ์ผมอาเจียนใส่พี่ศิ ก็มีพี่วิกับพี่เตอร์ที่เอาสติของตัวเองกลับมาได้ไวที่สุด ทั้งสองคนก็รีบหาถังขยะมายื่นให้พี่ศิและทำให้ผมอาเจียน น้ำใส ๆ ลงไปในถังขยะแทนเสื้อนิสิตของพี่ศิ ผมอาเจียนแบบนั้นอยู่พักใหญ่ (แต่สีที่ออกมาก็มีแต่พวกน้ำใส ๆ เท่านั้นนั่นแหละครับ) สักพักอาจารย์หมอหรืออะไรนี่แหละครับ ก็มาดูอาการผมพร้อมกับฉีดยาให้ผมแทนการให้ผมทานยา วกพยาบาลต่างพากันมาวัดความดันและวัดไข้ของผม พร้อมกับค่อยๆเข็นผมไปยังห้องพิเศษที่ได้จัดเตรียมไว้ (ที่ตอนแรกจะผมพาเข้าไปพักค่ำนี้ แต่นี่ผมโดนพาตัวไปอย่างเร่งด่วน แต่ก็ดีครับจะได้นอนห้องแอร์สักที)


อาการอยากอาเจียนของผมค่อยๆดีขึ้น ตอนนี้เริ่มกลับมาเป็นปกติแล้วครับ ผมนอนนิ่ง ๆ อยู่บนเตียงของผู้ป่วย (ส่วนเสื้อผู้ป่วยก็เปลี่ยนเรียบร้อยแล้วครับผม) และตอนนี่ก็เป็นเวลาสองทุ่ม และที่สำคัญกว่านั้นนี่เป็นเวลาปิดร้านเค้กของบ้านผมและคาดว่าไม่เกิน 3 ทุ่มคุณป๊า คุณม๊า คุณเจ้ คุณน้องสาว และน้องกัซคงพากันมาเยี่ยมผมแน่นอน ผมค่อยๆแทรกตัวและซุกตัวลงไปบนเตียง อาการไข้ของผมก็เริ่มทุเลาลงบ้างแล้วเลยนั่งดูทีวีในห้องพิเศษได้ แต่ในขณะที่ผมคิดอะไรเพลินๆ เสียงบานประตูห้องพิเศษของผมก็ถูกเปิดออกพร้อมกับชายร่างสูงที่เดินเข้ามาภายใน ผมก็คิดว่าทุกคนก็เดาถูกอีกนั่นแหละครับว่าคน ๆ นั้นเป็นใคร เพราะมีคนเดียวที่ทำแบบนี้ คนๆนั้นก็คือคนที่ผมอาเจียนใส่เขาเมื่อบ่าย ‘พี่ศิ’ นั่นเองครับ


“กรครับ รู้สึกดีขึ้นแล้วหรือยัง” พี่ศิเอ่ยถามออกมาน้ำเสียงทุ้มนั้นเต็มไปด้วยความเป็นห่วงเป็นแบบสุดๆครับ ผมพยักหน้าตอบพี่ศิไป และการพยักหน้าตอบพี่ศิไปแบบนั้น ทำให้ร่างสูงแสดงสีหน้าที่โล่งใจออกมา รอยยิ้มจางเริ่มผุดที่มุมปากพร้อมกับมือกร้านที่ค่อยๆ ยกขึ้นมาลูบหัวของผมเบา ๆ


“กรเบื่อ...” ผมพึมพำออกมา พี่ศิหันมามองหน้าของผมน้อย ๆ แล้วก็หัวเราะออกมาเสียงเบา พี่แกคงคิดว่าผมนี่ทำตัวเองจนป่วยหนัก แต่มาทำบ่นว่าเบื่อเวลาที่ต้องนอนในโรงพยาบาล ก็มันน่าเบื่อจริงๆนี่  เพื่อนๆของผมก็ไม่อยู่ ไม่มาเยี่ยมนอนในห้องพิเศษคนเดียว มันก็เหงา มันก็เบื่อเป็นธรรมดา


“เมื่อไหร่คุณป๊ากับคุณม๊าจะมา” ผมหันไปพูดกับพี่ศิด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ใบหน้าคมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย และเหมือนว่าเขาจะคิดขึ้นมาได้ มือกร้านที่เคยลูบหัวของผมเคลื่อนที่มากุมมือของผมเบา ๆ


คนป่วยก็อยากอ้อนคนใช่ไหมล่ะครับ ผมเลยอยากอ้อนคุณป๊ากับคุณม๊าเลยถามไป ทว่าในเวลานี้และที่ตรงนี้มีคนให้ผมอ้อนอยู่แค่คนเดียวนั่นก็คือพี่ศิ ดังนั้นผมอ้อนพี่ศิเอาก็ได้ครับ ผมกุมมือของพี่ศิแน่นพร้อมกับหันไปส่งรอยยิ้มซีดเซียวไปให้เขา


“ถ้าอยากอ้อนคุณป๊ากับคุณม๊ารอสักพักนะ ตอนนี้อ้อนพี่ไปก่อนก็ได้” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงขบขัน ไอคำพูดนี่ทำเอาผมจะสะบัดมือออกจากกับจับกุมของพี่ศิแล้วคลุมโปงนอนหันหลังให้จริงๆ ทว่าตอนนี้ผมไม่มีตัวเลือกอื่นที่ดีกว่านี้แล้วครับ เพราะภายในห้องนี้นอกจากผมก็มีพี่ศิเพียงคนเดียว ดังนั้นคนที่ผมจะอ้อนได้ก็คือพี่ศิ หรือ ว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์คนนี้เท่านั้น  ผมเบ้ปากใส่พี่ศิ เมื่อถ้อยคำเหล่านั้นพูดจบ แต่มือของผมกับพี่ศิก็ไม่คลายออกจากกัน มือของเราสองคนกับกอบกุมกันไว้แน่


“พี่ศิ กรอยากรู้ว่ากรมาที่นี้ได้ยังไงแล้ว...มันเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นอ่ะ” ผมพึมพำออกไปเสียงเบา ผมเอ่ยขอไปแบบนั้นหวังว่าพี่ศิจะคงเล่าให้ผมฟังล่ะมั้งครับ


ร่างสูงหันมามองหน้าผมด้วยแววตาสงสัยสักพัก แต่ในที่สุดพี่แกก็ยอมเปิดปากเอ่ยเล่าออกมา



v
v
v
v
v
v
v

หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 27] 05/12/2013 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 05-12-2013 12:35:02
“ก็ตั้งแต่กรเป็นลมที่คณะ ก่อนไปค่ายพวกเพื่อนๆของเราทั้ง 8 คนนั่นแหละ คือคนที่หามเรามาส่งที่โรงพยาบาล แต่ละคนนี่สีหน้าท่าทางตื่นตกใจมากเลยทีเดียว พรีมนี่เกือบจะร้องไห้อยู่ร่อมร่อ ส่วนเจมส์กับบาสแทบจะลุกไปเขย่าคอเสื้อของอาจารย์พี่ที่รับเคสของกรเลย แต่ก็นะเป็นใครเจอแบบนั้นก็ต้องตกใจกันหมดแหละ ไอตัวแสบที่ทุกคนคิดว่าแสบสันกว่าใครดันป่วยหนักจนเป็นลมหมดสติได้ แต่ในที่สุดพวกเพื่อน ๆ เราก็โดนพวกรุ่นพี่ที่รออยู่ที่คณะโทรตามว่ารถกำลังจะออกแล้ว จะไปค่ายไหม ตอนแรกเพื่อนเราทั้ง 8 คนก็จะไม่ไปค่ายกันเพราะเป็นห่วงกร แต่พี่เดินออกไปบอกเพื่อนเราทุกคนว่าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก กรถึงมือหมอแล้ว แต่เพื่อนๆพวกเราก็ยังคงไม่สบายใจ พี่เลยตบปากรับคำไปว่าพี่จะเฝ้าไข้กรเอง ทั้ง 8 คนเลยโอเค ยอมรับและต่างพากันกลับไปที่คณะครับ แต่ก่อนที่ทุกคนจะกลับไปที่คณะพวกเพื่อน ๆ ของเราก็ต่างพากันเขียนข้อความลงไปในกระดาษเอสี่ใบนั้น” พี่ศิเงียบเสียงลงพร้อมกับใช้มืออีกข้างที่ไม่ได้กอบกุมมือของผมชี้ไปที่กระดาษเอสี่ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง ผมหันไปมองตามก่อนจะหันหน้ากลับมาฟังพี่ศิเล่าต่อ


“พอทุกคนเขียนเสร็จก็ยื่นกระดาษเอสี่ใบนั้นแล้วบอกว่าให้แปะไว้ที่หน้าผากของกรไปเลย เวลามันตื่นขึ้นมาจะได้อ่านแต่พี่ก็ไม่ได้ทำหรอก เดี๋ยวเราหายใจไม่สะดวกพอดี พี่ก็เลยวางไว้ที่โต๊ะข้างหัวเตียงนั่นแหละ หลังจากนั้นพี่ก็โทรหาคุณป๊ากับคุณม๊าของเรา แต่สายไม่ว่างหรือปิดเครื่องเนี่ยแหละ พี่ก็เลยต้องโทรหาพวกท่านในวันต่อไป นี่ก็อีกไม่น่าเกิน 20 นาที ท่านก็คงจะมาแล้วล่ะครับ” พี่ศิพูดด้วยรอยยิ้มพร้อมกับนั่งพูดเล่าเรื่องหลาย ๆ อย่างให้ผมฟังแก้เบื่อ แต่มันก็ยังมีสิ่งที่คาใจผมอยู่นะครับเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อคืน และเรื่องที่ผมสงสัย พี่ศิก็ไม่ได้เล่าออกมาให้ผมฟังเสียด้วย แต่จะให้ผมถามผมก็หน้าไม่ด้านพอนะครับ เพราะสิ่งที่ผมจะถามมันเกี่ยวกับความรู้สึกของพี่ศิในตอนนั้น


…ผมก็แค่อยากรู้ว่าพี่ศิแกเป็นห่วงผมบ้างไหม...ก็เท่านั้นเอง…


ผมนั่งเม้มปากตัวเองไปเรื่อย ๆ และรู้สึกว่าพี่ศิแกจะจับอาการของผมได้นะครับว่าผมรู้สึกยังไง เสียงทุ้มจึงเอ่ยถามผมด้วยความสงสัย “กรเป็นอะไรไปเหรอครับ มีอะไรที่สงสัยอยู่อีกเหรอครับ กร” ผมที่กำลังป่วย ๆ อยู่ซึ่งปกติแล้วหน้าจะซีด พลันใบหน้าของผมก็ขึ้นสีเรื่องอย่างไม่รู้สาเหตุ ซึ่งใบหน้าของผมขึ้นสีแบบนั้น พี่ศิก็ตกใจกับอาการผิดปรกติของผม (เพราะแกนึกว่าเกี่ยวกับอาการป่วยของผม) ร่างสูงลุกขึ้นหมายจะไปหยิบออดเรียกพยาบาล แต่ผมเอื้อมมือไปจับแขนพี่ศิไว้ก่อน ร่างสูงยังคงงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เราสองคนเงียบใส่กันอยู่นาน แต่ในท้ายที่สุดผมก็ยอมเอ่ยปากถามออกไป แม้มันจะเป็นเสียงที่โคตรจะเบาเลยก็เถอะครับ


“แล้วเมื่อวานพี่ศิ...รู้สึกยังไง” แม้ผมจะเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา แต่คนอย่างคุณพี่ศิรวิทย์ไม่มีทางไม่ได้ยินหรอกครับใบหน้าคมคลี่รอยยิ้มร้ายและแสร้งทำตัวเป็นไม่ได้ยิน เพื่อทำให้ตัวผมเอ่ยประโยคน่าอายแบบนั้นออกมาอีกรอบ ผมเม้มปากแน่น ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำพวกนั้นออกมอีกครั้ง “แล้วเมื่อวาน พี่ศิรู้สึกยังไงบ้าง เรื่องกร” ผมหลับตาปี๋พร้อมกับเอ่ยออกไป แต่ทันทีที่ผมลืมตาขึ้นใบหน้าของพี่ศิก็อยู่ห่างกันแค่คืบเดียว ร่างสูงของพี่ค่อย ๆ เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ผม พร้อมกับเอี้ยวตัวไปกระซิบอย่างแผ่วเบาข้างใบหูของผม


ทันทีที่ถ้อยคำพวกนั้นลอยเข้ามาในหูของผม  ใบหน้าของผมก็ยิ่งแดงจัด มือทั้งสองข้างพยายามดันชายที่ยืนอยู่ด้านข้างผมให้ถอยห่างออกไป ซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมรามือนะครับ แต่ว่าก่อนที่อีกฝ่ายนั้นจะผละออกไปร่างสูงนั้นยืนหน้าเข้ามาใกล้แก้มของผมพร้อมกับเอาจมูกของตนสัมผัสแก้มของผมอย่างแผ่วเบา


 แต่สิ่งที่ประจวบเหมาะมากว่านั้นมันก็คือบ้านประตูห้องผู้ป่วยพิเศษดันเปิดออกพร้อมกับร่างของคุณเจ้และคุณน้องสาวที่เดินเข้ามา ผมแทบจะกัดลิ้นตายตรงนั้น แต่สิ่งที่ทำได้ในขณะนั้นก็คือการดันให้ร่างสูงนั้นถอยห่างออกไปจากร่างของผมเท่านั้นเอง
คุณเจ้และคุณน้องสาวที่ชะงักค้างอยู่ที่ประตูค่อย ๆ ถอยหลังออกไปจากห้อง บานประตูห้องผู้ป่วยถูกปิดลงพร้อมกับความวุ่นวายที่อยู่ภายในห้อง


พี่ศิที่(แทบ)ล้มกลิ้งเพราะแรงผลักของผมค่อยๆยันกายตนขึ้นมายืนพร้อมกับเดินไปเปิดประตูให้สองสาวที่ยืนทำหน้าแดงอยู่เข้ามาภายในห้อง


“พี่กิฟท์ กับน้องกิ้กเข้ามาเถอะครับ พวกคุณทั้งสองคนไม่ได้เข้าห้องผิดหรอก” เสียงพี่ศิที่เอ่ยชักชวนพี่สาวและน้องสาวของผมให้เข้ามาในห้องผู้ป่วยดังแว่วเข้ามาในห้อง เมื่อพี่ศิพูดแบบนั้น พี่สาวและน้องสาวของผมก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับถลาเข้ามาเกาะเตียงผมและจ้องใบหน้าของผมด้วยแววตาน่ากลัว


ท่าทางทั้งสองคนมีอะไรจะถามผมเยอะเอาเรื่องเลยครับ ซึ่งตอนนี้พวกเธอทั้งสองคนน่าจะคันปากอยากถามเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้ แต่ดูหน้าตาแล้วท่าทางทั้งสองคนอยากจะรู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นตอนที่เธอ ๆ ทั้งสองคนไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์เลยครับ แต่ดีที่คุณป๊ากับคุณม๊าและน้องกัซเดินตามเข้ามาซะก่อนเลยทำให้ผมรอดไปเปราะหนึ่ง เพราะอย่างน้อยก็ไม่ต้องเล่าอะไรให้คุณเจ้และคุณน้องสาวฟังตอนนี้


ผมหันไปยิ้มให้คุณป๊าและคุณม๊า  คุณป๊าแทบจะถลาเข้ามากอดตัวผมแล้วเอาหน้าตัวเองถูกไถไปกับแก้มของผม ทว่าคุณม๊าแกถลามาก่อนครับ คุณป๊าแกเลยได้เป็นคิวถัดไป


“น้องกร เป็นไงมั่งเนี่ย ทำงานจนป่วยเลยเหรอ ตอนลูกศิโทรมาบอกคุณม๊า...คุณม๊าตกใจแทบแย่ ไม่เป็นไรนะลูกนะ” คุณม๊าไถหน้าไปมากับแก้มผมพร้อมกับพูดปลอบผมเบาๆ ซึ่งผมก็กอดคุณม๊ากลับครับ (ดีที่อาการของผมดีขึ้นจากเมื่อตอนกลางวันแล้ว ถ้าเกิดยังไม่ดีมีหวังได้อาเจียนออกมาใส่คุณม๊าแน่ๆ) และหลังจากคิวของคุณม๊าหมดลงก็ตามมาด้วยอ้อมกอดจากคุณป๊าครับ


“น้องกรป่วยไม่ยอมโทรบอกใคร ศิเขาฟ้องคุณป๊าหมดแล้ว เด็กดื้อจริงๆ คุณป๊ารู้ว่าเราจริงจังกับเรื่องค่าย แต่ก็ต้องดูแลตัวเองด้วย ไม่ใช่ทำงานหนักจนล้มป่วยแล้วที่เราทำมามันเสียเปล่าไหมล่ะ ไม่ไหวเลยนะน้องกร” คุณป๊ากอดผมแน่น ทุกท่านเห็นคุณป๊าบ่นใส่ผมแบบนี้ ไม่ใช่คุณป๊าแกจะต่อว่าผมหรอกครับ คุณป๊าเป็นห่วงผมมากๆ แต่คุณป๊าแกพูดปลอบไม่เก่ง เขาเลยใช้คำสอนมาสอนผมแทน ผมพยักหน้ารับคำพูดของคุณป๊า และคิวถัดไปที่จะมากอดผมนั่นก็คือน้องกัซนั่นเอง


“เฮียกร เฮียกรจะตายไหมอ่ะ ถ้าเฮียกรตาย ใครจะเล่นกับน้องกัซล่ะ” น้องกัซพูดด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น แต่คำถามของน้องกัซนี่ทำเอาผมสำลักน้ำลายเลยครับ มาพูดแช่งอะไรพี่ชายสุดหล่อแบบนี้ ไม่ดีเลยนะครับน้องกัซ มาพูดอะไรแบบนี้ใส่ได้ยังไงกัน แต่การที่น้องกัซพูดแบบนี้ทำให้คุณป๊าคุณม๊า เอาเป็นว่าทุกๆคนที่อยู่ในห้องหัวเราะออกมาเสียยกใหญ่ แต่ผมนี่แหละที่ไม่ตลกด้วย คุณม๊าลูบหัวน้องกัซที่นั่งอยู่บนเตียงผู้ป่วยเบาๆแล้วพูดสอนน้องกัซออกไป


“เฮียกรของน้องกัซไม่ตายหรอกจ้ะ น้องกัซก็รู้นี่นาว่าเฮียกรของเราแข็งแรงจะตาย แค่นี้ทำให้เฮียกรหมดแรงไปแค่สามสี่วันเท่านั้นเองนะจ๊ะ” คุณม๊าเอ่ยพูด น้องกัซจึงหันไปมองหน้าคุณม๊าทั้งน้ำตาแล้วทิ้งตัวลงมากอดผมแน่น เล่นเอาผมแทบจุกเลยครับ ผมได้แต่หัวเราะน้อยๆแล้วลูบหัวน้องกัซเบาๆ ซึ่งคิวถัดไปเป็นคิวของเจ้กิฟท์และยัยกิ้ก แต่น้องกัซยังคงไม่ปล่อยผมครับ ดีมากเลยครับ ผมมีความสุขมากเลยครับ ไม่งั้นผมคงโดนสองสาวเค้นคอถามแน่นอน


แต่ความอยากรู้อยากเห็นของคุณน้องสาวและคุณเจ้ของผมมันมีมากล้น ทั้งสองคนหันไปบอกให้คุณป๊ากับคุณม๊า (รวมไปถึงน้องกัซ) ให้ออกไปซื้ออะไรมาให้ผมกินเวลาหิว และเอ่ยปากว่าจะดูผมอยู่ในห้องเอง ซึ่งคุณป๊า คุณม๊าและน้องกัซก็ติดกับครับ ทั้งสามคนก็เดินออกจากห้องไปและทิ้งให้ผมอยู่กับคุณเจ้และคุณน้องสาวที่ส่งออร่าที่น่าหวาดหวั่นมาให้ ทั้งสองคนค่อยๆหันหลังมามองผมพร้อมกับแสยะรอยยิ้มที่โคตรไม่น่าไว้ใจมาให้ ทั้งสองคนค่อยๆก้าวเท้าเข้ามาใกล้ผม นิ้วชี้ข้างขวาของเธอสองคนตวัดมาที่หน้าผมพร้อมกับกับถามเดียวกับที่ออกมาจากปากของคนสองคน


“ไอกร!/เฮียกร! เรื่องมันเป็นยังไงมายังไงกัน เล่าออกมาให้หมดเดี๋ยวนี้เลย” เสียงของคุณเจ้กิฟท์กับคุณน้องสาวกิ้กแผดเสียงร้องลั่นห้อง ผมนี่สะดุ้งและค่อยๆเขยิบตัวไปติดกับหัวเตียง ท่าทางที่หวั่นกลัวของผมไม่ได้ช่วยอะไรชีวิตผมเลย หญิงสาวยังคงย่างสามขุมเดินเข้ามาใกล้ ๆ ผมอีก ‘นี่คุณเจ้ คุณน้องสาว พวกคุณลืมไปแล้วเหรอครับว่าผมกำลังป่วยหนักอยู่’ เจ้กิ้ฟท์นั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงพร้อมกับจ้องมองหน้าผม ส่วนยัยกิ้กเธอยืนกอดอกมองผมอยู่


ให้ตายเถอะ พวกเธอจะมาอยากรู้อะไรกับเรื่องของคนอื่นกันตอนนี้ ผมพยายามส่งรอยยิ้มแห้ง ๆ ไปให้พวกเธอ แต่หญิงสาวทั้งสองคนไม่ยอมรับรอยยิ้ม ซ้ำยังส่งสายตากดดันมาให้ผมอีก


คือถ้าพวกคุณเจ้คุณน้องสาวอยากรู้กรุณาไปถามพี่ศิเอานะครับ ตอนนี้ผมขอตัวนอนก่อนล่ะ ผมเมินพี่สาวและน้องสาวของตัวเองพร้อมกับดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงเป็นการปฏิเสธที่จะตอบคำถามของสาวๆทั้งสองคนกลายๆ  แต่มีหรือครับว่าทั้งสองคนจะยอมให้ผมหนีง่ายๆ คุณเจ้เธอยืนขึ้นพร้อมกับจะกระชากผ้าห่มที่คลุมตัวของผมออก ส่วนยัยกิ้กดึงปลายผ้าห่ม ผมกับสองสาวยื้อแย่งกันอยู่นาน ในที่สุดเสียงสวรรค์ก็มาโปรดผมเสียงบานประตูเปิดออกอีกครั้ง (โดยที่ผมภาวนาว่าคนที่กลับมาเป็นคุณป๊ากับคุณม๊าทีเถอะ แต่มันก็ไม่ใช่ครับ) พร้อมกับการปรากฏร่างของว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์ที่ถือกระเป๋าใบไม่ใหญ่มากเข้ามา ท่าทางข้างในจะเป็นเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนครับ เพราะพี่แกรับปากคุณป๊าคุณม๊าของผมเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะคอยเฝ้าไข้ผมเอง ดังนั้นที่พี่ศิหายไปก็เพราะเขาไปเอาเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนมานั่นเองครับ


เมื่อพี่ศิเดินเข้ามาภายในห้องสงครามแย่งชิงผ้าห่มของผมก็หยุดลง เพราะใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มของนิสิตแพทย์เริ่มบึ้งตึง ดูเหมือนว่าพี่ศิแกจะไม่ค่อยชอบใจการกระทำของพี่สาวและน้องสาวของผมกระมังครับ เพราะดูเหมือนว่าพวกเธอทั้งสองคนกำลังรุมแกล้งคนป่วยที่ไม่สามารถต่อสู้ได้ พอพี่ศิเข้ามาก็ทำให้ผมโล่งใจไปเปราะหนึ่ง


“กรยังไม่หายดี ไม่สมควรทำแบบนั้นใส่กรนะครับ” เสียงพี่ศิเอ่ยดุหญิงสาวทั้งสองคน ใบหน้าคมนั้นเต็มไปด้วยความไม่พอใจ (อันนี้พี่ศิแกดุในฐานะว่าที่หมอนะครับ เพราะการทำอะไรกับรุนแรงที่ยังไม่หายดี มันไม่ค่อยจะเหมาะ จรรยาบรรณหมอของพี่ศิมันเลยปะทุขึ้นมาครับ)


คุณเจ้และคุณน้องสาวของผมก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาเดินไปนั่งอยู่มุมห้องพิเศษ พร้อมกับปิดปากตัวเองและทำตัวนิ่ง ๆ เพื่อไม่ได้ว่าที่นายแพทย์คนนี้โกรธอีก เราทั้งสี่คนนั่งอยู่ภายในห้องนี้ ไม่นานคุณป๊า คุณม๊าและน้องกัซก็กลับมาพร้อมกับของถุงกินเต็มไม้เต็มมือ (ท่าทางทั้งสามคนจะไม่ได้ซื้อมาให้ผมทานคนเดียว แต่คงซื้อมาให้พี่ศิทานด้วย)


“ลูกศิ มานี่ลูก อันนี้ของลูกศินะ ข้าวหน้าเป็ดย่าง อร่อยมากคุณม๊าคอนเฟิร์มจ้ะ แล้วนี่เป็นผลไม้ไว้กินเล่นตอนเฝ้าน้องกร อันนี้เป็นน้ำเก๊กฮวยจะ ถ้ายังไม่หิวเอาพวกผลไม้กับน้ำแช่ตู้เย็นไว้ก่อนก็ได้ แล้วอันนี้เป็นของน้องกรเขาโจ๊กร้อนๆใส่แต่หมูไม่ใส่ผัก ไม่ใส่ขิง ไม่ใส่เครื่องใน อันนี้เป็นข้าวต้มปลาของน้องกร  น้องกรชอบข้าวต้มปลากะพงมากจ้ะ ส่วนน้ำที่น้องกรชอบคุณม๊าไม่ได้ซื้อมานะ ถ้าไม่เย็นมันจะไม่อร่อย แต่ตอนนี้น้องกรทานของเย็น ๆ ไม่ได้ ไข้ยังไม่หายดี ทานผลไม้ไปแล้วกันนะจ๊ะอันนี้แตงโมของโปรดของน้องกร” พี่ศิยกไม้ไหว้เป็นการขอบคุณ และรับถุงทั้งหมดมาไว้ในมือพร้อมกับเดินเอามันไปวางไว้ใกล้ ๆ ตู้เย็น


คุณป๊ากับคุณม๊าพูดคุยกับผมและพี่ศิไปอีกราว ๆ 10 นาทีในที่สุดเวลาเยี่ยมก็หมดลง คุณป๊าและคุณม๊าก็ได้เวลากลับบ้านครับ “คุณม๊าคิดว่าพวกเราคงได้เวลากลับบ้านแล้วล่ะจ้ะ นี่ก็ดึกมากแล้ว ไว้วันที่น้องกรหายก็กลับไปเยี่ยมคุณม๊ากับคุณป๊าที่บ้านแทนแล้วกันนะ” คุณม๊าเอ่ยด้วยรอยยิ้มพร้อมกับจัดแจงเก็บข้าวเก็บของแล้วเดินลากทุก ๆ คนออกไปจากห้อง


คุณเจ้กับยัยกิ้กจ้องผมด้วยแววตาแค้นเคืองและดูท่าการกลับบ้านครั้งต่อไป ผมต้องมีอะไรอธิบายให้คุณ ๆ ทั้งสองคนฟังอย่างละเอียดแบบไม่ปกปิดเลยล่ะครับ ในที่สุดห้องผู้ป่วยพิเศษที่เคยเสียงดังเพราะเสียงคุยของคนเกือบสิบคนก็เงียบสงบลง และเหลือไว้เพียงแต่ลมหายใจของคนสองคนเท่านั้น ผมลอบหันไปมองพี่ศิที่นั่งอยู่บนโซฟา ก่อนจะตวัดสายตาขึ้นไปมองที่เพดาน ผมทำแบบนี้หลายต่อหลายครั้งจนในที่สุด พี่ศิที่รักของทุกคนก็เหมือนจะทนไม่ไหว ร่างสูงลุกขึ้นยืนพร้อมกับเดินเข้ามาใกล้ ๆ เตียง


“กรเป็นอะไรไปอีกเหรอครับ มองหน้าพี่แล้วทำท่าเหมือนจะพูดแต่ก็ไม่พูดมาหลายทีแล้ว” เสียงทุ้มเอ่ยถามด้วยความสงสัย ซึ่งผมก็ใช้ความเงียบเป็นคำตอบ แต่ดูเหมือนพี่ศิแกจะไม่ชอบใจในคำตอบคำตอบนี้ของผมสักเท่าไหร่นัก ร่างสูงยืนกอดอกพร้อมกับนิ้วเรียวถูกยกขึ้นมายันที่ปลายคาง


ความจริงไอผมก็อยากจะตอบพี่ศิเขาไปอยู่หรอกครับ แต่ว่าไอเรื่องที่อยากจะพูด อยากจะถาม มันก็ไม่มีแล้ว เพราะคำตอบที่ผมได้จากปากพี่ศิ ก่อนที่เจ้และน้องสาวของผมจะเข้ามาภายในห้องผมก็รู้หมดแล้ว แต่ที่ผมมองหน้าพี่ศิไปแล้วไม่ยอมพูด หรือหลบตานี่ก็ไม่มีเหตุผลครับ ผมแค่อยากมองพี่ศิก็เท่านั้นเอง


พี่ศิดูท่าจะนึกอะไรออกหลังจากที่ตนเงียบเสียงไปสักพัก  ร่างสูงค่อย ๆ เผยรอยยิ้มชั่วร้ายพร้อมกับเอ่ยถ้อยคำที่ทำเอาผมที่กำลังดื่มน้ำอยู่ถึงกับสำลักออกมา “หรือว่าที่พี่ตอบคำถามของกรไป เสียงมันจะเบาไปหรือว่าสิ่งที่พี่พูดมันจะยังแสดงถึงความจริงใจที่พี่มีต่อกรไม่พอ”


สิ้นเสียงของพี่ศิ ใบหน้าของผมก็ขึ้นสีแดงจัด ผมพยายามหาของใกล้ตัวไปฟาดใส่พี่เขา แต่ไอสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวผมมันก็มีแต่แจกัน (ถ้าอันนี้ฟาดลงไป พี่ศิอาจจะเข้ามานอนในโรงพยาบาลตามผม) แก้วน้ำ (อันนี้คงกรณีเดียวกับอันแรก) จาน (อันนี้ก็ไม่ต่างกัน) ผมพยายามมองหาสิ่งที่อยู่รอบตัวแต่ใน ท้ายที่สุดสิ่งที่ผมฟาดลงไปที่พี่ศิ คือ มือทั้งสองข้างของผมนั่นเอง ผมเอามือตีพี่ศิอยู่หลายครั้ง แต่ในท้ายที่สุดพี่ศิก็จับผมรวบแขนทั้งสองข้างและจับให้ผมนอนราบไปกับเตียง


ร่างสูงจ้องหน้าผมด้วยสายตาจริงจังและเอ่ยถ้อยคำที่ก่อนหน้านี้เขากระซิบที่ข้างหูผมออกมาเสียงดังว่า


“ตอนที่กรมาที่โรงพยาบาล พี่ที่เข้าเวรอยู่เป็นคนไปอุ้มกรจากเพื่อน ๆ มาที่เตียงและเป็นคนเข็นรถเข็นนั่นเอง ซึ่งภายในใจของพี่ก็ภาวนาว่าขอให้คนสำคัญที่สุดในชีวิตของพี่ไม่เป็นอะไร ได้โปรดอย่าให้เขาเป็นอะไรไปเลย และถ้าเขาลืมตาตื่นขึ้นมา ผมจะให้ความสำคัญกับเขามากกว่าเดิม ผมจะไม่ยอมให้เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นมาอีก ผมจะดูแลเขาไปตลอดจนกว่าเขาจะหาคนที่ดูแลเขาได้ดีมากกว่าผม” เมื่อเอ่ยจบประโยคพี่ศิก็ผละกายออกพร้อมกับไปนั่งที่โซฟา ส่วนผมก็นอนแผ่อยู่แบบนั้นไปราว ๆ สิบนาที ก่อนจะดึงผ้าห่มมาคลุมโปงเพื่อหลบสายตาของพี่ศิ


สิ่งที่พี่ศิพูดมามันไม่ต่างอะไรจากคำสารภาพรัก…แม้ผมจะหวั่นไหวมากๆ แต่ยังไงผมก็ยังไม่ให้พี่ศิเข้ามาอยู่ในหัวใจของผมมากกว่านี้หรอกครับ




__________________________________



ทุกคนเห้ฯวิธีที่พี่ศิตีก้นน้องกรหรือยังค้าาาาถ้ายังไม่เห็นอ่านซ้ำอเกนนนเย้ๆๆ (บ้าไปแล้วพลอย)



อ่อพลอยขอฝากอะไรนิดหน่อยนะคะถ้าหาจะติดตามผลงานอื่น ๆของพลอย(กับเพื่อนสามารถติดตามได้ที่ไม่ทราบว่าผิดกฏไหมแต่ถ้าผิดจะรีบเอาออกทันทีค่ะ)



https://www.facebook.com/pages/WIFACs-Work-Page/376396462412920 (https://www.facebook.com/pages/WIFACs-Work-Page/376396462412920)
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 27] 05/12/2013 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: RenaBee ที่ 05-12-2013 13:34:48
รักพี่ศิๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  :sad4:
น้องกรดื้อแบบนี้ตีก้นน้องกรเลยค่ะพี่ศิ  :hao7:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 27] 05/12/2013 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 05-12-2013 13:37:13
พี่ศิคงหัวใจแทบวาย เมื่อน้องกรป่วย
มีหมอดีดูแลแบบนี้น้งกรคงหายป่วยเร็วแน่นอน
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 27] 05/12/2013 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 05-12-2013 14:00:40
น้องกรหายไวๆนะคะ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 27] 05/12/2013 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 05-12-2013 16:17:21
อ๊ายยย นั่งอ่านไปดิ้นไป กัดปาก อ๊ายยยยยยยยยเขินง่ะ
กรนึกว่าจะเป็นแค่ไข้ธรรมดา สรุปเป็นถึงไข้เลือดออกกันเลยทีเดียว
ชอบพี่ศิอ่ะ กรเอ๊ย ถ้าพี่เขาขอหนูเป็นแฟนเนี่ยตกลงเลยนะลูก ผู้ชายที่ดีขนาดนี้ไม่มีอีกแล้วในชีวิตจริง
หนูอยากได้ อ๊ากกกกก >////////////<
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 27] 05/12/2013 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 05-12-2013 16:45:43
ถ้าป่วยแล้วมีหมออย่างพี่ศิมาดูแลใกล้ชิดงี้เค้ายอมมม  :-[

 :L2: :กอด1: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 27] 05/12/2013 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 05-12-2013 17:20:27
หายไวๆ นะน้องกร รับรักพี่ศิไวๆ ด้วย
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 27] 05/12/2013 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: omyim_jjj ที่ 06-12-2013 01:26:55
หายเร็วเร็วนะกร
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 27] 05/12/2013 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: พลอยสวย ที่ 06-12-2013 05:39:51
 :กอด1: รีบๆกลับมาเกรียนเร็วๆนะกร
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Special Chapter] 09/12/2013 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 09-12-2013 14:00:06



เป็นตอนพิเศษแบบรั่ว ๆ ที่นั่งจิ้มสดในทวิตเตอร์ในวันพ่อค่า




Special Father’s Day



                เนื่องจากวันนี้เป็นวันพ่อร่างโปร่งบางนายรณกรก็มีอะไรจะเซอร์ไพรส์อะไรนิดหน่อยแก่คน ๆ หนึ่ง และเมื่อเจ้าตัวแสบคนนี้เตรียมการอะไรเสร็จสิ้นขาเรียวยาวก็ค่อย ๆ อย่างเท้าเข้าไปในคอนโดของคนอย่างเงียบเชียบเขาสาวเท้าเข้าไปทีละนิด ๆ แต่ดูเหมือนว่าปฏิบัติการณ์ครั้งนี้ของนายรณกรจะเสียเปล่าเสียแล้วหละ



                เพราะเมื่อเขาก้าวเท้าเข้าไปในห้องไม่ถึงสิบก้าว ร่างสูงของว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์หรือคน ๆ หนึ่งที่ผมจะเซอร์ไพรส์ก็เดินเข้ามาสะกิดที่บ่าของร่างสูงโปร่งเบา ๆ การกระทำแบบนั้นของชายร่างสูงกว่านั้น ทำให้ร่างของนายรณกรสะดุ้งโหยงก่อนจะหันหลังกลับไปยิ้มเลิกลั่กใส่อีกฝ่าย มือทั้งสองข้างที่ก่อนหน้านี้ถึงบางสิ่งบางอย่างอยู่เปลี่ยนไปไขว้อยู่ทางด้านหลัง



                การกระทำแบบนั้นของรณกรทำให้ร่างสูงผู้มีเรือนผมสั้นสีดำสนิทนั่นสงสัยมิใช่น้อย ซึ่งไอความสงสัยพวกนั้นของชายร่างสูงกว่าทำให้เขาเอ่ยปากถามร่างตรงหน้าออกไป



                แต่อย่างไรก็ตามนายรณกรผู้ตอนนี้ที่ตกเป็นจำเลย??ก็ไม่คิดจะพูดอะไรออกมา ฝ่ายอัยการศิริวิทย์?? ก็ไม่ยอมเขาพยายามรีดเร้นจำเลยหนุ่มรุ่นน้องไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดเด็กหนุ่มรุ่นน้องผู้เป็นจำเลยที่เก็บอาการ คำพูดรวมไปถึงความลับไม่เก่งอย่างนายรณกรก็ยอมสารภาพออกมาอย่างหมดเปือกไม่มีปกปิดเลยแม้แต่นิดเดียว



                มือทั้งสองข้างที่เขาซ่อนไว้ทางด้านหลังถูกยื่นไปตรงหน้า ซึ่งภายในมือทั้งสองข้างของเขานั้นถือพวงมาลัยดอกมะลิสดพวงใหญ่ และเมื่อร่างโปร่งบางแสดงออกมาแบบนั้นอัยการศิรวิทย์??ก็ปลายสายตาลงไปมองที่มือจำเลยหนุ่มรณกร พลันความสงสัยก็พุดขึ้นมาอีกครั้ง ‘ไอตัวแสบของเขาเอาสิ่งนี้มาทำไมแล้วทำไมเขาถึงยื่นมันมาให้กับเขา’



                แต่ไอความสงสัยพวกนั้นมันก็อยู่ไม่นานและไม่ทันที่ริมฝีปากหนานั่นจะเอ่ยปากถามอะไรกับคนตรงหนา ร่างสูงโปร่งนั่นก็ยกมือไหว้เขาท้วมหัวพร้อมกับเอ่ยประโยคที่ฟังยังไงมันก็คงออกมาปากของไอตัวแสบของเขาคนเดียวเท่านั้นว่า



“วันนี้วันพ่อลูกกรเลยเอาพวงมาลัยมาไหว้พ่อ คุณป๊าคมสันของน้องกร ๆ ก็ไหว้ไปแล้ว ตอนนี้ก็เลยคุณพ่อศิรวิทย์ของน้องกรเท่านั้น น้องกรก็เลยเอาพวงมาลลัยมาไว้พ่อศิครับ พ่อศิรับไปแล้วอย่าลืมอวยพรน้องกรคนนี้ด้วยนะครับ” สิ้นประโยคนี้ศิรวิทย์ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แต่การที่ไอตัวแสบของเขามากวนประสาทแบบนี้ใส่ก็ต้องลงโทษสักที มือกร้านถูกยกขึ้นมาพร้อมกับเขกหัวของคนตัวเตี้ยกว่าเบา ๆ เพื่อเป็นการลงโทษ



แต่กระนั้นเขาก็ไม่คิดที่จะปฏิเสธการให้พรไอตัวแสบตรงหน้าหรอกหลังจากที่มือกร้านของตนลูบหัวของคนตัวเตี้ยกว่าเสร็จแล้ว มือข้างนั้นก็ไล่มือลงไปแตะที่แก้มใสและค่อย ๆ ไล่ลงไปสัมผัสที่ปลายคางของร่างโปร่งบางตรงหน้านั้นอย่างแผ่วเบา การกระทำนั่นทำให้นายรณกรสงสัยเล้กน้อยแต่เพียงชั่ววินาทีเดียวริมฝีปากหนาก็ก้มลงไปประทับเบาที่แก้มนุ่มพร้อมกับเสียงทุ้มที่เอ่ยเบา



“นี่คือคำอวยพรนะครับกร” สิ้นประโยคและสิ้นภารกิจของคนเป็นพ่อ? ร่างสูงนั่นก็ผละออกและเดินจากไปโดยคุณพ่อศิรวิทย์ก็ทิ้งให้ร่างโปร่งบางที่ถูกช่วงชิงความนุ่มละมุนของแก้มใสนั้นนิ่งค้างไปสักพักใหญ่ ๆ



ร่างสูงนั่นลอบแอบมองแล้วอมยิ้มกับการแสดงออกแบบนั้นออกมาจาก ๆ และเมื่อเวลาผ่านไปชั่วขณะหนึ่งลูกชายของคุณพ่อศิรวิทย์ก็ตั้งสติได้ ใบหน้าขาวและแก้มใสนั้นแดงก่ำพร้อมกับร่างสูงโปร่งของตนที่หมดเรี่ยวแรงและค่อย ๆ ทรุดตัวลงไปนั่งอยู่ที่พื้น ริมฝีปากบางนั้นพร่ำพูดออกมาไม่เป็นภาษามือทั้งสองข้างนั้นทึ้งหัวตัวเองไปมา การกระทำทั้งหมดนั้นเป็นการแสดงปฏิกิริยาที่ทำให้ร่างสูงนั่นลอบยิ้มกว้างออกมา



“สงสัยครั้งหน้าคงต้องอวยพรให้ดีกว่านี้แล้วสิ” เสียงทุ้มพึมพำกับตัวเองเบา ๆ พร้อมกับนิ้วเรียวยาวของร่างสูงถูกยกขึ้นมายันที่ปลายคาง



_______________________________________________________________________________


เป็นตอนพิเศษสั้น ๆ จากทวิตเตอร์ค่ะ พอดีไม่รู้นึกคึกอะไร เลยแต่งตอนพิเศษเบาสมอง?? มา (จริง ๆ ในทวิตเตอร์จะไม่ค่อยละเอียเท่านี้ค่ะอันนี้เป็นเวอรืชั่นเอามาแต่งเพิ่มแบบสั้น ๆ ฮา ๆ ค่ะ)


ส่วนทวิตเตอร์ถ้าอยากติดตามข่าสารอะไรเกี่ยวกับนิยายหรือจะเข้าไปคุยกันเล่น ๆ ก็สามารถติดตามได้ที่ทวิต https://twitter.com/P_Sokiss  ค่ะ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Special Chapter] 09/12/2013 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 09-12-2013 14:09:48
น้องกรรักพ่อศิที่สุด (พ่อทูนหัว...หัวใจ55)
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Special Chapter] 09/12/2013 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: RenaBee ที่ 09-12-2013 15:32:23
พ่อยอดดวงใจซินะคะน้องกร5555
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Special Chapter] 09/12/2013 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Loste ที่ 09-12-2013 18:23:56
น้องกรเจออวยพรแบบนี้ถึงกับทรุด :-[
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Special Chapter] 09/12/2013 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 09-12-2013 21:26:25
กรเป็นไงคำอวยพรของพี่ศิ คึๆๆ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Special Chapter] 09/12/2013 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 09-12-2013 22:48:02
ตอนพิเศษ ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Special Chapter] 09/12/2013 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 09-12-2013 23:11:30
พ่อทูนหัวสินะน้องกร  :-[
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Special Chapter] 09/12/2013 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: MoMoRin ที่ 09-12-2013 23:22:53
แบบพี่ศินี่หาได้ที่ไหนอีกมั้ยคะ อยากด้ายยยยยยยยยยยยยยย  :ling1:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 28] 10/12/2013 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 10-12-2013 18:28:18
สวัสดีค่ะหลังจากที่เมื่อวานเราลงตอนพิเศษจิตป่วนไปวันนี้เรามาลองตอนต่อแล้วค่า ยิ้มกว้าง// หวังว่าทุกท่านได้อ่านตอนต่อไปนี้จะยิ้มและมีความสุขกับนิยายเรื่องนี้นะคะ


ขอบคุณที่ทุก ๆ ท่านชื่นชอบตัวละครของพลอยและนิยายของพลอยค่ะ เชิญติดตามตอนต่อไปได้เลยค่ะพูดเหมือนลงนิยายตอนจบ ความจริงยังไม่จบแค่พูดซึ้ง ๆ ไว้ก่อน




Chapter 28



บางทีการป่วยก็ทำให้ความสัมพันธ์ของคนสองคนคืบหน้า และบางทีการป่วยก็ทำให้ความรู้สึกของคนหนึ่งที่มีให้กับอีกคนหนึ่งมันแปรเปลี่ยนไป มันอาจจะเป็นผลมาจากการดูแลเอาใจใส่ของอีกฝ่าย หรือการให้กำลังใจเวลาที่อีกฝ่ายป่วย แต่ผมขอบอกเลยครับว่าไอสิ่งที่ผมพูดออกมาทั้งหมดนั้นมันใช้ไม่ได้ผลกับผมครับ ไม่ใช่ว่าผมจะไม่ได้รู้สึกอะไรกับคนที่คอยมาดูแลผมอยู่ทุกวันในขณะที่ผมนอนอยู่ในโรงพยาบาล แต่นั่นเป็นเพราะผมรู้สึกถึงความสัมพันธ์และความรู้สึกที่อยู่ภายในจิตใจของผมอยู่แล้ว ถึงได้บอกไงว่าไอคำนิยามอะไรพวกนั้นมันใช้กับผมไม่ได้ เพราะช่วงเวลาที่ผมนอนอยู่ในโรงพยาบาล การกระทำของผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่อ ศิรวิทย์ มันทำให้ความรู้สึกและความสัมพันธ์ที่มีต่อเขามันถูกเติมเต็มให้เอ่อล้นยิ่งกว่าเก่าครับ



หัวใจของผมเริ่มหวั่นไหวกับการกระทำของเขามาตั้งนานแล้ว แต่ในช่วงเวลาที่ผมนอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาลการที่พี่ศิแวะเวียนมาหาผม ดูแลผม เอาใจใส่ผม ทำให้ความรู้สึกของผมยิ่งหวั่นไหวมากขึ้นไปอีก แม้ผมจะยืนยันว่าตัวเองเป็นชายแท้และชอบผู้หญิง แต่ความรู้สึกของผมที่มีให้แก่เขามันคืบหน้าไปไวมากเลยล่ะครับ บางทีคนที่น่ากลัวที่สุดในโลก (สำหรับผม) ก็คือพี่ศินั่นเอง (เพราะพี่แกเล่นเดาใจ เดาความคิด เดาความรู้สึกของผมได้หมดเลยครับ แถมยังรู้เรื่องต่าง ๆ ของผมเป็นอย่างดี มันทำให้ผมเริ่มสงสัยแล้วครับ ว่าพี่ศิเป็นสตอล์คเกอร์หรือเปล่า)



เอาเป็นว่าเรื่องด้านบนที่ผมพร่ำบ่นไปก็ช่างมันเถอะครับ ตอนนี้ผมก็ยังคงนอนอยู่ในห้องพิเศษที่โรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยผม ซึ่งถ้านับรวมวันนี้ด้วยนี่ก็เป็นวันที่ 5 แล้วที่ผมนอนอยู่ในโรงพยาบาลครับ แต่วันนี้ออกจะพิเศษกว่าวันอื่นนิดหน่อยครับ เพราะว่าผมจะได้กลับบ้านสักที หลังจากนั่งกินนอนกินในโรงพยาบาลมานานถึง 4 คืน ถ้าให้เล่าถึงคืนแรกที่คุณป๊ากับคุณม๊ามาเยี่ยมผมและพี่ศิเป็นคนเฝ้าไข้ในคืนนั้น ผมขอบอกเลยว่าผมหลับเป็นตายครับ แม้ว่าผมจะโดนพี่ศิพูดประโยคพวกนั้นใส่จนเขินหน้าแดงไปสักพักก็เถอะ (ทุกคนไม่ต้องมโนหรือจินตนาการอะไรนะครับว่าผมนี่โดนพี่ศิพูดแบบนั้นใส่แล้ว จะเกิดอาการเขินหน้าแดงนอนไม่หลับจิตใจว้าวุ่น  โทษทีครับ สถานการณ์แบบนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นกับผมแน่นอน เพราะเรื่องนอนสำหรับผมนี่มาก่อนเหนือสิ่งอื่นใดเลยครับ)


แต่ทำไมผมต้องมาเล่าย้อนเรื่องพวกนี้ให้ทุกคนฟังด้วยเนี่ย เรื่องเก่าๆเอามันเก็บลงกระเป๋าไปครับ เรามาอยู่กับปัจจุบันดีกว่า ตอนนี้ผมกำลังนอนให้คุณพยาบาลวัดความดันและวัดไข้เป็นรอบสุดท้าย ก่อนที่ผมจะออกจากโรงพยาบาล ซึ่งผลที่ได้รับมันก็บ่งบอกว่าสภาพร่างกายของผมหายดีและแข็งแรงแล้วล่ะครับ งานนี้ผมได้เที่ยวในช่วงเวลาปิดเทอมอย่างมีความสุขซะที…ล่ะมั้งครับ


ผมยกมือไหว้คุณหมอที่รักษาผมตลอดห้าวัน และเมื่อคุณหมอกับคุณพยาบาลออกจากห้องของผมแล้ว ผมก็เด้งตัวหยิบเสื้อผ้าที่พี่ศิเตรียมไว้ให้วิ่งเข้าห้องน้ำไปเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า ผ่านไปสิบนาที ผมก็ออกมาจากห้องน้ำด้วยชุดไปรเวทที่พี่ศิเลือกให้ ส่วนชุดผู้ป่วยผมถอดทิ้งไว้ในห้องน้ำแล้วครับ ในที่สุดก็เป็นอิสระจากเตียงนอนผู้ป่วยสักที ผมเก็บข้าวของส่วนตัวและของเยี่ยมไข้จากคนรู้จักลงกระเป๋า เมื่อจัดเตรียมของทุกสิ่งทุกอย่างเสร็จแล้ว ผมก็จัดการยกกระเป๋าขึ้นพาดบ่าและเตรียมที่จะเดินออกจากห้องไป ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงกว่าๆพอดีครับ ซึ่งมันเป็นช่วงเวลาพักของนิสิตแพทย์พอดี ดังนั้นบุคคลที่ยืนรออยู่หน้าประตูห้องของผมนั่นก็คือว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์ แต่ที่พิเศษยิ่งกว่านั้นก็คือช่อดอกไม้ช่อใหญ่ในมือที่ยื่นมาให้ผม “ยินดีด้วยนะครับกร ที่ได้ออกจากโรงพยาบาล เรื่องค่าใช้จ่ายคุณป๊าสั่งให้พี่จัดการเรียบร้อยแล้วครับ จะกลับคอนโดเลยใช่ไหม เดี๋ยวพี่ขับรถไปส่งนะครับ” พี่ศิ ผู้เป็นสุภาพบุรุษเอ่ยพูดกับผม ทว่าผมไม่ใช่สุภาพสตรีสักหน่อย ผมมองหน้าพี่ศิน้อย ๆ พร้อมกับรับช่อดอกไม้ในมือช่อใหญ่มาแล้วยกขึ้นฟาดเบา ๆ บนหัวของพี่ศิ


“พี่ศิครับ กรไม่ใช่ผู้หญิงที่จะดีใจกับดอกไม้นะครับ” ผมพูดพร้อมกับเบี่ยงตัวเดินผ่านพี่ศิไป โดยร่างสูงนั้นยังคงลูบศีรษะตัวเองเบา ๆ


“พี่เอามาแสดงความยินดีที่กรได้ออกจากโรงพยาลเท่านั้นเองครับ” ร่างสูงละมือออกจากศีรษะตน ก่อนจะเริ่มสาวเท้าเดินตามผม ดูท่าวันนี้พี่ศิจะว่างเอาเรื่องนะครับ ถึงได้มาเดินตามผมต้อยๆแบบนี้ ผมกอดช่อดอกไม้ไว้แน่นสายตาพลางเหลือบมองร่างสูงกว่าที่เดินตามอยู่ทางด้านหลัง ท่าทางของผมกับพี่ศิแบบนี้เรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มให้กับพยาบาลที่เดินผ่านไปผ่านมาแถวนั้นได้พอสมควรเลยล่ะครับ


เพราะภาพที่ทุก ๆ คนเห็นกันนั่นก็คือร่างสูงของนิสิตแพทย์เดินตามง้องอนร่างสูงโปร่งที่ทำหน้าไม่ค่อยจะพอใจสักเท่าไหร่  จริงๆผมก็ไม่ได้ไม่พอใจอะไรพี่ศิเขาหรอกนะครับ มันก็แค่… ‘เขินมาก’ เท่านั้นเองครับ การกลบเกลื่อนวิธีการเขินของผมนั่นก็คือแกล้งทำเป็นไม่พอใจแบบนี้นี่แหละ ผมเดินไปถึงลิฟต์ ผมก็กดลิฟต์ลงและบานประตูลิฟต์ก็เปิดออกทันที ผมเดินเข้ามาภายในลิฟต์ด้วยมาดนิ่ง ส่วนพี่ศิก็รู้สึกจะร้อนรนเล็กน้อยเพราะท่าทางอันแสนนิ่งเฉยของผม เมื่อลิฟต์เคลื่อนที่ลงไปชั้นล่างสุด ผมก็เดินออกจากตัวลิฟต์โดยไม่รอพี่ศิเลยสักนิด ร่างสูงที่สาวเท้าเดินอยู่ด้านหลังก็เลยจำใจเปลี่ยนเป็นการวิ่งตามผมแทน และเมื่อพี่ศิถึงตัวผม มือข้างหนึ่งที่ไม่ได้ถือช่อดอกไม้ ผมก็ถูกคว้าไปพร้อมกับโดนเจ้าของมือนั้นและลากให้เดินตามไป


ผมถูกลากไปยังลานจอดรถของโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย ร่างของผมถูกพี่ศิจับยัดเข้าไปภายในรถสุดหรูของเขา ผมนั่งอยู่นิ่งภายในรถมือทั้งสองข้างของผมกดช่อดอกไม้ไว้แน่น ใบหน้าของผมยังคงเชิดมองไปเบื้องหน้าโดยที่ไม่คิดจะสนใจชายผู้ที่เข้ามาใหม่ภายในรถเลยสักนิดเดียว (ไม่ได้งอนไม่ได้อะไรครับ…ผมเขินจนไม่กล้าทำอะไรเท่านั้นล่ะครับ) ผมนิ่งหันมามองผมที่ตีหน้านิ่ง ก่อนจะรวบหัวของผมให้ไปซบที่บ่าข้างหนึ่งของเขา


“เขินอยู่สินะครับ กร” เสียงทุ้มกล่าวออกมาอย่างจะรู้ความคิดของผมไปเสียหมด ผมพยายามดันตัวเองออกจากการจับกุมนั่น ทว่าร่างสูงกว่านั้นไม่ยอมให้ผมทำแบบนั้นได้ พี่ศิกดหัวของผมให้ลงต่ำไปอีก ใบหูของผมแนบไปกับแผ่นอกของพี่ศิและได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นแรงไม่แพ้หัวใจของผม


ใบหน้าของผมแดงก่ำหัวใจที่เต้นแรกอยู่แล้วยิ่งเต้นแรงมากขึ้นไปอีก ผมซุกใบหน้าลงไปที่แผ่นอกของพี่ศิ ส่วนมือทั้งสองข้างที่เคยถือช่อดอกไม้ไว้ก็ถูกปล่อยลง มือข้างหนึ่งของผมเอื้อมไปเกาะที่บ่าของพี่ศิและค่อย ๆ ยันตัวเองขึ้นมานั่งตัวตรงอีกครั้ง
“พี่ศิ…พี่มันบ้าไปแล้ว” ผมพึมพำออกมาเบาๆ แต่เสียงเหล่านั้นก็ไม่สามารถรอดพ้นหูนรกของพี่ศิไปได้ เสียงทุ้มเอ่ยถามกลับเพียงแต่ครั้งนี้ไม่เหมือนเมื่อครั้งก่อนๆ  ใบหน้าของพี่ศิก็แดงก่ำพร้อมกับสายตาที่ซ่อนอยู่ในกรอบแว่นสีดำนั่นเบนหนีเหมือนกับว่าพี่เขาไม่อยากที่จะสบตากับผม “พี่บ้าตรงไหนกันครับ ก็แค่แสดงความยินดีกับกรก็เท่านั้นเอง” ร่างสูงนั้นเอ่ยเบี่ยงเบนความสนใจ ทว่าไอเรื่องที่ผมว่าพี่ศิว่าบ้านั้นมันไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องช่อดอกไม้นี่สักหน่อย


เพราะไอคำการที่ผมพูดว่าพี่ศิบ้านั่น ผมหมายถึง…ทำไมพี่ศิถึงมาชอบคนอย่างผมได้ต่างหากล่ะ ทั้งๆที่ผู้หญิงดีๆ น่ารักๆ มีมากมาย แต่กลับมา…เอ่อ…มาชอบผู้ชายแบบผมได้ ผมเลยพูดออกไปว่าพี่ศิแกบ้าหรือเปล่ายังไงล่ะครับ (แถมชอบผมไม่ว่า พี่แกยังทำให้ผมรู้สึกหวั่นไหวได้แบบขั้นสุดยอดอีกด้วย)


“กรไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้นสักหน่อย…พอเถอะ เลิกพูดเรื่องนี้ กรอยากกลับคอนโดแล้ว” ผมเลือกที่จะกล่าวตัดบทสนทนานี้ ซึ่งพี่ศิแกก็ดูเหมือนจะเห็นด้วยกับผมนะครับ เสียงทุ้มไม่ได้ตอบโต้อะไรและค่อย ๆ สตาร์ทรถและเหยียบคันเร่งให้รถคันงามของเขาเคลื่อนที่ไปด้านหน้า


เราทั้งสองคนเงียบใส่กันไปตลอดทาง แต่ก่อนที่พี่ศิจะขับรถไปถึงคอนโดที่พวกเราสองคนอยู่ พี่ศิแกก็เอ่ยขึ้นถามผม “กรอยากไปทะเลหรือเปล่า” สิ้นเสียงนั่น ผมก็ตวัดสายตาตัวเองไปมองร่างสูงที่ยังคงขับรถอยู่ สีหน้าของเขาดูไม่รู้สึกประหม่าหรือแสดงอาการออกมาแต่อย่างใด แต่ก็เป็นแค่ที่สีหน้าล่ะนะ ส่วนมือไม้ของพี่ศิเขาตอนนี้รู้สึกว่าจะอยู่ไม่สุขแล้ว ดูก็รู้แล้วนะครับว่าพี่ศิแกตื่นเต้นเอาเรื่องเลยล่ะ (แต่พี่ศิครับ…อย่าทำรถแหกโค้งแล้วกัน ไม่งั้นจะไม่ได้คำตอบของคำถามที่ตัวเองถามมานะครับ)


“ทำไมเหรอ พี่ศิถามแบบนี้” ผมแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับคำถามพวกนั้น แต่ความจริงผมก็รู้เรื่องอยู่นะครับว่าพี่ศิแกต้องการอะไร แต่ตอนนี้ผมขอไล่บี้พี่ศิไปก่อนแล้วกัน เพราะว่าปกติคนที่ถูกไล่บี้นี่จะเป็นฝ่ายผมเสียมากกว่า ดังนั้นเวลาไหนที่แกล้งพี่ศิได้ ผมมักจะทำแบบนี้ทุกครั้งนั่นแหละ (แต่จำนวนครั้งที่ผมแกล้งพี่ศิได้ มันมีน้อยมากครับ เรียกได้ว่าแทบจะหาโอกาสแกล้งพี่แกไม่ได้เลยมากกว่า)


“ก็เปล่า อยากถามดูเท่านั้นเอง” พี่ศิเริ่มยกมือข้างหนึ่งขึ้นไปเกาแก้มของตน ส่วนอีกมือหนึ่งก็ยังคงจับพวงมาลัยบังคับรถต่อไป แต่ท่าทางพี่แกเริ่มจะหวั่น ๆ แล้วล่ะครับว่าผมจะปฏิเสธที่จะไม่ไป


“เหรอครับ นึกว่าจะพากรไป แบบนั้นก็ดีครับ พอพวกเพื่อน ๆ กรกลับจากค่าย กรค่อยชวนพวกนั้นไปกันเองก็ได้” ผมพูดออกไปพร้อมกับลอบหัวเราะภายในใจ บางทีการรู้ทันพี่ศิแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะครับ สนุกดี (และทำให้ผมเข้าใจความรู้สึกของพี่ศิที่รู้ทันผมเหมือนกันว่ามันสนุกแบบนี้นี่เอง)


พี่ศิถึงกับหน้าเสีย ริมฝีปากหนาเม้มแน่น ซึ่งผมก็แกล้งต่อเป็นไม่สนใจพี่เขาต่อไปครับ ทั้งยังแสร้งหยิบโทรศัพท์มือถือของตนขึ้นมากดเบอร์โทรศัพท์หาเหล่าสหายของผมอีก (ความจริงก็ไม่ถือว่าแกล้งสักทีเดียวหรอกครับ เพราะว่าผมกดโทรออกไปหาพวกเพื่อนๆจริงๆ แต่จุดประสงค์ที่โทรไปเพราะผมคิดถึงพวกมันต่างหากครับ) ผมถือสายรอเพื่อน ๆ ของผมสักพัก เสียงหวานที่เป็นเอกลักษณ์ของพรีมก็ดังขึ้นครับ (ที่ผมเลือกโทรหาพรีมก็เพราะสาว ๆ มักจะได้ทำงานเบา ๆ หนุ่ม ๆ ลงแรงกันครับ)


“กร! เป็นไงมั่ง หายแล้วเหรอ” พรีมเอ่ยตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงดีใจและท่าทางเธอจะวิ่งไปหาพวกก๊วนของผมและเปิดโฟนแล้วครับ (ที่รู้เพราะว่าผมได้ยินเสียงของเพื่อน ๆ ที่ถลากันเข้ามาหาโทรศัพท์มือถือเครื่องนี้)


“สวัสดีพรีม สนุกไหม ขอบใจนะที่เป็นห่วง กรหายแล้ว แข็งแรงแล้วล่ะ” ผมตอบพรีมไป ซึ่งคำตอบของผมทำให้เธอและเหล่าสหายที่กำลังเสนอหน้าอยู่ส่งเสียงยินดีตอบกลับมา


“ดีแล้วจ้ะ หายก็ดีแล้ว พรีมดีใจนะที่กรไม่ได้เป็นอะไรมากนะ โล่งใจจังเลย” พรีมพูดตอบกลับมาทำเอาผมซึ้งใจ แต่มันก็มีฝ่ายปากหมาที่พูดแหย่ผมอยู่เหมือนกัน “ยังไม่ตายอีกเหรอวะเพื่อนกร ดวงแข็งจริง ๆ มรึง” เสียงของเพื่อนบาส เพื่อนเจมส์พูดแทรกมาพร้อมกับเสียงคนอื่นอีกมากมายที่เฮกันมาคุยกับผม ท่าทางวันที่ผมล้มไปนี่จะทำให้รุ่นพี่และเพื่อนทั้งคณะเป็นห่วงจริง ๆ ตามคำบอกเล่าของพี่ศิสินะ


ผมพูดคุยเล่นกับพวกเขาไปอีกสักพัก สายตาก็พลางปรายมองท่าทีของคนข้างกาย ดูเหมือนว่าพี่ศิจะเริ่มหงุดหงิดซะแล้วล่ะครับ ผมก็เลยจัดการแกล้งต่อซะเลย “เออนี่ พอกลับมาจากค่ายแล้ว เข้าหน้าร้อนพอดี ไปทะเลกันไหม ไปช่วงสงกรานต์เลย จะได้ไปเล่นน้ำแถวนั้นเลย สนป่ะ” ผมเอ่ยชวนก๊วนเพื่อน ๆ ของผมพร้อมกับเลื่อนนิ้วไปกดเปิดสปีกเกอร์โทรศัพท์เพื่อนให้คนที่นั่งข้าง ๆ ผมได้ยิน แต่ผมก็แสร้งเอามือถือไปวางที่คอนโซลหน้ารถแล้วทำเป็นหยิบนั่นหยิบนี่ในกระเป๋าของตัวเอง แต่ใจจริงแล้วที่ผมเปิดสปีกเกอร์นั้นเพราะว่าผมอยากให้พี่ศิแกได้ยิน (และเพื่อแกล้งพี่ศิเขาด้วย ผมแค่อยากให้เขาได้ยินบทสนทนาของผมกับเพื่อน ๆ ครับและมีอีกอย่างที่ผมอยากทำแต่อันนี้ผมขออุบเงียบไว้ก่อนนะครับ ไว้ให้พี่ศิแกเผลอตัวออกมาก่อนครับและนั่นหละเวลาแห่งการเอาคืนของผม)


“โหย แผนเที่ยวนี้ดีวะกร เฮ้ย เพื่อนกรบอกว่าหลังจากเรากลับจากค่ายสงกรานต์ไปเที่ยวกันเปล่า” เสียงของทุกคนต่างร้องเรียกกัน ส่วนผมก็นั่งยิ้มชั่วร้ายอยู่ สภาพตอนนี้ของพี่ศิเริ่มจะไม่สู้ดีแล้วล่ะครับ ผมเชื่อเลยว่าที่พี่ศิแกเอ่ยปากถามผมว่าผมอยากไปทะเลไหม อันนี้พี่ศิแกเตรียมการไว้นานแล้วแน่นอน และถ้าเกิดมันผิดแพลนขึ้นมา พี่แกคงรู้สึกแย่น่าดู ผมนั่งเอามือเท้าคางกันพร้อมส่งรอยยิ้มไปให้พี่ศิ หูก็พลางฟังเสียงเพื่อน ๆ พูดคุยกันไปสักพักในที่สุด เสียงของไอเจมส์ก็ตอบกลับมาพร้อมกับเสียงทุ้มของพี่ศิที่เอ่ยสวนกลับไป “เฮ้ย…กรพวกกรูตกลงกันแล้วว่าจะปะ...”


“กรครับ ไปทะเลกับพี่เถอะครับ พี่ขอร้อง” เมื่อประโยคนี้ถูกตะโกนออกมาจากปากพี่ศิแบบนี้ก็เท่ากับว่าผมนายรณกร win แล้วล่ะครับ ผมไม่ได้คิดแค่จะให้พี่ศิแกได้ยินบทสนทนาของผมเท่านั้น ผมยังอยากให้พี่ศิแกเสียฟอร์มต่อหน้า (แม้จะไปแค่เสียงก็เถอะ) เพื่อนผมด้วย  ปกติผมมักจะโดนพี่ศิแกล้งให้เสียฟอร์มต่อหน้าเพื่อน ๆ แต่บางทีผมก็อยากเอาคือพี่ศิบ้างก็เท่านั้นและตอนนี้มันก็สำเร็จแล้วครับ พี่ศิแกติดกับผมเข้าเต็มเปา


ผมหันไปส่งรอยยิ้มชั่วร้ายให้กับพี่ศิ ก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง ส่วนเพื่อน ๆ ของผมนี่ต่างตะโกนล้อเลียนพี่ศิกันเสียยกใหญ่ และตอนนี้พี่ศิท่าทางจะรู้ตัวแล้วล่ะครับว่าแกโดนผมแกล้งเอา นั่นก็เป็นเพราะใบหน้าคมของพี่ศินี่แดงยิ่งกว่าตอนผมโดนดึงไปซบที่อกพี่เขาเสียอีก


เสียงเพื่อนของผมนี่ยังคงพูดล้อพี่ศิกันไม่หยุด ส่วนผมนี่นั่งขำจนน้ำตาไหลแล้วล่ะครับ และสภาพการณ์แบบนี้ยังคงดำเนินต่อไปจนพวกผมทั้งสองคนถึงคอนโด


ผมซึ่งลงจากรถก็ยังคงเดินกอดช่อดอกไม้ที่พี่ศิให้และคุยโทรศัพท์ของเพื่อนๆอยู่ ส่วนพี่ศิเหรอครับ ตอนนี้รับหน้าที่เป็นเจเนอรัลเบ้ถือกระเป๋าให้ผมอยู่ครับ ผมเดินตรงเข้าไปในลิฟต์และความฉิบ (หาย) ของผมก็เกิดขึ้นครับ เพราะทุกท่านก็น่าจะรู้ดีว่าการที่เราเข้ามาในลิฟต์แล้วสัญญาณมือถือจะหายไป ซึ่งไอเรื่องนี้มือถือยี่ห้อดังอย่าง แอป –beep- ก็ไม่เว้นครับ เมื่อบานประตูปิดลง เสียงของคู่สนทนาของผมก็หายไปพร้อมกับสัญญาณโทรศัพท์มือถือ


ผมยืนนิ่งสนิทอยู่ภายในลิฟต์ ก่อนจะเม้มปากตนแน่น ออร่าไม่น่าไว้ใจแผ่กระจายมาจากทางด้านหลังของผมพร้อมกับร่างสูงที่ค่อย ๆ เขยิบเข้ามาประชิด


“กรครับ…เมื่อครู่นี้รู้สึกว่าจะหัวเราะชอบอกชอบใจน่าดูเลยนะครับ” เสียงทุ้มกระซิบแผ่วเบาข้างใบหูของผม ส่วนผมที่โดนกระซิบข้าง ๆ หูน่ะเหรอ…ขนลุกตั้งแต่หัวจรดเท้าเลยครับ ไอตอนที่ผมคิดจะแกล้งพี่ศิ ผมไม่ได้คิดผลลัพธ์ที่ตามมาครับ ดังนั้นผมก็เลยไม่สามารถตอบโต้อะไรพี่ศิไปได้นอกจากการพูดว่าครับตอบกลับไป


“คะ...ครับพี่ศิ” ผมด้วยด้วยน้ำเสียงสั่นกลัว  (อันนี้นี่ผมกลัวจริงนะครับ พวกคุณก็รู้คนอย่างว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์ร้ายกาจแค่ไหน!)


