บทที่ 146 A Bird Keeper
“ว่าไงนะ” เฟี๊ยตเอ่ยถามออกไปอย่างได้ยินไม่ชัดนัก
“บอกว่ามีเรื่องจะบอกตี๋” ธันหันหน้ากลับมาบอกอีกครั้ง
“เมื่อไหร่จะเลิกเรียกว่าตี๋สักทีวะ ชื่อเฟี๊ยตโว๊ย ไม่ได้ชื่อตี๋ ไอ้แขก” เฟี๊ยตพูดออกมาเชิงบ่นๆ อย่างไม่จริงจังนัก
“เรียกว่าตี๋ก็ตี๋สิน่า ไว้ตัวจัง นี่เป็นดาราเปล่าเนี่ย ไอ้กาก” ธันพูดอย่างไม่ยอมแพ้
“เออๆ มึงอยากเรียกอะไรก็ตามใจมึงเหอะ ว่าแต่มีอะไรจะบอกวะ”
“วันนี้ตอนที่ไปขับรถเล่นบนท้องฟ้ามา กูก็ตั้งใจจะขับวนไปรอบๆ เมืองพฤษภาคมดู กูว่าตัวเลขบนลายแทงนั่นต้องเกี่ยวข้องกับอะไรสักอย่างในเมืองนี่แหละ” ธันเริ่มต้นประโยค
“เดี๋ยว นี่มึงสนใจเรื่องไขปริศนาด้วยเหรอวะ” เฟี๊ยตหันมาถามอย่างงงๆ ชายหนุ่มคิดแต่ว่าธันจะสนใจเอาแต่เที่ยวเล่นเสียอีก
“อยู่ทีมเดียวกันก็ต้องช่วยกันดิ อีกอย่าง จะปล่อยให้ตี๋คิดอยู่คนเดียวได้ไง เรื่องซับซ้อนซ่อนเงื่อนอย่างนี้ มันต้องให้พี่คิดนี่ น้องตี๋ ฮ่าฮ่า” ธันพูดออกมาพร้อมกับตบไปบนหน้าอกตนเองเบาๆ อย่างอารมณ์ดี
“แล้วได้เรื่องอะไรบ้างไหม” เฟี๊ยตถามออกไปอย่างล้อเลียน
“เรื่องปริศนาอะไรนั่นอะ ไม่ได้หรอก แต่ได้เรื่องอื่นมาแทน” ธันพูดด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“หืออ” เฟี๊ยตพึมพำในคอขึ้นมาด้วยความสงสัย
“เราโดนโจมตีกลางอากาศหวะ เฟี๊ยต” ธันเอ่ยมาสั้นๆ
“เฮ้ย แล้วเป็นไรมากเปล่า แล้วทำไมถึงต่อสู้กัน” น้ำเสียงของเฟี๊ยตร้อนรนขึ้นอย่างเป็นห่วงเพื่อนร่วมทีม
“ไม่เป็นไรๆ โชคดีที่เราพอจะเอาตัวรอดมาได้” ธันพูดพร้อมยิ้มน้อยๆ เป็นการย้ำว่าเขาไม่เป็นไรจริงๆ
“ทำไงวะ มอไซค์นั่นมันจอดกลางอากาศได้เหรอ แล้วสู้กันอีท่าไหนเนี่ย” เฟี๊ยตถามขึ้นมาอย่างสงสัย เขายังจินตนาการภาพเด็กหนุ่มตรงหน้าบิดคันเร่งไปเรียกใช้การ์ดไปไม่ถูกเลย
“ใช้ the sky walker ไง โชคดีที่สู้กลางอากาศซะจนเคยแล้ว มันก็ไม่ได้หนักหนาอะไรหรอก แต่ประเด็นมันไม่ได้อยู่ตรงนั้นนี่ดิ” ธันเอ่ยมาพร้อมกับสีหน้าที่ยังดูเหมือนคิดไม่ตก
“อ๊าว ทำไมหละ” เฟี๊ยตถามขึ้นมาอย่างงงๆ ถ้าการต่อสู้ไม่ได้เป็นปัญหา และจะมีปัญหาอะไรอีกได้
“คือคู่ต่อสู้เป็นคนนั่งอยู่บนนกยักษ์ตัวหนึ่ง หน้าตาคล้ายๆ พวกอินทรี เหยี่ยว อะไรพวกนั้น เราก็แยกไม่ออกเหมือนกัน พอเราพ้นเมฆก้อนหนึ่งมาประจันหน้ากัน มันก็พุ่งเข้ามาซัดเลย ไอ้นกนั่นใช้ตีนถีบใช้ปากจิกเข้ามาไม่หยุด ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรกันมาก่อน” ธันพูดขึ้นพร้อมกับทำท่านึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เหล่านั้น