“ทำไมเสียงสั่นแบบนั้นล่ะครับ กร” น้ำเสียงเย็น ๆ นิ่ง ๆ ยังคงพูดอยู่ข้างหูของผม มือกร้านค่อย ๆ ยกขึ้นมาแตะที่บ่าของผมและดันให้ผมออกจากลิฟต์ไป (พอดีประตูลิฟต์นี่เปิดตรงชั้นที่ 14 พอดีครับ )ผมสาวเท้าตามแรงดันและไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้อง 1404 ซึ่งเป็นที่พำนักของพี่ศิรวิทย์ครับ



ร่างสูงเอี่ยวตัวมาปลดล็อคบานประตูพร้อมกับร่างสูงดันให้ผมเดินเข้าไปในห้อง และเมื่อบานประตูห้องปิดลงอีกครั้งคราวนี้แหละมันคือคราวซวยเวอร์ชั่นฉิบ (หาย) ของผมแล้วครับ ร่างสูงนั้นพาผมไปนั่งที่โซฟา ส่วนตัวเองก็ไปจัดเตรียมอะไรต่าง ๆ นานาในห้องครัว พี่ศิเดินออกมาจากห้องครัวพร้อมกับจานของว่างกับแก้วน้ำส้มสองแก้ว ผมไม่รู้ว่าพี่ศิจะทำอะไรและไม่ทันที่ผมจะได้ถามอะไรกับพี่เขา  ร่างสูงที่เคยยืนอยู่เมื่อสักครู่ก็ทิ้งตัวลงนอนบนตักของผม พร้อมกับดวงตาที่ปิดสนิทลง


“บทลงโทษ ตักของกรต้องเป็นหมอนให้พี่หนึ่งอาทิตย์” พี่ศิพูดพร้อมกับหลับตาลงใบหน้าคมของพี่ศินั้นดูอ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด ท่าทางการเรียนไปด้วยและดูแลผมที่นอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาลไปด้วยท่าทางมันจะทำให้พี่ศิเหนื่อยน่าดูเลยนะครับ ผมก้มหน้ามองลงไปที่ใบหน้าของเขา ก่อนจะใช้นิ้วเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าของพี่ศิอยู่ ผมจ้องมองอย่างนั้นไปสักพักและในท้ายที่สุดผมก็ตัดสินใจถอดแว่นของพี่ศิออกให้



v
v
v
v
v
v
v
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 28] 10/12/2013 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 10-12-2013 18:34:35
ใบหน้าคมยามไร้แว่นช่างดูไม่คุ้นตา ทว่ามันกลับทำให้ผมรู้สึกเก้อเขินขึ้นมายังไงก็ไม่รู้สิ ครั้นจะจับสวมแว่นแบบเดิมก็ไม่ได้ ผมจึงได้แต่จำใจปล่อยให้ร่างสูงกว่านอนหลับบนตักต่อไป ส่วนผมก็นั่งดูทีวีไปและกินขนมไปครับ เวลาผ่านไปสักสามสิบนาทีคนที่นอนหลับอยู่บนตักของผมก็ลืมตาตื่นครับ มือกร้านถูกยกขึ้นมาขยี้ตาเบาๆ ผมหัวเราะในท่าทางนั่น ก่อนส่งแว่นตาของเขาที่อยู่ในมือผมไปให้


“พี่ศิครับ แว่นอยู่นี่ครับ” ร่างสูงที่รู้สึกยังไม่ตื่นดียื่นมือมารับแว่นมาด้วยความงุนงง ก่อนจะกางขาแว่นเพื่อใส่มัน (บางทีผมก็รู้สึกว่าพี่ศินี่ดูดีทุกมุมมองเกินไปนะครับ เพราะพี่แกดูดีแม้กระทั้งตอนตื่นนอนและที่สำคัญไปกว่าการตื่นนอนของพี่ศิเวลาพี่เขาถอดแว่นนี่…โค-ตะ-ระ ดูดีเลยครับ ใบหน้ายามไร้แว่นของพี่แกเล่นเอาผมใจเต้นไปวูบหนึ่งเลย)


“กรครับ พี่หลับไปกี่นาทีเนี่ย” ร่างสูงที่ยันกายขึ้นหันมาถามผมพร้อมกับเซทผมตัวเองให้เข้าที่


“ก็ราว ๆ สามสิบนาทีได้ครับ หิวหรือเปล่าอ่ะ พี่ศิยังไม่ได้ทานข้าวกลางวันเลย นี่ก็จะบ่ายสองโมงแล้ว” ผมพูดตอบพร้อมกับปรายตาไปมองที่นาฬิกาที่ตั้งอยู่บนทีวี เมื่อผมพูดเช่นนั้นพี่ศิก็แสดงอาการตกใจออกมาพร้อมกับหันหน้ามาทางผม “ปวดท้องหรือเปล่าครับ กร” ที่พี่ศิถามผมแบบนี้ นั่นก็เป็นเพราะว่าถ้าผมทานข้าวไม่ตรงเวลา ผมจะปวดท้องมาก ๆ ครับ แต่วันนี้ผมไม่เกิดอาการปวดท้องเท่าไหร่เลยนะ นั่นเป็นเพราะว่าผมกินขนมที่พี่ศิแกเอามาให้ผมไปนิดหน่อยแล้วก็ได้มั้งครับ แต่การที่พี่ศิแกทักผมมาแบบนี้ ท้องของผมก็เริ่มจะร้องครวญครางนิดหน่อยแล้วล่ะครับ


“ยังไม่ปวดครับ แต่พี่ศิทักมา ท้องกรก็เริ่มจะร้องแล้วอ่ะ” ผมส่ายหัวปฏิเสธ แต่ผมก็เอามือลูบท้องที่เริ่มครวญครางเบา ๆ ซึ่งพี่ศิที่เห็นท่าทางแบบนั้นของผม เขาก็หลุดยิ้มออกมาก่อนจะลุกขึ้นตรงไปที่ห้องครัวเพื่อทำอาหารกลางวัน (แม้ว่าช่วงเวลากลางวันมันจะเลยมาร่วม 2 ชั่วโมงแล้วก็เถอะครับ) ผมนั่งกอดเข่ามองดูโทรทัศน์ไปสักพัก ถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสองถ้วยก็วางตรงหน้าของผมครับ คราวนี้พี่ศิเอาอาหารประจำชาติไทยมาให้ผมทาน แต่มาม่าฝีมือพี่ศิไม่ธรรมดาหรอกนะครับ! ไม่ใช่แต่มาม่าใส่น้ำร้อน แต่มาม่าสูตรพี่ศิใส่ไข่ใส่หมูสับ (หมักปรุงรส) ด้วยนะครับ! และที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือมันอร่อยมากเลยครับไอมาม่าสูตรพี่ศิเนี่ย แต่เสียอย่างครับ พี่ศิมักจะไม่ทำให้ผมกินเพราะว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไม่ค่อยดี ของกินที่ดีจริงๆ ต้องพวกข้าว ผักและเนื้อสัตว์ครับ


“ว้าว มาม่า กรไม่ได้กินมาตั้งหลายวันแล้ว โอย..น่าอร่อยจังเลย” ผมพูดด้วยน้ำเสียงยินดีพร้อมกับเอื้อมมือไปถือถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปขึ้นมาทานอย่างเอร็ดอร่อย


“พี่ไม่ค่อยอยากให้กรกินเลย แต่ช่วยไม่ได้เพราะไม่มีอะไรที่จะทำได้รวดเร็วเท่านี้อีกแล้ว เพราะถ้าไม่หาอะไรให้กรกินให้หนักท้อง เดี๋ยวกรก็ปวดท้องขึ้นมาอีก อันนั้นจะแย่ยิ่งกว่า” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงข้าง ๆ ผมพร้อมกับเอื้อมมือไปถือถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปขึ้นมากินเช่นเดียวกับผม เราสองคนนั่งทานกันไปดูโทรทัศน์กันไปสักพัก ในที่สุดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในถ้วยของผมและพี่ศิก็หมดลง ผมถือถ้วยของตัวเองไว้พร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบถ้วยของพี่ศิ เพื่อที่จะเอาไปทำความสะอาด ซึ่งคุณพี่ศิรวิทย์แกก็ยอมให้ผมจัดการครับ ผมลุกขึ้นเดินพร้อมกับถือถ้วยชามที่ต้องทำความสะอาดสายตาก็พลางเหลือบมองไปยังพี่ศิที่ยังคงนั่งอยู่บนโซฟา ท่าทางแบบนั้นพี่ศิคงยังจะไม่หายเพลียนะครับ เพราะร่างสูงนั้นล้มตัวลงนอนอีกครั้งแล้วล่ะครับ


ผมได้แต่อมยิ้มมองท่าทางของพี่ศิที่อ่อนเพลีย ก่อนจะทำความสะอาดจานและเครื่องครัวทั้งหมดให้พี่ศิ และเมื่อภารกิจทั้งหมดนั้นเสร็จสิ้น ผมก็เดินไปนั่งบนโซฟาเดี่ยวที่ตั้งอยู่ข้างๆโซฟายาวที่พี่ศิแกนอนอยู่ พร้อมกับยกขาขึ้นมากอดเข่าสายตาก็พลางมองร่างสูงที่ยังคงหลับสนิทอยู่แบบนั้น


ท่าทางการดูแลผมเวลาป่วยมันน่าจะหนักจริงๆ สงสัยคงต้องให้รางวัลกับพี่ศิโดยการไปเที่ยวทะเลตามคำชวนของเขาแล้วมั้งครับแบบนี้


ผมยังคงนั่งมองพี่ศิต่อไป เสียงโทรทัศน์ยังคงแทรกมาเรื่อยๆ แต่ผมกลับไม่ได้ใส่ใจมันเลยสักนิด ผมยังนั่งกอดเข่ามองพี่ศิต่อไปเรื่อยๆ จนในที่สุดเสียงเคาะประตูห้องก็ทำให้ผมสะดุ้งพร้อมกับรีบรนลานไปเปิดประตูห้อง


“มาแล้วครับ มาแล้ว” ผมถลาตัวไปเปิดประตูพร้อมกับส่งยิ้มไปให้ผู้มาเยือนที่อยู่ทางด้านนอก ซึ่งคนที่อยู่ทางด้านนอกก็เป็นใครไม่ได้เลยนอกจากสองสหายสุดซี้ของพี่ศินั่นเองครับ


“น้องกรของพี่วิ มาเตรียมตัวเป็นว่าที่เจ้าสาวที่ห้องของไอศิมันเหรอ” เสียงพี่วิดังขึ้นพร้อมกับร่างเล็กของเธอที่แทรกตัวเข้าไปในห้อง พี่วิสาวเท้าเดินไปยังห้องนั่งเล่นที่พี่ศิแกนอนอยู่ รอยยิ้มร้ายของพี่วิก็คลี่ยิ้มออกมาพร้อมกับตะโกนเรียกผมให้หาปากกากันน้ำมาให้ ดูเหมือนว่าพี่วิแกคงอยากจะแกล้งพี่ศิที่กำลังหลับอยู่มั้งครับแบบนี้  ซึ่งเรื่องแบบนี้ผม…ขอสนับสนุนพี่วิเต็มที่เลยครับ ผมวิ่งวนในห้องพร้อมกับหาปากกาเมจิกมาให้พี่วิกับพี่เตอร์กันคนละแท่ง ส่วนผมก็ยืนรอชมผลงานของพี่ ๆ ทั้งสองอย่างใจจดใจจ่อ


พี่วิเปิดปากกาเมจิกกันน้ำพร้อมจ่อปลายปากกาไปที่ใบหน้าของพี่ศิ ส่วนพี่เตอร์ก็เปิดปลอกปากกาเมจิกกันน้ำเตรียมจ่อรอคิวเสียบต่อพี่วิครับ และในขณะที่พี่วิจะจรดปลายปากกาลงไปบนใบหน้าของพี่ศิเปลือกตาหนาที่เคยปิดสนิทก็ลืมตื่น พี่วิถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกใจ ส่วนพี่เตอร์รีบทิ้งหลักฐานที่อยู่ในมือของตัวเองทันที


“เธอตั้งใจทำอะไร วิรดา” เสียงทุ้มเอ่ยนิ่งสนิท ดวงตาทั้งสองข้างของพี่ศิจ้องเขม่งไปยังปากกาเมจิกที่อยู่ในมือของพี่วิ


“เปล่าจ้ะ วิรดาไม่ได้ตั้งใจจะทำอะไรศิรวิทย์เลยนะคะ เนอะรเณศ เนอะน้องรณกร” พี่วิพยายามเอ่ยปากปฏิเสธ แต่ในเมื่อหลักฐานมันคามือของเธออยู่ ข้อแก้ตัวอะไรของพี่วิก็ช่วยเธอไม่ได้ครับ แต่ก็ยังดีที่พี่ศิแกไม่ได้ถือสาอะไรพี่วิเขาครับ ร่างสูงยันตัวขึ้นพร้อมกับใช้มือหยิกปากกาเมจิกกันน้ำมาเสียบปลอกพร้อมกับลุกขึ้นยืนมาหาผม


“ทำไมไม่ปลุกพี่ล่ะครับ นี่ก็เข้าช่วงเย็นแล้ว เดี๋ยวเย็นนี้กรได้กินมาม่าอีกหรอก” พี่ศิพูดพร้อมกับขยี้หัวของผมเบา ๆ ใบหน้าคมนั้นส่งรอยยิ้มน้อย ๆ ทว่าร่างสูงนั้นยังคงแสดงอาการอ่อนเพลียออกมาอยู่อีก


ผมยกมือขึ้นไปดึงมือของพี่ศิออกมาจากหัวของผมพร้อมกับทำแก้มป่องน้อย ๆ ใส่พี่ศิไป “ก็กรเห็นพี่ศิเพลียนี่นาก็เลยไม่อยากจะปลุก อยากให้นอนพักผ่อนแบบเต็มที่” ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะงอนพี่ศิออกไป


ซึ่งไอบรรยากาศงอนง้อพวกนี้มันเกิดขึ้นโดยที่ผมกับพี่ศิลืมนึกถึงพี่วิรดากับพี่รเณศไปเลยครับ ร่างสูงนั้นเดินจูงมือผมเข้าไปในครัวพร้อมกับถามนั่นถามนี่ผม ว่าผมนั้นอยากจะทานอะไร ซึ่งในท้ายที่สุดพี่วิก็ทนไม่ไหวพร้อมกับแผดเสียงกรีดร้องออกมาซะดัง


“ไอศิ ถ้าพวกแกจะสวีทหวานกันแบบนี้ พวกฉันกลับก็ได้ คนเค้าอุตส่าห์เป็นห่วง เห็นหน้าซีด ๆ ตอนราวด์รอบเช้าเลยมาเยี่ยม…แต่พอเพื่อนมาหาด้วยความเป็นห่วง แกกลับสวีทหวานกับสุดที่รัก นี่มันจะมากไปแล้วนะโว้ย เห็นเพื่อนเป็นอะไรวะ” เสียงพี่วิกรีดร้องเพราะทนไม่ไหวกับบรรยากาศสวีทหวาน? ที่ผมกับพี่ศิสร้างขึ้น ซึ่งเมื่อเสียงของพี่วิเงียบล คุณพี่ศิรวิทย์ที่รักของทุกคนก็ปรายตามองไปที่ร่างของหญิงสาวพร้อมกับกล่าวถ้อยคำที่โคตรจะไม่รักษาน้ำใจพี่วิแกออกมา


“ก็กลับไปดิ” พี่ศิหันไปตอบพี่วิแบบไม่คิด ซึ่งพี่วินี่แทบจะกระโดดมางับคอพี่ศิเขา ทว่าประโยคที่เอ่ยออกมาจากริมฝีปากหนานั้นยังไม่จบลง เสียงทุ้มเอ่ยออกมาอีกครั้งและครั้งนี้ทำให้พี่วิแทบจะหันมากระดิกหางใส่พี่ศิเลยล่ะครับ “ถ้าจะกลับก็ไม่ได้กินข้าวเย็น วันนี้จะทำสเต็ก คำนวณไว้แล้วว่าพวกแกจะมาก็เลยเตรียมเนื้อไว้แล้ว ถ้าพูดแบบนี้ยังจะกลับอยู่หรือเปล่า”


ผมหันไปมองพี่ศิที่พูดออกมาลอยแล้วก็หลุดขำออกมาเบาๆ ถ้าพี่ศิอยากจะชวนเพื่อนให้ทานข้าวเย็นด้วยกันแบบนี้ ไม่ต้องทำเป็นเก๊กก็ได้ครับ แค่บอกไปตรง ๆ เท่านั้นก็จบแล้ว


เฮ้อ…แต่ว่าที่พี่ศิทำแบบนี้ มันก็สมกับเป็นพี่ศิแล้วแหละครับ ถ้าเกิดพี่ศิไม่เย็นชากับคนรอบข้างหรือเพื่อนๆ  คนๆนั้นก็ไม่ใช่พี่ศิครับ (แต่สำหรับผมอาจจะเป็นข้อยกเว้นก็ได้มั้งครับ)


เมื่อเสียงของพี่ศิเงียบลง พี่วิก็รีบวิ่งเข้ามาให้ห้องครัวพร้อมกับคว้าผ้ากันเปื้อนมาใส่เพื่อช่วยพี่ศิ และพี่เตอร์ก็ทำเช่นเดียวกันกับพี่วิครับ ดังนั้นในตอนนี้ภายในห้องครัวมีผู้ชายร่างสูงแออัดกันอยู่ 3 คน และหญิงสาวร่างผอมบางอีก 1 คน ซึ่งสภาพการณ์ในตอนนี้ผมผู้ทำงานครัวไม่เป็น (นอกจากการทำเบเกอรี่) ก็ขอตัวออกจากห้องครัวก่อนแล้วกันนะครับ


ผมถอดผ้ากันเปื้อนออกจากตัวพร้อมกับสาวเท้าไปนั่งรอที่โต๊ะทานข้าวที่ตั้งอยู่ไม่ห่างจากห้องครัว ผมนั่งเตะเท้าไปมารอพวกพี่ ๆ เขาช่วยกันทำกับข้าว พอมานั่งมองดูแบบนี้แล้วมันก็เพลินดีเหมือนกันครับ มองพี่ ๆ แต่ละคนทะเลาะกัน ตีกันเรื่องวิธีการทำอาหาร ต่างคนต่างสไตล์กันครับ พี่ศิทอดสเต็กและทำน้ำเกรวี่ พี่วิทำน้ำสลัด และสุดท้ายพี่เตอร์หั่นผักที่ใช้ทำสลัดครับ (ความจริงคนที่ทะเลาะมีแค่พี่ศิกับพี่วิเท่านั้นแหละครับ พี่เตอร์แกใช้สมาธิในการหั่นผักมากเพราะแกกลัวโดนมีดบาดครับ) มองเท้าคางมองพี่ ๆ ตีกัน เอ้ย...เถียงกันเรื่องทำอาหารไปอีกสามสิบนาที ในที่สุดเสต็กฝีมือพี่ศิก็เสร็จครับ อ่อ..สลัดผักฝีมือพี่วิกับพี่เตอร์ก็เสร็จแล้วด้วยเหมือนกัน


ทั้งสามคนค่อย ๆ ทยอยกันเอาอาหารมาวางที่โต๊ะทานข้าว ซึ่งผมก็ทำตัวเป็นเด็กดีหยิบแก้วน้ำและช้อนส้อมมาวางเรียงกันตามจำนวนคนที่อยู่ในห้องครับ พอทุกอย่างจัดเรียงกันจนครบขั้นตอนต่อไปนั่นก็คือการกินครับ


ผมเดินไปนั่งที่ประจำที่อยู่ตรงข้ามกับพี่ศิ ส่วนพี่วิกับพี่เตอร์กำลังตบตีแย่งชิงที่นั่งกันครับ ด้วยเหตุผลที่ว่าสเต็กในจานของที่นั่งข้างพี่ศิมันชิ้นใหญ่กว่าอีกจาน พี่ ๆ ทั้งสองเลยแย่งชิงกันว่าใครจะสเต็กชิ้นนั้นไปครับ ผมได้แต่เท้าคางมองภาพนั้นด้วยความปลง ก่อนจะนั่งหั่นเสต็กทานตามพี่ศิไป ผ่านไปสองนาทีพี่วิกับพี่เตอร์แกก็ตกลงกันได้ครับเพราะพี่เตอร์แกใช้ทริกสุดท้ายในการเข้าข่มขู่พี่วิ ซึ่งคำข่มขู่นั่นทำให้พี่วิเดินคอตกมานั่งข้าง ๆ ผม (พวกคุณอยากรู้ไหมครับว่าคำข่มขู่นั่นมันคือคำข่มขู่แบบนั้น…มันเป็นคำที่ผู้หญิงทุกคนกลัวยังไงครับ ไอคำว่า ‘อ้วน’ น่ะ)


พวกเราทั้งสี่คนทั่งทานอาหารในจานของตัวเองไปสักพัก ในที่สุดผมกับพี่ศิก็ทานกันหมด ซึ่งผมกับพี่ศิทานกันหมดก่อนพี่วิกับพี่เตอร์ครับ เราทั้งสองก็เลยนั่งคุยกันไปหยอกล้อกันไปพลางรอพี่ ๆ อีกสองคนนั่งทานกันจนหมดครับ และอีกสิบนาทีต่อมาพี่วิกับพี่เตอร์ที่ตบตีแย่งชิง (สเต็กที่ชิ้นใหญ่กว่า) ก็ทานกันจนเสร็จครับ ด้วยเหตุนี้ผมก็ทำหน้าที่เป็นคนทำความสะอาดครับ เพราะว่าพี่ ๆ ทั้งสามคนเป็นคนทำอาหารให้ทานแล้ว ผมก็ต้องตอบแทนด้วยการทำความสะอาดถ้วยชามทั้งหมดให้นั่นเอง


ผมยันกายให้ลุกขึ้นพร้อมกับยื่นมือไปเก็บจานที่วางอยู่เบื้องหน้าทุกคนมารวมกันและยกมันไปวางไว้ที่อ่างล้างจาน ซึ่งพี่ศิแกก็ไม่ปล่อยให้ผมทำความสะอาดคนเดียวครับ ร่างสูงลุกขึ้นเดินตามผมและทำหน้าที่เดิมก็คือคอยล้างน้ำยาล้างจานให้ส่วนผมล้างน้ำเปล่าครับ


พี่วิกับพี่เตอร์ที่ทานกันจนอิ่มพี่ ๆ ทั้งสองคนก็ทำหน้าที่เดิม (เหมือนกับผมที่ทำหน้าที่เดิมคือการล้างจาน แต่สำหรับพี่เขาทั้งสองคนนั่นก็คือการนอนกลิ้งบนโซฟาและพื้นครับ) ในบริเวณห้องนั่งเล่นครับ


ผมยืนล้างจานและเครื่องครัวกับพี่ศิไปสักครู่หนึ่ง พี่วิกับพี่เตอร์ที่ดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออกก็ตะโกนออกมาจากห้องนั่นเล่นเพื่อขอตัวกลับหอของตัวเองไปก่อนครับ  ซึ่งพี่วิกับพี่เตอร์ก็น่ารักกันมากครับ ก่อนจะออกจากประตูไปยังมีมอบถ้อยคำส่งท้ายทำเอาผมอยากจะปล่อยเบลอเรื่องรุ่นพี่รุ่นน้องไปกระโดดยันพี่เขาสักทีสองทีเลยครับ


“น้องกรครับ ไอศิครับ เพื่อนเตอร์กับเพื่อนวิขอตัวกลับก่อนนะครับ พอดีไม่อยากอยู่เป็น ก ข ค คู่สามีภรรยาที่ภรรยาเพิ่งหายป่วยจากไข้ครับ” พี่เตอร์แกโบกมือลาและออกจากห้องไปก่อน ส่วนพี่วิผู้ใจกล้าและไม่เกรงกลัวพี่ศิ  เธอเดินเข้ามากุมมือของผมครับ แต่รู้สึกว่าแกไม่ได้ตั้งใจแค่จับมือของผมเท่านั้น เพราะผมรู้สึกว่าพี่วิแกยัดอะไรใส่มือผมมาด้วย เหมือนมันน่าจะเป็นกล่องกระดาษใบเล็ก ๆ ครับ หลังจากที่พี่วิแกส่งมอบของปริศนาให้ผม เธอก็ปล่อยมือพร้อมกับเดินยิ้มและวิ่งออกไปจากห้องของพี่ศิ
ผมได้แต่มองตามแผ่นหลังของทั้งสองคนด้วยความงุนงง ก่อนจะมองสิ่งที่อยู่ในมือหัวเองและกรีดร้องออกมาเสียงดังลั่นห้อง “เฮ้ยยย!!...นี่มัน!...พี่วิ พี่ให้อะไรผมมา”


ผมเดาหน้าตาของพี่วิกับพี่เตอร์แกออกเลยครับว่าหลังจากที่แกให้ของบ้าๆนี่กับผมแล้ว ทั้งสองคนจะแสดงสีหน้าออกมาเป็นแบบไหน ทุกๆคนอยากรู้ใช่ไหมครับว่าสิ่งที่พี่วิแกให้ผมมันคืออะไร…ไอผมกระดากปากจะพูดแบบสุดๆ แต่สิ่งที่พี่วิแกให้มามันก็คือ ‘กล่องถุงยางอนามัยยี่ห้อดูเร็กซ์ กลิ่นสตอเบอร์รี่’ ครับ  แถมมันไม่ได้มีแค่สิ่งนั้นนะครับ พี่วิกับพี่เตอร์แกพากันพร้อมใจเขียนกระดาษโน๊ตแปะไว้บนกล่องด้วยและในกระดาษแผ่นนั้นก็เขียนว่า


‘พรุ่งนี้ไอศิมันมีเรียน อย่าหนักหนานะน้องกร พวกพี่เป็นห่วงว่ามันจะไม่มีแรงเรียน จากพี่วิ’ ประโยคนี้เป็นประโยคที่พี่วิแกเขียนให้ผมครับ


ส่วนข้อความของพี่เตอร์เป็น ‘พี่ไม่รู้ว่ากล่องเดียวมันจะพอไหมนะน้องกร แต่ก็อย่างหนักหน่วงแล้วกัน ไอศิมันเพลียจากการดูแลกรที่โรงพยาบาลมา 5 วัน ส่วนกรก็เพิ่งหายป่วยแต่ก็ห้ามไม่ได้ใช่ไหมล่ะ ดังนั้นก็ก็อย่าหนักหน่วงแล้วกันนะครับ จากพี่เตอร์’


พวกพี่ทั้งสองคนคิดว่าผมเป็นอะไรกับพี่ศิครับ ผมนี่แทบจะปากล่องถุงยางอนามัยลงบนพื้น แต่ก็ห้ามใจไว้และเดินเอาหลักฐานที่พี่วิกับพี่เตอร์แกล้งผมไปให้พี่ศิดู ผมยื่นกล่องถุงยางนั่นไปให้พี่ศิด้วยใบหน้าสีแดงก่ำ “พี่ศิ! เพื่อนของพี่ศิแกล้งกรอ่ะ บ้าไปแล้ว เอาของแบบนี้มาให้กรทำไมก็ไม่รู้แถมเขียนอะไรอีกด้วย”


เสียงโวยวายของผมทำให้พี่ศิหันมามองหน้า ก่อนจะก้มลงมองไปที่ฝ่ามือของผม พลันใบหน้าของพี่ศิก็ขึ้นสีแดงก่ำไม่แพ้ผม ก่อนจะหยิบของที่อยู่ในมือผมโยนลงถังขยะไป ริมฝีปากหนาพึมพำคำด่าออกมาแทบไม่เป็นภาษา ส่วนมือของพี่เขาก็ควานหาโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าเพื่อโทรหาสองสหายสุดแสบของตน และไม่ต้องเดานะครับว่าพี่ ๆ ทั้งสองคนนั้นจะรับสายโทรศัพท์หรือเปล่าขอตออบเลยว่า ‘พี่วิกับพี่เตอร์ไม่มีทางรับสายแน่นอน’


เมื่อพี่ศิรัวแป้นพิมพ์ทัชสกรีนจนหนำใจ พี่ศิแกก็โยนโทรศัพท์ของตนไปบนโต๊ะพร้อมกับเอานิ้วทั้งสองข้างนวดบริเวณขมับ
“พี่ศิครับ เป็นอะไรมากไหมครับ” ผมเอ่ยถามออกไปด้วยความเป็นห่วง แต่เสียงของผมที่เอ่ยออกไปทำให้พี่ศิแกสะดุ้งและหันหน้ามามองที่ผมด้วยแววตาประหม่าเล็กน้อย ซึ่งสายตานั่นทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับว่าพี่ศิโดนแฉความลับอะไรบางออกมา ผมกอดอกมองหน้าพี่ศิด้วยแววตาสงสัย ผมมองไปมาระหว่างกล่องถุงยางที่พี่ศิแกโยนลงไปในถังขยะใบหน้าคมของพี่ศิ และในที่สุดผมก็รู้ถึงความจริงที่แสดงออกมาทางสีหน้าและแววตาของพี่ศิรวิทย์ ซึ่งเป็นที่รักของทุกคนครับ พี่ศิแกคิดถึงเรื่องอย่างว่าอยู่ครับ พอผมรู้ความคิดของพี่ศิเข้า ผมนี่แทบจะคว้าหมอนอิงปาใส่หน้าพี่ศิอย่างแรงเลยครับ แต่ก็นะผมรู้ว่าพี่ศิแกไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นกับผม (หรือคิดผมก็ไม่รู้ครับ) ครับ ไม่งั้นผมคงโดนพี่แกจัดการไปนานแล้วล่ะ


ผมกอดอกมองพี่ศิที่หน้าแดงก่ำ ซึ่งเช่นเดียวกับใบหน้าของผมก็แดงก่ำเช่นกัน ใบหน้าของเราสองคนต่างหันหน้าหนีซึ่งกันและกัน จนในที่สุดผมก็กล้าที่จะเอ่ยพูดออกไป ซึ่งประโยคแรกที่ผมเอ่ยออกมานั่นคือคำขอตัวกลับห้องของตัวเอง “พี่ศิ นี่ก็สามทุ่มแล้ว กรขอกลับห้องก่อนนะ”


ผมพูดพร้อมกับเดินไปหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าและช่อดอกไม้ช่อใหญ่ที่พี่ศิให้ผมไว้ ผมกอดมันไว้และเดินตรงไปยังประตูทว่าขาทั้งสองข้างของผมก็หยุดลงเพราะฝ่ามือกร้านที่ตรงมาคว้าข้อมือของผมไว้ ใบหน้าคมนั้นยังคงขึ้นสีแดงก่ำ ริมฝีปากหนาค่อย ๆ เปิดออกพร้อมกับเอ่ยถ้อยคำออกมา


“กรครับ เรื่องที่พี่...ชวนว่ายังไงเหรอครับ” ผมเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยพร้อมกับทบทวนความทรงจำของตัวเอง แต่ดูเหมือนผมจะทบทวนความทรงจำนานไปหน่อยจนพี่ศิเขาต้องเอ่ยถามออกมาอีกครั้ง “ที่พี่พูดชวนกรไปทะเลไง” สิ้นเสียงคำถามนั่น ผมก็ทำหน้าตาเหมือนจะนึกออก ผมพยักหน้าตอบพี่ศิไปน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยขอตัวออกจากห้องไปอีกครั้ง


และเมื่อบานประตูห้อง 1404 ปิดลง ร่างของผมก็วิ่งถลาเข้าห้องของตัวเองทันที และเมื่อผมเข้าไปในห้องของตัวเองแล้วร่างของผมก็ทรุดตัวนั่งลงไปที่พื้นพร้อมมือข้างหนึ่งที่ถูกล้วงเข้าไปในกระเป๋า เพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมา ผมโปรแกรมแอปพลิเคชั่น Line ออกมาพร้อมกับส่งข้อความข้อความหนึ่งไปให้พี่ศิ


“เรื่องไปทะเล กรโอเคครับ…แล้วเสาร์อาทิตย์หน้า กรจะไปหาซื้อชุดว่ายน้ำใหม่ ไปเป็นเพื่อนกรนะครับ ตอนเย็นๆก็ได้ ตกลงแล้วนะครับพี่ศิ”



____________________________________


>[]< ขอบคุณที่ติดตามมาตลอดนะคะ


ปล.ถ้าใครเล่นเฟวจะทราบว่าเดือนเมษามีงานออริอีเว้น (ทางพลอยก็จองไปแล้วหละคะส่วนอะไรที่จะลงความลับซะที่ไหน)



หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 28] 10/12/2013 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: RenaBee ที่ 10-12-2013 18:50:16
ให้ผู้ชายเลือกชุดเนี่ยแปลว่าอยากให้เค้าถอดด้วยรึป่าวจ๊ะน้องกร :hao7:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 28] 10/12/2013 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Loste ที่ 10-12-2013 18:53:44
ชอบพี่ศิจุงเบย :-[
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 28] 10/12/2013 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 10-12-2013 19:01:33
เพื่อนพี่ศิเพื่อนน้องกรช่วยกันเชียร์ดีเหลือเกิน
แค่นี้น้องกรก็หวั่นไกวกับพี่ศิอยู่แล้ว รอเวลาให้มันสุกงอมกว่านี้

รอทริปสวีทที่ทะเล
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 28] 10/12/2013 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 10-12-2013 19:26:31
รอฉากสวีทหวานที่ทะเล  :-[

 :L2: :กอด1: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 28] 10/12/2013 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 10-12-2013 20:05:57
หึหึ ทิ้งทำไมพี่ศิไม่เก็บไว้ใช้กับน้องกรเหรอ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 28] 10/12/2013 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 10-12-2013 21:06:10
ฮาพี่ศิอ่ะ >< โอ๊ยชอบบบบ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 28] 10/12/2013 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: omyim_jjj ที่ 10-12-2013 23:09:50
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 28] 10/12/2013 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: yymomo ที่ 11-12-2013 13:58:20
 :laugh:   มาแล้วสินะ สถานที่เสียหนุ่ม  :hao7:  ไปเที่ยวกานม๊ายยย จะไปก็รีบป๊ายยยย ไปกับแล้วซาบ๊ายยย แล้วพี่พาไปกินตับๆๆๆ  :laugh:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 28] 10/12/2013 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: j123 ที่ 11-12-2013 19:58:51
เป็นความรักที่ค่อยเป็นค่อยไป น่ารักดี
คนเขียนอัพเดทบ่อยดี ชอบมาก  :mew1:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 28] 10/12/2013 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: MoMoRin ที่ 11-12-2013 21:43:30
เมื่อไหร่จะได้กันคะพี่ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 28] 10/12/2013 P.9
เริ่มหัวข้อโดย: j123 ที่ 12-12-2013 02:49:18
เมื่อไหร่จะได้กันคะพี่ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ไม่ใช่ว่าได้กันปุ๊ปแล้วเรื่องก็จบเลยนา  :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 29] 14/12/2013 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 14-12-2013 20:31:18
สวัสดีค่า พลอยนะคะ ช่วงนี้เราอาจจะเจอกันไม่บ่อยสักหน่อยนะคะแต่เจอกันไม่บ่อยแต่พลอยรักคนอ่านทุกคนหมดใจนะเออ


แต่วันนี้พลอยจะมากล่าวอะไรที่หน้าเศร้าสักเล็กน้อยนะคะ นิยายเรื่อง Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน (ว่าที่) คุณหมอจะจบภายในตอนที่ 35 ค่ะ เนื้อหาทั้งหมดพลอยแต่งเสร็จตั้งแต่เดือน ตุลาแล้วหละคะแต่เราอุบเงียบไว้ ซึ่งนิยายของพลอยนั้นจะมีตอนพิเศษราวๆ 6 - 7 ตอนค่ะ บางตอนจะลงในเล้าแห่งนี้และบางตอนอาจจะไม่ได้ลงค่ะ เพราะพลอยอาจจะรวมเล่มนิยายเรื่องนี้ค่ะ สอบถามไง้ก่อนค่ะว่าสนใจกันไหน





Chapter 29




พวกคุณก็เป็นเหมือนกับผมใช่ไหมครับ ว่าทุกครั้งที่เราจะไปเที่ยวที่ไหน ยกตัวอย่างเช่น น้ำตก ภูเขา หรือว่าทะเล เราทุกคนจะต้องไปซื้อของใช้ใหม่อย่างเช่นชุดว่ายน้ำ เสื้อตัวใหม่ หรือรองเท้าคู่ใหม่ ที่ผมเกริ่นมาแบบนี้ ทุกคนก็น่าจะรู้แล้วใช่ไหมครับ ว่าตอนนี้ผมยืนอยู่ที่ไหน ถ้าทุกๆคนจำได้ว่าเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ผมไปตกลงอะไรกับพี่ศิเขา ทุกคนก็จะรู้ว่าตอนนี้ผมยืนอยู่ในห้างสรรพสินค้า เบื้องหน้าผมตอนนี้คือแผนกกีฬาไงล่ะครับ


วันนี้ที่ผมมาที่แผนกนี้ก็เพราะว่าผมจะซื้อชุดว่ายน้ำชุดใหม่ครับ ตายแล้ว ผมรู้สึกตื่นเต้นจังเลยที่จะได้ซื้อชุดว่ายน้ำใหม่แบบนี้ ผมไม่ได้ซื้อชุดว่ายน้ำมาตั้งแต่ม.5 แล้วนะเนี่ย ผมเดินเข้าไปในแผนกชุดว่ายน้ำพร้อมกับเดินดูไปทั่ว จับตัวนั้นมาดูหยิบตัวนี้มาลอง บ้างก็หันไปชูให้คนที่มาเป็นเพื่อนผมช่วยดูให้ ซึ่งคนที่ผมชวนให้มาด้วยกันก็คือคนที่ชวนผมไปทะเลนั่นแหละครับ


“พี่ศิ ตัวนี้เป็นยังไงมั่ง” ผมวิ่งกระดิกหาง(?) ไปหาพี่ศิพร้อมกับชูชุดว่ายสีดำคาดน้ำเงินให้พี่ศิดู ซึ่งพี่ศิแกก็ส่ายหัวไปมาซึ่งเป็นผลสรุปว่าไม่ผ่านครับ ผมจึงจำใจก้มหน้าก้มตาเก็บชุดว่ายน้ำชุดนั้นแล้วก็เลือกชุดว่ายน้ำชุดใหม่มาแทน ผมวิ่งปรี่ไปรอบๆ แผนกกีฬา ไล่หาชุดว่ายน้ำชุดแล้วชุดเล่า มันก็ไม่ผ่านสำหรับพี่ศิอยู่ดี หรือว่ารสนิยมของผมมันจะผิดเพี้ยนเอามากๆล่ะเนี่ย ผมทรุดตัวลงไปนั่งช็อคที่พื้น แต่ในที่สุดพี่ศิก็ยอมเอ่ยแสดงความคิดเห็นออกมา ผมแหงนหน้าไปมองพี่ศิด้วยสายตามีความหวัง


“ไม่ใช่รสนิยมกรไม่ดีหรอกครับ แต่พี่คิดว่ามันดูจะสั้นไปหน่อย ถ้าทรงนั้นเดี๋ยวนี้กางเกงว่ายน้ำไม่ได้มีแค่รูปแบบๆนั้นอย่างเดียวแล้วล่ะครับ ถ้าพี่เป็นกร พี่จะเลือกแบบกางเกงเล่นเซิร์ฟอย่างตัวนี้ ตัวขาของกางเกงว่ายน้ำจะยาวกว่าทรงแบบเก่า กรลองดูสิครับ” พี่ศิพูดพร้อมกับก้มลงไปหยิบกางเกงเล่นเซิร์ฟขายาวสามส่วนขึ้นมาหนึ่งตัวพร้อมกับยื่นมาให้ผม ซึ่งผมก็รับมันมาถืออยู่ในมือและก้มลงมองกางเกงตัวนั้น ซึ่งผมวิเคราะห์อยู่ประมาณ 10 วิ ผมก็ตัดสินใจซื้อกางเกงว่ายน้ำตัวนี้ทันทีครับ


ผมโบกมือเรียกพนักงานขายพร้อมกับหยิบแบงก์สีเทาให้เขาไปสองใบ โดยผมก็ไม่รู้ราคามันหรอกครับว่ามันราคาเท่าไหร่ แต่จ่ายไปเท่านั้นก็น่าจะพอล่ะมั้ง ผมยืนกอดอกรอพนักงานที่เดินไปที่เคาท์เตอร์จ่ายเงินเวลาผ่านไปราว ๆ 3 นาที ร่างของพนักงานก็เดินกลับมาพร้อมกับยื่นเงินทอนให้ผม ‘ให้ตายเถอะครับ กางเกงว่ายน้ำมันแพงขนาดนี้เลยหรือไง’ ผมนี่เหงื่อตกกับราคากางเกงว่ายน้ำเลยครับ ผมซื้อไปแล้ว คราวนี้ก็เหลือพี่ศิเลือกครับ พี่ศิใช้เวลาเลือกและเวลาจ่ายเงินไม่ถึง 5 นาทีตอนนี้ถุงของชุดว่ายน้ำของพี่ศิก็อยู่ในมือของพี่ศิเขาเรียบร้อย


ผมมองพ่อคนใจง่าย(?) ที่รับถุงจากพนักงาน ก่อนจะเดินหิ้วถุงของตัวเองไปแผนกเครื่องแต่งตัวบุรุษ คราวนี้ผมจะเดินไปดูชุดลำลองสำหรับใส่เล่นที่ทะเลครับ และที่ดูคงเป็นกางเกงขาสามส่วนและเสื้อมีฮู้ดตามสไตล์ที่ผมชอบใส่ครับ การไปเที่ยวทะเลกับพี่ศิครั้งนี้ นี่ผมแทบจะซื้อของใหม่ยกแผงเลยครับ (แต่ให้ทำไงได้ล่ะ ผมไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่มาตั้งกี่เดือนแล้วก็ไม่รู้ พอได้มาเดินดู เดินซื้อ มันก็พาลทำให้อยากซื้อไปหมด ก็เลยถล่มซื้อมันรวดเดียวไปเลยดีกว่า สบายกว่าเยอะ แถมไม่ต้องมาเดินดูอะไรหลาย ๆ รอบด้วย) ใหม่ยกแผง ไม่เว้นแม้กระทั้งกางเกงในตัวใหม่ (พูดแบบนี้ออกไปจะน่าเกลียดไหมครับเนี่ย)


และเมื่อผมเดินไปถึงแผนกเครื่องแต่งกายบุรุษ ผมก็จัดการวิ่งไปทั่วแผนกอีกครั้ง และทำเช่นเดิมครับ คือยกเสื้อผ้ามาทาบกับตัวและให้พี่ศิแกช่วยดูให้ แต่ครั้งนี้พี่ศิแกไม่ได้ส่ายหัวไปมาเหมือนทุกๆครั้งครับ เพราะครั้งนี้พี่ศิแกพยักหน้าว่าผ่านรัวๆ เลยล่ะครับ ซึ่งไอการพยักหน้ารัว ๆ นั้นทำให้มือของผมนี่เต็มไปด้วยเสื้อผ้ากางเกง เสื้อฮู้ดและอะไรจิปาถะเยอะแยะไปหมดเลยครับ ซึ่งค่าเสียหายนี่คงไม่ต่ำกว่าสี่ห้าพันแน่นอน (แต่ดีที่ผมมีบัตรลดราคา 50 เปอร์เซนอยู่ แถมบางบูทก็จัดโปรโมชั่นลดราคาเลยสบายกระเป๋ามาหน่อยหนึ่ง) ผมเดินเลือกเสื้อผ้าไปอีกสิบนาที ในที่สุดผมก็เดินไปทั่วแผนกเครื่องแต่งกายบุรุษและเสื้อผ้าในมือผมก็เริ่มระรานไปยังแขนทั้งสองข้างของพี่ศิครับ


ร่างสูงที่ยืนอยู่ทางด้านหลังผมได้แต่ยิ้มแห้งๆให้ ส่วนผมก็เรียกพนักงานที่คอยเดินตามให้เอาเสื้อผ้าและข้าวของทั้งหมดไปจ่ายเงิน


“คุณพนักงานครับ ช่วยเอาของทั้งหมดนี่ไปคิดเงินหน่อยครับ นี่บัตรลดราคา แล้วนี่ก็…” ผมกำลังล้วงกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบบัตรเดบิตที่คุณป๊ากับคุณม๊าให้ไว้ แต่มันก็ไม่ทันผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างๆผมครับ ผู้ชายคนนั้นยื่นบัตรเครดิตสีทองให้พนักงานไปเรียบร้อยแล้ว ผมหันไปถลึงตาใส่พี่ศิ ก่อนจะเอามือตีบ่าพี่เขาไปหนึ่งที


“นี่ของของกร มาจ่ายเงินอะไรให้กรเนี่ย” ผมหันไปบ่นอุบอิบใส่พี่ศิ ซึ่งผมไม่พอใจพี่เขาจริงๆนะครับ คือมันไม่ใช่อะไรหรอก ผมแค่เกรงใจพี่เขามากๆก็เท่านั้นเอง “เอาเงินคืนไปเลย ไม่รู้เท่าไหร่แต่ก็เอาไปเลย” ผมพูดพร้อมกับหยิบแบงก์พันสามสี่ใบคืนไปให้พี่ศิ และเป็นที่แน่นอนเลยครับว่าเฮียแกไม่ยอมรับเงินพวกนั้น ผมนี่ทำแก้มป่องใส่พี่ศิไปทีแล้วก็ยัดแบงก์พวกนั้นใส่กระเป๋าเสื้อเชิ้ตของพี่ศิและเดินหนีไป


ผมทำถึงขนาดนี้แล้ว พี่ศิจะไม่เอาเงินของผมก็เชิญครับ แต่พี่ศิแกก็จะเอาเงินทั้งหมดนั่นมาคืนผมตอนนี้ไม่ได้เพราะว่าหนึ่ง พี่ศิแกต้องรับของทั้งหมดที่ถูกนำไปที่เคาท์เตอร์จ่ายเงิน และ สอง พี่ศิแกต้องรอรับบัตรเครดิตสีทองของแกคืนครับ ดังนั้นถ้าพี่ศิแกจะไม่เอาเงินของผมก็เหลือวิธีโยนแบงก์ทั้งหมดทิ้งไว้ที่พื้นนั่นแหละครับ (ซึ่งพี่ศิแกไม่ทำแน่นอนครับ เพราะพี่แกต้องหาเรื่องเอาเงินทั้งหมดนั่นมาคืนให้ผมให้ได้อยู่ดี แม้มันจะถูกคืนมาให้ในรูปแบบของกินหรือของใช้ก็เถอะ)


ผมเดินออกมาจากแผนกเครื่องแต่งกายบุรุษพร้อมกับเดินขึ้นบันไดเลื่อนไปเพื่อขึ้นไปเดินเล่นในร้าน B2S ครับ ซึ่งที่ไปก็คิดจะเข้าไปดูอะไรเล่นเท่านั้นแหละครับ ผมเป็นคนชอบเดินดูอะไรพวกนี้ แต่ไม่ค่อยซื้อครับเพราะซื้อไปก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร  ถ้าซื้อไปนี่คงเอาไปเก็บเสียมากกว่า ดังนั้นก็เดินดูแล้วฟินเบา ๆ พอครับ (ผมเป็นพวกชอบชอบจุกจิกน่ารัก ๆ นะครับ แต่เรื่องนี้ต้องเงียบไว้เพราะมีคนรู้ว่าผมชอบของแนว ๆ นี้มีไม่กี่คนครับ)


ผมเดินไปทั่วร้าน ในที่สุดผมก็เห็นของน่าสนใจเข้าครับ สมุดโน้ตแพ็กคู่สลับสีกัน ผมเดินตรงไปยังจุดที่วางขายสมุดโน้ตนั่นทันที (นอกจากผมเป็นพวกชอบของเล็ก ๆ น่ารัก นุ่ม ๆ ฟู ๆ แล้วของที่ผมชอบอีกอย่างหนึ่งก็คือการซื้อสมุดโน้ตสะสมครับ ตอนนี้ไม่อยากจะบอกว่ามีเต็มห้อง แต่แทบไม่เคยใช้เขียนอะไรเลย) ผมก้มหน้ามองไล่สมุดโน้ตนั่น ในที่สุดผมก็เจอสมุดโน้ตคู่สีที่ผมอยากได้ครับ แถมมันเหลืออยู่เพียงคู่เดียวในกองซะด้วย สมุดโน้ตสีฟ้าอ่อนที่เป็นสีที่ผมชอบและสมุดโน้ตสีดำเป็นสีที่พี่ศิชอบครับ ผมหยิบสมุดโน้ตคู่นั้นขึ้นมาสมุดโน้ตคู่นั้นถูกใส่ไว้ไปแพ็กเกจของมันเป็นอย่างดี ผมมองมันแล้วอมยิ้มออกมาจาง ๆ ก่อนจะคว้ามันเพื่อเอาไปจ่ายเงิน


ผมไม่รู้หรอกนะครับว่าทำไมผมถึงอยากซื้อมัน แต่ในความรู้สึกของผม…ผมอยากได้อะไรที่มันเป็นเซทเข้าคู่กันสำหรับผมกับพี่ศิครับ ถึงแม้ราคาของสมุดโน้ตคู่นี้มันจะไม่สูงมากเหมือนสร้อยคู่ แหวนคู่ หรือกำไลคู่ก็เถอะ ผมก็คิดว่าสิ่งที่ให้ด้วยใจมันมีคุณค่าทางจิตใจมากไม่แพ้ราคาของหรอกครับ (แต่ว่าต่อให้ซื้อสร้อยคู่ แหวนคู่ กำไลคู่ เอาง่าย ๆ คือพวกเครื่องประดับคู่รักนั่นแหละครับ ผมก็คงให้พี่ศิแกไม่ได้อยู่ดี เพราะว่าผมกับพี่ศิยังไม่ได้เป็นอะไรกันเลย เราเป็นแค่คนสำคัญของกันและกันเท่านั้นเอง แม้มันจะเป็นในมุมมองความคิดของผมก็เถอะ)


ผมเดินหิ้วถุงออกมาจากร้าน B2S พอผมเดินออกมาจากร้านได้ไม่ถึง 5 ก้าว พี่ศิที่รอพนักงานที่เอาของไปที่เคาท์เตอร์จ่ายเงินพี่แกก็เดินมาถึงบริเวณหน้าประตูทางเข้าร้านพอดี ผมรีบเอาถุงของร้านแอบไว้ทางด้านหลังพร้อมกับส่งรอยยิ้มกว้างไปให้พี่ศิ


“ค่าเสื้อของกรสามพันก้าวร้อยสี่สิบสามบาทครับ ราคานี้ใช้บัตรลดราคา 50 เปอร์เซนและรวมโปรโมชั่นของแต่ละบูทแล้วครับ” ร่างสูงเอ่ยด้วยรอยยิ้มมือทั้งสองข้างนั้นหอบหิวถุงของห้างสรรพสินค้าเต็มไปหมด เมื่อผมเห็นเช่นนั้นผมก็รีบวิ่งไปช่วยพี่ศิถือทันที (จะไม่ช่วยได้ยังไงครับ ในมือของพี่ศิเกินครึ่งเป็นของของผม ถึงจะมีของของพี่ศิปนอยู่บ้างก็เถอะ แต่น้อยกว่าของของผมเยอะ)


“เอามานี่ เดี๋ยวกรช่วยถือ” ผมเอื้อมมือไปหยิบของในมือพี่ศิ แต่พี่ศิก็ไม่ยอมให้ผมถือครับเพราะว่าเมื่อผมเดินไปพี่แกก็ตีเนียนเดินนำไปครับ ผมจึงได้แต่เดินตามไปอย่างเดียว


‘พี่ศินะครับพี่ศิ จะทำตัวเป็นสุภาพบุรุษไปไหนเนี่ย ผมไม่ใช่สาวน้อยสักหน่อยนะ แต่ช่วยไม่ได้ เขาอยากวางฟอร์มเป็นสุภาพบุรุษก็ปล่อยเขาไป’ ผมมองแผ่นหลังที่ก้าวเดินนำไปด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะสาวเท้าเดินตามไปขนาบข้าง


“พี่ศิหิวหรือยัง...นี่จะหกโมงเย็นแล้วนา” ผมถามออกมาลอยๆ มือทั้งสองข้างที่ถือถุงเสื้อผ้าไว้ถูกยกกลับหลังไปพาดที่บ่าของตัวเอง ซึ่งคำถามที่ผมถามไปนั้นไม่ได้ต้องการคำตอบหรอกครับ ต่อให้พี่ศิเขาตอบมาว่าไม่หิว แต่ผมก็ยังจะกินครับนั่นก็เป็นเพราะผมหิวแล้วนั่นเอง


ร่างสูงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ผมก็พยักหน้าเบา ๆ เป็นคำตอบไอผมนี่ยิ้มแก้มแทบปริเลยครับ “แล้วกรอยากทานอะไรเหรอครับ พี่ยังไงก็ได้ เอาที่กรอยากทานนั่นแหละ” ร่างสูงเอ่ยขึ้นซึ่งมันเป็นคำตอบประจำที่พี่ศิแกตอบผมมาครับ เพราะว่าผมหิวหรือผมอยากกินอะไร พี่ศิมักจะให้ผมเป็นคนเลือกร้านอาหารเสมอครับ


ผมเดินนำไปเบื้องหน้าของพี่ศิพร้อมกับชี้ไปที่ MK สุกี้ พี่ศิก็พยักหน้าตอบพร้อมกับเดินนำเข้าไปภายในร้าน พนักงานแต่ละคนที่มองพี่ศิแกตาเป็นมันเลยครับ ไอผมนี่จะบอกว่าไม่พอใจก็ไม่พอใจอยู่หรอก แต่จะให้พูดออกไปได้ยังไงล่ะว่าผม…อาจจะหึงพี่ศิเขาอยู่


ผมเดินตามพี่ศิไปยังโต๊ะที่พนักงานนำทางไปพร้อมกับหย่อนก้นลงไปนั่งที่โซฟาเต็มแรง และที่ที่ผมนั่งคือที่นั่งข้างพี่ศิครับ ส่วนของที่ซื้อมาทั้งหมดถูกอัปเปหิไปอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งการนั่งแบบนี้ ผมไม่เคยนั่งมาก่อนครับ เพราะมันไม่ค่อยสะดวกตอนกินเท่าไหร่นัก


ปกติเวลาผมกับพี่ศิมานั่งทานข้าวกันสองคน เราจะนั่งหันหน้าเข้าหากันตลอด แต่คราวนี้ไม่รู้เป็นยังไง ผมถึงได้มานั่งข้างพี่ศิแถมเขยิบไปซะชิดพี่เขาด้วยครับ ส่วนคุณพี่ศิรวิทย์ที่รักของทุกคนเขาก็ไม่ว่าผมนะครับ หนำซ้ำยังยิ้มพอใจเสียอีกที่ผมเข้าไปนั่งเบียดพี่แก


ร่างสูงรับเมนูมาเปิดสั่ง ส่วนผมโบกมือเป็นการปฏิเสธว่าไม่เอาครับที่ไม่เอามันก็มีเหตุผลนะครับที่มันก็ไม่ได้กว้างมากผมก็คิดว่าจะดูเมนูเล่มเดียวกับพี่ศินั่นแหละ ผมหันไปสะกิดพี่ศิเขาเบาๆ พร้อมกับมุดหัวเข้าไปดูเมนูด้วย ดังนั้นสภาพของผมกับพี่ศิตอนนี้ก็ประมาณผมเข้าไปนั่งซุกพี่ศิครับ แล้ววงแขนของพี่ศิก็คล้าย ๆ โอบบ่าของผมอยู่ ผมไม่ได้มีเจตนาจะทำให้สาว ๆ ที่หมายปองพี่ศิผิดหวังอะไรเลยนะครับ ผมก็แค่ทำตามความเคยชินเหมือนตอนที่อยู่คอนโดเท่านั้นเอง (เพราะปกติเวลาพี่ศิอ่านหนังสือบนโซฟา ผมจะนั่งเกาะโซฟาอยู่ด้านหลังแล้วเอาคางเท้าบ่าของพี่ศิครับ อารมณ์คนขี้เกียจเดินไปนั่ง บ้างก็เอาตัวนั่งพิงพี่ศิแล้วชะโงกหน้าดูหนังสือในมือพี่ศิ ดังนั้นการที่ผมมุดหัวเข้าไปดูเมนูในวงแขนของพี่ศิก็เป็นเรื่องปกติที่เราทำกันเป็นประจำครับ)


พนักงานสาวที่กำลังยืนรอออเดอร์ของโต๊ะผมเธอทำหน้าตกใจ ส่วนสาวๆในร้านที่หมายตาพี่ศินี่ยกมือขึ้นมาปิดปากและทำหน้าผิดหวังกันเป็นแถบ ๆ


เราทั้งสองคนสั่งของกินที่อยากกินกันไปเรื่อยๆ จนในที่สุดผมก็รัวสั่งเมนูมาเสียจนไม่น่าจะกินหมด ไม่ว่าจะเป็นหมี่หยก เป็ดย่าง ของสดต่าง ๆ (แถมผมบีบคอพี่ศิด้วยว่าอย่าสั่งชุดผักมา พี่เขาก็เลยจำใจก็เลยเปลี่ยนจากชุดผักเป็นชุดเห็ดแทนครับ) ซึ่งพวกเราทั้งสองคนก็ใช้เวลารอไม่ถึงห้านาทีของต่าง ๆ ก็ถูกนำมาเสิร์ฟจนเต็มโต๊ะครับ


การกินเอ็มเคของผม สูตรการกินจะแปลกนิดหน่อยครับ เพราะว่าผมจะตักน้ำซุปใส ๆ ที่อยู่ในหม้อมาใส่ถ้วยของตัวเองก่อนครับและก็ตามด้วยใส่พวกเห็ดและของทะเลลงไปลวกครับ ซึ่งผมมักจะลวกไม่ค่อยสุกมากครับและผมก็จะโดนพี่ศิแกดุพร้อมกับจับมือผมให้ลวกของที่อยู่ในตะแกรงเพิ่มครับ (ทำไงล่ะ ผมไม่ชอบของทะเลที่ลวกสุกมากนี่นา…กินแล้วมันอร่อยกว่าอ่ะ พอลวกสุกเนื้อของทะเลมันก็จะแข็ง ผมเลยไม่ชอบกินไง) ผมก็เลยแต่ทำหน้ามุ่ยไม่พอใจ แต่ก็จำใจยอมลวกของทะเลต่อเวลาผ่านไปอีกสองสามนาที พี่ศิแกก็ปล่อยมือผมและยอมให้ผมเอาของทะเลที่ลวกไว้ตักใส่ถ้วยส่วนตัวของผมครับ ผมหันไปเบ้ปากใส่ร่างสูงกว่าที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะตักของที่อยู่ในถ้วยส่วนตัวเข้าปากไป


ผมกับพี่ศิใช้เวลานั่งกินสุกี้กันนานเอาเรื่องเลยล่ะครับ เพราะออกจากร้านมามันก็เป็นเวลาเกือบจะทุ่มครึ่งแล้วครับ ผมยืดตัวและบิดไปมาพร้อมกับออกปากชวนพี่ศิกลับคอนโด “พี่ศิ กลับบ้านกันเถอะ กรอยากกลับบ้านแล้ว” ซึ่งร่างสูงก็พยักหน้าตอบตกลงและเดินนำไปที่ลานจอดรถครับ ส่วนของที่ผมซื้อมันก็ไปอยู่ในมือของพี่ศิทั้งหมดแ ต่ก็ยังมีถุงหนึ่งถุงที่ผมไม่ยอมให้พี่ศิแกถือครับ เพราะถุง ๆ นั้นคือถุงที่ผมแวะซื้อตอนที่พี่ศิแกไม่อยู่นั่นเอง ผมถือถุงใบนั้นไขว้หลังไว้แล้วเดินตามพี่ศิไปติด ๆ พอผมเดินถึงรถ พี่ศิก็ทำหน้าที่เดิมคือการเปิดประตูรถให้ผมขึ้นไปนั่ง (ส่วนของที่ซื้อมาพี่ศิแกยัดเข้ารถไปหมดแล้วครับ เหลือแต่ถุงที่ผมถือไว้อย่างหวงแหน)


ผมก้าวขึ้นรถไปพร้อมกับนั่งจุ้มปุ๊กอยู่หน้ารถ ส่วนพี่ศิก็เดินวนไปยังที่นั่งคนขับพร้อมกับเหยียบคันเร่งให้รถเคลื่อนตัวออกจากลานจอดรถ ผมกอดถุงใส่สมุดโน้ตแน่นตลอดทาง จนในที่สุดรถยนต์ของพี่ศิก็ขึ้นไปจอดยังลานจอดรถของคอนโด (ความจริงพี่ศิแกก็ส่งสัยนะครับ ว่าผมถืออะไร มันเป็นความลับมากหรือไง แต่ผมก็ไม่บอกพี่เขาอยู่ดี) เมื่อรถจอดสนิทผมก็ช่วยหิ้วของส่วนหนึ่งออกจากรถและรีบวิ่งไปที่ลิฟต์ครับ ผมกดลิฟต์เพื่อที่จะขึ้นลิฟต์ก่อนพี่ศิและผมก็ได้ขึ้นลิฟต์ก่อนสมใจหวังครับ และเมื่อลิฟต์เคลื่อนที่ขึ้นไปถึงชั้นที่ 14 ผมก็ใส่เกียร์หมาอีกครั้งพร้อมกับวิ่งปรี่เข้าห้องของตัวเองไป


อย่างแรกที่ผมจัดการนั่นก็คือ สมุดโน้ตสองเล่มที่อยู่ในแพ็คครับ ผมจัดการแกะแพ็กเกจที่ถูกจัดมาไว้อย่างสวยงามทันทีและเริ่มละเลงลายมือตัวเองลงไปบนหน้าแรกสุดของสมุดโน้ตเล่มสีดำ และเมื่อผมเขียนข้อความทั้งหมดของผมเสร็จ ผมก็เดินอย่างมีความสุขออกไปเคาะประตูห้องของพี่ศิในมือก็ถือสมุดโน้ตแบบเดียวกันแต่คนละสีไว้ ส่วนอีกข้างก็เป็นข้าวของที่ซื้อมา (เพราะต้องเอาไปแยกว่าอันไหนของผมอันไหนของพี่ศิ)


ผมรอเพียงชั่วครู่บานประตูห้อง 1404 ก็เปิดออกและผู้เป็นเจ้าของห้องเชื้อเชิญให้ผมเข้าไปภายในครับ พี่ศิมองใบหน้าที่ยิ้มกว้างของผมด้วยความงุนงง แต่ความสงสัยที่เกิดขึ้นภายในสมองของพี่ศิก็หายไป เมื่อสมุดโน้ตในมือของผมที่ยื่นไปให้พี่เขา “เล่มนี้ของกร…พี่ศิเขียนอะไรให้กรในหน้าแรกหน่อยสิ อ่อ...ยังมีอีก ๆ เล่มนี้ของพี่ศินะ กรเขียนอะไรลงไปให้ในหน้าแรกนิดหน่อย พอดีกรแอบซื้อมาตอนที่พี่ศิไม่ได้อยู่ด้วย กรพยายามปิดเป็นความลับตั้งสามชั่วโมง ในที่สุดก็ได้ให้สักที มันเป็นเซทคู่กันนะ เห็นเปล่า เหมือนกันเลยแล้วเส้นในลายหนังสือก็ต่อกันด้วย” ผมพูดพร้อมกับเอาสมุดโน้ตทั้งสองเล่มมาประกบกันให้พี่ศิดู และเมื่อพี่ศิก้มลงไปดูเพียงช่วงครู่ เขาก็เงยหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ร่างสูงนั้นรับสมุดโน้ตทั้งสองเล่มไว้พร้อมกับเดินไปยังโต๊ะในห้องนั่งเล่นพร้อมกับจรดปากกาลงไปในหน้าแรกของสมุดเล่มนั้น พี่ศิแกใช้เวลาเขียนให้ผมสักสิบนาทีครับ เมื่อพี่ศิเขียนเสร็จพี่เขาก็ลุกขึ้นพร้อมกับยื่นสมุดโน้ตเล่มสีฟ้าคืนมาให้ผมพร้อมกับกำชับว่าให้ผมกลับไปเปิดอ่านตอนที่อยู่ในห้องคนเดียว ผมก็พยักหน้าตกลงครับ


และหลังจากนั้นผมก็ลงไปนั่งแยกเสื้อผ้าของผมออกจากถุงที่พื้นครับ ผมคุ้ยถุงไปเรื่อย ๆ พร้อมกับแยกของของเราสองคนออกจากกัน แต่ผมก็แอบสังเกตนะครับว่าของที่ผมซื้อมักจะเหมือนกับของที่พี่ศิซื้อ ซึ่งความแตกต่างของสิ่งที่เราซื้อนั่นก็คือไซส์เสื้อครับ ผมจะใส่เบอร์ M ส่วนพี่ศิเขาจะใส่เบอร์ L ครับ ผมนั่งแยกไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดผมก็แยกของเสร็จ โดยมันเป็นไปตามที่คาดเดาครับ เพราะของของผมมีมากกว่าพี่ศิแกเกือบเท่าหนึ่ง (เพราะสิ่งที่พี่ศิแกซื้อจะเป็นพวกกางเกงขาสั้นที่ในห้องพี่แกไม่ค่อยจะมี แล้วก็เสื้อยืดคอกลมและชุดว่ายน้ำ) เมื่อผมแยกของเสร็จทั้งหมด เวลาก็มันล่วงเลยไปถึงสี่ทุ่มแล้วครับ ผมรีบกุลีกุจอเก็บของและออกจากห้องของพี่ศิไป แต่ผมก็ไม่ลืมที่จะหยิบสมุดโน้ตคู่ของผมกับพี่ศิไปด้วยนะครับ ผมหอบของพะรุงพะรังเต็มสองมือ (ซึ่งพี่ศิแกมองแล้วว่าสภาพผมนี่ไม่น่าจะรอดถึงห้อง) จนพี่ศิต้องออกมาช่วยผมขนของทั้งหมดกลับห้องไป และเมื่อบานประตูห้องของผมเปิดออก พี่ศิแกก็เดินเอาข้าวของทั้งหมดไปวางไว้ที่โซฟาในห้องพร้อมกับเดินออกจากห้องไป ผมโบกมือส่งพี่ศิไปพร้อมรอยยิ้มพร้อมกับบานประตูห้องที่ค่อย ๆ ปิดสนิทลง


ผมหันหลังไปพิงกับบานประตูที่ปิดสนิท สมุดสีฟ้าอ่อนที่อยู่ในมือถูกเปิดออกพร้อมกับไล่สายตาไปยังตัวอักษรที่เขียนเรียงกันอย่าง (ไม่ค่อยจะ) สวยงาม พลันใบหน้าของผมก็แดงก่ำ หัวใจของผมเต้นสั่นระรัว ตัวอักษรที่พี่ศิแกเขียนมาให้ผมนั้นทำเอาผมเขิน เขินเสียจนไม่รู้จะแสดงออกมาเป็นยังไง ถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความรู้สึก…แม้มันจะเป็นประโยคภาษาอังกฤษสั้นๆ (และผมก็ง่อยภาษาอังกฤษมาก ๆ) ก็ตาม


‘I don't regret the things I have done or the things I have chosen not to do because  whatever I've done, I must have done something right because I ended up with you.’ ฉันไม่เคยเสียใจในสิ่งที่ได้เลือกหรือทำไปแล้ว นั่นเพียงเพราะว่าทุกๆ สิ่งที่ฉันได้ทำคงจะเป็นเรื่องถูกต้องแล้วในเมื่อวันนี้ฉันมีเธออยู่เคียงข้าง


‘พี่ศิ…พี่มันบ้าชะมัดเลย ใครใช้ให้เอาประโยคเดียวกันกับที่กรเขียนมาเขียนใส่ลงในสมุดเล่มเดียวกับกรเล่า’ ผมแทบจะละลายกองอยู่ตรงนั้น เมื่ออ่านประโยคพวกนี้จนหมด ผมไม่รู้ว่าเราทั้งสองคนใจตรงกัน หรือว่าพี่ศิแกแอบอ่านข้อความที่ผมเขียนให้ไปก่อนแล้วแต่เท่าที่ผมรู้ในตอนนี้นั่นก็คือ


ผู้ชายอย่างนายศิรวิทย์เป็นคนที่ชั่วร้ายที่สุดในโลกเลยล่ะครับ…!!!



v
v
v
v
v
v
v
v

หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 29] 14/12/2013 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 14-12-2013 20:36:48



หลังจากวันที่ผมไปช็อปปิ้งกับพี่ศิ เวลามันก็ล่วงเลยมาถึงวันหยุดยาวช่วงเวลาสงกรานต์ครับ แต่ว่าผมกับพี่ศิไม่ได้ก็ไม่ได้เดินทางไปทันทีที่ได้หยุดกันหรอกนะครับ เราทั้งสองคนจะเดินทางในตอนบ่ายของวันที่ 14 เมษายน และกลับมาในตอนเช้าตรู่ของวันที่ 17 เมษายนครับ (นั่นก็เป็นเพราะพี่ศิแกคาดเดาไว้ว่าผมจะไปเล่นน้ำสงกรานต์กับเพื่อน ๆ ในวันที่ 13 และผมก็จะไปไหว้คุณป๊ากับคุณม๊าในวันที่ 14 ช่วงเช้า พี่แกเลยจองโรงแรมในวันที่ 14-17 แทนครับ) สรุปคือเราไปนอนค้างคืนกันสามคืนครับผม


และในตอนนี้ก็คือตอนบ่ายของวันที่ 14 เมษายนครับ หลังจากผมเล่นน้ำสงกรานต์กับสหายทั้งหมดอย่างสุดเหวี่ยงแถมโดนสาวประเภทสองลวนลามจนเกือบเสียตัว(?) และกราบเท้าคุณป๊ากับคุณม๊าเสร็จแล้ว ช่วงเวลาต่อไปก็คือการไปเที่ยวทะเลกับพี่ศิแล้วล่ะครับ จุดหมายที่เราจะไปนั่นก็คือรีสอร์ทที่ปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขีนธ์ ซึ่งรีสอร์ทที่ผมกับพี่ศิจะไปพักกันนั้นติดชายทะเลเลยล่ะครับ แถมมีชายหาดส่วนตัวอีกต่างหาก


ปีนี้มันสุดยอดสำหรับผมจริงๆ นอกจากผมจะได้เล่นน้ำสงกรานต์อย่างสุดเหวี่ยง ผมก็ยังได้ไปเที่ยวทะเลหน้าร้อนที่รีสอร์ทสุดหรู (ที่หาจองได้ยากในช่วงวันหยุดยาว) อีกด้วย


ผมเด้งตัวไปขึ้นรถคันงามของพี่ศิที่จอดเทียบรออยู่หน้าบ้าน แต่ก่อนจะไปคุณป๊าและคุณม๊ายังฝากขนมให้ผมไปนั่งกินเล่นกันในรถและไปกินกันที่ทะเลอีกด้วย ไอตัวผมก็ปฏิเสธไปแล้วแต่คุณป๊ากับคุณม๊าแกไม่ยอม ในที่สุดผมก็ต้องหิ้วกล่องเค้กขึ้นรถไปด้วย พี่ศิที่สตาร์ทรถรออยู่แล้วก็เอื้อมมือมาเปิดประตูรถอีกฝั่งพร้อมส่งรอยยิ้มมาให้ (นี่พี่ศิครับ พี่ไม่ลืมหน้าที่ที่จะเปิดประตูรถให้ผมขึ้นเลยนะครับเนี่ย) ผมนี่กอดอกมองหน้าพี่ศิด้วยสายตาปลงกับการกระทำของเขา ก่อนจะก้าวขึ้นรถไปนั่งในที่นั่งข้างคนขับ และเมื่อผมเตรียมพร้อมเรียบร้อย พี่ศิก็เหยียบคันเร่งเพื่อเคลื่อนตัวรถออกไป


ตลอดทางผมกับพี่ศิแทบจะไม่ได้คุยอะไรกันเลยครับ แต่ไม่ใช่เพราะอาการเขินอายอะไรกันหรอกครับ ผมนั่งเอาไอโฟนพี่ศิมาเสียบหูแล้วนั่งฟัง มือก็พลางตักเค้กในกล่องเข้าปาก (ทีแรกก็ว่าเอามาทำไมมันลำบาก แต่พอเอามาแล้วทำให้รู้สึกได้ว่าถ้าไม่มีมันผมคงหิวตายตลอดทางแน่นอน) และบางทีพี่ศิก็มีสะกิดให้ผมตักป้อนให้พี่แกด้วย ไอผมก็ว่าง่ายครับ ตักใส่ปากพี่แกไปซะหลายคำ ซึ่งผมก็ยัด ๆ ไป ตอนแรกกะจะยัดให้เต็มปากแบบไม่ให้พี่ศิแกเคี้ยวได้ แต่มานั่งทบทวนในสมองแล้วมันน่าจะอันตรายเกินไป ถ้ารถชนขึ้นมา ผมจะซวยไปด้วย ผมก็เลยว่าง่ายตักเข้าปากพี่ศิทีละช้อนพร้อมกับยื่นขวดน้ำดื่มไปให้พี่เขาเป็นระยะๆ  ช่วงเวลาที่เราขับรถกันได้ผ่านไปราว ๆ 1 ชั่วโมงเศษ แต่เราก็ยังไปไม่ถึงไหนกันเลยครับ แม้ว่าเราจะเลื่อนวันเดินทางเป็นวันที่ 14 แล้ว รถบนถนนก็ยังคงติดอยู่ดี ผมนี่ละเหี่ยใจ คราวนี้สงสัยต้องไปเที่ยวตอนช่วงโลว์ซีซั่นซะแล้วล่ะครับ ช่วงวันหยุดยาวนี่จะไปไหนมาไหนก็รถติดจริง ๆ


ไอผมที่ทานเค้กกินขนมซะจนอิ่มมานั่งอืดๆในรถฟังเพลงปลุกใจ(?)ไปก็เริ่มง่วง และตามนิสัยของผม ผมไม่มีทางฝืนสังขารตัวเองแน่นอนครับ ดังนั้นถ้าคนง่วงแล้วต้องทำยังไง…ถ้าเกิดง่วงก็ต้องนอนสิครับ ผมปรับเบาะให้เอนไปทางด้านหลังก่อนจะซุกตัวนอนลงไปบนเบาะ


ร่างสูงที่นั่งอยู่ทางด้านข้างได้แต่ปรายตามองและอมยิ้มออกมาน้อย ๆ แต่พี่เขาก็ไม่ได้กล่าวว่าอะไร ร่างสูงยันคงขับรถต่อไปเรื่อย ๆ และให้ร่างโปร่งบางที่นอนอยู่ทางด้านข้างเข้าสู่ห้วงนิทราไป และเมื่อขับรถไปได้ครึ่งทางน้ำมันในรถก็พร่องลงไปมากกว่าครึ่ง ร่างสูงจึงขับรถไปพลางมองข้างทางไปเพื่อนำรถเข้าไปเติมน้ำมันและเมื่อขับต่อไปได้อีกราว ๆ 500 เมตร พี่ศิก็เจอปั้มน้ำมันสีเขียวรูปใบไม้ครับ มือกร้านหักพวงมาลัยเข้าข้างทางพร้อมกับวนรถเข้าไปเติมน้ำมัน


และเมื่อวนรถเข้าไปจอดสนิทอยู่ในปั้ม ช่วงเวลานั้นก็ทำให้ผมตื่นขึ้นมาครับ ผมหันไปมองรอบ ๆ พร้อมกับเอ่ยปากถามพี่ศิออกไป “ถึงแล้วเหรอพี่ศิ” คำถามนี้ทำให้พี่ศิยกมือขึ้นมาเขกหัวผมเบาๆ พร้อมกับจับหัวของผมให้หันมองไปรอบ ๆ ‘อ่อ…อยู่ในปั้มน้ำมัน’ เมื่อผมได้คำตอบ ผมก็ซุกตัวลงไปนอนกับเบาะรถใหม่ พี่ศิส่ายหัวมองผมด้วยความปลงและปล่อยให้ผมนอนหลับอยู่ในรถไป ส่วนพี่ศิเขาก็เดินออกไปซื้อของในเซเว่นที่ตั้งอยู่ไม่ห่างจากรถครับ และทันทีที่พี่ศิแกกลับเข้ามาในรถกลิ่นซาลาเปาไส้หมูสับไข่เค็มก็โชยเข้ามาในจมูก ซ้ำยังมีกลิ่นเกี๊ยวกุ้งของเจดดราก้อนด้วย ผมนี่ดีดตัวขึ้นมานั่งพร้อมกับตาทั้งสองข้างที่สว่างขึ้นมาทันที


“พี่ศิ กรอยากกินเกี๊ยวกุ้ง เอาซาลาเปาไส้หมูสับไข่เค็มด้วยนะ” ผมนี่ยิ้มออกมาจนแก้มปริ ส่วนพี่ศิก็เริ่มส่ายหัวไปมาด้วยความปลงอีกครั้ง (ผมนี่เอาของกินมาล่อให้ทำอะไร ผมก็ทำหมดแหละครับ แล้วยิ่งของโปรดของผมแบบนี้ด้วยแล้ว ผมยิ่งยอมเลยครับ ยอมตื่นขึ้นมากินเลยนะเนี่ย) พร้อมกับส่งถุงของโปรดทั้งหมดมาให้กับผมครับ ส่วนของพี่ศิจะเป็นไส้กรอกชีสของ CP แล้วก็ซาลาเปาไส้หมูสับไข่เค็มแบบผมครับ


เราทั้งสองคนนั่งกินของกินกันอยู่สักครู่หนึ่ง ในที่สุดเราก็ทานกันจนหมดและก็ได้เวลาเดินทางต่อแล้วครับ ผมหันไปมองนาฬิกาในรถพบว่าตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสามโมงใกล้จะบ่ายสี่โมงแล้ว ผมจึงหันไปสั่งให้พี่ศิเหยียบให้มิดเลยครับ (ประเด็นคือตอนนี้รถไม่ค่อยเยอะแล้วครับ เพราะต่างก็แยกย้ายกันไปตามจังหวัดต่าง ๆ ดังนั้นผมจึงสั่งให้พี่ศิแกเหยียบมิดเลยครับ) แต่ต่อให้ผมพูดไปอย่างงั้น พี่ศิแกก็ไม่ได้ทำตามที่ผมสั่งหรอกครับเพราะพี่ศิถือเรื่องความปลอดภัยเป็นหลัก เพราะพี่แกเหยียบแค่ 120 กิโลเมตร/ชั่วโมงเองครับ (นี่คือเหยียบไม่มิดครับ ถ้ามิดก็ต้อง 160+ กิโลเมตร/ชั่วโมงครับ ตอนนี้แค่ 120 ยังจิบ ๆ ครับ รถคันงามคันนี้ของพี่ศิยังเหยียบให้ไวกว่านี้ได้อีกเยอะ)


ผมนั่งฟังเพลงในไอโฟนของพี่ศิไปเรื่อย ๆ จนตอนนี้แบตมือถือกำลังจะหมดลงแล้วครับ ผมก็เลยก้มหาสายชาร์ตที่คาดว่าจะอยู่ตรงลิ้นชักหน้ารถขึ้นมาเสียบชาร์ตแบตคืนให้กับพี่ศิครับ แต่ผมก็ยังคงใช้โทรศัพท์มือถือของพี่ศิฟังเพลงต่อไปเรื่อย ๆ เวลาล่วงเลยจนเกือบจะหกโมงเย็น (นี่ผมเดินทางมานานเลยนะครับเนี่ย ตั้งแต่บ่ายโมงตรงจนเกือบจะหกโมงเย็นเนี่ย นั่งจนปวดก้นเลยอ่ะ) ในที่สุดผมก็เห็นทะเลอยู่ทางนอกหน้าต่างแล้วครับ รู้สึกดีใจเล็ก ๆ แต่ที่นี่ก็ยังไม่ถึงจุดหมายหรอกครับ เราต้องขับรถไปยังรีสอร์ทที่พี่ศิจองไว้อีก  ผมคาดเดาเวลาไว้ว่าอีกสักสามสิบนาทีก็น่าจะถึงจุดหมาย (ล่ะมั้ง) ครับ ผมเท้าคางมองรถยนต์ที่ติดยาวเหยียดด้วยความปลง ก่อนจะบ่นใส่พี่ศิออกไปว่า ‘คราวหลังอย่าชวนไปเที่ยวอะไร ที่ไหน ในช่วงวันหยุดยาวอีกเพราะว่ารถมันติดมาก’  ซึ่งพี่ศิก็ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ กลับมาและค่อย ๆ เหยียบคันเร่งสลับกับเบรกเพื่อให้รถเขยื้อนตัวไปเรื่อย ๆ


และตามการคาดเดาของผมครับ เราทั้งสองคนใช้เวลามากกว่าสามสิบนาทีเพื่อไปถึงรีสอร์ทที่พี่ศิได้จองไว้ ผมนี่แทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ ในที่สุดก้นของผมก็ได้รับการปลดปล่อยจากเบาะรถครับ


เมื่อเราทั้งสอง (ได้) ก้าวขาลงจากรถ ผมกับพี่ศิก็รีบเข้าไปที่ลอบบี้ของรีสอร์ทนี้ครับ พี่ศิกรอกรายละเอียดสำหรับเช็คอินและรอกุญแจ ซึ่งใช้เวลาแค่ 5 นาทีพวกเราทั้งสองคนก็ได้กุญแจบ้านที่เราทั้งสองคนจะเข้าไปพักแล้วครับ (ครั้งนี้เราไปแบบรีสอร์ทไม่ได้นอนโรงแรมครับ ดังนั้นไอที่ผมซื้อชุดว่ายน้ำมาก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์ครับเพราะมันไม่มีสระว่ายน้ำ) ตัวผมนี่สั่นไปหมดเพราะอยากไปถลาลงบนเตียงนุ่ม ๆ สักที ไอตัวผมก็เลยรีบกระโดดขึ้นรถและเร่งให้พี่ศิขับรถทันที


และรีสอร์ทที่เราได้เข้าพักนั้น มันขับรถเข้าไปจากตัวลอบบี้ของรีสอร์ทมากนักเพราะใช้เวลาในการขับรถราว ๆ 2-3 นาทีเท่านั้น ตอนนี้พวกเราก็ถึงบ้านพักสักที ผมหยิบมือถือขึ้นมาดูเวลาการเดินทางจากกรุงเทพถึงบ้านพักหลังนี้ พวกเราใช้เวลาหกชั่วโมงเกือบจะเจ็ดชั่วโมงเลยล่ะครับ ผมนี่อยากจะงับหัวพี่ศิจริง ๆ คราวหน้าถ้าไปไหนผมจะไปสถานที่ใกล้ ๆ หรือเอาสถานที่ที่มีเครื่องบินไปถึงแทนแล้วครับ ถ้าให้นั่งรถนาน ๆ แบบนี้อีก ผมไม่เอาแล้วครับ เข็ด! แถมเมื่อยตรูดด้วย!


ผมกับพี่ศิช่วยกันขนของลงจากรถเข้าไปในบ้านพัก (ไม่ว่าจะเป็นพวกเสื้อผ้า หรืออุปกรณ์สำหรับเล่นบ้าบออะไรของผมครับ) ซึ่งบ้านพักหลังนี้เป็นแบบสองห้องนอนสองห้องน้ำ มีห้องนั่งเล่นพร้อมกับอุปกรณ์ทำครัว ให้ตายเถอะ มันช่างเป็นบ้านพักที่สะดวกสบายจริง ๆ (ดูเหมือนบ้านหลังนี้ส่วนใหญ่น่าจะเปิดให้พักเป็นแบบครอบครัวครับ อารมณ์พ่อแม่ลูกอะไรแบบนั้น แต่ด้วยสกิลการจองอย่างรวดเร็วของพี่ศิ ซึ่งผมคาดว่า พี่ศิแกน่าจะจองล่วงหน้าเกือบหนึ่งเดือนครับ มันถึงทำให้เราทั้งสองคนได้บ้านพักหลังนี้มาครับ)


เมื่อเราทั้งคู่เอาของลงจากรถและขนย้ายเข้ามาในบ้านจนหมด  ขั้นต่อไปก็คือการเลือกห้องนอนกันและการเลือกห้องนอนนั้นคนที่ได้เลือกก่อนก็คือผมครับ ผมถือคติขวาร้ายซ้ายดี ผมเลยเลือกห้องทางซ้ายทันทีและปล่อยให้พี่ศินอนห้องทางฝั่งขวาไป


ผมเดินหิ้วกระเป๋าที่อัดแน่นไปด้วยเสื้อผ้าเข้าไปในห้อง ซึ่งสไตล์การจัดบ้านของรีสอร์ทนี้จะแบ่งเป็นธีมครับ ซึ่งบ้านแต่ละหลัง เครื่องเรือนและพวกเครื่องใช้จะต่างสไตล์กัน และบ้านหลังที่ผมกับพี่ศิได้เข้าพักจัดเป็นสไตล์วินเทจครับ ทำให้ได้กลิ่นไอคลาสสิกเอาเรื่อง ถ้าคุณป๊ากับคุณม๊ามานี่สงสัยคงกรี๊ดกร๊าดแล้วพากันถ่ายรูปทุกส่วนของบ้านพักแล้วล่ะมั้งครับ แต่ต่อให้คุณป๊ากับคุณม๊าแกไม่มา ผมก็ถ่ายรูปประเคนส่งไปให้คุณป๊าคุณม๊าดูอยู่ดี แต่เอาไว้ก่อนแล้วกัน ตอนนี้ผมอยากนอนชะมัดยาดเลยครับ…แต่ตัวผมก็ไม่ได้นอน เพราะมีมารผจญที่ชื่อศิรวิทย์มาเคาะประตูห้องนอนของผมครับ (จริง ๆ พี่แกจะเปิดเข้ามาเลยก็ได้นะครับ เพราะประตูห้องนอนใบบ้านพักนี้จะไม่มีล็อคครับ แต่ตัวประตูทางเข้าบ้านและประตูที่เชื่อมออกไปยังหาดส่วนตัวของรีสอร์ทนี้จะล็อคอย่างแน่นหนาครับ ไม่ต้องกลัวเรื่องโจรหรือขโมยเลย) ในตอนแรกผมคิดว่าจะเมินเสียงเคาะประตูนั่น แต่ด้วยคำพูดของพี่ศิ ถ้าผมไม่เปิดประตูให้พี่ศิจะบุกเข้ามาในห้อง จึงทำให้ผมเดินโซซัดโซเซไปเปิดประตูพร้อมกับเอ่ยถามพี่ศิออกไป “มีไรพี่ศิ กรง่วงนอน ถ้าไม่มีธุระแค่นี้นะ ไปล่ะ กรจะนอน” ผมถามออกไปแบบไม่ต้องการคำตอบเพราะผมตอบเองมันแล้ว และในขณะที่ผมจะปิดบานประตู พี่ศิก็ยกมือกั้นพร้อมกับส่งรอยยิ้มเย็นเยือกมาให้ผมครับ ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพี่แกเรียกให้ผมออกไปทำอะไร เพราะมันเป็นไปไม่ได้เลยนอกจากทานข้าวเย็นครับ


และมือเย็นก็ไม่ต้องเดาเลยครับว่ามันเป็นอะไรก็เพราะว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยนอกจากอาหารทะเลครับ (กินมากนี่คอเลสเตอรอลสูงนะครับพี่) ผมมองกุ้ง หอย ปู ปลา ปลาหมึกและอีกหลาย ๆ อย่างที่วางอยู่เต็มโต๊ะอาหาร ผมก็จำใจเดินไปหาอาหารเหล่านั้นพร้อมกับนั่งกินอย่างเอร็ดอร่อยครับ แต่ผมนี่เป็นคนไม่ชอบแกะพวกปู กุ้ง หอยกินเลยครับ ก็เลยได้แต่จิ้มปลาหมึกกับเนื้อปลากิน ซึ่งพี่ศิแกก็สงสัยนะครับว่าทำไมผมนี่ไม่แกะพวกกุ้ง หอย ปูกินเลย  ใบหน้าคมทำหน้านึกเล็กน้อย และในที่สุดพี่ศิก็ถึงบางอ้อครับ พี่ศิที่นั่งแกะปูตัวแรกเสร็จแล้วก็ประเคนปูในจานของตัวเองมาให้ผมครับ ไอผมนี่ยิ้มจนแก้มปริและนั่งแทะปูที่พี่ศิแกะให้ และสิ่งที่พี่ศิแกะให้ผมกินก็ไม่ได้มีแค่ปูนะครับ ไม่ว่าจะเป็นกุ้ง หอย ปู ปลา พี่ศิแกนี่แทบจะแกะให้ผมกินหมดเลยครับ ผมก็ได้แต่โบกมือห้ามพี่ศิไว้ และบางทีก็ต้องตักของทะเลในจานตัวเองใส่ปากป้อนคืนกลับไปให้พี่ศิบ้าง ไม่งั้นพี่แกคงไม่ได้กินแน่นอน


เราทั้งสองคนทำแบบนี้กันไปเรื่อย ๆ จากต่างคนต่างกินกลายเป็นพี่ศิแกแกะแล้วผมเป็นคนป้อน ในที่สุดอาหารมื้อนี้ก็หมดลง ผมกับพี่ศิก็อิ่มกันจนแทบอ้วกเลยล่ะครับ


เราทั้งสองคนค่อย ๆ ช่วยกันทำความสะอาดจานชามทั้งหมดเหมือนกับตอนที่เราอยู่คอนโดและเมื่อเราทำความสะอาดทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ซึ่งถ้าเวลานี้เราอยู่กันที่คอนโดสิ่งที่พวกเราสองคนจะทำต่อไปนั่นก็คือการนั่งและนอนดูทีวีในห้องนั่งเล่นครับแต่นี่เรามาที่ไหนกัน! เรามากันถึงทะเล! แถมไม่ใช่ชายหาดบาง-beep- ด้วยครับ! ดังนั้นการดูทีวีของพวกเราสองคนก็เปลี่ยนไปเป็นการดูทะเลยามค่ำแทนครับ!


ผมรีบวิ่งไปที่ประตูทางออกไปชายหาดส่วนตัวของทางรีสอร์ทโดยผมไม่รอพี่ศิเลยครับ พอผมหาที่นั่งเหมาะ ๆ ได้ ผมก็ทิ้งตัวนั่งจุ้มปุ๊กไปที่พื้นทรายทันทีพร้อมกับตบทรายข้างๆให้พี่ศิมานั่งเป็นเพื่อน ผมหันหลังไปมองใบหน้าคมของพี่ศิที่ได้แต่ส่งยิ้มมา แต่พี่ศิก็เดินมาทรุดนั่งลงข้าง ๆ ผมครับ


ผมนั่งกอดเข่ามองคลื่นไปพลาง บ้างแหงนหน้ามองดูดาวบนท้องฟ้าไปพลาง บรรยากาศสุดแสนจะเป็นใจแบบสุด ๆ เลยครับ แต่คิดหรือว่าหนุ่มน้อยรณกรคนนี้จะเผลอตัว…ถ้าคุณคิด! คุณคิดถูกครับเพราะตอนนี้ผมที่นั่งกอดเข่าพร้อมกับเอนตัวไปพิงบ่าพี่ศิแล้วครับ แต่นี่ไม่ใช่บรรยากาศมันพาไปนะครับ ผมแค่เมื่อยหลังเท่านั้นเอง จริง ๆ นะครับ


“นี่พี่ศิคิดไงอยากพากรมาเที่ยวทะเล รอบวันปีใหม่ก็ทีหนึ่งแล้ว พากรไปหาคุณย่า เอ่อ...หรือคุณยายนะ” ผมที่นั่งพิงบ่าพี่ศิเอ่ยถามขึ้น ซึ่งร่างที่ผมอิงอยู่ก็สะดุ้งตัวน้อย ๆ นะครับ แต่ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรมาก แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะปากหนักใช่ย่อยไม่ยอมพูดอะไรออกมาเลย จนทำให้ผมต้องกลั้นใจถามต่อไปอีก “แล้วที่พี่ศิเขียนลงไปในสมุดโน้ตที่กรให้เขียน…ประโยคพวกนั้นพี่ศิหมายความว่ายังไงเหรอ”


ประโยคนี้ของผมทำเอาพี่ศินิ่งสนิทเลยครับ สงสัยแกไม่คิดว่าผมจะกล้าถามล่ะมั้ง เพราะว่าคำถาม คำถามนี้มันก็ทำให้ผมอายเหมือนกันแต่ตอนนี้ ผมใจกล้าแอนด์หน้าด้านเอาเรื่องแล้วครับ ถึงปากคอผมจะสั่นนิดหน่อยก็เถอะ แต่คุณพี่ศิรวิทย์ก็ยังคงความมาดนิ่งเอาไว้ได้ ผมก็เลยจนใจครับ ไม่ตอบผมก็ไม่ถามต่อ


ผมเอาแต่นั่งพิงร่างของพี่ศิไปเรื่อยๆ บ้างก็ยกมือขึ้นไปชี้ดาวบนท้องฟ้าบ้าง บางทีก็คุยเล่นบ้าง (แต่ก็ไม่ได้ถามคำถามชวนใจเต้นแรงแล้วนะครับ) จนในที่สุดไออาการง่วงนอนของผมก็กลับมาครับ ผมนั่งเอามือป้องปากหาววอดๆ แต่ผมก็ยังดื้อไม่ยอมเดินกลับเข้าบ้านพักไปสักที แต่แล้วผมก็ทนต่อความง่วงไม่ไหว ร่างของผมนี่เอนซบไปที่ร่างพี่ศิอย่างเต็มที่และลมหายใจเข้าออกของผมก็เป็นจังหวะช้าๆ ซึ่งแสดงให้คนที่ผมไปนั่งอิงแอบแนบชิดรู้ว่าตัวของผมนั้นหลับสนิทแบบปลุกยังไงก็ไม่ตื่นแล้วล่ะครับ


ร่างสูงผู้เป็นที่พึ่งพิงก็ได้แต่มองร่างโปร่งที่ซบอยู่ข้างกายด้วยสีหน้าและแววตาสุดจะปลง แต่จะให้พี่ศิแกทำไงได้ล่ะเมื่อเจ้าตัวแสบน่ะหลับไปแล้ว มันก็กลายเป็นหน้าที่ของว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์อีกครั้งที่ต้องอุ้มร่างของโปร่งนั้นไปที่เตียง (ส่วนใหญ่เจ้าตัวแสบก็มักจะนอนหลับแบบนี้ล่ะ จนตัวของผมต้องอุ้มไปนอนที่เตียงเป็นประจำ) และเมื่อร่างสูงนั้นอุ้มร่างร่างนั้นไปที่หน้าประตู เขาก็จัดการปัดเศษทรายออกเสียหมด และขาทั้งสองข้างของเขาก็ค่อยๆย่างเท้าเข้าไปภายในตัวบ้าน และมุ่งตรงไปยังห้องด้านด้านซ้ายมือที่เจ้าตัวแสบในอ้อมแขนของเขาเลือก


เมื่อร่างสูงนั้นเดินไปถึงข้างเตียง เขาก็จัดการวางร่างในอ้อมแขนของเขาลงพร้อมกับน้ำเสียงทุ้มที่กล่าวอวยพรออกมาอย่างแผ่วเบาแต่ก็จับใจความได้ว่า “ฝันดีนะครับกร ไอตัวแสบของพี่” สิ้นถ้อยคำพวกนั้น ร่างสูงก็ก้าวเดินออกจากห้องไป และทิ้งให้ร่างโปร่งนั้นหลับใหลอย่างเป็นสุขภายในห้อง




___________________________________________________




เจอกันตอนหน้าจะ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 29] 14/12/2013 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 14-12-2013 21:42:32
หวานเกินหน้าเกินตามากไปแล้วนะ เช้ออออออออ อิจฉาและฟินเบาๆๆ><

ปล. รวมเล่มหรอ เค้าสนนนนนนนนนน อยากได้มาเก็บไว้ อิอิ จะเก็บไว้ฟิน ฮี่ๆๆ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 29] 14/12/2013 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: DZiik ที่ 14-12-2013 21:43:48
พี่ศิปากแข็งจังน้าาา >..<
รอ รอ รอ อยากซื้อเล่มรวมจังง -3-
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 29] 14/12/2013 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 14-12-2013 22:01:01
เจอพี่ศิกะน้องกรเข้าๆไปน้ำทะเลคงเปลี่ยนจากเค็มเป็นหวานแน่  :z1:

 :L2: :กอด1: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 29] 14/12/2013 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 14-12-2013 23:00:13
หนีไปหวานกันถึงทะเล อิอิ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 29] 14/12/2013 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: RenaBee ที่ 15-12-2013 01:05:03
ทะเลหวานเลยนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 29] 14/12/2013 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 15-12-2013 06:37:04
สวีทกันตลอด ยิ่งตอนช่วยกันเลือกเสื้อผ้า น่ารักมาก
แถมมีข้อความหวานๆให้กันอีก ละลายเลย
พอมาทะเลก็มาหวานละมุน อบอุ่น จังอิจฉาพี่ศิน้องกร
 :-[ :-[
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 29] 14/12/2013 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: krit24 ที่ 15-12-2013 14:02:03
พี่ศิน่ารักอ่ะ รอรวมเล่มด้วยคน
อ่านแล้วเมื่อยแก้ม อมยิ้มตลอด
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 30] 20/12/2013 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 20-12-2013 19:00:19


สวัสดีค่ะไม่ได้เจอกันนาน พลอยมาลงต่อแล้วค่า ><



Chapter 30




วันแรกของการมาถึงปราณบุรี มันเป็นอะไรที่...ไร้ความโรแมนติกสิ้นดีครับ ความจริงที่มันไร้ความโรแมนติกก็สมควรแล้วล่ะครับ เพราะผมกับพี่ศิไม่ใช่คู่รักกัน แต่ไอการที่ผมนอนหลับน้ำลายย้อย น้ำก็ไม่ได้อาบ เสื้อผ้าก็ไม่ได้เปลี่ยนและที่สำคัญผมก็โดนพี่ศิอุ้มกลับเข้าบ้านพักมาอีกด้วย มันเป็นอะไรที่น่าอับอายสุด ๆ เลยครับ ผมนี่ได้แต่ทอดถอนลมหายใจออกมายาวเหยียดพร้อมกับอาบน้ำแต่งตัวเพื่อออกมาทานข้าวเช้าครับ (แต่ความจริงแล้วข้าวเช้าผมไม่ต้องทานก็ได้ เพราะไออาหารทะเลที่กินไปเมื่อคืนตอนนี้มันยังย่อยไม่หมดท้องเลยครับ ผมยังรู้สึกอิ่มอยู่เลย)



ผมเดินออกจากห้องพร้อมกับปิดประตูลง ซึ่งทุกคงไม่ต้องคาดเดาเลยนะครับว่าคนที่อยู่ห้องฝั่งตรงข้ามของผมนี่เขาตื่นหรือยัง เพราะว่าถ้าเขายังไม่ตื่น….ผมก็คงยังไม่ตื่นเช่นกัน นั่นก็เพราะเป็นพี่แกเล่นเข้าไปปลุกผมยันในห้องนอนเลยล่ะครับ พี่แกปลุกไม่พอมีการบ่นเสียยาวเหยียดเรื่องที่ผมดันไปเผลอหลับนอกบ้านจนพี่เขาต้องแบกเข้าบ้านมาเมื่อคืน ทำเอาผมหูชาไปพักใหญ่ ๆ เลยครับ เมื่อพี่ศิแกบ่นเสร็จ แกก็สาวเท้าเดินออกจากห้องไป (ผมรู้สึกว่าถ้าวันไหนพี่แกไม่ได้บ่นผม คืนนั้นพี่ศิคงนอนไม่หลับล่ะมั้งครับ เห็นบ่นได้บ่นดีจริง ๆ)



“พี่ศิ เช้านี้มีอะไรกิน” หลังจากผมนินทาพี่เขาระยะเผาขน ผมก็เอ่ยปากทักพี่ศิถึงข้าวเช้าทันที ความจริงผมไม่ทานก็ได้ครับ แต่ถ้าเกิดไม่ทานพี่แกก็บ่นใส่ผมอีก ก็เลยต้องทำตัวกระตือรือร้นอยากกินข้าวเช้าหน่อย (อ่อ...ลืมบอกไปอีกอย่างนะครับตอนนี้เป็นเวลาเจ็ดโมงเช้า ผมอยู่ในชุดลำลองเสื้อมีฮู้ดแขนสั้นสีฟ้าน้ำทะเลกับกางเกงขาสามส่วนสีดำ ส่วนพี่ศิอยู่ในชุดลำลองเหมือนกัน แต่เป็นเสื้อคอโปโลสีน้ำเงินเข้มกับกางเกงขายาวสีขาวครับ) เมื่อผมเอ่ยออกไปแบบนั้น ร่างสูงที่นั่งจิบกาแฟอยู่ก็อมยิ้มออกมาจาง ๆ แล้วชี้นิ้วไปยังหม้อที่วางอยู่บนเตาแก็ส



ท่าทางข้าวเช้าน่าจะเป็นข้าวต้มนะครับ แต่ก็ไม่รู้ว่ามันเป็นข้าวต้มอะไร ผมสาวเท้าเดินไปเปิดหม้อดู ผลที่ปรากฏนั่นก็คือในหม้อนั้นเป็นข้าวต้มทะเลครับ ผมใช้ทัพพีตักขึ้นมาในจานสักสองสามทัพพีพร้อมกับเดินยกถ้วยมานั่งตรงที่นั่งตรงข้ามกับพี่ศิ ผมตักข้าวใส่ปากช้า ๆ เพราะความร้อนครับ แต่ไอท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ ของผมทำให้พี่ศิหลุดหัวเราะออกมาจนผมต้องตวัดสายตาขึ้นไปจ้องพี่เขาครับ ผมเบ้ปากใส่พร้อมกับพูดบ่นออกไป “ขำอะไรพี่ ทำอย่างกับตัวเองไม่เป่าก่อนจะกินอะไรร้อนๆ เงียบไปเลยพี่ศิ เดี๋ยวกรงับซะเลย”



การไอตอบโต้แบบนี้ของผมทำให้พี่ศิยิ่งหัวเราะออกมาเสียยกใหญ่ ไอตัวผมก็อยากจะบ่นใส่พี่ศิอยู่หรอกนะครับ แต่ว่าถ้าบ่นไป ผมก็คงกินข้าวไม่เสร็จสักที ดังนั้นผมก็เลยตัดสินใจปล่อยให้พี่แกหัวเราะต่อ ส่วนผมก็ก้มหน้าก้มตากินข้าวเช้าในชามของตัวเองต่อไป และเมื่อผมทานข้าวเช้าจนหมดจาน พี่ศิแกก็ออกปากชวนผมให้ไปเดินเล่นที่ตลาดในช่วงเช้าแล้วค่อยกลับมาเล่นน้ำในช่วงสายๆ ไอตอนแรกผมก็จะปฏิเสธอยู่หรอก แต่พี่ศิแกยกแม่น้ำทั้งสิบสาย(?) มาพูดว่าอยากเห็นวัฒนธรรมของคนต่างจังหวัด ผมก็เลยจำใจตกลงไปเดินเล่นที่ตลาดและถือว่าเป็นการซื้อของกลับไปฝากเพื่อน ๆ กับคนที่บ้านด้วยเลยแล้วกัน



เมื่อผมตกลง พี่ศิก็ฉวยเอาชามข้าวต้มกับแก้วน้ำของผมไปล้างทันที แถมไล่ให้ผมไปเตรียมตัวรอเสียด้วย ผมก็ได้แต่จ้องหน้าคนเอาแต่ใจด้วยความปลง (เมื่อวานพี่ศิปลง แต่วันนี้ผมปลงพี่ศิแทน) ก่อนที่ผมจะเดินเข้าไปหยิบกระเป๋าเงินและโทรศัพท์มือถือจากในห้องครับ



เมื่อเราทั้งสองคนเตรียมตัวเสร็จ เราก็พากันเดินไปขึ้นรถพร้อมกับขับรถออกไปยังจุดหมายที่เราทั้งสองคนได้ตั้งเป้าไว้ แต่กว่าพวกเราจะไปถึงตลาด เราทั้งสองคนก็ต้องถามทางกับคนท้องถิ่นไปหลายตลบครับ (ก็เล่นไม่ศึกษาเส้นทางกันมาก่อนเลย มันก็ไม่ผิดที่จะหลงทางกันครับ) และกว่าพวกเราจะไปถึงตลาดก็เริ่มจะวายแล้วล่ะครับ (พวกของสดเริ่มหมดแล้ว เพราะตอนนี้เกือบจะแปดโมงครึ่งแล้ว) แต่ก็ยังดีที่มีพวกของแห้งให้ซื้อเป็นของฝากครับ ผมก็เลยวิ่งเข้าไปดูพวกกุ้งแห้ง ปลาหมึกแห้งครับ ผมเลือกของพวกนี้ไปสักพัก ในที่สุดก็ได้ของฝากกลับบ้านสักที กุ้งแห้งตัวโตๆสองกิโลกับปลาหมึกแห้งอีกสองกิโล ผมไม่อยากจะบ่นเลยนะครับว่ามันเป็นอะไรที่แพงมากๆเลยครับ และเมื่อแม่ค้าคิดเงินผมก็ต้องโบกมือลาแบงค์พันไปอีกใบพร้อมกับหิ้วของฝากเข้าไปใส่ในรถ



สองอย่างที่ซื้อไปนี่เป็นของฝากของที่บ้านครับ แต่ของกินเล่นสำหรับผม…ผมกำลังจะไปซื้อต่อนี่ไงล่ะครับ ผมเดินกลับไปที่ร้านร้านเดิมพร้อมกับชี้ไปที่หอยหวานที่ใส่อยู่ในถาดพร้อมกับยกนิ้วบอกแม่ค่าว่าให้ตักมาหนึ่งกิโล (อันนี้ผมต้องแอบพี่ศิซื้อนะครับเนี่ย ถ้าไม่แอบซื้อคงไม่ได้เอากลับไปกินเพราะว่าเคยมีช่วงหนึ่งผมได้ของฝากแบบนี้มา ซึ่งผมก็นั่งกินจนไม่ได้กินข้าว หลังจากนั้นผมก็ปวดท้องไปหลายวัน พี่ศิแกก็เลยไม่อยากให้ผมกินมันอีก) และหลังจากผมทำภารกิจลับซื้อหอยหวานปลาหวานเสร็จ ผมก็เดินไปหาพี่ศิที่กำลังดูพวกของสดไปทำกับข้าวอยู่



“พี่ศิจะซื้ออะไรอะ ไม่เอาอะไรที่แกะยากๆแล้วนะ กรเกรงใจพี่ศิ” ผมชะโงกตัวไปมองด้านหน้าพร้อมกับเอ่ยถามขึ้น ซึ่งร่างสูงที่ยกมือขึ้นมาเท้าคางพินิจพิเคราะห์อยู่ก็หันมาพยักหน้าตอบรับผม พร้อมกับตัดสินใจซื้อปลาหมึกสดตัวเล็กๆมาสองกิโลกรัม ปลาหมึกสดตัวโตอีกหนึ่งกิโลกรัม  ปลากะพงขาวตัวโต ๆ อีกหนึ่งตัว ตามด้วยกุ้งตัวโต ๆ อีกสองกิโลกรัมครับ (คาดว่าพี่แกจะทำให้ผมจุกตายไปเลย เล่นซื้อมาเยอะซะขนาดนี้) ผมนี่ถึงกับกระตุกยิ้มในความเยอะของพี่ศิ ก่อนจะนั่งยอง ๆ ดูคุณลุงคุณป้าพ่อค้าแม่ค้าตักของใส่ถุงให้ เมื่อพวกเขาตักเสร็จ ร่างสูงของพี่ศิก็ควักเงินจ่ายให้เขาไปครับ แต่ก่อนที่พวกเราจะได้กลับไปยังบ้านพัก สายตาผมก็เหลือบไปเห็นอาหารทะเลเวอร์ชั่นทำเสร็จแล้ว (เรียกแบบนี้ถูกหรือเปล่าครับ) ผมนี่จูงมือพี่ศิแล้ววิ่งปรี่ไปที่ร้านนั้นทันมี ผมมองพวกปูกับหอยที่แกะสำเร็จ พร้อมกับชี้นิ้วไปให้พี่ศิซื้อปูนึ่งกับหอยแมลงภู่ที่ปรุงสุกและแกะไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ดูเหมือนพี่ศิจะไม่ค่อยอยากซื้อสักเท่าไหร่นะครับ เพราะของแบบนี้ที่กรุงเทพก็มีครับ ส่วนใหญ่ของที่ปรุงสุกจะทำมาจากของทะเลที่ขายไม่หมด วันต่อมามันเลยถูกแปรรูปเป็นของปรุงสุกครับ แต่พี่ศิที่เจอลูกอ้อนของผมไปว่าผมอยากกินข้าวผัดปูพี่ศิก็เลยยอมซื้อเนื้อปูปรุงสุกมาถุงหนึ่ง พร้อมกับเดินหิ้วของทั้งหมดกลับขึ้นรถไป ส่วนผมนี่วิ่งตามพี่ศิไปติดๆ ซึ่งคราวนี้พี่ศิแกมือไม่ว่างพอที่จะมาเปิดประตูรถให้ผมครับ เพราะมือทั้งสองข้างของเขากำลังถือกล่องโฟมที่ใช้ใส่ของสดอยู่ ผมจึงต้องทำหน้าที่เปิดประตูรถเอง และขึ้นไปนั่งจุ้มปุ๊กบนที่นั่งข้างคนขับครับ ส่วนพี่ศิก็เปิดประตูหลังและเอากล่องโฟมที่ใส่ของสดไปวางที่พื้นรถครับ เมื่อของทางด้านหลังจัดเรียงเสร็จ พี่ศิก็เดินย้อนกลับมาขึ้นรถและขับออกไปจากตลาดครับ เราใช้เวลาอยู่ในตลาดราว ๆ ชั่วโมงกว่าครับ ดังนั้นตอนนี้ก็เป็นเวลาเกือบจะสิบโมงแล้วล่ะครับ และขั้นต่อไปหลังจากที่พวกเราสองคนกลับจากตลาด คราวนี้ก็เป็นช่วงเวลาของการเล่นน้ำทะเลแล้วล่ะครับ



โดยการเล่นน้ำทะเล ผมตกลงกับพี่ศิไว้แล้วว่าวันแรกคือวันที่ 15 เราจะไปเล่นที่ชายหาดรวมครับและในวันที่ 16 เราจะเล่นน้ำกันที่ชายหาดส่วนตัวของรีสอร์ทครับผม



หลังจากที่พวกเราสองคนค่อย ๆ ช่วยกันเอาของที่ซื้อมาลงจากรถ หลังจากนั้นผมก็รีบวิ่งเข้าไปหยิบเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนในห้องพร้อมกับหยิบผ้าขนหนู สบู่และยาสระผมเตรียมใส่กระเป๋าใบเล็กไปด้วยครับ ทีนี้ผมก็เตรียมตัวสำหรับไปเล่นน้ำทะเลเรียบร้อย ทีนี้ก็เหลือแต่รอพี่ศิเตรียมตัวแล้วล่ะครับ ตอนเช้าก็เล่นแต่งตัวซะเต็มที่แบบนั้นกว่าจะเปลี่ยนเสื้อเสร็จคงใช้เวลาอีกสักพักล่ะครับ ผมนั่งไขว่ห้างรอพี่ศิในห้องนั่งเล่นเวลาผ่านไปสิบนาที ร่างสูงของพี่ศิก็เดินออกมาจากห้องครับ ซึ่งไอการที่พี่ศิแต่งตัวช้าผมไม่ว่า แต่สิ่งที่พี่ศิแกใส่ตั้งแต่หัวจรดเท้านี่มันเหมือนผมหมดเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นแบบเสื้อกับกางเกงที่ผมใส่ และไม่เว้นแม้กระทั่งสีของเสื้อครับ ไอผมนี่เอามือกุมหัวทันทีเลยล่ะครับ พี่ศิครับ พี่ไม่ค่อยจะประกาศโจ่งแจ้งเลยนะครับ แต่สิ่งที่พี่ศิแตกต่างจากผมนั่นก็คือกระเป๋ากล้องยี่ห้อง Nikon ที่พาดอยู่บนบ่าแทนที่จะเป็นกระเป๋าใส่เสื้อผ้าแบบผมครับ



สภาพแบบนี้แล้วท่าทางพี่ศิจะไม่ลงไปเล่นน้ำสินะครับ ถึงไม่ได้เอาเสื้อผ้าไปเปลี่ยนเลย ผมได้แต่กอดอกพร้อมกับกระตุกยิ้ม ก่อนจะเดินดุ่ม ๆ เข้าไปในห้องของพี่ศิและก็เลือกกางเกงสำหรับเปลี่ยน หลังจากลงเล่นน้ำครับ ที่ผมทำแบบนี้ก็ไม่ต้องบอกเลยครับว่าผมมีเป้าหมายจะทำอะไร…นอกจากการลากพี่ศิลงไปเล่นน้ำทะเลด้วยครับ



ผมเดินออกมาจากห้องของพี่ศิด้วยรอยยิ้มพร้อมกับจูงมือของพี่ศิให้เดินไปที่รถครับ ผมนี่เข้าไปนั่งจุ้มปุ๊กตรงที่นั่งข้างคนขับ และพี่ศิก็ก้าวขึ้นรถตามพร้อมกับขับออกไปจากบ้านพักหลังนี้ ผมนี่นั่งกระดี๊กระด๊าไปมาอยู่ในรถ ส่วนพี่ศิก็ขับรถไปพลางส่ายหัวไปกับท่าทางโอเวอร์แอ็คติ้งของผม



และเมื่อเราทั้งสองคนขับรถไปได้ไม่นาน รถของเราก็เคลื่อนตัวมาถึงชายหาดสำหรับเล่นน้ำแล้วนะครับ ผมนี่กระโดดลงจากรถพร้อมถลาไปที่ชายหาดทันที ผมพลางปรายตามองผู้คนที่มากหน้าหลายตา แต่คนในหาดตอนนี้ก็ไม่ได้มากมายอย่างที่คิดนะครับ ดูเหมือนว่าคนเขาจะสนใจกับการเล่นน้ำสงกรานต์กันมากกว่าการมาเล่นน้ำที่ทะเลเลยทำให้คนที่อยู่บนหาดนี่บางตามากกว่าที่ผมคิดไว้ ผมหันไปส่งยิ้มให้กับพี่ศิที่ค่อย ๆ เดินลงมาที่หาดพร้อมกับวิ่งเข้าไปช่วยพี่ศิเขาถือของครับ (ตอนวิ่งมานี่ ผมมาแต่ตัวครับ ของเขิงลืมหิ้วมันลงมาด้วยหมด) เราทั้งสองคนเดินมองหาเก้าอี้ชายหาดมุมดีๆอยู่สักพัก ในที่สุดเราก็ได้ทำเลดีที่เหมาะกับการนั่งกินลมชมวิวครับ พี่ศิเขาไปวางกระเป๋าและกระติกน้ำพร้อมกับเริ่มประกอบกล้องสุดรักสุดหวงของตัวเองเข้ากับเลนท์ครับ ผมนี่ไขว่ห้างกระดิกเท้ามองพี่ศิไปสักพัก ในที่สุดผมก็ทนไม่ไหวครับ ผมถอดเสื้อของตัวเองออกพร้อมกับวิ่งตรงไปที่ทะเลทันที



‘เล่นคนเดียวก็ได้วะ’ ผมบ่นพึมพำพร้อมกับถลาตัวเองหน้าจุ่มลงไปในทะเล (อ่อ...ครีมกันแดด ผมทามาแล้วนะครับผมไม่มีทางให้ผิวตัวเองดำเด็ดขาด เพราะถ้าดำ...ผมโดนคุณม๊านัทชาลากเข้าสปาทุกวันแน่นอน) เมื่อผมดื่มด่ำกับน้ำทะเลจนสมใจแล้ว (ความจริงแต่เอาหน้าจุ่มลงไปในน้ำทะเลเท่านั้นล่ะ) ผมก็ยืดตัวเองขึ้นเงยหน้ามองไปบนท้องฟ้าสีคราม ริมฝีปากของผมคลี่รอยยิ้มจางๆ และหลังจากนั้นผมก็…โหมเล่นน้ำทะเลอย่างบ้าคลั่ง แต่ดูเหมือนว่าบุคคลที่ชวนผมมาทะเลเนี่ย ไม่มีกะจิตกะใจอยากเล่นน้ำทะเลเลยนะครับ ร่างสูงนั้นเดินมายืนอยู่ริมหาด เท้าของเขาแช่อยู่ในน้ำทะเลสักครึ่งแข้งในมือถือกล้องโปร (หรือชื่อสามัญที่คนเล่นกล้องเรียกก็คือกล้อง DSLR) ขึ้นมารัวชัตเตอร์ถ่ายบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งผมคิดว่าในที่นี้ไม่มีอะไรน่าถ่ายนะครับ และถ้าอยากถ่ายทะเลแนะนำให้ไปถ่ายที่ชายหาดส่วนตัวของทางรีสอร์ตที่เราจองไว้ดีกว่าแต่ผมก็ไม่ได้ติดใจอะไรมากมาย ผมยังคงนอนลอยคออยู่บนห่วงยางที่เช่ามาไปเรื่อย ๆ



พอนอนเหนือน้ำมากเกินไป เสื้อผ้าก็แห้งผมก็เลยลงไปจุ่มในน้ำพร้อมกับปีนขึ้นไปนอนแอ้งแม้งบนห่วงยางเช่าต่อไปผมทำแบบนี้สลับไปเรื่อย ๆ ของบอกตรง ๆ เลยว่ามันน่าเบื่อมาก ทั้งๆที่คิดว่ามันน่าจะสนุกมากเลยแท้ๆ การมาทะเลแล้วต้องมานั่งเล่นน้ำทะเลคนเดียวแบบนี้ มันน่าเบื่อชะมัดไม่ใช่ว่าผมไม่ชวนพี่ศิเขามาเล่นนะครับ คือผมชวนแล้ว แต่พี่แกไม่ยอมมาเล่นด้วย ผมได้แต่ปลายตามองไปที่ชายหาดที่อยู่ไกลๆ ในที่สุดความคิดอันแสนปราดเปรื่อง (เหรอ) ของผมก็บังเกิดครับ พวกที่วักน้ำเพื่อเอาตัวเองเข้าสู่ชายหาดพร้อมกับวิ่งหิ้วห่วงยางไปที่เก้าอี้ชายหาดที่พี่ศินั่งอยู่ ผมเดินเข้าไปในร่มพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างให้กับพี่เขา
แต่ก่อนที่ผมจะลากพี่ศิไปลงน้ำทะเลเอาไว้ก่อนดีกว่า เพราะตอนนี้ตอนนี้ผมได้เวลากินข้าวกลางวันก่อนแล้วกันล่ะครับ ไว้หลังจากกินเสร็จ ค่อยหาเรื่องลากพี่ศิลงไปเล่นน้ำแล้วกันนะ ผมทรุดตัวนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับพี่ศิพร้อมกับส่งรอยยิ้มและพูดเอาแต่ใจออกไป



“พี่ศิกรอยากกินยำปลาหมึกอะ” ผมพูดใส่พี่ศิพร้อมกับชี้นิ้วไปที่จานจานนั้น ซึ่งพี่ศิผู้แสนดีก็จิ้มยำปลาหมึกมาให้นะครับ แต่พี่แกบอกให้ผมอ้าปากกว้าง ๆ แทนครับ ซึ่งผมก็ทำตามที่พี่เขาบอกครับ และในขณะที่ผมก้าปากกว้างตามที่พี่ศิสั่งไอปลาหมึกชิ้นนั้นก็ถูกยัดใส่ปากผมทันที เล่นเอาผมแทบสำลักออกมา ผมรีบพยายามเคี้ยว ๆ ให้กลืนลงคอพร้อมกับอ้าปากเพื่อจะต่อว่าพี่ศิ ทว่าปลาหมึกชิ้นต่อไปก็อยู่ในปากของผมซะแล้วครับ ไอผมก็ทำแบบนี้อยู่หลายต่อหลายที และในที่สุดผมก็ต้องยกมือบอกให้พี่ศิพอก่อน แล้วผมก็หันไปหยิบน้ำขึ้นมาดื่มแก้กระหายแทน (ให้ตายเถอะ แค้นนี้ต้องชำระครับ ผมไม่ยอมโดนกลั่นแกล้งฝ่ายเดียวแน่นอน)



พี่ศิแกหัวเราะร่าพร้อมกับยกกล้องขึ้นมากดชัตเตอร์ใส่หน้าผมที่กำลังกินน้ำอยู่ ไอผมก็เอื้อมมือไปหาเพราะว่าจะแย่งกล้องกลับคืนมา แต่ดูเหมือนว่าพี่ศิแกจะหวงกล้องตัวนี้มากเลยเอี้ยวตัวหลบเพื่อไม่ให้ผมจับ (ความจริงแล้วพี่ศิน่าจะกลัวน้ำทะเลจากตัวผมเข้าไปที่กล้องมากกว่าครับ พี่เขาเลยไม่ให้ผมจับ) ผมนี่ทำแก้มป่องเลยล่ะครับพร้อมกับออกปากสั่งให้พี่ศิแกเอากล้องไปเก็บที่รถและลงมาเล่นน้ำกับผม



“พี่ศิ! เอากล้องไปเก็บเดี๋ยวนี้เลย หลังจากนั้นก็ลงมาเล่นน้ำกับกรซะ!” ผมพูดออกไปมือหนึ่งเท้าเอว ส่วนอีกมือหนึ่งชี้ไปที่กล้องของพี่ศิ ซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าท่าทางของผมมันน่าหัวเราะตรงไหน แต่พี่ศิแกก็หัวเราะออกมาครับ แถมก็ไม่ทำตามคำพูดที่ผมบอกอีก คราวนี้ผมเลยเพิ่มน้ำหนักเสียงขึ้นไปอีก “รีบเอาไปเก็บเดี๋ยวนี้เลย นี่คือคำสั่งของกรครับ พี่ศิ”



ร่างสูงยิ่งหัวเราะมากขึ้นไปอีก ผมนี่ถึงกับงอนหนัก ผมถือถังน้ำที่เตรียมมาเดินไปตักน้ำทะเลพร้อมกับเทรดหัวพี่ศิทันทีเลยครับ ซึ่งไอการกระทำแบบนี้ของผมนั้น ทำให้พี่ศิแกเอากล้องสุดรักสุดหัวออกจากคอแทบไม่ทันเลยครับ ความจริงผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำถึงขนาดนี้นะครับ แค่จะให้พี่ศิมาเล่นด้วยเท่านั้นเองครับ เพราะแต่เขามัวแต่สนใจกล้องถ่ายรูปและไม่คิดจะมาสนใจคนที่มาด้วยอย่างผม ผมไม่ได้น้อยใจเลยนะ….ไม่ได้น้อยใจเลยสักนิดเดียว…



v
v
v
v
v
v
v
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 30] 20/12/2013 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 20-12-2013 19:04:45



ผมได้แต่เม้มปากของตัวเองแน่นพร้อมกับสะบัดหน้าหันหนีไปอีกทาง ส่วนพี่ศิท่าทางจะหัวเสียขึ้นมาแล้วล่ะครับที่ผมทำแบบนั้นไป เสียงทุ้มตวาดกร้าวพร้อมมือกร้านที่เอื้อมมาตีมือของผมที่ถือถังน้ำ “กรครับ! ทำแบบนี้ไม่น่ารักเลยนะครับ ถ้าเกิดข้าวของเสียหายจะทำยังไงกัน” สิ้นเสียงพี่ศิ ผมนี่ถึงกับน้ำตาคลอเลยครับ ไอความสนงสนุกไม่มีเหลืออีกแล้วครับ ตอนนี้ผมยอมรับเลยว่าผมมีแต่ความน้อยใจล้วนๆเลยครับ! “ถ้าพี่ศิชวนกรมาทะเลแบบนี้ แล้วปล่อยให้กรเล่นอยู่คนเดียวเหงาอยู่คนเดียวแบบนี้ คราวหลังไม่ต้องชวนกรมาแล้วนะ ถ้าจะมานั่งทำกิจกรรมส่วนตัวแบบนี้คนเดียวน่ะ” ผมตะคอกเสียงใส่พี่ศิพร้อมกับเดินหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าที่เอามาเปลี่ยนไปด้วยผมเดินดุ่ม ๆ ตรงไปที่ร้านอาบน้ำพร้อมกับเข้าไปทำความสะอาดตัวเองให้เรียบร้อย


ไอผมก็เข้าใจนะครับว่าพี่ศิเป็นพวกเวลาทำอะไรจะไม่สนใจสิ่งรอบข้าง แต่ตัวเองเป็นคนชวนคนอื่นมาเที่ยวแบบนี้ ถ้ามากันหลาย ๆ คนผมก็จะไม่ว่าอะไรเลย แต่นี่มากันสองคน! ถ้าคนหนึ่งไม่สนใจ ปล่อยให้อีกคนเล่นอยู่คนเดียว…ถ้าเป็นแบบนี้การมาเที่ยวกันสองคนจะมีประโยชน์อะไรล่ะครับ สู้นอนอยู่ที่บ้านยังสนุกกว่าเยอะ!



เมื่อผมทำความสะอาดร่างกายของตัวเองเสร็จ ผมก็เดินดุ่ม ๆ ออกมาจากห้องอาบน้ำเลยครับ ซึ่งอย่างที่คาดเดาพี่ศิไมได้มายืนรอเพื่อขอโทษอะไรผมหรอก พี่ศิแกยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม แต่ตอนนี้เขานั่งกอดอกเก็บของข้าวของเรียบร้อยแล้วล่ะครับ ดูเหมือนว่าพี่แกจะนั่งรอผมให้ไปหาอยู่ (เห็นพี่ศิแกตามใจผม พี่แกก็มีทิฐิสูงเอาเรื่องนะครับ เรื่องไหนที่แกคิดว่าตัวเองไม่ผิด แกไม่ยอมมาขอโทษหรอกครับ) ซึ่งตัวของผมก็เป็นพวกทิฐิสูงไม่แพ้พี่ศิครับ ผมเดินไปหาพี่ศิจริงๆ แต่ที่ผมไปคือผมก้มลงไปเอาโทรศัพท์มือถือที่วางไว้บนโต๊ะขึ้นมาแล้วเดินหนีพี่ศิไปที่ถนนครับ  ผมเดินไปพร้อมกับล้วงกระเป๋ากางเกงตัวเองเพื่อหากระเป๋าใส่เงินครับ….ซึ่งการที่ผมล้วงเข้าไปในกระเป๋าเงินนั้นความบรรลัยของชีวิตของผมก็บังเกิดครับ…เพราะผมทิ้งกระเป๋าเงินเอาไว้ในรถของพี่ศิแล้วเงินที่ผมพอมีติดตัวก็มีแค่หกสิบบาทจากเงินทอนค่าเช่าห่วงยางครับ ผมนี่หน้าซีดเผือกเลยล่ะครับซึ่งผมก็แอบเหลือบตามองพี่ศินะครับว่าพี่แกทำท่าทางยังไง เขายังคงนั่งกอดอกนิ่ง ๆ อยู่เช่นเดิม แต่แววตาสีเข้มนั้นอ่อนลงเยอะแล้วล่ะครับ ทว่าผมก็ยังไม่อยากไปร้องขออะไรกับคนที่ผมทะเลาะด้วย ผมก็เลยใช้สปิริตที่มีเดินกลับบ้านพักเองซะเลย ผมไม่รู้หรอกนะครับว่าคนที่ยังคงนั่งเฉยจะรู้สึกยังไง แต่ตอนนี้ผมขอใช้เท้าตัวเองที่สวมรองเท้าหนีบคู่ละ 199 เดินกลับบ้านพักครับ (ซึ่งจากการคาดเดาของผม…ไม่น่าจะไกลมากสักเท่าไหร่นัก แต่ผมก็ถามคนไว้แล้วล่ะครับว่ารีสอร์ทที่ผมพักน่ะไกลมากไหม ซึ่งไม่ไกลมากครับ จิ๊บๆแค่เกือบสิบกิโลเอง ไอเรื่องเดินไกลไม่เท่าไหร่ (เพราะเขาชนไก่ มันทำเอาผมรวดร้าวมากกว่ามาแล้ว) แต่ผมหวังไว้ว่ารองเท้าที่ผมใส่มันจะไม่เจ๊งก่อนนะครับ)



ผมหันไปมองพี่ศิเป็นครั้งสุดท้าย(?) ก่อนจะสาวเท้าเดินไปตามถนนที่ทอดยาวโดยไม่สนใจร่างสูงที่ลุกขึ้นมา และเตรียมสาวเท้าเดินตามผมหรือเดินไปขึ้นรถของเขาก็ไม่รู้ (ให้ตายเถอะครับ ต่อให้เดินตามมา ผมก็ไม่สนแล้ว ไปไหนก็ไปเลย พี่ศิ ชิ่ว ๆ) ผมยังคงเดินดุ่ม ๆ แบบไม่สนใจสิ่งรอบข้างไปตลอดทาง ผมสาวเท้าเดินไปได้ระยะสักห้าร้อยถึงหกร้อยเมตร (ด้วยความเร็วคงที่(?)) ในที่สุดรถยนต์คันงามที่ผมคุ้นชินเป็นอย่างดีก็เคลื่อนที่มาขนาบข้างกับตัวผมกระจกรถถูกเลื่อนลงพร้อมกับใบหน้าคมของร่างสูงที่หันมา



“ขึ้นรถซะ” ถ้อยคำสั้น ๆ ง่าย ๆ ดังออกมาจากริมฝีปากหนา น้ำเสียงที่เอ่ยดังออกมานั้นมันดูเย็นชาและไร้อารมณ์สิ้นดีครับ (ตอนนี้พี่ศิแปรสภาพกลายเป็นพี่ศิที่ผมไม่เคยรู้จักซะแล้วล่ะครับ ที่ผมบอกว่าผมไม่รู้จักเขานั่นก็หมายความว่าผมไม่เคยเจอพี่ศิในมาดผู้ชายเย็นชาไร้อารมณ์มาก่อนเลยครับ ผมถึงพูดไงว่าตอนนี้พี่ศิไม่ใช่พี่ศิที่ผมรู้จักอีกแล้วล่ะครับ) ซึ่งคำสั่งนั้นของพี่ศิ เด็กดื้ออย่างผมก็ไม่ยอมทำตามเขาหรอก ต่อให้เขาบีบบังคับและหิ้วผมโยนเข้าไปในรถก็เถอะ



ผมยังสาวเท้าเดินต่อไป ร่างสูงที่ขับรถนั้นก็ยังขับรถแบบตีขนาบข้างผมไปเรื่อยๆ (แต่ก็ยังดีที่ไม่มีรถตามมาทางด้านหลังครับ ไม่งั้นคงโดนบีบแตรไล่แบบไม่คิดชีวิตแน่ ขับรถแบบนี้) ผมเดินแบบนี้ไปอีกสักพัก ในที่สุดความอดทนของร่างสูงนั้นก็คงหมดลง รถพี่ศิแกเหยียบคันเร่งจนรถพุ่งทะยานไปอย่างรวดเร็ว พร้อม ๆ กับน้ำตาของผมที่ไหลทะลักออกมา



‘ทำไมต้องทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องด้วย...’ ผมพึมพำใส่ตัวเองไป มือก็พลางยกขึ้นมาปาดน้ำตาไป รถยนต์คันงามที่หายลับไปจากสายตาไม่มีท่าทีที่จะวนกลับมารับผม ซึ่งมันก็คงเป็นแบบนั้นนั่นแหละ เพราะผมไปทำให้พี่ศิแกโกรธมากซะแล้ว ความจริงผมก็โดนเตือน ๆ มานะครับว่าอย่าทำให้พี่ศิแกโกรธ เพราะพี่ศิเป็นคนโกรธแรงและเกลียดคนไร้เหตุผลแบบสุดๆ ผมมีเหตุผลของผมนะครับว่าทำไมถึงทำไปแบบนั้น แต่เหตุผลของผมคงไม่มากพอที่จะให้ทำให้พี่ศิแกเข้าใจ



ผมยังคงก้มหน้าก้นตาเดินต่อไป แต่ก็เปลี่ยนจากถนนมาเป็นเดินเลียบชายหาดแทนครับ (เพราะคุณป้าแม่ค้าเขาบอกว่าชายหาดแห่งนี้มันเชื่อมไปถึงรีสอร์ทที่ผมพักอยู่ได้) ผมค่อย ๆ สาวเท้าเดินไปเรื่อง ๆ ซึ่งสถานที่ที่ผมอยู่มันน่าจะใกล้ถึงรีสอร์ทที่ผมพักแล้วครับ ถ้าคุณคิดว่าผมรู้ได้ยังไง…ก็ผมเล่นเดินมาแล้วสองสามชั่วโมงแล้วครับ ไม่ใกล้ถึงก็บ้าแล้ว ที่สำคัญผมเห็นเจ้าตัวบ้านพักตั้งอยู่ไกล ๆ ด้วยครับ อีกนิดก็คงถึงแล้วล่ะ



และที่ผมจะทำเมื่อไปถึง นั่นก็คือเก็บเสื้อผ้าตัวเองแล้วเอากระเป๋าเงินคืนจากพี่ศิ หลังจากนั้นผมจะไปหารถกลับกรุงเทพครับ!
ผมเดินย่ำต๊อกไปเรื่อยๆ จะให้บอกว่าปวดขาไหม ผมปวดนะ แต่ทำไงได้ล่ะ ผมไม่มีหนทางอื่นนี่นา เงินผมตอนนี้ก็เหลือแค่ยี่สิบบาทแล้วด้วยครับ นั่นก็เป็นเพราะระหว่างทางผมซื้ออะไรกินไปบ้างแล้วเหมือนกัน ผมค่อย ๆ สาวเท้าอย่างคนมีความหวัง และในที่สุดไอความหวังของผมมันก็อยู่แค่เอื้อมแล้วล่ะครับ บ้านพักที่พี่ศิจองไว้ตอนนี้อยู่ด้านหน้าผมแล้วครับ



ขาทั้งสองข้างจากเดินเปลี่ยนเป็นวิ่ง ผมวิ่งไปเรื่อย ๆ โดยที่ไม่รู้เลยว่าไอรองเท้าคู่ละ 199 บาทที่ผมใส่นั้นมันจะเกิดอาการสำออยมาเจ๊งกะทันหันอะไรตอนนี้ ผมแทบหน้าคว่ำไปกับพื้นทราย แต่ก็ยังดีที่ศูนย์ถ่วงผมดีมากถึงมากที่สุด จึงทำให้ผมทรงตัวได้โดยที่ไม่ล้มลงไปวัดพื้น



“ไอรองเท้าบ้า! วันนี้พี่ศิก็บ้าไปคนแล้ว รองเท้าอย่างแกจะยังมาบ้าอีกเหรอ!” ผมทรุดตัวนั่งลงไปที่พื้นพร้อมถอดรองเท้าแล้วปาทิ้งไป ผมดิ้นโวยวายไปมาบนพื้นทราย แต่ในท้ายที่สุดผมก็ต้องลุกขึ้นและเดินไปเก็บรองเท้าบ้าที่ราคา 199 บาทมาถือไว้เดินต่อไป



ผมเดินท้าเปล่าเลียบชายหาดไปเรื่อยๆ ในที่สุดผมก็เดินไปถึงบ้านพักที่พี่ศิจองไว้ ผมมองสภาพภายนอกของตัวบ้านประตูที่เชื่อมมาที่ทะเลถูกเปิดออกพร้อมกับร่างสูงของพี่ศิที่นั่งกอดอกอยู่ตรงชานบ้าน ‘ให้ตายสิ ผมไม่อยากเดินเข้าไปเลย’ ซึ่งผมที่มีความคิดแบบนั้น ผมก็ได้แต่เตะทรายเล่นรอให้พี่ศิเดินเข้าบ้านพักไป



แต่จนแล้จนรอดพี่ศิก็ยังคงไม่เดินกลับเข้าไปในบ้านพักสักที จนในที่สุดบางสิ่งบางอย่างมันก็เกิดขึ้นกับตัวผมครับ…เพราะไอเท้าเจ้ากรรมของผมมันดัน…ไปเตะโดนซัมติงอะไรบางอย่างเข้าครับ และไอซัมติงอะไรบางอย่างนั่นมันทำให้ผมต้องทรุดลงไปนั่งที่พื้นและกุมเท้าตัวเองไว้ รู้สึกว่าผมจะไปเตะไปโดนขวดแก้วเข้าล่ะมั้งครับ เลือดมันเลยไหลออกมาไม่หยุดแบบนี้ ดวงตาทั้งสองข้างของผมร้อนผ่าว หยาดน้ำตานั้นค่อย ๆ ไหลรินออกมาจากด้วยตา



‘วันนี้มันวันอะไรของผมนะ ซวย ซวย ซวยมาตลอดทั้งวัน’ ผมบ่นพึมพำกับตัวเอง มือทั้งสองข้างนั้นก็กุมบาดแผลที่เกิดขึ้นเอาไว้ เลือดสีแดงสดยังคงไหลรินออกมาอย่างไม่ขาดสาย และในท้ายที่สุดน้ำตาที่ผมอดกลั้นมานานก็ไหลทะลักออกมาจากดวงตาครับ ผมนั่งสะอึกสะอื้นอยู่แบบนั้น และเหมือนว่าเสียงร้องไห้ของผมมันจะดังไปเข้าหูของพี่ศิเข้า ร่างสูงรีบลุกขึ้นและวิ่งมาหาผมด้วยความรวดเร็ว



“กรเป็นอะไรไปครับ” น้ำเสียงทุ้มที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน…ตอนนี้พี่ศิกลับเป็นพี่ศิคนเดิมที่ผมรู้จักแล้วสินะครับ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่อยากจะให้พี่ศิมาช่วย หรือมายุ่งอะไรกับผม ผมใช้มือข้างหนึ่งกุมทรายจนเต็มฝ่ามือพร้อมกับปาเข้าใส่พี่ศิ



“ไปไกลๆเลย ไม่ต้องมายุ่งกับกร” ผมสะอึกสะอื้นไปปากก็พลางพูดไล่พี่ศิไป ซึ่งตัวพี่ศิจะไม่ได้รู้สึกโกรธหรือไม่พอใจผมแล้วครับ ร่างสูงนั้นค่อยๆทรุดตัวลงนั่งข้างๆผมพร้อมกับยกเท้าข้างที่มีบาดแผลขึ้นไปดู และทันทีที่ร่างสูงเห็นบาดแผลที่เกิดขึ้น คิ้วคมเข้มก็ขมวดจนแทบจะเป็นปม



“กร...อย่าพึ่งดื้อได้ไหมครับ!” ผมที่ใช้มือทั้งสองข้างฟาดรัวใส่พี่ศิไม่ยั้งถึงกับต้องชะงัก เพราะเสียงตะคอกของพี่ศิครับ ใบหน้าคมนั้นดูเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก ที่สำคัญน้ำเสียงและการกระทำของพี่ศินั้นดูเป็นห่วงเป็นใยผมอย่างมาก เพราะแบบนั้นจึงทำให้ผมยอมนั่งนิ่งๆ ร่างสูงนั้นยืนขึ้นจนสุดความสูงของตนก่อนจะค่อย ๆ ก้มตัวลงมาอุ้มผมอย่างเบามือ



“ก่อนอื่นต้องล้างแผลขั้นพื้นฐานก่อนแล้วพี่จะพาไปโรงพยาบาลนะครับ” ผมซึ่งอยู่ในวงแขนพี่ศิได้แต่พยักหน้าเบา ๆ แต่ดวงตาทั้งสองข้างของผมนั้นยังคงเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา ผมใช้มือทั้งสองข้างกุมเสื้อของพี่ศิแน่นพร้อมกับใบหน้าที่ซุกลงไปที่แผ่นอกของพี่ศิเขา



ร่างสูงนั้นค่อยๆก้าวเข้าไปในบ้านพัก พร้อมกับวางผมลงบนโซฟาอย่างเบามือ หลังจากนั้นพี่ศิก็วิ่งไปหาชุดปฐมพยาบาลเบื้องต้นเพื่อเอาอุปกรณ์มาล้างแผลให้กับผม (ส่วนผมน่ะเหรอ…นั่งร้องไห้และปล่อยให้เลือดมันไหลไปอยู่แบบนั้นครับ) ผ่านไปไม่นานนัก ร่างสูงของพี่ศิก็เดินกลับมาหาผมที่โซฟา ในมือทั้งสองข้างเต็มไปด้วยอุปกรณ์ปฐมพยาบาลที่ใช้สำหรับการระงับเลือดที่ไหลเต็มฝ่าเท้าของผมครับ



พี่ศิแกทรุดตัวนั่งลงกับพื้นเบื้องหน้าผมพร้อมกับยกเท้าของผมไปจุ่มในกาลามังน้ำอุ่นที่เขาเตรียมมาเพื่อล้างทรายออกจากเท้าของผมเป็นขั้นแรกครับ หลังจากทำความสะอาดขาของผม ขั้นแรกพี่ศิก็ยกเท้าผมขึ้นพร้อมกับเอาผ้าขนหนูมาวางไว้ที่ตักตัวเองแล้วตามด้วยเท้าของผมที่วางตามลงไปครับ เศษทรายที่ติดอยู่ตรงฝ่าเท้าของผมหลุดออกไปเยอะแล้วล่ะครับ แต่มันยังคงไม่สะอาดดีเท่าไหร่นัก  พี่ศิค่อยๆเอาแอลกอฮอล์มาเช็ดรอบๆแผลของผม หลังจากนั้นก็ตามด้วยน้ำเกลือครับ พี่ศิใช้น้ำเกลือล้างแผลของผมอย่างเบามือ และเมื่อแผลของผมที่ดูเหมือนจะสะอาดเรียบร้อยแล้ว พี่ศิก็จับเท้าของผมขึ้นพร้อมกับตรวจบาดแผลที่เกิดขึ้นมันลึกมากหรือเปล่า เมื่อพี่ศิตรวจดูเบื้องต้นแล้ว เขาก็ถอนลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอกและเริ่มใส่ยาและพันผ้าพันแปลให้แก่ผม



“แผลไม่ลึกมากครับกร แต่พี่คิดว่าคงต้องพากรไปฉีดยากันบาดทะยักน่ะครับ” พี่ศิพูดขึ้นพร้อมกับก้มหน้าก้มตาเก็บอุปกรณ์ทำแผลไป ส่วนผมก็ได้แต่ครางตอบเบาๆ หลังจากที่พี่ศิทำแผลเสร็จ บรรยากาศอึดอัดก็เกิดขึ้นอีกครั้ง โดยฝ่ายที่เริ่มสร้างบรรยากาศอึดอัดเป็นฝ่ายของผมก่อนครับ



ผมนิ่งเงียบไม่คิดจะพูดอะไรและเมื่อพี่ศิถามผมก็ได้แต่ตอบ ‘อื้อ’ ออกไปเท่านั้น มันเลยทำให้บรรยากาศที่อยู่รอบ ๆ ตัวสองรองคนหรือเรียกง่าย ๆ ว่าบรรยากาศภายในบ้านพักแห่งนี้มันอึดอัดและมืดมนมากเลยครับ  พี่ศิเดินเข้าไปเตรียมตัวในห้อง ก่อนจะออกมาด้วยเสื้อเชิ้ตแขนสั้นและกางเกงสแลคขายาว ส่วนผมยังคงอยู่ในสภาพเดิมครับ พี่ศิเดินเข้ามาใกล้ผมพร้อมกับค่อย ๆ ช้อนตัวของผมขึ้น ซึ่งท่าอุ้มท่านี้เป็นท่าเดียวกันกับตอนพี่ศิอุ้มผมเข้ามาในบ้านพักครับ แต่สิ่งที่แตกต่างคือ พี่ศิอุ้มผมไปวางไว้ในที่นั่งข้างคนขับ ซึ่งขาทั้งสองข้างของเปลือยเปล่าครับ (นั่นก็เป็นเพราะพี่ศิแกไม่ใส่ให้ผม) หลังจากนั้นเขาก็เดินวนไปเปิดประตูรถอีกฝั่งพร้อมกับสตาร์ทรถเพื่อให้รถคันนี้เคลื่อนที่ไปด้านหน้า



ผมนั่งเอามือจิกเบาะรถแน่นในใจก็ยังคงน้อยใจพี่ศิแกอยู่ลึก ๆ นะครับ แต่การแสดงความเป็นห่วงผมมากขนาดนี้ ทำให้ผมใจอ่อนลงกับพี่เขาเล็กน้อย ทว่าไอการที่ผมต้องเจ็บเท้าแบบนี้ มันก็เกิดขึ้นเพราะพี่ศินั่นล่ะ ที่สำคัญพี่เขาก็ต้องเป็นคนที่ต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว ผมนั่งเท้าค้างสายตาพลางมองไปยังนอกหน้าต่างรถ ส่วนพี่ศิกับรถด้วยความเงียบ เราสองคนยังคงไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรออกมาเลยหลังจากออกมาจากบ้าน



รถคันหรูค่อย ๆ เคลื่อนที่ข้าตัวเมืองไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดรถ BMW สุดหรูคันนี้ก็จอดสนิทในลานจอดรถของโรงพยาบาล ไอผมที่จะเปิดประตูลงจากรถก็ลืมไปเลยว่าเท้าทั้งสองข้างของผมไม่มีอะไรสวมอยู่ ผมจึงจำใจนั่งอยู่บนรถรอให้พี่ศิมาช่วยพาผมลงจากรถครับ



แต่ไอวิธีที่พี่ศิแกพาลงจากรถผมไม่ใคร่จะยินยอมสักเท่าไหร่ เพราะว่าพี่ศิอุ้มผมท่าเดิมซึ่งเหมือนกับที่อุ้มผมออกมาจากบ้านพักครับ ท่าอุ้มเจ้าสาว…



ผมนี่อายแทรกจะซุกแผ่นดินหนี แต่มันก็หนีไม่ได้ครับเพราะว่าพี่ศิแกเดินเข้าไปในโรงพยาบาลแล้วล่ะครับ (โรงพยาบาลนี้เป็นโรงพยาบาลเอกชนครับเลยเปิดรับผู้ป่วยทุกวันครับ) เมื่อเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเห็นผมที่โดนอุ้มมา เขาก็กุลีกุจอเอารถเข็นมารับครับ ผมซึ่งที่นั่งอยู่บนรถเข็นโดนเข็นไปพบแพทย์ครับ ส่วนพี่ศิแกติดต่อกับเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาล ผมนั่งรอนิ่งๆ อยู่บนรถ  ในที่สุดผมก็ได้เข้ารับการตรวจ ซึ่งผมโดนฉีดยาแก้บาดทะยักไปหนึ่งเข็ม แล้วก็ได้ยาแก้อักเสบและยาฆ่าเชื้อชนิดกินหลังอาหารมาชุดหนึ่งครับ



และเมื่อรถเข็นของผมถูกเข็นออกมาหน้าโรงพยาบาล ผมก็ยังคงนั่งนิ่งอยู่เหมือนเดิมครับ เหตุผลก็เหมือนเดิมคือผมไม่มีรองเท้าที่จะใส่เดินครับ ซึ่งพี่ศิก็ยังคงทำเช่นเดิมคืออุ้มผมพร้อมกับพาผมเดินไปที่รถครับ และผมก็เข้าไปนั่งจุ้มปุ๊กอยู่ที่เดิมนั่นก็คือที่นั่งข้างคนขับ และพี่ศิก็ยังคงทำหน้าที่เป็นสารถีเช่นเดิม ใบหน้าคมนั้นนิ่งเฉยแต่แววตาของพี่ศิเขาฉายแววสำนึกผิดอยู่น้อยๆ



เราทั้งสองคนยังคงเงียบใส่กันไปตลอดทางจนถึงบ้านพัก และยังคงเงียบใส่กันไปจนถึงเวลาทานข้าว กับข้าวมื้อเย็นเป็นยำปลาหมึกยัดไส้ ปลากะพงนึ่งมะนาวแล้วก็ผัดเผ็ดปลาหมึกสดครับ เราสองคนนั่งทานกันเงียบ ๆ และหลังจากทานข้าวเสร็จ ผมก็นั่งทานยาตามที่คุณหมอได้สั่ง ส่วนพี่ศิก็รับหน้าที่ทำความสะอาดอุปกรณ์ทำครัวและจานชามที่ใช้แล้ว และเมื่อทุกอย่างเสร็จ พี่ศิก็เดินมาข้างผมที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่ในห้องนั่งเล่น ผมกับพี่ศินั่งกันคนละฝั่งของโซฟา ผมนั่งฝ่างซ้ายและพี่ศินั่งฝั่งขวา ใจผมผมอยากจะเอ่ยขอบคุณพี่ศินะครับ ทว่าทิฐิของผมมันยังมีอยู่ ผมจึงได้แต่ก้มหน้าก้มตามมองผ้าพันแผลที่พี่ศิเขาพันให้



เมื่อมองมันน้ำตาของผมก็เอ่อล้นอีกครั้งและค่อยๆหยดลงบนตัก ซึ่งการร้องไห้ของผมนั้นทำให้พี่ศิแกตกใจมาก ร่างสูงรีบกระเถิบเข้ามาใกล้ ๆ ผมพร้อมกับลูบหัวผมอย่างเบามือ



“ไม่เจ็บแล้วนะครับกร อย่างร้องนะครับ” น้ำเสียงที่ปลอบอย่างอ่อนโยน ทำให้ผมร้องไห้ยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งคราวนี้พี่ศิแกงัดทุกมุขมาปลอบผมเลยครับ แต่ผมยังคงเป็นเช่นเดิมนั่นก็คือผมยังคงร้องไห้อยู่เช่นนั้น



ที่ผมร้องไห้ไม่ใช่เพราะว่าผมเจ็บปวดเพราะบาดแผล แต่ที่ผมร้องไห้นั้นมันเป็นเพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ทำให้ผมกับพี่ศิทะเลาะกันครับ มันเป็นการทะเลาะกันที่รุนแรงที่สุดเท่าที่ผมเคยทะเลาะกับพี่ศิเลยครับ ผมรู้ว่าผมงี่เง่ามากๆที่ทำตัวแบบนั้นใส่…ทว่าที่ผมทำเช่นนั้นนั่นก็เป็นเพราะผมน้อยใจพี่ศิเขาครับ น้อยใจมากๆกับการที่มากันสองคน แต่ถูกปล่อยให้เล่นเพียงคนเดียว น้ำตาผมที่หยดลงไปบนตักเริ่มทำให้กางเกงเปียกชื้น บรรยากาศพวกนั้นเป็นไปอยู่นานเลยล่ะครับ แต่ในท้ายที่สุดร่างสูงผู้มีทิฐิสูงก็ได้เอ่ยคำที่ไม่น่าจะหลุดออกมาจากปากของเขา



“กรครับ…พี่ขอโทษครับ” เมื่อสิ้นนั้นเอ่ยจบลง ร่างของผมก็ถูกดึงเข้าไปในอ้อมกอดของผู้เป็นเจ้าของเสียงนั้น น้ำเสียงที่ผมได้ยินมันช่างเต็มไปด้วยความรู้สึกที่สำนึกผิด ร่างสูงที่โอบกอดผมยังคงเอ่ยถ้อยคำเหล่านั้นซ้ำไปเรื่อย ๆ



“พี่ขอโทษครับกร พี่ผิดเองที่ไม่สนใจกร พี่ผิดเองที่ทำให้กรต้องเดินจากชายหาดมาที่บ้านพัก พี่ผิดเองที่ทำให้กรบาดเจ็บ...พี่ผิดเองที่ทำให้กรเสียน้ำตา” เอาล่ะครับ เมื่อถ้อยคำขอโทษทั้งหมดหลุดออกจากริมฝีปากหนา หยาดน้ำตาของผมนี่ก็ไหลรินออกมามากกว่าเก่า



พี่ศิเป็นผู้ชายที่เย็นชา (ในสายตาคนอื่น) และเชื่อมั่นว่าการกระทำของตัวเองถูกเสมอเอ่ยขอโทษผม…



ไอคำขอโทษพวกนั้น นอกจากจะทำให้ผมร้องไห้ออกมาหนักมากกว่าเก่า มันก็ยังทำให้ผมกอดพี่ศิแน่นยิ่งขึ้นด้วยครับ ถ้อยคำที่อดกลั้นภายในใจมาทั้งวันถูกเอ่ยออกมาจากริมฝีปาก น้ำเสียงที่กล่าวพูดอย่างสะอึกสะอื้นนั้น มันไม่ได้เต็มไปด้วยความรู้สึกน้อยใจแล้วครับ



“พี่ศิ...พี่รู้ไหม พี่มันบ้าที่สุด บ้า บ้า บ้า! กรคิดว่าจะไม่ได้คุยกันแล้วซะอีก ไอคนขี้เก็ก ไอคนมาดเข้ม ไอคนเอาแต่ใจคิดว่าตัวเองถูกเสมอหรือไง พี่ศิ ตัวเองน่ะผิดนะครับ ผิดมากแล้วก็ทำให้กรโกรธมากด้วย” ผมพูดบ่นออกไปโดยไม่คิดที่จะหยุดหายใจ  ร่างสูงที่โอบกอดผมอยู่ยิ่งกระชับวงแขนแน่นยิ่งขึ้น แถมคราวนี้มีออฟชั่นเสริมจับผมโยกตัวไปมาราวกับว่าตัวเองเป็นเปล ส่วนผมเป็นเด็กที่นอนอยู่ในเปล



“ครับ…พี่รู้ว่าพี่ผิด…พี่ขอโทษที่พี่ทิฐิสูงครับ” เสียงทุ้มกระซิบแผ่วเบาข้างใบหูพร้อมกับมือกร้านที่ลูบหัวของผมอย่างเบามือ
บางทีผมคิดว่าการที่ผมกับพี่ศิทะเลาะกันแบบนี้ มันเหมือนคู่รักแปลก ๆ นะครับ…แต่พอผมนึกถึงคำนี้ทำเอาผมเขินหน้าดำหน้าแดง แขนทั้งสองข้างของผมยันตัวเองออกจากอ้อมกอดของพี่ศิจนทำให้ใบหน้าของเราทั้งสองหันมาพบกัน



“…ถ้ามีครั้งหน้า…กรจะไม่ให้อภัยแล้วนะ…” ผมพูดพร้อมกับทำแก้มป่องใส่พี่ศิ ซึ่งพี่ศิก็พยักหน้าตอบรับพร้อมกับยกมือตนขึ้นมาเกลี่ยน้ำตาที่ยังคงคลออยู่บนดวงตาทั้งสองข้างออกให้



“พี่ศิของน้องกรขอสัญญาครับว่าพี่ศิคนนี้จะเอาใจใส่กรเพียงคนเดียว จะดูแลกรเพียงคนเดียว แล้วพี่ศิคนนี้จะไม่เมินหรือจะไม่สนใจกรอีกแล้ว ด้วยคำสัญญาลูกผู้ชายของพี่เลยครับ” พี่ศิกล่าวถ้อยคำพวกนั้นออกมาราวกับคำสัตย์ ผมซึ่งรับฟังได้แต่พยักหน้าตอบกลับไปน้อย ๆ



ซึ่งปัญหาระหว่างผมกับพี่ศิมันก็จบลงไปเพียงเท่านี้ครับ แต่ปัญหาใหม่ที่ตามออกมามั่นก็คือแล้วพรุ่งนี้ผมจะลงไปเล่นน้ำยังไงกันล่ะ เมื่อความคิดนี้แล่นเข้าสู่สมอง ผมนี่แทบจะกรีดร้องลั่นบ้านพักพร้อมกับมือทั้งสองข้างที่เขย่าคอพี่ศิรัว ๆ



“พี่ศิ!!! พรุ่งนี้!!!! ขากรเป็นแบบนี้แล้ว กรจะเล่นน้ำยังไงงง” ผมส่งเสียงคร่ำครวญใส่พี่ศิครับ ส่วนพี่ศิก็ได้แต่หัวเราะในท่าทางของผมออกมาเบาๆ ร่างสูงของพี่ศิค่อยๆจับให้ผมนั่งลงพร้อมกับเอ่ยถ้อยคำออกมา “เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่จะแบกกรเองครับ แต่มีข้อแม้คือห้ามลงน้ำทะเลนะครับ”



ผมพยักหน้าขึ้นลงรัวๆ ตอบรับคำพูดนั่นพร้อมกับส่งรอยยิ้มกว้างไปให้พี่ศิเขา เอาเป็นว่าตอนนี้ปัญหาระหว่างผมกับพี่ศิเคลียร์จบลงแล้ว ก็ได้เวลาเข้านอนแล้วล่ะครับ เพราะนี่ก็เกือบจะสามทุ่มแล้ว ผมยื่นแขนออกไปหาพี่ศิ ซึ่งพี่ศิแกก็รู้หน้าที่ครับ เขาย่อตัวลงมาอุ้มผมพร้อมกับพาผมเข้าไปในห้องนอน ร่างของผมถูกวางไว้บนเตียงและผ้าห่มถูกว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์ห่มให้จนมิดคอ ผมกล่าวราตรีสวัสดีพี่ศิออกไปอย่างแผ่วเบา พร้อมกับดวงไฟที่สว่างอยู่เหนือศีรษะถูกดับลง ‘ราตรีสวัสดิ์ครับพี่ศิของน้องกร’



‘ราตรีสวัสดิ์ครับ น้องกรของพี่ศิ’ เสียงทุ้มเอ่ยตอบกลับอย่างแผ่วเบาพร้อมกับบานประตูที่ปิดสนิทลง





_________________________________________________



อรั้ยยตอนนี้พี่ศิร้ายค่ะ ใครเห็นใจน้องกรขอให้ยกมือขึ้นนนนน อิอิอิ เจอกันตอนหน้าค่ะ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 30] 20/12/2013 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 20-12-2013 19:40:41
เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ เห็นใจน้องกรนะ
มาด้วยกันสองคน ให้เล่นน้ำอยู่คนเดียว
มันไม่สนุก น้องกรก็อยากสวีทกับพี่ศิบ้าง
แต่พี่ศิไม่เข้าใจ
การทะเลาะกันครั้งนี้ทำให้พี่ศิน้องกรเข้าใจกันมากขึ้น


ปล. สวีทให้ทะเลหวานสักทีเถอะ รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 30] 20/12/2013 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 20-12-2013 21:01:36
เมื่อไหร่จะเป็นแฟนกันเนี่ย 555
คราวนี้พี่ศิผิดเต็มๆ เป็นเราเราก็น้อยใจอ่ะ มากันสองคนแต่ก็ยังให้เราเล่นคนเดียว
นับถือกรมากที่เดินมาถึงบ้านพักเองได้ สุดยอดอ่ะ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 30] 20/12/2013 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: DZiik ที่ 20-12-2013 21:04:02
โอ๋เอ๋ๆ
คราวหลังพี่ศิต้องสนใจน้องกรมากกว่านี้น้าา
 :m1: :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 30] 20/12/2013 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: Jadd ที่ 20-12-2013 21:51:35
ตอนนี้เข้าข้างน้องกร เต็มที่เลย พี่ศิผิดเต็มๆ ชวนเค้ามาก็ไม่สนใจจะเล่นกับเค้าดีนะที่เข้าใจกันได้
ชิ งอนพี่ศิแล้ว
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 30] 20/12/2013 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 20-12-2013 23:05:46
นั่นสิ ชวนมาแล้วไม่เล่น ชวนมาทำไมอ่ะ?
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 30] 20/12/2013 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: omyim_jjj ที่ 21-12-2013 00:27:01
พี่ศิใจร้ายอ่ะ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 30] 20/12/2013 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 21-12-2013 08:59:47
พี่ศิร้ายน้องกรเอาแต่ใจเข้ากันดีออก อิอิ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 30] 20/12/2013 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: RenaBee ที่ 21-12-2013 13:51:15
ครั้งนี้ขอตีพี่ศิค่ะ!
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 30] 20/12/2013 P.10
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 21-12-2013 22:19:39
เห็นนนนด้วยพี่ศิใจร้ายมากทำให้น้องกรเสียน้ำตาได้ยังไง ชิ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 31] 27/12/2013 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 27-12-2013 19:19:46


สวัสดีค่ะ ไม่ได้เจอกันตั้ง 1 อาทิตย์ตอนนี้โผล่มาแล้วค่ะ ช่วงนี้พลอยจะหายหัวไปนานหน่อยนะคะแต่พยายามจะมาลงให้ทุก ๆ ท่านได้อ่านกันค่า










Chapter 31



วันแห่งความซวย (บัดซบ) ของผมได้ผ่านพ้นไปและเช้าวันใหม่ก็ผ่านเข้ามา ร่างของผมที่เมื่อวานใช้งานอย่างหนักโดยการเดินมาราธอนกลับมาที่บ้านพักสามชั่วโมงติด ซ้ำยังมีบาดแผลจากการโดนเศษแก้วบาดบริเวณฝ่าเท้า ทำให้วันนี้ผมสภาพโทรมเหมือนศพเดินได้นิด ๆ ครับ วันนี้พี่ศิก็นึกคึกอะไรก็ไม่รู้ แกเดินเข้ามาปลุกผมตอนตีห้ากว่า ๆ พร้อมกับย่อตัวให้ผมปีนขึ้นหลังครับ
ไอตัวผมที่เบลอ ๆ อยู่ก็ทำตามนะครับ ผมกอดคอพี่ศิแน่นหลังจากนั้นร่างสูงก็พาผมเดินออกไปทางประตูที่เชื่อมกับชายหาดครับ


 
“พี่ศิ ปลุกกรทำไมเช้า ๆ เนี่ย” ผมอ้าปากหาววอด ๆ พร้อมกับเอ่ยคำถามออกไป ทว่าร่างสูงนั้นไม่ได้เอ่ยตอบอะไรกับมา ซ้ำยังย่อตัวให้ผมลงจากหลังของเขาเพื่อให้ผมนั่งลงบนชายหาด ซึ่งผมก็ว่าง่ายครับผมทำตามอย่างที่พี่ศิให้ทำนั่นก็คือค่อยๆ ลงจากหลังของพี่ศิและนั่งลงบนพื้นทราย



“พี่แค่อยากให้กรเห็นอะไรบางอย่างเองครับ” ร่างสูงนั้นเอ่ยเสียงเบาพร้อมกับทิ้งตัวนั่งลงข้าง ๆ ผม “ดูนั่นสิ ที่ทะเลน่ะพี่อยากให้กรมาเห็นสิ่งนั่นแหละ” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาต่อพร้อมกับชี้นิ้วตนไปยังอีกฟากหนึ่งของทะเล ผมปรายตามองตามไปและสิ่งที่ประจักษ์แก่สายตาของผมก็คือพระอาทิตย์ยามเช้าที่ค่อยๆเคลื่อนตัวขึ้น แสงสีแสดยามสนธยาแผ่กระจายไปทั่วพื้นทะเล



ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าผม มันเป็นภาพพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยมากเลยครับ มันสวยมากจนตราตรึงเข้าไปในจิตใจขอองผมเลยล่ะครับ ผมเบือนหน้าหันไปมองพี่ศิพร้อมกับส่งรอยยิ้มให้ร่างสูงที่นั่งข้างๆผม เขาดูภาคภูมิใจกับภาพตรงหน้านี้มาก ท่าทางพี่ศิเขาคงเตรียมการเอาไว้นานแล้วมั้งครับกับการที่จะทำให้ผมเห็นภาพๆนี้ (แหม โปรเจคนี้เกือบจะล่มเพราะเรื่องไร้สาระเมื่อวานแล้วนะครับนี่) มือกร้านของพี่ศิยกกล้องขึ้นมาพร้อมกับรัวชัตเตอร์ไม่ยั้งเลยครับ ผมหัวเราะพี่ศิเบาๆ ก่อนจะหันกลับไปมองภาพที่ปรากฏตรงหน้าต่อ เสียงชัตเตอร์ยังคงดังไม่หยุด ไอผมก็คิดว่าพี่ศิจะถ่ายชัตเตอร์ซ้ำๆไปถึงเมื่อไหร่ ผมตวัดสายตาหันไปมองพี่ศิพลันเสียงชัตเตอร์ก็ดังขึ้นพร้อมกับดวงตาของผมที่หลับตาปี๋



ไอเสียงชัตเตอร์ที่ผมได้ยินนั้นไม่ใช่เสียงชัตเตอร์ที่พี่ศิแกถ่ายภาพพระอาทิตย์ขึ้น แต่มันเป็นเสียงชัตเตอร์ที่ถ่ายภาพผมเองครับ ผมนี่ถึงกับคิ้วกระตุกพร้อมกับเอามือไปจับเลนส์กล้องเอาไว้ “พี่ศิทำอะไร…” ผมเอ่ยถามเสียงเย็นพร้อมกับใช้มือดึงกล้องออกจากใบหน้าของพี่ศิ ซึ่งใบหน้าที่อยู่หลังกล้องนั้นได้แต่ยิ้มแห้งๆแล้วเอากล้องสุดรักสุดหวงวางลงบนตัก



“พี่แค่อยากถ่ายภาพเอง” คำถามนั้นใครก็รู้ครับ แต่ไอการรัวชัตเตอร์เพื่อถ่ายภาพผมมันคืออะไร…แล้วนี่พี่ศิเป็นสตอล์คเกอร์หรือไงครับ



“…เรื่องนั้นรู้อยู่แล้ว แต่ไอการที่หันกล้องใส่กรนี่มันหมายความว่ายังไง” ผมทำเสียงเข้มเพื่อข่มพี่ศิ ทว่าร่างสูงนั้นกลับไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยแถมยังหัวเราะร่าออกมาเสียอีก



“ก็พี่อยากถ่ายสีหน้ากรนี่นา” เสียงทุ้มนั้นเอ่ยตอบออกมาตรงๆ ถ้อยคำพูดที่พี่ศิเอ่ยออกมานั้นทำให้ผมเขินจัดจนหน้าขึ้นสี แต่พี่ศิก็ยังไม่หยุดอยู่แค่นั้น เขายังกระเถิบมาใกล้ๆ ผมพร้อมกับกดปุ่มให้ผมดูภาพถ่ายที่เขาถ่ายไว้ก่อนหน้านี้เสียด้วยและภาพทั้งหมดที่พี่ศิแกถ่าย มันเป็นภาพของผมทั้งนั้นเลยครับ มันเป็นภาพถ่ายเกี่ยวกับท่าทางของผมแทบจะทุกๆอิริยาบถเลยครับ



ภาพแต่ละภาพเหมือนกับภาพของมือโปรเขาถ่ายกันเลยล่ะครับ ฝีมือของพี่ศินั้นเข้าขั้นระดับเทพ เพราะภาพที่ผมไล่ดู (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาพของผม) ภาพของผมที่ปรากฏบนจอนั้นมันเหมือนกับว่าผมที่อยู่ในภาพถ่ายนั้นมีชีวิต ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้ม แววตา สีหน้าและการแสดงออกของผมมันดูเป็นธรรมชาติครับและเป็นภาพที่ผมคิดว่ามันสวยมากๆเลยล่ะครับ เมื่อผมไล่ดูภาพพวกนั้นไปได้สักพัก พลันใบหน้าของผมก็ขึ้นสีแดงจัด



‘นี่ พี่ศิ! แอบถ่ายภาพของกรตอนหลับไว้ด้วยเหรอครับ!’ ผมนี่ถลาไปเขย่าคอพี่ศิเต็มแรงเลยครับ ไอถ่ายตอนผมเผลอมันไม่เท่าไหร่ แต่แอบถ่ายตอนผมหลับนี่มันอาชญากรรมชัด ๆ เลยครับ



“พี่ศิ ไอตอนกรเผลอกรไม่ว่า แต่...ไอตอนหลับนี่ถ่ายตอนไหนถ่ายมาได้ยังไง!!” พี่ศิตัวโงนเงนไปมาตามแรงเขย่า  ริมฝีปากหนานั้นก็ยังคงหัวเราะออกมาเสียงดัง



“ถ้าถามว่าพี่ถ่ายตอนไหน พี่ก็ถ่ายตอนกรหลับในห้องพี่ไงครับ แล้วได้มาได้ยังไง พี่ก็แค่หยิบกล้องจากในห้องออกมาแล้วก็เอามาถ่ายรูปไงครับ” คำตอบกวนประสาทที่สมกับเป็นพี่ศิ (ที่ผมรู้จัก) ดีนะครับ คิ้วของผมนี่ขมวดแน่นเป็นปมแน่นพร้อมกับใช้มือมะเหงกไปที่หัวพี่ศิหนึ่งที



“แอบถ่ายกันแบบนี้ มันเป็นอาชญากรรมแล้วนะครับ!” ผมพูดพร้อมกับหวดมือใส่พี่ศิไปอีกหลายที จนกระทั่งผมก็ (เจือกพลาด) อีกแล้วล่ะครับ มือที่ผมหวดไปดันไปหวดลมเข้าร่างของผมก็เลยถลาเข้าไปซุกที่แผ่นอกของพี่ศิ และเมื่อสภาพผมเป็นแบบนั้น พี่ศิก็ใช้แขนทั้งสองข้างรวบกอดผมแน่นและหัวเราะออกมาด้วยใบหน้าระรื่น



“แค่นี้เอง อาชญากรรมอะไรครับกร...พี่แค่ถ่ายภาพคนสำคัญและพิเศษที่สุดในชีวิตของพี่ก็เท่านั้นเองนะ” พี่ศิพูดออกมาได้อย่างไม่อายฟ้าอายดิน ส่วนผมที่ซุกหน้าอยู่บนแผ่นอกของเขานี่หน้าแดงไปถึงไหนต่อไหนแล้วก็ไม่รู้ครับ ไอผมนี่อยากจะเอามือไปตีที่ปากพี่ศินักเชียว ทว่าตัวผมนั้นดันโดนรวบกอดเอาไว้แน่น แม้แต่แขนทั้งสองข้างยังขยับไม่ได้เลยครับ ผมก็เลยได้แต่ดิ้นขลุกขลักไปมาในอ้อมกอดของพี่ศิเขาอย่างเดียว ‘คนสำคัญและพิเศษที่สุดในโลกอย่างงั้นเหรอ’ พี่ศิเขาให้ความสำคัญกับผมมากเกินไปแล้วนะ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็แอบดีใจลึกๆนะครับ ไม่สิ...ผมนี่ดีใจมากๆเลยต่างหากที่พี่ศิแกให้ความสำคัญกับผมมากขนาดนั้น



พอผมดิ้นไปได้สักพัก ฤทธิ์ของผมก็เริ่มหมดครับ ผมก็เลยซุกหน้าลงไปบนอ้อมกอดของพี่ศิและปล่อยให้พี่เขาโอบกอดผมไปแบบนั้น (รู้สึกเหมือนว่าพี่ศิแกจะพาผมรับวิตามิน D นะครับเนี่ย แต่พอนั่งตากแดดไปนานๆ มันก็ร้อนเหมือนกันนะ) แต่พอเวลาผ่านไปไม่นาน พี่ศิแกก็คลายวงแขนออกจากตัวผมพร้อมกับอุ้มผมขึ้นในท่าอุ้มท่าเจ้าสาวแล้วค่อยๆเดินกลับเข้าไปในบ้านพักครับ