“มันเป็นพวกพรรคอธรรมอะไรพวกนั้นหรือเปล่า ปรกติพวกนี้มันก็หาเรื่องชาวบ้านเขาไปทั่วอยู่แล้ว” เฟี๊ยตเสนอความคิดเห็น ใจเขากลับไปคิดถึงเรื่องราวตอนที่เขาได้พบกับธันครั้งแรกอีกครั้ง
“ประเด็นมันไม่ได้อยู่ตรงนั้น เฟี๊ยต ประเด็นคือตอนสู้กัน มันไม่ยอมฟังอะไรเลย เราเลยต้องโจมตีเพื่อหยุดการเคลื่อนไหวมันให้ได้” ธันเล่าต่อ
“ฆ่า?” เสียงของเฟี๊ยตสูงขึ้นอย่างสงสัย
“ก็ไม่ได้ตั้งใจให้ถึงขนาดนั้น แต่ก็ยอมรับว่าพลั้งมือใส่แรงเยอะไปหน่อย” ธันสารภาพออกมาตรงๆ
“แล้วไงวะ เขาก็แค่ไปเริ่มต้นเกมใหม่แค่นั้นเอง” เฟี๊ยตเอ่ยอย่างไม่เข้าใจว่าเรื่องที่ธันพูดมันน่าสนใจมากมายตรงไหน
“คือปรกติ ถ้าผู้เล่นตาย ร่างกายมันจะต้องเลือนหายไปเลย ถูกไหม แต่ถ้ามันเป็นการ์ด มันก็ต้องระเบิดออก และกลับสภาพกลายเป็นการ์ด แต่นี่มันไม่ใช่ พอมันโดนโจมตี ร่างกายมันก็กลายสภาพเป็นสีดำสนิทไปทั้งตัว เหมือนเอาตัวไปจุ่มลงไปในถังหมึก แต่นี่ดูเหมือนว่าสีดำสนิทมันแพร่ออกมาจากข้างในร่างกาย ไม่กี่วินาที ร่างของมันก็ดำสนิทไปทั้งตัว หลังจากนั้น”
“หลังจากนั้นทำไม” เสียงของเฟี๊ยตขัดออกมาขึ้นอย่างสนใจ
“มันก็ระเบิดแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ ร่างกายสีดำสนิทของมันกระจายไปทั่วท้องฟ้าเลย” ธันเอ่ยสรุปเรื่องราวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“อิน” เสียงของเฟี๊ยตรำพึงขึ้นเบาๆ อย่างไม่ได้ตั้งใจ
“อะไรวะ” ธันถามมาอย่างงงๆ
“เปล่าๆ ไม่มีอะไร” เฟี๊ยตตัดบทอย่างไม่อธิบายความอะไรต่อ
“เฟี๊ยตว่ามันคืออะไรวะ” ธันถามอย่างต้องการความคิดเห็น เด็กหนุ่มหันมามองหน้าเขาอย่างจริงจัง ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะติดค้างใจธันอยู่ไม่น้อยเลย
“ไม่รู้เหมือนกันหวะธัน ขนาดไบเบิ้ลยังไม่รู้เลย” เฟี๊ยตพูดพลางยักไหล่ พร้อมกับชี้ไปที่ตุ้มหูคู่ใจนั่นให้ธันรู้ว่า ตนได้ลองถามสมุดสารพัดนึกนั่นในใจดูแล้ว
“ลองไปถามโจแอนนาดูดีไหม” ธันเอ่ยขึ้นอย่างปรึกษา
“อย่าเลยธัน เราจะไม่ได้คำตอบอะไรจากโซดิแอคคนนั้นเลย มิหนำซ้ำ อาจจะต้องสูญเสียข้อมูลฝ่ายเราไปเสียอีก อย่าลืมว่าขนาดเรื่องจีน่าที่เราเป็นฝ่ายช่วยชีวิตน้องสาวตัวเองไว้แท้ๆ เขายังไม่ยอมบอกเราเลย นับประสาอะไรกับเรื่องนี้ โจแอนนายังได้ไม่อยู่ข้างเรา ธัน เก็บข้อมูลนี้ไว้เผื่อต้องใช้ต่อรองในอนาคตดีกว่า”
เฟี๊ยตตัดบทเรื่องราวนั้น ก่อนจะเดินนำไปยังห้องอาหารที่อยู่ห่างออกไปเพียงไม่ไกล และนั่งลงรับประทานโดยไม่พูดอะไรอีก ธันเองเมื่อเห็นดังนั้นก็ล้มเลิกความสนใจในเรื่องดังกล่าว และก้มหน้าก้มตาจัดการอาหารเย็นด้วยอีกคน