 
“กรครับ ไปอาบน้ำนะ ถ้าเสร็จแล้วเรียกพี่ด้วย เดี๋ยวพี่ไปทำความสะอาดแผลที่เท้าให้” เสียงทุ้มเอ่ยกับผม ซึ่งผมก็พยักหน้าตอบรับในคำพูดนั้นผมค่อย ๆ เดินเขย่งไปที่ห้องน้ำพร้อมกับถอดเสื้อผ้าที่สวมออกเพื่อที่จะชำระล้างร่างกาย ส่วนเสื้อผ้าที่จะใช้เปลี่ยนพี่ศิแกเตรียมไว้ให้บนเตียงแล้วครับ



ผมใช้เวลาราว ๆ 20 นาทีในการชำระล้างร่างกาย และที่ต้องใช้เวลานานขนาดนี้นั่นก็เป็น เพราะไอแผลที่ฝ่าเท้าของผมนี่แหละครับเพราะว่ามันห้ามโดนน้ำ…ผมเลยต้องยืนขาเดียวอาบน้ำครับ ซึ่งหวิดจะล้มหัวฟาดพื้นไปหลายต่อหลายรอบ แต่ก็นะ ผมก็ผ่านมันมาได้โดยใช้ถุงพลาสติกเข้าช่วยครับ ทุกคนก็คงคิดนะครับว่าถุงพลาสติกมันช่วยได้ยังไง…มันช่วยได้ครับ โดยการเอาถุงมัดขามันซะเลย



และเมื่อผมอาบน้ำเสร็จผมก็เดินเขย่งออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับสวมเสื้อผ้าที่พี่ศิแกเตรียมไว้ให้ ซึ่งมันก็ไม่ได้แตกต่างไปจากเมื่อวานครับ เพียงแค่เสื้อมีฮู้ดเป็นเสื้อแขนกุดแล้วผมมีเสื้อยืดแขนสั้นทับด้านในอีกชั้นเท่านั้นเอง ส่วนกางเกงก็เป็นกางเกงขาสามส่วนแบบเดิมครับ  ผมค่อยๆเดินเขย่งออกมาจากห้องพร้อมกับเดินไปที่ส่วนของห้องนั่งเล่นและทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกับที่ผมนั่งเมื่อคืน ผมนั่งแกว่งขาไปมารอพี่ศิที่กำลังทำข้าวเช้าอยู่ และในที่สุดพี่ศิก็ทำกับข้าวเสร็จครับ เพียงแต่พวกเราสองคนยังกินไม่ได้เท่านั้นเอง เพราะก่อนจะกินผมต้องทำความสะอาดแผลก่อนครับ



และผู้ที่รับผิดชอบทำความสะอาดแผลให้ผมนั่นก็คือว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์คนเดิมครับ ในมือพี่ศิถือชุดปฐมพยาบาลมาพร้อมกับส่งรอยยิ้มเย็นเหยือกให้ผม



‘ไอผมไม่ชอบรอยยิ้มแบบนี้ของพี่ศิเล๊ย...มันเหมือนคนถือไพ่เหนือกว่า หรือไม่ก็เหมือนสิงโตที่กำลังจะขย้ำเสือครับ’ ผมจึงได้แต่จำใจยื่นเท้าให้พี่ศิแกะผ้าพันแผลพร้อมกับทำแผลใหม่ ขั้นตอนการทำแผลมันก็เหมือนๆกับการทำแผลทั่วไปครับ ผมขอไม่อธิบายนะครับเพราะในท้ายที่สุดผลที่เกิดขึ้นมันก็ไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่ครับ ก็แค่ผ้าพันแผลถูกเปลี่ยนใหม่ เมื่อเท้าของผมทำความสะอาดแผลเสร็จแล้ว ขั้นต่อไปนั่นก็คือการทานข้าวเช้าครับ ซึ่งผมคิดว่าผมจะลุกไปนั่งกินที่โต๊ะทานข้าวแทน แต่พี่ศิเขามือไวกว่าครับ ท่อนแขนแกร่งนั้นอุ้มช้อนตัวผมขึ้นมาพร้อมกับเดินพาผมไปนั่งที่เก้าอี้ไม้ที่โต๊ะทานข้าว



ผมนี่งอนพี่ศิจนแก้มป่องเลยครับ เพราะว่าถ้าให้ผมเดินมันก็เดินได้อยู่หรอก แต่พี่ศิเขาไม่ให้เดิมแถมใช้เหตุผลไร้สาระสิ้นดีจนทำให้ผมยอมให้พี่ศิอุ้มไปไหนมาไหนเลยครับ (แต่พี่ศิก็แข็งแรงจริงๆนะครับเนี่ย ผมหนักราวๆ 60 กลางๆถึงปลายๆครับ ส่วนพี่ศิเท่าที่เค้นถามและคำนวณแรง F แล้ว พี่ศิน่าจะหนักราว ๆ 74-75 กิโลกรัมครับ)



“พี่ศิ วันนี้ข้าวเช้าเป็นอะไรเหรอ” ผมนั่งเท้าคางรอบนโต๊ะราวกับว่าตนเป็นเด็กประถม มือทั้งสองข้างนั้นถูกยื่นไปด้านหน้าแล้วขยับขึ้นลงเบาๆ ท่าทางของผมเหมือนเด็กน้อยที่กำลังร้องขออาหารเลยครับ แต่ทำไงได้ล่ะ ผมหิวนี่นา ผมขยับมือไปมาบนโต๊ะเพื่อเร่งพี่ศิให้เอาข้าวเช้ามาให้ผมทานได้แล้ว ซึ่งพี่เขาก็ไม่ทำให้ผมผิดหวังครับ เพราะว่าไม่กี่อึดใจพี่ศิก็เอาจานข้าวผัดปูมาวางตรงหน้าของผมพร้อมกับจานยำปลาหมึกยัดไส้หมูสับที่เหลือจากเมื่อวานครับ เมื่อจานข้าวผัดวางตรงหน้าผมผมก็ดันจานจานนั้นเข้ามาหาตัวผมพร้อมกับโรยพริกไทยบีบมะนาวลงไปเต็มที่พร้อมกับคลุกเคล้าให้เข้ากัน  หลังจากนั้นผมก็ตักข้าวผัดเข้าปากพร้อมกับตักปลาหมึกตัวจิ๋วใส่ปากครับ



‘อาหารฝีมือพี่ศินี่อร่อยทุกอย่างเลยน้า’ ผมพึมพำในใจเบา ๆ พร้อมกับตักข้าวผัดและยำปลาหมึกยัดไส้ใส่ปากจนทั้งสองอย่างหมดจาน (ไอจานยำปลาหมึกยัดไส้หมูสับ พี่ศิแกก็กินด้วยนะครับ ไม่ใช่ผมกินคนเดียวนะ) แต่ผมรู้สึกว่าท้องของผมยังไม่อิ่มเลยครับ ผมเลยถือจานข้าวขึ้นพร้อมกับส่งจานไปหาพี่ศิ ในตอนแรกพี่ศิก็ทำหน้างงๆนะครับ แต่ผมใช้ช้อนเคาะจานเบาๆทำให้พี่ศิแกนึกออกครับ การแสดงท่าทางแบบนั้นของผมนั่นหมายความว่าผมขอเติมข้าวอีก



ซึ่งคุณพี่ศิรวิทย์ก็ตามใจผมนะครับ พี่ศิตักข้าวผัดปูใส่จานผมเพิ่มพร้อมกับเอายำปลาหมึกยัดไส้หมูสับมาใส่จานเพิ่มด้วยและที่น่าตกใจไปว่านั้นพี่ศิแกก็เติมข้าวมานั่งกินกับผมด้วยครับ (น่าแปลกใจจริง ๆ เพราะปกติพี่ศิไม่ค่อยจะเติมข้าว ดันเติมข้าวตามผมซะงั้น แต่ก็ช่างเถอะครับ ผมมีเพื่อกินข้าวก็ดีแล้ว) ซึ่งอาหารเข้าเราก็ยังคงนำเดินต่อไป ในที่สุดทั้งจานข้าวของผมและพี่ศิ รวมถึงไอจานยำปลาหมึกนั่นก็หมดเกลี้ยงครับ ส่วนสภาพของผมนี่ ถ้าจับผมยัดข้าวอีกเม็ดเดียว ผมก็คงกินไม่ไหวแล้วครับ คาดว่าถ้าโดนยัดน่าจะอ้วกออกมาได้



ผมนอนฟุบไปกับโต๊ะ ส่วนพี่ศิก็เจ็บจานต่างๆเพื่อเอาไปทำความสะอาด คุณพี่ศิรวิทย์ใช้เวลาราวๆ 10 นาทีเท่านั้นเองครับ ในการทำความสะอาด จานชามทุกใบก็สะอาดเอี่ยมอ่องราวกับว่ามันไม่เคยได้ใช้มาก่อน ผมนี่ทึ่งในสกิลการทำงานบ้านงานเรือนของพี่ศิจริงๆ ถ้าพี่ศิเป็นผู้หญิงนี่ผมจะเลือกมาเป็นแม่ของลูกผมในอนาคตเลยครับ แต่นี่พี่ศิแกเป็นผู้ชาย…และที่สำคัญเพื่อนๆทุกคนคิดว่าผมจะกลายเป็นภรรยาของพี่ศิแกซะอีก…นี่ผมจะต้องตกเป็นภรรยาชาวบ้านมากกว่าสามีชาวบ้านเหรอครับนี่…รู้สึกเจ็บปวดเล็กๆแฮะที่โดนเพื่อนๆ (รวมไปถึงพี่สาวและน้องสาวที่บ้าน) หมายหัวไว้ว่าคนอย่างผมเป็นสามีใครไม่ได้นี่แหละครับ



แต่ก็ให้พวกมันมโนกันไปนะครับ ก็ผมบอกแล้วไงว่าพี่ศิยังไม่ได้ก้าวข้ามความสัมพันธ์ที่เรียกว่าคนสำคัญที่พิเศษที่สุดของผมหรอกครับ



หลังจากเก็บกวาดบ้านพักหลังนี้เสร็จ คุณพี่ศิรวิทย์ก็ขอตัวไปอาบน้ำครับเพราะว่าเหงื่อและกลิ่นคาวของอาหารทะเลที่โชยมา ทำให้พี่ศิเขารู้สึกค่อยไม่ดีเท่าไหร่นัก (และผมก็รู้สึกไม่ดีด้วยเพราะว่าพี่ศิแกต้องแบกผมไปเดินเล่นที่ชายหาดครับ) ซึ่งผมก็ปล่อยพี่ศิเขาไปนะครับ ส่วนผมก็นั่งรอพี่ศิอยู่ในห้องนั่งเล่นดื่มน้ำบลูฮาวายที่พี่ศิเขาทำไว้ให้ (และที่ผมมานั่งตรงโซฟาในห้องนั่งเล่นนี้ได้ก็เป็นอภินันทนาการจากพี่ศินั่นเองครับ)



ผมนั่งเตะขากอดเข่าดูทีวีดูดน้ำบลูฮาวายเล่นไปรอ จนแล้วจนรอดพี่ศิรวิทย์ก็ยังไม่ออกมาสักที ไอผมก็คิดว่าพี่ศิจะลื่นล้มตายในห้องหรือเปล่า เอ้ย ไม่ใช่ครับ ผมแค่ห่วงว่าพี่ศิจะเป็นอะไรมากไหม จะลุกไปดูพี่ศิก็ห้ามเอาไว้ ผมก็เลยได้แต่นั่งรอนิ่งๆ แต่การที่เราพูดถึงหมา หมาก็จะมา งั้นผมขอใช้เป็นเมื่อผมนึกถึงพี่ศิ พี่ศิก็จะโผล่มาแทนครับ เสียงของบานประตูห้องดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงที่เดินออกมาด้วยชุดไปรเวทแบบเดียวกับผมเป๊ะๆ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อมีฮู้ด เสื้อยืด และกางเกง ผมได้แต่กระตุกยิ้มมองพี่ศิ ก่อนจะแยกเขี้ยวใส่พี่แกช้า ๆ



v
v
v
v
v
v
v
v
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 31] 27/12/2013 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 27-12-2013 19:22:39



‘ไอคนเจ้าเล่ห์เอ้ย เตรียมเสื้อให้เราเพราะแบบนี้เอง...แหม เล่นจับให้เราสวมซะเหมือนกันตั้งแต่หัวจรดเท้าเชียวนะ คุณพี่ศิรวิทย์ ตาบ้าจอมวางแผน’ ผมได้แต่บ่นพึมพำออกมาเบาๆ แต่ก็ที่รู้ๆกันนะครับว่าพี่ศิแกมีหูนรก…เพราะหูของพี่แกสามารถจับเสียงที่เบามากๆได้โดยเฉพาะเสียงที่นินทาตัวเขา



“ครับ พี่เจ้าเล่ห์แต่ก็ไม่ได้เจ้าเล่ห์ธรรมดา เพราะพี่เป็นคนเจ้าเล่ห์มากๆ และที่เตรียมเสื้อให้กรและสวมเสื้อเหมือนกรพี่ก็มีเหตุผลครับ...นั่นก็เป็นเพราะพี่อยากสวมเสื้อคู่กับกรเลยตัดสินใจซื้อและตัดสินใจใส่เสื้อตัวนี้ออกมา เอาล่ะ ไปได้แล้วครับถ้าไม่ออกไปตอนนี้ เดี๋ยวแดดจะแรงเกินไปนะครับกร” รณกรคนนี้อยากจะร้องกรี๊ดออกมาดังๆ พี่แกยอมรับว่าตัวเองเป็นคนยังไงออกมาได้หน้าตายนัก ซ้ำยังเนียนเปลี่ยนเรื่องได้แบบ…หน้าด้านๆเลยครับ



เมื่อเสียงของร่างสูงนั้นพูดจบ เขาก็เดินมาทรุดตัวนั่งหันหลังให้ผม ซึ่งนั่นก็หมายความว่าพี่เขาจะให้ผมขี่หลังของเขานั่นเอง มือทั้งสองข้างของผม ผมเอื้อมมือไปกอดคอพี่ศิ ส่วนมือของพี่ศินั้นถูกยกมาช้อนก้นผมไว้เพื่อไม่ให้ร่างของผมร่วงลงไปที่พื้น



เมื่อร่างสูงจัดอะไรเข้าที่เข้าทางแล้ว เขาก็เดินออกไปจากตัวบ้านตรงไปยังหาดทรายสีขาวสะอาดตาและวางผมลงบนเสื่อผืนกว้างที่พี่ศิแกมาแอบเตรียมไว้เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ผมปล่อยมือออกจากคอของพี่ศิพร้อมกับทรุดตัวลงไปนั่ง ส่วนร่างสูงนั้นเดินไปขยับร่มให้บังแสงแดดที่สาดส่องมาเข้าตาของผม และเมื่อร่างสูงนั้นจัดร่มที่ปักอยู่ในพื้นทรายเสร็จ เขาก็ทรุดตัวลงมานั่งข้างๆ ผมพร้อมกับเอนตัวลงนอนบนตักผมเสียด้วย (คือผมกำลังนั่งพับเพียบอยู่ครับ พี่ศิแกเลยเนียนมานอนบนตักของผมได้ผู้ชายคนนี้…เจ้าเล่ห์จริงๆ)



“พี่ศิ มานอนอะไรบนตักของคนเจ็บกันครับ ลุกไปเลย” ผมพูดไล่พี่ศิแต่ร่างสูงนั้นกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรตอบกลับมาสักนิด ซึ่งความเงียบพวกนั้นทำให้ผมตัดสินใจก้มหน้าลงไปมองใบหน้าคมที่เปลือกตายังคงปิดสนิท ใบหน้าของเราห่างกับไม่ถึงคืบ ผมพินิจพิเคราะห์ใบหน้านั่นอยู่สักพัก ก่อนจะตัดสินใจอ้าปากตัวเองและกัดลงไปที่จมูกของพี่ศิอย่างแรง (ล่ะมั้งครับ แรงไม่แรงไม่รู้ครับ แค่เป็นรอยฟันเด่นชัดมากๆเท่านั้นเอง) ซึ่งการกระทำแบบนี้ของผมทำให้ร่างสูงที่ลืมตาขึ้นมาทันที แถมยังเด้งตัวลุกขึ้นไปนั่งกุมจมูกของตัวเองไว้อีกด้วย



ท่าทางที่แสดงออกมาของพี่ศินั้นทำให้ผมหัวเราะจนตัวงอ น้ำหูน้ำตาที่ไหลออกมาหมดเลยครับ ผมพยายามเอามือปิดปากเพื่อให้ตัวเองหยุดหัวเราะแต่มันก็หยุดไม่ได้สักที…ก็มันน่าขำนี่ครับ พี่ศิผู้ที่เนียนแกล้งทำเป็นนอนหลับ ซึ่งแกล้งหลับได้เนียนมากๆกลับโดนผมเอาคืนโดยการกัดไปที่จมูกเต็มแรง (ล่ะมั้ง) จนแอ๊บเนียนไม่ไหวเลยต้องลุกขึ้นมากุมจมูกตัวเองแบบนี้



ดวงตาคมของพี่ศินี่จ้องผมเขม็งเลยครับ ท่าทางภายในสมองอันปราดเปรื่องของเขากำลังหาทางเอาคืนผมอยู่แน่นอนครับ แต่พี่ศิจะเอาคืนยังไงก็เอาเถอะ เพราะถ้าเกิดพี่แกทำอะไรผมรุนแรง ผมจะแกล้งสำออยทรุดตัวลงไปแสร้งทำเป็นเจ็บเท้าเลย คอยดูสิ (บางทีการเป็นคนป่วยมันก็ดีแบบนี้นี่เองแหละครับ)



ผมที่หยุดหัวเราะแล้วนั่งมองพี่ศิที่ยังคงกุมจมูก แววตานั้นดูเศร้าลงเล็กน้อย สายตาที่พี่ศิส่งมาให้ผมนั้นทำเอาผมทำอะไรไม่ถูก ซ้ำยังทำให้ผมเกิดอาการรู้สึกผิดอีกครับ ผมรีบกุลีกุจอเอาน้ำแข็งในกระติกที่พี่ศิแบบมาใส่ผ้าเช็ดหน้าของตัวเองเพื่อจะเอาไปประคบให้พี่ศิ แต่ทันทีที่ผมหันกลับไปหาพี่ศิร่างของพี่ศิก็ถลาเข้ามารวบมือของผมไว้จนทำให้ผมนอนแผ่หลาไปบนเสื่อผืนกว้าง มือทั้งสองข้างโดนกอบกุมไว้แน่น ใบหน้าคมนั้นก้มลงมองมาที่ผมด้วยสายตาชั่วร้าย (นี่พี่ศิแกหลอกผมอีกแล้วครับ แกล้งทำเป็นสำออยใส่ผม นี่เอามุกที่ผมคิดมาเล่นด้วย!)



“กรเด็กดื้อ…แกล้งพี่แบบนี้ได้ยังไงครับ มันเจ็บนะ รู้ไหม” เสียงทุ้มเอ่ยนิ่งพร้อมกับใบหน้าคมที่ก้มลงมาเรื่อยๆ ตัวผมนี่ก็พยายามจะเบือนหน้าหนีหันไปทางอื่นนะครับ ทว่าสายตาคมคู่นั้นของพี่ศิ มันเหมือนกับสะกดผมให้ต้องมองหน้าของเขาอยู่แบบนั้น



“…ก็ไม่รู้สิ กรไม่ใช่คนโดนกัดนี่นา” ผมพยายามเฉไฉตอบเบี่ยงประเด็น แต่ไม่ว่าผมจะสรรหาคำพูดมามากขนาดไหนพี่ศิแกก็ยังไม่หยุดที่จะเคลื่อนตัวมาใกล้ๆผม ใบหน้าคมนั้นก้มลงมาเรื่อยๆ และในท้ายที่สุดปลายจมูกของเราก็ชนกัน ริมฝีปากนั้นห่างกันแค่ผิวสัมผัส



ผมไม่อยากจะบอกเลยนะครับว่าสภาพในตอนนี้ของผมเป็นยังไง ขนาดหายใจเข้าออกผมยังไม่กล้าเลย นั่นก็เป็นเพราะผมกลัวว่าริมฝีปากของผมจะไปประกบกับพี่ศิแกเข้า ซึ่งเราทั้งสองคนจ้องตากันอยู่แบบนี้ไปสักพัก และไอสิ่งที่ผมไม่อยากให้เกิดมันก็เกิดขึ้นครับ ริมฝีปากคมนั้นเคลื่อนลงมาทาบทับที่ริมฝีปากของผมพร้อมกับมอบรสจูบที่หวานละมุนมาให้



ผมไม่รู้ว่าริมฝีปากของเรานั้นสัมผัสกันไปนานเท่าไหร่แต่เท่าที่ผมรู้ ตอนนี้ผมกำลังเคลิ้มไปกับรสสัมผัสที่พี่ศิมอบให้ ริมปากของผมเผยอ ออกเพื่อให้ลิ้นเรียวเข้ามาดูดกลืนความหวานทั้งหมดของผมออกไป แต่เพียงช่วงอึดใจรสชาติหวานละมุนก็เปลี่ยนเป็นความเจ็บปวดนั่นก็เป็นเพราะพี่ศิจอมวายร้ายแกกัดปากของผมครับ ‘ให้ตายสิ คนกำลังเคลิ้ม ๆ …เอ้ย ไม่ใช่แล้วครับแบบนั้น’



เมื่อริมฝีปากของผมโดนพี่ศิกัด ไอผมก็ประเคนเท้ายันไปที่ท้องของพี่ศิแกแทบจะไม่ทัน เมื่อตัวของผมเป็นอิสระจากพี่ศิ ผมก็รีบผุดลุกขึ้นพร้อมกับใช้มือทั้งสองข้างยกขึ้นมาปิดปากของตัวเองแทบจะไม่ทัน และผมขอใช้คำพูดเดิมนะครับว่าผมไม่ได้เขินอายอะไรที่โดนจูบ แต่ผมเจ็บปากครับ เล่นกัดมาได้ ดีนะปากไม่แตก



“พี่ศิเล่นบ้าอะไรอ่ะ มันเจ็บนะ” ผมขึ้นเสียงใส่ร่างสูงที่นั่งกุมท้องตัวเองอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับกระเถิบร่างของตัวเองเพื่อเพิ่มระยะห่างระหว่างตัวผมกับพี่ศิ



“มันก็เหมือนกับกรที่แกล้งพี่ตอนเคลิ้มๆนั่นแหละครับ เป็นไงเจ็บไหม ถ้าเจ็บ พี่ก็รู้สึกเจ็บเหมือนกันนั่นแหละ” พี่ศิพูดสอนผม ไอการสอนผม ผมไม่ว่าหรอกครับ แต่จุดที่พี่เขากัดกับที่ผมกัดมันคนละจุดกันครับ ไอผมกัดที่ปลายจมูกส่วนพี่เขากัดที่ปาก และที่สำคัญก่อนที่พี่ศิจะกัดที่ริมฝีปากของผม พี่เขาจูบพร้อมกับสอดลิ้นเข้ามาในริมฝีปากผมด้วย



ความจริงมันกัดตรงอื่นก็ได้แล้วทำไมต้องเป็นปาก! ที่สำคัญทำไมต้องจูบแล้วสอดลิ้นเข้ามาในปากผมด้วย!



“มันคนละเรื่องกันเลยพี่ศิ! ไอเจ็บน่ะมันเจ็บ แต่ไอเรื่องเคลิ้มนั่นมันคืออะไร” ผมพูดเถียงพี่ศิด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ มือข้างหนึ่งของผมละออกจากปากและฟาดไปบ่าของพี่ศิเต็มแรง



“เคลิ้ม…มันก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอครับกร พี่กำลังมีความสุขกับการได้นอนบนตักกร มันก็คล้ายๆกับกรที่มีความสุขกับการโดนพี่จูบนั่นแหละครับ” ตาย…กล้าพูดนะครับพี่ศิ ใครเขาจะไปมีความสุขกัน  แค่…ก็แค่เคลิ้มนิดหน่อยเท่านั้นแหละ  แล้วทำไมพี่ศิที่เป็นคนพูดออกมาแบบนั้นต้องหน้าแดงด้วย ที่สำคัญทำไมผมต้องหน้าแดงเป็นเพื่อนพี่เขาด้วยล่ะเนี่ย รณกร นายมันบ้าไปแล้ว!



“ไม่ได้เคลิ้ม ไม่ได้มีความสุขนะ! พี่ศิบ้า ชอบฉวยโอกาส หื่นและที่สำคัญลามกด้วย!” ผมนี่ด่าพี่ศิไปหลายยกเลยครับ แต่ดูเหมือนว่าพี่ศิแกไม่มีท่าทีทุกข์ร้อนอะไรกับคำด่าของผมเลยสักนิด แถมพี่แกหัวเราะชอบใจออกมาเสียอีก ประสาทไปแล้วหรือไงครับคุณพี่ศิรวิทย์ และเมื่อผมได้ด่าได้ว่าพี่ศิจนพอใจแล้ว ผมก็ทำท่าจะลุกขึ้นเพื่อที่จะเดินหนีเข้าบ้านพัก แต่ทุกๆคนก็คงรู้ว่าตอนนี้ผมเดี้ยงอยู่ การที่จะหนีเข้าบ้านเป็นอะไรที่เป็นไปไม่ได้ครับ ผมจึงได้แต่นั่งเมินพี่ศิอยู่กับที่แทน



ซึ่งการที่ผมนั่งพับเพียบแบบนั้นทำให้พี่ศิแกได้โอกาสที่จะมาเนียนนอนบนตักผมอีกครั้งครับ ร่างสูงค่อยๆเขยิบมาใกล้ๆ ผมพร้อมกับทิ้งตัวลงนอนบนตักของผมอีกครั้ง และครั้งนี้ผมก็ไม่กล้าที่จะแกล้งหรือทำอะไรพี่ศิอีกแล้วครับ ด้วยเหตุผลที่พวกคุณก็น่าจะรู้ดีนะครับว่าทำไมผมไม่อยากทำแบบนั้น



ร่างสูงที่นอนบนตักของผมนั้นหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข ไอใบหน้าแบบนี้มันคืออะไรกัน ผมได้แต่นั่งหงุดหงิดไปแต่สุดท้ายผมก็เลือกที่จะละความสนใจจากพี่ศิเปลี่ยนไปเหม่อมองที่ทะเลแทน น่าเสียดายที่วันนี้ผมลงไปเล่นน้ำทะเลไม่ได้ ไม่งั้นผมคงลงไปว่ายน้ำในทะเลอย่างบ้าคลั่งแล้วครับ พูดถึงก็ทำให้ผมทอดถอนลมหายใจออกมาและมันก็เป็นช่วงเดียวกันกับดวงเนตรคมที่ซ่อนอยู่ภายใต้กรอบแว่นสีดำสนิทนั้นลืมตาตื่นขึ้นมา



“เป็นอะไรไปเหรอครับ กร” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาด้วยความเป็นห่วง มือกร้านที่ก่อนหน้านี้ทิ้งไว้อยู่ข้างกายถูกยกขึ้นมาแตะเบาที่ใบหน้าของผม สัมผัสนั่นทำให้ใบหน้าของผมขึ้นสีแดงเข้มขึ้นมาอีกครั้งครับ ผมสะบัดหน้าหนีฝ่ามืออุ่นของพี่ศิพร้อมกับเอ่ยตอบคำถามนั่นออกไป



“ก็กรอยากเล่นน้ำทะเล แต่ใครก็ไม่รู้ทำให้เราอดเล่น เสียใจชะมัด” ผมพูดพร้อมกับกอดอก ส่วนใบหน้าของผมสะบัดหันหนีไปอีกทาง ซึ่งท่าทางเหล่านั้นของผมทำให้พี่ศิแกหลุดขำออกมาน้อย ๆ



เมื่อเสียงหัวเราะของพี่ศิเงียบลง ร่างของเขาก็ผุดลุกขึ้นพร้อมๆกับย่อตัวลงตรงหน้าผม ไอผมก็สงสัยสิครับว่าพี่ศิแกต้องการจะทำอะไรถึงหันหลังมาให้ผมขึ้นไปขี่ ผมนั่งมองพี่ศิที่ทำน่าแบบนั้นอยู่นาน จนในที่สุดคุณพี่ศิรวิทย์ก็เปลี่ยนจากให้ผมขี่หลังเป็นช้อนตัวผมขึ้นไปอุ้มแทน



ไอผมที่ถลึงตาใส่พี่ศิแกเลยครับว่าพี่เขาคิดจะทำอะไร แต่ไอความสงสัยนั่นมันก็หมดไปครับเมื่อพี่ศิแกเดินลงทะเลไปพร้อมกับตัวของผมที่อยู่ในอ้อมแขนของพี่ศิเขา



“อย่าเอาเท้าโดนน้ำทะเลนะครับกร เดี๋ยวแสบจนน้ำตาไหลพี่ไม่รู้ด้วยนะ” สิ้นเสียงนั่น พี่ศิแกก็ทำในสิ่งที่ผมไม่คาดคิดทันทีนั่นก็คือพี่แกย่อตัวเองลงไปในทะเลการกระทำแบบนั้นทำให้ร่างของผมก็เปียกน้ำทะเลด้วย แต่ด้วยคำพูดที่พี่ศิพูดใส่ผมเรื่องไม่ให้แผลของผมโดนน้ำทะเลนั่น จึงทำให้ผมใช้มือทั้งสองข้างโอบรอบคอพี่ศิแน่นและไม่ใช่แค่โอบคอเท่านั้นผมยังคงเกร็งตัวทำให้ร่างของผมเข้าไปแนบชิดกับพี่ศิขึ้นไปอีก



การกลัวเกินเหตุของผมทำให้พี่ศิหัวเราะออกเสียงดัง ก่อนจะเดินขึ้นชายหาดไปและเปลี่ยนให้ผมขึ้นขี่หลังของพี่เขาแทน
“แบบนี้โอเคแล้วนะครับกร” พี่ศิเอ่ยถามผมในขณะที่เขาค่อยๆก้าวลงไปในทะเล ซึ่งผมก็ส่งเสียงตอบพี่เขาไปเบา ๆ ครับ “อื้อ โอเค” แล้วทำไมผมถึงส่งเสียงตอบกลับไปเบาๆแบบนั้นงั้นเหรอ นั่นก็เป็นเพราะ…บ้านพักหลังอื่น ๆ เริ่มตื่นลงมาเล่นน้ำทะเลแล้วครับ แล้วสภาพของผมแบบนี้ใครมันจะไปกล้าส่งเสียงดังให้เป็นจุดสนใจกันล่ะครับ เมื่อพี่ศิก้าวลงไปได้ครึ่งตัว (และบางส่วนของผมเริ่มแตะน้ำทะเลแล้ว) ผมก็ตัดสินใจกระซิบเบาๆที่ข้างหูพี่ศิเพื่อให้พี่เขาพาผมกลับเข้าบ้านพัก



“พี่ศิ...พากรกลับเข้าบ้านพักเถอะ คนอื่นมองเยอะแยะแล้ว...กรเขิน” ผมเขินที่โดนผู้ชายด้วยกันแบกลงมาเล่นน้ำแบบนี้ครับ ให้ตายเถอะ เป็นผู้ชายมาดแมนต้องโดนผู้ชายด้วยกันจับอุ้มจับขี่หลังลงทะเล



“กรไม่อยากเล่นน้ำทะเลแล้วเหรอครับ พี่ไม่เขินนะยังเล่นต่อได้” พี่ศิเอ่ยตอบผมไอคำพูดนั้นทำเอาผมวักน้ำเข้าหน้าพี่ศิแกไปหนึ่งที “แต่กรเขิน ขึ้นได้แล้ว กรจะเข้าไปอาบน้ำแล้วนั่งกินข้าวกลางวันในบ้านแล้ว” ผมพูดซ้ำพร้อมกับเอามือรั้งคอพี่ศิเพื่อเป็นการบังคับให้เขาพาผมกลับเข้าไปในบ้าน ร่างสูงนั้นหัวเราะร่าพร้อมกับหันกายกลับและเดินกลับขึ้นไปยังชายหาดและพาผมเข้าตัวบ้านพักไป ชายร่างสูงคนนี้พาผมไปยังห้องพักของผมพร้อมกับปล่อยให้ผมลงจากแผ่นหลังของเขา



“ถ้ากรอาบน้ำเสร็จแล้วนั่งรอพี่อยู่ในห้องนั่งเล่นนะครับ เดี๋ยวพี่เข้าเปลี่ยนผ้าพันแผลที่เปียกน้ำให้นะครับ” เมื่อเท้าทั้งสองข้างของผมแตะลงบนพื้น พี่ศิสั่งผมทันทีเลยครับว่าเขาจะทำแผลให้ใหม่ถึงผมจะตอบปฏิเสธยังไง พี่ศิแกก็ไม่ยอมครับ นั่นก็เป็นเพราะว่าตอนนี้ผ้าพันแผลที่พันแผลของผมอยู่มันเปียกน้ำทะเลอยู่ครับ ผมจึงได้แต่พยักหน้าตอบตกลงและหยิบผ้าขนหนูเข้าไปในห้องอาบน้ำและเริ่มชำระล้างร่างกายอีกครั้ง ซึ่งเวลาที่ใช้ก็ไม่ได้ต่างจากเมื่อเช้าสักเท่าไหร่ครับ แต่มันไวขึ้นนิดหน่อยเพราะผมรู้วิธีที่ทำให้แผลของผมไม่เปียกน้ำได้แล้ว เวลาผ่านไปราว ๆ 15 นาทีผมก็ออกมาจากห้องน้ำและอยู่ในชุดไปรเวทชุดใหม่ ซึ่งมันก็ไม่ค่อยต่างจากเดิมสักเท่าไหร่ครับ เพราะเสื้อที่ผมชอบใส่มันก็แนว ๆ นี้นั่นแหละ



ผมเดินเขย่งไปที่โซฟาในห้องนั่งเล่นพร้อมกับนั่งจุ้มปุ๊กดูทีวีรอพี่ศิตามที่พี่ศิเขาสั่งไว้ แต่นั่งไปนั่งมาไอผมก็เกิดอาการง่วงขึ้นมาทันที (ไอผมมันเป็นพวกนิ่งเป็นหลับขยับเป็นเกรียนนี่แหละครับ เวลาที่ไม่ได้เกรียนผมเลยง่วงง่ายกว่าคนปกติทั่วไป) ผมยกมือป้องปากหาวน้อยๆ ก่อนจะทิ้งตัวลงไปนอนบนโซฟายาวและหลับสนิท จนไม่รู้ว่าพี่ศิแกกลับเข้ามาในบ้านพักตอนไหน ไม่รู้ว่าไอผ้าพันแผลที่เท้าของผมเปลี่ยนไปหรือยัง และรวมไปถึงข้าวกลางวันของวันนี้ที่ผมก็ยังไม่ได้กินครับ



ผมนอนดิ้นขลุกขลักไปมาบนโซฟาพลันผมก็สะดุ้งตื่นขึ้นพร้อมพี่ศิที่ก้มหน้าลงมามองที่ผม ร่างสูงนั้นส่งยิ้มมาให้พร้อมกับลูบหัวของผมอย่างเบามือ



“ตื่นแล้วเหรอครับ...กรนี่นอนหลับไปนานน่าดูเลยนะเนี่ย พี่ขยับตัวเราให้มานอนบนตักพี่เรายังไม่ตื่นเลย” เสียงทุ้มเอ่ยเบาพร้อมพร้อมละมือออกจากศีรษะของผมและปล่อยให้ผมลุกขึ้นมานั่งครับ



“กี่โมงแล้วอ่ะพี่ศิ” ผมเอ่ยถามพี่ศิพร้อมกับยกมือทั้งสองข้างขึ้นเพื่อบิดขี้เกียจ แต่ไม่ต้องเวลาจากพี่ศิก็น่าจะรู้ล่ะครับว่าตอนนี้กี่โมงแล้วพระอาทิตย์นี่กำลังจะตกดินครับ เพราะแสงยามอัสดงนั่นสาดส่งเข้ามาเต็มหน้าต่างเลยครับ



“เกือบจะได้เวลาทานข้าวเย็นแล้วครับกร แต่ถ้าหิวก็ทานก่อนได้เลยนะครับ เพราะกรยังไม่ได้ทานข้าวกลางวันเลยนี่” ร่างสูงเอ่ยพร้อมกับยันกายลุกขึ้นพร้อมกับช้อนตัวผมขึ้นและพาไปนั่งที่โต๊ะทานข้าวครับ ผมยังคงยกมือตนขึ้นมาป้องปากหาวอยู่น้อยๆ แต่ช่วงครู่เดียวดวงตาทั้งสองข้างของผมก็ลืมตื่นอย่างเต็มที่เพราะชามข้าวและกับข้าวถูกวางไว้เบื้องหน้าผม จานแรกเป็นปูผัดผงกะหรี่ครับ จานต่อไปเป็นกุ้งทอดกระเทียมพริกไทยครับและจานสุดท้ายเป็นไข่เจียวหอยนางรมครับ กลิ่นกับข้าวนี่หอมโชยจนทำเอาท้องผมร้องดังขึ้นมาเลยล่ะครับ



และเมื่อพี่ศิแกนั่งลงผมก็หยิบช้อนซ้อมขึ้นมาตักข้าวและใส่ปากทันทีเลยล่ะครับ แต่ละจานนี่รสชาติอร่อยมากครับสมแล้วที่พี่ศิแกลงมือทำเอง รสชาติของปูผัดผงกะหรี่นี่โดนใจผมมากครับ มันกุ้งที่เอามาผัดด้วยนี่มันอร่อยได้ใจจริงๆ ส่วนกุ้งทอดกระเทียมพริกไทยนี่กลิ่นกระเทียมหอมมาเชียวแถมกุ้งนี่ทอดได้เหลืองด้านนอก ด้านในนี่นุ่มมากเลยล่ะครับ สมกับเป็นของสดจริงๆ ส่วนไข่เจียวหอยนางรม ผมไม่รู้ว่าพี่ศิแกทอดยังไงถึงไม่มีน้ำของหองนางรมอมไว้อยู่เลยเนี่ย



ผมกินไปพูดชมพี่ศิไป ร่างสูงที่ถูกผมชมนี่ยิ้มจนแก้มปริเลยครับ “อร่อย…มากเลยอ่ะพี่ศิ ฮืออ อร่อยจนน้ำตาไหล ถ้าพี่ศิเป็นผู้หญิงนะ กรจะขอมาเป็นแม่ของลูกกรเลยล่ะ” แต่ในประโยคสุดท้ายที่ผมพูดทำให้พี่ศิหุบยิ้มทันทีดูเหมือนว่าผมจะพูดแทงใจดำของพี่ศิแกเข้า…แต่จริงๆมันก็แทงใจของผมเช่นกัน



เพราะถ้าเราทั้งสองคนมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้หญิง…เราทั้งสองคนคงคบกันไปนานแล้วครับ ผมได้แต่ยิ้มจางๆกับความจริงข้อนั้นและก้มหน้าก้มตาทานข้าวต่อไป เราทั้งสองคนนั่งทานข้าวภายใต้ความเงียบกันสักพัก ในที่สุดข้าวและกับข้าวก็หมดจานครับ
การทำกิจกรรมต่อของพวกเราทั้งสองคนทำกันในความเงียบครับ พี่ศิค่อยๆเก็บจานทั้งหมดบนโต๊ะเพื่อเอาไปล้างส่วนผมก็โดนอุ้มไปนั่งบนโซฟาครับ ผมเดินโทรศัพท์ดูไปเรื่อยๆ สักพักพี่ศิก็เดินมานั่งข้าง ๆ ผม



“นี่พี่ศิ...” ผมเอ่ยเรียกพี่ศิเสียงแผ่ว ซึ่งใบหน้าคมนั้นก็หันมามองผมตามเสียงเรียง ริมฝีปากหนานั้นพยายามยิ้มจาง ๆ มาให้



“กรขอโทษนะที่พูดอะไรแบบนั้นออกมา” สิ้นเสียงของผม พี่ศิก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย พี่แกคงคิดนะครับว่าผมเอ่ยคำขอโทษออกมาทำไม



“กรขอโทษพี่ทำไมครับ” ร่างสูงนั้นเอ่ยถาม แต่ผมรู้นะครับว่าพี่ศิแกรู้อยู่แล้วว่าผมขอโทษพี่แกเรื่องอะไร…



เพราะเหตุผลที่ผมขอโทษพี่เขามันก็เป็นเหตุผลเดียวกับที่พี่ศิแกอยากขอโทษผม…นั่นก็คือการที่เราคนใดคนหนึ่งถึงไม่เกิดมาเป็นผู้หญิงกันนะ ทางพี่ศิ ผมรู้ครับว่าพี่แกไม่ได้กังวลอะไรที่ผมเป็นผู้ชายและถ้าหากเราทั้งสองคนจะคบกัน ถ้าผมเอ่ยออกไปว่าผมอยากคบกับพี่ศิเขาคงรับปากตกลงทันที แต่มันติดที่ผม…ติดที่ผมไม่กล้าจะยอมรับว่าตัวเองนั้นหลงรักพี่ศิเข้าไปซะแล้ว แต่เรื่องนี้…ช่างมันเถอะครับ เพราะต่อให้พูดไป ผมก็คิดว่าความรู้สึกทั้งสองทางของผมก็ยังตีกันอยู่ดี ผมสะกิดแขนพี่ศิเบาๆ เพื่อบอกให้พี่ศิพาผมไปที่ห้องนอน



“พี่ศิ พากรไปที่ห้องนอนที กรอยากอาบน้ำนอนแล้ว” พี่ศิก็พยักหน้าตอบรับพร้อมช้อนตัวผมขึ้นเพื่ออุ้มไปส่งที่ห้อง ร่างสูงนั้นค่อยๆเดินอย่างช้าๆราวกับว่าไม่อยากให้เวลาที่เราทั้งสองคนอยู่ด้วยกันหมดลง แต่สิ่งที่พี่ศิหวังมันก็เป็นได้แค่ความหวังเท่านั้น เพราะอีกไม่ถึง 24 ชั่วโมง พวกเราทั้งสองคนก็ต้องกลับกรุงเทพกันแล้วครับ



เมื่อร่างของผมเข้ามาในห้องและนั่งลงบนโซฟา พี่ศิเขาก็เอ่ยขอตัวเพื่อที่จะไปพักผ่อนเช่นกัน ร่างสูงค่อยๆหันหลังกลับและก้าวเดินออกไป แต่ไม่รู้ทำไมมือของผมมันไวกว่าความคิดชั่วแวบเดียว มือข้างหนึ่งของผมก็เอื้อมไปจับชายเสื้อของพี่ศิไว้ การกระทำแบบนั้นของผมทำให้การเดินของพี่ศิชะงัก ใบหน้าคมค่อยๆหันหลังกลับมามองหน้าผม มือกร้านทั้งสองข้างนั้นเอื้อมมือมาหมายจะแกะมือของผมออกจากชายเสื้อ ทว่าผมกับกำมันแน่นยิ่งกว่าเก่าแต่เมื่อความนึกคิดของผมคืนกลับมา ผมก็รีบปล่อยชายเสื้อของพี่ศิและเอ่ยถ้อยคำขอโทษออกมา



“ขอโทษนะครับพี่ศิ กรไม่รู้เป็นอะไรไปถึงไปจับชายเสื้อพี่ศิเข้า” ผมหัวเราะแห้งๆพร้อมกับเอามือข้างที่จับเสื้อพี่ศิมาเกาแก้มตัวเองเบาๆ แต่คำพูดพวกนั้นมันทำให้พี่ศิแกหันหลังกลับมาพร้อมกับนั่งคุกเข่าเบื้องหน้าของผม ใบหน้าคมนั้นค่อย ๆ เขยิบมาใกล้ พร้อมกับริมฝีปากที่ประกบที่แก้มของผมเบา ๆ



“ราตรีสวัสดิ์นะครับ กร” เสียงทุ้มเอ่ยแผ่วเบาพร้อมกับสาวเท้าออกไปจากห้องพักของผม ก่อนที่พี่ศิจะปิดประตูลงรอยยิ้มจางๆนั้นถูกเผยออกมาจากริมฝีปากและแววตาคมที่ร่างสูงนั้นส่งมานั้นเต็มไปด้วยความยินดีอยู่ลึกๆ



สัมผัสแผ่วเบาพร้อมกับเสียงที่ดังมาพร้อมกับสายลมทำให้ผมหน้าขึ้นสี ถ้อยคำและสัมผัสนั้นไม่ได้มอบให้ผมในฐานะน้องชายหรืออะไร แต่มันเป็นสัมผัส…ที่ผู้ชายคนหนึ่งมอบให้แก่คนรัก…



เมื่อความคิดพวกนี้แล่นเข้าใส่สมอง ผมนี่ล้มตัวลงไปดิ้นบนเตียงพร้อมกับเอามือทุบไปที่เตียงอย่างแรง ริมฝีปากผมก็พลางพึมพำว่าพี่ศิด้วยถ้อยคำเดิมซ้ำไปซ้ำมา ‘พี่ศิเป็นคนบ้าที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมาเลยครับ’



‘แต่ว่าท่าทางที่แสดงออกมาแบบนั้นของพี่ศิ...เขาคงจะรับรู้ความรู้สึกที่อยู่ภายในใจของผมแล้วล่ะมั้งครับ...ความรู้สึกที่ต่อต้านกันภายในจิตใจ นั่นก็เป็นเพราะว่าแววตากับรอยยิ้มที่พี่ศิส่งมาให้ผมนั้นมันเป็นแววตาและรอยยิ้มที่มีความหมายสื่ออยู่ และความหมายของรอยยิ้มและแววตานั้นมันก็คือ เขาจะทำให้ผมยอมรับกับความรู้สึกของตัวเองให้ได้ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีไหนก็ตาม’




______________________



เจอกันตอนต่อไปค่า


หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 31] 27/12/2013 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 27-12-2013 20:29:01
ดูแลกันดีตลอด
เมื่อไรนะที่กรจะเปิดใจให้พี่ศิก้าวข้ามไป
ทั้งที่การกระทำมันไปไกลแล้ว ชักสงสารพี่ศิขึ้นมา
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 31] 27/12/2013 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 27-12-2013 20:50:49
กรต้องก้าวผ่านไปให้ได้น่ะ
เมื่อรู้ว่ารักก็ต้องยอมรับมัน รับรักพี่ศิซะ อิอิ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 31] 27/12/2013 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 27-12-2013 20:54:42
กรื้ดด กัดหมอน เขิน >////////<
เมื่อไหร่กรจะยอมเป็นแฟนกับพี่ศิน้อ
แต่จริงๆเราก็เข้าใจแหละว่าเพราะสังคม เหอะๆๆๆ เกลียดคำนี้จริ๊งงงง
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 31] 27/12/2013 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: rainiefonnie ที่ 27-12-2013 21:09:21
เมื่อไรจะเป็นแฟนกันน้าาาาา
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 31] 27/12/2013 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: DZiik ที่ 28-12-2013 09:04:18
สู้ๆน้าพี่ศิ  :m1:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 31] 27/12/2013 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 28-12-2013 09:19:54
กรทำตัวยังกับเป็นแฟนพี่ศิแล้ว เหลือแค่ยอมรับความรู้สึกตัวเอง
รีบๆ รู้ตัวแล้วจะได้เป็นแฟนพี่ศิสักที
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 31] 27/12/2013 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: RenaBee ที่ 28-12-2013 11:11:45
พี่ศิสู้ๆนะคะ
น้องกรเอ๋ยเมื่อไหร่จะยอมรับเป็นแฟนพี่ศิซะที สงสารพี่ศิจะแย่แล้ว  :hao5:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ [Chapter 31] 27/12/2013 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: shikyu3211 ที่ 31-12-2013 21:05:59
อะไรจะคิดยากขนาดน้านนนนนนนน
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 31] 27/12/2013 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: Jinn ที่ 31-12-2013 22:33:28
พี่ศิกับน้องกรน่ารักมาก

รักคู่นี้ที่สุด

แต่มีที่สงสัยนิดนึงว่า แสงสีแสดยามสนธยา

สนธยา นี่มันตอนเย็น แต่พี่ศิกับน้องกรเขาดูพระอาทิตย์ขึ้นนา สนธยา นี่มาได้ไง น่าจะเป็นอรุณรุ่ง หรือ รุ่งอรุณ ก็ว่ากันไป
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 31] 27/12/2013 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 01-01-2014 16:09:16
พี่ศิกับน้องกรน่ารักมาก

รักคู่นี้ที่สุด

แต่มีที่สงสัยนิดนึงว่า แสงสีแสดยามสนธยา

สนธยา นี่มันตอนเย็น แต่พี่ศิกับน้องกรเขาดูพระอาทิตย์ขึ้นนา สนธยา นี่มาได้ไง น่าจะเป็นอรุณรุ่ง หรือ รุ่งอรุณ ก็ว่ากันไป


สวัสดีค่ะพลอยนะคะ พอดีพลอยอยากจะชี้แจงคำว่า "แสงสีแสดยามสนธยา" ค่ะ เนื่องจากคำ ๆ นี้มีคนสงสัยอยู่โดยส่วนมากทุกคนอาจจะคิดว่าคำว่า "สนธยา" นั้นแปลว่าแสงแดดยามพระอาทิตย์ตกดินนะคะ แต่ความจริงแล้วคำว่า "สนธยา" นั้นสามารถแปลได้ทั้งแสงแดดยามพระอาทิตย์ตกดิน และ แสงแดดยามรุ่งอรุณก็ได้ค่ะ ซึ่งคำศัพท์มันมาจากคำว่า Twilight ที่แปลว่าโพล้เพล้ หรือความหมายเต็ม ๆ ก็คือ "ช่วงเวลาก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น หรือ หลังจากดวงอาทิตย์ตกไปแล้ว" ค่ะ ขอบคุณพื้นที่ที่ให้พลอยอธิบายนะคะ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 31] 27/12/2013 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: Elizabeth_TonnY ที่ 06-01-2014 18:40:43
ประทับใจอ่ะ :monkeysad: อ่านตั้งเเต่
ตอนเเรกมา รักพี่ศิ รักน้องกร  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 32] 08/01/2014 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 08-01-2014 16:18:25
สวัสดีก่ะ// ไมไ่ด้พบเจอกันนานเลย..วันนี้ขอเอานิยายมาอัพนะก่ะ ตอน 32 ค่ะ




__________________________





Chapter 32



ก็ไม่รู้สินะว่าผมมาอยู่ ณ ที่แห่งนี้ หรือ ณ ตรงนี้ด้วยเหตุผลอะไร (ตอนนี้ผมยืนอยู่ใต้คณะพร้อมกับโทรโข่งครับ) ซึ่งถ้าให้ผมเท้าความไปถึงตอนเช้าที่เช้ากว่านี้สักหน่อยนะครับ ผมคลับคล้ายคลับคราว่าเพื่อนสนิทนามว่าเพื่อนเจมส์และเพื่อนบาสนั้นเข้ามาในคอนโดของผมด้วยกุญแจสำรองที่ผมให้ไป ซึ่งถ้ามานั่งเล่นในห้องผม ผมก็ไม่ว่าอะไรหรอกครับ แต่ที่พวกมันเข้ามาหาผมมันไม่ใช่เหตุผลนั้นครับ ผมโดนพวกมันสองคนปลุกด้วยการขย่มเตียงพร้อมกับดึงผ้าห่มของผมออกจากตัว และเมื่อผมลืมตาลุกขึ้นมาเตรียมด่า ไอบาสก็ยื่นผ้าเช็ดตัวมาให้ผม แถมมันยังสั่งให้ผมอาบน้ำแต่งตัวด้วยเสื้อนิสิตและขับรถไปคณะเดี๋ยวนี้ ซึ่งมันไม่บอกเหตุผลนะครับว่าผมต้องไปคณะเพราะอะไร เพราะมันพูดแค่เพียง ‘มันจะไม่ทันแล้วนะเฮ้ย ไอเชี่ยกร รีบแต่งตัวไวๆเลยครับมรึง’ ไอผมที่ได้ยินแค่นั้นก็นึกว่าเป็นเรื่องสำคงสำคัญอะไร ผมจึงรีบอาบน้ำแต่งตัวด้วยความรวดเร็วและขับรถตามสหายทั้งสองคนที่แว๊นซ์มอเตอร์ไซค์ล่วงหน้าไปก่อนเมื่อสักครู่ และเมื่อผมถึงคณะผมก็เดินโซเซไปที่โต๊ะม้าหินอ่อนโต๊ะประจำของผมและพวกสหาย ซึ่งสหายทุกคนของผมก็นั่งอยู่บนโต๊ะนี้ด้วยและที่สำคัญแต่ละคนนี่สภาพไม่แตกต่างจากผมเลยครับ ตาปรือเหม่อลอย บางคนฟุบหน้าหลับลงไปกับโต๊ะด้วยครับ มองแบบนี้แล้วท่าทางทุกคนจะโดนไอสองเกลอที่ดี๊ด๊ากันอยู่สองคนตามไปปลุกหรือโทรปลุกแน่นอนเลยครับ


ไอผมก็คันปากอยากจะถามนะว่ามันเรียกพวกผมออกมาทำไม แต่ไอคำถามพวกนั้นก็ถูกกลืนลงคอไปจนหมดนั่นก็เป็นเพราะว่าไอเจมส์มันยื่นโทรโข่งสีขาวแดงมาให้ ไอเจมส์ยิ้มกว้างพร้อมกับบอกให้ผมไปเรียกรุ่นน้องที่นั่งรออยู่มารวมตัวกันที่ใต้คณะ เอาล่ะครับ ปริศนากระจ่างแล้ว การที่ผมต้องมาแหกตาอยู่ใต้คณะก็เพราะไอเจมส์กับไอบาสมันเรียกพวกผมออกมาเป็นเจเนอรัลเบ้นี่เอง และจุดๆนี้ผมก็ปฏิเสธจะไม่ช่วยพวกมันก็ไม่ได้แล้วครับ ผมจึงได้แต่เดินลากขาถือโทรโข่งไปเรียกรุ่นน้องให้มารวมตัวกันที่ใต้คณะ



ผมยกโทรโข่งขึ้นมาจ่อที่ปากพร้อมกับพูดตะโกนออกไป “น้องๆที่น่ารักของพี่อย่ามัวนั่งง่วงครับ ถ้าใครมาถึงแล้ว ช่วยมาเข้าแถวเรียงตามสาขาวิชาที่ใต้คณะด้วยครับ” ด้วยความง่วงของผม ทำให้ผมพูดเล่นมุกไม่ได้มากนัก แต่มันก็ทำให้รุ่นน้องหลายๆคนลุกขึ้นและเดินตามผมมาใต้คณะครับ ผมเดินนำน้องๆไปยังจุดที่ไอเจมส์กับไอบาสฟิกซ์ให้พวกน้องๆนั่ง และเมื่อผมเดินไปถึงเพื่อนเจมส์และเพื่อนบาสก็เอาโต๊ะมาวางไว้ด้านหน้าแถว และสั่งให้ผมปีนขึ้นไปพูดสร้างความบันเทิงให้กับพวกน้องๆครับ ไอผมนี่อยากจะสวนมันไปจริงๆ ว่า ‘กรูไม่ใช่ตลกคาเฟ่ จะให้กรูเล่นมุกอะไรให้น้องๆฟังวะ’ แต่ผมก็ไม่สามารถทำได้ครับเพราะตอนนี้สหายทุกคนต่างพากันดันและยันผมให้ขึ้นไปอยู่บนโต๊ะ ผมจึงได้แต่ยืนถือโทรโข่งด้วยความงุนงงและถือโทรโข่งจ่อปากพร้อมกับพูดรัวใส่น้อง ๆ แบบนอนสต็อป



และทั้งหมดนั่นก็คือการย้อนความทั้งหมดของผมครับ ซึ่งในตอนนี้ผมก็ยังคงทำหน้าที่สันทนาการให้กับพวกน้อง ๆ อยู่ โดยที่ไม่มีใครคิดจะมารับช่วงต่อหรือเปลี่ยนตัวกับผมเลยครับ แต่ผมก็ยังคงทำหน้าที่ได้ดีนะครับ แม้จะง่วงมากและหิวข้าวมากก็ตาม



“น้องๆครับ น้องที่มาใหม่ตรงนั้นน่ะครับ มาเข้าแถวตรงนี้เร็ว มาๆอย่าชักช้านะครับ เพื่อนๆทุกคนอยากรู้จักน้องๆ อยู่” ผมยังคงเดี่ยวไมโครโฟนไปเรื่อยๆ แต่ผมยังไม่ได้บอกทุกๆคนใช่ไหมครับว่ากิจกรรมที่ผมโดนลากมาทำอยู่คือกิจกรรมอะไร ถ้าให้พูดตามภาษานิสิตนักศึกษามันก็คือ การรับน้อง แต่ถ้าเรียกเป็นตามฉบับที่คณะของผมเรียกมันก็คือเฟิร์สเดท หรือ วันแรกพบครับ กิจกรรมนี้พวกรุ่นน้องหรือพวกรุ่นพี่ไม่ต้องมากันก็ได้ครับ (แต่ไอเพื่อนเวรมันดันลากผมมา) มันไม่ใช่กิจกรรมบังคับ (ซึ่งปีที่แล้วผมก็ไม่มา) มันเป็นแค่กิจกรรมที่ทำให้น้องๆนั้นได้รู้จักรุ่นพี่ และที่สำคัญคือการทำให้รุ่นน้องรู้จักกันในคณะในสาขาวิชาครับ



“น้อง น้องครับ! อย่าทำให้เพื่อนๆรอสิครับ มามะๆมานั่งรวมกลุ่มกันตรงนี้ ถ้ามาช้ากว่านี้ เดี๋ยวไม่มีที่นั่งนะครับ เห็นไหม คนเริ่มเต็มคณะแล้วครับ” ผมพูดออกโทรโข่งอีกครั้งเพื่อเรียกให้รุ่นน้องที่เพิ่งมากันมานั่งรวมกลุ่มกัน และทุกคนก็น่าจะทราบใช่ไหมล่ะครับว่าในกลุ่มรุ่นน้องมันมักจะมีพวกเกรียนๆ (แบบผมตอนเป็นเฟรชชี่) หรือ พวกลุ่มรุ่นน้องที่รู้จักกันในโรงเรียนเก่ารวมอยู่ในกลุ่มรุ่นน้อง ใช่ครับ ผมเจอรุ่นน้องที่โรงเรียนเก่าของผมเยอะเลยครับ และที่สำคัญมันนั่งเรียงกันหน้าสลอนพร้อมส่งรอยยิ้มไม่น่าไว้ใจมาให้ (ผมรู้แล้วล่ะครับว่าไอบาสกับไอเจมส์แม่มลากผมมาทำไม…มันลากผมมาเพื่อให้ผมเกรียนต่อกรกับไอพวกนี้นั่นแหละครับ)



“เฮียกร!! เฮียกรครับ! เฮียกรมีแฟนยังครับ สาวๆแถวนี้เค้าอยากรู้” ดอกแรกกระแทกใจถามมาได้เรื่องแฟน! จะบอกว่ามีมันก็เหมือนไม่มี ถ้าจะบอกว่าไม่มีมันก็เหมือนโกหก เพราะอันตัวผมนั้นยังไม่รู้เลยว่าสภาพของเราสองคนคืออะไร ผมขมวดคิ้วเป็นปมแน่นกับคำถามนั้น จนพวกน้องๆเขาหัวเราะและเสียงหัวเราะนั่นทำให้ผมสะดุ้งตัวพร้อมกับยกโทรโข่งพูดตอบน้อง ๆ ไป



“เฮียกร…มีคนที่ดูๆกันไว้อยู่ครับ แต่เฮียยังบอกสถานะไม่ได้” คำตอบนี้เรียกเสียโห่แซวของพวกน้อง ๆ ได้เป็นอย่างดีแต่ว่ามันไม่ได้มีแต่เสียงน้อง ๆ ที่โห่แซวครับ เพราะว่ามันมีเสียงของกลุ่มคนที่สามโห่ดังมาด้วย ผมนี่ยกเท้าขึ้นพร้อมกับคว้ารองเท้าตัวเองปากไปกลางวงทันที ทุกคนในวงแตกฮือพร้อมกับลุกขึ้นมาชี้นิ้วเตรียมที่จะออกเสียงด่าผม แต่ว่าผมไม่ยอมให้มันพูดหรอกครับ ผมเลยชิงพูดก่อนผ่านโทรโข่งซะเลย “อย่ามัวแต่นั่งคุยครับพวกคุณเพื่อนๆ ช่วยมาดูแลน้องๆด้วยครับ และถ้าพวกคุณเพื่อนๆ ลุกมาแล้วเอารองเท้ามาคืนผมด้วยนะครับ” สิ้นเสียง ผมก็เอียงคอพร้อมส่งรอยยิ้มให้พวกเพื่อนๆ และไอเพื่อนๆ แต่ละคนนี่แทบจะยกนิ้วกลางประเคนให้ผมเรียงคนเลยครับ แต่ก็ยังมีสาวน้อยน่ารักอย่างพรีมที่ไม่ติดใจถือสาอะไรกับการกระทำของผมพร้อมกับเอารองเท้ามาคืนให้ผมอีกด้วย…แต่รู้สึกว่าผมคิดผิดครับ พรีมมาแรงแซงทางโค้ง เธอใช้ช่วงเวลาที่ผมสวมรองเท้าแย่งโทรโข่งผมไปพร้อมกับประกาศเสียงดังลั่นว่า “เฮียกรของน้องๆ มีคนที่ดูใจกันไว้มาปีหนึ่งแล้วจ้า แต่ไม่รู้ว่าจะยอมรับว่าเป็นแฟนกันเมื่อไหร่ แต่ตอนนี้พี่พรีมขอฟันธงเลยนะว่าเฮียกรไม่โสด จีบไม่ได้จ้ะ อ่อๆๆๆ ที่สำคัญคนๆนั้นของเฮียกรหวงเฮียกรมากนะจ้ะ” เมื่อพรีมพูดจบ เธอก็ส่งสายตาหวานเยิ้มมาให้ผมครับ ซึ่งผมแปลได้ความว่า ‘แทนรองเท้าบินเมื่อครู่นี้นะจ๊ะ กร’ ตอบแทนกันมากไปแล้ว! ผมได้ฟังนี่แทบจะกัดลิ้นตาย พรีมเธอเป็นผู้หญิงที่ร้ายกาจมาก! เธอทำร้ายชายหนุ่มตาดำๆ อย่างรณกรคนนี้ได้เยี่ยงไร



แต่ก่อนผมจะตายเพราะเสียงโห่แซวของพวกรุ่นน้อง รุ่นเพื่อน และรุ่นพี่ กิจกรรมของวันเฟิร์สเดทก็ได้เริ่มขึ้นครับกิจกรรมส่วนใหญ่จัดเป็นซุ้มครับให้น้องๆเล่นเวียนแต่ละซุ้มเอา และที่สำคัญกลุ่มรุ่นน้องที่อยู่ด้วยกันต้องคละๆ สาขากันไปครับ และเมื่อน้อง ๆ จัดกลุ่มได้ หน้าที่สันทนาการของผมก็จบลงครับ ผมนี่แทบไหลลงไปนอนกับโต๊ะเลย ข้าวก็ไม่ได้ กินน้ำก็ไม่ได้กิน ง่วงก็ง่วงอยากนอนจะตาย-beep- ก็ไม่ได้นอน โทรมจนจะเป็นศพอยู่แล้วล่ะครับ ผมไม่อยากจะบอกเลยว่าผมนี่ต้องยืนพูดตั้งแต่เจ็ดโมงเช้ายันเก้าโมงครึ่งร่วมสิบโมง! พูดแบบนอนสต๊อปไม่มีหยุดเลยครับ ดังนั้นผมจึงคิดเองเออเองว่างานและหน้าที่วันนี้ของผมเสร็จแล้ว ผมจึงย้ายก้นตัวเองออกจากโต๊ะม้าหินอ่อนพร้อมกับก้าวขึ้นรถยนต์ (ที่ไม่ค่อยได้ใช้) ของตัวเองไป ตอนนี้ใครจะวิ่งตามมาให้ผมไปช่วยงาน หรือห้ามให้ผมไปไหนไม่ได้แล้วล่ะครับ เพราะว่า ‘ผมจะไปหาข้าวกินครับ!’



ผมเหยียบคันเร่งเกือบ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเพื่อออกจากตึกคณะและออกจากมหาวิทยาลัย ผมเหยียบคันเร่งจนเกือบมิดเลยล่ะครับ เพื่อหาที่กลับรถไปฝั่งตรงข้ามครับ นั่นก็เพราะผมจะไปหาอะไรกินที่ห้างสรรพสินค้าพารากอนที่มันอยู่ฝั่งตรงข้ามกับมหาวิทยาลัยของผมครับ ผมใช้เวลาขับรถรวมถึงกลับรถด้วยราว ๆ 15 นาที ในที่สุดผมก็อยู่ในห้างสรรพสินค้าที่เค้าว่ากันว่าใหญ่ที่สุดในประเทศหรือใหญ่ที่สุดในอะไรเนี่ยแหละ ช่างมันเถอะครับเรื่องนั้น ตอนนี้ผมขอเดินหาร้านกินข้าวก่อนแล้วกันนะครับ



ผมเดินลงจากรถยนต์ของตัวเองพร้อมกับเดินเข้าประตูของห้างสรรพสินค้า เป้าหมายที่ผมมาสถานที่แห่งนี้ก็คือการหาข้าวเช้ากินตอนเกือบจะสิบโมงครับ ซึ่งบริเวณร้านอาหารของห้างพารากอนนั้นอยู่ชั้นล่างครับ นั่นก็คือชั้นจี ผมเลยเดินร่อนไปมาในหาร้านข้าวกินครับ ซึ่งร้านที่ผมเลือกกิน ไม่สิ เรียกว่าร้านไม่ได้เพราะผมเลือกไปนั่งกินที่ฟู้ดคอร์ดเพื่อประหยัดเงินครับ ผมซื้อราดหน้าทะเลมานั่งทานพร้อมกับน้ำส้มคั้นที่ผมชอบ ผมนั่งทานไปเรื่อยๆจนกระทั่งหมดจาน ไออารมณ์หงุดหงิดเพราะความหิวของผมก็เริ่มหายไปพร้อมกับท้องที่เคยปวดตอนนี้เริ่มหายปวดแล้วล่ะครับ



ผมนั่งดื่มน้ำไปเรื่อยๆจนกระทั่งน้ำส้มแก้วนั้นหมดแก้ว พลันสายตาผมก็เหลือบไปเห็นร่างบางของหญิงสาวที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี ร่างของหญิงสาวนามว่าน้ำฟ้า ในตอนแรกผมก็เลือกที่จะไม่สนใจอะไรเธอครับ ทว่าไอคนที่ตามมาทางด้านหลังของเธอทำให้ผมต้องหันกลับไปสนใจเธอ เพราะคนที่เดินตามมาด้วยนั่นก็คือคุณพี่ศิรวิทย์ที่ผมคุ้นเคยเสียยิ่งกว่าหญิงสาวคนนั้น และที่สำคัญยิ่งกว่าคำว่าคุ้นเคยนั่นก็เป็นเพราะ…พี่ศิเขาเป็นคนสำคัญที่สุดของผมด้วยครับ



‘พี่ศิมาทำอะไรที่นี่ แล้วตอนนี้พี่ศิต้องเรียนอยู่ไม่ใช่เหรอ’ ประโยคเหล่านี้ดังก้องในใจผมด้วยความสงสัย พร้อมกับยันตัวลุกขึ้นแล้วลอบเดินตามคนสองคนนั้นไปเงียบ ๆ



จุดเริ่มต้นของคนทั้งสองคือร้านอาหารสไตล์ฝรั่งเศสครับ ผมยืนมองทั้งสองคนที่เข้าไปนั่งในร้านพร้อมกับตัดสินใจเดินตามเข้าไป แต่ผมไม่ได้เดินไปที่โต๊ะของคนทั้งสองคนหรอกครับ เพราะผมเลือกที่จะเดินไปที่มุมร้านและนั่งมันตรงนั้นครับ ไม่ใช่เพราะผมไม่พอใจหรือหึงหวงอะไรหรอกนะครับ…ผมแค่อยากรู้ว่าพี่ศิแกมีธุระอะไรกับน้ำฟ้าและที่สำคัญกว่านั้น นั่นก็คือน้ำฟ้าเธอต้องการอะไรจากพี่ศิ



ผมที่เฝ้าจับตามองคนทั้งสองคนสั่งของหวานมาทานหนึ่งอย่างพร้อมกับน้ำเปล่าหนึ่งแก้วเพื่อให้ตัวเองนั่งอยู่ในร้านนี้ได้ แม้ผมจะสั่งขนมและน้ำมา ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรมันครับ เพราะสายตาของผมยังคบจับจ้องไปยังสองคนนั้น ทั้งสองคนนั้นเอ่ยพูดคุยพลางหัวร่อต่อกระซิกกันราวกับความโลกใบนี้มีเขาอยู่กับเพียงแค่สองคน พอผมเห็นภาพพวกนั้นพลันหัวใจของผมก็เหมือนถูกมีดนับร้อยนับพันพุ่งเข้ามาทิ่มแทงที่หัวใจ ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้านั้นเป็นเรื่องจริง แต่ผมก็ปฏิเสธไม่ได้ครับว่าสิ่งที่ผมเห็นมันเป็นเพียงแต่ภาพลวงตา



‘พี่ศิ…ผมเคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอครับว่าผู้หญิงคนนี้เขาเคยทำร้ายผม เคยทำให้มิตรภาพของผมกับเพื่อนสนิทพังทลาย...แล้วทำไมตอนนี้พี่ศิมานั่งคุยมานั่งหัวเราะกับเธอได้ล่ะ’ ผมยังคงทอดสายตามองไปยังสองคนนั่นด้วยสายตาที่เหม่อลอย แม้สีหน้าผมจะไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรออกมาเลยก็ตาม แต่ภายในใจของผมในตอนนี้มันเหมือนกับว่าถูกทำร้ายอยู่



‘ทำไมล่ะ ทำไมล่ะ...ทำไมพี่ศิถึงมาอยู่กับผู้หญิงคนนี้ได้’ ริมฝีปากผมเม้นแน่นพร้อมกับเรียกให้พนักงานมาเช็คบิล (ที่ผมเรียกให้พนักงานมาคิดเงินนั่นก็เป็นเพราะว่าทั้งสองคนนั้นก็เริ่มจะกินข้าวกันเสร็จแล้วล่ะครับ ผมเลยคิดว่าผมเช็คบิลก่อนพวกเขาสักหน่อยดีกว่าแล้วไปยืนรอทั้งสองคนนั้นหน้าร้านแล้วค่อยแอบตามไป) เมื่อพนักงานนั้นทอนเงินให้กับผมแล้ว ผมก็ยันตัวลุกขึ้นและเดินออกจากร้านไปโดยผมพยายามเลี่ยงที่จะเดินผ่านโต๊ะของพวกเขาครับ เมื่อผมออกมาอยู่หน้าร้านได้แล้ว ผมยืนกอดอกพิงกำแพงรอสองคนนั้น และไม่นานพี่ศิและน้ำฟ้าก็เดินออกมาจากร้านพร้อมกับรอยยิ้มกว้างที่ระบายไปทั่วใบหน้า



ยิ่งเห็นแบบนั้นผมยิ่งรู้สึกเจ็บ…ผู้หญิงคนนี้จะทำร้ายผมไปขนาดไหนแล้วทำไมพี่ศิถึงทำแบบนี้ล่ะ พี่ศิ…ทำอย่างนี้ทำไม



ผมยังคงสาวเท้าเดินตามคนทั้งสองคนไปเรื่อยๆแต่ก็เว้นระยะห่างไว้นิดหน่อย เพื่อไม่ให้ทั้งสองคนนั้นจับได้ว่าผมแอบตามคนทั้งคู่อยู่ และเมื่อผมสาวเท้าเดินตามคนทั้งคู่ไปสักพัก ทั้งสองคนนั้นก็เลี้ยวเข้าร้านเสื้อผ้าบุรุษ ซึ่งเสื้อผ้าพวกนั้นเป็นเสื้อผ้าสไตล์ที่พี่ศิชอบครับ ผมยืนมองอยู่หน้าร้านและไม่คิดที่จะก้าวเท้าเข้าไป ผมยังคงยืนรออยู่หน้าร้านแบบนั้น หลายๆคนต่างมองผมด้วยความสงสัย แต่ผมก็ไม่คิดที่จะแคร์สายตาพวกนั้นครับ ร่างของผมสั่นไหวเบาๆ ดวงตาทั้งสองข้างของผมร้อนผ่าวราวกับว่าน้ำตามันจะไหล ภาพเบื้องหน้านี่มันช่างเหมือนคู่รักที่มาซื้อของด้วยกันจริงๆ…และยิ่งกว่านั้นคนทั้งสองที่ยืนคู่กันมันเหมาะสมราวกับกิ่งทองใบหยก ผมเม้มปากแน่นพร้อมกับฝืนกลั้นน้ำตาของตนและสาวเท้าหาที่หลบ เมื่อคนทั้งคู่ออกมาจากร้าน



ในมือของพี่ศิมีถุงหนึ่งใบห้อยอยู่ดูเหมือนว่าพี่เขาจะซื้ออะไรจากในร้านนั้นออกมาสินะ ผมมองตามคนทั้งคู่จนสุดสายตาก่อนจะออกจากที่หลบแล้ววิ่งตามออกไป



‘ไม่ใช่ ไม่อยากเชื่อใจพี่ศิ…แต่คนที่อยู่ข้างกายพี่ศิตอนนี้นั่นแหละที่ทำให้ผมต้องระแวง’




v
v
v
v
v

หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 32] 08/01/2014 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 08-01-2014 16:24:38
ผมที่ยังลอบเดินตามคนทั้งสองคนนั้นไปเรื่อยๆ เสียงเรียกเข้ามือถือของผมก็ดังขึ้นทำให้ผมสะดุ้งสุดตัวและรีบกดรับสายโทรศัพท์ทันทีซึ่งคนที่โทรศัพท์มาหาผมนั่นก็คือสหายของผมที่ทำกิจกรรมอยู่ที่คณะครับ



“เชี่ยกร...หายหัวไปไหนครับ รีบกลับมาทำหน้าที่สันทนาการน้องได้แล้วเว้ย แม่มกรูยังไม่ได้บอกให้มรึงกลับเลยนะครับ” ปลายสายกระแทกเสียงใส่ผมด้วยความหงุดหงิด ซึ่งมันมาสั่งในตอนตอนนี้ผมโคตรจะไม่มีอารมณ์ทำอะไรเลยครับ หนำซ้ำผมก็หงุดหงิดไม่แพ้พวกมันผมเลยพูดกระแทกเสียงกลับไปให้อีกฝ่ายฟังและน้ำเสียงนั้นแสดงให้อีกฝ่ายรู้ว่าผมหงุดหงิดกว่าพวกมันครับ “มรึงก็ทำกันไปเองสิวะ อย่ามาโยนให้กรูทำ ไม่ใช่อะไรๆก็กรู ถ้าทำไม่ได้ก็ไปหาคนอื่นมาทำแทนกรูซะ ตอนนี้กรูไม่ว่าง ต่อให้กรูว่างก็ไม่ไป”



ผมที่ตอบกลับไปแบบนี้ปลายสายก็เริ่มสงสัยแล้วครับว่าผมมีความผิดปกติไป (ในเวลาปกติผมไม่ใช่คนที่จะแสดงอาการหงุดหงิดใส่คนอื่นได้ง่าย ๆ ครับ ต่อให้ผมหงุดหงิดอยู่ ผมก็แยกแยะเรื่องสองเรื่องออกจากกันได้)



“กร ไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม” ปลายสายที่ได้ยินประโยคพวกนั้นของผมแทนที่พวกมันจะโกรธผม มันกับกล่าวถามผมด้วยความเป็นห่วงแทน…นี่สินะที่เขาเรียกว่าเพื่อน น้ำตาผมเอ่อล้นขึ้นมาน้อยๆ ก่อนผมจะใช้ปลายนิ้วของตนเกลี่ยน้ำจากออกจากดวงตา



“กรูเห็นพี่ศิ” พูดเอ่ยขึ้นแม้มันจะแผ่วเบาแต่ปลายสายนั้นก็ได้ยิน



“เออ มรึงเห็นพี่ศิ แล้วพี่ศิเขาทำอะไรวะ” คู่สนทนาของผมเอ่ยถามกลับน้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความสงสัย ผมคิดว่าอีกฝ่ายคงสงสัยน่าดูว่าผมเห็นพี่ศิแล้วมีปัญหาอะไรล่ะ



“อยู่กับน้ำฟ้า...” ประโยคนี้ผมยิ่งเอ่ยออกไปแผ่วเบาจนทำให้คู่สายของผมนั้นไม่ค่อยได้ยินจนทางนั้นต้องเอ่ยถามซ้ำอีกครับ “เอาใหม่สิกร กรูไม่ได้ยินมรึงพูด” ผมพยายามสะกดกลั้นอารมณ์และความเสียใจเอาไว้ แต่พอคำถามนี้ลอยเข้าใส่หูผมอีกครั้งและผมต้องเอ่ยคำถามที่แสนเจ็บปวดออกไปอีกครั้งนั่นจึงทำให้น้ำตาที่ผมสะกดกลั้นเอาไว้มันไหลรินออกมา



“กรูเห็นพี่ศิ…อยู่กับน้ำฟ้า ได้ยินไหม” ประโยคที่ปนเสียงสะอื้นของผมทำให้เพื่อนๆนั้นตกใจ ซ้ำไอประโยคที่ผมเอ่ยออกไป มันยิ่งทำให้พวกเพื่อน ๆ ของผมตกใจมากว่าไอเสียงสะอื้นของผมเสียอีก



“เฮ้ยยย! เป็นงั้นได้ไงวะกร พี่ศิหลงมรึงยิ่งกว่าอะไรอีกนะ แล้วทำไมตอนนี้พี่แกถึงไปอยู่กับน้ำฟ้าได้ไงวะ แล้วน้ำฟ้าแม่มมีจุดประสงค์อะไรที่เข้าใกล้พี่ศิของมรึงวะ แต่จากที่กรูฟังมรึงเล่าตอนงานโอเพ่นเฮาส์แล้ว กรูรู้สึกว่าเธอน่าจะสนใจพี่ศิเอาเรื่องเลยนะครับนะมรึง” เสียงของไอเจมส์เอ่ยขึ้นมาพร้อมกับวิเคราะห์สถานการณ์เบื้องต้น แต่ในใจผมไม่อยากให้มันเดาสถานการณ์อะไรออกมาเลยครับ เพราะยิ่งมันวิเคราะห์มันก็ยิ่งทำให้ผมน้ำตาไหลมากขึ้นกว่าเก่า



พวกเพื่อน ๆ ของผมพูดปลอบผมอยู่นานสองนาน ในที่สุดไอเจมส์มันก็คิดอะไรขึ้นมาได้พร้อมกับบอกว่าให้ผมยืนอยู่กับที่และรอตัวช่วยที่พวกมันเรียกให้ไปหาผมซะ



ผมยืนร้องไห้รอตัวช่วยที่พวกเพื่อนๆ ส่งมาให้และไม่เกินสิบนาที ตัวช่วยตัวนั้นก็มาถึงหาผมครับคนๆนั้นหายใจหอบออกมาเสียงดังก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยรอยยิ้มจาง ๆ “กร…ร้องไห้ทำไมบอกไฮซ์สิครับ” น้ำเสียงทุ้มนั้นเอ่ยออกมาด้วยความเป็นห่วง ซ้ำมือข้างหนึ่งของเขาถูกยกขึ้นมาลูบหัวผมอย่างแผ่วเบา



มันเป็นการกระทำที่ไฮซ์ทำใส่ผมบ่อยๆเมื่อตอนผมยังเป็นเด็กครับ เมื่อผมร้องไห้หรือแสดงสีหน้าที่เป็นกังวล ยังไงเขาก็คอยวิ่งมาปลอบผมเสมอ ซึ่งเหมือนกับครั้งนี้ที่ไฮซ์วิ่งมาหาผมทันทีที่ผมต้องการให้ใครอยู่เป็นเพื่อน



“…พี่ศิเขา...พี่ศิเขา...ฮึก” ผมพูดออกมาแทบไม่เป็นภาษา ร่างสูงนั้นค่อยๆประคองผมอย่างเบามือพร้อมกับพาร่างของผมให้เดินไปยังร้านขนมที่อยู่ใกล้ ๆ



ไฮซ์นั่งอยู่ฝั่งตรงข้างและรอให้ผมสงบสติอารมณ์ เมื่อน้ำตาของผมเริ่มที่จะหยุดไหล ไฮซ์ก็ยื่นทิชชู่แผ่นใหม่มาให้กับผมพร้อมกับเอ่ยถามผมออกมาด้วยน้ำเสียงที่แสนจะอ่อนโยนที่แฝงไปด้วยความเป็นห่วงว่า “พี่ศิเขาทำอะไรกรครับ แต่ว่าถ้ากรไม่อยากเล่าให้ไฮซ์ฟังก็ไม่ต้องเล่าก็ได้นะครับ ไฮซ์ไม่อยากทำให้กรร้องไห้อีก”



“ไม่ๆ กรเล่าได้แต่ไม่รับปากน้ำนะว่าจะร้องไห้อีกหรือเปล่า” ผมเอ่ยออกไปพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูยังไงก็รู้ว่าฝืนยิ้มแต่ไฮซ์ก็ไม่คิดจะบอกปัดน้ำใจของผมครับเขานั่งนิ่งๆ ให้ผมเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกไปพร้อมกับคอยยื่นทิชชู่ให้ผมเรื่อย ๆ (ผมไม่ได้ขี้แยนะครับ แค่น้ำตามันไหลออกมาเองก็เท่านั้น)



“เมื่อกี้กรเห็นพี่ศิกับน้ำฟ้าอยู่ด้วยกัน…” แค่ประโยคสั้น ๆ ก็เพียงพอที่จะทำให้ไฮซ์รับรู้ได้ถึงเรื่องแทบจะทั้งหมด เมื่อสิ้นประโยคของผม ไฮซ์ก็แทบจะลุกขึ้นและออกวิ่งไปหาพี่ศิทันที แต่ผมกลับเอื้อมมือไปรั้งเขาเอาไว้เสียก่อน ผมส่ายหัวไปมาเพื่อเป็นการบอกว่าไม่ต้องไป การกระทำแค่นั้นทำให้ไฮซ์ทรุดตัวนั่งลงไปอย่างเดิม



“สงสัยพี่ศิอย่างนั้นเหรอ” เสียงของไฮซ์เอ่ยถาม ซึ่งผมส่ายหัวปฏิเสธไฮซ์ไปครับ ช่วงแวบหนึ่งที่ผมเห็นสายตาของคนตรงหน้าผมกระตุกวูบก่อนมันจะกลับไปเป็นแววตาที่อ่อนโยนเช่นเดิม



“กรสงสัย...น้ำฟ้าต่างหาก” ผมพูดเสียงเบามือทั้งสองข้างนั้นถูกถูกไปมา… “เพราะน้ำฟ้าทำให้เราทะเลาะกันได้มาแล้วกรเลยกลัว…กลัวว่าเขาจะทำให้กรทะเลาะกับพี่ศิเหมือนตอนกับตอนที่กรทะเลาะกับไฮซ์ กรไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น” ผมก้มหน้าก้มพูดออกไปและที่ผมก้มหน้านั้นนั่นก็เป็นเพราะดูเหมือนว่าน้ำตาของผมมันจะไหลออกมาอีกแล้วครับ น่าอายชะมัดที่ต้องร้องไห้ให้คนที่ไม่รู้จักเห็นแบบนี้



แต่เมื่อไฮซ์เห็นผมร้องไห้หนักขนาดนี้ เขาก็เอามือเชยคางให้ผมเงยหน้าพร้อมกับเอาทิชชู่ที่อยู่ในมืออีกข้างขึ้นมาเช็ดหน้าเช็ดตาผม ร่างสูงเบื้องนั้นผมคลี่รอยยิ้มพร้อมกับเอ่ยขอให้ผมทำขนมให้กิน “กร ไฮซ์อยากกินขนมฝีมือกรครับ ช่วยทำให้ไฮซ์กินได้ไหมครับ ถือว่าทำแก้เครียดด้วยไง” คำขอที่หน้าประหลาดใจนั่นทำให้ผมตกใจเล็กน้อย แต่ผมก็พยักหน้าตกลงว่าจะทำขนมให้ไฮซ์กิน



เราทั้งสองคนลุกขึ้นพร้อมกับเดินออกจากร้านขนมแห่งนี้และค่อย ๆ สาวเท้าไปซุปเปอร์มาร์เก็ต ผมเลือกซื้อแป้งแพนเค้กสำเร็จรูปมาครับพร้อมกับหยิบแยมรสสตรอเบอร์รี่มาหนึ่งกระปุก พร้อมกับเครื่องทำขนมเค้ก อย่างเช่น ช็อกโกแลตเหลวที่ไว้สำหรับการแต่งหน้าเค้ก



“กรไม่รู้จะทำอะไรนะ ขอทำง่ายๆแทนแล้วกันนะ ไฮซ์” ผมหันไปพูดกับไฮซ์ด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา มือทั้งสองข้างนั้นพลางเลือกเครื่องทำขนมต่อไป ผมรู้สึกว่าคนที่เดินเข็นรถเข็นตาม ผมจะรู้สึกโล่งใจขึ้นมานิดแล้วล่ะมั้งครับ เพราะว่าผมพูดพร้อมกับยิ้มออกมาได้โดยที่ไม่ฝืน แต่กระนั้นภายในใจของผมก็ยังคงเต็มไปด้วยความกังวลอยู่ดี



และเมื่อผมเลือกวัตถุดิบทั้งหมดเสร็จ ผมก็บอกให้ไฮซ์เข็นรถเข็นเพื่อไปจ่ายเงิน ซึ่งการซื้อของในห้างดังแบบนี้ทำให้ราคาแพงกว่าการไปซื้อเครื่องทำขนมจากซุปเปอร์มาร์เก็ตเล็ก ๆ แต่ก็นะ ผมก็ไม่ได้จ่ายอยู่ดีนั่นล่ะ เพราะคนไหนอยากกินคนนั้นต้องจ่ายครับ ผมเดินออกไปยืนรอนอกเคาท์เตอร์จ่ายเงินและทิ้งหน้าที่ที่ต้องจ่ายเงินให้ไฮซ์ไป



ทำไมภาพแบบนี้มันเหมือนกับตอนที่ผมกับพี่ศิออกมาซื้อของตุนในตู้เย็น…เลยล่ะ…



ภาพ ๆ นี้ทำให้น้ำตาของผมออกมาคลอที่ดวงตา ผมพยายามแหงนหน้าขึ้นเพื่อให้น้ำตาไหลย้อนกลับแต่ก็นะ…มันไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด ภาพน้ำตาที่เอ่อล้นออกมาจากดวงตาแบบนี้ทำให้ไฮซ์ชักสีหน้าเป็นกังวลขึ้นมาอีกครั้ง และเมื่อพนักงานคิดเงินเสร็จ ไฮซ์ก็รีบพาผมออกจากที่นี้แล้วหยิบกุญแจรถของผมไป และราวกับเขารู้นิสัยผมว่าผมชอบจอดรถไว้ชั้นไหน เพราะไฮซ์ใช้เวลาแค่ช่วงครู่เดียว เขาก็หารถของผมเจอครับ (ท่าทางไฮซ์จะรีบเดินมาหาผมนะครับ เดินมาจากหอในของมหาลัยและวิ่งมาหาผม) และหลังจากที่ของในมือไฮซ์ถูกเก็บใส่ท้ายรถ เขาก็เดินวนไปยังประตูด้านขนขับและขึ้นไปส่วนผมที่คุ้นชินกับการที่มีคนมาเปิดประตูให้ก็เลิกลั่กเปิดประตูรถแล้วแทรกตัวเข้าไปนั่งด้านใน



ไฮซ์มองผมด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกมาเขาค่อย ๆ สตาร์ทรถและขับออกจากลานจอดรถ เพื่อมุ่งหน้าไปยังคอนโดของผมและไฮซ์ใช้เวลาขับรถราวๆ 15 นาที ตอนนี้รถของผมก็อยู่ในลานจอดรถของคอนโดและกำลังเตรียมตัวที่จะขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นที่ 14 ซึ่งเป็นชั้นที่พำนักของผม



เมื่อเราทั้งสองคนขึ้นมาถึง ผมก็เดินสาวเท้าไปยังห้องของผมทันที ผมปลดล็อคบานประตูห้อง 1403 และก็เชื้อเชิญให้แขกของผมเข้าไปด้านใน ผมบอกให้ไฮซ์ไปนั่งรอที่โซฟา ส่วนเรื่องในครัวเดี๋ยวผมนั้นจะจัดการเอง ซึ่งไฮซ์เขาก็ว่าง่ายนะครับเมื่อผมพูดจบเขาไปนั่งรอเงียบ ๆ บนโซฟาในห้องนั่งเล่นทันที



ส่วนผมก็เตรียมทำขนมตามที่ไฮซ์รีเควสแล้วครับ ผมเริ่มจากหยิบแป้งแพนเค้กสำเร็จรูปมาร่อน พร้อมกับตอกไข่ใส่ไปตามสูตรที่กล่องเขาให้ไว้ ตามด้วยใส่เนยและนมลงไป แล้วก็ตีให้เข้ากันนี่เป็นขนมง่ายๆครับผม ความจริงแทบจะไม่ต้องใช้สมองเลยด้วยซ้ำ แต่ก็ผมปรับสูตรนิดหน่อยให้อร่อยสมกับเป็นสูตรขนมที่ผมทำครับ เมื่อเนื้อแป้งเข้าที่แล้วผมก็หยิบกระทะเทปล่อนขึ้นมาแล้วก็ตักเนยใส่ลงกระทะ ซึ่งที่ผมทำแบบนี้ก็เพราะมันจะช่วยให้หน้าของแพนเค้กมีรสชาติมากขึ้นและกันติดกระทะด้วยครับ ผมทำแพนเค้กแผ่นแรก…ผลสรุป มันไหม้ไปข้างหนึ่งเพราะผมมัวแต่เหม่อลอยไม่สนใจ ตามด้วยแผ่นที่สองคราวนี้ผมตั้งใจมากและมันก็ออกมาสีสวยครับ แต่…ด้านในไม่สุกก็เลยต้องนำลงมาทอดใหม่ และไอแพนเค้กที่ผมทำมันสลับกันไปกันมาแบบนี้เรื่อย ๆ จนในที่สุดตัวแพนเค้กที่กินได้…มีไม่ถือ 10 แผ่นครับ เอาเป็นว่าเหลือกินแค่ 6-7 แผ่นเองครับ (จากสูตรเขาบอกทำได้ราว ๆ 15-16 แผ่น)



เมื่อผมทอดแพนเค้กเสร็จ ผมก็เดินถือจานแพนเค้กที่ทำเสร็จแล้วไปให้ไฮซ์ โดยในแต่ละจานมีแพนเค้กสองแผ่นและราดด้วยน้ำซอสสตอเบอร์รี่



“ไฮซ์อ่ะ...กรทำเสร็จแล้ว” ผู้เป็นเจ้าของชื่อแหงนหน้าขึ้นมามองผมพร้อมกับรับจานในมือผมไปนั่งทาน ผมเดินอ้อมโซฟามาอีกด้านหนึ่งและค่อย ๆ ทรุดตัวนั่งลงไป



คำแรกที่ผมตักแพนเค้กเข้าปากผมรับรู้ได้ถึงความขมที่ซึมซาบเข้ามา…การทำขนมเวลาเศร้า...มันทำให้รสชาติขนมเสียจริงๆสินะ ตามที่คุณม๊ากับคุณป๊าได้บอกไว้ ผมวางจานแพนเค้กลงกับโต๊ะและเลือกที่จะเปิดทีวีดูแทนการกินขนม ส่วนไฮซ์ยังคงนั่งตักแพนเค้กทานไปเรื่อยๆราวกับว่ามันอร่อยมากจนผมทนมองเขากินไม่ได้เลยเอ่ยพูดออกไป “ถ้ามันไม่อร่อย…ไฮซ์ก็อย่ากินเลย กรไม่ว่าหรอก เพราะมันไม่อร่อยจริงๆ” ทว่าไฮซ์ส่ายหัวปฏิเสธพร้อมกับตักแพนเค้กในจานเข้าปากต่อ ผมขมวดคิ้วจนแทบจะเป็นปมพร้อมกับยื่นมือไปแย่งจานแพนเค้กในมือของไฮซ์ แต่แขนทั้งสองข้างของผมก็ต้องชะงัก เมื่อเสียงของไฮซ์เอ่ยตอบกลับมา



“ขนมของกร…ไม่ว่ากรจะทำด้วยอารมณ์ไหน ไฮซ์ก็คิดว่ามันอร่อยทั้งหมดนั่นล่ะ ต่อให้กรทำมันตอนที่กรเศร้ามาก ๆ แบบตอนนี้ก็ตาม” สิ้นเสียงนั้น มันทำให้ผมชะงักมือและยอมนั่งลงไปกับโซฟาเช่นเดิม



“…ขอบคุณนะ…ไฮซ์” ผมเอ่ยขอบคุณไฮซ์ออกไปเสียงแผ่ว ซึ่งการที่ผมพูดออกไปแบบนั้นทำให้ไฮซ์เอื้อมมือมากอดคอผมพร้อมกับดึงให้ผมก้มลงไปซบที่บ่าของมัน



“กรเชื่อใจพี่ศิเขานะ…แต่สำหรับอีกคน…กรไม่รู้ว่าน้ำฟ้าจะทำอะไรกับพี่ศิเขา” ผมพูดด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นขอบตาทั้งสองข้างนั้นร้อนผ่าวและเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาผมก้มหน้าซบบ่าของไฮซ์มันไปสักพัก เสียงปลดล็อคประตูห้องของผมก็ดังขึ้นพร้อมๆ กับการปรากฏตัวของร่างสูงผู้มีนามว่าศิรวิทย์



ผมสะดุ้งตัวทันทีเพื่อจะหันไปมองว่าคน ๆ นั้นคือใคร ทว่าไฮซ์กับจับหัวของผมให้ซุกลงไปบนบ่าของเขาอยู่แบบนั้น ผมพยายามดิ้นไปให้ผมหลุดพ้นออกจากอ้อมกอดของไฮซ์ และในที่สุดผมก็ดิ้นหลุดครับ แต่การดิ้นหลุดครั้งนี้มันทำให้ผมอยากจะซุกลงไปที่บ่าของไฮซ์ใหม่อีกครั้งนั่นก็เป็นเพราะสายตาของพี่ศิที่มองมายังพวกเราทั้งสองคน



“พะ…พี่ศิ” ผมเอ่ยเรียกชื่อชองพี่เขาเสียงแผ่วและเมื่อเสียงเรียกชื่อของผมจบลง ร่างของผมก็โดนพี่ศิอุ้มลอยข้ามโซฟาไป



“กรครับ…จำสัญญาที่เราให้ไว้กับพี่ไม่ได้หรือไงครับ” ร่างสูงนั้นเอ่ยทวงสัญญากับผม แต่ทว่าผู้เป็นเจ้าของเสียงนั้นไม่ได้หันมามองยังผมเลยสักนิดเดียว ดวงตาสีเข้มของพี่ศินั้นจ้องไปยังร่างของไฮซ์ที่ยังคงนั่นอยู่บนโซฟา



“พี่ศิ ปล่อยกรลงสิ” ผมบอกพี่ศิให้เขาปล่อยร่างของผมลง แต่กระนั้นพี่ศิก็ไม่ยอมฟังเสียงของผม ซ้ำยังคงกอดตัวผมไว้แน่นซะอีก จนในที่สุดผมก็ต้องห้ามทัพนี้ด้วยการ…ให้ไฮซ์มันกลับหอไปก่อน ส่วนผมจะเคลียร์กับพี่ศิเอง



ซึ่งไฮซ์เขาก็ยอมทำตามที่ผมบอกนะครับ ไฮซ์ก้มลงหยิบกระเป๋าพร้อมกับเดินออกจากห้องไป แต่สายตาของไฮซ์ยังคงมีเหลียวหลังมามองผมอยู่ และเมื่อบานประตูห้องของผมถูกปิดลงภายในห้องนั้นก็เงียบสงัดทันที



ผมถูกอุ้มไปวางไว้ที่โซฟาเช่นเดิม ส่วนพี่ศิเขาก็ก้าวอ้อมมานั่งข้างๆ ผม “กรครับ เราสัญญากันไว้แล้วไงว่า เวลากรมีเรื่องทุกข์ใจหรือปัญหาอะไร กรจะบอกพี่เป็นคนแรก” เสียงทุ้มที่เอ่ยถามออกมานั้นแข็งกร้าวและเต็มไปด้วยโทสะ เขาพยายามใช้สายตาบีบคั้นให้ผมตอบกลับ แต่ผมนั้นเลือกที่จะเงียบและไม่เอ่ยอะไรออกไป เราสองคนนิ่งเงียบใส่กันสักพัก จนในที่สุดพี่ศิเขาก็เอ่ยถามผมออกมาอีก



“กรครับ…กรร้องไห้เพราะอะไร ไหนบอกพี่มาสิ” เสียงทุ้มนั้นฟังดูอ่อนโยนมากกว่าเก่า ท่าทางโทสะในจิตใจของพี่ศินั้นจะเริ่มหายไปบ้างแล้วล่ะมั้งครับ มือกร้านถูกยกขึ้นมาลูบศีรษะของผมอย่างแผ่วเบา ซ้ำยังเป็นสัมผัสที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน



“วันนี้...พี่ศิไปไหนมา” สัมผัสอันแสนอ่อนโยนนั้นทำให้ผมยอมเอ่ยปากพูดออกมา ซึ่งคำถามที่ผมเอ่ยถามออกไปนั้นทำให้พี่ศิถึงกับสะดุ้งออกมาเฮือกใหญ่ ท่าทางพี่ศิจะรู้แล้วล่ะครับว่าผมนั้นร้องไห้ด้วยเรื่องอะไร แต่ท่าทางอมพะนำแบบนั้นมันไม่เหมือนพี่ศิที่ผมรู้จักเลย คนอย่างพี่ศิไม่ใช่คนชอบปิดบังอะไรและเขาก็ไม่เคยปิดบังอะไรกับผมด้วย



“…มีเรื่องอะไรที่ต้องปิดบังเหรอครับ ถ้าพี่ศิไม่บอกว่าไปไหนมาและเอาของที่ซื้อทุกอย่างในวันนี้มาให้กร กรก็ไม่บอกหรอกครับว่ากรร้องไห้เพราะอะไร” ผมรู้สึกว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่าพี่ศิแล้วครับ ซ้ำผมยังรู้สึกสะใจเล็กๆที่ไล่ต้อนพี่ศิได้ และทุกๆคนก็คงสงสัยกันอีกสินะครับว่าทำไมผมถึงฟื้นตัวไว…นั่นก็เป็นเพราะพี่ศิแกยังกลัวที่จะบอกความจริงกับผมยังไงล่ะครับ ถ้าพี่ศิกลัวแบบนี้นั่นก็หมายความว่าเขายังแคร์ความรู้สึกผมมาก ๆ อยู่



และยิ่งท่าทางแบบนี้ยิ่งทำให้ผมเดาออกเลยครับว่าบังเอิญเจอกันแล้ว น้ำฟ้าไปพูดอะไรใส่พี่ศิจนพี่ศิต้องพาไปเลี้ยงข้าวนั้นล่ะครับ “…ถ้าไม่เล่า…ก็ปล่อยให้กรเข้าใจผิดต่อไปแล้วกันนะครับ คุณพี่ศิรวิทย์” ผมพูดออกมาพร้อมคลี่รอยยิ้มร้ายให้กับพี่ศิ หลังจากผมพูดจบ ผมก็ลุกขึ้นพร้อมกับหยิบจานแพนเค้กทั้งสองจานเข้าไปเก็บในห้องครัวและจัดการโยนเจ้าแพนเค้กแสนขมนี่ลงถัง เมื่อผมเคลียร์ห้องครัวเสร็จ ผมก็สาวเท้าเดินมาหาพี่ศิที่นั่งอยู่บนโซฟา ตอนนี้คนที่เป็นฝ่ายหนักใจคือพี่ศิแล้วล่ะครับ ผมเห็นพี่ศิกลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่พร้อมกับยอมเล่าเรื่องราวออก



“พี่ไปเจอน้ำฟ้าบนสถานีรถไฟฟ้าน่ะ ตอนแรกพี่ก็จำเขาไม่ได้หรอกครับ แต่เขามาทักพอคุยไปคุยมา พี่ก็จำได้ แล้วเขาบอกว่าเห็นพี่น่าจะ…กรอยู่ น้ำฟ้าก็เลยเสนอว่าถ้าเลี้ยงข้าวเธอ เขาจะเล่าเรื่องของกรให้พี่ฟัง…เอ่อ พี่ก็เลย” พี่ศิค่อย ๆ สารภาพ(?)ความผิดของตัวเองออกมา ซึ่งผมก็พยักหน้ารับฟังนะครับและเป็นไปตามอย่างที่ผมคาดเดาครับว่าพี่ศิแกโดนน้ำฟ้าหลอกล่อด้วยเรื่องของผมจริง ๆ ด้วย



ผมทอดถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วตบบ่าพี่ศิเบา ๆ “…ถ้าอยากรู้เรื่องของกร ทำไมไม่ถามกรเอง...กรไม่ใช่พวกปิดบังอะไรต่อมิอะไรหรอกนะ พี่ศิ” ผมพูดตอบพี่ศิด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยจะพอใจ ซึ่งพี่ศิแกก็รู้ตัวดีครับว่าเขาทำให้ผมไม่พอใจมากๆที่ไปเจอกับผู้หญิงคนนั้น พี่แกเลยพูดขอโทษขอโพยผมเสียยกใหญ่ แต่มันก็ยังไม่ทำให้ผมหายงอนได้หรอกนะครับ ก็พี่ศิทั้งๆที่รู้ฤทธิ์ของเธอดีแล้วแท้ๆ ยังจะไปยุ่งกับเธออีก…แบบนี้มันไม่ไหวเลยนะ…



แต่จุดที่สำคัญจริงๆที่ผมไม่พอใจพี่ศินั่นก็คือการที่พี่แกไปหัวร่อต่อกระซิกกับน้ำฟ้าต่างหาก ผมไม่พอใจตรงจุด ๆ นั้นและที่สำคัญ…ผมน่ะอิจฉาคนสองคนที่ดูเข้าคู่กันเสียเหลือเกิน  ริมฝีปากของผมเม้มแน่นส่วนใบหน้าของผมนั้นหันหนีไปอีกทาง



เมื่อพี่ศิเห็นใบหน้าผมเป็นแบบนั้น เขาก็ทำเหมือนกับที่ไฮซ์ทำกับผมเมื่อสักครู่ นั่นคือการดันหัวของผมให้ลงไปซุกที่บ่าของผมพร้อมกับใช้ท่อนแขนแกร่งอีกข้างของตนโอบกอดผมไว้



ความรู้สึกที่เกิดขึ้นมันต่างจากตอนที่ที่ไฮซ์มันกอดผม เพราะความรู้สึกในขณะที่ไฮซ์กอดผมมันทำให้ผมเหมือนมีเพื่อนคนหนึ่งคอยนั่งอยู่เคียงข้างคอยช่วยเหลือผมในยามที่ผมอ่อนแอ…แต่สำหรับพี่ศิ เมื่อผมอยู่ในอ้อมกอดของพี่เขามันทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในหัวใจและมันก็ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเผชิญมาทั้งหมดมันหายออกไปจากสมอง (เรียกง่ายๆว่าพี่ศิเป็นที่พักพิงหัวใจผมครับ)



ซึ่งความรู้สึกทั้งสองอย่างนี้มันก็ทำให้ผมได้เข้าใจครับว่าผมรู้สึกกับพี่ศิแตกต่างกับที่ผมรู้สึกกับคนอื่น ความรู้สึกที่ผมมอบให้พี่ศิมันคงเกินคำว่าคนสำคัญหรือคนพิเศษ และมันก็คงมากกว่าคำว่าแฟนกันแล้วล่ะมั้งครับ



ผมซุกตัวพร้อมกับหลับตาในอ้อมกอดของพี่ศิ แต่ความคิดความคิดหนึ่งของผมมันก็แวบขึ้นมาในสมองของผม ‘แล้วไอของที่พี่ศิไปซื้อกับน้ำฟ้ามันคืออะไร และที่สำคัญหลังจากผมไม่ได้แอบตามพี่ศิแล้วมันเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น’ เมื่อคิดได้เช่นนั้น ผมก็ดันตัวเองให้ออกมาจากอ้อมกอดของพี่ศิ มือทั้งสองข้างที่ตอนแรกโอบกอดพี่ศิตอบ ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นขย้ำคอเสื้อของพี่ศิแล้วเขย่าไปมาเพื่อถามคำถามที่มันคั่งค้างอยู่ภายในใจของผม “พี่ศิ ไอที่พี่ศิซื้อกับน้ำฟ้ามันคืออะไร แล้วหลังจากออกจากร้านเสื้อผ้านั้นแล้วพี่ศิไปไหนกับน้ำฟ้าต่อหรือเปล่า” ผมเขย่าคอพี่ศิแกอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งการกระทำของผมทำให้พี่แกหัวเราะออกมาเสียงดังเลยครับ มือกร้านทั้งสองข้างค่อยๆแกะมือของผมออกจากคอเสื้อของเขา หลังจากนั้นมือกร้านคู่นั้นก็จับมือของผมให้ไปอยู่ตำแหน่งที่หัวใจ



“ของที่พี่กับน้ำฟ้าซื้อน่ะ เป็นของไอเต๋อครับ ส่วนหลังจากออกจากร้านเสื้อผ้านั้นพี่ก็ขอตัวกลับไปก่อนครับ เพราะพี่ใช้เวลาพักช่วงกลางวันแวะมาซื้อของให้มันก็เท่านั้นเอง” พี่ศิตอบพร้อมกับหัวเราะแห้งๆใส่ผม ซึ่งผมก็หรี่ตามองพี่เขาเพื่อจับโกหกครับ แต่ดูเหมือนพี่ศิแกจะไม่ได้พูดโกหกผม ผมจึงเลิกมองพี่เขาด้วยสายตาแบบนั้น (แบบนี้เขาเรียกว่าใช้สายตากดดันครับผม)



“อ่า...สบายใจแล้วล่ะ พอสบายใจ กรก็หิวข้าวทันที พี่ศิทำอะไรให้กรกินหน่อยสิ” เมื่อความรู้สึกที่หนักอึ้งในหัวใจหมดไป ท้องที่มันว่างเปล่าก็เกิดอาการหิวขึ้นมาทันที ผมกระแซะตัวเข้าไปใกล้พี่ศิพร้อมกับพูดอ้อนให้พี่ศิทำข้าวเย็นให้ทาน และเมื่อผมอ้อนแบบนี้ มีหรือคนอย่างพี่ศิแกจะไม่ตกลง พี่ศิแกก็ตกลงน่ะสิครับ ร่างสูงนั้นค่อย ๆ ยันกายขึ้นพร้อมกับเดินไปยังห้องครัว แต่ก่อนที่ร่างสูงนั้นจะเริ่มทำอาหาร เสียงทุ้มนั้นก็เอ่ยดังขึ้นซึ่งประโยคที่เขาเอ่ยออกมานั้น ทำให้ผมรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้น



“ความจริงพี่คิดว่าน้ำฟ้าก็ไม่ได้นิสัยแย่เท่าไหร่นะครับ กร ตอนนี้เธออาจจะโตขึ้นจากตอนนั้นแล้ว และคงเข้าใจโลกขึ้นมามากแล้วล่ะครับกร ไว้เจอกันรอบหน้าก็ลองคุยดูนะครับ พี่ว่าเขานิสัยน่ารักกว่าตอนที่เขาโทรมาหากรตอนนั้นแล้วล่ะครับ”



นั้นก็เป็นเพราะผมรู้สึกว่าประโยค ๆ นี้…มันจะเป็นประโยคเริ่มต้นที่อาจจะทำให้ผมกับพี่ศิไม่เข้าใจกันครับ…





_____________________________________________




อีกสามตอนจบค่ะ .... และไม่จบแบบแบดเอ็นแน่นอนค่ะ



ปล. พลอยขอแปะรายละเอียดเล็กน้อยหน่อยนะคะ เชิญกดเข้าไปในลิ้งค์เพื่อนทราบข่าวสารเลยค่ะ หวังว่าจะไม่ผิดกฏนะคะ... โค้ง  http://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=1060523&chapter=34


หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 32] 08/01/2014 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: atitayalnw ที่ 08-01-2014 17:31:22
อ่านตอนนี้แล้วเหมือนนั่งรถไฟเหาะ
มันขึ้นๆลงๆ  วูบวาบไปหมด ก่อนจบอ่านๆไปเหมือนจะไม่มีไร
แต่พอบรรทัดสุดท้ายใจหนูตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่มเลย
จี๊ดดดเลยเจอประโยคที่ว่านิสัยก็น่ารักดี
ต่อให้นางกลับตัวถ้าเป็นหนู หนูก็ไม่อภัยให้หรอก บ้าไปแล้วพี่ศิ
เดี๋ยวปั๊ดเชียร์ไฮซ์เเทนเลย อ่านตอนนี้แล้วเบื่อความเป็นคนดีของพี่ศิจัง
ใจดีน่ะได้แต่ให้รู้จักขอบเขตบ้างดิพี่ พี่ควรใจดีกับคนทีควรดีด้วย ไม่ใช่ผู้หญิงอย่างนาง
บ่องตงโกรธพี่ศิมากกกเจ็บใจจริงๆ อยากแก้แค้นยัยน้ำเน่านี้จริงๆ หมั่นไส้หล่อนมานานแล้ว
ผู้หญิงที่นอนกับเพื่อนแฟนยังเป็นคนดีได้อีกหรอ??? แค่เจตนาหล่อนก็ไม่บริสุทธิ์แล้ว!!!!!
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 32] 08/01/2014 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: พลอยสวย ที่ 08-01-2014 19:14:35
 :katai1: ยังไงเนี่ยพี่ศิ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 32] 08/01/2014 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 08-01-2014 19:32:59
พี่ศิน่าตีจริงๆมาทำน้องกรร้องไห้ได้ยังไงเนี่ยยย
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 32] 08/01/2014 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 08-01-2014 19:51:56
แหม...ก็น้ำฟ้าเขาจ้องจับพี่ศิก้ต้องทำตัวน่ารักสิคะ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 32] 08/01/2014 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 08-01-2014 20:55:28
มันยังไงนะคู่นี้ งอนกันบ่อยจัง
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 32] 08/01/2014 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 08-01-2014 21:24:26
พี่ศิ อภัยไม่ได้ทำกรเสียใจ
ทำไมถึงคิดว่าน้ำฟ้าจะเป็นคนดีได้
เอาใจช่วยกรนะตอนนี้
ปล.จะบอกว่ายังไม่อยากให้จบอ่าาา ><
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 32] 08/01/2014 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: shikyu3211 ที่ 08-01-2014 21:57:25
มาปล่อยระเบิดไว้อย่างนี้จะให้เชื่อได้ยังง้ายยยยยยว่ามันจะแฮปปี้
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 32] 08/01/2014 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: RenaBee ที่ 09-01-2014 09:47:00
ตีพี่ศิที ไปเชื่อชะนีล้านเล่มเกวียนอย่างน้ำฟ้าได้ไงคะ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 32] 08/01/2014 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 09-01-2014 14:51:29
เอ๊ะ ยังไงคะพี่ศิ  :m16:

ชิชิ มาทำน้องกรร้องไห้  :serius2:

 :L2: :กอด1: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 33] 16/01/2014 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 16-01-2014 21:18:42



สวัสดีค่ะหลังจากที่พลอยทิ้งระเบิดไปเมื่อตอนที่แล้ว คราวนี้เรามาต่อกันแล้วหละคะ ดูสิคะว่าพี่ศิจะจัดการเรื่องทั้งหมดนี้ยังไง...หุหุหุหุหุหุหุ




Chapter 33



สิ่งที่นิสิตนักศึกษาไม่อยากจะเผชิญมากที่สุด นอกจากการสอบและเกรดนั่นก็คือการเปิดเทอมครับ ทว่าต่อให้เราครวญครางไม่อยากเปิดเทอมมากขนาดไหน ยังไงๆมันก็ต้องเปิดเทอมอยู่ดี และตอนนี้มหาวิทยาลัยของผมเปิดเทอมได้ราวๆ 2 อาทิตย์แล้วครับ ยิ่งกว่าเปิดเทอมนั้น เรื่องดราม่าที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับพี่ศิมันก็ผ่านมาได้ราวๆ 3 อาทิตย์กว่าๆแล้วครับ  และเรื่องราวในวันนั้นผมก็เลือกที่จะไม่พูดหรือขุดมันขึ้นมาอีก ซึ่งเช่นเดียวกันกับพี่ศิเขาก็ไม่คิดที่จะเอ่ยมันออกมาให้ผมรู้สึกแย่หรือรู้สึกไม่ดีครับ



แต่ถ้าถามผมตรง ๆ นะครับ…ตั้งแต่วันนั้นผมยังคงรู้สึกแย่กับคำพูดของพี่ศิครับ ไอคำพูดที่ว่าน้ำฟ้าเธออาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ผมคิดนั่นแหละครับ มันเหมือนพี่ศิไม่เชื่อในคำพูดของผมเลย แต่กระนั้นผมก็ไม่คิดที่จะพูดหรือเอ่ยเถียงอะไรออกไปครับ เพราะถ้าผมพูดออกไปมันก็เป็นเหมือนกับการใส่ร้ายเธอครับ ผมเลยเลือกที่จะไม่พูดดีกว่า แต่นอกจากเรื่องที่พี่ศิพูดเกี่ยวกับน้ำฟ้าใส่ผม มันก็ยังมีสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกไม่ดีอีกอย่างหนึ่งครับเพราะว่าจากการที่พี่ศิไปเจอกับน้ำฟ้าวันนั้นไม่ใช่มีผมคนเดียวที่เห็นครับ นิสิตที่ไปเที่ยวที่นั่นก็เห็นทั้งสองคนหัวเราะต่อกระซิกกันจนกลายเป็นประเด็นในอินเตอร์เน็ตเลยล่ะครับว่าพี่ศิเขี่ยผมทิ้งแล้วไปจีบเฟรชชี่คณะนิเทศแทน (พอดีน้ำฟ้าอยู่นิเทศครับ) นั่นเป็นข่าวที่ทำให้ผมรู้สึกแย่ไปหลายวัน แต่ตอนนี้ผมก็รู้สึกดีขึ้นเยอะแล้วครับ อย่างน้อยผมกับพี่ศิก็ยังคงแฮปปี้กัน ไปเที่ยวด้วยกัน กินข้าวกินขนมด้วยกัน และที่สำคัญนับจากวันนั้นจบจนถึงวันนี้พี่ศิแกก็ไม่ได้พบกับน้ำฟ้าอีกเลย (อันนี้เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุดครับ) ผมเลยแฮปปี้จนถึงวันนี้ไงล่ะครับ



และถ้าพูดถึงการเปิดเทอมใหม่ ตอนนี้ผมก็ขึ้นปีสองแล้วล่ะครับ ไม่ใช่เฟรชชี่วัยละอ่อนแล้ว ดังนั้นจากการที่ตัวผมต้องลงไปร่วมกิจกรรมรับน้องกับกิจกรรมประชุมเชียร์ก็กลายเป็นผู้จัดกิจกรรมรับน้องกับการประชุมเชียร์แทน และตอนนี้ผมก็ยืนอยู่เบื้องหน้ารุ่นน้องหลายร้อยตนในฐานะพี่ๆฝ่ายสันทนาการครับ (ผมโดนยัดเยียดให้เป็น ดราม่าแบบสุด ๆ ) ผมถือโทรโข่งคอยสอนน้อง ๆ ร้องเพลงของมหาวิทยาลัยครับ



แต่จะให้ผมสารภาพความจริงไหมครับ…ผมไม่อยากจะบอกเลยว่าอันที่จริงตัวผมยังร้องเพลงของคณะของมหาลัยยังไม่ได้เลยสักเพลง ดังนั้นก่อนที่ผมจะมาทำหน้าที่ฝ่ายสันฯเนี่ย ผมต้องโดนสหายทั้งหมดลากไปซ้อมร้องเพลงแบบไม่ได้หยุดพักเลยครับ ดังนั้นปีหน้าผมที่จะขึ้นปีสาม ผมจะขอเป็นพี่ว้ากแทนพี่สันฯ ครับ!



“น้องครับ ร้องให้เสียงมันหนักแน่นหน่อยครับ” ผมถือโทรโข่งพร้อมกับกรอกเสียงของตัวเองลงไป เพื่อกำกับให้น้อง ๆ ร้องเพลงตามที่ผมสอน ผมยังคงแหกปากแหกคอสอนน้องร้องเพลงไปเรื่อยๆ ซึ่งตอนนี้มันก็เป็นเวลาเกือบๆจะสองทุ่มครึ่งแล้วครับ (กิจกรรมประชุมเชียร์นี่จะเลิกช่วง 3 ทุ่มครับ) ซึ่งหลังจากสองทุ่มครึ่งไปแล้ว ผมก็จะหมดหน้าที่ครับ และคนที่จะมาคุมรุ่นน้องแทนก็คือพี่ว้ากครับ ดังนั้นถ้าผมสอนน้องๆ ร้องเพลงนี้จบ ผมก็จะเป็นไท ได้กลับคอนโดไปกินข้าวและทำการบ้านสักที



“เอาละนะครับ ร้องซ้ำอีกรอบเป็นรอบสุดท้ายนะครับ น้องๆ” เมื่อรอบก่อนหน้ารุ่นน้องร้องเพลงจบ ผมก็เอ่ยสั่งให้น้องร้องซ้ำอีกรอบเพื่อความชัวร์ครับ เพราะว่าถ้าไม่ให้น้องร้องซ้ำเองโดยที่ไม่มีพี่สันฯร้องนำ น้องๆเขาจะร้องกันเองไม่ได้ครับและที่สำคัญน้อง ๆ จะโดนพี่ว้ากเล่นงานหนักเอา (ต่อให้พวกน้องๆร้องกันได้พี่ว้ากก็หาเรื่องมาว้ากน้องอยู่ดีแหละครับ ประสบการณ์พวกนั้นผมผ่านมาแล้ว ผมเจ็บมาแล้ว) และเมื่อรุ่นน้องร้องเพลงกันจบอีกรอบหน้าที่ของผมก็หมดแล้วครับ รุ่นพี่ปีสามเริ่มเดินทยอยกันเดินออกมาจากด้านหลังแล้ว แต่ละคนยืนล้อมรอบแถวของน้อง ส่วนพี่สันฯ ปีสองก็สลายร่างครับ และหลังจากนี้ไปผมก็ไม่รับรู้อะไรแล้วครับว่าน้องๆจะเผชิญโชคอะไร นั่นก็เป็นเพราะผมหิ้วกระเป๋านิสิตและวิ่งไปยังลานจอดรถที่มีคนจอดรอไว้แล้ว



“พี่ศิๆ กรมาแล้ว” ผมเดินไปเคาะประตูรถเพื่อเรียกพี่ศิที่นั่งอยู่ด้านใน ซึ่งร่างสูงที่นั่งอยู่ในรถ เมื่อพี่แกเห็นผมเขาก็ปลดล็อคบานประตูให้ผมก้าวขึ้นรถไป ผมนี่ถลาขึ้นรถทันทีครับและพี่ศิรวิทย์ที่แสนน่ารักของทุกคน (แต่ไม่น่ารักสำหรับผม) ก็เร่งแอร์ให้แรงจนเกือบสุดเพื่อให้ผมคลายร้อนครับ เมื่อพี่ศิแกทำแบบนั้นให้ ผมก็หันไปยิ้มพร้อมกับผงกหัวขอบคุณพี่ศิเค้าครับ



“หิวแล้วล่ะสิครับกร เอานี่ไปกินนะ” ร่างสูงที่สวมชุดไปรเวทนั้นยื่นข้าวกล่องมาให้ผม ซึ่งภายในนั้นเป็นอาหารฝีมือพี่ศิเขาครับ แล้วทำไมพี่ศิถึงสวมชุดไปรเวทย์คงคิดกันแบบนี้สินะครับ ที่พี่ศิสวมชุดไปรเวทนั่นก็เป็นเพราะพี่ศิไม่มีเวรครับ วันนี้พี่แกเลยกลับไปที่หอก่อนแล้วค่อยมารับผม ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นแบบนั้นครับ แต่เวลาพี่ศิมีเวรผมจะเป็นคนนั่งรอเขาหรือขับรถมาเองครับ (ความจริงพวกเราตกลงกันไว้นะครับ ว่าถ้าพี่ศิว่างพี่ศิจะไปรับมาส่งผม ถ้าไม่ว่างผมจะขับรถมาเอง หรือรอพี่ศิเขาเข้าเวรเสร็จครับ แล้วจะกลับคอนโดด้วยกัน) ผมที่นั่งอยู่ในรถและคาดเข็มขัดเรียบร้อยแล้ว ผมก็จัดการเปิดข้าวกล่องที่พี่ศินำมาให้และเริ่มลงมือจัดการมันทันที



กับข้าวที่พี่ศิทำให้ผมกินรสชาติมันยังไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเลยล่ะครับ ยังอร่อยเหมือนเดิม ผมค่อยๆนั่งทานไปเรื่อยๆ จนในที่สุดผมก็ทานข้าวจนหมดกล่อง (ซึ่งมันหมดก่อนผมกับพี่ศิจะถึงคอนโดครับ นี่ไม่เรียกว่ากินหรอกครับ ผมเรียกว่ากระซวกเข้าปากดีกว่า) และเวลาก็ผ่านไปสักพักรถ BMW ของพี่ศิก็เคลื่อนที่เข้าไปจอดในลานจอดรถของคอนโดครับ ผมเด้งตัวออกมาจากรถพร้อมกับหันไปส่งยิ้มให้กับพี่ศิ



ผมเดินไปที่ลิฟต์เพื่อกดลิฟต์รอ แต่ในช่วงขณะนั้นมือถือของพี่ศิที่ผมยืมมาฟังเพลงอยู่ โปรแกรมไลน์ก็ดังขึ้นครับ…และคนที่ส่งข้อความนั้นมาให้ก็คือ ‘น้ำฟ้า’ นั่นเอง คิ้วของผมขมวดเป็นปมแน่นพร้อมกับนิ้วมือที่ที่กดลงไปที่โปรแกรมไลน์เพื่ออ่านบทสนทนาที่พี่ศิคุยกับน้ำฟ้าครับ



ข้อความที่น้ำฟ้าส่งมาเป็นข้อความถามเกี่ยวกับการเดินทางของพี่ศิครับ เธอเมสเสจมาว่า ‘พี่ศิคะ ตอนนี้พี่เดินทางถึงบ้านหรือยังคะ ถ้ายังไม่ถึง ขับรถดีๆนะคะ น้ำฟ้าเป็นห่วง’ ผมอ่านแล้วรู้สึกขนลุกน้อยๆ และถ้าเปรียบความอดทนเป็นเส้นด้าย 100 เส้น ตอนนี้เส้นไหมนั้นขาดไปหนึ่งเส้นแล้วครับ ผมกดไล่อ่านข้อความไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่จะเป็นน้ำฟ้าที่ส่งข้อความมาหาพี่ศิเขาครับ (ก็ยังดีหน่อยที่พี่ศิไม่ค่อยจะตอบกลับ) แต่ผมอ่านไปเรื่อยๆ ผมก็รู้สึกเส้นด้ายแห่งความอดทนของผมขาดไปทีละเส้นสองเส้น และในที่สุดตอนนี้ความอดทนของผมถึงขีดสุดแล้วครับ ถ้าเกิดเจอประโยคอะไรเด็ดๆอีกสักประโยคนะ ผมคงโยนโทรศัพท์มือถือเครื่องนี้ทิ้งลงไปกับพื้นแน่ๆ และคงไม่ใช่ทิ้งลงไปที่พื้นธรรมดา มันจะเป็นการเขวี้ยงโทรศัพท์มือถือยี่ห้อดังจากลานจอดรถชั้น 6 ลงไปชั้นล่างครับ ผมกวาดสายตาไล่อ่านข้อความไปเรื่อยๆ และมันก็เป็นไปอย่างที่ผมคิดครับ ข้อความใหม่ของน้ำฟ้าที่ส่งมาทำให้ผมถึงกับเผลอปล่อย (เรียกว่าเผลอปาทิ้งมากกว่าครับ) โทรศัพท์มือถือยี่ห้อดังของพี่ศิลงพื้น เมื่อผมอ่านข้อความพวกนั้นจบ ‘ขอบคุณนะคะที่ออกมาทานข้าวกับน้ำฟ้า แต่น่าเสียดายจังเลยที่เราอยู่ด้วยกันได้ไม่นาน เพราะพี่ศิต้องไปรับพี่กรกลับคอนโด น้ำฟ้าเข้าใจนะคะ แต่ถ้ามันลำบากมาก ทำไมไม่เลิกไปรับไปส่งพี่กรล่ะคะ พี่กรเป็นคนเอาแต่ใจ น้ำฟ้าคิดว่าคนอย่างพี่ศิต้องอดทนมากกับพี่กรแน่ ๆ เลย น้ำฟ้าเลยอยากเตือนพี่ศินะคะ เลิกยุ่งกับพี่กรเถอะค่ะ’ ประโยคนี้ทำให้ผมถึงกับสะอึก ผมเอาแต่ใจ งี่เง่ากับพี่ศิเป็นเรื่องจริง…เรื่องนี้มีพี่ศิที่รู้แล้วก็เพื่อนๆของผมที่รู้ แล้วน้ำฟ้ามารู้เรื่องนี้ได้ยังไง ผมไม่เคยแสดงด้านนี้ให้น้ำฟ้าเธอเห็นนะ…หรือว่าพี่ศิเอาเรื่องของผมไปเล่าให้เธอฟัง แล้วทั้งสองคนนี้พบกันกี่ครั้งแล้ว เจอกันโดยที่ผมไม่รู้ พี่ศิโกหกผมมาตลอดเลยเหรอ



ผมที่ยืนกดลิฟต์รอพี่ศิก็เปลี่ยนเป็นเข้าลิฟต์หนีไปทันทีที่ปาโทรศัพท์ของพี่ศิลงพื้น หน้าจอของโทรศัพท์เครื่องนั้นแตกร้าว ซึ่งมันเป็นเช่นเดียวกับหัวใจของผมที่มันเริ่มแตกร้าวแล้วเช่นกัน



เมื่อผมขึ้นลิฟต์มาถึงชั้นที่ 14 ผมก็รีบถลาเข้าห้องส่วนตัวและทำการปิดล็อคประตูห้องทันที ที่ผมทำเช่นนั้นก็เพราะผมยังไม่อยากคุยกับพี่ศิตอนนี้ครับ มือถือที่ผมปาลงพื้นนั้นยังเปิดโปรแกรมไลน์ค้างไว้และเชื่อว่าผมพี่ศิต้องได้อ่านข้อความพวกนั้นต่อจากผม และหลังจากนั้นพี่ศิคงเข้ามาพูดมาโกหกอะไรให้ผมฟังอีกแน่นอน ผมไม่อยากโดนพี่ศิแกเป่าหูหรือใช้คำลวงอะไรมาหลอกผมอีกแล้วครับ ผมกลั้นน้ำตาตัวเองไว้พร้อมกับกดปิดโทรศัพท์มือถือของตน



ใจก็ไม่อยากปล่อยเรื่องนี้ให้มันยืดยาวไปถึงพรุ่งนี้ แต่สภาพของผมในตอนนี้ไม่พร้อมที่จะรับฟังอะไรจากปากของพี่ศิเขาครับ ถ้าพูดกันไปมันก็ไม่พ้นการผิดใจกัน ทั้งๆที่หลักฐานคาตา…พี่ศิไม่มีทางเถียงผมได้ นอกเสียจากพี่ศิจะโกหกผมครับ



ผมนอนขดตัวอยู่บนเตียงไปตอนนี้เวลาก็ตีสามเข้าไปแล้ว แต่ผมก็ยังข่มตาตัวเองให้นอนหลับไม่ได้เลยครับ ในสมองของผมมีแต่เรื่องราวของพี่ศิและน้ำฟ้าตีกันไปกันมา และที่ยิ่งแย่ไปกว่านั้นพี่ศิที่น่าจะร้อนรนเกี่ยวกับอาการของผม เขายังไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยครับ ไม่มาแม้แต่เคาะประตูห้องนอนของผมและคงไม่ได้เข้าห้องของผมมาด้วยล่ะมั้งครับ ผมเม้มปากของตัวเองแน่นและก็ยังนอนขดตัวอยู่บนเตียงผมนอนถ่างตาอยู่แบบนั้น จนกระทั่งแสงของยามเช้าสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างที่ผมเปิดผ้าม่านทิ้งไว้



ผมค่อย ๆ ลุกขึ้นและพาร่างกันไร้เรี่ยวแรงของตัวเองไปอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อสวมเป็นเสื้อนิสิตพร้อมกับเตรียมหนังสือเรียนเพื่อไปเรียนในวันนี้เมื่อผมจัดกระเป๋าเสร็จผมก็ปลดล็อคประตูห้องนอนของตัวเอง แต่เมื่อผมเปิดประตูออกไปผมก็พบกับร่างของผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งหลับอยู่ข้างๆประตูห้องนอนของผม ซึ่งผมก็ไม่อยากจะให้ทุกๆท่านคาดเดาว่าคนนั้นคือใครแต่ถ้าจะเดากัน ผมก็คิดว่าทุกๆคนน่าจะเดาถูกนะครับเพราะคนๆนั้นก็คือพี่ศินั่นเอง



เมื่อผมเห็นสภาพของพี่ศิ ผมก็ทรุดตัวลงไปนั่งข้างๆพี่เขาและพยายามปลุกให้พี่ศิเขาตื่น “พี่ศิครับ…พี่ศิ” ผมเขย่าแขนของพี่ศิเบาๆ พร้อมกับร้องเรียกชื่อของเขา การกระทำแบบนั้นทำให้ร่างที่หลับใหลอยู่ตื่นขึ้นมาและเมื่อเขาเห็นผม เขาก็ถลาเข้ามากอดผมแน่นทันที มือกร้านลูบหัวของผมอย่างอ่อนโยน



“กรครับ…กรกำลังเข้าใจพี่ผิดนะครับ ฟังพี่อธิบายเถอะ พี่ขอร้องล่ะ” พี่ศิเขาพยายามพูดอธิบายให้ผมฟังเกี่ยวกับเรื่องข้อความในมือถือนั่น แต่ผมกลับส่ายหัวปฏิเสธพร้อมกับแกะมือของพี่ศิออกจากร่างกายของผม ซ้ำผมยังใช้น้ำเสียงที่แสนเย็นชาพูดใส่พี่ศิกลับไปเสียอีก “พี่ศิกลับไปเปลี่ยนเสื้อไปเรียนที่ห้องสิครับ มายุ่งกับคนเอาแต่ใจอย่างกรทำไม อ่อ..แล้วคนทานข้าวด้วยก็มีแล้วนี่ ทีหลังไม่ต้องมารับกรแล้วก็ได้นะครับ มันคงลำบากน่าดูถึงต้องเอาไปบ่นให้คนอื่นฟัง”



เมื่อผมพูดประโยคพวกนั้นจบ ผมก็เดินหิ้วกระเป๋าพร้อมกับหยิบกุญแจรถออกจากห้องของตัวเองไปทันที เมื่อบานประตูเบื้องหลังของผมปิดลง ร่างของผมก็ทรุดนั่งลงไปที่พื้นทันที…ทำไมผมถึงพูดแบบนั้นกับพี่ศิไปนะ หยาดน้ำตาของผมค่อยๆ เอ่อล้นออกมา ก่อนที่มันจะรวมตัวเป็นหยดน้ำและค่อยๆไหลรินออกมาอย่าไม่ขาดสาย



ผมนั่งสะอึกสะอื้นอยู่หน้าห้องนานพอดู และในท้ายที่สุดบานประตูห้องของผมก็ถูกเปิดออกเผยให้เห็นร่างสูงที่ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ ผมหันหน้าไปมองพี่ศิเขาและเตรียมที่จะลุกขึ้นหนีไปทว่ามือกร้านข้างหนึ่งของร่างนั้นกับเอื้อมมือมารั้งผมไว้ “กรครับ วันนี้เรามีเรื่องที่ต้องคุยกัน” เสียงทุ้มนั้นเอ่ยสั่นเครือพร้อมๆกับผมที่พยักหน้าตอบตกลงกับพี่ศิทั้งน้ำตา



ยังไง…ผมก็ยังคงใจอ่อนให้กับพี่ศิเสมอ…



(และที่สำคัญที่สุดเหมือนผมจะลืมไปว่าวันนี้เป็นวันเสาร์ครับ ผมไม่มีเรียนและพี่ศิก็ว่าง อันนี้ทำเอาผมหน้าแตกเลยตอนที่ผมกลับเข้าห้องของตัวเองและหันไปดูปฏิทิน บางทีความกังวลมันทำให้สมองของเราเบลอจนจำวันเวลาไม่ได้ครับ อันนี้ผมไม่ได้แก้ตัวนะ)



ตอนนี้พวกเราทั้งสองคนนั่งอยู่ภายในห้องนั่งเล่นของห้องผมครับ ผมนั่งก้มหน้าดวงตาของผมยังคงมีน้ำตาคลออยู่น้อยๆ ส่วนพี่ศิพยายามหันหน้าหนีผมเพื่อหลบซ่อนดวงตาที่แดงก่ำของตัวเองไว้ (แต่เอาจริงๆเราทั้งสองยังคงนั่งอยู่ข้างๆกันครับ)



“…จะให้กรฟังเรื่องอะไรล่ะครับ พี่ศิ” ผมเอ่ยถามเสียงสั่น แต่ไม่ใช่แค่เสียงของผมเท่านั้น ร่างกายของผมก็สั่นไปด้วย สั่นเพราะความกลัวเรื่องราวที่พี่ศิเอ่ยออกมา ทว่าการกระทำของพี่ศิที่ทำออกมา หลังจากที่ผมเอ่ยถามกลับแปลกประหลาดเพราะเขายื่นโทรศัพท์มือถือที่หน้าจอร้าวมาให้ผมแล้วพูดใส่ผมอย่างแผ่วเบาว่า “ช่วยทำให้มันพังทีครับ กร”



เมื่อได้ยินประโยคนั้น ผมถึงกับเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความสงสัย หยาดน้ำตาที่ไหลรินนั้นกลับหยุดไปซะอย่างนั้น “พี่ศิ…ทำไมอ่ะ” ผมกล่าวถามเขาต่อ แต่พี่ศิเขาไม่ยอมตอบแถมเอ่ยพูดกับผมราวกับว่าไอมือถือเครื่องที่พี่เขาจะให้ผมพังมันราคามันถูกๆอย่างนั้นแหละ “พี่เมมชื่อคนรู้จักใส่ซิมหมดแล้วครับ แล้วพี่ก็ไม่ได้มีเบอร์โทรศัพท์ของผู้หญิงคนนั้นด้วย พี่มีแต่ไลน์ของเขาที่พี่กับเธอแลกเปลี่ยนกันในวันที่ไปบังเอิญเจอกันที่พารากอนครับ ซึ่งพี่ไม่รู้ว่าการที่พี่ไปเจอเธอในวันนั้นมันจะทำร้ายกรมากจนถึงขนาดนี้ พี่ไม่รู้เลยจริงๆ แล้วเรื่องข้อความต่างๆที่เธอคนนั้นส่งมาให้ในไลน์ พี่ไม่ได้เปิดเข้าไปอ่านด้วยซ้ำครับ เพราะพี่ไม่มีเวลามากขนาดนั้น ส่วนมากที่พี่ตอบไลน์ก็จะตอบแค่กรคนเดียวครับ ส่วนคนอื่นพี่จะให้การโทรหาเอา แต่เพื่อความสบายใจของกร พี่ยอมให้กรพังโทรศัพท์มือถือเครื่องนี้ทิ้งครับแล้วอาทิตย์หน้าเราไปซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่กัน คราวนี้พี่คิดว่าจะซื้อเป็นคู่กับกรเลย”



คำพูดของพี่ศิที่เอ่ยออกมานั้นทำให้ผมถึงกับสะอึก มือทั้งสองข้างของผมยื่นไปรับโทรศัพท์มือถือเครื่องนั้นมาพร้อม ๆ กุมมันไว้แน่น “พี่ศิแน่ใจแล้วเหรอ…จะให้กรพังมันน่ะ” ผมเอ่ยถามพี่ศิออกไปอีกครั้งและคำตอบที่พี่ศิแกตอบมาให้ผมก็ยังคงเป็นเช่นเดิม นั่นก็คือเขาให้ผมพังโทรศัพท์มือถือเครื่องนี้ทิ้งซะ ใบหน้าคมพยักหน้าขึ้นลงพร้อมกับยื่นมือมากุมที่มือผมไว้



“เอามันให้พังสะใจไปเลยกร พี่อนุญาต” พี่ศิแกพูดติดตลกและคำพูดพวกนั้น ทำให้ผมหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง คราบน้ำตาที่เกิดขึ้นในวันนี้ได้ถูกลบล้างไปแล้ว



ผมถือโทรศัพท์มือถือยี่ห้อดังไว้แน่นพร้อมกับใช้ความคิด ความจริงผมก็ไม่อยากจะทำอะไรแบบนั้นหรอก แต่เมื่อน้ำฟ้าไม่เลิกราวีกับพี่ศิ (ของผม) ผมก็จะต้องตอบโต้เธอกลับเช่นครับ ผมขึ้นไปนั่งคุกเข่าบนโซฟาพร้อมกับยกโทรศัพท์มือถือเครื่องนั้นขึ้นพร้อมกับกดเปิดโหมดกล้องถ่ายรูป จากนั้นผมก็ค่อย ๆ บรรจงเอาริมฝีปากของตัวเองจรดไปที่แก้มของพี่ศิพร้อมกับกดชัตเตอร์ถ่ายภาพนั้นไว้



การกระทำของผมทำให้พี่ศิแกตกใจเป็นอย่างมาก แต่พี่แกก็รู้แหละครับว่าทำไมผมถึงทำแบบนั้น หลังจากที่ผมรัวชัตเตอร์ไปหลายต่อหลายภาพ ผมยิ้มเย็นเยือกและส่งภาพเหล่านั้นหลายมุมมองไปให้น้ำฟ้าดูผ่านไลน์ครับ เมื่อส่งเสร็จ ผมก็หัวเราะอย่างชั่วร้ายในลำคอพร้อมกับจ้องมือถือเครื่องนั้นรอการตอบกลับจากน้ำฟ้า ซึ่งไวดั่งใจคิดครับ คำแรกที่เธอส่งมา ‘วิปริต’ คำที่สองนี่ ‘ทุเรศ’ คำที่สามและคำต่อ ๆ ไปนี่ยาวเหยียดเป็นหางว่าวเลยครับ ผมรำคาญจัด เลยจัดข้อความยาว ๆ ส่งไปให้เธออีกสักดอก ซึ่งข้อความที่ผมเขียนตอบเธอไปนั้น เธอคงจะกระอักเลือดตายเลยมั้งครับเพราะผมเขียนตอบเธอไปว่า



‘ขอโทษด้วยนะน้ำฟ้า ข้อความและรูปพวกนี้จากกรเอง เราแค่ส่งไปเพื่อบอกเธอว่าเลิกยุ่งกับของของเราสักที ถ้าไม่เลิกเธอคงจะรู้นะว่าการที่ตัวเองถูกคนทั้งมหาวิทยาลัยตราหน้าว่าแย่งสามีชาวบ้านมันหมายความว่ายังไง คนทั้งมหาลัยเค้ารู้กันหมดแล้วว่ากรเป็นอะไรกับพี่ศิ มีแต่น้ำฟ้านี่แหละที่ไม่รู้ อ่อ...แล้วช่วยเลิกส่งข้อความมาราวีพี่ศิสักที ตั้งใจให้เราสองคนทะเลาะกันเหรอ ไม่มีทางหรอก เข้าใจนะ เก็บหางของเธอไปด้วย เราทั้งสองคนรู้ธาตุแท้ของเธอมาตั้งนานแล้ว แค่ไม่อยากจะพูดเอง’ และเมื่อผมพิมพ์ไอประโยคยาวเหยียดนั้นจบ ผมก็กดส่งเมสเสจใส่เธอด้วยความสะใจพร้อมกับกดบล็อคนางเป็นที่เรียบร้อย



ซึ่งพี่ศิที่เห็นท่าทางแบบนั้นของผม เขานี่ถึงกับพูดออกมาเลยครับว่า “กรน่ากลัวมาก” เมื่อได้ยินประโยคที่พี่ศิพูดใส่ผมผมก็หันไปส่งรอยยิ้มหวานให้กับพี่ศิ หลังจากนั้นริมฝีปากของผมก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่แสนชั่วร้าย



“ใครมายุ่งกับของของกร คนของกร...ก็ต้องโดนเล่นให้ถึงที่สุด ต้องเอาให้ตายกันไปข้าง แต่ทำไปแบบนี้เป็นเหมือนกับการเย้ยน้ำฟ้า กรเชื่อว่าเธอต้องตามราวีพี่ศิแน่นอน” ผมเอ่ยตอบพี่ศิไป ก่อนจะเงียบเสียงตนลงไปชั่วครู่ ผมสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำถัดไปออกมา “พี่ศิก็น่าจะรู้ฤทธิ์กรแล้วนะ…ดังนั้น ถ้าพี่ศิทำอะไรให้กรเสียใจอีก…เตรียมตัวตายได้เลยพี่”



เมื่อร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมได้ยินเช่นนั้นเขาก็หัวเราะแห้งๆออกมาพร้อมกับเร่งพูดให้ผมพังมือของของเขาสักที “กรพังโทรศัพท์มือถือพี่สิครับ แล้วหลังจากนั้นเราไปซื้อเครื่องใหม่กัน” เมื่อเจ้าของเขาร้องเรียกมาแบบนั้น…ผม นายรณกรก็ไม่คิดที่จะปฏิเสธคำเรียกร้องนั่นครับ ขั้นแรกผมปากโทรศัพท์ไอถือของพี่ศิลงพื้นอีกครั้งพร้อมกับใช้เท้า (ที่สวมสลิปเปอร์อยู่) กระทืบมันไปทีหนึ่ง และหลังจากนั้นผมก็เดินไปตั้งหม้อและจุดไฟรอจนน้ำเดือด หลังจากนั้นผมก็โยนโทรศัพท์มือถือของพี่ศิลงไปในหม้อนั่นล่ะครับ



การกระทำของผมทั้งหมดทำให้พี่ศิกลืนน้ำลายลงคอเลยล่ะครับ ท่าทางพี่ศิแกจะไม่เคยเห็นผมโหมดนี้ล่ะมั้งครับ แกเลยออกจะตกใจสักเล็กน้อย ความจริงไม่เล็กน้อยครับ ดูเหมือนจะตกใจเอาเรื่องเลยล่ะ



ผมแสยะยิ้มมองโทรศัพท์มือถือยี่ห้อผลไม้ที่ถูกต้มในน้ำเดือด เมื่อผมต้มไปได้สักพัก ผมก็นำมันออกมาจากหม้อครับ และตามด้วยเอามันโยนลงกะละมังที่ใส่น้ำผสมน้ำแข็งไว้ (ผมคิดว่ามันเป็นการทรมานมือถือที่ซาดิสม์ที่สุดแล้วครับ)


v
v
v
v
v
v
v
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 33] 16/01/2014 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 16-01-2014 21:19:33

เมื่อผมทำจนพอใจ ผมก็เดินย้อนกลับมาหาพี่ศิครับพร้อมกับทรุดตัวลงนั่งข้างๆพี่เขา พี่ศิแกจะดูเหงื่อตกกับการกระทำอันแสนโรคจิตของผมเล็กน้อย แต่พี่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรออกมาครับ ซ้ำยังจับหัวของผมให้เอนไปซบบ่าของเขาเสียอีก และผมซึ่งเอนไปซบบ่าของเขาก็เริ่มจะง่วงขึ้นมาหน่อยๆแล้วครับ เพราะเนื่องจากเมื่อคืนผมไม่ได้นอนทำให้ผมสะลึมสะลืออยู่บนบ่าของพี่ศิ ซึ่งเหมือนพี่แกจะรู้ดีนะครับร่างสูงที่ผมเอนไปซบเปิดริมฝีปากของตนเองออกและค่อย ๆ เอ่ยถ้อยคำออกมาเสียงเบา “ถ้ากรง่วง กรนอนไปเลยก็ได้ครับ รู้สึกว่าเมื่อคืนจะไม่ได้นอนเลยสักตื่นนี่” พี่ศิลูบหัวของผมอย่างแผ่วเบา ก่อนเขาจะค่อยๆ ยันกายขึ้นพร้อมกับเดินไปยังห้องครัว ผมส่งเสียงร้องเรียกตามไปแต่คำตอบที่พี่ศิเอ่ยตอบมานั้นมันไม่เข้าหัวผมซะแล้วครับ เมื่อดวงตาของผมปิดสนิทลง โหมดเจ้าชายนิทราของผมก็เริ่มต้นขึ้น



ร่างสูงของว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์ได้แต่มองร่างโปร่งที่หลับใหลอยู่บนโซฟา ก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างออกมา เมื่อคืนมันมีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้ตัวเขากับเจ้าตัวแสบนี่ผิดใจกัน แต่ตอนเช้าเรื่องราวทั้งหมดก็เคลียร์ได้อย่างลงตัว เขาไม่รู้เป็นเพราะว่าเจ้าตัวแสบที่นอนหลับอยู่เป็นคนเข้าใจง่ายเกินไป หรือวิธีทำของเขามันดูบ้าระห่ำเกินไป แต่ก็นะ อะไรที่ทำให้เจ้าตัวแสบนี่ยิ้มได้เขาก็พอใจมากแล้ว



เมื่อสายตาคมนั้นจ้องร่างโปร่งที่นอนอยู่บนโซฟาจนพอใจ หลังจากนั้นเขาก็เดินเข้าห้องครัวพร้อมกับเปิดตู้เย็นเพื่อนหาวัตถุดิบสำหรับทำอาหาร ‘ถ้าเกิดกรตื่นขึ้นมา ต้องมีบ่นว่าหิวไม่ก็ปวดท้องแน่ๆ ดังนั้นเขาก็ต้องทำอะไรให้เจ้าตัวแสบจอมโวยวายนี่ทานรองท้องสักหน่อยแล้วค่อยพาออกไปทานข้าวเย็นแล้วกัน’ ร่างสูงนั้นอมยิ้มกับความคิดตน และเริ่มลงมือทำเมนูอาหารที่เจ้าตัวแสบของเขาโปรดปราน



แต่ก็คงทำได้เท่าที่…วัตถุดิบมันมีแล้วกันนะครับ…

 




ผมซึ่งที่นอนหลับไปได้สักพัก (แต่คงกินเวลาเป็นชั่วโมงอยู่) ก็ตื่นขึ้นและพบกับอาหารที่พี่ศิแกทำเตรียมไว้ ผมเดินสะลึมสะลือพร้อมกับขยี้ตาไปด้วยเข้าไปหาพี่ศิ ซึ่งพี่ศิที่รับรู้ได้ถึงการมาของผม เขาก็หันหน้าออกจากเตาและส่งยิ้มจางๆมาให้ผม แต่ผมก็ไม่ได้ยิ้มตอบพี่เขาไปหรอกนะครับ เพราะสภาพของผมตอนนี้ตายังลืมไม่ค่อยจะขึ้นเลย ผมคลานไปนั่งที่โต๊ะพร้อมๆ กับรอให้พี่ศิเอาอาหารมื้อเช้า (แต่ตอนนี้น่าจะเป็นเวลาเที่ยงมา) เสิร์ฟให้ผม ผมนั่งมองข้าวต้มกระดูกหมูที่พี่ศิทำไว้ให้ก่อนจะค่อยๆตักมันเข้าปาก ทว่าความร้อนนั้นมันทำให้ผมตาสว่างครับ ผมไอค่อกแค่กไป มือก็ควานหาแก้วน้ำไป แต่กว่าจะได้น้ำมาล้างปากไอความร้อนในปากของผมก็หมดไปแล้วครับ และมันก็เหลือแต่ลิ้นกับริมฝีปากของผมที่บวมแดงเพราะความร้อน ผมรับน้ำจากมือของพี่ศิมาดื่มเสียอึกใหญ่



“ร้อนจัง…ทำให้อุ่นกว่านี้หน่อยไมได้เหรอ พี่ศิ” ผมพูดบ่นพร้อมกับทำหน้ามุ่ยใส่พี่เขา และร่างสูงที่เห็นผมทำท่าทางแบบนั้นใส่ เขาก็เผลอหัวเราะออกมาเสียงดัง มือกร้านถูกยืนออกมาแตะที่ปลายจมูกของผมแล้วบีบเบาๆการกระทำแบบนั้นของพี่ศิทำให้ผมยิ่งทำหน้ามุ่ยใส่เขามากขึ้นไปอีก แต่ผ่านไปสักพักร่างสูงนั้นก็ปล่อยมือออกจากจมูกของผม ริมฝีปากหนาประดับไปด้วยรอยยิ้มพร้อมกับเอ่ยชวนผมให้ออกไปทานข้าวด้วยกันตอนเย็น “พี่ทำอะไรเบาๆ ให้กรรองท้องก่อนนะครับ แล้วเย็นนี้เราสองคนค่อยไปหาอะไรทานข้างนอกกัน” พี่ศิแกเอ่ยชวน ในขณะที่ผมข้าวเต็มปาก ผมก็เลยได้แต่พยักหน้าตอบตกลงพี่ศิแกไป



เมื่อผมตอบไปแบบนั้น พี่ศิก็คลี่รอยยิ้มออกมากว้างยิ่งกว่าเก่า เขายกมือขึ้นมาวางแหมะไว้ที่หัวของผม ก่อนจะลุกขึ้นไปตักข้างต้มมานั่งทานเป็นเพื่อน



ผมนั่งคุยกับพี่ศิอย่างออกรสออกชาติ บ้างก็แกล้งไปตักเนื้อหมูในจานพี่ศิมาเข้าปากบ้าง แล้วก็โกยพวกผักชีในจานไปใส่ในจานของพี่ศิบ้าง เราทั้งสองคนเล่นแบบนี้กันไปสักพัก ในที่สุดข้าวต้มในจานของเราทั้งสองคนก็หมด ผมยันกายลุกขึ้นไปทำหน้าที่เดิม ซึ่งพี่ศิก็เช่นกัน (หน้าที่เดิมของพวกเราสองคนคือช่วยกันล้างจานครับ) เมื่อเราทั้งสองคนจัดการทำความสะอาดครัวที่แสนจะเลอะเทอะของผมเสร็จแล้ว เราสองทั้งสองคนก็ย้ายสำมโนครัวไปนั่งกองรวมกันที่โซฟา และก็ยังคงทำกิจวัตรเช่นเดิมเหมือนกับทุกๆวัน นั่นก็คือการดูทีวีครับ (และนอกจากดูโทรทัศน์แล้วก็มีการตบตีแย่งชิงรีโมตกันบ้าง เพราะจะแย่งกันดูช่องที่ตัวเองชอบครับ)



แต่วันนี้ท่าทางการดูทีวีของเราสองคนจะแปลกไปเสียหน่อยนั่นก็เป็นเพราะพี่ศิไม่ได้อ่านหนังสือไปด้วยดูโทรทัศน์ไปด้วย ส่วนผมก็ไม่ได้เล่นโซเชียลไปด้วยและดูโทรทัศน์ไปด้วย แต่วันนี้เราสองคนกับพูดคุยกันมากกว่าจะหันไปทำกิจกรรมซึ่งเป็นงานอดิเรกของตัวเอง



“พี่ศิรู้หรือเปล่า กิจกรรมประชุมเชียร์มันน่าเบื่อมาก กรเบื่อตั้งแต่ตอนเป็นรุ่นน้องเลย ถ้าเกิดไม่ได้เกียร์ กรไม่เข้าประชุมหรอก โดนคนที่ไม่รู้จักมาพูดเสียงดังใส่ โวยวายใส่ มันเป็นอะไรที่แย่มาก กรไม่ชอบพี่ว้ากเลย” ผมพูดพร้อมกับเบ้ปากออกมาด้วยความไม่พอใจ ซ้ำผมยังเล่าย้อนไปถึงความขมขื่นตอนเข้าประชุมเชียรตอนปีหนึ่งของตัวเองให้พี่เขาฟังเสียอีก ‘ก็มันน่าแค้นใจสิครับ ยืนตรง หน้าเชิด ห้ามหันซ้ายหันขวา การสั่งแบบนั้นของพี่ว้ากทำเอาผมจะลุกไปต่อยพี่เขาหลายทีแล้วล่ะครับแต่ก็นะ ผมก็อดทนจนได้เกียร์มาจนได้’



พี่ศิแกหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมกับเอามือลูบศีรษะของผมที่นอนอยู่บนตักของเขา ผมดิ้นและพูดโวยวายคนเดียวออกมาเรื่อยๆ ในที่สุดพี่ศิที่นิ่งเงียบอยู่นานก็เอ่ยถามผมกลับครับ “เอ้า…ถ้ากรเบื่อแบบนี้แล้วยังเข้าประชุมเชียรทำไมล่ะ พี่เห็นเราไม่ค่อยจะสนใจอะไรเท่าไหร่ด้วย ขนาดกิจกรรมบังคับยังแอบโดดได้เลย ทำไมคราวนี้ไม่โดด”



พี่ศิแกถามเพราะแกรู้นิสัยผมครับ เพราะผมมันเป็นพวกชอบโดดร่ม กิจกรรมสำคัญขนาดไหนก็จะไปแค่เช็คชื่อเท่านั้นแล้วก็โดดกลับทันที และถ้ามีเช็คชื่อสองรอบผมก็ให้ไอเจมส์กับไอบาส ผู้ชอบกิจกรรมทุกชนิดเช็คชื่อให้ครับ อำนาจมืดแบบสุดๆ เลยเห็นไหมล่ะ ผมน่ะ (ถ้ากิจกรรมที่ชอบก็คือการเข้าค่ายหรืออะไรพวกนั้น ถ้านอกเหนือจากนี้ผมก็โดดเกือบทุกกิจกรรมครับ)



“ไม่รู้สิ มองน้องๆแล้วสงสารมั้ง พี่ศิ ตอนกรไปยืนตรงจุดๆนั้น กรก็อยากจะลุกขึ้นไปต่อยพี่ว้ากบ้าง เพื่อนบางคนก็ร้องไห้บ้าง แต่เราก็มีพวกรุ่นพี่ฝ่ายสันฯ ช่วยให้พวกเราผ่านมาได้ ตอนนี้กรที่รับหน้าที่นั้น กรก็เลยอยากช่วยให้น้อง ๆ หลุดพ้นจากนรกที่เรียกว่าพี่ว้ากไง” ผมพูดพร้อมกับแหงนหน้ามองพี่ศิ ซึ่งพี่ศิเขาก็ก้มลงมาพร้อมกับส่งรอยยิ้มกว้างให้แก่ผม มือกร้านนั้นลูบหัวของผมด้วยความอ่อนโยนพร้อมกับเอ่ยถ้อยคำชม(?) หรือว่า(?) ผมออกมา “ไม่อยากให้น้องๆโดนเหมือนกับที่ตัวเองโดนนี่เอง กรก็มีมุมใจดีกับเขาเหมือนกันนะเนี่ย พี่ไม่ยักรู้เลย” เมื่อพี่ศิเอ่ยจบ เขาก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ผมนี่ใช้เวลาคิดสักพักจนกว่าจะเข้าใจในสิ่งที่พี่ศิแกพูด



ดังนั้นผมก็จัดการเอามือทั้งสองข้างจี้เอวโดยหวังว่าจะจี้ให้พี่เขาหัวเราะจนหายใจไม่ทัน แต่ดูเหมือนผมจะพลาดล่ะครับ เพราะว่าพี่ศิ…แกไม่บ้าจี้ครับ ผมเลยต้องนั่งหงอยเพราะว่าทำอะไรพี่ศิแกไม่ได้



แต่บทสนทนาของเราทั้งสองคนก็ไม่จบลงที่ความผิดพลาดของผมนะครับ พวกเราทั้งสองคนสนทนาเกี่ยวกับเรื่องกิจกรรมหลายๆอย่างของคณะของมหาวิทยาลัยไปเรื่อยๆ และในที่สุดเวลาก็ล่วงเลยไปถึงช่วงบ่าย  เมื่อพี่ศิแกดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือแล้วพี่ศิแกก็เอ่ยปากชวนผมไปดูหนังพร้อมกับทานข้าวเย็นข้างนอกครับ อันตัวผมก็ไม่ได้อยากจะดูหนังอะไรนักหรอกก็แค่เด้งตัวลุกขึ้นมานั่งแล้ววิ่งไปเปลี่ยนเสื้อผ้าของตัวเองในห้องทันทีก็เท่านั้นเอง (เห็นไหม ผมไม่ใช่คนที่เห็นแก่การเที่ยวเลยนะ ของฟรี กินฟรี นี่ก็ไม่ได้อยากได้เล๊ย…แล้วไอที่ผมรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้านั่นก็เป็นเพราะว่าผมอยากรักษาน้ำใจพี่ศิต่างหากล่ะ ถ้าไม่แสดงอาการกระตือรือร้นอยากไป เดี๋ยวคนชวนจะน้อยใจแย่)



ส่วนพี่ศิที่เห็นผมวิ่งเข้าห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเขาก็ตะโกนจากห้องนั่งเล่นเข้ามาในห้องส่วนตัวของผมว่าเขานั้นขอไปเตรียมตัวที่ห้องของตัวเองบ้าง ซึ่งผมก็ตอบตกลงไป



และผมก็ใช้เวลาไม่นาน ตอนนี้ผมก็อยู่ในชุดเสื้อมีฮู้ดแขนกุดสีขาวเสื้อตัวในสีฟ้า ส่วนด้านล่างของผมเป็นกางเกงขาสามส่วนเหมือนอย่างที่ผมชอบใส่ครับ เมื่อแต่งตัวเสร็จ ผมหยิบของที่จำเป็นใส่กระเป๋ากางเกงพร้อมกับเดินเปิดประตูออกไปเคาะประตูห้องของพี่ศิครับ (แต่ผมก็ไม่ลืมที่จะล็อคห้องของตัวเองนะครับ) เมื่อผมเคาะประตูตามมารยาท (ที่ผู้ดีพึงจะมี) ไปสองถึงสามรอบ แต่คนที่อยู่ภายในห้องก็ยังไม่ออกมาต้อนรับสักที ผมก็เลยจัดการใช้กุญแจสำรองที่ตัวเองมีไขเข้าห้องพี่ศิไปนั่งรอที่โซฟาในห้องนั่งเล่นของพี่เขาเลยครับ



ผมนั่งกอดเข่าดูโทรศัพท์รอไปสักพัก ร่างสูงนั้นก็ออกมาจากห้องนอนพร้อมกับชุดไปรเวทที่มองแล้วรู้เลยว่าการที่พี่ศิเขาใช้เวลาเยอะให้การแต่งตัวมันเป็นเพราะอะไร ไอตอนเดินออกมานี่จัดเต็มเลยครับ เสื้อยืดคอโปโลสีฟ้า (สีเดียวกับเสื้อยืดคอกลมของผมเลยครับ) กางเกงแสลคยาวสีดำสนิท อีกทั้งที่มือของพี่เขาข้างขวามีการใส่พวกกำไลกับสายรัดข้อมือด้วยครับ ถ้าสภาพนี้ไม่เรียกว่าจัดเต็มจะให้ผมเรียกว่าอะไร



เมื่อผมเห็นสภาพที่ครบครันของพี่ศิ ผมก็ยืนขึ้น มือทั้งสองข้างนั้นกอดแนบอกพร้อมกับส่งเสียงเอ่ยปากแซวออกไปเสียยกใหญ่



“แหม...พี่ศิ ถ้ากรไม่รู้ว่าพี่ศิจะไปดูหนังแล้วกินข้าวกับกรนี่ กรคิดว่าพี่ศิจะไปเดินแบบที่ไหนแล้วนะครับ แล้วนี่อะไรเริ่มแต่งตัวเหรอ” ผมพูดพร้อมกับไปจับที่ข้อมือของพี่ศิ แต่เมื่อสายตาผมเห็นตัวอักษรบนกำไลข้อมือ พลันในหน้าของผมก็แดงก่ำซึ่งผู้เป็นเจ้าของสิ่งนั้นก็มีสีหน้าแดงก่ำไม่แพ้ผมเช่นกัน