บรรยากาศการรับประทานอาหารเย็นในวันนั้นค่อนข้างเป็นไปด้วยความเงียบสงบกว่าทุกวัน เพราะทั้งเฟี๊ยตและธันต่างฝ่ายต่างก็ดูเหมือนจะตกอยู่ในห้วงความคิดของตนนั่นเอง พวกเขาทั้งคู่เดินกลับไปยังที่พักอย่างเงียบๆ ธันหยิบขนมปังติดมือกลับมาประมาณสี่ห้าชิ้น เมื่อเฟี๊ยตถาม ชายหนุ่มก็ได้รับคำตอบว่าใช้เป็นพลังงานสำรองในค่ำคืนนี้ เนื่องจากคงจะต้องไขปริศนากันจนดึกดื่นอย่างแน่นอน
หลังจากเริ่มต้นคุยกันเรื่องแก้ปัญหาลายแทงนั่น เฟี๊ยตก็ต้องประหลาดใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียวที่พบว่าแท้จริงแล้ว ธันก็เอาใจใส่ในการแก้ปัญหานี่ไม่น้อยไปกว่าเขาเลย วันนี้ทั้งวันที่หายไป ธันไม่ได้หายไปขับรถเล่นอย่างที่บอกเขาไว้ตอนต้น หากแต่จงใจสำรวจภูมิประเทศโดยรอบ และภาพทิวทัศน์จริงของเมืองพฤษภาคมในหลายๆ ส่วนที่พวกเขาทั้งสองไม่เคยไป
“สรุปว่าตอนนี้เราเห็นตรงกันว่าลายแทงนี้เป็นแผนที่ของเมืองพฤษภาคมนั่นเอง ส่วนตัวเลขพวกนี้ก็แทนที่กังหันลม” เฟี๊ยตเอ่ยสรุปขึ้นมาหลังจากที่พวกเขาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันมาได้สักพักหนึ่ง
“ใช่ ที่เหลือก็แค่ตีความให้ออกว่าไอ้ตัวเลขแต่ละตัวนี่หมายความว่าอะไร” ธันพึมพำออกมา
“ข้อมูลมันน้อยไปหน่อยนะ มันน่าจะมีอะไรสักอย่างที่พวกเรามองข้ามไปสิน่า” เฟี๊ยตพึมพำออกมาอย่างครุ่นคิด
“ตามหลัก ลายแทงมันน่าจะต้องมีคำพูดหรือว่าคำเปรย คำใบ้อะไรสักอย่างไว้แก้ปริศนาสิ” ธันลองเอาลายแทงฉบับจริงมาพลิกหน้าพลิกหลังไปมา ด้วยความหวังที่จะเจอข้อความที่ถูกแอบซ่อนเอาไว้
“เดี๋ยวๆ ความจริงพวกเราก็เคยได้ยินคำพูดอีกประโยคหนึ่งที่อาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็ได้นะ” เฟี๊ยตขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างใช้ความคิด
“คำพูดอะไร ไปได้ยินตอนไหนวะ” ธันถามออกมาอย่างงงๆ
“บางเรื่องไม่จำเป็นต้องใช้สมอง เราต้องทำตามหัวใจ แต่หัวใจของชาวพฤษภาคมเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เพราะหัวใจของพวกเราทำจากสายลม” เฟี๊ยตพูดออกมาอย่างไม่มั่นใจนัก
“นี่มันคำพูดของโจแอนนานี่” ธันหันมาอย่างสนใจ
“ใช่ แปลตรงตัวเลยก็คือ จงตามสายลมไป นั่นเอง” เฟี๊ยตพูดออกมาอย่างพินิจพิเคราะห์
“ตามสายลมไป ถ้าประโยคนั้นเป็นคำใบ้จริง ตัวเลขพวกนี้จะเกี่ยวอะไรกับสายลม” ดูเหมือนว่าธันจะรำพึงกับตัวเองมากกว่าจงใจจะสื่อความหมายกับเพื่อนอีกคน
“ลม เกิดจากการเคลื่อนที่จากบริเวณที่มีความกดอากาศสูงไปยังบริเวณที่มีความกดอากาศต่ำ” เฟี๊ยตรำพึงมาเบาๆ เช่นกัน สถานการณ์ตอนนั้นดูเหมือนทั้งสองคนจะต่างตกอยู่ในห้วงแห่งความคิดที่ไม่มีที่สิ้นสุด