ใครมันจะไปรู้ล่ะว่าไอกำไลที่พี่ศิใส่อันนั้นมันจะมีชื่อของผม…กับพี่ศิเขาสลักไว้อยู่ พอเห็นนี่ผมแทบอยากจะเอาหัวมุดลงไปใต้โซฟาแล้วร้องกรี๊ดออกมาเสียงดัง แต่ก็ต้องระงับอารมณ์ของตัวเองไว้แล้วพยายามตีมาดนิ่ง ก่อนจะค่อยๆเปิดปากชวนพี่ศิให้เดินทาง “พะ…พี่ศิไปเถอะ ดะ…เดี๋ยวได้หนังรอบเย็นมากแล้วจะอดกินข้าวเย็นกัน” ผมเอ่ยเสียงสั้นพร้อมกับเดินนำพี่ศิออกไปด้านนอกห้อง และในขณะที่ผมกำลังสาวเท้าเดินไปมือของพี่ศิก็รั้งร่างของผมเอาไว้ พร้อมกับส่งกล่องกำมะหยี่มาให้ผม ซึ่งไม่ต้องเดาก็รู้กันนะครับว่าของข้างในมันคืออะไร…เพราะมันเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากกำไลที่สลักชื่อของผมกับเขา



ผมรับของสิ่งนั้นมาด้วยความเขินอายพร้อมกับนำมันเก็บใส่ลงไปในกระเป๋ากางเกง ‘ตอนนี้ผมยังไม่ใส่หรอกครับเพราะว่า…ผมมีของที่จะแปลกเปลี่ยนกับพี่ศิเหมือนกัน…แต่ก็ต้องให้พี่ศิทำอะไรสักอย่างสำเร็จก่อนนะ’ ผมเดินนำพี่ศิไปที่ลิฟต์ด้วยใบหน้าที่แสนแดงก่ำพร้อมกับกดลิฟต์เพื่อให้มันเคลื่อนตัวลงไปยังลานจอดรถของคอนโด



ซึ่งพวกคุณติดตามเรื่องของผมมาถึงขนาดนี้แล้ว ผมก็คงไม่ต้องอธิบายอะไรนะครับว่าใครเป็นคนขับและผมขึ้นรถยังไง เพราะทั้งหมดนั่นมันเป็นหน้าที่ของพี่ศิเขาครับ ผมนั่งคาดเข็มขัดและแสร้งทำเป็นมองไปนอกหน้าต่างไปจนกระทั่งรถยนต์คันงามของพี่ศิเข้าไปจอดยังลานจอดรถของห้างสรรพสินค้า และผมก็คงไม่ต้องอธิบายซ้ำอีกนะครับว่าผมลงจากรถยังไงและด้วยวิธีไหนนั่นก็เป็นหน้าที่ของพี่ศินั่นอีกล่ะครับ หลังจากที่ผมกับพี่ศิลงจากรถแล้ว เราทั้งสองคนก็เดินเข้าไปในตัวห้างสรรพสินค้า (ก็รู้ ๆ กันอยู่ว่าพี่ศิแกเป็นสุภาพบุรุษแกเลยเทคแคร์ผมดีมาก เทคแคร์ผมเสียจนผมติดเป็นนิสัยเลยครับ แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นการที่เขาเทคแคร์ผมแบบนี้ มันเหมือนกับผู้ชายที่คอยเอาอกเอาใจผู้หญิงเลยครับ แย่ชะมัด ทำไมสถานภาพของผมที่มีต่อพี่ศิผมจึงกลายเป็นผู้หญิงที่ต้องคอยดูแลแบบนี้ด้วย คิดแล้วก็หนักใจ แต่คิดมากไปก็หนักสมองครับ เอาเป็นว่าผมกับพี่ศิไปดูรอบหนังก่อนแล้วกันนะครับ)



ในเวลาที่ผมเดินเที่ยวกับพี่ศินั้น ผมจะอยู่ข้างๆพี่ศิครับ ซึ่งในเวลาปกติมันก็ไม่มีอะไรหรอกครับ แต่ว่าวันนี้มือของผมถูกกอบกุมด้วยมือของพี่ศิและเราทั้งสองคนก็เดินเคียงคู่กันไปโดยมีมือของเราสองคนเป็นตัวเชื่อมเราเข้าไว้ด้วยกัน ไอผมนี่หน้าแดงก่ำเลยครับ ทันทีที่มือของตัวเองโดนจับ ส่วนพี่ศิน่ะเหรอ…ผมคิดว่าใบหน้าของพี่แกด้านชาไปแล้วล่ะครับ เพราะสีหน้าเขาไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิดเดียว เราทั้งสองคนยังคงเดินเล่นต่อไปเรื่อยๆ  ในที่สุดเราก็เดินไปถึงป้ายที่ประกาศโปรแกรมหนังครับ ซึ่งคราวนี้ผมเลือกอย่างดีแล้วครับว่าหนังที่ผมจะดูนั้นมันเป็นหนังแนวไหน (ไม่พลาดเหมือนครั้งก่อนๆแล้วครับ ครั้งก่อนๆที่พลาดเจอหนังผีตลอด) คราวนี้หนังที่ผมเลือกเป็นหนังแนวแฟนตาซีครับ ซึ่งมันเป็นแนวที่ผมชอบมาก (จะหาว่าผมเพ้อฝันก็ได้ครับ แต่ผมชอบนี่) ซึ่งพี่ศิแกก็พยักหน้าเออ ออไปกับผมด้วย ดังนั้นผมจึงเดินไปซื้อตั๋วหนังเรื่องนั้นมาสองใบ แต่ก็ไม่ได้เลือกแบบสามมิติมาหรอกครับ เพราะผมสงสารพี่ศิที่ต้องสวมแว่นทับสองอัน



เมื่อผมซื้อตั๋วหนังเสร็จแล้ว ผมก็ยกมันให้พี่ศิดูพร้อมกับเดินไปยืนข้างๆเขา ซึ่งคราวนี้พี่ศิแกก็ยังคงทำเช่นเดิม เราทั้งสองคนเดินไปด้วยกัน พี่ศิเขากุมมือของผมไว้และเราทั้งสองคนก็เดินเคียงข้างกันไป



รอบหนังที่ผมได้มานั้นเป็นช่วงบ่ายสามโมงครับ ซึ่งตอนนี้ก็เกือบจะบ่ายสองโมงแล้วครับ ผมกับพี่ศิยังพอมีเวลาไปเดินเล่นที่ไหนอีกราว ๆ 1 ชั่วโมงและจุดที่พี่ศิเลือกที่จะพาผมไปเดินเล่นนั่นก็คือร้านไอศครีมครับ (เดี๋ยวนี้พี่ศิรู้ดี พาผมเข้าร้านเค้กไม่ได้ เพราะผมไม่ทานขนมหวานจากร้านอื่น นอกจากร้านบ้านของผมเอง) เมื่อพวกผมเดินเข้าไปในร้านพนักงานก็เดินมาต้อนรับเราสองคนทันที เมื่อพนักงานมา ผมก็พยายามที่จะเอามือของผมออกจากการจับกุมของพี่ศิทว่าพี่ศิแกไม่ยอมครับ แถมยังจับมือของผมไว้แน่นเสียยิ่งกว่าเก่า ซึ่งกว่าพี่ศิเขาจะปล่อยมือออกจากผมนั่นก็คือเราสองคนได้นั่งลงบนโซฟาของร้านขายไอศครีมนั่นแล้วครับ ผมเม้มริมฝีปากและก้มหน้าด้วยความเขินอาย ส่วนพี่ศิก็ยกมือเรียกพนักงานในร้านให้เอาเมนูมาให้



ภายในสมองตอนนั้นของผมนี่ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลยครับ สมองของผมขาวโพลนไปหมดจนสั่งผิดสั่งถูกเลยครับ แต่ในท้ายที่สุดผมสั่งไอศครีมที่ผมอยากกินได้สำเร็จครับ



ผมใช้มือข้างหนึ่งเท้าคางไป ส่วนอีกข้างหนึ่งของผมทัชไอโฟนที่ซื้อต่อจากพี่ศิไปและในขณะที่ผมอัพเดทว่าตัวของผมนั้นสิงสถิตอยู่ที่ไหน มือข้างหนึ่งของพี่ศิก็เอื้อมมากุมมือข้างนั้นของผมไว้พร้อมกับน้ำเสียงทุ้มที่เอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา



“กรครับ...กำไลวงนั้นช่วยสวมคู่กับพี่ได้ไหมครับ” คำขอนี้พาผมระทวยเลยครับ ใบหน้าคมของพี่ศินั้นถูกระบายไปด้วยสีแดงก่ำ (ซึ่งใบหน้าของผมในตอนนี้ก็คงแดงก่ำไม่แพ้กัน) มือแกร่งที่กอบกุมมือของผมไว้นั้นสั่นและชื้นเหงื่อเล็กน้อย



เมื่อเจอคำถามนั้นไป ผมก็ชะงักสิครับ จะให้รับปากว่าจะสวมคู่กับพี่ศิ มันก็เหมือนกับว่าผมตกลงรับรักพี่ศิไป แต่จะไม่ให้ตกลงมันก็เหมือนปฏิเสธพี่ศิเขา คือไอใจของผมมันก็อยากสวมอยู่หรอกครับ แต่ว่าขอเวลาตั้งตัวบ้างได้ไหม ไม่ใช่แบบจะให้รับรักเลยอะไรแบบนั้น เมื่อความคิดผมยังสวนทางกับหัวใจ…ผมก็เลยตั้งข้อเสนอกับพี่ศิเขาครับ



เป็นข้อเสนอที่คิดแบบสด ๆ ร้อน ๆ เลยแหละครับและข้อเสนอนั้นก็มีเนื้อความว่า



“ถ้าพี่ศิ...ไม่สิ ถ้าคณะของพี่ศิชนะเลิศการแข่งขันบาส กรจะยอมสวมมันคู่กับพี่ศิและ...กรก็จะมีอะไรแลกเปลี่ยนกับพี่ศิด้วย” เมื่อผมเอ่ยออกไปแบบนั้น ใบหน้าคมที่แสดงอาการตึงเครียด (เพราะผมไม่ยอมตอบคำถามเขาสักที) ก็คลี่รอยยิ้มกว้างออกมาและพี่ศิเขาก็รับปากทันที (ผมขอเกริ่นก่อนนะครับ กิจกรรมมหาวิทยาลัยของเราจะมีการแข่งกีฬาระหว่างคณะ ซึ่งพี่ศิเป็นนักบาสของคณะครับ เขาจึงต้องลงเล่น ผมเลยใช้เรื่องนี้มาเป็นข้อตกลงของพี่ศิเขาครับ)



งานนี้เส้นตายระหว่างผมกับพี่ศิคืออีก 1 อาทิตย์ข้างหน้า…การแข่งขันบาสรอบชิงชนะเลิศคือวันศุกร์ แต่ก่อนหน้านั้น…ผมก็ต้องลุ้นอีกล่ะครับ ว่าคณะแพทย์ของพี่ศินั้นจะชนะจนเข้ารอบชิงได้หรือเปล่าและที่สำคัญตอนนี้มันเพิ่งรอบแปดทีมสุดท้ายเองครับ ดังนั้นข้อตกลงนี้ยังมีเวลาให้ผมกับพี่ศิลุ้นกันจนเสียวไส้หลายครั้งแน่นอน


___________________________________



เอาหละคะ...ตอนนี้ ถึงจุดพีคของเรื่องจริง ๆ แล้วหละคะ เรามาคอยเชียร์กันดีกว่าว่าพี่ศิ จะได้คบกับน้องกรไหม หุหุหุหุหุ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 33] 16/01/2014 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 16-01-2014 21:32:11
น้องกรเผยแง่มุมที่น่ากลัว?  :m29:

ลุ้นๆ ว่าคู่นี้จะได้คบกันสักทีไหม  :katai2-1:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 33] 16/01/2014 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 16-01-2014 21:56:43
พี่ศิสู้ๆๆๆ ><
กรโครตโหดเลยอ่ะตอนจัดการกับน้ำฟ้า555
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 33] 16/01/2014 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: พลอยสวย ที่ 16-01-2014 22:19:24
 :-[ :-[ อยากได้แบบพี่ศิซักคน วุ๊ยย เขินน
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 33] 16/01/2014 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 16-01-2014 22:52:23
พี่ศิ สู้ๆ  o13
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 33] 16/01/2014 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 16-01-2014 23:07:32
ทำไมน้องกรให้อภัยง่ายจังหว่า ทำไมคนอ่านอย่างเรายังรู้สึกมันไม่ค่อยพีคสะใจเท่าไหร่ก็ม่รู้555 แต่ดีกันก็ดีแล้ว^^
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 33] 16/01/2014 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 17-01-2014 09:49:38
พี่ศิต้องชนะเท่านั้น กรถึงจะยอมรับรัก
เหนื่อยแน่พี่ศิ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 33] 16/01/2014 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: shikyu3211 ที่ 17-01-2014 16:04:26
ประกาศตัวซะขนาดนั้นแต่ยังไม่ยอมรับรักเนี่ยนะ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 33] 16/01/2014 P.11
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 18-01-2014 11:31:45
ทำตัวยิ่งกว่าแฟนไปแล้ว กรยังไม่ยอมรับอีกแถมยังจะดึงเวลาอีก
ศิเขายอมกรมากเลยนะ ให้ทำลายโทรศัพท์ด้วย
ทำไมไม่เจอหน้าแล้วตอกกลับให้หน้าหงายเลยหมั่นไส้จริงยัยน้ำเน่าเนี่ย
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้งข่าวเกี่ยวกับหนังสือ] 19/01/2014 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 19-01-2014 21:58:10


ก่อนอื่น แจ้งว่า *พรุ่งนี้...เจอกันตอนจบค่ะ* (ตอน 35 คือบทส่งท้าย)


พลอยมาแจ้งรายละเอียดค่ะ แต่รายละเอียดโดยรวมอยู่ในลิ้งค์ด้นล่างนะคะ โค้ง//


รายละเอียดคร่าว ๆ ตามได้ในลิ้งค์นะคะ


http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=40768.msg2599402#msg2599402



(http://i529.photobucket.com/albums/dd340/S_oKiss/lem1.jpg) (http://s529.photobucket.com/user/S_oKiss/media/lem1.jpg.html)
 


(http://i529.photobucket.com/albums/dd340/S_oKiss/lem2-2-1.jpg) (http://s529.photobucket.com/user/S_oKiss/media/lem2-2-1.jpg.html)


หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้งข่าว] 19/01/2014 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 20-01-2014 19:16:05


สวัสดีค่ะ ไหน ๆ ก้ไหน ๆ เราก็เปิดจองเซทลีมีเต็จของนิยายเรื่องนี้กันไปแล้วเราก็ขอเอาตอนจบหละมั้ง ของนิยายเรื่อง Love Surgery มาลงสักที ขอให้ทุก ๆ ท่านมีความสุจกับตอนจบ หละมั้งนะคะ ขอบคุณที่ติดตามนิยายของพลอยจนถึงตอนนี้ (ซึ่ง พลอยยังคงจะมาอัพนิยาต่อเรื่อย ๆ เพราะน้องจากตอนจบหละมั้งแล้วเรายังมี จบจริง ๆ หละมั้ง อยู่ ห่ะ// อะไรมันจะวกวนได้ขนาดนี้



แต่หากท่านไดยังไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับการสั่งจอง ติดตามได้ที่ลิ้งค์นี้นะคะ

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=40768.msg2599402#msg2599402






Chapter 34




บางครั้งการวางเดิมพันอะไรมันก็เป็นเรื่องที่มีความเสี่ยงสูงเอาเรื่อง โดยเฉพาะการเดิมพันเรื่องความรักแล้วมันยิ่งเสี่ยงหนักเลยล่ะครับ และที่ผมพูดถึงเรื่องการเดินพันนี้ขึ้นมา นั่นก็เป็นเพราะผมกำลังวางเดิมพันกับคนๆหนึ่งอยู่และสิ่งที่เดิมพันนั้นมันเป็นความรู้สึกของผม หรือเรียกง่าย ๆ ก็คือมันเป็นการวางเดิมพันของความรักนั่นล่ะครับ ซึ่งในตอนนี้ผู้ที่วางเดิมพันกับผมกำลังพยายามทำข้อตกลงนั้นของเราสองคนให้เป็นจริงอยู่ครับ



ถ้าจะให้บอกเป็นภาษาง่ายๆนะครับนั่นก็คือพี่ศิกำลังเล่นบาสอยู่ในสนามบาสครับ  ซึ่งคณะแพทย์กำลังแข่งอยู่กับถาปัตครับ ซึ่งไอสกง สกอร์ผมไม่รู้หรอกครับว่ามันนับยังไง (เพราะผมเป็นบุคคลที่ไม่ชอบกีฬาเอาซะเลย) แต่เท่าที่ดูแผ่นป้ายที่เขียนคะแนนของทั้งสองฝ่าย คณะแพทย์…กำลังตามอยู่ราว ๆ 2 แต้มครับ (ท่าทางข้อตกลงของผมกับพี่ศิจะไม่สำเร็จแล้วล่ะครับ เพราะตอนนี้เวลาของการแข่งมันใกล้จะหมดแล้ว และที่ผมรู้ว่าเวลาจะหมดเพราะผมหันไปถามเฮียก๊อตที่มานั่งดูการแข่งบาสด้วยกันครับ ถ้าให้พูดกันตรง ๆ นะครับ ผมดูไม่รู้เรื่องเลยล่ะครับเลยได้แต่ดูสกอร์คะแนนที่เขียนอยู่บนบอร์ดเท่านั้น)



เมื่อผมเห็นแต้มที่เพิ่มขึ้นของคณะถาปัตนี่ทำเอาผมนั่งกอดเข่าหงอยเลยล่ะครับ เพราะในหัวของผมนี่คิดไว้แต่ว่าคณะแพทย์ต้องแพ้แน่ๆ และไอสภาพหมาหงอยของผมตอนนี้ทำเอาเฮียก๊อตที่นั่งอยู่ข้างๆของผมเป็นกังวล จนต้องละความสนใจจากเกมมาปลอบเลยล่ะครับ แต่ในขณะที่เฮียแกกำลังพูดปลอบผมว่า เดี๋ยวคณะแพทย์ก็ทำคะแนนตีตื้นขึ้นมาได้ อย่าห่วงเลย พลันเสียงรอบ ๆ ตัวของผมก็เฮดังขึ้นพร้อม ๆ กับสกอร์คะแนนถูกเปลี่ยนเป็น 67 ต่อ 67 เท่ากัน เมื่อเห็นแต้มเป็นแบบนั้นผมแทบจะคว้าคอของเฮียก็อตมากอดแล้วเขย่า ๆ เลยล่ะครับ แต่ก็ต้องเก็บอาการไว้ (แล้วทำไมผมถึงมาที่สนามบาสกับเฮียก๊อตนั่นเหรอครับ…เฮียก๊อตแกเป็นคนเดียวที่รู้เรื่องเกี่ยวกับข้อตกลงของผมกับพี่ศิครับ เพราะผมขอตามเฮียแกไปที่สนามบาสตอนแข่งกีฬาระหว่างคณะทำให้เฮียแกสงสัยจนผมต้องอธิบายไปครับ)



เมื่อการแข่งกลับมาเสมอเวลาที่จวนเจียนจะหมดของเกมก็ต้องถูกเพิ่มเวลาขึ้นครับ และช่วงเวลานั้นทำให้ผมได้ลุ้นว่าคณะแพทย์จะชนะหรือเปล่า (การเล่นบาส ถ้าเกิดว่าคะแนนเป็นแต้มเสมอ เค้าจะมีการเพิ่มเวลาขึ้นอีกครับแล้วก็เวลานั้นจะตายตัวเพื่อให้แข่งทำแต้มไปอีก ผมรู้แค่นี้ล่ะครับเกี่ยวกับการเล่นบาส)



และการแข่งนี้ทำให้ผมลุ้นจนตัวโก่งเลยล่ะครับว่าคณะแพทย์ชนะไหม แต่พี่ศิแกก็ทำตามข้อตกลงที่ผมให้ไว้ได้ครับเพราะตอนนี้เวลาการแข่งหมดลงแล้ว และที่สำคัญคณะแพทย์มีคะแนนนำคณะถาปัตอยู่สองแต้มนั่นก็หมายความว่าคณะแพทย์ชนะไงครับ ผมที่ยังคงนั่นอึ้งอยู่โดนเฮียก๊อตเขย่าตัวเบาๆ ก่อนจะบอกให้ผมวิ่งลงจากสแตนไปแสดงความยินดีกับพี่ศิครับ ซึ่งผมก็พยักหน้าตกลงพร้อมกับลากเฮียก๊อตให้ไปเป็นเพื่อน (ที่ผมลากเฮียแกไป นั่นก็เป็นเพราะพี่แกน่าจะรู้จักคนเล่นบาสต่างคณะครับ ผมไม่อยากไปยืนหัวโด่แบบไม่รู้จักใครในวงล้อมนักบาสของคณะแพทย์ครับ)



เมื่อผมเดินลงไปที่ด้านล่างของแสตน ผมก็ต้องเบียดเสียดกับนิสิตต่างคณะที่เข้าไปแสดงความยินดีและปลอบใจผู้ชนะและผู้แพ้ครับ และทันทีที่ผมแทรกตัวเข้าไปในวงล้อมของคณะแพทย์ได้ผมก็เจอหญิงสาวที่มีนามว่าน้ำฟ้ากำลังยื่นขวดน้ำเย็นให้พี่ศิอยู่ อารมณ์ที่สงบนิ่ง (ปนดีใจ) ของผมนี่ถึงกับพุ่งปรี๊ดขึ้นมาทันทีเลยครับ เมื่อเห็นภาพ ๆ นั้นผมก็จัดการสาวเท้าตัวเองไปพร้อมกับส่งยิ้มให้กับนักบาสจำเป็นผู้มีนามว่าศิรวิทย์ทันที



“พี่ศิ...กรมาแล้ว โทษทีที่มาช้านะครับ แข่งชนะแล้วดีใจด้วยนะ” ผมกล่าวเสียงใสพร้อมกับหยิบผ้าขนหนูในถุงที่เตรียมมายื่นให้พี่ศิไป ซึ่งพี่ศิเขาก็รับของที่ผมส่งไปด้วยรอยยิ้มครับ ซ้ำยังยักมือขึ้นมาขยี้ผมของผมเสียอีก



เสียงทุ้มเอ่ยขอบคุณผมแผ่วเบา แต่พี่เขาจะน่ารักกว่านี้ ถ้าเขาไม่โน้มตัวมากระซิบขอบคุณที่ข้างใบหูของผมแบบนี้ “ขอบคุณครับ น้องกร” ผมนี่ขนลุกเลยล่ะครับเมื่อพี่ศิแกเอ่ยจบ ไอขนลุกไม่ใช่เพราะที่พี่ศิกระซิบครับ แต่ที่ผมขนลุกนั่นก็เป็นเพราะสายตาผู้หญิงที่ยืนอยู่รอบๆ พี่ศิที่ส่งมาให้กับผม และที่น่ากลัวไปกว่านั้นนั่นก็คือใบหน้าสวยหวานของน้ำฟ้าที่จ้องมองมาที่ผมด้วยแววตาไม่เป็นมิตร แต่ก็นะ ถึงจะขนลุก แต่ผมก็รู้สึกสะใจแบบแปลกๆครับเพราะว่าสิ่งที่พี่ศิแกทำ มันเหมือนเป็นการประกาศกลาย ๆ ว่า… ‘พี่ศิเค้าเลือกผมครับ’ (ถึงผมจะยังไม่ได้ตอบตกลงพี่ศิเขาก็เถอะนะ)



ไอตัวผมก็ได้แต่ยิ้มอย่างสะใจพร้อมกับแกะขวดน้ำเปล่าเย็นแล้วยื่นไปให้พี่ศิ “นี่พี่ศิทำข้อตกลงเสร็จไปอีกขั้นแล้วนะครับ แบบนี้กรเอาใจช่วยให้พี่ศิชนะเลิศแล้วกัน…แต่ก็อย่าลืมว่ายังไม่จบ คณะวิศวะเป็นคู่แข่งอยู่” เมื่อผมส่งน้ำไปให้พี่เขา ผมก็เอ่ยถึงทีมบาสของคณะผมเพื่อเป็นการข่มขวัญพี่ศิ แต่ดูเหมือนว่าพี่แกจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยล่ะครับ ซ้ำยังส่งรอยยิ้มกลับคืนมาให้แก่ผมพร้อมกับเอ่ยถ้อยคำที่แสนมั่นใจออกมาว่าทางฝ่ายเขาต้องเป็นฝ่ายชนะเลิศแน่นอน



“มาข่มขวัญพี่แบบนี้ไม่ดีนะครับ กร…พี่ไม่มีทางแพ้หรอก แม้ในทีมของกรจะมีนักบาสของมหาลัยแบบก๊อตก็เถอะ” ร่างสูงกระตุกยิ้มพร้อมกับกอดอกมองมาที่ผมแต่ประโยคที่พี่ศิพูดออกมานั้นมันไม่ได้จบเพียงแค่นั้น ร่างสูงนั้นโน้มตัวมากระซิบเบาที่ข้างหูผมอีกครั้ง พร้อมกับเอ่ยประโยคที่ทำให้ผมอยากเอาขวดน้ำที่อยู่ในมือพี่ศิราดหัวของเขาให้รู้แล้วรู้รอด “ถ้าเกิดพี่แพ้…คงไม่ใช่พี่คนเดียวที่เสียใจ เพราะพี่ก็คิดว่ากรคงจะต้องเสียใจเป็นเพื่อนพี่แน่ๆ”



พี่ศินี่นะ…รู้ทันไปเสียทุกเรื่องจริง ๆ …



เมื่อพี่ศิพูดจบ ผมก็สะบัดหน้าหันหนีพร้อมกับมือทั้งสองข้างที่ไขว้กอดกันไว้ การแสดงท่าทางไม่พอใจเหมือนกับเด็กๆ ของผมทำให้พี่ศิหลุดหัวเราะออกมาเสียงดังพร้อมกับเอ่ยพูดขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อที่ห้องห้องน้ำ ผมพยักหน้าตอบเขา ก่อนจะค่อยๆสาวเท้าเดินตามไป



…ผมรู้นะครับว่าทุกๆคนสงสัยว่าผมสร้างข้อตกลงอะไรกับพี่ศิ ข้อตกลงที่ผมสร้างขึ้นเกี่ยวกับกำไลที่พี่ศิให้ผมมาเมื่อสองสามวันก่อนครับ การที่พี่ศิขอผมให้ผมสวมกำไลคู่กับพี่เขานั่นก็หมายความว่าพี่ศิต้องการขอคบกับผมอย่างเปิดเผยครับ…ซึ่งในตอนนั้นหัวสมองของผมนี่เบลอไปหมดทุกอย่างเป็นสีขาวโพลน และในสมองผมก็เกิดปิ้งอะไรขึ้นมาได้ครับนั่นก็คือข้อตกลงของผมกับพี่ศินั่นเอง จะเรียกว่าการพนันของผมกับพี่ศิก็ได้นะครับ เพราะว่าถ้าพี่ศิชนะผมจะยอมสวมกำไลคู่กับพี่ศิเขาหรือจะให้พูดง่าย ๆ ก็คือผมยอมที่จะคบกับพี่ศิเขาครับ แต่ถ้าพี่แกแพ้…เรื่องนี้เอาไว้ค่อยคิดครับ แต่ผมไม่คิดนะครับว่าพี่ศิแกจะแพ้เพราะว่าผมเชื่อในฝีมือชู้ตสามแต้มของพี่ศิเขาครับ



ผมยืนกอดอกพิงกำแพงรอพี่ศิอยู่หน้าห้องน้ำ ซึ่งพี่ศิแกต้องใช้เวลาแต่งตัวและอาบน้ำพอสำควรเลยล่ะครับ ดังนั้นมันก็มีสิ่งหนึ่งที่ผมคาดเดาเอาไว้ในใจว่าระหว่างที่ผมยืนรอพี่ศินั้นต้องมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาคุยกับผม และมันเป็นไปตามการคาดเดาครับ หญิงสาวคนหนึ่งเดินสาวเท้าเข้ามาหาผมพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ หากแต่แววตาของเธอนั้นจ้องมองผมราวกับว่าเธอจะกินเลือดกินเนื้อของผมเลยล่ะครับ



“สวัสดีครับ น้ำฟ้า” ผมเอ่ยทักทายเธอด้วยรอยยิ้ม (แม้ว่าภายในใจของผมจะไม่ยิ้มให้กับเธอเลยก็เถอะนะ) พร้อมกับพลิกกายหันไปหาเธอตามมารยาทของการสนทนา เวลาคุยกับเราต้องมองหน้าของคู่สนทนาใช่ไหมล่ะครับ ผมก็เลยหันไปหาเธอตามมารยาทจริงๆ ไม่ได้มีความหมายอื่นแอบแฝงเลยสักนิดครับ



“สวัสดีค่ะ พี่กร” น้ำฟ้าเอ่ยตอบกลับผมด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้น ซึ่งผมก็เข้าใจนะครับว่าทำไมเธอถึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจถึงขนาดนั้น ก็ผมเล่นไปสวีทหวานแหววกับพี่ศิ จนพี่ศิเมินสนิทใส่เธอแล้วหันมาสนใจผมแทนเธอ ทั้งๆที่เธอเป็นถึงดาวคณะนิเทศ เรื่องนี้นี่ทำให้เธอเสียหน้าเอาเรื่องเลยล่ะครับ แต่ช่วยไม่ได้นี่ครับการที่พี่ศิเมินเธอ มันไม่ใช่ความผิดของผมสักหน่อยนี่นะ



“มีอะไรจะคุยกับผมเหรอครับ น้ำฟ้า” ผมเอ่ยถามเธอด้วยรอยยิ้มและที่สำคัญรอยยิ้มของผมนี่เต็มไปด้วยความสะใจครับ (ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะแกล้งสุภาพสตรีเลยนะครับ แต่สำหรับน้ำฟ้าเธอคงไม่ใช่หญิงสาวปกติแล้วล่ะครับ เพราะมารยาของเธอนี่ล้ำเกินความเป็นกุลสตรีครับ)



“พี่กร…ทำน้ำฟ้าเสียหน้านะคะ ไปทำอย่างงั้นกับพี่ศิของน้ำฟ้าได้ยังไงกันล่ะคะ ไม่รู้หรือไงว่าพี่เขารังเกียจพี่กรขนาดไหน” ไอประโยคนี้ของน้ำฟ้าทำผมปรี๊ดขึ้นอีกครั้งเลยครับ ผมไม่ใช่พวกที่จะทำอะไรผู้หญิงก่อนนะ แต่เจอผู้หญิงปากแบบนี้มันน่าสั่งสอนไปสักทีสองที


“ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะครับ ผมแค่ยืนอยู่เฉยๆและพี่ศิก็เดินมาหาผมเอง ไม่เหมือนกับใครบางคนที่ต้องเดินไปหาเขาถึงที่ แต่พอถึงที่ คนๆนั้นเขาก็ไม่แล” ผมยังคงเอ่ยตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม แต่ถ้อยคำที่ผมเอ่ยไปนี่โคตรเสียดสีน้ำฟ้าเลยล่ะครับ เข้าใจนะว่าเธออยากควงพี่ศิ แต่การกระทำของเธอนั้นหนักหนา ขนาดเสแสร้งส่งข้อความมาทำให้ผมผิดใจกับพี่ศินี่มันเกินไปนะครับ ถ้าเกิดอยากควงพี่ศิมากขนาดนั้น โปรดใช้ฝีมือของตัวเองแย่งไปเถอะครับ



แต่ถ้าแย่งได้นี่ ผมยกให้เลยครับ แถมผมให้เงินเพิ่มด้วยเอา…



“นี่พี่กรหาว่าน้ำฟ้าเข้าหาพี่ศิเหรอคะ พี่ศิต่างหากที่เข้าหาน้ำฟ้าแล้วชวนน้ำฟ้าไปทานข้าวด้วยบ่อยๆ” น้ำฟ้าพยายามสรรหาคำโกหกมาใช้ครับ เพราะเธอรู้ว่าการเรียนแพทย์มันหนักมาก และผมกับพี่ศิไม่ค่อยจะมีเวลาเจอกันเท่าไหร่ เธอเลยใช้ช่วงเวลานั้นโกหกว่าเธอไปทานข้าวกับพี่ศิทุกวัน...แต่ไอคำโกหกพวกนั้นมันใช้กับผมไม่ได้หรอกครับ เพราะผมรู้ตารางเรียนพี่ศิแกดี และที่สำคัญ…ตอนเย็นพี่ศิแกไปนั่งอ่านหนังสือรอผม (ไม่ก็ผมไปนั่งรอพี่ศิสลับกันครับ) ที่คณะแทบทุกวันด้วยซ้ำ แล้วพี่ศิแกจะไปกินข้าวกับเธอทุกเย็นได้ยังไงกันเล่า คำโกหกบ้า ๆ ของเธอนี่ปั่นหัวผมไม่ได้อีกแล้ว



“น้ำฟ้า ผมว่าน้ำฟ้าเลิกโกหกเถอะนะครับ ไม้นี้มันใช้กับผมไม่ได้แล้วล่ะ จริงๆมันใช้กับผมไม่ได้นานมากๆแล้วด้วย” ผมพูดพร้อมกับทอดถอนลมหายใจออกมา ทว่าผมพูดไปแบบนั้นน้ำฟ้ายังคงไม่ยอมหยุดครับ นี่ผมชักจะเบื่อเธอแล้วนะครับ ผู้หญิงคนอื่นๆที่ผมรู้จักนี่ไม่มีใครนิสัยแบบนี้เลยสักคน แต่ดีแล้วล่ะครับที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่ผมรู้จักไม่ได้นิสัยแบบนี้ เพราะว่าถ้าผู้หญิงนิสัยแบบนี้มีเยอะ ผมคงคิดว่าโลกนี้คงจะแย่แน่ ๆ



“นี่พี่กรหาว่าน้ำฟ้าโกหกเหรอคะ เรื่องจริงนะคะน้ำฟ้าไลน์คุยกับพี่ศิเรียบร้อยแล้ว พอน้ำฟ้าออกจากโรงยิมไป พี่ศิจะขับรถมารับน้ำฟ้าทันที” ตอนนี้ผมชักเบื่อคำโกหกของเธอแล้วล่ะครับ ซึ่งผมก็มั่นใจว่าพวกรุ่นพี่ที่เปลี่ยนเสื้อผ้ากันเสร็จแล้วในห้องน้ำก็คงเบื่อคำโกหกของน้ำฟ้าแล้วเหมือนกัน ผมก็เลยตัดสินใจตะโกนเรียกให้นักบาสของทั้งสองคณะออกมาจากห้องน้ำครับ “นี่…พี่ๆครับออกมาจากห้องน้ำได้แล้วล่ะ ผมเคลียร์กับผู้หญิงคนนี้เสร็จแล้วล่ะครับ ไม่สิ เรียกว่าผมรำคาญมากกว่าครับขอความกรุณาด้วยนะครับ”



เมื่อผมพูดจบ ผมก็เอาเลิกเอาไหล่พิงกำแพงพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองที่เมมโมรี่คำพูดของน้ำฟ้าทั้งหมดขึ้นมาพร้อมกับกดให้มันเล่นเพื่อให้หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของนั้นฟัง



มันเก็บได้ทุกคำพูดเลยล่ะครับว่าเธอได้ร่ายคำโกหกอะไรออกมามั่ง นออกจากนั้นนักบาสที่เข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้ออยู่ในห้องน้ำก็ค่อยๆทยอยเดินออกมา และที่สำคัญไปว่านั้นสีหน้าของผู้ที่ได้ยินทุกคนแสดงให้เห็นถึงความผิดหวังในตัวตนที่แท้จริงของผู้หญิงที่เป็นดาวคณะนิเทศ และมีโอกาสที่จะได้เป็นถึงดาวมหาลัยอย่างน้ำฟ้า



และเมื่อนักบาสของทั้งสองคณะแต่ละคนเดินออกมาเรียงกันแล้ว น้ำฟ้าถึงกับหน้าซีดแถมเธอพยายามพูดแก้ตัวว่าผมเป็นคนหลอกล่อให้เธอพูดออกมา น้ำฟ้าเอ๊ย..เค้ารู้ธาตุแท้ของเธอกันหมดแล้ว อย่าแก้ตัวให้เสียเวลาเลย แต่คำพูดของน้ำฟ้าก็มีคนที่ลังเลจะเชื่อนะครับ เพราะสายตาบางคู่ของนักบาสคณะสถาปัตเริ่มเบนมามองที่ผม ทว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้องเงียบสงัดลง เมื่อพี่ศิสาวเท้าออกมาจากห้องน้ำเป็นคนสุดท้าย



ไอผมนี่ยิ้มออกมากว้างด้วยความสะใจเลยล่ะครับ น้ำฟ้าไม่รู้สินะว่าพี่ศิอยู่ในห้องน้ำนี้ด้วย ร่างสูงเดินออกมาด้วยใบหน้าที่แสนเรียบนิ่ง หากแต่ดวงตาคมที่ถูกจัดเรียงไว้อย่างสวยงามบนใบหน้านั่นกลับแฝงไปด้วยความโกรธเคือง ใช่แล้วครับพี่ศิแกได้ยินที่น้ำฟ้าแกพูดหมดทุกอย่าง แถมได้ยินเรื่องที่เธอใส่ร้ายตัวเขาอีกด้วย



คราวนี้น้ำฟ้าเธอดิ้นไม่หลุดแน่ๆครับว่าเธอนั้นเป็นฝ่ายโกหก และที่สำคัญมันก็ทำให้พี่ศิแกหลุดออกจากการเป็นผู้ต้องสงสัยในการโกหกใส่ผมครับ



น้ำฟ้าเธอยังไม่รู้สินะว่า…มือถือของพี่ศิน่ะมันพังไปแล้วด้วยฝีมือของผม และตอนนี้พี่ศิก็ไม่มีมือถือใช้เพราะยังไม่ได้ไปซื้อเครื่องใหม่เลย



ผมที่ยืนอยู่ข้างประตูส่งโทรศัพท์มือถือของตัวเองให้พี่ศิพร้อมกับกดเพลย์อีกครั้ง เพื่อให้มันเล่นซ้ำคำพูดที่ออกมาจากโทรศัพท์ของผมเป็นสิ่งยืนยันอย่างดีเลยล่ะครับว่าความใสซื่อของน้ำฟ้ามันเป็นเรื่องหลอกลวง ความน่ารักและความสวยของเธอ เบื้องหลังมันฉาบไปด้วยการหลอกลวงทั้งนั้น



และการที่เธอเปิดเผยตัวจริงของเธอออกมานี่ไม่ใช่ความผิดของผมนะครับ ผมแค่มายืนรอพี่ศิหน้าห้องน้ำเองและไม่ได้ไปยั่วยุให้น้ำฟ้าแกมาพูดเสียดสี โกหกใส่ผมเลยนะครับ อันนี้ผมพูดจริง ๆ นะ (ถึงตอนที่ผมให้น้ำกับผ้าขนหนูแก่พี่ศิ ผมจะส่งสายตาเยาะเย้ยเธอไปเล็กน้อยก็เถอะ)



“น้ำฟ้าครับ พี่เคยบอกกรนะว่าน้ำฟ้านิสัยเปลี่ยนไปแล้ว นิสัยของน้องไม่เหมือนกับตอนที่กรรู้จักสมัยมัธยม แต่พี่ไม่คิดเลยว่าความใสซื่อของน้ำฟ้าจะเป็นเรื่องโกหกแบบนี้ พี่ไม่รู้นะครับว่าน้ำฟ้าต้องการอะไร แต่พี่ขอร้องเถอะครับ เลิกโกหกว่าไปไหนมาไหนกับพี่สักที และที่สำคัญช่วยเลิกใส่ร้ายพี่สักที พี่ไม่เคยว่ากรแบบนั้น ไม่เคยพูดแบบนั้นสักครั้ง” พี่ศิเอ่ยออกมาราวกับเขาไม่ได้หยุดหายใจและเมื่อพี่ศิเอ่ยพูดจนจบ พี่ศิก็เดินลากผมออกไปจากที่แห่งนั้นทันที


v
v
v
v
v
v
v
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 34 ตอนจบหละมั้ง] 20/01/2014 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 20-01-2014 19:17:10

และเมื่อผมโดนพี่ศิลากออกมาจากโรงยิม และเดินไปถึงรถยนต์ที่พี่ศิแกได้จอดไว้ พี่ศิก็รีบเปิดประตูรถให้ขึ้นรถไปและเขาก็รีบเดินวนขึ้นรถตามผมทันที ร่างสูงนั้นสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ มือกร้านข้างหนึ่งของเขาถูกยกขึ้นไปทุบที่ประตูรถของตนอย่างแรง



“บ้าเอ้ย” พี่ศิสบถออกมาเสียงดังจนทำเอาผมตกใจ รู้สึกว่าพี่ศิแกเจ็บใจที่ตัวเองโดนหลอกด้วยความใสซื่อของน้ำฟ้าล่ะมั้งครับ และการหลอกลวงนั่นทำให้ผมกับเขาทะเลาะกัน และที่ร้ายแรงไปกว่านั้นความใสซื่อของน้ำฟ้าที่พี่ศิเขาเชื่อมันทำให้ผมร้องไห้ครับ



ผมได้แต่มองพี่ศิที่พยายามจะระบายอารมณ์โกรธตัวเองกับสิ่งรอบตัวจนมือทั้งสองข้างของพี่ศิมีรอยแดงจากการกระแทกและทุบไปกับของแข็ง ทันใดนั้นมือของผมก็ไวกว่าความคิดเพราะก่อนที่พี่ศิจะใช้มือทั้งสองข้างของเขานั้นทุบไปลงบนพวงมาลัยรถยนต์ ผมกลับเอื้อมมือไปรั้งมือทั้งสองข้างของเขามาวางไว้ที่หน้าตัก (ความจริงก็เสียวๆอยู่เหมือนกันครับว่ามือผมจะโดนแรงเหวี่ยงพวกนั้นหรือเปล่า แต่ไม่โดนครับ) แล้วลูบมือทั้งสองข้างนั้นอย่างเบามือ



“ถ้าพี่ศิโวยวายจนมือทั้งสองข้างนี่เจ็บไป...แล้วพี่จะใช้อะไรทำตามข้อตกลงที่ให้ไว้ได้สำเร็จล่ะครับ” ผมกุมมือทั้งสองข้างของพี่ศิแน่นพร้อมกับเงยหน้าไปส่งยิ้มจางๆให้กับพี่เขา ทว่าร่างสูงนั้นกลับเม้มปากแน่นและค่อยๆยกมืออีกข้างของตนขึ้นมากอบกุมมือของผมกลับ



พี่ศิอารมณ์เย็นลงแล้วล่ะครับ แต่กว่าจะเย็นลงจริงๆก็ปาไปหลายนาทีและที่สำคัญหลังจากพี่ที่ศิเขาอารมณ์เย็นลงร่างของผมก็ถูกพี่ศิกระชากเข้าไปในวงแขนแกร่งนั่น ริมฝีปากหนานั้นก็เอ่ยพร่ำถ้อยคำขอโทษผมซ้ำไปซ้ำมา



“พี่ขอโทษนะครับกร พี่ทำให้กรร้องไห้หลายรอบแล้ว…หลายต่อหลายรอบ พี่มันแย่ชะมัด” เมื่อผมได้ยินถ้อยคำพวกนั้น ผมก็ยกมือทั้งสองข้างโอบกอดพี่เขากลับพร้อมกับใช้ฝ่ามือของตนลูบแผ่นหลังกว้างของร่างสูงตรงหน้าอย่างเบามือ



“พี่ศิไม่ได้แย่หรอก...พี่ศิแค่เชื่อคนง่าย” คิดเหรอครับว่าผมจะปลอบพี่ศิ...เดาพลาดไปแล้วล่ะครับ เพราะผมเลือกที่จะทับถมพี่ศิต่างหาก ผมถือคติคนล้มอย่าข้ามจริง แต่คนสนิทผิดพลาดต้องกระทืบซ้ำครับ “แค่เชื่อคนง่ายไม่พอ โดนหลอกง่ายด้วย แถมไม่ระวังตัวเลยสักนิด คนที่พยายามเข้าใกล้พี่ศิน่ะหวังผลทั้งนั้นแหละ กรเลยต้องคอยเตือน คอยระวัง ห่างหูห่างตาไม่ได้เลย ถ้าพี่ศิยังเป็นแบบนี้อยู่จะให้กรไม่ห่วงได้ยังไงกัน” ผมบ่นใส่พี่ศิเสียยาวเหยียดและการบ่นของผมนั้นทำให้พี่ศิแกหัวเราะออกมาเสียยกใหญ่



ท่าทางคำพูดของผมทำให้พี่ศิแกหายเครียดแล้วล่ะครับ นั่นก็เป็นเพราะพี่แกเล่นโดนผมด่าไปหลายตลบ ถ้าไม่หายเครียดก็บ้าแล้ว ร่างสูงนั้นคลายอ้อมกอดจากตัวผมพร้อมกับใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้งบีบจมูกของผมเบาๆ ท่าทางว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์จะคืนชีพแล้วล่ะครับแบบนี้



“หายเครียดยังพี่” ผมพูดพร้อมกับหัวเราะออกมาเช่นเดียวกันกับพี่ศิที่เผลอหลุดหัวเราะออกมาเช่นกัน ผมคิดว่าปัญหาที่ทำให้เราผิดใจกันคงหายไปแล้วล่ะครับ ในเมื่อบุคคลที่ทำให้ผมกับพี่ศิผิดใจกัน เขาแพ้ภัยตัวเองไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นตอนนี้ก็เหลือแค่รอลุ้นให้พี่ศิแกทำตามข้อตกลงของผมได้หรือเปล่าเท่านั้นล่ะครับ ถ้าพี่ศิเขาทำไม่ได้เท่ากับเกมของพี่ศิโอเวอร์ แต่ถ้าพี่ศิเขาทำได้สำเร็จ แบบนี้เกมนี้ก็ก็ตกเป็นของพี่ศิครับและบทสรุปของเกมก็คงเป็นแฮปปี้เอ็นดิ้งล่ะมั้งครับ



“ถ้าหายแล้วก็กลับคอนโดเถอะ กรหิวข้าวแล้ว” ผมพูดใส่พี่ศิพร้อมกับทิ้งตัวลงไปพิงกับเบาะของรถยนต์อย่างสบายอารมณ์



เมื่อมารชีวิตของผมไม่มี ผมก็ได้ใช้ชีวิตปกติโดยที่ไม่ต้องระแวงพี่ศิแกตลอดสักที ใบหน้าของผมระบายไปด้วยรอยยิ้มสายตาพลางมองไปทางด้านนอกรถอย่างมีความสุข




 

บางครั้งวันแห่งการรอคอยก็มาไวเสมอนะครับ เพราะวันนี้เป็นวันศุกร์ที่แสนจะพิเศษ และมันพิเศษยังไงน่ะเหรอครับถ้าทุกๆท่านติดตามเรื่องราวของผมกับพี่ศิมาอย่างยาวนานจนถึงตอนนี้ ทุกๆท่านก็น่าจะรู้ดีนะครับว่าวันศุกร์เป็นวันที่ตัดสินชี้ชะตาชีวิตของพี่ศิเขาครับ…หรือจะให้ผมอธิบายง่าย ๆ ก็คือวันที่พี่ศิแกจะสละโสดหรือไม่นั่นเอง ผมขอเล่าเท้าความไปเมื่อวานนะครับ เพราะการแข่งบาสรองรองชนะเลิศมันเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ซึ่งการแข่งขันในรอบรองชนะเลิศคณะแพทย์ศาสตร์แข่งกับคณะวิทยาศาตร์ครับ ซึ่งแต้มในการแข่งนี่สูสีครับ ผลัดกันรุกผลัดกันรับไปมาจนเกมต้องต่อเวลาไปหลายรอบเลยล่ะครับ แต่ในที่สุดชัยชนะก็ตกเป็นของคณะแพทย์ศาสตร์ครับด้วยสกอร์ 73 - 70 (ก็เล่นผลัดกันชู้ตสามแต้มกับสองแต้มกันจนกรรมการนี่เปลี่ยนสกอร์บนบอร์ดไม่ทันเลยล่ะครับ ซึ่งคะแนนที่แสดงออกมานั้นก็เป็นที่น่าพอใจนะครับ ความจริงห่างกันแค่นี้มันก็ฉิวเฉียดน่าหวาดเสียวอยู่ แต่มันเป็นที่น่าพอใจก็เพราะไอสามคะแนนปิดเทอมนั้นเป็นลูกชู้ตสามแต้มของพี่ศินั่นเอง ผมนี่ดีใจตัวกระโดดตัวลอยเลยล่ะครับ



และเมื่อจบเกม ผมก็ทำหน้าที่เดิมคือการส่งน้ำส่งผ้าขนหนูให้นักกีฬาครับ แต่คราวนี้พ่อนักกีฬาตัวดีของผมขอใช้ออฟชั่นเสริมพิเศษคืออ้อนให้ผมเช็ดหน้าให้…ซึ่งผมก็บ่นใส่พี่แกไปนะครับว่า ‘เป็นง่อยเหรอพี่’ แต่กระนั้นผมก็ยังคงยอมใช้ผ้าขนหนูในมือซับเหงื่อให้พี่ศิครับ (สภาพของผมในตอนนี้ราวกับว่าผมเป็นผู้จัดการชมรมบาสที่แอบชอบนักกีฬาและแสดงออกโดยการเอาผ้าขนหนูกับน้ำไปให้คนๆนั้น แต่ว่านี่ไม่ใช่ในนิยายหรือการ์ตูนครับ โลกแห่งความเป็นจริงมันโหดร้ายยิ่งกว่านั้นเพราะการที่ผมต้องส่งน้ำส่งผ้าขนหนูให้พี่ศิ มันเป็นเพราะผมโดนพี่ศิบังคับครับ พี่แกบังคับให้ผมไปนั่งตรงบริเวณที่นั่งของนักกีฬา ทั้งๆที่ผมไม่ใช่นักกีฬาของคณะแพทย์สักหน่อย แต่ทำไงได้ล่ะครับ คุณชายศิรวิทย์เขาสั่ง ผู้น้อยอย่างนายรณกรก็ต้องทำตาม) จริงๆมันก็ไม่ใช่แค่ช่วงเวลาจบเกมหรอกครับ ช่วงเวลาเปลี่ยนตัว ขอเวลานอกหรือจะเป็นตอนไหนที่พี่ศิแกเหงื่อออกผมก็ต้องซับเหงื่อให้พี่ศิเขาตลอดครับ เพราะถ้าไม่ยอมซับให้พี่แกก็จะยื่นหน้ามาใกล้ๆเพื่อแหย่ผมครับ ดังนั้นผมก็เลยซับเหงื่อให้พี่แกเพื่อให้จบๆไป  จะได้ไม่ต้องโดนแกล้งให้เขินหน้าแดงอะไรอีก



และอย่างที่บอกครับ การแข่งในรอบรองชนะเลิศคณะแพทย์ศาสตร์นั้นสามารถชนะคณะวิทยาศาสตร์ไปได้  ดังนั้นคณะแพทย์ศาสตร์จึงได้เข้ารอบไปชิงชนะเลิศกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่ครองแชมป์มาหลายปี (ก็คิดดูสิครับ คณะที่ผู้ชายเยอะที่สุด…ไม่ว่าแข่งอะไรที่ใช้กำลัง คณะวิศวะก็โกยที่ 1 หมดนั่นล่ะครับ)



ซึ่งตอนนี้ก็เป็นช่วงเวลาใกล้จะเริ่มการแข่งขันแล้วล่ะครับ และผมกำลังยืนอยู่หน้าแสตนเชียร์ของสองคณะนี้ เนื่องจากข้างหนึ่งเป็นคณะวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งมันเป็นคณะที่ผมเรียน แต่อีกคณะหนึ่งเป็นคณะแพทย์ศาสตร์ ซึ่งของคนสำคัญของผมเรียน  ผมจึงลังเลครับว่าผมสมควรจะไปนั่งเชียร์ฝ่ายไหน ทว่าเลือดสีเลือดหมูของผมมันร้อนแรงกว่าครับ ผมจึงเดินขึ้นแสตนของคณะวิศวกรรมศาสตร์ไป และปล่อยให้ที่นั่งพิเศษที่รุ่นพี่คณะแพทย์เตรียมไว้ให้ผมมันว่างเปล่าไป ตอนแรกผมก็ไม่คิดอะไรหรอกครับ แต่ทันทีที่ผมใช้สายตาของผมเพ่งมองไปยังใบหน้าของพี่ศิ ใบหน้าคมนั้นแสดงความกังวลออกมาเล็กน้อยครับ…ท่าทางเขาคงคิดว่าผมคงไม่มาเชียร์เขากระมัง แต่พี่ศิครับ กรขอโทษเลือดสีเลือดหมูของกรมันร่ำร้องให้เชียร์คณะตัวเองครับ ดังนั้นที่นั่งตรงนั้น…จงเป็นหมันไปนะครับ



และเมื่อผมนั่งบนแสตนเชียร์ไปได้สักพักหนึ่ง การแข่งขันบาสเก็ตบอลระหว่างคณะรอบชิงชนะเลิศก็เริ่มต้นขึ้นครับ กรรมการเริ่มเป่านกหวีดและโยนลูกบาสขึ้นไปเหนือหัวผู้เล่นทั้งสิบคน และหลังจากนี้ล่ะครับคือสงครามแย่งลูกบาสกันแล้วล่ะ



ผมมองความรวดเร็วของนักกีฬาแต่ละคน ทางฝั่งคณะของผมนี่ไม่ต้องบอกเลยล่ะครับว่าแต่ละคนเก่งขนาดไหน สามในห้ามีดีกรีเป็นถึงนักบาสของมหาวิทยาลัย อีกสองนี่แม้ไม่ใช่นักบาสของมหาวิทยาลัยแต่ก็เก่งกาจไม่แพ้กันเลยครับ (ซึ่งหนึ่งในสามที่เป็นนักบาสของมหาวิทยาลัยมีเฮียก๊อต ผู้เป็นพี่รหัสของผมอยู่ด้วย)



จากนั้นผมก็หันไปมองอีกฝั่งบ้าง ซึ่งเป็นฝั่งของคณะแพทย์ครับ ผมถึงกับเครียดแทนพี่ศิเลยล่ะครับ จะชนะไหมเนี่ยที่ผมกังวลแบบนั้น เพราะผ่านไปห้านาทีแรก ทางคณะของผมก็นำไปแล้วเก้าแต้มครับ สภาพการณ์ไม่ค่อยจะดีแล้วล่ะครับ ผมนี่เอามือจิกกางเกงสแลคของตัวเองแน่น  ในใจก็พยายามที่จะอดกลั้นไม่พูดไม่เชียร์อะไรทางฝั่งคณะแพทย์ (ถ้าขืนลุกขึ้นไปเชียร์นี่…โดนสายตาที่นั่งอยู่รอบๆเขม่นเอาแน่ๆเลยครับ ต่อให้ผมบอกว่านิสัยของพวกรุ่นพี่ของผมมันแปลกประหลาดขนาดไหน แต่พวกพี่ๆในคณะผมนี่ก็ฮอตกันเกือบจะทุกคนนะครับ ทางฝั่งคณะผมจึงมีสาวๆ คณะอื่นๆ นั่งอยู่เยอะมาก แต่อีกฝั่งคนก็นั่งเยอะไม่แพ้กันครับ เดี๋ยวนี้สาว ๆ เค้าชอบหนุ่มหล่อใสสไตล์เกาหลีกันเยอะ)



ผมอดกลั้นเชียร์ไปเรื่อยๆ จนในที่สุดช่วงแรกเวลาก็หมดลง โดยสกอร์ที่ปรากฏบนกระดานมันเป็นไปตามคาดครับ นั่นก็คือทางฝั่งคณะวิศวะทำคะแนนนำตอนนี้สกอร์คะแนนก็คือ 24-10 ครับ คณะแพทย์โดนนำไปถึง 14 แต้มทำเอาผมหน้าเสีย ริมฝีปากนี่แห้งผากไปหมดเลยครับ



ใจของผมก็อยากจะลุกไปเชียร์พี่ศินะครับ แต่สภาพโดยรอบของผมตอนนี้ ถ้าผมลุกนี่…กว่าจะไปถึงฝั่งคณะแพทย์เกมที่สองก็คงไปแล้วล่ะครับ ผมนั่งเคาะนิ้วเม้มปากเพื่ออดกลั้นไม่ให้ตัวเองตะโกนออกไป จนในที่สุดเกมรอบที่สองก็เริ่มขึ้นครับ ผมนั่งเท้าคางมองไปเรื่อย ท่าทางของพี่ศินี่ทำไมมันดูไม่ค่อยจะมีแรงแบบนั้น ผมนี่กัดฟันอยู่ พยายามที่จะไม่ตะโกนออกไปนะครับ แต่ก็ยังดีที่ข้างๆผมมีเพื่อนให้นั่งบ่นใส่ครับ (คราวนี้ผมมานั่งดูการแข่งบาสรอบชิงพร้อมก๊วนเพื่อน ๆ ทั้งหมดครับ)



“เชี่ยเปอร์ ทำไมเฮียๆแกเล่นหนักหน่วงแบบนั้นวะ ไม่ห่วงอีกฝ่ายเลยหรือไงวะนั่น จริงจังกันเกินไปหรือเปล่า” ผมพูดบ่นพร้อมกับเขย่าแขนเพื่อนเปอร์ครับ ที่ผมพูดออกไปแบบนั้นก็เป็นเพราะทางฝั่งคณะของผมเล่นกันรุนแรงมากครับ อย่างเช่น การกระโดดแย่งกันรับบอลพวกเฮียๆที่พวกผมรู้จักนี่กระแทกกันสุดแรงเลยครับ จนบางทีการกระแทกนั่นก็ทำให้ผู้เล่นอีกฝั่งนั้นล้มลงไปกองกับที่พื้นเลยล่ะครับ ซึ่งคนที่ล้มบ่อยที่สุดก็คือพี่ศิครับ เพราะว่าพี่ศิพยายามแย่งลูกบาสไปเพื่อชู้ตสามแต้มครับ แต่ดูเหมือนการแย่งแต่ละครั้งจะไม่เป็นผลเท่าไหร่ เพราะเฮียๆของผมแต่ล่ะคนนี่…ดูถึกกว่าพี่ศิมาก



ผมมองดูภาพ ๆ นั้นต่อไป จนในที่สุดผมก็ทนไม่ไหวครับ ผมยันกายลุกขึ้นพร้อมกับตะโกนออกไปสุดเสียงเลยจนคนทั้งแสตนวิศวะและแสตนแพทย์หันมามองผมเป็นตาเดียว “พี่ศิ!!! จะจูบพื้นอีกกี่ครั้งห่ะ!!! เลิกสำออยแล้วลุกขึ้นไปแย่งบอลได้แล้วโว้ยครับ ถ้าขืนยังจูบพื้นอยู่แบบนี้ ข้อตกลงของพี่ศิกลายเป็นสายลมแน่”



และเมื่อผมตะโกนออกไปจนจบ ผมก็เพิ่งรู้ตัวว่าผมทำอะไรลงไปผมนี่ทรุดตัวนั่งแทบจะไปทันพร้อมกับก้มหน้าซบลงไปที่บ่าของไอเปอร์ครับ เพื่อนๆทั้งแถบนี่มองผมด้วยแววตาและสีหน้าตกตะลึง และหลังจากที่ทุกคนตั้งสติได้พวกเขาก็หัวเราะผมออกมาเสียยกใหญ่



ผมพยายามก้มหน้าก้มตาหลบสายตาของทุกคน แต่ดูเหมือนมันจะไม่เป็นอย่างที่ผมหวังครับ เพราะมันผ่านไปได้ราวๆ 5 นาที ก๊วนของพี่วิกับพี่เตอร์ก็เดินมาหาผมยันแสตนคณะวิศวะ และหลังจากนั้นพี่วิกับพี่เตอร์ก็ชี้นิ้วสั่งรุ่นน้องของตัวเอง (แต่เป็นรุ่นพี่ของผม) ให้แบกผมขึ้นบ่าพร้อมกับหามไปยังแสตนทางฝั่งคณะแพทย์ทันที



ไอผมนี่ดิ้นขลุกขลักไปมาบนบ่ารุ่นพี่ทั้งสองคนครับ แต่ที่น่าอายกว่าโดนแบกนั่นก็คือสายตาของคนที่ควรจะจับจ้องไปที่สนามกลับเปลี่ยนเป็นหันมามองผมกับก๊วนของพี่วิครับ พวกพี่ๆใช้เวลาแบกผมไปยังฝั่งแสตนคณะแพทย์สักห้านาที ในที่สุดตอนนี้ผมก็นั่งจุ้มปุ๊กอยู่ตรงที่นั่งพิเศษที่พี่ ๆ เขาเตรียมไว้ให้ครับ



ผมเม้มปากแน่นและก้มหน้าลงไปมองที่ขาตัวเองด้วยความเขินอาย ‘บ้าไปแล้วนายรณกร…กล้าตะโกนออกไปแบบนั้นนี่มันบ้าไปแล้ว’ เมื่อผมมานั่งที่นั่งพิเศษไปอีกสักห้านาทีเกมที่สองก็จบลงครับ โดยสกอร์ทางคณะแพทย์ยังคงตามอยู่ครับแต่คะแนนไม่ห่างกันมากเท่าไหร่แล้วล่ะครับ สกอร์ก็คือ 59-55 ทางคณะวิศวะนำอยู่ 4 แต้มครับ (ถ้าผมจำไม่ผิด บาสนี่จะเล่นกันสามเกมมั้งครับ แต่ถ้าเกิดคะแนนเท่ากันจะเพิ่มเกมไปเรื่อยๆครับ) ท่าทางการตะโกนของผมจะช่วยให้พี่ศิมีไฟเล่นมากขึ้นครับ เพราะช่วงหลังๆของเกมนี้ พี่ศิแกชู้ตสามแต้มไปได้หลายลูกเลยล่ะครับ ฟอร์มการเล่นดีขึ้นเยอะเลย



เมื่อกรรมการเป่านกหวีดหมดเวลาเกมที่สองร่างสูงของพี่ศิก็เดินกลับมายังที่นั่งพักนักกีฬาร่าง แต่พี่ศิแกไม่ได้ไปนั่งที่โต๊ะอะไรหรอกครับ เพราะพี่ศิแกเดินมาหาผมพร้อมกับทรุดตัวนั่งยองๆตรงหน้าผมครับ



“พี่นึกว่าวันนี้กรจะไม่มาเชียร์พี่ซะแล้วสิ” พี่ศิใช้น้ำเสียงที่แสดงอาการน้อยใจออกมา แต่แหม…พี่ศิครับ ต่อให้พี่แข่งก็เถอะ แต่คู่แข่งของพี่มันเป็นคณะของผมนะครับ ถ้าผมมานั่งที่นั่งของฝั่งคู่แข่งของผม ผมก็โดนหาว่าเป็นกบฏสิครับ แม้เพื่อน ๆ ผมจะรู้แล้วว่าผมอยากเชียร์พี่ศิมากกว่าคณะตัวเอง



“…ก็มาเชียร์แล้วนี่ไง พี่อย่ามาทำงอนหน่อยเลย” ผมพูดพร้อมกับใช้นิ้วดีดหน้าผากพี่ศิไปหนึ่งที ตอนนี้กรรมการเริ่มเดินกลับมาแล้วล่ะครับ ซึ่งพี่ศิก็ต้องลงไปแข่งในสนามอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้มันกลับมีอะไรพิเศษนิดหน่อย ซึ่งเหมือนกับเป็นการเติมพลังให้กับพี่ศิแกครับ และดูเหมือนว่าพี่ศิแกจะเตี้ยมกับพี่วิและพี่เตอร์เป็นอย่างดีแล้วล่ะครับ



พี่วิค่อย ๆ สาวเท้าเดินมาใกล้ ๆ พร้อมกับเอาผ้าขนหนูผืนใหญ่กางบนศีรษะของผม และเมื่อผ้าขนหนูผืนนั้นร่วงจนปิดใบหน้าของผมกับพี่ศิริมฝีปากหนาที่ผมคุ้นเคยก็พุ่งเข้ามาขโมยจูบจากริมฝีปากของผมไปอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าสัมผัสนั้นเป็นสัมผัสของสายลมที่พัดปากริมฝีปากของผมไป เมื่อพี่ศิแกชิงจูบของผมไปได้แล้ว ร่างสูงนั้นก็หยิบผ้าขนหนูผืนนั้นออกจากหัวพร้อมกับนำมันมาเช็ดเหงื่อของตนเบาๆ และลุกขึ้นไปเพื่อเตรียมร่างกายในการแข่งเกมถัดไป



ซึ่งหลังจากที่ผมโดนพี่ศิชิงริมฝีปากทีเผลอไปนั้น ผมนี่นั่งช็อคไปนานเลยครับ กว่าสติจะคืนมาสู่ร่างมันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับเสียงนกหวีดเริ่มเกมสุดท้ายดังขึ้น คราวนี้เกมยิ่งสนุกมากขึ้นกว่าสองเกมก่อนหน้าครับ เพราะพี่ศิตอนนี้ที่สูบพลังกายของผมไปเริ่มแย่งบอลและชู้ตลูกสามแต้มไปหลายลูกเลยครับ แม้มันจะลงบ้างไม่ลงบ้างก็เถอะ แต่ตอนนี้สติของผมมันไม่ได้อยู่กับเกมแล้วครับ เพราะตอนนี้สติของผมมันไปอยู่ที่เหตุการณ์เมื่อสักครู่ครับ



‘พี่ศิบ้า พี่ศิชอบฉวยโอกาส พี่ศินิสัยไม่ดี พี่ศิบ้าๆๆๆ’ ผมได้แต่กร่นด่าประโยคพวกนี้ในใจ จนไม่ได้สนใจกับการแข่งเลยสักนิด จวบจนเวลาของเกมสุดท้ายกำลังจะหมดลง ผมถึงได้เงยหน้าไปดูสกอร์ครับ ซึ่งในตอนนี้คณะผมนำอยู่ 2 แต้มครับสกอร์เป็น 65-63 ครับ ซึ่งถ้าพี่ศิชู้ตลูกสามแต้มลงจะกลายเป็นทางฝั่งคณะแพทย์นำครับ ผมนั่งลุ้นจนตัวโก่งเลยครับ เมื่อพี่ศิแกตั้งท่าจะชู้ตลูกสามแต้ม



ทว่าในขณะที่ผมลุ้นนั้นอุบัติเหตุก็เกินขึ้นครับ เมื่อพี่ศิแกกระโดดแย่งลูกบาสกับเฮียก๊อต ผู้ซึ่งเป็นพี่รหัสของผม  ท่อนแขนของเฮียก๊อตก็ไปกระแทกที่แก้มของพี่ศิแกเขาและแว่นตาที่พี่ศิเขาสวมอยู่ตลอดเวลาก็ร่วงลงจากตา และนั่นก็ทำให้แว่นตาของพี่ศิแกไปสู่สุขคติครับ เพราะทันทีที่เท้าของพี่ศิและเฮียก๊อตแตะลงไปที่พื้นเสียงพลาสติกหักพร้อมกับเสียงเลนส์แตกก็ดังขึ้นครับ ใช่แล้วครับ ทุกๆคนเดาไม่ผิดหรอกครับ…แว่นตาพี่ศิตอนนี้มันเจ๊งไปแล้วครับ แล้วบุคคลที่ต้องการแว่นยิ่งกว่าข้าวสามมื้ออย่างพี่ศิจะเล่นบาสต่อไปได้ยังไง ตอนได้ยินเสียงแตกของแว่นนี่ทั้งพี่ศิและเฮียก็อตชะงักค้างไปเลยล่ะครับ แต่ชั่วแวบเดียวนะครับ พี่ศิแกก็พยายามที่จะเล่นต่อโดยการใช้มือปัดลูกบาส แต่คนสายตาไม่ดีมากถึงมากที่สุดอย่างพี่ศิพอไม่มีแว่นก็เหมือนคนตาบอดครับ เฮียก๊อตแกเลี้ยงลูกผ่านพี่ศิไปได้อย่างสบายมากครับ สีหน้าของพี่ศิแสดงออกมาให้เห็นว่าเขานั้นเจ็บใจมาก แต่พี่ศิก็ทนเล่นต่อนะครับ เล่นต่อด้วยการไม่มีแว่นนี่แหละ ถึงแม้พี่ศิจะเล่นบาสเก่งและจับจังหวะของผู้เล่นอีกฝ่ายได้ แต่เมื่อขาดแว่นไป พี่ศิก็เหมือนทหารที่ขาดอาวุธครับ ในที่สุดนกหวีดปิดเกมก็ดังขึ้นพร้อม ๆ กับการพ่ายแพ้ของคณะแพทย์ศาสตร์ครับ



เมื่อผลออกมาเป็นแบบนั้น พี่ศินี่กระทืบเท้าลงไปบนสนามเต็มแรง ส่วนผมนี่นั่งก้มหน้าอยู่บนเก้าอี้พิเศษที่รุ่นพี่ทางคณะแพทย์จัดเตรียมไว้ให้ริมฝีปากของผมเม้มแน่นจนเกือบจะเป็นเส้นตรง ในเกมสุดท้ายแม้ต่างฝ่ายจะทำแต้มเพิ่มกันไม่ได้เลยสักคะแนน แต่คะแนนที่มีอยู่ทางคณะวิศวะนำอยู่  ดังนั้นชัยชนะก็ตกเป็นของคณะวิศวะอีกปีครับ การแข่งขันครั้งนี้สูสีมาก มากถึงมากที่สุด ถ้าไม่พลาดเรื่องแว่นตาของพี่ศิทางคณะแพทย์อาจจะชนะไปแล้วก็ได้ ผมซึ่งคิดแบบนั้นก็ได้แต่ทอดถอนลมหายใจออกมาด้วยความผิดหวัง ทว่าคนที่ผิดหวังมากกว่าผมก็คงจะเป็นพี่ศิครับ ร่างสูงยังไม่ยอมเดินออกมาจากสนามเลยครับ จนผมอดทนไม่ไหวและสาวเท้าเดินเข้าไปหาพี่ศิแทน



“พี่ศิ...” ผมเอ่ยเรียกพี่เขาเสียงแผ่ว ซึ่งร่างสูงนั่นก็ค่อยๆ หันมามองผมช้าๆ ใบหน้าคมที่หันมานั้นดูสิ้นหวังมากเลยล่ะครับ



“พี่ทำตามข้อตกลงของกรไม่ได้แฮะ แย่จังเลย” พี่ศิพยายามพูดกลั้วหัวเราะ แต่ความรู้สึกที่ผมสัมผัสได้ออกมาจากริมฝีปากหนา นั่นคือน้ำเสียงของคนที่ผิดหวัง ผมยืนมองพี่ศิที่ก้มหน้าก้มตาอยู่นั่นไปสักพัก มือข้างหนึ่งของผมก็ล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงและหยิบกล่องกำมะหยี่ที่พี่ศิแกเคยให้ผมไว้เมื่อก่อนหน้านี้ออกมา



“นี่คือของรางวัลผู้แพ้” เมื่อผมพูดจบผมก็ยื่นกล่องๆนั้นไปให้พี่ศิ และเมื่อพี่ศิเห็นการกระทำแบบนั้นของผม ใบหน้าของพี่แกก็แสดงถึงอาการตกใจเป็นอย่างมาก ผมคิดว่าพี่ศิแกน่าจะคิดว่าผมจะคืนทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งความสัมพันธ์ทั้งหมดของผมกับเขาไปล่ะมั้งครับ ทว่าตัวของผมไม่ได้คิดแบบนั้นครับ



ผมเขย่ามือเป็นการเร่งให้พี่ศิรับของที่อยู่ในมือของผมไป ซึ่งมือกร้านนั้นก็ยกขึ้นมารับด้วยความสั่นเทา  ใบหน้าคมที่แสดงออกมานั้นทำให้ผมรู้ว่าพี่ศิแกรู้สึกเสียใจและผิดหวังมาก



“ปฏิเสธสินะครับกร” พี่ศิแกเอ่ยออกมาเสียงแผ่วริมฝีปากหนานั้นสั่นน้อยๆ “พี่เพิ่งเคยโดนคนปฏิเสธก็ครั้งนี้ล่ะ กรครับในเมื่อเราทั้งสองไม่ได้คบกัน แต่พี่ยังเป็นคนสำคัญของกรอยู่ไหม” เสียงทุ้มนั้นเอ่ยสั่นเครือ ส่วนผมนี่กลั้นหัวเราะจนไม่รู้จะกลั้นยังไงแล้วครับ



เอาเป็นว่าตอนนี้ผมสงสารพี่ศิเขาแล้วล่ะครับ  ไหนๆก็ไหนๆผมก็สู้บอกความจริงพี่ศิเขาไปเลยดีกว่า “นี่พี่ศิของรางวัลของผู้แพ้ พี่ศิยังไม่ได้เลยนะ รีบเอากำไลที่จะให้กรออกมาสิ” ผมเอ่ยเร่งพี่ศิ ซึ่งร่างสูงนั่นแสดงสีหน้าและแววตาที่งุนงง แต่เขาก็ยอมหยิบกำไลวงนั้นออกมา



“กรจะให้พี่ทำอะไรเหรอครับ” พี่ศิแกเอ่ยถามออกมา ผมก็ได้แต่ส่งยิ้มกว้างไปในพร้อมกับยื่นข้อมือซ้ายของตัวเองไปด้านหน้า การกระทำของผมนั้นสร้างความสงสัยให้กับพี่ศิเป็นอย่างมาก ผมยื่นมือแบบนั้นอยู่นาน จนในที่สุดผมก็ต้องเอ่ยพูดให้พี่ศิแกคลายความสงสัยทันที



“กรยื่นมือจนเมื่อยแล้วนะ...รีบๆเอามาสวมให้กรสักทีสิกำไลวงนั้นน่ะ” และเมื่อผมเอ่ยถ้อยคำพวกนี้จบ ร่างสูงของพี่ศิก็ถลาเข้ามากอดผมทันที เสียงทุ้มนั้นเอ่ยถามผมซ้ำ ซึ่งคำถามนั้นก็คงไม่ต้องคิดกันเยอะมากนะครับว่ามันเป็นคำถามอะไร…เพราะมันเป็นอะไรไปไม่ได้เลย นอกจากคำถามคำถามนี้



“กรครับ...จะคบกับพี่ไหมครับ” ซึ่งคำตอบก็ต้องเซย์เยสอยู่แล้วครับ



ผมพยักหน้าตอบตกลงพี่เขาไป และทันทีพี่ผมตอบตกลงร่างสูงนั้นก็อุ้มผมลอยขึ้นไปในอากาศเลยล่ะครับ ส่วนผมนี่ได้แต่ทุบบ่าของพี่ศิไปเบาๆ เพื่อเป็นการบอกให้พี่เขาปล่อยผมลงไปยืนที่พื้น แต่ดูเหมือนว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์จะไม่ยอมปล่อยผมลงครับ ร่างสูงนั้นค่อยๆ เงยหน้าขึ้นพร้อมๆ กับยกมือข้างหนึ่งขึ้นมากดศีรษะผมลงไป



หน้าของเราทั้งสองคนแตะกัน สายตาของเราทั้งสองจ้องมองกัน จากนั้นเสียงกรีดร้องและเสียงโห่ร้องด้วยความยินดีก็ดังขึ้น ซึ่งต้นเสียงนั้นก็มาจากก๊วนเพื่อนของผมกับพี่ศิครับ



ทุกๆคนโห่ร้องแสดงความยินดีให้กับผมและพี่ศิที่เพิ่งตกลงคบกันครับ…



มันน่าอายนะครับที่ทุกคนในคณะ (และต่างคณะ) รู้สึกการคบกันของผมกับพี่ศิ แต่แบบนี้ก็ดีแล้วล่ะครับ…เพราะทุกคนจะได้รู้ว่าพี่ศิคนนี้มีเจ้าของหัวใจแล้ว…



แต่วันแรกของการคบกันของผมกับพี่ศิ นั่นก็คือผมต้องพาพี่ศิไปตัดแว่นและซื้อโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ครับ ไอโทรศัพท์เครื่องใหม่นั่นไม่เท่าไหร่ แต่เรื่องแว่นตานี่ต้องตัดให้ได้ครับ ส่วนเหตุผลไม่มีอะไรมากครับ เพราะผมแค่หวงใบหน้ายามไร้กรอบแว่นบดบังก็เท่านั้นเองครับ (ที่ผมหวงทุก ๆ ท่านก็น่าจะรู้ดีนะครับว่าใบหน้าของพี่ศิยามไร้แว่นมันดูดีมากขนาดไหน!)





จบ//// ละมั้ง//


เจอกัลตอนหน้า ชื่อตอนคือ จบจริง ๆ หละมั้ง// (กวนนะนังพลอย)
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 34 ตอนจบหละมั้ง] 20/01/2014 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 20-01-2014 19:48:20
กรื้ดด ดีใจกับพี่ศิกับกรด้วยนะ รักกันนานๆนะคะ >< ฮิ้วววว
สมน้ำหน้าชะนีน้ำฟ้า อิอิ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 34 ตอนจบหละมั้ง] 20/01/2014 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: พลอยสวย ที่ 20-01-2014 20:15:34
 :katai2-1: :katai2-1: เขิลลลลลลลลลลลล ดีดดิ้น
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 34 ตอนจบหละมั้ง] 20/01/2014 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: atitayalnw ที่ 20-01-2014 20:21:03
ใจหายหมด โถตัวเธอตกใจหมดเลย 5555
ตอนนี้อ่านแล้วโล่งอก สมน้ำหน้าน้ำฟ้าหล่อนทำตัวเองทั้งนั้นน่ะย่ะ
เล่นมั่วไม่เลือกขนาดนี้ ก็ขอให้ไม่เป็นเอดส์ตายแล้วกัน รอดปลอดภัยน่ะเธอ ไปสู่สุขคติไป๊!!!!
ตอนนี้อ่านแล้วชุ่มชื่นหัวใจ กร๊ากกกก พี่ศิน้องกร น่าร๊ากกกกกกอ๊าาาาา
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 34 ตอนจบหละมั้ง] 20/01/2014 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 20-01-2014 20:22:22
ฮิ้วววววว
ขอให้รักกันนานๆนะ
ศิกับกร จุ๊บบบบบ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 34 ตอนจบหละมั้ง] 20/01/2014 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 20-01-2014 20:50:02
กรี๊ดดดดดดดดดด เค้าคบกันแล้ว หลังจากรอคอยมานาน  :m3:

 :L2: :กอด1: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 34 ตอนจบหละมั้ง] 20/01/2014 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 20-01-2014 21:12:29
พี่ศิน้องกรเป็นแฟนกันแล้ว ลุ้นสุดๆ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 34 ตอนจบหละมั้ง] 20/01/2014 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 20-01-2014 21:34:26
ลุ้นสุดๆไปเลยตอนแข่งบาสอะ ลุ้นตามกร 555
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 34 ตอนจบหละมั้ง] 20/01/2014 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: LonelyBoiZ ที่ 20-01-2014 21:55:38
เพิ่งตามอ่านทัน
สนุกๆมากเลยครับ
เป็นกำลังใจให้นักเขียนต่อไปครับบ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 34 ตอนจบหละมั้ง] 20/01/2014 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 20-01-2014 22:43:33
กรี๊ดดดดดด

ดีใจด้วยน่ะค่าพี่ศิ เป็นแฟนกับน้องกรแล้ว
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 34 ตอนจบหละมั้ง] 20/01/2014 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: Elizabeth_TonnY ที่ 20-01-2014 23:40:31
 :z3: :hao7: :hao5: :katai2-1: :katai1: :serius2: :pighaun:
ว้ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย รอมานาน
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 34 ตอนจบหละมั้ง] 20/01/2014 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: mirumo ที่ 21-01-2014 07:51:23
 :z1: แอร๊ยยยคบกันแล้วอะ ดีใจตามอ่านมาตั้งนาน
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 34 ตอนจบหละมั้ง] 20/01/2014 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 21-01-2014 17:22:22
กว่าจะตกลงเป็นแฟนกัน พี่ศิเหนื่อยแย่เลย
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 34 ตอนจบหละมั้ง] 20/01/2014 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 21-01-2014 20:53:20
อ๊ายยยยยยยยยยย ฟิน อยากอ่านอีกกกกกกก ขอตอนพิเศษเถอะนะ ^^
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 34 ตอนจบหละมั้ง] 20/01/2014 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 21-01-2014 22:06:06
ฟินนนนนนนนน
มีอีกไหมคะ???
มีต่ออีกไหม??
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 34 ตอนจบหละมั้ง] 20/01/2014 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: KMprince ที่ 25-01-2014 19:40:54
ตอนแรกก็ว้าว พี่หมอค่ะ
เอาน้องกรไปเลยค่ะ

ชอบเรื่องที่เกี่ยวกับคุณหมอค่ะ

เห็นว่ากำลังจะเปิดจองหนังสือด้วย
อุดหนุนเลย อ่านตอนแรกก็โอ้ ต้องสนับสนุนหนังสือแน่นอน
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 34 ตอนจบหละมั้ง] 20/01/2014 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: jaaesmile ที่ 27-01-2014 01:30:02
 :o8: มาต่อตอนต่อไปเร็วๆนะค่ะ นิยายเรื่องนี้สนุกสุดๆเลย ชอบทั้งน้องกรและพี่ศิ
ทำให้นึกอิจฉา อยากมีแบบพี่ศิสักคน (อ๊างงงง) ไม่อยากให้จบเลย ถึงแม้จะจบ(ละมั๊ง) แต่ก้ออยากอ่านตอนพิเศษละนะ  :m17:
แต่เดี๋ยวก่อน ตั้งแต่อ่านมาแต่ต้นจนจบเนี่ย คำผิดเยอะมากเลย แถมเหมือนจะเขียนสลับคำด้วย อ่านแล้วงงๆอ่ะ  o6 
บางประโยคมันเหมือนคำจะหายให้คนอ่านเติมคำในช่องว่างเอง(ซะงั้น)  :try2:
ก่อนรวมเล่มรบกวนเช็คสิ่งเหล่านี้ด้วยนะค่ะ เพื่ออรรถรสในการอ่าน (อย่าโกรธคำวิจารณ์นะค่ะ ติเพื่อก่อเน้อ) :mew2:
ยังไงก้อเป็นกำลังใจให้ผู้แต่งนะจ๊ะ แล้วจะคอยติดตามทั้งนิยายเรื่องนี้และเรื่องอื่นๆต่อไป รักนะจุ๊บจุ๊บ  :mew1:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 34 ตอนจบหละมั้ง] 20/01/2014 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: abcee ที่ 27-01-2014 04:07:30
กว่าจะเป็นแฟนกันได้ ลุ้นกันแทบแย่ มารอนะครับ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 34 ตอนจบหละมั้ง] 20/01/2014 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: ● MaYa~Boy ● ที่ 27-01-2014 21:56:48
อ่านจนจบ น่ารักมากเลย อ่านแล้วเขิน ดีใจด้วยที่ได้เป็นแฟนกันนะ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 34 ตอนจบหละมั้ง] 20/01/2014 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: RenaBee ที่ 28-01-2014 16:59:41
ฮริ้วววววววววววววววววววววววว
ไม่ได้เข้าเล้ามานาน มานั่งไล่อ่านพร้อมแซวน้องกรและพี่ศิฮ่าๆๆๆ คบกันแล้วๆๆๆดีใจด้วยนะคะพี่ศิ  :-[
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 34 ตอนจบหละมั้ง] 20/01/2014 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: MoMoRin ที่ 28-01-2014 22:09:27
แฮปปี้เอนดิ้ง สุดท้ายน้องกรก็ต้องยอมพี่ศิอยู่ดี  :mew1:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 34 ตอนจบหละมั้ง] 20/01/2014 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 28-01-2014 23:55:41
ใจหายใจคว่ำหมดเลย
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 34 ตอนจบหละมั้ง] 20/01/2014 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: พลอยสวย ที่ 29-01-2014 05:51:22
 :call: เค้ารออยู่นะ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 35 END??] 29/01/2014 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 29-01-2014 16:33:41


สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านตอนนี้พลอยขอประกาศเปิดจองเซทธรรมดาค่ะ สามารถสั่งจองได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 10 มีนาคม ค่ะ โดยรายละเอียดทั้งหมดติดตามได้ในลิ้งค์


http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=40768.msg2599402#msg2599402


ขอบคุณพื้นที่ค่ะ




Chapter 35




ไอผมตัวไม่ค่อยจะกล่าวย้อนไปถึงเรื่องเมื่อวานเลยล่ะครับ เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่น่าอายที่สุดในชีวิตของผมเลยนะครับ ถึงแม้มันจะทำให้ตัวของผมตอนนี้มีความสุขมากๆก็ตาม แต่กระนั้นผมก็คงต้องเล่าย้อนความนิดหน่อยนั่นล่ะครับ จะได้ไม่ทำให้ทุกๆคนงงกัน จากเมื่อวานการแข่งขันบาสระหว่างคณะแพทย์กับคณะวิศวะ ผลสรุปของการแข่งนั่นก็คือคณะวิศวะชนะไปอย่างขาดลอยล่ะมั้งครับ และการพ่ายแพ้นั่นก็ทำให้ข้อตกลงของผมกับศิไม่สำเร็จครับ เรียกง่ายๆว่าพี่ศิแกเกมโอเวอร์ครับ  ซึ่งในตอนนั้นพี่ศิเกือบจะดราม่ากลางสนามบาสแล้ว แต่ผมก็อดเห็นใจพี่ศิไม่ได้ ผมจึงได้ให้รางวัลกับผู้แพ้ไป ส่วนรางวัลของผู้แพ้นั่นก็คือไอกำไลสีเงินที่ตอนนี้ถูกสวมอยู่ที่ข้อมือของผมครับ



ซึ่งไอกำไลสีเงินสะอาดตาวงนี้ มันเป็นเครื่องยืนยันถึงคำตอบของผมที่มีให้กับพี่ศิครับ แล้วกรุณาอย่าถามนะครับว่าผมไปตอบตกลงหรือตอบอะไรพี่ศิเขา เพราะพวกคุณที่ติดตามเรื่องของผมมาถึงขนาดนี้ก็น่าจะทราบแล้วล่ะครับว่าผมทำข้อตกลงอะไรกับพี่ศิแกไป และทั้งหมดนี่มันก็เป็นเรื่องราวเกือบจะทั้งหมดของเมื่อวาน



แต่ผมขอเล่าอะไรเกี่ยวกับเมื่อวานอีกหน่อยนะครับ เพราะว่าเรื่องนั้นมันเกี่ยวโยงกับเรื่องของวันนี้ครับ ซึ่งหลังจากที่ผมให้รางวัลแก่ผู้แพ้กับพี่ศิแล้ว ผมก็ขอตัวไปคุยกับพวกเฮียๆของผมที่แข่งบาสชนะครับ รุ่นพี่แต่ล่ะคนนี่แสดงความดีใจออกมาเสียยกใหญ่ และที่สำคัญเพื่อเป็นการฉลองที่ครองถ้วยชนะเลิศการแข่งขันบาสกี่สมัยซ้อนก็ไม่รู้  เฮียก๊อตก็ประกาศว่าคณะวิศวะจะมีการฉลองที่ร้านประจำ (ก็ไอร้านที่ผมไปเลื้อยแอนด์เรื้อนเมื่อตอนปิดเทอม 1 ปีนั่นล่ะครับ) ซึ่งผมก็ตั้งใจว่าจะไปนะครับ ผมก็เลยรีบวิ่งปรี่ไปเกาะหลังเฮียก๊อตแกพร้อมกับเดินตามไป ทว่าบุคคลผู้เป็นแฟนผมหมาดๆนั้นกลับโดนสาวๆรุมล้อมอยู่ สาวๆ แต่ละคนนี่ตาเป็นประกายมากและทุกคนต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า จะไปส่งพี่ศิที่คอนโด (ด้วยเหตุพี่ศิทำแว่นแตกไม่มีแว่นสำรองมาขับรถตอนนี้เป็นอันตรายแน่ ต้องมีคนขับรถไปส่ง) เมื่อผมเห็นแบบนั้นอารมณ์ที่กำลังแฮปปี้ๆของผมก็พุ่งขึ้นสูงครับ ผมนี่เดินไปกระชากมือของพี่ศิให้เดินตามส่วนปากก็พูดให้พี่ศิแกส่งกุญแจรถของแกมาครับ



ไอโปรแกรมที่ผมจะไปกินเลี้ยง ฉลองชัยชนะกับพวกรุ่นพี่กับเฮียๆ ก็เป็นอันพับไปและต้องกลับมากินมาม่าในหอแทน (ทำไมต้องมาม่าน่ะเหรอครับ นั่นก็เป็นเพราะพี่ศิผู้ไร้แว่นไงครับ จะให้ทำอะไรก็ทำไม่ได้ เพราะพี่แกสายตาไม่ดี เดี๋ยวทำไฟมงไฟไหม้อีก)



ซึ่งเรื่องราวในเมื่อวานทั้งหมดก็จบลงเพียงเท่านี้ครับ และต่อจากบรรทัดนี้ไปผมจะเล่าถึงวันนี้ ซึ่งจะถือว่ามันเป็นวันแรกที่ผมกับพี่ศิคบกัน….ก็ได้ โดยวันนี้เป็นวันเสาร์ครับ และพี่ศิแกก็ว่างพอดีผมก็เลยตัดสินใจจะพาพี่ศิ ผู้ไร้แว่นตาสวมไปตัดแว่นใหม่ และนอกจากนั้นก็จะพาพี่ศิไปซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ด้วย (ทดแทนเครื่องที่พี่แกขอให้ผมทำมันพัง) แต่มันก็มีเรื่องที่น่าลำบากอยู่นั่นล่ะครับ ถ้าพี่ศิไม่มีแว่นเขาก็จะมองอะไรรอบข้างเบลอไปหมด ดังนั้นผมก็เลยต้องวิ่งลงไปร้านแว่นตาแถวคอนโดแล้ว ซื้อคอนแทคเลนส์ให้พี่แกสวม และไอการสวมคอนแทคเลนส์นี่ล่ะเป็นอะไรที่ยากลำบากที่สุดเท่าที่ผมเคยทำมาครับ



ถ้าคุณใส่คอนแทคเลนส์คล่องแล้ว พวกคุณจะใส่มันได้อย่างง่ายดายแบบที่ผมใส่ แต่สำหรับคนที่ไม่เคยใส่คอนแทคเลนส์มาก่อนอย่างพี่ศิ มันเป็นอะไรที่ลำบากนรกแตกเลยล่ะครับ เพราะกว่าจะแหกตาแล้วยัดไอแผ่นคอนแทคเลนส์นั้นใส่เข้าตาไปได้นี่มันเป็นเรื่องยากมาก ซึ่งภารกิจยัดคอนแทคเลนส์ใส่ตาพี่ศินี้ผมทำไม่สำเร็จครับ (รู้ไหมครับว่าผมต้องใช้เวลาตั้งเท่าไหร่กว่าจะจับตัวพี่แกได้แล้วจับพี่แกแหกตาได้ ผมเสียเวลาไปร่วมชั่วโมงครึ่งในการทำภารกิจนี้ แต่ผลก็ตามที่บอกไปล่ะครับ ผมทำไม่สำเร็จ) พี่ศิก็เลยเสนอข้อเสนอที่จะไม่ทำให้พี่ศิแกเดินชนโน้นชนนี้ตอนไม่มีแว่นนั่นก็คือ… ‘จับมือ’ ครับ ไอผมนี่นึกสภาพเหมือนพ่อจูงลูกเดินห้างเลยครับ



และไอสภาพคุณพ่อจำเป็นจูงลูกชายเดินนี่ มิชชั่นแรกสำเร็จแล้วล่ะครับ เพราะขั้นแรกของภารกิจพาพี่ศิไปตัดแว่นนี้ก็คือการที่ผมพาพี่ศิแกเดินลงไปยังชั้นลานจอดรถที่จอดรถของพวกเราอยู่ (การเดินทางครั้งนี้ใช้รถของผมในการเดินทางครับพอดีผมมันเป็นพวกครั่นเนื้อครั่นตัว ขับของแพงไม่ได้ เพราะถ้าขับผมจะเผลอเอามันไปเสยเสาไฟข้างทางได้ครับ) และขับพาพี่ศิมาส่งถึงห้างสรรพสินค้าครับ แต่กว่าจะพาลงมาได้นี่เหงื่อตกไปหลายลิตรเลยครับ และภารกิจต่อไปหรือมิชชั่นที่สองก็คือพาพี่ศิไปยังร้านแว่นที่พี่ศิแกตัดแว่นเป็นประจำครับ



และเมื่อเราทั้งสองคนเดินเข้าไปในตัวห้าง การจับมือเอาจริงๆเรียกว่าจูงมือดีกว่าครับ (และไม่ใช่ฝ่ายผมที่จูงมือนำพี่ศิแกด้วยครับ พี่ศิแกเป็นฝ่ายเดินจูงมือให้ผมเดินตามต่างหาก ไม่มีแว่นแล้วทำซ่านะ พี่ศิ) เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งครับ  มือของผมนี่ถูกกอบกุมไว้ด้วยมือของพี่ศิ  ขายาวของร่างสูงตรงหน้าผมนั้นสาวเท้าเดินนำราวกับว่าเขาจดจำเส้นทางในห้างนี้ได้หมดแล้ว (พี่ศิครับ อย่าลืมตอนนี้พี่มีสภาพเหมือนคนตาบอดกลายๆนะครับ) เมื่อผมโดนพี่ศิลากจนหนำใจ ตอนนี้ผมก็ได้มายืนอยู่เบื้องหน้าร้านตัดแว่นยี่ห้อดังแล้วล่ะครับ (พี่ศิแกลากผมไม่เท่าไหร่ แต่การไอที่พี่แกไม่มีแว่นนี่ล่ะตัวดี เพราะมันทำให้พี่ศิแกเลี้ยวผิดเลี้ยวถูกไปหลายรอบครับ กว่าจะมาถึงอีร้านแว่นนี่ใช้เวลาร่วม 20 นาที ไม่มีแว่นแล้วทำเป็นเก่งนะครับ พี่ศิ)



และเมื่อเราทั้งสองเดินทางมาถึง (แม้จะใช้ทางที่โคตรจะอ้อมโลกมากเลยก็เถอะ) พวกเราก็สาวเท้าเดินเข้าไปในร้านครับ และขั้นแรกของการมาตัดแว่นนั่นก็คือการเลือกโครงแว่นครับ (ปกติผมจะมาแล้ววัดสายตาเลย แต่นั่นเป็นเพราะผมใช้โครงแว่นตัวเก่า ทว่ามันใช้กับสถานการณ์นี้ไม่ได้เพราะไม่ใช่แค่เลนส์ที่แตก โครงแว่นของพี่ศิก็หักด้วยครับ เราทั้งสองคนก็ต้องมานั่งเลือกโครงแว่นใหม่กันแบบนี้ไง)



อันแรกที่พี่ศิชี้คือแว่นยี่ห้อเดิม ทรงเดิม กรอบแบบเดิม แถมสียังเหมือนเดิมเลยครับ เมื่อผมเห็นเช่นนั้น ผมก็รีบวิ่งปรี่ไปบอกพนักงานเลยล่ะครับว่าไม่ต้องเอาออกมา เมื่อพนักงานหยุดมือ ผมก็ตวัดสายตาหันไปหาพี่ศิที่ยืนมองการกระทำของผมด้วยความงุนงง ซึ่งผมก็เดินเข้าไปหาพี่ศิพร้อมกับกระซิบบอกไปว่า “มีโอกาสได้เปลี่ยนแว่นใหม่แล้วยังจะเอาแบบเดิมอีก พี่จะบ้าหรือเปล่าครับ เปลี่ยนแว่นใหม่ก็เปลี่ยนกรอบแบบใหม่ไปเลย เดี๋ยวกรเลือกให้” เมื่อพี่ศิแกได้ยินประโยคนี้จากปากของผมใบหน้าคมก็พยักหน้าขึ้นลงเบาๆ และหลังจากนั้นพี่ศิแกก็ปล่อยหน้าที่เลือกแว่นให้เป็นหน้าที่ของผมไปโดยปริยายครับ



โดยแว่นตาอันเดิมของพี่ศิเป็นแว่นทรงสี่เหลี่ยมมีกรอบล่าง แต่ไม่มีกรอบบนซ้ำตัวแว่นนั้นเป็นสีดำสนิทตั้งแต่ตัวกรอบแว่นจรดขาแว่นเลยล่ะครับ ผมพลางไล่มองแว่นที่วางเรียงรายอยู่บนชั้นเพื่อที่ผมจะได้หาแว่นอันที่เหมาะสมให้กับพี่ศิ แต่จนแล้วจนรอดผมก็คงหาให้ไม่ได้ และในท้ายที่สุดผมก็ต้องจำใจเลือกแว่นยี่ห้อเดิม ทรงเดิม กรอบแบบเดิม และสีก็ยังคงเหมือนเดิมให้พี่ศิแกไปครับ



การเลือกแว่นครั้งนี้ทำเอาผมหมดความมั่นใจไปเลย ผมนั่งจ๋อยรอพี่ศิวัดสายตาด้วยเครื่องและเมื่อวัดเสร็จ ขั้นต่อไปของการวัดสายตาโดยการใช้เลนส์สวม ผมก็นั่งจ๋อยรอพี่ศิต่อไปอีก และเมื่อการวัดสายตาของพี่ศิเสร็จเรียบร้อย ผมกับพี่ศิก็เดินออกจากร้านไปเพื่อมุ่งหน้าไปหาเป้าหมายใหม่ นั่นก็คือการซื้อโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ให้กับพี่ศิครับ ซึ่งการเดินทางก็ยังคงเป็นแบบเดิมครับนั่นก็คือผมโดนพี่ศิแกจูงมือและพาหลงอีกเหมือนเดิมครับ



และคราวนี้กว่าพวกเราสองคนจะไปถึงร้าน iStudio ก็ใช้เวลาไปเกือบ 20 นาทีเช่นเดิมครับ ไอผมนี่แทบอยากจะยกมือไหว้พี่ศิเพื่อให้พี่แกหยุดเดินนำสักทีเถิด แต่ก็ไม่กล้าครับ ผมยังคงมียางอายบนหน้าอยู่ จึงได้แต่จำยอมให้พี่ศิแกพาหลงครับ การไปถึงร้าน iStudio ทำให้ผมตื่นตาตื่นใจมากเลยครับ ไม่ว่าจะเป็น MacBook Pro และ MacBook Air ที่เพิ่งออกใหม่หรือ Iphone 5s สามสีที่ (ออกมานานแล้ว) วางเรียงรายจนทำเอาผมอยากได้ โอยย เข้ามาให้ร้านนี้ทำเอาผมอยากซื้อไปหมดเสียทุกอย่างเลยล่ะครับ



แต่ด้วยเหตุการณ์กระเป๋าแห้งเพราะเลี้ยงรุ่นน้องที่เป็นน้องรหัส ผมจึงทำได้แต่ลูบๆ คลำๆ ของพวกนั้นแทน ผมยืนเล่นไอแพดมินิที่อยู่ในร้านนั้นไป พลางส่งสายตามองพี่ศิแกไป ตอนนี้พี่ศิแกกำลังคุยกับพนักงานเรื่องโทรศัพท์มือถืออยู่ครับ และดูเหมือนพี่แกจะคุยจบแล้ว เพราะตอนนี้พี่ศิหันหลังกับและเดินทรงมาหาผมแล้วล่ะครับ เมื่อเขาเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าผมริมฝีปากหนานั่นก็ระบายไปด้วยรอยยิ้ม และมันเป็นรอยยิ้มระรื่นมากด้วยครับ จนทำเอาผมต้องถามออกไปเลยว่าพี่แกยิ้มแบบนี้ทำไม “…ยิ้มแบบนี้มีอะไรหรือเปล่า พี่ศิ”



ซึ่งคำตอบกลับของพี่ศิคือการส่ายหัวไปมาครับ เมื่อพี่ศิแกตอบมาแบบนี้ ผมก็จนใจครับเพราะต่อให้ถามไปอีกกี่ครั้งพี่ศิแกก็ไม่ยอมบอกผมครับ ผมก็เลยตีเนียนเดินหนีพี่ศิแกซะเลย แต่ก่อนที่ผมจะได้ก้าวเท้าเดินออกไปเสียงของพนักงานสาวก็ดังขึ้นพร้อม ๆ กับในมือของเธอถือกล่องใส่ IPhone สีดำสีขาวอย่างละเครื่อง



“ไอโฟน 5s สีขาว สีดำอย่างละเครื่องที่แจ้งมาเราได้จัดเตรียมไว้ให้แล้วค่ะ” พนักงานสาวพูดพร้อมกับส่งรอยยิ้มมาให้ผมกับพี่ศิ ซึ่งพี่ศิก็พยักหน้าขอบคุณและจูงมือของผมไปที่เคาท์เตอร์จ่ายเงิน บัตรเครดิตสีทองที่ผมคุ้นเคยกับมันมาก (มากถึงมากที่สุด) ถูกร่อนไปให้พนักงานครับ ไอผมนี่หันไปถลึงตามองพี่ศิเลยครับว่าพี่แกจะซื้อสองเครื่องทำไม แต่ไอความสงสัยทั้งหมดของผมมันก็ถูกเฉลยด้วยกล่องโทรศัพท์มือถือยี่ห้อผลไม้ที่ถูกยื่นมาให้แก่ผมครับ



“เครื่องนี้ของกรครับ” เมื่อได้ยินประโยคนี้ผมแทบร้องกรี๊ดออกมาเสียงดังเลยล่ะครับ...หนะ...นี่พี่ศิแกซื้อให้ผมเหรอ ไม่น่านะ…นี่มันราคาเกือบจะสามหมื่นเลยนะครับ! พี่แกกล้าซื้อให้คนได้ยังไงงงงง มันแพงเกินไป ผมรับไม่ได้ครับ



สิ้นประโยคของพี่ศิ ไอผมก็ชะงักค้างไปชั่วขณะ แต่เมื่อผมตั้งสติได้แล้ว ผมก็ยื่นมือไปดันกล่องไอโฟนเครื่องนั้นคืนให้พี่ศิไปครับ “มันแพงเกินไป กรรับมันไว้ไม่ได้ครับ” ผมพูดปฏิเสธพี่ศิออกไปตรงๆ แต่ดูเหมือนว่าพี่ศิแกจะรู้อยู่แล้วล่ะครับว่าผมไม่มีทางรับโทรศัพท์เครื่องนี้แน่ๆ ดังนั้นพี่ศิแกก็เลยจัดการบอกให้พนักงานที่เอาบัตรเครดิตของเขามาคืน จัดการนำกล่องมือถือทั้งสองกล่องนั้นใส่ถุงซะแล้วก็หิ้วออกมาหน้าตาเฉยเลยครับ



สภาพการณ์เป็นแบบนี้แสดงว่าพี่ศิแกต้องหามุขอะไรสักมุขให้ผมยอมรับมือถือเครื่องนั้นไปแน่นอนเลยครับ รณกร คนนี้เอาหัวเป็นประกันเลย



และเมื่อเราทั้งสองเดินออกมาจากร้าน iStudio ผมกับพี่ศิก็เดินร่อนกันไปในห้างสรรพสินค้าอย่างเพลิดเพลินครับ และนอกจากเพลิดเพลินแล้วเราสองคนก็ยังคงเดินหลงกันในห้างอีก แต่ในท้ายที่สุด ผมกับพี่ศิก็เดินทางมาถึงร้านอาหารญี่ปุ่นฟูจิจนได้ครับ ผมแทบจะวิ่งปรี่เข้าไปในร้านทันทีเลยล่ะครับ แต่ผมก็ต้องระงับจิตระงับใจไว้เพราะมันจะดูไม่ดีเอา แต่จะให้ผมทำยังได้ล่ะครับ ก็ผมกับพี่ศิเดินหลงกันในห้างจนตอนนี้เวลามันล่วงเลยไปถึงบ่ายโมงครึ่งแล้ว ถ้าผมไม่หิวจนวิ่งปรี่เข้าไปในร้านก็แปลกแล้วล่ะครับ (ความจริงแล้วที่พวกเราทั้งสองคนเดินหลงทางกันเพราะ 1.พี่ศิผู้ไม่มีแว่นเดินจูงมือของผมให้เดินตามแกไป และ 2.ห้างมันใหญ่ครับ)



ผมกับพี่ศิค่อยๆเดินจูงมือสาวเท้าเข้ากันไปในร้าน และทันทีที่เราก้าวข้ามพ้นธรณีประตู พนักงานสาวสองคนก็เดินเข้ามาต้อนรับผมกับพี่ศิทันที ริมฝีปากของเธอทั้งสองคนระบายไปด้วยรอยยิ้ม แต่เมื่อเธอทั้งสองคนนั้นเห็นมือของผมกับพี่ศิที่จูงมือกันอยู่ ไอรอยยิ้มของทั้งสองนี่แทบจะเปลี่ยนเป็นใบหน้าอันแสนบึ้งตึงทันที พนักงานสาวเบอร์หนึ่งเอ่ยถามว่ามากี่ท่าน (ถ้าผมไม่กลัวโดนไล่ออกจากร้าน ผมคงตอบไปว่าไม่เห็นเหรอไงว่ามากันสองคน ผมก็คงตอบไปแล้วล่ะครับ) ซึ่งพี่ศิก็ชูสองนิ้วขึ้นมา เพื่อเป็นการบอกว่าเรามากันแค่สองคน เมื่อพนักงานสาวเบอร์หนึ่งเห็นเช่นนั้น เธอก็โยนหน้าที่ของตนไปให้พนักงานสาวเบอร์สองทันที ซึ่งเธอก็รับมานะครับและเดินนำผมไปยังที่ว่างสำหรับสองที่



ซึ่งเมื่อก้นของผมได้แตะกับเบาะนั่งของทางร้านผมนี่แทบจะไหลลงไปนอนกับโต๊ะเลยล่ะครับ และเหตุผลที่ผมแทบไหลลงไปนอนกับโต๊ะ มันก็ไม่พ้นการเดินหลงทางของเราสองคนนั่นเอง ขาผมนี่แทบจะแยกส่วนกันมาเต้นเบรกแดนซ์เลยล่ะครับ ส่วนพี่ศิที่น่ารักของทุกคนก็ยังคงยิ้มระรื่นไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไรเลยครับ ผมที่เห็นแบบนั้นก็นั่งเท้าคางเบ้ปากไปให้พี่ศิแกทันทีทว่าพนักงานสาวเบอร์สามเดินหยิบเมนูมาให้ผม ไอสงครามทำหน้ามุ่ยใส่กันก็ต้องหยุดกันแค่นั้นและเปลี่ยนสงครามมาเป็นสงครามการสั่งอาหารแทน



ผมนี่จัดไปเซทหนึ่งเลยครับ เซทซูชิไม่ใส่วาซาบิ 1 และตามด้วยข้าวหมูทอด 1 เซท ต่อมาก็ซุปสาหร่าย แล้วก็โอโคโนมิยากิ แล้วก็กุ้งเทมปุระ แล้วก็ปลาหมึดทอดและท้ายที่สุดของโปรดของผมนั่นก็คือน้ำส้มคั้นครับ ส่วนทางพี่ศิแกไม่สั่งอะไรมาครับ พี่แกสั่งซูชิเพิ่มอีก 1 ที่แต่ใส่วาซาบิ แล้วก็เซทปลาดิบราคา 400 กว่าบาทมาเพิ่มครับ อ่อ...ผมก็ลืมไปอีกอย่าง เพราะพี่ศิก็สั่งน้ำเปล่ามาเพิ่มด้วยครับ และเมื่อพนักงานสาวเบอร์สามรับออเดอร์ของโต๊ะเราเสร็จ เธอก็เดินจากไปโดยที่ไม่เหลียวแลมามองผมกับพี่ศิเลยครับ รู้สึกว่าพนักงานสาวในร้านนี้จะรู้กันหมดแล้วครับว่าผมกับพี่ศิพากันเดินจูงมือเข้ามาในร้านพวกเธอเลยไม่คิดจะมาเล่นหูเล่นตากับพี่ศิครับ



ซึ่งผมกับพี่ศิรอกันไปสักพัก เมนูจานแรกก็ถูกนำมาเสิร์ฟครับนั่นก็คือโอโคโนมิยากิครับ ผมจัดการเจาะไข่แดงที่ทางร้านโปะไว้หน้าโอโคโนมิยากิทันทีและตามด้วยเหยาะโซยุไปนิดหน่อยที ผมก็เริ่มจัดการโอโคโนมิยากิที่อยู่ในจานได้แล้วล่ะครับ ตะเกียบที่ใช้เกาะไข่แดงพุ่งเข้าไปคีบมาหนึ่งชิ้น หลังจากนั้นผมก็ตวัดมันใส่ปากทันที



รู้สึกเหมือนยืนอยู่บนจุดสูงสุดของความฟินเลยล่ะครับ เวลาหิวๆแล้วมีอะไรใส่ลงท้องนี่ทำเอาความสุขทั้งหมดทั้งมวลในโลกมาอยู่ที่ปากเลยทีเดียว ผมกับพี่ศิค่อยๆแย่งกันคีบโอโคโนมิยากิใส่ปาก และในที่สุดมันก็หมดจาน  ต่อไปสิ่งที่นำมาเสิร์ฟนั่นก็คือเซทซูชิสองเซท ซึ่งเป็นทั้งผมกับพี่ศิได้สั่งกันไปทั้งคู่ อันนี้ผมกับพี่ศิทานกันได้โดยที่ไม่ต้องแย่งกันครับ แต่แค่เสี่ยงว่าคำแรกที่กินไปนั้นมันจะมีวาซาบิหรือไม่มีวาซาบิเท่านั้นเอง แต่วิธีนั้นก็ถูกแก้ไขได้โดยง่ายโดยการ….ใช้ตะเกียบคีบเนื้อปลาที่ปิดอยู่ด้านบนออกและส่องหาวาซาบิครับ และหลังจากการที่ผมรื่นเริงบันเทิงใจกับซูชิไปแล้วอาหารต่าง ๆ อีกมากมายก็ถูกนำมาเสิร์ฟที่โต๊ะของผม เอาเป็นว่าเวลาผ่านมาแล้วสิบกว่านาทีผมกับพี่ศิกินกันไม่หมดเลยล่ะครับ ไอผมนี่ก็ฝืนกินนะ แต่ไอของที่กินไปก่อน มันเริ่มมากจะจุกกันที่คอแล้ว ผมก็เลยวางตะเกียบลงและหยิบซุปสาหร่ายขึ้นมาซดให้โล่งคอแทน (เพราะคิดว่าการหาอะไรเข้าไปเติมจะช่วยให้ของที่มันคาอยู่ตรงคอมันไหลลงท้องไปได้ครับ) แต่ผมรู้สึกว่าผมคิดผิดแบบผิดสุด ๆ เลยล่ะครับ เพราะทันทีที่ผมยกซุปสาหร่ายขึ้นมาซดไอของเก่าที่อยู่ที่คอก็ยิ่งอัดแน่นขึ้นมาทันที จึงทำให้ผมต้องวางซุปถ้วยนั้น และหยิบทิชชู่มาปิดปากทันที ผมเรียกให้พนักงานสาวเบอร์ที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้มาเช็คบิลและสั่งให้พนักงานสาวคนนั้นเอากุ้งเทมปุระที่ผมยังไม่ได้แตะ ปลาหมึกทอดที่ยังไม่ได้กิน ข้าวหน้าหมูทอดที่ทานไปได้ครึ่งหนึ่งของผมไปแพ็คใส่กล่องเพื่อนำมันกลับบ้านครับ และคราวนี้ผมไวกว่าพี่ศิเขาครับ เพราะก่อนที่พี่ศิแกจะได้ควักกระเป๋าออกมาร่อนบัตรเครดิตของแก แบงก์พันจำนวนสองใบของผมก็ปลิวไปอยู่ในมือของพนักงานเรียบร้อยแล้วล่ะครับ



เมื่อชัยชนะเป็นของผม ผมก็หันไปส่งรอยยิ้มชั่วร้ายใส่พี่ศิ (ศึกครั้งนี้ผมชนะครับ) ซึ่งใบหน้าคมนั้นขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้แสดงอะไรออกมาต่ออีก และหลังจากพนักงานนำเงินทอนมาคืนให้ผม เธอก็เอ่ยถามผมกับพี่ศิว่าเราทั้งสองคนจะรับน้ำชาหรือกาแฟ แน่นอนอยู่แล้วครับว่าผมเอาชา (ซึ่งได้ชามาหลายแก้วมาก) และพี่ศิก็เลือกกาแฟ (และนี่ก็ได้กาแฟมาหลายแก้วเช่นกัน ส่วนผลไม้เพิ่งมาเสิร์ฟเมื่อสักครู่ครับได้มาหลายเซทเลย แต่ผมก็เลือกกินแต่แตงโม ส่วนอย่างอื่นยกให้พี่ศิครับเพราะมะละกอกับสัปปะรดผมไม่กิน)



เมื่อการรับประทานอาหารของเราทั้งสองเสร็จสมบูรณ์ (ซึ่งใช้เวลาไปเป็นชั่วโมงเลยครับ) ผมกับพี่ศิก็พากันเดินจูงมือกันออกจากร้าน และพนักงานสาวเบอร์ต่างๆ ก็ได้แต่จ้องมองแผ่นหลังของผมกับพี่ศิด้วยสายตาละห้อยครับ เสียดายผู้ชายสองคนสินะครับ…



แต่มันก็ช่วยไม่ได้นี่นา นั่นก็เป็นเพราะความรู้สึกของผม…ผมยกมันให้พี่ศิไปหมดแล้วครับ




 

หลังจากที่เราสองคนเดินออกมาจากร้านอาหารญี่ปุ่นฟูจิ ผมก็ถูกพี่ศิจูงมืออีกครั้งครับและครั้งนี้เราจะเดินทางไปร้านแว่นตาที่พี่ศิแกได้สั่งตัดแว่นไว้ (แต่เรียกว่าผมโดนลากไปจะดีกว่าครับ) ซึ่งคราวนี้ดีหน่อยครับ เพราะเราทั้งสองคนใช้เวลาแค่ 10 นาที (แต่ผมก็ยังคิดว่ามันนานอยู่ดี เหตุผลเป็นเพราะพี่ศิผู้ไม่มีแว่นสายตาประจำกายทำผมหลงนั่นแหละ) ก็ถึงหน้าร้าน เราทั้งสองคนก้าวเข้าไปในร้านนั่นอีกครั้ง และครั้งนี้พนักงานหลายต่อหลายคนก็เดินมาต้อนรับพี่ศิพร้อมกับนำแว่นตาที่พี่ศิแกสั่งตัดไว้มาให้ถึงมือพี่ศิแกเลยครับ



ร่างสูงนั้นรับมาและรีบสวมมันเขาขยับโครงแว่นเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างพึงใจ รู้สึกว่าพี่ศิแกจะพอใจแว่นใหม่มากเลยนะครับแบบนี้ เพราะว่าทันทีที่เขาได้โลกแห่งการมองเห็นคืนมาร่างสูงนั่นก็หันมาส่งรอยยิ้มให้แก่ผม หลังจากนั้นร่างสูงก็ (เนียน) จับมือของผมอีกครั้ง และก็พาผมเดินกลับไปยังลานจอดรถ (ถึงมันจะเหมือนเดิมหมดทุกอย่างก็เถอะ อ่อ…มีอย่างหนึ่งที่เปลี่ยนก็คือค่าสายตาของพี่ศิที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมครับ) 



การขับรถกลับคอนโดในครั้งนี้ พี่ศิเป็นคนขับกลับครับ ส่วนผมก็ได้แต่เท้าแขนแหงนมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยก้อนเมฆสีดำ ‘ท่าทาง…ฝนจะตกหนักน่าดูนะวันนี้’ และเมื่อว่าท้องฟ้ามันจะอ่านใจผมได้ครับ เพราะทันทีที่ความคิดของผมจบลงเม็ดฝนก็ร่วงลงมากระทบกับกระจกหน้ารถของผมทันที ‘ให้ตายเถอะครับ ผมเพิ่งเอารถไปล้างมาเองนะ ต้องเอาไปล้างอีกแล้วเหรอนี่’ ผมได้แต่ทอดถอนลมหายใจเบาๆ แต่ในขณะที่รถยนต์ของผม (แต่พี่ศิขับ) กำลังจะเคลื่อนตัวเข้าไปสู่เขตของคอนโดพลันสายตาของผมก็หันไปเห็นกล่องกระดาษที่กำลังเคลื่อนไหว ผมใช้สายตาพินิจมองไปยังกล่องใบนั้น ทันใดนั้นบนขอบกล่องก็มีตัวอะไรก็ไม่รู้ (แต่น่าจะเป็นลูกแมวนะครับ) ปีนขึ้นมาเกาะ ดูท่าทางมันจะทรมานน่าดูเลยล่ะครับแบบนี้  ไอผมจ้องมองมันอยู่อย่างนั้น ส่วนแมวตัวนั้นก็ส่งสายตาปิ๊งปั๊งกลับมาให้ผม และในที่สุดผมก็ทำสิ่งที่ไม่คาดคิดครับ



ผมหันไปสะกิดพี่ศิพร้อมกับบอกให้พี่เขาหยุดรถ หลังจากนั้นตัวของผมก็คว้าร่มและวิ่งออกไปจากตัวรถทันที การกระทำของผมทำให้พี่ศิแกตกใจมาก (เพราะพี่แกคิดว่าผมเพี้ยนอะไรหรือเปล่า) แต่พี่แกก็ไม่สามารถลงจากรถวิ่งตามผมมาได้ครับ ผมกางร่มและรีบสาวเท้าไปยังกล่องกระดาษใบนั้นพร้อมกับยื่นร่มไปกันสายฝนให้กับเจ้าลูกแมว เวลาผ่านไปราวๆนาทีสองนาทีพี่ศิ (ซึ่งน่าจะหาที่จอดรถได้) ก็วิ่งมาหาผม ร่างสูงนั้นมองการกระทำของผมด้วยความสงสัย แต่ผมก็ไม่ได้ให้พี่ศิแกสงสัยอะไรนานหรอกครับ ผมหันไปฉีกยิ้มให้กับพี่ศิพร้อมกับอุ้มเจ้าลูกแมวแสนซนสีขาวนี่ขึ้นมา



“กรจะเอาไปเลี้ยงล่ะ พี่ศิ” ผมซึ่งตัวเปียกไปด้วยหยาดฝนอุ้มลูกแมวขึ้นมากอดแนบอก ผมก้มลงมองแมวนั้นด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหันไปเอ่ยกับพี่ศิต่ออีกว่า “กรเห็นมันอยู่ตัวเดียว ถ้าเกิดไม่มีคนรับมันไปเลี้ยงมันคงหนาวตายอยู่ที่นี่ ตอนนี้ฝนก็ตกด้วยกรสงสาร…กลับบ้านด้วยกันนะครับ” ซึ่งไอประโยคแรกผมพูดใส่พี่ศิ ส่วนประโยคที่ผมพูดออกมาว่า ‘กลับบ้านด้วยกันนะครับ’ อันนี้ผมพูดกับลูกแมวครับ



หลังจากที่ผมตกลงปลงใจจะรับเลี้ยงน้องแมวตัวนี้แล้ว ผมก็จัดการหยิบร่มที่ตัวเองวางไว้เพื่อกันฝนให้น้องแมวขึ้นมาถืออีกครั้งพร้อมกับเดินไปควงแขนพี่ศิเพื่อให้พี่แกพาผมไปที่รถ



v
v
v
v
v
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 35 END??] 29/01/2014 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 29-01-2014 16:33:59


ฝนที่เทลงมายังไม่ยอมหยุดตกและตัวของผมก็ยังไม่ยอมหยุดจาม ตอนนี้ผมนั่งอยู่ในคอนโดของตัวแล้วล่ะครับ เสื้อผ้าก็เปลี่ยนใหม่หมดแล้ว และที่สำคัญในห้องของผมตอนนี้ก็มีสมาชิกใหม่ขนปุกปุยสีขาวครับ ซึ่งตอนนี้ผมกับพี่ศิ (ที่เปลี่ยนเสื้อผ้ากันแล้ว) กำลังดูแลสมาชิกใหม่ตัวน้อยนี่กันอยู่



“พี่ศิ...แมวมันเลี้ยงยังไงอ่ะ” ผมเขย่าแขนพร้อมกับเอ่ยปากถามพี่ศิในขณะที่เขานั้นกำลังลงมือใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดขนเจ้าตัวน้อยนั่น แต่เมื่อคำถามของผมลอยไปเขาหูพี่ศิร่างสูงนั้นก็หันมาพร้อมกับใช้นิ้วมือสองนิ้วบีบที่จมูกของผมเบา ๆ



“จะเลี้ยงแต่ไม่รู้วิธีเลี้ยงเนี่ยนะกร  ไปเปิดอินเตอร์เน็ตหาเอาสิ วิธีเลี้ยงแมวน่ะ เพราะถ้ากรจะให้พี่ช่วยเลี้ยง พี่ก็ช่วยไม่ได้หรอกครับ เพราะพี่ไม่เคยเลี้ยงแมว” เมื่อผมได้ฟังไอประโยคนี้ของพี่ศิจนจบประโยค ผมนี่แทบจะใช้วงแขนของผมเข้าล็อคคอพี่ศิทันที ทำเหมือนคนรู้ดีแต่ที่จริงนี่ไม่รู้อะไรเลยสินะ ผมเบ้ปากใส่พี่ศิเขาไปทีพร้อมกับอุ้มเจ้าตัวน้อยขึ้นมามอง



“ชื่ออะไรดีล่ะเรา” ผมเอ่ยถามเจ้าแมวตัวนั้น แต่ก็ได้รับความเงียบมาเป็นคำตอบ ซึ่งมันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้วล่ะครับ ถ้าไม่ได้ความเงียบเป็นคำตอบผมคงโยนเจ้าแมวตัวนี้ทิ้งและกรี๊ดหนีป่าราบไปแล้ว แต่ว่าผมมองเจ้าแมวตัวนี้ไปมาพลันชื่อชื่อหนึ่งก็ลอยเข้ามาภายในสมอง…ความคิดนั่นทำให้ผมแสยะยิ้มร้ายออกมาเลยล่ะครับ ที่ผมยิ้มแบบนั้นออกมาก็เป็นเพราะเจ้าแมวตัวนี้…ผมคิดชื่อให้มันได้แล้วครับ และชื่อนั้นก็คือ ‘น้องซีซี’ ครับ



ทุกท่านคงสงสัยว่าทำไมถึงชื่อ ‘น้องซีซี’ ถ้าถามถึงเหตุผล ผมก็มีคำตอบให้ ที่ผมให้น้องแมวตัวนี้ชื่อ ‘น้องซีซี’ นั่นก็เป็นเพราะน้องแมวตัวนี้เป็นสีขาวครับ แล้วตาของน้องแมวก็เป็นสีดำ พอพูดถึงสีดำแล้ว ผมก็คิดถึงห้องของพี่ศิ พอนึกถึงห้องของพี่ศิมันก็มีแต่เครื่องเรือนสีขาวดำ ดังนั้นน้องแมวตัวนี้ก็ต้องชื่อ ‘น้องซีซี’ ครับ เพราะคำว่า ซีซี ผันมาจากศิ แต่ด้วยเหตุที่ ‘ซีซี’ นั้นเกิดหลังพี่ศิแน่นอน ดังนั้นจึงเติมคำว่า ‘น้อง’ ลงไปในชื่อด้วย สรุปจึงได้ชื่อน้องซีซีมาด้วยประการฉะนี้และ



“พี่ศิ…น้องแมวตัวนี้ชื่อน้องซีซีนะ” เมื่อผมเอ่ยออกไป พี่ศิแกก็หันมามองผมทันที ซึ่งผมไม่อยู่ให้พี่แกเล่นงานแล้วล่ะครับ ผมจัดการอุ้มน้องแมวตัวน้อยและวิ่งหนีพี่ศิแกไปเรียบร้อยแล้ว แถมไม่จบแค่ชื่อเท่านั้นผมยัง สถาปนาตัวเองเป็นป๊ะป๋าของน้องซีซีอีกด้วย และที่ขาดไม่ได้ก็คือมะม๊า ผมให้พี่ศิเป็นมะม๊าแล้วกันนะครับ



“น้องซีซี เราชื่อปะป๊ากรนะ ส่วนนั้นชื่อมะม๊าศิ จำให้ได้นะ น้องซีซี” ผมพูดพร้อมกับหัวเราะคิกคัก ขาทั้งสองข้างก็พลางวิ่งหนีพี่ศิที่จะกระโจนมาจับตัวผม แต่ว่าผมก็ไวพอดูนะครับ พี่ศิไม่มีทางจับผมทันหรอก



เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของเรานั้นอบอวนไปทั่วทั้งห้องและมันก็คงจะเป็นแบบนี้ไปตราบนานเท่านาน



‘พี่ศิครับ...กรขอขอบคุณที่พี่ศิรักกรนะครับและก็ต้องขอบคุณที่พี่ศิก็ทำให้กรรักพี่ศิตอบเช่นกัน’



 

____________________________________________







 

ถ้าจะให้กล่าวถึงบทสรุปทั้งหมดของผมกับพี่ศิหนะเหรอครับ ผมก็คงให้คำนิยามว่า ‘บังเอิญ’ หละมั้งครับ เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ไม่ว่าผมที่โดนบทลงโทษให้ไปสารภาพรักกับผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งคนที่ผมเลือกนั้นเป็นพี่ศิ นั่นก็คือความบังเอิญอย่างที่หนึ่ง และความบังเอิญอย่างที่สองนั่นก็คือความบังเอิญที่พวกเราทั้งสองคนอยู่คอนโดห้องข้างๆกัน และความบังเอิญอย่างที่สาม มันก็คือความบังเอิญที่ผมกับพี่ศิใจตรงกัน…และความบังเอิญทั้งหมดนั่นทำให้เราทั้งสองคนนั้น…ได้รักกัน


ที่ผมนิยามไปแบบนั้นก็เพราะบางครั้งการเจอใครโดยบังเอิญ นั่นอาจจะเป็นชะตาลิขิตหละมั้ง เพราะบางทีความบังเอิญมันทำให้เราได้พบกับบางสิ่งที่พิเศษกับตัวเรา

 

 

แด่ผู้มีความบังเอิญเป็นจุดเริ่มต้นของความรัก

จาก นายรณกร กิตติพงษ์พิพัฒน์ และ นายแพทย์ศิรวิทย์ หิรัญศิริ

[09.02.20xx]


 

END








__________________________________



จบแล้วนะคะสำหรับนิยายเรื่องนี้ขอบคุณทุกคำวิจารณ์ที่ให้พลอยนะคะ เนื้อหาที่รวมเล่มพลอยแก้ไขคำผิดเรียบร้อยแล้วค่ะ แม้พลอยจะบอกว่านิยายเรื่องนี้จะจบลงแต่ตอนพิเศษหวาน ๆ ?? ของพี่ศิและน้องกรยังมีอยู่นะคะ


ซึ่งตอนต่อไป พลอยจะขออัพเดทในวันที่ 9 กุมภา ซึ่งวันที่ 9 กุมภานั้นเป็นวันเกิดของพี่ศิค่ะ พลอยจะทำการอัพตอนพิเศษ ให้ทุก ๆ ท่านอ่านในวันนั้นค่ะ ขอบคุณค่ะ
 

หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 35 END??] 29/01/2014 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: พลอยสวย ที่ 29-01-2014 17:18:48
 o13 ขอบคุณมากค่ะ ชอบน้องกรมากเลย
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 35 END??] 29/01/2014 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 29-01-2014 18:07:20
รอตอนพิเศษในวันเกิดพี่ศิค๊า
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 35 END??] 29/01/2014 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: kongxinya ที่ 29-01-2014 19:40:00
ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆค่ะ  :L2:

รอตอนพิเศษหวานๆ  :mew3:

 :L2: :กอด1: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 34 ตอนจบหละมั้ง] 20/01/2014 P.12
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 29-01-2014 19:44:22
อ่ายรวดเดียวจนตาแฉะหมดแล้ว

น้องกร บางมุมก็จับน่าตีจริงๆ เลย

พี่ศิ ก็ช่างตามใจ น้องกร

ขอบคุณคนเขียนมากค่ะ ที่เขียน น้องกรกันพี่ศิ มาให้ได้อ่านกัน

รอตอนพิเศษนะค่ะ

หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 35 END??] 29/01/2014 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 29-01-2014 21:25:14
อ๊ายยยยย ฟินนนนนน
^^
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 35 END??] 29/01/2014 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: Elizabeth_TonnY ที่ 29-01-2014 22:37:08
จบดีมากอ่ะ :mew4: รักพี่ศิกับน้องกรมานานเเระ เเหะๆ เเต่ไม่ค่อยได้มาคอมเม้นท์ ขอกราบขอโทด1ที เเหะๆ :katai5:
มีมาเรื่อยๆๆๆๆ ก้อดีน้ะตอนพิเศษอ่ะ  :bye2: :hao5:

ขอบคุณที่เเต่งนิยายดีดีน่าประทับใจอย่างนี้มาให้ได้อ่านกันน้าาาาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 35 END??] 29/01/2014 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: FahFon ที่ 29-01-2014 22:40:24
ในหนังสือจะแก้ไขคำว่า "ไอ" เป็น "ไอ้" มั้ยคะ?

ยังไม่เคยอ่านค่ะ แต่เห็นว่าจบแล้ว แล้วก็กำลังรวมเล่มอยู่

ว่าจะทดลองอ่าน แต่มาสะดุดคำว่า ไอ ก็เลยยังไม่ได้อ่านเลย แหะๆ

ถ้าในเล่มแก้ไข ก็น่าสนใจอยู่ ^^"
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 35 END??] 29/01/2014 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 29-01-2014 23:09:14
กรื้ด จบแล้ววว รอตอนพิเศษค่ะ ><
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 35 END??] 29/01/2014 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 29-01-2014 23:27:14
น่ารักสุดๆ เลย ^^
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 35 END??] 29/01/2014 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: rainiefonnie ที่ 29-01-2014 23:43:50
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 35 END??] 29/01/2014 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: abcee ที่ 30-01-2014 23:38:22
น่ารักจัง หวานมาก รอตอนพิเศษนะ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 35 END??] 29/01/2014 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: ● MaYa~Boy ● ที่ 31-01-2014 00:56:13
นิยายสนุกมากเลยครับ ขอบคุณมากๆ เลยครับ  :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Chapter 35 END??] 29/01/2014 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 31-01-2014 21:10:20



สวัสดีค่ะพอดีพลอยอยากจะสอบถามอะไรเล็กน้อย มีใครโอนเงินเซทลีมีเต็จแล้วยังไม่ได้แจ้งโอนไหมคะ เป็นคนที่สั่งเซทลีมีเต็จและติดต่อส่งแบบ EMS  ค่ะ


โอนเงินวันที่ 26 ถ้าเกิดใครทราบว่าตัวเองยังไม่ได้โอนเงินหรือเมลตอบกลับจากพลอยช่วยแจ้งมาอีกรอบโดยระบุวันเวลา ที่โอนอย่างละเอียดด้วยนะคะ เพราะถ้าเกิดไม่มีใครแจ้งโอนพลอยจำเป็นต้องตัดสิทธิ์ทันที และไม่มีการโอนเงินคืนเนื่องจากพลอยไม่ทราบเจ้าของยอดเงินยอดนั้นค่ะ ช่วยแจ้งมาด้วยนะคะ พลอยทำการอีเมลสอบถามไปแล้วสองสามรอบซึ่งพลอยก็ไม่ได้รับการตอบกลับมาจากใครเลยสักคนเดียว


และนอกจากเรื่องตามหาการโอนเงินเซทลีมีเต็จแล้วพลอยยังจะมาอัพของแถมที่อยู่ในเซทลีมีเต็จอย่างที่ 1 ค่ะนั่นก็คือ ถุงผ้าลายพี่ศิน้องกร >< ตอนนี้แพคกิ้งเสร็จเรียบร้อยค่ะ



(http://i529.photobucket.com/albums/dd340/S_oKiss/1725006_531420346955238_1233360214_n.jpg)
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [*Update 1*] 31/01/2014 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: micmoner ที่ 01-02-2014 22:28:25
อ่านรวดเดียวจบเลย
ชอบมากๆ พี่ศินี้แบบผู้ชายในฝันเลย  :-[
ส่วนน้องกรก็น่ารัก น่าเอ็นดู
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวน่ารักๆนะคะ  o13
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [*Special Chapter 1*] 09/02/2014 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 09-02-2014 18:09:52


สวัสดีค่า วันนี้เรามาลงตอนพิเศษ นะคะ \\ = = // เย้แต่พลอยขอแจกแจงก่อนนะคะว่าตอนพิเศษที่จะลงในเล้าเป็ดนั้นจะลงไปกี่ตอนซึ่ง ตอนพิเศษที่ลงในเวปจะมี เพียง 3 ตอนค่ะ นึ่นก็คือ Special Chapter 1 / Special Chapter 3 / Special Chapter 4.1 ค่ะ ส่วนตอนที่เหลือจะมีเฉพาะในรวมเล่มเท่านั้นค่ะ


โดยรายละเอียดการจองตามลิ้งค์นี้เลยค่ะ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=40768.msg2599402#msg2599402


และหลังจากแจกแจงรายละเอียดแล้วพลอยก็ขอให้สนุกกับการอ่านตอนพิเศษในวันเกิดพี่ศินะคะ




Special Chapter 1



วันที่สำคัญสำหรับนิสิตนักศึกษามีอยู่สองวัน ซึ่งวันแรกก็คือวันที่ทุกๆคนได้ก้าวเข้ามาในรั้วมหาวิทยาลัยที่ตนเลือก ที่ตนชื่นชอบ ส่วนวันที่สองนั่นก็วันที่ทุกๆคนได้รับพระราชทานปริญญาบัตร ซึ่งตอนนี้ผมนายรณกรกำลังอยู่ในวันสำคัญวันที่สองครับ แต่มันไม่ใช่วันสำคัญของผมหรอกครับ แต่มันเป็นวันสำคัญของว่าที่นายแพทย์…ไม่สิ ตอนนี้ต้องเป็น นายแพทย์แล้วครับ



วันนี้เป็นวันรับพระราชทานปริญญาบัตรของนายแพทย์ศิรวิทย์ หิรัญศิริ (ความจริงเป็นเป็นวันรับพระราชทานปริญญาบัตรของบัณฑิตทุกคนล่ะครับ รวมไปถึงพี่รหัสของผม เฮียก็อต ด้วย) ผมซึ่งเป็นรุ่นน้องของพี่ศิเขา…และควบตำแหน่งพิเศษอีกหนึ่งตำแหน่งก็ต้องมาแสดงความยินดีเป็นเรื่องธรรมดาครับ แต่ก่อนที่ผมจะไปแสดงความยินดีกับพี่ศิ ผมก็ต้องไปบูมให้พี่รหัสของผมก่อน ซึ่งมันเป็นธรรมเนียมที่ปฏิบัติมานานครับ ส่วนเรื่องของพี่ศิผมค่อยแบกของขวัญไปพี่แกให้อีกที



ซึ่งในตอนนี้ผมกับสหายก็กำลังกอดคอกันและบูมคณะใส่รุ่นพี่บัณฑิตกันอยู่ครับ ซึ่งรุ่นพี่แต่ละคนที่ยิ้มแย้มและดีใจกันมากครับ ผมก็อยากจะเรียนจบและยิ้มกว้างแบบนั้นบ้างจัง แต่อีกใจผมก็ยังคงอยากเรียนอยู่นะครับ แต่พอดีผมโดนเจ้น้ำหวานเสี้ยมมาครับ เจ้แกบอกว่าพวกแกเรียนอยู่น่ะสบายจะตาย พอเรียนจบมาแล้วพวกแกจะเจอกับนรก ซึ่งตอนนี้เจ้แกกำลังเจอกับนรกอยู่ครับ แต่เป็นนรกที่มีความสุขครับเพราะเจ้แกทำงานอยู่ที่บริษัทดัง เงินเดือนนี่สูงลิบลิ่ว แต่ที่สำคัญกว่านั้นเรื่องของเจ้น้ำหวาน เจ้แกกลับไปใช่ชื่อวินแล้วล่ะครับ แต่ผมก็ยังเรียกแกว่าแจ้น้ำหวานอยู่ดี เหตุผลที่เจ้แกกลับไปใช้ชื่อวินนั่นก็เป็นเพราะเจ้แกกลับไปเป็นชายมาดแมนเต็มตัวเรียบร้อยแล้วครับ หนำซ้ำตอนนี้แกมีคู่หมั้นเป็นหญิงสาวแสนสวยที่เจอกันในที่ทำงานครับ และยิ่งไปกว่านั้นแกไม่รู้ไปเอาความสูงมากจากไหนเพิ่มครับ เพราะในตอนแรกแกสูงประมาณกรกานต์ แต่ตอนนี้สูงเลยกานต์และทะลุกไปถึง 175+ แล้วล่ะครับ ช่างเป็นผู้ชายที่โตช้าจริงๆ แต่จะให้เล่าถึงเจ้น้ำหวานก็จะไม่ดีเพราะวันนี้เป็นวันดีของเหล่าพี่ๆ บัณฑิตที่เพิ่งจบ อย่าพูดย้อนไปถึงคนเก่าคนแก่ที่จบจากมหาลัยไปนานแล้วเลยครับ



“เฮียก๊อต…เฮียก๊อตของน้องกร” ผมส่งเสียงเรียกพี่รหัสของผมครับ ซึ่งเฮียแกก็ส่งยิ้มมาให้กับผมครับ แต่ตอนนี้เฮียแกขยับตัวไปไหนไม่ได้เลยล่ะครับ เพราะว่าสาว ๆ นี่ต่างกันรุมล้อมกันให้ของขวัญอดีตนักบาสมหาวิทยาลัยกันอยู่ ผมก็ได้แต่มองอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ แม้เฮียก๊อตพี่รหัสของผมจะเลิกกับแฟนเก่าของแกไปแล้ว แต่ตอนนี้เฮียแกก็มีคนที่ดูๆใจกันอยู่ครับ แถมสาวเจ้านี่ยืนกอดช่อดอกไม้และจ้องตาเขม็งใส่เฮียก๊อตที่รักยิ่งของผมด้วย (สาวเจ้าก็เป็นบัณฑิตจบใหม่เหมือนกันครับ แต่นิสัยนี่ขี้หึงอย่าบอกใครเลย ซึ่งผมก็แอบรู้มาว่าเฮียก๊อต แกกำลังพยายามตีตัวออกห่างอยู่ เพราะแกไม่ชอบผู้หญิงขี้หึงครับ) และเมื่อสาวๆแสดงความยินดีกับอดีตนักบาสมหาวิทยาลัยกันจบแล้ว คราวนี้ก็ถึงตาสายรหัสเข้าไปแสดงความยินดีกับเฮียแกครับ ผมส่งยิ้มพร้อมกับส่งกล่องของขวัญไปให้เฮีย แต่เฮียก๊อตแกส่งสายตามองมาอย่างหวาดระแวง…



เฮียครับ รับของขวัญจากผมไม่ได้น่ากลัวอะไรขนาดนั้นครับ แต่จะให้พี่แกหวาดระแวงก็ไม่ได้ คราวตอนเจ้น้ำหวานรับปริญญาผม…ซื้อบราเซียร์ดูมๆให้ครับ เพื่อเป็นการบอกว่าเจ้น้ำหวานแปลงเพศเร็วๆสักที (แต่ของขวัญที่ผมให้ไปเจ้น้ำหวานแกก็ไม่ได้ใช้ครับ ก็อย่างที่บอกไปแล้วเจ้แกเปลี่ยนเป็นชายมาดแมนแฮนซั่มไปแล้ว) ส่วนคราวของเฮียบุญเกิด ผมซื้อแผ่นรองเมาส์ให้ครับ โดยแผ่นรองเมาส์ที่ผมให้มันไม่ใช่แผ่นรองเมาส์ธรรมดาครับ เพราะว่ามันเป็นแผ่นรองเมาส์ลายอนิเมะที่พิมพ์ลายหน้าสาวๆ แต่ตรงช่วงหน้าอกจะมีฟองน้ำดันขึ้นมาให้นูนครับ (เวลาใช้เหมือนโดนหน้าอกหนีบข้อมืออะไรแบบนั้นครับ)



แล้วส่วนของเฮียก๊อต…ผมไม่รู้จะให้อะไรดีครับก็เลยซื้อเซทของเล่นฮัลโหลคิตตี้ให้ ด้วยเหตุผลเฮียก๊อตแกแอ๊บแบ๊วคงชอบอะไรแอ๊บแบ๊วๆ แบบคิตตี้ล่ะมั้งครับ ผมก็เลยตัดใจซื้อให้ราคานี่แพงบรรลัยเลยครับ ตอนจ่ายเงินนี่น้ำตาจะไหล



“เฮียรับไปเถอะ ของเฮียนี่กรซื้อของเบาๆ เบๆ ไม่น่ากลัวให้เฮียเลยนะ” ผมพูดปลอบขวัญเฮียก๊อตพร้อมกับเขย่ามือที่ถือกล่องของขวัญ เพื่อให้เฮียก๊อตรับมันไปเร็ว ๆ เฮียก๊อตยื่นมือไปรับด้วยความหวาดหวั่น ก่อนจะก้มลงมองสิ่งของที่อยู่ในมือตนด้วยสีหน้าที่แสดงถึงความไม่ไว้ใจออกมา เมื่อเห็นแบบนั้นผมนี่เดินไปตบบ่าเฮียก๊อตแกหนึ่งทีเลยครับ พร้อมกับบอกให้แกแกะดูของที่อยู่ด้านในนั้นทันทีด้วย “ถ้าระแวงน้องรหัสสุดที่รักขนาดนี้ เฮียแกะดูมันตอนนี้เลยไป” ซึ่งเฮียก๊อตแกก็ทำตามที่ผมบอกนะครับ แกจัดการแกะกล่องของขวัญของผมทันทีเลยล่ะครับ และเมื่อแกะเสร็จ เฮียก๊อตแกเงยหน้าและถลึงตาใส่ผมทันทีเลยครับ



“เอ้า…เฮียไม่ได้ชอบของน่ารักๆแบบนี้เหรอ” ผมพูดพร้อมกับแลบลิ้นใส่เฮียแกไป แต่เฮียก๊อตกลับปากล่องของขวัญที่ผมให้ใส่ผมพร้อมกับพูดไล่ให้ผมไปไกลๆไอผมที่โดนทำแบบนั้นก็หัวเราะร่าพร้อมกับวิ่งหนีไป แต่ก็ยังไม่วายแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เฮียเขา
และเมื่อผมหมดธุระกับเฮียก๊อต ธุระที่สองของผมก็เริ่มต้นขึ้นครับนั่นก็คือการไปหาพี่ศิครับ แต่คราวนี้ผมต้องเดินกลับไปที่รถของผมและหยิบของขวัญพิเศษสำหรับพี่ศิออกมาครับ อยากรู้กันล่ะสิว่าของขวัญที่ผมจะให้พี่ศิมันคืออะไร ผมขอบอกใบ้นะครับ มันเป็นของชิ้นใหญ่มาก แถมหนักด้วยล่ะ ตอนนี้ผมเลยกอดซะเต็มวงแขนเลยล่ะครับ ซึ่งเมื่อผมเดินเข้าไปในกลุ่มของนิสิตและบัณฑิตทุกคนนี่หันมามองผมเป็นตาเดียวเลยล่ะครับ สงสัยจะตกตะลึงในความอลังการของของขวัญของผมที่ผมจะให้แก่พี่ศิ ทว่าคนเยอะมากเกินไปจนทำให้ผมต้องหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมาโทรด้วยความยากลำบาก นิ้วผมไล่หาเบอร์โทรศัพท์ของพี่ศิ ก่อนจะจิ้มกดโทรออกไปทันที



ผมเอาโทรศัพท์มือถือแนบหูพร้อมกับถือสายรอให้อีกฝ่ายรับ ซึ่งต้องใช้เวลาสักพักเลยล่ะครับกว่าพี่แกจะรับสาย (จริงๆ ไม่ใช่สักพักครับ ผมโทรไปหลายรอบเลยแหละกว่าพี่แกจะรับสายผม) “ฮัลโหล พี่ศิตอนนี้อยู่ไหนเหรอ บอกกรหน่อยสิ กรกำลังจะไปหา พอดีเสร็จธุระกับเฮียก๊อตแล้ว” ผมกรอกเสียงตัวเองลงไปและปลายสายก็ตอบกลับมานะครับ เขาบอกว่าตอนนี้เขาอยู่บริเวณข้างๆหอประชุมครับ เมื่อได้จุดหมาย ผมก็กดวางสายพร้อมกับแบกของขวัญที่เตรียมไว้ให้เขาไปทันที



อันนี้เรียกว่าบริการเดลิเวอรี่ส่งถึงที่เลยครับ ผมนี่ก้มมองของขวัญของผมที่จะให้พี่ศิด้วยความภาคภูมิใจพร้อมกับรีบสาวเท้าตนให้ไปถึงจุดหมายอย่างรวดเร็ว



โดยจุดหมายที่ผมต้องไปตอนนี้มีคนอยู่เยอะแยะเลยครับ กว่าจะแทรกตัวเข้าไปได้คงใช้เวลาหลายนาที ถ้าไปตัวเปล่าๆ ก็คงไปได้ไว แต่ถ้าไปพร้อมกับของขวัญที่ผมจะให้พี่ศินี่คงใช้เวลาสักพักอย่างที่บอกไปเมื่อสักครู่ล่ะครับ



ผมเอี้ยวตัว หลบซ้าย หลบขวาเพื่อเดินให้ไปถึงจุดหมาย ทว่าคนมันเยอะและแออัดเสียเหลือเกินครับ จนเกือบจะทำให้ผมทำของขวัญร่วงออกจากอ้อมแขนผมหลายต่อหลายที



ทว่าสปิริตของผมสูงมากครับ ผมนี่ใช้แรงทั้งหมดกอดรอบของขวัญชิ้นนั้นไว้แน่น และพยายามหารูเพื่อแทรกตัวเข้าไปหาคนสำคัญที่กำลังรอผมอยู่ ซึ่งเวลาในการใช้แทรกตัวผมใช้เวลาไปร่วมสิบนาทีครับ ซึ่งสิบนาทีนั้นก็ไม่สูญเปล่าครับ เมื่อผมขยับเข้าไปใกล้จนเกือบจะถึงตัวพี่ศิ ทันใดนั้นพี่วิแกก็สังเกตเห็นผม และเธอก็ตะโกนเรียกผมพร้อมกับไปกระชากแขนเสื้อพี่ศิให้หันมามองที่ผม ไอผมที่เห็นการกระทำแบบนั้นของพี่วิก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆใส่ แต่การเดินทางไปหาพี่ศิของผมมันสะดวกขึ้นเยอะเลยล่ะครับ



ผมค่อยๆประคองของขวัญที่อยู่ในอ้อมแขนของตัวเองพร้อมกับแทรกตัวไปหาพี่ศิ เมื่อผมสาวเท้าไปอยู่วงของนายแพทย์กับแพทย์หญิง ผมก็หยุดฝีเท้าลงเบื้องหน้าพี่ศิ ซึ่งพี่ศิแกก็มองหน้าผมด้วยความฉงน ก่อนจะก้มหน้าลงไปมองของขวัญที่อยู่ในอ้อมแขนของผม



เมื่อผมเห็นปฏิกิริยาของพี่ศิ ผมก็ส่งยิ้มกว้างพร้อมกับยื่นของสิ่งนั่นไปให้พี่ศิทันที รุ่นพี่ซึ่งเป็นเพื่อนๆของพี่ศินี่พยายามกลั้นขำ ส่วนพี่วิกับพี่เตอร์เขาเดินมาเกาะบ่าของพี่ศิกันคนละข้าง



“ไอศิรับไปสิ น้องเค้าให้ด้วยใจเลยนะเว้ย มาเป็นกระถางเลย” พี่เตอร์แกพูดออกมาด้วยความขบขันพร้อมกับยื่นมือออกมาเพื่อจะแตะของขวัญของผม ไอผมก็หวงของสิครับเพราะทันทีที่ผมเห็นพี่เตอร์แกยื่นมือมาผมก็เอี้ยวตัวหลบทันที ผมแลบลิ้นใส่พี่เตอร์พร้อมกับพูดเยาะเย้ยพี่แกออกไป



“ไอเจมส์ยังไม่เอาของมาให้อ่ะดิ พี่ถึงได้จะมายุ่งกับของขวัญของคนอื่นแบบนี้” คำพูดนี้ของผมเจ็บถึงทรวงเลยครับ พี่เตอร์นี่แทบทรุดลงไปกองกับพื้น



อ่อ ทุกท่านคงสงสัยสินะครับว่าทำไมผมถึงพูดเรื่องไอเจมส์กับพี่เตอร์ มันก็ไม่มีอะไรหรอกครับเพราะว่าไอเจมส์มัน…คบกับพี่เตอร์ไปแล้วล่ะครับ ทุกคนฟังไม่ผิดและไม่ต้องให้ผมรีรันอีกรอบนะครับ ถ้าอยากให้ผมรีรัน กรุณาย้อนกลับไปอ่านบรรทัดก่อนหน้านี้ซ้ำอีกรอบครับ ซึ่งผมไม่อยากจะอวดผมเนี่ยแหละที่เป็นคนทำให้ทั้งสองคนได้คบกัน ผมจำได้คร่าวๆว่าวันนั้นไอเจมส์มันมาถามที่อยู่พี่เตอร์กับผม แล้วหลังจากนั้นมันก็มาสารภาพกับผมว่า ‘กรูคบกับพี่เตอร์แล้วนะ..’ เห็นไหมล่ะครับว่าความดีความชอบนี้จะไปตกอยู่ที่ใคร ถ้ามันไม่ใช่ผม



แต่แค่นั้นก็ยังคงทำให้พวกคุณช็อคไม่พอ เพราะไอบาสเพื่อนสนิทของผมอีกหนึ่งหน่อ มันก็สารภาพออกมาบ้างว่าตอนนี้มัน ‘กำลังจีบพี่วิอยู่’ โอ้แม่เจ้า เรื่องสุดช็อคสองเรื่องประดังประเดเข้ามาในสมองผม ทำเอาวันนั้นผมเรียนไม่รู้เรื่องเลยครับ แต่ตอนนี้ผมก็หายตกใจแล้ว พี่วิก็ยังคงโดนไอบาสตามจีบอยู่ ส่วนพี่เตอร์ก็มักจะงอนไอเจมส์อยู่บ่อยๆ เพราะไอเจมส์มันบ้างานบ้ากิจกรรมจนไม่สนใจพี่เตอร์แก แต่ก็นะ เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ เรากลับมาคุยถึงเรื่องของขวัญของผมดีกว่า



“ศิคะ ศิรีบรับสิคะ น้องกรสุดที่รักอุตส่าห์เอามาให้ แถมมาเป็นกระถางเลยนะคะ ศิขา” พี่วินี่พูดแบบกลั้นขำเต็มที่ ก่อนจะดันร่างของพี่ศิให้ก้าวเดินไปข้างหน้า แต่ว่าพี่ศิแกยังตีสีหน้าเครียดกับของขวัญของผมอยู่ จึงไม่ยอมรับไปจากมือผมสักที คราวนี้ผมขมวดคิ้วเป็นปมแน่นเลยล่ะครับ นอกจากนั้นผมก็ดัน ‘ของขวัญ’ ของผมไปติดที่แผ่นอกกว้างของพี่ศิเลยล่ะครับ



“จะไม่รับใช่ไหม...ไม่รับ กรก็จะปล่อยให้มันร่วงไปเลยนะ” ผมพูดขู่พี่ศิไปจนทำให้พี่ศิ ‘จำใจ’ ยื่นมือมารับของขวัญของผมไปล่ะครับ เมื่อพี่ศิรับมัน ผมก็คลี่รอยยิ้มกว้างออกมา สงสัยกันล่ะสิว่าผมให้อะไรพี่แกไป จากที่พี่วิกับพี่เตอร์พูดกันมันก็คือกระถางต้นไม้ครับ แต่ว่ากระถางต้นไม้นี้ไม่ใช่พวกกระบองเพชร หรือไม้มงคลต่าง ๆ นะครับ เพราะกระถางต้นไม้ที่ผมให้พี่ศิไปนั้นมันคือดอกกุหลาบ Hybrid Tea ครับ ซึ่งพันธุ์ของดอกกุหลาบต้นนี้ก็คือไวท์คริสต์มาสครับ ซึ่งสายพันธุ์นี้เมื่อโตขึ้นจะเป็นดอกกุหลาบสีขาวบริสุทธิ์ครับ ความสูงของต้นราวๆเมตรถึงสองเมตรเลยล่ะครับ ผมจึงจับมันใส่ลงไปในกระถางที่ใหญ่สักหน่อย เพื่อให้ต้นไม้ต้นนี้ไม่ล้มกระถางก่อนที่มันจะออกดอก (ถึงตอนนี้มันจะเป็นต้นเล็ก ๆ ก็เถอะนะ)



“พี่รู้ว่ากรอยากให้ของขวัญพี่ แต่ว่า…ไอที่อยู่ในกระถางมันคืออะไรหรอครับ กร” พี่ศินี่ถึงกับเอ่ยถามผมด้วยความงุนงง กระนั้นเขาก็ดูดีใจอยู่ที่ผมให้ของขวัญแกเขา แต่ดูเหมือนพี่ศิแกอยากรู้ความหมายของกระถางต้นไม้ต้นนี้ของผมครับ ซึ่งผมก็ไม่คิดจะปิดบังอะไรพี่เขา ผมคลี่รอยยิ้มกว้างออกมาพร้อมกับพูดอธิบายพี่ศิออกไปด้วยสีหน้าระรื่น



“มันคือต้นอ่อนของดอกกุหลาบไง พี่ศิดูไม่รู้เหรอ” ผมไหวไหล่อธิบายพี่ศิไปพร้อมกับปัดมือเพื่อให้คราบดินที่เปื้อนติดมือจากกระถางต้นไม้ออกจากมือ แต่ผมที่อธิบายไป แกก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี แววตาของร่างสูงเต็มไปด้วยความฉงน คิ้วเข้มนั้นขมวดเป็นปมแน่น



“ก็กร…กรแค่จะบอกว่าต้นอ่อนของดอกกุหลาบต้นนี้ กรขอให้พี่ศิเลี้ยงมันให้เติบโต และในปีหน้าวันสำคัญของกรช่วยนำมันมาให้กรด้วยไงครับ” ผมนี่ก้มหน้าทันทีที่ผมพูดจบ ใบหน้าของผมนี่แดงจนไม่สามารถบรรยายเปรียบเทียบกับอะไรได้เลยครับ ส่วนพี่ศิที่ฟังประโยคเหล่านั้นจากผม พี่แกก็ใช้มือข้างที่ไม่เปื้อนดินยกขึ้นมาขยี้ศีรษะของผมพร้อมกับเอ่ยขอบคุณผมอย่างแผ่วเบา



พวกพี่บัณฑิตและนิสิตต่างๆเริ่มทยอยกันกลับบ้าน คนเริ่มซาลง พร้อมกับผมและพี่ศิที่ค่อยๆเดินกันออกมาจากบริเวณหอประชุมของมหาวิทยาลัย ผมเดินนำไปประประตูรถและช่วยเอาของขวัญที่พี่ศิได้มาจากพวกรุ่นน้องที่แอบปลื้มพี่เขาทั้งหมดยัดใส่เข้าไปในรถ



เมื่อจัดเรียงของใส่ไปในรถแล้วหลังจากนั้นก็เป็นหน้าที่ของผมที่จะขับรถกลับคอนโด ผมเข้าไปนั่งในที่นั่งคนขับส่วนพี่ศิเข้าไปนั่งอีกฝั่งหนึ่งของผม



แต่ก่อนที่ผมจะเคลื่อนตัวรถไป ผมก็เอ่ยประโยคสั้นๆออกมาให้พี่ศิฟัง ซึ่งประโยคพวกนั้นมันเกี่ยวกับกระถางดอกไม้ที่อยู่ในอ้อมแขนของพี่ศิ “พี่ศิรู้ความหมายของดอกกุหลาบไหม” ซึ่งไอคำถามที่ผมเอ่ยขึ้นลอยๆ พี่ศิเขาก็ได้ยินครับ  ใบหน้าคมพยักหน้าขึ้นลงเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขารู้จักภาษาดอกไม้ของดอกกุหลาบ



“งั้นก็คงรู้นะว่าความหมายของดอกกุหลาบสีขาวคืออะไร พี่ศิ…ความรู้สึกของกรก็เหมือนกับดอกกุหลาบสีขาวนั่นแหละ” ผมพูดออกไปเช่นนั้น ก่อนจะเหยียบคันเร่งเพื่อทำให้รถยนต์เคลื่อนที่ไปด้านหน้า



ดอกกุหลาบสีขาวนั้นหมายความว่าความรักที่บริสุทธิ์…



นั่นก็หมายความว่าความรักของกรที่มีให้กับพี่ศิเป็นความรักที่บริสุทธิ์ ส่วนคำตอบที่พี่ศิจะมอบให้แก่ผมนั้นคงต้องเป็นปีหน้าแล้วล่ะครับ กว่าผมจะได้รู้…คำตอบที่มาจากใจพี่เขา



_____________________________________




สุขสันต์วันเกิดนะคะพี่ศิ... ส่งจุ๊บให้พี่ศิ//


หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [*Special Chapter 1*] 09/02/2014 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 09-02-2014 18:51:11
น้องกรนี่มองการไกลมากกกก. พี่ศิช่วยดูแลความรักที่บริสุทธิ์ของน้องกรด้วยนะ จุ๊บ ๆ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [*Special Chapter 1*] 09/02/2014 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: พลอยสวย ที่ 09-02-2014 19:54:10
 :กอด1: กอดพี่ศิ จุ๊บุๆ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [*Special Chapter 3*] 16/02/2014 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 16-02-2014 14:50:07


โค้ง// โผล่หัวมาลงตอนพิเศษ 3 ค่า (ตอนพิเศษสองคืออะไร...ก็ไม่ร้สินะไว้เจอกันในเล่มนะค้า)



รายละเอียดการจองติดตามได้ที่ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=40768.msg2599402#msg2599402  ค่า



Special Chapter 3



เวลานั้นผ่านไปไวเหมือนโกหกจากที่ผมเล่าไปว่าพี่ศินั้นเรียนจบไปแล้วและตอนนี้มันก็ผ่านมาได้ 1 ปีแล้วล่ะครับ และไอ 1 ปีนั่นก็เป็นช่วงเวลาที่ผมเรียนปี 4 นั่นก็หมายความว่า ตอนนี้ผม นายรณกร กิตติพงษ์พิพัฒน์ เรียนจบแล้วนะครับ ขอบอก



ซึ่งในตอนนี้ผมรับพระราชทานปริญญาบัตรเรียบร้อย และกำลังถ่ายรูปกับเหล่าสหายทั้งหลายแหล่ และที่สำคัญตอนนี้ผมก็กำลังถ่ายรูปกับสาวๆที่ปลื้มผมอยู่ครับ ส่วนใหญ่จะเป็นรุ่นน้องที่ไม่รู้อะไรบ้างเลยว่าผมนั้นมีแฟนแล้ว แต่ก็เอาเถอะนะ ถึงแม้ผมจะจีบพวกเธอไม่ได้ก็เถอะ แต่ผมขอชมสิ่งสวยๆ งามๆ หน่อยเถอะ อย่างน้อยก็ขอได้ถ่ายรูปกับพวกเธอก็ยังดี และถ้าทุกคนคิดว่าพี่ศิหายไปไหน ทำไมถึงให้ผมป้อสาวได้ ผมขอบอกเลยว่าพี่ศิ…ติดงานมาไม่ได้ครับ



ซึ่งตอนแรกผมก็ชวนพี่แกมางานรับปริญญาของผมนะ เพราะผมอยากถ่ายรูปกับพี่แกอยากฉลองกับพี่แก ทว่าพี่ศิกับปฏิเสธคำชวนของผมอย่างรวดเร็วเลยครับว่าพี่แกติดงานมาไม่ได้แน่นอน และไอประโยคที่พี่ศิพูดออกมาประโยคนี้ทำเอาผมทะเลาะกับพี่แกจนบ้านแตกเลยครับ ซึ่งผมโมโหจัดถึงขั้นไล่พี่ศิออกจากคอนโดให้ไปนอนที่โรงพยาบาลและแต่งงานอยู่กินกับโรงพยาบาลที่รักของแกเลยครับ และนับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ผมก็ยังไม่ได้คุยกับพี่ศิเลยสักคำ รวมไปถึงการโทรศัพท์หรือการคุยผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์กครับ ซึ่งช่วงเวลานั้นมันผ่านมาร่วมสองอาทิตย์แล้วล่ะครับ



แต่เอายังไงก็เอา พี่ศิไม่มาก็ดี ผมผู้ซึ่งเป็นบัณฑิตใหม่จะได้รื่นเริงบันเทิงใจกับพวกเพื่อนๆ รุ่นน้อง รุ่นพี่ (ที่จบไปแล้ว) ที่มาแสดงความยินดีกับพวกเราครับ