“เลขพวกนี้ไม่น่าบอกถึงความดันอากาศได้นะ ปรกติจะบอกเป็นหน่วย atm ซึ่งมักจะมีค่าแค่หลักหน่วย” ธันก้มลงมองตัวเลขเหล่านั้นอย่างใช้ความคิด
“ถ้าเป็นมิลลิเมตรปรอทก็ควรจะเป็นหลักร้อยหรือไม่ก็พัน แต่ถ้านิ้วน้ำก็น่าจะเป็นหลักสิบต้นๆ เท่านั้น ไม่น่าจะขึ้นถึงหกสิบเจ็ดสิบได้” เฟี๊ยตเปรยขึ้น
“เดี๋ยวเฟี๊ยต ตัวเลขพวกนี้อาจจะไม่ใช่ความกดอากาศก็ได้นะ มีค่าอีกอย่างที่บอกถึงทิศทางของลมได้เหมือนกัน” เสียงของธันดังขึ้นอย่างตื่นเต้น ก่อนจะพูดต่อออกมาโดยไม่รอให้เฟี๊ยตพูดอะไรออกมานั้น
“อุณหภูมิไง เฟี๊ยต อุณหภูมิ อากาศที่ร้อนจะลอยตัวสูงขึ้น อากาศที่เย็นจะเข้าไปแทนที่ นั่นแปลว่าลมจะเคลื่อนที่จะบริเวณอากาศเย็นไปอากาศร้อนไง” ธันเอามือฟาดไปที่หน้าขาตัวเองอย่างตื่นเต้น
“แต่อุณหภูมิแถบนี้มันไม่น่าจะเกิน 30 องศาเซลเซียสนะ ค่าขนาดนี้มันจะเป็นไปได้เหรอ ธัน” เฟี๊ยตแย้งขึ้นอย่างมีเหตุผล
“ฟาเรนไฮต์ไง เฟี๊ยต ยี่สิบองศาเซลเซียสก็ประมาณหกสิบกว่าฟาเรนไฮต์ สามสิมองศาก็ประมาณเก้าสิบกว่าได้” ธันเขย่าไหล่เฟี๊ยตอย่างตื่นเต้น
“เฮ้ยย จริงด้วย อย่างงั้น ถ้าเราลากเส้นจากตัวเลขน้อยสุดไปยังตัวเลขมากสุด เราก็จะได้ทิศทางของลมถูกไหม ไบเบิ้ล ขอรูปลายแทงที่ซ้อนอยู่บนแผนที่หน่อย” เฟี๊ยตพูดขึ้นมาพร้อมกับหนังสือบนเตียงนอนนั่นที่เปิดออกและฉายภาพสามมิติขึ้นมาอีกครั้ง
เฟี๊ยตลองสั่งการให้ไบเบิ้ลลากเส้นตามความคิดของเขา โดยไล่จากตัวเลขน้อยที่สุด ไปยังตัวเลขมากที่สุด เขาลองไปลองมาหลายรูปแบบ จนได้เส้นทางแบบหนึ่งที่บรรจบลงที่ปลายทางพอดี
“มีแบบเดียว ธัน มีแบบเดียวที่จะเคลื่อนที่จากเลขน้อยสุดไปเลขมากสุด โดยเรียงตามลำดับตัวเลข ไม่มีกระโดด ไม่มีการข้าม มีแบบเดียว ธัน มีแบบเดียว ฮ่าฮ่าฮ่า” เฟี๊ยตตะโกนเสียงดังพร้อมกับชูมือขึ้นกลางอากาศทั้งสองข้างอย่างดีใจถึงขีดสุด
ชายหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่บนเตียงเดียวกันนั้น ไม่ได้พูดคำใดออกมา นอกจากวิ่งไปเขย่าไหล่ของเฟี๊ยตที่กำลังตะโกนโหวกเหวกอย่างตื่นเต้นนั่น ทั้งคู่โวยวายเสียงดังอย่างดีใจ เสียงหัวเราะอย่างครื้นเครงนั่นดังกังวานไปมาในห้องสี่เหลี่ยมที่ผ้าม่านกำลังเผยอรับแสงจันทร์นุ่มนวลในค่ำคืนนั้น
บางทีอาจจะเป็นเช่นดังคำของครูสอนจักระคนนั้นว่า ชายสองคนนี้เกิดมาเพื่อที่จะเติมเต็มความสามารถที่ขาดหายไปของกันและกันจริงๆ
แหล่งกบดาน ลงรูป พูดคุยอย่างเป็นกันเอง :
www.facebook.com/allornonetheauthorจากผู้แต่ง : ใกล้ถึงตอนที่ 150 แล้วนะครับ เฮ้ออออ