ในอ้อมแขนของผมนี่เต็มไปด้วยช่อดอกไม้และของขวัญ ผมนี่หัวเราะร่าเลยล่ะครับ เพราะผมไม่คิดว่าทุกคนจะมีคนรู้จักมากมายขนาดนี้ บางคนที่เอาของมาให้ผม ผมยังไม่รู้จักเขาเลยล่ะครับ แต่ผมก็รับของขวัญที่พวกเขาให้มาด้วยใจ ประเด็นที่คนรู้จักผมเยอะก็คงเป็น เพราะผมเป็นรองประธานสโมฯ ของคณะวิศวะล่ะมั้งครับ (ส่วนประธานคือไอเจมส์ครับ) พวกผมก็เลยต้องไปติดต่อเรื่องกิจกรรมต่างคณะบ่อย ๆ ครับ ผมเลยคิดว่านั่นทำให้รุ่นน้องต่างคณะรู้จักผม ส่วนพวกรุ่นเดียวกันหรือต่างกันปีหนึ่งจะรู้จักผม เพราะว่าผมนั้นสร้างประวัติศาสตร์รักกับพี่ศิแกไว้ครับ จะให้พูดถึงก็น่าอายนะครับ โดนขอเป็นแฟนกลางสนามบาส ช่างเถอะครับ!! อย่าไปพูดถึงพี่ศิคนใจร้ายเลย ทุกคนมาแสดงความยินดีกันผมดีกว่า



ผมสะบัดหัวไล่ความคิดที่คิดถึงพี่ศิออกไปจากหัวให้หมด พร้อมกับถลาเข้าไปถ่ายรูปกับเพื่อน ๆ และคุณป๊า คุณม๊าคุณเจ้ คุณน้องสาวและน้องกัซที่มาแสดงความยินดีกับผมกันอย่างคับคั่ง ผมยืนยิ้มอยู่ท่ามกลางครอบครัวที่แสนน่ารักพร้อมกับคลี่รอยยิ้มกว้างถ่ายรูป (ซึ่งตากล้องนี่คุณม๊า เธอทุ่นทุนสุด ๆ ครับเพราะคุณม๊าแกจ้างมาให้ถ่ายงานวันรับพระราชทานปริญญาบัตรของผมโดยเฉพาะ แต่ก็เวลาล่วงเลยไปถึง 11 โมงแล้วครับ มันก็หมดเวลาที่ตามที่ตกลงกับตากล้องแล้วคุณม๊าและพี่ ๆ น้อง ๆ ของผมก็ขอตัวกันกลับบ้านก่อน ส่วนผมนี่ยังคงอยู่ที่มหาวิทยาลัยเพื่อถ่ายรูปกับเพื่อน ๆ ต่อครับ



ส่วนของขวัญและช่อดอกไม้ทั้งหมดผมฝากคุณป๊ากับคุณม๊าให้เอากลับบ้านไปครับ ด้วยเหตุผลที่ว่ามันเกะกะเวลาถ่ายรูป (เกรียน ๆ ครับ) ซึ่งนอกจากเสื้อผ้าแล้วสิ่งที่ติดตัวของผมก็มีเพียงใบปริญญาที่รับมาเมื่อเช้า โทรศัพท์มือถือที่แบตเหลือ 70 เปอร์เซ็นต์แล้วก็กระเป๋าเงินครับ  เมื่อผมฝากทุกสิ่งทุกอย่างกับคุณป๊าคุณม๊าไปจนหมดสิ้น ผมก็วิ่งถลาไปถ่ายรูปครับ



แต่ดูเหมือนว่าธุระของผมจะยังไม่จบนะครับ เพราะในขณะที่ผมกวาดสายตามองไปรอบๆผู้คนที่เริ่มซาลง ผมก็เห็นร่างสูงของคน ๆ หนึ่งเดินเข้ามาหาผมครับ ซึ่งผู้ชายคนนั้นเป็นคนที่ผมรู้จักและคุ้นเคยเป็นอย่างดีครับ ร่างสูงสง่านั้นก้าวเดินเข้ามาหาผมพร้อมกับดอกกุหลาบสีน้ำเงินดอกใหญ่ในมือครับ ในทันทีที่ผมเห็นร่างของเขาคนนั้นผมถึงกับเบ้ปากออกมาเลยล่ะครับ เพราะคนๆนั้นเป็นคนที่ผมไม่ได้คุยแต่ดันได้เจอหน้ามาสองอาทิตย์ครับ



ซึ่งคนๆนั้นก็เป็นใครไม่ได้นอกจาก นายแพทย์ศิรวิทย์ หิรัญศิริ ที่รักโรงพยาบาลและอยากแต่งงานกับโรงพยาบาลมากกว่าแฟนตัวเองครับ (แม้ในใจผมแจะแอบดีใจที่เขามาในวันสำคัญของผมก็เถอะนะครับ)



“พี่ยังมาทันใช่ไหมครับ กร…” เจ้าของเสียงทุ้มนั้นเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม ซึ่งไอรอยยิ้มนั่นทำเอาผมหมั่นไส้และสะบัดหน้าหนีพี่ศิแกทันทีเลยล่ะครับ และไออาการที่ผมแสดงออกมาแบบนี้ขอบอกเลยว่า ‘ผม งอน งอนมาก งอนที่สุด งอนโคตรๆ งอนแบบไม่ไหวแล้ว’ ครับ



เมื่อร่างสูงนั้นเห็นปฏิกิริยาแบบนั้นของผม เขาก็ทอดถอนลมหายใจออกมาเสียยาวเหยียดพร้อมกับพูดง้อผมในแบบของพี่ศิเขาครับ “กรครับ เราไม่ได้คุยกันมาตั้งสองอาทิตย์แล้วนะครับ เลิกงอนพี่ได้แล้วมั้งครับ กร” ไอประโยดนี้ดังขึ้น ผมนี่ตวัดตาไปมองพี่ศิแกหนึ่งที ก่อนจะสะบัดหน้าหันกลับที



ร่างสูงนั้นหัวเราะน้อย ๆ ในการกระทำของผม ก่อนจะยื่นดอกกุหลาบดอกใหญ่สีน้ำเงินมาให้แก่ผม “ดอกกุหลาบดอกนี้มาจากต้นดอกกุหลาบที่กรให้พี่เมื่อปีที่แล้วครับ ที่พี่บอกกรว่าพี่มาร่วมงานของกรไม่ได้ไม่ใช่ว่าพี่มาไม่ได้ทั้งวันนะครับ ที่พี่มาช้าเพราะมัวแต่เตรียมเจ้าดอกไม้ดอกนี้อยู่ครับ พี่อยากให้มันเป็นสีน้ำเงินที่กรชอบแล้วก็อยากให้มันเป็นสีน้ำเงิน เพราะความหมายของมันครับ” คำพูดนี้ทำเอาผมหายงอนไปถึง 90 เปอร์เซ็นต์เลยล่ะ แต่ผมก็ต้องมีความงอนอีก 10 เปอร์เซ็นต์เก็บไว้เล่นตัวบ้างอะไรบ้างครับ แต่ถึงผมจะนึกไว้แบบนั้น ผมก็ยื่นมือออกไปรับดอกกุหลาบดอกใหญ่ดอกนั้นมาถือไว้พร้อมกับลอบอมยิ้มเล็กน้อย แต่ก็ยิ้มแค่แปบเดียวเท่านั้นครับ



“กรครับ รู้ความหมายของดอกกุหลาบสีน้ำเงินหรือเปล่าครับ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอีกครั้งพร้อมกับกล่าวคำถามถามผม  ซึ่งตัวผมก็ไม่รู้หรอกครับว่ามันหมายความว่ายังไง ผมก็เลยส่ายหัวเป็นคำตอบตอบไป เมื่อผมทำเช่นนั้นร่างสูงก็คลี่ยิ้มกว้างออกมาพร้อมกับโน้นตัวลงมากระซิบเบาข้างหูผม



“ความหมายของดอกกุหลาบสีน้ำเงินมันมีความหมายว่า ‘ปฏิเสธ’ ครับ…” ไอคำพูดนี่ของพี่ศิทำเอาผมน้ำตาเล็ดเลยล่ะครับ ผมนี่เกือบจะเหวี่ยงดอกกุหลาบนี้ใส่หน้าพี่ศิ แต่ดูเหมือนคำพูดของพี่ศิจะยังไม่จบ และในประโยคถัดไปที่ร่างสูงนั้นจะเอ่ยออกมา ริมฝีปากหนานั่นคลี่รอยยิ้มออกมา ก่อนที่จะเอ่ยประโยคที่ตนตั้งใจจะพูดต่อไปออกมา “แต่อีกความหมายหนึ่งของมันก็คือ ‘รักแรกพบ’ ครับกร…เพราะตั้งแต่วินาทีแรกที่พี่เห็นกรและได้รู้จักกร พี่ก็ตกหลุมรักกรตั้งแต่วินาทีแรกนั่นแล้วล่ะครับและที่ยิ่งไปกว่านั้นพี่รักกรมากขึ้นทุกวัน…ทุกวันและทุกวันครับ” คำสารภาพรักนั่นพาระทวยตัวของผมที่ยืนอยู่นี่แทบจะทรุดลงไปกองกับพื้นเลยหละครับ



นั่นก็เป็นเพราะถ้อยคำของพี่ศิที่กระซิบเบาผ่านสายลมมาบอกผม มันเป็นเหมือนคำสาบานที่พี่ศิแกยืนยันว่าเขาจะรักผมตลอดไป ผมเม้มริมฝีปากตัวเองแน่น ส่วนใบหน้าขาวนั้นขึ้นสีแดงชาดออกมา



แม้ผมจะได้ยินถ้อยคำสารภาพรักแบบนั้น แต่กระนั้นตัวของผมก็ไม่วายที่จะเอ่ยคำพูดที่กวนประสาทออกมา “หายงอนก็ได้ แต่คนอย่างนายแพทย์ศิรวิทย์ หิรัญศิริเอามาได้แค่นี้เองเหรอ” ผมพูดพร้อมกับไหวไหล่ตนพร้อมกับยกช่อดอกกุหลาบสีน้ำเงินขึ้นมามอง ซึ่งพี่ศิก็ได้แต่คลี่ยิ้มออกมา แต่ก็เลือกที่จะไม่พูดอะไร ผมนี่ขมวดคิ้วใส่พี่เขาแน่นก่อนจะเดินย้อนกลับไปหาพวกเพื่อนๆเพื่อบอกว่าผมนั้นจะขอตัวกลับก่อน



สหายทั้งหมดนี่เลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย แต่เมื่อพวกมันเห็นดอกกุหลาบสีน้ำเงินในมือผม มันก็พร้อมใจกันชะโงกหน้าไปมองบุคคลที่ยืนอยู่ทางด้านหลังของผม



และเมื่อพวกมันเห็นแบบนั้น รอยยิ้มไม่น่าไว้ใจของพวกสหายทั้งหมด (ซึ่งยกเว้นไอเจมส์ที่มันสวีทหวานกับสามีมันอยู่ และไอบาสที่กุ๊กกิ้กกับพี่วิอยู่) ก็ถูกส่งมาให้ผม ไอตัวผมนี่แทบจะปาของในมือตัวเองใส่หน้าพวกมัน แต่ก็ต้องคำนึงไว้ว่าของที่อยู่ในมือของผมมันเป็นช่อดอกไม้ที่พี่ศิแกให้ผม ซึ่งมันไม่ได้เป็นเพียงช่อดอกไม้ แต่มันเป็นช่อดอกไม้ที่มอบหัวใจมาให้ผมด้วยครับ ผมจึงได้แต่สะบัดหน้าหนีพร้อมกับเดินถือช่อดอกกุหลาบสีน้ำเงินกลับไปหาพี่ศิ



“กลับกันเถอะพี่ศิ กรเหนื่อยแล้วก็ร้อนด้วย” คำพูดของผมทำให้พี่ศิเขาตกใจ แต่พี่แกก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรกับผม



ร่างสูงนั้นสาวเท้าเดินนำไปที่รถของเขาพร้อมกับเปิดประตูที่นั่งข้างคนขับเพื่อให้ผมก้าวขึ้นไปนั่ง ทว่าก่อนที่ผมจะได้ก้าวเท้าขึ้นไปบนรถ ร่างสูงนั้นทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก เขาเอ่ยพูดให้ผมเดินไปหลังรถพร้อมกับเขาที่ไขกุญแจเพื่อเปิดฝากระโปรงหลังรถขึ้น



และเมื่อฝากระโปรงรถทางด้านหลังเปิดขึ้น ภาพที่ไม่น่าเชื่อก็ปรากฏแก่สายตาของผม ในกระโปรงหลังรถนั่นมีดอกกุหลาบสีแดงสดวางเรียงรายกันอยู่ ผมหันไปมองหน้าพี่ศิที่ระบายไปด้วยรอยยิ้ม ส่วนใบหน้าของผมนั้นเต็มไปด้วยความตกตะลึงกับภาพที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของผม



และเมื่อผมพอที่จะตั้งสติของตัวเองได้ มือของผมก็ค่อยๆยื่นไปหยิบดอกกุหลาบในท้ายรถนั่นขึ้นมาหนึ่งดอก ซึ่งดอกกุหลาบดอกนั้นเป็นดอกกุหลาบแดงที่ไร้หนามครับ



“ดอกกุหลาบสีแดงสดทั้งหมด เก้าร้อยเก้าสิบเก้าดอกครับ และทั้งหมดเป็นดอกกุหลาบไร้หนาม…” พี่ศิอธิบายถึงดอกกุหลาบพวกนั้น ซึ่งในเวลานั้นสติของผมไม่พร้อมที่จะฟังคำพูดของพี่ศิอีกแล้วครับ เพราะในตอนนี้หัวใจของผมเต้นแรงราวกับว่ามันจะหลุดออกมาจากอก ใบหน้าสีแดงชาดของผมที่มันแดงอยู่แล้วมันยิ่งขึ้นสีแดงก่ำยิ่งขึ้นไปอีก



“ซึ่งดอกกุหลาบไร้หนามมีความหมายเดียวกับดอกกุหลาบสีน้ำเงินที่กรถืออยู่ และจำนวนทั้งหมดเก้าร้อยเก้าสิบเก้าดอกมันหมายความว่า… ‘ผมจะรักคุณยันวินาทีสุดท้ายครับ’…” สิ้นเสียงพูดของพี่ศิ ทำเอาผมแทบลงไปนอนกองที่พื้นเลยล่ะครับ



การกระทำ ถ้อยคำและดวงตาที่พี่ศิแสดงออกมาให้ผม มันทำให้ผมรับรู้ว่าพี่ศินั้นเขาจริงจังมากๆเลยครับ…และเมื่อตัวผมนั้นตั้งสติได้ ผมก็ถลาเข้าไปกอดคอพี่ศิแกแน่นเลย  น้ำตาของผมที่กลั้นมานาน มันค่อยๆไหลรินออกมา แต่ที่มันไหลออกไม่ใช่เพราะความน้อยใจหรือเสียใจนะครับ มันเป็นน้ำตาแห่งความยินดีมากกว่า



‘ขอบคุณนะครับพี่ศิ...ที่พี่ศิรักกรมากมายขนาดนี้’




_______________________________



ไอแคก ๆ กับความหวานของตอนนี้ เจอกันปลายเดือนค่ะ ตอนพิเศษ 4.1 ที่ตะลงเป็นตอนสุดท้าย
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [*Special Chapter 3*] 16/02/2014 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 16-02-2014 17:33:54
หวานกันจริง พี่ศิกับน้องกร เนี่ย

อิจฉาตาร้อนเลยจ้า
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [*Special Chapter 3*] 16/02/2014 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: MoMoRin ที่ 17-02-2014 01:32:40
บแกคำเดียวว่า*อิจฉา*น้องกรจริงๆ
แบบพี่ศินี่หาได้ที่ไหนอีกมั้ยคะ ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [*Special Chapter 3*] 16/02/2014 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: พลอยสวย ที่ 17-02-2014 01:50:35
 :impress2: พี่ศิโรแมนติกว๊อยยยย
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [*Special Chapter 3*] 16/02/2014 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 17-02-2014 11:25:29
...อิจฉาเบาๆ...ชริ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [*Special Chapter 3*] 16/02/2014 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: paladin.kn ที่ 22-02-2014 22:59:52
โอ๊ยยยยยย อิจฉาน้องกรรรรร

 :ling1: :ling1: :ling1:

เราอยากได้พี่ศิอ่าาาาาาาาาาาาาาา

ผู้ชายในฝัน นายมันเป็นผู้ชายในฝันชัดๆ ศิรวิทย์!!!!
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [*Special Chapter 3*] 16/02/2014 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 27-02-2014 19:05:36

สวัสดีค่ะ อันนี้พลอยมาลงตอนพิเศษตอนสุดท้ายให้ทุก ๆ คนอ่านค่ะ (ส่วนตอนที่เหลือตามได้ในเล่มนะคะ ยังคงเปิดจองอยู่)


ถ้าหากสนใจสามารถอ่ายรายละเอียดได้ในลิ้งค์นี้นะคะ


http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=40768.msg2599402#msg2599402






Special Chapter 4.1 [Special Talk – Ronnakorn & Korakarn]



ถ้าบางครั้งตัวเรามีปัญหาข้องใจ หรือปัญหาที่บอกใครไม่ได้ เขาว่าให้เราถามเพื่อนสนิท แต่ถ้าเพื่อนสนิทที่สุดมันดันพูดเรื่องพวกนี้ใส่มันไม่ได้ เราก็ต้องหาเพื่อนที่สนิทถัดไปจากคนๆนั้น และนั่นก็ทำให้ผมต้องมานั่งอยู่ในร้านกาแฟยี่ห้อดังที่มีตราสีเขียวเป็นโลโก้ครับ และบุคคลที่ผมเลือกที่จะปรึกษาปัญหา (ไม่สิ มันไม่ได้เรียกว่าปัญหามันคงเรียกว่าข้อข้องใจมากกว่าครับ) นั่นก็คือกรกานต์ หนุ่มน้อยผู้แสนน่ารักน่าชังครับ



ไอตอนที่ผมโทรศัพท์หากานต์ เพื่อที่จะนัดดื่มกาแฟยามบ่ายและคุยเรื่องส่วนตัวนี่ เสียงเล็กๆหวานๆที่ดังผ่านสายโทรศัพท์นั้น มันแทบจะทำให้ความกังวลนั้นหายไปเลยล่ะครับ แต่ก็ดูเหมือนว่าการ Healing ผ่านการโทรศัพท์นี่ยังคงไม่เพียงพอที่จะทำให้ความกังวลของผมหายไปครับ ผมจึงต้องขอนัดกับกานต์ในวันจันทร์วันนี้เวลาบ่ายโมงครับ ซึ่งตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมงตรงและเบื้องหน้าของผมนั้นมีร่างบอบบางของกรกานต์นั่งอยู่ครับ รอยยิ้มพิมพ์ใจของกานต์ที่เริ่มทำการ Healing จิตใจและร่างกายของผมอีกครั้ง ซึ่งผมก็ปล่อยให้มัน Heal ผมอยู่นาน จนในที่สุดกรกานต์ผู้แสนน่ารักก็เอ่ยถามผมออกมาว่าการที่ผมโทรไปขอนัดกานต์มาด้วยเหตุผลอะไร



“กรมีอะไรจะคุยกับกานต์เหรอ” ใบหน้าหวานนั้นจับจ้องมาที่ผมพร้อมกับเอ่ยคำถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่แสนอ่อนโยน กานต์นี่เป็นคน Healing ชั้นยอดเลยล่ะครับ แค่ได้ยินเสียงหวาน ๆ นั่น ก็ทำเอาผมเกือบจะลืมเรื่องราวที่จะเล่าที่จะถามทั้งหมดในสมองหายไปเลยหละครับ ผมนั่งเพ้อกับน้ำเสียงและใบหน้าหวาน ๆ ของกานต์อยู่นานจนกานต์ต้องเอ่ยถามซ้ำผมถึงจะรู้สึกตัวครับ “กร…เป็นอะไรหรือเปล่า” น้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความกังวล ซึ่งเมื่อผมโดนประโยคคำถามกระตุ้นเป็นครั้งที่สอง ผมก็รีบเอ่ยคำถามที่แสนจะน่าอายออกไป และคำถามที่ผมเอ่ยออกไปทำให้กานต์ถึงกับอึ้งแก้วน้ำที่อยู่ในมือบอบบางนั่นแทบร่วงไปลงกองที่พื้น



“กานต์ กรอยากถามว่าครั้งแรกของกานต์กับอาจารย์ธาราเป็นยังไงเหรอ” การกระทำของผู้ถูกถามถึงกับชะงักค้าง ทั้งใบหน้าหวานนั่นค่อย ๆ ขึ้นสีแดงเรื่อง



“คือกรกับพี่ศิ...เรื่องนั้นช่างมันเถอะ แต่ที่กรอยากถามก็คือว่ากานต์จะรู้สึกเหมือนที่กรรู้สึกหรือเปล่า…ไอครั้งแรกน่ะ” ซึ่งไออาการหน้าแดงมันไม่ใช่คนที่ถูกถามจะหน้าแดงหรอกนะครับ ไอคนถามแบบผมนี่ก็หน้าแดงด้วย พวกเราสองคนก้มหน้าไม่มองหน้ากันอยู่นานจนในที่สุด กรกานต์ผู้แสนน่ารักก็ค่อยๆเอ่ยตอบผมกลับมาครับ ซึ่งคำตอบที่กานต์เอ่ยตอบกลับมานั่นทำเอาผมแทบช็อคครับ เพราะผมคิดว่าไม่มีใครอดทนเท่ากับพี่ศิอีกแล้ว แต่นี่ยังมีคนที่อดทนกว่าพี่ศิอีกครับ อดทนกว่าไม่พอแถมคนๆนั้นไม่มีท่าทีที่จะแตะต้องคนสำคัญของเขาเลยสักนิดครับ



“กานต์...ยังไม่เคยนะกร” เจ้าของใบหน้าหวานนั่นเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา ก่อนริมฝีปากบางนั่นจะเม้มเข้าหากันแน่น เอาล่ะครับ ท่าทางผมจะมาปรึกษาผิดคนซะแล้วล่ะครับแบบนี้ แถมคำถามของผมทำให้คนไม่ประสีประสาเรื่องทางเพศอย่างกานต์เขินได้อีก ถ้าอาจารย์ธารารู้เข้านี่ผมถึงตายเลยนะครับเนี่ย แต่ก่อนที่ผมจะทันได้คิดถึงท่าตายของผม กานต์กลับเอ่ยถามสวนกลับมา “แล้วกรรู้สึกยังไงเหรอ ครั้งแรกน่ะ…มันเจ็บมากไหม คือกานต์ก็อยากรู้นิดหน่อยน่ะ แต่ถ้ากรไม่สะดวกใจเล่าให้กานต์ฟังก็ไม่เป็นไรนะ” คำถามนี่ทำเอาผมสำลักน้ำส้มอันเป็นที่รักของผมเลยล่ะครับ



คนอย่างกานต์ ผู้ใสซื่ออยากรู้เรื่องพวกนี้ แม่เจ้า ผมไปเปิดโลกทัศน์ใหม่ของกรกานต์ขึ้นแล้วสินะครับ ไอผมก็กระดากอายที่จะเล่า แต่ถ้าปล่อยให้คนอย่างกรกานต์ไปเรียนรู้เรื่องพวกนี้เอง ท่าจะแย่นะครับ ผมจึงตัดสินใจ…เล่าก็เล่าวะ มือของผมค่อยๆเอื้อมไปกุมมือบอบบางของกานต์ก่อนจะกลั้นใจเราเรื่องราวทั้งหมดออกไป



“คือความจริงแล้วกรน่ะ โดนเจมส์มันแกล้ง แต่จริงๆมันก็เกิดมาจากความสงสัยในตัวพี่ศิของกรนั่นล่ะ กรแค่คิดว่าพี่ศิตายด้านหรือเปล่า ก็เลยทดสอบนิดหน่อย คือที่คิดแบบนั้นก็เพราะพี่ศิแกไม่มีท่าทีที่จะ….เอ่อ…แตะต้องกรเลย กรก็เลยทดสอบอะไรนิดหน่อยแล้วก็เป็นเรื่องขึ้นมาเลยล่ะ” ปากผมก็เล่าไปส่วนใบหน้านั้นก็แดงไป ในใจของผมนี่ผมไม่อยากจะเล่าต่อแล้วล่ะครับ แต่เงยหน้าไปมองใบหน้าสวยที่ทำท่าตั้งอกตั้งใจฟัง มันทำเอาผมทำลายความอยากรู้อยากเห็นของกานต์ไม่ได้ครับ



“แล้ว…เริ่มแรก…มันเป็นยังไงเหรอกร” คำถามแต่และคำถามของกานต์นี่ฟังดูก็รู้ล่ะครับว่าเขาถามด้วยความอยากรู้และไม่ประสาต่อโลก ทว่าแต่ละคำถามที่กานต์ถามมาเนี่ย ทำเอาผมที่ต้องกลั้นใจเล่า เอาหน้ามุดดินไปหลายเมตรเลยครับ



“ก็...ก็…เริ่มจากจูบน่ะ จากปากแล้วก็ไล่ไปที่คอ” เมื่อผมพูดประโยคนี้ออกไปจนจบ นัยน์ตาคู่งามที่ประดับอยู่บนใบหน้าของกรกานต์ก็เปลี่ยนเป้าหมายจากหน้าผมไปเป็นบริเวณคอเสื้อที่เปิดอยู่ และเมื่อสายตานั่นเห็นรอยแดงๆรอบคอผมกานต์ก็ถึงกับฟุบหน้าลงไปกับโต๊ะเลยล่ะครับ



ท่าทางเด็กน้อยผู้ใสซื่ออย่างกรกานต์คงจะรับรู้ได้แค่นี้ล่ะมั้งครับ และในขณะที่ผมกำลังเลิกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกรกานต์ ผู้ที่ตอนนี้ใบหน้าของเขาแดงก่ำก็เงยหน้าขึ้นจากโต๊ะพร้อมกับกุมมือของผมแน่น ริมฝีปากบางสีหวานนั้นเอ่ยให้ผมเล่าเรื่องราวขั้นต่อไปอย่างสั่นเครือ (ทั้งๆที่คนที่น่าจะอายเป็นผมนะครับ…ไม่ใช่กานต์ แต่พอเห็นท่าทางไม่ประสาแบบนั้นของกานต์แล้วทำเอาตัวผมนี่เขินไม่ลงเลยล่ะครับ)



“กร…แล้วต่อไปยังไงเหรอ” ริมฝีปากบางนั้นเอ่ยเสียงสั่นพร้อมกับค่อย ๆ ขยับใบหน้าตนเขามาใกล้ใบหน้าของผม สภาพของผมกับกานต์ตอนนี้ ถ้าเกิดพี่ศิหรืออาจารย์ธารามาเห็นนี่อาจจะเกิดการเข้าใจผิดกันได้ง่ายๆ เลยล่ะครับ แต่ด้วยท่าทางที่มุ่งมั่นและจริงจังของกานต์ทำเอาผมไม่กล้าจะหักหาญน้ำใจของเขาก็เลยตัดสินใจรีบๆเอ่ยขั้นตอนต่อไปให้มันจบเร็ว ๆ



“ก็…หลังจากนั้นก็เล้าโลมน่ะ…กานต์เข้าใจความหมายนี้ไหม” ผมพยายามอธิบายออกมาให้กานต์ฟังเป็นรูปประโยคที่ไม่ติดเรทที่สุด ซึ่งกานต์ก็พยักหน้าเข้าใจครับ แต่ไอหลังจากนี้ต่อไปมันเริ่มทำให้ผมไม่ค่อยอยากจะอธิบายให้กานต์ฟังแล้วล่ะครับ เพราะประสบการณ์ครั้งแรกของผมมันปกติซะที่ไหน…กันล่ะ เพราะว่าครั้งแรกของผมมันก็เป็นอย่างที่ทุกๆคนรู้นั่นแหละครับ…ในห้องน้ำพร้อมกับสายน้ำที่ไหลรดร่ากายของผมกับพี่ศิ



ยะ..ยิ่งคิดถึงมันก็ยิ่งเขิน ยิ่งนึกถึงก็พาลย้อนกลับไปคิดว่าตัวเองทำแบบนั้นไปได้ยังไง ไม่ว่าจะเสียงคราง หรือการกระทำที่แสดงให้อีกฝ่ายเห็นว่าเขาต้องการให้ร่างกายของเราทั้งสองคนเป็นหนึ่งเดียวกัน



“แล้วยังไงต่อเหรอกร” กานต์ยังถามไม่ยอมหยุดครับ เพราะตอนนี้กานต์กำลังไล่บี้ถามคำถามขั้นต่อไปกับผมอยู่ ซึ่งอย่างที่บอกครับผมกระดากอายจนเกินกว่าจะเล่าออกไปได้



ทว่าผมที่โดยใบหน้าหวานที่งดงามราวกับเด็กผู้หญิงใช้สายตาจริงจังจ้องเข้าๆ มันก็ทำเอาผมใจอ่อนเล่าให้กานต์ฟังต่อครับ “ก็คือ…ครั้งแรกของกรกับพี่ศิน่ะไม่ใช่บนเตียงหรอกนะ มันมีเหตุสุดวิสัยมันเลยไปลงเอยในห้องน้ำน่ะ หลังจากเล้าโลมพี่ศิก็…แทรก นั่นล่ะเข้ามาแล้วขยับน่ะ” สิ้นประโยคนี้ ผมก็รู้สึกว่ากานต์นั้นได้ช็อคหมดสติไปแล้วครับ ใบหน้าหวานนั่นแดงก่ำ ซ้ำดวงตาคู่งามสีฟ้าน้ำทะเลนั้นเหม่อลอยและที่สำคัญในหัวของกานต์นั่นไม่รู้จะจิตนาการอะไรต่อมิอะไรไปแล้วล่ะครับ



มือทั้งสองผมค่อยๆ เขย่าร่างของกานต์เบาๆเพื่อเรียกสติ แต่ดูเหมือนกว่าตอนนี้สิตของกานต์ล่องลอยไปไกลแสนไกลแล้วล่ะครับ ผมนั่งมองกานต์ที่สายตาเหม่อลอยไปราว ๆ สิบถึงสิบห้านาที กานต์ก็ดูเหมือนว่าจะกลับมาเป็นปกติแล้ว ทว่าใบหน้าของกานต์ก็ยังคงแดงก่ำอยู่ครับ มือบอบบางนั่นบีบมือของผมแน่น พร้อมกับริมฝีปากสีหวานที่เอื้อนเอ่ยออกมาเป็นคำพูดของคนที่ไม่ประสากับเรื่องราวพันธ์นี้ว่า



“กานต์…อยากรู้จังเลยว่าพี่ธาราเขาอยากจะทำกับกานต์เหมือนอย่างพี่ศิทำกับกรหรือเปล่า” กานต์เอ๊ย ถ้ายังไม่อยากเสียตัว อย่าไปถามคำถามกับอาจารย์ธาราเลยครับกานต์ กรขอเตือน!





____________________________



ขอบคุณทุก ๆ คนที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้

ขอบคุณทุกคอมเม้นและยอดอ่านค่ะ

แต่พลอยจะมาอัพเดทเรื่อย ๆ นะคะ เกี่ยวกับการสั่งจองและรายละเอียดของแถมต่าง ๆ ในกระทู้นี้ค่า
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [*Special Chapter 4.1*] 27/02/2014 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: พลอยสวย ที่ 27-02-2014 20:38:11
 :katai1: เค้าพลาดฉากนี้เหรอ ไหนนนนอยู่ตอนไหนน
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [*Special Chapter 4.1*] 27/02/2014 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 27-02-2014 22:30:15
นั่นสิ อยู่ตอนไหนหว่า555
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [*Special Chapter 4.1*] 27/02/2014 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: dark-soleil ที่ 03-03-2014 15:58:54
ม่ายยยยยยยยยย ครั้งแรกของน้องกรหายไปหนายยยยยยย  :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [*Special Chapter 4.1*] 27/02/2014 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 03-03-2014 17:24:16
กรเลือกกานต์มาฟังปรึกษานี่ แน่ใจหรือ 5555
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [*Update 1*] 3/03/2014 P.13
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 03-03-2014 22:14:15
ตออบคำถามของคุณคนว่า ครั้งแรกของน้องกรอยู่ไหน ...


คำตอบก็คือ "อยู่ในรวมเล่ม ตอนพิเศษที่ 4 ค่ะ" วิ่งมาแจ้งแล้วจากไป


แล้วก็ก่อนจากกัน...เราขอแปะของแถมนิยายที่ทางโรงพิมพ์ได้จัดส่งมานะคะ >< ขอบอกเลยว่าของแถมทุกชิ้นนี่สวยสดงดงามมากค่ะ ><


(http://i529.photobucket.com/albums/dd340/S_oKiss/DSC02503.jpg) (http://s529.photobucket.com/user/S_oKiss/media/DSC02503.jpg.html)


สภาพยัดลงแพคเกตแล้วนะคะ ส่วนบัตรนิสิตของพี่ศิกับน้องกรก็ต้องรอภาพจากเกรสที่น่ารักก่อนค่ะ ; w ;... โปสการ์ดจากเกรสเรายังไม่เสร็จ


(http://i529.photobucket.com/albums/dd340/S_oKiss/DSC02505.jpg) (http://s529.photobucket.com/user/S_oKiss/media/DSC02505.jpg.html)


หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [*Update 1*] 3/03/2014 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: RenaBee ที่ 04-03-2014 12:05:27
จะรอรับพี่ศิและน้องกรค่า  :mew1:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [*Update 2*] 19/03/2014 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 19-03-2014 21:26:06
สวัสดีค่ะมาแจ้งรายละเอียดนะคะ ทุกท่านที่สั่งจองหนังสือ เรื่องLove surgery 1-2 ตอนนี้เตรียมจัดส่งแล้วค่ะ


โดยการจัดส่งพลอยจะทำการจัดส่งเซทธรรมดาก่อนเนื่องจาก.... "ของแถมเซทลีมีเต็จยังทำไม่เสร็จค่ะ" ต้องขออภัยด้วยจริง ๆ นะคะ


วันนี้เลยมาแซมเปิ้ลหนังสือให้ทุก ๆ ท่านดูกันค่ะ


(http://i529.photobucket.com/albums/dd340/S_oKiss/S__8871941.jpg) (http://s529.photobucket.com/user/S_oKiss/media/S__8871941.jpg.html)


(http://i529.photobucket.com/albums/dd340/S_oKiss/S__8871939.jpg) (http://s529.photobucket.com/user/S_oKiss/media/S__8871939.jpg.html)


หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [*Update 3*] 30/05/2014 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 30-05-2014 11:28:14

ประกาศรีปรินท์นิยาย ค่ะ รายละเอียดทั้งหมดยังเป็นเช่นเดิมค่ะ เปิดจองจนกว่าจะคร 20 ชุดค่ะ

Basic Set

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=40768.msg2599402#msg2599402
หัวข้อ: Re: [จบแล้วค่ะ]- Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [*Update 3*] 30/05/2014 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 30-05-2014 22:46:30
 :mew1:
หัวข้อ: Re: [จบแล้วค่ะ]- Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [*Update 3*] 30/05/2014 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 17-06-2014 21:57:53
จบแล้ว


หวานละมุนละไมอยู่ในทุกตอน

หวานทุกความรู้สึกไม่มีจางหายไป

อ่านแล้วรู้สึกอยากมีแบบนี้สักคน

ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆที่แบ่งปันขอรับ

หัวข้อ: Re: [จบแล้วค่ะ]- Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [*Update 3*] 30/05/2014 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Bear Company ที่ 19-10-2014 22:38:56
 o16 ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: [จบแล้วค่ะ]- Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [*Update 3*] 30/05/2014 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: ployspy ที่ 07-12-2014 23:26:42
โอ๊ยยยย ไม่ไหวแล้ว เขินนนน
อยากได้แบบพี่ศิซักคนจังเลย
อิจฉากร  แต่กว่าจะลงเอยกันได้ลุ้นแทบแย่
แต่ว่า..อยากอ่านตอนสุดท้ายของน้องกร มันหายไปไหน ฮือออออ
จบได้น่ารักมากค่ะ
หัวข้อ: Re: [จบแล้วค่ะ]- Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [*Update 3*] 30/05/2014 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: wavalove ที่ 01-01-2015 06:31:44
 :n1: :n1: :n1: :n1:

โอ้ยย 

เป็นคู่ในอุดมคติเลยนะนิ

 :mew3: :mew3: :mew3:
หัวข้อ: Re: [จบแล้วค่ะ]- Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [*Update 3*] 30/05/2014 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: mickeyz.min ที่ 02-01-2015 22:38:22
มุ้งมิ้งเหลือเกิน  ลุ้นแทบตายกลัวจะมาม่าอืด รอดไแนะเน๋ยยยยย :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: [จบแล้วค่ะ]- Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [*Update 3*] 30/05/2014 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Blue ที่ 28-02-2015 22:24:57
น่ารักกกกกกกกก :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้งข่าวค่ะ] 25/03/2015 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 25-03-2015 16:40:24
แจ้งข่าวค่า ไม่รู้มีใครต้องการหนังสืออีกไหม รายละเอียดตามนี้ค่ะ ขอโทษด้วยที่ไม่สามารถอัพเดทรายละเอียดในนี้ได้นะคะ


https://www.facebook.com/pages/WIFACs-Work-Page/376396462412920?fref=nf

หรือ

http://my.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=1060523&chapter=55

หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้งข่าวค่ะ] 25/03/2015 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: ::UsslaJlwaJ:: ที่ 28-03-2015 03:52:56
สนุกกอ่านจนจบเลย ที่จริงไม่ชอบอ่านนิยายที่เขียนด้วย กรู มรึง มีร.เรืออ่ะ แอบคิดว่าน่ารำคาญ แต่พออ่านมองข้าวๆไป เพราะพี่ศิน้องกรคุยกันไม่ได้ใช้ ก็ค้นพบว่าเรื่องนี้สนุกมาก น่ารักมากจ้า
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้งข่าวค่ะ] 25/03/2015 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Kamung ที่ 30-03-2015 15:05:54
ชอบมากกกกกกกกกก :hao7:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้งข่าวค่ะ] 25/03/2015 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: sunipum ที่ 30-03-2015 15:32:45
อ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ สนุกมาก ชอบพี่ศิมาก น่ารัก อบอุ่น อ่อนโยน เป็นสุภาพบุรษมาก พ่อบ้านสุดๆพร้อมเข้าใจน้องทุกเรื่องไม่ว่าจะเรื่องอะไร คือยอมทุกอย่างอ่ะที่ยอมได้ชอบมาก ส่วนน้องนิสัยเราว่าก็โอเคนะ ก็ไม่ถึงกับงี่เง่ามันก็แค่บางเรื่องแต่ก็พอเข้าใจได้  แล้วที่ดีสุดๆคือเป็นน้องเป็นคนพูดตรงๆคิดยังไงก็พูดออกมา ณ จุดนี้ก็เลยไม่ค่อยมีมาม่า ซึ่งเราชอบมาก สรุปรวมๆนะค่ะ เนื้อเรื่องโอ มันค่อยๆเป็นค่อยๆไป ความสัมพันธ์ค่อยๆเดิน ไม่หวือหวา สนุกค่ะ ขอบคุณคนแต่งนะค่ะมี่แต่งนิยายสนุกๆ ดีๆมาให้ได้อ่านกัน
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้งข่าวค่ะ] 25/03/2015 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: choinudee ที่ 01-04-2015 11:04:09
อ่านกันตาแฉะเลยทีเดียว

น่ารัก สนุกดี

ขอบคุณนะคะ :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้งข่าวค่ะ] 25/03/2015 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 05-04-2015 20:44:41
ชอบตอนพิเศษ ที่กราไปปรึกษากานต์ จัง :hao7:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้งข่าวค่ะ] 25/03/2015 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Peung002 ที่ 12-04-2015 19:44:18
เรื่องน่ารักเชียวค่ะ
แอบส่งเมลล์ไปหาเรื่อง re-print แต่ไม่เห็นตอบกลับมาอ่า  :ling3:
อยากได้ๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้ง+สปอย] 14/04/2015 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 14-04-2015 08:43:54
สวัสดีค่ะเรื่อรีปรินท์นิยายพลอยยังเปิดให้จองอยู่ค่ะ ตามที่แจ้งคือจนกว่าจะถึงยอดที่กำหนดค่ะ



http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46318.msg3023588#msg3023588



พลอยตองขอขอบคุณทุก ๆ คนมากเลยนะคะที่ชอบนิยายของพลอย เขินจังเลยหนูขอเอาหัวมุดพื้นแปป(ไม่ใช่ละ)


แต่วันนี้ออกจะเป็นวันพิเศษของพลอยเล็กน้อยพลอยเลย... สปอยเรื่อง(เก่า)ใหม่? (ที่แต่งค้างไว้ราว ๆ 1 ปี)มาให้ลองอ่านกัน แอบอยากรู้ว่ามีคนสนใจภาคต่อ...?? ของเรื่องนี้ไหมเพราะชื่อเรื่องเป็น Love Surgery ยกกำลังสองค่ะ


แต่ถึงบอกไปว่าเป็นภาคต่อแต่ก็เป็นสตอรี่ของคู่อื่นค่ะ (แต่มีพี่ศิน้องกรออกมาแน่นอนถ้าไม่มีคู่นี้ในเนื้อเรื่องนี้ก็คงไม่สมหวังกันและน้องกรที่น่ารักก็ยังไม่ได้เอาคืนเพื่อนเลิฟคนนี้เลย)



.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.



Intro



คนเรามักมีสัญญาในสมัยเด็กหรือไม่คนเราก็มันจะมีความฝันตอนเด็กว่าโตขึ้นนั้นพวกเขา (รวมถึงตัวผมด้วย) อยากเป็นอะไรเพียง แต่ตอนนี้ผมกำลังทำลายความฝันของผู้ชายคนหนึ่งอยู่ ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจเขานะครับว่า ทำไมคน ๆ นี้ถึงต้องยึดติดกับอดีตด้วยหรือทำไมเขาต้องยึดติดกับคำมั่นสัญญาบ้า ๆ บอ ๆ และน่าอายในวัยเด็กมากมายขนาดนี้


ผมมองเขาคร่ำครวญมาเกือบจะสิบนาทีแล้วหละครับเสียงทุ้มพูดพร่ำเป็นภาษาไทยบ้าง ภาษาอังกฤษบ้าง ซึ่งผมก็ไม่ได้รู้สึกรำคาญหูอะไรหรอกนะครับนั่นอาจจะเป็นเพราะผมรู้ว่าเขาเป็นลูกครึ่งไทย – อังกฤษก็ได้หละมั้งครับ มันจึงทำให้ผมยอมรับพฤติกรรมที่เขาทำกับภาษาไทยแบบนี้ ทุก ๆ ท่านคงจะสงสัยสินะครับว่าผมเป็นใครและคนที่นั่งอยู่เบื้องหน้าผมคือใครผมขอแนะนำตัวก่อนเลยนะครับ ทุก ๆ คนน่าจะได้ยินชื่อผมในเรื่องราวของเพื่อนผมมาแล้วเพราะผมชื่อเจมส์ครับ ผมเป็นเพื่อนสนิทสุดเลิฟกับนายรณกรนั่นเอง แต่ทุก ๆ คนคงยังไม่รู้จักชื่อจริงของผมใช่ไหมหละครับ งั้นก็ไม่ต้องรู้จักต่อไปเถอะครับผมไม่อยากจะแนะนำตัวเท่าไหร่เอาเป็นว่าผมชื่อเจมส์ หรือเพื่อนเจมส์ที่ทุก ๆ คนคุ้นเคยแล้วกัน


ส่วนคนที่นั่งอยู่เบื้องหน้าผมพวกคุณทุกคนก็น่าจะคุ้นเคยกับเขานะครับเพราะคน ๆ นี้เป็นเพื่อนของแฟนเพื่อนสนิทผมหรือจะพูดให้เข้าใจว่าเขาเป็นเพื่อนกับคุณพี่ศิรวิทย์นั่นเองซึ่งเขาชื่อพี่เตอร์ครับ (ความจริงแล้วผมจำชื่อเล่นเต็ม ๆ ของเขาไม่ได้เหมือนกันรู้สึกว่าพี่ศิจะเรียกคน ๆ นี้ว่าเต๋อครับ)


และเหตุผลที่ผมกับพี่เขาต้องมานั่งประจันหน้ากันแบบนี้ก็เป็นเพราะเรื่องราวบางอย่างที่เกิดขึ้นในอดีตและผมก็ต้องการแก้ไขความทรงจำที่ผิดของพี่เตอร์แกครับ (อ่อ ลืมบอกไปอีกอย่างตอนนี้ผมขึ้นขั้นปีที่ 3 แล้วส่วนพี่เตอร์แกตอนนี้อยู่ปี 6 ใกล้จะจบเต็มทนแล้วหละครับ)


มันเป็นเรื่องราวในอดีตที่ผมก็จำไม่ค่อยจะได้แต่เฮียแกดันจำได้ดีซะเหลือเกิน หนำซ้ำยังยึดมั่นถือมั่นในคำสัญญานั่นจนเข้าขั้นโคม่า และมันอาจจะหนักหนาจนทำให้ก้านสมองเขาตายไปเลยก็เป็นได้ครับ ผมรู้สึกว่าพี่เขาเป็นคนที่ยึดติดกับอะไรจะยึดติดแบบสุด ๆ และไม่ยอมปล่อยสิ่งที่ตัวเองยึดติดด้วยครับ


แต่ตอนนี้พอพี่เขารู้ความจริงทั้งหมดแล้วเขาคงอาจจะตัดใจและละทิ้งในคำสัญญาหรือความฝันสมัยเด็กพวกนั้นไปก็ได้หละมั้งครับ ผมนั่งเท้าคางมองใบหน้าขาวตามประสาหนุ่มลูกครึ่งหากแต่ดวงตานั่นคมเข้มตามฉบับหนุ่มไทย


ผมทอดถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่และตัดสินใจจะลุกออกจากโต๊ะและวางเงินค่าชานมเย็นที่ผมดื่มไป ให้พี่เตอร์แกช่วยจ่ายตอนที่เขาร้องห่มร้องไห้เสร็จแล้ว ทว่ามือกร้านข้างหนึ่งของพี่เขากลับเอื้อมมือมาจับท่อนแขนของผมเอาไว้พร้อมกับดึงร่างของผมให้ทรุดนั่งลงไปกับเก้าอี้อีกครั้ง


“My little princess”





 :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:



วิ่งหลบกะทะ หมอ ไห กะละมัง ... จริง ๆ ตอนนีแต่งค้าไว้ตอนที่ 4 แหะ ๆ ยังไม่มีไฟเลยมาขอไฟแต่งจากทุก ๆ คนค่ะ ฮาๆๆ



https://www.facebook.com/pages/WIFACs-Work-Page/376396462412920

ติดตามข่าวสารและนิยายเรื่องอื่น ๆ ได้ที่เพจค่า
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้ง+สปอย] 14/04/2015 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 15-04-2015 19:00:05
 :o8:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้ง+สปอย] 14/04/2015 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Gear77 ที่ 17-04-2015 14:24:55
อยากอ่านนนนนนนนนน  :hao7: :hao7:  :impress2:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้ง+สปอย] 14/04/2015 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 26-04-2015 15:37:14
 o13
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้ง+สปอย] 14/04/2015 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: LovelySyruP ที่ 05-05-2015 09:12:36
อ่านรวดเดียวตั้งแต่ต้น 2 วันจบค่ะ
น่ารักมากๆ อยากมีแบบนพ.ศิรวิทย์ซักคน

><,,, :-[
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้ง+สปอย] 14/04/2015 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: LonelyBoiZ ที่ 05-05-2015 23:30:28
อยากอ่านนนนสนน
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้ง+สปอย] 14/04/2015 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 07-05-2015 03:55:34
ตกหลุมรักพี่ศิแบบถอนตัวไม่ขึ้นเลยค่า
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้ง+สปอย] 14/04/2015 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 07-05-2015 20:52:18

  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้ง+สปอย] 14/04/2015 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Sohso ที่ 10-05-2015 01:13:17
สนุกมากๆเลยอ่ะ พี่ศิสุดยอด อยากได้แบบนี้ 5555
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้ง+สปอย] 14/04/2015 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: ployspy ที่ 11-05-2015 11:26:57
อ๊ายยยยยยยยยยยย
อยากอ่านนนนนนนนนนนนนนนนนนนน
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้ง+สปอย] 14/04/2015 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: poterdow ที่ 14-05-2015 00:25:58
จบแล้ววววว ขอบคุณที่แต่งให้อ่านค่า
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้ง+สปอย] 14/04/2015 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: momoku ที่ 14-05-2015 02:49:21
เข้ามาอ่านละติดเลยจ้าา พี่ศิน่ารักมากเลย เขินนน-///-
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้ง+สปอย] 14/04/2015 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: nutae or ที่ 16-05-2015 00:42:39
กลับมาอ่านรอบที่สองแล้ววววว...ยังน่ารักเหมือนเดิม!! น้องกรvsพี่หมอศิ  :pig4:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้ง+สปอย] 14/04/2015 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 19-05-2015 20:12:57
เหลือนิยาย 2 เซทค่ะ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้ง+สปอย] 14/04/2015 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: mypink801 ที่ 25-07-2015 08:25:52
พี่ศิน่ารัก ขอแบบนี้สักคนค่ะ  :-[
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้ง+สปอย] 14/04/2015 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: มะปรางเปรี้ยว ที่ 27-07-2015 11:37:26
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ นะคะ  :impress2: :pig4:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้ง+สปอย] 14/04/2015 P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Ningg.Destiny ที่ 10-09-2015 01:26:02
นิยายสนุกมากจ้า คนแบบพี่ศิในชีวิตจริงหาไม่ได้แล้วนะ
รูปหล่อ พ่อรวย เรียนเก่ง พูดเพราะ ช่างเอาใจ ทำกับข้าวอร่อยอีกกก
คือกรเหมือนถูกหวยรางวัลที่หนึ่งอ่ะแก >///<
แต่ที่อื่นก็มีสะดุดตรงคำผิดนะคะ เจอบ่อยด้วย
แล้วก็เหมือนมันจบรวบๆ ไป กรยังไม่ได้เจอพ่อแม่พี่ศิเลยอ่ะ
แต่คือจบแฮปปี้ก็โอเค คู่เจมส์กับพี่เตอร์ก็มาหย่อนไว้ซะน่าสนใจ 555
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [ประกาศ] 28/10/2015 P.15
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 28-10-2015 20:58:30


ประกาศรีปรินท์ รอบที่ 2 ค่ะ


รายละเอียดการจองงนิยายรอบรีปรินท์ครั้งที่ 2

ประกาศรีปรินท์ Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน (ว่าที่) คุณหมอ (ครั้งที่สอง) ค่ะ ยอดรีปรินท์ จองขั้นต่ำ 10 ชุดถึงจะเปิดรีปรินท์ค่ะ หากต้องการสั่งจองใหกรอกรายละเอียดด้านล่างตามต่อไปนี้ค่ะ

 

-          ชื่อ – นามสกุล :

-          จำนวนที่ต้องการสั่ง : [ไม่ขายแยกเล่มและไม่จำกัดจำนวนในการสั่งเหมือนเซทลีมีเต็จค่ะ]

-          การจัดส่ง : [ลงทะเบียน / EMS]

-          E-mail : [สำหรับติดต่อกลับ]

เมื่อกรอกรายละเอียดเสร็จแล้วขอให้ส่งรายละเอียดการจองทั้งหมดมาที่ E-mail : y_forever_love_a[แอด]hotmail.com โดยใส่ชื่ออีเมลว่า “สั่งจองหนังสือ รักกวน ๆ เซทธรรมดา” ค่ะ (เปลี่ยน [แอด] เป็นตัวแอดด้วยนะคะ)

และเมื่อพลอยได้รับอีเมลแล้วพลอยจะส่งอีเมลสำหรับการโอนเงินให้ภายในวันนั้นค่ะและระยะเวลาการโอนเงินก็คือตั้งแต่ "วันนี้" จนถึงวันที่ยอดจอถึง 10 เล่มค่ะ โดยรายละเอียดของนิยายมีดังต่อไปนี้ค่ะ

 

 

Title : Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน (ว่าที่) คุณหมอ เล่มที่ 1
Authors: P_Sokiss

Cover : Lucent

Special Guest : Wiwiil / tatsuya.yukky / Kiruka / Aprile Se★I / Little Him
Size : A 5
Page : 310+ หน้า [Intro – Chapter 18 + Illustration + Talk]
Price : 350 บาท

 

Title  : Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน (ว่าที่) คุณหมอ เล่มที่ 2
Authors: P_Sokiss

Cover : Lucent

Special Guest : Wiwiil  / tatsuya.yukky / Kiruka / Aprile Se★I / Little Him
Size : A 5
Page  : 330+ หน้า [Chapter 19 – Chapter 35 end + Special Chapter 1 - 5 + Illustration + Talk]
Price : 370 บาท

 

*Gift* : - โปสการ์ด 2 ใบ [ลายหน้าปกนิยายเล่มที่ 1 – 2 ] (หากยังพอเหลือเป็นบางชุดค่ะ)

 

รวม 720 บาท ไม่รวมค่าจัดส่ง การจัดส่งลงทะเบียนเท่านั้น 120 บาทต่อชุด

หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [ประกาศ] 28/10/2015 P.15
เริ่มหัวข้อโดย: pogpax ที่ 06-11-2015 08:37:49
 :-[จบแล้ว น่ารัก ๆ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [ประกาศ] 28/10/2015 P.15
เริ่มหัวข้อโดย: Youi_chin ที่ 09-01-2016 19:00:58
 :กอด1: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Love Special ตอนพิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 22-02-2016 17:47:05



พลอยคนเดิมเพิ่มเติมคือตอนพิเศษ




Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน (ว่าที่) คุณหมอ ตอนพิเศษ



“พวกแก…เจ้อยากอุ้มหลาน” เสียงสดใสของคุณแม่ลูกอ่อนวัยสามสิบต้น ๆ ค่อนไปกลาง ๆ เอ่ยขึ้นภายในห้องพักฟื้นผู้ป่วยหลังคลอด ท่ามกลางคนในตระกูลกิตติพงษ์พิพัฒน์ซึ่งคนที่พูดนั้นไม่ใช่ใครอื่นเลยนอกจากเจ้กิฟท์ ลูกสาวคนโตของบ้านกิตติพงษ์พิพัฒน์หรือพี่สาวสุดที่รักของนายรณกร ที่ทุก ๆ คนคิดถึงกันครับ แต่ก่อนจะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้ผมขอย้อนความกลับไปเล่าเรื่องก่อนหน้านี้ว่าทำไมพวกเราทุกคนถึงได้มายืนอัดแน่นภายในห้องพักผู้ป่วย very very very VIP แห่งนี้



กระผมนายช่างรณกรขอย้อนความไปราว ๆ 2-3 ปีก่อนหน้านี้ นานไปเหรอครับเอาเป็นว่าผมอยากเล่าแต่เอาสั้น ๆ ง่าย ๆ ได้ใจความแล้วกัน คือพอดีสามปีก่อนเจ้กิฟท์แกควงแฟน ว่าที่สามี พ่อของลูกในอนาคต พี่เขยผม อนาคตพ่อของหลานผม เอาเป็นว่าอะไรก็แล้วแต่มาแนะนำให้คนในบ้านรู้จักและหลังจากนั้นปีหนึ่งแกก็แต่งงานกับผู้ชายคนนั้นครับ แต่ว่ากันตรง ๆ เลยนะผมไม่คิดว่าตลอดชีวิตนี้เจแกจะได้แต่งงานว่ะครับ นึกว่าจะโสดไปตลอดชีวิตเสียอีก ปัดเรื่อนั้นตกไปแล้วกันเรามาเล่าต่อกันดีกว่าหลังจากแต่งงานพวกคุณกคงรู้ดีนะว่าคนเค้าต้องทำอะไรกันไม่นานพี่สาวของผมก็ท้องต่อมา 9 เดือนแกก็คลอดหลานของผมออกมาและไอสถานที่คลอดก็ไม่ใช่ที่อื่นไกลเพราะมันคือโรงพยาบาลที่ตระกูลหิรัญศิริดูแลอยู่ สาบานได้ว่าตอนเจ้แกมาฝากคลอด แกบีบคอผมแล้วขู่บังคับว่าถ้าฉันไม่ได้นอนพักห้อง very very very VIP ตอนคลอด ฉันจะฆ่าแกและหาภรรยาใหม่ให้น้องเขยฉัน ซึ่งผมเชื่อมั่นว่าเจแกพูดจริงและทำจริงแน่นอน ดังนั้นแกเลยได้มานอนเสวยสุขในห้องพัก VIPแบบนี้ไงหละครับ เอาเป็นว่าเรื่องราวทั้งหมดผมคิดว่าทุก ๆ คนคงเข้าใจดีแล้วแต่ก็ยังมีที่ทุกคนสงสัยอยู่มันก็เป็นเรื่อง ๆ เดียวกันกับผมนี่หละครับว่าเจ้แกเป็นบ้าอะไรถึงแหกปาก เอ่ย คำดูรุนแรงเกินไปเหรอครับงั้น ถึงได้พูดออกมาว่าอยากอุ้มหลานทั้ง ๆ ที่ตัวเองเพิ่งคลอดลูกออกมา เจ้ควรเอาเวลาไปเลี้ยงลูกตัวเองมากกว่าอยากอุ้มลูกคนอื่นนะ แถมพูดจบก็ส่งสายตามาทางผม ยัยกิ้ก และน้องกัซอีกต่างหากผมนี่อยากจะกรีดร้องเป็นภาษารัสเซียเลยครับ ผมไม่รู้นะว่าเจ้ของผมคิดอะไรอยู่แต่ที่รู้ ๆ น้องกัซยังไม่จบมหาลัยแถมยังไม่มีแฟนส่วน ยัยกิ้กเพิ่งคบหาดูใจกันกับแฟนคนใหม่ (ที่ยอมรับได้ว่าเธอเป็นสาววาย) ได้แค่สองเดือน ส่วนผมอย่างที่รู้ ๆ กันนะครับ…ว่าผมกลายเป็นภรรยาชาวบ้านไปแล้ว และด้วยสภาพการณ์แบบนี้ใครมันจะไปมีหลานให้แกอุ้มได้หละครับ



แต่ด้วยสิทธิลูกสาวคนโตของบ้านกิตติพงษ์พิพัฒน์ น้อง ๆ ห้ามเถียง (อันนี้เจ้แกตั้งขึ้นมาเองโดยที่คุณป๊ากับคุณม๊าไม่รู้ครับ) แม้ทุกคนอยากเถียงใจจะขาดก็ตาม พวกผมสามพี่น้องต่างมองหน้ากันไปมา ส่งสายตาปัดความรับผิดชอบไปให้อีกคนและอีกคน ซึ่งสุดท้ายคนซวยที่สุดก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากระผมนายรณกรลูกคนที่สองของบ้าน  ลูกชายคนโตของตระกูลนั่นเอง น้ำตาผมนี่อยากจะไหลเป็นสายเลือดถ้าไม่ติดว่ามันเจ็บหละนะ



“โถ่ เจ้ใจเย็นเดี๋ยวก็ได้อุ้มน่า รอยัยกิ้กมันแต่งานก่อน” ผมตอบด้วยน้ำเสียงประนีประนอมสุดชีวิต แต่กรณีนี้ใช้ไม่ได้กับแม่ลูกอ่อนที่อารมณ์ฉุนเฉียวได้ง่ายผมจึงโดนตอกกลับมาหน้าหงายและโดนแช่งให้สามีนอกใจ



“เงียบปากไปเลยไอกร ถ้าไม่เงียบของให้น้องเขยฉัน ศิรวิทย์ มีคนอื่นแกจะตกเป็นหมาหัวเน่า ไม่มีใครสนใจซวนเซกลับมาบ้าน” โถ่เจ้ถ้าสามีผมนอกใจ เจ้โดนเตะออกจากห้องพัก very very very VIP นี้ไปแล้วอย่ามาแช่งให้บ้านคนอื่นแตกกันนะ และหลังจากคุณแม่ลูกอ่อนด่าผมจนสะใจแกก็หันไปอ้อนยัยกิ้กที่ตอนนี้กำลังตีเนียนออกจากห้องแต่ดูเหมือนว่าไม่ทันแล้วหละเพราะเสียงมันดังขึ้นพร้อมกับออร่าแพ่ทะมึนด้านหลังเจ้กิฟท์ “ยัยกิ้กเจ้อยากอุ้มหลาน แกโทรไปบอกแฟนแกดิว่าแกอยากแต่งงานแล้ว พรุ่งนี้มาสู่ของไดเลย วันแต่งเอาฤกษ์สะดวกมะรืนนี้เลย”



ผมได้แต่มองยัยกิ้กยืนตัวสั่นพร้อมกับตัวสั่นแม้เธอจะกระซิกกับตัวเองเบา ๆ ว่านี่คือการสั่นสู้ แต่ก่อนที่บรรยากาศภายในห้องจะทะมึนและมีโศกนาญกรรมเกิดขึ้น มันก็มีเสียงสวรรค์ดังขึ้นท่ามกลางนรกที่เหล่าลูกหลานของตระกูลกิตติพงษ์พิพัฒน์ยืนอยู่ นั่นก็คือเสียงสุขุมนุ่มลึกของ…พี่ศิ…คำน้ำไม่เอาเหรอ…โอเคก็ได้ เสียงสามีของผมดังขึ้นพรอมกับประตูที่เปิดออก “สวัสดีครับพยาบาลมาขอพาเด็กไปพักผ่อน และคุณกิฟท์กควรพักผ่อนแลวได้เช่นกัน” พี่ศิพูดออกมาพร้อมกับรอยยิ้มกระชากใจสาวที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัว แต่ดูเหมือนมันใช้กับผู้หญิงบนเตียงนอนในห้องนี้ไม่ได้ครับ เพราะแม้ว่ามือทั้งสองข้างที่โอบอุ้มลูกสุดที่รักส่งให้กับพยาบาลเพื่อพาไปพักผ่อน แต่ตัวแกไม่ยอมพักผ่อนตามคำสั่งคุณหมอที่รักของผมครับ ซำยังพูดโผ่งออกมากลางห้องว่า “น้องเขย พี่สะใภ้อยากอุ้มหลาน ช่วยทำให้กรมันท้องทีดิ” ยังดี…ที่เจ้แกยังปราณียอมให้พยาบาลเดินออกจากห้องไปก่อนไม่งั้น พยาบาลที่แอบหลงใหลได้ปลื้มคุณหมอศิรวิทย์คงรู้เรื่องที่ผมกับพี่ศิคบกัน และท่าทีกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของคุณหมอสุดเนี้ยบคนนี้ (คบกันมานานแต่ผมก็ยังอายเกินกว่าที่จะเปิดเผยให้คนที่ไม่รู้จักแต่เห็นหน้ากันบ่อย ๆ รู้นะครับ)



ผมนี่เอาหัวโขกกำแพงตายส่วนพี่สิทำหน้าเหวอจนแว่นหลุดไปเป็นที่เรียบร้อย งานนี้มีตายแน่นอนครับไม่ผมก็พี่ศินี่หละที่จะตายด้วยน้ำมือเจ้กิฟท์



ความงียบสงบภายในห้องเกิดขึ้นอยู่ราว ๆ 5 นาทีผม พี่ศิ ยัยกิ้ก น้องกัซ ต่างไม่พูดอะไรออกมาจนในที่สุดเสียงของคุณแม่ลูกอ่อนแกดังขึ้นมาทำลายความเงียบที่เกิดขึ้นนั่น “นี่น้องเขยถ้าพี่สะใภ้ไม่ได้อุ้มหลาน พี่สะใภ้จะหาคนอื่นให้ไอกรแล้วน้องเขยกจะโดนกรทิ้งนะ” เจ้แกเล่นขู่กันเลยครับ แต่ถามความสมัครใจผมหรือยังถึงผมอยากจะมีภรรยาแต่…ผมคงหาใครที่ผมรักเท่า…เอาเป็นว่าละไว้ในฐานที่เข้าใจแล้วกัน



ซึ่งไม้นี้ทำเอาพี่ศิสะอึกเลยครับ พี่ศิแกรูว่าเจ้ผมพูดจริงทำจริงครับเพราะว่าครั้งก่อนพี่แกเคยโดนเจ้ขู่แล้วเขาไม่ทำตามงานนั้นบ้านบึ้ม ผมโดนขังเป็นจำเลยรักของเจ้กิฟท์ไม่ให้เจอพี่ศิไปสองอาทิตย์ ส่วนพี่ศินี่แทบจะกราบเจ้กิฟท์เพื่ออ้วนวอนขอให้ปล่อยตัวผมออกจากห้อง ผมนี่นับถือในความพยายามของพี่ศิครับแต่ทำไมคนที่ซวยมันเป็นผมหละครับจะเถียงกันทำไมต้องเอาผมเป็นตัวต่อรองด้วย



“พี่กิฟท์ครับ พอดีกรท้องไม่ได้นะครับ” พี่ศิพยายามใจดีสู้เสือแม่ลูกอ่อนแต่เสือแม่ลูกอ่อนไม่ยอมแพ้ครับแกเถียงกลับทันควัน ผมนี่กล้ำกลืนน้ำตาสงสารพี่ศิทันที “พี่สะใภ้ต้องการ ไม่อย่างนั้นไอกรไปเป็นของคนอื่นแน่นอนไปหาวิธีทำให้ได้แล้วกันจะทำอะไรมันก็ได้ฉันอนุญาต ยัยกิ้กด้วยไปบอกให้เขามาขอได้แล้วเจ้จะอุ้มหลานโทรไปเดี๋ยวนี้เลยไป และถ้าอีกหกเดือนฉันไม่ได้อุ้มหลานหรือมีข่าวเรื่องหลาน…ยัยกิ้กหล่อนตาย ส่วนน้องเขยเตรียมบอกลาเจ้ากรได้เลย” สิ้นเสียงพูดเจ้กิฟท์ก็ล้มตัวนอน (เบา ๆ) แล้วหันหลังให้พี่ศิที่อ้าปากพะงาบ ๆ ด้วยความชอคไปซึ่งผมก็ไม่ได้ต่างกันสักเท่าไหร่หรอกครับเพราะตอนนี้นอกจากผมจะเอาหัวโขกกำแพงตายไปแล้วตอนนี้ผมกัดลิ้นตายซ้ำไปอีกรอบเพื่อความชัวร์



งานนี้คุณแม่ลูกอ่อนชนะเลิศครับ ส่วนพวกผมตายสนิทแบบไม่ต้องช่วยปั้มหัวใจ  งานนี้ผมจะไปหาลูกได้ที่ไหนแล้วยัยกิ้กมันจะแต่งงานกับคนที่เพิ่งคบกันสองเดือนได้ยังไงกัน งานนี้ตายกับตายลูกเดียว



………………..



หลังจากที่พวกผมทั้งสี่คนเคลื่อนย้ายตัวเองออกมาจากห้องพักผู้ป่วย Very very very VIP กันแล้วเราทั้งสี่คนก็มานั่งประชุมกันที่รานกาแฟในชั้นล่างสุดของโรงพยาบาล ตอนนี้หน้าของทุกคนบ่งบอกได้เลยว่าเครียดมาก พี่ศินวดขมับ ยัยกิ้กเบ้ปากจวนเจียนจะร้องให้ น้องกัซนั่งกุมมือแล้วก้มหน้ามองโต๊ะ และคนสุดท้ายผมรณกรนอนวิญญาณหลุดบนโซฟา แต่จะเรียกว่าประชุมก็คงไม่ได้เพราะทุกคนไม่มีสิ่งที่เรียกว่าสติหลงเหลืออยู่อีกแล้ว ตอนนี้คงได้แต่รอให้สติฟื้นคืนกลับมา



และเวลาก็ได้ผ่านไปสามสิบนาทีทุกคนก็ได้สิ่งที่เรียกว่าสติกลับคืนมาแต่ปัญหานี้ยังไรทางแก้พวกเราทั้งสี่ไดแต่มองหน้ากันไปมาอย่างจนอับหนทาง จนในที่สุดก็มีคน ๆ หนึ่งเปิดปากพูดออกมาเพื่อคำลายความเงียบนั่น “พี่ศิ…พี่เป็นที่พึ่งสุดท้ายของกิ้กแล้วค่ะ…ไหน ๆ เจ้กิฟท์ก็เปิดทางให้ขนาดนี้…พี่ศิจัดหนักเฮียกรไปเลยค่ะเอาให้ท้องไปเลย ส่วนเรื่องงานเดี๋ยวกิ้กไปบอกคุณพ่อคุณแม่พี่ศิให้ว่าพี่กรป่วยต้องให้พี่ศิดูแลขอหยุดงานยาวไม่มีกำหนดค่ะ” นั่นไง…นั่นไงผมว่าแล้ว พี่น้องเชื้อไม่ทิ้งแถวจริง ๆ เรื่องนี้ แต่ช่วยคิดกันหน่อยว่าโลกนี้ผู้ชายมันท้องได้ที่ไหนกันวะครับ สติครับสติ ดึงสติกันหน่อย อย่าเพ้อฝัน



“พี่ว่านั่นเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้วเหมือนกันครับ…เอาหละครับกรเราไปที่คอนโดเรากันเถอะ” แล้วพี่ศิไปรับมุขเขาทำไมอีกนั่นพอเลยมีใครถามผมสักคำไหมว่าผมต้องการ ไม่นะผมโดนลากไปแล้วช่วยด้วยพี่ศิครับพี่เป็นหมอพี่ก็รู้นี่ครับว่าผู้ชายท้องไม่ได้ นี่โดนเจกิฟท์ทำลายคำว่าสมองกันไปหมดแล้วหรือยังไงครับ



……………….



และหลังจากนั้นสิบนาทีพี่ศิก็พาผมกลับมายัง ‘บ้าน’ ที่เราสองคนอาศัยอยู่ด้วยกันและแน่นอนสถานที่ที่ผมอยู่มันคงไม่ใช่หนาประตูบ้านแต่นี่มันบนเตียงครับ ย้ำบนเตียง และตอนนี้เสื้อผ้าผมโดนถอดออกไปทีละชิ้นแลวหละครับ มันเริ่มต้นด้วยเสื้อเชิ้ตของผม ตามด้วยเข็มขัดแล้วก็กางเกงสแลคขายาว และปราการด่านสุดท้ายที่ผมยังคงไม่ยอมให้พี่ศิถอดออกนั่นก็คือกางเกงในสีขาวสะอาดตาของผมครับ เรารั้งกันมาร่วมนาทีกว่าแล้ว งานนี้ไม่ว่ายังไงผมก็ไม่ยอมเด็ดขาด เพราะถ้ายอมพรุ่งนี้คงมีข่าวว่า วิศวกรหนุ่มตายคาเตียงเพราะบทรักของแฟนหนุ่ม แต่เหมือนว่าพี่ศิจะรู้เรื่องร่างกายของผมดีกว่าตัวผมเอง ใบหน้าคมก้มลงมาข้างใบหูและขบเม้มเบา ๆ ริมฝีปากผมกส่งเสียงร้องครางออกมาทันทีมือถูกยกขึ้นไปปิดที่ริมฝีปากและแน่นอนปราการด่านสุดทายของผมกถูกปลายยิวกร้านเกี่ยวออกไปแล้วหละครับ ใบหน้าของผมพลันขึ้นสีแดงเรื่องและรีบหุบขาของตัวเองเข้าหากันทันที แต่พี่ศิไม่ยอมให้ทำแบบนั้นมือขางหนึ่งจับแยกขาของผมออกแล้วใบหนาหล่อเหลาก็ก้มหน้าลงใบลิ้นสัมผัสกับส่วนอ่อนไหวของผม ร่างทั้งร่างของผมสั่นระริกริมฝีปากนี่ครางกระเส่าอย่างไม่รู้ตัวมือที่เคยปิดหน้าตอนนี้แทรกเข้าไปในกลุ่มผมสีดำสนิทของพี่ศิแล้วดันให้เขาครอบครองส่วนอ่อนไหวของผมให้มากขึ้น (ผมไม่ได้แรดนะครับแค่อารมณ์พาไปจริง ๆ …ไม่เชื่อกันอีกแล้ว นี่พูดจริงนะครับผมแค่แพ้ในบทรักของพี่ศิเท่านั้นเองนะ!)



เมื่อผมเผลอปล่อยตัวปล่อยใจไปแล้วพี่ศิกถอดริมฝีปากออกแล้วเข้าไปนั่งแทรกกลางระหว่างหว่างขาของผม ท่าทางตอนนี้มันช่างอีโรติกสิ้นดี ลิ้นของผผมไลเลียริมฝีปากตัวเองช้า ๆ ก่อนจะใชมือทั้งสองข้างคว้าร่างสูงของพี่ศิเข้ามาแนบชิดริมฝีปากร้อน ๆ ของเราสองคนบดเบียดกันอย่างหิวกระหาย พี่ศิใชเวลานันปลดเปลืองเสื้อผ้าตัวเองออกส่วนผมเอื้อมมือไปหยิบเจลและถุงยางมาใส่ให้ส่วนนั้นของพี่ศิและเตรียมช่องทางใหกับตัวเอง เสียงเฉอะแฉะดังไปทั่วทั้งห้องตอนนี้นิ้วมือสองนิ้วของผมได้แทรกเข้าไปในช่องรักของผมแล้วและกำลังจะตามด้วยนิ้วอีกสองนิ้วของพี่ศิที่กำลังจะสอดตามเขามา และเมื่อมันแทรกเขามาขนสุดผมกขยับสะโพกไปมาด้วยความกระหาย และถาผมเหนสีหน้าตัวเองเหมือนที่เห็นพี่ศิแลวหละก็ใบหน้าตอนนี้ของผมก็คงไม่ต่างกัน ผมคงกระหายร่างกายของเขาเหมือนกับเขาที่กระหายในร่างกายของผม ราวทั้งสองคนค่อย ๆ เอานิ้วออกผมรูสึกโล่งไปชั่วขณะหนึ่งจนกระทั่งมีบางสิ่งแทรกเข้ามามันทั้งใหญ่กว่าและอุ่นกว่านิ้วเมื่อสักครู่คราวนี้ผมนี่กรีดร้องและขยับสะโพกเสียดสีหนักกว่าเดิม พี่ศิที่ได้มองท่าทางแบบนี้ของผมก็เผลอยิ้มร้ายออกมาและแกล้งทำเป็นขยับอย่างเชื้องช้าให้ผมทรมาน ร่างกายค่อยๆถลาเอาหาอ้อมก่อนอุ่นริมฝีปากพลางครวญครางให้อีกฝ่ายขยับรุนแรงขึ้นอีก ในตอนนี้ผมไม่รู้จักคำว่ายางอายแล้วหละครับ ตอนนี้เรียกไดวว่าอยากอย่างเดียวแล้วและแล้วในที่สุดพี่ศิก็เลิกแกล้งผมเสียที พี่เขาขยับสะโพกเร็วและแรงตามคำของของผมและทุกครั้งที่มันเข้าไปในส่วนที่ลึกที่สุดมันทำให้ผมครางออกมาไม่เป็นภาษา จนท้ายที่สุดเราทั้งสองกปลดปล่อยความต้องการออกมา ผมนี่รับรู้ได้เลยว่าคำว่าตัวระบมไปหมดเป็นยังไงและคิดว่าตอนนี้รอบคอและแผ่นอกของผมคงเตมไปดวยรอยจูบแน่นอน ทว่าก่อนที่ผมจะได้ลุกไปชำระลางร่างกายมือของผมก็ถูกรั้งและกระชากลงไปบนเตียงอีกครัง น้ำเสียงเยนๆที่แฝงไปด้วยความรู้สึกไม่ดีดังอยู่ข้างหูและคำนั้นเป็นคำสุดทายที่ผมได้ยินก่อนห้องทั้งห้องจะถูกกลบไปดวยเสียงครางของผมทั้งคืน



“พี่คงปล่อยกรไม่ได้ จนกว่ากรจะท้องหละครับ” พี่ศิครับใชสมองที่มีคิดหน่อยว่าผู้ชายมันท้องไม่ได้ แต่ตอนนี้ อ่ะ...มันรู้สึกดีจนเอาไว้ค่อยบอกแล้วกันหละครับ






……….End………





แถมท้าย



“ยัยกิ้กแกว่ากี่วัน” เสียงของคุณแม่ลูกอ่อนเอ่ยถามน้องสาวที่กำลังดูดนำสมอย่างอร่อยอยู่ข้าง ๆ



“กิ้กว่าไม่ต่ำกว่าสาม แต่หน้าอย่างพี่กรห้าวันคงไหวอยู่ คราวนี้จะพนันด้วยอะไรดีเจ้บัตรไปญี่ปุ่นดีไหม กิ้กอยากไปซื้อโดจินเล่มใหม่”



“แหม…แกไปของกับพี่เขยแกแล้วกัน ไอเรื่องวางแผนแกล้งเจ้ากรแต่ละอย่างมาจากพี่เขยแกน้องเขยฉันทั้งนั้น แกจะมาพนันกับฉันทำไม”



“เอาเป็นว่าหลังจากที่พี่เขยออกมาจากห้องแลวกิ้กจะไปขอรางวัลแล้วกัน”



และแล้วภายในห้องก็เต็มไปด้วยออร่าสีม่วงที่แผ่กระจายอยู่รอบ ๆ ห้อง





จบจริงๆแล้วจะ พลอตมาจากตอนนั่งรถกลับหอ....อุฮิ ๆ
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Love Special ตอนพิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 22-02-2016 21:07:30
พี่ศิช่างเจ้าเล่ห์เกิ๊นนนนนนนนนน

คิดถึงกรกับพี่ศิอ่ะ  :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Love Special ตอนพิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: Pandora20 ที่ 23-02-2016 09:45:21
คุณพี่ศิรวิทย์หน้านิ่งใจหื่นจริมๆ 55555  :hao6: o13
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Love Special ตอนพิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 24-02-2016 20:01:21
คุณศิรวิทย์ ร้ายนัก
แบบนี้ไม่ท้องไม่หยุดนะ หึหึ
 :hao7:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Love Special ตอนพิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 05-03-2016 09:51:37
อ่านมาหลายวัน จบแล้วววว เย้ๆๆๆ
เป็นเรื่องที่เรียบเรื่อย แต่ชอบค่ะ
ได้เห็นพัฒนาการของตัวละคร ค่อยๆฟิน
ขอบคุณคนเขียนจ้าาา
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [Love Special ตอนพิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: มาม่าหมูสับ ที่ 27-04-2016 13:47:53
อ่านจบแล้ววว น่ารักมากเลยยย พี่ศิหื่นไปมั้ย  :hao7:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้งข่าว] [03/06]
เริ่มหัวข้อโดย: S_oKiss ที่ 03-06-2016 17:39:03
ไม่มีอะไรมากค่ะแค่อยากบอกว่า....เลิฟเซอร์เจอร์รี่มีภาคสองค่ะ


Love Surgery ปฎิบัติการร้ายของผมกับนาย (ว่าที่) คุณหมอ

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54177.new#new



แจงข่าวอีกเรื่อง เนื่องจากพลอยไดรับการติดต่อเข้าร่วมโครงการขายหนังสือออนไลน์ของ สนพ. หนึ่งซึ่งพลอยส่งเรื่องบลูโรสเขาร่วมและแน่นอนว่าทางสนพ.ที่พลอยติดต่อพิมพ์งานอยากได้เรื่องเลิฟเซอร์เจอร์รี่นี้ด้วย แต่ทางหนังสือของพลอยเคยมีปัญหาทำให้พลอยลังเล หากมีว่ามีการนำหนังสือเข้าร่วมโปรเจคของสนพ. "หน้าปกของเลิฟเซอร์เจอร์รี่ภาคนี้...จะถูกเปลี่ยนไปค่ะ"


หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้งข่าว] [03/06]
เริ่มหัวข้อโดย: แมลงมีพิษชนิดหนึ่ง ที่ 24-09-2016 14:04:04
เริ่มเรื่องมาได้น่าสนใจดีนะ แต่มาตอนหลัง ๆ เริ่มเอื่อย ๆ ไปหน่อย แล้วกรก็ดูมุ้งมิ้งกลายเป็นสาวน้อยไปเลยหลังจากที่มีพี่ศิเข้ามาในชีวิต จริง ๆ กรเรียนวิศวะด้วยน่าจะดูแมน ๆ กว่านี้นิดหนึ่งนะ

 :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้งข่าว] [03/06]
เริ่มหัวข้อโดย: บีเวอร์ ที่ 26-01-2017 04:35:33
 :a5:
หัวข้อ: Re: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้งข่าว] [03/06]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 26-03-2018 06:43:59
 o13 :กอด1: